28 [PART 1/2]
ผมแบกความคาดหวังเอาไว้บนบ่า
น้ำหนักของความหวังของตัวเอง ของพี่อู๋ และของแม่ที่ตายไปแล้วกดทับบ่าทั้งสองข้างจนปวดไปหมด การจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยตั้งใจไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งผมนึกย้อนไปถึงปีก่อนว่าเคยมีความคิดหรือความฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง แต่ผมจำไม่ได้ นายก้องเกียรติตอนอายุสิบเจ็ด -- ไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง
“พี่อู๋ ผมไปเรียนแล้วนะ สวัสดีครับ”
ผมบอกผู้ปกครองที่นอนกินองุ่นบนโซฟา เขาหันมาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่พูดอะไร กอริลลาก้องที่กำลังท้อใจได้แต่เดินออกจากห้องเงียบๆ สองเท้ามุ่งหน้าสู่สถานีจตุจักรเพื่อไปเรียนพิเศษเหมือนเคย ตลอดทั้งวันผมนั่งเหม่ออย่างใจลอย มันมีแต่คำถามว่าผมทำผิดอะไรนักหนาทำไมพี่อู๋ถึงหลุดปากพูดออกมาแบบนั้น เขาไม่ชอบเด็กตั้งใจเรียนเหรอ พี่อู๋ไม่ชอบคนที่ขยันมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเหรอ แทนที่จะชื่นชมนายก้องเกียรติที่ขยันแทบตายแม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่เขากลับคว่ำบาตรผม เขามึนตึงใส่ ไม่พูดไม่จา ไม่หยอกล้อหรือเอ่ยปากห้ามซักคำ
ผมบอกตัวเองว่าพี่อู๋ทนไม่ไหวหรอก เขาคงทนเงียบเป็นใบ้ได้ไม่กี่วันแต่คุณอิศรินทร์กลับทำให้ประหลาดใจอีกหน ถ้าไม่ชวนคุย พี่อู๋จะไม่คุยกับผมเลย เราแทบไม่ได้กินข้าวด้วยกันเพราะพี่อู๋ใช้ชีวิตตามตารางเวลาของตัวเอง หิวก็กิน เบื่อก็ออกไปข้างนอก เขาไม่รอหรือถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว น่าแปลกที่นายก้องเกียรติควรดีใจที่ผู้ปกครองเลิกจุกจิกยุ่มย่ามกับชีวิต แต่ผมกลับเสียใจมากกว่าเดิมที่ถูกเพิกเฉย
“ถูกค่ะ ถูกค่ะลูก ถูกค่ะ – ”
เสียงของคุณครูดังขึ้น ส่วนนายก้องเกียรตินั่งจมอยู่ในโลกของตัวเอง ใครถูก? พี่อู๋เหรอ? หรือผม? ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก ไหนคุณครูช่วยพูดให้มันเคลียร์ๆหน่อย
“ถูกค่ะ”
คุณครูว่าใครเป็นฝ่ายถูกครับ?
“ถูกค่ะ”
ผมเหรอ?
“ไม่ใช่ลูก คิดใหม่นะ”
อ้าว – หรือพี่อู๋?
“ถูกค่ะ”
“อะไรถูกวะ?”
ผมพึมพำ เสียงคงดังจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆได้ยิน เธอหันมาหาผมก่อนจะใช้ดินสอชี้ไปที่ข้อสิบห้าแล้วบอกว่าตอบสอง ผมมองหน้าเธอ ก้มมองหนังสือเรียนที่ขาวโพลนจนน่าอาย ก่อนจะมองหน้าเธออีกครั้ง
“ตอบสองเหรอ?”
“อื้ม”
“รู้ได้ไงอ่ะ?”
“เราคิดออกมาได้แบบนี้” เธอบอก
“อาจจะไม่ถูกก็ได้นะ” ผมเถียง
“งั้นคิดว่าข้อไหนถูกอ่ะ?”
