เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 124085 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น้องกดดันตัวเองมากไปจนกลับมาเครียดอีกแล้ว

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สดใสได้สองตอน แงงง น้องก้องต้องเลิกเก็บเรื่องทุกอย่างไว้กับตัว น้องไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ พี่อู๋จะคอยอยู่ข้างๆหนูเสมอนะลูก  :ling3:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น้องทุกข์เพราะคาดหวังไว้มากเกินไป สงสารก้อง แต่คือก้องก็ต้องยอมปรับความคิดตนเองก่อนนะ ไม่ไหวก็ไม่ควรฝืนเลย แล้วความฝืนของก้องจะส่งผลต่อพี่อู๋อีกทอดนึง  :hao4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ก้องคาดหวังไว้สูง กดดันตัวเองมากไป ก้องต้องผ่อนคลายบ้าง พักผ่อนก่อนนะ  อย่าฝืน แล้วก้องลืมกินยาด้วยหรือเปล่า

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องก้องไม่กินยาอีกแล้วแน่เลยยย

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
วนไปแล้วก็วนมา  ลุ้นชีวิตก้องจนเลิกลุ้นแล้ว555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2019 10:56:00 โดย ommanymontra »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
28 [PART 1/2]


ผมแบกความคาดหวังเอาไว้บนบ่า

น้ำหนักของความหวังของตัวเอง ของพี่อู๋ และของแม่ที่ตายไปแล้วกดทับบ่าทั้งสองข้างจนปวดไปหมด การจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยตั้งใจไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งผมนึกย้อนไปถึงปีก่อนว่าเคยมีความคิดหรือความฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง แต่ผมจำไม่ได้ นายก้องเกียรติตอนอายุสิบเจ็ด -- ไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

“พี่อู๋ ผมไปเรียนแล้วนะ สวัสดีครับ”

ผมบอกผู้ปกครองที่นอนกินองุ่นบนโซฟา เขาหันมาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่พูดอะไร กอริลลาก้องที่กำลังท้อใจได้แต่เดินออกจากห้องเงียบๆ สองเท้ามุ่งหน้าสู่สถานีจตุจักรเพื่อไปเรียนพิเศษเหมือนเคย ตลอดทั้งวันผมนั่งเหม่ออย่างใจลอย มันมีแต่คำถามว่าผมทำผิดอะไรนักหนาทำไมพี่อู๋ถึงหลุดปากพูดออกมาแบบนั้น  เขาไม่ชอบเด็กตั้งใจเรียนเหรอ พี่อู๋ไม่ชอบคนที่ขยันมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเหรอ แทนที่จะชื่นชมนายก้องเกียรติที่ขยันแทบตายแม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่เขากลับคว่ำบาตรผม เขามึนตึงใส่ ไม่พูดไม่จา ไม่หยอกล้อหรือเอ่ยปากห้ามซักคำ

ผมบอกตัวเองว่าพี่อู๋ทนไม่ไหวหรอก เขาคงทนเงียบเป็นใบ้ได้ไม่กี่วันแต่คุณอิศรินทร์กลับทำให้ประหลาดใจอีกหน ถ้าไม่ชวนคุย พี่อู๋จะไม่คุยกับผมเลย เราแทบไม่ได้กินข้าวด้วยกันเพราะพี่อู๋ใช้ชีวิตตามตารางเวลาของตัวเอง หิวก็กิน เบื่อก็ออกไปข้างนอก เขาไม่รอหรือถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว น่าแปลกที่นายก้องเกียรติควรดีใจที่ผู้ปกครองเลิกจุกจิกยุ่มย่ามกับชีวิต แต่ผมกลับเสียใจมากกว่าเดิมที่ถูกเพิกเฉย

“ถูกค่ะ ถูกค่ะลูก ถูกค่ะ – ”

เสียงของคุณครูดังขึ้น ส่วนนายก้องเกียรตินั่งจมอยู่ในโลกของตัวเอง ใครถูก? พี่อู๋เหรอ? หรือผม? ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก ไหนคุณครูช่วยพูดให้มันเคลียร์ๆหน่อย

“ถูกค่ะ”

คุณครูว่าใครเป็นฝ่ายถูกครับ?

“ถูกค่ะ”

ผมเหรอ?

“ไม่ใช่ลูก คิดใหม่นะ”

อ้าว – หรือพี่อู๋?

“ถูกค่ะ”
“อะไรถูกวะ?”

ผมพึมพำ เสียงคงดังจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆได้ยิน เธอหันมาหาผมก่อนจะใช้ดินสอชี้ไปที่ข้อสิบห้าแล้วบอกว่าตอบสอง ผมมองหน้าเธอ ก้มมองหนังสือเรียนที่ขาวโพลนจนน่าอาย ก่อนจะมองหน้าเธออีกครั้ง

“ตอบสองเหรอ?”
“อื้ม”
“รู้ได้ไงอ่ะ?”
“เราคิดออกมาได้แบบนี้” เธอบอก
“อาจจะไม่ถูกก็ได้นะ” ผมเถียง
“งั้นคิดว่าข้อไหนถูกอ่ะ?”

ผมเงียบ เพราะไม่รู้ว่าข้อไหนถูก ถ้ารู้ ผมจะนั่งกัดปลายดินสอกดเฉยๆไหมล่ะ เอ้อ

“ข้อนี้ตอบ – สองค่ะ”

คุณครูเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนนายก้องเกียรติหน้าเป็นตูด เพราะยายคนข้างๆตอบถูกอีกแล้ว





เหตุการณ์หน้ามืดเกิดขึ้นวันละสองสามครั้งเป็นอย่างต่ำ

เดี๋ยวนี้ผมฉลาดพอที่จะหยุดเดินเมื่อโลกหมุนติ้วๆจนทรงตัวไม่ได้ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณประท้วง ผมจะรีบหาที่นั่งและจิบชาเขียวหวานๆที่ซื้อติดกระเป๋าเป้ทันที พอนั่งรอซักพักจนแน่ใจว่าจะไม่ล้มหัวทิ่มที่ไหนจึงลุกขึ้นเดินไปเรียนพิเศษต่อ ส่วนตอนพักเที่ยงผมยอมเสียเวลากินข้าวให้หมดเพื่อฝืนขึ้นไปเรียนที่ชั้นสิบสี่ แต่อาการพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยข้าวจานเดียว วิธีแก้คือต้องหยุดพักจนกว่าจะหายดีอย่างที่หมอว่าซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผมเรียนพิเศษมาห้าสัปดาห์แล้ว ผมจะยอมแพ้และหยุดเรียนกะทันหันไม่ได้

นายก้องเกียรติที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนาไม่รู้เลยว่าการฝืนร่างกายต่อไปเรื่อยๆจะสร้างปัญญาใหญ่จนผู้ปกครองเดือดร้อน เพราะวันหนึ่งขณะเดินลงบันไดที่บีทีเอสพญาไทเพื่อข้ามถนนไปตึกวรรณสรณ์ จู่ๆผมก็เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นจนหัวโน คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่ผมวูบไปเลย ไม่ใช่แค่หน้ามืดจนเดินไม่ไหว แต่วูบหลับชนิดที่ลืมตาอีกทีก็เห็นเพดานของโรงพยาบาล และแน่นอนว่าข้างๆเตียงก็ไม่ใช่ใคร พี่อู๋ยืนกอดอกจ้องผมตาเขม็งตั้งแต่ยังมองอะไรๆไม่ชัดจนเห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตา

“แต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ ไปสัมภาษณ์มาใช่ไหมครับสุดหล่อ”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขาคงโกรธมากจริงๆถึงไม่ยอมพูดอะไรซักคำ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆและปรือตาจ้องหน้าผู้ปกครอง ผมบอกเขาว่าไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่ได้เป็นไร ที่ล้มเพราะอากาศร้อน จริงๆแล้วผมยังแข็งแรงนะ เตะพี่ปลิวยังได้เลย

“พี่ได้งานหรือยังครับ?”

ผมพยายามง้อด้วยการถามอีก แน่นอนว่าพี่อู๋ไม่ตอบ เขามองผมราวกับผิดหวังมากที่นายก้องเกียรติมาจบที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะค่อยๆขยับตัวและเอื้อมมือไปจับแขนเขา แต่พี่อู๋ถอยหลังหนี เขากอดอกมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร

“พี่เอาเงินค่าบ้านของผมไปจ่ายค่าโรงพยาบาลก็ได้”

พี่อู๋ก็ยังไม่พอใจ

“ถ้าพี่ไม่คุย ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

คุณอิศรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องทันที ปล่อยให้นายก้องเกียรตินอนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว พอเขาหายไปผมก็เริ่มเครียดอีกครั้ง วันนี้ผมขาดเรียนเคมี แถมยังหัวโนเป็นลูกมะนาวเพราะตกบันไดอีก ที่ร้ายกว่านั้นคือโดนพี่อู๋โกรธจนไม่ยอมพูดจาและเดินหนีไปเลยราวกับผมไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตของเขาอีกแล้ว

ผมถอนหายใจก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผาก ไม่รู้ว่าในน้ำเกลือมียาอะไรอยู่ถึงทำให้ง่วงขนาดนี้ มันง่วงจนผมต้องยอมแพ้และหลับตาลง ในหัวไม่คิดมากเรื่องพี่อู๋อีกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะนึกหาเหตุผลอะไร ผมนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนวูบหลับ มันเป็นการหลับที่เต็มอิ่มและสดชื่นที่สุดตั้งแต่เรียนพิเศษมาเลย






นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที

สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองคือพี่อู๋อยู่ไหน

โทรทัศน์ที่วางอยู่ปลายเตียงเปิดช่องข่าวสามมิติทิ้งเอาไว้ ในห้องไม่มีสัญญาณของใครอยู่นอกจากกอริลลาตัวเดียว ผมที่เพิ่งตื่นยังมึนงงเกินว่าจะนึกน้อยใจใครจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากหาวปากกว้าง ผมหาวและหลับตา หาวอีกครั้งทั้งๆที่ยังหลับตา และนอนมึนหัวอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ผมมั่นใจว่าคนที่เดินผ่านปลายเตียงต้องเป็นพี่อู๋แน่ๆเพราะกลิ่นสบู่นกแก้วที่เขาชอบใช้ ดังนั้นผมจึงฝืนลืมตาและหาวปากกว้างอีกครั้งตอนที่พี่อู๋กลับมายืนข้างเตียงพอดี

“พี่ไปไหนมา?” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ “พี่อู๋ --”

ผมเรียกชื่อเขาและหยุดไว้แค่นั้นเพราะหาวอีกรอบ ถ้าพี่อู๋ไม่ตอบก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมเพลียมาก เพลียเหมือนตัวเองเป็นปลาหมึกอบแห้งที่พร้อมปลิวตามลมตลอดเวลา พอเห็นนายก้องเกียรติทำท่าจะเคลิ้มหลับอีกรอบ พี่อู๋ก็ยอมแพ้ เขาปรับระดับเตียงให้ผมนั่งก่อนจะเข็นโต๊ะที่มีโจ๊กเย็นชืดกับน้ำเก๊กฮวยมาให้

“ผมหิวพอดีเลย” ผมพยายามง้อคุณอิศรินทร์อีกครั้ง “โจ๊กร้านไหนครับ?”

พี่อู๋ยังคงไม่ตอบเหมือนเดิมนอกจากป้อนโจ๊กให้โดยไม่ต้องขอ ผมนอนหลับตากินโจ๊กบนเตียงจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็จิบเก๊กฮวยหวานๆเป็นการปิดท้าย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่ก่อนจะหลับอีกรอบผมขอให้พี่อู๋พาไปห้องน้ำหน่อย แน่นอนว่าผู้ปกครองของผมไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงขนาดปล่อยให้นายก้องเกียรติคลานเข้าห้องน้ำ เขาช่วยพยุงไปทำธุระจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็พากลับมาที่เตียงและห่มผ้าให้ ผมจึงเคลิ้มหลับยาวอีกครั้งโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเสียที




พี่โรมกับพี่ตั้มมาเยี่ยมผมในเช้าวันถัดไป

คุณครูเปียโนผู้ใจดีซื้อซูชิมาฝากด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋กับเพื่อนๆนั่งคุย กอริลลาที่กำลังป่วยจึงเคี้ยวแซลมอนจนแก้มตุ่ยไม่เข้าร่วมบทสนทนา ทุกอย่างที่พี่โรมกับพี่ตั้มซื้อมาฝากนั้นอร่อยไปหมด ซูชิหน้าแซลมอนดิบก็ดี แซลมอนเบิร์นก็อร่อย หน้าไข่หวานและปลาหมึกก็ละมุนลิ้นจนต้องเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวนานๆเพื่อซึมซับรสชาติอูมามิ นานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้กินของดีๆ ไม่ใช่เพราะพี่อู๋ไม่เลี้ยง แต่เพราะผมเรียนจนหัวฟูเลยไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเขาต่างหาก

ระหว่างที่กำลังกิน พี่อู๋ก็เรียกพี่ตั้มไปคุยข้างนอก ผมรู้ทันทีว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาคงไม่พ้นนายก้องเกียรติที่สรรหาแต่เรื่องเสียเงินมาให้ทุกวี่ทุกวัน ผมมองแผ่นหลังของผู้ปกครองจนสุดสายตาก่อนจะหันมาหาพี่โรมที่นั่งยิ้มแหะๆตรงโซฟา

“พี่อู๋โกรธผมมากไหมครับ?”

