33 [PART2/2]
เช้าวันเสาร์ ผมตื่นนอนตอนเจ็ดโมง หลังล้างหน้าแปรงฟันผมก็ลงไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ที่นอนกรนอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขาคงเหนื่อยมาก ทำงานทั้งวันแถมยังต้องปลอบใจกอริลลาจิตตกอีก ผมร้องไห้เป็นชั่วโมงเพราะทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็พูดให้คิดได้ด้วยการถามว่าผมกลัวอะไร ลึกๆสิ่งที่ผมวิ่งหนี ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น คือเรื่องอะไร
ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ผลตรวจออกมาว่าผมเป็นลูกชายของคุณสมปราชญ์ หนึ่งคือผมกลัวว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขา สองผมกลัวว่าจะไม่ได้ยุ่งกับพี่อู๋อีกเพราะพ่อมีสิทธิ์ขาดในตัวลูกชาย สาม – ผมกลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้อนรับ ผมไม่เคยคลุกคลีฝั่งครอบครัวของคุณสมปราชญ์เลย ถ้าวันหนึ่งเขาพาผมเข้าบ้านแล้วถูกต่อต้าน ผมไม่รู้ว่าควรรับมือกับความเกลียดชังนี้ยังไง
พี่อู๋ฟังกอริลลางึมงำร้องไห้อยู่นานจึงพูดว่า ก้อง สถานะพ่อมันตัดทิ้งไม่ได้ ถ้าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อของก้องจริงๆ สิ่งที่ก้องทำได้คือยอมรับว่าเขาเป็นพ่อ ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวล ถ้าผลมันออกมาใช่เราค่อยตกลงกันก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไกลเลยว่าเขาจะพาก้องไป ไม่แน่เขาแค่มาแสดงตัวและขอทำหน้าที่พ่อ แต่ก้องจะยอมให้เขาเข้ามาในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวก้องเอง ต่อให้คนในครอบครัวคุณสมปราชญ์ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร พี่ชอบก้อง พี่ยังรักก้องเหมือนเดิม เขาไม่เอาก็ช่าง พี่เอา พี่ดูแลก้องเอง
ผมร้องไห้เลยตอนที่พี่อู๋ให้สัญญาว่าจะดูแลนายก้องเกียรติเหมือนเดิม ผมบอกเขาว่ารู้ไหมผมดีใจที่ได้เจอพี่มากกว่าเจอพ่ออีกนะ พี่อู๋หัวเราะแล้วปลอบผมต่อ เขาบอกว่าสิ่งที่ต้องกังวลไม่ใช่เรื่องพ่อหรอก กังวลเถอะว่าควิซภาษาอังกฤษครั้งหน้าจะทำได้ไหม วันๆไม่อ่านหนังสือไม่ท่องศัพท์ เอาแต่นอนร้องไห้ฮือๆไม่อยากมีพ่อๆ มันจะสอบผ่านไหมวะก้อง
พอได้ฟังคำพูดของพี่อู๋ ผมก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อย ผลจะออกมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างมันเพราะผมคือคนตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไป ที่แน่ๆไม่ควรคิดไกลว่าเขาจะพาผมไปจากพี่อู๋ ไม่แน่เขาเองก็อาจมีปัญหากับที่บ้านหากรับกอริลลาหลุดฝูงไปดูแลเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดไกล อย่าคิดไกล อย่าคิด –
“ก้อง! ทำไมตื่นเช้าจังเลยวันนี้”
เสียงของออกัสดังขึ้นข้างหลัง ผมจึงหมุนตัวกลับไปทักทายเพื่อนแต่ก็พูดไม่ออกเพราะรอบตัวมันมีกล้องถ่ายทำอยู่ มีคนติดตามอยู่หลังตากล้องอีกคน ส่วนมันสวมเสื้อยืดกิจกรรมสีส้มกับกางเกงยีน ยืนกวักมือเรียกให้เข้าหาแต่ผมไม่เดิน
“มานี่หน่อยสิ”
ออกัสเรียกอีก แต่ผมลังเล ไม่อยากโผล่เข้าไปในเฟรมกล้องเพราะไม่รู้ว่าหน้าตัวเองจะโผล่ในสื่อช่องทางไหนบ้าง พอเห็นนายก้องเกียรติเลิ่กลั่กไม่เดินไปหาเสียที ออกัสจึงเดินตรงมาทางนี้โดยมีกล้องตามติดมาด้วย
“คนนี้เพื่อนผมครับ ภาคแมคคาเหมือนกัน ชื่อก้อง” มันยิ้มกว้าง ท่าทางดูเฟรนด์ลี่กว่าปกติ “เฮ้ย ทำไมตื่นเช้าจังอ่ะ”
“อ๋อ จะไปซื้อข้าวให้พี่อู๋”
ไอ้ออกัสหน้าเสียนิดหน่อย ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบกล้องเพราะไม่รู้ว่ากำลังถ่ายรายการอะไร ผมแค่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะโผล่บนจอโทรทัศน์หรือโซเชียลมีเดีย ไว้หลังจากนี้ผมจะไลน์ไปด่ามันให้เซ็นเซอร์หน้านายก้องเกียรติออก ทำเป็นภาพเบลอเหมือนเบลอหัวนมโงกุนหรือคาดตาดำเหมือนอาชญากรก็ได้ แต่ห้ามให้เห็นว่าเป็นหน้ากูเด็ดขาด เข้าใจไหม
“ไว้เจอกันใหม่ ไปทำงานก่อนละ”
ผมตอบเออๆแล้วโบกมือหนี พอเดินห่างออกไปได้ซักพักก็รีบหันหลังไปดูอีกว่ามันยังถ่ายอยู่ไหม ก็ยังถ่ายอยู่ เหมือนรายการเรียลลิตี้ตามติดชีวิตเน็ตไอดอลไม่มีผิด ระหว่างนึกสงสัยว่าทำไมไอ้ออกัสถึงมีตากล้องมาถ่ายถึงที่ จู่ๆพี่อู๋ก็โทรเข้ามาว่าอยู่ไหน ทำไมไปซื้อนานจัง ผมบ่นผู้ปกครองว่านานอะไร เพิ่งลงมาไม่ถึงห้านาทีเอง
“เร็วๆเลย เดี๋ยวเราต้องรีบไปโรงพยาบาลอีก”
“ครับๆ”
ผมกรอกเสียงลงในสายแล้วเดินไปร้านข้าวเจ้าประจำ ตัดเรื่องไอ้ออกัสออกจากสมองก่อนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราจะได้รู้กันว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆของนายก้องเกียรติหรือไม่
☁
“ผลออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันนะครับ”
คุณหมอพูดและอธิบายผลตรวจอย่างละเอียด ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าตรวจออกมาแล้วเรามีค่าอะไรเหมือนกันตรงไหนยังไง ผมมัวแต่รู้สึกแย่จนปล่อยให้คำอธิบายเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คนที่ดีใจที่สุดในห้องน่าจะเป็นคุณสมปราชญ์ เพราะแกเอาแต่ยิ้มและขอบคุณคุณหมอที่ช่วยอธิบายให้กระจ่าง ในขณะที่ลูกชายของเขานั่งใบ้ ไม่พูดอะไรซักคำ
หลังออกจากห้องตรวจพี่อู๋ก็เดินมาหาผม เขาคงรู้อยู่แล้วว่าผลเป็นยังไงเลยไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ คุณสมปราชญ์หรือพ่อของนายก้องเกียรติถือโอกาสนี้ชวนเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แกบอกว่าขอเป็นเจ้ามือเอง ไม่ว่าก้องอยากกินอะไร แพงแค่ไหนก็ได้ แกจะพาไปกิน
ผมไม่มีอารมณ์เพราะยังสับสนอยู่ว่าควรรู้สึกยังไง ดังนั้นพี่อู๋จึงให้ไปเจอกันที่พารากอน ส่วนจะกินร้านไหนค่อยตกลงกันอีกที เดี๋ยวเขาจะถามนายก้องเกียรติให้ว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
ผมไม่พูดไม่จาเลยจนกระทั่งถึงรถ พออยู่กันสองคนผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมกลัวมากเลย ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเอายังไง ไม่รู้ว่าหลังไปกินข้าวกับเขาต้องแยกกับพี่เลยไหม ถ้าพ่อให้ผมไปอยู่ด้วยเราจะทำยังไงกันดี ผมไม่อยากไปจากพี่ ผมอยากอยู่กับพี่ ผมไม่อยากเป็นลูกชายเขา
“ก้องอย่าเพิ่งคิดไกล บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
พี่อู๋ปลอบ แต่ผมรู้ว่าเขาเองก็กลัว สุดท้ายนายก้องเกียรติต้องทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการทำตัวไร้ความรู้สึก พ่อโทรมาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อถึงลานจอดในพารากอนเพราะอยากรู้ว่าลูกชายจะกินอะไร ผมตอบไปว่าเอ็มเคก็ได้ และจงใจพูดย้ำให้เขารู้ว่าแม่ของผมชอบกินเอ็มเค
หลังวนหาที่จอดเกือบยี่สิบนาที ผมกับพี่อู๋ก็เดินไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อ เขามาถึงก่อนนานแล้วก็เลยสั่งอาหารพลางๆเป็นการฆ่าเวลา ทันทีที่เห็นหน้าผม พ่อก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะหยิบถุงกระดาษสีเหลืองนวลมาให้ พ่อบอกว่านี่คือทาร์ตสับปะรดจากไต้หวัน พี่ชายคนโตของผมซื้อมาฝาก ไว้มีโอกาสป๊าจะพาไปหาเฮียนะ ผมถามคุณสมปราชญ์ว่าพี่ชายที่พูดถึงคือพี่ชายแท้ๆของผมใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ใช่ เฮียเป็นลูกของพี่ชายคนโตที่เสียไปนานแล้ว แกรับมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่เด็ก ส่วนผมคือลูกชายคนเดียวของคุณสมปราชญ์
ผมตอบเหรอครับ แล้วเงียบอีก พ่อคงรู้แหละว่าผมไม่ยินดียินร้ายกับการได้เจอพ่อแท้ๆในรอบหลายสิบปี แกจึงพยายามเอาอกเอาใจกอริลลาด้วยการสั่งติ่มซำเพิ่มให้แต่ผมไม่กิน ไม่กินก็คือไม่กิน ต่อให้เอาติ่มซำจากใต้มากองตรงหน้าผมก็ไม่กิน พอเห็นว่านายก้องเกียรติดื้อเงียบไม่คุยด้วย แกจึงยอมพูดตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะตกลงกัน
“ก้องมีอะไรอยากถามอาป๊าไหม?”
ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ลึกๆอยากถามว่ากลับมาทำไมแต่คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ ผมเลยมองหน้าผู้ปกครองที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่อู๋ให้กำลังใจเด็กในปกครองด้วยการคีบเป็ดย่างเข้าปาก ไม่ได้สนใจเลยว่านายก้องเกียรติกำลังหนักอกหนักใจกับคำถามจากพ่อขนาดไหน
“ก้องโกรธที่ป๊าไม่เคยไปหาเลยใช่ไหม?”
คุณสมปราชญ์ถาม ผมว่าแกรู้ตัวว่าควรพูดหรืออธิบายเรื่องไหนบ้าง ดังนั้นหลังปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดเกือบนาที ในที่สุดเขาก็ยอมเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แกเล่าว่าบ้านของแกเป็นครอบครัวคนจีน คุณสมปราชญ์เป็นลูกชายคนที่สองในบรรดาพี่น้องหาคน คนโตเป็นผู้ชาย อีกสามคนเป็นผู้หญิง ที่บ้านเปิดโรงงานลูกชิ้นแล้วช่วยกันทำงานแบบระบอบกงสี เมื่อก่อนพี่ชายกับพี่สะใภ้เป็นคนดูแลธุรกิจและมีอาม้านั่งคุมสมุดบัญชีอีกที
ตอนนั้นด้วยความที่เป็นลูกชายคนรอง อาม้าไม่ค่อยยุ่มย่ามชีวิตของพ่อเท่าไหร่ พ่อมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ จะรักจะชอบใครอาม้าก็ไม่ว่า ดังนั้นหลังจากไปมาๆสมุทรสาครนครชัยศรีอยู่เกือบปี พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน เป็นผู้หญิงไทยผิวเข้มหน้าตาธรรมดาๆ อาม้าบอกว่าอยู่กินกันไปก่อนแล้วค่อยแต่งงานเพราะช่วงนั้นโรงงานลูกชิ้นกำลังลุ่มๆดอนๆ เอาให้มั่นคงก่อนแล้วอาม้าจะทำให้ถูกต้องตามประเพณี
เดิมทีแม่ของผมเป็นลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้ ตอนมาอยู่กับพ่อก็หนีกันมาไม่ได้สู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวเพราะคุณตาไม่ชอบที่บ้านพ่อทำงานเป็นกงสี สมัยก่อนใครๆก็รู้ว่าสะใภ้แต่งเข้าตระกูลคนจีนมีแต่จนกับจน ถูกใช้งานยิ่งกว่าขี้ข้าแต่พ่อแม่ผัวก็ไม่เคยเห็นหัว ดังนั้นผมจึงไม่มีคุณตาคุณยายเพราะแม่ชิงสุกก่อนห่าม หักหน้าผู้ใหญ่ที่บ้านจนกลับไปเหยียบนครชัยศรีไม่ได้ เมื่อตกลงหนีกันมาแล้วแม่ก็ต้องช่วยทำงานในระบอบกงสี ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ งานหนักแค่ไหนก็ต้องทำ ตอนนั้นแม่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ยังสาวยังสวย แต่ต้องแบกกระสอบลูกชิ้น ต้องนั่งแล่ปลาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เสร็จแล้วก็ต้องปัดกวาดบ้านหลังใหญ่ ต้องทำอาหารเผื่อสมาชิกนับสิบอีก เรียกได้ว่างานของแม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตายันหลับตา ไม่มีเวลาส่วนตัวหรือพักผ่อนเหมือนคนอื่นเลย
แม่กับพี่สะใภ้ทำงานหนักไม่แพ้ลูกๆเจ้าของโรงงาน แต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนอาม้าก็ไม่เคยพอใจ พี่สะใภ้โดนด่าน้อยกว่าหน่อยเพราะมีเลือดจีนอยู่บ้าง แต่แม่โดนด่าโดนกระทำฝ่ายเดียวเสมอไม่เคยได้ตอบโต้ พ่อบอกว่าอาม้าไม่ชอบแม่เพราะอยากให้ลูกหลานออกมาเป็นจีนแท้ ไม่เอาไทยผสม ไม่เอามอญ อาม้าอยากได้สายเลือดบริสุทธิ์เพราะเชื่อว่าคนจีนมียีนที่ดีที่สุดในโลก ฟังถึงตรงนี้ผมเผลอหลุดปากด่าอาม้าไปว่าอยากได้หลานเป็นคนหรือหมา ทำไมต้องเลือกสายพันธุ์เลือดแท้เลือดผสม พี่อู๋ถึงกับคายลูกชิ้นเพื่อตำหนินายก้องเกียรติทันที
“ทำไมไม่ช่วยแม่ผมบ้าง? ปล่อยให้แม่ทนแม่ผัวคนเดียวได้ยังไง?”
“ป๊าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกัน เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทน”
ผมต้องนั่งฟังคุณสมปราชญ์บรรยายถึงความไม่ยุติธรรมในบ้านหลังนั้นตั้งหลายนาที ทั้งตอนที่แม่โดนอาม้าด่าเพราะเอาเงินเก็บไปซื้อชุดสวยๆ ทั้งตอนที่แล่ปลาไม่ทันเพราะโดนมีดบาด แต่แม่ก็อดทนมาตลอด แม่ยอมโดนโขกสับเป็นผักเป็นปลาจนกระทั่งท้องถึงเริ่มแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ยอมทำงานหนักเพราะกลัวแท้งลูก
วางเงินห้าบาท ขอเดาล่วงหน้าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น อาม้าคงเป็นหมาบ้าเมื่อโรงงานขาดแรงงานไปอีกหนึ่ง พ่อบอกว่าอาม้าเครียดที่งานไม่เสร็จดั่งใจจึงหันมาระบายความหงุดหงิดด้วยการบ่นแม่ทุกวันว่าพวกคนไทยขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ถ้าเป็นฉันสมัยอยู่เมืองจีนนะ ต่อให้ท้องโตแค่ไหนก็ช่วยผัวช่วยครอบครัวทำงาน พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เลยฟิวส์ขาดบอกอาม้าว่าไม่รักลูกตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่นี่ลูกฉัน ฉันจะดูแลตัวเองดีๆเพื่อลูก ไม่ต้องมาสอน แค่นั้นแหละ บึ้ม – บ้านแตก เพราะแม่ของก้องเกียรติเปรี้ยวตีน
“อาม้านะ เกลียดหม่าม้าของก้องมาก มากจนพยายามหาผู้หญิงใหม่มาให้ป๊า แต่ป๊าไม่เอา” คุณสมปราชญ์เล่าต่อ “เราก็ทนๆอยู่ในบ้านกันไปจนก้องเกิด ตอนแรกป๊าคิดว่าถ้าได้หลานชายอาม้าน่าจะดีใจ แต่ก้องเกิดผิดเวลา เกิดตอนเฮียของป๊าตายพอดี”
“ลุงเป็นอะไรตายเหรอครับ?”
“ตับแข็ง” พ่อบอก “ยี่สิบห้าธันวา ก้องคลอดไม่ได้ถึงชั่วโมง เฮียตายคามือหมอเลย”
พี่ชายของพ่อก็ช่างเลือกวันตาย ดันตายหลังนายก้องเกียรติลืมตาดูโลกได้ไม่กี่นาที ตอนนั้นบ้านกลายเป็นนรกขนาดย่อมสำหรับแม่ เพราะพ่อต้องขึ้นเป็นเจ้าของโรงงานเต็มตัวจนไม่มีเวลา กลายเป็นว่าแม่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียวในห้องนอนแคบๆ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรมากเพราะกลัวว่าถ้าโดนไล่ไปอยู่ที่อื่นจะลำบาก แม่กัดฟันอดทนทุกวันๆเลี้ยงดูผมจนอายุขวบกว่า พอลูกโตขึ้นก็ต้องฝืนใจ ยอมออกไปเจอหน้าแม่ผัวเพื่อให้ลูกได้เล่นข้างนอกบ้างเพราะห้องนอนเริ่มแคบเกินไปสำหรับเด็กวัยหัดเดิน
คุณสมปราชญ์เล่าถึงตรงนี้แล้วหยุดพักครู่หนึ่งเหมือนพยายามเก็บความรู้สึกลงข้างใน จะได้เล่าต่อโดยไม่ให้มีอารมณ์ใดๆเจือปนในน้ำเสียง ผมได้แต่มองตาเขาเพราะอยากรู้ว่าลึกๆแล้วเขาเคยเสียใจบ้างไหมที่ไม่ปกป้องแม่ เคยรู้สึกผิดบ้างไหมที่พาแม่มาเจอแม่ผัวประสาทแดก เคยคิดบ้างไหมว่ามันจะไม่แย่ขนาดนี้เลยถ้าเขากล้าเถียงแม่ตัวเองบ้าง
“หม่าม้าของก้องพูดตลอดว่าลำบากแค่ไหนก็ทนได้ แต่อยู่ในบ้านที่ไม่มีใครรักลูกเรามันทำใจยาก”
ตอนนั้นอาม้าไม่ให้หลานคนอื่นยุ่งวุ่นวายกับผมเลย ขนาดกินข้าวร่วมโต๊ะก็ไม่ได้เพราะอาม้าเกลียดแม่มาก บรรดาน้องสาวของคุณสมปราชญ์ก็เป็นไปกับเขาด้วย ทุกคนกีดกันแม่ออกจากครอบครัวเหมือนเราไม่ใช่คน ราวกับแม่ไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้ ราวกับผมไม่ใช่หลานของพวกเขา ครั้งหนึ่งผมตัวร้อนมากจนเกือบชัก แม่ต้องบากหน้าไปขอเงินส่วนกลางจากอาม้าเพื่อพาผมไปหาหมอ แต่อาม้าไม่ให้ แกให้เงินแค่สิบห้าบาทไปซื้อยาจีนมาต้ม แม่จึงต้องกระเตงอุ้มผมไปถึงโรงงานเพื่อขอเงินพ่อ พอรู้ว่าผมไม่สบายหนักพ่อก็ทิ้งโรงงาน ปล่อยให้น้องสาวคนโตดูแลต่อแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอกลับมาจากหาหมอพ่อกับแม่โดนอาม้าด่าเหมือนหมูเหมือนหมา เด็กมันไข้แค่กินยาก็หาย แต่มึงทิ้งโรงงานไว้กับคนทำอะไรไม่เป็น มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า
“กูกับลูกจะไม่ทนอยู่ในบ้านอียักษ์แก่ใจดำอย่างมึงอีกต่อไป!”
คุณสมปราชญ์เล่าว่าแม่พูดประโยคนี้จริงๆ พูดต่อหน้าคนงานเลยด้วย พูดจบแม่ก็โดนตบทันที ผมว่าความอดทนทั้งหมดของแม่คงจบกันตรงนี้ แม่ทนได้เป็นปีๆเพื่อผม แต่ในเมื่อคนในบ้านใจเหี้ยมกับลูกของแม่ แม่ก็ไม่มีเหตุผลต้องทนอีกต่อไป
“แล้วแม่ไปไหน?”
“ป๊าบอกหม่าม้าของก้องให้กลับไปอยู่นครชัยศรีก่อน ไว้แบ่งระบอบโรงงานเสร็จเมื่อไหร่ป๊าจะย้ายไปทำสวนที่บ้านกับตา แต่ป๊าคงงานเคลียร์นานเกินไป พอนั่งรถไฟตามไปอีกที แม่ของก้องก็ไม่อยู่นครชัยศรีแล้ว”
“ทำไมไม่รีบตามหาแม่? ถามจากเพื่อนของแม่ก็ได้ว่าแม่ไปไหน แค่นี้ก็น่าจะหาเราเจอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก้อง – หม่าม้าของก้องไม่ได้กลับนครชัยศรี แม้แต่ตายายของก้องยังไม่รู้เลยว่าหม่าม้าท้อง”
คุณสมปราชญ์เสียงสั่น
“ไม่ใช่ว่าป๊าไม่ตามหา ไม่ใช่ว่าละเลยไม่สนใจ ป๊าหาแล้วก้อง ป๊าถามคนทั้งนครชัยศรีแล้ว กลับไปถามแถวบ้านก็แล้ว ไม่มีใครเจอหม่าม้าของก้องเลย ไม่มีใครเห็น ก้องจะให้ป๊าออกตามหาที่ไหนอีก ป๊านึกไม่ออกเลยว่าหม่าม้าของก้องจะพาก้องไปไหนได้ในเมื่อหม่าม้าไม่รู้จักใคร”
ผมเริ่มน้ำตาคลออยากร้องไห้เมื่อฟังจบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่ไม่กลับนครชัยศรีเพราะปกติแม่เป็นคนคาดเดายากอยู่แล้ว ตอนนั้นแม่คงโมโหจนไม่สนใจว่าเริ่มต้นใหม่จะลำบากขนาดไหน แม่แค่เจ็บใจที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความยุติธรรม แม่แค่โกรธแค้นที่ผัวไม่เคยปกป้องจนไม่อยากติดต่อกันอีกก็เท่านั้นเอง
“ป๊ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่หม่าม้าของก้องจะหายโกรธและติดต่อกลับมาเพราะหม่าม้าก็จำชื่อที่อยู่โรงงานของเราได้ แต่ป๊ารอมาจะสิบเจ็ดปีแล้ว เกือบสิบเจ็ดปี ไม่มีโทรศัพท์จากหม่าม้าของก้องเลย”
“พ่อสิต้องเป็นฝ่ายติดต่อมา ถ้าพ่อพยายามหามากกว่านี้ พ่ออาจจะเจอเราก็ได้”
“ป๊าหาไม่เจอจริงๆก้อง ป๊าสาบานเลยว่าพยายามเต็มที่แล้วแต่หาไม่เจอ อีกอย่างในใบเกิดของก้องก็มีที่อยู่ของป๊า ป๊ายังอยู่บ้านหลังเดิมเพราะรอก้อง แต่ก้องก็ไม่มา”
“แม่บอกว่าพ่อมีแฟนใหม่แล้ว”
ลุงสมปราชญ์สะอึก ก่อนจะยอมรับว่าใช่ เขาแต่งงานใหม่หลังจากติดต่อแม่ไม่ได้เกือบปี ผู้หญิงที่แต่งด้วยมีเชื้อสายจีนถูกต้องตามที่อาม้าต้องการ พอแต่งงานมีลูกกลับได้แต่ลูกสาว คนที่หนึ่งก็ลูกสาว คนล่าสุดที่เพิ่งคลอดเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็นลูกสาว บรรดาน้องสาวของป๊าที่ออกเรือนแต่งงานก็ได้แต่ลูกสาว ตอนนี้ที่บ้านมีหลานสาวสิบเอ็ดคน ป๊าคิดว่าสวรรค์คงลงโทษบ้านของเราที่รังแกหม่าม้ากับก้อง เชื่อไหมว่าในตระกูลของเรา นอกจากลูกของเฮียคนโตแล้วก็มีก้องนี่แหละที่เป็นผู้ชาย
ผมเหลือบมองหน้าพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงซึ่งสีหน้าของคุณอิศรินทร์ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย เขาทำหน้าพะอืดพะอมคลื่นไส้ กลอกตามองบนราวกับเอือมระอาชุดความคิดของคุณสมปราชญ์นักหนา ส่วนตัวผมไม่ได้แตกต่างจากผู้ปกครองเท่าไหร่ ผมคิดว่าการได้ลูกสาวไม่ใช่บทลงโทษจากสวรรค์ ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมทัศนคติเรื่องลูกหลานถึงบิดเบี้ยวขนาดนี้ นอกจากต้องการสายเลือดจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วยังอยากได้ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีก
“แล้วพ่อหาผมเจอได้ยังไง?”
“เพื่อนป๊าที่เป็นอาจารย์โทรมาบอกว่าเจอคนนามสกุลเหมือนภัทรา เด็กบอกว่าเป็นลูกชาย มีพ่อชื่อสมปราชญ์ด้วย”
“แสดงว่าแม่ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล”
“ใช่”
“แต่พ่อก็ยังหาเราไม่เจอ”
ผมประชดด้วยการยิ้มมุมปาก พอรู้อย่างนี้แล้วมันอดโมโหไม่ได้ที่พ่อไม่ใส่ใจเราเท่าที่ควร ถ้าแม่เปลี่ยนชื่อแซ่หนีไปไกลคนละภาคผมจะไม่ว่าเลย แต่แม่ก็ใช้ชื่อนามสกุลเดิม ชื่อของผมก็ก้องเกียรติเหมือนเดิมตั้งแต่เกิด เราแค่ย้ายจากสมุทรสาครมาจรัญสนิทวงศ์ คิดดูสิว่ามันไม่ได้ไกลขนาดเกินความสามารถ แต่พ่อออกตามหาเราได้ไม่ถึงปีก็ถอดใจยอมแพ้แล้วมีเมียใหม่ตามที่อาม้าหาให้ ไม่น่าแปลกที่แม่จะแค้นขนาดนี้ เพราะผมเองก็แค้นจนไม่อยากเห็นหน้าพ่อเหมือนกัน
“พ่อรู้ไหมว่าเราอยู่กันลำบากขนาดไหน?” ผมถามกลับ คุณสมปราชญ์ขอโทษแต่มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น “พ่อรู้ไหมว่าหลังแม่ตายผมต้องใช้ชีวิตยังไง ผมอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีจะจ่าย ข้าวก็ต้องขอกินจากเพื่อนบ้าน เงินจะเรียนหนังสือยังไม่มี ผมไม่มีอะไรเลย ผมกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่พ่อกลับสุขสบาย ไม่นึกถึงเราสองคนเลย”
“ไม่จริง ป๊าคิดถึงก้องทุกวัน ป๊ารอก้องติดต่อมา --”
“ผมจะติดต่อหาคนที่ทิ้งเราไปทำไม! พ่อก็เหมือนพวกขี้เกียจรักสบาย ไม่คิดจะออกตามหานอกจากกระดิกตีนรอผมติดต่อไป! ถ้าเพื่อนไม่บอกก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกยังไม่ตาย เผลอๆไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าบังเอิญไอ้ก้องเกียรติมันไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย!”
ผมร้องไห้และปาตะเกียบใส่หน้าพ่อ คุณสมปราชญ์ดูเสียใจมากแต่มันสาสมกับสิ่งที่เขาทำแล้ว ตั้งแต่แม่หนีตามไปอยู่กับเขา ไม่มีซักครั้งที่พ่อจะปกป้องแม่ ขนาดอาม้าตบเมียตัวเองก็ยังคิดไม่ได้ว่าควรย้ายออกไปตั้งตัวใหม่ ควรออกจากบ้านเฮงซวยหลังนั้นเพื่อครอบครัวตัวเอง แต่หัวของพ่อกลับคิดแค่ว่ากิจการกงสีต้องอยู่รอด ในขณะที่แม่ผมตัวคนเดียว ลูกก็ยังเล็ก ผัวก็ไม่ปกป้อง คนแบบนี้เหรอสมควรได้เจอลูกอีกครั้ง คนแบบนี้เหรอ – คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาขอเป็นป๊าของนายก้องเกียรติ เพ้อเจ้อชิบหาย
“ผมว่าเราอย่าเจอกันเลย” ผมกัดฟันบอกคุณสมปราชญ์ด้วยความโกรธ “ผมมีพี่อู๋คนเดียวก็พอแล้ว ผมไม่ต้องการพ่อ ต่อไปนี้อย่ายุ่งกับผมอีก”
ผมลุกขึ้นเดินหนี ส่วนพี่อู๋รีบวางตะเกียบแล้วออกตัววิ่งตาม พอฉวยข้อมือของกอริลลาจิตตกได้ ผมก็ร้องไห้ถามพี่อู๋ว่าพ่อกลับมาทำไม ถ้ากลับมาเพื่อเล่าเรื่องชวนเวทนาของแม่ให้ฟัง ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ผมยอมมีภาพจำว่าพ่อหนีไปมีเมียใหม่ดีกว่ารู้ว่าเขาเป็นพ่อห่วยๆที่ปกป้องลูกเมียไม่ได้ยังดีเสียกว่า
“ช่างมันนะก้อง พ่อไม่จำเป็นกับชีวิตของก้องหรอก เราอยู่กันเหมือนเดิมก็ได้ ก้องยังมีพี่อยู่ทั้งคนเนอะ”
ผมพยักหน้าและร้องไห้อยู่พักหนึ่งก่อนที่คุณสมปราชญ์จะเดินตามมา พี่อู๋บอกว่าไว้คุยกันโอกาสหน้าเพราะตอนนี้ก้องเกียรติไม่อยากคุยกับคุณแล้ว
“คุณนี่ยังไงกัน เอาแต่กันผมไม่ให้คุยกับลูก! ผลตรวจก็ออกมาแล้วนี่ว่าเขาเป็นลูกผม! ตามกฎหมายผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวก้อง คุณนั่นแหละหลบไป! อย่ายุ่งกับลูกชายผม!”
“สิทธิ์ของคุณหมดไปตั้งแต่วันที่ส่งแม่ของก้องกลับนครชัยศรีแล้ว!” พี่อู๋ตอกหน้าเขาแทนเด็กในปกครอง “วันนี้พอก่อนเถอะครับ อย่าทำให้ก้องเครียดไปกว่านี้เลย ถือว่าผมขอร้องในฐานะคนที่ดูแลลูกชายของคุณมาสองปีนะครับ”
เราจบบทสนทนากับคุณสมปราชญ์ไว้แค่นั้นแล้วเดินทางกลับบ้าน ผมร้องไห้เสียใจต่อนิดหน่อยก็หยุดร้องเพราะตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ติดต่อกับพ่ออีก ผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อกลับเข้ามานั้นเพราะเขารู้สึกผิดที่หาเราไม่เจอ หรือแค่อยากได้ลูกชายตามประสาพวกบ้าสายพันธุ์กันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมจะไม่ไปอยู่กับพ่อแน่ๆ หลังได้ฟังเรื่องราวทุเรศๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นแล้ว ผมว่าเราไม่นับญาติกันยังดีเสียกว่า เพราะผมฝืนทำใจเป็นลูกหลานของพวกที่ใจร้ายใจดำทำเรื่องเฮงซวยกับแม่ตัวเองไม่ลงหรอก
กว่าพี่อู๋จะขับรถถึงบ้าน ผมก็อารมณ์ดีจนเกือบเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกดีขึ้นเป็นเพราะทำใจได้เองหรือเพราะพี่อู๋กันแน่ บางทีถ้าไม่มีเขา ผมคงรู้สึกแย่มากที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองอย่างเฉยชา แต่พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่นายก้องเกียรติทำไม่ถือว่าอกตัญญูหรอก พ่อที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจนโตไม่มีสิทธิ์โกรธอยู่แล้วหากลูกปฏิเสธไม่อยากคุยด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละก้อง ไม่ต้องคิดเยอะให้เครียด ไม่ต้องหยิบหัวโขนลูกกตัญญูมาสวมให้หนักหัว แค่ก้องไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้คุณสมปราชญ์ก็ถือว่าหายกันแล้ว
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเอ็ดนาที ผมนั่งทำการบ้านในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ช่วยดูวิชาภาษาอังกฤษให้ จังหวะที่เท้าคางมองหน้าผู้ปกครองตรวจการบ้าน จู่ๆผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ รักพี่มากกว่าใคร ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมก็คงมาไกลไม่ได้ขนาดนี้ คุณอิศรินทร์ถามว่าพูดหวานเอาใจแบบนี้อยากได้อะไรล่ะ ผมตอบว่าไม่อยากได้อะไรเลย แค่อยากบอกเฉยๆ ผมรักพี่จริงๆ ต่อไปนี้เวลาใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน ผมจะบอกว่าพี่เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อ เก็ตสึโนวา
“ไม่อยากเป็นพ่อ”
“แล้วพี่อยากเป็นอะไร?”
พี่อู๋ทำปากขมุบขมิบอ่านได้ว่าผัว ผมไปต่อไม่ถูกจึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดศัพท์จากหนังสือเรียน นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบสามนาที ผมบอกพี่อู๋ว่ารอก่อนนะ ไว้ผมเข้าใจตัวเองเมื่อไหร่ เราค่อยเป็นแฟนกัน
TBC
___________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
สวัสดีค่ะทุกคน เรามีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในนิยายเรื่องเขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ
1.ความผิดพลาดอย่างแรกมาจากตอนที่ 31 ค่ะ เกี่ยวกับไทม์ไลน์การแอดมิชชั่นของสมาร์ท ตรงนี้เราจำไทม์ไลน์พลาดนะคะ สมาร์ทไม่ใช่ TCAS61 แต่เป็น admission60 ค่ะ จริงๆน้องก้องคือรุ่น admission60 แต่น้องใช้เวลารักษาตัวปีกว่าทำให้ไม่ทัน TCAS61 ดังนั้นปีที่น้องสอบเข้าเป็นระบอบ TCAS62 นะคะ เนื้อหาส่วนอื่นๆถูกต้อง ยกเว้นการอ้างอิงถึงการสอบเข้าของสมาร์ทในตอนที่ 31 ค่ะ ตอนนี้เราปรับแก้เนื้อหาส่วนที่พลาดและอัปเดตใหม่เรียบร้อยแล้วค่ะ ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านใหม่ได้ทุกช่องทางที่นิยายเรื่องนี้ลงได้เลย ต้องขอโทษจริงๆค่ะสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หลังจากนี้จะพยายามระวังเรื่องพ.ศ.และระบอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวละครในนิยายนะคะ
2. ตอนที่ 30 ที่น้องก้องกับพี่อู๋ไปเที่ยวเชียงใหม่ ทั้งสองคนไม่ได้ไปดอยสุเทพนะคะ ไปดอยอินทนนท์ค่ะ แต่ในการบรรยายมีหลุดคำว่าดอยสุเทพออกมาด้วย ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ไม่ทบทวนให้ดี ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วเช่นกันค่ะ
3. ตอนที่ 32 มีจุดผิดพลาด 2 จุดคือเส้นทางการเดินทางจากลาดพร้าวไปลาดกระบัง และคำลงท้ายของเจ้าของหอที่ใช้ครับค่ะร่วมกันในประโยคเดียว อาจทำให้นักอ่านสับสน อันนี้ถือเป็นความบกพร่องที่แย่มากค่ะ เราอ่านทวนหลายรอบแต่ยังมีหลุดประโยคแปลกๆออกมา เป็นความสะเพร่าที่ตัวเองยังปรับปรุงไม่ได้ หากตอนหน้าหรือตอนที่แล้วมามีจุดพลาด นักอ่านทุกท่านสามารถกระซิบบอกหรือตั้งคำถามได้เสมอนะคะ เพื่อให้นิยายเรื่องนี้ไม่มีจุดบกพร่องและออกมาดีที่สุด เราจะพยายามแก้ไขและปรับปรุงเรื่อยๆค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ
สัปดาห์นี้มีแฟนอาร์ตน่ารักๆมาฝากเช่นเคยค่ะ จากพี่จ๋า @pukjin เป็นแฟนอาร์ตไร่ส้มที่มีแต่ส้มสวยๆ ส้มหวาน ส้มน่าร้ากเต็มไปหมดเลย ถ้าพี่จ๋าอยากเห็นแฟนอาร์ตสวยๆ เชิญส่องในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ ขอบคุณค่า<3