ผมเงียบ เพราะไม่รู้ว่าข้อไหนถูก ถ้ารู้ ผมจะนั่งกัดปลายดินสอกดเฉยๆไหมล่ะ เอ้อ
“ข้อนี้ตอบ – สองค่ะ”
คุณครูเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนนายก้องเกียรติหน้าเป็นตูด เพราะยายคนข้างๆตอบถูกอีกแล้ว
☁
เหตุการณ์หน้ามืดเกิดขึ้นวันละสองสามครั้งเป็นอย่างต่ำ
เดี๋ยวนี้ผมฉลาดพอที่จะหยุดเดินเมื่อโลกหมุนติ้วๆจนทรงตัวไม่ได้ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณประท้วง ผมจะรีบหาที่นั่งและจิบชาเขียวหวานๆที่ซื้อติดกระเป๋าเป้ทันที พอนั่งรอซักพักจนแน่ใจว่าจะไม่ล้มหัวทิ่มที่ไหนจึงลุกขึ้นเดินไปเรียนพิเศษต่อ ส่วนตอนพักเที่ยงผมยอมเสียเวลากินข้าวให้หมดเพื่อฝืนขึ้นไปเรียนที่ชั้นสิบสี่ แต่อาการพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยข้าวจานเดียว วิธีแก้คือต้องหยุดพักจนกว่าจะหายดีอย่างที่หมอว่าซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผมเรียนพิเศษมาห้าสัปดาห์แล้ว ผมจะยอมแพ้และหยุดเรียนกะทันหันไม่ได้
นายก้องเกียรติที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนาไม่รู้เลยว่าการฝืนร่างกายต่อไปเรื่อยๆจะสร้างปัญญาใหญ่จนผู้ปกครองเดือดร้อน เพราะวันหนึ่งขณะเดินลงบันไดที่บีทีเอสพญาไทเพื่อข้ามถนนไปตึกวรรณสรณ์ จู่ๆผมก็เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นจนหัวโน คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่ผมวูบไปเลย ไม่ใช่แค่หน้ามืดจนเดินไม่ไหว แต่วูบหลับชนิดที่ลืมตาอีกทีก็เห็นเพดานของโรงพยาบาล และแน่นอนว่าข้างๆเตียงก็ไม่ใช่ใคร พี่อู๋ยืนกอดอกจ้องผมตาเขม็งตั้งแต่ยังมองอะไรๆไม่ชัดจนเห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตา
“แต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ ไปสัมภาษณ์มาใช่ไหมครับสุดหล่อ”
พี่อู๋ไม่ตอบ เขาคงโกรธมากจริงๆถึงไม่ยอมพูดอะไรซักคำ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆและปรือตาจ้องหน้าผู้ปกครอง ผมบอกเขาว่าไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่ได้เป็นไร ที่ล้มเพราะอากาศร้อน จริงๆแล้วผมยังแข็งแรงนะ เตะพี่ปลิวยังได้เลย
“พี่ได้งานหรือยังครับ?”
ผมพยายามง้อด้วยการถามอีก แน่นอนว่าพี่อู๋ไม่ตอบ เขามองผมราวกับผิดหวังมากที่นายก้องเกียรติมาจบที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะค่อยๆขยับตัวและเอื้อมมือไปจับแขนเขา แต่พี่อู๋ถอยหลังหนี เขากอดอกมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร
“พี่เอาเงินค่าบ้านของผมไปจ่ายค่าโรงพยาบาลก็ได้”
พี่อู๋ก็ยังไม่พอใจ
“ถ้าพี่ไม่คุย ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
คุณอิศรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องทันที ปล่อยให้นายก้องเกียรตินอนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว พอเขาหายไปผมก็เริ่มเครียดอีกครั้ง วันนี้ผมขาดเรียนเคมี แถมยังหัวโนเป็นลูกมะนาวเพราะตกบันไดอีก ที่ร้ายกว่านั้นคือโดนพี่อู๋โกรธจนไม่ยอมพูดจาและเดินหนีไปเลยราวกับผมไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตของเขาอีกแล้ว
ผมถอนหายใจก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผาก ไม่รู้ว่าในน้ำเกลือมียาอะไรอยู่ถึงทำให้ง่วงขนาดนี้ มันง่วงจนผมต้องยอมแพ้และหลับตาลง ในหัวไม่คิดมากเรื่องพี่อู๋อีกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะนึกหาเหตุผลอะไร ผมนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนวูบหลับ มันเป็นการหลับที่เต็มอิ่มและสดชื่นที่สุดตั้งแต่เรียนพิเศษมาเลย
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที
สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองคือพี่อู๋อยู่ไหน
โทรทัศน์ที่วางอยู่ปลายเตียงเปิดช่องข่าวสามมิติทิ้งเอาไว้ ในห้องไม่มีสัญญาณของใครอยู่นอกจากกอริลลาตัวเดียว ผมที่เพิ่งตื่นยังมึนงงเกินว่าจะนึกน้อยใจใครจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากหาวปากกว้าง ผมหาวและหลับตา หาวอีกครั้งทั้งๆที่ยังหลับตา และนอนมึนหัวอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ผมมั่นใจว่าคนที่เดินผ่านปลายเตียงต้องเป็นพี่อู๋แน่ๆเพราะกลิ่นสบู่นกแก้วที่เขาชอบใช้ ดังนั้นผมจึงฝืนลืมตาและหาวปากกว้างอีกครั้งตอนที่พี่อู๋กลับมายืนข้างเตียงพอดี
“พี่ไปไหนมา?” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ “พี่อู๋ --”
ผมเรียกชื่อเขาและหยุดไว้แค่นั้นเพราะหาวอีกรอบ ถ้าพี่อู๋ไม่ตอบก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมเพลียมาก เพลียเหมือนตัวเองเป็นปลาหมึกอบแห้งที่พร้อมปลิวตามลมตลอดเวลา พอเห็นนายก้องเกียรติทำท่าจะเคลิ้มหลับอีกรอบ พี่อู๋ก็ยอมแพ้ เขาปรับระดับเตียงให้ผมนั่งก่อนจะเข็นโต๊ะที่มีโจ๊กเย็นชืดกับน้ำเก๊กฮวยมาให้
“ผมหิวพอดีเลย” ผมพยายามง้อคุณอิศรินทร์อีกครั้ง “โจ๊กร้านไหนครับ?”
พี่อู๋ยังคงไม่ตอบเหมือนเดิมนอกจากป้อนโจ๊กให้โดยไม่ต้องขอ ผมนอนหลับตากินโจ๊กบนเตียงจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็จิบเก๊กฮวยหวานๆเป็นการปิดท้าย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่ก่อนจะหลับอีกรอบผมขอให้พี่อู๋พาไปห้องน้ำหน่อย แน่นอนว่าผู้ปกครองของผมไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงขนาดปล่อยให้นายก้องเกียรติคลานเข้าห้องน้ำ เขาช่วยพยุงไปทำธุระจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็พากลับมาที่เตียงและห่มผ้าให้ ผมจึงเคลิ้มหลับยาวอีกครั้งโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเสียที
☁
พี่โรมกับพี่ตั้มมาเยี่ยมผมในเช้าวันถัดไป
คุณครูเปียโนผู้ใจดีซื้อซูชิมาฝากด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋กับเพื่อนๆนั่งคุย กอริลลาที่กำลังป่วยจึงเคี้ยวแซลมอนจนแก้มตุ่ยไม่เข้าร่วมบทสนทนา ทุกอย่างที่พี่โรมกับพี่ตั้มซื้อมาฝากนั้นอร่อยไปหมด ซูชิหน้าแซลมอนดิบก็ดี แซลมอนเบิร์นก็อร่อย หน้าไข่หวานและปลาหมึกก็ละมุนลิ้นจนต้องเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวนานๆเพื่อซึมซับรสชาติอูมามิ นานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้กินของดีๆ ไม่ใช่เพราะพี่อู๋ไม่เลี้ยง แต่เพราะผมเรียนจนหัวฟูเลยไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเขาต่างหาก
ระหว่างที่กำลังกิน พี่อู๋ก็เรียกพี่ตั้มไปคุยข้างนอก ผมรู้ทันทีว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาคงไม่พ้นนายก้องเกียรติที่สรรหาแต่เรื่องเสียเงินมาให้ทุกวี่ทุกวัน ผมมองแผ่นหลังของผู้ปกครองจนสุดสายตาก่อนจะหันมาหาพี่โรมที่นั่งยิ้มแหะๆตรงโซฟา
“พี่อู๋โกรธผมมากไหมครับ?”
พี่โรมส่ายหน้าและบอกว่าเปล่าหรอก อู๋ไม่ได้โกรธ ไม่โกรธเล้ย ไม่โกรธจริงๆ เขาย้ำว่าไม่โกรธจนมีพิรุธ ในที่สุดคุณครูสอนเปียโนก็ยอมรับตามตรงว่าคุณอิศรินทร์โกรธมาก เมื่อวานเขาโมโหจนแทบจะแดกหัวนายก้องเกียรติเลย
“ก็สมควรโกรธ ผมดีแต่ทำให้พี่อู๋เสียเงิน”
“ก้อง เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาของอู๋หรอกนะ”
ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่โรมเป็นเชิงขอให้เขาเฉลยว่าถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วมันคืออะไร
“อู๋มันไม่อยากให้ก้องเรียนพิเศษ”
ผมตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สมองมึนงงว่าทำไมพี่อู๋ถึงไม่อยากให้เรียนต่อในเมื่อเราเคยคุยกันว่าหากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมจะตั้งใจเรียนให้จบและทำงานหาเงินมาคืนเขา ตอนนั้นพี่อู๋ยังไม่ว่าอะไรซักคำเมื่อผมขอตังค์ไปเรียนพิเศษ แต่พอผมเริ่มเรียนได้แค่เดือนกว่าๆ เขากลับบอกพี่โรมว่าไม่อยากให้นายก้องเกียรติเรียนแล้ว
“ก้อง – พี่เข้าใจนะว่าสอบเข้ามันยาก มันต้องเรียนหนัก ต้องขยัน ต้องตั้งใจ แต่ก้องช่วยขยันน้อยลงกว่านี้ได้ไหม? ขอแบบพอดีๆไม่หักโหมจนป่วย”
“แต่ผมแค่เป็นลมเอง ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“สำหรับอู๋มันไม่ใช่แค่เป็นลม มันคือเรื่องคอขาดบาดตาย” พี่โรมว่า “ก้องคิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นลมตอนข้ามถนนหรือตอนขึ้นรถไฟฟ้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอู๋มันจะเสียใจแค่ไหน”
“พี่อู๋ไม่เห็นต้องเสียใจเลยครับ ผมจะเป็นหรือตาย ยังไงมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่แล้ว”
“ก้อง --” พี่โรมถอนหายใจเหมือนเหนื่อยจะพูดอธิบาย “คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ถ้าตายแล้วกลับมาแก้ไขไม่ได้นะ”
“ครับ ผมรู้ เพราะเรามีชีวิตเดียว ผมถึงอยากทำให้เต็มที่ไง”
“พี่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งก้องเป็นอะไรขึ้นมา อู๋มันจะคิดว่าตัวเองทำพลาดเป็นครั้งที่สองนะ”
“พี่โรมหมายความว่าไงครับ?”
พี่โรมอึกอักเหมือนลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับพี่อู๋ เขาไม่อยากคิดเอาเองว่าพี่อู๋มองเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าถามความเห็นของเพื่อนสนิทที่คุยกับคุณอิศรินทร์ค่อนข้างบ่อย เขาคิดว่าพี่อู๋ยังคงโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้เอมตาย
“ตอนนั้นอู๋มันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน มันจ่ายเงินให้เอมเรียนพิเศษแต่ไม่ค่อยมีเวลาดูน้องเท่าไหร่ กว่าจะรู้ว่าเอมเครียดมากก็ตอนโรงพยาบาลโทรให้ไปรับศพแล้ว”
ผมอยากถามพี่โรมต่อว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เอมอยากเรียนอะไรทำไมถึงฆ่าตัวตาย แต่คุณอิศรินทร์ก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน พี่โรมจึงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเอมอีก พวกเขาใช้เวลาในห้องพักผู้ป่วยอีกแค่สิบนาทีก่อนจะขอตัวกลับเพราะหมอเข้าตรวจพอดี วันนี้คุณหมอถือชาร์ตผลเลือดและค่าความดันมาด้วย เขาถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ยังกินยาต้านเศร้าอยู่หรือเปล่า ผมตอบว่ากินครับ ผมกินยาครบไม่เคยขาด แต่ถึงกินยาก็ยังมีปัญหาเรื่องการนอนอยู่ดี
“อาจจะต้องปรับยาใหม่กับคุณหมอที่ตรวจประจำนะครับ”
คุณหมอแนะนำก่อนจะส่งชาร์ตให้พยาบาล เขาหยิบหูฟังขึ้นมาตรวจและพยายามชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันเช่น เบื่ออาหารไหม ตอนไปเรียน นอกจากแซนด์วิชแล้วยังได้กินอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า อาการหน้ามืดล่ะเป็นไง ปวดหัวปวดตัวร่วมด้วยไหม ผมจึงบอกเขาว่ายังมีอยู่บ้าง แค่ขยับตัวนิดหน่อยโลกก็หมุนคว้างแล้ว บางทีเดินเฉยๆก็ใจสั่น ตัวหวิวๆเหมือนไฟช็อตเป็นครั้งคราว พอได้ยินอาการทั้งหมดหมอก็ถอนหายใจและพูดว่าอาการที่ผมเป็นอยู่คือพักผ่อนน้อย วิธีรักษาคือพักผ่อน ต้องพักผ่อนจริงๆจังๆ ไม่งั้นก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่หายเสียที
“แต่ผมขาดเรียนไม่ได้ ผมกลัวตามเพื่อนไม่ทัน”
“เราก็ต้องเลือกเนอะว่าอะไรสำคัญกว่า”
หมอพูดเป็นเชิงให้คิด แต่ขอโทษเถอะครับ สิ่งที่นายก้องเกียรติเห็นเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้คือเรื่องเรียนเท่านั้น
“ผมว่าผมไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าเวียนหัวอีกผมจะจิบน้ำหวานเยอะๆ”
“น้ำหวานก็ไม่ช่วยหรอก มันต้องแก้ตั้งแต่พักผ่อนให้เพียงพอ ตอนนี้ร่างกายเราประท้วงแล้วว่าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไอ้มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมันก็ดีนะ แต่ถ้าฝืนจนเป็นลมแบบนี้บ่อยๆหมอกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่น่าจะถึงตาย”
“ใครว่า เดี๋ยวนี้คนตายเพราะอดนอนเยอะแยะ”
คุณหมอบอก แต่ผมก็ยังไม่สำนึกเพราะผมไม่ได้อดนอนเรื้อรัง ผมเพิ่งอดนอนแค่ไม่กี่สัปดาห์เอง อีกไม่นานคอร์สเรียนพิเศษก็จะหมดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยนอนก็ยังได้ ผมมีข้อแก้ตัวมากมายในหัวที่พร้อมจะโต้เถียงกับคุณหมอรุ่นพ่อ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ประโยคถัดมาก็ทำให้ผมเงียบเพราะพูดไม่ออก
“ถ้าเราตายไป เราไม่สงสารพี่เหรอ? เขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีเราอยู่เป็นเพื่อนนะ”
ผมมองหน้าพี่อู๋ทันทีแล้วก็คิดได้ว่าถ้าวันหนึ่งผมตาย ผู้ปกครองจะอยู่กับใคร
“เรื่องเรียนพิเศษไม่ต้องเลิกก็ได้ ขอแค่นอนให้เต็มอิ่มก่อนไปเรียน การบ้านทำไม่ทันก็ช่างมัน เว้นไว้ทำวันหลังบ้าง”
หมอสอนผมแค่นั้นก่อนจะบอกว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่อ่านจากประวัติยาต้านเศร้าที่กินอยู่ มันมียาตัวนึงที่ทำให้ง่วงรวมอยู่ด้วย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ที่ผมหลับแทบตลอดเวลาเพราะยาตัวนี้ ถ้ายังไงลองกลับไปปรึกษาคุณหมอประจำตัวดูนะว่าเปลี่ยนยาได้ไหม เผื่อมียาใหม่ไม่ง่วง ผมจะได้ตั้งใจเรียนในห้องเต็มที่ ไม่ต้องตะบี้ตะบันกลับมาอ่านหนังสือจนเกือบเช้าทุกวัน
ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอก่อนจะหันมามองหน้าพี่อู๋ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้เขาไม่สบายใจขนาดนี้ แต่ทำไงได้ อนาคตของผมก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนกัน
“จะกลับบ้านวันนี้เลยไหม?”
“วันนี้ก็ได้ครับ”
ผมบอก ดังนั้นพี่อู๋จึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อแจ้งพยาบาล หลังจากนั่งรอบิลและรับยาเกือบสองชั่วโมง เราก็มุ่งหน้ากลับลาดพร้าวพร้อมกัน
☁
คุณอิศรินทร์แวะซื้อของที่บิ๊กซีโดยมีนายก้องเกียรติเดินเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณ ตอนนั่งบนเตียงของโรงพยาบาลยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเดินด้วยเท้าตัวเองกลับใจสั่น ตัวเบาหวิวพร้อมจะเป็นลมตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกไม่โอเคแค่ไหนผมก็ยังเดินตามหลังพี่อู๋ไม่ห่าง ผมคอยช่วยเขาหยิบของ ช่วยเลือกเนื้อสัตว์ เลือกของกินอร่อยๆไปตุนในห้องเหมือนที่เคยทำประจำ พอเริ่มเดินเยอะขึ้น ร่างกายมันเริ่มไม่ไหว โลกทั้งใบหมุนทวนเข็มนาฬิกาช้าๆจนทรงตัวไม่ได้ ในที่สุดผมต้องเดินไปพิงหลังพี่อู๋เพื่อหยุดพักสายตา
“ไม่ไหวเหรอ?”
“ครับ”
ผมพึมพำเบาๆจนเหมือนไม่ได้พูดออกมา พอรู้ว่ากอริลลาเหยาะแหยะใกล้ตาย คุณอิศรินทร์ก็ทิ้งรถเข็นแล้วพาไปลานจอดรถทันที เขาปล่อยให้ผมนั่งพักในรถจนค่อยๆรู้สึกดีขึ้น มันก็แค่รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่อาการเวียนหัวหน้ามืดยังไม่หายเสียที
“ผมขอโทษนะที่ทำให้พี่ต้องลำบาก”
ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังเปิดขวดชาเขียวส่งมาให้ พี่อู๋ไม่พูดอะไรซักคำนอกจากสั่งให้ค่อยๆจิบจะได้มีแรง
“พี่คงโกรธผมมาก”
“อืม”
“เดี๋ยวเรียนจบผมจะหาเงินมาคืนค่าหมอให้หมดเลยครับ”
“เงินมันไม่สำคัญหรอกก้อง!” พี่อู๋กลับมาเป็นอิศรินทร์ขี้วีนอีกแล้ว “ที่ทุกคนพูดก้องยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?!”
ผมบอกพี่อู๋ว่าเข้าใจสิ เข้าใจดีเลยว่าพี่อู๋เป็นห่วง แต่ยิ่งพยายามแสดงความเข้าอกเข้าใจพี่อู๋ก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นการดุด่า ผมงงจริงๆว่าทำไมเขาถึงไม่ภูมิใจที่เด็กในปกครองตั้งใจเรียนจนไม่กลัวตาย ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขเมื่อเห็นผมพยายามออกจากบ้านไปเรียนทุกวันเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เขาจ่าย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นเด็กดีถึงไม่ได้รับคำชม ทำไมเด็กขยันอย่างนายก้องเกียรติถึงโดนตำหนิซ้ำๆเหมือนทำผิดร้ายแรงนักแหละ
พอโดนว่าเยอะๆ ผมชักมีน้ำโหก็เลยเถียงกลับ คราวนี้เราตะเบ็งเสียงใส่กันในรถแถมยังใช้อารมณ์อีก ผมถามพี่อู๋ว่าในสายตาของเขา ต้องเป็นเด็กแบบไหนถึงจะเรียกว่าเด็กดี ผมขยันขนาดนี้ ผมมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทำไมเขากลับไม่พอใจ ทำไมต้องเอาแต่ว่าผม ด่าผม ตำหนิผมด้วยทั้งๆที่ผมทำเพื่อเราสองคน พี่อู๋ถึงกับแสยะยิ้มเลยเมื่อได้ยินคำว่าเราสองคน เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำเพื่อเขาหรอก สิ่งที่ผมทำมีแต่เพื่อตัวเอง
“เพื่อตัวเองเหี้ยอะไร ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อพี่ทั้งนั้น ผมอยากสอบเข้ามหาลัยดีๆ อยากเรียนสูงๆเพื่อทำงานหาเงินมาคืนพี่ ผมวางแผนทุกอย่างก็เพื่อพี่ พี่นั่นแหละเห็นแก่ตัว ทำไมถึงขัดขวางไม่ให้ผมเรียนหนังสือวะ!”
“เพราะกูเป็นห่วงมึงไงก้อง!”
มาแล้วมึงกู -- แสดงว่าโมโหของแท้
“กูจ่ายเงินเป็นหมื่นให้มึงเรียนหนังสือ ไม่ได้จ่ายให้มึงมาเจ็บตัวซ้ำๆซากๆ! มึงเห็นไหมเนี่ยหัวมึงโนเท่าลูกมะนาว! เห็นไหม?! เห็นไหม?! ดูกระจกสิเห็นไหม?!”
เขาดึงแผ่นกันแสงออกมาแล้วเปิดประจกให้นายก้องเกียรติดู ผมตะโกนใส่เขาว่าเออ! เห็นแล้ว! หัวโนแค่นี้ไม่ตายหรอก! แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ผมตายแน่!
“มึงไม่ต้องรอสอบเข้าไม่ได้หรอก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมึงตายสมใจอยากแน่!”
แช่งกันอีก
“มึงจะรักตัวเองบ้างไม่ได้เหรอก้อง? กูถามจริงๆเถอะ รักตัวเองนี่มันยากมากเหรอ? แค่ดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขนี่มันยากตรงไหนวะ!”
ยากสิวะ! ผมตะโกนกลับและถามเขาว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตเฉยๆไปวันๆมันทำได้เสียที่ไหน ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนพี่ ผมไม่มีเงินเก็บเยอะจนไม่ต้องทำงานก็ได้ ผมไม่มีอะไรเลยถึงต้องสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง พี่อู๋ก็รู้ว่าใบปริญญาสำคัญ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะรวย! เมื่อไหร่จะยืนได้! ถ้าไม่มีเงิน – พี่คิดว่าเราจะมีความสุขได้จริงๆเหรอ! จะแดกข้าวถุงนึงก็ต้องมีเงินสิบบาท คิดหน่อยสิวะอิศรินทร์! คิดถึงมุมของคนอื่นบ้างจะได้ไหมวะ!
แล้วเราก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น พี่อู๋โมโหใส่ผมเหมือนที่เคยทำกับคุณหมูพีเปี๊ยบ เขาทั้งพูดมึงกู ทั้งตะคอกจนหน้าแดง ทั้งยกเหตุผลส้นตีนอะไรก็ไม่รู้มาตำหนินายก้องเกียรติที่พยายามทำเพื่ออนาคต เด็กอายุสิบแปดที่ประสบการณ์น้อยกว่าอย่างผมเถียงสู้เขาไม่ได้ ในที่สุดผมก็ร้องไห้โฮออกมา ร้องฟูมฟายเหมือนคนบ้าและตัดพ้อเขาว่าทำไมไม่เปิดใจรับฟังผมบ้าง ผมต้องเรียนหนังสือ ผมต้องสอบเข้ามหาลัยดีๆเพื่ออนาคตตัวเอง ที่ผมทำก็เพราะอยากมีเงินมาคืนพี่ ไหนๆพี่ก็ไม่ให้ผมตายแล้ว พี่ปล่อยให้ผมดิ้นรนเพื่อมีชีวิตดีๆไม่ได้เหรอ
“ชีวิตดีๆไม่ได้ผูกติดไว้กับมหาลัยไงก้อง”
พี่อู๋ใจอ่อน ยอมเป็นฝ่ายยกธงขาวเมื่อเจอกอริลลาอาละวาด เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้แต่ยังไม่เอ่ยขอโทษ คุณอิศรินทร์ยืนยันเหมือนเดิมว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเพราะเขาไม่สนใจเลยว่าผมจะสอบติดที่ไหน ต่อให้ไม่ใช่จุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่มอรัฐบาลก็ไม่เห็นเป็นไร ประเทศนี้ยังมีมหาลัยเปิดอย่างรามคำแหงรออยู่
“แต่ผมอยากให้พี่ภูมิใจ ผมอยากให้พี่บอกใครต่อใครว่าผมสอบเข้าที่ดีๆได้”
ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้บอกเขา และยังบอกอีกว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตตัวเองเลย ผมอยากเรียนจุฬา อยากเรียนธรรมศาสตร์ หรืออยากเรียนมหาลัยไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องทำให้พี่ภูมิใจให้ได้ พี่อู๋ถอนหายใจแล้วลูบหัวกอริลลาจิตป่วย เขาบอกว่าความภูมิใจของเขาไม่ได้วัดที่มหาวิทยาลัย แต่มันอยู่ที่ผม แค่นายก้องเกียรติตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขาก็ภูมิใจมากๆแล้ว ทิ้งเรื่องมหาลัยไปเถอะนะ โฟกัสแค่ว่าอยากเรียนคณะอะไรดีกว่า เลือกเรียนสิ่งที่ชอบก่อน มหาลัยไว้ค่อยเลือกเป็นอันดับสอง เพราะถ้าโฟกัสแค่มหาลัยจนไม่สนใจว่าจะได้เรียนคณะอะไร นรกสี่ปี่จะทรมานผมจนตาย
“ผมจะรู้ได้ไงครับว่าอยากเรียนอะไร?”
“จะไปรู้เหรอ” พี่อู๋คาดเข็มขัดให้ผมก่อนจะเตรียมตัวขับรถออกจากบิ๊กซี “ก้องชอบวิชาอะไรล่ะ?”
“ผมชอบคณิตศาสตร์”
“คณิตอย่างเดียวเหรอ?”
“ฟิสิกส์ผมก็ชอบ ผมชอบแค่สองวิชานี้”
“ภาษาอังกฤษล่ะชอบไหม?”
“เฉยๆครับ พอทำได้” ผมตอบพลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม “แต่ผมไม่ชอบเคมี”
“พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“ตอนเอนทรานซ์ – พี่อู๋รู้ได้ไงว่าอยากเรียนคณะอะไร?”
“พี่เหรอ? เลือกจากที่ตัวเองถนัดที่สุดอ่ะ” เขาบอก “พี่ไม่ชอบคำนวณใช่ไหม พี่ก็ตัดคณะที่เกี่ยวกับเลขออกไป อันดับแรกเลยคือวิศวะปลิวไปก่อนใครเพื่อน ต่อมาก็หมอ นักวิทยาศาสตร์ พอรู้ตัวอีกว่าเป็นคนขี้เกียจไม่ชอบอ่านหนังสือหนักๆ พี่ก็ตัดนิติศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์ ตัดนั่นตัดนี่ ตัดไปตัดมา ไอ้ชิบหาย เหลือแค่คณะภาษา”
“พี่ก็เลยเรียนอักษร?”
“อืม”
“ทำไมพี่ไม่เรียนอักษรจุฬาครับ?”
“หัวไม่ถึง” พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ “สอบจุฬาไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร เลือกเรียนสิ่งที่เราชอบก่อน ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี ยังไงมันก็ออกมาดีเพราะเรามีความสุขกับมัน”
“งั้น – ผมควรทำไงดี?”
“หาหมอ”
“หาทำไมครับ?”
“ปรับยาใหม่”
พี่อู๋พูดอย่างจริงจัง
“พี่ดูจากสภาพแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปไม่น่ารอด”
ผมเห็นด้วย คำว่าไม่น่ารอดของเขาไม่ได้หมายถึงตาย แต่หมายความว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีก ความสัมพันธ์ของเราคงไปไม่รอดแน่ๆ
มี Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยค่า