พี่โรมส่ายหน้าและบอกว่าเปล่าหรอก อู๋ไม่ได้โกรธ ไม่โกรธเล้ย ไม่โกรธจริงๆ เขาย้ำว่าไม่โกรธจนมีพิรุธ ในที่สุดคุณครูสอนเปียโนก็ยอมรับตามตรงว่าคุณอิศรินทร์โกรธมาก เมื่อวานเขาโมโหจนแทบจะแดกหัวนายก้องเกียรติเลย

“ก็สมควรโกรธ ผมดีแต่ทำให้พี่อู๋เสียเงิน”
“ก้อง เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาของอู๋หรอกนะ”

ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่โรมเป็นเชิงขอให้เขาเฉลยว่าถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วมันคืออะไร

“อู๋มันไม่อยากให้ก้องเรียนพิเศษ”

ผมตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สมองมึนงงว่าทำไมพี่อู๋ถึงไม่อยากให้เรียนต่อในเมื่อเราเคยคุยกันว่าหากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมจะตั้งใจเรียนให้จบและทำงานหาเงินมาคืนเขา ตอนนั้นพี่อู๋ยังไม่ว่าอะไรซักคำเมื่อผมขอตังค์ไปเรียนพิเศษ แต่พอผมเริ่มเรียนได้แค่เดือนกว่าๆ เขากลับบอกพี่โรมว่าไม่อยากให้นายก้องเกียรติเรียนแล้ว

“ก้อง – พี่เข้าใจนะว่าสอบเข้ามันยาก มันต้องเรียนหนัก ต้องขยัน ต้องตั้งใจ แต่ก้องช่วยขยันน้อยลงกว่านี้ได้ไหม? ขอแบบพอดีๆไม่หักโหมจนป่วย”
“แต่ผมแค่เป็นลมเอง ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“สำหรับอู๋มันไม่ใช่แค่เป็นลม มันคือเรื่องคอขาดบาดตาย” พี่โรมว่า “ก้องคิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นลมตอนข้ามถนนหรือตอนขึ้นรถไฟฟ้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอู๋มันจะเสียใจแค่ไหน”
“พี่อู๋ไม่เห็นต้องเสียใจเลยครับ ผมจะเป็นหรือตาย ยังไงมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่แล้ว”
“ก้อง --” พี่โรมถอนหายใจเหมือนเหนื่อยจะพูดอธิบาย “คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ถ้าตายแล้วกลับมาแก้ไขไม่ได้นะ”
“ครับ ผมรู้ เพราะเรามีชีวิตเดียว ผมถึงอยากทำให้เต็มที่ไง”
“พี่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งก้องเป็นอะไรขึ้นมา อู๋มันจะคิดว่าตัวเองทำพลาดเป็นครั้งที่สองนะ”
“พี่โรมหมายความว่าไงครับ?”

พี่โรมอึกอักเหมือนลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับพี่อู๋ เขาไม่อยากคิดเอาเองว่าพี่อู๋มองเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าถามความเห็นของเพื่อนสนิทที่คุยกับคุณอิศรินทร์ค่อนข้างบ่อย เขาคิดว่าพี่อู๋ยังคงโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้เอมตาย

“ตอนนั้นอู๋มันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน มันจ่ายเงินให้เอมเรียนพิเศษแต่ไม่ค่อยมีเวลาดูน้องเท่าไหร่ กว่าจะรู้ว่าเอมเครียดมากก็ตอนโรงพยาบาลโทรให้ไปรับศพแล้ว”

ผมอยากถามพี่โรมต่อว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เอมอยากเรียนอะไรทำไมถึงฆ่าตัวตาย แต่คุณอิศรินทร์ก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน พี่โรมจึงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเอมอีก พวกเขาใช้เวลาในห้องพักผู้ป่วยอีกแค่สิบนาทีก่อนจะขอตัวกลับเพราะหมอเข้าตรวจพอดี วันนี้คุณหมอถือชาร์ตผลเลือดและค่าความดันมาด้วย เขาถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ยังกินยาต้านเศร้าอยู่หรือเปล่า ผมตอบว่ากินครับ ผมกินยาครบไม่เคยขาด แต่ถึงกินยาก็ยังมีปัญหาเรื่องการนอนอยู่ดี

“อาจจะต้องปรับยาใหม่กับคุณหมอที่ตรวจประจำนะครับ”

คุณหมอแนะนำก่อนจะส่งชาร์ตให้พยาบาล เขาหยิบหูฟังขึ้นมาตรวจและพยายามชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันเช่น เบื่ออาหารไหม ตอนไปเรียน นอกจากแซนด์วิชแล้วยังได้กินอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า อาการหน้ามืดล่ะเป็นไง ปวดหัวปวดตัวร่วมด้วยไหม ผมจึงบอกเขาว่ายังมีอยู่บ้าง แค่ขยับตัวนิดหน่อยโลกก็หมุนคว้างแล้ว บางทีเดินเฉยๆก็ใจสั่น ตัวหวิวๆเหมือนไฟช็อตเป็นครั้งคราว พอได้ยินอาการทั้งหมดหมอก็ถอนหายใจและพูดว่าอาการที่ผมเป็นอยู่คือพักผ่อนน้อย วิธีรักษาคือพักผ่อน ต้องพักผ่อนจริงๆจังๆ ไม่งั้นก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่หายเสียที

“แต่ผมขาดเรียนไม่ได้ ผมกลัวตามเพื่อนไม่ทัน”
“เราก็ต้องเลือกเนอะว่าอะไรสำคัญกว่า”

หมอพูดเป็นเชิงให้คิด แต่ขอโทษเถอะครับ สิ่งที่นายก้องเกียรติเห็นเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้คือเรื่องเรียนเท่านั้น

“ผมว่าผมไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าเวียนหัวอีกผมจะจิบน้ำหวานเยอะๆ”
“น้ำหวานก็ไม่ช่วยหรอก มันต้องแก้ตั้งแต่พักผ่อนให้เพียงพอ ตอนนี้ร่างกายเราประท้วงแล้วว่าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไอ้มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมันก็ดีนะ แต่ถ้าฝืนจนเป็นลมแบบนี้บ่อยๆหมอกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่น่าจะถึงตาย”
“ใครว่า เดี๋ยวนี้คนตายเพราะอดนอนเยอะแยะ”

คุณหมอบอก แต่ผมก็ยังไม่สำนึกเพราะผมไม่ได้อดนอนเรื้อรัง ผมเพิ่งอดนอนแค่ไม่กี่สัปดาห์เอง อีกไม่นานคอร์สเรียนพิเศษก็จะหมดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยนอนก็ยังได้ ผมมีข้อแก้ตัวมากมายในหัวที่พร้อมจะโต้เถียงกับคุณหมอรุ่นพ่อ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ประโยคถัดมาก็ทำให้ผมเงียบเพราะพูดไม่ออก

“ถ้าเราตายไป เราไม่สงสารพี่เหรอ? เขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีเราอยู่เป็นเพื่อนนะ”

ผมมองหน้าพี่อู๋ทันทีแล้วก็คิดได้ว่าถ้าวันหนึ่งผมตาย ผู้ปกครองจะอยู่กับใคร

“เรื่องเรียนพิเศษไม่ต้องเลิกก็ได้ ขอแค่นอนให้เต็มอิ่มก่อนไปเรียน การบ้านทำไม่ทันก็ช่างมัน เว้นไว้ทำวันหลังบ้าง” 

หมอสอนผมแค่นั้นก่อนจะบอกว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่อ่านจากประวัติยาต้านเศร้าที่กินอยู่ มันมียาตัวนึงที่ทำให้ง่วงรวมอยู่ด้วย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ที่ผมหลับแทบตลอดเวลาเพราะยาตัวนี้ ถ้ายังไงลองกลับไปปรึกษาคุณหมอประจำตัวดูนะว่าเปลี่ยนยาได้ไหม เผื่อมียาใหม่ไม่ง่วง ผมจะได้ตั้งใจเรียนในห้องเต็มที่ ไม่ต้องตะบี้ตะบันกลับมาอ่านหนังสือจนเกือบเช้าทุกวัน

ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอก่อนจะหันมามองหน้าพี่อู๋ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้เขาไม่สบายใจขนาดนี้ แต่ทำไงได้ อนาคตของผมก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนกัน

“จะกลับบ้านวันนี้เลยไหม?”
“วันนี้ก็ได้ครับ”

ผมบอก ดังนั้นพี่อู๋จึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อแจ้งพยาบาล หลังจากนั่งรอบิลและรับยาเกือบสองชั่วโมง เราก็มุ่งหน้ากลับลาดพร้าวพร้อมกัน






คุณอิศรินทร์แวะซื้อของที่บิ๊กซีโดยมีนายก้องเกียรติเดินเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณ ตอนนั่งบนเตียงของโรงพยาบาลยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเดินด้วยเท้าตัวเองกลับใจสั่น ตัวเบาหวิวพร้อมจะเป็นลมตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกไม่โอเคแค่ไหนผมก็ยังเดินตามหลังพี่อู๋ไม่ห่าง ผมคอยช่วยเขาหยิบของ ช่วยเลือกเนื้อสัตว์ เลือกของกินอร่อยๆไปตุนในห้องเหมือนที่เคยทำประจำ พอเริ่มเดินเยอะขึ้น ร่างกายมันเริ่มไม่ไหว โลกทั้งใบหมุนทวนเข็มนาฬิกาช้าๆจนทรงตัวไม่ได้ ในที่สุดผมต้องเดินไปพิงหลังพี่อู๋เพื่อหยุดพักสายตา

“ไม่ไหวเหรอ?”
“ครับ”

ผมพึมพำเบาๆจนเหมือนไม่ได้พูดออกมา พอรู้ว่ากอริลลาเหยาะแหยะใกล้ตาย คุณอิศรินทร์ก็ทิ้งรถเข็นแล้วพาไปลานจอดรถทันที เขาปล่อยให้ผมนั่งพักในรถจนค่อยๆรู้สึกดีขึ้น มันก็แค่รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่อาการเวียนหัวหน้ามืดยังไม่หายเสียที

“ผมขอโทษนะที่ทำให้พี่ต้องลำบาก”

ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังเปิดขวดชาเขียวส่งมาให้ พี่อู๋ไม่พูดอะไรซักคำนอกจากสั่งให้ค่อยๆจิบจะได้มีแรง

“พี่คงโกรธผมมาก”
“อืม”
“เดี๋ยวเรียนจบผมจะหาเงินมาคืนค่าหมอให้หมดเลยครับ”
“เงินมันไม่สำคัญหรอกก้อง!” พี่อู๋กลับมาเป็นอิศรินทร์ขี้วีนอีกแล้ว “ที่ทุกคนพูดก้องยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?!”

ผมบอกพี่อู๋ว่าเข้าใจสิ เข้าใจดีเลยว่าพี่อู๋เป็นห่วง แต่ยิ่งพยายามแสดงความเข้าอกเข้าใจพี่อู๋ก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นการดุด่า ผมงงจริงๆว่าทำไมเขาถึงไม่ภูมิใจที่เด็กในปกครองตั้งใจเรียนจนไม่กลัวตาย ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขเมื่อเห็นผมพยายามออกจากบ้านไปเรียนทุกวันเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เขาจ่าย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นเด็กดีถึงไม่ได้รับคำชม ทำไมเด็กขยันอย่างนายก้องเกียรติถึงโดนตำหนิซ้ำๆเหมือนทำผิดร้ายแรงนักแหละ

   พอโดนว่าเยอะๆ ผมชักมีน้ำโหก็เลยเถียงกลับ คราวนี้เราตะเบ็งเสียงใส่กันในรถแถมยังใช้อารมณ์อีก ผมถามพี่อู๋ว่าในสายตาของเขา ต้องเป็นเด็กแบบไหนถึงจะเรียกว่าเด็กดี ผมขยันขนาดนี้ ผมมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทำไมเขากลับไม่พอใจ ทำไมต้องเอาแต่ว่าผม ด่าผม ตำหนิผมด้วยทั้งๆที่ผมทำเพื่อเราสองคน พี่อู๋ถึงกับแสยะยิ้มเลยเมื่อได้ยินคำว่าเราสองคน เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำเพื่อเขาหรอก สิ่งที่ผมทำมีแต่เพื่อตัวเอง
   
“เพื่อตัวเองเหี้ยอะไร ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อพี่ทั้งนั้น ผมอยากสอบเข้ามหาลัยดีๆ อยากเรียนสูงๆเพื่อทำงานหาเงินมาคืนพี่ ผมวางแผนทุกอย่างก็เพื่อพี่ พี่นั่นแหละเห็นแก่ตัว ทำไมถึงขัดขวางไม่ให้ผมเรียนหนังสือวะ!”
“เพราะกูเป็นห่วงมึงไงก้อง!”

มาแล้วมึงกู -- แสดงว่าโมโหของแท้

“กูจ่ายเงินเป็นหมื่นให้มึงเรียนหนังสือ ไม่ได้จ่ายให้มึงมาเจ็บตัวซ้ำๆซากๆ! มึงเห็นไหมเนี่ยหัวมึงโนเท่าลูกมะนาว! เห็นไหม?! เห็นไหม?! ดูกระจกสิเห็นไหม?!”

เขาดึงแผ่นกันแสงออกมาแล้วเปิดประจกให้นายก้องเกียรติดู ผมตะโกนใส่เขาว่าเออ! เห็นแล้ว! หัวโนแค่นี้ไม่ตายหรอก! แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ผมตายแน่!

“มึงไม่ต้องรอสอบเข้าไม่ได้หรอก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมึงตายสมใจอยากแน่!”

แช่งกันอีก

“มึงจะรักตัวเองบ้างไม่ได้เหรอก้อง? กูถามจริงๆเถอะ รักตัวเองนี่มันยากมากเหรอ? แค่ดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขนี่มันยากตรงไหนวะ!”

ยากสิวะ! ผมตะโกนกลับและถามเขาว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตเฉยๆไปวันๆมันทำได้เสียที่ไหน ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนพี่ ผมไม่มีเงินเก็บเยอะจนไม่ต้องทำงานก็ได้ ผมไม่มีอะไรเลยถึงต้องสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง พี่อู๋ก็รู้ว่าใบปริญญาสำคัญ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะรวย! เมื่อไหร่จะยืนได้! ถ้าไม่มีเงิน – พี่คิดว่าเราจะมีความสุขได้จริงๆเหรอ! จะแดกข้าวถุงนึงก็ต้องมีเงินสิบบาท คิดหน่อยสิวะอิศรินทร์! คิดถึงมุมของคนอื่นบ้างจะได้ไหมวะ!

แล้วเราก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น พี่อู๋โมโหใส่ผมเหมือนที่เคยทำกับคุณหมูพีเปี๊ยบ เขาทั้งพูดมึงกู ทั้งตะคอกจนหน้าแดง ทั้งยกเหตุผลส้นตีนอะไรก็ไม่รู้มาตำหนินายก้องเกียรติที่พยายามทำเพื่ออนาคต เด็กอายุสิบแปดที่ประสบการณ์น้อยกว่าอย่างผมเถียงสู้เขาไม่ได้ ในที่สุดผมก็ร้องไห้โฮออกมา ร้องฟูมฟายเหมือนคนบ้าและตัดพ้อเขาว่าทำไมไม่เปิดใจรับฟังผมบ้าง ผมต้องเรียนหนังสือ ผมต้องสอบเข้ามหาลัยดีๆเพื่ออนาคตตัวเอง ที่ผมทำก็เพราะอยากมีเงินมาคืนพี่ ไหนๆพี่ก็ไม่ให้ผมตายแล้ว พี่ปล่อยให้ผมดิ้นรนเพื่อมีชีวิตดีๆไม่ได้เหรอ

“ชีวิตดีๆไม่ได้ผูกติดไว้กับมหาลัยไงก้อง”

พี่อู๋ใจอ่อน ยอมเป็นฝ่ายยกธงขาวเมื่อเจอกอริลลาอาละวาด เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้แต่ยังไม่เอ่ยขอโทษ คุณอิศรินทร์ยืนยันเหมือนเดิมว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเพราะเขาไม่สนใจเลยว่าผมจะสอบติดที่ไหน ต่อให้ไม่ใช่จุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่มอรัฐบาลก็ไม่เห็นเป็นไร ประเทศนี้ยังมีมหาลัยเปิดอย่างรามคำแหงรออยู่

“แต่ผมอยากให้พี่ภูมิใจ ผมอยากให้พี่บอกใครต่อใครว่าผมสอบเข้าที่ดีๆได้”

ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้บอกเขา และยังบอกอีกว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตตัวเองเลย ผมอยากเรียนจุฬา อยากเรียนธรรมศาสตร์ หรืออยากเรียนมหาลัยไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องทำให้พี่ภูมิใจให้ได้ พี่อู๋ถอนหายใจแล้วลูบหัวกอริลลาจิตป่วย เขาบอกว่าความภูมิใจของเขาไม่ได้วัดที่มหาวิทยาลัย แต่มันอยู่ที่ผม แค่นายก้องเกียรติตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขาก็ภูมิใจมากๆแล้ว ทิ้งเรื่องมหาลัยไปเถอะนะ โฟกัสแค่ว่าอยากเรียนคณะอะไรดีกว่า เลือกเรียนสิ่งที่ชอบก่อน มหาลัยไว้ค่อยเลือกเป็นอันดับสอง เพราะถ้าโฟกัสแค่มหาลัยจนไม่สนใจว่าจะได้เรียนคณะอะไร นรกสี่ปี่จะทรมานผมจนตาย

“ผมจะรู้ได้ไงครับว่าอยากเรียนอะไร?”
“จะไปรู้เหรอ” พี่อู๋คาดเข็มขัดให้ผมก่อนจะเตรียมตัวขับรถออกจากบิ๊กซี “ก้องชอบวิชาอะไรล่ะ?”
“ผมชอบคณิตศาสตร์”
“คณิตอย่างเดียวเหรอ?”
“ฟิสิกส์ผมก็ชอบ ผมชอบแค่สองวิชานี้”
“ภาษาอังกฤษล่ะชอบไหม?”
“เฉยๆครับ พอทำได้” ผมตอบพลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม “แต่ผมไม่ชอบเคมี”
“พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“ตอนเอนทรานซ์ – พี่อู๋รู้ได้ไงว่าอยากเรียนคณะอะไร?”
“พี่เหรอ? เลือกจากที่ตัวเองถนัดที่สุดอ่ะ” เขาบอก “พี่ไม่ชอบคำนวณใช่ไหม พี่ก็ตัดคณะที่เกี่ยวกับเลขออกไป อันดับแรกเลยคือวิศวะปลิวไปก่อนใครเพื่อน ต่อมาก็หมอ นักวิทยาศาสตร์ พอรู้ตัวอีกว่าเป็นคนขี้เกียจไม่ชอบอ่านหนังสือหนักๆ พี่ก็ตัดนิติศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์ ตัดนั่นตัดนี่ ตัดไปตัดมา ไอ้ชิบหาย เหลือแค่คณะภาษา”
“พี่ก็เลยเรียนอักษร?”
“อืม”
“ทำไมพี่ไม่เรียนอักษรจุฬาครับ?”
“หัวไม่ถึง” พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ “สอบจุฬาไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร เลือกเรียนสิ่งที่เราชอบก่อน ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี ยังไงมันก็ออกมาดีเพราะเรามีความสุขกับมัน”
“งั้น – ผมควรทำไงดี?”
“หาหมอ”
“หาทำไมครับ?”
“ปรับยาใหม่”

พี่อู๋พูดอย่างจริงจัง

“พี่ดูจากสภาพแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปไม่น่ารอด”

ผมเห็นด้วย คำว่าไม่น่ารอดของเขาไม่ได้หมายถึงตาย แต่หมายความว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีก ความสัมพันธ์ของเราคงไปไม่รอดแน่ๆ



มี Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยค่า  o18

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
28 [PART2]

วันถัดมา กอริลลาก้องกับผู้ปกครองตื่นแต่เช้าเพื่อรอคิวพบหมอ ผมนั่งท่องในใจถึงเรื่องที่ต้องปรึกษา หนึ่งคือเรื่องยา สองคือเรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกับพี่อู๋ พอถึงคิวนายก้องเกียรติ ผมก็เดินเข้าห้องตรวจทันทีด้วยความเคยชิน ผมยกมือไหว้คุณหมอ สวัสดีครับ วันนี้มาหาก่อนนัดเพราะมีเรื่องจะปรึกษา ผมไม่รอให้หมอถามด้วยซ้ำว่าเป็นยังไงบ้างนอกจากรีบวางถุงยาลงบนโต๊ะแล้วบอกเขาว่าขอหยุดยาได้ไหม วันก่อนผมไม่สบายหนักถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล คุณหมอที่ตรวจบอกว่ายาพวกนี้ทำให้ง่วง เขาแนะนำให้กลับมาปรึกษาหมอ คุณหมอช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ

“ก้องจะขอเปลี่ยนยาเป็นตัวที่ไม่ง่วงเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมจะขอหยุดยา” ผมบอกความต้องการของตัวเองเพราะเชื่อว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นยาตัวใหม่ ยังไงก็คงง่วงมากอยู่ดี “ผมเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะหลับทุกครั้ง ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว ให้ผมหยุดยาได้ไหมครับ?”

ในทีแรก คุณหมอแสดงออกว่าไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอลองคุยลองซักถามอาการเพิ่มเติม เขาก็ยอมให้หยุดยาโดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่ไหวต้องรีบกลับมาหาหมอทันที เอาล่ะวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้หมอช่วยนอกจากขอเปลี่ยนยาไหม คุยกันถึงตรงนี้ผมก็ถอนหายใจและเล่าให้หมอฟังเกี่ยวกับความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างผมกับพี่อู๋ เขาเอาแต่บังคับให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งความสุขของผมก็คือการมีอนาคตดีๆและไม่เอาเปรียบเงินของใคร ผมบอกหมอว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงชอบเห็นนายก้องเกียรติขี้เกียจ พวกเขาควรชมสิที่ผมขยันเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่โดนดุโดนด่าเหมือนทำความผิดอะไรมา

“ผมไม่เข้าใจจริงๆนะ ทำไมทุกคนต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ --”

กอริลลาก้องยังคงคร่ำครวญต่อไป ผมระบายความอัดอั้นตันใจออกมายาวเหยียดเกือบสิบนาที ยังดีที่หมอไม่เข้าร่วมกับคนอื่นด้วยการตอกหน้าว่าผมฝืนตัวเองเกินไป เขาแค่รับฟังเงียบๆจนผมบ่นจบ หมอถึงถามว่าอยากรู้ไหมว่าตอนเขาสอบเข้า เขามีเคล็ดลับยังไง

“หมอพยายามนอนให้ได้วันละเจ็ดชั่วโมงตลอด” เขาเฉลย “ถ้าเรานอนน้อย สมองเราจะรับข้อมูลใหม่ๆได้ช้าลงหรือไม่ก็รับไม่ได้เลย”

แล้วข้อมูลเชิงวิชาการก็พรั่งพรูออกจากปากของเขา ผมได้แต่นั่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะจับใจความในสิ่งที่หมอพูดไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออธิบายกลไกการทำงานของสมองจบ หมอก็ถามว่าไม่เข้าใจใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ ไม่เข้าใจอะไรเลย หมอจึงย้ำอีกครั้งว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนอนไม่พอ

“ที่ก้องบอกหมอว่าเรียนไม่รู้เรื่อง หมอว่าบางทีมันไม่ใช่เพราะก้องหัวไม่ดีหรอก แต่เพราะร่างกายมันเหนื่อยเกินไปจนไม่รับต่างหาก พอเป็นแบบนี้ทุกวันก็เลยเรื้อรังเป็นลูกโซ่ พักนี้ก้องเองก็หงุดหงิดโมโหง่ายจนทะเลาะกับพี่อู๋ด้วยใช่ไหม?”
“แต่เขาเป็นคนชวนผมทะเลาะ”
“เพราะเขารักก้องไง เขาถึงไม่สบายใจที่เห็นก้องป่วย”

หมอบอก แต่ผมยังปล่อยวางเรื่องเรียนไม่ได้ ผมบอกหมอว่าการสอบเข้ามันน่ากลัวจริงๆ ผมกลัวว่าถ้าทำพลาดอีกจะไม่มีโอกาสที่สาม กลัวว่ามันจะยิ่งยืดยาวออกไปไม่ถึงปลายทางเสียที หมอรู้ไหมว่ามันน่าหงุดหงิดมากนะที่ใจเราพร้อมสู้แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย ลำพังเรียนไม่รู้เรื่องก็เครียดแล้ว นี่ยังต้องทะเลาะกับพี่อู๋เกือบทุกวันอีก ผมเหนื่อย ผมเหนื่อยจริงๆ คนเราเกิดมาเรียนเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายก็ตายอยู่ดี

“บางครั้งผมคิดจริงๆนะว่าอยากเกิดเป็นหมา”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็หมามันไม่ต้องสอบเข้ามหาลัย ไม่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงิน วันๆมีแค่กินกับนอนสบายจะตาย ถ้าชาติหน้ามีจริงผมอยากเกิดเป็นหมาของไฮโซ” 

หมอขำก๊ากเมื่อกอริลลาก้องโอดครวญอยากเกิดเป็นหมา หลังตัดพ้อชีวิตเสร็จเราก็กลับมาคุยเรื่องเรียนอีกครั้ง หมอบอกผมว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องกดดันเลยถ้าเรียนวิชาไหนไม่เข้าใจ ใครๆก็มีวิชาที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็พี่อู๋ ในสายตาของก้อง ก้องว่าพี่อู๋เก่งไหม

“เก่งครับ พี่อู๋เก่งมากนะหมอ”

ผมอวดผู้ปกครองทันทีที่มีโอกาสเล่าซ้ำเป็นหนที่สองว่าพี่อู๋ของผมเก่งภาษาญี่ปุ่นมาก เขาเคยแปลเอกสารห้าหน้าในครึ่งชั่วโมงด้วย เมื่อก่อนพี่อู๋ทำงานในบริษัทใหญ่ได้เงินเดือนเป็นแสน โบนัสเกือบครึ่งล้านก็เคยได้มาแล้ว แถมยังมีรถมีบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย พี่อู๋เนี่ย – เป็นเทพมาเกิด เขาเก่งมาก เก่ง เก่งที่สุดสำหรับนายก้องเกียรติ

หลังฟังคำอวยจบ หมอไม่พูดอะไรอีกนอกจากหยิบกระดาษโน้ตออกมาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนบางอย่างลงไป พอเขียนเสร็จเขาก็ส่งให้ผมและบอกว่าลองเอาอันนี้ให้พี่อู๋นะ ถามเขาดูว่าได้เท่าไหร่

“นี่มันโจทย์เลขไม่ใช่เหรอครับ?” ผมพลิกกระดาษโน้ตไปมาก่อนจะถามคุณหมอ เขาพยักหน้ายิ้มๆ

“ก้องคิดข้อนี้ออกไหม?”


