เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 122168 ครั้ง)

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บางทีก็มองว่าก้องเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่อู๋อีกนะ
สองคนนี้คงต้องอยู่เป็นกำลังใจกันและกันไปเรื่อยๆแล้วล่ะ
อู๋ขาดก้อง ไม่น่าไหว
ก้องขาดอู๋ก็ไม่น่ารอด

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่าสงสารพี่อู๋อ่ะ เข้าใจความรุ้สึกเลย กอริลล่าก้องจับมือพี่เขาแน่นๆนะ เดวมันก็ผ่านไป

แต่แอบคิดว่าตัวเองกำลังป่วยเหมือนพี่อู๋อ่ะ อะไรที่รุ้ว่าจะทำให้ทุกข์จะหนีเหมือนกัน รุ้สึกเลยว่าตัวเองหนีความจริงรับความจริงไม่ได้ :ruready

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แล้วมันจะผ่านไปนะ

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ความรักคือความเข้าใจ :katai2-1:

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ก้องโตจึ้นมากแล้ว ในเวลาแบบนี้สามรถปลอบคนที่กำลเผชิญหน้ากับความสูญเสียได้ก็ดีมากแล้ว อ่านไปก็ร้องไห้ไปค่ะ เป็นความจริงที่ว่าตอนงานศพถูกจัดขึ้น ในหัวมีแต่คำว่าเราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วนะ นั่นเป็นความคิดที่เศร้าที่สุด สำหรับการจากไปของคนที่รักคนนึง สัจธรรมเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำใจยอมรับมันได้ยากสำหรับเรา พอถึงเวลาจริงๆ คำปลอบใจเรื่องชีวิตมันสั้นอย่างนู้นอย่างนี้แทบไม่มีความหมายเลยค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เป็นกำลังใจให้พี่อู๋ ก้องเก่งมากเลย

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
24


เราหนีความจริงนานแค่ไหนก็ได้ แต่เราหนีไม่ได้ -- เมื่อต้องยืนอยู่หน้าเชิงตะกอน

เพราะนั่นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้อำลาคนที่เรารัก ต่อให้แกล้งทำเป็นลืม แกล้งปิดหูปิดตา แสร้งทำเป็นไม่มองใบหน้านิ่งสงบในโลงศพ แต่จิตสำนึกลึกๆของเรามันจะตะโกนซ้ำๆว่าเขาตายแล้ว เขาตายแล้ว เขาจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เราจะไม่ได้อยู่ด้วยอีกกันแล้ว เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว

และจิตใต้สำนึกนั่นแหละที่บีบบังคับให้เราต้องฝืนใจลืมตาเผชิญหน้ากับความจริง เหมือนพี่อู๋ที่ต้องมองหน้าก๋งครั้งสุดท้ายก่อนเข้าเตาเผา เหมือนแนที่กุมมือเย็นๆของสามีแทนการเอ่ยคำอำลา เพลงฉันจะฝันถึงเธอถูกเปิดผ่านลำโพงโดยฝีมือของใครซักคน น้ำเสียงหวานเศร้าของไวโอลินและนักร้องดังก้องไปทั่วบริเวณพิธี

รู้หรือไม่ ว่าภายในดวงตาสองนั่น
ฉันได้พบความอบอุ่นใจ

แนถอยออกห่างจากโลงศพเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คนอื่นมีโอกาสบอกลาก๋งบ้าง บรรลูกสาวลูกชายต่างทรุดตัวนั่งข้างโลง ใช้มือสัมผัสร่างกายแข็งทื่อของพ่อโดยไม่นึกรังเกียจ น้ำตาอาบนองทั่วใบหน้าของทุกคน ริมฝีปากสั่นระริกของพวกเขาเอาแต่พร่ำบอกลา

รู้หรือเปล่า ว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ
ฉันแอบเพ้อละเมอ คร่ำครวญ

บรรดาเด็กๆก็ร้องไห้เพราะเพิ่งรับรู้ว่าก๋งตาย แต่ยังไม่รู้ว่าความตายและความเศร้าโศกเสียใจจะไม่หยุดแค่หน้าเชิงตะกอน

อิ่มอบอ่วนไอ

หลังจากนั้นพี่อู๋ ผู้ชายคนอื่นๆและสัปเหร่อช่วยกันยกโลงไม้สีขาวเข้าเตาเผา

อยากจะบอกสักคำ
ฉันได้ถลำหัวใจ
ตกอยู่ในความรัก

สัปเหร่อปิดประตูเตาเผา คุณแม่สร้อยเพชรร้องไห้จนแทบเป็นลม ส่วนแนยืนมองก๋งสุดสายตาโดยมีลูกชายคนโตประคองอยู่ไม่ห่าง

เมื่อตะวันนิทรา
ฟ้าจะรอพบจันทร์

สัปเหร่อกดสวิตช์ให้เตาเผาไฟฟ้าทำงาน

ฉันจะฝันถึงเธอ

ทุกคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนกอริลลาก้องที่ยืนอยู่หลังสุดได้แต่อธิษฐานในใจ หลับให้สบายนะครับก๋งเตี้ยม หลังจากนี้ -- ผมจะดูแลพี่อู๋เองครับ



วันถัดมาบ้านกลับกลายเป็นสวนสนุกร้างที่ไม่มีสีสัน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีบรรกาศรื่นเริงตามประสาครอบครัวใหญ่ ไม่มีเสียงเพลงสวัสดีปีใหม่เหมือนหลังอื่นๆ บ้านของคุณอิศรินทร์ปิดประตูลงกลอนแน่นสนิท หลานๆทยอยกลับบ้านของตนจนเหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คนในบ้านหลังนี้ เจ๊ออมกับสามีหอบเอาลูกเล็กและข้าวของเตรียมกลับหาดใหญ่เหมือนกัน เธอบอกว่ามีคนไข้ต้องกลับไปดูแลอีกเยอะ แต่ผมรู้ว่าลึกๆเธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอทนอยู่ในบ้านที่มีแต่ความทรงจำระหว่างก๋งกับตัวเองไม่ได้

“ขาดเหลืออะไรโทรหาเจ๊นะ”

เธอบอกน้องชายที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ริมรั้ว คุณอิศรินทร์ฝืนยิ้มแล้วดึงพี่สาวเขามากอด สองพี่น้องร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ๊ออมจะผละตัวออกและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้น้องชาย

“อู๋คิดถึงเอม”
“เจ๊ด้วย”

พวกเขาเงียบกันอีกพักใหญ่ก่อนที่เจ๊ออมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งธนบัตรสีเทาให้ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติ

“เก็บไว้ใช้นะ”
“เจ๊ไม่ต้องให้หรอก อู๋มี”
“เก็บไว้เถอะ ได้งานใหม่เมื่อไหร่ค่อยคืนเจ๊ก็ได้” เธอยิ้มพร้อมกับดึงหูน้องชาย “แล้วก้องล่ะ? หลังจากนี้จะทำยังไง?”

แต่พี่อู๋ก็ไม่ให้คำตอบว่าจะจัดการตัวแถมของบ้านยังไง

“ -- มากเลยเหรอ?”

เจ๊ออมถามจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุกวิ่งผ่านพอดีทำให้ได้ยินประโยคแรกไม่ชัด แต่เดาเอาว่าคงเป็นเรื่องสำคัญเพราะพี่อู๋ไม่คุยหยอกล้อเหมือนเคย

“ถึงแล้วโทรบอกอู๋นะ”

คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบเช่นเคย เขายืนส่งพี่สาวจนขับรถออกไปจนสุดสายตาแล้วหันมาหากอริลลาก้อง เราเดินเข้าบ้านเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน ในห้องอาหารไม่มีใครอยู่เลย มีแค่ผมกับผู้ปกครองเท่านั้นที่นั่งกินไข่เจียวแบนๆกับปลากระป๋อง พี่อู๋บอกว่าร้านกับข้าวหยุดขายกันช่วงปีใหม่ เราเองก็เพิ่งผ่านงานใหญ่มาเมื่อวาน ไม่มีใครมีอารมณ์ออกไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเลยซักคน

“ผมทำให้ได้นะ”

ผมเสนอตัวเพราะอยากเป็นประโยชน์กับผู้มีพระคุณบ้าง แต่พี่อู๋ส่ายหน้า เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก นอนเฉยๆสบายๆไปเถอะ หลังกินข้าวเสร็จผมจึงเก็บจานชามไปล้างแทน บรรยากาศเช้าวันแรกที่ไม่มีก๋งเงียบเหงากว่าแต่ก่อน ป้าอ้อยไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดของใช้ของก๋ง คุณแม่สร้อยเพชรก็ไม่ขึ้นๆลงๆระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง ส่วนแน --

แน แนไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างบนตลอดเวลาอีกแล้ว แต่แนย้ายลงมาใช้เวลาในห้องนั่งเล่นใหญ่กับทุกคน ผมเห็นแกนอนดูทีวีสลับกับกินผลไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีของแนต่างจากหญิงหม้ายที่เพิ่งเสียสามีโดยสิ้นเชิง แกดูเพลิดเพลินกับรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งโดยมีคุณแม่สร้อยเพชรนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างๆ มือหนึ่งจิ้มแก้วมังกรใส่ปาก อีกมือถือพัดกระดาษ โบกเบาๆให้พอช่วยคลายร้อน

นายก้องเกียรติผู้ไม่มีหน้าที่อะไรได้แต่เกาะติดพี่อู๋เป็นลูกลิง เขาไปไหนผมไปด้วย เขากินอะไรผมกินด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เปิดกระป๋องนมผงของก๋ง ผมจึงร่วมวงด้วย

เอนชัวร์กลิ่นวานิลลา

ผมถามผู้ปกครองว่าก๋งกินนมของเด็กด้วยเหรอ เขาบอกว่าไม่ใช่ นมกระป๋องยี่ห้อนี้ไม่เหมือนนมผงเด็กที่วางขายในห้าง แต่เป็นนมวิเศษ

“กินแล้วลอยได้เหรอครับ?” ผมถามพลางรับแก้วนมอุ่นๆจากเขา พอลองจิบหนึ่งคำถึงเข้าใจว่านมวิเศษเป็นยังไง
“อร่อยไหม?”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบและยกซดจนหมดแก้ว พี่อู๋บอกว่านมยี่ห้อนี้เป็นสามารถใช้เป็นอาหารหลักสำหรับผู้ป่วยภาวะผักได้ ถึงก๋งจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสรสชาติว่ามันทั้งหอมหวานและอร่อยแค่ไหน แต่ก๋งได้รับคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนแน่นอน

“เราเอาของก๋งมากินแบบนี้จะดีเหรอครับ?”
“ดีสิ” พี่อู๋กระดกนมอึกๆ “จะปล่อยให้มันหมดอายุไปพร้อมก๋งทำไม เสียของ”

ก็จริง ก๋งไม่อยู่แล้ว นมหกกระป๋องนี้ก็ไม่รู้จะทิ้งไว้เฉยๆทำไม ดังนั้นเราสองคนจึงเอานมทั้งหมดมาสร้างเมนูใหม่ๆ โกโก้นมเอนชัวร์ พุดดิ้งนมเอนชัวร์ ไอศกรีมนมเอนชัวร์ และสารพัดเมนูของหวานเท่าที่เราคิดออก น่าเสียดายที่เราใช้เตาอบไม่เป็น ไม่งั้นคงมีเค้กนมเอนชัวร์ออกมาให้ทุกคนได้ชิมแน่ๆ

“เล่นไม่รู้จักโต”

คุณแม่สร้อยเพชรดุเมื่อเดินเข้ามาเจอพี่อู๋ใช้ช้อนตักนมก้นกระป๋องใส่แก้ว คุณอิศรินทร์ไม่สะทกสะท้านกับคำด่า เขาพยักเพยิดไปทางแก้วนมร้อนแล้วถามแม่ว่ากินไหม เธอตอบว่ากิน ก่อนจะหยิบแก้วที่นมอุ่นๆเดินออกจากห้องครัวไป

ผมกับผู้ปกครองชงนมเล่นจนหมดกระป๋องแล้วจึงขึ้นชั้นสาม เราสองคนว่างจนต้องฆ่าเวลาด้วยการนอนอืดบนเตียงจนถึงบ่ายสามครึ่ง พอลืมตามองเพดาน สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือมื้อเย็น ผมคิดหนักมากว่าควรทำอะไรก่อนระหว่างลุกจากเตียงไปหาของกินหรือรอจนกว่าผู้ปกครองจะตื่น สุดท้ายผมเลือกลุกจากเตียง เดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง แต่ในครัวไม่มีของกินเลย

“หิวเหรอก้อง?”

ป้าอ้อยถามเมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งแอบเปิดฝาชีหากับข้าว ผมยิ้มเจื่อนและบอกว่าเปล่าครับ แต่ท้องมันร้อง เลยหลอกแกไม่ได้

“ไปซื้อกับข้าวที่แม็คโครไหม?”

ป้าอ้อยชวน ผมรีบตอบตกลง คว้าถุงผ้าใบใหญ่ที่วางบนเก้าอี้ทานข้าวแล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปร้านค้าส่งใกล้บ้านทันที 




พี่อู๋เดินเกาตูดมาหาผมตอนนาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงยี่สิบสามนาที

หัวของเขาฟูยุ่ง ใบหน้าง่วงเหมือนหมีเมาน้ำผึ้งมองมาที่นายก้องเกียรติอยู่หลายวินาที เขาดูงุนงงเมื่อเห็นผมยืนทอดไก่อยู่หน้าเตาจนป้าอ้อยต้องใช้ให้จัดโต๊ะ คุณอิศรินทร์ถึงเดินอึนๆ ถือจานและยกหม้อหุงข้าวไปวางเตรียมไว้

“ไก่ทอดฝีมือน้องก้อง”

ป้าอ้อยพูดระหว่างวางจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร นี่คือมื้อแรกที่เราได้ทานข้าวด้วยกันหลังก๋งจากไป มันเป็นมื้ออาหารเหงาๆที่ต่างคนต่างตักกินโดยไม่พูดอะไร แนชมว่าผมทำกับข้าวอร่อย ส่วนพี่อู๋นั่งหน้ามึนแทะไก่หมดไปตั้งหลายชิ้น เขาเอาแต่กิน กิน กิน และกิน กินจนเกลี้ยงทุกอย่าง พอท้องอิ่ม เราก็ช่วยกันล้างจานเงียบๆในครัว ตอนนั้นแหละผมถึงเข้าใจความรู้สึกของเจ๊ออมว่าทำไมเธอถึงรีบกลับหาดใหญ่ บ้านที่คนรักเพิ่งจากไปนี่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย บรรยากาศดูเศร้า ทุกคนเอาแต่ซึมไม่ยอมพูดจา บ้านหลังใหญ่ที่เคยน่าอยู่ก็เลยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเป็นผมก็คงไม่รู้จะอยู่ทำไมเหมือนกัน สู้หนีไปไกลๆ หนีไปพักใจน่าจะดีกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสี่สิบเก้านาที บ้านหลังใหญ่น่าเบื่อเสียจนนายก้องเกียรติต้องเอาคางเกยโซฟาดูทีวีเฉยๆ ข้างๆคือพี่อู๋ผู้ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเหม่อ ตามองทีวี แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังดูรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งหรอก ก็แค่หาจุดวางสายตาเท่านั้น ผมบอกตัวเองว่าต้องให้เวลาผู้ปกครองอีกหน่อยเพราะตอนแรกที่เสียแม่ไปผมเองก็ไขว้เขวและนั่งซึมทั้งวันเหมือนเขา อาจจะต้องรออีกหนึ่งเดือน สองเดือน หรือสามเดือน พี่อู๋ถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่ม แนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นใหญ่ บนหน้าของแนมีแป้งสีขาวทามั่วไปหมด เลอะคิ้วบ้าง เลอะขนตาบ้าง แต่ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไร ปล่อยให้หน้าของแนเลอะแป้งต่อไปราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสามนาที แนพูดว่าไอ้หมูอู๋มาบีบตีนให้แนหน่อย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบนาที ไอ้หมูอู๋ของแนบอกว่าไม่บีบแล้ว ขี้เกียจ

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนตัดพ้อหลานชายว่าแค่บีบตีนให้แนมันเหนื่อยมากเลยเหรอ พี่อู๋ตอบว่าใช่ เหนื่อย เมื่อยมือ แนเรียกป้าอ้อยมาบีบแทนเถอะ อู๋ปวดนิ้ว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สามสิบเจ็ดวินาที แนด่าคุณอิศรินทร์ว่าตอแหล

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสองวินาที พี่อู๋บอกว่าตอแหลเก่งเหมือนยาย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสี่วินาที แนเขกหัวพี่อู๋

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที แนเรียกป้าอ้อยให้มาช่วยบีบแก้เมื่อย แต่ป้าอ้อยไม่อยู่ แกหายไปพักผ่อนบนชั้นสอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ยี่สิบแปดวินาที แนบอกหลานชายว่าจ้างบีบตีน ให้นาทีละสามบาท

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที สามสิบสี่วินาที พี่อู๋ต่อรอง ขอนาทีละสิบบาท เลยโดนแนเขกหัวอีกที

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ห้าสิบวินาที นายก้องเกียรติเบื่อที่จะต้องดูเวลาบนหน้าปัดดิจิตอล จึงบอกแนว่าผมนวดให้ก็ได้ครับ ผมนวดดีมากนะ เคยเดินผ่านบูธนวดไทยสมัยมัธยมด้วย แนถามว่าการเดินผ่านบูธนวดไทยทำให้นวดเก่งเหรอ ผมส่ายหน้า บอกว่าแค่อวดเฉยๆ เดี๋ยวไม่มีสตอรี่ โก่งค่านวดไม่ได้

“ให้นาทีละห้าบาท”

แนพูดภาษาใต้พร้อมชูนิ้ว นายก้องเกียรติยิ้มร่า บอกว่าล้อเล่นครับ ไม่คิดเงินหรอก และคลานเข่าเข้าไปนวดให้แน

นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มสามสิบนาที พี่อู๋บอกว่านวดให้เขาบ้างสิ ผมจึงฉวยโอกาสโก่งราคา ขอคิดค่านวดนาทีละสิบห้าบาท

และคำตอบของผู้ปกครองคือมะเหงกหนึ่งที




นายก้องเกียรติกลายเป็นมือขวาของแนตลอดหนึ่งสัปดาห์

ไม่ว่าจะเพราะฝีมือนวดที่เข้าตา หรือทักษะพูดประจบประแจงฉอเลาะผู้ใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เอาเป็นว่าตอนนี้แนชอบผมมากๆก็แล้วกัน

ผมไม่ได้ทำดีกับคุณยายของผู้ปกครองแบบหวังผล แต่พอถลำตัวเข้าวงการหลานดูแลคนแก่แล้วมันออกยากต่างหาก พอเราเอาใจคนแก่หนึ่งครั้ง เราจะไม่กล้าปฏิเสธคำขอของครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่จนถอนตัวไม่ได้ เดี๋ยวแนมักจะเรียกผมไปบีบนวด นวดปลายเท้าบ้าง นวดขาบ้าง นวดหลังบ้างสลับกันไป และแกมักจะตอบแทนเป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆหลักสิบหลักร้อยให้พอได้ซื้อของกินในเซเว่น

วันหนึ่งตอนที่กำลังบีบปลายเท้าให้แน จู่ๆแนก็ถามว่าผมอายุเท่าไหร่ พอบอกว่าเพิ่งสิบแปดได้ไม่ถึงเดือน แกก็งึมงำๆพูดว่าอายุเท่าเอมเลย

“ตอนนี้เรียนหนังสือที่ไหน?” แนถาม พอผมบอกว่าไม่ได้เรียน แกโมโหใหญ่เลย “ทำไมไม่เรียน? พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ?”

ไม่ว่าครับ ไม่มีใครกล้าว่าผมด้วย แม้แต่พี่อู๋ยังไม่เคยดุนายก้องเกียรติเรื่องเรียนหนังสือเลย

“พ่อแม่ไปไหน”
“ไม่อยู่แล้วครับ”

ผมยิ้มเจื่อน ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่พอเข้าใจว่าตามประสาคนแก่ ถ้าได้ถามหนึ่งคำถาม ต้องมีคำถามต่อๆไปจนกว่าจะรู้ทุกเรื่อง แนซักไซ้ใหญ่เลยว่าผมเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่ทำงานอะไรถึงไม่ส่งให้เรียนหนังสือ ผมก็โกหกบ้าง ตอบตามความเป็นจริงบ้างเพื่อให้แนเลิกถาม แต่แกไม่เลิกง่ายๆ เค้นอยู่นั่นแหละว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงไม่เรียนมหาลัย

“แม่ผมเสียแล้วครับ” ผมบอกความจริง “พอดีพี่อู๋ผ่านมาเจอเลยให้ผมอยู่ด้วย”
“เจอแถวไหน?”

ถ้าตอบว่าสะพาน แนจะเข้าใจหรือเปล่านะ

ผมนึกสงสัย แต่ก็ยังให้คำตอบกลางๆกับแนไปเรื่อยๆ แกถามนั่นถามนี่อยู่พักใหญ่แต่ไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรให้นอกจากเซ้าซี้ถามจนหมดไส้หมดพุง พอไม่มีเรื่องจะตอบ เราก็เงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนยื่นเงินให้ผมห้าร้อยบาทและบอกว่าค่าติ๊บ

“ขอบคุณครับ”

ผมยกมือไหว้ก่อนจะกลับขึ้นห้องนอน สวนกับพี่อู๋ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จตรงบันได เขาถามผมว่าจะไปไหน พอบอกว่ากลับห้อง เขาก็พยักหน้าแต่ไม่ได้เดินตาม

“พี่ว่าจะคุยกับแนหน่อย”

คุณอิศรินทร์บอก ผมตอบแค่โอเคครับแล้วปลีกตัวไปอาบน้ำ เลือกหยิบเสื้อผ้าของเอมมาสวมก่อนจะเข้าห้องนอน เก็บเงินห้าร้อยบาทเข้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ในลิ้นชักข้างเตียง ระหว่างรอพี่อู๋ขึ้นมาผมก็นอนตีพุงเล่นๆ จินตนาการวาดฝันถึงบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ตอนนี้แนรู้แล้วว่าผมเป็นเด็กกำพร้า ผมไม่มีเงิน ไม่มีผู้ปกครองคอยส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนคนอื่นๆ พอมีโอกาสได้บอกแนว่าสถานะของผมไม่เอื้ออำนวยให้เข้าถึงการศึกษา ความหวังที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ค่อยๆเห็นปลายทางขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดถึงน้องๆที่เห็นในโบสถ์ คิดถึงคำพูดของสมาร์ทที่บอกว่าให้ไปเอาหนังสือได้ทุกเมื่อ

ผมคิด -- คิดไกลถึงขนาดเห็นภาพตัวเองสวมชุดนักศึกษา แต่สวมเน็คไทของมอไหนไม่รู้ ผมคิดไว้แค่อยากเรียนต่อในระดับปริญญา

พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะตอนนายก้องเกียรติกำลังฝันหวาน พอเขาบอกว่าพรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านแล้วนะ ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งเพราะตกใจ

“ทำไมเราถึงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ครับ?”

กอริลลาก้องถามพลางมองผู้ปกครองจัดกระเป๋า เขาหยิบเสื้อผ้ายัดๆม้วนๆแบบลวกๆก่อนจะหันมาตอบคำถาม
“เดี๋ยวทุกคนสงสัยว่าทำไมพี่ลางานได้หลายวัน” พี่อู๋บอก “ปกติพี่หยุดแค่สองสามวันเองก้อง นี่ผ่านมาตั้งสองอาทิตย์ แนเริ่มสงสัยแล้วด้วย”
“งั้นเราจะไปอยู่ที่ไหน?”

ผมกังวล ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่สนหรอกว่าต้องนอนที่ไหน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องเรียนต่อเป็นภาระใจ ผมอยากคุยกับแน อยากหาทางขอความช่วยเหลืออ้อมๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อก็เปล่าประโยชน์ ผมจะขอทุนจากใครถ้าไม่ใช่แน

“พี่จะกลับลาดพร้าวเหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นเราจะไปไหนกันครับ?”
“ท่าศาลา” พี่อู๋ชูกำปั้นพร้อมกับร้องเพลงด้วยความฮึกเหิม “หากเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า --”
“ป่าละเมาะที่ไหนอีก?” ผมเบ้หน้าจะร้องไห้
“ป่ามะพร้าวต่างหาก” คุณอิศรินทร์บอก “บ้านย่าของพี่ติดทะเลด้วยนะ ก้องต้องชอบมากแน่ๆ”
“แล้วย่าพี่จะไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมพี่ไม่ไปทำงาน?”
“ไม่หรอก ย่าพี่ไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เหมือนแน”

ผมไม่เถียง เพราะแนเซ้าซี้เก่งจริงๆตามที่หลานชายว่านั่นแหละ นายก้องเกียรตินั่งมองผู้ปกครองเก็บกระเป๋าตาละห้อย ผมยังไม่มีความกล้ามากพอจะบอกพี่อู๋หรือแนว่าอยากได้ทุนสำหรับเรียนต่อปริญญาตรี ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจ และอีกส่วนหนึ่งยังรู้สึกว่าหนทางอยู่ไกลเกินเอื้อม บ้านคุณอิศรินทร์ค่อนข้างมีฐานะก็จริงแต่ใช่ว่าจะแจกทุนพร่ำพรื่อ ต่อให้สมาร์ทบอกว่าบ้านของเขาชอบสนับสนุนให้เด็กๆเข้าถึงการศึกษา แต่ผมยังไม่กล้าอยู่ดี

“เราจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหนครับ?”

ผมหลุดถามพี่อู๋อย่างลืมตัว เล่นเอาสองมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าชะงักไปพักหนึ่งเลย กอริลลาก้องนึกอยากตีปากตัวเองโทษฐานสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่สายไปแล้ว พี่อู๋หันมองหน้าผมด้วยแววตาไร้คำตอบ เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเร่ไปบ้านญาติๆเพื่อหนีความจริงอีกนานแค่ไหน คงนานพอๆกับที่นายก้องเกียรติเก็บความคิดเรื่องเรียนต่อไว้กับตัว ไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเสียที

“ก้องเบื่อเหรอ?”
“เปล่าครับ”

พี่อู๋คงไม่เชื่อ เขาวางเป้ไว้ข้างเตียงก่อนจะพาผมไปเลือกชุดสำหรับออกต่างอำเภอในห้องแต่งตัว ผมหยิบเสื้อผ้าของเอมมาแค่สองสามชุดและหยิบยืมเป้ของเอมมาด้วย เราแพ็คกระเป๋ากันเงียบๆจนถึงสี่ทุ่มจึงปิดไฟเข้านอน



ไม่วันใดวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ความจริง

ครอบครัวของคุณอิศรินทร์ต้องรู้ว่าเขาตกงาน พวกเขาต้องรู้แน่เพราะเราสองคนคงระหกระเหินเร่ร่อนไปเรื่อยๆไม่ได้ วันหนึ่งเงินของพี่อู๋ต้องหมด วันหนึ่งเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับให้กลับไปทำงาน วันหนึ่งนายก้องเกียรติคงต้องยืนด้วยขาของตัวเอง วันหนึ่งผมเองก็ต้องออกหาเงินรับผิดชอบชีวิตที่เหลือ

วันหนึ่ง --
วันหนึ่ง --
วันหนึ่งความจริงที่เราหนีมาตลอดจะวิ่งไล่ทัน เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ต้องยอมรับมัน แต่ผมกลับไม่กล้าเตรียมใจคิดถึงวันนั้นเลย

รถวีออสออกจากบ้านหลังใหญ่ในอำเภอเมืองแต่เช้า คุณอิศรินทร์บอกลาครอบครัวโดยหลอกให้ทุกคนคิดว่าไปทำงาน แต่จริงๆไปเข้าป่าต่างหาก ผมยกมือไหว้ลาทุกคนและขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจที่หยิบยื่นให้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แนมองหน้านายก้องเกียรติเหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่ได้พูด แค่ให้เงินกอริลลาอีกหนึ่งพันบาท ผมคิดว่ามันมากเกินไป

“เก็บไว้กินหนม”

แกว่าก่อนจะลูบหัวผมและให้พร แนย้ำเป็นครั้งที่สามว่าหากคราวหน้าพี่อู๋กลับใต้อีก ผมจะติดรถมากับเขาด้วยก็ได้ บ้านหลังนี้ที่ตั้งกว้าง มีห้องนอนข้าวของพร้อมต้อนรับกอริลลากำพร้าเสมอ

“ไปแระ”

พี่อู๋กระดกลิ้นกวนตีนและยกมือไหว้เป็นหนสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากรั้วบ้าน ผมนั่งกังวลตลอดทางที่เรามุ่งหน้าสู่อำเภอท่าศาลา พยายามเก็บเรื่องเรียนต่อไว้ในใจและบอกตัวเองว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่โอกาส บางทีผมอาจต้องรอเวลาอีกหน่อย บางทีอาจต้องรอโอกาสหนที่สองซึ่งไม่รู้จะหวนกลับมาเมื่อไหร่ หนังสือของสมาร์ทก็ยังไม่ได้เอา เอ่ยปากขอหยิบยืมเงินเรียนต่อก็ไม่ได้พูด ผมอับจนหนทางทุกครั้งที่คิดเรื่องมหาวิทยาลัย แต่พอมองหน้าพี่อู๋ ผมจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวตลอด ในขณะที่ผู้ปกครองตกงานและเร่ร่อนไปบ้านคนอื่นเรื่อยๆ นายก้องเกียรติกลับคิดถึงแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

“พี่โกรธผมไหม?”
“เรื่องอะไร?”
“ที่ผมพูดเมื่อคืน” ผมมองหน้าผู้ปกครอง รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้พี่อู๋คิดว่าผมเบื่อชีวิตของเรา
“ไม่โกรธหรอก ก้องมีสิทธิ์สงสัยอยู่แล้ว”

บทสนทนาจบลงแค่นั้น ไม่มีการอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมนอกจากแยกกันไปจมเจ่าในโลกของตัวเอง ผมว่าเราเหมือนกันตรงที่กลัวการเริ่มต้นใหม่ พอมีใครซักคนตั้งคำถามถึงสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่แปลกที่จะเกิดบรรยากาศอึดอัดแบบนี้

ตลอดทางที่นั่งรถไปบ้านคุณย่า ผมสั่งตัวเองว่าหลังจากนี้ห้ามพูดหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการเริ่มใหม่อีก ผมท่องในใจซ้ำๆว่าอย่ากดดันพี่อู๋ อย่ากดดันพี่อู๋จนรถแล่นออกจากอำเภอเมือง ลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวที่มีแต่ต้นไม้เป็นทิวทัศน์ มีมอเตอร์ไซค์และรถกระบะเป็นเพื่อนร่วมทางที่พบเห็นตลอดเวลา ตอนนั้นแหละผมถึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง -- จุดที่นั่งรถตะลอนๆไปกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติจนถึงกระท่อมเล็กๆขายผลไม้ริมทาง ผ่านป่ามะพร้าวและสวนยางพารา ผ่านถนนกรวดที่โรยตัวเข้าสู่บ้านชั้นเดียวในป่ามะพร้าว ผ่านหญิงชราที่ยืนกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน

รถวีออสจอดสนิทเมื่อเรามาถึงบ้านของคุณย่าของคุณอิศรินทร์ แกเป็นหญิงชราร่างท้วมเหมือนแนแต่ดูแข็งแรงกว่า หางคิ้วของแกโค้งลงเหมือนยิ้มอ่อนตลอดเวลา ใบหน้ามีความสดใสร่าเริงและประกายความซื่อตรงตามฉบับคนบ้านๆ ทันทีที่พี่อู๋ลงจากรถ แกก็ยกไม้กวาดทางมะพร้าวทักทายหลานชายทันที

“มาตอใดเนี่ยอู๋” (มาเมื่อไหร่เนี่ยอู๋)

คุณย่ายิ้มหวาน ผมยกมือไหว้สวัสดีตามมารยาทพร้อมกับมองรอบๆบ้าน บ้านชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าดูใหม่เหมือนเพิ่งรีโนเวท ด้านข้างมีดอกดาวเรืองปลูกเรียงแถวจนสุดความยาว มีบ่อปลาหางนกยูง มีกระดิ่งลม่างเสียงดังกรุ๋งกริ๋งแขวนไว้ตรงชานบ้าน แต่บนที่ดินผืนนี้ไม่มีพื้นคอนกรีตเลย มีเพียงแค่ทรายหยาบๆที่เกลี่ยไม่เรียบ เวลาเดินจึงยวบยาบจนรองเท้าจมหายไปครึ่งหนึ่ง ดูๆแล้วบรรยากาศก็ร่มรื่นน่าอยู่ดี ผมคิดว่ามันน่าอยู่ -- จนกระทั่งคุณย่าหันมามองและเอ่ยทักกอริลลาก้อง

“พาเด็กขอยพร้าวมาด้วยเออ?” (พาเด็กเก็บมะพร้ามาด้วยเหรอ?)
“หมันแล้ว” (ใช่แล้ว)

คุณอิศรินทร์ตอบยิ้มๆและพูดประโยคที่ผมขนลุกที่สุดในชีวิตออกมา

“อยู่ที่นี่ต้องหัดทำงานนะก้อง”

ไม่ -- นี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมพูดถึงหรอก

“เริ่มจากหัดปีนต้นมะพร้าวก่อนเลย”



TBC
_______________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ฮับ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับคอมเม้นท์น่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอ ขอให้สนุกกับการอ่านในตอนนี้นะฮับ  :z2:

ด้วยรักและปลานิล
หนูเอง

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
นายก้องเกียรติเก็บมะพร้าวให้ได้ทุกต้นนะลูกนะ
อ่านไปก็คิดวันหนึ่ง วันหนึ่ง ของพี่อู๋จะมาถึงเมื่อไหร่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 เริ่มเครียดกับพี่อู๋แล้วเนี่ยะ ท่าทางก้องจะปกติกว่าแล้ว ตะลอนๆอย่างนี้หมอก็ไม่ได้หา จะหายกันมั้ย

ออฟไลน์ Panza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
5555 กอลิลล่าก้องจะขึ้นมะพร้าวแล้ว เดาทางนักเขียนไม่ถูกกันเลยทีเดียวจะเป็นยังไงต่อน้าคู่นี้ ขอให้พี่อู๋คิดได้เร็วๆน้องจะได้เรียนต่อ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่ก็ลุ้นทุกตอนให้น้องก้องกลับไปเรียน
สู้ๆนะลูก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อิพี่ใช้งานก้องคุ้มมาก ให้ขึ้นมะพร้าวด้วย ฮ่า ๆ ๆ ๆ

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เอาใจช่วยพี่อู๋กับก้องให้มีชีวิตเข้าที่เข้าทางซะที

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่อู๋อาจรอให้ก้องพูดอยู่ก็ได้นะ อยากกลับไปเรียน ๆๆ อะไรแบบนี้

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
จะได้ขึ้นมะพร้าวแล้วก้อง

ออฟไลน์ Markmeaklove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบการเขียนของไรท์มากเลยมีผลงานอื่นให้อ่านไหมคะระหว่างรอน้องก้อง :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ได้เวลากอริลล่าก้องออกโรง 5555 /เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ สู้ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านไปอ่านมาน้องก้องกลายเป็นคนแล้ว มีพี่อู่เป็นกอริล่าตัวเดียว  :hao5:

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กอริลล่าก้องกับกอริลลอู๋มาอยู่แบบนี้ไม่ต้องกลบไปหาหมอแล้วเหรอ แต่ช่วงนี้นายก้องเกียรติก็ดูเหมือนจะเป็นปกติแล้วนี่นะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
25 [Part 1/2]

ไอ้พี่อู๋ ไอ้บ้า -- หลอกให้ผมปีนต้นมะพร้าวได้ยังไง

ถ้าคุณย่าไม่บอกให้รอพ่อค้า กอริลลาก้องคงปีนต้นมะพร้าวจริงๆตามที่ผู้ปกครองสั่ง คุณอิศรินทร์หัวเราะก๊ากเมื่อเห็นผมเดินวนเป็นวงกลมรอบต้นไม้สูงใหญ่ แหงนหน้ามองปลายยอดที่อยู่สูงเสียดฟ้า ใช้มือลูบๆคลำๆตามลำต้นหาฐานเหยียบเพื่อปีนขึ้นไป ผมจริงจังกับการปีนมากจนคุณย่าต้องเรียกให้เข้าไปกินขนมในบ้านก่อน อู๋มันล้อเล่น หน้าที่ปีนมะพร้าวไม่ใช่ของก้องหรอก แต่เป็นของลิง

“คนซื่อมันก็ซื่อเนาะ”

คุณย่าขำในขณะที่นายก้องเกียรติหน้าแดงฉ่า ไม่ได้แดงเพราะแดด แต่แดงเพราะอับอายที่โดนหลอกให้ปีนต้นมะพร้าว

“แต่เรื่องอยู่ที่นี่ต้องทำงานคือเรื่องจริง”

พี่อู๋ย้ำก่อนจะวางจานแตงโมลงบนโต๊ะไม้สักที่วางหน้าชานบ้าน อากาศตอนสายๆยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่การได้กินผลไม้หวานๆถือเป็นเรื่องราวดีๆอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ คุณย่าบอกว่าอาจจะต้องขอรบกวนยืมแรงของผมหน่อย พอดีช่างรับเหมาที่คุยกันไว้ดันทิ้งงานไม่ยอมสานต่อให้เสร็จ ดังนั้นที่นี่เลยมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก มีอะไรบ้างเหรอ?

“ปูเบื้องห้องหน่าม” (ปูกระเบื้องห้องน้ำ) คุณย่าเริ่มชี้ “ทาสี้ (ทาสี) เดินส้ายไฟ (เดินสายไฟ) ติดวงก็อบ (ติดวงกบ) ปรากอบเตียง (ประกอบเตียง) ไอ้ไหร้อีกนะอู๋? (อะไรอีกนะอู๋?)”
“สั้นๆคือทำทั้งบ้านอ่ะ”

พี่อู๋แปลให้ฟังก่อนจะพูดสรุป คุณย่าพยักหน้ายิ้มและตอบว่าใช่ สั้นๆคืองานรีโนเวททั้งบ้าน ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก ไม่ได้อึ้งเพราะจำนวนงาน แต่อึ้งที่รู้ว่าต้องผันตัวไปทำงานช่างแทนงานในครัวเหมือนที่ผ่านมา

“ผมคิดว่ารีโนเวทเสร็จแล้วนะเนี่ย” ผมหัวเราะแหะๆ ตอบแก้เก้อและกัดแตงโมเพื่อเติมพลังอีกหนึ่งคำ
“ก็เสร็จแค่ข้างนอกอ่ะ ข้างในนี่เหลืออีกบาน”
“แล้วพี่อู๋ทำเป็นเหรอครับ?”
“ไม่เป็น”
“อ้าว”

ตัวเองทำไม่เป็นยังพอว่า แถมยังโยนงานให้ผมทำแบบไม่ถามอีกว่าทำได้หรือเปล่า เดี๋ยวแม่พ่นเม็ดแตงโมใส่หน้าเสียเลยนี่

“เดี้ยวหยาห้ายอาเจี๊ยบมาชวย” (เดี๋ยวยาให้อาเจี๊ยบมาช่วย) “ไม่ต้องเริ่มตอเดี๋ยวก้อด้าย ตอเช้าค่อยหว่ากัน วันนีเก็บพร้าวก่อน” (มันต้องเริ่มเลยก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน วันนี้เก็บมะพร้าวก่อน)
“ผมไม่ต้องปีนจริงๆใช่ไหมครับ?”
“ให้ลิงปีนต่ะลูก นุ้ยอีปีนไซ นุ้ยไม่ใช่ลิง” (ให้ลิงปีเถอะลูก ก้องจะปีนทำไม ก้องไม่ใช่ลิง)
“ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจจังเลยครับ”

ดีใจมากครับ ดีใจจนน้ำตาไหล มะพร้าวไม่ต้องปีน แต่ต้องปูกระเบื้อง เดินสายไฟ ทาสีห้องใหม่ ประกอบเฟอร์นิเจอร์ ติดผ้าม่าน ติดประตูหน้าต่าง ฉาบผนัง อาจจะต้องปูกรวดเป็นทางเดินไปสวน เอาต้นไม้ลงริมรั้วบ้าน สั้นๆคือทำทุกอย่าง ถ้าจ่ายเป็นค่าแรงคงได้วันละห้าร้อยบาทเป็นอย่างต่ำ แต่นี่คือบ้านของคุณย่าซึ่งไม่ได้ร่ำรวยเท่าบ้านของแน ดังนั้นตัดเรื่องติ๊บหรือค่าบีบนวดนาทีละห้าบาทไปได้เลย สิ่งที่คุณย่ามีให้เราก็แค่อาหารสามมื้อ ผลไม้ชุดใหญ่ และที่ซุกหัวนอนเท่านั้น อย่าจินตนาการถึงเซเว่นเพราะต้องขับรถออกไปอีกสิบกิโล อย่าจินตนาการถึงสเวนเซ่น เพราะแค่รถขายไอศกรีมเนสท์เล่ยังเข้าไม่ถึง อย่าจินตนาการถึงความสุขสบาย --

เพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้ -- นอกจากของกินเท่านั้น

ชั่วเวลาก่อนเที่ยงวัน พี่อู๋พาผมเดินทัวร์รอบบ้านของคุณย่า ไล่ตั้งแต่ชานบ้านที่สกปรกเหนียวเท้า ผ่านห้องโถงใหญ่ที่รกและเต็มไปด้วยกระปุกยา เลี้ยวขวาเข้าโถงทางเดินเชื่อมระหว่างห้องนอนและห้องครัว ตรงข้ามห้องโถงใหญ่คือห้องนอนเล็กของอาผู้หญิงที่นานๆจะกลับบ้านซักที ทางซ้ายคือห้องของคุณปู่ ทางขวาคือห้องครัว ติดกับห้องครัวคือห้องทานข้าวกึ่งเรือนกระจกที่แสงแดดส่องเข้าถึงตลอดทั้งวัน เดินลึกไปกว่านั้นคือชานหน้าบ้านแห่งที่สองซึ่งไม่มีอะไรวางอยู่เลยนอกจากกองหนังสือพิมพ์เป็นร้อยฉบับกับลู่วิ่งออกกำลังกาย ตัดไปที่ห้องนอนคุณปู่ มีห้องน้ำใหญ่กั้นกลางเชื่อมระหว่างห้องนอนของคุณย่าและห้องของคุณป้าซึ่งระหว่างห้องของคุณป้าก็กั้นด้วยห้องพระ ห้องน้ำ และเชื่อมต่อห้องของอาผู้หญิง --

พอก่อน ผมเริ่มหลงนิดหน่อย บ้านของคุณย่าไม่ใหญ่เท่าของแน แต่เพราะทุกห้องเชื่อมต่อถึงกันหมดผมจึงงุนงงว่าควรเข้าออกทางไหน ผมถามพี่อู๋ว่าแล้วเราสองคนต้องนอนห้องของใคร เขาตอบว่าห้องของคุณป้ารองซึ่งอยู่ติดกับชานบ้านจุดที่สอง วิธีเดินไปห้องนั้นมีสามทาง หนึ่งเข้าทางห้องครัว ผ่านห้องทานอาหาร ผ่านชานบ้านที่สองแล้วเปิดประตูเหล็ก สองคือเดินตัดห้องอาผู้หญิง ผ่านแค่ห้องพระก็ถึงเลย และสาม เดินผ่านทางห้องของคุณปู่ ซึ่งมีห้องน้ำใหญ่คั่นตรงกลาง แต่เวลาเดินผ่านต้องดูให้ดีๆว่ามีคนอยู่หรือเปล่า เพราะบางทีปู่กับย่าก็ใช้ห้องน้ำโดยไม่ล็อคประตู ขืนสะเหล่อเดินเข้าไปคงโดนตบด้วยขันตักน้ำ

ผมกับคุณอิศรินทร์ย้ายสัมภาระไปเก็บในห้องนอนป้ารอง ห้องของป้ากว้างดี มีเตียงหลังใหญ่วางชิดติดผนัง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยนอกจากเครื่องปรับอากาศและโต๊ะรีดผ้า พี่อู๋บอกว่าบางครั้งเราต้องรีดผ้าให้ปู่กับย่าด้วย ปกติแล้วป้ารองจ้างคนมาคอยทำความสะอาดให้ แต่คนงานชิ่งหนีไปพร้อมกับผู้รับเหมา บ้านก็เลยเหนียวเนอะเลอะเทอะและสกปรกเพราะคุณย่าทำไม่ไหว

“ถ้าจะทำอะไรอย่างแรกนะ -- พี่ว่าเราจัดการห้องของเราก่อนเลย”

ผู้ปกครองบอกซึ่งผมก็เห็นด้วย ห้องของคุณป้าทั้งอับชื้นและเต็มไปด้วยฝุ่นแทบทุกพื้นที่ ผมกับพี่อู๋ต้องช่วยกันทำความสะอาดยกใหญ่ ทั้งเอาหมอนไปตบไล่ฝุ่นและตากแดด ทั้งเปลี่ยนผ้าปูที่นอน กวาดพื้น ถูพื้น ถอดผ้าม่านไปใส่เครื่องซักผ้า นี่คือครึ่งวันแรกก็เล่นเอาหมดแรงแล้ว ผมไม่อยากคิดถึงวันอื่นๆที่ต้องทำงานเลย

“โอ๊ย! เหนื่อยว่ะ!”

พี่อู๋บ่นแทนนายก้องเกียรติเรียบร้อย เขากระโดดนอนแผ่บนเตียงโดยมีผมนอนหอบอยู่ข้างๆ การทำความสะอาดห้องไม่ยากถ้าต้องทำแค่ปัดความเช็ดถู แต่นี่ต้องถอดผ้าปูที่นอน ต้องเอาหมอนไปตาก เอาผ้าม่านไปซัก มันเยอะและจุกจิกจนเราแทบหมดแรง

“ถ้าย่าทำไม่ไหว เราน่าจะหาแม่บ้านคนใหม่” ผมเสนอ แต่พี่อู๋ส่ายหน้า
“แถวนี้หายาก ขนาดช่างยังทิ้งงาน อย่าพูดถึงแม่บ้านเลย”
“งั้นแบบนี้ -- ถ้าเราไม่ทำ --”
“ก็ไม่มีใครทำ”
“แย่จัง”
“ทำไงได้”

พี่อู๋บ่นพาลถึงญาติคนอื่นๆที่ไม่ค่อยแวะเวียนมาหาปู่กับยา ผมพอเข้าใจเหตุผลของพวกเขาอยู่หน่อยๆ ที่นี่ทั้งไกลและค่อนข้างลำบาก ห้องหับก็ไม่ได้สะอาดเงาวับเหมือนโรงแรม ถ้ามาแล้วต้องออกแรงเหมือนเราสองคน คงไม่มีใครอยากมา

“ปู่กับย่าอยู่กันแค่สองคนน่าเป็นห่วงจะตาย”
“แต่ยังมีอาเจี๊ยบอยู่ใกล้ๆนี่ไง ทุกคนเลยไม่ค่อยกังวล” พี่อู๋บอกก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ผมเห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กอีกหลังที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ “เดี๋ยวบ่ายนี้เราต้องวางแผนกับอาเจี๊ยบเรื่องทำบ้านนะ”
“เราต้องทำห้องไหนบ้างครับ?”

ผมถาม และคำตอบของพี่อู๋คือกลอกตา

“เยอะมาก” เขาบอกแค่นั้น “ที่แน่ๆคือห้องน้ำใหญ่ห้องนั่งเล่นหน้าบ้าน”
“ผมควรเริ่มกวาดถูวันนี้เลยไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็ไม่กี่วันก็สกปรกเหมือนเดิม รอทำทีเดียวเถอะ” พี่อู๋พูดเซ็งๆ “แค่ดูอย่าให้พื้นลื่นเกินไป ทำยังไงก็ได้แค่ไม่ให้ปู่กับย่าลื่นอ่ะ”
“จะว่าไป -- ตั้งแต่มาที่นี่ ผมยังไม่เจอปู่ของพี่เลย”
“อยู่นู่นแหละ สภากาแฟ คงไปร่วมวงด่ารัฐบาลกับเพื่อนในตัวเมือง”
“อำเภอเมืองบ้านแนเหรอครับ?”
“หึ เปล่า เมืองของท่าศาลา”

โอโห -- ท่าศาลาที่ว่างต่างอำเภอยังมีจุดเรียกว่าตัวเมือง แล้วบ้านคุณย่าต้องเรียกว่าอะไรถึงจะสมนิยาม

พอถึงเวลาอาหารเที่ยว พี่อู๋เจียวไข่ให้ผมเป็น ไข่เจียมอมน้ำมันแบนๆถูกเสิร์ฟบนจานขอบบิ่น เรานั่งกินไข่เจียวกับซอสมะเขือเทศใกล้หมดอายุในเรือนกระจก ผมว่าโต๊ะทานข้าวไม่ควรอยู่ในห้องแบบนี้เลย แสงแดดส่องเข้าตามากเกินไป ทั้งแสบตาทั้งร้อนจนพาลกินอะไรก็ไม่อร่อย หลังฝืนกินหมดจาน ผมก็เข้าไปล้างจานชามที่กองทิ้งไว้ในอ่าง นับด้วยสายตาคร่าวๆแล้วน่าจะมากกว่าสามสิบใบ --

ผมไม่ได้เว่อร์ บ้านของคุณย่ามีจานชามที่ยังไม่ได้ล้างมากกว่าสามสิบใบ ดังนั้นผมกับคุณอิศรินทร์จึงต้องช่วยกันเคลียร์ส่วนนี้ก่อนจะเริ่มงานใหญ่ ผมล้างซันไลต์ พี่อู๋ล้างน้ำเปล่า เราล้างและคว่ำเก็บจานชามทุกใบเรียบร้อยจึงเดินออกไปนั่งรออาเจี๊ยบหน้าชานบ้าน ชายวัยผิวแทนหัวล้านเดินถอดเสื้อเข้ามาหาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แกล้วงบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดสูบ พ่นควันพิษขึ้นไปบนอากาศก่อนจะเอ่ยทักทายเรา

“ไงอู๋ ไม่เจอกันตั้งนาน” แกสูดควันเข้าปอดและปล่อยออกมา “ว่างเหรอช่วงนี้?”
“ว่างครับ เห็นบ้านย่าไม่เสร็จซักทีเลยว่าจะทำให้”
“เออ ผู้รับเหมามันทิ้งงานน่ะ” อาเจี๊ยบเลียริมฝีปากแล้วมองกอริลลาแปลกหน้า “เพื่อนเหรอ?”
“รุ่นน้องครับอา พามาช่วยงาน”
“ดีๆ ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ?”
“ไม่เป็นซักอย่าง”

อาเจี๊ยบถึงกับร้องอ้าว ทำอะไรไม่เป็น แล้วมึงพามาทำมะเขืออะไร

“อยากให้อาสอนงานให้หน่อย เด็กมันกำลังตามหาตัวเอง”
“ไม่เรียนหนังสือแล้วเหรอ?”
“ยังครับอา” พี่อู๋ตอบ “วันนี้เราจะทำอะไรก่อนดี?”
“ห้องน้ำปู่”

อาเจี๊ยบบอกและเดินนำพวกเรา

“น่าจะต้องฉาบผนังกันเองแล้วล่ะอู๋”

ได้ยินแบบนั้นแล้วผมอยากหายตัวไปจากตรงนี้จริงๆ





การผสมปูนให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมนั้นยากกว่าตรีโกณมิติ

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่อาเจี๊ยบพูดเลย แกมาถึงก็ยืนชี้ๆ บอกว่าต้องฉาบสองรอบ หนาเท่านั้นเท่านี้แล้วเอาเชือกมาขึงให้ห่างจากผนังประมาณหนึ่งเซน จากนั้นแกกับพี่อู๋ก็เทปูนลงกระบะพลาสติก ผสมด้วยทรายละเอียดและน้ำก่อนจะคน คน คน คนจนเหมือนดินเหนียวหนืดสีเทา เสร็จแล้วแกก็แบ่งปูนส่วนนั้นใส่ถังน้ำสีดำมีหูหิ้วให้นายก้องเกียรติ บอกว่าถือเข้าไปรอในห้องน้ำเลย เดี๋ยวแกตามไป

งานแรกของการรีโนเวทบ้านคุณย่าคือฉาบผนัง

อาเจี๊ยบตักปูนใส่กระบะฉาบที่รูปร่างหน้าตาคล้ายที่โกยขยะแล้วปาดด้วยเกรียงเหล็กสี่เหลี่ยม แกปาดไปมาสองสามทีก่อนจะแปะบนผนัง ลากลงช้าๆไปทิศเดียวกันพร้อมกับหันมาบอกว่า

“กดให้แน่นๆแบบนี้” แกสาธิต “เอ้า -- มาเอาไปคนละอัน ลองทำชั้นเดียวก่อน”

พี่อู๋ที่ประกอบชั้นหนังสือจากอิเกียไม่เป็นรับเกรียงมาถือด้วยความมั่นใจ เขาสะบัดปูนหนึ่งก้อนใส่ผนังดังแปะแล้วกดเกรียงฉาบปูนไปกับผนัง ผมมองผู้ปกครองก่อนจะลงมือทำบ้าง แปะ! ผมดีดปูนใส่ผนังและออกแรงฉาบ เสียงปูนผสมทรายดังครืดคราดเมื่อถูกเกรียงเกลี่ยให้แนบชิดติดพื้นผนังเก่า ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นงานกล้วยๆ การฉาบคงไม่ต่างอะไรกับการทาแป้งโตเกียวบนเตา ปาดนิ่มๆ นุ่มๆ บางๆ วางไส้แล้วจบ แต่ความจริงมันต้องละเอียดมากกว่านั้น การฉาบเป็นเหมือนงานศิลปะ จะมาฉาบปาดๆไปมาแบบพี่อู๋ไม่ได้ เราต้องตั้งใจลงน้ำหนักมือให้พอดี ไม่งั้นปูนจะไม่แน่นติดผนังและหนาไม่เสมอกัน

“เออ ไอ้อู๋ --” อาเจี๊ยบหยุดมองคุณอิศรินทร์ครู่หนึ่ง
“สวยใช่ไหมอา?”
“หนาขนาดนั้นมึงไปหาอย่างอื่นทำเถอะ”
“แต่นี่ก็สวยเนียนแล้วนะอา”

เขาเถียงคอเป็นเอ็นจนอาเจี๊ยบต้องเรียกเราสองคนไปดูด้านข้าง งานฉาบพี่อู๋นี่ชุ่ยชะมัด ด้านบนเนียนเรียบเหมือนก้นเด็กก็จริง พอมองจากตรงนี้แล้วถึงเห็นว่ามันหนาไม่เท่ากัน งานแบบนี้ไม่ให้ผ่านนะ อาเจี๊ยบว่า แถวบ้านถือว่าช่างชุ่ย ควรโดนหักเงินหรือไม่ก็โดนไล่ไปเก็บขี้หมาแทน

แรกๆเราสองคนยังตั้งใจปาดให้บางและแน่นสมกับที่อาเจี๊ยบสอนไว้ แต่พอทำไปซักชั่วโมงก็เริ่มเบื่อ อากาศในห้องน้ำทั้งร้อนและเหนียวตัว กลิ่นปูนก็สาบติดจมูกจนไม่อยากสูดหายใจ ผมสะบัดมือลากเกรียงแบบขอไปทีจนเสร็จหนึ่งด้าน ส่วนพี่อู๋ไม่ต้องพูดถึง เขาปาดได้ทุเรศทุรังยิ่งกว่าเด็กเพิ่งหัดงานช่างอย่างผมเสียอีก

พอเห็นภาพรวมออกมาไม่ดี อาเจี๊ยบก็ส่ายหน้า ไล่ให้ไปขนกระเบื้องเข้าบ้านแทนงานฉาบ เราต้องเดินเข้าออกตั้งหลายรอบ น้ำหนักของกระเบื้องแต่ละกล่องก็ไม่ใช่เล่นๆ ทำเอาผมปวดเอวจนอยากนอนแผ่กลางบ้าน ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณย่าและบุญคุณของพี่อู๋ สาบานเลยว่าผมจะโยนกระเบื้องทิ้งให้หมด ไม่ต้องเสียเวลาปูให้เหนื่อยหรอก ปล่อยผนังไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว บ้านสไตล์ลอฟต์ เดี๋ยวนี้ฮิตกันทั้งพันทิป คุณย่าคงไม่อยากพลาดเทรนด์เหมือนกัน

งานฉาบผนังเสร็จตอนห้าโมงเย็น กว่าอาเจี๊ยบจะยอมกลับบ้าน กอริลลาก้องแทบกราบตีนขอให้แกวางเกรียงและไปเสียที ท้องของผมส่งเสียงร้องประท้วงขออาหาร แถมเหงื่อยังไหลทั่วตัวเหมือนเพิ่งอาบน้ำ สภาพแบบนี้ผมไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากกินและล้างเนื้อล้างตัวให้กลับมาเป็นกอริลลาตัวหอมๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสองนาที คุณย่าเรียกเราไปกินข้าว ที่โต๊ะอาหาร ผมได้เจอสามีของย่าด้วย

“หวัดดีลูก”
คุณปู่รับไหว้โดยรับรู้แค่ว่าผมเป็นเด็กช่างของพี่อู๋ ระหว่างทานข้าว ผมก็คอยสังเกตครอบครัวฝ่ายพ่อของผู้ปกครองเป็นระยะ ๆ คุณปู่เป็นคนมีสไตล์ ดูได้จากกางเกงยีนและรองเท้าหนังวาววับ ย่าถามปู่ว่าอยู่ในบ้านแท้ๆจะใส่รองเท้าหนังมาอวดใคร ผมอมยิ้มเพราะคิดว่าคนแก่แซวกันตามประสา ที่ไหนได้ ปู่ลืมถอดรองเท้า ลืมของจริง ลืมไปเลยว่าสวมรองเท้าอยู่จนกระทั่งย่าทักขึ้นมานั่นแหละ

“เฮ้อ ไม่ไหวเลย” คุณปู่บ่นงึมงำ “ต่อไปคงลืมใส่เกงในออกจากบ้าน”
“ไม่ใช่ว่าลืมแล้วเหรอ?” ย่าถาม ปู่จึงใช้มือคลำๆขอบกางเกงยีน แกแว้ดใส่เมียว่าใครจะบ้าลืมใส่กางเกงใน ฉันไม่ใช่เธอนะที่ไม่ใส่ยกทรงเดินทั่วบ้านแบบนี้
“นมเหี่ยวๆยานๆ จะใส่ไซ” (นมเหี่ยวๆยานๆจะใส่ทำไม) ย่าหัวเราะ “ห้องน้ำวันนี้พันพรือบ้างอู๋?” (ห้องน้ำวันนี้เป็นยังไงบ้างอู๋?)
 “สบายมากย่า”
“ฉาบปูนเป็นกับเขากันเออ?” (ฉาบปูนเป็นกับเขาด้วยเหรอ?)
“ม่ายนิ อู๋ยืนเฉยๆ แลอาเจี๊ยบฉาบ” (ไม่นี่ อู๋ยืนเฉยๆดูอาเจี๊ยบฉาบ)

คุณย่าหัวเราะขำแล้วทานข้าวต่อ หลังกินเสร็จ ผมกับพี่อู๋ก็ช่วยกันเก็บจานชามไปล้าง เราเช็ดเคานท์เตอร์ครัวและเก็บกวาดเศษอาหารจนสะอาดเรียบร้อยถึงเข้าห้องนอน ทันทีที่ปิดประตู พี่อู๋ก็เปิดแอร์ เขาบอกว่าสวรรค์อย่างเดียวในบ้านของคุณย่าคือกับข้าวและแอร์เย็นๆ ตอนแรกผมคิดว่าเขาเว่อร์ แต่พอผ่านวันนี้ไป – บ้านคุณย่าก็เป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ

“กินยาแล้วนอนเถอะก้อง พรุ่งนี้ต้องทำงานอีก”

พี่อู๋บอก นายก้องเกียรติได้แต่แอบเบ้หน้าอยากร้องไห้เพราะไม่ชอบงานฉาบ ผมหวังว่าหลังทำผนังเสร็จจะมีงานช่างที่ดีและเหมาะกับผมมากกว่าการฉาบปูนรออยู่ แต่กว่าเราจะไปถึงจุดนั้นคงใช้เวลาหน่อยเพราะเรามีกันแค่สามคน แถมสองในสามเป็นมือใหม่ที่ฝีมือไม่เอาไหนจนต้องพึ่งแรงอาเจี๊ยบคนเดียว ผมอยากถามพี่อู๋อีกครั้งว่าเราจะอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่พอเห็นเขานอนหลับอ้าปากหวอแล้วไม่ถามดีกว่า ไม่งั้นเราต้องทะเลาะกันเหมือนวันนี้แน่ๆ



เช่นเคยค่ะ Part 2 ต่อข้างล่างเลยน้า :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
25 [Part 2/2]



สองอาทิตย์ผ่านไป ผมแอบไปตะโกนในป่ามะพร้าวว่าเหี้ยเอ๊ย – ใครก็ได้พากูกลับจรัญสนิทวงศ์ที --

งานช่างไม่ใช่สิ่งที่นายก้องเกียรติถนัดเลย ไม่ว่าจะฉาบผนัง ปูกระเบื้อง หรือเดินสายไฟ ผมทำไม่เป็นซักอย่าง อาเจี๊ยบบอกว่าของแบบนี้มันต้องค่อยๆฝึกสะสมไปเรื่อยๆ ช่างที่เก่งส่วนใหญ่ฝึกกันเป็นปีๆ ทำมาแล้วเป็นร้อยๆงาน จะหวังให้ออกมาสวยเหมือนช่างมืออาชีพคงเป็นไปไม่ได้ เรามันมือสมัครเล่น ต้องเก็บสะสมประสบการณ์กันไป –

แล้วใครมันบอกว่าผมอยากเป็นช่างวะ?

คำพูดนี้ลอยขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่อาเจี๊ยบสอน ผมได้แต่ฮึดฮัดในใจ ไม่อยากทำ ไม่อยากทำ ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ไม่อยากทำ ผมอยากตะโกนคำพวกนี้ให้คอแตก ผมเกลียดกลิ่นปูน ผมเกลียดห้องอับๆร้อนๆไม่มีอากาศถ่ายเท ผมเกลียดการทำงานหนักจนเหงื่อโทรมทั้งตัว ผมเกลียด – เกลียดการลืมตาขึ้นมารับผิดชอบงานใช้แรงที่ตัวเองไม่ถนัด ถ้าทำออกมาได้ดีก็คงมีกำลังใจอยู่หรอก แต่ไม่ว่าจะทำอะไร จะหยิบจับงานไหน เป็นต้องโดนตำหนิ โดนติ โดนสอน โดนสั่งให้แก้ใหม่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทั้งวัน ส่วนพี่อู๋ก็ตกอยู่ในสถานะไม่ต่างกัน เขาไม่ถนัดงานช่าง เขาเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่แม้แต่ประกอบตู้หนังสือง่ายๆยังทำไม่ได้ มาวันนี้ต้องหัดตัดกระเบื้อง ผสมปูน คำนวณระยะห่าง คุณอิศรินทร์ผู้เคยประกาศว่าตัวเองโง่คณิตศาสตร์ก็ถือโอกาสนี้โชว์โง่เต็มที่ คำนวณผิดจนเราเสียกระเบื้องไปฟรีๆบ้าง กะระยะไม่ถูกบ้าง เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานฝีมือจริงๆนั่นแหละ

อากาศต้นเดือนกุมภาในภาคใต้ไม่ค่อยอ่อนโยน แสงแดดสว่างจ้าตั้งแต่หกโมงเช้า อุณหภูมิก็ร้อนจนนายก้องเกียรติกับผู้ปกครองต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปร้านขายของชำริมทะเล เรากินไอศกรีมหวานเย็นแบบบ้านๆเพื่อดับร้อนทุกวัน ออกไปซื้อหลังกินข้าวเที่ยงบ้าง หลังเลิกงานบ้าง แต่พออากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ คุณอิศรินทร์เลยซื้อไอศกรีมกลับมาแช่ในช่องฟรีซ เริ่มร้อนจนทนไม่ไหวเมื่อไหร่ค่อยแกะกิน โชคร้ายที่วันนี้ไอศกรีมเหลือแค่แท่งเดียว พี่อู๋เสียสละให้ผมกิน พอกินหมดเราก็เดินไปหาย่าที่อยู่ในสวนมะพร้าว สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้าและทางมะพร้าวที่หล่นเกะกะขวางทางจนพี่อู๋กับผมต้องคอยหยุดเคลียร์ทางเป็นระยะ ไม่อย่างนั้นย่าอาจจะสะดุดล้มก็ได้

เราเดินเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงคนงานตะโกนคุยกัน วันนี้มีรถเก็บมะพร้าวเข้ามาถึงสวน เป็นผู้ชายสามคนกับลิงสองตัว ผมโล่งใจเมื่อรู้ว่าไม่ต้องปีนเก็บมะพร้าวอย่างที่พี่อู๋หลอก แต่โล่งใจได้ไม่นานก็ต้องลงแรงช่วยคนงานอีก ถึงเราจะจ้างเขามาแต่มะพร้าวในสวนมีมากเกินไป ย่าอยากให้เก็บให้หมดภายในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ทาสีห้องนอนเล็กหลังบ้านให้เสร็จๆ ดังนั้นคุณอิศรินทร์กับนายก้องเกียรติต้องเป็นลูกมืออีกสองแรง ส่วนอาเจี๊ยบไปซื้ออาหารไก่ในตัวเมือง น่าจะกลับอีกทีเย็นๆเพราะแกไม่ได้สั่งให้เราไปรอเหมือนเมื่อวาน

หน้าที่อีกหนึ่งอย่างของกอริลลาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมแหงนหน้ามองลิงวิ่งขึ้นต้นมะพร้าวด้วยความคล่องแคล่ว ย่าบอกว่าลิงจะเด็ดเอาเฉพาะลูกที่แก่ลงจากต้น เหลือไว้แค่ลูกอ่อนๆให้สุกรอเก็บโอกาสถัดไป ผมไม่รู้ว่าลิงที่พวกเขาใช้มาเก็บมะพร้าวคือลิงพันธุ์อะไร แต่พอพี่อู๋เล่นมุกลิงจั๊กๆ ผมก็อยากทุ่มมะพร้าวใส่หัวเขา โทษฐานเล่นมุกสะเหล่อ สามบาทห้าบาทก็ยังจะเล่น น่าเกลียด

“แต่ก่อนนะ พร้าวลูกละยี่สิบ” (เมื่อก่อนนะ มะพร้าวลูกละยี่สิบ) ย่าบอกให้นายก้องเกียรติฟังระหว่างที่ช่วยคนงานโยนมะพร้าวขึ้นรถกระบะ “เดี๋ยวนี้รัฐเอาพร้าวอิ่นโด พร้าวมาเลเข่ามา ราคาตกเหลือลูกส้ามบาท” (เดี๋ยวนี้รัฐบาลเอามะพร้วอินโด มะพร้าวมาเลเข้ามา ราคาตกเหลือลูกละสามบาท)
“แต่เราก็เก็บได้เยอะนะครับ” ผมชวนคุณย่าคุยแล้วโยนมะพร้าวใส่กระบะหลัง
“ด้ายม่ายถึงร้อยลูก หักค่าคนง่านก็แหม็ดแล้วก้องเหอ” (ได้ไม่ถึงร้อยลูก หักค่าคนงานก็หมดแล้วก้อง)
“มะพร้าวพวกนี้ย่าปลูกเองเหรอครับ?”
“ม่าย มันโตเอง ย่าไม่ใช่ต้องทำไรนิ” (ไม่ มันโตเอง ย่าไม่จเป็นต้องทำอะไร)

เอ้า –

“อันนี้ย่าขายใครครับ? เขาจะเอามะพร้าวของย่าไปไหน?”
“ไปทำกะทิ” ย่าบอก “ข้นพร้าวเสร็จฉ่วยย่าทำกับข้าวหิดนะก้อง” (ขนมะพร้าวเสร็จช่วยย่าทำกับข้าวหน่อยนะก้อง)

ผมขานรับเสียงขันแข็ง ไม่อยากให้คุณย่ามองว่านายก้องเกียรติเป็นเด็กขี้เกียจที่วันๆเอาแต่กินและนอนเหมือนหลานชาย หลังรถขนมะพร้าวจากไปพร้อมกับลิงจั๊กๆสองตัว ผมก็เดินตามย่ากลับเข้าไปในครัว ส่วนพี่อู๋ขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อไอศกรีม เขากลับมาพร้อมรสถั่วดำและนมเย็นอย่างละสี่แท่งก่อนจะหายหัวไปนอนเปิดแอร์ ดูหนังฝรั่งสบายใจในห้องเย็นๆ

ผมช่วยคุณย่าหยิบหม้อ ครก สาก และเครื่องแกงมาเตรียมไว้ คุณย่าตักแบ่งเครื่องแกงส้มลงในครก เพิ่มพริกขี้หนู กระเทียม ขมิ้น และเกลือนิดหน่อย ย่าบอกให้นายก้องเกียรติตำทุกอย่างจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พอได้ที่ก็ใส่กะปิลงไปอีกหนึ่งช้อนแกง ผมออกแรงตำจนเสียงดังโป๊กๆลั่นบ้าน ย่าชมผมด้วยว่าผู้ชายทำกับข้าวเป็นคือผู้ชายเก่ง เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชายเข้าครัวกันเยอะแยะ ไม่ต้องเป็นแค่ผู้หญิงเหมือนย่าแล้ว

“จำสูตรไว้นะก้อง” ผมบอกย่าว่าไม่ต้องเป็นห่วงครับ ctrl+c ต่อด้วย ctrl+v ในสมองเรียบร้อย สูตรของคุณย่าได้เผยแพร่ต่อที่ลาดพร้าวแน่นอน “เอ้า – ตั้งน้ำให้ย่าหน่อย”

ผมใส่น้ำลงประมาณครึ่งหม้อ พอเริ่มเดือดก็ใส่เครื่องแกงที่ตำไว้ลงไป ปรุงเพิ่มด้วยน้ำมะขามเปียกอีกหนึ่งถ้วย ย่าถามว่าผมชอบกินเปรี้ยวหรือเปล่า ถ้าชอบเปรี้ยวๆก็ใส่เพิ่มได้ แต่เดี๋ยวนี้บ้านย่าไม่กินเปรี้ยวแล้ว กรดไหลย้อนเล่นงานกันทั้งบ้านจนนอนไม่ได้เลย

ระหว่างรอน้ำแกงเดือด ย่าก็เดินอุ้ยอ้ายไปหยิบปลากะพงออกมาจากตู้เย็น ปลาตัวนี้เราซื้อจากแม่ค้าที่ขับมอเตอร์ไซค์เร่ขาย เมื่อวานผมเป็นคนขอดเกล็ดและหั่นปลาเป็นท่อนๆด้วยตัวเอง วันนี้เราจะได้กินแกงส้มปลากะพงฝีมือกอริลลาก้องแล้ว ผมช่วยย่าถือโคม – หรือชามและค่อยๆใส่ปลาลงไปในหม้อ แค่นี้ก็เรียบร้อย รอจนปลาสุก พร้อมเสิร์ฟ เรียกคุณชายอู๋มากินได้

ตกเย็นเราได้กินแกงส้ม ไข่เจียวแบนๆ น้ำพริกแมงดา และหมูแดดเดียว เราสี่คนนั่งตากแมลงตอมไฟกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย หลังกินเสร็จจึงเป็นหน้าที่นายก้องเกียรติกับคุณอิศรินทร์ทำความสะอาดเหมือนเคย แต่วันนี้ย่าไม่หยุดแค่ของคาว ย่าถามพวกเราว่าอยากกินขนมไหม ย่าจะทำขนมโคให้กิน

“อะไรก็ได้ อู๋กินหมดแหละ”

พี่อู๋บอกก่อนจะล้างไม้ล้างมือเตรียมช่วยกันทำขนม เริ่มจากเทแป้งข้าวเหนียวใส่โคม – ชามและใส่น้ำเล็กน้อยให้พอกลายเป็นดินน้ำมัน ขั้นตอนนี้ผมกับผู้ปกครองชอบมากเพราะได้บีบๆนวดๆของนุ่มๆบ้างหลังจากผสมแต่ปูนมาหลายวัน ส่วนย่าปลีกตัวไปหั่นน้ำตาลโตนดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ย่าหั่นเตรียมไว้เยอะเหมือนจะทำเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เราสามคนนำแป้งห่อไส้น้ำตาลโตนดจนมือหงิก แรกๆขนมโคก็เป็นลูกกลมๆเล็กๆพอดีคำ หลังๆพี่อู๋เริ่มขี้เกียจ ปั้นก้อนเท่าควายยัดไส้น้ำตาลสามตัน ย่าบอกว่าปั้นใหญ่เกินไปสุกยาก ให้แบ่งเป็นก้อนเล็กๆ ปั้นให้เรียบร้อย เป็นผู้ชายก็ทำงานเรียบร้อยได้ อย่าขี้คร้านสิอู๋ ย่าบอกเอาลูกเล็กๆ – บอกว่าลูกเล็กๆไง ไอ้อู๋ – ปั้นมาลูกเท่าควาย กินเองเลยนะ –

“ถ้าขี้คร้านก็ไปขูดพร้าวไป” ย่าไล่ คุณอิศรินทร์จึงเดินไปนั่งคร่อมกระต่ายขูดมะพร้าว เขาทำเหมือนเดิมอีกแล้ว แรงดีช่วงแรกๆ ขูดดังโครกครากจนเกลี้ยงกะลาเนียนสวยสะอาดตา พอเริ่มกะลาที่สองที่สามก็ออกลา ขูดไม่เกลี้ยงบ้าง ออกแรงน้อยบ้าง จนย่าไล่ให้ไปไกลๆ เกะกะสายตา

“ใช่สิ ใครๆก็รักก้อง”

พี่อู๋ประชดก่อนจะเดินสะบัดตูดไปดูมวยกับปู่ในห้องนั่งเล่น ครัวเล็กๆจึงเหลือแค่ผมกับย่าเท่านั้น เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็เทขนมโคลงหม้อ รอจนมันสุกลอยขึ้นบนผิวน้ำจึงตักใส่มะพร้าวที่คุณอิศรินทร์ขูดไว้ ย่าบอกว่ามะพร้าวที้คลุกขนมโคไม่ต้องใส่น้ำตาล แค่ไส้ก็หวานจะแย่แล้ว ขืนใส่น้ำตาลเพิ่มในเนื้อมะพร้าวอีก เบาหวานกินยกบ้านแน่ๆ

เราได้กินขนมโคตอนสองทุ่ม คุณปู่กินแค่สี่ห้าชิ้นให้พอหายอยากส่วนที่เหลือก็เข้ากระเพาะนายก้องเกียรติกับผู้ปกครอง ผมกินขนมโคพลางดูทีวีเพลินๆระหว่างต่อคิวรออาบน้ำ ปกติแล้วปู่จะอาบเป็นคนที่หนึ่ง พี่อู๋คนที่สอง ส่วนย่าเป็นคนสุดท้าย แต่วันนี้ย่าคงเหนื่อยมากเลยลัดคิวอาบคนแรก แกอาบน้ำปะแป้งจนหน้าขาวเหมือนแนแล้วเข้านอน เหลือแค่ลิงสองตัวกับขนมโคหนึ่งจานในห้องโถงหน้า

“พรุ่งนี้วันพระ” พี่อู๋บอก “น่าจะต้องตื่นเช้าช่วยย่าทำปิ่นโตไปวัด”
“พี่จะไปวัดด้วยไหม?” ผมถาม เขาส่ายหน้าทันที “ขี้เกียจอ่ะ แต่ถ้าก้องอยากไปก็ได้นะ วัดอยู่ติดทะเล เผื่อจะปล่อยย่าไปฟังพระส่วนเราเดินเล่น”
“ร้อนขนาดนี้ ยังจะไปทะเลอีก”

ผมบ่น เรานั่งกินขนมจนหมดจานก่อนจะช่วยกันล้างทำความสะอาดจนเกลี้ยง ผมกับพี่อู๋สลับกันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยจึงเข้านอน เราเปิดแอร์ที่อุณหภูมิสิบแปดองศา อากาศเย็นสบายเหมือนประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว ผมที่สวมชุดนอนนั่งปะแป้งจนหน้าขาวบนเตียง ข้างๆคือคุณอิศรินทร์นอนเลือกหนังในช่องเน็ตฟลิกซ์ เขาถามผมว่าอยากดูเรื่องอะไร แต่ผมไม่มีคำตอบ หนังช่วงนี้ไม่ค่อยน่าสนใจเลย ดังนั้นพี่อู๋จึงได้สิทธิ์ถือครองรีโมต เขาเปิดหนังเรื่องเอ่ยชื่อคือคำรัก เรื่องเดียวกันกับหนังสือที่เราซื้อจากคิโนะคูนิยะเมื่อหลายเดือนก่อน

“สนุกเหรอพี่?” ผมถาม
“ก็ดีนะ พี่ชอบมู้ดของเรื่อง มันอบอุ่นดี”

ผมเกาแก้มตรงยุงกัดแกรกๆพลางพยักหน้าเออออไปกับหนุ่มอักษรผู้ชอบมู้ดแอนด์โทนที่นายก้องเกียรติเข้าไม่ถึง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นหนังสารคดีเพราะเห็นพ่อของพระเอกคุยแต่เรื่องที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ ปรัชญาบ้าง โบราณคดีบ้าง สั้นๆคือผมไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากดูนายเอลิโอเล่นเปียโนและปั่นจักรยานไปมา

“เก่งจังเลยเนอะ”

ผมงึมงำเมื่อดูฉากที่เอลิโอนั่งเกากีต้าร์เบาๆในสวน ตัวเอกของเรื่องอีกคนให้เขาเล่นให้ฟังอีกรอบแต่ถูกกวนใส่ด้วยการดัดแปลงทำนองจนผิดเพี้ยนไปหมด ในฉาก ตัวละครพูดประโยคที่ผมไม่เข้าใจเลย

“ก็เล่นแบบที่ลิสท์จะเล่น ถ้าเขาดัดแปลงเวอร์ชั่นของบาค --”

บาคไหนอีก ผมสงสัยและคิดถึงพี่โรม ผมไม่ได้เรียนเปียโนมาเดือนกว่าแล้ว พี่โรมจะรู้ไหมว่าลูกศิษย์ของเขาถูกส่งมาขนมะพร้าวที่ใต้ ถ้าเขารู้ เขาคงแต่งเพลงเพื่อชีวิตให้นายก้องเกียรติได้ฮึดสู้ต่อไปแน่ๆ

ตัวหนังดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความเนิบช้า ผมหาวแล้วหาวอีกเพราะหนังไม่มีจุดพีคอะไรเลยนอกจากมองเอลิโอแต่งเพลง อ่านหนังสือ แอบมองและพร่ำเพ้อถึงแขกผู้มาเยือนของพ่อ วนเวียนแบบนี้ตั้งเกือบชั่วโมง หนังเล่นจนถึงฉากที่ทั้งสองคนปั่นจักรยานไปจัตุรัสในเมืองด้วยกัน ที่นั่นมีอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งตั้งอยู่ชื่อว่ายุทธการแม่น้ำปีอาเว พอเข้าเรื่องประวัติศาสตร์ ผมยิ่งหาวหนักขึ้นกว่าเดิมอีกเพราะไม่มีความรู้อะไรเลย ผิดกับคุณอิศรินทร์ที่นอนจ้องทีวีตาเขม็ง ใบหน้าเครียดขึงจริงๆเหมือนจะไปออกรบที่ไหน

“ตายไปหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน --” เอลิโอพูดขณะที่โอลิเวอร์เดินจับรั้วของอนุสาวรีย์ไปเรื่อยๆเป็นวงกลม
“ไม่รู้สักเรื่องบ้างไหมเนี่ย?” โอลิเวอร์ถาม จังหวะนี้ผมแอบล้อเลียนด้วยการถามพี่อู๋ที่นอนอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้ซักเรื่องบ้างไหมเนี่ย?”

ผมแหย่ แต่เขาไม่ตอบโต้

“แต่เรื่องที่น่ารู้จริงๆ ผมแทบไม่รู้” เอลิโอออกอาการเป็นลิงค่าง ปีนรั้วเตี้ยๆของอนุสาวรีย์
“หมายถึงเรื่องแบบไหน?” โอลิเวอร์ถาม
“คุณก็รู้ว่าเรื่องแบบไหน”

แต่ผมไม่รู้ –

ผมมองตัวละครสองตัวตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน โอลิเวอร์เดินวนรอบอนุสาวรีย์โดยมีเอลิโอเดินตามอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาประจันหน้ากัน แต่ไม่เดินเข้าหากัน

“แล้วมาบอกฉันทำไม?”
“ผมคิดว่าคุณควรจะรู้”

เอลิโอสูบบุหรี่ฟอดใหญ่

“นายคิดว่าฉันควรจะรู้เหรอ?”
“เพราะผมอยากให้คุณรู้มั้ง” เอลิโอพึมพำ “เพราะผมอยากให้คุณรู้”

“พูดถึงอะไรกันอ่ะพี่?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจบริบทของบทสนทนาจริงๆ พี่อู๋ละสายตาจากทีวี จังหวะเดียวกับที่เอลิโอพูดซ้ำ

“Because I wanted you to know.” พี่อู๋พูดพร้อมเอลิโอ “Cause I wanted you to know.”
“โนว้อท?”  (Know what?)

ผมถามกลับกวนๆ แต่คุณอิศรินทร์ยังจริงจังกับการพากย์เสียงเอลิโอไม่เลิก

“Because there’s no one else I can say this to but you.”

ซับไตเติ้ลขึ้นภาษาไทยว่า

“เพราะผมบอกใครไม่ได้นอกจากคุณ”

ผมเลิกคิ้วมองผู้ปกครอง สรุปตัวละครอยากบอกอะไรกันแน่ ทำไมเขาไม่เฉลยเสียที

“ใช่อย่างที่ฉันคิดหรือเปล่าเนี่ย?” โอลิเวอร์ถามและสูบบุหรี่ เขามองหน้าเอลิโอที่ยืนพนักหน้าอย่างจำนนต่ออะไรบางอย่าง

“พี่อู๋ ผมถามเนี่ยว่าตกลงเอลิโอมันพูดถึงอะไร?”
“พูดถึงความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้”
“เอ้า – แล้วบอกโอลิเวอร์ทำไมอ่ะ?”
“ก็มันคือความรู้สึกที่สามารถบอกได้แค่คนคนเดียวไง” คุณอิศรินทร์อธิบาย พอเห็นกอริลลาก้องขมวดคิ้วงุนงง เขาก็ดีดหน้าผากและทวนคำพูดของเอลิโอซ้ำไปซ้ำมา

“Because I wanted you to know. I wanted you to know.”

พี่อู๋พูดซ้ำขณะจ้องตานายก้องเกียรติ

“I wanted you to know.”
“ไอ อ้าค ยู โน ว้อท?” (I asked you, know what?)
“อะนะตะกะสุคิดะ” (あなた が 好きだ)
“โฮ้ย – นอนละ คุยกันไม่รู้เรื่อง”

ผมดึงผ้านวมมาห่มเมื่อโดนภาษาญี่ปุ่นพูดใส่หน้า พี่อู๋หัวเราะขำ เขาปิดทีวีและเข้านอนโดยไม่หยุดพูดย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

“ฮงโตะ สุคิดะ” (本当 好きだ)



TBC
___________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

มาอย่างรวดเร็วทันในตามสัญญาจ้ะพี่จ๋า :3
ตอนที่แล้วหนูลืมทอล์คอธิบายเพิ่มเติมเรื่องเชิงตะกอน จริงๆคริสเตียนเผาได้นะคะ จะเผาจะฝังได้หมดเลย
ในเรื่องนี้หนูให้เผาเพราะค่าที่แพง ในเมืองก็คือแน่นแล้ว บ่ไหว ทุกตารางนิ้วมีคนจับจองค่ะ อันนี้หนูพูดจริงๆ 555555555555555555555555555555555555555555

ส่วนประโยคที่พี่อู๋บอกน้องนั้นแปลว่าชอบค่ะ

あなた が 好きだ ชอบเธอนะ
本当 好きだ ชอบจริงๆนะ

แต่อย่างว่าแหละเด็กมันอ๊องเลยหนีไปนอน ไม่คุยต่อ แหะๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจน่ารักๆเช่นเคยน้า หนูไปนอนแล้ว คืนนี้ฝันดีค่า  :z2:

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยย พี่อู๋บอกชอบน้องแร้ววววววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ขอกรี๊ดไป 3 โลกเลยยยยยย อร๊ายยยยย ชอบบอกชอบเป็นภาษาไืยก็ไม่ได้ด้วยนะ ต้องมาภาษาถนัดของคนซึน   :-[

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่อู๋บอกชอบไปแล้วแต่เด็กก้องเซ่อ ไม่รับรู้ สงสารเขาจังนะคะ 5555

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านละนึกภาพตามได้เป็นฉากๆเลยค่ะ เพราะเราเคยอู่ท่าศาลามา3ปี กลิ่นเค็มลอยมาเลย5555
ในที่สุดพี่อู๋ก็ชอบน้องจนได้ แต่ก้องนี่สิชอบพี่อู๋บ้างมั้ย
หรือมองเป็นแค่พี่ชาย  :hao4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด