36
สองสัปดาห์ผ่านไป กระแส #กัสก้อง ซาลงเพราะผมไม่ปรากฎตัวในช่องทางไหนของออกัสอีก ไม่ว่าจะอินสตราแกรม เฟสบุ๊กเพจ ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่ช่องในยูทูปก็ไม่มีเงาของก้องเกียรติอยู่ คนขอถ่ายรูปก็น้อยลงเป็นเท่าตัว แต่เวลาไปไหนยังคงมีคนมองและชี้มือชี้ไม้มาทางผมเหมือนเป็นลิงหลุดกรงบ้าง แอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายบ้างตามประสาแฟนคลับที่ชื่นชอบ #กัสก้อง ส่วนใหญ่ที่เจอไม่มีใครเป็นแฟนคลับผมหรอก พวกเขาแค่เอ็นดูและรักผมเพราะอานิสงส์จากออกัสเท่านั้น
ผมเริ่มปล่อยวางเรื่องคู่จิ้นเพราะมันหายไปแล้ว กระแสความรักแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อระหว่างออกัสกับก้องเกียรติค่อยๆมอดดับลงเมื่อไม่มีโมเมนท์ชวนจิ้นหลุดออกมา ตอนนี้ผมกำลังโฟกัสอยู่กับการเรียนเต็มที่ อาจจะมีแอบคิดถึงพี่อู๋บ้าง แต่โดยรวมผมยังสนใจบทเรียนเพื่อทำเกรดดีๆให้ผู้ปกครองภูมิใจ วันหนึ่งขณะปั่นจักรยานไปส่งน้ำตาลทรายที่หอ เพื่อนคนสวยก็ถามว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณอิศรินทร์ไปถึงไหนแล้ว ผมจึงตอบว่า
“ที่เดิม”
“เล่นตัวมากๆระวังมีคนคาบพี่อู๋ไปแดก”
“ใครจะคาบไป วันๆเขาทำแต่งาน”
ผมหัวเราะ แต่จริงๆแอบกังวลมาซักพักเหมือนกันว่าพี่อู๋จะเจอคนใหม่ ถึงจะอายุสามสิบกว่าแต่หน้าตาเขายังหล่อ สตางค์ก็มี แถมคารมณ์ยังดีอีก ถ้าเขาบังเอิญเจอใครที่ให้ทุกอย่างกับเขาได้มากกว่านายก้องเกียรติ วันนั้นผมตายแน่
“รีบบอกเขาได้แล้ว”
“กูคิดอยู่” ผมถอนหายใจ “ถามจริงนะทราย ตอนมึงยังไม่คบกับพี่กิ๊บ มีผู้ชายมาจีบมึงบ้างไหม?”
“ไม่อยากพูดแบบนี้เลยว่ะก้อง แต่ผู้ชายทั้งโรงเรียนอ่ะชอบกูหมดเลย แม้แต่กรรมการนักเรียนยังตัดสินให้หลีดสีกูชนะทั้งๆที่เต้นง่อยเพราะแอบรักกูอ่ะ คิดดู”
จ้า
“แล้วทำไมมึงถึงเลือกพี่กิ๊บวะ?”
“ตุ๊กตาหมีที่พี่กิ๊บซื้อให้ตัวใหญ่กว่าของอีกคนอ่ะ” ทรายตอบก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆของผม “กูล้อเล่น พี่กิ๊บเทคแคร์เก่ง กูชอบให้คนเอาอกเอาใจ กูชอบเป็นเจ้าหญิง”
“เออ กูไม่แปลกใจ ว่าแต่ -- เพื่อนล้อมึงไหม?”
“อะไร?”
“ที่มึงเป็นแฟนกับพี่กิ๊บ”
“โอ๊ย มึงก็รู้ว่าเด็กมัธยมมันล้อหมดแหละ ขนาดครูใหญ่นั่งยองๆแล้วเป้าแหกยังล้อกันได้ตั้งสองสามรุ่น”
ผมหัวเราะขำ แต่ในใจไม่ขำ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองสามารถรับมือกับคำล้อเหมือนที่น้ำตาลทรายเจอได้หรือเปล่า สมัยเรียนมอปลายผมเป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีเพื่อนสนิทที่เคยสนิทชื่อเป้ง แต่ตอนนี้เราแยกย้ายไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วเพราะเป้งไม่เล่นโซเชียล ผมพอจำได้ว่าตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นตุ๊ดโดนล้อหนักมาก หน้าวอกบ้าง สายเหลืองบ้าง ถังทองบ้าง แต่ตอนนั้นผมไม่เดือดร้อนเพราะตัวเองไม่ใช่คนโดนล้อ หนำซ้ำยังตลกเวลาเพื่อนถูกตั้งชื่อเล่นว่าจิ๋มมี่ แถมโดนร้องเพลงล้อด้วยว่า ว้าว! ว้าว! ว้าย นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ไม่น่าเชื่อว่าเพลงเก่าขนาดนั้น เด็กรุ่นผมยังหยิบยกเอามาร้องได้ พอคิดดูแล้วผมนี่ก็ส้นตีนเอาเรื่องที่เผลอติดปาก ร้องเพลงประเทืองทุกครั้งเวลาไม่มีอะไรทำ
“เป็นอะไร? เหม่อเลย จินตนาการภาพครูใหญ่กูเป้าแหกอยู่เหรอ?”
“ทุเรศนะมึงอ่ะ” ผมส่ายหน้าเอือมระอา “แล้วเป็นแฟนกับผู้หญิงโอเคไหม?”
“โอเคดิ เวลาไปช็อปปิ้งนี่สนุกโคตร ช่วยกันเลือกลิป เลือกสกินแคร์ เวลามีเสื้อผ้าสวยๆก็ผลัดกันใส่ ดีจะตาย เป็นทุกอย่างของกันและกัน เวลาเมนส์มาพี่กิ๊บก็เข้าใจ ไม่เหมือนพวกผู้ชายหรอก เอาไปแซวเล่นเป็นมุขตลก เลือดท่วมหว่างขาขนาดนั้นกูไม่ตลกด้วยหรอกไอ้สัส”
“ใจเย็นทราย กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“มึงอ่ะต้องรีบขอพี่อู๋เป็นแฟนได้แล้วนะอีก้อง”
“เอ้า จู่ๆก็วกกลับมาเรื่องกูเฉย”
“กูพูดจริง” น้ำตาลทรายทำเสียงขึงขัง “ระวังเถอะวันไหนเขาเบื่อ เขาไม่อยากเสียเวลารอ มึงจะเสียใจยิ่งกว่าตอนเลิกกับเขาอีก อย่างน้อยอันนั้นยังเคยได้คบได้เรียนรู้ แต่ถ้ามึงปล่อยเบลอจนเขาไปหาคนอื่น มึงช้ำตายแน่ เพราะมึงจะเจ็บใจที่ไม่ยอมให้โอกาสตัวเองมีความรัก กูขอเตือนเลยนะ คนที่กูเคยได้ยินชื่อคนหนึ่งมัวแต่เล่นตัวไม่ยอมตอบรับคำขอผู้ อีดอก อ้อยมาก ผู้ตามง้อตามจีบอยู่สามเดือนก็ไม่เอา บอกทุกคนว่าคุณพ่อคุณแม่สอนให้ตั้งใจเรียน ไว้ค่อยมีแฟนตอนโตก็ได้ สุดท้ายผู้ไปจีบรุ่นน้อง คบกันหนุงหนิงออกสื่อทุกวัน อีเหี้ย หน้าแห้งเลย สะใจชิบหาย ไม่บอกหรอกนะว่ามันชื่ออะไร แต่ได้ยินมาว่ามันเรียนวิศวะลาดกระบัง ขึ้นต้นด้วยฟ้า ลงท้ายด้วยใส”
“มึงบอกเลยก็ได้ว่าเป็นเรื่องของฟ้าใส” ผมหัวเราะ “แต่กูก็รักพี่อู๋อยู่นี่ไง ไม่ใช่ปิดโอกาสไม่รัก กูรักเขานะทราย”
“รักแบบไม่มีสถานะน่ะเหรอ? ถุย”
“มึงไม่ถุยใส่หน้ากูเลยล่ะ?”
“ได้เหรอ? อ่ะ ถุย!”
ทรายทำเสียงพ่นน้ำลายประกอบ ผมขยะแขยงจนต้องจอดรถแล้วหันไปฟาดมันโทษฐานพ่นน้ำลายจริง มาทั้งน้ำและเสียงเต็มหลังคอผมเลย
“อย่าทำเป็นเล่นไปนะก้อง กูเตือนด้วยความหวังดี”
“เออ กูรู้น่า เดี๋ยวกูคงขอเขาเร็วๆนี้แหละ”
ผมให้สัญญาแบบส่งๆ แต่ในใจกลับคิดไม่ตกเกี่ยวกับสถานะของเรา หลังปั่นจักรยานไปส่งน้ำตาลทรายถึงหอ ผมก็กลับห้องมานั่งคิดอย่างจริงจังถึงสิ่งที่เพื่อนเตือน
ถ้ารอเวลาอีกหน่อย พี่อู๋อาจจะโดนใครคาบไปกินอย่างที่ทรายว่า ถึงตอนนั้นนายก้องเกียรติได้นอนจมกองน้ำตาแน่ๆเมื่อผู้ชายที่ตัวเองรักกลายเป็นของคนอื่น หากถามว่าเวลาไหนคือช่วงที่เหมาะสมที่สุด ผมคิดว่าต้องเป็นเร็วๆนี้ อาจจะพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ แต่ไม่เกือนเดือนนี้ตามอย่างที่ทรายบอก โอเค – ถ้ายึดตามอารมณ์ตัวเองในตอนนี้ ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะขอพี่อู๋เป็นแฟน
แต่การคบกันของเรามีกฎสำคัญอยู่หนึ่งข้อ มันต้องเป็นเรื่องลับที่ไม่เปิดเผยอย่างประเจิดประเจ้อ ผมจะไม่บอกใครว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่บอกด้วยว่าเราอยู่ด้วยกันมาสองปีกว่าในฐานะผู้ปกครองกับเด็กในการดูแล ไม่บอกว่าพี่อู๋เป็นใคร ไม่บอกว่าเราเจอกันได้ยังไง มันต้องเป็นความลับ เป็นความเงียบ เป็นเสียงที่ไม่ควรเปล่งออกมาให้ใครได้ยิน มีเพียงคนเดียวที่รู้คือน้ำตาลทราย ส่วนเพื่อนคนอื่นในมหาวิทยาลัย ต่อให้สนิทกันแค่ไหน ผมจะไม่พูดเด็ดขาด เพราะทางเดียวที่จะสามารถหนีคำล้อเลียนได้ก็คืออย่าให้ใครรู้ว่าเป็นเกย์ตั้งแต่แรก
☁
ผมตัดสินใจขอพี่อู๋เป็นแฟนวันนี้ แต่มีข้อแม้ต้องตกลงกับเขาอยู่อย่างเดียว หากเราไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ พี่อู๋ต้องไม่ทิ้งผม หรือทำตัวเหินห่างเหมือนไม่เคยชอบกันมาก่อน ถ้าพี่อู๋ตอบตกลงและรับข้อเสนอนี้ได้ ผมจะส่งกระดาษที่เขียนภาษาญี่ปุ่นให้เขาทันทีไม่มีลังเล
นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบเจ็ดนาที พี่อู๋ขับรถจากลาดพร้าวมาลาดกระบังเพื่อรอรับนายก้องเกียรติกลับบ้านโดยเฉพาะ ระหว่างที่กำลังเก็บของใส่รถ พี่อู๋ก็ถามว่าหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่อยากครับ ผมไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษ แต่ถ้าพี่มีร้านไหนอยากไปก็แวะได้นะ ผมมีการบ้านไม่เยอะ ทำพรุ่งนี้ก็เสร็จเหมือนกัน
ดังนั้นพี่อู๋จึงพาผมไปกินราเมนร้านอร่อยไกลถึงทองหล่อ บรรยากาศในร้านก็ญี่ปุ่นสมกับคำที่ผมจะเขียนลงกระดาษ แผนการคือผมจะพูดเกริ่นเกี่ยวกับอนาคตของเรา ผมจะถามพี่อู๋ว่าถ้าวันนึงเราต้องเลิกกันจริงๆ เขาจะทิ้งผมไหม เขาจะตีตัวออกห่าง หรือทำเหมือนเราไม่เคยชอบกันหรือเปล่า ถ้าพี่อู๋บอกว่าไม่ เขาไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ผมก็จะส่งกระดาษที่เขียนว่าคบกันนะครับเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ แต่ถ้าเขาลังเล หรือบอกว่าไม่แน่ใจ ผมจะพับแผนการนี้ไว้ก่อน ขอเตรียมใจอีกซักระยะแล้วเราค่อยคุยกัน
เมื่อราเมนมาเสิร์ฟ พี่อู๋กับผมก็นั่งก้มหน้าก้มตากินไม่ค่อยพูดค่อยจา คุณอิศรินทร์คงหิวมากถึงสูดเส้นเข้าปากรวดเดียวราวกับไม่กลัวติดคอตาย ส่วนนายก้องเกียรติกินไปมองผู้ปกครองไป หัวใจเต้นตึกตักตึกตักเพราะกลัวพี่อู๋ไม่โอเคกับข้อตกลงที่เตรียมไว้ ผมนั่งรอโอกาสอยู่ตั้งหลายนาทีกว่าเริ่มเปิดประเด็นได้ คำถามแรกที่ผมถามผู้ปกครองคือ ตอนนี้พี่ยังชอบผมอยู่ไหมครับ?
“ชอบสิ ทำไมจะไม่ชอบ”
ผมกลั้นยิ้มพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะถามคำถามที่สองเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไป มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัวที่มีเงื่อนไข แต่การเปลี่ยนสถานะของเราถือเป็นเรื่องค่อนข้างเสี่ยงสำหรับนายก้องเกียรติที่ไม่มีคนข้างหลังคอยดูแล หากวันหนึ่งเราเลิกกันแล้วผมจะอยู่ยังไง ถ้าพี่อู๋ที่เป็นครอบครัวคนเดียวไม่รักผมแล้ว ผมจะไปอยู่ที่ไหน ดังนั้นผมจำเป็นต้องถามจริงๆว่าในอนาคตถ้าเรื่องของเราล้มเหลว พี่อู๋จะเหินห่างเหมือนไม่เคยอยู่ด้วยกันหรือเปล่า
“ถ้าเราคบกันแล้วมันไม่โอเค พี่จะทิ้งผมไหม?”
“ไม่โอเคยังไง?”
“เช่น – เราเข้ากันไม่ได้ จู่ๆพี่ก็หมดรักผม หรือไม่ก็ --” ผมพยายามนึกสถานการณ์ที่พอเป็นไปได้ “ผมไม่น่ารักสำหรับพี่อีกแล้ว พี่จะทิ้งผมไหม?”
“ทิ้งยังไง? หมายถึงไม่ให้อยู่ด้วยกับไม่ส่งให้เรียนต่อเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละครับ”
“อืม ไม่รู้สิ” พี่อู๋ตอบตามตรง และคำตอบของเขาทำหัวใจนายก้องเกียรติหล่นวูบไปกองกับพื้น “ถ้าเหตุผลที่เราเลิกกันมันไม่ทุเรศจนเกินไป เช่นถ้าก้องไม่ได้คบซ้อน หรือนอกกายนอกใจไปมีอะไรกับคนอื่น พี่ก็คงรับได้มั้ง ถามทำไม? กลัวพี่เทเหรอ?”
ผมบอกพี่อู๋ว่าเปล่าครับ ไม่มีอะไร ถามเล่นเฉยๆ คุณอิศรินทร์มองหน้านายก้องเกียรติราวกับจะล้วงให้ได้ว่าเบื้องหลังคำถามประหลาดๆเหล่านั้นมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ แต่ผมก็เก็บสีหน้าได้ดีเยี่ยมจนเขาเลิกสนใจ และกลับไปกินราเมนต่อทันที
ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บนทางแยกเพราะคำสัญญาของเขามีเงื่อนไขที่ยอมรับและเข้าใจได้ ถ้าหากผมเป็นแฟนที่ดี ไม่นอกใจเขาไปหาใคร ไม่นอกกายไปนอนกับคนอื่น พี่อู๋ก็คงรับได้หากเราเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วผมก็ว่ามันสมเหตุสมผล หากผมนิสัยเสียด้วยการทำร้ายพี่อู๋ขนาดนั้น นายก้องเกียรติก็ไม่สมควรได้อะไรจากเขาเลย ดังนั้นผมว่ามันก็แฟร์ดี เอาเป็นว่าเรามาลองกันซักครั้งเถอะครับ พี่กับผม -- ถ้ามันไม่ไหวจริงๆค่อยถอยกันคนละก้าว กลับมาเป็นผู้ปกครองกับเด็กในการดูแลก็ได้
“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
เขาสูดเส้นจนน้ำซุปกระเด็นใส่เสื้อ พี่อู๋สบถกับตัวเองก่อนจะเทน้ำเปล่าใส่ทิชชู่แล้วเช็ดรอยเปื้อนออกจากเนื้อผ้า ผมมองภาพสุดโรแมนติกตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ กำลังจะขอผู้ชายเป็นแฟนในร้านราเมนแท้ๆ ผู้ชายดันไม่สนใจเพราะกำลังง่วนกับการเช็ดเสื้ออยู่ พอเช็ดไม่ออกก็บ่นอีก บ่นอยู่นั่นแหละ จนผมต้องบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ เขาถึงก้มหน้าก้มตากินต่อเหมือนเดิม
“วันนี้ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นมาครับ”
“ไม่ต้องเรียนหรอก เรียนไปก็เครียด เอาเวลาไปเล่นดีกว่า”
นี่ผมชอบผู้ชายแบบนี้ไปได้ยังไงวะ ยกเลิกแผนดีไหม ไม่ขอแม่งละ ปวดหัว
“ทำไมเงียบอ่ะ? เล่าต่อสิว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วยังไงต่อ?”
“ก็ผมหัดเขียนประโยคๆนึง แต่ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า?”
“อู๋ซามะวะเช็กกุชี่”
“ไม่ใช่!” ผมแว้ดใส่เสียงดัง ถึงจะไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นแต่ผมรู้นะว่าเช็กกุชี่คือคำทับศัพท์ของเซ็กซี่ “พี่มีปากกากับกระดาษไหมครับ ผมขอยืมหน่อย เดี๋ยวจะเขียนให้ดู”
พี่อู๋ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะส่งนามบัตรตัวเองและปากกามาให้ ผมพลิกนามบัตรไปด้านหลังและค่อยๆบรรจงเขียนประโยคที่อุตส่าห์คัดมาเป็นร้อยๆรอบเพื่อให้ผู้ปกครองประทับใจ พอเขียนเสร็จผมก็เงยหน้ามองพี่อู๋ แต่สายตาของเขากลับจดจ่ออยู่ที่ถ้วยราเมนเหมือนเดิมไม่สนใจกันซักนิด คิดแล้วก็หมดมู้ดจริงๆ คนบ้าอะไรวะทำลายบรรยากาศโรแมนติคได้ตลอดเวลา ไม่อยากจะเชื่อเลย
“อะไอ เอี๋ยนเอ็ดแอ้วเอ๋อ เอาอาอูอิ๊” (อะไร เขียนเสร็จแล้วเหรอ เอามาดูซิ)
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและส่งนามบัตรคืนพี่อู๋ไป หวังว่าจะได้เห็นรีแอคชั่นน่ารักๆจากผู้ปกครองที่กำลังจะกลายมาเป็นแฟนจริงๆจังๆแต่ปรากฎว่าสีหน้าของพี่อู๋มีแต่รอยย่นของคิ้ว เขาดูงุนงงไม่เข้าใจที่นายก้องเกียรติพยายามสื่อจนผมเสียความมั่นใจ
“อะไรอ่ะ? จะให้พี่ตอบว่าอะไร?” พี่อู๋ถาม
“ก็ตอบตามที่ประโยคนั้นเขียนไง?”
“อืม ได้ วะตะชิวะ แฟนเดะวะน่าย”
(私はファンではない)
อ้าว – ทำไมไม่ยิ้มดีใจเลยวะ
ผมก้มดูประโยคที่ตัวเองเขียนก่อนจะมองหน้าพี่อู๋ ผมถามอีกครั้งว่าพี่อ่านจนแน่ใจแล้วนะ พี่ไม่ดีใจเลยเหรอที่ผมเขียนประโยคนี้ เขาบอกว่าแน่ใจสิ ก็พี่ไม่ใช่พัดลม จะให้ตอบแบบไหนได้อีกวะ หน้าพี่บานเหมือนพัดลมเหรอ
“ไม่ใช่ มันไม่ได้แปลว่าพัดลม” ผมกระทืบเท้างอแง “พี่อ่านประโยคที่ผมเขียนอีกครั้งสิ”
“อะนะตะวะแฟนเดสกะ คุณเป็นพัดลมใช่ไหม?”
“มันแปลว่าแบบนั้นจริงเหรอครับ?”
“เออสิ” พี่อู๋งง “ตั้งใจจะถามว่ามีใบพัดหรือยังไง?”
“ไม่ใช่อ่ะ ที่ผมจะสื่อมันไม่ใช่แบบนี้”
ผมบ่นงุบงิบพลางไลน์หาน้ำตาลทรายพร้อมกับพิมพ์ว่า อีทราย อีควาย กูเกิ้ลทรานสเลทแม่งมั่วชิบหาย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่อู๋ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรทรายก็ไลน์มาอีก มันตอบมาว่าอีก้อง มึงนั่นแหละอีควาย เปิดกูเกิ้ลเช็กบ้างไม่ใช่เข้าหน้าเว็บทรานสเลทอย่างเดียว ก่อนจะแปะประโยคภาษาญี่ปุ่นที่ถูกต้องให้
“พี่อู๋เอามาใหม่ พี่อู๋เอามาใหม่”
ผมแบมือขอปากกากับนามบัตรของเขาอีกรอบ คราวนี้ตั้งใจคัดสุดฝีมือด้วยลายมือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียนก่อนจะส่งกลับให้พี่อู๋
付き合ってください
(ซทึคิอัตเตะคุดะไซ)
(เป็นแฟนกันนะครับ)
ผมนับถอยหลังรอสีหน้าของผู้ปกครองซึ่งมันไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ สองตาเบิกกว้างราวกับไม่อยากเชื่อว่าผมเขียนประโยคนั้นให้เขาจริงๆ นี่แหละสีหน้าที่ผมอยากเห็น ผมตื่นเต้นทั้งวันเพื่อเห็นพี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยีแบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้คุยกันต่อ คุณอิศรินทร์ก็ถามขึ้นมาว่า --
“ปวดขี้มากเลยเหรอ?”
“ผมกลับบ้านแล้ว พี่นั่งกินคนเดียวไปเลยนะ”
ผมปาทิชชู่ใส่หน้าพี่อู๋ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ กว่าคุณอิศรินทร์จะเลิกกวนส้นเท้า ผมก็เดินเกือบถึงประตูร้านแล้ว เขารีบคว้าข้อมือนายก้องเกียรติไว้แล้วส่งยิ้มแป้นมาให้ ผมจ้องหน้าผู้ปกครองเซ็งๆว่าตกลงเขาจะเอายังไง จะคบกันไหมเนี่ย มัวแต่เล่นอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเปลี่ยนใจไม่ยอมเป็นแฟนด้วยเสียเลย
“อันนี้จริงจังเหรอ?”
“ครับ” ผมพยักหน้า
“นึกยังไงถึงขอเนี่ย?”
“ทรายบอกว่าถ้าเราลองคบกัน ผมจะรู้ตัวว่าจริงๆแล้วรักพี่แบบไหนกันแน่”
“สรุปว่ารักพี่แบบไหน?”
“แบบเมียครับ” ผมตอบ ส่วนพี่อู๋ยิ้มมีเลศนัย “ทำไม? ผมเป็นผัวพี่ไม่ได้เหรอ?”
“เฮ้ย คิดดีแล้วเหรอถึงจะเป็นผัวพี่อ่ะ”
ผมตอบอย่างมั่นใจว่าคิดดีแล้ว คิดดีมากๆด้วย เห็นผอมๆอย่างนี้แต่ปกป้องดูแลพี่ได้นะ อย่าดูถูกเชียวล่ะ พี่อู๋หัวเราะเหมือนขำเด็กกะโปกแถวบ้าน ผมจึงถามเขาว่าขำอะไรนักหนา ที่บอกว่าจะเป็นผัวก็คือเป็นจริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่น
“อะไรทำให้ก้องคิดว่าก้องจะเป็นผัวพี่?”
“เพราะ – เพราะผมอยากเป็นผัวไง”
ผมเฉไฉ เพราะอย่างน้อยในความสัมพันธ์ของคู่รักเกย์ ผมแค่อยากเป็นชายมากกว่าแฟนของตัวเองซักนิดก็ยังดี
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครเป็นผัวเป็นเมียเพราะมันไม่สำคัญ”
“ทำไมจะไม่สำคัญ วันก่อนพี่เพิ่งบอกว่าอยากเป็นผัวของผมอยู่เลย”
พี่อู๋อ้าปากค้าง คำถามของผมคงเป็นยิ่งกว่าหมัดฮุกพุ่งเข้าเสยหน้าเขาจนน็อคถึงพูดไม่ออก พอโดนเด็กย้อนคุณอิศรินทร์ถึงกับต้องถอยไปตั้งหลักเพื่ออธิบายว่าผัวในความหมายของเขาคืออะไร
“พี่หมายถึงพี่เป็นรุก” เขาพูดเบาราวกระซิบ
“รุกอะไรครับ? รุกกี้ รุกกี้เหรอ?”
ผู้ปกครองของผมก็ยังไม่พูดต่อ เขาอ้ำๆอึ้งๆคงเพราะเราอยู่กันในร้านอาหารถึงพูดตรงๆออกมาไม่ได้ ผมถามพี่อู๋ว่าถ้าพี่เป็นรุก ผมเป็นอะไร ผมเป็นรุกด้วยได้ไหม พี่อู๋บอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะคุยตอนนี้ ผมจึงร้องอ้าว เด็กยังไง ผมโตแล้วนะ สิบเก้าขวบแล้ว ยังมีเรื่องอะไรไม่ผ่านเซ็นเซอร์เด็กวัยนี้อีกเหรอ
“คือแบบนี้นะก้อง – มันมีรุกกับรับ รุกเนี่ย อืม --” พี่อู๋ดูกลุ้มใจไม่อยากบอก เขาดึงมือนายก้องเกียรติให้มานั่งที่ก่อนจะรวบรวมคำพูดอธิบายให้ฟัง “มันเป็นรสนิยมของเรื่องบนเตียง”
“ฮะ?” ผมเหวอ อะไรนะ ไหนพูดอีกทีซิ
“รุกคือคนที่ เอ่อ – เป็นฝ่ายทำ ส่วนรับคือฝ่ายถูกกระทำ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“รุกเสียบ รับโดนเสียบ”
โอเค จบ ไม่ต้องพูดอีก
ผมดื่มชาเขียวในแก้วด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน พี่อู๋ก็คงเขิน เพราะหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อพูดถึงเรื่องบนเตียง แต่พอหายอึดอัดเขาก็ค่อยๆอธิบายเพิ่มอีกว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม ตอนนี้ก้องยังเด็ก และก้องเองก็ไม่น่าจะพร้อม พี่ว่าเราค่อยคุยกันเรื่องนี้วันหลังก็ได้ ผมจึงถามพี่อู๋ต่อว่าถ้าพี่เป็นรุก ผมต้องเป็นรับเหรอ เขายิ้มเจื่อนก่อนจะบอกว่าใช่ แต่ถ้าก้องไม่ชอบ เราอยู่กันแบบไม่ต้องมีเรื่องอย่างว่าก็ได้ พี่รอได้ ไว้ก้องพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยลองกันนะ
ผมพยายามไม่คิดว่าลองหมายถึงเรื่องไหน แต่พอเดาได้ว่าคงหมายถึงเซ็กส์ล่ะมั้ง พอคิดเรื่องนั้นหน้าผมก็ร้อนผ่าว ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงก้มหน้าก้มตากินราเมนจนหมด เมื่อจัดการทุกอย่างบนโต๊ะเรียบร้อย พี่อู๋ก็เช็คบิลเพื่อกลับบ้าน ระหว่างรอเด็กเสิร์ฟคิดเงิน เขาเอาแต่นั่งเท้าคางมองหน้าผมแล้วยิ้มหน้าบานไม่หุบ ผมถามพี่อู๋ว่าดีใจมากเลยเหรอ มีกอริลลาเป็นแฟนเนี่ยน่าดีใจตรงไหน เดินข้างกันคนก็คิดว่าพ่อกับลูก แถมตอบคำถามสังคมยากอีกว่าไปเจอกันได้ยังไง ถ้าคนเขารู้ว่าพี่เก็บผมมา รู้ไหมว่าเขาจะนินทาหาว่าพี่เลี้ยงต้อยนะ
“ช่างหัวพ่อมันสิ พวกขี้เสือก” คำพูดของพี่อู๋นั้นฮาร์ดคอขัดกับการกระทำแสนมุ้งมิ้งอย่างกุมมือนายก้องเกียรติ “แต่พี่ดีใจจริงๆนะที่ก้องขอพี่เป็นแฟน”
ครับ ผมรู้ หน้าพี่มันฟ้อง
“อ่า – ดีใจจังเลยอ่ะ โทรไปลางานดีไหมวะจันทร์นี้”
“พี่อย่าเว่อร์ แค่ขอเป็นแฟน ไม่ได้ขอแต่งงาน”
ผมพึมพำคนเดียวตามประสา เราเดินแกว่งมือกันไปเรื่อยๆจนถึงรถ สีหน้าของพี่อู๋ตอนนี้ยังคงยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ผมนึกสงสัยจริงๆว่าแค่ขอเป็นแฟนมันทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้เหรอ พี่อู๋รู้ไหมว่าการเป็นแฟนมีความเสี่ยง ถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้วต้องเลิกกันจริงๆ รู้ไหมว่าคนที่เสียใจที่สุดไม่ใช่พี่หรอก –
แต่เป็นนายก้องเกียรติต่างหาก
ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างนะคะ