11999/ 11997


อ่า – โจทย์แนวนี้เหรอ

“หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดครับ”

หมอชมว่าเก่งมากแต่ผมก็ถ่อมตัวด้วยการบอกว่าโจทย์ข้อนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ไม่มีใครทำไม่ได้หรอก เผลอๆถามเด็กปอหกก็คงได้คำตอบไม่ต่างกัน

“แต่หมอให้ผมถามพี่อู๋ทำไมครับ?”
“หมอคิดว่าถ้าพูดยาวไปก้องก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าลองถามพี่อู๋ดูก็แล้วกันนะ ก้องน่าจะรู้ว่าสิ่งที่หมออยากบอกคืออะไร”

ผมขมวดคิ้วก่อนจะตอบครับๆแล้วพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง หลังสรุปเรื่องยา ผมก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่โดนคุณหมอรั้งไว้ เขาถามผมว่าอยากรู้วิธีเลิกทะเลาะกับผู้ปกครองไหม ผมตอบทันทีว่าอยากครับ

“ง่ายมาก ต่อไปนี้ถ้ามีอะไร ก้องต้องบอกพี่อู๋เหมือนที่บอกหมอนะ”
“ทำไมครับ?”
“เพราะพี่อู๋ไม่ใช่คนดื้อ เขาพร้อมฟังเหตุผลของก้องอยู่แล้ว”
“ผมรู้สึกว่าบอกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขนาดเมื่อวานผมอธิบายแทบตาย เขายังด่าผมรัวเป็นปืนกลเลย”
“พี่อู๋คงโมโหน่ะ แต่จริงๆเขารักก้องมาก” หมอบอก “เดี๋ยวเรียกพี่อู๋เข้ามาพบหมอด้วยนะ หมอมีเรื่องอยากคุยกับเขานิดหน่อย”

ผมตอบครับก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วเรียกผู้ปกครองเข้าไปคุย ระหว่างนั่งรอผมก็เหลือบมองกอริลลาร่วมชะตากรรมที่กำลังต่อคิวพบคุณหมอ ผ่านไปแค่สองนาทีก็มีโรงละครเปิดแสดงด้านหน้าเหมือนช่วงแรกที่มารักษา ผมมองกอริลลารุ่นป้าร่ายรำร้องเพลงจนพี่อู๋ออกจากห้อง เขาเหวอนิดๆเมื่อคุณป้าวิ่งไปสวมกอดและออดอ้อนเพราะคิดว่าคุณอิศรินทร์เป็นสามีในโลกจินตนาการ ผมขำก๊ากทันที ในที่สุดพี่อู๋รูปหล่อก็ได้เป็นพระเอกกับเขาบ้าง

“อะไรวะ เดินอยู่ดีๆก็ได้เป็นผัวเลย”

พี่อู๋พึมพำเมื่อเราเดินออกจากอาคารของโรงพยาบาล ส่วนผมยังหัวเราะไม่หยุดเพราะตลกสีหน้าของผู้ปกครอง พี่อู๋แว้ดด่าผมว่าขำอะไรนักหนา อยากมีผัวเหรอ ผมหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก

“หมอบอกว่าหยุดยาได้ แต่ถ้าอาละวาดขึ้นมาต้องรีบกลับมาหาหมอนะ”
“ครับ” ผมขานรับทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ “เอ้อ – พี่อู๋ครับ พี่ว่าคำถามข้อนี้ตอบอะไรอ่ะ?”

ผมส่งกระดาษให้เขา คุณอิศรินทร์ที่กำลังคาดเข็มขัดรับมันไปอ่านออกเสียงก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เขาถามว่าเราจะรู้ไปเพื่ออะไรวะว่ายกกำลังเกือบพันมันได้เท่าไหร่ มีเครื่องคิดเลขก็กดเอาสิ สิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งหารด้วยสิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง ใครมีปัญญาคิดก็คิด พี่ไม่คิด

“พี่คิดไม่ออกจริงๆเหรอครับ?” ผมประหลาดใจเพราะโจทย์ข้อนี้มันง่ายมาก ง่ายชนิดที่แค่ท่องสูตรคูณก็ได้คำตอบแล้ว แต่พี่อู๋กลับไม่รู้เลย “พี่อ่านใหม่อีกรอบสิ มันง่ายจริงๆ”

พี่อู๋อ่านออกเสียงอีกครั้งก่อนจะบ่นว่าเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย เขานั่งเกาหัว เกาแก้ม เกาทุกที่ที่สามารถเกาได้ก่อนจะบอกว่าคิดไม่ออกแล้วก็ฉีกกระดาษแม่งเลย โมโห

“พี่! มันง่ายจะตาย! พี่แค่เอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดก็จบแล้ว!”
“ทำไมต้องเอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดด้วย?”
“ฐานมันคือสิบเอ็ดเหมือนกันใช่ไหม? พี่ก็เอาเลขยกกำลังของมันมาลบกัน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าลบเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดได้สอง สิบเอ็ดยกกำลังสอง?”
“ได้เท่าไหร่?”
“สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดเองนะพี่อู๋!” ผมเบ้หน้า นึกสงสัยว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือแค่หลอก “สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดได้ร้อยอะไรครับ?”
“ร้อยสิบ”
“ร้อยยี่สิบเอ็ด!”

ผมอยากร้องอ๊ากกก!ดังๆแล้วเขย่าตัวเขาจริงๆ

“ข้อนี้ตอบร้อยยี่สิบเอ็ดครับ!”
“อ๋อเหรอ อืมๆ”

พี่อู๋พยักหน้าไม่แคร์ ปล่อยให้นายก้องเกียรติงงว่าทำไมคุณอิศรินทร์คนเก่งถึงนึกวิธีคิดข้อนี้ไม่ได้ พอเห็นท่าทีโนสนโนแคร์ของเขา กอริลลาก้องก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว ผมเข้าใจแล้วว่าหมอกำลังจะบอกอะไร

เขากำลังบอกว่าแม้แต่พี่อู๋ที่เก่งที่สุดในโลกของผม ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ถนัดเหมือนกัน

แต่ถึงจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ พี่อู๋ก็ไม่ได้สนใจ เขายังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นตามความถนัดของตัวเอง เขาสามารถหาเงินได้เป็นแสนโดยไม่จำเป็นต้องท่องสูตรคูณได้ เห็นไหม? คุณอิศรินทร์ผู้เป็นเทพมาเกิดของนายก้องเกียรติก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้านเหมือนกัน

แต่พอสงสัยว่าหมอรู้ได้ยังไงว่าพี่อู๋โง่เลข ผมก็ถึงบางอ้อ คราวก่อนผมเป็นคนบ่นให้เขาฟังเองว่าผู้ปกครองคิดเลขไม่เก่งขนาดไหน ทั้งเรื่องประกอบตู้ เรื่องคำนวณเลขง่ายๆเพื่อปูกระเบื้องพี่อู๋ยังทำไม่ได้ ว้าว – ถ้าสิ่งที่ผมเชื่อมโยงคือเรื่องจริง หมอก็สุดยอดไปเลย เขาไม่จำเป็นต้องพูดยาวเหยียดว่าคนเราล้วนมีมุมที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น แค่เอาโจทย์เลขให้พี่อู๋ทำ นายก้องเกียรติก็เข้าใจทั้งหมดโดยไม่ต้องฟังคำอธิบาย พอคิดแบบนี้ได้ผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยเด็กในปกครองที่วันๆไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรก็มีสิ่งที่ทำได้ดีกว่าพี่อู๋ ถึงผมจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ผมท่องสูตรคูณแม่สิบเอ็ดได้ ในขณะที่พี่อู๋คิดเลขไม่ได้ เขาก็มีพรสวรรค์ด้านภาษาที่โดดเด่นจนไม่จำเป็นต้องสนใจคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ

“เป็นอะไร? นั่งทำหน้าว้าวอยู่คนเดียว”
“ผมเพิ่งเข้าใจเมื่อกี๊เองว่าหมอพยายามบอกอะไร” ผมคุยกับผู้ปกครอง “ผมไม่ต้องเก่งทุกวิชาก็รวยเหมือนพี่ได้”
“ไม่ใช่ม้าง”
“ใช่สิครับ ต้องใช่แน่ๆ” ผมยืนยัน “แต่ – แต่กว่าจะรวยแบบพี่ ก็ต้องสอบเข้ามหาลัยก่อนนี่หว่า”
“กลับมาดราม่าอีกละ” พี่อู๋ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “พี่เคยบอกว่ายังไง? ไม่ถนัดวิชาอะไรก็ตัดคณะนั้นทิ้ง ก้องไม่ถนัดเคมีใช่ไหม? ตัดหมอ ตัดเภสัช ตัดสายสุขภาพ --”
“แต่ผมยังรู้สึกดีกับชีวะนะ”

พี่อู๋ดูสับสนกว่าเด็กอายุสิบแปดอย่างผมอีก เขานวดขมับอยู่หลายครั้งระหว่างติดไฟแดง การปักธงว่าจะเรียนคณะอะไรนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ วิชานั้นผมก็ชอบ วิชานี้ก็พอทำได้ ผมเกลียดเคมีแต่ยังมีเยื่อใยให้ชีวะ ถ้าจะต้องตัดสายสุขภาพก็คงเสียดายแย่ แต่ที่แน่ๆคือคัดเภสัชทิ้งไปได้เลย ผมคงใช้ชีวิตอยู่กับเคมีตลอดหกปีไม่ไหว น่าจะตายก่อน

“ตอนเด็กๆก้องอยากเป็นอะไร?”
“อยากเป็นทหารครับ”
“ขีดทิ้ง ไม่ให้เป็น” พี่อู๋ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเสี่ยงตายอ่ะ”
“มันก็เสี่ยงทุกอาชีพทั้งนั้นแหละ ขนาดแม่ค้าขายข้าวแกงยังเสี่ยงแก๊สระเบิดเลย”
“ก็เลือกที่มันเสี่ยงน้อยๆหน่อย อืม – ครู ดีไหม? อยากเป็นครูไหม?”
“ผมสอนใครไม่เป็นอ่ะ”
“เพราะงั้นมันถึงมีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ไง” เขาบอก “ไหนนึกอีกสิว่าประเทศนี้มีอาชีพอะไรบ้าง?”
“ผมนึกอาชีพไม่ออก แต่นึกคณะออกครับ มีบริหาร บัญชี --”
“เออ เข้าท่า”
“นายกรัฐมนตรี --”
“เริ่มเพ้อเจ้อละ” พี่อู๋หัวเราะ
“แล้วก็มีนิติศาสตร์ หรือผมจะเรียนกฎหมายดีครับ? ต่อไปถ้าพี่ทำงานแล้วเจอบริษัทเอาเปรียบอีก ผมจะฟ้องให้เหี้ยนเลย”

พี่อู๋หัวเราะก่อนจะบอกว่าบริษัทใหญ่ๆไม่มีทางพลาดหรอก พวกนี้ศึกษากฎหมายในบ้านเรามาดี น้อยมากที่จะปล่อยช่องโหว่ให้ได้ฟ้อง แต่ถ้าก้องสนใจกฎหมายจริงๆก็บอกพี่ได้ พี่มีเพื่อนคนนึงเรียนนิติรามฯ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดี มีงานเข้าเรื่อยๆ เผื่อก้องอยากรู้อะไร พี่จะถามให้

“ขอบคุณครับ”

ผมบอกผู้ปกครอง เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะถามเขาว่าคุยอะไรกับหมอบ้าง พี่อู๋ไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด เขาเล่าแค่ว่าหมออยากให้พี่อู๋ช่วยสังเกตอาการกอริลลาก้องเท่านั้น พูดถึงตรงนี้เราก็เงียบอีก ผมรู้สึกว่ายังมีบางอย่างยังค้างคาใจจึงรีบใช้โอกาสนี้เพื่อขอโทษพี่อู๋ที่ตะคอกใส่เขาเมื่อวาน ขอโทษที่พูดคำหยาบ ต่อไปผมจะไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับพี่อีกแล้วครับ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” พี่อู๋บอก “แต่ก้องรู้ใช่ไหมว่าพี่โอเคกับทุกอย่างที่ก้องเลือก ก้องจะเรียนอะไรก็ได้ จะเรียนมหาลัยไหนก็ได้ ถ้ามันเหนื่อย มันไม่ไหวจริงๆจะเรียนรามฯก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก พี่จะส่งให้เรียนเหมือนเดิม”
“พี่ดีกับผมมากๆจนผมรู้สึกผิดเลยอ่ะ” ผมน้ำตาซึม “พี่รู้ไหม พี่มีบุญคุณกับผมยิ่งกว่าพ่ออีก ผมโคตรรักพี่เลย”
“มาพ่อเพ่ออะไร ใครพ่อเอ็งวะ?”

พี่อู๋เบ้หน้า เขาคงเขินกับคำว่าพ่อที่นายก้องเกียรติเรียกแน่ๆเพราะมุมปากของเขาแอบยกยิ้มหน่อยๆ เราสองคนไม่ได้คุยเรื่องอะไรต่อนอกจากนั่งฟังเพลงจนถึงบ้าน ที่ผมไม่ชวนพี่อู๋คุยเพราะกำลังคิดว่าหลังจากนี้ควรวางแผนกับตารางเรียนพิเศษที่ขาดตอนยังไงดี ส่วนคุณอิศรินทร์เงียบเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิด ท่าทางคงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู เพราะใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแค่ความกังวลเท่านั้น



TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีวันจันทร์ค่ะ (・ω・) ノ



พี่อู๋คงได้แต่กรีดร้องในใจ ไม่อยากเปงพ่อ อยากเปงพั๋ -- แค่กๆ ๆ



ได้รับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนแล้วน้า ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะกระดึ๊บๆไปหน่อย ด้วยความที่ทั้งสองคนแทบไม่เคยแสดงออกในแง่นั้นมาก่อน เราก็เลยอยากให้ความสัมพันธ์ของตัวละครค่อยๆเป็นค่อยๆไปค่ะ เพราะถ้าจู่ๆกระโดดมา ดึ๋งๆๆ พี่ชอบก้อง ก้องก็ชอบพี่ จบ แฮปปี้ ไอเริ้บยู ก็คงดูห้วนเกินไป ช่วงนี้ขอปูพื้นเพื่อเริ่มระดับความสัมพันธ์ของพี่อู๋น้องก้องก่อนนะคะ ซึ่งหลังจากนี้เรื่องจะค่อยๆเดินเร็วขึ้น เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนา แต่จะเป็นไปแง่ไหน ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้จนจบด้วยนะคะ หากมีข้อติชมอยากแนะนำ สามารถบอกได้ตลอดนะคะ ยินดีปรับปรุงแก้ไขให้นิยายเรื่องนี้ออกมาสนุกที่สุดเพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านค่ะ (。♥‿♥。)



ปล. หนูมีแฟนอาร์ตสวยๆมาอวดด้วย แต่กลัวว่าถ้าลงในเล้า หน้าเว็บจะโหลดนาน ถ้าสนใจสามารถส่องแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ได้นะคะ มีแฟนอาร์ตสวยๆน่ารักๆโดยฝีมือคุณแม่น้องก้อง(s) เยอะแยะเลยค่ะ ขอบคุณค่า (⺣◡⺣) *


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 17:04:48 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่อู๋เป็นเครียด อยากเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่พ่อจ้า  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ก้องโชคดีจังที่มีผู้ปกครองแบบพี่อู๋ เข้าใจเลยเวลาฝืนเรียนคณะที่ไม่ชอบ แถมต้องทนทำงานไปอีกเกือบ30ปี จนกว่าจะเกษียณมันหดหู่ขนาดไหน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หมอเขาเก่ง เขาเรียนมาเพื่อมาแก้ปัญหาให้ก้องไงล่ะ (ยืมมาจากนิยายอีกเรื่อง)
แต่ละวันพี่อู๋ต้องลุ้นต้องวุ่นวายกับก้องแค่ไหน ต้องเป็นคนที่เมตตาธรรมมาก ๆ เลยแหละ
ถ้าจะบอกรักกันตอนนี้ไม่รู้น้องก้องจะเข้าใจแค่ไหน แค่เรื่องเรียนพิเศษก็จะเป็นจะตายอยู่แล้ว

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หวั่นใจตอนทะเลาะกันมาก สุดท้ายต้องมาหวั่นใจอีกทำยังไงก้องจะรุ้ความในใจพี่อู๋ ลุ้นเหนื่อยจริงๆ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
ทะเลาะกันทีไร คุณอิศรินทร์ไม่เคยเบาเลย ต้องรอให้ก้องเข้าใจอีกนิด แบกความหวังไว้เยอะ เลยกลัวทำให้พี่อู๋ผิดหวัง
มันเป็นภาวะที่เครียดมากๆ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ฮาพี่อู๋ตอนคิดเลขมากๆถึงกับฉีกกระดาษ 55555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เข้าใจพี่อู๋ตอนฉีกกระดาษเลย ก็คนมันคิดไม่ได้จริงๆอ่ะ
พี่อู๋เครียดหนักเลย เพราะไม่อยากเป็นพ่อ 55555 แล้วก้องดันมาขอหมอหยุดยาอีก จะมาระเบิดอารมณ์ใส่กันอีกไหม

ออฟไลน์ momima114

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สถานะก็คงยังเปงพ่อนะคะ พี่อู๋ร้องไห้แล้ว 55555555555555

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai2-1: แด๊ดดี้ ที่ไม่ได้แปลว่า พ่อ ใหมล่าาาาาาาาาา
 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ fun_la_ong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่อู๋เครียดหนักแล้ว55555  พิเค้าไม่อยากเป็นพ่่ออ่ะก้องงง

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารพี่อุ๋ เปลี่ยนเป็นพ่อทูลหัวแทนดีมั้ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Akigigi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอความสัมพันธ์​ของทั้งสองคืบหน้าค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
29 [PART1/2]


ที่ปรึกษาเรื่องการเรียนของผมไม่ใช่สมาร์ท แต่เป็นรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนของพี่อู๋ ผู้ปกครองของผมแนะนำพี่ฝ้ายให้รู้จักหลังหยุดเรียนพิเศษได้แค่วันเดียว เขาพาผมไปเจอพี่ฝ้ายที่สตาร์บัคส์ในพารากอน หลังซื้อชาเขียวและเค้กให้เราสองคน คุณอิศรินทร์ก็ปลีกตัวไปนั่งอีกโต๊ะกับพี่นุ่นซึ่งเป็นพี่สาวของพี่ฝ้าย ปล่อยให้ผมมีโอกาสปรึกษาปัญหาชีวิตกับผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี

“เรียนไม่รู้เรื่องเหรอ? ก็เปลี่ยนติวเตอร์สิ” พี่ฝ้ายยิ้มสดใส “คือเราต้องยอมรับก่อนนะว่าก้องไม่ได้เรียนกับเขาตั้งแต่เริ่ม ทีนี้เทคนิคการสอน การทำโจทย์ก็อาจจะไม่เหมาะกับคนเพิ่งลงเรียนคอร์สแรกอย่างก้องไง วิธีแก้คือไม่ต้องเรียน หาคนสอนใหม่”
“แต่พี่อู๋จ่ายเงินให้ผมเรียนไปแล้ว ผมเสียดายตัง”
“การเรียนพิเศษก็เหมือนการลงทุนอ่ะ มันมีความเสี่ยงทั้งนั้น ถ้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ ก็แค่หาติวเตอร์คนใหม่ เดี๋ยวนี้ติวเตอร์เคมีเยอะแยะ จะเรียนกับพี่ก็ได้นะ” เธอหัวเราะเขินๆ “แต่ถ้าเสียดายเงินก็ลองขอย้ายคอร์สไปเรียนตอนเปิดเทอม บอกเขาว่าก้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพทำให้เรียนไม่ไหว พี่ว่าเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ว่าอะไร เขาไม่ได้งกขนาดนั้น”
“เรียนตอนเปิดเทอมมันจะต่างจากตอนนี้ยังไงเหรอครับ?”

พี่ฝ้ายทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะอธิบายว่า อย่างน้อยถ้าย้ายไปเรียนตอนเปิดเทอม ผมจะมีเวลาเว้นว่างให้ได้อ่านและทบทวนอยู่หลายวันก่อนเรียนเทปถัดไป เช่นวันไหนอาจารย์ให้การบ้านห้าสิบข้อ ผมยังพอมีเวลาทยอยทำวันละยี่สิบ สามสิบข้อได้ ไม่ต้องอัดบู้มรวดเดียวเหมือนคอร์สซัมเมอร์ ซึ่งคอร์สพวกนี้มันออกแบบมาเพื่อยัดเนื้อหาให้ครบอยู่แล้ว ไม่แปลกที่เขาจะสอนเร็วเพราะเวลามันจำกัดมาก เด็กส่วนใหญ่มาเรียนเพื่อเอาโจทย์เอาเทคนิค แต่คนที่ไม่เข้าใจเลยมันก็มีนะ มีเยอะด้วย ก้องไม่ต้องเครียดหรอก ก้องอาจจะแค่ซวยที่ได้นั่งข้างเด็กเก่ง แต่ไอ้เรื่องเด็กเก่งเนี่ยพี่อยากให้ทำใจไว้เลยเพราะยังไงมันต้องมีคนเก่งกว่าเราอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้อยากเรียนคณะเดียวกับเด็กพวกนี้ก็ไม่เห็นต้องซีเรียส ยังไงเส้นทางมันต่างกัน เราจะเหมารวมเอาทุกคนว่าเป็นคู่แข่งไม่ได้ ประสาทตายพอดี

โอเค – ผมคิดในใจว่าโอเค เดี๋ยวคุยกับพี่ฝ้ายเสร็จผมจะไปตึกวรรณสรณ์เพื่อขอเปลี่ยนคอร์สดูเพราะยังไงการฝืนดันทุรังเรียนก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีอยู่แล้ว ไหนๆก็ขาดไปตั้งหลายครั้ง ผมควรหยุดตามคำแนะนำของพี่ฝ้ายแล้วค่อยเริ่มใหม่ตอนเปิดเทอม

“ส่วนคณิตกับฟิสิกส์ ถ้ามันไม่ได้หนักอะไรมากจะเรียนต่อก็ได้นะ” พี่ฝ้ายแนะนำต่อ “แต่ก้องถนัดคำนวณใช่ไหม? พี่ว่าคนเก่งวิชาพวกนี้ได้เปรียบมากเลย ไม่เห็นต้องเครียด แค่เคมีตัวเดียวไม่น่ากลัวหรอก”
“แต่ผมไม่ได้ลงเรียนชีวะ”
“อ่านเองก็ได้ อ่านทุกวันๆมันจะซึมเข้าหัวเอง เดี๋ยวกินขนมเสร็จไปร้านหนังสือกับพี่สิ พี่จะแนะนำให้ว่าเล่มไหนเขียนดี เขียนละเอียด เล่มไหนเข้าใจง่าย”

ผมรีบดูดชาเขียวจนหมดแล้วขออนุญาตพี่อู๋ไปซื้อหนังสือกับพี่ฝ้าย เขาไม่ว่าอะไรแถมยังให้เงินอีกสองพันเป็นค่าหนังสืออีก วันนั้นผมได้หนังสือเรียนเพิ่มอีกสามเล่ม เป็นชีวะหนึ่งเล่ม รวมโจทย์คณิตอีกหนึ่งเล่ม และภาษาอังกฤษหนึ่งเล่ม พอซื้อเสร็จผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณพี่นุ่นกับพี่ฝ้ายที่เสียเวลามาแนะนำการเรียน ก่อนแยกย้าย พี่อู๋บอกว่าพี่ฝ้ายเป็นติวเตอร์มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถ้าผมไม่ไหวกับเคมีก็รีบบอก เขาจะจ้างพี่ฝ้ายให้มาสอนเอง

“ผมขอลองดูก่อนได้ไหมครับ เผื่อหลังเลื่อนคอร์สแล้วผมจะเรียนรู้เรื่องขึ้น”

พี่อู๋ตอบว่าได้ เขาไม่ว่าอะไรก่อนจะพานายก้องเกียรติไปพญาไทเพื่อย้ายคอร์สเรียน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็กลับลาดพร้าว ผมหยิบโจทย์เลขขึ้นมาทำทันทีเมื่อมีเวลา ผมชอบนั่งทำหน้าทีวีจนพี่อู๋ไล่ให้ไปอ่านหนังสือในห้องจะได้มีสมาธิ แต่ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอก ทำเล่นๆขำๆ ดูทีวีไปทำไปก็สนุกดี

ดังนั้นผมกับพี่อู๋จึงได้ใช้เวลาร่วมกันในบ่ายวันเสาร์ เขานอนดูเน็ตฟลิกซ์บนโซฟา ส่วนนายก้องเกียรตินั่งบนพื้น คิดโจทย์เลขไปเรื่อยๆจนถึงหกโมงเย็น พอเริ่มหิว พี่อู๋ก็สั่งไลน์แมนให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาส่ง เรานั่งกินด้วยกันหน้าทีวีจนถึงหนึ่งทุ่ม ผมปลีกตัวเข้าไปอ่านชีวะในห้องอีกสองชั่วโมงจึงเรียกพี่อู๋ให้เขานอน

“พี่ได้งานหรือยังครับ?”

ผมถามระหว่างใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้หมาด พี่อู๋ตอบว่าได้แล้ว เขาเพิ่งคอนเฟิร์มตอนกอริลลาก้องไปซื้อหนังสือนี่เอง ที่ทำงานใหม่อยู่แถวอโศก เขายังไม่รู้เลยว่าควรนั่งรถไฟฟ้าหรือซิ่งวีออสไป แต่ดูจากสภาพการจราจรช่วงนี้แล้ว ควรลาออก

หลังรอพี่อู๋อาบน้ำเสร็จ ผมก็ปิดไฟเตรียมกระโดดขึ้นเตียงนอน วันที่หนึ่งของการปรับแผนการเรียนใหม่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับผม วันดีๆไม่ใช่วันที่มีโอกาสออกไปกินของอร่อยๆหรือเดินช็อปปิ้งสบายอกสบายใจในห้าง แต่มันคือวันที่เราสองคนไม่ต้องทะเลาะกัน วันที่พี่อู๋พูดดีกับผม และปฏิบัติต่อผมเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ไม่ถูกละเลยต่างหาก




กอริลลาก้องแข็งแรง คุณอิศรินทร์ก็มีความสุข

ตั้งแต่ย้ายคอร์สเรียน ผมกับพี่อู๋ไม่ทะเลาะกันอีกเลย ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติที่ผู้ปกครองจะออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่ง ส่วนนายก้องเกียรติไปเรียนคณิตศาสตร์ตอนสิบโมง ถึงจะไม่หน้ามืดจนเป็นลมเหมือนเดือนก่อนแต่อาการวูบตัวชายังคงมีเป็นระยะๆ บางทีแค่เอนหลังพิงเก้าอี้แรงเกินไปก็โหวงถึงไส้ หมอบอกว่าต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอเพื่อฟื้นฟูร่างกายกว่าจะกลับมาเป็นปกติ เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ ไม่งั้นผมต้องเวียนหัวตลอดไปแน่ๆ

นอกจากสุขภาพแล้ว ความสัมพันธ์ของเราสองคน – ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่อู๋ยังคงใส่ใจและดูแลผมอย่างดี ถึงงานจะหนักจนกลับดึกสี่ห้าทุ่มทุกวัน แต่พี่อู๋ไม่เคยละเลยหรือเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆซักครั้ง เวลากลับถึงห้องเหนื่อยๆ ประโยคแรกที่เขาถามคือหิวไหม กินอะไรหรือยัง รอนานไหม วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง พี่อู๋คอยถามและให้ความสำคัญกับนายก้องเกียรติเสมอไม่เคยเปลี่ยน และผมก็จะตอบแทนความรักความเป็นห่วงของเขาด้วยการอุ่นกับข้าวให้ บางวันก็นั่งทำงานเป็นเพื่อนจนถึงตีสองตีสามเพราะบริษัทญี่ปุ่นให้งานพี่อู๋หนักเหมือนเคย มันหนักจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเงินเดือนเฉียดแสนมันคุ้มค่าไหมกับการอดหลับอดนอนและต้องสแตนบายเพื่อนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้

ดังนั้นคืนไหนผมอ่านหนังสือเสร็จแต่พี่อู๋ยังนั่งทำงานหน้าโน้ตบุ๊กอยู่ ผมจะบีบเท้าให้ บางวันก็บีบขา บางวันก็นวดหลัง ผมช่วยพี่อู๋ผ่อนคลายด้วยทักษะการนวดนาทีละสิบห้าบาท – ล้อเล่น นวดฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งคุณอิศรินทร์ชอบมากเวลาผมเอาใจด้วยการนวดและหาของว่างให้กิน เขาชอบถึงขนาดให้ทิปผมหนึ่งร้อยบาทเป็นค่าขนมเลย

วันเวลาผ่านไปจนจบคอร์สซัมเมอร์ แผนการเรียนของนายก้องเกียรติเหลือแค่เคมีกับแบ่งเวลาอ่านหนังสือตามตารางที่พี่ฝ้ายแนะนำเท่านั้น วันไหนมีเรียนผมก็จะกลับมาทบทวนที่บ้านตลอด ทำโจทย์ผิดบ้าง ถูกบ้างก็ช่างมันเพราะเคมีเป็นวิชาที่ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ผมไม่ถนัดเคมี ผมยอมรับ ดังนั้นผมจึงบ้าทำโจทย์คณิตกับฟิสิกส์มากๆเพื่อนำคะแนนไปเกลี่ยเคมีที่ไม่ค่อยรุ่งแทน

ในหนึ่งวันผมอ่านหนังสือประมาณหกชั่วโมง ไม่ได้อ่านติดกันรวดเดียวแต่จะหยุดพักทุกๆชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ คณิตศาสตร์คือของหวานสำหรับนายก้องเกียรติ มันไม่ได้ง่ายถึงขนาดทำถูกทุกข้อแต่อยู่กับมันแล้วมีความสุขมากกว่าวิชาอื่น เดี๋ยวนี้ผมสามารถทำโจทย์เลขกับฟิสิกส์ได้วันละหกสิบข้อ วิชาท่องจำอย่างชีวะก็อ่านเรื่อยๆแบบท่องซ้ำเป็นนกแก้วนกขุนทองจนกว่าจะจำได้ ส่วนภาษาอังกฤษยังคงล้มลุกคลุกคลาน ผมทำได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นแต่ก็ไม่เก่งพอจะถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นเหมือนพี่อู๋เสียที

ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่จนถึงเดือนพฤศจิกายน เหลืออีกไม่กี่เดือนผมต้องเริ่มทยอยสมัครสอบแล้ว พอเวลาขยับเข้ามากระชั้นชิดมากขึ้น ความกังวลก็เพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว จากที่เคยคิดว่าน่าจะทำได้ก็เริ่มแพนิคจนนอนไม่หลับและกินอะไรไม่ค่อยลง ผมดูเซื่องซึมจนพี่อู๋ต้องให้กำลังใจด้วยการบอกว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมทำเต็มที่แล้ว ผมขยันและเขาเองก็รับรู้ หลังจากนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง คะแนนจะได้เท่าเศษเล็บขบหรือเยอะจนดาวน์รถได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะไม่ว่าจะสอบได้ที่ไหน พี่อู๋รับประกันว่าเขาจะส่งผมเรียนจนจบแน่นอน

คนรอบตัวมองว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ผมควรจะมีคณะในดวงใจเสียที แต่เปล่าเลย นายก้องเกียรติยังคงลังเลและไม่มั่นใจว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ผมตัดคณะที่เกี่ยวกับศิลปะออก สถาปัตย์ จิตรกรรม ศิลปกรรม และคณะที่ต้องใช้ฝีมือในการออกแบบสร้างสรรค์ ตัดทิ้งไปให้หมดเพราะผมไม่มีพรสวรรค์ด้านนั้น นอกจากนี้ยังตัดเภสัช ตัดวิทยาศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์กับกฎหมายเพราะผมไม่สนใจ ตัดๆๆๆ ตัดไปหลายคณะแต่ก็ยังเหลือในตัวเลือกอีกเยอะ ผมยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไร แต่ตั้งใจไว้ว่าคะแนนออกเมื่อไหร่ค่อยให้พี่อู๋ช่วยเลือกก็แล้วกัน

แกร๊ก!

เสียงประตูห้องเปิดขึ้น นายก้องเกียรติที่กำลังนั่งทำโจทย์เลขอยู่บนโต๊ะรีบเงยหน้ามอง พี่อู๋ส่งยิ้มแหยแปลกๆเหมือนทำอะไรผิดมา ผมยกมือไหว้ทักทายผู้ปกครองก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเมื่อวันนี้เขาพาคนแปลกหน้ากลับบ้านด้วย

“ก้อง นี่เจ้านายพี่ ชื่อชิราอิชิซัง ชิราอิชิซัง โคะเระวะ โบขุ โนะ โคไฮ เดส”
(白石さんこれはぼくのこうはいです。)
(คุณชิราอิชิครับ นี่รุ่นน้องผมเองครับ)

“อ้า – ฮาจิเมะมะชิเตะ ชิราอิชิ เดส โยโรชิขุเนะ”
(あーはじめまして。白石です。よろしくね。)
(ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมชื่อชิราอิชิ ขอฝากตัวด้วย)

เจ้านายของเขาโค้งนิดๆเป็นเชิงทักทาย ส่วนนายก้องเกียรติโค้งจนหัวแทบทิ่มเพราะไม่เคยเจอคนญี่ปุ่นตัวเป็นๆมาก่อน ผมถามผู้ปกครองว่าทำไมซูชิซังถึงมาบ้านของเราได้ เขาบอกว่านายทำกุญแจหาย

“เขาไม่มีกุญแจสำรองเหรอครับ?”
“หายหมดทั้งสามชุด”

ผมเหวอ กุญแจหายก็เดาได้ว่าคืนนี้คุณซูชิน่าจะต้องค้างที่ลาดพร้าวแน่ๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยเมื่อชายวัยสี่สิบกลางๆเดินไปนั่งบนโซฟา เขาปลดเน็กไทออกและเก็บใส่กระเป๋าหนังก่อนจะหันมาคุยกับพี่อู๋

“ก้อง ทำกับข้าวให้พวกพี่กินหน่อยสิ ตั้งแต่เลิกงานยังไม่ได้กินอะไรเลย”

ผมตอบครับๆและถามเจ้านายของผู้ปกครองว่าอยากกินอะไร เขาบอกว่าอยากกินแกงเขียวหวาน อู๋จังทำให้กินได้ไหม จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้ ผมน่ะอยากกินแกงเขียวหวานที่สุดเลย นายก้องเกียรติที่กลายเป็นพ่อครัวจำเป็นต้องเดินไปเซเว่นเพื่อซื้อเครื่องแกงเขียวหวานและกะทิสำเร็จรูป โชคดีที่ในตู้เย็นยังมีวิญญาณหมูเหลืออยู่บ้างก็เลยทำแกงเขียวหวานหม้อเล็กๆให้นายของเขาได้ ชิราอิชิซังตักเขียวหวานเข้าปากคำแรกก็เอาแต่ชมว่าโออิชี่ๆๆๆ ก้องจังเก่งนะเนี่ย ทำกับข้าวอร่อย อู๋จังโชคดีจริงๆได้กินแกงเขียวหวานทุกวันเลย ผมได้แต่คิดในใจ มันเก่งตรงไหนวะ ก็แค่เทกะทิ เทผงปรุงรสและใส่หมู แค่เนี๊ยะ แทบไม่ต้องแสดงฝีมือเลยด้วยซ้ำ

“ใครมันจะกินแกงเขียวหวานทุกวันวะ”

พี่อู๋บ่นเป็นภาษาไทย ผมถามผู้ปกครองว่าพูดแบบนี้ไม่กลัวโดนไล่ออกเหรอแต่คุณอิศรินทร์ก็บอกให้สบายใจว่าไม่ต้องห่วง ชิราอิชิซังฟังภาษาไทยแทบไม่เข้าใจ พูดเก่งอยู่คำเดียวคืออะไรก็ได้

“อารายก้อด้าย ไทยจินว่ะ อารายก้อด้าย”

ผมหัวเราะตามมารยาทและเก็บจานชามไปล้างเมื่อพวกเขาทานเสร็จ เจ้านายของพี่อู๋ถามว่าที่นี่สูบบุหรี่ได้ไหม พอรู้ว่าไม่ได้ แกก็หยิบคีย์การ์ดและบ่นงึมงำๆลงไปสูบข้างล่างแทน

“นายจะมาอยู่กับเรากี่วันเหรอครับ?”
“คืนเดียวพอ พรุ่งนี้พี่ไล่เอง”
“พี่กล้าไล่นายเหรอ? เขาให้เงินเดือนพี่นะ”
“นายคนนี้ไม่ประสาทแดกเท่าไหร่ พูดด้วยเหตุผลก็รู้เรื่อง” เขาบอก “แต่โคตรเซ็งว่ะ นายมาค้างด้วยแบบนี้ต้องทำงานต่อแน่ๆ”

ผมฟังแล้วสงสารพี่อู๋ เลิกงานมาเหนื่อยๆแต่กลับต้องทำหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ต่อเพราะนายมาค้างด้วย นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสามสิบหกนาที ชิราอิชิซังกลับห้องโดยมีเบียร์ติดมือมาด้วยหลายกระป๋อง แกวางเครื่องดื่มผู้ใหญ่ลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะถามผมว่าฮาวโอลอาร์ยู พอผมตอบเอ้ดทีน เขาก็พูดต่อว่าดริ้งๆ ดริ้งทูเกเตอร์



PART 2/2 ต่อด้านล่างเลยค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
29 [PART 2/2]



พี่อู๋ที่ไม่รู้มาจากไหนรีบเดินเข้ามากลางวง เขาคุยกับนายว่า โนเมมาเซน โนเมมาเซน อยู่สองหนจนยามาโมะโตะซังขมวดคิ้ว

“โดชิเตะ”
(どうして。)
(ทำไมวะ?)


“โคโดโมะดะคะระ”
(子供だから。)
(เพราะ(ก้อง)ยังเด็กอยู่)

“โคโดโมะจะเน่”
(子供じゃね!)
(ไม่เด็กแล้วโว้ย!)

“อิเอะๆๆๆ ดาเมะเดสุ เซ็ทไต ดาเมะ”
(いえ。いえ。だめです。ぜったいだめ。)
(ไม่ได้ครับ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด)

ผมงง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไร แต่สรุปได้ว่านายก้องเกียรติอดชิมเบียร์จิบแรกเพราะพี่อู๋ไม่อนุญาต ดังนั้นผมจึงได้แต่นั่งกินเลย์รสซาวด์ครีมกับน้ำแอปเปิ้ลโซดาระหว่างฟังบทสนทนาของพวกเขา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้ยินนายเรียกพี่อู๋ว่าอิศรินทร์ซังเลย ผมได้ยินแค่ อู๋จัง อู๋จัง อู๋จัง บางครั้งก็ก้องจัง ฟังดูแล้วน่าจะพาดพิงผมเยอะพอสมควร

“ทำไมเป็นอู๋จังล่ะครับ? ทำไมไม่อู๋ซัง อู๋คุง อู๋ซามะ?”
“แกกวนเฉยๆ อู๋ซามะนั่นแปลว่าท่านอู๋ ไม่มีนายคนไหนเรียกพนักงานว่าท่านหรอก ยกเว้นหาเรื่องกวนตีน” ผู้ปกครองของผมหัวเราะและซดเบียร์กับเจ้านายอีกหลายอึก
“พี่แปลบ้างสิครับ ผมอยากรู้ว่านายคุยเรื่องอะไร”
“นายถามถึงก้องเฉยๆ อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน เป็นอะไรกับพี่”
“พี่บอกเขาว่าเราเป็นอะไรกันครับ?”
“รุ่นน้อง”
“อ๋อ --”

ผมขานรับ แต่แอบรู้สึกพิลึกชะมัดที่เรามักจะบอกใครต่อใครว่าเป็นรุ่นน้องตลอด พี่อู๋กินเบียร์กับนายหมดไปหลายกระป๋องจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งนายก้องเกียรตินั่งเกร็งกับคุณลุงชิราอิชิเพียงลำพังในห้องนั่งเล่น ผมคิดว่าถ้านั่งเฉยๆไม่ทำตัวเฟรนด์ลี่ เจ้านายของเขาก็คงไม่ชวนคุย แต่ที่ไหนได้  พี่อู๋หันหลังแค่แป๊ปเดียว ชิราอิชิซังชวนผมคุยเหมือนผมจบศิลป์ญี่ปุ่น

“ฟูตาริเดะ ซุนเดะอิรุ?”
(2人で住んでいる。)
(อยู่กันสองคนเหรอ?)

มาแล้ว ฟูตาริ ความหมายเดียวกับโมริ โคโกโร่หรือเปล่าวะ

พอกอริลลาก้องทำหน้างง ชิราอิชิซังก็ชูสองนิ้ว ชี้มาที่ผมและชี้ไปที่ห้องน้ำเป็นเชิงถามว่ามีแค่นายก้องเกียรติกับนายอู๋เหรอ ผมตอบเยส ทูพีเพิ่ล ลิฟอินดีสรูม

“อู๋จังวะ กาลุฟุเรนโดะกะอิรุ?”
(ウーちゃんはガールフレンドがいる。)
(อู๋มีแฟนไหม?)

การุฟุเรนโดะ ผมทวนย้ำในใจ
การุฟุเรนโดะ การุฟุเรนโดะ –
อะไรวะ การุฟุเรนโดะ

อ๋อ! Girlfriend?!

“เกิวเฟน?”
“อื้อๆๆ การุฟุเรนโดะ”
(うん。ガールフレンド)
(ใช่ๆ แฟน)

“อ๋อ โนครับ ไม่มี”
“ม่ายมี่?”

ชิราอิชิซังถามย้ำ สีหน้าแกดูตกใจมากราวกับไม่เชื่อว่าพี่อู๋ไม่มีแฟน

“ครับ โนๆ พี่อู๋ด้อนแฮฟเกิวเฟรน”

แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบอยเฟรนน้า –
ไม่เอา ไม่บอกดีกว่า
 
“อ๋า ซันเน็นนา ฮันซามุนาโนนิ”
(ざんねんな。ハンサムなのに。)
(น่าเสียดายเนอะ ออกจะหล่อแท้ๆ)

แกบ่นงึมงำๆแล้วเงียบไป ผมคิดว่าชิราอิชิซังน่าจะหมดเรื่องสงสัยแต่เปล่าเลย นี่คือจุดเริ่มต้นของการคุยข้ามภาษา เจ้านายของคุณอิศรินทร์เป็นคนช่างพูดอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเองก็รู้ว่าผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นแต่ยังจะพ่นมันออกมาอยู่นั่นแหละ แรกๆก็อวดว่าตัวเองอายุสี่สิบเจ็ดแล้วนะ หน้าดูไม่แก่เลยใช่ไหมล่ะ ถึงจะหัวล้าน (แกชี้ไปที่หัวของแกเองนะ ผมเปล่า) แต่ยังไม่แก่ขนาดนั้น คุยเรื่องผมบนหัวเสร็จก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นชื่อจังหวัดขึ้นมาหน้าตาเฉย ชงบุริ ไกมาก ไกมากๆ แต่บังโคคุสุโก้ย พอบทสนทนาเริ่มกาว นายก้องเกียรติก็ต้องงัดเอาภาษาอังกฤษมาคุย ไม่งั้นคงได้แต่นั่งยิ้มแหย ตอบแค่เยส เยส เยส เยส โอเค โอเค โดยไม่เข้าใจอะไรแน่ๆ

โชคดีที่พี่อู๋เดินหน้าแดงออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน ไม่งั้นนายก้องเกียรติคงต้องนั่งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับคุณชิราอิชิอีกนานแน่ๆ พอเลขาคนเก่งเดินออกมา เจ้านายก็หันไปคุยกับเขาแล้วบอกว่าเคลียร์โต๊ะให้หน่อย ผมอยากได้พื้นที่ไว้ทำงานซักชั่วโมงสองชั่วโมง

“ตีห้าแน่กู”

พี่อู๋คร่ำครวญเป็นภาษาไทยเพื่อบอกให้นายก้องเกียรติรู้ ผมถามเขาว่าพี่เลี่ยงไม่ได้เหรอ ปฏิเสธคุณชิราอิชิไม่ได้เหรอว่าพี่อยากพัก พี่อู๋ผู้เก่งกาจของผมได้แต่ส่ายหน้า เขาบอกคนเป็นนายทำงานหามรุ่งหามค่ำ เลขาจะนอนกินแรงเอาเปรียบเขาได้ยังไง – อันที่จริงก็ได้แหละถ้านายไม่อยู่ แต่นายมันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ เลขาอย่างเขาก็คงเลี่ยงไม่ได้ ต้องจำใจทำไปก่อน

ผมจึงไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าไหนๆพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ ถ้าต้องทำงานจนถึงเช้าจริงๆก็ยังมีเวลาให้นอนวันถัดไป พอเคลียร์โต๊ะกินข้าวจนสะอาดเรียบร้อย คุณชิราอิชิก็หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมาจากกระเป๋า ผมแอบมองด้านหลังเห็นเป็นแปลนอะไรซักอย่างที่ดูไม่ออก ในแปลนมีรอยปากกาแดงขีดฆ่าเต็มไปหมด ผมถามผู้ปกครองว่าแปลนบ้านเหรอ พี่อู๋บอกว่าไม่ใช่ นั่นแปลนเครื่องจักรที่วิศวะออกแบบพลาด นายเขากำลังเม้งแตกจะแดกหัววิศวะแล้ว

“เฮ้อ”

คุณชิราอิชิถอนหายใจเหมือนท้อแท้ เขาเปิดเบียร์อีกหนึ่งกระป๋องแล้วบ่นงึมงำๆให้พี่อู๋ฟัง ผมเดาเอาว่าเขาคงด่าวิศวะหรือไม่ก็ด่าขิงด่าข่าด่าลมฟ้าอากาศไปเรื่อย แต่พอเห็นพี่อู๋หัวเราะ ผมก็เลยถามเขาว่ามีเรื่องอะไรน่าตลกเหรอ ทำไมไม่แปลให้ผมขำด้วย ขายขำให้ผมฟังบ้างสิ

“นายบอกว่ากูอยากเกิดเป็นหมาว่ะอู๋จัง”

ผมหัวเราะออกเสียง มีคนอยากเกิดเป็นหมาเหมือนผมด้วยอ่ะ

“นายบ่นอีกว่าทำไมกูต้องมาทำงานหนัก”
“ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นชอบทำงานซะอีก”
“ไม่ทุกคนหรอก คนเพี้ยนแบบนายพี่ก็มี”

ผมนั่งดูชิราอิชิซังชี้กระดาษแปลนเครื่องจักรพร้อมกับบ่นไฟแล่บ พี่อู๋เอาแต่พูดโซเดสเน โซเดสเนและหัวเราะร่วน พอเห็นผมนั่งมองว่าพวกเขาทำอะไร ชิราอิชิซังก็กวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆเพื่อดูแปลนเครื่องจักรที่ผิดพลาด

“อันนี้คือชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่อง แต่ละเครื่องก็มีหลายพาร์ท แต่ละพาร์ทก็มีส่วนประกอบยิบย่อยเป็นชิ้นๆอีก” พี่อู๋ล่ามให้ผมฟัง “เครื่องนี้เป็นเครื่องเป่าลมชิ้นส่วน”
“ทำไมต้องเป่าครับ?”
“เอาเศษผงที่ติดตามชิ้นส่วนออกก่อนเอาไปชุบน้ำมัน”
“แล้วทำไมต้องชุบน้ำมันอ่ะครับ?”
“กันสนิม”

พี่อู๋บอก พอได้ยินคำว่าสนิม ชิราอิชิซังก็หันมา สะหนิ้ม สะหนิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปชิ้นส่วนที่มีสนิมเกาะให้กอริลลาก้องดู

“สนิมวะ ดาเมะ NG มายด้ายๆ”
(サ二ムはだめ。)
(ให้มีสนิมไม่ได้)

“งานที่มีสนิมเป็นงาน NG แบบนี้ใช้ไม่ได้”
“NG แปลว่าอะไรครับ?”
“NG มาจาก No Good อย่าไปพูดกับฝรั่งล่ะ ศัพท์นี้ญี่ปุ่นสร้างเองใช้เองแต่คุยกับต่างชาติไม่รู้เรื่อง เคยมีฝรั่งงงแดกทั้งห้องประชุมมาแล้ว”

พอเห็นผมสนอกสนใจอยากรู้ว่างานของเขาต้องทำอะไรบ้าง ชิราอิชิซังก็เปิดคลิปที่อัดไว้ในโทรศัพท์ให้ดู มันเป็นคลิปเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานที่กำลังหยิบชิ้นส่วนต่างๆวางบนสายพานก่อนนำไปชุบเคลือบอะไรบางอย่าง ชิราอิชิซังอวดใหญ่เลยว่าเครื่องจักรชุดนี้เขาเป็นออกแบบเองนะ ราคาตั้งสามสิบล้าน แถมได้กำไรด้วย ได้ยินแบบนั้นผมถึงกับตาลุกวาว ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับจำนวนเงินมหาศาลก้อนนั้น แต่ผมสนใจว่าทำไมเขาถึงสร้างเครื่องจักรได้หลายอย่างมากกว่า

“ชิราอิชิซังจบคณะอะไรครับ?”
“วิศวะ” พี่อู๋ตอบแทน
“แล้ว – ชิราอิชิซังทำอะไรได้บ้างครับ?”

พี่อู๋ถามคุณชิราอิชิให้ แกยิ้มกว้างภูมิใจบอกว่าทำได้ทุกอย่าง วิศวะน่ะ ออกแบบเครื่องบินก็ได้ สร้างหุ่นยนต์ก็ได้ ออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ไฮเทคกว่าปัจจุบันก็ได้ แต่ส่วนตัวแกถนัดออกแบบเครื่องจักรให้ได้ตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า งานพวกนี้กำลังเป็นที่ต้องการเพราะโรงงานอยากลดต้นทุนแรงงาน ใช้เครื่องจักรโอกาสผิดพลาดน้อย ทำเวลาได้เร็วกว่า แถมไม่ประท้วงหยุดงานด้วย

“ยิ่งเครื่องไหนลูกค้าอยากได้ลูกเล่นเยอะๆ เราก็คิดเงินเยอะๆ”

พี่อู๋แปลเมื่อคุณชิราอิชิอธิบายการออกแบบคร่าวๆให้ฟัง ตอนนี้แกไม่ใช่คุณลุงวัยสี่สิบเจ็ดที่บ่นว่าอยากเกิดเป็นหมาแล้ว แกดูเหมือนวิศวกรตัวพ่อที่มีความรู้ความสามารถจนเก็บออร่าเอาไว้ไม่อยู่ นานเกือบชั่วโมงที่ผมมีโอกาสนั่งดูแปลนเครื่องจักรและดูคลิปที่คุณชิราอิชิถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์ พี่อู๋บอกว่าจริงๆแล้วแปลนพวกนี้ให้คนนอกดูไม่ได้นะ แต่แกคงอยากขิงให้เด็กมันรู้ถึงได้ชวนนายก้องเกียรติคุยเป็นวรรคเป็นเวร

“เป็นไง? ชอบไหม?”

ผมตอบแค่ว่าก็ดีครับก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องเพราะเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมถามพี่อู๋ว่าพี่ต้องคอยทำงานอยู่กับนายจริงๆเหรอ เขาบอกว่าน่าจะแบบนั้นแหละ ก้องนอนก่อนเลย พรุ่งนี้พี่จะหาทางกำจัดนายออกจากบ้านเอง

ผมหัวเราะขำและขอตัวไปนอน ตอนนี้ในหัวของนายก้องเกียรติไม่ได้มีแค่ข้อสอบที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ผมกำลังคิดถึงเงินก้อนกับงานออกแบบเจ๋งๆของคุณชิราอิชิ เขาเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เด็กอย่างผม โตขึ้น – ผมอยากจะออกแบบอะไรซักอย่างที่เจ๋งมากๆ มีตำแหน่งดีๆ มีเลขาเก่งๆแบบพี่อู๋คอยช่วยกันทำงาน ผมอยากเท่แบบคุณชิราอิชิที่พูดว่าอยากเกิดเป็นหมาแต่เก่งเกินกว่าจะเป็นหมา ผมอยากเป็นเหมือนเขาจริงๆนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่อยากใช้คุณชิราอิชิเป็นต้นแบบก็คือหัวล้าน ผมไม่อยากหัวล้านตอนแก่ แต่ดูจากทรงผมของพี่อู๋ที่ค่อยๆเหม่งขึ้นเรื่อยๆเหมือนนายแล้ว ผมต้องมีชะตากรรมไม่ต่างจากพวกเขาแน่นอน





วันที่สิบสี่ธันวาคม พี่ตั้มเพื่อนสนิทของพี่อู๋หย่ากับภรรยา

ทำไมผมถึงจำวันนี้ได้เหรอ? เพราะมันเป็นวันที่ผมอ่านหนังสือหนักที่สุด เหนื่อยที่สุด และมีเรื่องประหลาดที่สุดเกิดขึ้นในชีวิตของผม

ตอนสี่โมงเย็น พี่อู๋โทรมาบอกว่าวันนี้เขาอาจกลับบ้านดึกหน่อยเพราะจะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ ผมไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าพี่อู๋คงอยากผ่อนคลายตามประสาคนทำงานหนัก ผมบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวนายก้องเกียรติออกไปซื้อไส้กรอกที่เซเว่นมากินเอง ส่วนพี่เที่ยวให้สนุกเถอะ อย่าเมาหัวทิ่มเหมือนคราวก่อนก็แล้วกัน ผมตามเช็ดอ้วกพี่ไม่ไหว เหม็นมาก ผู้ปกครองของผมรับปากอือๆๆได้ๆๆก่อนจะวางสาย ผมนึกว่าเขาคงจบแค่นั้น แต่พอห้าทุ่ม คุณอิศรินทร์ก็โทรมาใหม่

“ก้อง พี่ขอกลับดึกกว่านี้ได้ไหม?”
“กี่โมงครับ?” ผมถาม เดาเอาว่าคงตีสองตีสาม แต่คำตอบของเขามันไกลกว่าที่คิด
“พรุ่งนี้”
“พี่ตกถังเหล้าเหรอถึงกินข้ามวันข้ามคืน?”
“ไอ้ตั้มมันเพิ่งหย่ากับเมีย พี่สงสารมัน”

อ่ะ โอเค สงสารก็สงสาร

ผมไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรกับชีวิตเขาจึงได้แต่ตอบครับๆและให้สัญญาว่าจะล็อกห้องอย่างดี คืนนั้นผมทำโจทย์ภาษาอังกฤษจนถึงเที่ยงคืนแล้วเข้านอน ผมหลับๆตื่นๆตลอดเพราะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทีไรก็ชอบคิดว่าพี่อู๋กลับมาทุกที นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามห้าสิบแปดนาที ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคุณอิศรินทร์เดินเข้ามาในห้อง ทีแรกผมจะลุกไปดูแต่ก็ขี้เกียจ ถ้ากลับบ้านเร็วกว่ากำหนดแบบนี้คงไม่เมาเท่าไหร่หรอกมั้ง – ผมคาดเดา

ซักพักประตูห้องนอนก็เปิด กลิ่นเหล้าฉุนกึกฟ้องในทันทีว่าพี่อู๋ดื่มเยอะแค่ไหน ผมแอบปรือตามองผู้ปกครองยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องน้ำ สีหน้าคร่ำเครียดเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น ผมหรี่ตามองเขาอยู่นาน เห็นพี่อู๋ถอนหายใจสลับกับสบถคำหยาบเป็นระยะๆ ซักพักเขาก็เดินหายไปเข้าห้องน้ำ เสียงกดชักโครกดังขึ้น คุณอิศรินทร์เดินโงนเงนออกมาพร้อมกับรับสายโทรศัพท์ ฟังดูแล้วน่าจะกำลังคุยกับเพื่อน

“เออ กูถึงห้องแล้ว” เขาพูดเบามาก เบาเหมือนกระซิบราวกับกลัวผมตื่นมาด่า “กลับเช้าได้ไง ไอ้ห่า ก้องอยู่บ้านคนเดียว”

บทสนทนาของเขาออกแนวบ่นๆเชิงแก้ตัวว่าทำไมถึงกลับเร็ว ผมเดาเอาว่าเพื่อนๆในวงน่าจะโมโหพอสมควรที่พี่อู๋ชิ่ง แต่เขาก็บอกว่าจะจ่ายค่าเหล้าให้ขวดนึงเป็นการทดแทน ฝากบอกไอ้ตั้มด้วยว่ากูแดกจนเช้าไม่ได้จริงๆ งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องดู

“ถึงไหนอะไรล่ะ กูยังไม่เคยพูดเล้ย” เขาหัวเราะ “เออ ถือสายรอแป๊ป”

ผมหลับตาเมื่อเห็นพี่อู๋เดินมาที่เตียง เขาก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมก่อนจะเดินเกาตูดออกจากห้องนอนไปหน้าตาเฉย ผมอึ้ง ช็อค ทำตัวไม่ถูกเลย ถึงพี่อู๋จะไม่อยู่ในห้องแล้ว แต่สัมผัสอุ่นๆของเขายังติดอยู่ตรงแก้มของนายก้องเกียรติ ผมหน้าร้อนฉ่า หัวใจเต้นตึกตักเพราะสับสนว่าพี่อู๋ทำอะไร เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร เป็นเพราะเขาเมาหรือโดนใครในสายท้าให้ทำพิเรนทร์อย่างหอมแก้มกอริลลาก้องเหรอถึงได้ทำแบบนี้

ในสมองของเด็กอายุสิบแปดที่ไม่เคยมีความรักได้แต่ตั้งคำถาม ผมพยายามหาเหตุผลของการกระทำอันอุกอาจของพี่อู๋ด้วยความสับสน ตั้งแต่เกิดมา คนที่หอมแก้มผมมีแค่แม่กับเพื่อนผู้หญิงสมัยอนุบาล ผมไม่เคยโดนผู้ชายหอมแก้มมาก่อน ไม่เคยถูกใครสัมผัสด้วยริมฝีปากนอกจากแม่ที่ตายไปปีกว่า ไม่เคย – ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ มันใหม่และประหลาดสำหรับเด็กผู้ชายที่อยู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ผมนึกหาคำตอบอยู่นานว่าคนเราจะหอมแก้มกันไปทำไมถ้าไม่ใช่เพราะรัก แม่รักผมก็เลยหอมแก้ม เพื่อนสมัยอนุบาลชอบผมก็เลยหอมแก้ม แล้วพี่อู๋ล่ะ? เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนั้นทำไม หรือว่าเขา –

เขาชอบผม?

บ้าเหรอ ใครมันจะมาชอบมึงวะก้อง พี่อู๋ที่เห็นมึงแสดงสันดานเสียๆเอาแต่ใจเนี่ยนะจะชอบมึง เฮ้ย – แต่เขาเป็นเกย์นี่หว่า เกย์แล้วไงวะ เกย์ก็เลือกเหมือนกันหรือเปล่า เขาเคยมีแฟนระดับคุณหมูพีเลยนะเว้ย คนที่เคยมีแฟนเพอร์เฟ็คขนาดนั้น จะชายตามองเด็กมอมแมมอย่างมึงได้ไงวะไอ้ก้อง ประสาท

แต่ถ้าพี่อู๋ชอบมึงจริงๆล่ะ?

พอคิดแบบนี้ผมก็กลัวจนใจหล่นไปที่ตาตุ่ม ผมรักพี่อู๋นะ ผมซาบซึ้งบุญคุณและเทิดทูนเขาเหนือสิ่งอื่นใด แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่อู๋รักผมเหมือนที่รักคุณหมูพี ความรักรูปแบบนั้นสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา ซึ่งผมอยากมีความสัมพันธ์ดีๆกับเขาจนตาย ไม่อยากเลิกกันเหมือนความรักของพวกเขา อีกอย่างผมไม่ใช่คนดีอะไรเลย ผมไม่เหมาะจะเป็นแฟนของใคร และที่สำคัญ – ผมเป็นผู้ชาย

ผมเป็นผู้ชาย

ผมเป็นผู้ชาย แต่ผมควรทำยังไงในเมื่ออีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณที่ดีกับผมมาโดยตลอด คืนนั้นทั้งคืนผมคิดเรื่องนี้ไม่ตกเลย มันทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้นที่มีคนมาชอบ พอคิดว่าพี่อู๋ชอบ มันก็จะมีความรู้สึกเล็กๆคัดค้านอยู่ตลอด เขาไม่ชอบมึงหรอก เขาจะชอบมึงได้ไง มึงมอมแมมจะตาย หน้าตาก็บ้านๆ จืดๆ เรียนไม่เก่ง คนหล่อแบบเขาจะชอบมึงได้ยังไงวะก้อง

แต่เขาหอมแก้มมึงเลยนะเว้ย

เออ – เขาหอมแก้มผมเลยนะ พี่อู๋ชอบผมเหรอ เพ้อเจ้อชิบหาย คนอย่างพี่อู๋จะชอบนายก้องเกียรติได้ไง สงสัยต้องหยุดคิดไกลก่อน ผมควรรออีกหน่อยเผื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาเมา คนเราเวลาเหล้าเข้าปากมักจะกล้าทำอะไรบ้าบิ่นเสมอ ดูอย่างคราวก่อนสิ พี่อู๋ยังลุกขึ้นเต้นเพลงผีเสื้อราตรีทุกคืนเลย ฤทธิ์น้ำเมาของแท้ งั้นผมจะโทษว่าเป็นเพราะเหล้าก็แล้วกัน ที่หอมแก้มไปเมื่อกี๊ก็จะคิดเสียว่าไม่ถือสาคนเมา แต่ถ้าคราวหน้ามีอีก ผมคงต้องจับเข่าคุยกับพี่อู๋แล้วล่ะว่านี่มันเรื่องอะไร

แต่ที่แน่ๆ -- พี่อู๋ไม่ได้ชอบมึงหรอกก้อง
มึงมันมอมแมม! มึงเป็นลิงจรัญสนิทวงศ์! ใครจะชอบมึง!



TBC





___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีวันหยุดนะคะ 

แต่ถ้าเราไม่มีงานทำ ทุกวันก็จะกลายเป็นวันหยุดค่ะ แหะๆ ʕ•ᴥ•ʔ



ตอนนี้ความสัมพันธ์ก็จะขยับไปอีกนิด เด็กมังรู้ตัวแล้ว ตาลุงเขาจะจัดการยังไง รออ่านพร้อมกันตอนหน้านะคะ ♥

แฟนอาร์ตสวยๆยังมีอัปเดตในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ เรื่อยๆนะคะ ต้องขอบคุณทุกคนที่สกรีม คอมเม้นต์ โดเนท และดีเอ็มมาให้กำลังใจเสมอ ขอบคุณมากๆค่ะ ทุกคนสามารถส่งกำลังใจให้หนูได้นะคะ สติ๊กเกอร์ตัวเดียวก็มีความหมายมากๆ ขอบคุณที่รักและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้น้า ขอบคุณค่า



ด้วยรักและขี้คร้าน

จากหนูเอง




ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ก้อง หนีไปลูก!!!

ออฟไลน์ momima114

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กี้ดก๊าดดด อ่านแล้วหยักวาดแฟนอาร์ตมากๆเลยค่ะะ โดยเฉพาะซูชิซัง กร๊าก 555 ลิงจั๊กๆนะเจ้าก้องง ชอบบรรยกาศฟิลอยู่ด้วยกันกุ้งกิ้งตามประสาพ่อ(ทูนหัว)ลูก จังเลยค่าา ดีใจที่น้องก้องผ่านเรื่องติวเติร์ทั้งหลายมาได้ ขอบคุณพี่ฝ่ายมากๆนะคะ //ไหว้ย่อออ ซูชิซังตอนพูดยุ่นคืออ่านออกเสียงตามทุกคำ 555555 แงงง๊ แอบสงสานตอนน้องเริ่มสับสน หวังว่าจะน้องจะไม่ทำให้ตัวเองเจ้บป้วดน้า เจ้าก้องสู้วๆ เอาชนะ tcas อันห่วยแตกมาหั้ยได้น้า

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เอาแล้วพี่อู๋  :impress2: มันน่าจะยากนะกับการเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของคู่นี้ แอบเห็นใจพี่อู๋จะบอกก้องยังไง น้องก้องดูสับสนมากๆ อาจจะยังตั้งตัวไม่ทัน

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ก้องจะรับรักพี่อู๋มั้ยอ่ะ กลัวจังเลย สงสารพี่อู๋ง่ะเฝ้ามานานก้องไม่มีใจนี่แย่แน่ๆ
แอบเขินตอนหอมแก้ม แอบทำตอนหลับด้วยนะคนเรา

ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
พี่อู๋ววววววววววว หอมน้องละเกาตูดเนี่ย 5555555555 โธ่ น้องลิงจรัญสนิทวงศ์ของพี่ไปไม่ถูกเลยลูกกกกก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เจ้ากอริลล่าไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักมากแค่ไหน 555555555555

ออฟไลน์ saiias

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โดนน้องก้องจับได้แล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาพี่อู๋แอบทำบ่อยใช่ไหมเนี่ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2019 00:38:12 โดย saiias »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด