เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 125540 ครั้ง)

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เสี่ยอู๋กับน้องก้องจะทำยังไงเนี่ยยยยยย แล้วพ่อน้องหายไปไหนมาตั้งนาน :katai1:
โอ้ยๆๆๆ อยากรู้แล้วๆๆๆๆๆ :z3:

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เฮ้ยยยยยย...ยังไงหนิ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
33 [PART1/2]

คำถาม: เมื่อมีโอกาสได้เจอพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดชีวิต นายก้องเกียรติจะ

ก. เป็นลม
ข. ร้องไห้
ค. ก้มลงกราบเท้าพ่อ
ง. โผเข้ากอดพ่อ และบอกรักพ่อ
 

และคำตอบที่ถูกต้องคือ --

“กลับบ้านกันเถอะครับพี่อู๋ ผมหิวข้าวแล้ว”

ผมหันไปบอกผู้ปกครองตัวจริง คุณอิศรินทร์ดูงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่านายก้องเกียรติมาไม้ไหน แต่ก็ส่งบัตรประชาชนคืนคุณลุงแปลกหน้าแล้วเปิดประตูรถให้ ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อรีบรั้งเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน เขาขอให้คุยกันดีๆก่อนได้ไหม ป๊าอยากเจอก้องมานานหลายปี ทำไมก้องไม่หันมามองหน้าป๊าหรือพูดอะไรกับป๊าบ้าง ผมงงหนักกว่าเดิมอีกว่าจะให้พูดอะไร คนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่ตัวเองมาตลอดสิบเก้าปีหวังว่าลูกชายจะอยากพูดด้วยเหรอ งง

“ไปอยู่ไหนมาก้อง ป๊าตามหาแทบแย่” ลุงที่บัตรประชาชนระบุชื่อว่าสมปราชญ์ร้องไห้น้ำตาไหล เขาทำท่าจะโผเข้ามากอดผมแต่พี่อู๋ไม่อนุญาต บรรยากาศซึ้งๆเหมือนละครจึงหายวับในพริบตา “ก้อง ม้าพาก้องไปอยู่ไหน?”
“จรัญสนิทวงศ์ครับ”

ผมตอบ รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่มีคนแทนตัวเองว่าป๊า และเรียกแม่ว่าหม่าม้า ผมโตมาจนอายุสิบเก้าโดยไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกับความเป็นจีน ดังนั้นผมจึงไม่อินหรือซาบซึ้งกับสรรพนามเรียกพ่อแม่ขนาดนั้น

“ตอนนี้ม้าไปไหน? ม้าไม่ได้อยู่กับก้องเหรอ?”
“แม่ตายไปสองปีแล้วครับ”
“ม้าเป็นอะไรตาย?”
“ป่วยครับ” ผมเลี่ยงไม่พูดความจริง
“ป่วยเป็นอะไร?”
“ไม่ทราบครับ แม่ไม่เคยบอก”
“ตอนม้าตาย ทำไมก้องไม่มาหาป๊า?”

ว้อท เดอะ ฟัค แม๋น

ผมสบถในใจตามเสียงไอ้โบ้ท ทำไมคุณสมปราชญ์ถึงกล้าถามอะไรโง่ๆแบบนี้ออกมาได้ ผมจะไปตามหาเขาที่ไหนในเมื่อตั้งแต่เกิดมา พ่อหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ บ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้ เป็นคนเชื้อสายอะไรก็ไม่รู้ นอกจากชื่อในใบสูติบัตรระบุว่าเป็นพ่อ ผมไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะหาตัวเขาเจอ และไม่มีความจำเป็นต้องตามหาเพราะแม่คือครอบครัวคนเดียวของผม แม่ตายก็คือจบ ทำไมต้องดิ้นรนหาคนที่ไม่เคยสนใจเลี้ยงเราด้วย

“ก้อง – ก้องไม่คิดถึงป๊าบ้างเหรอ?”
“ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตายังไง”
“แต่ตอนเด็กๆก้องติดป๊ามากเลยนะ”

ลุงสมปราชญ์พูดอีก แกหยิบรูปถ่ายซีดจางจากกระเป๋าเสื้อให้นายก้องเกียรติดู ในรูปมีเด็กทารกนั่งบนตักลุงสมปราชญ์ตอนยังหนุ่ม ใบหน้าแกยิ้มกว้างจนถึงหู ดูมีความสุขที่ได้อยู่กับลูกชาย ผมไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมายจนกระทั่งเห็นภาพใบที่สอง ภาพนั้นเป็นภาพของแม่ เป็นตอนที่แม่สวมชุดสวยๆอุ้มผมด้วยรอยยิ้ม

ผมหยิบภาพนั้นมาดู อดน้ำตาคลอคิดถึงแม่ไม่ได้เพราะเสียใจที่แม่ไม่มีโอกาสเห็นผมใส่ชุดนักศึกษา พี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆทำลายบรรยากาศด้วยการถามว่าคราบอะไรตรงกางเกงของเด็กเป็นปื้นๆ ลุงสมปราชญ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะบอกว่า อ๋อ อึ ก้องเกียรติอึแตกตอนแกกดชัตเตอร์พอดี

“ขี้แตกว่ะเรา”
“ทำไมพี่แม่งชอบทำลายบรรยากาศจังเลยวะ”

ผมบ่นผู้ปกครองก่อนจะส่งภาพทั้งหมดคืนเจ้าของ แต่ลุงยังไม่ยอมแพ้ งัดเอาคอลเลคชั่นต่างๆมาให้ดูอีก มีรูปผมตอนนั่งบนรถหัดเดิน ตอนกินข้าวมูมมามจนเลอะทั้งหน้า ตอนร้องไห้จนหน้ายับเมื่อนักแสดงงิ้วมายืนถ่ายรูปข้างๆ เขามีรูปถ่ายของผมจนกระทั่งผมอายุประมาณน่าจะเกือบๆสองขวบ แล้วภาพบันทึกความทรงจำก็หมด ไม่มีนายก้องเกียรติอยู่ในชีวิตของเขาอีก

“แต่เด็กในรูปอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้ ไม่แน่นะ แม่อาจจะมีลูกหลายคน”
“คนเดียว” คุณสมปราชญ์ยืนยัน “ชื่อก้องเกียรติป๊าก็เป็นคนตั้งเอง ก้องเป็นลูกป๊ากับม้าตัวจริง ไม่ผิดแน่”

ต่อให้มีรูปร้อยใบ หรือขนเครือญาติของแม่มาเป็นพยาน ผมก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่น่าเป็นไปได้ ผมบอกปฏิเสธคุณสมปราชญ์ไปว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่านะครับแล้วเปิดประตูขึ้นรถเตรียมหนี แต่แกก็ยื้อบานประตูไว้ไม่ปล่อยผมไป แถมยังพยายามขอร้องให้ผมเชื่อแกซักครั้งว่าแกเป็นพ่อของนายก้องเกียรติจริงๆ เราดึงกันไปมาอยู่แค่แป๊ปเดียว แป๊ปเดียวเท่านั้น เพราะพี่อู๋เข้ามาจัดการไม่ให้พ่อแอบอ้างได้แตะผมแม้แต่ปลายนิ้ว

“บัตรประชาชนใบเดียวมันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกครับ” ผู้ปกครองของผมบอกคุณสมปราชญ์ที่กำลังผิดหวัง “เราไปตรวจดีเอ็นเอก่อนดีกว่า ถ้าผลออกมาว่าคุณคือพ่อของก้องจริง เราค่อยคุยกัน”

ลุงสมปราชญ์คงไม่มีตัวเลือก แกจึงยอมแพ้และขอเบอร์โทรของผม แต่พี่อู๋ไม่ให้ เขาบอกว่ามีอะไรให้ติดต่อผ่านเขาเท่านั้น เพราะเขาคือผู้ปกครองของก้องเกียรติ

“แต่ผมเป็นพ่อของก้องนะ!”
“ผมต่างหากที่มีสิทธิในตัวก้อง ผมเป็นผู้ปกครองของเขา!” พี่อู๋เถียงกลับ “ตอนก้องอยู่คนเดียวไม่มีใคร ไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าไฟ คุณหายหัวไปไหนมา พอก้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็เพิ่งโผล่มาแสดงตัวว่าเป็นพ่อ คุณเพิ่งเจอเขากี่ครั้งเอง ผมไม่ให้คุณคุยกับก้องโดยตรงหรอก!”

เงียบกริบ มีแต่เสียงกลองกับกิจกรรมรับน้องเท่านั้นที่ดังคั่นบทสนทนา ผมมองสลับไปมาระหว่างพ่อแอบอ้างกับพ่อสาขาสองด้วยความเครียด หลังจากยืนด่ากันทางสายตานานเกือบนาที คุณสมปราชญ์ก็ยอมแพ้ เขียนเบอร์ตัวเองส่งให้พี่อู๋

“แล้วผมจะติดต่อกลับไป”

พี่อู๋บอกห้วนๆก่อนจะปิดประตูรถแล้วมุ่งหน้าสู่ลาดพร้าว บ้านของเรา




ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย ผมยังไม่พูดอะไรซักคำ พี่อู๋เองก็ขับรถเงียบๆไม่ชวนด่าคุณสมปราชญ์ราวกับรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก ถ้าถามว่าคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น บอกได้แค่ว่าใจผมมันต่อต้านไม่ยอมรับ ผมไม่ได้รู้สึกดีหรือตื้นตันเหมือนในละคร มันมีแต่ความหงุดหงิดและเจ็บใจมากกว่า ตอนคุยกันต่อหน้าผมยังช็อกอยู่จึงไม่ค่อยได้พูดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปจนความคิดตกตะกอน มันมีคำด่ามากมายลอยว่อนเต็มหัว

หายไปไหนตั้งสิบกว่าปี?
ไม่คิดจะออกตามหาผมกับแม่บ้างเลยเหรอ?
ทำไมพูดเหมือนเป็นความผิดของผมที่ไม่ยอมสืบหาว่าพ่อเป็นใคร?
กลับมาตอนนี้มีประโยชน์อะไร? กลับมาทำไมให้ช้ำใจวะ?

ผมนึกด่า ด่า ด่า ด่าพ่อ ตำหนิพ่อ โมโหพ่อ โกรธแค้นพ่อ ไม่มีหรอกความรู้สึกซาบซึ้งโหยหา มีแต่อยากด่าว่าหายหัวไปไหนมา เสนอหน้ามาทำไมตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งจุกบีบจนเผลอร้องไห้ ตอนพี่อู๋วางมาม่าชามใหญ่บนโต๊ะ ผมเอาแต่นั่งน้ำตาไหล ไม่ยอมหยิบตะเกียบคีบเส้นซักคำเดียว

พี่อู๋เห็นแล้วว่าผมเสียใจ แต่เขาไม่ออกความเห็นใดๆนอกจากปล่อยให้ผมร้องไห้คนเดียวอยู่นาน พอนายก้องเกียรติคงไม่หยุดง่ายๆก็ย้ายตัวมานั่งบนเบาะข้างๆแล้วโอบไหล่ผมหลวมๆ ผมร้องหนักกว่าเดิมอีก ร้องจนหายใจไม่ออก ร้องจนคอแห้งจึงต้องจิบน้ำแก้กระหาย ไม่งั้นคงแห้งตายก่อน

“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ไว้เราไปตรวจดีเอ็นเอก่อนแล้วค่อยว่ากันเนอะ”

คุณอิศรินทร์ปลอบ แต่ผมก็ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าต้องใช่แน่ๆ รูปที่คุณสมปราชญ์เอาให้ดูเป็นรูปของแม่ ผมจำหน้าแม่ตอนสาวๆได้ จำชุดกระโปรงลายดอกที่อยู่ในรูปถ่ายได้เพราะมันคือชุดเดียวกับที่แม่ใส่ตอนแขวนคอ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขากลับมาทำไม โผล่มาแสดงความรับผิดชอบอะไรในเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้ว ผมไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว

“ถ้าผลออกมาว่าเขาเป็นพ่อของผมจริงๆล่ะ?”
“ก็เป็นพ่อต่อไป เพราะในสูติบัตรก้องมีชื่อเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เขาแค่โผล่หน้ามาให้ก้องรู้เองว่า อ๋อ – นี่พ่อนะ แต่ก้องจะยอมให้เขามีส่วนในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับก้อง ไม่อยากให้เขามายุ่งก็ไม่เป็นไร ก้องอายุสิบเก้าแล้ว ก้องไม่จำเป็นต้องมีพ่อคอยดูแลแล้ว เข้าใจไหม?”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบพลางเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่ไหลมาเลอะเทอะรวมกันบนหน้า นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มแปดนาที ผมเริ่มเทความโกรธไปยังแม่เพราะเสียใจที่แม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยซักคำ




หนึ่งสัปดาห์หลังพบกันครั้งแรก เรานัดเจอกันที่โรงพยาบาล

ผมไม่ค่อยอยากเห็นหน้าพ่อเท่าไหร่เพราะทำตัวไม่ถูก แต่ถึงคราวเลี่ยงไม่ได้มันก็จำใจต้องเจอ ผมยกมือไหว้คุณสมปราชญ์ในฐานะผู้ใหญ่ ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด วันนี้แกแต่งตัวเป็นกันเองกว่าวันก่อนที่เจอในมหาวิทยาลัย แถมยังมีผลไม้เกรดพรีเมียมมาฝากด้วย ผมบอกขอบคุณแบบส่งๆไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะยังไงผมก็ยกทั้งหมดให้พี่อู๋กินอยู่ดี

หลังเดินเรื่องกรอกเอกสารและให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปเรียบร้อย ผมกับคุณสมปราชญ์ก็นั่งข้างกัน อ้าปากกว้างๆเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์ในกระพุ้งแก้ม ถ้าคุณสมปราชญ์ไม่โผล่มา ผมคงไม่รู้เลยว่าค่าตรวจดีเอ็นเอไม่ใช่เล่นๆ อย่างกรณีของผมกับคุณสมปราชญ์คิดค่าตรวจคนละหกพันห้าร้อยบาท โชคดีที่แกควักเงินจ่ายเองคนเดียวไม่เบียดเบียนพี่อู๋ ผมจึงไม่รู้สึกติดลบกับชายผู้น่าจะเป็นพ่อไปมากกว่านี้

“เปิดเทอมอาทิตย์แรกเป็นไงบ้าง? เรียนรู้เรื่องไหม?”

คุณสมปราชญ์ชวนคุยระหว่างรอเซ็นเอกสารอีกนิดหน่อย ผมตอบห้วนๆไปแค่ว่าครับ สนุกครับ เรียนรู้เรื่องครับ มีเพื่อนครับ พอเห็นกอริลลาก้องไม่ค่อยอยากคุยด้วย แกก็เปลี่ยนเป็นถามว่าได้เงินค่าขนมวันละเท่าไหร่ ผมตอบไปว่าสองร้อย พี่อู๋ให้เงินผมอาทิตย์ละหนึ่งพัน แต่ถ้าจะซื้อของหรือต้องทำงานก็เบิกเพิ่มได้ พอรู้ว่าผู้ปกครองยังคงส่งเสียเลี้ยงดูนายก้องเกียรติอยู่ แกจึงควักเงินอีกห้าพันออกจากกระเป๋าสตางค์และบอกให้ผมเก็บไว้ นี่เป็นเงินค่ากินค่าอยู่ ป๊าให้แค่นี้ก่อนนะ ป๊าพกเงินสดมาไม่มาก

“ไม่เป็นไรครับ พี่อู๋ให้ผมยืม เดี๋ยวเรียนจบผมก็ทำงานคืนเขา”
“แต่เงินนี่ป๊าให้ก้องเลย ไม่ต้องคืน”
“ผลยังไม่ออกเลย บางทีผมอาจจะไม่ใช่ลูกของลุงก็ได้”

คุณสมปราชญ์หน้าเสีย แกคงเสียใจจริงๆที่ไม่ว่าจะเอาอะไรมายืนยัน นายก้องเกียรติก็ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อ เราไม่ใช่พ่อลูกกันอยู่นั่นแหละ สุดท้ายฤทธิ์ดื้อเงียบของผมก็ทำให้แกยอมแพ้ คุณสมปราชญ์หยุดอ้างเรื่องพ่อลูกแล้วบอกว่าไว้ผลออกชัดๆเมื่อไหร่ เรามาคุยเรื่องนี้กันอีกที

ผมไม่พูดมากนอกจากขานรับว่าครับแล้วเดินไปหาพี่อู๋ คุณสมปราชญ์ตามมาติดๆเพื่อบอกเราว่าผลน่าจะออกเดือนหน้า ระหว่างนี้แกอยากโทรหาผมบ้างก้องจะว่าอะไรไหม ผมมองพี่อู๋เป็นเชิงว่าไม่โอเค ผมไม่อยากคุยกับคุณสมปราชญ์เท่าไหร่ เขาจึงบอกพ่อแอบอ้างว่าไว้ผลตรวจชัดเจนแล้วค่อยตกลงเรื่องก้องเกียรติกันนะครับ




ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยมีความสุขเลย ช่วงที่ได้เรียนได้เล่นกับเพื่อนก็พอลืมเรื่องกังวลได้บ้าง แต่อยู่ห้องคนเดียวเมื่อไหร่มักจะฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันทำอะไร การบ้านก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ตอนเรียนมีเผลอหลับบ้าง แอบแชทกับพี่อู๋บ้าง เหมือนผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ไม่รู้จริงๆว่าถ้าผลออกมาว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆแล้วมันจะยังไง มันจะแย่ตรงไหน หรือผมแค่กังวลมากไปเองเท่านั้น

“นั่งเหี่ยวเป็นผักขายไม่ออก เป็นอะไรของมึงเนี่ยก้อง?”

ทรายถามหลังหมดคาบดรอว์อิ้ง ผมไม่บอกเพื่อนว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าเบื่อๆเซ็งๆไม่ค่อยอยากเรียนหนังสือ

“วันนี้มึงจะเข้าห้องเชียร์ไหม?”
“ไม่เข้า”

ผมตอบด้วยคำตอบเดิมๆ และออกัสก็ทำหน้าเซ็งเหมือนเดิมเพราะกลุ่มเราไม่มีใครเป็นเด็กกิจกรรมเลย ไอ้โบ้ทเอาเวลาหลังเลิกเรียนไปหาของกิน มิวนอนไถทวิตเตอร์เหงาๆไร้ผัวคนเดียวในหอ ทรายรีบกลับบ้านไปเทแป้งเทน้ำตาลใส่เครื่องผสม ไม่สนตำแหน่งดาวคณะที่ใครๆใฝ่ฝัน ส่วนผมนอนอืดเป็นลิงเน่าพองลมในห้อง แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครนอกเวลาเรียน คนที่เอนจอยกับกิจกรรมจึงมีแค่คนเดียวคือออกัส ผมว่ามันคงชอบการเป็นจุดเด่นเอาเรื่อง ได้ยินคนเขาลือกันว่าคณะจะส่งมันเข้าประกวดเฟรชชี่บอยด้วย ถ้าออกัสอยากไปให้สุดแล้วหยุดที่เดือนมหาลัยก็คงต้องเดินสายกิจกรรมเต็มตัวแล้วล่ะ

หลังเรียนเสร็จเราแยกย้ายกันไปคนละทาง วันนี้วันศุกร์กลุ่มเราไม่มีนัดเปิดตี้ต่อกันแถวไหนเพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้าน ผมตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานกลับเกกีคนเดียวแต่จู่ๆออกัสก็ขอตามมาด้วย มันบอกว่าวันนี้ไม่เข้าห้องเชียร์ก็ได้ แต่ผมต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อน

“กูอีกละ?” ผมบ่นอุบอิบแต่ก็ให้มันซ้อนท้ายไปร้านข้าว “ทำไมมึงไม่ชวนไอ้โบ้ทบ้างวะ?”
“มึงก็รู้ว่าไอ้โบ้ทไม่ชอบกู”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ มันแค่เหม็นความหล่อของมึงเฉยๆ” ผมปลอบใจไม่ให้ไอ้ออกัสคิดมาก เพื่อนกันแท้ๆจะเคืองกันไปทำไม “สรุปมึงได้เป็นตัวแทนประกวดเดือนมหาลัยไหม?”
“ก็คงงั้นแหละ ถ้าไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใครวะ” คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้ชิบหาย ไม่แปลกใจที่ไอ้โบ้ทเกลียดมึงอ่ะออกัส “กูเสียดายที่ทรายไม่ลงสมัครว่ะ ถ้ามันลงนะ ปีนี้วิศวะแดกรอบวงทั้งเดือนทั้งดาว เสียดายจริงๆ”
“อีทรายมันกลัวโดนพ่อเฆี่ยนหลังลาย พ่อมันไม่ชอบเวทีประกวดนางงาม”
“แต่มันเคยบอกว่าแม่มันเป็นนางงามสวนแตงโมไม่ใช่เหรอ?”
“เออ”

ผมหัวเราะขำก่อนจะจดเมนูข้าวเพิ่มอีกหนึ่ง วงเล็บไว้ว่าใส่กล่อง ออกัสคงสงสัยว่าผมจะกินเยอะแยะอะไรตั้งสองจาน ผมจึงบอกว่าสั่งให้พี่อู๋ เดี๋ยวเขามาค่ำๆแล้วไม่มีอะไรกิน

“คนที่ชื่อพี่อู๋นี่พี่ชายมึงเหรอ?”
“เปล่าอ่ะ ผู้ปกครอง”
“ผู้ปกครองต้องเป็นญาติกันไม่ใช่เหรอ? หรือกูเข้าใจอะไรผิด?”

ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่เห็นแปลก แต่ออกัสเป็นคนขี้เสือกกว่าทราย มันจึงถามอยู่นั่นแหละว่าคนไม่ได้เป็นญาติกันมีสิทธิ์เป็นผู้ปกครองได้ด้วยเหรอ แล้วมึงไม่มีพ่อมีแม่หรือไงถึงให้คนอื่นเป็นผู้ปกครอง เขาโอเคเหรอที่ลูกชายไปเป็นของคนอื่น สรุปพี่อู๋เป็นคนดูแลหรือแฟนกันแน่ ผมชักรำคาญจึงตัดบทว่าซักเรื่องนะออกัส มึงจะถามอะไรเกี่ยวกับกูก็ได้ แต่เรื่องส่วนตัวอย่างพ่อแม่ไปไหน อยู่กับใคร พี่อู๋เกี่ยวข้องอะไร ขอร้อง – อย่าถาม กูไม่อยากตอบ

ออกัสอึ้งไปพักนึงเพราะไม่คิดว่าผมจะหงุดหงิดอารมณ์เสียใส่ มันบอกขอโทษก่อนจะนั่งใบ้ใส่นายก้องเกียรติที่กำลังเครียดกับการฟังผลดีเอ็นเอพรุ่งนี้ ใจของผมโหยหาคิดถึงแต่พี่อู๋ อยากให้วีออสร้ายๆบินได้เหมือนรถของรอน วีสลีย์ เขาจะได้บินลัดจากอโศกมาจอดสวยๆที่ลาดกระบังโดยไม่ต้องฝ่ารถติด นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงเจ็ดนาที ผมกินข้าวเกือบหมดจานและเตรียมตัวกลับไปนอนกกผ้าห่มคนเดียวในห้อง แต่ออกัสบอกว่าไปซื้อน้ำปั่นเป็นเพื่อนหน่อย

“ถามจริง มึงไปคนเดียวไม่ได้เหรอวะ?”

ผมกระฟัดกระเฟียดโมโห ไม่เข้าใจว่ามันจะติดเพื่อนอะไรขนาดนั้นวะ แค่น้ำปั่นแก้วเดียวมึงเดินไปซื้อเองไม่ได้หรือไง มึงเป็นอะไรถึงต้องหนีบกอริลลาที่กำลังหงุดหงิดติดตัวตลอดเวลาด้วย แต่ผมก็ยอมปั่นจักรยานพามันไปซื้อ สรุปว่าคนที่ประสาทแดกที่สุดก็คือนายก้องเกียรติเอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงตรง โกโก้ปั่นเพิ่มวิปกับเกล็ดน้ำตาลของไอ้ออกัสยังไม่ลงเครื่องปั่น ผมกดมือถือไป ด่ามันไปอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อไหร่ไอ้วีออสร้ายๆจะขับเข้ามาในซอยเสียที ผมทนรอไม่ไหวแล้วนะ ผมอยากคุยกับพี่อู๋เดี๋ยวนี้เลยว่าถ้าผลมันออกมาใช่ ผมควรทำยังไง

“เอ้า -- เอาไป”

ออกัสส่งโกโก้ปั่นเพิ่มวิปครีมโรยด้วยเกล็ดน้ำตาลมาให้ ผมถามมันว่าให้ทำไม มันตอบว่าแทนค่าจ้างที่ปั่นจักรยานพามากินข้าว ผมที่กำลังเครียดไม่พูดพร่ำทำเพลงนอกจากคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มติดมือแล้วรีบปั่นกลับหอ ไอ้ออกัสที่ซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังถามอีกว่ามึงเป็นอะไรเนี่ย ทำตัวเหมือนคนเมนส์มา ผมบอกมันว่ากูยิ่งกว่าเมนส์มาอีก ถ้ามึงรู้ว่าชีวิตกูกำลังเจอเรื่องเหี้ยอะไร มึงจะไม่เซ้าซี้ให้กูรำคาญแบบนี้

“ก็เล่ามาดิวะ กูรอฟังอยู่”

ผมไม่รู้ว่าออกัสมันคิดว่าเราสนิทกันระดับไหน แต่สำหรับนายก้องเกียรติ เรื่องในครอบครัวและความเฮงซวยที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนตอนพบจิตแพทย์ ผมจะไม่เท้าความว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แม่ตายเพราะอะไร ไปอยู่กับพี่อู๋ได้ยังไง จะไม่เล่าด้วยว่าเจอพ่อคนใหม่เมื่อตอนเปิดเทอม และผลตรวจดีเอ็นเอจะออกพรุ่งนี้ ผมไม่เล่าเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เล่า ผมจะฝังกลบความบัดซบทุกอย่างให้ตายไปพร้อมตัวเอง ไม่ต้องมีใครรับรู้อีก

ผมบอกออกัสว่าไม่ต้องรู้หรอกก่อนจะเข็นรถไปจอดในหอ ปล่อยทิ้งเพื่อนร่วมภาคให้ยืนหล่อกลางเกกีเพียงลำพัง ผมบอกมันว่าเดินกลับเองนะ หอมึงอยู่ไม่ไกล จำทางกลับหอได้ใช่ไหม มันตอบงงๆปนอึ้งว่าจำได้ ผมจึงรีบขึ้นบันไดเข้าห้อง พอปิดประตูห้องก็กระโดดขึ้นเตียง กรี๊ดอัดหมอนแก้เก็บกดอยู่เกือบนาทีจนเหนื่อย พอเริ่มเจ็บคอก็คลานกลับไปหยิบโกโก้ปั่นที่วางบนโต๊ะมาจิบ ตอนแรกกะจะกินสามสี่คำแล้วทิ้งเพราะเบื่อของหวาน แต่ต้องยอมรับว่าโกโก้แก้วนี้อร่อยมาก อร่อยจนผมดูดหายไปครึ่งแก้วในเวลาไม่ถึงนาที

เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกความสนใจจากกอริลลาที่กำลังชื่นชมเครื่องดื่มแสนอร่อย ไอ้ออกัสส่งไลน์มาถามว่าเป็นไง ชอบไหม ผมรีบตอบทันทีว่าชอบ มันจึงถามต่อว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ไปไหนหรือเปล่า ถ้าว่างจะไปดูมันถ่ายงานในมอไหม ผมถามว่าถ่ายอะไร มันบอกถ่ายวล็อก

วล็อกเหี้ยอะไรอี๊ก

ผมสงสัย แต่ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดเลยบอกว่าไม่ไป พรุ่งนี้กูมีนัดสำคัญกับพี่อู๋ ออกัสตอบเออๆก่อนจะเงียบไป พอดีกับจังหวะที่พี่อู๋โทรมาพอดี ผมจึงบอกมันว่าไว้คุยกันวันหลังนะ วันที่กูไม่ยุ่งและมีเวลา ไอ้ออกัสบอกว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก เพราะยังไงมึงก็ไม่เคยว่างสำหรับกูอยู่ดี





ต่อ PART2 ข้างล่างเลยคับผม

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
33 [PART2/2]



เช้าวันเสาร์ ผมตื่นนอนตอนเจ็ดโมง หลังล้างหน้าแปรงฟันผมก็ลงไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ที่นอนกรนอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขาคงเหนื่อยมาก ทำงานทั้งวันแถมยังต้องปลอบใจกอริลลาจิตตกอีก ผมร้องไห้เป็นชั่วโมงเพราะทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็พูดให้คิดได้ด้วยการถามว่าผมกลัวอะไร ลึกๆสิ่งที่ผมวิ่งหนี ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น คือเรื่องอะไร

ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ผลตรวจออกมาว่าผมเป็นลูกชายของคุณสมปราชญ์ หนึ่งคือผมกลัวว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขา สองผมกลัวว่าจะไม่ได้ยุ่งกับพี่อู๋อีกเพราะพ่อมีสิทธิ์ขาดในตัวลูกชาย สาม – ผมกลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้อนรับ ผมไม่เคยคลุกคลีฝั่งครอบครัวของคุณสมปราชญ์เลย ถ้าวันหนึ่งเขาพาผมเข้าบ้านแล้วถูกต่อต้าน ผมไม่รู้ว่าควรรับมือกับความเกลียดชังนี้ยังไง

พี่อู๋ฟังกอริลลางึมงำร้องไห้อยู่นานจึงพูดว่า ก้อง สถานะพ่อมันตัดทิ้งไม่ได้ ถ้าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อของก้องจริงๆ สิ่งที่ก้องทำได้คือยอมรับว่าเขาเป็นพ่อ ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวล ถ้าผลมันออกมาใช่เราค่อยตกลงกันก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไกลเลยว่าเขาจะพาก้องไป ไม่แน่เขาแค่มาแสดงตัวและขอทำหน้าที่พ่อ แต่ก้องจะยอมให้เขาเข้ามาในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวก้องเอง ต่อให้คนในครอบครัวคุณสมปราชญ์ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร พี่ชอบก้อง พี่ยังรักก้องเหมือนเดิม เขาไม่เอาก็ช่าง พี่เอา พี่ดูแลก้องเอง

 ผมร้องไห้เลยตอนที่พี่อู๋ให้สัญญาว่าจะดูแลนายก้องเกียรติเหมือนเดิม ผมบอกเขาว่ารู้ไหมผมดีใจที่ได้เจอพี่มากกว่าเจอพ่ออีกนะ พี่อู๋หัวเราะแล้วปลอบผมต่อ เขาบอกว่าสิ่งที่ต้องกังวลไม่ใช่เรื่องพ่อหรอก กังวลเถอะว่าควิซภาษาอังกฤษครั้งหน้าจะทำได้ไหม วันๆไม่อ่านหนังสือไม่ท่องศัพท์ เอาแต่นอนร้องไห้ฮือๆไม่อยากมีพ่อๆ มันจะสอบผ่านไหมวะก้อง

พอได้ฟังคำพูดของพี่อู๋ ผมก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อย ผลจะออกมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างมันเพราะผมคือคนตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไป ที่แน่ๆไม่ควรคิดไกลว่าเขาจะพาผมไปจากพี่อู๋ ไม่แน่เขาเองก็อาจมีปัญหากับที่บ้านหากรับกอริลลาหลุดฝูงไปดูแลเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดไกล อย่าคิดไกล อย่าคิด –

“ก้อง! ทำไมตื่นเช้าจังเลยวันนี้”

เสียงของออกัสดังขึ้นข้างหลัง ผมจึงหมุนตัวกลับไปทักทายเพื่อนแต่ก็พูดไม่ออกเพราะรอบตัวมันมีกล้องถ่ายทำอยู่ มีคนติดตามอยู่หลังตากล้องอีกคน ส่วนมันสวมเสื้อยืดกิจกรรมสีส้มกับกางเกงยีน ยืนกวักมือเรียกให้เข้าหาแต่ผมไม่เดิน

“มานี่หน่อยสิ”

ออกัสเรียกอีก แต่ผมลังเล ไม่อยากโผล่เข้าไปในเฟรมกล้องเพราะไม่รู้ว่าหน้าตัวเองจะโผล่ในสื่อช่องทางไหนบ้าง พอเห็นนายก้องเกียรติเลิ่กลั่กไม่เดินไปหาเสียที ออกัสจึงเดินตรงมาทางนี้โดยมีกล้องตามติดมาด้วย

“คนนี้เพื่อนผมครับ ภาคแมคคาเหมือนกัน ชื่อก้อง” มันยิ้มกว้าง ท่าทางดูเฟรนด์ลี่กว่าปกติ “เฮ้ย ทำไมตื่นเช้าจังอ่ะ”
“อ๋อ จะไปซื้อข้าวให้พี่อู๋”

ไอ้ออกัสหน้าเสียนิดหน่อย ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบกล้องเพราะไม่รู้ว่ากำลังถ่ายรายการอะไร ผมแค่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะโผล่บนจอโทรทัศน์หรือโซเชียลมีเดีย ไว้หลังจากนี้ผมจะไลน์ไปด่ามันให้เซ็นเซอร์หน้านายก้องเกียรติออก ทำเป็นภาพเบลอเหมือนเบลอหัวนมโงกุนหรือคาดตาดำเหมือนอาชญากรก็ได้ แต่ห้ามให้เห็นว่าเป็นหน้ากูเด็ดขาด เข้าใจไหม

“ไว้เจอกันใหม่ ไปทำงานก่อนละ”

ผมตอบเออๆแล้วโบกมือหนี พอเดินห่างออกไปได้ซักพักก็รีบหันหลังไปดูอีกว่ามันยังถ่ายอยู่ไหม ก็ยังถ่ายอยู่ เหมือนรายการเรียลลิตี้ตามติดชีวิตเน็ตไอดอลไม่มีผิด ระหว่างนึกสงสัยว่าทำไมไอ้ออกัสถึงมีตากล้องมาถ่ายถึงที่ จู่ๆพี่อู๋ก็โทรเข้ามาว่าอยู่ไหน ทำไมไปซื้อนานจัง ผมบ่นผู้ปกครองว่านานอะไร เพิ่งลงมาไม่ถึงห้านาทีเอง

“เร็วๆเลย เดี๋ยวเราต้องรีบไปโรงพยาบาลอีก”
“ครับๆ”

ผมกรอกเสียงลงในสายแล้วเดินไปร้านข้าวเจ้าประจำ ตัดเรื่องไอ้ออกัสออกจากสมองก่อนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราจะได้รู้กันว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆของนายก้องเกียรติหรือไม่




“ผลออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันนะครับ”

คุณหมอพูดและอธิบายผลตรวจอย่างละเอียด ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าตรวจออกมาแล้วเรามีค่าอะไรเหมือนกันตรงไหนยังไง ผมมัวแต่รู้สึกแย่จนปล่อยให้คำอธิบายเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คนที่ดีใจที่สุดในห้องน่าจะเป็นคุณสมปราชญ์ เพราะแกเอาแต่ยิ้มและขอบคุณคุณหมอที่ช่วยอธิบายให้กระจ่าง ในขณะที่ลูกชายของเขานั่งใบ้ ไม่พูดอะไรซักคำ

หลังออกจากห้องตรวจพี่อู๋ก็เดินมาหาผม เขาคงรู้อยู่แล้วว่าผลเป็นยังไงเลยไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ คุณสมปราชญ์หรือพ่อของนายก้องเกียรติถือโอกาสนี้ชวนเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แกบอกว่าขอเป็นเจ้ามือเอง ไม่ว่าก้องอยากกินอะไร แพงแค่ไหนก็ได้ แกจะพาไปกิน

ผมไม่มีอารมณ์เพราะยังสับสนอยู่ว่าควรรู้สึกยังไง ดังนั้นพี่อู๋จึงให้ไปเจอกันที่พารากอน ส่วนจะกินร้านไหนค่อยตกลงกันอีกที เดี๋ยวเขาจะถามนายก้องเกียรติให้ว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

ผมไม่พูดไม่จาเลยจนกระทั่งถึงรถ พออยู่กันสองคนผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมกลัวมากเลย ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเอายังไง ไม่รู้ว่าหลังไปกินข้าวกับเขาต้องแยกกับพี่เลยไหม ถ้าพ่อให้ผมไปอยู่ด้วยเราจะทำยังไงกันดี ผมไม่อยากไปจากพี่ ผมอยากอยู่กับพี่ ผมไม่อยากเป็นลูกชายเขา

“ก้องอย่าเพิ่งคิดไกล บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”

พี่อู๋ปลอบ แต่ผมรู้ว่าเขาเองก็กลัว สุดท้ายนายก้องเกียรติต้องทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการทำตัวไร้ความรู้สึก พ่อโทรมาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อถึงลานจอดในพารากอนเพราะอยากรู้ว่าลูกชายจะกินอะไร ผมตอบไปว่าเอ็มเคก็ได้ และจงใจพูดย้ำให้เขารู้ว่าแม่ของผมชอบกินเอ็มเค

หลังวนหาที่จอดเกือบยี่สิบนาที ผมกับพี่อู๋ก็เดินไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อ เขามาถึงก่อนนานแล้วก็เลยสั่งอาหารพลางๆเป็นการฆ่าเวลา ทันทีที่เห็นหน้าผม พ่อก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะหยิบถุงกระดาษสีเหลืองนวลมาให้ พ่อบอกว่านี่คือทาร์ตสับปะรดจากไต้หวัน พี่ชายคนโตของผมซื้อมาฝาก ไว้มีโอกาสป๊าจะพาไปหาเฮียนะ ผมถามคุณสมปราชญ์ว่าพี่ชายที่พูดถึงคือพี่ชายแท้ๆของผมใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ใช่ เฮียเป็นลูกของพี่ชายคนโตที่เสียไปนานแล้ว แกรับมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่เด็ก ส่วนผมคือลูกชายคนเดียวของคุณสมปราชญ์

ผมตอบเหรอครับ แล้วเงียบอีก พ่อคงรู้แหละว่าผมไม่ยินดียินร้ายกับการได้เจอพ่อแท้ๆในรอบหลายสิบปี แกจึงพยายามเอาอกเอาใจกอริลลาด้วยการสั่งติ่มซำเพิ่มให้แต่ผมไม่กิน ไม่กินก็คือไม่กิน ต่อให้เอาติ่มซำจากใต้มากองตรงหน้าผมก็ไม่กิน พอเห็นว่านายก้องเกียรติดื้อเงียบไม่คุยด้วย แกจึงยอมพูดตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะตกลงกัน

“ก้องมีอะไรอยากถามอาป๊าไหม?”

ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ลึกๆอยากถามว่ากลับมาทำไมแต่คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ ผมเลยมองหน้าผู้ปกครองที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่อู๋ให้กำลังใจเด็กในปกครองด้วยการคีบเป็ดย่างเข้าปาก ไม่ได้สนใจเลยว่านายก้องเกียรติกำลังหนักอกหนักใจกับคำถามจากพ่อขนาดไหน

“ก้องโกรธที่ป๊าไม่เคยไปหาเลยใช่ไหม?”

คุณสมปราชญ์ถาม ผมว่าแกรู้ตัวว่าควรพูดหรืออธิบายเรื่องไหนบ้าง ดังนั้นหลังปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดเกือบนาที ในที่สุดเขาก็ยอมเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แกเล่าว่าบ้านของแกเป็นครอบครัวคนจีน คุณสมปราชญ์เป็นลูกชายคนที่สองในบรรดาพี่น้องหาคน คนโตเป็นผู้ชาย อีกสามคนเป็นผู้หญิง ที่บ้านเปิดโรงงานลูกชิ้นแล้วช่วยกันทำงานแบบระบอบกงสี เมื่อก่อนพี่ชายกับพี่สะใภ้เป็นคนดูแลธุรกิจและมีอาม้านั่งคุมสมุดบัญชีอีกที

ตอนนั้นด้วยความที่เป็นลูกชายคนรอง อาม้าไม่ค่อยยุ่มย่ามชีวิตของพ่อเท่าไหร่ พ่อมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ จะรักจะชอบใครอาม้าก็ไม่ว่า ดังนั้นหลังจากไปมาๆสมุทรสาครนครชัยศรีอยู่เกือบปี พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน เป็นผู้หญิงไทยผิวเข้มหน้าตาธรรมดาๆ อาม้าบอกว่าอยู่กินกันไปก่อนแล้วค่อยแต่งงานเพราะช่วงนั้นโรงงานลูกชิ้นกำลังลุ่มๆดอนๆ เอาให้มั่นคงก่อนแล้วอาม้าจะทำให้ถูกต้องตามประเพณี

เดิมทีแม่ของผมเป็นลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้ ตอนมาอยู่กับพ่อก็หนีกันมาไม่ได้สู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวเพราะคุณตาไม่ชอบที่บ้านพ่อทำงานเป็นกงสี สมัยก่อนใครๆก็รู้ว่าสะใภ้แต่งเข้าตระกูลคนจีนมีแต่จนกับจน ถูกใช้งานยิ่งกว่าขี้ข้าแต่พ่อแม่ผัวก็ไม่เคยเห็นหัว ดังนั้นผมจึงไม่มีคุณตาคุณยายเพราะแม่ชิงสุกก่อนห่าม หักหน้าผู้ใหญ่ที่บ้านจนกลับไปเหยียบนครชัยศรีไม่ได้ เมื่อตกลงหนีกันมาแล้วแม่ก็ต้องช่วยทำงานในระบอบกงสี ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ งานหนักแค่ไหนก็ต้องทำ ตอนนั้นแม่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ยังสาวยังสวย แต่ต้องแบกกระสอบลูกชิ้น ต้องนั่งแล่ปลาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เสร็จแล้วก็ต้องปัดกวาดบ้านหลังใหญ่ ต้องทำอาหารเผื่อสมาชิกนับสิบอีก เรียกได้ว่างานของแม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตายันหลับตา ไม่มีเวลาส่วนตัวหรือพักผ่อนเหมือนคนอื่นเลย

แม่กับพี่สะใภ้ทำงานหนักไม่แพ้ลูกๆเจ้าของโรงงาน แต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนอาม้าก็ไม่เคยพอใจ พี่สะใภ้โดนด่าน้อยกว่าหน่อยเพราะมีเลือดจีนอยู่บ้าง แต่แม่โดนด่าโดนกระทำฝ่ายเดียวเสมอไม่เคยได้ตอบโต้ พ่อบอกว่าอาม้าไม่ชอบแม่เพราะอยากให้ลูกหลานออกมาเป็นจีนแท้ ไม่เอาไทยผสม ไม่เอามอญ อาม้าอยากได้สายเลือดบริสุทธิ์เพราะเชื่อว่าคนจีนมียีนที่ดีที่สุดในโลก ฟังถึงตรงนี้ผมเผลอหลุดปากด่าอาม้าไปว่าอยากได้หลานเป็นคนหรือหมา ทำไมต้องเลือกสายพันธุ์เลือดแท้เลือดผสม พี่อู๋ถึงกับคายลูกชิ้นเพื่อตำหนินายก้องเกียรติทันที

“ทำไมไม่ช่วยแม่ผมบ้าง? ปล่อยให้แม่ทนแม่ผัวคนเดียวได้ยังไง?”
“ป๊าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกัน เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทน”

ผมต้องนั่งฟังคุณสมปราชญ์บรรยายถึงความไม่ยุติธรรมในบ้านหลังนั้นตั้งหลายนาที ทั้งตอนที่แม่โดนอาม้าด่าเพราะเอาเงินเก็บไปซื้อชุดสวยๆ ทั้งตอนที่แล่ปลาไม่ทันเพราะโดนมีดบาด แต่แม่ก็อดทนมาตลอด แม่ยอมโดนโขกสับเป็นผักเป็นปลาจนกระทั่งท้องถึงเริ่มแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ยอมทำงานหนักเพราะกลัวแท้งลูก

วางเงินห้าบาท ขอเดาล่วงหน้าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น อาม้าคงเป็นหมาบ้าเมื่อโรงงานขาดแรงงานไปอีกหนึ่ง พ่อบอกว่าอาม้าเครียดที่งานไม่เสร็จดั่งใจจึงหันมาระบายความหงุดหงิดด้วยการบ่นแม่ทุกวันว่าพวกคนไทยขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ถ้าเป็นฉันสมัยอยู่เมืองจีนนะ ต่อให้ท้องโตแค่ไหนก็ช่วยผัวช่วยครอบครัวทำงาน พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เลยฟิวส์ขาดบอกอาม้าว่าไม่รักลูกตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่นี่ลูกฉัน ฉันจะดูแลตัวเองดีๆเพื่อลูก ไม่ต้องมาสอน แค่นั้นแหละ บึ้ม – บ้านแตก เพราะแม่ของก้องเกียรติเปรี้ยวตีน

“อาม้านะ เกลียดหม่าม้าของก้องมาก มากจนพยายามหาผู้หญิงใหม่มาให้ป๊า แต่ป๊าไม่เอา” คุณสมปราชญ์เล่าต่อ “เราก็ทนๆอยู่ในบ้านกันไปจนก้องเกิด ตอนแรกป๊าคิดว่าถ้าได้หลานชายอาม้าน่าจะดีใจ แต่ก้องเกิดผิดเวลา เกิดตอนเฮียของป๊าตายพอดี”
“ลุงเป็นอะไรตายเหรอครับ?”
“ตับแข็ง” พ่อบอก “ยี่สิบห้าธันวา ก้องคลอดไม่ได้ถึงชั่วโมง เฮียตายคามือหมอเลย”

พี่ชายของพ่อก็ช่างเลือกวันตาย ดันตายหลังนายก้องเกียรติลืมตาดูโลกได้ไม่กี่นาที ตอนนั้นบ้านกลายเป็นนรกขนาดย่อมสำหรับแม่ เพราะพ่อต้องขึ้นเป็นเจ้าของโรงงานเต็มตัวจนไม่มีเวลา กลายเป็นว่าแม่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียวในห้องนอนแคบๆ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรมากเพราะกลัวว่าถ้าโดนไล่ไปอยู่ที่อื่นจะลำบาก แม่กัดฟันอดทนทุกวันๆเลี้ยงดูผมจนอายุขวบกว่า พอลูกโตขึ้นก็ต้องฝืนใจ ยอมออกไปเจอหน้าแม่ผัวเพื่อให้ลูกได้เล่นข้างนอกบ้างเพราะห้องนอนเริ่มแคบเกินไปสำหรับเด็กวัยหัดเดิน

คุณสมปราชญ์เล่าถึงตรงนี้แล้วหยุดพักครู่หนึ่งเหมือนพยายามเก็บความรู้สึกลงข้างใน จะได้เล่าต่อโดยไม่ให้มีอารมณ์ใดๆเจือปนในน้ำเสียง ผมได้แต่มองตาเขาเพราะอยากรู้ว่าลึกๆแล้วเขาเคยเสียใจบ้างไหมที่ไม่ปกป้องแม่ เคยรู้สึกผิดบ้างไหมที่พาแม่มาเจอแม่ผัวประสาทแดก เคยคิดบ้างไหมว่ามันจะไม่แย่ขนาดนี้เลยถ้าเขากล้าเถียงแม่ตัวเองบ้าง

“หม่าม้าของก้องพูดตลอดว่าลำบากแค่ไหนก็ทนได้ แต่อยู่ในบ้านที่ไม่มีใครรักลูกเรามันทำใจยาก”

ตอนนั้นอาม้าไม่ให้หลานคนอื่นยุ่งวุ่นวายกับผมเลย ขนาดกินข้าวร่วมโต๊ะก็ไม่ได้เพราะอาม้าเกลียดแม่มาก บรรดาน้องสาวของคุณสมปราชญ์ก็เป็นไปกับเขาด้วย ทุกคนกีดกันแม่ออกจากครอบครัวเหมือนเราไม่ใช่คน ราวกับแม่ไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้ ราวกับผมไม่ใช่หลานของพวกเขา ครั้งหนึ่งผมตัวร้อนมากจนเกือบชัก แม่ต้องบากหน้าไปขอเงินส่วนกลางจากอาม้าเพื่อพาผมไปหาหมอ แต่อาม้าไม่ให้ แกให้เงินแค่สิบห้าบาทไปซื้อยาจีนมาต้ม แม่จึงต้องกระเตงอุ้มผมไปถึงโรงงานเพื่อขอเงินพ่อ พอรู้ว่าผมไม่สบายหนักพ่อก็ทิ้งโรงงาน ปล่อยให้น้องสาวคนโตดูแลต่อแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอกลับมาจากหาหมอพ่อกับแม่โดนอาม้าด่าเหมือนหมูเหมือนหมา เด็กมันไข้แค่กินยาก็หาย แต่มึงทิ้งโรงงานไว้กับคนทำอะไรไม่เป็น มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า

“กูกับลูกจะไม่ทนอยู่ในบ้านอียักษ์แก่ใจดำอย่างมึงอีกต่อไป!”

คุณสมปราชญ์เล่าว่าแม่พูดประโยคนี้จริงๆ พูดต่อหน้าคนงานเลยด้วย พูดจบแม่ก็โดนตบทันที ผมว่าความอดทนทั้งหมดของแม่คงจบกันตรงนี้ แม่ทนได้เป็นปีๆเพื่อผม แต่ในเมื่อคนในบ้านใจเหี้ยมกับลูกของแม่ แม่ก็ไม่มีเหตุผลต้องทนอีกต่อไป

“แล้วแม่ไปไหน?”
“ป๊าบอกหม่าม้าของก้องให้กลับไปอยู่นครชัยศรีก่อน ไว้แบ่งระบอบโรงงานเสร็จเมื่อไหร่ป๊าจะย้ายไปทำสวนที่บ้านกับตา แต่ป๊าคงงานเคลียร์นานเกินไป พอนั่งรถไฟตามไปอีกที แม่ของก้องก็ไม่อยู่นครชัยศรีแล้ว”
“ทำไมไม่รีบตามหาแม่? ถามจากเพื่อนของแม่ก็ได้ว่าแม่ไปไหน แค่นี้ก็น่าจะหาเราเจอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก้อง – หม่าม้าของก้องไม่ได้กลับนครชัยศรี แม้แต่ตายายของก้องยังไม่รู้เลยว่าหม่าม้าท้อง”

 คุณสมปราชญ์เสียงสั่น

“ไม่ใช่ว่าป๊าไม่ตามหา ไม่ใช่ว่าละเลยไม่สนใจ ป๊าหาแล้วก้อง ป๊าถามคนทั้งนครชัยศรีแล้ว กลับไปถามแถวบ้านก็แล้ว ไม่มีใครเจอหม่าม้าของก้องเลย ไม่มีใครเห็น ก้องจะให้ป๊าออกตามหาที่ไหนอีก ป๊านึกไม่ออกเลยว่าหม่าม้าของก้องจะพาก้องไปไหนได้ในเมื่อหม่าม้าไม่รู้จักใคร”

ผมเริ่มน้ำตาคลออยากร้องไห้เมื่อฟังจบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่ไม่กลับนครชัยศรีเพราะปกติแม่เป็นคนคาดเดายากอยู่แล้ว ตอนนั้นแม่คงโมโหจนไม่สนใจว่าเริ่มต้นใหม่จะลำบากขนาดไหน แม่แค่เจ็บใจที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความยุติธรรม แม่แค่โกรธแค้นที่ผัวไม่เคยปกป้องจนไม่อยากติดต่อกันอีกก็เท่านั้นเอง

“ป๊ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่หม่าม้าของก้องจะหายโกรธและติดต่อกลับมาเพราะหม่าม้าก็จำชื่อที่อยู่โรงงานของเราได้ แต่ป๊ารอมาจะสิบเจ็ดปีแล้ว เกือบสิบเจ็ดปี ไม่มีโทรศัพท์จากหม่าม้าของก้องเลย”
“พ่อสิต้องเป็นฝ่ายติดต่อมา ถ้าพ่อพยายามหามากกว่านี้ พ่ออาจจะเจอเราก็ได้”
“ป๊าหาไม่เจอจริงๆก้อง ป๊าสาบานเลยว่าพยายามเต็มที่แล้วแต่หาไม่เจอ อีกอย่างในใบเกิดของก้องก็มีที่อยู่ของป๊า ป๊ายังอยู่บ้านหลังเดิมเพราะรอก้อง แต่ก้องก็ไม่มา”
“แม่บอกว่าพ่อมีแฟนใหม่แล้ว”

ลุงสมปราชญ์สะอึก ก่อนจะยอมรับว่าใช่ เขาแต่งงานใหม่หลังจากติดต่อแม่ไม่ได้เกือบปี ผู้หญิงที่แต่งด้วยมีเชื้อสายจีนถูกต้องตามที่อาม้าต้องการ พอแต่งงานมีลูกกลับได้แต่ลูกสาว คนที่หนึ่งก็ลูกสาว คนล่าสุดที่เพิ่งคลอดเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็นลูกสาว บรรดาน้องสาวของป๊าที่ออกเรือนแต่งงานก็ได้แต่ลูกสาว ตอนนี้ที่บ้านมีหลานสาวสิบเอ็ดคน ป๊าคิดว่าสวรรค์คงลงโทษบ้านของเราที่รังแกหม่าม้ากับก้อง เชื่อไหมว่าในตระกูลของเรา นอกจากลูกของเฮียคนโตแล้วก็มีก้องนี่แหละที่เป็นผู้ชาย

ผมเหลือบมองหน้าพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงซึ่งสีหน้าของคุณอิศรินทร์ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย เขาทำหน้าพะอืดพะอมคลื่นไส้ กลอกตามองบนราวกับเอือมระอาชุดความคิดของคุณสมปราชญ์นักหนา ส่วนตัวผมไม่ได้แตกต่างจากผู้ปกครองเท่าไหร่ ผมคิดว่าการได้ลูกสาวไม่ใช่บทลงโทษจากสวรรค์ ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมทัศนคติเรื่องลูกหลานถึงบิดเบี้ยวขนาดนี้ นอกจากต้องการสายเลือดจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วยังอยากได้ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีก

“แล้วพ่อหาผมเจอได้ยังไง?”
“เพื่อนป๊าที่เป็นอาจารย์โทรมาบอกว่าเจอคนนามสกุลเหมือนภัทรา เด็กบอกว่าเป็นลูกชาย มีพ่อชื่อสมปราชญ์ด้วย”
“แสดงว่าแม่ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล”
“ใช่”
“แต่พ่อก็ยังหาเราไม่เจอ”

ผมประชดด้วยการยิ้มมุมปาก พอรู้อย่างนี้แล้วมันอดโมโหไม่ได้ที่พ่อไม่ใส่ใจเราเท่าที่ควร ถ้าแม่เปลี่ยนชื่อแซ่หนีไปไกลคนละภาคผมจะไม่ว่าเลย แต่แม่ก็ใช้ชื่อนามสกุลเดิม ชื่อของผมก็ก้องเกียรติเหมือนเดิมตั้งแต่เกิด เราแค่ย้ายจากสมุทรสาครมาจรัญสนิทวงศ์ คิดดูสิว่ามันไม่ได้ไกลขนาดเกินความสามารถ แต่พ่อออกตามหาเราได้ไม่ถึงปีก็ถอดใจยอมแพ้แล้วมีเมียใหม่ตามที่อาม้าหาให้ ไม่น่าแปลกที่แม่จะแค้นขนาดนี้ เพราะผมเองก็แค้นจนไม่อยากเห็นหน้าพ่อเหมือนกัน

“พ่อรู้ไหมว่าเราอยู่กันลำบากขนาดไหน?” ผมถามกลับ คุณสมปราชญ์ขอโทษแต่มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น “พ่อรู้ไหมว่าหลังแม่ตายผมต้องใช้ชีวิตยังไง ผมอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีจะจ่าย ข้าวก็ต้องขอกินจากเพื่อนบ้าน เงินจะเรียนหนังสือยังไม่มี ผมไม่มีอะไรเลย ผมกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่พ่อกลับสุขสบาย ไม่นึกถึงเราสองคนเลย”
“ไม่จริง ป๊าคิดถึงก้องทุกวัน ป๊ารอก้องติดต่อมา --”
“ผมจะติดต่อหาคนที่ทิ้งเราไปทำไม! พ่อก็เหมือนพวกขี้เกียจรักสบาย ไม่คิดจะออกตามหานอกจากกระดิกตีนรอผมติดต่อไป! ถ้าเพื่อนไม่บอกก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกยังไม่ตาย เผลอๆไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าบังเอิญไอ้ก้องเกียรติมันไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย!”

ผมร้องไห้และปาตะเกียบใส่หน้าพ่อ คุณสมปราชญ์ดูเสียใจมากแต่มันสาสมกับสิ่งที่เขาทำแล้ว ตั้งแต่แม่หนีตามไปอยู่กับเขา ไม่มีซักครั้งที่พ่อจะปกป้องแม่ ขนาดอาม้าตบเมียตัวเองก็ยังคิดไม่ได้ว่าควรย้ายออกไปตั้งตัวใหม่ ควรออกจากบ้านเฮงซวยหลังนั้นเพื่อครอบครัวตัวเอง แต่หัวของพ่อกลับคิดแค่ว่ากิจการกงสีต้องอยู่รอด ในขณะที่แม่ผมตัวคนเดียว ลูกก็ยังเล็ก ผัวก็ไม่ปกป้อง คนแบบนี้เหรอสมควรได้เจอลูกอีกครั้ง คนแบบนี้เหรอ – คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาขอเป็นป๊าของนายก้องเกียรติ เพ้อเจ้อชิบหาย

“ผมว่าเราอย่าเจอกันเลย” ผมกัดฟันบอกคุณสมปราชญ์ด้วยความโกรธ “ผมมีพี่อู๋คนเดียวก็พอแล้ว ผมไม่ต้องการพ่อ ต่อไปนี้อย่ายุ่งกับผมอีก”

ผมลุกขึ้นเดินหนี ส่วนพี่อู๋รีบวางตะเกียบแล้วออกตัววิ่งตาม พอฉวยข้อมือของกอริลลาจิตตกได้ ผมก็ร้องไห้ถามพี่อู๋ว่าพ่อกลับมาทำไม ถ้ากลับมาเพื่อเล่าเรื่องชวนเวทนาของแม่ให้ฟัง ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ผมยอมมีภาพจำว่าพ่อหนีไปมีเมียใหม่ดีกว่ารู้ว่าเขาเป็นพ่อห่วยๆที่ปกป้องลูกเมียไม่ได้ยังดีเสียกว่า

“ช่างมันนะก้อง พ่อไม่จำเป็นกับชีวิตของก้องหรอก เราอยู่กันเหมือนเดิมก็ได้ ก้องยังมีพี่อยู่ทั้งคนเนอะ”

ผมพยักหน้าและร้องไห้อยู่พักหนึ่งก่อนที่คุณสมปราชญ์จะเดินตามมา พี่อู๋บอกว่าไว้คุยกันโอกาสหน้าเพราะตอนนี้ก้องเกียรติไม่อยากคุยกับคุณแล้ว
 
“คุณนี่ยังไงกัน เอาแต่กันผมไม่ให้คุยกับลูก! ผลตรวจก็ออกมาแล้วนี่ว่าเขาเป็นลูกผม! ตามกฎหมายผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวก้อง คุณนั่นแหละหลบไป! อย่ายุ่งกับลูกชายผม!”
“สิทธิ์ของคุณหมดไปตั้งแต่วันที่ส่งแม่ของก้องกลับนครชัยศรีแล้ว!” พี่อู๋ตอกหน้าเขาแทนเด็กในปกครอง “วันนี้พอก่อนเถอะครับ อย่าทำให้ก้องเครียดไปกว่านี้เลย ถือว่าผมขอร้องในฐานะคนที่ดูแลลูกชายของคุณมาสองปีนะครับ”

เราจบบทสนทนากับคุณสมปราชญ์ไว้แค่นั้นแล้วเดินทางกลับบ้าน ผมร้องไห้เสียใจต่อนิดหน่อยก็หยุดร้องเพราะตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ติดต่อกับพ่ออีก ผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อกลับเข้ามานั้นเพราะเขารู้สึกผิดที่หาเราไม่เจอ หรือแค่อยากได้ลูกชายตามประสาพวกบ้าสายพันธุ์กันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมจะไม่ไปอยู่กับพ่อแน่ๆ หลังได้ฟังเรื่องราวทุเรศๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นแล้ว ผมว่าเราไม่นับญาติกันยังดีเสียกว่า เพราะผมฝืนทำใจเป็นลูกหลานของพวกที่ใจร้ายใจดำทำเรื่องเฮงซวยกับแม่ตัวเองไม่ลงหรอก

กว่าพี่อู๋จะขับรถถึงบ้าน ผมก็อารมณ์ดีจนเกือบเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกดีขึ้นเป็นเพราะทำใจได้เองหรือเพราะพี่อู๋กันแน่ บางทีถ้าไม่มีเขา ผมคงรู้สึกแย่มากที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองอย่างเฉยชา แต่พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่นายก้องเกียรติทำไม่ถือว่าอกตัญญูหรอก พ่อที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจนโตไม่มีสิทธิ์โกรธอยู่แล้วหากลูกปฏิเสธไม่อยากคุยด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละก้อง ไม่ต้องคิดเยอะให้เครียด ไม่ต้องหยิบหัวโขนลูกกตัญญูมาสวมให้หนักหัว แค่ก้องไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้คุณสมปราชญ์ก็ถือว่าหายกันแล้ว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเอ็ดนาที ผมนั่งทำการบ้านในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ช่วยดูวิชาภาษาอังกฤษให้ จังหวะที่เท้าคางมองหน้าผู้ปกครองตรวจการบ้าน จู่ๆผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ รักพี่มากกว่าใคร ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมก็คงมาไกลไม่ได้ขนาดนี้ คุณอิศรินทร์ถามว่าพูดหวานเอาใจแบบนี้อยากได้อะไรล่ะ ผมตอบว่าไม่อยากได้อะไรเลย แค่อยากบอกเฉยๆ ผมรักพี่จริงๆ ต่อไปนี้เวลาใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน ผมจะบอกว่าพี่เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อ เก็ตสึโนวา

“ไม่อยากเป็นพ่อ”
“แล้วพี่อยากเป็นอะไร?”

พี่อู๋ทำปากขมุบขมิบอ่านได้ว่าผัว ผมไปต่อไม่ถูกจึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดศัพท์จากหนังสือเรียน นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบสามนาที ผมบอกพี่อู๋ว่ารอก่อนนะ ไว้ผมเข้าใจตัวเองเมื่อไหร่ เราค่อยเป็นแฟนกัน






TBC







___________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีค่ะทุกคน เรามีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในนิยายเรื่องเขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ


1.ความผิดพลาดอย่างแรกมาจากตอนที่ 31 ค่ะ เกี่ยวกับไทม์ไลน์การแอดมิชชั่นของสมาร์ท ตรงนี้เราจำไทม์ไลน์พลาดนะคะ สมาร์ทไม่ใช่ TCAS61 แต่เป็น admission60 ค่ะ จริงๆน้องก้องคือรุ่น admission60 แต่น้องใช้เวลารักษาตัวปีกว่าทำให้ไม่ทัน TCAS61 ดังนั้นปีที่น้องสอบเข้าเป็นระบอบ TCAS62 นะคะ เนื้อหาส่วนอื่นๆถูกต้อง ยกเว้นการอ้างอิงถึงการสอบเข้าของสมาร์ทในตอนที่ 31 ค่ะ ตอนนี้เราปรับแก้เนื้อหาส่วนที่พลาดและอัปเดตใหม่เรียบร้อยแล้วค่ะ ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านใหม่ได้ทุกช่องทางที่นิยายเรื่องนี้ลงได้เลย ต้องขอโทษจริงๆค่ะสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หลังจากนี้จะพยายามระวังเรื่องพ.ศ.และระบอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวละครในนิยายนะคะ


2. ตอนที่ 30 ที่น้องก้องกับพี่อู๋ไปเที่ยวเชียงใหม่ ทั้งสองคนไม่ได้ไปดอยสุเทพนะคะ ไปดอยอินทนนท์ค่ะ แต่ในการบรรยายมีหลุดคำว่าดอยสุเทพออกมาด้วย ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ไม่ทบทวนให้ดี ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วเช่นกันค่ะ


3. ตอนที่ 32 มีจุดผิดพลาด 2 จุดคือเส้นทางการเดินทางจากลาดพร้าวไปลาดกระบัง และคำลงท้ายของเจ้าของหอที่ใช้ครับค่ะร่วมกันในประโยคเดียว อาจทำให้นักอ่านสับสน อันนี้ถือเป็นความบกพร่องที่แย่มากค่ะ เราอ่านทวนหลายรอบแต่ยังมีหลุดประโยคแปลกๆออกมา เป็นความสะเพร่าที่ตัวเองยังปรับปรุงไม่ได้ หากตอนหน้าหรือตอนที่แล้วมามีจุดพลาด นักอ่านทุกท่านสามารถกระซิบบอกหรือตั้งคำถามได้เสมอนะคะ เพื่อให้นิยายเรื่องนี้ไม่มีจุดบกพร่องและออกมาดีที่สุด เราจะพยายามแก้ไขและปรับปรุงเรื่อยๆค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ


สัปดาห์นี้มีแฟนอาร์ตน่ารักๆมาฝากเช่นเคยค่ะ จากพี่จ๋า @pukjin เป็นแฟนอาร์ตไร่ส้มที่มีแต่ส้มสวยๆ ส้มหวาน ส้มน่าร้ากเต็มไปหมดเลย ถ้าพี่จ๋าอยากเห็นแฟนอาร์ตสวยๆ เชิญส่องในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ ขอบคุณค่า<3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2019 14:05:14 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :m26:
ผัว





 :jul3:
ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ Gugii

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนนี้ก็ร้องไห้อีกแล้ว ฮืออ สงสารก้อง
เราขอฉากหวานๆ มาแทนน้ำตาที่เสียไปด้วย
 :mew2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แม่ก้องก็สู้น่าดูนะ

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อีพ่อพูดมาได้ เฮงซวยยย!!!(จริตคุณภัสสร) ทุเรศว่ะตอนนั้นก้องต้องเจออะไรมาบ้างสงสารน้องสุดๆชีวิตน้องกำลังไปได้ดีมึงกลับมาทำไมโมโห ก้องโชคดีที่ได้เจอพี่อู๋ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้มีโอกาสเจอคนแบบพี่อู๋นี่ชีวิตจะเป็นยังไง รักพี่อู๋มากกว่าเดิมตอนนี้เป็นแดดดี้ไปก่อนนะจ้ะรอน้องพร้อมก่อนเน้อ :hao6: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขอให้้นทุกข์พ้นโศกเร็วๆนะก้อง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เออ คนเฮงซวยมันแบบนี้จริง ๆ  คนมันแย่ก็คือแย่ นี่คนละเรื่องกับการเป็นพ่อแม่นะ
อย่างพี่อู๋ว่า แค่ไม่ทำอะไรให้เขาเดือดร้อนก็พอแล้ว

ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นผะ....อืม....ฝันต่อไปนะพี่อู๋ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fun_la_ong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่ออออออ

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เครียดมาทั้งตอน ตอนจบแอบหวานให้ชื่นใจ ตอนนี้เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อไปก่อนเนาะพี่อู๋ จะว่าไปเร็วมากเลยนะเนี่ย น้องก้องอยู่กับพี่อู๋สองปีแล้ว

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบการแสดงออกของกอลิล่าก้องเกียรติกับผู้ปกครองคุณอิศรินทร์มากกกกกก มีความเป็นมนุษย์จริงๆ ตอกหน้าตาลุงทิ้งลูกได้ถึงใจมากกกกกกก นี่ยังแบบ ห๊าาา!! เค้ามาตามหาก้องเพราะอะไรนะ!? โหวววลุง มาทางไหนไปทางนั้นเลย กอลลิล่าของชั้นกำลังสภาพจิตดีๆอยู่ จะมาย่ำแย่กลับไปลูปเดิม นี่จะสาปให้โรงงานลูกชิ้นเจ๊งเลย  :m31:


ปล. พี่อู๋อยากเป็นผั-น้องก้อง แอร๊ยยยยยยยยย เป็นกำลังใจนะเสี่ยอู๋สายเปย์ :hao3:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สงสารแม่ก้องจัง สงสารก้องด้วย
 :hao5: พี่อู๋เป็นแด้ดดี้ไง แด้ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อน่ะ
 แอบขำคำว่า วีออสร้ายๆ  :laugh:

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
เป็นเราก็คงไม่ไปแน่ๆอะคนไม่ผูกพันธ์อะเน้าะ ยิ่งมารับรู้เริ่องของแม่ก้องอีก

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ในมุมเด็กที่ลำบากแทบตายก็ต้องไม่มองพ่อที่ไม่ได้เลี้ยงดูในแง่ดีอยู่แล้ว
แถมมันก็คิดได้ว่าถ้าไม่ใช่ลูกชายเขาจะยังตามหาอยู่ไหม
เอาเป็นว่าก้องรับรู้แล้วว่ามีพ่อ แต่ชีวิตของก้องให้ก้องเลือกเองดีกว่า
จะให้จี๋จ๋า ถูกชะตา กตัญญูไม่น่าจะในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ ๆ

ออฟไลน์ newyork_jaja2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ก้อง บรรลุนิติภาวะ หรือยัง น่าจะมีประเด็นในการดูแล...  :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
 ตอนแรกสงสารพ่อมาก พออ่านเหตุผลจบคือมีแบบนี้ไม่มีดีกว่าอ่ะ ท้อ ไม่ต้องมีก็ได้เนอะลูก เรามีผั-- ดีกว่า

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ว้อทททท คือว้อทมากก แต่สนุกมาก รักก้อง

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กลัวว่าพ่อจะใช้เหตุผลทางกฎหมายมาบีบพี่อู๋จังเลย เมื่อไรจะหมดเคราะห์หมดโศกสักทีลูก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai3: ฝันกลางวันอะพี่อู๋
 :hao3: :hao3: :ruready

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เครียดเรื่องพ่อไปกับก้องเลยอ่ะ กลับมาเพราะว่าเป็นลุกชายตามหาผู้สืบสกุลสินะ เฮ้อ
แต่แก้เครียดได้ด้วยคำว่าผัวจากพี่อ๋ละนะ   :impress2:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียน นะคะ จะบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก..
ถ้าทำเป็นเล่มก็จะอุดหนุนหรือ e-book ก็จะสนับสนุนค่ะ..
แบบว่าเข้าเล้ามา ทุกวัน รออ่านตอนต่อไป..  :katai2-1: :katai2-1:


ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :katai1: พลาดอย่างแรงค่ะ ที่คิดว่า ดูจากชื่อเรื่องแล้วคงไม่น่าสนใจ  แต่พอลองอ่านแล้ว  ... ติดงอมแงมเลยค่ะ5555 รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สงสารก้อง  พ่อแบบนี้ก้นะ :angry2:

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดราม่ามาทั้งตอนมาหลุดขำตรงขี้แตกนี่แหละ 555
ว่าแต่ออกัสนี่คิดไรกับก้องปะเนี่ย ทำเป็นน้อยใจ หมั่นไส้

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารแม่กับก้องมาก พ่อพูดเหมือนเอาความดีเข้าตัวแล้วก็โทษแม่ที่แม่ไม่ยอมติดต่อไป ทั้งที่ความจริงพ่อต้องดูแล ปกป้องแม่และก้องให้ดีกว่านี้ 
สงสารพี่อู๋ที่ไม่ได้อยากเป็นแค่พ่อด้วย

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
34 [PART 1/2]


ผมใช้ชีวิตอยู่กับพี่อู๋เหมือนเดิมนับตั้งแต่นั้นมา มีบ้างที่ถามถึงพ่อว่าเขายังคงโทรหาผู้ปกครองของผมบ้างไหม แต่รวมๆแล้วผมไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดเก็บมาเป็นกังวล ตอนนี้ผมกำลังสนุกกับชีวิตมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อน มีสังคมให้ใช้เวลาด้วยจนลืมเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหมดและหมกมุ่นอยู่กับช่วงวัยรุ่นตอนปลายเท่านั้น

ตอนนี้ออกัสขี้เก๊กไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก นอกจากเป็นมาสคอตของลาดกระบังแล้ว ผมยังเห็นมันถ่ายแบบให้ร้านขายของบนอินเทอร์เน็ตด้วย ไม่รู้เฟสบุ๊กรู้ได้ไงว่าผมเป็นเพื่อนมัน ถึงขยันยิงแอดโฆษณาที่ไอ้ออกัสเป็นนายแบบเข้ามาจนรถไทม์ไลน์ ผมเคยถามมันว่าค่าตัวถ่ายงานนึงได้ประมาณเท่าไหร่ มันบอกแล้วแต่ช่วงโมงทำงาน เต็มวันก็หลักหมื่น ว้าว -- เป็นคนหล่อมันดีอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมมันมีเงินซื้อของจุกจิกเยอะจัง

ผมยังคงเกาะติดกับเพื่อนกลุ่มเดิม กลุ่มที่มีทรายสวย มิวติ่ง จังไรโบ้ท และออกัสเน็ตไอดอล ถ้าวันไหนเรียนตรงกันเรามักจะไปหาอะไรกินด้วยกันหลังเลิกเรียน ส่วนความสนิทสนม ผมว่าเราไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แต่ถามว่าในกลุ่มผมคุยกับใครมากที่สุด คำตอบน่าจะเป็นทราย ผมกับทรายสนิทกันในแง่เพื่อนเรียนเพื่อนเล่น คุยได้เรื่อยๆ นิสัยพอไปด้วยกันได้ ส่วนทรายไม่รู้ว่าคิดกับพวกเรายังไง แต่จู่ๆวันหนึ่งมันก็ถามว่าเสาร์นี้ว่างไหม ไปช่วยกูทำขนมหน่อยสิ พอดีคนงานที่ร้านลาบวชก็เลยขอตามไปเต้นหน้ากลองยาวกันหมด แต่มีออเดอร์รอเป็นหางว่าว นะ พวกมึงนะ กูไม่เคยขออะไรเลย การบ้านก็ไม่เคยขอลอก เงินก็ไม่เคยขอยืม

“อีทราย วันก่อนมึงยืมกูยี่สิบซื้อลูกอม”

ผมเถียง แล้วมันแว้ดกลับว่าเออ กูรู้ กูแค่ลืมไหมล่ะ มึงอย่าขัดคอกูตอนนี้ได้ไหมก้อง บ้านกูกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าไม่มีลูกมือคอยช่วยร้านต้องเสียชื่อแน่ๆ

“อ่ะ โอเค เดี๋ยวกูไปช่วย”

ผมตอบตกลงคนแรก ออกัสบอกว่าจะยอมไปช่วยถ้าทรายอนุญาตให้มันถ่ายวล็อกในวันนั้นด้วย ทรายบอกว่ามึงจะถ่ายอะไรก็ถ่ายไปเถอะ ขอแค่ขนมกูเสร็จทันส่งลูกค้าก็พอแล้ว ส่วนมิวกับโบ้ทไม่ได้ไปด้วยเพราะมีธุระที่ต้องทำวันหยุด ดังนั้นคืนวันศุกร์ของสัปดาห์นี้นายก้องเกียรติจึงไม่ได้กลับบ้าน ผมโทรหาผู้ปกครองเพื่อรายงานว่าคืนนี้เขาต้องนอนคนเดียวไปก่อน เพราะวันเสาร์เด็กในปกครองจะไปเป็นหนุ่มโรงงาน พี่อู๋ตกใจมากคิดว่าผมไปไหนไกล ผมจึงเฉลยว่าแค่จะไปช่วยทรายอบขนมที่บางพลี พี่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมเอาขนมไปฝากนะ




เช้าวันเสาร์ ทรายกับพี่ที่ชื่อกิ๊บขับรถมารับเราหน้าหอ นั่งรถประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงบ้านของทรายที่บางพลี เป็นบ้านที่ไม่ได้ใหญ่หรูหราแต่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง พี่กิ๊บขับรถไปจอดในโรงรถข้างอาคารชั้นเดียวแล้วไปทำงานข้างนอกต่อ ผมถามทรายว่านี่เหรอโรงงานทำขนมเพราะอาคารตรงหน้าไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้ มันตอบสั้นๆว่าใช่ ก่อนจะพาผมกับออกัสไปล้างมือ ใส่ผ้ากันเปื้อน ใส่หมวก ใส่รองเท้ายาง กลายเป็นผู้บ่าวโรงงานทำขนมปังทันที

“ป๊า ม้า นี่เพื่อนทราย ไอ้ตัวแห้งๆชื่อก้อง ไอ้หน้าหล่อๆชื่อออกัส”

ผมรีบยกมือไหว้คุณลุงกับคุณป้าที่สวมชุดเหมือนเราทันที ทั้งคู่ดูเป็นผู้ใหญ่หน้าตาใจดีที่กำลังง่วนกับการตวงส่วนผสม ทรายแนะนำคร่าวๆก่อนเริ่มงานว่าวันนี้หน้าที่ของผมกับออกัสคืออะไร พรุ่งนี้ก่อนแปดโมง ทรายต้องเอาขนมไปส่งโรงแรมพี่กิ๊บเพราะมีสัมมนา เราต้องทำของว่างทั้งหมดห้าร้อยกล่อง เป็นขนมปังไส้กรอกสองร้อยกล่อง แยมโรลหนึ่งร้อยห้าสิบกล่อง และคัพเค้กช็อกโกแลตอีกหนึ่งร้อยห้าสิบกล่อง เราจะแบ่งทีมกัน เดี๋ยวอาเจ๊ทั้งสองคนของทรายทำแยมโรล ป๊ากับแม่และลูกมืออีกสองคนทำขนมปังไส้กรอก ส่วนทรายกับผมทำคัพเค้กช็อกโกแลต ออกัสร้องอ้าวแล้วถามว่ากูต้องทำอะไร

“แพ็คของใส่กล่องไง”

 ทรายตอบก่อนจะพาผมไปประจำที่ ในโรงงานขนมแห่งนี้แบ่งออกเป็นโซนชัดเจน ห้องหนึ่งเป็นห้องอบขนม อีกห้องเป็นห้องเก็บวัตถุดิบ ส่วนตรงกลางมีโต๊ะกว้างๆวางเรียงเป็นแถว มีชั้นใส่ถาดหลายแผ่น มีหลุมแม่พิมพ์ มีถ้วยกระดาษสำหรับใส่คัพเค้กวางกองบนโต๊ะ พอเริ่มทำงาน ออกัสก็ตั้งกล้องและพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ผมกับทรายปล่อยมันไปเพราะเข้าใจว่าวิถีเซเลบก็แบบนี้ ต้องบันทึกทุกสิ่งอย่างเป็นวล็อกให้แฟนคลับดู ดังนั้นผมจึงไม่ให้ความสนใจออกัสเท่าไหร่ เพราะมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างการทำขนมรออยู่ตรงหน้า

“อย่างแรกเลย – เราต้องแยกไข่แดกออกจากไข่ขาวก่อน”

ผมไม่โปรเรื่องแยกไข่ก็เลยทำหน้าที่ช่วยตอกใส่ชามใบใหญ่ให้เพื่อน ส่วนทรายใช้ขวดน้ำ บีบแยกเอาไข่แดงออกจากไข่ขาวอย่างชำนาญ จำนวนไข่ที่ต้องตอกไม่ใช่แค่แผงสองแผง แต่ตั้งสี่ห้าแผงเพราะเผื่ออบขนมตัวอื่นด้วย ผมตอกจนมือเหนียวเมือกไข่ขาว ตอกอยู่นานหลายนาทีกว่าจะหมด พอหมดแล้วก็ต้องหยิบขวดมาช่วยทรายแยกไข่แดง เละบ้างแตกบ้างไม่เป็นไร อย่าให้ไข่ขาวปนไข่แดงก็แล้วกัน

ระหว่างนี้ทรายปลีกตัวไปวอร์มเตาอบตัวเล็กก่อนจะกลับมาแบ่งชามของผสมออกเป็นสองส่วน หน้าที่ต่อไปของนายก้องเกียรติคือร่อนของแห้งทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยแป้ง น้ำตาลทราย ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา และเกลือ ส่วนที่สองคือน้ำมันพืช ไข่ไก่ กาแฟ กลิ่นวานิลลา และบัตเตอร์มิลค์ที่แยกออกเป็นถ้วยๆ พอทุกอย่างพร้อมแล้ว ทรายก็เปิดเครื่องตีส่วนผสมและเทเนยกับน้ำตาลลงไป ปล่อยให้เครื่องตีทำงานเสียงดังแต็กๆๆอยู่ไม่กี่นาทีก็ตามด้วยกลิ่นวานิลลาและไข่ ขั้นตอนนี้ผมไม่ได้มีส่วนร่วมนอกจากยืนมองทราย มองและแอบจำวิธีทำในใจ ผ่านไปซักพักออกัสก็ถือกล้องเข้ามาหาและเริ่มทำเหมือนเป็นรายการเรียลลิตี้ ตามติดชีวิตผู้บ่าวโรงงานเบเกอรี่

“สวัสดีครับก้อง วันนี้ก้องทำอะไรครับ?”

ผมเหรอหรางุนงง มองกล้องสลับกับเครื่องตีส่วนผสมที่ดังแต็กๆๆอยู่ตรงหน้าก่อนจะบอกว่าทำคัพเค้ก ออกัสจึงพูดต่อว่าเป้าหมายวันนี้ของเราอยู่ที่กี่ชิ้นครับ ผมจึงตอบแบบงงๆอีกว่ามันจะถามทำไม ตอนทรายบรีฟมึงไม่ได้ยินเหรอว่าเราต้องใช้กี่ชิ้น ไอ้ควาย มีหูแต่ไม่ฟังจริงๆเลยนะมึงอ่ะ

“สู้ๆนะ เดี๋ยวเรารอแพ็คขนมลงกล่องเป็นคิวสุดท้าย”

ผมตอบเออๆ มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป เกะกะขวางทาง ไอ้ออกัสหัวเราะก่อนจะเดินถือกล้องไปทั่ว ผมถามทรายว่าป๊ากับม้ามึงไม่ว่าเหรอที่มีคนเดินไปเดินมาไม่ทำงาน ทรายบอกไม่ว่าหรอก ถ้าไม่โง่จนเตะชามส่วนผสมล้มหรือชนเตาอบ ป๊าก็ไม่ว่าอะไร

เมื่อส่วนผสมเริ่มเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ทรายก็ค่อยๆเทของแห้งที่ร่อนเตรียมไว้ลงไป  ตามด้วยชามของเหลวที่เตรียมไว้ ขั้นตอนนี้ต้องค่อยๆระวัง อย่าใส่รวดเดียวไม่งั้นมันตียาก เนื้อไม่เข้ากันดี แล้วทรายก็ปล่อยให้เครื่องตีแป้งอัตโนมัติไปเรื่อยๆ ส่วนมันเรียกผมไปสอนให้ตีเมอแร็งก์ ผมถามทรายว่าใช่อันเดียวกับที่เขาทำเป็นกระปุกขายไหม หวานๆหอมๆ กินแล้วละลายในปากน่ะ ทรายบอกว่าใช่ แต่เราไม่ได้เอาไปอบให้เป็นชิ้นแบบนั้น เราเอาไปผสมในแป้งที่กำลังตีอยู่ต่างหาก วิธีตีเมอแร็งก์นั้นง่ายมากๆ แค่ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ และทยอยใส่น้ำตาลทรายลงไป ค่อยๆขยับตะกร้อมือเพื่อตีส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวจนกลายเป็นวิปครีมเหมือนโฟมล้างหน้าในโฆษณา แค่นี้เราก็จะได้เมอแร็งก์แสนเพอร์เฟ็คแล้ว ง่ายจะตาย

หลังจากนั้นเราก็นำเมอแร็งก์ที่ตีไว้ไปผสมกับแป้ง คราวนี้ไม่ต้องใช่เครื่องตีช่วย ใช้แค่ไม้พายค่อยๆผสมๆจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นก็กระดาษรูปถ้วยวางบนถาดหลุมแล้วใช้ที่ตักคล้ายที่ตักไอศกรีมหยอดเนื้อแป้งลงในถ้วยกระดาษ ส่งเข้าเตาอบเล็กเพราะเตาตัวใหญ่ถูกจองไว้อบขนมปังไส้กรอก จบ ได้แล้วคัพเค้กช็อกโกแลต ยี่สิบชิ้น

ชิบหาย

ที่เขาต้องการมันหนึ่งร้อยห้าสิบชิ้นนี่หว่า เท่ากับว่าผมต้องย้อนกลับไปทำใหม่ตั้งแต่เริ่มอีกประมาณแปดครั้งเลยเหรอ

“ทราย ทำไมมึงไม่ผสมแป้งผสมเนยแล้วตีรวดเดียวเลยวะจะได้อบให้มันจบๆ”
“เคยทำแล้วแต่มันไม่อร่อยเท่าแบ่งทำอ่ะ”
“มึงลองเทียบอัตราส่วนให้เท่ากันรึยัง? บอกสูตรมาสิเดี๋ยวกูเทียบให้”

ผมเสนอตัวช่วย แต่ทรายส่ายหน้า บอกว่าเปล่าประโยชน์เพราะคนอย่างอีทราย มีเหรอจะไม่ขี้เกียจ มันต้องขี้เกียจมากกว่านายก้องเกียรติอยู่แล้ว ไอ้วิธีลดเวลาทั้งหลายอย่างตวงทีเดียว ตีทีเดียว อบรวดเดียว มันทำแล้วออกมาไม่อร่อย ป๊าไม่ยอมให้ขาย ป๊าบอกเสียชื่อร้านหมด

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมกูถึงขอให้มึงมาช่วย”

เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยครับเพื่อน

ดังนั้นช่วงเช้า งานของผมจึงวนลูปอยู่กับการร่อนแป้ง ตีไข่ขาว ผสมวัตถุดิบให้เข้ากันและหยอดลงบนถาดหลุม ทรายเองก็ช่วยด้วยการคอยตวงส่วนผสมทุกอย่างเตรียมไว้ให้พร้อม นายก้องเกียรติจะใช้เมื่อไหร่ก็แค่เท เท เทลงไปและตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เราขะมักเขม้นทำงานกันจนถึงเที่ยง ป๊ากับม้าของทรายจึงเรียกให้ไปกินข้าวในโรงครัวด้านหลังที่มีข้าวกล่องพร้อมรอต้อนรับทุกคน เราละมือจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินไปต่อแถวรับอาหารเหมือนลูกจ้างคนอื่นๆ เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปนั่งกันตามจุดต่างๆ และนี่คือครั้งแรกที่ผมได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง

ทรายเป็นลูกสาวคนที่สาม ในบ้านที่มีลูกสาวทั้งหมดสี่คน คนโตชื่อพี่แป้ง คนที่สองชื่อพี่เนย คนที่สามคือทราย จริงๆชื่อเต็มมาจากน้ำตาลทรายแต่มันห้าวไม่อยากชื่อน้ำตาลเลยบอกใครต่อใครว่าชื่อทรายเฉยๆ ส่วนน้องสาวที่เพิ่งขึ้นมอปลายชื่อยีสต์ ผมถามมันว่าทำไมให้น้องชื่อยีสต์ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ทรายบอกกูก็คิดว่าแปลก แต่ส่วนประกอบของขนมปังมันหมดแล้ว ให้ชื่อนมสดก็กลัวเพื่อนล้อว่าอีนมใหญ่ งั้นชื่อยีสต์ไปแล้วกัน ประหลาดดี

“อ้าว แล้วพี่กิ๊บที่ขับรถมาส่งเมื่อเช้าเป็นอะไรกับมึงอ่ะ?”
“เป็นแฟน”

นายก้องเกียรติพ่นข้าวดังฟู่! แล้วรีบขอโทษออกัสที่รับอานิสงส์เต็มๆก่อนจะถามทรายว่ามึงล้อเล่นหรือจริงจัง ทรายตอบทันทีว่าจริงจัง พี่กิ๊บเป็นแฟนมัน คบกันมาสองปีกว่าแล้วด้วย

“แต่พี่กิ๊บเป็นผู้หญิงนะ”
“แล้วไง?” ทรายยักไหล่
“มึงเป็นทอมเหรอทราย?”
“ไม่ได้เป็น”
“ถ้าไม่ได้เป็นทอม แล้วทำไมถึงมีแฟนเป็นผู้หญิงวะ?”

ผมถามอึ้งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าคำถามตัวเองเสียมารยาทมากแค่ไหน ทรายถอนหายใจราวกับเบื่อที่จะต้องตอบคำถามนี้เป็นรอบที่ล้าน มันบอกว่าผู้หญิงอ่ะนะ -- ถ้าไม่ชอบผู้ชายก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องคู่กับทอมเสมอไป กูจะคู่กับใครก็ได้ที่กูชอบ จบนะ

“พ่อกับแม่มึงไม่ว่าเหรอ?”

ผมถามต่ออีก คราวนี้ทรายหัวเราะเหมือนประชดแล้วบอกว่าจะเหลือเหรอ เมื่อก่อนป๊าทั้งด่าทั้งตี ขังมันในห้องไม่ให้ออกข้างนอกอยู่เกือบอาทิตย์ โดนประชดแดกดันสารพัดเหมือนไม่เคยเป็นพ่อลูกกันมาก่อน ผมถามมันว่าผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง ทรายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบๆว่าพี่กิ๊บมากราบขอโอกาสจากป๊า

ผมกับออกัสพูดไม่ออก อาจเพราะเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นปรับทุกข์ บทสนทนาเกี่ยวกับความรักของน้ำตาลทรายจึงจบลงแค่นี้ ออกัสตักข้าวเข้าปากอีกคำก่อนจะหยิบกล้องออกมาเช็กวิดีโอที่อัดไว้เมื่อช่วงเช้า ผมเพิ่งเห็นว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้เดินลอยไปลอยมาอย่างที่ทรายสั่ง แต่มันสัมภาษณ์ป๊าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของร้านเบเกอรี่ด้วย ผมถามออกัสว่านี่มึงทำอะไรกันแน่ วิดีโอวิถีเน็ตไอดอลหรือรายการอายุเยอะร้อยล้าน ทรายหัวเราะก๊ากเลย โถ อีก้อง ถ้าร้านกูได้จับเงินล้าน ป่านนี้กูคงไม่กราบตีนขอให้มึงมาช่วยอบคัพเค้กหรอก

พูดถึงวิดีโอที่ถ่าย ออกัสก็เปิดชาแนลของตัวเองในยูทูปให้เราดู มีคนติดตามมันตั้งแสนกว่าแต่ยอดวิวคลิปประมาณสองแสนอัป ผมทึ่งมากเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะมีคนติดตามมากขนาดนี้ อีกนิดเดียวก็เท่ากับพี่เอก ฮาร์ทร็อคเกอร์ สู้ๆนะออกัส อีกแค่ห้าล้านซับ มึงก็จะมีคนติดตามเท่าพี่เอกแล้ว

“เฮ้ย – ทำไมมีหน้าไอ้ก้องบนปกคลิปวะ?”

ทรายชี้แล้วชะโงกหน้าเขามาดูโทรศัพท์ของออกัส ผมรีบสาระแนด้วยเมื่อรู้ว่ามีรูปตัวเองเด่นหราอยู่กลางคลิปเหมือนเป็นแขกรับเชิญ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมแค่กำลังไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ ไม่ได้หยุดคุยอะไรมากมายเลย

“อันนี้เป็นวันที่มีรายการติดต่อมาขอทำ วันเดย์ วิธ ออกัส” มันร่ายยาว “ไม่ได้มีมึงแค่คนเดียว มีคนอื่นด้วย ไม่ต้องตื่นเต้น”
“กูไม่ได้ตื่นเต้น! กูแค่ไม่อยากให้หน้าตัวเองออกกล้องที่ไหน!”

ผมบอกมัน และกำชับให้ลบภาพนายก้องเกียรติออกจากอินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ แต่ออกัสบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าจะลบออกจริงๆก็ต้องลบทั้งคลิปซึ่งคลิปนั้นมีคนดูตั้งสี่แสนกว่า มันลบให้ไม่ได้จริงๆ ทีมงานก็จ้างมา ยอดไลก์ยอดแชร์ก็เยอะแล้ว ถือว่ากูขอนะก้อง คราวหน้าจะระวัง ไม่ให้เห็นหน้ามึงชัดๆก็แล้วกัน ผมเห็นว่ามันเป็นงานเป็นการก็เลยยอมปล่อยผ่าน คราวนี้ช่างมัน แต่ถ้าคราวหน้าติดภาพนายก้องเกียรติไปอีก ผมจะตามไปเม้นต์ด่าทุกช่องทางที่มันลงคลิปเลย

เรานั่งกินข้าวไปคุยเรื่องงานของออกัสไปเพลินๆ ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการทำคอนเท้นต์เยอะแยะ ออกัสบอกว่าเมื่อก่อนมันก็เคยทำวิดีโอรีวิวอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้ยูทูปเบอร์ส่วนใหญ่ทำแนวนั้นกันเยอะ วิดีโอออกมาก็จะจำเจหน่อยๆเพราะมีแต่คำว่าอร่อย สวย สุดยอด ต้องมา ต้องลอง ต้องโดน มันน่าเบื่อและไม่แปลกใหม่สำหรับคนดู ออกัสเลยเลือกทำวล็อกเกี่ยวกับตัวเองแทน เพราะยังไงออกัสก็มีคนเดียว เรื่องที่เจอในแต่ละวันย่อมไม่เหมือนช่องอื่นอยู่แล้ว ผมว่าไอเดียมันสร้างสรรค์ดี แต่ทำไมไม่เรียนนิเทศ มาเรียนวิศวะทำห่าอะไร มันตอบสั้นๆว่าที่บ้านไม่ให้ เขาอยากให้เรียนสายที่จบไปมีงานเฉพาะทางมากกว่า เอาแล้วปมด้อยในชีวิตอีกหนึ่ง ก้องเกียรติเรื่องพ่อ ทรายเรื่องแฟน ออกัสเรื่องเรียน ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาพันธ์คนช้ำใจเพราะครอบครัวแห่งประเทศไทยนะเพื่อนๆ

ผมรีบกินข้าวให้หมดแล้วไปทำงานต่อ ตกบ่าย ขนมที่อบเริ่มทยอยเสร็จออกมาจนสามารถแพ็คใส่กล่องได้ โรงงานนรกจึงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะผมต้องแพ็คขนมใส่ซอง ปิดสก็อตเทป และพับกล่องกระดาษด้วย เราทุกคนช่วยกันจัดขนมลงกล่องนานตั้งสองชั่วโมงกว่าจะเสร็จเรียบร้อย นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงสองนาที ป๊าของทรายให้เงินค่าแรงผมห้าร้อยบาท และขนมที่เหลือจากการอบวันนี้อีกเล็กๆน้อยๆเป็นน้ำใจขอบคุณที่มาช่วยงาน

พอจะกลับบ้าน พี่แป้งก็ขับรถมาส่งเราที่หอ หลังแยกย้ายผมแอบไลน์ไปขอโทษทรายที่วันนี้ถามอะไรไม่เข้าเรื่องเท่าไหร่ ทรายบอกว่าไม่เป็นไร ถามก็ดีแล้ว ต่อไปเวลาเจอพี่กิ๊บไปรับที่มออีกจะได้ไม่ตกใจ

“กลับบ้านเลยไหม? เดี๋ยวกูไปส่ง”

ออกัสถาม แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามันแวะส่งที่แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ได้จะเป็นพระคุณมาก ออกัสจึงหายไปเก็บกระเป๋าที่ห้องแล้วขับรถไปส่งนายก้องเกียรติที่สถานีรถไฟฟ้าตามสัญญา ก่อนแยกกันมันบอกว่าหน้าผมที่เห็นในวิดีโอวันนี้สามารถอัปบนเน็ตได้ไหม ผมตอบว่าได้ แต่ต้องเซ็นเซอร์ให้เรียบร้อย ทำยังไงก็ได้อย่าให้ใครรู้ว่านี่คือหน้ากูเด็ดขาด

ออกัสรับปากดิบดีว่าจะให้ทีมตัดต่อจัดการให้ ผมถามว่ามันไม่ได้ทำเองเหรอ ออกัสส่ายหน้า เมื่อก่อนพอมีเวลาทำเองได้บ้าง แต่ถ้าจ้างคนตัดมันสะดวกกว่า แถมคลิปก็ออกมาน่าดูกว่าด้วย ผมจึงถามต่อว่าแบบนี้ไม่ขาดทุนเหรอ เราจ้างคนตัดต่อแต่คนที่กดเข้ามาดูคลิปไม่ต้องเสียเงินซักบาทนะ ออกัสบอกว่าเงินที่ได้จากยูทูปมันก็มี แต่หลักๆจะได้จากสปอนเซอร์ที่ติดต่อเข้ามาจ้างให้ช่วยโปรโมตของมากกว่า ถ้าพูดตรงๆ เงินจากช่องตรงนี้ไม่เยอะเท่ากับถ่ายแบบ มันเคยรับงานเป็นนายแบบให้ร้านขายหมวกขายเสื้อผ้า ถ่ายงานเสาร์อาทิตย์ก็ได้เงินมากินขนมแล้วหมื่นกว่าบาท

“มึงอยากเข้าวงการนี้ไหม? กูรู้จักคนเยอะนะ”
“ไม่เอาอ่ะ กูไม่ใช่คนหล่อ คงไม่มีใครจ้างนอกจากบริษัทขายอาหารหมา อ้อ – เขาไม่ได้จ้างกูไปเป็นคนเลี้ยงด้วย จ้างให้เป็นหมา แดกอาหารหน้ากล้องแลกเงิน”

ออกัสหัวเราะก๊ากก่อนจะบอกว่ามึงก็ดูดีใช้ได้นะก้อง วันก่อนที่อัปคลิปมีคนคอมเม้นต์เยอะเลยว่าก้องน่ารักๆ ผมย่นจมูก ส่ายหน้าไม่เชื่อ ชาวเน็ตก็ตาถั่วกันแบบนี้แหละ เห็นลิงเป็นคน เห็นคนเป็นเทวดา ลองเจอตัวจริงเดี๋ยวก็รู้ว่ากล้องมันหลอกตา กูหน้าเหมือนหมาจะตาย

เราบอกลากันในรถ ส่วนผมรีบต่อคิวรอรถไฟฟ้ากลับบ้าน นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสามสิบเจ็ดนาที ผมถึงบ้านที่ลาดพร้าวโดยสวัสดิภาพ ทันทีที่ไขกุญแจห้องเข้าไปก็พบร่างขึ้นอืดของตาลุงคนหนึ่งบนโซฟา พี่อู๋นอนหงายคอเหมือนกึ่งจะทำสะพานโค้ง เสื้อยืดก็เปิดเลิกจนเห็นพุงกลมๆ เขานอนหมดสภาพโดยมีสมุดจดศัพท์ เอกสารแปลนเครื่องจักร และดิกชันนารีเก่าๆหนึ่งเล่ม สงสัยคงทำงานจนเหนื่อย ผมจึงไม่ปลุกเขานอกจากเก็บกวาดห้องเงียบๆ แต่เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมแล้วคุณอิศรินทร์ก็ยังนอนกรนเหมือนเดิม เห็นแล้วนึกถึงชาแนลในยูทูปที่ออกัสทำ แต่ผมจะไม่เลียนแบบมันด้วยการทำวันเดย์ วิธ กอริลลาหรอก ผมอยากเปิดชาแนลสารคดีสัตว์โลกน่ารักและตั้งชื่อว่ากินอยู่กับหมูอู๋ ต้องมีโฆษณาขายอาหารสัตว์ติดต่อมาบ้างล่ะ




ต่อ Part 2 ข้างล่างเลยนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
34 [PART 2/2]


เดือนกันยายน ผมเริ่มสอบมิดเทอมตัวแรก จากที่เคยชิลเคยเล่นมาตั้งสองเดือนครึ่ง ตอนนี้ถึงวาระสำหรับการชดใช้กรรมแล้ว

ผมไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยเหมือนช่วงแรกๆเพราะเพื่อนๆชอบจับกลุ่มติวกลางดึก บางทีคืนวันศุกร์ยังนั่งก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์จนดึกไม่ยอมหลับยอมนอน ในบรรดาพวกเราทั้งหมด คนที่ปล่อยวางทำตัวสบายๆกว่าใครคือไอ้โบ้ท เวลาเราจับกลุ่มกับเพื่อนช่วยกันติว ไอ้นี่มักจะนั่งเล่นเฟสบุ๊กไปเรื่อย ดูยูปทูปบ้าง ดูเน็ตฟลิกซ์บ้าง ไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่

วันหนึ่งระหว่างติววิชากลศาสตร์ ไอ้โบ้ทขัดจังหวะด้วยการถามว่าทำไมผมถึงไปอยู่ในชาแนลไอ้ออกัสเยอะจัง ผมบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไอ้ออกัสแค่ถ่ายวีล็อก วล็อก หรือซัมติงแล้วบังเอิญติดหน้าผมไปเท่านั้นแหละ เออว่าแต่มันเซ็นเซอร์ให้ไหม กูสั่งแล้วนะว่าต้องเบลอหน้ากูออก ไอ้โบ้ทส่งคลิปให้ดูว่าออกัสทำตามที่รับปากไว้หรือเปล่า พอเห็นหน้าตัวเองผมก็สบถทันที

ไอ้ออกัส ไอ้ควาย
มันไม่เบลอออก แต่ใส่ฟิลเตอร์แมวให้ผมแทน

“ก้อง ออกัสมันทำซะมึงดูมุ้งมิ้งเลยอ่ะ”

มิวหัวเราะขำแต่ผมไม่ขำ เพราะไม่รู้ว่าในคลิปมีภาพหรือเสียงตอนผมทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า พอเห็นหน้าตัวเองในยูทูปผมยอมรับว่าทั้งโกรธทั้งอาย ไม่รู้มีใครคอมเม้นต์ว่าหน้าเหมือนหมาบ้างไหม แต่ถ้ามี ผมจะไปฟลัดคอมเม้นต์ปล่อยข่าวว่าไอ้ออกัสย่างหมาหลังหอเป็นการเอาคืน

ทรายเป็นคนเบรคความไร้สาระนี้ด้วยการเรียกให้ทุกคนกลับมามีสมาธิกับการติวหนังสือสอบ นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่ม เราทุกคนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง เหลือทรายที่ต้องซ้อนท้ายจักรยานผมกลับหอในเกกีสอง ระหว่างทางเราคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องทั่วไป แต่ซักพักทรายก็เข้าประเด็น ถามผมตรงๆว่าระหว่างนายก้องเกียรติกับออกัสมีอะไรหรือเปล่า

“ไม่มีนะ” ผมตอบงงๆ เพราะไม่มีจริงๆ “ทำไมต้องมีด้วยวะ?”
“มึงเล่นไอจีไหม?”
“ไม่เล่น”
“ทวิตเตอร์อ่ะ?”
“ทวิตเตอร์คืออะไร?”

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ ก่อนทรายจะสั่งว่ามึงขับจอดหน้าเซเว่นเลย กูมีเรื่องอยากบอกมึง ผมจึงตอบเออๆตามใจเพื่อน ยอมออกแรงปั่นไปจนถึงหน้าร้านสะดวกซื้อเพราะอยากรู้ว่าคุณหญิงทรายท่านจะว่ายังไง พอจักรยานจอดปุ๊บ ทรายก็ลงจากรถและถามทันทีว่า ก้อง กูสงสัยมานานแล้ว มึงเป็นเกย์หรือเปล่าวะ

“ไม่ได้เป็น!” ผมตอบเสียงดัง “นึกยังไงถึงถามแบบนี้วะ?”
“กูเห็นมึงมีพี่อู๋”
“เขาเป็นผู้ปกครองของกูเฉยๆ”
“แล้วออกัสล่ะ? มึงชอบออกัสหรือเปล่า?”
“อีทราย – กูสาบานเลยว่ากูไม่ได้ชอบออกัสแบบนั้น กูเห็นมันเป็นแค่เพื่อน”
“แน่ใจนะ?”
“เออ” ผมยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าเรียนรด.
“ไม่ได้ชอบออกัสก็แล้วไป กูค่อยโล่งใจหน่อย”
“อะไรวะ?”
“หัดตามคนอื่นให้ทันบ้างสิมึงเนี่ย พี่อู๋เขารับได้ไงวะมีแฟนโง่ขนาดนี้”

ผมงงหนักกว่าเดิมอีก ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทพูดอะไร ทรายเดินสะบัดตูดเข้าร้านสะดวกซื้อโดยไม่รอให้นายก้องเกียรติถามต่อ ผมโวยวายทันทีว่ามึงจะหนีไปไหน เรายังคุยกันไม่จบ ทรายหันมาพูดเสียงดังว่าซื้อผ้าอนามัย มึงจะซื้อด้วยไหม มาสิ มาเลือกกับกู

“อีเหี้ย”

ผมด่ามัน อุตส่าห์คิดว่าเรียกมาคุยเรื่องสำคัญ ที่ไหนได้ มันหลอกใช้ให้พามาซื้อผ้าอนามัย พับผ่าสิ




หลังผ่านช่วงอดหลับอดนอน อ่านหนังสือสอบมิดเทอมเสร็จ ชีวิตของนายก้องเกียรติก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมกลับบ้านทุกวันศุกร์และใช้ช่วงวันหยุดกับผู้ปกครองเหมือนเดิม พี่อู๋เองก็ว่างเพราะเพิ่งผ่านงานแฟร์เครื่องจักรใหญ่ประจำปีไปได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงชวนผมไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อดูหนังสือและซื้อชานมไข่มุกที่อร่อยเหมือนเสิร์ฟจากสวรรค์ มันอร่อยจนผมอยากฉีกเสื้อแล้วตะโกนว่ากาก้า! กาก้า! กาก้า! สามครั้งเพื่อรีวิวให้ทุกคนรู้ว่าอร่อยจริงๆ

เราสองคนเดินเล่นในเซ็นทรัลเรื่อยเปื่อยตามปกติ บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนายก้องเกียรติมากกว่าเพราะคุณอิศรินทร์ไม่ชอบคุยเรื่องงานเท่าไหร่ พอคุยจนหมดหัวข้อคลายเครียด พี่อู๋ก็เปิดประเด็นด้วยการบอกว่าพ่อของก้องยังโทรมาหาอยู่นะ เขาอยากรู้ว่าก้องเป็นไงบ้าง

“ทำไมพี่อู๋ไม่เล่าให้ผมฟัง?”
“ก้องบอกพี่เองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากคุยกับเขา?”

ก็ใช่ – แต่ผมไม่อยากให้พี่แอบคุยกับพ่อลับหลังเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงทำข้อตกลงใหม่ว่าถ้าพ่อโทรมาอีก ผมอยากให้พี่อู๋บอกผมซักคำ เล่าให้ฟังหน่อยว่าคุยอะไรกันบ้าง พี่อู๋บอกว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วไป โทรมาไม่นานหรอก ไม่ถึงสองนาทีก็วางสายแล้ว ช่วงหลังๆพ่อของก้องบอกว่าอยากรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่พี่ปฏิเสธว่าไม่เป็นไร พี่กลัวว่าถ้ารับเงินจากพ่อของก้อง เขาจะพยายามเข้ามาทำให้ก้องอึดอัดมากกว่านี้

ที่พี่อู๋พูดเป็นความจริง ผมไม่อยากรับเงินพ่อเพราะกลัวเขาใช้ข้อต่อรองตรงนี้มาทวงบุญคุณ บอกว่าส่งเสียให้เรียนแล้วก็ควรกลับไปอยู่ในความดูแลของพ่อ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด แค่พ่อคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนในครอบครัวของพ่อ ทั้งอาม้าที่เคยแกล้งแม่ ทั้งเมียใหม่ ทั้งลูกสาวของคนในตระกูลนั้นจะปฏิบัติกับผมยังไงก็ไม่รู้ ผมไม่สะดวกใจ ไม่อยากเกี่ยวดองกับคนบ้านนั้นเลย

ระหว่างที่กำลังยืนคุยอยู่หน้าร้านหนังสือ จู่ๆผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเลยไปแล้วก็วกย้อนกลับมาหานายก้องเกียรติกับผู้ปกครอง เธอมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกผมคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจะถามทางก็เลยชี้ให้ไปถามพี่อู๋ แต่ปรากฏว่าเธอเป็นคนไทย และที่เดินย้อนกลับมาหาก็เพราะอยากถามว่าผมคือก้องเพื่อนของออกัสหรือเปล่า

“อ๋อ ครับ ผมเป็นเพื่อนออกัสครับ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ?”

ผมงง พี่อู๋ก็งงว่าจู่ๆจะมาขอถ่ายรูปกันทำไม เธอขออนุญาตเป็นหนที่สองเมื่อเห็นว่านายก้องเกียรติไม่ตอบสนองคำขอ ส่วนพี่อู๋เอาแต่ยืนขมวดคิ้วงง เขาดูสับสนไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงขอถ่ายรูปกับลิง และเขาไม่ยอมปล่อยผ่านด้วย คุณอิศรินทร์จึงถามเธอว่ารู้จักก้องได้ยังไงเหรอครับด้วยสีหน้าเป็นมิตร แต่ผมรู้ว่าใต้รอยยิ้มนั้น – พี่อู๋ลับมีดรอแล้ว

“พอดีหนูเป็นแฟนคลับกัสก้องอ่ะค่ะ”
“กัสก้อง?”

พี่อู๋ถามทวนเพราะไม่เข้าใจ เออ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

“ค่ะ ตกลงขอถ่ายรูปได้ไหมคะ?”

ผมยิ้มแหยขอให้พี่อู๋ช่วย แต่เขาไม่ช่วยเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเขา ดังนั้นนายก้องเกียรติจึงยอมให้แฟนคลับของเพื่อนเซลฟี่ด้วยหนึ่งรูป ผมกำชับบอกเธอว่าอย่าลงอินเทอร์เน็ตได้ไหมครับ ผมเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบเห็นรูปตัวเองในที่สาธารณะเท่าไหร่ เธอบอกว่าไม่ต้องอายหรอก รูปของผมเห็นได้ทั่วไปในทวิตเตอร์นั่นแหละ รู้ไหมว่าผมมีแฟนคลับด้วยนะ มีคนชอบผมเยอะแยะเลย

“บ๊ายบายนะก้อง ฝากออกัสด้วยน้า”

ผมยกมือบ๊ายบายพลางคิดในใจว่าทำไมต้องฝากไอ้ออกัสไว้กับผมด้วย แต่ก็ได้แค่คิดเพราะไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆถึงมีคนรู้ว่าผมชื่อก้องเกียรติ รู้แม้กระทั่งว่าเป็นเพื่อนของออกัส แค่มีหน้าโผล่ในคลิปสองสามคลิปไม่น่าจะขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ ผมเป็นแค่ตัวประกอบเองนะ ไม่เคยถ่ายคู่กับมันเลยซักครั้ง

ผมรีบหันไปหาพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาจะแสดงอาการอะไรไหม แต่พี่อู๋ไม่พูดซักคำ สีหน้าของเขาเรียบและตึงกว่าที่คิดเหมือนคนกำลังมีเรื่องกังวลในใจ ผมจึงแกล้งเฉไฉไม่ให้พี่อู๋โมโหด้วยการชวนไปดูหนังสือในร้าน เขาก็ยอมไปแต่โดยดี ไม่มีอิดออดแง่งอนจะกลับบ้าน หรือทำตัวงี่เง่าไม่พอใจ ซักไซ้ว่าไอ้ออกัสคือใครเลยซักประโยค

พอเห็นผู้ปกครองไม่ใส่ใจ ผมจึงปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปไม่พูดถึงอีก แต่เหตุการณ์แบบนี้ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆโดยที่เราก็ไม่รู้ว่าทำไม อย่างวันก่อนพี่อู๋พาไปกินแซลมอนแถวสยามก็ยังมีคนแวะทักทายและขอถ่ายรูปประมาณสี่ห้าคน ผมเริ่มอึดอัดนิดๆเพราะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่ ดังนั้นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ผมจึงถามออกัสว่ามึงคุยอะไรกับแฟนคลับวะ ทำไมเขาถึงมาขอกูถ่ายรูปกันเยอะแยะ ออกัสยิ้มชอบใจราวกับแผนที่วางไว้สำเร็จลุล่วงด้วยดี มันบอกว่าไม่ได้ทำอะไร แค่อัปคลิปอัปรูปมึงเฉยๆ คนเขาชอบกันเอง

“ต่อไปไม่อัปรูปกูได้ไหม? กูขอ”
“ทำไมวะ?”
“กูไม่ชอบ”

และพี่อู๋ก็ไม่ชอบด้วย

“มึงจะทำอะไรก็ทำเถอะ แต่อย่าให้มีหน้ากูไปโผล่บนเน็ตเลย กูอึดอัดว่ะ”

ออกัสหน้าเจื่อนนิดหน่อยก่อนจะรับปากว่าจะไม่ถ่ายวล็อกหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ติดหน้านายก้องเกียรติอีกเป็นอันขาด ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ควรจบง่ายๆแต่ปรากฎว่ามันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยที่ผมไม่รับรู้เพราะไม่ได้เล่นโซเชียล กว่าจะรู้ว่า #กัสก้อง คืออะไรก็ตอนที่ทรายแอบคุยกับผมเงียบๆสองคนระหว่างต่อคิวซื้อข้าว

“มันเป็นแท็กในทวิตเตอร์”

ทรายเลื่อนให้ดู ในนั้นมีการพูดถึงผมกับออกัสค่อนข้างเยอะ มีคนแนบรูปที่แคปจากคลิปในยูทูปมาด้วย ทรายเลื่อนผ่านเรื่อยๆจนผมเห็นข้อความหนึ่งเขียนว่า –

เมื่อไหร่จะคบกันซักที คนรู้กันทั้งลาดกระบังแล้วจ้าว่าเพื่อนไม่จริง

“คืออะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วถามทราย
“ตอนนี้มึงเป็นคู่จิ้นกับไอ้ออกัส”
“คู่จิ้น?”
“เออ คู่จิ้น มีคนหวีดเยอะด้วย มึงดูสิ”

ทรายไล่ให้ดูผ่านๆอีก ผมถามเพื่อนสนิทว่ารู้ได้ไงว่า #กัสก้อง อยู่ในทวิตเตอร์ ทรายบอกว่ามิวแคปมาถามเดือนที่แล้ว มันไม่กล้าบอกเพราะไม่รู้ว่าผมเต็มใจเป็นคู่จิ้นของไอ้กัสไหม แต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะรู้เรื่องเพราะผมไม่เล่นโซเชียลนอกจากเฟสบุ๊กกับไลน์ แถมวันๆก็เอาแต่เรียนกับหาร้านข้าวอร่อยๆ ไม่เคยทำตัวเรียกเรตติ้งจากแฟนคลับไอ้ออกัสซักครั้ง

“มึงไม่ได้ชอบออกัสก็ดีแล้ว กูกลัวมึงอกหัก”
“ทำไมถึงคิดว่ากูชอบมันวะ?” ผมถามต่อ “แล้วสรุปไอ้คู่จิ้นนี่มันคืออะไร?”
“คือคนสองคนที่แฟนคลับอยากให้คบกันจริงๆ เหมือนญาญ่ากับณเดชไง”

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ทรายพูดเท่าไหร่ แต่ก็บอกแค่ว่าโอเคๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ได้ชอบออกัส และก็ไม่ชอบการจับคู่ระหว่างเราสองคนด้วย

“เย็นนี้กลับบ้านไปหัดเล่นทวิตเตอร์สิ” ทรายเปิดแอปนกสีฟ้าให้ดู “ใส่แฮชแท็ก #กัสก้อง ตรงนี้ แล้วกดล่าสุด มึงเลื่อนดูได้เลยว่าคนอื่นพูดถึงมึงกับออกัสยังไงบ้าง”

 ผมรับปากทรายว่าจะลองเปิดดู แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรแก้ปัญหานี้ยังไง ความรู้สึกของผมคือไม่ชอบ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ ไม่อยากให้ใครเดินมาขอถ่ายรูปทั้งๆที่ไม่รู้จักกันอีก วันนี้หลังเลิกเรียนผมตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับบ้านเพื่อหัดเล่นทวิตเตอร์ ผมอยากรู้ว่ากระแส #กัสก้อง มันเริ่มมาจากตรงไหน ผมจะหยุดมันให้เร็วที่สุดได้ยังไง เพราะตอนนี้มีคนสะกิดหลังผมและขอถ่ายรูปอีกแล้ว





#กัสก้อง

เพิ่งเป็นกระแสได้ไม่กี่เดือน ก่อนหน้านั้นออกัสครองตัวเป็นโสด เป็นคิ้วท์บอยธรรมดาๆที่มีคนถ่ายรูปอัปโหลดบนอินเทอร์เน็ต แต่นายก้องเกียรติเริ่มมีซีนเมื่อวันปฐมนิเทศตอนเปิดเทอม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นตัวเองทำอะไรบ้าง แต่มีคนจับภาพตอนผมกำลังเท้าคางนั่งมองออกัสหลับ ผมไม่เข้าใจว่าแค่รูปรูปเดียวทำไมถึงคิดกันไกล ผมไม่ได้มองออกัสเลยด้วยซ้ำ ผมมองไอ้โบ้ทเพราะเห็นว่ามันแอบแกะช็อกโกแลตกินใต้โต๊ะไม่เกรงใจอาจารย์ต่างหาก

พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาตอนนายก้องเกียรติกำลังเช็กเรตติ้งพอดี เขาถามว่าทำอะไร ทำไมหน้าเครียดจัง ผมจึงส่งทวิตเตอร์ให้เขาดูเพื่อฟ้องว่ามีคนแอบถ่ายรูปผมกับออกัสแล้วเขียนบรรยายจับคู่ให้เป็นแฟนกัน พี่อู๋รีบคว้าโทรศัพท์ไปดูอย่างรวดเร็ว ผมแอบเห็นคิ้วเขากระตุกเป็นพักๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนแล้วถามว่าเพื่อนที่ชื่อออกัสตามจีบก้องเหรอ

“ไม่ได้จีบครับ”

ผมแก้ตัวทันที และส่งโทรศัพท์ให้พี่อู๋เช็กอีกรอบเพื่อยืนยันว่าเราไม่เคยจีบกันเลย แม้แต่ในไลน์ ออกัสก็ไม่เคยทักมาคุย ไม่เคยคอลข้ามคืน(เพราะติดสายพี่อู๋) ไม่เคยชวนไปเที่ยวไหน(เพราะผมมีนัดกับพี่อู๋) ยกเว้นเวลามีถ่ายวล็อกเท่านั้น คุณอิศรินทร์ดูเครียดกว่าตอนทำงานเสียอีก ผมเดาเอาว่าเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจการจิ้นวายในวัยรุ่นเท่าไหร่หรอก เขารู้แค่ว่าออกัสกำลังใช้ผมเป็นจุดขาย #กัสก้อง เพื่อให้คนสนใจมันมากขึ้นเท่านั้น

“โทรหาออกัส”
“จะดีเหรอครับ?”
“ดีสิ เคลียร์กันเถอะ จะได้เลิกเอาก้องไปหากินเสียที”

ผมกดโทรศัพท์โทรหาออกัสโดยคุยผ่านสปีคเกอร์ รอสายแค่แป๊ปเดียวมันก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริงดี๊ด๊าสดใส ผมถามออกัสว่าสะดวกคุยไหม เมื่อมันตอบว่าสะดวก มีอะไรเหรอ ผมจึงถามถึงแฮชแท็กกัสก้องในทวิตเตอร์เป็นคำถามแรก

“อ๋อ – เป็นแท็กสำหรับคนที่ชอบเวลาเราอยู่ด้วยกันอ่ะ มึงรู้แล้วเหรอ?”
“กูเพิ่งสมัครทวิตเตอร์”
“เล่นไอจีด้วยสิ เดี๋ยวไปฟอล”

ผมบอกว่าไม่เอา ไม่เล่น ผมไม่อยากเล่นโซเชียล ออกัสจึงตอบแค่ว่าอืมๆแล้วถามต่อว่าโทรมาถามถึงกัสก้องนี่ไม่สบายใจเหรอ ผมตอบทันทีว่าใช่ ผมไม่ชอบโดนจับคู่กับมัน ไม่ชอบโดนขอถ่ายรูปเวลาออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะฉะนั้นทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้ เอาชีวิตปกติของผมคืนมา ผมไม่อยากเป็นเน็ตไอดอล ไม่อยากให้ใครมายุ่ง เข้าใจไหมออกัส

“กูทำอะไรไม่ได้ว่ะก้อง คนเขาชอบมึงเอง กูไม่ได้ทำอะไรเลย”
“มึงก็บอกไปสิว่ากูไม่ชอบ”
“จะแกว่งปากหาแอนตี้เข้าตัวทำไมวะ? มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่เหรอ?”

ที่ออกัสพูดก็ถูก มีคนรักต้องดีกว่ามีคนเกลียดอยู่แล้ว แต่ผมอยากได้ความเป็นส่วนตัวกลับมาด้วย ออกัสอาจจะเคยชินเวลามีคนขอถ่ายรูปหรือพูดถึงในอินเทอร์เน็ต แต่ผมไม่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่รู้แหละ มึงต้องทำให้แฟนคลับมึงหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น – ไม่งั้น – ไม่งั้นอะไรวะ ผมทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง

“ก้อง กูถามจริงๆเถอะ ที่มึงไม่ชอบให้คนจิ้นกับกูเพราะตัวมึงเองหรือพี่อู๋?”
“พี่อู๋เกี่ยวอะไรด้วย?”

ผมเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะหันมองผู้ปกครอง ตอนนี้สีหน้าคุณอิศรินทร์ตึงยิ่งกว่าคนเพิ่งฉีดโบท็อกเสียอีก ผมว่าเขาคงโมโหมากๆแต่พยายามไม่แสดงออกเพราะกลัวออกัสรู้ว่าเราเปิดลำโพงคุยกัน

“ก้อง มึงเป็นอะไรกับพี่อู๋ แฟนเหรอ?”
“ไม่ได้เป็น!”

ผมตอบเสียงดัง คราวนี้พี่อู๋หน้านิ่งกว่าเดิมอีก

“ถ้ามึงไม่ได้เป็นแฟนเขา มึงจะแคร์ที่เขาพูดทำไม?”
“พี่อู๋ไม่ได้ว่าอะไรที่มีคนชอบกัสก้อง แต่กูอึดอัดเวลาไปไหนมาไหนข้างนอกแล้วมีคนตาม มีคนขอถ่ายรูป --”
“มึงไม่ชอบแฟนคลับเพราะมีแฟนครับอยู่แล้วหรือเปล่า?”
“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิวะ!”
“พอแล้ว ไม่ต้องคุยแล้ว”

พี่อู๋ตัดบทก่อนจะแย่งโทรศัพท์มาคุยเอง เขาแนะนำตัวกับออกัสว่านี่พี่อู๋นะ เป็นผู้ปกครองของก้อง ออกัส พี่อยากรู้ว่าเราทำแบบนี้ทำไม สร้างกระแสให้ตัวเองเหรอ หรือแค่หาฐานแฟนคลับเพิ่ม พี่ไม่ว่าหรอกถ้าออกัสทำเพราะอยากจีบหรือสนใจก้องจริงๆ แต่ถ้าเข้ามาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ตัวเองก็เลิกเถอะ ก้องไม่เต็มใจเล่นด้วย ช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของก้องด้วยนะ

ออกัสเงียบไปพักนึง เดาเอาว่ามันคงอึ้งที่จู่ๆก็โดนเทศน์เสียยืดยาว หลังจากปล่อยให้เกิดเดธแอร์แค่ห้าวินาที ออกัสก็ถามย้อนพี่อู๋ว่าแน่ใจเหรอครับว่าพี่โอเคถ้าผมจะจีบก้อง ฟังจากที่ฟังเมื่อกี๊แล้วพี่ไม่ค่อยโอเคนะ พี่ก็แค่หาเรื่องกันผมออกมากกว่า แล้วก็อีกอย่าง –

“ก้องยังไม่ได้ให้คำตอบพี่ไม่ใช่เหรอครับ?”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งแทนเพราะไม่รู้ว่าออกัสรู้ได้ยังไง

“ผมว่าพี่อย่าระแวงว่าใครจะเข้ามาแย่งก้องเลย พี่ห่วงเด็กตัวเองเถอะ เผลอๆชาตินี้ก็ไม่ได้คำตอบหรอกว่าตกลงพี่กับก้องเป็นอะไรกันนอกจากเป็นได้แค่ผู้ปกครอง ใช่ไหมก้อง?”

มือที่ถือโทรศัพท์ของพี่อู๋สั่นจนสังเกตได้ ผมมองหน้าผู้ปกครองด้วยความหวาดหวั่นเพราะไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดยังไง แต่เห็นตอนเขากัดฟันจนขึ้นสันกรามแล้วพูดตรงๆเลยว่าน่ากลัวมาก พี่อู๋น่ากลัวยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับคุณหมูพีเสียอีก

“แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีผมต้อง --”

พี่อู๋ตัดสาย ไม่รอให้ออกัสได้พูดจบ หลังจากบทสนทนาเชือดนิ่มๆสิ้นสุดลง คุณอิศรินทร์ก็หันมาจ้องหน้าผม เป็นการจ้องที่ไม่ได้โมโหหรืออยากเค้นเอาคำตอบ แต่เป็นการมองมาด้วยแววตาที่ไม่มั่นใจในตัวนายก้องเกียรติเหมือนที่ผ่านมา





TBC



____________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันทุกวันจันทร์เช่นเคยนะคะ :D

ช่วงนี้กำลังเขียนตอนพิเศษไฟลุกเลยค่ะ เผาหัวตัวเองทุกคืน ค่อนข้างคืบหน้าไปเยอะเลย หากกำหนดการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการออกเมื่อไหร่ จะรีบแจ้งให้ทุกคนทราบน้า  ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ ขอบคุณค่า ;-;



ปล. ตอนนี้พี่อู๋ก็ยังไม่ได้กินส้ม แต่เรามีตัวอย่างแกะส้มสวยๆจากคุณ @pukjin มาฝากนะคะ พี่จ๋าสามารถดูแฟนอาร์ตสวยๆได้จาก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ ได้เลยค่ะ เจอกันใหม่วันจันทร์หน้า สวัสดีค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด