พิมพ์หน้านี้ - เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ambiguous95 ที่ 28-09-2018 10:50:45

หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-09-2018 10:50:45
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ


5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said.



เรื่องราวของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งที่กำลังจะกระโดดสะพาน แต่ดันมีคุณลุงขี่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าเข้ามาขัดขวาง และหลังจากนั้นแผนการฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลย

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่สมมติขึ้น บุคคล บทสนทนา การแสดงออกทางอารมณ์และคำปรึกษาต่างๆในเรื่องไม่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับผู้ป่วยทุกคน นักอ่านท่านใดที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มั่นคงเหมือนเดิม รบกวนปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ 


Story by : Ms.Ambiguous

สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องก้องไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ♡´・ᴗ・`♡
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro : ไปยืนทำอะไรตรงนั้น]
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-09-2018 11:00:52
00


มีคนบอกว่าความตายน่ากลัว แต่ผมว่ามันไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการมองไม่เห็นวันพรุ่งนี้ต่างหาก


ปฎิทินได้ฟรีจากธนาคารบอกว่าวันนี้คือวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันที่ผมรู้สึกว่าความอดทนทุกอย่างหมดลงแล้ว และความตายน่าจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่ทำให้มองเห็นอะไรๆชัดขึ้น ดังนั้นผมจึงตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟันและโกนหนวดจนสะอาดสะอ้าน เลือกสวมเสื้อยืดตัวเก่งที่แม่ซื้อให้กับกางเกงยีนลดราคาจากโลตัส

 
ผมมองกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายซูบผอมเหมือนเด็กส่งยาไม่ทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่นี่เพราะคืนนี้ผมจะออกเดินทางไกล เป็นการเดินทางที่ไม่รู้จุดหมาย แต่ผมมั่นใจว่ามันจะช่วยให้หลุดพ้นจากความหนักอึ้งที่ทับถมมาตลอดชีวิตได้แน่นอน
 

วันนี้ผมจะตาย

ผมจะฆ่าตัวตาย

 
หลังจากคิดหาวิธีที่รบกวนคนอื่นน้อยที่สุด ผมตัดสินใจเลือกการกระโดดสะพานเป็นทางออกสุดท้าย ผิวน้ำเรียบๆจะไม่ต่างอะไรพื้นคอนกรีตเมื่อกระโดดลงมาด้วยความสูงที่มากพอ ผมคงตายสนิทและไม่เป็นภาระให้มูลนิธิต้องทำความสะอาดด้วย อีกอย่างถ้าผมตายเงียบๆโดยไม่มีใครเห็น บางทีร่างที่ไร้ประโยชน์นี้อาจเป็นอาหารให้ปลากินจุอย่างพวกปิรันยาก็ได้


แต่ผมลืมไป

แม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีปิรันยานี่หว่า

 
ผมหัวเราะให้กับความไร้สาระของตัวเองระหว่างผูกเชือกรองเท้าพลางคิดว่าเดือนสิงหาปีนี้ร้อนผิดปกติ มันก็ร้อนขึ้นทุกปีเหมือนความทุกข์ แต่พ้นวันนี้ไปผมจะไม่เศร้าแล้ว ผมกำลังจะเดินทางไกล ถ้าไม่ผิดจากที่เตรียมเอาไว้ อีกสิบหกชั่วโมงผมจะจากโลกนี้ไปเพียงลำพังเหมือนอย่างที่เกิดมา

 
ต้องล็อกประตูบ้านไหม?

ไม่ -- ไม่จำเป็น

อย่างน้อยถ้าตำรวจพบศพเมื่อไหร่ พวกเขาจะได้เข้ามาคุ้ยหาเศษซากความขี้แพ้ของผมได้สะดวก


ผมปิดประตูบ้านแต่ไม่ได้ลงกลอน เดินออกจากที่ซุกหัวนอนโดยไม่ใส่ใจแม่กุญแจขึ้นสนิมที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงรั้วเหล็ก ผมหันหลังมองบ้าน มองปฏิทินซีดจางที่แขวนอยู่ตรงเสาก่อนจะตัดใจเดินด้วยความมุ่งมั่น ทิ้งซากไม้สองชั้นที่มีแต่ความทรงจำไว้เบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์มันอีกต่อไป

 
“แต่งตัวเสียหล่อ จะไปไหนวะไอ้ก้อง?”

ลุงชัย วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยถามเมื่อเห็นผมเดินผ่าน

“เดินห้างครับ”

“ตอนแปดโมงเนี่ยนะ?”

“ครับ”

 ผมยกมือไหว้ บอกลาลุงชัยด้วยความว่างเปล่าและไม่ทิ้งคำสั่งเสียให้มีพิรุธแม้เราจะรู้จักกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กกะโปกแก้ผ้าวิ่งในซอยก็เถอะ ผมทำแค่อวยพรขอให้ลุงโชคดี มีลูกค้าเยอะๆ ถูกหวยเร็วๆจะได้เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้เสียที

 “รีบไปรีบมา แล้วอย่าแอบใช้แกร๊บไบค์ล่ะ”

“ครับ”

 ผมหันหลังให้กับซอยที่อาศัยอยู่มาสิบกว่าปี เดินตรงดิ่งไปป้ายรถเมล์มุ่งหน้าสู่ชานชาลาสุดท้ายของชีวิต หมู่บ้านที่จากมาพยายามยุดยื้อด้วยความทรงจำเก่าๆแต่ไร้ประโยชน์ ผมตั้งใจจะไปแล้ว ไม่มีอะไรหยุดผมได้หรอก

 เพราะฉะนั้น -- ผมควรจะเอ่ยคำลาซักหน่อย

ลาก่อนครับป้าเพ็ญ เลิกขี้เหนียวแล้วหัดทำบุญทำทานบ้าง

ลาก่อนครับลุงชื่น ขอบคุณที่ทอดไก่ให้ผมกินเสมอ

ลาก่อนครับพี่ลี ขอให้กิจการเบเกอรี่ขายดิบขายดียิ่งกว่าเทข้าวให้หมากินนะครับ

ลาก่อนข้าวฟ่าง โตมาอย่าแรดเหมือนแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือหนังหาจะได้ไม่เป็นแบบพี่

ที่สำคัญเลย --

ลาก่อนไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ชอบหอนตอนตีสองแบบไม่มีเหตุผล ไอ้เนรคุณ ขนาดผมจะตายวันนี้ มันยังไม่มีกะจิตกะใจเดินมาส่งนอกจากนอนอืดใต้ท้องรถลุงชื่นอย่างสบายอารมณ์ แต่ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาคิดถึงเลย ผมต้องออกเดินทางแล้ว

ลาก่อนทุกคน
ลาก่อนครับ
ผมไปแล้วนะ

ถ้าชาติหน้ามีจริง -- เราอย่าเจอกันอีกเลยครับ ผมอยากเกิดเป็นคนรวย

 


 

แผนของผมคือเที่ยวไปเรื่อย ใช้เงินก้อนสุดท้ายให้หมด แล้วปิดทริปด้วยการมุ่งหน้าไปสะพาน วันนี้ผมมีเวลาทั้งวันเพื่อบอกลากรุงเทพที่อยู่มาเกือบตลอดชีวิต ผมควรรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่เปล่าเลย ทุกอย่างราบนิ่งราวกับความมุ่งมั่นตั้งใจจะตายมีมากจนไม่เหลือที่ว่างให้ความสุขเข้ามามีส่วนร่วม

เดี๋ยวก็ตายแล้วนี่
จะวอกแวกทำไม อยู่ต่อไปอีกหนึ่งวันก็ต้องทรมาณเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง

ผมนั่งรถเมล์ไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ถึงตอนเที่ยงก็แวะห้างกินข้าวซักหน่อย วันนี้คือวันเปิดเทอมของมหาลัย มีนิสิตใส่เครื่องแบบมาเดินห้างบ้างประปราย ความผิดหวังที่เคยฝังกลบถูกขุดขึ้นมาจนอยากร้องไห้ ผมหยิบโค้กขึ้นมาดูดจนหมดแก้ว ทิ้งจานข้าวขาหมูไว้บนโต๊ะ แล้วเดินจากไปโดยวางเงินเอาไว้ยี่สิบบาทเป็นทิปให้ป้าพนักงานเก็บจาน

 

 
สิบห้าชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงชานชาลาสุดท้ายในสภาพชุ่มเหงื่อ ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่บนสะพานไม่ได้เงียบเลย รถยนต์ยังคงวิ่งสวนกันตลอดทั้งสองเลน มีผู้คนเดินออกกำลังกายอยู่ริมขอบสะพาน มีคู่รักหนุ่มสาวยืนกอดคอกันถ่ายรูปกะหนุงกะหนิง สั้นๆคือมันไม่ได้ร้างคนแบบที่คิด และนั่นหมายความว่าผมจะยังฆ่าตัวตายตอนนี้ไม่ได้ เพราะพวกเขาจะเข้ามาห้ามและกระชากผมลงจากราวสะพานแน่ๆ

มองไปมองมาสะพานนี่ก็สวยแบบพิลึก เส้นสลิงที่ยึดสะพานดูเหมือนกู่เจิง เครื่องดนตรีจีนที่เคยเห็นในทีวี ผมมองท้องฟ้า มองแม่น้ำที่จะโอบกอดร่างขี้แพ้เบื้องล่าง มองรถที่วิ่งสวนไปมาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ผมอยากบอกตัวให้คิดดูอีกทีแต่ก็มั่นใจแล้วว่าวันนี้ต้องตายให้ได้ ผมทรมานมานานเกินไปแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบ ผมจะถ่วงความเศร้าและความผิดหวังลงในแม่น้ำเจ้าพระยา ให้มันจบไปพร้อมกันแบบเด็ดขาด เราจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที

ผมรออีกครู่ใหญ่ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนห้านาที

เอาล่ะ -- ไม่ค่อยมีคนแล้ว

ผมจับราวสะพานก่อนจะก้มมองข้างล่าง แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้า กลางคืนทุกอย่างกลายเป็นสีดำราวกับต้องการไว้อาลัยให้แก่การจากไปของเศษขยะในจักรวาลอย่างผม ขอบคุณนะ ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องมืดขนาดนี้ก็ได้ ทำใจกระโดดลำบากชะมัด

ผมกัดริมฝีปาก สูดเอาควันพิษบนถนนเข้าลึกๆจนเต็มปอดแล้วถอดรองเท้า กระเป๋าสตางค์ที่มีบัตรประชาชนและข้อมูลระบุตัวตนว่าผมคือใครถูกวางไว้ข้างกัน อย่างน้อยตอนเช้าจะต้องมีคนเห็นรองเท้ากับกระเป๋า แล้วพวกเขาจะรู้ว่ามีเด็กหนุ่มขี้แพ้คนหนึ่งกระโดดลงไป เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดที่มีแค่บัตรนักเรียนแต่ไม่มีบัตรนักศึกษา ดังนั้นวุฒิการศึกษาสุดท้ายในชีวิตเฮงซวยของเขาคือระดับมัธยมปลาย ไปไม่ถึงปริญญาตรี

หลังจากนั้นจะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับชีวิตของผม บางทีพี่น้องไบรท์อาจจะอ่านมันด้วยน้ำเสียงเศร้าๆเพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ทีนี้เพื่อนบ้านก็จะรู้ว่าผมตายแล้ว พวกเขาจะบุกเข้ามาในบ้าน รื้อเอาเสื้อผ้าเตรียมแต่งตัวใหม่ให้ผมที่หลับพักผ่อนในโลงไม้อัด ลุงชัยต้องร้องไห้แน่ๆ แต่ไอ้แดงจะไม่รับรู้อะไร มันจะวิ่งเตาะแตะอย่างร่าเริงไปที่วัดเพื่อกินข้าวในงานศพของผมโดยไม่แม้แต่ชายตามองรูปหน้าศพด้วยซ้ำ

ไอ้หมาเวร
ขอด่ามันอีกครั้งก่อนตายเถอะ

 ผมวางจดหมายลาตายเอาไว้ใต้รองเท้า เนื้อหาในนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากแจ้งความประสงค์ครั้งสุดท้าย ของสะสมทุกชิ้นทั้งหนังสือเรียนและหนังสือการ์ตูนจะเป็นของข้าวฟ่าง เครื่องครัวปรุๆสภาพแย่เป็นของพี่ลี ตู้เย็นเป็นของลุงชัย แกจะได้มีน้ำเย็นๆตอนพักเที่ยง ลุงชื่นได้บ้านไป ลุงจะทำอะไรก็ได้ ตามใจ ผมไม่ถือ ส่วนป้าเพ็ญไม่ได้อะไรเลย ไม่พูดถึงในจดหมายแต่ละเอาไว้เป็นเชิงรู้กัน ผมลงท้ายว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ผมเหนื่อยมามากแล้ว  ขอบคุณครับ ลาก่อนครับ ก้องเอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนแปดนาที

ผมปีนขึ้นไปนั่งบนสะพาน แต่ราวจับของมันแคบมากจนไม่สามารถนั่งได้เต็มก้น ผมก็เลยต้องนั่งคร่อมอย่างเก้ๆกังๆแล้วก็พลิกตัวไปประจัญหน้ากับความตายไม่ได้เพราะติดขา ผมตัวสูงเกินไป แขนขาก็ยาวเก้งก้างจนเป็นภาระแม้กระทั่งตอนจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นผมจึงนั่งคร่อมราวจับอยู่แบบนั้นอีกสองสามนาที ถอนหายใจให้กับความผิดเพี้ยนไปหมดของชีวิตก่อนจะก้มมองข้างล่าง

สูงชิบหาย
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลัวอะไร

สิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้ว คิดเอาเองว่าคุ้มค่า จู่ๆวูบหนึ่งผมก็คิดถึงโลกหลังความตาย ถ้าผมกระโดดไปตอนนี้ อีกสิบนาทีข้างหน้าผมจะเจอใครไหม ผมจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน จะแหลกสลายไปตามกฎของธรรมชาติ หรือลืมตาอีกทีก็เจอยมบาลในนรก เวรเอ๊ย ไม่น่าคิดเลย พอคิดว่าต้องตกนรก เหงื่อก็ท่วมตัวเหมือนคนขี้ขลาดเสียอย่างนั้น

ในจังหวะที่กำลังทำสมาธิ เตรียมบอกลาโลกนี้เพื่อพักผ่อนตลอดไปในโลกหน้า ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างหลัง ผมอยากหันไปมอง แต่เพราะท่านั่งคร่อมราวเหล็กนี่ทำให้องศาการเอี้ยวตัวไม่ง่ายเหมือนที่คิด ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นกึกกักเดินเข้ามาใกล้ ใครวะ ผมสงสัย ใครมันจะเข้ามาขัดขวางอีก

 “น้องทำกระเป๋าตังค์หล่น”

 เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมยังไม่เห็นหน้าเขา จนกระทั่งเขาเดินมาข้างๆแล้วส่งกระเป๋าสตางค์มาให้

 “ไม่ได้ทำหล่นครับ” ผมตอบส่งๆ นั่งตัวเกร็งบนราวเหล็กเพราะต้องเงยหน้าคุยกับคนเพี้ยนที่เดินมาชวนคุยไม่ดูเวล่ำเวลา

“จะฆ่าตัวตายเหรอ?”

“ครับ”

ผมพยักหน้า นั่งคร่อมราวสะพานขนาดนี้ ดูเหมือนคนตกปลามากมั้ง

“อายุเท่าไหร่ล่ะ?”

“สิบเจ็ดครับ”

“โห เพิ่งสิบเจ็ดเอง ทำไมรีบจังวะ”

ชายตรงหน้าบ่นก่อนจะปีนราวสะพานขึ้นมานั่งข้างๆ ผมร้อง “เฮ้ย!” ออกมาเมื่อเรานั่งประจันหน้ากัน เขาดูเหมือนพนักงานธนาคารที่แต่งตัวเนิร์ดๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปกับเนกไทสีแดง มีบัตรพนักงานห้อยอยู่ที่คอแต่ไม่รู้ว่าบริษัทอะไร เขาเป็นผู้ชายสูงประมาณร้อยเก้าสิบเซน ถามว่ารู้ได้ไงเหรอ? เพราะเขาเพิ่งบ่นว่าตัวเองสูงเกินไป แขนขาก็เลยเกะกะจนนั่งไม่สะดวก

“พี่นั่งแบบนี้ทำไม? อยากตกลงไปเหรอ?”

“เอ้า แล้วเราไม่กลัวเหรอ?”

“ไม่ เพราะผมคิดดีแล้ว”

“ทำไม? มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เออ หนักชิบหาย

ผมอยากพูดแบบนั้นนะ แต่เพราะเราน่าจะอายุห่างกันหลายปีก็เลยพยายามคุยกับเขาด้วยภาษาสุภาพ ชายแปลกหน้านั่งแกว่งขาจนผมเสียวสันหลังกลัวเขาจะเป็นฝ่ายตกลงไปแทน เขาไม่ได้แนะนำตัวว่าชื่ออะไร มายุ่งอะไร แล้วปีนมานั่งตรงนี้ทำไม เขาเอาแต่ถามผมจนเหมือนรายการสัมภาษณ์ดาราที่ต้องคอยตอบเรื่องส่วนตัวเสียอย่างนั้น

“ชื่ออะไรน่ะเรา?”

“ก้องครับ”

“หวัดดีก้อง” เขายิ้มกว้างแล้วโบกมือ “ก้องว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตคุ้มแล้วเหรอ?”

“คุ้มแล้วครับ”

“แน่ใจ๋?”

“ครับ”

จะเสือกอะไรนักหนาวะ

“ผมรู้ว่าพี่จะพูดอะไร แต่พี่อย่าห้ามเลย ผมเหนื่อย ผมอยากไปแล้ว”

“ไม่ได้ห้ามนี่ อยากโดดก็โดดเลย” เขายักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ผมจะโดดได้ยังไงในเมื่อเขานั่งคร่อมสะพานหันหน้ามาจ้องตาแบบนี้ “ถ้าคิดว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมามันส้นตีนนักก็เอาเลย”

“พี่หลบไปก่อนได้ไหมครับ ขอผมโดดน้ำก่อน ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับ ผมนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้ว”

“เคยไปหาหมอยัง?”

“ไม่เคยครับ” ผมตอบ พูดอย่างกับทุกคนมีเงินนักแหละ

“เดี๋ยวพี่พาไป หมอมียานอนหลับ ดีกว่าโดดน้ำเป็นไหนๆ” เขาตบไหล่ผมเบาๆ ไอ้บ้าเอ๊ย แรงตบเกือบทำผมหล่นลงไปอยู่แล้ว “รู้จักสตาร์บัคส์ไหม?” เขายังชวนคุยในขณะที่ผมเหงื่อแตกพลั่ก อยากนั่งนิ่งๆไม่อยากขยับปากพูดเพราะกลัวหล่นลงไป

“รู้จักครับ กาแฟนางเงือก”

“ช่าย เคยกินไหม?”

“เคยกินแต่สตาร์บังครับ”

ผมตอบตามจริง เขาหัวเราะจนตาหยีเป็นเส้นตรงก่อนจะถามต่อว่าอร่อยไหม

“ก็กินได้ครับ หวานดี”

“เออ ช่วงนี้สตาร์บัคส์มีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งด้วย”

“ครับ”

“อยากกินหรือเปล่า?”

“ไม่มีเงินครับ” ผมตอบ ภาวนาให้เขาจบบทสนทนาเสียที แม่น้ำเจ้าพระยารอเก้อแล้ว

“กินไหม? เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายไง” เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ไม่พยายามรั้งให้ผมลงจากสะพานด้วยคำพูดกลวงๆอย่าง ‘ชีวิตน้องมีค่า คนอื่นลำบากกว่าตั้งเยอะดูสิ’ เลยซักนิด

“แต่ผมกำลังจะฆ่าตัวตาย”

“ไม่ใช่วันนี้”

เขาบอกด้วยสีหน้าจริงจังที่ผมมีโอกาสได้เห็นไม่กี่วินาทีเพราะเขาเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิม

“ไม่ใช่วันนี้ ไปเหอะ ไปกินสตาร์บัคส์กัน พี่เลี้ยงเอง”

เขาเสนอก่อนจะพยายามยกขากลับไปวางบนพื้น แต่พอเห็นผมลังเลไม่ยอมลงจากราว เขาก็ดื้อด้านนั่งต่อเหมือนเดิม

“ไหนบอกว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้วไง?”

“ใช่ครับ”

“นั่นเรียกว่าคุ้มเหรอ? สตาร์บัคส์ยังไม่เคยกินเลย ลองกินกาแฟแก้วละร้อยดูซักครั้งสิ เอาไปเทียบกับสตาร์บังแล้วค่อยตาย จะได้บอกเทวดาว่าอันไหนอร่อยกว่ากัน”

“พี่คิดว่าผมจะได้เจอเทวดาจริงๆเหรอ?”

“พูดไปงั้น ถ้าบอกว่ายมบาลเราก็ใจเสียอีกสิ” เขาหัวเราะ “ว่าไง? ตกลงจะกินหรือเปล่า? พี่ซื้อให้กินเลยพรุ่งนี้ แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะตายหรือไม่ตาย”

ผมครุ่นคิดลังเลเพราะจู่ๆก็อยากลองกินสตาร์บัคส์ตามคำยั่วยุของเขา แต่ผมเป็นคนตัดสินใจเร็ว ดังนั้นเมื่อคิดว่าอยากลองกินเพื่อเปรียบเทียบกับสตาร์บังซักครั้ง ผมจึงค่อยๆปีนลงจากสะพานแล้วสวมรองเท้าราวกับไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาก่อน

“ง่ายแบบนี้เลยเหรอ?”

“ครับ”

“เออดี พี่ชอบคนว่าง่าย”

เขายิ้มกว้างแล้วพยายามลงจากราวอย่างเก้ๆกังๆ เกือบหงายหลังตกลงไปแต่โชคดีที่ผมดึงแขนเขาไว้ได้ทัน เราก็เลยกลับมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัยอีกครั้ง

ขาผมสั่น
สั่นเหมือนลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่

ไม่มีเหตุผลเลยที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ผมกลับปฏิเสธมัน ไม่ใช่วันนี้ ผมคิด เพราะพรุ่งนี้ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกินสตาร์บัคส์ตามคำเสนอของเขา แม้จะยังงุนงงว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนคนนี้ต้องควักเงินเป็นร้อยเพื่อเลี้ยงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายผมก็เดินตามเขา ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างว่าง่ายเหมือนลูกหมาที่ถูกเก็บจากวัด

“ตอนนี้พี่คงพาไปไม่ได้นะ ห้างปิดหมดแล้ว”

“อ้าว” ผมเปล่งเสียง เตรียมตัวจะลงจากรถแต่เขาก็รีบเอื้อมตัวมาจับข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว

“พี่บอกว่าจะเลี้ยงพรุ่งนี้ไง รอห้างเปิดไม่ได้เหรอ?”

“ได้ครับ” ผมตอบ รู้สึกเซ็งแปลกๆที่วันนี้ต้องกลับไปนอนบ้าน

“งั้นขึ้นรถ”

“พี่จะพาผมไปไหนครับ?”

“ไปส่งที่บ้านไง” เขาถอนหายใจเมื่อผมดูอ๊องๆงงๆ “ขึ้นมาเร็ว เก็บของมาครบหรือยัง?”

“ครบครับ”

“กระเป๋าสตางค์ล่ะ?”

“อยู่นี่ครับ” ผมชูมันขึ้นมา เขาพยักหน้ารับแล้วตบเบาะสกู๊ปปี้ ไอสีฟ้าเบาๆ “บ้านผมอยู่ไกลนะ”

“เออน่า มาเหอะ”

ผมคงบ้าไปแล้วแน่ๆที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์คนแปลกหน้ากลับบ้าน แต่ที่บ้ากว่าคือการให้สัญญากับเขาว่าพรุ่งนี้เราจะออกไปซื้อสตาร์บัคส์ด้วยกัน ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ และทำแบบนี้ไปทำไม แต่ช่างเถอะ สุดท้ายความเป็นคนเรื่อยๆสบายๆของเขาก็ทำให้ผมปล่อยตัวเองช่วงหนึ่ง

ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านและนึกถึงแค่สตาร์บัคส์ตามที่เขาบอก หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมไม่อยากตายแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อยากนอนบนฟูกอุ่นๆ อยากหลับซักงีบ อยากลองชิมสตาร์บัคส์ซักครั้งก่อนคิดเรื่องฆ่าตัวตายวันหลัง พี่แปลกหน้าขับรถมาส่งผมถึงบ้านตามที่สัญญาไว้ เขาดับเครื่องแล้วถอดหมวกกันน็อคก่อนจะเงยหน้ามองบ้านของผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

“อยู่กับใครเนี่ย?”

“คนเดียวครับ”

“พ่อแม่ล่ะ”

“แม่ตาย พ่อมีเมียใหม่ครับ”

ผมพูดเรียบๆ ไม่ยินดียินร้าย ไม่แสดงออกว่าเสียอกเสียใจกับชะตากรรมชีวิตตัวเอง พี่แปลกหน้าปิดปากเงียบเมื่อรู้ความจริง ผมยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทและเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่เขาไม่ให้ผมไป

“ก้อง”

“ครับ?”

“เมื่อตอนเย็นกินข้าวยัง?”

“กินแล้วครับ” ผมตอบ “พี่ -- ผมยังไม่ได้ถามชื่อพี่เลย พี่ชื่ออะไรครับ?”

“อู๋” เขาแนะนำตัวเองก่อนจะเกาแก้ม ดูเขินๆ “พี่ชื่ออู๋นะ”

“ขอบคุณครับพี่อู๋”

ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เตรียมจะเข้าบ้าน แล้วเขาก็เรียกอีก เรียกมันอยู่นั่นแหละ รำคาญจริงๆ

“ก้อง พรุ่งนี้พี่พูดว่ายังไง?”

“พี่บอกว่าจะมารับผมไปกินสตาร์บัคส์”

“ใช่ เพราะฉะนั้นเอาเบอร์มือถือมา พี่จะโทรตามเรา”

ผมส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้พี่อู๋ เขาก้มหน้ากดมันยิกๆก่อนจะส่งคืน

[น้องก้อง]

เขาให้ผมดูหน้าจอว่าเมมเบอร์ไว้ว่าอะไร

“พรุ่งนี้ต้องอยู่บ้านนะ”

“ครับ”

“พี่ทำงานเลิกบ่ายสอง เดี๋ยวพี่มารับ”

“ขอบคุณครับ”

ผมตอบแล้วมองหน้าเขา พี่อู๋ดูมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่พูด ผมก็เลยหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป แล้วเขาก็เรียกอีก

“ก้อง”

“ครับ?!”

“นอนหลับฝันดีนะ”

ผมอึ้ง ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนทื่อเป็นหินก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ

“ครับ”

แล้วก็เดินเข้าบ้านไป

ผมแสร้งปิดประตู แสร้งทำเสียงก็อกแก๊กลงกลอนแต่จริงๆแอบอยู่หลังบานไม้ ผมรอจนกระทั่งเสียงมอเตอร์ไซค์ขับออกไปจึงเดินกลับไปหน้าบ้าน ชะเง้อมองแผ่นหลังของพี่อู๋ด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม

ผมกำลังจะฆ่าตัวตายแท้ๆ
แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะอยากกินสตาร์บัคส์

ไอ้ตะกละเอ๊ย

ผมหัวเราะขำตัวเองก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาเขียวปั๊ดของลุงชัยที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่บนระเบียงชั้นสอง ผมยกมือไหว้แต่แกไม่รับ แกมองอย่างไม่พอใจก่อนจะมุบมิบทำปากจับใจความได้ว่า --

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแกร๊บ ไอ้เด็กบ้า”

เวรกรรม
พรุ่งนี้ก่อนไปกินสตาร์บัคส์แล้ววางแผนฆ่าตัวตาย ผมคงต้องอธิบายให้ลุงชัยเข้าใจก่อนว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เฮ้อ









TBC




----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนที่ 1 และ 2 จะตามมาเร็วๆนี้ค่า ♡
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro!]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-09-2018 11:26:16
เข้ามาอ่านแล้วต้องอุทาน โถ ลูก สิบเจ็ดปีเอง น้องก้อง ชีวิตยังใช้ไม่คุ้มอย่างที่พี่อู๋ว่าจริงๆ นะ
น้องก้องจัดว่าเป็นเด็กมีความคิดระดับหนึ่งเลย ก่อนตายคิดนั่นคิดนี่ ทำนั่นทำนี่
แต่ไม่ใช่วันนี้นะลูก พรุ่งนี้ว่ากันใหม่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro!]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 28-09-2018 12:43:37
น่าสนจัยย  ทำไมก้องอยากตายละลูกก ตอนแรกอ่านละหดหู่เลย แต่ไม่ใช่วันนี้เนอะ ;)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro!]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-09-2018 15:45:29
เข้าใจเลย อย่าพูดว่าวันนี้จะทำอะไรดี ต้องบอกเขาว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรด้วยกัน เขาจะได้คิดถึงวันพรุ่งนี้ ยื้อไปจนกว่าจะผ่านวันนี้ไป เฮ้อ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro!]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 28-09-2018 16:23:15
น่าสนใจมากค่ะ รอต่อนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Intro!]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 28-09-2018 18:57:51
ไม่ใช่วันนี้และก็ไม่ใช่วันต่อๆไปหรือวันไหนะลูก พี่อู๋ช่วยน้องด้วยย อ่านละหดหู่ตามเลย สงสารน้องTT  :hao5: :hao5:
ปล. แอบฮาตอนด่าหมา  :m20:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 1!] ก้องเกียรติครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-09-2018 20:32:27
01

 

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบนาที

เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนผมนอนอยู่บนฟูก แต่ตอนนี้ย้ายลงมานอนบนพื้นไม้เพราะพัดลมเพดานไม่ช่วยให้ห้องเย็นขึ้นเลย ผมลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์เพราะไม่อยากนอนเงียบๆ เสียงพี่น้องไบรท์รายงานข่าวช่วยให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผมต้องทนหายใจโดยไม่รู้จุดหมายอีกหลายชั่วโมงเพื่อรอคนแปลกหน้ามารับไปกินสตาร์บัคส์

 ผมหลับตา ปล่อยให้ความมืด ความร้อน ความเหนื่อย ความรู้สึกห่วยๆเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าเปรียบเป็นเวทีมวย ผมคงกำลังโดนชกซะน่วม อาจจะหงายหมอบตั้งแต่โดนหมัดของความอ่อนเพลียด้วยซ้ำ แต่น่าเศร้าที่ผมยกธงขาวขอให้พวกมันหยุดไม่ได้เพราะนี่คือชีวิตจริง ความผิดหวัง ความเสียใจ ความสูญเสียไม่ได้หายไปจากสมองของเราได้ง่ายๆ และผมจมอยู่กับมันมานานพอแล้ว หลังจากชิมสตาร์บัคส์ผมจะฆ่าตัวตาย วันนี้ผมต้องตายให้ได้ ไม่งั้นภาวะนอนไม่หลับจะหวนกลับมาชกผมอีก

เสียงพี่น้องไบรท์รายงานข่าวอย่างต่อเนื่องราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเงี่ยหูฟังว่าจะมีรายงานข่าวเด็กวัยรุ่นพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานหรือไม่แต่ยังไม่มีวี่แวว ผมได้ยินข่าวหมากัดเด็ก วัยรุ่นยิงปืนขึ้นฟ้า หวยถูกขโมย แชร์ลูกโซ่ โดนัล ทรัมป์ บลา บลา คิมจองอึน บลา บลา ไม่มีข่าวจรรโลงใจซักข่าว และโชคดี -- ไม่มีข่าวของผมด้วย รอดไป ขอเป็นข่าวทีเดียวพรุ่งนี้ก็แล้วกัน

ระหว่างนอนหมดอาลัยตายอยาก จู่ๆพัดลมเพดานส่งเสียงกึกกักดังขึ้นราวกับประท้วงขอเวลาพัก ผมยอมกัดฟันลุกขึ้นยืน พาร่างหนักอึ้งไปปิดพัดลมก่อนจะกลับมานอนแผ่ที่เดิม

 
ไม่เหลืออะไรเลย
แค่คิดว่าเย็นนี้จะอยู่ยังไง -- ผมยังนึกไม่ออกเลย

 การมองไม่เห็นอนาคตน่ากลัวกว่าความตายหลายเท่า คนอื่นตื่นมาเพื่อทำงาน แต่ผมตื่นขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตให้หมดวันอย่างไร้ความหมายเพราะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน ผมสอบเข้ามหาลัยไม่ได้และไม่มีเงินจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟสำหรับเดือนนี้แล้วด้วย ไอ้โง่เอ๊ย ผมด่าตัวเอง เมื่อวานไม่น่ากินเยอะเลย อย่างนี้ก็หมายความว่าผมต้องรีบตายก่อนการไฟฟ้าจะตัดไฟ หรือไม่ก็ทนอยู่ในบ้านร้อนๆแบบนี้จนกว่าจะแห้งตายเอง

แล้วเมื่อไหร่จะตาย?
ก็ไม่รู้เหมือนกัน

เสียงกุกกักข้างล่างบอกผมว่าลุงชื่นกำลังแขวนข้าวเช้าไว้ที่ประตูบ้าน ผมรอจนลุงปิดประตูรั้วเหล็กแล้วจึงเดินลงบันไดไป

ข้าวเหนียวห่อใหญ่กับน่องไก่สามชิ้น
ขอบคุณครับลุงชื่น
แต่ผมไม่อยากกิน

ผมเดินเลยเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาซดอึกๆ ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหาร แต่การปล่อยให้ท้องว่างนี่ทรมานเป็นบ้า ผมจำเป็นต้องกินเพื่อให้กระเพาะหยุดร้องและเลิกบีบตัวประท้วงขออาหาร ไม่งั้นผมต้องลำบากเจียดเงินซื้อยาธาตุน้ำขาวอีกขวดแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงสี่สิบสองนาที

สองชั่วโมงผ่านไปอย่างไร้คุณค่าเพราะผมยังนอนบนพื้นไม้กระดาษแข็งๆที่เดิม มองฝ้าเพดานบวมน้ำที่ไม่รู้จะทรุดลงมาเมื่อไหร่อย่างเลื่อนลอย ตัวผมอยู่ในบ้าน แต่ความคิดล่องลอยเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมต้องบังคับตัวเองให้อดทนจนถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นพี่อู๋จะมา เขาจะพาผมไปกินสตาร์บัคส์และไปส่งที่สะพาน เอาล่ะ -- เลิกท้อแท้ได้แล้ว คิดถึงแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไว้ เพราะวันนี้ผมต้องกระโดดลงไป ฝังร่างตัวเองอยู่ใต้น้ำและหลับไปตลอดกาล

 


 

ผมอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่บ่ายโมง เลือกสวมเสื้อที่คิดว่าดีที่สุดกับกางเกงยีนตัวเดิมเพื่อรอให้พี่อู๋มารับ ผมนั่งบนเก้าอี้ในบ้าน นั่งเฉยๆโดยไม่มีกิจกรรมทำอย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ เชื่อไหมว่าผมสามารถอยู่แบบนี้ได้ทั้งวัน นั่งหายใจเข้าออกเหมือนเป็นต้นไม้โดยไม่ต้องลุกไปไหน พี่ลีเรียกว่าอาการนี้ว่าการตายทั้งเป็น และวิธีรักษาก็คือตายไปให้จบๆจะได้ไม่ทรมานอีก

 
พี่อู๋มารับผมตอนบ่ายสาม เขายังคงขับสกู๊ปปี้ไอคันเดิม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนเดิมแต่ไม่มีเนกไท ผมยกมือไหว้พี่อู๋ เขารับไหว้ก่อนจะบอกให้ผมล็อกประตูบ้าน

“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะวันนี้ผมจะไม่กลับบ้านแล้ว”

ผมบอก พี่อู๋ไม่พูดอะไรเมื่อผมบอกแบบนั้น เขาส่งหมวกกันน็อคให้แล้วขับไปจนเกือบถึงปากซอย พอเห็นสายตาเขียวปั๊ดของลุงชัย ผมก็รีบเขย่าไหล่ให้เขาจอด


“มีอะไรเหรอก้อง?”

“เดี๋ยวมาครับ”

ผมถอดหมวก เดินไปหาลุงชัยที่แกล้งทำเป็นหันหน้าไปอีกทางเพราะงอน ผมยกมือไหว้แกอีกรอบก่อนจะบอกว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่อาสามาส่งบ้านเฉยๆ

“แล้วเขาเป็นใคร ทำไมต้องมาส่ง?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ผมตอบหลังจากยืนนึกอยู่นานเกือบนาทีว่าจะอธิบายยังไงดี “แต่วันนี้ผมจะออกไปเที่ยวกับเขาครับ”

“เฮ้ย ไอ้ก้อง ไม่กลัวคนแปลกหน้าบ้างเหรอ? ถ้ามันหลอกเอ็งไปฆ่าล่ะ?”


ก็ดีสิครับ ผมจะยกมือไหว้ขอบคุณเขาเลย

 
“ไปแล้วนะครับ”

“มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบโทรมานะก้อง”

“ครับ”


ผมยกมือไหว้อีกครั้ง เดินกลับไปที่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าแล้วขึ้นซ้อนท้าย พี่อู๋ถามว่าผมคุยอะไรกับวินมอเตอร์ไซค์ พอบอกว่าลุงชัยโกรธเพราะคิดว่าผมนั่งแกร๊บไบค์ เขาก็หัวเราะ

“ก้องเคยไปเซนปิ่นไหม?!”

“เคยครับ!” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลม

“วันนี้พี่จะพาไปกินสตาร์บัคส์ที่เซนปิ่น! เสร็จแล้วก้องเดินสำรวจห้างกับพี่นะ!”

“ครับ!”

สำรวจห้าง?

นี่พี่อู๋หรือผมกันแน่ที่เป็นเด็ก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

 

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงยี่สิบเจ็ดนาที

พี่อู๋พาผมไปสตาร์บัคส์ตามสัญญา ร้านใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนที่เคยมองผ่านกระจก ผมไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้ที่แบบนี้เลย การตกแต่ง กลิ่นเมล็ดกาแฟ และผู้คนสวยหล่อที่ยืนต่อแถวทำให้ผมกังวลเพราะกลัวโดนมองด้วยสายตาไม่ดี

“ก้องกินอะไร?”

“อะไรก็ได้ครับ”

“สตาร์บัคส์ไม่มีเมนูอะไรก็ได้”

พี่อู๋ตอบกวนๆ เขาถามไล่ไปเรื่อย กาแฟ ช็อกโกแลต ชาเขียว อะไรเป้ๆอีกสองสามชื่อ เขาอยากได้คำตอบว่าผมชอบอะไร ในที่สุดผมก็เลือกส่งๆให้มันจบๆ

“ช็อกโกแลตครับ”

“ได้ แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

“ผมมาเพื่อกินแค่นี้ครับ”

“ได้ไง มาทั้งทีต้องกินให้คุ้มสิ”

พี่อู๋ว่า เขาชี้ให้ผมดูตู้เค้กที่วางติดเคาน์เตอร์แล้วก็เริ่มเซ้าซี้ถามอีกว่าอยากกินอะไร อันนี้ดีไหม อันนั้นดีหรือเปล่า เคยกินหรือยัง อยากลองไหม จนผมรำคาญ พี่จะสั่งอะไรก็สั่งเถอะ เงินของพี่ ผมเลือกตามอำเภอใจได้ที่ไหน

สุดท้ายเราได้เค้กอะไรไม่รู้มาสองชิ้น ช็อกโกแลตปั่นหนึ่งแก้ว ชาเขียวปั่นหนึ่งแก้วและวิปครีมราดช็อกโกแลตแบบเปล่าๆอีกแก้ว พี่อู๋ไม่บอกว่าราคามื้อนี้เท่าไหร่ เขาแค่บอกให้ผมลองเปรียบเทียบระหว่างสตาร์บัคส์กับสตาร์บัง และบอกเขาด้วยว่าอร่อยหรือเปล่า

“อร่อยครับ”

“ชอบไหม?”

“ครับ”

ผมตอบ มันก็อร่อยในฐานะเครื่องดื่ม แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องลงไปคุกเข่าบนพื้นแล้วตะโกนว่า “กูจะไม่ฆ่าตัวตาย! กูรักสตาร์บัคส์!” แนวๆนั้น ผมดูดช็อกโกแลตเย็นเพลินๆ ของหวานทำให้อารมณ์หน่วงๆเมื่อเช้าหายไปหมด ตอนนี้ผมไม่คิดมากแล้ว ผมแค่ผ่อนคลายกับของกินตรงหน้าและบทสนทนาเรียบง่ายของพี่อู๋เท่านั้น

“เมื่อไหร่จะอายุสิบแปดล่ะ?”

“เดือนธันวานี้ครับ” ผมตอบก่อนจะนึกเอะใจว่านี่ใช่การหลอกถามวันเกิดหรือเปล่า

“วันที่เท่าไหร่?”

“ยี่สิบห้าครับ”

“วันคริสมาสต์นี่?” พี่อู๋ยิ้ม ดูตื่นเต้นกับวันเกิดของคนที่กำลังจะตาย “แล้วปีนี้วางแผนว่ายังไง? จะทำอะไรพิเศษหรือเปล่า?”

“วางแผนว่าจะกระโดดสะพานวันนี้ครับ”

“วันนี้ไม่ได้ ไว้วันหลังนะ”

ผมเลิกคิ้วงุนงง คนอยากตายวันนี้ พี่ยุ่งอะไรด้วย

“ก้องนี่คือชื่อเล่นเหรอ?” พี่อู๋เปลี่ยนเรื่อง ผมขานตอบว่าครับ เขาจึงถามต่อ “ก้องมาจากคำว่าอะไร? ก้องกึก? ก้องนักกระโดด? ก้องกังวาน?”

“ก้องเกียรติครับ”

“ก้องเกียรติ? ชื่อเท่ว่ะ”

“แล้วพี่อู๋ชื่ออะไรครับ?”

“อุรัสยา” เขายิ้ม “ชื่อเพราะไหม?”

“ครับ”


ผมมันโง่เองแหละที่ไม่รู้ตัวว่าเขาหลอก อุรัสยามันชื่อดาราผู้หญิง ไม่ใช่ชื่อมนุษย์เงินเดือนเพศชายช่างถามคนนี้เสียหน่อย ผมกินเค้กพลางมองพี่อู๋ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่แน่ใจว่าสามารถเชื่อใจผู้ชายที่เพิ่งรู้จักเมื่อวานได้หรือไม่ แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมก็รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันที

“ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า?”

“ไม่ได้เรียนครับ” ผมตอบ

“ทำไมไม่เรียนต่อ ไม่มีเงินเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมขาดสอบโอเน็ตก็เลยยื่นคะแนนไม่ได้”

“อ้าว” เขาเลิกคิ้ว “ทำไมถึงขาดสอบล่ะ?”

ผมกัดกระพุ้งแก้ม คิดหนักเพราะไม่อยากพูดให้คนแปลกหน้าฟัง ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร” ก่อนจะชวนผมไปเดินเล่นเมื่อเราทานทุกอย่างหมดเกลี้ยง

“อยากเล่าเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ”

พี่อู๋พูด แต่ผมไม่อยากบอกเขา ไม่อยากเลย ชีวิตขี้แพ้ของผมควรถูกถ่วงทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา มันควรสลายหายไปตามธรรมชาติ ไม่ควรถูกพูดถึงอีก

 




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่สิบเอ็ดนาที


ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ส่วนผมยังเดินวนในห้างกับพี่อู๋แทบจะทุกตารางนิ้ว เขาพาผมเดินวนในซูเปอร์มาเก็ตโดยไม่ซื้ออะไร พาไปร้านหนังสือ ร้านเครื่องเขียน ร้านขายเสื้อผ้า เขาพาผมเดินเข้าออกเกือบทุกร้านในห้างแต่ไม่เสนอตัวว่าจะซื้อให้ซักอย่าง นั่นถือเป็นเรื่องดีแล้วเพราะผมกำลังจะตาย ขอเป็นหนี้แค่การไฟฟ้าคนเดียวพอ ไม่อยากเป็นหนี้ใครเพิ่ม

พี่อู๋ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย ชอบอ่านอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน มีหนังที่อยากดูหรือเปล่า แน่นอนว่าคำตอบของผมคือ ไม่มี ผมไม่มีความรู้สึกอยากอะไรนอกจากกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยา พี่อู๋ที่พยายามเลี่ยงมาตลอดเริ่มสงสัย เขาถามผมตรงๆว่าทำไม

“ทำไมต้องรีบตายด้วย?”

ผมไม่ตอบในทันที ไม่ร้องไห้ ไม่พร่ำเพ้อฟูมฟายต่อหน้าเขา มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมเคยร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายจนด้านชาไปแล้ว หลังจากยืนรอคำตอบหลายนาที พี่อู๋ก็จับไหล่ผม เขามองราวกับกำลังขอร้องให้ผมพูดอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เงียบแบบนี้

“อีกสองเดือนข้างหน้า พี่คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่ครับ?”

พี่อู๋งุนงง เขานวดคางด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบคำถาม

“พี่คงเป็นฟรีแลนซ์อยู่บ้าน เพราะสิ้นเดือนนี้พี่ลาออกแล้ว”

“ฟรีแลนซ์อะไรครับ?”

“ล่าม” เขาบอก “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“พี่โชคดีที่ยังมองเห็น แต่สำหรับผม หลังจากพี่ไปส่งที่บ้านวันนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ผมไม่เหลืออะไรให้ทำบนโลกใบนี้แล้ว”

“ก้องหางานทำสิ หางานแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ปีหน้าค่อยสอบใหม่”

“แล้วทำไมผมต้องสอบใหม่?”

“ก็จะได้มีงานดีๆไง”

“เราจะมีงานดีๆทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ?”

“เพื่อตัวเองไงก้อง” พี่อู๋ตอบจริงจัง เขามองผมด้วยแววตาดุๆเหมือนผู้ใหญ่ต้องการสั่งสอนเด็ก “เราทำงานหาเงินเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเอง”

“ผมยังไม่รู้เลยว่าความสุขของผมคืออะไร ถ้าต้องมีชีวิตเพื่อดิ้นรนต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายขนาดนั้น ตายตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

พี่อู๋ไม่พูดต่อ เขาโกรธ ผมรู้ สีหน้าของเขาฟ้องว่าถ้าขืนยังต่อปากต่อคำอีกคงมีคนได้เดินกลับบ้าน

“ชีวิตผมไม่เคยสมหวังอะไรเลย” ผมบอกเขา พยายามอธิบาย “พี่ปล่อยให้ผมไปตามทางของตัวเองเถอะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่ไม่ต้องสนใจผมหรอก”

ผมปากเสีย ผมรู้ ผมเป็นคนพูดไม่คิด ผมรู้ ผมไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนฟัง ผมรู้ แต่พอเห็นพี่อู๋ดูหมดหวังไม่อยากพูดอะไร ผมกลับรู้สึกแย่

“งั้นก่อนกลับบ้าน พี่จะซื้อของให้ก้องหนึ่งชิ้น” พี่อู๋ที่เริ่มกลับมาเป็นปกติพูดขึ้น “พี่จะเลือกให้ ก้องต้องรับไว้นะ”

เขาเดินนำไปโดยไม่รอ ปล่อยให้ผมตามหลังเหมือนลูกหมาแสนเชื่องตลอดทาง
 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที

 
ผมกลับถึงบ้านโดยมีพี่อู๋มาส่งเหมือนเมื่อคืน ลุงชัยมองตาเขียวอีกแล้วเมื่อเห็นสกู๊ปปี้ไอสีฟ้าขับเข้ามาในย่านของเรา ผมยกมือไหว้ลุงแต่ไม่ลงไปอธิบาย เหนื่อยแล้ว พอก่อน ไว้ค่อยคุยวันหลัง ผมจะเขียนจดหมายลาตายบอกลุงว่าพี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ซักหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่

รถจอดสนิทตรงริมรั้ว ผมลงจากรถ ยกมือไหว้พี่อู๋ตามมารยาท บอกขอบคุณที่เลี้ยงสตาร์บัคส์ เขายิ้มอย่างพอใจแล้วถามว่าอร่อยไหม

“อร่อยครับ”

“รู้ไหมว่าสตาร์บัคส์ออกเมนูใหม่ทุกปี?”

“ไม่รู้ครับ”

“ไว้มีเครื่องดื่มใหม่เข้าเมื่อไหร่ พี่จะมารับเราไปกินอีกนะ”

“ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นไหม” ผมตอบตามตรง “แต่ยังไงก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ”


พี่อู๋ยิ้ม เขานั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ขณะช่วยถอดหมวกกันน็อคให้ ผมบอกขอบคุณเขาอีกครั้งแต่พี่อู๋ก็เรียกไว้เหมือนเมื่อคืน ไม่ได้เข้าบ้านเสียที

“ก้องจะไม่ชวนพี่เข้าไปกินน้ำหน่อยเหรอ?”

“อ๋อ ครับ”

ผมเปิดประตูรั้วให้พี่อู๋แบบงงๆ ไอ้แดงที่เพิ่งกลับจากไปหาเมียที่วัดส่งเสียงเห่าน่าหนวกหูทันทีเมื่อเห็นคนแปลกหน้า ผมถามมันว่าหายหัวไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ มันก็เห่าโฮ่งตอบหนึ่งทีแล้วสะบัดตูดไปบ้านลุงชื่น

“ไอ้หมาเวร” ผมสบถ พี่อู๋หัวเราะ “บ้านผมไม่มีอะไรนะครับ มีแค่น้ำเปล่า”

พื้นไม้ส่งเสียงออดแอดทันทีที่เราสองคนเดินเข้าไป ผมเปิดไฟตรงผนัง เปิดเปลือยบ้านรกๆที่ขาดการทำความสะอาดมาเดือนกว่าให้พี่อู๋เห็น จานชามกองสูงเต็มอ่าง เสื้อผ้าใส่แล้วก็อัดแน่นเต็มตะกร้าจนล้น ผมใช้เท้าเตะถุงใส่กระดูกไก่ทอดไปซ่อนใต้เก้าอี้ ส่วนพี่อู๋นั้นเงียบกริบ สงสัยช็อกอยู่

“น้ำครับ”

ผมเสิร์ฟน้ำเย็นใส่แก้ว เขารับมันไปดื่มจนหมดก่อนจะกวาดสายตามองรอบบ้านอย่างไม่เกรงใจ

“ก้องอยู่คนเดียวเหรอ?”

“ครับ”

“แล้วเวลาหิวทำยังไง? ซื้อกับข้าวมากินเหรอ?”

“เปล่าครับ ลุงชื่นบ้านข้างๆแกขายไก่ทอด แกจะมาแขวนให้ผมกินฟรีทุกวัน ตอนเย็นก็มีกับข้าวพี่ลีบ้าง ลุงชัยบ้าง แม่ของข้าวฟ่างบ้าง สลับกันไปครับ”

พี่อู๋พยักหน้ารับ สายตายังคงกวาดมองไปทั่ว ส่วนผมก็ยืนจ้องเขาอีกที เป็นบรรยากาศอึดอัดแปลกๆเมื่อเรายืนจ้องกันกลางบ้านอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่รู้จะชวนเขาเข้ามาทำไม เข้ามาก็อับอายที่ปล่อยให้คนอื่นเห็นสภาพเละๆแบบนี้

“ปกติก้องนอนตรงไหน”

“ข้างบนครับ”

พี่อู๋ร้องอ๋อแล้วพูดต่อ “เอ้อ พี่ว่าจะถาม บ้านก้องมีเครื่องเล่นดีวีดีหรือเปล่า?”

“มีครับ”

“พาไปดูหน่อยสิ”

ผมงงแต่ก็เดินนำพี่อู๋ขึ้นไปชั้นสอง ถึงบ้านจะเก่าแต่ยังพอมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยอยู่เหมือนกัน แม่เป็นพวกติดละคร พวกทีวีกับเครื่องเล่นซีดีนี่อย่าให้พูด แกยอมควักเนื้อจ่ายหมดขอแค่มีสิ่งบันเทิงใจช่วยเยียวยาชีวิตเฮงซวยของเราบ้าง

พี่อู๋เดินไปที่ทีวี เขาก้มๆเงยๆดูเครื่องเล่นดีวีดียี่ห้อเอเจอยู่พักใหญ่ก่อนจะล้วงหยิบของที่เพิ่งซื้อจากบีทูเอส

 
Harry Potter Complete 8 - Film Collection DVD

 
นี่พี่เขาคิดอะไรอยู่นะ?


“ก้องบอกว่าไม่มีอะไรทำ งั้นวันนี้อาบน้ำเสร็จก็ดูแฮร์รี่นะ เคยดูไหม?”

“ไม่เคยครับ”

“ไปอยู่จักรวาลไหนมา คนเขาดูกันทั้งโลก”

 
อ้าว ไอ้นี่ --


“พี่จะให้ก้องดูแค่ภาคแรก ถ้าอยากดูต่อต้องโทรมา แล้วพี่จะเอาภาคสองมาให้”

“ครับ” ผมขานตอบแบบส่งๆแล้วถอนหายใจ

“งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องไปสะพานนะเพราะมีหนังให้ดูแล้ว เข้าใจ๋?”

“ครับ”

“ดีมาก หิวหรือยัง?”

“ไม่หิวครับ”

พี่อู๋บรรจงวางแผ่นดีวีดีสีน้ำเงินที่มีรูปนกฮูกบนชั้นวางทีวี เขาหันมาหาผมก่อนจะมองเลยไปข้างหลังที่มีฟูกเน่าปูอยู่บนพื้น ผมไม่รู้จะขอบคุณเขาดีไหมที่ไม่แสดงท่าทีสมเพชเวทนาออกมาให้รู้สึกแย่ แต่สุดท้ายผมก็บอกเขาว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ” เขาพยักหน้ารับ 

“พรุ่งนี้ซักผ้าด้วยนะ หาอะไรทำจะได้ไม่ว่างเกินไป”

“ครับ” ผมตอบ “นี่คือครั้งสุดท้ายที่พี่จะมาหาผมหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ใช่”

คำตอบของเขาทำให้ผมดีใจแปลกๆ

“พี่จะมาเรื่อยๆจนกว่าก้องจะหายดี”

พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงบันได ปล่อยให้ผมยืนงงกับคำว่า “หายดี” อยู่หลายวินาที เสียงบันไดไม้ร้องเอี๊ยดอ๊าดบอกว่าเขาใกล้ถึงชั้นล่างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพี่อู๋จะหยุดกลางทาง ผมเห็นเขาใช้มือจับราวก่อนจะตะโกนถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ก้อง นี่เชือกอะไรเหรอ? ทำไมแขวนไว้ที่ราวบันได?”


ชิบหายละ


พี่อู๋หยิบเชือกมาดูใกล้ๆ เขากำมันเพื่อวัดขนาดแล้วหันมาขอคำอธิบายจากผมว่าทำไมถึงมีเชือกเส้นใหญ่ขนาดนี้ไว้ในบ้าน พี่อู๋คงคิดว่าผมจะฆ่าตัวตาย แต่เปล่าหรอก ผมไม่ได้ซื้อเชือกเส้นนั้นมา แม่ต่างหาก

เป็นแม่ที่ซื้อมันมา แล้วก็ใช้มันไปแล้วด้วย

“อ๋อ -- ของแม่ผมครับ”

“เอาไว้ทำอะไร?”

ผมเงียบ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะไม่อยากให้พี่อู๋กลัว


“ก้อง งั้นพี่ขอเชือกเส้นนี้ได้ไหม?”

“พี่อย่าเอาไปเลย มันคืออนุสรณ์ของแม่”

“พี่ไม่ปล่อยให้ก้องอยู่ในบ้านคนเดียวกับเชือกแบบนี้หรอก”

พี่อู๋พูดแล้วเก็บเชือกไปหน้าตาเฉย ผมรีบวิ่งลงบันไดด้วยความลนลาน เขาจะเอาเชือกเส้นนี้ไปไม่ได้ เขาจะเอาสิ่งที่ปลดปล่อยแม่ให้เป็นอิสระไปจากผมไม่ได้

“พี่อู๋ครับ อย่าทำแบบนี้เลย ผมขอ”

“พี่รู้ว่าก้องคิดอะไร? ก้องจะใช้เชือกใช่ไหม?”

“ไม่ครับ ผมไม่ใช้หรอก” ยิ่งแก้ตัวยิ่งดูมีพิรุธ ผมพยายามดึงเชือกกลับมา ความหยาบของมันบาดฝ่ามือจนแสบ “พี่อย่าเอาไปเลย! มันเป็นของไม่ดี!”

“ของไม่ดีก็ไม่ควรอยู่ในบ้านสิ!”

“แต่มันเป็นเชือกที่แม่ใช้ผูกคอตาย!”


ผมตะโกนบอก พี่อู๋หยุดนิ่ง เขาไม่ยุ่งวุ่นวายกับข้าวของของผมเหมือนก่อนหน้า

 

“แม่ผมผูกคอตายตรงนี้” ผมชี้ไปที่ราวบันได “พี่อย่าเอาอนุสรณ์ของแม่ไปเลยนะ”

 

แล้วผมก็ร้องไห้โฮออกมา









TBC




----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


ตอนแรกมาแล้วค่า ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆจากทุกคนเลยนะคะ ฮือ
มีความสุขมากค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนเม้นด้วย ;-; สัญญาว่าจะตั้งใจเขียนเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ ♥


:mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 1!] ก้องเกียรติครับ
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 29-09-2018 04:39:49
สงสาร ก้องกำลังป่วย พี่อ๋ต้องช่วยน้องละ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 2!] ก้อย
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 29-09-2018 12:29:23
02

 

นาฬิกาบอกเวลาว่า ตีสี่สามสิบสองนาที

ผมนอนอยู่บนชั้นสองของบ้าน พัดลมเพดานยังคงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่หมุนครบรอบวง ความร้อนของเดือนสิงหาคมทำให้ตัวผมชุ่มเหงื่อ ทั้งร้อน ทั้งอึดอัดเหมือนจะระเบิด เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างเช่นทุกที ผมนอนบนฟูกเปียกๆอย่างทรมาน มีอนุสรณ์ของแม่วางอยู่บนพื้นข้างๆ และอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว

พี่อู๋กลับไปแล้ว เขาบอกว่าจะโทรมาใหม่ซึ่งผมคิดว่าคงไม่หรอก ไม่มีใครอยากคบหากับคนจิตป่วยแบบผม การร้องไห้เมื่อตอนสองทุ่มเป็นยิ่งกว่าการระเบิดครั้งใหญ่ของทฤษฎีบิ๊กแบง แต่ต่างกันตรงที่ผมปลดปล่อยเอาความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งออกมาโดยไม่สนว่าใครจะมองยังไง จิตวิญญาณของผมกลวงโบ๋ เหมือนหลุมดำเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด ผมร้องไห้อย่างหนักจนพี่อู๋ยอมแพ้ เขาส่งเชือกคืนให้แล้วจับมือผม

ลุงชื่นเป็นคนแรกที่วิ่งมาดูถึงบ้านเพราะตกใจ ส่วนพี่ลีตามมาเป็นคนที่สอง พวกเขาคิดว่าผมโดนพี่อู๋ปล้นบ้านก็เลยมากันทั้งมีดพร้าทั้งไม้หน้าสามจนต้องรีบบอกพวกเขาว่าอย่าเข้าใจผิด พี่อู๋ไม่ใช่คนร้าย ไม่ใช่แกร๊บไบค์ เขาแค่มายืดเวลาให้ผมอยู่ต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น

ผมเริ่มเกลียดพี่อู๋แล้ว

เริ่มนิดๆ

นิสัยจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องของเขาทำให้ผมล้มอีกครั้ง ทุกวันนี้ผมก็เหมือนแก้วที่ถูกขว้างปาจนแตกซ้ำๆ แต่สุดท้ายเศษแก้วเล็กๆก็ถูกโกยมาประกอบอีกครั้งด้วยกาวราคาถูกเพื่อรอเวลาแตกใหม่ นอกจากแม่ที่ทำให้ผมแหลกสลายแล้วก็มีพี่อู๋ การมาถึงของเขายิ่งทำให้ผมแหลกมากกว่าเดิม ผมเริ่มไม่ชอบบ้านหลังนี้ ไม่ชอบทุกอย่างที่หล่อหลอมผมให้กลายเป็นก้องเกียรติ ไม่ชอบอนุสรณ์ของแม่ที่วางอยู่ข้างๆ ผมเกลียดทุกอย่างจนอยากไปสะพาน

พอกันที -- วันนี้ผมจะตาย

ผมจะฆ่าตัวตาย

แฮร์รี่ พอตเตอร์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้รับความสนใจ ผมปล่อยให้มันพล่ามเรื่องของตนเองไปเรื่อยๆระหว่างนอนฆ่าเวลา แฮร์รี่ พอตเตอร์! แฮร์รี่ พอตเตอร์! เพราะไม่มีเสียงภาษาไทยก็เลยฟังออกแค่ แฮร์รี่ พอตเตอร์!

ผมไม่รู้ว่าแม่เอารีโมตเครื่องเล่นดีวีดีไปไว้ที่ไหน ดังนั้นพ่อมดน้อยจอมซน(จนได้เรื่อง)จึงพ่นภาษาอังกฤษออกมาตลอดสามชั่วโมงโดยไม่แคร์เลยว่าคนที่ฟังอยู่มีสัญชาติอะไร แต่ช่างเถอะ ผมปิดแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้วเปิดช่องข่าว รอเสียงพี่น้องไบรท์รายงานความเฮงซวยที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ราคายางตก รัฐบาลลิดรอนสิทธิ์ประชาชน วินมอเตอร์ไซค์มีเรื่องกับแกร๊บไบค์ -- ใช่ ลุงชัยหรือเปล่านะ คลิปครูตีนักเรียน คลิปแม่หมาเลี้ยงลูกแมว บลา บลา บลา

นาฬิกาบอกเวลาว่า แปดโมงสามสิบห้านาที

ผมปิดทีวี แล้วเดินออกจากห้อง

 

 


 

ผมจับราวบันได ทักทายจุดที่แม่เป็นอิสระด้วยการสัมผัสอย่างแผ่วเบาแล้วลงไปข้างล่าง ลุงชื่นเอาไก่ทอดมาแขวนให้เหมือนเช่นทุกที ผมกินแค่สองสามคำแล้วผูกถุงไว้ตามเดิม สภาพบ้านตอนนี้ดูไม่จืดอย่างที่พี่อู๋ว่า มันเริ่มสกปรกและมีกลิ่น แต่ผมไม่มีอารมณ์สนใจหรืออยากทำอะไรนอกจากนอนเฉยๆเท่านั้น

ผมทิ้งตัวบนโซฟา มองฝ้าเพดานขึ้นราด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้ทำเลย ไม่เหลืออะไรให้ต้องรับผิดชอบเลย พอคิดแบบนี้ความวูบโหวงก็ยิ่งเข้ามาเรื่อยๆจนอยากหยุดหายใจไปดื้อๆ

เมื่อไหร่ผมจะตาย
เมื่อไหร่ผมจะกล้าเหมือนแม่แล้วสร้างอนุสรณ์ของตัวเองบ้าง

ผมเหนื่อย ผมเบื่อที่จะอยู่โดยไม่เห็นปลายทาง แค่ใช้ชีวิตให้หมดวันก็เหนื่อยแล้ว ทำไมผมถึงยังลืมตา ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องต่อสู้กับความรู้สึกแย่ๆแบบนี้ด้วย

ผมเลียริมฝีปากแห้งแตก กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ระหว่างที่กำลังนอนหมดอาลัยตายอยาก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

พี่อู๋

ผมกดรับสาย ไม่ทักทายเขาด้วยคำว่า ฮัลโหล นอกจากหายใจทิ้งไปเรื่อยๆ ดูเหมือนพี่อู๋จะกำลังยุ่ง ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์สำนักงาน ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษ พี่อู๋วุ่นวายกับอะไรบางอย่างผมจึงกดตัดสาย

โทรมาแล้วไม่คุย โทรมาทำห่าอะไร

ผมคิด แต่ซักพักเขาก็โทรมาอีก

“ครับ”

[ก้องซักผ้าหรือยัง?] พี่อู๋ถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเหลือบตามองกองผ้าในตะกร้าแล้วถอนหายใจ

“ยังครับ”

[ซักผ้าสิ จะได้มีเสื้อหล่อๆใส่ไปเที่ยวกับพี่อีก]

“พี่ไม่ต้องมาก็ได้ เราเพิ่งรู้จักกันแค่สามวัน พี่อย่าใส่ใจผมเลย”

พี่อู๋เงียบ ทำหูทวนลมราวกับถ้อยคำของผมเป็นเพียงอากาศ ผมกลอกตาเซ็งๆเมื่อตาลุงปลายสายเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย คราวนี้เขาพูดถึงชานมไข่มุก

[เคยไปเที่ยวสยามไหม?]

“เคยครับ”

[เคยกินก้อยไหม?]

ก้อยไหนอีก?

ผมสงสัยก็เลยถาม พี่อู๋บอกว่ามันคือชานมไข่มุกที่อร่อยที่สุดในเวลานี้ คิวยาวมาก ต้องต่อแถวโคตรนานแต่คุ้มค่า เขาบอกว่าไม่ได้มีแค่ชานม มีชาเขียว มีนมคาราเมล มีช็อกโกแลต โอ๊ย เยอะแยะไปหมด ก้องต้องลองนะ เดี๋ยวพี่ไปรับ

พูดเองเออเอง ไม่ถามกันซักคำ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะไปสะพานวันนี้”

[ไม่ใช่วันนี้ เพราะเดี๋ยวเราต้องไปกินก้อยกัน]

“พี่ดูว่างๆนะครับ”

[กำลังเก็บของออกจากออฟฟิศเนี่ย ไม่รอถึงสิ้นเดือนแล้ว ปวดกบาล] เขาตอบ แอบเบาเสียงคำว่าปวดกบาลตอนท้ายด้วย [ซักผ้าให้เสร็จแล้วมาเที่ยวสยามกัน]

“ผมไม่อยากไป”

[แต่พี่อยาก]

“พี่จะอะไรกับผมนักหนา ผมไม่ใช่ญาติพี่ ไม่ใช่ครอบครัวพี่ พี่จะสนใจทำไมครับ?”

ผมถาม แต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเงียบอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง เก่งนักล่ะกับการเบี่ยงประเด็น พวกผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทุกคน ขนาดนายกยังเป็นเลย

[แล้วนี่กินข้าวเช้าหรือยัง?]

“กินแล้วครับ”

[งั้นเดี๋ยวพี่ซื้อข้าวไปกินที่บ้านก้องตอนเที่ยง ล้างจานด้วยนะ]

“พี่อย่ามาเลย ผมเหนื่อย”

[โอเค เจอกัน]

สายตัด

ไอ้พี่อู๋ -- ไอ้ดื้อด้าน -- ไอ้หูทวนลม

ผมก่นด่าเขา แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นไปล้างจานและซักผ้าก่อนที่เขาจะมา

 


 



นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง

ผมล้างจานเสร็จ แต่ซักผ้าทั้งหมดไม่ไหว

มันมีเยอะเกินไป ผ้าที่หมักหมมมานานหลายสัปดาห์จนเริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ผมซักไปได้ครึ่งเดียวก็ถอดใจยอมแพ้ ทิ้งมันไว้ในกะละมังทั้งๆที่ยังซักไม่เสร็จ ผมตากบางส่วนไว้หลังบ้าน แล้วกลับไปนอนแผ่บนโซฟาจนกระทั่งพี่อู๋มา

วันนี้ไม่มีสกู๊ปปี้ไอ แต่มีวีออสรุ่นเก่าสีดำจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน พี่อู๋โทรเรียกให้ไปช่วยขนกับข้าว เขาซื้อข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง น้ำตก ลาบหมู คอหมูย่าง ต้มแซ่บ สั้นๆคือเกือบทุกเมนูในร้านขายส้มตำ ซื้อเหมือนวันพรุ่งนี้จะไม่มีกิน พี่อู๋ลงจากรถแล้วบ่นเรื่องอากาศร้อน เขาบอกว่าน่าจะมารับผมไปกินที่ร้าน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องนั่งจกกันเหงื่อท่วมใต้พัดลมแบบนี้

ผมกระดกโค้กที่พี่อู๋ซื้อให้อย่างกระหาย ผมหิวน้ำ การทำงานบ้านใช้พลังงานจนแทบจะลงไปสลบบนพื้น ผมกินข้าวเหนียว แต่ไม่กินไก่เพราะเบื่อ ผมกินลาบหมู แต่กินแค่ไม่กี่อย่าง เพราะเบื่อ

“กินเหมือนแมวดม”

พี่อู๋ว่า แต่ก็ไม่คะยั้นคะยอ ผมปล่อยให้เขากินทุกอย่างคนเดียวแล้วขอปลีกตัวไปนอนพักบนโซฟา

“เหนื่อยเหรอ?” เขาถาม เสียงฟังดูอู้อี้เพราะข้าวเหนียวเต็มปาก

“ครับ”

“นอนพักก่อนไหม? ค่อยไปสยามบ่ายๆก็ได้”

“ครับ”

ผมตอบ แล้วก็หลับอย่างหมดสภาพโดยปล่อยให้พี่อู๋จัดการงานบ้านไป

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองห้าสิบแปดนาที

ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวเหมือนแรงโน้มถ่วงกดทับเอาไว้ ผมลุกขึ้นนั่งโดยมีพี่อู๋นั่งดูทีวีบนพื้น เขาดูชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลังแล้วก็หัวเราะกับมุกแม่ไม่ให้พ่อเข้าบ้านของตุ๊กกี้อยู่คนเดียว

“ตื่นแล้วเหรอก้อง?” เขาหันมา ใบหน้ายังมีรอยยิ้มเพราะตุ๊กกี้ชิงร้อย “อาบน้ำสิ เดี๋ยวไปสยามกัน”

ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้า เหนื่อยเป็นบ้า โคตรเหนื่อย เหนื่อยจนเดินขึ้นบันไดยังหอบ ผมกลับขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำ พอไปหลังบ้านถึงได้รู้ว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสื้อผ้าที่เคยแช่ในกะละมังตากบนราว จานคว่ำอยู่ในตู้ และถุงขยะมัดปากไว้อย่างดี

“พี่อู๋ทำหมดนี่เลยเหรอครับ?”

“ใช่ พี่เห็นก้องเหนื่อย” เขาตอบทั้งๆที่ตายังมองทีวี “พร้อมยัง?”

“ครับ”

ผมมองพี่อู๋ที่ดูร่าเริงตรงข้ามกับตัวเองสุดขั้ว เขาช่วยผมปิดประตูหลังบ้านแล้วถือถุงขยะไปทิ้ง แถมยังล็อกกลอนให้เรียบร้อย ตกลงใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่

“คาดเข็มขัดด้วยก้อง”

พี่อู๋บอก ผมมองหาหัวเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่เจอ เขาก็เลยต้องเอี้ยวตัวคร่อมแล้วล้วงหยิบมาคาดให้

“ตัวล็อกมันเสีย หัวก็เลยร่วงไปอยู่ข้างๆน่ะ ก้องต้องล้วงลึกๆนะ”

“ครับ”

ผมตอบ พี่อู๋ยังไม่เคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้รอยยิ้มสดใสอยู่ห่างจากหน้าผมแค่ไม่กี่เซนก่อนจะยอมกลับไปนั่งที่ตัวเองเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของลุงชัยมาจอดข้างๆ

“จะไปไหนอีกไอ้ก้อง?”

“เดินห้างครับ”

“อีกแล้วเรอะ?”

“ครับ ไม่รู้ว่าลุงลืมหรือยัง นี่คือพี่อู๋ พี่อู๋ไม่ใช่แกร๊บไบค์ วันนี้เขาขับรถเก๋งมาครับ”

พี่อู๋ยกมือไหว้ลุง ลุงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะบอกผมด้วยประโยคเดิม

“มีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบโทรหาลุงนะ”

“ครับ”

ผมให้สัญญา ถึงจะไม่รู้ว่าความไม่ชอบมาพากลสำหรับลุงชัยคืออะไรก็ตาม พี่อู๋เปิดเพลงในรถ เขาคาดเข็มขัด ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สยามเพื่อไปกินก้อยตามความตั้งใจ

 


 

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงยี่สิบสองนาที

พี่อู๋จอดรถที่สยามแล้วพาผมไปต่อคิวซื้อก้อย ผมยืนหลังผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่แต่งตัวจี๊ดจ๊าดด้วยท่าทางซังกะตาย ท่ามกลางผู้คนสวยหล่อ ผมดูเหมือนศพที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุม ยืนหลังงอคดคู้ต่อคิวเพื่อชานมไข่มุกสองแก้วทั้งๆที่ไม่ได้อยากกินเลย

หลังจากยืนเกือบยี่สิบนาทีก็ถึงคิวสั่งของเรา แล้วก็ต้องรออีกห้านาทีเพื่อรอรับชานมไข่มุกที่ต่อแถวโคตรยาวยิ่งกว่าร้านน้ำปั่นในโรงเรียน เมื่อถึงคิว พี่อู๋ก็รับมาจากพนักงานแล้วส่งให้ผม

“เอ้า โกลเด้นบับเบิ้ลมิลค์ทีหวานน้อยไซส์เอ็ม”

“แพงจัง ตั้งเก้าสิบบาท”

“บ่นทำไม พี่จ่าย มีหน้าที่กินก็กินไป”

พี่อู๋สั่ง เขายืนรอรีวิวจากอย่างคาดหวัง ทันทีที่ไข่มุกสามเม็ดแรกเข้าปาก เขาก็คะยั้นคะยอถามว่าอร่อยไหม? ผมตอบ อร่อยครับ

“เห็นไหม? ถ้าตายเมื่อวาน วันนี้ก้องจะไม่ได้กินก้อยนะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ผมตอบอย่างขอไปที การได้กินชานมไข่มุกแค่แก้วเดียวแต่แลกกับความทรมานอีกยี่สิบสามชั่วโมงที่เหลือนี่คุ้มเหรอ? ผมอยากถามพี่อู๋ แต่เห็นเขากำลังมีความสุขกับชาเขียวเลยปล่อยผ่านไป

อื้ม อร่อย -- ก้อยอร่อย ผมชอบ
แต่คิดว่ามันไม่น่าจะชื่อก้อย ไอ้พี่อู๋มั่วอีกแน่ๆ

พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมยืนกินเฉยๆ เขาลากผมไปพารากอนเพื่อเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา เราเดินตั้งแต่ลานน้ำพุไปจนถึงคิโนะคูนิยะ เขาไม่ถามผมว่าอยากได้อะไร ก็แค่พาเดินเล่นไปทั่วจนถึงเซนทรัลเวิร์ล ใช่ เขาลากผมเดินบนสกายวอล์คโดยไม่ถามเลยว่าเต็มใจไปไหม

สรุปว่าเย็นนั้นผมกินชานมหมดไปหนึ่งแก้ว เดินไปกลับสยามเซนทรัลเวิล์ดหนึ่งรอบ แล้วก็มานอนตายบนรถอย่างหมดสภาพ พี่อู๋เหงื่อชุ่มจนเห็นเสื้อกล้ามด้านในแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยิ้มให้กับทริปเดินเฉยๆไม่ซื้ออะไรอยู่ดี

“ไปไหนต่อดีก้อง?”

“กลับบ้านครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว “กลับบ้าน -- เดี๋ยวนี้เลย”

พี่อู๋ยิ้มแก้มแทบแตก เขาตอบว่าเดี๋ยวแวะซื้อข้าวไปกินด้วยกันนะ แล้วขับรถออกจากสยามทันที





 

 
นาฬิกาบอกเวลาว่า สองทุ่มสามสิบห้านาที

เรากลับถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่ผมเหนื่อย -- เหนื่อยชิบหาย

มันเหนื่อยกายจนไม่มีอารมณ์คิดอย่างอื่นเลยนอกจากอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอน การเดินเกือบสิบกิโลในวันนี้ทำให้ปวดไปทั้งตัว ผมแทบจะคลานลงจากรถ ส่วนพี่อู๋ก็เดินถือถุงกับข้าวตามมาติดๆ เขาช่วยผมตั้งโต๊ะแล้วกินมื้อเย็นด้วยกัน ความเหนื่อยผสมความหิวทำให้ผมตะกละ ยัดเอาข้าวและผัดผักบุ้งเข้าไปหมดจานเหมือนคนอดอยาก

“กินเยอะๆนะก้อง” พี่อู๋ตักหมูสับในแกงจืดให้ “กินให้อิ่มเลย แล้วไปนอนตีพุงข้างบน”

ผมไม่พร่ำเพ้ออยากตายอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการยัดกับข้าวตรงหน้าให้เต็มท้องแล้วอาบน้ำให้หายเหนียวตัว เมื่อทุกอย่างถูกกวาดจนเรียบผมก็ไปล้างจาน ส่วนพี่อู๋นั่งดูทีวีข้างล่าง แอบมองผมเป็นระยะเหมือนคนสอดรู้

“เป็นไงบ้าง?”

“ก็ดีครับ” ผมตอบทั้งๆที่อยากล้มตัวนอนจะแย่ “พี่กลับเถอะครับ ดึกแล้ว”

“ก้องอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวพี่กลับ”

ผมมองเขา เบื่อจะเถียงด้วยก็เลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวอาบน้ำ ตอนออกจากห้องน้ำก็ยังเห็นพี่อู๋นั่งอยู่ พอผมบอกว่ากลับเถอะ ผมง่วง อยากนอนแล้ว เขาก็บอกว่าขอเดินไปส่งข้างบน

“ครับ”

ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินขึ้นบันไดนำหน้า พี่อู๋ตามไปถึงห้องนอน เขาเปิดพัดลมแล้วสะบัดผ้าห่มอับๆให้ ผมไม่สนว่าเขาจะทำอะไร ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะแอบขโมยของในบ้านหรือเปล่า ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคุยกับพี่อู๋แล้ว ผมล้มตัวลงนอน ถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก ส่วนพี่อู๋นั่งบนพื้นข้างๆไม่ยอมกลับเสียที

“ก้อง”

“ครับ”

“แฮร์รี่สนุกไหม?” พี่อู๋ถาม

“สนุกครับ”

สนุกผีอะไร ฟังไม่ออกซักคำ

“งั้นเดี๋ยวพี่เอาภาคสองมาให้นะ”

ครับ
ผมคิดในใจ ตอบไม่ไหวเพราะเหนื่อยเกินไป

“ก้อง”

“พี่กลับเถอะครับ ผมจะนอน ไม่ต้องปิดประตูนะครับ แถวนี้ไม่มีขโมย”

“พี่แค่จะถามว่าก้องไม่อยากไปสะพานแล้วเหรอ?”

“ไว้พรุ่งนี้เถอะครับ” ผมส่ายหน้าอย่างรำคาญ “ผมเหนื่อย ผมอยากนอน”

“ก้องเดินเยอะไงเลยหมดแรง การออกกำลังกายนี่ดีนะ เห็นไหม ก้องไม่คิดจะไปสะพานแล้ว”

จะอะไรก็ช่างเถอะ -- ไปๆซักที

ผมง่วง พร้อมจะหลับตลอดเวลาแต่พี่อู๋ก็พูดมากอยู่นั่นแหละ เขาชวนคุยทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าตาผมปิดแล้ว ไม่อยากรับฟังแล้ว อยากนอน แต่พี่อู๋นี่แปลกคน ผมจะตายก็ห้ามไม่ให้ตาย พอจะนอนก็ยังมาขัดขวางอีก เขาจะยุ่งอะไรนักหนา รำคาญ

“เมื่อวานพี่ขอโทษนะก้อง” พี่อู๋พูด ผมทำเป็นหูทวนลม “พี่ทำก้องร้องไห้”

“ช่างมันเถอะครับ”

“ก้อง -- ถ้าพี่พาไปหาหมอ ก้องจะไปไหม?”

“ผมไม่มีเงินครับ” ผมตอบปัดๆ “ค่าไฟยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าหมอ”

“พี่รู้จักโรงพยาบาลนึง ค่ารักษาไม่แพงเลย หลักร้อยเอง”

“จะสิบจะร้อยผมก็ไม่มีจ่าย”

“พี่จ่ายให้ก่อน”

“พี่เป็นอะไรเนี่ย ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวซักที!”

 ผมลุกขึ้นนั่ง โวยวายด้วยความหงุดหงิดเพราะเริ่มล้าจนทนไม่ไหว

“เราไม่ใช่ญาติกัน! เราเพิ่งรู้จักกัน! พี่จะมาช่วยผมทำไมครับ?!”

พี่อู๋มองด้วยแววตาผิดหวัง เขาเสียใจที่ผมพูดแบบนั้นแต่จะให้ทำไงได้ก็ผมง่วง ง่วงเหมือนจะตายแต่ยังไม่ได้นอนซักที

“ก้องอายุยังน้อย ก้องหายได้นะ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี”

“ก้อง ไปหาหมอเถอะ”

“ไม่ไป” ผมล้มตัวลงนอน หยิบผ้าห่มเน่ามาคลุมหัว “ผมจะนอนแล้ว พี่ก็ควรกลับบ้านตัวเองซักที แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีกนะเพราะพรุ่งนี้ผมจะฆ่าตัวตาย เจอกันที่วัดครับ”

“วัดไหน?” เขาถาม

“ไม่ทราบครับ ต้องถามลุงชัย แกน่าจะเป็นคนจัดการศพผม”

“คืนแรกให้พี่เป็นเจ้าภาพได้ไหม? พี่จะเลี้ยงกระเพาะปลา”

รำคาญชิบหาย -- ไอ้พี่อู๋ --

“ตามสบายครับ”

“งั้นพี่ขอเป็นเจ้าภาพคืนแรกกับคืนสุดท้ายนะ”

“ครับ”

“คืนแรกกระเพาะปลา คืนสุดท้ายอะไรดี? ข้าวต้มหมูดีไหม?”

“ครับ”

“โอเค อย่าลืมบอกลุงชัยให้โทรบอกพี่เรื่องวัดด้วย”

“ครับ” ผมกัดฟันตอบ

“แล้วอาทิตย์หน้าก็อาบน้ำแต่งตัวรอนะ พี่จะพาไปหาหมอ”

“ครับ”

 เฮ้ย --

“เย้! สัญญากันแล้วนะก้อง งั้นพี่กลับละ บาย”

พี่อู๋ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเดินลงบันไดไวยิ่งกว่าตอนที่ผมวิ่งไปแย่งอนุสรณ์ของแม่เสียอีก ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงงเมื่อรู้ตัวว่าเผลอรับปากคนเพี้ยนไปแล้ว ไอ้พี่อู๋ ไอ้เจ้าเล่ห์ ไอ้เอาแต่ใจ ไม่รู้จะด่าอะไรแล้วเพราะเหนื่อยมาก ไว้ด่าพรุ่งนี้ ตอนนี้ขอนอนก่อน

เสียงกุกกักล็อกประตูบ้านดังข้างล่างตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วเหล็ก พี่อู๋สตาร์ทรถแล้วขับออกไป ส่วนผมก็หลับเป็นตายข้างๆอนุสรณ์ของแม่ หลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลับด้วยความสบายครั้งแรกในรอบหลายเดือน

หลับ -- ด้วยความรู้สึกว่าการไปสะพานไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอีกแล้ว



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
[/size]
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ตอนต่อไปจะมาเร็วๆนี้ค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 2!] ก้อย
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 29-09-2018 12:54:45
ไปหาหมอเถอะก้อง อ่านละเหนื่อยตาม สงสารอะ  :katai1: :katai1: :mew6:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3!] up! (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-10-2018 20:15:22
03

นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้ายี่สิบเจ็ดนาที

ผมนอนแผ่บนพื้นโดยเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้อย่างเช่นทุกที พี่อู๋หายตัวไปเกือบสัปดาห์ เขาโทรมาทุกวันแต่ไม่ได้เข้ามาที่บ้านเลย

เรื่องหาหมอยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋จะพาไปหาหมอไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรในสายตาของลุงแก่ๆคนหนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองสบายดี อาจมีปวดหัวบ้างตามประสาคนเบื่ออาหารแต่โดยรวมไม่ถือว่าเจ็บป่วยร้ายแรง แล้วพี่อู๋จะพาผมไปหาหมออะไร หมอผิวหนังเพื่อรักษาหน้าโทรมๆของผมงั้นเหรอ

เสียงไอ้แดงเห่ากวนประสาทเรียกให้เงี่ยหูฟัง มีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับเข้ามาช้าๆหน้าบ้าน ใจผมเริงร่า เดาล่วงหน้าว่าเป็นพี่อู๋ พนันสิบบาทเลย ต้องเป็นรถของพี่อู๋แน่ๆ เสียงเครื่องยนต์ดังแถ่ดๆมาจากรถเก่าเท่านั้น ซักพักเจ้าของรถก็ดับเครื่อง ไอ้แดงเห่าซ้ำอยู่หลายครั้งแล้วเงียบไป เสียงเอี๊ยดอ๊าดของรั้วบ้านดังขึ้น เสียงฝีเท้าหนักๆเดินขึ้นบันได เสียงถุงพลาสติกเสียดสีกันดังอยู่หน้าประตู

แล้วเขาก็เปิดเข้ามา

“โห ก้อง” พี่อู๋ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นสภาพผมบนพื้น “ไม่อาบน้ำกี่วันแล้วเนี่ย?”

ผมยกมือไหว้สวัสดีพี่อู๋ ดีใจที่ได้เจอนะครับ ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาหาซากศพอย่างผมถึงที่ แถมยังซื้อกับข้าวมาให้อีก ใจดีที่หนึ่งแบบนี้ควรเป็นเจ้าภาพงานศพของนายก้องเกียรติซักคืน

“ไปอาบน้ำเร็ว พี่จะพาไปข้างนอก”
“ไปไหนครับ?”
“หาหมอ”
“ผมไม่ไป” ผมกลอกตา เบื่อเหลือเกินกับความจุ้นจ้านของตาลุงนี่ “ผมไม่มีเงิน”
“พี่จ่ายให้ ไปเร็วก้อง --”

พี่อู๋วางถุงโจ๊กแล้วฉุดมือผมให้ลุกขึ้นนั่ง ผมต่อต้านด้วยการพยายามทิ้งตัวบนพื้น แต่พี่อู๋ก็จับข้อมือของผมเอาไว้แน่น เขาลากผมไปตามพื้นไม้ สอดแขนเข้าใต้รักแร้ของผมแล้วหิ้วลงบันได ลากต่อไปจนถึงหน้าห้องน้ำแล้วเปิดประตู

“จะอาบเองหรือจะให้พี่อาบให้?”
“ไม่อาบ”
“ได้”

เขาลากผมเข้าไปในห้องน้ำ ผมร้องโวยวายด้วยความรำคาญ จะอะไรกันนักกันหนา คนเคยเจอกันแค่สองสัปดาห์ จะมายุ่งย่ามทำไม

“อาบเองครับ! อาบเอง!”

ผมตะโกนบอกในที่สุด

“พี่ไปรอข้างนอกเลย เดี๋ยวผมออกไป”

พี่อู๋พูดว่า ดีมาก แล้วหายเข้าไปในครัว ผมปิดประตู ได้ยินเสียงจานชามกระทบกันอยู่เบาๆ เขาคงกำลังจัดโต๊ะมื้อเช้า ส่วนผมต้องอาบน้ำตามที่ได้รับคำสั่งแบบงงๆ สิบนาทีถัดมาผมสวมเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงขาสั้น พี่อู๋นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เขายิ้มเมื่อเห็นผมเดินลงมา

“ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย”

เหรอครับ ผมตอบ แล้วนั่งกินโจ๊กเป็นเพื่อนเขา ผมเกลียดโจ๊กใส่ขิง แต่ถึงเกลียดก็ต้องกินไม่งั้นเขาจะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เราใช้เวลากับมื้อเช้าจนถึงตอนที่พี่น้องไบรท์เริ่มรายงานข่าวพอดี เสียงเพลงเปิดรายการดังขึ้น ผมเก็บจานชามไปล้าง แล้วเราก็ออกจากบ้านด้วยกัน




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสองนาที

พี่อู๋ขับรถขึ้นสะพาน ผ่านโรงพยาบาลศิริราช เลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่มีเซเว่น ขับผ่านโรงเรียนคริสต์แล้วมาโผล่แถวคลองสาน ผมที่ไม่เต็มใจมาได้แต่นั่งเหม่อมองนอกกระจก พี่อู๋ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมถอนหายใจเพราะเบื่อที่ต้องโดนใครก็ไม่รู้มาเจ้ากี้เจ้าการชีวิต

ผ่านไปสามนาทีรถเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ผ่านไฟจราจรสองแยก ความเร็วเริ่มชะลอลงเรื่อยๆเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ผมหันหน้าไปทางขวามือตามเสียงไฟเลี้ยวที่ดังก๊อกแก๊ก มีป้ายบอกชื่อสถานที่เขียนอยู่บนแผ่นหินแกรนิต ผมอ่านในใจ

สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา

ไอ้พี่อู๋ -- หลอกผมมาโรงพยาบาลบ้างั้นเหรอ --

“พี่มาผมมาที่นี่ทำไมครับ?”
“หาหมอไง” เขาตอบหน้าตายแล้วเลี้ยวรถข้ามสะพานเข้าเขตโรงพยาบาล “ค่ายาไม่แพง หมอเก่ง ก้องต้องดีขึ้นแน่นอน”
“ผมไม่ได้เป็นบ้า!”
“พี่ไม่ได้ว่าก้องบ้า พี่แค่บอกว่าก้องต้องให้หมอช่วย”

พี่อู๋จอดรถ เขาลากผมลงอย่างถูลู่ถูกังเหมือนละครน้ำเน่าที่แม่ชอบดู พระเอกลากนางเองขึ้นเตียง ส่วนของผมโดนลากเข้าโรงพยาบาลจิตเวช

เรายุดยื้อกันในลานจอดรถเกือบสิบนาที ผมเริ่มไม่พอใจที่คนแปลกหน้าคนนี้เข้ามาบงการชีวิตตัวเองจนเกินไป ผมถามพี่อู๋ด้วยคำหยาบว่าพี่จะเสือกอะไร เขานิ่งทันที ใช้สายตาเย็นเยียบมองมาจนผมเริ่มกลัว

“อยากตายมากใช่ไหม?”

พี่อู๋เค้นเสียงถาม

“งั้นก็เดินไปที่สะพานที่ขับผ่านเมื่อกี๊ไง ขึ้นไปยืนแล้วกระโดดลงมาเลย เดี๋ยวพี่เรียกปอเต็กตึ๊งมาเก็บศพให้ แล้วจะจุดูปนั่งหน้ารถไปส่งถึงวัดด้วย!”

ผมพูดไม่ออกเมื่อโดนประชด ใช่ ผมเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย ใช่ ผมเคยตั้งใจจะกระโดดสะพาน ใช่ ผมนั่งรอความตายทุกวินาที แต่พอพี่อู๋ไล่ให้ไปตายแบบนี้ผมกลับไม่ชอบเลย

“แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วย”
“ค่าอะไร?”
“ค่าโลงไง”

พี่อู๋กำลังบอกผมทางอ้อมว่าไม่เล่นด้วยแล้ว

“รู้ไหมว่างานศพมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ค่าโลง ค่าคนขับรถส่งศพ ค่าบำรุงศาลาบำรุงไฟของวัด ค่าผ้าบังสุกุล ค่าดอกไม้จันทน์ ค่าทำบุญถวายพระ แล้วยังต้องจ่ายให้สัปเหร่ออีก เผาเสร็จจะไปอยู่ที่ไหน จะลอยน้ำ จะอยู่คอนโดนวัด หรือฝังดินใต้ถุนกุฏิเจ้าอาวาส แถมยังเดือดร้อนเพื่อนบ้านต้องเป็นธุระไปจัดการให้ เสียเวลาทำมาหากินของเขา ถ้าคิดว่าการตายเป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวก็ตามใจ แต่ก่อนไปก็จ่ายเงินมาด้วย เพราะพี่จะไม่ยอมจ่ายอะไรให้ก้องอีกแล้วนอกจากค่าหมอและค่าของกิน จำไว้”

คำแดกดันของพี่อู๋ทำให้ผมคิดถึงงานศพแม่ งานเรียบง่ายที่มีแขกแค่เพื่อนบ้านก็ใช้เงินตั้งหลายพัน ต่อให้พระท่านจะเมตตาไม่รับปัจจัยแต่อย่างน้อยเราต้องจ่ายค่าน้ำมันเผาศพและค่าสัปเหร่อเอง

ซึ่งผมจำราคาได้ -- ประมาณสองพันห้า

ค่าน้ำมันเผาศพของแม่ให้กลายเป็นขี้เถ้าก่อนนำไปลอยอังคารมีราคาตั้งสองพันห้า ใช้น้ำมันพืชไม่ได้เหรอ แกลลอนละไม่กี่บาทเอง ร่างของผมก็น่าจะไหม้เหมือนกัน

“พี่พามาที่นี่เพราะอยากให้ก้องได้อยู่ต่อ” พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมน้ำตาคลอเบ้า เขาเสียงอ่อนลงกว่าปกติ “ก้องเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดเอง ชีวิตยังมีอะไรให้เจออีกเยอะนะก้อง อย่ายอมแพ้แค่ตรงนี้สิ”
“แต่ผมเหนื่อย ผมทรมาน”
“พี่เลยพามาหาหมอไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ รังสีความโกรธจางหายไป พี่อู๋คนเดิมกลับมาแล้ว “อย่าดื้อเลย มากับพี่เถอะ ถ้าได้กินยาก้องจะรู้สึกดีขึ้น แล้ววันนึงก้องจะขอบคุณที่พี่พามาที่นี่”

ผมไม่ค้านอีกเมื่อสมองกำลังคำนวณค่าใช้จ่ายในงานศพ ปล่อยให้พี่อู๋จับข้อมืออย่างว่าง่าย เขาพาผมตรงไปที่อาคารสีขาวสามชั้นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อทำบัตรคนไข้ใหม่ แล้วเราก็นั่งรอ




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงแปดนาที

ผมยังไม่ได้เข้าตรวจ

พี่อู๋บอกว่าการพบแพทย์ด้านนี้ใช้เวลานานกว่าปกติ และเราทำได้แค่รอ เขาบอกให้ผมคิดเรื่องที่จะคุยกับหมอเป็นการฆ่าเวลา ผมเลียริมฝีปากแห้งแตก ไม่ใส่ใจคำแนะนำของเขาเพราะยังคงหมกมุ่นคิดคำนวนค่างานศพคร่าวๆของตัวเอง

ถ้าไม่เอาดอกไม้หน้างาน ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าใช้โลงไม้อัด ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าสวดแค่คืนเดียว ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าเจ้าอาวาสเมตตาไม่รับปัจจัย ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง
ถ้าสัปเหร่อใจดีเผาให้ฟรี ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

ถ้าตัดทุกอย่างทิ้งไป งานศพผมคงออกมาอนาถามาก แขกคงมีแค่ลุงชัย ลุงชื่น พี่ลี ข้าวฟ่าง กับเจ๊หมิวแม่ข้าวฟ่าง พี่อู๋ และบางทีป้าเพ็ญอาจมาด้วยแต่ไม่ร่วมทำบุญ แกมาเพื่อกินข้าวแล้วกลับเหมือนไอ้แดง อาจจะแวะจุดธูปหน้าโลงบอกผมว่าไม่ต้องกลับไปแถวบ้านเพราะแกกลัวผี ส่วนไอ้แดงนี่ไม่ต้องพูดถึง มันมาแน่ มาเพื่อกินข้าวฟรี มาเพื่อหลีสาวแถวศาลา มาเพื่อกัดกับเจ้าถิ่นแล้วเดินกลับบ้านโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลรูปหน้าศพ

ไอ้หมาเวร

ขอด่าอีกซักครั้งเถอะ

ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร ไอ้หมาเวร

ผมสะบัดหัวไล่งานศพอนาถาของนายก้องเกียรติออกไป การนั่งรอแบบไม่มีจุดหมายเริ่มทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย สิ่งที่รบกวนจิตใจอันเหี่ยวเฉาตอนนี้คือสภาพแวดล้อมชวนหดหู่เหมือนสวนสัตว์ โรงพยาบาลมีเหล็กดัดเกือบทุกที่ ไม่ว่าจะตรงบันได หน้าต่างชั้นสอง หรือจุดไหนที่สามารถกระโดดลงมาได้ล้วนมีกรอบกั้นทั้งสิ้น

เหล็กดัดทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกอริลลาป่วยๆที่ยืนอยู่ในกรง รอบตัวผมคือฝูงกอริลลาหน้าบึ้งนั่งรอพบหมอ ส่วนพยาบาลคือเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ พวกเขาเป็นผู้เป็นคนที่สุด อารมณ์ดีที่สุด และน่าเข้าหามากที่สุดในบรรดาพวกเรา

ผมเหลือบมองผู้ป่วยคนหนึ่งที่เริ่มชี้หน้าแม่ตัวเอง ก่อนโรงละครลิเกเฉพาะกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเธอร่ายรำ พี่อู๋ไม่หันไปมองราวกับไม่อยากใช้สายตาสมเพชเวทนาของตนเองทำร้ายจิตใจใคร ส่วนผมได้แต่นั่งอ้าปากเหวอ นี่มันศูนย์รวมคนป่วยชัดๆ

“นายก้องเกียรติเชิญเข้าพบหมอที่ห้องสองค่ะ”

เสียงพยาบาลประกาศเรียก ผมใจเต้นตึกตักเหมือนกอริลลากำลังเข้าโรงเชือด พี่อู๋ให้กำลังใจด้วยการบอกว่าจะรอข้างนอกแต่ไม่ช่วยให้รู้สึกดีเลย คุณพยาบาลเลื่อนบานประตู ในนั้นมีแค่โต๊ะทำงานกับเตียง มีหมอผู้ชายนั่งอยู่ อายุน่าจะสามสิบต้นๆ น่าจะรุ่นเดียวกับพี่อู๋

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือไหว้หมอที่เพิ่งเขียนประวัติของคนก่อนหน้าเสร็จ เขาส่งยิ้มแต่ผมไม่ยิ้มตอบ ดังนั้นการสอบสวนหาความผิดปกติจึงเริ่มต้นแบบเป็นทางการ

“มีอะไรให้หมอช่วยไหมครับ?”

เขาถาม ผมส่ายหน้า

“ไม่มีครับ”

แล้วเราก็เล่นเกมจ้องตากัน หมอไม่ยิ้มอีกเลย เขามองผมราวกับจะล้วงเอาเศษซากความพินาศที่ซ่อนไว้ออกมาให้ได้ ส่วนผมก็หน้าบึ้งเป็นกอริลลาป่วยหนักที่พร้อมจะทุบอกร้องอาละวาดทุกเมื่อ หมอปล่อยให้ห้องเงียบเกือบนาทีจนเราอึดอัดด้วยกันทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็พูดต่อ

“ลองแนะนำตัวหน่อยสิครับ”
“ชื่อก้องครับ มาจากก้องเกียรติ” ผมพูดเนิบนาบ “อายุสิบเจ็ดปี”

แล้วจบประโยคแค่ตรงนั้น

ผมไม่รู้ว่าหมอคาดหวังอะไร เขาหวังจะได้เห็นน้ำตา หวังจะได้ยินเรื่องราวน่าอดสูของผู้ป่วยอายุสิบเจ็ดอย่างนั้นหรอกเหรอ ผมมองคุณหมอที่ยังไม่แสดงอาการหนักใจออกมาด้วยแววตาว่างเปล่า เขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นการถามคำตอบคำเหมือนที่พี่อู๋เคยทำจึงเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องตรวจ

เคยคิดอยากฆ่าตัวตายไหม?
เคยครับ
เคยพยายามทำอะไรมาบ้าง?
กระโดดสะพานครับ
ทำไมถึงเลือกกระโดนสะพานล่ะ?
เพราะตายแน่นอน ผมจะตายเพราะแรงกระแทก
ทำไมถึงอยากตายล่ะ? 
แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องอยู่เหรอครับ

ผมไม่ได้กวนตีน ก็แค่ตอบตามความคิดของตัวเอง คุณหมอยังไม่ลดละ เขาถามด้วยท่าทีสบายๆเพื่อให้ผมผ่อนคลาย เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาของผมแน่ๆ ฝันไปเถอะ มันแห้งหมดแล้ว น้ำตาของผมหมดลงตั้งแต่วันที่พี่อู๋พยายามพรากเอาอนุสรณ์ของแม่ไปแล้ว

ก้องนอนหลับไหม?
ไม่หลับครับ
ปกตินอนกี่โมง?
ห้าทุ่มครับ
ตื่นกี่โมง?
ตีสอง สาม สี่ ห้า

ผมกลอกตาพลางนึกย้อนว่าเคยมองนาฬิกาตอนไหนบ้าง

สอง สาม สี่ ห้าครับ

ผมยืนยันคำตอบ คุณหมอดูพอใจกับคำให้การของกอริลลาป่วยจิตตัวนี้ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ งั้นเราคุยเรื่องปัจจุบันก็ได้

ใครเป็นคนพามาหาหมอ?
พี่อู๋ครับ
พี่อู๋คือใครเหรอ?

ผมนิ่ง กัดปากพลางครุ่นคิด

ไม่ทราบครับ
อ้าว แล้วก้องรู้จักพี่อู๋ได้ยังไง?
ผมกำลังจะกระโดดสะพาน แล้วเขาก็เข้ามาขวาง

หมอยิ้ม แสดงออกชัดเจนว่าดีใจที่ผมยอมเล่าให้ฟังบ้าง

ตอนนี้ก้องเรียนหนังสืออยู่รึเปล่า?
ไม่ได้เรียนครับ

ผมจ้องหน้าเขา อย่าเชียวนะ อย่าพูดเรื่องเรียนต่อ ไม่งั้นผมจะคว่ำโต๊ะตัวนี้จริงๆด้วย

ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ?
คะแนนไม่ถึงครับ
ก้องเลือกเรียนที่ไหนบ้าง?

ธรรมศาสตร์ เกษตร ศิลปากร ขอนแก่น

ผมนึกแต่ไม่ได้บอก อยากให้เกมถามตอบนี้จบลงซักที

ก้องสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม?
ไม่ครับ
สาขาที่อยากเรียนล่ะ?
คนตายไม่เรียนหนังสือครับ

ผมตัดบท เริ่มแสดงสีหน้ารำคาญ คราวนี้หมอเงียบไปนานมาก เขาคงรู้สึกอับจนหนทางเพราะกอริลลาตัวนี้ดื้อด้านกว่าตัวอื่นๆ

ที่บอกว่าคะแนนไม่ถึงนี่เพราะก้องได้คะแนนน้อยหรือเพราะอะไรเหรอ?
ผมขาดสอบโอเน็ตครับ
ทำไมล่ะ?

ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ?


คำถามกดดันนี้บีบใจผม ทำไมน่ะเหรอ เหตุผลที่นักเรียนมอปลายคนหนึ่งต้องขาดสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตน่ะเหรอ มันจะเป็นเรื่องอื่นได้ไงนอกจากเรื่องคอขาดบาดตาย

“แม่จำวันสอบผิดครับ”

ผมเงยหน้า หมอไม่ถามจี้ต่อ เขาหยุดรอเวลาให้ผมได้เล่าทุกอย่างออกมา เสียงนาฬิกาบนผนังเดินต็อกแต๊กเป็นจังหวะ ความเงียบคือแรงกดดันมหาศาลที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และหมอก็ใช้มันกดดันผม สายตากับท่าทีของเขาเชื้อเชิญให้ผมต้องพูดอะไรซักอย่าง ไม่งั้นเขาจะฆ่าผมด้วยความเงียบ เขาจะเฉือนเนื้อของผมออกเป็นชิ้นๆจนกว่าจะรู้ความลับที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ข้างใน

จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนกรอบเหล็กดัดของโรงพยาลกำลังพุ่งเข้ามา มันค่อยๆบีบให้จนตรอกเรื่อยๆตามเสียงนาฬิกา ต็อกแต๊ก บีบเข้ามาเรื่อยๆ ต็อกแต๊ก เรื่อยๆ -- ต็อกแต๊ก พูดซักทีสิก้อง ต็อกแต๊ก ระบายมันออกมาเลยก้องเกียรติ ระบาย ต็อกแต๊ก บอกเขาไปว่าใครทำชีวิตแกพัง!

ต็อกแต๊ก
ผมจนมุมแล้ว


ผมกลืนน้ำลายลงคอ กระสับกระส่ายเมื่อคิดถึงวันนั้น ท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมดูแย่จนคุณหมอส่งน้ำให้จิบ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่กรงในใจกำลังบีบผม เหมือนผมจำเป็นต้องพูด ผมต้องระบายมันออกมา ผมต้องบอกให้ใครซักคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ก้อง”

หมอเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ก้องเล่าให้หมอฟังได้นะ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสองคน หมอไม่บอกใคร”

มุมปากของผมเริ่มกระตุกถี่ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะพยายามกลืนก้อนขมในลำคอ คงถึงเวลาที่ผมต้องคายมันออกมา หนามในอกที่ทิ่มแทงผมมาหลายเดือน ผมต้องคายมันออกมาให้ใครซักคนรู้

“แม่ผูกคอตายวันที่มีสอบโอเน็ตครับ”

ผมพูดไปแล้ว

“แม่ผูกคอตายที่บันไดบ้าน ผมต้องทำธุระเรื่องศพก็เลยไปสอบไม่ได้ครับ”




นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงตรง

ไฟในห้องตรวจเริ่มทยอยดับทีละดวงๆ กอริลลาที่เคยนั่งรอบนเก้าอี้พลาสติกจากไปหมดแล้ว เหลือแค่กอริลลาก้องตัวเดียวที่ยังนั่งหน้าห้องตรวจหมายเลขสอง รอเจ้าของพากลับบ้าน

ผมคุยกับหมอเรื่องวันสอบแค่นั้นแล้วหยุด กลายสภาพเป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกชัตดาวน์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่พูด ไม่สบตา ไม่ตอบสนองต่อคำถามใดๆนอกจากมองนาฬิกาเท่านั้น หมอเห็นว่าการยื้อคนใบ้เอาไว้ไม่เกิดประโยชน์ก็เลยขอพบญาติ ผมบอกเขาว่า ไม่มีหรอกครับ ผมอยู่คนเดียว หมอจึงพูดสวนขึ้นมา

“พี่อู๋ไง”

เขาไม่ใช่ญาติผม
แต่พี่อู๋ก็เสนอหน้าเดินเข้าห้องตรวจไปแล้ว

หลังการรอคอยอันทรมานและแสบไส้ พี่อู๋ออกมาเสียที ไฟในห้องตรวจที่สองดับลง คุณพยาบาลเชิญไปชั้นล่างเพื่อชำระเงินและรับยา เราจึงเดินลงไปพร้อมกัน

“ก้อง”
“ครับ?” ผมมองพี่อู๋ เขายกมือโคลงหัวผมเบาๆ
“ต่อไปนี้พี่คือผู้ปกครองของก้องนะ”

ครับ เอาที่สบายใจ ต่อให้บอกว่าอย่ายุ่งเขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที

ผ่านไปสิบวันแล้วหลังจากหาหมอที่โรงพยาบาล ผมได้ยามาสองตัว เป็นยาหลังอาหารเช้าและก่อนนอน พี่อู๋กับเภสัชบอกว่าถ้าได้กินยาจะรู้สึกดีขึ้น โกหกทั้งเพ เพราะตั้งแต่วันแรกที่กินยาจนถึงวินาทีนี้ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ร้องไห้เลย

ก่อนจะเจอพี่อู๋ ผมผ่านช่วงเวลาน้ำตานองหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาแล้ว และหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะไม่ยินดียินร้ายที่ร้องไห้ไม่ออก ผมกลายเป็นคนตายด้านกับทุกอย่างรอบตัว ไม่สนุกหรือมีความสุขตามประสาเด็กอายุสิบเจ็ด ไม่มีกิจกรรมที่อยากทำ ไม่มีอนาคตที่อยากจินตนาการ ไม่มีเรื่องให้คิด มันว่างเปล่า มันตื้อตัน มันไม่เหลืออะไร

ภาวะไม่ยินดียินร้ายเหมือนเรากำลังยืนในห้องสี่เหลี่ยมอับๆที่ไม่มีหน้าต่าง เพดานเตี้ยจนเกือบชิดศีรษะ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีสิ่งบันเทิงใจ ไม่มีแสงสว่าง และเราทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหายใจทิ้งไปเฉยๆ ผมตกอยู่ในภาวะนั้นเป็นสัปดาห์ มุ่งมั่นตั้งใจจะทำลายกำแพงเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้ได้รับอิสรภาพด้วยการฆ่าตัวตาย แต่แล้วพี่อู๋ก็เข้ามา --

พี่อู๋ทำชีวิตผมพัง

เขาทำให้ผมกลับมาอยู่ในวงจรเก่าๆ เขาไม่ได้อยู่กับผมทั้งวัน เขาไม่รู้หรอกว่ากี่คืนที่ผมทุรนทุรายร้องไห้เพราะคิดถึงเรื่องในอดีต ผมนึกถึงใบหน้าที่ลิ้นจุกปากของแม่ นึกถึงรถมูลนิธิมาที่บ้าน นึกถึงงานศพ นึกถึงเชิงตะกอน นึกถึงใบหน้าเรียบเฉยอันสงบสุขของแม่ก่อนเข้าเตาเผา นึกถึงเถ้ากระดูกสีเทาบนผ้าดิบ นึกถึงภาพตัวเองโปรยเศษร่างกายของแม่ลงน้ำ นึกถึงความมืด นึกถึงเสียงพระสวด นึกถึงเชือก นึกถึงทุกอย่าง

มันหลอกหลอนจนผมไม่กล้าแม้แต่จะลงบันไดเพราะกลัวเชือกของแม่ที่พาดอยู่ ผมระแวงตกใจเสียงกุกกักจากบานประตูเมื่อลุงชัยแขวนข้าวเหนียวไก่ทอดหรือแม้กระทั่งตอนที่พี่อู๋มาเยี่ยม ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทนหายใจให้ครบชั่วโมง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ผมก็ปาของใส่เขา

“อะไรเนี่ยก้อง?!”

เขาถาม ส่วนผมเอาแต่ร้องไห้ ฟูมฟาย โวยวายเสียงดังว่าเพราะเขาพาไปหาหมอ เพราะเขาบีบบังคับให้ผมต้องเล่าในสิ่งที่ไม่อยากเล่า ผมก็เลยตกอยู่ในสภาพนี้ แถมยาพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันกำลังฆ่าผม ยาเฮงซวยที่อย.รับรองนั่น มันกำลังกัดกินจิตใจผมจนเปื่อยยุ่ย พอกันที ผมจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เวลานี้ พี่อู๋รอดูได้เลย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะก้อง!”

ผมไม่ฟัง

แล้วสงครามยื้อแย่งก็เกิดขึ้นในบ้าน ข้าวของพังระเนระนาดเพราะผมกวาดทิ้งและพยายามขัดขืนพี่อู๋ ผมกรีดร้องจนเจ็บคอ ปวดหัวตุบๆเพราะความดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของผมคือมีดในครัว

ผมจะกรีดแขนตัวเอง
กรีดให้ลึกถึงกระดูก
กรีดให้ยาวจนถึงข้อศอก
กรีดให้ตาย

ผมเดินตรงไปอย่างมุ่งมั่นแต่พี่อู๋รู้ทัน เขาคว้าเอวผม กดผมให้นอนลงไปบนพื้นแล้วกอดแน่น จากนั้นก็พยายามพูดให้เข้าใจ

“ก้อง -- ก้อง --” เขาเรียก น้ำเสียงสั่นเหมือนคนกำลังกลัวสุดขีด “ก้องทรมานใช่ไหม? ก้องเหนื่อยใช่ไหม? ยาไม่ทำให้ดีขึ้นเลยเหรอก้อง?”

ผมส่ายหน้าแล้วร้องไห้ ผมด่าเขา ด่าพี่อู๋ว่าเสือก ด่าว่าไม่น่าสาระแนชีวิตคนอื่นเลย น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่โกรธ พี่อู๋ปล่อยให้ผมด่าทอจนพอใจ ยอมให้ด่าจนเหนื่อย และเมื่อหมดแรงจะพูด ตัวผมก็อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดเขา

“พี่จะรั้งผมให้อยู่ต่อไปทำไม ผมไม่เหลือใครแล้ว”

ผมร้องไห้ บอกเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวอย่างทุกข์ทรมาน

“ไหนพี่บอกว่ามันจะดีขึ้นไง?”
“มันต้องใช้เวลา ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ช่วงอาทิตย์ที่สอง ก้องอดทนหน่อยได้ไหม อีกแค่สี่วันเอง สี่วันพี่จะพาก้องไปหาหมอตามนัดไง เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่อยากไป ผมเกลียดพี่ ผมเกลียดที่นั่น”

มันเหนื่อยจนบรรยายไม่ออกว่าเกลียดแค่ไหน ผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อเริ่มสงบลง การปลดปล่อยพลังงานเมื่อครู่ทำให้ผมหมดแรง ผมอ่อนเพลียจนลุกไม่ไหว ทำได้แค่นอนนิ่งๆให้พี่อู๋กอดปลอบเท่านั้น

เขารอเวลาจนแน่ใจว่าผมจะไม่อาละวาดอีกจึงคลายกอดที่รัดแน่นออก เหลือไว้แค่การโอบหลวมๆประคองไม่ให้ผมลงไปกองบนพื้น เขาลูบเส้นผมเหนียวเหนอะที่ไม่ได้สระมาเป็นอาทิตย์อย่างไม่รังเกียจ เขาคือคนแรกที่ปลอบผมแบบนี้ หลังจากสูญเสียทุกอย่างไป ไม่เคยมีใครกอดผมเหมือนเขาเลย

“คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อน”

พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมเริ่มล่องลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ก้องไม่ได้อยู่คนเดียว ก้องยังมีพี่เป็นผู้ปกครองทั้งคน”

แล้วผมก็ร้องไห้อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเขา


TBC


----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ  หวังว่าจะชอบน้องก้องไม่มากก็น้อยน้า :hao5:


!!! ขอชี้แจงนิดนึงในส่วนที่บรรยายฉากโรงพยาบาลนะคะ ที่ก้องเปรียบเปรยโรงพยาบาลว่าเป็นสวนสัตว์ อันนี้เราใช้มุมมองของคนป่วยที่ไม่เต็มใจรักษามาเขียนนะคะ ไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลเป็นแบบนั้นเพราะจริงๆแล้วรพ.สมเด็จเจ้าพระยาดีมาก พยาบาลดี หมอดี มีแอร์ด้วย ไม่ได้อึดอัดหรือน่ากลัวเลยค่ะ ก้องเกียรติเค้าเว่อร์ เค้าเปรียบเปรยแย่เพราะมีอคติกับโรงพยาบาลจิตเวช เข้าใจหนูด้วยน้า มันต้องอิงตามมุมมองของตัวละคร เพราะถ้าบรรยายสภาพจริงๆก้องก็คงดูไม่ป่วยเลย เพราะโรงพยาบาลดีมากๆ ไม่น่ากลัวซักนิด ขอบคุณที่อ่านคำชี้แจงถึงตรงนี้นะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ ♡´・ᴗ・`♡   !!!
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3 update!] (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 02-10-2018 20:50:40
อ่านละเครียดตามเลยค่ะ555 แงงงง
มันจะไม่หลอนๆงี้ตลอดไปใช่มั้ยคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3 update!] (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 02-10-2018 21:22:50
ก้อง ลูก เจอมาหนัก แบบนั้น ประคองสติได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว
ยังไม่ใช่วันนี้นะก้องนะ รอก่อน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3 update!] (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 02-10-2018 22:14:03
อ่านแล้วเครียดตามก้องเลย แล้วพี่อู๋จะเป็นไงมั่งเนี่ย  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3 update!] (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-10-2018 19:50:38
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 3 update!] (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 03-10-2018 20:20:56
เครียดมากค่ะ สงสารน้องอ่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 4 update!] (10/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 10-10-2018 19:57:15
04

นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงห้าสิบนาที

กอริลลาก้องกำลังนั่งอยู่ในห้องตรวจโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา

ตรงข้ามผมคือคุณหมอคนเดิม นั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ห้องตรวจเดิม สีขาวเหมือนเดิม มีแต่เสียงนาฬิกาเหมือนเดิม และนายก้องเกียรติที่ยังจิตป่วยเหมือนเดิม

นี่คือครั้งที่สามของการพบกันระหว่างเรา หมอยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่และมาตามนัดทุกครั้ง สวัสดีก้อง หมอทักทาย ช่วงนี้เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ผมไม่รู้จะตอบอะไรจึงทำเพียงพยักหน้าส่งๆ เหนื่อยจะพูด เบื่อจะเล่า ช่วยจ่ายยาแล้วปล่อยตัวกอริลลาก้องไปซักทีเถอะ

การรักษาครั้งที่สองไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ ผมเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมเล่าจนหมอต้องเรียกพี่อู๋เข้ามาแทน พวกเขาคุยนานเกือบครึ่งชั่วโมง คุยเหมือนเขาเป็นคนป่วย ส่วนผมเป็นญาติที่มารอเฉยๆ วันนั้นพี่อู๋เดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าเครียดๆแล้วบอกว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อีก ผมคงต้องแอดมิทที่นี่เพราะหมอจะไม่ปล่อยให้กลับบ้าน

“ไม่เอาครับ” ผมตอบเสียงแข็ง ร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับกอริลลาตัวอื่นที่ป่วยหนักไม่แพ้กัน
“ถ้าไม่อยากแอดมิทต้องกินยาให้ตรงเวลา แล้วสัญญากับพี่ว่าก้องจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

พี่อู๋ก็พูดง่าย ใครจะไปห้ามตัวเองได้วะ

ดังนั้นการเจอกันครั้งที่สามของเราจึงมีเรื่องให้คุยเยอะแยะ หมายถึงหมอนะ เพราะตัวผมเองไม่มีอะไรอยากพูดอยู่แล้ว แต่จู่ๆหมอก็ถามถึงแม่ แม่ที่ไม่เคยถูกพูดถึงเลยตั้งแต่กลายเป็นขี้เถ้าเมื่อหลายเดือนก่อน แม่ที่เป็นต้นเหตุของมวลความเศร้าตอนนี้

“ก้องสนิทกับแม่ไหม?”

ผมครุ่นคิด พยายามประกอบเศษความทรงจำที่ไม่ปะติปะต่อตลอดสิบเจ็ดปี แน่นอนว่าผมรู้จักแม่ตัวเอง รู้ว่าแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาแบบไหน แม่เป็นคนผิวขาว ตาสองชั้น มีลักยิ้ม ผมของแม่สีดำขลับ ตัวผอมลีบเหมือนจะปลิวตามแรงลมอยู่ตลอดเวลา แม่คือภาพสะท้อนของผมเวลามองกระจก แม่คือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และเป็นคนทำลายผมให้ย่อยยับด้วยเชือกเพียงเส้นเดียว

“สนิทครับ”

ผมตอบ แต่ยังลังเลกับคำตอบของตัวเอง

“ก้องรู้สึกยังไงกับแม่เหรอ?”

ไม่รู้
นั่นคือคำตอบ

คำถามของหมอยากเกินไปจนตอบทันทีไม่ได้ สมองกลวงๆพยายามรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่มีถึงแม่ ในหัวของผมไม่มีภาพอื่นนอกจากร่างห้อยต่องแต่งบนราวบันได ไม่มีความทรงจำดีๆที่อยากกล่าวถึง ไม่มีอะไรให้ระลึกถึงผู้หญิงที่เลี้ยงผมมาเลย
หมอไม่กดดันเอาคำตอบแต่ก็ไม่ปล่อยผ่านคำถามนี้ไปง่ายๆ เขาอดทนรอได้อย่างน่าเหลือเชื่อแม้ว่าผมจะเริ่มชัตดาวน์ตัวเองเหมือนครั้งก่อนหน้า เสียงนาฬิกาในห้องดังต็อกแต๊ก กอริลลาบางตัวเริ่มเปิดโรงละครหน้าห้องตรวจ ผมนั่งครุ่นคิดทบทวนถึงแม่ในความทรงจำ แล้วก็นึกออกว่าเคยรู้สึกยังไงกับแม่

แม่ -- คือฤดูฝนที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผม




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสี่สิบหกนาที

ผมอยู่ที่เซนทรัลปิ่นเกล้ากับพี่อู๋อีกครั้ง

เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเราคุยกันเรื่องน้ำแข็งไส เขาบอกว่าหลังกินข้าวเสร็จจะพาไปกินน้ำแข็งไสที่อร่อยที่สุดในโลก(ส่วนตัวของเขา) การตะลอนกินของอร่อยๆหลังหาหมอกลายเป็นธรรมเนียมเล็กๆของเราสองคนไปแล้ว สัปดาห์ก่อนเรากินเคเอฟซี อาจจะไม่แปลกใหม่ แต่ไก่ทอดถังใหญ่ก็เล่นเอาซะผมเบื่อไปหลายวันเลย

“วันนี้พี่จะพาไปกินซอลบิง”

พี่อู๋พาผมไปที่เคาน์เตอร์ร้านขายของหวานที่มีตัวอักษรเกาหลีเขียนอยู่ เขายื่นเมนูให้เลือกแต่ผมไม่อยากกินอะไรจึงบอกเขาไปว่าน้ำแข็งไสก็เหมือนกันทั้งนั้น พี่อู๋สั่งเองเถอะ ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ผมไม่มีสิทธิ์เลือกหรอก

“พี่อยากให้ก้องกินของที่ชอบ”
“ผมไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ” ผมตอบ น้ำเสียงเนือยๆเบื่อๆอย่างทุกที
“ชอบสตรอว์เบอร์รี่ไหม?” พี่อู๋ชี้นิ้วบนรูปน้ำแข็งไสโปะหน้าด้วยผลไม้สีแดงสองถ้วยที่วางอยู่ข้างกัน ผมอ่านชื่อเมนูในใจ

ซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่ กับ ซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่พรีเมี่ยม
มันต่างกันตรงไหนวะ

“มีมะม่วง เมล่อน มีบลูเบอร์รี่ชีสด้วย”

ผมกวาดสายตาดูเมนูคร่าวๆ แพงชิบหาย น้ำแข็งไสบ้าอะไรถ้วยละสองร้อยกว่าบาท ใจผมอยากเดินออกจากร้านแทบแย่เพราะรู้สึกเข้าไม่ถึง แต่ก็รู้ว่าพี่อู๋เป็นพวกอยากกินต้องได้กิน ไม่มีอะไรหยุดปากเขาได้

“ปกติพี่กินอะไรครับ?”
“เมล่อน” เขาชี้ไปที่เมนูชื่อซอลบิงเรียลเมล่อน ผมตาโตเมื่อเห็นราคา เกิดมาไม่เคยเจอน้ำแข็งไสถ้วยละเกือบสี่ร้อยมาก่อน “แต่ถ้าก้องชอบสตรอว์เบอร์รี่ พี่จะสั่งให้”

ผมคงใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปจนเริ่มมีลูกค้าต่อแถวรอคิวสั่งข้างหลัง พี่อู๋กดดันผมด้วยการเร่งให้เลือกไวๆ สุดท้ายผมก็เลือกน้ำแข็งไสถั่วแดงและนมเพราะราคาสองร้อยกว่าบาท ถูกที่สุดในร้าน พี่อู๋จะได้ไม่ต้องจ่ายเยอะด้วย

“พี่ไม่กินถั่วแดง”
“งั้นพี่เลือกเองเลยครับ” ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะให้เลือกทำไมตั้งแต่แรก
“เอาเป็นเรียลเมล่อนก็แล้วกันครับ”

พี่อู๋บอกพนักงานและจ่ายเงินสี่ร้อยบาทเพื่อน้ำแข็งไสถ้วยเดียวอย่างง่ายดาย ผมยืนหน้าตึงอยู่ตรงเคาน์เตอร์อีกไม่กี่วินาทีจนกระทั่งพนักงานยื่นใบเสร็จให้พร้อมพลาสติกกลมๆหนึ่งอัน

“พอมันร้อง ก้องก็เดินไปเอาที่เคาน์เตอร์นะ”

ครับ ผมตอบ แล้วนั่งเฉยๆรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับครุ่นคิดว่าน้ำแข็งไสนี่มันวิเศษตรงไหนถึงตั้งราคาได้โหดขนาดนี้ ผมเลื่อนสายตามองพี่อู๋ที่กำลังเท้าคางมองหน้าอยู่พอดี เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมจ้องเขม็งก่อนจะถามว่ามีอะไร

“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธ “แค่สงสัยว่าพี่พาผมมากินของแพงทำไม”
“เพราะพี่อยากให้ก้องรู้ว่าโลกนี้ยังมีของอร่อยอีกเยอะที่ก้องยังไม่ได้กิน”
“ผมรู้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา กินเสร็จผมก็อยากตายอยู่ดี”
“ก็จะได้มากินเป็นเพื่อนพี่อีกไง”
“ทำไมพี่ไม่ชวนเพื่อนล่ะครับ? เพื่อนไม่คบเหรอ?”

พี่อู๋หัวเราะ ไม่ยอมบอกกว่าทำไมไม่ชวนเพื่อนแทนเด็กประสาทแดกแบบผม ยังไม่ทันได้คำตอบ พลาสติกสีขาวก็แผดเสียงร้อง เขาบอกให้ผมเดินไปรับบิงซูที่เคาน์เตอร์จะได้รู้ว่าทำไมมันถึงแพง

“กินให้หมดนะก้อง ถ้าเหลือนี่เสียดายแย่”

ผมพยักหน้ารับ รู้อยู่เต็มอกว่ากินไม่หมดแต่ขี้เกียจพูด พี่อู๋กินน้ำแข็งไสด้วยท่าทีสบายๆเหมือนกินบ่อย ผมมองเขาแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาหนึ่งคำเพื่อลองชิม เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆแทบจะละลายหายไปทันทีที่สัมผัสลิ้น รสชาติหวานนิดๆคล้ายนมทำให้ผมประหลาดใจจนต้องตักคำที่สอง

อร่อย -- นี่คือน้ำแข็งไสที่อร่อยโคตรๆสมคำโม้ของพี่อู๋

ผมฉวยโอกาสตอนพี่อู๋ก้มหน้าก้มตากินใช้นิ้วแตะเกล็ดน้ำแข็งบนช้อน มันเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวทันทีแค่โดนความร้อนจากปลายนิ้ว  แถมยังเนียนนุ่มเหมือนสำลี น้ำแข็งไสถ้วยนี้ต่างจากที่เคยกินอย่างสิ้นเชิง ผมไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้เวลามันละลายหายไปในปาก เบาบางเหมือนสายไหมแต่ไม่หวานแสบคอ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงชอบ เพราะบิงซูมันอร่อยแบบนี้นี่เอง

“คราวหน้าเรากินสตรอว์เบอร์รี่ดีไหม? ก้องจะได้ลองของใหม่ๆบ้าง”
“ครับ”

เป็นครั้งแรกที่ผมตอบพี่อู๋ว่าจะมากินอีก น้ำแข็งไสนี่น่าประทับใจชะมัด ไม่รู้เป็นเพราะความอร่อยหรือเศษเสี้ยวความทรงจำขาดวิ่นที่ทำให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

“ราดน้ำแดงเยอะๆนะแม่”

แม่ในความทรงจำพยักหน้า ใช้ยางรวบผมเป็นหางม้าก่อนจะบอกคนขายให้ราดเฮลซ์บลูบอยเยอะๆตามคำขอ   

“ซีกนึงเป็นน้ำแดง อีกซีกเป็นมะลิได้ไหมก้อง?”
“ก็ได้”

เด็กชายก้องเกียรติตอบ แม่ยิ้มที่ผมไม่งอแงเอาแต่ใจ ก่อนเราจะเดินถือถ้วยพลาสติกที่มีน้ำแข็งไสราดน้ำแดงกับน้ำมะลิกลับบ้านด้วยกัน

“มันละลายจนจะหกแล้ว ก้องดูดหน่อยเร็ว”

แม่ยื่นหลอดเล็กๆที่คนขายเสียบบนน้ำแข็งมาให้ ผมรับมันไปดูดอึกๆ รสชาติของเฮลซ์บลูบอยหวานจนแสบคอ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังชอบกินอยู่ดี

“ก้องไม่ชอบรสมะลิเลยแม่”
“งั้นคราวหน้าแม่ซื้อแยกก็ได้ ก้องถ้วยนึง แม่ถ้วยนึง”

ผมยิ้ม เงยหน้ามองแม่

“แม่ ก้องอยากกิน -- ”

บทสนทนาของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่หยุดลงแค่นั้นเพราะสัมผัสอุ่นๆจากมือพี่อู๋เรียกให้กลับมาอยู่ในร้านซอลบิง ผมกระพริบตา มองหน้าผู้ชายที่สร้างความทรงจำกับน้ำแข็งไสขึ้นมาซ้อนทับของแม่ด้วยความงุนงง

“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมถือช้อนค้างไว้แบบนั้น?”

ผมไม่ตอบนอกจากตักเกล็ดหิมะสีขาวเข้าปากอีกคำ พี่อู๋ไม่สบายใจเมื่อเห็นผมหลุดหายไปช่วงหนึ่ง แต่ผมก็เป็นแบบนี้ ผมมักจะหายไปเหมือนถูกชัตดาวน์เพราะการมีอยู่ของแม่เริ่มปรากฎชัดขึ้น มันดูดผมกลับไปช่วงเวลาหนึ่งเหมือนไทม์แมชชีน พาผมไปเจอภาพเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ บทสนทนาที่เก่าๆเราเคยคุย แต่สุดท้ายแม่จะปล่อยผมให้กลับมาเผชิญโลกแห่งความจริงคนเดียว แม่ไม่ได้ตามมาด้วย แม่ทิ้งผมไว้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริง

พี่อู๋ไม่มีอะไรเหมือนแม่ ทั้งหน้าตา นิสัยและคำพูด แต่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนเขาคือหุ่นเชิดที่มีแม่คอยชักใยอยู่ข้างบน เหมือนแม่กำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา สั่งให้ทำนั่นทำนี่อย่างเอาแต่ใจ ผมมองหน้าพี่อู๋ มองผู้ชายที่น่าจะแก่กว่าหลายปีด้วยความสงสัยว่าเขาคือใคร ไปหาผมที่สะพานได้ไง แล้วทำไมต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนแปลกหน้าอย่างผมด้วย

“พี่อู๋อายุเท่าไหร่ครับ?”
“รู้จักกันมาสองเดือนกว่า เพิ่งคิดจะถามเหรอก้อง?” พี่อู๋ประชด แต่ใบหน้ายิ้มแป้นราวกับรอคำถามนี้มานาน “ไม่กี่เดือนพี่ก็สามสิบเอ็ดแล้ว”
“พี่เกิดเดือนอะไร?”
“พฤศจิกา พี่เกิดหกพฤศจิกา” เขาตอบ “ก้องจะให้ของขวัญพี่ใช่ไหม?”
“ผมอยู่ไม่ถึงตอนนั้นหรอก เดี๋ยวผมก็ตายแล้ว”
“แต่ก็ยังไม่ใช่วันนี้อยู่ดี” พี่อู๋ยักไหล่
“พี่ทำแบบนี้ทำไมครับ?”
“ทำอะไรเหรอ?”
“เอาเงินมาทิ้งกับคนตาย”
“พี่ไม่ได้ซื้อโลงให้ก้องซะหน่อย จะบอกว่าเอาเงินมาทิ้งกับคนตายได้ไง”

กวนตีน

ผมคิด แต่ไม่ได้พูดเพราะยังอยากกินน้ำแข็งไสอีก

“พี่อู๋ทำงานอะไรครับ?”
“ตอนนี้ตกงานอยู่ เพิ่งลาออกวันที่โทรหาก้องไง”
“พี่ลาออกเพราะผมเหรอ?”
“เปล่า พี่เกลียดนายญี่ปุ่น” พี่อู๋แค่นหัวเราะ สีหน้าอาฆาตแค้นเริ่มปรากฏให้เห็น เขาคงเกลียดมากจริงๆ ถึงขนาดสับเมล่อนออกเป็นชิ้นเละๆ
“งั้นพี่อย่ามาหาผมเลย เปลืองเงินเปล่าๆ พี่ควรเก็บเงินไว้เผื่อว่างยาวนะ”
“ก้อง พี่อายุสามสิบเอ็ดแล้ว พี่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร” เขาเขกหัวผม มันเจ็บจนต้องเอามือลูบป้อยๆ “อีกอย่างงานพี่หาง่าย แค่สมัครก็โดนเรียกแล้ว”
“พี่เคยทำงานอะไรเหรอครับ?”
“ขายโคเคน”

เชี่ย -- พูดจริงเหรอวะ

“ไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมพี่มีเงินมีเวลามาเลี้ยงก้องขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะขายยา รู้ไหมว่าค่าบิงซูถ้วยนี้ก็ได้มาเพราะโคเคนนะ”

ผมอ้าปากค้าง มือไม้อ่อนปวกเปียกจนช้อนหล่นบนโต๊ะดังเคร้ง

“อย่าบอกใครล่ะ” พี่อู๋โน้มตัวมากระซิบ “พี่เอาล็อตใหญ่มาส่งที่นี่ด้วย เดี๋ยวจะมีผู้ชายมารอที่แมคโดนัล ก้องต้องเป็นคนเอากระเป๋าไปให้เขา ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่เลี้ยงของอร่อยๆก็แล้วกันนะ”




นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงห้าสิบแปดนาที

ไม่มีโคเคน ไม่มีเด็กส่งยา ไม่มีเจ้าพ่อมาเฟียหรือผู้ชายหน้าไหนมารอที่แมคโดนัลทั้งนั้นเพราะไอ้พี่อู๋โกหก และตอนนี้คนขี้โกหกก็พากอริลลาก้องมาพบหมอเป็นครั้งที่สี่แล้ว

หน้าห้องตรวจยังคงเต็มไปด้วยกลุ่มกอริลลาเหมือนเดิม ใบหน้าเฉยชาแสดงออกว่าเบื่อเหมือนเดิม ผมเคยคิดอยากสงเคราะห์ด้วยการเข้าตรวจแค่ห้านาทีเพื่อให้คนถัดไปได้พบหมอเร็วขึ้นแต่ไม่เคยสมหวัง หมอไม่ปล่อยผมออกมาง่ายๆ เขาจะคุยขิงคุยข่า คุยถึงปลาในน้ำ ถึงนกบนฟ้า ถึงอะไรก็แล้วแต่จนกระทั่งผมระบายความอึดอัดออกมาเองด้วยความสมัครใจ

“เป็นไงบ้างก้อง? ดีขึ้นไหม?”

กอริลลาก้องยกมือไหว้คุณหมอ ตอบคำถามไปว่า ดีครับ นอนหลับสนิทครับ เริ่มอยากกินโรตีสายไหมแล้วครับ วันก่อนได้กินน้ำแข็งไสยี่ห้อบิงซูด้วยครับ

“ดีจัง พี่อู๋พาไปกินเหรอ?”
“ครับ”
“น้ำแข็งไสอร่อยไหม?”
“อร่อยครับ”
“น้ำแข็งไสของก้องราดน้ำอะไร?”
“เฮลซ์บลูบอยสีแดงครับ”

ผมตอบแล้วนิ่งเงียบ เพราะรู้ตัวว่าไม่พูดถึงน้ำแข็งถ้วยที่พี่อู๋พาไปกินเมื่อสัปดาห์ก่อน เหมือนหมอก็รู้ว่าผมกำลังถูกดึงกลับไป เขาจึงนั่งฟังอย่างตั้งใจ มองด้วยแววตาไร้อารมณ์เพื่อไม่ให้ผมคิดว่าสิ่งที่จะเล่าคือเรื่องน่าเวทนาแต่อย่างใด

“ผมชอบกินน้ำแข็งไส ตอนเด็กๆแม่ซื้อให้กินบ่อยครับ”

หมอไม่ถามต่อ ยังคงรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“แม่จะซื้อแค่ถ้วยเดียวเพราะผมไม่เคยกินหมด ครึ่งหนึ่งราดน้ำแดง อีกครึ่งราดน้ำมะลิ แม่ชอบรสมะลิ น้ำแข็งไสของเราก็เลยเป็นสองสี มีเวเฟอร์แบบแท่งรสช็อกโกแลตปักอยู่ข้างถ้วย มีเยลลี่ มีลูกชิดที่แม่ชอบ”

ผมคิดถึงขวดแก้วใสใบใหญ่ๆ คิดถึงเวเฟอร์แบบแท่งในถังปี๊บ คิดถึงรสชาติหวานชื่นใจของเฮลซ์บลูบอย คิดถึงก้อนน้ำแข็งที่วางอยู่บนแท่นไม้ คิดถึงเสียงกระดิ่งของรถขายน้ำแข็งไส คิดถึงหางม้าของแม่ คิดถึงเสื้อสีขาวตัวเก่งของแม่ คิดถึงเสียงของแม่ คิดถึง --

“ผมคิดถึงแม่”

ผมอ่อนแออีกแล้ว

“ผมไม่เข้าใจว่าแม่ทำแบบนี้ทำไม”

ไม่มีจดหมายบอกลา ไม่มีคำสั่งเสีย ไม่มีอะไรเลยนอกจากเชือกเส้นใหญ่ที่เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึง แม่จากไปโดยไม่บอกเหตุผล ไม่เคยอธิบายว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเจอเรื่องอะไรถึงตัดสินใจแบบนั้น แม่ไม่เคยพูด และนั่นทำให้ผมค้างคามาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ทำเหมือนเราไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

ผมร้องไห้หนักขึ้นจนหมอต้องส่งทิชชู่ให้ ผมดึงออกมาหนึ่งแผ่นเพื่อเช็ดน้ำตา แต่มันขาดยุ่ยจนต้องหยิบแผ่นที่สอง แผ่นที่สาม แผ่นที่สี่ ผมหยุดดึงทิชชู่แล้วสะอื้น ในห้องไม่ได้มีแค่เสียงนาฬิกาหรือเสียงร้องโวยวายของกอริลลาหน้าห้องตรวจอีกแล้ว แต่ยังมีเสียงคร่ำครวญของก้องเกียรติด้วย

“แม่คือฤดูฝนสำหรับผม” ผมเงยหน้าบอกหมอ พูดไปสะอึกไปเพราะหายใจไม่ออก “ผมไม่เคยเข้าถึงแม่เลย”

ในความทรงจำ แม่เหมือนเมฆฝนที่ก่อตัวขึ้นในบ้าน บรรยากาศอึมครึมเย็นๆไร้ชีวิตชีวา สีหน้าท่าทางเฉยชาราวกับเบื่อนักหนาและอยากไปให้พ้นๆจากตรงนี้ แต่ถึงแบบนั้นแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆ แม่ส่งผมเรียนหนังสือ ซื้อของดีๆให้ใช้เมื่อมีโอกาส แม่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอดสิบเจ็ดปีจนกระทั่งวันสุดท้าย และวันนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับแม่

“ผมรักแม่ แต่ผมก็เกลียดแม่”

ผมบอกหมอ

“ตอนนี้ผมเกลียดแม่ที่ทิ้งกันแบบไม่ลา ผมเกลียดแม่ที่เห็นแก่ตัว เกลียดจนไม่อยากพากลับบ้าน หลังวันเผาผมพาแม่ไปลอยอังคาร โปรยกระดูกของแม่ลงน้ำ ไม่แบ่งใส่โกศ ไม่ฝากคอนโดวัดอย่างที่คนอื่นแนะนำ ในเมื่อแม่อยากไปก็ไป ไปให้ไกลแล้วไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องอยู่บ้านคอยตอกย้ำให้ผมเสียใจ ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ไปเลย!” 

ผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้งเมื่อพูดถึงแม่ ความเข้มแข็งที่เคยมีสลายหายไปในพริบตาเพียงแค่ได้บอกใครซักคนว่าผมโกรธแม่มากขนาดไหน ผมรู้ว่าการพูดว่าเกลียดแม่คงดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ แต่หมอไม่ว่าอะไรเลย เขาไม่บอกว่าห้ามโกรธแม่ ไม่ตำหนิที่ไม่เก็บอัฐิของแม่ไว้ในบ้าน หมอยังคงเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่แสดงออกว่าสมเพชเวทนานายก้องเกียรติเลยซักนิด

“ก้องโกรธแม่ได้นะ ก้องเป็นคนธรรมดา ก้องมีชีวิตมีจิตใจ มีความรู้สึก ก้องก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน” เขาพูดทั้งๆที่ผมยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดง่ายๆ “ก้องบอกว่าไม่ได้เก็บอัฐิกลับบ้านเพราะอยากให้แม่ไปไกลๆ แต่รู้ไหมว่าก้องกำลังล่ามแม่ไว้ ก้องไม่ได้ปล่อยแม่ไปอย่างที่พูดเลย”

แล้วผมต้องทำยังไง ผมถามหมอซ้ำๆ ผมบอกเขาว่าผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมเกลียดที่ชีวิตตัวเองพังเพราะแม่ เกลียดความรู้สึกทั้งรักทั้งชังที่มีต่อแม่ เกลียดความโดดเดี่ยว เกลียดที่ทุกอย่างล้มหมดเพราะความเห็นแก่ตัวของแม่ ผมเกลียดที่แม่ตายไปหลายเดือนแล้วแต่บ้านก็ยังมีแม่อยู่ บันไดยังมีเชือก บนหมอนยังมีเส้นผมของแม่ ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดตัวโปรดของแม่ แม่ไม่เคยหายไปจากชีวิตผมจริงๆเสียที

“หมอรู้ว่าก้องเสียใจ ก้องโกรธแม่ได้ เกลียดแม่ได้ แต่อย่ายอมให้แม่ทำลายชีวิตที่เหลือของก้องนะ”
“ผมไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร”
“เพื่อแก้ไขสิ่งที่แม่ทำเอาไว้ไง” หมอพูดอย่างใจเย็น “ก้องบอกว่าแม่ทำให้ก้องไม่ได้สอบโอเน็ต ก้องไม่ได้เรียนมหาลัยเพราะแม่ งั้นปีหน้ามาเริ่มกันใหม่ดีไหม? โอเน็ตมีจัดสอบทุกปีไม่ใช่เหรอ หมอเคยดูข่าวนะ ผ้าปูโต๊ะสีฟ้าไง”
“มันสอบได้แค่คนละครั้งครับ ครั้งเดียวในชีวิต ถ้าไม่สอบปีนี้ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว”
“กระทรวงศึกษาคงไม่ใจร้ายกับเด็กที่เข้าสอบไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัยหรอก ยังไม่ลองถามแล้วจะรู้ได้ไงว่าสอบใหม่ไม่ได้ งั้นเอาเป็นว่าวันนี้หมออยากให้ก้องทำสองเรื่อง หนึ่งคือโทรถามหน่วยงานที่จัดสอบว่าสามารถเข้าสอบใหม่ปีหน้าได้ไหม และสอง -- ปล่อยแม่ไป”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วยื่นกระดาษกับปากกามาให้หนึ่งแท่ง

“หมอให้กระดาษกับปากกาไว้เขียนจดหมายบอกลาแม่ จดหมายฉบับสุดท้ายถึงแม่จากก้องเกียรติ”

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลา หมอบอกว่าการได้เขียนระบายคือการปลดปล่อยภาระใจที่ดีที่สุด ในเมื่อสิ่งที่ยังขมวดเป็นปมคือการวนเวียนคิดถึงแม่ที่ไม่ได้เขียนจดหมายลา งั้นผมก็ควรเป็นฝ่ายเขียนแทน และถ้าเป็นไปได้หมออยากให้ผมมีไดอารี่ของตัวเองซักเล่ม แต่จะไม่มีก็ได้ หมอไม่เคยฝืนใจกอริลลาก้องอยู่แล้ว

“ต้องบอกลาแบบไหนครับ?”
“ยังไงก็ได้”
“เขียนอะไรก็ได้เหรอครับ?”
“อะไรก็ได้” หมอยืนยัน “ทุกอย่างที่ก้องอยากบอกแม่ เขียนลงไปได้เลย”

ผมกัดปาก ก้มมองกระดาษสีขาวกับปากกาด้วยความตื้อตัน การร้องไห้เมื่อครู่ทำเอาหมดแรงจนอยากกลับบ้านไปพักผ่อน ผมถามหมอว่าไว้วันหลังได้ไหมเพราะวันนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะบรรยายความรู้สึกอะไรแล้ว โชคดีที่เขาตอบว่าได้ เพราะถ้าคำตอบออกมาตรงข้าม กอริลลาก้องจะลงไปนอนแผ่บนพื้นแน่นอน

 “อาทิตย์หน้าเรามาคุยกันใหม่นะ หมอมีเวลาฟังก้องทั้งวัน”

ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าทั้งวัน หมอพูดแบบนั้นโดยไม่คิดถึงกอริลลาหน้าบูดที่กำลังนั่งรอตรวจข้างนอกเลย หมอซักถามอาการทั่วไปอีกนิดหน่อยแล้วอนุญาตให้กลับบ้าน ผมยกมือไหว้ บอกเขาว่าขอบคุณครับ ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจโดยมีกระดาษเปล่าและปากกาติดมือมาด้วย




นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเจ็ดนาที

วันนี้พี่อู๋อยู่กับผมทั้งวัน เขาพาตะลอนทั่วห้างเหมือนเดิมก่อนจะจบที่โรงหนังและจ่ายเงินซื้อป็อปคอร์นถังใหญ่แค่เพราะเห็นว่ามันสวย ผมเลิกถามเขาแล้วว่าพาผมมาเที่ยวทำไม ซื้อของให้กินทำไม จ่ายเงินค่าตั๋วหนังทำไม เพราะถามไปเขาก็ไม่ตอบ

คำถามพวกนั้นเป็นยิ่งกว่าคำถามเชิงปรัชญาที่ซับซ้อนและหาคำตอบไม่ได้ พี่อู๋ไม่เคยบอกเหตุผล เขาพูดแค่ว่าตัวเองโตพอที่จะบริหารชีวิตได้ นายก้องเกียรติน่ะเงียบไปเลย มีหน้าที่กินก็กิน ซื้ออะไรให้ก็รับไว้ ไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวทิ้งไว้กลางร้านอาหารให้ล้างจานเองซะเลย

พี่อู๋คงรู้เรื่องผมจากหมอแล้ว เขาหายเข้าไปในห้องตรวจตั้งหลายนาทีจนกอริลลาตัวหนึ่งถอนหายใจเพราะกอริลลาก้องกินเวลาของหมอไปเกือบชั่วโมง ผมรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่ถาม และยิ่งขอบคุณมากๆที่เขาปล่อยให้ผมเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ในโลกส่วนตัว ก่อนจะดึงกลับมาด้วยการพาไปดูหนังและโค้กแก้วยักษ์หนึ่งใบ

ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะสมองของผมเอาแต่คิดถึงคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

หมอบอกว่าผมสามารถรักแม่ไปพร้อมๆกับโกรธแม่ได้ ผมเลือกที่จะลืมแม่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดได้ ผมเป็นฝ่ายบอกลาแม่เองก็ได้ เพราะนี่คือชีวิตของผม คือความรู้สึกนึกคิด คือหัวใจที่แหลกสลาย คือแก้วแตกๆที่ถูกทากาวเป็นร้อยครั้ง และผมควรทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรู้สึกตัวเองก่อน

รักตัวเองก่อน หมอบอก และอย่าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ในเมื่อย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ปล่อยให้แม่เป็นความทรงจำดีๆของก้องดีกว่าเนอะ

คำพูดของหมอช่วยได้เยอะมาก ผมตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนจดหมายที่บ้านเพราะคืนนี้พี่อู๋ไม่ได้ไปส่ง ดูเหมือนเขามีธุระด่วนที่ต้องพาใครซักคนไปโรงพยาบาล แต่พี่อู๋ก็ยังเป็นคนเดิม ไม่เคยปล่อยให้ผมลำบาก เขาเรียกแท็กซี่ ยัดธนบัตรสีม่วงใส่มือผม และพูดขอโทษที่ไปส่งไม่ได้

ผมอยากถามพี่อู๋ว่าขอโทษทำไม เพราะการดูแลเด็กจิตป่วยไม่ใช่หน้าที่ของเขาด้วยซ้ำ

“มีเรื่องด่วนนิดหน่อย ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ”

ผมพยักหน้า ขานรับว่าครับแล้วขึ้นแท็กซี่อย่างว่าง่าย ผมแอบเอี้ยวตัวไปดูพี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขากำลังมองมาที่แท็กซี่เหมือนกัน ก่อนจะวิ่งหายกลับเข้าไปข้างในเมื่อรถขับไปไกลพอสมควร

การจราจรตอนสองทุ่มไม่คับคั่งเหมือนช่วงเลิกงาน ผมคิดว่าน่าจะถึงบ้านภายในสิบห้านาทีแต่มันกินเวลานานกว่านั้น รถติดยาวตรงสี่แยกก่อนจะถึงบ้านประมาณสามกิโล คนขับถอนหายใจเมื่อต้องค้างเกียร์ไว้ที่ตัวเอ็นเกือบสิบนาทีแล้ว แต่รถแทบไม่ขยับเลย

“น้องลงตรงนี้ได้หรือเปล่า รถติดมาก พี่กลัวเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้”

ผมตอบว่าครับแล้วส่งเงินให้ ค่าโดยสารทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าบาท เขาไม่มีเหรียญห้าเลยถามว่าปัดเป็นร้อยยี่สิบได้ไหม

“ผมมีสิบห้าบาทครับ”

ผมบอกแล้วล้วงเอาเศษเหรียญบาทที่อยู่ก้นกระเป๋าออกมานับ แอบเห็นคนขับแท็กซี่ทำหน้าเซ็งๆด้วย ผมอยากถามเขาว่าจะเซ็งทำห่าอะไร ไม่ส่งถึงบ้านยังพอว่า แต่งุบเงินพี่อู๋ห้าบาทนี่ยอมไม่ได้

เมื่อนับเงินครบผมก็ลงจากรถ เก็บเงินสี่ร้อยบาทไว้คืนพี่อู๋พรุ่งนี้ ระหว่างเดินกลับบ้านผมได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นควันไหม้ๆที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตามสัญชาติญาณ มีควันสีดำลอยอัดแน่นเป็นมวลขนาดใหญ่ ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ผมรู้ตัวการที่ทำให้รถติดแล้ว ไฟไหม้นี่เอง

เสียงรถมูลนิธิวิ่งผ่านผมไปสองคันติดๆ ก่อนจะตามมาอีกคัน และอีกคัน เสียงหวีดเล็กแหลมของไซเรนดังเข้าโสตประสาทจนเริ่มสงสัย รถดับเพลิงคันใหญ่เพิ่งวิ่งผ่านผมไป คราวนี้ผมหยุดเดิน พยายามมองรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนจับกลุ่มกันยืนเต็มฟุตปาธจนผิดสังเกต ผมบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก คงเป็นบ้านใครซักคนที่อยู่แถวนี้ แต่เมื่อรถดับเพลิงคันที่สองเปิดไซเรนขับผ่านไปแล้วเลี้ยวขวาตรงสุดถนน ผมก็เริ่มใจไม่ดี

 เพราะนั่นคือทางไปซอยบ้านผม

มีลุงคนหนึ่งปั่นจักรยานมาด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาตะโกนตลอดทางว่า ไฟไหม้! ไฟไหม้! จนผมต้องรีบหยุดรถของเขา

“ไฟไหม้ที่ไหนเหรอครับ?”

ผมถาม เริ่มลนลานเมื่อเห็นรถดับเพลิงวิ่งเข้าซอยไปเป็นคันที่สาม เสียงไซเรนซ้อนประสานกันจนปวดหู ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าทั้งสามคันคงจอดอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังหวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่กลัว ต้องไม่ใช่บ้านของผม ไม่ใช่บ้านผม

“ชุมชนท้ายซอยอ่ะน้อง บ้านเราอยู่แถวนั้นหรือเปล่า รีบไปดูเร็ว”

ผมแทบเป็นลม เพราะชุมชนท้ายซอยที่เขาว่าคือบ้านของผมเอง


TBC
----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคนะคะ จะตั้งใจเขียนเรื่องนี้ออกมาให้สุดความสามารถ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณจริงๆค่ะ ;-;
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 4 update!] (10/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 10-10-2018 20:11:18
เอ้าลูก อะไรจะซวยซ้ำซ้อน
พี่อู๋บอกน้องว่าไม่ใช่วันนี้ แต่บ้านน้องจะถูกเผาวันนี้แล้วค่ะพี่

ก้องเอ๊ย รีบเปิดใจกับหมอ กินยา จะได้หายเร็วๆ นะรู้ไหม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 4 update!] (10/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-10-2018 09:55:37
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 4 update!] (10/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 11-10-2018 15:44:18
สงสารน้องก้องแฮะ มันกลายเป็นหลุมใหญ่ในใจจริงๆ แม่ไปแบบไม่มีคำลา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงผลักดันแม่มาถึงจุดนี้ แม่มีปัญหาอะไร ลูกไม่สำคัญสำหรับแม่เหรอ อยู่กับก้องไม่มีความสุขเหรอถึงเลือกจะไป แล้วเลือกวิธีที่... รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก้องก็ต้องเห็น (เล่นผูกคอซะกลางบ้านเนี่ย) เป็นสถานที่ที่ก้องหนีไปไหนไม่ได้ ต้องตื่นมาเจอภาพนี้ทุกวัน มันเกิดอะไรขึ้น

แอบหวังให้เป็นการฆาตกรรมซะยังดีกว่า / โดนไฟไหม้ซะด้วย อาจจะเผาทำลายหลักฐานก็ได้  :katai1:

 
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 17-10-2018 19:29:01
05

ผมไม่เคยเห็นคนในชุมชนแตกตื่นขนาดนี้มาก่อน

ผู้คนวิ่งกันวุ่นวายท่ามกลางความร้อนที่แผ่มาถึงจุดที่กำลังยืนอยู่ เสียงไซเรนของรถดับเพลิงยิ่งปั่นประสาทผมให้เตลิดเปิดเปิง ผมพยายามฝ่าฝูงไทยมุงเข้าไป เห็นลุงคนหนึ่งแบกตู้เย็นวิ่งสวนมาแต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้บ้านคือความกังวลอย่างเดียวของผม บ้านหลังสุดท้ายที่เป็นสมบัติในชีวิต บ้านที่แม่ซื้อไว้ บ้านที่มีอนุสรณ์ของแม่

ถ้าเสียมันไป -- ผมจะไม่เหลืออะไรเลย

เสียงร้องหงิงๆคุ้นหูเรียกให้ผมก้มมอง ไอ้แดงวิ่งหูลู่มาทางนี้เหมือนจะฟ้องว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า มันกลายเป็นสีส้มอมดำที่อัดแน่นด้วยควัน เสียงคนร้องตะโกนโหวกเหวกดังจนจับใจความไม่ได้ เอาน้ำมาทางนี้! สาดน้ำเร็ว! ทุกคนเอาแต่ตะเบ็งเสียงดังใส่กัน แต่เปลวไฟที่อยู่ห่างไปไม่ไกลบอกผมว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จหรอก ไฟลามมาเกือบปากซอยแล้ว ไม่มีอะไรหยุดมันได้จนกว่าเชื้อเพลิงจากบ้านจะมอดเอง

ผมตั้งสติ พยายามมองหาทุกคนอย่างกระวนกระวาย ไอ้แดงวิ่งนำผมไปทางซ้ายราวกับรู้ว่าผมต้องการอะไร ในที่สุดผมก็เห็นเพื่อนบ้าน ลุงชื่นกับป้าหมอนกอดกันร้องไห้อยู่ข้างรถมูลนิธิ ส่วนคนอื่นๆยังไม่เห็น ผมไม่เจอพี่ลี ป้าเพ็ญ ข้าวฟ่าง และลุงชัยเลย

“พี่! มีเด็กติดอยู่ใน! มีเด็กติดอยู่ในบ้านหลังที่สองอ่ะพี่!!!”

เสียงพี่ลีร้องกรี๊ดตะโกนเรียกชื่อผมคอแทบแตก แกร้องเรียก ก้อง! ก้อง! อยู่หลายหนก่อนจะบอกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงว่ามีคนติดอยู่ข้างใน ผมรีบเข้าไปจับไหล่พี่ลี บอกแกว่าผมอยู่นี่ ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง

“โอ๊ย! ก้อง --”

พี่ลีเข่าอ่อน แกทรุดนั่งบนพื้นกับหมาชิสุสองตัวแล้วร้องไห้

“ไฟไหม้ได้ไงครับพี่?”
“พี่ก็ไม่รู้” พี่ลีอุ้มหมามากอด หมาขนยาวสองตัวเขรอะฝุ่นแต่แกก็ยังกอดมันเอาไว้แน่น “ดีที่อุ้มหมาออกมาทัน ถ้าหมาตายพี่ต้องตายแน่เลย”

ผมรู้มานานแล้วว่าพี่ลีเป็นคนรักหมา แต่เพิ่งเห็นกับตาว่าแกรักมากขนาดไหนก็วันนี้ ผมถามถึงสมาชิกที่อยู่ในระแวกบ้านเรา พี่ลีส่ายหน้า แกบอกว่าเจอแค่ลุงชื่นกับป้าหมอน ส่วนคนอื่นๆไม่เห็นเลย

ผมช่วยพี่ลีอุ้มหมาตัวนึงแล้วพาย้อนกลับไปหาลุงชื่น ตอนนี้ผมเจอเพื่อนบ้านสามคน เหลืออีกหลายคนที่ต้องตามหา เสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงเรียกให้ผมเดินฝ่าฝูงคนเข้าไป แล้วผมก็เจอข้าวฟ่างกับพี่อาสาคนหนึ่ง ห่างจากจุดที่เรารวมตัวกันไม่ไกลเท่าไหร่

“พี่ก้อง!”

ข้าวฟ่างกระโดดกอดผม เนื้อตัวสกปรกเพราะเขม่าไฟ ผมเผ้าเสียทรงและมีกลิ่นไหม้เหมือนเพิ่งถูกช่วยออกมา ผมกอดข้าวฟ่างแน่น เราสองคนร้องไห้โฮด้วยความดีใจ ในบรรดาเพื่อนบ้านที่อยู่ด้วยกัน ผมเป็นห่วงข้าวฟ่างมากที่สุดเพราะน้องยังเด็กเกินกว่าจะเจอเรื่องซวยๆแบบนี้

“แม่อยู่ไหนข้าวฟ่าง?!”
“แม่อยู่ร้านเสริมสวย” เด็กหญิงร้องเสียงดัง “หนูอยู่คนเดียว หนูนอนดูทีวีอยู่ แล้วไฟก็มา ไฟไหม้หมดเลย”

ผมไม่รู้จะเรียกเหตุการณ์นี้ยังไง มันคือความชิบหายซ้ำซ้อนในชิบหายจนผมตั้งสติไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรโฟกัสไปที่บ้านตัวเองหรือออกตามหาเพื่อนบ้าน ใจหนึ่งก็อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไหม้หมดแล้ว แต่อีกใจก็อยากหาพวกเขาให้เจอก่อน ผมแค่อยากแน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย

ผมอุ้มข้าวฟ่างกลับไปหาพี่ลี ตอนนี้คนสี่คนกับหมาสามตัวได้แต่กอดกันร้องไห้ ผมไม่ร่วมวงกับพวกเขา ผมแค่ยืนมองเปลวสีส้มที่เริ่มลามเข้ามาเรื่อยๆด้วยความสิ้นหวัง จบสิ้นแล้ว หมดกัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดออกตอนนี้

หลังจากทนรอซักระยะ ผมก็เห็นพี่อาสาวิ่งสวนมาทางพวกเรา เนื้อตัวมีแผลไหม้เพราะเพิ่งช่วยคุณป้าคนหนึ่งออกมาได้ ผมรีบเดินตามสัญชาติญาณ มั่นใจว่านั่นต้องเป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านของผม ต้องเป็นป้าเพ็ญแน่ๆเพราะรูปร่างอ้วนท้วมเหมือนกัน

ถึงจะไม่ค่อยสนิทแต่ผมก็ดีใจที่ป้าเพ็ญปลอดภัย พี่อาสาบอกว่าแกยืนร้องไห้ในบ้านจนเป็นลม พร่ำเพ้อถึงเงินสองแสนที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ส่วนลุงชัยมีสภาพไม่ต่างกัน แกเดินเท้าเปล่ามาหาเรา ผมกอดลุงชัยเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ ครบแล้ว ผมบอกตัวเอง พวกเขาปลอดภัยแล้ว สบายใจได้แล้ว

“กู้ภัยบอกว่าดับไม่ได้เพราะเป็นไม้เกือบทุกหลัง ทำได้แค่สกัดไม่ให้ลามมากกว่านี้”

ลุงชัยบอกแล้วร้องไห้ เพื่อนบ้านของผมต่างพยายามให้กำลังใจกันและกันทั้งๆที่ตัวเองก็เสียขวัญ พี่ลีพูดว่าโชคดีที่เราไม่ตาย ของพวกนั้นเป็นของนอกกายยังทำงานสร้างใหม่ได้ แต่ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ แล้วลุงชื่นก็พูดต่อ ลุงชัยพูดต่อ ไอ้แดงเห่าต่อ สลับกันไปท่ามกลางความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นรอบตัว

ผมเหม่อมองเปลวไฟและความโกลาหลเบื้องหน้า ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่ลีเหมือนคนอื่นๆเพราะมันหมดแล้ว หมดทุกอย่าง ทั้งแม่และบ้าน

ชีวิตของนายก้องเกียรติจบสิ้นแล้ว




เมื่อคืนเราต้องขอพึ่งใบบุญวัด ชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันบริจาคเสื่อกับผ้าห่มให้เรานอนในศาลา ป้าเพ็ญคือคนเดียวที่เข้าโรงพยาบาล ส่วนพวกเราทั้งหมดปลอดภัยดี ทั้งพี่ลีกับแฟน ลุงชื่นกับป้าหมอน ลุงชัย ข้าวฟ่างกับเจ๊หมิว และไอ้แดง ไอ้หมาเวรที่ขนไหม้นิดหน่อย ทุกคนปลอดภัย ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีใครจากไป

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงเพราะแบตโทรศัพท์หมดตั้งแต่เมื่อคืน และไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบยืมใครนอกจากนอนตาค้างในศาลากับผู้ร่วมชะตากรรม พอฟ้าสางลุงชัยก็ลุกขึ้นนั่ง แกชวนเราไปสำรวจบ้านซึ่งกู้ภัยบอกว่าดับไฟได้แล้ว

ถ้าคิดว่าการเห็นไฟไหม้บ้านต่อหน้าต่อตาคือสิ่งที่สะเทือนใจที่สุด ผมขอบอกว่าการเห็นซากของมันต่างหากที่บีบคั้นความรู้สึกมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า เราเดินเท้าจากวัดกลับบ้าน พอเห็นซากที่เหลือจากการเผาไหม้ ทุกคนก็ร้องไห้ ทั้งพี่ลีและแฟน ทั้งลุงชื่นและป้าหมอน ลุงชัยที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ยังแอบปาดน้ำตาเมื่อเดินเข้ารั้วบ้านตัวเอง ส่วนผมว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไรนอกจากตื้อตันเหมือนโดนจับถ่วงน้ำจนหายใจไม่ออก

สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือรั้วอิฐบล็อกสีดำกับแผ่นไม้ปริแตกเพราะความร้อน ผมเดินเข้าบ้านพลางนึกว่าจุดนี้เคยเป็นอะไร ตรงนี้เคยเป็นกำแพง ตรงนี้เป็นประตูบ้าน ทางซ้ายคือบันได ทางขวาคือโซฟา เมื่อวานทุกอย่างยังมีอยู่ แต่วันนี้กลายเป็นเศษผงดำๆกองรวมกันบนพื้น บ้านผมเป็นไม้ทั้งหลังก็เลยเหลือแค่เสาบ้านกับบันได ไม่มีผนัง ไม่มีหลังคา ไม่มีชั้นสอง ไม่มีทีวี ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้กระทั่งอนุสรณ์ของแม่

ผมหยุดยืนจุดที่แม่จากไป จินตนาการถึงเชือกที่เคยมีอยู่ ผมพยายามมองหาแต่ไม่พบ ไม่มีคราบหรือร่องรอยของแม่หลงเหลือเลยซักนิด ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเทาตอนใกล้รุ่ง กลิ่นเหม็นไหม้ยังคงลอยคลุ้งทั่วโพรงจมูก ในเวลาแบบนี้ผมควรกำลังเปิดทีวีฟังข่าวพี่น้องไบรท์ ควรนอนบนพื้นชั้นสองของบ้าน ไม่ใช่เดินสำรวจหาแม่จากกองขี้เถ้าแบบนี้

เสียงร้องไห้ของเพื่อนบ้านดังมาเป็นระลอก ทุกคนต่างรำลึกความหลังและมองหาความหวังที่น่าจะหลงเหลือในกองเพลิง แต่ไม่มีใครหาเจอ ในซอยบ้านของเรา ไม่มีหลังไหนเหลือรอดเลย

“เมื่อกี๊เจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาบอกว่าไหม้เพราะโคมลอย”

เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ทุกคนรีบวิ่งไปหาผู้กระจายข่าวที่ยืนอยู่กลางซอยเพื่อถามไถ่ต้นเหตุของความบัดซบนี้

“แต่ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงลอยกระทง”
“คงมีใครทำบุญปล่อยโคมมั้ง”
“แล้วเราจะสืบหาตัวมันยังไง ให้ตำรวจตามมันมารับผิดชอบบ้านพวกเราได้ไหม?”
“เมื่อคืนกู้ภัยบอกให้แจ้งตำรวจก่อน เอาใบแจ้งความไปยื่นที่สำนักงานเขตแล้วค่อยไปกรมบรรเทาสาธารณภัยในซอยอารีย์ --”

พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างตั้งใจเมื่อใครคนหนึ่งบอกว่าเรายื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือจากทางรัฐได้ ผมฟังแต่ไม่เข้าร่วม ความเคียดแค้นก่อตัวขึ้นแทนความเสียใจเมื่อรู้ว่าไฟไหม้จนวอดทั้งซอยแค่เพราะโคมลอยอันเดียว

อย่าให้รู้นะว่าใคร

ผมกัดฟัน

ถ้าผมรู้ ผมจะฆ่ามัน ผมจะฆ่ามัน ผมจะฆ่าไอ้คนที่ปล่อยโคมลอย ผมพูดกับตัวเองในใจซ้ำๆแล้วเดินกลับวัดทั้งน้ำตา




ผมไม่รับรู้เวลาอีกเลยตั้งแต่เสียบ้านไป

สองวันแรกความช่วยเหลือจากชาวบ้านช่วยให้พวกเรามีชีวิตอยู่ได้ เราได้เสื้อผ้า ได้เครื่องนอน ได้รองเท้าใหม่ทดแทนคู่ที่ไหม้ไปพร้อมบ้าน ตอนอยู่วัด ทุกคนต่างให้กำลังใจกันและกัน หลวงพ่อเทศน์ให้ปลงในความไม่แน่นอนเพื่อช่วยปลอบอีกทาง ผมเองก็ร่วมวงกับพวกเขาและจำวรรคหนึ่งที่ท่านพูดได้

คนเรามาแต่ตัวไปแต่ตัว ทรัพย์สินเงินทองไม่จีรังยั่งยืน ไม่ตายก็หาใหม่ได้

ผมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคราวเดียวกัน ทรัพย์สินหาใหม่ได้ก็จริง แต่อนุสรณ์ของแม่หาใหม่ไม่ได้ มันคือความคิดขบถในหัวของเด็กอายุสิบเจ็ดที่กำลังเคว้งคว้างหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ศาสนาไม่ช่วยให้ความเศร้าของผมดีขึ้น คำให้กำลังใจของเพื่อนบ้านก็ไม่ช่วยให้ผมดีขึ้น อ้อมกอดของลุงชัย ลุงชื่น พี่ลี ข้าวฟ่าง แม้แต่ไอ้แดงที่เข้ามาอ้อนก็ไม่ช่วยให้ผมดีขึ้น ผมจมอยู่กับความสูญเสียทั้งวัน หวนคิดอาลัยอาวรร์ถึงแม่ คิดถึงบ้าน และกลัวอนาคตจนร้องไห้ตลอดเวลา

เข้าสู่วันที่สาม ทุกคนเริ่มแยกย้ายตามทางของตัวเอง เพราะผมไม่ใช่เด็กเล็กจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีใครเมตตาอุปการะพาไปอยู่ด้วย ยิ่งในภาวะที่หมดเนื้อหมดตัวกันแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องเลือกครอบครัวตัวเองก่อนด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าผมเข้าใจ แต่ความเข้าใจไม่ทำให้รู้สึกดีเลย

คนแรกที่ย้ายออกจากวัดคือพี่ลีกับแฟน แกจะไปอยู่ชั้นสองของร้านเบเกอรี่ซึ่งเป็นตึกคูหาเดียวและมีห้องนอนเดียว คนที่สองคือข้าวฟ่างกับเจ๊หมิว ทั้งสองคนจะอยู่ห้องเช่าของร้านเสริมสวยชั่วคราว เจ้าของร้านใจดีเลยให้พวกเขาพักฟรีจนกว่าจะตั้งตัวได้

คนที่สามคือลุงชื่นกับป้าหมอน ลูกสาวกับสามีที่เป็นข้าราชการขับรถกระบะมีหลังคาจากโคราชมารับถึงวัด วันนั้นผมรู้สึกแย่ที่สุดเพราะเห็นไอ้แดงได้นั่งรถไปกับลุงชื่นด้วย มันร้องหงิงๆดีใจเมื่อรู้ว่าสถานะของตัวเองไม่ได้กลายเป็นหมาวัด ลุงชื่นกับป้าหมอนรักมันมากจนทิ้งไม่ลง แกบอกว่าจะพาไปอยู่บ้าน จะเลี้ยงอย่างดีเพราะบ้านลูกสาวที่โคราชมีสนามหญ้าให้วิ่งเล่นเป็นไร่ๆ

“ดีจังเลยแดง”

ผมบอกขณะลูบหัวหมาไทยพันธุ์ทางสีน้ำตาลแดงเบาๆ ร้อยวันพันปีเราไม่เคยญาติดีกันเพราะไอ้แดงประจบทุกคนยกเว้นผม ส่วนผมหมั่นไส้มันที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตัวจึงไม่อยากผูกมิตรเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าถึงเวลาต้องแยกกัน ไอ้แดงกลับเข้าหาผมราวกับจะบอกลา

“ไปอยู่โคราชก็อาบน้ำบ่อยๆนะ เหม็นสาบ”

มันร้องหงิง กระดิกหางแล้วเอาคางมาเกยเข่า ไอ้หมาเวรเอ๊ย รู้ว่าตัวเองเหม็นก็ยังจะเข้ามาใกล้อีก ท่าทางไม่ได้สำเหนียกฟังสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปเลย

“ทำตัวดีๆด้วย อย่าหยิ่งกับลูกลุงชื่นล่ะ เดี๋ยวจะโดนทิ้งให้เป็นหมาเฝ้าสวน”

ผมพูดต่อ เริ่มรังเกียจความสากที่ติดมือเพราะไอ้แดงไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่ปีใหม่ คราวนี้มันครางงื้ดเสียงยาว คงกำลังปลอบหรือไม่ก็กำลังด่าผมอยู่ ต้องเป็นอย่างหลังแน่ๆ เพราะไอ้แดงไม่มีทางคิดอะไรดีๆเหมือนหมาทั่วไปหรอก

พอถึงเวลาพวกเขาก็ไป ผมมองรถกระบะของลุงชื่นหายออกจากวัดจนลับสายตา ลุงชัยคือคนเดียวที่ยังอยู่วัดเพราะแกไม่มีใคร แกเลิกกับเมียและไม่ติดต่อพี่น้องมายี่สิบกว่าปีแล้ว ลุงบอกว่าถ้าวิ่งวินได้เงินก้อนใหญ่เมื่อไหร่จะย้ายไปอยู่ห้องเช่าและจะพาผมไปด้วย แต่ตอนนี้เราคงต้องพึ่งใบบุญของหลวงพ่อไปก่อน

ดังนั้นสถานะของผมจึงกลายเป็นเด็กวัดโดยสมบูรณ์ ผมต้องย้ายจากศาลาไปนอนห้องรวมที่มีเด็กผู้ชายห้าคน กำลังเรียนประถมสามคน มัธยมหนึ่งคน แก่กว่าผมหนึ่งคน พวกเขาพยายามปลอบใจด้วยการบอกข้อดีของการเป็นเด็กวัดแต่ผมเข้าไม่ถึงเลย

“แมวที่วัดเราดีนะ น่ารักทุกตัว ขี้อ้อนด้วย ตัวนั้นชื่อส้ม ตัวนี้ชื่อสีนวล ส่วนตัวดำๆนั่นชื่อปลานิล เป็นลูกรักหลวงพ่อแต่ก้องจะไปอุ้มมาเล่นที่ห้องก็ได้”

ผมไม่ชอบแมว

“เซเว่นอยู่ไม่ไกล หิวเมื่อไหร่เดินออกไปซื้อของกินได้ตลอด แถมหลังวัดก็มีตลาดทุกวันพุธด้วย ของกินเพียบ ไม่ต้องกลัวอดอยาก”

ผมไม่มีกะจิตกะใจจะกิน โดยเฉพาะหลังไฟไหม้บ้านตัวเองเมื่อวันก่อน

“แต่หลวงพ่อใจดีมากนะ เวลามีคนถวายขนมเค้ก หลวงพ่อยกให้พวกเราหมดเลย”

น่าดีใจตรงไหน ก็แค่เค้ก ผมเคยกินของอร่อยกว่านั้นมาตั้งเยอะ

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคดีที่พระท่านเมตตาให้ที่ซุกหัวนอน ผมคิดแค่ว่าทำไมวันนั้นไม่กลับให้เร็วกว่านี้ ถ้ากลับตามเวลาปกติคงได้ตายสมใจ แถมเป็นการตายที่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเผาศพด้วย พอนึกถึงวันนั้น ผมก็นึกถึงพี่อู๋ วันก่อนผมมัวแต่ยุ่งเรื่องที่ซุกหัวนอนเลยไม่ได้โทรบอกเขา ป่านนี้กล่องข้อความคงระเบิดแล้วแน่ๆ เขามักจะทำอย่างนั้นถ้าผมไม่ยอมรับสาย ยิ่งหายไปสามวันแบบนี้ ต้องยิ่งโทรมาเป็นร้อยสายแน่นอน

ผมขอยืมสายชาร์ตของพี่บอลซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อายุเยอะสุดในวัด เมื่อหน้าจอสว่างก็นั่งรอข้อความจากพี่อู๋แต่มันว่างเปล่า ไม่มีการแจ้งเตือนบอกว่าเบอร์พี่อู๋พยายามติดต่อมาแต่อย่างใด เขาไม่ได้โทรหาผมเลยนับจากวันสุดท้ายที่เราเจอกัน

พี่อู๋อาจจะยุ่งอยู่

วันนั้นเขาบอกว่ารีบกลับเพราะมีเรื่องด่วน บางทีอาจเป็นครอบครัวของเขา เป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นใครซักคนที่สำคัญกว่านายก้องเกียรติ น่าแปลกที่ครั้งหนึ่งผมเคยอยากให้พี่อู๋ออกไปจากชีวิต พอเขาหายไปจริงๆกลับรู้สึกเหมือนถูกทิ้งทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นญาติกัน พี่อู๋ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตผมด้วยซ้ำ แต่การหายไปของเขาทำให้ผมจมดิ่งในความโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิม

ไม่เหลือใครแล้ว

ผมร้องไห้เงียบๆในห้องนอนที่ต้องแชร์ร่วมกับคนอื่น ใช้เวลาทำใจอยู่นานจนเด็กคนหนึ่งเปิดประตูเรียกให้ไปกวาดลานวัด เมื่อเห็นผมกำลังร้องไห้ เขาก็จากไปโดยบอกว่าวันนี้จะกวาดให้ก่อน พรุ่งนี้ผมค่อยกวาดแทน

สิ่งที่พี่อู๋ทำส่งผลต่ออารมณ์ของผมมาก มันเจ็บยิ่งกว่าหัวใจสลาย เจ็บยิ่งกว่าเห็นบ้านกลายเป็นขี้เถ้าเพราะมันคือการถูกทิ้งครั้งที่สอง ผมถูกทิ้งอีกแล้ว แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่าคือการที่พี่อู๋ไม่บอกเหตุผลว่าทำไมไม่ติดต่อกลับมา ความคลุมเครือของเขาทำให้ผมเห็นภาพซ้อนของแม่ พี่อู๋เหมือนแม่ตรงที่ไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไม ทำไมถึงทิ้งผมไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ





วันที่สี่ พี่บอลเล่นมุกว่าผมควรรับจ้างร้องไห้หน้าโลง เพราะสภาพผมตอนนี้ดูเศร้าและชวนหดหู่ยิ่งกว่าญาติคนตายเสียอีก

เย็นนี้มีงานศพคืนแรกของอดีตนักการเมือง ที่วัดจึงวุ่นวายเป็นพิเศษเพราะต้องเตรียมงานใหญ่โต ผมกับเด็กวัดคนอื่นๆถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยจัดสถานที่ หลังจัดเก้าอี้ห้าร้อยตัวเรียบร้อย เจ้าภาพก็บอกว่าถ้าอยู่ช่วยจนจบงานจะให้เงินพิเศษ ทุกคนดีใจที่ได้เงินเพิ่ม ผมเองก็ดีใจเพราะจะได้มีเงินจ่ายค่าน้ำมันเผาศพล่วงหน้าให้ตัวเองเสียที

ลุงชัยก็มาช่วยโรงครัวทำกับข้าวเหมือนกัน ช่วงนี้ลุงยุ่งๆเลยไม่มีเวลาใส่ใจผมเท่าไหร่ วันนึงเราเจอกันแค่ช่วงเช้า ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเดินตามหลวงพ่อไปบิณฑบาต ส่วนลุงก็วิ่งวินหาเงินจ่ายค่ามัดจำบ้านเช่า กว่าลุงจะกลับก็สองสามทุ่ม ตอนนั้นผมเก็บตัวใต้ผ้าห่มแล้ว ทุกคนคิดว่าผมเป็นพวกนอนเร็ว แต่เปล่าเลย ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมหลับวันละสองสามชั่วโมง ที่เห็นนอนใต้ผ้าห่มก็แค่หาที่ส่วนตัวเพื่อร้องไห้เท่านั้น

การช่วยงานศพทำให้ผมได้ขบคิดหลายๆอย่าง ระหว่างเดินเสิร์ฟของว่าง ผมแอบชำเลืองมองบรรยากาศโดยรอบ วงดนตรีไทยบรรเลงเพลงโศก ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยเดินเข้ามาร่วมแสดงความเสียใจกับญาติๆ หลังจากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารที่เจ้าภาพเตรียมให้ ฟังพระสวดอีกนิดหน่อย แยกย้ายกันเมื่อบทสวดจบ การเห็นภาพพวกนี้ทำให้ผมได้ข้อสรุปกับตัวเอง งานศพคืองานฉลองสุดท้ายของคนตาย

ต่อให้บรรยากาศจะเศร้าแค่ไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคล้ายงานเลี้ยงขนาดย่อม มีทั้งดนตรี มีอาหาร มีการพบปะพูดคุย มีการประดับตกแต่งดอกไม้หน้าโลงศพ แถมยังมีพวงหรีดและพัดลมที่แขกนำมาถวายอีก งานศพจึงเปรียบเหมือนงานฉลองสุดท้ายของชีวิตซึ่งผมมองว่าเป็นงานเลี้ยงที่ถูกคุมโทนให้สวมชุดขาวดำ แต่จริงๆแล้วคือการสังสรรค์อำลาคนตายเพื่อให้คนเป็นสบายใจต่างหาก

ผมกำลังจินตนาการว่าตัวเองคือคนที่นอนในโลงแทนอดีตนักการเมือง ในนั้นคงเย็นมาก คงหนวกหูเสียงพูดคุยจอแจของแขกที่มาร่วมงาน แถมกลิ่นธูปกับดอกไม้สดก็ตีผสมกันจนคลื่นไส้ แต่อย่างน้อยก็เป็นงานสังสรรค์ที่ดีเพราะอดีตนักการเมืองคนนี้ยังมีญาติมิตรที่คิดถึง ในขณะที่ผมไม่มีใคร เพื่อนบ้านแยกย้ายไปหมดแล้ว ส่วนผมไม่เป็นที่ต้องการ ไม่สามารถไปอยู่กับใครได้เพราะเป็นส่วนเกิน

แล้วจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

ผมถามตัวเอง ความคิดฆ่าตัวตายเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่องานศพดำเนินมาถึงตอนจบ เจ้าภาพเรียกพวกเราไปรวมตัวด้านในเพื่อให้ซองทุกคนที่มาช่วยงาน ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเตรียมหันหลังกลับ แต่คุณน้าที่เป็นลูกสาวคนตายก็จับแขนผมเอาไว้

“น้องไม่สบายหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้างุนงง ต่อให้เด็กวัดไม่สบายก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้าภาพเสียหน่อย ไม่รู้จะใส่ใจทำไม ผมยกมือไหว้แล้วขอตัวกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนเด็กวัดคนอื่นๆตามพี่บอลไปซื้อขนมที่เซเว่น เขาถามผมว่าอยากได้ขนมไหม ผมตอบว่าไม่ ผมไม่อยากกินอะไร ผมอยากปล่อยให้กระเพาะอาหารว่างจะได้ดูดซึมง่ายๆ

พวกเขาวิ่งไปเซเว่นอย่างเริงร่า ปล่อยให้ผมได้ใช้เวลาวางแผนเงียบๆคนเดียวในห้อง ผมหยิบสมบัติหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้มาถือ กระเป๋าผ้าเขรอะฝุ่นใบนี้มีสิ่งที่จะช่วยปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระ ยานอนหลับสองแผงสำหรับสองอาทิตย์ร่วงหล่นลงตรงหน้า ผมอ่านชื่อตัวยาบนแผ่นฟอยล์

ผมไม่รู้หรอกว่ายานี่แรงพอที่จะช่วยส่งผมไปเจอแม่ได้หรือไม่ แต่ยี่สิบเม็ดคงทำให้ได้หลับยาวสมใจแน่ๆ ผมแกะมันออกจากแผงหมดรวดเดียว ยัดยาทรงกลมเม็ดเล็กสีขาวใส่ปากแล้วกระดกน้ำตาม จังหวะนั้นผมไม่คิดอะไรนอกจากอยากหลุดพ้นจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมแค่อยากพักจากทุกอย่าง อยากลืมว่าถูกทิ้ง ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว

น่าแปลกที่ผมร้องไห้โฮเมื่อกินยาทุกเม็ดจนหมดเกลี้ยง ไม่ได้ร้องเพราะกลัวตาย แต่ร้องไห้เพราะต้องเขียนจดหมายลาตายของตัวเองต่างหาก ผมหยิบกระดาษกับปากกาที่หมอให้ขึ้นมา บรรจงเขียนอย่างตั้งใจเพื่อส่งความปรารถนาสุดท้ายถึงทุกคน

ช่วยสงเคราะห์ค่าเผาศพให้หน่อยครับ เผาเสร็จแล้วจะทำอะไรก็ได้ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือจนถึงวันนี้ครับ ลงชื่อ ก้องเกียรติ

หยดน้ำตาพรั่งพรูราวกับรู้ว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่จะได้ร้องไห้ ผมพับจดหมายวางข้างหมอนแล้วล้มตัวลงนอน ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันทำให้ร่างกายหนักอึ้ง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ทุกอย่างก็มืดสนิท นายก้องเกียรติพร้อมจะออกตามหาแม่แล้วครับ




เสียงเอะอะตึงตังปลุกให้ผมรู้สึกตัว แต่ไม่ใช่การรับรู้แบบเต็มร้อย แค่ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมห้องดังแว่วมาเท่านั้น

“ก้อง! มีคนมาหา!”

พี่บอลเรียก เขาเขย่าตัวผมจนต้องลืมตาทั้งๆที่มึนสุดขีด ทันทีที่เห็นหน้าพี่บอลผมก็ขมวดคิ้ว ผมควรเจอแม่ เจอยมทูต หรือใครซักคนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมห้อง แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงเห็นพวกเขาถือถุงซาลาเปาเซเว่นกับไอศกรีมแท่ง ทำไมผมยังอยู่ในห้องเดิม ทำไมยังได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของพัดลมเหมือนเดิมราวกับแค่งีบหลับไปไม่นาน

“ก้อง! ไปเจอพี่เขาก่อนแล้วค่อยมานอนต่อก็ได้ เร็วๆเลย”

เสียงตำหนิของพี่บอลผ่านเข้าหู ผมพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลก่อนจะถามเขาว่าใคร พี่บอกบอกว่าไม่รู้ เป็นผู้ชายตัวสูงๆใส่ชุดสีชมพู เดินถามหาก้องมาสิบนาทีแล้ว

หรือจะเป็นยมทูต

ผมเดา

ยมทูตยุคใหม่ที่สวมเสื้อสีชมพู

ผมทึกทักเอาเองว่านี่คือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างความเป็นกับความตาย สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการเดินไปหายมทูตแล้วขอร้องให้เขาพาผมไปไกลๆจากที่นี่เสียที ดังนั้นผมจึงพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็มึนมากจนเซล้มอยู่หลายครั้งกว่าจะถึงประตู

ผมได้ยินเสียงพี่บอลคุยกับใครซักคนอยู่หน้าห้อง เริ่มสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ยมทูตสื่อสารกับเด็กวัดได้ด้วยเหรอ ผมใช้มือเปิดประตูก่อนจะหน้าคว่ำลงไปกองบนพื้นดัง ตุ้บ! แรงกระแทกไม่ทำให้เจ็บเท่าไหร่ ผมแค่รู้สึกง่วงนอนมากๆแต่ยังรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวบ้าง

ง่วงจัง

ผมคิดพร้อมกับพยายามลุกขึ้น แล้วก็ล้มหัวโขกพื้นอีกครั้ง

ไม่ไหว ผมเดินต่อไปไม่ไหว
สงสัยต้องนอนก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอยมทูตก็ได้

“ก้อง!”

ทำไมได้ยินเสียงของพี่อู๋เรียกชื่อผม

“ก้อง! ก้องเป็นอะไร!”

ผมถอนหายใจอย่างรำคาญ แม้แต่ตอนตายเขายังขัดขวางการนอนของผม ระหว่างที่กำลังด่าพี่อู๋ในใจ ใครบางคนก็พลิกตัวให้ผมนอนหงาย เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่และสวมเสื้อสีชมพูเหมือนที่พี่บอลว่า ผมคิดว่ายมทูตจะใจเย็นกว่านี้แต่เปล่าเลย เขาร้องโหวกเหวกโวยวายเสียงดังเหมือนพี่อู๋ ไม่เห็นสุขุมเยือกเย็นอย่างที่คิด

“เงียบ รำคาญ”

ผมพึมพำ ยมทูตที่เสียงคล้ายพี่อู๋พยายามหิ้วผมไปที่ไหนซักแห่ง ผมคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นพาหนะสำหรับรับส่งวิญญาณ แต่แปลกใจที่มันเบาะนั่งของมันดูเหมือนวีออสของพี่อู๋เปี๊ยบเลย ผมอยากอ้าปากถามยมทูตว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช้วัวเทียมเกวียนกันมารับวิญญาณแล้วเหรอ แต่สุดท้ายความง่วงก็เป็นฝ่ายชนะ ผมหลับสนิทโดยยังไม่ทันรู้เลยว่ายมทูตชื่ออะไร




TBC

----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้น้องก้องเกียรติยี่สิบเม็ดหน่อยนะคะ ♡


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 17-10-2018 19:49:21
น้องก้องลูกกกก อยากจะจับมาหอมหัว ฮือ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเหลือเกิน
พี่อู๋ช่วยน้องทันใช่ไหม พาไปโรงพยาบาลเลย บ้านก็ไม่มี โรคก็กระหน่ำ
เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สู้หน่อยนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 18-10-2018 04:49:06
ก้องงงงงงง  :katai1: ขอให้ช่วยน้องทัน

เคยอ่านหนังสือชีวประวัติใครสักคนผ่านๆ เขาพูดคล้ายๆน้องตรงนี้เลย ตัวคนเล่าเจอเรื่องต่างๆประดังประเดจนปวดหัวไปหมด เลยเทยาแก้ปวดซัดไปทั้งกำมือ กะว่ากินเผื่อทั้งชีวิต จะได้ไม่ต้องปวดหัวอีก เหมือนตลกแต่เศร้ามากเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 18-10-2018 14:43:53
มาตามค่า เป็นกะลังใจให้น้องก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: UnisonMinor ที่ 18-10-2018 23:15:49
เป็นกำลังใจให้น้องก้อง  :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 19-10-2018 10:03:42
เป็นเรื่องเศร้า ที่อ่านได้แบบเพลิน ๆ ที่สุดเลย

น้องก้องน่ารักมาก เป็นคนอยากตายที่บ่นขิงบ่นข่าอะไรไปเรื่อยตลอดเวลา  :m20:

อ่านไปแบบ..ขำไปเรื่อยตลอดทาง คนอ่านเลยไม่ทรมานสักเท่าไร :serius2:

รอตอนต่อไปนะฮับ  :m1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 19-10-2018 15:37:20
น้องงงงงงงงงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-10-2018 23:46:19
รออ่านต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องก้องได้กลับมามีความสุขในชีวิตอีกครั้งค่ะ อ่านไปเครียดไปแต่เพลินมากค่ะ น่าติดตามมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 5 update!] (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2018 21:58:50
 :mew6:

 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-10-2018 22:19:58
06

ผมไม่ได้เสียการรับรู้ทั้งหมดซะทีเดียว ทุกอย่างพร่ามัวและตัดไปมาเหมือนกึ่งกลับกึ่งตื่น ผมรับรู้ว่าตัวเองถูกอุ้มวางทิ้งที่ไหนซักแห่ง ได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจดังปิ๊บๆ ได้ยินเพลงเบบี้ชาร์คสลับกับเสียงกรีดร้องของเด็ก ผมมั่นใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในนรก การหลับโดยมีเด็กร้องกรี๊ดข้างๆต้องเป็นหนึ่งในการชดใช้กรรมแน่ๆ

แสงสีขาวสว่างจ้ารบกวนการตายของผมมาก ผมบอกให้ยมบาลปิดไฟ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ฟังคำขอเท่าไหร่ ที่น่าแปลกอีกอย่างคืออุณหภูมิรอบตัวเย็นจนผมตัวสั่น ไม่นานนักใครซักคนก็ห่มผ้าให้ เดี๋ยวนี้ยมโลกเขาเซอร์วิสคนตายกันแบบนี้แล้วเหรอ

“หนาว”

ผมทำปากขมุบขมิบ ยมทูตดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอราวกับรู้ใจ คราวนี้ผมได้ยินเสียงรถเข็นและเห็นเงาลางๆ พวกเขาแวะมาดูผม พูดกับยมทูตเสื้อสีชมพู แล้วก็ชวนผมคุย ผมไม่รู้ว่ายมทูตในนรกต้องการอะไร ผมแค่อยากขอให้พวกเขาทิ้งผมไว้ตรงนี้และช่วยปิดเพลงเบบี้ชาร์คให้หน่อย ส่วนคุณจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่ายุ่งกับผมนักเลย ตื่นเมื่อไหร่จะไปต่อแถวชดใช้กรรมเอง

“ก้อง --”

เสียงพี่อู๋อีกแล้ว

“-- บัตรประชาชนก้อง --”

ขนาดตายแล้วยังจะขอดูบัตรประชาชนอีก

ผมส่ายหน้า ไม่รับรู้ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะรู้สึกง่วงเกินว่าจะตอบคำถาม ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่อีกไม่กี่อึดใจหลังจากยมทูตเสื้อชมพูยกมือขึ้นลูบหัวผม การรับรู้ทุกอย่างก็ดับวูบลง




 ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน ทุกอย่างล่องลอยและเลือนรางจนแยกไม่ออกว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

มันเหมือนภาพเบลอๆพร่ามัว ผมรับรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ซักพักพี่อู๋ก็เดินเข้ามาหา เขาพาผมไปฉี่ในห้องน้ำ ประคองผมแน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ลากเสาอะไรซักอย่างไปพร้อมกัน ตอนนั้นผมทรงตัวไม่ได้เลย เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกหายไปจนทุกอย่างกลับทิศกลับทางไปหมด ผมไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้แม้กระทั่งกางเกงของตัวเอง และแน่นอนว่าคนที่ช่วยปลดกางเกงและทำภาระกิจให้ลุล่วงคือพี่อู๋ ผมไม่เข้าใจว่าเขามายุ่งกับมินิก้องทำไม หรือผมหมกมุ่นคิดถึงเขามากเกินไปจนเก็บมาฝันลามกแบบนี้

“ก้อง --”

พี่อู๋เรียกชื่อผม

“ก้อง --”

ตอนยังมีชีวิต งานอดิเรกของพี่อู๋คือการเรียกนายก้องเกียรติแบบไม่มีเหตุผล แม้กระทั่งตอนตาย เสียงของเขายังตามหลอกหลอนจนผมสับสน แต่ความอุ่นจากตัวของพี่อู๋ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่นี่คือนรกจริงๆหรือผมแค่หลับอยู่บนบ้าน แล้วพี่อู๋ก็แวะมาหา แวะมากวนประสาทด้วยการเรียก ก้อง ก้อง ก้อง อยู่ข้างหู

“พี่อู๋?” ผมถาม รู้สึกลำคอแห้งผากชอบกล
“ใช่ พี่เอง”
“อือ”

ผมขานเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะดูดน้ำจากหลอดที่พี่อู๋ส่งให้ แล้วล้มตัวลงนอนเพื่อหลับยาวอีกครั้ง




ลุงก็ชัยมาที่นี่ ผมได้ยินเสียงของลุงดังอยู่ไม่ไกลแต่ขี้เกียจลืมตา ผมได้ยินลุงกับพี่อู๋คุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายกับอนาคตของนายก้องเกียรติ บทสนทนาของพวกเขาขาดๆหายๆเพราะยังเบลออยู่ ที่แน่ๆผมได้ยินลุงชัยบอกว่าแกมีเงินไม่พอ ใจความหลักคือแค่นั้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมไม่รู้แล้ว

หลังจากหลับๆตื่นๆเกือบสามวัน เช้าวันที่สี่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ที่นี่ไม่ใช่นรก แต่เป็นห้องเดี่ยวของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ราคาแพงเกินกว่าคนไร้บ้านจะจ่ายไหว

คนแรกที่เห็นหลังลืมตาคือพยาบาล คนที่สองคือหมอ คนที่สามคือคุณป้าทำความสะอาด ผมรู้สึกเวียนหัวและสับสนมากจนไม่รู้จะถามอะไรจึงทำได้แค่นอนเบลอบนเตียง มองฝ้าเพดานสีขาวพร้อมกับฟังเสียงข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้ามา เธอวางถาดข้าวให้ผมแล้วเดินจากไป

กับข้าวในโรงพยาบาลมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมไม่มีอารมณ์จะเปิดฝาถ้วยด้วยซ้ำ ผมเอาแต่เหม่อมองข้างหน้า ชักสงสัยว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยทิ้งกลางทะเล มันเลื่อนลอยไม่เห็นจุดหมายและไม่มีเรื่องให้คิดเลยนอกจากนอนเฉยๆจนเวลาผ่านไปถึงตอนบ่าย พี่อู๋เปิดประตูห้องเข้ามาในจังหวะที่ผมกำลังแกะสายน้ำเกลือพอดี เขาอุทานเสียงดังด้วยความตกใจแล้วรวบมือผมให้ห่างจากเข็มบนหลังมือ

“ก้องจะทำอะไร?”
“มันคัน” ผมตอบ ไม่เข้าใจว่าการเกาเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน

พี่อู๋รีบยกมือซ้ายของผมไปดูใกล้ๆ มีเลือดซึมออกมาตามสายเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างยังปกติดี เข็มยังปลอดภัย ไม่โดนนายก้องเกียรติกระชากออกอย่างที่คิด

“พยาบาลบอกว่าก้องตื่นแต่เช้าเลย”

อืม เหรอ

“เป็นไงบ้าง? อยากอ้วกไหม?”

คลื่นไส้นิดหน่อย แต่ทนไหว

“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง? ก้องหลับไปตั้งสามวัน ต้องกินข้าวบ้างนะ”

ก็คนมันไม่หิว จะบังคับอะไรนักหนา

“ก้อง”

อะไรอีก

“ทำไมไม่ตอบคำถามพี่?”

ผมขมวดคิ้วมุ่น งุนงงว่าทำไมพี่อู๋หาว่าไม่ยอมตอบคำถาม ผมกระพริบตาช้าๆ ยังคงมึนอึนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพูดเลย แต่ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกผมว่าไม่เป็นไร นอนพักอีกหน่อยเราค่อยคุยกันเรื่องบ้านก็ได้

บ้านทำไม?

ผมสงสัย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไฟไหม้บ้าน แต่ถามว่าไหม้วันไหนนี่ไม่รู้ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้แค่ว่าตัวเองชื่อก้องเกียรติ แม่ตายแล้ว บ้านไฟไหม้แล้ว และผู้ชายที่ยืนข้างเตียงชื่ออู๋ ชื่อจริงคืออะไรไม่รู้ แต่เขาเคยบอกว่าชื่ออุรัสยา

“พักเยอะๆนะ”

ผมเอนตัวนอนราบทันที ไม่อยากรับรู้หรือปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น พี่อู๋กดรีโมตเบาเสียงทีวี เขาไม่ได้ยืนข้างเตียงแล้ว แต่ไปนั่งเล่นโทรศัพท์บนโซฟาแทน เขาปล่อยให้ทุกอย่างนิ่งสงบอยู่ชั่วครู่ ผมหลับอีกครั้ง




นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที

ผมตื่นเพราะพยาบาลเข้ามาวัดความดัน ผมถามเธอว่าขอกินข้าวหน่อยได้ไหม ผมนอนยาวตั้งแต่ช่วงบ่าย หิวมาก ยังไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นพยาบาลจึงช่วยจัดหาอาหารและประคองให้นั่งบนเตียง พอเห็นผมนั่งเหม่อ เธอก็ถามว่าต้องการให้ป้อนไหม ผมส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไร แต่ก่อนออกไปช่วยเปิดทีวีให้ด้วย

“ปุ่มเรียกพยาบาลอยู่ข้างเตียง ถ้าต้องการความช่วยเหลือกดเรียกได้ตลอดเวลานะคะ”

เธอวางรีโมตลงข้างมือแล้วเดินออกจากห้องไป เสียงละครภาคค่ำดังขึ้น ผมตักข้าวเข้าปากคำแรก เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืนลงคอ มันเจ็บ คอของผมเจ็บเหมือนโดนบีบจนช้ำ ผมฝืนใจกินอีกคำก่อนจะวางช้อน กดปุ่มเรียกพยาบาลขอให้เธอช่วยเป็นธุระพาไปเข้าห้องน้ำหน่อย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบนาที

ละครหลังข่าวจบแล้ว ผมนั่งเหม่อบนเตียงโดยมีเสียงรายงานข่าวของคุณกิตติอยู่เป็นเพื่อนยามดึก ผมเพิ่งรู้ว่าพี่อู๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเขากลับไปเมื่อไหร่ แต่ลืมตาอีกทีทั้งห้องก็มีแค่ผมคนเดียว ลึกๆผมค่อนข้างเสียใจที่ตื่นมาไม่เจอใคร แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความโดดเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตั้งแต่แรก ผมไม่เคยมีใครอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับความรู้สึกนี้เสียที




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสิบสองนาที

หมอขึ้นตรวจรอบเช้า เขาบอกว่าถ้าคืนนี้ไม่มีอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้

ผมไม่ดีใจซักนิดเมื่อได้ยินคำว่ากลับบ้าน ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในห้วงของความว่างเปล่าเป็นชั่วโมงๆจนกระทั่งพี่อู๋มา เขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกับถุงสีขาวที่มีคำว่า mk แปะอยู่ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะได้กินของอร่อยอีกแล้ว

“ตื่นนานหรือยังก้อง พี่ซื้อเป็ดย่างกับหมี่หยกมาฝาก”

ผมมองพี่อู๋จัดแจงวางกล่องพลาสติกลงบนโต๊ะเรียบร้อย เมื่อเห็นท่าทางเพลียๆไม่มีแรง พี่อู๋ก็ช่วยป้อนให้

ผมไม่ปฎิเสธเมื่อบะหมี่สีเขียวกับเป็ดย่างถูกคีบจ่อตรงปาก ผมอ้าปากรับเอาความอร่อยเข้าไปเต็มคำจนเส้นหมี่ล้นออกมา พี่อู๋หยิบทิชชู่เช็ดให้ทันที แล้วเขาก็ป้อนผมอยู่แบบนั้นจนบะหมี่หมดไปครึ่งกล่อง ผมเบือนหน้าหนีเมื่อพี่อู๋พูดว่าคำสุดท้าย คำสุดท้าย โกหกเถอะ คำสุดท้ายไม่มีอยู่จริง ผมกินคำสุดท้ายของเขามาสี่ครั้งแล้ว

“หมอบอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้”
“พี่รู้แล้ว” พี่อู๋ดูดนิ้ว เขากินเลอะเทอะยิ่งกว่าผมเสียอีก “พรุ่งนี้พี่จะมารับแต่เช้าเลย”

เหรอครับ แล้วไงต่อ?
มารับผม -- แล้วยังไงต่อ

ผมต้องกลับไปอยู่วัด ต้องตื่นไปบิณฑบาตกับหลวงตาและใช้ชีวิตตามรอยพี่บอลใช่ไหม หลังจากนั้นผมจะอยู่กับใคร พี่อู๋จะมาหาผมที่วัดเหมือนที่เคยไปหาถึงบ้านไหม แล้วนัดของหมอล่ะ นัดวันพุธที่เขาพาไปตลอดต้องยกเลิกหรือเปล่า ผมอยากให้ใครซักคนพูดว่าสถานะของผมคืออะไร อย่างน้อยขอแค่บอกให้รู้ว่าชีวิตผมควรอยู่ตรงไหน ผมจะได้คิดต่อ

พี่อู๋ไม่ยอมบอกหรือเล่าอะไรให้ฟัง แม้แต่เหตุผลที่การขาดการติดต่อไปสี่ห้าวันก็ไม่บอก เหมือนเขามาที่นี่เพื่อเอาเอ็มเคมาฝากและนอนคลุมโปงบนโซฟา ผมถามเขาว่าเหนื่อยเหรอ พี่อู๋ถอนหายใจ

“ง่วงเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”

เขาโกหก ผมรู้ สีหน้าของพี่อู๋มีแต่ความเหนื่อยหน่าย การดูแลเด็กประสาทแดกทั้งๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวคงทำให้เขาลังเล ผมว่าตอนนี้คือรอยต่อระหว่างจะทิ้งหรือเลี้ยงไว้ แต่คิดแล้วก็ขำตัวเอง นายก้องเกียรติเหมือนหมาวัดที่รอคนอุ้มกลับบ้านไม่มีผิด

เราอึดอัดกันอยู่นานจนช่วงบ่ายสามลุงชัยก็เปิดประตูเข้ามา สีหน้าของลุงไม่ค่อยดีเหมือนกัน ผมถามลุงว่าสบายดีไหม แวะมาหากันแบบนี้ไม่เสียเวลาวิ่งวินเหรอ ลุงชัยอ้ำๆอึ้งๆ ลังเลที่จะบอกจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือแก ลุงถึงได้พูดออกมา

ผมรับฟัง แต่ยังจับใจความไม่ได้ ลุงชัยมาที่นี่เพื่อเอาสมบัติสุดท้ายของผมมาให้ กระเป๋าผ้าเลอะๆหนึ่งใบ โทรศัพท์มือถือกับปากกาหนึ่งแท่ง ส่วนยาของสมเด็จเจ้าพระยาพี่อู๋เอามาตั้งแต่วันแรกแล้ว เขาฝากไว้กับพยาบาลเพื่อให้ผมกินเป็นเวลา

“ถ้าลุงรวย ลุงคงเลี้ยงเอ็งได้ แต่ตอนนี้ลุงก็ไม่เหลือเก็บเลยเหมือนกัน”

ครับ ผมเข้าใจ

“อย่าน้อยใจล่ะ”

ไม่ ไม่หรอก ผมจะน้อยใจลุงได้ยังไง ลุงดีกับผมจะตาย

ลุงชัยดึงผมเข้าไปกอด กลิ่นเหงื่อจากตัวของลุงบ่งบอกถึงการทำงานหนักแลกเงิน มันคือความขัดสนของชนชั้นล่างที่แค่ตัวเองยังเอาไม่รอด ถ้าต้องเลี้ยงคนป่วยจิตอีกคน ลุงคงไม่มีวันได้เริ่มใหม่แน่ๆ

“คุณอู๋คงเลี้ยงเอ็งดีกว่าลุง”

แหม เรียกคุณอู๋ด้วย

“เริ่มต้นกันใหม่นะก้อง ไม่ใช่แค่เอ็งที่ไม่เหลืออะไร ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่าท้อเพราะอุปสรรคแค่นี้ --”

บลา บลา บลา

ลุงชัยรู้แล้วว่าผมป่วยก็เลยพูดเสียยืดยาว ผมจึงปล่อยเบลอด้วยการเปิดวาร์ปไปอยู่ที่อื่นซักพัก ผมอยากบอกลุงว่าไม่ต้องอธิบายหรอก ผมเข้าใจดี เข้าใจทุกอย่างที่ลุงกำลังจะสื่อผ่านน้ำเสียงและท่าทางรู้สึกผิด ผมอยากบอกลุงว่าไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ แต่ก็อดน้อยใจชีวิตบัดซบของตัวเองไม่ได้

“พรุ่งนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแวะไปกราบขอบคุณหลวงพ่อด้วยนะ”

ผมพยักหน้า แต่ลุงชัยยังไม่เดินออกจากห้อง แกล้วงหยิบเอากระเป๋าสตางค์แล้วส่งธนบัตรสีม่วงให้ผม

“ลุงมีแค่นี้แต่อยากให้เอ็งไว้กินไว้ใช้”

ผมก้มมองมือแห้งสากของลุงชัยที่บีบมือผมแน่น ธนบัตรยับยู่ยี่เมื่อลุงพยายามดันมันเข้ามาในฝ่ามือเพื่อบังคับทางอ้อมให้รับเงินไป

“โทรมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ”

ลุงทิ้งท้าย ผมยกมือไหว้แล้วพูดขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาครับ ผมพูดแค่นั้นจริงๆ แต่ลุงชัยกลับบ่อน้ำตาแตกจนต้องเดินมากอดอีกรอบ

“โชคดีก้อง โชคดี”

ลุงตบหลังผมสองสามที แกมองผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมพี่อู๋ ผมวางสมบัติสุดท้ายของตัวเองบนโต๊ะข้างเตียง ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว การไม่มีผมเป็นตัวถ่วงน่าจะดีกับลุงชัยมากที่สุด ซึ่งผมเองก็ค่อนข้างพอใจ ผมไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะผมอีก

พี่อู๋กลับเข้ามาในห้องหลังไปส่งลุงประมาณยี่สิบนาที ผมเดาเอาว่าพวกเขาคงตกลงหาทางออกให้ตัวปัญหาอย่างนายก้องเกียรติเรียบร้อย เขาเดินมาข้างเตียง ลูบหัวผมเบาๆแล้วพูดประโยคที่บีบคั้นความรู้สึกของผม

“จำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่าพี่จะเป็นผู้ปกครองของก้อง”

ผมพยักหน้า จำได้ครับ ผมไม่เคยลืมประโยคนั้นเลย

“หลังจากนี้พี่จะดูแลก้องเอง” พี่อู๋หยุดลูบหัว “ย้ายไปอยู่กับพี่นะก้อง”

หลังจากตกอยู่ในห้วงของความสับสนมานาน ในที่สุดพี่อู๋ก็บอกเสียทีว่านายก้องเกียรติต้องระเห็จไปอยู่กับใคร

“ลองอยู่กับพี่ก่อน ถ้าอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ เราค่อยหาทางออกวันหลังก็ได้”

“ขอบคุณครับ”

ผมยกมือไหว้ขอบคุณเพราะลึกๆแล้วไม่อยากอยู่วัด ที่นั่นไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย จะหนีไปร้องไห้คนเดียวก็ไม่ได้ นอนเฉยๆเป็นคนขี้เกียจทั้งวันก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือที่เงียบๆที่มีแค่นายก้องเกียรติคนเดียว ผมอยากอยู่อย่างนี้ซักพัก ไม่อยากใช้ความคิด ไม่อยากวางแผนอนาคต ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากหายใจเข้าออกและพยายามลืมภาพไฟไหม้บ้านในคืนนั้น

“ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงใจดีกับผมขนาดนี้ ขอบคุณมากครับ”

ผมยังคงยกมือไหว้ขอบคุณค้างไว้เหมือนเดิม พี่อู๋รวบมือของผมลง เขายิ้มแต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม

“พรุ่งนี้อยากกินอะไรก่อนกลับบ้านหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ไม่รบกวนดีกว่า”
“แวะกินซอลบิงที่เซ็นปิ่นอีกดีไหม?”
“อย่าเลยครับ มันแพง” ผมยกมือปาดน้ำตา
“คราวนี้สั่งสตรอว์เบอร์รี่”

ว้าว สตรอว์เบอร์รี่

“หรือก้องอยากกินเมล่อน?” พี่อู๋ถาม เขาแกล้งทำสีหน้าลังเลได้ปลอมเปลือกมากจนผมหลุดยิ้ม
“ไม่อยากกินเมล่อนแล้วครับ”
“งั้นสตรอว์เบอร์รี่เนอะ”

ผมพยักหน้า ยิ้มกว้างดีใจเมื่อคิดว่าไม่ต้องกลับไปอยู่วัดอีก พี่อู๋เขกหัวผมเบาๆ เขาแซวว่าเห็นตาเป็นประกายวิบวับกับน้ำลายที่หยดติ๋งๆเพราะอยากกินน้ำแข็งไส ผมเพิ่งรู้นะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมดูเป็นคนตะกละในสายตาของพี่อู๋ขนาดนั้นเลย

“พรุ่งนี้พี่จะมารับ อาบน้ำแต่งตัวรอเลยนะ”
“พี่อู๋จะมาจริงๆใช่ไหมครับ?”
“จริงสิ พี่จะโกหกก้องทำไมล่ะ” เขาถามย้อน
“วันก่อนพี่หายไป พี่ไม่โทรหาผมเลย พี่หายไปไหนมา ปกติพี่โทรหาผมทุกวัน”

คราวนี้พี่อู๋เงียบ แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่จะตอบคำถาม ผมมั่นใจว่าพี่อู๋มีเรื่องที่ต้องจัดการ และเรื่องนั้นคงสำคัญกว่าเด็กจิตป่วยที่อยู่กับเขาตอนนี้แน่ๆ

“ไว้คราวหลังพี่จะเล่าให้ฟัง” พี่อู๋ให้สัญญา แต่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ “เดี๋ยวย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก้องจะรู้เอง”

ก้องจะรู้เอง
โอเค จบ ผมจะไม่ถามเซ้าซี้พี่อู๋อีก




นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงสี่สิบเอ็ดนาที

พี่อู๋มาหาผมจริงๆตามที่สัญญาไว้ หัวใจของกอริลลาก้องเริงร่าเมื่อเห็นผู้ปกครองเดินเข้ามาในห้อง หลังถอดเข็มน้ำเกลือและอาบน้ำโกนหนวดเรียบร้อย พี่อู๋ก็ลงไปจ่ายเงินที่ห้องธุรการ เขาปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวเกือบชั่วโมงก่อนจะกลับมาพร้อมยาและบอกว่าถึงเวลาแล้ว

“หิวหรือยัง?”
“เฉยๆครับ”
“แต่พี่หิว ไปเซ็นปิ่นกันเถอะ”

พี่อู๋ชวน ในหัวของเขามีแต่เรื่องกินยิ่งกว่าผมเสียอีก ดังนั้นการเดินทางของนายก้องเกียรติจึงเริ่มจากข้าวหน้าเทมปุระกุ้ง และผมกินเหลือ ต่อด้วยบิงซูสตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งแน่นอนว่าผมกินเหลืออีก พี่อู๋บ่นงุบงิบตามประสา เขาบอกว่าคนอายุสามสิบกินของแบบนี้มากไม่ได้เพราะจะเป็นเบาหวาน แต่มือของเขากลับตักน้ำแข็งไสเข้าปากไม่หยุด

“ก็อย่ากินเยอะสิครับ”

ผมปล่อยให้เขาพูดขิงข่าไปเรื่อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มเหม่อตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะรู้อีกทีก็ได้ยินเสียงพี่อู๋โหวกเหวกอยู่ข้างๆพร้อมกับทำท่าประหลาดๆแล้ว

“ดาวแม่เรียกก้องเกียรติ ฮัลโหลๆ หากได้ยินข้อความโปรดตอบกลับด้วย”

 ผมกลอกตามองพี่อู๋ที่กำลังใช้สองนิ้วจี้ตรงขมับตัวเอง นี่เขาเห็นผมเป็นอะไร ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ผมไม่ไร้สาระขนาดนั้นหรอก

“จ่าก้องเกียรติ! จ่าก้องเกียรติ!”

เขาเริ่มขึ้นเสียง ใส่ท่าทางโอเวอร์เหมือนผมเป็นนักบินที่ขาดการติดต่อไปจริงๆ

“ไม่นะ! ผู้การครับ! จ่าก้องเกียรติหายไปแล้ว!”

เออ เอาซักหน่อยก็ได้

“ครับ จ่าก้องเกียรติอยู่นี่ครับ”

“ดีมาก” พี่อู๋ยกนิ้วโป้ง “ที่นี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”

แล้วละครลิงยามบ่ายที่นำแสดงโดยกอริลลาก้องกับนักบินอู๋ก็จบลงแค่นี้




นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามสิบสามนาที

ผมกับพี่อู๋เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจของอดีตนักการเมืองระหว่างรอหลวงพ่อเทศนาครั้งสุดท้าย ผมต้องกลับมาอยู่ในบรรยากาศเดิมๆอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ เสียงเพลงโศกบรรเลงผ่านทางลำโพง ญาติๆสูดน้ำมูกกันฟุดฟิดเมื่อตัวแทนกล่าวคำไว้อาลัย พวกเขานั่งพนมมือในชุดขาวดำ ฟังบทสวดที่ไม่เข้าใจ และมองโลงศพถูกยกขึ้นเชิงตะกอน

ผมเห็นคุณยายคนหนึ่งร้องไห้จนเป็นลมเมื่อสัปเหร่อช่วยกันแบกโลงใส่เตาเผา ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะเคยผ่านงานของแม่มาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าการยืนหน้าเตานั้นบีบคั้นขนาดไหน ความคิดที่ว่าเราไม่มีวันได้เจอกันอีกจะคอยตอกย้ำตลอดเวลาจนบางครั้งก็ทำใจไม่ได้ ผมมองภาพตรงหน้าและเริ่มคิดถึงงานของแม่ คิดถึงตอนเปิดฝาโลงเพื่อมองหน้าแม่ คิดถึงใบหน้านิ่งสงบที่ดูมีความสุขของแม่ คิดถึงเถ้ากระดูกของแม่ คิดถึงเชือกของแม่ คิดถึงแม่ คิดถึงแม่

ผมอยากกลับบ้านไปเจอแม่

หลังอดทนกับความหดหู่อยู่นาน ในที่สุดผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อตามที่รับปากลุงชัยเอาไว้ พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมเดินเตร่ในวัดนานราวกับรู้ว่าบรรยากาศงานศพกำลังทำให้ผมรู้สึกแย่ เขาพูดสั้นๆแค่ว่ากลับกันเถอะแล้วตรงไปที่รถทันที

“พี่จะให้ผมอยู่ด้วยจริงๆเหรอครับ?”

ผมถามย้ำ เผื่อเขาเปลี่ยนใจผมจะได้เดินกลับไปขอพึ่งใบบุญหลวงพ่ออีกครั้ง

“จริงสิ ก้องไม่เชื่อเหรอ?”

พี่อู๋ตอบพลางขับรถมือเดียวด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ผมไม่ถามเซ้าซี้นอกจากเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยิ่งรถวิ่งไกลจากบ้านเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น ผมใจสั่นทุกครั้งที่คิดว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว แม่ไม่อยู่แล้ว บ้านก็ไม่มีแล้ว หลังจากนี้ผมต้องทำยังไง ผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างหายไปหมดแล้ว 

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสามสิบสี่นาที

ผมสิ้นหวังจนไม่อยากมีชีวิตอยู่

ตอนนี้พี่อู๋กำลังขับผ่านสะพานที่เราเจอกันครั้งแรก ริมฝีปากผมสั่นเมื่อเห็นราวจับสีเขียวที่เคยปีนขึ้นไป แม่น้ำเจ้าพระยากระเพื่อมอยู่ข้างล่าง ท้องฟ้าตอนห้าโมงเย็นเป็นสีส้มสดตัดกับความเข้มของแม่น้ำ แดดสะท้อนเข้าตาจนพร่า ผมมีความคิดอยากหนีลงจากรถ

เพราะผมคิดถึงแม่
ผมอยากไปอยู่กับแม่

ต่อให้พี่อู๋รับไปอยู่ด้วยแล้วยังไง ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะเหมือนเดิมเสียหน่อย ไม่มีใครรู้ว่าพี่อู๋จะให้อยู่ด้วยถึงเมื่อไหร่ ถ้าวันนึงเขาเบื่อ เขาไม่มีเงิน เขาอาจจะทิ้งผมก็ได้ ผมไม่ได้อยากเป็นภาระใครแต่มันไม่มีทางเลือก แม่ตายแล้ว บ้านก็ไหม้หมดแล้ว เพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผมมีแค่พี่อู๋คนเดียว ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนไป ผมจะทำยังไง
 
งั้นผมควรตายไปเลยดีไหม
ดีกว่าอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้ ดีกว่าเป็นภาระคนอื่นแบบนี้

ความคิดอยากกระโดดสะพานเริ่มวนเวียนในหัว ผมปาดน้ำตาเงียบๆพลางเหลือบมองพี่อู๋ เขายังคงขับรถด้วยมือข้างเดียว ตามองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางจริงจัง พี่อู๋คงคิดไม่ถึงว่าผมกำลังจิตตกถึงขั้นวางแผนฆ่าตัวตาย แต่ผมจะไม่ลังเลเหมือนครั้งแรก ผมจะรีบตรงไปที่ราวสะพาน ปีนขึ้นไป กระโดดลงแม่น้ำอย่างรวดเร็วจนพี่อู๋คว้าเอาไว้ไม่ทัน และจะไม่มีใครหยุดผมได้ ไม่มีใครหยุดความรู้สึกไร้ค่าของผมได้นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อวางแผนในใจเสร็จ ผมก็แอบปลดล็อคซีทเบลท์ แสร้งทำเป็นอึดอัดกับสายนิรภัยที่พาดอยู่กลางอก พี่อู๋เปลี่ยนคลื่นวิทยุไปที่รายการเพลง เขาเคาะนิ้วบนพวงมาลัยอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ผมกำลังเตรียมพร้อม เมื่อรถจอดสนิทตรงสัญญาณไฟ ผมจึงรีบเปิดประตูทันที

แต่มัน --

ล็อก!!!!

“ทำอะไรอ่ะก้อง?” พี่อู๋ถาม ขมวดคิ้วงุนงงเมื่อเห็นผมพยายามเปิดประตูอยู่หลายหนแต่ปลดล็อกไม่ออก “จะไปไหน?”

ผมดึงประตูเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยโฮออกมา พี่อู๋ต้องมองถนนสลับกับมองกอริลลาก้องที่จิตหลุดระหว่างทางกลับบ้านจนเสียสมาธิ ผมระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้เขารู้ด้วยความอัดอั้น บอกให้พี่อู๋รู้ว่าผมเครียดมากแค่ไหนที่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง

“ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับบ้าน”

ผมร้องไห้ รู้สึกอึดอัดจนหัวแทบระเบิด พี่อู๋อาจจะอยากจับตัวกอริลลาก้องมาเขย่าแรงๆเพื่อเรียกสติ แต่เพราะต้องขับรถก็เลยทำได้แค่รับฟังและตอบคำถามอย่างใจเย็น ผมพรั่งพรูความกังวลออกมาจนพี่อู๋ตอบไม่ทัน เมื่อถามว่าจะให้อยู่ถึงเมื่อไหร่ คำตอบของเขาคือจนกว่านายก้องเกียรติจะพร้อม

ผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกเพราะแต่ละคำตอบของเขาไม่ชัดเจน จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ รอจนพร้อมแล้วค่อยย้ายออกก็ได้ คำว่าพร้อมของพี่อู๋คืออะไรผมก็ไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผมเลย

“ต้องให้พี่บอกเป็นวันเดือนปีเลยเหรอก้องถึงจะสบายใจ? คำว่านานแค่ไหนก็ได้น่าจะชัดเจนแล้วนะ” พี่อู๋บอก เขาหันมามองผมที่กำลังสะอึกสะอื้นเสียงดังลั่นรถ “ก้อง --”
“ผมกลัว ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปอยู่ที่ของตัวเอง”
“แต่ก้องไม่มีบ้านแล้ว”
“ผมเลยอยากไปอยู่กับแม่ไง!”

ผมลืมตัว ขึ้นเสียงใส่ผู้มีพระคุณโดยไม่ทันคิด พี่อู๋มองมาอย่างหนักใจ เมื่อรถเคลื่อนลงจากสะพาน เขาก็เปิดไฟเลี้ยวจอดริมฟุตปาธเพื่อคุยกัน

“พี่รู้ว่าก้องเสียใจ รู้ว่าก้องคิดถึงแม่ เชื่อพี่เถอะว่าวันหนึ่งก้องจะได้เจอแม่แน่ๆ แต่ต้องไม่ใช่วันนี้” พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาบีบนวดมือที่กำลังสั่นเกร็งของผมแล้วสบตา “ถ้าก้องคิดว่าการย้ายไปอยู่กับพี่คือการรบกวน งั้นลองคิดแบบนี้ดีไหม? คิดเสียว่าย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้”
“พี่มีเพื่อนเยอะแยะ พี่ไม่จำเป็นต้องมีผมหรอก”
“จำเป็นสิ เพราะก้องทำให้พี่คิดถึงน้องชาย ธันวานี้เขาจะอายุสิบแปดเหมือนก้องเลย”
“งั้นพี่ก็เรียกน้องมาอยู่แทนผมสิ”
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไม?”
“เขาเสียแล้ว” พี่อู๋ตอบ แววตาวูบไหวเมื่อพูดถึงคนที่จากไป “พี่เต็มใจรับก้องมาอยู่ด้วยจริงๆ ถ้ายังไม่สบายใจจะคิดว่าเราอยู่กันแบบพึ่งพาก็ได้ ก้องต้องการที่อยู่ ส่วนพี่ต้องการเพื่อนร่วมห้อง”

ผมอึ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่าพี่อู๋มีน้องชาย ไม่รู้ว่าน้องเขาเสียแล้วเพราะตลอดเวลาที่เจอกันผมอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่อู๋ถึงดีกับผมขนาดนี้ พี่อู๋คงเห็นผมเป็นตัวแทน ทุกอย่างที่เขาทำคงเป็นเพราะคิดถึงน้อง เขาเห็นนายก้องเกียรติเป็นภาพสะท้อนของน้องชาย 

“วันแรกที่เจอก้อง พี่ตัดสินใจแล้วว่าอยากดูแลก้องจนกว่าจะหายดี” พี่อู๋เหยียดแขนทำเป็นยืดเส้นยืดสาย เขาวางมือลงบนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ “โลกนี้มีเรื่องสนุกๆให้ทำตั้งเยอะ อย่ารีบไปไหนเลย อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนเนอะ”

ผมร้องไห้ตอนที่พี่อู๋บอกว่าอยู่ด้วยกันก่อน เป็นชั่วขณะหนึ่งที่เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญและลืมความคิดกระโดดสะพาน พี่อู๋ปล่อยให้ผมร้องอยู่นานจนพอใจ เมื่อเห็นผมเช็ดน้ำตาครั้งสุดท้ายเขาก็ถามว่าโอเคหรือยัง ผมพยักหน้ารับ ยิ่งกว่าโอเคครับ แล้วบอกเขาว่าเสียใจด้วยเรื่องน้องชาย ต่อไปผมจะคุยกับเขามากกว่านี้ ผมจะใส่ใจพี่อู๋ให้มากกว่านี้

“ก้องก็เป็นก้องนั่นแหละ ไม่ต้องช่างพูดช่างคุยเพื่อใครหรอก”

พี่อู๋ยิ้ม ดูโล่งอกเมื่อเห็นผมคาดเข็มขัดนิรภัยตามเดิมและเลิกฟูมฟาย

“กลับบ้านกันนะก้อง”
“ครับ”

ผมตอบ พี่อู๋ยิ้มกว้างแล้วเปิดไฟเลี้ยวเตรียมออกรถอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่แยกรัชดาลาดพร้าวเพื่อพาผมไปบ้านหลังใหม่ตามที่สัญญาไว้



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์มากๆเลยนะคะ เห็นคนอ่านชอบ หนูก็ดีใจและมีความสุขมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆนะคะ ตอนหน้าเราจะไปตะลุยบ้านพี่อู๋กัน อดใจรออีกนิดนะคะ <3
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 27-10-2018 23:51:30
ไม่ใช่เปิดบ้านไป ผ่างงงง เมียพี่อู๋พร้อมลูกน้อยนะ  :z3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 28-10-2018 01:31:28
เย้ๆๆๆ เที่ยวบ้านพี่ออู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2018 01:39:10
 :เฮ้อ:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-10-2018 02:35:31
หวั่นใจว่าน้องพี่อู๋แกฆ่าตัวตายรึเปล่า...  :ling2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-10-2018 11:44:00
พี่อู๋ก็ดูมีเบื้องหลังความเจ็บ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-10-2018 19:54:35
พี่อู่คงมีเรื่องเศร้าในชีวิตเหมือนกัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Mizunoe ที่ 28-10-2018 23:32:16
จริงๆพูดไม่ออกเท่าไหร่
นึกถึงสถานการณ์ของก้องแล้วเราก็เคว้งไปด้วยเลย
แต่เราจะเหมารวมว่าทุกอย่างจะแย่แบบในอดีตไม่ได้นะ
คนที่ยังหายใจอยู่ก็ช่วยกันเปลี่ยนให้ดีขึ้นดีกว่าเนอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 29-10-2018 11:51:30
สงสารน้อง เฮ้อ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 6 update!] (27/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 30-10-2018 20:22:58
อยากเห็นน้องมีความสุขจัง​ ไม่อยากให้ทุกข์้เลย
หนูต้องต่อสู้กับตัวเองนะรู้ก​ พี่อู๋ดูแลน้องด้วยน้าา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 01-11-2018 20:58:40
07

นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงหกนาที

กอริลลาก้องกับผู้ปกครองกำลังนั่งรอหน้าห้องตรวจ คนไข้เยอะเหมือนเดิม แออัดเหมือนเดิม มีกอริลลาตัวหนึ่งเปิดโรงละคร กอริลลาอีกตัวกำลังพูดกับแม่ซื้อที่มองไม่เห็น ส่วนข้างหลังคือกอริลลาที่กำลังสะอึกสะอื้นร้องไห้ สูดน้ำมูกฟุดฟิดโดยมีญาติกอดปลอบตลอดเวลา

วันนี้รอคิวไม่นาน ผมได้เข้าตรวจคนที่สอง หมอเอ่ยทักทายทันทีเมื่อเห็นกอริลลาก้องเดินคอตกเข้าไปหา เขาถามผมว่าเป็นไงบ้าง หลับสบายดีไหม ผมตอบเขาไปว่าสบายมากครับ สบายจนได้แอดมิทโรงพยาบาลเลย --

ล้อเล่น ผมไม่ได้บอกหมอเรื่องนั้น

ก่อนที่เราจะเริ่มคุยกัน ผมส่งซองจดหมายสีขาวให้หมอ พี่อู๋ฝากมาให้ครับ ผมขยายความเมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วงุนงง เมื่อหมอเปิดอ่านข้อความในกระดาษซึ่งดูจากข้างหลังก็พอเดาได้ว่าเป็นใบรับรองแพทย์ ผมนึกอยากออกไปอาละวาดไอ้คนขี้ฟ้องที่นั่งเล่นโทรศัพท์หน้าห้องจริงๆ

“อาทิตย์ก่อนก้องฆ่าตัวตายเหรอ?”
“ครับ”

ผมตอบ แล้วหมอก็ถามถึงที่มาที่ไป ผมเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไฟไหม้บ้าน ชีวิตพลิกผันเป็นเด็กวัด เพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ก็ทยอยย้ายออกทีละคนๆ ขนาดไอ้แดงหมาเวรยังมีบ้านใหม่ แต่ผมไม่มีใคร หดหู่มากครับ อยากตายมากครับ สิ้นหวังมากครับ หมอตั้งใจฟังเรื่องเฮงซวยของนายก้องเกียรติตั้งแต่ต้นจนจบ พอบอกว่าตอนนี้ย้ายไปอยู่กับพี่อู๋แล้ว เขาก็ถามว่าบ้านใหม่เป็นไงบ้าง

“เวลคั่มทูลาดพร้าวซิตี้”

ผมตอบด้วยประโยคเดียวกับที่พี่อู๋พูดเมื่อวันก่อน

“ถ้าไม่เจอรถติดแปลว่ามาไม่ถึงลาดพร้าว”

คอนโดของพี่อู๋อยู่ห่างจากแยกรัชดาไม่เท่าไหร่ ซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด โครงการแรกทางขวามือ ชั้นสี่ ขนาดห้องไม่ได้คับแคบอย่างที่คิด เป็นคอนโดขนาดกลางที่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นมีพื้นที่ค่อนข้างมาก และครัวบิลท์อินเล็กๆอยู่ติดประตูทางซ้ายมือ

“ก้องชอบบ้านใหม่ไหม?”

ผมเงียบครู่หนึ่ง ตอบได้ไม่เต็มปากว่าชอบหรือไม่ชอบ ผมขออาศัยบ้านคนอื่นอยู่คงไม่เหมาะที่จะวิจารณ์หรือติติงอะไร แต่เพราะความคันปากอยากด่ามันทนไม่ไหว ผมจึงบอกความคิดตัวเองให้หมอรู้

“ชอบครับ แต่ก็รกมากครับ”

พี่อู๋คือผู้ชายอายุสามสิบเอ็ดที่โคตรซกมกและขี้เกียจ ในคอนโดของเขามีแต่โจ๊กซอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง พวกของพร้อมกินต่างๆแบบไม่ต้องปรุง แต่ที่เยอะสุดก็คือหนังสือ เขามีประมาณสี่ร้อยหกสิบเอ็ดเล่ม --

“สี่ร้อยกว่าเลยเหรอ?”
“ครับ ผมนับเองกับมือ”

ผมเล่าพลางนึกถึงวันแรกที่ย่างเท้าเข้าไป ห้องพี่อู๋กว้างก็จริงแต่พอมีหนังสือวางซ้อนเป็นกองๆก็เลยดูแคบมาก หมอถามว่าได้อ่านหนังสือของพี่อู๋บ้างไหม ผมส่ายหน้าเพราะเขาไม่ค่อยมีหนังสือการ์ตูนหรือนิยาย มีแต่พจนานุกรมเล่มใหญ่ หนังสือคันจิ ศัพท์แปลในวงการต่างๆ และหนังสือแนวสารคดีเต็มไปหมด

“ปกรณัมปรัมปรา เซเปียนส์ ญี่ปุ่นสมัยใหม่ อาดัม สมิธ โลกการพัฒนาใต้เงาเผด็จการ พจนานุกรมอังกฤษไทย พจนานุกรมญี่ปุ่นไทย เยอะมากครับ เขาอ่านอะไรก็ไม่รู้ อีกเรื่องที่จำได้คือโลลิตา เป็นนิยายหนาๆเล่มสีชมพู”

พี่อู๋คือหนอนหนังสือตัวจริง แต่คงเป็นหนอนประเภทชอบเอาหนังสือมากองรวมกันเพื่อชื่นชมมากกว่า ผมเล่าให้หมอฟังว่าในห้องนอนเล็กที่พี่อู๋ยกให้มีหนังสือเป็นสิบเล่มกองอยู่บนเตียงบ่งบอกว่าเขาเองก็ใช้ห้องนี้ด้วย ดูเหมือนว่าเขาอยากนอนห้องไหนก็นอน ไม่มีห้องของอุรัสยาหรือก้องเกียรติ มีแค่ที่นอนสำหรับเขาเท่านั้น

“แต่ก็มีความสุขดีใช่ไหม?”
“ครับ” ผมตอบ ไม่ลังเลกับคำถามนี้ “ผมดีใจที่เขาให้อยู่ด้วย”

หมออมยิ้มก่อนจะเปลี่ยนมาคุยเรื่องจริงจัง เขาบอกผมว่าปกติแล้วคนไข้ที่คิดฆ่าตัวตายตลอดเวลาต้องแอทมิดโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าจะทำสำเร็จในครั้งถัดไป ผมรีบส่ายหน้า บอกหมอว่าไม่เอาครับ ไม่แอทมิดครับ อยากอยู่บ้านใหม่ครับ จะไม่ทำแบบนั้นแล้วครับ เข็ดแล้วจริงๆครับ สารพัดคำอ้อนวอนที่พรั่งพรูบอกหมอ เขาก็เลยยอมเชื่อใจ งั้นคราวนี้หมอจะปล่อยกอริลลาก้องไปอยู่กับผู้ปกครองเหมือนเดิมก่อนแล้วกัน

“แล้วจดหมายถึงแม่ล่ะ? ก้องได้เขียนหรือยัง?”

ผมส่ายหน้า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเมายานอนหลับเลยไม่ได้เริ่มเขียนซักตัว หมอถามว่ามีความในใจที่อยากบอกแม่แล้วใช่ไหม ผมพยักหน้า

“ผมไม่ได้เขียนเพราะพี่อู๋ชอบเดินป้วนเปี้ยนตลอดครับ”
“งั้นเขียนเลยไหม? หมอจะให้เวลาส่วนตัวกับก้องซักสิบนาที”

ผมลังเล ปากบอกว่าเกรงใจคนไข้ที่รอหน้าห้องแต่จริงๆแล้วกลัวมากกว่า ผมกลัวว่าการเขียนจดหมายจะยิ่งทำให้คิดถึงแม่ และคงรู้สึกแย่มากถ้าเอาแต่พร่ำเพ้อหาแม่ในตอนนี้ โชคดีที่หมอบอกว่าไม่เป็นไร สะดวกเมื่อไหร่ค่อยบอกลากัน นอกจากนั้นหมอถามถึงเรื่องสอบซ่อมด้วย ผมบอกเขาว่ายังไม่มีอารมณ์เลย แค่มาหาหมอก็เหนื่อยแล้ว พอคิดว่าต้องอ่านหนังสือสอบอีกรอบก็อยากไหลตายไปให้พ้นๆ

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ ไม่ต้องรีบร้อน”

หมอพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น

“เดี๋ยววันนี้หมอขอเปลี่ยนยาใหม่นะ ช่วยเรียกพี่อู๋มาพบหมอด้วย หมอมีเรื่องจะคุย”
“ครับ”

ผมตอบ เดาออกเลยว่าคราวนี้นายก้องเกียรติยี่สิบเม็ดต้องโดนทำโทษแน่ๆ




นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงหกนาที

มื้อพิเศษหลังพบหมอวันนี้คือบอนชอน ผมเคยได้ยินชื่อหลายหนแต่ยังไม่เคยลอง พี่อู๋พาผมเปิดโลกของไก่ทอดด้วยปีกไก่รสซอย การ์ลิคคู่กับไชเท้าดองที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไก่ทอดบอนชอนรสชาติไม่เหมือนไก่ทอดลุงชื่นซักนิด แป้งของบอนชอนหนากว่า ซอสที่คลุกไก่ก็อร่อยกว่า และราคาแพงกว่าของลุงเกือบสิบเท่า

“เอ้านี่ กินอีก กินเยอะๆ”

พี่อู๋ตักปีกไก่ให้ ผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย สิ่งที่ผมประทับใจในบอนชอนที่สุดไม่ใช่ไก่ทอดแต่เป็นไชเท้าดองสีขาวที่เสิร์ฟมาน้อยนิดต่างหาก ไก่ทอดรสชาติออกหวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ พอกินคู่กับไชเท้าดองรสเปรี้ยวช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมาก อย่าให้พูดเลยว่าผมชอบแค่ไหน บอกได้คำเดียวว่าชอบมาก ชอบสุดๆ ผมอยากมีชีวิตอยู่เพื่อกินไก่ทอดกับไชเท้าดองตลอดไป

พี่อู๋สั่งซุปกิมจิมาด้วย แต่มันไม่อร่อยเท่าไหร่ สำหรับผมแล้วไชเท้าดองคือที่สุด มันอร่อยจนต้องร้องบันไซ บันไซ บันไซ อร่อยจนสายรุ้งออกจากปากเลย

“ถ้ากินแต่ไชเท้าดอง วันหลังพี่ดองให้กินที่บ้านก็ได้”

พี่อู๋คงเห็นผมกินไชเท้ามากกว่าไก่ก็เลยพูดประชด ผมประชดกลับว่าขอบคุณครับ ทำเลย ผมจะกินข้าวกับไชเท้าดองทุกวัน ผมจะเหยาะแม็กกี้ลงบนข้าวร้อนๆที่มีไชเท้าดองโรยหน้ากับไก่ทอดหาดใหญ่ซักชิ้น ผมจะกินไชเท้าดอง กอริลลาก้องรักไชเท้าดอง

ผมเคี้ยวแก้มตุ่ย เพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าจนลืมสังเกตพี่อู๋ ชั่วขณะหนึ่งแววตาของเขาอ่อนโยนกว่าปกติ เขาดูมีความสุขที่เห็นผมกิน ดีใจเมื่อผมบอกว่าอันนั้นอร่อยอันนี้อร่อย ผมจ้องตาพี่อู๋กลับ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วก้มกินส่วนของตัวเองต่อ

“พี่ไม่เคยเจอใครสถาปนาตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ไชเท้าดองเหมือนก้องเลย”
“จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ”
“พี่อู๋เคยพาน้องมากินร้านนี้ไหมครับ?”
“เคย”

พี่อู๋เขี่ยข้าวในจาน ท่าทางเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด ผมอยากตบปากตัวเองที่ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่กร่อยลงเพราะคำถามง่อยๆไม่ดูเวล่ำเวลา

“น้องชายพี่เกลียดไชเท้าดอง เขาชอบกิมจิมากกว่า”

เราต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ พี่อู๋รวบช้อนเมื่อกินหมดแค่ครึ่งถ้วยแล้วเรียกเช็กบิล ส่วนผมไม่แตะไชเท้าดองอีกเลย




นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสิบเจ็ดนาที

ฝนเทกระหน่ำเหมือนพายุเข้า ผมนอนไม่หลับ

คืนที่สี่แล้วที่ผมย้ายมาอยู่บ้านใหม่ พี่อู๋ยกห้องนอนเล็กให้ผม ส่วนเขานอนห้องใหญ่ที่อยู่ติดกัน ปกติผมกินยานอนหลับตอนสามทุ่มแต่ไม่เคยหลับเร็ว ตอนอยู่ที่บ้าน ยาพวกนี้เคยได้ผล ผมเคยหลับหกชั่วโมงติดกันเมื่อนอนบนพื้นไม้ แต่หลังออกจากโรงพยาบาลผมนอนไม่หลับเลย แถมต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการสะกดจิตตัวเองให้หลับทุกคืน

ห้องนอนของผมมีเฟอร์นิเจอร์แค่สี่ชิ้นคือเตียง โต๊ะเล็กๆข้างเตียงสองตัว และตู้เสื้อผ้า บนหัวเตียงมีแอร์เครื่องเล็กส่งเสียงดังครืดทุกห้านาที ผมไม่ชอบนอนห้องแอร์แต่ไม่มีทางเลือกเพราะบ้านใหม่มีพัดลมแค่ตัวเดียวในโถงนั่งเล่น ผมนอนฟังเสียงครืดของแอร์ เสียงเปาะแปะของฝนสาดกระทบหน้าต่าง เสียงฟ้าร้องจนพื้นสั่นและเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเองอยู่เป็นชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าคงไม่หลับเร็วๆนี้จึงออกไปเดินเล่นนอกห้องนอน กะว่าจะหาอะไรทำแก้เซ็งจนกว่าจะง่วงไปเอง

คอนโดของพี่อู๋ -- หรือบ้านใหม่ของผมนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ไม่ได้หรูหราแต่ก็เข้ากับพื้นลามิเนตเป็นอย่างดี โถงนั่งเล่นมีทีวีจอใหญ่ติดฝาผนังหนึ่งเครื่อง มีเครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเล่นบลูเรย์ เครื่องเล่นเกม มีชั้นวางสำหรับซีดีและเพลง แต่กลับไม่มีชั้นหนังสือ มีโซฟานุ่มๆหนึ่งตัว โต๊ะเล็กสองตัว พัดลมหนึ่งตัว แอร์หนึ่งตัว กองหนังสืออีกสามร้อยกว่าเล่มที่วางซ้อนกันข้างโต๊ะหน้าทีวีและเปียโนไฟฟ้าของยามาฮ่าหนึ่งหลัง

เปียโนตัวนี้สีดำมันวาว เป็นทรงสี่เหลี่ยมสูงวางชิดติดผนังไม่เหมือนคีย์บอร์ดไฟฟ้าเสียบปลั๊กโล้นๆที่ขายในบีทูเอส มีฝาปิดคีย์และคันเหยียบสามอัน ดูหรูหราและสง่างามเหมือนในหนังฝรั่ง

ตอนเปิดประตูเข้ามาในบ้านครั้งแรก สิ่งที่สะดุดตาผมคือเปียโนตัวนี้ มันโดดเด่นและแตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ในห้องราวกับอยู่ผิดที่ผิดทาง ราวกับมันไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แต่ถูกย้ายจากที่ไหนซักแห่งมาวางทิ้งไว้ตรงนี้ วางในบ้านของพี่อู๋ วางข้างโซฟาสีน้ำตาลเข้ม วางตรงหน้านายก้องเกียรติ ห่างออกไปแค่ไม่กี่เซน

ผมย่างเท้าเข้าไปหาเปียโน ใช้มือสัมผัสเบาๆตามแผ่นไม้มันวาวสีดำ ฝุ่นหนาเขรอะติดปลายนิ้วบ่งบอกว่ามันถูกละเลยมานาน ผมลองทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ เปิดฝาครอบคีย์ออกเพื่อสำรวจดูอย่างถือวิสาสะ แป้นคีย์สีขาวสลับดำเรียงแถวดูลายตา ผมไม่เคยเรียนดนตรีหรือเห็นเปียโนมาก่อน พอได้นั่งดูใกล้ๆแล้วรู้สึกชอบมันมาก ชอบจนอยากลองกดดูซักครั้ง

เปรี้ยง!

จังหวะที่กำลังวางนิ้วชี้ลงบนคีย์ เสียงฟ้าผ่าทำให้ผมสะดุ้งตกใจจนต้องรีบปิดฝาครอบตามเดิมแล้วถอยห่างจากเครื่องดนตรีราคาแพง ไม่เอาแล้ว ไม่แอบเล่นแล้ว แต่พรุ่งนี้จะเช็ดทำความสะอาดให้นะ ถึงพี่อู๋จะไม่เคยสั่งให้ทำงานบ้านแต่มันอดไม่ได้เมื่อเห็นห้องรกๆที่ไม่ได้เก็บกวาดมาเป็นเดือนๆ เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับที่ซุกหัวนอนและอาหารทุกมื้อ ผมจึงช่วยทำความสะอาด เริ่มสำรวจและทำความรู้จักเจ้าของห้องผ่านทางหนังสือ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมถึงรูปถ่ายด้วย

พูดถึงรูปถ่าย --
ผมก็นึกถึงความเฉยเมยของตัวเองที่ไม่สนใจพี่อู๋

ทั้งๆที่คำถามอย่างเขาเป็นใครมาจากไหน ทำงานอะไร มีพี่น้องกี่คน ปกติใช้ชีวิตยังไง  พวกนั้นเป็นคำถามง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงปากหนักไม่กล้าถามนอกจากเรื่องที่เป็นธุระของตัวเอง

หาหมออีกครั้งเมื่อไหร่ครับ
ผมต้องตื่นกี่โมงครับ
พี่อู๋จะกินอะไรครับ จะได้ทำเผื่อ

ทุกอย่างมีแต่เรื่องของนายก้องเกียรติ ดังนั้นสิ่งที่คนขี้อายอย่างผมพอจะทำได้คือการดูรูปถ่ายของเจ้าบ้านแล้วเดาเอาว่าพื้นเพของพี่อู๋เป็นยังไง เขามีเชื้อสายจีน เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องสามคน พี่อู๋มีพี่สาวที่น่าจะแก่กว่าไม่กี่ปีและมีน้องชายที่อายุห่างกันสิบสี่ปีเท่านายก้องเกียรติ

พวกเขาสามคนหน้าคล้ายกัน พี่สาวของพี่อู๋ตาตี่แบบสาวหมวย น้องชายของเขาก็ด้วย พี่อู๋เป็นคนเดียวที่ตาสองชั้น เขาคงได้มาจากแม่เพราะชายมีอายุที่ยืนโอบไหล่ลูกคนเล็กในรูปถ่ายนั้นมีตาชั้นเดียว ส่วนคุณป้าที่น่าจะเป็นแม่มีตาสองชั้น สั้นๆคือพี่อู๋ได้หน้าของแม่มามากกว่าพ่อ เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ฐานะทางบ้านน่าจะค่อนข้างดีด้วย นี่คือคร่าวๆที่ผมพอเดาได้ แต่รายละเอียดปลีกย่อยยังไม่รู้

เปรี้ยง!

ฟ้าแลบเป็นประกาย ตามด้วยเสียงดังกึกก้องอีกหน คราวนี้ผมหยุดมองนาฬิกา เที่ยงคืนห้านาที แต่ยังไม่ง่วงเลย ผมถอนหายใจด้วยความเซ็ง จะเปิดทีวีดูก็กลัวฟ้าผ่า จะกลับไปลองกดเปียโนก็กลัวพี่อู๋ว่า ดังนั้นผมจึงย้ายตัวเองไปนั่งท่ามกลางกองหนังสือทั้งสามร้อยกว่าเล่ม ตั้งใจว่าจะแบ่งหมวดหมู่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยวางซ้อนเป็นชั้น แต่พอต้องยกทุกเล่มมาวางเรียงกันเพื่อจัดประเภท ผมก็รู้สึกท้อแท้เพราะพี่อู๋อ่านหนังสือหลายแนวเหลือเกิน

“อันนี้ญี่ปุ่น อันนี้ -- ประวัติศาสตร์”

แล้วต้องแบ่งด้วยไหมว่าประวัติศาสตร์ตะวันออกหรือตะวันตก เอเชียหรือยุโรป อเมริกา จีน หรือแยกหมวดคร่าวๆแค่ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ พี่อู๋ดูเป็นคนใฝ่รู้อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาอ่านทุกอย่างจนผมไม่รู้ว่าควรใช้เกณฑ์อะไรแบ่งประเภทด้วยซ้ำ

หลังจมปลักในกองหนังสืออยู่เกือบสองชั่วโมง ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ฝนยังคงตกเหมือนเดิมไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้ใกล้ตีสองแล้ว ความง่วงเริ่มมานิดๆเพราะเหนื่อยกับการยกวางหนังสือเป็นร้อยครั้ง ดังนั้นผมจึงปิดไฟตรงโถงกลาง เดินกลับห้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวเข้านอน

ครืน -- ครืน --

ฟ้าร้องเป็นระยะ เสียงเปาะแปะของฝนกระทบหน้าต่างเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ สงสัยเข้าหน้ามรสุมแล้ว อีกซักพักคงได้ยินคำว่าน้ำรอการระบายจากผู้ว่าแน่ๆ พอฝนตกหนักเข้าก็เริ่มคิดถึงวันเก่าๆ ถ้าบ้านไม่ถูกไฟไหม้ ผมจะทำอะไรอยู่ ผมคงกำลังนอนบนฟูก ห่มผ้าเน่าถึงคอเพราะหนาว นอนฟังเสียงฝนจนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวิดน้ำที่เอ่อท่วมเข้าบ้านทุกครั้งที่ฝนตกหนัก

พอออกมานอกบ้าน ผมจะเห็นลุงชื่นแกล้งไอ้แดงด้วยการเอามันใส่กะละมังใบใหญ่แล้วลอยตามน้ำ เห็นข้าวฟ่างเอาห่วงยางออกมาเล่นแม้ว่าน้ำจะท่วมแค่เข่า เห็นลุงชัยเดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะเอามอเตอร์ไซค์ลุยน้ำไม่ได้ ส่วนป้าเพ็ญฉลาดกว่าใคร ทุกครั้งที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกหนักในอีกไม่กี่วัน เราจะเห็นกระสอบทรายวางกั้นหน้าบ้านแกเรียบร้อย

คิดถึงจัง -- ทุกคนเป็นไงบ้างนะ

ผมสงสัย เริ่มอาลัยอาวรณ์บ้านหลังเก่าอีกครั้งหลังเพิ่งทำใจได้ไม่นาน เมื่อไหร่ที่นึกถึงวันเก่าๆผมจะรู้สึกแย่และร้องไห้ทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน นายก้องเกียรติบนที่นอนสปริงหนานุ่ม มีผ้านวมอุ่นๆคลุมถึงคอเริ่มร้องไห้เงียบๆคนเดียว

ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคน และอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม อยากเป็นก้องเกียรติ ไอ้ก้อง พี่ก้อง น้องก้องของทุกคนในซอยแต่ก็เหมือนฝันลมๆแล้งๆ ผมกลับไปไม่ได้แล้ว ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว แม้แต่อนุสรณ์ของแม่ก็ละลายติดราวบันได ไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้าเลย

ครืน --

ฟ้าร้องอีกครั้ง ผมหดหู่เพราะโหยหาอดีต ถึงจะเปิดแอร์ยี่สิบแปดองศาแต่กลับรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก เหงื่อเริ่มออกมากขึ้นเรื่อยๆจนเสื้อชื้น ท่ามกลางความมืดมีแค่นายก้องเกียรติคนเดียว นอนอยู่คนเดียวในห้องที่ไม่คุ้นเคย เสียงแอร์ที่ดังเป็นระยะสลับกับเสียงฟ้าร้องปั่นประสาทผมมาก ยิ่งพยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ยิ่งทรมานเท่านั้น

หลับสิ หลับ หลับ หลับ

ผมท่อง

หลับได้แล้ว จะเช้าแล้ว ต้องหลับแล้ว

ผมพลิกตัวไปมาจนเหนื่อย ร่างกายส่งเสียงประท้วงว่าต้องพักแต่ทำไม่ได้ แค่หยุดคิดฟุ้งซ่านก็ทำไม่ได้ อาการนอนไม่หลับมันทรมานแบบนี้นี่เอง ยิ่งกว่าอยากตายแต่ไม่ได้ตาย ต้องอดทนรอเป็นชั่วโมงๆ ผมเริ่มร้องไห้เมื่อนาฬิกาบอกเวลาว่าตีสาม อีกสองชั่วโมงจะเช้าแล้วแต่ร่างกายยังไม่ได้พัก ผมเหนื่อยและเบื่อกับการสะกดจิตตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่หลับซักที

ท่ามกลางความมืด เสียงฟ้าร้อง เสียงฝนกระทบหน้าต่าง เสียงแอร์ดังครืดๆและความเครียด ผมเห็นแสงสว่างสาดเข้ามาในห้องเล็กน้อย เงาตะคุ่มสูงใหญ่ยืนอยู่ที่ประตู ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นพี่อู๋ เขาคงแอบเปิดเข้ามาดูเพราะคิดว่าผมหลับ แต่ผมยังไม่หลับ และกำลังร้องไห้เพราะรู้สึกทรมานกับมันเหลือเกิน

“ยังไม่หลับเหรอ?”

พี่อู๋คงได้ยินเสียงแปลกๆ เขาจึงเปิดประตูกว้าง ปล่อยให้แสงจากหลอดไฟข้างนอกสาดเข้ามาในห้องมืดๆของกอริลลาก้อง ทันทีที่เห็นผู้ปกครองผมก็โผล่หน้าออกจากผ้านวม สูดน้ำมูกฟุดฟิดเพื่อโกหกเขาว่าเป็นภูมิแพ้ แต่พี่อู๋รู้ทัน

“ทำไมถึงไม่หลับล่ะ? กินยาหรือยัง?”
“กินแล้วครับ”
“กลัวฟ้าร้องเหรอ?” พี่อู๋ถาม เขาเดินมานั่งข้างเตียง กลิ่นแอลกอฮอลล์ฉุนกึกจนผมตกใจ “หรือคิดถึงบ้านอีกแล้ว?”

ครับ

ผมตอบ และบอกเขาว่าอยากกลับบ้านมากแค่ไหน พี่อู๋ไม่พูดอะไร เขารับฟังเงียบๆ ลูบหัวผม ลูบไหล่ผม ไม่แสดงท่าทีอย่างอื่นนอกจากหลับตาแล้วจับตัวผมเท่านั้น

“พี่ออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
“อืม เพิ่งกลับจากข้าวสารอ่ะ” เขาหาวปากกว้าง ดูง่วงจนผมอิจฉา
“พี่กินเหล้ามาเหรอ?”
“ช่าย”
“พี่ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมไม่เห็นรู้เลย” ผมถาม พี่อู๋เอานิ้วชี้แตะปากแล้วส่งเสียงจุ๊ๆ ผมว่าเขาคงเมาจริงๆ
“ย่องเบาออกไป เดินบนปลายเท้า กลัวก้องตื่น”
“ผมไม่เคยหลับต่างหาก”
“เดี๋ยวคืนนี้ก็หลับ” พี่อู๋ว่า “ไปนอนห้องพี่สิ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนคนเดียวได้”
“มาเถอะ ฝนตกแบบนี้น่ากลัวจะตาย มานอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยก็แล้วกัน”

พี่อู๋ดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง กอริลลาก้องที่กำลังเศร้าถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทันเพราะต้องเดินตามคนเมาลากไปนอนด้วยกันในห้องใหญ่ พี่อู๋เปิดไฟในห้อง เผยให้เห็นสภาพเละเทะของกองหนังสือไม่ต่างจากข้างนอก เขาบอกผมว่าตามสบายเลย กระโดดขึ้นเตียงเลย แต่ผมไม่อยากทำอย่างนั้นเพราะบนที่นอนยังมีหนังสือกองอีกหลายเล่ม

“โทษที พี่ชอบนอนอ่านหนังสือน่ะ”

ครับ ผมรู้ เห็นจากกองหนังสือทั้งหมดแล้วพอเดาได้

พี่อู๋เป็นประเภทชอบอ่านแต่ไม่ถนอม พอเห็นว่าบนเตียงมีหนังสือวางอยู่ก็เอามือกวาดลงพื้นแบบไม่คิดอะไร เขาสะบัดผ้าห่มสองสามครั้งแล้วเรียกผมให้ไปนอน มาเร็วก้อง นอนก่อนเลย ขอพี่แปรงฟันก่อน เมื่อกี๊กินข้าวมันไก่มา ขมปากมาก เริ่มอยากอ้วกว่ะ ทำไงดี

“พี่ไหวไหมเนี่ย?”
“ไหว”

เขาตอบก่อนจะเรอเอิ๊กเสียงดัง

“เออลืมบอก พี่ไม่ชอบห่มผ้ากับใครอ่ะ ก้องต้องเอาผ้าห่มมานอนด้วยแล้วล่ะ”

ไม่มีปัญหาครับ พี่จัดการตัวเองเถอะ

ผมคิดในใจระหว่างไปเอาผ้านวมที่ห้องนอนเล็ก ตอนกลับเข้ามาผมไม่เห็นพี่อู๋แล้ว เหลือแค่กางเกงยีนส์กองทิ้งไว้บนพื้นกับเสื้อโปโลสีดำ ส่วนตัวเขายืนสะลึมสะลือแปรงฟันหน้ากระจกในห้องน้ำ ผมหยิบเสื้อผ้าของพี่อู๋ใส่ตะกร้า บอกเขาว่าพรุ่งนี้จะซักให้นะครับ พี่จะซักตัวไหนอีกบ้าง พี่อู๋รีบตอบทันที

“บ็อกเซอร์ๆๆ ฝากด้วย”

แล้วเขาก็ถอดตัวที่กำลังใส่ให้นายก้องเกียรติ

“ขอบใจมากก้อง นอนก่อนเลย พี่ว่าจะอาบน้ำหน่อย เดี๋ยวก้องรังเกียจ”

ครับ เอาที่พี่สะดวกเลย

พี่อู๋จัดการธุระโดยไม่ปิดประตูด้วยซ้ำ เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในห้านาที กลิ่นสบู่โพรเท็คหอมอบอวลทั่วเตียงเมื่อพี่อู๋ก้าวขึ้นมา ผมได้ยินเสียงอะไรซักอย่างลากไปบนพื้น เดาเอาว่าเขาคงใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทาง

“นอนได้แล้วก้อง นอนๆๆๆ”

เขาพูดรัวก่อนจะปิดไฟ ในห้องมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงฟ้าแลบผ่านทางหน้าต่าง ผมรู้สึกถึงพี่อู๋ที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ เขาขยับเข้ามาหาทีละนิดแล้วบอกว่า --

“ขอหมอนข้างนะ พี่นอนไม่หลับถ้าไม่มีหมอนข้าง”
“ครับ”

นึกว่าจะทำอะไร ที่แท้ก็หวงหมอน

“นอนนะก้อง หลับได้แล้ว พี่ง่วงมาก”
“ครับ”

พี่นอนเถอะ ผมไม่ได้ขอให้ถ่างตาอยู่เป็นเพื่อนเสียหน่อย

“เมื่อไหร่ก้องจะโต พี่อยากพาก้องไปเที่ยวด้วย จะพาไปจองโต๊ะบริค”
“ผมโตแล้ว”
“โตกว่านี้อีก” เขางัวเงีย
“ผมอายุสิบเจ็ดแล้ว ไม่เด็กแล้วนะครับ”
“อายุสิบเจ็ดได้มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับๆแวมๆ”

อะไรวะเนี่ย

“จีนี่จ๊ะ จีจี่จ๊ะ ออกมาอาอ๊าอาอา --”

ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงร้องเพลงออกมาหน้าตาเฉย พี่อู๋ยังคงพูดเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเมา เขาร้องเพลงไม่หยุดจนผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหลับเมื่อไหร่ แต่ลืมตาอีกทีก็เช้าแล้ว ส่วนพี่อู๋ยังนอนขดอยู่ข้างๆ เขาห่อตัวเองเป็นดักแด้แล้วอิงแอบกอริลลาก้องเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น ผมไม่กล้าขยับตัวอยู่นาน แอบมองหน้าพี่อู๋ตอนหลับเป็นชั่วโมงแล้วหายใจ

พี่อู๋นอนดิ้นเป็นบ้า เตียงตั้งกว้างแต่กลับกลิ้งมาเบียดผมเกือบตกเตียง หลังจากนอนมองเพดานจนเบื่อ ผมก็ลุกไปทำงานบ้านฆ่าเวลาระหว่างรอเขาตื่น หวังว่าตอนนั้นพี่อู๋คงหายเมา และเลิกร้องเพลงจีนี่จ๋าซักที


 


TBC
----------------------------------------------
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


ตอนนี้อาจจะเรื่อยๆเปื่อยๆหน่อย แต่ตอนหน้ามีแขกมาเส่อพร๊ายน้องก้องค่ะ จะเป็นใครนั้นต้องรอติดตามกันนะคะ <3
ที่สำคัญเลย ขอบคุณคอมเม้นต์น่ารักๆจากนักอ่านทุกคนเลยนะคะ แค่เห็นว่ามีคนชอบก็ดีใจมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จะตั้งใจเขียนเต็มที่เล้ย  :hao5:

ปล.ตอนนี้มีภาพประกอบบ้านใหม่พี่อู๋ด้วยค่ะ จะใส่ไว้ในแฮชแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ นะคะ ถ้าหากอยากดูคร่าวๆเพื่อให้เห็นภาพว่าเป็นยังไงสามารถดูรูปได้เลยค่ะ จะอัปไว้ให้น้า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2018 21:35:07
 :3123: :pig4: :3123:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-11-2018 22:04:05
ไม่ๆ ตอนนี้ไม่เรื่อยเปื่อย เราชอบบรรยากาศแบบนี้ค่ะ น้องที่ปรับตัวพยายามหาอะไรทำ
กับอีกมุมของพี่อู๋ ที่แบบ พี่นิสัยผู้ชายและซกมก ห้องเละอย่างที่น้องว่าจริงๆ
ตอนนี้เราชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 0825 ที่ 01-11-2018 22:17:46
สนุกมากเลยค่ะ ตามอ่านรวดเดียวเลย
สงสารก้องมากๆเลยอ่ะ ภาษาที่คนเขียนใช้ดีมากเลย อ่านแล้วก็ซึมไปเลยช่วงแรก
ตรงที่อึดอัดก็รู้สึกอึดอัดตาม ตรงที่เศร้าก็เศร้ามาก
ชอบตรงที่เปรียบเป็นกอริลลาด้วย เห็นภาพชัดดี
ตอนที่บ้านน้องไฟไหม้คิดอย่างเดียวเลยว่าอย่าแกล้งน้องเลยคนเขียน!!!
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดมากลูก แต่ก็เห็นพัฒนาการของก้องในทางที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เอาใจช่วยอยู่นะ
ตอนล่าสุดที่ก้องบอกว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อเราดีใจมากๆเลย
น้องคิดเรื่องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ปกติเราไม่ชอบกินไชเท้าดองแต่ถ้าน้องชอบพี่จะดองให้กินเอง 55555
สู้ๆนะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 01-11-2018 23:01:36
ดีใจจัง น้องก้องเริ่มผ่อนคลายขึ้นแล้วว น้องกำลังเรียนรู้และเริ่มที่จะปรับตัว   :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 02-11-2018 00:47:24
เปียโนนั้นมีความลับบบบบ~ (เพลงมา)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 02-11-2018 00:58:09
ติดตามชีวิตน้องก้องด้วยคนค่ะ พี่อู๋ใจดีมากๆ เลย ^^
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 02-11-2018 03:34:49
พี่อู๋ติดน้อง รู้สึกผิดที่น้องชายเสียชีวิต ต่างคนต่างเป็นโรคซึมเศร้า รึเปล่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 7 update!] (01/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-11-2018 06:50:04
ตลกพี่อู๋ตอนเมาละร้องเพลง​ 5555555555
เป็นกำลังใจให้น้องก้อง​ ซักวันหนูจะนอนหลับเอง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 07-11-2018 20:26:40
08 [Part 1]


นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบห้านาที

โจรสองคนนอนอืดในคอนโดแถวลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด

ไม่รู้ว่าความขี้เกียจและความซกมกสามารถส่งต่อกันได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆตอนนี้นายก้องเกียรติกลายเป็นอุรัสยาสองไปแล้ว ทั้งพี่อู๋และผมปล่อยให้หนวดขึ้นครึ้มไม่คิดจะโกนออก วันๆไม่ทำอะไรนอกจากเวฟข้าวกล่อง นอนหน้าทีวี อาบน้ำ นอนหน้าทีวีอีกครั้ง แล้วเข้านอน

“พี่ไม่ต้องทำงานเหรอครับ?”

ผมถามเพราะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติและไม่ถูกต้อง พอนึกถึงเสียงเปิดปิดประตูตอนเจ็ดโมงเช้าก็คิดออก อ๋อ -- คนอื่นรีบตื่นไปทำงานหาเงิน แต่คุณอุรัสยากลับนอนตื่นสาย ไม่ทำอะไรเลยนอกจากกระดิกเท้านอนดูแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างสบายใจเท่านั้น

“พี่ทำงานที่บ้านน่ะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ”
“แต่ผมไม่เห็นพี่จะทำอะไรนอกจากนอนดูทีวีกับอ่านหนังสือ”

ผมพูด ไม่ได้อยากจุ้นจ้านชีวิตส่วนตัวของเขานักหรอก แต่บางทีก็สงสัยว่าทำไมพี่อู๋ถึงเลื่อนลอยผิดแปลกจากชาวบ้าน ไม่ทำงาน ไม่ออกไปพบปะผู้คนบ้างเหรอ วันๆเจอแต่กอริลลาก้องหนวดเฟิ้มในห้องสี่เหลี่ยม เขาไม่เบื่อหรือไง

“ด่าพี่ในใจอีกล่ะสิ”
“ครับ”
“โกหกบ้างก็ได้นะก้อง” พี่อู๋ใช้ปลายเท้าสะกิดไหล่ผมที่นั่งพิงโซฟา “จะบ่ายสามแล้ว เวฟข้าวกินกันดีกว่า ก้องกินอะไร? มาม่าหรือโจ๊ก?”
“ไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็นแล้วครับ”
“เกี๊ยวกุ้งอ่ะ?”
“พี่เพิ่งกินไปเมื่อเช้าไง”

ผมตอบก่อนจะเปิดตู้เย็นให้คุณอุรัสยาดู ข้างในมีแต่ความว่างเปล่ากับขวดน้ำสองขวด นอกนั้นไม่มีอะไรเลย บ๋อแบ๋ แม้แต่น้ำปลาไว้คลุกข้าวยังไม่มี

“สงสัยเย็นนี้ต้องออกจากบ้านแล้ว”

พี่อู๋พึมพำ เขาเพิ่งรู้เหรอว่าเราไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเกือบสัปดาห์แล้ว

“งั้นอาบน้ำเลยก้อง พี่จะพาไปซื้อของ”

เขาบอก แต่ตัวเองยังนอนกินขนมดูพ่อมดน้อยโอมเพี้ยงหน้าตาเฉย นายก้องเกียรติที่เป็นแค่ผู้ขออาศัยก็ขี้เกียจพูด จึงเดินไปอาบน้ำตามคำสั่งของผู้ปกครองโดยดี




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเจ็ดนาที

เราเพิ่งถึงยูเนี่ยนมอลล์ สิ่งแรกที่พี่อู๋ทำคือพาผมไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำกับไข่ยางมะตูม หลังจากนั้นก็ไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อตุนเสบียงสำหรับการ “จำศีล” ในสัปดาห์ถัดไป

เท่าที่ผมจำได้ ครัวของพี่อู๋มีทุกอย่างพร้อม ทั้งจาน ชาม กระทะ หม้อไห ไมโครเวฟ หม้อนึ่ง หม้ออบลมร้อน เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องอบแซนด์วิช เครื่องตีส่วนผสม แม้แต่เตาอบขนาดเล็กก็มี พี่อู๋เก็บเครื่องครัวพวกนั้นในเคาน์เตอร์ชั้นล่างและปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นจับ ไม่เคยเอาออกมาใช้หรือทำความสะอาดเลย

“พี่อู๋ครับ”
“ครับก้อง?”
“ทำไมพี่ถึงกินแต่อาหารขยะพวกนี้ล่ะ ในก็ครัวมีอุปกรณ์ตั้งเยอะ” ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋กวาดเอาอาหารแช่แข็งใส่รถเข็นเป็นโหลราวกับจะเปิดขายแข่งกับเซเว่น
“พี่ทำกับข้าวไม่เป็น”
“อ้าว แล้วพี่ซื้อของพวกนั้นมาทำไม?”
“พี่ไม่ได้ซื้อเองหรอก ของแฟนเก่าน่ะ” พี่อู๋ตอบ “เมื่อก่อนเขามาทำกับข้าวที่ห้องบ่อย พอเลิกกันก็ไม่ได้ใช้เพราะพี่ทำไม่เป็น”

ผมหน้าสั่นตอนที่เขาบอกว่าของพวกนั้นซื้อให้แฟนเก่า ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าพี่อู๋มีแฟนเพราะเขาทำตัวโฉดมากจนผมนึกว่าสาวๆรังเกียจความโสโคร -- ซกมกของเขา พอได้ยินว่าเขาเคยมีก็เลยสงสัยว่าใครนะเป็นผู้หญิงผู้โชคร้ายที่ต้องคอยเก็บกวาดรังหนูของคุณอุรัสยา

“อึ้งเลย เห็นอย่างนี้พี่ก็เคยมีความรักนะ” พี่อู๋แซวเพราะเห็นผมยืนทื่ออยู่นาน
“ครับ อึ้งมาก ไม่คิดว่าจะมีคนหลงผิดมารักพี่ด้วย”
“ไอ้ก้อง!”

โห -- ไม่มีแล้วก้อง น้องก้อง ก้องเกียรติ กอริลลาก้อง ตอนนี้ผมกลายเป็นไอ้ก้องสำหรับเขาเรียบร้อย

“ล้อเล่นครับ แล้ว -- ตอนนี้พี่ยังเสียใจอยู่ไหม?”
“ไม่อ่ะ”
“งั้นถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมขอใช้เครื่องครัวในตู้นะครับ”
“ก้องทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ?”
“เป็นครับ แม่สอนมา” ผมตอบ พี่อู๋ดูอึ้งแดกกว่าผมตอนรู้ว่าเขามีแฟนเสียอีก “ผมไม่อยากให้พี่กินของพวกนี้เลย พี่กินวันละสามมื้อติดกันเป็นอาทิตย์ ไหนจะออกไปกินเหล้าอีก มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“ก้องเป็นห่วงพี่เหรอ?”
“เปล่าครับ” ผมเบื่อข้าวกล่อง แต่ไม่ได้บอก
“ก็ดีนะ ต่อไปนี้หน้าที่ทำกับข้าวเป็นของก้องแล้วกันเนอะ”
“พี่พูดเหมือนทุกวันนี้เราแบ่งกันทำงานบ้านงั้นแหละ”

ผมนึกถึงงานที่ต้องทำ ทั้งกวาดถู จัดของ ปัดฝุ่น พับผ้าห่ม ล้างห้องน้ำ ซักผ้า ล้างจาน เอาขยะไปทิ้ง แต่เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับบุญคุณที่พี่อู๋มีต่อผม ถ้าเขาสั่งมากกว่านี้ผมก็ทำได้ ให้เช็ดกระจก ซ่อมเครื่องซักผ้า วิ่งไปซื้อของก็ได้ สั่งให้ไปกู้ระเบิดยังได้เลย

“งั้นซื้อกับข้าวกัน”
พี่อู๋วางอาหารแช่แข็งในตู้ตามเดิมแล้วเข็นรถเดินหาของสด แม่เคยสอนผมว่าจะทำกับข้าวต้องคิดเมนูไว้ในใจก่อน ต้องนึกว่าจะทำอะไรและอย่าซื้อตุนเยอะเกินไปไม่งั้นของจะไม่สด เนื้อจะเหม็นสาบ ผักจะเหี่ยวไม่น่ากิน ถึงตอนนั้นก็คงไม่เหลือความอร่อยแล้ว ผมถามพี่อู๋ว่าพรุ่งนี้อยากกินอะไร เขาตอบไม่ได้ พี่อู๋เป็นประเภทมีอะไรให้กินก็กิน สุ่มหยิบข้าวกล่องในตู้เย็นได้อันไหนก็เวฟอันนั้น ไม่เคยเรื่องมาก

“ก้องคิดเองเลยว่าจะกินอะไร พี่กินทุกอย่างนั้นแหละ”

ได้ เตรียมตัวเตรียมใจกินอาหารสูตรไอ้แดงโดยเชฟก้องได้เลย

ผมซื้อหมูเนื้อแดงหนึ่งกิโล ปีกไก่ติดสะโพกสองชิ้นใหญ่ ซื้อข้าวหอมมะลิ ผักกาด มันฝรั่ง หัวหอม กระเทียม และหัวไชเท้าด้วย พี่อู๋บอกว่าแอบเปิดพันทิปอ่านวิธีทำไว้แล้ว คืนนี้เขาจะดองไชเท้าให้กินเอง

หลังจากนั้นเราก็ซื้อของที่สามารถเก็บได้นานหน่อย วุ้นเส้น ปลากระป๋อง ไข่ไก่หนึ่งแพ็ค และเนื้อสัตว์แปรรูปอย่างไส้กรอกกับแฮม ผมคิดอะไรไม่ออกก็เลยหยิบของซ้ำๆที่แม่ชอบซื้อ พอเดินผ่านตู้แช่นม พี่อู๋หยิบนมแกลลอนใหญ่ใส่รถเข็น เขาหยิบโยเกิร์ตยี่ห้อพาสควาล ชีส และเนยจืดก้อนใหญ่ พอเดินผ่านโซนเครื่องปรุง เขาก็กวาดทุกอย่างที่คิดเอาเองว่าน่าจะจำเป็นมาด้วยทั้งน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย น้ำมันมะกอก ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ เกลือ พริกไทย -- พอก่อน เหนื่อยจะเล่าแล้ว ผมไม่ว่าหรอกถ้าซื้อเพราะจำเป็นต้องใช้ แต่ไอ้สมุนไพรขวดสีเขียวนั่นมันอะไร

ออริกาโน

ผมอ่านชื่อเครื่องปรุงที่นอนเอ้งเม้งในรถเข็นแล้วรีบค้าน บอกเขาว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ออริกาโน แต่คุณอุรัสยายืนยันว่าเอาไว้โรยหน้าหอมๆ แถมกินกับอะไรก็อร่อยยิ่งกว่าใส่ผงชูรส  นี่พี่อู๋คิดว่าแกงจืดหมูสับควรใส่ออริกาโนเหรอ

“ไม่ต้องซื้อเยอะหรอกครับ ซื้อเท่าที่ใช้ก็พอ”
“เราจะได้ไม่ต้องออกมาซื้อบ่อยๆไง” พี่อู๋บอก เขาหยิบแม็กกี้มาอีกขวด อันนี้ผมเห็นด้วย ถ้าอดอยากปากแห้งไม่มีอะไรกินจริงๆ แม็กกี้กับข้าวสวยร้อนๆช่วยเราได้

พอซื้อทุกอย่างตามที่คุณอุรัสยาต้องการ เขาก็เข็นรถไปโซนขนม กว้านซื้อมันฝรั่งทอดรสต่างๆมาเกือบสิบห่อ หยิบโค้กขวดลิตรมาอีกสามขวด ปีโป้สี่ถุง คิทแคทแพ็คใหญ่ นี่กรมอุตุประกาศเตือนภัยเรื่องน้ำท่วมหรือไง ทำไมเราถึงซื้อของเยอะขนาดนี้

เย็นนั้นพี่อู๋จ่ายเงินค่าของกินทั้งหมดสามพันเจ็ดร้อยกว่าบาท ผมหน้าซีดแต่เขากลับยิ้มระรื่น ส่งบัตรให้พนักงานรูดปรื๊ดๆไม่มีท่าทีเสียดาย เราสองคนช่วยกันหิ้วถุงใบใหญ่หกใบไปที่รถและขนอย่างทุลักทุเลกลับห้อง แล้วนายก้องเกียรติก็เริ่มหยิบเครื่องครัวมาเช็ดทำความสะอาด จัดวางเครื่องปรุงที่เพิ่งซื้อเข้าตู้ ล้างเนื้อสัตว์ ล้างผัก แช่ผักด้วยน้ำส้มสายชู หั่นเก็บบางส่วนใส่ท็อปเปอร์แวร์เข้าตู้เย็น พวกมะนาว กระเทียม หัวหอมก็แยกไปอยู่อีกตู้ ของสดที่เน่าเร็วก็แช่ช่องฟรีซ ผมวุ่นวายกับการจัดของอยู่คนเดียว แต่คุณอุรัสยากลับยืนถือมีดหน้าทีวี ตามองแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่กระพริบ แล้วชาตินี้ผมจะได้กินไชเท้าดองไหม

กว่าห้องจะเรียบร้อย กว่าพี่อู๋จะหั่นไชเท้าแล้วหมักในน้ำส้มสายชูกับน้ำตาล กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็สี่ทุ่มพอดี ผมหมดแรงจนนอนแผ่บนพื้น ส่วนพี่อู๋งอแงบ่นหิวข้าว ขอร้องให้ทำอะไรซักอย่างก่อนที่เขาจะหิวตาย

“พี่ไม่ตายหรอก พี่กินก๋วยเตี๋ยวตั้งสองชาม”

ผมบ่นแต่ก็ลุกขึ้นทำข้าวให้พี่อู๋กิน เมนูแรกที่กอริลลาก้องได้โชว์ฝีมือคือข้าวผัดปลากระป๋อง ผมใส่น้ำมันนิดหน่อย ใส่กระเทียม ไข่หนึ่งฟอง ตามด้วยซีอิ๊วเห็ดหอมแล้วยีให้แตก เมื่อไข่เริ่มสุกก็ใส่ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ผัดข้าวกับไข่ให้เข้ากันแล้วใส่ปลากระป๋อง เลือกเอาแค่เนื้อปลาเพราะถ้าใส่ซอสด้วยข้าวจะแฉะ ผัดต่ออีกหน่อยจนข้าวแห้ง จากนั้นก็ตักใส่จานได้

พี่อู๋ไม่มีส่วนช่วยในการทำมื้อดึก เขาแค่ยืนกอดอกมองผมทำนั่นทำนี่เงียบๆที่โต๊ะกินข้าว เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเราก็นั่งกินด้วยกัน พี่อู๋ตักข้าวผัดร้อนๆเข้าปาก เคี้ยวหยับๆสามสี่ทีแล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้มได้ปลอมเปลือกมาก

“เป็นอะไรครับ?”

ผมถาม ตอนผัดข้าวก็ไม่ได้ใส่กัญชา เขาจะทำตาเยิ้มทำไม

“อร่อยจังเลยก้อง” พี่อู๋ตักกินอีกคำ “รู้งี้ให้ก้องทำนานแล้ว ไม่กินของเวฟหรอก”

ผมอมยิ้ม ไม่มีใครชมว่าผมทำกับข้าวอร่อยนอกจากแม่ เพราะเมื่อก่อนแม่เลิกงานเกือบหกโมงหน้าที่ทำกับข้าวเลยตกเป็นของผมโดยปริยาย พอแม่ตายก็ไม่ได้เข้าครัวจริงๆจังๆมานาน พี่อู๋คือคนแรกที่ผมทำกับข้าวให้กิน พอได้ยินคำชมเลยดีใจเป็นพิเศษ

เรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย มื้อดึกตอนสี่ทุ่มอาจทำให้จุกจนนอนไม่ได้แต่ไม่มีใครสน พี่อู๋กินหมดไวมาก สองสามนาทีก็เกลี้ยงจานแล้ว ส่วนผมใช้เวลานานหน่อย พี่อู๋ก็เลยนั่งคุยเป็นเพื่อนระหว่างรอผมกินเสร็จ

บทสนทนาของเราเป็นเรื่องทั่วๆไปเช่น พรุ่งนี้ผมจะซักผ้านะ มีเสื้อตัวไหนสีตกไหม จะได้ซักมือ แล้วอยากให้จัดหนังสือ อยากให้เช็ดฝุ่นที่เปียโนหรือเปล่า พอพูดถึงเปียโน พี่อู๋ก็หันมองมันชั่วครู่ เขาบอกว่าฝากด้วยนะ ใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างเดียวพอ อย่าใช้ผ้าเปียก เดี๋ยวไม้ชื้น

“ผมเห็นพี่มีเปียโน พี่เล่นเป็นด้วยเหรอครับ เล่นให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”

ผมถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน พี่อู๋ส่ายหน้า บอกว่าเปียโนหลังนี้ไม่ใช่ของเขา

“ของเอมน่ะ” พี่อู๋ตอบ พอเห็นผมทำหน้างงว่าเอมคือใคร เขาก็ขยายความ “น้องชายพี่ชื่อเอม พอเอมไม่อยู่พี่ก็เลยเอามาเก็บไว้ที่นี่”
“แล้วพี่เล่นเป็นไหมครับ?”
“ไม่เป็น พี่ไม่เอาถ่านซักเรื่อง ในบรรดาพี่น้องสามคนพี่คือตัวบ๊วยของบ้าน”

พี่ไม่ใช่บ๊วยหรอก จริงๆนะ คนบ๊วยที่ไหนจะทำงานจนมีรถมีคอนโด มีเงินจ่ายค่ายาค่าหมอให้เด็กเหลือขออย่างนายก้องเกียรติล่ะ ผมคิดแบบนั้น แต่ไม่ได้พูดออกไป พี่อู๋ดันกระพุ้งแก้มราวกับกำลังใช้ความคิด เขาคงลังเลว่าควรเล่าให้ฟังหรือเปล่า พอเห็นกอริลลาก้องนั่งเฉยไม่แสดงความกระหายใคร่รู้ เขาก็เล่าให้ฟังเองโดยไม่ต้องขอ

พี่อู๋บอกว่าเขาไม่ใช่คนกรุงเทพ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ภาคใต้ จังหวัดอะไรซักอย่างที่ชื่อยาวมาก พี่อู๋โตมาในครอบครัวคนจีน แม่เป็นลูกสาวร้านขายวัสดุก่อสร้าง พ่อเป็นจิตแพทย์ พี่สาวคนโตชื่อออมเป็นอาจารย์หมอที่หาดใหญ่ พี่อู๋เป็นลูกคนกลาง จบอักษรศาสตร์จากมหาลัยในนครปฐมเพื่อมาเป็นทุกอย่างให้นายญี่ปุ่น(เขาพูดเองนะ)เกือบสิบปี ส่วนเอมเป็นน้องคนสุดท้อง เกิดเดือนเดียวปีเดียวกับผม นิสัยขี้อ้อนตามประสาน้องเล็ก เรียนเก่งเหมือนพ่อกับพี่สาวแถมมีพรสวรรค์ด้านดนตรีก็เลยยิ่งเป็นที่รักของทุกคน

ตอนเล่าเรื่องครอบครัว พี่อู๋ดูมีความสุขมากๆเมื่อได้พูดถึงพ่อ แม่ พี่ออม และเอม เขาไม่เศร้าหรือซึมเหมือนวันที่กินบอนชอนเมื่อผมถามว่า ขอโทษนะครับ เอมตายเพราะอะไร พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ไม่แสดงอาการหดหู่ให้เห็น แต่คำตอบนั้นทำผมช็อกพอควร

“เหมือนก้องนั่นแหละ” เขาพูดติดตลก “แต่พี่ไปหาเอมไม่ทัน”

ผมแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าเอมฆ่าตัวตาย นึกไม่ออกเลยว่าควรปลอบเขายังไง จะพูดว่าอย่าเสียใจก็ไม่ได้เพราะน้องชายตายทั้งคน ยิ่งพี่อู๋เล่าว่าเขาเป็นคนไปส่งเอมที่โรงเรียนวันแรก เป็นคนสนับสนุนให้เรียนเปียโน พอปิดเทอมก็พามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาสนิทกันมาก มากจนการตายของเอมทิ้งแผลสดเอาไว้ในใจของพี่อู๋ถึงวันนี้

“เพราะแบบนั้น -- พี่ก็เลยช่วยผมใช่ไหม?”

พี่อู๋ยิ้ม ต่อให้พยายามทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความเสียใจของเขาอยู่ดี

“แต่พี่ดูเศร้าน้อยลงนะครับ ต่างจากวันที่ไปกินบอนชอน ตอนนั้นพี่ซึมตั้งนาน”
“ถ้าเล่าให้มันเหมือนเรื่องธรรมดา มันก็จะเป็นแค่เรื่องธรรมดา”

เขาบอกเคล็ดลับให้กอริลลาก้องที่เพิ่งผ่านการสูญเสียมาเหมือนกัน

“คนที่เรารักก็คงไม่อยากเห็นเราเศร้านานหรอกเนอะ ยังไงคนเป็นก็ต้องอยู่ต่อไป ใช้ชีวิตให้มีความสุขมากๆดีกว่า มีความสุขเผื่อคนตายด้วย”

ผมเก็บคำแนะนำของพี่อู๋มาคิด แต่เข้าไม่ถึงเนื้อความที่เขาพยายามสื่อ จริงอยู่ที่คนเป็นต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่การสูญเสียก็คือการสูญเสียอยู่วันยังค่ำ ผมไม่มีวันมองการจากไปของแม่เป็นเรื่องธรรมดา แถมการฆ่าตัวตายทิ้งรอยแผลให้คนข้างหลังมากกว่าการตายด้วยสาเหตุอื่น เหมือนที่ผมโทษตัวเองตลอดว่าเป็นเพราะรู้จักแม่ไม่มากพอ ช่วยแม่แบ่งเบาความเครียดไม่มากพอ แม่ถึงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าการไปสู่อิสรภาพที่แท้จริงต้องทำยังไง

“พี่เล่าเรื่องของเอมให้ฟังแล้ว” พี่อู๋พูดเมื่อเห็นผมนั่งเหม่อ “ก้องลองเล่าเรื่องแม่ให้พี่ฟังบ้างสิ”

ผมเงียบพักหนึ่ง เสียงในใจสั่งไม่ให้เปิดปากพูดอะไรออกไป ถ้าบอกเขาว่าการตายของแม่คือความผิดของผม ถ้าพูดว่ายังเสียใจในสิ่งที่แม่ทำ พี่อู๋คงหาคำพูดร้อยแปดมาปลอบใจเพื่อให้ปลงกับสัจธรรมของชีวิต แน่นอนว่าผมไม่ต้องการแบบนั้น ไม่ต้องการคำปลอบใจ ไม่อยากให้เรื่องของเอมเป็นตัวอย่างของการกลับมาเข้มเข็งเพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของนายก้องเกียรติทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม

“ไว้วันหลัง -- ผมจะเล่าให้พี่ฟังนะครับ”

พี่อู๋บอกว่าได้สิแล้วช่วยเก็บจานไปล้าง นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสิบสองนาที เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ผมกินยานอนหลับแล้วเข้านอน ส่วนพี่อู๋ใช้เวลาข้างนอกอีกหน่อย ผมได้ยินเสียงเขากดเปียโนเล่นไม่เป็นเพลงนานหลายนาที ก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา




การพบหมอครั้งที่หก ผมบอกหมอว่านอนไม่ค่อยหลับ

ที่จริงผมมีปัญหาเรื่องนอนมาซักพักแล้ว ต่อให้กินยาและเข้านอนเป็นเวลาก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ หมอพยายามชวนคุยเพื่อล้วงหาสาเหตุที่กอริลลาก้องกลัวการนอนหลับ เขาถามถึงความเครียด ความกลัว ความกังวลแต่ผมให้คำตอบไม่ได้ ผมบอกเขาว่าตอนนี้มีความสุขดี พี่อู๋เลี้ยงผมดีมาก ดีจริงๆ ไม่มีเรื่องต้องเศร้าเลย

หมอเริ่มมีท่าทีหนักใจ ดูเหมือนการปรับยาครั้งที่สามจะไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนยานอนหลับตัวใหม่ให้ตามคำขอ หมอบอกว่าตัวนี้ออกฤทธิ์นานขึ้น หลับสนิทมากขึ้น น่าจะได้ผลดีกว่าตัวเก่า ว่าแต่ช่วงนี้ก้องเป็นไงบ้าง อยู่กับพี่อู๋มีเรื่องขัดใจบ้างไหม หงุดหงิดไม่สบายใจเรื่องอะไรหรือเปล่า

ไม่มีครับ

ผมโกหก เพราะจริงๆแล้วมีอยู่หนึ่งเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิด

ผมเบื่อที่พี่อู๋ออกไปกินเหล้า

ถ้าพูดในฐานะคนขออาศัยอยู่ฟรีๆ ผมไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วยซ้ำ แต่การพะวงว่าเมื่อไหร่พี่อู๋จะกลับทำให้ผมประสาทเสียพอสมควร จริงอยู่ที่ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้เพราะเขาอายุสามสิบเอ็ดแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว แต่การออกไปสนุกข้างนอกของเขาส่งผลกระทบกับผมมากกว่าที่คิด

ผมเป็นกังวลทุกครั้งที่ตื่นกลางดึกแล้วไม่เจอพี่อู๋  ซึ่งก็ทุกคืน -- แทบทุกคืนที่ผมนั่งบนเตียงคนเดียวในห้องนอนใหญ่ ไม่มีใครอยู่บ้าน รองเท้าผ้าใบคู่โปรดของพี่อู๋หายไป ผมรู้ทันทีว่ามันอยู่ที่ไหน คงตะลอนย่ำเท้าในถนนข้าวสารกับเจ้านายขี้เมา รอเขากินเหล้าจนหัวทิ่มถึงจะได้กลับบ้าน และทุกครั้งที่เปิดประตูเข้ามา ผมจะตื่นอยู่พอดี

“ก้อง ทำไมยังไม่นอน ไปนอนสิเร็วๆ นอนดึกไม่ดี ต่อไปอย่านั่งรอพี่อีกนะ”

พี่อู๋พูดประโยคนี้ทุกคืนที่กลับบ้านมาเจอผมนั่งอยู่บนโซฟา เขาบอกให้ไปนอน แต่สภาพเละเทะเหมือนหมาทำให้ผมทนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องตามเก็บเสื้อผ้าที่พี่อู๋ถอดทิ้งไว้บนพื้น คืนไหนที่เขาอ้วกก็ต้องเช็ดอีก กว่าจะได้นอนก็ตีสี่ บางวันตีห้า ผมหลับได้แค่สองสามชั่วโมง แต่พี่อู๋สามารถนอนยาวได้ถึงเที่ยงเพราะไม่ต้องออกไปทำงาน วันๆมีแค่กิน นอน ดูหนัง อ่านหนังสือ กินเหล้า กลับมานอนต่อโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เข้าใจหรือยังว่าทำไมผมถึงเกลียดการออกไปดื่มของเขามาก มากจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หมอต้องปรับยาครั้งนี้

เมื่อการซักถามเสร็จเรียบร้อยผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณหมอแล้วเตรียมตัวกลับบ้าน พอออกมาข้างนอก พี่อู๋ก็ถามว่าทำไมถึงดูซึมๆ ผมบอกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจหรอก เรื่องเล็กๆน้อยๆ เดี๋ยวก็หายเอง ผมไม่เป็นไร

“ถ้ามันทำให้ก้องซึมแบบนี้พี่ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ”

พี่อู๋ยังคงพูดต่อ

“บอกพี่มาเถอะ ก้องจะได้ระบายด้วยไง”

ผมไม่อยากบอก ไม่อยากเล่าอะไรให้เขาฟังอีกแล้ว พี่อู๋ถอดใจกับการง้อกอริลลาก้องที่กลับไปเป็นคนไร้อารมณ์เหมือนก่อนหน้า เขาพูดแค่ว่าสบายใจเมื่อไหร่ก็เล่านะ แต่พอถึงเวลาที่ผมต้องการเขาจริงๆ พี่อู๋ไม่เคยอยู่ใกล้เลย

“คืนนี้พี่จะไปกินเหล้ากับเพื่อนอีกไหมครับ?”
“ไปสิ” พี่อู๋ตอบหน้าตาย ไม่เอะใจในน้ำเสียงขุ่นเคือง “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ทำไมไม่ไปให้เร็วกว่านั้นล่ะครับ จะได้กลับเร็วๆ”
“รอก้องหลับก่อนแล้วค่อยไป”
“พี่ไม่รู้เหรอว่าผมนอนไม่หลับ ผมไม่เคยหลับสนิทเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับพี่”
“พูดกันดีๆสิก้อง ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย?”

ผมเม้นปากแน่น เริ่มอยากร้องไห้เพราะอธิบายให้พี่อู๋ฟังไม่ได้ ผมไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง ไม่กล้าขอพี่อู๋ว่าอย่าไปเลย ช่วยอยู่บ้านและอย่าเมากลับมาเพื่อผมได้ไหม ผมนอนไม่หลับเพราะเป็นกังวลว่าพี่จะมาเมื่อไหร่ จะขับรถชนใครไหม จะอ้วกใส่โซฟาอีกหรือเปล่า ความสุขตอนกลางคืนของพี่ทำลายชีวิตผม และตอนนี้มันเริ่มหมดลงแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไป ผมไม่อยากอยู่กับพี่อู๋แล้ว

“ทำไมพี่กินเหล้าหนักจัง ไม่กินซักวันจะลงแดงตายเหรอ?”
“ก้อง พี่ก็มีสังคมมีเพื่อนนะ” พี่อู๋ขมวดคิ้ว ผมตอบกวนๆว่า อ้อ เหรอ ผมเห็นพี่ไม่เคยออกจากห้องตอนกลางวัน คิดว่าเพื่อนไม่คบเสียอีก
“ทำไม? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ”
“ก้องเกียรติ”

คราวนี้ผมกัดริมฝีปาก เริ่มอึดอัดเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะครับ ผมเหนื่อย ผมอยากกลับไปพักที่บ้าน พอเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของกอริลลาก้อง พี่อู๋ก็เลี้ยวรถกลับ แผนไปกินของอร่อยถูกพับทิ้งกะทันหัน เราไม่พูดกันอีกเลย



END PART 1 ต่อ Part 2 ข้างล่างนะคะ ตัวอักษรเกินนิดนึงค่ะ ;-;

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 07-11-2018 20:30:36
08 [Part 2]




ผมเจอแม่อีกครั้งหน้าประตูบ้าน

แม่เพิ่งกลับจากทำงาน ท่าทางเหนื่อยๆแต่ก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นผม

“ก้องกินข้าวยัง วันนี้แม่ซื้อเป็ดเอ็มเคมาฝาก แล้วนั่นไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวมอมแมมเหมือนไอ้แดงแบบนี้ ไปเล่นฝุ่นที่ไหน หืม?”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองมอมแมมจนกระทั่งแม่บอก พอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูก็เห็นแต่คราบฝุ่นสีเทาเกาะทั่วทั้งตัว ผมสะบัดมือสองสามที เตรียมไปอาบน้ำตามที่แม่สั่ง บ้านยังคงเป็นบ้านหลังเดิมที่เราอยู่ด้วยกัน พื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เดินขึ้นบันได ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน หยิบชุดตัวใหม่และผ้าขนหนูเตรียมอาบน้ำ พอเดินลงบันไดก็เจอแม่ยืนรออยู่

“เหงาไหมก้อง?”

ไม่เหงาครับ

ผมตอบแต่ยังไม่คิดอะไรจนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เจอแม่ยืนรออีก

“ดีใจไหมที่แม่กลับบ้าน?”

ดีใจครับ

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถามแต่อะไรแปลกๆ หลังจากนั้นเรากินเป็ดย่างกับหมี่หยกด้วยกันในครัว แม่เปิดทีวีฟังข่าว ส่วนผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว เราไม่ค่อยพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร แต่วันนี้แม่ถามมากผิดปกติ

“วันก่อนไปกินน้ำแข็งไสเหรอ?”
“แม่รู้ได้ไง?”

ผมถามพลางนึกถึงร้านซอลบิงที่เซ็นปิ่น วันนั้นผมไปกับใครนะ ใครซักคนที่ไม่ใช่แม่ อ๋อ -- พี่อู๋นั่นเอง

“เขาดูแลก้องดีใช่ไหม?”
“แม่หมายถึงใคร?”

แม่ยิ้มแล้วลูบหัวผม น้ำตาเริ่มคลอเบ้าจนต้องถามแม่ว่าร้องไห้ทำไม แม่ส่ายหน้าก่อนจะบอกว่าแค่รู้สึกดีใจที่มีคนรับผมไปเลี้ยง โชคดีจริงๆที่เขาเจอก้อง แม่สบายใจแล้ว

“แม่พูดอะไร ก้องก็อยู่บ้านกับแม่ มีแค่แม่นั่นแหละที่เลี้ยงก้อง”

แม่หัวเราะแล้วกินมื้อเย็นจนหมด หลังจากนั้นผมก็เก็บจานไปล้าง เดินผ่านแม่ที่กำลังนั่งดูซีรี่ส์เกาหลีช่วงเย็นไปชั้นสอง ผมทำการบ้าน จัดตารางเรียน อ่านหนังสือตามปกติ ลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตแบบเด็กมัธยมธรรมดา ลืมว่าแม่ตายแล้ว ลืมว่าไฟไหม้บ้านหมดแล้ว ดังนั้นในความฝันผมจึงไม่เอะใจอะไรจนกระทั่งเดินลงบันไดมาช่วงค่ำ แล้วทุกอย่างก็หายวับราวกับไม่เคยมีอยู่

ผมมองรอบตัวด้วยความงุนงง เมื่อกี๊เพิ่งเดินลงบันไดแท้ๆแต่บ้านทั้งหลังหายไปเหลือแค่ซากดำๆกับเศษขยะกองใหญ่ ผมเดินออกไปนอกบ้าน ในซอยของเราไม่มีสิ่งปลูกสร้างเหลือเลยซักหลัง ขณะที่กำลังยืนเอ๋ออยู่ตรงรั้ว แม่ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ สวมเสื้อสีขาว มัดผมหางม้า แต่งหน้าสวยเหมือนจะออกไปเที่ยวไหน

“ก้องอยู่ได้ใช่ไหม?”

แม่ถาม ผมยิ่งสับสนมากกว่าเดิมแต่ก็ตอบตามสัญชาติญาณว่าอยู่ได้ครับ

“งั้นแม่ไปแล้วนะ”
“แม่จะไปไหน?”
“เดินเล่นแถวนี้แหละ”
“แล้วบ้านเราล่ะ? บ้านเราหายไปไหนเหรอแม่?”
“ก้อง” แม่ยิ้ม “กลับบ้านได้แล้ว”

แค่ประโยคนั้นประโยคเดียวจากปากแม่ --
แค่คำว่ากลับบ้านได้แล้ว ผมก็สะดุ้งตื่นทันที

ในห้องไม่มีใครเลยนอกจากนายก้องเกียรติที่ใบหน้าชุ่มเหงื่อ ความมืดรายล้อมรอบตัวจนมองเห็นแค่ลางๆ ผมลงจากเตียง เดินออกไปข้างนอกอย่างที่ทำประจำทุกคืน พอเปิดไฟตรงห้องโถงถึงรู้ว่าพี่อู๋ไม่อยู่เพราะรองเท้าคอนเวิร์สหายไป กระเป๋าสตางค์ที่ชอบวางทิ้งเพ่นพ่านก็ไม่มี เขาคงออกไปเที่ยวข้าวสารตอนผมหลับ เป็นแบบนี้ประจำ เขามักจะหายไปโดยไม่บอกทุกคืนแล้วก็กลับมาตอนตีสาม ซึ่งหมายความว่าอีกยี่สิบนาทีต่อจากนี้ พี่อู๋จะมา

เสียงฝนจากด้านนอกเรียกให้หันมองหน้าต่าง นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสองสี่สิบสองนาที นายก้องเกียรติโดนความเครียดเข้าเล่นงานอีกครั้ง แม่ไม่น่าทำแบบนี้เลย ไม่น่าผูกคอตายในบ้านเลย ผมฝังใจเพราะแม่ ผมกลัวการอยู่คนเดียวก็เพราะแม่ แล้วเมื่อกี๊ยังตามมาถึงในฝันอีก ทำไมไม่ปล่อยผมไป ทำไมแม่ไม่หายไปจากใจของผมเสียที

การอยู่เงียบๆในห้องมืดยิ่งทำให้ฟุ้งซ่าน ถ้าตื่นกลางดึกแล้วไม่เจอพี่อู๋ ผมจะเริ่มกระวนกระวายทุกครั้ง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเขาถึงกินเหล้าทุกวัน ทำไมไม่อยู่บ้านกับผม ทำไมไม่อยู่ข้างๆตอนที่ผมต้องการเพื่อน แน่นอนว่าพี่อู๋เลี้ยงผมอย่างดี เขาดูแลนายก้องเกียรติให้กินอิ่มนอนสบาย แต่แค่นั้นไม่พอหรอก ผมไม่ได้ต้องการแค่ที่อาหารหรือที่นอน ผมอยากอยู่อย่างปลอดภัย อยากสบายใจเมื่อลืมตาแล้วเจอเขา แต่พี่อู๋ก็ทำให้ผิดหวังทุกคืน

นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามยี่สิบเจ็ดนาที

พี่อู๋ยังไม่กลับบ้าน

ผมนั่งร้องไห้คนเดียวบนโซฟา มีเพียงเสียงฝนและความมืดเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน ผมรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ พี่อู๋ที่เคยเข้าใจก็เปลี่ยนเป็นคนละคนตั้งแต่เล่าเรื่องเอมให้ฟัง เมื่อก่อนเขาออกไปดื่มก็จริงแต่ไม่หนักขนาดนี้ พักหลังพี่อู๋กลับช้ากว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง เมาจนคุยไม่รู้เรื่องหนักกว่าเดิม ที่สำคัญ -- การควบคุมอารมณ์ของเขาก็ไม่เท่าเดิม

นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าเก้านาที

ผมยังคงรอพี่อู๋กลับบ้าน ในขณะที่กำลังฟุบหน้ากับพนักพิงโซฟา เสียงลากเท้าจากข้างนอกก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงไขประตู ก่อนที่แสงจากทางเดินจะสาดเข้ามาในห้อง พี่อู๋ยืนอยู่ตรงนั้น กลับมาได้เสียที

“ยังไม่นอนอีกเหรอ?”

เขาไม่ได้เมาหัวทิ่มเหมือนวันอื่นๆแต่ก็เละเทะเอาเรื่องเหมือนกัน พี่อู๋สะบัดรองเท้ากระเด็นไปไกล เขาเดินมาที่โซฟาแต่ไม่เล่นตลกกลบเกลื่อนด้วยการร้องเพลงเหมือนคืนก่อนๆ เขาแค่มองผมร้องไห้ด้วยสายตาเวทนา ผมถามพี่อู๋ว่าไปไหนมา รู้ไหมว่าผมรอพี่ตั้งนาน ทำไมมาเอาป่านนี้ ทำไมเพิ่งกลับบ้านตอนนี้

“ไปข้าวสารมา” คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมสะอื้นหนักกว่าเดิม “ก้องร้องไห้ทำไม? ยังทำใจเรื่องแม่ไม่ได้อีกเหรอ?”

พี่อู๋ถาม แต่ผมไม่ตอบ

“มันก็หลายเดือนแล้วนะก้อง เลิกเสียใจซักทีเถอะ ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขบ้าง”
“เหมือนที่พี่ออกไปกินเหล้าทุกคืนน่ะเหรอ?”
“ใช่”
“ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบพี่ ผมตายตามแม่ไปยังจะดีกว่า”

ผมถือโอกาสนี้ระบายความรู้สึกตัวเอง ผมบอกเขาว่าเบื่อวงจรอุบาทว์ของพี่อู๋ขนาดไหน ชีวิตเลื่อนลอยที่กินๆนอนๆและเอาแต่เที่ยวเตร่มันไร้สาระ อายุก็สามสิบกว่าแล้ว ทำไมยังคิดไม่ได้ ทำไมต้องทำให้เป็นห่วง ทำไมต้องทำให้ระแวงทุกคืน พี่เคยรู้บ้างไหมว่าผมไม่มีความสุขก็เพราะพี่ ผมนอนไม่หลับก็เพราะพี่ เพราะพี่ทั้งนั้น ทำไมพี่ถึงเป็นคนไม่ได้เรื่องแบบนี้

“อายปากตัวเองบ้างนะ เป็นแค่กาฝาก อย่าเสือกให้มาก”

ผมเงยหน้ามองพี่อู๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาหน้าบึ้ง ดวงตามองต่ำด้วยความไม่พอใจ

“กูก็เป็นของกูอย่างนี้ตั้งแต่แรก จะไปไหนกลับเมื่อไหร่ก็เรื่องของกู คิดบ้างว่าที่กินอยู่สุขสบายก็เพราะใคร ใครให้ที่ซุกหัวนอน ใครที่จ่ายเงินรักษามึง ใครที่ซื้อข้าวให้มึงกิน ถ้ารู้ว่าให้อยู่ด้วยแล้วปากดีขนาดนี้ กูทิ้งมึงไว้ที่วัดยังดีกว่า”

ผมโกรธจนตัวสั่น ในอกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนเข็มแหลมๆทิ่มทะลุเป็นร้อยเล่ม จริงอยู่ที่ผมเคยเตรียมใจว่าวันนึงจะโดนผลักไสไล่ส่ง แต่พอได้ยินจากปากพี่อู๋เองแล้วกลับทำใจยอมรับไม่ได้ ผมรับไม่ได้ที่เขาทวงบุญคุณด้วยคำพูดร้ายกาจแบบนั้น เขาทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าการตื่นมาไม่เจอใครเสียอีก

“แล้วพี่ช่วยผมทำไมตั้งแต่แรก ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตาย พี่จอดรถมาช่วยกาฝากอย่างผมทำไม!”
“เพราะกูไม่รู้ไงว่ามึงจะทำตัวแบบนี้ ถ้ากูรู้ว่ามึงลามปามด่าได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ กูคงปล่อยให้มึงนอนตายในวัดแล้ว!”
“ก็ทำไมพี่ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าไม่อยากให้ผมมาอยู่ด้วย!”
“ตอนนั้นมึงน่าสมเพชจะตายก้อง! ถ้ากูไม่รับก็คงไม่มีใครเอามึงแล้ว ดูไม่ออกเหรอว่าไม่มีใครอยากได้มึง ลุงนั่นก็ไม่อยากได้มึง พวกเด็กวัดก็ไม่อยากได้มึง ไม่มีใครอยากรับมึงไปเลี้ยงทั้งนั้นเพราะมึงมันภาระ!”

เพราะมึงมันภาระ
มึงมันภาระ
ภาระ

ผมรู้ว่าตัวเองเป็นภาระ แต่พี่อู๋ไม่น่าพูดตรงๆแบบนี้เลย

ผมผิดเองที่ร้องขอมากไป จริงๆแค่มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอนก็เพียงพอแล้ว แต่ผมกลับโลภมากอยากให้พี่อู๋อยู่ด้วย อยากให้เขาปลอบเหมือนเมื่อก่อน พอรู้ว่าลึกๆเขารำคาญและไม่ได้เต็มใจช่วยตั้งแต่แรกก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลย --

ก้องเกียรติไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครเลย

พ่อทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่เกิด แม่ชิงฆ่าตัวตายแบบไม่บอกกล่าว เพื่อนบ้านก็รังเกียจไม่รับไปอยู่ด้วย นี่ยังมีพี่อู๋ที่เพิ่งสารภาพว่าไม่ได้อยากช่วยตั้งแต่แรกอีก ทุกอย่างที่เขาทำเป็นเพราะสถานการณ์กดดัน เขาแค่เวทนาเด็กอนาถาไร้อนาคตแบบผมเท่านั้น 

ผมกัดฟันร้องไห้ หัวใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีเมื่อคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใคร ทั้งๆที่พี่อู๋คือคนเดียวที่เป็นหลักพึ่งพิงให้ผม เป็นคนเดียวที่ผมเคารพและอยากมีชีวิตอยู่กับเขา แต่พอได้ยินแบบนี้ก็ขอลา ผมคงไม่หน้าด้านพอจะเกาะเขากิน หลังจากนี้ผมจะไม่เป็นภาระให้พี่อู๋อีก จะไม่เสือกชีวิตของเขา จะไม่ทำให้เขารำคาญแล้ว

“จะไปไหน! กลับมาคุยให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”

พี่อู๋ตวาดเสียงดังเมื่อผมเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอน ผมไม่ได้หนี แค่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดเก่าของตัวเอง พี่อู๋รีบขวางทางเมื่อเห็นว่าผมจะออกจากห้อง สีหน้าของเขาดูไม่พอใจราวกับอยากต่อยนายก้องเกียรติเต็มที

“จะไปไหน?”
“ไปตาย”

ผมเดินกระแทกไหล่ของเขา พี่อู๋สาวเท้าตามมาติดๆ พอเห็นผมสวมรองเท้าแตะเยินๆของตัวเองเขาก็กระชากแขนผมอย่างแรง พี่อู๋เขย่าตัวผมแล้วเอาแต่ถามว่าทำไมไม่ตอบ ตอบสิ ตอบมาว่าจะไปไหน จะไปตายที่ไหนอีก เงียบทำไม พูดสิ บอกให้พูดก็พูดสิวะ

“พี่จะเสือกทำไม ผมจะไปตายห่าที่ไหนก็เรื่องของผม!”
“ไอ้ก้อง!”

พี่อู๋ตวาด เขายกมือจะตีผม ความโมโหที่คุมไม่อยู่ทำให้ผมกลัวจนเข่าอ่อน ล้มพับบนพื้นเพราะตกใจ เรามองหน้ากันอยู่นานในห้องที่มีแค่แสงฟ้าแลบสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ผมร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะกลัวถูกตี ส่วนพี่อู๋มองมาด้วยความผิดหวัง ตาของเขาแดงก่ำและคลอด้วยน้ำตา

“ผมไม่อยากให้พี่ออกไปกินเหล้า ผมแค่อยากให้พี่อยู่ด้วย”

ผมสะอื้น น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าตอนไฟไหม้บ้าน

“พี่ไม่รู้หรอกว่าผมกลัวแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอพี่ ผมตื่นมารอพี่กลับทุกวันจนไม่ได้หลับได้นอน ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไร พี่เปลี่ยนไปตั้งแต่เล่าเรื่องเอมให้ฟัง ถ้ารู้ว่าการทำความรู้จักชีวิตพี่ทำให้พี่เปลี่ยนไปขนาดนี้ ผมไม่ถามยังดีกว่า”

พี่อู๋ปากสั่น เขาลดมือที่เตรียมจะฟาดผมลงข้างตัว สีหน้าสับสนของเขาบ่งบอกว่าความโกรธเมื่อครู่จางหายไปแล้ว พี่อู๋อาจจะเพิ่งสร่าง หรือไม่ก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรทำแบบนี้กับผม

“พี่ -- พี่ขอโทษ”

เขาพูดในที่สุด แต่คำขอโทษของเขาลบแผลในใจของผมไม่ได้

“พี่เพิ่งทำเรื่องแย่ๆไปเมื่อชั่วโมงก่อนก็เลยเครียดจนมาลงที่ก้อง จริงๆแล้วพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ได้มองว่าก้องเป็นภาระ”
“พี่พูดเองว่าน่าจะทิ้งให้ผมตายที่วัด พี่บอกว่าไม่มีใครต้องการผม”
“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ --” พี่อู๋เสียงสั่น เขาย่อตัวลงมองผมที่กำลังร้องไห้ “อย่าโกรธพี่เลยนะก้อง กลับไปนอนต่อดีกว่านะ นะก้อง -- มาสิเดี๋ยวพี่พาไปนอน”
“พี่ด่าผมว่าเสือก พี่เกลียดที่ผมพูดจาลามปามชีวิตของพี่ งั้นพี่จะรั้งผมไว้ทำไม? จะปล่อยให้กาฝากเกาะแดกต่อทำไมถ้ามันเป็นภาระนัก”

ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากมือของเขา แต่พี่อู๋แข็งแรงกว่าจึงออกแรงดึงกันไปมาตรงหน้าประตู พอผมเอื้อมมือจับลูกบิด พี่อู๋ก็เหวี่ยงผมไปที่โซฟาจนเจ็บทั้งตัว

“พี่เป็นบ้าอะไร! ถ้ารำคาญมากก็ปล่อยให้ผมไปสิ! ผมจะได้ไปให้พ้นๆหน้าพี่ไง!”
“ก้อง พี่ขอร้อง อย่าออกไปตอนนี้เลย”
“จะตอนไหนก็เหมือนกัน หลบไป!”
“ก้อง --”
“ผมจะเป็นจะตายแล้วพี่เสือกอะไร! พี่จะเอายังไง! พี่จะเอายังไงกับผม!”

ผมตะโกนใส่หน้าเมื่อถูกพี่อู๋ดึงแขนไว้ ผมดิ้น พยายามสะบัดตัวให้หลุดจากเขา แต่จู่ๆพี่อู๋คุกเข่าลง กอดเอวอ้อนวอนผมด้วยท่าทีต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เขากำลังทำให้ผมไขว้เขวจนไม่กล้าขยับตัว

“อย่าไปนะก้อง” พี่อู๋ขอร้องเสียงสั่น “อย่าออกจากบ้าน อย่าบอกว่าจะตาย อย่าให้พี่เป็นต้นเหตุทำให้ใครต้องตายอีกได้ไหม”

พี่อู๋ทรุดตัวนั่งบนพื้นแล้วยกมือปิดหน้า เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้ เอาแต่คร่ำครวญว่าอย่าพูดว่าจะไปตายได้ไหม อย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหม พี่ผิดเองที่เอาความหงุดหงิดมาลงที่ก้อง พี่รู้ว่าก้องรอทุกคืนแต่พี่เลิกไม่ได้ พี่หยุดตัวเองไม่ได้เพราะวันไหนที่ไม่ได้กินเหล้า พี่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงเอม

ผมเริ่มสับสน  ทั้งโกรธทั้งสงสารพี่อู๋อย่างบอกไม่ถูก พอได้ยินเสียงสะอื้นผมก็เปลี่ยนใจลงจากโซฟาไปนั่งบนพื้นเพื่อรับฟังเขาใกล้ๆ

“พี่เป็นคนบอกก้องเองว่าต้องเข้มแข็ง ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขมากๆ ต้องลืมทุกอย่างแล้วเดินหน้าต่อไป พี่อยากเป็นตัวอย่างให้ก้องแต่พี่กลับทำไม่ได้ พี่หยุดโทษตัวเองไม่ได้ว่าเป็นความผิดของพี่ เพราะพี่เห็นแก่ตัว พี่ไม่รับสายเอม พี่เลือกงานก่อนเอม เอมก็เลยตาย”

ผมคงไม่กล้าพูดว่าว่าพี่อู๋ไม่มีส่วนทำให้เอมฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากปลอบเขาด้วยคำว่าอย่าโทษตัวเองเลย พี่ไม่ได้ทำ เอมเลือกเอง พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ดังนั้นผมจึงทำแค่กอดพี่อู๋ บอกเขาว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ร้องเลย ร้องออกมา ถ้าพี่เสียใจก็แค่ร้องไห้ออกมา มันไม่ยากเลยครับ ร้องดังๆ เค้นน้ำตาออกมาเยอะๆ ร้องจนขี้มูกโป่งไปเลย แล้วพี่จะดีขึ้น พี่จะรู้สึกดีขึ้นแค่ร้องไห้ออกมา

“จำที่พี่บอกก้องวันที่เราไปยูเนี่ยนมอลล์ได้ไหม?”

จำได้ครับ ผมตอบ พลางนึกย้อนถึงคำพูดสวยหรูที่เข้าไม่ถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน

“มีคนบอกให้พี่คิดแบบนั้น พี่ท่องทุกวันต้องมีความสุขสิ มีความสุขเผื่อเอม ลืมทุกอย่างแล้วใช้ชีวิตต่อไป แต่ก้องก็รู้ใช่ไหมว่าใครจะทำได้ ใครมันจะลืมง่ายขนาดนั้น”

ผมเห็นด้วย ยอมรับว่าดีใจที่ประโยคสะกดจิตพวกนั้นไม่ใช่ความคิดของพี่อู๋ แต่อยากรู้เหมือนกันว่าใครกรอกหูเขาแบบนั้น อย่าให้ผมเจอนะ จะต่อยปากแตกเลย คนเฮงซวย 

พี่อู๋ใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีในการปลดปล่อยอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้มานาน พอหยุดสะอื้น เขาก็ผละตัวออก พี่อู๋กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แววตาใจดีของเขามองมาเหมือนวันแรกที่เจอกัน เขาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะขอโทษที่ทำให้ตกใจ

“พี่ขอโทษนะ พี่น่าจะบอกก้องดีๆตั้งแต่แรก” พี่อู๋ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาออกจากแก้มให้ผม “ก้องคงกลัวมากแน่เลย พี่ตะคอกดังขนาดนั้น”
“ผมก็ผิดเหมือนกันที่พูดจาไม่ดีกับพี่ก่อน ผมแค่อยากให้พี่อยู่ด้วย”
“แต่พี่ก็กลับบ้านทุกคืนนะ พี่รู้ว่าก้องรอ”

ผมไม่อยากพูดอะไรต่อก็เลยมองกองหนังสือรกๆที่อยู่ตรงหน้า พี่อู๋ถอนหายใจยาว เริ่มแสดงท่าทีอ่อนล้าให้เห็น ผมคิดเอาเองว่าเขาคงเหนื่อยเพราะเมื่อกี๊เพิ่งอาละวาดแถมยังร้องไห้ตั้งครึ่งชั่วโมง ดังนั้นผมจึงบอกพี่อู๋ให้ไปอาบน้ำ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ ผมจะเก็บให้เอง

“คิดแล้วอายว่ะ ต่อไปก้องจะเข้มแข็งได้ไงถ้าพี่เป็นแบบนี้”

พี่อู๋พูดขณะถอดกางเกงยีน เขาเดินโซเซเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเตรียมหยิบแปรงสีฟัน ผมที่กำลังโยนเสื้อผ้าใส่ตะกร้านิ่งชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาเขาหน้าประตูห้องน้ำ

“ผมว่าการยอมรับความรู้สึกตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยครับ”

ผมเกริ่น

“มันไม่เป็นไรถ้าพี่จะร้องไห้เพราะคิดถึงเอม พี่เป็นคนสูญเสีย พี่มีสิทธิ์เสียใจได้นานเท่าที่ต้องการ ไม่ต้องรีบเข้มแข็งเพื่อเป็นแบบอย่างให้ผม พี่ควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆมากกว่าหลอกตัวเอง ผมไม่รู้ว่าการแนะนำแบบนี้จะเสือกเกินไปไหม แต่ถ้าพี่อยากร้องไห้ก็ร้องออกมานะครับ ผมไม่ล้อหรอกว่าว้ายๆ อู๋ร้องไห้ อู๋ร้องไห้ ผมโตแล้ว ผมเข้าใจ ผมจะเว้นระยะให้พี่ด้วย ถ้าพี่อยากอยู่คนเดียวอ่ะนะ”

พี่อู๋ที่กำลังแปรงฟันถึงกับหยุดชะงัก เขาเดินมากอดผมทั้งๆที่ฟองยังฟ่อดเต็มปากจนเปื้อนชุดที่ใส่ ผมอยากร้องอี๋เมื่อคราบฟองเลอะตรงไหล่แต่บรรยากาศไม่ให้ ผมจะแสดงท่าทีรังเกียจได้ไงเพราะเรากำลังซึ้งกันอยู่

“ยิ่งก้องดีกับพี่เท่าไหร่ พี่ก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่ทำแบบนั้น เรื่องที่พูดเมื่อกี๊อย่าใส่ใจเลยนะ พี่แค่อยากทำให้ก้องเสียใจ จริงๆแล้วลุงชัยอยากให้ก้องไปอยู่ด้วย แต่พี่บอกว่าพี่มีกำลังเยอะกว่า พี่น่าจะดูแลก้องดีกว่า เขาก็เลยยอมยกก้องให้พี่”
“ฟังแล้วเหมือนพี่กับลุงกำลังพูดถึงหมามากกว่า” ผมย่นหน้า “ไปแปรงฟันเถอะครับ ฟองหล่นบนพื้นแล้ว”

พี่อู๋พยักหน้า เขากลับไปอาบน้ำ ส่วนผมรีบหยิบทิชชู่มาเช็ดเสื้อ พออาบเสร็จเขาก็กระโดดขึ้นเตียงมานอนข้างๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบเก้านาที กอริลลาก้องนอนหลับบนเตียงกับผู้ปกครองที่เพิ่งพูดทำร้ายจิตใจตัวเองจนย่อยยับไม่มีชิ้นดี ต่อให้เขาบอกว่าทั้งหมดแค่พูดเพราะอยากเอาชนะ แต่รอยแผลที่เขาฝากไว้จะไม่มีวันหายไปจากใจผมแน่นอน




นาฬิกาบอกเวลาว่ากี่โมงไม่รู้
เราสองคนตื่นเพราะเสียงรถกับข้าว

ผมเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นนั่ง ส่วนพี่อู๋รีบลุกตามเพราะคิดว่าผมจะออกไปไหน พอรู้ว่าเพิ่งนอนไปได้สามชั่วโมงเราก็แสดงท่าทีหงุดหงิดออกมาด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋หยิบผ้านวมมาคลุมหัว ส่วนผมหาวปากกว้างแล้วเดินไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าวันนี้มีอะไรขายบ้าง

“เงาะจ้า เงาะสดๆจากสวน สีแดงสวยลูกงามเนื้อขาวหวาน ราคาไม่แพงอย่างที่คิด โลกละสี่สิบห้าบาท สี่สิบห้าบาทเท่านั้น -- แล้วยังมีหมูสามชั้น สันในสันคอสันนอกเนื้อแดงก็มีนะจ๊ะ เนื้อไก่ก็มี โลละแปดสิบบาท ครึ่งโลก็ขายจ้า ส่วนผักมี --”

พี่อู๋เดินตามมาด้านหลัง เขาขมวดคิ้วมองรถกับข้าวก่อนจะถามว่ากินอะไรดี เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ซื้อของสดที่ซูเปอร์มาเก็ตกันแล้ว อาศัยรถกับข้าวที่มาจอดหน้าคอนโดทุกๆสามวันแทน ถึงจะราคาแพงกว่าในห้างนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าฝ่าแยกรัชดาไปซื้อเอง

“พี่อยากกินอะไรครับ?” ผมถาม และแน่นอนว่าคำตอบของพี่อู๋คืออะไรก็ได้
“ข้าวสารหมดแล้วใช่ไหม? งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อที่เซเว่นเอง ก้องจะเอาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เอาครับ”

ผมตอบก่อนจะรับเงินห้าร้อยบาทจากพี่อู๋ เราเดินลงลิฟต์พร้อมกันแล้วแยกย้ายตรงหน้าคอนโด ผมทำหน้าที่ซื้อผักและเนื้อสัตว์เพื่อทำกับข้าว ส่วนพี่อู๋เดินเกาตูดไปเซเว่นด้วยท่าทางเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่ ผมมองตามหลังเขา ลึกๆก็ยังเสียใจอยู่เมื่อคิดถึงคำพูดร้ายกาจของพี่อู๋ เมื่อคืนเขาเพิ่งไล่ผมออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา แต่ตื่นมากลับยื่นเงินให้ห้าร้อยไปซื้อกับข้าว ผมไม่รู้ว่าเราจะอยู่แบบนี้กันไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าคราวหน้าเขาใช้อารมณ์อีก ผมจะไม่ทนอีกแล้ว

วันนี้รถกับข้าวมีฟักทอง ผมคิดว่าอยากทำเมนูผักให้พี่อู๋กินบ้างก็เลยซื้อกระเทียม ซื้อไข่ ซื้อหมูเนื้อแดงอีกครึ่งกิโลและซื้อแอปเปิ้ลมาด้วย พอได้ของครบก็ขึ้นห้อง เตรียมล้างผักกับหมูระหว่างรอพี่อู๋กลับจากเซเว่น

ผมปอกเปลือก หั่นฟักทองเนื้อแน่นสมคำอวยของแม่ค้าเป็นชิ้นเล็กๆวางเตรียมในจาน ผมตอกไข่สองฟอง ปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ระหว่างนั้นก็เปิดเครื่องดูดควัน และตั้งกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อยแล้วเจียวกระเทียมจนหอมฟุ้ง พอกระเทียมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็ใส่ฟักทองลงไป ผัดต่ออีกนิดหน่อยให้พอเกรียมๆแล้วใส่น้ำครึ่งถ้วย ปิดฝาพักรอจนฟักทองสุก

ผมใช้เวลานี้ปลีกตัวไปทำแกงจืด ผมปอกเปลือกหัวหอม สับหัวท้ายหั่นเป็นสี่ส่วนโยนลงหม้อ ตามด้วยปีกไก่บนสิบชิ้นกับมันฝรั่ง ทิ้งไว้ซักพักเพราะของพวกนี้สุกยาก ผมกลับไปจัดการฟักทองต่อ ยกฝาหม้อขึ้นเพื่อใส่ไข่ลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาล ผัดจนไข่สุกถึงตักใส่จาน พอผัดฟักทองเสร็จเรียบร้อยผมก็ทำแกงจืด ท่าทางยังไม่ถึงไหน เพราะเนื้อไก่ยังสีชมพูอยู่เลย ระหว่างที่กำลังง่วนอยู่กับการหาเกลือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เปิดเข้ามาเลยครับ!”

ผมตะโกนเพราะยุ่งอยู่ แต่เสียงเคาะไม่หยุดง่ายๆ หนำซ้ำยังดังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนพวกทวงหนี้นอกระบบ ผมถอนหายใจเซ็งๆเพราะคิดว่าพี่อู๋แกล้ง แต่พอเปิดประตูกลับพบว่าแขกผู้มาเยือนไม่ใช่พี่อู๋

เขาเป็นผู้ชายที่สูงแค่ระดับคางของผม ดูแล้วน่าจะแก่กว่าไม่กี่ปี หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวดีเหมือนหนุ่มเจ้าสำอาง แขกผู้มาเยือนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะกลับมาที่หน้า เขายืนจ้องผมอยู่นาน นานจนต้องถามว่ามาหาใครครับ

“คุณนั่นแหละเป็นใคร? มาทำอะไรในห้องพี่อู๋?”

ผมไม่เข้าใจ ก็เลยถามย้อนว่าแล้วคุณล่ะเป็นใคร มาเคาะประตูห้องพี่อู๋ทำไม เขาตวัดตามองด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในห้อง ผมที่กำลังสับสนไม่กล้าตอบโต้นอกจากถอยห่างสองสามก้าว ผู้ชายคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ จู่ๆมาเคาะประตูแล้วเข้าห้องหน้าตาเฉย ถ้าเขาเป็นโจรฆ่าชิงทรัพย์ ผมอาจจะไม่ได้ตายเพราะกระโดดสะพาน แต่โดนปาดคอตายเพราะเปิดประตูให้คนแปลกหน้า

“อ๋อ -- หรือน้องคือเด็กที่พี่อู๋เก็บมาเลี้ยง?”

แหม พูดเหมือนผมเป็นหมา เก็บมาเลี้ยงที่ไหน เขาเรียกว่าอุปการะ

ผมเถียงในใจ ไม่กล้าต่อปากต่อคำเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างที่ยืนประจันหน้ากัน เสียงกุกกักไขประตูก็ดังขึ้น พี่อู๋ถือถุงเซเว่นเต็มสองมือเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เห็นแขกผู้มาเยือน เขาก็ปล่อยถุงร่วงลงบนพื้นจนได้ยินเสียงเคร้งของขวดแก้ว

“หมูพี --”

พี่อู๋พึมพำ ผมมองสลับไปมาระหว่างเขาสองคนด้วยความสงสัย ชายที่ชื่อหมูพียิ้มหวานอวดฟันขาว เขาทักทายเจ้าของบ้านก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินที่ดูคุ้นตาออกมา

“พี่ลืมทิ้งไว้ที่ห้องเรา” คุณหมูพีวางมันบนชั้นรองเท้า “อย่าบอกนะว่าที่เมื่อคืนรีบกลับแทบตายก็เพราะเด็กคนนี้?”
“พี -- ออกไปก่อน ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
“แหม ทำไมใจร้ายจัง ไม่เห็นนุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนขอเอาเลย”

ผมอึ้ง อะไรคือขอเอาของคุณหมูพี

พี่อู๋ดูลำบากใจเมื่อคุณหมูพีพูดประโยคนั้น พวกเขาทำให้ผมอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากไล่พวกเขาให้ไปคุยกันไกลๆ ไปนั่งบนโซฟาก็ได้ แต่อย่ามองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น

“ไม่คิดจะแนะนำเราให้น้องเขารู้จักหน่อยเหรอ?”

คุณหมูพีถาม ท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนวัยรุ่นเพิ่งโตเป็นสาว พี่อู๋ถอนหายใจแต่ไม่ทำตามที่ขอ เขาดันผมให้กลับไปทำกับข้าวและบอกแค่ว่าขอคุยกับเพื่อนก่อน

“เพื่อน? เราไม่อยู่สามเดือน กลายเป็นแค่เพื่อนของพี่แล้วเหรอ?”

ผมคิดไปต่างๆนานาว่าเขาอาจเป็นรูมเมทของพี่อู๋ เป็นคนที่เคยแชร์ห้องร่วมกัน เป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือใครซักคนที่มีอิทธิพลต่อพี่อู๋มากจนเขาไม่กล้าพูดตรงๆ ผมมองพี่อู๋เป็นเชิงบอกว่าอย่ายุ่งกับผมนะ ผมไม่ได้อยากรู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน แต่ดูท่าทางคุณหมูพีจะคันปากอยากคุยกับผมมาก

พี่อู๋ใช้นิ้วนวดขมับเบาๆก่อนจะแนะนำคนแปลกหน้าให้รู้จัก คุณหมูพีเอียงคอยิ้ม เขายิ้มเก่งมากจริงๆ แต่ตาของเขาไม่ได้ยิ้มเหมือนริมฝีปากเลย

“ก้อง นี่หมูพี”

ผมมองหน้าคุณหมูพีเมื่อพี่อู๋ผายมือไปทางเขา ผมยกมือไหว้ สวัสดีครับพี่หมูพี ผมชื่อก้องเกียรติครับ จบประโยคไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“ก้อง คือหมูพีเนี่ย --”
“หวัดดีก้อง พี่ชื่อหมูพีนะ”

เขายิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะเน้นเสียงตรงประโยคถัดไป

“พี่เป็นแฟนของพี่อู๋ ในที่สุดก็ได้เจอก้องซักทีนะ”

ผมอึ้ง รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในรายการชิงร้อยชิงล้านที่โดนลุงหม่ำเอาถาดฟาดหัวอย่างจัง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแนะนำตัวของคุณหมูพีทำให้ผมช็อกจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตกใจกับอะไรก่อนระหว่าง

หนึ่ง พี่อู๋ยังไม่ได้เลิกกับแฟน
หรือสอง -- แฟนของเขาเป็นผู้ชาย


TBC
----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีค่า ตอนนี้ยาวกว่าเดิมเป็นพิเศษ ตอนถัดไปจะพยายามกะความยาวให้พอดี ไม่มากเกินไป หวังว่าทุกคนจะยังสนุกกับนิยายเรื่องนี้เหมือนเดิมนะคะ ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆมากๆเลยน้า อ่านทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ ดีใจมากเลยที่คนอ่านชอบ ส่วนตอนหน้าหมูพีจะแผลงฤทธิ์อะไร รอติดตามชมนะคะ ขอบคุณค่ะ (⺣◡⺣)♡*
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 07-11-2018 21:28:26
ทำไมไม่เห็นว่าคนเขียนมาอัพ ผ่านมาตั้งหลายตอนแล้วววว

 :hao4: :hao4:

ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าน้องก้องเป็นคนที่บ่นในใจได้น่ารักที่สุดแล้ว 5555
พี่อู๋สร้างแผลไว้ในใจน้องจนได้ คิดไม่ออกเลยว่าน้องเอมทำแบบนั้นทำไม แล้วพี่อู๋มีส่วนมากน้อยแค่ไหน
มันลุ้นอ่าาาาาา
สงสารน้องก้องมากๆ ในขณะที่ไม่นึกสงสารพี่อู๋เลย ทั้งที่ดูมีปมมากพอกัน
ลำเอียงซะอย่างนั้น ฮ่าาาาาา

รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2018 21:47:08
  :เฮ้อ::a5: :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-11-2018 22:11:48
พี่อู๋ ทำตัวดีมาตลอด แต่ตอนนี้พี่ติดลบค่ะ
ติดลบมากกกด้วยยยย พี่พูดแบบนั้นกับน้องได้ยังไง
ถึงจะเมา หรือจะมึนก็ไม่ให้อภัยหรอกนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 08-11-2018 00:20:10
พี่อู๋เอาใบแดงไปค่ะ เชิญออกจากสนามไป แย่ๆ  :angry2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 08-11-2018 09:14:51
ก้องจะไหวมัยเนี้ยยย. :(
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-11-2018 16:31:55
โห ยังเคืองเรื่องที่พี่อู๋ด่าน้องไม่หาย ยังมาเจอนังหมีพูอีก โอ้ยยย ปวดหัวแทนก้อง ตอนที่พี่อู๋ใช้คำพูดแบบนั้น อ่านแล้วตกใจมากเลยค่ะ ผิดหวัง และ เสียใจ แทนน้องเลย เราโกรธพี่อู๋มากค่ะตอนนี้
 ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็เหมือนเป็นจิตใต้สำนึกว่า ลึกๆแล้วพี่อู๋คิดแบบนี้ถึงได้ระเบิดมันออกมาตอนฟิวขาด
น้องก้องกำลังปรับตัว จิตใจน้อง อาการน้องกำลังดีขึ้น แต่กลายเป็นว่าคำพูดจากคนที่ไว้ใจเพียงคนเดียว สร้างบาดแผลเพิ่มให้กับน้อง อย่าว่าแต่คนป่วยเลยค่ะ ขนาดไม่ป่วยยังไม่โอเคเลยถ้าเจอแบบนี้
ตอนนี้เริ่มคิดแล้วค่ะว่า จะดีหรอถ้าก้องจะอาศัยอยู่กับพี่อู๋ พี่อู๋ก็มีปม เหมือนป่วยเหมือนกัน จะไปกันรอดมั้ยเนี่ย  :sad4:

รอตอนต่อไปนะคะ ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ บรรยายดีมากเลย ไม่ค่อยได้เจอเรื่องแนวๆนี้สักเท่าไหร่ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 8 update!] (07/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-11-2018 19:17:51
พี่อู๋น่าตบกะโหลกมากค่าา​ คำพูดนี่ฆ่าคนได้เลยนะ​ ทำไมเมาละพูดจาแบบน้าานนนน​ โกดดดดดด  :katai1:
ละพี่อู๋มีแฟนแล้ว​ งืมมมมมมมม​ เยี่ยม
ุ๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 16-11-2018 21:23:42
09

ผมต้องเหยียบความสงสัย ความตกใจ ความหวาดระแวง ความรู้สึกประหลาดๆเอาไว้ให้มิด เพราะตอนนี้คุณหมูพีและพี่อู๋กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับกอริลลาก้อง

บรรยากาศฟุ้งๆตามฉบับคนขี้เกียจจางหายไปหมดเมื่อสายรุ้งผู้ร่าเริงอย่างคุณหมูพีปรากฏตัวขึ้น เขาถามผมว่าอึดอัดไหมถ้าจะขอกินมื้อเช้าด้วย ผมตอบว่าไม่ครับ ไม่เลย ตามสบาย ผมจะกล้าอึดอัดได้ไง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ซื้อกับข้าวเป็นของแฟนเขา แถมเครื่องครัวที่ใช้ก็เป็นของเขา ถ้าบอกว่าอึดอัดครับ มีหวังโดนเตะออกจากบ้านแน่ๆ

“ก้องทำอาหารอร่อยนะเนี่ย”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มเจื่อน
“แต่พี่อู๋ไม่ได้บอกเหรอว่าเขาไม่กินผัก?”

ผมเงยหน้ามองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ นั่นสิ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา พี่อู๋ไม่เคยบอกเลยว่าเขาชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร แต่กับข้าวที่ผมทำก็หมดเกลี้ยงทุกวัน เรากินกันไม่เหลือ ไม่เห็นเขาเคยบ่นว่าเกลียดผักกาดในแกงจืด เกลียดผัดผักบุ้ง หรือผัดฟักทองจานนี้เลย

“คราวหลังถามพี่ก็ได้นะว่าพี่อู๋ชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่ต้องเกรงใจ”
“อ๋อ ครับ” ผมตอบ
“พี่ก็น่าจะบอกน้องเขาหน่อยนะ ฝืนกินผักอยู่ตั้งนาน”
“แต่ผมว่าพี่อู๋ควรกินผักบ้างนะครับ อายุตั้งสามสิบแล้ว จะมาเลือกกินเหมือนเด็กอนุบาลคงไม่ดีเท่าไหร่” ผมพูดในสิ่งที่คิด “อีกอย่างผักมีประโยชน์ตั้งเยอะ ผมอยากให้เขากินของดีๆบ้าง ถึงจะไม่ชอบก็เถอะ ถ้ามันดีต่อร่างกายก็ต้องกินเข้าไปนะครับ”

คุณหมูพีมุมปากกระตุก ส่วนพี่อู๋แอบก้มหน้ายิ้มเมื่อกอริลลาก้องเทศนาจบ มื้ออาหารบนโต๊ะกร่อยลงเพราะความปากเสียของผมอีกแล้ว แต่ยังดีที่พี่อู๋ไม่หักหน้าด้วยการผลักจานฟักทองผัดไข่ไปไกลๆ เขาตักกินอย่างว่าง่าย ไม่เรื่องมาก ไม่แสดงออกว่าเกลียดผัก ผมว่าพี่อู๋ก็ดูปกติดี คุณหมูพีนั่นแหละคิดไปเองหรือเปล่า

หลังทานมื้อเช้าเสร็จ ผมทำหน้าที่ตัวเองซึ่งก็คือล้างจานและเครื่องครัวที่แช่ทิ้งไว้ในอ่าง ส่วนพี่อู๋กับแฟนย้ายไปนั่งคุยกันที่โซฟา คุณหมูพีทำตัวตามสบายเหมือนเคยอยู่ที่นี่มานาน เขารู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน รู้ว่าเครื่องโกนหนวดพี่อู๋เสีย รู้ว่ารีโมตแอร์มักจะซุกข้างโซฟา รู้ว่าเปียโนตัวนั้นเป็นของเอม รู้ไปหมดทุกซอกทุกมุมของห้องนี้

ปกติหลังกินเสร็จเราจะนอนอืดในโถงนั่งเล่น พี่อู๋เปิดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ส่วนผมก็แค่นอนตากแอร์เฉยๆ ไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษจนกว่าถึงเวลาทานมื้อเที่ยง แต่พอมีคุณหมูพี เขาก็ทำให้กิจวัตรเรายุ่งยากด้วยการพูดขึ้นลอยๆว่าห้องนี้สกปรกและรกมาก คงขาดการดูแลมานาน ถึงเวลาที่เขาต้องจัดการด้วยตัวเองเสียที

แล้วภารกิจพ่อบ้านคนเก่งก็เริ่มขึ้น ผมยอมรับว่ารำคาญนิดหน่อยที่การอยู่เงียบๆตามประสากอริลลาถูกรบกวนโดยคนแปลกหน้า เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังอู้อี้จนดูทีวีไม่รู้เรื่อง แถมคุณหมูพีก็เดินไปเดินมาขวางการดูแฮร์รี่จนพี่อู๋ถอนหายใจ พอเห็นท่าทางของผู้ปกครองแล้วผมชักไม่แน่ใจว่าคุณหมูพีเป็นแฟนพี่อู๋จริงหรือเปล่า ตั้งแต่เข้ามาในห้อง เขาได้ยินเสียงพี่อู๋ถอนหายใจบ่อยขนาดนี้บ้างไหม

“ไม่ต้องลำบากหรอกพี ก้องทำหมดแล้ว”
“จริงเหรอ? ทำไมใต้โซฟายังมีฝุ่นอยู่เลย ก้องดูดข้างในบ้างหรือเปล่า ต้องเลื่อนโซฟาออกมานะ จะกวาดแค่ข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้” คุณหมูพีตำหนิ “พี่อ่ะอยู่นิ่งๆเถอะ เดี๋ยวเราทำให้”
“ตามใจ”

ปากพูดว่าตามใจ แต่หน้าพี่อู๋ดูโคตรเซ็งมากๆ

ผมภาวนาให้คุณหมูพีกลับไวๆแต่เขาก็อยู่กับเราจนถึงเย็น คราวนี้เขาอาสาโชว์ฝีมือทำอาหารให้ทานซึ่งผมไม่ว่าอะไร ดีเสียอีกที่ไม่ต้องยืนร้อนหน้าเตา ทำกับข้าวเป็นชั่วโมงๆกว่าจะได้กิน แต่ที่เซ็งสุดๆคือหลังจากนั้นต่างหาก คุณหมูพีใช้ถ้วยได้เปลืองมาก ผมก็เลยต้องล้างจานมากกว่าปกติถึงสองเท่า นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสิบนาที ผมสวดในใจขอให้คุณหมูพีกลับไป แต่เขายังอยู่

“วันนี้ไปบริคอีกไหม?”

เสียงคุณหมูพีดังขึ้น ผมกำลังล้างจานก็เลยไม่เห็นสีหน้าของทั้งสองคน ผมแอบลุ้นกับคำตอบของพี่อู๋นิดหน่อย อยากรู้ว่าหลังจากทะเลาะกันเมื่อคืน เขาได้เก็บคำขอของผมไปคิดบ้างไหม คืนนี้เขาจะอยู่กับผมไหม หรือจะออกไปเที่ยวกับแฟนเหมือนที่ผ่านมา

“ไม่อ่ะ” พี่อู๋ตอบ ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนั้น “เหนื่อยแล้ว อยากนอน”
“วันนี้พี่ยังไม่ออกไปไหนเลย ไม่เบื่อเหรอ?”
“ไม่อ่ะ”
“ปกติพี่ไปข้าวสารทุกคืน”
“เอ้า เหรอ”

เออสิ

ผมตอบในใจแทนคุณหมูพี พี่อู๋ก็กวนตีนเหลือเกิน ทำไมถึงถามคำตอบคำด้วยน้ำเสียงเบื่อๆเซ็งๆแบบนั้น

“วันนี้เรานัดพวกไอ้เต้ด้วย พี่มิคก็ไป”
“ใครจองโต๊ะ?” พี่อู๋ถาม ผมเริ่มเซ็งเมื่อลางสังหรณ์บอกว่าเขาอาจเปลี่ยนใจ
“เอ๋มั้ง ตกลงไปหรือเปล่า?”
“ไม่อ่ะ”
“แน่ใจ?”
“อือ” พี่อู๋ขานในลำคอ “อยากดูแฮร์รี่ให้จบ”
“นี่แผ่นสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ? ดูให้จบแล้วค่อยออกดึกๆก็ได้”
“ว่าจะกลับไปดูภาคแรกอีกรอบ”
“พี่อย่ากวนตีนเราได้ไหม?” คุณหมูพีเริ่มขึ้นเสียง “ประจำเลย ตอนนี้ล่ะทำตัวไม่น่ารัก พอกินเหล้านี่ปากหวานเหมือนเป็นคนละคน เมื่อคืนก็เหมือนกัน เจอหน้าไม่คิดจะทัก พอเที่ยงคืนก็มาล้วงมาอ้อน ขอเอาหน่อยๆๆ พี่แม่ง --”
“หมูพี” พี่อู๋กระแอม ผมได้ยินเสียงเหมือนเขาตีคุณหมูพีเบาๆ “พูดอะไรดูรอบตัวด้วย ไม่เห็นเหรอว่าก้องยืนอยู่”
“ก้องไม่ใช่เด็กแล้วนี่”
“ก้องอายุเท่าเอม ลองคิดดูสิว่าถ้าคนที่อยู่ตรงนั้นคือเอม พีจะกล้าพูดเรื่องแบบนั้นอีกไหม?”  พี่อู๋ไม่ได้กระแทกเสียงหรือทำประชดประชัน แต่ฟังดูน่ากลัวกว่าเมื่อคืนอีก “จำเอาไว้ว่าสำหรับพี่ ก้องยังเป็นเด็กเหมือนเอม พี่มองว่าเอมไร้เดียงสายังไงก็มองก้องแบบนั้น ถ้าพียังทำตัวไม่น่ารักอีก คราวหน้าพี่จะตบปากพี”

เชี่ย --

ผมกลืนน้ำลาย เริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินพี่อู๋พูดว่าจะตบปากคุณหมูพี นี่พวกเขาเป็นแฟนประเภทไหนกัน เดี๋ยวรักเดี๋ยวตี เดี๋ยวพูดดีเดี๋ยวด่า ผมไม่เข้าใจเลย

“ทำไมพี่เป็นคนเดียวที่ขู่เราได้ ทีตัวเองล่ะ? ตอนตัวเองทำตัวเหี้ยๆเรายังไม่เคยขู่เลยนะว่าจะตบพี่”
“เพราะพีตบเลยไง พีไม่เคยขู่” พี่อู๋ตอกกลับ
“ก็พี่เป็นแบบนี้ จะไม่ให้เราโมโหได้ไง!”
“แล้วคิดว่าพี่ไม่โมโหเหรอที่พีพูดแบบนั้น คิดว่าพี่จะชอบเหรอที่พีพูดต่อหน้าเด็กอายุสิบเจ็ดว่าเราเอากัน อย่าคิดนะว่าไม่รู้ หึงอะไรให้มีขอบเขตบ้างเถอะ เยอะไปมันก็น่ารำคาญ”
“จะไม่ให้เราคิดมากได้ไง ก็พี่เอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาอยู่ด้วยอ่ะ!”

หวยลงที่นายก้องเกียรติหนึ่งดอก --

“แล้วเรื่องที่บอกว่าสงสารนี่ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือโกหก ที่รับเด็กคนนี้มาเนี่ยเพราะเลี้ยงต้อยล่ะสิ ไม่ใช่เพราะใจดีหรอก!”
“เลี้ยงต้อยเหี้ยอะไร เพ้อเจ้อ”
“หรือไม่จริง!” คุณหมูพีคะตอก “เอาเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักมาอยู่กินในบ้าน แถมนอนเตียงเดียวกันอีก ไม่ใช่ว่าพี่ตั้งใจเอามันมาเป็นตัวแทนเหรอ?!”
“ตัวแทนใคร?”
“ตัวแทนพีไง!”

เสียงสะอื้นเริ่มมาเล็กน้อย ผมกำฟองน้ำที่อยู่ในมือแน่น อยากวิ่งหนีไปข้างนอกให้พวกเขาทะเลาะกันซักพักแต่ก็ไม่กล้า แค่จะเปิดก๊อกน้ำล้างฟองซันไลต์ก็ยังไม่กล้าเพราะกลัวว่าการมีอยู่ของผมจะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม

“หลงตัวเองไปหรือเปล่า?”
“หรือไม่จริง?!”
“ก็ไม่จริงไง! พี่จะเอาก้องมาแทนที่พีทำไม?!”
“เพราะพี่แม่งขี้เงี่ยน! พอเมาแล้วขอเอาตลอดไง!”

โอ๊ย -- ใจเย็นๆครับ กอริลลาก้องขอล้างจานให้เสร็จก่อน อย่าเพิ่งตีกัน ช่วยไปทะเลาะกันไกลๆหน่อยเถอะ ผมไม่อยากฟัง

“จะไม่ให้ระแวงได้ไง ตั้งแต่รับเด็กคนนี้มาอยู่ด้วย พี่ไม่เคยค้างบ้านเราเลย! พี่คิดอะไรกับมันหรือเปล่า?! พี่ชอบมันใช่ไหม?! ชอบเด็กที่อายุเท่าน้องตัวเองเนี่ยนะ!”
“ไร้สาระ”
“งั้นตอบมาสิว่าไม่จริง!”
“เออ! ไม่จริง! พอใจยัง!”

ผมว่าผมไปดีกว่า

ผมเปิดก๊อกน้ำเบาๆให้พอล้างมือได้สะอาดก่อนจะค่อยๆย่องหนีเข้าไปหลบในห้องนอนเล็ก เสียงทุ่มเถียงของพี่อู๋กับคุณหมูพีดังอยู่นานและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ หัวข้อหลักๆคือ --

พี่อู๋ตั้งใจจะเลี้ยงต้อย (กอริลลาก้อง) ใช่ไหม
พี่อู๋คิดไม่ดีกับเด็กคนนั้น (ซึ่งหมายถึงกอริลลาก้องเช่นกัน) ใช่ไหม
ทำไมพี่เหี้ยแบบนี้ ไหนบอกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไง
ที่สัญญาไว้ไม่เคยทำได้ซักอย่าง บอกว่าจะไม่นอกใจ จะไม่มีคนใหม่ แต่สุดท้ายก็ให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาอยู่ด้วยเพราะอยากเอาฟรี ไอ้พี่อู๋แม่งเหี้ย

เหี้ย นิสัยเสีย สันดานเสีย

ส่วนใหญ่คำด่าก็จะวนๆอยู่ประมาณนี้

ผมค่อนข้างแปลกใจที่คุณหมูพีพูดจารุนแรงกับพี่อู๋ แต่พอฟังเสียงตอบโต้ของพวกเขาแล้วผมว่าก็สมกันดี คนใจร้อนชอบใช้อารมณ์สองคนมาเจอกันก็เป็นแบบนี้แหละ ยิ่งพี่อู๋หาเรื่องมาเถียงเท่าไหร่ คุณหมูพีก็ยิ่งเอาข้อเสียของเขามาด่าเท่านั้น ซึ่งเรื่องเดียวที่ผมเห็นด้วยก็คือการใช้ชีวิตเลื่อนลอยของพี่อู๋แม่งโคตรไม่เอาถ่าน แต่คิดว่าคุณหมูพีเลือกใช้คำไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ เขาเรียกพี่อู๋ว่าขยะลอยน้ำแถมยังตำหนิเรื่องตกงานอีก ถ้ายังเหลวไหลแบบนี้ไม่มีใครอยากอยู่กับพี่หรอก แม้แต่ไอ้เด็กนั่น (กอริลลาก้องที่หนีมาอยู่ในห้องเล็กและถูกพาดพิงครั้งที่สิบเก้า) ก็ไม่ทนหรอก

“ไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ดิวะ! ไม่ได้ขอให้อยู่!”
“แล้วมาขอเราคืนดีทำไม?!”

บลา บลา บลา

ผมไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเห็นคนทะเลาะกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงพวกเขาสองคนด่ากันก็ยิ่งเครียด ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนห้องแคบลงเรื่อยๆ บีบรัดกอริลลาก้องให้อยู่ในกล่องใบเล็กด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ผมอยากให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติเสียที อยากให้คุณหมูพีออกไปจากห้อง เพราะตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ ผมไม่มีความสุขเลย

พี่อู๋กับคุณหมูพีเถียงกันแรงขึ้นเรื่อยๆก่อนจะตามด้วยเสียงโครมคราม ผมคิดว่าพวกเขาคงลงไม้ลงมือกันแล้ว นึกได้แบบนั้นก็รีบเดินไปที่ประตู มือขวาจับลูกบิดค้างไว้เพราะกลัวว่าถ้าออกไปจะยิ่งทำให้เหตุการณ์แย่ลง แต่พอได้ยินเสียงคุณหมูพีร้องกรี๊ด ผมก็เปิดประตูโดยไม่ลังเล

พี่อู๋ -- พี่อู๋ --

สิ่งแรกที่เห็นไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ ผมคิดว่าคุณหมูพีที่ตัวเล็กกว่าน่าจะเป็นฝ่ายโดนตี แต่ปรากฏว่าเป็นพี่อู๋ต่างหาก มือซ้ายของเขาชุ่มไปด้วยเลือด มันไหลเยอะเสียจนหยดลงบนพื้นติ๋งๆ ผมเข่าสั่นไปหมดเมื่อเห็นกองเลือด สติเรียบเรียงอะไรไม่ได้นอกจากรีบเดินไปหาเขา

“พี่ -- ” ผมเสียงอ่อนเพราะเห็นแผลเหวอะหวะบนฝ่ามือพี่อู๋ “ไปโรงบาลกันเถอะ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้นะ”

ผมเป็นคนแรกที่ออกจากห้อง วิ่งลงทางบันไดหนีไฟด้วยความร้อนรน ผมบอกลุงยามว่าพี่อู๋โดนมีดบาด เขาต้องไปหาหมอ เขาต้องไปห้องฉุกเฉินเดี๋ยวนี้ พี่มีเบอร์แท็กซี่ไหม โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแถวนี้ชื่ออะไร ผมจะพาพี่อู๋ไปทำแผล

น่าเสียดายที่ลุงยามไม่มีเบอร์แท็กซี่ ผมก็เลยวิ่งไปหน้าปากซอย โบกมือสุดชีวิตเพราะเป็นห่วงพี่อู๋ที่อยู่บนห้อง โชคดีที่แท็กซี่สีชมพูคันหนึ่งจอดรับ พอเรากลับไปที่คอนโดก็ไม่เจอพี่อู๋ยืนรออยู่ชั้นล่าง นี่คุณหมูพีทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมไม่พาพี่อู๋ลงมา ผมกัดฟันด้วยความโมโหพร้อมกับนึกด่าเขาแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสี่เพื่อประคองพี่อู๋ที่เริ่มหน้าซีดลงมา คุณหมูพีเดินตามมาติดๆ เมื่อพี่อู๋ขึ้นรถเรียบร้อย เขาก็ผลักผมออกก่อนจะบอกว่าให้รออยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามมา

“พี่ไปเอง”

คุณหมูพีปิดประตูแท็กซี่แล้วออกรถเลย ผมได้แต่ยืนมองท้ายรถสีชมพูแปร๋นวิ่งออกจากคอนโดโดยไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่อู๋ถึงโดนมีดบาดลึกขนาดนั้น ใครเป็นคนทำเขา ใครเป็นคนเริ่ม ใครทำร้ายพี่อู๋ ใครมันกล้าทำ --

“คุณอู๋โดนมีดอะไรบาดเหรอหนู เลือดถึงได้ออกเยอะขนาดนั้น?”

ลุงยามถามผมที่ยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าป้อม ผมบอกเขาว่าโดนมีดแล่ปลาครับก่อนจะขอตัวกลับห้อง ลุงยามดูไม่ค่อยเชื่อที่ผมบอกเท่าไหร่ เขาพูดลอยๆเหมือนบ่นกับตัวเองว่าน้องคนนั้นมาทีไร เกิดเรื่องทุกที

“ลุงหมายถึงผู้ชายตัวเล็กๆที่ขึ้นรถไปกับพี่อู๋เหรอครับ?”

ผมถาม ลุงพยักหน้า เขาบอกว่าหลายครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้ ทะเลาะกันเสียงดังมาจนถึงป้อมยาม อีกซักพักต้องมีใครเจ็บตัว ออกรถไปโรงพยาบาล กลับห้องตอนค่ำๆ คุณหมูพีจะหายหน้าไปอีกพักใหญ่ แล้วก็กลับมาใหม่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน

ผมเดินขึ้นห้องด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว ทั้งเป็นห่วง ทั้งเครียดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้พวกเขาทะเลาะกัน แต่สาบานเลยว่าผมไม่ได้มีเจตนาอย่างที่คุณหมูพีระแวง ผมมาที่นี่เพราะไม่มีที่ไปและพี่อู๋ไม่เคยล่วงเกินผมอย่างที่เขากล่าวหาเลย บางทีผมน่าจะช่วยพี่อู๋อธิบาย ถ้าตอนนั้นผมกล้ามากกว่านี้อีกซักนิด พี่อู๋อาจจะไม่เจ็บตัวก็ได้

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มหกนาที

กอริลลาก้องนั่งเช็ดเลือดบนพื้น หางตาเหลือบเห็นมีดที่บาดมือพี่อู๋กระเด็นไปอยู่ใต้โต๊ะกินข้าว ผมใช้โอกาสนี้รีบทำความสะอาดและเตรียมห้องให้พร้อม หลังถูพื้นด้วยมาจิคลีนสีแดง ผมก็นั่งรอบนโซฟา คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมนั่งรอพี่อู๋อยู่ในห้องคนเดียว ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงเข็มนาฬิกากับเสียงสูดน้ำมูกของนายก้องเกียรติเท่านั้น





นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสามสิบสามนาที

เสียงเปิดประตูดังขึ้น พี่อู๋กลับเข้ามาในห้องเพียงคนเดียว

ผมมองหน้าพี่อู๋ เขาก็มองกลับมาที่ผมเช่นกัน ตอนนี้มือซ้ายของเขามีผ้าก็อซพันเหมือนมัมมี่ ผมมีเรื่องอยากถามเขาเยอะแยะแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ทุกอย่างก็เลยจบลงตรงที่ผมบอกให้พี่อู๋ไปอาบน้ำ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ อยากได้อะไรขอให้บอก ผมจะอำนวยความสะดวกให้เอง

พี่อู๋ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเพลียๆและใช้เวลาอยู่ในนั้นนานเกือบสิบนาที ขณะที่ผมกำลังแยกกองผ้าที่ต้องซัก พี่อู๋ก็ออกมาพอดี เขาสวมเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงผ้ายืดสีดำ มือซ้ายของเขาห้อยตกลงข้างแขน พี่อู๋จ้องผมเหมือนมีเรื่องอยากพูด

“ก้อง”
“ครับ?”

ผมขานรับแต่ไม่ได้หันหน้ามองทั้งๆที่อยากถามใจจะขาดว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องเฮงซวยเปื้อนเลือดพวกนี้ใครเป็นคนเริ่มก่อน พี่อู๋หรือคุณหมูพี พอลองคิดๆดูแล้วมันก็จริงอย่างที่คุณหมูพีว่า ผมเป็นใครก็ไม่รู้ แต่จู่ๆมาอยู่ในบ้านของแฟนเขา มานอนเตียงเดียวกับเขา จะไม่ให้โมโหจนหน้ามืดได้ไง

“ผมรู้ว่าพี่มีเรื่องอยากพูดเยอะเลย”
“ใช่”
“พูดมาเถอะครับ ผมรอฟังอยู่”
“ขอเรียบเรียงคำพูดก่อน”
“ไม่ต้องเรียบเรียงหรอก พี่ก็แค่พูดสิ่งที่อยากพูด” ผมโยนกางเกงยีนส์ลงตะกร้าผ้าสี “เอาแต่ใจความหลักก็ได้ครับ น้ำไม่ต้อง ขอแต่เนื้อ”
“ได้ นี่คือเรื่องที่พี่อยากพูดกับก้อง”

ผมตั้งใจฟัง สองมือทำเป็นง่วนกับการแยกผ้า แต่จริงๆแล้วกลัวมากว่าพี่อู๋จะขอให้ย้ายออกตามคำตัดพ้อของคุณหมูพี

“หนึ่ง -- พี่ไม่ได้โกหกก้องเรื่องแฟน หมูพีเคยเป็นแฟนพี่จริง เราเลิกกันไปเกือบสามเดือนจริง แต่เพิ่งคืนดีกันเมื่อคืน”
“ครับ”
“สอง ที่พี่กับพีทะเลาะกันวันนี้เป็นเรื่องปกติมาก ต่อให้ก้องไม่อยู่ที่นี่ เราก็ตีกันเรื่องอื่นอยู่ดี”
“ครับ”

เอ๊ะ -- เดี๋ยวนะ การตีกันคือเรื่องปกติสำหรับพวกเขาสองคนเหรอ?

“สาม พี่ไม่ได้อยากกลับไปคบกับหมูพี แต่เมื่อคืนพี่เมาแล้วจู่ๆก็รู้สึกว่าถ้ามีคนคอยให้กำลังใจบ้างก็น่าจะดี พี่เลยถามเขาว่ายังอยากกลับมาคบกันไหม แล้วก็นั่นล่ะ -- ตามนั้น”
“ครับ”
“สี่ พี่ไม่ใช่คนขี้เอา”
“ครับ”
“ห้า ก้องว่าการกลับไปนอนกับแฟนเก่าทั้งๆที่หมดรักแล้วเป็นเรื่องเหี้ยหรือเปล่า?”
“เหี้ยมากครับ”

ผมตอบตามตรง ไม่อยากโกหกพี่อู๋แต่ก็ไม่กล้าปากเก่งสอนศีลธรรมเขาว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ พี่อู๋อายุสามสิบเอ็ดแล้ว เขารู้แหละว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด ผมต่างหากที่ไม่รู้อะไร
 
“หก งั้นพี่ขอโทษที่เป็นคนเหี้ย แต่พี่ไม่ได้รักหมูพีแล้ว ก้องก็เห็นว่าเราไปกันไม่ได้”
“ทำไมพี่ไม่บอกเขาตรงๆล่ะครับ?”
พี่อู๋ถอนหายใจ “พีป่วยอยู่ พี่ยังบอกเลิกพีตอนนี้ไม่ได้”
“แล้วคราวก่อนใครเป็นฝ่ายบอกเลิกเหรอครับ?”
“หมูพี”
“อ้าว” ผมงง ถ้าคุณหมูพีเป็นฝ่ายขอเลิกจริง จะรีเทิร์นอีกรอบทำไม
“หมูพีเป็นฝ่ายขอเลิกก่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็ขอคืนดีเรื่อยๆ พี่ไม่ให้คำตอบเลยจนเมื่อคืน อย่าเพิ่งนอกเรื่อง กลับมาที่ข้อเจ็ดก่อน พี่ไม่ได้เลี้ยงต้อย พี่ไม่ได้ให้ก้องมาอยู่ด้วยเพราะคิดอกุศลกับก้อง”
“ครับ”
“แปด พี่ไม่ได้เอาก้องมาแทนที่พี ก้องไม่ใช่พี ก้องไม่ใช่ตัวแทนของใครทั้งนั้น”
“ครับ” ผมรู้สึกดีใจแปลกๆเมื่อได้ยินแบบนั้น
“เก้า ห้ามวิจารณ์ชีวิตส่วนตัวพี่อีก พี่จะทำงานหรือไม่ทำงานก็เรื่องของพี่ จะขี้เกียจจนเน่าตายบนโซฟาก็เรื่องของพี่ หวังว่าเราจะไม่ทะเลาะกันเรื่องนี้อีกนะ”
“ครับ ขอโทษครับ”
“สิบ ก้องไม่ต้องใส่ใจคำพูดของหมูพี ก้องมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ มีสิทธิ์นอนบนเตียงพี่ มีสิทธิ์ใช้เครื่องครัวทุกอย่าง ไม่มีใครไล่ก้องออกจากที่นี่ได้ และพี่จะไม่มีวันไล่ก้องด้วย”
“แต่เมื่อคืนพี่ไล่ผม”
“ลืมเรื่องเมื่อคืนให้หมด มันไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

พี่อู๋ย่อตัวลงตรงหน้า เขาเอาสองมือปิดหูผมแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆไปมาหลายหนเหมือนเทปตกร่อง

“ก้องอยู่ที่นี่ได้ ก้องอยู่ที่นี่ได้ ก้องอยู่ที่นี่ได้ ก้องอยู่ที่นี่ได้ ก้องอยู่ที่นี่ได้ พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง ไหนพูดซิว่าเมื่อกี๊ได้ยินอะไร”
“ก้องอยู่ที่นี่ได้ พี่อู๋ต้องการก้อง”
“เยี่ยม จำไว้นะ ก้องอยู่ที่นี่ได้ ก้องอยู่ที่นี่ได้ พี่ต้องการก้อง พี่ต้องการก้อง”

พี่อู๋พูดกรอกหูผมด้วยสองประโยคนั้นเป็นการทิ้งท้าย เขายิ้มเมื่อผมเงยหน้ามองเขาจริงๆจังๆเสียทีหลังจากทำเป็นแยกผ้าอยู่นาน ผมนึกสงสัยในใจว่าเขาไม่รู้จริงๆเหรอว่าการกรอกหูแบบนั้นไม่ได้ช่วยให้ลืมเรื่องเมื่อคืนเลยเพราะคำพูดของเขาทิ้งแผลเอาไว้ ต่อเย็บปิดสนิทขนาดไหน สุดท้ายก็เหลือร่องรอยให้เห็นอยู่ดี

“ผมถามพี่บ้างได้ไหม?”
“ได้”
“ใครทำพี่ครับ? คือ -- ผมหมายถึง พี่พลาดเองหรือคุณหมูพีทำ?”
พี่อู๋ถอนหายใจอีกครั้ง “พีจะปาดคอตัวเอง แต่พี่ไปแย่งมา”
“จริงเหรอครับ?” ผมถามซ้ำ รู้สึกตื้อๆเมื่อรู้ว่าคุณหมูพีอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น
“ไม่ต้องตกใจหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรก”
“เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เหรอครับ?”
“อืม”
“แล้วแบบนี้จะอยู่กันยืดไหมเนี่ย”
“ไม่เกินเดือนนี้เดี๋ยวพีก็ไป เขาชอบความเพอร์เฟ็ค ชอบพี่ตอนเงินเดือนสูงๆ ทำงานในบริษัทใหญ่ที่ใครๆก็อิจฉา ชอบที่พี่มีรถขับ มีคอนโดให้มาค้าง แต่ตอนนี้พี่ไม่มีสิ่งที่เขาชอบแล้ว พี่ไม่ทำงาน ไม่ซื้อรถใหม่ ไม่พาเขาไปกินของแพงๆเหมือนตอนคบกัน เขาทนได้ไม่นานหรอก”
“ผมไม่เข้าใจพวกพี่เลย ถ้าคุณหมูพีรักพี่จริง เขาต้องรับได้ทุกอย่างที่พี่เป็นสิครับ”
“โถ่ น้องก้อง”

พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจแบบโอเวอร์แอคติ้ง เขายกมือลูบหัวผมสองสามทีเหมือนเล่นกับลูกหมา

“แค่รักอย่างเดียวไม่พอหรอก ใครๆก็อยากได้ความมั่นคงทั้งนั้น คิดดูสิว่าถ้าก้องต้องแต่งงาน ก้องอยากมีแฟนที่วันๆไม่ทำมาหาแดกนอกจากนอนเกาพุงอยู่บ้านหรือเปล่า”
“แต่พวกพี่ก็มีกันแค่สองคนไม่ใช่เหรอ? พี่ไม่มีลูก ไม่เห็นต้องวางแผนล่วงหน้าเลย”
“พีคิดไกลกว่านั้นอีกก้อง เขาอยากแต่งงาน”
“แล้วพี่ไม่อยากแต่งเหรอครับ?”

พี่อู๋ยักไหล่ เขาบอกว่าเคยคิดเรื่องแต่งงานไว้บ้าง แต่พอเจอฤทธิ์คุณหมูพีก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรอยู่ด้วยกันตลอดไปหรือเปล่า พี่อู๋ไม่ใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา เขาเถลไถลบ้าง ออกนอกลู่นอกทางบ้าง ขี้เกียจบ้าง ถ้าต้องอยู่กับคุณหมูพีที่คาดหวังมากเกินไป มีหวังได้เป็นบ้าก่อนเกษียณแน่ๆ

“ผมว่าพี่ไม่ต้องรีบหรอก พรบ.คู่ชีวิตยังไม่ผ่านเลย จัดงานแต่งไปก็เท่านั้น”
“รู้เรื่องกฎหมายด้วยเหรอเราน่ะ?”
“ครับ ผมฟังจากทีวี” ผมตอบ “พี่ไปนอนเถอะ จะตีหนึ่งแล้ว”
“คืนนี้ก้องจะยังนอนห้องพี่เหมือนเดิมใช่ไหม?”

ผมเลิกคิ้วงุนงง แต่ก็ตอบไปว่านอนครับ ปกติเราอยู่กันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงถามอะไรแปลกๆ

“พี่คิดว่าก้องจะรังเกียจที่พี่เป็นเกย์”
“อ๋อ --”

ผมเลิกลั่ก ไม่รู้จะบอกพี่อู๋ยังไงไม่ให้เขาเสียใจ ลึกๆผมยังกังวลอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากมายอะไร ก็แค่รู้สึกแปลกไปจากเดิม รู้สึกว่าต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ถึงพี่อู๋จะไม่เคยแสดงออกในแง่นั้น แต่ผมก็กลัวนะ -- ลึกๆน่ะ   

“ไม่ครับ” ผมตัดสินใจพูดในที่สุด
“คิดคำตอบนานจัง”
“ผมไม่รู้จะตอบยังไงอ่ะ ยอมรับนะครับว่าตกใจ แต่ไม่ได้รังเกียจอะไร”
“จริงนะ?”
“ครับ”
“โอเค พี่สบายใจละ ไปนอนดีกว่า”

พี่อู๋ตัดบทหน้าตาเฉย เขาน่ะสบายใจอยู่คนเดียว ส่วนผมได้แต่นั่งกุมขมับ ไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดได้ขนาดนี้ ถ้าพี่อู๋กับคุณหมูพีเป็นคู่เกย์ที่รักกันจริงๆผมก็คงไม่กังวลเท่าไหร่ แต่นี่พวกเขาตีกันจะเป็นจะตาย ทะเลาะกันจริงจังจนเลือดตกยางออก ผมไม่รู้ว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกนานแค่ไหน ได้แต่หวังว่าคุณหมูพีจะเบื่อความไม่เพอร์เฟ็คของพี่อู๋แล้วไปจริงๆเสียที ไม่งั้นในอนาคตคงไม่ได้มีแค่พี่อู๋ที่เจ็บตัว แต่กอริลลาก้องผู้รักสงบอาจจะโดนลูกหลงด้วยก็ได้




TBC

----------------------------------------------



#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้




สวัสดีวันศุกร์ค่ะ วันหยุดสัปดาห์นี้ขอให้มีความสุขกับการนอนนะคะ :)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และแท็กเช่นเคยน้า การมีนักอ่านน่ารักๆนี่ถือว่าโชคดีอย่างหนึ่งเลย ขอบคุณนะคะ ♥
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2018 21:45:45
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Once ที่ 16-11-2018 21:55:45
ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นกลับบทบาทหน้าที่กันซะงั้น พี่อู๋ดูเป็นพระเอกเว่อร์ ๆ มาหลาายตอน จนสองสามตอนล่าสุดได้รับตำแหน่งคนเหี้ยจากน้องก้องไปเรียบร้อยแล้ว 5555555
อ่านเรื่องนี้ชอบตรงโลเกชั่นฝั่งธนเนี่ยละ อ่านแล้วเห็นภาพดี ชอบ ชอบ พาก้องไปเซ็นปิ่นหน่อยเร็วพี่อู๋ TVT)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 16-11-2018 22:11:25
ก้องเป็นเด็กปากตรงกับใจดีอะ น้องน่ารัก
ในขณะที่ถ้าเราเป็นก้องคงปวดหัวกับคู่รักคืนเดียวนี่มาก ทะเลาะกัน ด่ากัน ตีกัน
ปวดประสาทน่าดู และภาพพี่อู๋ที่ดีแตก ยังไม่หายไปนะ พี่ติดลบรัวๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 19-11-2018 21:26:19
ทุกคนในเรื่องนี้ไม่ป่วยทางจิตก็ป่วยทางใจนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 20-11-2018 00:13:39
แงงงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 20-11-2018 02:28:09
เราชอบเรื่องนี้ค่ะ เขียนถึงจิตแพทย์ได้ดีดีนะ มีจรรยาบรรณดีค่ะ

ภาษาก็ไม่เลว คำผิดน้อยมาก เท่าที่เห็นเห็นอยู่คำเดียวกลอกจากกลอกตา กลอกกลิ้ง กลอกตา สะกดแบบนี้นะคะ ไม่ใช่กรอกของกรอกน้ำหรือกรอกฟอร์ม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 20-11-2018 10:55:00
คือพี่อู๋ก็ป่วยเหมือนน้องใช่ไหม? หรือยังไง??

ถ้าพี่อู๋ไม่ขี้เมาก็จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้นะ นี่เพราะขี้เมาไงเลยขี้เอา  :laugh:

เหมือนตอนนี้คนเขียนจะบอกเราว่า พี่อู๋และน้องก้อง ต่างก็ช่วยรักษากันและกันอยู่อะ

ไม่ใช่แค่ก้องไม่มีพี่อู๋ไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็ไม่มีน้องก้องไม่ได้แล้วเหมือนกัน

มันดีจนรู้สึกว่าให้เขาเป็นแค่พี่น้องกันแบบนี้ก็ดีแล้ว  :katai2-1:

ตอนนี้ยังไม่เปิดตัวพระเอกใช่ม้าาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-11-2018 19:10:34
เย้ น้องก้องมาแล้วว
สงสารน้องก้องมาก ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทุกวันๆ
ไปๆมาๆเราว่าก้องนี่แหละดูปกติที่สุดแล้ว  น้องดูเข้มแข็งขึ้นเยอะเลย
พี่อู๋เหมือนจะน่าสงสารที่มีแฟนแบบนังหมีพู แต่เรายังเคืองพี่อู๋ไม่หายในสิ่งที่พี่แกทำไว้ตอนก่อน จะให้ลืมคงยากหน่อย 5555
 คำพูดรุนแรงขนาดนั้นใครจะไปลืมได้
อ่านแล้วเครียดไปกับตัวละครแต่หยุดอ่านไม่ได้เลยค่ะ อยากรับน้องก้องมาดูแลสะเอง อยู่กับพี่อู๋ไม่น่าไหว มีแต่เรื่องให้ปวดหัวกว่าเดิม เฮ้อ  :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [Chapter 9 update!] (16/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 22-11-2018 06:11:52
สนุกมากกก อ่านรวดเดียวเลยไม่หลับไม่นอนเหมือนน้องก้องแล้วว เขียนดีมากเลยค่ะ บรรยายน้องก้องออกมาได้น่ารักน่าสงสาร และทำให้เราเข้าใจความหดหู่ของน้องเลยว่าทำไมคนๆนึงถึงอยากกระโดดสะพานทุกวัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-11-2018 20:52:24
10



นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่นาที

คืนนี้ผมหลับสนิทมากกว่าเดิมเพราะไม่ต้องกังวลว่าพี่อู๋จะกลับมาเมื่อไหร่ จริงๆผมน่าจะหลับได้นานกว่านี้ด้วยซ้ำถ้าไม่รู้สึกเหมือนมีขนหมาแปะเต็มหน้าก็เลยต้องฝืนลืมตา

โห -- ไอ้พี่อู๋ --

เดี๋ยวนี้เขาอัปเลเวลการนอนดิ้นถึงขั้นย้ายมาหนุนหมอนใบเดียวกับผมแล้ว กอริลลาก้องที่กำลังงัวเงียได้แต่ถอนหายใจ จะผลักหัวเขาออกไปก็เกรงว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ ดังนั้นผมจึงนอนนิ่งๆซักพักแล้วลุกไปทำกับข้าวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอยากทำอะไรให้พี่อู๋ทาน

เมนูวันนี้คือข้าวต้มฉบับก้องเกียรติ มันคือข้าวสวยธรรมดากับแกงจืดกระดูกหมู เวลากินก็แค่ตักน้ำซุปราดข้าว กินคู่กับเครื่องเคียงซึ่งก็ไข่เจียวแห้งๆแบนๆเพราะทอดกับกระทะเทฟล่อน ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋ชอบเมนูบ้านๆแบบนี้หรือเปล่า แต่ใครจะสน วันนี้คุณหมูพีคงไม่กล้าโผล่หน้ามาที่นี่หรอก เขาทำพี่อู๋เจ็บขนาดนั้น ถ้ายังกล้ามาอีกก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงยี่สิบนาที

คุณอุรัสยาเดินผมชี้โด่เด่ออกมาจากห้องด้วยท่าทางอึนๆ ผมถามเขาว่าจะกินข้าวต้มเลยไหม พี่อู๋ส่ายหน้าแล้วเดินไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดหลังตู้เย็น ผมไม่รู้ว่าเขาหยิบกี่เม็ดเพราะเสียงเคาะกระปุกดังตั้งหลายครั้ง

“ปวดแผลเหรอครับ?” ผมถาม พี่อู๋ส่ายหน้าเป็นหนที่สอง เขาถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนบนโซฟา
“ปวดหัว” เขาบอก “วันนี้ตอนเย็นก้องไปล้างแผลที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ พี่ขับรถไม่ไหว”

ผมรีบตอบว่าได้เลยครับ ไม่มีปัญหา พี่จะไปกี่โมงก็บอกนะ เดี๋ยวผมออกไปเรียกแท็กซี่ให้ พี่อู๋ยิ้มแทนคำขอบใจ เขานอนหลับตาบนโซฟาอีกพักใหญ่ก่อนจะรีบดีดตัวขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมง

“กินข้าวกันเถอะ ก้องคงหิวแย่”

 ตอนนี้มือเขาเจ็บคงหยิบจับอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ผมจึงตักข้าวราดน้ำซุปใส่ถ้วยแล้วหั่นไข่เจียวเป็นชิ้นเล็กๆให้พี่อู๋ ผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินกระดูกหมูไหมครับ พอได้คำตอบเป็นการพยักหน้า ผมก็แกะเนื้อออกจากกระดูกให้เขาถึงจะเริ่มกินข้าวในชามของตัวเอง

“เป็นข้าวต้มที่แปลกดี แต่อร่อยนะ”
“ผมคิดว่าพี่จะไม่ชอบเสียอีก”
“ใครบอกว่าพี่ไม่ชอบ ก้องทำอะไรพี่ก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

เหมือนเป็นคำพูดแดกดันประชดประชันคนที่ไม่ได้อยู่ในห้อง ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อก็เลยนั่งกินเงียบๆ หลังจากนั้นงานบ้านประจำวันก็เริ่มต้นขึ้น วันนี้คือวันซักผ้า ผมต้องซักตั้งสองรอบ รอบแรกผ้าขาว รอบที่สองผ้าสี ผมหยิบเสื้อลงเครื่องซักผ้าทีละตัวๆก่อนจะใส่ผงซักฟอกหนึ่งช้อนพูน ตามด้วยดาวน์นี่อีกครึ่งถุง เทใส่ช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มแบบไม่ยั้งตามคำสั่งคุณอุรัสยา

ครั้งแรกที่พี่อู๋สอนใช้เครื่องซักผ้า ผมเคยคิดว่ามันสิ้นเปลืองเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าเขาชอบผ้าหอมๆและไม่มีปัญหากับการจ่ายเงินซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มผมก็ไม่ขัดศรัทธา และผมจะซักให้หอมติดทนนานยิ่งว่าที่ชมพู่ อารยา โฆษณาเลยด้วย

ระหว่างรอเครื่องซักผ้าทำงาน ผมก็ย้ายก้นตัวเองไปนั่งบนโซฟาข้างพี่อู๋ วันนี้เขาดูแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกตามเคย ผมถามพี่อู๋ว่าชอบพ่อมดน้อยโอมเพี้ยงคนนี้มากเลยเหรอ เขาตอบแค่ว่าแฮร์รี่เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขที่สุด พอถามต่อว่าทำไม เขาก็ชี้นิ้วไปที่ทีวีซึ่งเป็นฉากตอนที่แม่มดผู้หญิงสวยๆคนหนึ่งสวมชุดเต้นรำสีชมพูเดินลงมาจากบันได

“เพราะมีเอ็มมา วัตสัน”

เหตุผลหลักๆของเขาก็ประมาณนี้แหละ

แต่ถึงจะต้องดูแฮร์รี่เป็นรอบที่สาม ผมก็ไม่เคยเบื่อการนั่งดูหนังบนโซฟากับพี่อู๋เลย การใช้เวลาอยู่กับเขาเหมือนทะเลช่วงไม่มีคลื่นลม เราอยู่กันอย่างสงบสุขบนโซฟานุ่มๆ ไม่มีการพูดเรื่องเครียดๆ แถมยังได้นั่งตากแอร์เย็นเจี๊ยบตั้งแต่สิบโมงจนถึงเย็นอีก ต่อให้สามัญสำนึกย้ำเตือนให้เกรงใจคุณอุรัสยาขนาดไหน แต่ถ้าโดนสปอยล์จนเคยตัวแบบผม บอกเลยว่าจอดทุกราย กลายเป็นคนขี้เกียจเหมือนเจ้าของห้องแน่นอน

ผมคิดว่าเราน่าจะได้อยู่อย่างสงบซักพักใหญ่ๆ แต่พอสิบเอ็ดโมงกว่า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น กอริลลาก้องที่กำลังตากผ้าตรงระเบียงรีบวิ่งไปที่ประตูแต่ก็โดนพี่อู๋ชี้หน้าเป็นเชิงสั่งกลายๆว่าห้ามเปิด ผมมองหน้าเขาสลับกับบานประตูอยู่สองสามครั้งก่อนจะย่องกลับไปตากผ้าตามเดิม สองมือสะบัดผ้าเสียงดังฟุบฟับ หูก็ฟังเสียงเคาะก็อกๆๆเป็นจังหวะ ผมคิดว่าเขาคงเคาะไม่นานเดี๋ยวก็ไป แต่พอตากผ้าล็อตสองเสร็จแล้วเสียงยังดังอยู่ แขกผู้มาเยือนไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ มุ่งมั่นกับการเคาะก๊อกๆๆอยู่หลายนาทีจนเราเริ่มรำคาญ

“พี่ไม่ให้ผมเปิดจริงๆเหรอครับ เผื่อมีคนมาติดต่อธุระนะ”
“เคาะปึงปังเอาแต่ใจแบบนี้มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”

พี่อู๋ทำหน้าเซ็งๆ เราอดทนอีกประมาณสิบนาทีเสียงเคาะถึงจะหายไป ในที่สุดแขกผู้มาเยือนก็ยกธงขาว ยอมแพ้ให้กับความเย็นชาของพวกเราเรียบร้อย

“จะเที่ยงแล้ว ก้องมีอะไรให้พี่กินบ้าง?”
“ผมว่าจะอบไก่ครับ พี่อู๋อยากกินไหม?”
“ไม่ต้องถามหรอก ตั้งแต่เกิดมาพี่ชอบกับข้าวฝีมือก้องที่สุดแล้ว”

แหม -- จะด่าว่าตอแหลมก็กลัวโดนเตะ แต่วันก่อนเขาเพิ่งพูดว่าถ้านรกมีบาร์บีก้อน เขาจะยอมตกนรกหมกไหม้เพื่อไปปิ้งหมูที่นั่นอยู่เลย

ผมเปิดตู้เย็น หยิบปีกไก่บนออกจากช่องฟรีซเตรียมละลายน้ำแข็งพลางคิดว่าต้องใช้เครื่องปรุงอะไรบ้าง สูตรหมักไก่ของนายก้องเกียรติคือสูตรมั่วๆไม่ตายตัว ผมแค่หมักไก่ด้วยซีอิ๊วเห็ดหอมและเกลือ ใส่กระเทียมสับนิดหน่อย คลุกๆๆจนเข้าเนื้อแล้วอบด้วยหม้ออบลมร้อน

เมนูนี้พี่อู๋ชอบมาก เขาบอกว่ารสชาติโดดเด่นน่าจดจำไม่เหมือนที่ไหน แถมยังแซวอีกว่ากินไก่ฝีมือก้องเกียรติวันนี้ แถมฟรีโปรแกรมฟอกไตอีกสามเดือนถัดไป ทีแรกผมคิดว่าพี่อู๋ชม แต่พอได้ยินว่าฟอกไต ถึงรู้ว่าเขากำลังบอกอ้อมๆว่าไก่มันเค็มเกินไป ดังนั้นวันนี้ผมก็เลยใส่น้ำตาลทรายสองช้อนโต๊ะ หวังว่ามันจะไม่เค็มและอร่อยถูกปากคุณอุรัสยาเสียทีนะ

“พี่อู๋ครับ กินข้าวกัน”

ผมเรียกผู้ปกครองให้มาที่โต๊ะอาหาร ระหว่างนั้นก็ตักข้าวสวยและแกะเนื้อไก่ใส่จานให้เขาไปพลางๆ ไก่ที่เพิ่งออกจากหม้ออบนั้นร้อนจนต้องคอยดูดนิ้วเป็นพักๆ พอเห็นผมสะบัดมือไปมาหลายครั้ง พี่อู๋ก็นั่งเท้าคาง อมยิ้มมองกอริลลาก้องต่อสู้กับปีกไก่ด้วยท่าทางอารมณ์ดี

“โชคดีจังที่เจอก้อง ถ้าไม่มีก้องพี่แย่แน่ๆเลย”

คำพูดของเขาน้ำเน่าจนต้องเบ้ปากใส่ เมื่อก่อนพี่อู๋คงเสน่ห์แรงใช่ย่อย คำพูดคำจาของเขาทำให้คนฟังชื่นใจจนแทบถวายตัวรับใช้เพราะอยากได้ยินคำชมหลายๆหน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณหมูพีถึงหลงเขาขนาดนั้น

“ถ้าไม่มีผม พี่ก็ยังมีแฟนของพี่”
“พูดถึงคนอื่นอีกจะหักค่าขนม”
“คนอื่นคนไกลที่ไหน คุณหมูพีเป็นแฟนพี่ไม่ใช่เหรอ?” ผมขมวดคิ้วมองคุณอุรัสยาทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ตรงข้าม “ว่าแต่ -- คุณหมูพีใช้ชื่อนี้ตั้งแต่เกิดเลยเหรอครับ?”
“อืม ชื่อเล่นชื่อหมูพี ชื่อจริงชื่อพีรพัฒน์ ก้องถามทำไม?”
“ผมว่าชื่อเขาน่ารักดี”

พี่อู๋ไม่พูดอะไรต่อ เขากินข้าวเที่ยงกับผมจนหมดก่อนจะย้ายก้นไปนั่งประจำที่ ตอนนี้เราเลิกดูแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นนอนอ่านหนังสือแทน พี่อู๋อ่านเซเปียนส์บนโซฟา ส่วนผมนอนคว่ำหน้าอ่านมาร์โควัลโดบนพื้น เรามีผ้าห่มกันคนละผืนและอยู่ในโลกคนละใบ พี่อู๋จริงจังกับการอ่านประวัติย่อมนุษยชาติ ส่วนผมเอาแต่หัวเราะคิกคักเพราะขำมาร์โควัลโด ตัวละครหลักผู้ประกอบอาชีพกรรมกรที่มองโลกในแง่ดีอย่างเหลือเชื่อ (และซื่อบื้ออย่างเหลือเชื่อในเวลาเดียวกัน)

เรานอนเอกเขนกกันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังและรุนแรงกว่าเมื่อเช้า ผมเดาเอาว่าแขกคงกำลังโมโหสุดขีดที่ไม่มีใครออกไปต้อนรับเสียที ผมเหลือบมองพี่อู๋ว่าเขาจะทำยังไง แต่ผู้ปกครองของผมกลับนอนอ่านหนังสือหน้าตาเฉย ไม่มีท่าทีสนใจเสียงเคาะเลย

เสียงก๊อกๆดังนานเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงกระทืบเท้าปึงปังออกจากหน้าประตูด้วย เมื่อทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ผมก็โล่งใจ เรานอนอืดต่อในห้องจนถึงหกโมงเย็นจึงลุกขึ้นอาบน้ำ พี่อู๋บอกว่าเย็นนี้เราจะกินข้าวข้างนอก ไว้ล้างแผลเสร็จเขาจะพาผมไปเที่ยวเซ็นทรัลลาดพร้าว

หลังจากนั้นกอริลลาก้องกับผู้ปกครองก็นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาล พี่อู๋ที่ทำเป็นคนคูลๆมาทั้งวันเริ่มเหงื่อตกเมื่อเราอยู่ในห้องทำแผล ผมเดาเอาว่าเขาคงเจ็บน่าดูเพราะพี่อู๋เอาแต่นั่งนิ่วหน้า มือขวาบีบมือผมแน่น ส่วนมือซ้ายก็ยื่นให้พยาบาลทำแผล ผมโดนบีบจนกระดูกแทบแตกแต่ไม่กล้าบ่นเพราะกลัวพี่อู๋เสียใจ 

“เสร็จแล้วค่ะ ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำเหมือนเดิมนะคะ”

พี่อู๋ถอนหายใจโล่งอกทั้งๆที่เหงื่อซึมเต็มขมับ ผมพูดขอบคุณคุณพยาบาลแล้วพาเขาเดินไปที่ล็อบบี้เพื่อจ่ายเงิน ตลอดทางเขายังจับมือผมแน่นไม่ยอมปล่อย ผมไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่าเขาคงเจ็บอยู่ แต่พอทำธุระเสร็จแล้วพี่อู๋ก็ยังเอื้อมแขนมาขอจับมือ ผมมองหน้าเขานิดหน่อยแต่ก็ยอมส่งมือซ้ายให้อย่างว่าง่าย ก่อนที่เราจะโบกมือเรียกแท็กซี่ เตรียมไปเที่ยวเซ็นทรัลลาดพร้าวตามที่พี่อู๋สัญญาไว้ 




นอกจากเสียงเคาะประตูแล้ว มลพิษทางเสียงอีกอย่างก็คือโทรศัพท์ของพี่อู๋

มันดังแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก ไอโฟนของเขาจะสั่นดังครืดๆน่ารำคาญ ผมบอกพี่อู๋ว่าถ้ารำคาญมากก็ปิดเครื่องไปเลย หรือไม่ก็บล็อกเบอร์คุณหมูพีซะ เราจะได้ไม่ต้องเสียสุขภาพจิตอย่างตอนนี้

“ปิดเครื่องไม่ได้ เผื่อป๊าพี่โทรมา ส่วนเรื่องบล็อกเบอร์น่ะลืมไปได้เลย ไม่เชื่อดูสิ” พี่อู๋ยกโทรศัพท์ให้ดู มันเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เมมเอาไว้ หรือคุณหมูพีเปิดเบอร์ใหม่เพื่อกระหน่ำโทรหาเขาโดยเฉพาะ “อย่าประมาทพีนะก้อง เขาทำอะไรได้มากกว่าที่ก้องคิด”

ผมถอนหายใจ รู้สึกเซ็งแปลกๆที่สัปดาห์นี้ชีวิตไม่มีความสงบสุขเลย แต่อย่างน้อยการเห็นว่าพี่อู๋เริ่มตีตัวออกห่างคุณหมูพีถือว่าเป็นสัญญาณดีๆ อีกหน่อยพวกเขาคงห่างกันไปซักพัก หรือไม่ก็เคลียร์กันวันหลัง(แบบที่ไม่ทะเลาะให้ผมเห็น) แล้วเลิกกันอย่างเป็นทางการ

ทั้งๆที่คิดไว้ว่าพี่อู๋น่าจะเจ็บแล้วจำ แต่เขาก็ยังหวนกลับไปหาคุณหมูพีอยู่ดี เช้าวันหนึ่งขณะที่เรากำลังกินข้าวเช้า คุณหมูพีเล่นมุกร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจตายจนพี่อู๋ต้องเปิดประตูออกไปดู แล้วทุกอย่างก็ลงล็อค เข้าทางคุณหมูพี เขากลับเข้ามาในชีวิตของเราอีกจนได้

วันนั้นพี่อู๋ขอให้ผมอยู่ในห้องนอนก่อนเพราะอยากเคลียร์กับแฟน ผมหวังว่าคุณอุรัสยาจะใช้โอกาสนี้ตีตัวออกห่างแต่ก็ผิดคาดอีก ผมนั่งรอพี่อู๋เป็นชั่วโมง รอจนหิวถึงต้องเดินออกมาข้างนอกเพื่อแอบดูว่าพวกเขาเคลียร์กันไปถึงไหน ปรากฏว่าคุณหมูพีกำลังนั่งบนพื้นห้อง เอนหน้าซบเข่าพี่อู๋ที่นั่งบนโซฟาอย่างออดอ้อน เขาไม่ร้องไห้แล้ว แต่ใช้น้ำเสียงน่ารักๆขอโทษพี่อู๋ซ้ำไปซ้ำมา ส่วนผู้ปกครองผมก็ใช่ย่อย วันก่อนเพิ่งบอกว่าไม่รักแล้ว เบื่อแล้ว อยากเลิกแล้ว แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน นั่งให้เขากอดเขาอ้อนซะงั้น

“เราขอโทษนะที่ทำพี่เจ็บตัว” คุณหมูพีจับมือพี่อู๋มาวางบนหัวตัวเอง “พี่รู้ไหมว่าเรารู้สึกแย่มากที่ทำแบบนั้น พอไม่ได้เจอกันเราก็หยุดคิดถึงพี่ไม่ได้เลย”
“ช่างเถอะ มันได้ไม่เจ็บมากมายอะไรหรอก”

ตอแหลม ถ้าไม่เจ็บ พี่จะหน้านิ่วคิ้วขมวดตอนพยาบาลล้างแผลทำไม

ผมถอนหายใจเซ็งๆเมื่อเห็นคู่เวรคู่กรรมกลับมารักกันอีกครั้ง แต่ถ้านี่คือความต้องการของพี่อู๋ผมคงค้านอะไรไม่ได้ แค่พวกเขาไม่ทะเลาะกัน แค่คุณหมูพีไม่ทำให้พี่อู๋เจ็บตัวเหมือนวันก่อนก็พอแล้ว เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นอีก กอริลลาก้องนี่แหละจะเป็นฝ่ายปกป้องผู้ปกครองเอง

แน่นอนว่าการกลับมาของคุณหมูพีย่อมส่งผลกระทบถึงชีวิตผม เขาจู้จี้จุกจิกกับการทำอาหารและการทำความสะอาดจนน่ารำคาญ หลังๆมานี้ผมเหมือนคนใช้ส่วนตัวของเขามากกว่า ก้องหยิบนั่นให้หน่อย ทำนี่ให้หน่อย ถูด้วยเดทตอลก่อนแล้วค่อยตามด้วยน้ำยาถูพื้น ยกโซฟาด้วยนะ ปัดฝุ่นด้วยนะ เสร็จแล้วเช็ดครัวด้วยนะ ตากผ้าด้วยนะ เสื้อตัวนี้ต้องซักมือนะ กางเกงในก้องอย่าซักรวมกับพี่อู๋นะ บลา บลา บลา -- น่ารำคาญ

ระหว่างที่กำลังพับชุดนอนที่เพิ่งซักของพี่อู๋ คุณหมูพีก็เดินข้ามไหล่ผมไปนั่งบนโซฟา เขาเอนหัวซบผู้ปกครองของผมด้วยท่าทางออดอ้อนราวกับจะอวดว่าพวกเขารักกันแค่ไหน ผมได้แต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ พยายามทำเป็นไม่รับรู้ไม่สนใจ แต่พอเห็นสีหน้าเบื่อๆเซ็งๆของพี่อู๋ทีไรก็อดสงสารไม่ได้ทุกที

“วันนี้ไปข้าวสารไหม?”
“จะไปเหรอ?”
“ใช่” คุณหมูพีตอบทันที เขามองพี่อู๋อย่างคาดหวัง “วันนี้วันเกิดพลอย มันเลี้ยงเหล้านะ”

พี่อู๋ไม่ให้คำตอบในทันที แถมยังแกล้งทำเป็นง่วนกับการเปลี่ยนถ่านรีโมตทีวีอยู่อีกซักพักใหญ่ คุณหมูพีดูอดทนขึ้นกว่าวันก่อนมาก เขารอจนกระทั่งพี่อู๋หันมาถึงจะถามซ้ำอีกครั้ง

“จะไปไหม?”
“ถ้าไม่ไปล่ะ?”
“ทำไมไม่ไป?”

คุณหมูพีกระแทกเสียง คำชมที่บอกว่าอดทนเก่งนั่นขอถอนคำพูดก็แล้วกัน ผมได้ยินเสียงพี่อู๋ถอนหายใจ เดาเอาว่าเขาคงไม่รู้จะทำยังไงเพราะว่าถ้ากลัวขัดใจคุณหมูพีอีกครั้ง มีหวังบ้านเละกว่าเดิมแน่ๆ

“เราไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันนานแล้วนะ”

นานบ้าอะไรล่ะ แค่สองอาทิตย์เอง

ผมแย้งในใจ มือก็พับผ้าไปแต่ตาเหลือบมองพี่อู๋

“ก็ได้” คุณอุรัสยาตอบง่ายๆเลย “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”

คุณหมูพียิ้มร่า พอพี่อู๋เดินหายเข้าไปในห้องเข้าก็หันมามองหน้าผมด้วยแววตาถือตัว เขาคิดว่าการชวนพี่อู๋ออกไปกินเหล้าคือชัยชนะอย่างหนึ่งซึ่งผมไม่ได้สนใจเลย ผมไม่แคร์ว่าพี่อู๋จะไปเที่ยวกับเขาสองต่อสองหรือไปกับใคร ผมแค่เป็นห่วงเขาเวลากินเหล้าต่างหาก พี่อู๋ชอบขับรถไปข้าวสารคนเดียว ขากลับก็ขับคนเดียวไม่เรียกแท็กซี่ทั้งๆที่เพิ่งสร่างได้ไม่นาน แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมห่วงความปลอดภัยได้ไง ถ้าเขาเป็นอะไรไป คุณหมูพีรับผิดชอบชีวิตพี่อู๋ได้ไหม ผมอยากถามเขาจริงๆ

“พี -- พี่ว่าไปวันหลังกันดีกว่า ไม่มีชุดหล่อๆเลย”

พี่อู๋เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมคำแก้ตัว เขาก้มมองกอริลลาก้องที่กำลังพับผ้าด้วยแววตาขอความเห็นใจ หลายวันก่อนเราทะเลาะกันแทบตายเรื่องกินเหล้า พอผมบอกว่าไม่ชอบ ไม่อยากให้ไป เขาก็ยอมหยุดตั้งหลายวัน แต่พอคุณหมูพีกลับมา เขาก็ทำตัวเหมือนเดิมทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วเชียว

“นี่คือข้ออ้างจะไม่ไปใช่ไหม?”
“เปล่า แค่พูดเฉยๆ เดี๋ยวแต่งตัวไม่ดีพีก็บ่นอีก”

คุณอุรัสยาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ผมนั่งเจ็บใจที่ยอมให้คุณหมูพีพาเขาไปเสียคน แต่เรื่องอย่างนี้พูดยาก ถ้าพี่อู๋ตั้งใจเลิกท่องราตรีจริงๆ เขาก็ปฏิเสธคุณหมูพีได้ ผมว่าลึกๆเขาคงคันอยากเที่ยวด้วยมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะยอมไปกับคุณตัวปัญหาที่ตัวเองพร่ำบ่นลับหลังตลอดเวลาเหรอ คืนก่อนเขายังด่าคุณหมูพีฉอดๆจนผมฟังไม่ทัน มาวันนี้กลับเจี๋ยมเจี้ยม สงบเสงี่ยมเชื่อฟังแฟนในเรื่องแย่ๆแบบไม่มีปากเสียง ผมไม่เชื่ออ่ะ 

แต่ผมพูดอะไรได้ล่ะ?
ตัวเกาะแดกอย่างนายก้องเกียรติสามารถบอกความต้องการของตัวเองได้เหรอ?

ผมตัดใจแล้ว พี่อู๋จะไปไหนก็ช่างเถอะ ไปเมาหัวทิ่มจมกองอ้วก หรือไม่กลับห้องก็ช่างเพราะเขาเลือกเอง ในเมื่อเขาขี้ขลาดไม่กล้าบอกเลิกก็รับผลกรรมของตัวเองไป คิดเสียว่าซ้อมตกนรกแล้วกัน ไหนๆพี่จะไปปิ้งบาร์บีก้อนที่นั่น ซ้อมไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่ทรมาน

ตอนสองทุ่ม พี่อู๋ออกจากห้องน้ำใหญ่ ส่วนผมจัดเรียงเสื้อผ้าเข้าลิ้นชัก เราอยู่ด้วยกันแค่สองคนในห้อง ส่วนคุณหมูพีรอข้างนอก พี่อู๋คงคิดว่าผมต้องพูดขอร้องให้อยู่บ้านแน่ๆ แต่เปล่า ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้นนอกจากทำงานบ้านเหมือนซินเดอเรลก้องผู้อาภัพ ทำงานงกๆตัวคนเดียว ส่วนเจ้าชายรูปงามทั้งสองพระองค์เสด็จไปวังข้าวสาร ดื่มกินเต้นรำอย่างเริงร่า ตีสามตีสี่ถึงกลับห้องมาบรรทม

“คืนนี้นอนเลย ไม่ต้องรอ”
“ครับ”
“น้อยใจล่ะสิ”
“ผมจะน้อยใจพี่ทำไม?” ผมถามแล้วปิดลิ้นชัก “ถ้าพี่อยากไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวผมเฝ้าบ้านเอง”
“ก้องอยากให้พี่กลับกี่โมง?”
“ตื่นเมื่อไหร่ค่อยกลับก็ได้ครับ” ผมประชด
“งั้นคืนนี้ไม่กลับนะ”

ผมเหวอ ถึงจะบอกตัวเองว่าอย่ายุ่งกับชีวิตเขาก็เถอะ แต่พอรู้ว่าต้องอยู่คนเดียวทั้งคืน มันก็อดน้อยใจไม่ได้

“ล้อเล่น พี่กลับประมาณเที่ยงคืน ไม่อยากกลับช้าเดี๋ยวเด็กแถวนี้ไม่ยอมนอน”
“เด็กแถวนี้คือใครครับ คุณหมูพีเหรอ?”
“เด็กแถวนี้ชื่ออะไรน้า -- ก้อง -- ก้องนักกระโดดหรือเปล่า” พี่อู๋แกล้งทำเป็นครุ่นคิด เขาเดินมายีหัวผมเบาๆเมื่อเห็นก้องนักกระโดดหน้าบูดเป็นตูด “ไม่ต้องรอพี่นะ นอนก่อนเลย”
“ครับ ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะ”
“จ้า” คุณอุรัสยาลากเสียง “รีบนอนเลย ห้ามรอ”
“ไม่ต้องย้ำครับ ผมจำได้ พี่ไปเถอะ”

พี่อู๋พยักหน้า เขากำชับให้นอนไวๆอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป ผมได้ยินเสียงล็อกประตู เสียงพูดคุยของพวกเขาสองคนเบาลงเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท เหลือกอริลลาก้องเพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้

ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้สองทุ่มยี่สิบสามนาที ยังพอมีเวลาเหลือนิดหน่อยก่อนเข้านอน ผมพยายามนึกถึงสมัยที่ยังอยู่บ้านคนเดียว ตอนนั้นผมเอาแต่นอนเฉยๆ เปิดทีวีทิ้งไว้จนหลับไปเอง แต่พอย้ายมาอยู่กับพี่อู๋ก็มีเรื่องสนุกๆให้ทำมากกว่านอนเปื่อย บางทีเราก็เล่นเกม บางทีก็ดูหนัง บางทีก็นอนอ่านหนังสือ ไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษ

น่าแปลกที่เรื่องธรรมดาๆพวกนั้นไม่เคยทำให้ผมเบื่อเลย ไม่เลยซักนิด ผมหลับพร้อมเขา ตื่นพร้อมเขา ตัวติดเขาตลอดเวลา แต่พอคุณหมูพีเข้ามา เขาก็แย่งเอาพี่อู๋เวอร์ชั่นกลับตัวกลับใจไปจากผม ตอนนี้ผู้ปกครองของผมกลายเป็นนักท่องราตรีอีกครั้งซึ่งผมไม่ชอบเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ชอบความรู้สึกถูกแย่งของรักเลยจริงๆ



TBC



----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีวันศุกร์นะคะ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้น้า  ♡
ตอนที่แล้วมีนักอ่านทักเรื่องคำผิดในนิยาย ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่รอบคอบ ตอนนี้หนูกลับไปแก้คำผิดทุกตอนเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนถัดๆไปจะตรวจเช็กอีกครั้งก่อนอัปนิยายนะคะ ถ้ามีตรงไหนอยากติชมหรือทักท้วง สามารถคอมเม้นทิ้งไว้ได้เลยค่ะ จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ  :hao5:

แล้วก็ขอบคุณมากๆนะคะที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้ ทุกคอมเม้นต์ ทุกแท็กมีความหมายกับเรามากเลย ตอนหน้าความสัมพันธ์จะเดินเร็วกว่านี้ มาเอาใจช่วยก้องจ๋าให้พ้นจากคุณหมีพูห์กันนะคะ ♥
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-11-2018 21:04:18
โดยส่วนตัวไม่ชอบคนที่เอะอะเอาแต่กินเหล้า ถึงจะทำงานอะไรก็จริง
แต่ไม่ใช่ว่างปุ๊ป กินเหล้ากันเถอะ อะไรแบบนี้ ถ้าพี่อู๋ชอบเหล้าขนาดนั้น
เราก็ไม่อยากยกน้องก้องให้เลยเพราะน้องก็บอกแล้วว่าไม่ชอบคนกินเหล้า

ชอบที่น้องก้องด่าพี่อู๋ในใจนะ แต่อยากถามน้องก้องหน่อย อึดอัดมั้ยลูก
คือยังไงดีอะ การไปอยู่กับคนอื่นแล้วห้องแค่นั้น มีแฟนพี่อู๋มาอีก มันดูแบบ ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว
หวังว่าพี่อู๋หรือน้องก้องจะแก้ไขหรือหาทางออกได้ในเร็ววันนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-11-2018 21:18:48
นังหมีพู ฮึ่ยยย รอวันที่พี่อู๋สะบัดนางทิ้ง แต่คงจะสะบัดยากหน่อย คู่เวรคู่กรรมอย่างที่ก้องว่านั่นแหละ 555555
 กอลิลล่าก้องน่ารักขึ้นทุกวันนน งานบ้าน งานครัว มิขาดตกบกพร่อง  คอยช่วยเหลือแถมยังเป็นห่วงพี่อู๋อีก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 23-11-2018 21:24:49
นิยายเรื่องนี้ทำเราไปไม่เป็นจริงๆ ต้องเข้ามาเม้น อ่านไปเครียดไป เหนื่อยมาก จังหวะอารมณ์ก้องน่ากลัวมากถึงคนเขียนจะไม่ได้เขียนให้ก้องอาละวาดเลย แต่มันเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่อยู่ใต้ทะเลตลอดเวลา เหตุการณ์ต่างๆและตัวละครอื่นๆก็พาอารมณ์ไปสมูธมาก ได้จังหวะมาก ไม่ได้ใช้ถ้อยคำอะไรมากมายเลย แต่คนเขียนเลือกสถานการณ์และจังหวะของตัวละครได้ดีจนเรารู้สึกถึงบรรยายได้เอง ตรงนี้คือคนเขียนเก่งมากนะคะ keep โทนเรื่องและ mood ได้ต่อกันแทบทุกตอน ฉากแต่ละฉากที่ใส่มามีความหมาย เราแทบไม่อ่านข้ามเลยนะ ถึงมีจุดที่รู้สึกไม่เมคเซนส์และขัดกับเรื่องอยู่บ้าง แต่ภาพรวมจนถึงตอนนี้ทำได้ดีเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 23-11-2018 22:14:08
ไม่ได้รำคาญหมูพีมากเท่ากับรำคาญไอ้พี่อู๋เลยนะ  :m16:

อาจจะเป็นเพราะอ่านเรื่องราวผ่านมุมมองของน้องก้อง เลยทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่อู๋คิดหรือทำอยู่  :serius2:

อึดอัดเพราะพี่อู๋ทำเหมือนไม่ค่อยคิดอะไรเลยนี่แหละ ท่าทางที่ดูเหมือนแคร์น้อง ไม่ได้ทำให้รู้สึกเลยว่ามันจริงจังมากพอให้ไว้ใจอะ  :angry2:

พี่อู๋เป็นพระเอกที่เราไม่รู้สึกรักจริงๆ

หรือจริงๆ คนเขียนยังไม่ได้เปิดตัวพระเอก ??

 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2018 00:27:28
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 24-11-2018 21:36:02
เบื่อพี่อู๋  :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-11-2018 22:31:47
เป็นนิยายที่น่าติดตามมาก ดีใจที่ก้องหลุดพ้นวังวนอยากตาย แต่ตอนนี้เป็นห่วงพี่อู๋มากกว่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-11-2018 01:24:34
คือเราให้พี่อู๋เต็มร้อยมาตลอดจนมาเจอเรื่องวันนั้น แน่นอนว่าเราไใ่ได้เชื่อพี่อู้เท่าแต่ก่อน เราให้ไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นด้วยซ้ำตอนนี้ ถ้าทำน้องเราพังยับเยินอีกรอบให้รู้ไว้เลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 27-11-2018 04:44:37
คนแต่งดำเนินเรื่องดีนะ
เป็นเรื่องที่คาดเดาอะไรยาก
ช่วงแรกเหมือนตลกร้าย คือมันเศร้านะ
น้องอยากจะตายแต่มันก็ขำกับคำพูดนึกคิดน้องบางอย่าง

จนมาเจอพี่อู๋ คือแบบทำไมเป็นคนดีแบบนี้
จนกระทั่งมาถึงตอนเมาละพูดด่าน้อง
โอเค คนมันเมา แต่เราว่าลึกๆ มันต้องมาจากใจส่วนลึกๆบ้างแหละ เป็นคนฟังเจอแบบนั้นจุกนะ
ตอนแรกเราคิดว่าตรงนี้คือไคลแมกซ์
ที่ทำให้น้องออกมายืนหยัดด้วยตัวเอง แบบโดนว่าดูถูกขนาดนั้น
แต่คงไม่ใช่เนอะ เพราะเห็นปรับความเข้าใจแล้ว..

ยังไงรอตอนต่อไปครับ อ่านสนุกมาก
ปล.แอบเสียน้ำตาด้วยนะช่วงเรื่องแม่ของน้องที่น้องเล่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 27-11-2018 11:29:51
อินมาก อย่าตบปากพี่อู๋เปี๊ยะๆๆๆๆๆ เติมแผลในใจให้น้องก้องอีก สงสารน้อง จะรับน้องมาอยู่ด้วยต้องไปทางไหนคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MR.J ที่ 27-11-2018 22:06:50
จะเรียกพี่อู๋เป็นพระเอกก็เรียกไม่เต็มปาก ดีมาหลายตอนจนหลงๆมาเริ่มไม่ใช่ละเริ่มรู้สึกแปลกๆ สรุปใครดูแลใครเอาดีๆ น้องก้องคนดีของพี่ พี่รักหนูมาก อยู่กับพี่นานๆนะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 28-11-2018 06:49:05
เขียนได้น่าสนใจและตลกร้ายในคราวเดียว ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-11-2018 20:51:01
ค้างงงงง!!!  ไอ้เราก็นึกว่าไม่ใช่วันนี้ แล้วจะวันไหน แล้วพอถึงวันนั้นจะทำอะไร เลยกดเข้าอ่านรวดเดียว 10 ตอน เหี้ยยยยสนุกกกกกกก ช่วงแรกขมวดคิ้วไปขำไป จะดราม่าก็ดราม่าไม่สุดเพราะไอ้แดงโดนด่า และว่าป้าเพ็ญขี้งก ก่อนตาย ก้องเองนั่นละทำให้หลุดขำตลอด ดราม่าครึ่งๆกลางๆ 555555 ช่วงกลางๆเรื่องอ่านด้วยสีหน้าเรียบๆเริ่มขำไม่ออกละ  ช่วงหลังนี้ยิ่งสนุกก อารมณ์ขึ้นๆลงๆพลิกแบบพีคคค อห ติดหนึบตอนนี้ อยากรู้จะเป็นไงต่อ ก้องจะเข้มแข็งเลิกอยากตายได้ไหม  เขาจะปิ๊งกันตอนไหนยังไง ดูตอนนี้ไม่มีใครหวั่นไหวเลย รอดูความก้าวหน้าเดินต่อไปใช้ชีวิตของก้องสู่โลกภายนอก คาดหวังยังอยากเห็นนะก้อง สู้เขาลูก อย่ายอมแพ้ ปากำลังใจให้รัวๆ แต่ขอเอาคุณหมูพีไปหั่นก่อนเถอะ 5555 สนุกกกมากอ่ะ เออสนุกดี ชอบๆ ไรท์แต่งเก่ง บรรยายดีลื่นไหล โอเคมากเลย ผ่านๆ ติดตามๆ รอตอนต่อไปเลยค่ะ FC
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mimirose ที่ 28-11-2018 21:16:44
เอาหมูพีไปไกลๆเลยนะ รู้สึกสงสารก้องมาก ถ้าอู๋ทำผิดอีกนิดคือจะไม่เจอก้องอีกนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 28-11-2018 23:18:02
เวลาอ่านชื่อคุณหมูพีในใจต้องผวนเป็นหมีพูทุกทีเลย​ 55555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 29-11-2018 04:25:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 29-11-2018 22:07:12
อ่านไปอ่านมาเริ่มคิดว่าคนแบบพี่อู๋จะเป็นพระเอกจริงๆหรอ
ไม่รู้สิ รู้สึกอะไรก็ไม่เข้าที่เข้าทาง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-11-2018 23:24:51
เข้ามารออน้องก้อง อยากอ่านต่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: chubbybunny ที่ 30-11-2018 10:31:21
คุณ​อุรัสยาและคุณ​หมูพีดูป่วยกว่ากอริลล่าก้องอีกค่ะ ส่วนกอริลล่าก้องบ่นคนเดียวได้น่าตีมากๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 10 update!] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-11-2018 20:50:27
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-11-2018 21:51:32
11


นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามยี่สิบเจ็ดนาที

กอริลลาก้องเริ่มมีความคิดอยากเตะคุณหมูพีแรงๆซักเปรี้ยงเพราะคืนนี้เขาพานายอุรัสยาไปท่องราตรีอีกแล้ว ทั้งๆที่พี่อู๋พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยคำแก้ตัวห่วยๆแต่คุณหมูพีก็ลากเขาออกจากบ้านจนได้ ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นความผิดของคุณหมูพีคนเดียว ไอ้พี่อู๋นี่ตัวดีเลย ปากบอกว่าจะไม่ไป จะอยู่เป็นเพื่อนก้อง เป็นห่วงก้อง ไม่อยากให้ก้องรอ แต่กลับเอาความผีเข้าผีออกของคุณหมูพีมาบังหน้าแล้วเปลี่ยนคำพูด พี่ต้องไปจริงๆนะก้อง ถ้าไม่ไปพีต้องโมโหแน่ๆ

ต่อให้คนที่ได้ยินเป็นไอ้แดง มันก็คงหอนเสียงสองว่าตอแหลเหมือนที่ผมคิด

ซึ่งพี่อู๋รู้แน่ว่าผมไม่พอใจ แต่เขาก็สรรหาวิธีทำให้กอริลลาก้องโกรธไม่ลงจนได้ เดี๋ยวนี้เวลากลับจากข้าวสารเขาชอบทำตัวตลกๆให้ผมหลุดขำ ครั้งหนึ่งพี่อู๋ทั้งร้องทั้งเต้นเพลงผีเสื้อราตรีด้วยจริตแคทรียาจนคำด่าในหัวหายวับไปในพริบตา ผมไม่อะไรพูดออก ได้แต่เก็บเสื้อผ้าที่เขาถอดทิ้งเรี่ยราดแล้วเข้านอนพร้อมผู้ปกครองที่ไม่ยอมหยุดร้องเพลงเสียที

“ก้องงงง”

เสียงมาก่อนตัวแบบนี้ เดาได้เลยว่าคงหัวทิ่มเรี่ยราดเหมือนคืนก่อน ผมรีบเดินไปหน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งของพวกกุญแจ พอบานประตูเปิดออก ผมก็เห็นพี่อู๋ยืนยิ้มแฉ่งกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณหมูพี

“น้องก้องใช่ไหม?”
“ครับ”
“พี่ชื่อตั้มนะ เป็นเพื่อนไอ้ขี้เมา” เขาแนะนำตัว ผมรีบยกมือไหว้เมื่อรู้ว่าเขาคือเพื่อนของผู้ปกครอง “พาไอ้อู๋ไปนอนเถอะ พี่แค่แวะมาฉี่น่ะ”

ผู้ชายคนนั้นบอก ผมเข้าไปพยุงคุณอุรัสยาที่เดินหลังคู้ทันที วันนี้พี่อู๋มาแปลก เขาไม่ร้องหรือเต้นเพลงผีเสื้อราตรีแล้ว แต่ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนอยากอ้วกตลอดเวลา

“พี่ไหวไหมเนี่ย?”

ผมถามขณะที่ย่อตัวลงถอดรองเท้าให้ พี่อู๋ไม่ตอบ เขายืนโงนเงนไปมาจนผมชักเป็นห่วง แต่จังหวะที่เงยหน้ามองผู้ปกครอง อ้วกอุ่นๆก็พุ่งออกจากปากเขา ราดลงบนหัวกอริลลาก้อง จนไหลย้อยไปถึงคาง

ไอ้ -- อู๋ --

“เชี่ย”

พี่ตั้มรีบเข้ามาช่วยพาคนขี้เมาไปนอนในห้องใหญ่ แต่ระหว่างทางเขาก็ยังแหวะออกมาเป็นกองเล็กๆเรี่ยราดอีกสองสามจุด ผมได้แต่มองของเสียบนพื้นพร้อมกับกำหมัดแน่น ทั้งโมโห ทั้งขยะแขยงจนต้องรีบเดินเข้าห้องน้ำเล็กเพื่อล้างอ้วกออกจากหัว เศษข้าวที่ยังย่อยไม่หมดติดเป็นเม็ดๆตามไรผม ยิ่งใช้มือสางก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นอะไร ไอ้พี่อู๋เพิ่งกินข้าวมันไก่มาแน่ๆ เพราะผมเห็นหนังไก่ที่ย่อยไม่หมด และได้กลิ่นน้ำจิ้มเปรี้ยวๆด้วย

“น้องก้องครับ รอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวพี่ออกไปช่วยเช็ด”

พี่ตั้มตะโกนบอก ผมขานตอบแค่ครับแล้วทำความสะอาดตัวเองต่อ เมื่อเช็กจนแน่ใจว่าไม่มีเศษข้าวมันไก่ติดบนหัว ผมจึงเปิดน้ำใส่ถังและเทน้ำยาถูพื้นสองฝา จากนั้นก็ออกไปเช็ดสิ่งที่พี่อู๋ปล่อยทิ้งเอาไว้บนพื้นตั้งแต่หน้าประตูถึงห้องนอนใหญ่ มือหนึ่งใช้ทิชชู่โกยเศษข้าวใส่ถังขยะ อีกมือก็เอาผ้าชุบน้ำยาตามเช็ดเรื่อยๆ ผมทั้งเหม็นทั้งเหนื่อยจนเริ่มพาล อยากสาดน้ำเปื้อนอ้วกใส่หน้าไอ้พี่อู๋ซักครั้งโทษฐานทำตัวไม่ดี ที่จริงผมน่าจะปล่อยให้เขานอนจมกองอ้วกตัวเอง เผื่อวันหลังจะสำนึกได้ว่าไม่ควรออกไปกินเหล้าตั้งแต่แรก

เสียงไอแหบแห้งดังลอดผ่านบานประตูที่แง้มอยู่ ผมได้ยินพี่ตั้มตบหลังพี่อู๋เบาๆแล้วส่งถังขยะให้ ผู้ปกครองของผมอ้วกเอาเป็นเอาตาย เขาโก่งคอเสียงดังราวกับจะเค้นเอาน้ำย่อยออกจากกระเพาะให้หมดจนหยดสุดท้าย

“อู๋ กูถามจริงเถอะ ช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ?”

คำถามของพี่ตั้มเรียกความสนใจ ซินเดอเรลก้องหยุดทำความสะอาด รีบคลานเข่าไปใกล้บานประตูเพื่อแอบฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่

“ปกติมึงบ้างานจะตาย ข้าวสารก็แทบไม่ไป ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้วะ? มึงเป็นอะไร ทะเลาะกับหมูพีเหรอ?”
“เปล่า” พี่อู๋ตอบ เสียงดูหมดเรี่ยวหมดแรงกว่าที่คิดไว้ “ช่วงนี้กูนอนไม่หลับ ต้องกินเหล้านิดๆหน่อยๆถึงหลับง่าย”
“นอนไม่หลับก็ไปหาหมอ หรือถ้าไม่อยากไปทำไมไม่โทรคุยกับพ่อ พ่อมึงเป็นหมอไม่ใช่เหรอ?”
“โทรทำไม กูไม่ได้เป็นอะไร”
“เป็น เป็นมากด้วย ช่วงนี้มึงทำตัวแปลกๆจนพวกไอ้โจคิดว่ามึงป่วยแล้ว”

ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าพี่อู๋ป่วยเป็นอะไร ตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ดูสบายดี แม้แต่คุณหมูพีที่เป็นแฟนยังไม่เคยเอะใจหรือรบเร้าขอให้เขาไปหาหมอเลย

“ยังเสียใจเรื่องงานเหรอ? อย่าคิดมากสิวะ ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวที่โดนไล่ออก”

ผมอึ้งเมื่อได้ยินคำว่าไล่ออกเพราะจำได้ว่าครั้งแรกที่ไปกินสตาร์บัคส์ด้วยกัน เขาบอกผมว่ากำลังจะลาออกตอนสิ้นเดือน แต่พี่ตั้มเพิ่งเฉลยความจริงว่าพี่อู๋ต่างหากที่โดนไล่ออก แถมเป็นการไล่ออกที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาและดูเหมือนว่าพี่อู๋จะเสียความมั่นใจเพราะเรื่องนี้มาก

ผู้ปกครองของผมด่านายจ้างให้พี่ตั้มฟังเกี่ยวกับการประท้วงในบริษัท พี่อู๋เป็นคนกลาง เขามีหน้าที่แปลก็แปลตามข้อความที่ทั้งสองฝ่ายพยายามเจรจาต่อรองกัน แต่ความซวยก็คือหัวหน้าคนงานตอบไม่ตรงคำถาม เขาพูดไปเรื่อย อ้างนั่นอ้างนี่จนนายญี่ปุ่นโมโห พอปัญหายืดเยื้อหลายสัปดาห์เจ้านายก็โทษพี่อู๋ หาว่าพี่อู๋ไม่ตั้งใจแปล แปลผิด หาว่าเข้าข้างหัวหน้าคนงานบ้าง ไม่ใส่ใจทำงานเหมือนตอนเอมยังไม่ตายบ้าง หนักเข้าคือด่าพี่อู๋กลางที่ประชุมต่อหน้าพวกผู้บริหาร สำหรับคนที่มีประสบการณ์เกือบสิบปีมีเหรอจะทนได้ เขาทำงานถวายหัวให้บริษัทนี้มาสี่ปี สุดท้ายจบกันแบบนี้จะไม่ให้เสียเซลฟ์ได้ยังไง เขาไม่เคยโดนไล่ออกมาก่อนเลย มีแต่ชิงลาออกเพื่อปรับเงินเดือนเท่านั้น เรื่องนี้จึงละเอียดอ่อนสำหรับพี่อู๋พอสมควร เขาเคยเป็นคนมั่นใจในตัวเอง เขาเชื่อว่าตัวเองเก่งจนเลือกงานที่ไหนก็ได้ ต่อรองเรียกเงินเดือนเฉียดแสนก็เคยทำมาแล้ว แต่บริษัทนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นล่ามกระจอกๆที่ไม่มีความสามารถมากพอจะทำงานจนจบเดือน 

ถ้าถามผม ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาคือความสงสาร ผมสงสารเขาที่ต้องเสียความมั่นใจตอนอายุสามสิบเอ็ดปี พี่อู๋คิดว่าตัวเองมีความสามารถมาตลอด จากคนที่เคยเป็นที่ต้องการ คนที่หย่อนเรซูเม่บริษัทไหนก็มีแต่คนเรียกสัมภาษณ์กลับกลายเป็นฝ่ายโดนไล่ออก กำแพงของความภูมิใจในตัวเองก็เลยพังลง พี่อู๋ไม่อยากสมัครงานหรือทำงานกับใครอีกแล้วเพราะรู้สึกว่าชีวิตมีจุดด่างพร้อย เขาคิดว่าตัวเองไม่เก่งจริงถึงโดนไล่ออกกลางเดือนแบบนั้น

“ใครๆก็รู้ว่าบริษัทตั้งใจบีบมึงเพราะอยากประหยัดงบ เงินเดือนมึงคนเดียวจ้างเด็กจบใหม่ได้ตั้งสามสี่คน ฟังนะ -- มันไม่ใช่ความผิดมึงเลย ส่วนใหญ่ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น บริษัทกูก็ทำ แต่กูเงินเดือนไม่เยอะเหมือนมึงก็เลยไม่โดนไง”

ผมเห็นด้วย เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดี พวกเขาก็คงอยากลดค่าใช้จ่าย มันไม่ใช่ความผิดของพี่อู๋หรอก ตราบใดที่เขาทำเต็มที่และมั่นใจว่าแปลไม่คลาดเคลื่อนจากเนื้อความ จริงๆผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่เป็นเพราะหัวหน้าคนงานที่พูดไม่มีสาระมากกว่า

“มึงอยากลองเริ่มใหม่ไหม? เมื่อวันก่อนจ๊ะเอ๋โพสต์ในไลน์กลุ่มว่าที่ชลบุรีมีโรงงานหาล่ามอยู่ รีเควสN2 เงินเดือนต่อรองได้ตามประสบการณ์ กูว่าน่าสนใจดีนะ”
“กูยังไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นว่ะตั้ม กูเหนื่อย” พี่อู๋บอก น้ำเสียงอ่อนล้ายิ่งกว่าประโยคที่บอกเพื่อนเสียอีก

พอได้ยินแบบนั้น พี่ตั้มก็รัวคำถามใส่พี่อู๋ แล้วจะอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ พีรู้เรื่องนี้ไหม พ่อกับแม่ล่ะว่าไง คนที่บ้านรู้หรือเปล่าว่ามึงตกงาน ต่อให้พี่อู๋ไม่ตอบผมก็เดาได้ คำตอบคือไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้ สั้นๆคือพี่อู๋ไม่ได้บอกใคร แม้กระทั่งนายก้องเกียรติที่อยู่กับเขา คนที่ใช้เงินของเขาเหมือนเป็นเงินตัวเองยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย

“อู๋ มึงเป็นคนเก่ง เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะมึงกากหรือห่วยแตกนะเว้ย”

ผมได้แต่นั่งฟังพี่ตั้มปลอบใจพี่อู๋ เขาใช้คำพูดสวยหรูตามฉบับพวกไลฟ์โค้ชบนอินเทอร์เน็ต ผมฟังดูแล้วยังคิดเลยว่ามันไม่ได้ผลหรอก คำปลอบไม่ช่วยให้เราได้ความมั่นใจคืนมา เวลาต่างหาก เวลาเท่านั้นที่จะทำให้พี่อู๋กลับมารู้สึกดีกับตัวเองได้

ระหว่างที่ฟังพวกเขาไป ถูพื้นไป จากเรื่องงานก็วนเข้าเรื่องคุณหมูพี ดูเหมือนพี่อู๋ชักจะเริ่มหมดความอดทน พอพี่ตั้มถามว่ากลับไปคืนดีทำไมถ้าไม่ได้รักพีแล้ว คำตอบของพี่อู๋ทำให้ผมอยากเอาถังอ้วกคว่ำใส่หัวเขาจริงๆ

“อยากเอาเฉยๆ ไม่มีอะไร”

เหตุผลของคุณอุรัสยาค่อนข้างทุเรศสำหรับผมเลย เขานี่มันขี้เอาอย่างที่คุณหมูพีว่าจริงๆ แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวอีกว่าพี่ไม่ได้ขี้เอา พี่แค่อยากมีใครซักคนคอยให้กำลังใจ แต่เมื่อกี๊เขาเพิ่งพูดเองว่าต้องการที่ระบายเฉยๆ พอคุณหมูพีเสนอ เขาก็แค่สนอง พี่อู๋บอกตั้งแต่คืนแรกที่กลับไปแล้วว่ามันจะไม่เหมือนเดิมนะ เขาคงเต็มที่กับคุณหมูพีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แต่เพราะนั่นคือคุณพีรพัฒน์ผู้ไม่เคยโดนขัดใจ ดังนั้นผลของการขี้เอาจึงกลับมารัดคอเขาเอง

“มึงนี่เหี้ยจริงๆไอ้อู๋”

พี่ตั้มด่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย พี่แม่งเหี้ยจริงๆพี่อู๋

“มึงก็รู้ว่าพีชอบทำร้ายตัวเองเวลาโมโห นี่ถ้าพีรู้ว่ามึงแค่อยากเอาเฉยๆ ไอ้อู๋เอ๊ย -- เตรียมตัวเลย เพื่อนรักพี ครอบครัวพี คนรอบตัวพีจิกมึงตายห่าแน่ โทษฐานทำร้ายเทวดาตัวน้อยของบ้าน”

พี่อู๋ถอนหายใจ เขาบ่นให้พี่ตั้มฟังเกี่ยวกับความขี้หึงที่น่ารำคาญจนเกินพอดี เดี๋ยวนี้คุณหมูพีไม่อยู่เฝ้าร้านอาหารของที่บ้านแล้ว แต่แวะมาที่นี่สัปดาห์ละห้าหกวันจนพี่อู๋อึดอัด เขาบอกพี่ตั้มว่าอยากอยู่ห้องเงียบๆแบบไม่มีใครกดดัน ทุกครั้งที่คุณหมูพีมา เขาจะพูดเรื่องหางาน เรื่องสอบวัดระดับปีหน้า เรื่องกินเรื่องเที่ยวเหมือนสมัยที่เคยคบกันซึ่งพี่อู๋ไม่อินอะไรทั้งนั้น เขาแค่อยากพักผ่อนให้คุ้มกับสิบปีที่เอาแต่ทำงานจนร่างกายพัง พอพูดถึงตรงนี้พี่ตั้มก็หัวเราะ เขาบอกว่าร่างกายมึงไม่ได้พังเพราะงานหรอกอู๋ เพราะเหล้าต่างหาก

“กูกินเพราะตอนเมามันช่วยให้ลืมทุกอย่างจริงๆ” พี่อู๋บอกเหตุผล “กูลืมเอม ลืมนายเหี้ยๆ ลืมงาน ลืมทุกอย่าง กูแค่สนุกกับการเต้นบนเก้าอี้ พอได้ที่ก็ไปเอากับพีแล้วค่อยกลับห้องมาเจอก้อง เห็นไหม? ชีวิตเสรีฟรีดอม”
“ฟรีดอมอย่าลืมคอนดอม”
“เออ กูซื้อตุนเป็นแพ็คเลย”

พวกเขาหัวเราะ ส่วนซินเดอเรลก้องได้แต่ทำหน้าอี๋ เรื่องของคุณหมูพียังเป็นหัวข้อสนทนาอีกพักใหญ่ ถ้ามีใครพูดว่าผู้หญิงเป็นมนุษย์ขี้นินทา ผมบอกเลยว่าคิดผิด พวกผู้ชายต่างหากที่นินทาเก่ง แต่ละเรื่องที่พวกเขาพูดกันนั้นเจ็บแสบจนผมคิดว่าถ้าคุณหมูพีเป็นคนมีชื่อเสียง เรื่องของเขาคงได้ลงเพจอีเจี๊ยบเลียบด่วนแล้ว

“มึงว่าถ้าพีรู้ความจริง -- วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นวะ?”

หลังจากรำลึกวีรกรรมที่คุณพีรพัฒน์เคยทำตั้งแต่คบกับพี่อู๋ พี่ตั้มก็ถามคำถามที่น่าสนใจนี้ขึ้นมา เมื่อก่อนคุณหมูพีเคยเอาคัตเตอร์กรีดขาเพราะโกรธที่ผู้ปกครองของผมไปเที่ยวเกาะล้านโดยไม่บอก ไหนจะใช้เล็บจิกหน้า จิกหัวพี่อู๋เวลาโมโห หนักเข้าคือตบพี่อู๋เลย บางทีก็ปาของใส่จนเขาเจ็บตัว พอได้ยินแบบนี้ผมชักสงสารคุณอุรัสยาแล้วที่มีแฟนประสาทแดก ต่อให้ผลประโยชน์คือเรื่องบนเตียง แต่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่มีใครสมควรถูกทำร้ายไม่ใช่เหรอ

“เอาตรงๆนะ ถ้าทะเลาะกันสองคนอ่ะ กูโอเค กูทนได้ กูคิดว่ากูเอาตัวรอดได้” พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ “แต่ถ้าก้องอยู่ข้างๆนี่กูกลัวห้ามไม่ทันว่ะ พีแม่งขี้หึงไม่เข้าเรื่อง บางทีก็หาเรื่องก้อง บางทีก็ทำเหมือนก้องเป็นคนใช้ กูไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นเหี้ยอะไรถึงชอบแกล้งเด็กอายุสิบเจ็ด”
“ก็คงหวงมึงนั่นแหละ พีรักมึงจะตาย ถึงจะชอบตบตีมึงก็เถอะแต่สุดท้ายมันรักมึงคนเดียวนะเว้ย”
“รักขนาดไหน แต่ทำกูเจ็บตัวตลอดนี่มันก็ไม่ควรทนหรือเปล่าวะ?”

จริงที่สุด -- จริงมาก ต่อให้คุณหมูพีรักพี่อู๋มากขนาดไหน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายพี่อู๋แม้แต่ปลายเล็บ

พี่ตั้มเสนอทางเลือกสุดท้ายให้คุณอุรัสยาผู้น่าสงสาร เขาบอกว่ายิ่งปฏิเสธคุณหมูพีเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี หากฝืนดันทุรังแบบนี้ต่อไปคงเลิกยาก คุณหมูพีน่าจะไม่ยอมจบง่ายๆเพราะพี่อู๋ตักตวงความสุขจากตัวเขา จู่ๆจะมาชิ่งเอาดื้อๆ มีหวังคุณหมูพีได้ปาดคอตายแน่ แต่ต้องลุ้นอีกทีว่าจะเป็นคอของใคร หนึ่ง คอของตัวเขาเอง สอง คอของพี่อู๋ หรือสาม คอของกอริลลาก้อง

เดี๋ยวนะ -- ผมเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย?

“พีหวงมึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“เออ มันหึงก้อง ทุกวันนี้ลากกูไปบริคเพราะจะพาไปต่อที่ห้อง ไม่ยอมให้กูกลับบ้าน”
“แล้วมึงทำไง?”
“เอาเสร็จก็กลับดิ ไม่กลับได้ไง ก้องรออยู่”

ผมควรดีใจที่ต่อให้พี่อู๋ออกไปแรดนานขนาดไหน สุดท้ายก็ยังตั้งใจกลับบ้านเพราะรู้ว่ามีคนรอ แต่ถ้าจะให้ดีคือไม่ต้องไปตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอก พี่อู๋กำลังสนุกกับเหล้าและเซ็กส์ เขาคงไม่หยุดง่ายๆ

พี่ตั้มคุยกับพี่อู๋เรื่องคุณหมูพีอีกนิดหน่อยก่อนหวยจะมาลงที่ซินเดอเรลก้อง ดูเหมือนว่าการอุปการะเด็กอายุสิบเจ็ดจะเป็นที่กล่าวขวัญในวงสนทนาของพวกเขาพอสมควร พี่ตั้มเอาแต่ยิงคำถามว่าพี่อู๋เจอผมที่ไหน คิดยังไงถึงพามาอยู่นี่ แล้วจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ มึงไม่ใช่สถานสงเคราะห์นะอู๋ นี่ไม่ใช่หน้าที่มึงที่ต้องคอยอุปการะชีวิตใคร แถมแนะนำให้พี่อู๋ส่งผมไปหน่วยงานราชการที่ดูแลปัญหาเรื่องนี้ แต่ผู้ปกครองของผมค้านหัวชนฝา ยังไงพี่อู๋ก็ไม่ยอม เขาบอกพี่ตั้มว่าไม่มีวันส่งนายก้องเกียรติไปที่ไหน เขาอยากดูแลผมเอง อยากเห็นผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีอนาคตดีๆ พอพูดถึงตรงนี้ผมก็พอเข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้ว

พี่อู๋ไม่ได้พาผมมาแทนที่คุณหมูพี เขาพาผมมาแทนที่เอมต่างหาก

“แต่มึงจะเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาแทนที่น้องชายตัวเองไม่ได้ อู๋ -- มึงฟังกูนะ ก้องไม่ใช่เอม แค่นิสัยก็ไม่เหมือนกันแล้ว เด็กคนนั้นไม่มีวันเป็นเอมให้มึงได้หรอก”
“กูไม่เคยเห็นก้องเป็นเอม กูแค่อยากให้ก้องได้โอกาสเหมือนที่เอมเคยได้ก็เท่านั้น” พี่อู๋อธิบาย “มันผิดตรงไหนถ้ากูจะเอ็นดูใครซักคน ในเมื่อเอมไม่อยู่แล้ว กูไม่มีน้องต้องส่งเสียเลี้ยงดูแล้ว แทนที่จะหยุดแค่นั้น ทำไมไม่ส่งต่อโอกาสให้เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือวะ?”
“มึงจะดูแลใครก็ได้ถ้ามีการมีงานทำ ไม่ใช่ขาดรายรับมาเป็นเดือนๆแถมยังต้องจ่ายเงินเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ญาติตัวเองอีก”
“เสือกกก” พี่อู๋ด่าพี่ตั้ม “พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกับก้องนักหนา ปล่อยให้น้องมันอยู่เงียบๆไม่ได้เหรอ? ก้องก็ทำตัวดีมาตลอด เด็กรักดีแบบนี้จะปล่อยให้อดๆอยากๆไม่มีอนาคตได้ไง”

แล้วบรรยากาศก็เงียบ ผมเดาเอาว่าพี่อู๋คงโมโหนิดๆที่พี่ตั้มยุ่มย่ามกับการตัดสินใจของเขามากไปหน่อย แต่เงียบแค่ไม่นาน คำถามก็ถูกรัวใส่ผู้ปกครองของผมยิ่งกว่าปืนกล พี่ตั้มถามพี่อู๋ว่าหลังจากนี้จะเอายังไง จะส่งให้ผมเรียนมหาลัยจนจบเลยเหรอ แล้วถ้าผมขี้เกียจไม่รักเรียนล่ะ ถ้าผมมาเพื่อเกาะเขากินไปจนตายล่ะ ถ้าผมเป็นมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาต้มเขาล่ะ พี่อู๋รับได้ไหม พร้อมรับความเสี่ยงนี้ไหม

“ก้องไม่ใช่เด็กแบบนั้นหรอก กูเลี้ยงมาหลายเดือน กูรู้” พี่อู๋แก้ต่างให้กอริลลาก้อง “ส่วนเรื่องจะให้อยู่ด้วยถึงเมื่อไหร่นี่ยังตอบไม่ได้ ถ้าก้องอยากเรียนมหาลัยกูก็จะส่งให้เรียน ไม่มีปัญหา”
“ปากดี งานก็ไม่มีจะทำ เสือกทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยงต้อย”
“มึงก็สาระแน น้องมึงไม่เคยตาย มึงจะมาเข้าใจอะไร”

ผมว่าพวกเขาต้องพอก่อน จากการซุบซิบนินทาเริ่มกลายเป็นการประชดประชันแล้ว ขืนคุยต่ออีกหน่อยมีหวังได้สาดคำด่าใส่กันแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงลุกขึ้น ทำทีเป็นเช็ดอ้วกไปถึงห้องนอนใหญ่ก่อนจะแง้มบานประตู ผมส่งยิ้มให้พี่ตั้มที่หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแล้วบอกว่าเสร็จเรียบร้อยครับ สะอาดเหมือนเดิมครับ พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลพี่อู๋ต่อเอง

พี่ตั้มลุกขึ้นยืน เขาตบไหล่ผู้ปกครองของผมเบาๆก่อนจะขอตัวกลับ แต่พอผมแกล้งเดินออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็ซุบซิบกันอีก

“กูรู้แล้วทำไมพีถึงหึงจนหน้ามืดขนาดนั้น”

พี่ตั้มพยายามพูดเบาๆ แต่กอริลลาก้องยังได้ยินอยู่ ประสาทหูของผมดีกว่าที่พวกเขาคิดเยอะ

“ก้องแม่งน่ารักจริงๆว่ะ ตอนยิ้มจนตาปิดนี่ โอโห -- โลกสดใสในพริบตา”
“เห็นไหม กูบอกแล้ว”
“นี่ไง ชัดเลย -- ไอ้เฒ่าหัวงู มึงเลี้ยงเพราะเด็กมันน่ารักล่ะสิ ทำมาเป็นพูดว่าสงสาร แหม  ไอ้ตอแหล!”

กอริลลาก้องได้แต่กระพริบตาปริบๆ ขอบคุณที่ชมว่าน่ารักนะครับ แต่ไม่ต้องชมเรื่องนี้ก็ได้ ชมว่าทำกับข้าวอร่อยน่าจะดีกว่า ผมรีบย่องออกห่างจากห้องนั้น ซักพักพี่ตั้มก็เดินออกมา เขาโบกมือบ๊ายบายแล้วฝากฝังให้ช่วยดูแลพี่อู๋ด้วย ผมรับปากก่อนจะยกมือไหว้ ขับรถดีๆนะครับ สวัสดีครับ จบ ไปได้เสียที ถึงเวลาเทศนาคุณอุรัสยาแล้ว เมื่อกี๊เขาเพิ่งพ่นข้าวมันไก่ใส่หัวผม อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะได้นอนดี

ผมล็อกห้อง ปิดไฟ ผูกปากถุงอ้วกจนแน่ใจว่ากลิ่นจะไม่เล็ดลอดออกมาแล้วจึงล้างถังและซักผ้าในห้องน้ำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กลับเข้าไปในห้องนอน ตั้งใจจะเรียกพี่อู๋มาคุยเรื่องที่เขาตกงาน แต่พอเข้าไปถึง คุณอุรัสยาก็หลับเสียแล้ว ซินเดอเรลก้องจึงพับเก็บคำพูดไว้ก่อน ผมช่วยเขาถอดกางเกงยีนแล้วห่มผ้าให้ หลังจากนั้นก็อาบน้ำสระผมล้างคราบอ้วก ผมต้องเสียเวลานั่งเอาหัวจ่อพัดลมข้างนอกเกือบสิบนาที กว่าผมจะแห้งและหายเหม็นข้าวมันไก่ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง

ผมปิดไฟ เดินไปประจำที่ของตัวเอง ทันทีที่ล้มตัวลงนอน พี่อู๋ก็ขยับเข้ามาเหมือนรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ เขาเริ่มเอาหัวมาใกล้หมอนของผม ขาก่ายหมอนข้าง แต่มือวางพาดบนหน้าท้องกอริลลาก้อง ผมถอนหายใจเมื่อคุณอุรัสยาทำเหมือนผมเป็นหมอน เขาทำแบบนี้ประจำ อีกซักพักคงกลิ้งเอาหัวมาชน เมื่อไหร่นิสัยนอนดิ้นของเขาจะแก้ได้เสียที ผมอึดอัดนะที่เขากอดหมอนข้างคนเดียวไม่แบ่งกันเลย

“พี่อู๋ ให้ผมกอดหมอนข้างด้วยสิ”

ผมบอกพร้อมกับเขย่าตัวเขา คุณอุรัสยาลืมตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยอมถอยไปนอนที่ตัวเองและสละหมอนข้างให้ด้วยการยกขาออก แต่แขนของเขายังพาดอยู่ที่เดิม วางบนพุงกะทิของกอริลลาก้อง ผมที่ง่วงเกินทนจึงปล่อยผ่านไป อยากทำอะไรก็ทำ ตอนนี้ต้องนอนก่อน ผมพลิกตัวนอนตะแคงไปหาพี่อู๋ ขาก่ายหมอนข้างแล้วฝังหน้าลงบนหมอนด้วยความง่วงงุน หลังจากปิดตาได้ไม่กี่นาทีผมก็ผล็อยหลับ และคืนนั้นผมฝันว่าถูกคุณหมูพีถือมีดไล่แทงจนตายด้วย



TBC
----------------------------------------------


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

น้องก้องมาแล้วค่า มาซะดึกเลย หวังว่าน้องก้องจะช่วยให้ทุกคนหายเหนื่อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมานะคะ
ตอนนี้อาจจะดูสั้นๆไม่มีอะไร แต่เพื่อปูเรื่องไปตอนหน้า ก็เลยจำเป็นต้องเขียนขยายความก่อนไปเจอพายุค่ะ แหะๆ

ก่อนจากกัน เราอยากขอบคุณนักอ่านทุกคน ขอบคุณคอมเม้นต์ และทุกแท็กในทวิตเตอร์นะคะ รู้สึกเหมือนฝนตกในหน้าแล้งจริงๆค่ะ ดีใจที่มีคนเห็นน้องก้องเยอะขึ้นและให้ฟี้ดแบคน่ารักๆเยอะขึ้น สัญญาเลยว่าจะตั้งใจเขียนสุดฝีมือ หากมีจุดบกพร่องที่ควรปรับปรุงสามารถคอมเม้นต์ทิ้งไว้หรือดีเอ็มทางทวิตเตอร์ได้นะคะ ทุกๆคำติจะนำไปแก้ไขและปรับปรุงค่ะ ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่มอบความรักให้เรา หลังจากนี้ช่วยอยู่ด้วยกันจนสุดทางด้วยนะคะ ขอบคุณจากใจจริงค่ะ ʕ→ᴥ←ʔ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-11-2018 22:57:48
อยากให้พี่อู๋ผ่านพ้นปัญหาไปด้วยดี อุตส่าห์ช่วยน้องก้องได้แล้ว ตัวเองก็ต้องรอดด้วยนะ

ปล.แต่ฉากอ้วกรดหัวนี่ไม่ไหวจริง ๆ อยากเตะตัดขาให้นอนคว่ำจมอ้วกไปเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 30-11-2018 23:55:23
หมูพีนี่เอาตรงๆน่ากลัวนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-11-2018 23:59:41
ใครดูแลใครกันแน่เนี่ย น้องก้องที่มันความหวังของหมู่บ้านชัดๆ แอบสงสารพี่อู๋เรื่องงานนิดนึง แกคงเครียดเลยเป๋ๆไป รอพี่แกดึงสติแล้วกลับมาทำตัวให้สมกับเป็นผู้ปกครองนะ
ระหว่างนี้สงสารซินเดอเรลล่าก้องที่สุด น้องดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่สะอีก
ชอตอ้วกนี่ภาพลอยมาเลยค่ะ 5555 อี๋จริง ถ้าเราเป็นน้องก้อง จะด่าพี่อู๋ไป 3วัน7วันเลยคอยดู 5555
ถึงแม้จะเพลียพฤติกรรมพี่อู๋มากสักแค่ใหน แต่เราก็แอบชอบการวางคาแรคเตอร์พระเอกที่ไม่เพอเฟกนะคะ อาจจะไม่ได้ดีไปสะทุกอย่าง มีด้านล้มเหลว มีมุมดาร์กๆ มีด้านแย่ๆ เหมือนคนที่กำลังหลงทางอยู่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2018 00:38:15
 :really2:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2018 01:13:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-12-2018 10:56:01
ฟังเรื่องคุณหมูพีจนหลอนนำมาฝัน เอามีดไล่แทงจนตาย โคตรฝันร้ายอะก้อง 5555 //เออออออออสงสารและเข้าใจไอ้พี่อู๋มันเลย เรื่องงาน พอขาดความมั่นใจทำให้เป๋ไป หาอะไรมาเติมเต็มโดยไม่สนว่าถูกผิดจะนำพาปัญหาไรมา ช่างแม่ง พอใจเป็นพอ ก็รอให้ยืนได้นะ ถ้าตัวเองยังไม่รอด แล้วอีกคนจะรอดไหม ก้องให้สติพี่เขาหน่อย มันน่าทุบซะจริงตอนอ้วกใส่เนี้ย //ต่างก็ขาด แล้วมาช่วยเติมเต็มให้กัน มันคงผ่านเรื่องร้ายๆเริ่มต้นใหม่ได้ดี คงอีกไกล ตอนนี้ทำได้คงแค่ชงกาแฟดำแก้แฮ้งค์ให้ก่อนเถอะ รุงรังจริง *ก้องบ่น* 55555 //นี่ก็ยังเป็นแบบว่ากำลังดราม่าอยู่ ถ้าพูดถึงไอ้แดงนี่ 555555 ขนาดมันไม่แยแสก็ยังคิดถึงมันนะก้อง 555555 //สนุกกกกกกกกก เข้มขึ้นเรื่อยๆ รอดูต่อไปจะเกิดไรขึ้นบ้าง ติดตามๆรออ่านๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 01-12-2018 11:04:35
เหตุผลก็ยังไม่พอจะทำให้อภัยในความปากเสียของพี่อู๋เมื่อหลายตอนก่อนได้หรอกนะ
แต่จะพยายามให้อภัยก็แล้วกัน  :laugh:

น้องก้องสู้ๆนะครับ อยู่กับไอ้พี่อู๋ให้ราบรื่นและปลอดภัยจากเมียประสาทของพี่อู๋ได้ตลอดรอดฝั่งนะ

รอตอนต่อไปนะครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 01-12-2018 12:23:43
พี่อู๋แกคิดไม่ซื่อกับน้องชัวร์
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-12-2018 20:11:36
คนอื่นนี่วุ่นวายกับก้องจริงแหละ แต่เอาความจริงในสถานการณ์ปกติ
การที่ผู้ชายคนนึงจะเอาเด็กที่ไหนมาเลี้ยงดู ถึงจะบอก (อ้าง) ว่าอยากทดแทนในสิ่งที่เอมไม่ได้ทำ
แต่คนนอกก็คงเป็นห่วง เพราะก้องเป็นใคร ไม่มีใครรู้ ส่วนหมูพี เรื่องธรรมดา ถ้าแฟนตัวเองชอบผช
แล้วเอาเด็ก 17 มาอยู่ด้วยแบบนี้ เป็นใครก็คิด ยิ่งนิสัยที่ขี้หึง ไม่มีทางปล่อยวางได้
มาถึงตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครป่วยหนักกว่ากันระหว่างก้องกับพี่อู๋ แต่ที่แน่ๆ พี่อู๋ชอบนอนเบียดน้อง
มันดูแปลกๆ เนาะ ว่ามั้ยยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-12-2018 05:38:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 02-12-2018 10:55:46
พี่อู๋จะดูแลใครได้ถ้ายังเป็นแบบนี้อ่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 201618 ที่ 02-12-2018 21:39:34
ติดตามอยู่นะคะะะะะะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 201618 ที่ 02-12-2018 21:41:38
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 201618 ที่ 02-12-2018 21:53:32
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-12-2018 23:02:26
วันไหนอยากเอาห้ามเปลี่ยนมาเอาน้องเรานะพี่อู๋ ตีตายเลย ส่วนเรื่องงานนี่เข้าใจฟีลค่ะ เป๋ไปหมดเนอะ คนมั่นใจมาตลอด ความเครียดก็สะสม แต่กอริลล่าก้องจะเยียวยาพี่เอง  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 11 update!] (30/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 03-12-2018 16:13:11
เออ ไอพี่อู๋คือเชี่ยจริงๆ ขี้เอาที่หนึ่ง 5555555555555555555  คู่สร้างคู่สมจริงๆ
พี่อู๋ก็หวังแต่เรื่องอย่างว่า ส่วนหมูพีก็ประสาทแดก ฮือ
จ๋งจ๋านน้องก้องลูกแม่ที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับอีคู่นี้ อดทนเนอะลูก
อยากให้พี่อู๋เลิกกับหมูพีไปซักที แล้วกลับมาทำตัวดีๆ หางานใหม่ซะนะ

ฮือ จะมีพายุอีกหรอคะเรื่องนี้  :z3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-12-2018 21:46:57
11
PART 1/3

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงแปดนาที

กอริลลาก้องกับผู้ปกครองนั่งกินซีเรียลด้วยกันในครัว เมื่อคืนพี่อู๋ไม่ได้ไปแรดที่ข้าวสาร เขาปฏิเสธคุณหมูพีโดยให้เหตุผลว่าท้องไส้ปั่นป่วนจนไม่อยากห่างจากชักโครก เหตุผลจริงๆไม่ใช่เพราะปวดท้องหรอก แต่เพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาต่างหาก คุณอุรัสยาถึงยอมอดอยากปากแห้งเพื่อพาผมไปหาหมอตามนัดตอนเช้า

จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพี่อู๋เรื่องตกงาน ผมยอมรับว่าไม่มีความกล้ามากพอที่จะให้กำลังใจเขา ดังนั้นหัวข้อสนทนาของเราจึงวนเวียนแต่เรื่องไร้สาระเช่นวันนี้เราจะกินอะไรดี เล่นเกมอะไร ดูหนังไหม หรือควรไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือเปล่า แต่ที่เป็นหัวข้อเหนือความคาดหมายคือเรื่องซื้อหวย คืนก่อนผมเล่าให้ผู้ปกครองฟังเกี่ยวกับความฝันที่โดนคุณหมูพีแทงตาย แทนที่พี่อู๋จะปลอบด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะ มันก็แค่ฝัน หรือไม่ก็ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย แต่เขากลับพูดว่า --
 
“เราต้องซื้อหวยแล้วนะก้อง”

พี่อู๋เปิดอินเทอร์เน็ตอ่านเว็บทำนายฝัน วิเคราะห์เลขต่างๆนานายิ่งกว่าป้าเพ็ญสมัยเล่นหวย เขาบอกผมว่าเราจะรวยฟ้าผ่าไปด้วยกัน ถ้าถูกรางวัลนะ พี่จะซื้อกางเกงในของคาลวิน ไคลน์ให้ก้องซักโหล ซื้อชุดดีๆ ซื้อรองเท้าผ้าใบดีๆให้ซักคู่ ก้องจะได้มีชุดของตัวเอง ไม่ต้องยืมใส่ของพี่อย่างตอนนี้

“พี่พูดเหมือนเราจะถูกหวยงั้นแหละ”

ผมส่ายหน้าเอือมระอา ปกติพี่อู๋เคยสนใจความมหัศจรรย์ของตัวเลขที่ไหน วันๆเขามีแต่กินกับนอน ดูหนังฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ตและกินเหล้า(รวมถึงเอากับแฟน) แต่พอผมเล่าความฝันให้ฟัง เขากลับใส่ใจมันจนเกินพอดี ผมคิดว่าพี่อู๋คงเริ่มถังแตกนิดหน่อยแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่จริงจังกับการสลับเลขหน้าหลังบนล่างตีลังกาซ้ายขวาแบบนี้หรอก

“วันนี้ไปเซ็นปิ่นหลังหาหมอนะ ถ้าเจอแผงลอตเตอรี่ พี่จะให้ก้องหยิบหนึ่งใบ” พี่อู๋พูดทั้งๆที่ยังเคี้ยวซีเรียลเต็มปาก “ก้องคิดหรือยังว่าอยากกินอะไร?”

ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษ หลังจากได้ฟังเรื่องโดนไล่ออก ผมไม่มีกะจิตกะใจจะกินของแพงๆเลย พี่อู๋กำลังอยู่ในช่วงลำบาก เขาต้องประหยัดเงินเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเจ้าของบัญชีจะไม่สนใจ เขายังคงพากอริลลาไปกินของอร่อยๆราวกับตัวเองมี passive income ที่ไม่ต้องทำงานก็รวยได้แค่นั่งทางใน

เมื่อทานมื้อเช้าหมด พี่อู๋ก็พาผมไปโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา บรรยากาศตอนเช้ายังคงเหมือนเดิม  พยาบาลหน้าเดิมๆ กอริลลาก็หน้าเดิมๆ ตัวใหม่ที่เพิ่งเข้ามาก็มี พักหลังนี้สมาชิกใหม่เริ่มอายุน้อยลงเรื่อยๆ ต่ำสุดคือประมาณสิบสองปี ผมมองกอริลลาตัวน้อยแล้วรู้สึกเศร้าแปลกๆ ตอนอายุเท่าน้อง ผมยังปั่นจักรยาน ยังกินน้ำแข็งไสกับแม่อยู่เลย ไม่มีหรอกที่มานั่งหน้าบูดต่อคิวรอเจอหมอในกรงแบบนี้ การต้องนั่งในสวนสัตว์ตั้งแต่เล็กๆนี่หดหู่ชะมัด แต่ที่น่าหดหู่กว่าคือตัวผมเอง เพราะพี่อู๋ยังไม่เลิกวิเคราะห์ตัวเลข เขาเซ้าซี้ถามผมว่าควรซื้อเลขท้ายอะไร ห้าเจ็ด หรือหกสาม หรือแปดเก้า หรือสามสี่

“ผมถามจริงๆเถอะ พี่นึกยังไงถึงอยากซื้อหวย?”
“วันก่อนไปข้าวสาร มีหมอดูทักว่าช่วงนี้จะได้ลาภ พี่ว่าเราต้องรวยฟ้าผ่ากันแน่ๆ”

พี่อู๋เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผมได้แต่ขมวดคิ้วงง หมอดูจะไปทำอะไรแถวข้าวสาร ไม่ใช่ว่าเขาเมาจนคุยกับแม่ค้าขายส้มตำเหรอ คนขายอาจจะหมายถึงลาบที่เป็นลาบหมู ไม่ใช่โชคลาภก็ได้

ผมได้แต่กลอกตา ตอบเออออตามน้ำเพราะไม่อยากให้พี่อู๋หมดหวัง หลังจากนั่งรอคุณพยาบาลเรียกเข้าพบหมอเกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวกอริลลาก้อง ผมรีบเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็วเพราะรำคาญพี่อู๋เซ้าซี้เรื่องเลขท้ายอีก ทันทีที่เจอหน้ากัน ผมก็ยกมือไหว้หมอ ทักทายเขาว่าสวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องอยากเล่าให้หมอฟังเยอะมากเลย

ถ้าถามว่าตอนนี้ใครคือคนที่รู้ความคิดผมทุกอย่าง คำตอบก็คือหมอของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หมอคือคนเดียวที่ผมไว้ใจจนสามารถระบายทุกอย่างให้เขาฟังได้ ทั้งพฤติกรรมประสาทแดกของคุณหมูพีที่ข่มซินเดอเรลก้องยิ่งกว่าคนใช้ ทั้งเรื่องคุณอุรัสยาที่ทำตัวครึ่งๆกลางๆ อยากเลิกกับแฟนแต่ก็ต้องการแฟนจนปฏิเสธไม่ได้ ผมยังเล่าให้หมอฟังด้วยว่าเขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหน การรักสนุกของเขาทำให้ผมเครียด บางคืนผมนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงเขา ไม่รู้ว่าพี่อู๋เป็นอะไร ผมอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากให้พี่อู๋เป็นคนเดิมเหมือนวันแรกที่เจอกัน

“บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนจริงๆของพี่อู๋ก็ได้นะก้อง”

หมอพูดอย่างเห็นใจแต่ผมค้านหัวชนฝา ไม่ใช่ครับ พี่อู๋ไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่กินเหล้าจนเมาและไม่ขี้เอาขนาดนี้ หมอดูเหวอๆเมื่อผมพูดตรงเกินไปหน่อยแต่ก็ยังตั้งใจฟัง ผมพรั่งพรูเรื่องทุกอย่างทั้งเรื่องที่เอมฆ่าตัวตาย เรื่องพี่อู๋ถูกไล่ออกจากงาน เรื่องที่คุณหมูพีกับคุณอุรัสยาตีกันประจำจนผมประสาทแดก

วันดีคืนดีพวกเขาก็ตบกันบนโซฟา บางทีก็รักกันจนหอมแก้มให้ผมดู ผมบอกหมอว่ามันน่าอึดอัดจริงๆนะ การอยู่ในบ้านที่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินทำให้ผมรู้สึกแย่ในบางที ถ้ามีแค่พี่อู๋มันจะไม่เป็นไรเลย แต่คุณหมูพีคือตัวปัญหา เขาคือหมูบ้าสำหรับผม ผมไม่ชอบเขา ผมอยากให้เขาเลิกกับพี่อู๋แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณหมูพีมีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์ เขาชอบทำร้ายตัวเองเพื่อให้พี่อู๋สนใจเขาคนเดียว

“ผมควรทำยังไงดีครับ? ผมเบื่อ ผมอยากให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม”

ผมถามหมอ เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดตรงๆว่ากอริลลาก้องทำอะไรไม่ได้หรอก ในกรณีนี้บ้านที่ผมอยู่ก็เป็นของพี่อู๋ คุณหมูพีคือแฟนของพี่อู๋ เขาย่อมมีสิทธิ์มากกว่าคนขออาศัยอย่างนายก้องเกียรติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือจัดการความคิดตัวเอง หมอบอกให้ปล่อยพี่อู๋ไป เขาอยากกินเหล้าก็ช่าง อยากไปข้าวสาร อยากค้างบ้านแฟนก็ปล่อยเขา หรือทะเลาะตบตีกันจนเลือดตกยางออกก็ไม่ต้องเก็บมาเครียด เพราะนั่นคือชีวิตพี่อู๋ ในเมื่อผู้ปกครองของผมเลือกเอง ผมจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำใจ

“มันอยู่เหนือการควบคุมของก้อง ก้องต้องยอมรับตรงนี้ว่าเราเปลี่ยนนิสัยพี่อู๋ไม่ได้ แต่ก้องทำดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้ว ก้องดูแลตอบแทนพี่อู๋ด้วยการรับผิดชอบงานบ้านเต็มที่ ก้องไม่ทำให้เขาหนักใจ หมอว่าก้องควรโฟกัสแค่ตัวเองก่อน อย่าคิดเปลี่ยนแปลงพี่อู๋เลย มันเป็นไปไม่ได้ ก้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เขาจะยอมเชื่อฟัง”

หมอทำให้กอริลลาก้องเสียกำลังใจ ผมแค่หวังดี อยากให้พี่อู๋กลับมาเป็นผู้เป็นคน แต่เขาก็บอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะผมเป็นแค่คนนอก ไม่มีเหตุผลที่คุณอุรัสยาต้องรับฟัง

“แต่ความสัมพันธ์ระหว่างก้องกับพี่อู๋ยังดีอยู่ใช่ไหม?”

ผมเม้มปากแน่น เริ่มไม่แน่ใจว่ามันยังดีเหมือนที่หมอถามหรือเปล่า ผมเล่าให้หมอฟังเรื่องคืนก่อนที่เราทะเลาะกันแรงมากๆ ผมบอกหมอว่าตอนนั้นผมโมโหที่พี่อู๋ทำตัวเหลวไหลก็เลยด่าเขาแรงไปหน่อย จากนั้นผู้ปกครองของผมก็ด่ากลับว่าไอ้ก้องเกียรติคือภาระ เขาตอกหน้าผมด้วยการบอกว่าไม่มีใครอยากรับผมไปอยู่ด้วย เขาน่าจะทิ้งผมไว้ที่วัด ผมควรเน่าตายในนั้นจะได้ไม่ปากเก่งใส่เขาแบบนี้ ผมยังบอกอีกว่าพี่อู๋โกรธถึงขั้นจะลงไม้ลงมือแล้วถ้าผมไม่ตกใจจนล้มลงเสียก่อน

คราวนี้หมอเงียบไปเลย เขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าพร้อมกับจดรายละเอียดลงบนระเบียนประวัติ หมอมีสีหน้าคิดหนักเหมือนกำลังสันนิษฐานอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็บอกผมว่าก้องช่วยเรียกพี่อู๋เข้ามาหน่อยนะ หมอมีเรื่องอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

ผมทำตามหมอสั่ง ทันทีที่เดินออกจากห้อง คุณอุรัสยาผู้กำลังอ่านรีวิวอาหารในทวิตเตอร์ก็เงยหน้ามอง เขาเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าหมออยากคุยด้วย พี่อู๋ไม่โดนเรียกมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาก็เลยงงๆว่ามีเรื่องอะไร กอริลลาก้องเกิดคุ้มคลั่งอยากตาย หรือมีอาการแฝงอื่นๆที่ผู้ปกครองควรรู้หรือเปล่า ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอแค่อยากคุยด้วยเฉยๆ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี ยังไม่คิดฆ่าตัวตายวันนี้ มีแต่อยากบีบคอพี่โทษฐานที่อ้วกใส่หัวผมเท่านั้น

ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป สิบห้านาทีผ่านไป

เวลาเดินไปเรื่อยๆในขณะที่กอริลลาก้องเริ่มกระวนกระวาน กอริลลาตัวอื่นก็หงุดหงิดเหมือนกันที่คราวนี้หมอคุยกับพวกเรานานไปหน่อย ท่าทางจะมีปัญหา ผมคิด เดาเอาว่าหมอคงปรับความเข้าใจกับพี่อู๋หรือไม่ก็ร้องขอให้เขาทำตัวดีๆเพื่อกอริลลาจิตป่วยอย่างนายก้องเกียรติซักระยะ แต่พอเห็นผู้ปกครองเดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าแจ่มใส ผมก็เลยงุนงงว่าตกลงพวกเขาคุยอะไรกัน พี่อู๋ไม่ได้โดนหมอดุหรือตำหนิเรื่องทำตัวแย่ๆหรอกเหรอ

“ก้อง หมอเรียก”

พี่อู๋ชี้นิ้วไปที่ประตู ผมแอบเห็นกอริลลาตัวหนึ่งกลอกตาเมื่อรู้ว่าหมอตรวจนายก้องเกียรตินานเป็นพิเศษ เมื่อเดินกลับเข้าไปข้างใน ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วจ้องหน้าหมอ ผมถามเขาว่าเป็นไงบ้างครับ พี่อู๋พูดอะไรไหม เขาระบายความเสียใจเรื่องงานให้หมอฟังหรือเปล่า

“หมอไม่ได้ถามพี่อู๋เรื่องนั้น”

ผมงงหนักกว่าเดิม ทั้งๆที่แอบหวังไว้ว่าหมอจะช่วยให้กำลังใจพี่อู๋อีกทาง แต่คำตอบของหมอก็บอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย หมอแค่เรียกพี่อู๋มาถามเรื่องอาการของผม ถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง กินข้าวเยอะไหม เรื่องนอนล่ะเป็นยังไง หลับสนิทหรือตื่นกลางดึกเหมือนเดิม หลังๆมานี้ผมขอร้องไม่ให้เขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหน ยังร้องไห้ขอให้อยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า แน่นอนว่าหมอไม่ยอมบอกว่าพี่อู๋ตอบว่าอะไร เขาพูดแค่ว่าก้องไม่ต้องคิดมากนะ พี่อู๋คคงไม่ทิ้งก้องเกียรติเร็วๆนี้

“พี่อู๋บอกหมอเหรอครับว่าเขาจะไม่ไล่ผมออกจากบ้าน?”
“ไม่ได้พูดตรงๆหรอก แต่เขาก็แสดงออกว่าเป็นห่วงก้องมากนะ ถามหมอตลอดเลยว่าต้องกินยานานแค่ไหน มีผลข้างเคียงไหม ต้องพูดกับก้องยังไง หมอว่าเขายังใส่ใจก้องเหมือนเดิม”
“แต่บางครั้งพี่อู๋ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว บางทีผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง เหมือนพี่อู๋คนเดิมหายไป เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน เปลี่ยนเป็นผู้ชายที่ผมไม่รู้จัก”
“ก้อง -- หมอขอพูดตรงๆเลยนะ”

หมอมองหน้าผม หัวใจของกอริลลาจิตป่วยเต้นตึกตักเพราะสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“พอฟังจากที่ก้องพูดและลองคุยกับเขาดูแล้ว หมอคิดว่าพี่อู๋อาจจะป่วย แต่เขายังไม่รู้ตัว”

วินาทีนั้นนาฬิกาหยุดหมุน ผมอึ้ง เรียบเรียงอะไรไม่ถูกนอกจากตั้งคำถามกับตัวเองว่าพี่อู๋ป่วยได้ไง ป่วยเป็นอะไร ไข้ก็ไม่มี ไอจามก็ไม่มี ปวดเมื่อตามตัวก็ไม่มี แล้วเขาป่วยอะไร ป่วยตรงไหน พี่อู๋แข็งแรงจะตาย หมอมั่วแล้ว พี่อู๋สบายดี เขาไม่ได้เป็นอะไร

“หมอว่าพี่อู๋ควรพบจิตแพทย์นะ”

โอเค ผมรู้แล้วว่าหมอหมายความว่ายังไง พี่อู๋ไม่ได้ป่วยกาย แต่เขาป่วยใจต่างหาก



นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสามนาที

ผมนั่งอยู่ในรถกับพี่อู๋ที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาเปิดเพลงโปรด ปรับเบาะนั่ง เปิดแอร์ เช็กกระจก ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่กอริลลาก้องนั่งเครียดและสับสนเพราะคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

คำบอกเล่าของหมอเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ถูกต่อกันจนเป็นรูปร่าง ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมบางครั้งพี่อู๋ก็เกรี้ยวกราด บางครั้งก็โหยหาเซ็กส์จากคุณหมูพี ไหนจะอาการติดเหล้า อาการนอนไม่เป็นเวลา และภาวะควบคุมความโกรธไม่ได้อีก ทุกอย่างไม่ใช่เพราะพี่อู๋สันดานเหี้ยอย่างที่คุณหมูพีกล่าวหา แต่พี่อู๋กำลังป่วย เขาป่วย เขาต้องได้รับการรักษา แต่จะทำยังไงในเมื่อเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ชีวิตเป็นแบบนี้เพราะกำลังตกอยู่ในภาวะเครียดมากกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรืออยากพัก แต่เขาป่วยต่างหาก

ผมอยากรู้จริงๆว่าหมอคุยอะไรกับเขาอีก แต่หมอไม่ยอมบอก เขาบอกว่าเราควรปล่อยให้พี่อู๋มีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง เมื่อผมขอให้เขารับพี่อู๋เป็นผู้ป่วยใหม่ของโรงพยาบาล หมอก็ปฏิเสธรอบที่สอง เขาบอกว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้ หมอไม่สามารถพูดว่าคุณอู๋ คุณต้องลงไปข้างล่างเพื่อทำประวัติใหม่ คุณต้องนั่งต่อแถวร่วมกับกอริลลานับสิบหน้าห้องตรวจแล้วค่อยเข้ามาพบหมอ หลังจากนั้นก็ระบายความในใจให้ฟัง เล่าให้หมดเลยนะ เรื่องน้องชาย เรื่องตกงาน เรื่องแฟน เพราะจะได้แนะนำให้ถูกใจ หลังจากนั้นหมอจะจัดยาให้ สุดท้ายก็ลงไปจ่ายเงินแล้วแยกย้ายกลับบ้าน ถ้าก้องเกียรติหวังว่าหมอจะทำแบบนั้น บอกเลยว่าฝันไปเถอะ การเข้ารับการรักษาต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ หมอบังคับพี่อู๋ไม่ได้ เขาต้องเป็นฝ่ายมาพบแพทย์และยอมรับเองว่าเขากำลังอยู่ในภาวะผิดปกติซึ่งต้องการความช่วยเหลือ

“พ่อของพี่อู๋ก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกัน ผมแอบโทรบอกคุณพ่อดีไหมครับ?”
“อย่าทำแบบนั้นนะก้อง นี่คือเรื่องของพี่อู๋ ก้องไม่ควรก้าวก่าย”
“แต่ผมเป็นห่วงเขา”

ผมตาร้อนผ่าว รู้สึกอยากร้องไห้เมื่อคิดว่าพี่อู๋ต้องการความช่วยเหลือจากใครซักคนแต่กลับไม่มีใครยื่นมือไปหาเขา

“หมอบอกผมมาเถอะว่าคุยอะไรกับพี่อู๋ ผมจะช่วยโน้มน้าวเขาอีกแรง ผมจะพาเขามาหาหมอ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่รู้สึกแย่เหมือนที่ผมเคยเป็น”
“ก้อง พี่อู๋ต้องมาพบหมอด้วยตัวเอง” หมอยืนยันเสียงหนักแน่น เขาส่งทิชชู่ให้เมื่อกอริลลาก้องน้ำตาไหล “อีกเรื่องก็คือ ไม่ใช่จิตแพทย์ทุกคนจะเข้ากับคนไข้ได้ มีผู้ป่วยหลายคนที่เปลี่ยนหมอตั้งสามสี่ครั้งจนเจอกว่าจะเจอหมอที่จูนกันได้ ดังนั้นต่อให้พ่อของพี่อู๋เป็นจิตแพทย์ แต่ถ้าเจ้าตัวไม่สะดวกใจจะคุย คุณพ่อก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
“งั้นผมควรทำยังไงเหรอครับ?”
“รอ” หมอแนะนำสั้นๆและตรงตัว “หมอว่าพี่อู๋อาจจะทนได้อีกไม่นาน ก้องรออีกหน่อย ถึงตอนนั้นค่อยชวนเขามาพบหมอด้วยกันนะ”

ตั้งแต่ออกจากห้องตรวจ ผมคิดไปต่างๆนานา พี่อู๋คงไม่มีวันปรึกษาคุณพ่อหรอกเพราะเขาพูดกับพี่ตั้มเองว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องโดนไล่ออก ไหนจะเรื่องโดนมีดบาด โดนคุณหมูพีบงการชีวิต เรื่องเอมอีก ยังไงเขาก็ไม่เอาความทุกข์ไปบอกให้พ่อรู้อยู่แล้ว ดังนั้นทางออกเดียวที่พอจะทำได้คือการทำให้พี่อู๋รู้ตัวเร็วๆว่าเขาต้องการหมอ เขาต้องพบหมอเพื่อรับยา ชีวิตของเขาจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที

“เหม่ออะไรก้อง? ยังโกรธพี่เรื่องอ้วกอยู่อีกเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“คิดเมนูมื้อเย็นสิ วันนี้พี่อยากกินข้าวผัดไข่กับแกงจืดสาหร่าย” พี่อู๋บอก ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วยิ้ม ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากอาหารอยู่บ้าง “เดี๋ยวเราไปซื้อของกันนะ”
“ครับ”

ผมขานตอบ ในหัวยังคิดวนเวียนเรื่องของเขาไม่เลิก มันมีแต่คำว่าต้องช่วยพี่อู๋ ต้องทำให้พี่อู๋รู้ว่าเขากำลังไม่สบาย แต่คนอย่างกอริลลาก้องจะทำอะไรได้ คนที่พยายามจะกระโดดสะพาน คนที่กินยานอนหลับยี่สิบเม็ด คนที่อยากตายแต่ไม่ตายอย่างผมจะช่วยอะไรพี่อู๋ได้ ผมนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ แค่อยากช่วยผู้มีพระคุณ ยังคิดแผนไม่ออกเลย

“เที่ยงนี้กินอะไรกัน?”
“ฟู้ดคอร์ทก็ได้ครับ ถูกดี”

ผมเสนอ แต่พี่อู๋เบะปาก เขาบอกว่าฟู้ดคอร์ทไม่ได้ถูกไปกว่าอาหารในร้านหรอก แค่ข้าวขาหมูจานเดียวก็หกสิบห้าบาทแล้ว เพิ่มเงินอีกนิดเพื่อกินของอร่อยๆดีกว่า

“แต่ผมไม่อยากให้พี่เปลืองเงิน”
“โอ๊ย คิดมาก พี่เหลือเงินเยอะ จะรูดซื้อเซ็นทรัลให้ก้องก็ยังได้”

เขาพูดติดตลกแต่ผมขำไม่ออก ซื้อเซ็นทรัลเนี่ยนะ พี่คิดบ้าอะไรอยู่ คิดว่าเจ้าสัวจิราธิวัฒน์จะยอมให้พี่มีส่วนในกิจการเขาเหรอ มีหวังห้างดีๆได้กลายเป็นแหล่งมั่วสุมของเหล้ากับข้าวมันไก่ที่ราดบนหัวผมแน่ๆ

“พี่ ผมจริงจังนะ ผมอยากช่วยพี่ประหยัดเงินบ้าง ผมเกรงใจที่เกาะพี่กินแบบนี้”
“ช่วยทำไม? ก้องมาอยู่ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้เพิ่มเลย มีแค่ค่าเหล้ากับถุง --” เขาเงียบท้ายประโยค อืม ผมรู้แหละว่าถุงยางราคาไม่ใช่เล่นๆ แต่ไม่ต้องบอกละเอียดขนาดนี้ก็ได้ “ถ้าก้องไม่เลือก งั้นพี่สรุปเองนะ กินฟูจิ จอบอ จบ”

ผมถอนหายใจ ฟูจิแพงจะตายแต่ก็ยังเลือกกิน สุดท้ายผมก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนวันธรรมดาอย่างที่ผ่านมา กินข้าวมื้ออร่อยกับผู้ปกครอง เดินซื้อของสดและเครื่องปรุงที่รถกับข้าวไม่มีขาย หลังจากนั้นเราก็กลับลาดพร้าวกัน แยกรัชดายังคงเป็นพิษเหมือนเดิม แต่ที่พิษกว่าคือใจของผมเอง นายก้องเกียรติกำลังทรมานเพราะกลัวว่าวันหนึ่งผู้ปกครองที่ตัวเองรักและเทิดทูนจะกลายเป็นกอริลลาจิตป่วยอีกคน


เนื่องจากตอนนี้ความยาวหมื่นคำนิดๆก็เลยต้องแบ่งเป็นสามพาร์ท ขอโทษอีกครั้งนะคะที่แบ่งจังหวะไม่ดี พาร์ทสองจะอัปต่อข้างล่างเลยค่ะ ;-;
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-12-2018 21:51:11
11
PART 2/3


หลังจากนั้นงานก็เข้าเรื่อยๆเพราะคุณหมูพี

แน่นอนว่าเขาแอบเพิ่มเงินค่าจ้างทุกครั้งเพื่อจูงใจให้แฟนของตัวเองทำงานแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ พี่อู๋ยังคงขี้เกียจเหมือนเดิม ยิ่งหลังๆเขาไม่เอาด้วยแล้ว ต่อให้ค่าจ้างหลายพันกับการแปลไม่กี่ประโยคเขาก็ไม่ทำ พี่อู๋เริ่มกลายเป็นกอริลลาขึ้นทุกวันๆจนผมไม่สบายใจ ผมว่าคุณหมูพีควรรู้ได้แล้วว่าแฟนของตัวเองอยู่ในภาวะไม่ปกติ และเขาควรเลิกยัดเยียดงานให้พี่อู๋เสียทีเพราะอีกหน่อยสงครามโลกครั้งที่สามต้องเกิดขึ้นในซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดแน่ๆ

ครั้งหนึ่งคุณหมูพีหลอกพี่อู๋ไปงานบูธแฟร์อะไรซักอย่าง เขาแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไทเรียบร้อย กางเกงสแล็คสีดำกับรองเท้าหนังทำให้พี่อู๋ดูดีผิดหูผิดตา ผมเผลอมองเขาด้วยความชื่นชมอยู่นาน ในหัวเริ่มคิดว่าโตไปอยากเท่ได้ซักครึ่งหนึ่งของเขาจัง ผมอยากเป็นคนเก่งและมีเงินกินของอร่อยเยอะๆแบบพี่อู๋ แต่ไม่ขอเป็นคนขี้เมานะ ไม่อยากเป็นภาระเดือดร้อนให้เพื่อนต้องแบกมาส่งที่ห้อง

“ไปงานอะไรเหรอพี ต้องแต่งเต็มยศขนาดนี้?”
“งานเปิดบูธแฟร์อาหารนานาชาติที่โรงแรมไง บ้านเราก็ไปด้วย ยังไงพี่ไปกับเราหน่อยนะ พ่อกับแม่บ่นว่าไม่เห็นหน้าพี่นานแล้ว”

คุณหมูพีจัดเน็กไทให้พี่อู๋ก่อนจะบอกซินเดอเรลก้องให้เฝ้าบ้านดีๆ ผมรับปากว่าครับแล้วได้แต่มองพวกเขาตาละห้อย วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องอยู่เงียบๆคนเดียว ห้องที่ไม่มีพี่อู๋ไม่สนุกเลย งานบ้านก็เสร็จหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะทำแล้ว ดังนั้นผมจึงนอนดูเน็ตฟลิกซ์ ดูการ์ตูนญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีโอกาสดูด้วยความเพลิดเพลิน แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่พวกเขาออกจากบ้านไปประมาณสิบชั่วโมง พี่อู๋กับคุณหมูพีก็เดินปึงปังกลับเข้ามาในห้อง พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว

“พี่ -- เราไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่ เราแค่อยากให้พี่ลองงานใหม่ๆบ้าง อีกอย่างเอเจนซี่ก็เคยติดต่อให้พี่แปลมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้เขาขาดคนจริงๆเพราะปีนี้มีงานประชุมแน่นมาก ล่ามเก่งๆที่ทำประจำโดนจองตัวกันหมดแล้ว เขาก็เลยขอให้เราชวนพี่ เราแค่ไม่อยากให้พี่พลาดโอกาสดีๆ ไป อย่างน้อยพี่ก็ได้ประสบการณ์ล่าม simul* ในงานใหญ่ๆไง” (Simultaneous หรือล่ามแปลพร้อม แปลทันทีที่คนพูดเริ่มพูดโดยไม่รอให้จบประโยค)
“มึงบอกว่าไม่หลอก แต่ไปถึงก็พากูส่งเอเจนซี่เลยนะ”

พี่อู๋พูดคำหยาบพลางถอดเน็กไทที่คุณหมูพีซื้อให้ทิ้งถังขยะ

“N1กูสอบมาสี่รอบแล้วยังไม่ผ่าน นี่มึงหวังให้กูไปล่าม simul ในงานใหญ่โดยไม่บอกกันเลยเหรอ ถามจริงเถอะ เอเจนซี่ไหนมันดีลงานกับมึง มันกล้าเสี่ยงถึงขนาดจ้างล่ามทั้งๆที่ตัวล่ามเองยังไม่รู้เรื่องเลยเนี่ยนะ ต่อไปไม่ต้องเสือกรับงานให้กูอีก ถ้ามีคราวหน้า มึงต้องรับผิดชอบเองเพราะ กู -- ไม่ -- ทำ”

ผู้ปกครองของผมกระทืบเท้าหายเข้าไปข้างใน คุณหมูพีรีบวิ่งตาม แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกันอย่างเคย กอริลลาก้องได้แต่นั่งฟังคำด่าที่สาดใส่กันด้วยสีหน้าเอือมระอาแต่ก็ยังแอบฟัง ดูเหมือนว่าคราวนี้คุณหมูพีทำเกินไปหน่อย เขาแอบรับงานแทนพี่อู๋จากเอเจนซี่ที่สนิทกันโดยไม่บอกผู้ปกครองของผม แถมเป็นงานเกี่ยวกับยาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พี่อู๋ถนัด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการล่ามแปลพร้อมเป็นงานที่พี่อู๋ทำไม่ได้เพราะเขาไม่สามารถฟังและแปลเป็นคำพูดได้ในเวลาเดียวกัน

“เอเจนซี่นั่นก็เหี้ยที่ไม่ติดต่อหากูโดยตรง แต่ที่เหี้ยกว่าคือมึง ไอ้พี มึงแม่งไม่เคยรู้อะไรเลย มึงคิดว่าล่ามสามารถแปลได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เหรอ กูไม่เคยทำด้านยามาก่อน ศัพท์ก็ไม่ได้เตรียมไป มึงคิดว่ากูจะล่ามได้เหรอ ยิ่งล่าม simul อีก มึงส่งกูไปตายในตู้นั้นชัดๆ!”

หลังจากนั้นพี่อู๋ก็เอาแต่ด่าๆๆจนคุณหมูพีร้องไห้ เขาถามว่าเขาผิดมากเหรอที่มั่นใจในตัวพี่อู๋จนอยากให้รับงานที่ท้าทายบ้าง พี่อู๋ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมาหลายเดือนแล้ว ถ้าไม่ฝึกเลยจะลืมทุกอย่างที่เคยเรียนมาหมดนะ ผู้ปกครองของผมรีบสวนกลับทันทีว่าท้าทายห่าอะไร ไม่รู้เหรอที่เพื่อนเอเจนซี่เหี้ยๆของมึงเลือกเขาเพราะจงใจประหยัดงบ ไม่จ้างคนเก่งเพราะสู้ค่าตัวไม่ไหว เพื่อนในวงการรู้กันทั้งนั้นว่าพี่อู๋ไม่เก่งพอจะล่าม simul เลยด้วยซ้ำ มีแต่คุณหมูพีนั่นแหละที่ชอบเอาเขาไปอวดคนอื่นว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แถมงานที่ต้องล่ามก็ไม่ใช่สายที่เขาเคยทำ ศัพท์ก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่มีล่ามอีกสองคนคอยสลับอยู่ในตู้ทุกสิบห้านาที ป่านนี้ได้ขายขี้หน้าคนทั้งงานแล้ว

พี่อู๋คงโกรธมากจริงๆถึงระเบิดเอาความในใจออกมา เขาบอกว่าตัวเองผ่านแค่ N2 จะสู้ล่าม N1 ที่ไปเรียนในญี่ปุ่นมาหลายปีได้ยังไง เขาทำงานบริษัทในไทยมาเกือบสิบปี ส่วนใหญ่ก็แค่ล่ามตามบทสนทนาในที่ประชุมกับทำงานเอกสารเท่านั้น แต่นี่มันเรื่องเหี้ยอะไร คุณหมูพีกลับส่งเขาเข้าตู้ล่ามในงานระดับใหญ่โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าให้เตรียมตัว ไม่มีเอกสารรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับงานจากนายจ้าง สัญญาก็ไม่ได้เซ็น แถมยังโดนล่ามในตู้อีกสองมองเหยียดเพราะแปลไม่คล่องอีก แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว พอเถอะพี กลับไปเลย ตอนนี้ไม่อยากเห็นหน้ามึงแล้ว

 สงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นตามที่คิดไว้จริงๆ ความมั่นใจในตัวเองของพี่อู๋ลดลงจนเหลือศูนย์เหมือนที่หมอเคยคาดการณ์ ดังนั้นเขาจึงพรั่งพรูความเครียดและความผิดหวังในชีวิตออกมาให้เราได้รู้ ตอนนี้ผมอาจจะไม่เข้าใจงานล่ามเหมือนเขา แต่ผมเข้าใจความผิดหวังในตัวเองดี ผมรู้ว่าพี่อู๋กำลังดิ่งลงเหว เขาต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อสงบสติอารมณ์และทำใจยอมรับว่าตัวเองก็แค่คนขี้แพ้คนหนึ่งในโลกธรรมดาๆใบนี้ แต่คุณหมูพีก็ช่างตื๊อเหลือเกิน ไม่เข้าใจแฟนของตัวเองเลย

สุดท้ายทุกอย่างจบลงตรงที่คุณหมูพีโดนผลักออกจากห้อง พี่อู๋ปิดประตูโครมเสียงดังแล้วเก็บตัวเงียบคนเดียว ผมได้ยินเสียงคุณหมูพีร้องไห้พร้อมกับเคาะประตูขอให้พี่อู๋ออกมาคุยกันดีๆ แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ พี่อู๋คงชัตดาวน์ตัวเองไปแล้ว เขาคงไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำขอโทษจากใครอีกแล้ว

นายก้องเกียรตินั่งกอดหมอนอิงเงียบๆบนโซฟา พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพราะกลัวว่าระเบิดจะตกใส่ตัวเอง คุณหมูพีสะอึกสะอื้นอีกพักใหญ่จึงเดินเข้ามาที่โถงนั่งเล่น ตาเขาแดงก่ำและบวมช้ำจนน่ากลัว พอเราสบตากัน เขาก็จ้องผมเขม็งราวกับจะกล่าวโทษว่าต้นเหตุของสงครามคือนายก้องเกียรติที่นอนดูเน็ตฟลิกซ์ทั้งวัน และยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ

“พี่อย่าร้องไห้เลยครับ พี่อู๋โกรธง่ายหายเร็ว เขาคงเสียเซลฟ์ที่ทำงานออกมาได้ไม่ดีเฉยๆ ผมว่าพรุ่งนี้เขาก็ลืม เดี๋ยวพวกพี่ก็ดีกันเหมือนเดิม ทุกอย่างจะเหมือนเดิมครับ”

ผมพูดพร้อมกับแอบมองสีหน้าของเขา แน่นอนว่าไม่มีแม้แต่รอยยิ้มปลอมๆเหมือนอย่างเคย ท่าทางคำปลอบของกอริลลาจิตป่วยคงช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นผมจึงต้องพูดตรงๆ ชี้ให้คุณหมูพีเห็นปัญหาก่อนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะแย่ลงจนต้องเลิกรากันไป

“จริงๆ -- ผมมีเรื่องอยากบอกพี่มาซักพักแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส” ผมเกริ่นนำ “เรื่องงานที่พี่หาให้พี่อู๋ ผมว่าช่วงนี้พี่อย่าเพิ่งกดดันพี่อู๋เลยดีกว่าครับ พี่อู๋ยังเครียดๆ ผมว่าน่าจะปล่อยให้เขาพักอีกหน่อย --”
“ก้องจบโรงเรียนอะไรเหรอ?”

คุณหมูพีเปลี่ยนเรื่อง เมื่อผมตอบว่าโรงเรียนรัฐบาลแถวบ้าน เขาก็เหยียดยิ้ม

“จบแค่มอหกแต่กล้าสอนคนจบปริญญาโทเหรอ เดี๋ยวนี้ชักจะอวดดีเกินไปแล้วนะ แค่มีพี่อู๋คอยให้ท้าย ไม่ได้แปลว่าจะก้าวร้าวกับใครก็ได้”

ผมรู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยาม และไม่เข้าใจการแนะนำว่าอย่าเพิ่งกดดันพี่อู๋คือการก้าวร้าวตรงไหน หลังจากนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น คุณหมูพีแกล้งพูดลอยๆว่าไม่รู้ตัวเหรอว่าที่พี่อู๋ไม่ยอมออกไปทำงานก็เพราะใคร ที่เขาไม่คิดพัฒนาตัวเองก็เพราะใคร ที่พวกเขาต้องทะเลาะกันทุกวี่ทุกวันก็เพราะใคร

“เพราะก้องไง”

เขากล่าวโทษผม

“ตั้งแต่พี่อู๋เจอก้อง รู้ไหมชีวิตเขาตกต่ำแค่ไหน ลำพังไม่มีงานก็ลำบากแล้ว แทนที่จะได้ออกไปทำงานทำการตามปกติกลับต้องอยู่เฝ้าบ้าน จ่ายเงินดูแลเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยคำว่าจะฆ่าตัวตายๆ มันไม่ใช่เรื่องนะก้อง พี่อู๋ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ไม่ใช่มูลนิธิ ไม่ใช่โรงทาน ทำไมเขาต้องรับผิดชอบชีวิตก้องด้วย”

ผมทั้งโกรธทั้งเจ็บใจที่ไม่กล้าตอกหน้าคุณหมูพีตรงๆว่าเหตุผลที่พี่อู๋ไม่ทำงานไม่ใช่เพราะต้องดูแลนายก้องเกียรติหรอก แต่เพราะเขาเสียความมั่นใจต่างหาก ทั้งเรื่องของเอมและเรื่องที่มีแฟนประสาทแดกแบบเขานั่นแหละที่ทำให้พี่อู๋กลายเป็นแบบนี้

“พี่อู๋ไม่ได้เอ็นดูหรือสงสารอะไรหรอก มันก็ตอแหลไปเรื่อย” คุณหมูพีพูดต่อ “พี่อู๋แค่เลี้ยงมึงไว้เอาฟรีต่างหาก ก็เหมือนผูกปิ่นโต เลี้ยงไว้ให้กินดีอยู่ดีจนตายใจแล้วค่อยสั่งให้ตอบแทนด้วยการนอนโก้งโค้งนอนให้มันเอา xxx ยัดเข้าตูดมึงไง”

ผมขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าหมูพี

ไอ้เหี้ย ไอ้ทุเรศ ไอ้หน้าสัส
[/b]

ผมสบถด่าในใจ ไอ้หมูบ้ากล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันพี่อู๋ไม่เคยลวนลามผมเลย เราอยู่กันแบบพี่น้อง ดูแลเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน คนนอกอย่างมึงจะมาเข้าใจอะไร คนขี้หึงจนหน้ามืดและเป็นโรคจิตที่ดีแต่สร้างปัญหาแบบมึงมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงพี่อู๋ในแง่ร้าย

ไอ้ชาติหมา

“พูดตรงๆเลยนะ กูไม่สบายใจที่มึงอยู่ที่นี่”

ไอ้หมูพีมองหน้าผม สรรพนามที่เคยเรียกกันอย่างสุภาพหายไปแล้ว ก็ดี พูดมึงกูกันเลย ผมพร้อมจะระเบิดใส่เขาเหมือนกัน

“ต่อให้บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับแฟนกูก็เถอะ แต่สำหรับกู แค่รู้ว่าพี่อู๋เอาเด็กมานอนด้วยก็เจ็บใจมากพอแล้ว ยิ่งรู้ว่าเด็กคนนั้นทำให้ชีวิตเขาพังอีก คิดว่ากูแฮปปี้กับการสงเคราะห์เด็กจรจัดแบบมึงนักเหรอ? พอทีเถอะ เราไม่ต้องเสแสร้งใส่กันอีกแล้ว บอกตรงๆเลยว่ากูไม่ชอบมึง มึงทำชีวิตพี่อู๋พัง และกูอยากให้มึงย้ายออกไปตอนนี้ -- เดี๋ยวนี้”

ผมเถียงไม่ออกเพราะที่หมูพีพูดมาก็จริงเกือบทุกอย่าง ผมมันแค่กาฝากที่เกาะพี่อู๋กิน แต่สาเหตุที่พี่อู๋เลื่อนลอยไม่ทำงานนั้นไม่ใช่เพราะนายก้องเกียรติ แต่เพราะนายญี่ปุ่นเฮงซวยนั่นต่างหาก ไอ้หมอนั่นทำลายความมั่นใจของพี่อู๋จนเขาเครียด ไหนจะเรื่องของเอม และความประสาทแดกของหมูพีที่ชอบตบตีเขาอีก ทุกอย่างไม่ใช่เพราะผมคนเดียว สาเหตุไม่ได้มาจากกอริลลาก้องอย่างที่ใครๆคิด

“หน้าตามึงก็ดี ยังเด็กๆใสๆอยู่ กูหาคนผูกปิ่นโตคนใหม่ให้เอาไหม? จะหาให้รวยกว่าพี่อู๋ เอาให้มึงอยู่หรูนอนสบายกว่าตอนนี้เลยด้วย ดีหรือเปล่า?”

หมูพีถามในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ผูกปิ่นโตคืออะไร หมายความว่าเป็นเด็กเสี่ยทำนองนั้นเหรอ นี่มันชักจะเกินไปแล้ว ผมไม่ได้ขายตัวนะ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาตัวเข้าแลกกับพี่อู๋ด้วย เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายขออุปการะผมจากลุงชัย เขาเลี้ยงผมเหมือนเลี้ยงเอม เราไม่เคยมีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนความคิดสกปรกของใครบางคน

“ผมไม่คิดเลยว่าคนจบปริญญาโทจะคิดต่ำๆยิ่งกว่าคุณโสแถวสนามหลวง”

ผมเชิดหน้ามองหมูพีโดยไม่เกรงกลัว ผมไม่มีอะไรจะเสียและอดทนกับความงี่เง่าของเขามามากพอแล้ว วันนี้ทุกอย่างต้องจบ หมูพีควรรู้ว่าผมก็เป็นคน ผมมีศักดิ์ศรี มีแม่คอยสั่งสอนเลี้ยงดูมาจนเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ นายก้องเกียรติไม่ใช่ขยะที่เขาจะเหยียบย่ำด้วยคำพูดได้

“ตอนแรกผมสงสารพี่ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมความสัมพันธ์ของพวกพี่ถึงระหองระแหงเหมือนจะไปกันไม่รอด เพราะพี่แม่งไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแฟนตัวเองเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อู๋กำลังป่วยเพราะวันๆพี่สนใจแค่เรื่องของตัวเอง คิดแค่อยากครอบครองพี่อู๋ อยากให้เขาเป็นของตัวเองคนเดียว แต่เคยรู้บ้างไหมว่าเขารู้สึกยังไง พี่อู๋จะเป็นบ้าตายก็เพราะพี่นั่นแหละ เขาเครียดจนติดเหล้าติดเซ็กส์ก็เพราะใครล่ะ ไอ้หมูบ้า!”

นั่นคือประโยคยาวที่สุดที่ผมพอจะจำได้ หลังจากนั้นกอริลลาก้องก็อาละวาดด้วยการตะคอกใส่คุณหมูพีเหมือนคนเก็บกดมานาน พอกันที ผมอดทนมามากพอแล้ว พี่อู๋เจ็บตัวก็เพราะมัน เขาต้องเสียความมั่นใจ ต้องอับอายขายหน้าในวันนี้ก็เพราะมัน ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้หมูเวรนี่ทั้งนั้นแต่กลับไม่รู้ตัว

เก็บความหวังดีที่มีแต่ทำร้ายพี่อู๋ไปเถอะ วันนี้ -- ผมจะสั่งสอนมัน

ผมจะบอกให้มันรู้ทุกเรื่อง และจะตอกย้ำด้วยว่ามันเป็นแฟนที่ส้นตีนแค่ไหน ขนาดพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพี่อู๋มันยังไม่เอะใจ คิดแค่ว่าดีแล้วที่ได้ออกไปเมาเหล้าเอากันทุกคืน ถ้ารักพี่อู๋แบบผิดๆก็อย่ารักเลยดีกว่า ปล่อยเขาไปเถอะ เขาสมควรเจอคนดีๆที่เข้าอกเข้าใจ ไม่ใช่ไอ้หมูบ้าที่ชอบใช้กำลังข่มขู่ทำร้ายตัวเองแบบนี้
 
ผมยังบอกเหตุผลให้หมูพีรู้อีกว่าที่พี่อู๋ไม่ยอมหางานทำเพราะเขาโดนไล่ออก เป็นการไล่ออกที่โคตรไม่ยุติธรรมและหักหน้าเขาด้วย พี่อู๋ไม่ได้โบนัสซักเดือน แถมยังโดนจ่ายค่าเสียหายบ้าบอจากการแปลผิดพลาดตั้งเกือบแสน ทั้งๆที่พี่อู๋เจอเรื่องหนักขนาดนี้แต่คนเป็นแฟนอย่างมันกลับไม่รู้อะไรเลย วันๆเอาแต่ชวนกันไปกินเหล้าเพราะชอบให้เขาเมาแล้วออดอ้อน ตอนพี่อู๋สร่างก็ไม่คิดจะดูแลถามไถ่ความเป็นไปของเขาเลย คิดว่าอาหารดีๆพวกนั้นช่วยพี่อู๋ได้เหรอ คิดว่าเหล้าและเซ็กส์ทำให้พี่อู๋มีความสุขจริงเหรอ พิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าคุณเป็นแฟนประเภทไหนที่พี่อู๋ไม่อยากแชร์เรื่องราวทุกอย่างให้รู้ คุณมีค่าแค่ตอนเขาเมาเท่านั้นแหละ เขาแค่อยากเอาคุณ เขาไม่ได้รักคุณแล้ว ได้ยินไหม พี่อู๋หมดรักคุณไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครทนแฟนประสาทแดกที่ชอบใช้กำลังแบบคุณได้หรอก คุณมัน --

เพล้ง!

เสียงจานแตก หลังจากนั้นคุณหมูพีกระโดดพุ่งเข้าใส่ผมเหมือนหมาบ้า




Part 3 ต่อข้างล่างเลยค่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-12-2018 21:56:24
11
PART 3/3


ช่วงเวลานั้นชุลมุนจนเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้ ผมรู้แค่ว่าโดนคุณหมูพีผลักลงบนพื้นแล้วตบหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากรีดร้องเหมือนสัตว์ป่าคุ้มคลั่งพร้อมกับตะโกนใส่หน้ากอริลลาก้องว่า มึงตาย! มึงตาย! เหมือนคนเสียสติ ผมทั้งตกใจทั้งเสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามยกแขนป้องกันหน้าตัวเองและเผลอต่อยเขากลับไปหนึ่งหมัดจนหมูพีหงายหลัง

พอเราแยกกันได้ซักพักก็พุ่งใส่กันอีก ข้าวของบนโต๊ะร่วงแตกเป็นเศษเล็กๆเต็มไปหมด พจนานุกรมเล่มหนาเป็นนิ้วถูกปาใส่หัวผม น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่พี่อู๋ ผมไม่เคยรับมือกับอาการนรกแตกแบบนี้มาก่อน ดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายโดนทำร้ายมากกว่าลงมือ ผมโดนคุณหมูพีวิ่งกวดจนสะดุดขาตัวเองล้ม เขาฉวยหยิบเศษจานชิ้นใหญ่ที่แตกเกลื่อนพื้นขึ้นมาแล้วทิ่มผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

“โอ๊ย!!!!!!!!!!!”

ผมกรีดร้อง

“พี่อู๋!! -- ” ผมตะโกนหาผู้ปกครอง “พี่อู๋ช่วยผมด้วย!!!”

เหมือนความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเมื่อเศษจานเฉียดผ่านคอไปมาอยู่หลายหน แต่ที่โดนหนักหน่อยน่าจะเป็นแขนเพราะผมยกขึ้นมาป้องกันตัว คุณหมูพีที่กำลังคุ้มคลั่งฝากรอยบาดจนเลือดซิบไว้บนร่างกายของกอริลลาก้องหลายจุด หลังจากพยายามปาดคอผมอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสกดเศษจานลงบนลูกกระเดือกแต่ดันพลาดไปโดนปลายคางเพราะผมรีบหดคอลงตามสัญชาติญาณ

“มึงทำบ้าอะไรเนี่ย!!!!!!!”

ทันทีที่เสียงของพี่อู๋ดังขึ้น คุณหมูพีก็ถูกผลักกระเด็นจนชนขอบโต๊ะ ส่วนกอริลลาก้องถูกพยุงขึ้นโดยผู้ปกครอง พี่อู๋มองสำรวจตามจุดต่างๆของผม พอเห็นเลือดไหลซึมทั้งแขนทั้งคางทั้งหางคิ้วเขาก็อาละวาดหนักกว่าที่คุณหมูพีเคยทำเสียอีก

“เป็นบ้าอะไรอีกวะ?!!! กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับก้อง!! อย่ายุ่งกับก้อง!!!”

พี่อู๋ตะคอกถาม เขาเอาตัวบังผมไว้ราวกับจะปกป้องแต่มันสายไปแล้ว ผมเจ็บไปทั้งตัว เลือดซึมออกมาเรื่อยๆจนเริ่มไหลถึงปลายนิ้ว ผมว่าสงครามโลกครั้งที่สามของจริงเริ่มต้นขึ้นแล้ว คุณหมูพีค่อยๆลุกขึ้นยืน เขามองมาที่ผมกับพี่อู๋ด้วยแววตาอาฆาตแค้นก่อนจะเริ่มสาดความในใจออกมาด้วยน้ำเสียงราบนิ่งต่างจากปกติ มันเป็นบทสนทนาที่ไม่มีการตัดพ้อหรือโวยวาย แต่แค่พูดกันตรงๆด้วยเหตุผลและชัดเจนเหมือนพวกผู้ใหญ่คุยกัน

“ที่ไอ้เด็กนั่นบอกว่าพี่โดนไล่ออก -- เรื่องจริงเหรอ?”

ผู้ปกครองของผมพยักหน้ารับ เมื่อหมูพีถามต่อถามว่าที่ไม่อยากหางานก็เพราะรับไม่ได้ที่ตัวเองพลาดใช่ไหม พี่อู๋ก็พยักหน้ารับอีก คราวนี้คุณหมูพีน้ำตาไหล เขาร้องไห้เงียบๆแต่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด แววตาที่เขามองมาทางพี่อู๋นั้นแฝงไปด้วยความรักและความรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน ผมเห็นคุณหมูพียืนใจสลายอยู่ตรงข้าม เขาคงเจ็บปวดมากเมื่อรู้ว่าความรักความปรารถนาดีของเขาทำร้ายพี่อู๋มาโดยตลอด

“ทำไมพี่ไม่บอกเรา”
“พี่ไม่อยากพูดถึง”
“พี่ไม่เห็นต้องอายเลย ก็แค่ตกงานหรือเปล่าวะ ใครๆก็โดนไล่ออกได้ทั้งนั้น”
“ความภูมิใจของเราไม่เหมือนกันนะพี”

ผู้ปกครองของผมตอบเรียบๆ เขาไม่อธิบายเพิ่มว่าทำไมนอกจากยืนจ้องหน้าแฟนหนุ่มนานหลายวินาที คุณหมูพียังคงร้องไห้จนผมรู้สึกสงสาร แต่ความสงสารนั้นไม่ช่วยให้ผมหายเกลียดเขาเพราะผมแยกความรู้สึกระหว่างสองสิ่งนี้ได้

“อีกแค่สามเดือนก็ครบรอบสิบปีของเราแล้ว”
“พี่รู้”
“แล้วพี่รู้ไหมว่าเรารักพี่มากจนให้ทุกอย่างได้”
“พี่รู้”

พี่อู๋ตอบ ริมฝีปากของคุณหมูพีสั่นจนพูดเป็นคำๆไม่ได้ เขาเริ่มพึมพำเกี่ยวกับความทรงจำแสนหวานของพวกเขาตลอดสิบปีก่อนจะถามพี่อู๋ว่าสรุปที่ผ่านมา พี่คบกับเขาเพราะเซ็กส์ใช่ไหม ผู้ปกครองของผมส่ายหน้าทันที เขาตอบว่าเซ็กส์ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้เขาอดทนคบกับคุณหมูพี แต่เป็นเพราะความสงสารต่างหาก

พี่อู๋แค่สงสารคุณหมูพีจนตัดใจทิ้งไม่ลง คนที่เจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจแบบเขาคงไม่มีใครรับมือได้ ดังนั้นพี่อู๋ก็เลยอดทนมาหลายปี เขาทน จนถึงจุดที่ไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว

คำตอบของพี่อู๋ทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม ไม่ต้องเดาเลยว่าต่อไปเกิดอะไรขึ้น คุณหมูพียังคงร้องไห้แต่ไม่อาละวาด ผมรู้สึกว่าทุกอย่างดูแปลกไป พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงเหมือนเช่นทุกทีจนผมนึกสงสัย ในเมื่อเคลียร์กันดีๆก็ได้นี่นา แล้วที่ผ่านมาพวกเขาทำร้ายร่างกายกันไปทำไม

“รู้ไหม? พี่ทำให้เรารู้สึกว่าสิบปีของเราสองคนไม่มีความหมายเลย” คุณหมูพีตัดพ้อ “ทั้งๆที่เราทำเพื่อพี่ทุกอย่าง เราอยู่กับพี่ตลอดเวลา ตอนพี่เกือบติดเอฟเราก็หาติวเตอร์มาติวให้ ตอนพี่ขับมอเตอร์ไซต์ชนฟุตปาธ เราก็นอนเฝ้าพี่เป็นอาทิตย์ เราผ่านเรื่องดีและร้ายด้วยกันมาตั้งเยอะ แต่ทำไมพี่ถึง -- ทำไม --”
“พี่ขอโทษ”

แค่นั้นก็ชัดเจนสำหรับพวกเขาสองคนแล้ว พี่อู๋มองหน้าคุณหมูพีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันมาหากอริลลาก้องที่ยืนน้ำตาคลอด้านหลัง ไม่ใช่เพราะเศร้ากับคำพูดของคุณหมูพี แต่เป็นเพราะเริ่มเจ็บแผลต่างหาก พอเห็นแบบนั้นเขาก็กระซิบบอกว่าเดี๋ยวไปหาหมอกันนะ แต่ยังไม่ทันได้ตอบตกลง คุณหมูพีก็ระบายความในใจและถามคำถามสุดท้าย

“เรารู้ว่าตัวเองไม่ปกติ เรารู้ว่าเราชอบใช้อารมณ์ ถ้าการเลิกกันครั้งนี้เป็นเพราะพี่เบื่อที่เราคุมตัวเองไม่ได้ เบื่อที่ต้องเจ็บตัวเพราะเราทำร้ายพี่ เราจะไม่โกรธเลยเพราะเราผิดเองที่เป็นบ้า แต่พี่ช่วยตอบตรงๆอย่างนึงได้ไหม?”
“ได้สิ” พี่อู๋ขานรับ
“พี่ไม่ได้มีคนใหม่ใช่ไหม?”
“ไม่มี ตลอดสิบปีที่ผ่านมา พีคือแฟนคนเดียวของพี่”
“ไม่ใช่ เราหมายถึงคนที่พี่ชอบ” คุณหมูพีน้ำตาไหลอีกครั้ง “พี่ไม่ได้กำลังชอบคนอื่นที่ไม่ใช่เราใช่ไหม?”

น้ำเสียงของคุณพีรพัฒน์นิ่งจนผมเริ่มหวั่นใจ เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนสึนามิที่จู่ๆน้ำทะเลก็ลดอย่างรวดเร็วก่อนจะตามมาด้วยคลื่นลูกใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็นในตอนนี้ ความใจเย็นและสงบนิ่งของคุณหมูพีน่ากลัวว่าตอนเขาอาละวาดเสียอีก แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือคำตอบของพี่อู๋ มันอาจชี้เป็นชี้ตายของเหตุการณ์หลังจากนี้ได้เลย

“พี่ขอโทษ”
“สรุปก็คือ -- เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆใช่ไหม?”

พวกเขาคุยกันเป็นนัยแฝง สายตาของคุณพีรพัฒน์เหลือบมองผมก่อนจะเบนกลับไปที่พี่อู๋อีกครั้งด้วยความคาดหวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่กังวล

“ใช่”

พี่อู๋ยอมรับตรงๆ แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอะไร

“พี่ขอโทษที่ไม่กล้าบอกตรงๆเพราะกลัวพีเสียใจจนฆ่าตัวตาย พี่ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องตายอีกแล้ว พีเข้าใจพี่ใช่ไหม?”

แต่คุณหมูพีส่ายหน้า ผมเริ่มกลัวนิดหน่อย

อย่าเชียวนะ --

ผมคิดในใจ

อย่าทำแบบนั้นต่อหน้าเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างผมเลยนะ

“พี่จะพูดคำนั้นหรือจะให้เราพูด?”

คุณหมูพีถาม พี่อู๋นิ่งไปพักใหญ่ แววตาของเขาก็เศร้าไม่แพ้กัน แต่เขายังมีความกล้ามากพอที่จะบอกสิ่งตัวเองต้องการ

และเป็นสิ่งที่คุณหมูพีไม่อยากได้ยินมากที่สุด

“พี -- เราเลิกกันเถอะ”

พี่อู๋บอก หลังจากนั้นก็ตามด้วยคำอธิบายสั้นๆว่าถ้าฝืนคบกันต่อไปมีแต่จะทรมานด้วยกันทั้งคู่ พี่หมดรักหมูพีมาซักระยะและเริ่มทนไม่ไหวที่ต้องเจ็บตัวซ้ำๆเวลาทะเลาะกัน พีเองก็เบื่อที่ต้องระแวงว่าพี่จะมีคนใหม่ เพราะฉะนั้นจากกันด้วยดีเถอะ หลังจากนี้พีจะยังเป็นน้องชายของพี่เสมอ ขอบคุณสำหรับสิบปีที่ผ่านมา พี่มีความสุขมากที่มีพีอยู่ด้วยในช่วงวัยรุ่น ขอบคุณนะ ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ

คุณหมูพีร้องไห้เงียบๆ ไม่โวยวายหรือขว้างปาสิ่งของใส่พี่อู๋ เขามองมาทางพวกเราด้วยแววตาเจ็บปวดจนเหมือนคนพร้อมจะขาดใจตายทุกเมื่อ ใบหน้าของคุณหมูพีแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากไม่ยอมหยุดตั้งแต่พี่อู๋พูดประโยคนั้นออกมา หลังจากที่ห้องตกอยู่ในความอึดอัดเกือบๆนาที ในที่สุดคุณหมูพีก็ได้สติและเริ่มบอกลา

“เราก็อยากขอบคุณพี่สำหรับทุกอย่างเหมือนกัน รู้เอาไว้นะว่าเรารักพี่มาก หมูพีจะรักพี่อู๋คนเดียว และรักตลอดไป”

ผมใจไม่ดีแล้ว

“แต่จะให้กลับไปเป็นน้องชายเราคงทำไม่ได้” เขากำเศษจานในมือแน่น ผมกับพี่อู๋เริ่มรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น “เราทนมองพี่รักคนอื่นไม่ได้”
“พี -- อย่าทำแบบนั้นเลย พี่ขอร้อง”

พี่อู๋อ้อนวอนแต่สายไปแล้ว คุณหมูพีบอกรักพี่อู๋ครั้งสุดท้ายแล้วกระหน่ำกรีดข้อมือตัวเองซ้ำๆจนเลือดสาดเต็มพื้น ผู้ปกครองของผมทิ้งผมไว้ข้างหลังเพื่อรีบไปหาแฟน เขาแย่งเอาเศษจานออกจากมือคุณหมูพีก่อนจะดึงมากอดแน่นเพื่อปลอบให้สงบลง

“พอเถอะนะพี อย่าทำแบบนี้เลย อย่าทำแบบนี้กับพี่เลย”

พี่อู๋อ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำเสียงจะเป็นจะตายยิ่งกว่าคืนที่เราทะเลาะกันเสียอีก ผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจที่ไม่เท่ากัน พี่อู๋ให้คุณหมูพีมากกว่านายก้องเกียรติหลายเท่า นั้นคือสิ่งที่ผมเพิ่งรู้

“มาเถอะ พี่จะพาไปโรงพยาบาล อดทนไว้นะ พี่ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่ทำให้พีเสียใจ”

แล้วพี่อู๋ก็จูบหน้าผากคุณหมูพี การกระทำทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของกอริลลาที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดไม่ต่างกัน ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีวันเลิกกันได้หรอก ตราบใดที่คุณหมูพีทำแบบนี้ และพี่อู๋ใจอ่อนกับการฆ่าตัวตายแบบนี้ พวกเขาคงต้องอยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมไปจนวันตายนั่นแหละ

พี่อู๋แบกคุณหมูพีขึ้นหลังแล้วรีบออกจากห้องไป ทิ้งกอริลลาก้องที่กำลังบาดเจ็บไว้เบื้องหลังโดยไม่แม้แต่จะหันหลับมามอง ผมจ้องบานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปปิด ห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง เหลือเพียงผมยืนอยู่คนเดียวกลางห้องที่ท่วมไปด้วยเลือดของคุณพีรพัฒน์และเลือดตัวเอง ผมยกแขนขึ้นมาดูเพราะอยากรู้ว่ามันแย่ขนาดไหน มีแค่รอยบาดเล็กๆน้อยๆ เหวอะบ้าง ถากบ้าง ไม่ได้โดนกรีดลึกถึงกระดูกเหมือนใครอีกคนจนต้องไปโรงพยาบาล

ช่างมันเถอะ -- ไม่เป็นไรหรอก
แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก

ผมเข้าใจว่าคนที่เจ็บหนักกว่าย่อมได้รับความสนใจมากกว่าเป็นธรรมดา แต่ไหนๆก็จะไปโรงพยาบาลแล้ว ทำไมไม่พาผมไปด้วย ทำไมไม่หันมาบอกผมให้ขึ้นรถไปด้วยกัน ทำไมไม่ถามว่าเจ็บไหม ไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้าแสดงออกว่าเป็นห่วงผมมากกว่าคุณหมูพีตั้งเยอะ แต่พออีกฝ่ายเอาแก้วกรีดแขนตัวเอง พี่อู๋ก็ทิ้งผมแล้วไปกับแฟนหน้าตาเฉย ไม่สนใจเลยว่ากอริลลาก้องเจ็บไหม ไหวหรือเปล่า เลือดหยุดไหลหรือยัง ไม่แม้กระทั่งชายตามองเลย

นายก้องเกียรติที่ตัวเปรอะเลือดมองเงาตัวเองในกระจก เลือดเริ่มแห้งกรังแล้ว แต่ที่ยังเปียกอยู่คือแก้มของผมเอง มันเป็นน้ำตาที่เกิดจากความน้อยใจ แต่ซักพักก็สำเหนียกได้ว่าผมมันกาฝาก เป็นเด็กเหลือขอที่เขาเก็บมาเลี้ยงดู จะหวังให้เขามารักมาสนใจมากกว่าแฟนคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นผมจึงเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบแบงค์ห้าร้อยที่ลุงชัยให้ไว้ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วกดลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อซื้อเบตาดีนกับปลาสเตอร์ยาที่เซเว่นหน้าปากซอย

ทุกย่างก้าวที่มุ่งหน้าไปร้านสะดวกซื้อบีบคั้นเอาน้ำตาจากกอริลลาก้อง ผมร้องหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องหยุดนั่งบนบันไดหน้าธนาคารกสิกรเพื่อระบายเต็มที่ เมื่อน้ำตาเริ่มเหือดแห้งถึงเดินเข้าเซเว่นเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำแผล ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ ผมรำพึง ในเมื่อไม่มีแม่ ไม่มีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือแล้วก็ต้องดูแลตัวเองต่อไปจนกว่าจะตาย

เมื่อซื้อของเสร็จก็เดินกลับห้อง ลุงยามถามด้วยสีหน้าตื่นตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โดนใครทำอะไรมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไปโรงพยาบาลดีไหม เผื่อติดเชื้อบาดทะยัก เผื่อต้องเย็บคิ้วด้วยนะ มาสิ ลุงจะออกไปโบกแท็กซี่ให้

“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

ผมตอบด้วยความซาบซึ้งแล้วขอตัวกลับขึ้นห้อง ทันทีที่อยู่ในลิฟต์เพียงลำพัง ผมก็สะอื้นออกมาเสียงดังเหมือนคนบ้าพร้อมกับท่องในใจซ้ำๆ

อยู่ให้ได้นะก้องเกียรติ ต้องอยู่คนเดียวให้ได้
เพราะหลังจากนี้ -- จะไม่มีใครอยู่กับแกอีกแล้ว





TBC
----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


มาแล้วค่า ช้ากว่าปกติหลายวัน แต่มาสามพาร์ทเลยนะคะ โปรดให้อภัยหนูด้วย หนูติดเกม บางทีอยากเขียนแต่ก็อยากเล่นเกมมากกว่า แง คราวหน้าจะมีวินัยให้มากกว่านี้นะคะ TT

ที่สำคัญเลย ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆทั้งคอมเม้นต์และแท็กในทวิตเตอร์นะคะ นี่คือครั้งแรกที่มีคนอ่านและให้ฟี้ดแบคเยอะมากกก มากจนเราไม่กล้าฝันถึงว่าจะเยอะขนาดนี้เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนนะคะที่รักและเอ็นดูน้องก้อง ขอบคุณที่บอกต่อและเป็นกำลังใจให้นักเขียนเด๋อๆอย่างเรา อยากบอกว่ารู้สึกซาบซึ้งมากๆค่ะ อาจจะเวิ่นยาวไปหน่อย แต่อยากขอบคุณจริงๆค่ะที่ช่วยให้เรามีความสุขในสิ่งที่ทำ หวังว่าจะอยู่ด้วยกันจนสุดทางเลยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 13-12-2018 22:54:04
พี่อู๋คะแนนติดลบ -1,000,000,000,000,0000,000,000,000,000
เราว่าน้องก้องไม่ได้เรียกร้องอะไรเยอะเลยนะ ขนาดแค่เรื่องไปโรงบาลเนี้ย น้องก็ไม่ได้อยากให้พี่อู๋มาอุ้มมาประคองอะไร ขอแค่เอ่ยปากชวนขึ้นรถสักคำแค่นี้อะ
ไม่รู้หรอกว่าพี่อู๋ป่วยหรือเป็นอะไร อาการหนักถึงขั้นไหนแล้ว แต่สิ่งที่พี่อู๋ทำอยู่เนี้ยเฮงซวยในสายตาเรามาก (ขออภัยถ้าหยาบไป)
ความดีมีอยู่ก็จริง แต่เราไม่อยากให้อภัยละ เอาน้องมา เราจะเลี้ยงเอง  :fire:
ไม่ไปหาหมอไม่ว่านะ แต่เคลียร์แฟนตัวเองไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกละ
อ่านๆตอนท้ายเหมือนน้องจะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ (ด้วยตัวเอง) เพราะงั้นพี่อู๋ก็เตรียมใจหมดความสำคัญนะ
โมโห! โมโห!

รอตอนต่อไปนะฮับ  :m15:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 13-12-2018 23:58:18
พี่อู๋คนดี กลายเป็นคนน่าเกลียดไปซะแล้ว   :hao4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-12-2018 00:37:29
 :a5:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 14-12-2018 00:45:17
เกลียดพี่อู๋จุน 1 ตอน ตอนหน้าค่อยพิจารณาใหม่ น้ำตาคลอ สงสารน้องก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 14-12-2018 00:52:59
เป็นเรื่องที้ผ่านไปแล้ว 12 ตอนพระเอกยังไม่ออกมาเลย แน่ๆเลยอ่า 5555555555555

ดีแตกมากๆนังพี่อู๋
แต่เราก็โกรธได้ไม่สุดอะ คือถ้าไม่มีสตาบัคพี่อู๋วันนั้น ก็ไม่มีกอริลล่าก้องวันนี้

ปวดหัว :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-12-2018 02:01:05
สงสารที่พี่อู๋ป่วยนะ แต่พอหมูพีทำแบบนี้ก็วนลูป คู่เวรคู่กรรมจริงๆ อ่ะ ก็คบกันไปเหอะ ปล่อยกอริลล่าก้องออกมา ให้อยู่เป็นส่วนเกินทุกวันนี้ก็อึดอัดแล้วอ่ะ มาทำให้น้องรู้สึกแย่กว่าเดิมทำไมวะพี่อู๋ โกรธจนร้องไห้ อยากเอาน้องมาเลี้ยงเอง มายื้อเขาไม่ให้ตายแล้วก็ทำกับเขาแบบนี้อ่ะ เหมือนตายทั้งเป็น โดดเดี่ยวกว่าตอนที่ไม่มีใครอีก ถ้าจะจบแบบไม่มีพระเอกหรือมีคนอื่นเข้ามาเราก็ยินดีค่ะ เหนื่อยกับคู่เวรคู่กรรมนี่เหลือเกิน อยากให้น้องก้องได้มีชีวิตแบบที่เด็กสิบเจ็ดควรมีสักทีิ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-12-2018 02:41:13
ค้นพบบุคคลที่ถูกลืมสนิท 1 อัตรา *ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ก้อง* พอไอ้พี่อู๋กลับเข้ามา อีกวันโน้นเลยละมั้งถึงจะโพล่หัวมาเพราะเฝ้าดูอาการแฟนรัก พอกลับมาอีกทีค่อยคิดได้ ถถถถ พ่อคู๊ณณณณณณณณ จงรู้สึกผิดไปซะนั่นละ //ฮึบไว้ก้อง ฮึบไว้ ความที่เขาเข้ามาทำให้กลายเป็นความเคยชินเกิดความอยากจะมีตลอดไป ช่างน่าหลีกเลี่ยงนัก *นั่งทำแผลให้ก้อง** สงสาร แง๊~~~~ถ้าเป็นเราจะปลอบก้องยังไงดีวะ ก็คงจะประมาณ "ก็ถ้ามึงอยากตายอยู่ ก็ต้องดีขึ้นทำตามหมอบอก เพื่อที่จะได้ทำงานเก็บเงินไว้เป็นค่าทำศพมึงไง จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น และอีกอย่างเกิดมาทั้งที ก่อนตาย อะไรที่ยังไม่ทำอยากทำแต่ต้องไม่เป็นภัยสังคมนะ มึงน่าจะลอง เผื่อเจอสิ่งดีๆใหม่ๆถึงตอนนั้นอาจไม่อยากตายแล้วก็ได้ ตายหนะมันตายง่าย อยู่คือความท้าทายดี" ปลอบคนไม่เป็นวะ ถ้าพูดไม่เป็นคือนั่งทำแผลให้ก้องไปเงียบๆดีกว่าม่ะ 555555 จะอยากตายเร็วขึ้นหรือว่าจะดีขึ้นวะ อินในจนนอกเรื่อง 5555 //ไปๆก้องไปพัก ทำใจ ปล่อยวางเรื่องของพี่มันอย่างที่หมอบอกเถอะ //มาต่อทียาวดีค่ะ ชอบมากๆสนุกเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคืออยากบอกให้ทุกคนตอนนี้ควรไปพบหมอด่วนมากถึงมากที่สุด ไม่มีใครปกติสักคน //ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไปเล้ยยย จะเกิดไรอีกขึ้นบ้าง //ทิ้งความชอบไปคว้าเอาความสงสาร วนลูปจร้าไอ้พี่อู๋ ก้องทำให้เห็นชัดๆหน่อยดิ จะเอาแบบนั้นใช่ป่ะ ได้เลยๆ ความชอบหนีไป เดี๋ยวจะรู้สึก หึ! ความชอบโดยที่เจ้าตัวของความชอบก็ไม่รู้ตัว คึคึ!! บันเทิงงงงงงจริงว้อยยย 55555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 14-12-2018 03:27:42
อยากอ่านต่ออออออ
ทำไมเพิ่งมาเจอ
คือเป็นเรื่องที่ดีมากกกกกกก
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 14-12-2018 03:47:33
เหมือนเอาคนป่วย 3 คนมารวมกัน โอ๊ยยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-12-2018 06:29:13
โอ้ยยย เครียดดด 3 คนนี้ต้องจับแยกกัรอยู่แล้ว ก้องที่ตอนแรกเหมือนจะอาการแย่สุดแต่พอมาถึงตรงนี้ พี่อู๋กับหมีพูนี่แหละอาการหนักสุด
เราเริ่มเข้าใจความเครียดสะสมและไม่รู้ว่าตัวเองจิตป่วยของพี่อู๋แล้ว และคิดว่านังหมีพูคือส่วนหนึ่งของความเครียดด้วย คบกับมาเป็น 10 ปีแต่เหมือนไม่รู้จักแฟนตัวเองเลยสักนิด แต่ก็ยังว่าแหละ หมีพูก็ไม่ปกติเหมือนกัน
ขืน 3 คนนี้ยังอยู่ด้วยกันนะ อาการคงมีแต่แย่ลง เหตุการณ์ทุกอย่างไม่มีวันดีขึ้น
เป็นเรื่องที่เดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าอะไรที่จะช่วยเยียวยาคนป่วย 3 คนที่ต้องอยู่ด้วยกัน  :o12:

ไรท์เขียนดีมากเลย ดูเรียล เราชอบสไตล์การเขียนจัง มีผลงานเรื่องอื่นๆอีกมั้ยคะจะตามไปอ่านเพิ่มค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 14-12-2018 09:07:32
คืออ่านถึงตรงนี้เราเริ่มงงแล้วว่าอิพี่อู๋คนแรกมาจากไหน คือถ้ายึดตามอิพี่ตอนแรกอ่ะ เขาไม่มีทางทิ้งก้องที่บาดเจ็บได้หรอก คือพื้นฐานพี่เขาเป็นคนดี ไม่งั้นจะอดทนมานั่งดูก้องทุกวันทั้งๆที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเองได้ยังไง ส่วนตอนนี้ไม่ใช่เหมือนเจอด้านใหม่ๆอ่ะ มันกลายเป็นพี่อู๋คนใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก
แต่เราจะอนุมานว่าเขาป่วยเพิ่มหลังจากเจอเรื่องห่าเหวก็เลยลืมความเป็นตัวเองไปแล้วกันนะคะ.....
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 14-12-2018 11:02:06
อ่านไปน้ำตาไหลไป สงสารก้องอ่ะความรู้สึกเหมือนต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีก อิพี่อู๋ก็ป่วย หมูพีก็น่าจะป่วยด้วยไหมเนี่ย เฮ้อ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 14-12-2018 16:47:50
อ่านตอนนี้ เราแบบ สงสารน้องงงงงงงงงง โอ๊ย ก้อง มาอยู่เจ้มา คือปัญหาของพี่อู๋ ก็พอจะมองออกตั้งแต่ตอนแรกๆ แล้วว่ามีปัญหาทางใจแน่ๆ แต่คือพี่อู๋จะสงสารแฟนแล้วลืมน้องไม่ได้ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเรื่องนี้พี่อู๋จะไม่ใช่พระเอกเราก็จะไม่แปลกใจเลย และถ้าพี่เป็นพระเอก ก็อยากให้น้องไม่เลือกจริงๆ พี่อู๋ดี นะ แต่พี่ทำเหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงแบบทิ้งขว้าง เพื่อทดแทนเอม แต่พี่ก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่สนใจน้อง เหมือนขอไปทีอะ
อ่านแล้วโมโหพี่อู๋จริงๆ ไปอยู่กับหมูพีเถอะ ไปรักกันสองคนให้พอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 14-12-2018 20:16:44
เห็นด้วยค่ะ
คาพี่อู๋เปลี่ยนไปอ่ะ แต่ช่างเถอะ เราจะมองข้ามละกัน


คืออ่านถึงตรงนี้เราเริ่มงงแล้วว่าอิพี่อู๋คนแรกมาจากไหน คือถ้ายึดตามอิพี่ตอนแรกอ่ะ เขาไม่มีทางทิ้งก้องที่บาดเจ็บได้หรอก คือพื้นฐานพี่เขาเป็นคนดี ไม่งั้นจะอดทนมานั่งดูก้องทุกวันทั้งๆที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเองได้ยังไง ส่วนตอนนี้ไม่ใช่เหมือนเจอด้านใหม่ๆอ่ะ มันกลายเป็นพี่อู๋คนใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก
แต่เราจะอนุมานว่าเขาป่วยเพิ่มหลังจากเจอเรื่องห่าเหวก็เลยลืมความเป็นตัวเองไปแล้วกันนะคะ.....
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Mildtchns ที่ 15-12-2018 00:37:21
งอนพี่อู๋แล้ว กอดๆนะน้องก้องงง อย่าไปสนพวกเขาเลยลูกกก ขอบคุณไรท์ที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ สู้ๆค่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 15-12-2018 01:26:00
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าคนป่วย3คนอยู่ในห้องเดียวกัน
อยากให้น้องกลับไปเรียน
เรียนรามก็ได้ แล้วไปทำพาร์ทไทม์ซะ อย่าเอาชีวิตตัวเองไปผูกไว้กับใครเลย
กินยา หายไวไว กลับไปเดินต่อดีกว่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lemon_sour ที่ 15-12-2018 03:00:20
มาต่อไวๆ นะคะ ..สงสารกอลลิล่าก้องมาก ..ทำไมหมูพีต้องเป็นอย่างงี้ด้วย? รั้งด้วยวิธีนี้ทำไมหมดรักก็คือหมดรัก เฮ้ออ

รีบมาต่อนะคะ  :z3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: jajablingz ที่ 15-12-2018 12:11:30
สมัครเพื่อมาเม้นเลยค่ะ ชอบมากจริงๆ อ่านละโรคซึมเศร้ากำเริบ นอนน้ำตาไหล
กราบวิงวอนให้แต่งต่ออย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ จะตามเป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
 :o12:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 15-12-2018 12:40:43
พี่อู๋ แม่งทิ้งน้องไว้แบบนั้นได้ไงวะ อารมณ์ขึ้นนนนนนนนนน  :fire:
ถามจริงว่าทนคบกับคนประสาทแดกแบบนี้ได้ไงมาเกือบสิบปีคะพรี่ น้องงง
เนี่ย แล้วมันก็จะวนลูปอยู่แบบนี้ป่ะ บอกเลิกก็จะฆ่าตัวตาย แล้วพี่อู๋ก็กลับไปเหมือนเดิม
จะไม่อะไรเลยนะ ถ้าน้องก้องไม่อยู่ตรงนั้นอะ ทำไมน้องต้องมาเจอแบบนี้
พี่อู๋ติดลบมากๆๆๆ สงสารน้อง มาหาแม่ดีกว่าจะดูแลหนูเอง ไปอยู่วัดยังสบายใจกว่าไหมลูก  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 15-12-2018 21:43:28
พี่อู๋ นายป่วยมากเลยนะ
ละหมูพีก็ป่วยด้วย ไม่ชอบการกระทำแบบนี้เลย
ตอนแรกคิดว่าจะดีแล้ว น้องก้องเริ่มคิดเรื่องอื่นมากขึ้น
ไม่จมแต่กับเรื่องตัวเอง แต่ดั๊นนมามีเหตุการณ์สงครามนี้
ไม่รู้น้องก้องจะดีขึ้นหรือแย่ลงเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MR.J ที่ 15-12-2018 21:46:09
อ่านจบละก็นั่งเหม่อนี่ชั้นสามารถช่วยอะไรน้องก้องได้มั้ย ชีวิตไม่มีอะไรดีๆเข้ามาแล้วเหรอต้องเป้นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างงี้ตลอดเลยเหรอ พี่อู๋ลืมก้องไปได้ในเสียววิเลยเหรอแล้วที่คุยกับหมูพีว่าเริ่มชอบคนอื่นแทนหมูพีอ่ะน้องก้องใช่มั้ย ถ้ายังเป้นอย่างงี้อยู่อย่ามาชอบก้องเลยสงสารน้องแค่นี้ยังทิ้งน้องเลยทั้งที่น้องก็เจ็บอ่ะ ถ้าพี่อู๋เคลียร์ตัวเองไม่ได้ก็เชียร์ให้ก้องอยู่ได้ด้วยตัวเองเร็วๆแล้วไปจากพี่อู๋ซะ ทิ้งพี่อู๋ไว้กับหมูพีนี่แหละ แล้วมูฟตัวเองออกไปเลยก้องTT :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-12-2018 23:33:42
เห้อ

อยากถอนหายใจแทนก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Koduck ที่ 17-12-2018 13:03:17
ป่วยทั้งเรื่อง 55 เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

รอนะครับ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 17-12-2018 13:43:19
ปวดหัวว  :ling2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: xpxrn ที่ 18-12-2018 21:12:19
รอไรท์มาต่อนะคะ ชอบนิยายเเนวนี้มากๆเลย o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheraae ที่ 19-12-2018 15:47:11
นี่มันอะไรกันเนี้ยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งจุกละอีพี่อู๋ทิ้งน้องทำมายยยยยย  :serius2:โกรธ  :fire:กอลิลาก้องลูกแม่ ออกมาค่ะ ไม่ต้องไปอยู่ด้วยแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-12-2018 21:31:40
ช่วยมาแล้วก็มาทิ้งขว้างกันกลางทางอย่างนี้นะเหรอ บ้าบอ
หนักกว่าตอนอยู่คนเดียวซะอีก
ตอนนั้นยังมีแค่เรื่องตัวเอง ตอนนี้เรื่องพี่อู๋ เรื่องหมูพีอีก โอ๊ยยยยยย ปวดหัว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 23-12-2018 21:35:36
สนุกมากกกกแงน้องก้อง!
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ppp044 ที่ 24-12-2018 22:41:06
อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด รองน้ำตาได้ครึ่งถ้วยน้ำชาแล้ว  :mew4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-12-2018 22:52:49
รอน้องก้องทุกวันเลยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 29-12-2018 08:06:40
รอน้องก้องอยู่นะจ๊ะ :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 12 update!] (13/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-12-2018 08:56:17
เข้ามาอ่านเพราะว่าเดาจากชื่อน่าจะา แต่ว่านะทำไมเหมือนไมเกรนจะขึ้น สักพักคนอ่านต้องไปโรงบาลเจ้าพระยาเป็นกอริลล่ากีนหมดแน่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-01-2019 19:05:09
13 (Part 1)

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเจ็ดนาที

กอริลลาก้องทำแผลให้ตัวเองเสร็จแล้ว บนแขนซ้ายมีปลาสเตอร์ยาแบบผ้าสีน้ำตาลแปะอยู่เจ็ดจุด ส่วนแขนขวามีสิบสอง ตรงคิ้วหนึ่ง ใต้คางหนึ่ง โหนกแก้มอีกสาม แต่กอริลลาก้องไม่คิดอะไร ก็แค่ปลาสเตอร์ยาสากๆบนผิวหนัง เดี๋ยวแผลก็แห้ง เดี๋ยวก็ได้แกะมันออกไป

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มยี่สิบสามนาที

กอริลลาก้องยืนมองกองเลือดของคุณหมูพีด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากผะอืดผะอมอยากอาเจียนเพราะกลิ่นเหม็นคาวและสีแดงคล้ำของเลือด ดังนั้นกอริลลาจิตหลุดจึงยืนเฉยๆนานหลายนาที มองของเหลวที่เจิ่งนองบนพื้นก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเจ็ดนาที

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นเพราะดยุก เฟอร์ดินานด์ของออสเตรีย-ฮังการีโดนลอบสังหารที่บอสเนีย สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นเพราะชายคนหนึ่งที่ชื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ต้องการกู้เกียรติยศของประเทศกลับมาด้วยวิธีเหี้ยมโหดและเด็ดขาด

ส่วนสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นเพราะอะไร?

กอริลลาก้องนึกสงสัย

แน่นอนว่าความร้ายแรงของมันไม่สมควรนำไปเทียบกับประวัติศาสตร์ในอดีต แต่สำหรับกอริลลาที่อายุแค่สิบเจ็ดและเป็นตัวต้นเรื่องที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเป็นยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำให้พี่อู๋ คุณหมูพี และมัน พวกเราต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งหมด

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้าสิบนาที

ถ้ากอริลลาก้องไม่ออกตัวปกป้องผู้ปกครอง เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นไหม มันพยายามคิดทบทวนไตร่ตรองด้วยสติอันน้อยนิดเท่าที่มีในตอนนั้น จากที่ไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง มันก็เริ่มสำเหนียกได้ว่าทุกอย่างเป็นเพราะมัน

ถ้าไม่บอกเรื่องส่วนตัวของพี่อู๋ให้คุณหมูพีรู้ -- เขาอาจจะไม่ทำแบบนั้น
ถ้าไม่ตอบโต้คุณหมูพีด้วยการชกกลับไปหนึ่งที -- เขาอาจจะไม่ทำแบบนั้น
ถ้าไม่ -- ถ้าไม่ -- ถ้าไม่ --

ลอยเต็มหัวจนสับสนไปหมด

เอาล่ะ ศาลตัดสินแล้ว

กอริลลาก้องมีความผิดจริงในคดีนี้ มันคือตัวต้นเรื่องที่ทำให้คุณหมูพีเจ็บตัว แม้ว่าจะทำด้วยเจตนาดี แต่ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามขนาดนี้ เตรียมตัวเตรียมใจรอได้เลยกอริลลาก้อง แกโดนส่งกลับเข้าป่าแน่

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบสองนาที

กอริลลาก้องกลับมาสวมบทซินเดอเรลลาด้วยการเก็บเศษจานแต่ทิ้งกองเลือดเอาไว้ บางหยดเป็นของมัน บางหยดเป็นของคุณหมูพี ซินเดอเรลก้องผู้เคยภักดีไม่ทำงานให้เนี๊ยบเหมือนอย่างเคย มันเลือกเช็ดเฉพาะเลือดของตัวเอง แต่ปล่อยให้ของคุณพีรพัฒน์แห้งกรังอยู่ตรงนั้น รอให้เจ้าของเลือดมาจัดการ

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มตรง

กอริลลาก้องย้ายจากโซฟาไปนอนมองเพดานในห้องนอนใหญ่เงียบๆคนเดียว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสิบเอ็ดนาที

กอริลลาก้องย้ายมาในห้องนอนเล็กและเริ่มพิจารณาฝ้าเพดานอีกครั้ง

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที

กอริลลาก้องรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ในที่โล่ง มันจึงย้ายลงไปนอนบนพื้นที่เป็นช่องว่างแคบๆระหว่างเตียงกับหน้าต่าง ขนาดพอดีตัวของพื้นที่เล็กๆของขอบเตียงและผนังทำให้มันรู้สึกเหมือนถูกโอบกอด แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบเจ็ดนาที

ผนังไม่สามารถปลอบมันได้ดั่งใจ กอริลลาก้องจิตหลุดจึงย้ายไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าของห้องนอนเล็ก ปิดบานประตูมิดชิด ปล่อยให้ความมืดและพื้นที่คับแคบช่วยบรรเทาความคิดฟุ้งซ่าน อากาศอบอ้าวในตู้ทำให้เริ่มหายใจไม่ออก แต่มันก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น ขบกัดเล็บมือตัวเองดังกึกๆพร้อมกับคิดถึงผู้ปกครองที่ยังไม่กลับบ้าน

นาฬิกาบอกเวลาว่ากี่โมงไม่รู้

กอริลลาก้องนั่งเหงื่อชุ่มในตู้เสื้อผ้าที่เดิม ตอนนี้มันร้อนและต้องการสูดอากาศให้เต็มปอดแต่ไม่กล้าออกไป จู่ๆมันเกิดกลัวโลกภายนอกขึ้นมากะทันหัน กลัวว่าออกไปจะโดนผู้ปกครองตีหรือไล่ออกจากห้อง กอริลลาก้องได้แต่นั่งกัดเล็บสำนึกผิด

ผมไม่ได้ตั้งใจ

มันท่องซ้ำไปซ้ำมา

ผมแค่อยากช่วยให้พวกพี่เข้าใจกัน
ผมแค่อยากช่วย ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำ

ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำ

ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาจะกล้าทำ

ในขณะที่คุณหมูพีกล้าหาญถึงขนาดกดเศษแก้วลงบนข้อมือตัวเองจนเลือดสาด แต่กอริลลาก้องกลับขี้ขลาดหนีมาหลบในตู้เสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้ปกครองเพราะกลัวถูกทำโทษ

แล้วต้องหลบไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ?

มันถามตัวเอง

และคำตอบก็คือไม่รู้

แต่ความรู้สึกของมันชัดเจนมากว่าไม่อยากออกจากตู้เสื้อผ้าในเร็วๆนี้ มันกลัวเกินกว่าจะโผล่หน้าออกไปให้ผู้ปกครองเห็น มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้จิตใจของมันกำลังดำดิ่งแค่ไหน มันปลอบตัวเองว่าอยู่คนเดียวได้ อยู่คนเดียวก็ได้ แต่ลึกๆมันรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ กอริลลาก้องเหมือนสัตว์ที่ถูกพรากจากป่ามาเลี้ยงในกรงทอง มันเคยชินกับความสบายและความอบอุ่นจากผู้ปกครอง หากถูกปล่อยกลับป่าก็คงหาอาหารไม่เป็น เข้าสังคมไม่ได้ หลงทาง เคว้งคว้าง สุดท้ายก็จบที่อดตาย มันคิดไปไกล ยังไงก็ต้องตาย มันคิดอีก ยังไงก็ไม่รอดหรอก

เสียงบานประตูดังขึ้นเมื่อไหร่ กอริลลาไม่ได้ยิน มันนั่งกลอกตาไปมาในตู้เสื้อผ้าดำมืดที่ร้อนอบอ้าวมาเกือบชั่วโมงแล้ว แม้อยู่ในสภาพชุ่มเหงื่อและหายใจลำบาก มันยังคงครุ่นคิดว่าจะสรรหาคำพูดไหนมาอธิบายกับผู้ปกครองดี มันคิดไกลถึงขนาดว่าผู้ปกครองอาจไม่รับฟัง มันอาจโดนทุบตีโทษฐานทำคนรักของเขาเจ็บตัว แค่คิดมันก็ตัวสั่น นั่งกัดเล็บจนสั้นกุด แล้วเริ่มร้องไห้ออกมา

เสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมาในห้อง แต่กอริลลาก้องไม่รู้ตัว ราวกับหูอื้อไปชั่วขณะ มันไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงความคิดของตัวเอง เจ็บนะ มันโอดครวญ ผมก็เจ็บเหมือนกัน  ทำไมพี่ไม่สนใจ มันคร่ำครวญอีก หัวใจของมันพร่ำเพ้อโหยหาความใส่ใจจากผู้ปกครอง เป็นความสับสนในตัวเองระหว่างน้อยใจกับฝืนทำเป็นเข้มแข็ง กอริลลาก้องนึกไปเองว่าถ้าไม่เจอผู้ปกครองซักพัก สถานการณ์คงดีขึ้น ดังนั้นมันจึงตั้งใจขังตัวเองไว้ในตู้เพื่อไถ่โทษ มันจะอยู่ในนี้อีกพักใหญ่ๆเพื่อสำนึกผิด มันจะไม่โผล่หน้าออกไป มันจะไม่กวนใจผู้ปกครอง แต่ลึกๆกอริลลาก้องรู้สึกกลัวเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น คืนที่เกือบโดนตียังฝังแน่นในหัว

หรือต้องโดนซักที

มันถามตัวเอง

ถ้าต้องโดนตีก็สมควรแล้ว มันทำคุณหมูพีเจ็บเจียนตาย งั้นออกไปยอมรับโทษแบบแมนๆดีกว่าขี้ขลาดแบบนี้ดีไหม อย่างน้อยมันก็เป็นลูกผู้ชาย แม่สอนไว้ว่าทำผิดต้องกล้ารับผิด แต่เสียงเล็กๆแอบค้านในใจ

ไม่ใช่ความผิดของเราซักหน่อย

หมูพีทำตัวเอง
มันบ้าเอง
กรีดร้องเอง
คิดมากไปเอง
ทำร้ายตัวเอง

ก้องเกียรติไม่ได้ทำอะไรเลย ก้องเกียรติแค่ปกป้องผู้มีพระคุณ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเป็นความผิดของมันได้ยังไง จะโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะมันคนเดียวก็ไม่ยุติธรรมสิ

กอริลลาก้องสับสน เหงื่อไหลย้อยจากขมับถึงปลายคาง ริมฝีปากสั่นระริกเพราะความกลัว มันนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าผู้ปกครองกลับมาจะโดนอะไรบ้าง ถ้าโดนไล่ออกจากบ้านล่ะ ถ้าโดนตีล่ะ ถ้าผู้ปกครองไม่ขออุปการะต่อไปล่ะ มันจะอยู่ด้วยเงินสี่ร้อยกว่าบาทยังไง

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่กอริลลาก้องยังคงไม่ได้ยิน คราวนี้มันใช้สองมือโอบกอดตัวเอง ซุกหน้าลงบนเข่า ในหัวเอาแต่ท่องว่าทำไงดีๆ มันควรเถียงหรือควรรับโทษโดยไม่มีข้อแก้ตัว แต่กอริลลาผู้ภักดีตัวนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆนะ มันแค่ปกป้องผู้ครองแต่ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจเจตนาของมันไหม ผู้ปกครองของมันป่วย มันจึงอยากช่วยให้แรงกดดันลดลงแต่กลับกลายเป็นเลวร้ายกว่าเดิม กอริลลาก้องฟุ้งซ่านจนไม่ได้ยินเสียงที่หยุดอยู่หน้าประตูตู้เสื้อผ้า จังหวะที่กัดเล็บหักดังกึก บานประตูก็เปิดออก ผู้ปกครองของมันกลับมาแล้ว

กอริลลาก้องเงยหน้ามองผู้มีพระคุณ มันสับสนว่าควรทำยังไงระหว่างแก้ต่างให้ตัวเองหรือกราบขอโทษที่ทำให้คุณหมูพีเจ็บปางตาย ดวงตาของมันล่อกแล่ก มองใบหน้าที่มีรอยช้ำตรงมุมปากด้วยความหวาดระแวง ทันใดนั้นมันจึงตัดสินใจยกมือขึ้น พนมมือแนบอก พูดสั้นๆว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อนนะครับ

จบแค่ตรงนั้น ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีการแก้ตัวด้วยประโยคยืดยาวเพื่อขอความเมตตา กอริลลาก้องพูดเจตนาของตัวเองตรงๆและเอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำผิดไป ความเงียบของผู้ปกครองทำให้มันใจสั่นจนต้องเงยหน้าสบตา แต่กลับเห็นแค่ความว่างเปล่าเหมือนผู้ปกครองของมันหลุดลอยไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง

“พี่อู๋ -- พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”

ทันใดนั้นผู้ปกครองของมันก็ย่อตัวลง กอริลลาก้องรีบกระถดเข้าในตู้เสื้อผ้าลึกกว่าเดิมเพราะกลัวถูกกระชากออกไปกระทืบ เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด มันรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว คงไม่พ้นโดนเตะออกจากบ้าน หรือไม่ก็โดนฟาดซักสองสามที โทษฐานทำให้สงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นเพราะความปากเสียของตัวเอง

“ผมย้ายออกก็ได้ เดี๋ยวผมไปเลยก็ได้”

มันอ้ำอึ้งแล้วเริ่มพล่ามเพราะพี่อู๋ไม่ยอมพูดอะไรเลย มันบอกผู้ปกครองว่าผมไม่อยากให้เขากดดันพี่ ผมไม่อยากให้เขาบีบพี่ ผมไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้น ผมขอโทษที่ทำให้พี่กับแฟนทะเลาะกัน ผมจะไปแล้วครับ ผมจะย้ายออกแล้วครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน

ผู้ปกครองของมันถอนหายใจก่อนจะใช้มือดึงกอริลลาก้องออกจากตู้เสื้อผ้า มันกลัวจนต้องหลับตาปี๋เพราะไม่รู้ชะตากรรม ทว่าผู้ปกครองของมันไม่ได้มาเพื่อลงไม้ลงมืออย่างที่คิด พี่อู๋แค่พลิกดูปลาสเตอร์ยาตามแขนและใบหน้า เขาเชยคางกอริลลาก้องขึ้นมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

“เหงื่อแตกจนปลาสเตอร์จะหลุดแล้ว”

พี่อู๋บ่นเหมือนเป็นเรื่องขำๆ กอริลลาก้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“ออกมาจากตู้เถอะ ไม่ต้องกลัว พี่ไม่โกรธก้องหรอก ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”

ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ก้องไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย

ตอนนั้นเองนายก้องเกียรติถึงตระหนักได้ว่าคุณอุรัสยาไม่ได้โกรธมันเลย ความกลัวทั้งหมดเบาบางลง กอริลลาก้องน้ำตาไหลเงียบๆก่อนจะเดินตามผู้ปกครองไปที่โซฟาเพื่อให้เขาแกะปลาสเตอร์ยาออกอีกครั้งเตรียมทำแผลใหม่รอบที่สอง




นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามสิบสี่นาที

พี่อู๋ลอกปลาสเตอร์ยาอันเก่าออกพลางบ่นว่ายี่ห้อนี้กาวเหนียวเกินไป ตอนแกะอาจจะเจ็บจนน้ำตาไหลเพราะกาวดึงขนออกมาด้วย ผมที่กำลังสับสนได้แต่นั่งเฉยๆ คอยยกแขนและเงยหน้าให้พี่อู๋ทำแผลได้ถนัด เขาใช้น้ำเกลือเช็ดรอยบาดแทนที่จะเป็นแอลกอฮออล์ขวดเล็กสีฟ้าที่ซื้อมาจากเซเว่น เขาทาเบตาดีนบางๆจนครบทุกรอย แต่ไม่ติดปลาสเตอร์ให้ใหม่

“แผลแบบนี้ไม่ต้องติดหรอก เดี๋ยวมันก็แห้งเอง”

พี่อู๋อธิบาย เขาจ้องคางของผมอยู่นานเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ก่อนหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพเพื่อส่งไปให้พี่ออมดู

“เห็นรูปยัง? เจ๊ว่าต้องเย็บไหม?”

พี่อู๋ถามพี่สาวของตัวเองที่เป็นอาจารย์หมอ ผมไม่รู้จะแสดงอารมณ์ยังไงออกมาระหว่างโล่งอกกับดีใจที่ได้รู้ว่าเขาเองก็เป็นห่วงผมเหมือนที่ห่วงคุณหมูพี บทสนทนาของสองพี่น้องนั้นสั้นและเรียบง่าย มีแค่คำว่าเหรอ อืม ใช่ๆ พีทำ มันใช้เศษจาน ก็ไม่เหวอะเท่าไหร่แต่เยอะอยู่เหมือนกัน โอเค สรุปว่าไม่ต้องเย็บเนอะ งั้นเจ๊นอนต่อเถอะ ขอบคุณมากที่ตื่นมารับสาย

หลังจากนั้นพี่อู๋ก็หันมาหาผม เขาบอกว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล แผลจะสมานตัวเองเพราะไม่ได้ลึกอะไรมากมาย คุณอุรัสยาเงียบอีกพักใหญ่ เขาดูมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูด พี่อู๋คงเก็บความเครียดไว้กับตัวเองตามเคย แน่นอนว่าเขาไม่มีวันบอกตัวปัญหาหรอกว่าคุณหมูพีเป็นไงบ้าง แต่เดาจากท่าทาง ผมคิดว่าคงเจ็บหนักแต่ไม่ถึงกับตาย

เพราะถ้าคุณหมูพีตาย พี่อู๋ก็คงไม่ได้กลับบ้าน

เขาต้องหาซื้อโลงศพ ต้องแจ้งพ่อแม่ของคุณหมูพีและยืนให้ฝั่งนั้นตบตีอีกพักใหญ่ หลังจากนั้นก็เตรียมหาวัดเพื่อวางร่างไร้วิญญาณของอดีตคนรัก ติดต่อสัปเหร่อ ติดต่อเจ้าอาวาส ติดต่อร้านจัดดอกไม้ ติดต่อร้านรูปถ่ายเพื่อทำกรอบรูปสวยๆมาวางหน้าโลง เรื่องพวกนั้นต้องใช้เวลาและค่อนข้างยืดเยื้อ อาจจะถึงตีสามตีสี่หรือไม่ก็ถึงเช้า แต่ถ้าเขากลับเร็วแบบนี้ แสดงว่ายังไม่ตาย

“ก้องไปหลบในตู้เสื้อผ้าทำไม?”
“ผมกลัว”
“กลัวอะไร?”

ผู้ปกครองถาม ผมอ้ำอึ้ง แต่ก็ยอมรับตรงๆว่ากลัวถูกตีเหมือนคืนก่อน พี่อู๋หน้าเสียนิดหน่อยเมื่อเหตุการณ์คืนนั้นถูกพูดถึงอีกครั้ง เขาเดินมานั่งข้างผมแล้วลูบหัวเบาๆพร้อมกับบอกว่าลืมๆไปบ้างเถอะ พี่ไม่ใช่คนใจร้ายถึงขนาดทำก้องเจ็บตัวหรอก

ใครมันจะไปรู้วะ

ผมนึกในใจเพราะเห็นเขาทะเลาะกับคุณหมูพีค่อนข้างบ่อย บางทีก็ตบหัวกัน บางทีก็ตบหน้ากัน หนักเข้าคือกำหมัดแล้วทุบปึกๆเลย ผมกลัวว่าวันหนึ่งคนที่โดนทำร้ายอาจเป็นผมเอง คนที่โดนตบจนหน้าแดงเป็นปื้นอาจเป็นนายก้องเกียรติก็ได้

“พี่อู๋ครับ”
“ว่าไง?”
“เดี๋ยวผมเก็บห้องให้นะ”

พี่อู๋ส่ายหน้า เขาดูอ่อนล้าและเครียดมากจนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่

“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่เช็ดเอง”

ผมมองหน้าพี่อู๋ จ้องลึกเข้าไปในแววตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของเขาอีกสองสามวิก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย วันนี้คงเร็วไปที่จะคุยกัน พี่อู๋อาจไม่พร้อมฟังคำอธิบายหรือบอกเล่าอาการของคู่กรณีให้รู้ หลังจากแกล้งหันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่แค่สองสามก้าว ผมก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆของผู้ปกครอง

พี่อู๋กำลังร้องไห้
เขาแอบร้องไห้ตอนที่ผมหันหลัง

เสียงฟุดฟิดดังอีกพักใหญ่ๆ กอริลลาก้องที่เคยกลัวผู้ปกครองจนลนลานได้แต่ยืนหัวใจสลาย แค่อยากช่วยแต่กลายเป็นทำร้าย อยากปกป้องแต่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ผมรู้สึกแย่จนทำอะไรไม่ถูกนอกจากกลับไปนอนบนเตียงก่อนจะหยิบยานอนหลับที่หมอให้ไว้ออกมาจากลิ้นชัก

ยานอนหลับตัวใหม่ล่าสุดจากหมอ เป็นแคปซูลกลืนง่ายคล่องคอบรรจุอยู่ในซองสีชา ผมจ้องมันอยู่นานหลายนาที ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย แค่อยากพักผ่อนซักสิบชั่วโมงให้หายเครียด แต่ผมจะไม่เห็นแก่ตัวด้วยการกินคนเดียว ดังนั้นตอนที่พี่อู๋จัดการข้างนอกเสร็จแล้วเดินเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจึงยื่นยานอนหลับให้เขาสามเม็ด และกำไว้ในมือตัวเองอีกสามเม็ด

“พี่จะหลับสนิทและไม่ฝันเลย”

ผมอวดอ้างสรรพคุณ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าพ่อค้ายาที่ใช้วาทศิลป์กล่อมลูกค้าให้หลงเชื่อจนต้องซื้อ

“มันไม่แรงพอจะทำให้พี่ตาย แต่ก็มากพอจะช่วยให้พี่หายเครียดนะ”

พี่อู๋มองเม็ดแคปซูลในมือ ไม่แสดงออกว่าโกรธหรือโมโหที่ผมเสนอทางเลือกพิลึกพิลั่นแบบนี้ หลังจากทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน ในที่สุดพี่อู๋ก็เขกหัวผมหนึ่งที นี่แหน่ะ! นายก้องก๋อย อย่าคิดหนีความจริงด้วยวิธีแบบนี้อีกล่ะ

“แต่มันไม่ถึงตายจริงๆนะ มันจะทำให้พี่หลับสบาย ตื่นมาพี่จะรู้สึกสดชื่นแบบ ว้าว -- นอนเต็มอิ่มนี่ดีจริงๆ”
“หมอไม่ได้จ่ายมันให้พี่ หมอจ่ายให้ก้อง”

พี่อู๋ดึงผมนอนลงข้างๆแล้วห่มผ้าให้

“ยานอนหลับก็มีโทษทางอ้อม ไม่รู้เหรอว่ายิ่งกินยิ่งโง่ ถ้ายังอยากสอบเข้ามหาลัยอยู่ก็กินแค่วันละเม็ดพอ อย่าเกินกว่านี้ ไม่งั้นจะโง่จนฝนข้อสอบไม่ได้”

ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋พูดจริงหรือหลอกแต่ก็กรอกยาทั้งหมดกลับใส่ซองตามเดิม ผมทานยาหนึ่งเม็ดเท่าที่หมอสั่งแล้วล้มตัวลงนอน ส่วนพี่อู๋นอนข้างๆ เขาพลิกตัวไปมานานหลายนาทีจนผมผล็อยหลับไปก่อน พอรู้สึกตัวอีกทีตอนเช้า ผมก็เพิ่งรู้ว่ายานอนหลับหายไปห้าเม็ด ซึ่งคนกินไม่ใช่ผมแน่ๆ เมื่อคืนผมทานเม็ดเดียวตามที่หมอสั่ง ดังนั้นโจรขโมยยาจึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ปกครองที่หลับสนิทอยู่ข้างๆนั่นเอง

พี่อู๋แอบกินยานอนหลับของกอริลลาก้องไปห้าเม็ด
วันนี้ -- ผมต้องสั่งให้เขาซื้อมาคืนเท่าเดิมแล้วล่ะ







พาร์ท 2 อยู่ reply ถัดไปเลยงับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-01-2019 19:10:02
13 (PART2)


ผลของการกินยานอนหลับเกินขนาดทำให้พี่อู๋หน้ามึนเหมือนยังไม่ตื่น อารมณ์นิ่งเหมือนทะเลไม่มีคลื่นลม ความเครียดที่เคยฉายบนใบหน้าหายเป็นปลิดทิ้งราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ เป็นไงล่ะ ผมนึกในใจ บอกแล้วว่ามันดี ของมันต้องมีจริงๆ ถ้าพี่ไปหาหมอตอนนี้ ผมจะบอกหมอให้จ่ายยาดีๆทุกรอบเลย

เราอยู่ด้วยกันสองคนและทำกิจวัตรเดิมๆ พี่อู๋ตื่นสายกว่าผมนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าเช้ากว่าปกติ เขาเดินมาเปิดทีวีฟังพี่น้องไบร์ท ผมทำผัดฟักทองแต่เขากินไม่หมด ผมต้มกระดูกหมูให้กิน เขาก็กินแต่น้ำซุปแล้วเหลือหมูทิ้งไว้ ขณะที่ผมนอนดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคห้าบนโซฟา พี่อู๋ย้ายไปนั่งกดเปียโนเรื่อยเปื่อยเหมือนพยายามหัดเล่น แม้ว่าเสียงโทรศัพท์จะดังแทบตลอดเวลา แต่เขาก็ยังก้มหน้าก้มตากดคีย์เปียโนติ๊งๆไม่เป็นเพลง

ผมรอจนกระทั่งโทรศัพท์พี่อู๋ดังเป็นครั้งที่สามสิบสี่ คุณอุรัสยาทุบคีย์เปียโนด้วยความหงุดหงิดจนเสียงดังแปร่งก่อนจะเดินมารับสาย หัวใจของกอริลลาก้องเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ผมรู้อยู่แล้วว่าเกี่ยวกับคุณหมูพีแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพี่อู๋คงไม่กลับมาปั้นหน้าเครียดเหมือนเมื่อคืนหรอก

“ครับ ครับ” เขากรอกเสียงลงในสาย “ครับ ผมไม่ได้ชิ่งครับ ผมกำลังอาบน้ำแต่งตัวไปหาพีครับ”

พี่อู๋ตอบ เมื่อวางสายเขาก็ถอนหายใจแล้วเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้ปกครองของผมกำลังจะไปอีกแล้ว ความสัมพันธ์อันน่าเบื่อหน่ายนี่กำลังกัดกินความสดใสของพี่อู๋จนกลายเป็นคนกลวงโบ๋ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความสุข ไม่มีแม้แต่ปากเสียงจะเถียงคนในสายว่าไม่ใช่หน้าที่เขาเลยที่ต้องไปดูแลหมูบ้า

“ให้ผมไปด้วยได้ไหมครับ?”

ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋เดินออกจากห้องน้ำ เขาเลิกคิ้วแล้วตอบว่าอย่าไปเลย ผู้ใหญ่อยู่กันเยอะ ไหนจะเพื่อน ไหนจะพ่อแม่ของพีที่ก็กำลังโมโหอีก เดี๋ยวก้องโดนด่าเอานะ แต่ผมยังยืนยันเจตนาของตัวเองเหมือนเดิม ผมจะไม่ปล่อยให้พี่อู๋ไปเผชิญหน้ากับเรื่องเฮงซวยที่เกิดจากผมอีกแล้ว ผมจะไปกับเขา เราจะอยู่ข้างๆกันในช่วงเวลาส้นตีนแบบนี้

“ผมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ ผมคงไม่สบายใจถ้าไม่ได้ขอโทษเขา”

ผมตอแหล

“พี่ให้ผมไปเถอะนะ อย่างน้อยให้ผมได้ขอโทษพ่อแม่ของพี่หมูพีที่พูดจาไม่ดีจนเขาทำร้ายตัวเอง”
“ก้องแน่ใจเหรอว่าอยากไป?” พี่อู๋ขมวดคิ้ว ท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วย
“ครับ”

ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าสมัยเรียนรด. เมื่อพี่อู๋พยักหน้ารับ ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นวีออสสีดำพร้อมผู้ปกครอง เตรียมมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมคุณหมูบ้าทันที



หน้าห้องพักผู้ป่วยมีคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่งนั่งหน้าเศร้ากับเพื่อนๆของคุณพีรพัฒน์อีกสามสี่คน ทันทีที่พี่อู๋ปรากฏตัวขึ้น ทุกสายตาก็จับจ้องมาด้วยความไม่พอใจนิดๆเพราะมาเยี่ยมคุณหมูพีช้า แต่หากมองเลยไปอีกหน่อย พวกเขาจะเห็นกอริลลาก้องในสภาพแผลเต็มตัวยืนหลบหลังผู้ปกครองเหมือนเด็กกลัวความผิด

“แกก็กล้าพามันมาอีกเนอะ” พี่ผู้หญิงที่แต่งตัวสวยคนหนึ่งพูด “ทำพีเจ็บตัวขนาดนี้แล้ว จะพาเด็กมันมาตอกย้ำพ่อกับแม่ทำไม?”

ผมยกมือไหว้ทุกคนด้วยท่าทางจ๋อยๆ พอถึงเวลาจริงๆแล้วการตกอยู่ในจุดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายผิดนั้นยากที่จะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมประหม่าเมื่อแววตาของบรรดาผู้คนที่รักคุณหมูพีจับจ้องมายังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้ คำพูดง่ายๆอย่างขอโทษครับจึงยังไม่หลุดออกจากปากของกอริลลาก้อง ผมยืนตัวลีบอยู่นานจนพี่อู๋ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย

“พีเป็นไงบ้าง?”
“จะถามถึงทำไม? เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

งั้นพวกคุณจะโทรจิกให้พี่อู๋มาที่นี่ทำซากอะไร เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ

ผมคิด แต่ไม่ได้พูด

ดูหมือนว่าทุกคนจะโยนความผิดให้พี่อู๋มากกว่าผมที่เป็นตัวต้นเหตุ พวกเขากล่าวโทษว่าพี่อู๋สันดานไม่เคยเปลี่ยนเลย ทั้งๆที่พีให้โอกาสแก้ตัวรอบที่ร้อยแล้ว แต่ก็ยังทำให้พีเสียใจจนอาการกำเริบอีก บลา บลา บลา อู๋ คราวนี้มันเกินไปนะ พีกรีดลึกจนเอ็นเกือบขาด แทนที่จะแสดงความรับผิดชอบกลับลอยตัวเหนือปัญหา บลา บลา บลา พีอาการดีขึ้นแล้วแท้ๆแต่ต้องกลับมาทำร้ายตัวเองเพราะ บลา บลา บลา

บลา บลา บลา
บลา บลา
บลา

หลากหลายถ้อยคำตำหนิสาดใส่ผู้ปกครองของผมยิ่งกว่าปืนกล พี่อู๋ก็ช่างว่าง่าย ยืนเก็บมือเรียบร้อยและน้อมรับคำผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำทุกอย่าง กอริลลาก้องผู้ขี้ขลาดได้แต่แก้ต่างแทนอยู่ในใจ คนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยเพราะไม่เคยเห็นว่าเวลาที่พวกเขาอยู่กันสองคน คุณพีรพัฒน์ผู้อ่อนหวานนั้นทำตัวประสาทแดกแค่ไหน สำหรับผม พี่อู๋ทำดีที่สุดแล้ว เขาทำเต็มที่ในส่วนของการดูแลคุณหมูพี แต่ส่วนของความรัก ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นยังตกตะกอนในใจของเขาหรือเปล่า

“นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่อู๋ทำให้พีเสียใจ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี อู๋ไม่อายบ้างเหรอถ้าคนอื่นรู้ว่าออฟเด็กมาเลี้ยงทั้งๆที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว”

คุณพ่อของคุณหมูพีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่ใส่อารมณ์ แววตาของเขาไม่แสดงออกว่าโมโหเหมือนในละครที่แม่ชอบดู แต่ความน่ากลัวนั้นมากจนพี่อู๋ถึงกับอึ้ง พูดอะไรต่อไม่ถูก ซักพักคุณแม่ของคุณหมูพีก็เริ่มร้องไห้ เธอบอกว่าผิดหวังในตัวพี่อู๋มาก ทั้งๆที่แม่รักและไว้ใจให้อู๋ดูแลพี ตลอดเวลาที่ผ่านมาพีมีอู๋คนเดียว เขารักอู๋ตลอด ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออู๋ เขาผูกพันกับอู๋มาก ทำไมอู๋ทำแบบนี้กับลูกของแม่ ถ้าอู๋ไม่รักพีแล้วก็คืนพีให้พ่อกับแม่ดีกว่า อย่าทำร้ายน้ำใจพีอีกเลย

โห -- ถ้าจะมาเป็นบทขนาดนี้ ผมว่าส่งให้ผู้จัดละครซักช่องเอาไปทำละครเถอะ

แม่ของคุณหมูพีเล่นใหญ่จนทุกคนน้ำตาคลอยกเว้นกอริลลาก้องที่ยืนอยู่ด้านหลัง พี่อู๋เอาแต่พูดว่าขอโทษครับ ขอโทษครับแต่ไม่อธิบายอะไร เขาไม่ดันผมไปยืนข้างหน้าแล้วบังคับให้พูดขอโทษตามที่บอกไว้ แต่กลับใช้แผ่นหลังของตัวเองบังผมราวกับไม่อยากให้คำพูดเจ็บแสบพวกนั้นทำร้ายกอริลลาก้อง

พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก -- ผมนึกในใจ เพราะคำพูดพวกนั้นน่ะจิ๊บจ๊อยมากสำหรับผมเมื่อเทียบกับประโยคที่ป้าเพ็ญใช้ด่าพวกเบี้ยวหนี้เสียอีก ดังนั้นผมจึงขยับตัวไปยืนข้างพี่อู๋แล้วยกมือขอโทษเพื่อหยุดละครฉากนี้

“อย่าว่าพี่อู๋เลยครับ ผมผิดเอง ผมผิดที่พูดจาไม่ดีกับพี่หมูพี”

ผมแสดงความเสียใจออกมาตรงๆและแย่งซีนพี่อู๋ด้วยการเริ่มฉากใหม่ 

“ทั้งหมดเป็นความผิดของผมครับ ผมพูดจาสะกิดแผลใจพี่หมูพีจนเขาทำร้ายตัวเอง แต่ที่พูดไปเพราะผมหวังดี ผมอยากให้คุณหมูพีเข้าใจพี่อู๋และเลิกตีพี่อู๋ซักที”

สถานการณ์พลิกกลับเมื่อผมพูดคำว่าตีพี่อู๋ วิธีเปิดประโยคด้วยการขอโทษและปิดท้ายด้วยการเกริ่นในสิ่งที่คนนอกไม่เคยรู้คือการฟ้องโดยไม่ทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ แต่พอเห็นท่าทางเฉยชาของพวกเขาผมถึงตระหนักได้ว่าไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้

ครอบครัวและเพื่อนๆของคุณหมูพีต่างรับรู้ว่าเขาทำร้ายพี่อู๋มาตลอด แค่ไม่เคยรู้ว่ามันรุนแรงขนาดไหน

ผมถือโอกาสนี้บอกว่าผู้ปกครองของผมอดทนมามากจริงๆ พี่อู๋ทำดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้แฟนได้แล้ว ถ้าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าคุณหมูพีอยู่ในภาวะไม่ปกติก็อย่าต่อว่าพี่อู๋อีกเลย พวกคุณคงรับรู้แค่ตอนที่คุณหมูพีทำร้ายตัวเองจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ตอนพี่อู๋เป็นฝ่ายโดนกระทำล่ะ พวกคุณเคยรู้บ้างไหม เคยมาเยี่ยมหรือสั่งให้คุณหมูพีขอโทษเหมือนที่สั่งพี่อู๋บ้างไหม

ก็ไม่เห็นเคยทำแบบนั้นเลยนี่

แล้วทำไมถึงกล้าเอาพรรคพวกมากดดันพี่อู๋ในขณะที่เขาแทบไม่เคยใช้ใครเป็นเครื่องมือทำร้ายคุณหมูพีเลยซักครั้ว ทำไมไม่แฟร์กับพี่อู๋บ้าง ทำไมไม่เห็นใจผู้ปกครองของนายก้องเกียรติบ้าง

“ลองดูมือพี่อู๋สิครับ”

ผมถือโอกาสดึงมือซ้ายที่มีรอยแผลเป็นของพี่อู๋ รอยเย็บตะปุ่มตะป่ำคือหลักฐานชั้นดีว่าสิ่งที่พี่อู๋ต้องเจอก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกัน เขาทั้งโดนตบโดนตี บางครั้งถึงกับโดนเท้าถีบแต่พี่อู๋ไม่เคยบอกใครเลย เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อให้คุณหมูพีดูดีในสายตาของทุกคนตลอด เพราะฉะนั้นจะมาอ้างว่าพี่อู๋ทำให้คุณหมูพีเจ็บตัวฝ่ายเดียวคงไม่ถูก ต้องพูดว่าพวกเขาทำร้ายกันและกันต่างหาก แค่วันนี้พี่อู๋ขอเป็นฝ่ายไปไม่ได้แปลว่าพวกคุณจะชี้หน้าด่ายังไงก็ได้ ลองคิดดูสิว่าการที่คนคนหนึ่งหมดความอดทนกับคนรักที่คบมาเกือบสิบปีมันต้องหนักขนาดไหน คุณหมูพีต้องร้ายขนาดไหนพี่อู๋ถึงทนต่อไปไม่ไหว

ฉากการโต้วาทีในหัวข้อนายอู๋คือคนเหี้ยหรือไม่ถูกขัดขวางโดยนางพยาบาล เธอเดินออกจากห้องเพื่อแจ้งให้พวกเราทราบว่าคุณหมูพีตื่นแล้ว เขาบอกว่าอยากเจอแม่ ช่วยเข้าไปพบผู้ป่วยหน่อยนะคะ คุณแม่ของคุณพีรพัฒน์ขอบคุณเธอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนานเกือบสิบนาที ซักพักก็ออกมาใหม่ก่อนจะเรียกพี่อู๋

“อู๋ พีมีเรื่องจะคุยด้วย”

ท่านบอก ผมได้แต่มองผู้ปกครองเดินเข้าห้องผู้ป่วยด้วยความเป็นห่วง ในใจหวังว่าจะไม่มีการรีเทิร์นหรือความอาลัยอาวรณ์ที่ยืดเยื้อและน่ารำคาญอีก แน่นอนว่าตลอดเวลาที่พี่อู๋อยู่ข้างใน กอริลลาก้องโดนสายตาจับจ้องเหมือนเป็นลิงประหลาด สายตาของพวกเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังหรือดูถูกเหยียดหยาม ก็แค่มองมา มอง -- จนผมรู้สึกตัวเล็กลงเหมือนถูกบีบด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น

พี่อู๋อยู่ในนั้นแค่ห้านาทีแล้วออกมา สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์หรือบ่งบอกอะไรเลยนอกจากยกมือไหว้ขอโทษพ่อแม่คุณพีรพัฒน์อีกครั้ง เหล่าเพื่อนๆของคุณหมูพีรีบเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยเพื่อปลอบใจเพื่อนรัก แต่ผมว่าคงรีบไปเผือกว่าผลลัพธ์เป็นยังไงมากกว่าเพราะสีหน้าของบางคนดูอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเป็นห่วงเพื่อน

ในขณะที่ละครฉากใหญ่กำลังดำเนินหน้าห้อง กอริลลาก้องคิดว่าผู้ปกครองคงขอโทษและขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเพื่อดูแลลูกชายของพวกเขาแน่ๆ ผมมั่นใจว่าพี่อู๋รู้ดีว่ายังเลิกกับคุณหมูพีตอนนี้ไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะฆ่าตัวตาย แล้วหัวใจของพี่อู๋ก็จะยิ่งเหวอะหวะขึ้นไปอีกหากมีคนใกล้ตัวตายด้วยวิธีนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

“สรุปอู๋จะเอายังไงต่อไป? ยังรักพีเหมือนเดิมไหม?”

คุณพ่อของคุณพีรพัฒน์ถาม พี่อู๋นิ่งไปแค่ชั่วครู่แล้วยกมือขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของอดีตคนรัก

“ผมกับพีตัดสินใจแล้วครับ”

เขาเลี่ยงการตอบว่ารักหรือไม่รัก

“ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ผมว่าเราเลิกกันดีกว่า”

ผิดคาดจากที่ผมคิดไว้ พี่อู๋บอกเลิกคุณหมูพีต่อหน้าพ่อแม่ของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว

“หลังจากนี้ผมจะคืนหมูพีให้กับคุณลุงคุณป้าและจะไม่ยุ่งกับพีอีกตามที่ทุกคนสั่ง ขอโทษที่ไม่มีความอดทนมากพอนะครับ แต่ถ้าต้องอยู่กันแบบนี้ต่อไป ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

พี่อู๋ยกมือไหว้เป็นครั้งสุดท้ายแต่ยังคงเก็บเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ไว้กับตัวเอง เขาไม่บอกพ่อแม่คุณหมูพีเลยว่าเคยโดนอะไรมาบ้าง ไม่แม้แต่จะใส่อารมณ์หรือแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็น จังหวะที่กำลังยกมือไหว้ขอตัวกลับ แม่ของคุณหมูพีก็พูดขึ้น

“จะเอาแบบนี้จริงๆเหรออู๋? คบกันมาสิบปี แต่จะทิ้งพีไปด้วยเหตุผลนี้จริงๆเหรอ?”

เธอมองมาที่กอริลลาก้องเป็นนัย เราต่างรู้ว่าคุณแม่ของคุณพีรพัฒน์หมายความว่ายังไง เธอไม่พอใจที่พี่อู๋เด็ดขาดถึงขนาดพูดตรงๆว่าจะไม่ยุ่งกับลูกชายของพวกเขาอีก บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร ในเมื่อพูดเองว่าถ้าไม่รักก็ให้คืนคุณหมูพีกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่ แต่พอคืนให้จริงๆก็ไม่พอใจ แสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้พี่อู๋อยู่ที่เดิมเพื่อลูกชายตนเอง

“พีอยู่ไม่ได้นะถ้าไม่มีอู๋”
“ผมทราบครับ” พี่อู๋ตอบ “แต่ผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าพียังเป็นแบบนี้”
“แน่ใจเหรอว่าสาเหตุคือพี? ไม่ใช่คนอื่นเหรอที่ทำให้อู๋เปลี่ยนไป?”

พี่อู๋ส่ายหน้า เขายืนยันเสียงหนักแน่นว่าไม่ใช่ ไม่มีใครทำให้พี่อู๋เปลี่ยนไปทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นเพราะเขาเบื่อที่คุณหมูพีชอบทำร้ายตัวเองเวลาไม่ได้ดั่งใจ หลังจากเอมตายไป เขาไม่มีความอดทนมากพอที่จะรับมือกับคนป่วยเหมือนเมื่อก่อน ถ้าคุณหมูพีทำร้ายพี่อู๋คนเดียว เขาอาจจะทนต่อไปได้ แต่เพราะคุณหมูพีทำร้ายกอริลลาก้อง นั่นต่างหากคือสิ่งที่พี่อู๋รับไม่ได้

ผู้ปกครองดึงผมไปยืนข้างหน้าแล้วชี้รอยบาดจากเศษจานให้พวกเขาดู ทั้งแขนและใบหน้า โดยเฉพาะตรงคางที่เหวอะกว่าจุดอื่นเป็นพิเศษ พี่อู๋พูดว่าเห็นแผลพวกนี้ไหมครับ ฝีมือของพีทั้งนั้น พีอายุจะสามสิบแล้ว แก่กว่าก้องตั้งเท่าไหร่แต่ทำไมทำกับเด็กได้ลงคอ ก้องอายุแค่สิบเจ็ดเอง แถมยังโดนพีสั่งให้ทำงานเหมือนเป็นคนใช้ส่วนตัวด้วยซ้ำ ก้องดีกับพีขนาดนี้ ทำไมต้องโหดร้ายกับเด็กจนเอาเศษกระเบื้องกรีดด้วย

“ลองคิดดูสิครับว่าถ้าพีโดนกรีดจนเหวอะแบบนี้ทั้งตัว พ่อกับแม่จะรู้สึกยังไง”

พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆเมื่อพ่อกับแม่ของอดีตแฟนไม่คิดจะโทษลูกชายตัวเองเลย

“ผมเคยบอกพีแล้วว่าสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการทำร้ายเด็ก การที่ก้องไม่มีพ่อแม่ ไม่ได้หมายความว่าใครจะทำอะไรเขาก็ได้ เด็กทุกคนควรได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ ไม่มีเด็กคนไหนบนโลกสมควรโดนแบบนี้ ไม่มีใครสมควรโดนกรีดจนเหวอะเหมือนก้องทั้งนั้น”

คุณพ่อคุณแม่ของคุณหมูพีเงียบไปครู่ใหญ่ พวกเขามองมาที่นายก้องเกียรติสลับกับผู้ปกครองราวกับสื่อสารกันทางสายตา ผมว่าในประโยคพวกนั้นน่าจะมีความหมายมากกว่าที่พี่อู๋พูดเพราะสีหน้าคุณแม่ของคุณหมูพีเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนสัมผัสได้ถึงนัยแฝงบางอย่าง

“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมกับก้องขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

เขาพูดแค่นั้นแล้วจูงมือกอริลลาก้องที่กำลังยกมือจะสวัสดีไปลานจอดรถ ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋เสียใจไหมเพราะใบหน้าของเขานั้นเรียบตึงไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย นายก้องเกียรติรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ลึกๆก็ดีใจที่คุณหมูบ้าจะไปให้พ้นๆจากชีวิตของเราเสียที แต่อีกใจก็เป็นห่วงผู้ปกครอง คนคบกันมาสิบปี ต่อให้สาเหตุที่เลิกกันจะมีเหตุผลขนาดไหน คงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่าไม่เสียใจที่ต้องเลิกรากันไปหรอก

 ปิ๊บๆ

พี่อู๋กดรีโมตปลดล็อครถแล้วขึ้นนั่ง กอริลลาก้องรีบตามไปติดๆ เราต่างคาดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่พูดจากัน ไม่มีคำถาม ไม่มีการปลอบใจ ไม่มีการจับมือเพื่อให้กำลังใจทั้งนั้น ผมปล่อยให้พี่อู๋อยู่ในช่องว่างซักพัก เมื่อเขาพร้อม เขาจะบอกผมเอง เขาจะบอกนายก้องเกียรติเองว่าต้องการอะไร

“ก้องว่าพี่ผิดมากเลยเหรอที่บอกเลิกพี?”

พี่อู๋ถามลอยๆเหมือนไม่จริงจัง เขาสตาร์ทรถแต่ยังไม่ขับออกจากลานจอด ใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกค่อยๆหันมาทางผม กอริลลาก้องส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“พี่ทำดีที่สุดแล้วครับ”

ผมพูดแค่นั้น ไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าผิดหรือไม่ผิดตามที่เขาขอความเห็น พี่อู๋ไม่ถามอะไรอีกนอกจากดึงเบรกมือลงแล้วออกรถ เราเลี้ยวออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกอึมครึม มันทั้งอึดอัดทั้งหม่นเศร้าจนผมต้องถือวิสาสะเปิดวิทยุเพื่อไม่ให้ห้องโดยสารเงียบเกินไป ตอนแรกทุกอย่างไปได้ด้วยดี พี่อู๋ดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงของบรูโน่ มาร์ส แต่พอสถานีเล่นเพลงอย่าบอกของอะตอม ชนกันต์ บรรยากาศก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อถึงท่อนเพลงที่ว่า --

อย่าบอกว่าเธอเสียใจ
คนที่เสียใจวันนี้ต้องเป็นฉัน


ผู้ปกครองของผมที่เคยเข้มแข็งมาตลอดหลายชั่วโมงก็น้ำตาไหลอาบแก้มทันที




กว่าเราจะฝ่าแยกรัชดาลาดพร้าวที่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างมาได้ ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง กับข้าวเมื่อตอนเช้าเริ่มส่งกลิ่นบูดเปรี้ยวจนต้องเททิ้งและล้างทำความสะอาด ผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินอะไรหน่อยไหม เขาก็ส่ายหน้าแล้วขอตัวไปอาบน้ำ

ผมไม่ยื้อหรือคะยั้นคะยอให้พี่อู๋กินข้าวเย็น ผมแค่ปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเองเกือบชั่วโมง พี่อู๋เก็บตัวในห้องนอนใหญ่นานมาก เขาเงียบจนผมเริ่มเป็นห่วงจึงลองเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นคุณอุรัสยาผู้เคยร่าเริงกำลังนอนพิจารณาเพดาน ข้างๆคือสมาร์ทโฟนที่เปิดแอปพลิเคชันเฟสบุ๊กทิ้งเอาไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสือก แต่เพราะหน้าจอมันใหญ่เอง ผมก็เลยเห็นสเตตัสด่าพี่อู๋แบบลอยๆอยู่ในหน้าฟี้ดที่ติดแฮชแท็กว่า --

#หมดรักก็พูดตรงๆ #อย่าตอแหลว่าไม่ชอบคนทำร้ายเด็ก

ตอนนี้เรื่องคงถึงหูพวกเพื่อนๆของพวกเขาหมดแล้วแน่ๆ พี่อู๋โดนด่าเละเพราะไม่มีใครเปิดใจฟังความจากฝั่งเขาเลย

“มีอะไรหรือเปล่าก้อง?”

พี่อู๋ถาม ผมตอบว่าเปล่าครับ แค่จะเอาสบู่ก้อนใหม่มาเติมแล้วแสร้งเดินเข้าห้องน้ำ ผมทำเป็นจัดนั่นจัดนี่อีกชั่วครู่ก่อนจะออกมา หน้าจอไอโฟนมืดสนิทแล้ว มันมืดเหมือนแววตาของพี่อู๋ในตอนนี้เลย

“พี่อู๋รู้ไหมว่าอะไรดีกว่ายานอนหลับ?”

ผมถาม คุณอุรัสยาเลิกคิ้วแล้วหันมามอง เขาพูดสั้นๆว่ากัญชา ผมจึงตอบว่าไม่ใช่

“งั้นอะไรล่ะ?”

พี่อู๋ถามต่อด้วยท่าทางเหมือนต้นไม้ใกล้ตาย เหมือนผมในคืนแรกของงานศพแม่ เหมือนตอนที่กอริลลาก้องรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่มีที่ให้ยืนอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงขยับเข้าไปใกล้เตียง ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นแล้วจ้องตาพี่อู๋เพื่อบอกเขาว่ายังมีที่ว่างเล็กๆอยู่ตรงนี้ ในห้องนอนของเขา พี่อู๋สามารถแสดงออกได้ว่ารู้สึกยังไง ยิ่งเห็นท่าทีของผม พี่อู๋ก็ยิ่งประหลาดใจ เขายีหัวกอริลลาก้องจนฟูยุ่งก่อนจะถามเซ้าซี้ว่าบอกมาสิว่าอะไรดีกว่ายานอนหลับ อะไรที่จะช่วยให้เขาหลุดจากภาวะตรงนี้ได้

“การร้องไห้ครับ” ผมเฉลยแล้วจับมือผู้ปกครองเบาๆ “ร้องออกมาเถอะครับ มันดีกว่ายานอนหลับที่พี่ขโมยไปจากผมอีกนะ”

พี่อู๋บอกว่าพี่ไม่เป็นไรหรอก พี่โอเคแล้ว ดีเสียอีกที่จบๆกันซักที ดังนั้นผมจึงบีบมือเขาเบาๆแล้วเดินออกจากห้อง แสร้งทำเป็นว่าไปหาอะไรกินทั้งๆที่ยังยืนหลบอยู่หลังบานประตู แค่ก้าวเท้าออกจากพื้นที่เล็กๆของเขาไม่กี่วินาที เสียงสะอื้นก็ดังขึ้น พี่อู๋ร้องไห้คร่ำครวญยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขาครางเสียงเล็กแหลม เขาสะอื้นโฮ เขาหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ ขณะที่ผมยืนฟังเสียงของพี่อู๋ด้วยความเจ็บปวดไม่แพ้กัน นายก้องเกียรติก็ตระหนักได้ว่าผู้ปกครองที่น่าสงสารกลายเป็นกอริลลาเต็มตัวไปเสียแล้ว



TBC

----------------------------------------------



#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีปีใหม่ 2019 ค่า ขอให้เป็นปีที่ดี ถูกหวยรวยฟ้าผ่ากันทุกคนเลยนะคะ ♥
มาช้าแต่มาเยอะเป็นพิเศษ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์เช่นเคย หากมีคำติชมสามารถคอมเม้นต์ได้ตลอดเลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจน้า ถือว่าเป็นการช่วยกันให้นิยายดีขึ้น อีกเรื่องที่อยากขอบคุณคือกำลังใจน่ารักๆจากนักอ่าน มันทำให้นิยายเรื่องนี้มีตอนถัดไปจริงๆค่ะ ในปี 2019 อาจมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น จนกว่าจะถึงวันนั้น ช่วยรับฟังหนูและอยู่ด้วยกันจนกว่านิยายจะจบด้วยนะคะ ;-; ♡



ด้วยรัก
Ms.Ambiguous
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 04-01-2019 19:15:59
เย้ๆมาแล้ว คิดถึงน้องก้องจัง สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :L1:
ตอนนี้สงสารพี่อู๋มากกกกกกกกก มันคงถึงที่สุดแล้วจริงๆ สงสัยจริงว่าทนมาได้ยังไงตั้งนาน
แต่ก็ดีที่ได้ตัดขาดจากหมีพูจริงๆสักที (หวังว่าจะไม่รีเทิร์นนะ)
หลังจากนี้หวังว่าทั้งสองคนจะดีขึ้นน้าา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-01-2019 19:32:17
อ่านตอนนี้สงสารก้องมาก ต้องไปหลบในตู้เสื้อผ้าเพราะฤทธิ์ของโรคกำเริบ กลัวว่าจะโทษตัวเองไปมากกว่านี้
ยังดีที่พี่อู๋พูดดีไม่ทำให้น้องคิดมาก พอมาพาร์ทพี่อู๋ ไม่รู้ว่าใครทุกข์มากกว่ากัน ตกลงนี่จะเป็นการเลิกกันจริงๆ ใช่ไหม
อยากให้หยุดระหว่างพี่อู๋และหมูพีจริงๆ ถ้าเป็นเรา เราก็คงเป็นประสาทแน่ๆ
และตอนนี้เป็นตอนที่เราอยากให้ก้องออกไปจากชีวิตพี่อู๋จริงๆ ปกติไม่แนะนำหรือเห็นด้วยกับเด็กที่ออกจากบ้าน
แต่ก้อง เราอยากให้ไปค่ะ ไปอยู่วัดก็ได้ลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 04-01-2019 20:02:57
อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงคำๆนึง
"มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว"
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคบกันมาได้ยังไงตั้งเป็นสิบปี 55555

ไม่ลืมที่จะบอกว่า น้องบ่นในใจได้น่ารักที่สุดจริงๆ กระทั่งตอนหลบในตู้ ก็ยังรู้สึกขำ .. ขำทั้งที่อยากจะร้องไห้นั่นแหละ สงสารน้อง

สวัสดีปีใหม่คนเขียนนะฮับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 04-01-2019 20:29:16
ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองทำถูกและดันความผิดใดๆออกจากตัว  เข้าใตเลยว่าอู๋ต้องรับความกดดันขนาดไหนจากฝั่งของพี คือเขาไม่รับรู้หรอกว่าลูกหลานหรือเพื่อนตัวเองผิด มองแค่ว่าคนอื่นต่างหากที่ผิด ถถถ...กอลิล่าก้องเมื่อไหร่จะได้อยู่อย่างสงบ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-01-2019 21:18:25
กอลิล่า 2 ตัว อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-01-2019 21:27:55
และเรื่องนี้ก็มีกอริลล่าสองตัว  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 04-01-2019 21:29:30
สงสารน้องก้อง แอบสงสารพี่อู๋นิดนึง แต่ลึกๆ แล้วพี่อู๋ยังรักหมูพีรึเปล่า อ่านตอนน้องก้องแอบในตู้แล้วใจโหวงเหวงเลย น่างสงสารมากลูกกกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 04-01-2019 22:03:46
พี่อู๋กับน้องไปหาหมอนะ

คุณหมูบ้าด้วยนะ

ตัวเราด้วยนะ

55555555555555555 แงงงง

การที่น้องเห็นว่าตัวเองเป็นกอริลล่า เรียกตัวเองว่ามันในความคิดนี่ คุณนักเขียนตั้งใจเล่าแบบนี้หรือเป็นเพราะอาการของน้องคะ งงมั้ยเอ่ย เราแค่สงสัยว่าน้องเห็นคุณค่าในตัวเองบ้างมั้ยนะ เห็นตัวเองเป็นคนคนหนึ่งบ้างมั้ย หรือมองตัวเองเป็นกอริลล่าจริงๆ

ชอบบ มาต่ออีกนะคะ  :กอด1:

ปล เพื่อนและครอบครัวคุณหมูพีเก่งจังเลย ดีจัง เข้าใจคุณหมูพีดีมากๆเลย เข้าใจกันมากก็เอาไปเลี้ยงกันเองนะคะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-01-2019 22:03:53
็์ํHNY2019จ้า

คุณผู้ปกครองน่าเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าหมูพีจะไม่กลับมาแล้วนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 04-01-2019 22:28:12
เป็นกำลังใจให้พี่อู๋ กับกอริล่าก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheraae ที่ 04-01-2019 23:00:59
เรื่องนี้เต็มไปด้วยกอลิล่า เป็นกำลังใจให้กอลิล่าทุกคน และตอนนี้กอลิล่าก้องต้องดูแลกอลิล่าอู๋แล้วนะ   
 
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-01-2019 23:12:37
เอาจริง ๆ เรื่องมันเครียดมากนะ มันให้ความรู้สึกว่าจะมีใครจิตหลุดจนทำร้ายตัวเองไหมอยู่เสมอ

แต่เราก็ขำ ขำความพี่อู๋ ขำการสื่อสารของก้อง

อ่านตอนล่าสุดแล้วเห็นถึงความเห็นแก่ตัวของพ่อ แม่ และเพื่อนของหมูพี รวมทั้งตัวหมูพี
แต่ก็เข้าใจนะ คนเราย่อมมองคนของเราสำคัญกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้ว

ขอบคุณนักเขียนค่ะ คุณถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 04-01-2019 23:36:14
อยากกอดพี่อู๋เลย
สองคนนี้ต้องพากันออกกำลังกายสูดอากาศข้างนอก
มัวแต่ขลุกกันอยู่สองคน จะเอาพลังบวกจากไหนไปใช้ชีวิตต่อ

บ่นนนนน
อินนนนน

รักเรื่องนี้มากอยากให้ทุกคนรอดจากโรคซึมเศร้านี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-01-2019 03:28:50
แปลกดีเรื่องนี้ แต่อ่านแล้วได้ความรู้มากๆเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 05-01-2019 09:30:17
สองคนนี้เหมือนมาเติมเต็มซึ่งกันแหละกัน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ด้วยกันแล้วลงตัว ขอให้จับมือกันพ้นผ่านปัญหานะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-01-2019 11:41:34
ร้องไห้นะกอริลลาอู๋ :( ร้องไห้จนน้ำตาหมดแม๊กไปเลย หัวจะได้โล่ง หลังจากนี้คนอื่นจะพูดว่าไงบ้างก็ช่างแม่งเถอะ!!! ตัดออกได้ตัดออกไปไอ้ความลำบากไม่สบายใจ เอาใหม่เริ่มใหม่ไปหาหมอกันนะทั้งสองคน เอาไปเอามาก้องจะตายก็ไม่ได้เพราะเป็นห่วงผู้ปกครองจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อช่วยรักษาผู้มีพระคุณ เหมือนมีบ่วงไม่ได้อยู่คนเดียว เออก็ดีไปอีกแบบก้องจะได้ไม่อยากตายบ่อยเหมือนเดิม คึคึ!  //สนุกกกกกกก มาต่อยาวดีค่ะ 555 ขอบคุณและสวัสดีปีใหม่นะคะ รอตอนต่อไปเลย กอริลลา2ตัวนี้จะเอาไงต่อกันดี รอรอรอ อิอิ :)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 05-01-2019 18:59:20
เห็นใจทั้งคู่เลย เห็นใจคนที่ต้องเจอสถานการณ์แบบทั้งคู่ด้วย ความbiasมันฆ่าคนๆนึงให้ตายได้จริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-01-2019 08:09:11
อาการหนักทั้งคุ่ แต่นะกอริลล่าตัวแรกยังดีที่ปลอบใจเป็น สู้ๆนะกอริลล่าทั้งสอง อย่าชวนกันไปโดดน้ำคู่ละ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-01-2019 10:50:02
 o18


 :L2: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 06-01-2019 13:48:18
พี่อู๋ต้องทำงานแล้วล่ะ  งานจะทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง   เพื่อนหมูพีจะคิดยังไงก็ช่างตัดทิ้งไป คนที่เข้าใจอู๋ถึงจะเป็นเพื่อนอู๋ที่แท้จริง

ก้องต้องปรึกษาหมอแล้ว ชีวิตจะเดินไปข้างหน้าได้ยังไง

คนอ่านเอาใจช่วยทั้งอู๋ ก้อง และโดยเฉพาะนักเขียน มาต่อไวๆนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Holy.shit ที่ 15-01-2019 23:02:30
เป็นนิยายที่ดีมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-01-2019 16:23:29
 :impress2:มาต่อไวๆด้วย จ้า  ตามลุ้น ยุๆ^^
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 13 update!] (04/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ppp044 ที่ 18-01-2019 13:25:43
เป็นนิยายที่ดีมากเลยค่ะ
รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-01-2019 19:39:18
14
พี่อู๋เสียใจ
แต่เขาไม่เคยบอกใคร

พี่อู๋ไม่ได้อยากให้ความสัมพันธ์เกือบสิบปีจบลงแบบนี้
แต่เขาไม่เคยอัปสเตตัสอธิบายในโซเชียลเลยซักครั้ง

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นละคร ผมว่าพี่อู๋คงเป็นพระเอกในคราบตัวร้าย เขาสามารถโชว์รอยแผลหรือบอกใครต่อใครก็ได้ว่าคุณหมูพีเป็นบ้าแต่พี่อู๋เลือกที่จะเก็บงำมันไว้แทน สำหรับผมแล้วการเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีเสมอไป จริงอยู่ที่อีกหน่อยพวกเขาก็ลืม อีกสองสามปีหลังจากนี้ เรื่องระหว่างพี่อู๋กับคุณหมูพีคงเป็นบทสนทนากร่อยๆในวงเหล้า แต่ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้ใครมองพี่อู๋ไม่ดี ดังนั้นผมจึงแนะนำให้เขาอธิบายเรื่องทั้งหมดผ่านทางสเตตัสแบบที่เพื่อนๆของคุณพีรพัฒน์ทำ ทว่าพี่อู๋ปฏิเสธ

“ออกมาพูดก็ดูเหมือนแก้ตัว ให้มันจบแบบนี้แหละ”

ซึ่งแบบนี้ของเขาก็คือการโดนด่า

พี่อู๋เล่นโทรศัพท์แค่คืนนั้นคืนเดียวแล้วไม่แตะมันอีกเลย ผมพอจะรู้สาเหตุอยู่ว่าทำไม เพราะหน้าฟี้ดข่าวของเขาคงมีแต่ถ้อยคำประชดประชันของบรรดามิตรรักแฟนเพลงคุณหมูพี มีเพียงพี่ตั้มคนเดียวที่โทรมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพี่อู๋เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาก็ถอนหายใจ

“กูบอกแล้วว่าอย่าหาเหาใส่หัว” พี่ตั้มบอกคุณอุรัสยาโดยไม่รู้ว่ากอริลลาก้องแอบฟังอยู่ตรงโถงทางเดิน “ทำใจเหอะ ช่วงนี้พูดอะไรก็คงโดนด่า มึงอยู่เงียบๆไปซักพักเดี๋ยวสถานการณ์ก็ดีขึ้นเอง”

ผมไม่รู้ว่า เหา ที่พี่ตั้มพูดถึงคือนายก้องเกียรติหรือเปล่า แต่เดาจากบทสนทนาก่อนหน้าของพวกเขา ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเหาก็คือผม คือนายก้องเกียรติ คือตัวที่สูบเลือดเนื้อพี่อู๋และทำให้เขาเจอปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นภาระ แต่มาถกเถียงกันตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ ในตอนที่ผมเริ่มปรับตัวและรู้สึกว่าพี่อู๋เป็นครอบครัว คนรอบตัวของคุณอุรัสยากลับบอกให้กำจัดกอริลลาก้องก่อนจะมีปัญหามากกว่านี้

งั้นผมควรทำยังไงล่ะ?
เหาอย่างนายก้องเกียรติ -- ต้องทำอะไรถึงจะทำให้ทุกคนสบายใจ?

เรื่องเหาของพี่ตั้มติดอยู่ในหัวของผมนานหลายวันแต่ผมไม่เคยบอกพี่อู๋ ผมทำตัวปกติเหมือนเดิม ทำอาหาร ทำความสะอาดและดูแลพี่อู๋เหมือนเดิม ยิ่งคุณหมูพีไม่อยู่แล้ว ผมต้องยิ่งทำให้เนี๊ยบกว่าเดิมเป็นสองเท่า ผมอยากให้พี่อู๋รู้ว่าต่อให้ไม่มีคุณพีรพัฒน์ก็ไม่เป็นไร ชีวิตของเขาจะไม่เปลี่ยนไป ห้องนี้จะยังคงเป็นห้องที่สะอาดสะอ้านและมีของอร่อยๆสำหรับเขาเสมอ

“ผมคิดว่าพี่อยากกินผัดฟักทอง” ผมพูดเมื่อเห็นผู้ปกครองกินแค่สองสามคำแล้ววางช้อน “มันไม่อร่อยเหรอครับ?”
“อร่อยสิ ก็เหมือนเดิม”
“แล้วทำไมพี่ไม่ค่อยกินเลย?”
“ช่วงนี้พี่ไม่อยากกินอะไร เบื่ออาหารน่ะ”

รวมถึงเบื่อผมด้วยหรือเปล่าครับ?

เป็นคำถามในใจที่ไม่ได้เอ่ยออกไป ผมแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจและเว้นระยะให้พี่อู๋ได้ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เขาจะทำอะไร จะนอนเมื่อไหร่ จะซกหมกเหม็นเน่ายังไงก็ได้ ขอแค่กินอาหารให้นายก้องเกียรติชื่นใจซักนิด กินข้าวซักคำ กินนมซักแก้ว หรือช็อกโกแลตซักแท่งก็ยังดี ผมเข้าใจอาการเบื่ออาหารของพี่อู๋ ผมรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ แต่จนกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ใหม่อีกครั้ง ผมอยากขอให้เขาช่วยกินเยอะๆ อย่าปล่อยให้ท้องหิว อย่าปล่อยให้ร่างกายซูบผอม อย่าเป็นพี่อู๋ที่อิดโรยเหมือนคนอยากตายเลย

“รีบนอนดีกว่าก้อง พรุ่งนี้หมอนัด เราต้องออกจากบ้านแต่เช้า”

ผู้ปกครองสั่งเมื่อเห็นผมนั่งกัดเล็บบนโซฟาจนถึงห้าทุ่ม ผมขานตอบว่าครับแล้วเดินตามเขาเข้าไปข้างใน เรานอนหันหลังให้กันเพราะมีต่างคนต่างมีเรื่องให้คิดหนัก พี่อู๋อาจจะคิดถึงคุณหมูพีที่กำลังแอดมิทในโรงพยาบาลมนารมย์ แต่ผมคิดถึงเรื่องของพี่อู๋ และนึกหาวิธีช่วยเขาก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้




นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสี่สิบห้านาที

เราออกจากบ้านโดยไม่ได้กินข้าวเช้า พี่อู๋บอกว่าเดี๋ยวจะแวะเซเว่นหน้าโรงพยาบาลเพื่อซื้อแซนด์วิชกินรองท้อง หลังจากนั้นเราค่อยไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดที่ยูเนี่ยนมอลล์ตอนเที่ยงเลยรวดเดียว ระหว่างทางกำลังจะเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋เหม่อหรือรถอีกคันขับมาเร็วเกินไปถึงได้ชนรถของเราเข้ากลางลำ ผมเพิ่งได้ยินเสียงอุบัติเหตุเป็นครั้งแรก มันดัง ปัง! แล้วเงียบ และเราทุกคนจะช็อคไปครู่หนึ่งราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้

“ก้อง! เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?! เป็นอะไรหรือเปล่า?!”

พี่อู๋ถามเมื่อได้สติ ส่วนผมยังงงอยู่ว่าเสียง ปัง! นั้นมาจากไหน เพราะวีออสของพี่อู๋เป็นรุ่นเก่าจึงไม่มีถุงลมนิรภัยด้านข้าง ดังนั้นตอนที่เขารู้ว่ารถชนฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พี่อู๋จึงร้องถามอาการของกอริลลาก้องเป็นอย่างแรก

“เจ็บไหมก้อง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

เปล่าครับ ไม่เจ็บ ไม่ได้เป็นอะไร

ผมตอบก่อนจะส่งแขนซ้ายให้พี่อู๋ดู เขามองสำรวจจนแน่ใจว่าผมไม่เป็นไรจริงๆถึงแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา หลังจากนั้นก็ตามด้วยการสบถคำหยาบ และตามด้วยเสียงเคาะกระจกจากคู่กรณี

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”

ผู้ชายรุ่นลุงถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ไม่ด่าพี่อู๋หรือเอ่ยปากขอโทษว่าเป็นความผิดของตนนอกจากเชิญเราสองคนลงจากรถ วีออสลูกรักพี่อู๋บุบเหมือนกระป๋องโค้กโดนเหยียบ ผมไม่อาจพูดว่าโชคดีที่คู่กรณีพุ่งชนกลางรถค่อนไปทางประตูหลัง เพราะหากเขาชนประตูหน้า ผมก็ไม่รู้ว่ากอริลลาก้องจะได้ไปหาแม่วันนี้หรือเปล่า

“แม่งเอ๊ย -- เป็นห่าอะไรนักหนาวะ”

พี่อู๋สบถ(อีกครั้ง) เขาหงุดหงิดที่เห็นสภาพยับเยินของน้องวีออส สีของรถถลอกลอกออกเป็นสีเทา แถมยังบู้บี้เสียทรงจนไม่น่าจบแค่การเคาะ คงต้องเปลี่ยนประตูและทำสีใหม่ เศษเล็กๆที่กระจายบนพื้นบอกว่าอาจจะต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายอีกอย่าง นั่นหมายความว่า เราจะไม่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้ไปพักใหญ่

ความชิบหายของแท้ได้มาเยือนนายก้องเกียรติแล้ว

เนื่องจากผมเป็นเด็ก จึงถูกเมินในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันตามประสาผู้ใหญ่ พี่อู๋โทรเรียกประกันมาเคลียร์ ส่วนผมได้แต่ยืนทื่อเป็นไม้ประดับอยู่ข้างน้องวีออส ผมไม่รู้หรอกว่าตำรวจจะสรุปว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ใครเป็นฝ่ายผิด ถ้าดูจากทิศทางการจอดรถแล้ว ผมว่าพวกเรานี่แหละผิดเต็มๆ ลุงชัยเคยบอกว่ารถที่วิ่งมาทางตรงถูกเสมอ ผมหวังว่าคำพูดของลุงชัยจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้นะ

“ก้องไปหาหมอก่อน เดี๋ยวพี่ตามไปทีหลัง”

พี่อู๋บอกพร้อมกับส่งธนบัตรสีเทาให้หนึ่งใบ ผมรับมันมาถือไว้แต่ไม่ยอมเดินเข้าโรงพยาบาลตามคำสั่ง

“ผมจะติดต่อพี่ยังไงในเมื่อผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ?”
“นั่งรอหน้าห้องรับยานั่นแหละ พี่เคลียร์ไม่นานหรอก”
“แต่ --”
“ก้อง หาหมอก่อน ตอนนี้ยาหมดแล้ว เราเลื่อนนัดไม่ได้” พี่อู๋สั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เสร็จเรื่องตรงนี้เมื่อไหร่เดี๋ยวพี่ไปหา อย่าช้า ยิ่งช้ายิ่งได้คิวตรวจหลัง เสียเวลาเดินห้างนะ”

โอเค -- กอริลลาก้องไปก็ได้

“ผมจะรอพี่หน้าห้องจ่ายยานะครับ”
“อืม ไปเถอะ ไม่ต้องกังวลทางนี้หรอก ประกันกำลังมา”

ผมพยักหน้าแต่รู้สึกไม่สบายใจ วันนี้ผมน่าจะชาร์ตแบตและเอาโทรศัพท์มา ที่จริงควรชาร์ตตั้งแต่วันแรกที่ย้ายไปอยู่กับพี่อู๋ด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นไม่รู้เป็นบ้าอะไร ผมตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตและเพื่อนบ้านทุกคนด้วยการทิ้งโทรศัพท์ไว้ก้นกระเป๋า มันไม่เคยได้ออกมาข้างนอกอีกเลยจนถึงวันนี้

ผมหันหลังกลับไปมองพี่อู๋ มองรถบุบยับด้วยความกระวนกระวาย นี่คือครั้งแรกที่ผมมาหาหมอโดยไม่มีผู้ปกครอง คือครั้งแรกที่เราต้องแยกกันตอนอยู่นอกบ้าน คิ้วที่ขมวดจนเป็นปมของพี่อู๋ทำให้ผมพับเก็บความไม่สบายใจเอาไว้กับตัวเอง ผมจะไม่บอกเขาหรอกว่าตอนนี้ผมกำลังกลัวอะไร

ผมกลัว --
กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่อู๋ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของกอริลลาก้อง



นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงยี่สิบเจ็ดนาที

ผมได้เข้าตรวจเป็นคนที่สาม ผมยกมือไหว้หมอแล้วรีบบอกอาการตัวเองอย่างรวดเร็วจนเขาต้องขอให้พูดช้าๆ เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวาย หมอก็ถามว่ามีอะไรเหรอก้อง ผมตอบว่าเปล่าครับ แต่สายตาของหมอคมกริบเหมือนมีดที่สามารถปอกเปลือกมันฝรั่งเป็นแผ่นบางๆ ในที่สุดมันฝรั่งก้องจึงยอมรับกับคุณหมอตามตรงว่าวันนี้ผมรีบครับ เมื่อเช้าพี่อู๋รถชน เขากำลังรอประกันให้มาเคลียร์ แต่ผมไม่มีโทรศัพท์ ผมกลัวว่าจะหาเขาไม่เจอ

“อะไรทำให้ก้องคิดว่าพี่อู๋กำลังหาโอกาสทิ้งก้องเหรอ?”

หมอถาม แล้วทฤษฎีมากมายในหัวก็ปรากฏขึ้น ทำไมผมถึงไม่คิดเรื่องเรียนเยอะขนาดนี้บ้างนะ ถ้าผมคิดไกลเหมือนที่คิดเรื่องพี่อู๋ ป่านนี้ผมคงเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ยังไม่เปิดสอบโอเน็ตแล้ว

“วันก่อนเพื่อนของพี่อู๋พูดว่าอย่าหาเหาใส่หัว”

ผมเล่าให้หมอฟังแล้วย้อนกลับไปเล่าเรื่องที่พี่อู๋บอกเลิกคุณหมูพีอีกหน หมอจับความผิดปกติได้ทันทีแม้กอริลลาจะไม่แสดงอาการชี้ชัดอะไรออกมา เขาบอกให้ผมใจเย็นๆ ไม่ต้องเล่าเป็นไทม์ไลน์เหมือนประวัติศาสตร์หรอก แค่พูดในสิ่งที่อยากพูดก็พอ อย่าคิดเยอะ อย่ากลัวหมอไม่เข้าใจ เรารู้จักกันมาตั้งหลายเดือน หมอจำเรื่องของก้องได้

ดังนั้นจิตบำบัดวันนี้จึงเป็นการระบายความกลัวออกมาเสียส่วนใหญ่ ช่างหัวพี่ตั้มเถอะ ช่างหัวคุณหมูพีเถอะ ช่างแม่งทุกคนนั่นแหละ ตอนนี้ผมกลัวว่าพี่อู๋จะไม่มารับกลับบ้าน พอหมอถามเหตุผลเป็นหนที่สอง ผมจึงอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเช้าเขาให้เงินผมมาหนึ่งพันบาท

“แบ่งเป็นค่ายาไม่เกินห้าร้อย อีกห้าร้อยก็เกือบๆเท่าเงินที่ลุงชัยเคยให้ซึ่งวันนี้ผมไม่ได้หยิบเงินส่วนนั้นมา”
“ก้องหมายความว่าพี่อู๋ตั้งใจคืนเงินทางอ้อมเหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ “ถ้าจะทิ้งก็ต้องเป็นวันนี้แหละ โอกาสเหมาะที่สุด ทิ้งในโรงพยาบาลอาจจะทำให้พี่อู๋รู้สึกผิดน้อยลงก็ได้ เขาเคยถูกเพื่อนๆบอกให้เลิกอุปการะผมตั้งหลายครั้ง”
“แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่อู๋จะทำตามเพื่อนเสียหน่อย อีกอย่างก้องพูดเองว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ก้องคิดว่าพี่อู๋อยากให้รถตัวเองยับยู่ยี่เพื่อแลกกับการพาก้องมาทิ้งไว้ที่นี่เหรอ? หมอมองยังไงมันก็ไม่คุ้มนะ”

ใครจะไปรู้
ไม่มีใครรู้ความคิดของพี่อู๋หรอก

วันนี้การพบหมอไม่ช่วยอะไรเลย ต่อให้ทุกคนในโรงพยาบาลพูดกรอกหูว่าพี่อู๋ไม่มีวันทิ้งกอริลลาก้อง หรือยืนยันหนักแน่นแค่ไหน ผมก็ยังกลัวอยู่ดี ผมบอกหมอว่าตอนนี้ผมมีพี่อู๋คนเดียว เขาเป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นพี่ชาย เป็นคนสุดท้ายในชีวิตของผม ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมจะอยู่ยังไง ผมจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงถ้าวันนี้ไม่มีเขาอีกแล้ว

“มันมีทางออกเสมอนะก้อง” หมอพูด แต่ผมไม่เห็นด้วย “สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาก้องอยู่ได้ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักพี่อู๋เลย ทำไมถึงกลัวว่าถ้าไม่มีเขา เราจะอยู่ไม่ได้ล่ะ?”

แล้วหมอก็ร่ายยาวว่าเด็กอายุสิบเจ็ดสามารถทำอะไรได้บ้าง แน่นอน ผมมีแขนขา มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แถมมีวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย ผมสามารถหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ หรือเป็นติวเตอร์สอนพิเศษให้เด็กประถมตามห้างก็ได้ หมอพยายามให้กำลังใจด้วยการบอกว่าผมสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายโดยไม่ต้องพึ่งพาพี่อู๋ แต่ขอโทษนะครับ -- เก็บคำพูดพวกนั้นไว้เถอะ เพราะผมไม่ได้เห็นพี่อู๋เป็นธนาคาร ผมเห็นเขาเป็นครอบครัว

พี่อู๋คือคนเดียวที่ผมสามาถบอกใครต่อใครได้ว่าเขาคือผู้ปกครอง

มันไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนที่ซุกหัวนอน การก้าวข้ามขีดจำกัดหรือความกลัวอะไรทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ ผมคิดว่าวันนี้หมอน่าจะเบลอๆนิดหน่อย เหมือนเขาลืมว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา นายก้องเกียรติถูกทิ้งมาแล้วกี่ครั้ง งั้นผมจะทวนให้ฟังก็ได้ ครั้งที่หนึ่ง พ่อทิ้ง ครั้งที่สอง แม่ทิ้ง ครั้งที่สาม เพื่อนบ้านทิ้ง แค่นี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ด ผมไม่ได้อยากเกิดมาเพื่อถูกทิ้งสี่ครั้งเหมือนเศษขยะที่รอทางเขตมาเก็บนะ ผมแค่อยากมีครอบครัว ผมอยากมีคนอยู่ข้างๆ เข้าใจไหมหมอ --

ผมแค่อยากมีใครซักคนที่พูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นครอบครัวของผม

การเทศนายังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งนายก้องเกียรติร้องไห้หมอถึงยอมหยุด เขาส่งทิชชู่ให้แต่ผมไม่รับ ผมไม่อยากคุยกับเขาแล้ว ผมอยากเลิกหาหมอตั้งแต่วันนี้เพราะเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มองว่าผมอยู่กับพี่อู๋เพราะกลัวความลำบาก ผมยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็แอบกังวลเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่หลักๆคือผมไม่อยากถูกทิ้ง ผมยอมอยู่อย่างลำบากก็ได้ขอแค่มีใครซักคนเป็นครอบครัวของผม

“วันนี้ก้องไม่อยากคุยกับหมอแล้วเหรอ?”

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเหลือบมองนาฬิกา เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ผมอยากออกจากห้องนี้เพื่อไปนั่งรอหน้าห้องจ่ายยา ผมอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าพี่อู๋มารอผมจริงๆตามที่สัญญาไว้

“ผมอยากเจอพี่อู๋ครับ”
“ก้องกังวลเรื่องพี่อู๋มากไปหรือเปล่า หมอว่า --”
“ผมอยากเจอพี่อู๋” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น “จ่ายยาเลยเถอะครับ ผมไม่มีเรื่องจะเล่าให้ฟังแล้ว”

หมอไม่ถอนหายใจ ไม่แสดงท่าทีว่าเซ็งหรือผิดหวังที่กอริลลาก้องปฏิเสธการรักษาอย่างไร้เยื่อใย เขาเขียนใบสั่งยาแล้วอนุญาตให้ผมออกจากห้องได้ตามคำขอ เมื่อหลุดพ้นจากกรงแคบๆอันน่าอึดอัด ผมก็รีบตรงปรี่ไปห้องจ่ายยาทันที แต่ที่นั่นไม่มีผู้ชายท่าทางเหมือนพี่อู๋เลย ไม่มีซักคน ไม่มี -- พี่อู๋ไม่มา

ผมปลอบใจตัวเองด้วยการท่องว่าประกันอาจจะยังเคลียร์ไม่เสร็จ หลังจากนั้นก็นั่งรอ รอจนกระทั่งจ่ายเงินและรับยาเรียบร้อย

แต่พี่อู๋ก็ยังไม่มา

ผมทั้งมองหา ทั้งลุกเดินไปทั่วเพราะกลัวว่าจะมองข้ามเขาไป แต่พอเช็กจนแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีพี่อู๋จริงๆ ผมจึงเปลี่ยนมานั่งจ้องบันไดตาเขม็ง ทุกคนที่ผ่านไปมาล้วนตกใจเมื่อเห็นกอริลลาก้องมองพวกเขา ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งตรงนั้นนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกที หน้าห้องจ่ายยาก็ไม่มีใครแล้ว

“ก้องเกียรติรอใครเหรอจ๊ะ?”

พยาบาลที่คุ้นเคยเอ่ยถาม ผมบอกว่ารอผู้ปกครองครับ เน้นคำว่าผู้ปกครอง เธอก็พยักหน้าแล้วร้องอ๋อ ปล่อยให้ผมรอต่อไปโดยไม่วุ่นวายอีก ผมรอ รอ รอ และรอจนเวลาล่วงเลยถึงบ่ายโมง ท้องของผมร้องประท้วงขออาหารแต่ผมไม่ใส่ใจ หิวเหรอ? ทนไปเถอะ ทรมานเหรอ? ทนไปเถอะ ทนไปเถอะ จนกว่าจะหาพี่อู๋เจอ แกต้องอดทน จนกว่าพี่อู๋จะมารับ จนกว่าจะได้เจอเขา จนกว่าจะได้กลับบ้าน นั่นแหละแกถึงได้รับอนุญาตให้กินอาหารได้

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายโมงสิบเอ็ดนาที

กอริลลาก้องนั่งร้องไห้เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าจะไม่ได้เจอผู้ปกครองอีกแล้ว




กอริลลาก้องผู้โดดเดี่ยวเดินออกตามหาผู้ปกครองทั่วโรงพยาบาล ทั้งหน้าห้องตรวจ ทั้งชั้นล่าง ทั้งลานจอดรถทุกแห่งจนถึงตึกผู้ป่วยในที่กำลังก่อสร้าง ผมเดินไปทุกที่จนเหงื่อชุ่มด้วยความหวังจะได้เจอผู้ปกครองอีกครั้ง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าพี่อู๋ไม่ได้นั่งรอผมหน้าห้องจ่ายยาตามที่สัญญาไว้  เขาหายตัวไปเหมือนเอาหมามาปล่อยวัด แค่ขับรถเข้ามา สั่งให้ไปอยู่กับหลวงตา ขับรถออกไป เหลือไว้แค่หมาหัวเน่าที่ต้องเริ่มต้นใหม่เป็นหนที่สี่ในระยะเวลาแค่สิบเจ็ดปี

สิบเจ็ดปี -- ที่นายก้องเกียรติมีชีวิตอยู่เพื่อถูกทิ้งซ้ำๆมาถึงสิบเจ็ดปี

ผมเดินกลับไปจุดที่รถของเขาโดนชนหน้าโรงพยาบาล ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากรอยพ่นสเปรย์สีขาวทำสัญลักษณ์ว่าเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงนี้ ผมยืนมองมันอยู่นาน มองแล้วได้แต่น้ำตาไหลเงียบๆ อย่างน้อยก็ควรบอกซักคำหรือเปล่า พี่อู๋น่าจะพูดกับผมตรงๆ บอกว่าเลี้ยงต่อไม่ไหวหรืออะไรก็ได้ ไม่ใช่พามาส่งโรงพยาบาลแล้วหายไปดื้อๆแบบนี้

ผมไม่ใช่คนโง่ ผมไม่ใช่เด็กดื้อที่ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แค่พี่อู๋พูดว่าไม่สะดวกใจจะให้อยู่ด้วยผมก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ถ้าเขาบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ผมจะเก็บกระเป๋าย้ายออกจากห้องทันที ผมจะกราบเท้าขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ผ่านมาด้วย น่าเสียดายที่พี่อู๋ไม่ได้ทำแบบนั้น เขาเลือกที่จะพาผมมาส่งแล้วจากไปเงียบๆ ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ไม่มีเหตุผล ไม่ให้โอกาสนายก้องเกียรติได้พูดขอบคุณเลย

คิดเร็วก้องเกียรติ -- คิด

ผมบอกตัวเอง

คิดสิว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน?

พี่อู๋อาจลืมไปว่าผมไม่ใช่หมา ผมจำทางกลับลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดได้แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะไปเหยียบที่นั่นอีก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวตอนนี้คือการวางแผนอนาคตตัวเองล้วนๆ ไม่ต้องคิดถึงงานพาร์ทไทม์ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องติดต่อสทศ. แค่คิดว่าคืนนี้จะค้างที่ไหนยังไม่รู้เลย บางทีผมน่าจะกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ยกมือไหว้ขอโทษหมอที่ไม่สนใจคำแนะนำของเขาแล้วถามว่าผมควรทำยังไงต่อไป ตอนนี้พี่อู๋ทิ้งผมไว้ที่นี่ ผมควรไปไหน ควรไปอยู่กับใคร ควรเริ่มต้นใหม่ด้วยเงินหกร้อยกว่าบาทยังไงให้รอดจนกว่าจะยืนด้วยขาของตัวเองได้

ผมยืนคิดหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้ากำแพงโรงพยาบาล มือขวาถือถุงยา มือซ้ายกำหมัดแน่นราวกับว่าถ้ามีโจรโผล่ปล้นเงินหกร้อยก็พร้อมชกหน้ามันทันที ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความกังวลยิ่งสะสมขึ้นเรื่อยๆ ผมขมวดคิ้วจนเป็นปม ตามองต่ำบนพื้นฟุตปาธ เหงื่อหยดเป็นเม็ดตรงแก้มและรู้สึกเพลียเหมือนจะเป็นลม จังหวะที่กำลังมองหาเก้าอี้นั่งพัก สายตาก็เหลือบมองถนนฝั่งตรงข้าม ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนเปิดขวดโค้กด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่แพ้กัน และเมื่อรู้ตัวว่าถูกมอง เขาก็เงยหน้าสบตาผม

ไอ้ --
พี่อู๋ --


“โห -- ก้อง! หายหัวไปไหนมาเนี่ย! พี่หาจนรปภ.คิดว่าวางแผนมาปล้นโรงพยาบาลแล้วทำไมเพิ่งโผล่หน้ามา!”

ผู้ปกครองของผมตะโกนแข่งกับเสียงรถยนต์ที่วิ่งบนถนน ริมฝากของผมสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือโมโหเพราะเห็นพี่อู๋ยืนกินโค้กหน้าตาเฉย ส่วนผมน่ะเหรอ? ยืนร้องไห้เหมือนเด็กถูกทิ้ง ทั้งร้อนทั้งหิวแทบจะเป็นลม แถมเครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก แต่พี่อู๋กลับเดินตากแอร์ในเซเว่น แล้วออกมายืนจิบโค้กหล่อๆรอกอริลลาก้องวิ่งออกจากป่าเองเนี่ยนะ

ไอ้ -- ไอ้ --

“ผมเกลียดพี่!” ผมตะโกนก่อนจะร้องไห้โฮออกมา “ผมเกลียดพี่! ไปไกลๆเลย! ไม่ต้องมายุ่งแล้ว!”


ฟุ่บ!

รถเมล์คันหนึ่งวิ่งผ่าน ข้อความเสียงของผมจึงถูกพัดหายไปกับรถคันนั้น

“อะไรนะ?!” พี่อู๋ถามกลับพลางปิดฝา “ข้ามถนนมาเร็ว! เราต้อง --”

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

แท็กซี่วิ่งผ่าน ตามด้วยรถกระบะและรถตุ๊กๆ

“ไม่! ผมไม่คุยกับพี่แล้ว ผมโกรธ --”

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทีอย่างนี้ล่ะมากันเป็นขบวนเลยนะ

แล้วเกมตะโกนคุยกันข้ามฝั่งก็เริ่มขึ้น กอริลลาก้องพูดว่า ผมโกรธพี่ ผมไม่อยากยุ่งกับพี่ ไปเลย ไปให้พ้น ในขณะที่ผู้ปกครองของมันเอาแต่พูดว่า --

“ฮะ?! อะไรนะ?! ไม่ได้ยินเลย พูดให้มันดังๆหน่อยเว้ย!”

บางทีชีวิตก็เหมือนจังหวะในรายการทีวีซิตคอมแบบนี้แหละ ถ้าดูผ่านโทรทัศน์เราอาจจะขำให้กับความซวยซ้ำซวยซากของตัวละคร แต่พอเจอกับตัวเองจริงๆนี่หน้าสั่น ขำไม่ออก ต่อให้สุดท้ายมันจะจบวันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งก็เถอะ แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน

เวรเอ๊ย -- ขอให้พรุ่งนี้ชีวิตไม่มีจังหวะซิตคอมทีเถอะ

ผมสบถเมื่อพี่อู๋ข้ามถนนมาหา พอเห็นหน้าชัดๆว่านี่คือคุณอุรัสยาตัวจริงผมกลับพูดอะไรไม่ออกนอกจากยืนน้ำตาไหลเงียบๆ มือไปไวกว่าสมอง เผลอตีพี่อู๋เพี๊ยะๆเหมือนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมตีไปก็ร้องไห้ไป บอกเขาว่าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ อย่าทิ้งผมแบบนี้อีกนะ ผมกลัว ผมไม่ชอบเวลาที่ไม่มีพี่อยู่ข้างๆเลย ต่อไปนี้พี่อู๋ห้ามไปไหนไกลๆ ห้ามทิ้งผมไว้คนเดียวอีก ไม่งั้นผมจะโกรธจริงๆด้วย ตอนผมโกรธน่ากลัวมากนะ อย่าทำให้ผมโกรธล่ะ ผมเอาจริงแน่

“คนที่ควรหงุดหงิดน่าจะเป็นพี่หรือเปล่า? รถก็ส่งต้องซ่อม ไหนจะเดินหาก้องตั้งครึ่งวันอีก ต่อไปพกโทรศัพท์เลยนะ เลิกตัดขาดจากโลกภายนอกได้แล้ว เห็นหรือยังว่าไม่มีโทรศัพท์มันลำบาก ถ้ามีนะ เราคง --”

บลา บลา บลา

พี่อู๋พูดไปเถอะ ผมไม่สน ผมจะร้องไห้ ตอนนี้ผมกำลังเม้งแตกเพราะกลัวสุดขีด พอเห็นนายก้องเกียรติหลุดจริงๆ พี่อู๋ก็ดึงผมไปกอดแล้วผละออก เขาบอกว่าผู้ปกครองที่ไหนจะทิ้งเด็กตัวเองได้ลงคอ ผมพูดสวนว่าเพื่อนพี่นั่นแหละ พวกเขานั่นแหละที่ฝังความกลัวในหัวผมจนหวาดระแวงขนาดนี้

“จะสนใจคนอื่นทำไมวะก้อง? ไอ้ตั้มมันก็พูดไปเรื่อย บอกแล้วไงว่าไม่ทิ้งคือไม่ทิ้ง”

พี่อู๋โคลงหัวผมอีกหนึ่งที

“หยุดร้องแล้วไปโบกแท็กซี่เลย เราคงไม่มีรถใช้อีกหลายวัน เซ็งชิบ”

ผมปาดน้ำตาพร้อมกับพยักหน้ารับ พี่อู๋ยืนกอดอกอยู่แนวหลัง ส่งกอริลลาเด็กไปโบกแท็กซี่ตัวคนเดียว

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามตรง

ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาซักคัน คุณอุรัสยาสบถคำหยาบแล้วเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน พอกดใช้บริการปุ๊บ แท็กซี่สีฟ้าก็ขับผ่านมาพอดี เขาจอดเทียบฟุตปาธแต่เราปฎิเสธไป แท็กซี่คันนั้นจึงขับเลยอีกหน่อยเพื่อรับผู้โดยสารชาวต่างชาติสองคนแทน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แอปก็เด้งเตือนว่ายกเลิกทั้งๆที่เราไม่ได้กดอะไรเลย

มายกเลิก -- ทำไมตอนนี้ --

ผมกับพี่อู๋มองหน้ากันเลิกลั่กก่อนจะวิ่งไล่แท็กซี่สีฟ้าที่ขับออกไปไกลเรื่อยๆ ซีนนี้ยิ่งกว่าฉากจบของหนังรักโรแมนติกที่พระเอกวิ่งตามรถนางเอกจนสุดสายตา ทว่าความจริงก็คือผู้ชายเถื่อนๆสองคนวิ่งไล่รถแท็กซี่เพื่อขอให้วนรถกลับมารับหลังส่งผู้โดยสารชาวต่างชาติเสร็จ

“วันนี้มันวันอะไรวะ?”

พี่อู๋สบถ(รอบที่ล้าน) เขาหงุดหงิดโมโหหิวและเริ่มตีอกตัวเองเหมือนกอริลลาจริงๆ แล้วเราก็กลับไปนั่งเหม่อริมถนนหน้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาอยู่นานจนกระทั่งแท็กซี่สีชมพูวิ่งผ่าน แวะจอดรับกอริลลาที่กำลังหิวโหยสองตัว

“ไปไหนครับ?”

คนขับถาม พี่อู๋ไม่รอให้เขาตอบว่าตกลงด้วยซ้ำ คุณอุรัสยากระโดดขึ้นรถ ตามด้วยกอริลลาก้อง ก่อนจะบอกคนขับด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่าไปบีทีเอส -- บีทีเอสไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด

พอรถออกตัว เราก็นอนหมดแรงด้วยกันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นพี่อู๋ก็ยังหันมายิ้มให้ผม เขายีหัวผมเบาๆแล้วทำปากขมุบขมิบว่า วันนี้โคตร xxx เนอะ ผมหัวเราะไม่ออกเสียง เขาก็หัวเราะเหมือนกัน เป็นจังหวะสั้นๆที่ให้ความรู้สึกเหมือนพี่อู๋คนเดิมกลับมาจนอยากหยุดเวลาไว้แค่ตอนนี้ ผมอยากเห็นความสุขเล็กๆเกิดขึ้นในชีวิตเราแบบนี้ทุกวัน อยากเห็นพี่อู๋ยิ้ม เห็นพี่อู๋หัวเราะ ผมอยากเห็นเขามีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายวัยสามสิบเอ็ดจะมีได้

ส่วนผมน่ะเหรอ?

ไม่ต้องมีความสุขมากเท่าเขาก็ได้ ขอแค่ไม่ถูกทิ้งและมีพี่อู๋อยู่ข้างๆ แค่นี้ก็เป็นความสุขที่สุดของกอริลลาก้องแล้ว



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

แหะๆ หายไปนานเหมือนตายไปแล้ว แต่เพราะฟี้ดแบคน่ารักๆทำให้มีแรงกลับมาฮึบใหม่ ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานและขอบคุณที่ยังรอนะคะ หวังว่าตอนนี้จะทำให้คุณยิ้มได้ อาจจะเนิบนาบไปหน่อน แต่อยากให้ทุกคนเห็นว่าน้องก้องคิดยังไงกับพี่อู๋ สวัสดีวันศุกร์ค่ะ ขอให้ไม่โดนตามงานวันเสาร์อาทิตย์นะคะ บ๊ายบายค่า  :bye2:


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-01-2019 19:57:00
ไม่รู้จะสงสารใครดี  :sad4: อยากให้พ้นวังวนนี้เสียที แงงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 18-01-2019 21:17:00
อยากให้รักษาให้หายทั้งคู่เลย ชอบการเล่าเรื่องมากค่ะ ชอบอารมณ์ขันแบบตลกร้ายของก้อง เป็นกำลังใจให้นะคะ :)


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-01-2019 21:42:26
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-01-2019 21:51:40
มันจะรันทดกันไปไหนนะเรื่องนี้ความกังวลความเครียดมาเต็ม ปมแต่ละคนช่างหนักหนา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-01-2019 21:55:16
เผลอด่าอิพี่อู๋ไปมากมาย ทำกับน้องยังงี้ได้ไง แต่สุดท้ายก็มารับเนอะ งั้นดีกันก็ได้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-01-2019 22:11:48
สงสารทั้งคู่เลย ขอบคุณที่พี่อู๋ไม่ได้คิดจะทิ้งน้องอย่างที่ก้องเข้าใจไปเองนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-01-2019 23:09:45
 o18

 :L1: :pig4: :L1:



 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 18-01-2019 23:17:38
วันนี้ก้องได้เป็นหลายอย่างนอกจากกอลิล่าก้อง ได้เป็นมันฝรั่งก้องด้วย เท่จริงๆ ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 18-01-2019 23:54:19
อยากกอดน้องกอลิล่าก้องแน่นๆหนักๆ
อยากเห็นวันที่น้องหาย
น้องไปโรงเรียนใช้ชีวิตวัยรุ่นปกติ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 19-01-2019 08:50:54
น้องกอริลล่ามันฝรั่งฮึบๆ
 
เมื่อไรพี่อู๋จะได้รักษาาา


 :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-01-2019 10:12:40
เป็นเราก็กังวล อิพี่อู๋ไปยืนกินโค้กหน้าตาเฉย น้องรอตั้งนานนะ ! ปฏิเสธไม่ได้ยว่าคำพูดในวันนั้นของพี่อู๋มันเป็นแผลเป็นที่ไม่มีวันหายไปจากใจน้อง สงสารน้อง  :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 20-01-2019 13:23:48
น้องก้องงงสู้ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 21-01-2019 00:56:29
เอออหากันจนเจอได้สักทีนะ เหงื่อแตกซ่ก เป็นวันที่อะไรๆก็ไม่ราบรื่นเอาซะเลย ไปๆกลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากันใหม่ อย่างน้อยวันเหี้ยๆนี่ยังมีรอยยิ้มให้กัน //คิดถึงกอลิล่าก้องกับอุรัสยา ขอบคุณที่แต่งและมาต่อนะคะ รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะเกิดไรขึ้นบ้าง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 14 update!] (18/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 29-01-2019 22:45:07
สงสารน้องกอริล่าก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15.1 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 01-02-2019 22:18:10
15
สัปดาห์ของคนใบ้ [PART1]
ผมกับแม่มีเกมที่เล่นกันประจำอยู่เกมหนึ่ง เป็นเกมประหลาดที่ไม่ว่าจะเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนสงสัย เราเรียกมันว่าเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ในหนึ่งเดือนจะมีหนึ่งสัปดาห์ที่เราไม่พูดกันเลย -- ไม่พูดจริงๆ แม่ไม่คุยกับผมซักประโยคเดียว

กติกาของเกมนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของแม่ล้วนๆ บางทีแม่นึกอยากจะเป็นใบ้ก็เล่นเกมนี้โดยไม่รอความเห็นของผม สมัยประถม ผมเคยร้องไห้ไปโรงเรียนเพราะน้อยใจที่แม่ไม่ยอมคุยด้วย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความเสียใจกลับกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่งวันหนึ่ง เราต่างสร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา แม่อยู่ในโลกของแม่ ผมก็อยู่ในโลกของนายก้องเกียรติ มีกำแพงกั้นตรงกลางระหว่างเรา ผมเห็นแม่ แม่เห็นผม แต่เราไม่เปิดเผยโลกของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น

เพื่อนสนิทสมัยมัธยมเคยพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ค่อนข้างประหลาด ซึ่งผมเห็นด้วย บางครั้งเราเป็นแม่ลูกกัน บางครั้งเราเหมือนคนแปลกหน้าที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมเคยตั้งคำถามว่าทำไมแม่ต้องสร้างเกมสัปดาห์ของคนใบ้ขึ้นมาด้วย แต่พอกลายเป็นกอริลลา ผมถึงตระหนักได้ว่าบางที การเงียบไม่พูดไม่จากับใครก็เป็นการฮีลตัวเองที่ดีเหมือนกัน

ถามว่าทำไมจู่ๆผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะเหรอ?
เพราะพี่อู๋ -- กำลังเล่นเกมคนใบ้กับผมอยู่ยังไงล่ะ

เราแทบไม่คุยกันเลยเพราะพี่อู๋มีเรื่องต้องคิด ส่วนผมก็ยุ่งกับการติดต่อเพื่อนบ้านที่เคยอยู่ใกล้กัน ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลวันนั้น ผมเปลี่ยนใจกลับมาใช้โทรศัพท์ตามเดิม ทันทีที่เปิดเครื่อง กล่องข้อความก็แจ้งเตือนว่ามีใครพยายามติดต่อมาบ้าง เยอะสุดคือลุงชัย รองลงมาคือลุงชื่น ทุกคนพยายามติดต่อผมสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแต่ลุงชัยบ่อยกว่าใครเพื่อน

ล่าสุดลุงเพิ่งโทรหาผมเมื่อวาน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันทุกวัน พอผมถามถึงความเป็นอยู่ของลุง แกก็บอกว่าดีแล้วที่ผมไปอยู่กับพี่อู๋ เพราะบ้านของเพื่อนที่ลุงขออาศัยตั้งอยู่ในชุมชนยาเสพติด เด็กที่นี่มีส่วนรู้เห็นในขบวนการเกือบทุกบ้าน วันดีคืนดีก็ไล่กระทืบกันเพราะเบี้ยวไม่มีเงินจ่ายค่ายา หนักหน่อยคือถูกตำรวจยิงตาย เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้ออกข่าวเพราะคนแถวนี้ตายกันบ่อยเหมือนผักเหมือนปลา ลุงบอกว่าถ้าผมมาอยู่ต้องประสาทกินแน่ๆ แกบอกว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างผมเลย

“ดีแล้วที่ได้ไปอยู่กับคุณอู๋ เขาดูแลเอ็งดีใช่ไหมล่ะ”

“ครับ” ผมตอบ “พี่อู๋ดูแลผมดีมากๆ”

ผมไม่ได้บอกลุงชัยเรื่องเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ไม่ได้บอกเรื่องที่เกือบโดนพี่อู๋ตี เรื่องคุณหมูพี เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเพราะไม่อยากให้แกเป็นกังวล ผมอยากให้ลุงได้ยินแต่เรื่องดีๆ ไม่อยากให้รู้สึกผิดที่ไม่พาผมไปอยู่ด้วย พอรู้ว่านายก้องเกียรติกินอิ่มนอนหลับและมีชีวิตสุขสบายที่ลาดพร้าว แกก็โล่งใจและบอกว่าว่างๆจะไปหา ซึ่งว่างๆของแกไม่ได้หมายถึงเวลาว่าง แต่หมายถึงตอนที่ถนนว่างต่างหาก

“ไว้เจอกันนะครับ”

ผมพูดประโยคสุดท้ายแล้ววางสาย ก่อนจะโทรหาลุงชื่น โทรหาพี่ลี โทรหาข้าวฟ่างเพื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบของทุกคนไปเรื่อย ส่วนใหญ่ผมไม่ได้คุย แค่รับฟังและคอยตอบคำถามพวกเขามากกว่า แน่นอนว่าเรื่องที่ออกจากปากนายก้องเกียรติมีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น ไม่มีเรื่องโดนกรีดจนเหวอะทั้งตัว ไม่มีเรื่องแย่ๆให้พวกเขากังวล

ผมใช้เวลาคุยกับเพื่อนบ้านเกือบชั่วโมง จนเมื่อเราไม่มีเรื่องพูดถึงวางสายแล้วกลับเข้าสู่เกมสัปดาห์ของคนใบ้โดยคุณอุรัสยาอีกครั้ง จริงๆพี่อู๋ก็ไม่ได้เย็นชาหรือเมินเฉยนายก้องเกียรติเสียทีเดียว เขาแค่อยู่ในช่วงที่ไม่อยากพูด ไม่อยากพูดก็คือไม่อยากพูด ไม่มีอารมณ์อื่นมาปะปน ไม่มีความไม่พอใจใดๆทั้งนั้น

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบเอ็ดนาที

หลังวางสายผมจึงเดินไปหาพี่อู๋ที่กำลังเล่นเปียโนของเอมอยู่ข้างนอก ผมรู้ว่ากอริลลาแต่ละตัวแสดงอาการไม่เหมือนกัน บางตัวร้องไห้ทั้งวัน บางตัวด้านชาไร้ความรู้สึก บางตัวก็ชอบทำร้ายตัวเองเพราะอยากรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับกอริลลาอู๋นั้น เขาแสดงนิสัยออกมาด้วยการกดเปียโนเรื่อยเปื่อยเป็นชั่วโมงๆ ต้องให้กอริลลาก้องเข้าไปขัดจังหวะถึงจะหยุดพักแล้วเริ่มกลับมาเป็นคุณอุรัสยาคนเดิมอีกครั้ง

“คุยกับลุงเสร็จแล้วเหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ “พี่จะเข้าห้องนอนเลยไหม? เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้”
“ก้องเปิดเลยก็ได้ ไม่ต้องรอพี่หรอก”

พี่อู๋บอก ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องนอนเพื่อเปิดแอร์และเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่เปิดฝักบัวล้างคราบสบู่ออกจากผิวก็ได้ยินเสียงพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับใครซักคน ผมรีบปิดฝักบัวเพื่อเงี่ยหูฟัง ได้ยินเป็นคำๆไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่เดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวกับคุณหมูพี เพราะทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่พูดถึงแฟนเก่า

“พีย้ายไปแอดมิทที่มนารมย์แล้วเหรอ? เป็นไงบ้าง?”

เดาผิดที่ไหน

“กูคงไม่ไปเยี่ยมหรอก ไปก็มีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง” บทสนทนาเว้นวรรคชั่วครู่ “ถ้ายังไงฝากอัปเดตอาการพีด้วยนะ”

ผมกัดริมฝีปาก คิดอยู่แล้วว่าพี่อู๋คงตัดคุณหมูพีไม่ขาด พวกเขาคบกันมาสิบปี จีบกันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในมหาลัยจนอายุสามสิบกว่า ต่อให้คุณหมูพีจะเกรี้ยวกราดและทำร้ายร่างกายพี่อู๋บ่อยขนาดไหนแต่เขาก็ยังมีส่วนดีๆให้จดจำ ผู้ปกครองของผมเองก็ยังรักและหวังดีกับคุณพีรพัฒน์อยู่ เพียงแค่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

ผมไม่ได้คิดประโยคเท่ๆพวกนั้นด้วยตัวเองหรอกนะ
ผมแอบได้ยินพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับเพื่อนอีกที

ดูเหมือนว่าในบรรดาเพื่อนทั้งหมด พี่ตั้มเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพี่อู๋ได้มากที่สุด พวกเขาคุยโทรศัพท์กันบ่อย ส่วนใหญ่จะอัปเดตอาการคุณหมูพีให้ฟัง ผมไม่รู้ว่าที่พี่อู๋ถามถึงอดีตคนรักนั้นเพราะเป็นห่วง ไม่อยากรู้สึกผิด หรือยังตัดใจไม่ได้กันแน่ แต่ในมุมมองของเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่เคยคบกับใครจริงๆจังๆ ผมคิดว่าพี่อู๋ยังรักคุณหมูพีอยู่ ถ้าไม่รักก็คงไม่ถามถึงบ่อยขนาดนี้

บทสนทนาเงียบลงแล้ว พี่อู๋คงเดินออกจากห้องเพราะกลัวกอริลลาก้องได้ยิน ผมเช็ดตัวในห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน พอออกมาก็ไม่เจอพี่อู๋ แต่ได้ยินเสียงคีย์แปร่งเพี้ยนของเปียโนดังมาจากข้างนอก ผมเดินไปตามเสียงแล้วก็พบกอริลลาที่กำลังเศร้าโศกบรรเลงเพลงด้วยอินเนอร์ของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท แต่เพลงที่กอริลลาอู๋เรียบเรียงขึ้นมาโคตรปั่นประสาทจนอยากเดินไปปิดฝาครอบเปียโนแล้วไล่ให้เขาไปนอน

“พี่น่าจะเรียนเปียโนนะครับ”

ผมพูด

“ก้องคิดว่าพี่ควรเรียนเหรอ?”

ควร -- ควรมากๆ อย่างน้อยผมจะได้ฟังเพลงที่เป็นเพลงจริงๆ ไม่ใช่เสียงติ๊งหน่องนองนอยตึ๋งๆกิ๊งๆอย่างทุกวันนี้

“ก้องล่ะชอบดนตรีไหม? สนใจเปียโนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ -- แค่อยากลองเล่นดูซักครั้ง”

ผมอ้ำอึ้งเพราะลึกๆก็อยากเล่นมานาน แต่พอคิดถึงคืนก่อนที่ฟ้าฝ่าตอนกำลังจะกดคีย์ ผมก็สันหลังเย็นวาบ คิดไปต่างๆนานาว่าเอมอาจจะไม่พอใจ เขาอาจจะไม่อยากให้ใครแตะเปียโนของตัวเองนอกจากพี่ชายก็ได้ 

“งั้นมาสิ ลองเล่นดูก่อน เผื่อชอบ”
“แต่เปียโนตัวนี้เป็นของเอมนะครับ”
“ทำไม? ก้องคิดว่าเอมกลายเป็นผีสิงเปียโนเหรอ?”
“เปล่าเสียหน่อย”

ผมบุ้ยปากและแอบไขว้นิ้วข้างหลัง อย่าแกล้งกันเลยนะเอม เราไม่ได้อยากแตะของของนาย พี่อู๋ยัดเยียดให้ลองต่างหาก

“อยากเล่นก็มาเล่นสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

พี่อู๋กวักมือเรียกยิกๆ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเชื้อเชิญให้กอริลลาก้องเข้ามาลอง ผมลังเลแต่ก็เดินไปนั่งตำแหน่งประจำของเอม ขอโทษนะ ผมนึกในใจ สัญญาว่าจะเล่นเบาๆ จะไม่ทำให้เปียโนของนายบุบสลาย เพราะฉะนั้นอย่าโกรธเราเลย ไปโกรธพี่อู๋เถอะ เราไม่ได้อยากเล่นจริงๆ ที่นั่งเนี่ยเพราะเกรงใจพี่ชายของนายหรอก ลึกๆเราไม่อยากยุ่งกับของของนายเลยนะ

ผมกล้าๆกลัวๆ ชั่งใจว่าควรลองกดซักติ๊งดีไหมแต่พี่อู๋ก็คะยั้นคะยออยู่นั่นแหละ กดเลยก้อง กดเลย เขาเชียร์จนผมค่อยๆวางมือขวาลงบนคีย์สีขาวตัวหนึ่งก่อนจะกดเบาๆ

ตึ๊ง!

ผมกดตัวเดียวแล้วนั่งเก็บมือเรียบร้อย โอเคนะเอม เราเล่นแค่ครั้งเดียว ตึ๊งเดียว ไม่โกรธกันนะ โอเคไหม โอเคไหม --

“เล่นอีกสิ จิ้มให้มันเยอะๆ”

พี่อู๋พูดดึงมือผมไปกดคีย์เปียโนหลายตัวอย่างเอาแต่ใจจนได้เพลงเพี้ยนๆมาหนึ่งท่อน

“เปียโนไม่ใช่น้ำจิ้มไก่นะ พี่จะบอกให้ผมจิ้มเอาๆได้ไง ถ้ามันพังขึ้นมาล่ะ?”
“คิดมากว่ะก้อง กดเล่นเฉยๆมันจะพังได้ไง?”
“ก็ผมเล่นไม่เป็น”
“งั้นสมัครเรียนสิ เดี๋ยวพี่จ่ายค่าเรียนให้ เอาหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้า ปฏิเสธผู้ปกครองด้วยคำพูดเรียบง่ายแต่พี่อู๋ก็ยังโน้มน้าวอยู่นั่นแหละ เขาบอกว่าปล่อยทิ้งไว้ไม่มีคนเล่นก็น่าเสียดาย สู้ส่งให้ผมเรียนดีกว่า อย่างน้อยถ้าผมเล่นเป็น เปียโนของเอมจะได้ไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวันนี้

“ทำไมพี่ไม่เรียนเองล่ะครับ พี่ควรเรียนมากกว่าผมอีกนะ”
“พี่แก่แล้ว เรียนไปก็เท่านั้นแหละ ให้เด็กๆอย่างก้องเรียนดีกว่า” พี่อู๋ยิ้ม ตาของเขาเป็นประกายวิบวับครั้งแรกในรอบหลายวัน “ดีไหมก้อง? ถือว่าฆ่าเวลาช่วงรอสอบด้วย”
“ผมไม่อยากรบกวนพี่อ่ะ แค่พาไปหาหมอผมก็เกรงใจมากแล้ว ถ้าเรียนเปียโนพี่คงต้องเสียเวลารับส่งผมอีก”
“พี่มีเพื่อนเป็นครูสอนดนตรี เดี๋ยวจ้างมาสอนที่นี่เลยก็ได้”
“แต่ --”
“เออน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ดีกว่าอยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำเนอะ”

แต่ผม -- ผมไม่ได้อยากเรียนเปียโน

“งั้นพี่โทรหาเพื่อนเลยนะ จะได้จองตารางไว้ เดี๋ยวเรามาคุยกัน”

พี่อู๋ยิ้มกว้างขณะกดเบอร์โทรศัพท์หาเพื่อนที่เป็นครูสอนดนตรี เขาดูมีความสุขมากเมื่อคิดไปเองว่านายก้องเกียรติสนใจเรียนเปียโน ยิ่งเห็นว่าเขาตื่นเต้นเท่าไหร่ ความต้องการของตัวเองก็ค่อยๆถูกอัดให้เล็กลงเท่านั้น ผมได้แต่นั่งมองพี่อู๋คุยกับเพื่อนเป็นวรรคเป็นเวร เขาบอกว่าค่าสอนไม่เกี่ยง ชั่วโมงละเท่าไหร่ขอให้บอก เขาอยากให้นายก้องเกียรติเล่นเปียโนเป็นจริงๆ

“ก็ไม่เชิงน้องหรอก จะว่าไงดี --” ผมหลุดจากความคิดเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของพี่อู๋ “เออ เอาเป็นว่ามาสอนเถอะ กูจ้างมึงก็แล้วกัน”

ในตอนนั้นเองผมถึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า พี่อู๋ไม่ได้จ้างครูมาสอนเพราะคิดว่าผมชอบเปียโนหรอก เขากำลังนำผมไปแทนที่เอม เขาทำเหมือนผมเป็นเอม เป็นน้องชายที่จ่ายเงินให้เรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ผมอยากบอกพี่อู๋ว่าผมไม่ใช่เอม ผมคือกอริลลาก้องซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ในชีวิตของพี่ อย่าบังคับให้ผมเล่นเปียโนเพื่อทดแทนคนที่จากไปเลย ยังไงผมก็ไม่มีวันเหมือนเอม ผมไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์เหมือนน้องชายของพี่ ถ้าวันหนึ่งพี่รู้ว่าผมไม่มีหัวด้านดนตรี ผมเป็นน้องชายของพี่ไม่ได้ พี่จะยังอยากเลี้ยงเด็กเหลือขอคนนี้อยู่ไหม

“เรียบร้อย” คุณอุรัสยายิ้มแป้น “เริ่มเรียนเดือนหน้านะ เพราะเดือนนี้ตารางไอ้โรมเต็มแน่นจนปลีกตัวมาไม่ได้”

กอริลลาก้องยิ้มเจื่อน ไม่รู้จะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง ผมพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อบอกพี่อู๋ว่าจริงๆแล้วไม่ได้อยากเรียนเปียโน ผมแค่อยากลองกดเล่นเฉยๆ ไม่อยากจริงจังกับมันขนาดนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มมีชีวิตชีวาของผู้ปกครอง ผมก็กดความต้องการของตัวเองไว้ แล้วมองผู้มีพระคุณที่พูดไม่หยุดอยู่ตรงหน้า

“ดีจัง” พี่อู๋ลูบด้านข้างของเปียโนเบาๆ “ซื้อมาครึ่งล้านไม่เสียเปล่า มีคนได้ใช้ตั้งสองคน”

ผมพูดไม่ออก ได้แต่นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาทะเลาะกับคุณหมูพี พี่อู๋เคยพูดว่าไม่ได้เอานายก้องเกียรติมาแทนที่ใครทั้งนั้น แต่วันนี้เขากลับทำให้ผมรู้สึกว่าต้องเป็นเอมคนที่สอง ต้องเรียนเปียโนตามแผนที่เขาคิดเอาไว้ แล้วผมควรทำยังไง นายก้องเกียรติที่เคยเรียนแค่ขลุ่ยเพียงออสมัยชั้นประถม -- จะเล่นเปียโนให้เก่งเท่าน้องชายของเขาได้ยังไง

“พี่อู๋ครับ”
“หืม?”

คุณอุรัสยาเงยหน้ามอง พอเห็นผมเงียบไม่พูดต่อก็วกกลับไปคุยเรื่องเปียโนอีกหน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ถูกยกเลิกกะทันหัน ผมได้แต่ฟังพี่อู๋แบบหูซ้ายทะลุหูขวา เนื้อหาที่เขาพยายามสื่อไม่เหลือติดสมองเลย ในหัวมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านว่าจะเอายังไงต่อไป ถ้ายืนยันกับพี่อู๋ว่าไม่อยากเรียน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ก็จะกลับมาอีกครั้งซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นแบบั้น ผมอยากให้เกมนี้เป็นเกมส่วนตัวระหว่างผมกับแม่ ต่อให้เคยคิดว่ามันคือการฮีลตัวเองที่ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากเล่นเกมนี้ทุกเดือน ในเมื่อแม่ตายแล้วก็ขอให้มันจบไป ผมไม่อยากให้พี่อู๋เอามันมาเล่น ผมไม่อยากอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครพูดด้วยเลย

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืน

ในที่สุดกอริลลาก้องก็ตัดสินใจได้ ถ้าพี่อู๋อยากให้ผมเป็นเอม ผมก็จะเป็นให้ ไม่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอะไร ผมจะเป็นให้ทุกอย่าง ผมจะเล่นเปียโนให้เก่ง จะรับผิดชอบงานบ้านให้ดี จะสอบเข้ามหาลัยดังๆให้ได้เหมือนที่พี่อู๋เคยคาดหวังกับเอม ผมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่เขาไม่เล่นเกมสัปดาห์กับคนใบ้กับผมอีกก็พอ




สัปดาห์แรกของเดือนธันวา ผมเริ่มเรียนดนตรี

พี่โรมเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของพี่อู๋ ดังนั้นเขาจึงไม่ระแคะระคายเมื่อต้องคลุกคลีกับคุณอุรัสยาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเหี้ยบนอินเทอร์เน็ต พี่โรมแอบคุยเรื่องนี้กับผมตอนพี่อู๋ไปเข้าห้องน้ำ เขาบอกว่าเพื่อนส่วนใหญ่ที่รู้จักกันมานานเข้าข้างพี่อู๋ทั้งนั้น แต่เพื่อนสมัยมหาลัยจะเอนไปทางคุณหมูพีเพราะชุดความคิดแปลกประหลาดเช่น คนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนคือคนเหี้ย ผมบอกพี่โรมว่าผมอยากให้พวกสอนเก่งมีแฟนประสาทแดกแบบคุณหมูพีจัง ถึงตอนนั้นจะยังด่าผู้ปกครองของผมอยู่ไหม จะยังอัปสเตตัสแขวะพี่อู๋ จะแกล้งด่าลอยๆเหมือนจุดธูปเรียกบรรพบุรุษมากินข้าวอีกไหม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“ปากร้ายนะเราอ่ะ” พี่โรมยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก เขาเป็นผู้ชายสูงร้อยเจ็ดสิบผู้ชื่นชอบทุกอย่างที่มีคิตตี้ “แล้วนี่ไปเจอไอ้อู๋ได้ไงเหรอ?”
“เจอ -- แถวบ้านครับ” ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริงทั้งหมด “ผมเดินเตะฝุ่นอยู่แถวบ้าน พี่อู๋ขับรถผ่านมาก็เลยรู้จักกัน”

แม้ว่านายก้องเกียรติจะเลิกลั่กแต่พี่โรมก็ปล่อยผ่าน ไม่ถามเพิ่มหรือแสดงความสงสัยอะไรอีก ผมแอบถามพี่โรมเกี่ยวกับผู้ปกครองสมัยเรียนมัธยมด้วย เขาบอกว่าพี่อู๋ตอนนั้นโคตรเกรอะกรัง วันๆเล่นแต่บาสกับอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะไม่เหมือนลูกหมอคนอื่นๆในโรงเรียนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนหัวฟู ผมถามพี่โรมว่าสมัยมัธยม ผู้ปกครองของผมเคยมีแฟนไหม พี่โรมส่ายหน้า บอกแค่ว่ามีแต่สาวๆแกล้งโทรผิดไปเบอร์บ้านพี่อู๋เพื่อชวนคุย ถ้าแฟนเป็นตัวเป็นตนยังไม่มี

“พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแฟนเก่ามันเท่าไหร่หรอก -- หมายถึงคนที่เพิ่งเลิกอ่ะ แต่เท่าที่ฟังจากเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ได้ยินว่านางร้ายอยู่นะ”
“มากๆครับ” ผมช่วยยืนยันข่าวซุบซิบนั้นอีกเสียง “แต่เพื่อนสมัยมัธยมไม่มีใครเกลียดพี่อู๋ใช่ไหมครับ?”
“โอ๊ย -- ไม่มี ไม่มีใครเกลียดมันหรอก ทุกคนเห็นใจมันจะตาย มีแต่เพื่อนแฟนเก่ามันทั้งนั้นแหละที่ไม่จบ คนประสาทแดกนี่มันก็อยู่ด้วยกันได้เนอะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกลับมาโฟกัสที่บทเรียนต่อ เนื้อหาวันแรกยังไม่เริ่มเล่นเพลงอย่างที่คิดเอาไว้ พี่โรมบอกว่าเขาจะสอนพื้นฐานของตัวโน้ตก่อน นี่ขนาดแค่พื้นฐานก็ปวดหัวกับบรรทัดห้าเส้นและสัญลักษณ์จะแย่ ดนตรีไม่ใช่ทางถนัดของผมเลย ไม่ใช่ซักนิด คนที่เคยอ่านโน้ตดนตรีไทยแค่ โด เร มี จะไปรู้เรื่องระบบกุญแจซอล กุญแจฟาได้ยังไง ต่อให้พี่โรมอธิบายอย่างใจเย็นก็เถอะ ผมไม่ได้หัวไวถึงขนาดเข้าใจทุกอย่างภายในหนึ่งชั่วโมง

“อย่ากดดันตัวเองนะคะน้องก้อง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ”

พี่โรมปลอบใจเมื่อเห็นผมหน้าดำคร่ำเครียดกับการท่องจำว่าอะไรคืออะไร ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนก่อนจะผละหน้าออกจากกระดาษแล้วสารภาพความจริงกับคุณครูโรม

“ผมไม่มีเซนส์ทางด้านดนตรีเลย ถ้าพี่อู๋ถามว่าเป็นไงบ้าง พี่ช่วยพูดยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้พี่อู๋เฟลได้ไหมครับ?”
“น้องก้องหมายความว่ายังไงคะ? อู๋มันจะเฟลทำไมเหรอ?”
“เขาจ่ายเงินตั้งแพงเพื่อให้ผมเรียน แต่ผมกลับไม่ได้เรื่อง เรียนมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผมยังนับจังหวะไม่เป็น”
“ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิดหรอกนะคะน้องก้อง” พี่โรมแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่ก็รับปากว่าจะพูดเฉพาะข้อดีของผมให้ผู้ปกครองฟัง “มาพยายามด้วยกันเนอะ ค่อยๆทำความเข้าใจวันละนิดละหน่อย พี่ว่าน้องก้องทำได้แน่นอนค่ะ”

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ว่าจะทำออกมาได้ดีเหมือนเอม แต่กอริลลาก้องที่เคยเล่นแค่ขลุ่ยเพียงออยังคงพยายามตั้งอกตั้งใจอ่านโน้ตดนตรีเบื้องต้นจนกระทั่งโทรศัพท์ของพี่อู๋สั่น เสียงเตือนสั้นๆแบบนี้คงเป็นข้อความจากเมสเซนเจอร์ในเฟสบุ๊กแน่ๆ ทันทีที่มันสั่น ครืด! ผมกับพี่โรมก็ชะโงกหน้าไปดูโทรศัพท์ของพี่อู๋ที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

[อู๋ พีอยากเจอ จะเอายังไง?]

เอาเหี้ยอะไรอีก

ผมนึกด่าในใจ ไหนว่าวันนั้นจบกันไปแล้วไง ทำไมถึงยังส่งข้อความมาหาผู้ปกครองของผมเพื่อให้เขากลับไปเจอคนประสาทแดกอีก ผมนั่งจ้องหน้าจอเขม็ง ยอมรับว่าไม่พอใจมากๆที่เพื่อนของคุณหมูพีทำตัวเป็นกาวตราช้างไปได้

“ลำไย” พี่โรมกลอกตา “ไม่ต้องไปสนใจมันนะคะ เรามาเรียนกันต่อเถอะ”

ผมพยักหน้ารับแล้วแสร้งทำเป็นโฟกัสกับบรรทัดห้าเส้นทว่าในใจกลับคิดแผนชั่วไปต่างๆนานา หลังเรียนเสร็จผมจะเอาโทรศัพท์ของพี่อู๋ไปซ่อน ผมจะยัดเอาไว้ในซอกโซฟาเพื่อไม่ให้เขาหาเจอและไม่ต้องเห็นข้อความบ้านั่น ผมสาบานเลยว่าจะขัดขวางทุกทางเพื่อไม่ให้พี่อู๋กลับไปเจอเรื่องเฮงซวยอีก ต่อให้ต้องเอาไอโฟนเครื่องละสามหมื่นของเขาจุ่มชักโครก ผมก็จะทำ

แผนของผมเกือบสำเร็จอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าจิตใต้สำนึกมันถามซ้ำๆว่านายก้องเกียรติมีสิทธิ์อะไร นี่มันเรื่องของพี่อู๋กับแฟนเก่า โทรศัพท์ก็เป็นของเขา แถมเราไม่ใช่ญาติหรือพี่น้องแท้ๆคลานตามกันมาด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เดินออกมาจากห้องน้ำ โทรศัพท์ของเขาจึงวางอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิม ไม่ได้โดนยัดในโซฟาตามแผนชั่วของกอริลลาก้อง แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาว่ามีคนคาบข่าวว่าอยากให้พี่อู๋ไปเจอคุณหมูพี ทั้งพี่โรมและผมปิดปากสนิท ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่สุดท้ายคุณอุรัสยาก็อ่านข้อความนั่นจนได้

“ทีนี้เรามาหัดเคาะจังหวะกันนะคะ เลขสี่ข้างบนก็คือห้องละสี่จังหวะ ถ้าเป็นเลขสามก็คือห้องละสามจังหวะ พี่จะเริ่มจากสี่จังหวะก่อนแล้วกัน น้องก้องฟังตามเสียงปรบมือพี่นะคะ หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม --”

ทำไมพี่ถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?

ผมเหลือบมองผู้ปกครองที่นั่งเล่นมือถือบนโซฟาจนหมดชั่วโมงเรียน ไม่รู้ว่าพี่อู๋ตอบข้อความนั้นว่ายังไง แต่ที่แน่ๆเขาเริ่มไม่มีอารมณ์ร่วมกับพวกเราแล้ว ขนาดพี่โรมรายงานเขาว่าวันนี้สอนอะไรบ้าง และนายก้องเกียรติเรียนรู้ได้ไวขนาดไหน เขายังไม่ตั้งใจฟังเลย พี่อู๋ใจลอยอยู่ที่โทรศัพท์ ไม่ได้สนใจเด็กในอุปการะที่ส่งเสียให้เรียนเปียโนซักนิด

“เจอกันพรุ่งนี้นะคะน้องก้อง”

พี่โรมโบกมือลาก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้กอริลลาสองตัวยืนอยู่ในบรรยากาศอึดอัดที่ไม่มีใครพูดอะไร พี่อู๋เดินกลับไปนั่งบนโซฟา คราวนี้เขาพิมพ์ตอบยิกๆเหมือนกำลังแชทกับใครบางคน เดาว่าน่าจะเป็นพี่ตั้มเพราะซักพักโทรศัพท์ก็ดัง พี่อู๋พูดแค่ว่ามึงเห็นที่กูแคปให้ดูหรือยัง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน

จริงๆผมอยากเปิดใจคุยกับผู้ปกครองเหมือนกัน ผมอยากบอกให้เขาใจแข็งไม่หันหลังกลับไป แต่ทุกครั้งที่คิดจะพูดแบบนั้น คำว่า มึงเสือกอะไร ก็ลอยเข้ามาในหัวตลอด นั่นสิ นายก้องเกียรติเสือกอะไร พี่อู๋จะกลับไปคบกับคุณหมูบ้าหรือยอมอดทนอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมก็ไม่ใช่เรื่องของผมเสียหน่อย ผมจึงทำแค่รออยู่ข้างนอก รอ และรอว่าพี่อู๋จะออกมาเมื่อไหร่ แต่เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายผมต้องลุกไปทำมื้อเย็นจะได้มีข้ออ้างเวลาเคาะประตูเรียกให้เขาออกจากห้อง

“พี่อู๋ กับข้าวเสร็จแล้วครับ”

ผมได้ยินเสียงกึกกักนิดหน่อยก่อนบานประตูจะเปิดออก พี่อู๋ดูซึมๆเครียดๆเหมือนคนมีเรื่องกลุ้มใจ ยังดีที่เขายอมลุกมากินข้าวให้กอริลลาชื่นใจบ้าง เพราะถ้าเขาเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องเหมือนวันก่อน ผมต้องประสาทแดกตายแน่ๆ

“วันนี้มีไข่ดาวไม่สุกกับแกงจืดสาหร่ายครับ” ผมเลื่อนชามน้ำซุปร้อนๆไปวางกลางโต๊ะก่อนจะเสิร์ฟข้าวสวยร้อนที่มีไข่ดาวเด้งดึ๋งอยู่ด้านบน “ผมทอดให้พี่สองฟองเลย”

พี่อู๋แค่ยิ้มบางๆแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวในส่วนของตัวเอง ผมมองผู้ปกครองที่นั่งอยู่ตรงข้าม หวังว่าวันนี้เขาจะเอ่ยปากชื่นชมว่ากับข้าวอร่อยเหมือนทุกที แต่มีแค่ความเงียบเป็นคำชม ไม่มีบทสนทนาอื่นนอกจากเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้

“อร่อยไหมครับ?”
“อืม อร่อย”

พี่อู๋ตอบอย่างขอไปที คำตอบของเขาไม่ทำให้ผมดีใจเลย

“พี่อู๋ครับ”
“หื้ม?”
“ถ้าพี่คิดถึงเขา -- ก็ไปเยี่ยมเขาเถอะครับ”

ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักไปครู่หนึ่ง คุณอุรัสยาไม่ได้ตำหนิที่ผมแอบอ่านข้อความส่วนตัว เขาก็แค่อึ้งราวกับไม่คิดว่ากอริลลาก้องจะพูดประโยคนี้ออกมา ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อบรรยากาศมันอึดอัดเพราะพี่อู๋อยู่หลังกำแพงของตัวเอง ผมก็ต้องพังอะไรซักอย่างเพื่อจะได้มองเห็นเขา ได้รับรู้ว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งปลอมๆมีอารมณ์แบบไหนซ่อนอยู่

“ทำไมพี่ต้องไปเยี่ยมพีล่ะก้อง?”
“เพราะตอนที่ไม่มีเขา พี่ดูไม่มีความสุขเลย” ผมบอกเหตุผล
“คิดมาก พี่ไม่ได้รัก --”
“ผมว่าพี่ควรพบจิตแพทย์นะครับ”

กอริลลาก้องโพล่งความต้องการของตัวเองออกไป คราวนี้พี่อู๋เหวอแดก เขาดูสับสนและงุนงงว่านายก้องเกียรติพูดเรื่องบ้าอะไร

“ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”

ผมบอกแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง เขาส่ายหน้าเหมือนคำแนะนำของเด็กอายุสิบเจ็ดเป็นเรื่องตลกขบขัน พี่อู๋บอกว่าทำไมเขาต้องพบจิตแพทย์ด้วยในเมื่อไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย พี่อู๋ไม่ได้อยากตาย เขาแค่อยู่ในโหมดเศร้าเพราะเพิ่งเลิกกับแฟน ส่วนใหญ่ใครๆก็รู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น ต่อให้หมดรักไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เสียใจ

“ก้องเคยมีแฟนไหม?”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“แล้วเคยอกหักหรือเปล่า?”

ผมครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า ผมเคยอกหักตอนมัธยมต้นจากผู้หญิงที่เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน มันก็หน่วงๆเจ็บๆตามประสาปั๊บปี้เลิฟ มีบางที่เสียใจเพราะโดนปฏิเสธ แต่ก็ไม่ถึงกับเก็บตัวเงียบแบบพี่อู๋เสียหน่อย

“ไว้วันไหนก้องมีความรัก ก้องจะเข้าใจ”
“ทำไมพี่ไม่อธิบายผมมาตรงๆ ทำไมต้องรอให้ผมมีความรัก? ชาตินี้ผมอาจจะไม่มีใครเลยก็ได้ วันหนึ่งผมอาจจะฆ่าตัวตาย อาจจะหายไป อาจจะ --”
“ก้อง” พี่อู๋ขัดจังหวะ “ของแบบนี้อธิบายไปก็ไม่อิน ต้องสัมผัสด้วยตัวเอง”
“ผมแค่อยากเข้าใจพี่บ้าง”
“ไม่ต้องพยายามเข้าใจพี่หรอก ก้องอยู่ให้มีความสุขเถอะ อย่าเอาเรื่องของพี่ไปคิดให้หนักสมองเลย เครียดเปล่าๆ”
“สรุปพี่จะหาหมอไหมครับ?”
“ไม่อ่ะ” พี่อู๋ตอบทันควัน “พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่สบายดี”

ผู้ปกครองส่ายหน้า ปล่อยให้เด็กในอุปการะนั่งเหม่อราวกับหลุดหายไปยังโลกอีกใบ พี่อู๋ไม่รู้หรอกว่าจริงๆผมคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังถามหาความหมายของคำว่ารัก แต่จริงๆแล้วผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้เขารู้ตัวต่างหาก พี่อู๋เหมือนกอริลลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกอริลลา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าของเขาไร้ความรู้สึกมาซักระยะแล้ว ผมล่ะอยากจับเขามัดมือมัดเท้าไปหาหมอจริงๆ

“กินข้าวเถอะก้อง เลิกคิดมากได้แล้ว”

พี่อู๋แบ่งไข่ขาวใส่จานของผม

“พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่สบายดี”

ผมฝืนยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ แสร้งทำเป็นไม่คิดอะไรทว่าจริงๆแล้วกำลังเครียดหนัก ความคิดเรื่องกลับไปเยี่ยมคุณหมูพีว่าแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าคือการไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ผมจินตนาการถึงวันที่พี่อู๋ล้มไม่ออกเลย ถ้าวันนั้นมาถึง กอริลลาก้องซึ่งจิตป่วยไม่แพ้กันจะรับมือไหวไหมนะ

ผมคิดไม่ออกจริงๆ




อ่านพาร์ท 2 ต่อข้างล่างได้เลยค่ะ  :monkeysad:


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15.2 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 01-02-2019 22:20:18
15 [PART2]
เกมสัปดาห์ของคนใบ้


นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงสิบเจ็ดนาที

พี่อู๋ยังไม่กลับบ้าน

เขาไม่ได้บอกผมว่าไปไหน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่พ้นโรงพยาบาลมนารมย์แน่ๆ พี่อู๋ออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยง เขาหายไปสี่ชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ทิ้งให้ผมเรียนเปียโนกับพี่โรมเพียงลำพังในห้องแค่สองคนเท่านั้น

“น้องก้องคะ วันนี้เป็นอะไร ทำไมน้องก้องดูไม่มีสมาธิเลย?”

ผมที่กำลังแบกโลกทั้งใบไม่รู้จะตอบยังไง จึงทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆแล้วพยายามตั้งสมาธิกับบทเรียนต่อ เมื่อวานแค่บรรทัดห้าเส้นและตัวโน้ตต่างๆก็แย่แล้ว วันนี้เจอคอร์ดเข้าไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผมงงเป็นไก่ตาแตก สัญลักษณ์พวกนี้ยากยิ่งกว่าคณิตเสริมสมัยมอปลายเสียอีก พอพี่โรมเห็นผมเงียบ เขาก็เว้นระยะให้นายก้องเกียรติได้พักหายใจก่อนจะถามว่าน้องก้องไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ได้เสมอนะคะ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกดดันนะ

“ผมจำเนื้อหาที่พี่อธิบายไม่ได้ครับ” ผมสารภาพความจริง “วันนี้ผมไม่มีใจจะเรียนเลย”

พี่โรมเหลือบมองนาฬิกา เหลือเวลาแค่สิบกว่านาทีถึงจะหมดคอร์สสำหรับวันนี้ เขาวางเอกสารอธิบายตัวโน้ตลงบนโต๊ะก่อนจะชวนผมไปที่เปียโน เปิดฝาครอบคีย์ขึ้นแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

“งั้นเรามาคลายเครียดด้วยการลองเล่นเพลงง่ายๆดีกว่าเนอะ” เขาพูดก่อนจะเริ่มกดคีย์ให้ผมฟัง ไล่ตั้งแต่โดเรมีไปจนถึงโด๊เสียงสูง “น้องก้องเคยได้ยินเพลงนี้ไหมคะ ทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ลสตาร์”
“เพลงเอบีซีเหรอครับ?”
“ใช่ๆ ทำนองเดียวกัน” พี่โรมวางนิ้วบนคีย์ให้ดูเป็นตัวอย่าง “ไม่ต้องคิดอะไรนะ ลองใช้เซนส์เล่นดู เพลงนี้ง่ายๆสบายมาก เล่นแค่มือขวามือเดียวก่อนก็ได้”

ผมลองกดตามที่พี่โรมสอน น่าแปลกที่จู่ๆก็เห็นภาพรวมชัดขึ้น กอริลลาก้องผู้รักตรีโกณมิติยิ่งกว่าอะไรค่อยๆเข้าสู่โลกของดนตรีจนเริ่มสร้างความเข้าใจฉบับตนเองขึ้นมา ผมแทนตัวโน้ตทั้งเจ็ดด้วยตัวเลข โดคือหนึ่ง มีคือสอง ไล่ไปเรื่อยๆจนตัวสุดท้ายโดยทีคือเจ็ด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น หมดปัญหาจำว่าตรงไหนคือโดคือซอล เพราะผมเล่นท่องเป็น

Twinkle Twinkle Little Star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

ว้าว --
ได้โปรดเรียกผมว่าอัจฉริยะทางด้านแปลงอะไรไม่รู้เป็นความเข้าใจของตัวเองเถอะ

พี่โรมไม่รู้หรอกว่าผมไม่ได้จำตัวโน้ต ผมมองมันเป็นตัวเลขแล้วกดตามรหัสที่ท่องไว้ คราวนี้การเรียนดนตรีสนุกขึ้นจนลืมความเครียด ผมเรียนรู้ไวจนสามารถเล่นเพลงอนุบาลหมีน้อยอย่าง Twinkle Twinkle Little Star ได้ภายในเวลาสิบนาทีด้วยซ้ำ

เมื่อเริ่มจำแม่น พี่โรมก็เล่นมือซ้ายให้ ส่วนผมเล่นมือขวา เพลงเอบีซีเวอร์ชั่นอิหยังวะจึงถือกำเนิดขึ้น ผมจำวินาทีที่เล่นเพลงนี้จบได้ มันทั้งสนุก ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นเมื่อคิดว่าวันนี้มีอะไรไปอวดผู้ปกครองแล้ว

“วันนี้พี่ปล่อยให้เล่นง่ายๆเพราะเห็นน้องก้องเครียด คราวหน้าเราจะทบทวนเนื้อหาใหม่อีกครั้งแล้วพี่จะสอนการวางมือที่ถูกต้องนะคะ ค่อยๆทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อาจจะลองวางมือบนสเกลซี เมเจอร์ก่อนแล้วไล่นิ้วไปก็ได้ คิดว่าเปียโนคือเพื่อน ทำความรู้จักเขาเรื่อยๆ วันหนึ่งน้องจะสนิทกับเขาจนหลับตาเล่นได้เลย”

ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่รู้ว่าวันที่เล่นเปียโนเก่งเหมือนเอมจะมาถึงหรือเปล่า นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงครึ่ง ถึงเวลาที่พี่โรมต้องกลับแล้ว แต่พี่อู๋ก็ยังไม่มา

“พี่โรมครับ เรื่องเงินค่าเรียน --”
“อ๋อ อู๋มันโอนให้พี่แล้วจ้ะเมื่อคืน” เขายิ้มหวาน “น้องก้องล็อกประตูห้องดีๆนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ”

ผมยกมือสวัสดีพี่โรมแล้วปิดประตูห้อง จากที่เคยนั่งรอเฉาๆก็เปลี่ยนเป็นฝึกเล่นเพลงที่เพิ่งเรียนเมื่อครู่แทน ผมเล่นมือขวาจนคล่องแต่มือซ้ายยังคงจำไม่ได้ก็เลยเปิดยูทิวบ์เพื่อเล่นตามความเข้าใจของคนสมองถั่ว บนอินเตอร์เน็ตมีความรู้ฟรีให้เรียนเยอะแยะ ถ้าผมลองเสิร์ชหาด้วยตัวเองก่อน พี่อู๋อาจจะไม่ต้องเสียเงินหลักพันเพื่อให้กอริลลาก้องเรียนเปียโนก็ได้

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบนาที

ในคอนโดไม่มีเสียงอื่นเลยนอกจากเพลง Twinkle Twinkle Little Star ที่บรรเลงโดยนายก้องเกียรติ ผมตั้งใจและทุ่มเทให้มันสมบูรณ์แบบด้วยความคิดที่ว่าถ้าพี่อู๋เห็นผมพัฒนาจากเมื่อวานขนาดไหน เขาคงดีใจ และกลับมาร่าเริงเหมือนวันก่อนแน่นอน





นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสามนาที

คุณอุรัสยาเพิ่งกลับถึงบ้าน ผมรีบหันหน้ามองทันทีที่ได้ยินเสียงไขกุญแจ พี่อู๋กลับมาแล้ว เขาดูเหมือนผักเหี่ยวๆที่แช่ในตู้เย็นนานหลายวัน ไม่มีสีสัน ไม่มีชีวิตชีวาราวกับทุกอย่างถูกลบออกไปหมด ผมทำเพียงแค่มองผู้ปกครองค่อยๆถอดรองเท้าอย่างเชื่องช้า ทันทีที่เขาหันมา ผมก็ถามด้วยคำถามเดิมๆ

“พี่โอเคไหมครับ?”

พี่อู๋ส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับว่าไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นอยู่ แววตาของเขาไม่มีน้ำตา ไม่มีอาการเหมือนคนเพิ่งร้องไห้แต่ดูเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ พี่อู๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไหล่ตกมาทางนี้ เขากางแขนกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอดแน่น มันแน่นจนผมทำตัวไม่ถูกเลย

“อยู่แบบนี้ซักพักนะก้อง”

พี่อู๋ขอร้อง แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธผู้มีพระคุณ ผมยืนเป็นหุ่นให้เขากอดนานหลายนาที พี่อู๋ถือโอกาสนี้ซบหน้าลงใบไหล่ของผมแล้วถอนหายใจ เขาไม่พูดเลย ไม่ระบายหรือเล่าอะไรให้ฟังนอกจากกอดกอริลลาก้องเงียบๆ ผมลังเลอยู่นานว่าควรตอบสนองยังไง แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไร ผมยืนเฉยๆพร้อมกับรวบรวมความกล้าถามเขา

“พี่อู๋คืนดีกับเขาแล้วเหรอครับ?”
“เปล่า”

เขาตอบ น้ำเสียงเหมือนคนเหนื่อยล้าที่ไม่มีทางไป พี่อู๋ทำให้ผมคิดไกลว่าลึกๆแล้วเขายังรักคุณหมูพีอยู่ พอคิดแบบนั้นผมก็เจ็บใจ อยากเตือนสติเขาด้วยการขุดคุ้ยวีรกรรมแสบๆที่คุณพีรพัฒน์ทำกับเราขึ้นมาอีกหน แต่กลัวว่าจะเป็นการซ้ำแผลใจให้เจ็บกว่าเดิม ดังนั้นกอริลลาก้องจึงหุบปาก ไม่สั่งสอนเขาเหมือนที่คนในเฟสบุ๊กเคยทำ
 
“พี่คุยกับผมได้นะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” พี่อู๋ปฏิเสธ “วันนี้ไม่ต้องทำข้าวเย็นเผื่อนะ พี่ไม่หิว”

ผู้ปกครองสั่งก่อนจะผละตัวออก เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของกอริลลาก้อง เขาก็ยืนยันอีกครั้งว่าไม่เป็นไร เขาไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเครียดเลย

“จะไม่ให้ผมเครียดได้ไง ผมเป็นห่วงพี่”
“พี่รู้ลิมิตตัวเองดีก้อง ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ พี่จะบอกเอง”
“พี่ไม่บอกหรอก พี่ไม่เคยบอกอะไรผมเลย” ผมตัดพ้อเหมือนตัวเองเป็นคนในครอบครัว ทั้งๆที่จริงเป็นเด็กข้างถนนที่ถูกเก็บมาเลี้ยง “ทำไมพี่ถึงบังคับให้ผมไปหาหมอได้ แต่ผมบังคับพี่ไม่ได้ล่ะ?”
“เพราะก้องไม่มีเงิน ก้องไม่มีอำนาจมากพอจะบีบพี่” เขาแกล้งแหย่ แต่ผมไม่ขำ “ไปกินข้าวเถอะ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ เห็นไหมว่าพี่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”
“ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนี่ครับ”

พี่อู๋แกล้งยีผมนายก้องเกียรติเบาๆก่อนจะเดินไปอาบน้ำ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ เราใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดเหมือนคนไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างเงียบอยู่เพียงลำพังในโลกของตัวเอง ไม่มีบทสนทนาเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการกินข้าวด้วยกันหรือเย้าแหย่หน้าทีวี พี่อู๋หายเข้าไปในห้องและไม่ออกมาอีกเลย

ผมเว้นช่องว่าง เว้นระยะห่าง เว้นวรรคผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง แต่สุดท้ายทนได้แค่สองชั่วโมงก็ต้องหาเรื่องไปดูเพราะรู้สึกเป็นห่วง ผมเปิดประตูเข้าไปเจอพี่อู๋นอนคว่ำหน้าบนเตียง ข้างๆมีโทรศัพท์วางไว้ราวกับเตรียมพร้อมรับสาย พอเห็นเขาหลับผมก็ปิดประตู เดินกลับมาที่โถงนั่งเล่นเพื่อซ้อมเปียโนเพราะอยากสร้างความประทับใจให้พี่อู๋

Twinkle Twinkle Little Star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

Up above the world so high
ซอล  ซอล   ฟา  ฟา    มี       มี       เร
ห้า     ห้า   สี่     สี่    สาม   สาม    สอง

Like a diamond in the sky
ซอล  ซอล   ฟา  ฟา    มี       มี       เร
ห้า     ห้า   สี่     สี่    สาม   สาม    สอง

Twinkle, twinkle little star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก  หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง --

เย้! ตอนนี้ผมสามารถส่งเสียงดีใจได้หรือยังนะ?

หลังจมเจ่ากับมันเกือบชั่วโมง ในที่สุดผมก็สามารถเล่นเพลง Twinkle, twinkle little star เว่อร์ชั่นที่ดีที่สุดของกอริลลาได้เสียที การต้องเล่นทั้งมือซ้ายและมือขวาพร้อมกันทั้งๆที่ยังไม่เรียนจริงจังนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานดนตรี แต่สุดท้ายผมก็ทำได้ ผมสามารถเล่นเพลงสั้นๆได้หนึ่งเพลงด้วยการดูและจำจากยูทิวบ์ ขณะที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่อู๋ก็เดินออกจากห้องมายืนมองกอริลลาเล่นเปียโนตรงโถงทางเดิน

พอเห็นผู้ปกครอง ผมก็เริ่มเล่นใหม่อีกครั้งด้วยความตื่นเต้นเหมือนได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ มันอาจจะเป็น Twinkle, twinkle little star เวอร์ชั่นที่ช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน แต่นี่คือเพลงแรกที่ผมสามารถเล่นได้ ผมตั้งใจกดคีย์เปียโนตามลำดับตัวเลขที่ท่องไว้ในหัวโดยไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว หวังว่าคุณอุรัสยาจะประทับใจจนยอมเปิดปากพูดบ้างนะ

Twinkle, twinkle little star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก  หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร      เร      โด
สี่   สี่   สาม  สาม  สอง  สอง  หนึ่ง

ทันทีที่เสียงเปียโนเงียบลง ผมก็รีบหันหน้าหาพี่อู๋เตรียมฟังคำชมเชยเต็มที่ ทว่าสิ่งที่เห็นคือภาพผู้ปกครองกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจกอริลลาเล่นเปียโนซักนิด

“อ้าว เล่นจบแล้วเหรอ?” พี่อู๋ถามเมื่อจู่ๆห้องก็เงียบไปเสียเฉยๆ “เก่งจัง”

ผมไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั้น ราวกับเขาแค่พูดให้มันจบๆไป ไม่ได้ตั้งใจฟังหรือภูมิใจในตัวผมอะไรมากมาย ผมจ้องพี่อู๋อยู่นานเกือบนาที นึกไปเองว่าหลังแชทกับเพื่อนเสร็จ เขาจะเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปากชมเหมือนที่เคยชมเอม ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่อู๋เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ผมนั่งคนเดียวในห้องที่มีแค่เสียงนาฬิกาเดินต๊อกแต๊กเพียงลำพัง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มยี่สิบสองนาที

ผมปิดฝาครอบคีย์ลงแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนเล็กแทนที่จะนอนกับผู้ปกครอง ผมเริ่มคิดว่าการฝืนใจเรียนเปียโนไม่คุ้มค่าเลยเพราะต่อให้เรียนรู้ไวแค่ไหน ตั้งใจมากแค่ไหน สุดท้ายพี่อู๋ก็เล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับนายก้องเกียรติอยู่ดี




TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

แหะๆๆๆ มาช้ามากๆ หมดข้อแก้ตัว ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ   :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-02-2019 22:58:55
ตอนนี้พี่อู๋ ไม่ได้เล่นเกมส์ใบ้กับก้องคนเดียว เล่นกับเราด้วยค่ะ
ใบ้กันไปหมดเลยย  :o12:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-02-2019 22:59:34
ปลายทางของสองคนนี้คือที่ไหนช่วยบอกที
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-02-2019 23:04:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-02-2019 23:08:36
ทำไมมันช่างหดหู่ซึมเศร้าอะไรเช่นนี้ จิตตกไปตามๆกัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 01-02-2019 23:13:27
ความไม่ชัดเจนของพี่อู๋ทำให้ความเจ็บปวดของน้องก่องชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้องเป็นเด็กชอบคิดแทน พอพี่อู๋เอาแต่เงียบ น้องก็คิดอะไรที่ทำร้ายตัวเองทุกวันทุกวัน ฮืออออ สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-02-2019 01:17:22
 o22


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-02-2019 09:56:32
อึดอัดไปหมดเลยค่ะ อยากพาน้องออกมา พี่อู๋คือป่วยหนักมาก คิดว่าน้องเด็กน้องไม่คิดอะไรหรือยังไง นี่คนป่วยนะ ไหนจะเรื่องให้เล่นเปียโนอีก เล่นเพื่ออะไรอ่ะ พอเล่นเป็นแล้วก็ไม่เห็นจะสนใจ เอาน้องมาแล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ไปหาหมอเถอะ เหนื่อย อึดอัด ท้อแท้มาก อยากพาน้องไปกับเรา ฮือ

ปล.เขียนดีมากๆ มากขึ้นทุกตอนค่ะ สำหรับตอนนี้คืออึดอัดมาก แต่ร้องไม่ออก วนอยู่ในหัวไม่ยอมออกเลย แง  :ling3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 02-02-2019 10:30:17
ไม่ไหวจริง ๆ พี่อู๋คือป่วยหนักมากแล้ว น้องก้องต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกนานแค่ไหนเหรอ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-02-2019 11:22:15
เครียดกว่าเดิมอีกตอนนี้ จะมีทางใหนที่ทำให้พี่กอลิล่าอู๋ยอมไปพบหมอสักทีนะ สงสารน้องก้องมากเลย ต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ใหน
มีความรู้สึกว่าตอนนี้มีพี่โรมที่ช่วยทำให้ผ่อนคลาย แม้จะไม่มากก็เถอะ แต่พี่โรมใจดี ดูเข้าใจและไม่กดดันน้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 02-02-2019 12:36:50
สงสารก้อง อิพี่อู๋แกทำน้องเครียด เหมือนใกล้แตกหักแล้วอ่ะตอนนี้


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 02-02-2019 15:49:39
ขอให้ก้องอดทนนะ อย่าเพื่งถอดใจในการบ่วยพี่อู๋  :katai1: :mew2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: chubbybunny ที่ 02-02-2019 19:18:49
ขอแสงสว่างที่ปลายอุโมงด้วยค่ะ ทางนี้จะขาดใจแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 02-02-2019 21:25:53
 แอบอยากให้น้องลงมือทำร้ายตัวเองจริงจังให้นายอู๋สำนึกผิดไปเลย! โกธรๆๆ ทำไมทำกับน้องแบบนี้ คิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาสิ น้องไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เก็บได้ข้างทาง แล้วแค่พาไปรักษา ให้ข้าวให้น้ำก็พอนะ น้องเป็นคน มีความรู้สึก และน้องแคร์แกมากไงอู๋ ถ้าไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นก็ปล่อยน้องไปเหอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: heymild ที่ 02-02-2019 22:32:36
เห้อม อึดอัดมากจริง อยากให้ไปหาหมอทั้งคู่เลย
จงหายยยยยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-02-2019 02:06:08
ปลายทางของสองคนนี้คือที่ไหนช่วยบอกที

5555555555555555555555 ขำกร๊ากเลยเรา เห็นด้วยๆ เอออออนั่นนะสิ แต่ว่าเข้าใจความใบ้นะ บางทีนี่ก็เป็น แบบอยากอยู่กับตัวเอง ก็จะเงียบใบ้แบบนี้เลย แต่ไม่ได้น่าอึดอัดแบบนี้ พี่อู๋นี่คือมีความกังวล พะวง งุนงงซึมเศร้าเข้าไปแทรก เลยเผลอละเลยคนอยู่ด้วย ก็ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจพี่เขาอะนะ 5555 ไม่เข้าใจที่ว่าปากบอกไม่เป็นไร แต่ทำไมทำตัวแบบนั้น ส่วนก้องก็เห็นด้วยนะที่ว่าอยากจะซ่อนมือถือพี่อู๋ อยากจะอะไรเรื่องหมูพี แต่ก็คิดว่าแล้วเรามีสิทธิ์อะไรไปเสือก เออก็คิดได้ แต่การที่ก้องจะให้พี่อู๋ไปหาหมอ คิดไม่ออกเลยจะใช้ทางไหน คงไม่สำคัญพออย่างที่บอก แต่ถ้าไม่ไหวก็ช่างแม่งเถอะก้อง เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ 555 แต่ก็นะคงอดห่วงเขาไม่ได้ เฮ้อออออออ!! ปลายทางสองคนนี้อยู่ไหน 555555555 นี้รอดูเลยจะเป็นยังไงต่อจากนี้ แต่ว่านะ ก้องได้ทีมแล้วเว้ย พี่โรมทีมก้องแน่น้อนน ก็อยากจะให้ดนตรีช่วยบำบัดได้นะ สนุกมากกกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้ได้อ่านกัน ^_^
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 03-02-2019 05:43:15
ลำใยพี่อู๋ :katai4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 03-02-2019 08:14:24
ถ้ายังเป็นแบบนี่ต่อไป จะวนเข้าลูปเดิมของน้องก้องกับแม่มั้ยคะแค่เปลี่ยนตัวละครจากกอริลลาแม่เป็นกอริลลาพี่อู๋

คิดว่ามีตัวละครใหม่ๆเข้ามาบรรยากาศจะเปลี่ยนไป แต่เหมือนเดิมเลย แงงงงง เจ็บปวด

 :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 03-02-2019 22:47:52
ดนตรีน่าจะช่วยบำบัดน้องก้้องได้
แต่ว่าน้องก้องต้องออกไปเจอคนอืานบ้างนะลูก
ปล่อยอุรัสยาไว้คนเดียวบ้าง

บางทีก็เกลียดพี่อู๋สุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 04-02-2019 10:20:28
สงสารน้องก้องที่สุด TT ขอให้มีทางออกในเรื่องนี้สักที


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lalilali ที่ 04-02-2019 20:58:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 15 update!] (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ppp044 ที่ 15-02-2019 15:29:51
อึดอัดไปหมดเลย ;-;
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 19-02-2019 22:25:40
16 [PART1]


ผมนอนไม่หลับ
ผมง่วง -- แต่มันไม่หลับ

เปลือกตาคันยุบยิบ หัวหนักอึ้ง ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนลมจากไดร์เป่าผมของเจ๊หมิว ผมนอนมองเพดานมาตั้งแต่เช้า หลับๆตื่นๆอยู่หลายหนและยังไม่ได้ลุกจากเตียง พี่อู๋บอกว่าเมื่อคืนผมพลิกตัวหลายครั้ง เขาถามว่านอนไม่หลับเหรอ ผมส่ายหน้าแล้วโกหก

“เปล่าครับ แค่เปลี่ยนท่านอนเฉยๆ”

 ผมโกหก โกหกด้วยนิสัยเดิมๆที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวผมกำลังรู้สึกยังไง เกมสัปดาห์ของคนใบ้ยังดำเนินต่อในซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด พี่อู๋พูดน้อยจนนับคำได้ เขาดูครุ่นคิดหนักใจอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ขมวดคิ้ว บางทีก็นิ่วหน้า บางทีหันมาจ้องผมเฉยๆก็มี

“พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋ทำท่าทางแบบนั้น เขาส่ายหน้าก่อนจะกลับไปจดจ้องกับโทรศัพท์ต่อ ผมอยากแย่งไอโฟนมาจากมือของเขาชะมัด ผมอยากจะปามันลงไปชั้นล่าง อยากจะใช้เท้าเหยียบให้จอแตกเขาจะได้ไม่อาลัยอาวรณ์คุณหมูบ้าอีก ตั้งแต่วันที่ไปเยี่ยมถึงโรงพยาบาล พี่อู๋ก็ดูเหมือนคนมีเรื่องให้คิดหนัก

อยากกลับไปคืนดีล่ะสิ
ผมรู้นะ -- ว่าพี่ยังรักเขาอยู่

ผมเฝ้ามองพี่อู๋อยู่ห่างๆ วันแล้ววันเล่าที่เขาไม่ออกไปไหน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำให้กอริลลาก้องเริ่มเบื่อหน่าย ไม่กระตือรือร้นอยากทำหรืออยากกินอะไรอีกแล้ว เหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งไว้จนชาด้าน ผมไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากกลวงโบ๋และว่างเปล่า เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า และความอับจนหนทางนั้นก็กัดกินผมเรื่อยๆจนขาดวิ่น ในที่สุดผมไม่เหลือความรู้สึกอีกเลย ผมมีชีวิตเพื่อตื่นมาดูว่าพี่อู๋เป็นยังไง ถ้าเขาสบายดี ก็แค่นั้น

  วันหนึ่งขณะที่กำลังทำมื้อเย็นอยู่หน้าเตา จู่ๆจานที่วางหมิ่นเหม่บนเคานท์เตอร์ก็หล่นเพล้ง แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆบนพื้น ผมถอนหายใจยาว มองดูเศษซากของจานบิ่นๆแล้วย่อตัวลงเก็บ พี่อู๋ที่อยู่ห้องน้ำรีบตะโกนถามว่าทำอะไร ผมตอบเขาว่าเปล่าครับ จานหล่น แค่จานหล่น ไม่มีอะไรหรอก

ผมนั่งจ้องเศษจานเซรามิกสีแดงที่กระจายบนพื้นสีขาว บางชิ้นแตกเป็นสามเหลี่ยม บางชิ้นเป็นเกล็ดเล็กๆ รูปร่างของมันแตกต่างกันไป ผมค่อยๆบรรจงหยิบเศษซากของพวกมันขึ้นมา ชิ้นที่หนึ่ง ชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม ชิ้นที่สี่

ชิ้นที่ห้า -- มีปลายแหลมเหมือนมีด

ผมเคยสงสัยว่าของเปราะบางอย่างเซรามิกพวกนี้สามารถทำให้มนุษย์เลือดออกได้ยังไง เพราะวันก่อนที่คุณหมูพีกรีดข้อมือตัวเองก็ใช้แค่เศษแตกๆจากแก้วพวกนี้เท่านั้น ผมลองใช้นิ้วแตะตรงขอบบิ่น มันให้ความรู้สึกสากกระด้างเหมือนจับกระดาษทราย ผมไล้นิ้วไปเรื่อยๆจนกระทั่งลองกดน้ำหนักบนปลายแหลม ไม่มีเลือดออก มันไม่เจ็บ เศษเซรามิกพวกนี้สร้างรอยแผลไม่ได้
แต่ถ้าลองปาดดูล่ะ?

ผมใช้มือขวาจับเศษแก้วก่อนจะวางบนข้อมือซ้าย เส้นเลือดสีม่วงเต้นตุบตับใต้ผิวหนังเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ยืนยันว่านายก้องเกียรติยังมีชีวิตอยู่ ความแสบจากรอยบาดทำให้ผมสงสัยมากกว่าเดิม ผมรู้สึกเจ็บนะ มันเจ็บ แต่ทำไมไม่มีเลือด ทำไมเลือดไม่ออกเยอะเหมือนคุณหมูพีล่ะ

ถ้าปาดตรงนี้ --
ถ้าปาด -- ลงบนผิวที่บางกว่านี้หน่อย

ผมขยับเศษแก้วขึ้นไปเกือบถึงฝ่ามือ กดมันเบาๆบนผิวหนังจนเจ็บจี๊ดไปถึงสมอง ตอนนี้ข้อมือของผมยังคงสะอาดเหมือนเดิม ไม่มีหยดเลือดหรือรอยแผล มีแค่รอยสีขาวที่ค่อยๆปรากฎขึ้นช้าๆก่อนจะตามด้วยของเหลวสีแดงเป็นจุดเล็กๆ เลือดออกแล้ว แต่ไม่ได้ไหลเป็นน้ำเหมือนของเขาเลย

งั้นต้องกรีดให้ลึกเท่าไหร่ -- ต้องโดนอีกกี่แผลผมถึงจะเป็นที่รักเหมือนคุณหมูพี

ลึกๆแล้วผมรู้ตัวว่าอิจฉาคุณพีรพัฒน์มาโดยตลอด คนนิสัยเสียแบบเขาไม่ควรมีใครอยากอยู่ข้างๆแท้ๆ แต่สุดท้ายทุกคนก็ห้อมล้อมเขา ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งพี่อู๋ ใครๆก็เห็นอกเห็นใจคุณหมูพี เศษแก้วชิ้นเดียวในคืนนั้นทำให้เขาได้รับความรักความสนใจ ถ้าผมมีแผลบ้างล่ะ? ถ้าผมเจ็บตัวจนเลือดออกบ้าง --

พี่อู๋จะเลิกเล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับผมไหม?

จังหวะที่กำลังจะลองปาดให้ลึกกว่านี้ จู่ๆข้อมือของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงจนเศษจานสีแดงหล่น มันกระทบพื้นดังกริ๊ง!ก่อนจะเงียบไป ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงตะคอกจากพี่อู๋ ไม่มีคำถามบีบคั้นให้อึดอัดใจ เขาแค่ดึงมือผมออกแล้วหยุดค้างไว้แค่นั้นเพื่อให้ผมตั้งสติด้วยตัวเอง

“จานแตกครับ” ผมบอกผู้ปกครอง “พี่อู๋ครับ จานแตก”
“เห็นแล้ว”
“ผมกำลังจะเก็บจาน”
“จริงเหรอ?”
“ครับ” ผมยืนยันแล้วก้มหน้าก้มตาหยิบเศษแก้วใส่ถุงพลาสติก “กำลังจะเก็บ”

พี่อู๋ผละตัวออก เขากลับไปยืนข้างๆเหมือนเดิมและจ้องกอริลลาก้องตาไม่กระพริบ ผมรู้ทันทีว่าเขาโกรธแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องอะไร โกรธที่ผมทำจานใบโปรดของเขาแตก หรือโกรธที่เห็นผมพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจ ผมอยากบอกพี่อู๋นะว่าไม่ได้อยากเลียนแบบคุณหมูพี อารมณ์มันพาไป จู่ๆผมก็แค่สงสัยว่าเศษของแตกๆพวกนี้เรียกความสนใจจากพี่ได้ยังไง แต่ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล พี่อู๋ไม่โวยวาย ไม่ได้สติแตกเหมือนตอนเห็นคุณหมูพีเลือดออกเลย

“ทำไมทำแบบนี้ล่ะก้อง?”
“ทำอะไรครับ?” ผมถามกลับ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาทั้งๆที่แสบข้อมือแทบแย่
“ก้องเป็นอะไร?”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร?”
“แล้วทำแบบนี้ทำไม?”
“ทำอะไรครับ?”

พี่อู๋ตาขวาง เขาโกรธจนไหล่สั่นเมื่อนายก้องเกียรติทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาถามเสียงแข็งเป็นครั้งที่สามว่าเป็นอะไร ทำแบบนี้ทำไม และเมื่อผมถามกลับว่าทำอะไรเหรอ? ผมทำอะไรผิด พี่อู๋ก็เม้งแตก เขาหยิบเศษจานขึ้นมาแล้วกรีดบนแขนตัวเองให้ดู

“ทำแบบนี้ไง!”

ผมกรีดร้องเมื่อเห็นเลือดซึมออกตามรอยแผลเป็นจุดๆ ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำแบบนี้ทำไม พี่ทำแบบนี้ทำไม อยู่หลายหน พี่อู๋ไม่ตอบ สีหน้าของเขาราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่กอริลลาก้องโวยวายจะเป็นจะตาย แต่คุณอุรัสยากลับนิ่งเฉย มองดูผมร้องไห้สุดเสียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการปลอบใจ

“พี่ทำแบบนี้ทำไม! พี่ทำแบบนี้ทำไม!”
“ทำอะไร?”
“พี่ทำแบบนี้ทำไม?!” ผมตะโกนถาม “พี่กรีดแขนตัวเองทำไม?!”
“ก้องมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“พี่อู๋!”

ผมชักดิ้นชักงอเหมือนคนบ้า ยิ่งพี่อู๋ตอบกวนตีนเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นเท่านั้น คราวนี้ผู้ปกครองเลิกถามแล้วว่าทำทำไม เขาแค่นั่งมองกอริลลาก้องตีอกชกหัวตัวเองอย่างใจเย็นผิดกับผมที่ตะโกนคอแทบแตก เสียงร้องไห้ของผมคงดังมากจนลุงยามข้างล่างถึงกับโทรมาถามพี่อู๋ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ก้องเดินชนโต๊ะครับ นิ้วก้อยไปเกี่ยวกับขาโต๊ะ คงเจ็บน่าดู” เขาโกหก “ครับ ครับ เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”

หลังวางสาย พี่อู๋ยังคงนั่งมองผมเฉยๆ เขาไม่ตอบโต้คำตัดพ้อต่อว่าของกอริลลาก้อง ไม่เข้ามาปลอบหรือกอดเหมือนที่ทำกับคุณหมูพี เขาไม่ให้ความสนใจแม้ว่าผมจะทำร้ายตัวเองจนได้เลือด ไม่มอบความรักความเป็นห่วงใดๆนอกจากมองผมร้องจนคอแทบแตกอยู่คนเดียว เขาไม่โอ๋ ไม่พูดปลอบ ไม่ดุด่าที่ทำเรื่องโง่ๆ พี่อู๋ไม่ทำในสิ่งที่ผมต้องการเลยซักอย่าง
 
“ทีนี้รู้หรือยังว่าเวลาพี่เห็นก้องทำร้ายตัวเอง พี่รู้สึกยังไง?”

คุณอุรัสยาพูดเมื่อเห็นผมร้องจนเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆก็ต้องหยุดร้องซักพักเพื่อรวบรวมพลังเตรียมแหกปากร้องต่อ คราวนี้ผมเงยหน้ามองผู้ปกครอง เขากำลังมองมาเหมือนกัน เราเล่นเกมจ้องตานานเกือบนาทีจนสุดท้ายนายก้องเกียรติต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ หลบสายตาดุดันของพี่อู๋แล้วก้มมองพื้นแทน

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

เขาสั่ง แต่ผมไม่รับปาก

“ก้องเกียรติ พี่บอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก ได้ยินไหม?”
“พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก”
“ห้ามได้หรือไม่ได้เดี๋ยวก็รู้”

พี่อู๋จ้องกลับจนผมกลัว จากที่เคยเป็นฝ่ายน้อยใจก็กลายเป็นคนรู้สึกผิด ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแผลบนแขนของพี่อู๋ คำพูดต่างๆมันจุกตรงคอจนได้แต่นั่งเป็นใบ้นานหลายนาที พี่อู๋นั้นอดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาไม่ลุกไปไหนเลย ไม่เก็บเศษจาน ไม่คุย ไม่ทำแผลที่แขนตัวเอง เขานิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายง้อเพราะกลัว กอริลลาก้องค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ผู้ปกครอง ผมบอกพี่อู๋ว่าขอโทษครับ แล้วก็ร้องไห้อีกรอบ

“ผมน้อยใจที่พี่ไม่คุยกับผมเลย” ผมบอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่อู๋ฟัง “ผมรู้ว่าพี่ยังเสียใจเรื่องคุณหมูพี รู้ว่าพี่ยังรักเขาอยู่ แต่พี่เลิกเล่นเกมนี้ไม่ได้เหรอ ผมไม่ชอบเกมนี้ ผมไม่อยากให้พี่เล่นเกมนี้กับผม”
“เกมอะไร?” เขาถามด้วยสีหน้างุนงง
“สัปดาห์ของคนใบ้” ผมตอบ “แม่เล่นเกมนี้กับผมมาทั้งชีวิตแล้ว พี่อย่าเป็นเหมือนแม่เลยนะ ผมไม่ชอบที่พี่เงียบเลย”

พี่อู๋เงียบเหมือนคิดเรื่องอื่นอยู่ พอผมระบายความในใจจนหมดเปลือกเขาถึงถามต่อว่ายาอยู่ที่ไหน ผมตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกหรือมีความลับอะไร

แต่ -- แต่ผมจำไม่ได้ว่าเอายาไปไว้ที่ไหน

 ครั้งสุดท้ายที่หาหมอ ผมยังถือถุงยาอยู่ แต่หลังจากนั้นผมกลับนึกไม่ออกว่าทิ้งมันไว้ที่ไหน พอพี่อู๋เห็นผมอ้ำๆอึ้งๆ เขาก็จับได้ทันที

“ยาหายเหรอ?”

ผมยอมรับ ครับ ยาหาย ผมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน พี่อู๋เริ่มหงุดหงิด เขามุ่งมั่นกับการหายารักษากอริลลาจนลืมผมไปชั่วขณะ คุณอุรัสยานึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่นาน เขาไล่ตั้งแต่พาผมไปหาหมอ รถชน เจอผมหน้าโรงพยาบาล ขึ้นแท็กซี่ ไปซื้อของเข้าห้อง -- พอนึกได้ว่าครั้งล่าสุดเราซื้อของมาหลายถุง เขาก็เปิดตู้เก็บเครื่องปรุงเหนือเตาไฟฟ้าก่อนจะหันมามองกอริลลาก้องตาขวาง

“ไม่ได้กินยาซักเม็ดเลยเหรอ?” 

เขาวางยาสี่ปึกลงบนเคานท์เตอร์ครัวแล้วกระแทกกระปุกยาทิ้งท้ายเป็นการบอกกลายๆว่าโมโหแค่ไหน

“ผม -- ผมลืม”
“ลืม? ลืมว่าเก็บยาไว้ตรงไหนเนี่ยนะ?”

พี่อู๋ถามย้ำ ผมยอมรับตามตรง ก็ผมลืมจริงๆนี่ วันนั้นเราเหนื่อยกันมาก และผมก็เครียดมากจนไม่ได้สนใจอะไร เมื่อได้ยินคำอธิบายทั้งหมดพี่อู๋ถึงกับทึ้งหัวตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด เขาบอกว่าเขาผิดเองแหละที่ดูแลผมไม่ดี เขามีเรื่องให้คิดเยอะจนไม่ค่อยได้สนใจกอริลลาก้องที่เลี้ยงไว้เท่าไหร่ ผมอยากถามพี่อู๋เหมือนกันว่าเขาเครียดเรื่องอะไรแต่ก็พอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องคุณหมูพี

“พี่น่าจะเอะใจให้เร็วกว่านี้” ผู้ปกครองตำหนิตัวเอง “แต่ -- เมื่อกี๊พูดถึงเกมอะไรนะ?”
“สัปดาห์ของคนใบ้ครับ”
“ก้องบอกว่าพี่เล่นเกมนี้กับก้องเหรอ? เล่น? ยังไง?”
“ครับ” ผมยืนยัน “พี่ไม่คุยกับผมเลย พี่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน คุยกับพี่ตั้มเรื่องคุณหมูพี พี่ไม่สนใจผมเหมือนเมื่อก่อน”
“มั่วแล้ว พี่คุยกับประกันบ่อยกว่าไอ้ตั้มอีก” เขาผลักหัวผม
“ไม่จริง ผมถามพี่ตลอดว่ากับข้าวอร่อยไหม พี่ก็ตอบแค่ว่าอร่อยแต่กินไม่หมด”
“เพราะมันเค็ม”
“พี่ว่าอะไรนะครับ?”
“กับข้าวของก้องรสชาติไม่เหมือนเดิมแล้ว” พี่อู๋ตอกย้ำ “ที่ไม่พูดตรงๆเพราะไม่อยากให้ก้องเสียใจ แต่จะให้ฝืนกินจนเป็นโรคไตมันก็ไม่คุ้มเปล่าวะก้อง”

ผมน่ะ -- ไม่เคยเสียใจเลยนะที่โดนตำหนิว่าทำบางเมนูไม่อร่อย แต่พอได้ยินพักหลังมานี้รสชาติมันห่วยแตกจนพี่อู๋กินไม่ลงก็แอบเจ็บนิดหน่อยเหมือนกัน เรากินด้วยกันแท้ๆ ทำไมมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย

“อีกอย่าง คนที่ไม่ยอมพูดก็คือก้องนั่นแหละ”
“ไม่จริง ผมชวนพี่คุยตลอด ผมเรียนเปียโนก็เพราะพี่ ผมทำทุกอย่างก็เพราะอยากให้พี่กลับมาสนใจผมเหมือนเดิม พี่นั่นแหละเปลี่ยนไป พี่ไม่ใช่พี่อู๋คนเดิมที่ผมรู้จัก”
“ที่คิดแบบนี้เพราะขาดยาหรือน้อยใจ?”
“ผมไม่ได้คิดไปเองนะ หลังๆมานี้พี่ไม่สนใจผมเลย ขนาดผมเล่นเปียโนเป็นตั้งหนึ่งเพลง พี่ยังไม่ชมซักคำ!”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าวันนั้นก้องเล่นเพลงเดิมซ้ำกี่รอบ?”
“สองสามรอบเอง”
“สองสามรอบ? แน่ใจ?” เขาถามจนผมเริ่มลังเล “ก้องไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเล่นเป็นสิบรอบ เล่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงและไม่ยอมหยุดจนพี่ต้องยกมือถือมาจับเวลาว่าจะเล่นอีกนานแค่ไหน”

พี่อู๋บอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เขาเปิดคลังภาพเพื่อให้ผมดูคลิปวิดีโอที่อัดไว้ หน้าจอปรากฏภาพของกอริลลาก้องกำลังนั่งหลังคู้เล่นเปียโนอย่างใจจดใจจ่อ หน้าของผมก้มต่ำจนแทบจะติดคีย์เปียโน ท่าทางดูหมกมุ่นเหมือนนักเปียโนเสียสติที่ลืมวันลืมคืน พอเห็นสภาพตัวเองผ่านทางวิดีโอคลิปแล้ว ผมก็จำนนต่อหลักฐาน เถียงไม่ออกว่าตัวเองดูผิดไปจากปกติจริงๆ

“ทีนี้ก้องมีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า?”
“ไม่มีครับ”
“ก้องเกียรติ”
“ก็ได้ -- แต่ผมไม่รู้ว่าควรบอกพี่ดีไหม” ผมอ้ำๆอึ้งๆ “ผมไม่อยากไปหาหมอแล้ว”
“ทำไม?”
“ผมรู้สึกว่าหมอไม่ได้เข้าใจจริงๆ เขาแค่พูดเพื่อให้ผมสบายใจ แต่สุดท้ายเขาก็เหมือนคนอื่นที่มองว่าผมยึดติดกับพี่เกินไปจนไม่ยอมเริ่มต้นใหม่เสียที”
“แล้วก้องคิดว่าไง?”
“ผมว่ามันก็จริงส่วนนึง แต่อีกส่วนก็ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด” ผมสารภาพ “วันนั้นผมกลัวว่าพี่ทิ้งก็เลยรีบคุยกับหมอให้เสร็จไวๆเพราะอยากไปหาพี่ แต่หมอไม่ยอม หมอพูดให้ผมยืนด้วยตัวเองทั้งๆที่ผมยังไม่พร้อม ผมไม่พร้อมจะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวตอนนี้”
“ทำไมล่ะ?”
“ผม -- ผมอยากอยู่กับพี่ตลอดไป” กอริลลาก้องร้องไห้อีกแล้ว “ผมไม่ได้รักความสบายหรือยึดติดพี่เพราะเห็นแก่เงิน แต่ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมแค่ไม่อยาก -- ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม พี่เข้าใจไหมว่าผมไม่อยากตื่นมามองเพดานคนเดียว ผมอยากมีพี่นอนมองเพดานอยู่ข้างๆ”
“เกือบซึ้งแล้วก้อง มาตกม้าตายตรงคำว่านอนมองเพดานนี่แหละ”
“ผมแค่กลัวว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น -- ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมถ้าไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน”

พี่อู๋ดูกังวลเมื่อผมพูดว่าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตคนเดียว เราต่างรู้ทั้งนั้นว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งผมต้องไปตามทางของตัวเองเพราะเขาไม่สามารถเลี้ยงกอริลลาก้องได้จนตาย พี่อู๋รู้ ผมก็รู้ แต่เรายังไม่เคยพูดถึงวันนั้นจริงๆจังๆซักครั้ง

“ก้อง -- พี่ว่าก้องน่าจะไปที่นี่นะ”

ผมเงยหน้ามองผู้ปกครองทั้งน้ำตา ไม่เข้าใจเลยว่าที่นี่ของเขาหมายถึงที่ไหน พี่อู๋ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพร้อมกับกดโทรศัพท์ เขาส่งมันให้ผมอ่าน ในนั้นเขียนว่าศูนย์สุขภาวะทางจิต

“บางทีกินยาอย่างเดียวไม่พอ ก้องน่าจะมีใครซักคนคอยช่วยอีกทาง” พี่อู๋อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นผมแสดงสีหน้าต่อต้าน “ไปคุยกับนักจิตบำบัดนะก้อง เดี๋ยวพี่พาไป”
“แต่ผมไม่อยากนั่งตอบคำถามกับคนแปลกหน้าแล้ว ผมเบื่อที่จะต้องเล่าเรื่องตัวเองซ้ำๆ เบื่อที่ต้องเล่าให้ฟังว่าแม่ตายยังไง”
“ทำไมล่ะ? ก้องไม่อยากรู้สึกดีขึ้นเหรอ?”
“พี่ก็รู้ว่าโรคนี้ไม่มีวันหายหรอก” ผมบอกพี่อู๋ “ยังไงมันก็รักษาไม่ได้ พี่อย่าเสียเงินเสียเวลากับผมอีกเลย”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ก้องรู้สึกดีขึ้น ต่อให้จ่ายเป็นหมื่นพี่ก็จ่ายได้ --”
“พี่เลิกทำเหมือนผมเป็นเอมซักทีได้ไหม?! ต่อให้พี่ใช้เงินกับผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่มีวันเป็นเอมของพี่หรอก!”

คราวนี้พี่อู๋เป็นฝ่ายอึ้ง เขาตกใจเมื่อผมกลับมาเกรี้ยวกราดอีกหนด้วยการพาดพิงถึงเอม พอพูดถึงตัวแทน ผมก็ร้องไห้โฮออกมา ผมบอกเขาว่าทำเต็มที่แล้ว ผมพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนน้องชายของเขาแต่มันไม่เคยดีพอ ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนเอม ไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรีเหมือนเอม และผมไม่อยากฝืนตัวเองอีกแล้ว

ผมไม่อยาก -- ไม่อยากเป็นใครที่ไม่ใช่ก้องเกียรติอีกแล้ว

“ถ้าพี่ตั้งใจเอาก้องมาแทนที่เอมจริงๆ คิดว่าตอนนี้ก้องจะได้นั่งกรีดแขนตัวเองเหรอ?! นู่น! คงขลุกตัวในโรงเรียนกวดวิชาแถวพญาไทนู่น! ไม่มีเวลามาน้อยใจแบบนี้หรอก!”

ผมชะงักเมื่อโดนตะคอกกลับ พี่อู๋กำมือแน่นเหมือนมีเรื่องอยากพูดมากกว่านี้แต่สุดท้ายเขาก็เงียบ และพยายามกลับมาที่เรื่องของเด็กในอุปการะแทน

“พี่ไม่เคยคาดหวังให้ก้องเป็นเอม ไม่เคยอยากให้ก้องเก่งเหมือนเอม ทำไมล่ะก้อง? ทำไมถึงคิดว่าพี่เอาก้องมาแทนที่ใครตลอด? พี่ทำอะไรผิดเหรอ? พี่พูดจาไม่ดีเหรอ?”
“พี่บังคับให้ผมเรียนเปียโน”
“พี่เห็นก้องชอบ --”
“ผมไม่ชอบ! ผมไม่ชอบเปียโน!”
“ถ้าไม่ชอบแล้วนั่งมองตาละห้อยทุกวันทำไมล่ะก้อง?” เขาถามเสียงสั่นราวกับผิดหวังที่ผมตะโกนออกไปว่าเกลียดเครื่องดนตรีนั่นแค่ไหน “ที่พี่ติดต่อไอ้โรมเพราะคิดว่าดนตรีจะช่วยบำบัดให้หายไวๆ แต่ถ้าก้องไม่มีความสุขกับมัน พี่ไม่ฝืนใจก็ได้ ไม่ต้องเรียนเปียโนก็ได้”
“ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีความสุข”
“แต่เมื่อกี๊ก้องเพิ่งตะคอกใส่หน้าพี่ว่าไม่ชอบเปียโน”
“ผมไม่ชอบที่ต้องกดดันตัวเองเพื่อเล่นเก่งเหมือนเอมต่างหาก”
“แล้วพี่เคยขอให้ก้องเป็นเอมเหรอ?”

พี่อู๋ถามย้อน คราวนี้ผมเห็นความผิดหวังในแววตาของเขาด้วย

“พี่เคยพูดเหรอว่าต้องเรียนเปียโนให้เก่งเท่าเอม ต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นน้องชายที่ว่านอนสอนง่าย พี่ไม่เคยพูดซักคำเพราะพี่รู้ว่าก้องไม่ใช่เอม ก้องก็คือก้อง เป็นเด็กซื่อบื้อธรรมดาๆคนหนึ่ง พี่ไม่เคยคิดจะปั้นก้องให้เป็นเอมซักครั้ง เมื่อไหร่ชุดความคิดลิเกพวกนี้จะหลุดจากหัวก้องซักที ขี้เกียจอธิบายแล้วนะโว้ย!”
“พี่หาว่าผมเป็นดราม่าควีนเหรอ?”
“เออ!!!!!”

พี่อู๋ขึ้นเสียง ถ้าเป็นเวลาปกติเราคงหัวเราะขำๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ขำ ผมอยากร้องไห้ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นดราม่าควีน

“ผมไม่ได้ชอบดราม่า! ผมแค่น้อยใจ!”
“น้อยใจเรื่องอะไร?”
“น้อยใจที่พี่สนแต่เรื่องของคุณหมูพีไง!”
“โอ๊ย -- หมูพีอีกแล้วเหรอวะ --” คุณอุรัสยายีหัวจนฟูยุ่ง สองมือลูบหน้าด้วยท่าทางเหมือนเด็กมหาลัยจนปัญญากับการอธิบายแคลคูลัสให้เด็กประถมฟัง
“ขนาดผมเจ็บตัวพี่ยังไม่สนใจเลย! พี่เปลี่ยนไปมากแค่ไหนพี่รู้ตัวไหม?!”
“ที่พี่ไม่ปลอบเพราะพี่ไม่อยากให้ก้องมีชุดความคิดผิดๆไง! ถ้าโอ๋ทุกครั้งที่ก้องทำร้ายตัวเองเหมือนหมูพี ต่อไปก้องจะคิดว่าขอแค่เจ็บตัวก็จะได้ความรักซึ่งมัน! ไม่! ใช่! พี่ไม่อยากสร้างเงื่อนไขแบบนั้นกับก้อง พี่ผิดมากเลยเหรอ? หืม? ผิดมากเลยเหรอที่ไม่โอ๋ก้อง?”
“ผมไม่ได้อยากให้พี่โอ๋ ผมแค่อยากให้พี่สนใจผมเหมือนเดิม!”
“แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้คืออะไร? ไม่สนใจเหรอ? แบบนี้เรียกว่าไม่สนใจเหรอ?” พี่อู๋ยกมือจะเขกหัวกอริลลาก้องแต่ก็ไม่ได้ทำ “ความคิดลิเกๆแบบนั้นเก็บไว้อ่านจากนิยายเถอะ เพราะถ้าพี่ไม่สนใจก้องจริง พี่จะพาก้องไปหาหมอ จะจ้างไอ้โรมมาสอนเปียโน จะพยายามหาวิธีช่วยให้ก้องดีขึ้นทำไม?”

ผมเงียบ เถียงไม่ออกเพราะที่พี่อู๋พูดก็จริงทุกอย่าง กอริลลาก้องได้แต่นั่งจ๋อย อุตส่าห์หงายการ์ดกรีดแขนแล้วแต่โดนเสยกลับจนแพ้ราบคาบ ใช่สิ -- ผมมันดราม่าควีน ผมมันคิดไปเอง ผมมัน -- ผม --

“ทีนี้ฟังพี่ -- ไปอาบน้ำแปรงฟัน โกนหนวดให้เรียบร้อยแล้วมากินข้าวกินยา”

พี่อู๋ลูบหัวผมเบาๆ เขาเช็ดน้ำตาออกให้ก่อนจะดึงแก้มนายก้องเกียรติจนยืดเหมือนพิซซ่าขอบชีสที่เราเคยกินด้วยกัน

“รู้ไหมว่าก้องเน่าแค่ไหน? หนวดก็ครึ้ม หน้าก็มัน แถมตายังบวมอีก” พี่อู๋เปลี่ยนเป้าหมายจากแก้มมาเป็นปลายจมูกของกอริลลา “หยุดร้องไห้แล้วไปจัดการตัวเองนะ”
“ครับ”

ผมตอบเสียงอ่อย ก่อนจะโดนพี่อู๋ลากไปตบกลางสี่แยก ผมกลับไม่รู้สึกถึงความสกปรกซกมกของตัวเองเลย ไม่ได้กลิ่นหรือเหนียวตัวเพราะไม่ได้อาบน้ำหลายวัน แต่พอพี่อู๋ทักเรื่องนี้ จู่ๆผมก็ได้กลิ่นปากตัวเองมากะทันหัน ผมกลายเป็นคนซกมกเหมือนที่เคยว่าคุณอุรัสยาไปแล้ว

“หลังจากนี้ก้องไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว พี่จะสั่งไลน์แมน”
“กับข้าวผมไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“กินยาก่อน กินยาให้ครบสองสัปดาห์แล้วเราค่อยพูดกันเรื่องกับข้าว”
“ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วย?”
“เพราะตอนนี้ก้องขาดยาไง คนขาดยา อธิบายยังไงก็เก็บไปน้อยใจอยู่ดี”

พี่อู๋เขกหัวกอริลลาก้องดังก๊อก! จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆพี่อู๋ก็จับแขนผมเอาไว้ เขามองด้วยสายตาเว้าวอนแบบแปลกๆก่อนจะเอ่ยปากขอให้ช่วย

“ทายาให้หน่อยสิ เจ็บว่ะ”
“แล้วพี่กรีดแขนตัวเองทำไมล่ะ!” ผมแหวใส่คุณอุรัสยา “กรีดเองก็ทายาเองสิครับ แผลใครแผลมัน”
“จะเอาแบบนี้เหรอก้องเกียรติ?”
“ครับ เอาแบบนี้แหละ” ผมตอบแล้วเอื้อมตัวหยิบกล่องปฐมพยาบาลหลังตู้เย็น “ผมอาบน้ำก่อนนะ เหม็น”
“เออ ดีนะที่ยังรู้ตัวว่าเหม็น”

ผมเบะปากแล้วไปอาบน้ำ ไม่สนพี่อู๋ที่นั่งเก็บเศษจานบนพื้นคนเดียว หลังจัดการตัวเองเสร็จ ผมก็เดินไปหาพี่อู๋เพื่อทำแผลให้ น่าแปลกที่แผลของคุณอุรัสยาไม่ลึกเท่าของผมแต่เลือดไหลเยอะกว่า ในขณะที่ของผมมีตั้งหลายแผลแต่เลือดกลับมีแค่นิดเดียว -- นิดเดียวจริงๆ นี่สินะที่คนเขาพูดกันว่าเลือดข้น เงินจาง กรีดยาวเป็นทาง ไม่มีน้ำยางซักหยด

“พรุ่งนี้ไปหานักจิตบำบัดนะก้อง” พี่อู๋บอกเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จ ผมไม่รับปาก “ว่าไง? ไปไหม?”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?”
“พี่มีทางเลือกให้ก้องแค่ทางเดียว --”
“ซึ่งก็คือต้องไป ถูกไหมครับ?”
“ถั่วต้ม” พี่อู๋พยักหน้าอย่างพอใจ “นะ เดี๋ยวพี่โทรจองให้ คิวว่างเมื่อไหร่พี่จะพาไป”

ผมเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ถ้าไม่ชอบ ไม่อยากทำหรือถูกขัดใจ มุมปากของผมจะโค้งต่ำทันที บางครั้งก็มองบนโดยไม่รู้ตัว แสดงออกถึงท่าทีเบื่อหน่ายจนพี่อู๋กังวล ดังนั้นตอนเห็นผมเริ่มเฉยชากับการตอบคำถาม คุณอุรัสยาก็ยื่นข้อเสนอแบบยื่นหมูยื่นแมว ถ้าผมไปหาหมอ เขาจะให้สิ่งที่ผมต้องการ

“พี่จะซื้อเกมให้”
“ผมไม่อยากได้ครับ”
“รองเท้าผ้าใบ”
“ไม่อยากได้”
“บุฟเฟ่ต์แซลม่อน”
“ผมไม่ใช่หมีกริซลีที่อยากกินปลาส้มขนาดนั้น”

ผมส่ายหน้า พี่อู๋ถอนหายใจเซ็งๆแล้วพยายามเสนอต่อ เขาบอกว่าจะให้ขนม ให้เกม ให้เสื้อผ้าเท่ๆ ให้กระเป๋าเป้สวยๆซักใบ ให้หนังสือที่ผมอยากอ่าน ให้ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป พอผมปฏิเสธทุกคำเสนอ เขาก็เริ่มเพิ่มวงเงินมากขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ของกินของใช้กลายเป็นเที่ยวต่างประเทศ พี่จะพาไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปเวียดนาม ไปเกาหลี ก้องอยากโกอินเตอร์ไหม ถ้าอยาก ต้องพบนักจิตบำบัดก่อน พี่อู๋ถึงจะจองตั๋วให้ แล้วเราก็ค่อยกลับห้องมาแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวกันสองคน

“ผมรู้นะว่าที่พี่ยื่นเสนอเว่อๆเพราะพี่มั่นใจว่าผมไม่เอา”
“อ่ะ ถูกอีก งั้นบอกมาซักทีเถอะ ก้องอยากได้อะไร?”

ผมแกล้งเล่นตัว ทำเป็นไม่พูดอยู่หลายนาทีจนพี่อู๋รำคาญ เขาเลิกถามในที่สุดเพราะกอริลลาก้องมัวแต่ทำตัวเป็นหล่อเลือกได้ ผมรีบคว้าแขนผู้ปกครองเมื่อพี่อู๋ลุกจากโซฟา เขามองหน้าผมและยิ้มเหมือนผู้ชนะ เขารู้ว่านายก้องเกียรติมีของที่อยากได้ เพียงแค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเท่านั้น

“ผมจะยอมไปพบนักจิตบำบัดก็ได้ถ้า --”
“ถ้าอะไร?”
“ถ้าพี่ -- พี่เข้าบำบัดกับผม”

ผมยื่นคำขาด

“แต่ถ้าพี่ไม่ไป ผมก็ไม่ไป”




ต่อด้านล่างอีกแล้วจ้ะพี่จ๋า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 19-02-2019 22:27:21
16 [PART2]



กอริลลาสองตัวตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า พวกมันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำธุระข้างนอก กอริลลาที่อายุมากกว่าตัดสินใจแวะร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเพราะหิว มันหยิบแซนด์วิชทูน่ามาสองกล่อง นมสองขวด และน้ำเปล่าหนึ่งขวดเป็นเสบียงติดกระเป๋าก่อนจะเดินเท้าข้ามสะพานลอย มุ่งหน้าสู่รถไฟฟ้ามหานครสถานีลาดพร้าว

กอริลลาที่แก่กว่าบ่นเรื่องชั่วโมงเร่งด่วน ลิงตัวอื่นๆเริ่มทยอยเดินเข้ามาในสถานี พวกมันยืนต่อแถวเป็นระเบียบหน้าป้ายที่เขียนว่าหัวลำโพง กอริลลาที่เด็กกว่าเริ่มหาวปากกว้าง แสดงท่าทางเบื่อหน่ายและหมดเรี่ยวแรงทั้งๆที่ยังไม่ทำอะไร

“รถน่าจะเสร็จก่อนปีใหม่ อดทนอีกนิดนะ ใช้รถไฟฟ้าไปก่อน”

กอริลลาที่เด็กกว่าพยักหน้ารับ พวกมันขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่สถานีสีลมเพื่อไปตามนัด ตลอดทางที่ยืนโหนราว กอริลลาที่แก่กว่าเอาแต่จ้องกอริลลาเด็ก มันจ้องเฉยๆจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง กอริลลาที่อายุมากกว่าจูงมือกอริลลาเด็กไปเรื่อยๆอย่างชำนาญ มันเดินข้ามถนน เข้าเขตโรงพยาบาลไปจนถึงตึกสีขาว กอริลลาเด็กเงยหน้าอ่านชื่ออาคารตรงหน้า บรมราชชนนีศรีศตพรรษ มันหันไปถามผู้ปกครองว่าชื่อนั้นมีความหมายว่ายังไง

“ไม่รู้อ่ะ เดี๋ยวค่อยเปิดกูเกิ้ลที่บ้านนะ”

มันตอบ ก่อนจะจูงมือเด็กในปกครองขึ้นไปชั้นห้าซึ่งมีป้ายเขียนว่าคณะจิตวิทยา พวกมันมาถึงจุดหมายแล้ว กอริลลาที่แก่กว่าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นก็รอไม่กี่นาที ผู้หญิงท่าทางใจดีก็เชิญพวกมันเข้าไป กอริลลาทั้งสองตัวต้องกรอกแบบสอบถามก่อนเข้ารับการตรวจ สำหรับกอริลลาเด็กนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะมันผ่านการถามย้ำซ้ำๆมาแล้วหลายหน แต่กอริลลาที่แก่กว่าดูท่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ บางทีมันหยุดนึกนานมากราวกับไม่แน่ใจในคำตอบ

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจ้งถึงสิทธิของกอริลลา จะไม่มีการนำเสียงหรือใบหน้าของมันไปเปิดเผยแพร่ ทุกเรื่องที่ออกจากปากกอริลลาจะเป็นความลับ มีแค่นักจิตวิทยาเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน กอริลลาที่อายุน้อยกว่าค่อนข้างเฉยๆ ไม่สนใจว่าเรื่องของตัวเองจะถูกนำไปบอกต่อหรือไม่ แต่กอริลลาตัวใหญ่มีสีหน้าโล่งใจเมื่อเจ้าหน้าให้สัญญาว่าจะรักษาความลับอย่างดี

“คนรู้จักพี่เรียนที่นี่เยอะ” มันอธิบายความกังวลให้กอริลลาเด็กฟัง “รอข้างนอกก่อนนะ คุยไม่นานหรอก”

กอริลลาที่อายุน้อยกว่าพยักหน้ารับและอดทนรอครอบครัวเพียงคนเดียวของมันนานเกือบสองชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบสองนาที ผู้ปกครองของมันเดินออกมาจากห้องสีขาวด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ดวงตาและปลายจมูกแดงช้ำ ขนตายังเปียกชื้นจนเห็นได้ชัด กอริลลาเด็กใจไม่ดีที่เห็นผู้ปกครองของมันร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามไถ่อะไรนอกจากนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อตัวเองอย่างใจเย็น

ระหว่างที่นั่งรอหน้าห้องตรวจ กอริลลาเด็กเริ่มกังวลจนมือเย็นไปหมด กอริลลาที่อายุมากกว่าปลอบมันด้วยการจับมือเบาๆ ทั้งสองตัวนั่งปิดปากเงียบโดยไม่พูดคุยเลยซักคำ มีเพียงแค่มือของพวกมันเท่านั้นที่สัมผัสกันอยู่

“ถ้ามันไม่ดีขึ้นล่ะ” กอริลลาเด็กถามเสียงสั่น
“เราก็ค่อยหาวิธีอื่นต่อไป”
“ถ้ามันไม่หาย ถ้าไม่มีใครช่วยผมได้ ถึงตอนนั้น -- พี่จะเบื่อผมไหม? พี่จะรำคาญ พี่จะทิ้งผมเหมือนแม่ไหม?” มันถามอีก
“พี่ไม่ทิ้งก้องหรอก”
“สัญญานะ”
“สัญญา”

กอริลลาเด็กยิ้มเมื่อผู้ปกครองมันเกี่ยวก้อยสัญญา หลังจากนั่งรอไม่กี่นาที ในที่สุดชื่อของมันก็ถูกเรียก กอริลลาก้องลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมามองกอริลลาที่อายุมากกว่า

“ตอนที่ผมออกจากห้อง -- ผมจะเห็นพี่นั่งตรงนี้ใช่ไหม?”

กอริลลาอู๋พยักหน้ารับ

“คุยเสร็จเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนะ”
“ครับ”

กอริลลาโบกมือลาก่อนจะเดินเข้าห้องสีขาวทางขวามือ น่าเสียดายที่มันอดเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของกอริลลาอู๋ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงยี่สิบเจ็ดนาที หลังจ่ายเงินค่าบริการ กอริลลาทั้งสองตัวก็นั่งรถไฟฟ้าไปพารากอน กอริลลาอู๋พากอริลลาก้องไปกินอาหารญี่ปุ่นก่อนจะจบการเดินทางด้วยหนังสือสามเล่ม หนึ่ง โสกราตีส สอง ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน และ สาม --

เอ่ยชื่อคือคำรัก



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอโทษที่มาช้านะคะ นี่คือความเร็วสม่ำเสมอของหนูแหละ วอนพี่จ๋าทำใจ อัปเร็วกว่านี้ไม่ได้จริงๆ แง 55555555555555555  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และแท็กเช่นเคยนะคะ กำลังใจน่ารักๆทำให้อยากเขียนตอนต่อไปเรื่อยๆ รักทุกคนที่ซู้ดเลย <3
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-02-2019 22:54:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 19-02-2019 23:04:32
ดีใจจังที่ไปรักษาทั้งคู่ พอรู้ในมุมมองของพี่อู๋ กอลิล่าก้องก็คิดไปเองเยอะเหมือนกันนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-02-2019 23:12:38
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:



 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 19-02-2019 23:45:25
ได้ฟังมุมพี่อู๋บ้างก็แอบปวดหัวตามอยู่เหมือนกัน คนป่วยกับคนป่วยสองคนอยู่ด้วยกันอ่ะแก มันก็จะล้มลุกคลุกคลานหน่อย แต่ก็สบายใจไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าพี่อู๋ได้รักษาด้วย ไม่รู้นะว่าหมูพีจะกลับมาอีกหรือเปล่า แต่ไม่ต้องมาสร้างเรื่องปวดหัวแหละดีแล้ว แค่สู้กับตัวเองเขาก็เหนื่อยกันไปหมด
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-02-2019 03:15:12
เฮ้ออออ พรู~~~*ถอนหายใจ* รู้สึกโล่ง คือเหนื่อยกับการอธิบายและพูดคุยกันกว่าจะเข้าใจ ก็นะ คนป่วยอยู่ด้วยกัน มันก็แบบนี้ละ อย่างเรานั่งดูนี้คือกุมขมับ ขยับนวดเบาๆ 5555555 แต่อย่างน้อยก็หาทางยอมพากันไปหาหมอได้สักทีอีกครั้ง หวังว่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย ก็ถ้าทั้งคู่ไม่เกเร ยอมกินยา มันคงดี ก็โอเคเข้าใจกันได้ในตอนนี้แล้ว ตอนหน้าจะเกิดไรขึ้นบ้างอีก รอติดตามเลยค่ะ อัพช้าไม่เป็นไร เข้าใจ ไม่เทก็พอ 555 ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ปั่นและมาอัพให้อ่านกัน สนุกกกกก ^_^ รอติดตามชีวิตกอลิลล่าทั้งสอง (:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 20-02-2019 20:48:52
รับปากเราว่าหลังจากนี้จะดีขึ้นใช่มั้ยยยย **มัดมือ
ไม่คาดหวังว่าก้องและพี่อู๋จะหายในเร็ววัน แต่ขอให้ดีขึ้นและขอให้เคลียร์เรื่องหมูพีได้จบจริงๆ
ถ้าไม่จบจะกลับไปอยู่ยังไงก็ตาม แต่อยากให้ดีขึ้นทั้งคู่ และรอวันที่พี่อู๋จะกลับไปทำงาน
เราเข้าใจในอาชีพพี่อู๋มากๆ ขอให้ทุกอย่างดีขึ้น
เมนต์มีแต่คำว่าดีขึ้นๆๆๆๆ  :ling2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Koduck ที่ 20-02-2019 20:51:33
พออ่านตอนนี้แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมากครับ หวังว่าต่อไปเรื่องจะเดินไปอย่างราบรื่นนะครับ


ไม่อยากเครียดแล้ว 555  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-02-2019 21:48:29
รีบๆรักษานะพี่อู๋ สงสารน้องงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-02-2019 22:11:12
คดีพลืกคิดว่าก้องปกติกว่ากลายเป็นว่าป่วยกว่าเดิมแบบไม่รุ้ตัวไปอีก แต่ก็ดีใจนะในที่สุดก็ไปบำบัดกันทั้งคู่
หนังสือเรื่องที่สามนี่จะช่วยอะไรได้มั้ยนะ จะรักกันยังไงเดาใจไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-02-2019 00:18:08
ดีใจที่กอลิลล่าพี่อู๋ได้เข้าพบจิตแพทย์สักที หวังทั้ง2คนว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ :กอด1: ตลกร้ายอ่า ชอบการบรรยายของนักเขียนมากกก เครียดแต่แอบฮานี่หลุดขำตรงดราม่าควีน :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 21-02-2019 01:51:32
พอเราอ่านในมุมของก้อง ก็รับรู้แต่ทัศนะของก้องซึ่งเป็นผู้ป่วย ในขณะเดียวกันอู๋เองก็ป่วย ตอนนี้คนอ่านก็เริ่มป่วยแล้วค่ะ TT
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 21-02-2019 04:45:01
ดีใจกับพี่อู๋ที่ได้คุยกับผุ้เชี่ยวชาญซะที  o13 ครอบครัวมีคนป่วยคนเดียวก้พอ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 21-02-2019 10:58:42
เป็นนิยายที่เครียดแต่ชอบมาก เหมือนเปิดมุมมองของคนที่มีหัวใจป่วยได้ดีมากๆ คือไม่สามารถหยุดอ่านได้เลย พอจบตอนมีแต่คำว่า เอาอีก อ่านอีก จนเกเรงานแล้วตอนนี้ 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 16 update!] (19/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 21-02-2019 12:11:47
น้องก็แค่ลืมกินยา
เรามีเพื่อนเป็นไบโพล่า
เพื่อนเราหายได้
น้องก้องก็ต้องหายได้เนอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-02-2019 22:42:23
17


วันที่ 18 ธันวาคม

ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า บรรยากาศแถวลาดพร้าวค่อนข้างขมุกขมัวเพราะฝุ่นจากการก่อสร้างอาคารข้างๆ ทันทีที่ลืมตา ผมบังคับตัวเองให้ทำตามแผนที่ช่วยกันวางกับนักจิตบำบัด ผมจะเก็บที่นอนก่อนไปอาบน้ำโกนหนวด หลังจากนั้นจะลุกไปดูทีวีหรือไม่ก็อะไรเล็กๆน้อยๆทำระหว่างรอพี่อู๋ตื่น ไม่น่าเชื่อว่าความสำเร็จเล็กๆอย่างพับผ้านวมทำให้ผมกระตือรือร้นอยากทำตามแผนต่อไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ไม่ใช่หน้าที่หนักหนาอะไร ก็แค่หนึ่งในกิจวัตรดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้กลับไปเป็นกอริลลารุงรังเหมือนที่ผ่านมา

วันนี้พี่อู๋ต้องไปรับรถที่อู่ หลังได้รถคืนเขาจะพาผมไปอิเกียบางใหญ่เพื่อซื้อของ ผมถามผู้ปกครองว่าทำไมต้องไปร้านขายเครื่องเรือนด้วยในเมื่อของใช้ในบ้านก็มีครบหมดแล้ว พี่อู๋บอกว่าเรายังขาดของสำคัญอีกหนึ่งชิ้น เขาบอกให้ผมลองนึกดู แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

“ชั้นหนังสือไงก้อง”

พี่อู๋เฉลยเมื่อผมเดาสุ่มไปเรื่อยไม่ถูกเสียที

“หรือเราจะอยู่กันแบบนี้ตลอดไป?”

ผมเหลือบมองหนังสือทั้งสี่ร้อยกว่าเล่มแล้วส่ายหน้า ไม่เอาล่ะ ถ้าต้องอยู่ในห้องที่มีแต่กองหนังสือนี่ผมขอไปนอนสนามหลวงดีกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงสามสิบแปดนาที

พี่อู๋พากอริลลาก้องไปรับรถที่อู่ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปเซ็นทรัลเวสต์เกต ผมไม่เคยเที่ยวย่านนี้มาก่อนเลย ปกติเดินแต่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า พอได้มาเวสต์เกตแล้วกลับรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ที่นี่ใหญ่มาก -- มากมาก มีร้านขายของแทบทุกอย่างที่เราตามหา แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดคือฟิตเนสสีแดงชั้นบนสุด ผมเพิ่งรู้ว่าในห้างมีฟิตเนสด้วยก็วันนี้

 “พี่ดูชั้นหนังสือจากอินเทอร์เน็ตหรือยังครับ?”

ผมถามผู้ปกครองขณะเดินเข้าไปในอิเกีย

“ใครเขาดูจากในเน็ต เขาเดินมาเลือกเองทั้งนั้นแหละ”

พี่อู๋ตอบ ตอนแรกผมงงว่าสมัยนี้ไม่นิยมอ่านกระทู้พันทิปก่อนซื้อของกันแล้วเหรอ แต่พอได้เดินอิเกียจริงๆก็ถึงบางอ้อ ที่นี่เป็นยิ่งกว่าร้านขายเครื่องเรือนเพราะมีแทบทุกอย่างตั้งแต่จานชามไปจนถึงที่นอนหมอนมุ้งและผ้าปูเตียง พี่อู๋พาผมเดินตระเวนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน เราเดินผ่านโซนขายหมอนอิง โซนขายเครื่องนอน ผ่านโซนขายเครื่องครัวที่มีทั้งผ้าปูโต๊ะและกล่องเก็บอาหารหลากหลายแบบ

ผมเดินดูของเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างผู้ปกครองที่หยิบนั่นหยิบนี่ใส่รถเข็น พี่อู๋ดูสนุกกับการช็อปของจิปาถะที่ไม่จำเป็นอย่างที่วางตะเกียบและผ้ากันเปื้อน ผมถามคุณอุรัสยาว่าพี่จะซื้อของพวกนี้ไปทำไมในเมื่อเราวางตะเกียบบนโต๊ะก็ได้ ผ้ากันเปื้อนไม่ต้องใช้ก็ได้ ผมทำกับข้าวธรรมดา ไม่ได้ทอดไก่หรือทำเบเกอรี่เสียหน่อย

“ซื้อไว้ก่อน เผื่อวันหลังเราทำอะไรเลอะๆไง”

ผมขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ว่าอะไร ถ้าพี่อู๋อยากซื้อก็ซื้อไปเถอะ เงินของเขา การ์ดของเขา จะรูดซื้อของจุกจิกแบบนี้กี่ชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องของผม เราเดินต่อไปโซนห้องนอน โซนเครื่องเรือนของเด็ก โซนห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่นจนถึงห้องทำงาน แต่กว่าจะถึงจุดแสดงตัวอย่างชั้นวางหนังสือ พี่อู๋ก็หยิบนั่นหยิบนี่ใส่รถตั้งหลายชิ้น เรามาหยุดเลือกชั้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า คุณอุรัสยาใช้นิ้วนวดคางด้วยท่าทางคิดหนักเพราะไม่รู้จะซื้อแบบไหนดี อันนั้นก็สวย อันนี้ก็ดี แต่ถ้าจะเอาชั้นที่ใส่หนังสือครบทั้งสี่ร้อยกว่าเล่ม ท่าทางต้องซื้อสองตู้

“ก้องชอบแบบไหน?” พี่อู๋ถาม ผมยักไหล่เพราะไม่มีความเห็น “เลือกให้หน่อยสิ แบบไหนดีกว่า ชั้นโปร่งหรือชั้นทึบ?”

ผมอ่านป้ายสีขาวที่เขียนชื่อรุ่นว่า อิวาร์ รุ่นนี้ดูเรียบๆดี ท่าทางจะใส่หนังสือได้หลายเล่มเพราะเป็นชั้นวางของแบบสามชุด ข้างล่างมีบานพับด้วย เอาไว้ใส่ของอื่นๆนอกจากหนังสือก็ได้

“พี่ว่ามันทนไหม?” ผมขอความเห็นจากพี่อู๋ “หนังสือที่บ้านหนักมากนะ ผมกลัวไม้จะรับน้ำหนักไม่ไหวอ่ะ”

คุณอุรัสยาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเดินไปเลือกชั้นอื่นที่จัดแสดงอยู่ไม่ไกล คราวนี้เป็นตู้หนังสือสีขาวที่ด้านในเป็นเนื้อไม้สีน้ำตาล ผมอ่านชื่อบนป้าย เฮมเนส มันคือตู้หนังสือหกชั้นที่ดูแล้วน่าจะรับน้ำหนักหนังสือทั้งหมดไม่ไหว ผมจึงบอกพี่อู๋ว่าเราควรเลือกอันอื่น เพราะรุ่นนี้ดูไม่ค่อยแข็งแรงเลย

“งั้นอันนี้ล่ะ?”

บิลลี่คือตู้หนังสือที่สามที่เราเลือกดู เป็นตู้แฝดติดกัน มีชั้นวางตู้ละหกชั้น รวมแล้วเป็นสิบสองชั้น ไม้ไม่บางไม่หนา ท่าทางน่าจะเก็บหนังสือได้เยอะ แต่ผมคิดว่าตู้เดียวคงไม่พอ

“งั้นเอาตู้นี้เนอะ”

พี่อู๋พูดเองเออเอง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายป้ายชื่อก่อนจะเดินไปโซนอื่น ตอนเดินผ่านหัวมุมเล็กๆที่จัดวางตุ๊กตา พี่อู๋ก็ชวนผมไปดู อิเกียขายตุ๊กตาสัตว์หลายแบบ มีทั้งฉลาม หมู หมา สิงโต เสือ หมีแพนด้า ที่สะดุดตาสุดน่าจะเป็นลิงสีน้ำตาล พี่อู๋หยิบมันขึ้นมาแล้วจัดท่าทางเลียนแบบผม เขาจับแขนขามันให้เต้นอะโกโก้ก่อนจะบอกว่าลิงตัวนี้ชื่อกอริลลาก้อง

“มันไม่ใช่กอริลลา มันคืออุรังอุตัง” 

ผมแย้งแต่พี่อู๋ไม่สน เขาจับตุ๊กตาอุรังอุตังที่ทึกทักเอาเองว่าชื่อก้องเกียรติมาพาดคอผม แล้วแปะตีนตุ๊กแกตรงปลายมือทั้งสองเพื่อให้มันอยู่ในท่าเกาะหลังผมเหมือนลูกลิง

“ปังคุงกับก้องเกียรติ”
“ปังคุงกับเจมส์ต่างหาก พี่ไม่เคยดูขำกลิ้งลิงกับหมาเหรอ” ผมเถียงแต่ก็ไม่ได้แกะตุ๊กตาออก ปล่อยให้มันกอดคออยู่อย่างนั้น “พี่อู๋จะซื้อเหรอครับ?”
“ใช่ ทำไม?” เขาตอบก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมูขึ้นมาอีกตัว “เอาแม่หมูด้วย”
“พี่ไม่ซื้อลูกมันไปด้วยเลยล่ะ?”
“เออว่ะ งั้นเอาลูกๆมาด้วย”

แล้วเขาก็หยิบตุ๊กตาหมูตัวเล็กมาอีกหกตัว ผมได้แต่ยืนงง ไม่เข้าใจว่าพี่อู๋อยู่ในอารมณ์ไหนถึงมายืนเลือกตุ๊กตา ผมปล่อยให้ผู้ปกครองเล่นในโลกของตัวเองตามอำเภอใจ เมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการ พี่อู๋ก็พาผมลงไปคลังสินค้าข้างล่างเพื่อซื้อชั้นหนังสือ

“เราต้องประกอบเองเหรอครับ?” ผมถามเมื่อเห็นกล่องสีน้ำตาลวางเรียงเป็นตับ
“ใช่ เราจะช่วยกันประกอบตู้นี้ขึ้นมา” พี่อู๋ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ทีนี้ก้องจะได้ไม่ฟุ้งซ่านเพราะมีงานให้ทำ”
“แต่ผมประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่เป็นนะครับ”
“ไม่มีใครประกอบเป็นตั้งแต่เกิดหรอก ของแบบนี้ต้องเรียนรู้”

ผู้ปกครองสอนระหว่างเดินไปคิดเงิน ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะขนตู้พวกนี้กลับบ้านเอง แต่พอกะขนาดของตู้กับขนาดรถแล้ว พี่อู๋ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเรายัดมันใส่วีออสไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงจำใจใช้บริการขนส่งแทน ผมได้ยินคนข้างหน้าถามพนักงานว่าถ้าต้องการจ้างช่างประกอบต้องทำยังไง เธอผายมือไปที่แผนกบริการลูกค้าและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อ ผมสะกิดพี่อู๋เพื่อถามเขาว่าพี่จะจ้างช่างไหม เขาส่ายหน้า

“เราต้องช่วยกันสิก้อง เราจะได้ภูมิใจกับมันมากๆไง”

เออ ผมจะรอดูนะว่าถึงตอนนั้น พี่จะยังพูดว่าเราต้องช่วยกันอยู่ไหม

เมื่อจ่ายเงินเสร็จ พี่อู๋ก็พาผมไปทานมื้อเที่ยง มันไม่ใช่อาหารหรูเลย ก็แค่ฮ็อตดอกธรรมดาชิ้นละสิบห้าบาทแต่อร่อยโลกลืม ผมกับผู้ปกครองยืนกินฮ็อตดอกบริเวณโต๊ะที่จัดวางไว้ เรามากันแค่สองคนก็จริง แต่ของกินเต็มโต๊ะเหมือนมาห้าคน พี่อู๋ซื้อทั้งเฟรนช์ฟรายและปอเปี๊ยะให้ผมอย่างละหนึ่ง มีน้ำอัดลมรีฟิลด้วย นี่เหมือนสวรรค์ย่อมๆสำหรับเด็กชอบฟาสต์ฟู้ดอย่างผมเลย

“อร่อยไหมก้อง?”
“อร่อยครับ” ผมตอบแล้วกัดฮ็อตดอกอีกหนึ่งคำ “น้ำโค้กที่นี่ซ่าจัง ผมชอบ”
“ชอบก็กินเยอะๆ อยากกินอะไรอีกก็บอกนะ เดี๋ยวพี่ซื้อให้”

ผมยิ้มแต่ไม่ขอให้พี่อู๋ซื้อเพิ่มเพราะเท่าที่มีก็กินไม่ไหว ผมกัดฮ็อตดอกคำแล้วคำเล่าจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็ยกโคล่าซดอึกๆ พอดื่มน้ำอัดลมหมดก็วางแก้วลงบนโต๊ะดังป๊อก แสดงออกว่าอร่อยและชอบมื้อเที่ยงวันนี้มากแค่ไหน พี่อู๋ที่กำลังกินปอเปี๊ยะหัวเราะก่อนจะหยิบทิชชู่เช็ดปากให้ผม เขาบอกว่าซอสมะเขือเทศเลอะขอบปากเหมือนผีปอบเลย

เอาอีกแล้ว ล้อเลียนผมอีกแล้ว คนแบบนี้น่ากระโดดเตะจริงๆ

หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ เราก็เดินเล่นในเซ็นทรัลอีกสองสามชั่วโมง ตอนแรกผมคิดว่าพี่อู๋อยากดูของเรื่อยเปื่อยแต่จริงๆเขามีลิสต์ที่ต้องซื้อเอาไว้ในใจแล้ว คุณอุรัสยาพาผมไปดูต้นคริสต์มาสขนาดสองเมตร ผมถามเขาว่าพี่จะซื้อของพวกนี้ไปทำไมในเมื่อห้องเราแคบจะตาย เขากลับตอบสั้นๆแค่ว่า

“ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว ก้องไม่ตื่นเต้นเหรอ?”

ผมส่ายหน้า ไม่อ่ะ ไม่ตื่นเต้น ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยในเมื่อวันคริสต์มาสไม่เคยเป็นวันหยุดสำหรับผม จะตื่นเต้นกับมันทำไมในเมื่อวันมาฆบูชาให้ผมมีเวลานอนอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่วันคริสมาสต์ผมยังต้องไปโรงเรียนด้วยซ้ำด้วยซ้ำ

“โห -- ต้นละสามพันกว่าบาทแน่ะ”

ผมบ่นงุบงิบตามประสาคนขี้งก แต่พี่อู๋สนุกกับการซื้อของตกแต่งมาก เขาซื้อลูกกลมๆหลากสี ซื้อสายรุ้ง ซื้อไฟ ซื้อของตกแต่งสีทองเยอะแยะไปหมด แน่นอนว่าผมยังคงไม่พูดอะไร มากสุดก็แค่บ่นว่าเปลืองนะแต่ไม่ห้ามเขา เราช่วยกันขนต้นคริสต์มาสไปไว้ในรถอย่างทุลักทุเล ผมวางถุงใส่ของตกแต่งบนพื้นแล้วนั่งประจำที่ข้างพี่อู๋

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงแปดนาที เราออกจากเซ็นทรัลเวสต์เกต

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เราติดแหง็กอยู่ที่แยกรัชดาลาดพร้าว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที ผมกับพี่อู๋ลงความเห็นว่าดับเครื่องแล้วเดินกลับคอนโดน่าจะเร็วกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มตรง วีออสของพี่อู๋เพิ่งเข้าเขตอาคารคอนโด แต่เพราะเรากลับดึกมากที่จอดรถก็เลยเต็มจนต้องจอดข้างนอก

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสามนาที ผมกับพี่อู๋วางของที่เพิ่งซื้อทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นแล้วเข้านอน ไม่ไหวแล้ว ลาก่อน ผมเกลียดแยกรัชดาลาดพร้าวจริงๆ

 


วันที่ 19 ธันวาคม

ผมและพี่อู๋ช่วยกันกางต้นคริสต์มาสเตรียมตกแต่ง เราใช้เวลามากกว่าครึ่งวันหมดไปกับการประดับของบนต้นสนปลอม คุณอุรัสยาผู้มีศิลปะในหัวใจส่งรูปในอินเทอร์เน็ตให้ดู เขาบอกว่าอยากแต่งต้นสนแบบออมเบรย์ไล่โทนสีตามในภาพ ก้องช่วยหน่อยได้ไหม

แน่นอนว่าผมต้องช่วยเพราะพี่อู๋คนเดียวคงทำทั้งหมดไม่ไหว กว่าจะคลี่ก้านต้นสนแต่ละก้าน กว่าจะแกะกล่องของตกแต่ง กว่าจะไล่โทนต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผมประดับชั้นล่างสุดของต้นด้วยสีชมพู สีแดง สีม่วง สีฟ้า สีเขียวน้ำทะเล สีเขียวอ่อนและสีเหลืองอยู่บนสุด แต่การแขวนลูกบอลประดับต้นคริสต์มาสไม่ใช่แค่แขวนไปมั่วๆก็สวยได้ ต้องเลือกและจัดวางองค์ประกอบให้ดี ซึ่งเจ้าของต้นไม้ไม่สนใจอะไรนอกจากแขวนๆไปให้มันจบ นายก้องเกียรติต่างหากที่คอยตามล้างตามเช็ด อันไหนเกะกะรกหูรกตาต้องปลดออกแล้วใส่แขวนอันอื่นแทน

พอจัดการต้นคริสต์มาสเสร็จ เราก็ช่วยกันขนเศษขยะไปทิ้งและออกไปทานมื้อเที่ยงแถวโชคชัยสี่ พี่อู๋พาผมไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดังที่อร่อยมาก เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นผมกินหมดตั้งสามชาม ถือเป็นจำนวนเยอะที่สุดตั้งแต่อยู่ด้วยกันเลย

“อร่อยใช่ไหม? อร่อยเนอะ อร่อยก็กินเยอะๆนะ”

เขาบอกแล้วแกะแคบหมูให้ ผมไม่อยากพูดให้เขาเสียน้ำใจ ก๋วยเตี๋ยวเรือไม่ได้อร่อยขนาดนั้นหรอก แค่ถ้วยมันเล็กชนิดที่ใช้ช้อนกวาดสองคำก็หมด แล้วแบบนี้เขาจะให้ผมกินถ้วยเดียวได้ยังไง ไม่มีมนุษย์คนไหนอิ่มแปล้เพราะก๋วยเตี๋ยวสองคำหรอกนะ

หลังจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรือสิบถ้วยและแคบหมูสามถุง พี่อู๋ก็ขับรถกลับคอนโด แน่นอนว่าลาดพร้าวซิตี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เราออกจากแถวโชคชัยสี่มาตั้งแต่บ่ายโมงกว่าๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดเลย กอริลลาสองตัวนั่งหน้าบูดในรถเพราะการจราจรไม่ขยับแม้แต่มิลลิเมตรเดียว นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบเก้านาที เราเพิ่งถึงคอนโดโดยมีรถของอิเกียมาส่งของพอดี

พี่อู๋ให้พนักงานช่วยขนขึ้นไปด้านบน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็เปิดแอร์แล้วนั่งจ้องกล่องสีน้ำตาลใบใหญ่สี่ใบด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พี่อู๋เปิดกล่องเพื่ออ่านคู่มือการประกอบ ส่วนกอริลลาก้องได้แต่นอนแผ่บนพื้นเพราะเหนื่อย แค่ต้นคริสต์มาสก็จะเป็นบ้าแล้ว ยังเหลือชั้นหนังสือที่ต้องประกอบอีกตั้งสองชั้น

ผมว่าพี่ฆ่าผมให้ตายเลยดีกว่า




วันที่ 20 ธันวาคม


ผมตื่นนอนแต่เช้า กินแซนด์วิชทูน่ารองท้องแล้วรีบกินยาเพราะกลัวลืม หลังจากนั้นก็หยิบคู่มือการประกอบชั้นหนังสือมาอ่านระหว่างรอพี่อู๋ตื่น

คู่มือมีทั้งหมดสิบสองหน้า แต่ละหน้าแสดงภาพวิธีประกอบโดยไม่มีคำบรรยายเขียนไว้ ผมกวาดสายตาดูคร่าวๆเกี่ยวกับอุปกรณ์ว่ามีไม้กี่ชิ้น น็อตกี่ชิ้น ตัวต่อกี่ชิ้น ซึ่งแต่ละตัวจะมีรหัสกำกับเพื่อไม่ให้หยิบผิดอัน ผมหยิบของที่อยู่ในกล่องออกมาวางเรียง โอเค ทุกอย่างครบ ไม่มีไม้แผ่นไหนบุบหรือปริแตก ชิ้นส่วนทั้งหมดอยู่ในสภาพดี

“ตื่นแล้วเหรอช่างก้อง”

พี่อู๋เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เขายีหัวกอริลลาก้องจนฟูยุ่งแต่ผมไม่ได้ว่าอะไร

“เป็นไง? ง่ายใช่ไหมล่ะ?”

ง่ายกับผีสิ

ผมคิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป

“กินข้าวก่อนเดี๋ยวเราค่อยช่วยกันประกอบนะ”

ผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ ผมทำหน้าที่ล้างจาน ส่วนพี่อู๋นั่งงมคู่มืออยู่บนโซฟา ตอนเหลือบมองยังเห็นคิ้วของเขาชนกันอยู่เลย แต่พอแกล้งหันหน้าไปถามว่าเป็นไงครับ ยากไหม? พี่อู๋ก็รีบฉีกยิ้ม บอกว่าของแค่นี้เล็กน้อยมาก ง่ายๆสบายๆ

“ดีเลยครับ เดี๋ยวผมนั่งเป็นกำลังใจตรงนี้”

ผมบอกขณะมองคุณอุรัสยาต่อชั้นหนังสือด้วยท่าทางเงอะงะ เขาดูไม่ถนัดงานช่างเอาเสียเลย เหมือนเด็กมัธยมที่เพิ่มหัดจับค้อนและไขควงครั้งแรก ผมเท้าคางมองผู้ปกครองที่กำลังเก๊กขรึมด้วยความขำ ต่อไม่เป็นก็ยอมแพ้เถอะ โทรเรียกช่างมาประกอบให้ก็ได้ ไม่มีใครว่าพี่กากหรอก

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ในที่สุดพี่อู๋ถึงยอมละทิฐิตัวเองด้วยการขอให้นายก้องเกียรติช่วย จริงๆผมไม่ได้ถนัดงานช่างแต่ก็เคยเรียนจากชุมนุมมาบ้าง ดังนั้นวันนี้เราก็เลยขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน ผมจดจ่อกับการประกอบชั้นหนังสือจนปวดหัว

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสามสิบเอ็ดนาที

ผมบอกพี่อู๋ว่าจ้างช่างเถอะ ผมเองก็ต่อไม่เป็นเหมือนกัน




วันที่ 21 ธันวาคม

ผมเรียนเปียโนกับพี่โรม

เพราะได้ปลดล็อคความรู้สึกกับพี่อู๋แล้วก็เลยไม่เครียดจนเกินไป ผมตั้งใจเรียนเท่าที่เรียนไหว ตรงไหนช้าหน่อยหรือไม่ค่อยเข้าใจก็ถามพี่โรม เขาถึงกับเอ่ยปากชมเมื่อหมดชั่วโมงเรียน

“พอไม่กดดันตัวเองก็สนุกขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?”

พี่โรมถาม ผมพยักหน้ายิ้มอย่างอารมณ์ดี

“อาทิตย์หน้าพี่ไม่ได้มาสอนนะคะ หยุดปีใหม่ ระหว่างที่เราไม่เจอกันน้องก้องก็ซ้อมทุกวันเป็นการฝึกตัวเองอีกทางนะ”
“ครับ”

ผมตอบ ก่อนจะเก็บเอกสารลงแฟ้มแล้วหันไปหาพี่อู๋ที่ยังคงประกอบชั้นหนังสืออยู่บนพื้น

“นึกยังไงถึงซื้อชั้นของอิเกียมาวะ มึงไม่รู้เหรอว่ามันต้องต่อเอง?” พี่โรมกอดอกถามคุณอุรัสยา
“รู้ กูแค่อยากหาอะไรให้ก้องทำ”
“แล้วสรุปก้องได้ทำไหม?”
“ไม่”
“เออ โทรจ้างช่างเถอะ กูเห็นสภาพห้องแล้วเวทนา หนังสือก็รก ต้นคริสต์มาสก็เกะกะ ห้องมึงกว้างไม่ถึงสี่สิบตารางเมตรจะยัดลงหมดนี่ได้ยังไง ไอ้ควาย”

พี่โรมด่าแต่พี่อู๋ยังคงไม่สะทกสะท้าน เขาแกะน็อตตัวนั้นออกต่อกับไม้ชิ้นนี้ พอดูรูปอีกที อ้าว ผิดด้านนี่นา ก็ต้องถอดออกแล้วประกอบใหม่ แทนที่ผมจะได้พักหลังเรียนเปียโนกลายเป็นว่าต้องมาช่วยพี่อู๋ประกอบชั้นหนังสือแทน ผ่านไปสองวันแล้ว ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย

“งั้นพี่กลับก่อนนะคะน้องก้อง”

พี่โรมขอตัว ผมยกมือไหว้และให้สัญญาว่าจะหัดเล่นเปียโนทุกวัน จังหวะที่พี่โรมเดินข้ามไม้แผ่นใหญ่ พี่อู๋ก็จับข้อเท้าของเขาไว้แล้วถามเสียงแข็ง

“มึงจะไปไหนอีโรม?”
“กลับบ้าน”
“ไม่ต้อง ช่วยกูก่อน”
“ถ้าไม่ช่วยอ่ะ?”
“กูจะบอกผัวมึงว่าเดือนก่อนมึงไม่ได้กลับใต้ไปหาแม่ แต่เมาอยู่ที่ข้าวสาร”
“นรก”

พี่โรมจิกตาแต่ก็ยอมนั่งลงแล้วช่วยผมกับผู้ปกครองประกอบชั้นหนังสือแต่โดยดี นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงยี่สิบนาที พี่โรมบอกพี่อู๋ว่าฟ้องผัวกูไปเลยเถอะ กูประกอบชั้นห่านี่ไม่ได้จริงๆ ไปล่ะ

ผมมองหน้าคุณอุรัสยาที่กำลังเดือดปุดๆก่อนจะถอนหายใจ

“จ้างช่างเถอะครับ”
“ไม่เอา”

แล้วเราก็จบบทสนทนาและการประกอบไว้แค่นั้น




วันที่ 22 ธันวาคม

คุณอุรัสยายอมแพ้จากการประกอบ ทิ้งให้กอริลลาก้องจัดการชั้นหนังสือเพียงคนเดียว ผมพยายามกระตุ้นพี่อู๋ด้วยการบอกเขาว่าเราเสียเงินตั้งสองหมื่นเพื่อซื้อตู้เก็บหนังสือนี่ พี่จะยอมแพ้ตรงนี้เหรอ พี่ไม่สู้หน่อยเหรอ จะทิ้งให้มันเป็นเศษไม้ตลอดไปเนี่ยนะ

“ช่างแม่ง” พี่อู๋ตัดบทแล้วสูดเส้นมาม่าเข้าปาก “ถึงเวลาจริงๆเดี๋ยวมันก็กลายเป็นตู้เองแหละ”

เพ้อเจอ

ผมคิด แน่นอนว่าไม่ได้พูด

“ประกอบไม่ได้ก็ปล่อยไว้ ไหนๆห้องก็รกอยู่แล้ว รกกว่านี้คงไม่เป็นไรเนอะ”











TBC
_________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

เห๋ย ตาฝาดเหรอ เป็นไปไม่ได้ มันอัปตอนใหม่เร็วได้ยังไง โอ้ซาร่า พี่จ๋าตาฝาดรึเปล่า ลองขยี้ตาแรงๆแล้วเอนจอยกับพี่อู๋น้องก้องตอนนี้นะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 22-02-2019 23:20:31
พี่อู๋นี่ก็เงินเก็บเยอะอยู่เหมือนกันนะเออ ทำเป็นเล่นไป เลี้ยงเด็กคนนึงแบบสบายๆ อยู่เลย สถานการณ์เริ่มดูดีขึ้น การทำกิจกรรมร่วมกัน แม้ว่าไม่สำเร็จในเร็ววัน แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ที่จริงหนูก้องก็ดีใจแหละ อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง ดูสิ ยังเรียนเปียโนอยู่เลย คิๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Koduck ที่ 22-02-2019 23:29:57
มันไม่สุดอ่ะ 555 เหมือนกำลังสนุก แล้วตัดจบเฉยเลย555 รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 22-02-2019 23:36:32
คำว่า “เนอะ“ ของพี่อู๋นี่คงทำให้กอลิล่าก้องปลงชีวิตได้ 5555

เป็นเนอะที่น่าตีจริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-02-2019 23:39:32
 :hao3:

เป็นตอนที่น่ารักที่สุดตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มาเลยครับ....
 o13 ประทับใจฝีมือของคนเขียนมากครับ...เขียนถึง(((โรคซึมเศร้า)))ได้ดีทุกซอกทุกมุม. o13


 :L2: :pig4: :L2:


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-02-2019 00:00:40
เป็นตอนที่อ่านแล้วหงุดหงิดพี่อู๋มาก ค้างคาไม่พอ ห้องรกอีก อะไรวะ 5555555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 23-02-2019 00:45:31
เงิบกับคำพูดสุดท้ายพี่อู๋ ได้เหรอคะพี่5555
เพราะรู้ว่าก้องขาดยาค่อยโล่งใจขึ้นมาเลยค่ะ นึกว่าพี่อู๋จะเป็นหนักซะแล้ว  :ruready
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-02-2019 22:57:38
ไล่อ่านจากบทแรกถึงบทนี้อึดอัดแทนจนเราจะป๋วยตามอีกคน สนุกค่ะจะติดตามจนจบค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-02-2019 23:35:55
เย้ ตอนนี้กอลิลล่าทั้ง2 ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน บรรยากาศดูผ่อนคลายมาก  คนอ่านก็เช่นกัน555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheraae ที่ 02-03-2019 20:09:45
เป็นตอนที่น่ารักมากอะ ขำการต่อตู้ของกอลิล่าทั้ง2
ตัว มากเวอร์
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-03-2019 00:01:07
เป็นตอนที่ทำให้หัวเราะได้ กอริลล่าทั้งสองตลกนะวันนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 17 update!] (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Koduck ที่ 09-03-2019 20:00:21
เข้ามารอครับ  :hao7:คิดถึงกอริลลาทั้งสอง :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 11-03-2019 21:54:58
18

วันที่ 23 ธันวาคม

ผมเกลียดที่ห้องของเราคับแคบจนไม่มีทางเดิน

ต้นคริสต์มาสขวางอยู่กลางบ้าน แถมยังมีกล่องอิเกียและหนังสือสี่ร้อยกว่าเล่มวางซ้อนเป็นชั้นๆอีก ทุกอย่างดูแน่นจนผมอึดอัด พื้นที่ทางเดินเหลือน้อยนิดแทบต้องเขย่งปลายเท้า ดังนั้นหลังกินข้าวกินยาเสร็จ ผมจึงตัดสินใจอ่านคู่มือเพื่อลองประกอบด้วยตัวเอง

พี่อู๋ตื่นนอนตอนเจ็ดโมงครึ่ง เขาเดินเกาหัวออกมาแล้วใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทาง ผมบอกผู้ปกครองว่าจะไม่ปล่อยให้ห้องเป็นกองขยะอีกต่อไป คุณอุรัสยาหัวเราะ เขาบอกเอาเลย ตามสบาย ก้องอยากทำอะไรก็ทำ พี่จะนอนให้กำลังใจบนโซฟา

“สู้ๆนะก้อง”

เขายิ้มเยาะ ส่วนผมได้แต่ถลึงตามอง ในเมื่อสถานการณ์บีบบังคับก็คงต้องงัดเอาความรู้สมัยมัธยมมาใช้ จริงๆคู่มือประกอบชั้นหนังสือไม่ได้ซับซ้อนเลย สิ่งที่ทำให้เราสับสนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคือการพลิกไม้ให้ตรงภาพ มันเหมือนกันเกินไป แยกไม่ออกว่าไหนหน้าไหนหลัง ผมจึงจัดแจงวางไม้เรียงตามขนาดจนพอเดาได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นเอาก็เอาน็อตมาวางบนกระดาษเอสี่ที่เขียนตัวเลขกำกับเอาไว้ แล้วเริ่มประกอบด้วยตัวเอง

“พี่อู๋ครับ ขอไขควงหน่อย”

ผมบอกผู้ปกครอง คุณอุรัสยาลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดลิ้นชักหยิบให้ทันที พอเห็นทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พี่อู๋จอมขี้เกียจก็เลิกนอนเปื่อยบนโซฟาและหันมาให้ความร่วมมือ เราช่วยกันดูคู่มือกันทีละขั้นตอน เถียงกันว่าใช่หน้านี้ไหม ตรงนี้ไหม น็อตตัวนี้ไหมอยู่เกือบชั่วโมง แต่นับว่าความพยายามนั้นคุ้มค่าเพราะเมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง เราก็ประกอบชั้นหนังสือได้แล้วหนึ่งหลัง

“ตรงนี้มันโยกเยกว่ะก้อง” พี่อู๋เขย่าชั้นให้เห็นปัญหา “ขันใหม่ให้แน่นสิ”

ช่างก้องทำตามคำขอ ผมใช้ไขควงขันตัวน็อตทุกตัวจนทุกชิ้นส่วนยึดติดกันแน่น พอเสร็จหนึ่งตู้ พี่อู๋ก็ร้องไชโย! ทั้งๆที่ไม่ได้ลงมือประกอบเท่าไหร่ เราช่วยกันลากตู้ไปวางชิดกำแพงติดทีวี ในคู่มือเขียนว่าจำเป็นต้องมีตัวยึดป้องกันตู้ล้ม ผมกับพี่อู๋มองหน้ากันทันที

คนนึงเป็นล่ามมาครึ่งชีวิต อีกคนเป็นแค่เด็กมอปลาย ดูท่าแล้วไม่มีใครเคยจับสว่านซักคน ดังนั้นคนที่ต้องช่วยเราเจาะผนังจึงไม่ใช่ใคร นอกจากพี่ต่าย ช่างซ่อมประจำคอนโด

“ระวังนะครับน้องอู๋ เจาะผนังแล้วฝุ่นจะฟุ้งนะ”

พี่ต่ายเตือน ผมจึงเตรียมเครื่องดูดฝุ่นและผ้าชุบน้ำให้พร้อม เมื่อเจาะและยึดตู้ให้ติดกับผนังเสร็จ ผมก็รีบทำความสะอาดทันที ขณะที่พี่ต่ายเตรียมขอตัวกลับ เขาก็เหลือบเห็นชั้นหนังสือที่ยังอยู่ในกล่องอีกสองใบ

“ให้ช่วยไหมครับ?” เขาถาม
“ไม่เป็นไร --”
“ขอบคุณครับ”

ผมพูดแทรกพี่อู๋ เขาหน้าเหวอที่เราล้มเลิกแผนประกอบชั้นด้วยตัวเอง พี่ต่ายเก่งสมกับเป็นช่างจริงๆ เขาใช้เวลาประกอบแค่สามสิบนาที ในขณะที่เราใช้เวลาสามวันเพื่อให้ได้ตู้หนึ่งหลัง กระดูกคนละเบอร์ขนาดนี้ พี่อู๋ยังจะดื้อให้ผมประกอบเองอีก เขานี่ไม่เจียมสังขารเลย

 นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบสามนาที

ชั้นวางหนังสือสองหลังถูกยึดเข้ากับผนังเรียบร้อย ผมถอนหายใจเมื่อทุกอย่างจบสิ้นกันเสียที ต่อไปนี้ไม่ต้องใช้เท้าเขี่ยหนังสือให้พ้นทางแล้ว เหลือแค่แยกหมวดหมู่และจัดมันเข้าชั้น เท่านี้บ้านก็จะกลับมาเป็นบ้านอีกหน

“ก้องไม่น่ารีบขอให้พี่ต่ายช่วยเลย” พี่อู๋บ่นงุ้งงิ้ง “จริงๆพี่ก็เข้าใจแล้วนะ ตู้หลังที่สองพี่ประกอบเองได้ เรื่องแค่นี้เอง”

ไอ้ขี้โม้

ผมส่ายหน้า ปล่อยให้พ่อขี้โม้คุยจ้อต่อไป



วันที่ 24 ธันวาคม

ผมและพี่อู๋มีนัดกับนักจิตบำบัด

ราวกับผมมาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังเท่านั้น มันคือเรื่องเดิมๆ จบแบบเดิม ความหดหู่เดิมๆที่ต้องพูดซ้ำๆเป็นครั้งที่สามหรือสี่ ผมเคยคิดว่าการได้ระบายความอัดอั้นตันใจกับใครซักคนคงช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมยังคงเหมือนเดิม เป็นนายก้องเกียรติที่ไม่มีที่ไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจัดการชีวิตตัวเองยังไงนอกจากเล่นสนุกไปวันๆ

“ก็ดีแล้วนี่นา” นักจิตบำบัดพูดเมื่อผมเล่าเรื่องชั้นหนังสือของอิเกียให้เธอฟัง “ก้องบอกพี่เองว่าความสุขมากตอนที่ประกอบชั้นเสร็จ ทำไมไม่สบายใจล่ะ?”
“ผมแค่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่” ผมถอนหายใจ รู้สึกเศร้าพิลึก “ผมไม่รู้ว่าพี่เข้าใจไหม มันไม่ใช่ความไม่สบายใจหรอก ผมกลัวต่างหาก”
“กลัวอะไรเหรอ?”
“กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีความสุขอีกแล้ว”

ผมบอกเธอ

“กลัวว่าในอนาคต -- ผมจะยังเป็นแบบนี้ การใช้ชีวิตไปวันๆมันสนุกก็จริงแต่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโตไปต้องเรียนที่ไหน จบไปทำงานอะไร ใช้ชีวิตอยู่ยังไง ผมกลัวทุกครั้งที่นึกเรื่องสอบเพราะไม่ได้อ่านหนังสือมาหลายเดือนแล้ว ผมไม่ยอมเช็กว่าสทศ.เปิดโอกาสให้สอบหรือเปล่าเพราะกลัวทำได้ไม่ดี พี่ก็รู้ว่าโอเน็ตสอบได้แค่ครั้งเดียว ถ้าผมพลาด นั่นหมายถึงผมต้องล้มเหลวไปจนวันตายนะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น? โอเน็ตสำคัญก็จริงแต่ยังมีคะแนนส่วนอื่นมาช่วยอีกไม่ใช่เหรอ?”
“ครับ ผมรู้ -- แต่ตอนนี้สิ่งที่ชี้อนาคตผมได้คือคะแนนจากโอเน็ต ผมถอยไม่ได้แล้ว ย้อนกลับไปแก้เกรดก็ไม่ได้แล้ว ถ้าคะแนนโอเน็ตออกมาแย่ผมจะเข้ามหาลัยดังๆไม่ได้”
“ทำไมต้องเป็นมหาลัยดังล่ะ?”
“เพราะผม --”

ผมอ้ำอึ้ง

“ผมคิดว่าถ้าสอบมหาลัยดีๆไม่ได้ พี่อู๋ก็คงทิ้งผม”
“เขาพูดเหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่พูด แค่เดา” ผมก้มมองมือของตัวเอง “ผมอยากทำให้เขาภูมิใจ อยากให้เขาบอกใครต่อใครว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขา เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงจนได้ดี”
“ก้องคิดว่าถ้าสอบมหาลัยดังๆไม่ได้ พี่อู๋จะไม่รักก้องเหรอ?”
“เขาไม่ได้รักผมอยู่แล้ว เขาแค่สงสาร”
“ความรักไม่ได้มีแค่เชิงชู้สาวนะก้อง รักแบบหวังดีจากใจจริงๆก็มี”

นักจิตบำบัดมองด้วยแววตาเอ็นดูจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา เธอลุกขึ้นเดินไปหยิบฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสใสดูคล้ายเลโก้ออกมา นักจิตบำบัดวางมันบนโต๊ะก่อนจะถามคำถาม

“ก้องรู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
“ไม่รู้ครับ” ผมตอบ “เหมือนฐานต่อเลโก้”
“ใช่ แล้วรู้หรือเปล่าว่าโมเดลของฐานนี้คือตัวอะไร?”

ไม่ครับ ไม่รู้ ผมส่ายหน้า ในใจนึกสงสัยว่ามาแค่แผ่นสี่เหลี่ยมใสๆใครมันจะไปเดาได้ น่าแปลกที่นักจิตบำบัดยิ้มอย่างพออกพอใจในความไม่รู้ของกอริลลาก้องก่อนจะเฉลยว่าพลาสติกบางๆแผ่นนี้เป็นเหมือนอนาคตของผม

“ก้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นโมเดลของตัวอะไร” เธอยิ้ม “แล้วถ้าพี่หยิบชิ้นนี้มาต่อล่ะ --”

นักจิตบำบัดเปิดกล่องพลาสติก ข้างในมีเลโก้ต่อกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นใหญ่คละสีปะปนจนเดาไม่ออก ผมได้แต่มองเธอค่อยๆยึดตัวต่อที่เป็นฐานทั้งสองข้าง มันคือสี่เหลี่ยมสีขาว แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร

“ตัวต่อพวกนี้ก็เหมือนสิ่งที่ก้องทำในหนึ่งวันนั่นแหละ” นักจิตบำบัดพูดต่อ คราวนี้เธอหยิบเอาเลโก้ชิ้นเล็กจิ๋วสีขาวออกมาอีกหลายตัว “พอหลายๆชิ้นมารวมกัน มันก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง -- แบบนี้”

เธอมุ่งมั่นกับการต่อเลโก้ให้กอริลลาดู

“เป็นไง? ดูออกหรือยังว่ามันคือรูปอะไร?”

ผมเลิกคิ้วแล้วเพ่งดูเลโก้ที่ขึ้นโครงแค่ขา เดาจากลักษณะแล้วคงเป็นตัวการ์ตูนจากเรื่องอะไรซักอย่างที่ไม่รู้จัก เมื่อเห็นว่านายก้องเกียรติยังไม่รู้คำตอบ เธอก็ค่อยๆประกอบมากขึ้นเรื่อยๆจนมันกลายเป็นรูป --

หมีขั้วโลกสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้า

หมีจากโลกไหนมันใส่ผ้ากันเปื้อนวะ

“ทีนี้ดูออกหรือยัง?”
“ครับ หมีขั้วโลก”

เธอพยักหน้าแต่มือกลับรื้อเลโก้ที่เพิ่งต่อเสร็จทิ้งเฉยเลย คราวนี้นักจิตบำบัดโยนส่วนสีขาวทิ้ง เธอหยิบสีน้ำตาลออกมาแล้วเริ่มประกอบอย่างรวดเร็วอีกครั้งจนกลายเป็นหมีตัวใหม่ เธอถามว่านี่คืออะไร ผมจึงตอบไปว่าหมีควาย

“อ่ะ หมีควายก็หมีควาย”

เธอหัวเราะพร้อมกับรื้อทิ้งและประกอบอีกรอบ คราวนี้ไม่มีส่วนไหนเป็นสีน้ำตาลแล้ว มีแค่สีดำกับสีขาวซึ่งต่างจากสองตัวแรกอย่างสิ้นเชิง

“งั้นนี่ล่ะ?”
“ผมรู้จักตัวนี้ มันคือโปจากเรื่องกังฟูแพนด้า”
“เก่งมาก ทีนี้ก้องเห็นหรือยัง ฐานหนึ่งอันขึ้นโมเดลได้ตั้งหลายแบบ”

ผมมองหน้าเธอ ไม่เข้าใจว่าจริงๆนักจิตบำบัดต้องการสื่ออะไร

“ก้องไม่รู้หรอกว่าตอนประกอบเสร็จ ฐานนี้จะเป็นโมเดลตัวไหน มันอาจเป็นหมีขั้วโลกก็ได้ หมีควายก็ได้ หรือหมีแพนด้าก็ได้ ในอนาคตจะเป็นอะไรก็ได้ อยู่ที่ก้องเลือกเอง”

ผมจ้องหมีแพนด้าเงียบๆ ทำตัวไม่ถูกว่าควรต่อบทสนทนายังไง

“ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอนะก้อง” เธอส่งยิ้มให้ “ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แรกๆอาจจะยากจนอยากกวาดทิ้ง แต่พอเริ่มไปเรื่อยๆ ก้องจะมองเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดขึ้น วันหนึ่งก้องจะรู้ว่าก้องอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร อยากวางชีวิตของตัวเองยังไง”
“ผมจะมีวันนั้นจริงๆเหรอครับ?”
“มีสิ” นักจิตบำบัดยืนยัน “ออกตัววิ่งเมื่อพร้อม ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเข้าเส้นชัยให้เร็วกว่าใคร ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ขอแค่ทำเต็มที่และมีความสุข แค่นั้นพอ”
“แต่มันยากเพราะผมไม่มีใคร” ผมบอกเธอ “ขนาดแม่ยังทิ้งผมเลย มีเหรอที่พี่อู๋จะไม่ทิ้ง วันนึงเงินเขาก็ต้องหมด เขาต้องอยากไล่ผมแน่ๆ”
“ทำไมถึงคิดแบบนี้ตลอดเลยล่ะก้อง? พี่อู๋ไม่ดีกับก้องเหรอ?”
“เปล่าครับ เขาดีกับผม แต่ --” ผมเลียริมฝีปาก “แต่บางทีผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วงชีวิตเขา ตั้งแต่รับผมมาอยู่ด้วย ชีวิตพี่อู๋ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงอย่างที่แฟนเก่าเขาพูด”
“พี่อู๋แย่เหรอ? แย่ยังไงล่ะ?”
“เขาตกงานมาหลายเดือนแล้ว เขาไม่คิดจะไปไหนเพราะต้องเลี้ยงผม”
“การตกงานนี่ล้มเหลวมากเลยเหรอ?”

ผมพยักหน้า

“พี่อู๋อายุมากแล้ว เขาควรออกไปทำงาน ควรใช้ชีวิตผู้ใหญ่เหมือนคนอื่นๆ”
“งั้นในความคิดของก้อง ผู้ใหญ่ต้องเป็นยังไง?”
“ก็ -- ต้องมีงานทำ” ผมนึกออกหนึ่งข้อ “ต้องรับผิดชอบตัวเอง ดูแลตัวเองได้ ประมาณนั้นครับ”
“ก้องหวังว่าจะให้พี่อู๋ออกไปทำงานเหมือนคนปกติใช่ไหม?”
“ครับ”
“ถ้าพี่บอกว่าพี่อู๋เหนื่อย พี่อู๋อยากพัก ก้องจะว่ายังไง?”

ผมครุ่นคิดถึงคำว่าเหนื่อย ภาพพี่อู๋ตอนเหนื่อยจากงานไม่เคยอยู่ในจิตนาการของนายก้องเกียรติมาก่อน ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคุณอุรัสยา ผมจะนึกถึงวีออส ลาดพร้าว และของอร่อยๆ แต่ให้นึกสภาพเขาเหนื่อยๆ ผมนึกไม่ออก

“ก้อง ฟังพี่นะ -- พี่อู๋น่ะ เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ก้องคิดอีก” เธอยืนยัน “ก้องต้องเข้าใจว่าเขาอายุตั้งสามสิบแล้วแต่เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมาไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเลย”
“เขาเล่าให้พี่ฟังไหมครับ?”
“เล่าสิ”
“พี่อู๋ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย ผมเป็นคนสุดท้ายที่รู้ตลอด”
“เพราะเขาแคร์ก้องมากไง”

เธอบอกเหตุผล

“พี่ว่าเราให้เขาพักบ้างเถอะ เขาวิ่งสุดแรงเกิดมาเกือบสิบปี เว้นช่วงให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายหน่อยเนอะ”

ผมพยักหน้า และจบการบำบัดครั้งที่สองด้วยการให้สัญญาว่าจะคุยกับพี่อู๋บ่อยๆ ผมจะถามถึงชีวิตของเขาให้มากขึ้นแทนที่จะเป็นฝ่ายตอบอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้





นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงสี่สิบเก้านาที

เราสองคนแวะทานข้าวที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก่อนจะกลับห้องเพื่อช่วยกันเก็บหนังสือใส่ชั้นให้เรียบร้อย

“ท่าทางพี่ชอบอ่านหนังสือยากๆ”

ผมเป็นฝ่ายชวนคุยตามคำแนะนำของนักจิตบำบัด

“พี่ต้องหัวดีแน่ๆถึงอ่านของแบบนี้รู้เรื่อง”

ผมหยิบหนังสือปรัชญาของพี่อู๋มาเปิดอ่านเล่น ข้างในเขียนภาษาไทยก็จริงแต่เนื้อหาคืออะไรก็ไม่รู้ พูดถึงใครก็ไม่รู้ พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หนังสือพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจว่าโลกของพี่อู๋ซักนิด เพราะบางทีเขาดูเก้ๆกังๆทำอะไรไม่เป็น บางทีก็วิชาการจ๋าเหมือนเป็นอาจารย์ปริญญาเอก ดูอย่างวันก่อนที่เราต่อตู้ด้วยกันสิ เขาแก่จนปูนนี้แล้ว แค่ประกอบตู้ง่ายๆยังทำไม่ได้เลย

“ก้องต้องสนใจก่อน ถ้าสนใจยังไงก็อ่านได้”

พี่อู๋ยิ้ม เขาแนะนำหนังสือให้อ่านหลายเล่ม แต่ผมส่ายหน้า ลาก่อน ขนาดหนังสือสอบยังไม่ยอมแตะ พี่คิดว่าผมจะอ่านหนังสือของออร์ฮัน ปามุกเหรอ ตลกแล้ว

“หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นต้องเก็บไว้ตรงไหนครับ?”
“ชั้นล่างสุดนั่นแหละ กองๆไปเถอะ ของไม่จำเป็น”

ผมจัดเรียงหนังสือสอนภาษาให้เป็นระเบียบ เล่มใหญ่ๆอย่างพจนานุกรมคันจิและภาษาอังกฤษก็ถูกวางไว้ล่างสุดเช่นกัน จังหวะที่กำลังเรียงหนังสือตามลำดับความสูง จู่ๆแบบเรียนเล่มหนึ่งก็หล่นและกางออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ในนั้นมีลายมือขยุกขยิกของพี่อู๋เขียนเต็มไปหมด มีกระดาษเอสี่ที่มีรอยปากกาแดงวงไว้ด้วย ด้านซ้ายบนมีข้อความเขียนว่า

มาxา

“พี่อู๋ครับ อะไรคือมา -- เอ็กซ์สระอา”

ผู้ปกครองที่กำลังเรียงหนังสือประวัติศาสตร์รีบหันมอง พอเห็นกระดาษเปื่อยๆในหนังสือแบบเรียนก็หัวเราะแล้วหยิบไปดู

“อ๋อ -- การบ้านสมัยมหาลัยน่ะ เขียนว่ามาหา” เขายิ้มขำ “คนที่ทำผิดเยอะๆจะโดนเขียนหัวกระดาษแบบนี้แหละ”
“แล้วพี่ต้องไปหาใครเหรอครับ?”
“หาคนที่น่ากลัวมากที่สุดในภาคญี่ปุ่น” พี่อู๋ทำท่าสยดสยองเหมือนกลัว “อันนี้ตอนปีสอง พอปีสามปีสี่พี่ก็ทำได้ดีขึ้นนะ”
“หมายถึงเก่งขึ้น?”
“เปล่า หมายถึง D+ ต่างหาก”

ผมเบะปากแล้วจัดห้องต่อ ระหว่างจัดยังคงเจอแบบฝึกหัดสมัยเรียนของพี่อู๋เป็นระยะๆ หลังๆเริ่มเห็นวงกลมสีแดงมากกว่ารอยขีดฆ่า ผมถามเขาว่าผิดเยอะจนโดนวงขนาดนี้ทำไมไม่โดนมาหา พี่อู๋บอกว่าวงกลมนั่นไม่ได้แปลว่าทำผิด มันเรียกว่ามารุซึ่งมีหมายถึงถูกต่างหาก

“พี่อู๋เก่งจัง” ผมชมเมื่อเห็นการบ้านของเขาที่มีแต่มารุเต็มไปหมด “โตขึ้นผมอยากเก่งเหมือนพี่บ้าง”

พี่อู๋ชะงักพักนึงเลยเมื่อผมพูดแบบนั้น เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะบอกว่าตัวเองไม่เก่งซักอย่าง กีฬาก็งั้นๆ การเรียนก็พอถูไถ ที่จบมาได้เพราะโดนอาจารย์เข็นทั้งนั้น ตัวเขาจริงๆไม่ใช่เด็กเรียนหรอก ขี้เกียจจนอธิการของมหาวิทยาลัยอยากเรียกไปรับโล่นักศึกษาขี้เกียจประจำปี

“แต่พี่ก็ทำงานหาเงินจนมีคอนโด มีรถตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆเอง” ผมเถียงขาดใจ แบบนี้ไม่เรียกเก่งจะให้เรียกว่าอะไร
“หาเงินได้เยอะนี่แปลว่าเก่งเหรอ?”
“ก็ใช่สิครับ สมัยนี้ใครๆก็อยากมีเงินๆเยอะๆทั้งนั้นแหละ แถวบ้านผมนะ กว่าจะซื้อบ้านซื้อรถได้ก็สามสิบสี่สิบแล้ว ไม่มีใครอายุน้อยร้อยล้านแบบพี่เลย”
“อายุน้อยร้อยหนี้ล่ะสิไม่ว่า” เขาแขวะตัวเอง “เดี๋ยวโตไปก้องจะรู้ว่าเงินไม่ใช่ความสุขหลักของชีวิตหรอก”
“พี่พูดได้เพราะพี่มีทุกอย่างแล้ว บ้านก็มี รถก็มี ไอโฟนก็มี”
“หาเงินได้เยอะแต่ไม่มีเวลาให้ใคร ก้องคิดว่าดีจริงๆเหรอ?”
“ดีสิครับ ตั้งตัวได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เดี๋ยวของอย่างอื่นก็ตามมาเองแหละ”

พี่อู๋หัวเราะแล้วส่ายหน้า ดูเวทนาความคิดเด็กมัธยมปลายอย่างนายก้องเกียรติเหลือเกิน

“พี่เคยทำงานได้เงินหกหลักด้วยนะ”

ผมยกนิ้วนับจำนวน หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน --

หลักแสนเลยเหรอ?

“แต่ก้องรู้ไหม? ช่วงที่พี่มีความสุขที่สุดไม่ใช่วันที่เงินเดือนออกหรอก แต่เป็นวันที่ตื่นมาแล้วมีเวลาเหลือเยอะจนไม่รู้จะทำอะไรต่างหาก”
“ฟังดูโคตรขี้เกียจ”
“เออ ให้พี่ขี้เกียจเถอะ เกือบสิบปีที่ผ่านมาพี่ขยันชิบหายแล้ว ขยันเผื่อตายล่วงหน้าแล้ว ขอให้พี่เป็นสล็อตซักปีสองปีนะก้องนะ ถือว่าพี่ขอ”

พี่อู๋แกล้งพูดทีเล่นทีจริงพร้อมกับยกมือไหว้ขอร้องเป็นท่าทางประกอบ แล้วบทสนทนาก็เงียบเพราะวกเข้าเรื่องงาน คุณอุรัสยาก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือโดยไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้กอริลลาก้องชื่นชมความเก่งของผู้ปกครองผ่านทางสัญลักษณ์มารุและใบระเบียนผลการเรียนเมื่อสิบปีที่แล้วของเขา

ผมไม่ได้บอกพี่อู๋ว่าเจออะไร ผมแค่แอบอ่านทุกอย่างในใจเงียบๆ เกรดสมัยมหาลัยของคุณอุรัสยาไม่ได้น่าเกลียดเลย เขาทำออกมาได้ค่อนข้างดีด้วยซ้ำ ไม่มีดีบวกเหมือนที่เล่นมุกซักตัว พอเห็นผลการเรียนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องภูมิใจแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าป่านนี้พี่อู๋ทำงาน เขาคงไปได้ไกลเหมือนที่ใครๆว่า ไม่แน่นะคุณอุรัสยาอาจจะได้กลายเป็นล่ามในบริษัทดังๆที่ --

อะไรวะ

“พี่ชื่ออิศรินทร์เหรอครับ?!”

ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ถ้ามีใครถ่ายรูปตอนนี้ภาพคงออกมาตลกน่าดู ตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากหวอ แถมยังขมวดคิ้วอีก พี่อู๋ยักไหล่ก่อนจะตอบว่าใช่ ทำไม ก้องมีอะไร ไม่ชอบผู้ชายที่ชื่ออิศรินทร์เหรอ

“ผมคิดว่าพี่ชื่ออุรัสยา!”

เขาหัวเราะก๊าก ไม่คิดว่านายก้องเกียรติจะเชื่อจริงๆ

“อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาคิดว่าพี่ชื่ออุรัสยา?”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ไอ้เด็กโง่!” พี่อู๋ดีดหน้าผากผม “เลิกดูใบเกรดพี่ได้แล้ว เดี๋ยวจัดหนังสือไม่เสร็จ”
“ค่อยจัดพรุ่งนี้ต่อก็ได้นี่ครับ”
“ไม่ได้ พรุ่งนี้คือวันคริสต์มาส”

อีกแล้ว วันคริสต์มาสอีกแล้ว

“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวข้างนอกทั้งวัน ไม่มีเวลาจัดหรอก เพราะฉะนั้นรีบๆเลย ให้ไว”

พี่อู๋สั่ง ผมจึงขะมักเขม้นกับการจัดหนังสือจนเสร็จ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอะไรๆก็ดูสบายตามากขึ้น ผมเท้าเอวมองผลงานตัวเองด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยชั้นจากอิเกียกลายเป็นรูปเป็นร่างด้วยฝีมือของผม ยิ่งเห็นหนังสือวางเรียงเป็นระเบียบยิ่งมีความสุข หลังจากนี้ห้องก็ไม่ใช่ถังขยะรกๆแล้ว

ถ้าพี่อู๋ไม่สรรหาหนังสือมาทิ้งเพิ่มอ่ะนะ

“เดือนนี้เดือนอะไรเหรอก้อง?”
“ธันวาครับ”
“เออ -- อีกสามเดือนแล้วนี่”

คุณนายอู๋ยกมือลูบคางเหมือนกำลังครุ่นคิด

“งานหนังสือใกล้เข้ามาแล้ว พรุ่งนี้ไปอิเกียอีกรอบดีกว่า”
“ไปทำไมครับ?”
“ซื้อชั้นหนังสือ”

แล้วเขาก็ผิวปากอารมณ์ดี

“แต่พรุ่งนี้วันคริสมาสต์นี่นา ไม่ไปอิเกียแล้ว”
“ผมถามจริงเถอะ พี่เป็นอะไรกับวันคริสมาสต์นักหนา?”
“ก้องไม่รู้สึกว่ามันพิเศษเหรอ?”

ผมส่ายหน้า

“แต่มันพิเศษสำหรับพี่” พี่อู๋ยิ้ม “คริสมาสต์ปีนี้จะต้องพิเศษสุดๆไปเลย”

ผมกลอกตาแล้วเดินหนี คิดไว้ว่าพิเศษของเขาคงไม่พ้นการซื้อของชิ้นใหญ่หรือกินอะไรอร่อยๆแน่ๆ พี่อู๋ยังคงยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าชั้นหนังสือ มุมปากเขายกขึ้นเหมือนกำลังคิดเรื่องบางอย่างที่มีความสุขมากๆ ผมมองเขาด้วยความสงสัย ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา พักนี้เขายิ้มเหมือนคนบ้า ยิ้มมันทั้งวัน สงสัยคุณอุรัสยา -- อัศรินทร์จะชอบวันคริสมาสต์มากจริงๆ



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

เมื่อไหร่จะวันศุกร์ เมื่อไหร่จะวันศุกร์ ขี้เกียจทำงาน ขี้เกียจทำงาน งองแง งองแง ;-;

ขอโทษที่มาช้านะคะ ต่อไปจะมาเร็วขึ้น(กว่านี้นี๊ดนึง แหะๆ) ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น แต่หวังว่าพี่จ๋าทู้กคนจะชอบตอนนี้ของหนูน้า มี hint เล็กๆน้อยๆทั้งเรื่องราวฝั่งพี่อู๋และน้องก้อง ตอนหน้าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้น อยากให้ทุกคนรออ่านกันนะคะ :3



ด้วยรัก จากหนูเอง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-03-2019 22:22:30
เอาใจช่วยกอริลล่าบ้าๆบวมๆทั้งสอง แต่จะรักกันยังไงนึกภาพไม่ออกเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 11-03-2019 22:26:53
ดีต่อใจ รู้สึกว่ากอริล่าสองตัวเริ่มเรียนรู้การที่จะมีความสุขกันอีกครั้ง ปล. เป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ ทำงานสู้ๆน้าา


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Koduck ที่ 11-03-2019 23:11:58
ทิ้งท้ายได้แบบอยากอ่านเลยครับ รอตอนต่อไปครับ  :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-03-2019 23:17:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-03-2019 23:35:19
 :hao3:


 :L2: :pig4: :L2:

 :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-03-2019 17:16:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-03-2019 19:16:01
พี่อู๋ชื่อเพราะจัง ดูหล่อมาก อ่านแล้วเหมือนค่อยๆสะสมความเครียดไว้เรื่อยๆ รอวันระเบิดออกมาเลยค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-03-2019 03:08:07
พิเศษยังไง มีอะไรในวันคริสมาสต์ //นี่ก็เรียกอุรัสยาตามก้องมาตลอดนะ 55555 เออหากิจกรรมทำร่วมกันบ่อยๆละดีแล้ว รอตอนต่อไปค่ะ มีอะไรเซอร์ไพรส์น๊า?
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-03-2019 09:08:36
น้องก้องทำให้ป้าเข้าใจว่าพี่อู๋ป่วยที่แท้หนูไม่กินยาแล้วมโนไปเองทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-03-2019 22:23:02
อยากไปดีดติ่งหูอิศรินทร์ ข้อหาหลอกน้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 16-03-2019 10:07:40
คริสมาสต้้องเป็นวันเกอดพี่อู๋แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 16-03-2019 11:18:32
พี่อู๋ชื่อเพราะจัง ในที่สุดก็รู้ชื่อจริงพี่แกสักที 55555
เราอ่านแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่รู้จักพี่อู๋สักที คาดเดาตัวละครตัวนี้ไม่เคยได้ ไม่รู้ว่าอารทณ์ไหน ยิ้มๆ อยู่นี่อาจจะเก็บความเศร้าไว้หนือเปล่า คือไม่รู้จริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 21-03-2019 11:09:10
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกเหมือนอ่านชีวิตตัวเองชอบกล
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 21-03-2019 19:24:35
วันเกิดน้องใข่ป่าววว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 18 update!] (11/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-03-2019 19:45:57
พอเหตุการณ์สงบลงก็แอบกลัว กลัวมีพายุใหญ่ 55
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-03-2019 21:45:23
19 [PART 1]

วันที่ 25 ธันวาคม

ผมตื่นนอนตอนตีห้าสิบสี่นาทีในเช้าวันคริสต์มาส สภาพอากาศแถวลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดค่อนข้างครึ้มนิดหน่อย อาจเป็นการครึ้มฝนแบบตอแหลที่หลอกให้เราดีใจว่าอากาศน่าจะเย็นกว่าเมื่อวาน แต่สุดท้ายแดดก็ร้อนเปรี้ยงเหมือนยมบาลขึ้นมาซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าปากซอย คุณครูเคยบอกว่าประเทศไทยมีสามฤดู ผมลองนับดูแล้วก็เป็นตามที่ครูสอนจริงๆเพราะอากาศบ้านเรานั้นมีทั้ง --

ร้อน
ร้อนมากๆ
ร้อนชิบหาย ไอ้สัส!!!!!

ผมปิดม่าน ไม่สนใจว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวเพราะสุดท้ายก็ต้องถ่อสังขารไปกลางเมืองอยู่ดี วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ผมจำได้ขึ้นใจเพราะพี่อู๋เอาแต่พูดว่าคริสต์มาสๆๆทั้งอาทิตย์จนรำคาญ บางทีอาจเป็นเพราะกระแสทางโทรทัศน์ที่บิ้วหนักเป็นพิเศษก็ได้ พี่อู๋ถึงตื่นเต้นจนตัวสั่นขนาดนี้

ผมนอนแผ่บนโซฟา กดรีโมตทีวีดูแก้เซ็งระหว่างรอคุณอิศรินทร์ตื่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบแปดนาที พี่อู๋ถึงเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน พอเห็นกอริลลาก้องนั่งเบื่อหน้าโทรทัศน์ เขาก็ตะโกนเสียงดังทันที

“OH! MY BIRTHDAY BOY!”

ผมสะดุ้งเพราะน้ำเสียงของเขาฟังเหมือนตะคอกมากกว่า

“อะไรของพี่เนี่ย?!”
“เฮ้ย วันนี้วันเกิดใครวะ”

เขาปรี่มาเบียดกอริลลาก้องที่กำลังนั่งเหวอบนโซฟา แถมยังยื่นหน้าเขามาใกล้จนผมต้องถอยอีก พี่อู๋ไม่รู้เหรอว่าเราไม่คนเราไม่ควรอยู่ใกล้กันขนาดนี้ถ้ายังไม่ได้แปรงฟัน นี่ไม่ใช่ละครนะ กลิ่นปากของผมไม่ได้หอมตลอดเวลาเหมือนในโฆษณาหรอก

“วันนี้วันเกิดใครอ่ะ?” พี่อู๋เจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญ “วันเกิดใครเนี่ย ทำไมเจ้าภาพไม่ตอบ”

ผมกลอกตามองบน รู้แหละว่าคริสต์มาสคือวันเกิดของใครแต่พอเจอมุกนี้ก็ขี้เกียจพูด ผมไม่ให้คำตอบที่พี่อู๋ต้องการ ผมแค่เดินไปหน้าทีวี ชี้ไปที่ภาพรูปปั้นของพระแม่มารีกับพระเยซูที่ปรากฎอยู่ในข่าวก่อนจะบอกคุณอิศรินทร์ว่า

“วันเกิดพระเยซูครับ”

พี่อู๋หยุดยิ้ม

“เอ้า -- ร้องเพลงให้เจ้าภาพหน่อยเร็ว!”

ผมแกล้งปรบมือร้องเพลงด้วยสีหน้าระรื่นในขณะที่ผู้ปกครองนั่งปั้นหน้าเซ็งบนโซฟา

“ไม่เอาเค้กมาให้พระเยซูเป่าด้วยเลยอ่ะก้อง?”

พี่อู๋ประชด แต่ผมจัดให้ตามคำขอ ในตู้เย็นของเรามีเค้กเอสแอนด์พีเหลืออยู่หนึ่งชิ้นพอดี ผมหยิบมันออกมาแล้วปักหลอดดูดน้ำแทนเทียนวันเกิดก่อนจะนำไปจ่อหน้าทีวี

“เป่าเลยครับพระเยซู! ฟู่ -- ฟู่ -- แฮปปี้เบิร์ธเดย์!”
“เย้! ฮาเลลูยา!” คุณอิศรินทร์ร้องตะโกนพร้อมกับชูสองมือเหนือหัว “ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งเด็กคนนี้มาให้ลูก มันโง่ดี ลูกชอบ”

ผมเบะปาก ปาหลอดเปื้อนครีมใส่พี่อู๋ที่หัวเราะคิกคักเพราะเอาชนะได้ด้วยมุกมันโง่ดี

“วันนี้ก้องอยากไปไหน?”
“ไม่อยากไปไหนครับ” ผมตอบตามจริง “พี่ถามทำไม? จะพาผมไปเลี้ยงวันเกิดเหรอ พี่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ มันเปลือง”
“เปล่า พี่จะพาไปฉลองวันเกิดพระเยซู”

สงสัยจะได้ตกนรกก่อนเลี้ยงวันเกิดกอริลลาก้อง

“ไปอาบน้ำแต่งตัวสิ พี่จะพาไปข้างนอก”
“ไปไหนครับ?”
“ไปลาดพร้าวยี่สิบห้า” พี่อู๋กวนตีนต่อ “ซื้อผัดกะเพราะมากินก่อน ค่อยว่าเรื่องอื่นตอนสายๆเนอะ”

 ผู้ปกครองจอมบงการพูดเองเออเองแล้วลุกไปอาบน้ำ ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดนั่งเซ็งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบนาที พี่อู๋เร่งให้ผมออกจากห้องโดยพูดแค่ว่าเดี๋ยวไม่ทัน

“ป้าขายกะเพรากลับตั้งบ่ายสาม พี่จะรีบทำไมครับ?”

ผมถามแต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเดินจ้ำอ้าวไปหน้าปากซอยเหมือนคนปวดขี้ที่ต้องวิ่งไปซื้อทิชชู่โดยมีกอริลลาก้องเดินหาวตามหลังติดๆ




หน้าเซเว่นปากซอยลาดพร้าวยี่สิบห้ามักจะมีรถเข็นขายกับข้าว ตรงหัวมุมโค้งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ตรงกลางคือรถขายไก่ทอด ถัดไปอีกนิดถึงจะเป็นร้านของป้ากะเพรา ผมตามหลังพี่อู๋จนถึงรถเข็นของป้า แต่คุณอิศรินทร์กลับไม่หยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น เขาเดินเลยไปอีกหน่อยจนถึงรถเข็นขายกับข้าวที่มีแกงถุงจัดวางเรียบร้อย

พี่อู๋หยิบแกงจืดหนึ่งถุง ต้มข่าหนึ่งถุง ข้าวเปล่าหนึ่งถุง เขาซื้อไข่ดาวอีกหนึ่งฟองและแกงบวดฟักทองเป็นของตบท้าย ผมถามผู้ปกครองว่าไม่กินผัดกะเพราแล้วเหรอ เขาส่ายหน้า บอกว่าค่อยกลับมากินตอนสายๆ

“งั้นพี่ซื้อทำไมเยอะแยะ?”

ผมบ่น แต่ก็ยอมตามผู้ปกครองต้อยๆเหมือนลูกหมา พี่อู๋ตรงดิ่งไปที่คอนโด เขาเปิดประตูรถและเร่งกอริลลาก้องที่เดินหอบให้ขึ้นมาเร็วๆ

“จะเจ็ดโมงแล้วก้อง อย่าช้า ให้ไวเลย”

ผมหน้าบูดเพราะโดนบ่นแต่ก็เชื่อฟังคำสั่งของพี่อู๋อย่างดี วีออสสีดำออกจากซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดแล้วขับไปทางโชคชัยสี่ การจราจรตอนเช้าไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดไว้ รถเริ่มติดเรื่อยๆจนเหยียบคันเร่งไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็ยังมุ่งมั่น ฝ่ารถติดราวกับมีเรื่องสำคัญต้องทำ

“ไม่เห็นมีเลย” คุณอิศรินทร์บ่น
“ไม่มีอะไรครับ?”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขากวาดตามองริมฟุตปาธบ่อยกว่ามองถนน ผมเองก็พยายามมองแต่ไม่เห็นสิ่งที่คนอย่างคุณอิศรินทร์ตามหาเลย เช้าๆแบบนี้ไม่มีอะไรหรอกนอกจากรถเข็นขายของกิน มีน้ำเต้าหู้ มีปาท่องโก๋ มีข้าวมันไก่และข้าวเหนียวหมูทอด ผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวจะวิ่งลงไปซื้อให้ เขาบอกว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาของกิน แต่มาหาพระ

“พระ?” ผมทวนคำ “พี่หาพระทำไม?”

เขาก็ไม่ยอมตอบอีก พี่อู๋ขับรถเข้าไปในซอยเล็กๆเลยตลาดนิดหน่อย เขาพยายามยัดวีออสของตัวเองเข้าช่องเล็กๆจนเกือบจะจูบกับรถกระบะคันข้างหน้า พอดับเครื่อง คุณอิศรินทร์รีบเปิดประตูรถพร้อมถุงกับข้าว เขาบอกผมว่าลงมาเร็ว ไปหาพระกัน

ตอนนั้นผมถึงเข้าใจว่าพี่อู๋ซื้อแกงถุงและขับรถวนหาพระสงฆ์ทำไม วันนี้เป็นวันเกิดของผม เขาตั้งใจพาผมมาตักบาตรทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพระอยู่ตรงไหน พี่อู๋เดินถามพ่อค้าแม่ค้าว่าเห็นพระไหม พวกเขาชี้ไปอีกด้าน บอกว่าพระเดินนำลิ่วแล้ว

พี่อู๋ขอบคุณพวกเขาพร้อมกับก้าวขาวิ่งทันที ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดวิ่งตามเหมือนลูกหมาเช่นเคย พอวิ่งได้ซักระยะเราก็เห็นจีวรสีส้มอยู่ไม่ไกล ผมค่อยๆชะลอฝีเท้าลงเพราะคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเราต้องสงบเสงี่ยม แต่คุณอิศรินทร์เป็นบ้า ตะโกนเสียงดังว่า

“พระ! พระครับ! หยุดก่อน!”

ไอ้บ้าเอ๊ย -- ใครเขาเรียกพระแบบนั้นกัน

ผมอายสายตาคนรอบข้าง แต่ก็เดินเข้าไปหาพระที่มากับลูกศิษย์ตามพี่อู๋ คุณอิศรินทร์เห็นท่านหยุดรอก็ยิ้มกว้าง ยกมือที่ถือแกงถุงทูนหน้าผากแล้วพูดขอบคุณครับหน้าตาเฉย

“วันนี้วันเกิดเด็กคนนี้ครับ” พี่อู๋บอกพระ “ผมอยากให้เขาทำบุญ”

ผมค่อยๆโผล่ไปยืนข้างพี่อู๋ เขาส่งแกงถุงให้ก่อนจะถอยไปยืนข้างหลัง ผมมองเขา มองคุณอิศรินทร์ที่หอบแฮ่กแต่ก็ยังพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ตักบาตรเลย ดังนั้นผมจึงไม่หักน้ำใจของเขาด้วยการหิ้วแกงถุงกลับไปกินที่บ้าน ผมถอดรองเท้า วางแกงถุงลงในบาตร ก่อนจะยกมือไหว้เพื่อรับพร

“ก้อง ดอกไม้”

พี่อู๋กระซิบก่อนจะส่งดอกกุหลาบสีชมพูแปร๋นมาให้ ผมมองมันอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันไปหาผู้ปกครองที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างหลัง

“นี่อะไรครับ?”
“ดอกไม้ไง”
“รู้ แต่ให้ผมทำไม?”
“ไม่ได้ให้ก้อง” เขาขัดใจ “ก้องเอาให้พระสิ ตักบาตรอย่าขาดดอกไม้”
“พี่จะบ้าเหรอ นี่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ ถึงใช่ พี่ก็ซื้อดอกกุหลาบให้พระไม่ได้!”
“ได้ดิวะ ดอกกุหลาบก็คือดอกไม้เหมือนกัน!”
“แต่ผมไม่เคยเห็นใครถวายกุหลาบให้พระ!”
“ดอกอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละโยม ถ้าเจตนาดียังไงก็เหมือนกัน”

พระท่านช่วยยุติสงครามโลกครั้งที่สามด้วยการตัดบทก่อนที่เราจะเถียงกันเป็นเด็ก หลังตักบาตรเสร็จ ผมก็หันไปหาพี่อู๋ที่ยืนถามแม่ค้าดอกไม้สดว่าดอกกุหลาบถวายพระได้หรือเปล่า เธอยืนยันว่าได้ ดอกไม้ชนิดไหนก็ได้ ขอแค่มีกลิ่นหอมไม่และเป็นพิษก็พอ

“เห็นไหม บอกแล้วว่าให้ได้ๆ”

พี่อู๋บ่นอุบอิบเมื่อเห็นผมเดินมาหา เขาบอกแม่ค้าว่าขอซื้อดอกกุหลาบสีขาวอีกหนึ่งดอก ขอสวยๆเลยนะ แม่ค้าจัดให้ตามคำขอ เธอคัดดอกที่สวยที่สุดส่งให้คุณอิศรินทร์

 “อ่ะ เอาไป” เขายื่นดอกกุหลาบให้ “รับไปดิ”

ผมไม่เข้าใจแต่ก็รับดอกกุหลาบสีขาวจากพี่อู๋ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้ดอกไม้จากใครมาก่อนเลย พี่อู๋คือคนแรก แถมเป็นคนเดียวที่ยื่นของให้แล้วเดินหนี ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองผู้ปกครองจ้ำอ้าวกลับรถ ไม่เข้าใจว่าจะรีบไปไหนนักหนา บ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้ เผลอๆเดินกลับน่าจะถึงเร็วกว่าขับรถด้วยซ้ำ

“ไม่เคยมีใครให้ดอกไม้ผมมาก่อน” ผมพูดเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ผมต้องดูแลมันยังไงครับ?”
“ก็ -- เสียบๆในแก้วน้ำมั้ง” พี่อู๋อึกอัก “ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก เหี่ยวก็ซื้อใหม่”
“ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนดอกนี้หรอก”
“ถ้าพี่เป็นคนซื้อให้ ยังไงก็ไม่ต่างกัน”
“พี่พูดอย่างกับว่าพี่จะซื้อให้ผมอีกงั้นแหละ”
“ถ้าก้องอยากได้พี่ก็ซื้อให้” เขายักไหล่ “ทำไมวันนี้พูดมากจัง กลับถึงบ้านรีบกินข้าวเลย เดี๋ยวสายๆต้องไปพารากอนอีก”
“ไปทำไมครับ?”
“ไปฉลองวันเกิดให้พระเยซู”

พี่อู๋ตอบสั้นๆแล้วขับรถกลับลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดโดยมีกอริลลาก้องนั่งชื่นชมดอกกุหลาบในมือไปตลอดทาง
 

 


ต่อข้างล่างเลยพี่จ๋า ตัวอักษรเกินอีกแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-03-2019 21:46:51
19 [PART 2]


ของขวัญวันเกิดของนายก้องเกียรติคือคูปองหนึ่งใบ เป็นคูปองที่เขียนด้วยลายมือยึกยือบนกระดาษเอสี่ว่า ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะซื้อทุกอย่างให้จริงๆเหรอ เมื่อพี่อู๋พยักหน้า ผมก็ขอเขาว่าซื้ออัลปากาให้หน่อย เอาสีขาวนะ ผมเห็นในทีวีดูน่ารักดี อยากเลี้ยงจัง

“ถามนิติคอนโดสิว่าให้เลี้ยงสัตว์หรือเปล่า”

ผมบอกแล้วไงว่าเขาเป็นคนฉลาด พี่อู๋น่ะเก่งเรื่องการเลี่ยงบาลีที่สุด แต่เรื่องอื่นๆอย่างต่อตู้หรือซ่อมอ่างน้ำตันกลับทำไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วยตลอด

“ผมไม่มีของที่อยากได้เลยครับ”
“ไปเดินพารากอนเดี๋ยวก็มี”
“งั้นพี่ซื้อพารากอนให้ผมได้ไหม?”
“ก้องบริหารเป็นหรือเปล่าล่ะ?” เขาย้อน “บริหารไม่เป็นก็ซื้ออย่างอื่นก่อนดีไหม เสื้อผ้า รองเท้า --”

พูดไปเรื่อย

ผมส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อคุณอิศรินทร์หาช่องโหว่ได้ตลอด นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงเจ็ดนาที เราเดินทางถึงพารากอนด้วยรถไฟฟ้าเพราะเกลียดการจราจรหลังเลิกงาน พี่อู๋ถามว่าตอนเที่ยงอยากกินอะไร ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่มีของที่อยากได้เป็นพิเศษ เขาจึงพาเดินตะลอนไปทั่ว เราผ่านร้านอาหารดังๆหลายร้านทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น พี่อู๋ไม่บอกใบ้เลยว่าเขาอยากกินอะไร อยากกินบอนชอน ทงคัตสึ หรือข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดาๆที่ราคาไม่ธรรมดา ดังนั้นผมจึงเลือกจากสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ผมบอกผู้ปกครองว่าอยากกินเอ็มเค

“ทำไมถึงชอบเอ็มเคล่ะ?”
“ผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเรามาฉลองกับครอบครัว” ผมตอบ “สมัยเด็กๆ ถ้ามีโอกาสดีๆ แม่ก็พาผมมากินเหมือนกัน”

ผมหยุดเรื่องของแม่ไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากคิดถึง พี่อู๋ก็คงรู้เลยไม่ต่อบทสนทนาเกี่ยวกับแม่ที่ทิ้งไปอีก เราต่างก้มหน้าก้มตาทานสุกี้และเป็ดย่างจนเกลี้ยง หลังกินอิ่มผมก็ส่งคูปองคืนให้พี่อู๋ บอกเขาว่าขอบคุณที่พามาเลี้ยงวันเกิด มันอร่อยมาก ขอบคุณครับ

“คูปองนี่สำหรับซื้อของ เลี้ยงข้าวไม่นับ”

คุณอิศรินทร์บอกระหว่างพาเดินชมพารากอนเหมือนเป็นเจ้าของ

“ค่อยๆคิดนะก้อง วันนี้เลือกไม่ได้ไม่เป็นไร วันอื่นก็ได้ พี่พามาซื้อได้ทุกวัน”

ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่ไม่ได้เลือกของที่ตัวเองอยากได้หรอก สิ่งที่พี่อู๋ให้ผมนั้นมากยิ่งกว่าของขวัญวันเกิด เขาให้ชีวิตใหม่ ให้โลกใบใหม่ ให้ครอบครัวใหม่แก่กอริลลากำพร้า จากใจจริง ผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แค่พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมโดดเดี่ยวก็เกินพอแล้ว

เราสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูราคาแล้วก็วางลงที่เดิมเพราะมันแพงเกินไป ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กฝรั่งที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง มันเป็นตู้กระจกที่มีความยาวเกือบสองเมตร ข้างในเป็นกล่องดนตรีรูปแบบต่างๆ มีปุ่มให้กดฟังเพลง มีหลายแบบให้เลือก

“กล่องดนตรีดีไอวายค่ะ” พนักงานขายยิ้มเมื่อกอริลลาก้องหยุดยืนหน้าตู้กระจก “สามารถกดปุ่มลองฟังเพลงได้นะคะ ชอบเพลงไหนก็ซื้อฐานกล่องดนตรีและตกแต่งด้านบนได้ตามใจชอบเลยค่ะ”

ผมเหลียวมองตามมือของเธอ ด้านหลังเป็นยิ่งกว่าโกดังขายของตกแต่งเล็กๆน้อยๆที่ทำจากไม้ มีรถคันเล็กสีแดง มีสนูปี้ มีตัวละครน่ารักๆวางเต็มไปหมด ผมก้มมองปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นปุ่มตัวเลขสีเงินมันวาวเหมือนโทรศัพท์บ้าน พอลองกดเลขหนึ่ง เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้นโดยมีกล่องดนตรีหมายเลขหนึ่งหมุนโชว์เป็นตัวอย่าง

กอริลลาก้องเหมือนได้ของเล่นใหม่ มันกดไล่ทีละเพลงๆตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ ฟังจนจบ ฟังแล้วฟังอีกด้วยความเพลิดเพลิน เพลงที่ชอบที่สุดไม่ใช่เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์หรือเมอร์รี คริสต์มาส มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังแล้วติดหูจนต้องกดเล่นซ้ำๆอยู่สามสี่ครั้ง พี่อู๋ที่เคยยืนมองเริ่มเข้ามาร่วมวง เรากดปุ่มฟังเพลงรอบแล้วรอบเล่าจนพนักงานขายต้องสปอยล์ต่อว่าถ้าสนใจลองดูของตกแต่งก่อนได้นะคะ ได้ทั้งเพลงที่ชอบ และกล่องดนตรีที่มีชิ้นเดียวในโลกด้วย

“เอาไหมก้อง?”

พี่อู๋ถาม ผมเหลือบมองราคาที่แปะข้างล่างก่อนจะส่ายหน้า แค่ฐานก็เริ่มที่สองพันห้าแล้ว ถ้าตกแต่งเสร็จ คงดาวน์บ้านได้หลังนึงเลย

ผมปฏิเสธ ผมบอกเขาว่าแค่กดเล่นเฉยๆก็สนุกแล้ว ไม่ต้องซื้อกลับบ้านหรอก แต่คุณอิศรินทร์อ่านใจกอริลลาก้องออก เขารู้ว่าผมชอบ รู้ว่าผมอยากได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบคูปองวันเกิดของนายก้องเกียรติออกมาเพื่อยืนยันว่าผมสามารถเป็นเจ้าของกล่องดนตรีไม้ได้จริงๆ

“แต่มันแพง”
“ไม่แพง”

พี่อู๋เถียง เขาหันไปสมทบกับคนขายเพื่อเสี้ยมให้ผมยอมรับว่าอยากได้ พวกเขากรอกหูนายก้องเกียรติด้วยการบอกว่ากล่องดนตรียี่ห้อนี้ว่างขายแค่ช่วงคริสมาสต์ วันที่สามปีหน้าก็จะเลิกขายแล้ว อยากได้ก็ซื้อเลย ถ้าพลาดคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่ๆ

“สนใจเบอร์ไหนคะ?”

พนักงานถามเมื่อเห็นกอริลลาตัวหนึ่งยืนเคลิ้ม ผมชี้นิ้วไปที่เบอร์สิบห้าทันที มันเป็นฐานกล่องดนตรีทรงกลมเรียบๆที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน เธอยิ้มแล้วบอกว่าผมเป็นคนส่วนน้อยที่เลือกเพลงนี้ พอถามว่ามันคือเพลงอะไร เธอตอบว่า

“White Christmas ค่ะ” เธอหยิบกล่องดนตรีที่ผมเลือกจากชั้นวาง “ส่วนของตกแต่งอยู่ด้านโน้นนะคะ ชำระเงินแล้วสามารถใช้โต๊ะตกแต่งได้เลยค่ะ”

ผมขอบคุณเธอก่อนจะเดินไปเลือกของตกแต่งสำหรับกล่องดนตรี พี่อู๋เดินตามผมไม่ห่าง เขาคอยมองว่าผมหยิบอะไรแต่ไม่ออกความเห็น เขาให้อิสระผมเต็มที่ในการออกแบบกล่องดนตรีของตัวเอง ดังนั้นผมจึงหยิบตุ๊กตาสนูปี้มาตัวเดียว

“แค่นี้เหรอ?”
“ครับ” ผมบอกพี่อู๋ก่อนจะพลิกราคาใต้กล่องให้เขาดู “แค่ตัวเดียวก็สี่ร้อยกว่าบาทแล้ว”
“ไม่กลัวสนูปี้เหงาหรือไง?”

เขาถามก่อนจะเอื้อมตัวหยิบตุ๊กตาเด็กชายออกมาอีกหนึ่งตัว ผมถามเขาว่าตัวละครนี้ชื่ออะไร 

“ชาร์ลี บราวน์ เจ้าของสนูปี้”

พี่อู๋บอกแล้วพาไปจ่ายเงิน หลังจากนั้นเราจึงไปที่โต๊ะตกแต่งซึ่งมีกาวและอุปกรณ์อื่นๆวางเตรียมไว้ให้ ผมจัดท่ายืนให้สนูปี้กับชาร์ลีอยู่หลายหน ตรงกลางบ้าง ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง หันหน้ามาเจอกันบ้าง หันหลังให้กันบ้าง ผมลังเลมากเพราะกลัวติดกาวแล้วออกมาไม่สวย แต่พี่อู๋ไม่ว่าอะไรซักคำ เขารอจนผมเจอมุมถูกใจและบีบกาวติดด้วยตัวเอง

“ขอบคุณครับพี่อู๋”

ผมบอกผู้ปกครองขณะจ้องมองของขวัญวันเกิดด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์ยิ้ม เขาดูมีความสุขมากที่กอริลลาก้องหมุนกล่องดนตรีอีกหลายหน ซักพักเขาก็บอกว่ามีตุ๊กตาแค่สองตัวดูโล่งเกินไป ต้องมีต้นไม้และของขวัญด้วยถึงจะดูดีขึ้น

พี่อู๋ซื้อต้นคริสต์มาสจิ๋วและของประดับเล็กๆน้อยๆเพิ่ม เราจึงได้กล่องดนตรีที่สวยมากๆหนึ่งชิ้น นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงห้าสิบเก้านาที พี่อู๋พาผมข้ามไปอีกฝั่งเพื่อกินก้อย เราเดินรำลึกความหลังสมัยครั้งแรกที่มาสยามด้วยกัน ตอนนั้นผมโคตรเซ็งเลยที่ถูกเขาลากไปมา ตัดภาพมาที่ตอนนี้ นายก้องเกียรติแทบจะเดินตามพี่อู๋เหมือนลูกหมาแล้ว

คุณอิศรินทร์ชวนเดินเล่นแถวสกายวอล์คเชื่อมไปเซ็นทรัลเวิลด์ เขาบอกว่าตรงนั้นแสงสวยน่าถ่ายรูปมาก ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าถ่ายรูป เขาดูไม่เหมือนวัยรุ่นที่ชอบสรรหามุมสวยๆเพื่อถ่ายรูปเลย แต่ผมก็ไม่ขัดใจเขา แสงของพระอาทิตย์ตอนห้าโมงสวยจริงๆอย่างที่เขาว่า มันไม่สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน แต่เป็นสีทองอ่อนมองแล้วไม่ปวดตา เราหยุดพักเมื่อเดินถึงตรงกลางของสกายวอล์ค พี่อู๋หยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกด แชะ! ถ่ายรูปกอริลลาก้อง

“พี่ถ่ายแบบนี้เลยเหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นเขาเก็บโทรศัพท์เหมือนเดิม “ถ่ายให้มันดีๆสิครับ อย่าถ่ายตอนผมน่าเกลียด”
“ก้องชอบถ่ายรูปเหรอ?”
“เฉยๆครับ ใครให้ถ่ายก็ถ่าย” ผมตอบ
“งั้นพี่ขอสวยๆซักรูปนะ”

พี่อู๋ปลดล็อคหน้าจอไอโฟนอีกครั้ง คราวนี้ผมมองกล้องแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มตามฉบับของนายก้องเกียรติ ทันทีที่เสียง แชะ! เงียบลง ผมก็ขอดูรูปของตัวเอง

ภาพถ่ายของกอริลลาก้องไม่แย่เลย ตาของผมกลายเป็นสีน้ำตาลสว่างเพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบตรงหน้าพอดี พี่อู๋บอกว่าถ้าอัปรูปนี้ในอินสตราแกรมนะ รับรองมีคนกดไลก์เยอะแน่ๆเพราะผมหล่อมาก

“เซลฟี่กับพี่หน่อยได้หรือเปล่า?”

คุณอิศรินทร์ขอ ผมฉีกยิ้มทันที แล้วเราก็ได้ภาพคู่กันอีกหนึ่ง พอถ่ายด้วยกันก็เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“ทำไมก้องตาเศร้าจัง?” พี่อู๋พึมพำ
“ตาของผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเศร้าหรือไม่เศร้าหรอก ต่อให้แม่ไม่ตาย ต่อให้ได้เรียนต่อมหาลัย มันก็ยังดูเศร้าอยู่ดี” 

พี่อู๋ไม่พูดอะไรอีก เขาปล่อยให้เสียงการจราจรข้างล่างกลบความเงียบระหว่างเรา พอเขาพูดเรื่องตา ผมก็คิดถึงแม่ แต่ไหนแต่ไรคนมักจะถามแม่ว่าทำไมลูกชายตาเศร้า แม่ตอบพวกเขาว่าก็แค่แววตา จริงๆแล้วก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

ก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

ในสายตาของแม่ -- ผมเป็นลูกชายที่ร่าเริงจริงๆเหรอ?

“ก้อง”

ผมหันตามเสียงเรียกของพี่อู๋ ในมือของเขาถือของขวัญห่อด้วยกระดาษสีแดง

“พี่คิดนานมากว่าจะให้ก้องดีไหม แต่ไหนๆก็ได้มาแล้ว พี่อยากให้ก้องเก็บไว้”

ผมขมวดคิ้วก่อนจะแกล้งทำเป็นบ่นว่าสิ้นเปลือง จะให้อะไรนักหนา รู้ไหมว่าเงินทองไม่ได้หาง่ายๆนะ พี่อู๋ไม่ขำกับคำแขวะของนายก้องเกียรติอีกแล้ว เขาดูจริงจังและจดจ่อกับผมที่กำลังแกะของขวัญมาก มากจนผมสงสัยว่าอะไรอยู่ในนี้

ของขวัญวันเกิดจากพี่อู๋เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูจากรูปร่างและเสียงตอนเขย่าแล้วน่าจะเป็นกรอบรูปหรือไม่ก็หนังสือ พอแกะกล่องกระดาษสีน้ำตาลออก ผมได้แต่ยืนนิ่ง พูดไม่ออก มีแค่ความรู้สึกตื้อตันเหมือนจมน้ำเท่านั้น

“สุขสันต์วันเกิดก้องเกียรติ” พี่อู๋พูด เขายกมือลูบหัวผมเมื่อเห็นผมร้องไห้ “พี่อวยพรไม่เก่ง แต่อยากบอกให้รู้ว่าก้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ”

ผมเม้มปาก พยายามกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ได้เลยเมื่อเห็นรูปถ่ายของแม่ นี่คือรูปที่เราถ่ายด้วยกันในงานเลี้ยงปีใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประถม ตัดผมทรงหัวเกรียนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างแม่ ผมจำได้ว่าเราจัดงานกันที่บ้านลุงชื่น แถมยังจำได้อีกว่าพี่ลีเป็นคนถ่ายรูปนี้

“พี่ไปเอามาจากไหนครับ?”

ผมถาม พูดตรงๆว่าตั้งแต่ไฟไหม้บ้าน ผมหมดหวังที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับแม่แล้ว ทั้งเชือก ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรูปถ่าย ทุกอย่างหายไปหมดในบ้านหลังนั้นไม่เหลืออะไรซักอย่าง แต่จู่ๆพี่อู๋ก็ถือรูปนี้มาให้ เขาพาแม่มาหาผม เขาเอาอนุสรณ์อันใหม่ของแม่มาแทนที่เชือกเส้นนั้น

“ลุงชื่นส่งมาให้” พี่อู๋บอก “พี่โทรถามลุงชัยว่าพอจะมีของเกี่ยวกับแม่ของก้องบ้างไหม ลุงชัยบอกให้ถามลุงชื่น พี่ก็เลยติดต่อไปที่ลุงจนได้รูปนี้มา”
“พี่อู๋ --”
“หืม?”
“ขอบคุณครับ” ผมกอดเขา “ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณครับ”

พี่อู๋ปลอบด้วยการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่กอริลลาตัวนี้ไม่มีสิ่งอื่นจะตอบแทนเขานอกจากการขอบคุณซ้ำๆ

“ผมไม่อยากยอมรับเลย แต่ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่าผมคิดถึงแม่ ผมคิดถึงแม่จริงๆ ผมคิดถึงแม่ --” ผมสะอื้น “ถ้าวันนี้แม่ยังอยู่ เราก็คงไปกินเอ็มเคด้วยกัน แม่คงซื้อของขวัญให้ผมเหมือนพี่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว แม่ไม่อยู่ -- กินเอ็มเคกับผมในวันเกิดอีกแล้ว”

ผมเสียใจจริงๆที่แม่ตาย ผมเสียใจที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาผมหลอกตัวเองว่าโกรธแม่แค่เพราะไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้ใครมองเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร พอพี่อู๋เอาอนุสรณ์ของแม่ที่เป็นรูปถ่ายสวยๆมาแทนที่เชือกเก่าๆ ผมฝืนทำเป็นไม่รู้สึกไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ผมต้องการมาตลอดตั้งแต่บ้านไฟไหม้คือแม่ ผมต้องการแม่ แต่ในวันที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมยังมีรูปถ่ายอีกหนึ่งใบ รูปสุดท้ายของเราสองคน รูปของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่ที่กลายเป็นของต่างหน้าให้ดูแก้คิดถึง

“ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย”

ผมบอกเขา แต่คุณอิศรินทร์กลับหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วกอดกอริลลาจิตป่วยเอาไว้แน่น

“ร้องเถอะก้อง ร้องเลย ให้มันออกมาบ้าง”

ผมพยายามหยุดตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เหลือบเห็นหน้าของแม่ในรูปถ่าย น้ำตามันก็ทะลักออกมายิ่งกว่าก๊อกแตก ผมเอาแต่ร้อง ร้อง และร้องอยู่ตรงสกายวอล์คท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินสวนไปมา ผมว่าถ้าพี่อู๋ไม่กอดอยู่คงมีใครซักคนวิ่งมามัดตัวผมแล้ว เพราะผมร้องเหมือนจะตาย ผมจะตายจริงๆนะ การร้องไห้แทบขาดใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง 

เวลาผ่านไปซักพัก น้ำตาก็แห้งเอง ผมเริ่มมองรูปแม่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมกอดกรอบรูปของเราเอาไว้แน่น ดีใจที่อนุสรณ์ของแม่ยังอยู่ ดีใจที่มันไม่ใช่เชือกเส้นเก่าที่แขวนตรงราวบันได แต่เป็นภาพถ่ายของเรา ภาพผมกับแม่ ภาพเราสองคนที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

พี่อู๋รอผมจนสงบด้วยตัวเอง เขายืนกอดคอกอริลลาก้องโดยเหม่อมองท้องฟ้าข้างหน้า แววตาของคุณอิศรินทร์ในตอนนี้ก็ดูเศร้ามากจนผมใช้แขนซ้ายโอบเอวเขาไว้หลวมๆ พี่อู๋หันกลับมามอง เขายิ้มเมื่อกอริลลาก้องเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแต่ยังคงไม่พูดอะไร เรายืนดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันตรงสกายวอล์คก่อนจะกลับบ้าน

วันนี้คือวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของนายก้องเกียรติ เป็นวันที่กอริลลาจิตป่วยได้ยิ้มจากใจจริงๆครั้งแรก ดังนั้นต่อให้รถไฟฟ้าจะแน่นเป็นปลากระป๋องก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดรำคาญ เรายืนเบียดกันกลางรถไฟโดยไม่มีบทสนทนา พี่อู๋ใช้มือซ้ายจับราว ส่วนมือขวาก็โอบเอวนายก้องเกียรติเพราะคนแน่นมากจนผมหาที่เกาะไม่ได้

ผมสูดน้ำมูกเล็กน้อยก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่พี่อู๋ ต้องขอบคุณมนุษย์กรุงเทพที่เบียดเข้ามาเต็มขบวนจนทำให้เราไม่เป็นจุดสนใจนัก พอถึงสถานีปลายทางหมอชิต เราก็ลงจากรถพร้อมกัน พี่อู๋แวะซื้อปลาหมึกย่างใต้สถานีแล้วเข้าไปนั่งกินในสวนสาธารณะ ผมเคี้ยวปลาหมึกจนแก้มตุ่ย ส่วนคุณอิศรินทร์ก็มองผู้คนที่มาออกกำลังกาย ไม่ได้มองนายก้องเกียรติ 

“ก้อง”
“ครับ?”
“พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก”

น้ำเสียงพี่อู๋ดูจริงจัง คราวนี้เขาจ้องตาผม มองผมด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมสังหรณ์ใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ คงเป็นเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้คุณอิศรินทร์ดูว้าวุ่นแบบนี้

“พรุ่งนี้พี่ต้องกลับบ้านที่ใต้แล้ว”

หัวใจของผมหยุดเต้น

“และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ อาจจะหลังปีใหม่ หรือสงกรานต์ หรือไม่กลับมาอีกเลย”

พี่หมายความว่าไง?

ผมสงสัย แต่พูดไม่ออก ไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อได้ยินว่าครอบครัวคนเดียวของผมต้องย้ายไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก

เราจะไม่ได้เจอกันอีก
เราจะ -- ไม่ได้เจอกันอีก งั้นเหรอ?

ไหนพี่บอกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วไง?

ผมมองหน้าพี่อู๋ ตอนนี้มันจุกจนพูดไม่ออกเพราะคุณอิศรินทร์พูดเกริ่นเหมือนเขาจำเป็นต้องไปที่ไกลๆและอาจจะไม่กลับมาหาผมอีก พอเห็นกอริลลาก้องนิ่งค้างเหมือนวิญญาณออกจากร่าง พี่อู๋ก็รีบเสนอทางเลือกให้ราวกับรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันตายแน่ถ้าเขายังเงียบอยู่แบบนี้

“พี่ไม่อยากบังคับก้อง แต่พี่ก็ไม่อยากทิ้งก้องไว้คนเดียวเหมือนกัน งั้นก้องช่วยเลือกแทนพี่ได้ไหม? ก้องบอกพี่หน่อยว่าก้องจะอยู่กรุงเทพ --”

เขาถามเป็นนัย

“หรือจะย้ายไปอยู่ใต้กับพี่”



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้




เพลงที่น้องก้องเลือกคือเพลงแรกในคลิปนี้นะคะ https://www.youtube.com/watch?v=4PCYn8VjxwA
ส่วนตอนหน้าน้องก้องจะไปกรีดยางอยู่ใต้กับพี่อู๋หรือไม่ โปรดดดด ติดดดด ตามมม / วิ่ง

คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้คุยเรื่องรวมเล่มแล้วนะคะ ตอนแรกอยากทำเองมากๆ อยากคุมทุกอย่างเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ทุกวันนี้แทบจะไม่มีเวลาหายใจแน้วพี่จ๋า ทำงานเหน่ยมาก ไม่รู้บ.จะเปิดเครื่องอีกเมื่อไหร่ กลัวว่าถ้าพิมพ์เองจะออกมาไม่ดี ไม่มีเวลาส่งของ ไม่มีเวลาตอบอีเมลทุกคน ซึ่งอาจจะให้สนพ.เป็นคนจัดการแทนนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอาไง ขอเวลาหน่อยพี่จ๋า ช่วงนี้หนูความคิดปลาทอง ใช้ชีวิตจบแบบวันต่อวัน ไม่วางแผนอนาคตเลย ตัดสินใจได้เมื่อไหร่จะประกาศอีกทีนะคะ พี่จ๋าใจเยมๆน้า เวทนาหนูหน่อย หนูคิดอะไรไม่ทันจริงๆ อยากค่อยๆตัดสินใจน่ะค่ะ แหะๆ

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันตรงนี้ และอ่านทอล์คที่โคตรยาวนี้จนจบนะคะ รักค่ะ  ;-;
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 22-03-2019 22:15:14
มีความสุขมาทั้งวัน สุดท้ายบอกเรื่องช็อคๆ  o22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-03-2019 22:16:36
ตกใจหมดนึกว่าพี่อู๋จะทิ้งก้อง ไปไหนไปกันเนอะๆไปอยู่ใต้กันก็ไปเถอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-03-2019 23:01:46
ตกใจหมดเลยคุณอิศรินทร์ นึกว่าจะทิ้งน้องแม่จะฉาบให้ ใจหายไปหมด ฮือ พาน้องไปด้วยๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-03-2019 00:10:18
ฮาตอนพี่อู๋เรียกพระมาก ตอนนี้อบอุ่นมาก พี่อู๋ดีกับน้องมาก ตกใจช่วงท้ายแต่อยากให้ก้องกลับไปพร้อมพี่อู๋นะ อย่าทิ้งน้องน้าาา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-03-2019 00:14:56
 :impress2:

 o22

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 23-03-2019 12:40:35
รออุดหนุนเล่มนะคะ รักน้องก้องมาก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2019 13:12:17
ขอเล่าหน่อยนะคะ
เมื่อวาน​ 22/3​ เป็นวันที่น่าเบื่อมากๆสำหรับฉัน​ เฟซดูตนไม่มีอะไรจะดู  นิยายเรื่องที่น่าสนใจหรือติดตามอยู่บางเรื่องก็จบแล้วบางเรื่องก็ไม่มาต่อ​ ไล่ไปไล่มา​ ข้ามเรื่องไปมาจนตัดสินใจเข้ามาอ่านเพราะหาเรื่องอื่นไม่มีแล้ว​  :a5: ฉันร้องไห้​จะเป็นจะตายตั้งแต่ตอนแรกที่อ่านเลยค่ะ​  :monkeysad: ลากยาวทั้งคืนไม่หลับไม่นอนจนกระทั้งตอนนี้​ หน้าฉันบวมฉึ่ง​ หัวเริ่มปวดเพราะไม่ได้นอน​ อารมณ์มัน​ ดาวน์ไปกับเรื่องจนทุกอย่างอึมครึมไปหมด​ มันจะอะไรกันนักหนาหนอชีวิต​ ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่คนป่วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 23-03-2019 21:00:44
อ่านแล้วร้องให้ตามน้องก้อง


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 24-03-2019 17:06:00
แงงงง ในที่สุดก็มาต่อแล้ว รอทุกวันเลยค่ะ ลุ้น part 2 ถ้าเค้าย้ายไปอยู่ใต้กัน อะไรๆจะได้เริ่มชีวิตใหม่สักที ปลูกต้นรักไปด้วยเลย กริ้วๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-03-2019 17:42:09
รักก้อง อย่าทิ้งน้องนะพี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-03-2019 22:34:50
ไปไหนไปด้วย จะทิ้งกันได้ไง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 19 update!] (22/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Rach ที่ 26-03-2019 14:42:25
อย่าบอกนะว่าจะพาไปเปิดตัวกับครอบครัววววว   :hao6:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 31-03-2019 22:49:26
20

พี่อู๋ขับรถพาผมมาที่บ้านเก่าตอนเช้า

บนที่ดินของผม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เศษซากปรักหักพังอยู่ยังไงก็อย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนย้าย ไม่มีการเคลียร์พื้นที่ มันถูกทิ้งร้างจนมีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อม รั้วบ้านมีไม้เลื้อยปกคลุมจนไม่เห็นข้างใน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเพื่อนบ้าน พวกเขาเคลียร์ซากเรียบร้อยและเริ่มทยอยสร้างใหม่

พี่ลีสร้างเสร็จก่อนใครเลยย้ายกลับมาคนแรก ข้าวฟ่างกับเจ๊หมิวเป็นกลุ่มที่สอง ผมได้ยินมาว่าลุงชื่นจะย้ายกลับมาหลังปีใหม่ เดาเอาว่าไอ้แดงก็น่าจะมาด้วย ลุงชัยน่าจะรออีกพักใหญ่ๆจนกว่าจะมีเงินก้อน ส่วนป้าเพ็ญหายไป ไม่มีใครรู้ว่าแกอยู่ไหน แต่บ้านของแกไม่ได้รกร้างเหมือนของผม แกคงจ้างคนมาเคลียร์ที่ดินแล้วแค่ยังไม่ได้ปลูกบ้าน

ผมยืนมองที่ดินตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด จะให้พูดว่าคิดถึงก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่บรรยากาศของบ้านไม่น่าอยู่เอาเสียเลย มีแต่ซากไม้โดนเผากับเศษเฟอร์นิเจอร์ที่ไหม้ไม่หมด นอกจากนั้นยังเหลือชานบันไดกับราวผุๆที่เคยมีอนุสรณ์ของแม่ ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปข้างในโดยมีพี่อู๋เดินตาม

ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่กลางบ้าน ยืนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยนอกจากเก็บภาพความทรงจำเอาไว้ให้เต็มตา ลมหนาวพัดผ่านทำให้ใบไม้ปลิวหล่น ผมรู้สึกไปเองว่าแม่คงมารอผมกลับบ้าน ไม่แน่นะ แม่อาจจะยืนอยู่ข้างหน้า แม่อาจจะกำลังกอดผม หรือไม่ก็ทักทายผมจากที่ไหนซักแห่งในบ้านหลังนี้ก็ได้

“ก้อง”

พี่อู๋เรียก เขาเดินมาโอบไหล่ราวกับรู้ว่าผมไม่ไหว

“รอข้างหลังนะ”

เขาบอกแล้วปล่อยให้ผมใช้เวลาส่วนตัวเพื่อบอกลาแม่ ผมหยิบธูปและจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองออกจากกระเป๋าผ้า ผมจุดธูปหนึ่งดอก ตรงหน้าคือจุดที่เป็นอนุสรณ์ของแม่ ครั้งหนึ่งผมเคยเดินผ่านมัน เคยสัมผัส เคยจ้องมองเพื่อระลึกถึงแม่ที่จากไป แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว ผมต้องบอกลาแม่ตามที่หมอและพี่อู๋แนะนำเสียที

“ไม่ต้องห่วงนะแม่”

ผมพูดลอยๆ ตั้งใจส่งสาส์นถึงแม่ที่อยู่ที่ไหนซักแห่ง

“ผมจะมีความสุข ผมจะดูแลตัวเองดีๆ ถึงเวลาของผมเมื่อไหร่ ผมจะไปหาแม่นะ”

ผมพูดแค่นั้นแล้วเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลอีกพักใหญ่ก่อนจะวางจดหมายลายมือของตัวเองตรงชานบันได ถ้อยคำกล่าวลาของนายก้องเกียรติมีเพียงแค่สองประโยค หนึ่งคือผมรักแม่มากๆ และสองคือคำลงท้ายชื่อตัวเอง

ระหว่างที่กำลังร้องไห้เงียบๆ จู่ๆพี่อู๋ก็เดินมาจุดธูปหนึ่งดอกแล้วเริ่มแนะนำตัว

“ผมชื่ออู๋นะครับ ผมคือคนที่เจอก้องบนสะพาน”

คุณอิศรินทร์พูดหมดว่าตัวเองคือใคร เจอผมได้ยังไง และหลังจากนี้กำลังจะไปไหน ตอนแรกผมคิดว่าเขาแกล้งเพราะเห็นกอริลลาก้องยืนพูดคนเดียว แต่พอเขาเอ่ยคำว่าคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมถึงรู้ว่าเขาไม่ได้หยอกเล่น พี่อู๋กำลังให้สัญญากับแม่ต่างหาก

“แม่ครับ วันนี้ผมจะพาก้องไปอยู่บ้านผมที่ใต้” เขาพูดต่อ ปล่อยให้เด็กกำพร้ายืนเช็ดน้ำตาเงียบๆคนเดียว “หลังจากนี้ก้องเกียรติจะมีคนดูแลต่อ เขาจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแน่นอนครับ ผมสัญญา”

ลมหนาวพัดอีกครั้งเมื่อพี่อู๋พูดจบ คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่าแม่มา แม่น่าจะอยู่แถวนี้และได้ยินคำพูดของเรา ผมจึงยืนยันกับแม่อีกครั้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ ผมสบายดี

“ผมจะทำบุญให้แม่บ่อยๆ” ผมสัญญาอีกข้อ “ถ้าชาติหน้ามีจริง มาเกิดเป็นแม่ของผมอีกนะครับ”

เราปักธูปบนดินแข็งๆหน้าชานบันได จดหมายลายมือถูกวางทับด้วยก้อนหินที่อยู่แถวนั้น ผมมองบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลัง ขึ้นรถพี่อู๋เพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตามที่วางแผนไว้








ผมไม่ได้ถามพี่อู๋ว่าบ้านของเขาอยู่จังหวัดอะไร ไม่สนด้วยว่าเขาจะพาไปไหน ในเมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อขับไปถึงขั้วโลกใต้ก็คงกลับตัวไม่ทัน

ผมเคยนั่งรถไปทัศนศึกษาที่ชลบุรี ยังจำได้ถึงความน่าเบื่อของการนั่งรถนานๆโดยไม่ได้ขยับแขนขา ผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมเดินทางไกลอีกเด็ดขาดเพราะไม่อยากเมารถ แต่สุดท้ายกอริลลาก้องก็อยู่ที่นี่ นั่งบนวีออสสีดำที่วิ่งมานานเกือบสี่ชั่วโมงแล้วโดยไม่จอดแวะที่ไหนเลย

“หิวยังก้อง?”

พี่อู๋ถาม ตามองถนนแต่กลับใช้มือสะกิดนายก้องเกียรติที่นั่งเป็นผักเหี่ยวเบาๆ

“อีกนานไหมอ่ะพี่?”
“ก็ --” คุณอิศรินทร์มองนาฬิกาบนรถ “ใช้ได้แหละ เราเพิ่งถึงเพชรบุรีเอง”

ผมไม่รู้หรอกเพชรบุรีอยู่ไหน ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากเพชรบุรีต้องผ่านจังหวัดอะไร ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่หิวหรอก แค่เมื่อยก้นนิดหน่อย พอรู้ว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งอยากยืดเส้นยืดสาย คุณอิศรินทร์ก็แวะจอดปั๊มน้ำมันใหญ่ที่อยู่ข้างทาง เขาปล่อยให้นายก้องเกียรติไปวิ่งเล่น ไปซื้อขนมในเซเว่น ก่อนจะเรียกขึ้นรถเมื่อเราใช้เวลาพักมากเกินไป

“พี่อยากถึงบ้านก่อนสามทุ่ม” พี่อู๋มุ่งมั่น “ไม่รู้ที่บ้านมีอะไรกินหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ค่อยออกไปกินโรตีเนอะ”
“คนแถวบ้านพี่กินโรตีตอนค่ำเหรอ?”
“ใช่ ทำไม?”
“เขาไม่กลัวอ้วนกันเหรอ?”

คุณอิศรินทร์หัวเราะ เขาบอกว่าจะขุนผมให้อ้วนเป็นหมูแล้วค่อยเชือดทิ้งทีหลัง กอริลลาก้องที่ได้ยินคำขู่จึงตอบสนองด้วยการยักไหล่ ผมบอกพี่อู๋ว่าเขาไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ผมน่ะ -- กินจุมาทั้งชีวิตแต่น้ำหนักขึ้นยากมาก ไม่มีทางกลายเป็นหมูอย่างที่เขาว่าแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงสิบหกนาที พี่อู๋กับผมแวะกินเคเอฟซีในจุดพักรถของปั๊มน้ำมัน พอท้องอิ่มเราก็แยกกันไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ผมเดินตากแอร์ในเซเว่น ส่วนพี่อู๋ยืนเลือกเครื่องดื่มชูกำลังหน้าตู้แช่ ผมถามเขาว่าขับรถจำเป็นต้องกินเอ็มร้อยเลยเหรอ คุณอิศรินทร์บอกว่าถ้าไม่กินซักขวดมีหวังได้ถึงบ้านพรุ่งนี้เช้า

หลังเติมพลังงานและโด๊ปยา พี่อู๋ก็พร้อมพากอริลลาเข้าป่าภาคใต้ ผมจำไม่ได้ว่าวิวข้างทางเป็นยังไงเพราะดูๆไปก็เหมือนกันหมด ต้นไม้ ต้นไม้ ถนนยาวๆ ถนนสี่เลนยาวๆ ถนนสองเลนยาวๆ สี่แยกที่ไฟจราจรเสีย ถนนเป็นหลุมเพราะรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เจอต้นไม้อีกรอบ เจอป้ายลูกนิมิต ป้ายไวนิลโฆษณาคอนเสิร์ตลูกทุ่ง เจอหลักกิโล เจอป้ายแนะนำของฝาก เจอร้านขายที่ปัดน้ำฝนราคาหนึ่งร้อยบาท ผมมองเห็นแค่นี้ วนไปวนมาเหมือนดูหนังเรื่องเดิม

พี่อู๋ขับต่อได้อีกสองชั่วโมงก็เริ่มง่วง ตาปรือเหมือนจะหลับอยู่หลายหน พอเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกเขาว่าพี่จะขับรถทั้งๆที่ง่วงชิบหายไม่ได้ ไม่งั้นพี่จะหลับใน แล้วเราจะตายกันหมดเพราะรถคว่ำ

“ฝีมือระดับพี่ ไม่มีคำว่าหลับใน”
“ขี้โม้เถอะ ผมเคยเห็นพี่หลับตอนรอไฟแดงที่แยกรัชดาด้วย”
“แยกนั้นไม่หลับก็บ้าแล้ว ติดตั้งสองชั่วโมง”

ผมพยายามหาวิธีให้ผู้ปกครองหายง่วงซึ่งดูเหมือนจะมีวิธีเดียวคือการชวนคุย พอคุยไปซักพักก็หลับกลางอากาศ แต่เป็นผมนะที่หลับ ส่วนพี่อู๋ต้องขับรถคนเดียวโดยไม่ต้องมีกอริลลาอยู่เป็นเพื่อนนานเกือบชั่วโมง ผมหลับๆตื่นๆ เดี๋ยวรู้เรื่องไม่รู้เรื่องจนบ่ายสาม ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าวิวข้างทางเปลี่ยนไปแล้ว จากถนนหนทางกลายเป็นภูเขา ภูเขาลูกใหญ่ ภูเขาที่มีศาลเจ้ากับรูปปั้นช่าง และร้ายขายของฝากวางเรียงรายเต็มไปหมด

“กินกล้วยอบไหมก้อง? อร่อยนะ”

พี่อู๋หันถามเมื่อเห็นกอริลลาก้องใช้หลังมือเช็ดน้ำลายบูด ผมที่กำลังอึนๆจึงพยักหน้าเออออโดยไม่รู้อะไร คุณอิศรินทร์แวะจอดร้านขายของฝากร้านหนึ่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าทุกร้านที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้ล้วนขายของเหมือนกันหมด นั้นก็คือกล้วย และขนมแปรรูปจากกล้วย

กล้วย กล้วย กล้วยเต็มไปหมด กล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กล้วยฉาบ กล้วยชุบแป้งทอด กล้วยเชื่อม กล้วยเคลือบช็อกโกแลต กล้วยกวน กล้วย กล้วย

ผมยืนข้างพี่อู๋ที่เหมากล้วยเล็บมือนางอบตั้งห้าร้อยบาท เขาวางของฝากทั้งหมดไว้เบาะหลังและแกะให้ชิมหนึ่งกล่อง ลองดู เขาว่า ผมจึงหยิบขึ้นมากัดคำเล็กๆ รสชาติไม่เหมือนกล้วยอบแข็งๆที่วางขายในห้างเลย กล้วยของพี่อู๋อร่อยกว่าตั้งเยอะ ทั้งสด ทั้งแน่น ทั้งหวานน้ำผึ้ง ไม่ใช่หวานน้ำตาลเหมือนที่เคยกิน

“อีกนานไหมครับกว่าจะถึงบ้านพี่?”
“ก็ใช้ได้”
“ใช้ได้ของพี่คือกี่ชั่วโมง?”
“หก”

ผมจะร้องไห้ นี่ผมต้องนั่งๆนอนๆกินๆบนวีออสอีกตั้งหกชั่วโมงเลยเหรอ

“ผ่านชุมพรก็สุราษฎร์ ใกล้แล้วแหละ ไม่นานหรอก”

ผมพยักหน้าเข้าใจแต่จริงๆไม่อยากเข้าใจ กว่าจะถึงสุราษฎร์ ลำไส้ของผมคงขดพันรวมกันเป็นก้อนไหมพรมแล้วมั้ง แต่ทำไงได้ในเมื่อพี่อู๋ให้ตัวเลือกแค่สองทาง หนึ่งคืออยู่กับเขา หรือสองคือแยกกันทางใครทางมัน นายก้องเกียรติที่ไม่เหลือครอบครัวให้คำตอบคุณอิศรินทร์ได้ในทันที

“ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร -- ผมอยากไปกับพี่”

ตอนแรกผมกังวลว่าพี่อู๋จะเซ็งที่พลาดโอกาสสลัดกอริลลาก้องทิ้ง ที่ไหนได้ เขากลับยิ้มกว้างและให้สัญญาต่างๆนานาว่าจะพาไปกินของอร่อยๆ พาไปเที่ยวที่สวยๆ พาไปใช้ชีวิตแบบคนต่างจังหวัด พาไปสอยมะพร้าว ไปเก็บมังคุด ไปนั่นไปนี่ พี่อู๋วางแผนเยอะจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจชัดๆ คุณอิศรินทร์ไม่โน้มน้าวให้ตัวถ่วงอย่างผมอยู่กรุงเทพต่อเลย ไม่พูดด้วยซ้ำว่าผมควรรอสอบโอเน็ตปีถัดไปหรือติดต่อหาลุงชัยให้รับช่วงดูแลต่อ เขาแค่เก็บกระเป๋า เก็บเสื้อผ้า พากอริลลาก้องขึ้นรถ ง่ายๆเหมือนเก็บลูกหมาจรจัดมาเลี้ยง อยากได้ก็แค่หิ้วกลับบ้าน จบ แฮปปี้กันทั้งคนทั้งหมา ทั้งผู้ปกครองและกอริลลาต่างมีความสุขกับการย้ายที่อยู่ทั้งคู่

“พี่อู๋ ผมถามจริงๆเถอะนะ” ผมเกริ่นเมื่อกินกล้วยหมดไปสองชิ้น “พี่อยากให้ผมไปบ้านพี่จริงๆเหรอ?”
“ถ้าไม่จริงจะขับมาถึงชุมพรไหม?” เขาตอบกวนๆ
“ทำไมพี่ไม่บอกให้ผมอยู่กรุงเทพซักคำ ทั้งๆที่พี่มีโอกาสทิ้งผมแล้ว”
“ก้องจะอยู่กรุงเทพกับใคร? ลุงชัยเหรอ?”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
“คิดว่าพี่จะยอมปล่อยเราไปอยู่ใกล้พวกเด็กส่งยาเหรอ?” พี่อู๋ยกมือขึ้น ตั้งท่าเตรียมเขกหัวกอริลลาก้องแต่ไม่ได้ทำ “บางทีต่างจังหวัดน่าจะดีกว่านะ ชีวิตสโลว์ไลฟ์อาจเข้ากับเราสองคนก็ได้”

คุณอิศรินทร์ดูมั่นอกมั่นใจในขณะที่นายก้องเกียรติเริ่มคิดหนัก การเดินทางครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่ย้ายไปอยู่ลาดพร้าวกับเขา ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้ากลับบ้านจริงๆของพี่อู๋ บ้านที่ไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่มีคุณพ่อคุณแม่และญาติของเขาอาศัยอยู่ด้วย

“พี่จะบอกครอบครัวพี่ยังไงถ้าเขาถามว่าผมเป็นใคร?”
“ไม่บอก”
“ได้เหรอ?”
“ได้สิ” พี่อู๋ยักไหล่ “พี่อายุสามสิบกว่าแล้วนะก้อง พี่ไม่ใช่เด็กที่ต้องบอกพ่อแม่ทุกครั้งเวลาพาใครกลับบ้าน”
“พี่พูดเหมือนเมื่อก่อนพาสาวเข้าบ้านบ่อย”
“บ่อยอะไรล่ะ มีแค่ไอ้ตั้มกับหมูพีมั้งที่เคยมา”

แล้วบทสนทนาก็เงียบเมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกกล่าวถึง ผมเข้าใจว่าคงมีแต่คนที่สนิทด้วยมากๆเท่านั้นถึงมีโอกาสเที่ยวบ้านของเขา หนึ่งคือพี่ตั้ม เพื่อนเป็นเพื่อนตาย เพื่อนรักที่เก็บศพพี่อู๋จากข้าวสารมาส่งลาดพร้าว สองคือคุณหมูพีที่เพิ่งเลิกไปไม่นาน และสาม --

นายก้องเกียรติ

ก้องเกียรติเนี่ยนะ? กอริลลาก้องที่เอาแต่ผลาญเงินของพี่อู๋เนี่ยนะ?
คุณอิศรินทร์คิดอะไรอยู่ ผมไม่เข้าใจเขาเลย

ผมกำจัดความกังวลด้วยกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กินไปดูดนิ้วจุ๊บจั๊บเสียงดังจนพี่อู๋หันมอง ผมเครียดจริงๆนะ เครียดมากว่าจะบอกครอบครัวของเขายังไง พ่อแม่พี่อู๋จะว่าไหมถ้าจู่ๆมีตัวแถมไปอาศัยอยู่ในบ้าน เขาจะยอมให้ผมอยู่ด้วยไหม จะต้อนรับผมเหมือนคุณหมูพีหรือเปล่า ยิ่งคิดก็รู้สึกแย่ พอรู้สึกแย่ก็เริ่มหยิบขนมใส่ปาก พี่อู๋คงเห็นอาการประหลาดๆของกอริลลาก้องจึงเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยและให้สัญญาว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม ผมและเขา -- เราจะใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม

“ถ้ามันไม่โอเคล่ะ?”
“ก็กลับลาดพร้าว” พี่อู๋ยักไหล่
“ถ้าเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นพี่จะหลอกผมว่านี่คือตั๋วเที่ยวเดียวทำไม?”
“จริงๆไม่ได้อยากกลับ แต่พี่มีเรื่องต้องทำ”
“งั้นทิ้งผมไว้ที่ลาดพร้าวก็ได้ ไม่เห็นต้องพาลงมาด้วยเลย”
“ถ้าพี่กลับไปไม่เจอก้อง ใครจะรับผิดชอบ?”
“ทำไมจะไม่เจอ?” ผมเถียง “หรือต่อให้ผมหายไปจริงๆก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พี่ไม่ต้องสนใจหรอก”

พี่อู๋เงียบ เขาไม่พูดอะไรอีกนอกจากขับออกจากปั๊มน้ำมันและมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตอนบน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 31-03-2019 22:50:52

บรรยากาศอึดอัดเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองวิวข้างทางและฟังเพลงเรื่อยเปื่อย พี่อู๋ไม่คุยกับผมเลย เขาขับรถอย่างเดียว ตามองถนนเขม็ง ไม่คอยเหลือบมองเด็กเอาแต่ใจเป็นระยะๆเหมือนเมื่อก่อน พอรู้ตัวว่าโดนโกรธก็รู้สึกแย่ ผมเสียใจนะที่ทำให้พี่อู๋โมโห แต่เขาควรรู้ว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือความจริง ถึงเวลาเมื่อไหร่ผมคงต้องไป พี่อู๋ก็รู้ เขารู้ดีว่าเราไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันตลอดหรอก ผมอยากให้เขายอมรับได้ว่าถ้าผมอยากไปจริงๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย พี่อู๋ทำดีที่สุดแล้ว ดีกว่าใครในโลกที่เคยเมตตานายก้องเกียรติแล้ว

ผมหลับๆตื่นๆ นั่งสัปปะหงกสลับกับตื่นมาดูสีท้องฟ้าเป็นระยะๆ จากสีส้มแสบตาของตอนบ่ายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง เป็นสีชมพู เริ่มมืดเหมือนมีเมฆครึ้ม ก่อนจะเข้ากลางคืนอย่างสมบูรณ์ ผมไม่ได้คุยกับพี่อู๋ก็เลยไม่รู้ว่าเราถึงไหน แต่ลืมตาอีกทีรถก็วิ่งผ่านป้ายทางหลวงที่เขียนว่า

ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดน --

ผมอ่านทันแค่นั้นแหละเพราะพี่อู๋ตีนผีมาก เขาขับเลนซ้ายบ้างขวาบ้างเพื่อแซงรถข้างหน้า จริงอยู่ที่ผู้ปกครองของผมเป็นคนใจเย็น แต่คนใจเย็นนี่แหละน่ากลัวที่สุด เวลาเขาโมโห เขาจะหาทางระบายออกด้วยวิธีน่าหวาดเสียวเช่นขับรถเหี้ยเป็นต้น

“อย่าขับเร็วสิครับ”

ผมง้อเขาด้วยการชวนคุย แต่พี่อู๋ไม่สนใจ เขาจ้องถนนเขม็งและเร่งความเร็วขึ้นอีกจนผมตัวปลิวติดเบาะรถ

“พี่อู๋!”
“อะไร?”
“ผมบอกว่าอย่าขับเร็วไง!” ผมโวยวาย “พี่ขับรถแบบนี้รู้ไหมมันอันตรายนะ!”
“ก้องจะให้พี่ทนต่อไปเหรอ?”

นั่นไง -- ละครฉากแรกมาแล้ว

“พี่ก็รู้ว่าผมปากเสีย พี่จะเก็บคำพูดผมมาคิดให้รกสมองทำไม?”
“มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของพี่ ไม่เกี่ยวกับก้องหรอก”
“พี่อย่าประชดสิ”
“ไม่ได้ประชด” พี่อู๋ปาดเข้าเลนซ้ายอย่างรวดเร็ว “แม่งเอ๊ย --”
“พี่ใจเย็นๆดิ! ผมรู้ว่าพี่โกรธ รู้ว่าพี่โมโหที่ผมพูดแบบนั้น แต่ผมแค่อยาก --”

คุณอิศรินทร์ไม่ฟังนายก้องเกียรติพูดจบประโยค เขาเลี้ยวซ้ายเข้าปั๊มน้ำมันก่อนจะจอดรถเหมือนคนรีบร้อน แน่นอนว่ากอริลลาที่เคยปากเก่งไม่กล้าพูดมาก ผมนั่งตัวแข็งทื่อ ตาเหลือบมองผู้ปกครองอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เขากลับลงจากรถแล้ววิ่งพุ่งเข้าห้องน้ำชาย สับเท้ายิ่งกว่านักฟุตบอลในรายการกีฬาที่เคยดูด้วยกัน ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าใจว่าเขาไม่ได้โกรธหรอก

พี่อู๋ก็แค่ปวดอึเท่านั้นเอง










“สบายไหมครับ?”
“อือ สุดๆ”

พี่อู๋ตอบหน้าระรื่นหลังทำธุระเสร็จ เขาทำเหมือนก่อนหน้าเราไม่ได้ทะเลาะ ทำเหมือนเรื่องที่คุยบนรถไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงแกล้งลืมมันไปแล้วชวนเขาเข้าเซเว่นเพื่อหาขนมกินรองท้อง พอเห็นผู้ปกครองกลับมาอารมณ์ดีก็เริ่มรู้สึกหมั่นไส้ ทำเป็นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาตั้งนาน ที่แท้ก็แค่ปวดห้องน้ำ ถ้าปวดมากขนาดนั้นบอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องตีนผีให้ตกใจเลย

“สามทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังไม่ถึงบ้านพี่ซักที”
“เอาน่า อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”

พี่อู๋หยิบกระเป๋าเงินจ่ายค่าขนม ผมยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าการเดินทางอันยาวนานโคตรๆของเรากำลังจะจบลง ซักพักกอริลลาก้องก็เริ่มนึกสงสัยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ในเมื่อผู้ปกครองของมันบอกว่าใกล้แล้ว แต่มันกลับไม่รู้เลย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที พี่อู๋ขับรถออกจากปั๊มน้ำมันโดยมีขนมจีบกุ้งยัดอยู่เต็มปาก เราผ่านเทสโก้โลตัส ผ่านมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผ่านถนนคดโค้งยิ่งกว่าเครื่องเล่นในสวนสนุก หลังจากนั้นก็วิ่งต่อยาวๆบนถนนสี่เลนจนถึงสี่แยกที่เขียนป้ายว่าบางปู พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวขวา ขับเข้าสู่ถนนใหญ่ที่ไม่มีไฟข้างทางเลย

“ทำไมมันมืดจัง?”

ผมสงสัย พี่อู๋บอกว่าต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ ทางที่เราวิ่งคือเส้นอ้อมเมือง ถนนหนทางมืดจนต้องเปิดไฟสูงเพราะมองอะไรแทบไม่เห็น แต่พอเข้าเขตสนามบินถึงจะเริ่มมีไฟข้างทางให้พอเห็นลางๆ แล้วก็หายไปอีกสิบกว่ากิโล แล้วก็กลับมาใหม่เมื่อเข้าใกล้เขตอำเภอเมืองมากขึ้น

“นี่โรงเรียนเก่าพี่”
“ไหนครับ?”
“ทางซ้ายมือ” พี่อู๋ชี้ให้ดู “พี่จบจากโรงเรียนนี้แหละ”
“อ๋อ --” ผมลากเสียง “เมื่อไหร่จะถึงซักทีครับ?”
“ใกล้แล้วก้อง” พี่อู๋ตอบ “เวลคั่มทูประเทศคอน”

คุณอิศรินทร์หัวเราะหึหึในขณะที่นายก้องเกียรติได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น รถของเราเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกอีกหนก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วเมื่อขับผ่านห้างแม็คโคร ผมว่าเราใกล้ถึงบ้านแล้วเพราะพี่อู๋แตะเบรคนานขึ้น ในที่สุดวีออสจากประเทศลาดพร้าวก็จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ติดถนน บ้านรูปร่างประหลาดขัดกับหลังอื่นๆที่ตั้งอยู่รอบข้าง มันคือบ้านสี่เหลี่ยมเหมือนตึกแถวให้เช่า แต่ไม่ใช่บ้านเช่า นี่คือบ้านของพี่อู๋จริงๆ

“บ้านพี่ใหญ่จัง”

ผมชมเมื่อเห็นบ้านของผู้ปกครอง บ้านพี่อู๋ไม่ได้มุงกระเบื้องหลังคาด้วยซ้ำ มันเป็นตึกสี่เหลี่ยมสูงสี่ชั้น ภายนอกทาสีขาวเกลี้ยงไม่มีสีอื่นแต่งแต้ม รั้วบ้านทำจากอะลูมิเนียมอย่างดี มันแข็งแรงทนทานและออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะเพราะผมมองอะไรไม่เห็นเลย

“รอในรถนะ เดี๋ยวพี่เปิดประตูก่อน”

พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงไปไขกุญแจแล้วเข็นประตูจนสุดทาง หลังจากนั้นวีออสก็เข้าสู่รั้วบ้านซึ่งมีรถจอดอยู่หลายคัน พอเห็นจำนวนรถที่จอดใต้ชายคาผมก็เริ่มกังวล สมาชิกบ้านพี่อู๋ต้องมีหลายคนแน่ๆ ไม่งั้นพวกเขาจะมีรถสามสี่คันจอดอยู่ในบ้านหลังเดียวเพื่ออะไร

“ไป ไปอาบน้ำกินข้าว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงช่วยพี่อู๋ขนสัมภาระลงจากรถ ไม่ว่าเขาไปไหนผมก็ไปด้วย กอริลลาก้องเดินตามผู้ปกครองติดๆไม่ยอมทิ้งระยะห่างจนถึงประตูข้างบ้าน พี่อู๋เปิดไฟห้องครัว ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าห้องครัวอยู่ใกล้ลานจอดรถขนาดนี้

“ห้องพี่อยู่ชั้นสามเลย ขึ้นบันไดเหนื่อยหน่อย แต่รับรองว่าส่วนตัวสุดๆ”

ผมพยักหน้าและช่วยขนของจนถึงห้องนอนของผู้ปกครอง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆสีขาวสะอาดกับเตียงไม้สีน้ำตาลเตี้ยๆวางชิดติดผนัง พี่อู๋ถามว่าอยากนอนข้างในหรือข้างนอก ผมตอบว่ายังไงก็ได้ เขาจึงให้นอนด้านในด้วยเหตุผลที่ว่าเผื่อปวดฉี่ตอนกลางคืน จะได้ไม่ต้องปีนข้ามตัวนายก้องเกียรติเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

“พ่อกับแม่ของพี่ล่ะ?”
“นอนแล้วมั้ง” พี่อู๋ตอบแบบไม่ใส่ใจ
“ผมควรไปสวัสดีพ่อกับแม่ของพี่ก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยคนแก่นอนเถอะ ไปกวนกลางดึกแบบนี้เดี๋ยวก็ความดันขึ้นยกบ้าน”

คุณอิศรินทร์พูดติดตลกก่อนจะชวนผมไปหาอะไรกินในครัว ตอนแรกเขาจะไปร้านโรตี ตามที่พูดนั่นแหละ แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นผมอ้าปากหาว ทำหน้าง่วงพร้อมหลับตลอดเวลา พี่อู๋บอกว่าแม่น่าจะเตรียมข้าวเอาไว้ให้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร คงไม่พ้นข้าวแกง

“อ้าว โจ๊กว่ะ”

พี่อู๋เปิดฝาชีแล้วหยิบโจ๊กออกมา สงสัยคุณแม่ของเขาคงจะรู้ว่าลูกชายไม่ได้กลับบ้านคนเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้สองถุง

“พี่บอกแม่เหรอว่าผมจะมา?”
“บอก”
“พี่หลอกผมเหรอ?”
“เปล่า พี่บอกแค่ว่าจะพาคนมาด้วย”
“แค่นั้น?”

ผมขมวดคิ้ว พี่อู๋พยักหน้าพลางแกะโจ๊กใส่ชาม

“รีบกินเถอะเราอ่ะ เดี๋ยวต้องกินยาแล้วนอนอีก”

ผมทำตามคำสั่งผู้ปกครอง เรานั่งกินโจ๊กกันเงียบๆในห้องครัว เป็นบรรยากาศอึดอัดพิลึกเพราะต้องทำเหมือนไม่มีตัวตนเพื่อไม่ให้รบกวนคนในบ้าน แหงสิผมยังไม่ได้เจอพวกเขาเลย ไม่ได้สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้แนะนำตัวกับครอบครัวเขา คืนทำเสียงดังกระโตกกระตาก ความประทับใจแรกพบคงเหลือศูนย์ โดนแม่พี่อู๋เตะไปนอนในสวนยางแน่ๆ ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันหรอก

“อ้าว -- อู๋”

เสียงผู้หญิงทำผมตกใจจนช้อนหล่นกระทบถ้วยดังเคร้ง ผมรีบลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้คุณแม่พี่อู๋ในชุดนอนเหลืองสด แกก็รับไหว้แบบงงๆก่อนจะมองหน้าลูกชายตัวดีที่นั่งขัดสมาธิกินโจ๊กบนเก้าอี้เพื่อรอฟังคำอธิบาย

“แม่หวัดดีครับ”

พี่อู๋ยกมือไหว้แล้วกินต่อ เขาใช้นิ้วชี้สั่งให้นายก้องเกียรตินั่งลงเพราะตอนนี้ผมดูโคตรเด๋อในสายตาของผู้ใหญ่

“คนนี้ไง ที่บอกว่าจะพามาอ่ะ”
“อ๋อ” แม่พี่อู๋ยิ้มแล้วถามกอริลลาพลัดถิ่น “ดูเด็กจัง อายุเท่าไหร่เหรอเราน่ะ?”
“สิบแปดครับ”
“คุกนะไอ้อู๋”

พี่อู๋สำลักข้าวต้ม ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องคุกมาอยู่ในบทสนทนาได้ยังไง

“ป๊าอ่ะ นอนแล้วเหรอ?”
“อืม” คุณแม่เปลี่ยนเรื่อง “เราล่ะชื่ออะไร?”
“ก้องครับ ก้องเกียรติ”

ผมยิ้มแหะๆพร้อมกับทำหน้าใสซื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดูไว้ก่อน น่าแปลกที่การซักประวัติอย่างเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่อยู่ไหน ทำงานอะไร นึกยังไงถึงตามลูกชายคนอื่นมาถึงใต้กลับไม่อยู่ในคำถามชวนคุยเลย ส่วนใหญ่พวกเราจะนั่งเงียบเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด พี่อู๋กินโจ๊กจนหมด ส่วนผมกินแค่ครึ่งเดียว พอกินเสร็จคุณแม่ก็มองหน้าพี่อู๋แล้วถอนหายใจ แกบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอะไร

“เจ๊ออมอ่ะ พูดอะไรหรือเปล่า?”
“ก็พูดเหมือนอู๋นั่นแหละ”
“แล้วแม่โอเคไหม?”

คุณแม่ไม่ตอบ เธอเสหน้ามองทางอื่นราวกับหนักใจก่อนจะเดินตบไหล่พี่อู๋แล้วเดินขึ้นห้อง ก่อนไปเธอบอกกอริลลาก้องว่าทำตัวตามสบายเลยนะ ถ้าขาดเหลืออะไรแต่ไม่กล้าบอกแก ก็ให้บอกพี่อู๋ เดี๋ยวพี่อู๋คงแจ้นมาบอกเอง

“ล้างจานด้วยอู๋”
“ครับ”

จบ บทสนทนาของแม่ลูกตัดฉับ ผมอาสาล้างจานให้คุณอิศรินทร์แล้วเดินกลับห้องที่ชั้นสาม บ้านของพี่อู๋เหมือนฐานทัพลับในหนังที่เคยดู ทุกอย่างดูแปลกตาและมีปริศนามากมายเต็มไปหมด น่าเสียดายที่ผู้ปกครองของผมไม่ได้พาทัวร์ เขาตรงดิ่งไปชั้นสาม ปิดไฟตรงหัวบันไดก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง

“ห้องน้ำอยู่ชั้นสองนะก้อง ชั้นสามอาบไม่ได้ ปั๊มน้ำไม่ขึ้น”
“ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอครับ?”

กอริลลาก้องหยิบผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืน มันถือแปรงสีฟันและสบู่เอาไว้ในมือ เตรียมพร้อมทำความสะอาดตัวเอง

“มาสิ เดี๋ยวพี่พาไป”

คุณอิศรินทร์เดินนำไปที่ชั้นสอง แน่นอนว่าบ้านทั้งหลังเปิดไฟแค่บางบริเวณเท่านั้น และดวงที่เปิดอยู่มีแค่ดวงเดียวคือไฟหน้าห้องน้ำ นอกนั้นดับสนิทจนมองเห็นลางๆว่าชั้นสองมีห้องขนาดใหญ่อีกสี่ห้อง ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นห้องนอนของครอบครัวเขาเพราะบริเวณรอบๆดูโล่งผิดจากชั้นสามที่มีข้าวของเด็กผู้ชายเต็มไปหมด

“อาบน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนเสื้อห้องนี้นะ” พี่อู๋ชี้ไปที่ห้องริมสุดทางขวามือ “เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ชอบตัวไหนก็หยิบมาใส่เลย บ้านนี้ใส่เสื้อปนกันทุกคน”
“พี่รอผมหน้าห้องน้ำได้ไหม?” ผมขอ
“กลัวผีเหรอ?”
“เปล๊า --”
พี่อู๋ยิ้มมุมปาก “อ่ะ รอก็รอ ไปอาบน้ำสิ พี่จะได้อาบต่อ”

ผมปิดประตูห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าของวันนี้ออกแล้วรีบเปิดฝักบัว ล้างหน้าถูตัวและแปรงฟันเร็วยิ่งกว่าความไวของแสงที่เดินทางมาถึงโลก ผมถูสบู่จนเกลี้ยงเพราะกลัวทำเตียงพี่อู๋เหม็น ถูตั้งแต่หน้าถึงข้อเท้า ล้างแล้วล้างอีก ขยี้ๆให้ขี้ไคลหลุดจนมั่นใจว่าสะอาดถึงออกจากห้องน้ำ แต่พอออกมา พี่อู๋ก็ไม่อยู่แล้ว

ไอ้พี่อู๋ -- จำไว้เลยนะ

ผมกัดฟันกรอดขณะเปิดประตูเข้าห้องแต่งตัว ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆที่มีตู้เสื้อผ้าวางเต็มผนังทั้งสามด้าน อีกด้านมีราวแขวนเสื้อที่ดูแล้วน่าจะเป็นชุดนอน ผมล็อคประตู เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งแล้วเลือกเสื้อสีขาวกับกางเกงผ้ายืดมาใส่ พอมองตัวเองในกระจกผมก็เริ่มเอะใจว่านี่คงไม่ใช่เสื้อผ้าพี่อู๋หรอก น่าจะเป็นของเอม เพราะไซส์เล็กกว่าและสไตล์วัยรุ่นเกินกว่าคุณลุงวัยสามสิบสองจะเลือกใส่

ปิ๊บ!

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงปิ๊บเบาๆจากที่ไหนซักแห่ง ห้องเก็บเสื้อผ้าไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นเลยนอกจากพัดลมกับหลอดไฟ จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเสียงเล็กแหลมนั่นจะอยู่ในห้องนี้

ปิ๊บ!

มันดังอีก คราวนี้ผมเริ่มระแวง รู้สึกเหมือนเสียงอยู่ใกล้มากแต่ไม่รู้มาจากไหน ผมเดินตามหาต้นตอของเสียงจากทุกที่ ทั้งมุมนั้นมุมนี้ เดินเอาหูแนบบานประตูตู้เสื้อผ้าจนกระทั่งมั่นใจว่ามันดังจากผนังทางซ้ายซึ่งติดกับห้องใหญ่ที่อยู่ถัดไป

ปิ๊บ! ปิ๊บ!

ผมปิดไฟในห้องแต่งตัวก่อนจะค่อยๆย่องออกมา พอไม่มีรถวิ่งผ่านหน้าบ้าน เสียงปิ๊บ!ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งชัดมากขึ้นเมื่อลองเอาหูแนบบานประตูห้องนั้น

คงมีใครลืมปิดสวิตช์อะไรซักอย่าง

ผมเดา เพราะเสียงปิ๊บ!นั้นเหมือนเสียงเตือนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า จริงๆจะไม่ยุ่งก็ได้ แต่พอคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ ไฟอาจลัดวงจรทำให้บ้านพี่อู๋ไหม้เหมือนบ้านตัวเองผมก็เปิดประตูเข้าไป ห้องนี้ไม่ได้ล็อก แอร์เย็นฉ่ำ ทุกอย่างมืดสนิทจนกระทั่งผมเดินเข้าไปซักพักถึงรู้ว่าเสียงปิ๊บ!มาจากไหน

มาจากมอนิเตอร์เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ

มีชายชราคนหนึ่งนอนบนเตียงผู้ป่วย สายระโยงระยางเชื่อมต่อตัวเขากับอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มไปหมด เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงร้องปิ๊บ ปิ๊บเป็นจังหวะ กอริลลาก้องได้แต่ยืนชะงักอยู่กับที่ รู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองทำเกินไป นี่คือบ้านของพี่อู๋ คือที่ส่วนตัวของครอบครัวเขาไม่ใช่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด ผมไม่สมควรเปิดประตูบานนี้เข้ามาด้วยซ้ำ แต่พอนึกถึงสภาพชายชราที่นอนเป็นผัก ผมก็ก้าวขาไม่ออก ใจหนึ่งอยากรู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร อีกใจก็คิดว่ามันจะดูเสือกเกินไปหรือเปล่า ผมที่ไม่รู้จะไปไหนตัดสินใจกลับไปหาผู้ปกครอง จังหวะกำลังหมุนตัวเตรียมหนี หญิงชราคนหนึ่งก็ยืนขวางบานประตู เธอดูตกใจไม่แพ้นายก้องเกียรติเพียงแค่มีสติมากพอจะถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจว่า

“เธอเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านของฉัน!”










ตอนนี้ก็จะอ่านยากนิดหน่อย อัปจากไอแพดfดยกhอปจากไดรฟ์อีกที
คืนนี้น่าจะไม่ได้กลั[gร็ว ขvดทษพี่จ๋าทุกคนด้วยนะคะ
เดี๋ยวมาแก้ใหม่ให้พรุ่งนี้ค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 01-04-2019 02:36:34
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกกดดันแปลกๆ คนที่นอนคือคุณพ่อหรอ หรือคุณปู่ของพี่อู๋ :katai4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Dyckia ที่ 01-04-2019 02:41:14
“เวลคั่มทูประเทศคอน” 55 บรรยายเห็นภาพมาก รู้เลยพี่อู๋จบจากโรงเรียนไหน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 01-04-2019 07:32:12
คนเขียนโหดมาก เอาความดราม่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้พี่อู๋โดนด่ากลับไปเลยนะ !

ไอ้เราหรือก็หลงโมโหอิพี่อู๋ ที่ไหนได้ น้องก้องขาดยา  :m20:

ทำไมรู้สึกตื่นเต้นกับการกลับมาบ้านของพี่อู๋มากเลย แต่ดูคุณแม่ก็ท่าทางใจดีนะ น่าจะเอ็นดูน้องอยู่  :m1:

รอตอนต่อไปนะฮับ
(มเน้รวบหลายตอนก็จะงงๆ หน่อย หมายถึงคนอ่านนี่แหละ  :m23:)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-04-2019 10:24:50
 :hao4:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-04-2019 13:41:08
ตอนนี้ครบรสมากกกกกก อ่านในมุมความคิดก้องแล้วจะทำตัวไม่ถูกตามก้องทุกทีเลย
ชอบตอนคุณแม่บอกว่า คุกนะอู๋ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 01-04-2019 15:52:48
คุกๆๆๆๆๆลอยมาแต่ไกลเลยค่ะ 555555  :z1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 01-04-2019 22:49:38
ตื่นเต้นๆ ชีชีวิต้องที่นี่จะเป็นไงต่อไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-04-2019 22:49:58
โอ๊ยจะรักกันยังไงคิดไม่ออก เหมือนก้องไม่คิดอะไรแบบนั้นเลน เอ๊ะหรือคิดแต่ไม่รุ้ตัวหว่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 01-04-2019 23:09:11
น้องสู้ๆกับบ้านใหม่นะ ขอให้ครอบครัวพี่อู๋ใจดีด้วยนะลูกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-04-2019 23:46:11
น้องซวยแล้วลูก ในห้องนั่นใครกัน ถ้าคุณแม่โอเคก็เบาใจไป 10% คุกนะอู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 02-04-2019 00:47:11
น้องก้องสู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-04-2019 10:46:52
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-04-2019 11:08:19
บ้านนี้ความลับเยอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-04-2019 17:09:46
ย้ายมาบ้านพี่อู๋จะเจออะไรที่ทำให้ก้องแย่ลงมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: creator ที่ 07-04-2019 07:27:40
มันดีที่สุดเลยเว้ยแก สนุกมากเลยค่ะ อ่านไม่กี่ตอน แต่ขอมาเม้นไว้ก่อน คุณภาพมากๆ :katai4:
เขียนดีมากเลยค่ะ อารมณ์ไหนพี่ก็อินกับน้องก้องตลอดเลย โถ หนูลูก ถ้าเป็นพี่ พี่จะไม่ยุ่งกับใคร


/แง้ ตามทันแล้ว ในที่สุด
ให้ใจเราพักบ้าง ไม่ไหวแล้วค่ะ  :hao5:
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: tortlb ที่ 07-04-2019 14:35:30
 :z3: :z3: :z13: อารมณ์ค้างอีกแล้วววววววววส
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 17-04-2019 21:57:20
สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่เห็นวันพรุ่งนี้้..  อยากบอกว่าคนเขียนหาข้อมูลมาเป๊ะมากค่ะ ความรู้สึกนึกคิดของก้องเป็นแบบเดียวกับที่คนสิ้นหวังรู้สึก ทำได้ดีมาก ยกนิ้วให้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 17-04-2019 22:13:29
เขียนดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เข้าอกเข้าใจคนแบบก้องดีมาก ไม่รู้คุณคนเขียนจะมาเห็นมั้ย อยากบอกว่าขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน ทำให้เราหยุดฟุ้งซ่านไปได้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 18-04-2019 12:26:41
อยากมาชมอีกครั้ง  ส่าเขียนได้ดีม่ก ดีจริงๆ รัก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 18-04-2019 14:24:01
เขียนดี ภาษาดี เนื้อเรื่องดี สาระมี ให้ 10 กะโหลก ยิ่งรักกันยากเรายิ่งชอบค่ะ เพราะคนเราจะรักกันได้มันยากนะในความคิดเรา เป็นไปไม่ได้ที่จะรักกันปุบปับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH ยี่สิบ update!]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 18-04-2019 15:24:01
สุดยอดมากกกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 24-04-2019 22:55:01
21 PART1

ผมไม่เคยถูกจับได้คาหนังคาเขาไม่ก่อน แม้แต่สมัยมัธยมต้นที่เคยทดลองเป็นเด็กเกเร ปีนกำแพงหนีเรียนไปกินน้ำแข็งไสก็ไม่เคยโดนจับได้ นี่คือครั้งแรกที่ถูกจ้องด้วยแววตาเอาเรื่อง หญิงชราร่างท้วมไม่ได้ใจดีเหมือนพี่อู๋ เธอมองกอริลลาก้องตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะปรี่เข้ามากระชากเสื้อยืดที่ผมกำลังใส่อยู่ และสั่งให้ถอดออกเดี๋ยวนี้

“นี่เสื้อหลานฉัน!” เธอหยิกแรงจนนายก้องเกียรติร้องโอ๊ย “ถอดออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไอ้ขี้ขโมย! คราวนี้ฉันไม่ยอมแล้ว!”

ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนร้องโอดโอยและรีบถอดเสื้อให้หญิงชราผู้เกรี้ยวกราด เธอใช้มือฟาดตามตัวกอริลลาก้องเหมือนสั่งสอนลูกหลานโทษฐานทำตัวเกเร แต่ความจริงแล้วเราคือคนแปลกหน้าต่อกัน ผมไม่รู้จักเธอ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นญาติฝ่ายไหนของคุณอิศรินทร์ จู่ๆก็โดนตีเพี๊ยะๆและถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย เธอก่นด่านายก้องเกียรติสารพัดราวกับเราเคยพบกันมาก่อน ผมทำได้แค่เดินหนี แต่ยิ่งหนี เธอก็ยิ่งไล่ตาม

“มานี่เลยนะ!”

เธอยกมือจะฟาดหลังนายก้องเกียรติอีกซักที โชคดีที่พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาขวาง เขาตกใจมากเมื่อเห็นคุณยายหรือไม่ก็คุณย่าตีกอริลลาก้องเหมือนเป็นขโมย พอผู้ปกครองตัวจริงมา ผมก็รีบวิ่งไปหลบหลังพี่อู๋ แต่หญิงชรายังเดินตาม เธอบอกหลานชายว่าไอ้เด็กนี่แหละที่เข้ามาขโมยของในบ้าน ไอ้คนนี้เลย แนจำได้ แนจำหัวมันได้ หัวทุยๆรกๆเหมือนกัน

“ตลกแล้วแน นี่รุ่นน้องอู๋ เพิ่งมาจากลาดพร้าว”
“รุ่นน้อง? รุ่นน้องที่ไหน?”
“ที่มหาลัย” คุณอิศรินทร์โกหกเพื่อให้หญิงชราชื่อแนใจเย็นลง “อู๋ให้น้องยืมเสื้อแหละ น้องไม่ใช่ขโมยหรอก อู๋เป็นคนขับรถมาพาเองเนี่ย”

พี่อู๋ที่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับผู้ใหญ่ก็ดูน่ารักดีหรอก แต่เวลาแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัวเลย แนยังคงมองผมตาขวาง แกถามหลานชายอีกครั้งว่าจริงนะ จริงๆนะ ถามแบบนี้อยู่อีกสองสามหนก่อนจะยอมคืนเสื้อให้

“ใครอิไปรู้ล่ะ(ใครจะไปรู้ล่ะ) อยู่ๆก็โผล่มาห้องก๋ง” แกบ่นกระปอดกระแปดพลางมองกอริลลาก้องรีบสวมเสื้ออย่างเร่งรีบ “กลับมาเมื่อไหร่ล่ะไอ้หมูอู๋?”

ไอ้ -- หมูอู๋ --

ผมขำไม่ออกเสียง

“แรกเดี๋ยวนิ” (เมื่อกี๊เอง) พี่อู๋พูดด้วยสำเนียงภาคกลาง แต่คำที่ใช้ไม่คุ้นหูมนุษย์ขอบกรุงเทพอย่างผมซักนิด “ไปนอนตะแน ตอเช้าค่อยว่ากันใหม่” (ไปนอนเถอะแน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่)
“นอนพรือล่ะ รุ่นน้องอู๋ชื่ออะไรแนยังไม่รู้เหลย” (นอนอะไรล่ะ รุ่นน้องอู๋ชื่ออะไรแนยังไม่รู้เลย)
“ก้อง” คุณอิศรินทร์ตอบแทน “ชื่อเต็มคือก้องเกียรติ”
“ชื่อเหมือนลูกนักการเมือง”
“คนชื่อก้องต้องเป็นลูกนักการเมืองทุกคนเออะแน?” (คนชื่อก้องต้องเป็นลูกนักการเมืองทุกคนเหรอแน?)
“เอ๊า กวนตีนหลาว” (กวนส้นเท้าอีกแล้ว) แนบ่นก่อนจะโบกมือไล่ “ถ้าไม่ใช่ขโมยก็ไปนอน แนอินอนกัน” (แนก็จะนอนเหมือนกัน)

กอริลลาก้องรีบยกมือไหว้สวัสดีคุณแนอีกครั้งแล้ววิ่งตามหลังผู้ปกครองกลับห้อง พอได้อยู่ด้วยกันสองคน ผมก็รัวมือใส่หลังพี่อู๋แรงพอๆกับที่แนเคยรัวใส่ คุณอิศรินทร์ร้องโอดโอยพร้อมกับจับข้อมือทั้งสองข้างของกอริลลาก้อง เขาหงุดหงิดและถามว่าตีทำไมเนี่ย

“เอาคืน”
“เอาคืนอะไรล่ะ ก้องเดินเข้าห้องก๋งเองนะ”

พี่อู๋ย้อนกลับ ซึ่งก็จริงตามเขาว่า ผมจะไม่โดนหยิกเลยถ้าไม่เปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนของครอบครัวเขา มันช่วยไม่ได้นี่ เสียงปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ นั่นน่าสงสัยจะตาย ผมแค่กลัวเครื่องใช้ไฟฟ้าเออเร่อ ถ้ารู้ว่ามันคือเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ผมคงไม่เสนอหน้าเข้าไปหรอก

“โดนแนตีเจ็บไหม?”
“เจ็บสิ!” ผมถลกเสื้อให้ผู้ปกครองดู “ผมไม่รู้ว่าแนคือใคร แต่แนของพี่หยิกผมจนแดงทั้งตัวเลย”
“สมน้ำหน้า” พี่อู๋เฉดหัวกอริลลาก้อง “เดือนก่อนมีวัยรุ่นเมาท่อมแอบเข้ามาขโมยของในบ้าน --”
“เมาอะไรนะพี่?”
“ท่อม” เขาขัดใจเมื่อผมไม่รู้จักท่อม “ใบกระท่อมที่เอาไปต้มกินแล้วจะรู้สึกเหมือนลอยในอวกาศไง”
“พี่เคยกินเหรอถึงรู้ว่าลอยในอวกาศเป็นยังไง?”
“ฟังเพื่อนเล่ามา”

คุณอิศรินทร์เฉไฉ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาตอแหลหรือเปล่า

“เออ ช่วงนี้มีเด็กซอยข้างๆชอบปีนรั้วเข้ามาขโมยของ จับได้ทีไรพ่อแม่เด็กก็มากอดขาขอความเห็นใจทุกที แนยอมปล่อยตั้งสองสามรอบแน่ะ”
“แนคือคุณย่าหรือคุณยายของพี่?”
“ยาย”
“ทำไมถึงเรียกแนอ่ะ?”
“ไม่รู้ว่ะ ต้องถามก๋งที่นอนบนเตียงว่าทำไมเราไม่เรียกยายว่าอาม่าเหมือนบ้านคนอื่นเขา ถ้าก๋งลุกขึ้นมาตอบก้องจริงๆนะ อัลปากาที่เคยอยากได้ พี่ก็จะซื้อให้”
“ขนาดนั้นเลย?”

พี่อู๋ยักคิ้วยิ้มๆ ผมรู้ว่ามุกตลกอย่างรอให้ก๋งตื่นมาตอบคำถามไม่ใช่มุกน่าขำซักนิด คุณอิศรินทร์กำลังบอกนายก้องเกียรติอ้อมๆต่างหากว่าก๋งไม่มีวันให้คำตอบได้แล้ว สั้นๆคือก๋งกลายเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่มีวันตื่น และนายก้องเกียรติไม่มีวันได้เลี้ยงอัลปากาเช่นกัน

จริงๆผมมีคำถามอยากถามมากกว่านี้ อยากถามว่าก๋งป่วยเป็นอะไรทำไมถึงกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อยากถามว่าแนของเขานอนที่ไหนเพราะผมเห็นเตียงอีกหลังวางริมผนังในห้องของก๋ง มันเป็นอารมณ์ทำนอง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” ถ้าสามารถร้องเป็นเพลงออกมาแก้เครียดได้ ผมคงร้องให้ผู้ปกครองฟังแล้ว

“พรุ่งนี้เจ๊ออมมา หอบลูกหอบผัวจากหาดใหญ่มาด้วย” คุณอิศรินทร์บอก ดูคำพูดจาที่พูดถึงพี่สาวสิ น่าตีปากชะมัด “บ้านพี่จะวุ่นวายโคตรๆเพราะญาติๆเริ่มทยอยมาแล้ว”
“หมายถึงมาค้างที่นี่เหรอครับ?”
“ช่าย ช่วงปีใหม่ ลูกหลานของแนกับก๋งจะมาอยู่ด้วยกัน เคานท์ดาวน์ข้ามปีด้วยกัน ถล่มบ้านให้พังด้วยกัน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกลับบ้านตัวเอง ทิ้งให้ป้าอ้อยตามเก็บ”

พี่อู๋หัวเราะ เขายิ้มเมื่อพูดถึงความโกลาหลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมเดาเอาว่าเขาคงเป็นผู้ชายประเภทรักครอบครัวมากแน่ๆ ไม่งั้นจะตั้งหน้าตั้งตาคอยนับวันที่เด็กๆกลับมาถล่มจนบ้านพังทำไม

“พี่กลับบ้านทุกปีใหม่เหรอ?”
“อืม” เขาตอบ “งานยุ่งแค่ไหนก็ต้องกลับ นายไม่ให้กลับก็จะกลับ”
“ได้เหรอ?”
“ได้สิ พี่เคยให้นายเลือกสองทางคือหนึ่งใบลา กับสอง ใบลาออก พี่วางบนโต๊ะและถามนายว่าอยากเซ็นใบไหน แค่นั้นจบ พี่ได้กลับบ้านเลย”
“เพราะนายเซ็นใบลาออกให้พี่ใช่ไหมครับ?”

แน่ะ มามุกนี้ ผมรู้ทันหรอกนะ

“ถูกต้อง”
“ทำไมพี่เล่าหน้าระรื่นจัง เป็นผมคงเศร้าตายเลยที่โดนไล่ออก”
“ไม่เศร้าหรอก โตไปเดี๋ยวก้องก็รู้ว่าการลาออกไม่ใช่เรื่องใหญ่” พี่อู๋สอนกอริลลาก้อง “การไม่หางานทำก็เช่นกัน จำไว้นะ ตกงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าเรารวย”
“ผมว่าอันหลังไม่น่าจะใช่นะครับ”
“ใช่สิ ก้องจะไม่ทำงานก็ได้ถ้าก้องมีเงินเก็บมากพอ”

พี่อู๋ล้มตัวลงนอน เขาตบที่ว่างข้างตัวแปะๆเป็นเชิงเรียกเด็กในอุปการะให้มานอนด้วยกัน พอจัดแจงแยกผ้าห่มและแบ่งหมอนข้างเรียบร้อย คุณอิศรินทร์ก็ดับไฟ ผมมองเห็นสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสงเต็มเพดานเลย

“ดาวเยอะจัง”
“สมัยวัยรุ่นคันไม้คันมืออยากแปะ พอแก่แล้วดูรกหูรกตาซะงั้น”
“ผมว่ามันสวยดี พี่ไม่ต้องแกะออกนะ ผมจะนอนดูทุกคืนเลย”
“ถึงไม่แกะมันก็หลุดเอง กาวมันติดนานต้องมีเปื่อยบางล่ะ”

เราเงียบ นอนมองเพดานที่มีดาวสะท้อนแสงแปะกระจัดกระจายโดยปราศจากบทสนทนา จะว่าไปห้องพี่อู๋เหมือนห้องเก่าของผมเลย มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะ ผ้าม่านสีครีม มีของแปะตามผนังห้องเป็นหย่อมๆ ของพี่อู๋เป็นโปสเตอร์นักร้องวงร็อคสมัยยี่สิบกว่าปีก่อน ส่วนของผมเป็นสติ๊กเกอร์แถมที่ได้จากขนมซอง ผมชอบติดมันไว้ตามฝาบ้านจนแม่บ่น พอคิดถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็หลุดขำ การเป็นเด็กนี่ดีจัง แค่สติ๊กเกอร์ฟรีก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว

“ก้องคิดยังไงกับคนป่วยที่เป็นผักเหรอ?”
“ผัก?” ผมทวนคำ “ผักไหนอ่ะพี่ แครอทเหรอ? หรือมะเขือเทศ?”
“ไอ้ควาย” เขาด่ากอริลลาก้อง “ผักก็คือคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไง ไม่รับรู้ ไม่ตอบสนอง สั้นๆคือตายแต่ยังหายใจ”
“พี่หมายถึงก๋งใช่ไหมครับ?”
“อืม ถ้าสมมติว่าคนในครอบครัวที่ก้องรักมากๆกลายเป็นผัก ก้องจะทำยังไง?”
“ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

ผมตอบตามตรงเมื่อจินตนาการถึงแม่กลายเป็นผักนอนติดเตียง จริงๆนะ ต่อให้ต้องเหนื่อยแค่ไหน ต่อให้ไม่ได้เรียน ต่อให้อดหลับอดนอนเพื่อดูแลแม่ หรือต้องทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมาหมุนค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมก็จะทำ ผมจะไม่มีวันปล่อยแม่ไปง่ายๆหรอก

“ตลอดไปของก้องนี่นานแค่ไหน?”
“ก็คือตลอดไป” ผมทวนคำ “จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน”

พี่อู๋เงียบไปเลย คราวนี้เขาขยับตัวนิดหน่อยแล้วนิ่งสนิทเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง กอริลลาก้องที่นอนข้างๆนึกว่าผู้ปกครองของมันจบบทสนทนาแล้ว ถึงเวลาเข้านอนหลังการเดินทางอันยาวไกลเสียที จังหวะที่ดึงผ้านวมมาห่มถึงปลายคาง จู่ๆพี่อู๋ก็พูดว่า

“บ้านพี่น่ะ -- พูดตลอดว่าไม่ควรมีงานศพสองงานในปีเดียวกัน”

ผมไม่เซ้าซี้ เพราะรู้ว่าผู้ปกครองกำลังเล่าบางอย่างที่น่าลำบากใจมากๆให้ฟัง

“ของเอมเพิ่งจัดไปต้นปี ถ้ามีของก๋งท้ายปีอีก --”
“พี่พูดอะไรน่ะ ก๋งไม่ได้จะตายซักหน่อย” ผมตำหนิที่เขาพูดจาไม่เป็นมงคล “พี่อย่าคิดเยอะสิ แนของพี่ยังดูเข้มแข็งกว่าพี่ในตอนนี้อีก”
“คิดเยอะอะไรล่ะ เขาคุยกันมาหมดแล้ว”
“คุยอะไรเหรอครับ?”
“คุยว่าเราจะถอดเครื่องช่วยหายใจของก๋ง”

ผมช็อค เพราะไม่คิดว่าครอบครัวจะทำใจยอมปล่อยให้จากไปง่ายๆแบบนี้ แต่ประโยคถัดมาทำให้ช็อคยิ่งกว่า ช็อคจนผมต้องเอื้อมตัวกอดพี่อู๋แน่นๆเลย

“เขาให้พี่เป็นคนถอดว่ะก้อง”

คุณอิศรินทร์เสียงสั่นแล้วบีบมือผม บทสนทนาเครียดๆจบลง มีแค่กอริลลาสองตัวนอนปลอบใจซึ่งกันและกันอยู่บนเตียง



เรื่องของก๋งหายไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ผมตื่นนอนตอนเช้า อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันและเลือกสวมเสื้อผ้าของพี่อู๋แทนที่จะเป็นของเอม พอเห็นผู้ชายสองคนลงมากินข้าวก็โดนคุณแม่แซว แกบอกว่าปกติเวลากลับบ้าน พี่อู๋ชอบนอนตายจนบ่ายสามบ่ายสี่ นอนจนหลานพังประตูเข้าไปถึงจะตื่น แต่นี่เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเอง รายการข่าวเพิ่งเริ่มไม่กี่เบรก อู๋ตื่นมาทำอะไรเหรอลูก ปวดอึ ปวดไข่ หรือปวดอะไรไหนบอกแม่หน่อยสิจ๊ะพ่อรูปหล่อ

“แม่ไม่คิดว่าอู๋ต้องตื่นเช้าไปทำงานบ้างเหรอ?”

พอพูดเรื่องงาน ผมก็เสียวสันหลังวาบ ไม่แน่ใจว่าครอบครัวของเขารู้หรือยังว่าคุณอิศรินทร์ตกงานมาสี่เดือนกว่าแล้ว และท่าทางจะว่างอีกยาวเพราะเขาไม่มีกะจิตกะใจอยากหางานทำเลย

“ข้าวเช้าอ่ะ?”
“เหนียวไก่”

คุณแม่ตอบ ผมเดาเอาเองว่าแกคงหมายถึงข้าวเหนียวไก่ทอด

“เบื่อเหนียวไก่แล้วอ่ะ ไปกินติ่มซำดีกว่า ไปเหอะก้อง”

 พี่อู๋ลุกขึ้นยืน ผมจึงต้องรีบวิ่งตามหลังผู้ปกครองไปติดๆ แม่พี่อู๋ตะโกนสั่งว่าให้ซื้อฝากป๊ากับแนด้วย แต่พี่อู๋กวนตีนกลับด้วยการตอบว่าไม่ซื้อ อยากกินก็ขับรถไปเอง ซักพักผมเห็นแม่พี่อู๋เดินมาถึงประตูหลังบ้าน แกกอดอกมองคุณอิศรินทร์เหมือนพร้อมด่าไฟแลบตลอดเวลาจนผู้ปกครองของผมต้องให้สัญญา

“โอเคครับคุณพี่ คุณพี่ผู้รักผัวห่วงผัวยิ่งกว่าสิ่งใดใด” เขาประชด “เดี๋ยวจะซื้อติ่มซำไข่เค็มมาฝาก”
“แนกินเค็มไม่ได้ไอ้อู๋! แนเป็นความดัน!”
“ก็ไม่ต้องกินดิ!”
“งั้นไม่ต้องเข้าบ้าน! ไปเลย! อย่ามาเหยียบบ้านฉัน!”
“บ้านเธอหรือบ้านก๋งกันแน่ฮะคุณสร้อยเพชร? ไหนพูดใหม่อีกทีซิ!”

พี่อู๋หัวเราะคิกคักแล้วขับรถออกจากบ้าน มุ่งสู่สถานที่ที่มีชื่อว่า “สะพานยาว” ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ที่ไหน แต่พี่อู๋เลี้ยวซ้ายหลังเจอสี่แยกไฟแดง ขับไปตามถนนคดโค้ง ผ่านโรงเรียนประถม ผ่านวงเวียนขนาดใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวขวาถึงศาลเจ้าที่ที่ตั้งอยู่กลางถนนและจอดรถตรงซ้ายมือ ไหนล่ะสะพานยาว ผมเห็นแค่สะพานสั้นๆข้ามคลองตรงโน้นเอง

“ไปจองโต๊ะกัน”

คุณอิศรินทร์ปลดเข็มขัดนิรภัยและลงจากรถ เรากำลังยืนอยู่หน้าร้าน วัฒน์ติ่มซำ ซึ่งมีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายเต็มไปหมด ร้านเป็นตึกแถวหลายคูหา มีตู้วางเข่งติ่มซำเรียงแน่นอยู่หน้าร้าน ถัดไปคือเตานึ่งขนาดใหญ่สามเตา พนักงานเกือบยี่สิบคน โต๊ะทำข้าวต้มอยู่ห้องแถวซ้ายสุดติดกับโต๊ะชงเครื่องดื่ม ส่วนที่เหลือคือโต๊ะไม้เนื้อแข็งสำหรับลูกค้าล้วนๆ ดูท่าทางคงอร่อยมากแน่ๆ เพราะขนาดเช้าวันนี้เป็นวันทำงาน คนยังแห่มากินจนเราแทบหาที่นั่งไม่เจอ

“เดินไปหยิบเลยก้อง อยากกินอะไรก็หยิบ เอามาเยอะๆ”

พี่อู๋บอกเมื่อทิ้งตัวนั่งจองโต๊ะที่อาเจ๊คนหนึ่งเพิ่งลุกออกจากร้าน กอริลลาก้องที่ไม่เคยเจอร้านขายอาหารแบบนี้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผมยืนอ๊อง งง ไม่เข้าใจว่าหยิบเลยคืออะไรจนต้องสังเกตลูกค้าในร้าน

อ๋อ --
พวกเขามีถาดในมือกันคนละใบ หลังจากนั้นก็หยิบเข่งติ่มซำในตู้แช่วางบนถาด บอกเถ้าแก่หน้าเตานึ่งว่าตัวเองนั่งตรงไหน และกลับมารอที่โต๊ะ แค่นั้น

ฟังดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเพราะผมไม่รู้จะหยิบอะไร

ตั้งแต่เกิดมา ผมเคยกินติ่มซำแค่สองสามครั้ง แถวบ้านไม่ค่อยมีร้านอาหารประเภทนี้ ส่วนมากเป็นตลาดสดหรือไม่ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ภาพติ่มซำในความทรงจำคือขนมจีบสามลูกโรยด้วยกระเทียมเจียว แต่สำหรับที่นี่ติ่มซำเป็นยิ่งกว่าบุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีหลายแบบหลายหน้า มีไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า ไข่นกกระทา ปลากะพงนึ่งขิง เต้าหู้ปลา ปูอัด บะหมี่หยก และซาลาเปาไส้ต่างๆมาครบ ผมได้แต่ยืนลังเล ไม่รู้จะเลือกอันไหน สุดท้ายหยิบมาแค่เห็ดหอมกับบล็อกโคลี่สองถ้วยส่งให้เถ้าแก่ที่กำลังนึ่งติ่มซำควันขโมงอยู่หน้าเตา

“โต๊ะไหนลูกบ่าว?”
“โต๊ะนั้นครับ”

ผมชี้แล้วกลับไปนั่ง พอได้โอกาสผลัดเวรกัน พี่อู๋ก็ลุกไปหยิบที่ตัวเองอยากกินบ้าง เท่าที่เห็น ผมไม่แน่ใจว่าเขากินหรือกวาด เพราะพี่อู๋หยิบแทบทุกถาดที่นิ้วเอื้อมถึง ผมเก้าแก้มยิกๆเมื่อเห็นผู้ปกครองเลือกเข่งติ่มซำเกือบยี่สิบใบ เผลอๆมากกว่านั้นอีก พอส่งถาดให้เถ้าแก่แล้วก็กลับมานั่งที่และบอกผมว่าไม่ต้องสั่งข้าวต้มนะ กินติ่มซำให้พุงแตกตายไปเลย

“พี่ซื้อเหมือนเรามากันสิบคน”
“ก็ใช่น่ะสิ ซื้อไปฝากป้าสร้อยด้วย”

เขาเรียกแม่ตัวเองว่าป้าสร้อยหน้าตาเฉย ถ้าเป็นแม่ผมนะ คงโดนดีดปากเพี๊ยะๆ โทษฐานลามปามผู้ใหญ่

ระหว่างรอติ่มซำมาเสิร์ฟ ผมกับพี่อู๋คุยเล่นกันหลายเรื่อง เขาบอกว่าวันนี้เราจะต้องเจอใครบ้าง ใครจะมาค้างบ้านเขา ลูกพี่ลูกน้องคนไหนแสบสุดในบรรดาสิบสามคน ผมฟังเรื่องส่วนตัวของคุณอิศรินทร์ฆ่าเวลาเพลินๆ หลังผ่านไปเจ็ดนาที ติ่มซำยี่สิบกว่าเข่งก็มาเสิร์ฟ และมหกรรมแดกจุก็เริ่มขึ้น

“นี่น้ำจิ้มนะ ชิมก่อนค่อยเท”

พี่อู๋ส่งขวดซอสมาให้ มันมีสองแบบ ขวดแรกเป็นซอสสีส้มใสๆเหมือนซอสพริก ขวดที่สองเป็นซอสน้ำจิ้มไก่ ผมไม่รู้ว่ากินกับอะไรถึงจะอร่อยเลยบีบใส่ถ้วยสองใบแล้วใช้ส้อมเล็กๆตักติ่มซำไข่เค็มเข้าปาก

“อร่อยไหม?”
“อร่อยครับ”

ผมยิ้มและชูนิ้วโป้ง ใต้ไข่เค็มคือหมูปั้นก้อนนุ่มๆเด้งดึ๋งเหมือนที่เคยกินในร้านชาบู ส่วนด้านบนเป็นท็อปปิ้งแตกต่างกันไป สิ่งที่ผมชอบที่สุดไม่ใช่ไข่เค็มมันๆบนหน้า แต่เป็นเนื้อหมูต่างหาก หมูที่อร่อยโดยไม่ต้องใส่เครื่องเทศมากมาย ไม่มีพริกไทย ไม่มีผักผสม ไม่มีกระเทียม นี่แหละ -- หมูในฝันแห่งสรวงสวรรค์ของผมและคุณอิศรินทร์เลย

ผมกับพี่อู๋ช่วยกันกินจนเกลี้ยง เกลี้ยงชนิดที่ว่าแม้แต่น้ำซุปก้นถ้วยยังยกซดอึกๆ มื้อแรกของกอริลลาปิดท้ายด้วยโอวัลตินเย็นหวานเจี๊ยบหนึ่งแก้ว และเราก็กลับบ้านกัน 





PART 2 ข้างล่างเลยจ้ะพี่   :katai3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 24-04-2019 22:57:20
21 PART2



พี่อู๋เอาอาหารเช้าถวายป้าสร้อยที่นั่งดูข่าวอยู่หน้าทีวีก่อนจะชวนผมไปหน้าบ้าน เขาบอกว่ามีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เท่าร้านติ่มซำและมีของให้เล่นเพียบเลย ซึ่งของเล่นที่ว่าน่ะ --

กระดานลื่นสำหรับเด็กสามถึงห้าขวบ แป้นชู้ตบาสที่สูงเท่าสะดือนายก้องเกียรติกระดานแม่เหล็กไว้แปะบัตรคำต่างๆ และกล่องใส่ของเล่นมากมายเต็มไปหมด

นี่คุณอิศรินทร์เห็นผมเป็นน้องอีกคนหรือไง ไม่คิดบ้างเหรอว่ากระดานลื่นอันนั้นเปราะง่ายขนาดไหน แค่ก้าวขาข้างเดียว พลาสติกบางๆนั่นก็แตกแล้ว ถ้าจะให้ผมเล่นต้องซื้ออันที่ใหญ่กว่านี้สิ อันที่เป็นเหล็กในสวนสาธารณะน่ะ แบบนั้นเลย ผมถึงจะสไลด์ลงมาได้

“อย่าโฟกัสของเล่นเด็กสิ นู่น ทีวี --”

พี่อู๋อวดโทรทัศน์จอใหญ่ที่สุดเท่าที่กอริลลาเคยเห็น มีโซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่วางห่างจากทีวีประมาณห้าเมตร ข้างๆเป็นรูปปั้นเทพเจ้าจีนวางเรียงรายในตู้ คุณอิศรินทร์บอกว่าจะทำอะไรก็ได้ในห้องนี้ จะกินขนมหก จะเลอะเทอะ หรือจะนอนขวางทางยังไงก็ได้ แต่อย่าให้ตุ๊กตาแก้วในตู้แตกล่ะ ไม่งั้นหัวนายก้องเกียรติได้แตกตามตุ๊กตาแน่

“เดี๋ยวสิบโมงคงทยอยกันมา อาจจะน่ารำคาญหน่อย ถ้าอึดอัดก็บอกนะ พี่จะพาไปอยู่ข้างบน”

ผมตอบแค่ครับ และพยายามไม่กังวล ถึงเราจะได้อยู่กันสองคนในห้องนั่งเล่นแต่ผมกลับไม่อุ่นใจเหมือนอยู่ลาดพร้าวเลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม เป็นที่แปลกประหลาด เป็นที่ที่นายก้องเกียรติไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีพี่อู๋ คุณอิศรินทร์คงรับรู้ถึงความกังวลของเด็กชอบเก็บตัวอย่างกอริลลาก้องจึงคอยพูดปลอบตลอดว่าไม่เป็นไร ลูกพี่ลูกน้องของเขาซนก็จริงแต่มีมารยาทนะ ถ้าผมเกลียดเด็ก ไม่อยากเล่นกับเด็กเขาก็ไม่ว่า เขาจะพาผมไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์ในห้องนอนแทน

นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบห้านาที

ผมนอนกัดเล็บดูทีวีกับผู้ปกครอง ซักพักเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของเด็กก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้า มากันแล้ว พี่อู๋พูดยิ้มๆ เขาหันไปทางประตูเลื่อนก่อนจะกางแขนกว้างรับเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดขวบเข้ามากอดแน่น

“โกอู๋หวัดดีค่ะ” เธอเหลือบมองผมและเริ่มทำตัวล่อกแล่ก “นี่ใครอ่ะ?”
“เพื่อนโกเอง ชื่อก้อง ต่อไปเหมยต้องเรียกเขาว่าโกก้องนะรู้ไหม”
“หวัดดีค่ะโกก้อง” เด็กหญิงเหมยยกมือไหว้ตามมารยาท “ปีนี้โกพีไม่มาเหรอ?”

พี่อู๋ดูลำบากใจเมื่อ โกพี กลายเป็นหัวข้อสนทนา ผมเองก็อึดอัดไม่รู้จะพูดอะไร เดาเอาว่าหลานสาวของเขาคงรู้แหละว่าคุณหมูพีสำคัญกับคุณอิศรินทร์มากขนาดไหน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว

“โกพีติดธุระเลยมาไม่ได้อ่ะ”
“หนูโทรหาโกพีได้ไหม?”

ผมล่ะลำบากใจแทนเขาจริงๆ

“โทรได้สิ แต่เหมยต้องใช้โทรศัพท์ตัวเองโทรนะ”

เด็กหญิงเหมยเข้าใจง่ายกว่าที่คิด เธอถามถึงของฝากนิดหน่อยก่อนจะวิ่งไปเล่นของเล่นหลังห้องโดยมีเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันสามคน สวมแว่นสายตาสี่แหลี่ยมทรงคล้ายๆกัน ก้มหน้ากดพีเอสพีเดินเรียงแถวเข้ามาในห้อง พวกเขาทักทายคุณอิศรินทร์ว่า

“โกอู๋หวัดดีครับ”

แล้วแยกย้ายกันไปนั่งคนละมุมของโซฟา ไม่มีใครสนใจนายก้องเกียรติที่นั่งข้างพี่อู๋เลยซักคน

“แฝดเหรอครับ?” ผมถาม แต่ดูจากวัยที่ค่อนข้างต่างกันพอสมควร ผมว่าไม่น่าใช่แฝด
“พี่น้องน่ะ ไม่ได้มีแค่หน้านะที่ถอดแบบมา สมองมันก็ก็อปปี้ส่วนดีๆจากพ่อกับแม่มาทั้งนั้น”

พี่อู๋พูดด้วยความภูมิใจ เขาชี้นิ้วแนะนำน้องชายให้นายน้องเกียรติรู้จักทีละคน คนแรกที่ผมยาวกว่าใครชื่อสมาร์ท อายุสิบแปดเท่านายก้องเกียรติและเพิ่งสอบเข้าวิศวะลาดกระบังได้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผมพูดว่าหวัดดีสมาร์ท เขาตอบกลับมาว่าหวัดดีโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลย

คนถัดมาที่ตัดรองทรงชื่อสไปก์ ไอ้นี่หัวดีที่สุดในบรรดาสามคน ตอนนี้เรียนเตรียมอุดม แม่หวังให้เป็นหมอแต่มันดันบอกว่าไม่เรียน อนาคตใฝ่ฝันอยากเป็นเศรษฐี อยากทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รวยและไม่เหนื่อย แม่มันเลยประชดให้ไปขายยา ขายยาในความหมายของแม่คือยาบ้า แต่ไอ้สไปก์ตีความผิดว่าขายยาแบบเภสัชกร มันเลยได้เป้าใหม่ อยากยืนตากแอร์เย็นๆในร้านขายยาของตัวเอง

“เออ ตลกดีว่ะ”
“มีตลกกว่านี้อีกนะ”

พี่อู๋พูดแล้วชี้ไปที่เด็กชายอายุน้อยสุด ผมเดาเอาว่าน่าจะเพิ่งขึ้นมัธยม ดูทางทรงผมที่เกรียนติดหนังหัวแล้วต้องเป็นเด็กมัธยมแน่ๆ ทรงที่ตบหัวแล้วดังแป๊ะๆนั่นแหละ ช่วงวัยเด็กอันน่าจดจำสำหรับนายก้องเกียรติเลย

“นี่สากล --”
“สากล?” ผมทวนชื่อหลานชายของเขาอีกครั้ง “สมาร์ท สไปก์ กับสากลเหรอครับ?”
“เออ มันเกิดมาได้เพราะพ่อกับแม่พากันไปเที่ยวสกลนคร แล้วก็จนปัญญากับการตั้งชื่อให้เข้ากับพี่ๆมาก สมาร์ท สไปก์ สไบ สบง สบาย สบี่ สบอย สะดม สะดึง สระไดร์ โอ๊ย -- คิดยาวไปจนถึงเสือกอ่ะ”
“ใครมันจะตั้งชื่อลูกว่าเสือกวะพี่?”
“เพราะแบบนั้นไงมันถึงชื่อสากล จะเรียกสกลตามชื่อจังหวัดก็ฟังดูขัดกับพี่ๆไปนิด งั้นชื่อสากลไปเลย สากล สากล สากล เวลาโมโหก็เรียกมันไอ้สกล!”
“ได้ยินนะโกอู๋” สากลถลึงตามอง
“เล่นแต่เกมจริงๆไอ้ทีมสอเสือใส่เกือก”
“ก็มันไม่มีอะไรให้ทำอ่ะ” สไปก์บ่น “ละนี่โกพีไม่มาเหรอ?”

คุณหมูพีอีกแล้ว --

“ไม่มา”
“ดีมาก”
“ทำไม?”
“รำคาญโกพี ชอบถามเรื่องเกรด” สมาร์ท พี่คนโตโพล่งแทนน้องชายอีกสองคนที่นั่งกดเกมกันคนละฟาก “แล้วนี่ใครเหรอครับ?”
“รุ่นน้องพี่ ชื่อก้อง รุ่นเดียวกับสมาร์ทนั่นแหละ”
“รุ่นน้องอะไรเด็กกว่าเป็นสิบปี”
“ไม่งั้นเขาจะเรียกว่ารุ่นน้องเหรอไอ้สามารถ?”

พี่อู๋ถามย้อน เด็กลาดกระบังยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆทยอยตามมา เสียงห้องนั่งเล่นเริ่มเจี๊ยวจ๊าวเพราะมีเด็กเล็กมาด้วย กอริลลาก้องที่เป็นแขกไม่สามารถจำชื่อญาติทั้งหมดของพี่อู๋ได้จริงๆ ผมจึงแสร้งทำเป็นดูทีวีข้างพี่อู๋ พยายามทำตัวให้ชิลที่สุดทั้งๆที่เริ่มอึดอัดนิดหน่อยเพราะพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับผมเลย พวกแกเอาแต่ถามหาโกพีที่อยู่ไหนก็ไม่รู้

“เด็กๆกินข้าวกัน”

นาฬิกาบอกเวลาว่าเทียงเจ็ดนาที เสียงป้าอ้อยเรียกให้ทุกคนทิ้งของเล่นในมือแล้วปรี่ไปทางห้องทานข้าว มีแค่สามทหารเสือเท่านั้นที่ยังนั่งก้มหน้าก้มตากดเกมไม่เลิกจนแม่ของพวกเขาต้องมาตาม

“ไป! กิน! ข้าว!”

เธอโยกหัวลูกชายทีละคนเบาๆก่อนจะหันมายิ้มแหยให้กอริลลาแปลกหน้า เด็กสองคนบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมวางพีเอสพีลงบนโต๊ะ มีแค่สมาร์ทเท่านั้นที่ยังเล่นอยู่ และแม่ของเขาก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย

“สมาร์ท กินข้าว”

พี่อู๋ชวนเมื่อเหลือแค่เราสามคนในห้องนั่งเล่นใหญ่ สมาร์ทที่ตอนแรกยังเป็นเด็กติดเกมกลับเงยหน้าขึ้นแล้วถามพี่อู๋ว่าเลิกกับโกพีแล้วเหรอ ผมถึงกับอึ้งเพราะหลานของคุณอิศรินทร์นี่ฉลาดเป็นกรดจริงๆ

“เออ เลิกละ”
“ก้องคือแฟนใหม่ใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่” ผมแย้ง “เราเป็นรุ่นน้องพี่อู๋จริงๆ”
“โม้เหอะ พี่อู๋ทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่น่าจะมีรุ่นน้องอายุเท่าเรานะ”

สมาร์ทขยับแว่นเหมือนโคนัน นี่ผมต้องระวังตัวไหมว่าจะมีคดีฆาตกรรมหรือมีใครตายหรือเปล่า

“คนใหม่อ่ะดิ” สมาร์ทตอกย้ำทฤษฎีของตัวเอง ส่วนกอริลลาก้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้างั้นเป็นอะไรกับโกอู๋อ่ะ? ปกติโกไม่พาใครเข้าบ้านนะ”
“เป็นรุ่นน้อง”
“รุ่นน้องที่อายุสิบแปด?”
“ใช่” ผมพยักหน้า “แค่แวะมาเที่ยวบ้านพี่อู๋เฉยๆ”
“แล้วบ้านก้องอยู่ไหนเหรอ?”

ผมมึนตึบพักนึงเพราะนึกไม่ออกว่าบ้านอยู่ตรงไหนกันแน่ ตกลงนายก้องเกียรติอยู่จรัญสนิทวงศ์หรือลาดพร้าว ผมไม่รู้ว่าควรตอบสมาร์ทยังไง

“พาแฟนใหม่มาก็ยอมรับดิโก ยากตรงไหน?”
“ก็ยังไม่ใช่แฟนไง” พี่อู๋ขมวดคิ้วพลางโบกมือไล่สมาร์ทให้ไปกินข้าว “ถามอะไรมากวะไอ้สามารถ ไปกินข้าวไป เดี๋ยวพ่อมึงร่อนจานมาโขกหัวหรอก”

สมาร์ทยอมวางเกมแล้วเดินนำเราสองคนไปที่ห้องทานข้าว มันเป็นห้องขนาดใหญ่สีขาวที่มีเพียงแค่โต๊ะกับเก้าอี้ทำจากไม้เนื้อแข็ง ในห้องมีผู้ใหญ่ยืนคุยเสียงดังกันเต็มไปหมด กอริลลาก้องปรากฏตัวขึ้นโดยยกมือไหว้ทุกคน จากนั้นพี่อู๋ก็แนะนำว่านี่ก้องเกียรตินะ จบ ไม่มีการอธิบายว่าผมคือใคร เก็บมาจากไหน เรื่องราวเป็นยังไง ครอบครัวของเขารับรู้แค่ว่าผมชื่อก้องเกียรติเท่านั้น

“นี่เหรอก้อง?”

ผู้ชายดูคุ้นหน้าคุ้นตาถาม ผมยกไหว้เขาอีกครั้ง รู้ในทันทีว่าผู้ใหญ่คนนี้คือป๊าของพี่อู๋ที่เคยเห็นในรูปถ่ายครอบครัว

“นั่งเลยก้อง กินขนมจีนเป็นไหม?”
“เป็นครับ”
“ดีๆ กินเยอะๆ ป๊าสั่งขนมจีนมาสิบโล กินให้หมดอย่าเหลือนะ”

ตั้งสิบกิโล

ผมอึ้ง แต่นั่นแหละ ครอบครัวพี่อู๋เป็นครอบครัวใหญ่ นับรวมๆแล้วในห้องนี้มีคนทานข้าวอยู่ประมาณยี่สิบสามคน และทุกคนกินจุเหมือนซ้อมออกรายการทีวีแชมป์เปี้ยนตอนนักแดกแหลก พวกเด็กๆตักขนมจีนใส่จานตัวเองแล้วเหยาะน้ำปลา ส่วนคนที่โตหน่อยจะกินกับน้ำแกง มีแกงอะไรบ้างผมไม่รู้ ผมก็เหยาะน้ำปลาเหมือนกัน

“ก้องไม่กินเผ็ดเหรอ?”

ผมส่ายหน้า ตอบไปว่าจริงๆแล้วกินได้แต่ไม่รู้จะเลือกกินกับน้ำแกงไหนดี คุณน้าท่าทางใจดีคนหนึ่งแนะนำให้ผมรู้จักทีละถ้วย นี่แกงไตปลา นี่แกงน้ำพริก สีแดงอมส้มดูเหมือนเผ็ดแต่ไม่เผ็ดซักนิด ส่วนทางนี้คือแกงเขียวหวาน แกงปู น้ำยากะทิ จะกินผสมกันอย่างละช้อนก็ได้ หรือราดอย่างเดียวก็ได้ หรือจะเหยาะน้ำปลาเหมือนพวกเด็กๆก็ได้ นายก้องเกียรติเลือกได้เลย เลือกที่ชอบ ที่อยากทาน

นอกจากขนมจีนแล้วยังมีเครื่องเคียงอีกหลายอย่าง ไข่ยางมะตูมวางอัดแน่นบนถาด มีกุ้งทอด มีสารพัดผักวางเรียงเป็นตับ กอริลลาก้องที่ไม่ชินกับขนมจีนจึงเลือกเหยาะแค่น้ำปลา กินไข่ยางมะตูมครึ่งซีก กับกุ้งทอดแค่หนึ่งแผ่นเท่านั้น

บรรยากาศตอนทานอาหารไม่ได้เคร่งเครียดหรือเคร่งมารยาทอย่างที่ผมกลัวเลย ผู้ใหญ่บางคนยืนกิน บางคนเคี้ยวผักมูมมาม บางคนซดน้ำแกงเสียงดัง พวกเขาพูดคุยหัวเราะเป็นภาษาใต้ด้วยความสนุกสนาน แม้แต่แนที่เคยน่ากลัวก็กลายเป็นธนาคารให้หลานๆไถตังโดยมีหัวโจกคือสไปก์ ไอ้นี่มันร้ายจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า แค่คุยกับแนไม่ถึงสิบวินาที มันได้เงินห้าร้อยบาทไปซื้อโค้กลิตรแล้ว

“เอาอะไรเปล่าโกก้อง?”

สไปก์ถามโดยมีเด็กๆวิ่งตามหลังไปเป็นพรวน ผมส่ายหน้า บอกไม่เอาก่อนจะช่วยป้าอ้อยเก็บจานชามไปล้าง ห้องทานอาหารยังคงมีเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ มีทั้งอวดผลการเรียนลูกตัวเอง ทั้งด่าความดื้อความซนความแก่แดดของลูกให้ญาติคนอื่นๆฟัง ป๊ากับแม่พี่อู๋จะค่อนข้างเงียบกว่าใครเพราะลูกโตหมดแล้ว คนนึงเป็นหมอ คนนึงเป็นล่าม อีกคน -- ฆ่าตัวตาย

เจ๊ออมนั่งกินขนมจีนเงียบๆไม่พูดไม่จา เธอยิ้มเมื่อผมยกมือไหว้เป็นหนที่สองแล้วถามพี่อู๋ว่า คนนี้เหรอ? ผู้ปกครองกอริลลาพยักหน้าและตอบว่า

“คนนี้แหละ”

แต่ผมไม่รู้ว่า คนนี้แหละ ของพวกเขาสามารถตีความได้ในแง่ไหนบ้าง






นายก้องเกียรติอยู่ในครัวช่วยป้าอ้อยล้างจานจนพวกเด็กๆกลับมา สไปก์ซื้อโค้กลิตรมาสามขวด ที่เหลือเป็นขนมถุงไร้สาระของโปรดเด็กวัยกำลังโต เสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจดังขึ้นทันทีเพราะแก้วน้ำไม่พอสำหรับรินโคล่าให้ทุกคน ดังนั้นพวกพี่คนโตจึงสละสิทธิ์ เจ๊ออม พี่อู๋ และนายก้องเกียรติไม่กินโคล่าของน้องๆก็ได้

“ทำไมต้องใช้แก้วอ่ะ ใช้ปากก็ได้ป้ะ?”

สากลพูดแล้วกระดกขวดโคล่าทันที เด็กคนอื่นๆตำหนิการกินที่ไร้มารยาทและไม่มีสมบัติผู้ดีเอามากๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต่อแถวรอคิดยกขวดโค้กซดตามสากล

“หม่าม้าบอกว่ายังไงคะเรื่องกินน้ำกับคนอื่น?” น้องชายคนหนึ่งโดนคุณแม่ดึงเสื้อไม่ให้เข้าไปร่วมวง “อย่ากินน้ำต่อจากปากใคร หม่าม้าสอนหนูแล้วไงครับ”

ดูๆไปก็อบอุ่นดี

บ้านหลังใหญ่ ครอบครัวใหญ่ พี่น้องที่วิ่งวุ่นทั่วทั้งบ้าน บทสนทนาตามประสาคุณพ่อคุณแม่และญาติๆกับอาหารมื้อใหญ่ บรรยากาศครอบครัวในฝันทำให้กอริลลาก้องอิจฉาจนพาลไปถึงเอม ครอบครัวของเขาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ญาติพี่น้องมีสตางค์ หน้าที่การงานดี ใจดีขนาดนี้ ไม่รู้จะฆ่าตัวตายให้พ่อแม่ช้ำใจทำไม

ผมล้างจานเสร็จเรียบร้อย แต่ผู้ใหญ่ยังคงคุยกันอยู่ เจ๊ออมปลีกตัวขึ้นไปให้นมลูกเงียบๆบนชั้นสาม ส่วนญาติๆคนอื่นและพี่อู๋หน้าดำคร่ำเครียดคุยอะไรบางอย่าง ผมเห็นผู้ปกครองเท้าคางด้วยสีหน้าตึงๆ ดูกดดันเหมือนเจอทางตัน ดูอึดอัดเหมือนโดนใครบีบคอ ผมได้แต่มองพี่อู๋ผ่านบานกระจกนานหลายนาทีจนสมาร์ททิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมถึงละสายตาจากผู้ปกครอง

“ชอบเล่นเกมมากเลยเหรอ?”
“อืม” เขาขานตอบแบบขอไปที “มีใครไม่ชอบเล่นเกมบ้าง อยากลองเล่นป้ะ?”
“ไม่เป็นไร เรานั่งดูทีวีก็ได้ เพลินดี”

แล้วผมก็เงียบ สมาร์ทก็เงียบ มีแค่เสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กคนอื่นๆและเสียงของเล่นกระทบกันเท่านั้นที่ดังในห้อง สามทหารเสือนั่งเล่นเกมกันคนละมุมเหมือนเดิม สมาร์ทนั่งข้างผม สไปก์นอนหนุนหมอนเล่นบนพื้น ส่วนสากลนั่งขวางทางกระดานลื่น ไม่ยอมให้น้องคนเล็กปีนขึ้นจนเกิดศึกน้ำตานองหน้า

“ไอ้สกล มึงอย่าไปเล่นตรงนั้นดิวะ! น้องร้องแล้วเนี่ย!”

สมาร์ทตะโกนตำหนิน้องชายโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลยด้วยซ้ำ ผมเหล่มองสากลที่ค่อยๆกระถดตัวหลบให้น้องเล็กขึ้นไปเล่นกระดานลื่น ไม่เถียงกลับ ไม่กวนเท้า ไม่แกล้ง ไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากเล่นเกม เออ ไอ้สามทหารเสือมันบ้าเกมจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า

“อยากรู้ไหมว่าพวกผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไร?”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ทั้งๆที่จาจ้องจอในมือแท้ๆ แต่สมาร์ทก็ยังรู้ว่าผมให้คำตอบเขาว่ายังไง

“เขาคุยกันเรื่องใครจะเป็นฝ่ายฆ่าก๋ง”
“จริงดิ?”
“จริง”
“พี่อู๋เคยบอกว่าเขาต้องเป็นคนถอดปลั๊กเครื่องช่วยหายใจ” ผมเล่าให้สมาร์ทฟัง เดาจากท่าทางก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขารู้อยู่แล้ว “ทำไมต้องเป็นพี่อู๋อ่ะ?”
“เพราะตอนนั้นโกติสท์แตกไปหน่อย พวกเด็กอาร์ตก็แบบนี้แหละ”
“ยังไง?”
“เข้าใจมนุษย์ แต่มนุษย์แม่งไม่เข้าใจพวกมัน”

ผมหัวเราะ บางทีก็จริงอย่างที่สมาร์ทว่า พี่อู๋ดูเข้าอกเข้าใจไปซะทุกเรื่อง เขาคือตัวขวางโลกท่ามกลางสังคมที่ยึดถือศีลธรรมจอมปลอม เขาคือผู้ชายที่สนับสนุนให้ทำแท้งเสรีมากพอๆกับส่งเสริมให้มีพรบ.คู่ชีวิต ผมขอเดา -- อีกครั้ง ว่าพี่อู๋น่าจะเป็นคนบอกให้ปล่อยก๋งไป แต่คนอื่นไม่ยอม อาจจะมีเรื่องบาปบุญและความกตัญญูเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อเถอะว่าผู้ปกครองของผมเขาไม่สนใจหรอก เขาหัวสมัยใหม่และคิดไกลกว่านั้น ไม่แน่เขาคงหลุดปากประชดประชัน บอกว่าถ้าไม่มีใครกล้าถอดเดี๋ยวอู๋ถอดเองก็ได้ หลังจากนั้นญาติพร้อมใจมัดมือให้เขาเป็นคนถอด ไหนๆก็ปากดีแล้ว ช่วยทำเหมือนที่พูดด้วย -- ผมแค่เดานะ

“พวกผู้ใหญ่เชื่อว่าการถอดปลั๊กคือการฆ่าก๋ง”
“แล้วปล่อยให้ก๋งนอนทรมานแบบนี้ไม่แย่กว่าเหรอ?”
“นั่นดิ” สมาร์ทเห็นด้วย “เถียงกันมาตั้งแต่ต้นปี เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ”
“สมาร์ทพูดเหมือนอยากให้ก๋งตาย”
“ใช่ ตายเถอะ บางครั้งตายก็ดีกว่าอยู่นะ”

เราเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มใหม่

“เรียนมอไหนอ่ะ?”
“ยังไม่มีที่เรียน”
“จริงจัง?” สมาร์ละสายตาจากพีเอสพีแค่สองวิแล้วกลับไปให้ความสำคัญต่อ “ทำไมไม่เรียนต่ออ่ะ ขี้เกียจเหรอ?”

ผมไม่รู้จะบอกสมาร์ทยังไงก็เลยเล่าคร่าวๆแค่ว่าผมขาดคะแนนโอเน็ตจึงยื่นเข้ามหาลัยไหนไม่ได้ สมาร์ทขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่านายก้องเกียรติขาดสอบ

“ขาดได้ไง? วันสำคัญนะ”
“อื้อ” ผมเม้มปาก “วันสำคัญสำหรับเราเหมือนกัน”

แล้วก็เงียบอีก คลื่นความเงียบพัดมาเป็นระลอกเหมือนคลื่นในทะเล บางทีสมาร์ทก็ชวนผมคุย บางทีก็ด่าตัวละครในเกม มีบ้างที่หันไปด่าน้องชายสองคนแต่ส่วนใหญ่เขาจมอยู่ในโลกของเกมมากกว่า นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบเจ็ดนาที สมาร์ทถามผมถึงอนาคตที่เลิกฝันไปนานแล้ว

“อยากเรียนต่อไหม?”
“ยังไม่ได้คิดเลย”
“การศึกษาสำคัญนะ” เขาย้ำด้วยท่าทีจริงจัง “ใบปริญญาสำคัญมาก”
“ก็ -- ไม่รู้จะทำยังไงนี่”
“ยื่นสอบโอเน็ตรอบพิเศษสิ”
“ไม่อยากอ่านหนังสือใหม่แล้ว เราห่างจากการเรียนมานานเกินไป”
“อยู่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ? โรงเรียนกวดวิชาเยอะแยะ ไปสมัครสิ”
“บอกแล้วไงว่าไม่มีเงิน”

ผมถอนหายใจ สมาร์ทนี่ยังไงวะ บอกตั้งแต่แรกว่าไม่มีเงินๆ ยังจะผลักกอริลลาก้องกลับเข้าสู่ระบอบการศึกษาให้ได้ จู่ๆเด็กลาดกระบังผู้มีใจรักในเกมเงยหน้าขึ้น เขามองมาทางผมด้วยแววตาประหลาดราวกับผมทำเรื่องโง่ๆออกไป ผมมองหน้าสมาร์ท เราจ้องตากัน ก่อนที่ดวงตาสองชั้นคู่นั้นจะกลับไปมองจอต่อหลังพูดประโยคหนึ่ง

“บอกโกอู๋สิ”

สมาร์ทแนะนำด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังมากๆ

“โกอู๋น่ะ -- เป็นยิ่งกว่ากยศ.ซะอีก รู้หรือเปล่า”


TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


หายไปนานเช่นเคย อย่าเพิ่งลืมกันเลยนะคะ  :hao5:



หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: Dyckia ที่ 24-04-2019 23:06:14
อ่านแล้วคิดถึงบ้านจัง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-04-2019 00:32:51
ถ้าน้องบอกว่าจะเรียนคำเดียว พี่อู๋มีให้กู้ทั้งชีวิต !!
เห็นสมาร์ทแล้วอยากให้น้องก้องมีเพื่อนวัยเดียวกันบ้าง ไม่อยากให้น้องมีแค่พี่อู๋ในโลกเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 25-04-2019 00:45:09
หิวขนมจีนขึ้นมาเลยค่ะ
ดีจังที่ก้องได้เจอสมาร์ท ได้คุยกับคนรุ่นเดียวกันบ้างเนอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-04-2019 00:58:59
 o13

 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 25-04-2019 13:33:19
แสดงว่าพี่อู๋รวยมากๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-04-2019 22:20:11
ไอ้คำว่า ยังงไม่ใช่แฟนไง นี่คืออะไรเหรอพี่อู๋ แอบคิดอะไรกับกอริลล่าก้องแล้วใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 25-04-2019 22:40:51
อู๋คือมายไอดอล ตกงานสี่เดือนแต่ไม่สะเทือนความเป็นอยู่เลย
เธอมีเงินเก็บขนาดไหนอ่ะ
น้องก้อง.. กอดพี่เค้าแน่นๆลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 25-04-2019 22:43:06
เด็กๆเจี๊ยวจ๊าวเต็มบ้านเหมือนจะวุ่นๆแต่ก็ดูอบอุ่นนะ
ว่าแต่ ยังไม่ใช่แฟน คือไรคะพี่อู๋  :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-04-2019 23:25:59
ชอบบ้านนี้จริง วุ่นวายและมีชีวิตชีวา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 26-04-2019 04:48:21
โกอู๋อู้ฟู้วววว อ่านเท่าไหร่ก็ไม่พอ อยากได้เล่มล้าวววค่า ชอบการบรรยาย นึกภาพตามได้ นี่อยากกินติมซำเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-04-2019 11:12:14
อยากรู้วิธีเก็บเงินของพี่อู๋มากๆ เก็บยังไงเงินเยอะแยะ ยิ่งกว่า กยศ ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 26-04-2019 15:51:36
ยังไม่ใช่แฟนนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 28-04-2019 22:37:33
ยังไม่ใช่แฟน เอ๊ะ สรุปว่าแกคิดไม่ซื่อจริงๆ สินะนายอู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: Bernini ที่ 29-04-2019 21:28:43

อ้าวพี่อู๋ ตกลงคิดไม่ซื่อจริงๆด้วย!!! แล้วยังไงเรื่องอาการป่วย จะทำไงต่อล่ะคะ

เรื่องนี้เขียนมิติตัวละครได้ดีมากค่ะ การดำเนินเรื่องก็ดี ทุกคนมีพัฒนาการหมด ค่อยๆทำให้คนอ่านรู้จักตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้จะเล่าผ่านแค่มุมมองของก้องก็สามารถรับรู้บรรยกาศของเรื่องได้ รอติดตามนะคะ

แล้วติดใจมากค่ะ ทำไมต้องพีกรีดข้อมือถึงทิ้งก้องไว้ เป็นอย่างที่ก้องคิดใช้ไหมว่าไม่สำคัญ มันติดใจเราะในสถานการณ์นั้นอู๋ไม่ได้นึกถึงก้องเลย แล้วทำท่าเหมือนจะบอกว่าชอบก้อง แต่ตัวเองให้ความรู้สึกกับก้องแค่ไหน ทั้งๆที่ก็เห็นว่าพียังสำคัญ

ถ้าก้องตกลงคบกับอู๋ง่ายๆจะไม่แฟร์เลยค่ะ หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 30-04-2019 12:05:30
ตอนนี้สามารถคือตัวเอกเลย โกอู๋เป็นยิ่งกว่ากยศนี่ดูจะเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย เป็นทุกอย่างที่กอลิล่าก้องต้องการ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 21 update!] 24/4/19
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 30-04-2019 22:35:32
รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวพี่อู๋แหะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-05-2019 23:00:02
22 [PART1]

พี่อู๋รวย ผมรู้ ครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะ ผมรู้ แต่การเอ่ยปากยืมเงินเขาเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

ผมอยู่ภาคใต้มาสองวันแล้ว เป็นการอยู่บ้านที่ไม่ต่างจากอยู่ลาดพร้าวเพราะสุดท้ายเราก็ตัวติดกันแค่สองคนอยู่ดี ญาติคนอื่นๆกระจัดกระจายไปตามห้องต่างๆ คุณแม่นั่งร้อยลูกปัดเป็นของขวัญปีใหม่ในห้องนั่งเล่น ปะป๊านอนดูรายการข่าวจนหมดวัน ป้าอ้อยทำงานบ้านซ้ำๆซากๆ แกขยันทำความสะอาดมากกว่าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวยกนั่นยกนี่ เดี๋ยวซักผ้า ซักเครื่องนอนให้คนในบ้าน

ส่วนแน --

ถ้าไม่ถึงมื้ออาหาร แนแทบจะไม่ลงมาข้างล่างเลย

ด้วยอายุและน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเยอะ ผมเข้าใจว่าการขึ้นลงบันไดสามชั้นคงเป็นเรื่องลำบาก ถ้าไม่มีเสียงร้องของลูกเจ๊ออมดังมาจากห้องข้างๆ ผมคงคิดว่าเราอยู่โรงแรมเพราะมีคนเดินเต็มบ้านแต่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พวกเขาต่างมีธุระส่วนตัวที่ต้องทำ เล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง คุยโทรศัพท์บ้าง ทำงานจากแล็ปท็อปบ้าง แม้แต่พี่อู๋กับนายก้องเกียรติยังหากิจกรรมที่ตัวเองอยากทำแทนที่จะไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเลย

“พ่อแม่พวกมันก็มา ไม่ต้องสนใจหรอก คงอยู่กันได้แหละ” พี่อู๋นอนบิดขี้เกียจบนเตียงหลังสวาปามมื้อเช้าชุดใหญ่ที่ป้าอ้อยเตรียมให้ “วันก่อนคุยกับสมาร์ทเยอะเลยนี่”
“ครับ”
“คุยเรื่องอะไรบ้างเหรอ?”
“ก็ทั่วๆไป” ผมเลี่ยงการพูดถึงกยศ. “สมาร์ทให้ผมดูพีเอสพีด้วย”
“พี่ซื้อให้ เอาหรือเปล่าล่ะ?”

ผมส่ายหน้า พอได้คำตอบเป็นการปฏิเสธ พี่อู๋ยิ้มดีใจใหญ่เลย คิดว่าผมจะขอล่ะสิ ไม่มีทางหรอก ของฟุ่มเฟือยแบบนั้นถ้าไม่มีเงินเก็บเองผมไม่เล่นดีกว่า

“ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้ก้องติดเกมเหมือนพวกไอ้พวกสอเสือ”
“สามเสือติดเกมตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ?” ผมถาม นึกสงสัยจริงๆว่าติดเกมขนาดนี้ทำไมถึงเรียนได้ดิบได้ดีทุกคน
“เด็กมันหัวดีอ่ะ ยิ่งพ่อแม่สนับสนุนเต็มที่อีกก็ยิ่งไปไกล”

นั่นคือความจริง และเป็นความจริงที่น่าเจ็บใจชะมัด ต่อให้เรียนเก่งขนาดไหน ถ้าไม่มีคนสนับสนุนก็ไปได้ไม่ไกลหรอก ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว เด็กบางคนอยากเรียนต่อแต่ที่บ้านส่งไม่ไหวก็ต้องยอมรับทุนคณะที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อให้ได้ปริญญา ถ้าเด็กเก่งๆพวกนั้นมีทุนเหมือนสามทหารเสือนะ ป่านนี้คงเป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนายพลนายกไปแล้วก็ได้

“คุยอะไรกับสมาร์ทอีกบ้าง?”
“ไม่ค่อยคุยเยอะ ผมไม่รู้จะพูดอะไร”
“เหรอ?” พี่อู๋ทำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “พี่เห็นก้องคุยกับมันตั้งนาน ก็เลยงงว่ามีเรื่องอะไรให้คุย”
“เราคุยกันเรื่องก๋งด้วย”
“เหรอ?”
“ครับ”

ผมตอบแค่นั้น ปิดบทสนทนา กอริลลาก้องขอเชิญคุณก๋งออกจากห้องก่อนที่ผู้ปกครองของผมจะเศร้าอีกนะครับ





วันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม

บ้านพี่อู๋มีธรรมเนียมกินอาหารทะเลด้วยกันในวันสิ้นปี และปีนี้คือปีแรกที่นายก้องเกียรติได้นั่งร่วมโต๊ะฉลองปีใหม่กับคนแปลกหน้า พวกเขาแยกย้ายกันขับรถออกนอกตัวเมือง ผ่านสองข้างทางที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งนาโล่งๆกับวัว

อ้อ -- ผ่านทัชมาฮาลสีทองหลังใหญ่ด้วย
แต่พี่อู๋บอกว่านั่นไม่ใช่ทัชมาฮาล นั่นคือมัสยิด เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของคนมุสลิมต่างหาก

“ใหญ่เหมือนวังเลยครับ”

ผมยังเหลียวหลังมองแม้ว่ารถจะขับผ่านมาไกลแล้ว ขับได้อีกซักระยะผมก็เจอมัสยิดอีก พี่อู๋บอกว่าแถวนี้เป็นชุมชนมุสลิม ที่ใส่หมวกกับสวมชุดคลุมยาวๆก็คือชาวมุสลิมทั้งนั้น ผมถามผู้ปกครองว่าคนที่นี่เขาไม่ตีกันเหมือนข่าวในทีวีเหรอ พี่อู๋หัวเราะใหญ่

“อยู่กันได้ปกตินะ คนไม่ดีก็คือคนไม่ดีอ่ะ นับถือศาสนาอะไรไม่น่าจะเกี่ยว เพราะขนาดพี่เป็นคริสเตียน พี่ยังเป็นคนเหี้ยได้เลย”
“ผมคิดว่าพี่เป็นพุทธ เมื่อวันเกิดพี่เพิ่งพาผมไปตักบาตรเองนะ”
“ก้องตักไง พี่ไม่ได้ตัก”
“แต่ผมเห็นพี่นั่งพนมมือในงานศพนักการเมืองด้วย”
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวเตรียมกลับรถ “ก้องก็เหมือนกัน มาอยู่ครอบครัวพี่ ต้องทำตัวให้เนียนนะรู้ไหม”
“เนียนยังไงครับ?”
“กินให้เยอะ เล่นให้เยอะ” เขาบอก “แล้วก็ต้องยิ้มเยอะๆด้วยนะ ยิ้มตลอดเวลาเหมือนเพิ่งพี้กัญชายิ่งดี”

ผมหัวเราะแล้วด่าพี่อู๋ว่าบ้า กัญชาไม่ได้หาง่ายๆเสียหน่อย พอกลับรถ เราก็เลี้ยวเข้าถนนแคบๆทางซ้ายมือ สองข้างทางไม่มีอะไรเลยนอกจากป่ามะพร้าวกับรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน ขับตรงไปอีกนิดก็ถึงร้านอาหารที่มีรอจอดไม่เป็นระเบียบ แทรกตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มั่วไปหมด พี่อู๋บอกว่าที่จอดแบบนี้เพราะหลบต้นมะพร้าว ไม่งั้นรถบุบ ต้องเสียค่าเคาะทำสีใหม่กันหลายพันแน่ๆ

“ถึงแล้ว ไปกินข้าวกัน”

ผมมองผ่านหน้าต่างรถเห็นกระท่อมหลังคามุงจากวางเรียงเป็นแถว มีอาคารหลังใหญ่หนึ่งหลัง เป็นอาคารสี่เหลี่ยมหลังคาหน้าจั่วธรรมดาๆที่เปิดโล่งสามด้านให้ลมโกรก ข้างในมีเด็กเสิร์ฟใส่ชุดโปโลสีเหลืองเดินกันให้ทั่ว พวกเขากำลังง่วนกับการจัดสถานที่ ร้านอาหารช่วงปีใหม่นี่คึกคักดีจริงๆ

“ก้องอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

พี่อู๋ถามขณะล็อครถ เตรียมตัวเดินเข้าร้านโดยมีญาติคนอื่นๆตามมาสมทบ ผมนึกคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง แต่คิดอะไรไม่ออก เลยบอกเขาว่าอยากกินข้าวไข่เจียวหมูสับครับ

“มาถึงทะเลจะกินแค่ไข่เจียวได้ไง” พี่อู๋ดึงนายก้องเกียรติมากอดคอแล้วยีหัวจนเสียทรง “ทอดมันกุ้งไหม? ปูไข่นึ่งนมสดไหม? หรือปลาหมึกนึ่งมะนาว?”
“อะไรก็ได้ครับ”
“งั้นก็ลองกินมันทุกอย่างเลยเนอะ”

เราเดินจนถึงอาคารโปร่งที่มีโต๊ะยาวรออยู่ กติกาเดิมของครอบครัวนี้ก็คือใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ ดังนั้นเราจึงเห็นสมาร์ทนั่งหัวโต๊ะเหมือนเป็นประธานในพิธี ญาติคนอื่นๆนั่งติดกับลูกๆของตัวเองแบ่งเป็นฝักฝ่าย ส่วนผมนั่งปลายโต๊ะ มีพี่อู๋ขนาบซ้าย ทางขวาคือหมาจรจัดที่มารอกินอาหาร มันนั่งยิ้มลิ้นห้อยราวกับรู้ว่าวันนี้จะได้กินของดี

“อย่าให้อาหารมันนะคะ เดี๋ยวมันเป็นโรคไต”

เด็กเสิร์ฟในร้านเตือน เธอบอกว่าไม่ต้องสงสารมัน ไอ้ตัวนี้อยู่ดีกินดีกว่าลูกจ้างอย่างเธอเสียอีก เราหัวเราะเล็กน้อยก่อนเริ่มฉลองวันส่งท้ายปี โชคดีที่พวกเขาสั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเลยไม่ต้องรอนาน ผมมีโอกาสได้เห็นอาหารทะเลละลานตาครั้งแรกในชีวิตก็วันนี้

ปูไข่นึ่ง ปูผัดนมสด ปูผัดผงกะหรี่ ปลากะพงนึ่งมะนาว ต้มยำทะเล กุ้งชุบแป้งทอด หมึกนึ่งมะนาว แกงส้มกุ้งตัวเท่านิ้วกลาง ต้มปลากระบอก ยำไข่แมงดายกมาทั้งกระดอง หอยนางรมสด หอยแครงนึ่ง ทอดมันกุ้ง กั้งนึ่ง ทอดมันปลากราย ข้าวผัดทะเลชามเท่าควาย และอีกสารพัดเมนูที่ผมไม่รู้จัก

“เพิ่มไข่เจียวหมูสับอีกจานนึงครับ”

พี่อู๋บอกเด็กเสิร์ฟ ผมนึกเกรงใจที่ผู้ปกครองต้องสั่งอาหารเพิ่มให้กอริลลาที่ตอบแบบส่งเดชเพราะไม่รู้จะกินอะไร เสียงคุยกันจอแจตามประสาครอบครัวใหญ่ดังตลอดเวลานั่งทานอาหาร ผมเป็นคนนอกได้แต่เงียบกริบ กินข้าวในส่วนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จาสลับกับมองวิวนอกชานระเบียง ร้านนี้อยู่ติดทะเลก็จริงแต่ไม่มีหาดทรายเลย มีแค่โขดหินเป็นแนวกั้นน้ำ มองเห็นแค่คลื่นกระฉอกซัดเข้าฝั่งเท่านั้น

“ตรงนี้ทะเลไม่ค่อยสวยเนอะ” คุณอิศรินทร์ชวนคุย “แต่เราเน้นกิน ไม่เน้นวิว”

ผมยิ้มแล้วตักทอดมันกุ้งกินอีกคำ วันนี้นายก้องเกียรติได้ลองกินอะไรหลายอย่าง ทั้งแกงส้มที่เป็นสีเหลือง ทั้งกั้งนึ่งเนื้อเด้งดึ๋ง ปิดท้ายด้วยหอยนางรมสดบีบมะนาวโรยด้วยกระเทียมเจียว พอท้องอิ่มเด็กๆก็เริ่มเรียกร้องหาไอศกรีม พวกเขางอแงเพราะในร้านไม่มียี่ห้อที่ตัวเองชอบ ดังนั้นพี่อู๋จึงบอกว่ากินเสร็จจะพาไปสเวนเซ่นส์ หยุดแหกปาก แล้วนั่งเงียบๆเสียที

“โกอู๋เลี้ยงหรือเปล่าล่ะ?”

สากลถาม เมื่อคุณอิศรินทร์พยักหน้า เขาก็ยกนิ้วโป้งให้

“หล่อ สปอร์ต ใจดี ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด”

ญาติคนหนึ่งแซว แล้วบทสนทนาก็พุ่งมาหาพี่อู๋ทันที ในสายตาของญาติๆ พี่อู๋คือหลานที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ผมได้รู้อะไรหลายๆอย่างบนโต๊ะอาหารเช่นพี่อู๋เคยได้โบนัสเกือบครึ่งล้าน เคยทำงานหนักยี่สิบชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์ เคยบินตามนายไปญี่ปุ่น ไปอินโดนีเซีย ไปนั่นไปนี่เหมือนล่าสะสมแต้ม แถมเป็นล่ามฝีมือดีของบริษัทดัง เงินเดือนหลักแสน แล้วพวกเขาก็ถามถึงโบนัสปีนี้

“เท่าไหร่ล่ะ?”

คุณแม่ของเหมยยิ้มๆ พี่อู๋โกหกหน้าตาย

“ปีนี้กำไรไม่ดี เลยได้แค่สามแสนกว่าๆ”

ผมอึดอัดที่เห็นผู้ปกครองปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีใครในครอบครัวเขารู้เรื่องตกงานเลยซักคน ที่เห็นน่าจะมีแค่เจ๊ออมเท่านั้นที่รู้ว่าช่วงนี้น้องชายเป็นยังไงบ้าง พูดถึงเงิน คนอื่นๆก็สรรหาเรื่องมาคุยกันจนเหมือนเป็นการโอ้อวดกลายๆ ลูกสาวได้เงินเดือนเท่านี้ ได้โบนัสเท่านี้ ลูกชายเอาแต่ทำงานหาเงินมาเตรียมสร้างบ้าน แต่ขำสุดคือคุณลุงที่ชื่อโป้ย แกบอกว่าลูกชายติด xxx จนป่านนี้ยังไม่กลับบ้านเลย

“เราสามารถพูดคำว่า xxx ได้ในที่สาธารณะเหรอครับ?”
“ได้นะถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ” พี่อู๋ขำ ผมแอบมองรอบตัว ในอาคารโปร่งโล่งสบายนี้มีแค่ครอบครัวของคุณอิศรินทร์จริงๆ ลูกค้าอีกสองโต๊ะยาวยังมาไม่ถึง “บ้านพี่โผงผางกันแบบนี้แหละ ไม่ต้องตกใจ”

ตอนแรกการคุยไปกินไปก็สนุกดี แต่พอคุณแม่สร้อยเพชรถามว่าควรซื้ออะไรฝากแน บรรยากาศเริ่มกร่อยเสียอย่างนั้น มื้อนี้แนไม่ได้มากับเราด้วย พี่อู๋บอกว่าแนไม่อยากทิ้งก๋งไปไหน ต่อให้อดกินของดีก็ยอม แกอยากเฝ้าก๋งเพราะกลัวก๋งไป เดี๋ยวไม่มีโอกาสได้ลา

“แม่นะแม่” คุณป้าคนหนึ่งบ่นแล้วถอนหายใจ “ปล่อยก๋งไปแต่ทีแรกก็จบแล้ว ไม่รู้จะยื้อทำไม”

ประโยคนั้นเหมือนชนวนระเบิด เสียงความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือกลุ่มที่คิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องไม่ทิ้งกัน ต้องดูแลกันไปจนกว่าจะหมดลม ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าอยู่ต่อก็มีแต่ทรมาน แถมไม่ใช่แค่ก๋งที่ทรมาน คนดูแลอย่างแนก็ทรมานเหมือนกัน ไหนจะค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเพราะต้องเปิดแอร์ยี่สิบสี่ชั่วโมง ค่าจ้างพยาบาลดูแลพิเศษ ค่านมกระป๋อง ค่านั่นค่านี่ ไล่เป็นรายการเยอะยิ่งกว่าอาหารบนโต๊ะ ซึ่งคนพูดก็ไม่ใช่ใคร คุณแม่สร้อยเพชรที่ต้องอยู่บ้านเดียวกับแนและก๋งนั่นเอง ผมเดาเอาว่าแกคงเก็บกดมานานเพราะทุกอย่างลงที่แกกับป้าอ้อยทั้งนั้น พวกลูกชายไม่เห็นต้องรับรู้อะไร

“ใช่ว่ามึงจ่ายคนเดียวนี่ กูก็ช่วยหารทุกเดือน”

ขึ้นมึงกูแล้วด้วย --

“นั่นพ่อมึงนะสร้อย ใจคอมึงจะปล่อยให้พ่อตายเฉยๆเลยเหรอ?”

ครอบครัวพี่อู๋เริ่มเถียงบนโต๊ะอาหาร โชคดีที่ไม่มีใครกินเหล้า เพราะขนาดไม่มีเหล้ายังใส่อารมณ์กันน่ากลัว พวกเขาเริ่มพูดห้วนๆ เริ่มทวงบุญคุณ เริ่มสาดคำพูดไม่น่ารักใส่กัน เจ๊ออมรำคาญจนต้องให้สามีอุ้มลูกไปเดินเล่นไกลๆ ส่วนหลานคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันอึกอัก มีแค่เจ๊ออมและพี่อู๋เท่านั้นที่ดูปล่อยวาง ไม่ได้ร่วมเถียงกับคนอื่น

“พวกมึงยื้อก๋งมาสามรอบแล้ว กูว่ามึงพอซักทีดีไหม? ปล่อยก๋งไปสบายๆไม่ได้เหรอ?”

คุณแม่สร้อยเพชรระบาย ตามด้วยป้าอ้อย และคนอื่นที่เห็นด้วยว่าเราไม่ควรทรมานก๋งไปมากกว่านี้ ส่วนฝ่ายค้านก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน ลุงโป้ยบอกว่าที่ให้ก๋งตายไม่ได้เพราะเป็นห่วงแน แกทำใจไม่ได้หรอก เอมก็เพิ่งตาย ถ้าก๋งตายอีกคนจะทำยังไง แนรับไม่ไหว แนต้องตายตามก๋งไปแน่ๆ

“จะให้มีงานศพสามงานติดๆกันเลยหรือไง”

เจ๊ออมลุกจากโต๊ะเมื่อพวกเขาพูดถึงเอม เธอเดินออกไปเลยโดยไม่บอกลาใครซักคน ตามด้วยคุณพ่อของพี่อู๋ ส่วนคุณแม่สร้อยเพชรนั่งตาแดงเถียงกับพี่น้องต่อ หลานๆถูกไล่ไปวิ่งเล่นนอกอาคาร ปล่อยให้ผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันก่อน นายก้องเกียรติจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในที่ประชุม เขาเอาแต่ฟัง เงียบ ฟัง และเงียบอยู่หลายนาที

วาทกรรมเราคือลูกถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้งและอีกครั้ง ความกตัญญูในฉบับของพวกเขาถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกรอเทป ก๋งกับแนเลี้ยงเรามายากลำบาก ต้องขับสองแถว ต้องเชื่อมเหล็ก ต้องทำสารพัดงานช่างให้ลูกๆได้เรียน มาวันนี้มีฐานะจะทิ้งก๋งได้ไง เราเป็นลูก เราต้องกตัญญู เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อตาย

“แต่ตอนนี้ก๋งก็เหมือนตายแล้วหรือเปล่า”

พี่อู๋ปากหมา

“อู๋ไม่ได้บอกให้ถอดปลั๊กตอนนี้ แค่บอกว่าถ้าคราวหน้าต้องเรียกรถพยาบาลอีกก็พอเถอะ ปล่อยให้ก๋งตายที่บ้านยังดีกว่า”
“มีข่าวเจ้าชายนินทราฟื้นเยอะแยะ ต้องมีความหวังสิ จะหมดหวังได้ไง” ลูกสะใภ้คนหนึ่งร่วมวงสนทนา “คนที่โบสถ์ก็ช่วยอธิษฐานกันทุกอาทิตย์ รอเวลาหน่อยไม่ได้เหรออู๋?”
“อธิษฐานมากี่ปีแล้ว ตอนนี้ก๋งลุกขึ้นนั่งได้หรือยัง?”

แล้วก็ -- ยาว

ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงโดนยำ เขามีเหตุผลแต่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง ทุกคนยึดถือคำว่ากตัญญูจนมองข้ามอะไรหลายๆอย่าง ผมเองก็มีชุดความคิดที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าแม่เป็นเหมือนก๋งและผมพอมีฐานะ มีเงินซัพพอร์ตเหมือนครอบครัวพี่อู๋ ผมก็จะดูแลแม่จนกว่าจะตายกันไปข้างนึง

“ทำไมต้องเถียงกันเรื่องนี้ด้วยวะ” พี่อู๋หงุดหงิดรำคาญ “ให้ก๋งนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวตัวเองนี่เรียกว่ากตัญญูเหรอ?”
“อู๋ มึงไม่ใช่ผู้ชาย มึงไม่มีวันได้เป็นพ่อคน มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่ถูกลูกฆ่าตายหรอก”

ญาติคนหนึ่งพูดขึ้น คราวนี้คุณอิศรินทร์เงียบเลย เขาโกรธ แต่ไม่ชักสีหน้า เขาไม่พอใจ แต่ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น กอริลลาก้องที่นั่งเขี่ยข้าวในจานเริ่มรู้ว่าสถานะของผู้ปกครองในครอบครัวเป็นยังไง พวกเขามองว่าพี่อู๋เก่ง มองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าใครๆ แต่ก็ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่างแค่เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง

“ก้องไปเดินเล่นก่อนไหม?”

พี่อู๋พูดขึ้น เขาแตะไหล่ผมเบาๆเป็นเชิงขอร้องให้ออกไปก่อน กอริลลาก้องจึงไม่ขัดคำสั่ง ผมรีบลุกจากโต๊ะอาหารแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่สนิทกับใครนอกจากพี่อู๋ ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้ว่าควรฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ปกครองยังไง ดังนั้นที่พึ่งสุดท้ายคงไม่พ้นสมาร์ทที่นั่งกดเกมอยู่บนม้านั่งริมโขดหิน

“นั่งด้วยได้หรือเปล่า?”
“นั่งดิ”

สมาร์ทตอบโดยไม่มองหน้าเหมือนเช่นทุกที ผมหลับตา ปล่อยให้ลมทะเลปะทะใบหน้าเรื่อยๆจนเริ่มเหนียว กลิ่นคาวทะเลลอยคลุ้งแปลกๆ กลิ่นเหมือนบ่อเลี้ยงปลามากกว่า พอลืมตาท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม คลื่นซัดกระทบหินแรงขึ้น ยุงกัด แต่สมาร์ทยังไม่ไปไหน

“ไอ้เหี้ย กัดอะไรนักหนา”

จู่ๆสมาร์ทโพล่งขึ้นมา ผมงงว่ามันด่าใคร ซักพักนึกได้ อ๋อ ด่ายุง

“เอายากันยุงไหม?”
“เอา ขอพนักงานให้หน่อย”

ผมเป็นธุระหยิบยากันยุงให้สมาร์ท แถมจุดไฟและวางใกล้ๆเท้าด้วยเพื่อไม่ให้จังหวะการเล่นเกมสะดุด พวกสามทหารเสือยังบ้าเกมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นให้มามุงดูด้วย ผมเห็นสไปก์กับสากลนั่งห่างจากเราค่อนข้างไกล รอบตัวเขาคือน้องๆ ถัดไปคือเจ๊ออมกับแฟนคอยดูแลเด็กๆ ผมแอบเห็นป๊าพี่อู๋ยืนสูบบุหรี่อยู่ไกลลิบ เขาคงอึดอัดน่าดู

“ทำไมมานั่งตรงนี้? ไม่อยู่กับโกอู๋แล้วเหรอ?”

สมาร์ทถาม ผมจึงตอบว่าผู้ปกครองสั่งให้ออกมาเดินเล่น แต่ไม่รู้จะเดินไปไหนก็เลยมาขอนั่งด้วย

“ไม่เคยเห็นครอบครัวใหญ่ทะเลาะกันล่ะสิ”
“อือ ปกติเราอยู่กับแม่แค่สองคน”
“ตอนนี้แม่ไปไหน”
“แม่เสียแล้ว”
“ขอโทษนะ แต่ -- เป็นอะไรถึงเสีย?”
“ผูกคอตาย”

ผมเงียบ สมาร์ทเงียบ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังอีกสามสี่ครั้งเราถึงเริ่มคุยกันใหม่

“ทะเลาะกันบ่อยเหรอ?”

ผมเปิดบทสนทนา สมาร์ทยักไหล่ เขาดูสบายๆไม่เครียดกับการเห็นครอบครัวโต้เถียงขึ้นมึงกูกันซักนิด

“ประจำ เดี๋ยวก็ดีกัน ไม่ต้องตกใจ”
“เมื่อกี๊มีลุงคนนึงพูดว่าพี่อู๋ไม่ใช่ผู้ชาย”
“ที่นี่ไม่มีเกย์หรอก ชายรักชายคือตุ๊ด เขาคิดแค่นั้น” นายสมาร์ทพูดเซ็งๆ
“เราคิดว่าทุกคนรับได้ที่พี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงเสียอีก”
“รับได้สิ เพราะไม่ใช่ลูกของตัวเองไง” สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพี 
“แนรู้เรื่องนี้ไหม?”
“ไม่รู้ และห้ามบอกให้แนรู้ด้วย”
“ไม่บอกหรอก” ผมยิ้มเจื่อน “แต่เป็นเกย์นี่ผิดมากเหรอ?”
“ถ้าเป็นครอบครัวคนจีนก็นะ --”

ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว พูดแค่นั้นกอริลลาก้องก็เข้าใจทั้งหมด

“คุยเรื่องมหาลัยกับโกอู๋ยัง”

สมาร์ทเปลี่ยนเรื่อง ผมส่ายหน้า บอกเขาว่ายังไม่ได้คุย ไม่กล้าคุยเรื่องนี้เลย เกรงใจ

“บอกให้ขอไง”
“ไม่เอา ไม่อยากรบกวนพี่อู๋”
“โกอู๋รวยจะตาย เดือนเดียวโกยเป็นแสน แถมลูกเมียก็ไม่มี วันๆทำแต่งานไม่ได้ใช้เงิน ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าไง”

สมาร์ทเล่าให้ฟังเป็นเชิงบ่นมากกว่า ผมไม่กล้าบอกเขาว่าพี่อู๋ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว ตอนนี้เขาตกงานและเคว้งคว้างยิ่งกว่ากล่องโฟมที่ลอยกลางทะเลเสียอีก แถมรายจ่ายมีเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่ไม่เข้าเลย ในเมื่อพี่อู๋ลำบากขนาดนี้จะให้ผมแบมือขอเงินเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคงดูน่าเกลียดเกินไป

“มอปลายได้เกรดอะไร?” สมาร์ทถาม เมื่อผมบอกว่าสามกลางๆ เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และบอกต่อว่า “บ้านนี้บ้าคนเก่งนะ ถ้ามั่นใจว่าเรียนพิเศษแล้วสอบติดมอรัฐก็ขอเลย บ้านเราให้ทุนนักเรียนทุกปี ให้ก้องอีกคนคงไม่เป็นไรมั้ง”
“โห ใจดีจัง”
“แนกับก๋งเชื่อว่าการศึกษาเปลี่ยนชนชั้นได้ จากที่เคยจนไม่มีจะกิน ถ้าสอบติดราชการก็จะกลายเป็นชนชั้นกลาง ใครมีหัวธุรกิจหน่อยก็ค่อยๆหาลู่ทางหารายได้เสริม ขยับขยายดิ้นรนเรื่อยๆจนเป็นชนชั้นกลางขอบชีส --”
“ชนชั้นกลางขอบชีส?”
“ก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐีไง”

โอโห สมาร์ทมันแบ่งชนชั้นในสังคมเป็นพิซซ่าเลยอ่ะ

“บ้านพี่อู๋นี่ไม่ใช่เศรษฐีเมืองคอนเหรอ?”
“หึ เราคือชนชั้นกลางขอบชีส”
“นี่ขนาดชนชั้นกลางนะ” ผมอ้าปากเหวอ “เศรษฐีเมืองคอนจะขนาดไหน”

ผมเก็บคำพูดของสมาร์ทมาคิด ชนชั้นกลางขอบชีสเป็นนิยามที่เข้าใจง่ายดี เขากำลังบอกว่าฐานะทางบ้านค่อนข้างดีนะ แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นเศรษฐีที่สามารถใช้ปืนยิงแบงค์โปรยเล่นได้อย่างที่กอริลลาก้องคิด พอนึกทบทวนคำพูดของสมาร์ท ผมเริ่มเห็นแสงสว่างนิดหน่อย สมาร์ทบอกว่าบ้านพี่อู๋บ้าคนเก่ง ซึ่งฟังจากบทสนทนาส่วนใหญ่แล้วท่าทางน่าจะจริง

ถ้าสมมติผมใช้คำว่าขอยืมล่ะ? ขอยืมเงินไปเรียนต่อได้ไหมครับ?
คงดูน่าเกลียดน้อยกว่า “ส่งผมเรียนหน่อยสิ” ใช่ไหม?

“ทุนที่บ้านสมาร์ทให้นักเรียนเป็นทุนเปล่าเหรอ?”
“อืม”
“ให้ฟรีๆเลยอ่ะนะ?”
“เออ” สมาร์ทยืนยัน “โบ่สร้อยไปมอบทุนหน้าเสาธงทุกเทอม”
“แล้ว -- แล้วเด็กที่ได้ทุนต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะ ต้องลองถามโบ่ดู”

ผมถอนหายใจ ใครจะกล้าเข้าไปถามคุณแม่สร้อยเพชรในเวลาแบบนี้วะ เขาเถียงกันจนจะฟาดกระดองแมงดาใส่หน้ากันแล้ว ขืนกอริลลาก้องคลานเข้าไปกระซิบ โบ่สร้อยครับ ก้องขอยืมเงินเรียนพิเศษหน่อยได้ไหม มีหวังโดนถีบลงทะเลแน่

“แต่จริงๆไม่ต้องขอโบ่สร้อยหรอก ขอโกอู๋สิ”
“สมาร์ทไม่รู้สึกว่ามันน่าเกลียดเหรอที่เราแบมือขอเงินญาติสมาร์ทแบบนี้?”
“ไม่อ่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะการศึกษาสำคัญ” เขายืนยันความคิดตัวเอง “ก๋งกับแนพูดตลอดว่าถ้าส่งเด็กขาดโอกาสให้ได้เรียนที่ดีๆ เท่ากับว่าเราช่วยคนให้หลุดพ้นจากพิซซ่าแป้งกรอบได้อีกหนึ่งครอบครัว”

มาอีกแล้ว -- เปรียบชนชั้นของคนเป็นพิซซ่า ผมเดาเอาว่าบางกรอบคือคนฐานะปานกลางค่อนข้างลำบาก ไม่ได้อดอยากแต่ก็ไม่ค่อยมีเหลือไว้เพื่อของฟุ่มเฟือยราคาแพง สั้นๆก็คือครอบครัวผมเองนั่นแหละ

“หรือจะกู้เราก็ได้นะ แต่ไม่ให้ยืมฟรีหรอก”
“สมาร์ทมีให้เรายืมเท่าไหร่ล่ะ?”

ผมแกล้งถาม อยากวัดใจเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเขาจะให้มากแค่ไหน

“หมื่นนึงพอหรือเปล่า?”
“ห้าหมื่นไม่ได้เหรอ?”

ผมต่อรอง สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพีมองกอริลลาก้องตาขวาง

“ถ้าจะขนาดนั้นก็ทำเรื่องกู้ธนาคารไปเลยดีไหม?”
“ล้อเล่นหรอก” ผมหัวเราะ “แต่ถึงจะมีคนให้ยืมเงิน เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัย”
“บอกให้ลงเรียนพิเศษไง ตึกวรรณสรณ์ไงที่พญาไทอ่ะ ไปสิ มีครบ จบในตึกเดียว”

 สมาร์ทเริ่มหงุดหงิดเพราะเล่นเกมแพ้ เขาปิดเกม เก็บใส่กระเป๋าและหันมาคุยกับผมจริงจัง

“หรือจะเอาชีทเรียนพิเศษเราไหม? มันมีรอยขีดเต็มแล้วนะ แต่ยังพออ่านได้อยู่”
“สมาร์ทให้เราจริงเหรอ?”
“อืม”
“ไม่ส่งต่อให้สไปก์เหรอ?”
“เดี๋ยวสไปก์มันก็ลงเรียนใหม่ ไม่อ่านของเก่าจากเราหรอก” เด็กลาดกระบังกลอกตา “จะเอาไม่เอา? ถ้าเอาก็บอกให้โกอู๋ขับรถไปเอาที่บ้านเราละกัน”
“เอาๆๆ! ขอบคุณมากนะ” ผมดีใจ “แต่บ้านสมาร์ทอยู่ไหนเหรอ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังอยู่ตรงไหนอ่ะ?”
“อยู่ข้างบิ๊กซีไง”

สมาร์ทมุมปากกระตุกราวกับรู้ว่านายก้องเกียรติต้องถามต่อแน่ๆ

“บิ๊กซีอยู่ไหนอ่ะ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังคือตรงไหน?”
“ตรงที่มีร้านทองเยอะๆ” สมาร์ทเซ็ง “ตรงที่น้ำท่วมบ่อยๆ”
“น้ำท่วมด้วยเหรอ? ท่วมประมาณไหน?”
“เลยเข่าขึ้นไปนิดหน่อย”
“ท่วมหนักกว่ากรุงเทพไหม?”
“ยังอยากได้หนังสืออยู่หรือเปล่า?”
“อยากสิ”
“งั้นเลิกถามซักที เดี๋ยวโกอู๋พาไปเองแหละ”
“โอเค”

ผมตื่นเต้นเมื่อคิดเรื่องเรียนหนังสือ แต่พอคิดดูดีๆอีกทีก็เริ่มกลัวเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ผมไม่มีความฝันหรือแรงบันดาลใจเหมือนพี่อู๋ ผมไม่มีของแบบนั้นเลย ยิ่งพยายามนึกว่าก่อนสอบโอเน็ตเคยอยากทำอาชีพอะไรยิ่งนึกไม่ออก ผมไม่ฉลาดพอจะเป็นหมอ ไม่ถนัดภาษาจนเป็นล่ามได้เหมือนพี่อู๋ รู้สึกเคว้งคว้างเป็นบ้า พอโอกาสอยู่ตรงหน้าก็ดันเจอทางตันอีก

ผมกับสมาร์ทนั่งตากยุงอีกพักใหญ่ก่อนพี่อู๋จะเดินมาเรียกให้ขึ้นรถกลับบ้าน เขาบอกว่าวันนี้คงไม่ไปสเวนเซ่นส์แล้วแต่จะสั่งมาให้กินที่บ้านแทน ผมเดาว่าคงเพราะทะเลาะกันค่อนข้างแรงเลยไม่มีอารมณ์ไปไหน ปกติพี่อู๋ชอบพานายก้องเกียรติไปกินไปเที่ยวจะตาย ไม่น่าพลาดโอกาสพาผมทัวร์ห้างหรอก

“กลับบ้านกันเถอะ”

พี่อู๋บอก กอริลลาก้องจึงเดินตามผู้ปกครองที่กำลังหงุดหงิดไปที่รถโดยไม่พูดถึงแผนในอนาคตของตัวเองซักคำ



ใช่จ้ะพี่จ๋า มันมาสองพาร์ทอีกแล้ว แหะๆๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-05-2019 23:03:07
เราถึงบ้านตอนสองทุ่มหกนาที

ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอนตัวเองโดยไม่รวมกลุ่มพูดคุยกันเหมือนวันก่อน พี่อู๋ที่ดูอารมณ์ไม่ดีรักษาสัญญาด้วยการสั่งสเวนเซ่นส์หลายรสให้มาส่งถึงบ้าน พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยและเล่นกันเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าก่อนหน้าพ่อแม่ของเด็กๆจะทะเลาะกันจนแทบยกหม้อต้มยำทุ่มใส่หัวก็ตาม

พอกินไอศกรีมเสร็จ พี่อู๋ก็กลับห้องตัวเองโดยหนีบกอริลลาก้องไปด้วย เราสองคนอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสามสิบแปดนาที นายก้องเกียรติกับคุณอิศรินทร์ยังคงนอนไม่หลับ ดังนั้นพี่อู๋จึงลุกขึ้นเปิดไฟแล้วบอกว่าลงไปเคานท์ดาวน์กันเถอะ

“พอห้าทุ่มห้าสิบ เราจะเขียนเป้าหมายที่อยากทำให้ได้ในปีหน้ากัน”

เขาพูดพลางส่งกระดาษเอสี่ให้กอริลลา

“ปีหน้าก้องมีเป้าหมายอะไร เขียนลงในนี้เลยนะ”

ผมมองกระดาษและปากกาเมจิกสีน้ำเงินในมือ ปีหน้า? สิ่งที่ผมอยากทำในปีหน้างั้นเหรอ? นายก้องเกียรติคิดหนักระหว่างลงบันไดไปห้องนั่งเล่นใหญ่ ในนั้นมีแค่สมาร์ทกับสไปก์นอนเล่นเกมบนโซฟา พอถามว่าน้องๆคนอื่นอยู่ไหน คำตอบก็คือโดนไล่ไปนอนหมดแล้ว

“เคานท์ดาวน์หรือเปล่าเราอ่ะ?”

พี่อู๋ถามสองทหารเสือ สไปก์พยักหน้า ส่วนสมาร์ทไม่ตอบ

“ปีนี้เหงาเนอะโก”

สไปก์ชวนคุยเมื่อผมนั่งลงบนพื้น วางกระดาษและปากกาเมจิกบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี

“คงไม่มีอารมณ์มาเคานท์ดาวน์กัน” สมาร์ทออกความเห็น “โกไม่ไปดูก๋งบ้างเหรอ?”
“ดูแล้ว”
“เป็นไง?”
“ไม่เป็นไง”

ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติตอบ เขานั่งลงข้างผมแล้วใช้เวลาด้วยกันจนเกือบเที่ยงคืน มันเป็นการนั่งเคานท์ดาวน์ที่เงียบไม่ต่างอะไรจากผมกับแม่เลย เราแยกกันทำสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่ในโลกของตัวเอง พอใกล้เวลานับถอยหลัง พี่อู๋ สมาร์ท และสไปก์ถึงหยิบปากกาออกมาเขียนเป้าหมายสำหรับปีถัดไป

ผมเหลือบมองพวกเขา มองพี่อู๋ที่นั่งปั้นหน้านึกไม่ออกว่าชีวิตนี้เป้าหมายอะไรที่อยากทำอีก คิดๆดูแล้วเราสองคนนี่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนนึงตกงานไม่ยอมเริ่มใหม่ ส่วนอีกคนกลัวสอบไม่ผ่านจนนั่งเป็นใบ้ ไม่กล้าคุยเรื่องทุนตามที่สมาร์ทแนะนำ

“ปีหน้าอยากทำอะไรวะสไปก์?”

พี่อู๋ถามน้องชาย ซึ่งคำตอบของเด็กหน้ากลมเหมือนซาลาเปาก็คือ

ได้เกรดสี่ทุกตัวและไม่หลับตอนเรียนเคมีอุ๊

“มึงทำไม่ได้หรอก” สมาร์ทหัวเราะก๊าก “โกอ่ะ?”
“เอาของสมาร์ทมาดูก่อนดิ”

พี่อู๋ยื่นหมูยื่นแมว เสือตัวแรกแห่งพี่น้องสามสอส่งกระดาษให้พี่ชายดูด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาต่างมีเป้าหมายที่อยากทำ สวนทางกับเราสองคนที่ไม่ได้วางแผนไว้เลย

เรียนจบพร้อมเพื่อนและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ก็ -- สมกับเป็นสมาร์ทดี

“โกอู๋อ่ะ?”

สไปก์ถามบ้าง คุณอิศรินทร์นึกแล้วนึกอีกอยู่นานหลายนาที นานจนทั้งสองคนก้มหน้าเล่นเกมต่อไม่รอคำตอบ แต่สุดท้ายพี่อู๋ก็คิดออก เขาเขียนลงไปว่า --

รวย

อยากรวยแต่ไม่ทำงาน ชาตินี้จะเป็นไปได้เหรอวะพี่

ผมไม่ได้พูด แค่คิดในใจ เสียงพิธีกรในโทรทัศน์เริ่มให้สัญญาณว่าใกล้ถึงเวลานับถอยหลังแล้ว ผู้คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นตัวเลขหนึ่งนาทีสุดท้ายบนจอภาพขนาดใหญ่

“ก้องล่ะ?” พี่อู๋ถามเพราะเห็นผมเงียบไม่พูดไม่จา “ก้องมีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้บ้างไหม?”

ผมลังเลว่าควรเขียนดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เขียนความในใจของตัวเองลงไป สิ่งที่ผมคิดว่าอยากทำในปีหน้า และตั้งใจจะทำให้ได้ก็คือ --

“อู๋!”

เจ๊ออมเปิดประตูมาขัดจังหวะขณะที่สมาร์ทกับสไปก์ร่วมนับถอยหลังกับพิธีกร คุณอิศรินทร์กับกอริลลาก้องได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กเพราะสีหน้าของเจ๊ออมดูไม่ค่อยดีเลย

“แปด! เจ็ด!”

สไปก์นับ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“ลุกขึ้น --”
“ลุกไปไหน?”

พี่อู๋ถามเจ๊ออมที่ยืนหอบอยู่ตรงประตู สมาร์ทปิดเกมและเริ่มเคานท์ดาวน์เสียงดังพร้อมกับน้องชาย

“หก! ห้า!”
“โรงพยาบาล”

เจ๊ออมพูดต่อ

“สี่! สาม!”

สองเสือยังคงร่าเริงต่อไปในขณะที่เราเริ่มใจไม่ดี

“ก๋งความดันตก”

เจ๊ออมเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้

“สอง! หนึ่ง! แฮปปี้นิวเยียร์!”

“ก๋งไม่ไหวแล้วอู๋”

ทั้งห้องเงียบสนิท มีแค่เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนในโทรทัศน์เท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตสองสามวินาที มันเบลอๆ มึนๆเหมือนประมวลผลไม่ถูก แต่พอเห็นผู้ปกครองตกใจจนลนลาน วิ่งไปสวมรองเท้าโดยมีสองเสือและเจ๊ออมวิ่งตามติดๆ ผมถึงรู้ว่าพี่อู๋ที่เคยพูดว่า “ปล่อยให้ก๋งตายเถอะ” ก็ยังทำใจยอมรับความสูญเสียไม่ได้เหมือนกัน


TBC
__________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีวันเสาร์จ้ะพี่จ๋า มาซะดึกเลยเพราะเดี๋ยวหลังจากนี้จะไม่ว่างอีกแล้ว แหะๆ หลายตอนเลยที่หนูเอาแต่บ่น เหน่ยๆๆๆจนไม่ได้คุยกับพี่จ๋า งั้นวันนี้ขอทอล์คยาวหน่อยนะค้า

1. มีพี่จ๋าถามว่า “โก” เป็นภาษาใต้หรือภาษาจีน ในบริบทของนิยายเรื่องนี้คือจีนไหหลำค่ะ เราเรียกพี่ชายว่าโก พี่สาวว่าเจ๊ ยาย = แน/เน่ะ ตา = ก๋ง/เด้ ป้า = โบ่ จริงๆมีอีกหลายคำเลยแต่ไม่ได้เขียนชัดๆเพราะกลัวพี่จ๋างง แบบ โบ่ไหนฟะ เด้ไหนฟะ หมายไหนฟะ เพื่ออรรถรสและความราบรื่น หนูขอเอาแค่พี่ชาย พี่สาว ตายายพ่อแม่มานะคะ

2. เงินเดือนและโบนัสของพี่อู๋อาจจะดูเว่อร์แบบ เห๋ย ครึ่งล้าน บ้าป้ะแกร ใครมันจะได้เยอะขนาดนั้น แต่อยากบอกว่าถ้าล่ามญี่ปุ่นเก่งๆที่พ่วงตำแหน่งเลขาด้วยเงินเดือนแตะแสนก็มีน้า โบนัสทุกหกเดือนอีก โอทีอีก สวัสดิการต่างๆอีก คือรับเละเลย ถึงเงินจะเยอะแต่ไม่มีเวลาใช้เพราะถวายหัวให้นายหมด ดังนั้นจึงเป็นที่คำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงเปย์เก่ง เปย์เหมือนมี passive income แต่ถึงขั้นเศรษฐีมั้ย ก็มั่ย ก็เป็นแค่พิซซ่าขอบชีสสสสสส

3. มีพี่จ๋าถามถึงรวมเล่มมาเยอะมากๆเลย หนูยืนยันนะคะว่ามีขายแน่นอน เพราะเซ็นสัญญาไปแล้ว ถ้าไม่รวมเล่มหนูก็โดนสิเพราะถือว่าเบี้ยวสัญญา 55555555555555555555555555555  เดี๋ยวรายละเอียดค่อยคอนเฟิร์มอีกทีนะคะ ตอนนี้ปก 1 เรียบร้อยแน้ว ที่เหลือกำลังบรีฟนะฮับ พี่จ๋าใจเย็นๆ คอนเฟิร์มว่าพี่จ๋าจะได้ซื้อแน่นอนจ้า แต่ซื้อตอนไหนไม่รู้ เพราะหนูไม่ว่างเลย ด่านายอยู่ ;-; แต่เดี๋ยวจะลงตัวอย่างปกแรกของเล่มหนึ่งให้ดูในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ นะคะ

แล้วก็ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆและกำลังใจดีๆที่มีให้กันนะคะ ทุกคนคอมเม้นท์กันน่ารักมาก ขอบคุณมากๆนะคะที่ชอบนิยายเรื่องนี้ หนูมีความสุขทุกครั้งที่เห็นคอมเม้นท์ ต่อให้วันนั้นโดนนายด่าว่ามึงทำงานประสาอะไรวะก็ยังยิ้มได้ ขอบคุณนะค้า ขอบคุณมากๆเลย และขอโทษด้วยที่สัญญาไม่เคยเป็นสัญญา บอกว่าจะเช็กดีๆก็มีหลุด จะมาให้เร็วขึ้นกลับช้าลงเรื่อยๆจนเหลือเดือนละตอน ขอโทษนะคะ ไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ แต่จะไม่เทเรื่องนี้แน่นอนค่ะเพราะอย่างที่บอกว่าสัญญาเซ็นไปแล้ว มันเทไม่ได้แล้วพี่จ๋า มัน 55555555555555 เท 5555555555555555555 ไม่ 5555555555555555 ได้ 555555555555555555

ทอล์คยาวมากๆ ยาวกว่าตัวนิยายอีก ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ รักทู้กคนเลย หนูนอนก่อนน้า วันนี้เหน่ยมาก ไม่มีงานทำแต่เหน่ย หนูจะรออ่านคอมเม้นท์ที่บางพลีนะคะ ขอบคุณค่ะ     :-[
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Dyckia ที่ 04-05-2019 23:32:21
ตลกมาก ที่สมาร์ทตอบว่า ท่าวังที่น้ำท่วมบ่อย 55
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Bernini ที่ 05-05-2019 22:52:22

แบบนี้อู๋จะยิ่งทรุดไหมนะ? ตกงาน เลิกกับแฟนห่วยๆแต่ก็ยังรักแฟนอยู่ ทะเลาะกับที่บ้าน ก๋งก็มาเสียอีก ทำใจดีๆไว้นะอู๋ ก้องเกียรติเป็นเด็กดี อู๋อย่าลืมนึกถึงก้องให้มากๆนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 05-05-2019 22:59:36
กอลิล่าอู๋สู้ๆเด้อ
น้องก้องก็กลับไปเรียนนะลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-05-2019 23:01:04
ฮึบ! ไว้นะพี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 05-05-2019 23:15:29
สู้ๆนะพี่อู๋ น้องก้องด้วยอยากให้น้องกลับไปเรียน หรือเจอสิ่งที่น้องรักจัง หวังว่าฟ้าหลังฝนจะสวยงามกับกอลริล่าทั้งสองนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 06-05-2019 00:06:54
มีความสุขทุกครั้งที่อ่าน ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: kun98 ที่ 06-05-2019 01:08:19
ชอบการเปรียบเทียบ​ 5555555​  :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-05-2019 01:24:40
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-05-2019 12:21:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-05-2019 12:58:43
ลุ้นระทึกใจทุกตอนเลย เอาใจช่วยก้อง พี่อู๋ และก๋งด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-05-2019 17:20:32
สงสารพี่อู๋จัง  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 06-05-2019 18:21:14
รักก้อง รักพี่อู๋ รักคนเขียน เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: nrbtst1997 ที่ 06-05-2019 20:54:22
เบื่อก้องมาก​  นายควรออกมาจากชิวิตนายอู๋ได้แล้ว ไม่ไหวๆ​ ขอพักไว้แค่ตอนที่13  พอเครียด​
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 06-05-2019 23:51:40
Passive income....ตามมาหลอกหลอนเราถึงนี่เลยเหรอเนี่ย อ่านตอนนี้แล้วก็อดคิดไม้ได้ว่าถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพี่อู๋ เราจะตัดสินใจยังไง แน่นอนว่าครอบครัวขเราเราก็รักอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจปล่อยเขาไป ไม่ให้ทรมานเนี่ย มันเป็นความต้องการของเราฝ่ายเดียวที่คิดแทนคนที่กำลังนอนอยู่หรือเปล่า...เป็นกำลังใจให้พี่อู๋ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 07-05-2019 18:10:25
อ่านมาถึงตรงนี้เลยคิดว่าจะคอมเมนท์ยาวๆสักที
ฮืออออออ คุณนักเขียนเขียนดีมากเลยค่ะ เราชอบมาก เห็นชื่อก็ว่าแปลกดีเลยกดเข้ามาอ่าน
ช่วงแรกอ่านแล้วนึกกว่าจะเป็นฟีลกู๊ดเบาๆ ที่ไหนได้ :z3:
ตอนก้องป่วยแรกๆคือหน่วงตาม มีน้ำตาซึมเลย แล้วพี่อู๋ก็โคตรดี
ดีจนแบบ เอ๊ะ นี่ก็ป่วยป่าววะ น่าจะมีสตอรี่ชัวร์
พอมากลางเรื่องพี่อู๋ด่าก้องทีเราแบบ วดฟ พี่มึงเป็นไรเนี่ย อย่าด่าน้องงง หน้าชาแทน
แต่ก็คิดละแหละว่าป่วยเหมือนกันแน่นอน
ส่วนหลังๆมาเราว่าก็โอเคขึ้นหน่อย ไม่เบาไม่หนัก
อยากชื่นชมที่นักเขียนบรรยายด้วยภาษาง่ายและลื่นมากค่ะ มีความเรียลสูง
แต่ส่วนตัวเราว่าเนื้อหาหนักอยู่นะเพราะมันเกี่ยวกับโรคนี้
เรายิ่งอ่านยิ่งชอบแต่ก็ยิ่งเหมือนถูกนิยายคุณนักเขียนกัดกินเราเข้าไปทุกที ฮรึก
รูปแบบการป่วยของคนสามแบบนี่คือดีมากเลยนะคะ
คนแบบก้อง คนแบบหมูพี แล้วก็คนแบบพี่อู๋
เราคิดว่ามันก็ไม่เชิงนิยายวายหรอก แต่เป็นนิยายสะท้อนสังคมที่ค่อนข้างโอเคเลยสำหรับเรา
ยังไงก็จะอยู่ต่อไปด้วยกันถึงตอนจบเลย ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน เลิ้บๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-05-2019 19:52:22
แต่ละตอนมันมีอะไรให้คิดตลอดเลย ทุกคนมีปัญหาหมดไม่ว่าจะสถาบันใดก็ตาม
บ้านพี่อู๋ดูรักกัน แต่เอาจริงกลับไม่ค่อยเข้าใจลูกเลย ลึกๆ เพราะพี่อู๋ไม่ชอบผู้หญิงสินะ
หลายๆ พาร์ทอยากตีพี่อู๋ที่สุด เป็นผู้ชายที่วัยสามสิบมีความคิดย้อนแย้งกันจนน่าตีที่สุด
บางครั้งก้องมีคงวามคิดโตกว่าพี่อู๋จริงๆ นะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-05-2019 21:22:11
ก่อนหน้านี้บ้านเราก็สถานการณ์เดียวกับบ้านพี่อู๋เลยค่ะ นอนอยู่ห้าปี หมดไปเยอะ แต่ที่บ้านไม่ตีกัน ดูแลปกติแต่ถ้าเขาจะไปก็ปล่อย เข้าใจฟีลเลย ช่วงแรกๆแบบรับไม่ไหว มันหนักไปหมด เพิ่งผ่านมาได้สดๆร้อนๆ

เข้าใจคุณยายเลย เขาอยู่ด้วยกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งมากมาย มันทำใจลำบาก กว่ายายเราจะโอเคก็นานอยู่ ตอนนี้พี่อู๋ต้องเข้มแข็งนะ เขากำลังจะไม่ทรมานแล้ว อยากให้พี่อู๋กลับไปทำงาน ให้น้องไปเรียน ลองไปใช้ชีวิตแบบเจอสังคมใหม่ๆกันบ้างอาการจะได้ดีขึ้น เป็นกำลังใจให้นะคะ คนเขียนด้วย รักนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 22 update!] 4/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 08-05-2019 16:44:30
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-05-2019 20:38:34
23 [PART1]


พวกเขาหายไปหมดเลย

ทุกคน --

ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากนายก้องเกียรติ สามีของเจ๊ออม และลูกเล็กของเธอ

เมื่อห้านาทีก่อนคือความโกลาหลไม่ต่างจากวันที่บ้านถูกไฟไหม้ พวกญาติๆกระวนกระวายวิ่งวุ่นเหมือนผึ้งแตกรัง หลานๆถูกปลุกกลางดึก ส่วนเจ๊ออม ป๊า และลูกของก๋งคนอื่นๆช่วยกันเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟท์ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านพี่อู๋มีลิฟท์ก็ตอนนี้ มันเป็นช่องสี่เหลี่ยมซ่อนอยู่หลังบ้าน ถ้าไม่เปิดประตูจะไม่รู้เลยว่ามี แต่มันไม่ใช่ลิฟต์สวยๆเหมือนในโรงแรมหรือโรงพยาบาล เป็นแค่โครงเหล็กกั้นสี่ด้านเหมือนรั้วบ้าน ข้างในโปร่งโล่งจนเห็นแม้กระทั่งตอนเจ๊ออมกำลังบีบลูกบอลหรืออะไรซักอย่างแทนเครื่องช่วยหายใจ

ผมไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวเกะกะขวางทาง ไม่กล้าถามสมาร์ทด้วยว่ากำลังไปโรงพยาบาลไหนกัน สุดท้ายพอถึงนาทีที่ก๋งอาการทรุด พวกเขาทุกคนก็ดิ้นรนพาก๋งส่งหมอทั้งนั้น แม้แต่พี่อู๋ที่เคยปากดียังช่วยเข็นเตียงของก๋งจนถึงรถพยาบาลที่ไม่รู้ว่ามาจอดรอเมื่อไหร่ เจ๊ออมขึ้นไปบนรถกับก๋ง หลานๆวิ่งกระจัดกระจายขึ้นรถคันอื่นๆ แนขึ้นรถคันหนึ่งของลูกชาย ส่วนพี่อู๋เองก็รีบมากเหมือนกัน รีบจนไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเขาขับรถออกไปทีละคัน ทีละคันจนหมดบ้าน เหลือไว้แค่กอริลลาก้องกับกุญแจหนึ่งดอกสำหรับล็อกประตูรั้วเท่านั้น


นาฬิกาบอกเวลาว่าตีหนึ่งสามสิบสี่นาที

พี่อู๋โทรมาเช็กว่านายก้องเกียรติทำอะไรอยู่

“ผมกำลังรอพี่กลับบ้านครับ”

ผมตอบ พอคุณอิศรินทร์เงียบไปนาน ผมจึงถามเรื่องอื่นแทนเช่น พี่ง่วงไหม อยากกินมาม่าหรือเปล่า หรือถ้าเหนื่อยก็กลับมานอน พรุ่งนี้เราค่อยไปกินของอร่อยๆกัน

“พี่กำลังกลับแล้ว”

พี่อู๋บอก ผมได้ยินเสียงป้าอ้อยเรียกเด็กๆขึ้นรถกลับบ้าน บทสนทนาของเราเงียบอีกหลายวินาทีก่อนพี่อู๋จะบอกว่าต้องวางสายแล้ว แค่นี้ก่อนนะ

“ครับ”

ผมตอบ และนั่งมองประตูห้องนั่งเล่นใหญ่เหมือนหมารอเจ้าของ ไม่ถึงสิบนาที รถวีออสสีดำและคันอื่นๆอีกสองสามคันก็ขับเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหลานๆที่กำลังง่วงนอนเต็มที สะใภ้และลูกเขยทยอยพาลูกตัวเองไปส่งที่เตียง ผมชะเง้อคอมองหาผู้ปกครอง พอไม่เห็นเขามาเสียทีก็เลยเดินตามหาจนเจอว่าพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในวีออส ข้างๆเขาคือป๊าที่กำลังพูดบางอย่างด้วยท่าทางเครียดๆ หลังจากนั้นป๊าก็ลงจากรถ เจอผมยืนหลบอยู่หลังบานประตู แกพยักหน้ายิ้มๆแล้วบอกให้นายก้องเกียรติเข้านอน

“สวัสดีปีใหม่ก้อง” ป๊าชวนคุย “ถ้ายังไงก็เรียกอู๋ขึ้นนอนด้วยนะ”
“ครับ สวัสดีปีใหม่นะครับ”

ผมยืนรอ รอ และรอให้พี่อู๋พร้อม เขาไม่ขยับตัวหรือทำอะไรเลยนอกจากจับพวงมาลัยแน่นเหมือนกำลังคิดหนัก เวลาผ่านไปอีกสิบนาที เจ๊ออมปาดน้ำตาเดินเข้ามาในบ้าน เธอลูบไหล่ผมและบอกให้ไปนอน

“ผมรอพี่อู๋อยู่ครับ”

ผมตอบเจ๊ออม เธอชะเง้อมองน้องชายที่นั่งเก็บตัวในรถก่อนจะบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ เดี๋ยวอู๋ก็ขึ้นนอนเอง

นายก้องเกียรติเคยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ผมยืนรอจนเมื่อยขา รอ รอ รอ รอจนพี่อู๋ดับเครื่องและลงจากรถ พอเห็นหน้าผม เขาก็ยิ้มๆถามว่าทำไมไม่นอน

“ผมรอพี่อยู่”

พี่อู๋ไม่ตอบอะไรกลับมา เขายีผมกอริลลาก้องจนเสียทรง เรากอดคอเดินเข้าบ้านพร้อมกัน
“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน ก้องนอนเลย ไม่ต้องรอ”

ผู้ปกครองสั่ง แน่นอนว่าผมไม่ทำ ผมรอจนกระทั่งพี่อู๋อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รอจนเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง รอจนเขาขึ้นนอนบนเตียงและถอนหายใจยาวๆ ผมไม่กล้าถามพี่อู๋ว่าก๋งเป็นยังไงบ้าง ตกลงตัดสินใจกันยังไง แนไหวไหม พี่โอเคหรือเปล่า เดาเอาว่าก๋งน่าจะยังมีชีวิตอยู่แต่โอกาสรอดคงน้อยเต็มที

“พรุ่งนี้พี่จะพาก้องไปโอเชี่ยน”
“โอเชี่ยนคืออะไรครับ?”
“ห้าง” เขาบอก “พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อกันนะ”

ผมไม่เข้าใจซักนิด ทำไมเราต้องซื้อเสื้อผ้าในเมื่อนายก้องเกียรติสามารถหยิบยืมของใครในบ้านมาใส่ก็ได้

“พี่อู๋”
“ว่า?”

ผมจินตนาการว่าเรากำลังอยู่ในอวกาศ อยู่ในภาวะสุญญากาศที่อึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมไม่รู้ว่าควรปลอบ ควรกอด ควรให้กำลังใจ หรือพูดยังไงเพื่อให้พี่อู๋หายเศร้า สุดท้ายผมทำได้แค่เรียกชื่อเขา เรียกพี่อู๋ พี่อู๋ครับ พี่ --

“เรียกแล้วไม่คุย โดนมะเหงกนะ”

คุณอิศรินทร์เขกหัวนายก้องเกียรติดังโป๊ก หมดกันอารมณ์ห่วงหาอาทร ลาก่อน นอนเศร้าไปคนเดียวเลย

“เรียกพี่ทำไม?”

แต่พี่อู๋ยังนึกสงสัยจนต้องเอ่ยถาม ท่ามกลางความมืดกับสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสง มีแค่ผมเท่านั้นที่ยังคงลืมตาอยู่

“ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมเป็นห่วงพี่จัง”
“ห่วงพี่? ห่วงทำไม?” 
“มันยากใช่ไหมพี่? การทำใจยอมรับความจริง --”

ผมเกริ่นทิ้งไว้ รอจังหวะให้คุณอิศรินทร์หันมาแต่เขายังหลับตาเหมือนเดิม

“คนเรามีพบก็ต้องมีจาก”

พี่อู๋พูดเมื่อกอริลลาก้องไม่ยอมต่อประโยคให้จบ คิดว่าเขาคงรู้ว่าผมต้องการสื่ออะไร เขารู้แน่ๆว่าเด็กในอุปการะเป็นห่วงและอยากบอกว่าการสูญเสียมันทำใจยาก แต่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำธรรมดา วันหนึ่ง -- เราจะไม่เจ็บปวดกับการจากไปเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“สวัสดีปีใหม่ครับ”

ผมบอกเขา คราวนี้คุณอิศรินทร์ขำออกเสียงก่อนจะขานรับในลำคอ

“อืม สวัสดีปีใหม่นะก้อง”

นาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่าตีสองหกนาที เข้าสู่เช้าวันใหม่ของพุทธศักราชใหม่ที่เริ่มต้นโดยมีนายก้องเกียรติหลับน้ำลายยืดข้างผู้ปกครอง ส่วนคุณอิศรินทร์ได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆเพียงลำพัง



นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงตรง

บ้านของคุณอิศรินทร์เงียบเหมือนสวนสนุกร้าง ในห้องครัวไม่มีอาหารหรือร่องรอยการใช้งาน อ่างน้ำแห้งสนิท จานชามคว่ำเก็บในตู้เป็นระเบียบ ไฟในห้องนั่งเล่นใหญ่ดับมืด ไม่มีเสียงทีวี ไม่มีเสียงหัวเราะแสบแก้วหูของเด็กๆ ไม่มีเงาของใคร แม้แต่ป้าอ้อยคนขยันก็ไม่อยู่ที่นี่

“ทุกคนไปโรงพยาบาล”

พี่อู๋ช่วยไขข้อข้องใจให้กอริลลา เท่ากับว่าตอนนี้เราอยู่ในบ้านกันสองคน ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากบ้านตรงดิ่งไปโอเชี่ยน พร้อมผู้ปกครอง มันคือห้างขนาดเล็กถ้าเทียบกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เล็กกว่าประมาณหนึ่งในยี่สิบเห็นจะได้ ส่วนสภาพและการตกแต่งภายใน ผมว่าใหม่กว่าพาต้าปิ่นเกล้านิดนึง

พอหาที่จอดได้ เด็กเฝ้าลานจอดก็ฉีกตั๋วยื่นให้เรา เขาบอกว่าค่าจอดยี่สิบบาท ถ้าซื้อของครบสองร้อยให้เอาตั๋วไปแสตมป์ที่ประชาสัมพันธ์แล้วค่อยมารับเงินคืน คุณอิศรินทร์ทำเออออห่อหมกพยักหน้าไปเรื่อย แต่พอไกลสายตาเด็กลานจอดรถ เขาก็บ่นเรื่องตั๋วค่าจอดยี่สิบบาททั้งๆที่บางห้างในกรุงเทพคิดค่าจอดแพงกว่านี้ตั้งเยอะ

“เซ็นทรัลก็ไม่คิดตังค์ค่าจอดรถลูกค้าเลยหรือเปล่าวะก้อง?”

พี่อู๋เถียงขาดใจ อ่ะ ผมยอมแพ้ก็ได้ ไม่ว่าแล้วครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพี่เหมือนเดิม

เราเดินเข้าทางด้านหลังของห้าง ผ่านโซนขายร้านเสื้อผ้าผู้ชายและเครื่องหนังแบรนด์ต่างๆ พี่อู๋เดินตรงดิ่งไปที่ราวเสื้อผ้าลดราคา เขาแหวกหาเสื้อเชิ้ตเหมือนยังไม่เจอลายที่ถูกใจ เขาแหวกไปมาหลายนาทีจนพนักงานหญิงต้องเดินมาถามว่าสนใจอยากได้แบบไหนดีคะ

“เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆอ่ะครับ” พี่อู๋บอกแล้วชี้มาที่นายก้องเกียรติ “ให้น้องคนนี้”

พนักงานร้องอ๋อแล้วพาเราไปอีกโซนที่ขายเสื้อเชิ้ตวัยทำงานโดยเฉพาะ พวกมันเหมือนเสื้อของพี่อู๋ในตู้ที่คอนโดเลย ต่างกันแค่สีและลาย ส่วนใหญ่มนุษย์เงินเดือนคงนิยมแต่ตัวกันแนวนี้ เปลี่ยนสีเสื้อ สลับสีกางเกงแค่เทา ดำ น้ำตาล กับรองเท้าหนังสุภาพอีกหนึ่งคู่ สงสัยพี่อู๋จะให้ผมซ้อมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่พร้อมโหนบีทีเอสในสภาพรักแร้เปียกไปทำงานกลางหน้าร้อน

พนักงานไม่ค่อยเทคแคร์เราเท่าไหร่ แต่คุณอิศรินทร์ก็ไม่ได้สนใจ เขาดูสบายใจกับการซื้อของโดยไม่มีใครคอยกำกับด้วยซ้ำ เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนเกือบสิบปีทำไมจะไม่รู้ว่าเสื้อเชิ้ตไซส์ไหนใส่แล้วถึงจะออกมาดูดี พี่อู๋หยิบหลายขนาดมาทาบบนตัวกอริลลาก้องก่อนจะใช้ให้ไปลอง ผมทำแบบนี้อยู่หลายหน เปลี่ยนเสื้อสีขาวหลายยี่ห้อ หลายแบบหลายตัว แต่ก็ยังไม่ถูกใจ

“มีไซส์ที่เข้ารูปกว่านี้ไหมครับ? ตัวนี้ไหล่ตก”

พี่อู๋ถามพยักงานพร้อมกับชี้ให้ดูว่าเสื้อที่เธอเสนอมามันไม่ได้ขนาดตามที่เขาต้องการ พนักงานสาวหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อเชิ้ตสามตัวให้คุณอิศรินทร์เลือก

เราใช้เวลากับเสื้อตั้งครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพี่อู๋ก็เจอเนื้อคู่ของนายก้องเกียรติ เสื้อเชิ้ตสีขาวล้วนคอปก ติดกระดุมคอแล้วไม่รัดเหนียงจนหายใจไม่ออก ความยาวช่วงแขนก็ยาวพอดีกับข้อมือ ตะเข็บแขนตรงหัวไหล่เป๊ะ ใส่แล้วเข้ารูปดูเป็นทรง ผมมองตัวเองในกระจก รู้สึกเหมือนเป็นอิศรินทร์ร่างโคลน พร้อมออกไปโหนบีทีเอสแล้วครับ

“เอาตัวนี้ตัวนึงครับ” เขาตอบพลางติดกระดุมมือให้นายก้องเกียรติ “ที่นี่มีกางเกงสแล็คไหมครับ?”
“มีค่ะ”

เธอผายมือไปอีกด้าน เราเดินตามไปจนถึงตัวหุ่นโชว์ที่กำลังสวมกางเกงคอลเล็คชั่นใหม่ของปีนี้ คงไม่ต้องพูดยาวว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อู๋เลือกกางเกงให้ผมต่อ เขาให้ลองจนกว่ากอริลลาก้องจะเจอไซส์ที่พอดีตัวจริงๆ ใส่ออกมาแล้วดูเท่เหมือนมนุษย์รถไฟใต้ดิน พอลองใส่ทั้งเสื้อและกางเกงพร้อมกัน ผมถึงเอะใจว่านี่ไม่ใช่ชุดมนุษย์เงินเดือน นี่มันชุดร่วมงานศพ

“ทั้งหมดสองพันสี่ร้อยหกบาทค่ะ”

พี่อู๋ส่งบัตรให้พนักงานรูด ส่วนกอริลลายืนมองเงาตัวเองในกระจก กอริลลาก้องในชุดมนุษย์เงินเดือนก็ดูไม่เลว แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่คุณอิศรินทร์ทำแบบนี้ เขาเสียเงินตั้งสองพันเพื่อให้เด็กในปกครองมีชุดใส่ไปร่วมงานศพ ทั้งๆที่ก๋งยังไม่ตาย ก๋งยังอยู่ในโรงพยาบาล แต่เขากลับเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

“ไปดูรองเท้ากัน”

พี่อู๋เดินนำ ผมได้แค่มองแผ่นหลังของผู้ปกครองที่ดูเหี่ยวเฉากว่าปกติ นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงห้านาที คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปกินเอ็มเค แล้วเราก็ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน




ก๋งอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนแถวอ้อมค่าย ผมไม่รู้ว่ามันชื่ออ้อมค่ายจนกระทั่งญาติคนหนึ่งโทรศัพท์บอกทางเพื่อให้คนอื่นๆตามมาเยี่ยมก๋งครั้งสุดท้าย หน้าห้องไอซียูไม่ได้มีแค่พวกเราที่จับจองโซฟา แต่ยังมีคนอื่นที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันนั่งด้วย ผมพยายามมองหาแนเพราะอยากรู้ว่าแนเป็นยังไงบ้าง แต่หายังไงก็หาไม่เจอ เจอแค่สามทหารเสือนั่งกดเกมท่ามกลางเสียงบทสนทนาคร่ำเครียดของครอบครัว

พี่อู๋ถึงโรงพยาบาลเป็นคนสุดท้าย เขาผลักประตูเข้าไปในห้องไอซียู ปล่อยให้กอริลลาก้องนั่งกับสามเสือเงียบๆอยู่หลายนาที ซักพักคุณอิศรินทร์ก็จูงมือแนออกมา ลูกคนอื่นๆสลับกันเข้าไป เรียงคิวแต่ละครอบครัวจนถึงหลานคนสุดท้าย แล้วแนก็กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง

“ตกลงแม่ว่ายังไง?”

น้องสะใภ้คนหนึ่งถามคุณแม่สร้อยเพชร ผมเดาเอาว่าคำตอบคงไม่ดีเท่าไหร่เพราะแกเริ่มร้องไห้ก่อนจะบอกให้ผู้ใหญ่พาเด็กๆกลับบ้าน

“แม่จะให้เด้*กลับบ้าน” (พ่อ)
“หมออนุญาตเหรอ?”
“แม่เซ็นแล้ว” คุณแม่สร้อยเพชรสะอื้น “ไม่ต้องพูดอะไรมากนะ พาพวกเด็กๆขึ้นรถ ทำเหมือนวันปกติพอ”

ผมได้แค่มองครอบครัวคุณอิศรินทร์หัวใจสลายหน้าห้องไอซียู บางคนร้องไห้เงียบๆ บางคนก็สะอื้นจนตัวสั่น ป้าอ้อยร้องหนักกว่าใครเพื่อน แกเรียกหาเด้ เด้ เด้ และตามด้วยเสียงครางฮือเหมือนจะขาดใจ หลานที่โตหน่อยน้ำตาซึมเพราะรู้ว่ากำลังจะเสียก๋งไป ส่วนเด็กเล็กๆถามพ่อแม่ตัวเองใหญ่ว่าร้องไห้ทำไม พอพวกเขาไม่ตอบ เด็กๆก็แหกปากร้องตาม

“เดี๋ยวโรงพยาบาลจัดการให้ ไปรอที่บ้านเถอะ”

ป๊าของพี่อู๋บอก ครอบครัวคุณอิศรินทร์ทยอยเดินลงบันไดไปลานจอดรถ ส่วนผม คุณแม่สร้อยเพชร และลูกของก๋งคนอื่นๆยังยืนอยู่หน้าไอซียู รอจนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟต์ ส่งขึ้นรถตู้ และขับนำไปบ้านของก๋งกับแน





ต่อ part 2 ข้างล่างเลยจ้ะพี่จ๋า  :z2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-05-2019 20:41:19
23 [PART 2]

รถพยาบาลมาส่งถึงห้องของก๋ง ผมไม่รู้ว่าข้างในทำอะไรกันเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เขาไป แต่ได้ยินสมาร์ทบอกว่าพยาบาลถอดเครื่องช่วยหายใจก๋งแล้ว

“จริงๆแม่เราก็ทำได้นะ แม่เราเป็นพยาบาล”

สมาร์ทพูดเหมือนไม่เสียใจ แต่ผมเห็นเขานั่งน้ำตาคลอ

“ไม่ต้องตามติดโกอู๋หรอก ปล่อยโกไว้แบบนั้นแหละ เวลาเสียใจโกไม่ชอบคุยกับใคร”

ต่อให้สมาร์ทไม่บอกผมก็รู้ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ปกครองดี ดังนั้นตลอดช่วงบ่ายนายก้องเกียรติจึงไม่โผล่หน้าไปวุ่นวายบริเวณชั้นสองเลย หลานๆสลับกันเข้าออกห้องของก๋งตามปกติ ลูกเขยและสะใภ้แวะเวียนไปหาบ้างแต่คนที่อยู่ในห้องตลอดคือแน คุณแม่สร้อยเพชร และป้าอ้อย พี่อู๋ออกจากห้องก๋งตอนห้าโมงเย็น เขาร้องไห้จนตาบวมไม่ต่างจากเจ๊ออม แต่ก็ยังฝืนยิ้มและสั่งให้ผมไปซักเสื้อที่เพิ่งซื้อวันนี้

“เสร็จแล้วมากินข้าวกันนะ”

พี่อู๋บอก ผมจึงหิ้วถุงเสื้อผ้ากับกาละมังไปซักบนดาดฟ้า ขยี้ๆเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผู้ปกครองซื้อให้ด้วยความทนุถนอม ผมตากเสื้อและกางเกงแสล็คไว้บนราวกลางแจ้งที่แสงแดดส่องถึง อากาศร้อนเหมือนซ้อมตกนรกขนาดนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง

นายก้องเกียรติทำหน้าที่ตัวเองเสร็จตอนพิซซ่ามาส่งพอดี เด็กๆที่หิวโซมาหลายชั่วโมงแย่งกันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนได้แต่ยืนเหม่อเหมือนไปต่อไม่ถูก สามทหารเสือคือตรงกลางระหว่างความเศร้ากับรับความจริงได้ สากลกินน้อยลงนิดหน่อย สไปก์ปากดีเหมือนเดิม ส่วนสมาร์ทไม่พูดเลย ไม่กินพิซซ่าซักคำ

“ตอนแรกโกอู๋จะเซ็น แต่แนไม่ให้” สมาร์ทชวนกอริลลาก้องคุย “แนรู้ว่ามันไม่มีหวังแล้ว ถ้าให้หลานเซ็น โกอู๋คงรู้สึกมีตราบาปจนวันตาย”
“แนเซ็นเองเหรอ?”
“อืม”
“แนทำใจได้แล้วเหรอ?”

ไม่มีคำตอบ สมาร์ทปิดเกมและยอมกินพิซซ่าร่วมกับกอริลลาก้อง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบห้านาที เด็กเล็กๆเล่นของเล่นกันไม่รู้เดียงสา หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของพวกเขาก็ทยอยเรียกให้ขึ้นรถทีละครอบครัวและขับออกไป เหลือบ้านที่มีแค่ก๋ง แน คุณแม่สร้อยเพชร ป๊า ป้าอ้อย เจ๊ออม สามีเจ๊ออม ลูกของเจ๊ออม คุณอิศรินทร์และกอริลลาก้องเท่านั้น

“อย่าลืมไปเอาหนังสือที่บ้านเรานะ” สมาร์ทย้ำก่อนขึ้นรถ “มาเอาช้า เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม เข้าไปไม่ได้นะจะบอกให้”

ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะเดินเข้าบ้าน ในห้องนั่งเล่นใหญ่ ผมเห็นป๊าดื่มเหล้าในขวดแก้วคนเดียวเงียบๆ แกนั่งไขว่ห้าง ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ วางแก้ว ถอนหายใจ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน นายก้องเกียรติที่เป็นส่วนเกินจึงเลี่ยงขึ้นไปชั้นสอง เมื่อเห็นว่าข้างนอกไม่มีคนอยู่จึงเดินขึ้นไปหาผู้ปกครองบนชั้นสาม แต่พอได้ยินเสียงบานพับประตูเปิด นายก้องเกียรติก็แอบย่องกลับมานั่งส่องที่ขั้นบันไดชั้นสองเพื่อรอดูว่าใครออกมา

เป็นพี่อู๋กับเจ๊ออมนั่นเอง ตอนเจ๊ออมอยู่ในอ้อมแขนของคุณอิศรินทร์ เธอดูบอบบางเหมือนดอกไม้ที่แค่แตะก็ช้ำ แค่ลมพัดก็ปลิว ผมได้แต่มองสองพี่น้องกอดกันจนกระเสียงไวโอลินดังลอดมาจากห้องของก๋ง มันเป็นน้ำเสียงหวานเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่ง มีใครเปิดเพลงจากวิทยุ

เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็หมองมืดหม่น
ทนเงียบเหงา อ้างว้าง

เพลงนี้คงเป็นเพลงโปรดของใครซักคนในบ้าน พวกเขาอาจเปิดให้ก๋งฟังครั้งสุดท้ายก่อนจากกันตลอดกาล หรือไม่ก็แค่บังเอิญเปิดเฉยๆ แต่น้ำเสียงของนักร้องเศร้ามาก เศร้าจนวูบหนึ่ง ผมแอบคิดถึงแม่ที่จากไป

เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอไม่สร่าง
ใจฉันค้างเคียงเธอ

ผมฟังเพลงนี้จบหนึ่งรอบและกลับขึ้นไปรอผู้ปกครองในห้องชั้นสาม วันนี้เป็นวันที่ยากมากสำหรับคุณอิศรินทร์ ผมก็เลยไม่ชวนคุยหรือถามอะไรให้มากความ เรานอนข้างกันเงียบๆในห้อง มีดาวสะท้อนแสงจางๆบนเพดาน ผมเป็นกำลังใจให้พี่อู๋ด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะครับ แค่นั้น สั้นๆ จบ

คุณอิศรินทร์ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นพี่อู๋นอนหลับตา ไม่พูดกับผมซักคำนอกจากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆบนแขนของกอริลลาจนหลับพร้อมกัน




นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าสี่สิบนาที พี่อู๋ปลุกผม และบอกว่าก๋งตายแล้ว



นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าห้าสิบสองนาที

หลังก๋งจากไปแค่สิบกว่านาที รถทุกคันที่เคยจอดที่นี่ก็กลับมาอีกครั้ง เสียงร้องไห้ดังระงมทั่วทั้งบ้านทำเอาบรรยากาศหม่นเศร้าจนกอริลลาก้องแอบน้ำตาซึม ญาติๆส่วนใหญ่หายเข้าไปในห้องของก๋ง ผมเดาเอาว่าคงไปบอกลาหรือไม่ก็ช่วยกันเตรียมตัวให้ก๋งออกเดินทางครั้งสุดท้าย ส่วนคุณอิศรินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องก๋ง ไม่ได้อยู่กับกอริลลาก้อง แต่ปลีกตัวขึ้นไปนั่งคนเดียวบนดาดฟ้า

นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงหกนาที

ผมตกใจเมื่อเดินสวนกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดยาวถึงตาตุ่ม เขาส่งยิ้มให้และพูดว่าสวัสดีลูก ขอพระเจ้าอวยพรทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน พอเห็นสมาร์ทเดินเข้ามาในบ้าน ผมก็รีบวิ่งไปหา ถามว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ทำไมจู่ๆถึงเข้ามาในบ้านพี่อู๋ได้

“คนที่โบสถ์น่ะ” สมาร์ทตอบเสียงอู้อี้ “พวกเขามาร้องเพลงกัน”
“ร้องเพลงตอนนี้เนี่ยนะ?”
“อื้อ เราเชื่อว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เป็นเรื่องน่ายินดี”
“น่ายินดีตรงไหน?”
“อย่างน้อยก๋งก็ไม่ต้องทรมานแล้วไง”

ผมปลีกตัวไปนั่งหลบมุมระหว่างบันไดชั้นสองกับชั้นสาม คอยสอดส่องมองผู้คนเดินเข้าห้องของก๋งจนล้นออกมายืนเรียงแถวข้างนอก ซักพักพวกเขาก็พากันเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีในขณะที่ลูกหลานของก๋งน้ำตานองหน้า ร้องเพลงไม่เป็นภาษาจนได้ยินแค่เสียงสะอื้นและเสียงสูดน้ำมูกเท่านั้น




นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงตรง ทุกคนในครอบครัวสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวดำ

ร่างของก๋งถูกบรรจุในโลงสีขาวประดับด้วยไม้กางเขนสีทอง นายก้องเกียรติแอบมองพิธีกรรมทางศาสนาผ่านบานกระจกห้องนั่งเล่น ทุกขั้นตอนดำเนินด้วยความสงบ พอเก้าโมงตรง รถบรรทุกคันเล็กก็เข้ามาจอดในบ้าน รับเอาก๋งไปส่งที่ไหนซักแห่งโดยมีลูกหลานขับรถตามเป็นขบวน รถตู้คันใหญ่สีขาวมีแนกับลูกๆวิ่งเป็นคันที่สอง ส่วนวีออสของพี่อู๋คือคันสุดท้าย เขารอจนกระทั่งทุกคนออกจากบ้านจึงขับตามไป

รถบรรทุกขับเข้ามาในรั้วแห่งหนึ่งตรงข้ามที่ทำการเทศบาล ที่นี่มีตึกใหม่เพิ่งสร้างอยู่ทางซ้าย ส่วนด้านหน้าคือตึกชั้นเดียวก่อด้วยอิฐสีแดง ตอนเรามาถึง พวกเขายกก๋งเข้าไปวางในอาคารใหม่สีครีมเรียบร้อยแล้ว  โลงศพของก๋งถูกวางไว้ด้านหน้าของเวที ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นจุดเด่นรวมสายตาโดยไม่ต้องใช้ของประดับ

แต่งานศพของก๋งไม่เรียบง่ายเหมือนของแม่ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นรถกระบะขนดอกไม้สดเข้ามาจอดข้างอาคาร นักจัดดอกไม้มืออาชีพลงมือตกแต่งที่นอนของก๋งด้วยดอกเบญจมาศสีขาวเป็นร้อยๆดอก นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบเก้านาที กรอบรูปของนายเตี้ยม แซ่ลี ถูกนำมาวางข้างโลง

การเตรียมงานค่อนข้างวุ่นวายอยู่แล้วโดยเฉพาะงานของคนตายที่มีญาติและคนรู้จักเยอะเหมือนก๋งเตี้ยม ลูกๆของก๋งจึงต้องแบ่งงานกันทำคนละอย่าง คนหนึ่งทำแผ่นพับพิธีการ อีกคนเตรียมเมนูอาหารและติดต่อแม่ครัว อีกคนสั่งทำของที่ระลึก พวกเด็กๆที่ไม่รู้เดียงสาก็วิ่งเล่นไปทั่วโถงพิธี เล่นสนุกโดยไม่รู้ว่าความตายคืออะไร ส่วนสามทหารเสือนั่งกดเกมอยู่บนม้านั่ง สมาร์ทตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งหยุดร้องไห้ ส่วนสไปก์กับสากลแค่ดูซึมๆ ผมเดินไปหาสามเสือเพราะไม่รู้จะขลุกตัวกับใครเพราะคุณอิศรินทร์หายไป เขาหายไปตั้งแต่ลงจากรถแล้ว

“หาโกอู๋เหรอ?”
“อืม” ผมขานตอบ “พี่อู๋อยู่ไหนอ่ะ?”
“ติดประกาศหน้าบอร์ดให้สมาชิกรู้ว่าก๋งตาย”

สมาร์ทชี้นิ้วไปยังอาคารอิฐแดง ผมเห็นพี่อู๋แล้ว เขากำลังหันหลัง ยืนแปะกระดาษบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง

“เสียใจด้วยนะ”
“เรื่องก๋งเหรอ?”
“อืม”
“เสียใจทำไม ต้องดีใจสิ” สมาร์ทพูด
“สมาร์ทไม่เศร้าเหรอที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอก๋งอีกแล้ว?”

สมาร์ทเงียบ เขาเบะปากกลั้นน้ำตานานหลายวินาทีก่อนจะร้องไห้ออกมา ผมไม่แซวเขานอกจากลูบหลังเบาๆ

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก” สมาร์ทบอกอย่างมีความหวัง “ที่ไหนซักแห่ง -- เราจะได้เจอกันอีก”

ผมไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ขัดคอ ถึงจะอยากบอกสมาร์ทว่าบางที --

บางทีการยอมรับว่าเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องผิด

ในเมื่อเขารู้สึกเศร้ากับการจากไปของก๋ง เขามีสิทธิ์ร้องไห้ มีสิทธิ์ฟูมฟาย สมาร์ทไม่จำเป็นต้องพูดไดอะล็อกเหมือนคนในโบสถ์ ไม่จำเป็นต้องทำตัวร่าเริง เศร้าก็คือเศร้า แค่ร้องไห้ออกมา แค่ยอมรับมัน ไม่จำเป็นต้องฝืนเพื่อใครเลย

พอเห็นสมาร์ทเริ่มร้องไห้ ผมก็นึกเป็นห่วงคู่ชีวิตของก๋ง ผมพยายามสอดสายตาหาแนแต่ไม่เห็นแกอยู่แถวนี้ ก็แค่ไม่เห็นนะ แต่เสียงแนน่ะ -- ดังสุดๆไปเลย

“ม่ายล่าย ม่ายล่าย ม่ายเอาดอกกุหลาบ โกเตี้ยมม่ายชอบกุหลาบ”

เสียงแนดังมาจากเก้าอี้แถวหน้าสุด แกคอยชี้นิ้วให้นักจัดดอกไม้ปรับแต่งนั่นนี่ตามประสาแม่งาน ผมแปลกใจที่ไม่เห็นแกนั่งร้องไห้จะเป็นจะตายอย่างที่คิด แนยังคงทำทุกอย่างเพื่อให้งานของสามีออกมาดีที่สุด ตรงใจก๋งที่สุด แม้ตอนนี้ก๋งจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆเพื่อบ่นเรื่องดอกกุหลาบสีชมพูและกลิ่นน้ำอบ แต่แนก็คอยกำกับควบคุมแทนก๋งอย่างดี

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงเจ็ดนาที

นายก้องเกียรติยังเดินเล่นบริเวณโบสถ์เพียงลำพัง ผมเตะก้อนกรวดพลางมองต้นไม้ที่ปลูกริมรั้ว หยุดอ่านประกาศบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง ช่วยคุณป้าคนหนึ่งกวาดกลีบดอกไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นบนพื้น ผมฆ่าเวลาทั้งหมดไปกับการเดินและสำรวจจนกระทั่งนักดนตรีของโบสถ์เดินทางมาถึง ผมได้ยินศิษยาภิบาลเรียกพวกเขาว่าทีมอนุชน เขาบอกครอบครัวคุณอิศรินทร์ว่าคนกลุ่มนี้แหละจะบรรเลงเพลงในงานของก๋ง

หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปในโถงของอาคารใหม่อีกครั้งเพราะความอยากรู้อยากเห็น ผมแอบนั่งมองทีมอนุชนปรับจูนเครื่องดนตรีเงียบๆและได้แต่คิดว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ โลงศพสีขาว ไม้กางเขนสีทอง เปียโนสีน้ำตาลเก่าๆ กลองชุด กีต้าร์ คีย์บอร์ด เบส และแทมบูรีน นี่พวกเขาจะเห็นทุกอย่างเป็นงานรื่นเริงไม่ได้นะ

“พี่หาตั้งนาน ไปวิ่งเล่นอยู่แถวไหนมา?”

คุณอิศรินทร์ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มือดึงคอเสื้อเพื่อระบายความร้อน ผมยักไหล่แทนคำตอบ พื้นที่โบสถ์ก็มีแค่นี้ พี่คิดว่าผมจะไปไหนได้ถ้าไม่เดินเตะกรวดกับอ่านประกาศบนบอร์ด

“เหนื่อยไหม?”
“ผมต้องเป็นฝ่ายถามพี่ต่างหาก”
“เหนื่อยดิ” พี่อู๋ตอบ คราวนี้ถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเลยเหรอพ่อ “ก้องอยากกลับบ้านก่อนไหม? กว่าพิธีวันนี้จะเสร็จก็เกือบสามทุ่มแน่ะ”
“ผมกลับไปก็เหงาสิ ไม่มีพี่อยู่ด้วย”
“เออ พูดจาเข้าหูดีว่ะวันนี้” คุณอิศรินทร์หัวเราะ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเข้าหูตรงไหน ปกติเราคุยกันแบบนี้ประจำ “หิวหรือยัง? พี่จะพาไปกินข้าว”
“แต่ผมเห็นแม่ครัวตั้งหม้อเตรียมเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว”
“ก็ให้แขกกินสิ ส่วนเราหาอะไรอร่อยๆข้างนอกกินดีกว่า”
“แนไม่ว่าเหรอถ้าจู่ๆพี่หายตัวไป?”
“โอ๊ย -- เขาชินกันทั้งบ้านแล้ว” พี่อู๋ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้า ไม่เหมือนพี่อู๋คนเดิมที่เคยสบถด่าการจราจรแยกรัชดาลาดพร้าวเลย “เนี่ย ร้านอร่อยอยู่ไม่ไกล นั่งสองแถวไปก็ได้”

ผมพยักหน้าตกลง เอาเถอะ คุณอิศรินทร์อยากทำอะไรผมก็ไม่ขัดแล้วเวลานี้ เราสองคนเดินออกจากโบสถ์เงียบๆไม่ได้บอกใครว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอเห็นรถสองแถวสีน้ำเงินวิ่งเข้ามาเทียบฟุตปาธ เราก็กระโดดขึ้นรถโดยมีเสียงแนตะโกนไล่หลัง

“ไอ้หมูอู๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ผมหัวเราะก๊าก ไอ้หมูอู๋ ไอ้หมูอู๋ สมน้ำหน้า กลับมาต้องโดนแนด่าแน่ๆเลย



ห๊ะ!! นี่ยังไม่ part 3 อีกเหรอ ใช่แน้วคุงพี่ ตอนนี้เรื่องมันย๊าว  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-05-2019 20:43:22
23 [PART3]

ผมรู้มาว่ารถสองแถวราคาสิบบาทตลอดสาย

พี่อู๋ยื่นแบงค์ยี่สิบให้คนขับเมื่อรถจอดเทียบใกล้กับสี่แยกไฟแดงตรงกับสะพานลอยสีแดง ผมเห็นซุ้มประตูแบบจีนบนสะพานด้วย แถวนี้มีร้านขายทองเรียงรายติดๆกัน ที่มากพอๆกับร้านทองคือร้านขายยา พวกเขาแทบจะเปิดร้านสลับกันเลย ร้านทอง ร้านขายยา ร้านทอง ร้านขายยา ร้านขายนาฬิกา ร้านขายทอง ร้านขายทอง ร้านขายยา

ร้านขายทองเยอะๆ -- แสดงว่าแถวนี้คือบ้านสมาร์ทใช่ไหม?

ผมไม่ได้ถามพี่อู๋เพราะเห็นเขาเหนื่อยมาทั้งวัน แถมยังพากอริลลาก้องออกตะลุยกินร้านอร่อยที่ซุกอยู่ในหลืบในซอยอีก ช่วงแรกที่เราเดินบรรยากาศก็คึกคักดี ร้านค้าพวกนี้ถูกทาสีใหม่แต่กลิ่นอายความคลาสสิคยังหลงเหลืออยู่ เราเดินผ่านหน้าร้านขายเบเกอรี่ที่ชื่อวังเด็ก ผ่านร้านขายสังฆภัณฑ์ ร้านขายของเด็กอ่อน ข้ามถนนบนทางม้าลายซึ่งเป็นการข้ามแบบเสี่ยงตายเพราะไม่มีใครจอดให้เรา พี่อู๋ต้องจับมือผมแน่นเพื่อค่อยๆเดินทีละนิด ทีละนิด และก้มหัวขอบคุณเมื่อรถเก๋งคันหนึ่งจอดให้เราข้าม

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

คุณอิศรินทร์บอกและพาข้ามถนนอีกรอบ คราวนี้เรายืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียน มีกระเป๋านักเรียนห้อยต่องแต่งเหมือนสอยดาวตามงานวัด ทีแรกผมคิดว่าร้านอร่อยของเขาจะเป็นห้องอาหาร มีแอร์ มีบานกระจก มีการจัดตกแต่งดีๆเหมือนที่เรามักจะไปในกรุงเทพ แต่ยิ่งเดินเข้าลึกเข้าไปในซอยผมยิ่งคิดว่าไม่น่าใช่ เพราะซอยที่เรากำลังเดินอยู่นั้นแคบมาก แคบจนรถยนต์วิ่งเข้ามาไม่ได้ บนถนนขรุขระมีแอ่งน้ำขังเพราะขาดการซ่อมแซม ผมเดินย่ำแอ่งน้ำ เดินผ่านกองขยะ ผ่านบ้านเก่าๆที่ดูเหมือนบ้านร้าง ก่อนจะเห็นแสงไฟลอดออกมาจากอาคารหลังนึง

“ร้านโกชิน” พี่อู๋บอกเมื่อเห็นกอริลลาอ้าปากเหวอ “อย่าตัดสินจากหน้าร้านนะ กินก่อน แล้วค่อยวิจารณ์”

พี่อู๋พาผมไปนั่งที่โต๊ะเก่าๆตัวหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมโต๊ะเป็นป้ายไวนิลโฆษณา มีเหยือกน้ำวางอยู่ข้างๆ มีทิชชู่สีชมพู ไม้จิ้มฟัน ตะกร้าใส่ช้อนส้อมและกล่องใส่ตะเกียบ ดูเผินๆเหมือนร้านสตรีทฟู้ดทั่วไปในกรุงเทพ แค่เปลี่ยนจากบนฟุตปาธมาเป็นถนนเส้นเล็กๆที่มีแอ่งน้ำขัง มีกลิ่นชื้นแฉะ มีกลิ่นอายความวังเวง

คุณอิศรินทร์สั่งผัดเครื่องแกงหมูกรอบ ไข่เจียวหมูสับ เกี๊ยวปลา และผัดผักบุ้งไฟแดงซึ่งเมนูพื้นฐานที่กินร้านไหนก็ได้ ระหว่างรอกับข้าวมาเสิร์ฟ ผมใช้นิ้วเคาะโต๊ะทบทวนโน้ตเพลงเบาๆ ส่วนพี่อู๋อยู่ในโหมดนั่งมองกอริลลาก้อง มอง แล้วถอนหายใจ มองใหม่อีกที แล้วก็ถอนหายใจอีก ผมถามเขาว่ามองทำไม หน้าผมมีรอยเท้าใครแปะอยู่เหรอ

“พี่แค่สงสัยว่าก้องผ่านมันมาได้ยังไง?”

คุณอิศรินทร์ถาม แต่ผมไม่รู้สึกว่านั่นคือคำถาม ผมคิดว่าเขาแค่พูดกับตัวเองมากกว่า 

“ก้องเก่งมากเลยนะที่ยังอยู่ถึงวันนี้”
“เก่งอะไร ตอนนั้นผมจะฆ่าตัวตายแล้ว แต่พี่นั่นแหละเข้ามาขวาง ผมถึงยังทนหายใจอยู่จนทุกวันนี้ไง”
“ก้องเคยรู้สึกเสียใจบ้างไหม?”
“เรื่องอะไรครับ?” ผมถาม
“ที่ยังมีชีวิตอยู่ --” คุณอิศรินทร์เท้าคางและจ้องหน้าผม “ถ้าวันนั้นพี่ปล่อยให้ก้องกระโดดลงไป ก้องว่าเราจะเป็นยังไง?”
“ไม่เป็นไง ผมก็แค่ตาย ส่วนพี่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป ทำไมจู่ๆพี่ถึงพูดเรื่องนี้ --”

กับข้าวก็ถูกเสิร์ฟขัดจังหวะเวลา ทีแรกผมตั้งใจรอให้เด็กเสริ์ฟเดินไปไกลๆแล้วค่อยถาม แต่กลิ่นหอมของเครื่องเทศ สีสันจัดจ้านของอาหารทำให้คำถามถูกกลืนลงคอ บนโต๊ะของเรามีผัดเครื่องแกงหมูกรอบสีส้มที่มีใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า และถั่วฝักยาวเป็นส่วนประกอบ ผมไม่ว่าอะไรเมื่อเห็นถั่วฝักยาวในกับข้าวจานนี้ แต่ถ้าเจอถั่วฝักยาวในกะเพราล่ะก็ -- ก็ไม่อะไร ผมจะกินให้เกลี้ยงเหมือนกัน

เครื่องแกงหมูกรอบเพิ่งวางได้ไม่กี่วินาที เกี๊ยวปลาน้ำใสกับผัดผักบุ้งจานใหญ่ก็ตามมาเป็นจานที่สองและสาม ปิดท้ายไข่เจียวฟูฟ่อง โอ้โห -- ผมต้องขอลืมเรื่องที่จะคุยกับผู้ปกครองไปก่อน อาหารตรงหน้ามันยั่วจนไม่อยากให้มีคำไหนหลุดออกจากปากนอกจากคำว่า “อร่อย”

“อร่อย!”
“ยังไม่ได้กิน!” พี่อู๋ตบมุก เขาหัวเราะไหล่สั่นพลางตักหมูกรอบให้กอริลลาหนึ่งชิ้น “นี่หมูกรอบ เนื้อแน่น หนังกรอบแบบเหนียวๆ เคี้ยวจนปวดกราม ลองชิมดูนะ”

นายก้องเกียรติตักหมูกรอบกับข้าวสวยใส่ปาก รสสัมผัสของผัดเครื่องแกงจานนี้ไม่เหมือนที่เคยกิน หนังหมูกรอบกัดแล้วกังกร๊อบ เนื้อหมูก็แน่นจนต้องออกแรงเคี้ยวเหมือนที่พี่อู๋ว่า แต่ทีเด็ดของจานนี้คือเครื่องแกง เครื่องแกงที่ใช้ผัดทั้งหอมและมัน เผ็ดร้อนนิดหน่อยให้พอรู้ว่า เออ ฉันเผ็ดนะ ฉันคือเครื่องแกงตำด้วยสากคนใต้ รสชาติไม่ติดหวานหรือไม่เค็มจนเกินไป เป็นความกลมกล่อมแบบเผ็ดร้อนที่โคตรลงตัว ผมชอบจานนี้มากๆ ให้สิบคะแนนเลย 

 เราสองคนกินข้าวด้วยกันเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ผมตักหมูกรอบ ราดด้วยน้ำซุปหวานกระดูกหมูและกินหนึ่งคำ คำที่สองตักไข่เจียว คำที่สามผัดผักบุ้ง แล้ววนกลับไปกินหมูกรอบอีกครั้ง เรากิน กิน กินจนเรอดังเอิ๊ก กินจนเกลี้ยงไม่เหลืออะไรติดจานนอกจากใบมะกรูดกับพริก พี่อู๋ดูมีความสุขขึ้นเยอะเมื่อได้กินข้าวที่นี่ ผมถามเขาว่าชอบร้านนี้มากเลยเหรอ เขาส่ายหน้าและตอบว่า

“ร้านไหนไม่สำคัญหรอก” คุณอิศรินทร์พูดทั้งๆที่ยังคาบไม้จิ้มฟันในปาก ท่าทางดูเหมือนกุ๊ยประจำซอยในละคร “ที่สำคัญคือมากินกับใครต่างหาก”

ผมทำเป็นพยักหน้า อ๋อ เหรอ เหรอครับ อืม อืม แล้วลุกขึ้นเมื่อผู้ปกครองจ่ายค่าข้าวเสร็จ คราวนี้เขาเดินทะลุออกไปทางท้ายซอย ข้ามถนนเส้นเล็กๆอีกสายและเดินบนฟุตปาธ พอถึงหัวมุมที่เป็นร้านขายของเขาก็เลี้ยวซ้ายก่อนจะหันมาบอกนายก้องเกียรติว่า

“กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่”

อะไรของพี่วะ --

ผมสบถในใจ พอเดินเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าพี่อู๋พามาซื้อขนมจากรถพ่วงข้างที่จอดขายหน้าห้างลัคกี้ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเป็นร้านขายขนมไทยด้วยซ้ำ เห็นคนยืนมุงเป็นวงกลม ผมคิดว่าเขากำลังเก็งหวยกัน ที่ไหนได้ ต่อคิวซื้อขนม

“เอาทองหยิบยี่สิบบาทครับ ฟังทองสังขยาสามชิ้น แล้วก็ --” พี่อู๋หันมาถามผม “ก้องชอบทองอะไร? ทองหยิบ? ทองหยอด? ฝอยทอง?”
“ทองคำแท่ง”
“มะเหงกสิ” เขาเขกหัวกอริลลา ผมบุ้ยปาก ก่อนจะบอกว่าทองหยิบครับ
“งั้นทองหยิบยี่สิบบาทอีกถุงนึงครับ”

เรายืนรอคิวเกือบห้านาทีกว่าได้ขนมไทยมาครอบครอง พอซื้อเสร็จ ทุกอย่างก็กลับมาว่างเปล่าเพราะไม่มีจุดหมายให้ไปต่อ ผมคิดว่าซักพักพี่อู๋คงจะโบกสองแถวกลับโบสถ์ แต่ความจริงคือเขาไม่ยอมกลับ คุณอิศรินทร์พาผมเดินเที่ยวเล่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวประดุจตัวเองเป็นไกด์ นี่คือห้างเก่าแก่ของเมืองนะครับ ลัคกี้คือห้างที่อยู่ทางซ้าย ถัดไปคือสหไทยตั้งอยู่ด้านขวา ถ้าอยากซื้อของที่ระลึกเชิญด้านนี้ครับ

“ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่เลย”

ผมรู้สึกเหมือนได้พี่อู๋คนเดิมกลับมาตอนที่เขาจูงมือพากอริลลาข้ามถนน เราเดินเล่นชั้นใต้ดินในห้างสหไทยเพื่อซื้อขนม เดินดูเสื้อผ้าราคาถูกที่แขวนห้อยบนราว เดินผ่านโซนขายเครื่องสำอางเทลมีและยี่ห้องอื่นๆที่ไม่เคยเห็นโฆษณาในทีวี คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปโซนกิฟต์ช็อปที่ชั้นสาม ในนั้นขายเครื่องเขียนแทบจะทุกชนิดในประเทศคอน ผมเดินเข้าล็อคนั้นออกล็อคนี้ ยืนทดลองขีดเขียนปากกาสีเล่นๆ ลองไฮต์ไลท์ ลองเปิดดูสมุดบันทึกแบบต่างๆ ในขณะที่คุณอิศรินทร์ยืนเลือกกรอบรูปถ่ายตั้งโต๊ะ เขาเลือกอยู่พักใหญ่จึงหยิบไปจ่ายเงิน

“ก้องไม่อยากได้อะไรเหรอ?”

พี่อู๋ถามเมื่อเห็นกอริลลาเดินมาหาตัวเปล่า ผมบอกเขาว่าไม่มีของที่อยากได้เพราะทดลองทุกสีจนพอใจแล้ว สนุกมากครับ ขณะกำลังจ่ายเงิน เสียงโทรศัพท์ของพี่อู๋ก็ดังขึ้น นายก้องเกียรติจอมเสือกแอบมองหน้าเจอเพื่อดูว่าใครโทรมา

เจ๊ออม is calling

โดนด่าแน่ๆพี่ไอ้หมูอู๋

ผมคิด และก็เป็นจริงตามนั้น พี่อู๋หน้าบูดทันทีที่รับสาย เดาเอาว่าเจ๊ออมคงตามให้กลับไปช่วยงานของก๋ง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบเอ็ดนาที คุณอิศรินทร์จูงมือนายก้องเกียรติขึ้นสะพานลอยสีแดงข้ามไปอีกฝั่งเพื่อนั่งรถสองแถวกลับโบสถ์

ช่วงใกล้หนึ่งทุ่มของที่นี่ ท้องฟ้าจะมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่สีน้ำเงินของท้องฟ้า มีแค่แสงจากเกาะกลางถนนเท่านั้นที่ให้ความสว่าง ผมกับพี่อู๋นั่งตรงข้ามกัน เขาพิงหัวกับขอบหลังคารถสองแถวราวกับมันหนักเกินกว่าจะนั่งหลังตรงด้วยตัวเอง พอเห็นสภาพแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ และสายตาแบบนี้ ผมก็เข้าใจทันทีว่าการหนีออกมากินข้าวกับผมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการไตร่ตรอง พี่อู๋คิดไว้แล้ว เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะออกจากโบสถ์ตอนกี่โมงเพื่อไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปกับใคร แผนการที่เขาทำไม่ใช่แค่ความดื้อรั้นของหลานชายคนโต

แต่พี่อู๋กำลังหนีความจริง
เขาหนี -- จากจุดที่ทำให้เขาทุกข์ใจ

แต่ไหนแต่ไรผู้ปกครองของผมไม่ชอบเผชิญหน้ากับความจริงอยู่แล้ว เขามักจะหนี หลบซ่อน พยายามเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ตัวเองปะทะกับความเจ็บปวด เขามักจะพาตัวเองออกจากตรงนั้นเสมอ ตอนคบกับคุณหมูพีก็เช่นกัน พี่อู๋ไม่ยอมพูดตรงๆว่าไม่อยากไปต่อ เขามัวแต่รอเวลา ดึงเวลาให้คุณหมูพีเป็นฝ่ายเบื่อจนต้องขอไปเอง แต่พอสถานการณ์มันไม่ได้ดั่งใจ คุณหมูพีไม่ยอมไปง่ายๆ เขาจึงต้องยอมเจ็บตัว ดับเครื่องชนพุ่งเข้าใส่ทุกปัญหาอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่กลัวผลตามมา พอทุกอย่างจบลง เขาก็จะกลับมาเป็นคุณอิศรินทร์คนเดิม คนธรรมดามีบาดแผลเต็มตัวและพยายามหาความสุขใส่ในโลกของตัวเองเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มตรง พี่อู๋กดกริ่งเพื่อให้รถสองแถวจอดหน้าที่ทำการเทศบาล ทันทีที่ลงจากรถเราก็ยืนรอริมฟุตปาธ เตรียมข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อร่วมงานของก๋ง แสงไฟนีออนจากคริสตจักรบอกเราทางอ้อมว่าพิธีไว้อาลัยของคืนแรกใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว ผมหันไปมองผู้ปกครอง มองใบหน้าที่ราบนิ่งเหมือนไม่เสียใจโดยไม่พูดอะไร

พี่อู๋ของผม
พี่อู๋ที่น่าสงสาร --

การออกไปข้างนอกช่วยให้ลืมว่าก๋งตายก็จริง แต่การเห็นโลงศพสีขาวและไม้กางเขนสีทองบรรจุร่างของก๋งเอาไว้เป็นยิ่งกว่าการเฆี่ยนตีให้ได้แผล ในสมองพี่อู๋คงกำลังท่องว่าก๋งตายแล้ว ก๋งตายเมื่อเช้า และวันนี้เขาต้องเข้าร่วมพิธีศพของก๋งในฐานะหลานชายคนโต ก๋งจากไปแล้ว ก๋งจากไปเมื่อเช้า และหลังจากนี้เขาจะไม่ได้เห็นก๋งอีก

เรายืนรอหาโอกาสข้ามถนนอยู่นานมาก ไม่ใช่ว่ารถไม่จอดให้เราข้าม แต่พี่อู๋ไม่ยอมเดินต่างหาก เขามองไม้กางเขนบนอาคารหลังคาอิฐสีแดงด้วยแววตาว่างเปล่า ผมจับมือคุณอิศรินทร์เอาไว้แน่น ตอนที่เขาหันมา ผมไม่ได้พูดว่าข้ามถนนซักทีเถอะครับ แต่ผมจับเฉยๆ แค่จับเอาไว้เฉยๆ ถ้าพี่อู๋ไม่อยากข้าม ผมก็ไม่ข้าม เราจะยืนทำใจอยู่ตรงนี้อีกหน่อยก็ได้ ต่อให้อยากบอกคุณอิศรินทร์ว่าพี่หนีความจริงไม่ได้ แต่ผมไม่มีวันผลักไสเขาให้เผชิญหน้ากับความสูญเสียเหมือนที่คนอื่นทำ ไว้พี่อู๋พร้อมเมื่อไหร่ค่อยยอมรับมันก็ได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยท่องติดหัวว่า แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ผมท่องตลอด แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายบนราวบันได แต่พอเวลาผ่านไป คำว่า แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ก็หายไปด้วย เหลือแค่ความทรงจำดีๆของเรา ซึ่งวันหนึ่งในอนาคต อนาคตที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าพี่อู๋จะทำใจได้ เขาจะทำใจได้แน่นอน สมองของเขาจะเหลือแค่ความทรงจำดีๆระหว่างเขาและก๋งไว้ให้คิดถึง วันหนึ่ง พี่จะเข้าใจและยอมรับมันด้วยด้วยตัวเอง วันหนึ่ง -- วันหนึ่ง --

วันหนึ่ง -- พี่จะเข้มแข็งพอจนรับได้ว่าคนที่พี่รักจะต้องค่อยๆทยอยล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน มันคือสัจธรรม มันคือความจริง ถ้าหากมันเจ็บจนไม่อยากรับรู้ สิ่งที่พี่ทำได้คือหนีไปเรื่อยๆ หนีวนเป็นวงกลม หนีหัวซุกหัวซุน แต่การทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก จริงๆนะ มันไม่เป็นไร พี่ไม่จะตาย พี่จะไม่ตายแค่เพราะคนที่พี่รักจากไป แต่พี่ตายแน่ถ้าพี่ไม่รักตัวเอง ถ้ายังปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือช่วงก่อนเลิกกับคุณหมูพี พี่ตายแน่

“ไปกันเถอะก้อง ถนนโล่งแล้ว”

พี่อู๋พูดหลังจากยืนเหม่อเป็นนาที ผมบีบมือเขาแน่น เราสองคนจูงมือข้ามทางม้าลายด้วยกัน อย่ากลัวเลยนะพี่อู๋ ผมบอกเขาในใจ นายก้องเกียรติจะอยู่ตรงนี้ ผมจะคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้พี่จากข้างหลังเองครับ


TBC

___________________________

ขอโทษที่มาต่อช้านะคะ แต่หนูมาแล้วน้า
อาจจะยาวหน่อย ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
:hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 18-05-2019 21:24:14
สงสารพี่อู๋จัง เนื้อเรื่องดำเนินเรื่อยๆดีจังค่ะ เราจะได้อยู่กับพี่อู๋และน้องก้องไปนานจนวันนึงมันพัฒนาเป็นความรักเนาะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 18-05-2019 21:26:05
เป็นกำลังใจให้พี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-05-2019 23:01:13
สู้ๆนะพี่อู๋  :กอด1:
ก้องโตขึ้นมาก เป็นน้องก้องที่เข้มแข็งมาก ดีใจที่น้องมาถึงจุดนี้ได้ น้องมองโลกตามความเป็นจริงได้และยังเข้าใจความรู้สึกของพี่อู๋ น้องก้าวผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ สองคนนี้จะเป็นกำลังใจให้กันและกันในวันที่อีกฝ่ายนึงเผชิญกับเรื่องแย่ๆ
ขอให้พี่อู๋ผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้นะคะ :L2:

ไม่รู้จะชื่นชมยังไงดีกับนักเขียน เพราะเราชอบเรื่องนี้มาก อ่านเท่าไหร่ก็ไม่พอ555 อยากอ่านต่อเรื่อยๆ
ชอบการดำเนินเรื่อง ชอบสำนวนในการเขียน ชอบการที่พระเอกนายเอกไม่เร่งรีบในการตกหลุมรักกันง่ายๆ
ไม่ต้องรีบจีบกัน มีสิ่งรอบข้างให้ได้โฟกัส มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ชอบความค่อยๆเป็นค่อยๆไป ใส่ใจรายละเอียด ซึ่งมันค่อนข้างหายากกับนิยายวายสมัยนี้ ดีใจที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ออกเล่มเปย์แน่นอนค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 18-05-2019 23:23:57
โอ้โห โคตรชอบอ่ะ แต่งดีมั่ก โคตรรักเลย คราวนี้จะเป็นคุณก้องเกียรติที่ต้องดูแลอิศรินทร์รึเปล่าา ยาวมั่กตอนนี้อยากได้ซัก5พาร์ท ><
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 18-05-2019 23:29:53
บางทีก็มองว่าก้องเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่อู๋อีกนะ
สองคนนี้คงต้องอยู่เป็นกำลังใจกันและกันไปเรื่อยๆแล้วล่ะ
อู๋ขาดก้อง ไม่น่าไหว
ก้องขาดอู๋ก็ไม่น่ารอด
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-05-2019 12:55:59
น่าสงสารพี่อู๋อ่ะ เข้าใจความรุ้สึกเลย กอริลล่าก้องจับมือพี่เขาแน่นๆนะ เดวมันก็ผ่านไป

แต่แอบคิดว่าตัวเองกำลังป่วยเหมือนพี่อู๋อ่ะ อะไรที่รุ้ว่าจะทำให้ทุกข์จะหนีเหมือนกัน รุ้สึกเลยว่าตัวเองหนีความจริงรับความจริงไม่ได้ :ruready
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-05-2019 16:26:36
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-05-2019 19:11:40
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-05-2019 00:28:12
แล้วมันจะผ่านไปนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 26-05-2019 10:13:36
ความรักคือความเข้าใจ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 26-05-2019 23:01:56
ก้องโตจึ้นมากแล้ว ในเวลาแบบนี้สามรถปลอบคนที่กำลเผชิญหน้ากับความสูญเสียได้ก็ดีมากแล้ว อ่านไปก็ร้องไห้ไปค่ะ เป็นความจริงที่ว่าตอนงานศพถูกจัดขึ้น ในหัวมีแต่คำว่าเราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วนะ นั่นเป็นความคิดที่เศร้าที่สุด สำหรับการจากไปของคนที่รักคนนึง สัจธรรมเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำใจยอมรับมันได้ยากสำหรับเรา พอถึงเวลาจริงๆ คำปลอบใจเรื่องชีวิตมันสั้นอย่างนู้นอย่างนี้แทบไม่มีความหมายเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 23 update!] 18/5/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-05-2019 23:54:16
เป็นกำลังใจให้พี่อู๋ ก้องเก่งมากเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 03-06-2019 21:35:34
24


เราหนีความจริงนานแค่ไหนก็ได้ แต่เราหนีไม่ได้ -- เมื่อต้องยืนอยู่หน้าเชิงตะกอน

เพราะนั่นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้อำลาคนที่เรารัก ต่อให้แกล้งทำเป็นลืม แกล้งปิดหูปิดตา แสร้งทำเป็นไม่มองใบหน้านิ่งสงบในโลงศพ แต่จิตสำนึกลึกๆของเรามันจะตะโกนซ้ำๆว่าเขาตายแล้ว เขาตายแล้ว เขาจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เราจะไม่ได้อยู่ด้วยอีกกันแล้ว เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว

และจิตใต้สำนึกนั่นแหละที่บีบบังคับให้เราต้องฝืนใจลืมตาเผชิญหน้ากับความจริง เหมือนพี่อู๋ที่ต้องมองหน้าก๋งครั้งสุดท้ายก่อนเข้าเตาเผา เหมือนแนที่กุมมือเย็นๆของสามีแทนการเอ่ยคำอำลา เพลงฉันจะฝันถึงเธอถูกเปิดผ่านลำโพงโดยฝีมือของใครซักคน น้ำเสียงหวานเศร้าของไวโอลินและนักร้องดังก้องไปทั่วบริเวณพิธี

รู้หรือไม่ ว่าภายในดวงตาสองนั่น
ฉันได้พบความอบอุ่นใจ

แนถอยออกห่างจากโลงศพเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คนอื่นมีโอกาสบอกลาก๋งบ้าง บรรลูกสาวลูกชายต่างทรุดตัวนั่งข้างโลง ใช้มือสัมผัสร่างกายแข็งทื่อของพ่อโดยไม่นึกรังเกียจ น้ำตาอาบนองทั่วใบหน้าของทุกคน ริมฝีปากสั่นระริกของพวกเขาเอาแต่พร่ำบอกลา

รู้หรือเปล่า ว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ
ฉันแอบเพ้อละเมอ คร่ำครวญ

บรรดาเด็กๆก็ร้องไห้เพราะเพิ่งรับรู้ว่าก๋งตาย แต่ยังไม่รู้ว่าความตายและความเศร้าโศกเสียใจจะไม่หยุดแค่หน้าเชิงตะกอน

อิ่มอบอ่วนไอ

หลังจากนั้นพี่อู๋ ผู้ชายคนอื่นๆและสัปเหร่อช่วยกันยกโลงไม้สีขาวเข้าเตาเผา

อยากจะบอกสักคำ
ฉันได้ถลำหัวใจ
ตกอยู่ในความรัก

สัปเหร่อปิดประตูเตาเผา คุณแม่สร้อยเพชรร้องไห้จนแทบเป็นลม ส่วนแนยืนมองก๋งสุดสายตาโดยมีลูกชายคนโตประคองอยู่ไม่ห่าง

เมื่อตะวันนิทรา
ฟ้าจะรอพบจันทร์

สัปเหร่อกดสวิตช์ให้เตาเผาไฟฟ้าทำงาน

ฉันจะฝันถึงเธอ

ทุกคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนกอริลลาก้องที่ยืนอยู่หลังสุดได้แต่อธิษฐานในใจ หลับให้สบายนะครับก๋งเตี้ยม หลังจากนี้ -- ผมจะดูแลพี่อู๋เองครับ



วันถัดมาบ้านกลับกลายเป็นสวนสนุกร้างที่ไม่มีสีสัน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีบรรกาศรื่นเริงตามประสาครอบครัวใหญ่ ไม่มีเสียงเพลงสวัสดีปีใหม่เหมือนหลังอื่นๆ บ้านของคุณอิศรินทร์ปิดประตูลงกลอนแน่นสนิท หลานๆทยอยกลับบ้านของตนจนเหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คนในบ้านหลังนี้ เจ๊ออมกับสามีหอบเอาลูกเล็กและข้าวของเตรียมกลับหาดใหญ่เหมือนกัน เธอบอกว่ามีคนไข้ต้องกลับไปดูแลอีกเยอะ แต่ผมรู้ว่าลึกๆเธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอทนอยู่ในบ้านที่มีแต่ความทรงจำระหว่างก๋งกับตัวเองไม่ได้

“ขาดเหลืออะไรโทรหาเจ๊นะ”

เธอบอกน้องชายที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ริมรั้ว คุณอิศรินทร์ฝืนยิ้มแล้วดึงพี่สาวเขามากอด สองพี่น้องร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ๊ออมจะผละตัวออกและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้น้องชาย

“อู๋คิดถึงเอม”
“เจ๊ด้วย”

พวกเขาเงียบกันอีกพักใหญ่ก่อนที่เจ๊ออมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งธนบัตรสีเทาให้ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติ

“เก็บไว้ใช้นะ”
“เจ๊ไม่ต้องให้หรอก อู๋มี”
“เก็บไว้เถอะ ได้งานใหม่เมื่อไหร่ค่อยคืนเจ๊ก็ได้” เธอยิ้มพร้อมกับดึงหูน้องชาย “แล้วก้องล่ะ? หลังจากนี้จะทำยังไง?”

แต่พี่อู๋ก็ไม่ให้คำตอบว่าจะจัดการตัวแถมของบ้านยังไง

“ -- มากเลยเหรอ?”

เจ๊ออมถามจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุกวิ่งผ่านพอดีทำให้ได้ยินประโยคแรกไม่ชัด แต่เดาเอาว่าคงเป็นเรื่องสำคัญเพราะพี่อู๋ไม่คุยหยอกล้อเหมือนเคย

“ถึงแล้วโทรบอกอู๋นะ”

คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบเช่นเคย เขายืนส่งพี่สาวจนขับรถออกไปจนสุดสายตาแล้วหันมาหากอริลลาก้อง เราเดินเข้าบ้านเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน ในห้องอาหารไม่มีใครอยู่เลย มีแค่ผมกับผู้ปกครองเท่านั้นที่นั่งกินไข่เจียวแบนๆกับปลากระป๋อง พี่อู๋บอกว่าร้านกับข้าวหยุดขายกันช่วงปีใหม่ เราเองก็เพิ่งผ่านงานใหญ่มาเมื่อวาน ไม่มีใครมีอารมณ์ออกไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเลยซักคน

“ผมทำให้ได้นะ”

ผมเสนอตัวเพราะอยากเป็นประโยชน์กับผู้มีพระคุณบ้าง แต่พี่อู๋ส่ายหน้า เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก นอนเฉยๆสบายๆไปเถอะ หลังกินข้าวเสร็จผมจึงเก็บจานชามไปล้างแทน บรรยากาศเช้าวันแรกที่ไม่มีก๋งเงียบเหงากว่าแต่ก่อน ป้าอ้อยไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดของใช้ของก๋ง คุณแม่สร้อยเพชรก็ไม่ขึ้นๆลงๆระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง ส่วนแน --

แน แนไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างบนตลอดเวลาอีกแล้ว แต่แนย้ายลงมาใช้เวลาในห้องนั่งเล่นใหญ่กับทุกคน ผมเห็นแกนอนดูทีวีสลับกับกินผลไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีของแนต่างจากหญิงหม้ายที่เพิ่งเสียสามีโดยสิ้นเชิง แกดูเพลิดเพลินกับรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งโดยมีคุณแม่สร้อยเพชรนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างๆ มือหนึ่งจิ้มแก้วมังกรใส่ปาก อีกมือถือพัดกระดาษ โบกเบาๆให้พอช่วยคลายร้อน

นายก้องเกียรติผู้ไม่มีหน้าที่อะไรได้แต่เกาะติดพี่อู๋เป็นลูกลิง เขาไปไหนผมไปด้วย เขากินอะไรผมกินด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เปิดกระป๋องนมผงของก๋ง ผมจึงร่วมวงด้วย

เอนชัวร์กลิ่นวานิลลา

ผมถามผู้ปกครองว่าก๋งกินนมของเด็กด้วยเหรอ เขาบอกว่าไม่ใช่ นมกระป๋องยี่ห้อนี้ไม่เหมือนนมผงเด็กที่วางขายในห้าง แต่เป็นนมวิเศษ

“กินแล้วลอยได้เหรอครับ?” ผมถามพลางรับแก้วนมอุ่นๆจากเขา พอลองจิบหนึ่งคำถึงเข้าใจว่านมวิเศษเป็นยังไง
“อร่อยไหม?”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบและยกซดจนหมดแก้ว พี่อู๋บอกว่านมยี่ห้อนี้เป็นสามารถใช้เป็นอาหารหลักสำหรับผู้ป่วยภาวะผักได้ ถึงก๋งจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสรสชาติว่ามันทั้งหอมหวานและอร่อยแค่ไหน แต่ก๋งได้รับคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนแน่นอน

“เราเอาของก๋งมากินแบบนี้จะดีเหรอครับ?”
“ดีสิ” พี่อู๋กระดกนมอึกๆ “จะปล่อยให้มันหมดอายุไปพร้อมก๋งทำไม เสียของ”

ก็จริง ก๋งไม่อยู่แล้ว นมหกกระป๋องนี้ก็ไม่รู้จะทิ้งไว้เฉยๆทำไม ดังนั้นเราสองคนจึงเอานมทั้งหมดมาสร้างเมนูใหม่ๆ โกโก้นมเอนชัวร์ พุดดิ้งนมเอนชัวร์ ไอศกรีมนมเอนชัวร์ และสารพัดเมนูของหวานเท่าที่เราคิดออก น่าเสียดายที่เราใช้เตาอบไม่เป็น ไม่งั้นคงมีเค้กนมเอนชัวร์ออกมาให้ทุกคนได้ชิมแน่ๆ

“เล่นไม่รู้จักโต”

คุณแม่สร้อยเพชรดุเมื่อเดินเข้ามาเจอพี่อู๋ใช้ช้อนตักนมก้นกระป๋องใส่แก้ว คุณอิศรินทร์ไม่สะทกสะท้านกับคำด่า เขาพยักเพยิดไปทางแก้วนมร้อนแล้วถามแม่ว่ากินไหม เธอตอบว่ากิน ก่อนจะหยิบแก้วที่นมอุ่นๆเดินออกจากห้องครัวไป

ผมกับผู้ปกครองชงนมเล่นจนหมดกระป๋องแล้วจึงขึ้นชั้นสาม เราสองคนว่างจนต้องฆ่าเวลาด้วยการนอนอืดบนเตียงจนถึงบ่ายสามครึ่ง พอลืมตามองเพดาน สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือมื้อเย็น ผมคิดหนักมากว่าควรทำอะไรก่อนระหว่างลุกจากเตียงไปหาของกินหรือรอจนกว่าผู้ปกครองจะตื่น สุดท้ายผมเลือกลุกจากเตียง เดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง แต่ในครัวไม่มีของกินเลย

“หิวเหรอก้อง?”

ป้าอ้อยถามเมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งแอบเปิดฝาชีหากับข้าว ผมยิ้มเจื่อนและบอกว่าเปล่าครับ แต่ท้องมันร้อง เลยหลอกแกไม่ได้

“ไปซื้อกับข้าวที่แม็คโครไหม?”

ป้าอ้อยชวน ผมรีบตอบตกลง คว้าถุงผ้าใบใหญ่ที่วางบนเก้าอี้ทานข้าวแล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปร้านค้าส่งใกล้บ้านทันที 




พี่อู๋เดินเกาตูดมาหาผมตอนนาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงยี่สิบสามนาที

หัวของเขาฟูยุ่ง ใบหน้าง่วงเหมือนหมีเมาน้ำผึ้งมองมาที่นายก้องเกียรติอยู่หลายวินาที เขาดูงุนงงเมื่อเห็นผมยืนทอดไก่อยู่หน้าเตาจนป้าอ้อยต้องใช้ให้จัดโต๊ะ คุณอิศรินทร์ถึงเดินอึนๆ ถือจานและยกหม้อหุงข้าวไปวางเตรียมไว้

“ไก่ทอดฝีมือน้องก้อง”

ป้าอ้อยพูดระหว่างวางจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร นี่คือมื้อแรกที่เราได้ทานข้าวด้วยกันหลังก๋งจากไป มันเป็นมื้ออาหารเหงาๆที่ต่างคนต่างตักกินโดยไม่พูดอะไร แนชมว่าผมทำกับข้าวอร่อย ส่วนพี่อู๋นั่งหน้ามึนแทะไก่หมดไปตั้งหลายชิ้น เขาเอาแต่กิน กิน กิน และกิน กินจนเกลี้ยงทุกอย่าง พอท้องอิ่ม เราก็ช่วยกันล้างจานเงียบๆในครัว ตอนนั้นแหละผมถึงเข้าใจความรู้สึกของเจ๊ออมว่าทำไมเธอถึงรีบกลับหาดใหญ่ บ้านที่คนรักเพิ่งจากไปนี่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย บรรยากาศดูเศร้า ทุกคนเอาแต่ซึมไม่ยอมพูดจา บ้านหลังใหญ่ที่เคยน่าอยู่ก็เลยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเป็นผมก็คงไม่รู้จะอยู่ทำไมเหมือนกัน สู้หนีไปไกลๆ หนีไปพักใจน่าจะดีกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสี่สิบเก้านาที บ้านหลังใหญ่น่าเบื่อเสียจนนายก้องเกียรติต้องเอาคางเกยโซฟาดูทีวีเฉยๆ ข้างๆคือพี่อู๋ผู้ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเหม่อ ตามองทีวี แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังดูรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งหรอก ก็แค่หาจุดวางสายตาเท่านั้น ผมบอกตัวเองว่าต้องให้เวลาผู้ปกครองอีกหน่อยเพราะตอนแรกที่เสียแม่ไปผมเองก็ไขว้เขวและนั่งซึมทั้งวันเหมือนเขา อาจจะต้องรออีกหนึ่งเดือน สองเดือน หรือสามเดือน พี่อู๋ถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่ม แนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นใหญ่ บนหน้าของแนมีแป้งสีขาวทามั่วไปหมด เลอะคิ้วบ้าง เลอะขนตาบ้าง แต่ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไร ปล่อยให้หน้าของแนเลอะแป้งต่อไปราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสามนาที แนพูดว่าไอ้หมูอู๋มาบีบตีนให้แนหน่อย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบนาที ไอ้หมูอู๋ของแนบอกว่าไม่บีบแล้ว ขี้เกียจ

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนตัดพ้อหลานชายว่าแค่บีบตีนให้แนมันเหนื่อยมากเลยเหรอ พี่อู๋ตอบว่าใช่ เหนื่อย เมื่อยมือ แนเรียกป้าอ้อยมาบีบแทนเถอะ อู๋ปวดนิ้ว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สามสิบเจ็ดวินาที แนด่าคุณอิศรินทร์ว่าตอแหล

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสองวินาที พี่อู๋บอกว่าตอแหลเก่งเหมือนยาย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสี่วินาที แนเขกหัวพี่อู๋

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที แนเรียกป้าอ้อยให้มาช่วยบีบแก้เมื่อย แต่ป้าอ้อยไม่อยู่ แกหายไปพักผ่อนบนชั้นสอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ยี่สิบแปดวินาที แนบอกหลานชายว่าจ้างบีบตีน ให้นาทีละสามบาท

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที สามสิบสี่วินาที พี่อู๋ต่อรอง ขอนาทีละสิบบาท เลยโดนแนเขกหัวอีกที

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ห้าสิบวินาที นายก้องเกียรติเบื่อที่จะต้องดูเวลาบนหน้าปัดดิจิตอล จึงบอกแนว่าผมนวดให้ก็ได้ครับ ผมนวดดีมากนะ เคยเดินผ่านบูธนวดไทยสมัยมัธยมด้วย แนถามว่าการเดินผ่านบูธนวดไทยทำให้นวดเก่งเหรอ ผมส่ายหน้า บอกว่าแค่อวดเฉยๆ เดี๋ยวไม่มีสตอรี่ โก่งค่านวดไม่ได้

“ให้นาทีละห้าบาท”

แนพูดภาษาใต้พร้อมชูนิ้ว นายก้องเกียรติยิ้มร่า บอกว่าล้อเล่นครับ ไม่คิดเงินหรอก และคลานเข่าเข้าไปนวดให้แน

นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มสามสิบนาที พี่อู๋บอกว่านวดให้เขาบ้างสิ ผมจึงฉวยโอกาสโก่งราคา ขอคิดค่านวดนาทีละสิบห้าบาท

และคำตอบของผู้ปกครองคือมะเหงกหนึ่งที




นายก้องเกียรติกลายเป็นมือขวาของแนตลอดหนึ่งสัปดาห์

ไม่ว่าจะเพราะฝีมือนวดที่เข้าตา หรือทักษะพูดประจบประแจงฉอเลาะผู้ใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เอาเป็นว่าตอนนี้แนชอบผมมากๆก็แล้วกัน

ผมไม่ได้ทำดีกับคุณยายของผู้ปกครองแบบหวังผล แต่พอถลำตัวเข้าวงการหลานดูแลคนแก่แล้วมันออกยากต่างหาก พอเราเอาใจคนแก่หนึ่งครั้ง เราจะไม่กล้าปฏิเสธคำขอของครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่จนถอนตัวไม่ได้ เดี๋ยวแนมักจะเรียกผมไปบีบนวด นวดปลายเท้าบ้าง นวดขาบ้าง นวดหลังบ้างสลับกันไป และแกมักจะตอบแทนเป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆหลักสิบหลักร้อยให้พอได้ซื้อของกินในเซเว่น

วันหนึ่งตอนที่กำลังบีบปลายเท้าให้แน จู่ๆแนก็ถามว่าผมอายุเท่าไหร่ พอบอกว่าเพิ่งสิบแปดได้ไม่ถึงเดือน แกก็งึมงำๆพูดว่าอายุเท่าเอมเลย

“ตอนนี้เรียนหนังสือที่ไหน?” แนถาม พอผมบอกว่าไม่ได้เรียน แกโมโหใหญ่เลย “ทำไมไม่เรียน? พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ?”

ไม่ว่าครับ ไม่มีใครกล้าว่าผมด้วย แม้แต่พี่อู๋ยังไม่เคยดุนายก้องเกียรติเรื่องเรียนหนังสือเลย

“พ่อแม่ไปไหน”
“ไม่อยู่แล้วครับ”

ผมยิ้มเจื่อน ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่พอเข้าใจว่าตามประสาคนแก่ ถ้าได้ถามหนึ่งคำถาม ต้องมีคำถามต่อๆไปจนกว่าจะรู้ทุกเรื่อง แนซักไซ้ใหญ่เลยว่าผมเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่ทำงานอะไรถึงไม่ส่งให้เรียนหนังสือ ผมก็โกหกบ้าง ตอบตามความเป็นจริงบ้างเพื่อให้แนเลิกถาม แต่แกไม่เลิกง่ายๆ เค้นอยู่นั่นแหละว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงไม่เรียนมหาลัย

“แม่ผมเสียแล้วครับ” ผมบอกความจริง “พอดีพี่อู๋ผ่านมาเจอเลยให้ผมอยู่ด้วย”
“เจอแถวไหน?”

ถ้าตอบว่าสะพาน แนจะเข้าใจหรือเปล่านะ

ผมนึกสงสัย แต่ก็ยังให้คำตอบกลางๆกับแนไปเรื่อยๆ แกถามนั่นถามนี่อยู่พักใหญ่แต่ไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรให้นอกจากเซ้าซี้ถามจนหมดไส้หมดพุง พอไม่มีเรื่องจะตอบ เราก็เงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนยื่นเงินให้ผมห้าร้อยบาทและบอกว่าค่าติ๊บ

“ขอบคุณครับ”

ผมยกมือไหว้ก่อนจะกลับขึ้นห้องนอน สวนกับพี่อู๋ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จตรงบันได เขาถามผมว่าจะไปไหน พอบอกว่ากลับห้อง เขาก็พยักหน้าแต่ไม่ได้เดินตาม

“พี่ว่าจะคุยกับแนหน่อย”

คุณอิศรินทร์บอก ผมตอบแค่โอเคครับแล้วปลีกตัวไปอาบน้ำ เลือกหยิบเสื้อผ้าของเอมมาสวมก่อนจะเข้าห้องนอน เก็บเงินห้าร้อยบาทเข้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ในลิ้นชักข้างเตียง ระหว่างรอพี่อู๋ขึ้นมาผมก็นอนตีพุงเล่นๆ จินตนาการวาดฝันถึงบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ตอนนี้แนรู้แล้วว่าผมเป็นเด็กกำพร้า ผมไม่มีเงิน ไม่มีผู้ปกครองคอยส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนคนอื่นๆ พอมีโอกาสได้บอกแนว่าสถานะของผมไม่เอื้ออำนวยให้เข้าถึงการศึกษา ความหวังที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ค่อยๆเห็นปลายทางขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดถึงน้องๆที่เห็นในโบสถ์ คิดถึงคำพูดของสมาร์ทที่บอกว่าให้ไปเอาหนังสือได้ทุกเมื่อ

ผมคิด -- คิดไกลถึงขนาดเห็นภาพตัวเองสวมชุดนักศึกษา แต่สวมเน็คไทของมอไหนไม่รู้ ผมคิดไว้แค่อยากเรียนต่อในระดับปริญญา

พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะตอนนายก้องเกียรติกำลังฝันหวาน พอเขาบอกว่าพรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านแล้วนะ ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งเพราะตกใจ

“ทำไมเราถึงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ครับ?”

กอริลลาก้องถามพลางมองผู้ปกครองจัดกระเป๋า เขาหยิบเสื้อผ้ายัดๆม้วนๆแบบลวกๆก่อนจะหันมาตอบคำถาม
“เดี๋ยวทุกคนสงสัยว่าทำไมพี่ลางานได้หลายวัน” พี่อู๋บอก “ปกติพี่หยุดแค่สองสามวันเองก้อง นี่ผ่านมาตั้งสองอาทิตย์ แนเริ่มสงสัยแล้วด้วย”
“งั้นเราจะไปอยู่ที่ไหน?”

ผมกังวล ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่สนหรอกว่าต้องนอนที่ไหน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องเรียนต่อเป็นภาระใจ ผมอยากคุยกับแน อยากหาทางขอความช่วยเหลืออ้อมๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อก็เปล่าประโยชน์ ผมจะขอทุนจากใครถ้าไม่ใช่แน

“พี่จะกลับลาดพร้าวเหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นเราจะไปไหนกันครับ?”
“ท่าศาลา” พี่อู๋ชูกำปั้นพร้อมกับร้องเพลงด้วยความฮึกเหิม “หากเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า --”
“ป่าละเมาะที่ไหนอีก?” ผมเบ้หน้าจะร้องไห้
“ป่ามะพร้าวต่างหาก” คุณอิศรินทร์บอก “บ้านย่าของพี่ติดทะเลด้วยนะ ก้องต้องชอบมากแน่ๆ”
“แล้วย่าพี่จะไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมพี่ไม่ไปทำงาน?”
“ไม่หรอก ย่าพี่ไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เหมือนแน”

ผมไม่เถียง เพราะแนเซ้าซี้เก่งจริงๆตามที่หลานชายว่านั่นแหละ นายก้องเกียรตินั่งมองผู้ปกครองเก็บกระเป๋าตาละห้อย ผมยังไม่มีความกล้ามากพอจะบอกพี่อู๋หรือแนว่าอยากได้ทุนสำหรับเรียนต่อปริญญาตรี ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจ และอีกส่วนหนึ่งยังรู้สึกว่าหนทางอยู่ไกลเกินเอื้อม บ้านคุณอิศรินทร์ค่อนข้างมีฐานะก็จริงแต่ใช่ว่าจะแจกทุนพร่ำพรื่อ ต่อให้สมาร์ทบอกว่าบ้านของเขาชอบสนับสนุนให้เด็กๆเข้าถึงการศึกษา แต่ผมยังไม่กล้าอยู่ดี

“เราจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหนครับ?”

ผมหลุดถามพี่อู๋อย่างลืมตัว เล่นเอาสองมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าชะงักไปพักหนึ่งเลย กอริลลาก้องนึกอยากตีปากตัวเองโทษฐานสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่สายไปแล้ว พี่อู๋หันมองหน้าผมด้วยแววตาไร้คำตอบ เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเร่ไปบ้านญาติๆเพื่อหนีความจริงอีกนานแค่ไหน คงนานพอๆกับที่นายก้องเกียรติเก็บความคิดเรื่องเรียนต่อไว้กับตัว ไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเสียที

“ก้องเบื่อเหรอ?”
“เปล่าครับ”

พี่อู๋คงไม่เชื่อ เขาวางเป้ไว้ข้างเตียงก่อนจะพาผมไปเลือกชุดสำหรับออกต่างอำเภอในห้องแต่งตัว ผมหยิบเสื้อผ้าของเอมมาแค่สองสามชุดและหยิบยืมเป้ของเอมมาด้วย เราแพ็คกระเป๋ากันเงียบๆจนถึงสี่ทุ่มจึงปิดไฟเข้านอน



ไม่วันใดวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ความจริง

ครอบครัวของคุณอิศรินทร์ต้องรู้ว่าเขาตกงาน พวกเขาต้องรู้แน่เพราะเราสองคนคงระหกระเหินเร่ร่อนไปเรื่อยๆไม่ได้ วันหนึ่งเงินของพี่อู๋ต้องหมด วันหนึ่งเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับให้กลับไปทำงาน วันหนึ่งนายก้องเกียรติคงต้องยืนด้วยขาของตัวเอง วันหนึ่งผมเองก็ต้องออกหาเงินรับผิดชอบชีวิตที่เหลือ

วันหนึ่ง --
วันหนึ่ง --
วันหนึ่งความจริงที่เราหนีมาตลอดจะวิ่งไล่ทัน เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ต้องยอมรับมัน แต่ผมกลับไม่กล้าเตรียมใจคิดถึงวันนั้นเลย

รถวีออสออกจากบ้านหลังใหญ่ในอำเภอเมืองแต่เช้า คุณอิศรินทร์บอกลาครอบครัวโดยหลอกให้ทุกคนคิดว่าไปทำงาน แต่จริงๆไปเข้าป่าต่างหาก ผมยกมือไหว้ลาทุกคนและขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจที่หยิบยื่นให้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แนมองหน้านายก้องเกียรติเหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่ได้พูด แค่ให้เงินกอริลลาอีกหนึ่งพันบาท ผมคิดว่ามันมากเกินไป

“เก็บไว้กินหนม”

แกว่าก่อนจะลูบหัวผมและให้พร แนย้ำเป็นครั้งที่สามว่าหากคราวหน้าพี่อู๋กลับใต้อีก ผมจะติดรถมากับเขาด้วยก็ได้ บ้านหลังนี้ที่ตั้งกว้าง มีห้องนอนข้าวของพร้อมต้อนรับกอริลลากำพร้าเสมอ

“ไปแระ”

พี่อู๋กระดกลิ้นกวนตีนและยกมือไหว้เป็นหนสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากรั้วบ้าน ผมนั่งกังวลตลอดทางที่เรามุ่งหน้าสู่อำเภอท่าศาลา พยายามเก็บเรื่องเรียนต่อไว้ในใจและบอกตัวเองว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่โอกาส บางทีผมอาจต้องรอเวลาอีกหน่อย บางทีอาจต้องรอโอกาสหนที่สองซึ่งไม่รู้จะหวนกลับมาเมื่อไหร่ หนังสือของสมาร์ทก็ยังไม่ได้เอา เอ่ยปากขอหยิบยืมเงินเรียนต่อก็ไม่ได้พูด ผมอับจนหนทางทุกครั้งที่คิดเรื่องมหาวิทยาลัย แต่พอมองหน้าพี่อู๋ ผมจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวตลอด ในขณะที่ผู้ปกครองตกงานและเร่ร่อนไปบ้านคนอื่นเรื่อยๆ นายก้องเกียรติกลับคิดถึงแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

“พี่โกรธผมไหม?”
“เรื่องอะไร?”
“ที่ผมพูดเมื่อคืน” ผมมองหน้าผู้ปกครอง รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้พี่อู๋คิดว่าผมเบื่อชีวิตของเรา
“ไม่โกรธหรอก ก้องมีสิทธิ์สงสัยอยู่แล้ว”

บทสนทนาจบลงแค่นั้น ไม่มีการอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมนอกจากแยกกันไปจมเจ่าในโลกของตัวเอง ผมว่าเราเหมือนกันตรงที่กลัวการเริ่มต้นใหม่ พอมีใครซักคนตั้งคำถามถึงสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่แปลกที่จะเกิดบรรยากาศอึดอัดแบบนี้

ตลอดทางที่นั่งรถไปบ้านคุณย่า ผมสั่งตัวเองว่าหลังจากนี้ห้ามพูดหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการเริ่มใหม่อีก ผมท่องในใจซ้ำๆว่าอย่ากดดันพี่อู๋ อย่ากดดันพี่อู๋จนรถแล่นออกจากอำเภอเมือง ลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวที่มีแต่ต้นไม้เป็นทิวทัศน์ มีมอเตอร์ไซค์และรถกระบะเป็นเพื่อนร่วมทางที่พบเห็นตลอดเวลา ตอนนั้นแหละผมถึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง -- จุดที่นั่งรถตะลอนๆไปกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติจนถึงกระท่อมเล็กๆขายผลไม้ริมทาง ผ่านป่ามะพร้าวและสวนยางพารา ผ่านถนนกรวดที่โรยตัวเข้าสู่บ้านชั้นเดียวในป่ามะพร้าว ผ่านหญิงชราที่ยืนกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน

รถวีออสจอดสนิทเมื่อเรามาถึงบ้านของคุณย่าของคุณอิศรินทร์ แกเป็นหญิงชราร่างท้วมเหมือนแนแต่ดูแข็งแรงกว่า หางคิ้วของแกโค้งลงเหมือนยิ้มอ่อนตลอดเวลา ใบหน้ามีความสดใสร่าเริงและประกายความซื่อตรงตามฉบับคนบ้านๆ ทันทีที่พี่อู๋ลงจากรถ แกก็ยกไม้กวาดทางมะพร้าวทักทายหลานชายทันที

“มาตอใดเนี่ยอู๋” (มาเมื่อไหร่เนี่ยอู๋)

คุณย่ายิ้มหวาน ผมยกมือไหว้สวัสดีตามมารยาทพร้อมกับมองรอบๆบ้าน บ้านชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าดูใหม่เหมือนเพิ่งรีโนเวท ด้านข้างมีดอกดาวเรืองปลูกเรียงแถวจนสุดความยาว มีบ่อปลาหางนกยูง มีกระดิ่งลม่างเสียงดังกรุ๋งกริ๋งแขวนไว้ตรงชานบ้าน แต่บนที่ดินผืนนี้ไม่มีพื้นคอนกรีตเลย มีเพียงแค่ทรายหยาบๆที่เกลี่ยไม่เรียบ เวลาเดินจึงยวบยาบจนรองเท้าจมหายไปครึ่งหนึ่ง ดูๆแล้วบรรยากาศก็ร่มรื่นน่าอยู่ดี ผมคิดว่ามันน่าอยู่ -- จนกระทั่งคุณย่าหันมามองและเอ่ยทักกอริลลาก้อง

“พาเด็กขอยพร้าวมาด้วยเออ?” (พาเด็กเก็บมะพร้ามาด้วยเหรอ?)
“หมันแล้ว” (ใช่แล้ว)

คุณอิศรินทร์ตอบยิ้มๆและพูดประโยคที่ผมขนลุกที่สุดในชีวิตออกมา

“อยู่ที่นี่ต้องหัดทำงานนะก้อง”

ไม่ -- นี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมพูดถึงหรอก

“เริ่มจากหัดปีนต้นมะพร้าวก่อนเลย”



TBC
_______________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ฮับ ขอบคุณมากๆเลยสำหรับคอมเม้นท์น่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอ ขอให้สนุกกับการอ่านในตอนนี้นะฮับ  :z2:

ด้วยรักและปลานิล
หนูเอง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 03-06-2019 21:38:45
นายก้องเกียรติเก็บมะพร้าวให้ได้ทุกต้นนะลูกนะ
อ่านไปก็คิดวันหนึ่ง วันหนึ่ง ของพี่อู๋จะมาถึงเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-06-2019 21:47:06
 เริ่มเครียดกับพี่อู๋แล้วเนี่ยะ ท่าทางก้องจะปกติกว่าแล้ว ตะลอนๆอย่างนี้หมอก็ไม่ได้หา จะหายกันมั้ย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Panza ที่ 03-06-2019 21:54:36
5555 กอลิลล่าก้องจะขึ้นมะพร้าวแล้ว เดาทางนักเขียนไม่ถูกกันเลยทีเดียวจะเป็นยังไงต่อน้าคู่นี้ ขอให้พี่อู๋คิดได้เร็วๆน้องจะได้เรียนต่อ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 03-06-2019 23:40:15
พี่ก็ลุ้นทุกตอนให้น้องก้องกลับไปเรียน
สู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-06-2019 00:10:24
อิพี่ใช้งานก้องคุ้มมาก ให้ขึ้นมะพร้าวด้วย ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 04-06-2019 05:37:26
เอาใจช่วยพี่อู๋กับก้องให้มีชีวิตเข้าที่เข้าทางซะที
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-06-2019 11:06:10
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-06-2019 14:36:12
พี่อู๋อาจรอให้ก้องพูดอยู่ก็ได้นะ อยากกลับไปเรียน ๆๆ อะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 04-06-2019 21:50:05
จะได้ขึ้นมะพร้าวแล้วก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Markmeaklove ที่ 05-06-2019 02:12:49
ชอบการเขียนของไรท์มากเลยมีผลงานอื่นให้อ่านไหมคะระหว่างรอน้องก้อง :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 05-06-2019 22:28:56
ได้เวลากอริลล่าก้องออกโรง 5555 /เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-06-2019 13:26:19
อ่านไปอ่านมาน้องก้องกลายเป็นคนแล้ว มีพี่อู่เป็นกอริล่าตัวเดียว  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 06-06-2019 14:20:23
กอริลล่าก้องกับกอริลลอู๋มาอยู่แบบนี้ไม่ต้องกลบไปหาหมอแล้วเหรอ แต่ช่วงนี้นายก้องเกียรติก็ดูเหมือนจะเป็นปกติแล้วนี่นะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 24 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-06-2019 18:13:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 3/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-06-2019 23:48:13
25 [Part 1/2]

ไอ้พี่อู๋ ไอ้บ้า -- หลอกให้ผมปีนต้นมะพร้าวได้ยังไง

ถ้าคุณย่าไม่บอกให้รอพ่อค้า กอริลลาก้องคงปีนต้นมะพร้าวจริงๆตามที่ผู้ปกครองสั่ง คุณอิศรินทร์หัวเราะก๊ากเมื่อเห็นผมเดินวนเป็นวงกลมรอบต้นไม้สูงใหญ่ แหงนหน้ามองปลายยอดที่อยู่สูงเสียดฟ้า ใช้มือลูบๆคลำๆตามลำต้นหาฐานเหยียบเพื่อปีนขึ้นไป ผมจริงจังกับการปีนมากจนคุณย่าต้องเรียกให้เข้าไปกินขนมในบ้านก่อน อู๋มันล้อเล่น หน้าที่ปีนมะพร้าวไม่ใช่ของก้องหรอก แต่เป็นของลิง

“คนซื่อมันก็ซื่อเนาะ”

คุณย่าขำในขณะที่นายก้องเกียรติหน้าแดงฉ่า ไม่ได้แดงเพราะแดด แต่แดงเพราะอับอายที่โดนหลอกให้ปีนต้นมะพร้าว

“แต่เรื่องอยู่ที่นี่ต้องทำงานคือเรื่องจริง”

พี่อู๋ย้ำก่อนจะวางจานแตงโมลงบนโต๊ะไม้สักที่วางหน้าชานบ้าน อากาศตอนสายๆยังไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่การได้กินผลไม้หวานๆถือเป็นเรื่องราวดีๆอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ คุณย่าบอกว่าอาจจะต้องขอรบกวนยืมแรงของผมหน่อย พอดีช่างรับเหมาที่คุยกันไว้ดันทิ้งงานไม่ยอมสานต่อให้เสร็จ ดังนั้นที่นี่เลยมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก มีอะไรบ้างเหรอ?

“ปูเบื้องห้องหน่าม” (ปูกระเบื้องห้องน้ำ) คุณย่าเริ่มชี้ “ทาสี้ (ทาสี) เดินส้ายไฟ (เดินสายไฟ) ติดวงก็อบ (ติดวงกบ) ปรากอบเตียง (ประกอบเตียง) ไอ้ไหร้อีกนะอู๋? (อะไรอีกนะอู๋?)”
“สั้นๆคือทำทั้งบ้านอ่ะ”

พี่อู๋แปลให้ฟังก่อนจะพูดสรุป คุณย่าพยักหน้ายิ้มและตอบว่าใช่ สั้นๆคืองานรีโนเวททั้งบ้าน ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก ไม่ได้อึ้งเพราะจำนวนงาน แต่อึ้งที่รู้ว่าต้องผันตัวไปทำงานช่างแทนงานในครัวเหมือนที่ผ่านมา

“ผมคิดว่ารีโนเวทเสร็จแล้วนะเนี่ย” ผมหัวเราะแหะๆ ตอบแก้เก้อและกัดแตงโมเพื่อเติมพลังอีกหนึ่งคำ
“ก็เสร็จแค่ข้างนอกอ่ะ ข้างในนี่เหลืออีกบาน”
“แล้วพี่อู๋ทำเป็นเหรอครับ?”
“ไม่เป็น”
“อ้าว”

ตัวเองทำไม่เป็นยังพอว่า แถมยังโยนงานให้ผมทำแบบไม่ถามอีกว่าทำได้หรือเปล่า เดี๋ยวแม่พ่นเม็ดแตงโมใส่หน้าเสียเลยนี่

“เดี้ยวหยาห้ายอาเจี๊ยบมาชวย” (เดี๋ยวยาให้อาเจี๊ยบมาช่วย) “ไม่ต้องเริ่มตอเดี๋ยวก้อด้าย ตอเช้าค่อยหว่ากัน วันนีเก็บพร้าวก่อน” (มันต้องเริ่มเลยก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน วันนี้เก็บมะพร้าวก่อน)
“ผมไม่ต้องปีนจริงๆใช่ไหมครับ?”
“ให้ลิงปีนต่ะลูก นุ้ยอีปีนไซ นุ้ยไม่ใช่ลิง” (ให้ลิงปีเถอะลูก ก้องจะปีนทำไม ก้องไม่ใช่ลิง)
“ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจจังเลยครับ”

ดีใจมากครับ ดีใจจนน้ำตาไหล มะพร้าวไม่ต้องปีน แต่ต้องปูกระเบื้อง เดินสายไฟ ทาสีห้องใหม่ ประกอบเฟอร์นิเจอร์ ติดผ้าม่าน ติดประตูหน้าต่าง ฉาบผนัง อาจจะต้องปูกรวดเป็นทางเดินไปสวน เอาต้นไม้ลงริมรั้วบ้าน สั้นๆคือทำทุกอย่าง ถ้าจ่ายเป็นค่าแรงคงได้วันละห้าร้อยบาทเป็นอย่างต่ำ แต่นี่คือบ้านของคุณย่าซึ่งไม่ได้ร่ำรวยเท่าบ้านของแน ดังนั้นตัดเรื่องติ๊บหรือค่าบีบนวดนาทีละห้าบาทไปได้เลย สิ่งที่คุณย่ามีให้เราก็แค่อาหารสามมื้อ ผลไม้ชุดใหญ่ และที่ซุกหัวนอนเท่านั้น อย่าจินตนาการถึงเซเว่นเพราะต้องขับรถออกไปอีกสิบกิโล อย่าจินตนาการถึงสเวนเซ่น เพราะแค่รถขายไอศกรีมเนสท์เล่ยังเข้าไม่ถึง อย่าจินตนาการถึงความสุขสบาย --

เพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้ -- นอกจากของกินเท่านั้น

ชั่วเวลาก่อนเที่ยงวัน พี่อู๋พาผมเดินทัวร์รอบบ้านของคุณย่า ไล่ตั้งแต่ชานบ้านที่สกปรกเหนียวเท้า ผ่านห้องโถงใหญ่ที่รกและเต็มไปด้วยกระปุกยา เลี้ยวขวาเข้าโถงทางเดินเชื่อมระหว่างห้องนอนและห้องครัว ตรงข้ามห้องโถงใหญ่คือห้องนอนเล็กของอาผู้หญิงที่นานๆจะกลับบ้านซักที ทางซ้ายคือห้องของคุณปู่ ทางขวาคือห้องครัว ติดกับห้องครัวคือห้องทานข้าวกึ่งเรือนกระจกที่แสงแดดส่องเข้าถึงตลอดทั้งวัน เดินลึกไปกว่านั้นคือชานหน้าบ้านแห่งที่สองซึ่งไม่มีอะไรวางอยู่เลยนอกจากกองหนังสือพิมพ์เป็นร้อยฉบับกับลู่วิ่งออกกำลังกาย ตัดไปที่ห้องนอนคุณปู่ มีห้องน้ำใหญ่กั้นกลางเชื่อมระหว่างห้องนอนของคุณย่าและห้องของคุณป้าซึ่งระหว่างห้องของคุณป้าก็กั้นด้วยห้องพระ ห้องน้ำ และเชื่อมต่อห้องของอาผู้หญิง --

พอก่อน ผมเริ่มหลงนิดหน่อย บ้านของคุณย่าไม่ใหญ่เท่าของแน แต่เพราะทุกห้องเชื่อมต่อถึงกันหมดผมจึงงุนงงว่าควรเข้าออกทางไหน ผมถามพี่อู๋ว่าแล้วเราสองคนต้องนอนห้องของใคร เขาตอบว่าห้องของคุณป้ารองซึ่งอยู่ติดกับชานบ้านจุดที่สอง วิธีเดินไปห้องนั้นมีสามทาง หนึ่งเข้าทางห้องครัว ผ่านห้องทานอาหาร ผ่านชานบ้านที่สองแล้วเปิดประตูเหล็ก สองคือเดินตัดห้องอาผู้หญิง ผ่านแค่ห้องพระก็ถึงเลย และสาม เดินผ่านทางห้องของคุณปู่ ซึ่งมีห้องน้ำใหญ่คั่นตรงกลาง แต่เวลาเดินผ่านต้องดูให้ดีๆว่ามีคนอยู่หรือเปล่า เพราะบางทีปู่กับย่าก็ใช้ห้องน้ำโดยไม่ล็อคประตู ขืนสะเหล่อเดินเข้าไปคงโดนตบด้วยขันตักน้ำ

ผมกับคุณอิศรินทร์ย้ายสัมภาระไปเก็บในห้องนอนป้ารอง ห้องของป้ากว้างดี มีเตียงหลังใหญ่วางชิดติดผนัง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลยนอกจากเครื่องปรับอากาศและโต๊ะรีดผ้า พี่อู๋บอกว่าบางครั้งเราต้องรีดผ้าให้ปู่กับย่าด้วย ปกติแล้วป้ารองจ้างคนมาคอยทำความสะอาดให้ แต่คนงานชิ่งหนีไปพร้อมกับผู้รับเหมา บ้านก็เลยเหนียวเนอะเลอะเทอะและสกปรกเพราะคุณย่าทำไม่ไหว

“ถ้าจะทำอะไรอย่างแรกนะ -- พี่ว่าเราจัดการห้องของเราก่อนเลย”

ผู้ปกครองบอกซึ่งผมก็เห็นด้วย ห้องของคุณป้าทั้งอับชื้นและเต็มไปด้วยฝุ่นแทบทุกพื้นที่ ผมกับพี่อู๋ต้องช่วยกันทำความสะอาดยกใหญ่ ทั้งเอาหมอนไปตบไล่ฝุ่นและตากแดด ทั้งเปลี่ยนผ้าปูที่นอน กวาดพื้น ถูพื้น ถอดผ้าม่านไปใส่เครื่องซักผ้า นี่คือครึ่งวันแรกก็เล่นเอาหมดแรงแล้ว ผมไม่อยากคิดถึงวันอื่นๆที่ต้องทำงานเลย

“โอ๊ย! เหนื่อยว่ะ!”

พี่อู๋บ่นแทนนายก้องเกียรติเรียบร้อย เขากระโดดนอนแผ่บนเตียงโดยมีผมนอนหอบอยู่ข้างๆ การทำความสะอาดห้องไม่ยากถ้าต้องทำแค่ปัดความเช็ดถู แต่นี่ต้องถอดผ้าปูที่นอน ต้องเอาหมอนไปตาก เอาผ้าม่านไปซัก มันเยอะและจุกจิกจนเราแทบหมดแรง

“ถ้าย่าทำไม่ไหว เราน่าจะหาแม่บ้านคนใหม่” ผมเสนอ แต่พี่อู๋ส่ายหน้า
“แถวนี้หายาก ขนาดช่างยังทิ้งงาน อย่าพูดถึงแม่บ้านเลย”
“งั้นแบบนี้ -- ถ้าเราไม่ทำ --”
“ก็ไม่มีใครทำ”
“แย่จัง”
“ทำไงได้”

พี่อู๋บ่นพาลถึงญาติคนอื่นๆที่ไม่ค่อยแวะเวียนมาหาปู่กับยา ผมพอเข้าใจเหตุผลของพวกเขาอยู่หน่อยๆ ที่นี่ทั้งไกลและค่อนข้างลำบาก ห้องหับก็ไม่ได้สะอาดเงาวับเหมือนโรงแรม ถ้ามาแล้วต้องออกแรงเหมือนเราสองคน คงไม่มีใครอยากมา

“ปู่กับย่าอยู่กันแค่สองคนน่าเป็นห่วงจะตาย”
“แต่ยังมีอาเจี๊ยบอยู่ใกล้ๆนี่ไง ทุกคนเลยไม่ค่อยกังวล” พี่อู๋บอกก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ผมเห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กอีกหลังที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ “เดี๋ยวบ่ายนี้เราต้องวางแผนกับอาเจี๊ยบเรื่องทำบ้านนะ”
“เราต้องทำห้องไหนบ้างครับ?”

ผมถาม และคำตอบของพี่อู๋คือกลอกตา

“เยอะมาก” เขาบอกแค่นั้น “ที่แน่ๆคือห้องน้ำใหญ่ห้องนั่งเล่นหน้าบ้าน”
“ผมควรเริ่มกวาดถูวันนี้เลยไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็ไม่กี่วันก็สกปรกเหมือนเดิม รอทำทีเดียวเถอะ” พี่อู๋พูดเซ็งๆ “แค่ดูอย่าให้พื้นลื่นเกินไป ทำยังไงก็ได้แค่ไม่ให้ปู่กับย่าลื่นอ่ะ”
“จะว่าไป -- ตั้งแต่มาที่นี่ ผมยังไม่เจอปู่ของพี่เลย”
“อยู่นู่นแหละ สภากาแฟ คงไปร่วมวงด่ารัฐบาลกับเพื่อนในตัวเมือง”
“อำเภอเมืองบ้านแนเหรอครับ?”
“หึ เปล่า เมืองของท่าศาลา”

โอโห -- ท่าศาลาที่ว่างต่างอำเภอยังมีจุดเรียกว่าตัวเมือง แล้วบ้านคุณย่าต้องเรียกว่าอะไรถึงจะสมนิยาม

พอถึงเวลาอาหารเที่ยว พี่อู๋เจียวไข่ให้ผมเป็น ไข่เจียมอมน้ำมันแบนๆถูกเสิร์ฟบนจานขอบบิ่น เรานั่งกินไข่เจียวกับซอสมะเขือเทศใกล้หมดอายุในเรือนกระจก ผมว่าโต๊ะทานข้าวไม่ควรอยู่ในห้องแบบนี้เลย แสงแดดส่องเข้าตามากเกินไป ทั้งแสบตาทั้งร้อนจนพาลกินอะไรก็ไม่อร่อย หลังฝืนกินหมดจาน ผมก็เข้าไปล้างจานชามที่กองทิ้งไว้ในอ่าง นับด้วยสายตาคร่าวๆแล้วน่าจะมากกว่าสามสิบใบ --

ผมไม่ได้เว่อร์ บ้านของคุณย่ามีจานชามที่ยังไม่ได้ล้างมากกว่าสามสิบใบ ดังนั้นผมกับคุณอิศรินทร์จึงต้องช่วยกันเคลียร์ส่วนนี้ก่อนจะเริ่มงานใหญ่ ผมล้างซันไลต์ พี่อู๋ล้างน้ำเปล่า เราล้างและคว่ำเก็บจานชามทุกใบเรียบร้อยจึงเดินออกไปนั่งรออาเจี๊ยบหน้าชานบ้าน ชายวัยผิวแทนหัวล้านเดินถอดเสื้อเข้ามาหาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แกล้วงบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดสูบ พ่นควันพิษขึ้นไปบนอากาศก่อนจะเอ่ยทักทายเรา

“ไงอู๋ ไม่เจอกันตั้งนาน” แกสูดควันเข้าปอดและปล่อยออกมา “ว่างเหรอช่วงนี้?”
“ว่างครับ เห็นบ้านย่าไม่เสร็จซักทีเลยว่าจะทำให้”
“เออ ผู้รับเหมามันทิ้งงานน่ะ” อาเจี๊ยบเลียริมฝีปากแล้วมองกอริลลาแปลกหน้า “เพื่อนเหรอ?”
“รุ่นน้องครับอา พามาช่วยงาน”
“ดีๆ ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ?”
“ไม่เป็นซักอย่าง”

อาเจี๊ยบถึงกับร้องอ้าว ทำอะไรไม่เป็น แล้วมึงพามาทำมะเขืออะไร

“อยากให้อาสอนงานให้หน่อย เด็กมันกำลังตามหาตัวเอง”
“ไม่เรียนหนังสือแล้วเหรอ?”
“ยังครับอา” พี่อู๋ตอบ “วันนี้เราจะทำอะไรก่อนดี?”
“ห้องน้ำปู่”

อาเจี๊ยบบอกและเดินนำพวกเรา

“น่าจะต้องฉาบผนังกันเองแล้วล่ะอู๋”

ได้ยินแบบนั้นแล้วผมอยากหายตัวไปจากตรงนี้จริงๆ





การผสมปูนให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมนั้นยากกว่าตรีโกณมิติ

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่อาเจี๊ยบพูดเลย แกมาถึงก็ยืนชี้ๆ บอกว่าต้องฉาบสองรอบ หนาเท่านั้นเท่านี้แล้วเอาเชือกมาขึงให้ห่างจากผนังประมาณหนึ่งเซน จากนั้นแกกับพี่อู๋ก็เทปูนลงกระบะพลาสติก ผสมด้วยทรายละเอียดและน้ำก่อนจะคน คน คน คนจนเหมือนดินเหนียวหนืดสีเทา เสร็จแล้วแกก็แบ่งปูนส่วนนั้นใส่ถังน้ำสีดำมีหูหิ้วให้นายก้องเกียรติ บอกว่าถือเข้าไปรอในห้องน้ำเลย เดี๋ยวแกตามไป

งานแรกของการรีโนเวทบ้านคุณย่าคือฉาบผนัง

อาเจี๊ยบตักปูนใส่กระบะฉาบที่รูปร่างหน้าตาคล้ายที่โกยขยะแล้วปาดด้วยเกรียงเหล็กสี่เหลี่ยม แกปาดไปมาสองสามทีก่อนจะแปะบนผนัง ลากลงช้าๆไปทิศเดียวกันพร้อมกับหันมาบอกว่า

“กดให้แน่นๆแบบนี้” แกสาธิต “เอ้า -- มาเอาไปคนละอัน ลองทำชั้นเดียวก่อน”

พี่อู๋ที่ประกอบชั้นหนังสือจากอิเกียไม่เป็นรับเกรียงมาถือด้วยความมั่นใจ เขาสะบัดปูนหนึ่งก้อนใส่ผนังดังแปะแล้วกดเกรียงฉาบปูนไปกับผนัง ผมมองผู้ปกครองก่อนจะลงมือทำบ้าง แปะ! ผมดีดปูนใส่ผนังและออกแรงฉาบ เสียงปูนผสมทรายดังครืดคราดเมื่อถูกเกรียงเกลี่ยให้แนบชิดติดพื้นผนังเก่า ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นงานกล้วยๆ การฉาบคงไม่ต่างอะไรกับการทาแป้งโตเกียวบนเตา ปาดนิ่มๆ นุ่มๆ บางๆ วางไส้แล้วจบ แต่ความจริงมันต้องละเอียดมากกว่านั้น การฉาบเป็นเหมือนงานศิลปะ จะมาฉาบปาดๆไปมาแบบพี่อู๋ไม่ได้ เราต้องตั้งใจลงน้ำหนักมือให้พอดี ไม่งั้นปูนจะไม่แน่นติดผนังและหนาไม่เสมอกัน

“เออ ไอ้อู๋ --” อาเจี๊ยบหยุดมองคุณอิศรินทร์ครู่หนึ่ง
“สวยใช่ไหมอา?”
“หนาขนาดนั้นมึงไปหาอย่างอื่นทำเถอะ”
“แต่นี่ก็สวยเนียนแล้วนะอา”

เขาเถียงคอเป็นเอ็นจนอาเจี๊ยบต้องเรียกเราสองคนไปดูด้านข้าง งานฉาบพี่อู๋นี่ชุ่ยชะมัด ด้านบนเนียนเรียบเหมือนก้นเด็กก็จริง พอมองจากตรงนี้แล้วถึงเห็นว่ามันหนาไม่เท่ากัน งานแบบนี้ไม่ให้ผ่านนะ อาเจี๊ยบว่า แถวบ้านถือว่าช่างชุ่ย ควรโดนหักเงินหรือไม่ก็โดนไล่ไปเก็บขี้หมาแทน

แรกๆเราสองคนยังตั้งใจปาดให้บางและแน่นสมกับที่อาเจี๊ยบสอนไว้ แต่พอทำไปซักชั่วโมงก็เริ่มเบื่อ อากาศในห้องน้ำทั้งร้อนและเหนียวตัว กลิ่นปูนก็สาบติดจมูกจนไม่อยากสูดหายใจ ผมสะบัดมือลากเกรียงแบบขอไปทีจนเสร็จหนึ่งด้าน ส่วนพี่อู๋ไม่ต้องพูดถึง เขาปาดได้ทุเรศทุรังยิ่งกว่าเด็กเพิ่งหัดงานช่างอย่างผมเสียอีก

พอเห็นภาพรวมออกมาไม่ดี อาเจี๊ยบก็ส่ายหน้า ไล่ให้ไปขนกระเบื้องเข้าบ้านแทนงานฉาบ เราต้องเดินเข้าออกตั้งหลายรอบ น้ำหนักของกระเบื้องแต่ละกล่องก็ไม่ใช่เล่นๆ ทำเอาผมปวดเอวจนอยากนอนแผ่กลางบ้าน ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณย่าและบุญคุณของพี่อู๋ สาบานเลยว่าผมจะโยนกระเบื้องทิ้งให้หมด ไม่ต้องเสียเวลาปูให้เหนื่อยหรอก ปล่อยผนังไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว บ้านสไตล์ลอฟต์ เดี๋ยวนี้ฮิตกันทั้งพันทิป คุณย่าคงไม่อยากพลาดเทรนด์เหมือนกัน

งานฉาบผนังเสร็จตอนห้าโมงเย็น กว่าอาเจี๊ยบจะยอมกลับบ้าน กอริลลาก้องแทบกราบตีนขอให้แกวางเกรียงและไปเสียที ท้องของผมส่งเสียงร้องประท้วงขออาหาร แถมเหงื่อยังไหลทั่วตัวเหมือนเพิ่งอาบน้ำ สภาพแบบนี้ผมไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากกินและล้างเนื้อล้างตัวให้กลับมาเป็นกอริลลาตัวหอมๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสองนาที คุณย่าเรียกเราไปกินข้าว ที่โต๊ะอาหาร ผมได้เจอสามีของย่าด้วย

“หวัดดีลูก”
คุณปู่รับไหว้โดยรับรู้แค่ว่าผมเป็นเด็กช่างของพี่อู๋ ระหว่างทานข้าว ผมก็คอยสังเกตครอบครัวฝ่ายพ่อของผู้ปกครองเป็นระยะ ๆ คุณปู่เป็นคนมีสไตล์ ดูได้จากกางเกงยีนและรองเท้าหนังวาววับ ย่าถามปู่ว่าอยู่ในบ้านแท้ๆจะใส่รองเท้าหนังมาอวดใคร ผมอมยิ้มเพราะคิดว่าคนแก่แซวกันตามประสา ที่ไหนได้ ปู่ลืมถอดรองเท้า ลืมของจริง ลืมไปเลยว่าสวมรองเท้าอยู่จนกระทั่งย่าทักขึ้นมานั่นแหละ

“เฮ้อ ไม่ไหวเลย” คุณปู่บ่นงึมงำ “ต่อไปคงลืมใส่เกงในออกจากบ้าน”
“ไม่ใช่ว่าลืมแล้วเหรอ?” ย่าถาม ปู่จึงใช้มือคลำๆขอบกางเกงยีน แกแว้ดใส่เมียว่าใครจะบ้าลืมใส่กางเกงใน ฉันไม่ใช่เธอนะที่ไม่ใส่ยกทรงเดินทั่วบ้านแบบนี้
“นมเหี่ยวๆยานๆ จะใส่ไซ” (นมเหี่ยวๆยานๆจะใส่ทำไม) ย่าหัวเราะ “ห้องน้ำวันนี้พันพรือบ้างอู๋?” (ห้องน้ำวันนี้เป็นยังไงบ้างอู๋?)
 “สบายมากย่า”
“ฉาบปูนเป็นกับเขากันเออ?” (ฉาบปูนเป็นกับเขาด้วยเหรอ?)
“ม่ายนิ อู๋ยืนเฉยๆ แลอาเจี๊ยบฉาบ” (ไม่นี่ อู๋ยืนเฉยๆดูอาเจี๊ยบฉาบ)

คุณย่าหัวเราะขำแล้วทานข้าวต่อ หลังกินเสร็จ ผมกับพี่อู๋ก็ช่วยกันเก็บจานชามไปล้าง เราเช็ดเคานท์เตอร์ครัวและเก็บกวาดเศษอาหารจนสะอาดเรียบร้อยถึงเข้าห้องนอน ทันทีที่ปิดประตู พี่อู๋ก็เปิดแอร์ เขาบอกว่าสวรรค์อย่างเดียวในบ้านของคุณย่าคือกับข้าวและแอร์เย็นๆ ตอนแรกผมคิดว่าเขาเว่อร์ แต่พอผ่านวันนี้ไป – บ้านคุณย่าก็เป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ

“กินยาแล้วนอนเถอะก้อง พรุ่งนี้ต้องทำงานอีก”

พี่อู๋บอก นายก้องเกียรติได้แต่แอบเบ้หน้าอยากร้องไห้เพราะไม่ชอบงานฉาบ ผมหวังว่าหลังทำผนังเสร็จจะมีงานช่างที่ดีและเหมาะกับผมมากกว่าการฉาบปูนรออยู่ แต่กว่าเราจะไปถึงจุดนั้นคงใช้เวลาหน่อยเพราะเรามีกันแค่สามคน แถมสองในสามเป็นมือใหม่ที่ฝีมือไม่เอาไหนจนต้องพึ่งแรงอาเจี๊ยบคนเดียว ผมอยากถามพี่อู๋อีกครั้งว่าเราจะอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่พอเห็นเขานอนหลับอ้าปากหวอแล้วไม่ถามดีกว่า ไม่งั้นเราต้องทะเลาะกันเหมือนวันนี้แน่ๆ



เช่นเคยค่ะ Part 2 ต่อข้างล่างเลยน้า :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-06-2019 23:50:11
25 [Part 2/2]



สองอาทิตย์ผ่านไป ผมแอบไปตะโกนในป่ามะพร้าวว่าเหี้ยเอ๊ย – ใครก็ได้พากูกลับจรัญสนิทวงศ์ที --

งานช่างไม่ใช่สิ่งที่นายก้องเกียรติถนัดเลย ไม่ว่าจะฉาบผนัง ปูกระเบื้อง หรือเดินสายไฟ ผมทำไม่เป็นซักอย่าง อาเจี๊ยบบอกว่าของแบบนี้มันต้องค่อยๆฝึกสะสมไปเรื่อยๆ ช่างที่เก่งส่วนใหญ่ฝึกกันเป็นปีๆ ทำมาแล้วเป็นร้อยๆงาน จะหวังให้ออกมาสวยเหมือนช่างมืออาชีพคงเป็นไปไม่ได้ เรามันมือสมัครเล่น ต้องเก็บสะสมประสบการณ์กันไป –

แล้วใครมันบอกว่าผมอยากเป็นช่างวะ?

คำพูดนี้ลอยขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่อาเจี๊ยบสอน ผมได้แต่ฮึดฮัดในใจ ไม่อยากทำ ไม่อยากทำ ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ไม่อยากทำ ผมอยากตะโกนคำพวกนี้ให้คอแตก ผมเกลียดกลิ่นปูน ผมเกลียดห้องอับๆร้อนๆไม่มีอากาศถ่ายเท ผมเกลียดการทำงานหนักจนเหงื่อโทรมทั้งตัว ผมเกลียด – เกลียดการลืมตาขึ้นมารับผิดชอบงานใช้แรงที่ตัวเองไม่ถนัด ถ้าทำออกมาได้ดีก็คงมีกำลังใจอยู่หรอก แต่ไม่ว่าจะทำอะไร จะหยิบจับงานไหน เป็นต้องโดนตำหนิ โดนติ โดนสอน โดนสั่งให้แก้ใหม่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทั้งวัน ส่วนพี่อู๋ก็ตกอยู่ในสถานะไม่ต่างกัน เขาไม่ถนัดงานช่าง เขาเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่แม้แต่ประกอบตู้หนังสือง่ายๆยังทำไม่ได้ มาวันนี้ต้องหัดตัดกระเบื้อง ผสมปูน คำนวณระยะห่าง คุณอิศรินทร์ผู้เคยประกาศว่าตัวเองโง่คณิตศาสตร์ก็ถือโอกาสนี้โชว์โง่เต็มที่ คำนวณผิดจนเราเสียกระเบื้องไปฟรีๆบ้าง กะระยะไม่ถูกบ้าง เขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานฝีมือจริงๆนั่นแหละ

อากาศต้นเดือนกุมภาในภาคใต้ไม่ค่อยอ่อนโยน แสงแดดสว่างจ้าตั้งแต่หกโมงเช้า อุณหภูมิก็ร้อนจนนายก้องเกียรติกับผู้ปกครองต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปร้านขายของชำริมทะเล เรากินไอศกรีมหวานเย็นแบบบ้านๆเพื่อดับร้อนทุกวัน ออกไปซื้อหลังกินข้าวเที่ยงบ้าง หลังเลิกงานบ้าง แต่พออากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ คุณอิศรินทร์เลยซื้อไอศกรีมกลับมาแช่ในช่องฟรีซ เริ่มร้อนจนทนไม่ไหวเมื่อไหร่ค่อยแกะกิน โชคร้ายที่วันนี้ไอศกรีมเหลือแค่แท่งเดียว พี่อู๋เสียสละให้ผมกิน พอกินหมดเราก็เดินไปหาย่าที่อยู่ในสวนมะพร้าว สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้าและทางมะพร้าวที่หล่นเกะกะขวางทางจนพี่อู๋กับผมต้องคอยหยุดเคลียร์ทางเป็นระยะ ไม่อย่างนั้นย่าอาจจะสะดุดล้มก็ได้

เราเดินเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงคนงานตะโกนคุยกัน วันนี้มีรถเก็บมะพร้าวเข้ามาถึงสวน เป็นผู้ชายสามคนกับลิงสองตัว ผมโล่งใจเมื่อรู้ว่าไม่ต้องปีนเก็บมะพร้าวอย่างที่พี่อู๋หลอก แต่โล่งใจได้ไม่นานก็ต้องลงแรงช่วยคนงานอีก ถึงเราจะจ้างเขามาแต่มะพร้าวในสวนมีมากเกินไป ย่าอยากให้เก็บให้หมดภายในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ทาสีห้องนอนเล็กหลังบ้านให้เสร็จๆ ดังนั้นคุณอิศรินทร์กับนายก้องเกียรติต้องเป็นลูกมืออีกสองแรง ส่วนอาเจี๊ยบไปซื้ออาหารไก่ในตัวเมือง น่าจะกลับอีกทีเย็นๆเพราะแกไม่ได้สั่งให้เราไปรอเหมือนเมื่อวาน

หน้าที่อีกหนึ่งอย่างของกอริลลาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมแหงนหน้ามองลิงวิ่งขึ้นต้นมะพร้าวด้วยความคล่องแคล่ว ย่าบอกว่าลิงจะเด็ดเอาเฉพาะลูกที่แก่ลงจากต้น เหลือไว้แค่ลูกอ่อนๆให้สุกรอเก็บโอกาสถัดไป ผมไม่รู้ว่าลิงที่พวกเขาใช้มาเก็บมะพร้าวคือลิงพันธุ์อะไร แต่พอพี่อู๋เล่นมุกลิงจั๊กๆ ผมก็อยากทุ่มมะพร้าวใส่หัวเขา โทษฐานเล่นมุกสะเหล่อ สามบาทห้าบาทก็ยังจะเล่น น่าเกลียด

“แต่ก่อนนะ พร้าวลูกละยี่สิบ” (เมื่อก่อนนะ มะพร้าวลูกละยี่สิบ) ย่าบอกให้นายก้องเกียรติฟังระหว่างที่ช่วยคนงานโยนมะพร้าวขึ้นรถกระบะ “เดี๋ยวนี้รัฐเอาพร้าวอิ่นโด พร้าวมาเลเข่ามา ราคาตกเหลือลูกส้ามบาท” (เดี๋ยวนี้รัฐบาลเอามะพร้วอินโด มะพร้าวมาเลเข้ามา ราคาตกเหลือลูกละสามบาท)
“แต่เราก็เก็บได้เยอะนะครับ” ผมชวนคุณย่าคุยแล้วโยนมะพร้าวใส่กระบะหลัง
“ด้ายม่ายถึงร้อยลูก หักค่าคนง่านก็แหม็ดแล้วก้องเหอ” (ได้ไม่ถึงร้อยลูก หักค่าคนงานก็หมดแล้วก้อง)
“มะพร้าวพวกนี้ย่าปลูกเองเหรอครับ?”
“ม่าย มันโตเอง ย่าไม่ใช่ต้องทำไรนิ” (ไม่ มันโตเอง ย่าไม่จเป็นต้องทำอะไร)

เอ้า –

“อันนี้ย่าขายใครครับ? เขาจะเอามะพร้าวของย่าไปไหน?”
“ไปทำกะทิ” ย่าบอก “ข้นพร้าวเสร็จฉ่วยย่าทำกับข้าวหิดนะก้อง” (ขนมะพร้าวเสร็จช่วยย่าทำกับข้าวหน่อยนะก้อง)

ผมขานรับเสียงขันแข็ง ไม่อยากให้คุณย่ามองว่านายก้องเกียรติเป็นเด็กขี้เกียจที่วันๆเอาแต่กินและนอนเหมือนหลานชาย หลังรถขนมะพร้าวจากไปพร้อมกับลิงจั๊กๆสองตัว ผมก็เดินตามย่ากลับเข้าไปในครัว ส่วนพี่อู๋ขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อไอศกรีม เขากลับมาพร้อมรสถั่วดำและนมเย็นอย่างละสี่แท่งก่อนจะหายหัวไปนอนเปิดแอร์ ดูหนังฝรั่งสบายใจในห้องเย็นๆ

ผมช่วยคุณย่าหยิบหม้อ ครก สาก และเครื่องแกงมาเตรียมไว้ คุณย่าตักแบ่งเครื่องแกงส้มลงในครก เพิ่มพริกขี้หนู กระเทียม ขมิ้น และเกลือนิดหน่อย ย่าบอกให้นายก้องเกียรติตำทุกอย่างจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พอได้ที่ก็ใส่กะปิลงไปอีกหนึ่งช้อนแกง ผมออกแรงตำจนเสียงดังโป๊กๆลั่นบ้าน ย่าชมผมด้วยว่าผู้ชายทำกับข้าวเป็นคือผู้ชายเก่ง เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชายเข้าครัวกันเยอะแยะ ไม่ต้องเป็นแค่ผู้หญิงเหมือนย่าแล้ว

“จำสูตรไว้นะก้อง” ผมบอกย่าว่าไม่ต้องเป็นห่วงครับ ctrl+c ต่อด้วย ctrl+v ในสมองเรียบร้อย สูตรของคุณย่าได้เผยแพร่ต่อที่ลาดพร้าวแน่นอน “เอ้า – ตั้งน้ำให้ย่าหน่อย”

ผมใส่น้ำลงประมาณครึ่งหม้อ พอเริ่มเดือดก็ใส่เครื่องแกงที่ตำไว้ลงไป ปรุงเพิ่มด้วยน้ำมะขามเปียกอีกหนึ่งถ้วย ย่าถามว่าผมชอบกินเปรี้ยวหรือเปล่า ถ้าชอบเปรี้ยวๆก็ใส่เพิ่มได้ แต่เดี๋ยวนี้บ้านย่าไม่กินเปรี้ยวแล้ว กรดไหลย้อนเล่นงานกันทั้งบ้านจนนอนไม่ได้เลย

ระหว่างรอน้ำแกงเดือด ย่าก็เดินอุ้ยอ้ายไปหยิบปลากะพงออกมาจากตู้เย็น ปลาตัวนี้เราซื้อจากแม่ค้าที่ขับมอเตอร์ไซค์เร่ขาย เมื่อวานผมเป็นคนขอดเกล็ดและหั่นปลาเป็นท่อนๆด้วยตัวเอง วันนี้เราจะได้กินแกงส้มปลากะพงฝีมือกอริลลาก้องแล้ว ผมช่วยย่าถือโคม – หรือชามและค่อยๆใส่ปลาลงไปในหม้อ แค่นี้ก็เรียบร้อย รอจนปลาสุก พร้อมเสิร์ฟ เรียกคุณชายอู๋มากินได้

ตกเย็นเราได้กินแกงส้ม ไข่เจียวแบนๆ น้ำพริกแมงดา และหมูแดดเดียว เราสี่คนนั่งตากแมลงตอมไฟกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย หลังกินเสร็จจึงเป็นหน้าที่นายก้องเกียรติกับคุณอิศรินทร์ทำความสะอาดเหมือนเคย แต่วันนี้ย่าไม่หยุดแค่ของคาว ย่าถามพวกเราว่าอยากกินขนมไหม ย่าจะทำขนมโคให้กิน

“อะไรก็ได้ อู๋กินหมดแหละ”

พี่อู๋บอกก่อนจะล้างไม้ล้างมือเตรียมช่วยกันทำขนม เริ่มจากเทแป้งข้าวเหนียวใส่โคม – ชามและใส่น้ำเล็กน้อยให้พอกลายเป็นดินน้ำมัน ขั้นตอนนี้ผมกับผู้ปกครองชอบมากเพราะได้บีบๆนวดๆของนุ่มๆบ้างหลังจากผสมแต่ปูนมาหลายวัน ส่วนย่าปลีกตัวไปหั่นน้ำตาลโตนดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ย่าหั่นเตรียมไว้เยอะเหมือนจะทำเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เราสามคนนำแป้งห่อไส้น้ำตาลโตนดจนมือหงิก แรกๆขนมโคก็เป็นลูกกลมๆเล็กๆพอดีคำ หลังๆพี่อู๋เริ่มขี้เกียจ ปั้นก้อนเท่าควายยัดไส้น้ำตาลสามตัน ย่าบอกว่าปั้นใหญ่เกินไปสุกยาก ให้แบ่งเป็นก้อนเล็กๆ ปั้นให้เรียบร้อย เป็นผู้ชายก็ทำงานเรียบร้อยได้ อย่าขี้คร้านสิอู๋ ย่าบอกเอาลูกเล็กๆ – บอกว่าลูกเล็กๆไง ไอ้อู๋ – ปั้นมาลูกเท่าควาย กินเองเลยนะ –

“ถ้าขี้คร้านก็ไปขูดพร้าวไป” ย่าไล่ คุณอิศรินทร์จึงเดินไปนั่งคร่อมกระต่ายขูดมะพร้าว เขาทำเหมือนเดิมอีกแล้ว แรงดีช่วงแรกๆ ขูดดังโครกครากจนเกลี้ยงกะลาเนียนสวยสะอาดตา พอเริ่มกะลาที่สองที่สามก็ออกลา ขูดไม่เกลี้ยงบ้าง ออกแรงน้อยบ้าง จนย่าไล่ให้ไปไกลๆ เกะกะสายตา

“ใช่สิ ใครๆก็รักก้อง”

พี่อู๋ประชดก่อนจะเดินสะบัดตูดไปดูมวยกับปู่ในห้องนั่งเล่น ครัวเล็กๆจึงเหลือแค่ผมกับย่าเท่านั้น เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็เทขนมโคลงหม้อ รอจนมันสุกลอยขึ้นบนผิวน้ำจึงตักใส่มะพร้าวที่คุณอิศรินทร์ขูดไว้ ย่าบอกว่ามะพร้าวที้คลุกขนมโคไม่ต้องใส่น้ำตาล แค่ไส้ก็หวานจะแย่แล้ว ขืนใส่น้ำตาลเพิ่มในเนื้อมะพร้าวอีก เบาหวานกินยกบ้านแน่ๆ

เราได้กินขนมโคตอนสองทุ่ม คุณปู่กินแค่สี่ห้าชิ้นให้พอหายอยากส่วนที่เหลือก็เข้ากระเพาะนายก้องเกียรติกับผู้ปกครอง ผมกินขนมโคพลางดูทีวีเพลินๆระหว่างต่อคิวรออาบน้ำ ปกติแล้วปู่จะอาบเป็นคนที่หนึ่ง พี่อู๋คนที่สอง ส่วนย่าเป็นคนสุดท้าย แต่วันนี้ย่าคงเหนื่อยมากเลยลัดคิวอาบคนแรก แกอาบน้ำปะแป้งจนหน้าขาวเหมือนแนแล้วเข้านอน เหลือแค่ลิงสองตัวกับขนมโคหนึ่งจานในห้องโถงหน้า

“พรุ่งนี้วันพระ” พี่อู๋บอก “น่าจะต้องตื่นเช้าช่วยย่าทำปิ่นโตไปวัด”
“พี่จะไปวัดด้วยไหม?” ผมถาม เขาส่ายหน้าทันที “ขี้เกียจอ่ะ แต่ถ้าก้องอยากไปก็ได้นะ วัดอยู่ติดทะเล เผื่อจะปล่อยย่าไปฟังพระส่วนเราเดินเล่น”
“ร้อนขนาดนี้ ยังจะไปทะเลอีก”

ผมบ่น เรานั่งกินขนมจนหมดจานก่อนจะช่วยกันล้างทำความสะอาดจนเกลี้ยง ผมกับพี่อู๋สลับกันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยจึงเข้านอน เราเปิดแอร์ที่อุณหภูมิสิบแปดองศา อากาศเย็นสบายเหมือนประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว ผมที่สวมชุดนอนนั่งปะแป้งจนหน้าขาวบนเตียง ข้างๆคือคุณอิศรินทร์นอนเลือกหนังในช่องเน็ตฟลิกซ์ เขาถามผมว่าอยากดูเรื่องอะไร แต่ผมไม่มีคำตอบ หนังช่วงนี้ไม่ค่อยน่าสนใจเลย ดังนั้นพี่อู๋จึงได้สิทธิ์ถือครองรีโมต เขาเปิดหนังเรื่องเอ่ยชื่อคือคำรัก เรื่องเดียวกันกับหนังสือที่เราซื้อจากคิโนะคูนิยะเมื่อหลายเดือนก่อน

“สนุกเหรอพี่?” ผมถาม
“ก็ดีนะ พี่ชอบมู้ดของเรื่อง มันอบอุ่นดี”

ผมเกาแก้มตรงยุงกัดแกรกๆพลางพยักหน้าเออออไปกับหนุ่มอักษรผู้ชอบมู้ดแอนด์โทนที่นายก้องเกียรติเข้าไม่ถึง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นหนังสารคดีเพราะเห็นพ่อของพระเอกคุยแต่เรื่องที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ ปรัชญาบ้าง โบราณคดีบ้าง สั้นๆคือผมไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากดูนายเอลิโอเล่นเปียโนและปั่นจักรยานไปมา

“เก่งจังเลยเนอะ”

ผมงึมงำเมื่อดูฉากที่เอลิโอนั่งเกากีต้าร์เบาๆในสวน ตัวเอกของเรื่องอีกคนให้เขาเล่นให้ฟังอีกรอบแต่ถูกกวนใส่ด้วยการดัดแปลงทำนองจนผิดเพี้ยนไปหมด ในฉาก ตัวละครพูดประโยคที่ผมไม่เข้าใจเลย

“ก็เล่นแบบที่ลิสท์จะเล่น ถ้าเขาดัดแปลงเวอร์ชั่นของบาค --”

บาคไหนอีก ผมสงสัยและคิดถึงพี่โรม ผมไม่ได้เรียนเปียโนมาเดือนกว่าแล้ว พี่โรมจะรู้ไหมว่าลูกศิษย์ของเขาถูกส่งมาขนมะพร้าวที่ใต้ ถ้าเขารู้ เขาคงแต่งเพลงเพื่อชีวิตให้นายก้องเกียรติได้ฮึดสู้ต่อไปแน่ๆ

ตัวหนังดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความเนิบช้า ผมหาวแล้วหาวอีกเพราะหนังไม่มีจุดพีคอะไรเลยนอกจากมองเอลิโอแต่งเพลง อ่านหนังสือ แอบมองและพร่ำเพ้อถึงแขกผู้มาเยือนของพ่อ วนเวียนแบบนี้ตั้งเกือบชั่วโมง หนังเล่นจนถึงฉากที่ทั้งสองคนปั่นจักรยานไปจัตุรัสในเมืองด้วยกัน ที่นั่นมีอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งตั้งอยู่ชื่อว่ายุทธการแม่น้ำปีอาเว พอเข้าเรื่องประวัติศาสตร์ ผมยิ่งหาวหนักขึ้นกว่าเดิมอีกเพราะไม่มีความรู้อะไรเลย ผิดกับคุณอิศรินทร์ที่นอนจ้องทีวีตาเขม็ง ใบหน้าเครียดขึงจริงๆเหมือนจะไปออกรบที่ไหน

“ตายไปหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน --” เอลิโอพูดขณะที่โอลิเวอร์เดินจับรั้วของอนุสาวรีย์ไปเรื่อยๆเป็นวงกลม
“ไม่รู้สักเรื่องบ้างไหมเนี่ย?” โอลิเวอร์ถาม จังหวะนี้ผมแอบล้อเลียนด้วยการถามพี่อู๋ที่นอนอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้ซักเรื่องบ้างไหมเนี่ย?”

ผมแหย่ แต่เขาไม่ตอบโต้

“แต่เรื่องที่น่ารู้จริงๆ ผมแทบไม่รู้” เอลิโอออกอาการเป็นลิงค่าง ปีนรั้วเตี้ยๆของอนุสาวรีย์
“หมายถึงเรื่องแบบไหน?” โอลิเวอร์ถาม
“คุณก็รู้ว่าเรื่องแบบไหน”

แต่ผมไม่รู้ –

ผมมองตัวละครสองตัวตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน โอลิเวอร์เดินวนรอบอนุสาวรีย์โดยมีเอลิโอเดินตามอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาประจันหน้ากัน แต่ไม่เดินเข้าหากัน

“แล้วมาบอกฉันทำไม?”
“ผมคิดว่าคุณควรจะรู้”

เอลิโอสูบบุหรี่ฟอดใหญ่

“นายคิดว่าฉันควรจะรู้เหรอ?”
“เพราะผมอยากให้คุณรู้มั้ง” เอลิโอพึมพำ “เพราะผมอยากให้คุณรู้”

“พูดถึงอะไรกันอ่ะพี่?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจบริบทของบทสนทนาจริงๆ พี่อู๋ละสายตาจากทีวี จังหวะเดียวกับที่เอลิโอพูดซ้ำ

“Because I wanted you to know.” พี่อู๋พูดพร้อมเอลิโอ “Cause I wanted you to know.”
“โนว้อท?”  (Know what?)

ผมถามกลับกวนๆ แต่คุณอิศรินทร์ยังจริงจังกับการพากย์เสียงเอลิโอไม่เลิก

“Because there’s no one else I can say this to but you.”

ซับไตเติ้ลขึ้นภาษาไทยว่า

“เพราะผมบอกใครไม่ได้นอกจากคุณ”

ผมเลิกคิ้วมองผู้ปกครอง สรุปตัวละครอยากบอกอะไรกันแน่ ทำไมเขาไม่เฉลยเสียที

“ใช่อย่างที่ฉันคิดหรือเปล่าเนี่ย?” โอลิเวอร์ถามและสูบบุหรี่ เขามองหน้าเอลิโอที่ยืนพนักหน้าอย่างจำนนต่ออะไรบางอย่าง

“พี่อู๋ ผมถามเนี่ยว่าตกลงเอลิโอมันพูดถึงอะไร?”
“พูดถึงความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้”
“เอ้า – แล้วบอกโอลิเวอร์ทำไมอ่ะ?”
“ก็มันคือความรู้สึกที่สามารถบอกได้แค่คนคนเดียวไง” คุณอิศรินทร์อธิบาย พอเห็นกอริลลาก้องขมวดคิ้วงุนงง เขาก็ดีดหน้าผากและทวนคำพูดของเอลิโอซ้ำไปซ้ำมา

“Because I wanted you to know. I wanted you to know.”

พี่อู๋พูดซ้ำขณะจ้องตานายก้องเกียรติ

“I wanted you to know.”
“ไอ อ้าค ยู โน ว้อท?” (I asked you, know what?)
“อะนะตะกะสุคิดะ” (あなた が 好きだ)
“โฮ้ย – นอนละ คุยกันไม่รู้เรื่อง”

ผมดึงผ้านวมมาห่มเมื่อโดนภาษาญี่ปุ่นพูดใส่หน้า พี่อู๋หัวเราะขำ เขาปิดทีวีและเข้านอนโดยไม่หยุดพูดย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

“ฮงโตะ สุคิดะ” (本当 好きだ)



TBC
___________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

มาอย่างรวดเร็วทันในตามสัญญาจ้ะพี่จ๋า :3
ตอนที่แล้วหนูลืมทอล์คอธิบายเพิ่มเติมเรื่องเชิงตะกอน จริงๆคริสเตียนเผาได้นะคะ จะเผาจะฝังได้หมดเลย
ในเรื่องนี้หนูให้เผาเพราะค่าที่แพง ในเมืองก็คือแน่นแล้ว บ่ไหว ทุกตารางนิ้วมีคนจับจองค่ะ อันนี้หนูพูดจริงๆ 555555555555555555555555555555555555555555

ส่วนประโยคที่พี่อู๋บอกน้องนั้นแปลว่าชอบค่ะ

あなた が 好きだ ชอบเธอนะ
本当 好きだ ชอบจริงๆนะ

แต่อย่างว่าแหละเด็กมันอ๊องเลยหนีไปนอน ไม่คุยต่อ แหะๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจน่ารักๆเช่นเคยน้า หนูไปนอนแล้ว คืนนี้ฝันดีค่า  :z2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 10-06-2019 00:33:20
โอยยยย พี่อู๋บอกชอบน้องแร้ววววววว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-06-2019 00:45:49
 :z1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 10-06-2019 01:04:22
ขอกรี๊ดไป 3 โลกเลยยยยยย อร๊ายยยยย ชอบบอกชอบเป็นภาษาไืยก็ไม่ได้ด้วยนะ ต้องมาภาษาถนัดของคนซึน   :-[
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-06-2019 08:29:04
พี่อู๋บอกชอบไปแล้วแต่เด็กก้องเซ่อ ไม่รับรู้ สงสารเขาจังนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 10-06-2019 09:38:24
อ่านละนึกภาพตามได้เป็นฉากๆเลยค่ะ เพราะเราเคยอู่ท่าศาลามา3ปี กลิ่นเค็มลอยมาเลย5555
ในที่สุดพี่อู๋ก็ชอบน้องจนได้ แต่ก้องนี่สิชอบพี่อู๋บ้างมั้ย
หรือมองเป็นแค่พี่ชาย  :hao4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Panza ที่ 10-06-2019 11:15:21
ฮือออ ชอบบบ ชอบความเกรี้ยวกราดของกอลิล่าก้องอยากกลับจรัญสนิทวงศ์แล้ว5555 พี่อู๋มีพัฒนาการแล้วนะคะ บอกชอบน้องแล้ว ชอบแล้วก็กรุณาทำตัวให้ดีๆ ทำงานทำการ ส่งน้องเรียนได้แล้วพี่จ๋า


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 10-06-2019 17:55:19
พี่อู๋ เราแปลออกนะ
 :mew3:
แล้วๆๆๆๆๆๆ
น้องก้องเรียนศิลป์ญี่ปุ้นป้ะลูก
คลุมผ้าห่มหนีความเขินอ๋ออออ
#สายมโน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-06-2019 20:15:08
พี่อู๋มาบอกรักบอกชอบอย่างนี้ เขินแทน แต่กว่าก้องจะเข้าใจ เฮ้อ เมื่อไหร่ล่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 10-06-2019 20:25:55
กรี๊ดดดด เกือบจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่วายแล้วเชียว 555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-06-2019 21:29:20
กรี๊ดเป็นบ้าเป็นบอแทนยัยกอริลล่าก้อง พี่อู๋อาศัยความตลกแดกทำเป็นบอกลิงจั๊กๆนะ พอบอกตรงๆก็บอกให้น้องไม่รู้มันน่านัก สารภาพว่าตั้งแต่อ่านมาไม่เคยมองสองคนนี้เป็นคู่รักเลย เรายอมหยุดแค่สถานะนี้ตลอดไปเพราะหาทางไปไม่เจอว่าต้องมาในรูปแบบไหน แต่เจอพี่อู๋วันนี้รู้ซึ้ง 55555555555555555  :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 10-06-2019 21:43:57
รักเรื่องนี้ที่สุดเลยค่ะ วันนี้อ่านแล้วยิ้มเหมือนคนบ้า บทพี่อู๋จะน่ารักก็ทำใจเป๋เลย กิสสสสส
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-06-2019 21:52:01
พี่อู๋ทำเนียนบอกก้องหรออ5555 หรือที่กอลิลล่าก้องหนีไปนอนเพราะแปลออกใช่มั้ยยย
 เราชอบหนังเรื่องนี้มากเลยค่ะ ชอบคนที่แสดงเป็นเอลิโอมีสเน่ห์มาก

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 10-06-2019 22:18:34
น้องมันน่ารักใช่ไหมล่ะพี่อู๋ ปล.ก้องดูชอบการทำอาหารนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 11-06-2019 20:04:36
ทำเนียนดูหนัง ทำเนียนบอกชอบน้อง แต่เสียใจด้วยน้องไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นโว้ย!!!!! พูดไทยหน่อยก็ไม่ได้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 25 update!] 9/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 11-06-2019 21:19:42
่ในรอบหลายเดือนของพีาอู๋กับก้อง พึ่งเห็นพี่อู๋ทำอะไรดีๆก็วันนี้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-06-2019 00:21:13
26 [PART 1/2]
ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดอะไรอยู่ ไม่เคยรู้เลยว่าในสมองของชายวัยสามสิบสองที่ตกงานมีเรื่องแบบไหนอยู่บ้าง ผมไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจว่าคุณอิศรินทร์วางแผนชีวิตตัวเองเอาไว้ยังไง แต่สำหรับนายก้องเกียรติในตอนนี้ – แค่คิดว่าต้องทำงานงกๆอาบเหงื่อตากน้ำทุกวันก็อยากร้องไห้แล้ว

ปกติผมไม่ใช่คนขี้เกียจขนาดนั้น แต่งานช่างไม่ใช่ทางถนัดของผม ผมไม่ชอบ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชอบการทำงานในห้องเล็กๆที่ร้อนอบอ้าว ต้องผสมปูน ต้องออกแรงขนของยกของทั้งวัน ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งประกอบตู้ไม้ให้คุณย่า กิจวัตรมันวนเวียนเป็นลูปไม่มีจุดสิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเหนื่อย ผมเซ็ง ผมไม่อยากทำงาน

ไม่อยากทำงาน

ไม่อยากทำงาน

“ผมไม่อยากทำงาน”

นายก้องเกียรติหลุดปากพูดความในใจออกมา ผู้ปกครองของมันร้องฮะ? ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งว่าเมื่อกี๊พูดว่าอะไร

“เปล่าครับ” ผมเฉไฉ “ผมไม่ได้พูดอะไร”

เช้าวันหนึ่ง ผมจึงได้รู้จักกับความรู้สึกไม่อยากลืมตาแบบที่สอง แบบแรกคือตอนป่วย ผมไม่อยากลืมตา ผมอยากตาย อยากตื่นอีกทีก็ไม่ต้องใช้ชีวิต แต่การไม่อยากลืมตาแบบที่สองคือไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง ผมไม่ได้อยากตาย แต่ไม่อยากตื่นมาทำงานที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ได้เงินอีก ทุกเช้าหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ผมจะโมโหจนอยากตะโกนออกมาดังๆว่ากูไม่อยากทำงาน! ไอ้เหี้ย! แต่ก็ทำได้แค่ข่มความโกรธในใจแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ

จริงๆนะ – ผมไม่เข้าใจพี่อู๋
ไม่เข้าใจเลย

ตกบ่าย เราละมือจากงานช่างไปช่วยกันประกอบเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่กำลังต่อตู้เสื้อผ้าให้คุณย่า ผมอยากถามเขาว่าพี่ไม่เหนื่อยเหรอ พี่ไม่เบื่อเหรอ เมื่อก่อนเราเคยมีอิสระกว่านี้ตั้งเยอะ จู่ๆตารางเวลาถูกบีบให้ต้องตื่นมาทำงานที่ไม่ได้เงินทุกวัน ผมถามจริงๆเถอะ พี่ทนไหวได้ยังไง

“ยาผมใกล้หมดแล้ว”

ผมชวนคุยเพราะอยากรู้ว่าพี่อู๋จะเอายังไง

“เดี๋ยวค่อยกลับไปหาหมอ”
“เมื่อไหร่ครับ?”
“อาทิตย์หน้า ในเมืองก็มีหมอ เดี๋ยวพี่พาไป”

พาผมไปหาหมอที่สมเด็จเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้เลยนะ – พาผมกลับไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย

ผมร้องตะโกนอยู่ในใจเพราะพูดออกไปไม่ได้ การบอกผู้มีพระคุณว่า ไม่อยากทำงานแล้ว อย่าบังคับจะได้ไหม คงเป็นเรื่องน่าละอาย ผมละอายใจทุกครั้งที่รู้สึกเกลียดงาน พี่อู๋เองก็กำลังลำบาก ถึงจะขี้เกียจ แต่เขาก็ไม่หนีไปนอนกินแรงคนเดียว เขาอยู่ช่วยผมทำงานทุกวัน ทนฟังคำบ่น คำติของอาเจี๊ยบที่ไม่มีวันจบสิ้น เขาเองก็อยู่ในสถานะเดียวกับผม ถ้าพี่อู๋ทนได้ นายก้องเกียรติก็ต้องทนได้ ใช่ – ต้องทนให้ได้ ต่อให้จะเกลียดการปูกระเบื้องขนาดไหน ถ้าพี่อู๋พูดว่า ไปทำงานกันเถอะ ผมก็จะก้มหน้าก้มตาทำ ไม่ปริปากบ่นให้เขารำคาญ

วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กอริลลาตัวหนึ่งได้แต่กรีดร้องในใจว่าเกลียดอาเจี๊ยบ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กนิสัยเสียที่โดนดุนิดหน่อยก็เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย แต่ให้โกหกว่าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่ไหวเหมือนกัน อาเจี๊ยบชอบพูดเชิงว่าเรามันทางเลือกน้อย มีงานอะไรให้ทำก็ทำไป ผมอยากบอกอาเจี๊ยบว่าเออ ผมมันทางเลือกน้อย ขอโทษที่แม่ตาย ขอโทษที่ไม่กล้าเอ่ยปากขอทุนจากแน คนไม่มีใบปริญญาอย่างผมคงเลือกงานเหมือนคนอื่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมควรได้เลือกว่าจะทำงานอะไรไม่ใช่เหรอ ต่อให้ไม่จบปริญญาตรี – ผมยังมีสิทธิ์หางานอื่นที่ไม่ต้องปูกระเบื้อง ฉาบปูน ทาสี ประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่เหรอ แต่นี่ผมไม่ได้เลือกไง งานรีโนเวทบ้านไม่ใช่สิ่งที่ผมเลือกตั้งแต่แรก ผมถูกบังคับให้ทำทางอ้อม ผมโดนพี่อู๋จับใส่กรอบโดยไม่สมัครใจ ถ้าอาเจี๊ยบบ่นหรือเข้มงวดเรื่องงานช่างเพราะอยากให้บ้านของคุณย่าออกมาสวย ผมไม่ว่า แต่ถ้าอากวดขัน คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมตั้งใจทำงานเพื่อเป็นช่างที่ดีในอนาคต ผมขอปฏิเสธความหวังดีของคุณอาก็แล้วกัน เพราะผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่อยากทำงานช่าง ได้ยินไหมครับ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำงาน ไม่อยาก –

“เหนื่อยหม้ายก้อง?”

น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณย่าดังขึ้นข้างหลัง ผมที่กำลังโมโหฟึดฟัดก็ใจอ่อนทันทีเมื่อเห็นคุณย่าหิ้วถังพลาสติกเล็กๆ ใส่แดงโซดาเย็นๆมาให้

“ย่าบอกอู๋แล้วให้จ้างคน”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าจ้างให้เปลืองเงินเลย ผมทำได้”

ผมยิ้มและรับน้ำหวานเย็นๆมาดื่ม ถ้าไม่ติดว่าคุณย่าใจดีมากๆ ผมคงโยนทุกอย่างทิ้ง และโบกรถกลับกรุงเทพแล้ว

“งานแบบนี้อย่าทำเลย เหนื่อยเปล่า” ย่านั่งบนเตียงขณะมองกอริลลาก้องใช้ไขควงหมุนน็อต “คุณแม่เสียแล้วเหรอ?”
“ครับ”
“ลำบากหม้าย” (ลำบากไหม?)
“ไม่ครับ ผมไม่ลำบากเพราะพี่อู๋เลี้ยงผมดีมากๆ”
“ย่าใช้แรงก้องทำงานแต่ไม่ได้ให้เงินเลย”
“ไม่เป็นไรครับ แค่ข้าวกับที่นอนก็พอแล้ว”

คุณย่าเงียบไปพักนึงก่อนจะเดินออกจากห้อง สวนทางกับพี่อู๋ที่ปั่นจักรยานไปซื้อไอศกรีมตามคำขอของกอริลลาก้อง คุณอิศรินทร์ส่งไอศกรีมถั่วแดงให้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มุมปากฉีกซอง และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับนายก้องเกียรติที่หน้าบึ้ง ไม่ยอมพูดแม้แต่คำว่าขอบคูณครับตอนเอื้อมมือไปรับไอศกรีม

“พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานนะ พี่จะพาก้องไปเที่ยว”
“เที่ยวไหนครับ?”

ผมถามเซ็งๆ ไม่ตื่นเต้นเพราะเราเคยไปรอบๆบ้านของคุณย่ามาหมดแล้ว ทั้งวัดริมทะเล บ้านญาติที่อยู่ใกล้น้ำตก บ้านกลางสวนยางของเพื่อนคุณย่า ร้านขายของชำปลีกย่อยเราก็ไปเยือนมาหมดแล้ว โลตัสก็ไปมาแล้ว ร้านขายวัสดุก่อสร้างก็ไปจนเบื่อแล้ว ดังนั้นตอนที่พี่อู๋พูดว่าจะพาเที่ยว ผมจึงไม่รู้สึกว้าวอีกต่อไป

“คีรีวง”

ผมไม่รู้ว่าคีรีวงคืออะไร คิดว่าคงเป็นหาดๆนึงที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณย่า แต่วันรุ่งขึ้น พี่อู๋ก็ขับรถย้อนกลับเข้าไปทางตัวเมือง ถึงสี่แยกเบญจมแล้วเลี้ยวขวา พากอริลลาก้องเข้าดงป่าที่ไม่มีวี่แววของหาดทรายเลย

ทางเข้าคีรีวงเหมือนหมู่บ้านลับแล ยิ่งขับเข้าไปเรื่อยๆยิ่งเจอแต่ถนนคดเคี้ยวสูงชันโดยมีผืนป่าโอบล้อมเอาไว้เหมือนหลุดเข้ามาอีกมิติ ผมถามพี่อู๋ว่าคีรีวงไม่ใช่ทะเลเหรอ เขาหัวเราะขำแล้วถามว่าไม่รู้จักคีรีวงเหรอ

“ในพันทิปมีเขียนไว้เยอะแยะ”
“จังหวัดพี่เองแท้ๆ ยังต้องพึ่งพันทิปอีก”
“เมื่อก่อนจังหวัดพี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เพิ่งมาบูมเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ช่วงจตุคาม”
“ทะเลเหรอ?”
“พระเครื่อง” พี่อู๋ส่ายหน้าเพราะนายก้องเกียรติสอบตกวิชาประเทศคอน101 “พี่เห็นก้องเครียดๆ เลยอยากพามาเปิดหูเปิดตา”

ผมนึกขอบคุณพี่อู๋ในใจที่เมื่อผมใกล้ถึงจุดเม้งแตก เตรียมวางแผนโยนเกรียงกับเครื่องมือช่างทิ้ง คุณอิศรินทร์ก็พากอริลลาประสาทแดกมาพักผ่อนหย่อนใจ ต้องใช้คำว่าพักผ่อนหย่อนใจจริงๆเพราะคีรีวงไม่มีร่องรอยของสังคมเมืองใหญ่อยู่เลย ราวกับบ้านเรือนและการใช้ชีวิตถูกสตัฟฟ์ไว้ให้เป็นแบบนี้ เราสามารถแยกคนท้องถิ่นออกจากนักท่องเที่ยวได้ด้วยตาเปล่า ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะดูปกติธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจะมีกล้องถ่ายรูปหรือไม่ก็สวมชุดสวยๆมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตอนที่ขับรถข้ามสะพานใหญ่ ผมเห็นคนยืนถ่ายรูปกับป้ายสะพานบ้านคีรีวง จุดนั้นไม่เคยว่างเลยเพราะมีนักท่องเที่ยวจ่อคิวถ่ายรูปตลอด พี่อู๋ถามว่าอยากถ่ายไหม ผมตอบทันทีว่าไม่ ถ่ายไปก็ไม่รู้จะให้ใครดู แม่ไม่อยู่แล้ว ใครมันจะสนใจว่าผมไปเที่ยวไหนล่ะ

รถวีออสของเราต้องขับหลบให้รถที่วิ่งสวนมาแทบจะตลอดทาง ถนนที่นี่ค่อนข้างเล็กและแคบ พอเจอทัวร์ลงก็ยิ่งแคบจนแทบไม่ได้เหยียบคันเร่ง พี่อู๋กับผมหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าคนพลุกพล่านไม่ต่างอะไรกับห้างในกรุงเทพเลย เขาบอกว่าช่วยไม่ได้ ประเทศคอนมีที่เที่ยวไม่เยอะ พอที่ไหนแมสก็ไม่แปลกที่คนจะพากันมาพักผ่อนจนแออัด

“อย่าเพิ่งเซ็งสิ” พี่อู๋เอื้อมตัวมาดึงหูนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆ “พี่พามาหาของอร่อยกิน ไม่ได้พามาเบียดคน”
“เราจะค้างที่นี่ไหมครับ?”
“ค้าง” พี่อู๋พยักหน้า กอริลลาก้องหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าต้องติดอยู่ในคีรีวงที่คนเยอะจนหัวไหล่แทบชนกัน “พี่จองห้องบนเรือสำราญไว้แล้ว รับรองก้องต้องชอบแน่ๆ”

จะเรือสำราญหรือไททานิกก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแหละ

ผมคิด หรือจริงๆแล้วอาการนอยด์พวกนี้ไม่ได้เป็นเพราะจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะหงุดหงิดจากการโดนใช้งานหนักกันแน่ พออารมณ์ไม่ดีทีไรผมชอบดึงหน้าตลอด นึกๆดูก็รู้ตัวว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่น่ารัก แต่ทำไงได้ พอคิดถึงหน้าอาเจี๊ยบ เสียงดุๆของแกก็ดังในหัว คำสอนเกี่ยวกับทางเลือกที่มีไม่มากดังซ้ำไปซ้ำมาจนผมรำคาญ อยากควักเอาสมองตัวเองออกมาจากกะโหลกแล้วล้างน้ำจนกว่าจะลืมอาเจี๊ยบและงานพวกนั้นได้

เราติดยู่บนถนนเกือบสิบหานาทีก่อนพี่อู๋จะลัดอ้อมขึ้นเขา ผมไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหน แต่ขับตามจีพีเอสซักพักถึงรู้ว่าพี่อู๋กำลังพาไปกินข้าว มื้อเที่ยงวันนี้คือขนมจีนป้าเขียว จุดเด่นไม่ใช่รสชาติแต่เป็นจำนวนลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านต่างหาก ยังดีหน่อยที่ร้านเป็นประเภทบริการตัวเองเลยไม่ต้องเสียเวลารอเด็กเสิร์ฟ หลังจอดรถเสร็จเราก็จัดการหาของอร่อยใส่ปาก คุณอิศรินทร์กับนายก้องเกียรติกินขนมจีนไปหนึ่งกิโลครึ่ง ไก่ทอดสี่ชิ้น และปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นข้าวเหนียวดำเปียกอีกสองถ้วย เรากินกันจนพุงกาง กินจนเรอเป็นกลิ่นแกงกะทิ กินจนพี่อู๋ต้องเดินพยุงท้องกลับรถเพราะยัดลงกระเพาะมากเกินไป

“คนโลภ” ผมว่าเมื่อเห็นคุณอิศรินทร์ขยับตัวช้าๆเพราะอิ่มจนจุก “ตอนบ่ายไปไหนครับ?”
“เล่นน้ำตก”

พี่อู๋บอกและขับรถกลับหมู่บ้านคีรีวง เราแวะเก็บกระเป๋าที่รีสอร์ทก่อนจะขับรถขึ้นไปบนภูเขา แน่นอนว่าเราไม่ได้พักบนเรือสำราญเพราะคีรีวงไม่ใหญ่พอสำหรับเรือสำราญ อย่างมากก็มีแค่เรือยางเป่าลมเท่านั้น เจ้าของที่พักบอกว่าบนเขามีของกินเพียบ ร้านพิซซ่า ร้านกาแฟ ร้านส้มตำไก่ย่าง มีกิจกรรมคลายร้อนมากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่ พี่อู๋ดูตื่นเต้นใหญ่เมื่อพูดว่าจะเล่นน้ำจนผมไม่แน่ใจว่าทริปนี้เกิดขึ้นเพื่อใคร เพื่อนายก้องเกียรติที่โมโหฟึดฟัดเรื่องงาน หรือเพื่อคุณอิศรินทร์จะได้ย้อนวัย กลายร่างเป็นเด็กกะโปกเที่ยวเล่นไปเรื่อยกันแน่

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงสี่สิบสองนาที

พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าที่จอดรถสามสิบบาทและมุ่งตรงไปจุดเล่นน้ำที่มีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด มองจากสายตาแล้วน่าจะมีเกือบๆห้าสิบคน พวกเขากระจัดกระจายจับจองพื้นที่เป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่เด็กๆจะกอดห่วงยางเล่นริมฝั่ง โตขึ้นมาหน่อยก็ลอยคออยู่ตรงกลาง คุยหยอกล้อส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามประสามาเที่ยวกันเป็นครอบครัว นายก้องเกียรติผู้ไม่ชอบความพลุกพล่านหน้างอเป็นตูดเพราะเซ็ง ผมไม่อยากเล่นน้ำ ยิ่งคนเยอะจนแทบไม่มีมุมส่วนตัวยิ่งไม่อยากเล่น ผมอยากกลับห้องไปนอนเงียบๆแต่พี่อู๋ไม่ยอม เขาเช่าห่วงยางเป็ดยักษ์ให้ผมหนึ่งตัว และบอกว่าขี่เป็ดน่าจะดีกว่ากลับห้อง แบบนั้นไม่คุ้มค่าเที่ยว อุตส่าห์มาตั้งไกล ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กอายุสิบแปดหน่อยสิ

“เด็กอายุสิบแปดเขาเรียนหนังสือ ใครมันว่างมากเหมือนผมล่ะ”

ผมบ่นงุบงิบเมื่อปล่อยเป็ดยักษ์ลงน้ำ ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่นายก้องเกียรติด้วยความอิจฉาเพราะส่วนใหญ่เช่าแค่ห่วงยางสีดำเท่านั้น ไม่มีใครเล่นใหญ่เหมือนคุณอิศรินทร์ซักคน

“คนเยอะ”

 ผมบ่น พี่อู๋คงเข้าใจ เขาเลยว่ายน้ำเข็นกอริลลาก้องที่นั่งบนเป็ดออกไปเล่นไกลหูไกลตาผู้คน

“สนุกไหม?”
“ผมเพิ่งลงน้ำเองนะ”
“นั่งบนเป็ดเรียกว่าเล่นน้ำเหรอ? ลงมาว่ายกับพี่เร็ว”

กอริลลาขี้เบื่อกระโดดลงน้ำเย็นเจี๊ยบเพื่อลอยคอเล่นกับผู้ปกครอง รอบตัวของเรามีแต่เสียงจอแจของผู้คนที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ริมตลิ่งมีเด็กประถมแข่งกันกระโดดน้ำ พวกลุงๆป้าๆก็นั่งในศาลามุงจากเต็มทุกหลัง กินส้มตำกินอาหารที่สั่งจากร้านข้างบน ผมว่าการเที่ยวจะสนุกถ้าเรามากันเยอะกว่านี้ แต่ผมกับพี่อู๋ไม่มีใคร เรามีกันแค่สองคน จะให้สนุกเหมือนคนอื่นๆก็คงยากหน่อย อย่างมากคงทำได้แค่เล่นน้ำและขึ้นไปหาอะไรกินเงียบๆเท่านั้น

ระหว่างเราลอยคอเปื่อยๆกันสองคน ผมเห็นกลุ่มผู้หญิงสวมชุดสวยๆถ่ายรูปบนสะพานแขวนด้วย ตัวสะพานเด้งไปเด้งมาตามจังหวะของคนเดิน แต่ผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังสามารถโพสต์ท่าพ้อยท์ขา ถ่ายรูปกันสนุกสนานจนผมอิจฉา ไม่ว่าจะพานจะสั่นหรือลมแรงจนผมเผ้ากระเซิง พวกเขาก็ยังยิ้มได้และหัวเราะให้กับเพื่อนๆที่มาด้วยกัน ในขณะที่มองคนอื่นมีความสุขอยู่เงียบๆ พี่อู๋ก็ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ เขาถามผมว่าเป็นอะไร ทำไมถึงเงียบไปเฉยๆ ผมบอกเขาว่าไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่รู้สึก –

ไม่เข้ากับที่นี่เลย

“มันไม่ใช่ที่ของผม” ผมบอกพี่อู๋ “แต่พอนึกว่าที่ไหนคือที่ที่ควรอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมบอกเขาอีกว่าผมชอบที่นี่ก็จริง แต่ผมอยู่ไม่ได้ ทุกอย่างแตกต่างไม่เข้ากับผมเลย ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตในต่างจังหวัด ไม่ได้หมายความว่าบ้านพี่ไม่ดีนะ มันดี แต่ผมเข้ากับมันไม่ได้ ผมคิดว่าผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมต้องไปที่ไหนซักที่

“แล้วก้องจะไปไหน?”

พี่อู๋ถาม ผมส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่รู้ ผมไม่รู้จริงๆว่าต้องไปไหน ผมเล่าให้พี่อู๋ฟังทุกอย่างว่าตัวเองเข้ากับที่นี่ไม่ได้ยังไง ผมบอกพี่อู๋ซ้ำเป็นหนที่สามว่าผมไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่บ้านเกิดของพี่ไม่มีที่ให้ผมยืนเลย ผมบอกผู้ปกครองว่าไม่ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องไม่ได้เงิน หรืองานหนัก แต่ผมเบื่อที่จะต้องได้ยินคำพูดเรื่องทางเลือกแล้ว อาเจี๊ยบเอาแต่ย้ำอยู่นั่นแหละว่าจบแค่มอปลายจะไปหางานสบายๆที่ไหนได้ ก้มหน้าก้มตาฝึกฝีมือตัวเองดีกว่า อย่างน้อยเสร็จงานนี้ก็ยังพอมีฝีมือไว้เลี้ยงตัวเองบ้าง

“ผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่ถนัดงานช่าง”

ผมบอกผู้ปกครอง ตอนแรกคิดว่าจะโดนพี่อู๋หาว่าขี้เกียจ แต่เขากลับไม่ว่าอะไรซักคำนอกจากบอกว่าพี่เข้าใจ อืม พี่เข้าใจที่ก้องพูดนะ

“ผมรู้ว่าถ้าเรียนจบปริญญาคงหางานสบายๆกว่านี้ทำได้ ถ้าผมเรียนเก่งเหมือนพี่ ผมคงได้นั่งห้องออฟฟิศเย็นๆไปแล้ว”

ผมบ่นและปีนกลับขึ้นไปนั่งบนเป็ดเหมือนเดิม กอริลลาก้องถอนหายใจเซ็งๆเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ต้องกลับไปเจออาเจี๊ยบและงานช่างที่ท่าศาลา ผมไม่อยากกลับเลย ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพี่อู๋ ผมจะไม่กลับไปจับงานพวกนั้นอีกเลย

“งานออฟฟิศดูสบายก็จริง แต่ภาระหน้าที่มันก็เยอะตามวุฒิที่เรียนจบเหมือนกัน” พี่อู๋บอก เขาคอยจับเป็ดยางตลอดเพราะกลัวกอริลลาขี้หงุดหงิดจะโดนกระแสน้ำพัดหายไปในป่าเสียก่อน “บางวันพี่ไม่ได้นั่งสบายๆที่โต๊ะอย่างที่คนอื่นคิด ต้องตามนายไปล่ามในโรงงานร้อนๆก็มี ต้องเขียนรีพอร์ต ต้องเตรียมต้องแปลเอกสาร เป็นงานที่ไม่ต้องออกแรงแต่เหนื่อยมาก เหนื่อยจนหลับบนเอ็มอาร์ทีก็บ่อยไป”

พี่อู๋ยังเล่าไม่ทันจบก็ต้องว่ายน้ำหลบกลุ่มวัยรุ่นมาใหม่ เราจึงย้ายไปเล่นกันเงียบๆอีกฟากของน้ำตกแทน ผมใช้เวลาคุยเกี่ยวกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองในช่วงนี้ ทีแรกผมนึกว่าจะโดนดุหรือไม่ก็โดนบ่นว่า “เรื่องแค่นี้” เหมือนที่เคยกลัว แต่พี่อู๋กลับไม่ว่าอะไรซักคำ เขาดูเข้าอกเข้าใจและบอกถ้าไม่ชอบงานช่างก็ไม่เป็นไรเพราะเขาเริ่มคิดๆจะจ้างช่างมาแทนเหมือนกัน 

“ปัญหาย่อมแก้ได้ด้วยเงิน” คุณอิศรินทร์กล่าว
“พี่พูดได้สิเพราะพี่รวย ผมคงใช้ชีวิตแบบพี่ไม่ได้หรอก ผมไม่ได้เรียนมหาลัย ผมไม่มีทางเลือกเยอะเหมือนคนอื่นๆ”
“แล้วก้องไม่อยากมีทางเลือกมากกว่านี้เหรอ?”
“อยาก แต่ทำไงได้”

ผมขอบตาร้อนผ่าวจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อนึกน้อยใจชีวิตตัวเอง ผมรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะลืมตาอ้าปากด้วยตัวเองได้ แต่การเดินไปให้ถึงจุดนั้นไม่ง่ายเลย

“ถ้าพี่ให้ยืมเงินเรียนต่อ – เอาไหม”

นายก้องเกียรติกระโดดลงจากเป็ดยางตกน้ำดังตู้ม! ก่อนจะรีบพรวดพราดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถามผู้ปกครองซ้ำอีกครั้งว่าให้ยืมได้เหรอ ยืมได้จริงๆเหรอ ผมสามารถยืมเงินพี่ไปเรียนต่อได้เหรอ

“ได้สิ”

ผมดีใจมาก เผลอยิ้มกว้างจนปวดแก้ม สองมือตีน้ำด้วยความร่าเริงเมื่อรู้ว่าปลายทางที่เคยมองไม่เห็นเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง

“พี่คิดดอกเบี้ยเท่าไหร่?”
“ไม่คิด”
“ผมขอเรียนพิเศษได้ไหม?” ผมถามอย่างกระตือรือร้น “ขอผมเรียนได้ไหม แค่วิชาเดียวก็ได้ ผมขอยืมเงินพี่เรียนพิเศษด้วยได้ไหมครับ?”
“จะเรียนกี่วิชาก็ได้” พี่อู๋ยิ้มเมื่อเห็นนายก้องเกียรติทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่มีข้อแม้ข้อเดียว --”

พี่อู๋เว้นวรรคไปนานทำเอานายก้องเกียรติใจหาย แต่สุดท้ายข้อแม้ของเขาก็ยังพอรับได้ ผมอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เงินไปเรียนต่อ ผมขอแค่นี้จริงๆ

“ต้องเรียนม.รัฐบาลเท่านั้นนะ เพราะพี่คงไม่มีปัญญาส่งก้องเรียนเอกชน”
“ขอบคุณครับ! ผมจะตั้งใจเรียน!”

ผมให้สัญญา

“ผมจะตั้งใจเรียน”





[PART2] ข้างล่างเลยจ้ะพี่จ๋า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-06-2019 00:25:13
26 [PART2/2]


คีรีวงสวยมาก

ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันสวยและน่าอยู่ก็เมื่อตอนเล่นน้ำเสร็จ ขากลับเราใช้เสื้อกันฝนปูรองเบาะแล้วนั่งรถกลับรีสอร์ต ตลอดทางผมถามพี่อู๋ไม่หยุดว่าจะให้ยืมเงินจริงๆเหรอ ให้จริงใช่ไหม ให้เท่าไหร่ ให้ผมเรียนพิเศษด้วยได้ไหม ถามอยู่นั่นแหละ ถามจนเขารำคาญถึงขนาดบอกว่าถ้าถามอีกจะไม่ให้ยืม นายก้องเกียรติถึงได้แต่นั่งยิ้มแก้มแตกจนถึงห้องพัก แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเช็ดผมหน้าทีวี

ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุกไปหมด ทั้งรายการชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลัง ทั้งบทสนทนาของเราสองคนที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนช่างคุยตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมคุยกับผู้ปกครองไม่หยุดปาก จบเรื่องนั้นต่อด้วยเรื่องนี้ ออกไปที่อีกเรื่อง แล้วก็วกกลับมาเรื่องที่ทำให้นายก้องเกียรติมีความสุขมากที่สุด ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำไงดี ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากเลย ผมดีใจมากเลย ผมมีความสุขมากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเหมือนจะตายเพราะตื่นเต้นเกินไป แค่คิดว่าจะมีมหาลัยเรียน จะได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมก็มือไม้สั่น มีความสุขออกนอกหน้าจนพี่อู๋หมั่นไส้

“ให้เงินเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อย่าโดดเหมือนไอ้สไปก์”

ผมให้รับปากและให้สัญญาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่พี่อู๋ให้ยืม ผมจะใช้อย่างรู้คุณค่าและไม่ทำให้เขาผิดหวังเด็ดขาด คุณอิศรินทร์บอกว่าเขาเองไม่ได้คาดหวังอะไรจากผมหรอก แค่ก้องตั้งใจเรียน ไม่แอบเอาเงินที่พี่ให้ไปใช้ในทางไม่ดีก็พอแล้ว

“คิดหรือยังว่าอยากเรียนอะไร?”
“ไม่รู้ครับ”
“ปรึกษาสมาร์ทสิ”

พี่อู๋แนะนำและส่งโทรศัพท์ให้ ผมได้มีโอกาสคุยกับสมาร์ทอีกครั้งหลังไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์ ตอนนี้สมาร์ทกลับไปอยู่หอที่ลาดกระบังแล้ว เขาถามผมว่าอยากเรียนคณะอะไร ผมตอบว่ายังไม่รู้ ผมไม่รู้เลยว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน

คำแนะนำแรกของสมาร์ทคือเรียนคณิตศาสตร์เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ PAT1 ในการยื่น เว้นแต่ว่าผมจะอยากเรียนสายภาษาแบบพี่อู๋ ถ้าเลือกทางเหมือนผู้ปกครอง ผมไม่จำเป็นต้องใช้ PAT1 ก็ได้ ใช้ PAT7 ยื่นก็โอเคเหมือนกัน

“ไปถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แล้วค่อยคิดเรื่องคอร์สติว” สมาร์ทแนะนำ “อย่าลืมยื่นคำรองขอสอบโอเน็ตด้วย”
“อื้อ ไม่ลืมแน่นอน”
“ทำยังไงโกอู๋ถึงให้ยืมเงิน?”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อกี๊เล่นน้ำตกกันสองคน จู่ๆพี่อู๋ก็บอกว่าให้ยืม”
“อ้าว ทำไมเล่นน้ำตก? โกอู๋ไม่กลับมาทำงานเหรอ?”
“อ๋อ – เดี๋ยวก็กลับแล้ว พี่อู๋ลาพักร้อนอ่ะ”

ผมเลิ่กลั่กพลางเหลือบมองผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ คุณอิศรินทร์ทำหน้าเซ็งก่อนจะโบกมือปัดเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวมันก็ลืม

“เราต้องวางแล้วสมาร์ท พี่อู๋จะพาไปกินข้าว”
“เค มีอะไรสงสัยค่อยโทรมาละกัน”

ผมขอบคุณสมาร์ทและส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครอง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเย็นสิบสามนาที คุณอิศรินทร์พากอริลลาก้องไปทานร้านอาหารแพงๆที่อยู่บนเนินเขา ทางขึ้นสูงและชันมากจนผมกลัวรถจะไหลตกถนนแต่พี่อู๋ก็พาเรามาถึงร้านอย่างปลอดภัย เย็นวันนั้นผมได้กินใบเหลียงผัดไข่ครั้งแรก และติดใจมากจนต้องขอเบิ้ลสองจาน

“กินเยอะๆ กินให้อร่อย” พี่อู๋ตักใบเหลียงให้นายก้องเกียรติ “อยู่บ้านย่ากินน้อยจนแก้มตอบ คราวนี้ก็กินให้อิ่มเลยนะ”

ตลอดเวลาที่อยู่บ้านคุณย่า ผมคงแสดงออกได้แย่มากแน่ๆไม่งั้นพี่อู๋คงไม่คะยั้นคะยอให้กินข้าว ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้ผู้ปกครองคิดว่าการอยู่ที่นี่กับเขาไม่มีความสุข ดังนั้นผมเลยบอกพี่อู๋ว่าขอโทษที่แสดงสีหน้าไม่ดี ผมไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ที่นี่ ผมแค่เบื่องานช่าง

“พี่รู้น่า” เขาตอบปัดๆเพื่อให้นายก้องเกียรติสบายใจ “เพราะพี่เองก็เบื่อเหมือนกัน”
“อ้าว แล้วพี่จะฝืนทำทำไมล่ะครับ?”
“มันไม่มีที่ให้ไป ถ้าจะอยู่บ้านย่าก็ต้องช่วยกันทำงานนั่นแหละ แต่พออยู่ไปนานๆพี่คิดถึงกรุงเทพว่ะ”
“ผมก็คิดถึงคอนโดที่ลาดพร้าว”
“งั้นพรุ่งนี้เรากลับกรุงเทพกันเนอะ”
“ง่ายขนาดนั้นเลย?”

ผมมุ่ยหน้าเมื่อนึกถึงวันเกิดเมื่อปลายปี ตอนนั้นเขาดูจริงจังกับการย้ายมาอยู่ที่นี่มากๆ แต่ผ่านไปแค่สองเดือน คุณอิศรินทร์ก็บ่นว่าเบื่อและอยากกลับลาดพร้าวเสียอย่างนั้น

“พี่อยากกลับเพราะก้องต้องทำเรื่องเรียนต่อด้วยไง พวกเอกสาร ใบรับรองวุฒิ ใบมรณบัตรของแม่ก็คงไหม้ไปกับบ้านแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“เดี๋ยวกลับไปเคลียร์เอกสารกันนะ เพื่อนพี่บอกว่าถ้าบ้านไฟไหม้แต่ไม่ได้มีประกัน ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ ก้องถ่ายรูปบ้านเก็บไว้บ้างไหม?”
“ไม่ได้ถ่ายเลยครับ ตอนนั้นผมเคว้งจนไม่รู้จะทำยังไง”

ผมถอนหายใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่ลีเคยถ่าย เช้าหลังกลับเข้าไปดูซาก พี่ลีกับแฟนถ่ายรูปบ้านของตัวเองและคนในชุมชนเก็บไว้ ผมว่าในวันนั้นต้องมีบ้านของผมซักรูปสองรูปแน่ๆ

“รู้ไหมว่าร้านขายขนมพี่ลีอยู่ไหน?”
“รู้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปหาพี่ลีกันนะ”
“รัฐจะจ่ายค่าชดเชยให้จริงๆเหรอครับ?”
“จ่ายสิ แต่คงไม่กี่หมื่น” พี่อู๋ขมวดคิ้วไม่แน่ใจ
“งั้นผมไม่ยืมเงินของพี่อู๋ดีกว่า ผมใช้เงินชดเชยก้อนนี้ก็ได้”
“กว่าจะเดินเรื่อง กว่าจะเตรียมเอกสารไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เงินพี่ไปก่อนเถอะ เรียนจบแล้วค่อยคืน”
“พี่ไม่กลัวผมเบี้ยวเหรอ?”
“ก้องไม่กล้าหรอก” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ “หรือถ้ากล้าก็ลองดู”

ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่เบี้ยวแน่นอนครับและก้มหน้าก้มตากวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จเราแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อโค้กคนละถุงก่อนกลับห้อง คืนนั้นผมกับพี่อู๋นั่งดื่มน้ำอัดลมและพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตเกือบทั้งคืน ผมจดแผนชีวิตตัวเองลงบนกระดาษแจกฟรีของรีสอร์ตเป็นข้อๆ อย่างแรกคือกลับไปเคลียร์เอกสาร ทั้งโฉนดที่ดิน ทั้งสำเนาทะเบียนบ้าน ทั้งใบมรณบัตรของแม่ ทั้งสูติบัตรและใบรับรองวุฒิการศึกษาต่างๆของผม หลังจากนั้นก็ยื่นเรื่องขอเงินชดเชยค่าบ้าน ระหว่างรอดำเนินการ ผมจะเริ่มหาที่เรียนกวดวิชา อาจจะต้องรีบหน่อยเพราะคอร์สซัมเมอร์ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ขืนช้าเดี๋ยวจัดตารางไม่ลง เวลาเรียนจะชนกันจนทำให้อดเรียนคอร์สสำคัญก็ได้

“เด็กสมัยนี้เรียนหนักเนอะ” พี่อู๋พูดระหว่างที่เรานอนดูตารางคอร์สเรียนพิเศษของสถาบันต่างๆ “สอบก็เยอะ จุกจิก”
“สมัยพี่มีโอเน็ตไหมครับ?”
“ไม่มีอ่ะ มีแต่โอน้อยออก”
“พี่อู๋รุ่นเอนทรานซ์เหรอ?” เมื่อเขาพยักหน้า ผมก็รีบแซวต่อทันที “รู้เลยนะครับว่าแก่”
“แหม คุณก้องเกียรติผู้ยังหนุ่มยังแน่น คุณรู้หรือยังล่ะครับว่าระบบ Admission รุ่นคุณต้องสอบอะไรบ้าง?”
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ Admission แล้วครับ เปลี่ยนเป็น TCAS แล้ว”

พี่อู๋เหวอแดกเลย

“พี่แก่แล้วนะครับ” ผมพูดซ้ำอีกรอบ “เรามันคนละเจเนอเรชึ่นจริงๆ”

คุณอิศรินทร์แจกมะเหงกให้กอริลลาก้องหนึ่งโป๊กแล้วกลับมาช่วยกันดูคอร์สติวต่อ พอเห็นราคาแล้วผมแอบร้อนๆหนาวๆ ต่อให้ได้เงินช่วยค่าไฟไหม้จากรัฐก็คงไม่มากพอจะลงเรียนทุกวิชา ผมเผลอถอนหายใจเฮือกออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าพี่อู๋จะให้ผมยืมเงินจริงหรือเปล่า ตอนนี้ตัวเขาเองก็ตกงาน แถมค่าเรียนกวดวิชาก็แพงแสนแพง ยังไม่รวมค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะที่ต้องใช้ในแต่ละวันอีก คิดๆดูแล้ว – ผมไม่ควรรบกวนเขาเลย

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ผมไม่อยากยืมเงินพี่แล้วอ่ะ”

ผมบอก คุณอิศรินทร์ถามว่าทำไม ผมจึงอธิบายเพิ่มว่าค่าเรียนพิเศษมันแพงเกินไป มันแพงมาก อย่างต่ำก็ห้าพันแล้ว ผมคิดว่าผมควรเรียนแค่วิชาเดียว อย่างน้อยพี่อู๋จะได้ไม่ต้องลำบาก แถมตอนนี้พี่ – ไม่มีรายรับด้วย ผมกลัวเขาเดือดร้อนเพราะเด็กเร่ร่อนอย่างนายก้องเกียรติ

“เรียนไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่พี่ไม่ใช่ – ญาติผม เราไม่ได้เป็นครอบครัวกัน” ผมอ้อมแอ้ม และแน่นอน พี่อู๋มองผมตาเขียวทันทีที่พูดประโยคทำนองนี้ออกมาอีกครั้ง “พี่เองก็กำลังลำบาก --”
“เดี๋ยวพี่ก็หางานทำแล้ว”
“พี่พูดจริงเหรอครับ?” ผมถาม คุณอิศรินทร์ให้คำตอบเป็นการพยักหน้า “ที่พี่ต้องหางานทำนี่เป็นเพราะผมหรือเปล่า? ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าหรอก มันถึงเวลาแล้ว”
“ยังไง?”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขายีหัวนายก้องเกียรติจนเสียทรงก่อนจะปิดไฟเตรียมเข้านอน เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปปั่นจักรยานแต่เช้า เราจะปั่นขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาเพื่อสูดความสดชื่นให้เต็มปอดก่อนจะต้องกลับไปดมควันรถเมล์ที่กรุงเทพภายในอาทิตย์นี้




ผมตื่นหกโมงเช้าเพราะพี่อู๋ปลุก เขาเขย่าตัวกอริลลาก้องแรงมากจนนึกว่าแผ่นดินไหว คุณอิศรินทร์ต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะลากผมออกจากที่นอนได้ เราลุกไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันหน้ากระจกก่อนจะเข็นจักรยานของรีสอร์ตไปกันคนละคัน

เช้าวันนี้หนาวน้ำค้างกว่าเช้าไหนๆ ผมต้องลูบแขนตัวเองเพราะอากาศเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ยี่สิบเอ็ดองศา พี่อู๋ดูท่าทางร่าเริงกว่าที่เคย เขาปั่นจักรยานนำผมขึ้นไปบนเขา เลียบถนนข้างลำธารย้อนกลับไปจุดที่เล่นน้ำตกด้วยกันเมื่อวาน บรรยากาศข้างทางสดชื่นและสบายตามาก มีแต่ต้นไม้กับเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่ดังเป็นเพื่อนเราสองคน ระยะทางที่ปั่นขึ้นไปค่อนข้างไกลจนเราหอบ ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะ สูดแค่ตรงนี้ก็น่าจะเต็มอิ่ม อย่าปั่นไปถึงข้างบนเลย เดี๋ยวจะมีคนเหนื่อยตายก่อน

“เอาน่า ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวหน่อยสิ เห็นไหมใครๆก็ปั่นกัน”

เขาบุ้ยปากไปทางนักท่องเที่ยวที่ปั่นสวนทางลงจากเขา พวกเธอเป็นกลุ่มสมาคมคุณป้าแม่บ้านที่ดูภายนอกแล้วน่าจะควบตำแหน่งนักเต้นหน้าเวทีแอโรบิคด้วยแน่ๆ ผมบ่นอุบอิบเพราะเหนื่อยที่ต้องออกแรงปั่นจักรยานต้านแรงโน้มถ่วง แต่สุดท้ายเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนจนได้

มื้อเช้าของวันนี้คือข้าวเหนียวไก่ทอดกับโอวัลตินเย็น เรานั่งทานบนโขดหินริมน้ำตกด้วยกันจนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง ผมแกว่งขาในน้ำ ปล่อยให้ความเย็นช่วยคลายความเมื่อยล้าจากการออกแรงเข็นจักรยาน ระหว่างกินข้าวเหนียว ผมกับพี่อู๋ก็พูดคุยถึงอนาคตด้วยกัน ในอนาคตของผมยังคงมีพี่อู๋อยู่ ผมตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาลัยให้ได้และทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้เขาให้หมด ส่วนพี่อู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกแค่ว่าจะหางานและดูแลผมไปด้วย

“เพราะพี่เป็นผู้ปกครองของก้อง” เขากัดน่องไก่คำโต เคี้ยวหยับๆเสียงดังไม่อายใคร
“พี่จะหางานที่ไหนครับ?”
“เยอะแยะ เขี่ยๆเอาก็เจอแล้ว”
“งานนะครับ ไม่ใช่หอยเสียบที่ใช้เท้าเขี่ยๆตามหาดก็เจอ”

ผมหัวเราะพลางนึกถึงโหลหอยเสียบดองน้ำปลาของย่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก อยากกินหอยดองกับข้าวสวยร้อนๆซักถ้วยจัง

“ก้องไม่ต้องเครียดเรื่องพี่หรอก ห่วงตัวเองดีกว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งปีจะเป็นปีที่เครียดมากๆ ก้องคิดว่าก้องรับมือไหวไหม?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“ไม่ไหวบอกไหว”
“พี่จะเล่นต่อเพลงกับผมเหรอครับ?”

ผมยิ้มขำ เรากินข้าวเหนียวไก่ทอดและโอวัลตินจนหมดก่อนจะช่วยกันเก็บขยะที่อยู่ริมทางไปทิ้ง นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงสิบเอ็ดนาที พี่อู๋ที่ปั่นจักรยานนำหน้าผมหันมาบอกว่าแข่งกันไหม ใครถึงรีสอร์ตก่อนชนะ

“รางวัลคืออะไรครับ?”
“คนแพ้ต้องเก็บกระเป๋า”

ผมตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดเพราะงานเก็บกระเป๋าเป็นงานที่วุ่นวายและหลงลืมบ่อยมาก ผมเคยลืมแปรงสีฟันตั้งสองครั้ง พี่อู๋ลืมกางเกงใน ลืมสายชาร์ตโทรศัพท์ ลืมของชิ้นเล็กๆอย่างมีดโกนหนวดด้วย ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าเวลาจัดกระเป๋าควรมีคนทำแค่คนเดียว ไม่งั้นก็จะลืมแบบนี้ตลอดเพราะคิดว่าอีกคนหยิบมาแล้ว

พอรับคำท้า ผมก็ออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ การปั่นจักรยานลงเขานั้นง่ายกว่าปั่นขึ้นหลายเท่า เราแทบไม่ต้องออกแรงเลย ก็แค่ปล่อยให้รถไหลไปตามความชันของถนน ผมกับพี่อู๋ผลัดกันแซงอยู่หลายหน เราหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนานเพราะผลการแข่งขันที่สูสี จนกระทั่งผมออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเพราะความอยากเอาชนะ ในที่สุดจักรยานสีน้ำเงินของนายก้องเกียรติก็วิ่งนำหน้าผู้ปกครอง ผมหันไปเยาะเย้ยคุณอิศรินทร์โดยไม่ทันมองทางข้างหน้า หลังจากนั้นก็โครม! ผมปลิวขึ้นไปบนอากาศก่อนจะกลิ้งบนถนน พี่อู๋ตะโกนเสียงดังว่าก้อง! ก่อนจะกระโดดทิ้งจักรยานแล้วรีบวิ่งมาหา ตอนแรกมันหนึบๆชาๆบอกไม่ถูก พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ ผมเจ็บจนร้องโอ๊ยเพราะทั้งแขนขา ทั้งคางมีเลือดออกเต็มไปหมด

“ทำไมขับไม่ระวังเลยก้อง! ทำไมไม่ดูทาง!”

พี่อู๋ดุเหมือนเด็กในปกครองทำความผิดร้ายแรง ผมได้แต่นั่งจ๋อย น้ำตาซึมเพราะรู้สึกผิด เสียงโหวกเหวกโวยวายของเขาทำให้ชาวบ้านที่ขายของริมทางต้องเดินออกมาดู คุณป้าคนหนึ่งช่วยเข็นจักรยานของเรามาไว้ข้างทางและชวนให้นั่งบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนก่อนจะเอาน้ำเกลือล้างแผลขวดใหญ่มาให้

“ขอบคุณครับ”

พี่อู๋พูดขอบคุณแล้วบีบน้ำเกลือราดแผลผมทันที นายก้องเกียรติร้องโอ๊ยจะเป็นจะตายเพราะเจ็บแผล คราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาซึมแล้ว แต่เป็นน้ำตาทั้งมหาสมุทรเลย ผมร้องไห้จนหน้าเปียกไปหมด พี่อู๋ดุผมจนคุณป้าต้องบอกให้พอก่อน เด็กมันล้มไปแล้ว จะดุให้เสียใจอีกทำไม ไปกันใหญ่พอดี

“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย”

พี่อู๋ทิ้งท้าย เขาขมวดคิ้วมองนายก้องเกียรติอย่างตำหนิ ผมได้แต่นั่งสูดน้ำมูกกระซิกๆไม่มีข้อแก้ตัว หลังล้างแผลเบื้องต้นเรียบร้อยพี่อู๋ก็บอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล คางแตกแบบนี้โดนแน่

“ผมไม่อยากโดนเย็บ”
“ไปต่อรองกับหมอเองสิ”

พี่อู๋หงุดหงิดเย็นชา เขาฝากผมไว้หน้าบ้านคุณป้าผู้ใจดีก่อนจะหายไปเอารถที่รีสอร์ต คุณป้าที่เห็นผมร้องไม่หยุดก็ได้แต่บอกว่าพี่คงเป็นห่วง ถ้าไม่เป็นห่วงเขาไม่คงไม่ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาหาหรอก

นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงยี่สิบนาที วีออสสีดำมาจอดตรงหน้าโดยมีพี่อู๋ที่ยังคงหงุดหงิดเดินมารับนายก้องเกียรติขึ้นรถ เขาตั้งใจจะจ่ายเงินค่าน้ำเกลือให้คุณป้าด้วย แต่เธอไม่รับ เธอบอกว่าให้รีบพาผมไปหาหมอดีกว่า ดังนั้นทริปคีรีวงส่งท้ายประเทศคอนจึงจบลงด้วยน้ำตาของนายก้องเกียรติและคำบ่นของคุณอิศรินทร์ที่คงไม่เงียบง่ายๆในสองสามนาทีนี้แน่ๆ




ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาล พี่อู๋ยังบ่นไม่หยุด เขาบ่นๆๆเหมือนหมีกินผึ้งที่เอาแต่ตำหนิผมเพราะไม่ระวังตัว ถึงปากจะบ่นและหน้าจะงอแค่ไหน สุดท้ายเขาก็พาผมไปส่งโรงพยาบาล แถมยังอยู่เป็นเพื่อนตอนหมอฉีดยาชาและเย็บแผลด้วย พี่อู๋เหมือนแม่ไม่มีผิด

“หายซ่าหรือยัง?”

เขากอดอกมองกอริลลาก้องที่มีผ้าก็อซแปะคาง ตรงแขนขามีผ้าพันไว้เหมือนมัมมี่ นี่ขนาดแค่ล้มจักรยานเองนะเนี่ย สุดยอดไปเลย

“ทำไมพี่ต้องโมโหด้วย ก็แค่ล้มจักรยาน --”
“แค่ล้ม?” พี่อู๋โมโหจนแสดงออกทางสีหน้า “ขนาดแค่ล้มยังโดนตั้งสองเข็ม ถ้าเป็นมากกว่านี้จะว่ายังไง?”
“พี่จะโวยวายทำไม คนเจ็บตัวมันผมต่างหาก พี่ไม่ได้เจ็บซักหน่อยอ่ะ”
“ใครว่าพี่ไม่เจ็บ”

พี่อู๋โยกหัวนายก้องเกียรติอีกหนึ่งทีก่อนจะลุกไปรับยาให้ พอเห็นเขาเป็นห่วงขนาดนี้มันอดรู้สึกดีไม่ได้จริงๆ เมื่อกี๊พี่อู๋เหมือนแม่เลย แววตาของเขาดูกังวลและกลัวมากเหมือนสมัยที่ผมตกบันไดในบ้านตอนเรียนประถม แววตาของเขาไม่ต่างจากแววตาของแม่ในวันนั้น แถมพอผมเจ็บตัว พี่อู๋ก็เอาแต่บ่นๆๆเหมือนแม่ บ่นแต่ก็พาไปหาหมอ บ่นแต่ก็ดูแลอย่างดี บ่นแต่ก็ยังคงแสดงออกว่ารักและเป็นห่วง อ่า— ตอนนี้ผมรู้สึกดีจัง การมีใครซักคนแสดงออกว่าเราสำคัญเป็นเรื่องที่ดีมากเลย

“เสร็จแล้วเราจะไปไหนกันครับ?”
“กลับบ้านย่า” พี่อู๋ตอบขณะเปิดประตูและช่วยประคองมัมมี่ก้องขึ้นรถ “ตอนนี้มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นแล้ว”
“ข้ออ้างอะไรครับ?”

ผมถามก่อนจะมองสภาพตัวเอง อ๋อ แผลขนาดนี้ ถ้าโดนใช้ให้ไปฉาบผนังอีก ผมจะฉาบอาเจี๊ยบก่อนเลย

“อยากกินอะไรก่อนถึงบ้านย่าไหม?”
“อะไรก็ได้ครับ”

ผมบอกและไม่พูดอะไรอีก ตลอดทางผมเอาแต่คิดถึงสีหน้าท่าทางของผู้ปกครองเมื่อเช้า ผมดีใจที่พี่อู๋เป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เรามาพบกันแต่ผมรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆที่ไม่ทิ้งนายก้องเกียรติตั้งแต่วันที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่มีพี่อู๋ คงไม่มีผมในวันนี้ และผมคงเป็นนายก้องเกียรติที่มีความสุขไม่ได้ถ้าคุณอิศรินทร์ไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นคนในครอบครัว

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ไม่มีอะไรครับ”

ผมเปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่ากอริลลากลายร่างเป็นแมวเพราะอยากเอาใจที่ได้ยืมเงิน

“เรียกแล้วไม่พูด โดนเสยคางแตกนะ”
“มันแตกอยู่แล้ว พี่ยังจะทำให้มันเยินกว่านี้อีกเหรอ?” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ เขาถามซ้ำอีกครั้งว่าเรียกทำไม ผมจึงต้องโกหกเพราะเขิน ไม่กล้าขอบคุณเขาตอนนี้ “ผมอยากกินชาเขียวอ่ะ”
“บอกช้าไปละ พี่ขับเลยปั๊มมาแล้วเนี่ย”

พี่อู๋บ่นอีกแต่สุดท้ายก็กลับรถพาผมไปซื้ออเมซอนจนได้ เป็นไงล่ะผู้ปกครองของผม หล่อ ลาดพร้าว ใจดี มีวีออสขับ แถมยังน่ารักที่หนึ่ง ตอนนี้นายก้องเกียรติอาจจะตอบแทนผู้มีประคุณเป็นเงินหรือสิ่งของไม่ได้ แต่ในอนาคตผมจะชดใช้ให้แน่ๆ ผมสัญญาเลยว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นเด็กดีของคุณอิศรินทร์ ผมจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ผมจะขยัน ผมจะตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พี่อู๋หนักใจเด็ดขาด

แต่อย่างแรกเลย พี่ต้องหยุดบ่นก่อนนะ
ถ้าพี่ไม่หยุด – ผมจะอาละวาดจริงๆด้วย



TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันศุกร์ค่ะ  :z13:

หลังจากนี้หนูจะค่อนข้างยุ่งมากๆเลย เจอกันอีกทีหลังวันที่ 7 กรกฎานะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันเสมอน้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 22-06-2019 00:54:51
นี่ก็ยังคงคิดว่าพี่อู๋มันแอบเล่นหุ้นหรือป่าวนะ 5555 เงินเยอะมากเอาจริง ใช้ชีวิตแบบไม่มีงานทำมาหลายเดือนเลยนะ แต่ยังคงมีเงินพาน้องกินของแพงๆได้เวลาไปไหน ไปเที่ยว สังเกตุดูว่าอีพี่จะให้น้องกินของดีๆตลอด ถ้ามีร้านดีๆให้กิน คือแบบเงินมาจากไหนเยอะแยะอ่ะ คือถ้าทำงานอย่างเดียวแสดงว่าเงินเดือนพี่แกบวกโบนัสเอาเรื่องอยู่นะ ละคงเก็บเงินได้เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไลฟ์สไตล์ชีวิตกินดีอยู่ดีนี่เงินน่าจะไม่เหลือเก็บบ้างนะ แต่นี่มีตลอดจนบางทีก็อยากได้พี่แกมาไว้ในชีวิตจริงบ้าง 55555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 22-06-2019 09:11:11
พี่อู๋เค้ารักของเค้าจริงๆ ก้องจะกลับไปเรียนแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองอยากเรียนเนอะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 22-06-2019 11:39:41
เอ็นดูความเป้นผุ้ปกครองของพี่อุ๋
เลี้ยงต้อยโดยสมบุรณ์แบบเลยอ่ะ 555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-06-2019 17:04:36
พี่อู๋ต้องเหนื่อยหนักแน่ๆกว่ากอริลล่าก้องจะรุ้ตัวว่าพี่มันแอบรักเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-06-2019 21:36:12
แหม พอได้อย่างใจคิดก็ดี๊ด๊ามีความสุขนะนายก้อง
รู้หรอกน่าว่าพี่อู๋รอให้นายก้องเป็นคนพูดทุกอย่างออกมาอย่างเรื่องอยากกลับไปเรียนนี่ไง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-06-2019 21:55:06
กลับคอนโดกันเสียที ชีวิตก้องจะได้เดิน พี่อู๋ด้วย ทั้งงานทั้งเรียน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-06-2019 23:13:43
ขอพี่อู๋สักคนตรงนี้ค่ะ ไม่ไหวแล้ว อบอุ่น อุ่นใจ อะไรขนาดนี้  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-06-2019 11:54:36
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 23-06-2019 12:30:14
โอ้ยยย เขิน 55555ยิ้มแก้มแตกเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 23-06-2019 20:48:48
อีพี่อู๋นับวันยิ่งป๋าขึ้นไปทุกที ไม่ใช่พอก้องเข้ามหาลัยแล้วจะไปกัดหัวเพื่อนเขานะ จะทำไรก็รีบๆทำนะลุง เดี๋ยวสายเกิน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: lemon_sour ที่ 24-06-2019 01:50:17
น้องก้องง พอคุณเขาตามใจหน่อย เป็นห่วงหน่อยย ก็ดีใจใหญ่เลยนะะ คุณเขาก็บอกชอบไปแล้ว บ้าบอออ

รู้สึกเพิ่งได้รับความหวานจากเรื่องนี้ เมื่อ 2-3 ที่ผ่านมา รู้สึกว่ามันก่อตัวแล้วสินะ ขาดกันไม่ได้แล้วล่ะสิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 26-06-2019 00:35:49
ตอนนี้ทำเอาเขินตัวม้วนไปหมด รู้เลยว่าพี่อู๋ทั้งรักทั้งห่วงนายก้องขนาดไหน แอบงงนิดนึงว่าทำไมก้องไม่กู้กยศ หรือนางไม่รู้

ปล.ใบเหลียงผัดไข่น่ากินมาก คนเขียนเขียนเก่งมากทำให้เราหลงเสน่ห์เมืองคอน หลงเสน่ห์ภาษาใต้ไปแบบไม่รู้ตัว  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-06-2019 17:05:32
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 26 update!] 22/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-06-2019 01:29:58
 เพิ่งเข้ามาอ่านแต่ชอบมากเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 29-06-2019 19:40:57
27 [PART1/2]


มัมมี่ก้องกลับมาแล้วครับ!

หลังจากหายไปอยู่ในป่ามะพร้าวกับผู้ปกครอง ในที่สุดมัมมี่ก้องก็ได้กลับมาอยู่ลาดพร้าวอีกครั้ง ภารกิจแรกที่พวกเราต้องทำคือจัดการเอกสารที่ไหม้ไปกับบ้านเมื่อปีก่อน อาทิตย์แรกที่มาถึง ผมกับคุณอิศรินทร์ออกเดินสายสถานที่ราชการแทบทุกวัน นอกจากโรงพักและหน่วยงานต่างๆแล้ว ผมยังต้องกลับไปโรงเรียนสมัยมัธยมเพื่อขอใบจบและเกรดด้วย

ตอนที่นายก้องเกียรติปรากฏตัวครั้งแรก คุณครูต่างตื่นเต้นตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นผมอีกครั้ง หลายท่านถามถึงมหาวิทยาลัยก่อนความเป็นไปของลูกศิษย์เสียอีก ผมรู้สึกอายทุกครั้งเมื่อบอกพวกท่านว่า ยังไม่มีที่เรียนครับ แต่ยังดีที่ไม่ต้องขยายความว่าทำไม ทั้งเรื่องแม่ที่ตายในวันสอบโอเน็ตและข่าวไฟไหม้บ้านคงรู้กันทั่วโรงเรียนหมดแล้ว

“ก้องเกียรติ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”

คุณครูปริตตาที่สอนภาษาอังกฤษตอนมอปลายถามขึ้น ผมยกมือไหว้คุณครูก่อนจะตอบว่าสบายดีครับ ท่านจึงถามอีกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร มีญาติมารับไปเลี้ยงดูหรือเปล่า ผมตอบคุณครูปริตตาว่าไม่มีครับ ผมไม่เหลือใครแล้ว แต่มีผู้ชายคนนึงรับเลี้ยงผมไว้ เขาชื่ออิศรินทร์ เป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทญี่ปุ่น

“ไปเจอกันได้ยังไงเหรอ?”

คุณครูถามอีก ผมอึกอักไม่กล้าเล่าถึงเรื่องสะพานก็เลยบอกว่าพี่อู๋เป็นคนใจดีที่ไปเยี่ยมญาติในโรงพยาบาล เราก็เลยบังเอิญเจอกัน เขาได้ยินเรื่องของผมจากเพื่อนบ้านก็เลยรับผมไว้เป็นเด็กในอุปการะ คุณครูปริตตาอมยิ้ม ท่านบอกว่าดีแล้วล่ะที่ยังมีคนเมตตา ก้องเกียรติก็ต้องเป็นเด็กดีอย่าทำให้เขาลำบากใจนะ เขาจะได้เอ็นดูเราไปนานๆ

“เรื่องมหาลัยล่ะว่ายังไง? จะเรียนต่อไหม?”

ผมบอกคุณครูว่าเรียนแน่นอนครับ คุณอิศรินทร์คนนี้แหละที่เอ่ยปากให้ยืมเงินเรียนหนังสือ คุณครูปริตตาดูชอบอกชอบใจใหญ่ ท่านบอกให้ผมพยายามต่อไป ก้องเกียรติเป็นคนเก่ง เป็นเด็กขยัน ก้องเกียรติทำได้อยู่แล้ว ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อครูมานะ เผื่อมีเรื่องที่พอช่วยได้ ครูจะช่วย

ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูที่ใจดีและถามถึงชีวิตของผมก่อนชื่อมหาวิทยาลัยแล้วขอตัวกลับ ผมใช้เวลาทำธุระในโรงเรียนแค่ชั่วโมงกว่าๆก่อนจะเดินไปขึ้นรถวีออสที่จอดหลับเงาใต้ต้นมะขาม พี่อู๋สวมแว่นกันแดดมองมัมมี่ก้องแล้วถามว่าเป็นไงบ้าง ได้เอกสารครบหรือยัง

“ครบครับ”

ผมตอบและเก็บแฟ้มของสำคัญใส่ไว้ในกระเป๋า เราแวะหาร้านข้าวอร่อยๆกินก่อนจะกลับลาดพร้าว เย็นวันนี้หลังตัดไหมที่คาง ผมจะต้องวางแผนตารางเรียนพิเศษ สมาร์ทบอกว่าวิชาที่ควรเรียนคือวิชาคำนวณเช่นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี วิชาท่องจำอย่างภาษาไทย สังคม และชีววิทยาค่อยอ่านจากชีทเก่าๆของเขาหรือซื้อหนังสืออ่านเองก็ได้ ส่วนภาษาอังกฤษพี่อู๋สอน –

“เอ๋ – อ๋าเร๋ – มุริดะโย๋ว --” (เอ๋ อะไรนะ ไม่ไหวหรอกมั้ง)

พี่อู๋ว่ามาแบบนั้น ผมก็เลยต้องหาคอร์สภาษาอังกฤษเป็นทางเลือกหนึ่ง ตอนนี้วิชาหลักที่ต้องจ่ายเงินเรียนแน่ๆมีสามวิชา ราคาค่าเรียนเกือบสองหมื่นบาท พอคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้วผมถึงกับเหงื่อตก ไม่อยากเรียนพิเศษให้เปลืองเลยจริงๆ

“ก็ลองยืนดูโจทย์จากแนวข้อสอบในร้านหนังสือสิ” สมาร์ทแนะนำ “วิชาไหนพอทำได้ก็ไม่ต้องเรียน แต่ถ้าอยากได้มหาลัยดีๆ คณะดังๆนะ เรียนเถอะ การสอบเข้าไม่ได้แข่งกับตัวเอง แต่ต้องแข่งกับคนอีกเป็นแสน หรือจะเถียงว่าไม่จริง?”

ก็จริง

การสอบเข้าต้องแข่งกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกเป็นแสนเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้รับเด็กทุกคนที่คะแนนผ่านเกณฑ์ แต่ยังจำกัดจำนวนเด็กที่จะได้เข้าเรียนด้วย ดังนั้นต่อให้คะแนนของผมจะออกมาเป็นที่น่าพอใจแค่ไหน ถ้ามันน้อยกว่าคนอื่นๆ ผมก็หมดสิทธิ์เหมือนกัน

ในสงครามนี้มีแค่ผู้แพ้และผู้ชนะ

คำพูดของสมาร์ทติดค้างในหัวชนิดที่สะบัดยังไงก็ไม่หลุด

ก้องต้องเลือกแล้วว่าจะสู้ตายหรือจะเลื่อนๆลอยๆจนไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย



มัมมี่ก้องเกียรติจากไปแล้ว เหลือกอริลลาก้องใจสู้ที่พร้อมลุยทุกอย่างเท่านั้น

ครั้งล่าสุดที่ไปหาหมอที่สองวันก่อนเริ่มเรียนพิเศษ การพบกันครั้งนี้ใช้เวลาแค่สิบนาที มันเร็วจนพี่อู๋ประหลาดใจเมื่อเห็นกอริลลาก้องเดินออกจากห้องตรวจด้วยท่าทางมั่นใจมากกว่าเดิม ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอจะจ่ายยาให้สามเดือนเพราะรู้ว่าผมคงไม่ว่างมาหาตามนัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าหากมีไม่สบายใจก็กลับมาได้เสมอ อย่ารอ อย่าปล่อยให้ตัวเองย้อนกลับไปอยู่จุดเดิมโดยไม่มาพบหมอ

“เก่งมากก้อง”

พี่อู๋พูดขณะขับรถกลับลาดพร้าว วันนี้เราจะซ้อมเดินทางไปเรียนพิเศษด้วยรถไฟฟ้ากัน เพราะอีกไม่กี่วันคุณอิศรินทร์คงไม่ว่างรับส่ง เขากำลังจะเริ่มหางาน ผมจำสถานีและประตูทางออกจนขึ้นใจ นั่งเอ็มอาร์ทีไปสถานีจตุจักรเพื่อต่อบีทีเอสหมอชิตแล้วนั่งยาวจนถึงพญาไท หลังจากนั้นก็เดินย้อนไปทางสี่แยก ข้ามถนนที่มีนักเรียนประมาณครึ่งร้อยยืนเบียดกันริมฟุตปาธ สีหน้าของพี่อู๋ดูโคตรเซ็งเมื่อโดนเด็กมัธยมเบียดเสียดแย่งกันข้ามถนน พอเข้าตึกวรรณสรณ์ก็ยังเจอเด็กต่อคิวรอใช้ลิฟต์อีกเป็นร้อย เขาส่ายหัวเซ็งๆก่อนจะบ่นให้ผมได้ยินว่าเด็กตัวแค่นี้ทำไมไม่เอาเวลาไปเล่น มาเรียนพิเศษกันทำไม

“พี่พูดเหมือนผมไม่ได้เรียนงั้นแหละ”

ผมว่าเขาขณะใช้บันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสิบสี่เพื่อรับหนังสือเรียน พอรับเสร็จก็ต้องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อรับหนังสือเรียนวิชาคณิตกับฟิสิกส์ ผมได้หนังสือกลับห้องเยอะมาก ทันทีที่ถึงลาดพร้าว ผมก็นั่งเปิดอ่านล่วงหน้าด้วยความตื่นเต้น ผมเคยเรียนกวดวิชาบ้างสมัยที่แม่ยังอยู่ แต่ไม่เคยเรียนที่พญาไทมาก่อน พอได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ ไฟในใจก็ยิ่งลุกโชน ถ้ากำดาบไปรบแล้วเข้ามหาลัยได้ ผมคงทำไปแล้ว

ตกเย็นวันนั้นพี่อู๋พาผมไปซื้อโคมไฟอ่านหนังสือที่ออฟฟิศเมท เขาจริงจังกับการสร้างบรรยากาศเพื่อให้ผมอยากอ่านหนังสือมากจนยอมซื้อโต๊ะใหม่ไปวางในห้องนอนเล็ก ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่เห็นจำเป็นเลยเพราะยังไงโต๊ะกินข้าวก็มีอยู่แล้ว แต่เขายืนยันว่าอ่านหนังสือที่โต๊ะกินข้าวไม่มีสมาธิหรอก เดี๋ยวเสียงไอ้นั่นเสียงไอ้นี่ ไหนจะทีวี ไหนจะโซฟาอีก ผมควรมีห้องอ่านหนังสือของตัวเอง ควรมีเครื่องเขียน มีสมุดจดและชั้นวางของ ผมถามคุณอิศรินทร์ว่าจะซื้อให้เปลืองทำไม ยังไงผมก็ใช้แค่ปีเดียว ไม่ได้อยู่กับพี่ตลอดไปเสียหน่อย

“ใจคอสอบติดแล้วจะไม่กลับมาอยู่กับพี่บ้างเหรอ?” ผมนึก เออว่ะ สอบติดมหาลัยไม่ได้แปลว่าผมต้องไปจากเขานี่นา “อีกอย่าง พี่ก็ต้องมีห้องทำงานเหมือนกัน ไว้เราแชร์ห้องด้วยกันก็ได้”

หลังซื้อของเสร็จเราก็ขับรถกลับลาดพร้าว ห้องนอนเล็กนั้นไม่กว้างพอที่จะวางโต๊ะหนังสือได้ก็เลยต้องย้ายไปห้องนอนใหญ่ พี่อู๋บอกผมว่าไม่ต้องกังวล ถ้านายก้องเกียรติอ่านหนังสือเขาจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย เขาจะรอข้างนอกจนกว่าผมจะอ่านเสร็จแล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน

“พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ผมบอกขณะมองโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ที่วางตรงปลายเตียง ข้างๆมีชั้นหนังสือโครงเหล็กสำหรับเก็บชีทเรียนพิเศษ มีโคมไฟดวงใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ มีกล่องใส่ปากกา กระดาษโพสอิทสีแสบตาวางอยู่ในลิ้นชักเล็กๆ พี่อู๋ลงทุนกับการเรียนของนายก้องเกียรติมากเกินไป ผมว่ามันฟุ่มเฟือย แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าผมจำเป็นต้องมีห้องอ่านหนังสือจริงๆ แล้ววันหนึ่งผมจะขอบคุณเขาที่ลงทุนซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ เขามั่นใจว่าต้องมีวันนั้น

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็วางกรอบรูปของแม่ไว้ตรงขอบโต๊ะติดผนัง วางกล่องดนตรีสนู้ปปี้ที่พี่อู๋ซื้อให้ ข้างๆมีแจกันใส่กุหลาบเหี่ยวๆที่ได้เป็นของขวัญวันเกิด ของพวกนี้คือกำลังใจชั้นดีที่ทำให้ผมอยากขยันเรียน ผมมีรูปถ่ายของแม่ มีของที่ได้จากพี่อู๋ ตัวแทนของผู้มีพระคุณทั้งสองวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจเรียนเต็มที่เลยครับ



หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมเพิ่งเข้าใจว่าทำไมสมาร์ทถึงบอกว่าให้ไปเรียนที่พญาไท นอกจากตึกวรรณสรณ์จะมีทุกอย่างครบครัน มีสถาบันกวดวิชาครบทุกแขนงแล้ว ที่นี่ยังมีบรรยากาศคุกรุ่นของเด็กเรียนด้วย

ทุกเช้าผมจะเห็นเด็กที่อายุใกล้เคียงกันคาบแซนด์วิชไว้ในปาก พวกเขาจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อเข้าให้ทันชั้นเรียนและทำอะไรด้วยความเร่งรีบเสมอ สมาร์ทบอกว่าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เราจะกระตือรือร้นตามพวกเขาไปด้วย โดยเฉพาะเวลามีการบ้าน ข้อไหนทำไม่ได้หรือทำไม่ทัน ถ้าเห็นว่าคนข้างๆคิดออก ผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้งไป

“ถูกค่ะ ถูกค่ะ ถูกค่ะ”

ผมกดดินสอแกรกๆเมื่อได้ยินเสียงติวเตอร์พูดว่าถูกค่ะอยู่หลายหน เด็กห้องส่งนี่หัวดีกันเหลือเกิน โจทย์เคมียากขนาดนี้ทำไมถึงคิดออกในเวลาไม่ถึงนาที ทั้งๆที่ผมเองก็ตั้งใจเรียนมาตลอดแต่คิดไม่เร็วเท่าพวกเขา บางครั้งก็ทำผิด บางครั้งก็ใช้เวลานาน ส่วนใหญ่แล้วผมสู้ผู้หญิงคนข้างๆไม่ได้เลย เธอมักจะจรดมากกาไม่ถึงครึ่งนาที เสร็จแล้วก็นั่งกอดอกรอติวเตอร์เฉลย ส่วนกอริลลาก้องได้แต่หน้ามุ่ยเพราะคิดไม่ออก ผมเข้าใจเนื้อหาโดยคร่าวๆของวิชานี้นะ แต่เจอโจทย์ประยุกต์เข้าไปกลับจนมุม นึกวิธีหาคำตอบไม่ได้เลย

“ถูกค่ะ” เสียงติวเตอร์ดังขึ้นอีก ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว “ถูกค่ะ --”

สัปดาห์แรกของการเรียน นายก้องเกียรติยังทำเป็นใจสู้ ต่อให้ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ผมจะตั้งใจฟังเฉลยและคอยจดรายละเอียดเสมอ แต่พอความไม่เข้าใจสะสมไปเรื่อยๆ จบบทนี้แล้วยังไม่เคลียร์ ขึ้นบทใหม่ก็มึนๆจำผิดๆถูกๆ ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น มันเริ่มจากผมตามบทเรียนไม่ทัน ในขณะที่ผู้หญิงใส่แว่นข้างๆทำโจทย์ได้เร็วมากจนน่ากลัว เธอดูสบายๆผิดกับนายก้องเกียรติที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยคิดออกซักข้อ การบ้านก็ทำไม่ได้ เนื้อหาก็จำไม่แม่น สุดท้ายผมหลุดและปล่อยเบลอเหลือแค่กายหยาบที่เข้าเรียน ชั่วโมงติวกลายเป็นเวลาที่น่าเบื่ออันไม่มีที่สิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเซ็ง ผมง่วง ผมสับปะหงกตอนเรียนจนถูกเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปลุกหลายรอบ ผมอายทุกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำที่ไม่ตั้งใจเรียนในห้องนี้ นอกจากจะคิดไม่ออกแล้ว ยังกล้าหลับในห้องทั้งๆที่คนอื่นตั้งใจเรียนขนาดนี้ได้ยังไง

สัปดาห์ที่สองของการเรียน ผมเริ่มอดนอนเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ วันนึงผมเรียนสามวิชา แต่ละวิชาก็มีการบ้านให้กลับมาหัดทำทั้งนั้น วิชาที่น่ารักสำหรับผมคือคณิตศาสตร์ รองลงมาคือฟิสิกส์ ส่วนเคมีไม่น่ารักกับผมเลย ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจหรือทบทวนโจทย์แค่ไหนมันก็ไม่เข้าหัว ผมไม่เข้าใจ งง และสับสนว่าอะไรคืออะไร ผมตามเนื้อหาไม่ทันและได้แต่มานั่งงมต่อเองที่บ้านแบบงูๆปลาๆ ผมชักสงสารพี่อู๋ที่จ่ายเงินให้นายก้องเกียรติเรียนพิเศษแล้ว เขาไม่น่าส่งผมเรียนเลย ขนาดจ่ายคอร์สละหลายพัน ผมยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย

 สัปดาห์ที่สาม ผมลดเวลานอนของตัวเองจนเหลือวันละสี่ชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรก ทั้งคณิต ฟิสิกส์ และเคมีเป็นวิชาที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากสำหรับเด็กหัวกลางๆระดับผม แต่ไม่ว่าจะพยายามทบทวนแค่ไหน อาการได้หน้าลืมหลังก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ บางวันผมเรียนบทนี้เข้าใจ แต่พอเลิกเรียนกลับจำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งโจทย์ที่เพิ่งทำไปเมื่อซักครู่ เดี๋ยวนี้เวลาทำโจทย์ในห้อง ผมไม่เคยคิดออกเลย จากที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้างกลายเป็นนั่งเฉยๆ บางทีก็หลับจนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาปลุก ผมพยายามหาวิธีแก้ไขให้ตัวเองหลุดพ้นจากภาวะนี้แล้วแต่ทำยังไงก็ไม่ได้ ผมดื่มกาแฟ กินเครื่องดื่มชูกำลังจนหัวใจเต้นเร็วตุบตับ แต่สุดท้ายผมก็ยังหลับเหมือนเดิม หลับจริงจังชนิดที่พี่เจ้าหน้าที่เอ่ยปากแซวทุกวัน

“เป็นไงบ้างก้อง เรียนรู้เรื่องไหม?”

พี่อู๋ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวถามเมื่อนายก้องเกียรติเปิดประตูบ้าน ผมยิ้มแล้วโกหกว่าเข้าใจครับก่อนจะปลีกตัวไปทบทวนบทเรียนในห้องนอนใหญ่ ตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่อู๋จริงๆที่สร้างโต๊ะอ่านหนังสือให้ เพราะถ้าอ่านที่โต๊ะกินข้าว เขาต้องรู้แน่ว่านายก้องเกียรติคว้าน้ำเหลวกลับบ้านมาเกือบเดือนแล้ว

กิจวัตรประจำวันของผม หลังกลับถึงห้องจะกินข้าวอาบน้ำก่อนอ่านหนังสือในห้อง พี่อู๋นั่งข้างนอกก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ความเครียด ความผิดหวังในตัวเองมันทับถมจนทุกอย่างพังหมด ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนแล้ว พอกลับบ้านมาอ่านหนังสือก็จำไม่ได้ว่าโจทย์ข้อนี้ได้คำตอบแบบนี้เพราะอะไร ใช้วิธีไหน ทฤษฎีไหน ผมจำอะไรไม่ได้เลยเพราะหลับในเวลาเรียน ลายมือยึกยือที่จดในหนังสือก็ไก่เขี่ยจนอ่านไม่ออก สุดท้ายผมนั่งร้องไห้คนเดียวเพราะคิดโจทย์ไม่ได้ ผมร้องอยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ ร้องเสร็จ ปิดหนังสือ หนีความจริงด้วยการเข้านอนแล้วตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนใหม่ พอผ่านไปนานเข้า ความมุ่งมั่นในตอนแรกก็เหือดหายจนเหลือแต่ความกล้ำกลืนฝืนใจกลายเป็นไม่อยากเรียนหนังสือ ผมไม่อยากอ่าน ไม่อยากทำโจทย์ ไม่อยากได้ยินเสียงถูกค่ะและหน้าของผู้หญิงที่นั่งข้างๆอีกแล้ว ผมมันไม่เก่งพอที่จะอยู่ในสนามนี้ ลาก่อนเพื่อนๆ ตัดนายก้องเกียรติออกจากรายชื่อคู่แข่งได้เลย มันไม่มีวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนได้หรอก

หนึ่งเดือนผ่านไป การอดนอนส่งผลให้ผมเป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณ

ผมยังคงตื่นเช้าไปเรียนเหมือนเดิม กินแค่แซนด์วิชเป็นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง ตกเย็นก็แออัดเบียดเสียดกับมนุษย์เงินเดือนเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน การไปเรียนพิเศษเหมือนการถูกส่งไปทรมาน ผมนอนน้อยจนเพลีย เรียนติดกันจนไม่มีเวลากินข้าวเลยซักจาน แถมสมองก็ตื้อตันไม่รับเนื้อหาใหม่ๆเข้ามาอีก ทุกวันนี้ผมเหมือนซอมบี้มากกว่านักเรียนเตรียมสอบ ผมนั่งเหม่อในคาบวิชาเคมี หลับจนโดนปลุก และปล่อยให้หน้ากระดาษขาวโพลนเพราะไม่อยากจดอะไร แม้กระทั่งจับปากกาเพื่อวาดรูปฆ่าเวลา ผมยังไม่อยากทำ

คุณอิศรินทร์ไม่รู้เรื่องนี้เลย พอกลับถึงบ้านผมจะทำเป็นร่าเริงและปลีกตัวไปอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวในห้องนอนใหญ่ พี่อู๋ไม่กล้าเข้ามากวนเพราะกลัวทำผมเสียสมาธิ เขาก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วไอ้โง่ก้องเกียรตินั่งร้องไห้ทุกวันเพราะทำโจทย์ไม่ได้ ทั้งๆที่แต่ละวันก็นอนน้อยเพราะพยายามอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมีความเครียด ผมยิ่งนอนหลับยากขึ้นกว่าเดิมอีก จากที่เคยนอนวันละห้าหกชั่วโมงก็ลดลงเรื่อยๆจนเหลือวันละสี่ชั่วโมง น้อยสุดคือสอง ผมเคยนอนวันละสองชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์โดยไม่รู้เลยว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน

วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนพิเศษ จู่ๆผมก็รู้สึกตัวเบาหวิวอยู่หลายหน ทีแรกผมคิดว่าเป็นเพราะง่วงเลยไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งหน้ามืดที่สถานีจตุจักร ครั้งแรกที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนคือตอนที่ล้มลงไปนั่งกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะลืมกินข้าวเช้าก็เลยไม่คิดมาก แต่อาการตัวเบาหวิวและใจสั่นยังคงมีมาเรื่อยๆ มันมาบ่อยขึ้นจนผมรู้สึกเหมือนไม่มีสติเวลาเดินไปไหนมาไหน

ผมไม่เคยบอกพี่อู๋ เวลามีคนเข้ามาช่วยเหลือและถามว่ามีเบอร์โทรของผู้ปกครองไหม ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ ตอนนี้พี่อู๋กำลังยุ่งกับการสัมภาษณ์งาน ผมเห็นเข้าแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าออกจากบ้านทุกวัน ลำพังแค่หางานก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้ารู้ว่านายก้องเกียรติที่แบมือขอเงินเรียนพิเศษกลับไม่ได้อะไรเลยเหมือนที่เขาคิด พี่อู๋คงเสียใจ เขาต้องผิดหวังแน่ๆถ้ารู้ว่าผมกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนแบบนี้

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ วันนี้หน้าซีดๆนะ”

พี่เจ้าหน้าที่เตรียมจะเดินเข้ามาปลุก แต่พอเห็นผมนั่งก้มหน้า แสดงออกว่าไม่สบายตัวก็เปลี่ยนเป็นถามด้วยความเป็นห่วง ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมแค่หิวข้าวเฉยๆ เลิกเรียนแล้วผมจะลงไปชั้นสองเพื่อกินข้าวเอง

“ถ้าไม่ไหวหยุดก่อนก็ได้นะคะ ค่อยมาชดเชยวันหลัง”

ผมยืนยันคำเดินว่าไม่เป็นไรครับและอดทนเรียนจนหมดเวลา หลังเลิกเรียนแทนที่จะไปกินข้าว ผมกลับรีบเข้าห้องน้ำเพื่อแอบร้องไห้เพราะเครียดและเกลียดตัวเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งๆที่ก่อนเรียนผมขยันและตื่นเต้นกับการเริ่มต้นใหม่ แต่พอเรียนแล้วไม่เป็นดั่งใจ ทุกอย่างที่คิดไว้ก็พังหมด มันพังถล่มไม่เป็นท่าจนความฝันของผมค่อยๆไกลห่างออกไป ขืนยังเป็นอย่างนี้อยู่คงไม่ไหวแน่ๆ ผมคงสอบเข้ามหาลัยไม่ได้เหมือนที่หวังไว้แน่ๆ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงผมควรทำยังไงดี ผมจะบอกพี่อู๋ยังไงว่าผมมันโง่ ผมมันไม่ดีเองที่เอาเงินของเขามาถลุงเล่น แต่สุดท้ายก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้

ผมเก็บความเครียดไว้กับตัวแล้วกลับบ้าน น่าแปลกที่การเดินทางมันเหนื่อยกว่าวันไหนๆ แค่เดินขึ้นบันไดก็หน้ามืดจนมองไม่เห็นทาง แล้วผมต้องเดินแบบนี้อีกหลายกิโลกว่าจะถึงบ้าน ทั้งขึ้นรถไฟฟ้า ทั้งข้ามสะพานลอย แต่ผมก็กัดฟันลากสังขารกลับถึงห้องจนได้ ทันทีที่ไขประตูเข้าไป ผมก็เห็นคุณอิศรินทร์นั่งเล่นโน้ตบุ๊กอยู่

“วันนี้กลับช้าจัง”
“รถไฟฟ้าเสียครับ”

ผมโกหกก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องนอน แสร้งเก็บกระเป๋า เก็บหนังสือให้เข้าที่ก่อนจะออกมานั่งทานมื้อเย็นข้างนอก วันนี้พี่อู๋ซื้อราดหน้ายอดผักมาฝาก ผมฝืนกินจนหมดจานแล้วขอตัวไปอ่านหนังสือในห้องนอนใหญ่เหมือนเช่นทุกที

“เหนื่อยก็พักบ้างนะก้อง”

พี่อู๋พูด แต่ผมไม่ได้ทำตามคำแนะนำนั้น ผมยังคงฝืนถ่างตาอ่านหนังสือที่โต๊ะอีกหลายชั่วโมง พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาที่เพิ่งเรียนวันนี้และวันอื่นๆจนถึงตีสอง พอรู้ตัวว่าฝืนต่อไปไม่ไหวจึงเดินออกจากห้องไปปลุกคุณอิศรินทร์ที่นอนอยู่บนโซฟา เห็นเขานอนงอขาแล้วไม่สบายใจเลย ผมสงสารเขาที่ยอมลำบากเพื่อให้ผมคว้าน้ำเหลว

“ต่อไปพี่อู๋นอนในห้องก็ได้ ผมไม่เสียสมาธิหรอก”

ผมบอกผู้ปกครอง แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าไม่เป็นไร คืนนั้นเราเข้านอนพร้อมกันตอนตีสองครึ่ง พี่อู๋หลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ส่วนนายก้องเกียรตินอนคิดมากจนถึงตีห้า ได้หลับแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ต้องลุกขึ้น เตรียมอาบน้ำแต่งตัว ไปเผชิญโลกที่มีแต่ความทรมานเหมือนทุกวัน



ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเช่นเคยคับผม  :katai3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 29-06-2019 19:43:20
27 [PART2]


ร่างกายส่งสัญญาณเตือนเรื่อยๆแต่ผมไม่เคยคิดสนใจ

ผมยังคงไปเรียนโดยมีขนมปังหมูหยองตกถึงท้องแค่ชิ้นเดียว สายๆหน่อยก็กระดกน้ำเป็นขวดเพื่อให้ปวดฉี่จะได้หายง่วง ตกเที่ยงก็จัดมาม่าหนึ่งถ้วย จากนั้นก็วิ่งข้ามไปอีกฝั่งเพื่อเรียนเคมีต่อ ผมเคยชินกับความเร่งรีบที่ต้องทำเวลาไม่งั้นจะเข้าห้องเรียนไม่ทัน แต่วันนี้ร่างกายของผมประท้วงแล้ว มันไม่เหมือนเดิม มันไม่แข็งแรงจนทำให้แข้งขาของผมอ่อนแรง ในที่สุดระหว่างที่วิ่งเบียดเด็กอีกนับสิบเพื่อข้ามถนน ผมก็ล้มฟุบลงจนทำให้คนที่ข้างหลังสะดุดล้มไปตามๆกัน โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่โบกรถคอยดูแลรักษาความปลอดภัย ดังนั้นนายก้องเกียรติก็เลยรอดจากการถูกรถทับและได้นั่งพักบนเก้าอี้ในอาคาร

“ไหวไหม? กินน้ำก่อนนะ”

ผู้ปกครองที่อยู่บริเวณนั้นช่วยส่งน้ำส่งยาดมมาให้ ผมจิบน้ำเย็นๆและนั่งพักเพื่อให้ร่างกายกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้งแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหมือนเดิม ผมเหนื่อยและหมดแรงเกินกว่าจะขอบคุณสำหรับน้ำจิตน้ำใจจึงทำได้แค่นั่งเฉยๆ พยายามหายใจเข้าออกโดยมีคนคอยพัดให้ตลอดเวลา

“มีเบอร์แม่ไหม? เดี๋ยวป้าโทรบอกแม่ให้”

ผมตอบคุณป้าผู้ใจดีไปว่าไม่มีครับ ผมไม่มีแม่แล้ว ผมมีผู้ปกครองอยู่คนนึงแต่อย่าโทนหาเขาเลย วันนี้เขาไปสมัครงาน ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาต้องเสียงานเสียการมาหาผมที่พญาไท

“แต่น้องไม่สบาย น้องต้องบอกให้ผู้ปกครองรู้นะ”

เธอว่า คุณป้าอีกคนจึงพยักหน้ารับและคะยั้นคะยอให้ผมบอกเบอร์พี่อู๋ ในที่สุดความอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรงทำให้ผมส่งโทรศัพท์ให้พวกเขา ผมบอกคุณป้าว่าไม่ไหวแล้วครับ ช่วยบอกผู้ปกครองให้หน่อย เขาชื่อพี่อู๋ บอกเขาว่าผมท้องเสียจนหมดแรงก็ได้แต่อย่าบอกว่าเป็นลม

คุณป้ากดโทรศัพท์ตัวเองโทรหาพี่อู๋ ผมได้ยินแว่วๆว่าเธอขอให้เขามารับเด็กในปกครองที่อาคารวรรณสรณ์หน่อย ดูเหมือนพี่อู๋จะงงๆไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอวางสาย เธอก็บอกว่าพี่อู๋กำลังมา เขาอยู่สุขุมวิท เขาน่าจะมาถึงในครึ่งชั่วโมง

ระหว่างรอผู้ปกครองผมก็ได้จิบน้ำหวานที่มีคนใจดีซื้อให้ พวกเขาชวนผมคุยเรื่องทั่วๆไปก่อนจะคาดคะเนไปต่างๆนานาว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเป็นลม คุณป้าคนหนึ่งเดาว่าอากาศน่าจะร้อนเกินไป ส่วนอีกคนเดาว่าน่าจะเรียนติดกันจนไม่มีเวลาทานข้าว ส่วนคุณตาที่มารอรับหลานลงความเห็นว่าผมคงเรียนหนักเกินไป การศึกษาไทยนี่ไม่ดีเลย บีบบังคับเด็กให้กดดันตัวเองขนาดนี้ไปเพื่ออะไร

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เหล่าคนใจดีที่เคยช่วยผมเหลือเพียงคนเดียว คุณป้ายังคงนั่งเป็นเพื่อนและคอยส่งน้ำหวานให้จิบเป็นระยะๆ ตอนนี้ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่ตาลาย ไม่ตัวเบาหวิวเหมือนก่อนหน้า ผมคิดว่าผมไหวก็เลยขอตัวลาคุณป้าเพื่อไปเรียนเคมีต่อ แต่แกห้ามไว้ว่าอย่าไปเลย การเรียนสำคัญก็จริง แต่สุขภาพสำคัญกว่านะ ถ้าพี่อู๋รู้ว่าผมฝืนตัวเองก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากเห็นลูกป่วยหรอก

“เขาไม่ใช่พ่อผมครับ” ผมตอบเสียงอ่อน “เขาเป็นผู้ปกครองเฉยๆ”
“นั่นแหละ ผู้ปกครองก็เหมือนพ่อเหมือนแม่ เขาต้องห่วงเรามากกว่าการเรียนอยู่แล้ว”

จังหวะที่คุณป้าจะพูดต่อ ผมก็เห็นพี่อู๋วิ่งหน้าตาตื่นมาหา เขาถามคุณป้าว่าผมเป็นอะไร เธอตอบทันทีว่าเป็นลม หมดกันที่เตี๊ยมไว้ว่าท้องเสีย ทำไมป้าลืมง่ายแบบนี้

“เป็นลมตอนข้ามถนน โชคดีนะมียามคอยโบกรถเลยไม่เป็นไร”

พอรู้ว่านายก้องเกียรติเป็นลม พี่อู๋ก็เก็บสีหน้าเก็บอาการไม่อยู่เลย เขาดูกระวนกระวายมากเมื่อรู้ว่าผมเป็นลมกลางถนน ก่อนจะพาผมกลับ เขาขอบคุณคุณป้าผู้ใจดีอีกหลายหน พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าน้ำหวานคืนให้แกด้วย แต่คุณป้าไม่รับ แกบอกว่าให้พาผมไปพักดีกว่า ขนาดเป็นลม ยังคิดจะกลับไปเรียนอีก

“กลับบ้านเถอะก้อง ไม่ต้องเรียนแล้ว”

น้ำเสียงของคุณอิศรินทร์เด็ดขาด เขาประคองผมให้เดินด้วยกันไปถึงลาดจอดรถก่อนจะเปิดประตูให้ ผมที่คิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วกลับขาสั่นอีกครั้ง พี่อู๋คงสังเกตเห็นอาการนี้เหมือนกันถึงได้เปลี่ยนปลายทางจากลาดพร้าวเป็นโรงพยาบาล

“แต่ผมดีขึ้นแล้ว”

ผมพยายามอธิบาย ซึ่งพี่อู๋ไม่ฟัง เขาไม่แสดงออกว่าโกรธที่นายก้องเกียรติขาดเรียนแต่ดูร้อนใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“พี่ไปสัมภาษณ์งานต่อเถอะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“ก้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ” ผมตอบ “พี่ถามทำไม?”
“มีอะไรก็บอกพี่สิก้อง ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว ก้องไม่ไว้ใจพี่เหรอ?”

ประโยคนั้นของเขาทำเอานายก้องเกียรติบ่อน้ำตาแตก ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆเพราะเสียใจที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนที่คิดไว้ ผมเรียนไม่รู้เรื่อง ผมป่วย ผมไม่สบาย แถมยังทำให้พี่อู๋ต้องผิดนัดสัมภาษณ์เพื่อมาหาถึงพญาไทอีก ผมได้แต่ร้องเงียบๆไม่บอกผู้ปกครองเพราะช้ำใจ ร้องอยู่อย่างนั้นจนถึงโรงพยาบาล ร้องจนปวดหัว แม้แต่ตอนโดนเจาะน้ำเกลือ ผมยังนอนน้ำตาไหลไม่บอกความจริงให้พี่อู๋รู้ คุณอิศรินทร์ก็อดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ แทนที่จะโมโหผมซักนิดกลับไม่ว่าอะไรเลย เขาพามาส่งถึงโรงพยาบาล รอจนให้น้ำเกลือเสร็จและรับยากลับบ้าน จากนั้นก็แวะกินเอ็มเค น้ำซุปร้อนๆทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก พอมีอาหารตกถึงท้อง เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมา ผมหยุดร้องไห้แล้วขอโทษพี่อู๋สำหรับความวุ่นวายในวันนี้อีกครั้ง

“ขอโทษทำไม คนมันไม่สบาย” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เรียนเป็นไงบ้าง? เหนื่อยไหม?”

แค่คำว่าเหนื่อยไหมของเขากลับทำให้นายก้องเกียรติน้ำตาแตกอีกหน ผมพยักหน้ายอมรับตรงๆว่าเหนื่อยครับ เหนื่อยมากเลย มันเหนื่อยจริงๆ พี่รู้ไหมว่าผมเรียนสู้ใครไม่ได้เลย ที่นี่มีแต่เด็กเก่ง ผมไม่เก่งเท่าพวกเขา ต่อให้พยายามขนาดไหนก็สู้ผู้หญิงที่นั่งเรียนข้างๆไม่ได้ ผมรู้สึกแย่มากที่เงินของพี่สูญเปล่า ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีเลยครับ

“เรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ พี่เองก็เรียนไม่รู้เรื่องออกจะบ่อย ไม่เห็นเดือดร้อน”

พี่อู๋ไม่โกรธเลย เขาไม่ตำหนิผมซักคำ

“อาทิตย์นี้นอนพักก่อนดีกว่านะ ค่อยเริ่มใหม่อาทิตย์หน้า”
“แต่ถ้าขาดเรียนจะเรียนต่อไม่รู้เรื่องนะครับ”
“เรียนต่อไม่รู้เรื่อง ยังดีกว่าฝืนตัวเองไปเรียนหรือเปล่า? นี่ยังดีนะที่รถไม่ชน ถ้าคราวหน้าเป็นลมตอนขึ้นบันไดล่ะ? ถ้าหัวทิ่มตกรางรถไฟล่ะ? ตอนนั้นก้องจะเสียใจไหมที่ไม่นอนพักให้ตัวเองหายดี?”

คุณอิศรินทร์ตั้งคำถาม แต่นายก้องเกียรติกลับไม่รักตัวกลัวตายเลย ใจของผมมีแต่หมกมุ่นกับการเรียนพิเศษ ผมคิดแค่ว่าต้องเรียนให้ครบ อย่าขาด อย่าหาย ต่อให้จะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมใส่หัว อย่างน้อยๆถ้าจดลงหนังสือก็ยังเอากลับมาอ่านที่บ้านได้

“ถ้ามันเหนื่อย มันเครียดมาก ก้องจะหยุดเรียนก่อนก็ได้”
“พี่จ่ายเงินตั้งหลายหมื่น ผมจะยอมแพ้ตอนนี้ได้ยังไง”
“ช่างมันสิ เสียเงินดีกว่าเสียก้องไปไม่ใช่เหรอ?”

ผมเงียบ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“ก้อง พักก่อนเถอะนะ พี่ไม่อยากเห็นก้องเป็นลมอีก”
“ผมบอกพี่แล้วไงครับว่าที่เป็นลมเพราะลืมกินข้าว ผมแค่ลืมกินข้าว!”

ผมขึ้นเสียงด้วยความโมโห พี่อู๋จะรู้ไหมว่าผมไม่ดีใจเลยที่เขาเป็นห่วงจนอยากให้หยุดเรียนพิเศษซักพัก ยิ่งหยุดผมยิ่งเครียดเพราะกลัวตามเพื่อนไม่ทัน เขาไม่รู้หรอกว่าเด็กรุ่นเดียวกันกับผมอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้ว ถ้ามัวแต่นอนเหยาะแหยะอยู่บ้าน เมื่อไหร่จะยืนด้วยขาของตัวเองได้เสียที

“พี่เลี้ยงก้องมาผิดจริงๆ”

พี่อู๋พูดแค่นั้นและไม่ชวนนายก้องเกียรติทะเลาะอีก เขาก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็นจนหมดก่อนจะจ่ายเงินแล้วขับรถพาผมกลับลาดพร้าว คืนนั้นเราต่างแยกย้ายกันหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง พี่อู๋ทำงานที่โต๊ะกินข้าว ส่วนนายก้องเกียรติหนีไปร้องไห้คนเดียวในห้องเพราะเสียใจที่ผู้ปกครองพูดประโยคนั้นออกมา




TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีวันเสาร์ค่ะ :3

ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนเช่นเคยนะคะ  :pig4:

พรุ่งนี้ใครมีสอบก็สู้ๆน้า ขอให้สอบผ่านสมใจกันทู้กคนเลยค่ะ 
:z13:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 29-06-2019 20:42:18
เดาว่าก้องหมกมุ่นกับการเรียนมากเกินไปจนลืมกินยาหรือเปล่า ก็เลยเกิดภาวะเครียดแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-06-2019 20:55:33
บรรยากาศชมพูวิ้งๆไปไหนแล้ว นี่มืดทะมึนมาอีกแล้วกลับไปหาหมอเหอะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-06-2019 21:30:53
น้องกดดันตัวเองมากไปจนกลับมาเครียดอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-06-2019 22:13:18
สดใสได้สองตอน แงงง น้องก้องต้องเลิกเก็บเรื่องทุกอย่างไว้กับตัว น้องไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ พี่อู๋จะคอยอยู่ข้างๆหนูเสมอนะลูก  :ling3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 29-06-2019 22:30:57
น้องทุกข์เพราะคาดหวังไว้มากเกินไป สงสารก้อง แต่คือก้องก็ต้องยอมปรับความคิดตนเองก่อนนะ ไม่ไหวก็ไม่ควรฝืนเลย แล้วความฝืนของก้องจะส่งผลต่อพี่อู๋อีกทอดนึง  :hao4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-06-2019 04:33:20
ก้องคาดหวังไว้สูง กดดันตัวเองมากไป ก้องต้องผ่อนคลายบ้าง พักผ่อนก่อนนะ  อย่าฝืน แล้วก้องลืมกินยาด้วยหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 03-07-2019 21:09:40
น้องก้องไม่กินยาอีกแล้วแน่เลยยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 04-07-2019 19:36:02
วนไปแล้วก็วนมา  ลุ้นชีวิตก้องจนเลิกลุ้นแล้ว555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 27 update!] 29/6/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-07-2019 00:36:54
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 08-07-2019 20:06:52
28 [PART 1/2]


ผมแบกความคาดหวังเอาไว้บนบ่า

น้ำหนักของความหวังของตัวเอง ของพี่อู๋ และของแม่ที่ตายไปแล้วกดทับบ่าทั้งสองข้างจนปวดไปหมด การจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยตั้งใจไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งผมนึกย้อนไปถึงปีก่อนว่าเคยมีความคิดหรือความฝันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง แต่ผมจำไม่ได้ นายก้องเกียรติตอนอายุสิบเจ็ด -- ไม่มีความฝันอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

“พี่อู๋ ผมไปเรียนแล้วนะ สวัสดีครับ”

ผมบอกผู้ปกครองที่นอนกินองุ่นบนโซฟา เขาหันมาพยักหน้ารับรู้แต่ไม่พูดอะไร กอริลลาก้องที่กำลังท้อใจได้แต่เดินออกจากห้องเงียบๆ สองเท้ามุ่งหน้าสู่สถานีจตุจักรเพื่อไปเรียนพิเศษเหมือนเคย ตลอดทั้งวันผมนั่งเหม่ออย่างใจลอย มันมีแต่คำถามว่าผมทำผิดอะไรนักหนาทำไมพี่อู๋ถึงหลุดปากพูดออกมาแบบนั้น  เขาไม่ชอบเด็กตั้งใจเรียนเหรอ พี่อู๋ไม่ชอบคนที่ขยันมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเหรอ แทนที่จะชื่นชมนายก้องเกียรติที่ขยันแทบตายแม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่เขากลับคว่ำบาตรผม เขามึนตึงใส่ ไม่พูดไม่จา ไม่หยอกล้อหรือเอ่ยปากห้ามซักคำ

ผมบอกตัวเองว่าพี่อู๋ทนไม่ไหวหรอก เขาคงทนเงียบเป็นใบ้ได้ไม่กี่วันแต่คุณอิศรินทร์กลับทำให้ประหลาดใจอีกหน ถ้าไม่ชวนคุย พี่อู๋จะไม่คุยกับผมเลย เราแทบไม่ได้กินข้าวด้วยกันเพราะพี่อู๋ใช้ชีวิตตามตารางเวลาของตัวเอง หิวก็กิน เบื่อก็ออกไปข้างนอก เขาไม่รอหรือถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว น่าแปลกที่นายก้องเกียรติควรดีใจที่ผู้ปกครองเลิกจุกจิกยุ่มย่ามกับชีวิต แต่ผมกลับเสียใจมากกว่าเดิมที่ถูกเพิกเฉย

“ถูกค่ะ ถูกค่ะลูก ถูกค่ะ – ”

เสียงของคุณครูดังขึ้น ส่วนนายก้องเกียรตินั่งจมอยู่ในโลกของตัวเอง ใครถูก? พี่อู๋เหรอ? หรือผม? ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก ไหนคุณครูช่วยพูดให้มันเคลียร์ๆหน่อย

“ถูกค่ะ”

คุณครูว่าใครเป็นฝ่ายถูกครับ?

“ถูกค่ะ”

ผมเหรอ?

“ไม่ใช่ลูก คิดใหม่นะ”

อ้าว – หรือพี่อู๋?

“ถูกค่ะ”
“อะไรถูกวะ?”

ผมพึมพำ เสียงคงดังจนผู้หญิงที่นั่งข้างๆได้ยิน เธอหันมาหาผมก่อนจะใช้ดินสอชี้ไปที่ข้อสิบห้าแล้วบอกว่าตอบสอง ผมมองหน้าเธอ ก้มมองหนังสือเรียนที่ขาวโพลนจนน่าอาย ก่อนจะมองหน้าเธออีกครั้ง

“ตอบสองเหรอ?”
“อื้ม”
“รู้ได้ไงอ่ะ?”
“เราคิดออกมาได้แบบนี้” เธอบอก
“อาจจะไม่ถูกก็ได้นะ” ผมเถียง
“งั้นคิดว่าข้อไหนถูกอ่ะ?”

ผมเงียบ เพราะไม่รู้ว่าข้อไหนถูก ถ้ารู้ ผมจะนั่งกัดปลายดินสอกดเฉยๆไหมล่ะ เอ้อ

“ข้อนี้ตอบ – สองค่ะ”

คุณครูเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนนายก้องเกียรติหน้าเป็นตูด เพราะยายคนข้างๆตอบถูกอีกแล้ว





เหตุการณ์หน้ามืดเกิดขึ้นวันละสองสามครั้งเป็นอย่างต่ำ

เดี๋ยวนี้ผมฉลาดพอที่จะหยุดเดินเมื่อโลกหมุนติ้วๆจนทรงตัวไม่ได้ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณประท้วง ผมจะรีบหาที่นั่งและจิบชาเขียวหวานๆที่ซื้อติดกระเป๋าเป้ทันที พอนั่งรอซักพักจนแน่ใจว่าจะไม่ล้มหัวทิ่มที่ไหนจึงลุกขึ้นเดินไปเรียนพิเศษต่อ ส่วนตอนพักเที่ยงผมยอมเสียเวลากินข้าวให้หมดเพื่อฝืนขึ้นไปเรียนที่ชั้นสิบสี่ แต่อาการพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยข้าวจานเดียว วิธีแก้คือต้องหยุดพักจนกว่าจะหายดีอย่างที่หมอว่าซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ผมเรียนพิเศษมาห้าสัปดาห์แล้ว ผมจะยอมแพ้และหยุดเรียนกะทันหันไม่ได้

นายก้องเกียรติที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนาไม่รู้เลยว่าการฝืนร่างกายต่อไปเรื่อยๆจะสร้างปัญญาใหญ่จนผู้ปกครองเดือดร้อน เพราะวันหนึ่งขณะเดินลงบันไดที่บีทีเอสพญาไทเพื่อข้ามถนนไปตึกวรรณสรณ์ จู่ๆผมก็เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นจนหัวโน คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่ผมวูบไปเลย ไม่ใช่แค่หน้ามืดจนเดินไม่ไหว แต่วูบหลับชนิดที่ลืมตาอีกทีก็เห็นเพดานของโรงพยาบาล และแน่นอนว่าข้างๆเตียงก็ไม่ใช่ใคร พี่อู๋ยืนกอดอกจ้องผมตาเขม็งตั้งแต่ยังมองอะไรๆไม่ชัดจนเห็นใบหน้าของเขาเต็มสองตา

“แต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ ไปสัมภาษณ์มาใช่ไหมครับสุดหล่อ”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขาคงโกรธมากจริงๆถึงไม่ยอมพูดอะไรซักคำ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆและปรือตาจ้องหน้าผู้ปกครอง ผมบอกเขาว่าไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่ได้เป็นไร ที่ล้มเพราะอากาศร้อน จริงๆแล้วผมยังแข็งแรงนะ เตะพี่ปลิวยังได้เลย

“พี่ได้งานหรือยังครับ?”

ผมพยายามง้อด้วยการถามอีก แน่นอนว่าพี่อู๋ไม่ตอบ เขามองผมราวกับผิดหวังมากที่นายก้องเกียรติมาจบที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะค่อยๆขยับตัวและเอื้อมมือไปจับแขนเขา แต่พี่อู๋ถอยหลังหนี เขากอดอกมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร

“พี่เอาเงินค่าบ้านของผมไปจ่ายค่าโรงพยาบาลก็ได้”

พี่อู๋ก็ยังไม่พอใจ

“ถ้าพี่ไม่คุย ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

คุณอิศรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องทันที ปล่อยให้นายก้องเกียรตินอนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว พอเขาหายไปผมก็เริ่มเครียดอีกครั้ง วันนี้ผมขาดเรียนเคมี แถมยังหัวโนเป็นลูกมะนาวเพราะตกบันไดอีก ที่ร้ายกว่านั้นคือโดนพี่อู๋โกรธจนไม่ยอมพูดจาและเดินหนีไปเลยราวกับผมไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตของเขาอีกแล้ว

ผมถอนหายใจก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผาก ไม่รู้ว่าในน้ำเกลือมียาอะไรอยู่ถึงทำให้ง่วงขนาดนี้ มันง่วงจนผมต้องยอมแพ้และหลับตาลง ในหัวไม่คิดมากเรื่องพี่อู๋อีกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะนึกหาเหตุผลอะไร ผมนอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนวูบหลับ มันเป็นการหลับที่เต็มอิ่มและสดชื่นที่สุดตั้งแต่เรียนพิเศษมาเลย






นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มสามนาที

สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองคือพี่อู๋อยู่ไหน

โทรทัศน์ที่วางอยู่ปลายเตียงเปิดช่องข่าวสามมิติทิ้งเอาไว้ ในห้องไม่มีสัญญาณของใครอยู่นอกจากกอริลลาตัวเดียว ผมที่เพิ่งตื่นยังมึนงงเกินว่าจะนึกน้อยใจใครจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากหาวปากกว้าง ผมหาวและหลับตา หาวอีกครั้งทั้งๆที่ยังหลับตา และนอนมึนหัวอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ผมมั่นใจว่าคนที่เดินผ่านปลายเตียงต้องเป็นพี่อู๋แน่ๆเพราะกลิ่นสบู่นกแก้วที่เขาชอบใช้ ดังนั้นผมจึงฝืนลืมตาและหาวปากกว้างอีกครั้งตอนที่พี่อู๋กลับมายืนข้างเตียงพอดี

“พี่ไปไหนมา?” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ “พี่อู๋ --”

ผมเรียกชื่อเขาและหยุดไว้แค่นั้นเพราะหาวอีกรอบ ถ้าพี่อู๋ไม่ตอบก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมเพลียมาก เพลียเหมือนตัวเองเป็นปลาหมึกอบแห้งที่พร้อมปลิวตามลมตลอดเวลา พอเห็นนายก้องเกียรติทำท่าจะเคลิ้มหลับอีกรอบ พี่อู๋ก็ยอมแพ้ เขาปรับระดับเตียงให้ผมนั่งก่อนจะเข็นโต๊ะที่มีโจ๊กเย็นชืดกับน้ำเก๊กฮวยมาให้

“ผมหิวพอดีเลย” ผมพยายามง้อคุณอิศรินทร์อีกครั้ง “โจ๊กร้านไหนครับ?”

พี่อู๋ยังคงไม่ตอบเหมือนเดิมนอกจากป้อนโจ๊กให้โดยไม่ต้องขอ ผมนอนหลับตากินโจ๊กบนเตียงจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็จิบเก๊กฮวยหวานๆเป็นการปิดท้าย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่ก่อนจะหลับอีกรอบผมขอให้พี่อู๋พาไปห้องน้ำหน่อย แน่นอนว่าผู้ปกครองของผมไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงขนาดปล่อยให้นายก้องเกียรติคลานเข้าห้องน้ำ เขาช่วยพยุงไปทำธุระจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็พากลับมาที่เตียงและห่มผ้าให้ ผมจึงเคลิ้มหลับยาวอีกครั้งโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเสียที




พี่โรมกับพี่ตั้มมาเยี่ยมผมในเช้าวันถัดไป

คุณครูเปียโนผู้ใจดีซื้อซูชิมาฝากด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋กับเพื่อนๆนั่งคุย กอริลลาที่กำลังป่วยจึงเคี้ยวแซลมอนจนแก้มตุ่ยไม่เข้าร่วมบทสนทนา ทุกอย่างที่พี่โรมกับพี่ตั้มซื้อมาฝากนั้นอร่อยไปหมด ซูชิหน้าแซลมอนดิบก็ดี แซลมอนเบิร์นก็อร่อย หน้าไข่หวานและปลาหมึกก็ละมุนลิ้นจนต้องเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวนานๆเพื่อซึมซับรสชาติอูมามิ นานมากแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้กินของดีๆ ไม่ใช่เพราะพี่อู๋ไม่เลี้ยง แต่เพราะผมเรียนจนหัวฟูเลยไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเขาต่างหาก

ระหว่างที่กำลังกิน พี่อู๋ก็เรียกพี่ตั้มไปคุยข้างนอก ผมรู้ทันทีว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาคงไม่พ้นนายก้องเกียรติที่สรรหาแต่เรื่องเสียเงินมาให้ทุกวี่ทุกวัน ผมมองแผ่นหลังของผู้ปกครองจนสุดสายตาก่อนจะหันมาหาพี่โรมที่นั่งยิ้มแหะๆตรงโซฟา

“พี่อู๋โกรธผมมากไหมครับ?”

พี่โรมส่ายหน้าและบอกว่าเปล่าหรอก อู๋ไม่ได้โกรธ ไม่โกรธเล้ย ไม่โกรธจริงๆ เขาย้ำว่าไม่โกรธจนมีพิรุธ ในที่สุดคุณครูสอนเปียโนก็ยอมรับตามตรงว่าคุณอิศรินทร์โกรธมาก เมื่อวานเขาโมโหจนแทบจะแดกหัวนายก้องเกียรติเลย

“ก็สมควรโกรธ ผมดีแต่ทำให้พี่อู๋เสียเงิน”
“ก้อง เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาของอู๋หรอกนะ”

ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่โรมเป็นเชิงขอให้เขาเฉลยว่าถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วมันคืออะไร

“อู๋มันไม่อยากให้ก้องเรียนพิเศษ”

ผมตัวชาวาบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สมองมึนงงว่าทำไมพี่อู๋ถึงไม่อยากให้เรียนต่อในเมื่อเราเคยคุยกันว่าหากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมจะตั้งใจเรียนให้จบและทำงานหาเงินมาคืนเขา ตอนนั้นพี่อู๋ยังไม่ว่าอะไรซักคำเมื่อผมขอตังค์ไปเรียนพิเศษ แต่พอผมเริ่มเรียนได้แค่เดือนกว่าๆ เขากลับบอกพี่โรมว่าไม่อยากให้นายก้องเกียรติเรียนแล้ว

“ก้อง – พี่เข้าใจนะว่าสอบเข้ามันยาก มันต้องเรียนหนัก ต้องขยัน ต้องตั้งใจ แต่ก้องช่วยขยันน้อยลงกว่านี้ได้ไหม? ขอแบบพอดีๆไม่หักโหมจนป่วย”
“แต่ผมแค่เป็นลมเอง ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“สำหรับอู๋มันไม่ใช่แค่เป็นลม มันคือเรื่องคอขาดบาดตาย” พี่โรมว่า “ก้องคิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นลมตอนข้ามถนนหรือตอนขึ้นรถไฟฟ้า ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอู๋มันจะเสียใจแค่ไหน”
“พี่อู๋ไม่เห็นต้องเสียใจเลยครับ ผมจะเป็นหรือตาย ยังไงมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่แล้ว”
“ก้อง --” พี่โรมถอนหายใจเหมือนเหนื่อยจะพูดอธิบาย “คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ถ้าตายแล้วกลับมาแก้ไขไม่ได้นะ”
“ครับ ผมรู้ เพราะเรามีชีวิตเดียว ผมถึงอยากทำให้เต็มที่ไง”
“พี่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งก้องเป็นอะไรขึ้นมา อู๋มันจะคิดว่าตัวเองทำพลาดเป็นครั้งที่สองนะ”
“พี่โรมหมายความว่าไงครับ?”

พี่โรมอึกอักเหมือนลังเลว่าควรพูดดีหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับพี่อู๋ เขาไม่อยากคิดเอาเองว่าพี่อู๋มองเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าถามความเห็นของเพื่อนสนิทที่คุยกับคุณอิศรินทร์ค่อนข้างบ่อย เขาคิดว่าพี่อู๋ยังคงโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้เอมตาย

“ตอนนั้นอู๋มันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน มันจ่ายเงินให้เอมเรียนพิเศษแต่ไม่ค่อยมีเวลาดูน้องเท่าไหร่ กว่าจะรู้ว่าเอมเครียดมากก็ตอนโรงพยาบาลโทรให้ไปรับศพแล้ว”

ผมอยากถามพี่โรมต่อว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เอมอยากเรียนอะไรทำไมถึงฆ่าตัวตาย แต่คุณอิศรินทร์ก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน พี่โรมจึงปิดปากเงียบไม่พูดถึงเอมอีก พวกเขาใช้เวลาในห้องพักผู้ป่วยอีกแค่สิบนาทีก่อนจะขอตัวกลับเพราะหมอเข้าตรวจพอดี วันนี้คุณหมอถือชาร์ตผลเลือดและค่าความดันมาด้วย เขาถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง ยังกินยาต้านเศร้าอยู่หรือเปล่า ผมตอบว่ากินครับ ผมกินยาครบไม่เคยขาด แต่ถึงกินยาก็ยังมีปัญหาเรื่องการนอนอยู่ดี

“อาจจะต้องปรับยาใหม่กับคุณหมอที่ตรวจประจำนะครับ”

คุณหมอแนะนำก่อนจะส่งชาร์ตให้พยาบาล เขาหยิบหูฟังขึ้นมาตรวจและพยายามชวนผมคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันเช่น เบื่ออาหารไหม ตอนไปเรียน นอกจากแซนด์วิชแล้วยังได้กินอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า อาการหน้ามืดล่ะเป็นไง ปวดหัวปวดตัวร่วมด้วยไหม ผมจึงบอกเขาว่ายังมีอยู่บ้าง แค่ขยับตัวนิดหน่อยโลกก็หมุนคว้างแล้ว บางทีเดินเฉยๆก็ใจสั่น ตัวหวิวๆเหมือนไฟช็อตเป็นครั้งคราว พอได้ยินอาการทั้งหมดหมอก็ถอนหายใจและพูดว่าอาการที่ผมเป็นอยู่คือพักผ่อนน้อย วิธีรักษาคือพักผ่อน ต้องพักผ่อนจริงๆจังๆ ไม่งั้นก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่หายเสียที

“แต่ผมขาดเรียนไม่ได้ ผมกลัวตามเพื่อนไม่ทัน”
“เราก็ต้องเลือกเนอะว่าอะไรสำคัญกว่า”

หมอพูดเป็นเชิงให้คิด แต่ขอโทษเถอะครับ สิ่งที่นายก้องเกียรติเห็นเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้คือเรื่องเรียนเท่านั้น

“ผมว่าผมไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าเวียนหัวอีกผมจะจิบน้ำหวานเยอะๆ”
“น้ำหวานก็ไม่ช่วยหรอก มันต้องแก้ตั้งแต่พักผ่อนให้เพียงพอ ตอนนี้ร่างกายเราประท้วงแล้วว่าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไอ้มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมันก็ดีนะ แต่ถ้าฝืนจนเป็นลมแบบนี้บ่อยๆหมอกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่น่าจะถึงตาย”
“ใครว่า เดี๋ยวนี้คนตายเพราะอดนอนเยอะแยะ”

คุณหมอบอก แต่ผมก็ยังไม่สำนึกเพราะผมไม่ได้อดนอนเรื้อรัง ผมเพิ่งอดนอนแค่ไม่กี่สัปดาห์เอง อีกไม่นานคอร์สเรียนพิเศษก็จะหมดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยนอนก็ยังได้ ผมมีข้อแก้ตัวมากมายในหัวที่พร้อมจะโต้เถียงกับคุณหมอรุ่นพ่อ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ประโยคถัดมาก็ทำให้ผมเงียบเพราะพูดไม่ออก

“ถ้าเราตายไป เราไม่สงสารพี่เหรอ? เขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีเราอยู่เป็นเพื่อนนะ”

ผมมองหน้าพี่อู๋ทันทีแล้วก็คิดได้ว่าถ้าวันหนึ่งผมตาย ผู้ปกครองจะอยู่กับใคร

“เรื่องเรียนพิเศษไม่ต้องเลิกก็ได้ ขอแค่นอนให้เต็มอิ่มก่อนไปเรียน การบ้านทำไม่ทันก็ช่างมัน เว้นไว้ทำวันหลังบ้าง” 

หมอสอนผมแค่นั้นก่อนจะบอกว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วจะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่อ่านจากประวัติยาต้านเศร้าที่กินอยู่ มันมียาตัวนึงที่ทำให้ง่วงรวมอยู่ด้วย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ที่ผมหลับแทบตลอดเวลาเพราะยาตัวนี้ ถ้ายังไงลองกลับไปปรึกษาคุณหมอประจำตัวดูนะว่าเปลี่ยนยาได้ไหม เผื่อมียาใหม่ไม่ง่วง ผมจะได้ตั้งใจเรียนในห้องเต็มที่ ไม่ต้องตะบี้ตะบันกลับมาอ่านหนังสือจนเกือบเช้าทุกวัน

ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอก่อนจะหันมามองหน้าพี่อู๋ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้เขาไม่สบายใจขนาดนี้ แต่ทำไงได้ อนาคตของผมก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนกัน

“จะกลับบ้านวันนี้เลยไหม?”
“วันนี้ก็ได้ครับ”

ผมบอก ดังนั้นพี่อู๋จึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อแจ้งพยาบาล หลังจากนั่งรอบิลและรับยาเกือบสองชั่วโมง เราก็มุ่งหน้ากลับลาดพร้าวพร้อมกัน






คุณอิศรินทร์แวะซื้อของที่บิ๊กซีโดยมีนายก้องเกียรติเดินเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณ ตอนนั่งบนเตียงของโรงพยาบาลยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเดินด้วยเท้าตัวเองกลับใจสั่น ตัวเบาหวิวพร้อมจะเป็นลมตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกไม่โอเคแค่ไหนผมก็ยังเดินตามหลังพี่อู๋ไม่ห่าง ผมคอยช่วยเขาหยิบของ ช่วยเลือกเนื้อสัตว์ เลือกของกินอร่อยๆไปตุนในห้องเหมือนที่เคยทำประจำ พอเริ่มเดินเยอะขึ้น ร่างกายมันเริ่มไม่ไหว โลกทั้งใบหมุนทวนเข็มนาฬิกาช้าๆจนทรงตัวไม่ได้ ในที่สุดผมต้องเดินไปพิงหลังพี่อู๋เพื่อหยุดพักสายตา

“ไม่ไหวเหรอ?”
“ครับ”

ผมพึมพำเบาๆจนเหมือนไม่ได้พูดออกมา พอรู้ว่ากอริลลาเหยาะแหยะใกล้ตาย คุณอิศรินทร์ก็ทิ้งรถเข็นแล้วพาไปลานจอดรถทันที เขาปล่อยให้ผมนั่งพักในรถจนค่อยๆรู้สึกดีขึ้น มันก็แค่รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่อาการเวียนหัวหน้ามืดยังไม่หายเสียที

“ผมขอโทษนะที่ทำให้พี่ต้องลำบาก”

ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังเปิดขวดชาเขียวส่งมาให้ พี่อู๋ไม่พูดอะไรซักคำนอกจากสั่งให้ค่อยๆจิบจะได้มีแรง

“พี่คงโกรธผมมาก”
“อืม”
“เดี๋ยวเรียนจบผมจะหาเงินมาคืนค่าหมอให้หมดเลยครับ”
“เงินมันไม่สำคัญหรอกก้อง!” พี่อู๋กลับมาเป็นอิศรินทร์ขี้วีนอีกแล้ว “ที่ทุกคนพูดก้องยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?!”

ผมบอกพี่อู๋ว่าเข้าใจสิ เข้าใจดีเลยว่าพี่อู๋เป็นห่วง แต่ยิ่งพยายามแสดงความเข้าอกเข้าใจพี่อู๋ก็ยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นการดุด่า ผมงงจริงๆว่าทำไมเขาถึงไม่ภูมิใจที่เด็กในปกครองตั้งใจเรียนจนไม่กลัวตาย ทำไมเขาถึงไม่มีความสุขเมื่อเห็นผมพยายามออกจากบ้านไปเรียนทุกวันเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เขาจ่าย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเป็นเด็กดีถึงไม่ได้รับคำชม ทำไมเด็กขยันอย่างนายก้องเกียรติถึงโดนตำหนิซ้ำๆเหมือนทำผิดร้ายแรงนักแหละ

   พอโดนว่าเยอะๆ ผมชักมีน้ำโหก็เลยเถียงกลับ คราวนี้เราตะเบ็งเสียงใส่กันในรถแถมยังใช้อารมณ์อีก ผมถามพี่อู๋ว่าในสายตาของเขา ต้องเป็นเด็กแบบไหนถึงจะเรียกว่าเด็กดี ผมขยันขนาดนี้ ผมมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ทำไมเขากลับไม่พอใจ ทำไมต้องเอาแต่ว่าผม ด่าผม ตำหนิผมด้วยทั้งๆที่ผมทำเพื่อเราสองคน พี่อู๋ถึงกับแสยะยิ้มเลยเมื่อได้ยินคำว่าเราสองคน เขาบอกว่าผมไม่ได้ทำเพื่อเขาหรอก สิ่งที่ผมทำมีแต่เพื่อตัวเอง
   
“เพื่อตัวเองเหี้ยอะไร ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อพี่ทั้งนั้น ผมอยากสอบเข้ามหาลัยดีๆ อยากเรียนสูงๆเพื่อทำงานหาเงินมาคืนพี่ ผมวางแผนทุกอย่างก็เพื่อพี่ พี่นั่นแหละเห็นแก่ตัว ทำไมถึงขัดขวางไม่ให้ผมเรียนหนังสือวะ!”
“เพราะกูเป็นห่วงมึงไงก้อง!”

มาแล้วมึงกู -- แสดงว่าโมโหของแท้

“กูจ่ายเงินเป็นหมื่นให้มึงเรียนหนังสือ ไม่ได้จ่ายให้มึงมาเจ็บตัวซ้ำๆซากๆ! มึงเห็นไหมเนี่ยหัวมึงโนเท่าลูกมะนาว! เห็นไหม?! เห็นไหม?! ดูกระจกสิเห็นไหม?!”

เขาดึงแผ่นกันแสงออกมาแล้วเปิดประจกให้นายก้องเกียรติดู ผมตะโกนใส่เขาว่าเออ! เห็นแล้ว! หัวโนแค่นี้ไม่ตายหรอก! แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ผมตายแน่!

“มึงไม่ต้องรอสอบเข้าไม่ได้หรอก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปมึงตายสมใจอยากแน่!”

แช่งกันอีก

“มึงจะรักตัวเองบ้างไม่ได้เหรอก้อง? กูถามจริงๆเถอะ รักตัวเองนี่มันยากมากเหรอ? แค่ดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขนี่มันยากตรงไหนวะ!”

ยากสิวะ! ผมตะโกนกลับและถามเขาว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตเฉยๆไปวันๆมันทำได้เสียที่ไหน ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนพี่ ผมไม่มีเงินเก็บเยอะจนไม่ต้องทำงานก็ได้ ผมไม่มีอะไรเลยถึงต้องสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง พี่อู๋ก็รู้ว่าใบปริญญาสำคัญ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะรวย! เมื่อไหร่จะยืนได้! ถ้าไม่มีเงิน – พี่คิดว่าเราจะมีความสุขได้จริงๆเหรอ! จะแดกข้าวถุงนึงก็ต้องมีเงินสิบบาท คิดหน่อยสิวะอิศรินทร์! คิดถึงมุมของคนอื่นบ้างจะได้ไหมวะ!

แล้วเราก็เถียงกันไม่จบไม่สิ้น พี่อู๋โมโหใส่ผมเหมือนที่เคยทำกับคุณหมูพีเปี๊ยบ เขาทั้งพูดมึงกู ทั้งตะคอกจนหน้าแดง ทั้งยกเหตุผลส้นตีนอะไรก็ไม่รู้มาตำหนินายก้องเกียรติที่พยายามทำเพื่ออนาคต เด็กอายุสิบแปดที่ประสบการณ์น้อยกว่าอย่างผมเถียงสู้เขาไม่ได้ ในที่สุดผมก็ร้องไห้โฮออกมา ร้องฟูมฟายเหมือนคนบ้าและตัดพ้อเขาว่าทำไมไม่เปิดใจรับฟังผมบ้าง ผมต้องเรียนหนังสือ ผมต้องสอบเข้ามหาลัยดีๆเพื่ออนาคตตัวเอง ที่ผมทำก็เพราะอยากมีเงินมาคืนพี่ ไหนๆพี่ก็ไม่ให้ผมตายแล้ว พี่ปล่อยให้ผมดิ้นรนเพื่อมีชีวิตดีๆไม่ได้เหรอ

“ชีวิตดีๆไม่ได้ผูกติดไว้กับมหาลัยไงก้อง”

พี่อู๋ใจอ่อน ยอมเป็นฝ่ายยกธงขาวเมื่อเจอกอริลลาอาละวาด เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้แต่ยังไม่เอ่ยขอโทษ คุณอิศรินทร์ยืนยันเหมือนเดิมว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเพราะเขาไม่สนใจเลยว่าผมจะสอบติดที่ไหน ต่อให้ไม่ใช่จุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่มอรัฐบาลก็ไม่เห็นเป็นไร ประเทศนี้ยังมีมหาลัยเปิดอย่างรามคำแหงรออยู่

“แต่ผมอยากให้พี่ภูมิใจ ผมอยากให้พี่บอกใครต่อใครว่าผมสอบเข้าที่ดีๆได้”

ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้บอกเขา และยังบอกอีกว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตตัวเองเลย ผมอยากเรียนจุฬา อยากเรียนธรรมศาสตร์ หรืออยากเรียนมหาลัยไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องทำให้พี่ภูมิใจให้ได้ พี่อู๋ถอนหายใจแล้วลูบหัวกอริลลาจิตป่วย เขาบอกว่าความภูมิใจของเขาไม่ได้วัดที่มหาวิทยาลัย แต่มันอยู่ที่ผม แค่นายก้องเกียรติตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขาก็ภูมิใจมากๆแล้ว ทิ้งเรื่องมหาลัยไปเถอะนะ โฟกัสแค่ว่าอยากเรียนคณะอะไรดีกว่า เลือกเรียนสิ่งที่ชอบก่อน มหาลัยไว้ค่อยเลือกเป็นอันดับสอง เพราะถ้าโฟกัสแค่มหาลัยจนไม่สนใจว่าจะได้เรียนคณะอะไร นรกสี่ปี่จะทรมานผมจนตาย

“ผมจะรู้ได้ไงครับว่าอยากเรียนอะไร?”
“จะไปรู้เหรอ” พี่อู๋คาดเข็มขัดให้ผมก่อนจะเตรียมตัวขับรถออกจากบิ๊กซี “ก้องชอบวิชาอะไรล่ะ?”
“ผมชอบคณิตศาสตร์”
“คณิตอย่างเดียวเหรอ?”
“ฟิสิกส์ผมก็ชอบ ผมชอบแค่สองวิชานี้”
“ภาษาอังกฤษล่ะชอบไหม?”
“เฉยๆครับ พอทำได้” ผมตอบพลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม “แต่ผมไม่ชอบเคมี”
“พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“ตอนเอนทรานซ์ – พี่อู๋รู้ได้ไงว่าอยากเรียนคณะอะไร?”
“พี่เหรอ? เลือกจากที่ตัวเองถนัดที่สุดอ่ะ” เขาบอก “พี่ไม่ชอบคำนวณใช่ไหม พี่ก็ตัดคณะที่เกี่ยวกับเลขออกไป อันดับแรกเลยคือวิศวะปลิวไปก่อนใครเพื่อน ต่อมาก็หมอ นักวิทยาศาสตร์ พอรู้ตัวอีกว่าเป็นคนขี้เกียจไม่ชอบอ่านหนังสือหนักๆ พี่ก็ตัดนิติศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์ ตัดนั่นตัดนี่ ตัดไปตัดมา ไอ้ชิบหาย เหลือแค่คณะภาษา”
“พี่ก็เลยเรียนอักษร?”
“อืม”
“ทำไมพี่ไม่เรียนอักษรจุฬาครับ?”
“หัวไม่ถึง” พี่อู๋ตอบด้วยท่าทีสบายๆ “สอบจุฬาไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร เลือกเรียนสิ่งที่เราชอบก่อน ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบและทำได้ดี ยังไงมันก็ออกมาดีเพราะเรามีความสุขกับมัน”
“งั้น – ผมควรทำไงดี?”
“หาหมอ”
“หาทำไมครับ?”
“ปรับยาใหม่”

พี่อู๋พูดอย่างจริงจัง

“พี่ดูจากสภาพแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปไม่น่ารอด”

ผมเห็นด้วย คำว่าไม่น่ารอดของเขาไม่ได้หมายถึงตาย แต่หมายความว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีก ความสัมพันธ์ของเราคงไปไม่รอดแน่ๆ



มี Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยค่า  o18
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 08-07-2019 20:11:22
28 [PART2]

วันถัดมา กอริลลาก้องกับผู้ปกครองตื่นแต่เช้าเพื่อรอคิวพบหมอ ผมนั่งท่องในใจถึงเรื่องที่ต้องปรึกษา หนึ่งคือเรื่องยา สองคือเรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกับพี่อู๋ พอถึงคิวนายก้องเกียรติ ผมก็เดินเข้าห้องตรวจทันทีด้วยความเคยชิน ผมยกมือไหว้คุณหมอ สวัสดีครับ วันนี้มาหาก่อนนัดเพราะมีเรื่องจะปรึกษา ผมไม่รอให้หมอถามด้วยซ้ำว่าเป็นยังไงบ้างนอกจากรีบวางถุงยาลงบนโต๊ะแล้วบอกเขาว่าขอหยุดยาได้ไหม วันก่อนผมไม่สบายหนักถึงขนาดเข้าโรงพยาบาล คุณหมอที่ตรวจบอกว่ายาพวกนี้ทำให้ง่วง เขาแนะนำให้กลับมาปรึกษาหมอ คุณหมอช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ

“ก้องจะขอเปลี่ยนยาเป็นตัวที่ไม่ง่วงเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมจะขอหยุดยา” ผมบอกความต้องการของตัวเองเพราะเชื่อว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นยาตัวใหม่ ยังไงก็คงง่วงมากอยู่ดี “ผมเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะหลับทุกครั้ง ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว ให้ผมหยุดยาได้ไหมครับ?”

ในทีแรก คุณหมอแสดงออกว่าไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอลองคุยลองซักถามอาการเพิ่มเติม เขาก็ยอมให้หยุดยาโดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่ไหวต้องรีบกลับมาหาหมอทันที เอาล่ะวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้หมอช่วยนอกจากขอเปลี่ยนยาไหม คุยกันถึงตรงนี้ผมก็ถอนหายใจและเล่าให้หมอฟังเกี่ยวกับความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างผมกับพี่อู๋ เขาเอาแต่บังคับให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งความสุขของผมก็คือการมีอนาคตดีๆและไม่เอาเปรียบเงินของใคร ผมบอกหมอว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงชอบเห็นนายก้องเกียรติขี้เกียจ พวกเขาควรชมสิที่ผมขยันเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่โดนดุโดนด่าเหมือนทำความผิดอะไรมา

“ผมไม่เข้าใจจริงๆนะ ทำไมทุกคนต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ --”

กอริลลาก้องยังคงคร่ำครวญต่อไป ผมระบายความอัดอั้นตันใจออกมายาวเหยียดเกือบสิบนาที ยังดีที่หมอไม่เข้าร่วมกับคนอื่นด้วยการตอกหน้าว่าผมฝืนตัวเองเกินไป เขาแค่รับฟังเงียบๆจนผมบ่นจบ หมอถึงถามว่าอยากรู้ไหมว่าตอนเขาสอบเข้า เขามีเคล็ดลับยังไง

“หมอพยายามนอนให้ได้วันละเจ็ดชั่วโมงตลอด” เขาเฉลย “ถ้าเรานอนน้อย สมองเราจะรับข้อมูลใหม่ๆได้ช้าลงหรือไม่ก็รับไม่ได้เลย”

แล้วข้อมูลเชิงวิชาการก็พรั่งพรูออกจากปากของเขา ผมได้แต่นั่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะจับใจความในสิ่งที่หมอพูดไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออธิบายกลไกการทำงานของสมองจบ หมอก็ถามว่าไม่เข้าใจใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ ไม่เข้าใจอะไรเลย หมอจึงย้ำอีกครั้งว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนอนไม่พอ

“ที่ก้องบอกหมอว่าเรียนไม่รู้เรื่อง หมอว่าบางทีมันไม่ใช่เพราะก้องหัวไม่ดีหรอก แต่เพราะร่างกายมันเหนื่อยเกินไปจนไม่รับต่างหาก พอเป็นแบบนี้ทุกวันก็เลยเรื้อรังเป็นลูกโซ่ พักนี้ก้องเองก็หงุดหงิดโมโหง่ายจนทะเลาะกับพี่อู๋ด้วยใช่ไหม?”
“แต่เขาเป็นคนชวนผมทะเลาะ”
“เพราะเขารักก้องไง เขาถึงไม่สบายใจที่เห็นก้องป่วย”

หมอบอก แต่ผมยังปล่อยวางเรื่องเรียนไม่ได้ ผมบอกหมอว่าการสอบเข้ามันน่ากลัวจริงๆ ผมกลัวว่าถ้าทำพลาดอีกจะไม่มีโอกาสที่สาม กลัวว่ามันจะยิ่งยืดยาวออกไปไม่ถึงปลายทางเสียที หมอรู้ไหมว่ามันน่าหงุดหงิดมากนะที่ใจเราพร้อมสู้แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย ลำพังเรียนไม่รู้เรื่องก็เครียดแล้ว นี่ยังต้องทะเลาะกับพี่อู๋เกือบทุกวันอีก ผมเหนื่อย ผมเหนื่อยจริงๆ คนเราเกิดมาเรียนเพื่ออะไรในเมื่อสุดท้ายก็ตายอยู่ดี

“บางครั้งผมคิดจริงๆนะว่าอยากเกิดเป็นหมา”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็หมามันไม่ต้องสอบเข้ามหาลัย ไม่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงิน วันๆมีแค่กินกับนอนสบายจะตาย ถ้าชาติหน้ามีจริงผมอยากเกิดเป็นหมาของไฮโซ” 

หมอขำก๊ากเมื่อกอริลลาก้องโอดครวญอยากเกิดเป็นหมา หลังตัดพ้อชีวิตเสร็จเราก็กลับมาคุยเรื่องเรียนอีกครั้ง หมอบอกผมว่าจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องกดดันเลยถ้าเรียนวิชาไหนไม่เข้าใจ ใครๆก็มีวิชาที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเลยก็พี่อู๋ ในสายตาของก้อง ก้องว่าพี่อู๋เก่งไหม

“เก่งครับ พี่อู๋เก่งมากนะหมอ”

ผมอวดผู้ปกครองทันทีที่มีโอกาสเล่าซ้ำเป็นหนที่สองว่าพี่อู๋ของผมเก่งภาษาญี่ปุ่นมาก เขาเคยแปลเอกสารห้าหน้าในครึ่งชั่วโมงด้วย เมื่อก่อนพี่อู๋ทำงานในบริษัทใหญ่ได้เงินเดือนเป็นแสน โบนัสเกือบครึ่งล้านก็เคยได้มาแล้ว แถมยังมีรถมีบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย พี่อู๋เนี่ย – เป็นเทพมาเกิด เขาเก่งมาก เก่ง เก่งที่สุดสำหรับนายก้องเกียรติ

หลังฟังคำอวยจบ หมอไม่พูดอะไรอีกนอกจากหยิบกระดาษโน้ตออกมาหนึ่งแผ่นแล้วเขียนบางอย่างลงไป พอเขียนเสร็จเขาก็ส่งให้ผมและบอกว่าลองเอาอันนี้ให้พี่อู๋นะ ถามเขาดูว่าได้เท่าไหร่

“นี่มันโจทย์เลขไม่ใช่เหรอครับ?” ผมพลิกกระดาษโน้ตไปมาก่อนจะถามคุณหมอ เขาพยักหน้ายิ้มๆ

“ก้องคิดข้อนี้ออกไหม?”


11999/ 11997


อ่า – โจทย์แนวนี้เหรอ

“หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดครับ”

หมอชมว่าเก่งมากแต่ผมก็ถ่อมตัวด้วยการบอกว่าโจทย์ข้อนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ไม่มีใครทำไม่ได้หรอก เผลอๆถามเด็กปอหกก็คงได้คำตอบไม่ต่างกัน

“แต่หมอให้ผมถามพี่อู๋ทำไมครับ?”
“หมอคิดว่าถ้าพูดยาวไปก้องก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าลองถามพี่อู๋ดูก็แล้วกันนะ ก้องน่าจะรู้ว่าสิ่งที่หมออยากบอกคืออะไร”

ผมขมวดคิ้วก่อนจะตอบครับๆแล้วพับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง หลังสรุปเรื่องยา ผมก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่โดนคุณหมอรั้งไว้ เขาถามผมว่าอยากรู้วิธีเลิกทะเลาะกับผู้ปกครองไหม ผมตอบทันทีว่าอยากครับ

“ง่ายมาก ต่อไปนี้ถ้ามีอะไร ก้องต้องบอกพี่อู๋เหมือนที่บอกหมอนะ”
“ทำไมครับ?”
“เพราะพี่อู๋ไม่ใช่คนดื้อ เขาพร้อมฟังเหตุผลของก้องอยู่แล้ว”
“ผมรู้สึกว่าบอกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขนาดเมื่อวานผมอธิบายแทบตาย เขายังด่าผมรัวเป็นปืนกลเลย”
“พี่อู๋คงโมโหน่ะ แต่จริงๆเขารักก้องมาก” หมอบอก “เดี๋ยวเรียกพี่อู๋เข้ามาพบหมอด้วยนะ หมอมีเรื่องอยากคุยกับเขานิดหน่อย”

ผมตอบครับก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วเรียกผู้ปกครองเข้าไปคุย ระหว่างนั่งรอผมก็เหลือบมองกอริลลาร่วมชะตากรรมที่กำลังต่อคิวพบคุณหมอ ผ่านไปแค่สองนาทีก็มีโรงละครเปิดแสดงด้านหน้าเหมือนช่วงแรกที่มารักษา ผมมองกอริลลารุ่นป้าร่ายรำร้องเพลงจนพี่อู๋ออกจากห้อง เขาเหวอนิดๆเมื่อคุณป้าวิ่งไปสวมกอดและออดอ้อนเพราะคิดว่าคุณอิศรินทร์เป็นสามีในโลกจินตนาการ ผมขำก๊ากทันที ในที่สุดพี่อู๋รูปหล่อก็ได้เป็นพระเอกกับเขาบ้าง

“อะไรวะ เดินอยู่ดีๆก็ได้เป็นผัวเลย”

พี่อู๋พึมพำเมื่อเราเดินออกจากอาคารของโรงพยาบาล ส่วนผมยังหัวเราะไม่หยุดเพราะตลกสีหน้าของผู้ปกครอง พี่อู๋แว้ดด่าผมว่าขำอะไรนักหนา อยากมีผัวเหรอ ผมหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก

“หมอบอกว่าหยุดยาได้ แต่ถ้าอาละวาดขึ้นมาต้องรีบกลับมาหาหมอนะ”
“ครับ” ผมขานรับทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ “เอ้อ – พี่อู๋ครับ พี่ว่าคำถามข้อนี้ตอบอะไรอ่ะ?”

ผมส่งกระดาษให้เขา คุณอิศรินทร์ที่กำลังคาดเข็มขัดรับมันไปอ่านออกเสียงก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เขาถามว่าเราจะรู้ไปเพื่ออะไรวะว่ายกกำลังเกือบพันมันได้เท่าไหร่ มีเครื่องคิดเลขก็กดเอาสิ สิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งหารด้วยสิบเอ็ดคูณกันเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง ใครมีปัญญาคิดก็คิด พี่ไม่คิด

“พี่คิดไม่ออกจริงๆเหรอครับ?” ผมประหลาดใจเพราะโจทย์ข้อนี้มันง่ายมาก ง่ายชนิดที่แค่ท่องสูตรคูณก็ได้คำตอบแล้ว แต่พี่อู๋กลับไม่รู้เลย “พี่อ่านใหม่อีกรอบสิ มันง่ายจริงๆ”

พี่อู๋อ่านออกเสียงอีกครั้งก่อนจะบ่นว่าเรื่องเหี้ยอะไรวะเนี่ย เขานั่งเกาหัว เกาแก้ม เกาทุกที่ที่สามารถเกาได้ก่อนจะบอกว่าคิดไม่ออกแล้วก็ฉีกกระดาษแม่งเลย โมโห

“พี่! มันง่ายจะตาย! พี่แค่เอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดก็จบแล้ว!”
“ทำไมต้องเอาสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดด้วย?”
“ฐานมันคือสิบเอ็ดเหมือนกันใช่ไหม? พี่ก็เอาเลขยกกำลังของมันมาลบกัน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าลบเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดได้สอง สิบเอ็ดยกกำลังสอง?”
“ได้เท่าไหร่?”
“สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดเองนะพี่อู๋!” ผมเบ้หน้า นึกสงสัยว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือแค่หลอก “สิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดได้ร้อยอะไรครับ?”
“ร้อยสิบ”
“ร้อยยี่สิบเอ็ด!”

ผมอยากร้องอ๊ากกก!ดังๆแล้วเขย่าตัวเขาจริงๆ

“ข้อนี้ตอบร้อยยี่สิบเอ็ดครับ!”
“อ๋อเหรอ อืมๆ”

พี่อู๋พยักหน้าไม่แคร์ ปล่อยให้นายก้องเกียรติงงว่าทำไมคุณอิศรินทร์คนเก่งถึงนึกวิธีคิดข้อนี้ไม่ได้ พอเห็นท่าทีโนสนโนแคร์ของเขา กอริลลาก้องก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว ผมเข้าใจแล้วว่าหมอกำลังจะบอกอะไร

เขากำลังบอกว่าแม้แต่พี่อู๋ที่เก่งที่สุดในโลกของผม ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ถนัดเหมือนกัน

แต่ถึงจะไม่เก่งคณิตศาสตร์ พี่อู๋ก็ไม่ได้สนใจ เขายังคงเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นตามความถนัดของตัวเอง เขาสามารถหาเงินได้เป็นแสนโดยไม่จำเป็นต้องท่องสูตรคูณได้ เห็นไหม? คุณอิศรินทร์ผู้เป็นเทพมาเกิดของนายก้องเกียรติก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้านเหมือนกัน

แต่พอสงสัยว่าหมอรู้ได้ยังไงว่าพี่อู๋โง่เลข ผมก็ถึงบางอ้อ คราวก่อนผมเป็นคนบ่นให้เขาฟังเองว่าผู้ปกครองคิดเลขไม่เก่งขนาดไหน ทั้งเรื่องประกอบตู้ เรื่องคำนวณเลขง่ายๆเพื่อปูกระเบื้องพี่อู๋ยังทำไม่ได้ ว้าว – ถ้าสิ่งที่ผมเชื่อมโยงคือเรื่องจริง หมอก็สุดยอดไปเลย เขาไม่จำเป็นต้องพูดยาวเหยียดว่าคนเราล้วนมีมุมที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น แค่เอาโจทย์เลขให้พี่อู๋ทำ นายก้องเกียรติก็เข้าใจทั้งหมดโดยไม่ต้องฟังคำอธิบาย พอคิดแบบนี้ได้ผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยเด็กในปกครองที่วันๆไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรก็มีสิ่งที่ทำได้ดีกว่าพี่อู๋ ถึงผมจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ผมท่องสูตรคูณแม่สิบเอ็ดได้ ในขณะที่พี่อู๋คิดเลขไม่ได้ เขาก็มีพรสวรรค์ด้านภาษาที่โดดเด่นจนไม่จำเป็นต้องสนใจคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ

“เป็นอะไร? นั่งทำหน้าว้าวอยู่คนเดียว”
“ผมเพิ่งเข้าใจเมื่อกี๊เองว่าหมอพยายามบอกอะไร” ผมคุยกับผู้ปกครอง “ผมไม่ต้องเก่งทุกวิชาก็รวยเหมือนพี่ได้”
“ไม่ใช่ม้าง”
“ใช่สิครับ ต้องใช่แน่ๆ” ผมยืนยัน “แต่ – แต่กว่าจะรวยแบบพี่ ก็ต้องสอบเข้ามหาลัยก่อนนี่หว่า”
“กลับมาดราม่าอีกละ” พี่อู๋ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “พี่เคยบอกว่ายังไง? ไม่ถนัดวิชาอะไรก็ตัดคณะนั้นทิ้ง ก้องไม่ถนัดเคมีใช่ไหม? ตัดหมอ ตัดเภสัช ตัดสายสุขภาพ --”
“แต่ผมยังรู้สึกดีกับชีวะนะ”

พี่อู๋ดูสับสนกว่าเด็กอายุสิบแปดอย่างผมอีก เขานวดขมับอยู่หลายครั้งระหว่างติดไฟแดง การปักธงว่าจะเรียนคณะอะไรนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ วิชานั้นผมก็ชอบ วิชานี้ก็พอทำได้ ผมเกลียดเคมีแต่ยังมีเยื่อใยให้ชีวะ ถ้าจะต้องตัดสายสุขภาพก็คงเสียดายแย่ แต่ที่แน่ๆคือคัดเภสัชทิ้งไปได้เลย ผมคงใช้ชีวิตอยู่กับเคมีตลอดหกปีไม่ไหว น่าจะตายก่อน

“ตอนเด็กๆก้องอยากเป็นอะไร?”
“อยากเป็นทหารครับ”
“ขีดทิ้ง ไม่ให้เป็น” พี่อู๋ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเสี่ยงตายอ่ะ”
“มันก็เสี่ยงทุกอาชีพทั้งนั้นแหละ ขนาดแม่ค้าขายข้าวแกงยังเสี่ยงแก๊สระเบิดเลย”
“ก็เลือกที่มันเสี่ยงน้อยๆหน่อย อืม – ครู ดีไหม? อยากเป็นครูไหม?”
“ผมสอนใครไม่เป็นอ่ะ”
“เพราะงั้นมันถึงมีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ไง” เขาบอก “ไหนนึกอีกสิว่าประเทศนี้มีอาชีพอะไรบ้าง?”
“ผมนึกอาชีพไม่ออก แต่นึกคณะออกครับ มีบริหาร บัญชี --”
“เออ เข้าท่า”
“นายกรัฐมนตรี --”
“เริ่มเพ้อเจ้อละ” พี่อู๋หัวเราะ
“แล้วก็มีนิติศาสตร์ หรือผมจะเรียนกฎหมายดีครับ? ต่อไปถ้าพี่ทำงานแล้วเจอบริษัทเอาเปรียบอีก ผมจะฟ้องให้เหี้ยนเลย”

พี่อู๋หัวเราะก่อนจะบอกว่าบริษัทใหญ่ๆไม่มีทางพลาดหรอก พวกนี้ศึกษากฎหมายในบ้านเรามาดี น้อยมากที่จะปล่อยช่องโหว่ให้ได้ฟ้อง แต่ถ้าก้องสนใจกฎหมายจริงๆก็บอกพี่ได้ พี่มีเพื่อนคนนึงเรียนนิติรามฯ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดี มีงานเข้าเรื่อยๆ เผื่อก้องอยากรู้อะไร พี่จะถามให้

“ขอบคุณครับ”

ผมบอกผู้ปกครอง เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะถามเขาว่าคุยอะไรกับหมอบ้าง พี่อู๋ไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด เขาเล่าแค่ว่าหมออยากให้พี่อู๋ช่วยสังเกตอาการกอริลลาก้องเท่านั้น พูดถึงตรงนี้เราก็เงียบอีก ผมรู้สึกว่ายังมีบางอย่างยังค้างคาใจจึงรีบใช้โอกาสนี้เพื่อขอโทษพี่อู๋ที่ตะคอกใส่เขาเมื่อวาน ขอโทษที่พูดคำหยาบ ต่อไปผมจะไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับพี่อีกแล้วครับ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” พี่อู๋บอก “แต่ก้องรู้ใช่ไหมว่าพี่โอเคกับทุกอย่างที่ก้องเลือก ก้องจะเรียนอะไรก็ได้ จะเรียนมหาลัยไหนก็ได้ ถ้ามันเหนื่อย มันไม่ไหวจริงๆจะเรียนรามฯก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก พี่จะส่งให้เรียนเหมือนเดิม”
“พี่ดีกับผมมากๆจนผมรู้สึกผิดเลยอ่ะ” ผมน้ำตาซึม “พี่รู้ไหม พี่มีบุญคุณกับผมยิ่งกว่าพ่ออีก ผมโคตรรักพี่เลย”
“มาพ่อเพ่ออะไร ใครพ่อเอ็งวะ?”

พี่อู๋เบ้หน้า เขาคงเขินกับคำว่าพ่อที่นายก้องเกียรติเรียกแน่ๆเพราะมุมปากของเขาแอบยกยิ้มหน่อยๆ เราสองคนไม่ได้คุยเรื่องอะไรต่อนอกจากนั่งฟังเพลงจนถึงบ้าน ที่ผมไม่ชวนพี่อู๋คุยเพราะกำลังคิดว่าหลังจากนี้ควรวางแผนกับตารางเรียนพิเศษที่ขาดตอนยังไงดี ส่วนคุณอิศรินทร์เงียบเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิด ท่าทางคงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู เพราะใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแค่ความกังวลเท่านั้น



TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีวันจันทร์ค่ะ (・ω・) ノ



พี่อู๋คงได้แต่กรีดร้องในใจ ไม่อยากเปงพ่อ อยากเปงพั๋ -- แค่กๆ ๆ



ได้รับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนแล้วน้า ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะกระดึ๊บๆไปหน่อย ด้วยความที่ทั้งสองคนแทบไม่เคยแสดงออกในแง่นั้นมาก่อน เราก็เลยอยากให้ความสัมพันธ์ของตัวละครค่อยๆเป็นค่อยๆไปค่ะ เพราะถ้าจู่ๆกระโดดมา ดึ๋งๆๆ พี่ชอบก้อง ก้องก็ชอบพี่ จบ แฮปปี้ ไอเริ้บยู ก็คงดูห้วนเกินไป ช่วงนี้ขอปูพื้นเพื่อเริ่มระดับความสัมพันธ์ของพี่อู๋น้องก้องก่อนนะคะ ซึ่งหลังจากนี้เรื่องจะค่อยๆเดินเร็วขึ้น เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนา แต่จะเป็นไปแง่ไหน ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้จนจบด้วยนะคะ หากมีข้อติชมอยากแนะนำ สามารถบอกได้ตลอดนะคะ ยินดีปรับปรุงแก้ไขให้นิยายเรื่องนี้ออกมาสนุกที่สุดเพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านค่ะ (。♥‿♥。)



ปล. หนูมีแฟนอาร์ตสวยๆมาอวดด้วย แต่กลัวว่าถ้าลงในเล้า หน้าเว็บจะโหลดนาน ถ้าสนใจสามารถส่องแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ได้นะคะ มีแฟนอาร์ตสวยๆน่ารักๆโดยฝีมือคุณแม่น้องก้อง(s) เยอะแยะเลยค่ะ ขอบคุณค่า (⺣◡⺣) *


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-07-2019 20:30:38
พี่อู๋เป็นเครียด อยากเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่พ่อจ้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 08-07-2019 21:04:16
ก้องโชคดีจังที่มีผู้ปกครองแบบพี่อู๋ เข้าใจเลยเวลาฝืนเรียนคณะที่ไม่ชอบ แถมต้องทนทำงานไปอีกเกือบ30ปี จนกว่าจะเกษียณมันหดหู่ขนาดไหน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-07-2019 21:57:46
หมอเขาเก่ง เขาเรียนมาเพื่อมาแก้ปัญหาให้ก้องไงล่ะ (ยืมมาจากนิยายอีกเรื่อง)
แต่ละวันพี่อู๋ต้องลุ้นต้องวุ่นวายกับก้องแค่ไหน ต้องเป็นคนที่เมตตาธรรมมาก ๆ เลยแหละ
ถ้าจะบอกรักกันตอนนี้ไม่รู้น้องก้องจะเข้าใจแค่ไหน แค่เรื่องเรียนพิเศษก็จะเป็นจะตายอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-07-2019 22:27:37
หวั่นใจตอนทะเลาะกันมาก สุดท้ายต้องมาหวั่นใจอีกทำยังไงก้องจะรุ้ความในใจพี่อู๋ ลุ้นเหนื่อยจริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 09-07-2019 15:30:57
ทะเลาะกันทีไร คุณอิศรินทร์ไม่เคยเบาเลย ต้องรอให้ก้องเข้าใจอีกนิด แบกความหวังไว้เยอะ เลยกลัวทำให้พี่อู๋ผิดหวัง
มันเป็นภาวะที่เครียดมากๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-07-2019 22:03:35
ฮาพี่อู๋ตอนคิดเลขมากๆถึงกับฉีกกระดาษ 55555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-07-2019 02:19:33
เข้าใจพี่อู๋ตอนฉีกกระดาษเลย ก็คนมันคิดไม่ได้จริงๆอ่ะ
พี่อู๋เครียดหนักเลย เพราะไม่อยากเป็นพ่อ 55555 แล้วก้องดันมาขอหมอหยุดยาอีก จะมาระเบิดอารมณ์ใส่กันอีกไหม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: momima114 ที่ 10-07-2019 09:01:32
สถานะก็คงยังเปงพ่อนะคะ พี่อู๋ร้องไห้แล้ว 55555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 10-07-2019 20:10:23
 :katai2-1: แด๊ดดี้ ที่ไม่ได้แปลว่า พ่อ ใหมล่าาาาาาาาาา
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 11-07-2019 20:31:47
พี่อู๋เครียดหนักแล้ว55555  พิเค้าไม่อยากเป็นพ่่ออ่ะก้องงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: nisaday ที่ 11-07-2019 22:21:15
สงสารพี่อุ๋ เปลี่ยนเป็นพ่อทูลหัวแทนดีมั้ย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 28 update!] 8/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Akigigi ที่ 12-07-2019 15:17:08
รอความสัมพันธ์​ของทั้งสองคืบหน้าค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 15-07-2019 20:22:54
29 [PART1/2]


ที่ปรึกษาเรื่องการเรียนของผมไม่ใช่สมาร์ท แต่เป็นรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ที่เป็นน้องสาวของเพื่อนของพี่อู๋ ผู้ปกครองของผมแนะนำพี่ฝ้ายให้รู้จักหลังหยุดเรียนพิเศษได้แค่วันเดียว เขาพาผมไปเจอพี่ฝ้ายที่สตาร์บัคส์ในพารากอน หลังซื้อชาเขียวและเค้กให้เราสองคน คุณอิศรินทร์ก็ปลีกตัวไปนั่งอีกโต๊ะกับพี่นุ่นซึ่งเป็นพี่สาวของพี่ฝ้าย ปล่อยให้ผมมีโอกาสปรึกษาปัญหาชีวิตกับผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี

“เรียนไม่รู้เรื่องเหรอ? ก็เปลี่ยนติวเตอร์สิ” พี่ฝ้ายยิ้มสดใส “คือเราต้องยอมรับก่อนนะว่าก้องไม่ได้เรียนกับเขาตั้งแต่เริ่ม ทีนี้เทคนิคการสอน การทำโจทย์ก็อาจจะไม่เหมาะกับคนเพิ่งลงเรียนคอร์สแรกอย่างก้องไง วิธีแก้คือไม่ต้องเรียน หาคนสอนใหม่”
“แต่พี่อู๋จ่ายเงินให้ผมเรียนไปแล้ว ผมเสียดายตัง”
“การเรียนพิเศษก็เหมือนการลงทุนอ่ะ มันมีความเสี่ยงทั้งนั้น ถ้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ ก็แค่หาติวเตอร์คนใหม่ เดี๋ยวนี้ติวเตอร์เคมีเยอะแยะ จะเรียนกับพี่ก็ได้นะ” เธอหัวเราะเขินๆ “แต่ถ้าเสียดายเงินก็ลองขอย้ายคอร์สไปเรียนตอนเปิดเทอม บอกเขาว่าก้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพทำให้เรียนไม่ไหว พี่ว่าเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ว่าอะไร เขาไม่ได้งกขนาดนั้น”
“เรียนตอนเปิดเทอมมันจะต่างจากตอนนี้ยังไงเหรอครับ?”

พี่ฝ้ายทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะอธิบายว่า อย่างน้อยถ้าย้ายไปเรียนตอนเปิดเทอม ผมจะมีเวลาเว้นว่างให้ได้อ่านและทบทวนอยู่หลายวันก่อนเรียนเทปถัดไป เช่นวันไหนอาจารย์ให้การบ้านห้าสิบข้อ ผมยังพอมีเวลาทยอยทำวันละยี่สิบ สามสิบข้อได้ ไม่ต้องอัดบู้มรวดเดียวเหมือนคอร์สซัมเมอร์ ซึ่งคอร์สพวกนี้มันออกแบบมาเพื่อยัดเนื้อหาให้ครบอยู่แล้ว ไม่แปลกที่เขาจะสอนเร็วเพราะเวลามันจำกัดมาก เด็กส่วนใหญ่มาเรียนเพื่อเอาโจทย์เอาเทคนิค แต่คนที่ไม่เข้าใจเลยมันก็มีนะ มีเยอะด้วย ก้องไม่ต้องเครียดหรอก ก้องอาจจะแค่ซวยที่ได้นั่งข้างเด็กเก่ง แต่ไอ้เรื่องเด็กเก่งเนี่ยพี่อยากให้ทำใจไว้เลยเพราะยังไงมันต้องมีคนเก่งกว่าเราอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ได้อยากเรียนคณะเดียวกับเด็กพวกนี้ก็ไม่เห็นต้องซีเรียส ยังไงเส้นทางมันต่างกัน เราจะเหมารวมเอาทุกคนว่าเป็นคู่แข่งไม่ได้ ประสาทตายพอดี

โอเค – ผมคิดในใจว่าโอเค เดี๋ยวคุยกับพี่ฝ้ายเสร็จผมจะไปตึกวรรณสรณ์เพื่อขอเปลี่ยนคอร์สดูเพราะยังไงการฝืนดันทุรังเรียนก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีอยู่แล้ว ไหนๆก็ขาดไปตั้งหลายครั้ง ผมควรหยุดตามคำแนะนำของพี่ฝ้ายแล้วค่อยเริ่มใหม่ตอนเปิดเทอม

“ส่วนคณิตกับฟิสิกส์ ถ้ามันไม่ได้หนักอะไรมากจะเรียนต่อก็ได้นะ” พี่ฝ้ายแนะนำต่อ “แต่ก้องถนัดคำนวณใช่ไหม? พี่ว่าคนเก่งวิชาพวกนี้ได้เปรียบมากเลย ไม่เห็นต้องเครียด แค่เคมีตัวเดียวไม่น่ากลัวหรอก”
“แต่ผมไม่ได้ลงเรียนชีวะ”
“อ่านเองก็ได้ อ่านทุกวันๆมันจะซึมเข้าหัวเอง เดี๋ยวกินขนมเสร็จไปร้านหนังสือกับพี่สิ พี่จะแนะนำให้ว่าเล่มไหนเขียนดี เขียนละเอียด เล่มไหนเข้าใจง่าย”

ผมรีบดูดชาเขียวจนหมดแล้วขออนุญาตพี่อู๋ไปซื้อหนังสือกับพี่ฝ้าย เขาไม่ว่าอะไรแถมยังให้เงินอีกสองพันเป็นค่าหนังสืออีก วันนั้นผมได้หนังสือเรียนเพิ่มอีกสามเล่ม เป็นชีวะหนึ่งเล่ม รวมโจทย์คณิตอีกหนึ่งเล่ม และภาษาอังกฤษหนึ่งเล่ม พอซื้อเสร็จผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณพี่นุ่นกับพี่ฝ้ายที่เสียเวลามาแนะนำการเรียน ก่อนแยกย้าย พี่อู๋บอกว่าพี่ฝ้ายเป็นติวเตอร์มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถ้าผมไม่ไหวกับเคมีก็รีบบอก เขาจะจ้างพี่ฝ้ายให้มาสอนเอง

“ผมขอลองดูก่อนได้ไหมครับ เผื่อหลังเลื่อนคอร์สแล้วผมจะเรียนรู้เรื่องขึ้น”

พี่อู๋ตอบว่าได้ เขาไม่ว่าอะไรก่อนจะพานายก้องเกียรติไปพญาไทเพื่อย้ายคอร์สเรียน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็กลับลาดพร้าว ผมหยิบโจทย์เลขขึ้นมาทำทันทีเมื่อมีเวลา ผมชอบนั่งทำหน้าทีวีจนพี่อู๋ไล่ให้ไปอ่านหนังสือในห้องจะได้มีสมาธิ แต่ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอก ทำเล่นๆขำๆ ดูทีวีไปทำไปก็สนุกดี

ดังนั้นผมกับพี่อู๋จึงได้ใช้เวลาร่วมกันในบ่ายวันเสาร์ เขานอนดูเน็ตฟลิกซ์บนโซฟา ส่วนนายก้องเกียรตินั่งบนพื้น คิดโจทย์เลขไปเรื่อยๆจนถึงหกโมงเย็น พอเริ่มหิว พี่อู๋ก็สั่งไลน์แมนให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาส่ง เรานั่งกินด้วยกันหน้าทีวีจนถึงหนึ่งทุ่ม ผมปลีกตัวเข้าไปอ่านชีวะในห้องอีกสองชั่วโมงจึงเรียกพี่อู๋ให้เขานอน

“พี่ได้งานหรือยังครับ?”

ผมถามระหว่างใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้หมาด พี่อู๋ตอบว่าได้แล้ว เขาเพิ่งคอนเฟิร์มตอนกอริลลาก้องไปซื้อหนังสือนี่เอง ที่ทำงานใหม่อยู่แถวอโศก เขายังไม่รู้เลยว่าควรนั่งรถไฟฟ้าหรือซิ่งวีออสไป แต่ดูจากสภาพการจราจรช่วงนี้แล้ว ควรลาออก

หลังรอพี่อู๋อาบน้ำเสร็จ ผมก็ปิดไฟเตรียมกระโดดขึ้นเตียงนอน วันที่หนึ่งของการปรับแผนการเรียนใหม่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับผม วันดีๆไม่ใช่วันที่มีโอกาสออกไปกินของอร่อยๆหรือเดินช็อปปิ้งสบายอกสบายใจในห้าง แต่มันคือวันที่เราสองคนไม่ต้องทะเลาะกัน วันที่พี่อู๋พูดดีกับผม และปฏิบัติต่อผมเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ไม่ถูกละเลยต่างหาก




กอริลลาก้องแข็งแรง คุณอิศรินทร์ก็มีความสุข

ตั้งแต่ย้ายคอร์สเรียน ผมกับพี่อู๋ไม่ทะเลาะกันอีกเลย ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติที่ผู้ปกครองจะออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่ง ส่วนนายก้องเกียรติไปเรียนคณิตศาสตร์ตอนสิบโมง ถึงจะไม่หน้ามืดจนเป็นลมเหมือนเดือนก่อนแต่อาการวูบตัวชายังคงมีเป็นระยะๆ บางทีแค่เอนหลังพิงเก้าอี้แรงเกินไปก็โหวงถึงไส้ หมอบอกว่าต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอเพื่อฟื้นฟูร่างกายกว่าจะกลับมาเป็นปกติ เพราะฉะนั้นอย่าดื้อ ไม่งั้นผมต้องเวียนหัวตลอดไปแน่ๆ

นอกจากสุขภาพแล้ว ความสัมพันธ์ของเราสองคน – ก็ยังคงเหมือนเดิม พี่อู๋ยังคงใส่ใจและดูแลผมอย่างดี ถึงงานจะหนักจนกลับดึกสี่ห้าทุ่มทุกวัน แต่พี่อู๋ไม่เคยละเลยหรือเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆซักครั้ง เวลากลับถึงห้องเหนื่อยๆ ประโยคแรกที่เขาถามคือหิวไหม กินอะไรหรือยัง รอนานไหม วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง พี่อู๋คอยถามและให้ความสำคัญกับนายก้องเกียรติเสมอไม่เคยเปลี่ยน และผมก็จะตอบแทนความรักความเป็นห่วงของเขาด้วยการอุ่นกับข้าวให้ บางวันก็นั่งทำงานเป็นเพื่อนจนถึงตีสองตีสามเพราะบริษัทญี่ปุ่นให้งานพี่อู๋หนักเหมือนเคย มันหนักจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเงินเดือนเฉียดแสนมันคุ้มค่าไหมกับการอดหลับอดนอนและต้องสแตนบายเพื่อนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้

ดังนั้นคืนไหนผมอ่านหนังสือเสร็จแต่พี่อู๋ยังนั่งทำงานหน้าโน้ตบุ๊กอยู่ ผมจะบีบเท้าให้ บางวันก็บีบขา บางวันก็นวดหลัง ผมช่วยพี่อู๋ผ่อนคลายด้วยทักษะการนวดนาทีละสิบห้าบาท – ล้อเล่น นวดฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งคุณอิศรินทร์ชอบมากเวลาผมเอาใจด้วยการนวดและหาของว่างให้กิน เขาชอบถึงขนาดให้ทิปผมหนึ่งร้อยบาทเป็นค่าขนมเลย

วันเวลาผ่านไปจนจบคอร์สซัมเมอร์ แผนการเรียนของนายก้องเกียรติเหลือแค่เคมีกับแบ่งเวลาอ่านหนังสือตามตารางที่พี่ฝ้ายแนะนำเท่านั้น วันไหนมีเรียนผมก็จะกลับมาทบทวนที่บ้านตลอด ทำโจทย์ผิดบ้าง ถูกบ้างก็ช่างมันเพราะเคมีเป็นวิชาที่ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ผมไม่ถนัดเคมี ผมยอมรับ ดังนั้นผมจึงบ้าทำโจทย์คณิตกับฟิสิกส์มากๆเพื่อนำคะแนนไปเกลี่ยเคมีที่ไม่ค่อยรุ่งแทน

ในหนึ่งวันผมอ่านหนังสือประมาณหกชั่วโมง ไม่ได้อ่านติดกันรวดเดียวแต่จะหยุดพักทุกๆชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ คณิตศาสตร์คือของหวานสำหรับนายก้องเกียรติ มันไม่ได้ง่ายถึงขนาดทำถูกทุกข้อแต่อยู่กับมันแล้วมีความสุขมากกว่าวิชาอื่น เดี๋ยวนี้ผมสามารถทำโจทย์เลขกับฟิสิกส์ได้วันละหกสิบข้อ วิชาท่องจำอย่างชีวะก็อ่านเรื่อยๆแบบท่องซ้ำเป็นนกแก้วนกขุนทองจนกว่าจะจำได้ ส่วนภาษาอังกฤษยังคงล้มลุกคลุกคลาน ผมทำได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นแต่ก็ไม่เก่งพอจะถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นเหมือนพี่อู๋เสียที

ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่จนถึงเดือนพฤศจิกายน เหลืออีกไม่กี่เดือนผมต้องเริ่มทยอยสมัครสอบแล้ว พอเวลาขยับเข้ามากระชั้นชิดมากขึ้น ความกังวลก็เพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว จากที่เคยคิดว่าน่าจะทำได้ก็เริ่มแพนิคจนนอนไม่หลับและกินอะไรไม่ค่อยลง ผมดูเซื่องซึมจนพี่อู๋ต้องให้กำลังใจด้วยการบอกว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมทำเต็มที่แล้ว ผมขยันและเขาเองก็รับรู้ หลังจากนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง คะแนนจะได้เท่าเศษเล็บขบหรือเยอะจนดาวน์รถได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะไม่ว่าจะสอบได้ที่ไหน พี่อู๋รับประกันว่าเขาจะส่งผมเรียนจนจบแน่นอน

คนรอบตัวมองว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ผมควรจะมีคณะในดวงใจเสียที แต่เปล่าเลย นายก้องเกียรติยังคงลังเลและไม่มั่นใจว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ผมตัดคณะที่เกี่ยวกับศิลปะออก สถาปัตย์ จิตรกรรม ศิลปกรรม และคณะที่ต้องใช้ฝีมือในการออกแบบสร้างสรรค์ ตัดทิ้งไปให้หมดเพราะผมไม่มีพรสวรรค์ด้านนั้น นอกจากนี้ยังตัดเภสัช ตัดวิทยาศาสตร์ ตัดรัฐศาสตร์กับกฎหมายเพราะผมไม่สนใจ ตัดๆๆๆ ตัดไปหลายคณะแต่ก็ยังเหลือในตัวเลือกอีกเยอะ ผมยังไม่ได้คิดว่าจะเรียนอะไร แต่ตั้งใจไว้ว่าคะแนนออกเมื่อไหร่ค่อยให้พี่อู๋ช่วยเลือกก็แล้วกัน

แกร๊ก!

เสียงประตูห้องเปิดขึ้น นายก้องเกียรติที่กำลังนั่งทำโจทย์เลขอยู่บนโต๊ะรีบเงยหน้ามอง พี่อู๋ส่งยิ้มแหยแปลกๆเหมือนทำอะไรผิดมา ผมยกมือไหว้ทักทายผู้ปกครองก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเมื่อวันนี้เขาพาคนแปลกหน้ากลับบ้านด้วย

“ก้อง นี่เจ้านายพี่ ชื่อชิราอิชิซัง ชิราอิชิซัง โคะเระวะ โบขุ โนะ โคไฮ เดส”
(白石さんこれはぼくのこうはいです。)
(คุณชิราอิชิครับ นี่รุ่นน้องผมเองครับ)

“อ้า – ฮาจิเมะมะชิเตะ ชิราอิชิ เดส โยโรชิขุเนะ”
(あーはじめまして。白石です。よろしくね。)
(ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมชื่อชิราอิชิ ขอฝากตัวด้วย)

เจ้านายของเขาโค้งนิดๆเป็นเชิงทักทาย ส่วนนายก้องเกียรติโค้งจนหัวแทบทิ่มเพราะไม่เคยเจอคนญี่ปุ่นตัวเป็นๆมาก่อน ผมถามผู้ปกครองว่าทำไมซูชิซังถึงมาบ้านของเราได้ เขาบอกว่านายทำกุญแจหาย

“เขาไม่มีกุญแจสำรองเหรอครับ?”
“หายหมดทั้งสามชุด”

ผมเหวอ กุญแจหายก็เดาได้ว่าคืนนี้คุณซูชิน่าจะต้องค้างที่ลาดพร้าวแน่ๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยเมื่อชายวัยสี่สิบกลางๆเดินไปนั่งบนโซฟา เขาปลดเน็กไทออกและเก็บใส่กระเป๋าหนังก่อนจะหันมาคุยกับพี่อู๋

“ก้อง ทำกับข้าวให้พวกพี่กินหน่อยสิ ตั้งแต่เลิกงานยังไม่ได้กินอะไรเลย”

ผมตอบครับๆและถามเจ้านายของผู้ปกครองว่าอยากกินอะไร เขาบอกว่าอยากกินแกงเขียวหวาน อู๋จังทำให้กินได้ไหม จ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้ ผมน่ะอยากกินแกงเขียวหวานที่สุดเลย นายก้องเกียรติที่กลายเป็นพ่อครัวจำเป็นต้องเดินไปเซเว่นเพื่อซื้อเครื่องแกงเขียวหวานและกะทิสำเร็จรูป โชคดีที่ในตู้เย็นยังมีวิญญาณหมูเหลืออยู่บ้างก็เลยทำแกงเขียวหวานหม้อเล็กๆให้นายของเขาได้ ชิราอิชิซังตักเขียวหวานเข้าปากคำแรกก็เอาแต่ชมว่าโออิชี่ๆๆๆ ก้องจังเก่งนะเนี่ย ทำกับข้าวอร่อย อู๋จังโชคดีจริงๆได้กินแกงเขียวหวานทุกวันเลย ผมได้แต่คิดในใจ มันเก่งตรงไหนวะ ก็แค่เทกะทิ เทผงปรุงรสและใส่หมู แค่เนี๊ยะ แทบไม่ต้องแสดงฝีมือเลยด้วยซ้ำ

“ใครมันจะกินแกงเขียวหวานทุกวันวะ”

พี่อู๋บ่นเป็นภาษาไทย ผมถามผู้ปกครองว่าพูดแบบนี้ไม่กลัวโดนไล่ออกเหรอแต่คุณอิศรินทร์ก็บอกให้สบายใจว่าไม่ต้องห่วง ชิราอิชิซังฟังภาษาไทยแทบไม่เข้าใจ พูดเก่งอยู่คำเดียวคืออะไรก็ได้

“อารายก้อด้าย ไทยจินว่ะ อารายก้อด้าย”

ผมหัวเราะตามมารยาทและเก็บจานชามไปล้างเมื่อพวกเขาทานเสร็จ เจ้านายของพี่อู๋ถามว่าที่นี่สูบบุหรี่ได้ไหม พอรู้ว่าไม่ได้ แกก็หยิบคีย์การ์ดและบ่นงึมงำๆลงไปสูบข้างล่างแทน

“นายจะมาอยู่กับเรากี่วันเหรอครับ?”
“คืนเดียวพอ พรุ่งนี้พี่ไล่เอง”
“พี่กล้าไล่นายเหรอ? เขาให้เงินเดือนพี่นะ”
“นายคนนี้ไม่ประสาทแดกเท่าไหร่ พูดด้วยเหตุผลก็รู้เรื่อง” เขาบอก “แต่โคตรเซ็งว่ะ นายมาค้างด้วยแบบนี้ต้องทำงานต่อแน่ๆ”

ผมฟังแล้วสงสารพี่อู๋ เลิกงานมาเหนื่อยๆแต่กลับต้องทำหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ต่อเพราะนายมาค้างด้วย นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสามสิบหกนาที ชิราอิชิซังกลับห้องโดยมีเบียร์ติดมือมาด้วยหลายกระป๋อง แกวางเครื่องดื่มผู้ใหญ่ลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะถามผมว่าฮาวโอลอาร์ยู พอผมตอบเอ้ดทีน เขาก็พูดต่อว่าดริ้งๆ ดริ้งทูเกเตอร์



PART 2/2 ต่อด้านล่างเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 15-07-2019 20:25:57
29 [PART 2/2]



พี่อู๋ที่ไม่รู้มาจากไหนรีบเดินเข้ามากลางวง เขาคุยกับนายว่า โนเมมาเซน โนเมมาเซน อยู่สองหนจนยามาโมะโตะซังขมวดคิ้ว

“โดชิเตะ”
(どうして。)
(ทำไมวะ?)


“โคโดโมะดะคะระ”
(子供だから。)
(เพราะ(ก้อง)ยังเด็กอยู่)

“โคโดโมะจะเน่”
(子供じゃね!)
(ไม่เด็กแล้วโว้ย!)

“อิเอะๆๆๆ ดาเมะเดสุ เซ็ทไต ดาเมะ”
(いえ。いえ。だめです。ぜったいだめ。)
(ไม่ได้ครับ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด)

ผมงง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไร แต่สรุปได้ว่านายก้องเกียรติอดชิมเบียร์จิบแรกเพราะพี่อู๋ไม่อนุญาต ดังนั้นผมจึงได้แต่นั่งกินเลย์รสซาวด์ครีมกับน้ำแอปเปิ้ลโซดาระหว่างฟังบทสนทนาของพวกเขา จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้ยินนายเรียกพี่อู๋ว่าอิศรินทร์ซังเลย ผมได้ยินแค่ อู๋จัง อู๋จัง อู๋จัง บางครั้งก็ก้องจัง ฟังดูแล้วน่าจะพาดพิงผมเยอะพอสมควร

“ทำไมเป็นอู๋จังล่ะครับ? ทำไมไม่อู๋ซัง อู๋คุง อู๋ซามะ?”
“แกกวนเฉยๆ อู๋ซามะนั่นแปลว่าท่านอู๋ ไม่มีนายคนไหนเรียกพนักงานว่าท่านหรอก ยกเว้นหาเรื่องกวนตีน” ผู้ปกครองของผมหัวเราะและซดเบียร์กับเจ้านายอีกหลายอึก
“พี่แปลบ้างสิครับ ผมอยากรู้ว่านายคุยเรื่องอะไร”
“นายถามถึงก้องเฉยๆ อายุเท่าไหร่ เรียนที่ไหน เป็นอะไรกับพี่”
“พี่บอกเขาว่าเราเป็นอะไรกันครับ?”
“รุ่นน้อง”
“อ๋อ --”

ผมขานรับ แต่แอบรู้สึกพิลึกชะมัดที่เรามักจะบอกใครต่อใครว่าเป็นรุ่นน้องตลอด พี่อู๋กินเบียร์กับนายหมดไปหลายกระป๋องจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งนายก้องเกียรตินั่งเกร็งกับคุณลุงชิราอิชิเพียงลำพังในห้องนั่งเล่น ผมคิดว่าถ้านั่งเฉยๆไม่ทำตัวเฟรนด์ลี่ เจ้านายของเขาก็คงไม่ชวนคุย แต่ที่ไหนได้  พี่อู๋หันหลังแค่แป๊ปเดียว ชิราอิชิซังชวนผมคุยเหมือนผมจบศิลป์ญี่ปุ่น

“ฟูตาริเดะ ซุนเดะอิรุ?”
(2人で住んでいる。)
(อยู่กันสองคนเหรอ?)

มาแล้ว ฟูตาริ ความหมายเดียวกับโมริ โคโกโร่หรือเปล่าวะ

พอกอริลลาก้องทำหน้างง ชิราอิชิซังก็ชูสองนิ้ว ชี้มาที่ผมและชี้ไปที่ห้องน้ำเป็นเชิงถามว่ามีแค่นายก้องเกียรติกับนายอู๋เหรอ ผมตอบเยส ทูพีเพิ่ล ลิฟอินดีสรูม

“อู๋จังวะ กาลุฟุเรนโดะกะอิรุ?”
(ウーちゃんはガールフレンドがいる。)
(อู๋มีแฟนไหม?)

การุฟุเรนโดะ ผมทวนย้ำในใจ
การุฟุเรนโดะ การุฟุเรนโดะ –
อะไรวะ การุฟุเรนโดะ

อ๋อ! Girlfriend?!

“เกิวเฟน?”
“อื้อๆๆ การุฟุเรนโดะ”
(うん。ガールフレンド)
(ใช่ๆ แฟน)

“อ๋อ โนครับ ไม่มี”
“ม่ายมี่?”

ชิราอิชิซังถามย้ำ สีหน้าแกดูตกใจมากราวกับไม่เชื่อว่าพี่อู๋ไม่มีแฟน

“ครับ โนๆ พี่อู๋ด้อนแฮฟเกิวเฟรน”

แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบอยเฟรนน้า –
ไม่เอา ไม่บอกดีกว่า
 
“อ๋า ซันเน็นนา ฮันซามุนาโนนิ”
(ざんねんな。ハンサムなのに。)
(น่าเสียดายเนอะ ออกจะหล่อแท้ๆ)

แกบ่นงึมงำๆแล้วเงียบไป ผมคิดว่าชิราอิชิซังน่าจะหมดเรื่องสงสัยแต่เปล่าเลย นี่คือจุดเริ่มต้นของการคุยข้ามภาษา เจ้านายของคุณอิศรินทร์เป็นคนช่างพูดอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาเองก็รู้ว่าผมไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นแต่ยังจะพ่นมันออกมาอยู่นั่นแหละ แรกๆก็อวดว่าตัวเองอายุสี่สิบเจ็ดแล้วนะ หน้าดูไม่แก่เลยใช่ไหมล่ะ ถึงจะหัวล้าน (แกชี้ไปที่หัวของแกเองนะ ผมเปล่า) แต่ยังไม่แก่ขนาดนั้น คุยเรื่องผมบนหัวเสร็จก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นชื่อจังหวัดขึ้นมาหน้าตาเฉย ชงบุริ ไกมาก ไกมากๆ แต่บังโคคุสุโก้ย พอบทสนทนาเริ่มกาว นายก้องเกียรติก็ต้องงัดเอาภาษาอังกฤษมาคุย ไม่งั้นคงได้แต่นั่งยิ้มแหย ตอบแค่เยส เยส เยส เยส โอเค โอเค โดยไม่เข้าใจอะไรแน่ๆ

โชคดีที่พี่อู๋เดินหน้าแดงออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน ไม่งั้นนายก้องเกียรติคงต้องนั่งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับคุณชิราอิชิอีกนานแน่ๆ พอเลขาคนเก่งเดินออกมา เจ้านายก็หันไปคุยกับเขาแล้วบอกว่าเคลียร์โต๊ะให้หน่อย ผมอยากได้พื้นที่ไว้ทำงานซักชั่วโมงสองชั่วโมง

“ตีห้าแน่กู”

พี่อู๋คร่ำครวญเป็นภาษาไทยเพื่อบอกให้นายก้องเกียรติรู้ ผมถามเขาว่าพี่เลี่ยงไม่ได้เหรอ ปฏิเสธคุณชิราอิชิไม่ได้เหรอว่าพี่อยากพัก พี่อู๋ผู้เก่งกาจของผมได้แต่ส่ายหน้า เขาบอกคนเป็นนายทำงานหามรุ่งหามค่ำ เลขาจะนอนกินแรงเอาเปรียบเขาได้ยังไง – อันที่จริงก็ได้แหละถ้านายไม่อยู่ แต่นายมันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ เลขาอย่างเขาก็คงเลี่ยงไม่ได้ ต้องจำใจทำไปก่อน

ผมจึงไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าไหนๆพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ ถ้าต้องทำงานจนถึงเช้าจริงๆก็ยังมีเวลาให้นอนวันถัดไป พอเคลียร์โต๊ะกินข้าวจนสะอาดเรียบร้อย คุณชิราอิชิก็หยิบกระดาษแผ่นใหญ่ออกมาจากกระเป๋า ผมแอบมองด้านหลังเห็นเป็นแปลนอะไรซักอย่างที่ดูไม่ออก ในแปลนมีรอยปากกาแดงขีดฆ่าเต็มไปหมด ผมถามผู้ปกครองว่าแปลนบ้านเหรอ พี่อู๋บอกว่าไม่ใช่ นั่นแปลนเครื่องจักรที่วิศวะออกแบบพลาด นายเขากำลังเม้งแตกจะแดกหัววิศวะแล้ว

“เฮ้อ”

คุณชิราอิชิถอนหายใจเหมือนท้อแท้ เขาเปิดเบียร์อีกหนึ่งกระป๋องแล้วบ่นงึมงำๆให้พี่อู๋ฟัง ผมเดาเอาว่าเขาคงด่าวิศวะหรือไม่ก็ด่าขิงด่าข่าด่าลมฟ้าอากาศไปเรื่อย แต่พอเห็นพี่อู๋หัวเราะ ผมก็เลยถามเขาว่ามีเรื่องอะไรน่าตลกเหรอ ทำไมไม่แปลให้ผมขำด้วย ขายขำให้ผมฟังบ้างสิ

“นายบอกว่ากูอยากเกิดเป็นหมาว่ะอู๋จัง”

ผมหัวเราะออกเสียง มีคนอยากเกิดเป็นหมาเหมือนผมด้วยอ่ะ

“นายบ่นอีกว่าทำไมกูต้องมาทำงานหนัก”
“ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นชอบทำงานซะอีก”
“ไม่ทุกคนหรอก คนเพี้ยนแบบนายพี่ก็มี”

ผมนั่งดูชิราอิชิซังชี้กระดาษแปลนเครื่องจักรพร้อมกับบ่นไฟแล่บ พี่อู๋เอาแต่พูดโซเดสเน โซเดสเนและหัวเราะร่วน พอเห็นผมนั่งมองว่าพวกเขาทำอะไร ชิราอิชิซังก็กวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆเพื่อดูแปลนเครื่องจักรที่ผิดพลาด

“อันนี้คือชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่อง แต่ละเครื่องก็มีหลายพาร์ท แต่ละพาร์ทก็มีส่วนประกอบยิบย่อยเป็นชิ้นๆอีก” พี่อู๋ล่ามให้ผมฟัง “เครื่องนี้เป็นเครื่องเป่าลมชิ้นส่วน”
“ทำไมต้องเป่าครับ?”
“เอาเศษผงที่ติดตามชิ้นส่วนออกก่อนเอาไปชุบน้ำมัน”
“แล้วทำไมต้องชุบน้ำมันอ่ะครับ?”
“กันสนิม”

พี่อู๋บอก พอได้ยินคำว่าสนิม ชิราอิชิซังก็หันมา สะหนิ้ม สะหนิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปชิ้นส่วนที่มีสนิมเกาะให้กอริลลาก้องดู

“สนิมวะ ดาเมะ NG มายด้ายๆ”
(サ二ムはだめ。)
(ให้มีสนิมไม่ได้)

“งานที่มีสนิมเป็นงาน NG แบบนี้ใช้ไม่ได้”
“NG แปลว่าอะไรครับ?”
“NG มาจาก No Good อย่าไปพูดกับฝรั่งล่ะ ศัพท์นี้ญี่ปุ่นสร้างเองใช้เองแต่คุยกับต่างชาติไม่รู้เรื่อง เคยมีฝรั่งงงแดกทั้งห้องประชุมมาแล้ว”

พอเห็นผมสนอกสนใจอยากรู้ว่างานของเขาต้องทำอะไรบ้าง ชิราอิชิซังก็เปิดคลิปที่อัดไว้ในโทรศัพท์ให้ดู มันเป็นคลิปเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานที่กำลังหยิบชิ้นส่วนต่างๆวางบนสายพานก่อนนำไปชุบเคลือบอะไรบางอย่าง ชิราอิชิซังอวดใหญ่เลยว่าเครื่องจักรชุดนี้เขาเป็นออกแบบเองนะ ราคาตั้งสามสิบล้าน แถมได้กำไรด้วย ได้ยินแบบนั้นผมถึงกับตาลุกวาว ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นกับจำนวนเงินมหาศาลก้อนนั้น แต่ผมสนใจว่าทำไมเขาถึงสร้างเครื่องจักรได้หลายอย่างมากกว่า

“ชิราอิชิซังจบคณะอะไรครับ?”
“วิศวะ” พี่อู๋ตอบแทน
“แล้ว – ชิราอิชิซังทำอะไรได้บ้างครับ?”

พี่อู๋ถามคุณชิราอิชิให้ แกยิ้มกว้างภูมิใจบอกว่าทำได้ทุกอย่าง วิศวะน่ะ ออกแบบเครื่องบินก็ได้ สร้างหุ่นยนต์ก็ได้ ออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ไฮเทคกว่าปัจจุบันก็ได้ แต่ส่วนตัวแกถนัดออกแบบเครื่องจักรให้ได้ตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า งานพวกนี้กำลังเป็นที่ต้องการเพราะโรงงานอยากลดต้นทุนแรงงาน ใช้เครื่องจักรโอกาสผิดพลาดน้อย ทำเวลาได้เร็วกว่า แถมไม่ประท้วงหยุดงานด้วย

“ยิ่งเครื่องไหนลูกค้าอยากได้ลูกเล่นเยอะๆ เราก็คิดเงินเยอะๆ”

พี่อู๋แปลเมื่อคุณชิราอิชิอธิบายการออกแบบคร่าวๆให้ฟัง ตอนนี้แกไม่ใช่คุณลุงวัยสี่สิบเจ็ดที่บ่นว่าอยากเกิดเป็นหมาแล้ว แกดูเหมือนวิศวกรตัวพ่อที่มีความรู้ความสามารถจนเก็บออร่าเอาไว้ไม่อยู่ นานเกือบชั่วโมงที่ผมมีโอกาสนั่งดูแปลนเครื่องจักรและดูคลิปที่คุณชิราอิชิถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์ พี่อู๋บอกว่าจริงๆแล้วแปลนพวกนี้ให้คนนอกดูไม่ได้นะ แต่แกคงอยากขิงให้เด็กมันรู้ถึงได้ชวนนายก้องเกียรติคุยเป็นวรรคเป็นเวร

“เป็นไง? ชอบไหม?”

ผมตอบแค่ว่าก็ดีครับก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องเพราะเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมถามพี่อู๋ว่าพี่ต้องคอยทำงานอยู่กับนายจริงๆเหรอ เขาบอกว่าน่าจะแบบนั้นแหละ ก้องนอนก่อนเลย พรุ่งนี้พี่จะหาทางกำจัดนายออกจากบ้านเอง

ผมหัวเราะขำและขอตัวไปนอน ตอนนี้ในหัวของนายก้องเกียรติไม่ได้มีแค่ข้อสอบที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ผมกำลังคิดถึงเงินก้อนกับงานออกแบบเจ๋งๆของคุณชิราอิชิ เขาเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เด็กอย่างผม โตขึ้น – ผมอยากจะออกแบบอะไรซักอย่างที่เจ๋งมากๆ มีตำแหน่งดีๆ มีเลขาเก่งๆแบบพี่อู๋คอยช่วยกันทำงาน ผมอยากเท่แบบคุณชิราอิชิที่พูดว่าอยากเกิดเป็นหมาแต่เก่งเกินกว่าจะเป็นหมา ผมอยากเป็นเหมือนเขาจริงๆนะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่อยากใช้คุณชิราอิชิเป็นต้นแบบก็คือหัวล้าน ผมไม่อยากหัวล้านตอนแก่ แต่ดูจากทรงผมของพี่อู๋ที่ค่อยๆเหม่งขึ้นเรื่อยๆเหมือนนายแล้ว ผมต้องมีชะตากรรมไม่ต่างจากพวกเขาแน่นอน





วันที่สิบสี่ธันวาคม พี่ตั้มเพื่อนสนิทของพี่อู๋หย่ากับภรรยา

ทำไมผมถึงจำวันนี้ได้เหรอ? เพราะมันเป็นวันที่ผมอ่านหนังสือหนักที่สุด เหนื่อยที่สุด และมีเรื่องประหลาดที่สุดเกิดขึ้นในชีวิตของผม

ตอนสี่โมงเย็น พี่อู๋โทรมาบอกว่าวันนี้เขาอาจกลับบ้านดึกหน่อยเพราะจะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ ผมไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าพี่อู๋คงอยากผ่อนคลายตามประสาคนทำงานหนัก ผมบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวนายก้องเกียรติออกไปซื้อไส้กรอกที่เซเว่นมากินเอง ส่วนพี่เที่ยวให้สนุกเถอะ อย่าเมาหัวทิ่มเหมือนคราวก่อนก็แล้วกัน ผมตามเช็ดอ้วกพี่ไม่ไหว เหม็นมาก ผู้ปกครองของผมรับปากอือๆๆได้ๆๆก่อนจะวางสาย ผมนึกว่าเขาคงจบแค่นั้น แต่พอห้าทุ่ม คุณอิศรินทร์ก็โทรมาใหม่

“ก้อง พี่ขอกลับดึกกว่านี้ได้ไหม?”
“กี่โมงครับ?” ผมถาม เดาเอาว่าคงตีสองตีสาม แต่คำตอบของเขามันไกลกว่าที่คิด
“พรุ่งนี้”
“พี่ตกถังเหล้าเหรอถึงกินข้ามวันข้ามคืน?”
“ไอ้ตั้มมันเพิ่งหย่ากับเมีย พี่สงสารมัน”

อ่ะ โอเค สงสารก็สงสาร

ผมไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรกับชีวิตเขาจึงได้แต่ตอบครับๆและให้สัญญาว่าจะล็อกห้องอย่างดี คืนนั้นผมทำโจทย์ภาษาอังกฤษจนถึงเที่ยงคืนแล้วเข้านอน ผมหลับๆตื่นๆตลอดเพราะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทีไรก็ชอบคิดว่าพี่อู๋กลับมาทุกที นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามห้าสิบแปดนาที ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของคุณอิศรินทร์เดินเข้ามาในห้อง ทีแรกผมจะลุกไปดูแต่ก็ขี้เกียจ ถ้ากลับบ้านเร็วกว่ากำหนดแบบนี้คงไม่เมาเท่าไหร่หรอกมั้ง – ผมคาดเดา

ซักพักประตูห้องนอนก็เปิด กลิ่นเหล้าฉุนกึกฟ้องในทันทีว่าพี่อู๋ดื่มเยอะแค่ไหน ผมแอบปรือตามองผู้ปกครองยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องน้ำ สีหน้าคร่ำเครียดเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น ผมหรี่ตามองเขาอยู่นาน เห็นพี่อู๋ถอนหายใจสลับกับสบถคำหยาบเป็นระยะๆ ซักพักเขาก็เดินหายไปเข้าห้องน้ำ เสียงกดชักโครกดังขึ้น คุณอิศรินทร์เดินโงนเงนออกมาพร้อมกับรับสายโทรศัพท์ ฟังดูแล้วน่าจะกำลังคุยกับเพื่อน

“เออ กูถึงห้องแล้ว” เขาพูดเบามาก เบาเหมือนกระซิบราวกับกลัวผมตื่นมาด่า “กลับเช้าได้ไง ไอ้ห่า ก้องอยู่บ้านคนเดียว”

บทสนทนาของเขาออกแนวบ่นๆเชิงแก้ตัวว่าทำไมถึงกลับเร็ว ผมเดาเอาว่าเพื่อนๆในวงน่าจะโมโหพอสมควรที่พี่อู๋ชิ่ง แต่เขาก็บอกว่าจะจ่ายค่าเหล้าให้ขวดนึงเป็นการทดแทน ฝากบอกไอ้ตั้มด้วยว่ากูแดกจนเช้าไม่ได้จริงๆ งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องดู

“ถึงไหนอะไรล่ะ กูยังไม่เคยพูดเล้ย” เขาหัวเราะ “เออ ถือสายรอแป๊ป”

ผมหลับตาเมื่อเห็นพี่อู๋เดินมาที่เตียง เขาก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมก่อนจะเดินเกาตูดออกจากห้องนอนไปหน้าตาเฉย ผมอึ้ง ช็อค ทำตัวไม่ถูกเลย ถึงพี่อู๋จะไม่อยู่ในห้องแล้ว แต่สัมผัสอุ่นๆของเขายังติดอยู่ตรงแก้มของนายก้องเกียรติ ผมหน้าร้อนฉ่า หัวใจเต้นตึกตักเพราะสับสนว่าพี่อู๋ทำอะไร เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร เป็นเพราะเขาเมาหรือโดนใครในสายท้าให้ทำพิเรนทร์อย่างหอมแก้มกอริลลาก้องเหรอถึงได้ทำแบบนี้

ในสมองของเด็กอายุสิบแปดที่ไม่เคยมีความรักได้แต่ตั้งคำถาม ผมพยายามหาเหตุผลของการกระทำอันอุกอาจของพี่อู๋ด้วยความสับสน ตั้งแต่เกิดมา คนที่หอมแก้มผมมีแค่แม่กับเพื่อนผู้หญิงสมัยอนุบาล ผมไม่เคยโดนผู้ชายหอมแก้มมาก่อน ไม่เคยถูกใครสัมผัสด้วยริมฝีปากนอกจากแม่ที่ตายไปปีกว่า ไม่เคย – ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ มันใหม่และประหลาดสำหรับเด็กผู้ชายที่อยู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ผมนึกหาคำตอบอยู่นานว่าคนเราจะหอมแก้มกันไปทำไมถ้าไม่ใช่เพราะรัก แม่รักผมก็เลยหอมแก้ม เพื่อนสมัยอนุบาลชอบผมก็เลยหอมแก้ม แล้วพี่อู๋ล่ะ? เขาหอมแก้มผมทำไม เขาทำแบบนั้นทำไม หรือว่าเขา –

เขาชอบผม?

บ้าเหรอ ใครมันจะมาชอบมึงวะก้อง พี่อู๋ที่เห็นมึงแสดงสันดานเสียๆเอาแต่ใจเนี่ยนะจะชอบมึง เฮ้ย – แต่เขาเป็นเกย์นี่หว่า เกย์แล้วไงวะ เกย์ก็เลือกเหมือนกันหรือเปล่า เขาเคยมีแฟนระดับคุณหมูพีเลยนะเว้ย คนที่เคยมีแฟนเพอร์เฟ็คขนาดนั้น จะชายตามองเด็กมอมแมมอย่างมึงได้ไงวะไอ้ก้อง ประสาท

แต่ถ้าพี่อู๋ชอบมึงจริงๆล่ะ?

พอคิดแบบนี้ผมก็กลัวจนใจหล่นไปที่ตาตุ่ม ผมรักพี่อู๋นะ ผมซาบซึ้งบุญคุณและเทิดทูนเขาเหนือสิ่งอื่นใด แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่อู๋รักผมเหมือนที่รักคุณหมูพี ความรักรูปแบบนั้นสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา ซึ่งผมอยากมีความสัมพันธ์ดีๆกับเขาจนตาย ไม่อยากเลิกกันเหมือนความรักของพวกเขา อีกอย่างผมไม่ใช่คนดีอะไรเลย ผมไม่เหมาะจะเป็นแฟนของใคร และที่สำคัญ – ผมเป็นผู้ชาย

ผมเป็นผู้ชาย

ผมเป็นผู้ชาย แต่ผมควรทำยังไงในเมื่ออีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณที่ดีกับผมมาโดยตลอด คืนนั้นทั้งคืนผมคิดเรื่องนี้ไม่ตกเลย มันทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้นที่มีคนมาชอบ พอคิดว่าพี่อู๋ชอบ มันก็จะมีความรู้สึกเล็กๆคัดค้านอยู่ตลอด เขาไม่ชอบมึงหรอก เขาจะชอบมึงได้ไง มึงมอมแมมจะตาย หน้าตาก็บ้านๆ จืดๆ เรียนไม่เก่ง คนหล่อแบบเขาจะชอบมึงได้ยังไงวะก้อง

แต่เขาหอมแก้มมึงเลยนะเว้ย

เออ – เขาหอมแก้มผมเลยนะ พี่อู๋ชอบผมเหรอ เพ้อเจ้อชิบหาย คนอย่างพี่อู๋จะชอบนายก้องเกียรติได้ไง สงสัยต้องหยุดคิดไกลก่อน ผมควรรออีกหน่อยเผื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาเมา คนเราเวลาเหล้าเข้าปากมักจะกล้าทำอะไรบ้าบิ่นเสมอ ดูอย่างคราวก่อนสิ พี่อู๋ยังลุกขึ้นเต้นเพลงผีเสื้อราตรีทุกคืนเลย ฤทธิ์น้ำเมาของแท้ งั้นผมจะโทษว่าเป็นเพราะเหล้าก็แล้วกัน ที่หอมแก้มไปเมื่อกี๊ก็จะคิดเสียว่าไม่ถือสาคนเมา แต่ถ้าคราวหน้ามีอีก ผมคงต้องจับเข่าคุยกับพี่อู๋แล้วล่ะว่านี่มันเรื่องอะไร

แต่ที่แน่ๆ -- พี่อู๋ไม่ได้ชอบมึงหรอกก้อง
มึงมันมอมแมม! มึงเป็นลิงจรัญสนิทวงศ์! ใครจะชอบมึง!



TBC





___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีวันหยุดนะคะ 

แต่ถ้าเราไม่มีงานทำ ทุกวันก็จะกลายเป็นวันหยุดค่ะ แหะๆ ʕ•ᴥ•ʔ



ตอนนี้ความสัมพันธ์ก็จะขยับไปอีกนิด เด็กมังรู้ตัวแล้ว ตาลุงเขาจะจัดการยังไง รออ่านพร้อมกันตอนหน้านะคะ ♥

แฟนอาร์ตสวยๆยังมีอัปเดตในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ เรื่อยๆนะคะ ต้องขอบคุณทุกคนที่สกรีม คอมเม้นต์ โดเนท และดีเอ็มมาให้กำลังใจเสมอ ขอบคุณมากๆค่ะ ทุกคนสามารถส่งกำลังใจให้หนูได้นะคะ สติ๊กเกอร์ตัวเดียวก็มีความหมายมากๆ ขอบคุณที่รักและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้น้า ขอบคุณค่า



ด้วยรักและขี้คร้าน

จากหนูเอง



หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 15-07-2019 21:11:49
ก้อง หนีไปลูก!!!
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: momima114 ที่ 15-07-2019 21:13:21
กี้ดก๊าดดด อ่านแล้วหยักวาดแฟนอาร์ตมากๆเลยค่ะะ โดยเฉพาะซูชิซัง กร๊าก 555 ลิงจั๊กๆนะเจ้าก้องง ชอบบรรยกาศฟิลอยู่ด้วยกันกุ้งกิ้งตามประสาพ่อ(ทูนหัว)ลูก จังเลยค่าา ดีใจที่น้องก้องผ่านเรื่องติวเติร์ทั้งหลายมาได้ ขอบคุณพี่ฝ่ายมากๆนะคะ //ไหว้ย่อออ ซูชิซังตอนพูดยุ่นคืออ่านออกเสียงตามทุกคำ 555555 แงงง๊ แอบสงสานตอนน้องเริ่มสับสน หวังว่าจะน้องจะไม่ทำให้ตัวเองเจ้บป้วดน้า เจ้าก้องสู้วๆ เอาชนะ tcas อันห่วยแตกมาหั้ยได้น้า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-07-2019 21:51:59
เอาแล้วพี่อู๋  :impress2: มันน่าจะยากนะกับการเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของคู่นี้ แอบเห็นใจพี่อู๋จะบอกก้องยังไง น้องก้องดูสับสนมากๆ อาจจะยังตั้งตัวไม่ทัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-07-2019 22:03:34
ก้องจะรับรักพี่อู๋มั้ยอ่ะ กลัวจังเลย สงสารพี่อู๋ง่ะเฝ้ามานานก้องไม่มีใจนี่แย่แน่ๆ
แอบเขินตอนหอมแก้ม แอบทำตอนหลับด้วยนะคนเรา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Loverouter ที่ 15-07-2019 22:14:22
พี่อู๋ววววววววววว หอมน้องละเกาตูดเนี่ย 5555555555 โธ่ น้องลิงจรัญสนิทวงศ์ของพี่ไปไม่ถูกเลยลูกกกกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-07-2019 22:37:41
เจ้ากอริลล่าไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักมากแค่ไหน 555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: saiias ที่ 16-07-2019 00:34:50
โดนน้องก้องจับได้แล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาพี่อู๋แอบทำบ่อยใช่ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-07-2019 00:56:14
การบอกรักก้องก็คงเป็นอีกเรื่องที่จะทำให้พี่อู๋ปวดหัว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 16-07-2019 02:37:46
น้องแค่สับสน น้องกลัวเพราะงั้นพี่อู๋ต้องค่อยๆเข้าหาน้าา แง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 16-07-2019 10:02:12
ฟีลดีมากเลยไม่ใช่รักกุ๊งกิ๊งแต่อบอุ่นจริงๆ เขายังไม่รักกันด้วยซ้ำเรือผีมาก555 เขียนดีมากๆเลยค่ะ ให้อารมณ์เหมือนนิยายวายยุคแรกๆ ชอบมากกก ขอบคุณนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 29 update!] 15/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 22-07-2019 10:48:52
รอนะคะ.. อ่านยาวๆเรย.. ชอบมากกก.. :katai4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-07-2019 19:55:35
30 [PART 1/2]


ผมแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว โดยเฉพาะการหาคำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงหอมแก้มนายก้องเกียรตินั้นโคตรน่าปวดหัวเลย ผมเสียเวลาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นวันๆ เสียสมาธิอ่านหนังสือทำโจทย์ตั้งเท่าไหร่ แถมปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงตะลุยสนามสอบแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องในคืนนั้นพังความสัมพันธ์ของเราจนผมกลายเป็นกอริลลาหน้าบูดอีก

   แต่ไอ้พี่อู๋ – ไม่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างสงบเลย

ถึงวันนี้ผมรู้แล้วว่าคืนก่อนไม่ใช่เพราะเมา พี่อู๋ทำมาตลอด เขาแอบทำตอนผมหลับลึกเพื่อไม่ให้กอริลลาแตกตื่น ผมรู้เรื่องนี้ในคืนที่ไม่ยอมกินยานอนหลับเพื่อจะสืบให้รู้ว่าเขาเป็นจอมฉวยโอกาสหรือไม่ ซึ่งพี่อู๋เป็นจริงๆ เขามันเสือมือไวในตำนาน บางคืนผมถึงกับต้องนอนเกร็งจนตะคริวแทบกินเพราะโดนพี่อู๋ลูบหัว บางคืนเขาก็นั่งบนพื้นข้างเตียง นั่งเงียบๆ หายใจเข้าออกเหมือนเป็นคนธรรมะธัมโมกำลังทำสมาธิ แต่พอแอบปรือตาก็จะเห็นเขาเท้าคางกับโต๊ะข้างเตียง จ้องมองนายก้องเกียรติและยิ้มเล็กๆเหมือนกำลังดูรายการลูกหมาในโทรทัศน์

ผมสงสัยจริงๆว่าเขาแอบทำแบบนี้มานานหรือยัง ทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไปทำไม ผมมีอะไรให้ต้องยุ่งต้องจับงั้นเหรอ หรือพี่อู๋แอบทำแบบนี้ตั้งแต่สมัยคบกับคุณหมูพี เพราะแบบนี้หรือเปล่าแฟนเก่าของเขาถึงเกลียดผมจนเอาแก้วกรีดด้วยความแค้น ไอ้บ้าพี่อู๋เอ๊ย – คนดีๆมีเป็นร้อยเป็นพันดันไม่ยุ่ง ทำไมต้องลดตัวมายุ่งกับกอริลลาจิตป่วยด้วย

“น้องก้องทำไมใจลอยจังเลยคะ? เครียดเรื่องเตรียมสอบเหรอ?”

พี่โรมถามระหว่างสอนนายก้องเกียรติเรียนเปียโนในบ่ายวันอาทิตย์ ผมบอกว่าเปล่าครับ แค่ง่วงอยากนอนเฉยๆไม่ได้เหม่ออะไร พี่โรมหรี่ตามองเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่าน ไม่ซักไซ้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบ กอริลลาก้องที่กำลังหมกมุ่นกับความสับสนพยายามโฟกัสบทเรียนให้มากขึ้นจนหมดชั่วโมง พอพี่โรมเตรียมตัวกลับ เขาก็ถามอีกว่าไม่เข้าใจบทเรียนตรงไหนบ้าง ผมตอบว่าเข้าใจครับ ผมเข้าใจสิ่งที่พี่สอนวันนี้ แต่ผมไม่เข้าใจเพื่อนพี่ พี่รู้ไหมว่าเขาหอมแก้มผมทำไม

“พี่โรมครับ” ผมตัดสินใจถามครูสอนเปียโน “พี่โรมเคยเจอเอมไหมครับ?”
“เคยสิ ทำไมเหรอ?”
“พี่อู๋เลี้ยงเอมแบบไหนครับ?”
“เลี้ยงแบบไหนคืออะไรอ่ะ? พี่ไม่เข้าใจ”

พี่โรมขมวดคิ้วงง เขาวางกระเป๋าหนังลงบนโต๊ะก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับนายก้องเกียรติ

“เวลาอยู่กับเอม เขาแบบ – เลี้ยงเอมเหมือนน้องน้อยไหมครับ?”
“จะว่าเหมือนก็เหมือนนะ แต่น้องน้อยของก้องคือแบบไหนอ่ะ?”
“ก็แบบ – ลูบหัว” ผมยกตัวอย่าง พยายามเลี่ยงไม่ให้พี่โรมจับได้ว่าเพื่อนของเขาเคยทำแบบไหนกับผมบ้าง “หอมแก้ม นั่งมองเอม”
“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้น” พี่โรมหัวเราะ “มันก็โอ๋เอมแหละ แต่โอ๋แบบตามใจมากกว่า ไม่ได้เลี้ยงเหมือนน้องจ๋าอย่างที่ก้องคิด”
“อ๋อ ครับ”
“ก้องถามทำไมเหรอ?”
“อ๋อ – ผมเห็นรูปเอมนั่งตักพี่อู๋ก็เลยสงสัยครับ”
“ไหน รูปไหน?”

ไอ้ชิบหาย –

“ผมเห็นที่บ้านที่นครครับ ก็เลยสงสัยเฉยๆ เห็นเขาดูสนิทกัน”
“สนิทแหละ เอมสนิทกับอู๋มาก”
“เขาไม่เคยหอมแก้มเอมจริงๆเหรอครับ?”
“หอมมั้ง พี่ก็ไม่แน่ใจอ่ะ เวลาอยู่กับเพื่อนๆเอมไม่ค่อยอ้อนอู๋ให้เห็นเท่าไหร่”
“แล้วกับคุณหมูพีล่ะครับ?”
“พี่ไม่เคยเจอหมูพีตัวเป็นๆอ่ะ ก้องน่าจะลองถามตั้มนะ ไอ้ตั้มมันรู้ มันเป็นพยานรักให้ไอ้อู๋กับเมียตั้งแต่คบใหม่ๆนู่น”

ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ใครมันจะกล้าถามพี่ตั้ม ดังนั้นผมจึงตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าพี่อู๋ทำกับผมเหมือนทำกับเอมทิ้งไป พี่โรมยืนยันเองว่าเขาไม่ใช่ประเภทรักน้องโอ๋น้องขนาดนั้น แสดงว่าที่หอมแก้มนายก้องเกียรติวันก่อนต้องไม่ใช่เพราะเห็นผมเป็นเอมแน่ๆ

น่าแปลกที่ช่วงย้ายมาอยู่กับพี่อู๋ใหม่ๆ ผมไม่พอใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผู้ปกครองเก็บผมมาเลี้ยงแทนที่น้องชาย แต่หลังจากคืนนั้นผมอยากให้พี่อู๋รักผมแบบเอม อยากให้เขาทำลงไปเพราะเคยชินกับการมีเอมมากกว่า ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขา แต่ผมกลัววันหนึ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ผมกลัวว่าจะเสียพี่อู๋ไปเพราะเขาคือครอบครัวคนสุดท้าย ผมแค่อยากมีคุณอิศรินทร์อยู่ในชีวิตไปจนวันตาย ผมไม่อยากจากเขา ไม่อยากแยกกันเหมือนเขากับคุณหมูพี

ทันทีที่คุณครูสอนเปียโนกลับไป ผมก็นั่งทิ้งตัวบนโซฟาแบบเครียดๆ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนที่กวนใจ แต่เรื่องพี่อู๋เข้ามามีบทด้วย ถ้าถามว่าผมอยากให้เรื่องของเราจบลงยังไง ผมคงตอบได้ว่าจบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ทะเลาะ ไม่แยกกัน ไม่รังเกียจกัน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็น

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเก้านาที คุณอิศรินทร์กลับจากพานายไปทานข้าวกับลูกค้าที่พารากอน เขาเดินหน้ายิ้มๆเข้ามาจนผมรู้สึกไม่ดีที่พยายามผลักไสเขาให้กลับไปอยู่จุดเดิม พี่อู๋ถามผมว่าหิวไหม กินอะไรหรือยังด้วยความเป็นห่วงอย่างเช่นทุกที พอเห็นเขาดีกับผมขนาดนี้มันก็อดโกรธตัวเองไม่ได้

“พี่กินกับนายมาอิ่มแล้ว เดี๋ยวกินเป็นเพื่อนก้องอีกทีก็ได้”

พี่อู๋บอกอย่างอารมณ์ดี เขาเดินมานั่งข้างนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แล้วถามว่าเป็นอะไร อ่านหนังสือไม่ทันเหรอ หรือจะหยุดเรียนก่อนไหม ไว้สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะเรียนต่อหรือเปล่า

“ผม – ผมแค่กลัวว่าจะสอบไม่ติด”

พี่อู๋บ่นว่าโอ๊ย ไม่ต้องคิดมาก เหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะเริ่มเดินสายสอบ ก้องยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับอ่านหนังสือ ไม่เห็นต้องกังวลเลย

“เอ้อ – พี่ลืมบอกว่าปีนี้เราจะไม่กลับใต้กันนะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“แม่กับป๊าพี่ แล้วก็ครอบครัวไอ้สามเสือจะพาแนไปเที่ยวพม่าอ่ะ แต่เราก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆนะ พี่จะพาก้องไปเชียงใหม่”
“เชียงใหม่?” ผมตาลุกวาว เอาไว้ก่อนหัวข้อดราม่า ตอนนี้ขอโฟกัสกับทริปพากอริลลาเที่ยวดีกว่า “เราจะไปเชียงใหม่กันสองคนเหรอครับ?”
“เปล่า ลูกพี่ลูกน้องพี่ไปด้วย”
“เบียดกันไปในวีออสเหรอครับ?”

พี่อู๋ส่ายหน้าแล้วบอกว่าต่างคนต่างไป เราจะขับวีออสไปกันสองคน ส่วนพวกเขาขับยาริสของพี่จีน คุณอิศรินทร์ถามต่อว่าจำคนที่ชื่อเจมส์ได้ไหม พอผมบอกว่าจำไม่ได้ เขาก็นึกออกว่าปีก่อนที่บ้านแน น้องชายที่ชื่อเจมส์กับจีนไม่ได้อยู่ด้วย เจมส์ไปวิ่งรถที่กระบี่ ส่วนจีนติดสอบก็เลยกลับมาเยี่ยมบ้านไม่ได้

“จีนเป็นน้องของเจมส์ แก่กว่าก้องหนึ่งปี ตอนนี้เรียนวิศวะที่เกษตรกำแพงแสน อยากรู้อะไรเกี่ยวกับวิศวะก็ถามจีนนะ ไอ้จีนมันคุยเก่ง”
“ไม่ต้องถามสมาร์ทแล้วเหรอครับ?”
“สมาร์ทก็ถามได้ แต่ที่พี่ให้ก้องคุยกับจีนเพราะไอ้สมาร์ทมันเป็นประเภทหัวกะทิ มันเก่งตั้งแต่เกิด ส่วนจีนเป็นประเภทได้ดีเพราะขยัน พี่ว่ามันน่าจะเข้าใจก้องมากกว่าสมาร์ท”

ผมพยักหน้า ถึงว่าหลังๆพี่อู๋ไม่ค่อยให้ผมโทรคุยกับสมาร์ทเลย ไม่ใช่ว่าสมาร์ทไม่ดี แต่สมาร์ทคือยอดพีระมิดที่ไม่น่าจะเข้าใจว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพี่จีนที่หัวสมองธรรมดาน่าจะคุยกับกอริลลาก้องได้ดีกว่าอย่างที่เขาว่า

“ตื่นเต้นไหมจะได้เที่ยวเชียงใหม่?”

ผมยิ้มกว้างแทนคำตอบ ทุกครั้งที่รู้ว่าจะได้เที่ยวต่างจังหวัด หัวใจของกอริลลามันก็เริงร่าจนลืมคิดเรื่องอื่นทุกทีเพราะตั้งแต่เกิดมา ผมแทบไม่เคยได้ไปไหนไกล วันๆเดินทางแค่ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน มีออกไปเดินห้างกับเพื่อนบ้างนานๆที เหตุผลหลักคือเราไม่ค่อยมีเงิน แม่ก็ต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน ผมจึงไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือชวนแม่ไปไหน

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที ผมนั่งทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ทำงานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ในห้องไม่มีเสียงพูดคุยถามไถ่เหมือนก่อนหน้า มีเพียงเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังต็อกแต็กกับเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือจากนายก้องเกียรติเท่านั้น

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสองนาที พี่อู๋ปิดโน้ตบุ๊กและเตือนผมให้กินยานอนหลับเม็ดที่หนึ่ง ผมปิดหนังสือเรียนและแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้องนอน แต่ผมไม่ได้กิน

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบนาที พี่อู๋เงยหน้าดูเวลาแล้วสั่งให้ผมกินยานอนหลับเม็ดที่สองเพราะกอริลลาก้องไม่มีวี่แววว่าจะหลับง่ายๆ ผมทำเหมือนเดิม เดินเข้าห้องไปขยำๆถุงยาให้พอเกิดเสียงแล้วเดินออกมาเล่นเปียโนข้างนอก ผมอวดเพลงใหม่ที่แอบซ้อมมาหลายวันให้เขาฟัง แค่เริ่มกดโน้ตไม่กี่ตัวคุณอิศรินทร์ก็ยิ้มกว้าง

涙の奥にゆらぐほほえみは
(รอยยิ้มที่สั่นไหวภายใต้น้ำตาของเธอ)

時の始めからの世界の約束
(คือคำสัญญาของโลกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา)

พี่อู๋ไม่เคยบอกว่าทำไมถึงชอบเพลง The Promise of The World แต่ผมแอบอ่านคำแปลในเน็ตมา ผมคิดว่าเอมน่าจะเคยเล่นเพลงนี้มาก่อน หรือไม่มันก็แค่เพลงความหมายดีๆที่ทำให้เขาคิดถึงน้องชายเท่านั้น

いまは一人でも明日は限りない
(ตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว แต่วันพรุ่งนี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด)

あなたが教えてくれた夜にひそむやさしさ
(เธอได้สอนให้ฉันได้รู้ถึงความอ่อนโยนที่แอบซ่อนในยามค่ำคืน)

พี่อู๋น้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ เขาทำเป็นยกมือขึ้นมาเท้าคาง แต่ท่านั่งนั้นเหมือนแค่ต้องการปิดปากไม่ให้ผมเห็นว่ามันสั่นขนาดไหนมากกว่า


思い出のうちにあなたはいない
(เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉัน)

せせらぎの歌にこの空の色に花の香りにいつまでも生きて
(แต่มีชีวิตอยู่ในบทเพลงของลำธาร ในสีของท้องฟ้าผืนนี้ และในกลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดไป)


ตอนที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง ผมหันไปหาผู้ปกครองโดยไม่คาดหวังคำชมอะไร แต่พี่อู๋กลับยิ้มหน้าบานด้วยความภูมิใจ ไม่มีคำว่าเก่ง เก่งมาก เยี่ยมมากหลุดจากปากของเขานอกจากรอยยิ้ม คุณอิศรินทร์ยิ้มอย่างนั้นอยู่อีกหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าให้ผม

“ขอบใจนะก้อง” เขาบอก กอริลลาจิตป่วยหัวใจพองโตยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยได้รับคำชม “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบเพลงนี้?”
“วันก่อนผมเปิดยูทูปเรียนภาษาอังกฤษ ในวิดีโอที่ถูกใจของพี่มีคลิปเพลงนี้เยอะมาก ผมก็เลยขอให้พี่โรมสอนให้” ผมอวดโน้ตเพลงให้ผู้ปกครองดู “เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังอีกชิ้นนะครับ อาจจะช้าหน่อยเพราะตอนวันเกิดพี่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ ผมไม่กล้าเล่นเพราะกลัวมันออกมาไม่ดี”

พี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยี สีหน้าของเขาดูภูมิใจ ดีใจ และมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยเห็น เขาบอกขอบใจก่อนจะขอให้นายก้องเกียรติเล่นให้ฟังอีกรอบ คราวนี้เขาอยากอัดคลิปเก็บไว้ดูคนเดียว วันไหนเซ็งๆเศร้าๆ วิดีโอกอริลลาเล่นเปียโนน่าจะช่วยได้ ผมจึงเล่นเพลงนี้ซ้ำเป็นหนที่สองเพื่อให้พี่อู๋ได้บันทึกเป็นความทรงจำเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ หลังเล่นจบเราก็เข้าห้องนอน ผมกระโดดขึ้นเตียง ดึงผ้านวมมาห่มและหาวโชว์ผู้ปกครองหนึ่งหน ส่วนพี่อู๋ยังมีเรื่องต้องทำ เขาก็เลยปลีกตัวไปนั่งทำงานข้างนอกจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับเข้ามาในห้อง

ตอนนั้นผมยังไม่หลับ ประสาทสัมผัสยังคงรับรู้ว่าพี่อู๋เดินไปไหนและทำอะไรบ้าง เขาเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อเล่นโทรศัพท์อีกพักใหญ่ๆ ทีแรกผมคิดว่าคืนนี้คงจบลงโดยไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิด เพราะก่อนล้มตัวลงนอน พี่อู๋โน้มตัวมาจูบหน้าผากผมเบาๆหนึ่งที หลังจากนั้นห้องก็เข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเช่นทุกคืนคือพี่อู๋หลับสนิท ส่วนนายก้องเกียรติหัวใจเต้นตึกตักเพราะเขาทำแบบนั้นอีกแล้ว




วันที่ยี่สิบห้าธันวาคม

พี่อู๋ไม่ได้พานายก้องเกียรติไปตักบาตรเหมือนปีก่อน ปีนี้เขามีงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นผมจึงฉลองวันเกิดของพระเยซูเพียงลำพังในห้อง วันนี้ผมอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนเต็มที่หนึ่งวัน ผมจัดห้อง แต่งต้นคริสต์มาส ทำงานบ้านจิปาถะอื่นๆที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมไม่คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญหรือเซอร์ไพรส์เจ๋งๆจากผู้ปกครองเพราะรู้ว่าเขาเหนื่อย ถึงปากจะบอกว่า ไม่ ไม่หวัง ไม่ได้ตั้งตารออะไร แต่ลึกๆในใจผมหวังว่าพี่อู๋จะจำได้ หวังว่าเขาจะทำให้มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสี่สิบหกนาที พี่อู๋เปิดประตูบ้านเข้ามาโดยถือของพะรุงพะรัง หนึ่งในนั้นมีเค้กปอนด์ใหญ่สำหรับนายก้องเกียรติ มันเป็นเค้กสั่งทำพิเศษเลียนแบบเค้กที่แฮกริดทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคแรก ตอนเปิดกล่อง ผมร้องว้าวทันทีเพราะมันเหมือนมาก ครีมสีชมพูปาดแบบลวกๆขาดความประณีต ตัวอักษรสีเขียวเข้มบนหน้าเค้กก็เขียนด้วยลามือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียน เค้กกล่องนี้เหมือนเค้กของแฮร์รี่เปี๊ยบเลยครับ ผมบอกผู้ปกครอง พี่อู๋ยิ้มหวาน ดีใจที่นายก้องเกียรติจำได้ เขาปักเทียนสิบเก้าเล่มจนเต็มหน้าเค้กและจุดไฟ เราร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันสองคนในห้องมืดๆ พอเนื้อเพลงวรรคสุดท้ายจบลง ผมก็หลับตา อธิษฐานในใจว่าขอให้สอบเข้าได้แล้วเป่าเทียน

ตอนสี่ทุ่ม กอริลลาก้องกับคุณอิศรินทร์กินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมว่าเค้กกล่องนี้ต้องแพงมากแน่ๆเพราะรสสัมผัสแน่นมาก ช็อกโกแลตเข้มข้นสะใจ ส่วนครีมก็นุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานแสบคอจนเกินไป หลังกินเสร็จพี่อู๋ก็ส่งกล่องของขวัญลายสนู้ปปี้ให้ แกะดูข้างในเป็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่เหมาะสำหรับใส่หนังสือไปเรียน

“ขอบคุณครับ”

ผมกอดกระเป๋าพร้อมกับลูบๆคลำๆ เป้ใบนี้สวยและเท่มากเหมือนเป้ที่เด็กผู้ชายแถววรรณสรณ์ชอบใช้ พี่อู๋บอกว่าดีใจที่เห็นผมชอบ เขาคิดหนักมากว่าควรซื้ออะไรเพราะนายก้องเกียรติไม่แสดงออกว่าอยากได้ของชิ้นไหนเลย

“แค่ได้ฉลองกับพี่ ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว”

ผมยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะเปิดซิปเพื่อสำรวจกระเป๋าใบใหม่ ด้านในกว้างมาก น่าจะใส่หนังสือได้หลายเล่ม ผมพลิกไปพลิกมาโดยไม่รู้ตัวว่าพี่อู๋กำลังจ้องอยู่ พอสำรวจจนพอใจนั่นแหละถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของผู้ปกครอง

และตอนนั้นผมถึงคิดได้ว่า –
ที่เป็นอยู่อย่างนี้มันดีมากแล้ว

ผมชอบเป็นฝ่ายถูกดูแล ชอบเป็นคนพิเศษที่ไม่เคยคลาดสายตาจากใคร ชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่อู๋เพราะเขาเติมเต็มส่วนที่ผมขาด พี่อู๋ดูแลผมดีมาก ดีมาก มากพอๆกับแม่ เขาใส่ใจวันพิเศษของผม เขาดูแลและมอบสิ่งดีๆให้กับผมเสมอ รวมถึงการหอมแก้มและจูบหน้าผากที่เขาแอบกระทำลับๆนั่นก็เหมือนกัน มันหมายความว่าเขามีความรู้สึกดีๆให้นายก้องเกียรติ ซึ่งหากคิดดูอีกทีแล้วมันไม่มีอะไรแย่เลย ไม่ซักนิด – ผมไม่ได้รังเกียจหรืออยากให้พี่อู๋เว้นระยะเพื่อความถูกต้อง

เพราะผมชอบที่เราเป็นแบบนี้

ในขณะที่เขามองหน้าและส่งยิ้มมาให้ ผมเองก็มีความสุขได้รับความรู้สึกดีๆจากเขาเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ผิด – ถ้ามันไม่ทำร้ายใคร –

ผม – ก็อยากจะมีความสุขกับคนที่ให้ความรักผมบ้างเหมือนกัน





วันที่ยี่สิบเจ็ดธันวา กอริลลาก้องเดินทางไปฉลองวันสิ้นปีถึงเชียงใหม่

ผมคิดว่าระยะทางจากกรุงเทพไปนครศรีธรรมราชว่าโหดแล้ว แต่กรุงเทพเชียงใหม่ก็ยาวไกลไม่แพ้กัน ก้นของผมชาด้านจนไม่เหลือความรู้สึก ถ้าไม่ได้แวะปั๊มน้ำมันหรือจอดกินข้าว ผมคงกลายเป็นคนตายด้าน หยิกขาจนเลือดซิบก็ไม่รู้สึกอะไรแน่ๆ

ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับครอบครัวพี่เจมส์คือตอนงานศพก๋ง ตอนนั้นเราไม่มีโอกาสคุยกันเพราะทุกคนมัวแต่ยุ่งกับพิธีการ ส่วนการพบกันครั้งที่สองคือตอนแวะกินข้าวที่จังหวัดกำแพงเพชร พวกเขามีกันสามคน พี่เจมส์ แฟนของพี่เจมส์ และพี่จีนผู้ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนของผมในภายหลัง ตอนกินข้าว ผมเกร็งแทบแย่เพราะไม่เคยเจอพี่เจมส์กับพี่จีนมาก่อน แต่คุยๆไปซักพักก็เริ่มหาหัวข้อที่สนใจร่วมกันได้ นั่นคือเรื่องเรียน

พี่จีนชอบเรียนหนังสือ

เขาหลงใหลการไขว่คว้าหาความรู้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเวลาผมพูดหรือถามอะไร เขามักจะตอบได้เกือบทุกอย่าง พี่จีนอาจไม่ใช่คนหัวดีแต่เกิด หรือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหมือนพวกสามเสือ แต่เขาคือต้นแบบของการพยายามจนสำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนคุยกับเขา ผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฐานต่ำสุดของพีระมิด ผมรู้สึกว่าเราเท่ากันจนสามารถเล่าความกากไม่เอาไหนของตัวเองให้เขาฟังได้

“คืองี้นะ วิศวะเนี่ย มันก็มีหลายสาย ตอนจะแอดก้องก็ต้องเลือกก่อนเลยว่าจบไปอยากทำงานอะไร ถ้ายังไม่รู้ก็เลือกที่ตัวเองถนัด ก้องชอบไฟฟ้า ชอบเคมี หรือชอบพวกคอมพิวเตอร์ ชอบทางไหนมากกว่ากันก็ลองตัดสินใจดู”

ผมนึกตามพี่จีนแต่ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ที่แน่ๆตัดวิศวะเคมีไปได้เลยเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด ถ้าให้เลือกในใจตอนนี้ผมเหลือสี่ช้อยส์ที่กำลังสนใจ หนึ่งเครื่องกล สองไฟฟ้า สามโยธา สี่ – อาจจะเป็นวัสดุ ไม่รู้สิ ผมยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่

ผมจึงขอให้พี่จีนแนะนำอุตสาหการที่กำลังเรียนอยู่ให้ฟัง เขาบอกว่าคร่าวๆเกี่ยวกับการควบคุมต้นทุนตั้งแต่เริ่มผลิตจนจบกระบวนการ สั้นๆคือมีไว้เพื่อซัพพอร์ตทุกแผนก ดูคอร์ส ดูต้นทุน ดูราคาที่โรงงานต้องจ่ายแล้วพยายามหาวิธีลดรายจ่ายนั้นเพื่อทำกำไร ผมเล่าให้พี่จีนฟังว่าเจ้านายของพี่อู๋ออกแบบเครื่องจักรได้ตั้งยี่สิบล้าน ถ้างานผลิตแนวนี้ต้องเรียนวิศวะอะไรดีครับ

“แมคคาทรอนิกส์เลยครบสุด เรียนทั้งไฟฟ้า เครื่องกล ทั้งคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จบออกมาทำงานโรงงาน เขียนแบบเครื่องจักร คุมเครื่องจักร หรือพวกยานยนต์ก็มีนะ”
“พี่จีนครับ ผมขอถามอะไรตรงๆอย่างหนึ่งสิ” ผมเกริ่นเรื่องที่อยากคุยด้วย “วิศวะเงินเดือนเยอะไหมครับ?”
“เยอะ ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางอ่ะนะ บางบริษัทให้เงินเดือนสองหมื่นต้นๆก็จริงแต่ยังไม่รวมโอที ยังไม่รวมค่าทำงานในวันหยุดอีก ถ้าได้ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นด้วยนะ โอ้ย --” เขาถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้วยิ้มกว้าง “ร๊วย!”

ตาของนายก้องเกียรติกลายเป็นรูปตัวเอสเลย ผมแทบมองเห็นเงินปลิวลงมาจากฟ้าเมื่อพี่จีนบอกว่าวิศวะได้เงินเดือนดี แบบนี้ก็เข้าทางกอริลลาปากแห้ง ผมอยากได้งานดีๆเงินเยอะๆจะได้ใช้คืนพี่อู๋ไวๆ ผมโม้กับพี่จีนว่าถ้ามีเงินเดือนนะ ผมจะพาพี่อู๋ไปกินซูชิอิรัชชัยมาเสะเลย

“อิรัชชัยมาเสะอะไรวะ ไม่ใช่ฮาจิเมะเตะเหรอ?”

ผมไม่รู้เลยหันไปถามพี่อู๋ว่าซูชิแพงๆที่เราเคยดูในทีวีวันก่อนเรียกว่าอะไร คุณอิศรินทร์งงอยู่ครู่ใหญ่จนต้องอธิบายเพิ่มว่าซูชิแบบนั้นไง แบบที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไร ต้องให้เชฟจัดให้เท่านั้นอ่ะ

“โอมากาเสะรึเปล่า?”
“อันนั้นแหละ! ถ้าผมมีเงินนะ ผมจะพาพี่ไปกินโอมาโมเอะเอง!”

คุณอิศรินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาแล้วไล่ผมกับพี่จีนให้รีบไปซื้อขนมที่เซเว่นเพราะต้องออกเดินทางต่อ หลังได้คุยกันซักพัก ผมกับพี่จีนกลายมาเป็นเพื่อนคู่ซี้เฉพาะกิจ อาจจะเพราะเราอายุไล่เลี่ยกันและสนใจอะไรเหมือนๆกันถึงคุยกันถูกคอ เราสนิทกันเร็วถึงขั้นที่พี่จีนชวนผมให้ดูแคสเกมในยูทูปด้วยกันที่โรงแรม เมื่อการเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียงเพื่อนอนดู HOME SWEET HOME ของช่องซียูเยสเทอร์เดย์ อย่าลืมเป็นร้อนใน พูดตรงๆว่าในบรรดาพวกเราไม่มีใครกล้าเล่นเกมนี้เลย ผมกับเขาจึงนั่งดูแคสเกมในยูทูปเพื่อสปอยล์ตัวเองก่อน ถึงเวลาเล่นจริงๆจะได้ไม่กรี๊ดคอแตกทุกห้านาทีจนพี่อู๋ต้องลุกขึ้นมาแจกมะเหงกคนละหนึ่งที

จากตอนแรกที่นอนดูกันแค่สองก็กลายเป็นสาม คุณอิศรินทร์ผู้เก่งกล้าทนสงสัยเสียงกรี๊ดไม่ไหวจึงมาร่วมดูกับเราด้วย สรุปคืนนั้นพี่จีนกลัวจนไม่กล้ากลับห้อง เราสามคนต้องนอนเบียดกันบนเตียงคิงไซส์จนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนว่าคนที่นอนตรงกลางไม่ใช่ใครนอกจากนายก้องเกียรติ และนายก้องเกียรติที่นอนเบียดผู้ปกครองคนนี้นี่แหละที่โดนฉวยโอกาสด้วยกอดหลวมๆจากคุณอิศรินทร์ตลอดทั้งคืน


ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 22-07-2019 19:59:28
30 [PART 2/2]



วันที่ยี่สิบแปดธันวาคม พวกเราขับรถขึ้นดอยอินทนนท์เพื่อเลี่ยงรถติดช่วงปีใหม่

ผมแต่งตัวพร้อม เสื้อยืด เสื้อกันหนาว กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบและสะพายเป้ใบใหม่ที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันเกิด ส่วนพี่อู๋ก็แต่งตัวเหมือนๆกับผม เพิ่มเติมคือกล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวเพื่อบันทึกภาพสวยๆตามประสานักท่องเที่ยว เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะอยากเก็บแลนมาร์คให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมอ่านแผนที่ของพี่อู๋ด้วยความตื่นเต้น วันนี้เราจะแวะกิ่วแม่ปานด้วย ผมไม่รู้ว่ากิ่วแม่ปานคืออะไร เดาเอาว่าคงเป็นที่เที่ยวสวยๆชิคๆมีของอร่อยๆขาย หลังจากนั้นก็ไปจุดสูงสุดบนดอยอินทนนท์ แวะน้ำตก แวะตลาดก่อนกลับเข้าเมืองเพราะทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่อยากพักบนดอย อยากกลับมานอนสบายๆที่โรงแรมมากกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที เราเดินทางถึงกิ่วแม่ปาน ไม่มีใครเตือนว่าอุณหภูมิจะต่ำจนเหลือเลขตัวเดียว นายก้องเกียรติก็เลยเดินตัวงอเป็นกุ้ง พยายามเก็บทุกส่วนของร่างกายให้อยู่ใต้เสื้อผ้า ส่วนวิวทิวทัศน์รอบข้างมีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ และหมอก ผมยังไม่เห็นความสวยงามของที่นี่จนกระทั่งเริ่มออกเดินไปกับไกด์นำเที่ยว ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี แสงสีส้มกระจายเป็นวงกว้างเต็มท้องฟ้าตัดกับทะเลหมอกสีขาวและเงาสีดำของต้นไม้ใหญ่ ตรงขอบฟ้าเป็นแสงสีส้มนวล ส่วนท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้าสดเหมือนสีของผ้าใบ

“สวยเนอะ”

พี่อู๋พึมพำ เขากดถ่ายรูปหลายแชะก่อนจะออกเดินตามไกด์ไปยังเส้นทางชมธรรมชาติ เดินไปได้ซักพักก็เจอน้ำตก เราหยุดถ่ายรูปตรงนี้ประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะออกเดินต่อ ช่วงแรกของการเดินมีแต่ป่าเป็นส่วนใหญ่ มีต้นไม้ มีมอส มีเฟิร์น และพืชสีเขียวที่พบเห็นได้ทั่วไป ผมเดินข้างพี่อู๋ที่เริ่มหอบแฮ่กตามประสาคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เขาบ่นอุบอิบว่าถ้ามาเพื่อดูต้นไม้แบบนี้ นอนดูในทีวีก็ได้ ไม่เห็นต้องถ่างตาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินให้เหนื่อย

ทีแรกผมเห็นด้วยกับพี่อู๋ ถ้าเรามาเพื่อเดินกินลมชมวิวเล่นๆ ผมคิดว่าป่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจพี่เจมส์ให้ขับรถมาถึงนี่เพื่อเจออากาศหนาวจนเกือบติดลบกับต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ แต่พอเดินไปซักพักจนพ้นป่า เราก็เจอกับทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ภูเขาสีเขียวเข้ม และท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทั้งสามสีตัดกันอย่างลงตัว

“ตรงนี้เป็นสันเขา เดินระวังกันด้วยนะครับ”

พี่ไกด์บอก พี่อู๋จึงเดินประกบหลังนายก้องเกียรติเพราะกลัวกอริลลาที่กำลังหนาวจนตัวงอเป็นกุ้งจะกลิ้งหล่นลงไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมใครต่อใครถึงมากิ่วแม่ปาน ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าสวยจนไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริง สวยเหมือนสวรรค์ที่เคยจินตนาการ สวยเหมือนภาพถ่ายในเว็บขายรูปบนอินเทอร์เน็ต ผมไม่รู้จะบรรยายความสวยนี้ยังไง เอาเป็นว่ามันสวยเหมือนอยู่ในฝันเลย

“ดูทะเลหมอกสิก้อง”

พี่อู๋กดถ่ายรูปอีกแชะ

“มองไม่เห็นข้างล่างเลยเนอะ” ผมชวนผู้ปกครองคุย “พี่อู๋ดูสิครับ มันขยับเหมือนคลื่นด้วย”

ทุกคนตื่นเต้นกับความสวยของธรรมชาติ แต่สำหรับผม กิ่วแม่ปานสวยก็จริงแต่หนาวเกินไป ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน พี่อู๋เองก็ดูไม่สบายตัว เขาเต้นแร้งเต้นกาเพื่ออบอุ่นร่างกายแทบจะตลอดเวลา คนเดียวที่ดูแฮปปี้กับการเดินทางน่าจะเป็นภรรยาของพี่เจมส์ ผมเห็นเธอถ่ายรูปบ่อย ถ่ายคนเดียวไม่พอยังส่งกล้องให้พี่เจมส์ถ่ายรูปอีก เธอโพสต์ท่าเก่งเหมือนเป็นนางแบบมืออาชีพ เอี้ยวตัวมองกล้อง แกล้งหัวเราะจนตาหยี ยิ้มหวานแบบเผลอๆ สารพัดท่าสวยๆเท่าที่เธอจะคิดได้ ส่วนนายก้องเกียรติกับผู้ปกครองได้แต่รูปยิ้มแหย อากาศหนาวขนาดนี้ จะให้ผมโพสต์ท่าเอวเอสจิกกล้องแตกก็คงเป็นไปไม่ได้

เรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิว คราวนี้พี่ไกด์ให้เราหยุดพักและถ่ายรูปเก็บภาพได้เต็มที่ พี่สะใภ้คนสวยจัดไปตามคำขอ เธอหมุนกระโปรง จับแก้ม ม้วนปลายผม ยิ้มหวาน มองล่าง มองหลุบ เธอโพสต์ทุกท่าจนพี่เจมส์บ่นรำคาญ ส่วนพี่จีนดูไม่ค่อยอินกับธรรมชาติเท่าไหร่ เขาเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดชมวิว พอพี่เจมส์ถามว่าถ่ายรูปกันไหม เขาก็บอกปัด ไม่สนใจ ไม่อยากทำอะไรนอกจากนอน ดังนั้นคนที่มีรูปถ่ายกลับบ้านจากทริปนี้จึงมีแค่พี่สะใภ้ นายก้องเกียรติ คุณอิศรินทร์ และพี่เจมส์เท่านั้น

ครอบครัวกอริลลาสองตัวผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน หน้าเบลอบ้าง หลุดโฟกัสบ้างไม่ว่ากัน ผมกับพี่อู๋อยู่ในโลกของตัวเองไม่ได้สนใจใคร เราคุยกันสองคน คอยชี้นั่นชี้นี่ให้ดู อุ๊ย นั่นดอกไม้ นั่นต้นไม้ นั่นทะเลหมอก นั่นๆพระอาทิตย์ โน่นท้องฟ้า โน่น – โน่น – โน่น --

“โน่นแน่ะนกเขาคู จุ๊กจุ๊กกรู นกมันเฝ้าคูหาชู้มัน”

พี่อู๋ร้องเพลงหน้าตาเฉย ส่วนนายก้องเกียรติไม่รับมุกจึงกดชัตเตอร์ต่อ พอไม่มีคนร้องด้วย คุณอิศรินทร์ก็ดัดเสียงสอง ร้องเองเล่นเองหน้าตาเฉย

“แน่ะใคร”

“ไหนใคร”

“โน่นไง แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่”

อืม – ถ้าสนุกก็ร้องต่อเลยครับ

“พี่เห็นมันเฝ้าหยอกเย้าต่อกัน”

“พี่ต้องเอาอย่างมัน”

“พี่จะเอาอย่างมัน”

ถ้าไม่ได้ยินท่อนก่อนหน้า ผมคงตีความไปในแง่ไม่ดีแน่ๆ

“ผมเกิดไม่ทันเพลงนี้อ่ะ”
“อุ๊ย ว้าย ดูซิคนตอแหล”
“ถึงจะเกิดไม่ทันแต่ผมรู้นะว่าเนื้อเพลงไม่มีท่อนนี้”

ผมมองคุณอิศรินทร์ยิ้มหยอกอย่างชอบใจ เราถ่ายรูปจนเบื่อถึงนั่งบนม้านั่ง พี่เจมส์ถูกพี่สะใภ้ใช้ให้เป็นตากล้องเหมือนในหนังอินเดีย วิ่งไปถ่ายกับอันนั้นที อันนี้ที พี่เจมส์ พี่เจมส์ ถ่ายเบลล์กับต้นหญ้าหน่อยสิ โถ่ เบลล์ จะไปถ่ายกับหญ้าทำไม แค่เขาบนหัวคนก็รู้ทั่วแล้วว่าเธอเป็นควาย

“คุยกับจีนเป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ ผมคิดไว้แล้วว่าจะยื่นสาขาไหน”

แล้วผมก็เล่าให้พี่อู๋ฟังถึงความสนใจของตัวเอง ตอนนี้มันยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ แต่ตั้งใจว่าจะเรียนแมคคาทรอนิกส์หรือไม่ก็เครื่องกลครับ ส่วนมหาลัยค่อยเลือกตอนรู้ผลคะแนน ถ้าออกมาดีอาจจะเลือกลาดกระบัง แต่ถ้าออกมาคาบลูกคาบดอก ผมคงต้องคิดอีกที

ผมบอกถึงความกังวลให้พี่อู๋ฟังด้วย ผมบอกเขาว่าเมื่อวานเปิดดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต มีคนบอกว่าแมคคาทรอนิกส์เป็นคณะที่เรียนเครื่องกล คอมพิวเตอร์ และไฟฟ้าแค่อย่างละนิดละหน่อย ไม่ได้รู้ลึกเท่าสาขาเฉพาะทาง ผมถามผู้ปกครองว่าควรเอายังไงดี มีคนบอกว่าเงินเดือนน้อย เริ่มต้นแค่หมื่นห้าเอง ผมกลัวว่าจะไม่พอกิน พี่อู๋ถามว่าพี่จีนแนะนำยังไง แมคคาทรอนิกส์ครับ ผมบอก พี่จีนแนะนำให้เรียนเเมคคาทรอนิกส์ ผมอยากรู้ว่าสมาร์ทจะแนะนำอะไร พี่ช่วยถามสมาร์ทให้หน่อยได้ไหมครับ พี่อู๋พยักหน้ารับทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์หาสมาร์ท อาจจะรอคำตอบนานหน่อย ไอ้สมาร์ทติดพีเอสพีมากกว่าโทรศัพท์เสียอีก

พอหมดเรื่องเรียน ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรอีกจึงเงียบไปพักใหญ่ ปล่อยให้เสียงพี่เบลล์ด่าพี่เจมส์ลอยแว่วมาตามลม ปล่อยให้เสียงเพลงจากหูฟังของพี่จีนดังเข้ามาคั่นกลางบรรยากาศระหว่างเรา พี่อู๋คงเห็นว่าการอยู่เงียบๆมันอึดอัดแปลกๆจึงเริ่มชวนคุย แต่คุยได้ไม่กี่คำก็เงียบอีกเพราะผมมีเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

“ช่วงนี้พี่เป็นไงบ้างครับ?”

ผมถามผู้ปกครอง คุณอิศรินทร์ตอบแค่ว่าดี ดี มีงานทำก็ดีจะได้มีเงินซื้อของฟุ่มเฟือย แต่ทำงานกับชิราอิชิซังก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน บางทีพี่อู๋ก็ไม่รู้ว่านายของเขาพูดจริงหรือพูดเล่น ประชดหรือหยอก ถ้าแกอารมณ์ดี ออฟฟิศก็ดีกันถ้วนหน้า แต่ถ้าวันไหนอารมณ์เสียแต่เช้า วันนั้นพี่อู๋เหมือนตกนรก ต้องเป็นนางรองกระโถนฟังเขาบ่นเขาด่าเขาสบถทั้งวัน คนในออฟฟิศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีจังที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้สึกเจ็บเวลาโดนด่า แต่คนรับผลกระทบตรงๆคือพี่อู๋ เขาฟังออกทุกคำ เขาแปลได้ทุกประโยค ทีนี้เวลาล่ามระหว่างนายกับวิศวะเขาต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน บางทีชิราอิชิซังด่าแรงเกินไป มึงโง่เหรอ มึงไม่ได้เรียนมาเหรอ เขาก็ต้องแปลใหม่ให้ซอฟต์กว่าเดิมเช่น นายถามว่ารู้เรื่อง NNN ไหม ไม่เข้าใจระบบ YYY เหรอ บางครั้งถ้ามันหยาบมาก พี่อู๋ก็ตัดทิ้ง ไม่แปล เพราะประสบการณ์สอนเขาว่าแปลทุกประโยคที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งก็สร้างความชิบหายให้องค์กรได้เหมือนกัน

“ทำงานหนักขนาดนี้ พี่ไม่หาแฟนซักคนล่ะครับ?”

ผมพูดแกมหยอก แต่พี่อู๋ไม่ยิ้มเลย เขาดูหนักใจและจ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่จนนายก้องเกียรติเริ่มใจไม่ดี

“วันก่อนพี่หอมแก้มผม”
“อ้าว ตื่นอยู่เหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ บรรยากาศอึดอัดเริ่มโรยตัวรอบๆเราแล้ว “พี่ – พี่อู๋ทำแบบนั้นทำไม?”

คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบในทันที เขาดูหนักใจไม่ต่างจากกอริลลาที่เป็นฝ่ายโดนขโมยหอมแก้มเท่าไหร่ ผมเดาเอาว่าในหัวของเขาคงมีคำแก้ตัวมากมายเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ให้เปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น พี่อู๋แค่เงียบครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าและบอกนายก้องเกียรติว่าเขารู้สึกยังไง

“พี่รู้ว่าพูดแบบนี้อาจจะทำให้ก้องกลัว”

ผมพยักหน้าบอกเขาเป็นเชิงว่าใช่ ผมกลัว การที่พี่บอกว่ารู้สึกยังไงกับกอริลลาทำให้ผมกลัวมากๆ พี่รู้ตัวไหมว่าพี่กำลังเอาความสัมพันธ์ดีๆของเราไปแขวนบนเส้นด้าย ถ้าพี่คิดเกินเลยกับผมเรื่องระหว่างเราอาจจบไม่สวย ซักวันหนึ่งพี่อาจไม่ชอบผม ผมอาจไม่ชอบพี่ แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้วผมไม่อยากตัดขาดจากพี่เลยเพราะพี่คือครอบครัว พี่คือคนสุดท้ายที่ผมอยากอยู่ด้วยจนวันตาย ผมเสียพี่ไม่ได้ พี่เข้าใจตรงนี้ไหมครับ

“ก้อง” พี่อู๋เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ชอบก้อง ชอบมากจนไม่รู้จะทำยังไง”

นายก้องเกียรติช็อคน้ำลายฟูมปาก

“รู้แบบนี้ – ก้องรังเกียจพี่ไหม?”

เหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ถูกแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบจนไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับคุณอิศรินทร์ได้ ผมมองหน้าพี่อู๋ มองสีหน้าที่มีแต่ความกลัวและกังวลของเขาด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเรากลัวการล้ำเส้นมากแค่ไหน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่กลัว พี่อู๋เองก็กลัวเหมือนกัน

“แต่อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ” ผู้ปกครองยิ้มเจื่อนเมื่อนายก้องเกียรติไม่ให้คำตอบ ไม่ส่งสัญญาณว่าดีใจ เสียใจ หรือรังเกียจแต่อย่างใด “ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ทำเป็นว่าพี่ไม่เคยพูด --”
“พี่รู้ไหม ผมมีความสุขมากเลยนะที่ได้อยู่กับพี่” นายก้องเกียรติโพล่งออกไป คุณอิศรินทร์ที่กำลังหน้าเสียค่อยๆหันกลับมามองอย่างมีความหวัง “จริงๆผมก็รักพี่มากเหมือนกัน”
“แต่มันไม่ใช่แบบที่พี่รักก้องใช่ไหม?”
“ผมคิดว่าพี่อาจจะรักผมเหมือนเอม” พี่อู๋ส่ายหน้าเพื่อบอกว่ามันไม่ใช่ “พี่อาจจะสับสนเพราะผมเข้ามาตอนที่พี่เสียเอมไป”
“พี่ไม่ได้รักก้องแบบเอม ถ้าพี่เห็นก้องเป็นน้องเป็นนุ่ง ก้องจะอยู่ในจินตนาการของพี่ได้ไง”
“จินตนาการอะไรครับ?”

พี่อู๋อึกอักก่อนจะบอกว่าจินตนาการถึงอนาคตของเรา เขารู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันยากเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่เกย์ ผมไม่เคยมองพี่อู๋ในแง่ชู้สาว ทำให้หลายๆครั้งเขาถอดใจยอมแพ้ แต่พอผมอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกแย่เพราะพี่อู๋ชอบผมมากจริงๆ ชอบจนไม่อยากเสียนายก้องเกียรติให้ใคร ไหนๆเราก็พูดเรื่องนี้แล้ว มาทำให้มันจบกันเถอะ ไม่ว่าผมตอบยังไง พี่อู๋ก็จะดูแลส่งเสียผมเหมือนเดิม

ผมควรดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่ยิ่งพี่อู๋ดีกับผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของตอนนี้คือการไม่ปฏิเสธความรู้สึกดีๆที่ผู้ปกครองหยิบยื่นให้ ผมบอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่จริงๆ แต่ผมมองพี่เป็นคนในครอบครัว ผมกลัวว่าถ้าเราข้ามเส้น วันหนึ่งเราจะเลิกกันเหมือนที่พี่เลิกกับคุณหมูพี ซึ่ง – ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมเสียแม่ไปแล้ว จะให้เสียพี่อีกคนไม่ได้ พี่รู้ใช่ไหมว่าผมไม่อยากโตคนเดียว ผมอยากมีพี่อยู่ด้วยทุกช่วงเวลาในชีวิต ทั้งตอนมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัย ตอนรับปริญญา ตอนแต่งงาน ตอนมีลูก หรือแม้แต่ตอนเจ็บป่วย ผมก็อยากมีพี่อยู่ข้างๆ อยากช่วยกันดูแลแบบนี้ตลอดไป

พี่อู๋เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ เขารู้ว่าการเริ่มคบกับใครซักคนเป็นเรื่องยาก และมันยากยิ่งกว่าสองเท่าหากคนคนั้นเป็นเกย์ เขารู้ว่าผมเป็นเด็กดี รู้ว่าผมคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ เอาเป็นว่ามันไม่ใช่ความผิดก้องหรอก พี่ผิดเองแหละที่ไม่ระวัง ถ้าก้องไม่ตื่น เราก็คงไม่ต้องอึดอัดแบบนี้

“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปครับ?”
“ก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ”
“แต่ผมอยู่ไม่ได้ มันมาไกลเกินไปแล้ว”
“ก้องอยากให้พี่ทำยังไงล่ะ?”
“พี่อยากให้มันเป็นแบบไหนล่ะครับ?”

ผมถามย้อนเพราะตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ ผมจะให้คำตอบยังไงในเมื่อผมชอบพี่อู๋นะ ผมไม่ได้รังเกียจเขา ผมรักเขาเหมือนคนในครอบครัว แต่ถามว่าจะให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อไปในแบบพี่น้องก็คงไม่ใช่ พี่อู๋หอมแก้มผม กอดผม ทำเหมือนผมเป็นคุณหมูพีซึ่งไม่มีพี่น้องบ้านไหนทำกัน เขาต้องทำให้มันเคลียร์ ส่วนเคลียร์แบบไหน ก็ให้พี่อู๋ตัดสินใจดีกว่า

“พี่อยากเป็นแฟนก้อง”

อมก

“แต่พี่รู้ว่าก้องกลัว”
“ผมกลัว แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจตอนพี่หอมแก้มนะ” ผมบอกความจริงเพื่อให้พี่อู๋สบายใจ “พี่ – แอบทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว”
“ไม่ได้จะโกหกว่าไม่เคยนะ แต่มันหลายคืนมาก”

อมก x 2

“พี่แอบทำอย่างอื่นที่ผมไม่รู้อีกไหม?”
“ก็ – พี่เคยหอมก้องตรงนี้” เขายื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผม “ตรงนี้ --” จิ้มหน้าผาก “ตรงนี้ด้วย” เลื่อนมาจิ้มคอ “มือพี่ก็เคยหอม”
“โรคจิตนะพี่อ่ะ”
“โรคจิตยังไงวะ?”
“แอบทำตอนผมหลับไง”

พี่อู๋หัวเราะชอบใจ เขาคงมองเป็นเรื่องน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่สำหรับนายก้องเกียรติ มันน่ากลัวมากนะที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเคยโดนขโมยหอมไปกี่ครั้งและตรงไหนบ้าง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่พร้อมโดนฉวยโอกาสตลอดเวลา และมันไม่ใช่สิ่งที่ผมมองหาในความสัมพันธ์

“หอมตอนตื่นพี่ก็โดนตีนสิ”

ผมไม่ปฏิเสธเพราะพี่อู๋จะโดนมากกว่าตีนอีกถ้าเขาล่วงเกินผมโดยไม่สมัครใจ ผมบอกพี่อู๋ว่าเรื่องถูกเนื้อต้องตัวของเวลาอีกนิดได้ไหม ผมดีใจนะที่พี่รู้สึกดีๆกับลิงอย่างผม แต่อย่างน้อยขอให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ผมกลัวพี่หยุดตัวเองไม่ได้แล้วมันจะเลยเถิด

“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะที่เคยแอบหอมแก้มก้อง ต่อไปนี้พี่จะขออนุญาตก่อน”
“แต่ผมจะอนุญาตไหมก็อีกเรื่องนะ”

ผมขู่ แต่พี่อู๋คงไม่เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของกอริลลาก้องเท่าไหร่ พอไม่รู้จะคุยอะไรเราก็กลับมาเงียบใส่กันเหมือนเดิม สรุปที่พูดไปทั้งหมดก็ยังไม่ชัดเจน เคลียร์อยู่เรื่องเดียวคือห้ามแอบลักหลับนายก้องเกียรติ ส่วนความสัมพันธ์จะเป็นยังไง พี่อู๋ยังไม่พูด

“แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆเหรอ?”

คุณอิศรินทร์เป็นฝ่ายถาม เขาคงรู้สึกเหมือนกันว่ามันยังไม่เคลียร์

“เอาเป็นว่าผมรักพี่ พี่ชอบผม เราต่างรู้สึกดีๆให้กัน”
“ตกลงก้องรังเกียจพี่ไหม?”
“ผมไม่ได้รังเกียจพี่”
“งั้น – ถ้าพี่ขอจีบก้องให้เป็นเรื่องเป็นราว ก้องจะว่ายังไง?”

ผมเหวอเมื่อได้ยินคำว่าจีบ จีบ? จีบเนี่ยนะ จีบไอ้กอริลลาเนี่ยนะ ถามจริงเถอะพี่อู๋ ผมมีอะไรที่พี่สนใจเหรอ หน้าตาก็บ้านๆ ตัวมอมแมม หนวดขึ้นไม่เป็นทรง เรียนก็งั้นๆ กากๆเกินๆ เทียบคุณหมูพีแฟนเก่าของพี่ไม่ได้ซักนิด

“พี่ชอบที่ก้องจิตใจดี”

แหม เหมือนนิยายเลย

“ชอบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่ค่อยทะเลากัน”
“พี่ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเรียนพิเศษใหม่ๆ พี่ด่าจนผมร้องไห้ในรถ”
“ก็นานๆทีไง”

พี่อู๋ยิ้มแฉ่ง ครับ นานๆที แต่ทะเลาะกันทีก็บ้านแตก ขึ้นมึงขึ้นกู ไล่ออกจากบ้าน ด่าสารพัด มีการบอกว่ามึงตาย มึงตายแน่ ด้วยนะ

“แล้วพี่จะจีบผมยังไง?”
“บอกไปก็รู้ไต๋หมดดิ ของแบบนี้เขาไม่บอกกัน”
“ผมจีบยากนะ ผมไม่เคยมีแฟน ผมไม่เคยชอบใคร”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“สรุป – เราจะอยู่กันมึนๆต่อไปใช่ไหมครับ?” ผมถามผู้ปกครอง พี่อู๋พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาบอกว่าผมน่ะ อยู่แบบมึนๆ ส่วนเขาชัดเจนแล้วว่าจะทำยังไงต่อ
“จีบไม่ติดก็เป็นพี่น้อง แต่ถ้าก้องชอบพี่เมื่อไหร่ เราเป็นแฟนกันนะ”

ผมปั้นสีหน้าไม่ถูก จึงได้แต่บอกว่าครับๆ เอาที่พี่สบายใจเนอะ งั้นตกลงว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นความสัมพันธ์ที่ยังไม่ใช่แฟน แต่ก็จะไม่หยุดแค่ผู้ปกครองกับเด็กในการดูแล ผมเข้าใจถูกไหม พี่อู๋ยิ้มกว้างและบอกว่าใช่ มันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เขาจะทำให้ผมรักเขาหัวปักหัวปำเลยคอยดู




TBC





_________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



Happy Monday ค่า heart​

ช่วงนี้ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับนิยาย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดเยอะมากๆค่ะ

ไม่รู้ว่าขอมากไปไหม แต่ช่วยสนับสนุนนิยายเรื่องนี้จนออกมาเป็นรูปเล่มด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ;-;



ส่วนเพลงที่น้องก้องเล่นให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังพี่อู๋ชื่อว่า The Promise of The World นะคะ

หากพี่จ๋าสนใจ สามารถกดฟังได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=tLVDOTq5Vc0&

สุดท้ายอยากขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

พบกันใหม่วันจันทร์หน้า สวัสดีค่า







หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-07-2019 20:21:25
 :katai2-1:  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 22-07-2019 20:26:32
เขินตัวจะแตกเลยน้องก้องงงง พี่อู๋ดีอะไรแบบนี้รักๆๆ เรื่องสาขาที่เรียนบอกก้องเลยนะว่าหนีปายยยยย โปรเจคจบกำลังทำให้พี่กลายเป็นกอลิลล่า กำลังใจหนึ่งเดียวคือตื่นมารีเฟรชหน้านิยายทุกวัน555 ขอบคุณคนเขียนนะคะสนุกมากๆ :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-07-2019 20:30:20
บทพี่อู๋จะพูดตรงก็ตรงจนรู้สึกเศร้าแทนพี่อู๋เลยตอนน้องก้องปฏิเสธ แต่ดีใจที่ก้องปฏิเสธเพราะก้องไม่ได้รู้สึกกับพี่อู๋มากกว่าพี่เลย และไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าที่ต้องชอบพี่อู๋เพราะเกรงใจหรือเพราะความดีอะไรนั่นด้วย

พี่อู๋ เพราะฉะนั้นพี่ต้องจีบน้องก้องดีๆ ได้แล้ว ห้ามด่าก้องอีก แล้วเราจะเอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 22-07-2019 21:18:02
โอ้ววว เข้าที่เข้าทางซะที :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-07-2019 21:24:31
โหห พี่อู๋ ไม่ใช่แค่หอมแก้ม ยังมีหอมมือ หน้าผาก และคอ และยิ่งกว่านั้นเนียนกอดน้อง โคตรเนียน ทำมาตั้งนาน คนร้ายอยู่ตรงนี้ค่ะคุณตำรวจ 55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 22-07-2019 21:32:57
ขอให้น้องก้องเลิกช็อคโดยเร็ววัน แม่ๆรอฉากกุ๊กกิ๊กกิ๊บกิ้วของพวเธออยู่นะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-07-2019 21:51:49
โถ พี่อู๋ จะจีบน้องยังไงละเนี่ย  :o8:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-07-2019 22:15:13
อมก..... คือไร
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-07-2019 22:34:27
 สารภาพความในใจกันเฉย ยังดีนะคุยกันดีๆนึกว่าจะทะเลาะกันซะแล้ว เอาใจช่วยพี่อู๋ให้จีบติดไวๆ จะได้ไม่ต้องลักหลับอีก :hao6:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 23-07-2019 10:57:36
พี่อู๋เครื่องติดแล้ว แงง  ก้องเปิดใจให้พี่เขาด้วยนะ พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่อแล้ว 55555
ชอบตอนที่พี่อู๋บอกว่าชอบก้องมากจนไม่รู้จะทำยังไง เห็นใจและเข้าใจเลย สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-07-2019 19:29:32
ยินดีกับพี่อู๋ล่วงหน้าเลยแล้วกัน นายก้องไปไหนไม่รอดแน่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 25-07-2019 10:33:59
เอาจริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ อยากรู้จังว่าพี่อู๋เริ่มรู้ตัวว่ารักน้องตอนไหน ต่อไปก็ดูแลกันดีๆ จีบกันดีๆ นะ อย่าทะเลาะกันอีกล่ะ เพราะทะเลาะกันแต่ละทีก็เหมือนระเบิดลงที รุนแรงเหลือเกิน 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-07-2019 01:39:16
รอฉากกุ้กกิ้กๆๆๆ อิ้อิ้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 26-07-2019 09:42:23
ชอบอ่ะ.. ลุ้นเรยย.. :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-07-2019 11:24:59
รอดูพี่อู๋จีบก้องอย่างเปิดเผย เพราะที่ผ่านมาจีบอยู่แต่ก้องไม่รู้ 555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 26-07-2019 11:28:17
เป็นนิยายที่ลุ้นให้ความสัมพันธ์ดีตลอดรอดฝั่ง คือตั้งแต่อ่านนิยายมาไม่เคยมีเรื่องไหนลุ้นเท่าเรื่องนี้มาก่อน  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: dezzetoeiiz ที่ 27-07-2019 21:21:56
 :laugh: #พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่อแล้ว พออ่านตอนนี้บรรยากาศดี๊ดี 2 ปีแล้วที่คู่นี้ฉลองปีใหม่ด้วยกันเนอะ ขอให้น้องก้องสอบเข้ามหาลัยได้ เจอเพื่อนเจอฝูงให้รู้สึกได้มีสังคมอื่นนอกจากพี่อู๋ เผื่อจะเข้าใจความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ บางทีเราก็ต้องก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนเนอะ อยากให้ก้องคิดตก เราไม่อยากให้พี่อู๋นก55555

เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ ถ้าออกเล่มจะ +1 แน่นอนนน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: KXXM04 ที่ 29-07-2019 09:29:46
แฮปปี้ซะที ฮอลลล /หาวิธีเม้นท์ในเล้านานมากT.T
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 30 update!] 22/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 29-07-2019 19:57:30
31 [PART 1/2]

พี่อู๋จีบผมยังไงไม่รู้ ที่รู้ๆคือไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม

ตื่นนอนก็เจอหน้ากัน กินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน ตอนเปิดประตูบ้านเขาก็ถามด้วยประโยคเดิมๆว่าหิวไหม กินอะไรหรือยัง วันนี้เป็นไงบ้างทำโจทย์ผิดเยอะไหม มีตรงไหนไม่เข้าใจแล้วอยากเรียนพิเศษเพิ่มหรือเปล่า สั้นๆคือมันเหมือนเดิม ไม่มีเพิ่มขึ้น ไม่มีแย่ลง หรือจริงๆพี่อู๋จีบมานานแล้วแค่ผมไม่รู้ แต่จะบอกว่าจีบก็ไม่ได้เพราะปกติมันต้องมีช่วงโปรโมชั่น พาไปกินข้าวดูหนังเหมือนที่เพื่อนผมเคยจีบสาวสมัยมอต้น ส่วนพี่อู๋ไม่เคยมีช่วงโปรกระหน่ำให้นายก้องเกียรติเลย ไม่รู้ว่าเขาทำงานจนไม่มีเวลา หรือทุกอย่างที่ทำประจำมันชัดเจนอยู่แล้วจนไม่ต้องหาโปรเสริมเพื่อซื้อใจเด็กกันแน่

ผมใช้ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อเตรียมตัวสอบจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ สนามแรกของผมคือแกทแพท หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็สอบโอเน็ต ซึ่งทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ผมพอทำได้ในส่วนของวิชาคำนวณ แต่วิชาสามัญอย่างเคมี ชีวะ สังคมและภาษาอังกฤษค่อนข้างยากเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องชวนหงุดหงิดโมโหที่ทำให้ผมอารมณ์เสียไปหลายสัปดาห์ นั่นคือเรื่องเงิน ผมเก็บกด อึดอัด และรู้สึกถูกทอดทิ้งเพราะระบบการศึกษาของประเทศนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนไม่มีเงินอย่างกอริลลาก้องเลย

การจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่ต้องจ่ายแน่ๆคือค่าสอบแกทแพทตัวละหนึ่งร้อยสี่สิบบาท ในเมื่อผมอยากเรียนวิศวะ ผมต้องสอบแพทสามด้วยรวมเป็นเงินห้าร้อยหกสิบบาท ใน TCAS รอบรับตรง นอกจากแกทแพทแล้วบางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ยื่นคะแนนวิชาสามัญ หากผมอยากมีตัวเลือกเยอะๆก็ต้องสอบคณิตหนึ่ง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ ซึ่งคิดค่าสอบวิชาละหนึ่งร้อยบาทรวมเป็นเจ็ดร้อยบาท หากรวมกับแกทแพทอีกสี่ตัวด้านบนจะเป็นเงินทั้งหมด – หนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท

ตั้งหนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท

ไอ้หน้าเงิน

ใครก็ตามที่คิดระบบจุกจิกนี่ขึ้นมา ขอให้รู้ไว้เถอะว่ามันสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กที่ไม่มีตัวเลือกอย่างผม ถ้าสมมติว่าผมโชคร้ายไม่ได้เจอพี่อู๋ ไม่มีเงินติดตัวห้าร้อยบาทจากลุงชัย ไม่มีติ๊บจากแนและเงินกินขนมจากคุณย่า คิดว่าผมจะหาเงินจากไหนไปสมัครสอบ ยัง – ยังไม่จบแค่นี้ ทั้งๆที่จ่ายค่าสมัครสอบแล้ว ผมยังต้องจ่ายค่าเลือกอันดับอีกหกตัวตัวละหนึ่งร้อยบาท รวมค่าดำเนินการอีกห้าสิบบาทรวมเป็นหกร้อยห้าสิบ เมื่อรวมกับค่าสมัครสอบหนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท เท่ากับว่า TCAS รอบรับตรง นายก้องเกียรติต้องจ่ายเงินทั้งหมด –

หนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาท

เงินหนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาทที่ต้องจ่ายเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย

อย่างที่บอกไปว่าโชคดีที่นายก้องเกียรติมีพี่อู๋ เงินหนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาทจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเด็กกำพร้าอย่างผม แต่มองในมุมกลับกัน เด็กคนอื่นๆที่ไม่มีเงินมากพอก็เท่ากับว่าแทบไม่มีตัวเลือกเยอะๆ ยังดีที่ผมรู้ตัวว่าเรียนหมอไม่ได้ เพราะถ้าอยากเรียนหมอจริงๆ ต้องจ่ายค่าความถนัดแพทย์อีกแปดร้อยบาท ซึ่งพูดกันตามตรงนะ ประเทศนี้มันเหมาะกับคนมีอันจะกิน พวกไร้พ่อแม่ ไร้เงินสนับสนุนจากทางบ้านแบบผมไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากหรอก

สรุปว่าไอ้ระบอบส้นตีนนี่มันออกแบบมาเพื่อใครวะ ในเมื่อมันไม่เอื้อกับอนาคตของชาติแล้วจะสร้างมาเพื่ออะไร ผมล่ะโมโหจริงๆ

ผมคับแค้นกับความอยุติธรรมของประเทศนี้เป็นวันๆ ที่แค้นเพราะเงินส่วนตัวไม่พอกับการสมัครสอบ ผมต้องคลานเข่าเข้าไปหาพี่อู๋ ต้องกราบลงบนตักเขาเพื่อบอกว่าขอยืมเงินไปจ่ายค่าเลือกอันดับได้ไหมครับ ผมขาดอีกเจ็ดร้อย ผมอยากเลือกหกอันดับไว้เผื่อร่วงจริงๆ ซึ่งพี่อู๋ก็ใจป๋ากระเป๋าหนาเหมือนเดิม เขาให้เงินมาสองพันไปจัดการเรื่องสอบให้เรียบร้อยโดยไม่ถามซักคำว่าทำไมต้องใช้เงินเยอะ แต่พอรู้ตอนหลังว่าระบอบมันเก็บเงินเด็กทุกด่าน พี่อู๋นี่แหละกลายเป็นเครื่องจักรด่าระบอบการศึกษา เราเคยกินข้าวไปด่าไป ด่า ด่า ด่า ด่าถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ด่าหน่วยงาน ด่ากระทรวง ด่าพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ช่วยเหลือเด็กยากจน ด่าลามไปถึงรัฐบาลทหารจนผมต้องบอกว่าพอก่อน เผื่อข้างห้องได้ยิน เดี๋ยวเราจะได้ไปค่ายทหารแทนมหาวิทยาลัย

หลังหมดเทศกาลสอบ กอริลลาก้องที่เครียดมาตลอดหลายเดือนก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับผู้ปกครองอยู่เกือบเดือน แต่เพิ่งกลับมาเครียดอีกครั้งตอนเลือกมหาวิทยาลัยรอบรับตรง ผมมีโอกาสเลือกแค่หกอันดับ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคณะวิศวะที่อยากเรียน แต่ความยากของการเลือกคือเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน อย่างจุฬาใช้แค่แกท แพทหนึ่งและแพทสาม เกษตรศาสตร์ใช้แกท แพทหนึ่ง แพทสามและโอเน็ตภาษาอังกฤษซึ่งมีข้อแม้อีกว่าแกทแพทต้องได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่วนมอขอนแก่นใช้วิชาสามัญสี่ตัว ดังนั้นจะเลือกแต่ละอันดับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ผมปรึกษาพี่อู๋ว่าควรเลือกที่ไหนดี คะแนนแกทแพทของผมเกินค่าเฉลี่ยก็จริงแต่ไม่รู้ว่ามากพอจะเข้าจุฬา เกษตร หรือลาดกระบังไหม พี่อู๋แนะนำให้วางจุฬาไว้บนสุด ส่วนอันดับอื่นๆค่อยๆไล่คะแนนจากสูงไปต่ำ แต่ก็ต้องเรียงตามมอที่อยากเรียนด้วย ไม่ใช่ว่าอยากเรียนลาดกระบังเหมือนสมาร์ทแต่เลือกไว้อันดับท้ายๆเพราะคิดว่าคงพลาดอันดับต้นๆ เผื่อฟลุ๊กติดอันดับบนขึ้นมาอดเลยนะลาดกระบัง ต้องเรียนที่ที่สอบได้แทน

ดังนั้นอันดับหนึ่งของ TCAS รอบที่ 3 ของนายก้องเกียรติคือวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อีกห้าอันดับคือเกษตรศาตร์ ธรรมศาสตร์ และวิศวะสามพระจอม

ผมไม่ค่อยมั่นใจคะแนนที่มีอยู่ในมือเท่าไหร่ แต่คนเราถ้าไม่ลองเสี่ยงก็ไม่รู้นี่จริงไหม ดังนั้นสิ่งที่นายก้องเกียรติทำได้มีแค่สวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญสติภาวนาเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองสอบได้ ช่วงสิบวันว่างๆ ผมจึงพยายามหาความสุขใส่ตัวเองพร้อมกับจินตนาการถึงอนาคตอันแสนหวาน ผมคุยกับพี่อู๋ทุกวันว่าถ้าได้จุฬาจริงๆเขาจะดีใจไหม พี่อู๋ตอบยิ้มๆว่าดีใจ ก้องได้ที่ไหนพี่ก็ดีใจทั้งนั้น

พอไม่มีคนคอยเบรก ผมยิ่งเพ้อเจ้อไปใหญ่ ผมคิดไกลถึงขนาดเห็นตัวเองสวมชุดครุยสีขาวของจุฬา เห็นภาพตัวเองเป็นวิศวกรเก่งๆที่ทำเงินได้เดือนละหกหลัก ถ้าทุกอย่างเป็นจริงนะ ผมจะคืนเงินให้พี่อู๋ก่อนเลย หลังจากนั้นก็จะตอบแทนบุญคุณของพี่อู๋ด้วยการซื้อของดีๆให้เขา พาไปกินของแพงของอร่อยในห้าง ชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนที่คนรวยๆเขาทำกัน ผมกับเขา — เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ควรเป็น

ตลอดสิบวันที่รอผลสอบมีทั้งความกระวนกระวายและอารมณ์ฟุ้งๆชวนฝัน นายก้องเกียรติมัวแต่หมกมุ่นกับโลกใหม่สวยงามของตัวเองจนไม่ทันได้เตรียมใจ ดังนั้นวันที่ผล TCAS รอบ 3 ประกาศ ผมจึงล้มทั้งยืน เพราะทั้งหกอันดับที่ยื่นไม่มีที่ไหนต้อนรับผมเลย





ผมร้องจนเหนื่อยตั้งแต่ก่อนพี่อู๋เลิกงาน แต่พอคุณอิศรินทร์เปิดประตูเข้ามาในบ้าน ผมก็ร้องไห้อีก

พี่อู๋คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เผลอๆเขารู้ตั้งแต่วันที่ผมเพ้อเจ้อแล้วว่าหกอันดับที่เลือกมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นตอนที่คิดได้ ผมจึงคุกเข่ากราบเท้าขอโทษพี่อู๋ คุณอิศรินทร์ตกใจใหญ่เลยที่จู่ๆผมก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย เขาถามว่ากราบเขาทำไม ขอโทษเขาทำไม ผมจึงบอกว่าเพราะผมสอบเข้าที่ไหนไม่ได้ เงินก้อนของพี่สูญเปล่าแล้ว TCAS รอบ 3 คะแนนของผมไม่ถึงที่ไหนเลย

“แต่มันยังมีรอบสี่ไม่ใช่เหรอก้อง?”

พี่อู๋พยายามทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ดีด้วยการให้กำลังใจแต่ไม่มีอะไรช่วยได้ ผมกอดขาเขาแล้วร้องไห้นานเป็นชั่วโมงจนพี่อู๋ไม่ได้กินข้าว ผมเอาแต่ร้อง ร้อง ร้องจนงีบหลับบนโซฟา ตื่นมาเห็นพี่อู๋กินมาม่าก็ร้องอีก จริงอยู่ที่คุณอิศรินทร์ไม่ด่าไม่ว่าซักคำที่ทำพลาด แต่จิตสำนึกตอกย้ำตลอดว่ามึงมันห่วยแตก ขนาดเรียนพิเศษก็ยังได้คะแนนไม่ดีเหมือนคนอื่น ขนาดมีเวลาอ่านหนังสือวันละเจ็ดแปดชั่วโมงก็ยังแพ้รุ่นน้องที่ต้องแบ่งเวลาไปโรงเรียน ผมนี่มันโง่จริงๆ มีต้นทุนมากกว่าคนอื่นแท้ๆแต่ยังประสบความสำเร็จไม่ได้

“ก้องฟังพี่นะ – มันยังมีโอกาสอีกรอบ ก้องไม่ต้องเสียใจ”

พี่อู๋เช็ดน้ำตาให้ เขาแสดงออกว่าเป็นห่วงผมมากเพราะพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงาน ส่วนกอริลลาขี้แพ้ต้องอยู่ห้องคนเดียวกับใจพังๆที่ไม่น่าจะเข้มแข็งเร็วๆนี้ ยังดีที่คุณอิศรินทร์ไม่เอาแต่พูดว่าก้องทำได้ ก้องสู้ๆ แต่เขาต่อสายตรงหาลูกพี่ลูกน้องที่เรียนวิศวะลาดกระบังให้ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ เขาให้ผมคุยกับสมาร์ทเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจโดยลืมไปว่าน้องชายเขาคนนี้มันเป็นอัจฉริยะมาเกิด สมาร์ทกับผมไม่เท่ากัน

“ร้องไห้ทำไม ไร้สาระน่า” สมาร์ทปลอบแบบฮาร์ดคอร์ แต่นายก้องเกียรติก็ยังร้องสะอื้นพูดไม่รู้เรื่องอยู่ดี “เพื่อนเราหลุดรอบรับตรงตั้งหลายคน เพิ่งมาได้ตอนโค้งสุดท้ายนี่เอง”
“สมาร์ทได้รอบสามหรือรอบสี่?”
“เราแอดมิชชั่นรุ่นสุดท้าย TCAS เริ่มใช้หลังรุ่นเรา”

ผมร้องไห้ใส่โทรศัพท์ รู้สึกซวยจริงๆที่ซิ่วมาเจอระบอบใหม่ปีนี้

“แต่เราก็ไม่ติดรับตรงจุฬาเหมือนกันนะ”
“แล้วมออื่นที่เคยยื่นไปอ่ะ?”
“ติดหมด”

ผมปล่อยโฮหนักกว่าเดิมแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครองเพื่อหนีไปฟุบหน้าฟูมฟายกับโซฟาต่อ สมาร์ทรีบอธิบายใหญ่เลยว่า TCAS มันรวมจำนวนเก้าอี้รับตรงทั้งหมดมาคัดรอบเดียว ไม่แปลกที่คะแนนจะสูงลิ่วจนผมเข้าไม่ได้ ส่วนปีของเขามันต้องสมัครเองแต่ละมหาวิทยาลัย สมาร์ทก็เลยติดหลายที่เพราะการแข่งขันไม่เข้มข้นเท่า TCAS ที่เด็กเก่งๆมาโบ้มรอบเดียวกัน


“มันไม่ใช่ว่าติดกี่ที่ ปัญหาคือเราไม่ติดซักที่ไง” ผมอธิบายไปสะอื้นไป
“แล้วไง สอบติดแปลว่าให้กำลังใจคนที่ไม่ติดไม่ได้เหรอ?”

พอเถอะ ผมไม่อยากคุยกับสมาร์ทแล้ว เขาเก่งเกินไป เขามันยอดพีรามิดที่ผมไม่มีวันขึ้นไปได้ สมาร์ทเองก็คงเข้าใจว่าผมไม่อยู่ในภาวะรับฟังอะไรก็เลยยอมวางสายก่อน พอเห็นกอริลลาซึมหนักกว่าเดิมเขาจึงกดโทรหาพี่จีน และพี่จีนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาหัวเราะก๊ากใส่โทรศัพท์แล้วบอกว่าเลือกอันดับมั่นโหนกแบบนั้น ติดก็บ้าแล้ว

“มึงเลือกจุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตร แล้วก็สามพระจอมเลยเหรอก้อง?” เขายังคงหัวเราะในขณะที่ผมร้องไห้จะเป็นจะตาย “ไอ้ควาย”

เออ ผมมันควาย ผมมันโง่ที่สอบเข้าไม่ได้

“รอบรับตรงยากอยู่แล้วเพราะมันถูกรวบยอดมาระบบกลาง พวกเด็กเก่ง พวกหัวกะทิก็ต้องโดนช้อนก่อน มันเป็นธรรมดาหรือเปล่าวะ?” พี่จีนปลอบใจ “ละรอบสี่มันให้เลือกกี่อันดับ?”
“สี่ครับ”
“มึงตัดจุฬาทิ้งไปเหอะ เก็บอันดับไว้เลือกที่ที่เป็นไปได้ดีกว่า”
“มันก็ต้องตัดแหละพี่ ผมคงไม่มีวันได้เรียนจุฬาแล้ว”
“เออ ไว้เรียนปริญญาโทก็ได้ ตอนนี้เอาปริญญาตรีไว้ก่อน”

พี่จีนบอกก่อนจะแนะนำการเลือกมหาวิทยาลัยอีกเล็กๆน้อยๆอย่างวิทยาเขตก็สำคัญ พี่จีนไม่ใช่คนเรียนเก่ง ดังนั้นเขาไม่เสี่ยงเลือกเกษตรเขตบางเขนหมดสี่อันดับ เขาบอกว่าเรียนที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นคณะที่ชอบก็แฮปปี้เหมือนๆกัน หากนายก้องเกียรติอยากเพลย์เซฟซักอันดับ เก็บเกษตรกำแพงแสนไว้ในอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ บรรยากาศดี ต้นไม้สวย รวยเจ้าถิ่น ขอบคุณครับ

หลังวางสายจากพี่จีน ผมก็นั่งปาดน้ำตาเงียบๆคนเดียวอยู่บนโซฟา ส่วนคุณอิศรินทร์ปลีกตัวไปล้างถ้วยชามที่กองทิ้งไว้ตลอดทั้งวันแทนนายก้องเกียรติ อย่าให้ต้องบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย ผมพูดอะไรไม่ออกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลเท่านั้น พี่อู๋ทนเห็นกอริลลานั่งจมกองน้ำตาได้ไม่นานก็ชวนออกไปกินข้าวข้างนอก ผมถามเขาว่าดึกขนาดนี้จะไปไหนได้ คุณอิศรินทร์ให้คำตอบทันทีว่า

“แมคโดนัลด์”

ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่อยากไป แต่เขาก็ลากนายก้องเกียรติออกจากห้องจนได้ นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสิบหกนาที เราสองคนมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ชื่อแมคโดนัลด์




พี่อู๋ไม่น่าพาผมมาที่นี่เลย ถึงมาก็ได้แต่นั่งน้ำตาไหลหน้าเฟรนช์ฟรายส์ลดราคา ผมไม่มีกะจิตกะใจชวนเขาคุยหรือวางแผนอนาคตนอกจากร้องไห้และด่าตัวเองซ้ำๆในใจ ส่วนพี่อู๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็สนองความต้องการของผมด้วยการปล่อยให้นายก้องเกียรติจมอยู่กับความผิดหวังของตัวเองเพียงลำพัง เขาปล่อยให้ผมนั่งมองเฟรนช์ฟรายส์เกือบชั่วโมงจนเห็นว่าคงไม่รู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้จึงชวนออกจากร้าน เขาบอกว่าไปขับรถเล่นกันหน่อย ก้องอาจจะสบายใจขึ้นถ้าได้ออกไปสูดอากาศนอกห้องบ้าง

ตอนนั่งในรถ ผมเอาแต่เหม่อเลยไม่ได้ดูว่าพี่อู๋กำลังพาไปไหน  รู้ตัวอีกทีวีออสของเขาก็จอดในลาดจอดใต้สะพานแล้ว ตอนพี่อู๋ลงจากรถมาเปิดประตูให้ ผมถึงเห็นภาพเก่าๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีก่อน สิบเอ็ดเดือนที่แล้วเราเจอกันที่นี่ บนสะพานพระรามแปด พี่อู๋ขับรถมาเจอผมตอนกำลังจะฆ่าตัวตาย

ผมไม่ได้ถามผู้ปกครองว่าเรากลับมาที่นี่ทำไม แต่พอเขาออกเดิน ผมก็เดินตามไปจนถึงจุดที่เราเคยคร่อมราวสะพานด้วยกัน ผมจับรั้วสีเทาแล้วก้มมองแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ข้างล่าง พี่อู๋เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้จับราว แต่กุมมือนายก้องเกียรติเอาไว้หลวมๆ

“จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม”

ผมพยักหน้า ตอนนั้นไม่รู้นึกยังไงถึงล้มเลิกความตั้งใจกระโดดสะพาน แต่เอาเป็นว่าคำพูดของคนแปลกหน้าที่ยืนข้างๆไม่เคยเป็นเรื่องโกหกเลย ทั้งที่บอกว่าจะพาไปกินสตาร์บัคส์ จะพาไปตะลอนกินของอร่อยๆที่ไม่เคยกิน จนถึงตอนนี้พี่อู๋ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่ อาจจะไม่บ่อยเท่าตอนว่างงาน แต่เรายังคงหาของอร่อยๆกินด้วยกันเสมอ
 
“ก้องมาไกลมากแล้วนะ”

ครับ ผมรู้ ผมรู้ว่าตัวเองมาไกลมาก เดือนหน้าก็จะครบหนึ่งปีที่ผมตั้งใจจะจบชีวิตตรงนี้ พอนึกย้อนดูตัวเอง ผมไม่ได้เป็นก้องคนนั้นแล้ว ผมไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ดที่มายืนบนสะพานแล้วรู้สึกว่ามันน่ากระโดด ตอนนี้ผมคือนายก้องเกียรติที่อยู่ในช่วงกำลังโตเป็นผู้ใหญ่และผิดหวังกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่ถ้าถามว่าอยากตายไหม? ไม่ ผมไม่อยากตาย

ผมไม่อยากตาย

ผมแค่ผิดหวัง แต่ผมไม่อยากตาย เพราะผมมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับอย่างที่พี่อู๋พูด ผมเสียใจ ผมหดหู่ แต่ผมไม่อยากตายเพราะรู้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ผมมีพี่อู๋เป็นครอบครัว เป็นผู้ปกครองที่ให้คำปรึกษาอย่างดีตลอด ถ้าผมตาย เขาต้องสาปแช่ง เผาพริกเผาเกลือ จ้างหมอผีมาสะกดวิญญาณไม่ให้ไปผุดไปเกิดเพื่อเป็นการลงโทษที่ทิ้งเขาไปแน่ๆ

 “ก้องยังเหลือรอบสี่รออยู่ รอบนี้เราก็วางแผนกันดีๆ พี่ว่ายังไงมันต้องมีซักที่แหละที่ได้ คะแนนก้องก็ไม่แย่ แต่เก็งพลาดไปหน่อย ถ้าจะเรียนมหาวิทยาลัยยังไงก็ได้อยู่แล้ว แค่มอดังไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ได้แปลว่าชีวิตมันจบสิ้นนะก้อง”
“ผมรู้” ผมบอกเขาเสียงสั่นแล้วร้องไห้อีกรอบ “ผมแค่อยากทำให้พี่ภูมิใจ”
“อย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำเลยก้อง มันเหนื่อย ไดอะล็อกมันจำเจ” พี่อู๋กอดคอผมแน่น “ไม่ว่ามอไหน จะเหนือหรือใต้ จะใหญ่หรือเล็ก พี่ส่งก้องเรียนได้ทุกที่ พี่ภูมิใจในตัวก้องไม่ว่าก้องจะเป็นอะไร เป็นวิศวะ เป็นลิง เป็นหมา เป็นขวดนมเปรี้ยว พี่ก็ภูมิใจหมดขอแค่ก้องเป็นเด็กดี”

พอเขาพูดจบ กอริลลาก้องก็กอดผู้ปกครองและร้องไห้โฮอยู่พักใหญ่ พี่อู๋ไม่ว่าอะไรที่นายก้องเกียรติฟูมฟายจะเป็นจะตาย เขาบอกว่าอยากร้องก็ร้อง ไม่เห็นเป็นไร แต่ร้องไห้เสร็จเมื่อไหร่ต้องฮึบสู้ต่อนะ ชีวิตมันไม่ได้จบตรงนี้ ยังเหลือ TCAS รอบสี่เป็นความหวังอยู่ หรือต่อให้พลาดอีกก็ไม่เป็นไร เรียนรามฯก็ได้ คนที่เรียนจบรามฯถือว่าเก่งไม่แพ้เด็กมหาวิทยาลัยรัฐเหมือนกัน

คำพูดของเขาทำผมร้องไห้จนเชิ้ตสีขาวเปื้อนน้ำตากับขี้มูกเป็นวงกว้าง ผมขอโทษผู้ปกครองและบอกว่าพรุ่งนี้จะรีบซักให้ ว่าแต่ขอยืมเนกไทได้ไหมครับ ผมอยากยืมมาเช็ดน้ำตาหน่อย พี่อู๋หัวเราะขำและจัดให้ตามคำขอ เขาเช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากหน้านายก้องเกียรติให้โดยไม่รังเกียจ เขารอเวลาจนกระทั่งผมรู้สึกดีขึ้นถึงถามว่าหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า ผมบอกเขาว่าเอาจริงๆตอนนี้ผมเครียดจนกินอะไรไม่ลง แต่ถ้าพี่อยากไปไหน ผมไปด้วยก็ได้

“ไปกินหมูปลาร้าที่ข้าวสารกัน”

คุณอิศรินทร์ชวน ดังนั้นอีกยี่สิบนาทีต่อมาเราจึงยืนอยู่หน้ารถเข็นหมูปิ้งในตรอกเล็กๆ เมื่อคนขายเห็นหน้าพี่อู๋ก็เอ่ยทักทันทีว่าไม่มาตั้งหลายเดือน เป็นไงบ้าง แต่งตัวเสียหล่อ เพิ่งเลิกงานหรือครับ

“ครับ ผ่านมาแถวนี้ก็เลยพาเด็กมากิน”

พี่อู๋วางมือบนหัวของกอริลลาก้องเบาๆเป็นเชิงแนะนำ เขาสั่งหมูย่างตั้งยี่สิบไม้กับข้าวเหนียวสามห่อ ผมยังไม่มีกะจิตกะใจกินก็เลยแทะแต่หมูและเหลือข้าวเหนียวให้พี่อู๋กิน แต่ลองกัดคำแรก อาการเบื่ออาหารไม่อยากกินก็หายไป ผมก็ตาลุกวาวและรูดหมูเข้าปากจนหมดไม้

“อร่อยเนอะ”

คุณอิศรินทร์พูดเมื่อนายก้องเกียรติเริ่มหยิบไม้ที่สี่มากิน ผมบอกพี่อู๋ว่าอร่อยมากครับ เนื้อหมูเหนียวนุ่มกำลังดี กลิ่นถ่านย่างที่ติดมากับเนื้อก็หอมมาก น้ำจิ้มก็อร่อย เสียดายที่เผ็ดไปหน่อยแต่โดยรวมแล้วอร่อยดี เรานั่งจกข้าวเหนียวหมูย่างบนเสื่อริมถนนจนหมดถาด แม้แต่แตงกวาผมก็กินเกลี้ยงไม่เหลือซักชิ้น มื้อดึกวันนี้อร่อยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า คุณอิศรินทร์คงชวนเดินเล่นแถวนั้นต่อแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสามนาที พี่อู๋เพิ่งพากอริลลาหน้าเศร้าถึงบ้านที่ลาดพร้าว เราสองคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้านอน ทันทีที่หัวถึงหมอน พี่อู๋ก็หลับสนิทเหมือนตาย ส่วนนายก้องเกียรตินอนหัวใจสลายเพราะฝันไม่เป็นจริง ผมร้องไห้จนเริ่มหายใจติดขัด สูดจมูกฟืดฟาดหลายหนเพื่อเอาอากาศเข้าปอด พอคุณอิศรินทร์ได้ยินเสียงร้องเขาก็พลิกตัวนอนตะแคงแล้วลูบแก้มเปียกๆของนายก้องเกียรติทั้งๆที่ยังหลับตา ผมที่โหยหาการปลอบประโลมจากพี่อู๋รีบโผกอดเขาแล้วร้องไห้ พี่อู๋ถามว่าถ้านอนไม่หลับ ฟังพี่ท่องสคริปพรีเซนต์โปรเจ็คพรุ่งนี้ดีไหม พอกอริลลาก้องตอบว่าได้ ภาษาญี่ปุ่นงึมงำๆยาวเป็นบทสวดก็ดังขึ้นทันที

 นานินานินานิบลาบลาเดส โคะโนะคิไคบลาบลาบลาเดส โสะชิเตะ บลาบลาเดส – เดส โซะเรนิ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาเดสงะ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลา เดส บลาบลาบลาดาเคะจะนะคุเตะ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาเดส บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลา –

จนผมหลับคาอกเขาไปเลย




 

Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยฮับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 29-07-2019 20:00:26
31 [PART 2/2]



ผมเป็นกอริลลาเน่าอยู่สามวัน วันที่สี่ของการจมอยู่ในห้วงความผิดหวัง ผมตัดสินใจดึงตัวเองให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนด้วยการโกนหนวด

ผมมองเงาในกระจก มองตาที่บวมเป็นถั่วแดงอยู่หลายนาทีจนเริ่มมีความคิดว่าแบบนี้ไม่ได้แน่ ผมต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อไม่ให้ผลของความทุ่มเทเสียเปล่า ดังนั้นเช้าวันที่สี่ ผมกินข้าวผัดกะเพราจนหมดกล่อง กินน้ำอัดลมหนึ่งขวด และไอศกรีมหนึ่งแท่งระหว่างวางแผนจัดอันดับ TCAS รอบสี่ ตอนนี้ผมตัดจุฬาทิ้งและวางเครื่องกลเกษตรบางเขนเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองคือแมคคาทรอนิกส์ลาดกระบัง อันดับสามเครื่องกลเกษตรกำแพงแสน และอันดับสุดท้าย เครื่องกลศิลปากร

ผมเช็กอันดับตัวเองซ้ำมาไปซ้ำมาหลายหน เทียบกับสถิติของปีก่อนๆจนแน่ใจแล้วว่าคะแนนที่อยู่ในมือจะไม่หลุดอันดับสุดท้าย แต่เพื่อความชัวร์ผมขอให้พี่อู๋ช่วยดูอีกครั้ง เขาบอกว่าไม่หลุดแน่ๆ ยังไงก็ไม่หลุด รู้ไหมว่าคะแนนที่ก้องมีซื้อทองได้เลยนะ

“หน่วยเป็นคะแนนครับ ไม่ใช่บาท” ผมรับไม่ได้กับมุกนี้ “ถ้าผมต้องไปเรียนกำแพงแสนหรือศิลปากรจริงๆ พี่โอเคไหมครับ? จากลาดพร้าวไปนครปฐมมันไกลนะ”
“ไกลอะไร นครปฐมนครศรีฯพี่ก็เคยขับมาแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ”
“ถ้าได้ลาดกระบังล่ะครับ?”
“ไม่มีปัญหา”
“ถ้าได้เกษตรอ่ะ?”
“พี่จะขับรถไปรับทุกวันเลย!”

พี่อู๋ตื่นเต้นเพราะบางเขนอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ถ้าสมมติผมได้เรียนเกษตรบางเขนจริงๆคงดีกับเราทั้งคู่ พี่อู๋ไม่ต้องเสียค่าหอเพิ่ม ส่วนผมได้กลับมานอนบ้านทุกวันไม่ต้องปรับตัวเยอะ ก็คงเหมือนสมัยไปโรงเรียนที่ตื่นเช้าเย็นเพื่อมากินข้าวกับแม่ แค่ตอนนี้เปลี่ยนจากแม่เป็นพี่อู๋เท่านั้นเอง

วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกลั่นแกล้ง นายก้องเกียรติใช้ชีวิตด้วยความกระวนกระวายแทบตลอดเวลา ช่วงกลางวันผมนอนกดมือถือ อ่านการ์ตูนออนไลน์บ้าง ดูยูทูปบ้างจนหมดวัน พอพี่อู๋กลับห้องก็นั่งกินข้าวด้วยกันสองคน บางวันก็เล่นเปียโนให้เขาฟัง บางวันก็เอาใจเขาด้วยการบีบนวดตามปกติ แต่มันเป็นสองอาทิตย์ที่โคตรทรมาน มันเจ็บจี๊ดในใจทุกครั้งที่เห็นเด็กรุ่นเดียวกันโพสต์อวดคะแนนบนเว็บบอร์ด สองหมื่นสี่เข้าวิศวะเกษตรได้ไหมครับ สองหมื่นสองพอจะเข้าลาดกระบังได้ไหมครับ เขาว่ากันว่าปีนี้คะแนนเฟ้อจริงเปล่า ที่บอกว่าเกษตรกำแพงแสนรับเด็กน้อยลงสรุปเป็นความจริงหรือข่าวลือกันแน่

แหม – ปั่นเก่ง ลูกอีช่างปั่น

ดังนั้นนายก้องเกียรติผู้มีในมือแค่หนึ่งหมื่นแปดพันปลายๆจึงเลิกเข้าเว็บพวกนั้นถาวรและเอาเวลาในแต่ละวันไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์และเล่นผลไม้บนโทรศัพท์แทน

ห้าวันสุดท้ายก่อนประกาศผล พี่อู๋ยอมเสียสละวันหยุดเสาร์อาทิตย์พากอริลลาก้องไปเล่นน้ำไกลถึงหัวหิน ทีแรกผมคิดว่าเราไปทะเล แต่พี่อู๋บอกว่าไม่ใช่ เขาจะพาผมไปเที่ยวสวนน้ำต่างหาก

“โอโห – สวนน้ำเหรอครับ?”

ผมตื่นเต้นตามประสาเด็กไม่เคยได้ไปที่ใหม่ๆ ผมเคยเห็นโฆษณาในอินเทอร์เน็ตหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปมาก่อน หนึ่งเพราะมันไกล สองเพราะไม่มีเงิน และวันนี้เสี่ยอู๋ใจป้ำก็สานฝันกอริลลาตาดำๆด้วยการพาไปซื้อกางเกงและแว่นตาว่ายน้ำเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมถามพี่อู๋ว่านึกยังไงถึงพาไปเที่ยวสวนน้ำ เขาบอกว่าได้บัตรลดราคามาจากลูกค้า เห็นช่วงนี้ก้องเครียดก็เลยอยากพาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

เช้าวันเสาร์ เราออกเดินทางแต่เช้ามุ่งหน้าสู่หัวหิน สวนน้ำที่เราจะไปเที่ยวมีบ้านพักอยู่ในตัว พี่อู๋ก็เลยจองไว้หนึ่งคืนเพื่อความสะดวกจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับให้เหนื่อย ทันทีที่ถึงสวนน้ำ ผมก็ร้องว้าว ว้าว ว้าวอยู่หลายหน น้ำที่นี่เป็นสีฟ้าใสแจ๋ว เครื่องเล่นสไลด์เดอร์ก็เยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งแบบเป็นท่อขดวนหลายรอบ มีอันหนึ่งสูงเท่าตึกสี่ชั้นด้วย แน่นอนว่านายก้องเกียรติไม่ยอมพลาด ผมเล่นสไลด์เดอร์แทบทุกแบบอยู่หลายรอบจนพี่อู๋เหนื่อย เขาคงแก่เกินไปจนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเครื่องเล่นพวกนี้แล้ว 

ผมชอบมาก ตอนเล่นกระดานลื่นสูงเท่าตึกสี่ชั้นนี่เสียวไส้แทบแย่ และมีสไลด์เดอร์อันหนึ่งต้องนั่งบนเรือยางที่เล่นได้สองคน ผมขอให้พี่อู๋เล่นเป็นเพื่อนอยู่ตั้งสามรอบกว่าจะยอมเล่นอย่างอื่นบ้างเพราะมันสนุกจริงๆ ยิ่งตอนที่ผ่านอุโมงก์มืดๆนะ โอโห – ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนลุ้นผล TCAS รอบสามเพราะไม่รู้ว่าอุโมงก์มันสิ้นสุดตรงไหน หมุนซ้ายกี่รอบ หมุนขวากี่รอบ ควงสว่านฟิ้วๆจนไส้ขดเป็นก้อนกว่าจะถึงน้ำ เล่นเอาพี่อู๋อ้วกเกือบแตก เขายกธงขาวไม่เล่นแล้ว ขอเฝ้านายก้องเกียรติเล่นตามประสาผู้ปกครองดีกว่า

พอเล่นไปซักพักท้องก็เริ่มร้อง พี่อู๋จึงพาเด็กในปกครองไปกินมื้อเที่ยงที่ศูนย์อาหาร ผมสั่งแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตกับไอศกรีม เราถ่ายรูปมื้ออาหารและบันทึกภาพความทรงจำไว้เป็นที่ระลึกด้วย ในรูปผมยิ้มจนแก้มแตก เพราะผมสนุกและมีความสุขตามประสาเด็กอายุสิบเก้าที่เพิ่งได้มาสวนน้ำเป็นครั้งแรก หลังกินเสร็จผมก็ขอให้พี่อู๋พาไปเล่นโซนทะเลจำลอง โซนนี้เขาปล่อยคลื่นเทียมด้วย ผมอยากลองสัมผัสประสบการณ์โต้คลื่นเหมือนในหนังบ้าง คุณอิศรินทร์ก็จัดให้ตามคำขอ ตอนบ่ายเราถือโฟมว่ายน้ำไปคนละหนึ่งอัน เล่นโต้คลื่นที่สูงสามเมตรกันเกือบหมดวันก่อนจะปิดท้ายด้วยการนั่งเล่นบนแพยางเอื่อยๆในสระน้ำวน

ผมนั่งบนแพสีฟ้าตรงข้ามกับพี่อู๋ เราสวมแว่นกันแดดและหมวกสานเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคอยถ่ายรูปบรรยากาศ ทีแรกผมตกใจมากเพราะพี่อู๋ทำไอโฟนหล่นน้ำ แต่เขาบอกว่าใส่เคสป้องกันเรียบร้อย ถึงเปียกน้ำเข้าก็ช่างมันเพราะเครื่องที่เขาใช้ตกรุ่นมาหลายปีแล้ว

เราใช้เวลาช่วงเย็นนอนคุยกันบนแพ ผมเอาขาพาดบนพุงกะทิของพี่อู๋ ส่วนเขาเอาขาจุ่มน้ำเพราะไม่กล้าหือนายก้องเกียรติ แหงสิ -- ผมตัวแห้งกรอบเป็นไม้กระดานขนาดนี้ ขืนมีขาหนักสามตันมาวางพาดอีกคงตายก่อนรู้ผล TCAS แน่ๆ

“ผลประกาศวันไหนนะ?”
“วันพุธนี้ครับ”

ผมตอบผู้ปกครองขณะกวักน้ำเล่น บทสนทนาระหว่างผ่อนคลายตอนนี้ไม่มีเรื่องอนาคตเข้ามาเกี่ยวอีกนอกจากเย็นนี้จะกินอะไร จะไปเดินตลาดนัดไหม พี่อ่านรีวิวมามีของกินเยอะแยะเลยนะ ผมบอกผู้ปกครองด้วยคำตอบเดิมๆว่าอะไรก็ได้ครับ ไปไหนก็ได้ครับ พี่อยากกินอะไรผมก็กินอันนั้นแหละครับ ดังนั้นหลังเล่นน้ำจนตัวเปื่อย เราจึงไปกินอาหารทะเลที่ตลาดโต้รุ่ง

เมนูที่พี่อู๋สั่งคือเมนูเดิมๆที่เราชอบเช่นหอยเชลล์อบเนย กุ้งเผาหอยเผา ปลาหมึกย่าง ข้าวผัดทะเล แต่จานหลักที่เราตั้งหน้าตั้งตาคอยที่สุดคือปูม้านึ่ง พี่อู๋สั่งจัดเต็มมาสองกิโลเพื่อเลี้ยงกอริลลาก้องเต็มที่ ตอนที่น้องปูสีส้มสดวางลงบนโต๊ะ ผมแทบจะเอาเอาแก้มแนบกระดองหอมๆด้วยความหลงใหลและน้ำลายสอ เมื่อก่อนผมค่อนข้างเฉยๆกับอาหารทะเล แต่พอพี่อู๋พาไปกินที่ใต้ผมก็ติดใจ อยากเคี้ยวกระดองกุ้งและปูจนละเอียดเป็นผงจะได้ไม่ต้องเหลือทิ้งให้เสียของ

ทันทีที่อาหารเสิร์ฟครบ เราก็ก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิวโหย ผมแกะกุ้งกินกับข้าวผัดจนไม่ทันสังเกตว่าพี่อู๋ทำอะไร กว่าจะรู้ว่าบนจานของตัวเองมีเนื้อปูกองจนพูนก็ตอนเติมข้าวรอบสองแล้ว

“พี่ไม่ต้องแกะให้ผมหรอกครับ พี่กินเถอะ”

ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังจริงจังกับการแกะปูให้กอริลลาหิวโซ พี่อู๋เงยหน้าขึ้นจากจานน้องปูก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาเห็นผมกินอร่อยก็เลยอยากแกะให้กินง่ายๆ จะได้ไม่ต้องหยุดๆกินๆเพื่อแกะเนื้อ

“พี่แกะยังไงเนี่ย เนื้อเละเป็นผงเลย” ผมหัวเราะก่อนจะช่วยเขาอีกแรง “ถ้าแกะไม่เป็นก็ไม่ต้องแกะครับ เดี๋ยวผมทำให้”

ผมบอกพลางใช้ฟันกัดก้ามน้องปูตัวใหญ่ดังกร๊อบแกร๊บ ขนาดเลียนแบบเทคนิกจากญาติของคุณอิศรินทร์แล้ว เนื้อปูที่ได้ก็ยังเละเป็นผงไม่ต่างจากที่พี่อู๋แกะให้ ผมถอนหายใจยอมแพ้เมื่อเริ่มเมื่อยกราม ไม่เข้าใจว่าทำไมของอร่อยต้องกินยาก ทำไมไม่แกะง่ายๆเหมือนปีโป้ที่แค่ลอกพลาสติกก็ได้กินเยลลี่ก็ไม่รู้

“เขาน่าจะมีบริการแกะให้เนอะ” พี่อู๋บ่นงึมงำแต่ยังคงไม่ยอมแพ้กับการใช้หางช้อนแงะเนื้อปูออกจากก้าม
“แล้วปกติพี่กินยังไงเหรอครับ?”
“มีคนแกะให้ตลอดอ่ะ”
“คุณแม่เหรอ?”
“อืม ส่วนใหญ่แม่แกะให้กินทั้งบ้าน พี่ไม่เคยต้องแกะเอง”
“อ้าว แล้วตอนอยู่กรุงเทพใครแกะให้พี่กินล่ะครับในเมื่อคุณแม่ไม่อยู่?”
 
พี่อู๋อ้ำๆอึ้งๆตอบไม่เต็มปาก ผมรู้ในทันทีว่าใครแกะกุ้งแกะปูให้เขากินตลอดคงไม่พ้นคุณหมูพี

“ผมแกะเก่งกว่าอีก พี่คอยดูนะ”

ผมพูดอวดไปงั้นแหละ จริงๆแกะเป็นเสียที่ไหน แต่ผมก็พยายามจนได้เนื้อปูพูนๆหนึ่งกอง ผมยกมันให้พี่อู๋ทั้งหมดแต่เขาไม่เอา เขาบอกว่าอยากให้ผมกินมากกว่า ผมเป็นเด็กกำลังโต ส่วนเขาแก่แล้ว กินปูเยอะๆ ระดับคอเลสเตอรอลจะอันตราย ดังนั้นคนที่ได้กินปูกองใหญ่คือกอริลลาก้อง ส่วนพี่อู๋กินอย่างอื่นเล็กๆน้อยๆจนหมดเกลี้ยง นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบห้านาที หลังซื้อไอศกรีมกะทิกับข้าวเหนียวมะม่วงเสร็จ เราก็กลับบ้านพักในสวนน้ำ

วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมาก เหนื่อยมากๆ เหนื่อยที่สุดในชีวิตของนายก้องเกียรติ ดังนั้นหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็คลานไปนอนบนโซฟาตัวใหญ่สีดำที่ตั้งอยู่หน้าทีวี พี่อู๋ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวเดินมาไล่กอริลลาหมดแรงให้ไปนอนในห้องแต่ผมไม่ไป ก็ผมเหนื่อย ผมจะของีบตรงนี้ ขอนอนฟังเสียงคลอทีวีซักเดี๋ยวแล้วค่อยกลับไปตายบนเตียงไม่ได้เหรอ พี่อู๋เห็นผมงอแงเลยไม่ว่าอะไร เขากลับเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จจึงเดินมานั่งบนโซฟา

“ขยับหน่อยสิก้อง”

พี่อู๋สะกิดกอริลลาที่เพิ่งหลับได้ไม่นานเพื่อทวงคืนที่นั่ง แต่ผมง่วงเกินกว่าจะสละที่ให้เขาจึงทำแค่ผงกหัวขึ้นและตบโซฟาเบาๆเป็นเชิงเรียกให้นั่งเพราะผมไม่อยากลุก แต่จะนอนหนุนตักเขาแทน

พี่อู๋ทำตามที่ขออย่างว่าง่าย เขานั่งดูโทรทัศน์ไปพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ในขณะที่มีกอริลลานอนซุกหน้าท้องบนโซฟา ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่คงนานมากพอจนเริ่มรู้สึกเมื่อยนิดหน่อยเพราะต้องงอขา พอเห็นผมขยับตัว พี่อู๋ที่นั่งเป็นหมอนให้นายก้องเกียรติหนุนก็เอ่ยปากขออนุญาตเป็นครั้งแรก

“พี่ลูบหัวก้องได้ไหม”
“อือ”

ผมงัวเงียตอบทันที และนอนหลับอย่างสบายใจโดยมีผู้ปกครองลูบหัวเบาๆ แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าพี่อู๋เป็นประเภทได้คืบจะเอาศอก พอยอมให้ลูบหัว เขาก็ขอเพิ่มอีก

“พี่จับมือก้องได้ไหม”
“อือ”

ผมยื่นมือให้เขาจับอย่างว่าง่าย แค่ลูบหัวกับจับมือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับคนที่ง่วงเหมือนโดนยิงยาสลบ ผมปล่อยให้พี่อู๋จับมือไปพร้อมกับลูบผมอยู่นานอีกหลายนาที พอนายก้องเกียรติเปลี่ยนท่านอน เขาก็ขออีก

“พี่หอมแก้มก้องได้หรือเปล่า?”
“ขอเยอะไปแล้วนะ”
“ได้หรือเปล่าล่ะ?”

ผมคิดหนักมากกว่าควรตอบยังไง ถ้าบอกว่าไม่ให้เขาจะน้อยใจไหมเพราะทำทุกอย่างขนาดนี้แต่นายก้องเกียรติกลับไม่เปิดโอกาสให้ตามที่รับปากไว้ หากถามว่าลึกๆผมต้องการให้เขาหอมแก้มไหม ผมก็ให้คำตอบไม่ได้ สั้นๆคือไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเพราะผมตัดปัญหาด้วยการไม่คิด

แต่แค่หอมแก้มเองนะ

คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะมองอีกแง่ การหอมแก้มคือการแสดงความรักที่อ่อนโยนและน่ารักไม่ใช่เหรอ แม่ก็หอมแก้มผม เพื่อนที่ชอบผมก็หอมแก้มผม พวกเขาทำไปเพราะรักทั้งนั้น ถ้าพี่อู๋ไม่ทำให้มันเลยเถิดจนเกินไป ผมยอมให้หอมเบาๆก็ได้ ถือเป็นคำขอบคุณที่พามาเที่ยว และทำตามสัญญาที่บอกว่าจะให้โอกาสแล้วกัน แต่ถ้าพี่อู๋ทำมากกว่าหอม -- ผมถีบ

พอบอกผู้ปกครองว่า อือๆ จะหอมก็หอม คุณอิศรินทร์ก็ทำเสียงระริกระรี้แล้วก้มจมูกลงมาหอมแก้มกอริลลาดังฟอด ส่วนนายก้องเกียรติแกล้งตายในตักเขาเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูก เขาคงเห็นผมหลุดยิ้มละมั้งถึงได้ใช้มือยีผมกอริลลาจนเสียทรง เขาทำเสียงสองเหมือนกำลังคุยกับลูกหมาว่าน่ารักจัง ก้องน่ารักที่สุดเลยพร้อมกับบีบแก้มจนผมนอนต่อไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาแกล้งด่าเขาเพราะเขิน

“ไปนอนในห้องแล้ว!”

ผมกระทบเท้าปึงปังและเดินหนี หน้าเหน้อนี่ร้อนไปหมด ไอ้บ้าเอ๊ย ไม่น่ายอมให้เลย เซ็งจริงๆ



วันพิพากษามาถึงแล้ว มาถึงเร็วกว่ากำหนดการตั้งหนึ่งวันตามคำประกาศใหม่จาก ทปอ. นายก้องเกียรติตื่นนอนแต่เช้ามืดเพื่อหาอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เริ่มจากทำกับข้าวแบบจัดเต็มให้พี่อู๋ ปัดกวาดถูห้องสองรอบ เช็ดฝุ่น ขัดรองเท้าหนัง เช็ดประตูกระจกด้วยหนังสือพิมพ์จนใสแจ๋ว แถมยังรีดกางเกงในให้เขาอีก ผมทำงานบ้านจนถึงเที่ยงโดยไม่หยุดพักซักวินาทีเดียว เมื่อบ้านสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นจึงต้องจำใจนอนเฉยๆ แต่นอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องหาอะไรทำแก้เครียด สุดท้ายจบลงตรงที่ผมออกจากบ้านไปซื้อกับข้าวที่บิ๊กซี กลับมาอีกทีเกือบเย็น แต่ผลยังไม่ประกาศ

นายก้องเกียรติที่ไม่มีทางเลือกจึงโทรหาผู้ปกครองแก้เหงา ผมไม่รู้ว่าเขาว่างไหม แต่เดาเอาว่าน่าจะว่างเพราะเขาคุยโทรศัพท์ตั้งสามนาที สุดท้ายเสียงตามสายแก้เครียดต้องหยุดลงเพราะชิราอิชิซังขัดจังหวะด้วยประโยค โอ้ย – อู๋จัง นานิชิเตะรุ ซึ่งฟังดูหงุดหงิดพร้อมเหวี่ยง ผมจึงตัดใจวางสายด้วยความเสียดาย และบังคับตัวเองให้ทำสมาธิจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ทำได้ไม่นานก็สติแตกพล่านเมื่อมีเอสเอ็มเอสแจ้งทางโทรศัพท์ว่าทปอ.ประกาศผล TCAS รอบสี่แล้ว สามารถเช็กผลได้ที่เว็บไซต์  student.mytcas.com

ตอนที่อ่านข้อความจบ นายก้องเกียรติก็ประสาทแดกเพราะเครียดไปเลย ผมเต้นแร้งแต้นกา กรี๊ดอัดหมอน กระโดดเตะสะเปะสะปะจนชนกับขอบโต๊ะ ถึงจะเจ็บตัวแต่ผมก็ไม่ยอมหยุดดีดดิ้นเพราะกังวลกับผลลัพธ์ ถ้าไม่ติดล่ะ ถ้าไม่ได้ที่ไหนเลยล่ะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ความคิดตีกันจนวุ่นไปหมด หัวใจก็เต้นแรงจนเหงื่อโทรมตัว ผลประกาศออกมาประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ผมยังไม่พร้อมเปิดดูเพราะกลัวผิดหวัง

ผมหนีไปปาหมอนอัดกำแพงในห้องนอน หนีไปอาบน้ำใต้ฝักบัวทั้งๆที่ยังสวมเสื้อผ้า เสร็จแล้วออกมานั่งเปียกกลางบ้านและเอาแต่เหลือบตามองโทรศัพท์ ผมจะบ้า ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว ใจหนึ่งก็กลัวพลาด อีกใจก็อยากรู้จะได้จบๆ ผมตัดสินใจไม่ได้ก็เลยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและออกมานั่งจ้องโทรศัพท์บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น

ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก

เสียงนาฬิกาบนผนังดังเป็นจังหวะบีบรัดนายก้องเกียรติ ผมกำมือสลับกับคลายออกอยู่เป็นนาทีเพื่อรวบรวมสติเพราะตอนนี้ผมตัวสั่นไปหมด สั่นตั้งแต่หน้ายันปลายเท้า แถมมือยังเย็นเยียบเหมือนแช่ช่องฟรีซอีก นี่คือเรื่องที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเลย นอกจากการได้ไปเที่ยวที่เจ๋งๆกับพี่อู๋แล้วก็มีแค่ผล TCAS เท่านั้นที่ทำให้กอริลลาก้องเป็นเอามากขนาดนี้ นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที ผมกัดฟันดูผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อความบนหน้าเว็บไซต์ยังโหลดไม่ครบ แต่พอจะอ่านได้ว่าผลสรุปเป็นยังไง



ประกาศผลการคัดเลือก รอบที่ 4



































สถานบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
คณะวิศวกรรมศาสตร์
สาขาวิชาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์

รายละเอียดการสอบสัมภาษณ์
วันที่ 03 มิ.ย. 2562
เวลา 08:30 -12:00
สถานที่ ให้ผู้เข้าสอบสัมภาษณ์รายงานตัวเข้าสอบสัมภาษณ์เวลา 08:30-09:00 น. HM-305 ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา คณะวิศวกรรมศาสตร์


ไอ้ – เหี้ย –

ไอ้เหี้ย

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังขึ้นในจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากค้างด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์เดินเข้าห้องงงๆเมื่อนายก้องเกียรติเริ่มส่งเสียงร้องเล็กๆในลำคอ ต้องรอให้เวลาผ่านไปสามสี่วินาทีผมถึงได้สติแล้วกระโดดกอดพี่อู๋

“ผมสอบได้แล้ว! ผมสอบได้แล้ว!”

ผมร้องไห้พร้อมกับตะโกนโหวกเหวกโวยวาย

“ผมติดลาดกระบังแล้วพี่อู๋!”
“ไอ้เหี้ย!”

พี่อู๋อุทานแล้วอุ้มผมจนตัวลอย เขาหมุนเป็นวงกลมสามสี่รอบก่อนจะวางกอริลลาลงบนพื้น จากนั้นเราก็จับมือแล้วกระโดดโลดเต้นเหมือนคนเสียสติ คุณอิศรินทร์ตะโกนว่าลาดกระบัง! ลาดกระบัง! ด้วยความดีใจไม่แพ้กัน หลังเต้นจนเหนื่อย ผมก็ปล่อยโฮออกมาก็อกใหญ่ก่อนจะโผเข้ากอดผู้มีพระคุณ

“ผมมีที่เรียนแล้วพี่อู๋ ผมได้เป็นนักศึกษาแล้วนะ”
“ดีใจด้วยก้อง” เขากอดผมแน่นไม่แพ้กัน “ก้องเก่งที่มากเลย เก่งที่สุด พี่ภูมิใจในตัวก้องมากๆ”

เรากอดกันอยู่พักใหญ่เลยกว่าผมจะกลับไปอ่านระเบียบการโดยละเอียดของทางมหาวิทยาลัย ความรู้สึกตอนนี้มันดีใจ มันตื้นตันจนไม่รู้จะพูดยังไง ผมมีความสุขมากที่จะได้เรียนต่อปริญญาตรีเหมือนคนอื่นๆ หลังจากเจอเรื่องแย่ๆมาตลอดหนึ่งปี ในที่สุด – ในที่สุด – ผมก็กลายเป็นนายก้องเกียรติที่กำลังจะมีชีวิตที่ดีกับผู้ปกครองคนใหม่ ผมจะได้เรียนหนังสือ จะได้พบเจอผู้คนและสังคมใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัส ซึ่งความฝันของผมคงไม่มีวันเป็นไปได้หากไม่มีพี่อู๋ หากเขาไม่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาวันนั้น ก็คงไม่มีนายก้องเกียรติในวันนี้

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสี่สิบนาที พี่อู๋ฉลองวันพิเศษด้วยซูชิจากร้านโปรดของเราที่ยูเนี่ยน มอลล์ มื้อนี้เขาจัดเต็มยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มีทั้งซูชิแซลมอน ซูชิหน้ากุ้งขาว ซูชิหน้าทูน่า หน้าหอยปีกนก ซูชิมันปู หอยเชลล์ย่าง แม้แต่คำแพงๆอย่างปลาไหล ไข่แซลมอน และตับห่านก็มี เราฉลองวันแห่งความสุขด้วยกันสองคนจนพุงกาง กินกันเกลี้ยงโต๊ะไม่เหลือซักอย่างแม้กระทั่งน้ำอัดลมที่ซื้อจากเซเว่น หลังกินเสร็จผมก็เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิม

พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมจึงเดินไปกอดเขาจากข้างหลัง อ้อนพี่อู๋ด้วยการเอาคางเกยไหล่และพูดว่าผมรักพี่ ผมรักพี่ที่สุดเลยซ้ำไปซ้ำมาหลายหน คุณอิศรินทร์เองคงดีใจที่นานๆทีผมจะทำตัวสมกับเป็นเด็กที่ส่งเสียเลี้ยงดู เขาดึงผมไปกอดและแอบหอมขมับกอริลลาหนึ่งทีก่อนจะไล่ให้ไปอาบน้ำ

“ผมเพิ่งอาบก่อนพี่มาแป๊ปเดียวเอง”

ผมบอกและอ้อนเขาต่อ สิ่งที่แสดงออกตอนนี้เป็นไปตามสัญชาติญาณล้วนๆไม่มีการปรุงแต่ง เพราะผมดีใจและมีความสุข ผมจึงกอดเขา เพราะผมสำนึกบุญคุณของพี่อู๋ ผมจึงบอกรักเขา เมื่อพันแข้งพันขา พูดจาฉอเลาะขอบคุณผู้ปกครองจนหมดมุก ผมจึงเดินเข้าห้องนอนเพื่อจัดหมอนที่ถูกปาอัดกำแพงให้กลับมาเรียบร้อย ขณะที่กำลังตบหมอนให้เข้าทรง ผมแอบได้ยินเสียงพี่อู๋คุยโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายคือใคร แต่ที่มั่นใจคือบทสนทนาเป็นเรื่องความสำเร็จของนายก้องเกียรติ พี่อู๋โทรหาคนนั้นคนนี้เพื่อบอกว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงสอบได้แล้วนะ เขาขิงไปทั่วเลยว่าต่อไปผมไม่ใช่กอริลลามอมแมมแล้ว ผมกำลังจะเป็นวิศวกร เห็นไหมว่าเขาหยิบยื่นโอกาสให้ถูกคน ก้องเกียรติไม่ได้เกาะเขากินไปวันๆ เห็นหรือยังว่าก้องเป็นเด็กดี ทีนี้จะอย่าดูถูกก้องอีกนะ เขาน่ะเลี้ยงก้องเกียรติมาดีกว่าที่คนอื่นคิด

การกระทำของเขาทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนที่เราเคยดูด้วยกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาดเกิดจากการทดลอง ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว และอยู่ตัวคนเดียวเหมือนหมาจรจัดจนกระทั่งเด็กหญิงชาวฮาวายที่ชื่อลีโล่เก็บมาเลี้ยง ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ สติทซ์ทำลายข้าวของในบ้านจนพี่สาวของลีโล่โมโหและพยายามจับมันไปปล่อย ถึงสติทซ์จะทำตัวไม่ดี แต่ลีโล่ก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาว่าโอฮาน่า แปลว่า “ครอบครัว” ครอบครัว แปลว่า “เราจะไม่ทอดทิ้งใครเด็ดขาด”

ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมลีโล่ไม่ยอมให้พี่สาวเอาตัวปัญหาไปคืนศูนย์พักพิง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเมื่อได้เจอลีโล่ในชีวิตจริง

เพราะวันนี้กอริลลาจิตป่วยที่เคยถูกทอดทิ้ง -- มีโอฮาน่าเป็นของตัวเองแล้วครับ




TBC


________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ค่ะ!



มาตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วน้า แต่ตอนถัดไปจะค่อนข้างช้าหน่อยนะคะ อาจจะอัปวันศุกร์หน้าเลยเพราะช่วงนี้มีเรื่องต้องทำเยอะมากค่ะ TT ถ้าคิดถึง ส่องแท็กดูแฟนอาร์ตสวยๆจากคุมแม่ๆน้องก้องพลางๆนะคะ แฟนอาร์ตเยอะมาก และสวยมากด้วย อยากแชร์ให้โลกได้เห็นรูปวาดจากแม่ๆจริงๆค่ะ (⺣◡⺣) *

ขออัปเดตนิยายนิดนึงนะคะ ตอนนี้เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้วค่า เราเองก็กำลังรีบปิดเล่มนะคะ ส่วนคุณแม่ที่จะดูแลน้องก้องจนกว่าจะได้วางขายคือทีมคุมแม่จากเฮอร์มิทนะคะ เย้  ตอนนี้บรีฟรูปประกอบบรีฟปกเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือแค่เนื้อหาอย่างเดียว(ซึ่งเขียนได้วันละ200 คำ ปีนี้จะเขียนจบมั้ยแม่) ส่วนหนังสือวางขายเมื่อไหร่นั้นรอประกาศอย่างเป็นทางการจากเฮอร์มิทนะคะ ♡´・ᴗ・`♡

ตอนก่อนหน้าพี่จ๋างงว่า อมก แปลว่าอะไร อมก ย่อมาจาก โอ้มายก้อดนะคะ เด็กมันย่อจนงงเลย ขอโทษจริงๆค่ะ 5555555

ขอขอบคุณทุกๆ คนด้วยค่ะสำหรับกำลังใจน่ารักๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นต์ แท็ก ดีเอม โดเนท หรือการบอกต่อแนะนำนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ทุกๆ กำลังใจสำคัญมาก อยากบอกว่าเพราะความใจดีของทุกคนทำให้น้องก้องเข็นออกมาได้อาทิตย์ละตอน ขอบพระคุณนะคะ แล้วพบกันสัปดาห์หน้าน้า บ๊ายบายค่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 29-07-2019 20:37:23
แบบว่าโอ๊ยย ดีใจแทนเจ้าก้องงงงงง ตั้งใจเรียนนะลูกกกก ฮืออ ปาดน้ำตาราวกับส่งเสียเอง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 29-07-2019 20:40:31
คิ้กค้ากกกก ยินดีด้วยนะน้องก้องงง :mc4: เป็นเด็กดีของพี่อู๋ต่อไปนะลูก พี่อู๋นี่ขยันจีบเหมือนไม่ได้จีบ555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 29-07-2019 21:14:04
นี่ดีใจกับน้องเหมือนตัวเองสอบติดเอง 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-07-2019 22:04:25
หลากหลายอารมณ์มากๆเลยค่ะ เครียดเพราะลุ้นผลไปกับก้อง เขินที่พี่อู๋ขอหอแก้ม ซึ้งตอนท้ายที่พี่อู๋ภาคภูมิใจในตัวน้องที่น้องสอบติด
ยินดีกับน้องก้องด้วยน้าาา เข้ามหาลัยเจอผู้คนใหม่ๆเจอเพื่อนใหม่เจอสังคมใหม่ๆ พี่อู๋จะแอบหวงมั้ยนะ5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 29-07-2019 22:24:53
นี่ดีใจแทนอ่ะ เพราะก็ผ่าน tcas มาเหมือนกัน ลุ้นไปพร้อมๆก้องเหมือนสอบเองเลยอ่ะ ยินดีด้วยน๊าค้าบคนเก่ง ชีวิตหนูกำลังจะดีขึ้นแล้วนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-07-2019 22:25:53
ลุ้นกับก้องมากๆๆๆ ยังกะไปสอบเอง ดีใจด้วยจรืงๆนะก้อง
แต่ว่าไม่ได้เรียนบางเขนพี่อู๋ไปรับทุกวันไม่ได้ละสิ พี่อู้จะหวงก้องมั้ยนะ ได้ไปเจอสังคมใหม่ๆ เอาใจช่วยนะพี่อู๋ เอาชนะใจก้องให้ได้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 30-07-2019 01:39:51
เอ็นดูวความอ้อน ตลกคำว่ากอลลิล่าทุกครั้งอะ555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-07-2019 12:56:22
ดีใจกับก้องและพี่อู๋ ค่อย ๆ พากันเดินไปสู่อนาคตอันสดใสนะหนูนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-07-2019 14:05:36
เครียดเรื่องสอบได้แล้วก็มาเครียดเรื่องเรียนต่อนะกอลิลล่าก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-07-2019 20:43:20
ดีใจกับก้องและพี่อู๋ด้วยนะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-07-2019 22:29:09
โอ้ย ตอนนี้หลายอารมณ์มาก น่ารักกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 30-07-2019 23:46:35
เข้าใจฟิลความเสียใจที่สอบไม่ติด แต่น้องก็ผ่านมาได้ แงงง น้องก้องเก่งมากเลยยคับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 31-07-2019 11:37:03
น่ารักอ่ะ... :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: s4ow4n33 ที่ 31-07-2019 14:44:34
ดีใจด้วยนะก้อง กู้ร้องให้สุดเสียง สมัยสอบเข้านี่ก็ปวดหัว เสียนำ้ตาไปหลายเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 31-07-2019 18:19:18
น้องก้องงงงงง ดีใจด้วยยยยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 02-08-2019 00:21:15
กอลิล่าก้องงงงงง เวลคัมทูประเทศลาดกระบังงงงงงงง
 :mc4: :mc4:  :mc4:
//อ้าแขนรับ งื้อออออ ลุ้นแทนน้อง ตัวบิดไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 31 update!] 29/7/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 04-08-2019 19:50:45
เขียนดีมากเลย เป็นกำลังใจให้คนแต่ง อ่านเพลินมากเลย :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 05-08-2019 19:57:30
32 [PART1/3]

คืนวันที่สอง มิถุนายน

ผมนั่งเตรียมเอกสารสำคัญใส่แฟ้มอย่างตื่นเต้นทั้งๆที่เว็บไซต์เขียนว่าต้องนำบัตรประชาชนตัวจริงกับสำเนาระเบียนผลการเรียนไปเท่านั้น แต่ผมเตรียมสำเนาทะเบียนบ้านและเอกสารอื่นๆไปด้วย เผื่อทางมหาวิทยาลัยขอดูจะได้ไม่ต้องกลับมาเอาที่ลาดพร้าวอีก

หลังจัดของใส่เป้ ผมก็ยืนรีดเสื้อผ้าของตัวเองและของพี่อู๋จนเรียบกริบ ผมแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าควรใส่อะไรเพราะคุณอิศรินทร์ผู้มีเซนส์แฟชั่นดีกว่าใครได้เลือกไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงสแลคสีดำและรองเท้าหนังที่พี่อู๋ซื้อให้ ส่วนเขาสวมเสื้อพับแขนสีฟ้า กับกางเกงยีนสีเข้มและรองเท้าผ้าใบ เราจะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย พี่อู๋บอกว่าต้องรีบออกหน่อยเพราะวันจันทร์รถค่อนข้างติด ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าจะตื่นตีห้าและออกจากบ้านหกโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะถึงลาดกระบังตอนเจ็ดโมงพอดี

 “รีดกี่รอบแล้วก้อง พอก่อน เดี๋ยวผ้าไหม้”

พี่อู๋แซวเมื่อเดินออกจากห้องนอนก็เจอเด็กขี้เห่อยืนรีดผ้าหน้าเตา ผมบอกพี่อู๋ว่าเว่อร์ ผมแค่รีดเก็บรายละเอียดแค่นี้เอง ไม่ได้รีดสองรอบเสียหน่อย

“พรุ่งนี้พี่ลางานได้จริงๆใช่ไหมครับ?”
“ได้”

เขาบอก แต่ผมคิดว่าคำว่า ได้ ของพี่อู๋อาจจะทำให้ชิราอิชิซังเคืองอยู่บ้าง วันก่อนเขาเพิ่งบ่นว่านายไม่อยากให้ลาเพราะไม่มีคนรับช่วงต่อ พี่อู๋ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาจำเป็นต้องพานายก้องเกียรติไปมอบตัวจริงๆ ดังนั้นหน้าที่ล่ามเฉพาะกิจจึงต้องเป็นของน้องฝ่ายจัดซื้อแทน ซึ่งทั้งสองคนจะคุยกันรู้เรื่องไหม เดี๋ยวชิราอิชิซังคงโทรมาด่าพี่อู๋อีกที

วันที่สาม มิถุนายน เราเดินทางไปสัมภาษณ์ที่ลาดกระบัง

ผมนั่งตื่นเต้นในรถโดยมีพี่อู๋คุยโทรศัพท์สั่งงานกับน้องจัดซื้อที่ออฟฟิศ หลังจากนั้นก็คุยเล่นกันฆ่าเวลาระหว่างเดินทาง พี่อู๋ถามว่าสัมภาษณ์เสร็จจะไปดูหอพักเลยไหม ผมบอกเขาว่าไม่ต้องดูหรอกครับ เพราะผมจะอยู่หอใน มันถูกดี ไม่อยากให้พี่เปลืองตังค์

“หอในมันเก่านะ”
“ไม่เก่าครับ ผมลองหาดูแล้ว” ผมเปิดเฟสบุ๊กเพจชาวหอในให้ผู้ปกครองดู แต่เขาขับรถอยู่เลยไม่ละสายตามามอง “มีห้องแอร์กับห้องพัดลม ผมอยู่ห้องพัดลมได้นะ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเก่า ผมก็เปิดแค่พัดลม”
“ตอนนี้โลกร้อน อยู่ห้องแอร์เถอะ”
“แต่ห้องแอร์เดือนละห้าพันเลยนะพี่อู๋”
“ก็ตกกะปินิ”
“ปกติ!!!!” เชื่อไหมว่าผมแก้มุขตกกะปิเกินสิบครั้งแล้วในรอบเดือนนี้ “แต่เขายังไม่ประกาศเลยครับว่ารับสมัครวันไหน ในเพจบอกว่าจะแจ้งเดือนมิถุนานี้แหละ”
“แต่พี่อยากให้ก้องอยู่หอนอก มันสะดวกกว่า”
“หอในสิครับสะดวกกว่า อยู่ในมอเลยนะ”
“แล้วพี่ขอเข้าไปนอนด้วยได้หรือเปล่าล่ะ? ไอ้เด็กโง่”

พี่จะมานอนด้วยทำไมล่ะครับ เอ้อ – ก็อยู่บ้านสบายๆไปสิ

ผมคิด แต่ไม่ได้พูด เพราะถ้าพูดออกไปน่าจะโดนมะเหงกก้อนใหญ่อีกปึ้ก





เราถึงสถานที่สัมภาษณ์เร็วก็เลยมีเวลากินขนมปัง ดื่มนม กินของจุบจิบให้หายหิว คนรอสัมภาษณ์ไม่ค่อยเยอะเหมือนตอนสอบเท่าไหร่ ผมเดาเอาว่าเพราะรอบสี่รับเด็กน้อยลงก็เลยเหลือกันแค่นี้ ผมมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความตื่นเต้น เห็นคนสวมชุดนักเรียนเดินกันขวักไขว่แล้วอดคิดถึงสมัยมัธยมปลายไม่ได้ จริงๆผมเองก็อยากสวมชุดนักเรียนอีกนะ แต่พี่อู๋บอกว่าเรียนจบมาปีกว่า ไม่ใช่เด็กนักเรียนแล้ว ก็เลยเป็นที่มาของเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนี้แทน

พอนั่งรอไปซักพัก ก็มีนักศึกษาเรียกให้เดินต่อแถวเตรียมตัวเข้าสัมภาษณ์ ผมกอดพี่อู๋อีกหนึ่งทีราวกับจะจากกันไปรบที่ไหน เขาบอกว่าสัมภาษณ์เสร็จไปหาของอร่อยกินกัน ไอ้สมาร์ทยังไม่กลับลาดกระบังแต่มันส่งพิกัดของดีมาให้แล้ว ผมพยักหน้าบอกพี่อู๋ว่าครับๆ เสร็จตรงนี้ไว้ไปเที่ยวกัน พี่รอก่อนนะ ผมไปไม่นาน สัญญาว่าจะตอบคำถามให้ดียิ่งกว่านางงามเลย

ผมต่อคิวรอเข้าห้องสัมภาษณ์ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เป็นคิวของนายก้องเกียรติ ผมยกมือไหว้สวัสดีผู้สัมภาษณ์ตามมารยาท แนะนำตัวว่าชื่อก้องเกียรติครับ อายุเท่าไหร่ จบจากโรงเรียนอะไร อาจารย์ที่นั่งตรงข้ามถามก้มหน้าอ่านเอกสารและขอดูปพ.หนึ่ง เขาชวนคุยเรื่องทั่วไปเช่น ทำไมถึงอยากเรียนวิศวะ ตอบ: เพราะเจ้านายของผู้ปกครองของผมออกแบบเครื่องจักรตัวละยี่สิบล้านครับ อาจารย์หัวเราะขำ อยากเป็นวิศวะเพราะเงินหรอกเหรอ ผมไม่ปฏิเสธ ก็มันรวยจริงๆนี่ ถ้าผมตั้งใจเรียนและฝึกตัวเองให้เก่ง ผมก็จะมีเงินเยอะๆ พอมีเงิน ผมจะเอาเงินไปคืนผู้ปกครองครับ เพราะเขาหมดเงินกับค่ากินค่าอยู่ของผมตั้งหลายบาท

“พ่อแม่เขาไม่หวังเงินทองก้อนโตจากลูกหรอก แต่ถ้าได้ก็ดีเนอะ”

อาจารย์พูดยิ้มๆ ผมจึงบอกเขาว่าผู้ปกครองไม่ใช่พ่อแม่ครับ แต่เป็นคนที่บังเอิญเจอกันแถวบ้าน เขาเห็นผมไม่มีใครก็เลยรับมาดูแล

“พ่อแม่เสียหมดแล้วเหรอ?”
“พ่อหายส่วนแม่ตายครับ”
“ใครส่งเสียค่าเทอมล่ะ? เราได้ทำเรื่องกู้กยศ.ไว้บ้างไหม? ถ้าตั้งใจเรียนได้เกรดดีๆที่คณะให้ทุนการศึกษาด้วย เราจะได้ไม่ลำบาก”

ผมบอกอาจารย์ว่าคิดครับ คิดทุกวันว่าอยากกู้กยศ. แต่ผู้ปกครองของผมไม่ให้กู้ เขาบอกว่าให้คนที่ลำบากจริงๆดีกว่าเพราะเขาจ่ายได้ เขามีเงินส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรีเลย

“แล้วผู้ปกครองของเราทำงานอะไรล่ะ?”
“เป็นล่ามครับ ล่ามญี่ปุ่น”

อาจารย์ร้องอ๋อและพยักหน้าเข้าใจ ผมว่าเขาคงรู้ว่าล่ามเงินค่อนข้างดี ยิ่งล่ามญี่ปุ่นเก่งๆอย่างพี่อู๋ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เงินหนาใจป๋า สองหมื่นห้าไม่ระคายขนหน้าแข้งเขาหรอก เราคุยจิปาถะอีกนิดหน่อยก่อนอาจารย์จะอนุญาตให้กลับ เขาบอกว่าอย่าลืมติดตามกำหนดการต่างๆในเพจของมหาวิทยาลัยนะ จริงๆในเอกสารที่ให้ไปก็มี แต่ถ้าสงสัยอะไร ทักแชทถามเจ้าหน้าที่ในเพจได้ ทุกคนยินดีตอบคำถามให้

ผมยกมือไหว้และขอตัวกลับ จังหวะที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ อาจารย์ก็โพล่งออกมาว่านามสกุลของผมคุ้นๆจัง เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จักเลย ผมตอบเขาว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ นามสกุลผมค่อนข้างโหลก็เลยซ้ำกับของคนอื่นแน่ๆ

“บ้านเราอยู่ไหนนะ?”
“ลาดพร้าวครับ”
“ไม่ๆ ก่อนหน้าที่จะเจอผู้ปกครองน่ะ”
“อ๋อ – จรัญสนิทวงศ์ครับ” ผมตอบยิ้มๆ
“คุณแม่ชื่ออะไรเหรอ?”
“ภัทราพรครับ”
“คุณพ่อล่ะ?”

ผมจำชื่อพ่อจากใบเกิดของตัวเองได้ แต่จำนามสกุลไม่ได้ก็เลยหยิบสำเนาสูติบัตรออกมาจากแฟ้ม อ๋อ – พ่อชื่อสมปราชญ์ครับ ผมบอกและทวนนามสกุลของพ่อให้อาจารย์ฟัง เขาเงียบไปพักนึงก่อนจะพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมจึงขอตัวกลับแล้วก็วิ่งหน้าระรื่นไปหาผู้ปกครองที่กำลังรออยู่ข้างล่าง เราคุยกันว่าควรทำอะไรต่อไปดีระหว่างตระเวนหาหอพักหรือซื้อชุดนักศึกษา พี่อู๋บอกว่าซื้อชุดเรื่องเล็กเพราะเราจะซื้อที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มาตกลงเรื่องห้องก่อนดีกว่า สรุปก้องจะอยู่หอในหรือหอนอก ผมตอบทันทีว่าหอใน

“หอในมันถูก แต่กฎระเบียบเขาเข้มงวดนะ”

พี่อู๋กอดอกมองกอริลลาก้องและพูดต่อว่าหอในกำหนดเวลาเข้าออก ถ้าวันไหนต้องทำงานกลุ่มจะลำบากเพราะไม่ต้องกลับก่อนไม่งั้นไม่ได้เข้าห้อง ส่วนค่าน้ำค่าไฟไม่ได้ต่างจากข้างนอกเลย หน่วยละแปดบาทพอๆกัน แถมค่าห้องก็สูสีมาก ห้องติดแอร์เดือนละห้าพันบาท หารกับรูมเมทเหลือสองพันห้า น้ำไฟจ่ายแยก แบบนี้เช่าหอนอกอยู่คนเดียวดีกว่า สะดวกกว่า มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เชื่อพี่เถอะก้อง พี่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน บางครั้งเราต้องทำงานจนดึกดื่นจริงๆ ถ้าโดนจำกัดเวลาเข้าออกมันลำบากนะ

“แต่ผมไม่มีเงิน”
“เดี๋ยวพี่จ่ายให้ไง” เขาพูดประโยคเดิมๆ “อยู่หอเดียวกับสมาร์ทดีกว่า มีอะไรจะได้ช่วยกัน”
“หอสมาร์ทแพงไหมครับ?”
“โอ้ย – ไม่แพงหรอก”

พี่อู๋บอกระหว่างเดินนำไปที่รถ เขาพาผมไปหาหอพักในซอยที่ชื่อเกกีงาม และเราก็ได้เข้าไปดูหอของสมาร์ทที่คุณอิศรินทร์คอนเฟิร์มว่าราคาไม่แพง หอนี้เป็นระบบสแกนด้วยลายนิ้วมือ ประตูรั้วคีย์การ์ด เฟอร์นิเจอร์ครบเซ็ตแถมเตียงขนาดหกฟุตอีกหนึ่งหลัง ถ้าจะเอาตู้เย็นกับทีวีพร้อมจานดาวเทียมจ่ายเพิ่มอีกห้าร้อย – อืม ท่าทางไม่แพงเลย ไม่แพงจริงๆ

“สนใจจองไว้เลยไหม? ตอนนี้ห้องเหลือว่างไม่ถึงห้าห้องแล้วนะคะ”

พี่เจ้าของหอถามยิ้มๆ ผมบอกเขาว่าขอคิดดูก่อนครับ แต่พี่อู๋หยิบโทรศัพท์เตรียมทำอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งแล้ว

“พี่อยากให้ก้องอยู่หอใหม่ๆนะ แต่ก้องไม่มีมอเตอร์ไซค์ อยู่ซอยนี้ไปก่อนก็แล้วกัน สะดวกดี ใกล้คณะของก้องด้วย” พี่อู๋อธิบาย “เดี๋ยวช่วงใกล้เปิดเทอมพี่จะซื้อจักรยานให้ ขับมอเตอร์ไซค์คล่องเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

ผมบอกพี่อู๋ว่าครับ ครับ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไรเลย แค่หอที่พี่อู๋เลือกให้ก็ดีมากๆแล้ว ระบอบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เฟอร์นิเจอร์ครบ มีแอร์ มีทีวี มีตู้เย็น มีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากๆแล้ว แต่มันคงดีกว่านี้ถ้ามีเมทมาแชร์ด้วย พี่จะว่าไหมครับถ้าผมหาเพื่อนมาอยู่ด้วยซักคน พี่อู๋ส่ายหน้าและบอกว่าอย่าหาเลย มีรูมเมทต้องอยู่กันแบบเกรงใจ ไม่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปล่าๆ รูมเมทเนี่ยถ้าจูนกันไม่ติดอาจจะเกลียดกันถึงขั้นเอาแปรงสีฟันจุ่มโถส้วมเลยนะ

ผมเกรงใจพี่อู๋จะแย่เพราะค่าเทอมที่นี่ตั้งสองหมื่นห้า ค่าห้องเดือนละห้าพันห้าไม่รวมน้ำไฟ ค่ากินค่าอยู่ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าหนังสือรายวิชา ค่าชุดนักศึกษาอีก สารพัดค่าใช้จ่ายตีเลขกลมๆแล้วเกือบครึ่งแสน พี่อู๋ก็แสนดีเหลือเกิน หยิบยื่นคุณภาพชีวิตดีๆให้นายก้องเกียรติทั้งๆที่ผมไม่มีอะไรตอบแทนเขาเลย ไม่มีซักอย่าง

“อย่าคิดมาก มันไม่เท่าไหร่หรอก” พี่อู๋บอก แต่ผมหยุดกังวลรายจ่ายไม่ได้ “ก้อง ที่พี่เลือกหอนอกเพราะอยากแวะมาค้างกับก้องบ้าง อยู่คนเดียวเนี่ยดีแล้ว เชื่อพี่เถอะ พี่ยินดีจ่ายแลกกับความสบายใจ”
“พี่จะขับมาถึงลาดกระบังทำไมล่ะ พี่ก็อยู่ลาดพร้าวสิ อย่ามาให้เหนื่อย”
“เผื่อวันไหนพี่อยากเจอ”
“ยังไงผมก็กลับบ้านไปหาพี่อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องมา”
“พี่จะมา”
“ไม่ต้องมา”
“มา”
“ไม่มา”

เราเถียงกันว่ามา ไม่มา ไม่ต้องมา อยากมา อยากเจอ ไม่ต้องขับมาให้เปลือง เถียงกันอย่างนั้นไม่จบไม่สิ้นจนผมยอมแพ้ เออ จะมาก็มา อยากมาก็มา รวยนักก็ขับมาเลย พี่อู๋ได้ทียิ้มชอบใจใหญ่ เขาไม่แน่ใจว่าสะดวกช่วงไหน แต่ถ้าผมไม่กลับบ้านเกินสองสัปดาห์ เขาจะขับรถมาดักรอหน้าตึกเลยคอยดู

หลังจ่ายเงินมัดจำค่าหอ พี่อู๋ก็พากอริลลาก้องไปเดินเล่นเมกาบางนา ตอนแรกเราตั้งใจจะไปร้านชาบูที่สมาร์ทแนะนำ แต่โชคร้ายเพราะร้านปิดก็เลยอดตามระเบียบ เราสองคนแวะฉลองวันดีๆด้วยร้านขายอาหารในอีเกีย ผมสั่งฟิช แอนด์ ชิพส์ ส่วนพี่อู๋กินข้าวน่องไก่อบ ผมว่าราคาอาหารค่อนข้างแรงเอาเรื่อง ส่วนรสชาติพอกินได้ ไม่ได้อร่อยจนสายรุ้งออกจากปาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องเอากระดาษทิชชู่เช็ดลิ้นเพราะไม่อร่อย

“วันนี้อาจารย์ที่สัมภาษณ์บอกว่านามสกุลของผมคุ้นๆ เขาถามชื่อพ่อกับแม่ผมด้วย”

พี่อู๋เลิกคิ้วประหลาดใจ ผมจึงเล่าต่อว่าเขาก็ไม่ได้อะไรนะ แค่ถามเฉยๆ พอพูดจบ ผู้ปกครองของผมดูสงสัยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่านเพราะมันอาจเป็นคำถามทั่วไปก็ได้ เมื่ออาหารถูกจัดการจนเกลี้ยง เราจึงเดินเล่นในเมกกาบางนาอีกพักใหญ่ถึงกลับลาดพร้าว ผมหลับหมดสภาพตลอดทางเพราะตื่นนอนแต่เช้าก็เลยไม่ได้คุยกับพี่อู๋ หลังจากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่เคยถูกพูดถึงอีกเลย




ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเช่นเคยคับผม  :hao5:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 05-08-2019 19:59:19
32 [PART 2/3]


ผมจดกำหนดการสำคัญเอาไว้ในปฏิทิน วันที่สิบเก้ามิถุนานี้ผมต้องไปตรวจสุขภาพที่สำนักหอสมุด ข้ามไปวันที่สามกรกฎาต้องเตรียมเอกสารหลายอย่างมากเพื่อรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษา – เตรียมเงินสองร้อยบาทจ่ายค่าบัตรด้วย วันที่แปดมีปฐมนิเทศผู้ปกครองตอนเช้า แต่พี่อู๋ไม่ว่าง วันที่เก้าคือ Pre Engineering Camp วันที่สิบถึงยี่สิบสามมีเรียนปรับพื้นฐาน ยี่สิบเก้ากรกฎาถึงหนึ่งสิงหามีค่ายของภาควิชา วันที่สองสิงหามี Open Room วันที่สามสิงหางาน First Step วันที่ห้าสิงหา ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่และเปิดเรียน – กำหนดการแน่นขนาดนี้ พี่อู๋จึงรีบพานายก้องเกียรติไปซื้อชุดนักศึกษาก่อนเดือนกรกฎา

“ไหนลองขยับแขนซิ” ผมทำตามคำสั่งเขา “เหยียดแขนไปข้างหลังหน่อย” ผมเปลี่ยนอิริยาบถตามที่ผู้ปกครองสั่งทันที พี่อู๋ใช้สายตาพินิจพิจารณาแค่ชั่วครู่ก็บอกว่าตัวนี้ไม่ได้ รัดแน่นเกินไป ปลิ้นเหมือนแหนม

“แขนเสื้อยาวพอดี” พี่อู๋พูดงึมงำๆคนเดียว “ชุดนักศึกษาต้องใส่ในกางเกงให้เรียบร้อย ชายเสื้อต้องยาวประมาณ --” เขาใช้นิ้ววัดความยาวตั้งแต่ช่วงเอวจนสุดชายเสื้อก่อนจะพยักหน้าพออกพอใจ “เอาไซส์นี้แหละ”

“ผมแค่ใส่ไปเรียนหนังสือเอง”
“แล้วไง?” พี่อู๋ถามอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเลือกกางเกงต่อ “ถ้าเราแต่งตัวดูดี เดี๋ยวอะไรดีๆก็ตามมา”
“ที่นี่เขาตัดเกรดจากคะแนนสอบนะครับ ไม่ใช่เสื้อผ้า”

ผมกลอกตาแต่ก็ยืนเป็นหุ่นลองเสื้อตามใจผู้ปกครอง สมาร์ทบอกว่าชุดนักศึกษาไม่ต้องซื้อเยอะเพราะเทอมสองจะได้ใส่เสื้อช็อป ไว้วันที่รายงานตัวค่อยไปสั่งที่คณะ ส่วนเข็มขัดไม่ต้องเพราะสมาร์ทมีตั้งสี่เส้น มาเอาไปได้เลย เอ้อ – เนกไทก็ไม่ต้องซื้อนะ ช่วงเดือนสิงหา  มหาวิทยาลัยมีพิธีมอบเนคไทและเข็มประดับ ไม่ต้องรีบซื้อให้เปลืองสตางค์ รอรับของฟรีในวันนั้นดีกว่าเพราะเนกไทใส่แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หายแล้ว

ตอนแรกผมบอกพี่อู๋ว่าไม่ต้องรีบเซ็นสัญญาหอเพราะผมจะไปค้างที่ลาดกระบังเดือนสิงหาทีเดียว แต่กิจกรรมมันแน่นมากพี่อู๋ก็เลยเป็นห่วง ไม่อยากให้ผมเดินทางไปกลับดึกๆดื่นๆก็เลยต้องย้ายของเข้าไปก่อน จะอยู่กี่วันค่อยว่ากัน น่าเสียดายที่พี่อู๋ไม่ว่างไปรับไปส่งเพราะต้องทำงาน ดังนั้นผมจึงเดินทางไปมหาวิทยาลัยคนเดียว เรียกมันว่าการผจญภัยครั้งใหญ่ของนายก้องเกียรติก็ได้เพราะครั้งนี้ไม่มีสมาร์ทคอยช่วย ผมต้องนั่งเอ็มอาร์ทีไปลงสถานีเพชรบุรี ต่อแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ไปสถานีลาดกระบัง นั่งรถสองแถวที่เขียนคำว่าเทคโนฯเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นเดินหาอาคารที่คนเดียว หลงหน่อย เหนื่อยหน่อย ป้ำๆเป๋อๆหน่อยแต่ก็สนุกดี

ผมไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีเพื่อนเยอะ แต่อย่างน้อยถ้ามีซักคนก็คงดีจะได้ช่วยๆกันตอนเรียน วันรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษา ผมเจอกลุ่มเพื่อนที่เข้าหาชวนคุยประมาณสองสามคน แต่พอหมดวันเราก็แยกย้ายเพราะจูนกันไม่ติด ผมจึงยังไม่มีเพื่อนที่คุยกันได้เลยซักคน

วันนี้มี Pre Engineering Camp ผมแอบหวังว่าจะมีใครเข้าหาอีกเพราะผมเป็นคนขี้อายมาก แทบไม่เคยเป็นฝ่ายถามชื่อใครเลยยกเว้นโดนถามก่อน แต่หมดช่วงเช้าแล้วผมก็ยังไม่มีกลุ่มเพื่อน ทุกคนแยกย้ายไปนั่งจับกลุ่มกินข้าวกัน ส่วนผมกับบางคนที่โลกส่วนตัวสูงปลีกตัวไปนั่งกินเงียบๆคนเดียว ผมไม่ใช่คนติดเพื่อน จะมีเพื่อนหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหา แต่การอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เริ่มสนิทสนมกันมันแอบกดดันแปลกๆ ผมถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่มีเพื่อนเสียที ผมดูหยิ่งมากเหรอ ผมตัวเหม็นเหรอ ทำไมไม่มีใครเข้ามาถามชื่อผมเลยล่ะ ผมครุ่นคิดหนักอกหนักใจระหว่างกินข้าวมันไก่ จนกระทั่งเห็นกระโปรงนักศึกษาหยุดอยู่ระดับสายตาพอดี ผมเงยหน้ามอง เจอผู้หญิงที่น่ารักมากๆถามว่าทำไมกินคนเดียวอ่ะ กินด้วยได้หรือเปล่า

“เอาสิ”

ผมผายมือเชิญให้เธอนั่ง เพื่อนใหม่ที่ห้อยป้ายชื่อเหมือนๆกันวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้นแล้วนั่งกินเป็นเพื่อน ผมแอบเหลือบมองเธอหลายหน มองอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะเธอเป็นคนสวย ลำพังแค่เพื่อนผู้หญิงก็เข้าหาลำบากแล้ว ทำไมต้องสวยด้วย รู้ไหมมันกดดัน

“ชื่อไรอ่ะ?”
“อ๋อ เราชื่อก้องนะ” ผมแนะนำตัวพร้อมชูป้าย เธอชูของตัวเองบ้างและบอกว่าชื่อทราย
“ทำไมนั่งคนเดียว?”
“ไม่รู้จะนั่งกับใคร”
“แล้วนี่เรียนภาคอะไร?”
“แมคคา” ผมตอบ ทรายเลิกคิ้วแล้วบอกว่าเธอเองก็เรียนแมคคาทรอนิกส์เหมือนกัน
“อาจารย์พูดไรไม่รู้ แม่งง่วงว่ะ” ทรายบ่นงุบงิบตามประสา ท่าทางเหมือนลูกคุณหนูขี้รำคาญที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร ผมถามเธอว่าทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ ไม่นั่งกับกลุ่มผู้หญิงฝั่งโน้นเหรอ
“อ๋อ เห็นยายนั่นไหม?” ทรายเอาส้อมชี้ไปที่ผู้หญิงผมหยักศกใส่แว่น เธอกำลังฉีกยิ้มหัวเราะร่ากับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางสนุกสนาน “มันชื่อฟ้าใส เราเกลียดมัน”
“เขาไปทำอะไรให้อ่ะ?”
“เรามาจากโรงเรียนเดียวกับมัน อีนั่นมันตีสองหน้า” ทรายด่าพลางใช้ช้อนสับไก่ในกล่องโฟมจนแทบแหลก “มันชอบเสี้ยมให้คนเกลียดกัน แล้วตัวเองก็รับบทนางฟ้าสวยๆ”
“ถ้าไม่อยากมีเพื่อนเก่งๆ ทรายจะอยู่กับเราก็ได้นะ”
“โอ๊ย เราก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เกรดมอปลายได้แค่สองจุดเจ็ดเอง”

โอเค – ผมจะไม่พูดเรื่องเกรดกับทราย

“เออ ก้องเป็นคนที่ไหนอ่ะ?”

ทรายชวนคุย แล้วเราก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน ผมบอกทรายแค่ว่ามาจากลาดพร้าว อาศัยอยู่กับผู้ปกครองสองคนในคอนโดขนาดกลาง ส่วนทรายเป็นลูกสาวคนที่สามของร้านทำเบเกอรี นอกจากจะต้องมาเรียนแล้วยังต้องกลับไปช่วยที่บ้านทำขนมทุกวันหยุดอีก ผมถามทรายว่าร้านชื่ออะไรเหรอ ถ้ามีโอกาสก็อยากลองชวนพี่อู๋ไปกินบ้าง ทรายบอกว่าไม่มีชื่อหรอก บ้านทรายแค่ทำขนมแล้วขายต่อให้แต่ละเจ้าไปแปะสติ๊กเกอร์เป็นแบรนด์ตัวเอง

“นี่ถ้าเราสนิทกันเร็วนะ เย็นนี้จะชวนไปตีแป้งที่บ้าน ขี้คร้านจะทำ”
“บ้านทรายอยู่ไหนเหรอ?”
“บางพลี” ทรายดูดนิ้วที่เปื้อนน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ผู้หญิงอะไรหน้าสวยผิวสวย แต่ตอนกินโคตรมูมมามเหมือนพี่อู๋เลย “เออ แล้วเราต้องลงทะเบียนวันไหนนะ?”
“เขาบอกว่าปีหนึ่งไม่ต้องลง รอลงวิชาเลือกวันที่ห้าเดือนหน้า”
“เออ เค” ทรายพนักหน้า “ขอไลน์หน่อยดิก้อง”
“อื้อ ได้สิ”

เราแลกคอนแท็คกัน พอเห็นรูปโปรไฟล์ของผมทรายก็ถามว่าทำไมใช้รูปนารูโตะ ผมบอกเธอว่าผมชอบ สนุกดี แต่ไม่ได้อ่านต่อนานมากแล้วเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ

“จริงๆไลน์ควรเป็นรูปก้องนะ เวลาคนอื่นอยากคุยจะได้หาแชทง่ายๆ”
“เราไม่มีรูปตัวเองในมือถือเลย”
“ไม่ถ่ายบ้างเหรอ?”
“ถ่ายนะ แต่อยู่ในโทรศัพท์พี่อู๋อ่ะ”
“งั้นถ่ายดิ มา เราถ่ายให้”

ผมไม่ค่อยมั่นใจ แต่พอทรายยกไอโฟนของตัวเองจะถ่ายให้ ผมจึงยิ้มแหยๆ ทรายบอกว่าถ้ายิ้มเหมือนถูกบังคับให้กินอึ๊ก็ทำหน้าบึ้งไปเลยเถอะ จะได้ไม่ต้องครึ่งๆกลางๆ ผมจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าถูกใจคุณนายทรายไหม แต่พอเธอส่งรูปมาให้ทางไลน์ มันค่อนข้างออกมาดูดีเลย

“ใช้แอปอ่ะ ถ่ายออกมาไม่หล่อให้ถีบยอดหน้าเลย”

ผมหัวเราะและเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ทันที หลังจากนั้นไม่นานพี่อู๋ก็ทักมาถามว่าเปลี่ยนรูปใหม่เหรอ ใครถ่ายให้ มีเพื่อนใหม่หรือยัง ผมจึงบอกทรายว่าขอเซลฟี่ด้วยหน่อยสิ พี่อู๋อยากเห็นหน้าเพื่อน ทรายจัดให้ตามคำขอ เธอชูสองนิ้วแนบแก้มทำปากจู๋ ท่าทางดูกวนตีนมากกว่าให้ออกมาแอ๊บแบ๊วน่ารัก

“พี่อู๋ถามว่าทำไมเพื่อนสวย”
“ขอบคุณนะคะพี่ แต่หนูมีแฟนแล้ว” ทรายจีบปากจีบคอพูด ผมอยากเอาน้ำจิ้มฉีดใส่หน้ามันจริงๆ “เอ้อ -- พี่อู๋ที่เป็นผู้ปกครองนี่คือพี่ชายหรือญาติของก้องเหรอ?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างอ่ะ แค่บังเอิญเจอกัน”
“จริงจัง? เรื่องมันอะไรยังไงไหนเล่าซิ?”

ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่ค่อยอยากเล่าเพราะเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นสามารถแชร์เรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทรายยังคงนั่งหลังตรงและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่ผมไม่ได้เล่า ผมไม่พูดอะไรซักคำจนกระทั่งหมดเวลาพัก เราจึงเดินไปทิ้งข้าวกล่องลงถังขยะและแยกย้ายไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นหอประชุมอีกครั้ง

ผมบอกทรายว่าจะรอตรงตู้กดน้ำ เธอตอบแค่โอเคแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำหญิง ผมมองเพื่อนร่วมคณะเดินขึ้นบันไดกันเป็นกลุ่ม พวกเขาส่งเสียงคุยจอแจเพราะคงกำลังทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ถ้าเป็นก่อนหน้าผมคงเศร้านิดหน่อยที่ไม่มีใครเข้าหา แต่ตอนนี้ผมมีทรายแล้ว คิดว่าน่าจะไม่ต้องกังวลอะไรเท่าไหร่ล่ะมั้ง

“เอ่อ – หนู”

เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้ผมตกใจ ผมรีบตอบครับโดยอัตโนมัติเมื่อพบคุณลุงที่ดูมีอายุคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างท้วม หน้าตาออกจีนๆ ผิวขาวซีด สวมเสื้อคอปกแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำ โดยรวมแกแต่งตัวดีมาก แต่ดูเงอะงะเหมือนไม่ใช่อาจารย์ที่นี่ น่าจะเป็นผู้ปกครองที่รอรับลูกหรือไม่ก็หลานกลับบ้าน

“ห้องน้ำอยู่ไหนเหรอ?”
“ทางนี้ครับ ข้างหลังนี้เลย”

ผมชี้นิ้วไปด้านหลัง คุณลุงมองตามก่อนจะบอกขอบอกขอบใจแต่ไม่รีบเดินไปไหน แกยืนยิ้มอย่างนั้นอยู่นานมาก และเอาแต่จ้องนายก้องเกียรติตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเจอของแปลก

“ให้ผมพาไปไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวลุงไปเอง”

เขายิ้มแล้วยอมเดินจากไป สวนทางกับทรายที่เดินสะบัดมือออกมาพอดี ทรายถามว่ารอนานไหม พอดีปวดขี้ก็เลยแวะหย่อนระเบิดหน่อย ผมบอกว่าไม่นานหรอก แค่ตอนนี้เราเรียนจบแล้ว ผมกำลังส่งเรซูเม่สมัครงานพอดี

“เว่อร์ว่ะ”

ทรายหัวเราะ แล้วเดินข้างผมกลับเข้าหอประชุม การมีเพื่อนเป็นคนที่หน้าตาดีมากๆมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเรากลายเป็นจุดสนใจโดยไม่ต้องพยายาม ทุกคนหันมองทรายจนคอแทบเคล็ดเพราะทรายสวยจริงๆ แต่เบื้องหลังความสวยคือการบอกเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันว่าไปขี้มา จะดมไหม ไม่ได้ใช้เจลล้างมือนะ มันหมด

“โสโครก”

ผมด่าทีเล่นทีจริง แต่ทรายไม่ยักโกรธ ตกบ่ายเราจึงย้ายมานั่งข้างกัน กิจกรรมที่รุ่นพี่จัดให้ไม่ได้ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ แน่นอนว่าทรายย่อมเป็นจุดสนใจเพราะเป็นคนสวย พอทรายมาอยู่กับผม เราก็เริ่มมีเพื่อนชวนคุยขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ผมรู้จักมิว เต้ โบ้ท อาร์ท และเชอร์รี่ มีอีกคนที่เข้ามาทักพวกเรา เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อออกัสแล้วนั่งจับกลุ่มกับผมกลายเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเพื่อนๆพูดกันลับหลังว่าออกัสเป็นเน็ตไอดอล น่าจะได้เป็นเดือนคณะ หรือไม่ก็เดือนมหาลัยของปีเราเลย

“ตอนเช้ายังเก๊กไม่คุยกับใคร พอเห็นทรายก็เสนอหน้ามาเลย หน้าหม้อชิบหาย ไอ้หม้อราชบุรี”

โบ้ทแอบกระซิบด่าออกัสให้นายก้องเกียรติฟัง ผมบอกโบ้ทว่า บ้า มึงอ่ะคิดมาก เขาอาจจะเป็นคนขี้อายก็ได้เลยไม่กล้าเข้าหาใครก่อน ถึงจะมีซุบซิบกันบ้างแต่เพื่อนกลุ่มแรกของผมค่อนข้างเฟรนลี่ก็เลยโอเค ถูๆไถๆกันไป เรานั่งด้วยกันจนหมดชั่วโมงกิจกรรมจึงชวนกันไปหาข้าวกิน ออกัสเสนอว่าอยากกินชาบู โบ้ทบอกอยากกินบะหมี่เกี๊ยว มิวอยากกินของเบาๆราคาไม่แพงเพราะเพิ่งซื้อบ้องไฟเกาหลีมา นายก้องเกียรติอะไรก็ได้ ตามใจทุกคน ส่วนทรายไม่กิน จะกลับบ้านไปทำขนมเพราะป๊าโทรตามแล้ว

“งั้นกินอาหารจานเดียวก็ได้ ทรายจะได้กลับไวๆ” ออกัสเสนอ
“กูบอกแล้วว่าไอ้เหี้ยนี่มันหม้อราชบุรี” โบ้ทกระซิบอีก ผมจึงบอกโบ้ทว่า ถ้ามึงยังไม่เลิกเอาจังหวัดราชบุรีต่อท้ายคำว่าหม้อ กูจะฟ้องผู้ว่า

ทรายกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกเพราะส่วนหนึ่งอยากกินข้าวกับเพื่อนด้วย อีกส่วนก็ต้องรีบไปช่วยที่บ้านทำขนมด้วย แต่สุดท้ายความใจแตกของทรายก็เลือกบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงกับเพื่อนๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเจ็ดนาที เราแยกย้ายกันตรงคิวรถตู้

“จริงๆถ้าทรายรีบ เราไปส่งทรายก็ได้นะ เรามีรถยนต์”
“อย่าเลยออกัส เสียเวลาเปล่าๆ บ๊ายบายนะทุกคน”

เธอเดินดุ๊กดิ๊กๆขึ้นรถเก๋งคันนึงแล้วออกไปโดยเหลือผมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ไว้เบื้องหลัง

“กูอยู่ซอยเกกีสอง มึงอ่ะก้อง?”
“เกกีหนึ่ง”
“งั้นไปมอไซค์กับกู เดี๋ยวกูไปส่ง”

โบ้ทอาสา ผมจึงกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ร้ายๆของมันจนถึงหอ ผมขอบใจมันก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้มีเรียนปรับพื้นฐานนะ อย่ามาสายล่ะ มันตอบเออๆแล้วขับรถจากไป นายก้องเกียรติจึงขึ้นห้อง วางกระเป๋าเป้บนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะกระโดดนอนบนเตียง คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีพี่อู๋ และต้องอยู่ที่นี่อีกสามวันกว่าจะได้กลับลาดพร้าวไปเจอเขา ว่าแล้วก็โทรหาคุณอิศรินทร์หน่อย อยากรู้จังว่าบ้านที่ไม่มีนายก้องเกียรติเงียบเหงาบ้างไหม

“พี่กำลังขับรถกลับบ้านเลยเนี่ย” พี่อู๋บ่นเซ็งๆ ไม่แปลกใจที่ป่านนี้เขายังไม่ถึงบ้าน การจราจรช่วงเลิกงานไม่เคยน่ารักสำหรับเรา “วันนี้เป็นไงบ้าง? นอกจากทรายแล้วมีเพื่อนคนอื่นอีกไหม?”

ผมตอบว่ามีและเล่าให้ฟังยาวเหยียดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีกิจกรรมอะไร อาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร รุ่นพี่ใจดีหรือเปล่า ผมเล่าเชิงนินทาให้พี่อู๋ฟัง ผมบอกเขาว่าคนที่ชื่อออกัสหน้าหม้อมาก ท่าทางคงจะชอบทรายจริงๆถึงพยายามตื๊อขนาดนี้ แต่ทรายบอกผมว่ามีแฟนแล้ว ไม่รู้ว่าออกัสรู้ไหม เขาควรรู้นะจะได้ไม่เจ็บหนักมาก

“ก้องเรียนปรับพื้นฐานถึงวันไหน?”
“วันที่สิบสองนี้ครับ”
“เดี๋ยวเลิกงานพี่ขับรถไปรับนะ”

ผมรีบปฏิเสธและบอกพี่อู๋ว่าอย่ามาเลย ลาดกระบังช่วงเลิกงานรถติดหนักไม่แพ้ลาดพร้าว อีกอย่างกำหนดการเลิกสี่โมงครึ่ง ถ้าผมนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านน่าจะถึงไวกว่ารอพี่มารับ ไว้เจอกันที่ลาดพร้าวนะครับ ผมจะซื้อบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงไปฝาก หน้าตลาดมีร้านนึงอร่อยมาก ผมกินแล้วคิดถึงพี่เลย ผมอยากให้พี่มากินด้วยกัน

“ไว้คราวหน้าก้องพาพี่ไปกินบ้างนะ”

ผมตอบครับแล้วคุยกันเรื่องอื่นต่อ สิ่งที่พี่อู๋ค่อนข้างกังวลคือเรื่องรับน้องเพราะได้ยินมาตลอดว่าวิศวะรับน้องโหด ผมบอกให้ผู้ปกครองสบายใจว่าที่นี่ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนที่เป็นข่าวเพราะยังไม่เจอพี่คนไหนหน้าหงิกหรือขึ้นเสียงใส่ อีกอย่างผมอายุพอๆกับรุ่นพี่ด้วย ถ้าว้ากมาก็ว้ากกลับไม่โกง พี่อู๋หัวเราะชอบใจ เขาบอกว่าให้มันจริงเถอะ บทสนทนาของเราเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่มีอะไรจะคุยต่อ ผมจึงโพล่งบอกพี่อู๋ว่าผมคิดถึงเขา คืนนี้เป็นคืนแรกที่ต้องนอนคนเดียว ผมกลัวผีมากเลย

“อยากกลับบ้านไหม? เดี๋ยวพี่ไปรับ”
“พี่อย่ามาเลย มันดึกแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้พี่ต้องทำงานแต่เช้า”
“ก็ก้องบอกว่าเหงา”
“ผมไม่ได้พูดว่าเหงา ผมพูดว่าคิดถึงพี่ต่างหาก”

พี่อู๋เถียงขาดใจ เขาบอกว่าประโยคก่อนหน้าที่ผมพูดมันหมายความว่าเหงานะจ๊ะพ่อรูปหล่อ ขับรถมาหาหน่อยสิ ผมแว้ดใส่พี่อู๋ว่าเขาจะตีความสิ่งที่ผมพูดผิดๆเพี้ยนๆไม่ได้ ผมคิดถึงก็บอกว่าคิดถึง ไม่ได้พูดอ้อมๆขอให้มาหา ถ้าผมอยากให้พี่มา ผมจะบอกเอง

“คืนนี้ก้องจะหลับไหมเนี่ย” พี่อู๋พึมพำลอยๆ ผมให้คำตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าจะนอนหลับไหม “เปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนสิ เดี๋ยวก็หลับ”

ผมตอบเขาว่าคงต้องทำแบบนั้นแหละ เราคุยกันอีกชั่วโมงกว่าๆผมถึงบอกให้พี่อู๋วางสาย เขาควรอาบน้ำเข้านอนได้แล้ว ผมเองก็จะไปอาบน้ำนอนเหมือนกัน

เราบอกลาทางโทรศัพท์ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หลังทำความสะอาดตัวเองเสร็จก็ออกมานั่งจัดกระเป๋าเตรียมตัวสำหรับเรียนพื้นฐาน ผมเช็กปากกาดินสอ เช็กว่ามีสมุด มีแฟ้มใส่เอกสารหรือยัง พรุ่งนี้ทางคณะอนุญาตให้สวมชุดสุภาพ ผมจึงรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กระโดดขึ้นเตียง ไม่รู้ก่อนเจอพี่อู๋ผมอยู่คนเดียวได้ยังไงเป็นเดือนๆ มีทีวีเครื่องเดียวก็ผ่านวันไปได้แต่คืนนี้กลับไม่ง่ายเหมือนที่คิด จากที่เคยล้อพี่อู๋ว่าอย่าร้องไห้คิดถึงผมนะ กลับกลายเป็นว่านายก้องเกียรติคือฝ่ายร้องไห้เสียเองเพราะคืนแรกที่ไม่ได้นอนด้วยกันมันโหวงในอกมากๆ ผมอยากให้พี่อู๋มารับกลับบ้านตอนนี้เลยจริงๆ





กว่าจะปรับตัวเข้ากับชีวิตเด็กหอได้ก็เกือบสิ้นเดือน ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่ชวนกันไปกินข้าวและเที่ยวเล่นหลังหมดกิจกรรมจนเราค่อยๆคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น ผมไม่เหงาเท่าเมื่อก่อนเพราะต้องทำนั่นทำนี่ตามตารางที่พี่ๆจัดวางไว้ เมื่อวานเป็นวัน Open Room หรือพูดง่ายๆคือวันจับสายรหัส ที่นี่จะแบ่งออกเป็นสิบห้อง ชื่อนายก้องเกียรติขึ้นต้นด้วยก.ไก่ก็เลยได้อยู่ห้องแรก พอจบกิจกรรมผมก็กลับไปรอผู้ปกครองที่หอเพราะพี่อู๋บอกว่าคืนนี้จะมาค้างด้วย หลังเสร็จงาน First Step ในวันที่สาม เขาจะพานายก้องเกียรติกลับไปนอนลาดพร้าวแล้วค่อยมาส่งใหม่ตอนเย็นวันอาทิตย์

ทีแรกผมตั้งใจรอกินข้าวกับพี่อู๋ แต่รถติดหนักมากเขาก็เลยบอกให้ไปหาอะไรกินก่อน ผมเดินออกไปซื้อข้าวแถวนี้คนเดียว ขณะรอข้าวในร้านตามสั่ง ผมก็เจอคุณลุงที่เคยถามทางไปห้องน้ำอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่าเลยไม่ยกมือไหว้ทักทาย แต่ดูเหมือนแกจะจำได้เลยถามผมว่าอยู่แถวนี้เหรอ อยู่กับใครล่ะ กับเพื่อนใช่ไหม ผมบอกว่าเปล่าครับ อยู่คนเดียวในเกกีหนึ่ง

“ลุงมารอรับหลานเหรอครับ?”
“มารอลูกชายน่ะ”
“อ๋อ – ครับ”

ผมพยักหน้ายิ้มๆ ว่าจะถามถึงลูกแกหน่อยแต่กลัวว่าดูสาระแนเกินไปเลยไม่ถามดีกว่า หลังยืนรอข้าวผัดเกือบสิบนาที คุณป้าเจ้าของร้านก็ใส่ถุงส่งให้นายก้องเกียรติ ผมควักเงินเตรียมจ่ายค่าข้าวแต่คุณลุงกลับบอกว่าไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแกจ่ายให้ ผมรีบปฏิเสธเพราะไม่เข้าใจว่าจะจ่ายค่าข้าวให้ผมทำไมในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมแค่บอกทางไปห้องน้ำเองนะ ไม่เห็นต้องดีกับผมขนาดนี้เลย

เมื่อเถียงไม่ทันผมจึงรับถุงข้าวกลับมาถืองงๆ ยกมือไหว้ขอบคุณคุณลุงก่อนจะหันหลังเดินกลับหอ ระหว่างทางเจอออกัสเดินสวนมาพอดี เขาถามผมว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอบอกว่ากินในห้อง เขาก็ชวนไปกินข้าวเป็นเพื่อน

“แต่เราซื้อข้าวมาแล้วนะ”
“งั้นรอเราซื้อข้าวแป๊ป เดี๋ยวไปกินใต้หอเราก็ได้”

ผมเป็นคนปฏิเสธใครไม่เก่งก็เลยปล่อยตามน้ำ ยอมนั่งกินข้าวใต้ของออกัสตามคำชวนเพื่อนใหม่ บางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะชวนผมมากินด้วยทำไมในเมื่อมาแล้วก็นั่งใบ้ใส่ ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดนอกจากเหลือบมองคนที่ผ่านมาเจอเราสองคนแอบซุบซิบคุยกันว่านั่นน้องออกัส ออกัสวิศวะที่หล่อๆ ออกัสในทวิตเตอร์ไง มากินข้าวกับใครอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย

อ่า – ขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนเห็นภาพออกัสกินข้าวกับลิง เดี๋ยวหมดกล่องนี้กอริลลาก้องจะรีบกลับห้องตัวเองเลยครับ ขอโทษจริงๆที่ทำให้ตกใจ กอริลลามันก็ไม่ได้อยากโผล่มาแถวนี้หรอก แต่ปฏิเสธคำชวนออกัสของทุกคนไม่ได้ต่างหาก

หลังกินข้าวเสร็จผมก็ขอตัวกลับ กลับได้ง่ายๆเลยแค่เอากล่องโฟมไปทิ้งแล้วบอกว่าไปละ ก็คือจบ นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที พี่อู๋น่าจะยังไม่ถึงลาดกระบังเร็วๆนี้ ผมก็เลยนอนไถโทรศัพท์ เล่นไปซักพักก็เจอประกาศด่วนจากสำนักงานกิจการนักศึกษา รายละเอียดประกาศเรื่องยกเลิกกิจกรรมรับน้องรถไฟ แต่ให้เข้าร่วมกิจกรรม First Step ตอนเจ็ดโมงเช้าได้ตามกำหนดการเดิม

ผมรีบกดโทรศัพท์บอกพี่อู๋ว่าพรุ่งนี้เราไม่ต้องตื่นเช้าไปสถานีหัวลำโพงแล้วนะ ทางมหาวิทยาลัยเพิ่งประกาศยกเลิกเมื่อกี๊เอง คุณอิศรินทร์ถามต่ออย่างมีความหวังว่ายกเลิกกิจกรรมทั้งวันเลยใช่ไหม ผมบอกว่าไม่ใช่ พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องเข้ามอเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไปสายได้นิดหน่อย รุ่นพี่นัดเจอตอนเจ็ดโมงเช้า

“พี่อู๋ถึงไหนแล้วครับ?”
“ใกล้แล้วล่ะ” เขาบอก แต่ใกล้ของเขาไม่รู้ใกล้แค่ไหน อาจจะอีกสามสิบกิโลเมตรก็ได้ “นอนเล่นพลางๆ ถึงแล้วเดี๋ยวพี่โทรหา”
 
ผมตอบครับๆและนอนอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตต่อ พอสี่ทุ่มเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ผู้ปกครองของผมมาถึงแล้ว มาพร้อมกับของกินเต็มสองมือ ผมช่วยเขาขนของขึ้นห้องและนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้มีเรื่องให้คุยเยอะแยะเลย เริ่มจากระเบิดกลางกรุงก่อน แต่ผมขอตัดคำหยาบที่พี่อู๋ด่ารัฐบาลออกก็แล้วกันนะ หลังจากนั้นตามด้วยเรื่องกิจกรรมจับสายรหัสวันนี้ พี่อู๋ถามว่าเป็นไง มีคนเข้าหาเยอะไหม ผมบอกว่าไม่เลย ไม่มีใครเข้าหาผมตรงๆ ทุกคนเข้ามาชวนคุยเพราะผมอยู่กับทรายและออกัสเท่านั้น แต่ผมไม่รู้สึกน้อยใจเท่าไหร่ ดีเสียอีกที่ไม่ค่อยเป็นที่จดจำของใคร เวลาโดดกิจกรรมจะได้ไม่มีใครจำได้

“พี่ทำงานเหนื่อยไหม?”
“เหนื่อยสิ” พี่อู๋บ่นอ้อนๆ “ก้องบีบหลังให้พี่หน่อย พี่เมื่อยมากเลย”

ดังนั้นหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทาแป้งเย็นจนหอมฟุ้ง นายก้องเกียรติก็นวดให้ผู้ปกครองตามคำขอ ทั้งบีบ ทั้งขยำ และทำมือสับๆเหมือนที่เคยเห็นในหนังทุกกระบวนท่า พี่อู๋เหมือนคนแก่ที่ต้องให้ลูกหลานบีบนวดให้เปี๊ยบเลย เขาร้องอาๆอย่างพอใจเมื่อผมสับมือตรงจุดปวดเมื่อย อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆเอง ทำไมชอบทำตัวแก่จัง

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสิบแปดนาที นายก้องเกียรติปิดไฟเตรียมตัวเข้านอนพร้อมผู้ปกครอง เพราะวันนี้พี่อู๋เหนื่อยมามากแล้วผมก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องคุณลุงแปลกหน้ากับออกัสให้ฟัง ผมตั้งใจว่าพรุ่งนี้หลังเสร็จกิจกรรมจะพาพี่อู๋ไปดูสถานีรถไฟ ถึงตอนนั้นค่อยเล่าก็แล้วกันว่ามีเรื่องประหลาดเกินขึ้นตอนที่เขาไม่อยู่ คุณอิศรินทร์ต้องน้ำลายฟูมปากแน่ๆถ้ารู้ว่ามีผู้ชายหล่อๆชวนผมไปกินข้าวด้วย ผมล่ะอยากให้เขารู้จัง ผมอยากเห็นจริงๆว่าเขาจะปั้นสีหน้ายังไง




Part 3 ต่อข้างล่างเลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 05-08-2019 20:01:32
32 [PART 3/3]

วันนี้ผมสวมเสื้อสีส้มของกิจกรรม First Step พี่อู๋บอกว่าสีมันแสบได้ใจจนอยากเอาใบไม้มาเสียบหัวนายก้องเกียรติ ผมถามเขาว่าทำแบบนั้นผมจะกลายเป็นตัวอะไร คุณอิศรินทร์บอกว่าส้ม เขาหัวเราะก่อนจะหยิบเศษใบไม้มาเสียบผมจริงๆ เหมือนส้มเป๊ะ

ผมยืนหน้าเป็นตูดให้พี่อู๋ถ่ายรูปส้มก้องเกียรติอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะปัดเศษใบไม้ออกจากหัว เราเดินหยอกล้อกันไปจนถึงอาคารจุดนัดพบ พอเห็นคนใส่เสื้อสีส้มนับร้อยเดินกันขวักไขว่ เขาก็บอกว่าเหมือนสวนส้มเดินได้ นั่นก็ส้ม นี่ก็ส้ม ก้องก็ส้ม ส้มส้ม ฝ้มฝ้ม ฝ้มบ้าอะไร จะส้มก็ส้ม อย่ามาฝ้มให้เพี้ยนสิ

“เสร็จแล้วโทรหาพี่นะ”

ผมโบกมือบ๊ายบายผู้ปกครองก่อนจะวิ่งไปหาทรายที่ยืนเอวเอสสวยๆอยู่กลางดงผู้ชาย ผมทักทายเพื่อนทุกคนแล้วเริ่มต่อแถวลงทะเบียน เราถูกแบ่งกระจายไปตามกลุ่มแต่โชคดีที่ทรายได้อยู่กลุ่มเดียวกับผม อ้อ – มีออกัสอีกคน ดังนั้นเราสามคนจึงเกาะติดกันเป็นกลุ่มเล็กๆทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าจุดรวมสายตาย่อมเป็นทรายกับออกัส รุ่นพี่หลายๆคนชอบแกล้งให้ทั้งสองคนเต้นคู่กัน ตอนแรกพวกเขาแซวว่าทรายกับออกัสมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่าเพราะเคมีดูเข้ากั๊นเข้ากัน ทรายจึงดับฝันบรรดาคู่จิ้นด้วยการบอกว่ามีแฟนแล้วค่ะเสียงดังฟังชัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครจับคู่ทรายกับออกัสอีกเลย ออกัสจึงเว้นระยะห่างไม่ให้ดูน่าเกลียดด้วยการพยายามมาเต้นกับผม บางทีตอนร้องเพลงแจวก็ลากผมออกไปยืนข้างหน้า

เฮ้ย! ใครอยู่เกกีหนึ่งลุกขึ้นไปแจว!
เฮ้ย! วิศวะไปแจว!
เฮ้ย! โสดไปแจว!
เฮ้ย –

ไอ้ห่าออกัส

ผมด่ามันในใจทุกรอบที่ถูกดึงมือให้ออกไปเต้นด้วยกัน ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบเต้น ไม่ชอบเต้น แต่จังหวะมันบีบขนาดนี้ก็ต้องขยับตัวหน่อยหรือเปล่าวะ เดี๋ยวพี่ๆเสียใจ
 
พอถึงเวลาพักกินข้าวเที่ยงเรานั่งกินข้าวกับเพื่อนๆคณะอื่นเป็นกลุ่มใหญ่ มีการพูดคุยทำความรู้จักบ้างตามมารยาทแต่ผมไม่ค่อยสนใจ ระหว่างที่นั่งฟังเพื่อนคณะอื่นเล่าเรื่องผีที่หอ(ห้ามผวน – ออกัสมันกล้าเล่นมุกนี้ด้วย ไอ้ชาติชั่ว) ผมก็เห็นคุณลุงคนเดิมยืนคุยกับอาจารย์ที่เคยสัมภาษณ์ผมเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาคุยกันด้วยสีหน้าจริงจังและหันมามองนายก้องเกียรติ พอโดนจับได้ว่าลิงตัวหนึ่งกำลังมองสำรวจอยู่ พวกเขาก็เดินหนีไปอีกทาง ปล่อยให้ผมสงสัยว่าจริงๆแล้วลุงคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่สงสัยได้ไม่นานก็ลืมเพราะต้องแจวเรือกับไอ้ออกัสต่อ บักห่านี่ – สงสัยแม่งเป็นแฟนพันธุ์แท้เพลงแจว

หลังเสร็จกิจกรรม ผมบอกทรายและเพื่อนๆว่าวันนี้ไม่ไปกินข้าวเย็นเพราะพี่อู๋มารอรับแล้ว ผมโบกมือลาทุกคนก่อนจะเดินไปหาพี่อู๋ที่นั่งหาวอยู่บนม้านั่ง พอเห็นกอริลลาหน้าเลอะแป้ง เขาก็หัวเราะแล้วใช้มือเช็ดออกให้

“สนุกไหม?”
“สนุกครับ มีแต่คนเต้นตลกๆ”

ผมตอบพี่อู๋ เขาบอกว่าเอาเป้มาสิเดี๋ยวถือให้ แต่ผมปฏิเสธและบอกว่าเป้เบาเหมือนนุ่น ผมสะพายได้ แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง ได้เต้นไหม พี่เดินผ่านเห็นคนเต้นกันมันเลย ผมหัวเราะแล้วบอกว่าโดนบังคับเต้นมากกว่า จริงๆไม่มีใครสนใจนายก้องเกียรติหรอกแต่บังเอิญในกลุ่มดันมีทรายกับออกัสอยู่ด้วย ก็เลยโดนเรียกไปแกล้งตั้งหลายฐาน พี่อู๋ถามว่าเขาบังคับให้เต้นท่าสองแง่สามง่ามบ้างไหม ผมตอบว่าไม่ ไม่มีการบังคับหรือว้ากอะไร มีแต่การเต้นที่ผมเห็นแล้วเขินแทน แหะ

เราสองคนเดินคุยกันจนเกือบถึงที่จอดรถ จังหวะที่หันไปตามเสียงกลองจากไกลๆ ผมเหลือบเห็นลุงคนนั้นอีกแล้ว แกเดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และท่าทางจะยังตามเรื่อยๆเพราะเมื่อผมลองหยุดเดิน เขาก็หยุด พอผมจูงมือพี่อู๋ให้เดินเร็วขึ้น เขาก็วิ่งเหยาะๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องมันชักไม่เข้าท่าแล้วก็เลยบอกพี่อู๋ว่ามีคนแอบตามผมครับ เขาเคยตามไปจนถึงเกกี ตอนนี้กำลังเดินห่างๆอยู่ด้านหลัง คุณอิศรินทร์หน้าดุทันทีเมื่อเด็กในปกครองฟ้อง เขาหมุนตัวกลับไปจ้องคุณลุงจนแกตกใจ หยุดตามอยู่พักหนึ่ง ก่อนพี่อู๋จะจับมือผมแน่นและดันหลังให้เดินนำทาง

“เขายังตามอยู่เลยอ่ะพี่อู๋”

ผมกระซิบบอก พี่อู๋เพิ่มเลเวลความโหดด้วยการดึงหน้าส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าลุงเข้ามาใกล้ เขาจะกระโดดถีบให้หน้าหงายจริงๆด้วย แต่ลุงโรคจิตก็ยังเดินตามราวกับพยายามจะเข้าถึงตัวผมให้ได้ เมื่อเราเดินจนถึงรถและไม่มีทางเลือก พี่อู๋จึงดันผมไปหลบข้างหลังและถามว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับด้วยน้ำเสียงขึงขังที่สุดเท่าที่นายก้องเกียรติเคยได้ยินมา

“ผมมีธุระอยากคุยกับก้องหน่อยครับ”
“คุยกับผมดีกว่าครับ ผมเป็นผู้ปกครองของก้อง”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย พี่อู๋นี่ฝากชีวิตไว้ได้จริงๆ นอกจากให้อาหารและความรัก เขายังสามารถปกป้องผมจากเรื่องอันตรายได้ด้วย พี่อู๋กับคุณลุงจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่จนแทบได้ยินเสียงชิ้ง! เหมือนฉากในหนังจีนตอนพระเอกดึงดาบออกจากฝัก ผมยืนใจเต้นตุ๊บๆเพราะอยากรู้ว่าลุงเขามีธุระอะไร แต่ยืนรอนานแล้วแกก็ไม่พูดเสียที

“ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าตามก้องอีกนะครับ ไม่งั้นผมจะแจ้งความ”

ลุงหน้าเสียไปเลย

“ผมว่าพูดกับคุณมันไม่เป็นส่วนตัว”
“คุยกันตรงนี้แหละครับ ก้องไม่อยากคุยกับคุณแบบส่วนตัว”

ผมพยักหน้าอีก หวังว่าคราวนี้ลุงจะบอกเหตุผลเสียทีว่าที่เจอๆกันตลอดเกือบเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม ลุงหน้าตี๋ดูเครียดหนักอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจ แกหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งบัตรประชาชนของตัวเองให้พี่อู๋

“ผมเป็นพ่อของเด็กคนนี้”

เขาบอกเสียงอ่อย

“ก้องเกียรติเป็นลูกชายของผมครับ”





TBC


________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

พ่อทูนหัวหลบไป พ่อตัวจริงมาแล้วจ้า แหะๆ


สวัสดีคืนวันจันทร์ฮับ! น้องก้อง อิน ลาดกระบังตอนที่หนึ่งมาแล้ว
ต้องขอขอบคุณเรฟแน่นๆจากสมาร์ทตัวจริงและคุณเมเปิ้ลนะคะที่คอยตอบคำถามและให้ข้อมูลเกี่ยวลาดกระบังเยอะแยะเลย ขอบคุณมากๆค่ะ (⺣◡⺣)♡*

ตอนหน้าจะพยายามมาให้ตรงเวลาเหมือนเดิมนะคะ ขอบคุณกำลังใจน่ารักๆทุกช่องทางที่ทุกคนมอบให้นิยายเรื่องนี้ ทั้งคอมเม้นต์ แท็ก ภาพวาด ดีเอ็ม การบอกต่อและช่วยโดเนท อยากบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณมากๆค่ะ ถ้าไม่มีฟี้ดแบค นิยายเรื่องนี้ก็คงไม่มีตอนต่อไปออกมาเรื่อยๆ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจที่ดีให้เสมอมานะคะ ♥
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-08-2019 20:30:09
อ่านก้องเล่าชีวิตนักศึกษาสนุกดี ค่อยสมกับวัยหน่อย
คุณพ่อมาช้าเชียว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 05-08-2019 20:54:39
แย่ละน้องก้องคุณพ่อพึ่งมาอะไรตอนนี้คะมีแต่พี่อู๋เท่านั้นที่จะเป็นแดดดี้ของน้องก้องเนอะพี่อู๋เนอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-08-2019 21:03:16
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-08-2019 21:36:34
 :fire: คิดถึงตอนก้องจะฆ่าตัวตายเลยอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-08-2019 21:40:38
ว่าแล้วเชียว
ทำไงดีล่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 05-08-2019 22:13:27
หวังว่าจะไม่ม่าน้า แงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 05-08-2019 22:52:47
ตอนนี้สนุกดีอ่ะชีวิตมหาลัยขิงก้อง แต่ออกัสไม่ได้จะจีบก้องใช่มะ
แล้วพ่ออ่ะมายังไง โดนจับแยกกะพี่อู๋มั้ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 05-08-2019 23:20:56
เหมือนได้เห็นลูกได้ดี มีความสุขกับสังคมใหม่ๆ ก็ดีแล้วลูก นี่แหละคือชีวิตที่หนูควรจะได้ แล้วพ่อคืออะไร กลับมาทำไมตอนนี้! ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงต้องหายไปจากชีวิตก้องกับแม่ด้วย รอเหตุผลดีๆ จ้ะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 06-08-2019 00:48:43
ว่าละว่าเป็นพ่อ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-08-2019 00:59:41
พ่อโผล่มาตอนนี้เนี่ย :angry2: แอบระแวงออกัสยังไงไม่รู้ กลัวนางมาชอบน้อง หวงแทนพี่อู๋ 555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-08-2019 20:59:43
แหม เสี่ยอู๋เปย์เก่งนะคะ เอาไงล่ะทีนี้พ่อจริงเขามาแล้ว สถานะพี่ชายและพ่อทูนหัวอย่างพี่อู๋จะทำเช่นไรคะ 5555555555555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 06-08-2019 22:45:51
เพิ่งสังเกตว่าเดี๋ยวนี้ก้องไม่ค่อยบรรยายชีวิตตัวเองแบบขึ้นต้นด้วยการบอกเวลาแล้วค่อยตามด้วยสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวันแล้ว พอหายป่วยก็ไม่ค่อยจมอยู่กับตัวเองแล้วใช่ไหมก้อง แถมมีเพื่อน มีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะเลย เห็นก้องมีความสุขแม่ๆก็มีความสุขด้วย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-08-2019 00:49:25
พ่อของก้องเป็นใครมาจากไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 08-08-2019 01:35:31
 ลุงอย่ามาเอาเจ้าก้องไปจากพี่อู๋นะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 08-08-2019 12:56:35
เสี่ยอู๋กับน้องก้องจะทำยังไงเนี่ยยยยยย แล้วพ่อน้องหายไปไหนมาตั้งนาน :katai1:
โอ้ยๆๆๆ อยากรู้แล้วๆๆๆๆๆ :z3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 32 update!] 5/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 09-08-2019 11:09:35
เฮ้ยยยยยย...ยังไงหนิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 12-08-2019 19:53:48
33 [PART1/2]

คำถาม: เมื่อมีโอกาสได้เจอพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดชีวิต นายก้องเกียรติจะ

ก. เป็นลม
ข. ร้องไห้
ค. ก้มลงกราบเท้าพ่อ
ง. โผเข้ากอดพ่อ และบอกรักพ่อ
 

และคำตอบที่ถูกต้องคือ --

“กลับบ้านกันเถอะครับพี่อู๋ ผมหิวข้าวแล้ว”

ผมหันไปบอกผู้ปกครองตัวจริง คุณอิศรินทร์ดูงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่านายก้องเกียรติมาไม้ไหน แต่ก็ส่งบัตรประชาชนคืนคุณลุงแปลกหน้าแล้วเปิดประตูรถให้ ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อรีบรั้งเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน เขาขอให้คุยกันดีๆก่อนได้ไหม ป๊าอยากเจอก้องมานานหลายปี ทำไมก้องไม่หันมามองหน้าป๊าหรือพูดอะไรกับป๊าบ้าง ผมงงหนักกว่าเดิมอีกว่าจะให้พูดอะไร คนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่ตัวเองมาตลอดสิบเก้าปีหวังว่าลูกชายจะอยากพูดด้วยเหรอ งง

“ไปอยู่ไหนมาก้อง ป๊าตามหาแทบแย่” ลุงที่บัตรประชาชนระบุชื่อว่าสมปราชญ์ร้องไห้น้ำตาไหล เขาทำท่าจะโผเข้ามากอดผมแต่พี่อู๋ไม่อนุญาต บรรยากาศซึ้งๆเหมือนละครจึงหายวับในพริบตา “ก้อง ม้าพาก้องไปอยู่ไหน?”
“จรัญสนิทวงศ์ครับ”

ผมตอบ รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่มีคนแทนตัวเองว่าป๊า และเรียกแม่ว่าหม่าม้า ผมโตมาจนอายุสิบเก้าโดยไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกับความเป็นจีน ดังนั้นผมจึงไม่อินหรือซาบซึ้งกับสรรพนามเรียกพ่อแม่ขนาดนั้น

“ตอนนี้ม้าไปไหน? ม้าไม่ได้อยู่กับก้องเหรอ?”
“แม่ตายไปสองปีแล้วครับ”
“ม้าเป็นอะไรตาย?”
“ป่วยครับ” ผมเลี่ยงไม่พูดความจริง
“ป่วยเป็นอะไร?”
“ไม่ทราบครับ แม่ไม่เคยบอก”
“ตอนม้าตาย ทำไมก้องไม่มาหาป๊า?”

ว้อท เดอะ ฟัค แม๋น

ผมสบถในใจตามเสียงไอ้โบ้ท ทำไมคุณสมปราชญ์ถึงกล้าถามอะไรโง่ๆแบบนี้ออกมาได้ ผมจะไปตามหาเขาที่ไหนในเมื่อตั้งแต่เกิดมา พ่อหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ บ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้ เป็นคนเชื้อสายอะไรก็ไม่รู้ นอกจากชื่อในใบสูติบัตรระบุว่าเป็นพ่อ ผมไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะหาตัวเขาเจอ และไม่มีความจำเป็นต้องตามหาเพราะแม่คือครอบครัวคนเดียวของผม แม่ตายก็คือจบ ทำไมต้องดิ้นรนหาคนที่ไม่เคยสนใจเลี้ยงเราด้วย

“ก้อง – ก้องไม่คิดถึงป๊าบ้างเหรอ?”
“ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตายังไง”
“แต่ตอนเด็กๆก้องติดป๊ามากเลยนะ”

ลุงสมปราชญ์พูดอีก แกหยิบรูปถ่ายซีดจางจากกระเป๋าเสื้อให้นายก้องเกียรติดู ในรูปมีเด็กทารกนั่งบนตักลุงสมปราชญ์ตอนยังหนุ่ม ใบหน้าแกยิ้มกว้างจนถึงหู ดูมีความสุขที่ได้อยู่กับลูกชาย ผมไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมายจนกระทั่งเห็นภาพใบที่สอง ภาพนั้นเป็นภาพของแม่ เป็นตอนที่แม่สวมชุดสวยๆอุ้มผมด้วยรอยยิ้ม

ผมหยิบภาพนั้นมาดู อดน้ำตาคลอคิดถึงแม่ไม่ได้เพราะเสียใจที่แม่ไม่มีโอกาสเห็นผมใส่ชุดนักศึกษา พี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆทำลายบรรยากาศด้วยการถามว่าคราบอะไรตรงกางเกงของเด็กเป็นปื้นๆ ลุงสมปราชญ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะบอกว่า อ๋อ อึ ก้องเกียรติอึแตกตอนแกกดชัตเตอร์พอดี

“ขี้แตกว่ะเรา”
“ทำไมพี่แม่งชอบทำลายบรรยากาศจังเลยวะ”

ผมบ่นผู้ปกครองก่อนจะส่งภาพทั้งหมดคืนเจ้าของ แต่ลุงยังไม่ยอมแพ้ งัดเอาคอลเลคชั่นต่างๆมาให้ดูอีก มีรูปผมตอนนั่งบนรถหัดเดิน ตอนกินข้าวมูมมามจนเลอะทั้งหน้า ตอนร้องไห้จนหน้ายับเมื่อนักแสดงงิ้วมายืนถ่ายรูปข้างๆ เขามีรูปถ่ายของผมจนกระทั่งผมอายุประมาณน่าจะเกือบๆสองขวบ แล้วภาพบันทึกความทรงจำก็หมด ไม่มีนายก้องเกียรติอยู่ในชีวิตของเขาอีก

“แต่เด็กในรูปอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้ ไม่แน่นะ แม่อาจจะมีลูกหลายคน”
“คนเดียว” คุณสมปราชญ์ยืนยัน “ชื่อก้องเกียรติป๊าก็เป็นคนตั้งเอง ก้องเป็นลูกป๊ากับม้าตัวจริง ไม่ผิดแน่”

ต่อให้มีรูปร้อยใบ หรือขนเครือญาติของแม่มาเป็นพยาน ผมก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่น่าเป็นไปได้ ผมบอกปฏิเสธคุณสมปราชญ์ไปว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่านะครับแล้วเปิดประตูขึ้นรถเตรียมหนี แต่แกก็ยื้อบานประตูไว้ไม่ปล่อยผมไป แถมยังพยายามขอร้องให้ผมเชื่อแกซักครั้งว่าแกเป็นพ่อของนายก้องเกียรติจริงๆ เราดึงกันไปมาอยู่แค่แป๊ปเดียว แป๊ปเดียวเท่านั้น เพราะพี่อู๋เข้ามาจัดการไม่ให้พ่อแอบอ้างได้แตะผมแม้แต่ปลายนิ้ว

“บัตรประชาชนใบเดียวมันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกครับ” ผู้ปกครองของผมบอกคุณสมปราชญ์ที่กำลังผิดหวัง “เราไปตรวจดีเอ็นเอก่อนดีกว่า ถ้าผลออกมาว่าคุณคือพ่อของก้องจริง เราค่อยคุยกัน”

ลุงสมปราชญ์คงไม่มีตัวเลือก แกจึงยอมแพ้และขอเบอร์โทรของผม แต่พี่อู๋ไม่ให้ เขาบอกว่ามีอะไรให้ติดต่อผ่านเขาเท่านั้น เพราะเขาคือผู้ปกครองของก้องเกียรติ

“แต่ผมเป็นพ่อของก้องนะ!”
“ผมต่างหากที่มีสิทธิในตัวก้อง ผมเป็นผู้ปกครองของเขา!” พี่อู๋เถียงกลับ “ตอนก้องอยู่คนเดียวไม่มีใคร ไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าไฟ คุณหายหัวไปไหนมา พอก้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็เพิ่งโผล่มาแสดงตัวว่าเป็นพ่อ คุณเพิ่งเจอเขากี่ครั้งเอง ผมไม่ให้คุณคุยกับก้องโดยตรงหรอก!”

เงียบกริบ มีแต่เสียงกลองกับกิจกรรมรับน้องเท่านั้นที่ดังคั่นบทสนทนา ผมมองสลับไปมาระหว่างพ่อแอบอ้างกับพ่อสาขาสองด้วยความเครียด หลังจากยืนด่ากันทางสายตานานเกือบนาที คุณสมปราชญ์ก็ยอมแพ้ เขียนเบอร์ตัวเองส่งให้พี่อู๋

“แล้วผมจะติดต่อกลับไป”

พี่อู๋บอกห้วนๆก่อนจะปิดประตูรถแล้วมุ่งหน้าสู่ลาดพร้าว บ้านของเรา




ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย ผมยังไม่พูดอะไรซักคำ พี่อู๋เองก็ขับรถเงียบๆไม่ชวนด่าคุณสมปราชญ์ราวกับรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก ถ้าถามว่าคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น บอกได้แค่ว่าใจผมมันต่อต้านไม่ยอมรับ ผมไม่ได้รู้สึกดีหรือตื้นตันเหมือนในละคร มันมีแต่ความหงุดหงิดและเจ็บใจมากกว่า ตอนคุยกันต่อหน้าผมยังช็อกอยู่จึงไม่ค่อยได้พูดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปจนความคิดตกตะกอน มันมีคำด่ามากมายลอยว่อนเต็มหัว

หายไปไหนตั้งสิบกว่าปี?
ไม่คิดจะออกตามหาผมกับแม่บ้างเลยเหรอ?
ทำไมพูดเหมือนเป็นความผิดของผมที่ไม่ยอมสืบหาว่าพ่อเป็นใคร?
กลับมาตอนนี้มีประโยชน์อะไร? กลับมาทำไมให้ช้ำใจวะ?

ผมนึกด่า ด่า ด่า ด่าพ่อ ตำหนิพ่อ โมโหพ่อ โกรธแค้นพ่อ ไม่มีหรอกความรู้สึกซาบซึ้งโหยหา มีแต่อยากด่าว่าหายหัวไปไหนมา เสนอหน้ามาทำไมตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งจุกบีบจนเผลอร้องไห้ ตอนพี่อู๋วางมาม่าชามใหญ่บนโต๊ะ ผมเอาแต่นั่งน้ำตาไหล ไม่ยอมหยิบตะเกียบคีบเส้นซักคำเดียว

พี่อู๋เห็นแล้วว่าผมเสียใจ แต่เขาไม่ออกความเห็นใดๆนอกจากปล่อยให้ผมร้องไห้คนเดียวอยู่นาน พอนายก้องเกียรติคงไม่หยุดง่ายๆก็ย้ายตัวมานั่งบนเบาะข้างๆแล้วโอบไหล่ผมหลวมๆ ผมร้องหนักกว่าเดิมอีก ร้องจนหายใจไม่ออก ร้องจนคอแห้งจึงต้องจิบน้ำแก้กระหาย ไม่งั้นคงแห้งตายก่อน

“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ไว้เราไปตรวจดีเอ็นเอก่อนแล้วค่อยว่ากันเนอะ”

คุณอิศรินทร์ปลอบ แต่ผมก็ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าต้องใช่แน่ๆ รูปที่คุณสมปราชญ์เอาให้ดูเป็นรูปของแม่ ผมจำหน้าแม่ตอนสาวๆได้ จำชุดกระโปรงลายดอกที่อยู่ในรูปถ่ายได้เพราะมันคือชุดเดียวกับที่แม่ใส่ตอนแขวนคอ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขากลับมาทำไม โผล่มาแสดงความรับผิดชอบอะไรในเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้ว ผมไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว

“ถ้าผลออกมาว่าเขาเป็นพ่อของผมจริงๆล่ะ?”
“ก็เป็นพ่อต่อไป เพราะในสูติบัตรก้องมีชื่อเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เขาแค่โผล่หน้ามาให้ก้องรู้เองว่า อ๋อ – นี่พ่อนะ แต่ก้องจะยอมให้เขามีส่วนในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับก้อง ไม่อยากให้เขามายุ่งก็ไม่เป็นไร ก้องอายุสิบเก้าแล้ว ก้องไม่จำเป็นต้องมีพ่อคอยดูแลแล้ว เข้าใจไหม?”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบพลางเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่ไหลมาเลอะเทอะรวมกันบนหน้า นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มแปดนาที ผมเริ่มเทความโกรธไปยังแม่เพราะเสียใจที่แม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยซักคำ




หนึ่งสัปดาห์หลังพบกันครั้งแรก เรานัดเจอกันที่โรงพยาบาล

ผมไม่ค่อยอยากเห็นหน้าพ่อเท่าไหร่เพราะทำตัวไม่ถูก แต่ถึงคราวเลี่ยงไม่ได้มันก็จำใจต้องเจอ ผมยกมือไหว้คุณสมปราชญ์ในฐานะผู้ใหญ่ ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด วันนี้แกแต่งตัวเป็นกันเองกว่าวันก่อนที่เจอในมหาวิทยาลัย แถมยังมีผลไม้เกรดพรีเมียมมาฝากด้วย ผมบอกขอบคุณแบบส่งๆไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะยังไงผมก็ยกทั้งหมดให้พี่อู๋กินอยู่ดี

หลังเดินเรื่องกรอกเอกสารและให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปเรียบร้อย ผมกับคุณสมปราชญ์ก็นั่งข้างกัน อ้าปากกว้างๆเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์ในกระพุ้งแก้ม ถ้าคุณสมปราชญ์ไม่โผล่มา ผมคงไม่รู้เลยว่าค่าตรวจดีเอ็นเอไม่ใช่เล่นๆ อย่างกรณีของผมกับคุณสมปราชญ์คิดค่าตรวจคนละหกพันห้าร้อยบาท โชคดีที่แกควักเงินจ่ายเองคนเดียวไม่เบียดเบียนพี่อู๋ ผมจึงไม่รู้สึกติดลบกับชายผู้น่าจะเป็นพ่อไปมากกว่านี้

“เปิดเทอมอาทิตย์แรกเป็นไงบ้าง? เรียนรู้เรื่องไหม?”

คุณสมปราชญ์ชวนคุยระหว่างรอเซ็นเอกสารอีกนิดหน่อย ผมตอบห้วนๆไปแค่ว่าครับ สนุกครับ เรียนรู้เรื่องครับ มีเพื่อนครับ พอเห็นกอริลลาก้องไม่ค่อยอยากคุยด้วย แกก็เปลี่ยนเป็นถามว่าได้เงินค่าขนมวันละเท่าไหร่ ผมตอบไปว่าสองร้อย พี่อู๋ให้เงินผมอาทิตย์ละหนึ่งพัน แต่ถ้าจะซื้อของหรือต้องทำงานก็เบิกเพิ่มได้ พอรู้ว่าผู้ปกครองยังคงส่งเสียเลี้ยงดูนายก้องเกียรติอยู่ แกจึงควักเงินอีกห้าพันออกจากกระเป๋าสตางค์และบอกให้ผมเก็บไว้ นี่เป็นเงินค่ากินค่าอยู่ ป๊าให้แค่นี้ก่อนนะ ป๊าพกเงินสดมาไม่มาก

“ไม่เป็นไรครับ พี่อู๋ให้ผมยืม เดี๋ยวเรียนจบผมก็ทำงานคืนเขา”
“แต่เงินนี่ป๊าให้ก้องเลย ไม่ต้องคืน”
“ผลยังไม่ออกเลย บางทีผมอาจจะไม่ใช่ลูกของลุงก็ได้”

คุณสมปราชญ์หน้าเสีย แกคงเสียใจจริงๆที่ไม่ว่าจะเอาอะไรมายืนยัน นายก้องเกียรติก็ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อ เราไม่ใช่พ่อลูกกันอยู่นั่นแหละ สุดท้ายฤทธิ์ดื้อเงียบของผมก็ทำให้แกยอมแพ้ คุณสมปราชญ์หยุดอ้างเรื่องพ่อลูกแล้วบอกว่าไว้ผลออกชัดๆเมื่อไหร่ เรามาคุยเรื่องนี้กันอีกที

ผมไม่พูดมากนอกจากขานรับว่าครับแล้วเดินไปหาพี่อู๋ คุณสมปราชญ์ตามมาติดๆเพื่อบอกเราว่าผลน่าจะออกเดือนหน้า ระหว่างนี้แกอยากโทรหาผมบ้างก้องจะว่าอะไรไหม ผมมองพี่อู๋เป็นเชิงว่าไม่โอเค ผมไม่อยากคุยกับคุณสมปราชญ์เท่าไหร่ เขาจึงบอกพ่อแอบอ้างว่าไว้ผลตรวจชัดเจนแล้วค่อยตกลงเรื่องก้องเกียรติกันนะครับ




ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยมีความสุขเลย ช่วงที่ได้เรียนได้เล่นกับเพื่อนก็พอลืมเรื่องกังวลได้บ้าง แต่อยู่ห้องคนเดียวเมื่อไหร่มักจะฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันทำอะไร การบ้านก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ตอนเรียนมีเผลอหลับบ้าง แอบแชทกับพี่อู๋บ้าง เหมือนผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ไม่รู้จริงๆว่าถ้าผลออกมาว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆแล้วมันจะยังไง มันจะแย่ตรงไหน หรือผมแค่กังวลมากไปเองเท่านั้น

“นั่งเหี่ยวเป็นผักขายไม่ออก เป็นอะไรของมึงเนี่ยก้อง?”

ทรายถามหลังหมดคาบดรอว์อิ้ง ผมไม่บอกเพื่อนว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าเบื่อๆเซ็งๆไม่ค่อยอยากเรียนหนังสือ

“วันนี้มึงจะเข้าห้องเชียร์ไหม?”
“ไม่เข้า”

ผมตอบด้วยคำตอบเดิมๆ และออกัสก็ทำหน้าเซ็งเหมือนเดิมเพราะกลุ่มเราไม่มีใครเป็นเด็กกิจกรรมเลย ไอ้โบ้ทเอาเวลาหลังเลิกเรียนไปหาของกิน มิวนอนไถทวิตเตอร์เหงาๆไร้ผัวคนเดียวในหอ ทรายรีบกลับบ้านไปเทแป้งเทน้ำตาลใส่เครื่องผสม ไม่สนตำแหน่งดาวคณะที่ใครๆใฝ่ฝัน ส่วนผมนอนอืดเป็นลิงเน่าพองลมในห้อง แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครนอกเวลาเรียน คนที่เอนจอยกับกิจกรรมจึงมีแค่คนเดียวคือออกัส ผมว่ามันคงชอบการเป็นจุดเด่นเอาเรื่อง ได้ยินคนเขาลือกันว่าคณะจะส่งมันเข้าประกวดเฟรชชี่บอยด้วย ถ้าออกัสอยากไปให้สุดแล้วหยุดที่เดือนมหาลัยก็คงต้องเดินสายกิจกรรมเต็มตัวแล้วล่ะ

หลังเรียนเสร็จเราแยกย้ายกันไปคนละทาง วันนี้วันศุกร์กลุ่มเราไม่มีนัดเปิดตี้ต่อกันแถวไหนเพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้าน ผมตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานกลับเกกีคนเดียวแต่จู่ๆออกัสก็ขอตามมาด้วย มันบอกว่าวันนี้ไม่เข้าห้องเชียร์ก็ได้ แต่ผมต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อน

“กูอีกละ?” ผมบ่นอุบอิบแต่ก็ให้มันซ้อนท้ายไปร้านข้าว “ทำไมมึงไม่ชวนไอ้โบ้ทบ้างวะ?”
“มึงก็รู้ว่าไอ้โบ้ทไม่ชอบกู”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ มันแค่เหม็นความหล่อของมึงเฉยๆ” ผมปลอบใจไม่ให้ไอ้ออกัสคิดมาก เพื่อนกันแท้ๆจะเคืองกันไปทำไม “สรุปมึงได้เป็นตัวแทนประกวดเดือนมหาลัยไหม?”
“ก็คงงั้นแหละ ถ้าไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใครวะ” คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้ชิบหาย ไม่แปลกใจที่ไอ้โบ้ทเกลียดมึงอ่ะออกัส “กูเสียดายที่ทรายไม่ลงสมัครว่ะ ถ้ามันลงนะ ปีนี้วิศวะแดกรอบวงทั้งเดือนทั้งดาว เสียดายจริงๆ”
“อีทรายมันกลัวโดนพ่อเฆี่ยนหลังลาย พ่อมันไม่ชอบเวทีประกวดนางงาม”
“แต่มันเคยบอกว่าแม่มันเป็นนางงามสวนแตงโมไม่ใช่เหรอ?”
“เออ”

ผมหัวเราะขำก่อนจะจดเมนูข้าวเพิ่มอีกหนึ่ง วงเล็บไว้ว่าใส่กล่อง ออกัสคงสงสัยว่าผมจะกินเยอะแยะอะไรตั้งสองจาน ผมจึงบอกว่าสั่งให้พี่อู๋ เดี๋ยวเขามาค่ำๆแล้วไม่มีอะไรกิน

“คนที่ชื่อพี่อู๋นี่พี่ชายมึงเหรอ?”
“เปล่าอ่ะ ผู้ปกครอง”
“ผู้ปกครองต้องเป็นญาติกันไม่ใช่เหรอ? หรือกูเข้าใจอะไรผิด?”

ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่เห็นแปลก แต่ออกัสเป็นคนขี้เสือกกว่าทราย มันจึงถามอยู่นั่นแหละว่าคนไม่ได้เป็นญาติกันมีสิทธิ์เป็นผู้ปกครองได้ด้วยเหรอ แล้วมึงไม่มีพ่อมีแม่หรือไงถึงให้คนอื่นเป็นผู้ปกครอง เขาโอเคเหรอที่ลูกชายไปเป็นของคนอื่น สรุปพี่อู๋เป็นคนดูแลหรือแฟนกันแน่ ผมชักรำคาญจึงตัดบทว่าซักเรื่องนะออกัส มึงจะถามอะไรเกี่ยวกับกูก็ได้ แต่เรื่องส่วนตัวอย่างพ่อแม่ไปไหน อยู่กับใคร พี่อู๋เกี่ยวข้องอะไร ขอร้อง – อย่าถาม กูไม่อยากตอบ

ออกัสอึ้งไปพักนึงเพราะไม่คิดว่าผมจะหงุดหงิดอารมณ์เสียใส่ มันบอกขอโทษก่อนจะนั่งใบ้ใส่นายก้องเกียรติที่กำลังเครียดกับการฟังผลดีเอ็นเอพรุ่งนี้ ใจของผมโหยหาคิดถึงแต่พี่อู๋ อยากให้วีออสร้ายๆบินได้เหมือนรถของรอน วีสลีย์ เขาจะได้บินลัดจากอโศกมาจอดสวยๆที่ลาดกระบังโดยไม่ต้องฝ่ารถติด นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงเจ็ดนาที ผมกินข้าวเกือบหมดจานและเตรียมตัวกลับไปนอนกกผ้าห่มคนเดียวในห้อง แต่ออกัสบอกว่าไปซื้อน้ำปั่นเป็นเพื่อนหน่อย

“ถามจริง มึงไปคนเดียวไม่ได้เหรอวะ?”

ผมกระฟัดกระเฟียดโมโห ไม่เข้าใจว่ามันจะติดเพื่อนอะไรขนาดนั้นวะ แค่น้ำปั่นแก้วเดียวมึงเดินไปซื้อเองไม่ได้หรือไง มึงเป็นอะไรถึงต้องหนีบกอริลลาที่กำลังหงุดหงิดติดตัวตลอดเวลาด้วย แต่ผมก็ยอมปั่นจักรยานพามันไปซื้อ สรุปว่าคนที่ประสาทแดกที่สุดก็คือนายก้องเกียรติเอง

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงตรง โกโก้ปั่นเพิ่มวิปกับเกล็ดน้ำตาลของไอ้ออกัสยังไม่ลงเครื่องปั่น ผมกดมือถือไป ด่ามันไปอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อไหร่ไอ้วีออสร้ายๆจะขับเข้ามาในซอยเสียที ผมทนรอไม่ไหวแล้วนะ ผมอยากคุยกับพี่อู๋เดี๋ยวนี้เลยว่าถ้าผลมันออกมาใช่ ผมควรทำยังไง

“เอ้า -- เอาไป”

ออกัสส่งโกโก้ปั่นเพิ่มวิปครีมโรยด้วยเกล็ดน้ำตาลมาให้ ผมถามมันว่าให้ทำไม มันตอบว่าแทนค่าจ้างที่ปั่นจักรยานพามากินข้าว ผมที่กำลังเครียดไม่พูดพร่ำทำเพลงนอกจากคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มติดมือแล้วรีบปั่นกลับหอ ไอ้ออกัสที่ซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังถามอีกว่ามึงเป็นอะไรเนี่ย ทำตัวเหมือนคนเมนส์มา ผมบอกมันว่ากูยิ่งกว่าเมนส์มาอีก ถ้ามึงรู้ว่าชีวิตกูกำลังเจอเรื่องเหี้ยอะไร มึงจะไม่เซ้าซี้ให้กูรำคาญแบบนี้

“ก็เล่ามาดิวะ กูรอฟังอยู่”

ผมไม่รู้ว่าออกัสมันคิดว่าเราสนิทกันระดับไหน แต่สำหรับนายก้องเกียรติ เรื่องในครอบครัวและความเฮงซวยที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนตอนพบจิตแพทย์ ผมจะไม่เท้าความว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แม่ตายเพราะอะไร ไปอยู่กับพี่อู๋ได้ยังไง จะไม่เล่าด้วยว่าเจอพ่อคนใหม่เมื่อตอนเปิดเทอม และผลตรวจดีเอ็นเอจะออกพรุ่งนี้ ผมไม่เล่าเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เล่า ผมจะฝังกลบความบัดซบทุกอย่างให้ตายไปพร้อมตัวเอง ไม่ต้องมีใครรับรู้อีก

ผมบอกออกัสว่าไม่ต้องรู้หรอกก่อนจะเข็นรถไปจอดในหอ ปล่อยทิ้งเพื่อนร่วมภาคให้ยืนหล่อกลางเกกีเพียงลำพัง ผมบอกมันว่าเดินกลับเองนะ หอมึงอยู่ไม่ไกล จำทางกลับหอได้ใช่ไหม มันตอบงงๆปนอึ้งว่าจำได้ ผมจึงรีบขึ้นบันไดเข้าห้อง พอปิดประตูห้องก็กระโดดขึ้นเตียง กรี๊ดอัดหมอนแก้เก็บกดอยู่เกือบนาทีจนเหนื่อย พอเริ่มเจ็บคอก็คลานกลับไปหยิบโกโก้ปั่นที่วางบนโต๊ะมาจิบ ตอนแรกกะจะกินสามสี่คำแล้วทิ้งเพราะเบื่อของหวาน แต่ต้องยอมรับว่าโกโก้แก้วนี้อร่อยมาก อร่อยจนผมดูดหายไปครึ่งแก้วในเวลาไม่ถึงนาที

เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกความสนใจจากกอริลลาที่กำลังชื่นชมเครื่องดื่มแสนอร่อย ไอ้ออกัสส่งไลน์มาถามว่าเป็นไง ชอบไหม ผมรีบตอบทันทีว่าชอบ มันจึงถามต่อว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ไปไหนหรือเปล่า ถ้าว่างจะไปดูมันถ่ายงานในมอไหม ผมถามว่าถ่ายอะไร มันบอกถ่ายวล็อก

วล็อกเหี้ยอะไรอี๊ก

ผมสงสัย แต่ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดเลยบอกว่าไม่ไป พรุ่งนี้กูมีนัดสำคัญกับพี่อู๋ ออกัสตอบเออๆก่อนจะเงียบไป พอดีกับจังหวะที่พี่อู๋โทรมาพอดี ผมจึงบอกมันว่าไว้คุยกันวันหลังนะ วันที่กูไม่ยุ่งและมีเวลา ไอ้ออกัสบอกว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก เพราะยังไงมึงก็ไม่เคยว่างสำหรับกูอยู่ดี





ต่อ PART2 ข้างล่างเลยคับผม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 12-08-2019 19:57:09
33 [PART2/2]



เช้าวันเสาร์ ผมตื่นนอนตอนเจ็ดโมง หลังล้างหน้าแปรงฟันผมก็ลงไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ที่นอนกรนอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขาคงเหนื่อยมาก ทำงานทั้งวันแถมยังต้องปลอบใจกอริลลาจิตตกอีก ผมร้องไห้เป็นชั่วโมงเพราะทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็พูดให้คิดได้ด้วยการถามว่าผมกลัวอะไร ลึกๆสิ่งที่ผมวิ่งหนี ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น คือเรื่องอะไร

ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ผลตรวจออกมาว่าผมเป็นลูกชายของคุณสมปราชญ์ หนึ่งคือผมกลัวว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขา สองผมกลัวว่าจะไม่ได้ยุ่งกับพี่อู๋อีกเพราะพ่อมีสิทธิ์ขาดในตัวลูกชาย สาม – ผมกลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้อนรับ ผมไม่เคยคลุกคลีฝั่งครอบครัวของคุณสมปราชญ์เลย ถ้าวันหนึ่งเขาพาผมเข้าบ้านแล้วถูกต่อต้าน ผมไม่รู้ว่าควรรับมือกับความเกลียดชังนี้ยังไง

พี่อู๋ฟังกอริลลางึมงำร้องไห้อยู่นานจึงพูดว่า ก้อง สถานะพ่อมันตัดทิ้งไม่ได้ ถ้าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อของก้องจริงๆ สิ่งที่ก้องทำได้คือยอมรับว่าเขาเป็นพ่อ ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวล ถ้าผลมันออกมาใช่เราค่อยตกลงกันก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไกลเลยว่าเขาจะพาก้องไป ไม่แน่เขาแค่มาแสดงตัวและขอทำหน้าที่พ่อ แต่ก้องจะยอมให้เขาเข้ามาในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวก้องเอง ต่อให้คนในครอบครัวคุณสมปราชญ์ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร พี่ชอบก้อง พี่ยังรักก้องเหมือนเดิม เขาไม่เอาก็ช่าง พี่เอา พี่ดูแลก้องเอง

 ผมร้องไห้เลยตอนที่พี่อู๋ให้สัญญาว่าจะดูแลนายก้องเกียรติเหมือนเดิม ผมบอกเขาว่ารู้ไหมผมดีใจที่ได้เจอพี่มากกว่าเจอพ่ออีกนะ พี่อู๋หัวเราะแล้วปลอบผมต่อ เขาบอกว่าสิ่งที่ต้องกังวลไม่ใช่เรื่องพ่อหรอก กังวลเถอะว่าควิซภาษาอังกฤษครั้งหน้าจะทำได้ไหม วันๆไม่อ่านหนังสือไม่ท่องศัพท์ เอาแต่นอนร้องไห้ฮือๆไม่อยากมีพ่อๆ มันจะสอบผ่านไหมวะก้อง

พอได้ฟังคำพูดของพี่อู๋ ผมก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อย ผลจะออกมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างมันเพราะผมคือคนตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไป ที่แน่ๆไม่ควรคิดไกลว่าเขาจะพาผมไปจากพี่อู๋ ไม่แน่เขาเองก็อาจมีปัญหากับที่บ้านหากรับกอริลลาหลุดฝูงไปดูแลเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดไกล อย่าคิดไกล อย่าคิด –

“ก้อง! ทำไมตื่นเช้าจังเลยวันนี้”

เสียงของออกัสดังขึ้นข้างหลัง ผมจึงหมุนตัวกลับไปทักทายเพื่อนแต่ก็พูดไม่ออกเพราะรอบตัวมันมีกล้องถ่ายทำอยู่ มีคนติดตามอยู่หลังตากล้องอีกคน ส่วนมันสวมเสื้อยืดกิจกรรมสีส้มกับกางเกงยีน ยืนกวักมือเรียกให้เข้าหาแต่ผมไม่เดิน

“มานี่หน่อยสิ”

ออกัสเรียกอีก แต่ผมลังเล ไม่อยากโผล่เข้าไปในเฟรมกล้องเพราะไม่รู้ว่าหน้าตัวเองจะโผล่ในสื่อช่องทางไหนบ้าง พอเห็นนายก้องเกียรติเลิ่กลั่กไม่เดินไปหาเสียที ออกัสจึงเดินตรงมาทางนี้โดยมีกล้องตามติดมาด้วย

“คนนี้เพื่อนผมครับ ภาคแมคคาเหมือนกัน ชื่อก้อง” มันยิ้มกว้าง ท่าทางดูเฟรนด์ลี่กว่าปกติ “เฮ้ย ทำไมตื่นเช้าจังอ่ะ”
“อ๋อ จะไปซื้อข้าวให้พี่อู๋”

ไอ้ออกัสหน้าเสียนิดหน่อย ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบกล้องเพราะไม่รู้ว่ากำลังถ่ายรายการอะไร ผมแค่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะโผล่บนจอโทรทัศน์หรือโซเชียลมีเดีย ไว้หลังจากนี้ผมจะไลน์ไปด่ามันให้เซ็นเซอร์หน้านายก้องเกียรติออก ทำเป็นภาพเบลอเหมือนเบลอหัวนมโงกุนหรือคาดตาดำเหมือนอาชญากรก็ได้ แต่ห้ามให้เห็นว่าเป็นหน้ากูเด็ดขาด เข้าใจไหม

“ไว้เจอกันใหม่ ไปทำงานก่อนละ”

ผมตอบเออๆแล้วโบกมือหนี พอเดินห่างออกไปได้ซักพักก็รีบหันหลังไปดูอีกว่ามันยังถ่ายอยู่ไหม ก็ยังถ่ายอยู่ เหมือนรายการเรียลลิตี้ตามติดชีวิตเน็ตไอดอลไม่มีผิด ระหว่างนึกสงสัยว่าทำไมไอ้ออกัสถึงมีตากล้องมาถ่ายถึงที่ จู่ๆพี่อู๋ก็โทรเข้ามาว่าอยู่ไหน ทำไมไปซื้อนานจัง ผมบ่นผู้ปกครองว่านานอะไร เพิ่งลงมาไม่ถึงห้านาทีเอง

“เร็วๆเลย เดี๋ยวเราต้องรีบไปโรงพยาบาลอีก”
“ครับๆ”

ผมกรอกเสียงลงในสายแล้วเดินไปร้านข้าวเจ้าประจำ ตัดเรื่องไอ้ออกัสออกจากสมองก่อนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราจะได้รู้กันว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆของนายก้องเกียรติหรือไม่




“ผลออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันนะครับ”

คุณหมอพูดและอธิบายผลตรวจอย่างละเอียด ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าตรวจออกมาแล้วเรามีค่าอะไรเหมือนกันตรงไหนยังไง ผมมัวแต่รู้สึกแย่จนปล่อยให้คำอธิบายเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คนที่ดีใจที่สุดในห้องน่าจะเป็นคุณสมปราชญ์ เพราะแกเอาแต่ยิ้มและขอบคุณคุณหมอที่ช่วยอธิบายให้กระจ่าง ในขณะที่ลูกชายของเขานั่งใบ้ ไม่พูดอะไรซักคำ

หลังออกจากห้องตรวจพี่อู๋ก็เดินมาหาผม เขาคงรู้อยู่แล้วว่าผลเป็นยังไงเลยไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ คุณสมปราชญ์หรือพ่อของนายก้องเกียรติถือโอกาสนี้ชวนเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แกบอกว่าขอเป็นเจ้ามือเอง ไม่ว่าก้องอยากกินอะไร แพงแค่ไหนก็ได้ แกจะพาไปกิน

ผมไม่มีอารมณ์เพราะยังสับสนอยู่ว่าควรรู้สึกยังไง ดังนั้นพี่อู๋จึงให้ไปเจอกันที่พารากอน ส่วนจะกินร้านไหนค่อยตกลงกันอีกที เดี๋ยวเขาจะถามนายก้องเกียรติให้ว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า

ผมไม่พูดไม่จาเลยจนกระทั่งถึงรถ พออยู่กันสองคนผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมกลัวมากเลย ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเอายังไง ไม่รู้ว่าหลังไปกินข้าวกับเขาต้องแยกกับพี่เลยไหม ถ้าพ่อให้ผมไปอยู่ด้วยเราจะทำยังไงกันดี ผมไม่อยากไปจากพี่ ผมอยากอยู่กับพี่ ผมไม่อยากเป็นลูกชายเขา

“ก้องอย่าเพิ่งคิดไกล บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”

พี่อู๋ปลอบ แต่ผมรู้ว่าเขาเองก็กลัว สุดท้ายนายก้องเกียรติต้องทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการทำตัวไร้ความรู้สึก พ่อโทรมาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อถึงลานจอดในพารากอนเพราะอยากรู้ว่าลูกชายจะกินอะไร ผมตอบไปว่าเอ็มเคก็ได้ และจงใจพูดย้ำให้เขารู้ว่าแม่ของผมชอบกินเอ็มเค

หลังวนหาที่จอดเกือบยี่สิบนาที ผมกับพี่อู๋ก็เดินไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อ เขามาถึงก่อนนานแล้วก็เลยสั่งอาหารพลางๆเป็นการฆ่าเวลา ทันทีที่เห็นหน้าผม พ่อก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะหยิบถุงกระดาษสีเหลืองนวลมาให้ พ่อบอกว่านี่คือทาร์ตสับปะรดจากไต้หวัน พี่ชายคนโตของผมซื้อมาฝาก ไว้มีโอกาสป๊าจะพาไปหาเฮียนะ ผมถามคุณสมปราชญ์ว่าพี่ชายที่พูดถึงคือพี่ชายแท้ๆของผมใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ใช่ เฮียเป็นลูกของพี่ชายคนโตที่เสียไปนานแล้ว แกรับมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่เด็ก ส่วนผมคือลูกชายคนเดียวของคุณสมปราชญ์

ผมตอบเหรอครับ แล้วเงียบอีก พ่อคงรู้แหละว่าผมไม่ยินดียินร้ายกับการได้เจอพ่อแท้ๆในรอบหลายสิบปี แกจึงพยายามเอาอกเอาใจกอริลลาด้วยการสั่งติ่มซำเพิ่มให้แต่ผมไม่กิน ไม่กินก็คือไม่กิน ต่อให้เอาติ่มซำจากใต้มากองตรงหน้าผมก็ไม่กิน พอเห็นว่านายก้องเกียรติดื้อเงียบไม่คุยด้วย แกจึงยอมพูดตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะตกลงกัน

“ก้องมีอะไรอยากถามอาป๊าไหม?”

ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ลึกๆอยากถามว่ากลับมาทำไมแต่คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ ผมเลยมองหน้าผู้ปกครองที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่อู๋ให้กำลังใจเด็กในปกครองด้วยการคีบเป็ดย่างเข้าปาก ไม่ได้สนใจเลยว่านายก้องเกียรติกำลังหนักอกหนักใจกับคำถามจากพ่อขนาดไหน

“ก้องโกรธที่ป๊าไม่เคยไปหาเลยใช่ไหม?”

คุณสมปราชญ์ถาม ผมว่าแกรู้ตัวว่าควรพูดหรืออธิบายเรื่องไหนบ้าง ดังนั้นหลังปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดเกือบนาที ในที่สุดเขาก็ยอมเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แกเล่าว่าบ้านของแกเป็นครอบครัวคนจีน คุณสมปราชญ์เป็นลูกชายคนที่สองในบรรดาพี่น้องหาคน คนโตเป็นผู้ชาย อีกสามคนเป็นผู้หญิง ที่บ้านเปิดโรงงานลูกชิ้นแล้วช่วยกันทำงานแบบระบอบกงสี เมื่อก่อนพี่ชายกับพี่สะใภ้เป็นคนดูแลธุรกิจและมีอาม้านั่งคุมสมุดบัญชีอีกที

ตอนนั้นด้วยความที่เป็นลูกชายคนรอง อาม้าไม่ค่อยยุ่มย่ามชีวิตของพ่อเท่าไหร่ พ่อมีอิสระจะทำอะไรก็ได้ จะรักจะชอบใครอาม้าก็ไม่ว่า ดังนั้นหลังจากไปมาๆสมุทรสาครนครชัยศรีอยู่เกือบปี พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน เป็นผู้หญิงไทยผิวเข้มหน้าตาธรรมดาๆ อาม้าบอกว่าอยู่กินกันไปก่อนแล้วค่อยแต่งงานเพราะช่วงนั้นโรงงานลูกชิ้นกำลังลุ่มๆดอนๆ เอาให้มั่นคงก่อนแล้วอาม้าจะทำให้ถูกต้องตามประเพณี

เดิมทีแม่ของผมเป็นลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้ ตอนมาอยู่กับพ่อก็หนีกันมาไม่ได้สู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวเพราะคุณตาไม่ชอบที่บ้านพ่อทำงานเป็นกงสี สมัยก่อนใครๆก็รู้ว่าสะใภ้แต่งเข้าตระกูลคนจีนมีแต่จนกับจน ถูกใช้งานยิ่งกว่าขี้ข้าแต่พ่อแม่ผัวก็ไม่เคยเห็นหัว ดังนั้นผมจึงไม่มีคุณตาคุณยายเพราะแม่ชิงสุกก่อนห่าม หักหน้าผู้ใหญ่ที่บ้านจนกลับไปเหยียบนครชัยศรีไม่ได้ เมื่อตกลงหนีกันมาแล้วแม่ก็ต้องช่วยทำงานในระบอบกงสี ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ งานหนักแค่ไหนก็ต้องทำ ตอนนั้นแม่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ยังสาวยังสวย แต่ต้องแบกกระสอบลูกชิ้น ต้องนั่งแล่ปลาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เสร็จแล้วก็ต้องปัดกวาดบ้านหลังใหญ่ ต้องทำอาหารเผื่อสมาชิกนับสิบอีก เรียกได้ว่างานของแม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตายันหลับตา ไม่มีเวลาส่วนตัวหรือพักผ่อนเหมือนคนอื่นเลย

แม่กับพี่สะใภ้ทำงานหนักไม่แพ้ลูกๆเจ้าของโรงงาน แต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนอาม้าก็ไม่เคยพอใจ พี่สะใภ้โดนด่าน้อยกว่าหน่อยเพราะมีเลือดจีนอยู่บ้าง แต่แม่โดนด่าโดนกระทำฝ่ายเดียวเสมอไม่เคยได้ตอบโต้ พ่อบอกว่าอาม้าไม่ชอบแม่เพราะอยากให้ลูกหลานออกมาเป็นจีนแท้ ไม่เอาไทยผสม ไม่เอามอญ อาม้าอยากได้สายเลือดบริสุทธิ์เพราะเชื่อว่าคนจีนมียีนที่ดีที่สุดในโลก ฟังถึงตรงนี้ผมเผลอหลุดปากด่าอาม้าไปว่าอยากได้หลานเป็นคนหรือหมา ทำไมต้องเลือกสายพันธุ์เลือดแท้เลือดผสม พี่อู๋ถึงกับคายลูกชิ้นเพื่อตำหนินายก้องเกียรติทันที

“ทำไมไม่ช่วยแม่ผมบ้าง? ปล่อยให้แม่ทนแม่ผัวคนเดียวได้ยังไง?”
“ป๊าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกัน เราทำอะไรไม่ได้นอกจากทน”

ผมต้องนั่งฟังคุณสมปราชญ์บรรยายถึงความไม่ยุติธรรมในบ้านหลังนั้นตั้งหลายนาที ทั้งตอนที่แม่โดนอาม้าด่าเพราะเอาเงินเก็บไปซื้อชุดสวยๆ ทั้งตอนที่แล่ปลาไม่ทันเพราะโดนมีดบาด แต่แม่ก็อดทนมาตลอด แม่ยอมโดนโขกสับเป็นผักเป็นปลาจนกระทั่งท้องถึงเริ่มแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ยอมทำงานหนักเพราะกลัวแท้งลูก

วางเงินห้าบาท ขอเดาล่วงหน้าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น อาม้าคงเป็นหมาบ้าเมื่อโรงงานขาดแรงงานไปอีกหนึ่ง พ่อบอกว่าอาม้าเครียดที่งานไม่เสร็จดั่งใจจึงหันมาระบายความหงุดหงิดด้วยการบ่นแม่ทุกวันว่าพวกคนไทยขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ถ้าเป็นฉันสมัยอยู่เมืองจีนนะ ต่อให้ท้องโตแค่ไหนก็ช่วยผัวช่วยครอบครัวทำงาน พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เลยฟิวส์ขาดบอกอาม้าว่าไม่รักลูกตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่นี่ลูกฉัน ฉันจะดูแลตัวเองดีๆเพื่อลูก ไม่ต้องมาสอน แค่นั้นแหละ บึ้ม – บ้านแตก เพราะแม่ของก้องเกียรติเปรี้ยวตีน

“อาม้านะ เกลียดหม่าม้าของก้องมาก มากจนพยายามหาผู้หญิงใหม่มาให้ป๊า แต่ป๊าไม่เอา” คุณสมปราชญ์เล่าต่อ “เราก็ทนๆอยู่ในบ้านกันไปจนก้องเกิด ตอนแรกป๊าคิดว่าถ้าได้หลานชายอาม้าน่าจะดีใจ แต่ก้องเกิดผิดเวลา เกิดตอนเฮียของป๊าตายพอดี”
“ลุงเป็นอะไรตายเหรอครับ?”
“ตับแข็ง” พ่อบอก “ยี่สิบห้าธันวา ก้องคลอดไม่ได้ถึงชั่วโมง เฮียตายคามือหมอเลย”

พี่ชายของพ่อก็ช่างเลือกวันตาย ดันตายหลังนายก้องเกียรติลืมตาดูโลกได้ไม่กี่นาที ตอนนั้นบ้านกลายเป็นนรกขนาดย่อมสำหรับแม่ เพราะพ่อต้องขึ้นเป็นเจ้าของโรงงานเต็มตัวจนไม่มีเวลา กลายเป็นว่าแม่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียวในห้องนอนแคบๆ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรมากเพราะกลัวว่าถ้าโดนไล่ไปอยู่ที่อื่นจะลำบาก แม่กัดฟันอดทนทุกวันๆเลี้ยงดูผมจนอายุขวบกว่า พอลูกโตขึ้นก็ต้องฝืนใจ ยอมออกไปเจอหน้าแม่ผัวเพื่อให้ลูกได้เล่นข้างนอกบ้างเพราะห้องนอนเริ่มแคบเกินไปสำหรับเด็กวัยหัดเดิน

คุณสมปราชญ์เล่าถึงตรงนี้แล้วหยุดพักครู่หนึ่งเหมือนพยายามเก็บความรู้สึกลงข้างใน จะได้เล่าต่อโดยไม่ให้มีอารมณ์ใดๆเจือปนในน้ำเสียง ผมได้แต่มองตาเขาเพราะอยากรู้ว่าลึกๆแล้วเขาเคยเสียใจบ้างไหมที่ไม่ปกป้องแม่ เคยรู้สึกผิดบ้างไหมที่พาแม่มาเจอแม่ผัวประสาทแดก เคยคิดบ้างไหมว่ามันจะไม่แย่ขนาดนี้เลยถ้าเขากล้าเถียงแม่ตัวเองบ้าง

“หม่าม้าของก้องพูดตลอดว่าลำบากแค่ไหนก็ทนได้ แต่อยู่ในบ้านที่ไม่มีใครรักลูกเรามันทำใจยาก”

ตอนนั้นอาม้าไม่ให้หลานคนอื่นยุ่งวุ่นวายกับผมเลย ขนาดกินข้าวร่วมโต๊ะก็ไม่ได้เพราะอาม้าเกลียดแม่มาก บรรดาน้องสาวของคุณสมปราชญ์ก็เป็นไปกับเขาด้วย ทุกคนกีดกันแม่ออกจากครอบครัวเหมือนเราไม่ใช่คน ราวกับแม่ไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้ ราวกับผมไม่ใช่หลานของพวกเขา ครั้งหนึ่งผมตัวร้อนมากจนเกือบชัก แม่ต้องบากหน้าไปขอเงินส่วนกลางจากอาม้าเพื่อพาผมไปหาหมอ แต่อาม้าไม่ให้ แกให้เงินแค่สิบห้าบาทไปซื้อยาจีนมาต้ม แม่จึงต้องกระเตงอุ้มผมไปถึงโรงงานเพื่อขอเงินพ่อ พอรู้ว่าผมไม่สบายหนักพ่อก็ทิ้งโรงงาน ปล่อยให้น้องสาวคนโตดูแลต่อแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอกลับมาจากหาหมอพ่อกับแม่โดนอาม้าด่าเหมือนหมูเหมือนหมา เด็กมันไข้แค่กินยาก็หาย แต่มึงทิ้งโรงงานไว้กับคนทำอะไรไม่เป็น มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า

“กูกับลูกจะไม่ทนอยู่ในบ้านอียักษ์แก่ใจดำอย่างมึงอีกต่อไป!”

คุณสมปราชญ์เล่าว่าแม่พูดประโยคนี้จริงๆ พูดต่อหน้าคนงานเลยด้วย พูดจบแม่ก็โดนตบทันที ผมว่าความอดทนทั้งหมดของแม่คงจบกันตรงนี้ แม่ทนได้เป็นปีๆเพื่อผม แต่ในเมื่อคนในบ้านใจเหี้ยมกับลูกของแม่ แม่ก็ไม่มีเหตุผลต้องทนอีกต่อไป

“แล้วแม่ไปไหน?”
“ป๊าบอกหม่าม้าของก้องให้กลับไปอยู่นครชัยศรีก่อน ไว้แบ่งระบอบโรงงานเสร็จเมื่อไหร่ป๊าจะย้ายไปทำสวนที่บ้านกับตา แต่ป๊าคงงานเคลียร์นานเกินไป พอนั่งรถไฟตามไปอีกที แม่ของก้องก็ไม่อยู่นครชัยศรีแล้ว”
“ทำไมไม่รีบตามหาแม่? ถามจากเพื่อนของแม่ก็ได้ว่าแม่ไปไหน แค่นี้ก็น่าจะหาเราเจอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก้อง – หม่าม้าของก้องไม่ได้กลับนครชัยศรี แม้แต่ตายายของก้องยังไม่รู้เลยว่าหม่าม้าท้อง”

 คุณสมปราชญ์เสียงสั่น

“ไม่ใช่ว่าป๊าไม่ตามหา ไม่ใช่ว่าละเลยไม่สนใจ ป๊าหาแล้วก้อง ป๊าถามคนทั้งนครชัยศรีแล้ว กลับไปถามแถวบ้านก็แล้ว ไม่มีใครเจอหม่าม้าของก้องเลย ไม่มีใครเห็น ก้องจะให้ป๊าออกตามหาที่ไหนอีก ป๊านึกไม่ออกเลยว่าหม่าม้าของก้องจะพาก้องไปไหนได้ในเมื่อหม่าม้าไม่รู้จักใคร”

ผมเริ่มน้ำตาคลออยากร้องไห้เมื่อฟังจบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่ไม่กลับนครชัยศรีเพราะปกติแม่เป็นคนคาดเดายากอยู่แล้ว ตอนนั้นแม่คงโมโหจนไม่สนใจว่าเริ่มต้นใหม่จะลำบากขนาดไหน แม่แค่เจ็บใจที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความยุติธรรม แม่แค่โกรธแค้นที่ผัวไม่เคยปกป้องจนไม่อยากติดต่อกันอีกก็เท่านั้นเอง

“ป๊ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่หม่าม้าของก้องจะหายโกรธและติดต่อกลับมาเพราะหม่าม้าก็จำชื่อที่อยู่โรงงานของเราได้ แต่ป๊ารอมาจะสิบเจ็ดปีแล้ว เกือบสิบเจ็ดปี ไม่มีโทรศัพท์จากหม่าม้าของก้องเลย”
“พ่อสิต้องเป็นฝ่ายติดต่อมา ถ้าพ่อพยายามหามากกว่านี้ พ่ออาจจะเจอเราก็ได้”
“ป๊าหาไม่เจอจริงๆก้อง ป๊าสาบานเลยว่าพยายามเต็มที่แล้วแต่หาไม่เจอ อีกอย่างในใบเกิดของก้องก็มีที่อยู่ของป๊า ป๊ายังอยู่บ้านหลังเดิมเพราะรอก้อง แต่ก้องก็ไม่มา”
“แม่บอกว่าพ่อมีแฟนใหม่แล้ว”

ลุงสมปราชญ์สะอึก ก่อนจะยอมรับว่าใช่ เขาแต่งงานใหม่หลังจากติดต่อแม่ไม่ได้เกือบปี ผู้หญิงที่แต่งด้วยมีเชื้อสายจีนถูกต้องตามที่อาม้าต้องการ พอแต่งงานมีลูกกลับได้แต่ลูกสาว คนที่หนึ่งก็ลูกสาว คนล่าสุดที่เพิ่งคลอดเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็นลูกสาว บรรดาน้องสาวของป๊าที่ออกเรือนแต่งงานก็ได้แต่ลูกสาว ตอนนี้ที่บ้านมีหลานสาวสิบเอ็ดคน ป๊าคิดว่าสวรรค์คงลงโทษบ้านของเราที่รังแกหม่าม้ากับก้อง เชื่อไหมว่าในตระกูลของเรา นอกจากลูกของเฮียคนโตแล้วก็มีก้องนี่แหละที่เป็นผู้ชาย

ผมเหลือบมองหน้าพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงซึ่งสีหน้าของคุณอิศรินทร์ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย เขาทำหน้าพะอืดพะอมคลื่นไส้ กลอกตามองบนราวกับเอือมระอาชุดความคิดของคุณสมปราชญ์นักหนา ส่วนตัวผมไม่ได้แตกต่างจากผู้ปกครองเท่าไหร่ ผมคิดว่าการได้ลูกสาวไม่ใช่บทลงโทษจากสวรรค์ ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมทัศนคติเรื่องลูกหลานถึงบิดเบี้ยวขนาดนี้ นอกจากต้องการสายเลือดจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วยังอยากได้ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีก

“แล้วพ่อหาผมเจอได้ยังไง?”
“เพื่อนป๊าที่เป็นอาจารย์โทรมาบอกว่าเจอคนนามสกุลเหมือนภัทรา เด็กบอกว่าเป็นลูกชาย มีพ่อชื่อสมปราชญ์ด้วย”
“แสดงว่าแม่ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล”
“ใช่”
“แต่พ่อก็ยังหาเราไม่เจอ”

ผมประชดด้วยการยิ้มมุมปาก พอรู้อย่างนี้แล้วมันอดโมโหไม่ได้ที่พ่อไม่ใส่ใจเราเท่าที่ควร ถ้าแม่เปลี่ยนชื่อแซ่หนีไปไกลคนละภาคผมจะไม่ว่าเลย แต่แม่ก็ใช้ชื่อนามสกุลเดิม ชื่อของผมก็ก้องเกียรติเหมือนเดิมตั้งแต่เกิด เราแค่ย้ายจากสมุทรสาครมาจรัญสนิทวงศ์ คิดดูสิว่ามันไม่ได้ไกลขนาดเกินความสามารถ แต่พ่อออกตามหาเราได้ไม่ถึงปีก็ถอดใจยอมแพ้แล้วมีเมียใหม่ตามที่อาม้าหาให้ ไม่น่าแปลกที่แม่จะแค้นขนาดนี้ เพราะผมเองก็แค้นจนไม่อยากเห็นหน้าพ่อเหมือนกัน

“พ่อรู้ไหมว่าเราอยู่กันลำบากขนาดไหน?” ผมถามกลับ คุณสมปราชญ์ขอโทษแต่มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น “พ่อรู้ไหมว่าหลังแม่ตายผมต้องใช้ชีวิตยังไง ผมอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีจะจ่าย ข้าวก็ต้องขอกินจากเพื่อนบ้าน เงินจะเรียนหนังสือยังไม่มี ผมไม่มีอะไรเลย ผมกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่พ่อกลับสุขสบาย ไม่นึกถึงเราสองคนเลย”
“ไม่จริง ป๊าคิดถึงก้องทุกวัน ป๊ารอก้องติดต่อมา --”
“ผมจะติดต่อหาคนที่ทิ้งเราไปทำไม! พ่อก็เหมือนพวกขี้เกียจรักสบาย ไม่คิดจะออกตามหานอกจากกระดิกตีนรอผมติดต่อไป! ถ้าเพื่อนไม่บอกก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกยังไม่ตาย เผลอๆไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าบังเอิญไอ้ก้องเกียรติมันไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย!”

ผมร้องไห้และปาตะเกียบใส่หน้าพ่อ คุณสมปราชญ์ดูเสียใจมากแต่มันสาสมกับสิ่งที่เขาทำแล้ว ตั้งแต่แม่หนีตามไปอยู่กับเขา ไม่มีซักครั้งที่พ่อจะปกป้องแม่ ขนาดอาม้าตบเมียตัวเองก็ยังคิดไม่ได้ว่าควรย้ายออกไปตั้งตัวใหม่ ควรออกจากบ้านเฮงซวยหลังนั้นเพื่อครอบครัวตัวเอง แต่หัวของพ่อกลับคิดแค่ว่ากิจการกงสีต้องอยู่รอด ในขณะที่แม่ผมตัวคนเดียว ลูกก็ยังเล็ก ผัวก็ไม่ปกป้อง คนแบบนี้เหรอสมควรได้เจอลูกอีกครั้ง คนแบบนี้เหรอ – คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาขอเป็นป๊าของนายก้องเกียรติ เพ้อเจ้อชิบหาย

“ผมว่าเราอย่าเจอกันเลย” ผมกัดฟันบอกคุณสมปราชญ์ด้วยความโกรธ “ผมมีพี่อู๋คนเดียวก็พอแล้ว ผมไม่ต้องการพ่อ ต่อไปนี้อย่ายุ่งกับผมอีก”

ผมลุกขึ้นเดินหนี ส่วนพี่อู๋รีบวางตะเกียบแล้วออกตัววิ่งตาม พอฉวยข้อมือของกอริลลาจิตตกได้ ผมก็ร้องไห้ถามพี่อู๋ว่าพ่อกลับมาทำไม ถ้ากลับมาเพื่อเล่าเรื่องชวนเวทนาของแม่ให้ฟัง ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ผมยอมมีภาพจำว่าพ่อหนีไปมีเมียใหม่ดีกว่ารู้ว่าเขาเป็นพ่อห่วยๆที่ปกป้องลูกเมียไม่ได้ยังดีเสียกว่า

“ช่างมันนะก้อง พ่อไม่จำเป็นกับชีวิตของก้องหรอก เราอยู่กันเหมือนเดิมก็ได้ ก้องยังมีพี่อยู่ทั้งคนเนอะ”

ผมพยักหน้าและร้องไห้อยู่พักหนึ่งก่อนที่คุณสมปราชญ์จะเดินตามมา พี่อู๋บอกว่าไว้คุยกันโอกาสหน้าเพราะตอนนี้ก้องเกียรติไม่อยากคุยกับคุณแล้ว
 
“คุณนี่ยังไงกัน เอาแต่กันผมไม่ให้คุยกับลูก! ผลตรวจก็ออกมาแล้วนี่ว่าเขาเป็นลูกผม! ตามกฎหมายผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวก้อง คุณนั่นแหละหลบไป! อย่ายุ่งกับลูกชายผม!”
“สิทธิ์ของคุณหมดไปตั้งแต่วันที่ส่งแม่ของก้องกลับนครชัยศรีแล้ว!” พี่อู๋ตอกหน้าเขาแทนเด็กในปกครอง “วันนี้พอก่อนเถอะครับ อย่าทำให้ก้องเครียดไปกว่านี้เลย ถือว่าผมขอร้องในฐานะคนที่ดูแลลูกชายของคุณมาสองปีนะครับ”

เราจบบทสนทนากับคุณสมปราชญ์ไว้แค่นั้นแล้วเดินทางกลับบ้าน ผมร้องไห้เสียใจต่อนิดหน่อยก็หยุดร้องเพราะตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ติดต่อกับพ่ออีก ผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อกลับเข้ามานั้นเพราะเขารู้สึกผิดที่หาเราไม่เจอ หรือแค่อยากได้ลูกชายตามประสาพวกบ้าสายพันธุ์กันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมจะไม่ไปอยู่กับพ่อแน่ๆ หลังได้ฟังเรื่องราวทุเรศๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นแล้ว ผมว่าเราไม่นับญาติกันยังดีเสียกว่า เพราะผมฝืนทำใจเป็นลูกหลานของพวกที่ใจร้ายใจดำทำเรื่องเฮงซวยกับแม่ตัวเองไม่ลงหรอก

กว่าพี่อู๋จะขับรถถึงบ้าน ผมก็อารมณ์ดีจนเกือบเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกดีขึ้นเป็นเพราะทำใจได้เองหรือเพราะพี่อู๋กันแน่ บางทีถ้าไม่มีเขา ผมคงรู้สึกแย่มากที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองอย่างเฉยชา แต่พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่นายก้องเกียรติทำไม่ถือว่าอกตัญญูหรอก พ่อที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจนโตไม่มีสิทธิ์โกรธอยู่แล้วหากลูกปฏิเสธไม่อยากคุยด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละก้อง ไม่ต้องคิดเยอะให้เครียด ไม่ต้องหยิบหัวโขนลูกกตัญญูมาสวมให้หนักหัว แค่ก้องไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้คุณสมปราชญ์ก็ถือว่าหายกันแล้ว

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเอ็ดนาที ผมนั่งทำการบ้านในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ช่วยดูวิชาภาษาอังกฤษให้ จังหวะที่เท้าคางมองหน้าผู้ปกครองตรวจการบ้าน จู่ๆผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ รักพี่มากกว่าใคร ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมก็คงมาไกลไม่ได้ขนาดนี้ คุณอิศรินทร์ถามว่าพูดหวานเอาใจแบบนี้อยากได้อะไรล่ะ ผมตอบว่าไม่อยากได้อะไรเลย แค่อยากบอกเฉยๆ ผมรักพี่จริงๆ ต่อไปนี้เวลาใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน ผมจะบอกว่าพี่เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อ เก็ตสึโนวา

“ไม่อยากเป็นพ่อ”
“แล้วพี่อยากเป็นอะไร?”

พี่อู๋ทำปากขมุบขมิบอ่านได้ว่าผัว ผมไปต่อไม่ถูกจึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดศัพท์จากหนังสือเรียน นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบสามนาที ผมบอกพี่อู๋ว่ารอก่อนนะ ไว้ผมเข้าใจตัวเองเมื่อไหร่ เราค่อยเป็นแฟนกัน






TBC







___________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีค่ะทุกคน เรามีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในนิยายเรื่องเขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ


1.ความผิดพลาดอย่างแรกมาจากตอนที่ 31 ค่ะ เกี่ยวกับไทม์ไลน์การแอดมิชชั่นของสมาร์ท ตรงนี้เราจำไทม์ไลน์พลาดนะคะ สมาร์ทไม่ใช่ TCAS61 แต่เป็น admission60 ค่ะ จริงๆน้องก้องคือรุ่น admission60 แต่น้องใช้เวลารักษาตัวปีกว่าทำให้ไม่ทัน TCAS61 ดังนั้นปีที่น้องสอบเข้าเป็นระบอบ TCAS62 นะคะ เนื้อหาส่วนอื่นๆถูกต้อง ยกเว้นการอ้างอิงถึงการสอบเข้าของสมาร์ทในตอนที่ 31 ค่ะ ตอนนี้เราปรับแก้เนื้อหาส่วนที่พลาดและอัปเดตใหม่เรียบร้อยแล้วค่ะ ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านใหม่ได้ทุกช่องทางที่นิยายเรื่องนี้ลงได้เลย ต้องขอโทษจริงๆค่ะสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หลังจากนี้จะพยายามระวังเรื่องพ.ศ.และระบอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวละครในนิยายนะคะ


2. ตอนที่ 30 ที่น้องก้องกับพี่อู๋ไปเที่ยวเชียงใหม่ ทั้งสองคนไม่ได้ไปดอยสุเทพนะคะ ไปดอยอินทนนท์ค่ะ แต่ในการบรรยายมีหลุดคำว่าดอยสุเทพออกมาด้วย ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่ไม่ทบทวนให้ดี ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วเช่นกันค่ะ


3. ตอนที่ 32 มีจุดผิดพลาด 2 จุดคือเส้นทางการเดินทางจากลาดพร้าวไปลาดกระบัง และคำลงท้ายของเจ้าของหอที่ใช้ครับค่ะร่วมกันในประโยคเดียว อาจทำให้นักอ่านสับสน อันนี้ถือเป็นความบกพร่องที่แย่มากค่ะ เราอ่านทวนหลายรอบแต่ยังมีหลุดประโยคแปลกๆออกมา เป็นความสะเพร่าที่ตัวเองยังปรับปรุงไม่ได้ หากตอนหน้าหรือตอนที่แล้วมามีจุดพลาด นักอ่านทุกท่านสามารถกระซิบบอกหรือตั้งคำถามได้เสมอนะคะ เพื่อให้นิยายเรื่องนี้ไม่มีจุดบกพร่องและออกมาดีที่สุด เราจะพยายามแก้ไขและปรับปรุงเรื่อยๆค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ


สัปดาห์นี้มีแฟนอาร์ตน่ารักๆมาฝากเช่นเคยค่ะ จากพี่จ๋า @pukjin เป็นแฟนอาร์ตไร่ส้มที่มีแต่ส้มสวยๆ ส้มหวาน ส้มน่าร้ากเต็มไปหมดเลย ถ้าพี่จ๋าอยากเห็นแฟนอาร์ตสวยๆ เชิญส่องในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้นะคะ ขอบคุณค่า<3
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-08-2019 21:02:44
 :m26:
ผัว





 :jul3:
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Gugii ที่ 12-08-2019 21:45:03
ตอนนี้ก็ร้องไห้อีกแล้ว ฮืออ สงสารก้อง
เราขอฉากหวานๆ มาแทนน้ำตาที่เสียไปด้วย
 :mew2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-08-2019 21:46:11
แม่ก้องก็สู้น่าดูนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 12-08-2019 22:13:38
อีพ่อพูดมาได้ เฮงซวยยย!!!(จริตคุณภัสสร) ทุเรศว่ะตอนนั้นก้องต้องเจออะไรมาบ้างสงสารน้องสุดๆชีวิตน้องกำลังไปได้ดีมึงกลับมาทำไมโมโห ก้องโชคดีที่ได้เจอพี่อู๋ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ได้มีโอกาสเจอคนแบบพี่อู๋นี่ชีวิตจะเป็นยังไง รักพี่อู๋มากกว่าเดิมตอนนี้เป็นแดดดี้ไปก่อนนะจ้ะรอน้องพร้อมก่อนเน้อ :hao6: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-08-2019 22:25:31
ขอให้้นทุกข์พ้นโศกเร็วๆนะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-08-2019 23:29:44
เออ คนเฮงซวยมันแบบนี้จริง ๆ  คนมันแย่ก็คือแย่ นี่คนละเรื่องกับการเป็นพ่อแม่นะ
อย่างพี่อู๋ว่า แค่ไม่ทำอะไรให้เขาเดือดร้อนก็พอแล้ว

ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นผะ....อืม....ฝันต่อไปนะพี่อู๋ อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: fun_la_ong ที่ 12-08-2019 23:29:57
พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่ออออออ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 13-08-2019 00:55:23
เครียดมาทั้งตอน ตอนจบแอบหวานให้ชื่นใจ ตอนนี้เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อไปก่อนเนาะพี่อู๋ จะว่าไปเร็วมากเลยนะเนี่ย น้องก้องอยู่กับพี่อู๋สองปีแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 13-08-2019 01:19:46
ชอบการแสดงออกของกอลิล่าก้องเกียรติกับผู้ปกครองคุณอิศรินทร์มากกกกกก มีความเป็นมนุษย์จริงๆ ตอกหน้าตาลุงทิ้งลูกได้ถึงใจมากกกกกกก นี่ยังแบบ ห๊าาา!! เค้ามาตามหาก้องเพราะอะไรนะ!? โหวววลุง มาทางไหนไปทางนั้นเลย กอลลิล่าของชั้นกำลังสภาพจิตดีๆอยู่ จะมาย่ำแย่กลับไปลูปเดิม นี่จะสาปให้โรงงานลูกชิ้นเจ๊งเลย  :m31:


ปล. พี่อู๋อยากเป็นผั-น้องก้อง แอร๊ยยยยยยยยย เป็นกำลังใจนะเสี่ยอู๋สายเปย์ :hao3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-08-2019 01:27:47
สงสารแม่ก้องจัง สงสารก้องด้วย
 :hao5: พี่อู๋เป็นแด้ดดี้ไง แด้ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อน่ะ
 แอบขำคำว่า วีออสร้ายๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 13-08-2019 01:32:04
เป็นเราก็คงไม่ไปแน่ๆอะคนไม่ผูกพันธ์อะเน้าะ ยิ่งมารับรู้เริ่องของแม่ก้องอีก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-08-2019 12:55:27
ในมุมเด็กที่ลำบากแทบตายก็ต้องไม่มองพ่อที่ไม่ได้เลี้ยงดูในแง่ดีอยู่แล้ว
แถมมันก็คิดได้ว่าถ้าไม่ใช่ลูกชายเขาจะยังตามหาอยู่ไหม
เอาเป็นว่าก้องรับรู้แล้วว่ามีพ่อ แต่ชีวิตของก้องให้ก้องเลือกเองดีกว่า
จะให้จี๋จ๋า ถูกชะตา กตัญญูไม่น่าจะในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 13-08-2019 20:58:54
ก้อง บรรลุนิติภาวะ หรือยัง น่าจะมีประเด็นในการดูแล...  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-08-2019 21:49:23
 ตอนแรกสงสารพ่อมาก พออ่านเหตุผลจบคือมีแบบนี้ไม่มีดีกว่าอ่ะ ท้อ ไม่ต้องมีก็ได้เนอะลูก เรามีผั-- ดีกว่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 14-08-2019 14:55:23
ว้อทททท คือว้อทมากก แต่สนุกมาก รักก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 14-08-2019 15:36:55
กลัวว่าพ่อจะใช้เหตุผลทางกฎหมายมาบีบพี่อู๋จังเลย เมื่อไรจะหมดเคราะห์หมดโศกสักทีลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 14-08-2019 16:33:24
 :katai3: ฝันกลางวันอะพี่อู๋
 :hao3: :hao3: :ruready
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-08-2019 17:26:27
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 14-08-2019 23:07:05
เครียดเรื่องพ่อไปกับก้องเลยอ่ะ กลับมาเพราะว่าเป็นลุกชายตามหาผู้สืบสกุลสินะ เฮ้อ
แต่แก้เครียดได้ด้วยคำว่าผัวจากพี่อ๋ละนะ   :impress2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 15-08-2019 11:31:50
ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียน นะคะ จะบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก..
ถ้าทำเป็นเล่มก็จะอุดหนุนหรือ e-book ก็จะสนับสนุนค่ะ..
แบบว่าเข้าเล้ามา ทุกวัน รออ่านตอนต่อไป..  :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 15-08-2019 14:06:41
 :katai1: พลาดอย่างแรงค่ะ ที่คิดว่า ดูจากชื่อเรื่องแล้วคงไม่น่าสนใจ  แต่พอลองอ่านแล้ว  ... ติดงอมแงมเลยค่ะ5555 รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 17-08-2019 14:32:48
สงสารก้อง  พ่อแบบนี้ก้นะ :angry2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 17-08-2019 22:52:26
ดราม่ามาทั้งตอนมาหลุดขำตรงขี้แตกนี่แหละ 555
ว่าแต่ออกัสนี่คิดไรกับก้องปะเนี่ย ทำเป็นน้อยใจ หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-08-2019 02:23:19
สงสารแม่กับก้องมาก พ่อพูดเหมือนเอาความดีเข้าตัวแล้วก็โทษแม่ที่แม่ไม่ยอมติดต่อไป ทั้งที่ความจริงพ่อต้องดูแล ปกป้องแม่และก้องให้ดีกว่านี้ 
สงสารพี่อู๋ที่ไม่ได้อยากเป็นแค่พ่อด้วย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 33 update!] 12/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 19-08-2019 19:55:06
34 [PART 1/2]


ผมใช้ชีวิตอยู่กับพี่อู๋เหมือนเดิมนับตั้งแต่นั้นมา มีบ้างที่ถามถึงพ่อว่าเขายังคงโทรหาผู้ปกครองของผมบ้างไหม แต่รวมๆแล้วผมไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดเก็บมาเป็นกังวล ตอนนี้ผมกำลังสนุกกับชีวิตมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อน มีสังคมให้ใช้เวลาด้วยจนลืมเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหมดและหมกมุ่นอยู่กับช่วงวัยรุ่นตอนปลายเท่านั้น

ตอนนี้ออกัสขี้เก๊กไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก นอกจากเป็นมาสคอตของลาดกระบังแล้ว ผมยังเห็นมันถ่ายแบบให้ร้านขายของบนอินเทอร์เน็ตด้วย ไม่รู้เฟสบุ๊กรู้ได้ไงว่าผมเป็นเพื่อนมัน ถึงขยันยิงแอดโฆษณาที่ไอ้ออกัสเป็นนายแบบเข้ามาจนรถไทม์ไลน์ ผมเคยถามมันว่าค่าตัวถ่ายงานนึงได้ประมาณเท่าไหร่ มันบอกแล้วแต่ช่วงโมงทำงาน เต็มวันก็หลักหมื่น ว้าว -- เป็นคนหล่อมันดีอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมมันมีเงินซื้อของจุกจิกเยอะจัง

ผมยังคงเกาะติดกับเพื่อนกลุ่มเดิม กลุ่มที่มีทรายสวย มิวติ่ง จังไรโบ้ท และออกัสเน็ตไอดอล ถ้าวันไหนเรียนตรงกันเรามักจะไปหาอะไรกินด้วยกันหลังเลิกเรียน ส่วนความสนิทสนม ผมว่าเราไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แต่ถามว่าในกลุ่มผมคุยกับใครมากที่สุด คำตอบน่าจะเป็นทราย ผมกับทรายสนิทกันในแง่เพื่อนเรียนเพื่อนเล่น คุยได้เรื่อยๆ นิสัยพอไปด้วยกันได้ ส่วนทรายไม่รู้ว่าคิดกับพวกเรายังไง แต่จู่ๆวันหนึ่งมันก็ถามว่าเสาร์นี้ว่างไหม ไปช่วยกูทำขนมหน่อยสิ พอดีคนงานที่ร้านลาบวชก็เลยขอตามไปเต้นหน้ากลองยาวกันหมด แต่มีออเดอร์รอเป็นหางว่าว นะ พวกมึงนะ กูไม่เคยขออะไรเลย การบ้านก็ไม่เคยขอลอก เงินก็ไม่เคยขอยืม

“อีทราย วันก่อนมึงยืมกูยี่สิบซื้อลูกอม”

ผมเถียง แล้วมันแว้ดกลับว่าเออ กูรู้ กูแค่ลืมไหมล่ะ มึงอย่าขัดคอกูตอนนี้ได้ไหมก้อง บ้านกูกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าไม่มีลูกมือคอยช่วยร้านต้องเสียชื่อแน่ๆ

“อ่ะ โอเค เดี๋ยวกูไปช่วย”

ผมตอบตกลงคนแรก ออกัสบอกว่าจะยอมไปช่วยถ้าทรายอนุญาตให้มันถ่ายวล็อกในวันนั้นด้วย ทรายบอกว่ามึงจะถ่ายอะไรก็ถ่ายไปเถอะ ขอแค่ขนมกูเสร็จทันส่งลูกค้าก็พอแล้ว ส่วนมิวกับโบ้ทไม่ได้ไปด้วยเพราะมีธุระที่ต้องทำวันหยุด ดังนั้นคืนวันศุกร์ของสัปดาห์นี้นายก้องเกียรติจึงไม่ได้กลับบ้าน ผมโทรหาผู้ปกครองเพื่อรายงานว่าคืนนี้เขาต้องนอนคนเดียวไปก่อน เพราะวันเสาร์เด็กในปกครองจะไปเป็นหนุ่มโรงงาน พี่อู๋ตกใจมากคิดว่าผมไปไหนไกล ผมจึงเฉลยว่าแค่จะไปช่วยทรายอบขนมที่บางพลี พี่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมเอาขนมไปฝากนะ




เช้าวันเสาร์ ทรายกับพี่ที่ชื่อกิ๊บขับรถมารับเราหน้าหอ นั่งรถประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงบ้านของทรายที่บางพลี เป็นบ้านที่ไม่ได้ใหญ่หรูหราแต่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง พี่กิ๊บขับรถไปจอดในโรงรถข้างอาคารชั้นเดียวแล้วไปทำงานข้างนอกต่อ ผมถามทรายว่านี่เหรอโรงงานทำขนมเพราะอาคารตรงหน้าไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้ มันตอบสั้นๆว่าใช่ ก่อนจะพาผมกับออกัสไปล้างมือ ใส่ผ้ากันเปื้อน ใส่หมวก ใส่รองเท้ายาง กลายเป็นผู้บ่าวโรงงานทำขนมปังทันที

“ป๊า ม้า นี่เพื่อนทราย ไอ้ตัวแห้งๆชื่อก้อง ไอ้หน้าหล่อๆชื่อออกัส”

ผมรีบยกมือไหว้คุณลุงกับคุณป้าที่สวมชุดเหมือนเราทันที ทั้งคู่ดูเป็นผู้ใหญ่หน้าตาใจดีที่กำลังง่วนกับการตวงส่วนผสม ทรายแนะนำคร่าวๆก่อนเริ่มงานว่าวันนี้หน้าที่ของผมกับออกัสคืออะไร พรุ่งนี้ก่อนแปดโมง ทรายต้องเอาขนมไปส่งโรงแรมพี่กิ๊บเพราะมีสัมมนา เราต้องทำของว่างทั้งหมดห้าร้อยกล่อง เป็นขนมปังไส้กรอกสองร้อยกล่อง แยมโรลหนึ่งร้อยห้าสิบกล่อง และคัพเค้กช็อกโกแลตอีกหนึ่งร้อยห้าสิบกล่อง เราจะแบ่งทีมกัน เดี๋ยวอาเจ๊ทั้งสองคนของทรายทำแยมโรล ป๊ากับแม่และลูกมืออีกสองคนทำขนมปังไส้กรอก ส่วนทรายกับผมทำคัพเค้กช็อกโกแลต ออกัสร้องอ้าวแล้วถามว่ากูต้องทำอะไร

“แพ็คของใส่กล่องไง”

 ทรายตอบก่อนจะพาผมไปประจำที่ ในโรงงานขนมแห่งนี้แบ่งออกเป็นโซนชัดเจน ห้องหนึ่งเป็นห้องอบขนม อีกห้องเป็นห้องเก็บวัตถุดิบ ส่วนตรงกลางมีโต๊ะกว้างๆวางเรียงเป็นแถว มีชั้นใส่ถาดหลายแผ่น มีหลุมแม่พิมพ์ มีถ้วยกระดาษสำหรับใส่คัพเค้กวางกองบนโต๊ะ พอเริ่มทำงาน ออกัสก็ตั้งกล้องและพูดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ผมกับทรายปล่อยมันไปเพราะเข้าใจว่าวิถีเซเลบก็แบบนี้ ต้องบันทึกทุกสิ่งอย่างเป็นวล็อกให้แฟนคลับดู ดังนั้นผมจึงไม่ให้ความสนใจออกัสเท่าไหร่ เพราะมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างการทำขนมรออยู่ตรงหน้า

“อย่างแรกเลย – เราต้องแยกไข่แดกออกจากไข่ขาวก่อน”

ผมไม่โปรเรื่องแยกไข่ก็เลยทำหน้าที่ช่วยตอกใส่ชามใบใหญ่ให้เพื่อน ส่วนทรายใช้ขวดน้ำ บีบแยกเอาไข่แดงออกจากไข่ขาวอย่างชำนาญ จำนวนไข่ที่ต้องตอกไม่ใช่แค่แผงสองแผง แต่ตั้งสี่ห้าแผงเพราะเผื่ออบขนมตัวอื่นด้วย ผมตอกจนมือเหนียวเมือกไข่ขาว ตอกอยู่นานหลายนาทีกว่าจะหมด พอหมดแล้วก็ต้องหยิบขวดมาช่วยทรายแยกไข่แดง เละบ้างแตกบ้างไม่เป็นไร อย่าให้ไข่ขาวปนไข่แดงก็แล้วกัน

ระหว่างนี้ทรายปลีกตัวไปวอร์มเตาอบตัวเล็กก่อนจะกลับมาแบ่งชามของผสมออกเป็นสองส่วน หน้าที่ต่อไปของนายก้องเกียรติคือร่อนของแห้งทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยแป้ง น้ำตาลทราย ผงโกโก้ เบคกิ้งโซดา และเกลือ ส่วนที่สองคือน้ำมันพืช ไข่ไก่ กาแฟ กลิ่นวานิลลา และบัตเตอร์มิลค์ที่แยกออกเป็นถ้วยๆ พอทุกอย่างพร้อมแล้ว ทรายก็เปิดเครื่องตีส่วนผสมและเทเนยกับน้ำตาลลงไป ปล่อยให้เครื่องตีทำงานเสียงดังแต็กๆๆอยู่ไม่กี่นาทีก็ตามด้วยกลิ่นวานิลลาและไข่ ขั้นตอนนี้ผมไม่ได้มีส่วนร่วมนอกจากยืนมองทราย มองและแอบจำวิธีทำในใจ ผ่านไปซักพักออกัสก็ถือกล้องเข้ามาหาและเริ่มทำเหมือนเป็นรายการเรียลลิตี้ ตามติดชีวิตผู้บ่าวโรงงานเบเกอรี่

“สวัสดีครับก้อง วันนี้ก้องทำอะไรครับ?”

ผมเหรอหรางุนงง มองกล้องสลับกับเครื่องตีส่วนผสมที่ดังแต็กๆๆอยู่ตรงหน้าก่อนจะบอกว่าทำคัพเค้ก ออกัสจึงพูดต่อว่าเป้าหมายวันนี้ของเราอยู่ที่กี่ชิ้นครับ ผมจึงตอบแบบงงๆอีกว่ามันจะถามทำไม ตอนทรายบรีฟมึงไม่ได้ยินเหรอว่าเราต้องใช้กี่ชิ้น ไอ้ควาย มีหูแต่ไม่ฟังจริงๆเลยนะมึงอ่ะ

“สู้ๆนะ เดี๋ยวเรารอแพ็คขนมลงกล่องเป็นคิวสุดท้าย”

ผมตอบเออๆ มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป เกะกะขวางทาง ไอ้ออกัสหัวเราะก่อนจะเดินถือกล้องไปทั่ว ผมถามทรายว่าป๊ากับม้ามึงไม่ว่าเหรอที่มีคนเดินไปเดินมาไม่ทำงาน ทรายบอกไม่ว่าหรอก ถ้าไม่โง่จนเตะชามส่วนผสมล้มหรือชนเตาอบ ป๊าก็ไม่ว่าอะไร

เมื่อส่วนผสมเริ่มเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ทรายก็ค่อยๆเทของแห้งที่ร่อนเตรียมไว้ลงไป  ตามด้วยชามของเหลวที่เตรียมไว้ ขั้นตอนนี้ต้องค่อยๆระวัง อย่าใส่รวดเดียวไม่งั้นมันตียาก เนื้อไม่เข้ากันดี แล้วทรายก็ปล่อยให้เครื่องตีแป้งอัตโนมัติไปเรื่อยๆ ส่วนมันเรียกผมไปสอนให้ตีเมอแร็งก์ ผมถามทรายว่าใช่อันเดียวกับที่เขาทำเป็นกระปุกขายไหม หวานๆหอมๆ กินแล้วละลายในปากน่ะ ทรายบอกว่าใช่ แต่เราไม่ได้เอาไปอบให้เป็นชิ้นแบบนั้น เราเอาไปผสมในแป้งที่กำลังตีอยู่ต่างหาก วิธีตีเมอแร็งก์นั้นง่ายมากๆ แค่ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ และทยอยใส่น้ำตาลทรายลงไป ค่อยๆขยับตะกร้อมือเพื่อตีส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวจนกลายเป็นวิปครีมเหมือนโฟมล้างหน้าในโฆษณา แค่นี้เราก็จะได้เมอแร็งก์แสนเพอร์เฟ็คแล้ว ง่ายจะตาย

หลังจากนั้นเราก็นำเมอแร็งก์ที่ตีไว้ไปผสมกับแป้ง คราวนี้ไม่ต้องใช่เครื่องตีช่วย ใช้แค่ไม้พายค่อยๆผสมๆจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นก็กระดาษรูปถ้วยวางบนถาดหลุมแล้วใช้ที่ตักคล้ายที่ตักไอศกรีมหยอดเนื้อแป้งลงในถ้วยกระดาษ ส่งเข้าเตาอบเล็กเพราะเตาตัวใหญ่ถูกจองไว้อบขนมปังไส้กรอก จบ ได้แล้วคัพเค้กช็อกโกแลต ยี่สิบชิ้น

ชิบหาย

ที่เขาต้องการมันหนึ่งร้อยห้าสิบชิ้นนี่หว่า เท่ากับว่าผมต้องย้อนกลับไปทำใหม่ตั้งแต่เริ่มอีกประมาณแปดครั้งเลยเหรอ

“ทราย ทำไมมึงไม่ผสมแป้งผสมเนยแล้วตีรวดเดียวเลยวะจะได้อบให้มันจบๆ”
“เคยทำแล้วแต่มันไม่อร่อยเท่าแบ่งทำอ่ะ”
“มึงลองเทียบอัตราส่วนให้เท่ากันรึยัง? บอกสูตรมาสิเดี๋ยวกูเทียบให้”

ผมเสนอตัวช่วย แต่ทรายส่ายหน้า บอกว่าเปล่าประโยชน์เพราะคนอย่างอีทราย มีเหรอจะไม่ขี้เกียจ มันต้องขี้เกียจมากกว่านายก้องเกียรติอยู่แล้ว ไอ้วิธีลดเวลาทั้งหลายอย่างตวงทีเดียว ตีทีเดียว อบรวดเดียว มันทำแล้วออกมาไม่อร่อย ป๊าไม่ยอมให้ขาย ป๊าบอกเสียชื่อร้านหมด

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมกูถึงขอให้มึงมาช่วย”

เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยครับเพื่อน

ดังนั้นช่วงเช้า งานของผมจึงวนลูปอยู่กับการร่อนแป้ง ตีไข่ขาว ผสมวัตถุดิบให้เข้ากันและหยอดลงบนถาดหลุม ทรายเองก็ช่วยด้วยการคอยตวงส่วนผสมทุกอย่างเตรียมไว้ให้พร้อม นายก้องเกียรติจะใช้เมื่อไหร่ก็แค่เท เท เทลงไปและตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เราขะมักเขม้นทำงานกันจนถึงเที่ยง ป๊ากับม้าของทรายจึงเรียกให้ไปกินข้าวในโรงครัวด้านหลังที่มีข้าวกล่องพร้อมรอต้อนรับทุกคน เราละมือจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินไปต่อแถวรับอาหารเหมือนลูกจ้างคนอื่นๆ เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปนั่งกันตามจุดต่างๆ และนี่คือครั้งแรกที่ผมได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง

ทรายเป็นลูกสาวคนที่สาม ในบ้านที่มีลูกสาวทั้งหมดสี่คน คนโตชื่อพี่แป้ง คนที่สองชื่อพี่เนย คนที่สามคือทราย จริงๆชื่อเต็มมาจากน้ำตาลทรายแต่มันห้าวไม่อยากชื่อน้ำตาลเลยบอกใครต่อใครว่าชื่อทรายเฉยๆ ส่วนน้องสาวที่เพิ่งขึ้นมอปลายชื่อยีสต์ ผมถามมันว่าทำไมให้น้องชื่อยีสต์ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ทรายบอกกูก็คิดว่าแปลก แต่ส่วนประกอบของขนมปังมันหมดแล้ว ให้ชื่อนมสดก็กลัวเพื่อนล้อว่าอีนมใหญ่ งั้นชื่อยีสต์ไปแล้วกัน ประหลาดดี

“อ้าว แล้วพี่กิ๊บที่ขับรถมาส่งเมื่อเช้าเป็นอะไรกับมึงอ่ะ?”
“เป็นแฟน”

นายก้องเกียรติพ่นข้าวดังฟู่! แล้วรีบขอโทษออกัสที่รับอานิสงส์เต็มๆก่อนจะถามทรายว่ามึงล้อเล่นหรือจริงจัง ทรายตอบทันทีว่าจริงจัง พี่กิ๊บเป็นแฟนมัน คบกันมาสองปีกว่าแล้วด้วย

“แต่พี่กิ๊บเป็นผู้หญิงนะ”
“แล้วไง?” ทรายยักไหล่
“มึงเป็นทอมเหรอทราย?”
“ไม่ได้เป็น”
“ถ้าไม่ได้เป็นทอม แล้วทำไมถึงมีแฟนเป็นผู้หญิงวะ?”

ผมถามอึ้งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าคำถามตัวเองเสียมารยาทมากแค่ไหน ทรายถอนหายใจราวกับเบื่อที่จะต้องตอบคำถามนี้เป็นรอบที่ล้าน มันบอกว่าผู้หญิงอ่ะนะ -- ถ้าไม่ชอบผู้ชายก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องคู่กับทอมเสมอไป กูจะคู่กับใครก็ได้ที่กูชอบ จบนะ

“พ่อกับแม่มึงไม่ว่าเหรอ?”

ผมถามต่ออีก คราวนี้ทรายหัวเราะเหมือนประชดแล้วบอกว่าจะเหลือเหรอ เมื่อก่อนป๊าทั้งด่าทั้งตี ขังมันในห้องไม่ให้ออกข้างนอกอยู่เกือบอาทิตย์ โดนประชดแดกดันสารพัดเหมือนไม่เคยเป็นพ่อลูกกันมาก่อน ผมถามมันว่าผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง ทรายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบๆว่าพี่กิ๊บมากราบขอโอกาสจากป๊า

ผมกับออกัสพูดไม่ออก อาจเพราะเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นปรับทุกข์ บทสนทนาเกี่ยวกับความรักของน้ำตาลทรายจึงจบลงแค่นี้ ออกัสตักข้าวเข้าปากอีกคำก่อนจะหยิบกล้องออกมาเช็กวิดีโอที่อัดไว้เมื่อช่วงเช้า ผมเพิ่งเห็นว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้เดินลอยไปลอยมาอย่างที่ทรายสั่ง แต่มันสัมภาษณ์ป๊าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของร้านเบเกอรี่ด้วย ผมถามออกัสว่านี่มึงทำอะไรกันแน่ วิดีโอวิถีเน็ตไอดอลหรือรายการอายุเยอะร้อยล้าน ทรายหัวเราะก๊ากเลย โถ อีก้อง ถ้าร้านกูได้จับเงินล้าน ป่านนี้กูคงไม่กราบตีนขอให้มึงมาช่วยอบคัพเค้กหรอก

พูดถึงวิดีโอที่ถ่าย ออกัสก็เปิดชาแนลของตัวเองในยูทูปให้เราดู มีคนติดตามมันตั้งแสนกว่าแต่ยอดวิวคลิปประมาณสองแสนอัป ผมทึ่งมากเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะมีคนติดตามมากขนาดนี้ อีกนิดเดียวก็เท่ากับพี่เอก ฮาร์ทร็อคเกอร์ สู้ๆนะออกัส อีกแค่ห้าล้านซับ มึงก็จะมีคนติดตามเท่าพี่เอกแล้ว

“เฮ้ย – ทำไมมีหน้าไอ้ก้องบนปกคลิปวะ?”

ทรายชี้แล้วชะโงกหน้าเขามาดูโทรศัพท์ของออกัส ผมรีบสาระแนด้วยเมื่อรู้ว่ามีรูปตัวเองเด่นหราอยู่กลางคลิปเหมือนเป็นแขกรับเชิญ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมแค่กำลังไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ ไม่ได้หยุดคุยอะไรมากมายเลย

“อันนี้เป็นวันที่มีรายการติดต่อมาขอทำ วันเดย์ วิธ ออกัส” มันร่ายยาว “ไม่ได้มีมึงแค่คนเดียว มีคนอื่นด้วย ไม่ต้องตื่นเต้น”
“กูไม่ได้ตื่นเต้น! กูแค่ไม่อยากให้หน้าตัวเองออกกล้องที่ไหน!”

ผมบอกมัน และกำชับให้ลบภาพนายก้องเกียรติออกจากอินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ แต่ออกัสบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าจะลบออกจริงๆก็ต้องลบทั้งคลิปซึ่งคลิปนั้นมีคนดูตั้งสี่แสนกว่า มันลบให้ไม่ได้จริงๆ ทีมงานก็จ้างมา ยอดไลก์ยอดแชร์ก็เยอะแล้ว ถือว่ากูขอนะก้อง คราวหน้าจะระวัง ไม่ให้เห็นหน้ามึงชัดๆก็แล้วกัน ผมเห็นว่ามันเป็นงานเป็นการก็เลยยอมปล่อยผ่าน คราวนี้ช่างมัน แต่ถ้าคราวหน้าติดภาพนายก้องเกียรติไปอีก ผมจะตามไปเม้นต์ด่าทุกช่องทางที่มันลงคลิปเลย

เรานั่งกินข้าวไปคุยเรื่องงานของออกัสไปเพลินๆ ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการทำคอนเท้นต์เยอะแยะ ออกัสบอกว่าเมื่อก่อนมันก็เคยทำวิดีโอรีวิวอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้ยูทูปเบอร์ส่วนใหญ่ทำแนวนั้นกันเยอะ วิดีโอออกมาก็จะจำเจหน่อยๆเพราะมีแต่คำว่าอร่อย สวย สุดยอด ต้องมา ต้องลอง ต้องโดน มันน่าเบื่อและไม่แปลกใหม่สำหรับคนดู ออกัสเลยเลือกทำวล็อกเกี่ยวกับตัวเองแทน เพราะยังไงออกัสก็มีคนเดียว เรื่องที่เจอในแต่ละวันย่อมไม่เหมือนช่องอื่นอยู่แล้ว ผมว่าไอเดียมันสร้างสรรค์ดี แต่ทำไมไม่เรียนนิเทศ มาเรียนวิศวะทำห่าอะไร มันตอบสั้นๆว่าที่บ้านไม่ให้ เขาอยากให้เรียนสายที่จบไปมีงานเฉพาะทางมากกว่า เอาแล้วปมด้อยในชีวิตอีกหนึ่ง ก้องเกียรติเรื่องพ่อ ทรายเรื่องแฟน ออกัสเรื่องเรียน ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาพันธ์คนช้ำใจเพราะครอบครัวแห่งประเทศไทยนะเพื่อนๆ

ผมรีบกินข้าวให้หมดแล้วไปทำงานต่อ ตกบ่าย ขนมที่อบเริ่มทยอยเสร็จออกมาจนสามารถแพ็คใส่กล่องได้ โรงงานนรกจึงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะผมต้องแพ็คขนมใส่ซอง ปิดสก็อตเทป และพับกล่องกระดาษด้วย เราทุกคนช่วยกันจัดขนมลงกล่องนานตั้งสองชั่วโมงกว่าจะเสร็จเรียบร้อย นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงสองนาที ป๊าของทรายให้เงินค่าแรงผมห้าร้อยบาท และขนมที่เหลือจากการอบวันนี้อีกเล็กๆน้อยๆเป็นน้ำใจขอบคุณที่มาช่วยงาน

พอจะกลับบ้าน พี่แป้งก็ขับรถมาส่งเราที่หอ หลังแยกย้ายผมแอบไลน์ไปขอโทษทรายที่วันนี้ถามอะไรไม่เข้าเรื่องเท่าไหร่ ทรายบอกว่าไม่เป็นไร ถามก็ดีแล้ว ต่อไปเวลาเจอพี่กิ๊บไปรับที่มออีกจะได้ไม่ตกใจ

“กลับบ้านเลยไหม? เดี๋ยวกูไปส่ง”

ออกัสถาม แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้ามันแวะส่งที่แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ได้จะเป็นพระคุณมาก ออกัสจึงหายไปเก็บกระเป๋าที่ห้องแล้วขับรถไปส่งนายก้องเกียรติที่สถานีรถไฟฟ้าตามสัญญา ก่อนแยกกันมันบอกว่าหน้าผมที่เห็นในวิดีโอวันนี้สามารถอัปบนเน็ตได้ไหม ผมตอบว่าได้ แต่ต้องเซ็นเซอร์ให้เรียบร้อย ทำยังไงก็ได้อย่าให้ใครรู้ว่านี่คือหน้ากูเด็ดขาด

ออกัสรับปากดิบดีว่าจะให้ทีมตัดต่อจัดการให้ ผมถามว่ามันไม่ได้ทำเองเหรอ ออกัสส่ายหน้า เมื่อก่อนพอมีเวลาทำเองได้บ้าง แต่ถ้าจ้างคนตัดมันสะดวกกว่า แถมคลิปก็ออกมาน่าดูกว่าด้วย ผมจึงถามต่อว่าแบบนี้ไม่ขาดทุนเหรอ เราจ้างคนตัดต่อแต่คนที่กดเข้ามาดูคลิปไม่ต้องเสียเงินซักบาทนะ ออกัสบอกว่าเงินที่ได้จากยูทูปมันก็มี แต่หลักๆจะได้จากสปอนเซอร์ที่ติดต่อเข้ามาจ้างให้ช่วยโปรโมตของมากกว่า ถ้าพูดตรงๆ เงินจากช่องตรงนี้ไม่เยอะเท่ากับถ่ายแบบ มันเคยรับงานเป็นนายแบบให้ร้านขายหมวกขายเสื้อผ้า ถ่ายงานเสาร์อาทิตย์ก็ได้เงินมากินขนมแล้วหมื่นกว่าบาท

“มึงอยากเข้าวงการนี้ไหม? กูรู้จักคนเยอะนะ”
“ไม่เอาอ่ะ กูไม่ใช่คนหล่อ คงไม่มีใครจ้างนอกจากบริษัทขายอาหารหมา อ้อ – เขาไม่ได้จ้างกูไปเป็นคนเลี้ยงด้วย จ้างให้เป็นหมา แดกอาหารหน้ากล้องแลกเงิน”

ออกัสหัวเราะก๊ากก่อนจะบอกว่ามึงก็ดูดีใช้ได้นะก้อง วันก่อนที่อัปคลิปมีคนคอมเม้นต์เยอะเลยว่าก้องน่ารักๆ ผมย่นจมูก ส่ายหน้าไม่เชื่อ ชาวเน็ตก็ตาถั่วกันแบบนี้แหละ เห็นลิงเป็นคน เห็นคนเป็นเทวดา ลองเจอตัวจริงเดี๋ยวก็รู้ว่ากล้องมันหลอกตา กูหน้าเหมือนหมาจะตาย

เราบอกลากันในรถ ส่วนผมรีบต่อคิวรอรถไฟฟ้ากลับบ้าน นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสามสิบเจ็ดนาที ผมถึงบ้านที่ลาดพร้าวโดยสวัสดิภาพ ทันทีที่ไขกุญแจห้องเข้าไปก็พบร่างขึ้นอืดของตาลุงคนหนึ่งบนโซฟา พี่อู๋นอนหงายคอเหมือนกึ่งจะทำสะพานโค้ง เสื้อยืดก็เปิดเลิกจนเห็นพุงกลมๆ เขานอนหมดสภาพโดยมีสมุดจดศัพท์ เอกสารแปลนเครื่องจักร และดิกชันนารีเก่าๆหนึ่งเล่ม สงสัยคงทำงานจนเหนื่อย ผมจึงไม่ปลุกเขานอกจากเก็บกวาดห้องเงียบๆ แต่เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมแล้วคุณอิศรินทร์ก็ยังนอนกรนเหมือนเดิม เห็นแล้วนึกถึงชาแนลในยูทูปที่ออกัสทำ แต่ผมจะไม่เลียนแบบมันด้วยการทำวันเดย์ วิธ กอริลลาหรอก ผมอยากเปิดชาแนลสารคดีสัตว์โลกน่ารักและตั้งชื่อว่ากินอยู่กับหมูอู๋ ต้องมีโฆษณาขายอาหารสัตว์ติดต่อมาบ้างล่ะ




ต่อ Part 2 ข้างล่างเลยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 19-08-2019 19:57:53
34 [PART 2/2]


เดือนกันยายน ผมเริ่มสอบมิดเทอมตัวแรก จากที่เคยชิลเคยเล่นมาตั้งสองเดือนครึ่ง ตอนนี้ถึงวาระสำหรับการชดใช้กรรมแล้ว

ผมไม่ค่อยกลับบ้านบ่อยเหมือนช่วงแรกๆเพราะเพื่อนๆชอบจับกลุ่มติวกลางดึก บางทีคืนวันศุกร์ยังนั่งก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์จนดึกไม่ยอมหลับยอมนอน ในบรรดาพวกเราทั้งหมด คนที่ปล่อยวางทำตัวสบายๆกว่าใครคือไอ้โบ้ท เวลาเราจับกลุ่มกับเพื่อนช่วยกันติว ไอ้นี่มักจะนั่งเล่นเฟสบุ๊กไปเรื่อย ดูยูปทูปบ้าง ดูเน็ตฟลิกซ์บ้าง ไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่

วันหนึ่งระหว่างติววิชากลศาสตร์ ไอ้โบ้ทขัดจังหวะด้วยการถามว่าทำไมผมถึงไปอยู่ในชาแนลไอ้ออกัสเยอะจัง ผมบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไอ้ออกัสแค่ถ่ายวีล็อก วล็อก หรือซัมติงแล้วบังเอิญติดหน้าผมไปเท่านั้นแหละ เออว่าแต่มันเซ็นเซอร์ให้ไหม กูสั่งแล้วนะว่าต้องเบลอหน้ากูออก ไอ้โบ้ทส่งคลิปให้ดูว่าออกัสทำตามที่รับปากไว้หรือเปล่า พอเห็นหน้าตัวเองผมก็สบถทันที

ไอ้ออกัส ไอ้ควาย
มันไม่เบลอออก แต่ใส่ฟิลเตอร์แมวให้ผมแทน

“ก้อง ออกัสมันทำซะมึงดูมุ้งมิ้งเลยอ่ะ”

มิวหัวเราะขำแต่ผมไม่ขำ เพราะไม่รู้ว่าในคลิปมีภาพหรือเสียงตอนผมทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า พอเห็นหน้าตัวเองในยูทูปผมยอมรับว่าทั้งโกรธทั้งอาย ไม่รู้มีใครคอมเม้นต์ว่าหน้าเหมือนหมาบ้างไหม แต่ถ้ามี ผมจะไปฟลัดคอมเม้นต์ปล่อยข่าวว่าไอ้ออกัสย่างหมาหลังหอเป็นการเอาคืน

ทรายเป็นคนเบรคความไร้สาระนี้ด้วยการเรียกให้ทุกคนกลับมามีสมาธิกับการติวหนังสือสอบ นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่ม เราทุกคนแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง เหลือทรายที่ต้องซ้อนท้ายจักรยานผมกลับหอในเกกีสอง ระหว่างทางเราคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องทั่วไป แต่ซักพักทรายก็เข้าประเด็น ถามผมตรงๆว่าระหว่างนายก้องเกียรติกับออกัสมีอะไรหรือเปล่า

“ไม่มีนะ” ผมตอบงงๆ เพราะไม่มีจริงๆ “ทำไมต้องมีด้วยวะ?”
“มึงเล่นไอจีไหม?”
“ไม่เล่น”
“ทวิตเตอร์อ่ะ?”
“ทวิตเตอร์คืออะไร?”

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ ก่อนทรายจะสั่งว่ามึงขับจอดหน้าเซเว่นเลย กูมีเรื่องอยากบอกมึง ผมจึงตอบเออๆตามใจเพื่อน ยอมออกแรงปั่นไปจนถึงหน้าร้านสะดวกซื้อเพราะอยากรู้ว่าคุณหญิงทรายท่านจะว่ายังไง พอจักรยานจอดปุ๊บ ทรายก็ลงจากรถและถามทันทีว่า ก้อง กูสงสัยมานานแล้ว มึงเป็นเกย์หรือเปล่าวะ

“ไม่ได้เป็น!” ผมตอบเสียงดัง “นึกยังไงถึงถามแบบนี้วะ?”
“กูเห็นมึงมีพี่อู๋”
“เขาเป็นผู้ปกครองของกูเฉยๆ”
“แล้วออกัสล่ะ? มึงชอบออกัสหรือเปล่า?”
“อีทราย – กูสาบานเลยว่ากูไม่ได้ชอบออกัสแบบนั้น กูเห็นมันเป็นแค่เพื่อน”
“แน่ใจนะ?”
“เออ” ผมยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าเรียนรด.
“ไม่ได้ชอบออกัสก็แล้วไป กูค่อยโล่งใจหน่อย”
“อะไรวะ?”
“หัดตามคนอื่นให้ทันบ้างสิมึงเนี่ย พี่อู๋เขารับได้ไงวะมีแฟนโง่ขนาดนี้”

ผมงงหนักกว่าเดิมอีก ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทพูดอะไร ทรายเดินสะบัดตูดเข้าร้านสะดวกซื้อโดยไม่รอให้นายก้องเกียรติถามต่อ ผมโวยวายทันทีว่ามึงจะหนีไปไหน เรายังคุยกันไม่จบ ทรายหันมาพูดเสียงดังว่าซื้อผ้าอนามัย มึงจะซื้อด้วยไหม มาสิ มาเลือกกับกู

“อีเหี้ย”

ผมด่ามัน อุตส่าห์คิดว่าเรียกมาคุยเรื่องสำคัญ ที่ไหนได้ มันหลอกใช้ให้พามาซื้อผ้าอนามัย พับผ่าสิ




หลังผ่านช่วงอดหลับอดนอน อ่านหนังสือสอบมิดเทอมเสร็จ ชีวิตของนายก้องเกียรติก็กลับสู่ภาวะปกติ ผมกลับบ้านทุกวันศุกร์และใช้ช่วงวันหยุดกับผู้ปกครองเหมือนเดิม พี่อู๋เองก็ว่างเพราะเพิ่งผ่านงานแฟร์เครื่องจักรใหญ่ประจำปีไปได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงชวนผมไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อดูหนังสือและซื้อชานมไข่มุกที่อร่อยเหมือนเสิร์ฟจากสวรรค์ มันอร่อยจนผมอยากฉีกเสื้อแล้วตะโกนว่ากาก้า! กาก้า! กาก้า! สามครั้งเพื่อรีวิวให้ทุกคนรู้ว่าอร่อยจริงๆ

เราสองคนเดินเล่นในเซ็นทรัลเรื่อยเปื่อยตามปกติ บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนายก้องเกียรติมากกว่าเพราะคุณอิศรินทร์ไม่ชอบคุยเรื่องงานเท่าไหร่ พอคุยจนหมดหัวข้อคลายเครียด พี่อู๋ก็เปิดประเด็นด้วยการบอกว่าพ่อของก้องยังโทรมาหาอยู่นะ เขาอยากรู้ว่าก้องเป็นไงบ้าง

“ทำไมพี่อู๋ไม่เล่าให้ผมฟัง?”
“ก้องบอกพี่เองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากคุยกับเขา?”

ก็ใช่ – แต่ผมไม่อยากให้พี่แอบคุยกับพ่อลับหลังเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงทำข้อตกลงใหม่ว่าถ้าพ่อโทรมาอีก ผมอยากให้พี่อู๋บอกผมซักคำ เล่าให้ฟังหน่อยว่าคุยอะไรกันบ้าง พี่อู๋บอกว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วไป โทรมาไม่นานหรอก ไม่ถึงสองนาทีก็วางสายแล้ว ช่วงหลังๆพ่อของก้องบอกว่าอยากรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่พี่ปฏิเสธว่าไม่เป็นไร พี่กลัวว่าถ้ารับเงินจากพ่อของก้อง เขาจะพยายามเข้ามาทำให้ก้องอึดอัดมากกว่านี้

ที่พี่อู๋พูดเป็นความจริง ผมไม่อยากรับเงินพ่อเพราะกลัวเขาใช้ข้อต่อรองตรงนี้มาทวงบุญคุณ บอกว่าส่งเสียให้เรียนแล้วก็ควรกลับไปอยู่ในความดูแลของพ่อ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด แค่พ่อคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนในครอบครัวของพ่อ ทั้งอาม้าที่เคยแกล้งแม่ ทั้งเมียใหม่ ทั้งลูกสาวของคนในตระกูลนั้นจะปฏิบัติกับผมยังไงก็ไม่รู้ ผมไม่สะดวกใจ ไม่อยากเกี่ยวดองกับคนบ้านนั้นเลย

ระหว่างที่กำลังยืนคุยอยู่หน้าร้านหนังสือ จู่ๆผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเลยไปแล้วก็วกย้อนกลับมาหานายก้องเกียรติกับผู้ปกครอง เธอมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกผมคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจะถามทางก็เลยชี้ให้ไปถามพี่อู๋ แต่ปรากฏว่าเธอเป็นคนไทย และที่เดินย้อนกลับมาหาก็เพราะอยากถามว่าผมคือก้องเพื่อนของออกัสหรือเปล่า

“อ๋อ ครับ ผมเป็นเพื่อนออกัสครับ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ?”

ผมงง พี่อู๋ก็งงว่าจู่ๆจะมาขอถ่ายรูปกันทำไม เธอขออนุญาตเป็นหนที่สองเมื่อเห็นว่านายก้องเกียรติไม่ตอบสนองคำขอ ส่วนพี่อู๋เอาแต่ยืนขมวดคิ้วงง เขาดูสับสนไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงขอถ่ายรูปกับลิง และเขาไม่ยอมปล่อยผ่านด้วย คุณอิศรินทร์จึงถามเธอว่ารู้จักก้องได้ยังไงเหรอครับด้วยสีหน้าเป็นมิตร แต่ผมรู้ว่าใต้รอยยิ้มนั้น – พี่อู๋ลับมีดรอแล้ว

“พอดีหนูเป็นแฟนคลับกัสก้องอ่ะค่ะ”
“กัสก้อง?”

พี่อู๋ถามทวนเพราะไม่เข้าใจ เออ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

“ค่ะ ตกลงขอถ่ายรูปได้ไหมคะ?”

ผมยิ้มแหยขอให้พี่อู๋ช่วย แต่เขาไม่ช่วยเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเขา ดังนั้นนายก้องเกียรติจึงยอมให้แฟนคลับของเพื่อนเซลฟี่ด้วยหนึ่งรูป ผมกำชับบอกเธอว่าอย่าลงอินเทอร์เน็ตได้ไหมครับ ผมเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบเห็นรูปตัวเองในที่สาธารณะเท่าไหร่ เธอบอกว่าไม่ต้องอายหรอก รูปของผมเห็นได้ทั่วไปในทวิตเตอร์นั่นแหละ รู้ไหมว่าผมมีแฟนคลับด้วยนะ มีคนชอบผมเยอะแยะเลย

“บ๊ายบายนะก้อง ฝากออกัสด้วยน้า”

ผมยกมือบ๊ายบายพลางคิดในใจว่าทำไมต้องฝากไอ้ออกัสไว้กับผมด้วย แต่ก็ได้แค่คิดเพราะไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆถึงมีคนรู้ว่าผมชื่อก้องเกียรติ รู้แม้กระทั่งว่าเป็นเพื่อนของออกัส แค่มีหน้าโผล่ในคลิปสองสามคลิปไม่น่าจะขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ ผมเป็นแค่ตัวประกอบเองนะ ไม่เคยถ่ายคู่กับมันเลยซักครั้ง

ผมรีบหันไปหาพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาจะแสดงอาการอะไรไหม แต่พี่อู๋ไม่พูดซักคำ สีหน้าของเขาเรียบและตึงกว่าที่คิดเหมือนคนกำลังมีเรื่องกังวลในใจ ผมจึงแกล้งเฉไฉไม่ให้พี่อู๋โมโหด้วยการชวนไปดูหนังสือในร้าน เขาก็ยอมไปแต่โดยดี ไม่มีอิดออดแง่งอนจะกลับบ้าน หรือทำตัวงี่เง่าไม่พอใจ ซักไซ้ว่าไอ้ออกัสคือใครเลยซักประโยค

พอเห็นผู้ปกครองไม่ใส่ใจ ผมจึงปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปไม่พูดถึงอีก แต่เหตุการณ์แบบนี้ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆโดยที่เราก็ไม่รู้ว่าทำไม อย่างวันก่อนพี่อู๋พาไปกินแซลมอนแถวสยามก็ยังมีคนแวะทักทายและขอถ่ายรูปประมาณสี่ห้าคน ผมเริ่มอึดอัดนิดๆเพราะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่ ดังนั้นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ผมจึงถามออกัสว่ามึงคุยอะไรกับแฟนคลับวะ ทำไมเขาถึงมาขอกูถ่ายรูปกันเยอะแยะ ออกัสยิ้มชอบใจราวกับแผนที่วางไว้สำเร็จลุล่วงด้วยดี มันบอกว่าไม่ได้ทำอะไร แค่อัปคลิปอัปรูปมึงเฉยๆ คนเขาชอบกันเอง

“ต่อไปไม่อัปรูปกูได้ไหม? กูขอ”
“ทำไมวะ?”
“กูไม่ชอบ”

และพี่อู๋ก็ไม่ชอบด้วย

“มึงจะทำอะไรก็ทำเถอะ แต่อย่าให้มีหน้ากูไปโผล่บนเน็ตเลย กูอึดอัดว่ะ”

ออกัสหน้าเจื่อนนิดหน่อยก่อนจะรับปากว่าจะไม่ถ่ายวล็อกหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ติดหน้านายก้องเกียรติอีกเป็นอันขาด ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ควรจบง่ายๆแต่ปรากฎว่ามันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยที่ผมไม่รับรู้เพราะไม่ได้เล่นโซเชียล กว่าจะรู้ว่า #กัสก้อง คืออะไรก็ตอนที่ทรายแอบคุยกับผมเงียบๆสองคนระหว่างต่อคิวซื้อข้าว

“มันเป็นแท็กในทวิตเตอร์”

ทรายเลื่อนให้ดู ในนั้นมีการพูดถึงผมกับออกัสค่อนข้างเยอะ มีคนแนบรูปที่แคปจากคลิปในยูทูปมาด้วย ทรายเลื่อนผ่านเรื่อยๆจนผมเห็นข้อความหนึ่งเขียนว่า –

เมื่อไหร่จะคบกันซักที คนรู้กันทั้งลาดกระบังแล้วจ้าว่าเพื่อนไม่จริง

“คืออะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วถามทราย
“ตอนนี้มึงเป็นคู่จิ้นกับไอ้ออกัส”
“คู่จิ้น?”
“เออ คู่จิ้น มีคนหวีดเยอะด้วย มึงดูสิ”

ทรายไล่ให้ดูผ่านๆอีก ผมถามเพื่อนสนิทว่ารู้ได้ไงว่า #กัสก้อง อยู่ในทวิตเตอร์ ทรายบอกว่ามิวแคปมาถามเดือนที่แล้ว มันไม่กล้าบอกเพราะไม่รู้ว่าผมเต็มใจเป็นคู่จิ้นของไอ้กัสไหม แต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะรู้เรื่องเพราะผมไม่เล่นโซเชียลนอกจากเฟสบุ๊กกับไลน์ แถมวันๆก็เอาแต่เรียนกับหาร้านข้าวอร่อยๆ ไม่เคยทำตัวเรียกเรตติ้งจากแฟนคลับไอ้ออกัสซักครั้ง

“มึงไม่ได้ชอบออกัสก็ดีแล้ว กูกลัวมึงอกหัก”
“ทำไมถึงคิดว่ากูชอบมันวะ?” ผมถามต่อ “แล้วสรุปไอ้คู่จิ้นนี่มันคืออะไร?”
“คือคนสองคนที่แฟนคลับอยากให้คบกันจริงๆ เหมือนญาญ่ากับณเดชไง”

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ทรายพูดเท่าไหร่ แต่ก็บอกแค่ว่าโอเคๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ได้ชอบออกัส และก็ไม่ชอบการจับคู่ระหว่างเราสองคนด้วย

“เย็นนี้กลับบ้านไปหัดเล่นทวิตเตอร์สิ” ทรายเปิดแอปนกสีฟ้าให้ดู “ใส่แฮชแท็ก #กัสก้อง ตรงนี้ แล้วกดล่าสุด มึงเลื่อนดูได้เลยว่าคนอื่นพูดถึงมึงกับออกัสยังไงบ้าง”

 ผมรับปากทรายว่าจะลองเปิดดู แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรแก้ปัญหานี้ยังไง ความรู้สึกของผมคือไม่ชอบ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ ไม่อยากให้ใครเดินมาขอถ่ายรูปทั้งๆที่ไม่รู้จักกันอีก วันนี้หลังเลิกเรียนผมตั้งใจไว้ว่าจะรีบกลับบ้านเพื่อหัดเล่นทวิตเตอร์ ผมอยากรู้ว่ากระแส #กัสก้อง มันเริ่มมาจากตรงไหน ผมจะหยุดมันให้เร็วที่สุดได้ยังไง เพราะตอนนี้มีคนสะกิดหลังผมและขอถ่ายรูปอีกแล้ว





#กัสก้อง

เพิ่งเป็นกระแสได้ไม่กี่เดือน ก่อนหน้านั้นออกัสครองตัวเป็นโสด เป็นคิ้วท์บอยธรรมดาๆที่มีคนถ่ายรูปอัปโหลดบนอินเทอร์เน็ต แต่นายก้องเกียรติเริ่มมีซีนเมื่อวันปฐมนิเทศตอนเปิดเทอม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นตัวเองทำอะไรบ้าง แต่มีคนจับภาพตอนผมกำลังเท้าคางนั่งมองออกัสหลับ ผมไม่เข้าใจว่าแค่รูปรูปเดียวทำไมถึงคิดกันไกล ผมไม่ได้มองออกัสเลยด้วยซ้ำ ผมมองไอ้โบ้ทเพราะเห็นว่ามันแอบแกะช็อกโกแลตกินใต้โต๊ะไม่เกรงใจอาจารย์ต่างหาก

พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาตอนนายก้องเกียรติกำลังเช็กเรตติ้งพอดี เขาถามว่าทำอะไร ทำไมหน้าเครียดจัง ผมจึงส่งทวิตเตอร์ให้เขาดูเพื่อฟ้องว่ามีคนแอบถ่ายรูปผมกับออกัสแล้วเขียนบรรยายจับคู่ให้เป็นแฟนกัน พี่อู๋รีบคว้าโทรศัพท์ไปดูอย่างรวดเร็ว ผมแอบเห็นคิ้วเขากระตุกเป็นพักๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนแล้วถามว่าเพื่อนที่ชื่อออกัสตามจีบก้องเหรอ

“ไม่ได้จีบครับ”

ผมแก้ตัวทันที และส่งโทรศัพท์ให้พี่อู๋เช็กอีกรอบเพื่อยืนยันว่าเราไม่เคยจีบกันเลย แม้แต่ในไลน์ ออกัสก็ไม่เคยทักมาคุย ไม่เคยคอลข้ามคืน(เพราะติดสายพี่อู๋) ไม่เคยชวนไปเที่ยวไหน(เพราะผมมีนัดกับพี่อู๋) ยกเว้นเวลามีถ่ายวล็อกเท่านั้น คุณอิศรินทร์ดูเครียดกว่าตอนทำงานเสียอีก ผมเดาเอาว่าเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจการจิ้นวายในวัยรุ่นเท่าไหร่หรอก เขารู้แค่ว่าออกัสกำลังใช้ผมเป็นจุดขาย #กัสก้อง เพื่อให้คนสนใจมันมากขึ้นเท่านั้น

“โทรหาออกัส”
“จะดีเหรอครับ?”
“ดีสิ เคลียร์กันเถอะ จะได้เลิกเอาก้องไปหากินเสียที”

ผมกดโทรศัพท์โทรหาออกัสโดยคุยผ่านสปีคเกอร์ รอสายแค่แป๊ปเดียวมันก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริงดี๊ด๊าสดใส ผมถามออกัสว่าสะดวกคุยไหม เมื่อมันตอบว่าสะดวก มีอะไรเหรอ ผมจึงถามถึงแฮชแท็กกัสก้องในทวิตเตอร์เป็นคำถามแรก

“อ๋อ – เป็นแท็กสำหรับคนที่ชอบเวลาเราอยู่ด้วยกันอ่ะ มึงรู้แล้วเหรอ?”
“กูเพิ่งสมัครทวิตเตอร์”
“เล่นไอจีด้วยสิ เดี๋ยวไปฟอล”

ผมบอกว่าไม่เอา ไม่เล่น ผมไม่อยากเล่นโซเชียล ออกัสจึงตอบแค่ว่าอืมๆแล้วถามต่อว่าโทรมาถามถึงกัสก้องนี่ไม่สบายใจเหรอ ผมตอบทันทีว่าใช่ ผมไม่ชอบโดนจับคู่กับมัน ไม่ชอบโดนขอถ่ายรูปเวลาออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะฉะนั้นทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้ เอาชีวิตปกติของผมคืนมา ผมไม่อยากเป็นเน็ตไอดอล ไม่อยากให้ใครมายุ่ง เข้าใจไหมออกัส

“กูทำอะไรไม่ได้ว่ะก้อง คนเขาชอบมึงเอง กูไม่ได้ทำอะไรเลย”
“มึงก็บอกไปสิว่ากูไม่ชอบ”
“จะแกว่งปากหาแอนตี้เข้าตัวทำไมวะ? มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่เหรอ?”

ที่ออกัสพูดก็ถูก มีคนรักต้องดีกว่ามีคนเกลียดอยู่แล้ว แต่ผมอยากได้ความเป็นส่วนตัวกลับมาด้วย ออกัสอาจจะเคยชินเวลามีคนขอถ่ายรูปหรือพูดถึงในอินเทอร์เน็ต แต่ผมไม่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่รู้แหละ มึงต้องทำให้แฟนคลับมึงหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น – ไม่งั้น – ไม่งั้นอะไรวะ ผมทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง

“ก้อง กูถามจริงๆเถอะ ที่มึงไม่ชอบให้คนจิ้นกับกูเพราะตัวมึงเองหรือพี่อู๋?”
“พี่อู๋เกี่ยวอะไรด้วย?”

ผมเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะหันมองผู้ปกครอง ตอนนี้สีหน้าคุณอิศรินทร์ตึงยิ่งกว่าคนเพิ่งฉีดโบท็อกเสียอีก ผมว่าเขาคงโมโหมากๆแต่พยายามไม่แสดงออกเพราะกลัวออกัสรู้ว่าเราเปิดลำโพงคุยกัน

“ก้อง มึงเป็นอะไรกับพี่อู๋ แฟนเหรอ?”
“ไม่ได้เป็น!”

ผมตอบเสียงดัง คราวนี้พี่อู๋หน้านิ่งกว่าเดิมอีก

“ถ้ามึงไม่ได้เป็นแฟนเขา มึงจะแคร์ที่เขาพูดทำไม?”
“พี่อู๋ไม่ได้ว่าอะไรที่มีคนชอบกัสก้อง แต่กูอึดอัดเวลาไปไหนมาไหนข้างนอกแล้วมีคนตาม มีคนขอถ่ายรูป --”
“มึงไม่ชอบแฟนคลับเพราะมีแฟนครับอยู่แล้วหรือเปล่า?”
“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิวะ!”
“พอแล้ว ไม่ต้องคุยแล้ว”

พี่อู๋ตัดบทก่อนจะแย่งโทรศัพท์มาคุยเอง เขาแนะนำตัวกับออกัสว่านี่พี่อู๋นะ เป็นผู้ปกครองของก้อง ออกัส พี่อยากรู้ว่าเราทำแบบนี้ทำไม สร้างกระแสให้ตัวเองเหรอ หรือแค่หาฐานแฟนคลับเพิ่ม พี่ไม่ว่าหรอกถ้าออกัสทำเพราะอยากจีบหรือสนใจก้องจริงๆ แต่ถ้าเข้ามาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ตัวเองก็เลิกเถอะ ก้องไม่เต็มใจเล่นด้วย ช่วยเคารพความเป็นส่วนตัวของก้องด้วยนะ

ออกัสเงียบไปพักนึง เดาเอาว่ามันคงอึ้งที่จู่ๆก็โดนเทศน์เสียยืดยาว หลังจากปล่อยให้เกิดเดธแอร์แค่ห้าวินาที ออกัสก็ถามย้อนพี่อู๋ว่าแน่ใจเหรอครับว่าพี่โอเคถ้าผมจะจีบก้อง ฟังจากที่ฟังเมื่อกี๊แล้วพี่ไม่ค่อยโอเคนะ พี่ก็แค่หาเรื่องกันผมออกมากกว่า แล้วก็อีกอย่าง –

“ก้องยังไม่ได้ให้คำตอบพี่ไม่ใช่เหรอครับ?”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งแทนเพราะไม่รู้ว่าออกัสรู้ได้ยังไง

“ผมว่าพี่อย่าระแวงว่าใครจะเข้ามาแย่งก้องเลย พี่ห่วงเด็กตัวเองเถอะ เผลอๆชาตินี้ก็ไม่ได้คำตอบหรอกว่าตกลงพี่กับก้องเป็นอะไรกันนอกจากเป็นได้แค่ผู้ปกครอง ใช่ไหมก้อง?”

มือที่ถือโทรศัพท์ของพี่อู๋สั่นจนสังเกตได้ ผมมองหน้าผู้ปกครองด้วยความหวาดหวั่นเพราะไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดยังไง แต่เห็นตอนเขากัดฟันจนขึ้นสันกรามแล้วพูดตรงๆเลยว่าน่ากลัวมาก พี่อู๋น่ากลัวยิ่งกว่าตอนทะเลาะกับคุณหมูพีเสียอีก

“แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีผมต้อง --”

พี่อู๋ตัดสาย ไม่รอให้ออกัสได้พูดจบ หลังจากบทสนทนาเชือดนิ่มๆสิ้นสุดลง คุณอิศรินทร์ก็หันมาจ้องหน้าผม เป็นการจ้องที่ไม่ได้โมโหหรืออยากเค้นเอาคำตอบ แต่เป็นการมองมาด้วยแววตาที่ไม่มั่นใจในตัวนายก้องเกียรติเหมือนที่ผ่านมา





TBC



____________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันทุกวันจันทร์เช่นเคยนะคะ :D

ช่วงนี้กำลังเขียนตอนพิเศษไฟลุกเลยค่ะ เผาหัวตัวเองทุกคืน ค่อนข้างคืบหน้าไปเยอะเลย หากกำหนดการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการออกเมื่อไหร่ จะรีบแจ้งให้ทุกคนทราบน้า  ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ ขอบคุณค่า ;-;



ปล. ตอนนี้พี่อู๋ก็ยังไม่ได้กินส้ม แต่เรามีตัวอย่างแกะส้มสวยๆจากคุณ @pukjin มาฝากนะคะ พี่จ๋าสามารถดูแฟนอาร์ตสวยๆได้จาก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ ได้เลยค่ะ เจอกันใหม่วันจันทร์หน้า สวัสดีค่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 19-08-2019 20:35:15
หงุดหงิดออกัสนังเด็กบ้ามาแหย่พี่อู๋ได้ไงแกจะต้องถูกรุมฟาดด้วยเมนพี่อู๋อย่างชั้น ยัยน้องส้มรีบๆให้ความชัดเจนกับพี่อู๋หน่อยนะคนดีที่หนึ่งของเรารอนานแล้ว คนยิ่งแก่ๆขี้น้อยใจอยู่ :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 19-08-2019 21:04:23
ออกัส!! พี่ตบสักทีได้มั้ย :angry2: นายกวนตีนมากอ่ะ :z6:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-08-2019 22:13:47
แงๆๆๆ สงสารพี่อู๋เลยอ่ะ ก้องปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมากๆๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะมองพี่อู๋มุมใหม่ๆสักที
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 19-08-2019 22:19:00
อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกสงสารพี่อู๋เลยอะ
ก็นะ ก้องปฏิเสธเต็มปากเต็มคำ แถมย้ำหลายรอบมากอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-08-2019 22:45:29
 :เฮ้อ:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-08-2019 23:10:40
พี่อู๋กับก้องจะคบหรือไม่คบกันไม่เห็นเกี่ยวกับที่ออกัสละเมิดความเป็นส่วนตัวของก้องนะ
เอาเขาไปหากินเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง น่าเกลียดอะ
หามุมให้พี่อู๋หลบไปทำใจซิ ทำไมเด็กในปกครองปากแข็งจัง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2019 23:12:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 20-08-2019 00:14:15
ก้องเอ้ยยย ตอนที่แล้วยังหวานอยู่เลย คิดอะไรพูดอะไรก็เห็นใจพี่อู่หน่อยนะลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-08-2019 00:46:19
ออกัสชอบก้องล่ะสิ แถมเห็นโอกาสเลยเอาเปรียบคนไม่รู้อย่าก้อง ไม่น่ารักเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-08-2019 00:51:20
 ถ้าออกัสชอบก้องจริงๆแล้วจีบแบบปกติจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่ทำแบบนี้มันรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของก้องมาก ไม่โอเคที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: vermilion ที่ 20-08-2019 02:05:41
งืออออ อ่านทันแล้ว ชอบเรื่องนี้มาก แต่งได้ละเอียดลื่นไหลดีมากเลยฮะ เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะครับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 20-08-2019 02:28:50
น้องอู๋อย่าเครียดน้องแค่ยังงงๆกับตัวเอง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 20-08-2019 04:09:57
 :mew4: สงสารพี่อู๋นะคะ.....เป็นได้แค่ผู้ปกครอง....ก้อง......นายไม่ชัดเจนอ่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-08-2019 10:11:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-08-2019 14:17:48
รำออกัสสุดๆ กับวิถีเน็ตไอดอลของนางมันสร้างความอึดอัดและลำบากใจให้เพื่อนนะ แต่กัสก็ยังทำเหมือนไม่ทุกร้อน มันน่าโบกสักที เข้าใจความรู้สึกก้องเลย ออกัสลำไยสุดๆ  :angry2:
 เราชอบก้องตรงที่น้องพูดตรงๆไปเลยว่าน้องไม่โอเคกับกระแสแบบนี้ ดีที่น้องไม่เป็นพวกชอบเก็บอมพนำไว้ ไม่งั้นคนอ่านอย่างเราคงอกแตกตายก่อน 5555

สงสารพี่อู๋มากกก นิ่งเลยหมูอู๋ของฉันน ลึกๆแล้วน้องก้องก็รักและแคร์ความรู้สึกพี่อู๋จะตาย น้องอาจจะงงๆอยู่กับสถานะตอนนี้
จุดนี้อยากกอดปลอบพี่อู๋จัง  :กอด1:
ก้องมาง้อเลยย  :z3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-08-2019 13:42:41
เหนื่อยหน่ายกับการมีเพื่อน สันดานแบบออกัส
คบไปก็เหนื่อยเพื่อนแบบนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 21-08-2019 16:42:38
ชอบนะคะ อยากได้.. เล่ม แย้ววว..  :katai4: :katai4:
รอตอนต่อไปค่ะ..
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-08-2019 21:50:57
โกรธออกัสมาก เสียแรงที่น้องไว้ใจอ่ะ จัดการเลยค่ะหมูอู๋ หรือไม่มีแรงแล้ว เพราะเป็นได้มากสุดก็แค่พ่อ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 24-08-2019 00:34:21
หืมมมม หยามมมม ออกัสมันหยามมากค่ะเสี่ยอู๋ มันจะแย่งกอลิล่าก้องไปค่ะเสี่ย :angry2:
ส่วนกอลิล่าก้องตื่นนนน ลูกตื่นนนน อย่าปิดกั้นเสี่ย เสี่ยไม่อยากเป็นผู้ปกครองแล้วเลื่อนสถานะให้เสี่ยด้วยลูก :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 24-08-2019 14:26:03
ที่ออกัสพูดก็ถูกนะ ดูเหมือนว่าก้องจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับพี่อู๋มาก ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เหมือนคนในครอบครัว ไอ้เรื่องที่พี่อู๋ว้อนอยากเป็นผัวก็เป็นแค่คำพูดจางๆ สำหรับก้องสินะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 34 update!] 19/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 25-08-2019 00:40:00
ชั้นจะสาปแกนังออกัส :angry2: ขอให้แกแพ้ภัยตัวเองโดนกระแสตีกลับจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเถิ้ด สาธุ!
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 26-08-2019 19:55:14
35


ระเบิดที่ออกัสทิ้งไว้ได้ผลเกิดคาด คำพูดของเขาทำให้พี่อู๋หงุดหงิดงุ่นง่านแทบจะตลอดช่วงวันหยุดแม้กระทั่งขับรถมาส่งก้องเกียรติที่หอ ผมคิดว่าพี่อู๋จะออกคำสั่งไม่ให้ยุ่งกับออกัสอีกแต่เปล่าเลย คุณอิศรินทร์ไม่ก้าวก่ายหรือบงการให้เลิกคบเพื่อน เขายังคงทำตัวตามปกติ มีแค่สีหน้าและแววตาหงุดหงิดเล็กๆเท่านั้นที่ปิดบังผมเอาไว้ไม่ได้

“ตั้งใจเรียนนะ”

พี่อู๋บอกเหมือนเช่นทุกครั้งที่มาส่ง ผมยกมือไหว้สวัสดีเขาก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ลงจากรถ ยืนโบกมือบ๊ายบายวีออสร้ายๆจนสุดสายตา จังหวะที่กำลังหมุนตัวจะขึ้นห้อง ผมก็เหลือบเห็นออกัสยืนอยู่หน้าหอ มือหนึ่งถือโกโก้ปั่นที่ผมชอบ ส่วนอีกมือถือถุงข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อ เรายืนจ้องหน้ากันอยู่นานเกือบนาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร จนสุดท้ายออกัสต้องเป็นฝ่ายชวนคุยด้วยการถามว่าไง กลับมาแล้วเหรอ

“อืม” ผมตอบห้วนๆ “มึงไม่กลับหอหรือไง?”
“กำลังจะกลับ แต่แวะมาคุยกับมึงก่อน”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าคุยสิ คุยเลย อยากพูดอะไรก็พูดมา แต่ถ้าคำพูดของมึงเห็นแก่ตัวหรือฟังแล้วไม่เข้าหูก็เตรียมรับคำด่าเถอะ คราวนี้ผมเอาจริงแน่

“มึงโกรธกูเรื่องเมื่อวันก่อนใช่ไหม?”
“ก็นิดนึง” ผมตอบ “มึงทำแบบนี้ทำไมวะออกัส?”

เน็ตไอดอลไม่ให้คำตอบในทันทีราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของมันไม่เหมาะจะพูดออกมาตรงๆเท่าไหร่ แต่ไม่กี่อึดใจออกัสก็ยอมพูดตรงๆ เพราะเลี่ยงไปก็เท่านั้น ยังไงเราคงกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

“กูคิดว่ามึงแอบชอบกูเสียอีก”
“กูไม่ได้ชอบมึง” ผมย้ำด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเหมือนที่เคยบอกทราย “ไม่รู้ว่ามึงคิดไปเองได้ยังไง แต่กูไม่เคยชอบมึงในแง่นั้นเลย”
“งั้นกูขอโทษก็แล้วกันที่คิดไกล” ออกัสบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ “ส่วนกระแสกัสก้อง กูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แฟนคลับเขาชอบกันเอง พอมีคนหวีดมากๆกูก็อยากถ่ายมึงบ่อยๆเพราะคนชอบเยอะ”
“เขาชอบแต่กูไม่ชอบ”
“กูรู้ แต่มึงจะให้กูทำยังไงในเมื่อกัสก้องมันไปไกลแล้ว” ออกัสถาม “มีคนติดต่อให้เราเล่นโฆษณาด้วย เป็นโฆษณาปากกา มึงอยากเล่นไหม?”
“ติดต่อจ้างกูกับมึงเหรอ?”
“ใช่”
“ไม่เอา กูไม่ถ่ายอะไรทั้งนั้นอ่ะ ไม่ต้องมายุ่งกับกู”

ผมปฏิเสธตรงๆไม่อ้อมค้อม ไม่ถนอมน้ำใจเพราะเห็นว่าคนอย่างออกัสต้องเด็ดขาด ถ้ายอมใจอ่อนช่วยเป็นตัวเรียกกระแส วันข้างหน้ากระแสที่ว่าจะกลับมารัดคอผมตาย ส่วนออกัสเมื่อเห็นว่านายก้องเกียรติไม่ชอบ ไม่อยากมีส่วนร่วมก็ถอนหายใจ สีหน้าดูเสียดายโอกาส แต่ขอโทษนะ -- ถ้าต้องเสียความเป็นส่วนตัวเพื่อช่วยให้เพื่อนมีชื่อเสียง ผมขอบายดีกว่า ไม่เอาด้วยหรอก

“มึงรังเกียจที่ต้องเป็นคู่จิ้นกับกูขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ “ถ้าไม่ได้รังเกียจ – ทำไมกัสก้องถึงเป็นไปไม่ได้วะ?”

ออกัสยังกล้าถามอีกเหรอว่าทำไมกัสก้องถึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ชอบกันไง ผมบอกมันว่าเราไม่ได้ชอบกันจริงๆแล้วจะสร้างกระแสทำไม ถ้าวันหนึ่งแฟนคลับจับได้ว่ามันเป็นเรื่องโกหก งานจะเข้ามึงนะออกัส ไม่เคยเห็นดาราโดนจับโป๊ะเหรอ ถึงวันนั้นมึงบีบน้ำตาร้องไห้ก็ไม่มีใครสงสารมึงหรอกนะ

“ที่มึงไม่โอเคกับกูเพราะพี่อู๋หรือเปล่า?”
“พี่อู๋ทำไม?”
“เขาจีบมึงอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
“มึงรู้ได้ไงว่าเขาจีบกู?”
“เดาง่ายจะตาย ตั้งแต่รู้จักกันมา มีซักครั้งไหมที่มึงไม่พูดถึงพี่อู๋ อะไรๆก็พี่อู๋ นั่นก็พี่อู๋ นี่ก็พี่อู๋ จะไปไหนก็ต้องโทรรายงานเขาเหมือนแฟน จะกินข้าว จะไปเที่ยวบ้านเพื่อนก็ยังต้องแจ้งเหมือนเป็นผู้คุม อีกอย่าง -- ผู้ปกครองที่ไหนมันแวะมาค้างถึงหอบ้างวะ พ่อแม่กูยังไม่เคยมาเลย”
“ก็เขาเป็นผู้ปกครอง” ผมเถียง
“ผู้ปกครองที่ไม่ใช่ญาติมันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ”
“แล้วมึงเสือกอะไรนักหนาวะออกัส? มึงโกรธที่กูไม่อินกัสก้องเหรอ? มึงจะโกรธทำไมในเมื่อมึงไม่ได้ชอบกู มึงไม่ได้สนใจอะไรกูเลย ที่มึงทำอยู่ตอนนี้เหมือนเด็กงอแงจะเอาของเพื่อนอ่ะ ไอ้สัส!”
“มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าบางทีกูอาจจะชอบมึงจริงๆก็ได้!” ออกัสตะคอกเสียงดังจนผมสะดุ้ง ไม่มีอีกแล้วใบหน้าที่เอาแต่ส่งยิ้มขี้เล่นเรียกเรทติ้ง เหลือแค่ใบหน้าบึ้งตึงของเด็กหนุ่มที่กำลังไม่พอใจสุดๆเท่านั้น
“มึงจะชอบกูได้ยังไง เรายังไม่เคยคุยกันจริงๆจังๆเลยด้วยซ้ำ” ผมถามกลับ “มึงอย่าคล้อยตามกระแสคู่จิ้นสิวะ ในเมื่อระหว่างเราไม่ได้มีอะไรตั้งแต่แรก มึงจะหวังให้มันเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้”

ผมรู้ว่าออกัสกำลังโกรธมาก เผลอๆอาจจะอยากต่อยหน้านายก้องเกียรติซักหมัดโทษฐานไม่เล่นด้วยกับกระแส #กัสก้อง ตามความต้องการของเจ้าตัว แต่จะให้ผมพูดอะไรได้อีกเพราะทุกอย่างก็ชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมกับออกัสเป็นแค่เพื่อนกันมาโดยตลอด พอวันหนึ่งมีกระแส #กัสก้อง ออกัสอาจจะหวั่นไหวตามแรงเชียร์ของแฟนคลับ แต่ผมไม่ใช่ ผมแยกแยะได้ว่าแบบไหนคือความรู้สึกชอบจริงๆ แบบไหนแค่หลงคำอวย เพราะถ้าชอบจริงๆจะเป็นแบบพี่อู๋ รายนั้นกู่ไม่กลับแล้ว เมื่อคืนเขาเอาแต่บ่นว่าอยากลางานมาเที่ยวลาดกระบังซักวัน ผมว่าอาการหนักว่าออกัสในตอนนี้อีก

“ทำไมมึงไม่ให้โอกาสกูล่ะ? ไม่แน่วันนึงมึงอาจจะรักกูก็ได้”
ผมขมวดคิ้วมุ่น “กัสก้องมันสำคัญสำหรับมึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ออกัสพูดสวนขึ้นมาทันทีว่าสำคัญสิ รู้ไหมว่าตั้งแต่มีกระแสกัสก้อง งานโฆษณาติดต่อมาเยอะมาก กูได้เล่นโฆษณาทีวีครั้งแรก ได้เห็นรูปตัวเองโปรโมทสินค้าตามที่ต่างๆ ได้โอกาสใหม่ๆเพิ่มขึ้นจาก #กัสก้อง ภายในเวลาแค่เดือนกว่า มึงก็รู้ว่ากูอยากเป็นนักแสดง กูอยากได้งานแสดงมาตลอดถึงต้องการกระแสของเรามาช่วยไง ตอนนี้คนเริ่มรู้จักกูบ้างแล้ว แถมยังมีคนชอบคู่เราเยอะแยะ ทำไมมึงไม่ทำตรงนี้ให้เป็นประโยชน์วะ เงินก็มี ความนิยมก็ได้ มันวินวินกับเราทั้งสองฝ่ายนะเว้ย

“แบบนี้ไม่เรียกว่าวินวิน มึงได้ประโยชน์อยู่คนเดียวเพราะกูไม่อยากเป็นกระแสอะไรกับใคร กูอยากอยู่เฉยๆตามประสากูอ่ะกัส มึงเข้าใจกูไหม?” ผมถามด้วยความไม่พอใจ “ที่มึงหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะมึงชอบกูหรอก มึงแค่โกรธที่มันไม่เป็นดั่งใจ”
“กูชอบมึงจริงๆ”
“ไม่ มึงไม่ได้ชอบ”

ผมมั่นใจ เพราะรู้ว่าอาการของคนที่ชอบมันต้องเป็นยังไง อย่างออกัสก็แค่ชอบเพราะโดนแซวบ่อยๆทุกวันๆจนสะกดจิตตัวเองว่าชอบนายก้องเกียรติ แต่ถ้าถามจริงๆมันไม่ได้ชอบผมหรอก คนมันไม่เคยคุยจริงๆจังๆจะชอบกันได้ไง เห็นหน้าแล้วชอบเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะผมไม่ใช่คนหล่อหรือดูดีเหมือนใครเขา ออกัสก็แค่หลงกระแสในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

“พอเถอะนะออกัส อย่าทำแบบนี้อีก มึงอย่าใช้ชีวิตด้วยการหลอกตัวเอง หลอกแฟนคลับเลย เริ่มต้นด้วยคำโกหกไม่เคยจบสวยซักราย สุดท้ายถ้ามีคนจับได้ว่ามันไม่จริง มึงอาจจะโดนรุมแหกจนหมดอนาคตนะ”

ผมบอกออกัสเป็นครั้งสุดท้ายและยืนรอว่าเพื่อนจะพูดอะไร แต่ออกัสกลับหันหลัง โยนโกโก้ทิ้งถังขยะและเดินจากไปไม่บอกลาซักคำ ทิ้งให้นายก้องเกียรติยืนหนักใจอยู่คนเดียวกับความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

แต่นี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ถ้าไม่เด็ดขาดวันนี้ #กัสก้อง ก็คงเรื้อรังไปอีกพักใหญ่ๆ ขืนเป็นแบบนั้นพี่อู๋คงประสาทแดกตายก่อนอายุขึ้นเลขสี่ ลำพังแค่พ่อโทรไปกวนใจเขาทุกอาทิตย์ก็หนักพอแล้ว หากมีเรื่องเด็กในปกครองกับความสัมพันธ์ปลอมๆอีก พี่อู๋ต้องฟิวส์ขาดอยากใส่เดี่ยวออกัสแน่ๆ

ผมถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเตรียมขึ้นห้อง จู่ๆก็ได้ยินเสียงดัง แชะ! ผมจึงรีบเงยหน้าดูว่าใครที่ไหนมาขอถ่ายรูปอีก ปรากฏว่าคนลั่นชัตเตอร์ไม่ใช่แฟนคลับหรือสาวๆที่เป็นสาวก #กัสก้อง แต่เป็นสมาร์ท ลูกพี่ลูกน้องของพี่อู๋ที่ไม่ได้เจอกันนานเลยต่างหาก

แหม เรียนมาจะครบเทอมไม่เคยแม้แต่เดินชนไหล่ อยู่หอเดียวกันแท้ๆก็ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งเงาหัว มาวันนี้กลับโผล่มาจ๊ะเอ๋ ยกโทรศัพท์ถ่ายรูปเหมือนสตอล์คเกอร์โรคจิตไปได้

“แหะๆ”

แหะเหี้ยอะไรฮะสมาร์ท เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้เลยนะ นี่มึงก็ติ่ง #กัสก้อง อีกคนเหรอ

“พี่อู๋ให้ไปเคาะห้องเมื่อกี๊อ่ะ เห็นก้องไม่อยู่ก็เลยเดินลงมาหา”
“มานานหรือยัง?”

ผมทำหน้าเซ็งและแบมือขอโทรศัพท์ สมาร์ทส่งให้แต่โดยดี ในคลังภาพมีรูปนายก้องเกียรติกำลังหันหลังยืนเหมือนเด็กถูกทิ้งประมาณสองสามรูป นอกนั้นเป็นรูปของกินที่เจ้าตัวถ่ายเก็บไว้ สงสัยบ้านนี้จะสายกินยกบ้าน เพราะในโทรศัพท์พี่อู๋ก็มีแต่ร้านรีวิวของอร่อยจากอินเทอร์เน็ต รูปเซลฟี่ดีๆหล่อๆไม่เคยมีซักรูปเหมือนกัน

“ก็ได้ยินหมดแล้วอ่ะ สรุปเป็นอะไรกับออกัสคิ้วท์บอยเหรอ?”
“ไหนว่าได้ยินหมดแล้วไง?”
“ได้ยินแต่ไม่เก็ทอ่ะ ไม่เข้าใจว่าคุยอะไร” สมาร์ทตอบด้วยท่าทางซื่อๆ ผมจึงบอกว่าไม่มีอะไรหรอก กับออกัสก็เป็นเพื่อนในกลุ่มนี่แหละ แค่แวะมาคุยเฉยๆ สมาร์ทเหล่ตามองเหมือนไม่เชื่อแต่สุดท้ายก็ปล่อย เพราะเขาไม่ใช่พวกขี้เสือกเท่าไหร่ “พี่อู๋รู้ไหมเนี่ยว่ามีคนมาวอแว?”

รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ก็พี่อู๋นี่แหละที่หัวร้อนอยากเจอออกัสอยู่ตั้งหลายวัน ผมบอกสมาร์ทแค่นั้นแต่ไม่ลงรายละเอียด รู้สึกว่า #กัสก้อง ไม่ใช่หัวข้อน่าคุยหรือควรเล่าให้ใครฟังก็เลยเก็บเป็นเรื่องส่วนตัว ผมถามสมาร์ทว่าเมื่อกี๊ถ่ายรูปนายก้องเกียรติทำไม สายสืบคนไหนบงการให้ตามติดเป็นสตอล์คเกอร์อีก แน่นอนว่าคำตอบไม่ผิดคาดเท่าไหร่ พี่อู๋เป็นคนสั่ง เมื่อกี๊เขาโทรมาบอกว่าลืมให้เงินค่าขนมก้องก็เลยฝากเราเอามาให้

สมาร์ทหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์หนึ่งพันบาทส่งให้ก้องเกียรติ ผมรับเงินมาเก็บก่อนจะบอกว่าขอบใจแล้วเตรียมตัวขึ้นห้องเสียทีหลังจากเดินหมุนไปหมุนมาหลายรอบ แต่พอจะเดินเข้าตึกสมาร์ทก็เรียกไว้อีก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นทีชาตินี้คงไม่ได้ขึ้นห้องไปนอนพักแล้ว มีแต่คนอยากคุยอยู่นั่นแหละ

“ตกลงเป็นแฟนกับพี่อู๋ยังอ่ะ?”
“ยัง!” ไอ้นี่ก็รู้เยอะจริงโว้ย
“เออเค ก็ว่าทำไมพี่อู๋หวงจัง”

สมาร์ทบ่นงึมงำๆแล้วเดินจากไป ปล่อยให้นายก้องเกียรติได้นอนในห้องสมใจอยาก ผมโยนสัมภาระที่แบกอยู่ทิ้งไป เหนื่อยแล้ววันนี้ ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรอีกนอกจากนอนเฉยๆจนกว่าจะเช้า คิดแบบนั้นก็เลยไปล้างเท้าและกระโดดขึ้นเตียง นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบหกนาที นายก้องเกียรติที่ตั้งใจว่าจะจัดกระเป๋าไปเรียนกลับนอนหลับปุ๋ย ไม่ได้ยินเสียงไลน์จากคนแปลกหน้าที่แอดมาถามเรื่องค่าตัวสำหรับจ้างให้โปรโมทนมถั่วเหลืองซักข้อความเดียว




ผมปฏิเสธไปทั้งหมด นมถั่วเหลือง ปากกา ขนมต่างๆที่จ้างให้ถ่ายคลิปร่วมกับออกัส ผมไม่รับงานทั้งหมดเพราะอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ผมไม่รู้จริงๆนะว่า #กัสก้อง ขายออกได้ยังไงบนพื้นฐานที่มีแต่เรื่องโกหก คนจ้างเขาไม่รู้เหรอว่ามันปลอมเปลือก ไม่ได้ถามออกัสบ้างเหรอว่าก้องเกียรติคิดเห็นยังไง หรือว่าพวกเขารู้แต่ไม่สนใจ เพราะกระแสตอนนี้มันดีและขายได้ก็เลยถือสุภาษิตน้ำขึ้นให้รีบตักว่างั้น

จนถึงตอนนี้ผมกับออกัสยังเข้าหน้ากันไม่ติด แม้เวลาเรียนจะอยู่กลุ่มเดียวกันแต่เราไม่คุยกันเลย ไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จา ทำเหมือนเป็นคนไม่รู้จักที่ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย คนที่รู้เรื่องนี้ละเอียดที่สุดคือทราย ทรายจึงคอยเป็นคนกลาง ทำตัวเกะกะขวางทางไม่ให้ใครแอบถ่ายรูปไปฟินว่าเรามีโมเม้นต์ด้วยกันอีก ทุกวันผ่านไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนจนทุกคนสัมผัสได้ ตอนไปกินข้าวกันก็ไม่สนุกเหมือนเคย ผมเมินเฉยออกัสจนโบ้ทถามว่าทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ผมโกหกว่าเปล่าหรอก ไม่ได้ทะเลาะกัน แค่ไม่รู้จะพูดอะไรเฉยๆ

พี่อู๋บอกว่าถ้าออกัสไม่มารุ่มร่ามก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวันก่อนอีก แค่ใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปตามปกติ หากมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปก็ยอมให้ถ่ายไปเถอะจะได้จบๆ แต่ถ้าจำนวนคนยังเยอะเหมือนเดิมก็เริ่มปรามหน่อย บอกแฟนคลับออกัสบ้างว่าไม่สะดวก ไม่พร้อม หน้าเป็นสิว ไม่มั่นใจในตัวเองก็ว่าไป แต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธจริงๆจังๆเพราะกลัวถูกนินทาว่าหยิ่ง ดังนั้นรูปใหม่ๆของนายก้องเกียรติยังคงอัปเดตเรื่อยๆใน #กัสก้อง ทุกสัปดาห์

ผมคิดว่าพี่อู๋คงรู้ เขาต้องรู้อยู่แล้วเพราะเขาก็เล่นทวิตเตอร์ จึงไม่น่าแปลกหากเห็นเขาหงุดหงิดอารมณ์เสียทุกครั้งที่จับโทรศัพท์ ทั้งๆที่ผมควรดีใจที่มีคนคอยหึงไม่อยากให้ยุ่งกับผู้ชายคนไหน แต่ลึกๆแล้วผมเสียใจมากกว่าที่ทำให้พี่อู๋กลายเป็นแบบนี้มากกว่า ถ้าผมให้คำตอบเขาจริงจังได้ว่าสรุปแล้วเราจะมีโอกาสคบกันไหม พี่อู๋ก็คงไม่ต้องกังวลและไม่ต้องเจ็บใจทุกครั้งที่เห็นคนเชียร์ #กัสก้อง บนโลกออนไลน์อย่างทุกวันนี้

ถามว่าทำไมผมถึงไม่ให้คำตอบเขาเหรอ?
เพราะส่วนเล็กๆในตัวของผม – ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ไง

ผมรักพี่อู๋นะ รักเขามาก รักมากที่สุดเท่าที่จะรักใครได้ในตอนนี้แล้ว แต่พอคิดว่าสิ่งที่เขาคาดหวังอยากให้เป็นคือการพัฒนาความสัมพันธ์มากไปอีกขั้น ผมก็รู้สึกกังวลและไม่มั่นใจ ตลอดชีวิตของผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย ไม่เคยมีความรักถึงขนาดอยากตกลงปลงใจคบกับใครซักคน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนพี่อู๋กดดันให้รีบทำสถานะของเราให้ชัดเจน เขาอยากรู้ว่าตกลงนายก้องเกียรติจะเอายังไงกันแน่

ซึ่งแน่นอนว่าผมรักพี่อู๋นะ แต่ --
มันมีคำว่า แต่ เสมอทุกครั้งที่ตั้งคำถามกับตัวเอง

ผมไม่ได้เจตนากั๊กสถานะไม่ให้พี่อู๋มูฟออน แต่ผมก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าอยากหยุดมันไว้แค่นี้จริงหรือเปล่า วูบหนึ่งผมทำใจได้ว่า โอเค -- ผมจะคบกับเขา ผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายอย่างเป็นทางการ แต่อีกวูบก็ระแวงว่าคนอื่นจะคิดยังไง ถ้าเพื่อนๆรู้ พวกเขาจะล้อเลียนหรือแซวด้วยถ้อยคำที่ทำให้อึดอัดไหม ผมค่อนข้างกังวลเรื่องนี้พอสมควรเพราะขนาดทรายที่เป็นสาวมั่นยังโดนแซวเรื่องนิ้วเย็นๆหรือจะสู้เอ็นอุ่นๆจนมันรำคาญ แล้วเกย์มือใหม่อย่างผมล่ะ? เกย์อย่างผมจะโดนล้อว่าอัดถั่วดำจนเรียนจบไหม นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมกังวล

ความผิดอีกอย่างหนึ่งของผมคือการปล่อยให้ #กัสก้อง โลดแล่นบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่คิดจะออกสื่อแก้ตัว ผมนึกเอาเองว่าวันหนึ่งถ้าไม่มีรูปนายก้องเกียรติกับออกัสออกมา พวกแฟนคลับก็คงจะเลิกจิ้นไปเอง แต่ปรากฏว่ากระแสกัสก้องไม่แผ่วลงเลย แถมกระพือขึ้นมากกว่าเดิมด้วยเมื่อออกัสรับงานหนังสั้นโฆษณายารักษาสิว แฟนคลับของมันออกมาบ่นเสียดายที่บริษัทโฆษณาเลือกใช้ผู้ชายอีกคนเป็นนักแสดงคู่ ทำไมไม่แคสเอาก้องเกียรติที่เป็นสิวเหมือนกันมาเล่นล่ะ #กัสก้องisreal #กัสก้องตลอดไป อ่านตรงนี้แล้วผมได้แต่หน้าสั่น ไม่รู้ว่าแฟนคลับของออกัสหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ถึงแซวสิวบนหน้าจนผมเสียความมั่นใจขนาดนี้

ถ้าคิดว่านั่นคือพีคแล้ว ผมขอบอกว่ายังมีพีคกว่านี้อีก คืนหนึ่งออกัสไลฟ์สดในอินสตราแกรมตอบคำถามแฟนคลับตามประสา มีแฟนคลับคนหนึ่งถามออกัสว่าทำไมไม่ค่อยมีรูปคู่กับก้องออกมาเหมือนเมื่อก่อน ไม่ถ่ายรายการด้วยกันแล้วเหรอคะ ออกัสอมยิ้มก่อนจะตอบด้วยประโยคเป็นกลางที่สุดเพื่อไม่ให้แฟนคลับรู้ว่าคู่จิ้นที่พวกเขาเชียร์ให้คบกันนักหนา ตอนนี้เข้าหน้ากันไม่ติดจนแทบไม่คุยกันซักคำ

“อ๋อ – ก้องเป็นคนขี้อายครับ เขาไม่อยากออกกล้อง ถ้าเจอกันข้างนอกพยายามอย่าเข้าไปขอถ่ายรูปนะ ก้องเขิน”

แต่ประโยคชี้แจงที่เรียบง่ายและธรรมดาก็ยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความหึงหวงของออกัสที่มีต่อก้องเกียรติ ผมอยากจะบ้าตาย ถึงตอนนี้คงโทษออกัสได้ไม่เต็มปากเพราะถือว่ามันบอกแฟนคลับให้เลิกขอผมถ่ายรูปแล้ว แต่กระแสมันแรงจนห้ามไม่ได้จริงๆ เมื่อรวมการพูดถึงทั้งหมดกับหนังสั้นโฆษณาเจลแต้มสิว คืนนั้น #กัสก้อง จึงติดเทรนด์ทวิตเตอร์ และทรายก็ตื่นเต้นมากจนต้องแคปมาให้ดู ผมว่าพี่อู๋ก็คงเห็นแล้วเหมือนกัน

“ติดเทรนด์ได้ยังไงวะ? แค่ไอ้ออกัสพูดว่าอย่าถ่ายรูปกูอีกนี่มันมีอะไรให้คิดอีกเหรอ? กูว่าประโยคมันก็ตรงตัวแล้วนะ”

ผมโวยวายด้วยความโมโห ไม่เข้าใจว่าต้องขยับตัวไปทิศทางไหน #กัสก้อง ถึงจะหายไปจากโลกใบนี้ รู้ไหมว่าการมีอยู่ของแฮชแท็กบ้านี่ทำให้ผมกับพี่อู๋ไม่สนิทใจเหมือนเดิม เขาอึดอัดและไม่พอใจทุกครั้งที่ออกัสทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของตัวจริงนายก้องเกียรติทั้งๆที่ในชีวิตจริงเราแทบไม่คุยกันด้วยซ้ำ

“ทำไมพี่อู๋ต้องไม่พอใจด้วยวะ? มันไม่ใช่เรื่องของเขาไม่ใช่เหรอ?”

ทรายถามงงๆ ถึงตรงนี้ผมคงต้องเล่าเรื่องของตัวเองให้เพื่อนฟังเสียที ไม่งั้นมันก็อึนๆมึนๆปะติดปะต่อแนะนำไม่ตรงจุดอยู่นั่นแหละ ผมตัดสินใจเล่าให้ทรายฟังคร่าวๆว่าเราเจอกันได้ยังไง ผมเป็นใคร พี่อู๋เป็นใคร เรื่องของเราเริ่มต้นจากตรงไหน และตอนนี้ระหว่างเรากำลังมีปัญหาอะไร พอรู้ว่าผมกับพี่อู๋มีความรู้สึกดีๆต่อกัน ทรายก็กรี๊ดๆๆและพูดว่ากูนึกแล้วเชียว! กูคิดไว้แล้ว! กูว่าแล้วว่ามึงต้องมีคนที่ชอบอยู่แน่ๆไม่งั้นคงไม่หงุดหงิดตอนเห็นกระแสกัสก้องหรอก! มันกรี๊ดดีอกดีใจจนผมต้องบอกให้พอก่อน หูกูจะแตกแล้ว กรี๊ดอย่างกับดูหนังผี ชีวิตกูไม่ได้สยองขวัญขนาดนั้น ไม่ต้องกรี๊ด

“งั้นปัญหาของมึงคืออะไรกันแน่? ในเมื่อมึงรู้สึกดีกับพี่อู๋และไม่ได้ชอบออกัส กูว่ามึงไม่มีอะไรต้องกังวลนะ ทำให้มันชัดเจนก็คงจบ”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นอ่ะดิ”
“ทำไม?”
“กู – กูไม่รู้ว่ากูรักเขาแบบไหน” ผมบอกทรายตรงๆ “กูไม่รู้ว่าที่รักเขาอยู่ตอนนี้คือรักแบบพ่อ แบบพี่ชาย หรือรักแบบสำนึกบุญคุณที่เขาชุบชีวิตใหม่ให้ กูเลยไม่กล้าเป็นแฟนกับเขา”
“แล้วพี่อู๋ว่ายังไง?”
“เขาบอกว่าเขารอได้”
“รอมึงอ่ะนะ?”
“ใช่”
“มึงแม่งแย่ว่ะก้อง” ทรายว่าตรงๆ “มึงกั๊กสถานะไม่ให้พี่อู๋ได้ไปต่อเลย คนรอเขามีจิตใจ เขาท้อเป็นนะ”
“ก็กูไม่รู้จะทำยังไง กูรักเขานะ แต่ --”
“แต่อะไร?”
“แต่กูไม่อยากเป็นแฟนกับเขา กูกลัวว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ว่ะทราย”

เพื่อนสนิทของผมถอนหายใจก่อนจะเล่าว่าเมื่อก่อนช่วงก้ำกึ่งระหว่างตัดสินใจว่าจะคบกับพี่กิ๊บดีไหม ทรายเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่พี่กิ๊บบอกว่าคงไม่มีอะไรแย่กว่าการคุยกันไปเรื่อยๆแบบไม่มีสถานะแล้ว แบบนั้นมันไม่แฟร์กับคนคุยเพราะเขามูฟออนต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเราเห็นเขาเป็นแฟนหรือแค่คนคุยฆ่าเวลาเล่นๆขำๆ อย่างน้อยช่วยให้ความชัดเจนเลยเถอะว่าในอนาคตเราพอมีโอกาสได้คบกันบ้างไหม ถ้าไม่ก็ปล่อยเขาไปคุยกับคนใหม่ อย่าแกล้งให้เขาเสียเวลาเสียความรู้สึกเลย

“ฟังนะก้อง -- ถ้ามึงโอเค มึงคิดว่ามึงรักพี่อู๋จริง มึงอยากเปิดใจให้เขาซักครั้งก็ลองให้โอกาสพี่อู๋ แต่ถ้ามึงคิดว่าไม่ไหว มึงไม่ได้ชอบเขามากเท่าที่เขาชอบมึง มึงก็บอกพี่อู๋ไปตรงๆเถอะก้อง กูว่าเขาใจกว้างพอจะไม่ทวงบุญคุณอะไรจากมึงนะ”
“เรื่องเงินกูตั้งใจจะคืนพี่อู๋อยู่แล้วทราย แต่ที่กูกลัวมันมีหลายเรื่องมาก กูกลัวในอนาคตระหว่างเราจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม”
“มันเปลี่ยนแน่นอน เปลี่ยนทุกคน ทุกคู่ พี่กิ๊บก็เปลี่ยนเพราะเขาโตขึ้น ขนาดกูยังเปลี่ยนไปเลย แต่ของแบบนี้มันปรับตัวเข้าหากันได้” ทรายบอก “ในเมื่อมึงไม่รู้ว่ารักพี่อู๋แบบไหนก็ลองให้โอกาสเขาเป็นแฟนมึงซักเดือนดีไหม? ถ้าคบกันแล้วไม่โอเคก็ค่อยเลิก”
“ถ้าเลิกกันจริง กูก็เข้าหน้าพี่อู๋ไม่ติดสิ”
“มึงจะห่วงอนาคตทำไม? ห่วงตัวเองตอนนี้เถอะ อีกหน่อยก็คงเข้าหน้ากันไม่ติดทั้งหมดเพราะไอ้ออกัสเนี่ยแหละ”

ผมถามทรายว่าสรุปควรแก้ปัญหาทั้งหมดตรงไหน ถ้าอย่างแรกคือการคุยกับออกัสให้จัดการแฟนคลับและเลิกสร้างกระแสคู่จิ้นทางอ้อม อย่างที่สองคืออะไร ทรายตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆว่าให้โอกาสพี่อู๋ อย่างน้อยผมจะได้เลิกสับสนว่าตกลงรักเขาแบบไหนกันแน่ ลองคบกับพี่อู๋ซักเดือนสองเดือนเดี๋ยวก็รู้ว่ารักเขาในแง่ไหน เผลอๆผมอาจจะมีความสุขที่ได้เป็นแฟนเขามากกว่าเป็นแค่เด็กในปกครองก็ได้ อย่าคิดว่ามันจะเหมือนเดิมสิ อย่าลืมนะว่าแฟนสามารถทำสิ่งที่เด็กกับผู้ปกครองไม่สามารถทำได้

“ทำอะไรวะ?”

ผมสงสัย เพราะปกติเราอยู่ด้วยกันจนชิน ที่พี่อู๋บอกว่าจะจีบก็ไม่เห็นจีบหรือขยันขายโปรโมชั่นอะไรซักอย่าง ทรายด่าผมว่าอีก้อง อีควาย ที่พี่อู๋ไม่มีโปรโมชั่นเพราะพี่อู๋เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายไง บางทีเขาอาจจะดูแลมึงดีที่สุดเท่าที่คนตามจีบจะทำได้แล้ว เหลือแค่อย่างเดียวนี่แหละที่ไม่ได้ทำ

“ก็บอกมาซักทีสิว่าอะไร?”
“make love ไง” ทรายโพล่งออกมา นังหน้าไม่อาย “อย่าซื่อไปหน่อยเลย กูรู้นะว่ามึงนั่งหน้าร้อนอยู่”
“ไม่ได้เขิน!”
“แน๊ – กูไม่ได้บอกว่าเขิน กูบอกว่าหน้าร้อนเฉยๆ แสดงว่ามึงเขินจริงๆอ่ะดิ”
“กูไม่คุยกับมึงแล้ว ปวดกบาล”

ผมตัดสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงข้างหมอน พอล้มตัวลงนอนเรื่องของพี่อู๋ก็วนเวียนในหัวจนพาลคิดจัดการเรื่องอื่นไม่ได้ บางทีอย่างแรกที่ผมต้องทำคือให้โอกาสพี่อู๋ แต่จะเริ่มต้นยังไงเพราะผมอายเกินกว่าจะพูดออกไปตรงๆ พอคิดไม่ตกผมก็ไลน์หาทรายอีกครั้งว่าควรขอพี่อู๋เป็นแฟนด้วยวิธีไหนดี ทรายบอกให้ซื้อลูกโป่งเยอะๆไปเซอร์ไพรส์เหมือนดารา แล้วเขียนใส่กระดาษว่า pen fan gan na ตามวิถีเซเลปไฮโซ

ผมด่าทรายว่าความคิดเฉิ่มมาก เฉิ่มขนาดนี้มึงเก็บไว้เป็นมุขขอพี่กิ๊บแต่งงานเถอะ ทรายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าไม่ได้หรอก จะใช้มุกนี้อีกไม่ได้ เพราะตอนพี่กิ๊บขอเป็นแฟน มันก็ได้ข้อความภาษาคาราโอเกะมาแล้วรอบนึง มันไม่อยากเขียนประโยค tang ngan gan na บนกระดาษเอสี่เย็บแม็กอีก สะเหล่อเสียไม่มี ไม่รู้กูตกลงคบกับพี่กิ๊บได้ยังไง เอ้า ดราม่าเฉยเลย

“แล้วมึงอยากเริ่มยังไงล่ะ?”
“อยากให้มันเรียบๆ”
“ก็โทรหาเขาเลยตอนนี้”
“ไม่ได้! กูเขิน!” ผมแว้ดใส่ทรายที่หัวเราะคิกคักสบายใจ “ถ้ากูเขียนจดหมายให้เขาอ่ะ?”
“เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นไหม? พี่อู๋ต้องประทับใจน้ำตาไหล”
“มึงเห็นกูฉลาดขนาดนั้นเหรอ?”
“ไม่หรอกก้อง มึงไม่ฉลาด เพราะถ้ามึงฉลาด มึงจะนึกได้ว่าโลกนี้มีกูเกิ้ลทานสะเหลด”

เออว่ะ

“อีควาย – อุ๊ย เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ พี่กิ๊บโทรมา”

ผมตอบเออๆก่อนจะกดวางสาย บางทีมันคงจริงอย่างที่ทรายว่า ไม่ลองคบกันก็ไม่รู้หรอกว่าเราเหมาะจะอยู่ในสถานะไหน แต่สิ่งที่ยากกว่าการตกลงเป็นแฟนคือการยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ ทันทีที่ขอพี่อู๋เป็นแฟนและเขาตอบตกลง เท่ากับว่านายก้องเกียรติไม่สามารถหนีความจริงที่ว่าผมเป็นพวกรักเพศเดียวกันได้อีก สิ่งที่ทำได้มีแค่ยอมรับ แต่ลึกๆในใจมันยังต่อต้าน ยังรู้สึกรับไม่ได้หากใครซักคนพูดว่าก้องเกียรติเป็นเกย์

ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกต่อต้านอย่างนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ผมหวาดกลัวกับคำตัดสินของสังคม กลัวถูกตีมูลค่าให้ด้อยว่าชายหญิงแค่เพราะผมรักผู้ชาย น่าแปลกที่ผมไม่เคยรังเกียจทรายที่มีแฟนเป็นผู้หญิง แต่พอคิดว่าตัวเองเป็นเกย์มันก็เกิดความรู้สึกจั๊กจี้ ไม่อยากยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ใช่ ผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชาย เพราะผมมันขี้ขลาด ผมกลัวถูกล้อ กลัวว่าจะกลายเป็นตัวตลกที่มีภาพจำว่าเกย์อัดถั่วดำ เกย์ขุดทอง เกย์ถังขี้ สารพัดคำล้อทุเรศไร้หัวคิดจากคนอื่นเหมือนอย่างที่ทรายเคยโดน

แล้วแบบนี้ผมควรทำยังไงดี?

ผมควรปรึกษาใครในเมื่อคุยกับพี่อู๋ก็กลัวเขาเสียใจ คุยกับทรายก็กลัวเพื่อนคิดว่ารังเกียจ แต่ไม่เลย ผมไม่ได้รังเกียจเกย์ ผมแค่ไม่อยากเป็นเกย์ ไม่อยากถูกล้อ ไม่อยากฟังคำพูดแซวเล่นจากคนรอบข้างที่ผมไม่สนุกด้วย เห็นทีความรักของนายก้องเกียรติคงถึงทางตันตั้งแต่ยังไม่ขอพี่อู๋เป็นแฟน เพราะในอนาคตมันต้องเกิดปัญหาแน่ๆตราบใดที่ผมยังรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้


TBC


________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีวันจันทร์ค่ะ ตอนนี้เป็นตอนที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับตอนก่อนหน้า แต่จริงๆความยาวประมาณ 4-5000 ตัวอักษรคือความยาวที่เหมาะสำหรับเนื้อหาในหนึ่งตอนค่ะ ที่ผ่านมาคือยาวเฟื้อย พี่จ๋าอาจจะอ่านจนเหนื่อย เราเลยขอตัดให้พอดีๆจะได้ไม่เลี่ยนจนเกินไปน้า

นอกจากอัปน้องก้องแล้วยังมีข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบด้วยค่ะ เนื่องจากช่วงนี้ถึงกลางเดือนหน้าเรามีกำหนดส่งงานฟรีแลนซ์ที่รับมาทำ ซึ่ ดังนั้นน้องก้องอาจจะอัปช้าลงกว่าปัจจุบันนะคะ แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ วันจันทร์หน้าน้องก้องจะมาเหมือนเดิมเพราะเราตัดพาร์ทหลังอีก 5000 คำเพื่ออัปในสัปดาห์ถัดไปแล้ว ถ้าเราปิดจ็อบเสร็จเมื่อไหร่ น้องก้องจะกลับมาอัปทุกวันจันทร์เวลาสองทุ่มตรงเหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณที่รักน้องก้องและอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ ทุกคนใจดีและเป็นแฟนนิยายที่น่ารักมากๆค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจทุกช่องทาง และทุกอย่างนะคะ จะตั้งใจเขียนให้สุดฝีมือเช่นเคยเพื่อไม่ให้ทุกคนรักนิยายเรื่องนี้น้อยลงค่ะ

ด้วยรัก
Ms.Ambiguous
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-08-2019 21:12:46
น้องก้องสู้ๆ ลูก หนูต้องผ่านมันไปได้ สงสารหมูอู๋ทุกตอน ไม่ได้ออกตอนนี้เลย 555555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 26-08-2019 21:44:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 26-08-2019 22:23:14
พี่อู๋ค่าตัวแพงแท้ คิดถึงจังเลยพ่อคนดีของน้อง  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 26-08-2019 22:38:05
ก้องเกียรตสู้ๆน้า การเริ่มต้นยากเสมอ แต่สุดท้ายมันจะโอเค เสี่ยอู๋ป่านนี้รอเด็กมันจนเหี่ยวแล้วมั้ง 555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2019 22:45:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-08-2019 22:57:44
ออกัสนี่เอาตัวเองเป็นพระอาทิตย์ เอาแต่ใจน่าดู
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 26-08-2019 23:26:16
นิยายเรื่องนี้คือพูดถึงประเด็นอะไรใฟ้คิดไว้เยอะมาก เหมือนเราได้คิดไปพร้อมๆ กับตัวละคร โตไปกับเขา และอยากให้คำปรึกษาเขา เหมือนเรารู้จักกันจริงๆ ฮ่าๆ พี่อู๋คงเค่ียดจะตายแลเวตอนนี้ หวงออกหน้าออกตามากก็ไม่ได้เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกัน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-08-2019 23:57:16
ออกัสเห็นแก่ตัวมาก ดีนะที่น้องก้องพูดตรงๆเคลียร์ๆเลย นายเอกแบบนี้ที่ฉันต้องการร  :impress2:
 แต่เรื่องพี่อู๋คงต้องให้เวลาน้องหน่อยนะ

พูดถึงคู่จิ้นทำให้เรานึกถึงดารานักร้องที่โดนพวกแฟนคลับจับจิ้นและจริงจังเกินพอดี เราคิดว่าเขาคงอึดอัดเหมือนกันแต่คงแสดงออกอะไรมากไม่ได้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-08-2019 00:43:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 27-08-2019 01:31:48
กอลลิล่าก้องกำลังสับสนอยู่  :ling1:
เสี่ยอู๋ต้องใจเย็นๆ เดี๋ยวได้เป็นแฟนน้องแน่ๆ ให้น้องตั้งสติก่อนนะเสี่ย :hao7:

ปล. เราเป็นแฟนคลับสมาร์ทแหละ ตกหลุมรักจากคำว่า “ชนชั้นกลางขอบชีส” และด้วยอารมณ์เหนือยๆแบบคูลๆ ทำให้ชั้นชอบเค้าาาาา :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 27-08-2019 08:20:53
เรื่องนี้เรียลดีมาก ปั้นตัวละครได้รู้สึกว่าก้องเป็นผู้ชายแท้จริงๆ ทั้งนิสัยและความคิด ทำให้รู้สึกเลยว่า เออ นี่ผู้ชายนะแต่ก็ชอบผู้ชายเพราะเขาคนนั้นเป็นคนที่คอยช่วยเหลือก้องมาโดยตลอด คอยดูแลใส่ใจ ทำให้รักที่ตัวตนมากกว่าจะมาคำนึงถึงเพศ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความที่เป็นผู้ชายแท้ก็มักจะกังวลสายตาของผู้คนอยู่บ้างเป็นปกติ ยังไงก็ขอให้กอริลล่าก้องผ่านไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 27-08-2019 12:03:49
น้องก้อง เด่วหนูก็จะก้าวข้ามผ่านมันไปได้.. เป็นกำลังใจให้ไรท์ และ กอลิล่าก้อง ด้วย..
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-08-2019 22:40:02
พยายามเข้าใจก้องนะ แต่ก็รู้สึกเหมือนกันว่าก้องเห็นแก่ตัว แต่นะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น หวังว่าก้องจะคิดได้ดี เข้มแข็งพอจะอยู่ในสังคมนี้ได้ละนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 27-08-2019 23:28:40
กอลิล่าก้องจะตัดสินใจอย่างไร
หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 28-08-2019 17:09:19
ติดบ่วงกอลิล่าก้องแล้ววววววววว
ไม่ไหนไม่รอดดดดดด รออ่านตอนต่อไปจ้าาา


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: vermilion ที่ 29-08-2019 00:43:42
มีประเด็นที่ลึกซึ้ง น่าสนใจมาให้ขบคิดตลอด ชอบมากครับ เห็นใจทั้งพี่ทั้งน้องเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 29-08-2019 19:15:57
 :mew4: สงสารพี่อู๋   ทุ่มให้เค้าหมดใจ   ......
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-08-2019 22:11:47
คิดทบทวนไปมานั่น ๆ นี่ ๆ ก็สมเป็นก้องดี น้องไม่ได้มีความคิดปุบปับเฉียบคมตั้งแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น ต้องให้เวลาก้องคิดอีกสักหน่อย พี่อู๋น่าจะได้คำตอบที่รอคอย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-08-2019 22:57:29
ความลังเลในใจ
พลาดก้าวเดียวอาจจะคิดผิดทั้งชีวิต

การตัดสินใจ...มันลำบากใจแท้เน้อออออออ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 35 update!] 26/8/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-08-2019 00:35:49
เป็นกำลังใจให้ก้องนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-09-2019 19:53:32
36


สองสัปดาห์ผ่านไป กระแส #กัสก้อง ซาลงเพราะผมไม่ปรากฎตัวในช่องทางไหนของออกัสอีก ไม่ว่าจะอินสตราแกรม เฟสบุ๊กเพจ ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่ช่องในยูทูปก็ไม่มีเงาของก้องเกียรติอยู่ คนขอถ่ายรูปก็น้อยลงเป็นเท่าตัว แต่เวลาไปไหนยังคงมีคนมองและชี้มือชี้ไม้มาทางผมเหมือนเป็นลิงหลุดกรงบ้าง แอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายบ้างตามประสาแฟนคลับที่ชื่นชอบ #กัสก้อง ส่วนใหญ่ที่เจอไม่มีใครเป็นแฟนคลับผมหรอก พวกเขาแค่เอ็นดูและรักผมเพราะอานิสงส์จากออกัสเท่านั้น

ผมเริ่มปล่อยวางเรื่องคู่จิ้นเพราะมันหายไปแล้ว กระแสความรักแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อระหว่างออกัสกับก้องเกียรติค่อยๆมอดดับลงเมื่อไม่มีโมเมนท์ชวนจิ้นหลุดออกมา ตอนนี้ผมกำลังโฟกัสอยู่กับการเรียนเต็มที่ อาจจะมีแอบคิดถึงพี่อู๋บ้าง แต่โดยรวมผมยังสนใจบทเรียนเพื่อทำเกรดดีๆให้ผู้ปกครองภูมิใจ วันหนึ่งขณะปั่นจักรยานไปส่งน้ำตาลทรายที่หอ เพื่อนคนสวยก็ถามว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณอิศรินทร์ไปถึงไหนแล้ว ผมจึงตอบว่า

“ที่เดิม”
“เล่นตัวมากๆระวังมีคนคาบพี่อู๋ไปแดก”
“ใครจะคาบไป วันๆเขาทำแต่งาน”

ผมหัวเราะ แต่จริงๆแอบกังวลมาซักพักเหมือนกันว่าพี่อู๋จะเจอคนใหม่ ถึงจะอายุสามสิบกว่าแต่หน้าตาเขายังหล่อ สตางค์ก็มี แถมคารมณ์ยังดีอีก ถ้าเขาบังเอิญเจอใครที่ให้ทุกอย่างกับเขาได้มากกว่านายก้องเกียรติ วันนั้นผมตายแน่

“รีบบอกเขาได้แล้ว”
“กูคิดอยู่” ผมถอนหายใจ “ถามจริงนะทราย ตอนมึงยังไม่คบกับพี่กิ๊บ มีผู้ชายมาจีบมึงบ้างไหม?”
“ไม่อยากพูดแบบนี้เลยว่ะก้อง แต่ผู้ชายทั้งโรงเรียนอ่ะชอบกูหมดเลย แม้แต่กรรมการนักเรียนยังตัดสินให้หลีดสีกูชนะทั้งๆที่เต้นง่อยเพราะแอบรักกูอ่ะ คิดดู”

จ้า

“แล้วทำไมมึงถึงเลือกพี่กิ๊บวะ?”
“ตุ๊กตาหมีที่พี่กิ๊บซื้อให้ตัวใหญ่กว่าของอีกคนอ่ะ” ทรายตอบก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆของผม “กูล้อเล่น พี่กิ๊บเทคแคร์เก่ง กูชอบให้คนเอาอกเอาใจ กูชอบเป็นเจ้าหญิง”
“เออ กูไม่แปลกใจ ว่าแต่ -- เพื่อนล้อมึงไหม?”
“อะไร?”
“ที่มึงเป็นแฟนกับพี่กิ๊บ”
“โอ๊ย มึงก็รู้ว่าเด็กมัธยมมันล้อหมดแหละ ขนาดครูใหญ่นั่งยองๆแล้วเป้าแหกยังล้อกันได้ตั้งสองสามรุ่น”

ผมหัวเราะขำ แต่ในใจไม่ขำ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองสามารถรับมือกับคำล้อเหมือนที่น้ำตาลทรายเจอได้หรือเปล่า สมัยเรียนมอปลายผมเป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีเพื่อนสนิทที่เคยสนิทชื่อเป้ง แต่ตอนนี้เราแยกย้ายไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วเพราะเป้งไม่เล่นโซเชียล ผมพอจำได้ว่าตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นตุ๊ดโดนล้อหนักมาก หน้าวอกบ้าง สายเหลืองบ้าง ถังทองบ้าง  แต่ตอนนั้นผมไม่เดือดร้อนเพราะตัวเองไม่ใช่คนโดนล้อ หนำซ้ำยังตลกเวลาเพื่อนถูกตั้งชื่อเล่นว่าจิ๋มมี่ แถมโดนร้องเพลงล้อด้วยว่า ว้าว! ว้าว! ว้าย นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ไม่น่าเชื่อว่าเพลงเก่าขนาดนั้น เด็กรุ่นผมยังหยิบยกเอามาร้องได้ พอคิดดูแล้วผมนี่ก็ส้นตีนเอาเรื่องที่เผลอติดปาก ร้องเพลงประเทืองทุกครั้งเวลาไม่มีอะไรทำ

“เป็นอะไร? เหม่อเลย จินตนาการภาพครูใหญ่กูเป้าแหกอยู่เหรอ?”
“ทุเรศนะมึงอ่ะ” ผมส่ายหน้าเอือมระอา “แล้วเป็นแฟนกับผู้หญิงโอเคไหม?”
“โอเคดิ เวลาไปช็อปปิ้งนี่สนุกโคตร ช่วยกันเลือกลิป เลือกสกินแคร์ เวลามีเสื้อผ้าสวยๆก็ผลัดกันใส่ ดีจะตาย เป็นทุกอย่างของกันและกัน เวลาเมนส์มาพี่กิ๊บก็เข้าใจ ไม่เหมือนพวกผู้ชายหรอก เอาไปแซวเล่นเป็นมุขตลก เลือดท่วมหว่างขาขนาดนั้นกูไม่ตลกด้วยหรอกไอ้สัส”
“ใจเย็นทราย กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“มึงอ่ะต้องรีบขอพี่อู๋เป็นแฟนได้แล้วนะอีก้อง”
“เอ้า จู่ๆก็วกกลับมาเรื่องกูเฉย”
“กูพูดจริง” น้ำตาลทรายทำเสียงขึงขัง “ระวังเถอะวันไหนเขาเบื่อ เขาไม่อยากเสียเวลารอ มึงจะเสียใจยิ่งกว่าตอนเลิกกับเขาอีก อย่างน้อยอันนั้นยังเคยได้คบได้เรียนรู้ แต่ถ้ามึงปล่อยเบลอจนเขาไปหาคนอื่น มึงช้ำตายแน่ เพราะมึงจะเจ็บใจที่ไม่ยอมให้โอกาสตัวเองมีความรัก กูขอเตือนเลยนะ คนที่กูเคยได้ยินชื่อคนหนึ่งมัวแต่เล่นตัวไม่ยอมตอบรับคำขอผู้ อีดอก อ้อยมาก ผู้ตามง้อตามจีบอยู่สามเดือนก็ไม่เอา บอกทุกคนว่าคุณพ่อคุณแม่สอนให้ตั้งใจเรียน ไว้ค่อยมีแฟนตอนโตก็ได้ สุดท้ายผู้ไปจีบรุ่นน้อง คบกันหนุงหนิงออกสื่อทุกวัน อีเหี้ย หน้าแห้งเลย สะใจชิบหาย ไม่บอกหรอกนะว่ามันชื่ออะไร แต่ได้ยินมาว่ามันเรียนวิศวะลาดกระบัง ขึ้นต้นด้วยฟ้า ลงท้ายด้วยใส”
“มึงบอกเลยก็ได้ว่าเป็นเรื่องของฟ้าใส” ผมหัวเราะ “แต่กูก็รักพี่อู๋อยู่นี่ไง ไม่ใช่ปิดโอกาสไม่รัก กูรักเขานะทราย”
“รักแบบไม่มีสถานะน่ะเหรอ? ถุย”
“มึงไม่ถุยใส่หน้ากูเลยล่ะ?”
“ได้เหรอ? อ่ะ ถุย!”

ทรายทำเสียงพ่นน้ำลายประกอบ ผมขยะแขยงจนต้องจอดรถแล้วหันไปฟาดมันโทษฐานพ่นน้ำลายจริง มาทั้งน้ำและเสียงเต็มหลังคอผมเลย

“อย่าทำเป็นเล่นไปนะก้อง กูเตือนด้วยความหวังดี”
“เออ กูรู้น่า เดี๋ยวกูคงขอเขาเร็วๆนี้แหละ”

ผมให้สัญญาแบบส่งๆ แต่ในใจกลับคิดไม่ตกเกี่ยวกับสถานะของเรา หลังปั่นจักรยานไปส่งน้ำตาลทรายถึงหอ ผมก็กลับห้องมานั่งคิดอย่างจริงจังถึงสิ่งที่เพื่อนเตือน

ถ้ารอเวลาอีกหน่อย พี่อู๋อาจจะโดนใครคาบไปกินอย่างที่ทรายว่า ถึงตอนนั้นนายก้องเกียรติได้นอนจมกองน้ำตาแน่ๆเมื่อผู้ชายที่ตัวเองรักกลายเป็นของคนอื่น หากถามว่าเวลาไหนคือช่วงที่เหมาะสมที่สุด ผมคิดว่าต้องเป็นเร็วๆนี้ อาจจะพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ แต่ไม่เกือนเดือนนี้ตามอย่างที่ทรายบอก โอเค – ถ้ายึดตามอารมณ์ตัวเองในตอนนี้ ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะขอพี่อู๋เป็นแฟน

แต่การคบกันของเรามีกฎสำคัญอยู่หนึ่งข้อ มันต้องเป็นเรื่องลับที่ไม่เปิดเผยอย่างประเจิดประเจ้อ ผมจะไม่บอกใครว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่บอกด้วยว่าเราอยู่ด้วยกันมาสองปีกว่าในฐานะผู้ปกครองกับเด็กในการดูแล ไม่บอกว่าพี่อู๋เป็นใคร ไม่บอกว่าเราเจอกันได้ยังไง มันต้องเป็นความลับ เป็นความเงียบ เป็นเสียงที่ไม่ควรเปล่งออกมาให้ใครได้ยิน มีเพียงคนเดียวที่รู้คือน้ำตาลทราย ส่วนเพื่อนคนอื่นในมหาวิทยาลัย ต่อให้สนิทกันแค่ไหน ผมจะไม่พูดเด็ดขาด เพราะทางเดียวที่จะสามารถหนีคำล้อเลียนได้ก็คืออย่าให้ใครรู้ว่าเป็นเกย์ตั้งแต่แรก




ผมตัดสินใจขอพี่อู๋เป็นแฟนวันนี้ แต่มีข้อแม้ต้องตกลงกับเขาอยู่อย่างเดียว หากเราไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ พี่อู๋ต้องไม่ทิ้งผม หรือทำตัวเหินห่างเหมือนไม่เคยชอบกันมาก่อน ถ้าพี่อู๋ตอบตกลงและรับข้อเสนอนี้ได้ ผมจะส่งกระดาษที่เขียนภาษาญี่ปุ่นให้เขาทันทีไม่มีลังเล

นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบเจ็ดนาที พี่อู๋ขับรถจากลาดพร้าวมาลาดกระบังเพื่อรอรับนายก้องเกียรติกลับบ้านโดยเฉพาะ ระหว่างที่กำลังเก็บของใส่รถ พี่อู๋ก็ถามว่าหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่อยากครับ ผมไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษ แต่ถ้าพี่มีร้านไหนอยากไปก็แวะได้นะ ผมมีการบ้านไม่เยอะ ทำพรุ่งนี้ก็เสร็จเหมือนกัน

ดังนั้นพี่อู๋จึงพาผมไปกินราเมนร้านอร่อยไกลถึงทองหล่อ บรรยากาศในร้านก็ญี่ปุ่นสมกับคำที่ผมจะเขียนลงกระดาษ แผนการคือผมจะพูดเกริ่นเกี่ยวกับอนาคตของเรา ผมจะถามพี่อู๋ว่าถ้าวันนึงเราต้องเลิกกันจริงๆ เขาจะทิ้งผมไหม เขาจะตีตัวออกห่าง หรือทำเหมือนเราไม่เคยชอบกันหรือเปล่า ถ้าพี่อู๋บอกว่าไม่ เขาไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด ผมก็จะส่งกระดาษที่เขียนว่าคบกันนะครับเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ แต่ถ้าเขาลังเล หรือบอกว่าไม่แน่ใจ ผมจะพับแผนการนี้ไว้ก่อน ขอเตรียมใจอีกซักระยะแล้วเราค่อยคุยกัน

เมื่อราเมนมาเสิร์ฟ พี่อู๋กับผมก็นั่งก้มหน้าก้มตากินไม่ค่อยพูดค่อยจา คุณอิศรินทร์คงหิวมากถึงสูดเส้นเข้าปากรวดเดียวราวกับไม่กลัวติดคอตาย ส่วนนายก้องเกียรติกินไปมองผู้ปกครองไป หัวใจเต้นตึกตักตึกตักเพราะกลัวพี่อู๋ไม่โอเคกับข้อตกลงที่เตรียมไว้ ผมนั่งรอโอกาสอยู่ตั้งหลายนาทีกว่าเริ่มเปิดประเด็นได้ คำถามแรกที่ผมถามผู้ปกครองคือ ตอนนี้พี่ยังชอบผมอยู่ไหมครับ?

“ชอบสิ ทำไมจะไม่ชอบ”

ผมกลั้นยิ้มพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะถามคำถามที่สองเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไป มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัวที่มีเงื่อนไข แต่การเปลี่ยนสถานะของเราถือเป็นเรื่องค่อนข้างเสี่ยงสำหรับนายก้องเกียรติที่ไม่มีคนข้างหลังคอยดูแล หากวันหนึ่งเราเลิกกันแล้วผมจะอยู่ยังไง ถ้าพี่อู๋ที่เป็นครอบครัวคนเดียวไม่รักผมแล้ว ผมจะไปอยู่ที่ไหน ดังนั้นผมจำเป็นต้องถามจริงๆว่าในอนาคตถ้าเรื่องของเราล้มเหลว พี่อู๋จะเหินห่างเหมือนไม่เคยอยู่ด้วยกันหรือเปล่า

“ถ้าเราคบกันแล้วมันไม่โอเค พี่จะทิ้งผมไหม?”
“ไม่โอเคยังไง?”
“เช่น – เราเข้ากันไม่ได้ จู่ๆพี่ก็หมดรักผม หรือไม่ก็ --” ผมพยายามนึกสถานการณ์ที่พอเป็นไปได้ “ผมไม่น่ารักสำหรับพี่อีกแล้ว พี่จะทิ้งผมไหม?”
“ทิ้งยังไง? หมายถึงไม่ให้อยู่ด้วยกับไม่ส่งให้เรียนต่อเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละครับ”
“อืม ไม่รู้สิ” พี่อู๋ตอบตามตรง และคำตอบของเขาทำหัวใจนายก้องเกียรติหล่นวูบไปกองกับพื้น “ถ้าเหตุผลที่เราเลิกกันมันไม่ทุเรศจนเกินไป เช่นถ้าก้องไม่ได้คบซ้อน หรือนอกกายนอกใจไปมีอะไรกับคนอื่น พี่ก็คงรับได้มั้ง ถามทำไม? กลัวพี่เทเหรอ?”

ผมบอกพี่อู๋ว่าเปล่าครับ ไม่มีอะไร ถามเล่นเฉยๆ คุณอิศรินทร์มองหน้านายก้องเกียรติราวกับจะล้วงให้ได้ว่าเบื้องหลังคำถามประหลาดๆเหล่านั้นมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ แต่ผมก็เก็บสีหน้าได้ดีเยี่ยมจนเขาเลิกสนใจ และกลับไปกินราเมนต่อทันที

ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บนทางแยกเพราะคำสัญญาของเขามีเงื่อนไขที่ยอมรับและเข้าใจได้ ถ้าหากผมเป็นแฟนที่ดี ไม่นอกใจเขาไปหาใคร ไม่นอกกายไปนอนกับคนอื่น พี่อู๋ก็คงรับได้หากเราเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วผมก็ว่ามันสมเหตุสมผล หากผมนิสัยเสียด้วยการทำร้ายพี่อู๋ขนาดนั้น นายก้องเกียรติก็ไม่สมควรได้อะไรจากเขาเลย ดังนั้นผมว่ามันก็แฟร์ดี เอาเป็นว่าเรามาลองกันซักครั้งเถอะครับ พี่กับผม -- ถ้ามันไม่ไหวจริงๆค่อยถอยกันคนละก้าว กลับมาเป็นผู้ปกครองกับเด็กในการดูแลก็ได้

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”

เขาสูดเส้นจนน้ำซุปกระเด็นใส่เสื้อ พี่อู๋สบถกับตัวเองก่อนจะเทน้ำเปล่าใส่ทิชชู่แล้วเช็ดรอยเปื้อนออกจากเนื้อผ้า ผมมองภาพสุดโรแมนติกตรงหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ กำลังจะขอผู้ชายเป็นแฟนในร้านราเมนแท้ๆ ผู้ชายดันไม่สนใจเพราะกำลังง่วนกับการเช็ดเสื้ออยู่ พอเช็ดไม่ออกก็บ่นอีก บ่นอยู่นั่นแหละ จนผมต้องบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ เขาถึงก้มหน้าก้มตากินต่อเหมือนเดิม

“วันนี้ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นมาครับ”
“ไม่ต้องเรียนหรอก เรียนไปก็เครียด เอาเวลาไปเล่นดีกว่า”

นี่ผมชอบผู้ชายแบบนี้ไปได้ยังไงวะ ยกเลิกแผนดีไหม ไม่ขอแม่งละ ปวดหัว

“ทำไมเงียบอ่ะ? เล่าต่อสิว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วยังไงต่อ?”
“ก็ผมหัดเขียนประโยคๆนึง แต่ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า?”
“อู๋ซามะวะเช็กกุชี่”
“ไม่ใช่!” ผมแว้ดใส่เสียงดัง ถึงจะไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นแต่ผมรู้นะว่าเช็กกุชี่คือคำทับศัพท์ของเซ็กซี่ “พี่มีปากกากับกระดาษไหมครับ ผมขอยืมหน่อย เดี๋ยวจะเขียนให้ดู”

พี่อู๋ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะส่งนามบัตรตัวเองและปากกามาให้ ผมพลิกนามบัตรไปด้านหลังและค่อยๆบรรจงเขียนประโยคที่อุตส่าห์คัดมาเป็นร้อยๆรอบเพื่อให้ผู้ปกครองประทับใจ พอเขียนเสร็จผมก็เงยหน้ามองพี่อู๋ แต่สายตาของเขากลับจดจ่ออยู่ที่ถ้วยราเมนเหมือนเดิมไม่สนใจกันซักนิด คิดแล้วก็หมดมู้ดจริงๆ คนบ้าอะไรวะทำลายบรรยากาศโรแมนติคได้ตลอดเวลา ไม่อยากจะเชื่อเลย

“อะไอ เอี๋ยนเอ็ดแอ้วเอ๋อ เอาอาอูอิ๊” (อะไร เขียนเสร็จแล้วเหรอ เอามาดูซิ)

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและส่งนามบัตรคืนพี่อู๋ไป หวังว่าจะได้เห็นรีแอคชั่นน่ารักๆจากผู้ปกครองที่กำลังจะกลายมาเป็นแฟนจริงๆจังๆแต่ปรากฎว่าสีหน้าของพี่อู๋มีแต่รอยย่นของคิ้ว เขาดูงุนงงไม่เข้าใจที่นายก้องเกียรติพยายามสื่อจนผมเสียความมั่นใจ

“อะไรอ่ะ? จะให้พี่ตอบว่าอะไร?” พี่อู๋ถาม
“ก็ตอบตามที่ประโยคนั้นเขียนไง?”
“อืม ได้ วะตะชิวะ แฟนเดะวะน่าย”
(私はファンではない)

อ้าว – ทำไมไม่ยิ้มดีใจเลยวะ

ผมก้มดูประโยคที่ตัวเองเขียนก่อนจะมองหน้าพี่อู๋ ผมถามอีกครั้งว่าพี่อ่านจนแน่ใจแล้วนะ พี่ไม่ดีใจเลยเหรอที่ผมเขียนประโยคนี้ เขาบอกว่าแน่ใจสิ ก็พี่ไม่ใช่พัดลม จะให้ตอบแบบไหนได้อีกวะ หน้าพี่บานเหมือนพัดลมเหรอ

“ไม่ใช่ มันไม่ได้แปลว่าพัดลม” ผมกระทืบเท้างอแง “พี่อ่านประโยคที่ผมเขียนอีกครั้งสิ”
“อะนะตะวะแฟนเดสกะ คุณเป็นพัดลมใช่ไหม?”
“มันแปลว่าแบบนั้นจริงเหรอครับ?”
“เออสิ” พี่อู๋งง “ตั้งใจจะถามว่ามีใบพัดหรือยังไง?”
“ไม่ใช่อ่ะ ที่ผมจะสื่อมันไม่ใช่แบบนี้”

ผมบ่นงุบงิบพลางไลน์หาน้ำตาลทรายพร้อมกับพิมพ์ว่า อีทราย อีควาย กูเกิ้ลทรานสเลทแม่งมั่วชิบหาย ก่อนจะเงยหน้ามองพี่อู๋ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรทรายก็ไลน์มาอีก มันตอบมาว่าอีก้อง มึงนั่นแหละอีควาย เปิดกูเกิ้ลเช็กบ้างไม่ใช่เข้าหน้าเว็บทรานสเลทอย่างเดียว ก่อนจะแปะประโยคภาษาญี่ปุ่นที่ถูกต้องให้

“พี่อู๋เอามาใหม่ พี่อู๋เอามาใหม่”

ผมแบมือขอปากกากับนามบัตรของเขาอีกรอบ คราวนี้ตั้งใจคัดสุดฝีมือด้วยลายมือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียนก่อนจะส่งกลับให้พี่อู๋

付き合ってください
   
(ซทึคิอัตเตะคุดะไซ)
(เป็นแฟนกันนะครับ)

ผมนับถอยหลังรอสีหน้าของผู้ปกครองซึ่งมันไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ สองตาเบิกกว้างราวกับไม่อยากเชื่อว่าผมเขียนประโยคนั้นให้เขาจริงๆ นี่แหละสีหน้าที่ผมอยากเห็น ผมตื่นเต้นทั้งวันเพื่อเห็นพี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยีแบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้คุยกันต่อ คุณอิศรินทร์ก็ถามขึ้นมาว่า --

“ปวดขี้มากเลยเหรอ?”
“ผมกลับบ้านแล้ว พี่นั่งกินคนเดียวไปเลยนะ”

ผมปาทิชชู่ใส่หน้าพี่อู๋ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ กว่าคุณอิศรินทร์จะเลิกกวนส้นเท้า ผมก็เดินเกือบถึงประตูร้านแล้ว เขารีบคว้าข้อมือนายก้องเกียรติไว้แล้วส่งยิ้มแป้นมาให้ ผมจ้องหน้าผู้ปกครองเซ็งๆว่าตกลงเขาจะเอายังไง จะคบกันไหมเนี่ย มัวแต่เล่นอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเปลี่ยนใจไม่ยอมเป็นแฟนด้วยเสียเลย

“อันนี้จริงจังเหรอ?”
“ครับ” ผมพยักหน้า
“นึกยังไงถึงขอเนี่ย?”
“ทรายบอกว่าถ้าเราลองคบกัน ผมจะรู้ตัวว่าจริงๆแล้วรักพี่แบบไหนกันแน่”
“สรุปว่ารักพี่แบบไหน?”
“แบบเมียครับ” ผมตอบ ส่วนพี่อู๋ยิ้มมีเลศนัย “ทำไม? ผมเป็นผัวพี่ไม่ได้เหรอ?”
“เฮ้ย คิดดีแล้วเหรอถึงจะเป็นผัวพี่อ่ะ”

ผมตอบอย่างมั่นใจว่าคิดดีแล้ว คิดดีมากๆด้วย เห็นผอมๆอย่างนี้แต่ปกป้องดูแลพี่ได้นะ อย่าดูถูกเชียวล่ะ พี่อู๋หัวเราะเหมือนขำเด็กกะโปกแถวบ้าน ผมจึงถามเขาว่าขำอะไรนักหนา ที่บอกว่าจะเป็นผัวก็คือเป็นจริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่น

“อะไรทำให้ก้องคิดว่าก้องจะเป็นผัวพี่?”
“เพราะ – เพราะผมอยากเป็นผัวไง”

ผมเฉไฉ เพราะอย่างน้อยในความสัมพันธ์ของคู่รักเกย์ ผมแค่อยากเป็นชายมากกว่าแฟนของตัวเองซักนิดก็ยังดี

“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครเป็นผัวเป็นเมียเพราะมันไม่สำคัญ”
“ทำไมจะไม่สำคัญ วันก่อนพี่เพิ่งบอกว่าอยากเป็นผัวของผมอยู่เลย”

พี่อู๋อ้าปากค้าง คำถามของผมคงเป็นยิ่งกว่าหมัดฮุกพุ่งเข้าเสยหน้าเขาจนน็อคถึงพูดไม่ออก พอโดนเด็กย้อนคุณอิศรินทร์ถึงกับต้องถอยไปตั้งหลักเพื่ออธิบายว่าผัวในความหมายของเขาคืออะไร

“พี่หมายถึงพี่เป็นรุก” เขาพูดเบาราวกระซิบ
“รุกอะไรครับ? รุกกี้ รุกกี้เหรอ?”

ผู้ปกครองของผมก็ยังไม่พูดต่อ เขาอ้ำๆอึ้งๆคงเพราะเราอยู่กันในร้านอาหารถึงพูดตรงๆออกมาไม่ได้ ผมถามพี่อู๋ว่าถ้าพี่เป็นรุก ผมเป็นอะไร ผมเป็นรุกด้วยได้ไหม พี่อู๋บอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะคุยตอนนี้ ผมจึงร้องอ้าว เด็กยังไง ผมโตแล้วนะ สิบเก้าขวบแล้ว ยังมีเรื่องอะไรไม่ผ่านเซ็นเซอร์เด็กวัยนี้อีกเหรอ

“คือแบบนี้นะก้อง – มันมีรุกกับรับ รุกเนี่ย อืม --” พี่อู๋ดูกลุ้มใจไม่อยากบอก เขาดึงมือนายก้องเกียรติให้มานั่งที่ก่อนจะรวบรวมคำพูดอธิบายให้ฟัง “มันเป็นรสนิยมของเรื่องบนเตียง”
“ฮะ?” ผมเหวอ อะไรนะ ไหนพูดอีกทีซิ
“รุกคือคนที่ เอ่อ – เป็นฝ่ายทำ ส่วนรับคือฝ่ายถูกกระทำ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“รุกเสียบ รับโดนเสียบ”

โอเค จบ ไม่ต้องพูดอีก

ผมดื่มชาเขียวในแก้วด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน พี่อู๋ก็คงเขิน เพราะหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อพูดถึงเรื่องบนเตียง แต่พอหายอึดอัดเขาก็ค่อยๆอธิบายเพิ่มอีกว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม ตอนนี้ก้องยังเด็ก และก้องเองก็ไม่น่าจะพร้อม พี่ว่าเราค่อยคุยกันเรื่องนี้วันหลังก็ได้ ผมจึงถามพี่อู๋ต่อว่าถ้าพี่เป็นรุก ผมต้องเป็นรับเหรอ เขายิ้มเจื่อนก่อนจะบอกว่าใช่ แต่ถ้าก้องไม่ชอบ เราอยู่กันแบบไม่ต้องมีเรื่องอย่างว่าก็ได้ พี่รอได้ ไว้ก้องพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยลองกันนะ

ผมพยายามไม่คิดว่าลองหมายถึงเรื่องไหน แต่พอเดาได้ว่าคงหมายถึงเซ็กส์ล่ะมั้ง พอคิดเรื่องนั้นหน้าผมก็ร้อนผ่าว ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงก้มหน้าก้มตากินราเมนจนหมด เมื่อจัดการทุกอย่างบนโต๊ะเรียบร้อย พี่อู๋ก็เช็คบิลเพื่อกลับบ้าน ระหว่างรอเด็กเสิร์ฟคิดเงิน เขาเอาแต่นั่งเท้าคางมองหน้าผมแล้วยิ้มหน้าบานไม่หุบ ผมถามพี่อู๋ว่าดีใจมากเลยเหรอ มีกอริลลาเป็นแฟนเนี่ยน่าดีใจตรงไหน เดินข้างกันคนก็คิดว่าพ่อกับลูก แถมตอบคำถามสังคมยากอีกว่าไปเจอกันได้ยังไง ถ้าคนเขารู้ว่าพี่เก็บผมมา รู้ไหมว่าเขาจะนินทาหาว่าพี่เลี้ยงต้อยนะ

“ช่างหัวพ่อมันสิ พวกขี้เสือก” คำพูดของพี่อู๋นั้นฮาร์ดคอขัดกับการกระทำแสนมุ้งมิ้งอย่างกุมมือนายก้องเกียรติ “แต่พี่ดีใจจริงๆนะที่ก้องขอพี่เป็นแฟน”

ครับ ผมรู้ หน้าพี่มันฟ้อง

“อ่า – ดีใจจังเลยอ่ะ โทรไปลางานดีไหมวะจันทร์นี้”
“พี่อย่าเว่อร์ แค่ขอเป็นแฟน ไม่ได้ขอแต่งงาน”

ผมพึมพำคนเดียวตามประสา เราเดินแกว่งมือกันไปเรื่อยๆจนถึงรถ สีหน้าของพี่อู๋ตอนนี้ยังคงยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ผมนึกสงสัยจริงๆว่าแค่ขอเป็นแฟนมันทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้เหรอ พี่อู๋รู้ไหมว่าการเป็นแฟนมีความเสี่ยง ถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้วต้องเลิกกันจริงๆ รู้ไหมว่าคนที่เสียใจที่สุดไม่ใช่พี่หรอก –

แต่เป็นนายก้องเกียรติต่างหาก








ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-09-2019 19:55:17
36 [PART2/2]


เราถึงคอนโดที่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดตอนสามทุ่ม หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราสองคนก็นั่งเล่นในห้องโถงใหญ่เหมือนเช่นทุกคืน ผมทำการบ้านบนโต๊ะตัวเล็กหน้าทีวี ส่วนพี่อู๋เอนหลังพิงโซฟา นั่งกินขนมกินโคล่าและคอยสอนก้องเกียรติตามปกติ สัปดาห์นี้ผมมีการบ้านที่ต้องทำเยอะแยะเลย ทั้งเลข ทั้งภาษาอังกฤษ ทั้งฟิสิกส์และเคมี มันเยอะจนทำไม่ทันเพราะผมใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการคิดแผนขอพี่อู๋เป็นแฟน

ซึ่งผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี

พี่อู๋แฮปปี้และมีความสุขมากเมื่อเรื่องของเราคืบหน้าขึ้นมาอีกนิด ผมเริ่มมั่นใจว่าการตัดสินใจให้เรื่องของเราไปต่อน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะบรรยากาศอึมครึมเหมือนวันที่คุยกับออกัสหายไปหมด พี่อู๋ดูมั่นใจและสบายใจที่ได้อยู่กับนายก้องเกียรติโดยมีสถานะชัดเจน หลังจากนี้เขาสามารถแสดงออกได้เต็มที่เลยว่าหวงผมมากแค่ไหน ออกัสก็ออกัสเถอะ เจอพี่อู๋เอาจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ #กัสก้อง คงกลายเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มเจ็ดนาที ผมเรียกพี่อู๋มานั่งบนพื้นข้างกันขอให้ช่วยดูเรียงความภาษาอังกฤษให้หน่อย ในห้องที่เรากำลังใช้เวลาด้วยกันมีเพลงคลอแก้เหงาไม่ให้ห้องเงียบเกินไป ระหว่างตรวจเช็กแกรมม่า ปลายนิ้วของคุณอิศรินทร์ก็ค่อยๆเลื่อนเข้ามาสัมผัสกับนิ้วมือของผมอย่างแผ่วเบา เราแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งการสัมผัสนั้นเริ่มเปลี่ยนจากแตะเป็นกอบกุม พี่อู๋จับมือนายก้องเกียรติเอาไว้หลวมๆ เมื่อผมตอบสนองด้วยการบีบมือเขากลับบ้าง พี่อู๋จึงหันหน้ามาหาและใช้มืออีกข้างจิ้มแก้มผมเบาๆ

“พี่มองหน้าผมทำไม? ไม่เคยเห็นคนเป็นสิวเหรอ?”

พี่อู๋ถามว่าเป็นสิวแล้วไง ไม่ได้ทำให้เขาชอบก้องเกียรติน้อยลงหรอก ผมจึงบ่นให้ผู้ปกครองฟังว่ารู้ไหมตั้งแต่ไปอยู่ลาดกระบัง หน้าผมเป็นสิวเยอะเลย ไม่รู้ว่าแพ้น้ำหรือเปล่าหน้าถึงได้เยินแบบนี้ ทรายเคยบอกให้ซื้อเจลแต้มสิวมาใช้แต่ผมไม่มั่นใจเวลาไปร้านขายยา ปกติผู้ชายเขาไม่ใช่ของแบบนี้กันใช่ไหมครับ ถ้ารักสวยรักงามเราจะไม่เหมือนผู้หญิงเกินไปเหรอ พี่อู๋บอกว่าไม่แปลก ผู้ชายก็คน อยากมีผิวหน้าดีๆเป็นเรื่องธรรมดามาก ไว้พรุ่งนี้เราไปเดินห้าง พี่จะซื้อยาแต้มสิวให้

“พ่อยังโทรหาพี่ไหมครับ?”
“โทรมาทุกอาทิตย์เหมือนเดิม ก้องอยากคุยกับพ่อบ้างหรือยัง?”

ผมขมวดคิ้วไม่แน่ใจ เพราะไม่รู้ว่าคุยกันแล้วจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ไหม ดังนั้นผมจึงบอกผู้ปกครองว่าขอไม่คุยดีกว่า ถ้าพ่อโทรมาพี่ก็บอกไปเลยว่าผมสบายดี ผมมีความสุขดี พี่เลี้ยงผมอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ต้องกังวล

“แต่พี่อย่าบอกพ่อนะว่าเราเป็นแฟนกัน”
“อืม ได้” พี่อู๋ยิ้มและเริ่มเกลี่ยแก้มของผม “กลัวพ่อมองไม่ดีเหรอ?”
“ผมกลัวเขาจะมองพี่ไม่ดีต่างหาก ผมไม่อยากให้ใครคิดว่าพี่เลี้ยงต้อย”
“รู้เหรอว่าเลี้ยงต้อยคืออะไร?”
“รู้สิครับ” ผมบอก “เลี้ยงต้อยคือเลี้ยงตั้งแต่เด็กไว้เป็นแฟนตัวเอง”
“พี่ไม่ได้เลี้ยงต้อย ตอนแรกที่รับมาเลี้ยงก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะชอบ”
“แล้วพี่ชอบผมทำไม?”
“พี่ชอบของแปลก” เขาหัวเราะเมื่อเห็นผมยกมือเตรียมฟาด “ก้องล่ะชอบพี่ตรงไหน?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ สงสัยหน้ามืดตามัว”
“ไม่ได้ชอบเพราะพี่หล่อเหรอ?”
“พี่เคยหล่อครับ ตอนนี้พี่เหมือนลุงในร้านกาแฟเลย” ผมใช้นิ้วจิ้มพุงกะทิของพี่อู๋ มันป่องเหมือนคนท้องอ่อนๆเพียงแค่ในกระเพาะของเขามีแต่ราเมนและน้ำอัดลมแทนที่จะเป็นเด็ก “ผมชอบที่พี่ใจดี ชอบที่พี่ใส่ใจผมเหมือนแม่ ผมชอบเวลามีคนสนใจให้ความรักผมเยอะๆ”
“ดีจัง คิดว่าก้องจะตอบว่าชอบเงิน”
“ผมก็ชอบเงินของพี่นะ แต่ชอบพี่มากกว่า”
“ปากหวานจังเลยไอ้อ้วน”

พี่อู๋หยิกแก้มผมเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ ส่วนนายก้องเกียรติกำหมัดแล้วเมื่อได้ยินคำว่าไอ้อ้วน สงสัยมีคนอยากโดนฟาดซักเปรี้ยง

“พูดตรงๆนะ พี่ไม่เคยคิดว่าก้องจะขอพี่เป็นแฟน” ผมมองหน้าพี่อู๋ก่อนจะยิ้มแหย เพราะตัวเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ “อันนี้ถามจริงๆเลยนะว่าทำไม? คิดยังไงถึงขอล่ะ?”
“เพราะผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วผมรักพี่แบบไหน”

ผมตอบ แถมยังบอกเขาอีกว่าผมเคยกลัวเรื่องนี้มาก แต่ทรายบอกว่ายิ่งไม่ชัดเจนกับพี่ นายก้องเกียรติก็ยิ่งเป็นคนเหี้ยในความสัมพันธ์ พอคิดดูมันก็จริงอย่างที่ทรายว่า ผมกำลังเห็นแก่ตัวด้วยการกั๊กสถานะไม่ให้พี่ได้เจอคนใหม่ พี่เองก็แก่แล้ว – โป๊ก! พี่อู๋แจกมะเหงกนายก้องเกียรติหนึ่งปึ้ก ทีงี้ทำเป็นโกรธ ทีเรียกผมว่าไอ้อ้วน ผมยังไม่คิดบัญชีเลยนะ

“ก็พี่แก่แล้วจริงๆอ่ะ!”

ผมเถียงขาดใจ อีกไม่กี่ปีจะสี่สิบแล้ว เข้าวัยกลางคนแล้ว ยังคิดว่าตัวเองเป็นวัยรุ่นได้ไง แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเด็กอายุสิบเก้าอย่างผมสิ

“แก่แล้วมันทำไม? แก่แล้วเป็นแฟนก้องไม่ได้หรือไง?”
“เป็นได้ ไม่งั้นผมจะให้โอกาสพี่ทำไมล่ะ? แก่แล้วยังขี้น้อยใจอีก”
“ได้ยินน้า” พี่อู๋ยกมือจะแจกมะเหงกอีก แต่ผมเบี่ยงตัวหลบทัน
“นั่นแหละ – ทรายบอกว่าถ้าไม่รู้ก็คบไปให้จบๆ เดี๋ยวก็รู้เองว่ารักแบบไหนเพราะมีหลายเรื่องที่สถานะผู้ปกครองกับเด็กในการดูแลทำไม่ได้”
“เช่นอะไรเหรอ?”
“ก็แบบ – ” ผมอ้ำอึ้ง “กอด จับมือ ไปดูหนัง”
“แล้วอะไรอีก?”

ผมรู้ว่าคำตอบที่พี่อู๋ต้องการคืออะไร เขาคงอยากให้นายก้องเกียรติพูดออกมาตรงๆแต่ผมไม่กล้าขนาดนั้น

“พี่อย่าให้ผมพูดเลย ผมอาย”

พี่อู๋หัวเราะแล้วยีผมนายก้องเกียรติด้วยความมันเขี้ยว เขาบอกว่ารู้สิ รู้ดีว่าเด็กในปกครองขี้อายขนาดไหนถึงได้แกล้งให้พูดไง

“ว่าแต่ เมื่อกี๊ที่เราคุยกันในร้าน ถ้ารุกคือตัวแทนของคำว่าผัว รับคือฝ่ายเมีย แบบนี้ผมต้องเป็นเมียพี่จริงๆเหรอ?”
“คือแบบนี้นะก้อง -- ก้องต้องแยกออกมาก่อนว่ารุกกับรับเป็นรสนิยม เป็นความชอบส่วนตัว อย่างพี่เป็นรุก --”
“พี่อู๋รับได้ไหม?”

คุณอิศรินทร์อ้าปากค้าง เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าช็อตที่หยุดทำงานชั่วขณะเมื่อเจอคำถามของนายก้องเกียรติ

“พี่ไม่เคยรับ แต่ถ้าก้องอยากลอง พี่ยอมเป็นให้ก็ได้”
“รุกเป็นยากไหมครับ?”
“มันขึ้นอยู่กับความชอบอ่ะ” พี่อู๋บอกอย่างจนปัญญา “เอาแบบสั้นๆ ตรงๆเลยนะ ถ้าจิตใต้สำนึกไม่ได้ฟ้องตั้งแต่เกิด ก้องจะรู้ว่าตัวเองเป็นรุกหรือรับก็เมื่อลองมีเซ็กส์ แต่ก้องสามารถเป็นทั้งสองอย่างได้ถ้าก้องชอบและเอนจอยกับมันเท่าๆกัน ดูอย่างไอ้โรมสิ”
“พี่โรมทำไมครับ?”
“ไอ้โรมเป็นรุก”
“จริงอ่ะ?” ผมเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ “พี่โรมเนี่ยนะ? พี่โรมที่ตุ้งติ้งๆหน่อยน่ะเหรอครับ? แต่วันก่อนพี่คุยกัน ผมได้ยินพี่อู๋แซวพี่โรมว่าจะฟ้องผัวเขาอยู่เลย”
“ใช่ ของแบบนี้มันสลับกันได้แล้วแต่ความชอบ คนเป็นรับไม่ได้แปลว่าต้องออกสาวเสมอไป กะเทยแต่งหญิงยังรุกได้เลย มันเป็นเรื่องของความชอบล้วนๆ”
“คุณหมูพีล่ะครับ?” ผมหลุดปากถามถึงแฟนเก่าของเขา ไม่รู้พี่อู๋จะโกรธไหมที่เอ่ยคำต้องห้าม แต่ผมอยากรู้จริงๆนี่นา
“เป็นรับ”
“เพราะแบบนั้นพี่ก็เลยรุก”
“อืม ใช่ ว่าแต่ทำไมก้องถึงหมกมุ่นกับคำว่าผัวเมียจัง? มันจำเป็นมากเลยเหรอที่ต้องเรียกกันผัวเมีย อยากเรียกพี่ว่าผัวหรือไง?”
“ผมเคยเห็นคู่เกย์ส่วนใหญ่เขาระบุตัวเองอ่ะ เช่นเขามีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันใช่ไหมครับ เวลาไปไหนมาไหนแล้วแนะนำให้ตัวอิจฉารู้จักก็จะพูดว่า อ๋อ นี่เมียผม นี่ผัวผม”
“ดูหนังมากไปหรือเปล่า? ในชีวิตจริงไม่มีเกย์คนไหนแนะนำแฟนต่อหน้าคนอื่นว่าคนนี้ผัวผมครับ คนนี้เมียผมครับหรอก เขาเรียกรวมๆกันว่าแฟน เราไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นว่ารสนิยมบนเตียงของเราเป็นยังไง เหมือนที่คู่ชายหญิงคงไม่บอกใครต่อใครใช่ไหมว่าฉันกับสามีชอบด็อกกี้ค่ะ”
“พี่ลามกอ่ะ!”
“พี่พูดจริง” พี่อู๋ยืนยัน “ก้องคิดว่าผัวเมียเป็นยังไงล่ะ?”
“ผัวคือคนที่แมนกว่า คนที่จะดูแลปกป้องอีกคนครับ”
“แล้วคนที่ก้องคิดว่าคนเป็นเมียเขาปกป้องดูแลผัวตัวเองไม่ได้เหรอ?”
ผมลองคิดดูใหม่ “ก็ได้นะครับ สรุปเราจำเป็นต้องมีผัวเมียไหม?”
“ไม่จำเป็น ก้องเป็นก้อง พี่เป็นพี่ ไม่มีใครต้องเป็นผู้หญิงในความสัมพันธ์ ส่วนรุกกับรับค่อยว่ากันเมื่อก้องพร้อม ตอนนั้นก้องจะเข้าใจเองว่าชอบแบบไหน” พี่อู๋อธิบาย “ถ้าใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน ก็แค่บอกไปว่าเป็นแฟน จบ ไหนลองซ้อมหน่อยซิ ก้องๆ ก้องเป็นอะไรกับพี่อู๋เหรอ?”
“เป็นแฟน” ผมตอบอ้อมแอ้มเสียงเบาจนพี่อู๋ส่ายหน้าไม่ชอบใจ
“เป็นอะไรกันนะ? ไม่ได้ยินเลย พูดให้มันดังๆหน่อย”
“เป็นแฟน!”
“ให้มันได้แบบนี้สิวะไอ้อ้วน!”

พี่อู๋ประคองหน้าผมเข้ามาใกล้แล้วจุ๊บเหม่งหนึ่งที ผมนับนิ้วแล้วนะว่าเขาเผลอเรียกนายก้องเกียรติว่าไอ้อ้วนเป็นครั้งที่สอง ถ้ามีครั้งที่สามอีกผมจะหยิกสะดือเขาแน่

เราหยอกล้อกันอีกนิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสามสิบหกนาที พี่อู๋ตรวจการบ้านเสร็จและกำลังดูเด็กในปกครองทำโจทย์ฟิสิกส์ ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ช่วงเย็นเพิ่งจะเทตัวลงมา ส่งเสียงดังเปาะแปะยามเม็ดฝนกระทบบานหน้าต่าง กลบเอาเพลงสากลที่เปิดคลอในห้องจนเกือบไม่ได้ยิน ผมเงยหน้ามองบานกระจกที่มีหยดน้ำเกาะ ระหว่างนั้นไฟในห้องเกิดติดๆดับๆอยู่สองสามครั้งก่อนจะดับสนิทในที่สุด เสียงเพลงทุกอย่างหยุดลงกะทันหัน ห้องตกอยู่ในความมืด มีแค่แสงไฟนีออนจากเสาไฟฟ้าริมถนนเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา

พี่อู๋ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง เขาชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างบานเล็กเพื่อดูว่าไฟดับทั้งซอยหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าคอนโดอื่นๆก็มืดไม่ต่างกันจึงเดินกลับมานั่งข้างก้องเกียรติ ในห้องที่มีแสงไฟสลัวสาดเข้ามา เรานั่งชิดติดกันบนพื้นข้างโซฟา ผมเก็บเครื่องเขียนลงกระเป๋า ปิดชีท ปิดหนังสือ เก็บเอกสารลงแฟ้มเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ทำต่อวันพรุ่งนี้ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสี่สิบนาที พี่อู๋โอบไหล่นายก้องเกียรติเอาไว้หลวมๆ เรามองหน้ากันท่ามกลางเสียงฝนตกกระทบหน้าต่างและไฟสลัวที่มองเห็นได้เลือนลาง

โดยไม่ต้องมีคำเอื้อนเอ่ย ไม่ต้องให้ใครสอน ผมหลับตาราวกับรู้ว่าพี่อู๋กำลังขออนุญาตเป็นนัย มือของพี่อู๋ค่อยๆประคองแก้มของนายก้องเกียรติทั้งสองข้างก่อนจะเลื่อนเข้าไปสอดใต้เส้นผม เพียงเสี้ยววินาทีที่เฝ้ารอ ริมฝีปากของคุณอิศรินทร์ก็ประทับลงมา

จูบแรกของเราเกิดขึ้นตอนเที่ยงคืนสี่สิบสองนาที
ผมจะจำช่วงเวลานี้ไปจนตาย -- จำไว้ว่าใครครอบครองก้องเกียรติคนแรกด้วยริมฝีปาก

พี่อู๋สอนให้ผมรู้จักจูบด้วยการเคลื่อนไหวเนิบนาบทำเอาท้องไส้ปั่นป่วน ปลายเท้าของผมจิกเกร็งขณะเขาขยับอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน นอกจากจะสอนการบ้านแล้ว พี่อู๋ยังสอนให้นายก้องเกียรติรู้ว่าจูบไม่ได้ใช้แค่ริมฝีปากเมื่อเขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างระมัดระวัง และดึงดูดด้วยความทะนุถนอมราวกับกลัวผมบุบสลายหากขยับแรงเกินไป

คราวนี้ผมเข้าใจในสิ่งที่ทรายพร่ำพูดอยู่ตลอดเวลาแล้ว การเป็นแฟนกับพี่อู๋ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมเสมอ เขาดูแลผมเหมือนเดิมก็จริง หรืออาจจะรักผมเท่าเดิม แต่มีอย่างหนึ่งที่ผู้ปกครองไม่สามารถทำกับเด็กในปกครองได้ก็คือการจูบ และเมื่อผมอยู่ในอ้อมกอดของเขา แค่จูบซึ่งอุ่นและแผ่วเบาก็ทำให้หัวใจของก้องเกียรติละลายเหมือนไอศกรีมในฤดูร้อน พี่อู๋เป็นเหมือนไฟทำให้ผมตัวอ่อนปวกเปียกขยับไม่ได้นอกจากเผยอปาก รับเอาส่วนหนึ่งในตัวของเขาเข้ามาหยอกล้อในโพรงปากเท่านั้น

เมื่อชั่วเวลาหนึ่งผ่านไป พี่อู๋ก็ถอนริมฝีปากออก ผมมองหน้าคุณอิศรินทร์ที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆด้วยหัวใจพองโต รู้สึกดีจริงๆที่จูบแรกของผมเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ในช่วงเวลาที่ใช่และสถานะที่ใช่ อะไรๆมันก็ดีไปหมด ยิ่งมองลึกในแววตาของเขาแล้วเห็นแค่เงาของก้องเกียรติคนเดียว ผมยิ่งหลงรักพี่อู๋มากกว่าเดิม ผมรักพี่อู๋ ผมรักเขา ผมรักเขาจริงๆนะ และหากริมฝีปากของเรามีโอกาสสัมผัสกันอีกครั้ง ผมอยากเป็นฝ่ายบอกรักเขาซ้ำๆผ่านทางจูบของเราโดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดๆเหมือนเช่นวันนี้


TBC

________________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์คับ   <3

  ​
ขอเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้กับทุกคนที่ต้องต่อสู้กับวันแรกของการทำงานและการเรียนด้วยฉากเลิฟซีนเล็กๆฉากนี้นะคะ 555555555555555555555555555 เล็กมาก นิดเดียวเอง แต่หวังว่าทุกคนจะชอบและสนับสนุนนิยายเรื่องนี้จนจบเลยน้า หากมีอะไรที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ สามารถบอกได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ เพื่อเนื้อหาที่ดีและความกลมกล่อมที่มากขึ้น เราจะตั้งใจเขียนเต็มที่เลยค่ะ  ฝากติดตามน้องก้องจนจบเลยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 02-09-2019 20:07:38
 :mew1:  Thank you :)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 02-09-2019 20:21:23
ฮืออออออออออ ไม่ไหวแล้ววว จูบแรกของกอริลล่า แงงงง น่ารักมาก เขินน :pighaun:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 02-09-2019 20:36:00
แงงงงงงงงใครไหวไปก่อนเราไม่ไหว :ling1: มีความสุขมากสินะคุณอุรัสยาน้องก้องทั้งขอเป็นแฟนทั้งให้จูบด้วยตัวแตกตายไปเลยยย ดูแลน้องก้องดีๆนะพี่อู๋อย่าทำน้องเสียใจน้าา :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 02-09-2019 20:51:16
 :mew3:  พี่อู๋รุกให้หนักๆๆๆๆไปเลยค่ะ   เอาให้ก้องหลงหัวปักหัวปำเลย5555
   
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-09-2019 22:24:00
ลุ้นจน​ กัวว่าแผนจะล้ม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-09-2019 22:33:50
เฮ้อ ก้าวหน้าได้ซะทีนะ ก้อง
เป็นการบอกรัก ขอเป็นแฟนที่ออกป่วนๆ โดยพี่อู๋ ที่ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนก้องหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 02-09-2019 22:39:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 02-09-2019 22:41:31
ตอนนี้เรียกรอยยิ้มได้หน่อย ยินดีกีบพี่อู๋ด้วยนะในที่สุดก็ได้แฟนเป็นกอรืลล่าแล้ว o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 03-09-2019 00:41:17
กรี๊ดดดดด เป็นแฟนกันวันแรกก็ได้จูบแล้ว ปรบมือให้เสี่ยอู๋ค่าาา :katai2-1:
รักเสี่ยอู๋ นางคือผู้ให้อย่างแท้จริง กอลิล่าก้องอยากเป็นรุกหรอ พี่เป็นรับก็ได้ คือเสี่ยดีมากจริงๆ(จำใจป่าวนี่ไม่แน่ใจ :laugh:)
เพื่อนก้องคือเราชอบน้ำตาล นางตลกเปลี่ยนเรื่องเครียดๆของกอลิล่าก้องให้ดูง่ายๆสบายๆ เก่งมากเลย o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 03-09-2019 00:43:35
มันดือมาก ฮือออ หวานกันต่อเลยได้มั้ยย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-09-2019 03:52:35
ในที่สุดก็ได้เป็นแฟนกันแล้ววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-09-2019 07:02:39
 :mc4: o13 :mc4:




 :man1: :pig4: :man1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 03-09-2019 07:52:05
หวานมากกกก
กอลิล่าก้องยังมีmindsetผิดๆอยู่เกี่ยวกับคู่รักชายชายนะ อยากให้น้องเข้าใจเร็วๆ
ทั้งเข้าใจในเรื่องนี้และเข้าใจตัวเอง กล้ายอมรับ ทุกคนจะได้แฮปปี้ เย้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-09-2019 12:05:02
ฉากคิส ๆ บรรยายได้ดีจนรู้สึกถึงความละมุนละไมใส่ใจของพี่อู๋ที่มีต่อก้องเกียรติ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 03-09-2019 14:57:49
น่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-09-2019 21:07:03
โถ ก้องเกียรติอยากเป็นผัวหรอลูกกก ขำพี่อู๋พุงกะทิ ฮาอ่ะ ฉีกกฏความซิกแพคของพระเอกนิยายำไปเลยย 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 04-09-2019 08:37:21
โอ้ยยยยยย ทำไมน่ารักกันได้ขนาดนี้
ชอบมากๆ เขินมากๆ ยิ้มแก้มแตกแล้วจ้าาาา



Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 04-09-2019 16:13:55
น่ารักที่สุดอ่ะแงงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2019 22:37:09
ขอให้ตอนต่อๆไปไม่มีดราม่าแล้ว ให้ยัยส้มก้องแฮปปี้ๆสักทีนะคะ สาทุบุน  :ling3:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 36 update!] 2/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 04-09-2019 22:48:48
เป็นแฟนกันยังไม่พ้นวันก็จูบกันแล้วแม่! ลูกเรานี่น่าตีจริงๆ แต่ก็ให้ๆ เขาหน่อยละกัน พี่อู๋ลำบากมามากและ 5555 เป็นแฟนกันแล้วถ้าทะเลาะกันขึ้นมาคงแทบบ้านแตกเลยมั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-09-2019 19:54:14
37 [PART 1/2]


โลกของผมกลายเป็นสีชมพู

ผมมีความสุขมากขึ้นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อได้ฟังเพลงรัก เพิ่มเป็นสองร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเห็นข้อความจากพี่อู๋ และเพิ่มสูงสุดสามร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเห็นหน้าเขา ความรู้สึกพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน มันเป็นความรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆในใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผมไม่โสดแล้วนะ ผมมีแฟนแล้ว แฟนผมชื่ออู๋ อิศรินทร์ ตอนนี้เป็นเลขาให้บริษัทญี่ปุ่น หล่อ เก่ง ใจดี กินจุเท่าหมีควาย ความภาคภูมิใจที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายถาโถมเข้ามาล้นอกจนอยากจะเปิดโทรศัพท์อวดรูปพี่อู๋ให้เพื่อนๆดู ถ้าไม่ติดว่ากลัวถูกล้อเรื่องสายเหลือง ผมอาจจะทำแบบนั้นจริงๆก็ได้

“เพิ่งเคยมีแฟนก็แบบนี้แหละ”

ทรายส่ายหน้าเซ็งๆเมื่อเห็นผมนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวระหว่างกินมื้อเที่ยงที่โรงเอ

“มึงจะเขินอะไรนักหนาฮะอีก้อง? เขินแม่ซื้อเหรอ?”
“เขินพี่อู๋”
“อ๋อ เขินผัว”
“บ้า เขาไม่ใช่ยังไม่ใช่ผัวกูเสียหน่อย” ผมถอนหายใจเซ็ง “แล้วนี่ไอ้มิวกับไอ้โบ้ทไปไหนวะทำไมไม่มากินข้าว?”
“มันพูดกันตั้งแต่เช้าแล้วว่าไปส่งงานๆ อีห่า หูมีไหมเนี่ย ทำไมไม่ฟังเพื่อนบ้าง?”

ผมหัวเราะแหะก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ที่ไม่ได้ยินคงเป็นเพราะมัวแต่แชทกับพี่อู๋ก่อนเข้าเรียนแน่เลย

“เออ ไอ้ออกัสอ่ะ?”
“มันโดดเรียนไปถ่ายโฆษณา”
“อีกแล้วเหรอ?” ผมถาม “จะวันศุกร์แล้วกูยังไม่เห็นหน้ามันเลยนะ”
“นั่นแหละ เห็นว่าออกกองไปถ่ายต่างจังหวัด ถ่ายติดกันสองตัวเลยมั้ง รู้สึกว่าคราวนี้จะเป็นโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์กับน้ำผลไม้”
“มึงนี่รู้ดีจังเนอะ เลขาคนใหม่ของไอ้กัสหรือยังไง?”
“ยังมีหน้ามาแซวกู เพราะมึงนั่นแหละไปหักอกมัน มันถึงเข้าหน้าไม่ติดจนต้องตามงานจากกูเนี่ย อีห่า” ทรายชี้ส้อมมาทางหน้าผม “มึงได้คุยกับมันอีกไหม?”
“ไม่ว่ะ ก็คงแปลกๆอ่ะถ้ากลับมาคุยกัน ไอ้กัสมันมั่นใจมากว่ามันชอบกู”
“ก็มันชอบมึงจริงๆ” ทรายยืนยัน “แต่ชอบแบบ – บอกไม่ถูกอ่ะ เพราะคำอวยของกระแสคู่จิ้นด้วยมั้งมันเลยคิดว่าชอบ”
“สรุปไอ้ออกัสเป็นเกย์จริงเหรอ?”
“เป็นไบหรือเปล่า? ไม่รู้ดิ มิวก็เคยสงสัยว่ามันจะมาชอบมึงได้ไง ตอนมอปลายมันยังเป็นแฟนกับเชียร์หลีดเดอร์โรงเรียนเลย”

ผมพยักหน้ารับรู้แต่ไม่เก็บมาใส่ใจ มีบ้างที่นึกเสียดายว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้เพราะผมกับออกัสเข้ากันได้ดีในบางเรื่อง มันเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้าไม่ติดเรื่องพยายามดึงผมไปสร้างกระแสก็แทบไม่มีเหตุผลที่ต้องเลิกคบกันด้วยซ้ำ

“แล้วมึงกับพี่อู๋เป็นไง?”
“อะไรเป็นไง?”
“คบกันแล้วดีกว่าที่เคยเป็นไหม?”

ผมหลุดอมยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ จะว่าดีมันก็ดีแหละตรงที่ความรู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด จากที่เคยตื่นมาเห็นหน้าเขาแล้วเฉยๆก็เริ่มอุ่นใจมากขึ้นที่เห็นพี่อู๋กินอิ่มนอนหลับ เวลาไปไหนมาไหนแล้วเขาจับมือก็รู้ดีที่มีเจ้าของ เมื่อก่อนผมไม่เคยเอะใจเลยว่าพี่อู๋เป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแค่ไหน แต่พอเขาทักว่าอ้วนขึ้นนะ ผมก็มือไว เผลอหยิกสะดือเขาจนเลือดซิบเลย

“พี่อู๋ไม่ฟาดหน้ามึงเหรอไปหยิกพุงเขาแบบนั้น?”
“ไม่กล้าหรอก เขาไม่เคยตีกู” ไม่เคย แต่เกือบอยู่ครั้งหนึ่ง ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ฝังหัวราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “เออ ทราย กูมีเรื่องอยากถามหน่อย”
“อือ ว่า?”

น้ำตาลทรายเลิกคิ้วก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ส่วนผมลังเลไม่กล้าเพราะรู้สึกว่าคำถามนี้มันส่วนตัวเกินไป ไม่ควรถามใครไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหนก็ตาม แต่เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมมีน้ำตาลทรายเป็นเพื่อนสนิทจริงๆเพียงคนเดียว แถมยังเป็นเกย์ที่คบคนเพศเดียวเหมือนกันอีก พอเห็นนายก้องเกียรติอ้ำๆอึ้งๆ ทรายจึงถามต่อว่าเป็นอะไร คำถามมึงส้นตีนขนาดนั้นเลยเหรอ

“มึงเคยมีอะไรกับพี่กิ๊บยังวะ?”

เคร๊ง!

เสียงส้อมหล่นกระทบจานเมื่อผมถามจบ แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าเสียอาการ เพราะน้ำตาลทรายช็อคจนไปต่อไม่ถูกเลย

“ถามทำไม? พี่อู๋ขอมีอะไรกับมึงเหรอ?”
“ยัง แต่กูคิดว่าเร็วๆนี้คงได้คุยเรื่องนี้กัน”

ผมปั้นหน้าเครียดเพื่อบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่า เออ เราคุยกันในแง่วิชาการนะ ทุกอย่างที่หลุดจากปากผมคือคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมึงอย่ามองว่ากูโรคจิตที่ถามเรื่องบนเตียงของมึงเลย ช่วยกูหน่อยเถอะ กูเสียวสันหลังมาหลายคืนแล้วเพราะพี่อู๋แสดงออกว่าอยากแต่ก็ไม่ทำอะไรซักอย่าง

“มึงอยากรู้อะไรล่ะ?”
“กูอยากรู้ว่าระหว่างมึงกับพี่กิ๊บใครเป็นผัว?”
“ไม่มีใครเป็นผัวทั้งนั้นอ่ะ ทำไมต้องมีคนเป็นผัว?”

ทรายถามพลางยกน้ำโค้กขึ้นดูดอึกๆ ผมพึมพำกับตัวเองว่าเหรอ ตกลงผัวมันไม่จำเป็นจริงๆเหรอ น้ำตาลทรายจึงย้ำอีกครั้งว่าจริง ในความสัมพันธ์ระหว่างมันกับพี่กิ๊บ ไม่มีใครสวมบทบาทเป็นผัว ไม่มีใครเป็นตัวแทนของผู้ชายด้วย

“มึงกังวลอะไรวะก้อง?”
“พี่อู๋เป็นรุก”
“อือ แล้ว?”
“กูก็ต้องเป็นรับเหรอ?” ทรายตอบห้วนๆว่าเออก่อนจะกินข้าวต่อ แต่ผมยังรู้สึกไม่เคลียร์เท่าไหร่
“อีก้อง ตอนมัธยมไม่มีใครสอนเพศศึกษามึงเหรอ?”
“มี แต่มึงก็รู้ว่าเขาไม่สอนอะไรแบบนี้หรอก” ผมบ่น “สรุปมึงกับพี่กิ๊บมีอะไรกันได้ไหม?”
“ได้”
“มีเซ็กส์กับเพศเดียวกันมันรู้สึกยังไงวะ?”
“ดี”
“จริงอ่ะ?” ผมเอียงคอสงสัย ไม่ได้แอ๊บไร้เดียงสา แต่จินตนาการไม่ออกนี่นาว่ามันจะมีความสุขได้ยังไง “กูต้องเป็นรับจริงๆเหรอทราย?”
“เป็นรับมันไม่ดีตรงไหนไม่ทราบ?”
“กูไม่อยากโดนเอา กูไม่อยากโดนขุดถังทอง”
“ก้อง มึงฟังเสียงคนนอกมากไปหรือเปล่าวะ?”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“งั้นอะไร?” ทรายถาม
“กู --” ผมอ้ำอึ้ง “กลัวเจ็บว่ะ”

น้ำตาลทรายร้องอ๋อก่อนจะกินข้าวต่อ เราสองคนไม่พูดเรื่องเซ็กส์กันอีกเพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเปิดอกคุยกันตรงๆ ทรายเองก็มีพื้นที่ส่วนตัวและไม่ได้เมาถึงขนาดสามารถพูดเรื่องนี้ได้โดยไม่กระดากปาก ส่วนผมก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อต้องปรึกษาเรื่องเซ็กส์กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิง แต่มันไม่มีใครให้คุยแล้วเพราะผมไม่กล้าบอกพี่อู๋ กลัวเขาจะมองว่านายก้องเกียรติแก่แดด

“นึกยังไงถึงคุยเรื่องนี้กับกูอ่ะ?”

ทรายถามหลังกินข้าวหมดจาน ผมถอนหายใจแต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงให้เพื่อนรู้ว่าทำไม – ทำไมนายก้องเกียรติถึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเซ็กส์ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจมาก่อน มันเป็นเพราะว่าตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ผมกับพี่อู๋มีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าประหลาด ผมอยากอยู่ใกล้เขา อยากให้เขาโอบกอด อยากให้เขาหอม เขาจูบเหมือนเด็กขาดความรัก และพี่อู๋ก็ตอบสนองคำขอเล็กๆในใจผมด้วยการมอบสัมผัสที่อบอุ่นชวนฝันให้เสมอ

มันคงไม่เลยเถิดจนต้องคิดไกลถึงเซ็กส์ถ้าเราสองคนไม่บังเอิญ รู้สึก มากกว่าที่ควรเป็น ผมรู้ว่าพี่อู๋ต้องการตอนที่ชันเข่าไปสัมผัสกับอิศรินทร์จูเนียร์พอดี ตอนนั้นเรากำลังนอนจูบกันบนเตียง พอรู้ว่าเราต่างแข็งตัวด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋ก็เดินหนี เขาบอกว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วลุกไปอาบน้ำ ปล่อยผมนอนค้างเติ่งคนเดียวไม่ได้รับการแก้ไข จริงๆผมควรบอกน้ำตาลทรายให้ละเอียดว่าที่มามันเป็นยังไง แต่ผมไม่เล่าเพราะกระดากอายผมไม่ควรบอกทรายว่าอ๋อ วันก่อนจูบกับพี่อู๋แล้วมีอารมณ์มากเลย

“มีแฟนนี่ยากจังเลยเนอะ”
“ไม่ยาก ถ้ามึงไม่คิดเยอะ” น้ำตาลทรายแค่นหัวเราะก่อนจะใช้นิ้วเฉดหน้าผากผม “บางคำถามเก็บไว้ปรึกษาพี่อู๋บ้างก็ได้ เขาอาจจะอยากให้มึงคุยกับเขามากกว่าถามกู”
“กูอาย”
“อายอะไร คนเป็นแฟนกัน ยังไงมันก็ต้องรู้จักกันทุกแง่ทุกมุมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ผมลองคิดตามคำพูดของน้ำตาลทราย ก็จริงอย่างที่มันว่า เพราะคนที่ต้องใช้ชีวิตในความสัมพันธ์มีแค่ผมกับพี่อู๋สองคน บางทีสิ่งที่ทรายคิดอาจจะต่างจากสิ่งที่พี่อู๋คิด ดังนั้นหากมีคำถามหรือข้อข้องใจตรงไหนควรถามคุณอิศรินทร์ดีกว่า อย่างน้อยเขาคงให้คำตอบได้แน่ๆว่าทำไม – ทำไมแค่จูบกัน ความรู้สึกบางอย่างถึงได้ก่อตัวขึ้นโดยไม่ตั้งใจ




วันนี้พี่อู๋พาผมไปเดท เป็นการเดทที่เหมือนเป็นเรื่องปกติเพราะก่อนหน้านี้เราก็ไปกินข้าวกันบ่อย บางครั้งก็ดูหนัง บางครั้งก็เดินเลือกซื้อของด้วยกันสองคน ช่วยกันคิดว่าวันหยุดนี้จะกินอะไรดี พี่อู๋อยากทานเมนูไหน ของใช้ในบ้านขาดเหลืออะไร เราจะลิสต์และออกไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้ากัน

ถ้าให้พูดจากใจจริง สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษมากกว่าเดิมซักเท่าไหร่ เพราะปกติเราทำแบบนี้กันค่อนข้างบ่อย ผมจึงคุ้นชินกับการไปไหนมาไหนกับพี่อู๋สองต่อสอง กินข้าวกับเขา เดินเล่นกับเขา สั้นๆคือมันเหมือนเดิม และผมยังหาความพิเศษของมันไม่เจอจนกระทั่งพี่อู๋พาผมไปกินบาร์บีก้อน ความประทับใจไม่ใช่อาหารอร่อยๆที่วางเรียงเต็มโต๊ะ แต่เป็นตอนที่พี่อู๋คีบหมูที่เขาปิ้งทุกชิ้นใส่จานให้ผมต่างหาก มันคือความใส่ใจที่เขาทำโดยอัตโนมัติ โดยไม่คิดมาก โดยไม่ถามว่าปิ้งให้ไหมเพราะเขาเลือกเนื้อชิ้นสวยๆให้ผมได้กินก่อน เขาทำเหมือนแม่สมัยพาผมไปกินหมูกระทะแถวบ้านไม่มีผิด แม่จะเลือกแต่ชิ้นที่น่ากินน่าอร่อยให้ผม ชิ้นไหนไหม้หรือมาเป็นเศษซากแม่จะเก็บไว้กินเอง พอเห็นพี่อู๋ใส่ใจผมเหมือนแม่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ผมรักเขามากกว่าเดิมอีกหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และเพิ่มขึ้นเป็นห้าร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเขาบอกว่าระวังร้อน เป่าก่อนกินนะ ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้ทานเลยซักคำ

“ของผมมีเยอะแล้ว พี่อู๋เก็บไว้กินบ้างก็ได้”

ผมบอกก่อนคืนหมูในจานบางส่วนให้ผู้ปกครอง แต่พี่อู๋ก็คีบมาคืนใหม่ เขาบอกให้ผมกินเถอะ กินเยอะๆจะได้มีแรงเรียนหนังสือ ผมอมยิ้มถามพี่อู๋ว่ากินวันเสาร์ก็หมดแล้ว ไม่มีแรงถึงวันจันทร์หรอก ถ้าอยากให้ผมขยันตั้งใจเรียน พี่ต้องขับรถไปส่งที่หอนะ

“ปกติก็ไปส่งอยู่แล้วหรือเปล่า?”

พี่อู๋ส่ายหน้าก่อนจะกลับไปขะมักเขม้นกับการปิ้งหมูต่อ เราสองคนกินเนื้อหมูอร่อยๆด้วยกันในร้านที่คนแน่นจนไม่มีโต๊ะว่าง จังหวะที่โต๊ะข้างหลังพี่อู๋ลุกไปซักพัก ลูกค้ารายใหม่ก็เข้ามาพร้อมกล้องกับทีมงานอีกหนึ่งคน ดูๆแล้วเธอคงเป็นบวล็อคเกอร์ที่ร้านจ้างมาโปรโมทโปรโมชั่นใหม่ หรือไม่ก็แค่คนชอบถ่ายวล็อคเหมือนออกัสเท่านั้น

ทันทีที่พวกเขานั่งประจำที่ ทีมงานก็เซ็ทกล้องจนได้มุมที่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นยกมือไหว้สวัสดีกล้องและพูดได้เป็นวรรคเป็นเวรราวกับมีคนกำลังฟังอยู่จริงๆ ผมได้แต่มองภาพนั้นแล้วถอนหายใจเพราะเห็นว่าตำแหน่งของกล้องวางตรงหน้าพอดี ก็คือมองผ่านไหล่ของเธอก็จะเห็นนายก้องเกียรตินั่งเคี้ยวหมูมูมมาม จะกินให้อร่อยก็ลำบากเพราะมีกล้องจับภาพอยู่

พี่อู๋คงเอะใจว่าทำไมผมถึงกินคำเล็กลง ไม่กินหมูหลายชิ้นจนแก้มตุ่ยเหมือนก่อนหน้า เขาถามผมว่าข้างหลังทำอะไรอีกล่ะ พอบอกว่าอัดคลิป เขาก็จิ๊ปากแสดงสีหน้าไม่พอใจ เดี๋ยวนี้คนถ่ายวล็อคกันเยอะเพราะมันได้รับความนิยม ซึ่งเราสองคนเข้าใจว่าบางครั้งคนทำก็อยากผลิตคอนเท้นท์ให้ช่องตัวเอง แต่การตั้งกล้องในร้านอาหารโดยหันมาทางลูกค้าคนอื่นในร้านมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ จริงอยู่ที่ผมไม่ใช่คนเด่นคนดังจนต้องระวังภาพลักษณ์อะไรมากมาย แต่ผมก็ไม่อยากให้กล้องจับภาพตัวเองตอนกินหรือเปล่า แบบนี้ไม่เข้าท่าเลย

“ไม่ต้องสนใจหรอก รีบกินรีบไปกันดีกว่า”

พี่อู๋บอก แต่ผมยังไม่สบายใจเพราะเหลือบเห็นกล้องตลอดเวลา สุดท้ายเขาต้องลุกสลับที่กับผมเพื่อให้นายก้องเกียรติกินเยอะๆจะได้อิ่มๆ หลังกินเสร็จเรามองวล็อคเกอร์ที่ยังคงพูดไม่หยุดแม้กระทั่งตอนหมูอยู่ในปาก พอออกจากร้านผมกับพี่อู๋ก็คุยกันว่าเขาจะเซ็นเซอร์หน้าให้เราหรือเปล่า พี่อู๋บอกว่าถึงไม่เซ็นก็คงไม่เป็นไรหรอกเพราะเราไม่ใช่คนมีชื่อเสียง แถมวล็อคเกอร์คนนั้นดังหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงไม่มีสนใจหรอกว่าผู้ชายสองคนที่นั่งเคี้ยวหมูจนแก้มตุ่ยมันเป็นใคร

ผมเห็นด้วยกับพี่อู๋ ในยูทูปมีคลิปให้ดูเป็นล้านๆคงไม่หวยล็อคถึงขนาดเจอวล็อคเกอร์คนดังหรอก พอคิดแบบนั้นก็สบายใจ ผมจึงเดินเที่ยวในห้างต่อโดยไม่กังวลอะไร วันนั้นเราเดินเข้าร้านขายเสื้อหลายร้านเพราะพี่อู๋อ้วนขึ้นจนต้องเปลี่ยนไซส์เสื้อใหม่ ผมได้แต่มองแฟนหนุ่มของตัวเองที่ยืนเบ่งพุงไขมันหน้ากระจกห้องลอง เขาคิดจริงๆเหรอว่าไอ้ที่ปูดๆขึ้นมาน่ะเรียกว่ากล้ามเนื้อ มองยังไงก็ไขมัน ไขมันชัดๆ ไอ้อ้วนเอ๊ย คนที่สมควรโดนเรียกว่าไอ้อ้วนไม่น่าจะเป็นผม แต่เป็นพี่อู๋ต่างหาก

“กล้ามใหญ่จนต้องเปลี่ยนไซส์มีอยู่จริง”

พี่อู๋ถอดเสื้อของตัวเองแล้วเต้นหน้ากระจกเหมือนเด็กกะโปก ผมที่ยืนอยู่ด้วยในห้องลองแคบๆได้แต่ถอนหายใจ จนป่านนี้ยังคิดไม่ได้อีกว่ายิ่งแก่ขึ้น ระบบเผาผลาญยิ่งแย่ลง ตอนเจอกันวันแรกเขายังตัวลีบๆไม่ค่อยลงพุงเลย ตัดภาพมาที่ตอนนี้ –

“เฮ้ย นี่ขนาดแอลแล้วยังคับอีกเหรอ?”

ผมเดินเข้าไปช่วยพี่อู๋ติดกระดุมเสื้อ มันก็ไม่เชิงคับหรอกแค่ยกแขนลำบากดินหน่อย ผมจับๆบีบๆต้นแขนเขาก่อนจะบอกว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ต้นแขนพี่อวบเกินไปเลยทำให้ดูแน่น บางทีพี่ควรตัดใจซื้อเอ็กซ์แอลแต่เขาไม่ยอม พี่อู๋ไม่เชื่อว่าตัวเองอ้วน เขาบอกว่าเกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักคำว่าอ้วน ผมจึงเสยหน้าเขาด้วยการบอกว่าก็รู้จักซะมันตั้งแต่ตอนนี้เลยเพราะพี่แม่งอ้วนขึ้นจริงๆ เราเถียงกันในห้องลองเสื้อตั้งนาน ผมว่าพนักงานที่รอประจำทางเข้าออกคงขำขี้แตกไปแล้วเมื่อได้ยินเสียงลุงวัยสามสิบกลางๆเถียงเด็กว่าตัวเองไม่ได้อ้วน สุดท้ายผมจึงถอดเสื้อตัวเองออกเพื่อให้พี่อู๋เห็นว่านี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่อ้วน เห็นไหมว่าผมไม่อ้วน แขนไม่ย้วย พุงป่องนิดหน่อยเพราะบาร์บีก้อน แต่โดยรวมแล้วไม่ – อ้วน!

เถียงกันให้ตายก็ไม่จบไม่สิ้น เราต่างไม่ยอมรับว่าตัวเองอ้วนขึ้นจากวันแรกที่เจอกันทั้งคู่ ในที่สุดพี่อู๋ตัดบทด้วยการยอมซื้อไซส์เอ็กซ์แอลที่หลวมหน่อยแต่ดีกว่าติดรักแร้ พนักงานหน้าห้องลองแอบส่งยิ้มให้เมื่อรู้ว่าเราคือลูกค้าที่เถียงกันว่าอ้วน ไม่อ้วนในห้อง เหมือนพี่อู๋จะรู้ว่าผมแอบเคืองอยู่เล็กน้อย เขาจึงเดินเข้ามาโอ๋ด้วยการโอบไหล่และจับมือ บอกผมว่าอย่าโกรธเลย จะอ้วนจะผอมก็รักก้องเหมือนเดิม

ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่อู๋จริงจังหรอก ผมรักเขาในแบบที่เขาเป็น จะอ้วน จะหัวล้าน จะรูขุมขนกว้างผมก็ยังรัก ดังนั้นตอนที่ถึงรถแล้วพี่อู๋แกล้งดึงปลายจมูก ผมจึงงับมือเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุ๊บกันเบาๆก่อนขับรถกลับลาดพร้าว





เพราะเราอยู่ด้วยกันมานานเกินไป กิจวัตรประจำวันจึงไม่แปลกใหม่หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเท่าไหร่

สำหรับคนเพิ่งคบกัน หากมีเวลาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านซักวันหรือสองวันคงเป็นเรื่องน่าสนุก แต่สำหรับผมกับพี่อู๋ที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสองปีกลับไม่รู้สึกแบบนั้น มันค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่เห็นเราคนใดคนหนึ่งสวมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินรอบบ้าน ผมไม่เขินอายเมื่อพี่อู๋ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่ชั้นใน เดินเกาตูดแกรกๆรื้อหาของกินในตู้เย็นเหมือนคุณลุงวัยเกษียณ และพี่อู๋ก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกันเมื่อผมเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงหน้าเขา สั้นๆคือมันไม่ตื่นเต้นเพราะเราเห็นจนชินตา การอยู่ด้วยกันมานานทำลายบรรยากาศที่ควรจั๊กจี้ของคู่รักไปจนหมด เราเหมือนคู่สมรสที่แต่งงานกันเกินสิบปี กินอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจนชินชาและปรับตัวเข้าหากันจนไม่เหลือเรื่องใหม่ให้ศึกษาอีกแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราต่างจากคู่รักทั่วไป

นั่นคือเรายังไม่เคยมีเซ็กส์กัน

พี่อู๋ไม่เปิดประเด็นเข้าเรื่องนี้เสียที เขาปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ผมต้องการตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันเป็นแฟน อันนี้ผมพูดในแง่ของการใช้ชีวิตประจำวันนะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำมากกว่ากิจวัตร ผมว่ามันก็ยังมีความน่าตื่นเต้นของการได้ลิ้มลองสิ่งใหม่ๆอยู่เหมือนกันอย่างเช่น –

การจูบ

ผมกับพี่อู๋เราจูบกันบ่อยมาก แทบทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่ใกล้กันนานเกินครึ่งชั่วโมง เมื่อก่อนเราชอบนั่งแยกกันคนละมุม เขานอนดูเน็ตฟลิกซ์ ดูยูทูปบนโซฟา ส่วนผมนั่งทำการบ้านอ่านหนังสือในห้องนอนใหญ่ แต่พักหลังมานี้เราชอบทำอะไรใกล้ๆกัน ผมทำการบ้านบนโต๊ะหน้าทีวีโดยมีพี่อู๋นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง บางวันก็นอนโง่ๆบนเตียงจนถึงเที่ยง บางวันก็นั่งซบกันบนโซฟา มันคือการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบหนึ่งที่ผมชอบ ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องเวิ่นให้เยอะความ แค่อยู่ด้วยเฉยๆก็สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่พี่อู๋ – พี่อู๋มักจะหาโอกาสจูบผมเสมอ ตอนไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ ผมจะทำอะไรอยู่ก็ช่าง ถ้าเขาอยากจูบต้องได้จูบ ผมว่าเขาเหมือนเด็กเห่อที่เพิ่งเคยมีแฟนคนแรก มันจะอะไรขนาดนั้น ผมถามเขาประจำเวลาพี่อู๋โน้มหน้ามาหา แต่ถามไปก็แค่นั้น เพราะสุดท้ายเราก็จูบกันอยู่ดี

เราสองคนมีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าเหลือเชื่อ หากจูบกันแล้ว ยากมากที่เราจะปลีกตัวกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองตามเดิมได้ในเวลาไม่กี่นาที ครั้งหนึ่งเราเคยจูบกันจนรู้สึกด้วยกันทั้งคู่ บางทีนี่คงเป็นคำเตือนที่สมเหตุสมผลของผู้ใหญ่ที่ว่าหนุ่มสาวอย่าอยู่ใกล้กัน อย่าอยู่สองต่อสองเพียงลำพังเพราะมันถลำลึกง่าย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแค่จูบ แค่ริมฝีปากแตะกันซักระยะหนึ่งก็สามารถปลุกอารมณ์บางอย่างได้ อารมณ์ที่น่าอายสำหรับผม แต่เป็นเรื่องธรรมชาติในสายตาของพี่อู๋

ตั้งแต่ป่วยเป็นซึมเศร้า ผมเหมือนคนสละทางโลก ผมไม่ดูหนังโป๊ ไม่มีอารมณ์ ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เห็นว่าเซ็กส์สำคัญกับชีวิตตรงไหน แต่มาวันนี้ที่มีทุกอย่างพร้อม มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอน มีคนรักที่คอยดูแลเอาใจใส่ เซ็กส์ก็กลับมารบกวนจิตใจและความคิดของผม ทุกครั้งที่พี่อู๋จูบนานเกินหนึ่งนาที หรือร่างกายของเราเสียดสีกันจนอีกนิดจะเรียกว่านัวเนียก็ได้ ผมจะแข็งตัว ผมมีความต้องการ ผมอยาก แต่ผมอายเกินกว่าจะบอกพี่อู๋ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ดูเข้าใจเพราะเขาจะหยุดและผละตัวออกราวกับรู้ว่าผมยังไม่พร้อม หากถามว่านายก้องเกียรติไม่พร้อมเรื่องอะไร ผมกลับตอบไม่ได้ ผมให้คำตอบไม่ได้ว่าที่เราไม่ขยับไปอีกขั้นเป็นเพราะตัวของผมเอง หรือเพราะพี่อู๋กำลังชั่งใจกับเรื่องอะไรกันแน่

แต่วันนี้ต่างออกไปจากวันอื่นๆโดยสิ้นเชิง
 
หลังกินข้าวเสร็จผมก็นั่งทำการบ้านหน้าโทรทัศน์ ส่วนพี่อู๋นอนดูเน็ตฟลิกซ์บนโซฟา ช่วงบ่ายอากาศครึ้มน่านอนเพราะฝนตก เราจึงย้ายกันไปนอนกลางวันในห้อง พี่อู๋เปิดแอร์เย็นเจี๊ยบและปิดไฟ ปล่อยให้แสงธรรมชาติลอดผ่านทางผ้าม่านพอเห็นเงาลางๆ เราสองคนนอนประจำที่ของตัวเองเรียบร้อยแต่วันนี้พี่อู๋ตื๊อมาก ไม่รู้เขาเป็นอะไร ดึงดันจะกอดผมให้ได้ ผมจึงปล่อยให้เขาได้ทำตามใจชอบ แล้วเราก็จูบกันอีก

เราจูบกันนานกว่าปกติ จูบด้วยเทคนิคหลากหลายตามที่พี่อู๋สอน เขาสอนผมเหมือนกำลังเลคเชอร์ให้นักเรียนส่วนตัวฟัง อ้าปากสิ แลบลิ้นออกมาหน่อย เอียงหน้าแบบนี้ ลองขยับตามพี่ดูนะ ดูดเบาๆ ค่อยๆเม้ม เขาสอนจนผมจูบเป็น และรู้ว่าเราต้องดึงดูดกันแบบไหนอารมณ์ถึงจะกระเจิงด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นผมทำตามที่คุณครูอู๋สอนทุกอย่าง เราจูบกันจวบจาบในห้องที่มีเสียงฝนกระทบหน้าต่าง จูบไปจูบมาผมก็เลื้อยไปอยู่บนตัวเขา ซักพักพี่อู๋ก็พลิกผมกลับมาอยู่ข้างล่าง เราจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสได้ว่าส่วนล่างของเรากำลังเครียดขึงทั้งคู่

หัวใจของผมเต้นเร็วมาก หน้าร้อนผ่าว เหมือนจะขาดอากาศหายใจตาย เราแทบไม่ได้พูดอะไรนอกจากจ้องตากันเลย พี่อู๋ไม่พูด ไม่สั่งให้ผมทำท่าตามความต้องการของเขาแต่ร่างกายของผมมันไปเอง ผมค่อยๆกางขาทั้งสองข้างออกเพื่อรอให้พี่อู๋โน้มตัวลงมาใหม่ เมื่อเห็นท่าทางเชื้อเชิญ เขาก็จูบผมโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ พอจูบกันได้ซักพักเขาก็ผละตัวออกอีกหน คราวนี้พี่อู๋จับข้อเท้าของผมแล้วประทับริมฝีปากลงมาอย่างแผ่วเบา

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

ผมหูอื้อ ตาลาย รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเผยอปากเชื้อเชิญให้คุณอิศรินทร์กลับมาใหม่ เขาค่อยๆลูบขาของผม ลูบขึ้นไปเรื่องๆถึงข้อพับด้านใน ผมหอบหายใจแรงขึ้นเมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังตอบสนองบางอย่าง บางอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นสัมผัสที่ผมชอบ และอยากให้เขาทำมากกว่านี้ จับผมอีกสิ แตะตรงนี้อีกหน่อย แบบนั้นแหละครับ พี่อู๋อ่อนโยนจัง ทำไมพี่ถึงจับผมแบบนี้ล่ะ ทำไมไม่ถอดกางเกงออกไป

ผมมองหน้าพี่อู๋ มองสองมือที่กำลังง่วนกับการปลดกระดุมกางเกงขาสั้นอย่างว่องไว ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีกางเกงตัวนอกของผมก็หลุดออกเหลือแค่กางเกงใน ผมนอนรอเพราะอยากรู้ว่าพี่อู๋จะทำอะไร เขาจะทำอะไรต่อเมื่อนายก้องเกียรติกึ่งเปลือยอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ เขาจะเริ่มทำสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบเลยไหม หรือจะรอ หรือจะสัมผัสแบบนี้ไปเรื่อยๆ –

“พี่อู๋ --”

ผมเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่หอบติดจะแหบหน่อยๆเมื่อพี่อู๋จูบผมอีกครั้ง คราวนี้ผมเป็นฝ่ายดึงดูดเขา เป็นฝ่ายรุกล้ำในโพรงปากอย่างไม่ลดละเมื่อเขายื่นหน้าเขามา เรานอนจูบกันจนแทบหมดลมพี่อู๋ถึงจะผละตัวออก เขามองหน้าผม มองลึกเข้ามาในแววตาก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตัวเอง พอเห็นผู้ปกครองใกล้เปลือยเต็มที ผมจึงเอาอย่างบ้างด้วยการถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออก เราเหลือแค่ชั้นในด้วยกันทั้งคู่ แต่ของพี่อู๋ดูอึดอัดกว่า มันโป่งพองพร้อมจะออกมาทักทายผมเต็มทีแล้ว

“ผมอยากถามพี่อู๋มานานแล้ว” ผมพูดเสียงเบาเพราะเขินอาย “ตอนจูบผม พี่มีอารมณ์เหมือนกันไหม?”
“มีสิ”
“แล้วพี่ทำยังไง?”
“ก็ช่วยตัวเอง ปกติก้องทำยังไง?”
“ผมก็ช่วยตัวเองเหมือนกัน”
“วันนี้อยากให้พี่ช่วยไหม?”





Part 2 ต่อข้างล่างนะคะ  :z13:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-09-2019 19:57:15
37 [PART 2/2] + TALK 22/06/2020

ผมลังเลไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าช่วยของเขาคืออะไร แต่พอพี่อู๋ค่อยๆใช้มือแตะตรงนั้นเบาๆ ผมก็เชิดหน้าขึ้นอย่างลืมตัว อารมณ์มันพุ่งเร็วมากจนคุมไม่อยู่ ช่วงท้องน้อยมันหวิวไปหมดเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ข้างใน เป็นความรู้สึกดียิ่งกว่าใช้มือของตัวเอง ผมสัมผัสได้ถึงความเครียดขึงน่าอึดอัดตรงกลางกางเกง มันกำลังส่งเสียงเรียกร้องขอให้ช่วยปลดปล่อย แต่ที่น่าอายคือมันตอบสนองทุกการสัมผัสจากพี่อู๋

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมวัยรุ่นถึงมีอะไรกันง่าย เพราะมันหยุดไม่ได้แบบนี้นี่เอง ศีลธรรมอะไรไม่อยู่ในหัวหรอกเพราะเรากำลังมีอารมณ์ ถ้าเป็นตอนที่สติยังครบถ้วน ผมคงไม่ยอมให้พี่อู๋จับของตัวเองง่ายๆ แต่ตอนนี้ผมกำลังอยากสุดขีดแล้ว ผมต้องการปลดปล่อยเต็มที่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมจึงชันขาปล่อยให้เขาถอดกางเกงในออกอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นพี่อู๋ก็ตอบสนองความต้องการของก้องเกียรติได้ดีเยี่ยม เขาค่อยๆใช้มือปรนเปรอให้ผมอย่างเอาใจ มันเป็นจังหวะเนิบนาบเร้าอารมณ์จนต้องยกตัวขึ้นเพราะต้านไม่ไหว มันเสียว มันคือความรู้สึกเสียวกระสันที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี และตอนนี้ผมกำลังปลดปล่อยร่างกายและหัวใจไปกับพี่อู๋ ประสบการณ์แปลกใหม่นี่ทำเอาผมแทบบ้า ปกติแล้วผมจะไม่ส่งเสียงครางใดๆเพราะเคยชินกับการแอบช่วยตัวเองในบ้าน แต่พอเป็นพี่อู๋ – พอเขาทำ ผมกลับผ่อนลมสลับกับร้องครวญเบาๆในลำคอเพราะมันห้ามไม่ได้จริงๆ

“โอ๊ย --”

เสียงร้องที่น่าอาย เสียงร้องที่มีแต่ความต้องการควรถูกเก็บเงียบ แต่ผมปลดปล่อยมันออกมาเต็มที่ ผมปรือตามองหน้าพี่อู๋ เมื่อเห็นเขาจ้องกลับมาก็ยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ผมร้องขอให้พี่อู๋ขยับเร็วๆเพราะผมจะเสร็จแล้ว ผมบอกเขาว่าจะเสร็จแล้วครับ มันดีจัง ดีจังเลย พี่ – ผมกำลังจะเสร็จ พี่อย่าหยุดนะ อย่า – อย่า – โอ๊ย!

เหมือนได้ยินตัวเองครวญครางลากเสียงยาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตามด้วยอาการเกร็งจนตัวงอเหมือนกุ้ง สมองเบาสบาย ความรู้สึกอึดอัดพุ่งทะยานจนถึงปลายทางพร้อมกับของเหลวเลอะเทอะเต็มมือพี่อู๋ ผมนอนหอบหายใจก่อนจะก้มมองผลงานตัวเองด้วยความอาย ผมคงเก็บกดมาหลายวัน ไม่ได้ใช้มือระบายให้มันออกตามธรรมชาติก็เลยเยอะเป็นพิเศษ ผมเอี้ยวตัวหยิบทิชชู่ตรงหัวเตียงมาเช็ดทำความสะอาด ตอนนี้ผมเสร็จแล้ว เสร็จจนสบายตัวมากๆ ผมจูบพี่อู๋ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่เสร็จ ผมถามพี่อู๋ว่าอยากให้ช่วยไหม เขาถามย้ำว่าได้เหรอ ได้จริงๆเหรอ เมื่อผมบอกว่าได้สิ เขาก็ปลดกางเกงชั้นในของตัวเองลงและขอให้ผมลองจับอิศรินทร์จูเนียร์หน่อย

พี่อู๋ แม่งโคตร –

ผมอาย ผมอายมากที่ได้เห็นความเป็นชายของผู้ปกครอง เราไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเปลือยล่อนจ้อนแบบนี้มาก่อน เมื่อครู่ที่นอนให้พี่อู๋ทำผมกลับไม่คิดกังวลหรือเคอะเขินอะไร มาตอนนี้ต้องเป็นฝ่ายช่วยเขาบ้างกลับหน้าแดงเหมือนจะระเบิด ผมเขินจนเงอะงะทำตัวไม่ถูก พี่อู๋อมยิ้มขำ เขาใช้มือบีบแก้มผมเบาๆก่อนจะบอกว่าไม่ต้องอายหรอก ทำสิ ทำเหมือนที่ต้องเคยช่วยตัวเองไง พี่อยากรู้จังว่าก้องทำยังไง เขาดึงมือผมไปจับของตัวเอง เอาเลย พี่รออยู่นะ

ผมทำตามคำขออย่างว่าง่าย ไม่ปฏิเสธเมื่อพี่อู๋ขอให้ลอง ผมนึกถึงตัวเองว่าเมื่อก่อนชอบสัมผัสแบบไหน ผมชอบเริ่มจากช้าๆ รูดด้วยจังหวะเนิบนาบไม่รีบเร่ง สีหน้าของคนที่ผมรักในตอนนี้ดูแปลกใหม่มากๆ ผมไม่เคยเห็นพี่อู๋ขมวดคิ้วและกัดฟันแน่นแบบนี้มาก่อนเลย เขาหลับตา ผ่อนลมหายใจเข้าออกลึกๆและช้าๆราวกับกำลังทำสมาธิ ผมใช้มือช่วยพี่อู๋พร้อมกับจูบเขาไปด้วย เขาคำรามในลำคอด้วยความชอบใจไม่ต่างกัน ผมได้ยินพี่อู๋พึมพำว่าดี ดีมาก แบบนั้นแหละก้อง – ก้อง ทำต่อไปนะ พอถึงจุดหนึ่งของอารมณ์ พี่อู๋ก็กระตุกตัวเกร็ง เขาดึงผมไปกอดและขยับสะโพกเร็วๆเหมือนกำลังทำเรื่องอย่างว่า เขาทำแบบนั้นไม่กี่ครั้งก่อนจะนิ่งสงบเป็นปกติ เรามองหน้ากันด้วยความเคอะเขินก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาด แยกย้ายกันสวมกางเกงในและห่มผ้านอนกลางวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ผมนอนก่อนนะ”
“อืม นอนเลย”

ใครจะไปนอนได้วะ

ผมนึกถึงคำพูดคุณหมูพีที่เคยบอกว่าพี่อู๋เก่งเลย สำหรับผมเขาเก่งจริงๆ ผมเสร็จค่อนข้างเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำ พอคิดวนเวียนเรื่องอย่างมามันก็ข่มตาหลับไม่ลง สุดท้ายพลิกตัวไปมาอยู่หลายหนจนหันไปสบตากับพี่อู๋ที่กำลังมองมาพอดี

“เป็นไงบ้าง?”
“อายครับ”
“อายทำไม เรื่องธรรมชาติ” พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขาผ่อนคลายแต่ก็ดูเขินๆนิดหน่อยเหมือนกัน “รู้สึกดีไหม?”
“อะไรครับ?”
“เมื่อกี๊ที่ทำกันไง”
“ดีมากครับ” ผมกัดลิ้นแล้วเสมองทางอื่น ไอ้บ้าเอ๊ย ถามทำไมวะ ถ้าไม่ชอบจะอยู่นิ่งๆจนเสร็จคามือเขาเหรอ “พี่ชอบที่ผมทำให้ไหม?”
“ชอบมาก”
“พี่กอดผมแล้วทำแบบนั้นด้วย”
“อืม” เขาขานตอบห้วนๆแล้วเงียบไป “พี่รักก้องมากนะ”
“ผมก็รักพี่อู๋เหมือนกันครับ”

เราเงียบอีกเพราะเขิน ผมเขินมาก เขินที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยรู้สึกมาแล้ว พอคิดดูก็อายที่ตัวเองปล่อยตัวให้ไหลตามอารมณ์ง่ายเกินไป จู่ๆยอมให้พี่อู๋ถอดกางเกงไม่ใช่ทางของผมเลย แถมยังยอมให้เขาจับ ให้เขาสัมผัสส่วนใต้ร่มผ้าอีก ผมนี่มันหน้าไม่อาย ไม่มียางอาย แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถามว่าจะขอให้พี่อู๋หยุดไหม? ไม่ เพราะมันแปลกใหม่และตราตรึงจนเหมือนฝันไปเลย

“เมื่อกี๊ที่เราทำกัน – เรียกว่าเซ็กส์เหรอครับ?”
“อืม แบบภายนอก”
“ถ้าภายในล่ะ?” ผมถามต่อ
“ก็ต้องสอดใส่” พี่อู๋หันหน้ามาตอบ
“หมายถึง – พี่ใส่ผมเหรอ?”
“ได้หรือเปล่าล่ะ?”
“ตอนนี้เลยเหรอ?”

ผมตื่นเต้นกังวล รู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม แต่พี่อู๋ก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่ได้หรอก ตอนนี้ไม่ได้ ถ้าเราจะมีอะไรกันจริงๆอย่างน้อยก้องต้องเตรียมตัวล่วงหน้าซึ่งเขาบอกว่าจะสอนผมวันหลัง อาจจะยุ่งยากและลำบากหน่อย แต่เขาสัญญาว่าจะอยู่กับผมตลอดเวลา

พอหมดเรื่องคุย ผมก็เคลิ้มหลับโดยมีพี่อู๋นอนลูบหัวอยู่ข้างๆ บ่ายวันนั้นกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมของนายก้องเกียรติ ผมชอบช่วงเวลาที่เกิดขึ้นขณะนั้นมากจนไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพไปมากกว่านี้ได้ เอาเป็นว่าผมมีความสุข มีความสุขจากใจจริงนะ ถ้ามองกระจกในตอนนี้ หน้าของผมก็คงมีแต่รอยยิ้ม ไม่มีความทุกข์หรือความเศร้าหลงเหลือเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว




บางทีผมก็ทะเลาะกับความคิดของตัวเองในหัวเหมือนกัน อย่างวันก่อนผมคิดหนักจนแทบไม่ได้นอนเพราะไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำลงไปถูกต้องหรือเปล่า

ตอนนี้ผมอายุสิบเก้า อีกไม่กี่เดือนก็จะยี่สิบ หากตีเป็นเลขกลมๆว่าอายุยี่สิบ มันเร็วเกินไปไหมสำหรับการมีเซ็กส์กับแฟน ผมถามตัวเองตลอดว่ามันผิดไหม ผมกลายเป็นเด็กไม่ดี หรือทำตัวเสื่อมเสียหรือเปล่า บางคืนผมฝันถึงแม่ที่ตายไปแล้วสองปี ฝันว่าเราอยู่ด้วยกันในบ้าน พูดถึงเรื่องทั่วไป แล้วแม่ก็ดุผมที่ทำตัวไม่ดี แต่ในความฝันนั้นเลือนรางจนจำไม่ได้ว่าแม่ตำหนิผมเพราะอะไร หรือแม่รู้ว่าผมมีอะไรกับพี่อู๋ไปแล้ว แต่มันก็แค่ภายนอกนะแม่ มันแค่ข้างนอก ผมไม่ได้เสียตัว ไม่ได้กางขาให้เขาเอา ถือว่าผมยังบริสุทธิ์อยู่ไม่ใช่เหรอ

เพราะว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมจึงไม่สามารถตั้งปณิธานได้ว่าจะเก็บความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้จนถึงวันแต่งงานตามที่คุณครูสอน ผมรู้ว่ายังไงชาตินี้ก็คงไม่ได้แต่งงานแน่ๆเพราะประเทศนี้ไม่เปิดกว้างขนาดนั้นแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเซ็กส์คือเมื่อไหร่ บางทีควรรอหลังเรียนจบ รอตอนมีบ้านมีรถพร้อมดูแลตัวเอง ผมกังวลมากว่าเซ็กส์จะทำให้ผมกลายเป็นคนหมกมุ่นหรือเป็นคนไม่ดี แต่พี่อู๋บอกว่าไร้สาระ สำหรับเขา -- เซ็กส์คือชานมไข่มุก

“มันแล้วแต่คนชอบ ถ้าหิวก็แค่กิน กินแล้วอร่อย กินแล้วมีความสุขก็กินเถอะ อย่างน้อยชานมไข่มุกไม่ได้ฆ่าใครตาย”
“แต่มันทำให้พี่เป็นเบาหวานได้นะ”
“แค่คำเปรียบเปรยไหมล่ะไอ้อ้วน”

ผมเข้าใจแนวคิดของพี่อู๋นะ เข้าใจดีว่าเขาเป็นประเภทไม่สนศีลธรรมอันดีของประเทศหรอก บางทีผมก็อิจฉาที่เขามีทัศนคติที่เปิดกว้างขนาดนี้ ในขณะที่ผมคิดมากและรู้สึกแย่หลังมีเซ็กส์ภายนอกกับพี่อู๋ คุณอิศรินทร์กลับมีความสุขที่เราได้ใช้ช่วงเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกัน และเหมือนเขาจะรู้ว่าผมคิดยังไง เขาจึงบอกว่าไม่ต้องรังเกียจเซ็กส์หรอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นสัญชาติญาณติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เซ็กส์จะผิดก็ต่อเมื่อไปเอากับคนมีเจ้าของ แต่ถ้าเราสนุกในที่ส่วนตัวกันสองคน ไม่ได้แย่งของใคร ไม่ได้ชวนกันไปเอาริมระเบียงให้โลกเห็น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“ก้องไม่ชอบที่เราช่วยกันเหรอ?”

พี่อู๋ถามในคืนหนึ่งหลังจากเราเพิ่งมีอะไรกันเสร็จใหม่ๆ ผมนอนเปลือยก่ายขากอดเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ก็บอกผู้ปกครองไปว่าชอบ ผมชอบ ผมชอบที่เราสัมผัสกันมากๆ แต่ผมกระดากอายเมื่อคิดว่าตัวเองไม่บริสุทธิ์แล้ว

“ใครมันสั่งมันสอนว่าการมีเซ็กส์คือการทำให้ตัวเองแปดเปื้อน?”
“คุณครูครับ”
“ประสาทมาก ฟังพี่นะ – คุณค่าในตัวของก้องไม่ได้ลดลงซักนิดแค่เพราะเซ็กส์ แต่มันจะลดลงเพราะทัศนคติของก้องที่ดูถูกตัวเองต่างหาก” เขาหอมแก้มผมหนึ่งฟอด “อย่าคิดมากเลย Sex is a gift from God เพราะฉะนั้นก็เอนจอยกับมันซะ จะอดทนอดกลั้นข่มใจตัวเองไปทำไมในเมื่อเราไม่ได้ไปแย่งกินของใคร ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ อีกหน่อยก้องแก่ไปแล้วจะเสียใจที่มัวแต่กังวลถึงศีลธรรมปัญญาอ่อน”

ผมพยักหน้ารับ โอเค – หลังจากนี้ผมจะปรับทัศนคติตัวเอง แต่พยายามปรับ พยายามคิดใหม่มันก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ผมรู้สึกอายทุกครั้งเมื่อตัวเองกลายเป็นคนใจง่าย นอนให้พี่อู๋กอด นอนให้เขาจูบ แถมเลยเถิดจนเสร็จไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผมอยากเป็นคนหนักแน่นมากกว่านี้จัง แต่ทุกครั้งที่พี่อู๋เริ่มมันก็หยุดไม่ได้ สมองของผมมักจะถอดใจยอมแพ้ เอาน่า ครั้งเดียว แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คราวหน้าจะไม่ยอมแล้ว แต่ครั้งถัดไปเราก็ช่วยกันใหม่เพราะผมโคตรรักช่วงเวลานั้นเลย มันเป็นตอนที่พี่อู๋จับผมเบาๆอย่างทะนุถนอม เขาจูบผม และปรนเปรอจนผมตัวลอยมีความสุขชนิดที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ พอกันทีกับการบอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว เพราะพูดไปก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้นอกจากจูบเขากลับ และสนุกกับเซ็กส์ที่เรามอบให้กันเท่านั้น




ชีวิตในโลกชวนฝันของผมอย่างเข้าเดือนที่สองแล้ว ตั้งแต่คบกันมาผมไม่นึกเสียใจซักวินาทีเดียวที่ความสัมพันธ์เราคืบหน้าและค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างต่อเนื่อง พี่อู๋ยังคงเป็นคนใจดีและเอาใจใส่ผมสม่ำเสมอ เราเหมือนปาท่องโก๋คู่ใหญ่ที่แยกจากกันไม่ได้ ผมคิดถึงพี่อู๋ตลอดเวลาในขณะที่เขาเองก็อยากเห็นหน้าผมทุกวัน ความสัมพันธ์อันเรียบง่ายแต่คงเส้นคงวาทำให้ผมมีความสุขมาก ผมพอใจกับชีวิตตัวเองในตอนนี้จนไม่คิดหวาดระแวงอะไรเพราะคงไม่มีใครเข้ามาทำให้เราผิดใจกัน

วันหนึ่งระหว่างขับรถไปส่งนายก้องเกียรติที่หอ พี่อู๋ก็บอกว่าการ์ดเข้าคอนโดที่ใช้อยู่อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะเดือนหน้าประตูทางเข้าคอนโดจะเปลี่ยนตัวสแกน ไว้พี่อู๋ได้การ์ดใหม่จากนิติเมื่อไหร่ค่อยเอาให้ก้องเกียรติ เอ้อ – ประตูบ้านเราจะเปลี่ยนกลอนประตูแล้วนะ คราวนี้เปลี่ยนเป็นแบบดิจิตอล แค่กดรหัสก็เข้าได้เลยไม่ต้องใช้กุญแจ ผมพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ใส่ใจ เดี๋ยวถึงเวลาพี่อู๋ก็คงจัดการให้เอง เมื่อขับรถถึงหอ คุณอิศรินทร์ก็ขึ้นไปส่งถึงห้อง เขาให้เงินค่าขนมหนึ่งพันบาทตามปกติก่อนจะลูบหัวผมพร้อมกับกำชับให้ตั้งใจเรียน

“วันศุกร์หน้าไม่ต้องกลับบ้านนะ”
“ทำไมครับ?” ผมถามขณะเก็บเสื้อผ้าที่รีดมาจากบ้านเข้าตู้
“พี่จะพาไปเที่ยวกาญจนบุรี”
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ” พี่อู๋ยิ้มก่อนจะเดินมาหยิกแก้มนายก้องเกียรติเบาๆ “อาทิตย์นี้ต้องตั้งใจเรียนเป็นสองเท่า พี่จะได้มีกำลังใจอยากพาไปเที่ยวอีก”

ผมตื่นเต้นที่เขาจะพาไปค้างต่างจังหวัดเพราะเราไม่ได้ออกนอกกรุงเทพมาหลายเดือนแล้ว พอเก็บของเรียบร้อยผมก็เดินไปส่งพี่อู๋ที่รถ สวนทางกับสมาร์ทที่เพิ่งกลับจากเซเว่นพอดี สมาร์ทแกล้งตัดพ้อว่ากับน้องกับนุ่งไม่เคยขับรถมา ตั้งแต่มีแฟนเรียนลาดกระบังนี่โผล่หน้ามาบ่อยเหลือเกินนะ

พี่อู๋ไม่ปฏิเสธคำกล่าวหา เขาดูเขินนิดๆเมื่อถูกคนในครอบครัวแซวก่อนจะให้เงินสมาร์ทห้าร้อยบาทเป็นค่าขนมพิเศษ เราแยกย้ายกันตรงลานจอดรถของหอพัก ผมโบกมือลาพี่อู๋จนรถขับออกไปสุดสายตาก่อนหันไปชวนสมาร์ทคุยจนถึงห้อง ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยเกี่ยวกับวิชาที่ลงเรียน ผมค่อนข้างเป็นกังวลกับการสอบนิดหน่อย พอได้ยินสมาร์ทบ่นว่าได้บีบวกก็ค่อยสบายใจ ถ้าสมาร์ทได้บีบวก ผมคงไม่พ้นซีแน่ งั้นนอนเลยดีกว่า ไม่อ่านหนังสือล่วงหน้าแล้ว เป็นท้อ

ช่วงเวลาตอนนี้มันดีมากๆ ดีจนผมไม่ทันคิดระวังหรือกังวลในแง่ลบเกี่ยวกับอนาคตตัวเองเลย แต่ความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับหายวับในพริบตาเมื่อไลน์แจ้งเตือนข้อความนับสิบจากเพื่อน คนแรกที่ทักมาคือมิว ผมไม่รู้ว่ามันมีเรื่องด่วนอะไรแต่ในแชทส่งภาพมาด้วย ส่วนคนที่กำลังรัวข้อความมาล่าสุดคือทราย มันบอกให้ผมเข้าทวิตเตอร์เดี๋ยวนี้ เพราะ #กัสก้อง กลับมาอีกแล้ว

ผมขมวดคิ้วงุนงงว่าคู่จิ้นจอมปลอมคืนชีพได้ยังไงในเมื่อไม่ได้ยุ่งกับออกัสมาหลายเดือนแล้ว และเมื่อเข้าไปอ่านแฮชแท็กที่กำลังเป็นเทรนด์ ผมก็เข้าใจทันทีว่าที่มันเป็นกระแสไม่ใช่เพราะออกัสพูดหรือทำอะไรพาดพิงนายก้องเกียรติหรอก แต่เป็นเพราะคลิปจากวล็อกเกอร์ในร้านบาร์บีก้อนวันนั้นต่างหาก

นั่นใช่ก้อง #กัสก้อง ป้ะ?
ก้องไปกินกับใครวะ ไม่ใช่ออกัสอ่ะ
ก้องไปเที่ยวกับผู้ชายคนนี้บ่อยนะ เจอข้างนอกทีไรก็เดินกับคนนี้ตลอด
แง คนนี้เป็นแฟนก้องจริงเหรอ ดูแก่กว่าเยอะเลยอ่า

ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นึกไม่ออกเลยว่าทำไม #กัสก้อง ถึงตามรังควาญชีวิตของผมอีก แต่คงไม่มีประโยคไหนน่าตกใจเท่าทวีตล่าสุดในแฮชแท็กแล้ว

รู้ตั้งนานแล้วว่า #กัสก้อง ไม่ได้มีซัมติงอะไรหรอก ก็ก้องมันเป็นเด็กเสี่ย มันจะเลิกคบคนที่ให้เงินใช้มาหาออกัสได้ไง 

เมื่ออ่านจบ โทรศัพท์ของผมก็ร่วงจากมือหล่นกระแทกพื้นทันที




** ในพาร์ทนี้ตัวละครพูดมีการพูดถึง sex ว่าเป็นของหวานที่อยากทานเมื่อไหร่ก็ทาน ทางผู้เขียนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ก็จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น sex ต้องเกิดขึ้นในวัยที่เหมาะสม ต้องมีการป้องกันและเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายนะคะ หากมีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น สามารถโทร 1663 สายด่วนปรึกษาท้องไม่พร้อมและยินดีช่วยคุณหาทางออกค่ะ ** 


TBC

_____________________________




#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



สวัสดีวันจันทร์ค่ะ ช่วงนี้ฝนตก รักษาสุขภาพและระมัดระวังเวลาเดินทางนอกบ้านด้วยนะคะ     ​
อย่าเพิ่งถอดใจกับดราม่านะคะ เพราะยังเหลือหนึ่งปมที่ต้องแก้ไม่งั้นเรื่องจะแหว่ง แบบ so so what ค่ะ ;-; 

หลายๆคนอ่านตอนนี้อาจจะขำกับคำบรรยาย 100% 200% 300% นะคะ เราเองก็ขำค่ะ ชอบมาก 55555555555555555555 อันนี้เป็นคลิปต้นฉบับนะคะ หากดูจบแล้วรับรองว่าคุณจะอ่านตอนนี้ไม่เหมือนเดิม หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ สองร้อยเปอร์เซ็นต์ สามร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลยค่ะ >

 https://www.youtube.com/watch?v=qjbhhTEY6SE

เรื่องรูปเล่มสอบถามจากทีมที่ดูแลแล้วค่อนข้างคืบหน้าไปเยอะเลย เริ่มจัดหน้าและพิสูจน์อักษรแล้ว เหลือแต่เนื้อหานี่แหละค่ะที่ม่ายจบซักที ตอนพิเศษยาวมากๆเพราะเล่าเรื่องจากฝั่งพี่อู๋บ้าง หากมีอัปเดตหรือความคืบหน้าอื่นๆจะคอยแจ้งให้ทราบน้า ที่ไม่แจ้งเพราะไม่มีค่า เนื้อเรื่องไม่จบซ้ากที เล่มก็เลยเดินหน้าไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆนะคะ TT

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจทุกช่องทางเช่นเคย ทั้งคอมเม้นต์ แท็ก ฟี้ดแบคในรูปแบบต่างๆ และโดเนทนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่สนับสนุนกันมาตลอดจนใกล้สุดทางแล้ว เร็วๆนี้อาจจะไม่มีวันจันทร์ของน้องก้อง แต่หวังว่าทุกคนจะมีความสุขด้วยกันจนถึงตอนนั้นเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 09-09-2019 20:40:42
เป็นกำลังใจให้น้องก้องผ่านเรื่องร้ายไปได้เร็วๆน้า เมื่อไรจะหมดเคราะห์หมดโศกสักทีลูก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-09-2019 21:55:22
สงสารก้องเลย จะแฮปปี้หน่อยก็มีเหตุอีกล่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-09-2019 22:29:52
ออกัสนายเห็นไหมว่าสร้างปัญหาเรื้อรังน่าปวดหัวให้ก้องแค่ไหน
ก้องมีชีวิตของตัวเองอยู่ดี ๆ ต้องกลายเป็นขี้ปากชาวเน็ต
พี่อู๋ไม่ใช่เสี่ย พี่อู๋แค่อ้วน
หวังว่าปัญหาจะไม่ลุกลามบานปลาย ขอให้ก้องและพี่อู๋ผ่านทุกอย่างไปด้วยความราบรื่น
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 09-09-2019 22:50:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-09-2019 23:02:09
เอ้า ดราม่ามาอีกละ ปัญหาไม่จบไม่สิ้นสักทั เฮ้อ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-09-2019 23:07:33
มีเรื่องอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-09-2019 23:47:56
แฮปปี้มาตลอดเลย ดันมาเจอระเบิดช่วงท้าย  :z3: อยากดีด #กัสก้อง ให้หายไปจากวงโคจร น้องก้องฉันมีเรื่องให้คิดไม่หยุด

เอ็นดูหมูอู๋จัง 555 พี่อู๋XL พระเอกมีพุง ตั้ลล้าคค
ชอบความเรียลของเรื่องนี้ พระเอกไม่ได้เพอเฟก แม้จะหล่อและรวย แต่พี่อู๋ก็คนธรรมดาคนนึงที่มีไขมันแทนที่กล้ามเนื้อได้เหมือนกันน 555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 09-09-2019 23:57:56
จะหวานเข้าหน่อยไม่ได้เล๊ยยยย เรื่องมาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 10-09-2019 00:46:03
มันจะดีๆยาวๆนี่ไม่ได้เลยยยยยย  เดี๋ยวพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แทบไม่ได้หายใจหายคอ งานนี้อยากให้ก้องนิ่งๆไว้ ปล่อยผู้ปกครองจัดการ ไม่งั้นจะกลายเป็นกอริล่าก้องผู้ดำดิ่งไปอีกรอบ

แงงงงงงง น้องงงงงงงงง  :-[
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 10-09-2019 03:15:39
ฮือ ต้องเข้มแข็งน้า พี่อู๋ต้องช่วยน้องนะ แงๆๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-09-2019 06:04:21
ใครกันนะช่างรู้ดี รู้ดีกว่าเจ้าตัวเขาอีก ก้องตั้งสติไว้ลูก งานนี้คงต้องให้พี่หมูอู๋ช่วยจัดการ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 10-09-2019 08:01:19
โอ้ยยยยยย น้องก้องของพี่


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 10-09-2019 09:55:01
หึยยย... กัสก้อง อะไร เด่วจะโดนนน..
น้องก้องของพี่..  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-09-2019 19:42:54
 :กอด1:


 :L1: :pig4: :L1:

 :3125:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 10-09-2019 20:06:34
 :katai1:  จะให้ก้องมีชีวิตที่สงบสุขไม่ได้หรือไวนะ(ไม่ได้ว่าคนแต่งน้าาาาาา  ว่าพวก #กัสก้อง)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 11-09-2019 19:12:08
ขอยืมตัวกอลลิล่าก้องไปทำบุญเก้าวัดพร้อมอาบน้ำมนต์สักเจ็ดวันนะคะ มรสุมเหลือเกินลูกกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-09-2019 20:39:42
เรื่องนี้ต้องถึงหูหมูอู๋ บอกว่าเป็นเสี่ยพอรับได้ แต่บอกว่าแก่คือรับไม่ไหวจริงๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 20-09-2019 05:11:20
ดราม่าไม่จบสักที๊ ชีวิตน้องก้องคือแบบต้องไปล้างซวยอ่ะจ้ะะะะ
สงสารแทน :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: INK@PANTIP ที่ 20-09-2019 15:53:06
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ


5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said.



เรื่องราวของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งที่กำลังจะกระโดดสะพาน แต่ดันมีคุณลุงขี่สกู๊ปปี้ไอสีฟ้าเข้ามาขัดขวาง และหลังจากนั้นแผนการฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลย

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


Story by : Ms.Ambiguous

สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องก้องไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ♡´・ᴗ・`♡
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 37 update!] 9/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: INK@PANTIP ที่ 20-09-2019 15:54:29
 :man1: เมื่อไหร่มาลงอีกคะ รอวันฟิน :impress2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-09-2019 19:55:12
38 [PART1/3]


ความรู้สึกอย่างแรกคือกลัว สองคือไม่เข้าใจ สามคือโมโหเพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ความรู้สึกพวกเหล่านี้เข้าโจมตีผมโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้เตรียมใจอ่านข้อความซุบซิบเหมือนข่าวเมาธ์ดาราเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม

ก้องเด็กเสี่ยจริงเหรอคะ?

ผู้หญิงคนหนึ่งเมนชั่นถามทวิตข้างบน ผมรออยู่นานมากกว่าเจ้าของทวีตจะกล้ามาตอบไหม แล้วเธอก็มาจริงๆ

จริงจ้า เพื่อนในคณะรู้กันมานานแล้วว่า #กัสก้อง แค่เรียกกระแสเพราะก้องนางมีตัวจริงอยู่แล้วก็คือพี่คนนี้นี่แหละ
รู้ได้ไงอ่ะ ไปมุดเตียงเค้ามาเหรอถึงกล้าพูด
ไม่มุดก็เหมือนมุดจ้า เพื่อนสนิทนางเมาธ์เองเลย

เพื่อนสนิทของผมเหรอ?

มันจะเป็นใครได้อีกนอกจากทราย

ผมแคปหน้าเจอทวีตนั้นก่อนจะส่งหาทรายแล้วถามว่ามึงเหรอ น้ำตาลทรายกดอ่านอย่างรวดเร็วและรีบโทรหาผมทันที น้ำเสียงของมันกระวนกระวายบอกว่าไม่เคยเอาเรื่องของผมไปเล่าให้ใครฟัง ไม่เคยจริงๆ ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้สนิทกับใครถึงขนาดเอาเรื่องผมไปคุยต่อได้ แต่ผมรู้สึกว่าข้อแก้ตัวนี้ฟังไม่ขึ้น ถึงไม่สนิทก็เล่าได้ เรื่องของชาวบ้าน มีใครบ้างจะไม่ชอบ

“ก้อง กูสาบานเลย สาบานต่อหน้าพระที่บ้านเลยว่ากูไม่เคยเอาเรื่องมึงไปพูดกับใคร”
“งั้นจะมีคนรู้ได้ไงว่ากูคบกับพี่อู๋ กูไม่เคยเล่าให้ใครฟังนอกจากมึง”

น้ำตาลทรายยืนยันเสียงแข็ง แถมยังท้าผมให้พาไปสาบานเก้าวัดว่าไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าวทำร้ายนายก้องเกียรติจริงๆ ผมนิ่งไปพักหนึ่งเพื่อครุ่นคิด ใช่ ผมไม่เคยบอกใครนอกจากน้ำตาลทราย แต่เป็นไปได้หรือเปล่าที่ทรายจะเผลอเล่าต่อให้คนสนิทฟังโดยไม่คิดอะไร ผมถามทรายว่านอกจากผมแล้วมันเคยคุยเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกไหม มันเงียบไปอยู่พักใหญ่ราวกับนึกขึ้นได้แต่ไม่กล้าพูด ผมเค้นถามด้วยอารมณ์ว่ามึงหลุดปากบอกใคร มึงเมาธ์ให้ใครฟัง น้ำตาลทรายจึงยอมสารภาพ

“กู – กูเคยคุยกับมิวเรื่องมึงว่ะ”
“มึงนินทากูเหรอ?”

ผมผิดหวังมากเพราะไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจจะร้ายได้ขนาดนี้ แต่น้ำตาลทรายรีบบอกว่ามันไม่ได้นินทา คำพูดของมันไม่เรียกว่านินทาด้วยซ้ำ เอางี้มึงรออ่านในไลน์แล้วกันเดี๋ยวกูจะแคปหน้าจอให้ดู ผมนั่งรอไม่ถึงนาที รูปแคปสกรีนมากมายหลายสิบรูปก็ถูกส่งมาทางไลน์ มันเป็นบทสนทนาระหว่างน้ำตาลทรายและมิวที่พูดถึงผม เนื้อหาไม่ได้นินทาเมาธ์มอยเหมือนที่เพื่อนว่า ทั้งสองคนแค่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันตามประสาเพื่อนสนิท

มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ผมกับน้ำตาลทรายไม่ใช่เพื่อนสนิทที่มีกันแค่สองคน แต่ทรายก็สนิทกับมิวด้วย มันคือความสัมพันธ์สามคนที่มีทรายยืนอยู่ตรงกลาง ในขณะที่ผมระบายให้เธอฟัง เธอก็ส่งต่อข้อความนั้นให้มิวอีกทอดเพื่อเล่าว่า เออ เนี่ย ไอ้ก้องมันเจอปัญหานะ ซึ่งการแลกเปลี่ยนกันทำให้มิวมีข้อมูลเท่าทรายโดยที่ผมไม่ได้อยากเล่าให้มิวฟัง เท่ากับว่าความลับของผมไม่ลับ มันคือเรื่องเล่าแบบปากต่อปากอย่างนั้นเหรอ

“ก้อง มึงใจเย็นๆ กูว่ามิวไม่ได้ทำหรอก”
“ถ้าไม่ทำ แล้วมันจะมีคนหาว่าพี่อู๋เป็นเสี่ยได้ไง?”

ทรายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมว่ามันเองก็ไม่ได้มั่นใจในตัวมิวร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น ผมจึงบอกทรายว่าไปเคลียร์กับมิวให้รู้เรื่องก่อน ถ้ามึงหาตัวคนทวีตพล่อยๆแบบนั้นไม่ได้ ก็ไม่ต้องคบกูเป็นเพื่อนอีก

น้ำตาลทรายรับปากก่อนจะหายไปเกือบสิบห้านาที ปล่อยให้นายก้องเกียรติอ่านข้อความแย่ๆที่คนอื่นพาดพิงถึงตัวเองอยู่ตั้งนาน หน้าตาบ้านๆบ้างล่ะ ปั่นหัวผู้ชายบ้างล่ะ แต่ละคนทวีตด่าเหมือนอยู่กับนายก้องเกียรติตลอดเวลา ล่าสุดคือลามปามถึงพี่อู๋ด้วยคำพูดคำจาทุเรศที่ผมอ่านแล้วรับไม่ได้ มันแย่มาก แย่จนอยู่เฉยไม่ได้เมื่อมีคนขุดคุ้ยไปถึงว่าผมกับพี่อู๋อยู่บ้านเดียวกัน กินอยู่ด้วยกันแล้ว หลังจากนั้นอีกหลายๆทวีตก็พูดเป็นทำนองเดียวกันว่าเด็กเสี่ย เด็กเสี่ย มีคนตามรับตามส่ง พาไปเที่ยวทุกอาทิตย์แบบนี้เป็นเสี่ยแน่นอน

เสี่ยเหี้ยอะไร

พี่อู๋ไม่ใช่เสี่ย เขาเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ เขาไม่ใช่พวกจ่ายเงินซื้อเด็กมากินเหมือนที่คนพวกนั้นกล่าวหาเสียหน่อย ไอ้พวกปากพล่อยก็เมาธ์ซุบซิบกันสนุกสนาน ใส่สีตีไข่ไปเรื่อยราวกับรู้จักเราสองคนจริงๆ ผมที่นั่งอ่านข้อความทั้งหมดเริ่มรู้สึกเครียด เครียดกับทุกคำกล่าวหาที่พวกเขาชี้มาที่เราสองคน แม้ว่าในบางแง่มุมของความสัมพันธ์มันอาจจะเหมือนเสี่ยบ้าง แต่พี่อู๋ไม่ได้ซื้อผมเพราะเซ็กส์ เขาเลี้ยงผมด้วยความเมตตามาตั้งแต่แรก ไม่มีเรื่องอุบาทว์อย่างนั้นปนอยู่เลย พอเถอะ -- ยิ่งพูดผมก็ยิ่งตกผลึกกับคำว่าเด็กเสี่ย ผมเกลียดจริงๆที่สถานะของเรามันคล้ายกับคำครหา แต่ที่ผมเกลียดยิ่งกว่าคือมีคนทวีตว่า

เด็กเสี่ยควรสวยๆนมใหญ่ๆหรือไม่ก็หน้าตาดีหน่อย นี่หน้าบ้านมาก ตลาดนัดมาก ทำไมมีคนเลี้ยงวะ ขนาดกูยังไม่มีเสี่ยมาขอเลี้ยงเลย

เพราะมึงปากแบบนี้หรือเปล่าเลยไม่มีคนสนใจ 

ผมก่นด่าด้วยคำหยาบคายอีกหลายประโยค ไม่รู้ว่าแฟนคลับของออกัสเป็นประสาทหรือยังไงถึงมีปัญหากับชีวิตส่วนตัวของผมนัก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมถึงเชียร์ให้ผมกับออกัสเป็นแฟนกันออกหน้าออกตา ตัดต่อรูป ทวีตประโยคน่าอึดอัดโดยไม่สนว่าเรารู้สึกยังไง แต่พอรู้ว่าแฟนตัวจริงของนายก้องเกียรติคือพี่อู๋กลับด่าสาดเสียเทเสียเหมือนความรักของเราผิดนักหนา ทั้งๆที่พี่อู๋ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันทำไมไม่จิ้นผมกับพี่อู๋บ้าง แค่ไม่ใช่ออกัสก็ผิดเหรอ แค่ไม่ใช่คนที่พวกเขาชอบนี่แย่มากเลยเหรอ ทำไมต้องว่าผมขนาดนี้ ผมทำอะไร ผมไม่ใช่ดารานะ ไม่เคยทำงานในวงการบันเทิงด้วย ทำไมวันนี้ผมต้องโดนรุมด่าแค่เพราะมีดาราตามจีบแล้วไม่ชอบ มันไม่ยุติธรรมเลย ผมอยู่ในมุมมืดมาตลอด ไม่เคยอยากได้สปอตไลท์ ไม่เคยอยากเป็นจุดสนใจ ทุกคนนั่นแหละตามหาเองว่าผมคือใคร ตามหาแล้วก็ระรานชีวิตส่วนตัวของผม

โอเค – ผมคงมีส่วนผิดอยู่บ้างที่ยอมให้ถ่ายรูป

พวกเขาอาจคิดว่าผมเห็นดีเห็นงานและปลื้มนักหนาที่มีคนมาชอบ ผมผิดเองที่ทำให้พวกเขาคิดแบบนั้น แต่ถ้าผมอยากเกาะกระแสออกัสดัง ผมคงรับงานคู่กับมันไปแล้ว ไม่อยู่เงียบๆแบบนี้หรอก ไอ้พวกเหี้ย

ผมโมโหจนน้ำตาซึม โมโหจนอยากกรี๊ดอัดหมอนเพราะไม่รู้จะโทษใคร ใครมันทำให้ผมเป็นกระแสโดนด่าในอินเทอร์เน็ต ใครมันเอาเรื่องส่วนตัวของผมไปเมาธ์ต่อกันสนุกปาก ใคร – ใครมัน – ไอ้ชาติชั่ว ใครมันเอาอดีตของผมมากระจายในทวิตเตอร์

เราเรียนห้องเดียวกับก้องสมัยมอปลาย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าได้เรียนลาดกระบัง ไม่แปลกอ่ะที่ก้องจะมีเสี่ยเลี้ยงเพราะแม่ก้องผูกคอตายวันสอบโอเน็ต ถ้าไม่มีพี่คนนี้มันจะกินจะอยู่ยังไง #คิดบ้างนะ #สงสารก้อง

ผมร้องอัดหมอนเสียงดัง กรีดร้องด้วยความโมโหที่เพื่อนสมัยเรียนทำให้ทุกอย่างแย่ลงด้วยการเอาอดีตส่วนตัวของนายก้องเกียรติมาเผยแพร่ มึงจำเป็นต้องเอาเรื่องส่วนตัวกูมาเล่าขนาดนี้เลยเหรอ ต้องประกาศให้คนทั้งประเทศรู้เลยเหรอว่าแม่กูผูกคอตาย ผมโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ โกรธจนร้องไห้ จนต้องส่งข้อความในไลน์กลุ่มมอหกทับสามเพื่อหาตัวคนทำว่ามันเป็นใคร ผมใส่อารมณ์กับข้อความนั้นค่อนข้างแรง และผลลัพธ์ของมันก็คือเพื่อนทั้งห้องรับรู้กันหมดว่าผมเป็นเด็กของพี่อู๋ ผมเป็นเด็กเสี่ยในสายตาของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

คนทวีตข้อความนั้นไม่กล้าออกมายอมรับ ปล่อยให้หัวหน้าห้องคอยปรามผมให้ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจา ยังดีที่ฟิล์มเป็นคนมีจิตสำนึก มันพิมพ์ในไลน์กลุ่มว่าไม่ว่าคนทวีตจะเป็นใครก็ลบเถอะนะ สงสารก้องบ้าง อย่าทำแบบนี้กับเพื่อนเลย หลังจากนั้นไม่ถึงสองนาที ทวีตต้นทางที่พูดถึงแม่ก็ถูกลบไป แต่คำพูดของมันยังคงอยู่เพราะมีคนแคปเก็บไว้

ผมเหมือนคนโรคจิตที่ไม่สามารถหยุดรีเฟรชทวิตเตอร์ได้ ผมเจ็บที่โดนด่า แต่ก็ยังอยากรู้ว่าพวกเขาพูดถึงนายก้องเกียรติยังไง ตลอดสิบห้านาทีมีแต่คำว่าเด็กเสี่ย หน้าบ้าน ไม่ควรได้ผู้ชายงานดี เล่นตัว สร้างกระแส แต่จู่ๆก็มีทวีตนึงออกโรงปกป้องผม

เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับก้อง อยากบอกว่า #กัสก้อง ไม่เคยมีอะไรตั้งแต่แรกนะ ก้องกับออกัสเคยสนิทกันจริง แล้วก็ห่างๆกันไปเพราะกระแสคู่จิ้นด้วยซ้ำ ถ้าจะบอกว่าก้องหลอกใช้ออกัสก็ต้องตั้งคำถามก่อนว่าตั้งแต่มีคู่จิ้น ใครได้ผลประโยชน์มากที่สุด ที่แน่ๆไม่ใช่ก้อง

หลังอ่านจบ ประโยคแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ ใคร? ใครเป็นเจ้าของทวีตนี้ พอลองคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ก็ไม่เห็นข้อมูลส่วนตัวอะไรนอกจากรูปดาราเกาหลี ผมเดาได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นมิวแน่ๆ มิวคงเข้ามาช่วยแก้ข่าว ถึงแอคเคาท์ของมิวจะเป็นคนละคนกับทวีตกล่าวหาว่าเป็นเด็กเสี่ย แต่เรายังไม่เคลียร์กันนะว่าใครเป็นคนปากพล่อย เอาเรื่องพวกนี้มาพูดในแฮชแท็กให้ผมโดนรุมจิกเหมือนแร้งขนาดนี้

สรุปก้องเป็นเด็กเสี่ยจริงป้ะค้ะ?

มีคนเมนชั่นถามมิว

ก้องไม่ใช่เด็กเสี่ยค่ะ พี่ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนตัวจริงของก้องค่ะ
แบบนี้เท่ากับว่าก้องแกล้งทำเป็นกิ๊กกับออกัสเพราะอยากเข้าวงการอ่ะดิ
ย้อนกลับไปอ่านต้นทวีตของเราใหม่อีกครั้งนะคะ ก้องไม่เคยชอบออกัสค่ะ เพื่อนที่เคยจับกลุ่มติวเป็นพยานทุกคนว่าก้องเคยบอกให้ออกัสลบคลิปที่มีหน้าก้องออก แต่ออกัสก็ไม่ทำ
งงอ่ะ ถ้าไม่ได้ชอบออกัส จะแสดงออกว่ามีใจให้ทำไม
ตอนไหนคะที่ก้องแสดงออกว่าชอบออกัส? เพื่อนในกลุ่มดูออกหมดนะคะว่าก้องไม่เล่นด้วย ไม่เคยเล่นด้วยเพราะก้องมีแฟนอยู่แล้ว ไม่เชื่อลองถามคนในภาคแมคคาได้ค่ะ รู้กันทั้งนั้น

ผมอ่านทวีตของมิวที่คอยตอบโต้แฟนคลับกัสก้อง ทุกครั้งที่มีคนเมนชั่นไปเถียง มิวจะชี้แจงในเวลาไม่ถึงสองนาทีและตอบทุกทวีตจริงๆ มิวแก้ตัวให้ผมได้ซักพักก็โทรศัพท์มาหาเพื่อขอโทษ ขอโทษที่ปากพล่อย เอาเรื่องของก้องเกียรติไปเล่าให้เพื่อนสมัยมอปลายฟังต่อ มิวบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะเล่า และตอนเล่าก็ไม่ได้ใส่สีตีไข่อะไร เพื่อนมิวเป็นแฟนคลับกัสก้อง มันแค่อยากให้เพื่อนเลิกจิ้นเลยพูดมากไปหน่อย ขอโทษนะก้อง

“อืม”

ผมตอบแค่นั้น จะโกหกมิวว่าไม่เป็นไรก็คงไม่ได้เพราะทวีตของเพื่อนมิวที่บอกว่าผมเป็นเด็กเสี่ยทำให้กระแสก้องเกียรติหน้าเหี้ยลุกลามในทวิตเตอร์ ผมถามมิวว่าเพื่อนมันลบทวีตต้นทางหรือยัง มิวบอกว่าลบแล้ว ลบหมดและขอโทษแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเพราะชาวเน็ตก็คงแคปทวิตนั้นไว้และพูดถึงต่อไปไม่มีทางหยุด

“ก้อง มึงไม่ต้องเครียดนะ กระแสพวกนี้สองสามวันก็หาย ไอ้ออกัสไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ขนาดนั้น คนรู้จักมันแค่กลุ่มเล็กๆเอง”

มิวพยายามปลอบด้วยการลดความเด่นดังของออกัสลงเพื่อให้ผมสบายใจว่ากลุ่มคนที่ด่านายก้องเกียรติก็แค่คนกลุ่มน้อย ผมเหลือบมองตัวเลขทวีตที่ติดแฮชแท็ก #กัสก้อง แล้วอยากจะร้องไห้ คนกลุ่มน้อยงั้นเหรอ? คนกลุ่มน้อยที่ทวีตกันไปแล้วสองหมื่นกว่าทวีต คงเป็นคนกลุ่มน้อยสำหรับมิว แต่มันไม่น้อยเลยเมื่อคิดว่ามีคนด่านายก้องเกียรติตั้งสองหมื่นคน

“ก้อง กูขอโทษจริงๆนะ”
“อืม”
“กูจะช่วยแก้ข่าวให้มึงเอง ไม่ต้องเครียด ใครๆก็รู้ว่ามันไม่จริง”

อ๋อเหรอ ผมคิดในใจ ใครๆก็รู้ว่ามันไม่จริง แต่ในแฮชแท็ก #กัสก้อง มีแต่คนด่าผมทั้งนั้น ไม่วิจารณ์หน้าตาก็ด่าว่าพยายามเกาะกระแสออกัสเพื่อเข้าวงการ ผมอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้ามันทุกคนที่คิดว่าผมสร้างเรื่อง อยากจะสืบไอดีแอดเดรสจนเจอว่าบ้านมันอยู่ไหน แล้วผมจะขอให้พี่อู๋ขับรถพาไปเพื่อถุยน้ำลายใส่หน้าให้หายแค้น แต่ผมรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนตามที่มิวบอกและรอให้กระแสซาลงเท่านั้น

ผมคุยกับมิวอีกแค่นิดหน่อยก็วางสายเพราะไม่รู้จะคุยอะไร ทั้งโกรธทั้งเสียใจที่ทรายเอาเรื่องของผมไปเล่ามิว ส่วนมิวก็ไปบอกคนอื่นต่อโดยไม่แคร์เลยว่าผลกระทบที่ตามมามันร้ายแรงแค่ไหน หลังวางสายไม่กี่นาทีทรายก็โทรมาใหม่ มันขอโทษเสียงอ่อยและพยายามง้อขอคืนดี แต่ผมไม่มีอารมณ์เล่นหรอก โดนด่าว่าหน้าเหมือนหมาจากคนเป็นร้อยจะให้อารมณ์ดีได้ไง มึงลองโดนบ้างดิทราย แล้วจะรู้ว่าการถูกทรีทเป็นพลเมืองชั้นสองแค่เพราะไม่สวยไม่หล่อมันรู้สึกแย่ขนาดไหน

ทรายยังคงชวนคุยโดยหวังว่าผมจะรู้สึกดีขึ้น แต่เปล่าเลย ยิ่งคุยยิ่งเกิดเดดแอร์เพราะผมไม่มีสมาธิโฟกัสอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนรีเฟรชแฮชแท็ก ถึงจะเจ็บจี๊ดในอกทุกครั้งที่เห็นคนทวีตด่าแต่มันก็อดไม่ได้ ผมอยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไงกับนายก้องเกียรติ จะมีใครซักคนช่วยดึงสติคนพวกนี้บ้างไหม หรือด่ากันตามน้ำโดยไม่สนใจทวีตของมิวที่อธิบายซ้ำๆเหมือนกรอเทป ผมอดทนอ่านต่อไปได้แค่สิบนาทีก็วางสายทรายแล้วโทรหาพี่อู๋ ทันทีที่ได้ยินเสียงฮัลโหลของเขา ผมก็ร้องไห้โฮ

พี่อู๋ตกใจมากที่นายก้องเกียรติระเบิดเสียงร้องดังลั่น เขาถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น ผมจึงบอกให้เขาเปิดทวิตเตอร์ พี่อู๋รีบทำตามก่อนจะสบถคำหยาบออกมาหลายชุด เขาบอกว่าไม่ต้องไปสนใจหรอก เลิกอ่านได้แล้ว คนพวกนี้มันประสาทแดกเกินว่าจะลดตัวลงไปคุย ไม่ต้องคิดมากนะเพราะสำหรับพี่ ก้องน่ารักที่สุดในโลก ผมบอกผู้ปกครองว่าที่เสียใจไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอก พี่เห็นไหมว่ามีคนทวีตว่าผมเป็นเด็กเสี่ย เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเพื่อนตอนมอปลายก็ทวีตว่าแม่ผมผูกตาย ตอนนี้ทุกคนปักใจเชื่อหมดแล้วว่าผมขายตัวหาเงิน ผมไม่ได้ขายตัว ผมไม่ใช่เด็กเสี่ย ทำไมต้องกล่าวหาผมแบบนั้นด้วย

ผมฟูมฟายด้วยความเสียใจ แต่เสียใจได้ไม่นานก็เงียบเพราะรู้สึกว่ายิ่งร้องยิ่งเหนื่อย ผมไม่รู้เลยว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร สู้กับความเกรี้ยวกราดของแฟนคลับออกัสแค่เพราะผมไม่คบกับมัน หรือสู้กับกระแสไอ้ก้องหน้าเหี้ยแต่ทำไมมีแฟนหล่อกันแน่ ในแฮชแท็กด่ากันเละเทะไม่ปะติปะต่อเท่าไหร่ อย่างล่าสุดมีคนตั้งคำถามว่าทำไมทวีตเด็กเสี่ยและทวีตที่ออกมาบอกว่าแม่ผูกคอตายถึงหายไป บ้างก็บอกว่าเสี่ยสั่งให้ลบ บ้างก็บอกว่าโดนผมขู่จะแจ้งพรบ.คอม มันเละเทะเหมือนอาหารเปียกในถังขยะ และผมรังเกียจคนพวกนี้จนอยากจะจับพวกมันมารวมกันให้ไปเจอที่สน.รวดเดียว

“เดี๋ยวพี่ขับรถไปนอนด้วยดีไหม?”

พี่อู๋ถามเมื่อผมเงียบอยู่นาน แต่มันดึกมากแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้เขาก็ต้องทำงาน ผมจึงไม่อยากให้เขามาเท่าไหร่ ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยคิดมากเหมือนช่วงแรกๆที่แฮชแท็กนี่ติดเทรนด์แล้ว ตอนนี้ผมสบายดี เดี๋ยวก็นอนแล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

พี่อู๋อยากมา ผมรู้ว่าเขาอยากมาใจแทบขาดแต่เขาทิ้งงานไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงอยู่เป็นเพื่อนคุยจนผมเผลอหลับไปครู่ –




ต่อ Part 2 ข้างล่างนะฮับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-09-2019 19:56:51
38 [Part 2/?]


นาฬิกาบอกเวลาว่าตีหนึ่งสามสิบเจ็ดนาที

พี่อู๋วางสายไปแล้ว ข้อความสุดท้ายในไลน์คือไม่ต้องกังวลเพราะเขารักผมมาก เดี๋ยวเขาจะจัดการให้เอง ผมส่งสติกเกอร์หัวใจดวงใหญ่ให้เขาและพิมพ์ตอบว่ารักเหมือนกันก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย มองฝ้าเพดานสีขาวด้วยความรู้สึกอึนๆหน่วงๆ

ผมหลับโดยไม่ได้ปิดไฟในห้องจึงลุกขึ้นไปจัดการให้เรียบร้อย พอล้มตัวลงนอนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่ายังมีคนด่าผมอยู่อีกหรือเปล่า แน่นอนว่าแฮชแท็กส้นตีนนั่นยังติดเทรนด์ พวกเขายังด่าผมอยู่ สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่คำด่าพวกนั้น แต่เป็นข้อความในไลน์กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมต่างหาก

ไอ้ก้อง สายเหลืองเหรอมึง เนียนเลยนะ 555
อีจิ๋มมี่ ไอ้ก้องเป็นพวกเดียวกับมึงอ่ะ

ผมกำหมัดแน่น พิมพ์คำหยาบหนึ่งพยางค์ ประกอบด้วยพยัญชนะสามตัวที่ขึ้นต้นด้วยค.ควายลงท้ายด้วยย.ยักษ์ก่อนจะกดลีฟกรุ๊ป ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนสมัยมัธยมอีก นอกจากนี้ยังมีไลน์ของมิวและทรายที่คอยปลอบใจอยู่เรื่อยๆอีกนับสิบข้อความ ส่วนใหญ่มิวจะรายงานว่าแก้ตัวให้แล้วนะ กระแสเริ่มตีกลับบ้างแล้ว อย่าคิดมากนะ กูให้เพื่อนที่เคยทวีตว่ามึงเป็นเด็กเสี่ยออกมาขอโทษแล้ว มึงหลับแล้วเหรอก้อง เออ นอนนะ กูขอโทษจริงๆ กูผิดเองที่ไม่ระวัง แต่กูจะแก้ปัญหาให้มึง กูไม่ทิ้งขี้ให้มึงจัดการคนเดียวแน่นอน

อืม

ผมอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยความว่างเปล่า ไม่ได้ตอบเพื่อนทั้งสองด้วยสติกเกอร์หรือตัวอักษรใดๆทั้งสิ้นนอกจากกลับไปส่องแท็ก #กัสก้อง ต่อ ตอนนี้ทวีตแซะผมว่าหน้าบ้านแต่มีแฟนเป็นผู้ชายเบ้าหน้าดีเริ่มน้อยลงมากแล้ว มีทวีตนึงบอกว่าอิจฉาและอยากเกิดเป็นก้องเกียรติจริงๆที่มีผู้ชายหน้าตาดีสองคนตามจีบ ไม่รู้ทำบุญด้วยอะไร คนนึงเป็นดารา อีกคนเป็นหนุ่มออฟฟิศที่หล่อเหี้ยๆ ผมอ่านทวีตนั้นแล้วได้แต่แค่นหัวเราะ อิจฉาเพราะมีแฟนหล่อเหรอ –

มีแฟนหล่อแต่เห็นศพแม่เธอผูกคอตายตรงบันได ขาดสอบโอเน็ต ไฟไหม้บ้าน ไม่มีสินทรัพย์เป็นของตัวเองเหลือซักชิ้น ต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันตั้งสองปีอีก เธอว่ามันน่าอิจฉาไหม เป็นผม ผมไม่พูดคำนี้ออกมานะ เหมือนไม่ผ่านการกลั่นกรองใดๆ สิ้นคิดและตื้นเขินเหมือนที่พี่อู๋ว่าจริงๆ

ผมปรือตาอ่านทวีตต่อไป ไม่ได้รู้สึกเจ็บจี๊ดเท่าไหร่เพราะยังง่วงๆเบลอๆอยู่ ไทม์ไลน์ตอนนี้ไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อนหน้า สงสัยเด็กๆคงรีบปิดไฟนอนเตรียมตัวไปโรงเรียนแต่เช้าไม่งั้นจะถูกแม่ตี ผมไล่อ่านไปเรื่อยๆเพราะอยากรู้ว่ามีใครด่าผมได้เจ็บแสบกว่านี้อีกไหม แล้วก็เจอทวีตสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดที่ค่อนข้างเป็นกลาง ไม่ด่าไม่โทษว่าเป็นความผิดใคร เหมือนเป็นลุงสรยุทธ์มาสรุปข่าวสั้นๆให้คนฟังเฉยๆ ผมจึงลองกดเข้าไปส่องดู

สรุป #กัสก้อง นะ ตัวละครไม่ซับซ้อนมีแค่สามตัว
1.ออกัส เป็นคิ้วบอยมาก่อน ดังพอสมควรตั้งแต่มอปลาย เข้ามหาลัยก็เริ่มมีงานในวงการ ตอนนี้เป็นพระเอกซีรี่ส์วายกำลังจะออนแอร์เดือนหน้า
2. ก้อง เป็นเพื่อนวิศวะ สนิทกับออกัส เมื่อก่อนถ่ายรายการลงยูทูปด้วยกันบ่อยๆ คนเลยเริ่มจิ้น #กัสก้อง (1)

กระแสดีมากอยู่ช่วงนึง ใครๆก็ชอบ #กัสก้อง เพราะมันดูธรรมชาติ ไม่ยัดเยียด ออกัสก็แสดงออกว่าชอบ มีคนเคยเห็น #กัสก้อง ไปกินข้าว ไปรับไปส่งกันบ่อย แฟนคลับเลยคิดว่าคู่นี้คบกันจริง แต่ๆๆ ทุกครั้งที่เจอก้องไปเที่ยวข้างนอก ก้องไม่เคยไปกับออกัสเลย ไปกับผู้ชายคนนึงตลอด (2)

ซึ่งพี่ผู้ชายคนนี้คือตัวละครที่สาม ชื่ออะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเจอก้องทีไรก็จะเจอพี่คนนี้ด้วยตลอด คนที่เคยขอก้องถ่ายรูปคอนเฟิร์มว่าจริง เขาเป็นคนถ่ายให้เองด้วย แต่ไม่มีใครคิดอะไร คิดว่าคงมากับพี่หรือคนในครอบครัวเพราะเขาดูโตกว่าเยอะ ไม่แก่นะ แต่ดูออกอ่ะว่าไม่ใช่รุ่นเดียวกับเรา (3)

จนกระทั่ง #บตบก คนหนึ่งทำ vlog ในบาร์บีก้อนแล้วติดก้องกับพี่คนนี้ คือเค้ามากินกันสองคน ตอนแรกก้องหันหน้าเข้าหากล้อง ซักพักพี่คนนี้ก็สลับที่ให้เหมือนจะช่วยบังไม่ให้ติดหน้าแต่ก็ไม่รอดเพราะบตบก.คนนั้นไม่เบลอหน้า คนเลยตั้งคำถามว่าสลับที่ทำไมถ้าบริสุทธิ์ใจ มีความลับอะไรเหรอ (4)

แฟนคลับ #กัสก้อง ก็เลยออกมาตั้งคำถามว่าตกลงความจริงก้องคบกับใครกันแน่ ทำไมทำเหมือนชอบออกัสแต่ไปไหนมาไหนกับพี่คนนี้ตลอด เกาะกระแสออกัสหรือเปล่า อยากดังแน่ๆ แต่ประเด็นมันไม่จบแค่ตรงนี้เพราะมีแอคนึงออกมาแฉว่าเค้ารู้กันทั้งนั้นว่า #กัสก้อง ไม่จริง เพราะก้องเป็นเด็กเสี่ย (5)

ทีนี้แฟนก็ฮือฮากันว่าอะไรวะ นอกจากจะไม่ได้ชอบออกัส ก้องยังเป็นเด็กเสี่ยอีกเหรอ ตอนแรกมีคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนอีกคนออกมาทวีตประมาณว่าก็ไม่แปลก เพราะแม่ก้องเสียไปตั้งแต่มอปลายแล้ว คนยิ่งปักใจเชื่อว่าก้องเป็นเด็กเสี่ยแน่ๆ บ้านจน ไม่มีเงิน เข้าสเต็ปเด็กเสี่ยเลี้ยงมาก (6)

ต่อมามีแอคเคาท์นึงออกมาบอกว่าตัวเองอยู่กลุ่มเดียวกับ #กัสก้อง ยืนยันว่าก้องกับออกัสไม่เคยชอบกันเลย แถมก้องเคยห้ามไม่ให้อัปคลิปที่มีหน้าตัวเองลงยูทูปด้วย อันนี้จริงแท้แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่นางปกป้องก้องมาก แย้งทุกทวีตที่พยายามจับโป๊ะ แล้วทิ้งระเบิดเอาไว้สวยๆว่า (7)

ตั้งแต่มีกระแสคู้จิ้น #กัสก้อง ใครคือคนได้ประโยชน์มากที่สุด ลองคิดดู แต่คนยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่เพราะทวิตที่ออกมาว่าก้องเป็นเด็กเสี่ย กับแม่ผูกคอตายหายไปแล้ว หลายคนเลยคิดว่าเสี่ยสั่งให้ลบหรือเปล่า เสี่ยตามขู่หรือเปล่า เพราะจู่ๆก็ลบทิ้งไปไม่ชี้แจงอะไรเลย (8)

แฟนคลับยังคงด่าก้องเรื่อยๆ แต่หลังๆเริ่มเสียทิศทางเพราะมีคนทวิตบอกว่าเสี่ยของก้องเคยอยู่ในแท็ก #หนุ่มออฟฟิศหล่อบอกต่อด้วย เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ไม่รู้เป็นเสี่ยจริงมั้ย ไม่รู้ว่าทำงานอะไร รู้แค่ว่าหล่อ และก้องน่าอิจฉามากจ่ะที่มีผู้หล่อๆสองคนมารุมชอบ (จบ)

#อัพเดทเพิ่มเติม1 ทวิตที่บอกว่าก้องเป็นเด็กเสี่ยคอนเฟิร์มแล้วนะคะว่าเสี่ยไม่ได้สั่งลบ เจ้าตัวเค้าลบเองเพราะฟังต่อมาจากเพื่อนของก้องแล้วเข้าใจผิด ตอนนี้ก้องทะเลาะกับเพื่อนหนักมาก เค้าไม่อยากสร้างปัญหาก็เลยตัดสินใจลบเองจ้า

#อัพเดทเพิ่มเติม2 ส่วนทวิตเล่าเรื่องแม่ของก้องลบไปเพราะก้องขอ แต่เอาจริง มันก็ไม่ควรพูดนั่นแหละว่าแม่เค้าเสียเพราะอะไร ทวิตนี้เราว่าลบไปอ่ะดีแล้ว สงสารก้อง

#อัพเดทเพิ่มเติม3 มีคนหลังไมค์มาเล่าสู่กันฟังว่าเสี่ยของก้องไม่ใช่พนักงานกิ๊กก๊อกนะจ๊ะ นางเป็นล่ามญี่ปุ่นจ้า ชื่อพี่อู๋ หล่อมาก ตัวจริงหล่อกว่าที่เห็นในรูปอีก สมัยเรียนเกือบได้เป็นเดือนอักษร แต่นางโดดเชียร์ไปกินหอยทอดที่องค์พระทุกวันเลยชวด ตล๊กกก


เสือกเกินไปหรือเปล่าวะ

ผมขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อข้อมูลและเรื่องส่วนตัวของพี่อู๋ค่อยๆหลุดมาทีละนิด ตอนนี้แฟนคลับเลิกด่าผมแล้ว แต่หันมาสนใจผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเสี่ยเลี้ยงของก้องเกียรติแทน มันวุ่นวายชนิดที่คุมไม่อยู่ มีแฮชแท็ก #ล่ามหล่อบอกต่อด้วย แถมมีคนขุดรูปพี่อู๋สมัยเพิ่งเรียนจบมาอวยด้วย ไม่รู้ไปขุดมาจากไหนกัน ถ้าคนพวกนี้ตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ดีซักครึ่งหนึ่งของที่เสือกเรื่องผม ถนนของประเทศเราคงปูด้วยทองคำอย่างที่หม่อมราชวงศ์คนหนึ่งว่าไว้แล้ว

ข้อความพวกนั้นทำเอาผมหงุดหงิดโมโห อยากเมนชั่นไปด่ารายคนไม่ให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่อู๋ แต่ดูจากกระแสตอนนี้แล้วผมไม่ควรเคลื่อนไหวหรือแสดงตัวในโลกโซเชียลเด็ดขาด ผมนอนอ่านข้อความสรรเสริญความหล่อของพี่อู๋สลับกับข้อความด่านายก้องเกียรติว่าหน้าเหมือนหมา อยากสร้างกระแสเป็นคนดังเพราะจะเข้าวงการ อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นประสาทตาย ผมจึงวางโทรศัพท์ไว้ใต้หมอนแล้วเข้านอนครั้งที่สอง หวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา #กัสก้อง จะหายไปจากชีวิตของนายก้องเกียรติเสียที





เช้าวันนี้ผมไม่ได้ไปเรียนเพราะนอนตื่นสาย และตั้งใจว่าจะไม่โผล่หน้าไปไหนซักพักเพราะคิดว่ากระแส #กัสก้อง คงถูกพูดถึงกันในวงกว้างแล้ว

ตั้งแต่เมื่อคืนจนแปดโมงเช้า แฮชแท็กนรกก็ยังติดเทรนด์อยู่เหมือนเดิม ผู้คนยังให้ความสนใจกับหน้าตาของพี่อู๋ และก่นด่าโชคชะตาว่านายก้องเกียรติทำบุญด้วยอะไร ทำไมผู้ชายงานดีสองคนถึงหลงรักหัวปักหัวปำขนาดนี้ ไม่รู้ว่าชาวเน็ตเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่า ตอนแรกก็ด่าผมเหมือนหมูเหมือนหมา ตอนหลังก็อิจฉาที่มีแฟนหน้าตาดี ส่วนตอนนี้เริ่มคุยกันว่าออกัสจะมาไลฟ์ทุกวันจันทร์สองทุ่มเหมือนเดิมไหม หรือหายไปเพราะไม่อยากเป็นกระแสให้ใครโจมตี ผมอ่านแล้วได้แต่เบ้ปากกลอกตา หน้าอย่างไอ้ออกัสเหรอจะเงียบหายไม่อยากได้ซีน เผลอๆป่านนี้นั่งคิดสคริปท์เพื่อเรียกสปอตไลท์แล้ว

ผมนอนไถทวิตเตอร์อยู่เกือบชั่วโมง พอพี่อู๋โทรมาถึงได้พักเบรกจากข้อความเฮงซวยพวกนั้นบ้าง คุณอิศรินทร์ตกใจเมื่อรู้ว่าวันนี้นายก้องเกียรติโดดเรียน แต่เขาไม่ได้ตำหนิอะไรเท่าไหร่เพราะเข้าใจว่าผมไม่อยากเจอหน้าใครจริงๆ พี่อู๋บอกแค่ว่าให้เลิกอ่านทวิตเตอร์แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนที่ผ่านมา ยังไงกระแสพวกนั้นคงอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งวันก็เงียบไปเอง

ผมรับปากพี่อู๋ว่าจะดูแลตัวเองดีๆ จะไม่นอนซมในห้องทั้งวัน จะไม่อดข้าวหรือทำตัวเหลวไหลให้เขากังวล พี่อู๋ให้กำลังใจด้วยการพูดถึงทริปเมืองกาญจน์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อดทนไว้นะก้อง วันศุกร์นี้เราก็จะได้เจอกันแล้ว พี่จะพาก้องไปเที่ยวที่สวยๆ ไปกินของอร่อยๆ ไว้เราเจอกันพี่จะปลอบก้องอีกครั้งนะ ผมยิ้มจนแก้มแทบฉีกเมื่อจินตนาการตามผู้ปกครอง นั่นสิ อีกไม่กี่วันเราจะได้เจอกันแล้ว ผมไม่ควรปล่อยตัวเองให้จมกับเรื่องนี้เลย โฟกัสวันที่จะมีความสุขดีกว่า แบบนั้นคงสบายใจกว่ากันเยอะ

พอคิดได้ผมก็เริ่มปล่อยวาง พยายามกลับมาใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนเดิม ทรายกับมิวโทรมาหลายสายด้วยความเป็นห่วง แต่ผมบอกเพื่อนแล้วว่าไม่เป็นไร ผมไม่ไปเรียนเพราะไม่อยากเจอใคร ว่าแต่วันนี้ไอ้ออกัสไปเรียนไหม มันว่าอะไรบ้าง

“ไม่พูดอะไร ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ทรายบอก ผมจึงถามต่อว่าได้คุยกันบ้างไหม มิวตอบทันทีว่าคุยเรื่องแฮชแท็กนั่นแหละ ออกัสบอกว่ามันเห็นแล้วแต่ไม่รู้จะทำยังไง มันเองก็อยู่เฉยๆมาพักใหญ่ ใครจะไปคิดว่าบิวตี้บล็อกเกอร์คนนั้นจะอัดคลิปติดผมกับพี่อู๋แล้วกลายเป็นประเด็นได้

“แต่เย็นนี้มันจะมาไลฟ์นะ มันจะช่วยพูดกับแฟนคลับให้” ทรายบอก “มึงกินข้าวรึยัง? เดี๋ยวกูกับมิวซื้อไปให้เอาไหม?”

ผมบอกไม่เป็นไรแล้ววางสาย มันไม่รู้จะคุยอะไรต่อจริงๆในเมื่อสิ่งที่เราสามารถทำได้ตอนนี้คืออยู่เฉยๆจนกว่ากระแสจะซาลงไปเอง เท่ากับว่าผมต้องรออีกเจ็ดชั่วโมงกว่าๆเพื่อดูว่าออกัสจะสามารถหยุดเรื่องเฮงซวยพวกนี้ได้หรือไม่ หากถามความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่ามันทำไม่ได้หรอก ออกัสเป็นประเภทแคร์ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองจะตาย มันคงไม่บอกแฟนคลับตรงๆว่าหยุดบ้า หรือหยุดสาระแนเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเสียที อย่างมากก็คงพูดว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด อย่าระรานก้องกับแฟนอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง อ่ะ – กูคิดไดอะล็อคให้แล้วนะออกัส มึงหยิบไปใช้ได้เลย แต่ถ้าสองทุ่มนี้ไม่มีเรื่องดีๆหลุดจากปากมึง เวทีมวยเฉพาะกิจเกกีหนึ่งต้องเกิดขึ้นแล้วล่ะ




ออกัสไลฟ์สดผ่านทางอินสตราแกรมตอนสองทุ่ม แต่ผมไม่สนใจเพราะช่วงนั้นเป็นเวลาที่พี่อู๋ถึงบ้านพอดี

ปกติเราจะวิดีโอคอลหากันเวลาประมาณนี้ ผมจะคอยดูแฟนเดินไปเดินมาในบ้าน คอยบอกให้เขาเอาจานชามไปล้างในอ่าง บอกให้ใส่เสื้อผ้าลงตระกร้า บางทีก็มีโชว์ระบำหน้าท้องน่าเกลียดๆจากคุณอิศรินทร์ให้ดูด้วย มันคือช่วงสั้นๆที่เราได้เห็นหน้ากัน ได้คุยกันในแต่ละวัน ดังนั้นผมจึงไม่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สดของออกัส เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการได้คุยกับแฟนของตัวเองต่างหาก

พี่อู๋เป็นผู้ใหญ่กว่าที่ผมคิดไว้หลายเท่า เขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ปล่อยให้นายก้องเกียรติโดนด่าเพียงฝ่ายเดียว แต่เขาติดต่อโดยตรงไปที่บิวตี้บล็อกเกอร์คนนั้นเพื่อให้เธอลบคลิปออก ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง วิดีโอคลิปที่มีคนดูเจ็ดแสนและคอมเม้นต์เกือบครึ่งหมื่นก็หายไปจากยูทูป ส่วนเธอก็อัปวิดีโอแถลงการณ์ขอโทษที่ไม่เคยเซ็นเซอร์หน้าคนที่ติดเข้ามาในคลิปเลย เธอให้สัญญาว่าหลังจากแก้ไขวิดีโอนั้นจะอัปให้ดูใหม่ และจะเบลอหน้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกให้หมด เธอจะไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของใครอีก

ผมค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเลย คำขอโทษจากใจจริงกับการแก้ไขที่รวดเร็วทันการณ์คือสิ่งที่ผมกับพี่อู๋ต้องการ แต่การแก้ไขของบิวตี้บล็อคเกอร์คนนั้นไม่สามารถห้ามคำครหานินทาของผู้คนได้ เสี่ยสั่งมาบ้างล่ะ อิทธิพลของเสี่ยบ้างล่ะ บางคอมเม้นต์เหมือนไม่เคยเล่นทวิตเตอร์ถึงไม่รู้ว่ามีคนเอาข้อมูลส่วนตัวของพี่อู๋มาเผยแพร่ชนิดที่ไม่เหลือความเป็นส่วนตัวแล้ว เขาไม่ได้เป็นเสี่ย ไม่ได้รวยล้นฟ้า ไม่เคยซื้อเด็กมากิน เขาเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ถ้ามันคิดว่าพี่อู๋คือเสี่ย แล้วเสี่ยตัวจริงจะเรียกว่าอะไร โคตรเสี่ยเหรอ ไอ้ควาย

พอคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็ขอโทษพี่อู๋ที่ทำให้เขาโดนพาดพิงว่าเป็นเสี่ย คุณอิศรินทร์ไม่ว่าอะไร เขาไม่โกรธที่นายก้องเกียรติเป็นต้นเหตุให้มีรูปของเขาว่อนเต็มอินเทอร์เน็ต ผมถามพี่อู๋ว่าเพื่อนๆคนรอบตัวของเขารู้เรื่องนี้ไหม พี่อู๋บอกว่าส่วนใหญ่เพื่อนผู้หญิงจะรู้ เพื่อนของหมูพีก็รู้ แต่ไอ้ตั้มเพิ่งรู้เพราะมันไม่สนใจ ทวิตเตอร์มีไว้เมนชั่นด่า @prayutofficial เท่านั้น

“เพื่อนคุณหมูพีคงด่าพี่น่าดู”

ผมเสียใจจริงๆที่ทำให้พี่อู๋โดนด่า แต่เพื่อนของคุณหมูพีเป็นประเภทแค่ใบไม้ไหวก็ด่าแล้ว ไม่แปลกที่จะถล่มพี่อู๋จนเละเหมือนไปเหยียบหางพวกเขา พี่อู๋หัวเราะไม่ซีเรียส เขาบอกว่าไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ก้องทำใจให้สบายเถอะ คลิปก็ลบไปแล้ว หลังจากนี้ใครจะว่าจะด่าก็ช่างมัน เป็นเสี่ยมันไม่ดีตรงไหน ถ้าเสี่ยไม่ได้ค้ามนุษย์ ไม่ได้ขายยาหรือปลอมใบปริญญาก็ไม่เห็นน่าอาย ออกจะเป็นคำชมด้วยซ้ำ รวยแบบเสี่ย เท่แบบเสี่ย ชิคจะตาย ไปไหนมาไหนแล้วมีคนเรียกเสี่ยอู๋

พี่อู๋ทำให้ผมยิ้มได้ ในสถานการณ์ที่อึดอัดจนไม่รู้จะหันไปหาใคร ผมยังมีพี่อู๋คอยปลอบใจ คอยทำให้เรื่องห่าเหวพวกนั้นกลายเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อย ผมนอนคุยโทรศัพท์กับพี่อู๋จนถึงสี่ทุ่ม คุยไปก็ขำไปเพราะเขาแทนสรรพนามตัวเองเป็นเสี่ย พรุ่งนี้เสี่ยต้องทำงานแต่เช้า หนูก้องต้องไปเรียนหนังสือนะจ๊ะ แล้วเสี่ยจะให้ค่าขนม พรุ่งนี้เสี่ยต้องไปพบลูกค้า ไม่รู้ว่าจะคุยกันรู้เรื่องไหมนะ หนูก้องส่งวุ้นแปลภาษามาให้เสี่ยที อาทิตย์นี้เสี่ยจองที่พักแถวกาญจนบุรีเอาไว้ ว่าจะพาคนพิเศษไปพักผ่อนด้วยกันสองต่อสองเสียหน่อย หนูก้องอยากไปกับเสี่ยไหมจ๊ะ ถ้าอยากไปก็ต้องตั้งใจเรียนน้า เสี่ยรักเด็ก รักคนใฝ่เรียน เสี่ยรักหนูก้องที่ซู้ด

“พอเถอะพี่อู๋ ผมขนลุก”

ผมยิ้มแก้มแทบฉีกพลางใช้สองมือถูแขน คำพูดคำจาแต่ละอย่างของเขามันน่าขนลุกจริงๆ สุดท้ายพี่อู๋คีพคาแรคเตอร์ไม่อยู่ เขาหลุดขำก๊ากก่อนจะไล่ให้นายก้องเกียรติไปนอน พรุ่งนี้ต้องไปเรียนนะ ห้ามโดด เขาให้โควตาโดดหนีหน้าเพื่อนแค่วันนี้วันเดียว แต่พรุ่งนี้ต้องเรียน ถ้าไม่เรียนเขาจะไม่ส่งเงินให้จริงๆด้วย

“งั้นผมนอนแล้ว ผมรักพี่อู๋นะ”
“เสี่ยก็รักหนูก้องจ้า”

จะอ้วก

ผมเบะปากก่อนจะบ๊ายบายเขาแล้ววางสาย พี่อู๋นี่มันพี่อู๋จริงๆ กวนตีนไปเรื่อย แต่ผมเองก็หลุมรักเขาในมุมนี้เหมือนกัน ผมนอนบิดไปบิดมาอยู่สองสามที ตั้งใจจะเปิดไลน์อ่านข้อความที่มิวกับทรายรัวมาเสียหน่อย พอเห็นทรายฟ้องว่าออกัสหย่อนระเบิดอีกแล้ว หัวใจของผมก็หล่นวูบ รู้สึกกลัวจนลนลานไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนจนกระทั่งทรายส่งลิงค์ดูไลฟ์ในอินสตราแกรมให้ ผมจึงรู้เสียทีว่าออกัสมันสร้างปัญหาอีกแล้ว

ออกัสเริ่มต้นไลฟ์ด้วยการเซ็ทผมหน้ากล้อง ยิ้มเล็กน้อยให้พอดูน่ารัก ถามแฟนคลับว่ามากันรึยังครับ ยังเหรอ เดี๋ยวกัสรอนะ แล้วก็นั่งไขว่ห้างเล่นกีต้าร์เบาๆพอเป็นพิธี ยื่นหน้าเข้ามาดูกล้องใหม่ โอ้โห วันนี้คนมารอออกัสเยอะจังเลย มาจากไหนกันครับ คอมเม้นต์ใต้ไลฟ์ก็วิ่งรัว กรี๊ดดด ออกัส น่ารักมาก หล่อมาก เสื้อสวย กางเกงสวย หล่อจัง รวมถึง –

เห็นข่าวก้องยัง

ออกัสเมินเฉยทุกคำถามที่เกี่ยวกับผม นับว่าทำได้ดี เกือบจะดีอยู่แล้ว แค่นั่งเล่นกีต้าร์ พูดจาหวานๆหยอดให้แฟนคลับมีความสุขก็พอ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงก้องเกียรติที่กำลังมีความสุขกับแฟนของตัวเองหรอก ซึ่งออกัสไม่พูดถึงผมเลยก็จริง แต่ก็ไม่มีการชี้แจง การขอให้แฟนคลับหยุดด่าก้องเกียรติเลยซักคำ ผมถามทรายว่าแล้วไงวะ มันก็มาเกากีต้าร์ให้แฟนคลับดูปกตินี่ ไม่เห็นมีอะไร ทรายจึงบอกให้กรอกลับไปนาทีที่สิบเก้า จังหวะนั้นออกัสปรบมือขึ้นมาเฉยๆโดยไม่มีเหตุผลอะไร ทรายแคปคอมเม้นต์จากแฟนคลับให้ดู
 
Clap your hands if you asked K. to be your boyfriend
(ปรบมือ หากเธอเคยขอ เค เป็นแฟน)

แล้วมึงปรบมือทำเหี้ยอะไรวะออกัส!!!

ผม ทราย และมิวสร้างกลุ่มไลน์ขึ้นมาใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เราก่นด่าออกัสกันอย่างออกรสท่ามกลางกระแสเห็นอกเห็นใจนักแสดงวัยรุ่นชื่อดังบนโลกอินเทอร์เน็ต จากกระแสที่เริ่มซาก็กลับมาติดเทรนด์อีกครั้งเพียงแค่คราวนี้แฟนๆเทคะแนนความเป็นห่วงให้ออกัสโดยไม่รู้เลยว่าไอ้เหี้ยนั่นลอยตัวที่สุด บางทวีตปลอบมันซะผมนึกว่าบ้านมันไฟไหม้จนเหลือแต่ตัว บางคนก็สงสารเฉยๆไม่ได้ ต้องแว้งมาแซะนายก้องเกียรติซักนิดซักหน่อยให้พอสนุกปาก ที่มั่นหน้าหน่อยก็ด่าโต้งๆเลยว่าอีก้องมันเล่นตัว หน้าเหี้ย แถมยังหลอกให้ความหวังผู้ชาย ผมงงว่ากระแสตีกลับมาที่ตัวเองอีกครั้งได้ยังไง อุตส่าห์ไม่ขยับตัว ไม่เคลื่อนไหว ไม่ตอบโต้ใครแล้ว ทำไมแฟนคลับไอ้ออกัสยังหันมาจิกนายก้องเกียรติอีกจนได้

ผมกระวนกระวายไม่สบายใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน จะทักไปฟ้องพี่อู๋ก็ไม่อยากให้เขากังวลจึงได้แต่เก็บความหงุดหงิดเสียใจไว้กับตัวเอง ผมหลับๆตื่นๆอ่านข้อความด่าทอจนถึงเช้า พอเสียงนาฬิกาดังก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนหนังสือตามที่พี่อู๋สั่งไว้ ตั้งใจว่าจะไปเจอหน้าออกัสแล้วถามมันจริงๆจังๆว่าเป็นเหี้ยอะไรนักหนา ทำไมไม่จบไม่สิ้นซักทีกับไอ้ #กัสก้อง รู้ไหมว่ามันน่ารำคาญ คนอ่านนิยายเรื่องนี้ก็เบื่อเหมือนกันนะที่มันไม่พ้นประเด็นนี้เสียที 

ผมยอมไปมหาวิทยาลัย ไปเจอเพื่อนคณะ ไปเจออาจารย์ ไปเจอคนนอกที่ไม่รู้ว่าส่องแท็ก #กัสก้อง หรือเปล่า ผมยอมขนาดนี้แล้วแต่ไอ้ออกัสก็ไม่มาเรียนโดยบอกกับทรายแค่สั้นๆว่าติดงาน เย็นนี้มันมีอีเวนท์แถลงข่าวซีรี่ส์เรื่องใหม่ก็เลยมาไม่ได้ ผมคว้ามือถือทรายมาพิมพ์ด่าออกัสเป็นย่อหน้า แรกๆเริ่มด้วยการถามดีๆ หลังๆก็ใส่อารมณ์เต็มที่ ไม่สนว่าใครจะแคปแชทนี้ไปบอกนักข่าว ออกัสตอบโต้ประโยคยาวเหยียดของผมว่าก็เขาถาม เขาถามมันก็ต้องตอบ มึงไม่เห็นเหรอคอมเม้นท์มีแต่ถามอยู่นั่นแหละ กูก็ต้องตอบให้เขาเลิกถามสิ

เหี้ยอะไรของมึง

ผมด่าอีก ทั้งโมโหทั้งเจ็บใจที่ไอ้ออกัสให้คำตอบได้น่าแจกส้นตีนมากๆ ผมไลน์ด่ามันอีกชุดใหญ่แต่ไร้การตอบกลับ คิดว่าคงกำลังเตรียมตัวออกงาน แต่ผมจะไม่ยอมให้มันจบแค่นี้แน่ๆ ออกัสต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผมไม่สามารถเห็นตัวเองโดนด่าบนอินเทอร์เน็ตได้แม้แต่ข้อความเดียวอีกต่อไปแล้ว




Part 3 ต่อข้างล่างเลยคับผม  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-09-2019 19:59:45
38 [PART 3/4]


ช่วงบ่ายออกัสขาดการติดต่อ โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่อ่านจนทรายกับมิวบอกให้พอก่อน เพราะถึงตะโกนด่าไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ไอ้ออกัสไม่ได้ยิน แถมเราจะหงุดหงิดเองอีก ดังนั้นผมจึงเดินปึงปังกลับห้องและใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆส่องแท็กคู่จิ้น ตอนนี้กระแสกำลังเข้าข้างออกัสเต็มที่ น่าสงสารจัง น่าสงสารมากๆเลย มารักเราแทนไหม เราไม่เห็นแก่เงิน เราไม่เป็นเด็กเสี่ย เราไม่หน้าเหี้ยเหมือนอีก้องหรอกนะ

อีก้อง อีก้อง อีก้อง

เป็นใครกันถึงมาเรียกคนอื่นว่าอี ผมได้แต่โกรธจนตัวสั่น โกรธจนอยากปาโทรศัพท์ทิ้งจะได้ไม่ต้องเปิดดูแฮชแท็กนรกนี่อีกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากจนเกินไป พวกเขาคิดยังไงกับผมนะ พวกเขายังด่าผมอยู่ไหม ด่าผมแบบนี้ทำไม รู้เหรอว่าที่ออกัสพูดมันจริงแค่ไหน เผลอๆการขอเป็นแฟนของมันไม่ได้โรแมนติคแบบเพื่อนแอบรักเพื่อน แต่เป็นการขอคบที่มีแต่ผลประโยชน์ เพื่อตัวของกูและมึง เพื่อเงินและชื่อเสียงเท่านั้น ความรักอะไรไม่มีหรอก ตอแหลทั้งเพ

ผมหลับๆตื่นๆเป็นพักๆระหว่างส่องแฮชแท็ก พอช่วงค่ำ กลุ่ม “มึงเป็นไรมากป้ะ” ที่ประกอบด้วยสมาชิกสามคนคือผม มิว และทรายก็เริ่มคึกคัก มิวบอกว่าออกัสเซ็นสัญญากับค่ายนักแสดงแนวหน้ามาซักระยะแล้ว เอ่ยชื่อไปทุกคนรู้จักหมดเพราะต้องเคยดูผลงานของค่ายนี้บ้าง ที่มันทำแบบนี้น่าจะเป็นแผนโปรโมตละครใหม่ของค่ายที่พยายามป่าวประกาศว่าทางค่ายนั้นสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ สุดๆ แม้แต่นักแสดงนำชายในเรื่องก็เป็นไบเซ็กส์ชวลจริงๆ มิวบอกว่าที่ออกัสพูดให้มันจบๆไปก็คงไม่ได้เพราะต้องผ่านผู้ใหญ่ก่อน งั้นผมก็ซวยสิ ถ้าการบอกความจริงให้แฟนคลับรู้ขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของค่าย มีเหรอมันจะจบง่ายๆ อ๋อ ครับ ออกัสสร้างกระแสเองเพราะอยากดัง คงมีแต่ออกมาพูดหล่อๆเพื่อแย่งพื้นที่ข่าวและโปรโมตผลงานตัวเองเท่านั้นแหละ

พอสองทุ่มนิดๆ คลิปข่าวในงานแถลงเปิดตัวละครก็ออกมาตามที่มิวคาดเดา ออกัสถูกนักข่าวสัมภาษณ์ในแง่ชื่นชมที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นไบเซ็กส์ชวลโดยไม่ปิดบัง โดยเคลมตัวเองว่าเป็นนักแสดงวัยรุ่นคนแรกในประเทศนี้ที่กล้าเปิดเผยรสนิยมทางเพศ แน่นอนว่านักข่าวไม่มีทางพลาดประเด็นสดๆร้อนๆที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเขาไม่ได้เอ่ยชื่อของผมตรงๆ แต่ใช้การเรียกโดยรู้กันด้วยคำว่า “เพื่อนคนนั้น” แทนคำว่าอีก้องในทวิตเตอร์

ตอนถูกสัมภาษณ์ออกัสหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะมองหน้ากล้องด้วยสีหน้าเศร้าๆ ดูอึกอักไม่อยากตอบ แต่สุดท้ายก็ยอมรับและพูดเต็มปากว่าชอบ ชอบจริงๆ แต่“เพื่อนคนนั้น”มีเจ้าของแล้ว ไม่ว่าจะตอนนี้หรืออนาคตเรื่องของออกัสกับเพื่อนคนนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ นักข่าวจึงขยี้ต่อว่าสรุป #กัสก้อง เป็นเรื่องจริงหรือโกหก ออกัสก็เงียบอีกก่อนจะพูดว่ามันเคยจริง ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องจริงแล้วจบการสัมภาษณ์

ผมโมโหจนปาโทรศัพท์ลงบนที่นอน คำตอบของออกัสเรียกตีนให้นายก้องเกียรติมาก มากจนไม่ต้องเดาเลยว่าทวิตเตอร์จะลุกเป็นไฟขนาดไหน หลังคลิปสัมภาษณ์หลุดไม่กี่นาที แฮชแท็กเวรก็ติดเทรนด์อีกครั้ง เหล่าแฟนคลับด่านายก้องเกียรติไฟแลบว่าเห็นแก่เงิน เด็กเสี่ย ขายตัว หนักสุดคือเรียกผมว่ากะหรี่มีจู๋ เฮ้ย อันนี้มันเกินไปหรือเปล่า ผมอ่านแล้วรับไม่ได้จริงๆที่เรื่องมันบานปลายขนาดนี้แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ผมไม่มีช่องทางจะแสดงตัวหรือบอกเล่าในมุมของตัวเองนอกจากอยู่เงียบๆเฉยๆเหรอ

เมื่อปรึกษามิวผู้เชี่ยวชาญด้านกระแสลบๆบนอินเทอร์เน็ต มันก็ยอมรับตรงๆว่านายก้องเกียรติทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างมากก็เปิดแอคเคานท์ใหม่เพื่อทวีตอธิบายตัวเอง แต่ต้องทำใจนะว่าจะมีคนเมนชั่นมาด่าเยอะมาก มึงโอเคตรงนี้ไหม มึงรับได้หรือเปล่า ถ้าคิดว่าทนไหวก็เอาเลย เดี๋ยวกูช่วย ผมบอกมิวว่าผมทนไม่ไหวหรอก แค่อ่านเฉยๆก็จะร้องไห้แล้ว ถ้าโดนเมนชั่นมาด่าเยอะขนาดนั้นต้องอกแตกตายแน่ๆ มิวบอกงั้นอดทนอีกหน่อยก็แล้วกัน ไม่เกินสามวันเดี๋ยวมันก็เงียบเอง เพราะขนาดดาราแนวหน้ายังเป็นกระแสไม่กี่คืน แล้วตัวกระจอกอย่างออกัสมันจะยืนหนึ่งได้เท่าไหร่ เผลอๆพรุ่งนี้ก็เงียบเพราะข่าวของคนอื่นก็ได้

มิวบอกให้อดทน แต่ผมทนไม่ไหวจึงทักแชทส่วนตัวไปด่าต้นเหตุของความชิบหาย ผมถามมันเป็นชุดว่าทำไมต้องตอบให้กูโดนด่าด้วยวะออกัส กูทำอะไรให้มึงนักหนา มึงจบซักทีไม่ได้เหรอ ระหว่างเรามันไม่เคยมีอะไรจริงเลย ไม่จริงซักอย่าง มึงโกหกนักข่าวให้ตัวเองดูดีขึ้นทำไม มึงไม่ละอายใจหรือไง เวลาที่มึงตอบนักข่าวว่าชอบกู มึงไม่รู้สึกผิดเหรอที่โกหกคนดูผ่านสื่อแบบนี้

ออกัสอ่านข้อความของผมแต่ไม่ได้ตอบโดยทันที มันเงียบหายไปนานก่อนจะพิมพ์กลับมาว่าไม่ได้โกหก

“ก็กูเคยชอบมึงจริงๆ” ออกัสตอบแบบจนปัญญา “มึงคิดว่ากูไม่อยากจบเรื่องนี้เหรอ? กูอยากจบจะแย่แต่จะให้ทำไงได้ก็มีคนถาม กูก็ต้องตอบ กูจะไม่ตอบได้ไง”
“แล้วจำเป็นต้องประกาศให้โลกรู้เหรอว่ามึงชอบกู มึงโกหกเขาบ้างก็ได้ ปกป้องกูไม่ได้เหรอ ขอความเป็นส่วนตัวให้กูเหมือนเดิมไม่ได้หรือไง ไหนๆมึงก็เลิกชอบกูแล้ว ปล่อยกูไปซักทีเถอะ กูทำอะไรผิดนักหนามึงถึงตามจองเวรชีวิตกูแบบนี้ ไอ้เหี้ย”

ผมพิมพ์ด้วยอารมณ์โมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะมุดโทรศัพท์ไปต่อยปากออกัสโทษฐานตอบแบบปัดสวะมาให้นายก้องเกียรติ แต่พออ่านข้อความล่าสุดที่มันส่งมาให้ ผมถึงกับโมโหจนปาโทรศัพท์ทิ้งอีกรอบ

ผู้ใหญ่สั่งมาว่าให้ตอบแบบนี้

เป็นคำตอบที่ส้นตีนที่สุดในโลกเท่าที่เคยอ่านมา

ผมรับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ มันโมโหจนต้องร้องไห้ ผมแคปข้อความทั้งหมดส่งให้มิวกับทรายดู ทั้งสองคนด่าออกัสด้วยถ้อยคำหยาบคายไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ มันเหี้ยมาก เหี้ยจริงๆ เหี้ยเกินไปแล้วที่ทำกับผมแบบนี้ อย่างน้อยมันเคยชอบผม น่าจะมีความหวังดีเล็กๆน้อยๆอย่างช่วยผมจากแฟนคลับประสาทแดกของมันบ้าง นี่ทำเหมือนไม่เคยชอบผมเลย เหมือนไม่เคยรู้สึกดีด้วย ราวกับถ้าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกป้อง ปล่อยให้ผมตกเป็นสนามอารมณ์ของคนนับหมื่น ยิ่งแฮชแท็กติดเทรนด์ คนก็ยิ่งรู้มากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนไม่เคยชอบ #กัสก้อง ไม่เคยมีส่วนร่วมอะไรแต่ก็อินจนผสมโรงมั่วซั่ว อ๋อ นักแสดงหน้าใหม่ของค่ายนี้เป็นเกย์ เคยมีความรัก แต่โดนคนที่ชื่อก้องเขี่ยทิ้งเพื่อไปคบกับเสี่ยที่รวยกว่า น่าสงสารเนอะ น่าสงสารจัง ผู้ชายคนนั้นก็เห็นแก่เงิน สงสัยตอนนี้นั่งน้ำตาตกในแล้ว ออกัสกำลังจะดัง คงเสียดายแย่ อดเป็นเมียดาราเลย

ก็กูไม่ได้อยากเป็นเมียดารา ไม่ต้องมาสงสารกู

ผมเมนชั่นหาทวีตนั้นโดยไม่สนว่าต้องเจออะไร ผมไล่ตอบกลับทุกคนที่ด่านายก้องเกียรติเหมือนไอโอของรัฐบาล ใครพูดถึงก้องเกียรติในแง่ร้ายต้องเจอสวนกลับ ไม่พูดดีๆก็ต้องเจอคำหยาบ ไม่มีการปรานี ไม่มีมรรยาทหรือสมบัติผู้ดีอะไรทั้งนั้น กูจะตามด่าพวกมึง เหมือนที่กูโดนมาตลอดสองวัน จำไว้

อีก้องหน้าเหี้ย หักอกออกัสกู
อ๋อเหรอ หน้ากูก็เป็นหน้าคนเหมือนมึงอ่ะ ถ้ามึงว่าหน้ากูเหี้ย หน้ามึงก็เหี้ย

สมน้ำหน้าอีก้อง ออกัสเป็นดาราแล้ว เสี่ยมึงล่ะเป็นไง
เป็นคนที่เก่งกว่าอีออกัสก็แล้วกัน บอกอีออกัสให้เข้าเรียนบ้างนะ เดี๋ยวจะโง่จนเรียนไม่ทัน เกรดตกโดนไทร์แล้วจะกลายเป็นไอดอลคนโง่

อีก้อง อีกะหรี่
ด่าแม่ตัวเองทำไม แม่มึงนั่งหาลูกค้าอยู่ข้างกูเนี่ย

ผมทำตัวเป็นเครื่องด่าอยู่เกือบชั่วโมง ใครเมนชั่นมาหยาบคายผมก็สวนกลับทุกคนไม่เว้นหน้า ถ้ามิวไม่เบรกไว้ผมคงด่าต่อไม่ได้หลับได้นอน มิวบอกว่าทำแบบนี้มีแต่แพ้กับแพ้ ภาพพจน์ก็เสีย คนก็ไม่เห็นใจ กลายเป็นตัวร้ายที่สร้างความน่าสงสารให้ออกัสอีก ผมอ่านข้อความจากมิวก็ได้แต่หงุดหงิดโมโหกับตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตอบโต้คนที่ด่าเราไม่ได้ในเมื่อเรื่องพวกนั้นมันไม่จริงซักอย่าง เหมือนผมกำลังสู้อยู่กับอะไรก็ไม่รู้ สู้ไปก็ไม่มีวันชนะ ไม่ได้อยู่อย่างสงบแค่เพราะไม่มีสปอตไลท์ ไม่มีคนให้พื้นที่ได้พูดความจริงในมุมของตัวเองบ้าง ผมร้องไห้เสียใจอยู่นาน สุดท้ายต้องหันไปหาพี่อู๋ พอเห็นหน้าเขาดูเหนื่อยๆเหมือนทำงานหนักมาทั้งวันก็พูดไม่ออก ไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระไปใส่หัวเขาอีก ถ้าผมโดนด่าคนเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก ผมทนได้ แต่ให้เอาปัญหาไปสุมไว้ที่เขาจนเครียด ผมขอไม่ทำดีกว่า ไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องกังวลกับเรื่องปัญญาอ่อนบ้าบอพวกนี้แล้ว






  พี่อู๋รู้จักผมดีกว่าที่คิด พอเห็นว่านายก้องเกียรติร้องไห้ตาบวม เขาก็อุตส่าห์ขับจากลาดพร้าวมาผมที่ลาดกระบังตอนห้าทุ่ม ผมถึงกับปล่อยโฮเลยเมื่อเห็นว่าเขามาหาจริงๆ ผมร้องไห้กอดเขา ยอมรับกับพี่อู๋ว่าผมไม่ไหวแล้ว ผมอยากทำอะไรซักอย่างให้ไอ้คนพวกนั้นหยุดด่าเราเสียที อยากให้ทุกคนเลิกตราหน้าว่าผมเป็นเด็กเสี่ย เป็นกะหรี่ รักคนที่เม็ดเงิน ผมแค่อยากมีชีวิตปกติสุขเหมือนเดิม ผมแค่อยากเป็นคนธรรมดาเหมือนเดิม ผมควรทำยังไงดี

พี่อู๋เองก็รู้ว่าเราทำอะไรไม่ได้ เราขยับตัวแทบไม่ได้เพราะยิ่งพูดจะยิ่งเป็นการหาตีนเข้าตัวมากขึ้น เขาบอกให้ผมอดทนไปก่อนเพราะอีกสองสามวันก็คงเงียบ ผมขึ้นเสียงใส่พี่อู๋อย่างลืมตัวว่าใครๆก็บอกแบบนี้ สองสามวันก็เงียบ สองสามวันก็เงียบ แต่นี่อะไร ผ่านมาสี่วันแล้ว ยังมีคนด่าอีก้องหน้าเหี้ยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหิวเงิน บ้าคนรวย คนแบบผมไม่ควรมีใครรัก ควรเป็นหมาหัวเน่าแค่เพราะไม่ได้ชอบออกัสงั้นเหรอ

คืนนั้นเป็นคืนที่แย่มากสำหรับเรา ผมเครียด พี่อู๋ก็เครียดที่เห็นเด็กในปกครองของตัวเองโดนด่า เราต่างสงสัยว่ามันบานปลายขนาดนี้ได้ยังไงทั้งๆที่ออกัสไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ได้ใช้เวลากับมันมากมาย แค่กินข้าว ไปเรียนกับไปรับส่งที่สถานีรถไฟตามประสาเพื่อนเท่านั้น ผมกล้าพูดว่าตามประสาเพื่อนเพราะออกัสก็ทำแบบนี้กับมิวและทรายเหมือนกัน มันขับรถรับส่งเพื่อนทุกคนไม่ใช่แค่นายก้องเกียรติคนเดียว แต่ทำไมหวยออกที่ผม ทำไมถึงโดนด่าไม่จบไม่สิ้น มันเป็นอะไรนักหนา เรื่องปัญญาอ่อน จบๆกันไปซักทีไม่ได้หรือไง

ผมนอนร้องไห้จนตีสอง พี่อู๋ก็ยังถ่างตาคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เป็นระยะๆ พอเล่าว่าเมื่อช่วงค่ำทวีตด่าคนเหมือนเครื่องจักรด่ารัฐบาล พี่อู๋ก็บอกว่าเขาเห็นแล้ว เขาชอบเอเนอจี้การด่าแบบพุ่งชนของนายก้องเกียรติมาก เรามาทำด้วยกันดีไหม ผมถามว่าทำอะไร

“ด่าคนไง” พี่อู๋ยิ้ม “ด่าให้มันไร้เหตุไร้ผลเหมือนที่มันด่าก้อง มันจะได้เข้าใจว่าความรู้สึกของการโดนด่าเป็นยังไง”

ผมไม่คิดว่าแผนนี้จะได้ผลจนกระทั่งพี่อู๋ลองตอบโต้ทวีตล่าสุดเมื่อหนึ่งนาทีก่อน เจ้าของทวิตเขียนว่า

สงสารออกัสมาก อุส่าเชียร์ #กัสก้อง แต่โดนเด็กดอกหลอกแดกจนได้ เด็กเปรต

พี่อู๋ถามว่าควรตอบมันยังไง ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้ ไม่รู้จะหาคำแย้งอะไรไปตอบโต้คนพรรค์นี้ พี่อู๋จึงเมนชั่นไปว่า –

เนอะๆๆ เด็กดอกโดนหลอกแดกจนได้

ซักพักเธอจึงตอบกลับมา

ใช่มะคะ คือเหี้ยอ่ะ คนอะรัย โคดเหี้ยเลย
ใช่ เหี้ยมากอ่า สงสารแต่คนโง่ที่โดนหลอกแดกแบบไม่รู้ตัวเนอะ เป็นแฟนคลับที่โคตรน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้ตัวว่าโดนดาราหลอกแดก ฟันค่าโฆษณาไปเป็นแสนกับกระแสคู่จิ้นปลอมๆ
ว่าใครอ่ะคะ
พูดลอยๆจ้า
เอ้า อีเหี้ย มาว่ากูทำไม มึงเปนอีก้องอ่อ
ไม่ใช่ก้องจ้า แค่แวะมาเบิกเนตรเฉยๆ เผื่อจะเอะใจว่าใครได้ผลประโยชน์ที่สุดในเรื่องนี้ คนนั้นนั่นแหละตัวร้าย ลองเก็บไปคิดดูนะ

ผมหัวเราะขำเมื่อแอคเคานท์นั้นยังคงเมนชั่นมาด่าเราเป็นระยะๆ แต่เหมือนด่าลมด่าฝนเพราะพี่อู๋ไม่ตอบอีกเลย แล้วเราก็ไปปั่นคนนั้นคนนี้ที่ด่านายก้องเกียรติแรงๆ ใครที่ด่าผมว่ากะหรี่ พี่อู๋ก็แอ๊บทำเป็นหวังดี บอกว่าระวังหมายศาลน้า พูดพล่อยๆลอยๆเค้าฟ้องได้นะจ๊ะ

จะเอาอะไรมาฟ้อง ก็อีก้องมันกะหรี่จริง
แคปเจอร์!

ผมถามพี่อู๋ว่าตอบแค่แคปเจอร์จะไปสะใจอะไร คุณอิศรินทร์จึงเฉลยตอนหลังว่าเขาจะฟ้องไอ้พวกที่ด่าผมให้หมด พี่อู๋แคปเก็บไว้บ้างบางส่วนแล้ว แคปสะสมทุกวันๆตั้งใจรวบยอดไปจ้างทนายทีเดียว รู้ไหมว่าเพื่อนของเขาเคยรับคดีหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตบ่อยมาก บางทีเรียกกันเป็นแสน งานนี้แหละก้อง คนที่เป็นเด็กเสี่ยอาจจะกลายเป็นพี่เองก็ได้ ว่าไงจ๊ะเสี่ยก้อง เสี่ยก้องหล่อจังเลย มีเงินให้น้องอู๋ใช้ไหมคะวันนี้ งุ้ยๆ – งุ้ยโพ่ง

ผมหัวเราะ เป็นการหัวเราะครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องปัญญาอ่อนนี่เลย พี่อู๋บอกอีกว่าเขาโตเกินกว่าจะด่าสาดโคลนกับเด็กพวกนี้แล้ว บางทีควรพาน้องๆไปเยี่ยมศาลบ้างเผื่อจะเตือนๆกันเองให้ระวังคำพูด อีกอย่าง พี่อู๋อยากปกป้องผม เขาไม่อยากให้ใครด่าผมเสียๆหายๆโดยไม่ได้รับบทลงโทษ ฟังถึงตรงนี้แล้วผมซึ้งจนร้องไห้เลย ดีใจที่พี่อู๋ไม่ทิ้งหรือเมินเฉยเวลาผมเจอปัญหา แต่เขาอยู่ด้วยข้างๆตลอด ไม่ได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้นแต่ออกโรงปกป้องเต็มที่ด้วย

ผมมองหน้าพี่อู๋แล้วก็ร้องไห้อีก ร้องไปพร้อมๆกับกอดเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ได้ผู้ชายคนนี้เป็นแฟน ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ ตั้งแต่แม่ตาย ไฟไหม้บ้าน ไม่มีเงินเรียนต่อจนถึงโดนชาวเน็ตรุมด่า พี่อู๋ก็ยังปกป้องดูแลผมเหมือนเดิม เขาแสนดีจนผมไม่รู้จะขอบคุณเขายังไง ไม่รู้ต้องบอกรักยังไงถึงจะเท่ากับความรู้สึกที่มีให้เขา

เราเล่นทวิตเตอร์อีกนิดหน่อยก่อนจะเข้านอน ตอนนี้ตีสองแล้ว พี่อู๋ต้องออกจากลาดกระบังก่อนหกโมงเพื่อกลับไปทำงาน พอปิดไฟผมก็นอนกอดพี่อู๋แน่นและอ้อนเขาด้วยการบอกว่าอยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ไม่อยากให้พี่ลุกออกจากเตียง ไม่อยากให้ไปทำงาน ไม่อยากให้ไปไหนเลย พี่อู๋บอกว่าผมเริ่มเหมือนอีหนูของเสี่ยจริงๆด้วย ออดอ้อนรั้งตัวเสี่ยไม่ให้ไปทำงานระวังจะไม่มีกินนะจ๊ะหนู ชิราอิชิซังไม่ได้ใจดีจ้า ขาดงานโดยไม่มีเหตุผลเดี๋ยวจะได้ซองขาวแทน

คืนนั้นผมได้หลับสนิทเป็นครั้งแรกข้างๆคนที่ผมรัก เมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าครึ่ง พี่อู๋ก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปทำงาน ผมที่เพิ่งหลับได้ไม่กี่ชั่วโมงงัวเงียเกินกว่าจะเดินลงไปส่งเขาจึงอวยพรให้พี่อู๋ขับรถปลอดภัย ปล่อยผมนอนต่ออีกหน่อยนะ เดี๋ยวผมต้องตื่นไปเรียนอีก คุณอิศรินทร์ไม่ว่าอะไรที่นายก้องเกียรติขี้เซาจนลุกไม่ขึ้น เขาหอมแก้มผมหนึ่งครั้ง กระซิบข้างหูว่าตั้งใจเรียนและบอกรักผมก่อนจะห่มผ้าให้แล้วปิดไฟ ออกจากห้องไปทำหน้าที่ของตัวเอง





Part 4 ต่อเลยค่ะพี่จ๋า  :hao5:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-09-2019 20:00:33
38 [PART4]




สิ่งที่เราสองคนทำลงไปไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย คนบนอินเทอร์เน็ตก็ยังด่าผมเหมือนเดิม แถมด่าแรงกว่าเดิมด้วยเพราะผมทำตัวเป็นเครื่องพ่นคำหยาบ พูดแต่มึงๆกูๆ แม่มึงสิกะหรี่ มึงสิอีหน้าเหี้ย มึงสิ มึงสิ พวกเขาจับกลุ่มวิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้โดยไม่สนใจเลยว่าทำไม – ทำไมนายก้องเกียรติถึงกลายเป็นคนไม่สุภาพ บางคนเริ่มทวีตบอกว่าออกัสโชคดีที่ไม่ได้ลงเอยกับอีก้อง สันดานไพร่ สถุลขนาดนี้ก็สมควรเป็นได้แค่เด็กเสี่ย ผู้ดีอย่างออกัสไม่ควรเอาตัวเองไปเกลือกกลั้ว

จากบูลลี่หน้าตา จนถึงเรื่องไม่ควรมีแฟนหล่อ มาจบที่ก้องเกียรติมารยาททราม ผมโดนกระแสชาวเน็ตด่ารุนแรงอีกครั้งเพราะสิ่งที่ทำไป มันคือการเอาคืนที่สะใจแค่ชั่วคราวแต่ระยะยาวไม่เป็นผลดีเลย ทุกคนคิดว่าผมเป็นคนก้าวร้าว ไม่สุภาพ ไม่น่าคบหา ไม่ควรสุงสิงพูดคุยด้วยแทนที่จะเปิดใจรับฟัง มิวบอกว่านี่แหละโลกของอินเทอร์เน็ต มันไม่ตั้งคำถามหรอกว่าทำไมผมถึงต้องเป็นแบบนี้ มันสนใจแค่สิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร ซึ่งเรื่องนี้กระทบชีวิตของผมโดยตรงเพราะเพื่อนที่คณะเริ่มตีตัวออกห่างแค่เพราะถ้อยคำหยาบคายบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้ระบายความเกรี้ยวกราดเท่านั้น

ผมถามพี่อู๋ว่าเราควรทำยังไงดี ในเมื่อกระบวนการทางกฎหมายมันช้ามากจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนเหล่านั้นจะสำนึก ผมควรทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ดี พี่อู๋เอาแต่พูดว่าอย่าไปสนใจ อย่าไปฟัง อย่าไปให้ความสำคัญกับมันเกินความจำเป็นเพราะอยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐาน หัวเราะทีหลังดังกว่าน่ะเคยได้ยินไหม แต่ก้องจะเป็นคนหัวเราะที่ดังและรวยด้วย ฉะนั้นอดทนหน่อย อดทนอีกนิด ให้เป็นไปตามกระบวนการก็แล้วกัน อย่าไปตอบโต้ให้หงุดหงิดรำคาญใจเลย

พี่อู๋ก็พูดง่ายเพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ผมต้องอยู่ในสังคมเพื่อนที่อ่านข่าวจากทวิตเตอร์ และเฟสบุ๊ก ขยับตัวนิดหน่อยคนก็เมาธ์กันแล้ว พี่ไม่เข้าใจหรอกว่ามันไม่ฟังไม่ได้ จะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้เพราะผมเจอทุกวัน เจอสายตาและถ้อยคำซุบซิบนินทาทุกวันจนใจไม่ดี คิดพาลไปถึงว่าเพื่อนคนนี้จะรู้ไหม เขาเข้าข้างใคร เขาเชื่อผมหรือออกัสมากกว่ากัน ถ้าจะบอกให้คบแค่มิวกับทรายก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะผมต้องทำงานกลุ่มกับคนอื่นด้วย โลกไม่สามารถมีแค่เราสามคนได้ ผมเองก็ต้องคบคนอื่น ต้องเรียน ต้องส่งงาน ต้องเจอผู้คนอีกมาก แต่เรื่องของออกัสกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

เดี๋ยวนี้เพื่อนที่เคยหยอกล้อขำๆด้วยความสุภาพก็ไม่กล้าเข้าหาเหมือนแต่ก่อน พวกเขาเว้นระยะและทำตัวห่างเหินราวกับเราไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน ที่หนักหน่อยก็กลุ่มผู้ชายในคณะที่ไม่ได้สนิทเท่าไหร่ ไอ้พวกนี้ปากหมาแซวคนอื่นไปทั่วโดยไม่สนใจว่าคนถูกแซวรู้สึกยังไง ดังนั้นทุกครั้งที่โผล่หน้าไปเรียนวิชารวม ผมมักจะถูกแซวว่าสายเหลือง หรือไม่ก็แกล้งถามว่าวันนี้ใครมาส่ง เสี่ยเหรอ วันก่อนเห็นบีเอ็มจอดอยู่ในเกกีหนึ่ง ใช่รถเสี่ยมึงหรือเปล่า บางทีโมโหมากๆผมสวนกลับแรงๆก็มี แต่ไอ้พวกนี้เหมือนคนโรคจิต ยิ่งโดนด่ายิ่งชอบ ยิ่งล้อแรงขึ้นเรื่อยๆจนผมทนไม่ไหว อยากต่อยหน้ามันอยู่หลายหน

ส่วนต้นตอของปัญหาอย่างไอ้ออกัสกลับลอยตัว มีคนล้อมันบ้างแต่มันก็ไม่ได้สนใจเพราะคนรักและสนับสนุนนั้นมีมากกว่า ในอินเทอร์เน็ตก็มีแต่คนพูดถึงมันในด้านดีๆ ชมการแสดง ชมหน้าตา ชมทัศนคติที่ว่าบวกนักบวกหนาโดยไม่รู้ว่ามันก็อปคาแรคเตอร์จากดาราเมืองนอกมาทั้งนั้น ผมที่เห็นความอยุติธรรมอดไม่ได้จริงๆที่จะรู้สึกโมโหและน้อยเนื้อต่ำใจ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่เคยโกหกหรือหลอกใคร แต่ทำไมผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ทำไมต้องเป็นฝ่ายผิด เป็นคนโดนด่าเสียๆหายๆด้วย

“ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากไปหาพี่”

ผมโทรไปร้องไห้ให้พี่อู๋ฟังตอนพักเที่ยง มันเก็บกดและเจ็บใจถึงขนาดต้องแอบก้มหน้าร้องไห้เงียบๆบนโต๊ะกินข้าว ทราย มิว และโบ้ทต่างทำตัวไม่ถูกเมื่อก้องเกียรติร้องอีกแล้ว ร้องมันอยู่นั่นแหละ ร้องทั้งวัน พี่อู๋ให้กำลังใจด้วยการบอกให้เข้มแข็ง พรุ่งนี้เราก็จะได้ไปกาญจนบุรีแล้ว คิดถึงทริปสุขสันต์เข้าไว้เพราะมันจะช่วยให้รู้สึกดี ผมได้แต่บอกครับๆและไม่พูดอะไร รู้อยู่แก่ใจว่ามันช่วยไม่ได้หรอก ผมเสียความรู้สึก เสียสุขภาพจิตกับเรื่องนี้ไปมากแล้ว และมองไม่เห็นหนทางที่มันจะจบเลยนอกจากมีแต่พังกับพังเท่านั้น

หลังวางสาย ผมนั่งสะอึกสะอื้นเช็ดน้ำตาออกจากหน้า ทรายกับมิวค่อนข้างชินที่เห็นก้องเกียรติเป็นแบบนี้จึงไม่พูดอะไร แต่โบ้ทที่นานๆจะเห็นด้านอ่อนแอของผมกลับเอาแต่ขมวดคิ้ว มันถามว่าทำยังไงเรื่องนี้ถึงจะจบ เมื่อไหร่กระแสด่าอีก้องในอินเทอร์เน็ตจะหายไปเสียที ผมได้แต่ส่ายหน้าและบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผ่านไปห้าวันแล้วคนก็ยังด่าผมเหมือนเดิม

“มึงต้องทำอะไรซักอย่างนะก้อง”
“กูทำหมดแล้วโบ้ท ด่ากลับก็แล้ว แจ้งความก็แล้ว มันไม่จบซักทีอ่ะ”

ผมใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจาน พอเหลือบมองรอบตัวก็เห็นสายตาจากผู้คนมองมาเป็นระยะๆ อาจจะไม่ได้จ้องเขม็งให้ผมรู้ตัวแต่มันสัมผัสได้ว่ามีคนมอง พวกเขามองจริงๆ มองด้วยความสงสัยว่าก้องเกียรติร้องไห้ทำไม เรียกร้องความสนใจเหรอ นางเอกนิยายมากเลยเหรอ พวกเขาคงคิดกันแบบนี้แน่ๆ

“มึงคุยกับออกัสยัง?”
“กูด่ามันแล้ว” ผมสูดน้ำมูกฟืดฟาด “กูจะทำยังไงดีวะ? กูคิดไม่ออกเลยว่ามันจะจบยังไง ต้องกราบเท้าพวกแม่งเลยไหมถึงจะเลิกจองเวรกู”
“แล้วแฟนคลับไอ้ออกัสต้องการอะไรวะ? ให้มึงเลิกกับแฟนคนนี้แล้วไปคบกับไอ้ออกัสเหรอ?” โบ้ทถาม
“บ้า แฟนคลับไอ้ออกัสไม่ชอบก้องแล้ว มันแค่ด่าเอามันเฉยๆ” ทรายบอก “ก้อง มึงทำใจให้สบายนะ ไม่ต้องคิดมากหรอก เหมือนที่พี่อู๋บอกไงว่าคิดถึงกาญจนบุรีเยอะๆจะได้ตื่นเต้น”
“กูเริ่มไม่อยากไปแล้วว่ะทราย”
“อ้าว ทำไม?”
“กูกลัวว่าถ้าไปเที่ยวกับพี่อู๋ จะมีใครแอบถ่ายรูปมาด่าอีกไหม กูไม่อยากโดนด่าแล้ว”
“ก้อง มึงแคร์แฟนคลับขี้ครอกเกินไปหรือเปล่า? นี่ทริปส่วนตัวมึงกับแฟนนะ อย่าปล่อยให้คนนอกมาทำลายความสุขของมึงสิวะ”
“พูดง่ายทำยาก มึงลองโดนด่าจนติดเทรนด์แบบกูดูไหมล่ะ จะนอนยังนอนไม่ลงเลย”
“แต่กูเข้าใจมึงนะก้อง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มันตัดใจไม่แคร์ไม่ได้จริงๆว่ะ ขนาดดารายังเครียดจนต้องพบหมอเวลาโดนรุมด่าหนักๆ แล้วคนธรรมดาอย่างมึงจะรอดเหรอ ทนมาได้สี่วันกูว่าก็เก่งแล้ว” มิวพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “มึงเลิกเล่นทวิตเตอร์ดีไหม? ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ไม่ต้องสนใจ บางทีการจะตัดเรื่องเหี้ยๆออกไปจากชีวิตก็ต้องเริ่มที่ตัวเอง”
“กูทำไม่ได้ว่ะมิว กูต้องส่องเพราะไม่รู้ว่าใครจะเอาเรื่องพี่อู๋มาพูดอีก” ผมถอนหายใจและเริ่มร้องไห้ “บางทีกูก็สงสัยจริงๆนะว่าถ้าเราเลิกกัน เรื่องพวกนี้จะหยุดไหม”
“เฮ้ย มึงพูดอะไร”
“หรือมึงไม่คิด?”
“แล้วพี่อู๋เขาทำผิดอะไร มึงถึงจะบอกเลิกเขา?”
“ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องเหี้ยนี่ พี่อู๋โดนด่าโดนขุดเรื่องมาแฉทุกวัน กูไม่อยากให้เขาเจอแบบกู ไม่อยากให้ใครตราหน้าเขาว่าเป็นเสี่ยเลี้ยงต้อย มึงก็รู้ว่ามันกระทบภาพลักษณ์เขา พี่อู๋ยังต้องทำงาน เขาเป็นเลขา เป็นล่าม เป็นหน้าเป็นตาให้บริษัท มึงคิดดูสิว่าถ้านายเขารู้ว่าพี่อู๋โดนคนในอินเทอร์เน็ทด่าเป็นร้อย โดนแฉว่าเป็นเสี่ย มีเมียเด็ก เลี้ยงผู้ชาย มึงว่าเขาจะยังจ้างแฟนกูอยู่ไหม”
“มันก็แค่ส่วนน้อย เขาโดนด่าน้อยกว่ามึงอีก” ทรายแย้ง “บางทีเขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนด่า มึงไม่ต้องคิดแทนเขาหรอก”
“แต่กูเป็นห่วงพี่อู๋ กูไม่อยากให้เขาโดนแบบกู”
“มึงไม่อยากให้เขาโดนแบบมึงหรือไม่อยากโดนด่าว่าเป็นเด็กเสี่ย”
“อะไรของมึงวะโบ้ท?” มิวถามฉุนๆ “ก็แค่เด็กเสี่ย ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“มึงก็พูดได้สิมิวว่าไม่เป็นไรๆเพราะก้องเป็นเพื่อนเรา แต่ลึกๆในใจมึงก็ไม่ได้เฉยๆกับคำว่าเด็กเสี่ยหรอก มันเป็นคำในแง่ลบ คำไม่ดี เพื่อนกูที่มีเสี่ยมาเลี้ยงยังไม่ชอบให้เรียกแบบนี้เลย”
“แต่ก้องมันไม่ได้เป็นเด็กเสี่ยจริงๆนี่”
“เป็นหรือไม่เป็นใครจะสน สังคมมันตัดสินไปแล้ว และคำว่าเด็กเสี่ยก็กลายเป็นโลโก้แปะหน้าไอ้ก้องไปแล้วด้วย เป็นกูกูก็คิดเหมือนมันว่าห่างกันซักพักน่าจะดีกว่า อย่างน้อยให้เรื่องมันซาลงอีกหน่อย ถ้าไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้านมันก็ต้องทำแบบนี้แหละมึง”

ผม – ไม่เคยคิดแบบโบ้ทมาก่อนเลย ผมไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะลบคำครหาว่าเด็กเสี่ยได้ยังไงตราบใดที่เรายังคบกันแบบนี้ พอได้ยินโบ้ทพูด ผมก็เริ่มเก็บมาคิด แต่ยังไม่ตัดใจว่าจะเอายังไง เพราะถ้าให้เลิกกับพี่อู๋คงเป็นไปไม่ได้ ผมเลิกกับเขาไม่ได้ – ไม่ได้เด็ดขาด

“ถ้ามึงอยากห่างกับพี่เขาซักพักก็บอกเขาไปสิก้อง”
“กู – กูเลิกกับพี่อู๋ไม่ได้ว่ะโบ้ท”
“ทำไมวะ?”

โบ้ทเลิกคิ้วงุนงงเพราะมันไม่รู้จริงๆว่าสถานะของผมกับพี่อู๋มันเหมือนเสี่ยเลี้ยง โบ้ทไม่รู้ว่าผมไม่มีพ่อแม่คอยดูแล ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกับพี่อู๋อยู่กินเป็นผัวเป็นเมียมาสองเดือนกว่าแล้ว มันคงคิดว่าผมแค่โดนแฟนคลับออกัสโจมตีด้วยคำด่าไร้สาระเพราะพี่อู๋แก่กว่าหลายปี แต่จริงๆผมเป็นเด็กเสี่ยอย่างที่พวกเขากล่าวหา ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพี่อู๋ไม่ให้เงิน พี่อู๋ไม่ส่งเสียค่าเทอม ไม่จ่ายค่าเช่าหอ ค่าดูแลต่างๆ แถมบางครั้งเรายัง – ยังมีอะไรกันอีก เหมือนผมมีเซ็กส์แลกเงิน เหมือนการคบกันของเรามีเงื่อนไขที่มีเงินมาเกี่ยวข้อง ผมเคยบีบให้พี่อู๋สัญญาว่าถ้าคบกันแล้ว วันไหนเลิกกันต้องไม่หยุดส่งเสียก้องเกียรติ สิ่งที่ผมทำกับพี่อู๋มันคืออีหนูหลอกแดกเสี่ยชัดๆ นี่ผมเป็นตัวอะไรกันแน่ ผมเห็นแก่เงินขนาดนี้เลยเหรอ แล้วแบบนี้ – ผม – ผมยังมีศักดิ์ศรีบ้างไหม

“ทำไมมึงเลิกกับพี่อู๋ไม่ได้อ่ะก้อง?”

โบ้ทถามซ้ำ ผมเงยหน้าสบตาเพื่อนด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่ ไม่อยากตอบคำถามเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าทำไม – ทำไมผมถึงเลิกกับพี่อู๋ไม่ได้ แต่สุดท้ายผมก็บอกโบ้ทไปว่าเพราะเงินน่ะสิ ถ้าไม่มีเงินของพี่อู๋ กูคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หรอก 

“งั้นแบบนี้มึงจะไปโกรธชาวเน็ทได้ยังไง”

โบ้ทบ่นอุบอิบ ดูผิดหวังนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าไอ้ก้องเพื่อนมันเป็นเด็กเสี่ยอย่างที่เขาว่ากันจริงเพราะผมเอาแต่พูดเรื่องเงิน แต่ไม่ยอมบอกเหตุผลหลักที่ไม่อยากเลิกเพราะผมรักพี่อู๋เกินกว่าจะปล่อยเขาไปต่างหาก ไม่รู้ทำไมคำว่ารักถึงหลุดจากปากยากนักเวลาอยู่กับเพื่อน ผมไม่เคยกล้ายอมรับต่อหน้าเพื่อนผู้ชายว่าผมรักพี่อู๋ ผมเป็นเกย์ที่รักผู้ชายชื่ออิศรินทร์ ดังนั้นโบ้ทจึงเข้าใจว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่มีแค่เรื่องเงิน มันไม่เข้าใจว่าผมรักพี่อู๋ เพราะผมกระดากอายเกินกว่าจะพูดออกไป

ทรายกับมิวเห็นนายก้องเกียรติเริ่มซึมก็รีบออกโรงปกป้องผมใหญ่ ทั้งสองคนรุมด่าโบ้ทว่าปากไม่ดี ไม่เข้าใจเพื่อนทั้งๆที่โบ้ทก็แค่พูดเฉยๆ มันเป็นคนโผงผาง คิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น ผมนั่งมองเพื่อนสามคนเถียงกันด้วยความรู้สึกที่โคตรดิ่ง แต่แล้วมันก็มีเรื่องที่ทำให้ช็อคได้มากกว่าเดิมเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโทรมา แต่ – แต่หน้าจอโทรศัพท์บอกว่าเบอร์ของอาจารย์เป็นสายเรียกซ้อน เพราะคนที่กำลังอยู่ในสายของก้องเกียรติตอนนี้ก็คือ

พี่อู๋

ผมหน้าซีด หัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้า รู้สึกเย็นวาบทั้งสันหลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมละล่ำละลักหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เสียงที่ได้ยินมีแต่ความเงียบราวกับว่าปลายสายนั่งอยู่ในห้องประชุมหรือที่ห้องปิดตายที่ไหนซักแห่ง ริมฝีปากของผมสั่นระริกเมื่อนึกสงสัยว่าพี่อู๋ได้ยินอะไรบ้าง เขาได้ยินผมพูดถึงเงินของเขาใช่ไหม ได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับเพื่อนหรือเปล่า ผมรวบรวมความกล้าแล้วค่อยๆเอ่ยทักทายปลายสายว่า

“ฮัลโหล”

แต่คำตอบของพี่อู๋คือความเงียบ เขาเงียบไปนานจนผมหลงดีใจคิดว่าเขาคงลืมตัดสายและวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้ คงไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดหรอก แต่ประโยคถัดมาของผู้ชายที่ผมรักก็ทำเอานายก้องเกียรติแทบเป็นลม พี่อู๋ตอบคำถามที่ค้างคาใจของผมด้วยประโยคแสนสั้น แต่สามารถฆ่าผมให้ตายได้ด้วยน้ำเสียงไร้เยื้อใย

“หลังจากนี้ไม่ต้องเจอกันอีก จะไปไหนก็ไป”

แล้วเขาก็ตัดสาย และติดต่อไม่ได้อีกเลย




TBC


___________________________



#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายวัน คิดถึงนิยายเรื่องนี้กันไหมคะ   

ตอนนี้มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคำ น่าจะเป็นตอนที่ยาวที่สุดและอัปยากที่สุดเพราะไม่มี wifi ขอมอบให้เป็นของขวัญตอบแทนที่ปล่อยให้รอนานและแทนคำขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่มาในรูปแบบของฟี้ดแบคและโดดเนทนะคะ

หวังว่าจะชอบเนื้อหาในตอนนี้และมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอกันในคืนวันจันทร์ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-09-2019 20:17:55
 :hao5:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2019 20:42:10
เราเหมือนตายไปเลย จะทำยังไงอ่ะทีนี้ ทริปกาญจนบุรีก็คือล่มเหรอ ฮืออ น้องต้องเข้มแข็งได้แล้วอ่ะ ต้องสู้ ต้องแสดงออกบ้างว่ารัก อย่าให้สังคมมันมาเป็นกรอบของชีวิต สงสารพี่อู๋ตอนนี้มากพอๆกับสงสารน้อง เห็นไหมล่ะ พอเจอแบบนี้ เรื่องในโซเชียลมันเป็นแค่เศษฝุ่นไปเลย แต่พี่อู๋ที่เป็นโลกทั้งใบกับน้องอ่ะ แบบไหนมันหนักกว่ากัน คิดเอานะลูก ฮือ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-09-2019 22:08:20
โอ้ยเครียดดดด เวรกรรมอะไรนักหนาน้องก้องช้านนนนน  :katai1:
อ่านเรื่องโซเชี่ยลบูลลี่นี่อินมากเลยค่ะ เพราะมันเห็นได้บ่อยๆตามหน้าอินเตอร์เนต ข่าวทั่วๆไป คนรุมด่าตามๆกันทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ บ้างก็ใส่ไฟ ทำเหมือนรู้ดีทั้งที่ไม่ได้รู้จักเขาสักนิด นับถือใจคนที่โดนบูลลี่แล้วต้องทำเป็นนิ่งเฉย เขาต้องเข้มแข็งมากแค่ใหนกับการที่ต้องเจออะไรแบบนี้ ต่อให้ไม่ทำเป็นไม่แคร์ มันก็ต้องทีลึกๆที่รู้สึกแย่กับคำด่าทอเหล่านั้น เป็นเราๆคงทนไม่ไหว เราเคยอ่านข่าวน้องคนนึงที่โดนบูลลี่หนักๆ คนรุมด่ากันมันปากเพียงเพราะเขาไม่เป็นแบบที่คนอื่นต้องการ เขาถึงกับต้องไปพบจิตแพทย์ สุขภาพจิตเขาแย่ลงมาก ถึงขนาดอยากออกมาเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ต้องมีใครรู้จักด้วยซ้ำ
การพูดอะไรสนุกปากโดยไม่คิดเนี่ย มันส่งผลกระทบต่อคนที่เป็นเหยื่อมากนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 23-09-2019 22:23:00
 :sad4: สงสารพี่อู๋กับยัยก้องง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-09-2019 22:28:39
เอ้าก้องเกียรติทำเรื่องอีกแล้ว สงสารก็สงสารนะ แต่นาทีนี้สงสารพี่อู๋มากกว่าทุ่มเทไปเพื่ออะไร สุดท้ายก้องก็คือคนเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดคนนึง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-09-2019 23:00:08
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 23:07:00
ประโยคนี้ของพี่อู๋มันเป็นประโยคที่พังโลกทั้งใบของก้องไปเลย ไม่รู้ว่าพี่อู๋ได้ยินประโยคนั้นของก้องรึป่าวแล้วรู้ได้ยังไง สงสารทั้งก้องและพี่อู๋เลยนะ ไม่รู้ว่าปัญหานี้จะจบยังไง ใจนึงก็กลัวว่าก้องจะกลับไปซึมเศร้าหนักกว่าเดิมด้วย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-09-2019 23:38:45
เกลียดการตัดสิินกันด้วยข้อมูลเพียงน้อยนิด แต่มโนกันไปมหาศาล
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 24-09-2019 00:21:48
ไม่ไหวละ แบบก้องฉันท้อแทนอะฮือ ทำไงให้ทุกอย่างกลับมาดีวะ ก้องต้องพยายามแล้วแหละมันอยู่ที่ความกล้าของก้อง ถ้าก้องยังไม่กล้ายอมรับกับทุกคนว่ารักพี่อู๋จริงๆเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆหรอกก้อง หรืออีกทางคือ...กลับไปจุดเริ่มต้นตรงสะพาน นี่ก็สงสารพี่อู๋ด้วยแง อยากให้แกมีความสุขกันสักที ส่วนอีออกัสก็ขอให้มันโดนถล่มบ้างให้มันได้รู้สึกกับสิ่งที่ตัวเองได้เหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป คนแบบนี้ไม่น่าได้อยู่ดีในระยะยาว ถ้าคนมันแคร์หรือเคยชอบจริงเขาจะไม่พูดหรือทำแบบนี้ นี่เรียกเห็นแก่ตัว สุดท้ายนี่ก็ขอภาวนาให้เรื่องมันเข้าที่เข้าทางโดยเร็ววัน เพราะใจนุมันรับไม่ไหวแล้ว น้ำตาซึม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 24-09-2019 00:22:19
จุกไปหมดเลยค่ะ พูดได้คำเดียวว่าจุก  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 24-09-2019 00:35:26
ชีวิตก้องวนลูปเดิมๆ   ประสบการณ์ที่ผ่านมา้องไม่เคยโตขึ้นเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 24-09-2019 00:59:53
ทำไมสงสารพี่อู๋จังอ่ะ ก้องคือต้องหัดยอมรับตัวได้ละ
แต่เรื่องโดนบูลบี่นี่หนักมาก ขอให้ออกัสได้รับเวรกรรม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: INK@PANTIP ที่ 24-09-2019 06:14:36
 :hao6: :hao5:พี่อู๊ทำกูช็อกไปกับน้องก้องเลย ใจล่มคะ น้องก้องกำลังเสียใจ ตาม :hao4: :mew2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-09-2019 07:41:24
ก้องลาบวชซักพักดีไหม ล้างซวย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 24-09-2019 10:52:43
ก้องลูก เป็นกำลังใจให้ก้องน้า ขอให้ทุกอย่างๆมันกลายเป็นแค่เรื่องธรรมดาในช่วงเวลานึงของชีวิตเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 24-09-2019 17:57:43
เรื่องมาหาไม่เว้นเลยก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 24-09-2019 19:34:46
ฟ้าคคคคคค คือสงสารก้องว่ะ สงสารพี่อู๋ด้วยนะ แต่สงสารก้องมากกว่า ฮือออ ค้างงงงงงง 4พาร์ทรวดก็ไม่พอค่ะจังหวะนี้ รีบมานะ รอน้องก้องกับชีวิตจองเค้ากับพี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 24-09-2019 20:42:08
 :n1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 24-09-2019 23:34:37
นี่ว่าอีพี่อู๋ไม่ได้ไล่ก้องจริงๆหรอก แสบจะตายเหมือนจะดัดนิสัยก้องมากกว่า คงโมโหที่ก้องคิดแทนตัวเองหมด รู้สึกว่าก้องก็ยังแคร์ตัวเองมากกว่าพี่อู๋อ่ะ ตั้งแต่คบไม่คบ คบแล้วคนจะมองแบบไหน ลามมาถึงเรื่องสถานะบนเตียง ทุกอย่างก้องมีปัญหาและตั้งคำถามหมด เข้าใจว่าเป็นผู้ชายเลยไม่รู้จะเริ่มยังไง แต่คนที่ต้องมานั่งรองรับอารมณ์แบบพี่อู๋มันก็เฟลเล็กๆอ่ะ ทุกๆครั้งที่ก้องมีอะไรในใจคนที่จะรับคือพี่อู๋หมด เรื่องนี้แบบความสัมพันธ์หลายช่วงมากๆ กว่าจะพัฒนามาขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยนะ พี่อู๋นี่ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆนะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 25-09-2019 21:02:44
 :mew5: จะทำไงดี   สงสารพี่อู๋   .....   เกลียดออกตัวมากกกก   .... แต่ไม่ชอบวิธีคิดของก้อง... ทำไงดีคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 25-09-2019 23:50:44
มรสุมชีวิตโคตรๆ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 26-09-2019 07:50:31
อยากจิบ้าแทนก้อง หวังว่านางคงไม่เป็นซึมเศร้าอีก  :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 26-09-2019 11:06:00
 :sad4: :sad4: หู้ยย บอกเรยว่า เหนื่อยมากก.. เหนื่อยแทนเรยย..
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 26-09-2019 12:52:53
 โลกมันไม่น่าอยู่สำหรับก้องเลย ถ้าเหนื่อยถ้าไม่ไหวไปเถอะก้อง  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: vermilion ที่ 27-09-2019 20:22:30
อินมาก เห็นใจทั้งคู่เลย ว่าแล้วว่าต้องดราม่าแน่ หวังว่าจะผ่านพ้นไปด้วยดีนะ

ปล. ต้องไปหาเรื่องฟีลกู้ดอ่านต่อก่อน อินมากจริงๆ
หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 29-09-2019 13:57:21
ก้องจะฆ่าตัวตายมั้ย เป็นห่วงอ่ะ
เอาจริงๆ เจอแบบก้องไม่ไหวนะ
แล้วยิ่งเป็นก้องอ่ะ เป็นห่วงมากๆ
อิเรื่องโทรศัพท์อีกกกก ใครโทร ได้จังหวะมาก
ชั้นว่าคนร้ายที่แท้จริงอาจจะเป็นโบ็ทหรือเปล่า
แบบโทรไปหาพี่อู้ แล้วถามก้อง
ที่ก้องตอบไปแบบนั้น เพราะก่อนหน้านั้น
พูดคุยกันเป็นแนวๆนี้ ถึงจะเรื่องเงินแล้วยังไง
พี่อู๋เต็มใจเลี้ยงก้องอ่ะ เลี้ยงแบบาปอยล์ด้วย
แล้วอิพี่อู๋ แกเป็นอะไรอีกกกกกก
แกรู้จักก้องดีที่สุดนะ
รออ่านต่อไป ลุ้นนนนนน


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Readingissexy ที่ 29-09-2019 14:11:51
พี่อู๋อย่าโกรธน้องก้องงง แงงง :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 30-09-2019 11:24:44
เอาจริงก็อยากให้น้องไปอยู่กับแม่แล้วนะ แต่ก็อีกแหละ กว่าจะมาถึงวันนี้มันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 38 update!] 23/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-09-2019 14:39:28
เข้ามาปูเสื่อรอ :katai5: กลายเป็นคนรักวันจันทร์เพราะจะได้อ่านเรื่องนี้
หวังว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นน้าา ตอนล่าสุดอย่างเครียดดด
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-09-2019 19:53:57
39 [PART1/2]

ผมโทรศัพท์หาพี่อู๋อีกครั้งแต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ มันตัดเข้าโหมดโอเพอเรเตอร์โดยไม่ได้ยินเสียงรอสายซักวินาทีเดียว ผมเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่ได้ ร้อนใจไปหมดเมื่อประโยคสุดท้ายจากปากพี่อู๋คือการขับไสไล่ส่งไปไกลๆ

“ก้อง มึงเป็นอะไร?”

ทรายถามเมื่อเห็นสีหน้าของผมเริ่มไม่ดี พอสบตาเพื่อนผมก็ปล่อยโฮออกมาโดยไม่อาย ผมบอกทรายว่าพี่อู๋ได้ยินหมดแล้ว เมื่อกี๊กูลืมกดตัดสาย เขาคงเข้าใจผิดว่าที่กูคบกับเขาเพราะเงิน ทรายกับมิวหน้าเหวอทำตัวไม่ถูก ทุกคนอยากช่วยผมแต่ช่วยไม่ได้เพราะพี่อู๋บล็อคเบอร์ของนายก้องเกียรติเรียบร้อย และไม่ยอมอ่านไลน์ที่พยายามพิมพ์อธิบายด้วย

พี่อู๋ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมคุยกับไอ้โบ้ทเฉยๆ
มันไม่ใช่เพราะเงินทั้งหมดหรอกแต่ผมไม่รู้จะพูดยังไง
ผมไม่กล้าบอกมันว่าผมรักพี่เพราะกลัวโดนล้อ
พี่อู๋ พี่อ่านไลน์ผมหน่อยได้มั้ย
พี่รับสายผมซักครั้งก็ได้ ผมขอร้องนะพี่อู๋
ผมไม่เคยขออะไรจากพี่เลย ผมขออย่างเดียว พี่ฟังผมก่อนได้มั้ย ช่วยฟังผมอธิบายซักครั้งได้มั้ย
พี่อย่าทำแบบนี้กับผมเลยนะ ผมรักพี่คนเดียว ถ้าพี่ไล่ผมแล้วผมจะอยู่ยังไง ผมไม่เหลือใครแล้วนะพี่อู๋ --

อาจารย์ที่ปรึกษาโทรมาขัดจังหวะอีกครั้ง ผมจึงจำใจต้องรับสายเขาเพื่อถามว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า อาจารย์บอกว่าวันก่อนที่มาพบอาจารย์ประจำเทอม ก้องเกียรติยังไม่ได้เซ็นชื่อให้อาจารย์เลย ว่างๆมาเซ็นหน่อยนะ อาจารย์ต้องส่งเอกสารให้คณะอาทิตย์หน้าแล้ว

ผมตอบกลับแค่ว่าครับ ได้ครับ ก่อนวางสาย ผมเปิดแชทไลน์ของพี่อู๋แล้วพรั่งพรูคำอ้อนวอน ผมกำลังร้องไห้ สะอึกสะอื้นเป็นคนบ้าเมื่อพี่อู๋ไม่ยอมอ่านไลน์เลย ผมพยายามโทรหาอีกแต่ก็ไม่มีสัญญาณ พี่อู๋คงเอาจริงอย่างที่เขาว่า หลังจากนี้ผมคงไม่ได้เห็นหน้าคนที่ผมรักอีก เราคงไม่ได้ติดต่อกันอีกเพราะเขาเกลียดผม

“ก้อง -- ไม่ร้องๆ ไม่เป็นไรนะเว้ย”

ทรายไล่โบ้ทไปนั่งที่อื่นเพื่อย้ายมานั่งข้างๆ ผมฟูมฟายกอดทรายแล้วเอาแต่ถามว่าทำไงดี ทำไงดี จะทำยังไงพี่อู๋ถึงจะเข้าใจ โบ้ทที่เป็นคนนอกเรื่องมาตลอดยิ่งขมวดคิ้วงุนงงใหญ่ มันถามว่าทำไงดีของก้องเกียรติคืออะไร มึงควรดีใจไม่ใช่เหรอที่เขาเลิกกับมึงเสียที

“พอเลยอีโบ้ท! ปากมึงอ่ะ!”

มิวขยำเศษกระดาษก่อนปาใส่หน้าโบ้ท ทั้งสองคนเถียงกันเป็นเด็กเพราะโบ้ทไม่ได้เข้าใจเรื่องทั้งหมดว่ามันเป็นมายังไง พอคนเริ่มหันมองกลุ่มพวกเรา ทรายก็ดึงผมให้ลุกขึ้นเพื่อหนีสายตาจากทุกคน ผมรู้สึกแย่มากที่มันกลายเป็นแบบนี้ ได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาและเดินก้มหน้าหนีไปนั่งหลบมุมไกลๆ ผมร้องหนักอยู่พักใหญ่ถึงจะค่อยๆหยุดได้ด้วยตัวเอง ทรายยังคงนั่งโอบไหล่และส่งทิชชู่ให้ซับน้ำตาอยู่เรื่อยๆ มันบอกให้ใจเย็นๆก่อน พี่อู๋คงโกรธมากที่ได้ยินแบบนั้น ไว้ตอนเย็นค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านก็ได้ พี่อู๋ไม่หายไปไหนหรอก เขาก็ต้องกลับไปนอนบ้านนั่นแหละ

ผมพยายามสงบสติอารมณ์ตามที่เพื่อนสนิทแนะนำ พยายามคิดบวกว่าเอาน่า อย่าเพิ่งคิดไกล ไว้พี่อู๋อารมณ์เย็นเมื่อไหร่ค่อยคุยกันก็ได้ ยังไงสิ่งที่ผมพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด พี่อู๋ต้องสัมผัสได้บ้างล่ะว่าที่ผ่านมาผมรักเขาขนาดไหน ผมไม่ได้เห็นแก่เงินอย่างเดียว แต่ผมให้ใจเขาทั้งใจด้วยเหมือนกัน

ผมอดทนรอให้ผ่านวันนี้ไปเร็วๆเพราะตอนเย็นจะนั่งรถกลับบ้านไปหาพี่อู๋ พอเลิกคลาสบ่าย ผมก็รีบเดินออกจากห้อง ไม่แวะเก็บของที่หอหรือทำธุระอื่นเลยนอกจากตรงดิ่งไปแอร์พอร์ต เรลลิงค์ ระหว่างรอรถไฟผมก็ยังกดโทรศัพท์หาพี่อู๋เรื่อยๆ โทรหาเขาตลอดไม่เว้นว่าง ผมเอาแต่ส่งข้อความและโทรจนแบตหมดจึงจำใจเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า มุ่งหน้าสู่ลาดพร้าวเพื่ออธิบายให้ชายที่ผมรักมากที่สุดฟังว่าสิ่งที่เขาได้ยินไม่ใช่ความจริงทั้งหมด





วันนี้รถไฟฟ้าเสีย ผมจึงเสียเวลายืนรออยู่นานกว่าจะได้ไปต่อรถไฟใต้ดิน แถมเอ็มอาร์ทีก็คนเยอะจนต้องต่อแถวรอเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้ขึ้น ผมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวด้วยการช่วงชิงทุกอย่างที่ขวางหน้า รถไฟเต็มตอนคิวผมพอดีเหรอ ไม่มีทาง ผมเบียดจนตัวลีบติดกับพี่ผู้หญิงในขบวนเพราะทนรอรถไฟต่อไปไม่ไหว ต่อให้ได้ยินเสียงคนข้างในตะโกนด่าว่าชิดจะตายห่าแล้ว! ผมก็ไม่แคร์ ไม่รู้สึกผิดหรือละอาย เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นรออยู่

พอถึงสถานีลาดพร้าวผมก็ออกตัววิ่ง วิ่งขึ้นบันไดเลื่อนด้วยความเร่งรีบ เบียดคนนั้นที คนนี้ทีจนได้เสียงก่นด่าเป็นระยะ ผมวิ่งสุดแรงเกิดตั้งแต่ชานชาลาจนถึงประตูทางออกจอดแล้วจร แถมยังมีแรงวิ่งข้ามสะพานลอยจนถึงซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดอีก ผมกลับถึงบ้านของเราตอนสองทุ่ม ลาดจอดรถใต้คอนโดไม่มีวี่แวววีออสสีดำของพี่อู๋จอดอยู่ ผมใจไม่ดีนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ แต่คิดว่าอีกครึ่งชั่วโมงพี่อู๋อาจจะถึงบ้านก็ได้ ดังนั้นผมจึงล้วงการ์ดคอนโดออกมาแตะประตู เสียงเครื่องร้องดังปิ๊ปปิ๊ปแต่ประตูไม่เปิด ยังคงล็อคอยู่เหมือนเดิมจนผมต้องแตะซ้ำอยู่หลายหน

“คุณอู๋ไม่ได้ให้การ์ดใหม่เหรอ?”

ลุงยามกะกลางคืนถามเมื่อเห็นก้องเกียรติแตะบัตรเอาเป็นเอาตาย ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันอาทิตย์ พี่อู๋เพิ่งบอกว่าคอนโดเปลี่ยนระบอบการ์ดใหม่ เขาจะเอามาให้ผมวันนี้หลังเลิกเรียนแต่เราดันทะเลาะกันเสียก่อน ผมบอกลุงยามว่าช่วยสแกนให้ผมเข้าไปได้ไหม ผมจะรีบขึ้นไปทำธุระบนห้อง ด่วนมากครับ เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ ลุงยามมีสีหน้าหนักใจ แกส่ายหัวปฏิเสธบอกว่าไม่ได้หรอก ตามกฎของคอนโด ถ้าไม่มีการ์ดก็ห้ามเข้า

“แต่ผมอยู่ที่นี่มาเป็นปีแล้วนะ!” ผมขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ “ลุงเปิดให้ผมเถอะ ผมจะกลับบ้าน”

ลุงยามยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้ ไม่มีการ์ดเข้าไม่ได้แต่ไม่อธิบายเพิ่มว่าทำไม เขาบอกให้ผมนั่งรอก่อน ไว้คุณอู๋กลับมาเมื่อไหร่ค่อยขึ้นห้องพร้อมกัน ผมเถียงลุงยามอีกว่าจะรอพี่อู๋ได้ยังไง ไม่รู้วันนี้เขาจะกลับบ้านตอนไหน เปิดประตูให้ผมเดี๋ยวนี้เลยนะลุง อย่าทำเป็นเข้มหน่อยเลย ลุงก็รู้ว่าผมอยู่บ้านเดียวกับพี่อู๋ เรารู้จักกันมาสองปีกว่าแล้ว ลุงจะทำเหมือนผมเป็นคนแปลกหน้าไม่ได้ ผมเป็นลูกบ้านของที่นี่

“ตามหลักแล้วเอ็งไม่ใช่ลูกบ้านคอนโดนี้ คุณอู๋ต่างหากที่เป็น เอ็งมันแค่คนขออาศัย”

ประโยคจี้ใจดำทำเอาผมไปต่อไม่ถูก จังหวะที่กำลังยืนน้ำตาคลอจะร้องไห้ พนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่อยู่คอนโดนี้เหมือนกันก็สแกนบัตรเข้าไป ผมตั้งใจฉวยโอกาสนี้ตีเนียนเข้าตึกแต่ลุงยามก็ดึงแขนผมไว้ แกเอาแต่พูดว่าเข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้ ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้ ผมโมโหโวยวายเหมือนคนขาดการอบรมสั่งสอน ผมตะคอกถามลุงว่าทำไมจะเข้าไม่ได้! ก็ผมอยู่ที่นี่! อยู่บ้านเดียวกับพี่อู๋! ผมต้องเข้าได้สิ! ลุงยามคงโกรธที่โดนผมทำมารยาทไม่ดีใส่ แกถอนหายใจก่อนจะบอกว่า

“ก็คุณอู๋ไม่ให้เอ็งเข้า”
“ลุงว่าอะไรนะ?”
“เนี่ย คุณอู๋ไลน์มาบอกตั้งแต่ตอนเที่ยงว่าห้ามเอ็งเข้า”

ลุงหยิบโทรศัพท์มาโชว์ ในนั้นมีข้อความกำชับยาวเหยียดว่าห้ามให้ก้องเกียรติเข้าตึกโดยเด็ดขาด แถมยังบอกอีกว่าถ้าผมไม่เชื่อฟังก็เรียกตำรวจมาคุยเลย ลากไปไหนก็ได้แต่ห้ามปล่อยให้เข้าห้อง ถ้าผมหลุดเข้าไปได้ นิติกับลุงยามโดนคอมเพลนแน่

ผมน้ำตาไหล โวยวายไม่ออก พูดไม่ถูกเมื่อรู้ว่าพี่อู๋เกลียดกันถึงขนาดนี้ ผมขอร้องให้ลุงยามไลน์ไปถามพี่อู๋ให้หน่อยว่าเขาจะกลับเมื่อไหร่ บอกเขาด้วยว่าผมรออยู่ ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา แต่พี่อู๋ก็บอกลุงยามสั้นๆว่าเรียกตำรวจเลย วันนี้เขาไม่กลับบ้าน ถ้าก้องเกียรติสร้างความเดือดร้อนให้คนในคอนโดก็เรียกตำรวจมาจับไป อย่าปล่อยให้ทำตัวเอาแต่ใจอย่างนี้

 ผมไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน นึกสงสัยว่าทำไมพี่อู๋ถึงกลายเป็นคนใจร้ายถึงขนาดบอกให้ลุงยามแจ้งตำรวจมาจับนายก้องเกียรติ ทั้งๆที่ผมแค่อยากเจอเขาเพื่ออธิบายความจริงให้ฟังเท่านั้น ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ผมแค่อยากคุยกับพี่อู๋ซึ่งๆหน้า ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้เลย แต่ที่เจ็บปวดกว่าคือพี่อู๋บอกว่าเขาจะไม่กลับบ้าน ในคืนวันศุกร์ที่เราเคยคุยกันว่าจะไปกาญจนบุรี พี่อู๋กลับหนีผมไปโดยไม่เปิดโอกาสให้อธิบายซักนิด

ผมได้แต่ยืนน้ำตาไหลด้วยความช้ำใจ สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวจนลุงยามเอ่ยปากถามว่าทะเลาะกันเหรอ ทะเลาะเรื่องอะไรล่ะคุณอู๋ถึงเอาจริงขนาดนี้ ผมไม่รู้จะบอกลุงยังไงดี เพราะเล่าไปความผิดก็มัดตัวจนหาข้ออ้างอะไรไม่ได้ พอเห็นนายก้องเกียรติเสียอาการ ลุงก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ลากเก้าอี้มาให้และบอกว่าถ้าไม่รบกวนลูกบ้านคนอื่นจะรอคุณอู๋ที่นี่ก็ได้ ผมทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้พลาสติกเพราะรู้สึกเมื่อยขา ตาเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป แบตโทรศัพท์ก็หมด จะติดต่อพี่อู๋ จะขอความเมตตาจากเขาก็ไม่ได้เพราะพี่อู๋ไม่ยอมรับฟัง แถมคืนนี้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะนอนไหนในเมื่อบ้านที่เคยอยู่ก็ไม่ต้อนรับ จะไปหาใครก็นึกไม่ออกเพราะเหลือตัวคนเดียว พี่อู๋ก็รู้ว่าผมไม่มีใครแล้ว ทำไมเขาใจร้ายกับผมขนาดนี้ ทำไมทำเหมือนเราไม่เคยรักกันมาก่อน ทำไม ทำไมวะ ทำไม – ผมร้องไห้เงียบๆอยู่อย่างนั้น นั่งเฝ้าประตูทางเข้าคอนโดเหมือนหมารอเจ้าของกลับบ้าน แต่เวลาล่วงเลยไปตั้งสี่ชั่วโมงแล้ว พี่อู๋ก็ยังไม่มา เขาไม่กลับบ้านจริงๆตามที่บอกลุงยามไว้

ผมหมดแรงเกินกว่าจะขอร้องพี่อู๋ มันเหนื่อยทั้งกายทั้งใจจนคิดอะไรไม่ออก แม้กระทั่งคืนนี้จะนอนไหนก็คิดไม่ออกจนต้องปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรม ถ้าพี่อู๋ไม่กลับมาวันนี้ ผมนอนข้างนอกนี่ก่อนก็ได้ ยังไงไม่เกินสามวันเขาต้องกลับบ้านอยู่แล้ว เขาจะหนีไปไหนได้ในเมื่อมีงานมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ พอคิดว่าเดี๋ยวพี่อู๋ก็มา เดี๋ยวเขาก็กลับมา ร่างกายก็ค่อยๆเข้าโหมดชัตดาวน์อัตโนมัติ ผมที่เหนื่อยมาทั้งวันนั่งสัปปะหงกบนเก้าอี้อยู่เพียงลำพัง เมื่อได้ยินเสียงรถก็จะรีบลืมตาดูว่าใช่วีออสสีดำไหม ใช่พี่อู๋หรือเปล่า แต่เที่ยงคืนกว่ายังคงไร้วี่แวว ผมจึงหลับๆตื่นๆรอพี่อู๋จนกระทั่งเบนซ์คันหนึ่งขับเข้ามาใต้อาคาร

ผมรู้ว่ารถเบนซ์ไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกับพี่อู๋จึงไม่สนใจ ทว่าขณะที่พยายามหลับตาและเอาหัวพิงกำแพงจะได้นอนสบายๆ เสียงฝีเท้าก็เดินมาหยุดตรงหน้า ผู้ชายคนหนึ่งเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ พอลืมตาขึ้นมาก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงเมื่อเห็นพ่ออยู่ที่นี่

“พ่อมาทำอะไร?”

ผมถามห้วนๆ ไม่ดีใจที่เห็นพ่อแทนที่จะเป็นพี่อู๋ พ่อยืนน้ำตาคลอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับรู้สึกเวทนานักหนา เขาเดินมากอดผมก่อนจะพูดประโยคที่น่ากลัวที่สุดออกมา

“กลับบ้านเราเถอะนะก้อง”






บ้าน? บ้านเรา? ที่บอกว่าบ้านเราน่ะหมายถึงบ้านที่ไหน

ผมส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมให้พ่อจับตัว ผมบอกเขาว่าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นเพราะบ้านของผมอยู่ที่นี่ บ้านผมอยู่บนชั้นสี่ของอาคารนี้ แต่พ่อกลับพยายามดึงผมให้ลุกขึ้น เขาเอาแต่พูดว่าพี่อู๋ให้มารับ กลับบ้านเรากันนะ ผมจึงตะโกนใส่หน้าเขาว่าอย่ามาโกหก! พี่อู๋ไม่ทำแบบนั้นหรอก เขารู้ว่าผมเกลียดพ่อ ผมไม่อยากไปอยู่กับพ่อ เขาไม่มีวันยกผมให้พ่อหรอก!

“ป๊าจะโกหกก้องทำไม? ถ้าคุณอู๋ไม่ให้มารับ ป๊าจะรู้เหรอว่าก้องอยู่ที่นี่”

คำพูดของพ่อยิ่งตอกย้ำให้ผมเจ็บมากขึ้นไปอีก พี่อู๋คงโทรบอกพ่อให้มารับจริงๆอย่างที่เขาว่า ไม่งั้นพ่อคงโผล่มาถึงนี่ไม่ได้หรอก ผมยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่ไป ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะรอคุยกับพี่อู๋ให้รู้เรื่องว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ไหนเขาเคยสัญญาว่าจะไม่ส่งผมกลับไปหาพ่อไง ทำไมจู่ๆพ่อก็โผล่มาและบอกว่าจะพาผมกลับบ้าน ทำไมพี่อู๋ยอมให้พ่อรับผมไป เขาไม่รักก้องเกียรติแล้วเหรอ ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วเหรอถึงส่งผมกลับไปหาพ่ออย่างนี้

ผมร้องไห้ฟูมฟาย กระทืบเท้าเอาแต่ใจว่าไม่ไป! ยังไงก็ไม่ไป! ด้วยท่าทีแข็งกร้าว พ่อดูหนักใจที่ผมดื้อมาก ดื้อเกินกว่าเขาจะควบคุมได้ พ่อกับลุงยามช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ผมไปจากที่นี่แต่โดยดี ไปนอนที่บ้านเถอะ ไปนอนบนเตียงเถอะ นอนบนฟูกนุ่มๆดีกว่านั่งคอพับบนเก้าอี้เป็นไหนๆ ผมยืนยันคำเดินว่าไม่ไป! ยังไงก็ไม่ไป! ผมจะรอพี่อู๋ที่นี่! พ่อไม่ได้เลี้ยงผมมา! พ่อไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับชีวิตผม! ผมจะกินนอนที่ไหน! จะทำอะไรมันก็เรื่องของผม! ลุงยามที่ทนเห็นก้องเกียรติก้าวร้าวกับพ่อต่อไปไม่ไหวจึงฉีกทึ้งหัวใจผมเป็นชิ้นๆด้วยประโยคที่ว่า

“ก็คุณอู๋เขาไม่ต้องการเอ็งแล้วจะให้ทำยังไงวะ! เข้าใจไหมว่าเขาไม่เอาแล้ว เขาไม่อยากได้แล้ว เอ็งก็ไปๆเสียเถอะ”

คำพูดของลุงยามทำเอาผมอึ้ง พูดอะไรไม่ออก มันเสียใจ มันจุกอกจนเริ่มหายใจไม่ทันเพราะร้องไห้เยอะเกินไป ผมหอบเร็วขึ้นเรื่อยๆจนพ่อกลัว เขารวบตัวผมเอาไว้แน่นแล้วใช้โอกาสนี้พานายก้องเกียรติขึ้นรถและรีบขับออกไป ในรถเบนซ์ราคาหลายล้านของพ่อ ผมไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นกับความสวยหรูของมันนอกจากร้องไห้เพราะเจ็บปวดกับคำตอกย้ำของลุงยาม

“คุณอู๋เขาไม่ต้องการเอ็งแล้ว”

ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหัว มันเป็นคำพูดเสียดแทงที่ทำเอาผมจุกจนไม่สามารถคิดบวกได้นอกจากร้องไห้ แม้ว่าพี่อู๋ไม่ต้องการนายก้องเกียรติก็จริง แต่ผมยังต้องการเขาอยู่ หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใครซักคน ผมขอยอมรับผิดทั้งหมดแต่โดยดี เพราะผมเองที่ปากพล่อย มัวแต่กลัวไอ้โบ้ทล้อก็เลยโพล่งไปว่าคบกับพี่อู๋เพราะเงินทั้งที่จริงรักเขาแทบบ้า ในชีวิตของผม – ไม่มีใครสำคัญเท่าพี่อู๋เลย เขาคือคนเดียวที่ผมรัก คือคนที่ผมอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดไป มาวันนี้พี่อู๋แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากได้ผมแล้ว เขาไม่ให้ผมเข้าบ้าน แถมยังให้พ่อมารับทั้งๆที่เคยให้สัญญาว่าจะดูแลก้องเกียรติตลอดไปอีก จิตใจพี่อู๋ทำด้วยอะไร ไหนว่ารักผมนักหนาไง ทำไมถึงผลักไสไล่ส่งกันได้ขนาดนี้

“อย่าร้องเลยนะก้อง”

พ่อลูบหัวผมขณะจอดรอไฟแดง ผมเบนหน้าหนีเพราะไม่อยากถูกสัมผัสโดยชายที่เอาแต่บอกว่ารักลูกทว่าไม่เคยออกตามหาเลยตลอดสิบกว่าปี พ่อไม่รู้หรอกว่าสถานะระหว่างผมกับพี่อู๋มันไม่ใช่แค่เด็กกับผู้ปกครอง เราไม่ใช่แค่คนรู้จักแต่เรารักกัน และที่ผมร้องไห้เสียใจจะตายอย่างตอนนี้ก็เพราะผมทำเหี้ยกับเขาไง ผมเสียใจที่พี่อู๋เข้าใจผิด เสียใจที่ความสัมพันธ์ของเราต้องจบทั้งๆที่เรารักกันแทบบ้า ผมบอกพ่อสั้นๆแค่ว่าพ่อไม่มีวันเข้าใจหรอก ถึงคืนนี้พ่อได้ผมไปอยู่ด้วยก็ไปแต่ตัว เพราะผมจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพ่อ

จำคำพูดผมไว้เลยนะ – ผมไม่ใช่มรดกของพ่อ ไม่ใช่สัตว์ตัวผู้หรือตัวนำโชคในครอบครัวประหลาดๆของพ่อ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ผมไม่รักพ่อ ไม่มีวันรักครอบครัวของพ่อ ถ้าคิดว่ารับได้ก็พาผมกลับบ้านเลย แต่ถ้ารับไม่ได้ ก็ปล่อย – ผม – ลง

พ่อมองผมด้วยแววตาราบเรียบ ไม่มีความใจดีหรือโอนอ่อนให้เหมือนก่อนหน้าที่เราเจอกันอีกแล้ว อารมณ์คุกรุ่นของพ่อในตอนนี้เริ่มทำให้ผมกลัวและยอมสงบปากสงบคำ เขาจ้องจนผมต้องเสหน้ามองไปทางอื่น จ้องจนผมกลัวว่าเขาจะทุบตี แต่สุดท้ายพ่อก็ไม่ว่าอะไรนอกจากขับรถต่อไปจนถึง “บ้าน” บ้านซึ่งผมเคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กกับแม่   





ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่หลงเหลืออยู่เลย รั้วสีขาวสูงเมตรกว่าไม่ได้ช่วยให้ระลึกอะไรได้ซักนิด

บริเวณบ้านของพ่อกว้างมาก ด้านหน้าเป็นสวนจืดๆของต้นอะไรก็ไม่รู้ดูไร้การจัดวางโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ทางขวามือของรั้วคือโรงรถที่มีรถจอดอยู่ห้าคัน ส่วนใหญ่เป็นรถยุโรปราคาแพงที่ผมไม่รู้จัก ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นบ้านสองชั้นสีขาว ลักษณะของบ้านให้อารมณ์คลาสสิคแบบยี่สิบปีก่อน มันเป็นบ้านสี่เหลี่ยมทื่อๆมีระเบียง มีรางน้ำอะลูมิเนียมอันใหญ่ตรงกระเบื้องหลังคา ประตูทางเข้าบ้านของชั้นหนึ่งทำจากไม้แกะสลักสวยงามขนาดใหญ่ ทันทีที่รถจอดพ่อก็ปลดเข็มขัดนิรภัย เขามองหน้าผมที่พยายามกลั้นสะอื้นเป็นพักๆก่อนจะถอนหายใจ

“ป๊าให้อาแตงจัดห้องไว้แล้ว คืนนี้นอนไปก่อน พรุ่งนี้ป๊าจะให้ช่างมาทำห้องใหม่ให้”

ผมไม่ตอบสนองคำพูดของพ่อ ไม่ยอมลงจากรถแม้ว่าพ่อจะเดินมากดดันข้างนอก หลังจากอดทนใจเย็นมานานเป็นชั่วโมง พ่อก็เปิดประตูรถและดึงแขนให้ผมลงมาแต่โดยดี ผมไม่มองหน้าพ่อ ไม่สนใจ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนเขาต้องโอบไหล่และลากให้เดินไปด้วยกัน ทันทีที่เดินเข้าบริเวณชานบ้าน ผมก็เห็นผู้หญิงที่ดูเด็กกว่าแม่ยืนอยู่ เธอสวมชุดนอนกระโปรงแบบคนแก่และยิ้มดีใจเมื่อเห็นหน้าผมชัดๆ

“เฮีย คนนี้เหรอก้องเกียรติ?” เธอยิ้มหวานและเอื้อมมือมาจับข้อมือทั้งสองข้างของผมแล้วมองนายก้องเกียรติตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตื่นเต้น “ตัวสูงมากเลยนะเนี่ย”
“อาแตง ลื้อเตรียมห้องให้ก้องแล้วใช่ไหม?”
“เรียบร้อยแล้วเฮีย”
“พาก้องไปดูห้อง แล้วก็อย่าลืมหาเสื้อให้เขาเปลี่ยนล่ะ”
“จ้ะเฮีย”

อาแตงขานรับ เมื่อเดินไปจนถึงห้องครัวที่อยู่ทางด้านซ้าย หมาพันธุ์ไซบีเรียนก็กระโดดใส่เหมือนตุ๊กแก ผมร้องโวยวายเพราะไม่เคยโดนหมาที่ไหนจู่โจมใกล้ๆแบบนี้มาก่อน แม้แต่ไอ้แดงที่ว่าสนิทกันยังไม่เคยกระโดดกอดเอวผมเลยซักครั้ง พ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงตะโกนเสียงดังว่า ไป! ไอ้หมี! มันถึงเลิกเกาะแต่ยังคงคลอเคลียไม่ห่าง ผมถามอาแตงว่าหมาตัวนี้เป็นของใคร เธอบอกว่าของทุกคนในบ้าน และตอนนี้ก็เป็นของก้องด้วย

“ก้องแพ้ขนหมาหรือเปล่า?” พ่อถาม ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบแทนการเปล่งเสียง เห็นดังนั้นพ่อจึงพยักหน้ารับแกนๆแล้วเดินไปปิดประตูบ้าน “ดีแล้ว ถ้าแพ้จะเอาไอ้หมีไปปล่อย”

อาแตงบ่นอุบอิบว่าชอบขู่จะทิ้งหมาอยู่เรื่อยขณะเดินนำผมไปห้องนอน บนชั้นสองของบ้านนั้นแบ่งสัดส่วนค่อนข้างซับซ้อน มีบานประตูหลายบานซึ่งดูคล้ายกันไปหมด ห้องนอนของผมอยู่ตรงขวาสุดของทางเดิน อยู่ติดกับห้องน้ำรวมที่แชร์ร่วมกันทั้งบ้าน เมื่อเปิดบานประตูสีน้ำตาลเข้าไปก็เจอกับราวเสื้อผ้าวางเต็มไปหมด ตรงผนังอีกด้านมีเตียงเหล็กเก่าๆตั้งอยู่ มีหมอนมีผ้าปูจัดวางเรียบร้อย แต่สภาพไม่น่านอนเท่าที่ควร

อาแตงขอโทษผมที่สภาพห้องนอนคืนแรกเป็นแบบนี้ เธอบอกว่าพ่อติดต่อช่างมาทำห้องให้ใหม่พรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นทนๆไปก่อนนะ พรุ่งนี้เราค่อยช่วยกันเคลียร์ห้องอีกที ผมไม่พูดอะไร ไม่ขอบคุณอาแตงหรือมองหน้าเธอนอกจากเดินเหม่อเข้าไปข้างใน พอนึกได้ว่ามีของอย่างหนึ่งจำเป็นต้องใช้ ผมจึงร้องขอเธอเป็นครั้งแรก ผมถามอาแตงว่ามีสายชาร์ตแบทโทรศัพท์บ้างไหม เธอหายเข้าไปในห้องตรงข้ามอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถือกล่องที่มีสายชาร์ตและปลั๊กวางระเกะระกะหลายสิบเส้นมาให้

“มีหลายรุ่นเลย แต่อาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายี่ห้อไหนใช้ได้ไม่ได้” เธอพูดยิ้มๆ ในขณะที่ผมตะโกนร้องในใจ ขอให้เธอรีบออกไป “นอนเสียนะก้อง ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

ผมไม่ตอบสนองนอกจากมองเธอเดินออกไป ทันทีที่บานประตูปิดลง ผมก็รีบล็อคห้องและชาร์ตแบตโทรศัพท์ รอเพียงห้าวินาทีผมก็เปิดเครื่องเพื่อหาวิธีติดต่อพี่อู๋ แต่ไม่ว่าจะกระหน่ำโทรหรือส่งไลน์ขนาดไหนก็ไม่มีการตอบกลับ ผมที่กระวนกระวายใจจึงนึกหาหนทางอื่นจนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี๊ – ตอนเดินผ่านเคานเตอร์วางของ ผมเห็นโทรศัพท์บ้านเครื่องหนึ่งตั้งอยู่ คิดดังนั้นผมจึงเอาหูแนบประตู เมื่อแน่ใจว่าข้างนอกไม่มีใครก็รีบย่องลงข้างล่างเพื่อแอบใช้โทรศัพท์ แต่อุปสรรคสำคัญคือไอ้หมี ไซบีเรียนฮัสกี้ที่เอาแต่ร้องงี้ดๆดีใจที่ได้เจอนายก้องเกียรตินักหนา ผมกระซิบไล่มันว่า ออกไป! ออกไป! มันก็ยังคลอเคลียร์อยู่นั่นแหละ สุดท้ายเราจึงต้องย่องไปพร้อมกัน ไอ้หมีเดินเคาะเท้าเสียงดังแกรกๆ ส่วนผมเดินบนปลายเท้าเพราะกลัวว่าจะมีคนโผล่มาดูว่าใครยังไม่เข้านอนเสียที

เมื่อมือคว้าโทรศัพท์ได้ ผมก็กดเบอร์ของผู้ปกครองที่ท่องจำจนขึ้นใจ ครั้งแรกโทรไปไม่มีคนรับ พอโทรครั้งที่สองถึงได้ยินเสียงของชายที่ผมรักดังงัวเงีย พี่อู๋น่าจะกำลังหลับอยู่ เขาตอบเบาๆว่า ฮัลโหล ครับ ก่อนจะเงียบไปเพราะผมไม่ได้เปล่งเสียงในทันที

“ฮัลโหล”
“พี่อู๋ --”

ผมเรียกชื่อเขาแล้วร้องไห้ ตั้งใจจะขอโทษแต่สายก็ตัดเสียก่อน ผมรีบกระวนกระวายโทรหาพี่อู๋เป็นครั้งที่สามทว่าสายไปเสียแล้ว พี่อู๋คงบล็อกเบอร์นี้เหมือนที่บล็อกเบอร์ผม ระบบจึงตัดเข้ากล่องข้อความ ผมที่กลั้นน้ำตาไม่ไหวถึงกับปล่อยโฮเพราะเขาไม่ยอมคุยด้วย ผมรู้ตัวแล้วว่าทำผิด รู้แล้วว่าพูดจาไม่ดี ไม่ถนอมน้ำใจของเขา แต่ให้โอกาสกันบ้างไม่ได้เหรอ ให้โอกาสผมได้อธิบายซักครั้งเลยไม่ได้หรือไง 

 คืนนั้นทั้งคืนผมเอาแต่กดโทรศัพท์เหมือนคนบ้า รู้ว่าเขาบล็อคก็ยังพยายามโทรหาเพราะหวังว่าจะมีซักครั้งที่พี่อู๋ใจอ่อน ยอมให้โอกาสก้องเกียรติได้อธิบายถึงสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไป แต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่ร้อยครั้ง คำตอบที่เป็นระบบฝากข้อความก็ตอกย้ำว่าเขาไม่เอาผมแล้ว นายก้องเกียรติไม่ใช่คนที่เขาต้องการอีกแล้ว ผมนั่งร้องไห้กับหมีจนเกือบตีสี่ นั่งจนโดนยุงกัดขาลายถึงยอมขึ้นไปนอนในห้องเก็บเสื้อผ้าที่พ่อเตรียมไว้ให้ ทันทีที่หัวถึงหมอนผมก็ผล็อยหลับทั้งๆที่มือยังกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นเพราะหวังว่าพี่อู๋จะโทรกลับมา แต่ก็ไม่มีเลยซักสายเดียว





ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยค่ะ  :z2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-09-2019 20:00:20
39 [PART 2/3]


ผมตื่นนอนอีกครั้งเพราะเสียงเคาะประตู เป็นอาแตงนั่นเอง ผมขมวดคิ้วหงุดหงิดเพราะขัดใจที่ถูกปลุกแต่เช้า ยิ่งเห็นนาฬิกาในโทรศัพท์บอกเวลาว่าเพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง ผมก็ยิ่งโมโหจนถีบขาไปมาระบายอารมณ์ อาแตงยังคงเคาะห้องปึงปังเมื่อเห็นว่าผมไม่ตื่นง่าย หลังจากนั้นไม่ถึงสองนาทีอาแตงก็กลับมาใหม่พร้อมกุญแจหนึ่งดอกเพื่อไขเข้ามาปลุกก้องเกียรติโดยเฉพาะ

“ก้อง ตื่นเร็ว ได้เวลากินข้าวแล้ว”
“ไม่หิวครับ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ลุกขึ้นเร็วเข้า”

อาแตงนั่งตรงขอบเตียงและพยายามดึงผ้าห่มออกจากตัวของก้องเกียรติ ผมหงุดหงิดโมโหจนต้องลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าอาแตงเขม็งด้วยความไม่พอใจ

“ไปอาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อยเร็ว อาม้ารออยู่”

จากที่ง่วงๆก็ตาสว่าง นึกว่าตัวเองหูฝาดเมื่อได้ยินคำว่าอาม้า ผมถามอาแตงว่าอาม้ายังอยู่อีกเหรอ ยังไม่ตายอีกเหรอ อาแตงตีไหล่ผมแล้วถามว่าทำไมแช่งอาม้าล่ะ อย่าพูดแบบนี้ให้อาม้ากับป๊าได้ยินเชียวนะเดี๋ยวจะโดนว่า เอาล่ะรีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว ทุกคนรอกินข้าวอยู่ กินเสร็จค่อยกลับมานอนก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่ถ้าอืดอาดยืดยาดล่ะโดนแน่ ป๊ากับอาม้ารออยู่ อย่าปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนาน

ผมถอนหายใจเซ็งๆเมื่ออาแตงเดินออกจากห้อง แต่ก็ยอมจำใจลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันตามคำสั่ง ตอนที่ก้าวเท้าลงบันได หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอกเพราะไม่รู้ว่าคนในครอบครัวนี้จะต้อนรับผมไหม พวกเขาจะพูดจากระแทกแดกดัน หรือประชดประชันพ่อที่รับผมกลับมาอยู่ด้วยหรือเปล่า พอเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ที่มีทุกคนนั่งประจำที่รอทานข้าว พ่อที่กำลังสวมแว่นตาอ่านหนังสือพิมพ์ก็ยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นมาโอบไหล่ พาไปแนะนำตัวกับอาม้าที่นั่งหลังงออยู่บนรถเข็น

ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นแผ่นหลังของหญิงชรา อาม้าตัวผอมซูบกว่าแนของพี่อู๋และดูเหี่ยวแห้งกว่าเยอะ วินาทีที่เราสบตากัน มันไม่มีความอบอุ่นหัวใจหรือความเป็นครอบครัวหลงเหลืออยู่เลย ผมมองอาม้าด้วยแววตาคนนี้น่ะเหรอที่ไล่แม่ผม คนนี้น่ะเหรอที่กลั่นแกล้งเราสองคนแม่ลูกจนต้องหอบผ้าหนี ส่วนอาม้ามองผมด้วยแววตาราบเรียบแต่ฉายแววดีใจเล็กๆที่เห็นผู้ชายอยู่ในบ้านของตัวเอง จะไม่ให้ปลื้มได้ยังไงล่ะ เพราะนอกจากพ่อที่เป็นผู้ชาย อีกหกชีวิตที่เหลือเป็นผู้หญิงหมดเลย แม้แต่ไอ้หมียังเป็นตัวเมีย อาม้าคงดีใจน่าดูที่จะได้หลานชายมาสืบสกุล

“สวัสดีอาม้าเร็วก้อง”

พ่อสั่ง ผมจึงจำใจยกมือไหว้ส่งๆเพราะไม่ได้รู้สึกอยากเคารพนอบน้อมอะไร เราจ้องตากันอยู่นานโดยไม่มีใครยอมแพ้ อาม้ามองผมตั้งหัวจรดเท้าก่อนจะบ่นว่าหน้าเหมือนแม่ ผมจึงตอบกวนๆว่าครับ ก็เป็นลูกแม่ ไม่เหมือนแม่จะให้เหมือนใคร

“ก้อง!” พ่อตำหนิผมอีกแล้ว “ไปเลย ไปกินข้าว ต่อไปนี้ก้องนั่งข้างมะนาวนะ”

พ่อชี้ไปที่เด็กหญิงที่เด็กที่สุดบนโต๊ะ เธอดูตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าผมกำลังเดินไปหาและทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ บรรยากาศมื้อนี้แย่ยิ่งกว่าสมัยกินข้าวในโรงทานของวัดเสียอีก ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ของผม คนที่นั่งรอบตัวก็ไม่ใช่ครอบครัวของผม แม้ว่าเด็กผู้หญิงพวกนี้คือน้องสาวคนละแม่แต่ผมไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรมากมาย หนำซ้ำไม่สนใจจำชื่อของพวกเธอด้วย ผมตั้งฉายาให้ทุกคนว่าหนึ่ง สอง สาม สี่ ผู้หญิงที่หน้าเป็นสิวและโตกว่าใครเพื่อนคือหนึ่ง คนที่เด็กลงมาคือสอง รองจากนั้นคือสาม และมะนาวคือสี่ ผมจะไม่เรียกเด็กคนนี้ว่ามะนาว แต่เธอคือสี่ หมายเลขสี่ หรือจริงๆควรเรียกว่าหมายเลขห้าเพราะผมคือลูกชายคนโตของบ้าน ช่างเถอะ จะสี่จะห้าก็ช่าง ยังไงก็มีค่าเท่ากันนั่นคือไม่มีชื่อเรียก

พ่อแนะนำน้องสาวแต่ละคนให้ฟังทว่าผมไม่สนใจ ผมแค่ปรายตามองหน้าน้องทีละคน ทีละคนแล้วก้มลงกินข้าวต้มต่อ หลังจากนั้นพ่อก็บอกอีกว่าผมควรใช้สรรพนามจีนเรียกครอบครัวว่ายังไง แต่ใครจะสน ผมไม่ใช่คนจีน ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในครอบครัวจีนตั้งแต่แรก ผมไม่จำหรอกว่าต้องเรียกใครว่าอะไร พ่อก็เป็นพ่อ อาแตงคืออาแตง ส่วนอาม้า – จะไม่มีวันได้ยินผมเรียกแกด้วยคำเรียกคนจีนเด็ดขาด ผมจะเรียกแกว่าย่า

แค่ย่า
และหากเป็นไปได้ ผมจะไม่คุยกับย่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

บนโต๊ะอาหาร ทุกคนในครอบครัวต่างกินข้าวในชามของตัวเอง มื้อแรกในบ้านหลังใหญ่คือโจ๊กที่อาแตงเป็นคนทำ ถามว่าอร่อยไหมก็อร่อยดี พอกินได้แต่ไม่ว้าวอะไร เมื่อบรรยากาศมันเงียบเกินไป พ่อก็เลยชวนพวกลูกสาวคุย ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ปล่อยให้เรื่องพวกนั้นผ่านหู ดูเหมือนหนึ่งกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ สองเข้าอีกสองปีข้างหน้า สามยังเรียนมอต้น เหลือเวลาอีกนาน ส่วนสี่เพิ่งขึ้นปอสาม กำลังซนและเอาแต่ใจได้ที่เพราะผมเห็นแกร้องจะเอาบาร์บี้จนอาแตงต้องปราม

ตอนแรกผมคิดว่าอาแตงเป็นแม่บ้าน แต่อยู่ไปซักพักก็รู้ว่าอาแตงคือผู้หญิงคนใหม่ที่ย่าหามาให้พ่อ ผมจ้องอาแตงตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอาไปเปรียบเทียบกับแม่ในใจ อาแตงผิวขาวแบบคนจีนแท้ๆ กริยามารยาทเรียบร้อยสมกับเป็นแม่บ้านแม่เรือน เวลาทุกคนทานข้าวเสร็จ อาแตงจะเก็บถ้วยชามไปล้างตามประสาสะใภ้คนจีน พ่อไม่ต้องทำอะไร นั่งแคะขี้ฟันอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจต่อไปโดยไม่สนว่าเมียมีงานบ้านต้องทำล้นมือ ส่วนหนึ่ง สอง สาม สี่ก็แยกไปใช้เวลาส่วนตัว หนึ่งกับสองออกไปเรียนพิเศษ สามนั่งเล่นกับไอ้หมีที่กำลังขุดดินอยู่หน้าบ้าน ส่วนสี่ไม่ทำอะไร เอาแต่เดินตามผมห่างๆเหมือนไม่เคยเห็นผู้ชาย เวลาผมจ้องกลับ สี่ก็จะวิ่งไปหลบหลังแม่ซักพักแล้วมาใหม่ เธอมองผมด้วยความสนใจ อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใกล้ แต่ผมปิดโอกาสนั้นของเธอด้วยการขึ้นห้องเพื่อพยายามติดต่อพี่อู๋อีกครั้ง

แต่ไม่ว่าจะโทรหาเท่าไหร่ ก็ไม่มีสัญญาณตอบกลับอยู่ดี

ผมกดโทรหาพี่อู๋ตลอดไม่หยุดพัก มีเว้นวรรคบ้างสองสามนาทีเพื่อพิมพ์ไลน์ยาวเหยียดแต่เขาก็ไม่อ่าน เหมือนจู่ๆพี่อู๋ก็หายไปจากโลกใบนี้ ราวกับเขาไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกของผมเลย เหมือนทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน และตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโลกของความเป็นจริงโดยปราศจากคนรัก โลกที่ต้องยอมรับว่าตัวเองมีน้องสาวงอกออกมาอีกสี่คน มีพ่อ มีแม่เลี้ยง และย่าที่ดูเจ้าอารมณ์ในบ้านหลังใหญ่ ยิ่งมองรอบห้องแล้วเห็นแต่ราวแขวนเสื้อผ้าก็ยิ่งท้อใจ นี่ไม่ใช่ที่ของผม ไม่ใช่เลย ไม่เคยมีใครในบ้านนี้เหลือพื้นที่ให้ก้องเกียรติด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินไม่เข้าพวก ไม่เป็นที่ต้องการของใครแต่เขารับไว้เพราะความจำเป็น ในขณะที่นั่งร้องไห้เงียบๆ อาแตงก็เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะ ผมรีบใช้หลังมือปาดน้ำตาและถามว่ามีอะไร เข้ามาทำไม อาแตงเห็นผมร้องไห้ก็ถอนหายใจ แกพยายามจะลูบหัวนายก้องเกียรติแต่ผมเบี่ยงตัวหลบ นอกจากพี่อู๋กับแม่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ลูบหัวผมทั้งนั้น

“อาจะมาช่วยก้องเคลียร์ห้อง” อาแตงพูดอย่างเห็นใจ “แล้วนี่ร้องไห้ทำไมล่ะ? ไม่ชอบที่นี่เหรอ?”

ผมพยักหน้าตอบทันทีและบอกอาแตงว่าผมเกลียดที่นี่ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกให้พ่อพาผมไปส่งลาดพร้าวทีเถอะเพราะบ้านผมอยู่ตรงนั้น อาแตงเห็นผมเริ่มแข็งกร้าวไม่น่ารักก็ทำหน้าท้อใจอีก อาบอกว่ารู้ไหมว่าอาป๊ารอก้องมานานมากนะ เขารักผมมากจริงๆและรอให้ผมกลับมาอยู่ด้วยกันตลอด ผมถามย้อนว่าถ้าพ่อรอจริง พ่อจะปล่อยให้ผมนอนในห้องเก็บเสื้อแบบนี้เหรอ ดูก็รู้ว่าไม่มีการเตรียมอะไรเลย เพราะเขาไม่ได้หวังให้ผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ก็คนที่ชื่ออู๋เขาไม่ยอมให้ก้องมานี่นา ก้องจะโกรธอาป๊าก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นะ” อาแตงตัดพ้อก่อนจะหันไปเปิดประตูเรียกคนงานให้เข้ามาช่วยขนของ “นั่งอยู่ทำไมล่ะ มาช่วยกันขนของสิ อาป๊าซื้อแอร์ให้ก้องแล้ว บ่ายวันนี้น่าจะติดเสร็จพอดี”

ผมอึนๆเบลอๆแต่ก็ยอมลุกขึ้นตามที่อาแตงสั่ง ตลอดช่วงเช้าผม อาแตง และคนงานช่วยกันขนราวแขวนเสื้อผ้าแน่นๆลงไปข้างล่าง อาแตงบอกว่าเสื้อพวกนี้น้องสาวของผมใส่ไม่ได้แล้วแต่ก็ไม่ยอมทิ้งเพราะเสียดายอยู่เรื่อย เราช่วยกันพับเสื้อใส่ถุงใบใหญ่เตรียมเอาไปบริจาค แม้แต่หมายเลขสี่ที่เคยเดินตามผมก็เข้ามาช่วยด้วย แกพับๆม้วนๆทำเป็นเล่นจนอาแตงต้องเรียกมาสอน สี่ถึงจะพับได้เรียบร้อยกว่าเดิม

“อาแตง เอาชาให้ม้าหน่อย”

ผมลืมไปเลยว่าบ้านหลังนี้มีย่าอยู่ พอได้ยินเสียงแหบๆชวนสยองของย่า ผมก็ได้แต่นั่งบึนปากด้วยความหมั่นไส้ ไม่เห็นเหรอว่าคนเขากำลังยุ่งอยู่กับการเคลียร์ของ ทำไมถึงเรียกสะใภ้ไปใช้งานตามใจชอบได้ขนาดนั้น แต่หากมองจริงๆแบบปราศจากอคติ ผมเองก็นิสัยไม่ดีที่หาเรื่องตำหนิย่าไปเรื่อย ไม่ว่าย่าจะพูดอะไรมันก็ขัดหูขัดตาขัดใจไปหมด ผมอยากให้ย่านั่งอยู่เฉยๆหรือไม่ก็ไปให้ไกลหน้า ไม่อยากรับรู้ว่าย่าอยู่ในบ้านหลังนี้ ไม่อยากเห็นคนที่ทำให้แม่ต้องเจอความลำบากจนเอาชีวิตไปแขวนกับเชือกเส้นเดียวอีกแล้ว

ช่วงเช้าเรายุ่งวุ่นวายกับการเคลียร์ของ พ่อถือแคทตาล็อคสีมาให้เลือกว่าอยากได้ห้องสีอะไร ผมตอบทันทีว่าสีขาวครับ ส่วนเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นไม่ต้องเพราะเดี๋ยวผมก็กลับบ้านแล้ว พ่อถามฉุนๆว่าบ้านที่ไหน นอกจากที่นี่ยังมีที่ไหนให้ไปอีก พอได้ยินแบบนั้นมันก็เจ็บใจจนอยากร้องไห้ เมื่อก่อนผมเลือกได้ว่าจะอยู่กับใคร มาตอนนี้แม้แต่จะกลับไปหาพี่อู๋ยังไม่มีสิทธิ์เพราะเขาไม่อยากเลี้ยงผมแล้ว พ่อดูเจื่อนลงนิดหน่อยเมื่อนายก้องเกียรตินั่งกัดกราม พยายามข่มความเสียใจแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมปล่อยให้พ่อทิ้งรอยแผลไว้อีกหนึ่งรอย ก่อนจะเดินหายไปอยู่คนเดียวเงียบๆกับไอ้หมีโดยไม่โผล่หน้ามาให้ใครเห็นอีก






ตกบ่ายเราพากันไปเดินห้างเพื่อซื้อของให้ก้องเกียรติ ชีวิตผมต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดเพราะออกจากบ้านของพี่อู๋มือเปล่า ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นนอกจากของที่ขนไปไว้หอพัก ดังนั้นบ่ายวันนี้ผม พ่อ อาแตง สามและสี่จึงมาเดินห้างกัน

สิ่งแรกที่พ่อพาไปซื้อคือเสื้อผ้า เขาแวะเข้าร้านขายเสื้อผ้าสัญชาติญี่ปุ่นและปล่อยให้ผมเลือกเต็มที่ อยากได้ตัวไหนก็หยิบเลยนะก้อง จะเสื้อยืด กางเกงขาสั้นหรือขายาว แม้แต่กางเกงในก็หยิบมาเลยจะได้ไม่ต้องใส่ซ้ำสองวันอีก ผมถือตะกร้าเซ็งๆขณะเดินว่อนทั่วร้าน เสื้อผ้าสวยๆพวกนี้เคยมีความหมายเมื่อได้อยู่กับพี่อู๋ แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ผมเลือกเสื้อยืดมาสองสามตัว กางเกงในเจ็ดตัว กางเกงขาสั้นธรรมดาๆอีกสองตัวเท่านั้น 

ร้านนี้ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กเท่าไหร่ ดังนั้นสามกับสี่จึงไม่ได้ซื้ออะไร อาแตงได้เสื้อแค่สองตัวและไล่ก้องเกียรติให้เลือกอีกเพราะหยิบมาน้อยเกินไป ผมจึงเดินวนกลับไปล็อคเดิม รู้สึกเซ็งกับการซื้อเสื้อผ้าจนกระทั่งผ่านโซนขายเสื้อเชิ้ตผู้ชาย น้ำตาถึงได้รื้นอีกครั้งเพราะนึกถึงวันที่ทะเลาะกับพี่อู๋เรื่องไซส์เสื้อ

พี่อู๋จะคิดถึงผมบ้างไหม ในขณะที่ผมร้องไห้ทุรนทุรายแทบขาดใจเพราะไม่ได้คุยกับเขา มีซักเสี้ยววินาทีไหมที่พี่อู๋คิดถึงนายก้องเกียรติ มีบ้างไหมที่เขาใจอ่อนอยากฟังคำอธิบายของผม หรือว่าไม่เคยเลย ในหัวใจของเขาไม่มีก้องเกียรติอยู่อีกแล้ว ผมได้แต่หยุดมองเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เคยเลือกให้เขาเองกับมือ มองด้วยความคิดถึงและจินตนาการถึงผู้ชายที่ผมรัก พอเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครอยู่ใกล้ๆ ผมก็หยิบเสื้อไซส์เอ็กซ์แอลออกมาจากราวแขวน ค่อยๆใช้มือจับไปตามแขนเสื้อและไหล่ก่อนจะสวมกอดจนเสื้อยับยู่ยี่

เสื้อตัวนี้ขนาดพอๆกับพี่อู๋เลย

ถ้าพี่อู๋อยู่ด้วย เราคงจะได้จับมือกันอย่างนี้ บางทีเขาอาจจะโอบไหล่ผม อาจจะกอดผมในห้องลองเสื้อเหมือนที่เคยทำวันนั้น ผมได้แต่มองเสื้อเชิ้ตสีขาวด้วยความรู้สึกโหวงในใจ มันโหยหาและคิดถึงพี่อู๋จนอีกนิดก็จะเป็นบ้าตายแล้ว ผมแทบจะทนไม่ได้แล้ว สุดท้ายผมจึงตัดสินใจซื้อเสื้อตัวนี้มาด้วย ผมตั้งใจให้มันเป็นตัวแทนพี่อู๋ที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ คิดไปมันก็น่าสมเพชเหมือนกันนะที่เป็นได้ขนาดนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ ผมแตกสลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แค่เสื้อเชิ้ตไซส์เดียวกับพี่อู๋ก็ถือว่ามีคุณค่าทางใจเหมือนกัน

 หลังซื้อเสื้อผ้าเสร็จเราก็ซื้อของใช้ในซูเปอร์ ผมหยิบแปรงสีฟันยี่ห้อเดียว สีเดียวกับด้ามที่อยู่ในห้องพี่อู๋ ทั้งยาสีฟัน ทั้งสบู่และของต่างๆล้วนเป็นยี่ห้อที่เขาชอบทั้งสิ้น วันนั้นพ่อหมดเงินไปหลายบาทแต่เขาดูมีความสุขดี แถมยังพาไปซื้อที่นอนและเตียงใหม่โดยไม่ต้องร้องขอ พ่อให้ทุกอย่างกับผมจริงๆตามที่เขาสัญญาไว้ และเมื่อเดินทางถึงบ้าน ห้องนอนของผมก็สะอาดเรียบร้อยไม่ต้องเก็บกวาดอะไรเพิ่ม

ราวแขวนผ้าแน่นๆทั้งหมดหายไป เหลือแค่พื้นไม้ขัดมันแวววับ เตียงหนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าไม้สีน้ำตาลหนึ่งหลัง โต๊ะเขียนหนังสือและเก้าอี้หนึ่งตัว ผ้าม่านกรองแสงก็ติดตั้งเรียบร้อย เครื่องปรับอากาศก็พร้อมใช้งานจริงๆตามที่อาแตงว่า พ่อตระเตรียมห้องใหม่ให้ลูกชายคนโตได้สมบูรณ์แบบ เขาเดินเข้ามาเช็กหน้างานก่อนจะถามว่าขาดเหลืออะไรอีกไหมแต่ผมส่ายหน้า ไม่มีอะไรที่อยากได้อีกแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณครับ ก่อนจะปิดประตูห้องเพื่อหนีโลกที่มีแต่คนนอกซึ่งไม่ผูกพัน

ผมทิ้งตัวนั่งบนเตียงและกวาดสายตามองรอบห้อง นี่มันห้องในฝันที่เคยต้องการสมัยอยู่กับแม่ชัดๆ ข้าวของทุกอย่างในนี้เป็นของผม ถึงดีไซน์จะโบราณไปนิดแต่ก็ดูแข็งแรงทนทานใช้ได้ แถมมีแอร์เย็นๆที่เปิดนอนได้ตลอดทั้งคืนด้วย นอกจากนี้ยังมีโคมไฟข้างเตียง โคมไฟอ่านหนังสือ มีนาฬิกาแขวนผนังและปฏิทินปีปัจจุบันคอยบอกวันและเดือน หากดูภาพรวมแล้ว นับว่าที่นี่มีทุกอย่างพร้อมสำหรับเลี้ยงดูก้องเกียรติ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีอาหาร มีพื้นที่ส่วนตัว มีทุกอย่างที่ผมน่าจะต้องการจริงๆ แต่มันยังขาดสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว –

บ้านหลังนี้ไม่มีพี่อู๋






ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยฮับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-09-2019 20:03:30
39 [PART 3/3]


ราวกับอยู่ค่ายทหาร สถานที่ที่พ่อบอกว่า “บ้าน” ไม่สร้างความสบายใจให้ผมเลย

พื้นที่ส่วนตัวหนึ่งเดียวก็คือห้องนอน นอกนั้นต้องแชร์ทุกอย่างร่วมกับสมาชิกอีกเจ็ดคนที่เหลือในบ้าน พูดตรงๆว่ามันน่าอึดอัดมากเพราะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ ผมต้องตื่นนอนประมาณเจ็ดโมงเช้าทุกวันเพื่อลงไปทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างมีเรื่องให้คุยจุ๊บจิ๊บเหมือนพวกนกตัวเล็กที่น่ารำคาญ ส่วนนายก้องเกียรติที่เป็นหมาตัวใหม่ได้แต่นั่งเงียบ ตักข้าวเข้าปากโดยไม่รับรู้รสชาติว่ามันอร่อยไหม ใครถามว่าเป็นไงก็ตอบไปเดิมว่าอร่อยครับ ดีครับ ครับเท่านั้น

เวลาที่ไม่ต้องอยู่กับครอบครัว ผมยังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อติดต่อพี่อู๋ เมื่อเบอร์โทรศัพท์บ้านโดนบล็อกไปแล้ว ผมจึงหาช่องทางอื่นที่พอจะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก ผมมีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียว เบอร์บ้านก็โดนบล็อกไปแล้วด้วย ผมจะหาเบอร์จากที่ไหนโทรหาเขาได้ ระหว่างที่กำลังเกาพุงให้ไอ้หมีพลางเหม่อมองรั้วบ้าน จู่ๆสี่ที่ไม่รู้กลับมาจากไหนก็วิ่งลั้ลลาผ่านประตูรั้วเข้ามา พอเห็นผมนั่งหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์ สี่ก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเดินกระย่องกระแย่งหนีไปอีกด้าน ผมไม่สนใจเด็กคนนั้นเพราะรู้สึกว่าเธออยู่ในวัยที่สร้างความรำคาญ แต่พอเห็นมือคู่น้อยกำโทรศัพท์ของใครไม่รู้ ผมจึงรีบเอ่ยปากขอทันที

“เฮียก้องจะเอาไปทำอะไรอ่ะ?”
“คุยธุระ” ผมบอกห้วนๆและแบมือขอ “ส่งมาเร็ว”
“แต่อันนี้เป็นมือถือของหม่าม้านะ”
“เอามาเหอะน่า”

ผมบอก แต่สี่ยังคงยึกยักลังเลไม่ยอมให้เสียที ผมจึงต้องควักกระเป๋าให้เงินแกไปยี่สิบบาทเป็นข้อแลกเปลี่ยน ยัยเด็กหน้าเงินคว้าธนบัตรอย่างรวดเร็วและส่งของที่ต้องการให้ แหม -- สมกับเป็นลูกในครอบครัวทุนนิยมจริงๆไอ้เด็กนี่ เมื่อได้โทรศัพท์ ผมจึงรีบกดเบอร์พี่อู๋และโทรออก คราวนี้รอสายไม่กี่วินาทีเขาก็รับ แต่เสียงดูอู้อี้เหมือนพูดผ่านสปีคเกอร์

“ฮัลโหล ครับ”

ผมเงียบ ไม่ได้กรอกเสียงลงไปทันทีเพราะรู้ว่าเขาต้องบล็อคเบอร์แน่ แต่พอเงียบนานเกินไปพี่อู๋ก็ฮัลโหลๆแล้ววางสาย ผมจึงต้องโทรกลับไปใหม่ และเขาก็รับอีกครั้ง

“ครับ”
“พี่อู๋ นี่ผมเองนะ ก้องเกียรติของพี่ไง”

กึก!

สายตัด

แต่ผมไม่ลดละความพยายาม ยังคงโทรเข้าไปใหม่อีกหลายครั้งเพราะต้องการคุยกับพี่อู๋ให้ได้ ดูเหมือนเขากำลังขับรถอยู่ ไม่อย่างนั้นคงมีเวลาบล็อกเบอร์นี้ไปแล้ว หนึ่งสายผ่านไป สองสาย สามสาย สี่สายผ่านไป พี่อู๋ก็ยังไม่รับ เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์แต่ก็ลองดูสิ ผมมีเวลากดโทรทั้งวัน ถ้าเขาทนรำคาญได้ก็ทน ผมไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก

ผมโทรได้ประมาณยี่สิบสายก็จบเหมือนเดิมคือเข้าสู่ระบอบฝากข้อความ เกมแล้ว เบอร์นี้โดนสอยไปอีกหนึ่ง ผมได้แต่กัดฟันโมโหที่เขาบล็อกเก่ง ทำเมินเก่ง คิดว่าผมหาโทรศัพท์ได้เครื่องเดียวเหรอ บ้านนี้มีคนตั้งแปดคน ผมจะใช้เบอร์ทุกคนระดมโทรหาเขาให้หมดเลยคอยดู

“อ่ะ เอาไป”

ผมส่งโทรศัพท์คืนให้สี่ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าเข้าบ้าน เดินผ่านย่าที่นั่งอยู่บนรถเข็นแต่ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร ย่าไม่มีเสน่ห์หรือออร่าของคนแก่ใจดีเหมือนแน ใบหน้าของแกขึงขังตลอดเวลา ไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะ ไม่เคยแสดงสีหน้าพอใจอะไรนอกจากสีหน้าบูดๆเหมือนตูด ผมยังไม่ได้ถามอาแตงว่าย่าเป็นป่วยอะไร แต่หวังว่าแกจะมีโรคประจำตัวเยอะๆจะได้หายกันกับสิ่งที่เราสองคนแม่ลูกต้องเจอ

วันอาทิตย์ที่เป็นวันพักผ่อนของทุกคน พ่อกับอาแตงจะอยู่ในห้องนั่งเล่นกับย่า หนึ่งและสองไปเรียนพิเศษ ส่วนสามกับสี่และไอ้หมีนั่งเล่นไปเรื่อยตามประสาเด็กไม่มีอะไรทำ ในขณะที่ทุกคนใช้เวลาครอบครัวกันอย่างคุ้มค่า ก้องเกียรติกลับปลีกตัวอยู่ในห้องนอนคนเดียวไม่ปฏิสัมพันธ์กับใคร ผมไม่สนใจว่าลูกชายของพี่ชายคนโตของพ่ออยู่ที่ไหน โรงงานลูกชิ้นของบ้านเราชื่ออะไร กิจการมีมูลค่าเท่าไหร่ อร่อยไหม ช่างแม่ง – ผมไม่แคร์หรอก ผมอยู่เพราะจำใจอยู่ และจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แน่นอน

ผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพยายามติดต่อพี่อู๋ ตั้งแต่เช้าจนเย็นยังหาวิธีคุยกับเขาไม่ได้เสียทีและเรื่องนี้ทำให้ผมหงุดหงิดจนต้องร้องไห้ ทุกครั้งที่คิดว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก หรือผมต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลูกชิ้นมันก็อึดอัดจนอกแทบระเบิด ขนาดพ่อกับอาแตงพูดนักพูดหนาว่ารอวันนี้มานานยังช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้นไม่ได้เลย ทุกคนล้วนอึดอัดทั้งนั้นที่จู่ๆก็มีผู้ชายมาอยู่ด้วย เหมือนผมเป็นตัวประหลาดในบ้านประหลาดที่เข้ากันไม่ได้ มันหงุดหงิดและทรมานใจจริงๆนะที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ผมหดหู่จนไม่รู้จะระบายกับใครและทำอะไรไม่ได้นอกจากร้อง ร้อง และร้องเท่านั้น ขณะที่กำลังร้องไห้ปาดน้ำตาเงียบๆ พ่อก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา พอเห็นลูกชายตาบวมเป่งจนเหมือนคนตาชั้นเดียว เขาก็ถอนหายใจใส่ก่อนจะปิดประตูห้องเพื่อคุยกับผมเพียงลำพัง

“ไม่ชอบบ้านเราเหรอ?”

พ่อถามเสียงเศร้า ผมพยักหน้าตอบทันทีว่าใช่ ไม่ชอบ ผมไม่ชอบที่นี่เพราะไม่มีใครรู้จักผม ทุกคนคือคนแปลกหน้าที่กันนายก้องเกียรติเป็นส่วนเกิน ไม่ต้อนรับเข้าพวกหรือเห็นเป็นคนบ้านเดียวกัน พ่อบอกว่าที่รู้สึกแบบนั้นก็เพราะก้องไม่เปิดใจไง น้องๆอยากคุยอยากรู้จักก้อง แต่ถ้าก้องเดินหนีมาอยู่คนเดียวในห้องทั้งวันแล้วจะได้คุยกับใครล่ะ

“ผมไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น ผมอยากกลับบ้าน”

พ่อถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาพยายามปลอบด้วยการโอบไหล่แต่ผมสะบัดออก พ่อหน้าเสียไปเลยที่ก้องเกียรติทำตัวไม่ดี

“ทำไมถึงอยากอยู่กับอู๋นักล่ะ เพราะเขาซื้อของแพงๆให้เหรอ?”
“เปล่า”
“เพราะเขาพาไปกินของอร่อยๆเหรอ?”

ผทส่ายหน้า แม้ว่าการคาดเดานั้นจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมชื่นชอบเวลาอยู่กับพี่อู๋ก็ตาม พ่อดูหนักใจที่ต้องเดาสุ่มไปเรื่อยๆ แถมสีหน้าของพ่อตอนนี้ดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เหมือนเขามีเรื่องอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด เหมือนลังเลแต่ไม่กล้าถาม เขาดูกระอักกระอ่วนจนผมต้องหันไปมองหน้าเป็นเชิงว่าจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ อ้ำๆอึ้งๆให้เสียเวลาอยู่ทำไม

“ก้อง ป๊าถามตรงๆเถอะนะ” พ่อเกริ่น “ก้องกับคุณอู๋ไม่ได้มีอะไรเกินเลยใช่ไหม?”
“ทำไม?”
“ตอนที่เราเจอกันช่วงแรกๆ ป๊าบอกให้คุณอู๋พาก้องมาส่งแต่เขาไม่ยอม ขอร้องก็แล้ว เสนอเงินให้ก็แล้ว เขาก็ยังไม่ยอม ไม่ยอมจริงๆ”
“เพราะผมบอกพี่อู๋ว่าไม่อยากอยู่กับพ่อไง”
“แล้วทำไมเขาต้องฟังก้องล่ะ?”
“แล้วทำไมเขาจะไม่ฟังล่ะ?” ผมกวนกลับ
“แต่ก้องว่ามันไม่แปลกเหรอ? เขาหมดเงินไปหลายบาทเพื่อเลี้ยงเด็กที่ไม่ได้เป็นญาติกัน พอป๊าเจอก้อง เขาควรส่งก้องให้ป๊าสิ เขาจะฝืนหาเรื่องให้ตัวเองเสียเงินเสียทองต่อไปทำไมถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น”

ผมมองหน้าพ่อด้วยความรู้สึกไม่ดี มันไม่เชิงกลัวถูกตำหนิหรือถูกต่อว่า แต่เป็นความหวั่นใจว่าพ่อจะรู้ไหมว่าลูกชายของเขากำลังคบหาดูใจกับเพศเดียวกันที่อายุมากกว่าถึงสิบสี่ปี พ่อเองก็จ้องหน้าผมไม่ละสายตาเหมือนกัน เขานิ่งเงียบอยู่นานราวกับจะรอให้ผมเป็นฝ่ายพูด แต่ผมไม่พูดในเมื่อมันไม่มีอะไรต้องสารภาพเสียหน่อย ผมไม่รู้สึกผิดกับพ่อเพราะเราไม่ได้ผูกพันขนาดนั้น ผมไม่แคร์หรอกว่าพ่อคิดยังไง เขาจะรับได้หรือรับไม่ได้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพ่อ ไม่ใช่ปัญหาของผม

“ว่าไงก้อง? มีอะไรจะบอกป๊าไหม?”
“พ่อคิดอะไร?”
“ป๊าไม่กล้าพูด” เขายอมรับตรงๆ “แต่ถ้าใช่ ป๊าก็อยากได้ยินจากปากของก้องเอง”

ผมเงียบไปพักใหญ่เพื่อสังเกตอาการของพ่อ ไม่รู้ว่าการเปิดเผยตัวเองของผมจะเหมือนในละครที่พ่อตบลูกหรือมีปากเสียงกันหรือไม่ แต่ถ้ามีก็ช่างปะไร ถ้าพ่อทุบตีผม หรือด่าทอในสิ่งที่ผมเป็น ผมจะได้มีข้ออ้างอันชอบธรรมในการหนีออกจากบ้านหลังนี้ บางทีถ้าพ่อแสดงออกว่ารับไม่ได้ หรือรังเกียจเดียดฉันท์นักก็ขาดกันไปเลย ไม่ต้องฝืนยื้อเพื่อคุณธรรมอะไรหรอก ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองน่าจะดีกว่า

“ผมเป็นแฟนพี่อู๋”

พ่ออ้าปากค้าง สีหน้าในตอนนี้ทั้งเจ็บปวดและช็อคจนพูดไม่ออก เขากระพริบตาถี่ๆก่อนจะเสหน้ามองทางอื่นราวกับคลื่นไส้ที่ต้องเห็นหน้าลูกชาย ลึกๆแล้วผมปวดใจนะที่พ่อรับไม่ได้ มันน่าเศร้าที่การเป็นเกย์คือเรื่องน่าอับอายสำหรับครอบครัว ผมว่าพ่อคงภาวนาขอให้ผมเป็นเด็กแว๊นดีกว่าเป็นเกย์แน่ๆ แว๊นยังมีเมียได้ แต่เกย์สืบสกุลสืบทายาทไม่ได้ จะว่าไปก็น่าสงสารพ่อเหมือนกันนะ เขาคงเสียใจกับเรื่องนี้น่าดู ไม่รู้ว่าระหว่างเจอก้องเกียรติกับไม่เจออะไรจะดีกว่ากัน ถ้าให้เดาผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง พวกคนจีนรับไม่ได้หรอกถ้าลูกชายคนเดียวเป็นเกย์ ซึ่งดูเหมือนพ่อก็ไม่ได้แอบซ่อนความผิดหวังเลย

“คบกันถึงขั้นไหนแล้ว?” พ่อถาม
“ก็ตามประสาคนเป็นแฟน”
“ไม่ หมายถึง – ล้ำเส้นขนาดไหน?”
“พี่อู๋พาผมไปเปิดตัวกับครอบครัวที่บ้าน”
“ป๊าหมายถึงเกินเลยขนาดไหนแล้ว!”
“ผมเป็นเมียพี่อู๋แล้ว! พอใจหรือยัง?!”

ผมเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัวเพราะโดนบีบให้ตอบว่าเราถลำลึกกันขนาดไหน พอรู้ว่าเรามีอะไรกันแล้ว พ่อก็รีบเดินหนีพร้อมกับยกมือปิดหน้า แสดงออกชัดเจนว่ารับไม่ได้ที่ก้องเกียรติพูดเต็มปากว่าเป็นเมียของผู้ชายคนอื่น ผมเห็นไหล่พ่อสั่นเหมือนพยายามกลั้นสะอื้น เขาดูแตกสลายเมื่อได้รู้ความจริง และอาการของเขาทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าคุณค่าของตัวเองอยู่ที่เรื่องอย่างว่าเท่านั้นเหรอ ผมคบกับพี่อู๋พ่อยังไม่ออกความเห็น แต่พอบอกว่าได้เสียกันเป็นผัวเมียแล้วเขาแสดงออกทันทีว่ารับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันหนักหนาเกินไปสำหรับหัวอกคนเป็นพ่อ

“ก้องเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ไม่นานมานี้” ผมเสียงสั่น
“อู๋ขืนใจก้องหรือเปล่า? เขาข่มขืนก้องใช่ไหม?”
“เปล่า ผมเป็นคนขอพี่อู๋เป็นแฟนเอง” เมื่อพ่อหันหน้ามามองด้วยความผิดหวังว่าทำแบบนั้นไปทำไม ผมจึงบอกพ่อว่าเพราะผมรักเขาและเริ่มร้องไห้
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่รักก็ได้ ก้องแค่จำเป็นต้องใช้เงินอู๋ ก้องไม่ได้รักเขาหรอก”
“พ่อยิ่งใหญ่มาจากไหน ถึงกล้าบอกว่าผมรักหรือไม่รักใคร รู้ดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ป๊าเป็นผู้ใหญ่ ทำไมป๊าจะไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่ความรัก มันคือความผูกพัน”
“ทำไม? พ่ออายที่ต้องยอมรับเหรอว่าลูกชายคนเดียวเป็นเกย์?” ผมถามจี้ใจดำ “ถ้ารับไม่ได้ที่มีลูกเป็นเกย์ -- ก็พาผมไปส่งลาดพร้าวสิ เพราะอย่างน้อยที่นั่นยังมีผู้ชายที่รักผมอยู่”
“อู๋เขาไม่ได้รักก้องหรอก”
“พ่อไม่ได้อยู่กับผม พ่อไม่รู้หรอกว่าพี่อู๋เขารักผมมากขนาดไหน”
“ถ้าเขารักก้อง เขาจะไม่ทำแบบนี้”
“เราแค่ทะเลาะกัน”
“ทะเลาะกันถึงขนาดไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเลยเหรอ? วันนั้นถ้าป๊าไม่ขับรถไปหา ก้องต้องนอนนอกคอนโดนะ เห็นไหมว่าเขาใจร้ายกับก้องขนาดไหน ก้องยังคิดว่าสิ่งนั้นคือความรักอีกเหรอ? คนรักกันเขาไม่ทำแบบนี้นะก้อง”

พ่อมองหน้าผมแล้วน้ำตาไหลพราก ส่วนก้องเกียรติเริ่มสะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะโกรธที่พ่อกล่าวหาว่าพี่อู๋ไม่ได้รักผมจริง เขาจะไปรู้อะไร พ่อที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันจนรู้จักนิสัยใจคอ จะเข้าใจความสัมพันธ์อันซับซ้อนของเราได้ยังไง พี่อู๋น่ะ – รักผมจะตาย เขาขับรถรับส่งผมทุกอาทิตย์ มาหาตลอดไม่เคยปล่อยให้อยู่คนเดียว เขาทั้งรักทั้งห่วงและดูแลเลี้ยงผมอย่างดี คนที่ไม่รักก้องเกียรติคือพ่อต่างหาก ถ้าพ่อรักผมจริง พ่อจะไม่ปล่อยให้ผมเจอความลำบากตั้งสิบกว่าปีหรอก

“ที่พี่อู๋โกรธเพราะผมทำตัวไม่ดี ผมสมควรโดนแล้ว”
“ก้องแน่ใจเหรอ?”

แน่ใจสิ ผมยืนยันและบอกต่อด้วยว่าต่อให้พี่อู๋ทำมากกว่านี้ผมก็ไม่โกรธเขาหรอกเพราะผมรักเขา แต่พ่อยังคงย้ำอยู่นั่นแหละว่ามันไม่ใช่ความรัก

“เมื่อก่อนก้องอาจจะขาดเขาไม่ได้เพราะพึ่งพาอู๋ แต่ตอนนี้อู๋ไม่จำเป็นสำหรับก้องแล้วนะ”
“พ่อก็เป็นไปกับคนอื่นด้วยเหรอ?” ผมส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อ “พ่อดูถูกความรักของผมเหรอ?”
“ป๊าไม่ได้ดูถูก ป๊าพูดตามเนื้อผ้า”
“พ่อจะตัดสินทุกอย่างแค่ตาเปล่าไม่ได้ พ่อไม่รู้ว่าผมกับพี่อู๋เป็นยังไง!”
“แค่นี้มันยังไม่ชัดอีกเหรอก้อง! ที่อู๋ตัดขาดการติดต่อ ที่ไม่ยอมให้ก้องไปหา เปลี่ยนกุญแจเปลี่ยนการ์ดแถมยังเรียกให้ป๊าไปรับมันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอว่าเขาไม่เอาก้องแล้ว!” พ่อระเบิดอารมณ์ “ถ้าก้องบอกว่าเป็นความผิดของก้องเองที่ทำให้เขาโกรธ แต่ก้องผิดขนาดไหนล่ะเขาถึงต้องทำกันขนาดนี้ ก้องนอกใจเขาเหรอ?”

ผมส่ายหน้า

“ก้องไปนอนกับคนอื่นเหรอ?”

ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“งั้นก้องทำอะไรผิด? มันร้ายแรงถึงขนาดต้องไล่ออกจากบ้านเลยเหรอ? คนเป็นแฟนกันเขาไม่ทำกันขนาดนี้หรอก อย่างน้อยต้องอยากได้ยินคำอธิบายบ้าง แต่นี่เขาตัดขาดกับก้องเลย ป๊าว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะเขาไม่อยากได้ก้องแล้ว ก้องเข้าใจที่ป๊าพูดไหม คนรักกันมันต้องฟังกัน ถ้าอู๋รักก้อง อู๋ต้องอยากได้ยินคำขอโทษจากก้อง ไม่ใช่ปิดโอกาสไม่ให้ก้องพูด แบบนี้มันจงใจทิ้งกันชัดๆ”

ผมเงยหน้ามองพ่อ ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันจุกอกไปหมด จะบอกว่าตัวเองไม่ผิดก็ไม่ได้ บอกว่าความผิดเล็กน้อยก็ไม่ได้เพราะพี่อู๋เสียความรู้สึกมาก ผมจึงบอกพ่อสั้นๆว่าผมหลุดปากบอกเพื่อนไปว่าคบกับพี่อู๋เพราะเงิน เขาบังเอิญได้ยินประโยคนั้นพอดี เรื่องมันก็มีแค่นี้ แต่ผลกระทบที่ตามมาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

“แล้วมันจริงหรือเปล่า?”
ผมส่ายหน้า “มันไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะผมรักเขา ผมรักพี่อู๋จริงๆนะพ่อ”

ผมเหนื่อยจริงๆที่ต้องร้องไห้ไม่รู้จักจบจักสิ้น เหนื่อยและล้าจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะฝืนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวแล้ว พ่อที่เคยยืนอีกมุมของห้องค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ เขาสวมกอดผมแน่นแล้วเอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ เขาหมดรักเราก็ช่าง ก้องไม่ต้องสนใจ ตอนนี้ก้องอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งอู๋ ก้องมีป๊า มีบ้าน มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ ก้องไม่ขัดสนอะไรอีกแล้ว ป๊าสัญญาเลยว่าจะเลี้ยงก้องให้มีความสุขกว่าที่เคยอยู่กับอู๋ ไม่ร้องนะลูกนะ อยู่กับป๊านี่แหละ ป๊าจะดูแลก้องต่อเอง

 เป็นครั้งแรกที่ผมกอดพ่อตอบ ไม่รู้ว่าที่ร้องไห้โฮอยู่ตอนนี้เป็นเพราะโล่งใจที่พ่อสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ลำบาก หรือเสียใจที่เริ่มคิดได้ว่าพี่อู๋ไม่รักนายก้องเกียรติกันแน่ ในห้องนอนที่เคยเป็นของผมคนเดียว ตอนนี้กลับมีพ่อนั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อน พ่อคอยเช็ดน้ำตาและน้ำมูกให้เมื่อเห็นผมหยุดร้องไม่ได้ แต่พ่อไม่ได้ตำหนิอะไรที่ผมทำให้เขาต้องลำบาก หนำซ้ำยังบอกรักผมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน วันนี้ก้องไม่รักป๊าไม่เป็นไร แต่อย่าลืมนะว่าป๊ารักก้อง ป๊ารักก้องมากๆ ก้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ ก้องมีป๊าอยู่ทั้งคน ใครไม่รักก็ช่างมัน ป๊ารักก้องเสมอและจะรักตลอดไป ไม่มีวันเลิกรักก้องแน่นอน

“พ่อไม่รังเกียจเหรอที่ผมเป็นเกย์? พ่อเสียใจไหมที่ผมเป็นเด็กแบบนี้?”
“เสียใจสิ เสียใจมาก แต่ทำไงได้เพราะก้องเองก็ไม่ได้ตั้งใจ” พ่อยอมรับ เมื่อผมเงยหน้ามองเขา ถึงเห็นว่าพ่อเองก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน “แค่มีก้องก็พอแล้ว ป๊าหาก้องเจอก็ดีใจมากๆแล้ว ก้องจะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ มันไม่สำคัญหรอก แต่ป๊าจะพยายามรับให้ได้เพราะป๊ารักก้อง ป๊ารักก้องมากเลยนะรู้ไหม”

พ่อทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายสำหรับใครบางคน อย่างน้อยในชีวิตที่มีแค่แม่และพี่อู๋ ตอนนี้ผมมีพ่อที่พร้อมดูแลและแก้ไขอดีตที่เคยทำพลาดไปแล้ว ในห้องนอนซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะของก้องเกียรติ เราสองคนพ่อลูกโอบกอดกันแน่นโดยไม่พูดอะไร พอเริ่มทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ พ่อก็ลุกขึ้นยืน เขาบอกให้อาบน้ำเก็บของเตรียมตัวกลับหอ อีกชั่วโมงจะขับรถไปส่ง

ผมพยักหน้ารับแล้วแกล้งวุ่นวายกับการจัดกระเป๋า เมื่อบานกระตูปิดลง ผมก็ฟุบหน้าร้องไห้กับหมอน ต่อให้มีพ่อ มีเงินส่วนตัวโดยไม่ต้องหยิบยืมพี่อู๋มันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะสิ่งที่กำลังฉีกทึ้งหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆคือการต้องห่างจากเขาต่างหาก ไม่รู้ว่าต้องย้ำกับทุกคนอีกกี่รอบว่าผมรักพี่อู๋ ผมรักเขา รักเขาจริงๆนะ แต่น่าตลกที่ไอ้ก้องเกียรติเพิ่งจะกล้าบอกคนรอบตัวว่ารักเขาตอนนี้ คำว่ารักที่พูดไปแต่เขาไม่ได้ยิน มีค่าไม่ต่างอะไรกับเศษขยะเลย




TBC


________________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีค่ะ พบกันเช่นเคยนะคะในคืนวันจันทร์สองทุ่มตรง ดีใจที่ทุกคนตั้งตาคอยนิยายเรื่องนี้นะคะ  :mew1:

ก่อนอื่นเลยเราชี้แจงนิดนึงเกี่ยวกับประเด็นพ่อของน้อง หลายคนอาจจะสงสัยว่าง่ายเกินไปรึเปล่า ยอมรับกันได้แบบนี้เลยเหรอ เราขอสปอยล์นิดนึงนะคะว่าพ่อน้องก้องรู้เรื่องนี้มาซักพักแล้วค่ะ แต่ว่ารู้เมื่อไหร่และรู้จากใคร ขออุบเป็นความลับที่มีเฉลยไว้ในตอนพิเศษท้ายเล่มนะคะ <3

ส่วน boxset ที่หลายๆคนถามมา เราสอบถามไปทางสำนักพิมพ์แล้วนะคะ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นนิยายวางขายจะไม่มี boxset ค่ะ จะทำเป็น pre-order มากกว่า หากถามว่านิยายเรื่องนี้มีพรีออเดอร์มั้ยก็ยังให้คำตอบไม่ได้เนื่องจากปัญหาหลักตอนนี้คือเนื้อหามันไม่จบซ้ากที แง ยาวมาก และยังคงยาวต่อเนื่อง ต้องขอโทษทุกคนจริงๆค่ะ สำนักพิมพ์ก็อยากให้คำตอบเหมือนกัน แต่ถ้าเนื้อหาไม่ครบก็เคาะอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะคะ แต่จะพยายามปิดเล่มให้เร็วและเขียนสเปเยอะๆให้คนอ่านรู้สึกคุ้มค่ากับการรอและราคาที่ต้องจ่ายแน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคถล่มทลายสำหรับตอนที่แล้วนะคะ เยอะมากๆ และทำให้เรามีความสุข มีกำลังใจอยากเขียนตอนต่อไปไวๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนทุกช่องทางที่ทุกคนมีให้มาโดยตลอด วันนี้เรามีข่าวมาแจ้งให้ทราบด้วย เราเปิดเฟสบุ๊กเพจแล้วนะคะ ในนั้นก็คงอัปเดตความคืบหน้าต่างๆเกี่ยวกับนิยาย ทั้งน้องก้องและนิยายเรื่องใหม่ที่กำลังจะมา ค่อนข้างเป็นทางการนิดนึง หากพี่จ๋าคนไหนอยากพูดคุยสอบถามหรือติดตามอัปเดตต่างๆสามารถเสิร์ชหาเพจ Ms.Ambiguous หรือคลิกลิ้งค์: https://web.facebook.com/msambiguous23 (https://web.facebook.com/msambiguous23) ได้เลยนะคะ ขอบคุณค่า
:hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 30-09-2019 20:55:49
เราคิดว่าพ่อก้องเนี่ยแหละตัวดีเลย ต้องไปคุยอะไรกับพี่อู๋แน่ๆ พี่อู๋ถึงต้องทำอย่างนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-09-2019 21:03:18
พี่อู๋ใจแข็งมาก น่าจะรอฟังก้องอธิบายสักนิดก็ยังดี แต่เราว่ามันแปลกๆ หมูอู๋ไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ฟังเหตุผลนะ ต้องมีอะไรแน่ๆ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ

เราเข้าใจทั้งก้องและพี่อู๋นะคะ โดยเฉพาะก้อง ที่เราไม่ถือโทษโกรธก้องเพราะเรารู้เจตนาของก้อง น้องไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้  ก้องเป็นเด็กคนนึงที่มีปัญหารุมเร้ามาตั้งแต่เด็ก เจอเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ผลกระทบต่อจิตใจมันเยอะมากๆ กว่าจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ใช้เวลาไม่น้อยเลย การจัดการกับความรู้สึกตัวเองอาจจะยังสับสนและทำได้ไม่ดีนัก  นางเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง แล้วการที่ต้องยอมรับตัวเอง เราเข้าใจจุดที่ก้องอายเพื่อน กลัวเพื่อนล้อ ต่อให้ปัจจุบันโลกมันเปิดกว้าง แต่มันก็ยังมีการเหยียด การถูกล้อเลียนอยู่ มีการถูกมองว่าแตกต่างอยู่ดี ยิ่งน้องป่วยแบบนี้ มันยิ่งคิดมากอยู่แล้วเราว่ามันไม่ได้ผิดสะทีเดียวที่ก้องจะรู้สึกและยังแคร์สายตาคนอื่นอยู่ แต่เหตุการณ์แบบนี้แหละ จะทำให้รู้จักยอมรับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญคือ แคร์คนที่เรารักมากกว่าสายตาคนอื่น แต่เราก็เข้าใจพี่อู๋ พี่อู๋คงผิดหวังและเสียใจไม่ต่างกัน  ถ้าเราได้ยินแบบนี้เราก็น้อยใจเสียใจนะ แต่เราว่าพี่อู๋ต้องมีอะไรแน่ๆ พี่อู๋อายุไม่น้อยแล้ว เขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับฟังอะไร อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องตัดห่างขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Myskyfah ที่ 30-09-2019 21:29:29
โอ๊ยยยย รอออออออออ ไม่เคยเม้นมาก่อนนี่ครั้งแรก ถึงกับต้องเม้น มันอะไรกันเนี่ยชีวิตก้องงงงงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 30-09-2019 21:36:16
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-09-2019 22:00:28
ร้องไห้เหมียนหมาเช่นเคยค่ะ หมูอู๋คือใจแข็งมาก สารภาพว่าเราลืมพ่อไปเลย คิดว่าน้องคงไม่มีใคร แต่ถึงมีพ่อมีครอบครัวมีเงินก็ไม่เท่ามีหมูอู๋ไหม ใจร้ายกับน้องมาก ตอนนี้น้องกำลังฝังความคิดว่าพี่อู๋ไม่ต้องการน้องเข้าไปในหัว ร้องไห้จะเป็นจะตายแต่ก็ไม่มีใครรับฟัง ไม่ยอมฟังเหตุผลไม่คุยกัน ถ้าจะดัดนิสัยน้องถือว่าแกล้งกันแรงมากค่ะ เด็กสิบแปดที่เพิ่งจะเคยมีความรักครั้งแรก ไหนจะครั้งแรกกับการเป็นเกย์ ไม่เคยมีสังคม พอเจอเพื่อนก็รับมือไม่ถูก เห็นใจน้องทีนะคะ แง

ส่วนนังออกัส แกไม่ตายดีแน่ ชั้นจะแฉแก !  :fire:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-09-2019 22:33:23
ใจร้ายมั้ย ที่รู้สึกไม่สงสารก้องเลย ก้องทำตัวเองล้วนๆ เจอพี่อุ๋ร้ายใส่ก็ไม่แปลก แต่อย่าทะเลาะกันนานได้มั่ยมันปวดใจ
ตอนนี้อ่านไปลุ้นไปว่าเค้าจะคืนดีกันมั้ยนะ แต่สุดท้าย :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 30-09-2019 22:40:28
สงสารน้องงงง สงสารพี่อู๋ด้วย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-09-2019 23:01:02
ก้องถึงกับลืมประเด็นกัสไปเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 30-09-2019 23:18:10
น้อง ไม่ดีก็ออกมา หนีเลยลูก  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 01-10-2019 01:14:53
เศร้าาาา!!!!! เสี่ยอู๋จะเลิกกอริลลาก้องจริงๆหรอ เสี่ยยยยย!!!! :z3:
สงสารน้องงงงง คุยกับน้องสักนิดเถอะนะเสี่ย ได้โปรดดดดด นี่ร้องไห้ตามน้องก้องจนน้ำมูกปริ่มแล้วววว :mew4:
เรื่องนี้เพราะฟค.นังออกัสใช่ไหม ชอบด่าลูกก้องนักใช่ไหม ได้!!!! ชั้นจะด่านังออกัสบ้าง!!! ไอ่คนเห็นแก่ตัว!! นังหมาไฮยีน่า!! นังงูเห่ากับชาวนา!!! นังเพื่อนจอมปลอม!!! จะสาปแช่งนังให้ละครแป้ก ผู้จัดไม่รัก หัวเน่าเหมือนขยะเปียก ให้สิวหัวช้างเต็มหน้า ฟค.กลายร่างเป็นซาแซง สาธุ!! เพี้ยงงง!! :call:

Hashtag นี่อินมากกกกกก :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 01-10-2019 05:17:31
 :ling3:

ขอบคุณคำตอบเรื่อง box นะฮับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-10-2019 09:07:44
ร้องไห้เผาเต่าเลย สงสารน้องมาก พี่อู๋ใจแข็งมากหรือที่ใจแข็งนี่มีเหตุผลที่บอกไม่ได้ กลัวน้องจะกลับมาเป็นซึมเศร้าอีกจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-10-2019 16:57:39
 o18

 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-10-2019 20:51:28
ก็ไม่รู้ว่าพี่อู๋ไปตกลงอะไรกับพ่อก้อง หรือพ่อก้องใช้ไม้ตายอะไร
แต่พี่อู๋ลืมไปเหรอว่าน้องเคยป่วย น้องเคยไม่เหลือใคร ทำไมทำรุนแรงกับน้องขนาดนี้
ถึงครอบครัวที่พ่อมีให้จะพร้อมทุกอย่าง แต่การปรับตัวมันไม่ง่ายหรอกนะ
อ่านแล้วปวดใจ ปวดตับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 02-10-2019 00:57:28
รู้สึกกึ่งกลาง เข้าใจหลายๆฝ่ายมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 02-10-2019 14:03:34
ที่อู๋ทำรุนแรงเกินไปสำหรับก้อง สงสารก้อง
ไม่รักพี่อู๋แล้วววว


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 02-10-2019 17:01:23
เรื่องแค่นี้ไอ้หมูอู๋ถึงกับบล็อคน้องทุกช่องทางเลยหรอ ไม่ใช่ม้าง อีพ่อตัวดีนี่แหละต้องไปขู่อะไรพี่อู๋แหง เหอะ
ปล.คนเขียนไม่ต้องรีบเขียนจนเครียดมากนะคะ คนอ่านรอได้เสมอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 02-10-2019 20:05:53
เราคิดว่าพี่อู๋แปลกๆจะทิ้งก้องด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะกับยัยหมูพียังความอดทนเป็นเลิศ ถ้าพี่อู๋จะทิ้งก้องเราเมนพี่อู๋คนนี้จะขอแบนพี่อู๋ตลอดไป โกรธธธธ :m31: :m16:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-10-2019 23:05:57
พี่หมูอู๋ทำไมใจแข็งขนาดนี้ อยากรู้เหตุผลของพี่อู๋มากๆ สงสารทั้งก้องและพี่อู๋ อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันเร็วๆ
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 03-10-2019 14:23:36
 :hao5: :hao5: :hao5: รอนะคะ..
เป็นกำลังใจให้ไรท์.. ชอบเรื่องนี้มากก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 05-10-2019 03:25:52
โรคเก่าที่น้องเป็นจะกลับมาอีกมั้ยเมื่อมีเรื่องร้ายๆ
เข้ามาในชีวิตรอบด้านพร้อมๆ กันแบบนี้

ถ้าพูดถึงการเลี้ยงดูก้องของพี่อู๋คือสปอยน์น้อง
ตามใจน้องมากๆ จริงๆ พอบทจะเด็ดขาดนี่
ทำเอาน้องตั้งรับไม่ทันถึงกับเป๋ไปเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 39 update!] 30/9/19
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 05-10-2019 21:40:46
ไม่รู้ว่าอาการก้องจะกลับมาหรือเปล่าคราวนี้ถ้าน้องไปโดดสะพานอีกครั้งหล่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 07-10-2019 19:53:32
40 [PART 1/3]


พ่อขับรถมาส่งผมที่หอตอนเย็นวันอาทิตย์ เขาบอกว่าหลังจากนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดพ่อคือคนดูแล หนึ่งเดือนพ่อจะโอนเงินให้ผมหนึ่งหมื่นสามพันบาท ค่าหอ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจิปาถะหรือกิจกรรมอื่นๆไม่รวมอยู่ในเงินก้อนนี้ หนึ่งหมื่นสามพันคือค่ากินค่าขนมเพียวๆ ถ้าเหลือก็เก็บไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นส่วนตัวได้ จะซื้อเกม ซื้ออะไรพ่อไม่ว่า แต่ถ้าเป็นไปได้พ่ออยากให้ผมรู้จักประหยัดเพราะเงินหายากขึ้นทุกวัน

ผมหยุดร้องไห้แล้วตอนพ่อขับรถมาส่ง แต่ใบหน้ายังอมทุกข์เหมือนคนตรอมใจอยู่ ตาของผมบวมและแสบร้อนแทบตลอดเวลา น่าจะเป็นเพราะร้องไห้ติดต่อกันนานและหนักจนเกินไปถึงได้เป็นแบบนี้ ก่อนลงจากรถพ่อมองสภาพผมแล้วถอนหายใจ เขาลูบหัวนายก้องเกียรติเบาๆหนึ่งทีและบอกว่าวันศุกร์นี้จะมารับ ให้อยู่รอที่นี่ ไม่ต้องขึ้นรถตู้กลับบ้านนะเข้าใจไหม

“ครับ”

ผมยกมือไหว้พ่อก่อนจะสะพายกระเป๋าลงจากรถ แต่พ่อก็รั้งไว้ เขาเปลี่ยนใจไม่ให้ผมไปและบอกว่าถ้าไม่ไหวจะกลับไปนอนพักที่บ้านก่อนไหม หยุดเรื่องเรียนไว้ซักอาทิตย์นึงก็ได้ ผมขมวดคิ้วมองพ่อด้วยความไม่เข้าใจว่าจะหยุดทำไม อีกไม่กี่วันก็สอบไฟนอลแล้ว ช่วงนี้นักศึกษาไม่ค่อยขาดเรียนกันหรอก และผมจะไม่โดดเรียนด้วยเพราะพี่อู๋เคยสอนไว้ว่าเขาหาเงินมาเหนื่อย เขาอยากให้ผมตั้งใจเรียนคุ้มกับเงินที่เขาจ่าย แต่ซักพักก็นึกได้ว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว เผลอๆเขาไม่แคร์หรอกว่าผมจะเข้าเรียนหรือเปล่า

ผมบอกพ่อว่าไม่เป็นไรครับ ผมอยากเรียนหนังสือ พ่อจึงไม่ว่าอะไรนอกจากบอกว่าแล้วจะโทรหา ตอบไลน์เขาบ้าง เขาจะได้ไม่เป็นห่วง ผมให้สัญญาก่อนจะเดินขึ้นอาคาร ปลายทางไม่ใช่ห้องของตัวเองแต่เป็นห้องของสมาร์ท ผมเคาะประตูสองสามทีทว่าไม่มีคนเปิด ไม่รู้สมาร์ทยังไม่กลับห้องหรือล็อคตัวเองไม่ให้นายก้องเกียรติเข้าไป ดังนั้นผมจึงจำใจเดินขึ้นห้องตัวเองแต่โดยดีก่อนจะไลน์หาน้ำตาลทราย

“มึงโอเคไหม?”

ทรายถามด้วยความเป็นห่วง ผมถอนใจก่อนจะตอบว่าไม่โอเค ไม่มีอะไรโอเคทั้งนั้น ทรายรู้อยู่แล้วว่าพ่อมารับผมกลับบ้าน มันก็เลยไม่ตกใจตอนที่ก้องเกียรติบอกว่าพ่อขับรถมาส่ง เราคุยกันทางโทรศัพท์แค่นิดหน่อยผมก็ร้องไห้อีก มันอยากร้องเองโดยไม่รู้ว่าทำไม แค่คิดว่าพี่อู๋ไม่รักก็เจ็บปวดใจจนไม่อยากอยู่แล้ว

“ก้อง เดี๋ยวกูไปหา มึงลงมารอเลยนะ”

ผมขานรับสั้นๆก่อนจะลงไปรอรับน้ำตาลทราย เพราะหอหญิงไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้า น้ำตาลทรายจึงเดินมาถึงนี่เพื่อเป็นกำลังใจให้ไอ้ก้องขี้แย พอเจอหน้ากันผมก็ร้องใส่เพื่อนยกใหญ่ การร้องไห้นี่มันเหนื่อยจริงๆนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย แต่มันทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องเพราะผมมืดแปดด้าน คิดไม่ออกเลยว่าจะเอายังไงต่อไป ทรายนั่งบนเก้าอี้มองผมร้องไห้อยู่นาน มันเองก็เวทนาเพราะหาวิธีช่วยไม่ได้ ก็คนเขาไม่รักแล้ว เขาไม่อยากได้แล้ว จะไปเรียกร้องอะไร ขนาดยืมโทรศัพท์ทรายโทรหา เขายังรู้ทันเลยว่าต้องเป็นก้องเกียรติแน่ๆถึงได้กดตัดสายและบล็อคไปอีกเบอร์

“มึงเอ้ย --” ทรายลูบหลังผมที่สะอึกสะอื้นจนตัวโยน “นึกยังไงวะไปพูดว่ารักเขาเพราะเงิน เป็นกูกูไม่พูดนะ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดอ่ะ”
“กูไม่อยากยอมรับว่าชอบผู้ชาย มึงก็รู้ว่าไอ้โบ้ทปากหมา มันเคยทำหน้าแหยงๆตอนพูดเรื่องกัสก้องด้วย”
“เออ แล้วมันเคยล้อมึงหรือยัง? กูไม่เห็นมันจะว่าอะไรมึงเลย มึงอ่ะร้อนตัว”
“ก็กูไม่รู้นี่ว่าพี่อู๋ยังไม่วางสาย กูไม่ได้ตั้งใจให้เขาได้ยิน” ผมหลับตาและถอนหายใจจนเหนื่อย “มึง กูจะทำยังไงดีวะ? พี่อู๋ไม่รับสายกูเลย ไปดักรอที่บ้านก็ไม่ได้ โทรหาก็ไม่ได้ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน”
“เอาไลน์พ่อมึงไปใช้หรือยัง?”
“ยัง พ่อใช้มือถือทั้งวัน ไม่ดูยูทูปก็เลือกรูปสวัสดีวันจันทร์อยู่” ผมบ่นเซ็งๆ
“งั้นมึงรออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่อู๋อารมณ์เย็นก็คงเลิกบล็อคมึงเองแหละ”
“แต่เขาใจแข็งมากเลยนะมึง” ผมบอกทราย “กับแฟนเก่าเขายื้อมานาน บทจะตัดก็ตัด ไม่กลับไปอีก มึงดูสิคนคบกันมาสิบปีอ่ะ ยังตัดได้ในวันเดียว”
“มึง พี่อู๋ไม่ได้ตัดใจได้ในวันเดียว มันเรียกว่าสะสมมานานจนทนไม่ได้เว้ย” ทรายส่ายหน้าไปมา ผมนี่มันไร้เดียงสาในเรื่องนี้จริงๆ “กูว่าที่เขาทำแบบนี้ก็แค่โกรธอ่ะ จริงๆนะ ตอนกูกับพี่กิ๊บทะเลาะกันก็แบบนี้ อันเฟรนด์ อันฟอล อันทุกอย่าง กูคิดว่าเลิกแน่ๆมาสองสามรอบแล้ว สุดท้ายก็ไม่เลิกอ่ะ ถ้ายังรักกัน เดี๋ยวก็ต้องหาทางปรับความเข้าใจกันอยู่ดี”
“ถ้าพี่อู๋ไม่ได้รักกูล่ะ?”
“เหรอ? มึงคิดแบบนั้นจริงเหรอ?”
“พ่อบอกว่าเขาอาจจะไม่ได้รักกูจริง พ่อพูดประมาณว่าเขาได้กูแล้ว เขาคงไม่อยากง้อเพราะไม่มีอะไรให้ค้นหาแล้วอ่ะ”
“พ่อมึงเป็นแฟนเก่าพี่อู๋เหรอถึงรู้ดีจัง?” ทรายแค่นหัวเราะ “ว่าแต่พ่อมึงรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เออ เขารู้ว่ากูคบกับพี่อู๋ แต่เรื่องมีอะไรกับเขากูเป็นคนบอกเอง”
“เหยดเข้ ป๊ากูยังไม่รู้เลยนะว่ากูมีอะไรกับพี่กิ๊บแล้ว มึงนี่สุดยอดจริงๆก้อง เรื่องที่ไม่ควรพูดเสือกกล้า แต่คำว่ารักเสือกอาย”

ผมตอบเพื่อนว่ารู้แล้ว สำนึกผิดแล้ว ตอนนั้นมันปากไวไม่ทันคิด คิดแค่ว่าไม่อยากให้ไอ้โบ้ทรู้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้กูไม่พูดหรอก กูจะบอกดังๆชัดๆเลยว่าที่เลิกกับพี่อู๋ไม่ได้ก็เพราะรักเขามาก รักมาก รักจนจะขาดใจตายแล้วที่ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อเขาตั้งสามวันเนี่ย

“กูควรทำยังไงต่อวะทราย?” ผมถามเป็นหนที่ร้อย
“ง้อดิ” ทรายยักไหล่ “มึงไม่ใช่คู่แรกที่เจอปัญหาทะเลาะกันแล้วไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา กูว่าในสิบคู่ต้องเจอเหตุการณ์นี้อย่างน้อยแปดคู่ เชื่อกูเถอะ ถ้ามึงรักพี่อู๋จริงๆและอยากคบกับเขาต่อก็เดินหน้าง้อเลย เขาต้องใจอ่อนซักวันแหละวะ”
“แต่เขาไม่รับโทรศัพท์ มึงก็เห็นว่าเขาบล็อคทุกทาง”
“งั้นค่อยกลับไปเจอเขาวันศุกร์หน้า”
“ไม่ได้ พ่อมารับ”
“แหม เมื่อก่อนมึงว่าพ่อฉอดๆ ตอนนี้ตอบเสียงอ่อยเลยนะว่าไปไม่ได้ พ่อมารับ” ทรายยกมือจะเขกหัวผมแต่ก็ไม่ได้ทำ “หลังสอบเสร็จค่อยไปดักรอพี่อู๋ ถ้าพ่อถามก็โกหกไปว่าติดสอบ พ่อไม่เอะใจถึงขนาดตามมาเฝ้ามึงหรอก”

ทรายบอกแล้วปรายตามองก้องเกียรติที่นั่งหน้าเศร้าไม่มีความสุขอยู่ข้างๆ ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย หนังสือก็ไม่อยากอ่าน เน็ตฟลิกซ์ก็ไม่อยากดู ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนร้องไห้ฟูมฟายคิดถึงพี่อู๋ พอทรายเห็นผมเฉยชาไร้ชีวิตชีวาเหมือนต้นไม้ยืนต้นตาย มันจึงชวนออกไปซื้อขนมที่เซเว่น

“กินเท่านั้นที่จะทำให้มึงดีขึ้น” ทรายว่าพลางหยิบนั่นหยิบนี่ใส่ตะกร้า “คืนนี้ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องง้อไว้วันหลัง หาอะไรคลายเครียดทำกันดีกว่า”

เราถือขนมสองถุงใหญ่กลับห้อง ส่วนใหญ่เป็นขนมคบเคี้ยวและของหวานชวนอ้วนที่ทรายไม่ค่อยชอบแต่คืนนี้มันจะยอมกินเพื่อผม เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดมีแต่ความเศร้า น้ำตาลทรายถึงขนาดยัดเค้กช็อกโกแลตคำโตใส่ปากแล้วเคี้ยวหยับๆเป็นเพื่อนก้องเกียรติ เรานั่งแกะนั่นแกะนี่กินหมดไปหนึ่งถุง พอคอแห้งก็รินโค้กใส่น้ำแข็งแล้วกระดกอึกๆจนเรอเอิ๊กเสียงดัง ทรายไม่ชวนคุยเรื่องเครียดๆเลยนอกจากเลื่อนดูซีรี่ส์ในเน็ตฟลิกซ์ แต่ผมไม่มีสมาธิมากพอที่จะโฟกัสอะไร ดังนั้นเราจึงเปิดยูทูปและร้องคาราโอเกะโง่ๆประหนึ่งอยู่ในร้านเหล้า

ทรายร้องเพลงอะไรไม่รู้ น่าจะเป็นเพลงเกาหลีที่ผมไม่เคยฟังมาก่อน มันร้องเย้วๆสนุกอยู่คนเดียวในขณะที่ผมนั่งขมวดคิ้วว่ามันเป็นอะไร พอเห็นนายก้องเกียรติไม่เอนจอย ทรายก็เลือกเพลงใหม่ เลือกไปเลือกมาเจอช่องทำอาหารแบบ ASMR สรุปว่าเราเลิกฟังเพลงและหันมานั่งดูเจ้าของช่องหั่นผักดังฉับๆแทน

“เพลินเนอะ” ผมว่าพลางหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปาก “มึงๆ ดูคนกินจุอันนี้เร็ว กินได้น่าอร่อยมาก”

ผมใช้นิ้วก้อยจิ้มโทรศัพท์แต่จิ้มไม่ติด ทรายจึงดูดนิ้วจุ๊บจั๊บแล้วช่วยกดให้แทน เรานั่งดูผู้ชายเกาหลีคนหนึ่งกินไก่ทอดเกือบสามสิบชิ้น เสียงกรุบกรอบของหนังไก่สะท้อนก้องในหัวของเราจนอยากโทรสั่งจริงๆแต่มันดึกเกินไป ผมกับทรายคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปกินเคเอฟซี ชวนมิวกับโบ้ทไปด้วยจะได้ช่วยกันหาร ทรายเห็นด้วยกับความคิดนี้จึงหยิบโทรศัพท์เตรียมจะแชทหามิวทว่ามีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่าแทรกเข้ามาเสียก่อน

“ก้อง มึงโดนอีกละ”

ทรายอ่านข้อความจากมิวก่อนจะแท็บหน้าจอเพื่อดูรูปภาพว่ามิวแคปอะไรมา อ๋อ – ไม่มีอะไรใหม่ นายก้องเกียรติโดนด่าอีกแล้ว ผมกับทรายนั่งอ่านออกเสียงคำด่าพวกนั้นไม่ทุกข์ร้อน หากถามว่าชิลขนาดไหน ก็ขนาดที่ผมนอนกินมันฝรั่งฟังคำด่าผ่านหูไม่สนใจ ส่วนทรายอ่านไปล้อเลียนไปด้วยความสนุกสนาน คำด่าพวกนั้นทำอะไรนายก้องเกียรติไม่ได้แล้ว เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้บทเรียนแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร คนอยากด่ามันก็หาเรื่องด่าไปทั่ว เราซื้อตะกร้อครอบปากหมาทุกตัวไม่ได้ฉันใด เราก็ห้ามคนไม่ให้ด่าเราได้ฉันนั้น จู่ๆมันก็ปลงในสัจธรรมขึ้นมากะทันหัน ถ้าผมปลงได้ตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องทุกข์ใจขนาดนี้ ดูสิ – ด่าว่าอีก้องหน้าสิวผมยังไม่โกรธเลย ก็กูเป็นสิวอ่ะ ใครๆก็เคยเป็นสิว หรือมึงไม่เคยเป็นสิวฮะอีหน้าเนียน ขอส่องไทม์ไลน์มึงหน่อย แหม ยังรีทวีตสกินแคร์ลดรอยสิวอยู่เลย ดูกระจกบ้างเว้ยแก เราเขินแทนจะแย่แล้วเนี่ย

“มึง ไม่ใช่ว่ะ อีมิวไม่ได้ให้ดูอันนี้” ทราบเลื่อนผ่านอีกรูป “นี่ไงๆๆ ก็ไม่ได้อะไรนะ แต่ผัวอีก้องคนนั้นที่เป็นล่ามอ่ะ มันก็ไปแย่งเค้ามาอีกที เหี้ยไม่เหี้ยก็ดูเอาแล้วกัน แฟนเก่าเค้าเป็นซึมเศร้าฆ่าตัวตาย มันยังแย่งได้อ่ะ คิดดูว่าร่านมั้ย #กัสก้อง -- เฮ้ย มันบอกว่ามึงแย่งพี่อู๋ว่ะ”
“แย่งเหี้ยอะไรล่ะ พี่อู๋ชอบกูเอง กูอยู่เฉยๆไม่ได้ยุ่งกับใคร” ผมส่ายหน้าเซ็งๆ ไม่พ้นเพื่อนคนสวยของคุณพีรพัฒน์อีกแน่ๆ “มึงตอบมันไปดิว่า แหม วีรกรรมก็เยอะน้า เพื่อนเราอ่ะ มึงทวีตตอบมันไปเลย”
“อีบ้า มึงเอาจริงเหรอ?”
“เออ”
“นี่แอคเคานท์กูนะ” ทรายเบะปากจะร้องไห้ “มึงจะให้กูใช้แอคนี้วอร์จริงเหรอก้อง?”

ผมถอนหายใจก่อนจะส่งโทรศัพท์ตัวเองให้ทราย อ่ะ มึงเอาไปเลย พิมพ์ตามคำบอกกูนี่แหละ กูขี้เกียจลุกขึ้นไปล้างมือ ผมตอบก่อนจะแกะขนมถุงใหม่และกินต่อ ระหว่างนั้นก็ฟังทรายอ่านทวีตหยาบคายที่พาดพิงถึงตัวเองเรื่อยๆไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร จะขี้เหร่ หน้าสิว หน้าเหี้ย เด็กเสี่ย อีหนู หรืออะไรก็จัดมาเถอะ ผมชินแล้ว เบื่อที่จะได้ยินด้วยเพราะคำด่าเดิมๆไม่มีอะไรใหม่ เหมือนหาเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากต้องโจมตีหน้าตาเท่านั้น

เบบี้ปลา: อีก้องเก็บตัวเงียบเลยน้า #กัสก้อง
kkk: จะเอายังไงเนี่ย ตอบโต้ก็โดนด่า เงียบก็โดนด่า ทำตัวไม่ถูกแล้วนะ 555

Pepper: สรุปเรื่องก้องที ตกลงว่าแฟนปจบที่มันคบอยู่ก็คือแย่งมาจากคนอื่นใช่ป้ะ #กัสก้อง
kkk: ไม่ได้แย่งจ้า เค้าเลิกกันก่อนหลายเดือนกว่าจะมาคบกับเรา
Pepper: เปนก้องอ่อ มาตอบเหมือนเปนอิก้องเลย อิดอก 55555
kkk: ใช่จ้า ก้องเอง อีดอก 55555

หมูหวาน: แล้วจิงป้ะที่เขาบอกว่าแฟนอีก้อง #กัสก้อง ไปเก็บอีก้องมาจากโรงทาน
kkk: ไม่จริงจ้า เก็บจากสะพานพระรามแปดจ้า

แม่น้องอิ๋ว: ถ้าก้องแย่งแฟนคนนี้มาจากแฟนเก่าที่เป็นซึมเศร้าจริงคือเหี้ยมากอ่ะ ไม่น่ารักเลยนะทำแบบนี้ ไม่โอเค #กัสก้อง
kkk: ไม่ได้แย่งครับ เค้าเลิกกันเองเพราะทนนิสัยไม่ไหว ไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ สงสารคนป่วย

ผมพยายามตอบสุภาพ พาดพิงคุณหมูพีให้น้อยที่สุดเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อาการเขาดีขึ้นหรือยัง หลุดพ้นจากวงโคจรของพ่อแม่และเพื่อนจอมโอ๋ได้ไหม หรือยังตกเป็นน้องเล็กให้เขาโอ๋เขาสปอยล์จนเสียคนเหมือนเดิม ผมกำลังนึกสงสัยอยู่พอดี เพื่อนคุณหมูพีก็เมนชั่นมาหา สำนวนแบบนี้ผมว่าต้องเป็นคนใกล้ตัวคุณหมูพีแน่ๆ คนศีลเสมอกันย่อมเป็นเพื่อนกัน ผมเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดีเลย


applepie: แหม ไม่ต้องทำมาเป็นสงสารเพื่อนกูหรอกอีเด็กดอก
kkk: อ่าว ก็น่าสงสารจริงๆอ่ะ พี่ว่าไม่น่าสงสารเหรอ เข้าออกโรงบาลบ่อยเป็นว่าเล่นเพราะทำร้ายตัวเองทุกครั้งเวลาไม่ได้ดั่งใจ
applepie: เสือก อีเมียน้อย
kkk: ใครกันแน่เสือก อยู่ดีๆก็ทวีตด่าคนอื่นว่าแย่งผัวชาวบ้าน ลืมไปแล้วเหรอว่าเค้าเลิกกันเพราะอะไร อย่าให้ต้องพูดนะ วันนั้นผมก็ไปโรงบาล รูปแผลที่เค้าทำพี่อู๋ผมยังถ่ายเก็บเอาไว้เลย จะดูป่าว


เมื่อเพื่อนของคุณหมูพีเงียบไปนานในขณะที่กระแสเริ่มสนใจว่าเรามีเรื่องอะไรกัน ผมก็ให้ทรายเมนชั่นไปใหม่ว่าตกลงจะดูไหม รูปเนี่ย ที่เพื่อนพี่กรีดมือพี่อู๋จนโดนเย็บเกือบสิบเข็มเนี่ยจะดูไหม เผื่อจะจำได้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงไปกันไม่รอด

“มึงพูดเรื่องอะไรวะก้อง กูงง?”

 ผมยักไหล่ บอกทรายว่าไม่มีอะไรหรอก แค่ตอนที่กูเจอพี่อู๋แรกๆเขาเพิ่งกลับไปคืนดีกับแฟนเก่า แต่คืนดียังไงไม่รู้ถึงทะเลาะกันประจำ เดี๋ยวตบเดี๋ยวตี เดี๋ยวด่า ห้องไม่เคยเงียบเกินสองวันเพราะแฟนเก่าพี่อู๋ร้ายมาก เอะอะจะฆ่าตัวตาย เอะอะจะทำร้ายพี่อู๋ มีวันนึงแฟนเก่าเขาเป็นบ้าเอาแก้วมากรีดกู วันถัดมาเขาเลิกเลย พี่อู๋ไม่เอาด้วยแล้วก็เลยโดนเพื่อนๆของแฟนเก่าตามด่าเหมือนเดินเตะจานข้าวหมาแบบนี้แหละ

“เวรกรรมแท้พี่อู๋ของมึงเนี่ย คบกับใครก็โดนด่าตลอด”

ทรายพึมพำแล้วอ่านทวีตถัดไป หลังๆผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมข้อความเกลียดชังพวกนั้นถึงไม่กระทบจิตใจเท่าวันก่อน บางทีผมอาจจะโดนด่ามากเกินไป หรือมีเรื่องให้กังวลมากเกินไปก็เลยไม่เศร้า หรือไม่ก็อยู่ในภาวะอิ่มขนมอย่างที่ทรายว่า มันบอกว่าถ้ากินอยู่ยังไงก็ร้องไม่ออกหรอก ร่างกายกำลังเรียกร้องอาหารขยะ กว่าจะน้ำตาจะไหลก็จะเป็นตอนที่กินโค้กหมดไปสองชั่วโมงแล้ว

“มันตอบหรือยัง?” ผมถามทรายพลางดูดนิ้วแจ๊บๆ
“ยัง หายไปเลย”
“เมนชั่นไปอีก มาแก้ตัวหน่อยครับ อยากเถียงอีก 555”
“ทำไมมึงไม่ร้ายตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วฮะ? มาร้ายอะไรตอนนี้”

ทรายบ่นพึมพำแต่ก็เมนชั่นไปหาแอคนั้นอีก ตอนนี้กระแสใน #กัสก้อง ตีกันมั่วไปหมด อีก้องหน้าเหี้ยเกาะออกัสดัง อีก้องหน้าพังสันดานพังแต่เสือกได้แฟนหล่อ อ๋อ อีก้องเด็กเสี่ย อีก้องขายตัว อีก้องเหลือขอ อีก้องกะหรี่ อีก้องเมียน้อย แย่งแฟนชาวบ้าน ล่าสุด –

ButterFlies: อีก้องเด็กเสี่ยของแท้ วันนี้นั่งเบนซ์กลับหอที่ลาดกระบังกับเสี่ยอ้วนๆแก่ๆคนนึงที่ไม่ใช่แฟนมัน
kkk: นั่นพ่อครับ เบนซ์ของพ่อ แฟนผมขับวีออส

ผมให้ทรายเมนชั่นตอบ ซักพักก็มีคนเมนชั่นมาถามว่าพ่อไหนอีกคะ ไหนบอกว่าไม่มีพ่อมีแค่แม่ไงถึงได้ไปกินอยู่กับแฟน ผมถอนหายใจเซ็งๆแล้วตอบอย่างสุภาพว่า

kkk: เพิ่งเจอพ่อตอนเปิดเทอมครับ พ่อเป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่คณะ อจ.จำนามสกุลแม่ได้ก็เลยช่วยติดต่อให้มาเจอกัน ข้อมูลนี้เช็กได้ครับ อาจารย์ชื่อสมศักดิ์ ลองถามอจ.ดู

jojo: แบบนี้ก็บ้านรวยอ่ะดิ พ่อขับเบนซ์แล้วจะเป็นเด็กเสี่ยอีกทำไม
kkk: ไม่ได้เป็นเด็กเสี่ยครับ แฟนผมไม่ใช่เสี่ย แค่อายุเยอะกว่า

melody: ไหนว่าจนมากไม่ใช่เหรอ
kkk: ผมจนจริงครับ แต่พ่อรวย


 ทรายถามว่าเราจะคุยแบบสุภาพกับไอ้คนพวกนี้ทำไม ผมจึงบอกไปว่าตอบตรงๆน่าจะดีกว่าปล่อยให้คนมันเดาสุ่มหรือเปล่า อย่างเรื่องรถเบนซ์ที่เมาธ์ๆกันนั่นถ้าไม่รีบบอกว่าเป็นพ่อ คงใช้แกทเชื่อมโยงหาว่าผมมีผัวเป็นเสี่ยหลายคนแน่ๆ พอเริ่มตอบคำถามคนนึง คนที่เหลือก็เริ่มตั้งคำถามบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ออกแนวจับผิดมากกว่าหาความจริง ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ ไม่เห็นมีใครถามเลยว่าสรุปเรื่องทั้งหมดมันจริงไหม ผมกับพี่อู๋คบกันแบบเสี่ยหรือเปล่า ทำไมไม่มีใครถามอะไรสร้างสรรค์เลยวะ น่ารำคาญชิบ
 
“กูว่าเราเลิกอ่านทวีตพวกนี้เหอะว่ะ”

ทรายส่งโทรศัพท์คืนแล้วชวนแกะขนมต่อ เราคุยกันว่าถุงต่อไปเป็นอะไรดีนะ ทรายจึงหยิบช็อกโกแลตแท่งขึ้นมา ฉีกซองออกแล้วแบ่งครึ่งให้ก้องเกียรติกิน เราทั่งแทะช็อกโกแลตเงียบๆไม่พูดอะไรอีก ทรายคงรู้สึกแย่ไปด้วยที่ได้อ่านข้อความพวกนั้น ส่วนผมว่างเปล่า ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากรสชาติหวานๆของคุ้กกี้ แอนด์ ครีม เราตกลงกันว่าหลังจากนี้จะไม่อ่านทวิตเตอร์พวกนั้นอีก ปล่อยให้มันจบไปดีกว่าเนอะ เราก็ตอบเยอะไปพอสมควรแล้วด้วย ทรายกำลังจะไลน์บอกมิวเองว่าไม่ต้องแคปมาฟ้องอีก เราจะไม่สนใจกระแสเฮงซวย เราจะเดินหน้าต่อไป เราจะมูฟออนและง้อพี่อู๋ให้ได้ เราจะ – เราจะ –

“ทราย มีคนอินบ็อกซ์มาหากูว่ะ”

ผมบอกเพื่อนเมื่อเห็นแจ้งเตือนตรงไอคอนรูปซองจดหมาย เมื่อคลิ๊กเข้าไปอ่านก็เห็นว่าในนั้นมีคนส่งข้อความมาเต็มไปหมด เจ็ดสิบเปอร์เซ็นคือคำด่า อีกสามสิบเปอร์เซ็นคือคำให้กำลังใจ ผมเลือกอ่านเฉพาะข้อความบวกๆและตอบกลับไปว่าขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจครับ จนกระทั่งเจอข้อความหนึ่ง

นี่ใช่พี่ก้องตัวจริงหรือเปล่าคะ
ใช่ครับ

ผมตอบ รอไม่ถึงสิบวินาทีเธอก็ส่งข้อความมาใหม่ ผมอ่านออกเสียงเพื่อเรียกน้ำตาลทรายที่กำลังดื่มโค้กให้ตั้งใจฟัง พออ่านจบเราก็รู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าควรตอบข้อความนั้นยังไงนอกจากกรุ๊ปคอลหามิวเพื่อบอกว่าตื่น ตื่น ตื่น มีเรื่องแล้ว เด็ดมากด้วย ตื่นมาช่วยพวกกูก่อน

Rainy day:
หนูชื่อฝนนะคะ เคยคบกับพี่ออกัสอยู่ช่วงนึง
หนูมีเรื่องจะบอกพี่ค่ะ






ฝนเป็นเด็กมอปลาย เป็นแฟนกับออกัสช่วงที่มันกำลังมีชื่อเสียงพอดี ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจกับคำแนะนำตัวนี้ก็เลยตอบไปแค่ครับ ทรายดีดหูผมทันทีและบอกว่าอ่านดูดีๆ วิเคราะห์ดีๆ น้องเขาบอกว่าเป็นแฟนกับออกัสช่วงที่กำลังมีชื่อเสียง หมายความว่าตอนมันตามตื๊อขอคบผม มันต้องมีน้องคนนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

เออว่ะ – จริงด้วย

ผมจึงพยายามตอบแชทอย่างใจเย็น ไม่กระโตกกระตากว่าอยากรู้เรื่องนี้ใจแทบขาดเพราะจะเอาไปตีหน้าไอ้ออกัส น้องที่ชื่อฝนเล่าให้ฟังว่าเธอคบกับออกัสยังไม่ทันครบเดือน กระแส #กัสก้อง ก็เริ่มมาแรงขึ้นเรื่อยๆจนเธอไม่เปิดตัวไม่ได้ว่าเป็นแฟนออกัส

ทำไมอ่ะครับ

ผมถาม หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ตอบกลับมาว่า

พี่กัสบอกว่าเป็นเรื่องงาน ถ้าฝนออกตัวว่าเป็นแฟนเขา กระแสจะหายไปแล้วสปอนเซอร์จะไม่เข้าค่ะ

“เหี้ยมาก” ทรายส่ายหน้า “มึงถามต่อเร็วว่าตอนนี้ยังคบกันอยู่ไหม?”


ยังเป็นแฟนกันอยู่มั้ยครับ
Rainy day:
เพิ่งเลิกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ
เขาบอกรักหนู แต่จำเป็นต้องเลิก
หนูคิดว่าน่าจะเพราะคู่จิ้น
ค่ายเตรียมจะดันคู่จิ้นใหม่มาแทน #กัสก้อง

อ่า ไม่แปลกใจครับ


ผมรอซักพักน้องเขาก็ส่งหน้าแชทที่คุยกับออกัสมาให้ดู ออกัสบอกน้องฝนว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยและพยายามคอลหา แต่น้องฝนไม่รับ เธอบอกพิมพ์มาเลยดีกว่า ไม่ต้องคุยกันหรอก ออกัสจึงถือโอกาสนี้บอกเลิกเธอโดยให้เหตุผลต่างๆนานา และบอกอีกว่าเพราะงานอาจทำให้ฝนเสียใจ ตอนนี้ค่ายกำลังจะจับคู่ออกัสกับนักแสดงหน้าใหม่ที่เล่นซีรี่ส์ด้วยกัน มันคงจะดีกว่าถ้าออกัสไม่มีแฟน

Rainy day:
พี่กัสเคยพูดว่าค่ายบ่นว่าพี่ก้องทำเสียเรื่อง
เค้าเคยขอให้พี่กัสดึงพี่ก้องมาสร้างกระแสแล้ว แต่ไม่ได้
เพราะพี่ก้องมีแฟนแล้ว

ครับ ตอนนั้นพี่มีแฟนแล้ว
Rainy day:
ค่ายก็เลยดันคู่ใหม่ พยายามเอากัสก้องลง
คนที่เริ่มจุดกระแสด่าพี่ ก็มาจากทีมงานในค่ายค่ะ
จริงๆคลิปบิวตี้บล็อกเกอร์คนนั้นไม่มีอะไรเลย
ไม่มีเรื่องให้ด่า แต่พอมีคนเปิด มันก็มีคนตามอ่ะค่ะ


“เฮ้ย จริงหรือเปล่าวะ? กล่าวหาลอยๆแบบนี้เขาฟ้องได้เลยนะเว้ย”

ทรายไม่อยากจะเชื่อ แต่สีหน้ามันนี่ตื่นเต้นยิ่งกว่าลุ้นหวยวันที่สิบหกอีก เราสามคนคุยกันผ่านสปีคเกอร์โฟนว่าจะเอายังไง มิวบอกว่าทำเป็นกลางไว้ก่อน อย่าเพิ่งร่วมวงด่า ลองถามน้องเขาดูก่อนว่ามาบอกเราทำไม มีจุดประสงค์อะไร ผมพิมพ์ตามที่มิวแนะนำและรอซักพักน้องฝนก็ตอบกลับมา

Rainy day:
หนูสงสารพี่อ่ะค่ะ
โดนด่ามาอาทิตย์นึงแล้วยังไม่จบ
ขอบคุณครับ
แต่น้องมาบอกพี่แบบนี้ ไม่กลัวออกัสโกรธเหรอ

Rainy day:
ไม่กลัวค่ะ เพราะหนูแค้นทีมงาน
บงการให้หนูกับพี่กัสเลิกกันแล้วสร้างคาแรคเตอร์
ว่าเป็นไบ
พี่กัสไม่ได้เป็นไบค่ะ เค้าเป็นชายแท้


“กูว่าแล้ว!”

ผมตบเขาดังฉาด บอกแล้วว่ามันไม่ได้ชอบผมหรอก คนชอบกันเขาไม่ทำแบบนี้ เขาไม่มีระยะห่างขนาดนี้ ต่อให้เดินตามตูดเหมือนลูกเป็ดและเอาแต่บอกว่ารักๆๆ ถ้าการกระทำมันไม่สอดคล้อง ยังไงก็เชื่อไม่ลง


Rainy day:
ค่ายหวังกับพี่กัสมาก เพราะละครเรื่องก่อนหน้าแป้ก
ท่าดีทีเหลวจนปั้นไม่ขึ้นเหมือนกัน
คู่จิ้นจากค่ายคู่แข่งก็ดังกว่ามาก
ทีมงานเค้าทำงานกันเป็นทีม เนียนสุดๆ
แฟนคลับคิดว่าคบกันจริงทั้งๆที่ผู้ชายค่ายนั้นก็มีแฟนเหมือนกัน
เค้าไม่เห็นต้องเลิกกับแฟนเลย
แต่ค่ายพี่กัส สั่งให้เลิก บังคับให้เลือกว่าจะเอายังไง
แล้วพี่กัสก็เลือกงาน ไม่เลือกหนู
ซักพักก็มีกระแสด่าพี่ช่วงเวลานี้พอดี

Rainy day:
เค้าคิดกันมาดีแล้วค่ะว่าจะลบกัสก้อง
ชุบตัวใหม่ให้พี่กัสดูน่าสงสาร
ไม่เชื่อพี่คอยดูหลังละครออนแอร์วันจันทร์นี้นะ
จะมีทีมงานชงให้พี่กัสเป็นคู่จิ้นกับนายเอกในเรื่องอีก
แล้วก็จะมีคนด่าพี่ แต่ไม่เยอะ เพราะเค้าจะย้ายไปชงคู่อื่นแล้ว
หนูแค่แวะมาบอกให้พี่สบายใจ
มันใกล้จบแล้วค่ะ ทีมงานเค้าวางแผนให้มันจบอาทิตย์นี้

ที่น้องมาบอกพี่เพราะสงสารอย่างเดียวเหรอครับ
Rainy day:
เปล่าค่ะ
หนูอยากให้พี่เอาคืนพวกมัน
มันทำให้หนูต้องเลิกกับพี่กัส
หนูไม่ยอมเจ็บคนเดียวแน่

“ไอ้ – เหี้ย --”

ผมอ่านแล้วอุทานคำหยาบอีกหลายคำ ส่วนทรายกับมิวไม่ต่างกัน ทั้งสองคนรวมหัวด่าต้นสังกัดของออกัสจนเสียหมาเพราะแผนการสกปรกมาก ระยำเกินกว่าจะให้อภัย แค่เพราะอยากได้กระแสคู่จิ้นให้ซีรี่ส์ มันจำเป็นต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ แล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ผมเสียสุขภาพจิต ไม่เป็นอันกินอันนอน แถมยังทะเลาะกับพี่อู๋จนเลิกกันอีก ใครจะรับผิดชอบ มีใครหน้าไหนมันโผล่มารับผิดชอบชีวิตที่พังทลายของผมบ้าง ไอ้หน้าเหี้ย!

“มึงๆๆ ขอหลักฐาน” มิวพูดแทรกเมื่อนึกขึ้นได้ “ถามน้องไปว่ามีแชทของออกัสไหม มีหลักฐานอะไรไหมที่จะแหกอีค่ายเหี้ยนี่ บอกน้องเขาส่งมาได้เลย เดี๋ยวกูแหกให้เอง ร่างกายต้องการการปะทะ ก็มาดิค้าบ เหยดแหม่”

คำพูดของมิวมันขำ แต่วินาทีนั้นเราไม่ขำเพราะกำลังวุ่นวายกับการขอหลักฐานที่มัดตัวคนในค่ายว่าจงใจปั่นกระแสเพื่อใส่ความผม เรารอเกือบสิบนาทีกว่าน้องฝนจะทยอยส่งแชทที่คุยกับออกัสมาให้ ออกัสพูดไม่เคลียร์เท่าไหร่ว่าค่ายเป็นคนเริ่มปั่นให้ผมโดนด่า แต่ที่เคลียร์คือออกัสบ่นน้องฝนว่าจะหึงไปทำไม กัสก้องมันไม่มีอะไรแต่แรกอยู่แล้ว ที่ทำก็เพราะค่ายอยากได้ก้องมาช่วยโหมกระแส แต่ก้องไม่เล่นด้วยเดี๋ยวก็คงเลิกกันแล้ว ไม่มีอะไรหรอก

“ชัดเจน” ทรายยิ้มเย็นเหมือนคนโรคจิต “ไอ้ออกัสโดนแน่หนึ่งดอก ส่วนทีมงานยังไม่เคลียร์ว่ายังไง อาจจะแก้ตัวก็ได้ว่าออกัสโกหก”
“ถ้าเราซัดไอ้ออกัสก่อนแล้วค่อยให้มันลากทีมงานออกมาเองล่ะวะ?” มิวเสนอ
“ไม่น่าจะได้มั้ง ออกัสมันคงไม่ยอมเสียงานหรอก”
“มันยอมแน่” ทรายยิ้มเย็นอีกแล้ว มันเป็นอะไรของมันเนี่ย “มึงก็รู้ว่าไอ้ออกัสห่วงชื่อเสียงตัวเองจะตาย ถ้าเราโยนขี้ใส่มือมัน มีเหรอมันจะกำขี้เอาไว้คนเดียว กูว่ามันต้องส่งต่อ”
“งั้นเราจะเริ่มแผนยังไงดีวะ?”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่กูเอง”

มิวพูดอย่างมั่นใจ

“มึงสองคนรอดูให้ดีนะ กูจะลากอีออกัสกับค่ายไปตบกลางสี่แยกราชประสงค์ มึงคอยดูไว้เลย”




ต่อ part 2 ข้างล่างเลยฮับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 07-10-2019 19:56:12
40 [PART2/3]


วันจันทร์ เราสามคนไปเรียนด้วยกันแต่ไม่ได้โฟกัสกับการเรียนซักนิด หลังหมดคาบวิชาภาษาอังกฤษ เราก็จับกลุ่มวางแผนเงียบๆที่ห้องของผม มิวบอกว่าเมื่อคืนมันทำงานหนักมาก ผมถามว่างานวิชาอะไร มีส่งด้วยเหรอช่วงนี้ มันจึงด่าว่าอีบ้า งานเสือกสิไม่ใช่เรื่องเรียน กูอุตส่าห์ทำไทม์ไลน์ขยี้ไอ้ออกัสให้มึงนะอีก้อง อย่าตึ่งโป๊ะให้มาก

เราตกลงกันว่าวันนี้หลังซีรี่ส์วายของออกัสออนแอร์ตอนแรก เราจะปล่อยบอมบ์ในแฮชแท็กซีรี่ส์เลย แน่นอนว่าเราจะไม่เปิดเผยตัวตนของน้องน้ำฝน แต่ใช้หลักจับโป๊ะคู่รักในไอจีเหมือนที่ดาราเกาหลีชอบใช้กัน เช่นการลงรูปที่สื่อถึงกันเป็นนัยยะ การใช้ของคู่กันหรือแอบไปสถานที่เดียวกันแต่ลงภาพคนละมุมเพื่อยืนยันว่าออกัสคบกับคนอื่นอยู่ในช่วงที่ป่าวประกาศว่าชอบผม นี่เป็นหมัดแรกที่ซัดเข้าหน้าไอ้กัสเท่านั้น หมัดเด็ดสำคัญจะตามมาหลังจากนี้เป็นคอมโบเซ็ท ผมถามมิวว่าน้องฝนโอเคไหมที่เราแคปรูปเขามาแพร่แบบนี้ มิวบอกว่าน้องโอเค น้องทำใจแล้วว่าจะโดนด่า แต่ช่วยปิดหน้าให้ด้วยเพราะไม่อยากโดนด่าว่าหน้าเหี้ยเหมือนก้องเกียรติ

“สวยปานนางฟ้าจะโดนด่าว่าหน้าเหี้ยได้ยังไงวะ?” ทรายแกะเยลลี่ใส่ปาก “เออ ก้อง มึงเขียนจดหมายง้อพี่อู๋ยัง?”
“ยัง” ผมตอบพลางล้วงเอากระดาษรายงานออกจากกระเป๋า เตรียมปากกาและน้ำยาลบคำผิดพร้อม “กำลังจะเขียน มึงว่าเขียนยังไงดี?”
“ตอนแรกขอโทษแบบจริงจังก่อน ท้ายๆจดหมายค่อยทำเป็นทีเล่นทีจริง”
“ยังไงวะ?” ผมเอียงคอสงสัย
“ก็ขอโอกาสเขาไง บอกเขาว่ามึงรักเขา รักมากๆ ตอนนี้ไม่ต้องใช้เงินเขาแล้วแต่ก็ยังคิดถึงเขาอยู่”
“เลี่ยนว่ะ”
“งั้นมึงก็ทำใจเถอะว่าเขาไม่กลับมาแน่ๆ”
“ไอ้สัส ปากมึงเนี่ยนะ”

ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเริ่มเขียนจดหมายด้วยลายมือบรรจง ตอนแรกผมเกริ่นถามว่าเขาเป็นยังไง สบายดีไหม กินข้าวบ้างหรือยัง ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าก่อนจะเข้าเรื่อง ผมอธิบายให้พี่อู๋ฟังเหมือนในไลน์เปี๊ยบ บอกเขาไปว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะผมกลัวไอ้โบ้ทล้อ เหตุผลส้นตีนมากเลย กลัวเพื่อนล้อว่าชอบผู้ชาย แต่ไม่ละอายเวลาบอกใครว่าคบกับเขาเพราะเงิน ผมสารภาพและยอมรับผิดแต่โดยดี เขียนชัดเจนว่าผมขอโทษ ผมเสียใจที่มันเป็นแบบนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยลูกอ้อนว่าผมคิดถึงเขามาก คิดถึงมากจริงๆ บ้านของพ่อไม่ใช่ที่ของก้องเกียรติ ผมอยากกลับไปอยู่ลาดพร้าว ผมอยากเจอเขา อยากขอโทษที่ทำไม่ดี ทรายแนะนำว่าให้ดราม่าหนักๆไปเลยเช่นถ้าพี่ไม่รักผมก็จะไป ผมจะไม่อยู่ทำให้พี่ลำบากใจอีก

“ถ้าพี่อู๋ไปจริงล่ะวะ?”
“ไม่ไปหรอก เชื่อกู ง้อแบบนี้สำเร็จทุกราย”

อ่ะ – เชื่อก็เชื่อ ผมจึงเขียนจดหมายด้วยถ้อยคำเจียมเนื้อเจียมตัว เหมือนนางเอกดาวพระศุกร์ที่น่าสงสารชิบหายทั้งๆที่เป็นคนทำผิดเอง ผมลงท้ายในจดหมายว่าจะรอพี่อู๋เสมอ ไม่ว่าจะบล็อกเบอร์หรือบล็อกไลน์ผมก็จะหาทางติดต่อเขาให้ได้ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี ผมจะไม่ปล่อยพี่ไปง่ายๆ รู้เอาไว้ว่าผมรักพี่ ผมรักพี่จริงๆนะ และผมจริงจังกับความสัมพันธ์ของเรามากๆ วันนึงผมจะทำให้พี่ใจอ่อน ยอมให้อภัยผมจนได้ คอยดู

“มึงเขียนไปด้วย ว่าผมแค่อยากอัปเดตชีวิตตัวเองให้พี่ดู ถ้าพี่อยากเห็นรูปก็ปลดบล็อกไลน์ผมนะครับ ผมจะส่งให้”
“รูปอะไรวะ?”
“รูปโป๊มึงไง”
“อีเหี้ย! จะบ้าเหรอ?!” ผมตีแขนทราย “มึงไม่กลัวรัฐบาลดักดูข้อมูลในไลน์เหรอวะ?”
“ทำไม? มึงคิดว่าสำนักนายกจะเอารูปโป๊มึงไปทำอะไร? เผลอๆส่งจดหมายเตือนพี่อู๋ให้คืนดีกับมึงด้วยซ้ำเพราะทนดูต่อไปไม่ได้”
“อีทราย อีเลว”

ผมด่ามันแต่ก็เขียนลงไปว่าช่วยปลดบล็อกไลน์ด้วย ผมมีรูปอยากอวดเต็มไปหมด ที่บ้านผมมีไซบีเรียนฮัสกี้ชื่อหมี มันน่ารักดี – แต่น่ารักไม่ได้ครึ่งหนึ่งของผมหรอก – ทรายแนะนำให้เขียนประโยคหลังลงไปด้วย ตอนแรกผมไม่ยอม รู้สึกว่าการอวยตัวเองว่าน่ารักกว่าหมาไม่น่าจะดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เขียนลงไป แปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจให้ดูคลาสสิคนิดๆ หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานไปไปรษณีย์ ส่งจดหมายน้อยเป็นเอกสารแบบอีเอ็มเอส ส่งด่วนส่งไว พรุ่งนี้พี่อู๋ต้องได้รับแน่นอน และเขาจะไม่ทิ้งซองโดยไม่ทันแกะด้วย เพราะอะไรเหรอ เพราะผมเขียนว่าส่งจากมูลนิธิอนุรักษ์กอริลลาไทยไง ง่ายจะตาย แค่นี้พี่อู๋ก็ต้องแกะดูก่อนฉีกทิ้งอยู่แล้ว

วันดีเดย์ของเราจึงจบลงตรงที่เราสามคนไปกินข้าวด้วยกันตอนเย็น บรรยากาศก่อนปล่อยระเบิดลูกแรกทำเอาผมท้องไว้ปั่นป่วนแปลกๆ ถึงจะชินกับการถูกด่าแต่ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถรับมือกับกระแสตีกลับลูกใหญ่ได้ ผมถามมิวว่าแน่ใจไหมว่าเรื่องพวกนี้จะไม่กลับมารัดคอผม มิวตอบว่าแน่ใจ ยังไงก็ชัวร์แน่เพราะไทม์ไลน์ไอจีน้องฝนกับออกัสตรงกันขนาดนี้ แถมแชทส่วนตัวยังมีอีก พวกเราต้องได้เป็นคนคุมเกมนี้แน่นอน

หลังกินข้าวเสร็จผมจึงปั่นจักรยานกลับหอด้วยความกังวล ทุกครั้งที่คิดถึงพี่อู๋ ผมมักจะรู้สึกว่าถ้าเราอยู่ด้วยกันตอนนี้ก็คงดี พี่อู๋น่าจะแนะนำได้ดีและฉลาดกว่าการโยนระเบิดซึ่งๆหน้าอย่างที่เรากำลังจะทำ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาเป็นไงบ้าง งานได้รับผลกระทบไหม ชิราอิชิซังว่ายังไง ตำหนิหรือรังเกียจอะไรหรือเปล่า พอนึกถึงพี่อู๋ ผมก็ลองโทรศัพท์อีกแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม ไลน์ไปไม่อ่านเหมือนเดิม บางทีผมคงต้องรอจนกว่าพัสดุจะถึงมือเขา ไม่แน่พี่อู๋อาจใจอ่อนถ้าได้อ่านจดหมายฉบับนั้น แต่ถ้าไม่ใจอ่อนก็ไม่เป็นไร เพราะพรุ่งนี้ผมจะส่งฉบับที่สองตามไปอีก ส่งเรื่อยๆจนกว่าเขาจะปลดบล็อก ส่งเยอะๆเหมือนศาสตรจารย์ดัมเบิลดอร์กระหน่ำส่งจดหมายไปที่บ้านแฮร์รี่เลย





สองทุ่มครึ่ง ผม ทราย และมิวสแตนบายในทวิตเตอร์ พอซีรี่ส์เริ่มออนแอร์ แฮชแท็กก็พุ่งทะยานติดเทรนด์อันดับหนึ่งในเวลาไม่นาน ผมลองอ่านผ่านๆว่าผู้คนคิดยังไงก็เห็นแต่อาการหวีดสติหลุด ออกัสหล่อมาก ออกัสน่ารักมาก เล่นดีมาก เคมีเข้ากันสุดๆ – คนที่อวยว่าเคมีเข้ากันมีอยู่ไม่กี่คน ที่เหลือก็พูดกันตามเนื้อผ้าเพราะคุณภาพมันไม่ได้แจ่มว้าวขนาดนั้น เรารอเวลาจนละครจบและทุกคนเริ่มเข้ามาส่องแท็กเพื่ออัปเดตว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมกลั้นหายใจเมื่อเห็นทวีตของมิวในล่าสุด

Miumiu: โห โปรดัคชั่นดีมากๆๆๆเลย บทพระนายเข้ากันสุดๆ เพราะแบบนี้ใช่มั้ยออกัสถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เซ็นสัญญา แม้จะต้องเลิกกับแฟนก็ตาม :(


เอาแล้ว – หงายหน้าไพ่ขนาดนี้ ดูซิว่าเราจะเอาคืนไอ้ออกัสได้ไหม

แจนเบอรี่: ถ้าหมายถึง #กัสก้อง บอกเลยน่ะค่ะว่าเลิกๆไปเถอะ คนเฮงซวยแบบนั้น
อีฟแชงเก้น: แฟนแบบอีก้อง #กัสก้อง ก็ควรเลิกป้ะ จะคบคนเห็นแก่เงินทำไม 555555

Miumiu: อ้าว ออกัสเคยคบกับก้องด้วยเหรอคะ เมื่อไหร่เหรอคะ เพราะแฟนตัวจริงของออกัสเค้ามายืนยันแล้วน้าว่าออกัสไม่ได้เป็นไบ เป็นชายแท้ตั้งแต่แรก ตอนที่มีกระแส #กัสก้อง ก็คบกับน้องคนนี้อยู่


มิวทวีตพร้อมแปะหลักฐานอินบ็อกซ์ที่เราคุยกับน้องฝน ผมถามมันว่าทำไมเราไม่แปะให้หมดเลยรวดเดียว มิวบอกว่าใจเย็นๆ ค่อยๆเล่นมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะมีคนหน้าแหกเพราะโดนกูตบอีกเป็นสิบ มึงรอดู

ผมจึงไม่ว่าอะไรนอกจากอ่านเมนชั่นด่ามิวที่เป็นเจ้าของทวีตว่าแอคเห็บ พวกชอบปั่นสร้างกระแส พวกอีก้องแน่ๆที่จ้องทำลายออกัส มิวตอบไปว่าเห็บไม่เห็บก็ลองส่องไทม์ไลน์ดู เผลอๆคนที่เมนชั่นนั่นแหละเป็นเห็บ เอ๊ – ใครจ้างมาน้า ใครมันเปิดกระแสด่าก้องน้า สงสัยจุง

“กวนตีนอ่ะมึง” ทรายหัวเราะชอบใจก่อนจะช่วยเมนชั่นไปชงว่า นั่นสิ ใครมันเปิดประเด็นบาร์บีก้อนคนแรกวะ ทำงานที่ไหนอ่ะ สงสัยจัง

ตอนแรกหลักฐานที่มิวลงมีแต่คำบอกเล่าจากน้องฝน พวกเขาจึงแย้งว่าแอคปลอม เชื่อได้ไหมก็ไม่รู้ มึงโง่เหรอที่เชื่อแอคเห็บพวกนี้ถึงขนาดมาทวีตทำลายออกัส ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นกูจะตามจองล้างจองผลาญมึง มิวตอบกลับไปว่า 5555 นั่นสิ โง่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นคนด่าก็ตามด่ากันเหมือนหมาหอนคืนเห็นผี ก่อนจะแปะหลักฐานเป็นไอจีของน้องฝนและออกัสที่อัปรูปแฝงนัยยะถึงความสัมพันธ์

Miumiu: ขออนุญาตน้องเจ้าของig แล้ว ดูเอาเองจ้า วันที่วันเดียวกัน สถานที่เดียวกัน รูปถ่ายก็มุมเดียวกันแต่ผลัดกันถ่าย เฮ้ย เมื่อเดือนตุลาออกัสกำลังตามจีบก้องอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงแอบไปเที่ยวกับผู้หญิงอ่า แบบนี้ถือว่าโกหกแฟนคลับมั้ย #กัสก้อง


แล้วมิวก็แปะรูปอีกนับสิบ หากมองดีๆมันค่อนข้างชัดเจนว่าออกัสกับน้องฝนคบกันจริงเพราะรูปอัปโหลดวันเดียวกัน สถานที่เดียวกัน แคปชั่นใช้อีโมจิเป็นรูปหัวใจสีเขียวเหมือนกัน แถมหลายๆรูป เสื้อผ้าของทั้งสองคนเหมือนชุดคู่ที่แมทช์เสื้อสไตล์เดียวกันอีก มันชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถ้าแฟนคลับออกัสไม่อคติจนตาบอดก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่เพราะพวกเขากำลังโมโห การตอบโต้ในครั้งแรกจึงมีแต่ถ้อยคำหยาบคาย ด่านายก้องเกียรติอยู่เดิมๆวนเวียนไปมาเหมือนสมองหยุดพัฒนา

ทวีตของมิวโดนโจมตีในตอนแรก แต่ก็สร้างกระแสใหม่ขึ้นมาใน #กัสก้อง เช่นกัน ตอนนี้มีคนรีทวีตหกพันกว่าในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ในแฮชแท็กซีรี่ส์ที่เคยมีแต่คนอวย เริ่มมีการตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ออกัสคบกับน้องผู้หญิงคนนั้นจริงไหม ถ้าคบกันจริง แล้วที่บอกว่าชอบก้องมาตลอดคืออะไร เรื่องโกหกงั้นเหรอ โกหกเพื่ออะไร เพื่อให้ได้สปอนเซอร์ไง เพื่อชื่อเสียงในวงการบันเทิง เพื่อเงิน เพื่อกระแสต่างๆไง จนกระทั่งมีคนถามว่าแล้วก้องเกียรติล่ะ

ก้องเกียรติได้อะไร?


Miumiu: ก้องไม่ได้อะไรอ่ะค่ะนอกจากคำด่า ชีวิตส่วนตัวก็พัง ต้องเลิกกับแฟนเพราะพี่เค้าไม่อยากให้คนอื่นมองก้องไม่ดี แหกตาดูเอาไว้นะคะแม่อีออกัสทั้งหลาย ความปากเน่าและจิ้นจนเสียสติของพวกมึงได้ทำลายชีวิตคนๆนึง แต่มันไม่จบแค่นี้นะ มึงรอดูจุดจบออกัสกับพวกได้เลย มีคนต่อคิวรอกระทืบอีกเพียบ


บู้ม!

ความสนุกเริ่มต้นขึ้นแล้ว

มันสนุกตรงที่ถึงคราวพวกเราได้เป็นฝ่ายนั่งดูบ้าง หลังจากเครียดกับคำด่ามาหลายวัน ในที่สุดก็มีคนเริ่มได้สติและเอะใจในการกระทำของออกัสทั้งหมด ช่วงแรกๆคนยังตีกันอยู่ว่าน้องฝนสร้างกระแสหรือเปล่า คบกันจริงหรือเปล่า รวมถึงพยายามสืบหาให้ได้ว่าอินสตราแกรมของน้องฝนชื่ออะไร แต่ไม่ทันหรอกเพราะน้องตั้งไพรเวทมาซักระยะแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่ออกัสว่าปั่นกระแส #กัสก้อง ทำไมในเมื่อตัวเองก็มีแฟนแล้ว ผมดีใจจริงๆนะที่มีคนเริ่มท้วงหาความจริงและความยุติธรรมให้ก้องเกียรติ แต่มันผ่านมาตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้ว ความยุติธรรมที่ล่าช้าไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจเหยื่อเลย


Miumiu: สำหรับคนที่สงสัยนะว่ากุเรื่องหรือเปล่า ดูเอาจ้า สดๆร้อนๆ เมื่อกี๊มีคนโทรหาน้องผู้หญิงสิบกว่าสาย ดูสิว่าเบอร์ใคร เฮ้ย ทำไมเบอร์เดียวกับเบอร์สำหรับติดต่องานบนไอจีของออกัสเลยอ่ะ คราวนี้ใครโทรมาเอ่ย ผจก.หรือทีมงานของค่ายจ๊ะ อุ๊ย หลุดปาก
Sandysai: ปั่นสัส 55555555555555555555555555555555

เราสามคนหัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลังในแชทกรุ๊ปเมื่อรู้ว่าออกัสกับดิ้นเป็นเจ้าเข้า แม้แต่สัญญากับแฟนคลับที่บอกว่าจะมาไลฟ์สดหลังซีรี่ส์จบก็ไม่มา เดาเอาว่าคงโดนทีมงานเบรคเพราะต้องเตี๊ยมคำตอบอยู่ มิวจึงปั่นต่ออีกว่าทำไมไม่มาไลฟ์ ทำไมล่ะออกัส ทำไมไม่มา รู้ไหมว่าแฟนๆมีคำถามเยอะแยะเลย มาตอบหน่อยเร้ว แล้วก็เมนชั่นแอคทวิตเตอร์ของออกัส ผมไม่รู้ว่ามิวไปเรียนวิชาปั่นหัวคนมาจากไหน แต่ต้องยอมรับว่ามันได้ผลดีมาก ดีมากๆ เพราะตอนนี้น้องฝนบอกว่าออกัสไลน์มาว่าเธอเต็มไปหมด สั่งให้เลิกคุยกับพวกเราเดี๋ยวนี้เพราะมันเสียชื่อและกระทบงานของค่าย ผมถามน้องฝนว่าจะเอายังไง น้องอยากพอไหม อยากหยุดไว้ตรงนี้ไหมเพราะคนเริ่มสืบจนรู้แล้วนะว่าน้องคือใคร


Rainy day:
ไม่ค่ะ
หนูจะรอแหกทีมงาน
หนูพัง มันพัง
พังกันไปทั้งทีม ทั้งละครเลย

ผมนับถือความใจกล้าของเด็กคนนี้จริงๆ ในขณะที่โลกทวิตเตอร์กำลังหาเรื่องด่าเธอว่าสร้างกระแส แต่น้องฝนกลับยืนยันคำเดิมว่าจะลากออกัสกับทีมงานมาตบล้างแค้นให้ได้ เราสามคนรอดูท่าทีของออกัสกับค่ายต่ออีกนิดหน่อย พอสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่ม ออกัสก็โทรศัพท์มา ผมลังเลว่าจะรับสายดีไหม แต่ก็รับและไม่ลืมกดบันทึกเสียงตามที่ทรายกับมิวแนะนำเพราะอยากรู้ว่าคราวนี้มันจะสรรหาคำแก้ตัวอะไรมาปกป้องตัวเอง

“ก้อง มึงว่างไหม?” ออกัสถาม ผมจึงตอบทันทีว่าว่างและแกล้งไขสือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยการถามกลับว่าทำไม มีอะไร ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าออกัสโทรมาเพื่ออะไร

“มึง – กูขอร้องนะ อย่าทำแบบนี้เลย”
“ทำอะไร?”
“ที่มึงกับมิวกับทรายกำลังทำอยู่” ออกัสเสียงเริ่มสั่น “กูขอโทษจริงๆที่ทำให้มึงต้องโดนด่า กูไม่มีอะไรจะแก้ตัว”
“อืม”
“ก้อง ให้กูกราบเท้ามึงก็ได้ หยุดเรื่องนี้เถอะ กูพังตอนนี้ไม่ได้จริงๆ กูก้าวขาออกจากบ้านแล้ว ถ้าอาชีพกูพัง บ้านกูต้องบังคับให้ออกจากวงการไปเรียนสิ่งที่กูไม่ได้ชอบ”
“เหรอ? ลำบากใจมากไหมที่ต้องเรียนวิศวะ?”
“ก้อง --”
“กูถามว่าลำบากใจมากไหม?”

ผมตอกกลับเสียงแข็ง ออกัสเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะบอกว่าเห็นใจมันเถอะ ความฝันของมันคือการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง มันไม่ได้อยากเรียนคณะนี้แต่ต้องเรียนเพราะที่บ้านบังคับ และตอนนี้ก็กำลังพิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านเห็นว่าวงการบันเทิงก็เลี้ยงตัวเองได้เหมือนกัน ถ้ามันพลาดคราวนี้ ชีวิตมันพังแน่ มันจะไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก แถมต้องกลับไปอยู่ในทางที่พ่อกับแม่ขีดให้ มันขอร้องอ้อนวอนผมจะเป็นจะตาย พยายามบอกว่างานนี้สำคัญกับชีวิตที่เหลือของมันขนาดไหน

“ก้อง มันกระทบหลายคนนะ ละครเพิ่งจะออนแอร์ ทีมงานเองก็มีครอบครัวต้องกินต้องใช้ ถ้ามันพังคนอื่นเดือดร้อนนะมึง”
“แล้วทีชีวิตกูพังล่ะ? ไม่เห็นมึงกับค่ายเหี้ยๆของมึงออกมารับผิดชอบอะไร ทำไมกูต้องแคร์ด้วยว่าคนในค่ายมึงจะอดตายหรือตกงานหรือเป็นส้นตีนอะไร เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่เห็นมีหมาตัวไหนปกป้องกูเลย มีแต่คนเหี้ยปั่นให้กูโดนด่า”
“ก้อง กูขอโทษจริงๆ มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้ ให้กูกราบตีนมึงตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ แต่กูขอนะ – เลิกแหกค่ายกูเถอะ ผู้ใหญ่เขาสั่งให้กูจัดการเรื่องนี้แล้ว”
“กูว่ามึงคิดดูดีๆเถอะ ค่ายเหี้ยอะไรปล่อยให้มึงลงมาเจรจาไกล่เกลี่ยเอง แต่ไม่คิดจะปกป้องนักแสดงของตัวเองเลยเนี่ยนะ?” ผมถามเพื่อให้มันฉุกคิด “มึงอยากมีชื่อเสียง อยากดัง อยากให้งานเข้าเยอะๆถึงขนาดต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย มึงไม่สงสารกูบ้างเหรอเวลากูโดนแฟนคลับมึงด่า มีซักครั้งไหมที่มึงจะเห็นใจ หรือในสมองกลวงๆของมึงมีแต่เรื่องของตัวเอง?”
“กูขอโทษ กูผิดไปแล้ว” มันเสียงสั่น สัมผัสได้ถึงความกังวลมากกว่าความรู้สึกผิด “ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้สึกแย่นะมึง กูเครียด กูเองก็สงสารมึง แต่ทำไงได้ก็ค่ายสั่งให้กูตอบแบบนั้น มึง – กูเพิ่งเซ็นสัญญานะ กูเป็นเด็กใหม่ของค่าย งานใหญ่กูก็ไม่มี ไม่มีอะไรต่อรองกับค่ายได้ซักอย่างนอกจากทำตามคำสั่งเขา ก้อง กูขอร้อง กูไม่อยากดับตอนนี้ มันกำลังไปได้ดี –”
“เหรอ? กูกับพี่อู๋ก็กำลังไปได้ดีเหมือนกัน แต่ก็เลิกกันเพราะทีมงานส้นตีนของมึงปั่นกระแสให้คนด่ากู”
“ถ้ากูพาทีมงานคนนั้นมาขอโทษ มึงจะให้อภัยได้ไหม? มึงจะหยุดเรื่องนี้ได้ไหม?”
“ต่อให้ทีมงานคนนั้นดื่มน้ำล้างตีนกู กูก็ไม่ยอม” ผมยืนยันคำเดิม “ที่กูเจอมันเกินกว่าจะให้อภัยแล้วออกัส กูเตือนมึงแล้วใช่ไหม กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอากูไปยุ่ง มาวันนี้มึงทำชีวิตกูพัง มึงกลับขอให้กูยกโทษให้ คxx ฝันไปเถอะ กูไม่หยุดแค่นี้หรอก กูจะเอาให้ไอ้ตัวที่ปั่นกระแสด่ากูต้องออกมาขอโทษกูผ่านสื่อเลย คอยดู”

ออกัสยังคงขอร้องอ้อนวอน ยื่นข้อเสนอต่างๆนานาเพื่อให้เราหยุดแฉต่อว่าใครคือคนอยู่เบื้องหลัง ให้ทีมงานมาขอโทษไหม เอาเงินชดเชยไหม แต่ผมปฏิเสธทุกอย่าง ถึงจุดนี้แล้วเราคงคุยด้วยกันดีๆไม่ได้หรอก ผมเคยคิดว่าคนที่เป็นต้นเหตุให้ผมกับพี่อู๋เจอเรื่องบัดซบคือไอ้ออกัส แต่ตอนนี้มันชัดแล้วว่าค่ายเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ผมมั่นใจว่าค่ายต้องรู้เห็นกับทุกเรื่องแน่ๆ ไม่งั้นมันคงไม่เสนอเงินให้ผมหนึ่งแสนแลกกับการหยุดแฉทุกอย่าง หยุดคุยกับน้องฝนด้วย แต่เงินแค่หนึ่งแสนซื้อใจผมไม่ได้หรอก ยิ่งตอนนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ที่บ้านก็มีกินมีใช้ เผลอๆมีเงินจ้างทนายเอาคืนพวกมันด้วย ผมจึงปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ ไม่ กูไม่หยุด กูจะแฉต่อไปเรื่อยๆว่าใครอยู่เบื้องหลังแฮชแท็กส้นตีนนั่น

ผมพูดอย่างเด็ดขาดและเลือดเย็น ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำให้ชีวิตผมมีปัญหา มันต้องได้รับผลกรรมทั้งหมด ต่อให้ซีรี่ส์ของมันคือความหวังเดียวของค่าย ต่อให้มีคนอีกร้อยที่ต้องการกำไรจากละคร ผมก็จะขยี้ให้แหลกคาตีน ให้มันรู้ไปว่าสังคมยังสนับสนุนผลงานของค่ายที่เลวทรามถึงขนาดนี้ได้ ผมจะเอาให้ตายกันไปข้าง ให้สาสมกับที่มันทำให้ผมกับพี่อู๋ต้องทะเลาะกัน ผมไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด พูดจบผมก็ตัดสาย และรีบแชทไปบอกมิวกับทรายว่าออกัสจนมุมแล้ว เราจะเอายังไงต่อไปดี

“ขยี้ค่ายมัน” มิวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนมือปืนล็อคเป้าหมาย “กูกำลังจะทวีต มึงเตรียมเรียกกู้ภัยไปกู้ซากบริษัทมันได้เลย”

รอไม่ถึงสองนาที ทวีตไม้ตายของมิวก็โลดแล่นในทวิตเตอร์ มิวแปะหลักฐานเป็นแชทที่น้องฝนแคปส่งให้เราดูว่าออกัสบอกเธอยังไง มันพูดอ้อมๆประมาณว่าทีมงานในค่ายลงความเห็นว่าต้องเอา #กัสก้อง ลงและสร้างภาพจำใหม่ให้ออกัสด้วยคำโกหกต่างๆ ออกัสเป็นไบเซ็กส์ชวลบ้าง ออกัสชอบเพื่อนสนิทบ้าง สร้างสตอรี่คิ้วท์บอยรูปหล่อหน้าตาดี อกหักรักข้างเดียวเพราะคนๆนั้นดันมีแฟนแล้ว ซึ่งคำโกหกเหล่านั้นแย่งพื้นที่สื่อจากค่ายคู่แข่งไปได้เยอะมาก แต่สุดท้ายโป๊ะแตกเพราะกดดันเด็กให้เลิกกับแฟนเพื่อเตรียมจับคู่นายเอกในละครที่เล่นด้วยกัน ที่สุดของความเลว ที่สุดของการตลาดซึ่งโคตรชั่วช้าและสกปรกเกินกว่าจะรับได้ พอหงายการ์ดค่ายอยู่เบื้องหลัง ทวิตเตอร์ถึงกับลุกเป็นไฟ เกิดแฮชแท็กใหม่ #jeโป๊ะแตก ซึ่งเป็นชื่อค่ายของออกัส ติดเทรนด์อันดับสองรองจากเทรนด์ของซีรี่ส์ที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมง

เหมือนยืนอยู่กลางกองถ่ายของฉลอง ภักดีวิจิตร กองถ่ายที่มีฉากระเบิดกระท่อม เผารถ รัวปืนกลใส่ตัวร้าย ทุกอย่างไปไกลเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้เสียอีก จากที่มีแต่คนอวยก็เริ่มมีคนด่า โดนค่อนแขวะ โดนแซะ โดนแช่งให้ตกอับเพราะคำโกหกของออกัสทำลายชีวิตก้องเกียรติให้พังยับไปเป็นสัปดาห์ ผมอ่านแฮชแท็ก #jeโป๊ะแตก จนเกือบเที่ยงคืน มิวก็ไลน์มาบอกว่าทางค่ายขู่จะฟ้องเรากับน้องน้ำฝน เราจะทำยังไงดี ผมบอกว่าอยากฟ้องก็ฟ้องสิ ฟ้องเลย ให้ศาลตัดสินว่าระหว่างพูดความจริงกับด่าคนอื่นเสียๆหายๆบนอินเทอร์เน็ต อะไรมันร้ายแรงกว่ากัน

พูดไปงั้นแหละ เอาเข้าจริงผมก็แอบกังวลเหมือนกันว่าถ้าถูกฟ้องจะเป็นอะไรไหม จะมีประวัติติดตัวหรือต้องขึ้นโรงขึ้นศาลหรือเปล่า ถ้าตอนนี้มีพี่อู๋อยู่ด้วยก็คงดี เขาน่าจะให้คำปรึกษาที่ดีกว่าการเปิดกูเกิ้ลแน่ๆ พอนึกถึงเขา เรื่องราวมากมายที่เราผ่านมาด้วยกันก็ไหลเข้ามาในหัว ผมคิดถึงพี่อู๋จนอยากร้องไห้อีกแล้ว การใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่ไม่มีเขามันยากมากเลยนะ ต่อให้มีเงินจากพ่อแต่ถ้าไม่มีคนที่เราไว้ใจ ยังไงมันก็เหงาอยู่ดี ผมไม่สามารถโทรหาพ่อตอนเที่ยงคืนเพื่อบอกเขาได้หรอกว่าผมกำลังจะโดนฟ้องเพราะคนที่คุยแล้วสบายใจมีแค่พี่อู๋คนเดียว มีแค่เขาเท่านั้น ผมไม่น่าปากหมาตอบโบ้ทแบบนั้นเลย ไม่งั้นก็ไม่ต้องนอนร้องไห้หรอก

ผมกดโทรศัพท์หาพี่อู๋อีกครั้งแต่ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม จึงลุกขึ้นไปปิดไฟเตรียมเข้านอนโดยกดโทรศัพท์เพื่อแชทกับเพื่อนต่ออีกหน่อย เราคุยกันว่าแผนการวันนี้ประสบความสำเร็จดี ต่อไปนี้ชีวิตของก้องเกียรติคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียทีเนอะ หลังจากนี้คงนอนหลับสนิทมากขึ้นไม่ต้องหลับๆตื่นๆมาอ่านว่าคนพูดถึงตัวเองยังไง ดีใจด้วยก้อง

ดีใจด้วยเหี้ยอะไร เหงาจะตาย

ผมพิมพ์ด่ามิวแล้วแค่นหัวเราะ ชีวิตที่โดนด่ากับชีวิตที่ไม่มีพี่อู๋ ผมขอเลือกอย่างแรกดีกว่า ถึงโดนด่าแต่ยังมีคนที่เรารักอยู่ข้างๆดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ ทรายกับมิวให้กำลังใจด้วยการบอกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ตื๊อเยอะๆเดี๋ยวพี่อู๋ก็ใจอ่อน ยอมยกโทษให้อยู่แล้ว ผมอมยิ้มกับข้อความที่เพื่อนส่งมาให้ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า สัมผัสไม่ได้ถึงความหวังที่จะกลับไปคืนดีกับเขาด้วยซ้ำ จึงทำได้แค่ขอบใจเพื่อนแล้วขอตัวไปนอน พรุ่งนี้ค่อยส่อง #jeโป๊ะแตก ต่อ น่าจะมีอะไรเด็ดๆออกมาแฉกันอีกเยอะ

เมื่อเพื่อนๆเข้านอน ผมจึงปิดหน้าจอโทรศัพท์และคว่ำลงบนเตียง พยายามข่มตาหลับจะได้ผ่านคืนนี้ไปเร็วๆแต่มันไม่ง่ายเลย สมองยังฉายภาพวนของพี่อู๋ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ เออ รู้แล้วว่าคิดถึงเขา รู้แล้วว่าโหยหาเขา แต่ช่วยหยุดคิดซักวินาทีได้ไหม แค่นี้ก็เจ็บเจียนตายแล้ว ยังคิดถึงอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะทำใจได้ ผมนึกบ่นกับตัวเองในใจแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ เปิดหน้าแชทของพี่อู๋และพิมพ์ข้อความลงไปยาวเหยียดราวกับเขาไม่ได้บล็อกผม

ผมคิดถึงพี่

ผมกดส่งแล้วร้องไห้ ไม่รู้นึกยังไงถึงถ่ายเซลฟี่หน้าตัวเองตอนร้องไห้ให้พี่อู๋ดูด้วย ผมพิมพ์ร่ายยาวว่าพี่เห็นไหมว่าตาผมบวมมาก มันบวมก็เพราะผมเอาแต่ร้องไห้คิดถึงพี่ ทำไมพี่ใจร้ายขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ยอมคุยกับผม ให้โอกาสผมอธิบายซักครั้งไม่ได้เลยหรือไง จะฆ่ากันให้ตายเลยใช่ไหมถึงได้ทำแบบนี้ ผมเอาแต่ตัดพ้อน้อยใจสลับกับบอกรักเขา

แล้วก็เซลฟี่ตาบวมๆให้เขาดูอีกรูป

บ่นต่ออีกเล็กน้อยว่าปวดตามาก หลับตาไม่ได้เลยเพราะแสบตลอดเวลา บางทีผมน่าจะไปหาหมอ แต่ไม่รู้ว่าไปหมอไหนดี โอ๊ย – ปวดตาจัง ปวดหัวด้วย ผมว่าผมหิวนิดหน่อย ผมอยากกินแซลมอน ผมว่าจะลองขอพ่อกินแซลมอน แต่พ่อไม่น่าจะพาไป พ่อชอบกินปลาทูทอดฝีมืออาแตง พี่รู้เปล่าว่าแฟนใหม่พ่อชื่ออาแตง มีลูกสาวสี่คนเป็นชื่อผลไม้หมดเลย มีหมาชื่อหมีด้วย ผมได้เจอย่าด้วย แต่ยังไม่ได้คุยกัน ย่าน่ากลัวอ่ะ ไม่เห็นใจดีเหมือนแนเลย เอ้อ พ่อรู้แล้วนะว่าเราคบกัน พ่อไม่ว่าอะไร แต่พ่อพูดประมาณว่าพี่ไม่รักผมจริงหรอก พี่แค่หลอกฟัน ถ้าพี่ยังรักผมอยู่ พี่ต้องพิสูจน์ให้พ่อเห็นนะว่าพี่รักผม ไม่งั้นพ่อคงไม่ยอมให้เราคบกัน หรือจริงๆแล้วพี่ไม่ได้แคร์หรอกว่าเราจะคบกันไหม พี่ไม่สนใจผมแล้วนี่ ไม่รักกันแล้วไม่ใช่เหรอถึงได้ทำแบบนี้ ใช่สิ ผมมันไม่ดีเองแหละ ผมมันแย่เองแหละ พี่ไม่ต้องถามหาคนผิดหรอก

ผมส่งเซลฟี่รอยถลอกใต้ตาที่เกิดเพราะขยี้ตาด้วยแขนเสื้อ
 
เนี่ย พี่ดูสิ มันถลอกเป็นขุยเลย ผมเจ็บหน้าไปหมดแล้ว แต่ปวดตามากกว่า ปวดมากจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนตามันหนักๆ เหมือนมีเหรียญแปะอยู่กลางเปลือกตา ผมว่าผมต้องนอนแล้ว มันแสบตามากเลย วันนี้มีเรื่องตลกจะมาเล่าให้ฟังด้วย ค่ายต้นสังกัดของออกัสขู่ว่าจะฟ้องผมกับเพื่อนแหละ พี่ลองส่องแท็ก #jeโป๊ะแตก ดูนะ สนุกมาก ทุกคนรู้แล้วว่าใครกันแน่ที่โกหก เรื่องแจ้งความผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอายังไง แต่ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะมาเล่าให้พี่ฟังนะ

แต่ลืมไปว่าพี่บล็อกไลน์ผมอยู่ พี่คงไม่เห็นข้อความพวกนี้หรอก งั้นผมนอนแล้ว ผมง่วงมากและปวดตามาก ผมต้องบอกให้พ่อพาไปหาหมอซักทีจะได้จบๆ นอนแล้วครับ ฝันดีครับ

Sent a photo

หมาที่บ้านผม ชื่อหมี ตัวเมีย ซนมากแล้วก็ขี้อ้อนมากๆๆ

Sent a photo

อันนี้ห้องนอนผมคืนแรก ตอนนี้ไม่ได้รกแบบนี้แล้ว พ่อทำให้ใหม่แล้ว เดี๋ยวจะถ่ายให้ดูอาทิตย์หน้านะ

Sent a photo

ผมรักพี่




ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยค่ะพี่  :o8:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 07-10-2019 19:57:50
40 [PART 3/3]

นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงห้านาที

เสียงเคาะประตูห้องดังกระหึ่มจนผมสะดุ้งตื่นตกใจ ยอมรับว่ากลัวมากเพราะไม่เคยโดนเคาะห้องดังขนาดนี้มาก่อน ผมจึงเดินย่องไปที่ตาแมวเพื่อดูว่าใคร และเมื่อเห็นว่าสมาร์ทในเสื้อช็อปกำลังยืนหาวปากกว้างรออยู่ ผมก็เปิดประตู ประโยคแรกที่ทักทายกันไม่ใช่การเรียกชื่อ แต่เป็นสายตาที่มองนายก้องเกียรติด้วยท่าทางอึ้งๆก่อนจะตามด้วยเสียงร้อง โห – จนผมงงว่าสมาร์ทมันโหอะไร มีอะไรให้ประหลาดใจนอกจากสภาพคนเพิ่งตื่นงั้นเหรอ

“ไปทำอะไรมา ทำไมตาบวมจัง?” สมาร์ทถาม “ยังเจ็บตาอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่เจ็บแต่แสบ หน่วงๆแสบอ่ะ มีอะไรเหรอ?”
“อ๋อ ว่าจะถามว่าเย็นนี้ว่างกี่โมง?”
“หลังบ่ายสามอ่ะ ทำไมเหรอ?”
“พี่อู๋โทรมาสั่งให้พาก้องไปหาหมอ” ผมตกใจมากเมื่อได้ยินว่าพี่อู๋สั่ง “เลิกเรียนแล้วมาเคาะห้องเราก็แล้วกัน เดี๋ยวพาไป”
“พี่อู๋สั่งเหรอ?”
“อือ”
“เขารู้ได้ไงอ่ะว่าเราเจ็บตา?”
“จะไปรู้เหรอ?” สมาร์ทขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะขอตัวไปเรียน “โทรถามเขาสิว่ารู้ได้ไง”

ผมอึ้ง จากที่ง่วงๆก็ตาสว่างเมื่อรู้ว่าพี่อู๋รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับก้องเกียรติ ไม่แน่เขาอาจจะรู้ผ่านทางแฮชแท็กก็ได้เพราะเมื่อคืนมันติดเทรนด์ตั้งนาน แต่ผมไม่ได้บอกใครเลยนะว่าปวดตา ไม่เคยบ่นให้พ่อฟังด้วย แล้วพี่อู๋รู้ได้ยังไงถ้าไม่ใช่ –

“เหี้ย!”

ผมอุทานอย่างตื่นเต้นพลางวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก ในไลน์ที่เคยส่งข้อความไปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ มีสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นทุกข้อความและรูปภาพที่ส่งหาเขา

Read

ผมกระโดดโลดเต้นเป็นเจ้าเข้า อาการดีใจจนมือสั่นกลับมาอีกครั้งจนต้องตบหน้าเรียกสติตัวเอง ตอนนี้พี่อู๋ยอมปลดบล็อกไลน์ผมแล้ว เขาได้อ่านข้อความทั้งหมดที่ผมพล่ามไปแล้ว ผมสามารถตีความเอาเองได้ไหมว่าเขาให้อภัย เขาเลิกงอน เลิกโกรธและไม่อยากทำตัวเหินห่างอย่างนี้อีกต่อไป ผมสไลด์หน้าจอไปที่บันทึกการโทรออก แตะเบาๆบนชื่อที่เมมไว้ว่า “พี่อู๋” ก่อนจะถือสายรอด้วยหัวใจที่เต้นตุบตับ เมื่อได้ยินเสียงรอสายที่ไม่ใช่โอเพอเรอเตอร์ น้ำตามันก็ไหลเองด้วยความดีใจ ผมถือสายรอไม่นาน พี่อู๋ก็กดรับ หลังจากการรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลง เขาจึงเอ่ยทักทายนายก้องเกียรติด้วยประโยคสั้นๆว่า

“ฮัลโหล”




TBC





________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีวันจันทร์ค่ะ :)


ตอนนี้พระเอกของพวกเราก็ยังไม่มีบทเท่าไหร่ เน้นตบออกัสเพี๊ยะๆๆ ตอนหน้าพระเอกของเราน่าจะออกบ่อยขึ้น ไม่พูดมากดีกว่าค่ะ แต่คิดว่าเร็วๆนี้ยัยน้องน่าจะโดนคุณแม่ตีเพี๊ยะๆๆอีกรายนะคะ 55555555555555555


ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจทุกช่องทางเช่นเคยค่ะ ทั้งฟี้ดแบคถล่มทลายและโดเนท ต้องขอบคุณจริงๆนะคะ ทุกวันนี้เราอาศัยกำลังใจจากทุกคนในการเขียนนิยายและตอนพิเศษค่ะ ถึง 60000 คำแล้วก็ยังไม่จบเลย งงมาก ทำไมยาวขนาดนี้เนี่ย แต่หวังว่าทุกคนจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดี รักษาสุขภาพ และเจอกันวันจันทร์หน้าค่ะ สวัสดีค่ะ  :hao5:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 07-10-2019 20:21:33
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-10-2019 21:14:03
หน่วงมานานในที่สุดพี่อู๋ยอมคุยด้วยแล้ว คุยกันดีๆนะ คืนดีกะนเถอะพลีสส :call:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 07-10-2019 21:18:58
ต้องเอาให้หนักทำให้ก้องแย่มาตั้งนานต้องโดนเอาคืนบ้างทั้งหมดในที่สุดพี่อู๋ก็ยอมปลดบล๊อกก้องแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 07-10-2019 21:28:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-10-2019 21:29:11
โอ้ยยยย ตอนนี้ทีมก้องแซ่บมาก ฟาดกลับปั๊วะๆ เพี๊ยะๆ บอกเลยว่าสะใจ ค่ายนังออกัสต้องมีจิตใจเลวทรามขนาดไหนถึงได้ใช้วิธีนี้ปั่นให้คนด่าก้องเพื่อลบกระแสกัสก้องอ่ะ มันมีวิธีอื่นเยอะแยะที่ดีกว่าแต่ค่ายไม่เลือกทำอ่ะ สมควรโดนแหกจริงๆ
ส่วนออกัสนะ ก่อนหน้านี้ที่ก้องขอร้องให้เธอช่วยหยุด แต่เธอเมินเฉย พอถึงคราวที่เธอโดนบ้างกลับมาอ้อนวอนให้ก้องช่วยหยุด มันสายไปแล้วล่ะ
นับถือใจน้องแฟนเก่ากัสมาก น้องสู้มากจริงๆ และชอบการปั่นของมิวมากด้วยเช่นกัน แผนเขียนจดหมายง้อพี่อู๋นี่เยี่ยมจริงๆ น้องก้องอ้อนขนาดนี้ถ้าใครอ่านแล้วมันก็ต้องใจอ่อนกันบ้างล่ะ และในที่สุดพี่หมูอู๋ก็ยอมอ่านแชทน้องแล้ว รับสายน้องแล้วด้วย ดีใจจจจจจจจ มารอลุ้นกันต่อไปว่าพี่อู๋จะยอมคืนดีกับก้องไหม ก้องสู้ๆนะลูก
ปล. อยากรู้ว่าที่พี่อู๋หายไป พี่เขาไปทำอะไรมา พี่เขารู้สึกยังไงบ้าง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-10-2019 21:48:29
หมูอู๋มาแล้วววววว พระเอกมาจบตอนโถๆ :กอด1:
สะใจมากที่ค่ายและออกัสโดนแฉ ชอบก้องมากที่ไม่ให้อภัยง่ายๆ ไม่เป็นนางเอกละครหลังข่าว แบบนี้สิมันส์ มันทำชีวิตเราพังขนาดนี้เป็นเราๆก็ไม่ยอมนะ ต้องเล่นมันให้ถึงที่สุด สะใจจริงๆ
เรื่องร้ายๆกำลังผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ขอให้มีความสุขน้าา ก้องเจอมาหนักหน่วงจริงๆอยากให้น้องได้พักบ้าง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-10-2019 21:59:59
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 07-10-2019 22:31:14
กรี๊ดดดดดดด พี่๋อู๋จะออกจากหลุมแล้ว ดีใจๆ 5555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 07-10-2019 23:20:11
ฮัลโลคำเดียวทำเอายิ้มหนักมากกกกกกก และคงจะยิ้มไปถึงจันทร์หน้าเลย //น้องรอพี่ที่ท่าน้ำทู้กกกกกกกวัน

ขออย่าหักมุมทำร้ายจิตใจก้องเลยนะ นังกอริล่าคงได้รับบทเรียนมาเยอะแล้ว งือออออออ เลิฟๆพี่อู๋ สู้ๆน้องก้อง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 07-10-2019 23:25:40
กรี๊ดดดดดดดดดด เสี่ยอู๋คัมแบ็คแล้วววววววว (ซึ่งมาตอนจบตอน เสี่ยค่าตัวแพงเฟ่อร์) นี่น้ำตาปริ่มตั้งแต่สมาร์ทบอกพี่อู๋สั่ง  เรื่องราวดีๆกำลังจะมาแล้วกอริลลาก้อง  o13

ปล. นี่อินขนาดคิดว่าเราคือมิว ตอนเปิดวอร์คือมันมาก ประทับใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 07-10-2019 23:55:46
กรี๊ดเลยคำว่าฮัลโหลเนี่ย แต่กรี๊ดยิ่งกว่าตอนเจอ TBC  :o12: :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-10-2019 02:16:32
มันมากกกกกค่ะตอนนี้​ ต้องเอาคืนให้สุดๆนะ​ กระทืบให้จมดินไปเลย​ 55555
ตื่นเต้นไปกับก้องด้วยตอนได้เห็นคำว่า​  hello  เนี่ย​ เหมือนประกายไฟฟุ่ง!!!! ออกมาเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 08-10-2019 02:38:06
ทำใจนานมากที่จะอ่านย้อนตอนที่แล้ว ซึ่งไม่ผิดหวังเลย สัมผัสได้ว่าก้องเข้มแข็งขึ้นจริงๆ ดีใจกับเรื่องของป๋านี่คิดว่าป๋าคงรักก้องจริงๆแหละ พอมาตอนล่าสุดคือสะใจจริงๆกับเรื่องออกัสตอนหน้าขอให้มันพังเละเทะไปเลย ทุเรศ ยิ่งอ่านคำแก้ตัวคำขอร้องยิ่งจะอ้วก เห็นแก่ตัวมากๆ สุดท้ายนี้ดีในที่อิพี่อู๋ปลดบล็อคน้องแล้ว เอาเข้าจริงนางคงคิดถึงก้องไม่ต่างกันแหละ ดูออกกกกกก อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 08-10-2019 08:54:03
 :katai4: จะว่าสะใจ ก็ใช่ สมน้ำหน้าก้องอยากให้พี่อู่งอนนานๆ ก็สงสารพี่อู๋  สรุปแล้ว เชียร์พี่อู่ค่ะ555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-10-2019 14:12:05
นับถือใจแฟนออกัสจริง ๆ ที่กล้าชนแบบนี้ ออกัสคิดได้แล้วนะถ้าค่ายดี ๆ มันจะให้เราออกมาจัดการเรื่องเองแบบนี้เหรอ ถ้าค่ายที่ดีจะต้องซับพอร์ตตัวนักแสดงซิ ไม่ใช่ทำแบบนี้เพื่อหวังผลประโยชน์อย่างเดียวอ่ะ สุดท้ายพี่อู๋ใจอ่อนแล้ว หรือที่พี่อู๋ห่างเพราะอยากให้ก้องได้ยืนด้วยตัวเองแต่เรื่องแบบนี้มันใหญ่ไปนะที่จะให้นายก้องจัดการเองอ่ะพี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 09-10-2019 02:11:31
ก้องเข้มแข็งขึ้นอ่ะ เหมือนได้เห็นพัฒนาการคนๆหนึ่ง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2019 20:45:02
กับออกัสคือสมควรแล้วค่ะ ชีวิตคนอื่นพังได้แต่พอเป็นตัวเองพังไม่ได้ เห็นแก่ตัว เสี่ยอู๋ต้องทำไรบ้างแหล่ะ เนี่ยยัยก้องถ้าออดอ้อนเขาแต่แรกนะเชื่อเถอะว่าไม่โดนบล็อค  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 09-10-2019 20:51:30
กี้ดหนักมาก 3ตอนจุใจแต่ไม่พอ พี่อู๋คถ.หนักมากกกก แค่ฮัลโหลอ่ะ แงงงง เอ็นดูน้องอ่ะดิ่
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-10-2019 22:06:52
มันมากตอนที่วอร์กันในทวิต ก้องมีเพื่อนดีนะ ไม่ทิ้งกันเวลาลำบาก
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าออกัสดี คิดแต่ประโยชน์ตัวเองสมควรโดนบ้าง
สุดท้ายน้ำตาจะไหล พี่อู๋กำลังจะรีเทิร์น
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 10-10-2019 19:29:28
พี่อู๋เลิกเล่นตัวแล้วววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 10-10-2019 22:17:35
พี่อู๋อย่าทำน้องเสียใจเลยนะ คืนดีกับน้องเถอะ
เราสงสารกอริลลาก้องไม่ไหวแล้ว ฮืออออออ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 40 update!] 7/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 11-10-2019 08:49:16
ตอนหน้าน้องก้องเสร็จเสี่ยอู๋แน่ ดูจากรูปการ555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 14-10-2019 20:42:44
41[PART 1/3]

ออกัสพังเละเลย ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แฮชแท็ก #jeโป๊ะแตก ก็ยังคงติดเทรนด์อยู่ ผมหวังว่าออกัสจะเข้าใจความรู้สึกของการโดนด่าเสียที แม้ว่าบางทวีตจะเลยเถิดจนถึงขนาดเหยียบย่ำความฝันของมัน แต่ผมมั่นใจว่าออกัสได้รับบทเรียนแล้ว แต่จะได้โอกาสแก้ตัวหรือเปล่าคงเป็นเรื่องของอนาคต

วันนี้มีสอบกลศาสตร์ ผมเจอออกัสในห้องสอบแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ นักศึกษาที่สอบห้องเดียวกับเราต่างเหลียวมองไปมาด้วยความใคร่รู้ พวกเขาคงอยากรู้ว่าผมกับออกัสจะเปิดเวทีมวยกลางห้องสอบไหม หรือจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาทให้เป็นกระแสบนอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลย ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าออกัส หรือชำเลืองให้เปลืองสายตา ผมโฟกัสแค่ข้อสอบที่อยู่ตรงหน้า พอสอบเสร็จก็เดินเกาะกลุ่มกับโบ้ท มิว และทรายไปกินข้าวที่โรงซีซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกโหล หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปอ่านหนังสือต่อที่ห้อง ไม่มีใครเข้าไประรานหาเรื่องออกัส ไม่มีการชี้หน้าด่าทอหรือเปิดประเด็นให้คนนินทา แม้แต่ออกัสเองก็ไม่กล้าเข้ามาขอโทษตรงๆ ซึ่งผมโอเค ผมเข้าใจ ผมไม่อยากให้มันเข้ามาคุยด้วยเหมือนกันเพราะเบื่อจะเป็นขี้ปากชาวบ้านแล้ว ประสบการณ์โดนด่าหนึ่งสัปดาห์ทำเอาผมเข็ดขยาด ชาตินี้ขอไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเน็ตไอดอลอีกเป็นอันขาด

หลังแยกย้ายกับเพื่อน ผมก็ปั่นจักรยานกลับห้อง ถุงขนมที่แขวนกับแฮนด์จับแกว่งไปมาตามแรงเคลื่อนของรถ ทันทีที่ถึงหอ ผมก็ตรงดิ่งไปห้องของสมาร์ท เคาะประตูสามครั้งตามมารยาทก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าของห้องสั่งให้เปิดเข้ามาได้เลย ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือสมาร์ทกำลังหน้าดำคร่ำเครียดหน้าโน้ทบุ๊ก เขาสวมหูฟังมีไมค์เหมือนพวกเกมเมอร์ คอมที่ใช้เล่นเกมของเขากระพริบเป็นสีรุ้งวิบวับเหมือนหลอดไฟตามงานวัด

“รอก่อน ขออีกตานึง”
“อ๋อ จะบอกว่าไม่ต้องพาไปหาหมอแล้วก็ได้”
“ทำไม? ตายุบแล้วเหรอ?” สมาร์ทหันมามองแค่เสี้ยววินาทีก็กลับไปเล่นเกมต่อ
“เปล่าหรอก ยังบวมนิดๆ แต่เดี๋ยวก็หายเพราะเราจะไม่ร้องไห้แล้ว”
“ไปหาหมอเถอะ ไม่ไปเดี๋ยวพี่อู๋ก็ด่าอีก”
“ไม่ด่าหรอก เราคุยกับพี่อู๋แล้ว” ผมบอกยิ้มๆ “ขอบใจมากนะ”
“ขอบใจทำไมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย”

ผมบอกสมาร์ทว่าก็ขอบใจที่จะพาไปหาหมอไง ถึงยังไม่ได้พาไปแต่แค่แสดงความมีน้ำใจด้วยการเคาะประตูถามก็ซึ้งมากๆ แล้ว ขอบคุณนะ ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวกลับไปอ่านหนังสือต่อ สมาร์ทบอกว่าโอเค ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ล็อคประตูให้ด้วยนะเพราะเขาผละตัวจากคอมพิวเตอร์ตอนนี้ไม่ได้

ผมล็อคประตูห้องให้สมาร์ทแล้วเดินขึ้นห้องตัวเอง วางถุงขนมและน้ำอัดลมไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบชีทวิชาถัดไปมาอ่าน ผมมีสมาธิอ่านได้แค่ชั่วโมงเดียวก็หนีไปนอนกลางวัน ตื่นมาอีกทีห้าโมงเย็นแล้ว ผมไลน์ถามทรายว่าไปกินข้าวด้วยกันไหม เราจึงนัดเจอกันที่ร้านสเต็กใกล้ๆ หอตอนหกโมงเย็น

การปรากฏตัวของผมเป็นจุดสนใจของทุกคนแต่ไม่มีใครคุกคามหรือแสดงท่าทีเกลียดชังเหมือนที่กลัว พวกเขาก็แค่มองด้วยสาย อ๋อ – นี่น่ะเหรอก้องเกียรติ ก้องที่ถูกเดือนมหาวิทยาลัยใส่ร้ายจนโดนคนทั้งประเทศด่า บางคนเงยหน้าสบตาผมแล้วรีบก้มลงกดโทรศัพท์ บางคนแกล้งหันซ้ายหันขวาเพื่อมองชัดๆ ว่าใช่ก้องตัวจริงไหม พอเห็นว่าใช่ พวกเขาก็ทำตัวเฉยๆ ไม่มีอะไร ไม่มีใครลุกขึ้นมาขอถ่ายรูปหรือสะกิดถามเรื่องที่เกิดขึ้นซักคน

ผมกับทรายนั่งกินสเต็กในร้านกันสองคน บทสนทนาบนโต๊ะไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องเรียนและธุรกิจเบเกอรี่ที่บ้าน ทรายบ่นอีกแล้วว่าปิดเทอมต้องเป็นอีแจ๋วเข้าครัว คงไม่พ้นตื่นแต่เช้ามานวดแป้ง เทส่วนผสม ยกขนมเข้าเตาอบตลอดทั้งวัน ผมบอกทรายว่าน่าสนุกจะตาย ปิดเทอมที่มีงานทำน่าจะดีกว่านอนเปื่อยไปวันๆ ไม่ใช่เหรอ

“รอให้พ่อมึงพาไปนั่งปั้นลูกชิ้นบ้างเถอะ มึงจะพูดไม่ออก”

ทรายแซว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบไลน์พ่อเลย เมื่อเปิดหน้าแชทขึ้นมาก็เห็นสติ๊กเกอร์สวัสดีวันอังคารกับข้อความฟอร์เวิร์ดเมลเตือนภัยระวังโดนหลอกให้โอนเงินทางไลน์ ผมถ่ายรูปสเต็กที่กำลังกินอยู่ส่งให้พ่อดู เขารีบอ่านและถ่ายรูปแกงเลียงที่อาแตงทำให้ พ่อบอกว่าวันศุกร์นี้เลิกเรียนเมื่อไหร่จะพาไปแจ้งความ พอความว่าแจ้งความเรื่องอะไร

“เรื่องคนที่มันด่าก้องไง” พ่อบอก “อู๋ส่งหลักฐานมาให้ป๊าแล้ว เราไปแจ้งความกัน”

ผมยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความนั้น รู้สึกอบอุ่นใจที่นอกจากพี่อู๋แล้ว พ่อก็เป็นอีกคนที่ปกป้องผม เขาไม่ได้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือแค่ปัญหาเด็กๆ ด่ากันบนอินเทอร์เน็ต พ่อจริงจังกับกระแสด่าอีก้องมากๆ จนผมดีใจที่ไม่ได้สู้เพียงลำพัง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโชคดีที่มีพ่อ และโชคดีชั้นสองที่พ่อรวย ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีปัญญาจ้างทนายหรือจ้างนักสืบออนไลน์ให้ช่วยรวบรวมหลักฐานแน่ๆ

ผมกับทรายก้มหน้าก้มตากินสเต็กกันเงียบๆ ขณะนั้นโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในร้านก็ฉายรายการซุบซิบดาราพอดี ผมไม่ได้สนใจเพราะจดจ่อกับหมูแสนอร่อยอยู่ตรงหน้า แต่ทรายกลับใช้เท้าสะกิดใต้โต๊ะให้เงยหน้าดูทีวี ดูเหมือนว่าพิธีกรกำลังพูดถึงข่าวของออกัสอยู่

[ช่วงนี้นักแสดงชายเจอข่าวมรสุมกันไม่หวาดไม่ไหว ล่าสุดก็ฉาวอีกแล้วนะฮะ นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังจากเจอี น้องออกัส หรือพระเอกซีรี่ส์วายที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา]
[เกิดดราม่าอะไรขึ้นเหรอคะ?] พิธีกรหญิงแกล้งถามตามสคริปต์
[ก็น้องออกัสน่ะสิฮะ ที่เคยได้รับกระแสชื่นชมจากทุกคนเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าเป็นนักแสดงหน้าใหม่คนแรกที่กล้าเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองว่าเป็นไบเซ็กส์ชวล ล่าสุด – แฟนสาวตัวจริงของน้องออกัสออกมาแฉแล้วนะฮะว่าเรื่องทั้งหมดนั้นโกหกทั้งเพ]
[หมายความว่าน้องไม่ได้เป็นไบเหรอคะ?]
[ใช่ฮะ อดีตแฟนสาวของน้องออกัสเปิดเผยกับทางทีมงานว่า --]

“น้องฝนกล้าตอบคำถามนักข่าวด้วยเหรอวะ?” ผมกระซิบกระซาบถามทราย แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมื่อสายตาคนในร้านข้าวเริ่มหันมองโต๊ะของเราสองคน
“น้องคงคิดว่าไม่เป็นไรมั้ง ชื่อก็ไม่ได้เปิด หน้าก็ไม่ได้เปิด” ทรายตอบชิลๆ ก่อนจะพยักเพยิดให้ดูจอโทรทัศน์อีกครั้ง “มีรูปไอ้ออกัสด้วย”

ผมไม่รู้จะสงสารหรือรู้สึกยังไงกับมันดีที่ข่าวแพร่กระจายไปไกลขนาดนี้ ในกรณีของผมแค่โดนด่าในทวิตเตอร์เงียบๆ ไม่มีใครเอามาพูดในโทรทัศน์หรือกระจายต่อเป็นข่าวหลักระดับประเทศ แต่ออกัสโดนตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกหก พวกสื่อถึงกับใช้คำว่าพิน็อคคิโอหน้าใสแทนที่จะเรียกชื่อออกัส ผมว่าเหตุการณ์นี้กระทบมันพอสมควรเลย เผลอๆ ชี้เป็นชี้ตายว่าออกัสจะได้โลดแล่นในวงการต่อไปหรือจะจบแค่ตรงนี้ คิดดูแล้วผมก็สงสารมันเหมือนกัน แต่ให้เป็นพ่อพระคนดีมาโปรดคนเหี้ยคงไม่เอาด้วยหรอก อย่างที่บอกไปว่าโดนด่าสัปดาห์เดียวคือสุดทนแล้ว ใครทำอะไรก็รับไม้ต่อเองละกัน

เราสองคนนั่งฟังข่าวออกัสไปเรื่อยๆ จนจบและลงความเห็นว่ารายการนี้ทำสรุปได้ค่อนข้างละเอียดดี มีการกล่าวถึง #กัสก้อง ในตอนแรกและเฉลยตอนท้ายว่ามันคือเรื่องโกหก แถมก้องเกียรติตกเป็นเหยื่อโดนคนด่าเกือบสัปดาห์เพราะแผนการของค่าย พอพูดถึงค่าย พิธีกรก็สูดปากและบอกว่าคนวงในเขารู้กันมาซักพักแล้วว่าทีมโปรโมตทำการบ้านมาดี แต่พูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะโดนฟ้อง เอาเป็นว่ารอติดตามแถลงข่าวเร็วๆ นี้ก็แล้วกันว่าออกัสจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ระหว่างที่พิธีกรกำลังพูดต่อไป ทีมงานก็ส่งโน้ตแผ่นเล็กๆ ให้ พิธีกรหญิงสะกิดเพื่อนร่วมงานให้อ่านโน้ตก่อนจะบอกว่าคืนนี้หนึ่งทุ่ม ออกัสกับค่ายจะแถลงข่าว

[ติดตามชมกันนะฮะว่าทางเจอีจะแถลงว่ายังไง คำโกหกของน้องออกัสคือเรื่องส่วนตัวหรือเป็นแผนที่เตี๊ยมกันมาตามที่แฟนเก่านักแสดงหน้าใสคนนี้บอกเล่า แต่ที่แน่ๆ กระทบกับละครพอสมควรเลยฮะ --]

“คิดเงินด้วยค่ะ!”

ทรายเรียกพี่เจ้าของร้านให้มาคิดเงินก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานของก้องเกียรติกลับหอ ระหว่างทางเราคุยกันว่าออกัสจะแถลงยังไง มันจะยอมรับหรือโบ้ยว่าเป็นความผิดของค่าย เดาไม่ได้เลย ทรายบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอกในเมื่อตอนนี้สื่อพุ่งเป้าไปที่น้องฝนมากกว่าเราแล้ว พวกเขามองเรื่องนี้เป็นปัญหาของแฟนเก่าไม่ใช่ปัญหาของคู่จิ้นปลอมๆ ที่ถูกใส่ร้าย กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมดีกว่า อย่าไปสงสารหรือเวทนาออกัสเลย มันทำตัวเอง ไม่มีใครบังคับให้สร้างกระแสจาก #กัสก้อง เพราะฉะนั้นให้มันรับกรรมไปเถอะ

ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะปั่นจักรยานมาถึงหอของทรายพอดี เราโบกมือลากันใต้ตึกก่อนที่ผมจะปั่นกลับหอตัวเอง ทันทีที่ถึงห้องผมก็ไลน์หาพี่อู๋ว่าเขาอยู่ไหน ว่างไหม สะดวกคุยไหม พี่อู๋ตอบกลับมาว่าขับรถอยู่ ผมจึงไม่เซ้าซี้ขอคุยด้วยนอกจากหยิบชีทที่ต้องอ่านมาวางบนโต๊ะ แต่ไม่ว่าจะพลิกหนังสือกี่หน้าๆ มันก็ไม่มีสมาธิเพราะสมองจดจ่อกับการแถลงข่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น ไลน์ของผมส่งเสียงแจ้งเตือนอีกครั้งเมื่อใกล้เวลานั้นเข้ามาทุกที เราต่างตื่นเต้นและกังวลเพราะไม่รู้ว่าค่ายของออกัสจะหงายการ์ดอะไร แต่น้องฝนเงียบไปเลย เดาเอาว่าเธอคงยุ่งกับการให้ข่าวกับสื่อต่างๆ ผิดจากพวกเราที่รามือตั้งแต่เมื่อคืน

หนึ่งทุ่มตรง ต้นสังกัดของออกัสก็ไลฟ์สดงานแถลงข่าว พวกเขาจัดเวทีค่อนข้างเป็นทางการ มีคนนั่งโต๊ะแถลงทั้งหมดสี่คน ทีมสต๊าฟที่ผมไม่รู้จักนั่งริมซ้ายสุด ตามด้วยออกัส ตามด้วยผู้อาวุโสของค่ายที่เป็นผู้หญิง และผู้ชายใส่สูทภูมิฐานเหมือนมนุษย์เงินเดือน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดโดยเฉพาะออกัส มันฝืนยิ้มเมื่อเดินเข้ามานั่งโต๊ะแถลงข่าวแต่แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างถึงขีดสุด

พวกเขาทักทายกองทัพนักข่าวที่ไม่รู้มาจากไหน กับกระแสดาราชายปั้นเรื่องว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ขนาดนี้เลย ผมนึกสงสัยว่าทำไมนะ ทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ ออกัสดังเหรอ มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ ก็ไม่ขนาดนั้นเลยนี่ ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเลยเถิดถึงขนาดต้องตั้งโต๊ะแถลงได้ยังไง คิดแค่ว่าฝั่งนั้นจะมาขอโทษแล้วจบ หรือมันเป็นเรื่องซีเรียสและคอขาดบาดตายอย่างที่ออกัสว่าจริงๆ เพราะสังคมดูจะให้ราคาดราม่านี้มากกว่าที่คิดไว้

[ก่อนอื่นเลยนะคะ ขอขอบคุณนักข่าวทุกคนที่มาที่นี่ ดิฉันมัธนา ตัวแทนจากเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์จะเป็นผู้ตอบข้อชี้แจงต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้นะคะ – อย่างแรกเลยก็คือข่าวลือของน้องออกัสที่กำลังเป็นกระแสในอินเทอร์เน็ตว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลหรือไม่ ทางเราจะให้น้องออกัสเป็นคนอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองค่ะ]

“โยนขี้ชิบหาย” มิวส่งไลน์กลุ่ม “มึงดูหน้าออกัสดิ ซีดมาก จะร้องไห้แล้ว”

ผมจ้องสีหน้าของคนเคยเป็นเพื่อนและก็เห็นด้วยกับสิ่งที่มิวพูด ออกัสกำลังกลัวจนตัวสั่น มันประหม่าไปหมดจนไม่สามารถพูดให้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนปกติได้ ผมนึกสงสัยว่าออกัสจะยอมรับไหมว่าตัวเองเป็นแฟนกับน้องน้ำฝน ซึ่งออกัสยอมรับ มันบอกนักข่าวว่าตอนนั้นคบกับน้องผู้หญิงอยู่จริงๆ แต่ลึกๆ ในใจก็ชอบเพื่อนที่มหาวิทยาลัยด้วยก็เลยเหยียบเรือสองแคมเพราะเลือกไม่ได้

“กูวางสิบบาท ค่ายวางสคริปต์”

ทรายเสนอความเห็น ซึ่งผมก็คิดแบบนั้น เพราะออกัสไม่เคยชอบผม นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หลักฐานในไลน์ที่น้องฝนส่งให้นักข่าวก็เขียนชัดว่า #กัสก้อง ไม่มีอะไร เป็นแค่งานเท่านั้น มันไม่ได้ชอบก้องเกียรติจริงๆ แต่ออกัสก็ปฏิเสธแชทด้วยการปัดให้เป็นประเด็นตกหลุมรักพร้อมกันสองคน ผม ทรายและมิวต่างส่งสติ๊กเกอร์เบ้ปากรัวๆ ลงกลุ่ม ตอแหล ตอแหลชัดๆ จนถึงขนาดนี้ยังจะตอแหลอีก เป็นการตอแหลที่ไม่ช่วยให้คำว่าพิน็อคคิโอหายไป แถมเพิ่มคำด่าว่าหลายใจเข้าไปอีก นี่มันคิดอะไรอยู่ เลือกที่จะเก็บคาแรคเตอร์ไบเซ็กส์ชวลเอาไว้เพราะกลับคำพูดไม่ได้เหรอ แค่ยอมรับความจริงมันยากตรงไหนวะออกัส กูถามจริงเถอะ

ออกัสแจกแจงไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างดี มันดูกังวลและลนลาน ในขณะเดียวกันน้ำเสียงสั่นเครือของมันก็เรียกคะแนนความสงสารจากชาวเน็ตได้ ท่ามกลางคอมเม้นต์ด่าว่าเลิกปลอมอีควาย ก็ยังมีคนให้กำลังใจมันอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแค่คนกดหน้าหัวเราะรัวๆ ราวกับสมเพชเวทนากับคำโกหกพกลมของค่าย ซึ่งผมดีใจนะที่คนส่วนใหญ่ยังสัมผัสได้ว่ามันปลอม พวกเขาไม่โง่ให้โดนหลอกซ้ำสองแล้ว ผมล่ะดีใจจริงๆ

[จริงหรือเปล่าคะที่หลอกใช้เพื่อนสร้างกระแสคู่จิ้น?]
[ไม่จริงครับ]
[น้องออกัสได้อ่านทวิตเตอร์บ้างไหมคะ?]
[อ่านครับ]  ออกัสเสียงสั่น  [ผมเห็นทุกอย่างครับ]
[สรุปแชทนั้นมาจากเราจริงๆ ใช่ไหมครับ?]
[ครับ แชทนั้นเป็นของผมจริง] ออกัสเงียบไปครู่หนึ่ง  [ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับที่ทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ ทำให้ทีมงานเดือดร้อน ทำให้น้องฝนเสียใจ ทำให้ก้องเสียชื่อเสียง ผมขอโทษครับ]
[ตกลงว่าคนที่จุดกระแสด่าน้องก้องคือทีมงานของเจอีหรือเปล่าคะ?]
[ขอเรียนให้ทราบดังนี้นะคะ --]  คุณมัธนาจับไมค์โครโฟนของตัวเอง  [ทางเจอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในแฮชแท็กกัสก้องค่ะ เรามีหน้าที่โปรโมทละครและดูและนักแสดงเท่านั้น]
[แล้วข่าวลือที่แฟนเก่าน้องออกัสแฉล่ะคะว่าคนของเจอีอยู่เบื้องหลัง?]
[ก็ให้น้องเอาหลักฐานมาพิสูจน์เลยค่ะว่าทีมงานของเราเกี่ยวข้องจริง แต่ขอให้มีหลักฐานนะคะ เพราะถ้าไม่มี เราจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายกับทุกคนที่พาดพิงให้บริษัทของเราเสียชื่อค่ะ]

หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งไมค์ให้ผู้ชายสวมสูทที่นั่งอยู่ริมขวาสุด เขาแนะนำตัวว่าเป็นทนายประจำบริษัทก่อนจะเริ่มอธิบายถึงข้อกฎหมายที่สามารถเอาผิดทุกคนที่กล่าวถึงเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์ในทางไม่ดี ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อพวกเขาเอาแต่พูดว่าจะฟ้อง จะฟ้อง ต่อให้พ่อมีเงินจ้างทนายสู้ ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถนอนดูพวกเขาแถลงข่าวตอบโต้เราอย่างสบายใจได้ ผมเองก็กลัวมีคดีติดตัวเหมือนกัน แต่ความกลัวนั้นต้องพับไว้ก่อนเมื่อนักข่าวถามออกัสกับต้นสังกัดว่าจะรับผิดชอบกับชื่อเสียงที่เสียไปของก้องเกียรติยังไง

[ขอเรียนให้ทราบตามตรงว่าทางเราไม่มีนโยบายเยียวยาใครนะคะ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของเจอีเลย เราถูกปรักปรำว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งๆ ที่น้องออกัสไม่จำเป็นต้องพึ่งกระแสของเพื่อนคนนั้นด้วยซ้ำค่ะ น้องออกัส – โดดเด่นด้วยความสามารถของตัวเอง ละครที่เราทำอยู่ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากผู้ชม --]

พูดถึงตรงนี้ คนในเฟสบุ๊กก็รุมกดโกรธเต็มเลย ไอคอนหน้าบึ้งสีส้มเด้งรัวอยู่ทางขวาของจอ มีคนด่าคุณมัธนาว่าอีป้าตอแหลเต็มไปหมด มันเยอะเสียจนผมกังวลว่าชาวเฟสบุ๊กอาจจะเป็นรายถัดไปที่โดนฟ้อง

[ดิฉันขอแนะนำให้เพื่อนน้องออกัสติดต่อทนายและดำเนินการทางกฎหมายด้วยตัวเองเลยค่ะ หากอยากได้คำปรึกษา จะติดต่อทางเจอีก็ได้นะคะ เราจะช่วยหาทนายและทีมกฎหมายเพื่อดูแลเขาในเรื่องนี้ค่ะ]

“กูอยากเอารองเท้าตบปากคนแก่ก็วันนี้” มิวไลน์มาด้วยอารมณ์โมโห “มึงจะแจ้งความวันไหนก้อง?”
“ศุกร์นี้” ผมตอบ “กูมีหลักฐานแล้ว พี่อู๋จ้างทีมนักสืบออนไลน์รวบรวมให้”
“เออดี มึงจ้างทนายเก่งๆ มาเลยนะ กูอยากเห็นพวกมันโดนเสยหน้าบัลลังก์ศาล เหยดแหม่”

มิวพูดติดตลก ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไปและฟังไลฟ์ต่อ ทนายยังคงให้ความรู้เรื่องข้อกฎหมายและบอกขอบเขตของทวิตเตอร์ที่อาจถูกฟ้อง ผมนั่งฟังด้วยความเครียดเพราะรู้สึกเหมือนหนทางอีกยาวไกล ทำไมเรื่องถึงไม่จบที่การพิสูจน์ตัวเองนะ ทำไมผมต้องสุ่มเสี่ยงขึ้นศาล ต้องมีคดีความ มีปัญหาคาราคาซังขนาดนี้ ผมเริ่มเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเต็มทีแล้ว ระหว่างที่นอนเครียดอยู่คนเดียว ออกัสก็ได้จับไมค์พูดอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้แก้ตัวให้ดูดีขึ้น หากแค่เอ่ยขอโทษทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน รวมถึงขอให้เลิกพูดถึงก้องเกียรติในทางที่ไม่ดีแต่ผมคิดว่ามันสายไปแล้ว

ดังนั้นตอนไลฟ์จบ ผมจึงไล่อ่านข้อความทั้งหมดที่พูดถึงออกัส ส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันคือไม่เชื่อและคิดว่าค่ายน่าจะวางสคริปต์ให้ มีบางคอมเม้นต์ล้อเลียนว่าสายเหลือง ก็แค่ซีรี่ส์คนอัดตูดกันทำไมต้องสนใจ ผมอ่านแล้วก็ได้แต่ท้อใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับซีรี่ส์เลย ที่เรามีปัญหาตอนนี้คือออกัสมันกุเรื่องจนผมโดนด่าเสียๆ หายๆ ต่างหาก หัดตามข่าวบ้าง ถ้ามีปัญญาเมนต์ว่าสายเหลืองหรือถังทอง ก็น่าจะมีปัญญาอ่านข่าวนะว่าก่อนออกัสจะออกมาตั้งโต๊ะแถลง มันเคยมีดราม่าอะไรกันมาก่อน

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มตรง ผมกดโทรศัพท์หาพี่อู๋ด้วยความรู้สึกกังวลนิดๆ เพราะยังหลอนกับเสียงระบอบฝากข้อความ รอสายไม่นานพี่อู๋ก็ทักทายนายก้องเกียรติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มันเรียบและเหนื่อยเหมือนคนแบกรับปัญหาทั้งหมดอยู่คนเดียว ผมจึงเลิกคิดเอาเรื่องออกัสไปปรึกษาเพราะไม่อยากให้พี่อู๋เครียด ดังนั้นบทสนทนาแรกหลังจากไม่ได้คุยกันหลายวันจึงเป็นบทสนทนาทั่วไป ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแทน

ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่าที่สัมผัสได้ถึงระยะห่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างเรา ผมรู้สึกว่าพี่อู๋ยังไม่สนิทใจที่จะคุยกับผมอย่างร่าเริง ผมจึงถามเขาว่ายังโกรธอยู่ไหม ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่อยากคุยกันหรือเปล่า พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่แทนการตอบคำถาม

“ผมส่งจดหมายไปง้อพี่ด้วย” ผมชวนคุย
“อ๋อ – จากสมาคมกอริลลาไทยน่ะเหรอ?” พี่อู๋ถามเรียบๆ ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของกระดาษเป็นเสียงประกอบ เดาเอาว่าเขากำลังแกะอยู่ “เขียนยาวจัง”
“เพราะผมอยากให้พี่รู้ว่าผมเสียใจจริงๆ”
“อืม พี่รู้แล้วล่ะ”

พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่ เขาน่าจะกำลังอ่านจดหมายลายมือที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของก้องเกียรติ เขาพลิกหน้ากระดาษเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามนาทีก่อนจะเปลี่ยนมาถามว่าอยู่กับพ่อเป็นไงบ้าง มีความสุขดีใช่ไหม

“ผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า” ผมอ้อนเขา แต่พี่อู๋ไม่เล่นด้วย เขาขานรับสั้นๆ แค่อืมแล้วเก็บจดหมายผมใส่ซองเอกสารตามเดิม “พี่ – ได้ดูแถลงของออกัสไหม? ที่มีไลฟ์สดในเฟสบุ๊กเมื่อกี๊”
“ไม่ได้ดู ทำไมเหรอ?”

ผมถอนหายใจและเริ่มพรั่งพรูความเครียดให้พี่อู๋ฟัง จากตอนแรกที่คิดว่าจะเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่พอได้คุยกับพี่อู๋ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอคำแนะนำจากคนที่ผมไว้ใจที่สุดในชีวิต พี่อู๋ที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบดูไม่ทุกข์ร้อนกับความเครียดในใจผม เขาบอกแค่ว่าไม่ต้องกังวล นักสืบไอทีที่เขาจ้างสืบจนรู้แล้วว่าทวิตเตอร์ที่เปิดประเด็นด่าผมใช้อีเมลเดียวกับเฟสบุ๊กของทีมงานเจอีจริงๆ แต่อย่าเพิ่งป่าวประกาศบอกใครล่ะ ปล่อยให้ไปสู้กันในชั้นศาล ถึงตอนนั้นเจอีคงโดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์อีกครั้งสมใจอยากแน่ๆ เพราะพนักงานสี่คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกกระแสด่าทอว่าอีก้องเป็นกะหรี่

“ค่าจ้างเท่าไหร่ครับ?”

ผมถาม และเมื่อได้ยินราคาก็รู้สึกว่ามันแพงมาก แพงเกินความจำเป็น แพงจนผมอยากยุติทุกอย่างไว้แค่นี้ แต่พี่อู๋บอกว่าไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อของก้องเป็นคนจ่ายเงินส่วนนี้ให้แล้ว

“คุณสมปราชญ์จ่ายค่าเทอม ค่าหอ ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดของก้องให้พี่แล้วนะ”
“เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้พี่อู๋เลยซักบาทใช่ไหมครับ?”
“ใช่”

พี่อู๋ตอบเรียบๆ แล้วนิ่งไป ผมไม่ชอบเวลาที่เราคุยเรื่องเงินกันเลย แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยท่องฝังหัวว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณเขา เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องหามาใช้หลังเรียนจบ แต่พอรู้ว่าพ่อเคลียร์ส่วนนั้นให้แล้วกลับไม่รู้สึกสบายใจ ผมกลัวว่าหากไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน พี่อู๋อาจจะหายไปเพราะไม่มีเหตุอะไรต้องติดต่อผมอีก แต่พอนึกถึงนิสัยของแฟนตัวเองอีกที ผมว่าเขาก็ไม่ได้แคร์หรอกว่าหมดเงินกับก้องเกียรติไปกี่แสน เพราะพี่อู๋พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาเขาโมโหและผิดหวังในความรัก เขาพร้อมจะไปโดยไม่ทวงสิ่งที่ตัวเองควรได้เลย

“พ่อพาไปแจ้งความหรือยัง?”
“ไปวันศุกร์นี้ครับ พี่ว่าทันไหม?”
“ทัน จริงๆ จะแจ้งวันไหนก็ได้ ขอแค่ภายในสามเดือนตั้งแต่เกิดเรื่อง”

แล้วเราก็เงียบ

ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เหมือนพี่อู๋มีเรื่องในใจ เหมือนเขามีความกังวลอะไรซ่อนอยู่ที่ไม่ได้บอกให้ก้องเกียรติรู้ ผมพยายามชวนคุยโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความผิดของตัวเอง แต่ยิ่งฝืนมันก็ยิ่งอึดอัดเพราะแผลในใจของเราทั้งคู่ไม่ได้รับการเยียวยา ผมจึงถามพี่อู๋ว่าวันศุกร์นี้ให้ผมกลับบ้านที่ลาดพร้าวได้ไหม ผมคิดถึงเขา ผมอยากเจอเขา แต่พี่อู๋กลับบอกว่าไม่ได้

“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”

พี่อู๋พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบอีก เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสร้างความเครียดให้นายก้องเกียรติขนาดไหน ผมไม่ได้เจอหน้าพี่อู๋เลยตั้งแต่วันสุดท้ายที่เขามาส่งที่หอพัก และไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่ด้วย เพราะไม่ว่าจะถามหรือขออนุญาตไปหายังไง พี่อู๋ก็เอาแต่พูดว่าไม่ต้องมาหรอก –

“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”

ผมเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้าจะร้องไห้เต็มทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกผลักไสให้ไกลกว่าเดิม ในเมื่อเรากลับมาคุยกันแล้ว พี่อู๋เองก็ได้อ่านคำอธิบายทั้งหมดและจดหมายที่ผมส่งไป ทำไมเขาถึงทำตัวเหินห่างและเย็นชากับนายก้องเกียรติได้ขนาดนี้ ผมเหนื่อยจริงๆ ที่จะต้องหาเหตุผลว่าทำไม เหนื่อยจนไม่อยากคิดอะไรและเป็นฝ่ายขอวางสายเพื่อหนีไปร้องไห้ซักพักก่อนจะนั่งเหม่อคนเดียวในห้องมืดเพราะหาคำตอบให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้



ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีออกไม่อยู่บ้านก็ไม่ได้อัปตรงเวลา ต้องขอโทษจริงๆค่ะ
พาร์ท 2 อยู่ข้างล่างนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 14-10-2019 20:44:34
41 [PART2/3]


วันศุกร์ผมเก็บของกลับบ้านและไปแจ้งความกับพ่อ หลังจากนั้นก็จัดสมบัติทั้งหมดที่มีไม่กี่ชิ้นของตัวเองในห้องและทำใจอยู่ที่นี่ตลอดปิดเทอม

แผนที่เคยวางไว้พังเละไม่เป็นท่า ผมไม่ได้กลับไปอยู่ลาดพร้าวเหมือนที่คิดไว้ ราวกับบ้านหลังนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับนายก้องเกียรติอีกแล้ว ผมถามพ่อตามตรงว่าแอบคุยอะไรกับพี่อู๋ใช่ไหม พ่อสั่งเขาใช่ไหมว่าไม่ให้รับผมกลับบ้าน แต่พ่อบอกว่าเขาไม่ได้ทำ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของพี่อู๋เอง พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

แต่ถึงอย่างนั้น – พ่อก็ดูมีความสุขมากกว่าใครที่ก้องเกียรติอยู่บ้าน

บ้านของพ่อมีวัยรุ่นสองคนและเด็กอีกสองคน มันควรจะมีสิ่งให้ความบันเทิงมากกว่านี้ทว่าในห้องนั่งเล่นก็มีแค่โทรทัศน์จอใหญ่ มีกล่องรับสัญญาณดาวเทียมและเครื่องเล่นซีดี มีของแค่สามชิ้นนี้จริงๆ ในบ้านที่มีคนอาศัยมากถึงแปดคน ดูเหมือนว่าพ่อจะเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนกับการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง พ่อชอบโต๊ะกินข้าวกว้างๆ ใหญ่ๆ ดังนั้นสองวันหลังปิดเทอม รถบรรทุกก็มาส่งโต๊ะกลมขนาดใหญ่มาวางในห้องทานข้าว

ผมไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน แต่มันคือค่ายลูกเสือหรือค่ายธรรมะที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบและความไม่เป็นส่วนตัวมากกว่า ในบ้านหลังนี้อาแตงเป็นผู้รับผิดชอบงานบ้าน มีบ้างที่หนึ่งกับสองคอยช่วยงาน แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นสองคนนั้นจะทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือ ผมรู้มาว่าพ่อเป็นพวกบ้าเรียน เขาไม่มีโอกาสเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยจึงวางความฝันและความหวังลงบนบ่าลูกสาว ตอนผมยังไม่อยู่ที่นี่ ไม่รู้พวกเขาคุยกันยังไง แต่เมื่อนายก้องเกียรติได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แล้ว พ่อก็เอาแต่พูดว่า  ‘ดูอย่างเฮียก้องสิ’

“เห็นไหมว่าเฮียก้องเก่ง สอบเข้าลาดกระบังได้”

พ่อมักจะพูดอย่างภาคภูมิใจแม้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนอะไรในความสำเร็จนี้เลย ผมแอบเห็นสีหน้าไม่พอใจของหนึ่งอยู่บ่อยๆ เวลาพ่อย้ำว่าผมได้เรียนมหาลัย ผมเก่ง ผมเป็นเด็กดี บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่าพ่อกำลังสร้างความร้าวฉานรอยใหญ่ไว้ในบ้าน พ่อจะรู้ไหมว่าหนึ่งไม่ชอบที่พ่ออวยลูกชายและพยายามผลักลูกสาวให้เดินตามเขา แม้จะสัมผัสได้ถึงรังสีอึมครึมนี้แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะอย่างที่บอกไปว่าน้องสาวแทบไม่มีความผูกพันใดๆ จนต้องแคร์เลย ผมไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับหนึ่งและสองเท่าไหร่ ส่วนสามอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเด็กกับวัยรุ่น เธอจึงมีโลกของตัวเองอยู่หนึ่งใบ ในขณะเดียวกันก็ยังสำรวจสอดส่องมองคนนอกโลกอย่างพี่ชายคนโตบ้าง แต่สำหรับสี่นั้น –

ยายนี่ – เป็นลูกลิง

สี่กำลังเรียนประถม ผมไม่แน่ใจว่าปอไหน น่าจะปอสามประมาณนั้น ผมจำได้คร่าวๆ ว่าสี่ชื่อมะนาว แต่ผมไม่เคยเรียกมะนาว จะเรียกว่า  ‘นี่’ แทนชื่อของเธอเสมอ ด้วยความที่ยังเด็ก สี่จึงเก็บความสนใจของตัวเองเอาไว้ไม่มิด สี่ชอบเดินตามผม ชอบแอบดูจากที่ไกลๆ เพราะอยากรู้ว่าพี่ชายทำอะไรบ้าง แต่สี่เป็นเด็กขี้อายเกินกว่าจะเข้ามาคุยกับผมตรงๆ ดังนั้นเวลาผมชวนเธอคุย เธอจะดีอกดีใจออกนอกหน้า โดยเฉพาะเวลาพาไปซื้อขนมข้างนอก สี่จะร่าเริงแจ่มใสและออดอ้อนมากถึงขนาดจับมือผมตลอดทางกลับบ้าน

วันคืนของผมก็มีอยู่แค่นี้ ในค่ายที่ให้อิสระทางกายนั้นไม่ได้สร้างความสุขทางใจ ผมเอาแต่คร่ำครวญถึงชีวิตที่คอนโดลาดพร้าว นั่งจินตนาการว่าวันๆ นึงคงหมดไปกับการนอนกินขนมและดูเน็ตฟลิกซ์ แต่อย่างน้อยตอนเย็นก็ยังมีชายที่ผมรักมาอยู่เป็นเพื่อน เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมยังไม่มีโอกาสได้กลับลาดพร้าวเพราะพี่อู๋ไม่อนุญาต เขายอมรับโทรศัพท์ ยอมรับสายวิดีโอคอล แต่ไม่ยอมเจอหน้า ผมขอร้องเขาว่าอย่างน้อยถ้ากลับลาดพร้าวไม่ได้ ช่วยมาเจอผมหน่อยได้ไหม เจอกันข้างนอกก็ได้ ในห้างก็ได้ ขอผมเห็นหน้าเขาซักครั้งได้ไหม แต่คำตอบก็คือเหมือนเดิม

ไม่

จนผมอยากถามพี่อู๋ว่าเขาเป็นอะไร ถ้าจะคืนดีกันแต่ไม่สนิทใจขนาดนี้ สู้ไม่รับสายผมตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ ทำแบบนี้เหมือนฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นชัดๆ มันไม่แฟร์สำหรับคนที่คบกันเลย

ผมพิมพ์ไลน์หาพี่อู๋ตามสิ่งที่ใจคิด แต่คำตอบกลับของเขาคือความเงียบ เงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พี่อู๋เป็นเหมือนทะเลช่วงน้ำลง เขาดูห่างไกลจนมองไม่เห็น จนผมกลัวว่าเขาจะกลับมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตที่ทำให้เราแตกคอกัน ผมพยายามถามพี่อู๋ซ้ำๆ ว่าทำไม ทำไม ทำไม ถามไปร้องไห้ไปเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเจอกันไม่ได้ และพี่อู๋ก็ตอบกลับสั้นๆ ว่า

“พี่ยังไม่พร้อม”
“พร้อมสำหรับอะไร?” ผมถามห้วนๆ เอาแต่ใจ
“พี่ไม่รู้ว่าเจอหน้าก้องแล้วจะรู้สึกยังไง”
เขาหยุดแชทพักใหญ่ ก่อนจะมาต่อประโยคให้จบ
“พี่กลัวว่าความรู้สึกของเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว”

ผมปล่อยโฮออกมาตอนที่ได้อ่านข้อความนั้น ความรู้สึกของเราเหรอ? ความรู้สึกของใครกันแน่ ของพี่หรือเปล่าที่ไม่เหมือนเดิม เพราะหากถามผมในตอนนี้ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมรักพี่อู๋ ผมอยากเจอเขา อยากกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม แต่ผู้ชายที่ผมรักกลับพูดว่าเขาไม่มั่นใจว่ายังรักผมอยู่ไหม และนั่นทำให้ผมเสียใจที่เรื่องของเราสั่นคลอนเพราะความปากพล่อยของตัวเอง เราทะเลาะกันแค่สี่วัน แค่ – สี่ – วัน แต่ความสัมพันธ์มันพังจนไม่สามารถกลับมาคบกันอย่างสนิทใจได้อีกแล้ว

ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกอริลลาอกหัก ไม่เข้าใจความรักเลยซักนิดว่าทำไมถึงได้ซับซ้อนขนาดนี้ บางทีพี่อู๋อาจจะมองในมุมของผู้ใหญ่ เขาคงเจ็บกับแผลในใจนั้นมากแม้ว่านายก้องเกียรติจะยืนยันว่ารักเขาแค่ไหน ผมพยายามอธิบายให้พี่อู๋ฟังด้วยประโยคเดิมๆ จบลงที่คำขอโทษและขอร้องให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม แต่พี่อู๋ก็เงียบไป เขาเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้และบอกว่าที่เขาไม่มาเจอ ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่พี่อู๋คิดว่าผมควรมีชีวิตเป็นของตัวเองเสียที

“ถ้าชีวิตไม่ได้เป็นของผม แล้วมันเป็นของใคร?” ผมร้องไห้ถามเขา “ก็ผมบอกว่าผมรักพี่ไง ผมอยากคบกับพี่เหมือนเดิม ทำไมพี่ไม่เชื่อผม?”

คืนนั้นผมร้องไห้จนปวดหัว ร้องจนต้องคลานกลับไปนอนบนเตียงเพราะเพลียเกินว่าจะลุกขึ้นยืน นี่คือปิดเทอมที่เจ็บปวดเป็นอันดับสองของก้องเกียรติ อันดับแรกคือแม่ตาย ส่วนปิดเทอมนี้หัวใจสลายเพราะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ โดยฝีมือของผู้ชายที่ตัวเองรักมาก ผมตัดพ้อต่อว่าพี่อู๋ไปชุดใหญ่ก่อนจะวางสายและนอนร้องไห้อย่างนั้นอยู่ทั้งคืน




ผมโกรธพี่อู๋ แต่เรายังตัดขาดจากกันไม่ได้ เรื่องนี้ทั้งผมและเขารู้ดี ต่อให้บอกว่าไม่พร้อมเจอหน้า ไม่พร้อมกลับมาอยู่ด้วยกัน ทว่าพี่อู๋ก็รักผมมากจนทำใจปล่อยให้เราค่อยๆ เงียบหายตายจากชีวิตไปไม่ได้เหมือนกัน

เราเป็นแบบนี้จนถึงวันที่ยี่สิบห้าธันวา วันเกิดปีที่สามที่ไม่มีแม่ ผมเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับผู้ชายที่ผมรักมาสองครั้งในวันนี้ เราจะเอาต้นคริสต์มาสที่ซื้อไว้มาตั้งกลางห้อง ผมจะแขวนของตกแต่ง แขวนไฟ จัดห้องให้เข้ากับบรรยากาศวันสิ้นปีเหมือนที่เคยทำ แต่ปีนี้ผมย้ายมาอยู่บ้านกับพ่อ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีวัฒนธรรมฝรั่งตามที่อาแตงว่า ดังนั้นในบ้านจึงไม่มีของตกแต่งอะไรเกี่ยวกับคริสต์มาสที่ผมชอบเลย ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีไฟประดับ ไม่มีพู่หลากสีนอกจากผลไม้ไหว้ศาลเจ้าเล็กๆ ในบ้าน กับเทียนไฟฟ้าที่ให้แสงสีส้มปลอมๆ สองแท่ง

เช้าวันเกิดปีที่ยี่สิบของผมค่อนข้างขุ่นมัวเพราะเมื่อคืนเราทะเลาะกันอีกแล้ว เราวิดีโอคอลเพื่อให้เห็นหน้ากัน แล้วก็จบลงตรงที่ทะเลาะกันเพราะผมขอของขวัญวันเกิดเป็นการเจอพี่อู๋อีกครั้งในรอบสองสัปดาห์ แต่เขาให้ไม่ได้ พี่อู๋บอกว่าจะเปลี่ยนของขวัญวันเกิดปีที่ยี่สิบของก้องเกียรติเป็นสิ่งของแทนการมาเจอกันตามคำขอ

“เอาไปทิ้งเลย ผมไม่อยากได้”

ผมยังจำได้ว่าพูดจาเจ็บแสบกับพี่อู๋ขนาดไหน พอเราโกรธ เรามักจะพูดอะไรก็ตามที่ไม่ผ่านการไตร่ตรองใส่คนที่ตัวเองรัก ผมไม่สนหรอกว่ามูลค่าของของขวัญชิ้นนั้นจะมากแค่ไหน ไม่สนว่ามันถูกใจไหมเพราะสิ่งที่ผมต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือการได้พบกับพี่อู๋อีกครั้ง เราทะเลาะกันแทบตายเพราะเรื่องนี้ พี่อู๋พูดวนซ้ำๆ ว่าผมอยู่กับพ่อน่ะดีที่สุดแล้ว ในขณะที่ผมยังคงยืนยันความต้องการตามเดิมว่าอยากเจอเขา ถ้ามาเจอกันไม่ได้ก็ไม่ต้องคุย ไม่ต้องยุ่งกันอีก พี่อู๋โกรธจนไม่ยอมตอบแชทถึงเช้า แต่พอเข้านอนและได้หลับยาวเต็มอิ่ม เราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเรียกสิ่งนี้ว่าความสัมพันธ์เฮงซวยที่ไม่มีคำตอบ

ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเพื่ออะไรวะ เราจะทรมานกันทั้งคู่ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาบอกว่าไม่มั่นว่ายังรักผมสนิทใจเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมก็ท้าให้มาเจอกัน มาเจอกันก่อนสิ มาคุยกันต่อหน้าสิ พี่จะรู้เองแหละว่าพี่ยังรักผมเหมือนเดิมไหม ถ้ามัวแต่วิ่งหนีอย่างนี้มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก มีแต่จะเสียเวลา เสียความรู้สึกด้วยกันทั้งสองฝ่าย พี่เองก็แก่จนอายุจะสามสิบห้าแล้ว ทำไมต้องทำให้มันวุ่นวาย ทำไมเราไม่รักกันให้มันจบๆ ไป จะคิดมากทำไม พี่ไม่ได้อยู่ในวัยสับสนอย่างนายก้องเกียรติด้วยซ้ำ

“สุขสันต์วันเกิดนะก้อง มีความสุขมากๆ เฮงเฮงนะลูก”

พ่อเอ่ยทักทายเมื่อเห็นผมเดินหน้าบูดลงมาจากชั้นสองของบ้าน เขากวักมือเรียกให้มาใกล้ๆ ก่อนจะหอมขมับเบาๆ และชี้นิ้วให้ไปนั่งข้างสี่ที่กำลังมองมาด้วยความอิจฉาเพราะพ่อเตรียมของขวัญไว้ให้พี่ชาย ผมเอ่ยปากขอบคุณพ่อยังไม่ทันจบประโยค อาแตงก็เดินมาอวยพรพร้อมกับวางกับข้าวมื้อเช้าลงบนโต๊ะ

“เดี๋ยวตอนเย็นอาป๊าจะพาไปฉลองข้างนอก ก้องอยากกินอะไรล่ะ?”

ผมตอบอย่างเฉยชาว่าอะไรก็ได้ครับ ดังนั้นสอง สามและสี่จึงแย่งกันฉวยโอกาสเสนอร้านอาหารที่ตัวเองอยากกินแทน เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้น แต่แล้วพวกแกก็ต้องเงียบเมื่อย่าบอกว่าให้เจ้าของวันเกิดเป็นคนตัดสินใจ ผมจึงตอบส่งๆ ว่าเอ็มเคครับ เพราะแม่ผมชอบเอ็มเค

ย่าดูไม่พอใจที่ผมพูดแบบนั้น ส่วนพ่อกับอาแตงไม่ว่าอะไร ผมจึงปล่อยเบลอ ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเพราะเหนื่อยเกินกว่าคิดอะไรแล้ว สมองของผมมีแต่เรื่องของพี่อู๋ มีแต่คำถามและความกังวลใจว่าวันนี้เขาจะมาหาไหม หลังจากประโยคสนทนาที่แสนคลุมเครือและไม่มีบทสรุปเมื่อคืน พี่อู๋จะเปลี่ยนใจขับรถมาเจอผม หรือมีเซอร์ไพรซ์พิเศษหรือเปล่า ผมมัวแต่คิดกังวลเรื่องนี้จนกระทั่งทุกคนกินมื้อเช้าหมดเกลี้ยงจึงลุกขึ้นช่วยอาแตงเก็บจานชามไปล้างตามปกติ แต่จู่ๆ ย่าก็สั่งให้วางลงบนโต๊ะเหมือนเดิม

“เป็นผู้ชายจะมาทำงานบ้านได้ยังไง ให้ผู้หญิงจัดการสิ”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนอยู่กับแม่ผมก็ล้างเอง”
“เป็นแม่ประสาอะไรให้ลูกชายทำงานบ้าน”
“เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกตัวคนเดียวไงครับ ไม่มีคนใช้รองมือรองตีน อะไรช่วยได้ผมก็ช่วยแม่เป็นปกติอยู่แล้ว แม่ไม่เคยเลี้ยงผมให้เป็นลูกเทวดา”

พ่อปรามผมทันทีที่พูดจบ เรามองหน้ากันโดยไม่สบอารมณ์เพราะพ่อไม่พอใจที่ก้องเกียรติพูดจาไม่ดีกับย่า ผมเมินเฉยต่อความโกรธของพ่อแล้วช่วยอาแตงเก็บจานเหมือนเดิม ผมอยากรู้จริงๆ ว่าการเห็นหลานชายทำงานบ้านมันทำให้ย่าจะเป็นจะตายหรือไง อาแตงก็คงรู้ว่าผมจงใจกวนตีนจึงบอกว่าไม่ต้องช่วย เดี๋ยวหนึ่งล้างเองเพราะวันนี้เป็นเวรของเธอ

หลังปลีกตัวออกจากครัวเตรียมกลับไปแชทหาพี่อู๋ในห้อง พ่อก็กวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ วันนี้ก้องต้องไปโรงงาน พ่อบอก หลังไปส่งหนึ่ง สอง สามและสี่ที่โรงเรียน พ่อจะพาผมไปเจอเฮียอีกคนที่กำลังรับช่วงต่อกิจการ เพราะฉะนั้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อีกสิบนาทีมารอข้างล่าง เราจะได้ไปส่งน้องพร้อมกัน

ผมถอนหายใจและทำตามคำสั่งพ่อ หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งเหม่อบนโซฟาเพราะไม่มีอะไรทำ สี่เดินหัวเปียกมาทางผม เธอทิ้งตัวนั่งบนพื้นและชันขาเพื่อสวมถุงเท้า เราต่างมองกันด้วยสีหน้าเอือมระอา สี่เบื่อที่ต้องไปโรงเรียน ส่วนผมเบื่อที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ หลังสวมถุงเท้าเสร็จสี่ก็ยืนขึ้น สะบัดผมเปียกๆ ของตัวเองเหมือนลูกหมาเพิ่งอาบน้ำเสร็จสองสามทีก่อนจะตะโกนเรียกอาแตงให้ถักเปียให้หน่อย

“รอแป๊ปนึง หม่าม้าถักผมให้เจ๊ส้มอยู่”

สี่เบ้ปากถอนหายใจ เธอเหลือบมองพี่ชายหน้าบูดก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผมไม่ได้ชวนสี่คุยเพราะเบื่อ ไม่รู้จะคุยอะไร แต่สี่ก็พยายามตีซี้ด้วยการขอให้ผมถักเปียให้ ผมจึงบอกเธอว่าถักไม่เป็น

“ง่ายจะตาย เฮียก็ทำแบบนี้ๆๆ ไง” เธอทำมือพันไปมา “หรือผูกจุกให้มะนาวก็ได้ เอาสองจุกสวยๆ ติดกิ๊บให้ด้วยนะ”
“โรงเรียนอนุญาตให้ติดด้วยเหรอ?”

ผมถามพลางหยิบกิ๊บสีชมพูหวานของน้องสาวคนเล็กขึ้นมาดู เมื่อสี่บอกว่าติดได้ เธอติดไปอวดเพื่อนทุกวัน ผมจึงยอมมัดผมแกละสองข้างให้เด็กหญิงวัยสิบขวบเป็นครั้งแรก และมันออกมาทุเรศทุรังจนผมสงสารน้องจึงพยายามแกะออก แต่สี่บอกว่าไม่เป็นไร มันสวยแล้ว

“ดูกระจกไหม? ไม่รู้ทำไมโคนผมมันยับยู่ยี่”
“เฮียก็หวีก่อนรวบสิ มันจะได้เรียบๆ” เธอส่งหวีอันเล็กมาให้ เดี๋ยวนี้เด็กสิบขวบพกหวีกับกระจกแล้วเหรอเนี่ย “ต้องใช้ยางสีดำนะ คุณครูว่า”
“ใช้ยางสีดำแต่ติดกิ๊บสีชมพูเนี่ยนะ?”

ผมงง แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยไป ฝีมือมัดผมให้สี่วันแรกออกมาไม่สวยเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่แกะออก อาแตงที่เห็นผมเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ เอ่ยปากชมตั้งหลายหนว่าวันนี้ผมของมะนาวสวยจังเลย

“เจ็ดโมงสิบแล้ว! เร็วๆ!”

พ่อตะโกนพลางหยิบกุญรถ สี่วิ่งอย่างเริงร่านำโด่งไปที่โตโยต้า อัลฟาร์ดสีขาวที่จอดอยู่ข้างเบนซ์ ตามด้วยสาม สอง และหนึ่งที่ยังยกกระจกส่องดูหน้าตัวเองว่าสวยหรือยัง พวกน้องๆ ต่างจับจองที่นั่งของตัวเอง เหลือที่ว่างข้างคนขับให้ผมนั่งกับพ่อ หลังจากชักช้าลีลาอยู่นาน พ่อก็พาลูกสาวไปหย่อนทิ้งไว้ที่โรงเรียน หนึ่ง สอง และสามเรียนที่เดียวกัน ส่วนสี่เรียนโรงเรียนประถมจึงต้องลงรถเป็นคนสุดท้าย เธอบ่นว่าสายแล้วแต่ก็ยังเดินแกว่งกระโปรงสวยๆ เหมือนโรงเรียนเป็นรันเวย์ ไม่เห็นรีบร้อนอะไร

“วุ่นวายทุกวัน” พ่อบ่นเมื่อเห็นสี่ย่อเข่าสวัสดีคุณครูจนแทบจะเป็นการกราบ “เดี๋ยวเราไปเจอเฮียภพที่โรงงานกัน”

เหมือนฝันร้าย เหมือนกำลังนั่งรถเข้าเรือนจำ ผมไม่สามารถหนีการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ได้อีกต่อไปเมื่อพ่อพูดถึงโรงงาน ระว่างเดินทาง พ่อเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าโรงงานเราเป็นยังไง ทำลูกชิ้นขายกี่ประเภท ขายใคร กำไรกี่บาท ขายวันละเท่าไหร่ ส่งต่อให้ใคร มันเยอะจนจำรายละเอียดได้ไม่หมด ดูเหมือนพ่อกำลังปูทางให้ผมได้มีส่วนร่วมในธุรกิจร้อยล้านของพ่อ แต่ผมไม่ได้ตื่นเต้นสนใจจึงปล่อยให้พ่อคุยฟุ้งและวาดฝันว่าลูกชายจะรับช่วงต่อกิจการจนกระทั้งรถอัลฟาร์ดจอดในเขตพื้นที่โรงงาน




พาร์ท 3 ต่อเลยคับผม  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 14-10-2019 20:47:00
41 [PART 3/3]


เฮียภพแก่กว่าผมเจ็ดปี เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ผมบาง แก้มแดงเลือดฝาดตามประสาคนจีน ที่เหมือนกันคงเป็นรูปร่างติดออกจะท้วมและเตี้ย ผิดกับผมที่ตัวสูงเพรียวกว่าทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด

ทันทีที่เจอหน้ากัน เฮียภพก็ยกมือสวัสดีพ่อ เขาเรียกพ่อว่าป๊าปราชญ์แทนที่จะเป็นสรรพนามลุงแบบจีนๆ พอเห็นก้องเกียรติตัวจริงเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายอย่างเป็นกันเอง เฮียดูไม่เหมือนพวกตัวอิจฉาในละครที่จ้องเขม่นเพราะกลัวผมมาแย่งธุรกิจไป หนำซ้ำเฮียยังใจดี พาผมเดินทัวร์โรงงานเพื่อให้รู้ว่าลูกชิ้นบ้านเราผลิตยังไงด้วย

โรงงานของพ่อเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่ ข้างในค่อนข้างโปร่งโล่ง ทาสีขาวสะอาดตาและมีระบอบรักษาความสะอาดที่ได้มาตรฐาน ตอนแรกผมคิดว่าโรงงานของพ่อจะดิบเถื่อนชนิดที่เห็นคนนั่งแล่ปลาบนพื้น โยนเนื้อปลาลงถังสีทาบ้านหรือมีคนสูบบุหรี่ในพื้นที่ พอได้เห็นกับตาว่ามันดูดีกว่าที่คิด สมองก็เริ่มประมวลมูลค่าของที่นี่ ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงมีทั้งเบนซ์และอัลฟาร์ด ก็ดูโรงงานที่เขาเป็นเจ้าของสิ ผมว่าปีนึงไม่ต่ำกว่าสิบล้าน เผลอๆ กำไรเดือนละล้านด้วยซ้ำ

พ่อกับเฮียพาเดินดูทุกส่วนของโรงงาน สายพานการผลิตของที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นอุตสาหกรรมแต่ก็ไม่ได้เล็กกระจ้อยร่อยจนดูเหมือนกิจการภายในครัวเรือน เราเริ่มไล่ตั้งแต่เครื่องบดเนื้อปลาจนถึงเครื่องผสม ผมถามพ่อว่าทำไมต้องเทน้ำแข็งก้อนลงไปในลูกชิ้นด้วย พ่อจึงบอกว่าน้ำแข็งทำให้เนื้อแป้งนุ่ม ไม่แข็งโป๊กเวลานำไปต้มไง หลังจากนั้นส่วนผสมเนื้อเนียนนุ่มเหมือนมาชเมลโล่จะถูกเทเข้าเครื่องปั้นลูก ทุกขั้นตอนยังคงใช้แรงงานคนช่วยในการถ่ายโอนวัตถุดิบไปยังเครื่องจักรต่างๆ เมื่อได้ลูกชิ้นเป็นก้อน คนงานก็จะเอาไปต้มต่อในน้ำสะอาด พวกเขามีตะแกรงอันใหญ่มากคอยกวนจนกระทั่งลูกชิ้นสุกดีจึงนำไปล้างน้ำเปล่าอีกรอบ จากนั้นก็ลูกชิ้นนับหมื่นก็ถูกช้อนใส่ถังสีขาว ลำเลียงไปห้องที่มีคนงานประมาณสามสิบคนคอยยืนเสียบลูกชิ้นและซีลลงบรรจุภัณฑ์ ในหนึ่งไม้จะมีลูกชิ้นสี่ลูก พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเคยขายหกลูกแต่เพราะต้นทุนสูงขึ้นจึงลดปริมาณลงจะได้ขายราคาเดิม

“เสี่ยสวัสดีครับ”

คนงานทุกคนที่เห็นพ่อต่างส่งเสียงทักทายและยกมือไหว้ เวลามีใครถามว่าเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่มาด้วยคือใคร พ่อก็จะยืดอกบอกอย่างภาคภูมิใจว่านี่ลูกชายคนโตของอั๊วะเอง แน่นอนว่าพวกเขาสงสัยว่าทำไมเสี่ยเจ้าของโรงงานถึงเปิดตัวลูกเอาป่านนี้ แต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดอะไรไม่เข้าหู ขณะยืนคุยกับคนขับรถที่มารอรับลูกชิ้นไปส่งต่อร้านค้าต่างๆ ลุงคนหนึ่งที่ดูแก่กว่าพ่อนิดหน่อยก็ปรี่เข้ามา เขาเอ่ยทักว่านี่เหรอครับก้องของเสี่ย หาเจอแล้วเหรอครับ เวลาผ่านไปไวจัง ตอนนั้นที่แม่เขาอุ้มมาเดินเล่นยังตัวกะเปี๊ยกเดียวอยู่เลย

“ตอนนี้ก้องกลับมาแล้ว อีกหน่อยเขาคงเข้ามาดูแลที่นี่แหละ เดี๋ยวก็ได้เจอประจำ”

พ่อยิ้มอย่างภูมิใจอีกครั้งโดยมีเฮียภพยืนตาหยีอยู่ข้างๆ ส่วนก้องเกียรติตัวหดเหลือสองนิ้วเมื่อได้ยินว่าต้องเป็นคนคุมโรงงานต่อ ผมไม่ชอบหน้าที่ที่พ่อมอบหมายให้เท่าไหร่ การได้ธุรกิจมูลค่าหลายล้านมาครอบครองแต่ไม่มีความรู้มากพอจะบริหารเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ผมกลัวว่าธุรกิจที่ทำกันมารุ่นต่อรุ่นจะพังคามือ ถึงตอนนั้นผมคงโดนตราหน้าว่าเป็นตัวไม่เอาไหน บริหารจัดการไม่เก่งเหมือนพ่อ ทำหน้าที่ต่อหรือดูแลโรงงานเหมือนเฮียภพไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเราขึ้นรถเพื่อกลับไปกินมื้อเที่ยงที่บ้าน ผมก็บอกพ่อว่าอย่าส่งต่อโรงงานให้ผมเลย

“ได้ยังไงล่ะ โรงงานนี้เป็นของก้องนะ” พ่อพูดอย่างจริงจัง “ไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอก เดี๋ยวคลุกคลีกับเฮียภพบ่อยๆ ก้องก็จะเข้าใจเอง”
“พ่อยกให้เฮียไปเถอะ ผมไม่อยากได้”
“ทำไมไม่อยากได้?” พ่อดูผิดหวังมากที่ลูกชายคนเดียวไม่ต้องการกิจการของตระกูล
“เฮียเขาทำมานานแล้ว จู่ๆ จะมายกให้ผมมันไม่หักหน้าเขาเกินไปเหรอ?”
“ป๊าก็ไม่ได้จะยกให้วันนี้พรุ่งนี้ ป๊าตั้งใจจะให้ก้องค่อยๆ เรียนรู้อยู่แล้ว ตอนไหนที่ป๊าทำต่อไม่ไหวป๊าจะเลือกเองว่าควรส่งต่อให้ใคร”

ผมไม่ชอบความคิดของพ่อเลย รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเฮียภพที่ทำงานในโรงงานมาตั้งแต่ต้น ยิ่งรู้ว่าเขาเคยวิ่งเล่นและกินนอนที่นั่นเกินสิบปี ผมก็ยิ่งละอายใจ ไม่อยากแย่งสิ่งที่เฮียสร้างกับมือมาเป็นของตัวเอง ต่อให้ธุรกิจลูกชิ้นจะทำเงินเข้ากระเป๋าหลักสิบล้าน ผมก็ไม่อยากได้เพราะรู้ดีว่าสิบล้านในมือคนที่ไม่มีความสามารถอาจทำธุรกิจเจ๊งล้มละลายได้เหมือนกัน

ระยะทางจากโรงงานกับบ้านห่างประมาณสามกิโล แค่กลับรถแป๊ปเดียวก็ถึงบ้านที่อยู่ในซอยแล้ว แต่ผมรู้สึกเหมือนมันยาวไกลจนอึดอัด ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อพ่อเอาแต่พูดว่าธุรกิจนี้เป็นของผม มันเป็นของก้องเกียรติเพราะผมเป็นลูกของพ่อ ผมเหนื่อยที่จะต้องพูดว่ามันไม่ยุติธรรมกับเฮียภพจึงไม่ได้ต่อปากต่อคำอีก ผมเอาแต่ก้มหน้าพิมพ์ไลน์หาพี่อู๋เพื่อทวงของขวัญวันเกิดในปีนี้ ผมถามเขาว่าตกลงพี่จะมาหาผมไหม เขาบอกทันทีว่าไม่มา

“ช่วงนี้พ่อคุยกับพี่อู๋หรือเปล่า?”

ผมตัดสินใจถามพ่อที่กำลังใช้นิ้วเคาะพวกมาลัยตามจังหวะเพลง พ่อหันมามองงงๆ และปฏิเสธคำกล่าวหานั้นด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีพิรุธ การแสดงออกของพ่อทำให้ผมไขว้เขวลังเลใจ เริ่มกังวลว่าที่พี่อู๋ไม่มาหาเพราะเขาไม่อยากเจอจริงๆ ไม่เกี่ยวกับพ่อหรือคำขู่ใดๆ เลย เมื่อพ่อถามกลับว่าทำไมถึงถามแบบนี้ ผมจึงบอกว่าไม่มีอะไร ผมแค่สงสัยว่าทำไมพี่อู๋ไม่ให้ผมไปหา

“ก้องจะไปหาอู๋ทำไม บ้านเราอยู่ที่นี่” พ่อพูดพลางกดรีโมตเปิดประตูรั้วอัตโนมัติ ไอ้หมีที่ได้ยินเสียงรถเจ้านายรีบวิ่งอย่างเริงร่ามาต้อนรับเรา “ไม่ต้องคิดจะกลับไปที่นั่นนะ ลาดพร้าวไม่ใช่บ้านของก้องแล้ว เกรงใจอู๋บ้าง อย่าไปๆ มาๆ ให้เขาลำบากใจ”

ไม่รู้ทำไมผมถึงอ่อนไหวเป็นพิเศษเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากพ่อ ผมโมโหจนเก็บอาการไม่ได้ ปิดประตูเสียงดังและเดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นห้องโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอาแตงและสายตาที่มองมาอย่างตำหนิของย่า ทันทีที่ได้อยู่คนเดียวผมก็ร้องไห้อีก ผมร้องไห้พร้อมกับไลน์ไประบายความอึดอัดให้พี่อู๋ฟังว่ามันแย่แค่ไหน ในขณะที่พ่อพยายามรวมผมให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนี้ หัวใจของผมกลับเอาแต่โหยหาและคิดถึงแค่พี่อู๋คนเดียวเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมไม่อยากแบกรับความคาดหวังอะไรจากพ่อ ไม่อยากได้ทรัพย์สินของเขา ผมแค่อยากเป็นก้องเกียรติคนเดิม คนที่ยังพอมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่ลูกของพ่อที่ต้องเดินบนเส้นทางลูกชิ้นปลาอย่างตอนนี้

ผมคาดหวังว่าพี่อู๋จะทำอะไรซักอย่าง หวังว่าเขาจะก้าวข้ามความกังวลประสาทแดกที่กัดกินจิตใจพวกเราได้เสียที ผมขอร้องพี่อู๋ ขอร้องอย่างจริงจังให้เขามาพบผมที่นี่ ได้โปรดมาเจอผม ในวันเกิดปีนี้ที่เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดี ผมแค่อยากกอดเขาอีกซักครั้งจะได้ไหม พี่อู๋ยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่นเหมือนเดิม เขาบอกแค่ว่ามาไม่ได้ มาไม่ได้หรอก ผมตะคอกถามเขาว่าทำไมจะมาไม่ได้ วันนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้เขาไม่ต้องไปไหน แค่ขับรถมาหาผมมันยากนักเหรอ หรือจะให้ผมกลับไปดักรอพี่ที่คอนโดดีไหม เราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมไง พอเห็นผมงี่เง่าเอาแต่ใจเขาก็ขึ้นเสียงใส่

“อย่าทำให้มันยากได้ไหมวะ!”

ตอนนี้พี่อู๋ไม่อ่านไลน์ของผมอีกแล้ว เขาเงียบหายไปโดยไม่ตอบกลับซักข้อความเดียว ปล่อยให้ก้องเกียรตินั่งร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะรู้สึกเหมือนรักของเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม






ตอนเย็นพ่อพาผมไปเลี้ยงเอ็มเคตามสัญญา เรากระเตงกันไปเป็นครอบครัวใหญ่ แม้แต่ย่าก็ยังนั่งรถเข็นไปด้วย มันควรเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขเมื่อได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่พอเงยหน้ามองทุกคนรอบตัว ผมกลับไม่รู้สึกผูกพันกับใครเลย ผมเห็นแค่ยายแก่ๆ นั่งกัดปลากะพงที่ลูกสะใภ้ตักให้ เห็นพ่อที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สั่งนั่นสั่งนี่ตามใจลูกๆ ทุกคน เห็นหนึ่งก้มหน้ากดโทรศัพท์ไปพร้อมกับกัดตะเกียบ เห็นสองยัดบะหมี่เข้าปากจนแก้มป่อง เห็นสามเอาตะเกียบเสียบลูกชิ้นแซลมอนจากหางไปหัวและหัวเราะกับสี่ เห็นทุกคนมีความสุขในวันเกิดของก้องเกียรติ

แต่เจ้าของวันพิเศษนี้กลับไม่มีความสุข

หลังมื้ออาหารจบลง พนักงานยกเค้กปอนด์สีขาวเขียนหน้าเค้กว่า Happy Birthday N’ Kong มาให้ ผมแกล้งหลับตาทำเป็นอธิษฐานทั้งๆ ที่ในใจไม่มีคำขอใดนอกจากขอให้ได้กลับห้องเร็วๆ จากนั้นผมก็เป่าเทียน แสร้งยิ้มให้พ่อดีใจจนกระทั่งเรานั่งรถกลับบ้าน ทันทีที่รถจอดสนิท พ่อกับอาแตงต้องรีบลงมาช่วยยกย่านั่งรถเข็น พ่อสั่งผมให้พาย่าไปส่งในห้องนอนใหญ่ข้างบันได ถึงจะไม่เต็มใจขนาดไหนผมก็ทำหน้าที่ของหลานโดยไม่บิดพลิ้ว ตลอดทางย่าไม่พูดเลยซักคำ เราไม่มีเรื่องอะไรให้คุยจนผมเปิดบานประตูห้อง เปิดไฟ และเข็นยาไปจนถึงเตียง ผมถามย่าว่าต้องอุ้มวางด้วยไหม ย่าบอกถ้าทำไหวก็ทำ

ผมไม่ใช่คนเหยาะแหยะแรงน้อย แต่การสอดแขนใต้รักแร้และหิ้วปีกย่าไปที่เตียงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน มันทั้งทุลักทุเลและลำบากจนผมเกือบทำย่าหล่นพื้นหลายหน แต่สุดท้ายย่าก็อยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย ผมดึงผ้าผมไปไว้ปลายเตียง เปิดพัดลมเพดานให้ตามคำขอของหญิงชราและเตรียมตัวกลับห้อง แต่ย่าก็เรียกตัวไว้ ย่าไขกุญแจลิ้นชักข้างเตียงก่อนจะนับธนบัตรหนึ่งพันบาทประมาณสิบใบส่งให้ผม

“ของขวัญวันเกิดจากอาม่า”

ย่าพูดเรียบๆ แต่แววตาอ่อนโยน ผมมองปึกเงินและมองย่า มองสลับไปมาไม่ได้รับเงินในทันทีจนย่าต้องพยักหน้าเป็นเชิงให้รับไป ผมไม่รู้ว่าการปฏิเสธของขวัญจากผู้ใหญ่เป็นเรื่องเสียมารยาทขนาดไหน แต่ผมก็รับเงินก้อนนั้นมา ยกมือไหว้ย่าและบอกว่าขอบคุณครับ

“หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะก้อง”

ย่าอมยิ้ม คราวนี้แววตาของย่าเปลี่ยนไปแล้ว มันเศร้าลึกจนผมไม่สามารถเดาได้ว่าความทุกข์ที่ย่าหมายถึงคือเรื่องอะไร หมายความว่าหลังจากนี้ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ และขาดโอกาสอีกเหรอ หรือหมายถึงความเฮงซวยทั้งหมดจะหายไปกันแน่ ผมไม่เข้าใจภาษากายที่ย่ากำลังสื่อเลย ผมไม่ใช่คนตอบสนองเก่งเท่าไหร่ ผมจึงพยักหน้าและตอบสั้นๆ แค่ครับก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองพร้อมของขวัญวันเกิดกล่องใหญ่จากพ่อ




พ่อซื้อโน้ตบุ๊กให้ผม ในกล่องของขวัญ มีจดหมายเขียนเอาไว้ว่าใช้สำหรับการเรียน ผมแกะดูเพราะอยากรู้ว่ายี่ห้ออะไร พอเห็นว่าเป็นโน้ตบุ๊กธรรมดาไม่ใช้แมคบุ๊กก็เฉยๆ ไม่ได้ดีใจเว่อร์วังเพราะไม่คิดอยากได้ของพวกนี้แต่แรก ผมคงเก็บมันไว้ใช้เพื่อการเรียนตามความตั้งใจของพ่อแน่ๆ พ่อคงภูมิใจน่าดูที่ผมไม่ใช่เด็กติดเกม ต่อให้ได้โน้ตบุ๊กแรงๆ  Ryzen7 ผมก็ไม่ตื่นเต้นหรอก แค่มีโปรแกรม Solidworks กับ Auto CAD เป็นอันใช้ได้แล้ว

ผมเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็นอนกดไลน์หาพี่อู๋ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน จากล่าสุดที่เราทะเลาะกันเมื่อตอนบ่าย เขายังไม่ตอบอะไรกลับมาเลย ผมรู้สึกน้อยใจจนเริ่มเศร้าหนักขึ้นเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันเกิดของผม แต่วันเกิดปีนี้กลับมีไม่มีวี่แววของเขา แถมความสัมพันธ์ก็ย่ำแย่กว่าเดิมจนไม่รู้ว่าเราสามารถพูดได้เต็มปากหรือยังว่ามันจบลงแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการมาหา ไม่อยากพบหน้า ไม่อยากเจอ มันค่อนข้างชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมยังคงหลอกตัวเองว่ามันยังไม่จบ ตราบใดที่พี่อู๋ไม่พูดตรงๆ ว่าเลิกกันเถอะ ผมจะไม่คิดว่ามันจบลงแล้วโดยเด็ดขาด

ผมนอนรอข้อความอย่างใจจดจ่อ ทั้งโทรหา ทั้งวิดีโอคอลก็ยังคงไร้การตอบกลับ ผมเริ่มร้องไห้ตั้งแต่ช่วงสองทุ่มเพราะเหงา และยังคงร้องต่อไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่นึกน้อยใจในตัวพี่อู๋ เขามันเฮงซวย เขาคือตัวถ่วงความสุขของผม บางทีเราน่าจะเลิกๆ กันไปเลยดีกว่าอยู่อย่างคลุมเครือแบบนี้ ผมคิด – คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเลิกราอยู่พักใหญ่ แต่พอลุกไปอาบน้ำก็รู้สึกดีขึ้นจนลืมไปว่าอยากเลิกกับพี่อู๋ อีกหนึ่งชั่วโมงวันเกิดของผมจะจบลง ข้อความอวยพรก็ไม่มี ของขวัญก็ไม่มี ไม่มีอะไรพิเศษจากชายที่ผมรักนอกจากความเย็นชาเหินห่างเหมือนเราหมดรักกันแล้วเท่านั้น

ผมไลน์ไประบายกับทรายและร้องไห้จนถึงเที่ยงคืน นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนหกนาที เข้าสู่เช้าวันเสาร์ที่ยี่สิบหกธันวาคมอย่างเป็นทางการ วันเกิดของนายก้องเกียรติจบลงแล้ว จบลงเงียบๆ โดยปราศจากพี่อู๋ ผมนอนร้องไห้จนผล็อยหลับไปเองแล้วก็รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนตีหนึ่งสี่สิบสองนาทีเพราะพี่อู๋โทรมา

ผมไม่อยากรับสายเพราะโกรธ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงเขาแทบบ้าจึงต้องแตะหน้าจอเพื่อรับสาย พี่อู๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่าห้องนอนของผมมีหน้าต่างไหม

“มีครับ”

ผมตอบงัวเงียพลางแหงนหน้ามองผนัง ห้องนอนของผมอยู่ตรงกับประตูรั้วของบ้านพอดี ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเดินไปแง้มผ้าม่าน เมื่อเห็นพี่อู๋ยืนถือเค้กจุดเทียนอยู่นอกรั้ว ผมก็ร้องไห้ออกมา

“อย่าลงมานะ” พี่อู๋พูดเสียงเบา เขากำลังเงยหน้ามองผมผ่านบานกระจกของหน้าต่างเหมือนกัน “ฟังเงียบๆ ก็พอ”

ผมไม่สนคำห้ามนอกจากโยนโทรศัพท์บนเตียงแล้ววิ่งลงบันไดโดยมีไอ้หมีเดินตาม ทุกย่างก้าวที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้รั้วบ้าน ผมเห็นชายที่ตัวเองรักชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เต็มสองตา พี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำเหมือนเดิม ในมือของเขามีเค้กหนึ่งกล่องซึ่งจุดเทียนไว้เรียบร้อย

“Happy Birthday ย้อนหลังนะก้อง”

พี่อู๋ยิ้ม แสงสว่างจากเทียนตกกระทบใบหน้าเผยให้เห็นว่าพี่อู๋กำลังน้ำตาคลอไม่ต่างกัน ผมไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้ายังไง นอกจากยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกันเหมือนคนบ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรจึงค่อยๆ แง้มประตูรั้วเพื่อเดินไปหาเขา

ภาพตรงหน้าที่เห็นคือของจริง พี่อู๋ตัวจริงแน่นอนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ผมปล่อยโฮออกมาก่อนจะค่อยๆ เดินไปสวมกอดเขา การพบกันครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ผมไม่ได้กระโดดกอดเขาจนตัวลอยเพราะกลัวว่าพี่อู๋จะหายไป ทันทีที่สองแขนโอบรอบแผ่นหลังของเขาเอาไว้ พี่อู๋ก็วางเค้กที่ถืออยู่บนท้ายรถแล้วสวมกอดผมแน่น

“ผมคิดถึงพี่” ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของเขาด้วยความโหยหา พี่อู๋เองก็คงคิดถึงผมเหมือนกันไม่งั้นคงไม่รัดก้องเกียรติแน่นขนาดนี้ “อย่าหายไปอีกนะครับ ผมไม่ชอบเลย”
“รู้แล้ว” พี่อู๋ตอบ เราผละตัวออกชั่วครู่เพื่อที่เขาจะสามารถใช้สองมือประคองแก้มของผมเอาไว้ได้ “พี่ก็คิดถึงก้อง”

ตอนที่เขาพูดว่าคิดถึงผม ความห่าเหวทั้งหมดที่เคยคิดน้อยใจก็หายไปเลย เงินหนึ่งหมื่นจากย่าเหรอ ไม่มีความหมาย โน้ตบุ๊กตัวท็อปที่พ่อซื้อให้เหรอ ก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเท่าการปรากฎตัวของผู้ชายที่ผมรัก เพราะสิ่งที่ผมต้องการมีแค่อย่างเดียวคือได้พบพี่อู๋อีกครั้ง และมันเหมือนฝันเมื่อตอนนี้เรากำลังสวมกอดกันอยู่จริงๆ ผมเอาแต่กระซิบบอกว่าคิดถึงเขาซ้ำไปซ้ำมา ส่วนพี่อู่ก็พูดแค่ว่าขอโทษแต่ไม่อธิบายเพิ่มว่าขอโทษทำไม เรายืนกอดกันหน้าบ้านนานหลายนาที นานจนไอ้หมีส่งเสียงเห่าเพราะอยากออกมาเล่นกับพี่อู๋ด้วย ผมจึงรีบผละตัวออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจมีใครเห็นเรายืนกอดกันตรงนี้และบอกพี่อู๋ว่าไปคุยกันที่อื่นดีกว่า

“ไปไหน?” พี่อู๋ถามงงๆ และไม่ยอมขยับตัว ผมเหลือบมองเค้กที่วางอยู่ท้ายรถก่อนจะรีบคว้ามาถือ หลับตาอธิษฐานประมาณสามวินาทีแล้วเป่าเทียน ฟุ่บ! อย่างรวดเร็ว “เฮ้ย ทำไมขอพรไวจังวะ?”
“ผมไม่มีอะไรจะขอเพราะพี่อยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง”
“ก้องจะไปไหน?” พี่อู๋ถลึงตาตกใจ ดูออกเลยว่าแผนการพานายก้องเกียรติหนีไม่ได้อยู่ในสมองของเขาตั้งแต่แรก “ก้องจะหนีออกจากบ้านเหรอ?”
“ใช่ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” พูดจบผมก็ปิดประตูรถ ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่พี่อู๋ก็เข้ามานั่งประจำที่และคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ไปจากที่นี่กันเถอะครับ”
“ไปไหน?”
“ที่ไหนก็ได้ที่มีแค่เรา”

ผมยิ้มและยื่นหน้าเข้าไปจูบพี่อู๋เบาๆ มองเขาด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยพาผมไปจากตรงนี้ทีเถอะ ขับไปไหนก็ได้ที่มีแค่เราสองคน ได้โปรดอย่าทรมานกันด้วยการทิ้งก้องเกียรติไว้คนเดียวอีกเลย พี่อู๋จ้องหน้าผมอีกหน่อย เขาดูลังเลแต่เมื่อเห็นผมเม้มปากจะร้องไห้ เขาก็สตาร์ทรถและขับออกไปโดยไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีก




TBC


_________________________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์เช่นเคยค่ะ     ​
อีกไม่กี่วันจะเข้าฤดูหนาวแล้ว อย่าลืมเปิดตู้เสื้อผ้าให้ทุกวันเป็นรันเวย์นะคะ :D

ตอนนี้พี่อู๋ก็ยังคงมาน้อยอีกเช่นเคย แต่ตอนหน้าไม่น้อยแล้วคับ มีคนเจ็บตัวด้วยคับ ถึงขนาดเลือดออกเลยคับ ว้าวซ่ามาก ขอสปอยล์เล็กๆไว้แค่นี้ อีกเจ็ดวันมาพบกันที่เดิมเวลาเดิมนะคะ :)

ส่วนรูปเล่ม ตอนนี้ปกสองเสร็จแล้วน้า น่ารักมากเลย แง ไว้รอชมพร้อมกันนะคะ ประมาณเดือนหน้าถ้าเขียนเนื้อหาทั้งหมดจบ ก็น่าจะได้รายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับการพิมพ์แล้วค่ะ รู้สึกว่าพูดคำนี้บ่อยมากเลย อดใจรออีกนิดนะคะ เพราะมันก็ใกล้แล้วจริงๆค่ะเพราะอีกไม่กี่ครั้ง อวสานวันจันทร์ก็จะมาถึงแล้วค่ะ ;-; ขอบคุณทุกคนที่รักและสนับสนุนนิยายเรื่องนี้มาโดยตลอดนะคะ ฟี้ดแบคสุดแสนจะเร่าร้อนรุนแรงเป็นของขวัญชั้นดีให้เราเลย ไม่คิดว่าจะได้รับความรักมากมายขนาดนี้จากทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ   
 
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 14-10-2019 21:18:40
 :m16: เป็นเ-ย อะไรหวะ อิพี่ มีไรเมิ่งก็พูดกันดิ รู้อยู่ว่าน้องมันเป็นซึมเศร้าอ่ะ ถ้ามันคิดจะฆ่าตัวตาย
 แกจะทำไรได้ทันมั้ยอะตอนนั้น
 หงุดหงิดโว้ยยยยยยยยย :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 14-10-2019 22:26:59
พี่อู๋!!! ต้องเคลียร์เลยนะ ยังไง จะ 35 แล้วนะไม่ใช่เด็กๆ  :z6:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2019 22:40:37
ใจจดจ่อทุกตัวอักษรเพราะกลัวตกหล่นอะไรไป​ ดีใจที่ได้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-10-2019 22:53:46
น้ำตาแตกไปเลยในที่สุดพี่อู๋ก็มา  :hao5: หมูอู๋มีอะไรทำไมไม่พูดหาาาาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 14-10-2019 23:00:56
ทรมานแทนก้องเหลือเกิน :o12:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-10-2019 23:37:39
พี่อู๋ต้องเป็นอะไรแน่เลยอ่ะ ที่บอกว่ามาเจอไม่ได้ อย่าทำเรื่องให้มันยาก พ่อแน่เลยที่ขัดขวาง แงงงงงง สงสารยัยก้อง ร้องไห้ไปกะน้องทุกตอน
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 15-10-2019 00:10:39
จะบ้าตาย ขอยาดสาปส่งพ่อก้องก่อนเลย ตัวการแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 15-10-2019 04:21:24
อ่านแล้วรู้สึกเป็นความรู้สึกที่พูดยาก จะให้เข้าใจก้องก็เข้าใจ แต่อีกมุมหนึ่งของพ่อก็เข้าใจ จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่มีใครperfectละมั้ง พูดยากจัง แง้ๆ
แต่เอาเป็นว่าติดตามตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 15-10-2019 08:34:48
ยาวได้ใจจริงๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-10-2019 09:08:37
พ่อก้องดูมีพิรุธ แต่ก็ดีใจที่พี่อู๋ยอมมาหาก้องแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 15-10-2019 11:12:37
อึดอัด อึดอัดมากๆ
จะไม่ไหวแล้วน้าาาา
อยากเลิกอ่านก็ใจไม่แข็งพอ
ฮึ่ยยยยยยยยยยยยยย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-10-2019 11:21:20
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-10-2019 15:10:34
อึดอัดมากกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-10-2019 17:57:30
หน่วงไปหมด
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-10-2019 19:36:09
พี่อู๋หลอกเด็กก้องให้หลงรักหัวปักหัวปำขนาดนี้แล้วจะมาทิ้งกันไว้กลางทางไม่ได้นะ
สงสารก้องร้องไห้จนน้ำหมดตัวแล้วมั้ง
พ่อน่าสงสัยที่สุด คงไปขู่พี่อู๋ไว้แน่ ๆ

ส่วนเรื่องครอบครัวพ่อหรือการรับสืบทอดกิจการ ก้องก็ค่อย ๆ คิด ยังพอมีเวลา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 15-10-2019 20:38:00
น้องก้อง 20 แล้ววว... อ่านในมุมมองน้องความรู้สึกจะสีอมเทาหน่อย ผ่านวันนี้ไป ทุกอย่างน่าจะดีขี้น  :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 15-10-2019 22:29:23
พี่อู๋ต้องมีเหตุผลดีๆ มาอธิบายนะ ไม่งั้นโกธร
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-10-2019 23:21:45
ปวดใจไปกับก้องเลยอ่ะ เกิดอะไรกับพี่อู๋กันแน่ น้ำตาจะไหลตอนรุ้ว่าเลยวันเกิดแล้วยังไม่มาหากัน สุดท้ายมาแต่ก็ไม่รุ้อีกว่าจะดีหรือร้าย  :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 16-10-2019 00:55:32
อาม่า!!! อาม่าแน่ๆ เบื้องหลังจอมบงการให้พี่อู๋ขับไสไล่ส่งน้องก้องคืออาม่าแน่ๆ จากไม่ค่อยยินดีกับก้อง อยู่ๆก็เอาตังให้แถมพูดจาแปลกๆ อาม่าแน่ๆ ตอนหน้ามีคนเจ็บตัวด้วย อาม่า อาม่าแน่ๆ :serius2:

ปล.1 ตอนเสี่ยอู่โผล่มาถือเค้กข้างกำแพงคือจะร้องงงง :mew6: มีคนบังคับจิตใจเสี่ยแน่ๆ เสี่ยก็อยากอยู่กับน้องแหละ เรามั่นใจ!!
ปล.2 ก้องจุ๊บเสี่ยก่อนอ่ะ ชั้นกรีดร้องงงงง :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 41 update!] 14/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 16-10-2019 13:38:08
พี่อู๋มีอะไรก็บอกน้องงงงงง :ling1:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ติดตาม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 21-10-2019 19:54:41
42 [PART 1/3]


ที่ไหนก็ได้ที่มีแค่เรา – คือเบอร์เกอร์คิงในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

พี่อู๋ไม่ได้พาผมกลับลาดพร้าว ไม่ได้พาออกต่างจากหวัด ไม่ได้พาไปพักค้างคืนที่อื่นซึ่งเราสามารถอยู่ลำพังกันสองต่อสองได้ แต่เขากลับถามผมว่าหิวไหม กินอะไรหรือยัง พี่หิวจังเลยอ่ะ ถ้าก้องไม่ว่าอะไร เราแวะกินเบอร์เกอร์คิงกันหน่อยดีไหม

ผมไม่ขัดคอคนที่ผมชอบอยู่แล้ว แค่รู้ว่าพี่อู๋หิว ผมก็แทบจะวิ่งกุลีกุจอไปกดดันพนักงานให้รีบทำเบอร์เกอร์เสิร์ฟพี่อู๋ไวๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสองสามสิบเจ็ดนาที ผมกับพี่อู๋นั่งบนเก้าอี้เบาะนวมที่อยู่ลึกสุดในร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว บนโต๊ะมีทริปเปิ้ลวอปเปอร์ชีสของเขา ชีสเบอร์เกอร์เนื้อของผม โค้กสองแก้ว แฮชบราวน์ และพายแอปเปิ้ลอีกหนึ่งชิ้น ผมไม่ได้อยากกินแฮมเบอร์เกอร์เท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าการเห็นพี่อู๋อ้าปากกว้าง งับเอาเบอร์เกอร์คำโตจนแก้มตุ่ยนั้นเจริญอาหารมาก เราสองคนนั่งกินเหมือนคนหิวโซมาร่วมเดือน พอท้องอิ่มคุณอิศรินทร์ก็อารมณ์ดี เขายิ้มอย่างพออกพอใจเมื่อเห็นก้องเกียรติกินชีสเบอร์เกอร์จนหมด

“อร่อยไหม?”

พี่อู๋ถามเหมือนเคย ผมรีบพยักหน้าแทนคำตอบและบอกต่อว่าโหยอาหารฟาสต์ฟู้ดขนาดไหน พี่รู้ไหมที่บ้านไม่มีใครกินของพวกนี้เลย ทุกคนกินกับข้าวฝีมืออาแตง กินข้าวกล้อง ปลาและผักทุกวันเหมือนชมรมคนรักสุขภาพ แต่อาหารของอาแตงอร่อยมากเลยนะ โดยเฉพาะพวกต้มๆผัดๆ ผมชอบมากเลย

“พี่เห็นหมาที่เห่าในบ้านไหม? หมาตัวเมื่อกี๊ชื่อหมี อีหมีที่ผมถ่ายรูปให้พี่ดูไง” ผมใช้หลอดกระทุ้งน้ำแข็งในแก้วก่อนจะเงยหน้ามองพี่อู๋ที่กำลังเท้าคางมองมาด้วยแววตาอบอุ่นและอ่อนโยน “ทำไมพี่มองผมแบบนี้อ่ะ?”
“เพราะพี่คิดถึงก้องมากๆ”
“โกหก ก่อนหน้านี้พี่เพิ่งบอกว่าไม่รู้ยังรักผมเหมือนเดิมไหมอยู่เลย”
“ไม่ได้โกหก ก็พี่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” พี่อู๋หุบยิ้ม เขาดูจริงจังกับบทสนทนาขึ้นมากะทันหัน
“พอเจอหน้าผมแล้ว ตกลงความรู้สึกของพี่มันว่ายังไงครับ?”

ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พี่อู๋เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือเข้ามาใกล้แล้วบีบมือของก้องเกียรติเอาไว้แน่น

“ยังรักเหมือนเดิม”

แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเหตุผลทั้งหมด หลังจากนี้ผมจะไม่พูดถึงความใจร้ายและความโกรธที่เคยมีต่อพี่อู๋อีก ผมจะไม่กวนน้ำให้ขุ่น ไม่หาเรื่องให้เราต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะทุกๆวันมีค่า มันมีความหมายเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับการถามหาเหตุผลให้เคืองใจกัน

“วันนี้พี่ที่เย็นชา พี่ก็แค่แกล้งแต่จริงๆแล้วตั้งใจมาหาผมใช่ไหม?”

พี่อู๋ไม่ได้ตอบในทันที เขาเงียบไปพักใหญ่เหมือนมีความลับในใจที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่ใช้เวลาครุ่นคิดไม่นานเขาก็ยิ้มแบบฝืนๆและบอกว่าไม่ เขาไม่ได้วางแผนจะมา ที่โผล่มาตีสองก็เพราะมันกะทันหัน เขาเพิ่งรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เราต้องทะเลาะกันแบบนี้ เขาไม่อยากทำให้ก้องเกียรติมีวันเกิดปีที่ยี่สิบแบบเฮงซวย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจขับรถมาหา ซื้อเค้กราคาถูกจากร้านข้างทางที่ยังไม่ปิดพร้อมกับเทียนหนึ่งกล่องและตรงดิ่งมาบ้านของผมตามโลเคชั่นที่เคยแชร์ให้

“เพราะพ่อใช่ไหม?” ผมถามต่อ พี่อู๋ดูหนักใจมากขึ้น ผมเดาได้ทันทีว่ามาถูกทางแล้ว “พ่อไม่อยากให้พี่มาหาผมใช่ไหม?”
“ก็ไม่เชิงหรอก พี่ไม่อยากมาเองด้วย” ตอนที่พี่อู๋พูดประโยคนั้น ผมเจ็บจี๊ดไปทั้งอกเลย “พี่กลัวว่าเจอหน้าก้องแล้วมันไม่เหมือนเดิม”
“ยังไง?”
“พี่กลัวว่าพี่จะรักก้องน้อยลง” ผมน้ำตาคลอเมื่อได้ยินคำว่ารักน้อยลง
“ทำไมพี่ถึงรักผมน้อยลงล่ะ?”
“ก้องบอกเพื่อนว่าคบกับพี่เพราะเงิน มันทำให้พี่ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมา – ระหว่างเราเป็นเรื่องจริงจังสำหรับก้อง หรือก็แค่ทำไปเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด”
“จริงจังสิครับ ผมจริงจังกับพี่มาตลอด ถ้าไม่จริงจังผมจะตามง้อพี่อย่างนี้เหรอ? ถ้าไม่เคยรักพี่จริง ป่านนี้ผมคงไม่กลับไปหาพี่แล้ว ผมมีพ่อที่รวยกว่าพี่ตั้งเยอะ ผมจะแคร์เงินจากพี่อีกทำไม แต่ที่เรากลับมาหากันวันนี้ก็เพราะเรารู้สึกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ผมถามพี่อู๋เสียงสั่น “หรือพี่ไม่รู้สึกเหมือนผมแล้ว?”
“รู้สึกสิ” เขาถอนหายใจ “พี่ก็ยังรักก้องเหมือนเดิมนั่นแหละ มันแค่อารมณ์ชั่ววูบน่ะ นึกออกไหม แบบ – จู่ๆเราก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง”
“งั้นผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าก้องเกียรติรักพี่อู๋คือเรื่องจริง”
“จริงขนาดไหน?”
“ขนาดที่ถ้าเราสามารถจดทะเบียนสมรสได้ พรุ่งนี้ผมจะไปอำเภอกับพี่ เราจะแต่งงานกัน พี่อู๋จะได้มั่นใจเสียทีว่าผมอยากคบกับพี่จริงๆ ไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย”

พี่อู๋พึมพำว่าเพ้อเจ้อและยิ้มเขิน ถ้าหากร้านนี้มีแค่เราสองคน ไม่มีพนักงาน ไม่มีลูกค้าคนอื่นในปั๊มน้ำมัน ผมจะโน้มหน้าเข้าไปจูบพี่อู๋และร่วมรักกันบนโต๊ะตัวนี้ แต่เพราะบริเวณนี้มีคนอยู่มากเกินไป และการมีเซ็กส์ในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้งถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากบีบมือพี่อู๋และบอกรักเขา ตอนนี้คุณอิศรินทร์ที่เคยเย็นชาหายไปแล้ว เหลือแค่พี่อู๋คนเดิมที่รักและมองผมด้วยแววตาอ่อนโยนเท่านั้น

การได้เจอกันมันดีอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย อย่างน้อยพี่อู๋ก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าเขาจะรักผมน้อยลงหรือไม่ ผมเองก็ไม่ต้องทนเศร้าเสียใจกับการลาจากแบบไม่มีเหตุผล ผมอมยิ้มพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาบนหลังมือเขา เรามองหน้ากัน ชั่วขณะนั้นเหมือนมีประกายไฟจุดติดขึ้นในพริบตาเพราะการสัมผัสที่แสนจะแผ่วเบา ผมที่ไม่รู้ว่ากลายเป็นเด็กแก่แดดตั้งแต่เมื่อไหร่ค่อยๆพาดขาบนเก้าอี้ของพี่อู๋ที่นั่งอยู่ตรงข้าม จงใจกดปลายเท้าตรงหว่างขาของเขาและยิ้มหวานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่อู๋ตกใจมากที่นายก้องเกียรติทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ แต่ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มเช่นกัน

“ก้อง”
“ครับ?”

ผมเสแสร้งแกล้งไร้เดียงสา วินาทีนั้นผมคิดว่าเราต้องได้ร่วมรักกันแน่ๆ ในที่ไหนซักแห่งใกล้ๆนี้ อาจจะในโรงแรมข้างทาง ในห้องน้ำ หรือในรถที่เรานั่งด้วยกันประจำ ผมมั่นใจว่าพี่อู๋จะต้องจูบนายก้องเกียรติ เขาจะฟัด จะหอมแก้มผม จะกดจูบลงมาเหมือนที่เคยทำในห้องนอน เราจะโอบกอดกันด้วยความคิดถึงทางกายภาพที่กำลังปะทุจนแทบบ้า แต่พี่อู๋ก็ดับฝันนั้นด้วยการพูดว่า

“เอาเท้าลง พี่เจ็บไข่”





นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสามห้าสิบแปดนาที

อีกสองนาทีจะตีสี่ แต่เราไม่ได้อยู่ในโรงแรม ในห้องน้ำ หรือสถานที่ที่เอื้ออำนวยสำหรับการรำลึกความหลังเลยด้วยซ้ำ หลังสั่งให้นายก้องเกียรติเอาเท้าลง พี่อู๋ก็เก็บวาดเศษซากที่กินจนเกลี้ยงใส่ถาด และเดินตรงไปที่รถเหมือนไม่มีอะไร เขาปล่อยให้ผมเสียเซลฟ์อยู่นานเพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน มันอาจผิดกาลเทศะที่ทำแบบนั้นในร้านฟาสต์ฟู้ด แต่พี่อู๋ก็ไม่ควรหมดอารมณ์เร็วขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ ผมมั่นใจว่าเขาเองก็หวั่นไหวเหมือนกัน เพราะจังหวะที่กดปลายเท้า ผมสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างมันต่อต้าน ทันทีที่เราขึ้นรถพร้อมกัน ผมก็ถามพี่อู๋ว่าเรากลับลาดพร้าวกันเลยดีไหม แต่พี่อู๋กลับบอกว่า

“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ก้องต้องกลับไปนอนที่บ้าน”

 พอได้ยินแบบนั้น ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นลำดับถัดไป ผมดื้อ ผมโวยวายและเอาแต่ใจ ผมร้องไห้งอแงขอให้พี่อู๋ขับรถกลับลาดพร้าวเดี๋ยวนี้แต่คุณอิศรินทร์ดูใจแข็งกว่าที่คิดไว้ เขายืนยันคำเดิมว่าผมจะไม่ได้ไปลาดพร้าวจนกว่าพ่อจะอนุญาต ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ได้มีกันแค่สองคนแล้วนะก้อง ก้องเองก็มีพ่อ มีครอบครัวที่ต้องกลับไปอยู่ด้วย เราจะหนีตามกันไปแบบนี้ไม่ได้ คิดถึงใจของพ่อบ้าง พ่อจะรู้สึกยังไงถ้าพี่พาก้องหนีออกจากบ้าน

“ทีพ่อยังพาแม่หนีได้เลย! ทำไมผมจะหนีไปอยู่กับพี่ไม่ได้!”

ผมบอกเขาว่าผมโตแล้ว ผมอายุยี่สิบปีเมื่อวาน ผมมีสิทธิ์เลือกว่าจะย้ายไปอยู่กับใคร และตอนนี้ผมเลือกพี่ แต่พี่อู๋ก็ย้อนกลับว่าในเมื่อเขาไม่อนุญาต ก้องจะกลับไปอยู่ลาดพร้าวได้ยังไง พูดถึงตรงนี้ผมก็ปล่อยโฮอีกลูกใหญ่ ผมโกรธที่พี่อู๋ไม่ยอมให้ไปอยู่ด้วย ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงพาผมไปส่งบ้านทั้งๆที่เขาเองก็รู้ว่าผมไม่มีความสุข แต่พี่อู๋คงเตรียมใจกับอาการกอริลลาตกมันแล้ว เขาถึงสามารถอดทนขับรถเงียบๆจนถึงหน้าบ้านของก้องเกียรติโดยไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา นาฬิกาบอกเวลาว่าตีสี่ห้าสิบนาที วีออสร้ายๆจอดห่างจากประตูบ้านนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของคนในบ้าน

ผมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น รู้สึกเสียใจที่ทุกอย่างของเรามันไม่เหมือนเดิมจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในเมื่อเราเป็นแฟนกันแล้ว พ่อเองก็รับรู้ เขาเองก็รักผม ทำไมเราถึงอยู่ในคอนโดสองคนเหมือนเดิมไม่ได้ พี่อู๋ที่เห็นนายก้องเกียรติยังคงคร่ำครวญเสียใจก็ปลอบผมด้วยการสวมกอด แต่ผมดื้อ ผมผลักเขาและตัดพ้อว่าเขาไม่รักผมแล้ว ถ้าเขารักผม เขาจะไม่พาผมมาส่งที่บ้าน

“มีเหตุผลหน่อยสิก้อง เราจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

พี่อู๋พูดอย่างใจเย็นและเช็ดน้ำตาให้ ผมที่กำลังอยู่ในห้วงของความเสียใจได้แต่นั่งสะอึกเป็นพักๆพลางเหลือบมองคนรักอย่างโกรธเคือง

“ถึงก้องจะไม่รักบ้านหลังนี้ แต่มันก็เป็นบ้านของก้อง”
“บ้านของผมอยู่ที่ลาดพร้าว” ผมตอบห้วนๆ พี่อู๋ถึงกับถอนหายใจ
“ก้อง -- พี่อยากให้ก้องมีคนอื่นบ้างนอกจากพี่ เราจะมีกันแค่สองคนไม่ได้นะ ก้องต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง พี่ไม่อยากให้ชีวิตก้องมีแค่พี่คนเดียว”
“พี่อยากให้ผมมีผัวอีกคนเหรอ?”
“ไอ้ก้อง --” พี่อู๋หน้าบึ้งไม่สบอารมณ์ ทำไมเขาถึงไม่ขำกับมุกนี้ล่ะในเมื่อเขาพูดเองนะว่าไม่อยากให้ผมมีเขาแค่คนเดียว “มีผัวอีกคนมึงตายแน่”

ฟังดูโรแมนติคดีเนอะ ผู้ชายที่เรารักขู่เราด้วยการบอกว่าจะเอาเราถึงตาย ผมมองหน้าพี่อู๋ด้วยความไม่พอใจเหมือนกันเพราะไม่ชอบให้เขาขู่แบบนี้ ทำไมต้องขึ้นมึงขึ้นกูด้วยในเมื่อเขานั่นแหละเป็นคนจุดประเด็นก่อน และเหมือนพี่อู๋จะรู้ตัวว่าเขาผิด แน่ล่ะว่าเขาต้องรู้เพราะทุกครั้งที่เราไม่พอใจกัน สาเหตุหลักๆมันก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ดังนั้นพี่อู๋จึงย่อมเอ่ยขอโทษที่ใช้คำหยาบและย้ำอีกครั้งว่าชีวิตผมไม่ควรมีพี่อู๋คนเดียว ผมควรมีพ่อและน้องสาวด้วย เผื่อวันไหนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมจะได้ไม่เสียหลักจนอยู่คนเดียวไม่ได้

“ถึงเวลาที่เราต้องคุยกันจริงจัง” พี่อู๋บอก “คุยกันแบบผู้ใหญ่”

เขาย้ำอีกครั้งเพื่อให้ก้องเกียรติเข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น พี่อู๋บอกว่าเขาเป็นห่วงผมมาก ตอนนี้เรายังคบกัน ยังรักกันอยู่มันก็ไม่เป็นไร พี่อู๋ยังแข็งแรงดี งานของเขาก็มั่นคงจนไม่ทำให้เราต้องกลายเป็นคู่รักกัดก้อนเกลือกินเร็วๆนี้ แต่สมมตินะว่าวันหนึ่ง – วันหนึ่งในอนาคต เราหมดรักกันแล้ว หรือพี่อู๋เจ็บป่วยล้มตายกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ดังนั้นผมจำเป็นต้องมีพ่อและครอบครัวคอยซัพพอร์ต ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมถึงจิตใจด้วย

“ถึงก้องจะบอกว่าอยู่คนเดียวได้ แต่จากสองอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่ไม่สบายใจเลยถ้าก้องต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก”

น่าแปลกที่ผมมักจะเป็นฝ่ายพูดว่าถ้าเราเลิกกัน ถ้าวันหนึ่งเราไม่เหลือความรักต่อกันโดยไม่รู้สึกอะไร แต่คราวนี้พี่อู๋ที่เป็นคนพูดเองทำเอาผมปวดใจใช่เล่น ถ้าลองมองในมุมผู้ใหญ่อย่างที่เขาว่ามันก็จริง หากวันไหนพี่อู๋ไม่อยู่ วันนั้นผมคงขาดใจตายแน่ๆเพราะอยู่คนเดียวไม่ได้ และสิ่งที่แฟนของผมต้องการคือหลักประกันดีๆที่จะช่วยดูแลก้องเกียรติไม่ให้ตรอมใจตายอย่างที่เขากลัว แต่พี่อู๋จะเข้าใจบ้างไหมว่าครอบครัวแค่ในนามมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อผมไม่สนิทใจกับพ่อ ไม่รู้สึกรักใครในบ้านหลังนั้น จะหวังให้พึ่งพาพวกเขาในอนาคตคงเป็นไปไม่ได้ ผมยอมตายตามพี่อู๋ไปน่าจะดีกว่า

“อีกอย่าง ก้องควรมีครอบครัวเป็นของตัวเอง” พี่อู๋ย้ำอีกหน “ไม่ใช่ว่าพี่ไม่รักก้อง พี่รัก แต่พี่เห็นด้วยกับหลายๆคนว่าก้องควรมีโลกสองใบ ควรมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ผูกติดกับพี่จนแยกจากกันไม่ได้”

ผมนั่งฟังสารพัดเหตุผลตามฉบับผู้ใหญ่จากพี่อู๋ แต่ฟังไปก็ไม่เห็นด้วยหรือคล้อยตามกับคำพูดของเขาเลย ผมคงเป็นเด็กดื้อจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า อะไรไม่ได้ดั่งใจหรือขัดกับความต้องการตัวเอง ผมจะไม่ตอบรับโดยเด็ดขาด แต่ที่นั่งเงียบอยู่หลายนาทีเป็นเพราะผมไม่อยากทะเลาะกับพี่อู๋ต่างหาก ผมเหนื่อยที่จะให้เรากลับไปอยู่ในจุดที่พ่นแต่ถ้อยคำแย่ๆใส่กันแล้ว ดังนั้นตอนที่พี่อู๋ถามเข้าใจไหม ผมจึงตอบจ๋อยๆว่าเข้าใจครับ แต่ความจริงก็คือไม่ได้ใส่ใจหรือเห็นความสำคัญของครอบครัวตัวเองมากขึ้นเลย

“ดีมาก” พี่อู๋ลูบหัวผม เขาคงคิดว่าเด็กในปกครองเป็นหมาเชื่องๆที่พูดอะไรสั่งอะไรก็เข้าใจ “ทีนี้กลับเข้าบ้านไปนอนได้แล้ว”
“เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกครับ?” ผมถาม แต่พี่อู๋ให้คำตอบทันทีไม่ได้
“เอาเป็นว่าพี่จะแอบมาหาเรื่อยๆก็แล้วกัน”

แค่พูดว่า ‘แอบ’ ผมก็รู้แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังของต้นเหตุที่สร้างความว้าวุ่นใจตลอดสองสัปดาห์ พ่อกับพี่อู๋ต้องคุยกันนอกรอบแน่ๆแต่พวกเขาโกหกผม ถ้าหากพ่อไม่ว่าอะไรจริง มีเหรอที่พี่อู๋จะไม่มาหา เรารักผมแทบบ้า รักผมจนไม่อยากปล่อยให้เดินลงจากรถด้วยซ้ำ ผมอยากถามพี่อู๋จริงๆว่าพ่อมีสิทธิ์อะไร ทำไมเราต้องเกรงใจพ่อด้วยในเมื่อเรารักกันก่อนที่พ่อจะโผล่มาอีก

“ขอผมกินเค้กวันเกิดก่อน แล้วผมจะกลับไปนอน”

ผมแกล้งต่อรองก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบเค้กจากเบาะหลัง ในกล่องกระดาษมีเค้กสีขาวเขียนหน้าว่าHappy Birthday Kong เหมือนพ่อ แค่เปลี่ยนจาก N’Kong เป็น Kong เฉยๆ ผมลองใช้ส้อมจิ้มเนื้อเค้กขึ้นมากิน รสชาติมันไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้อร่อยน้ำตาไหล พี่อู๋เห็นผมตักเค้กกินเรื่อยๆจึงถามว่าเป็นยังไง เขาขอโทษอีกครั้งที่ไม่ได้สั่งจากร้านดีๆแพงๆเหมือนปีที่แล้ว ผมจึงปลอบใจด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะของขวัญวันเกิดที่ผมต้องการที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว เค้กและของอย่างอื่นไม่สำคัญ ว่าแต่พี่มีของขวัญวันเกิดให้ผมไหม

“มีสิ” พี่อู๋หัวเราะเมื่อโดนผมทวง “หลับตาก่อน เดี๋ยวเอามาให้”

ผมหลับตาทั้งๆที่ปากยังกินเค้กอยู่ หลังจากฟังเสียงเปิดปิดประตูและเสียงกรอบแกรบของถุงกระดาษ พี่อู๋ก็บอกให้ลืมตาได้ เขาส่งกล่องของขวัญห่อลายตัวการ์ตูนมาให้และอวยพรวันเกิดนายก้องเกียรติอีกรอบ

“อะไรเหรอครับ?” ผมถามพลางเขย่ากล่องของขวัญ ไม่ค่อยได้ยินเสียงอะไรเท่าไหร่ คาดว่าน่าจะเป็นของใช้เพราะมันหนักพอสมควร “ผมฉีกกระดาษเลยนะ”
“ตามใจเลยไอ้หมูอ้วง”

พี่อู๋หยิกแก้มผมด้วยความมันเขี้ยวและนั่งดูนายก้องเกียรติแกะห่อของขวัญใจจดใจจ่อ ผมฉีกกระดาษสวยๆออกก่อนจะเปิดกล่องเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

“อะไรอ่ะ?” ผมยกกล่องกระดาษสีน้ำเงินกรมท่าขึ้นมาดูใกล้ๆ พอแกะกล่องอีกชั้นก็เห็นขวดแก้วสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ข้างใน “น้ำหอมเหรอครับ?”
“ใช่”

พี่อู๋ยิ้มหวานในขณะที่ผมเริ่มเสียเซลฟ์แล้วว่าตัวเองกลิ่นตัวแรงหรือเปล่า ทำไมจู่ๆแฟนถึงซื้อน้ำหอมให้เป็นของขวัญวันเกิด

“วันก่อนน้ำหอมพี่หมด พี่ก็เลยเดินเลือกดู” พี่อู๋ว่าพลางเปิดฝาแล้วฉีดสองสามครั้งเหนือหัวของก้องเกียรติ เราเงยหน้าดมกลิ่นพร้อมกัน “พี่ว่ากลิ่นนี้เหมาะกับก้องดี”

ผมสูดจมูกฟุดฟิด มันก็หอมดี เป็นกลิ่นหอมที่แตกต่างจากกลิ่นตัวของพี่อู๋ มันแปลกๆบอกไม่ถูกว่าต่างยังไง เหมือนกลิ่นผลไม้อบควันที่นัวๆชวนเคลิ้มหน่อยๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นไปพร้อมกัน พี่อู๋ถามว่าชอบไหม ผมจึงตอบว่าชอบครับแม้ว่าจะเข้าไม่ถึงโลกของน้ำหอมราคาแพงก็ตาม พอเห็นนายก้องเกียรติยิ้มดีใจกับของขวัญวันเกิด เขาก็สอนวิธีใช้น้ำหอมด้วยการบอกว่าต้องฉีดตรงไหน

“ข้อมือ ข้อพับ หลังหู --” พี่อู๋ฉีดฟุดฟิดตามจุดต่างๆให้ผม “แต่ถ้าขี้เกียจจะฉีดมั่วๆแล้วเดินทะลุละอองมันก็ได้ พี่ทำบ่อย”
“วันนี้พี่ฉีดของพี่มาไหมครับ?”

ผมถาม เมื่อพี่อู๋พยักหน้า ผมก็ถือวิสาสะดึงข้อมือของเขามาดม แต่ผมกลับได้กลิ่นของทอดซึ่งน่าจะมาจากเบอร์เกอร์ที่เราเพิ่งกินด้วยกันเมื่อครู่

“วันนี้พี่ล้างมือตั้งหลายรอบ ตรงข้อมือไม่มีกลิ่นหรอก ลองดมตรงนี้สิ” พี่อู๋ใช้นิ้วตบหน้าอกตัวเองเบาๆ “แล้วก็หลังหู พี่แต้มไว้นิดหน่อย ไม่รู้กลิ่นยังพอเหลือไหม”

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สูดดมเบาๆตรงเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ได้กลิ่นอ่อน มันเป็นกลิ่นเจือจางที่แยกไม่ออกว่าหอมแบบไหน ดังนั้นผมจึงนั่งหลังตรง ใช้มือจับต้นแขนพี่อู๋ก่อนจะยื่นจมูกเข้าไปตรงหลังหูของเขา

อืม – มันหอม

ใช่ มันหอมจางๆ เป็นกลิ่นหอมสะอาดที่ทำให้นึกถึงภาพหนุ่มออฟฟิศตามรถไฟฟ้า ผมฟุดฟิดดมต่ออีกหน่อยเพราะอยากให้กลิ่นชัดมากกว่านี้ แต่ปลายจมูกกลับค่อยๆไล้ต่ำลงเรื่อยๆจนถึงคอของเขา ผิวเนียนนุ่มของหนุ่มตัวหอมทำเอาผมเคลิ้มชั่วขณะ มันให้ความรู้สึกวาบหวามที่ได้เป็นฝ่ายชิมเขา ผมจึงตัดสินใจ ค่อยๆประทับริมฝีปากลงไป จูบเบาๆตรงคอของพี่อู๋หนึ่งที

พี่อู๋ดูพอใจกับสิ่งที่ผมทำ เพราะเขาเชิดคอขึ้นเพื่อเชื้อเชิญให้นายก้องเกียรติได้สัมผัสตัวเขามากกว่านี้อีกหน่อย ผมที่กำลังย่ามใจจึงพรมจูบไปเรื่อย ริมฝีปากลากผ่านตรงไหนก็จะทิ้งจุมพิตเบาๆเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผมไล่จูบพี่อู๋ตั้งแต่ลำคอจนถึงคาง หลังจากนั้นก็เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากและค่อยๆสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล



ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยคับผม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 21-10-2019 19:56:56
42 [PART2/3]

นี่คือจูบแรกของเราในรอบสองสัปดาห์ หลังจากห่างหายกันไปนาน ผมก็ชดเชยโอกาสที่เสียไปด้วยการไล่ต้อนจนพี่อู๋หอบ เราจูบกันต่ออีกไม่กี่วินาที พี่อู๋ก็ผละออกเพื่อปรับเบาะไปด้านหลัง เขาตบหน้าตักตัวเองเป็นเชิงเรียกให้ก้องเกียรติมานั่งบนนั้น ผมไม่รอช้า สะบัดรองเท้าแตะที่สวมอยู่แล้วรีบปีนไปคร่อมเขา ทันทีที่วางก้นลงบนส่วนกลาง อะไรบางอย่างที่แข็งขืนทะลุเนื้อผ้าก็ทำให้ผมเขินอาย

เราจะไม่ปิดบังกันว่าต้องการขนาดไหน ผมจะไม่บอกให้พี่อู๋หยุดเมื่อเขาพยายามสอดมือเข้ามาใต้เสื้อยืด และเขาก็ไม่ห้ามเมื่อผมใช้มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออกอย่างรวดเร็ว ผมทำได้คล่องแคล่วราวกับเป็นมืออาชีพ กระดุมทั้งสี่เม็ดถูกปลดอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของก้องเกียรติ ยิ่งในรถที่มองเห็นได้เลือนลาง อารมณ์ของเรายิ่งพุ่งทะยานสูงขึ้นเพราะความตื่นเต้นเร้าใจ เราไม่เคยมีเซ็กส์นอกสถานที่มาก่อน แต่ตอนนี้เรากำลังจะทำมัน – ผมกับพี่อู๋ เรากำลังจะร่วมรักกันในรถที่จอดอยู่หน้าบ้านของก้องเกียรติ

“ใจเย็นๆ” พี่อู๋บอกเมื่อผมพยายามถอดเข็มขัดของเขา “ปลดแค่ซิบก็ได้”

ผมยิ้มและก้มหน้ารูดซิบกางเกงสแลคสีดำตามคำขอ มันค่อนข้างลำบากเมื่อต้องล้วงต้องจับภายในพื้นที่จำกัดขนาดนี้ ผมหงุดหงิดขัดใจที่ไม่สามารถสัมผัสส่วนอ่อนไหวของเขาได้เต็มสองมือแต่พี่อู๋กลับไม่รีบร้อน เขาทำตัวสบายๆเพื่อให้ผมผ่อนคลายไปพร้อมกับใช้นิ้วสะกิดหน้าอกของผม

มันรู้สึกดีมาก –

ทุกครั้งที่เขาลงน้ำหนักเบาๆบนปลายนิ้ว ผมจะบิดเร่าเพราะความรู้สึกดีที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนนักหนา พี่อู๋ใช้ปลายนิ้วขยี้มันอยู่พักใหญ่ก่อนจะเลิกปลายเสื้อของก้องเกียรติขึ้นแต่ไม่ได้ถอดออกทั้งหมด เขาก็แค่ร่นมันไปไว้ข้างหลัง เกี่ยวชายเสื้อไว้ตรงหลังคอของผมก่อนจะใช้ลิ้นเลียเบาๆ อย่าให้ผมต้องบรรยายมากไปกว่านี้เลย ผมไม่สามารถพูดได้ว่ารู้สึกดีกับความแปลกใหม่ขนาดไหน ผมรู้แค่ว่ามันดีและชวนเคลิบเคลิ้มจนเผลอร้องในลำคอ ขณะที่เขารัวลิ้นบนหน้าอกข้างซ้าย ข้างขวาก็ถูกนิ้วของเขาเขี่ยจนผมแทบคลั่ง

“พี่อู๋ --” ผมร้องคราง “พี่ – เอาผมเถอะ” ผมตัดสินใจพูด “เอากันเลย ในรถนี่แหละ”

พี่อู๋ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ เขาละออกจากหน้าอกของก้องเกียรติและเลื่อนหน้ามาจูบกันใหม่ เราดึงดูดจนเสียงดังจวบจาบไปทั้งรถ จูบกันแทบหมดลม จูบกันจนเจ็บนิดๆเพราะบดขยี้กันแรงเกินไป เมื่อพี่อู๋ได้ลิ้มลองจนพอใจเขาก็ผละตัวออกและบอกว่าวันนี้ไม่ได้หรอก

“ทำไมล่ะ?”
“พี่ไม่มีถุงยาง”
“ไปเซเว่นกัน”
“กว่าจะซื้อเสร็จคงหมดอารมณ์แล้ว”
“งั้นสดเลยก็ได้”

ผมบอกเขา แต่พี่อู๋ไม่ยิ้มดีใจ เขาดึงปลายจมูกผมก่อนจะบอกว่าไม่ได้ ไม่สด เจลหล่อลื่นก็ไม่มี วันนี้เราสองคนไม่มีใครพร้อมเลย

“อีกอย่างก้องต้องทำแท้งก่อน เราถึงจะมีอะไรกันได้” เขาพูด
“ทำแท้งอะไร?”
“สวนก้นไง” พี่อู๋อธิบาย คำว่าทำแท้งทำเอาผมเกือบหมดอารมณ์ “ครั้งแรกก้องคงทำไม่เป็น ไว้คราวหลังเดี๋ยวพี่สอนให้”

ผมตอบแค่โอเคครับ ใจหนึ่งก็เซ็งเพราะจุดที่มั่นใจว่าพร้อมไม่ได้มาบ่อยๆ แต่อีกใจก็โล่งที่ไม่ต้องเจ็บตัววันนี้ พี่อู๋คงสัมผัสได้ถึงความต้องการและความกังวลในเวลาเดียวกัน เขาจึงบอกให้ผมใจเย็นๆไม่ต้องรีบร้อน รู้ว่าโตแล้ว อายุยี่สิบแล้ว แต่ถ้าจะมีอะไรกันก็ขอให้เป็นตอนที่เราพร้อมกว่านี้ดีกว่า อย่าเสียดายเลย

“งั้นเรามาต่อกันดีไหมครับ?” ผมเบียดสะโพกเบาๆบนส่วนกลางของเขา พี่อู๋ยิ้มอย่างชอบใจอีกหนก่อนจะบอกว่า
“เอาสิ”

ผมยิ้มก่อนจะถอดเสื้อออกจนเปลือยท่อนบน หลังจากนั้นเราก็นัวเนียกันเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่จะตัดเข้าเรื่องถุงยางอนามัยและการทำแท้ง พี่อู๋ยังคงรู้ใจผมเป็นอย่างดี เขาไม่ได้ปลุกเร้าด้วยการถอดกางเกงจนผมเปลือย หากแต่ค่อยๆลูบผ่านกางเกงผ้ายืดจนมันเริ่มตึงเครียด ผมหอบหายใจด้วยความอึดอัด ทั้งเสียวและรู้สึกดีจนเผลอขยับสะโพกเสียดสีต้นขาของพี่อู๋อยู่หลายหน

ผมว่าการสัมผัสผ่านเนื้อผ้าก็เร้าอารมณ์ดีเหมือนกัน ส่วนนั้นของเราสองคนเบียดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ด้วยการสัมผัสที่มีผ้ากั้นทำให้อารมณ์มันไม่สุดเท่าที่ควร ทั้งนั้นพี่อู๋จึงล้วงมือเข้ามาในกางเกงของผม ขยี้ปลายเบาๆอย่างอ้อยอิ่งจนผมเบ้หน้าเพราะทนอารมณ์ที่ถ่าโถมเข้ามาไม่ไหว ผมสูดปาก ร้องโอดโอยเหมือนกำลังถูกทรมาน พี่อู๋ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อผมกำคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น เชิดหน้าขึ้นและครางกระเส่าราวกับตัวเองกำลังโดนเอาอยู่จริงๆ

“เสียวไหม?”
“ครับ” ผมหลับตาพริ้ม อึดอัดนิดหน่อยแต่ก็รู้สึกดีไปพร้อมๆกัน “โอย – พี่อย่าหยุดนะ”

ผมร้องขอ และพี่อู๋ก็ตอบสนองอย่างดีด้วยการขยับรูดขึ้นลงสุดความยาว ผมเปลี่ยนอิริยาบทเป็นการโอบกอดเขาแน่นเหมือนหมีโคอาล่า ยิ่งร่างกายของเราสัมผัสแนบแน่นเท่าไหร่ ความเสียวก็ยิ่งทะยานพุ่งขึ้นเรื่อยๆจนไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดตรงไหน ผมซบหน้าลงบนไหล่ของเขาและพรมจูบซ้ำๆบนคอ ผมเริ่มเปลี่ยนจากจูบเป็นเลียจนพี่อู๋ขนลุกเกร็งไม่แพ้กัน เราเอียงหน้าเข้ามาแลกลิ้นกันอีกหนก่อนที่ผมจะกลับไปซบไหล่เขาดังเดิมและเริ่มร้องครางดังขึ้นเรื่อยๆ

“โอ๊ย – ดีจังเลยครับ”

ผมชมพี่อู๋ที่เริ่มขยับมือเร็วขึ้น ยิ่งเสียวเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งขยับสะโพกไปมากับเป้าของเขาราวกับมีอะไรสอดใส่อยู่ในช่องทางข้างหลัง ผมไม่อาจพูดได้ว่าพี่อู๋เป็นฝ่ายปรนเปรอนายก้องเกียรติอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมก็ช่วยเขาด้วยการเสียดสีและหยอกล้อกับหน้าอกด้วย ภายในรถที่แสนจะแคบสำหรับผู้ชายตัวสูงสองคน เราครางกระเส่าในลำคอสอดประสานกันเป็นอย่างดีเพราะเซ็กส์ที่เร่งเร้ารุนแรง ผมใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ผมร้องบอกพี่อู๋ ร้องหวีดหวิวอย่างลืมตัวเมื่อความอึดอัดค่อยๆไล้ขึ้นมาตามความยาว ผมยิ่งขยับสะโพกแรงขึ้นเพื่อหวังให้ตัวเองถึงจุดสุดยอด

อีกนิดเดียว – ผมคราง อีกนิดเดียวจริงๆเพราะความเสียวเริ่มทะลักจนห้ามไม่อยู่ ผมกัดริมฝีปากตัวเอง คำราม ก่อนจะกระตุกไปมาสองสามหนและแตกเลอะใส่หน้าท้องของพี่อู๋

“อา --” ผมโน้มหน้าจูบเขาเพื่อเป็นการขอบคุณ “ดีจังเลยครับ”

พี่อู๋ไม่ถือโทษที่ผมเสร็จก่อน หากแต่ยื่นหน้าเข้ามาแลกลิ้นกับก้องเกียรติต่ออีกหน่อยก่อนจะยิ้มมุมปากเมื่อผมเริ่มใช้มือสัมผัสส่วนนั้นของเรา เราส่งยิ้มโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเพื่อเตรียมตัวสำหรับเซ็กส์ยกที่สอง จังหวะที่เรากำลังนัวเนียนกัน ดูดดื่มไปกับรสจูบแสนอ่อนหวานและร้อนแรง –


ก๊อก! ก๊อก!

 
“ลงมาคุยกันหน่อยสิอู๋”


เสียงของพ่อและใบหน้าขึงขังของเขาก็พังทุกอย่างลง






“ผมจะทำยังไงดี?”

ผมถามพี่อู๋ด้วยความกระวนกระวายขณะที่เขาช่วยแต่งตัวให้ก้องเกียรติ เมื่อครู่พ่อเดินมาเคาะกระจก เขาพูดสั้นๆว่าให้พี่อู๋เข้าไปคุยด้วยแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ตำหนิทุบตีที่เห็นว่าเราทำอะไรกันในรถ ผมรีบมองแผ่นหลังของพ่อที่ค่อมเล็กน้อยเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะหยิบไม้มาตีผมไหม จะฆ่าพี่อู๋ไหม แต่สิ่งที่พ่อทำมีแค่เปิดไฟชั้นหนึ่งของบ้านจนสว่างและล่ามโซ่ไอ้หมีไม่ให้มันหนีออกจากบ้านเท่านั้น

“พ่อต้องเห็นแน่ๆว่าเรามีอะไรกันในรถ” ผมเสียงสั่นจนแทบกลายเป็นร้องไห้ “พี่อู๋ – ผมจะทำยังไงดี? ผมจะบอกพ่อยังไงดี?”

พี่อู๋ส่งเสียงชู่ว! ชู่ว! เพื่อปลอบให้ผมสงบลง เขาค่อยๆใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้นายก้องเกียรติอย่างใจเย็นและบอกว่าไม่เป็นไร ก้องไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พี่จะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอง

“รับผิดชอบบ้าบออะไร! พ่อผมฆ่าพี่ตายได้เลยนะ!”
 
ผมเริ่มสติหลุดและโวยวาย แต่พี่อู๋ก็ยังใจเย็นด้วยการบอกว่ามันไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอะไรให้กังวล ผมจึงตะคอกถามเข้าว่าจะไม่ให้กังวลได้ไง! พ่อเห็นลูกชายตัวเองขึ้นขย่มกับผู้ชายในรถหน้าบ้าน! พี่ว่าพี่จะรอดเหรอ! พี่คิดจริงๆเหรอว่าพ่อจะไม่ทำอะไรพี่น่ะ! พอเถอะ อย่าเข้าไปหาพ่อเลย เราไปจากที่นี่กันดีกว่า กลับไปใช้ชีวิตที่มีแค่เราสองคนเหมือนเดิมดีกว่า แต่พี่อู๋ปฏิเสธหนักแน่น

“ไปคุยกับพ่อให้เรียบร้อยเถอะ”

เขาพูดสั้นๆและติดกระดุมเสื้อ ส่วนผมได้แต่นั่งกุมขมับเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี สมองตีกันยุ่งเหยิงไปหมดจนจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อ ผมควรขอโทษเขาเรื่องไหนก่อนระหว่างขอโทษที่หนีออกจากบ้านตอนตีสองหรือมีอะไรกับแฟนในรถหน้าบ้าน ทุกความผิดที่นายก้องเกียรติทำไม่น่าให้อภัยเลยซักอย่าง

“ก้อง – ฟังพี่ ฟังพี่นะ” พี่อู๋ใช้สองมือประคองแก้มผมอย่างแผ่วเบา “เราโตแล้ว เราต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ เรามีเซ็กส์กันมันไม่ผิด แต่เราผิดที่หนีออกจากบ้านโดยไม่บอกพ่อ ผิดที่เราหยามพ่อด้วยการมีอะไรกันหน้าบ้าน เราต้องขอโทษพ่อส่วนนี้”
“ถ้าพ่อโกรธจนไม่ให้ผมเจอพี่อีกล่ะ?”
“เขาบังคับก้องไม่ได้หรอก” พี่อู๋อมยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นเลย “ถ้าก้องคุยกับพ่อดีๆ บางทีเราอาจจะได้เจอกันบ่อยๆเหมือนเดิมก็ได้”

คำพูดของพี่อู๋ให้กำลังใจแต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพ่อคงไม่ยอมให้วันนั้นมาถึงง่ายๆหรอก หลังแต่งตัวเสร็จ พี่อู๋ก็เดินลงจากรถ เขากดรีโมตล็อครถก่อนจะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน ในขณะที่นายก้องเกียรติไหล่ตกและเครียดสุดขีด พี่อู๋กลับดูใจกล้า ไม่กลัวว่าพ่ออาจจะถือปืนมายิงหัวตัวเองเลยซักนิด เราถอดรองเท้าตรงชานบ้าน ผมเอื้อมแขนไปบีบมือพี่อู๋แน่นก่อนจะเปิดประตูมุ้งลวดเข้าไปเจอพ่อกับอาแตงที่กำลังกระวนกระวายไม่ต่างกัน

“สวัสดีครับ”

พี่อู๋ยังจะมีกะจิตกะใจทักทายตามมารยาท อาแตงรับไหว้ก่อนจะเชิญให้เรานั่งบนโซฟาเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหน้าบ้าน ผมเหลือบตามองพ่อ พยายามอ่านสีหน้าเรียบเฉยของเขาเพราะอยากรู้ว่าพ่อโกรธมากแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ผมบอกตัวเองซ้ำๆว่าอย่าฟูมฟาย อย่าฟูมฟาย ผมต้องเป็นผู้ใหญ่เสียทีอย่างที่พี่อู๋ว่า ผมต้องหนักแน่น ห้ามร้องไห้หรือพูดด้วยอารมณ์เด็ดขาด ในขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล จู่ๆพ่อก็เดินเข้ามาใกล้เราสองคนด้วยท่าทีไม่มีสัญญาณคุกคาม แล้วปล่อยหมัดใส่หน้าพี่อู๋โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว




Part 3 อยู่ถัดไปเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 21-10-2019 20:00:17
42 [PART 3/3]

“พ่อ! พ่อต่อยพี่อู๋ทำไม?!”
“มึงไม่ต้องมาพูดเลย!” พ่อแสดงสีหน้าออกมาแล้ว เขาโกรธจนผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งใบหน้าหน้าและลำคอ โกรธจนส่งสายตาอาฆาตให้พี่อู๋ราวกับจะฉีกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆให้ตายคามือ “ทำอะไรคิดถึงหน้าหม่าม้ามึงบ้างเถอะ! ทำไมมึงทำตัวแบบนี้! มึงเป็นผู้ชายนะก้องเกียรติ! มึงทำแบบนั้นทำไม?!”

พ่อปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อผมและเริ่มทุบตี แต่เขาฟาดได้แค่ทีสองทีพี่อู๋ก็รวบตัวผมเข้ามากอดและเอาตัวเองบังแทน อาแตงร้องห้ามเสียงดังเมื่อเราชุลมุนวุ่นวายกันบนโซฟา ในขณะที่พ่อพยายามทุบตีผมโทษฐานมีอะไรกับผู้ชาย ภรรยาของเขากลับร้องขอความเมตตาให้ลูกเลี้ยงและแฟนหนุ่ม

“ลื้อไม่ต้องมาห้ามเลยอาแตง!” พ่อสะบัดอาแตงออกและหันมาชี้หน้าก้องเกียรติที่เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้ “ทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน?! มึงหยามหน้าป๊าเกินไปแล้วนะก้อง! ในหัวใจของมึงยังมีความละอายอยู่บ้างไหม?! บนที่สาธารณะมีคนพลุกพล่านไปมา มึงกลับขึ้นขี่ผู้ชาย –  มึงไม่กลัวคนมาเห็นเหรอ? มึงไม่อายบ้างเหรอเวลากูเปิดประตูออกไปแล้วเห็นมึงเอากับผัวมึงในรถน่ะ!”
“พูดกันดีๆก็ได้ครับ ทำไมต้องพูดกับก้องแรงๆด้วย”

พี่อู๋ที่เลือดกำเดาไหลจนเลอะถามพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเย็นชา ส่วนผมร้องไห้ตัวสั่นเพราะทั้งกลัวและอับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกอย่างที่พ่อพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เราทำมันผิดและไม่ให้เกียรติพ่อที่อยู่ในบ้าน รถก็จอดห่างจากรั้วไม่ถึงสิบก้าวแท้ๆ ทำไมผมถึงกล้าขอมีเซ็กส์กับพี่อู๋ ทำไมถึงไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่รักษาหน้าของพ่อบ้าง

“ยังจะให้พูดดีอีกเหรอ?!”

พ่อตวาดใส่พี่อู๋

“เพราะอู๋ทำแบบนี้กับก้องไง! อู๋หาเศษหาเลยจากลูกผม! ขนาดในรถกลางถนนอู๋ยังไม่เว้นเลย! คิดอะไรอยู่อู๋? ผมถามจริงเถอะ -- สมองของอู๋คิดอะไรอยู่ถึงได้พาลูกผมหนีออกจากบ้าน ถึงได้มั่วกันในรถเหมือนก้องมันไม่มีพ่อมีแม่! ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่าลูกผมไม่ใช่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า! เขามีพ่อ! อู๋จะรักจะชอบเขาผมไม่ว่าแต่ต้องทำให้ถูกต้อง! ไม่ใช่คิดจะลากลูกผมไปไหนก็ลากไป จะเอาตรงไหนก็เอา อู๋ต้องให้เกียรติผมด้วยเพราะผมเป็นพ่อของก้อง! ไว้หน้าผมบ้างไม่ใช่ทำประเจิดประเจ้อขนาดนี้! บางทีคนรักสนุกอย่างอู๋ต้องได้เป็นพ่อคนนะ เผื่ออู๋จะเข้าใจคำว่าดวงใจของพ่อแม่ เผื่ออู๋คิดได้ – ว่าไม่ควรพาลูกเขาไปไหนมาไหน ไม่ควรทำอะไรทุเรศแบบนี้กับลูกเขา!”
“แต่พ่อไม่ได้เลี้ยงผมมา! พ่อไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับชีวิตของผม!”
“เลิกพูดแบบนี้ซักทีจะได้ไหม?! ป๊าย้อนอดีตกลับไปแก้ไขได้ที่ไหน แต่ปัจจุบันป๊าก็ทำดีที่สุดแล้วไง!”

พ่อตะคอกใส่ด้วยความไม่พอใจ

“เอะอะก็บอกว่าไม่ได้เลี้ยงๆ แล้วตอนนี้ป๊าไม่ได้เลี้ยงก้องเหรอ?! ไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้ ไม่ได้ปกป้องดูแลในฐานะพ่อเลยเหรอ?! อย่างน้อยถ้าไม่ให้เกียรติป๊า นึกถึงหน้าหม่าม้าบ้าง ไม่ใช่ว่าม้าตายไปแล้วจะทำตัวยังไงก็ได้ คิดบ้างไหมว่าถ้าม้ารู้ม้าจะเสียใจขนาดไหน แค่มีลูกเป็นเกย์ก็ช้ำตายอยู่แล้ว ยังทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้อีก ป่านนี้หม่าม้ามึงร้องไห้ ตีอกชกหัวตัวเองแล้วที่เลี้ยงลูกมาเป็นเด็กแบบนี้!”
“พอเถอะครับ พูดถึงคนเป็นก็พอ ไม่ต้องคิดแทนคนตาย”

พี่อู๋ปรามพ่อไปพร้อมกับปลอบนายก้องเกียรติ คำพูดเมื่อครู่ของพ่อ – ทำเอาผมหัวใจสลายราวกับแม่ก็มองเห็นว่าผมทำอะไรผิดมา ผมเริ่มหมกมุ่นคิดถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าถ้าแม่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าแม่เห็น ถ้าแม่เป็นคนเคาะกระจกเรียก แม่จะคิดยังไง แม่จะอับอายไหมที่ก้องเกียรติเป็นเกย์ จะโมโหแค่ไหนที่เห็นผมมีอะไรกับผู้ชายในรถ แล้วแม่จะตีผมไหม แม่จะพูดว่าอะไรเป็นประโยคแรกถ้าได้เจอกันอีกครั้ง

ผมกำลังอ่อนไหวเพราะคิดถึงแม่

แน่นอนว่าผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ใส่ใจพ่อ ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะยอมรับในตัวผมหรือไม่ แต่เมื่อพ่อเอ่ยถึงแม่ที่จากไป ผมก็อ่อนไหวมากจนเจ็บไปหมดทั้งใจเพราะกลัวแม่ผิดหวัง แม่จะรู้สึกแย่ไหมที่ผมไม่ใช่เด็กดีอีกแล้ว ถ้าแม่รู้ -- แม่จะว่ายังไง แม่จะรับได้ไหมที่ผมเป็นเกย์ หรือแม่เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่พ่อแสดงออกในตอนนี้ บางทีแม่อาจพอใจที่พ่อต่อยพี่อู๋และเตือนสติเขาว่าให้เกียรติพ่อกับแม่บ้าง ผมคิดมากจนคุมตัวเองไม่ได้นอกจากร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนอาแตงสงสาร อาแตงขอให้พ่อใจเย็นๆเพราะผมร้องเหมือนจะขาดใจตายแล้ว อาคงคิดว่าผมเสียใจที่ถูกพ่อด่า แต่เปล่าเลย ผมกำลังละอายใจและเป็นกังวลว่าแม่จะคิดยังไงทั้งๆที่แม่ตายไปสองปีแล้ว

ทั้งๆที่การมีอยู่ของแม่ – ไม่มีความหมายกับก้องเกียรติแล้วด้วยซ้ำ
 
“คุณสมปราชญ์ครับ โกรธเกลียดอะไรให้ลงที่ผม อย่าว่าก้องเลย” พี่อู๋กอดผมที่กำลังสะอื้นเอาไว้แนบอก “ผมผิดเองที่แอบมาหาก้องตอนค่ำ ผมผิดเองที่พาเขาออกจากบ้านโดยไม่ขอ ผมผิดเองที่ไม่คิดให้รอบคอบจนคุณต้องเห็นภาพไม่ดี ถ้าคุณไม่พอใจ คุณโกรธ คุณอยากหาทางระบายก็มาลงที่ผมเถอะครับ ก้องไม่ได้ทำอะไรผิด”

ถึงชายที่ผมรักจะพูดแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าความผิดทุกอย่างเป็นของก้องเกียรติคนเดียว

“อีกอย่างตอนนี้ก้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาอายุยี่สิบแล้วนะครับ อย่าทุบตีเขาเหมือนเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง เราพูดกันดีๆก็ได้ อย่าใช้กำลังแบบนี้”
“อย่าปากดีหน่อยเลย ตอนอายุยี่สิบ อู๋เองก็ยังแบมือขอเงินพ่อแม่เรียนหนังสือเหมือนกัน เผลอๆยังเป็นวัยรุ่นรักสนุกทั่วไปที่เคยทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่คนอย่างคุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ โตจนสามสิบกว่าแล้วยังคิดไม่ได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร!”
“ครับ ผมคงคิดน้อยไปจริงๆ ผมขอโทษครับ”

พี่อู๋น้อมรับความผิดโดยไม่แก้ตัวแต่ความโกรธของพ่อก็ไม่ได้เบาบางลง ผมสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นตั้นใจของพ่อที่เริ่มเอ่อล้นเป็นน้ำตา พ่อดูโกรธแค้นมากจนไม่สามารถสรรหาคำมาตำหนิเราสองคนได้อีกจึงเดินหนีหายเข้าไปในครัว อาแตงบอกให้เรานั่งรอตรงนี้และรีบตามเข้าไป ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่พอได้ยินเสียงพ่อสะอื้น ผมก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

ผมเสียใจจริงๆที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวังจนต้องร้องไห้ ถึงเราจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่ดีเหมือนพ่อลูกทั่วไปแต่ผมสำนึกได้ว่าคราวนี้ทำเกินไปจริงๆ ผมทำให้พ่อเป็นห่วง ทำให้เขาอับอายที่ต้องเห็นลูกมีอะไรกับผู้ชาย ต่อให้อ้างว่าไม่จำเป็นต้องแคร์พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดูแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพ่อมีบุญคุณกับผม ตอนที่ทะเลาะกับพี่อู๋จนไม่รู้ว่าจะไปนอนที่ไหน พ่อก็ขับรถมารับและเตรียมทุกอย่างให้ ไหนจะค่าเทอม ค่าทนายที่พ่อยอมจ่ายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของผมอีก พ่อทำเต็มที่ตามที่เขาพูดแล้วจริงๆ พ่อให้ทุกอย่างเท่าที่จะให้ได้แล้ว และผมควรตระหนักถึงความรักของพ่อเสียที ไม่ใช่เอาแต่กล่าวโทษถึงช่วงเวลาที่หายไปอย่างที่พ่อตัดพ้ออีก

ในห้องนั่งเล่นที่มีแค่เราสองคน พี่อู๋นั่งขรึมไม่แสดงออกว่าโกรธหรืออยากเอาคืนพ่อเลยซักนิด เขายังคงใจเย็นและแสดงออกแบบที่ผู้ใหญ่ทำกัน ทั้งๆที่เลือดกำเดาไหลจนเปรอะปกเสื้อ พี่อู๋ก็ยังดูไม่ทุกข์ร้อนหรือโวยวายเอาเรื่องที่ถูกพ่อต่อย ผมหยิบทิชชู่ช่วยซับเลือดให้เขาและขอโทษที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

“อยากได้ลูกเสือก็ต้องเจอพ่อเสือเป็นธรรมดา”

เขาพูดติดตลกแต่ผมไม่ขำ มันไม่มีอะไรน่าขำเลยเมื่อต้องมองหน้าคนที่ตัวเองรักโชกเลือดแบบนี้ เราสองคนนั่งเป็นกำลังใจให้กันอยู่ยี่สิบนาทีพ่อจึงเดินออกมา ใบหน้าของพ่อแดงก่ำ ปลายจมูกช้ำราวกับเพิ่งสั่งน้ำมูกมาอย่างหนัก พ่อเดินมาหยุดตรงหน้าผมกับพี่อู๋แล้วบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก เขาพูดแค่นั้น แต่ทำเอาผมน้ำตาแตกจนต้องยกมือไหว้ขอโทษ

“ผมขอโทษ” ผมร้องไห้บอกพ่อ “ผมขอโทษที่ทำอะไรไม่คิด ผมขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจ”

พ่อไม่ตอบสนองคำขอโทษจากผมนอกจากปรายตามองมาด้วยความช้ำใจ เขาถามผมสั้นๆว่ารู้ตัวไหมว่าทำผิดอะไร ผมจึงบอกว่ารู้ ผมรู้ทุกอย่าง แต่ผมละอายจนไม่สามารถพูดได้ พ่อจึงถามซ้ำอีกครั้งว่ารู้จริงๆใช่ไหมว่าผิดเรื่องไหน ผมหยักหน้ารับ

“ผมหนีออกจากบ้านตอนตีสอง” ผมสะอื้นเมื่อคิดว่าต้องพูดประโยคถัดไป “ผมมีอะไรกับพี่อู๋ในรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน”
“ต่อไปจะทำแบบนี้อีกไหม?” พ่อถามเสียงสั่น
“ไม่ทำแล้วครับ” ผมให้สัญญา “ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”

 ผมยกมือไหว้อีกครั้ง พ่อใจแข็งอยู่นานแต่สุดท้ายก็รวบสองมือของผมที่พนมกลางอกและไม่พูดอะไรอีก ไม่มีการสวมกอดเหมือนฉากเรียกน้ำตาในละครเพราะเขาคงเสียใจเกินว่าจะพูดว่าไม่เป็นไรได้จากใจจริง ซึ่งผมไม่โกรธพ่อ ผมเข้าใจดีว่าเขามีเรื่องให้หนักใจเยอะแยะมากมายขนาดไหน เริ่มจากมีลูกชายเป็นเกย์ ลูกหายไปจากบ้านตอนตีสอง จนกระทั่งเจอลูกในรถที่จอดอยู่หน้าบ้านกับผู้ชายที่แก่กว่าถึงสิบสี่ปี แค่คิดก็ประสาทแดกตายแล้ว ลองจินตนาการว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับลูกคุณสิ เป็นใครก็คงทำใจและให้อภัยไม่ได้ทั้งนั้น

เราสี่คนไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรนอกจากนิ่งเงียบจนกระทั่งแสงแรกของวันที่ยี่สิบหกธันวาสาดเข้ามาในบ้าน อาแตงจึงบีบมือให้กำลังใจพ่อก่อนจะชวนพี่อู๋อยู่ทานมื้อเช้าด้วยกันก่อน ผมคิดว่าพี่อู๋จะปฏิเสธ แต่เขากลับตอบรับคำเชิญชวนนั้นโดยไม่อิดออด

“ไปช่วยอาแตงทำกับข้าวเถอะ” พี่อู๋บอกพลางตบไหล่ของก้องเกียรติเบาๆ “ทำให้สุดฝีมือเลยนะ พี่คิดถึงกับข้าวของก้องจะแย่”

ผมยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะหายเข้าครัวไปช่วยอาแตงเตรียมมื้อเช้าเพราะอึดอัดไม่อยากคุยกับพ่อ อาบอกว่าวันนี้ตั้งใจจะทำไข่เจียว ผัดเห็ดเข็มทอง กับแกงจืดหมูสับเป็นมื้อเช้า ก้องช่วยอาล้างเห็ดกับตอกไข่รอได้เลย เสร็จแล้วตั้งกระทะเตรียมน้ำมันเอาไว้ เดี๋ยวอาจะให้ก้องโชว์ฝีมือด้วยการเจียวไข่นะ

“อย่าเจียวรวดเดียวล่ะ แบ่งไข่เป็นถ้วยละสามฟองสามถ้วย ทยอยเจียวทีละถ้วยเพราะบ้านเราคนเยอะ”

ผมตอบครับและปลีกตัวไปล้างเห็ด ส่วนอาแตงง่วนอยู่กับการตั้งเตาและปั้นหมูให้เป็นก้อน เราสองคนทำงานคนละฟากของครัวโดยไม่พูดอะไร ผมกำลังเศร้าเพราะรู้สึกว่าอะไรๆยังไม่เคลียร์ ส่วนอาแตงวุ่นวายกับมื้อเช้าที่ต้องเตรียมเผื่อคนตั้งเก้าคน พอเห็นผมดูอิดโรยไม่มีชีวิตชีวา อาก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าไหวไหม ไม่ไหวจะขึ้นไปพักก่อนก็ได้ ปกติอาทำกับข้าวคนเดียวทุกวันอยู่แล้ว ก้องไม่ต้องช่วยหรอก ไปนอนเถอะ เดี๋ยวอาจะแบ่งเก็บไว้ให้นะ

ผมรีบบอกอาแตงว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่ก็แค่รู้สึกไม่ดีมากๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อาแตงคงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร เธอจึงสะบัดมือไล่หยดน้ำและเดินมาหาก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก มันผ่านไปแล้ว ป๊าเองก็เข้าใจแล้วว่าก้องยังเด็กเลยอาจจะไม่ทันคิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องเครียด ป๊าไม่ว่าอะไร รออีกซักสองสามวันก็คงหายโกรธไปเองแหละ

“ผมได้ยินเสียงพ่อร้องไห้ด้วย” ผมบอกอาแตง “ผมทำพ่อเสียใจมากเลยใช่ไหม?”
“หัวอกคนเป็นพ่อแม่เนอะก้อง มันก็ต้องเสียใจอยู่แล้วแหละ” อาแตงพูดอย่างเห็นใจ “ป๊าเขาทำใจยอมรับได้ซักพักแล้วเพราะอาบอกอาป๊าเองว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ผิดหวังในตัวก้องในเมื่อเราไม่ได้เลี้ยงก้องตั้งแต่เล็ก ที่ได้กลับมาพบกันตอนนี้ถือเป็นกำไรชีวิต ทำใจยอมรับมันเถอะ ได้เจอกันก็บุญแล้วอย่าไปคาดหวังอะไรนักเลย แต่ที่อาป๊าโมโหเนี่ยไม่ใช่เพราะเรื่องเป็นเกย์หรอก เพราะเขาเสียใจที่ก้องหนีออกจากบ้านแล้วมีอะไรกับอู๋ในที่สาธารณะต่างหาก มันประเจิดประเจ้อเกินไป”
“ตอนนั้นผมทำเพราะคิดถึงพี่อู๋ ผมไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็เลยไม่ทันคิดอะไร ผมนึกว่ามันเป็นแผนของพ่อที่ไม่ให้พี่อู๋มาหา ไม่งั้นเขาคงไม่พูดว่าจะแอบมาใหม่หรอก”
“ป๊าเขาไม่อยากให้เราสองคนเจอกันจริงๆนั่นแหละ”
“ทำไมล่ะครับ?”

อาแตงคงรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปจึงได้เงียบครู่หนึ่ง แต่พอเห็นสายตาเว้าวอนขอคำตอบ เธอก็ถอนหายใจ

“ก้อง – ตอนนี้ก้องเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเราแล้วนะ” อาแตงยิ้มบาง “ป๊าเขาอยากให้ก้องอยู่ที่นี่ อยากให้ก้องยึดบ้านหลังนี้เป็นบ้านตัวเองไม่ใช่อยู่กับอู๋”
“ทำไมผมถึงไปอยู่กับพี่อู๋ไม่ได้ในเมื่อผมรักเขา”
“ตอนนี้น่ะใช่ แต่ต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าอู๋เขาไม่รักก้องแล้วล่ะก้องจะทำยังไง?”

อาแตงถามคำถามที่ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้

“ป๊าเขามองในมุมของผู้ใหญ่ เขาไม่อยากให้ก้องเอาชีวิตไปผูกติดกับอู๋มากเกินไปเพราะกลัวก้องผิดหวัง กลัวว่าอู๋จะทำก้องเสียใจ ดูอย่างอาทิตย์ก่อนที่เขาให้ก้องมาอยู่กับป๊าสิ บทจะไล่ก็ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ปล่อยให้นอนตากลมตากยุงอยู่ตั้งนานไม่สนใจใยดี ในอนาคตเราก็ไม่รู้นี่ใช่ไหมว่าอู๋เขาจะคิดอย่างนั้นอีกหรือเปล่า อย่างน้อยนะ ถ้าก้องอยู่กับป๊าตั้งแต่ตอนนี้ เราคงสนิทกันมากขึ้น ผูกพันกันมากขึ้น ก้องเองก็จะได้มีภูมิคุ้มกันและรู้ว่าอู๋ไม่ใช่คนเดียวที่รักก้อง แต่เราทุกคนที่นี่รักก้องทั้งนั้น”
“จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ มะนาวชอบก้องจะตาย แม้แต่อาม้าก็รักก้องเหมือนกัน รู้ไหมว่าตั้งแต่ป๊าหาก้องเจอ อาม้าพูดตลอดเลยว่าต้องเอาก้องมาเลี้ยงให้ได้เพราะอาม้ารู้สึกผิดที่ทำให้แม่ของก้องหนีไป แกก็เสียใจตามประสาคนเป็นย่านั่นแหละ ใครบ้างจะอยากเห็นหลานอดๆอยากๆ ยิ่งอาม้าเป็นคนมีเงิน แค่คิดว่าหลานไม่ได้กินของดีๆเหมือนตัวเองก็อกแทบไหม้แล้ว”
“แต่อาม้าเป็นคนไล่แม่กับผมไปไม่ใช่เหรอ?”
“ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้น่ะ บางทีก็เข้าใจยาก” อาแตงยิ้มแหยๆ  “แต่อาก็รู้จักก้องตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้าบ้านนี้นะ อาม้ากับป๊าพูดตลอดว่ามีก้องอยู่เพียงแค่หาไม่เจอ พวกน้องๆก็รู้จักก้องทั้งนั้น เขารู้ว่ามีเฮียก้องแค่ไม่เคยเห็นหน้า”
“ผมคิดมาตลอดว่าคนที่นี่ไม่ชอบผม” ผมร้องไห้ “ทุกคนดูไม่ชอบที่ผมย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะหนึ่ง --”
“หนึ่งไหนเหรอ?”

อาแตงถามงงๆ ผมจึงต้องบอกเธอตามตรงว่าหนึ่งคือลูกสาวคนโต แต่ผมจำชื่อพวกเธอไม่ได้ก็เลยเรียกเป็นหมายเลขหนึ่ง สอง สาม สี่ อาแตงดูผิดหวังที่นายก้องเกียรติไม่ใส่ใจคนในครอบครัวขนาดนี้ เธอตำหนิว่าผมเองก็ตั้งกำแพงสูงแล้วหวังว่าใครจะปีนขึ้นไปหา เพราะฉะนั้นเลิกเมินเฉยทุกคนเดี๋ยวนี้เลย และจำชื่อน้องๆเอาไว้ด้วย ชมพู่ แอปเปิ้ล ส้มจีน มะนาว

“ผลไม้หมดเลย” ผมยิ้ม
“ก็อาชื่อแตง อาก็อยากให้ลูกชื่อเป็นผลไม้สิ” อาแตงหัวเราะ “ทีนี้เลิกเศร้าได้แล้วนะ เลิกคิดไปเองด้วยว่าคนบ้านนี้ไม่รัก ทุกคนเขารักก้องทั้งนั้นแหละ”
“อาแตงว่าพ่อจะทำอะไรพี่อู๋ไหมครับ?”
“แบบไหนล่ะ?”
“พ่อจะฆ่าพี่อู๋ไหม?”
“โอ๊ย – ไม่ฆ่าหรอก บ้านเรามีกฎหมายนะก้อง” อาแตงหัวเราะอีก “อีกอย่างคุยกันตรงๆก็ดี อาป๊าเขาคิดหนักมาหลายคืนแล้วว่าจะยอมให้อู๋มาเจอก้องตอนไหน จริงๆเขาไม่ว่าหรอกถ้าก้องกับอู๋คบกันแต่ขอให้มันมีขอบเขตหน่อย อย่าหยามน้ำใจอาป๊านักเลยก้องเอ๊ย อาป๊าตั้งรับไม่ทัน เดี๋ยวก็ได้หัวใจวายตายกันพอดี”

อาแตงตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะบอกให้รีบทำกับข้าว เดี๋ยวหกโมงครึ่งอาแตงต้องไปอาบน้ำแต่งตัวให้ย่าอีก ผมพยักหน้ารับก่อนจะล้างผักเตรียมให้อาเรียบร้อย จากนั้นก็ทอดไข่เจียวสามจานตามที่อาสั่งและช่วยดูแกงจืดในหม้อระหว่างที่อาไปดูแลย่า เจ็ดโมงครึ่ง ผมกับอาแตงและชมพู่ช่วยกันยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ตามหาพี่อู๋พราะไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน พอเดินเข้าห้องนั่งเล่นก็เห็นเขาเอนหลับบนโซฟาน่าสงสาร ผมสะกิดพี่อู๋เบาๆให้เขาตื่นมากินข้าว กินเสร็จผมจะพาไปนอนบนห้องจะได้ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งแบบนี้

“ไปตามอาป๊าด้วยก้อง อยู่หน้าบ้านหรือเปล่าน่ะ ไปเรียกมาเร็ว”

ผมขานตอบก่อนจะเดินออกไปชานบ้านซึ่งพ่อกำลังเทอาหารเม็ดให้หมีอยู่ ผมมองพ่อจากข้างหลังเพราะละอายใจเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับเขาตามลำพัง แต่ดูเหมือนพ่อจะรู้ว่ามีคนแอบมอง เขาจึงค่อยๆหันมา พอเห็นว่าเป็นก้องเกียรติเขาก็เงียบและเปลี่ยนเรื่องว่ากับข้าวเสร็จแล้วเหรอ

“ครับ อาแตงเรียกให้ไปกินข้าว”

พ่อขานตอบแค่ว่าเดี๋ยวตามไปและจ้องผมอีกพักใหญ่ พ่อดูมีเรื่องอยากพูด ส่วนผมเองก็กำลังสับสนว่าจะเอายังไง ผมควรพูดอะไรกับพ่อหน่อยไหมเพื่อไม่ให้ระหว่างเราแย่ไปกว่านี้ สุดท้ายผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อขอโทษพ่ออีกครั้งจากใจจริง

“อืม” พ่อตอบเสียงเบาในลำคอ “อย่าทำแบบนี้อีกก็แล้วกัน”
“พ่อโกรธมากไหม?”

ผมถามตามตรงเพราะคิดว่ามันคงจะดีถ้าเราได้ระบายความในใจทุกอย่างออกไป เพื่อที่ผมกับพ่อจะได้รู้ว่าเราคิดยังไง เรารู้สึกยังไงต่อกันดีกว่าเก็บความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้จนตาย

“เสียใจสิ เพราะก้องทำอะไรไม่คิด”
“ผมขอโทษ”
พ่อพยักหน้าและฝืนยิ้ม “ไปกินข้าวแล้วไปนอนเถอะ ยังไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ?”

ผมตอบว่าครับก่อนจะถามถึงพี่อู๋บ้าง ผมถามพ่อว่าเขาโอเคไหมถ้าหากเราสองคนจะคบกันต่อ พ่อเงียบไปพักใหญ่ ดูเจ็บปวดและเสียใจในเวลาเดียวกันก่อนจะบอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยชอบผู้ชายแบบพี่อู๋ พ่อไม่อยากให้ผมลงเอยกับคนแบบนี้

“แต่เขาดีกับผมมากเลยนะ”
“เพราะก้องรักเขาไง ถึงได้มองว่าอะไรๆก็ดีไปหมด” พ่อบอก “เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ แต่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก็แล้วกัน”

พูดจบพ่อก็เงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด ซักพักเขาจึงพูดต่อ

“รักและให้เกียรติตัวเองบ้างนะก้อง” พ่อสอน “อย่ายอมอู๋ไปเสียทุกเรื่อง”

ผมหน้าร้อนนิดหน่อยเมื่อตีความได้ว่าประโยคที่พ่อพูดคงหมายถึงเซ็กส์ ผมไม่รู้จะบอกพ่อยังไงดีว่าที่เรามีอะไรกันไม่ใช่เพราะผมยอมทำตามความต้องการของพี่อู๋เพื่อรักหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันเกิดขึ้นเพราะความสมัครใจของเราต่างหาก ที่ผมทำไปก็เพราะตัวเองล้วนๆ พี่อู๋ก็แค่สนองเพราะเรารักกัน

เรารักกัน – เราจึงมีเซ็กส์กัน

เรื่องมันมีแค่นี้เอง ไม่มีใครหลอกใคร ไม่มีใครบังคับใคร ถึงพูดไปพ่อคงไม่เข้าใจ ในหัวของเขาคงถูกโปรแกรมเอาไว้ว่าก้องเกียรติเป็นเด็กแสนซื่อบริสุทธ์ที่ถูกผู้ชายอายุเยอะกว่าหลอกฟัน ผมคงไม่แก้ชุดความคิดนั้นของพ่อเพราะบางที -- การเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อน่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าการรับรู้ความจริง

พ่อมองหน้าผมอีกหน่อยก่อนจะชวนไปกินมื้อเช้า บนโต๊ะกลมที่มีสมาชิกของครอบครัวนายก้องเกียรติ วันนี้เพิ่มคนพิเศษมาอีกหนึ่งคน น่าแปลกที่ย่าไม่ตั้งคำถามว่าพี่อู๋เป็นใคร ทำไมจู่ๆถึงมากินมื้อเช้ากับเรา ผมเดาเอาว่าเสียงทะเลาะกันเมื่อเช้าคงทำให้ย่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ย่าเองอาจจะต้องทำใจยอมรับอีกพักใหญ่ แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเป็นจะไม่ทำย่าเศร้าจนเกินไป ไม่ควรมีใครต้องเศร้าเพียงเพราะรสนิยมทางเพศของผมทั้งนั้น

เรากินข้าวด้วยกันประมาณสามสิบนาที ตลอดเวลาที่พี่อู๋นั่งร่วมโต๊ะ ผมสังเกตว่าน้องสาวของผมต่างจับจ้องเขาด้วยแววตาประหลาด มันไม่ใช่ความพิศวาสหรือหลงใหลในความหล่อหรอก แต่ชมพู่มองแบบไม่พอใจนิดหน่อยราวกับไม่ชอบที่ผมพาแฟนเข้าบ้าน ส่วนแอปเปิ้ลมองแบบผ่านๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ส้มจีนยิ่งแล้วใหญ่ มองเพราะระแวงว่าพี่อู๋จะแย่งไข่เจียวในจานไปกินคนเดียว ส่วนมะนาว – มองด้วยแววตาปิ๊งๆเหมือนเด็กตกหลุมรัก เธอมองราวกับสงสัยว่าพี่อู๋เป็นใคร ใจดีไหม ซื้อขนมให้ได้ไหม พาไปเที่ยวได้ไหม ผมเห็นเธอมองแล้วยิ้มอยู่นานจนต้องถามว่าทำไม จะเอาอะไรอีกล่ะ

“เฮียก้องกับพี่ผู้ชายพามะนาวไปซื้อไอติมได้ไหม?”
“ที่ไหน?”
“โลตัส”
“ไกลไป” ผมบอก “ค่อยไปพร้อมพ่อตอนเย็นก็แล้วกัน”

มะนาวเบ้หน้าแล้วกินข้าวจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จผมกับชมพู่ก็ช่วยอาแตงเก็บจาน ส่วนพี่อู๋คอยเดินตามไม่ห่างเพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ในบ้านที่มีผู้หญิงถึงหกคน หลังล้างจานและทำความสะอาดเรียบร้อย ผมก็เดินไปขอร้องพ่อให้พี่อู๋นอนหลับที่นี่ซักงีบได้ไหม พ่อดูไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่บ้านเรานานเท่าไหร่ แต่พอเห็นสภาพพี่อู๋ที่เสื้อเปื้อนเลือดกำเดา แถมยังดูเพลียๆจนสามารถล้มนอนตรงไหนก็ได้ พ่อจึงอนุญาต ยอมให้พี่อู๋นอนพักแค่ช่วงกลางวัน พระอาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่เขาต้องกลับไป ห้ามนอนค้างที่นี่เด็ดขาด

พี่อู๋ยกมือไหว้ขอบคุณพ่อก่อนจะตามผมขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ผมเดินนำเข้าไปในห้องนอน แนะนำที่วางข้าวของต่างๆและหาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน พี่อู๋หายไปอาบน้ำจัดการตัวเองแค่ห้านาทีก็กลับมาพร้อมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น เขาเดินโงนเงนไปที่เตียงและล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับเลย ไม่รอให้ก้องเกียรติขึ้นไปนอนข้างๆด้วยซ้ำ

ผมต่อคิวรอชมพู่กับแอปเปิ้ลอาบน้ำไปเรียนพิเศษอยู่เกือบชั่วโมง จากนั้นก็ได้เวลาเข้านอนเพื่อพักผ่อนด้วยเช่นกัน ผมปิดม่านและดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพี่อู๋ สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าอ่อนเพลียหมดสภาพ เขาคงเหนื่อยมากเพราะเมื่อวานก็ทำงานทั้งวันแถมยังไม่ได้นอน

โถ่ -- พี่อู๋ที่น่าสงสารของผม

เหนื่อยขนาดนี้ยังอุตส่าห์ขับรถมาหาและอยู่เคลียร์กับพ่ออีก ผมรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่คนรักทำจนต้องโน้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาเบาๆ บอกเขาว่ารักนะครับ หลังจากนั้นก็เอนตัวลงนอน บนเตียงขนาดห้าฟุตอาจจะเบียดนิดหน่อยสำหรับผู้ชายตัวสูงสองคน แต่ความแคบไม่เป็นปัญหาเมื่อพี่อู๋พลิกตัวนอนตะแคงแล้วกวาดแขนโอบกอดก้องเกียรติเอาไว้แน่น หลังจากปรับเปลี่ยนท่าให้สบายตัวอยู่พักใหญ่ เราก็นอนหลับสนิทในห้องด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์



TBC


__________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ค่ะ :)
ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ
เป็นอีกครั้งที่ส้มก็ยังไม่โดะแกะ แหะๆๆ แต่มันต้องมีซักวันค่ะ ซักวันนะคะ ซักวันที่ยัยน้องเป็นของพี่เค้าซะที

หวังว่านิยายตอนนี้จะทำให้คุณมีความสุขไม่มากก็น้อยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-10-2019 21:04:13
ร้องไห้อีกแล้ว ดุเดือดพีคทุกตอนเลย ยัยก้องเอ้ย สงสารพ่อที่ต้องมาเจอ แต่ก็นะ วัยรุ่นมันใจร้อน ถ้าพ่อมาได้ยินว่ายัยจะร่วมรักกับพี่เขาบนโต๊ะอาหารคงเป็นลมอ่ะ สู้เขา พี่อู๋ด้วย  :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-10-2019 21:10:54
ต้องมีซักวัน ต้องมีสักวัน.....นะก้อง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2019 21:14:32
  :กอด1: :pig4: :กอด1: 
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 21-10-2019 21:43:08
ก็เข้าใจทุกคนนะ
แต่ผมอยากให้
ก้องเล่าเรื่องของตัวเอง
ที่เจอแม่ผูกคอตายที่ราวบันได
ไม่ด้ไปสอบโอเน็ตไม่มีที่พึ่ง....
.......อะไรอีกเยอะแยะ
จนอยากฆ่าตัวตาย แล้วมาเจอพี่อู๋
ได้ช่วยไว้ ผมอย่ากรู้ความรูสึกนี้จ่ากพ่อของก้อง
อาม่าและทุกๆคน.....นะนะช่วยแต่งหน่อยนะ
อยากอ่านมากๆๆๆๆๆกำลังอิน..มากๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-10-2019 22:07:16
โตขึ้นมาอีกนิดแล้วสินะก้อง ค่อยๆพยายามไปแล้วกัน เห็นใจแต่แกก็แรดไปนี้ดนึง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 21-10-2019 23:19:55
^
^
^
ชอบเม้นบน 5555 เห็นด้วยเลย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 21-10-2019 23:47:12
ถ้ามองตัวเองเป็นก้องเราคงย้ายตัวเองไปอยู่กับแม่นานแล้วอ่ะ 5555 ไปตั้งแต่พี่อู๋ไล่แล้ว เราคงไม่รู้สึกอะไรกับครอบครัวพ่อหรอก หายไปตั้งนานจะมาทำไมตอนนี้ ออกเดินทางไล่ตามไปอยู่กับแม่ดีกว่า ไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก อินมาก   :serius2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-10-2019 23:52:35
คิดถึงตอนก้องพลาดพูดว่าคบกับพี่อู๋เพราะเงิน แล้ววันนั้นโดนพี่๋ทิ้งจนพ่อต้องไปรับกลับ ในความเป็นพ่อย่อมไม่ไว้ใจพี่อู๋เป็นธรรมดาแหละ วันนั้นทิ้งได้ วันต่อไปจะไม่ทิ้งลูกเขาอีกหรอกเหรอถ้าก้องเผลอทำผิดขึ้นมาอีก.... เราเข้าใจความรู้สึกพ่อนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-10-2019 00:21:33
หลายๆครั้งหลายๆตอนที่อ่าน​ นึกอยากให้ทุกคนรู้ว่าทั้งคู่เตอกันได้ยังไงในสภาพไหน​ ผ่านแต่ละวันมาได้ยังไง​ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเงิเรื่องเซ็ก​ซ์นะ​ ไหนจะอาการป่วยของทั้งคู่อีกที่กว่าจะรักษาให้อาการดีขึ้นได้มันไม่ง่ายะเฮ้ย​ แล้วก้องเองก็เหมือนกันที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเหมือนว่าอาการป่วยมันยังอยู่นะพร้อมจะกลับมาได้ตลอดเวลาเลย
ฉะนั้นทุกคนควรจะต้องพูดคุยแบบเปิดอกต่อกันเถอะ​ อย่ามาบังคับกับเกณฑ์​อะไรให้กันเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: swanji ที่ 22-10-2019 00:28:39
ดีใจที่ได้เคลียร์กันสักที หน่วงมาก :hao5:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2019 00:35:30
โอเค โล่งใจล่ะเพราะเขาเข้าใจกันแล้ว แต่ก็อยากให้พ่อก้องรู้ด้วยเช่นกันว่าที่ผ่านมาพี่อู๋ดูแลเอาใจใส่ก้องดีขนาดไหนเหมือนกัน ให้รู้ว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นความรักของทั้งคู่จริงๆนะ ไม่ใช่อารมณ์หลงใหลของวัยรุ่นเลย อยากให้มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 22-10-2019 01:28:38
ไม่รู้จะเม้นท์ไรแต่อยากเม้นท์ แง มันอธิบายไม่ถูกเหมือนมันยังไม่สุดเลย อยากให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ นี่ชอบสองคนเค้าอยู่ด้วยกันคุยกัน มันน่ารัก ยังไงก็เอาใจช่วยนะ พ่อก็เปิดใจขึ้นแล้ว อยู่ที่ทั้งสองคนจะรักษาคสพ.นี้พิสูจน์ให้พ่อเห็นแหละ แงงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 22-10-2019 01:36:30
พอได้อ่านตอนนี้ก็พอจะเข้าใจสิ่งที่พ่อ กับพี่อู๋ทำอยู่หน่อยๆ เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดแหละ พี่อู๋กับก้องอาจจะทะเลาะกันอีก แต่ยังไงก้องก็ยังมีพ่อ  ถึงอย่างนั้นก็อยากให้พี่อู๋เวลามีปัญหาอะไรก็ค่อยๆพูดกันแบบวันนี้เนอะ งั้นไงก็ขอให้พ่อใจอ่อนไวๆและก้องก็เเข้าใจความเป็นผู้ใหญ่ไวๆละกัน เหอๆ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :กอด1:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-10-2019 02:12:22
สงสารหมูอู๋มากกกกกกกๆๆๆ เราสงสารพี่อู๋มากกว่าพ่อก้องนะ
น้องก้องคอนนี้แรดไปนะลูกก 555 เราว่าตอนนี้ก้องผิดจริงๆแหละที่ทำอะไรไม่คิด แต่ก็เข้าใจน้องนะ ไม่ได้เจอพี่อู๋นานจนลืมคิด และทำอะไรโดยขาดสติไป น้องได้บทเรียนแล้ว คิดไเแล้ว ครอบครัวก้องดูไม่ชอบพี่อู๋มากๆ คำว่า คนแบบนั้น มันฟังเหมือนพี่อู๋เป็นคนเลวมาก
เราว่าเรื่องที่พี่อู๋ไล่ก้องมันดูมีอะไรมากกว่านั้น ไม่รู้สิ มันดูใจร้ายเกินไปมากๆ อย่างน้อยๆก็น่าจะฟังเหตุผลสักนิด เคลียร์กันสักหน่อย แต่นี่คือตัดขาดกันโดยไม่ฟังอะไรเลย มันแปลกเกินไป พี่อู๋คือไม่ใช่เด็กแล้ว เลยคิดว่าคงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัดสินใจแบบนั้น พี่อู๋ดูมีอะไรในใจนะ  คล้ายกับมีอะไรที่ไม่ได้พูดออกมา พี่อู๋ก็รักและคิดถึงก้องมาก ก่อนหน้านี้ก็เหมือนฝืนใจที่ต้องตัดขาดกัน
ป.ล.เราชอบอาแตงมากเลย เขาใจเย็น เข้าใจความรู้สึกคนอื่น ใจดี และมีเหตุผล
ป.ล.2 แอบฮาส้มจีน ระแวงว่าพี่อู๋จะแย่งไข่เจียว :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: palette_burgundy ที่ 22-10-2019 04:33:22
 :mew6:
คิดไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรดี เอาเป็นว่าติดตามนะครับ ให้กำลังใจคุณคนเขียน รอข่าวรวมเล่มนะครับ
แปะเพลงไว้ให้เป็นกำลังใจนะครับ ผมว่าก้องเหมาะกับเพลงนี้มากๆ Kacey Musgraves - Happy & Sad
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-10-2019 20:27:22
พาร์ทนี้เข้าใจหัวอกพ่อเลยนะ พ่อสอนดีด้วย
อาแตงเป็นตัวกลางที่ดีมาก
ส่วนพี่อู๋และน้องก้องนั้น...ร้อนยังกับไฟเออร์
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-10-2019 22:18:30
No man perfect!
อย่ามากล่าวหาพี่อู๋นะคุณพ่อ

ลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้าง
มันก็เรื่องธรรมดาป่ะ

พี่อูู๋รักน้องก้อง
พอมั้ย จบนะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 22-10-2019 23:18:16
อ่านตอนนี้จบ พูดเลย “ แงงงงง อาม่าาา หนูขอโทษ” เข้าใจเลยว่าทั้งบ้านเป็นห่วงก้อง รักก้อง :hao5:
และกอริลลาก้องนั้นแซ่บมากกกกกกก พริกขี้หนูทั้งสวนจ้าาาา แค่ดมน้ำหอมของเสี่ยเท่านั้น เลยเถิดเลยจ้าาาาา :laugh:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 23-10-2019 10:20:44
หวังว่า  ทุกเรื่องจะผ่านไปได้ดีกับทุกฝ่าย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 23-10-2019 13:49:41
อู๋ น่ารักนะ..ตามชื่อเรื่ิองเลย...ว่าไม่ใช่วันนี้ .. รอวันต่อไปจ้า :m20:

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 23-10-2019 15:03:14
รู้สึกว่าคำอธิบายพี่อู๋ฟังไม่ขึ้น ทะเลาะกันครั้งแรกหลังคบกันก็ไล่ยังกับหมูหมาไม่ยอมฟังเหตุผลทั้งที่รู้ว่าน้องไม่มีที่ไปและยังไม่คุ้นกับพ่อ โดนโซเชียลรุมสาป แถมยังเสี่ยงว่าโรคซึมเศร้าจะกลับมาเนี่ยนะ ทั้งที่กับหมูพีอีพี่อู๋มันยอมตลอด ทำไมทำกับน้องลงวะ ตอนแรกนึกว่าวางแผนกับพ่อไว้แต่คงไม่ใช่สินะ สนับสนุนให้พ่อกันพี่อู๋ออกไปจนกว่าจะดัดนิสัยทำอะไรไม่คิดให้ได้ก่อนค่อยมาเจอกัน ไม่งั้นทะเลาะกันรอบหน้าก็ไม่รู้พี่มันจะทำอะไรกับก้องอีก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 23-10-2019 22:19:35
พี่อู๋เป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอ ตั้งแต่ตอนที่กลับไปคบกับหมูพีแล้ว นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปแบบไม่เหลียวหลัง ถ้าฉันเป็นพ่อก้องก็คงเครียดแหละ ไม่ไว้มันเลยไอ้ผู้ชายคนนี้ 5555555 ในสายตาพ่อแม่ลูกก็เป็นเด็กน้อยเสมออยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 42 update!] 21/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 28-10-2019 04:29:52
อ่านเรื่องนี้หมดน้ำตาไปเป็นลิตรละ ร้องกันยาวๆเลย
แต่หยุดอ่านไม่ได้ รอต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-10-2019 19:51:01
43 [PART 1/2]





พ่อไม่ได้ตั้งกฎคุมพฤติกรรมของผมเป็นพิเศษ พ่ออนุญาตให้พี่อู๋มาหาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แต่ไม่อนุญาตให้ค้างที่บ้านเพราะบรรดาน้องสาวของผมโตแล้ว พวกแกไม่สะดวกใจจะให้ผู้ชายแปลกหน้ามาแชร์พื้นที่ส่วนตัวซึ่งผมเข้าใจดี ผมไม่ข้อร้องให้พ่อผ่อนผันกฎข้อนี้เพราะอยากเคารพความเป็นส่วนตัวของน้องๆ เหมือนกัน



มันค่อนข้างลำบากจริงๆ ที่เราไม่สามารถกินอยู่ด้วยกันสองต่อสองเหมือนเมื่อก่อน ผมต้องกลับบ้านทุกวันศุกร์ และวันอาทิตย์พ่อจะเป็นคนไปส่งที่หอ ถ้าพี่อู๋คิดถึงก้องเกียรติก็ต้องขับรถมาถึงสมุทรสาครเองเพราะพ่อไม่ยอมให้ผมไปค้างลาดพร้าว ผมถามพ่อว่าทำไมไม่ปล่อยๆ ให้ผมใช้เวลาอยู่กับเขาบ้าง พ่อบอกว่าผมยังเด็กเกินไปสำหรับการกินอยู่กับแฟน



พ่อ – อยากให้ผมเป็นผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันเขากลับปฏิบัติต่อผมราวกับเป็นลูกสาวที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้บุบสลายตามค่านิยมอย่างไทยๆ ผมกับพี่อู๋เคยคุยเรื่องนี้ผ่านทางโทรศัพท์เพราะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็บอกว่าทำตามความต้องการของพ่อเถอะ จะได้ไม่มีปัญหาเคืองใจกันบ่อยๆ ผมจึงต้องกลับบ้านทุกสุดสัปดาห์ ส่วนพี่อู๋จะขับรถมาหาวันเสาร์ตอนเช้า จากนั้นเราจะไปเที่ยวไหนก็ไป พ่อไม่ห้าม แต่พี่อู๋ต้องมาส่งก่อนสองทุ่ม ผมไม่ค่อยโอเคกับข้อแม้นี้เท่าไหร่ ผมอยากให้พ่ออนุญาตให้ผมกลับไปค้างลาดพร้าวบ้าง ซึ่งดูจากรูปการณ์แล้วตอนนี้ยังไม่เหมาะ อาจจะรอให้เราคบกันนานเกินหนึ่งปี หรือทำให้พ่อสบายใจมากกว่านี้ซักหน่อย ผมคงจะหยิบยกคำขอนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง



พี่อู๋กับผม เราคบกันในสายตาของพ่อจนเปิดเทอมสอง ช่วงก่อนหยุดยาววันสงกรานต์ผมลองเกริ่นๆ ขออนุญาตไปเที่ยวกับพี่อู๋ต่างจังหวัดบ้างแต่แน่นอนว่าพ่อไม่อนุญาต แอปเปิ้ลน้องสาวคนรองบอกว่าทำใจเถอะ ไม่ว่าลูกคนไหนขอไปเที่ยวช่วงเทศกาล พ่อก็ไม่ให้ไปหรอก แม้แต่ชมพู่ที่โตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพ่อก็ไม่ให้ไปเพราะพ่อจริงจังกับการนั่งรถโดยสารมาก พ่อกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุเพราะช่วงเทศกาลคนกินเหล้ากันเยอะ ต่อให้เราขับรถระวังแค่ไหนก็อาจจะโดนไอ้ขี้เมาขับสวนเลนมาประสานงาได้อยู่ดี



นั่นคือเหตุผลที่บ้านของพ่อไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลๆ เลย พวกเขาไม่เคยไปค้างคืนที่รีสอร์ตริมทะเล ไปเคยขับรถขึ้นภาคเหนือไปดูทะเลหมอกเหมือนผมกับพี่อู๋ ไม่มีประสบการณ์เดินทางไกลเกินห้าชั่วโมงนอกจากรถติดแถวพระรามสอง ผมถามแอปเปิ้ลว่าเป็นไปได้ด้วยเหรอที่คนเป็นพ่อไม่อยากพาลูกพาครอบครัวไปไหน เธอยักไหล่และบอกว่าครอบครัวเราไงเฮีย



“ไม่อิจฉาเพื่อนที่ได้ไปเที่ยวบ้างเหรอ?”

“ตอนเล็กๆ ก็อิจฉา แต่โตมาเปิ้ลก็ชินอ่ะ ที่บ้านไม่มีใครชอบเที่ยวเลยเพราะออกจากบ้านแต่ละทีก็ต้องพาอาม่าไปด้วย เฮียก็รู้ว่าอาม่าพร็อพเยอะจะตาย ไหนจะรถเข็น ไหนจะแพมเพิร์ส” เธอพูดเบาเสียงลงเมื่อพาดพิงย่า “เปิ้ลไม่ได้ปากหมานะ อาจจะต้องรออาม่าไม่อยู่นั่นแหละเราถึงจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง”

“เคยขอพ่อหรือยังล่ะ? ลองขออีกครั้งสิ ไม่แน่พ่ออาจจะใจอ่อนยอมพาไปเที่ยวก็ได้”

“โอ๊ย เรื่องขอเนี่ยเฮียก้องไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้นาวมันลูกช่างขออยู่แล้ว มันขอแทนพวกเราแล้วเฮียแต่อาป๊าไม่อยากไป ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับแปะโป้งหรือเปล่า”

“แปะโป้งอะไร?” ผมขมวดคิ้วงง

“แปะโป้งไงเฮีย แปะโป้งพ่อของเฮียภพอ่ะ”



แอปเปิ้ลทำหน้าขัดใจ เอ้า – ใครมันจะไปรู้วะว่าแปะคือคำสรรพนามเรียกลุง โป้งคือชื่อคน เรียกรวมๆ ว่าแปะโป้งคนก็คิดถึงอย่างอื่นสิ



“อ๋อ ที่โดนรถชนตายเหรอ?”

“ใช่ อาป๊าคงหลอนมั้งเลยไม่กล้าไป” แอปเปิ้ลบ่น “เฮียไม่ต้องมาหลอกถามเปิ้ลเลยนะ จะชวนพวกเราออกนอกบ้านแล้วไปนัดเจอพี่ผู้ชายข้างนอกล่ะสิ”

“บ้าเหรอ ยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมยกมือจะเขกหัวยายตัวดี “ก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมไม่ไปเที่ยวสงกรานต์กัน”

“ไปทำไมอ่ะเฮีย? คนก็เยอะ รถก็ติด อีกอย่างนะ ช่วงเทศกาลทีไรห้างแถวนี้โล่งเหมือนห้างร้างเลย ไม่ดีเหรอเราจะได้เดินสบายๆ ไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร”

“ดีกับเปิ้ลกับมะนาวอ่ะดิ เฮียไม่ได้ชอบเดินห้างเสียหน่อย”

“แหม ไม่ชอบเดินห้าง แต่วันเสาร์ทีไร ไอ้นาวโม้ตลอดว่าได้ไปเที่ยวห้างกับพี่ผู้ชาย”

“เขาชื่ออู๋ เรียกพี่อู๋ก็ได้ เรียกพี่ผู้ชายตามมะนาวกันหมดบ้าน ไม่มีใครเรียกชื่อเขาเลยซักคน” ผมอมยิ้มหัวเราะให้กับน้องสาวตัวดี “แล้วนี่พ่อไปไหน?”

“ไปโรงงาน มะนาวกับส้มจีนก็ไปด้วย”

“ชมพู่ล่ะ?”

“ไปเดินสยามกับเพื่อน” แอปเปิ้ลบอก “แล้ววันเสาร์นี้พี่ผู้ชาย --”

“พี่อู๋”

“นั่นแหละ พี่อู๋เขาจะมารับเฮียไปข้างนอกอีกไหม?”

“คงมามั้ง ทำไม?” ผมเถียงคอถามน้องสาวคนรองด้วยความสงสัย เธอยักไหล่ไม่ว่าอะไร ก็แค่ถามเฉยๆ เผื่อจะมีซักเสาร์ที่ผมไม่ออกนอกบ้านบ้าง “ถ้าเฮียกับแฟนอยู่บ้านพวกเธอก็อึดอัดไม่ใช่เหรอ?”

“ก็จริง” แอปเปิ้ลยอมรับตามตรง “แล้วจะหนีบไอ้นาวไปอีกไหมอาทิตย์นี้?”

“ถ้ามะนาวขอตามไปด้วยก็คงต้องยอม”

“ถามจริง เฮียไม่รำคาญมันบ้างเหรอ? พูดก็มาก เรียกร้องก็เยอะ ที่หม่าม้าไม่อยากเดินห้างเพราะรำคาญมันเนี่ยแหละ ไปทีไรต้องได้ของติดมือกลับบ้านทุกที”

“เอาน่า น้องยังเล็ก”



ผมบอกแอปเปิ้ลพลางคิดถึงยายตัวจี๊ดของบ้านที่ไปวิ่งเล่นที่โรงงานของพ่อ จริงๆ วันนี้ผมก็ต้องไปโรงงานด้วย แต่ไม่อยากทำให้เฮียภพอึดอัดจึงบอกพ่อว่าขออ่านหนังสือสอบ พอเป็นเรื่องเรียนพ่อมักจะไม่ว่าอะไร ราวกับเป็นการ์ดโกงความตายที่ใช้เมื่อไหร่ก็ได้เพราะการเรียนคือเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวนี้ ผมคุยกับแอปเปิ้ลอีกสองสามคำก่อนจะขอตัวขึ้นห้องโดยบอกน้องว่าอ่านหนังสือสอบ จริงๆ ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรหรอก ก็แค่อยากขึ้นไปคุยกับพี่อู๋ในที่ส่วนตัวเท่านั้น ผมเปิดแอพพลิเคชั่นแชทและพิมพ์ข้อความหาเขา ถามเขาว่าวันเสาร์นี้พี่จะมาไหม เมื่อเขาบอกว่ามา ผมก็อมยิ้มดีใจ



การได้เจอพี่อู๋สัปดาห์ละครั้งมันไม่พอหรอก ไม่มีอะไรพอเลยสำหรับเราที่เคยตัวติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมเคยนำเรื่องนี้ไปคุยกับพ่อตรงๆ และจบลงที่เราทะเลาะกันบ้านแทบแตกทุกที สุดท้ายพ่อก็ต้องขอให้พี่อู๋มาช่วยพูดซึ่งผมก็ทะเลาะกับเขาอีกว่าจะเข้าข้างพ่อทำไม เราเคยอยู่ด้วยกันในลาดพร้าวตั้งกี่ปี พ่อเพิ่งเจอผมได้แป๊ปเดียว ทำไมเขาถึงมีสิทธิ์เด็ดขาดในการห้ามไม่ให้ผมไปไหนมาไหนในเมื่อก่อนหน้านี้ผมยังมีอิสระที่จะทำตามใจตัวเองอยู่เลย



“เอาน่า – ทนๆ ไปก่อน อีกซักเดือนสองเดือนเราค่อยคุยกับพ่อใหม่”



พี่อู๋มักจะพูดแบบนี้ตลอด เขาเองก็คิดถึงผมนะ แต่ให้เถียงกับพ่อเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน พี่อู๋บอกว่าพ่อเป็นคนหัวแข็ง คุยให้ตายก็ไม่เปิดใจหรอกเพราะตั้งแต่รู้ว่าผมเป็นแฟนกับพี่อู๋ เลือดรักลูกห่วงลูกก็เพิ่มขึ้นสามร้อยเปอร์เซ็น ผมจึงร้องไห้ถามพี่อู๋ว่าเราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ต่อให้เข้าใจแล้วว่าผมต้องมีครอบครัว แต่มันจำเป็นเหรอที่พ่อจะกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผมเจอเขาแค่สัปดาห์ละครั้ง พี่อู๋ยังคงพูดเหมือนเดิมว่าอดทนไปก่อนจนกระทั่งผมขึ้นปีสอง พี่อู๋จึงมาคุยกับพ่อที่บ้าน ขอเจรจาต่อรองให้ผมได้มีอิสรภาพบ้าง



แน่นอนว่าพ่อไม่ยอม พ่อมักจะอ้างว่าที่นี่คือบ้านของก้องเกียรติ ถ้าไม่กลับมานอนบ้านจะให้ไปค้างที่ไหน พอพี่อู๋บอกว่ากลับไปอยู่ลาดพร้าวกับเขา พ่อก็จะรื้อเรื่องเก่าๆ มาว่าพี่อู๋อีกเป็นชุด มันวนลูปแบบนี้ไปไม่จบไม่สิ้น ซักพักผมก็จะเริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสียที่พ่อไม่เข้าใจ ผมจะว่าเขาที่พยายามทำตัวเป็นเจ้าของชีวิตนายก้องเกียรติทั้งๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงดูมาด้วยซ้ำ แล้วเราก็จะเถียงกันอีกยกใหญ่จนอาแตงต้องเข้ามาห้าม อาช่วยคุยกับพ่อจนได้ข้อตกลงที่เราสามคนรับได้ นั่นคือผมจะได้กลับไปค้างที่ลาดพร้าวเดือนละสองครั้ง ส่วนปิดเทอมก็เหมือนกัน ถ้าผมเลือกอยู่กับพี่อู๋วันจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์ต้องกลับมานอนบ้าน ผมตกลงรับข้อเสนอนี้ทันทีเพราะคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีดีลอะไรดีๆ โผล่มาอีกแล้ว ดังนั้นสัปดาห์แรกของการเริ่มต้นชีวิตปีสอง ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้านของตัวเองเสียที



คอนโดของพี่อู๋ยังคงจัดวางเหมือนเดิม พวกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่วางอยู่ตำแหน่งเดิมเพียงแค่รกนิดหน่อย เมื่อผมไม่อยู่ก็ไม่มีคนคอยดูแลจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ ในตะกร้าผ้ามีเสื้อผ้าใส่แล้วอัดแน่นจนล้นมากองบนพื้น หนังสือก็วางกระจัดกระจายตามมุมต่างๆ บางเล่มยังไม่ได้แกะซีลพลาสติกออกเลยด้วยซ้ำ ผมกวาดสายตามองห้องก็ได้แต่ถอนหายใจ การกลับบ้านครั้งแรกในรอบหลายเดือนทำไมไม่น่าประทับใจอย่างที่คิด ผมนึกว่าจะเกิดอาการซาบซึ้งน้ำตาไหลจนต้องเดินลูบๆ คลำๆ เฟอร์นิเจอร์ด้วยความคิดถึงเหมือนในละคร ที่ไหนได้ แค่เห็นสภาพห้องก็แทบกัดลิ้นตาย อยากกลับไปนอนบ้านเพื่อทำใจซักระยะ เพราะห้องของพี่อู๋สกปรกและรกมากเหมือนครั้งแรกที่พาผมมาอยู่ด้วย



“ค่อยเก็บพรุ่งนี้ก็ได้ พี่เหนื่อยแล้ว ว่าจะนอนก่อน”



พี่อู๋ตอบเพลียๆ ผมจึงไม่ว่าอะไรนอกจากบอกให้เขาไปนอนและขอจัดการห้องซักหน่อย คืนแรกของการกลับบ้าน ผมจัดการเก็บหนังสือที่วางอยู่แทบทุกมุมของห้องเข้าชั้น ตอนนี้ชั้นอีเกียที่ประกอบเองเริ่มโก่งผิดรูปเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว พี่อู๋มีหนังสือมากเกินไป มากจนไม่มีที่ว่างพอสำหรับหนังสือใหม่พวกนี้อีกแล้ว ผมจึงต้องวางซ้อนหนังสือบนโต๊ะกาแฟหน้าทีวีก่อน จากนั้นก็เริ่มเก็บถุงพลาสติกที่ปลิวกระจายตามห้อง พอเก็บเสร็จแล้วกวาดสายตาดูอีกทีก็ได้แต่ท้อใจ ไม่ไหวหรอก เก็บให้ตายก็ไม่สะอาดหรอก ผมจึงยกธงขาวยอมแพ้ ลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านอนข้างพี่อู๋ที่กรนดังเหมือนหมี



แน่นอนว่าผมคาดหวังว่าจะคิดถึงกลิ่นหอมของผ้าปูที่นอน คิดถึงสัมผัสนุ่มๆ หมอนใบเดิมที่เคยหนุน ผ้าห่มที่เคยห่ม ทว่ากลิ่นตุๆ จากเครื่องนอนทำให้ผมหลับไม่ลง ซักพักก็ระลึกได้ว่าเครื่องนอนที่ใช้อยู่ตอนนี้คือชุดเดิมที่เคยใช้ช่วงก่อนเกิดเรื่อง พอยกนิ้วขึ้นนับว่ามันถูกใช้งานมากี่เดือนแล้ว ผมแทบตาเหลือกเพราะพี่อู๋ไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลย เขานอนไปได้ยังไงวะ ทั้งๆ ที่กลิ่นเริ่มเหม็นตุๆ และมีเศษทรายบนเตียง คุณอิศรินทร์ของผมกลับนอนหลับสบายใจเฉย ไม่เดือดร้อนกับความสกปรกระยะเผาขนเลย ผมได้แต่กัดฟันมองหน้าพ่อตัวดีที่หลับสนิทใต้ผ้านวม ผมอยากจะเขย่าๆ คอเขาด้วยความโมโห แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ข่มตาหลับพักเอาแรง พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเคลียร์ห้องต่อ











สัปดาห์แรกที่ได้กลับมาอยู่ลาดพร้าว ผมคาดหวังว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ กับพี่อู๋ หวังว่าจะได้จูบกันบนโซฟา ได้ร่วมรักกันบนเตียงตามประสาคนรักที่กำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่พอเห็นสภาพห้องแล้ว แผนการทุกอย่างก็ต้องพับเก็บไว้ก่อน ผมต้องทำความสะอาดห้องยกใหญ่เพราะไม่สามารถทนอยู่ในห้องที่ผ้าปูที่นอนเริ่มมีกลิ่นได้



ก่อนเริ่มลงมือ ผมบอกพี่อู๋ว่าเขาต้องช่วยผม เราต้องช่วยกันทำความสะอาดเพราะสภาพห้องมันเกินทน ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมมอบหมายให้เขาทำคือการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผมขอให้พี่อู๋ช่วยยกหมอนไปตากแดดและเปิดหน้าต่างระบายอากาศบ้างเพราะห้องอับจนรับไม่ได้ แทนที่เราจะพักผ่อนในวันเสาร์ กลับกลายเป็นว่าต้องช่วยกันเคลียร์ห้องจนถึงเที่ยง พี่อู๋สั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นและหายไปเกือบยี่สิบนาทีก่อนจะกลับมาพร้อมถุงเซเว่นสองถุงใหญ่



“ผมก็ว่าทำไมไปนานจัง ที่แท้ไปซื้อขนมนี่เอง”



ผมบ่นพลางเหลือบมองแฟนหนุ่มวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาเดินยิ้มมุมปากเข้ามาหาผมแล้วแตะสะโพก ก่อนจะกระซิบข้างหูว่า



“คืนนี้เตรียมตัวนะ พี่จะสอนให้”



พี่อู๋พูดแค่นั้นและยิ้มกว้างจนผมอาย เขาเอาของไปเก็บในห้องก่อนจะเดินย้อนมาตีก้นผมอีกรอบทำเอานายก้องเกียรติเขินหน้าแดง ถ้าเปรียบชีวิตจริงเป็นอะนิเมชั่น ผมคงเหมือนกาต้มน้ำร้อนสีแดงที่เดือดจัดจนได้ยินเสียงไอน้ำดังปี๊ดๆ ไอ้พี่อู๋ ไอ้บ้า ไอ้คนลามก เพราะคำพูดของเขาเลย เขาทำให้ผมเสียอาการจนทำงานบ้านต่อไม่ถูก ได้แต่ยืนเงอะงะว่าจะทำอะไรต่อไปดี หลังเช็ดเปียโนเสร็จผมต้องทำอะไร เพราะสมองมันเอาแต่จินตนาการว่าโดนแน่ คืนนี้โดนแน่จนกังวลไปหมด ผมรีบตบหน้าเรียกสติ บอกตัวเองว่าใจเย็น อย่าแรด อย่าเพิ่งแรดตอนนี้เข้าใจไหมก่อนจะไปซักผ้าต่อ ระหว่างที่กำลังสะบัดผ้าตากบนราว พี่อู๋ก็ถือเครื่องดื่มอะไรซักอย่างมาให้ เขาบอกว่าเป็นยาระบาย ดื่มให้ถ่ายท้องก่อนจะได้ไม่เหนื่อยมาก



ผมควรทำตัวยังไงดี ตอนที่รับแก้วมาดื่มและพี่อู๋มองมา ผมควรทำยังไงกับสายตาวิบวับเป็นประกายของเขาดี พอกินหมดพี่อู๋ก็เก็บไปล้างให้เรียบร้อย เขาดูอารมณ์ดีผิดปกติจนผมเริ่มหมั่นไส้ ใช่สิ คืนนี้ผมจะเป็นของเขาแล้ว ทำไมมันถึงไม่เป็นสถานการณ์ที่อารมณ์พาไปแล้วได้ร่วมรักกันแบบโรแมนติค ทำไมมันต้องเตรียมตัววุ่นวายขนาดนี้ด้วย ราวกับผมเป็นเจ้าสาวในคืนส่งตัวเข้าหอ ทั้งกังวลทั้งตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไรซักอย่าง



บ่ายวันนั้นหลังกินข้าวไปได้สามชั่วโมง ผมก็เริ่มปวดท้องนิดๆ และเริ่มถ่าย ผมถามพี่อู๋ว่าถ่ายหมดก็พอใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ ผมยังต้องเจอก๊อกสองก๊อกสามของการทำความสะอาดอีก ขั้นตอนที่ยุ่งยากทำให้ผมค่อนข้างเป็นกังวล ท้องก็ปวด แถมยังต้องคิดมากอีกว่าถ้าโดนสวนล้างมันจะเป็นยังไง แต่พี่อู๋พยายามปลอบให้ทำใจให้สบาย มันก็แค่ถ่ายท้องออกมาเฉยๆ เหมือนการดีท็อกซ์ที่เคยฮิตช่วงนึงไง ไม่ต้องเครียดหรอก การเตรียมตัวไม่เจ็บ ที่เจ็บน่ะ –



“ไม่ต้องพูดครับ ผมรู้แล้ว”



ผมยกมือห้ามพี่อู๋และแยกย้ายไปช่วยกันทำงานบ้านต่อ นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบเจ็ดนาที บ้านของเรากลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนวันสุดท้ายที่ผมออกจากห้องไม่มีผิด เหลือแค่จัดหนังสือใหม่ที่พี่อู๋เพิ่งซื้อเข้าชั้นแต่มันก็ไม่ค่อยมีที่แล้ว ผมจึงต้องให้พี่อู๋เลือกว่าจะไม่หยิบเล่มไหนมาอ่านอีกเพราะจะได้เคลียร์พื้นที่ให้หนังสือใหม่เข้าชั้นบ้าง คุณอิศรินทร์ยืนเลือกอยู่นานก่อนจะคัดเอาพวกหนังสือปรัชญาอ่านยากลงใส่ลัง จากนั้นก็แทนที่ด้วยนิยายสืบสวนสอบสวนแทน ผมอ่านชื่อบนหน้าปกที่เขียนว่ามีอะไรในสวนหลังบ้าน ก่อนจะถามพี่อู๋ว่าสนใจแนวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติพี่ชอบอ่านอะไรยากๆ ผมไม่เคยเห็นพี่อ่านแนวนี้เลย



“แก่แล้วใครจะอยากอ่านปรัชญา” เขาหัวเราะนิดหน่อย “ที่ซื้อใหม่หลายเล่มก็เพราะก้องนั่นแหละ”

“ผมเหรอ?”

“ใช่” พี่อู๋ย่อตัวลงช่วยจัดหนังสือ “คิดถึงก้องมากเกินไปเลยต้องหาอะไรอ่าน”



ผมเบ้ปาก ไม่รู้ว่าคำหยอดหวานๆ คือส่วนหนึ่งของพิธีกรรมก่อนร่วมรักของเขาหรือเปล่า หลังช่วยกันจัดของเสร็จพี่อู๋ก็พาผมเข้าห้องน้ำ เขาสอนให้ผมสวนล้างทำความสะอาดตามที่เคยสัญญาไว้ แต่ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผมเกลียดมากจนไม่อยากให้ใครอยู่ข้างๆ ผมอายที่ต้องให้พี่อู๋ช่วยสวนให้แต่เขากลับบอกว่าไม่เป็นไรเพราะนี่คือเรื่องธรรมชาติ คือสิ่งที่เขาควรมีส่วนร่วมเพราะเวลามีเซ็กส์กัน พี่อู๋ลำบากน้อยกว่าผมเยอะ เมื่อเช็กจนแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีอะไรเลอะเทอะหลุดออกมา พี่อู๋ก็จูงมือผมเดินเข้าไปในห้อง



มันคือการจูงมือที่อ้อยอิ่งเชื่องช้าและยั่วเย้าอย่างมีนัยยะ ผมตื่นเต้นจนรู้สึกราวกับมีไฟฟ้าแล่นทั่วร่างเพียงแค่ปลายนิ้วเราสัมผัส เมื่อเดินเข้ามาถึงข้างใน พี่อู๋ก็ค่อยๆ ปิดประตู เขาเปิดแอร์และหมุนตัวมาหานายก้องเกียรติโดยไม่พูดอะไร ชั่วขณะนั้นเรามองตาด้วยความรู้สึกมากมายที่บรรยายไม่ถูก ผมทั้งกังวลทั้งกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ส่วนพี่อู๋ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาหา และเราก็จูบกัน

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-10-2019 19:53:31
43 [PART 2/2]


พี่อู๋ไม่ได้รุกเร้าให้ผมกลัว เขาเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ผมเครียดน้อยลง เราจูบกันอยู่ครู่หนึ่งพี่อู๋ก็ค่อยๆ ถอดเสื้อของผมออก เขาดันตัวผมให้นอนราบบนที่นอนและเริ่มต้นจูบกันใหม่ พออะไรๆ เริ่มปะทุขึ้นมา มือของผมก็อยู่ไม่นิ่ง ค่อยปัดป่ายไปตามเสื้อของเขาจนพี่อู๋ต้องถอดออกในที่สุด ระหว่างที่ริมฝีปากของเราติดกัน สองมือก็วุ่นวายกับการปลดกางเกงของฝ่ายตรงข้ามจนเปลือยเปล่า เมื่อผมเริ่มเคลิ้มไปกับจูบนุ่มนวลที่พี่อู๋บรรจงป้อน เขาก็ผละตัวออก มองหน้าผมอีกนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆ จูบไล่ลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่คางจนถึงท้องน้อย



ตอนที่ผมปรายตามองว่าริมฝีปากของพี่อู๋จะหยุดลงตรงไหนเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเงยหน้ามองผมจากข้างล่างพอดี พี่อู๋แลบลิ้นเลียก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้และใช้ริมฝีปากครอบครองส่วนหนึ่งของก้องเกียรติ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในโพรงปากมันอุ่นและนุ่มขนาดนี้ สัมผัสรอบด้านที่กำลังโอบอุ้มส่วนกลางของผมเอาไว้ทำสติแทบแตกกระเจิง ผมเริ่มส่งเสียงในลำคอเมื่อพี่อู๋ใช้ลิ้นโลมเลียไปทั่ว เขาห่อริมฝีปากและดูดมินิก้องราวกับเป็นไอศกรีมแสนอร่อย พี่อู๋ทำเอาผมเกือบเสร็จในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที พอผมเริ่มกระตุกเล็กน้อยเขาก็ผละตัวออกและคลานขึ้นมาคร่อมผม เขาบอกว่าไม่อยากให้เสร็จตอนนี้ ไม่อย่างนั้นผมจะเหนื่อยจนหมดแรงและไม่มีโอกาสได้ทำอะไรๆ ต่อ



ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าพี่อู๋ปรนเปรอผมยังไงบ้าง ผมรู้แค่ว่าหูอื้อมากและแทบไม่ได้ลืมตาเลยเพราะรู้สึกดีเกินไป ผมปล่อยให้พี่อู๋ทำตามใจทุกอย่าง เขาอยากจูบตรงไหนก็จูบ อยากใช้ลิ้นหยอกหน้าอกของผมก็ตามสบาย ผมไม่ห้ามหรือบอกเขาว่าอย่า อย่าแตะตรงนั้น อย่าจับตรงนี้ สิ่งที่หลุดจากริมฝีปากของผมมีแต่คำชื่นชมและร้องขอ เมื่อผมแข็งตัวและตื่นตัวเต็มที่ พี่อู๋ก็นำหมอนมาซ้อนกันสองใบ เขาบอกให้ผมนอนคว่ำลงก่อนจะเอื้อมตัวหยิบขวดเจลหล่อลื่นที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมา



ผมนอนคว่ำไปพร้อมกับเอี้ยวตัวมองหน้าเขา มองสีหน้าของผู้ชายที่ผมรักกำลังง่วนอยู่กับการแกะพลาสติกออกจากขวดก่อนจะส่งยิ้มให้กัน พี่อู๋บอกว่ามันจะตึงๆ หน่อย แต่ผมจะรู้สึกดี เขาสัญญาว่าผมจะรู้สึกดีโดยไม่ต้องใช้มือรูดตรงนั้นเลย พอรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะโดนเสียบ หัวใจของผมก็เต้นตึกตัก ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับเลือดในร่างกายสามารถเดือดได้เหมือนน้ำเปล่า ผมทั้งกังวลและกลัวว่ามันจะเจ็บมากไหมเพราะขนาดของพี่อู๋ก็ – มันน่ากลัวมากนะเมื่อจินตนาการว่าจะมีอะไรสอดเข้ามาในตัวของผม ด้วยขนาดนั้น ด้วยความยาวนั้น มันต้องเจ็บมากแน่ๆ เลือดจะออกไหมนะ ก้นของผมจะฉีกไหม ถ้าฉีกจะเจ็บแค่ไหน ผมมัวแต่คิดกังวลจนไม่ได้สนใจว่าพี่อู๋ถึงขั้นตอนไหน ระหว่างที่กำลังคิดจนเริ่มอ่อนตัว จู่ๆ อะไรบางอย่างก็สอดเข้ามา



ไม่ – มันไม่เจ็บเลย เพราะพี่อู๋แค่สอดนิ้วชี้ที่ชุ่มเจลหล่อลื่นเข้ามาหนึ่งนิ้ว เขาถามผมว่าเจ็บไหม เมื่อผมส่ายหน้าบอกว่าไม่เจ็บครับ เขาก็ค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ ความรู้สึกแรกของการถูกสอดใส่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด มันไม่เจ็บตึงแต่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเมื่อสัมผัสได้ว่านิ้วนั้นเริ่มกวาดวนในตัว ผมซุกหน้าลงบนหมอนและพยายามผ่อนคลายตามที่พี่อู๋ว่า พอเห็นผมยังดูเกร็งๆ ไม่สบายใจ เขาก็เปิดเพลงผ่านลำโพงบลูทูธเพื่อให้บรรยากาศตึงเครียดน้อยลงกว่านี้



เพลงที่พี่อู๋เปิดเป็นเพลงฝรั่ง ทำนองเชื่องช้าและนุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนนิ้วของเขาที่อยู่ในตัวของนายก้องเกียรติ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้องเพลงนี้ แต่พอฟังออกคร่าวๆ ว่า You’ re my my my my –



“อื้อ!!”



ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ จำนวนนิ้วก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน พอเอี้ยวตัวกลับไปมองพี่อู๋ก็เห็นสีหน้าผ่อนคลายของเขาที่กำลังง่วนอยู่กับก้นของก้องเกียรติ เมื่อเราสบตากัน เขาก็ส่งยิ้มหวานและโน้มตัวมาป้อนจูบให้ พี่อู๋ถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงว่าเจ็บไหม



“มะ – ไม่เจ็บครับ”



ผมละล่ำละลักตอบเพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ปั่นป่วนในท้องน้อย มันคือความเสียวที่วิ่งปราดมาจากไหนไม่รู้ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้แตะต้องมินิก้องเลย ผมหลับตาพริ้มเมื่อพี่อู๋ใช้ปลายนิ้วนวดวนเบาๆ จากที่เคยกังวลจนเริ่มอ่อนตัวก็ค่อยๆ กลับมาแข็งอีกครั้ง ผมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ครางกระเส่าในลำคอเพราะพี่อู๋ขยี้ปุ่มบางอย่างในตัวผมหนักหน่วงเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนจะแตกได้ตลอดเวลาแค่เพราะนิ้วของเขาสอดเข้ามานวดเบาๆ ด้านหลัง



“พี่อู๋ – ผมเหมือนจะเสร็จเลย”



ผมบอกเขาทั้งๆ ที่ยังหลับตาพริ้ม รู้สึกเพลิดเพลินในสัมผัสนั้นจนปั่นป่วนไปทั่วร่าง เมื่อเห็นนายก้องเกียรติเริ่มปรับตัวได้ พี่อู๋ก็สอดนิ้วเข้ามามากขึ้น มันเริ่มแน่นและตึงตรงปากทางจนต้องโก่งสะโพกเพื่อให้เขาทำได้สะดวกขึ้นหน่อย ผมร้องครางบอกพี่อู๋ว่าเสียว เสียวจังเลยครับอยู่สองสามครั้งก่อนที่ความต้องการปลดปล่อยจะพุ่งทะยานสูงขึ้น ผมครางดังขึ้นเมื่อพี่อู๋เริ่มชักเข้าชักออกเป็นจังหวะ เสียงเจลหล่อลื่นดังเฉอะแฉะทำให้ผมนึกถึงฉากในหนังโป๊ที่เคยดูบ่อยๆ ผมเริ่มจินตนาการว่าตัวเองกำลังถูกเติมเต็มจากข้างหลัง แม้ว่ามันจะเป็นแค่นิ้วสามนิ้ว แต่ก็สร้างความสุขให้ผมจนถึงฝั่งฝันได้ ผมตัวกระตุกสองสามครั้งและแตกเลอะใส่หมอนที่รองอยู่ด้านล่าง ทั้งๆ ที่ผมเสร็จแล้วแต่พี่อู๋ยังไม่หยุด เขายังคงตะบี้ตะบันขยี้ปุ่มนั้นในตัวของก้องเกียรติจนต้องเปล่งเสียงร้องออกมา



ผมเริ่มร้องหนักขึ้น ครางหนักขึ้นจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นการอ้อนวอนขอชีวิต ผมบอกพี่อู๋ว่าพอแล้ว พอได้แล้ว! พี่อู๋ถึงจะยอมหยุด เขาพลิกตัวผมให้นอนหงายและก้มหน้าลงมาจูบอีกครั้ง เราจูบกันทั้งที่ส่วนกลางของก้องเกียรติยังสั่นระริกและปล่อยของเหลวของมาเป็นระลอก พี่อู๋ก้มมองด้วยความชอบใจ เขามองจนกระทั่งตรงนั้นอ่อนตัวลงจึงเงยหน้ากลับมาสบตากัน



“เจ็บไหม?”

“ตอนแรกไม่เจ็บครับ” ผมจูบพี่อู๋เบาๆ “แต่พอเพิ่มเป็นสามนิ้วมันก็ตึงๆ นิดนึง”

“แต่ทนไหวใช่ไหม?”

“ไหวครับ”

“ของพี่มันก็พอๆ กับเมื่อกี๊แหละ แค่ยาวกว่านิดหน่อย ถ้าทนไม่ไหวรีบบอกพี่นะ”

“ถ้าผมเจ็บ – พี่จะหยุดใช่ไหม?”



ผมถามด้วยความกังวล เมื่อพี่อู๋ส่งยิ้มและให้สัญญาว่าเขาจะหยุดทันทีที่นายก้องเกียรติร้องขอ ผมจึงสบายใจและขอบคุณเขา ในห้องนอนใหญ่ที่เคยใช้สำหรับพักผ่อน ร่างชุ่มเหงื่อของเราสองคนกำลังสัมผัสกันและกันอย่างนุ่มนวล พี่อู๋จูบและเร่งเร้าให้นายก้องเกียรติกลับมาแข็งตัวเป็นครั้งที่สอง เมื่อผมเริ่มพร้อมเขาก็พลิกตัวให้นอนคว่ำอีกครั้ง พี่อู๋เริ่มต้นสอดนิ้วเข้ามาทีละนิ้วใหม่ มันเป็นไปอย่างเนิบนาบใจเย็นเพื่อเตรียมความพร้อมให้ก้องเกียรติมากที่สุด ผมเองก็เคลิ้มจนหลับตาพริ้ม พึงพอใจในรสสัมผัสและการนวดวนของพี่อู๋อยู่ไม่น้อย พอเริ่มคุ้นชินจนลืมไปว่าขั้นตอนต่อไปคืออะไร พี่อู๋ก็ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามา



ผมร้องโอ๊ยทันทีเพราะปากทางตึงไปหมด แค่ส่วนหัวของเขาผมก็เริ่มตึงจนเจ็บแทบทนไม่ได้ พี่อู๋รีบโน้มตัวทาบลงมาเพื่อลูบหัวผมเบาๆ เขาสอนให้ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ จะได้ไม่เกร็งมาก แต่มันเจ็บเกินไป มันเจ็บจนไม่รู้สึกดีเลย พี่อู๋จึงยอมถอนตัวออกโดยไม่ขอให้ผมกัดฟันยอมอดทนเพื่อให้มันเข้าไปมิดลำ สิ่งที่เขาทำคือกอดผมและบอกว่าพอก่อนก็ได้



“เจ็บมากไหม?”



เขาถาม ผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะไม่อยากให้พี่อู๋เสียกำลังใจ ผมโกหกเขาว่าไม่มากเท่าไหร่ทั้งๆ ที่มันเจ็บเหมือนมีอะไรฉีกขาด ผมบอกพี่อู๋ว่าขอพักหนึ่งนาที ขอผมทำใจอีกซักหนึ่งนาทีแล้วเราค่อยเริ่มต้นกันใหม่ พี่อู๋ยังคงบอกผมว่าไม่เป็นไร ถ้ามันเจ็บจนทนไม่ไหวค่อยลองใหม่วันหลังก็ได้ แต่ผมคิดว่าต้องเป็นวันนี้ เขาบิ้วอารมณ์ผมจนอยากโดนใส่แล้ว จะรออีกสัปดาห์ทำไม ทำมันวันนี้แหละ ทำตอนที่ผมกำลังต้องการนี่แหละ ผมบอกถึงความตั้งใจแรงกล้านี้ เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้ามาจูบก้องเกียรติ



“งั้นลองใหม่เนอะ พี่จะทำช้าๆ ก็แล้วกัน”

พี่อู๋บอกอย่างนั้นและเริ่มต้นกันใหม่ กว่าจะบิ้วให้ผมต้องการได้ที่ กว่าทางข้างหลังจะพร้อมจนสอดใส่ก็ใช้เวลาพอสมควร ผมว่าคนที่ต้องอดทนที่สุดครั้งนี้ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นพี่อู๋ต่างหาก ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วเขายังไม่เสร็จเลยซักครั้ง มันทั้งตึงเครียดและบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด ดูก็รู้ว่าคงเจ็บมากแต่พี่อู๋กลับทุ่มเททุกอย่างให้ก้องเกียรติแทน เขาทั้งนวด ทั้งช่วยทำให้ผมคุ้นชิน ทั้งบิ้วอารมณ์ให้ผมอยากสุดๆ เพื่อที่จะสอดใส่ แต่ไม่ว่าจะทำขนาดไหนมันก็ยังเจ็บอยู่ดี ผมร้องขอให้เขาหยุดอยู่ประมาณสี่ห้าครั้ง พอครั้งที่หกผมเห็นสีหน้าพี่อู๋เริ่มไม่ดีเพราะเจ็บที่ไม่ได้ระบายออก ผมจึงยอมอดทน กัดฟันแน่นเมื่อพี่อู๋ค่อยๆ ดันเข้ามาจนมิดด้าม ไม่ต้องพูดถึงเสียงร้องของผมเลยว่าหวีดหวิวขนาดไหน ผมเจ็บที่มันเข้ามาอยู่ในตัว ทั้งเจ็บทั้งจุกเหมือนโดนกระทุ้งจนตัวงอ แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกดีเมื่อเห็นพี่อู๋ขมวดคิ้วแน่น เขาสูดปากพยายามสงบสติอารมณ์และชมผมว่าก้นแน่นจัง



มันความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้เลยเมื่อส่วนหนึ่งของพี่อู๋เข้ามาอยู่ในตัวผม เขาแช่มันไว้ครู่ใหญ่ ปล่อยให้ก้องเกียรติค่อยๆ ทำความคุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอมจนเจ็บน้อยลงจึงเริ่มขยับ การเสียดสีจากผนังด้านในให้ความรู้สึกต่างกับนิ้วมาก ของพี่อู๋มันแน่นและเติมเต็มได้มากกว่า ความยาวก็มากกว่าจนสามารถทำให้ผมสะดุ้งเมื่อกดเข้ามามิดได้ พออะไรๆ เริ่มดีขึ้น พี่อู๋ก็บีบเจลหล่อลื่นเพิ่มเพื่อไม่ให้มันฝืดเกินไป เขาใช้สองมือยึดสะโพกของก้องเกียรติและค่อยๆ ขยับตัวเข้าออกช้าๆ จากนั้นเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นเมื่อเราปรับตัวเข้าหากันได้



“เจ็บไหมก้อง?” พี่อู๋ถาม

“ไม่ – อ่ะ ไม่เจ็บครับ”



ผมตอบพร้อมกับพยายามกัดปากไว้แน่น มันคือความสุขสมผสมความเจ็บปวดที่พอรับได้ แต่ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของพี่อู๋ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม ปกติผมเคยใช้แค่มือช่วยตัวเอง มาคราวนี้พี่อู๋เป็นฝ่ายทำให้เสียวแทบขาดใจด้วยการซอยเข้าออกเป็นจังหวะเนิบนาบ ผมเลียริมฝีปากเพราะรู้สึกว่ามันแห้งเกินไป ดวงตาหลับพริ้ม รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับส่วนหนึ่งของพี่อู๋ที่ยังคงขยับเป็นจังหวะ



พอถึงจุดหนึ่งของอารมณ์ ความเสียวก็ค่อยๆ ไต่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่อู๋เริ่มซอยถี่ขึ้นจนหน้าขาของเขากระทบก้นของผมส่งเสียงดังพั่บ! พั่บ! ในห้องนอนที่มีแค่เสียงเพลงจากลำโพงบลูทูธเริ่มมีเสียงร้องครางกระเส่าของเราทั้งคู่ ผมรู้สึกดีที่ไม่ได้เป็นคนเดียวที่เสียว แต่ตัวผมเองก็ทำให้พี่อู๋กำลังมีความสุขมากๆ เหมือนกัน ผมเอี้ยวตัวเพื่อมองหน้าเขา ยิ่งเห็นพี่อู๋หลับตา ดำดิ่งไปกับการเสพสมร่างกายของผมก็ยิ่งเร้าอารมณ์ ผมร้องครางในลำคอเมื่อรู้สึกเสียดตรงส่วนปลาย ผมกำลังจะเสร็จอีกแล้ว เสร็จโดยไม่ต้องใช้มือ เสร็จเพราะไอ้นั่นของเขากระทุ้งเข้าออกอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอดครั้งที่สอง ท้องน้อยของผมก็เริ่มปั่นป่วนและเสียวไปทั้งลำมากขึ้นเรื่อยๆ ผมร้องอ๊า! เมื่อพี่อู๋เผลอกดเข้ามาลึกเกินไป แต่ความลึกของมันก็ทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังร่วงหล่นจากหน้าผา ความเสียวที่เกิดขึ้นเพราะพี่อู๋ทำให้ผมต้องร้องขอให้เขารักษาความเร็วนี้เอาไว้



“จะแตกแล้ว --” ผมสูดปาก สองมือจิกหมอนแน่นเพราะเริ่มเกร็งจนควบคุมไม่ได้ “โอ๊ย พี่อู๋ ผมจะแตกแล้ว จะแตกแล้ว!”



ราวกับเข้าใจในสิ่งที่ก้องเกียรติต้องการจะสื่อ พี่อู๋ขยับตัวเข้าออกเร็วขึ้นเรื่อยๆ บดเบียดสะโพกด้วยความเร็วและแรงจนเสียดสีจุดเสียวที่อยู่ภายใน กดย้ำซ้ำๆ จนผมทนแทบไม่ได้ ต้องกรีดร้องออกมาดังๆ จนกระทั่งถึงฝั่งฝัน ผมปล่อยออกมาเลอะหมอนเป็นหนที่สองแต่ถึงอย่างนั้นช่องทางข้างหลังก็ยังคงถูกกระตุ้นเรื่อยๆ ผมตัวกระตุกเกร็งหลายหนเพราะร่างกายบีบเค้นเอาหยาดหยดสุดท้ายออกมา หลังจากนั้นไม่นานพี่อู๋ก็เสร็จตาม เขาครางในคอเสียงต่ำด้วยใบหน้ายู่ยี่ก่อนจะอัดสะโพกใส่ผมย้ำๆ สองสามครั้ง



ผมคิดว่าเขาแตกใน ปรากฏว่าไม่มีของเหลวอะไรคั่งค้างเพราะพี่อู๋ใช้ถุงยางอนามัย หลังถอนตัวออก พี่อู๋ก็ล้มตัวนอนทับผม เรานอนหอบด้วยกันทั้งคู่อย่างหมดสภาพ ผมเสร็จถึงสองครั้งก็เลยหมดแรง ส่วนพี่อู๋เสร็จหนักไปหน่อยถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ พอเริ่มหายใจได้เต็มปอด เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบผมและขอบคุณที่อดทนจนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผมส่งยิ้มเหนื่อยๆ ให้พี่อู๋และมองตาเขา เชื่อไหมว่าในนั้นมีแต่ใบหน้าของผมและความรักแสดงออกชัดเจนจนแทบปิดไม่มิด ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมให้มีอะไรกับพี่อู๋ ทุกอย่างที่ผ่านมามันมีความหมายมากๆ และผมก็รักเขามาก พี่รู้ตัวบ้างไหม



“พี่เจ็บป๋องแป๋งไหม?”

“เจ็บ” เขาไม่ปิดบัง “ไม่เคยต้องกลั้นนานขนาดนี้เลย”

“ผมขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม?” เขาเลิกคิ้วถาม “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ก้องเจ็บกว่าพี่ตั้งเยอะ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหม?”

“นิดหน่อยครับ”

“อย่าเพิ่งพลิกตัวนอนหงายก็แล้วกัน” พี่อู๋จ้องตาผมและลูบหัวเบาๆ “เดี๋ยวพี่สั่งข้าวให้กิน อยากกินอะไรล่ะ มื้อนี้เต็มที่เลย”

“ผมอยากกินเอ็มเค”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหยิบโทรศัพท์ก่อนนะ”



พี่อู๋จุ๊บหน้าผากผมหนึ่งทีก่อนจะหายไปหยิบโทรศัพท์และกลับมานั่งข้างเตียง ผมยังคงนอนคว่ำตามคำแนะนำของเขาก็เลยไม่รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น เรานั่งเลือกเมนูผ่านทางแอพพลิเคชั่นสั่งอาหาร พี่อู๋สั่งเป็ดย่าง บะหมี่หยก หมูสไลด์และลูกชิ้นมาอีกสองสามอย่าง พอกดสั่งเขาก็แนะนำให้ผมคว่ำหน้ากลิ้งลงจากเตียง อย่านั่ง เพราะมันเจ็บ



ตอนแรกผมไม่เชื่อ ผมคิดว่าพี่อู๋เว่อร์เพราะมันจะเจ็บได้ยังไง อิศรินทร์จูเนียร์ไม่ได้เสียบคาไว้เสียหน่อย แต่พอก้นสัมผัสที่นอนเท่านั้นแหละ ผมหน้ามืดเพราะมันเจ็บกว่าที่คิดเอาไว้เยอะมากๆ มันไม่ได้เจ็บสะโพกแบบเข็ดเมื่อย แต่มันคือความเจ็บที่เกิดจากแผล เป็นความเจ็บเหมือนตอนท้องผูกมากๆ จนฉีก ผมรู้ว่าคำบรรยายมันอาจฟังดูแย่ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันเจ็บจนลงน้ำหนักไม่ได้ ผมหน้าซีดจนพี่อู๋ต้องรีบหิ้วปีกให้ลุกขึ้นยืน



“พี่บอกแล้วว่ามันเจ็บ”

“เลือดออกเยอะไหมครับ?”



ผมกระวนกระวาย เจ็บขนาดนี้ก้นต้องฉีกเป็นริดสีดวงแน่ๆ แต่พี่อู๋ก็หมุนตัวให้กลับไปดูที่นอน ไม่มีอะไรเลอะเปรอะเปื้อนเลยเพราะเขาใส่ถุงยางอยู่ ที่เลอะน่ะหมอนที่ใช้รองตัวผม เลอะน้ำของผมคนเดียวเองด้วย นอกนั้นก็สะอาดดี ไม่มีคราบเลือดหรือร่องรอยสยองขวัญเลย



“พี่ไม่ทำก้องเลือดออกหรอก พี่รักก้องจะตาย”

“ให้มันจริงเหอะ ถ้าพี่ฟันแล้วทิ้ง ผมให้พ่อเอามีดฟันหัวพี่แน่”



ผมย่นหน้าล้อเลียนเขาก่อนจะพากันประคับประคองเข้าห้องน้ำ ผมแทบไม่ต้องทำอะไรซักอย่างเพราะพี่อู๋จัดการให้หมด เขาเปิดฝักบัวอาบน้ำให้ผม ล้างก้นให้ ฟอกสบู่ให้โดยที่ผมไม่ต้องกระดิกตัวซักนิด อาบน้ำเสร็จก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แถมยังพาไปส่งถึงเตียง ช่วยจัดท่าให้นอนสบายๆ ไม่เจ็บก้นอีก เมื่อนายก้องเกียรติหย่อนตัวลงพักผ่อนเรียบร้อย พี่อู๋ก็ลงไปเอาข้าวที่สั่งไว้ เย็นวันนั้นผมต้องยืนกินเพราะนั่งไม่ได้ นั่งแล้วมันเจ็บจี๊ดเหมือนขยี้แผลเลย



พอกินเสร็จ ผมก็กระย่องกระแย่งไปแปรงฟัน ส่วนพี่อู๋เก็บกวาดจานและเช็ดโต๊ะจนเรียบร้อย ผมค่อยๆ ล้มตัวนอนตะแคงบนเตียง จนถึงตอนนี้ความเจ็บยังคงอยู่ และมันเจ็บทุกครั้งที่มีอะไรสะเทือนไปถึงแผลด้านหลัง ลำพังนอนเฉยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่รู้สึกด้วยซ้ำ แต่อย่าเผลอพลิกตัวนอนหงายเชียวนะ ผมได้แหกปากร้องลั่นห้องแน่เพราะแผลยังสดอยู่



พี่อู๋เดินเข้ามาในห้องนอนเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาถอดปลอกหมอนเปื้อนน้ำของก้องเกียรติลงตะกร้าและเก็บถุงยางกับเจลหล่อลื่นเข้าลิ้นชัก ผมเพิ่งรู้ว่าเขาใช้เจลเยอะมากจนหมดไปหนึ่งขวด พี่อู๋บอกว่าก้นของผู้ชายไม่มีน้ำหล่อลื่น ถ้าใช้น้อยจะฝืดและเสียดสีจนได้แผล เขาก็เลยใช้เยอะๆ เพราะไม่อยากให้ผมเจ็บตัว



ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่อู๋ทำให้ผมมันดีมากจนไม่รู้สึกแย่เลย ผมไม่เสียดาย ไม่รู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองน้อยลงที่มอบตัวให้พี่อู๋ไปเรียบร้อยเพราะเขาดูแลผมดีมาก เขารู้ตัวว่าทำผมเจ็บ และเขาก็ดูแลทะนุถนอมผมอย่างดีราวกับเป็นไข่ในหิน สิ่งที่พี่อู๋มอบให้ในวันนี้ทำให้ผมรักเขามากกว่าเดิมหลายเท่า ผมรักเขามากจนอยากนอนกอดเขาแน่นๆ เพื่อตอบแทนความรักมากมายที่เขามอบให้คนอย่างก้องเกียรติ



“ครั้งต่อไปที่เรามีอะไรกัน – พี่จะดูแลผมดีเหมือนครั้งนี้ไหม?”



ผมถามพี่อู๋ที่กำลังเอนหลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มหวาน ก่อนจะบอกว่า



“อยากได้คำตอบแบบเรียลๆ หรือทุ่งลาเวนเดอร์?”

“ทุ่งลาเวนเดอร์ครับ”

“พี่จะถนอมก้องแบบนี้ตลอดไป”

“ถ้าแบบเรียลล่ะ?” ผมถามใหม่

“ต่างคนต่างแยกกันไปจัดการตัวเอง คงไม่เหมือนครั้งนี้หรอก”

“พี่สัญญาได้ไหมว่าพี่จะไม่เปลี่ยนไป? พี่จะดูแลผมอย่างนี้ทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน?”



ผมขอร้องพี่อู๋เพราะไม่อยากให้เรื่องราวดีๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียว คุณอิศรินทร์หัวเราะก่อนจะบอกว่าได้ แน่นอนว่าได้ เขาดูแลก้องเกียรติได้อยู่แล้ว แต่คนที่เปลี่ยนไปน่ะเป็นผมต่างหาก อีกหน่อยผมจะคุ้นชินจนไม่ต้องการให้ใครประคองตลอดเวลา ผมจะสตรองขึ้นถึงขนาดสวนล้างด้วยตัวเอง อาบน้ำเอง และไม่ยอมให้เขาโอ๋เหมือนเป็นคนป่วยหนักแบบนี้แน่นอน



“พี่รู้ได้ไงว่าผมจะสตรองขึ้น? เพราะคุณหมูพีเป็นแบบนั้นเหรอ?”

“ใช่ อีกหน่อยมันจะเปลี่ยนไป เราทั้งคู่ไม่มีใครเหมือนเดิมหรอก” คำตอบของพี่อู๋ทำเอาผมน้ำตาตกใน “แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่รักก้องน้อยลงนะ เรายังรักกันเหมือนเดิม แค่บางทีก้องอาจจะอยากใช้เวลาจัดการด้วยตัวเอง อีกหน่อยก้องอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากพี่น้อยลงเพราะมีเซ็กส์มันเหนื่อย มันไม่อยากยุ่งกับใครนอกจากล้างเนื้อล้างตัวให้สบายตัว ก้องนึกออกใช่ไหม?”



ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่อยากให้วันที่เราเหินห่างแบบนั้นมาถึงเลย ผมจึงบอกพี่อู๋ว่าตราบใดที่ผมอยากให้เขามีส่วนร่วม พี่ช่วยดูแลผมอย่างวันนี้ได้ไหม พี่อู๋รีบบอกว่าได้สิและจูบผม เดี๋ยวเราก็รู้กันว่าคำพูดของเขาเป็นคำมั่นสัญญาที่คงอยู่ชั่วนิรันด์หรือแค่ลมปากของคนอยากเอาเท่านั้น









ผมตื่นนอนประมาณแปดโมงเช้าเพราะพี่อู๋ปลุก เป็นการตื่นนอนที่ไม่สบายตัวเท่าไหร่เพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ ผมลืมตามองพี่อู๋ที่ยืนข้างเตียงเพื่อดูว่าเขาปลุกผมทำไม พี่อู๋บอกว่าพ่อโทรมาเมื่อกี๊ให้ก้องเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าเลย อีกประมาณชั่วโมงพ่อจะขับรถมารับ



“ทำไมต้องมารับ? ก็พี่อู๋บอกว่าจะไปส่งผมไม่ใช่เหรอ?”



ผมงอแง คุณอิศรินทร์จึงบอกว่าพ่อแวะมาทำธุระที่นี่ ผมถามเขาว่าธุระบ้าอะไรแปดโมงเช้า พี่อ่ะตกหลุมพรางของพ่อแล้ว นี่มันข้ออ้างหาเรื่องมารับผมกลับบ้านชัดๆ เขาคงรอให้พี่อู๋ไปส่งไม่ไหวเพราะรู้ว่าเราต้องหาข้ออ้างกลับดึกแน่ๆ



“ลุกขึ้นเร็วเข้า เดี๋ยวพี่เก็บกระเป๋าให้”



พี่อู๋ดึงแก้มผมก่อนจะเดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า ส่วนนายก้องเกียรติงอแงไม่ยอมตื่นเพราะรู้สึกไม่สบายตัวแปลกๆ ผมเจ็บคอและหายใจไม่ค่อยออกนิดหน่อย ผมอยากจะนอนต่ออีกซักพักเพื่อให้อาการดีขึ้น แต่พอพี่อู๋ลุกมาจับแขนเขาจึงเอ่ยปากทักว่าผมตัวร้อน



“ติดหวัดทรายแน่ๆ เลยอ่ะ” ผมพูดเสียงขึ้นจมูก “เดี๋ยวกลับไปพักที่บ้านก็หาย”



แต่พี่อู๋ดูไม่ค่อยสบายใจ เขาเอาแต่ใช้มืออังหน้าผากผมอยู่นั่นแหละ ซักพักก็บ่นงุบงิบว่าพ่อก้องเอาตายแน่ คราวนี้ได้กลับมาอยู่ด้วยยากกว่าเดิมแน่ๆ ผมบอกพี่อู๋ว่าเขาคิดมากเกินไป ผมติดหวัดเพื่อน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่เลย พี่จะเครียดทำไมเนี่ย แต่พี่อู๋ก็ยังไม่เลิกกังวลอยู่นั่นแหละ สุดท้ายผมจึงกินยาลดไข้ไปหนึ่งเม็ดเพื่อให้เขาสบายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปกินโจ๊กที่โต๊ะกินข้าว กินไปไม่ถึงครึ่งชามพ่อก็โทรมาตามพอดี



“ครับ ก้องกินข้าวอยู่ครับ เดี๋ยวผมพาลงไปส่ง”



พี่อู๋รับสายแทนผมก่อนจะเร่งให้กินข้าวเร็วๆ ผมเซ็งนิดหน่อยที่เวลาสองต่อสองของเราถูกตัดจนเหลือน้อยลงไม่ครบสองวัน หลังกินเสร็จผมก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันส่วนพี่อู๋วางชามทิ้งไว้ในอ่าง เขาหยิบเป้ของผมมาสะพายไหล่ก่อนจะสวมกอดผม จูบผม และถามว่าเจ็บไหม



“ไม่เจ็บแล้วครับ” ผมยิ้ม “แต่เจ็บคอ”

“เสียงเริ่มแหบแล้ว บอกพ่อให้พาไปหาหมอด้วยนะ”



เขายีหัวผมและบอกว่าเจอกันอาทิตย์หน้า เราเดินจับมือกันจนถึงชั้นหนึ่งของคอนโดจนกระทั่งบานประตูลิฟต์เปิด เราเห็นเบนซ์ของพ่อติดเครื่องรออยู่แล้ว พี่อู๋ยกมือไหว้สวัสดีพ่อตามมารยาทและเก็บกระเป๋าให้ผม เขาฟ้องพ่อด้วยว่าผมไม่ค่อยสบาย เจ็บคอนิดหน่อย ถ้าพอมีเวลาช่วยพาไปให้หมอตรวจทีนะครับ



“บ๊ายบายครับ”



ผมโบกมือลาเขา พี่อู๋ยิ้มกว้างและโบกมือตอบ ผมมองเขาผ่านทางกระจกข้างจนสุดสายตาก่อนจะหันไปคุยกับพ่อ พ่อดูไม่สบายใจที่เสียงผมแหบเหมือนเป็ด เขาบอกว่าก่อนกลับบ้านจะแวะหาหมอที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน



“พ่อไม่ไปธุระแล้วเหรอ?”



ผมแกล้งถาม พ่อยังดึงหน้าไม่แสดงออกว่าตกใจที่ถูกจับไต๋ได้ เขาพูดเรียบๆ ว่าทำเสร็จแล้ว ผมจึงถามต่อว่าทำอะไรที่ไหน มีเรื่องอะไรถึงต้องเข้ากรุงเทพตั้งแต่เจ็ดแปดโมง พอโดนต้อนเรื่อยๆ พ่อก็เริ่มแสดงท่าทีรำคาญ เขาบอกว่าไม่ต้องรู้หรอกว่ามาทำอะไร ผมจึงมั่นใจว่าพ่อโกหก เขาแค่หาเรื่องมารับผมกลับบ้านเร็วขึ้น ธุรงธุระอะไรคงไม่มีจริงหรอก



นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสามสิบสี่นาที พ่อเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลเอกชนแถวบ้านเพื่อให้ผมพบหมอ ซึ่งผลตรวจก็ออกมาเป็นไข้หวัดจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ระหว่างรอคิวจ่ายเงินค่าหมอ พ่อก็หลอกถามผมว่าอยู่กับพี่อู๋สองคนทำอะไรบ้าง ซึ่งผมก็ตอบตามความจริงครึ่งนึง ไม่จริงครึ่งนึง เพราะถ้าบอกพ่อว่าเมื่อวานผมมีอะไรกับพี่อู๋ พ่อคงหัวใจวายตาย หรือไม่ก็ถือปืนไปยิงหัวพี่อู๋แน่ๆ



“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเรียกพ่อ ทำไมไม่เรียกป๊าเสียที?”



จู่ๆ พ่อที่ไม่รู้นึกอะไรถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมจึงบอกพ่อว่าเพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเชื้อสายจีน ผมไม่ชินกับสรรพนามที่พ่อกับครอบครัวใช้ ผมถามพ่อว่าอยากได้ยินคำว่าป๊ามากเลยเหรอ เขาเงียบพักหนึ่งก่อนจะบอกว่าตอนเล็กๆ ผมเคยเรียกพ่อว่าปะป๊า



“ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมจะพูดได้ไง?”

“ขวบกว่าก็พูดได้แล้ว”



พ่อตอบพลางเสมองบัตรคิวในมือ เราเงียบใส่กันครู่ใหญ่เพราะไม่รู้จะพูดอะไร ผมยอมรับก็ได้ว่าที่ไม่เรียกพ่อว่าป๊าเพราะอยากแก้เผ็ดแทนแม่ด้วยการทำให้พวกเขาช้ำใจ แต่พอเวลาผ่านไป มันก็มีบ้างที่เผลอคิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ผมเริ่มชินกับการกลับบ้านไปเจอทุกคน เริ่มคุ้นเคยกับอาหารฝีมืออาแตง เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองมีพ่อและน้องสาวอีกสี่คน มีแม่เลี้ยง มีย่า มีหมาหนึ่งตัวในบ้านหลังนั้น ผมไม่ได้ใจอ่อนยอมยกโทษให้พ่อกับย่าที่บีบแม่จนต้องหนีออกจากบ้าน เพราะมีบ้างบางครั้งที่ชั่ววูบหนึ่ง เป็นชั่ววูบแสนสั้นราวกับลมพัดผ่าน – มีบ้างที่ผมคิดถึงแม่ และผมยังทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและให้อภัยอย่างสนิทใจไม่ได้



“มันก็แค่คำเรียก พ่อไม่ต้องคิดมากหรอก”



ผมบอกพ่อแค่นั้นและหวังว่าพ่อจะเข้าใจ เรานั่งเงียบใส่กันจนกระทั่งถึงคิวจ่ายเงิน หลังจากรอรับยาอีกประมาณห้านาที พ่อก็เดินนำผมกลับไปที่รถและไม่คุยเรื่องนี้อีก มันเงียบหายไปราวกับพ่อไม่เคยท้วงติงขอให้ผมเรียกเขาว่าป๊า ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าก้องเกียรติจะเรียกเขาว่าอะไร ผู้ชายที่ชื่อสมปราชญ์ก็ยังดูแลผมอย่างดีเหมือนเดิม





TBC



_______________________



#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีวันจันทร์เช่นเคยค่ะ :3

หลังจากรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ -- 55555555555555555555555555  :katai2-1:

เตรียมตัวนับถอยหลังได้แล้วนะคะพี่จ๋า เหลืออีกสองตอนน้องก้องก็จะบ๊ายบายทุกคนแล้วค่า

สัปดาห์หน้าน่าจะมีรายละเอียดรูปเล่มอย่างเป็นทางการนะคะ หลังเนื้อหาตอนหลักเสร็จสมบูรณ์เราจะถามสำนักพิมพ์และอัปเดตให้ทราบอีกครั้ง อดใจรออีกนิดเดียวของแท้ ไม่ติงนัง ไม่ลวงหลอก น้องก้องรูปเล่มมาแน่คับผม! ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจเช่นเคยนะคับ ;-;
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 28-10-2019 20:15:04
เรียบร้อยโรงเรียนพี่อู๋ จัดการดีมาก
 :z2: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 28-10-2019 20:31:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-10-2019 20:55:18
พี่อู๋แสนดีมากๆเลย แงงงง ไม่เหลือซึ่งความลุง ยัยก้องก็คือสมใจอยากแล้ว หนีพ่อมามีไรกะแฟน 55555555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-10-2019 21:16:16
สุขสมอารมณ์​หมาย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-10-2019 21:52:56
 :pighaun: สมใจพี่อู๋ซะที ลุ้นมานาน  แต่พ่อต้องรู้แน่ๆรีบมารับไวเว่อร์ ไม่ให้เวลาสวีทกันเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 28-10-2019 22:37:37
น้องทำเป็นเเล้วเนอะ คราวหน้าก้องเริ่มก่อนเลยๆๆ  :jul1:
เป็นกำลังใจให้ค่าาา
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2019 22:40:38
 :man1: :haun4: :man1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-10-2019 23:36:12
พ่อก็หวงลูกจริงๆ นั่นแหละ 555555

ขอให้พี่อู๋ถนอมน้องแบบนี้ให้ตลอดนะพี่  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-10-2019 23:46:33
ถ้าพ่อรู้ว่าก้องกับพี่อู๋จะโป๊งชึ่งกันคงมารับก้องตั้งกะเมื่อวาน นี่ขนาดทั้งห้ามทั้งหวง สงสารพ่อจัง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 28-10-2019 23:56:50
พี่อู๋ดูแลดีมากกกกก หลังจากขอให้อุปสรรคมันซอฟต์ๆหน่อย มันไม่ไหวจริงๆ แงงงง
กับพ่อก้องก็ขอให้ดีๆยาวๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-10-2019 00:31:23
ก็พ่อเค้าหวงลูกเค้า 555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-10-2019 01:05:03
หมูอู๋ของฉันนนได้ออกกำลังกายสักทีนะ :z1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 29-10-2019 01:09:25
ฮู้ยยยย อีกสองตอนจะจบแล้วอ่ะ ยังอยากรู้เรื่องราวของเสี่ยอู๋กับกอริลลาก้องไปเรื่อยๆ :sad4:

//

แต่ว่า แต่ ตอนนี้คือเค้าได้กันแล้วววววว หวีดดดดดดด ประทับใจเสี่ยอู๋สุดดดดด อดทนรอจนก้องเกียรติพร้อม ปรบมือค่าาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 29-10-2019 01:27:16
อร่อยกรุบเลยตอนนี้55555555 รอมานาน  :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 29-10-2019 10:04:08
สมใจพี่อู๋กับยัยก้องซักที555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-10-2019 13:19:29
ในที่สุดก็ถึงวันนี้
ซะที อู๋+ก้อง

อิพี่อู๋มันโหดมาก
โคตรชำนาญการเป็นผัว
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 30-10-2019 22:35:28
เรายังติดๆเรื่องความใจร้ายของพี่อู๋ที่ทำกับกอลิล่าก้องอยู่นิดหน่อย เหตุผลก็ไม่ค่อยเคลียร์ ไม่ขึ้น น้ำหนักไม่พอ
แต่เราดีใจที่กอลิล่าก้องมีความสุข อยากให้ความสุขอยู่กับน้องไปนานๆ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 31-10-2019 00:07:25
ตายแล้วววๆๆๆๆ ลูกชั้นนน ได้ลูกฉันแล้วอย่าทำให้น้องเสียใจบ่อยนักนะ! ไม่งั้นจะตีๆๆ พี่อู๋เลย นี่แน่ะ!
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: กล้วยจังหวะนรก ที่ 31-10-2019 09:01:36
กลัวว่าต่อไปจะเป็นเสี่ยอู๋ที่ตายคาอกเด็กเนี่ยสิ แววน้องมาแต่ไกลเลย555555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-10-2019 21:16:05
ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ทนจนเจ็บป๋องแป๋ง กร๊ากกกกกก
นี่ยังเจ็บไม่เท่าน้องตอนที่โดนไล่เป็นแมวตอนนั้นเลยนะ อิพี่อู๋

ความพ่ออ่ะเนอะ ความเด็กของก้อง คิดดูว่ากระทบกระเทือนแค่ไหนที่แม่มาตายให้เห็น เราเข้าใจก้องนะและก็เข้าใจพ่อด้วย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 02-11-2019 22:09:32
มันจะเกิดเรื่องอะไรอีกไหม
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 43 update!] 28/10/19
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-11-2019 00:31:25
ในที่สุด  :-[  จะจบแล้วเหรอ ขอให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-11-2019 19:52:46
44 [PART1/3]

อาการปวดอยู่กับผมประมาณสี่ห้าวัน สิ่งที่ลำบากที่สุดคือการขับถ่ายและการปั่นจักรยานไปเรียนเพราะสองสิ่งนี้กระตุ้นแผลโดยตรง

ผมบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว ไม่ขอทำแบบนั้นอีกแล้วเพราะมันเจ็บมาก ตอนที่ปั่นข้ามลูกระนาดแล้วจักรยานสั่นดังกึก! มันสะเทือนแผลจนปั่นต่อไม่ได้ ทรายถามว่าเป็นอะไร ทำไมจู่ๆก็หยุดปั่นกะทันหัน พอเห็นหน้าผมซีดๆไม่กล้าพูดมากมันก็เข้าใจและบอกว่าสลับที่กันเถอะ เดี๋ยวกูปั่นเอง เวทนาก้นมึงจริงๆอีก้อง แล้วภาพน่ารักๆอย่างพี่ทรายแมคคาปั่นจักรยานพาผู้ชายกลับหอก็เป็นที่พูดถึงในอินเทอร์เน็ต ผมดูเหยาะแหยะอ่อนแอมากเพียงแค่ซ้อนท้ายผู้หญิงเถื่อนอย่างทรายทั้งๆที่ความจริงผมแข็งแรงมาก เพราะเจ็บแผลหรอกนะถึงต้องใช้แรงงานเพื่อน แต่จะว่าไปการปั่นจักรยานให้ผู้ชายซ้อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วพวกเขาตื่นเต้นอะไรกัน แม้กระทั่งไอ้โบ้ทยังขำเพราะเห็นภาพของเราในเฟสบุ๊ก

พอแผลเริ่มหายดี ผมก็กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง คราวนี้เวลาไปค้างบ้านพี่อู๋ ไม่ต้องรอให้เขาสอนเขาสั่งอย่างที่เคยทำ ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแม้พี่อู๋จะไม่พูดว่าคืนนี้เราจะทำอะไร ราวกับเป็นกิจกรรมที่เราสองคนต่างเฝ้ารอตลอดเดือนอยู่แล้วเพราะเรามีเวลาอยู่ด้วยกันแค่เดือนละสองครั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นสองครั้งที่ล้ำค่าจนไม่สามารถปล่อยผ่านเฉยๆได้

“จะใส่แล้วนะ --”

พี่อู๋พูดให้สัญญาณ เขายังคงอ่อนโยน ทะนุถนอมผมอย่างดีไม่เคยทำให้ช้ำไปทั้งตัว เขาไม่ดูดผิวของผมจนขึ้นรอย ไม่กัด ไม่ทำให้ผมรำคาญใจด้วยการกระทำพิศดารใดๆก็ตามเท่าที่มนุษย์จะทำได้ แต่เราไม่ได้มีเซ็กส์แบบเดิมๆจนน่าเบื่อ พี่อู๋สอนให้ผมเรียนรู้วิธีใช้ปากกับส่วนนั้นของเขา ครั้งแรกทำเอาผมแทบอ้วกเพราะมันลึกเกินไป ผมบอกพี่อู๋ว่าผมไม่สามารถใช้ปากหมดในรวดเดียวหรอก เขาจึงบอกให้ทำเท่าที่ไหว เลียอย่างเดียวก็ได้ หรือจะไม่ทำก็ได้ถ้ารู้สึกไม่ดี แต่สำหรับผมไม่มีอะไรไม่ดีหรอก ผมรักทุกส่วนในร่างกายของพี่อู๋ รักทุกอย่างที่เป็นเขาจนไม่รังเกียจเมื่อต้องออรัลให้ ตอนนี้เราค้นพบความสนุกรูปแบบใหม่จนได้ลองแทบทุกอย่าง ผมเคยลองสอดใส่กับตุ๊กตายางที่มีแค่ท่อนล่างด้วย พี่อู๋ซื้อมาให้ เขาคงเอาไว้ดักคอก้องเกียรติเวลาพูดว่าอยากเป็นฝ่ายเสียบบ้างจัง

“โคตรเสียว”

พี่อู๋พึมพำ สะโพกของเขาขยับเข้าออกถี่ยิบ ส่วนผมก็ขยับเหมือนกัน เพียงแค่สอดใส่กับตุ๊กตายางและเสพสมกับความสุขทั้งข้างหน้าข้างหลัง นี่คือท่าที่ผมชอบมากเพราะได้เป็นทั้งคนคุมเกมและฝ่ายถูกเติมเต็ม มันคือความหฤหรรษ์ที่ทำเอาผมหมกมุ่นและดื่มด่ำไปกับมันจนเผยสัญชาติญาณดิบออกมา ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบเซ็กส์ขนาดไหน ไม่เคยรู้ว่าการมีอะไรกับคนรักมันเติมเต็มชีวิตจิตวิญญาณของผมได้จริงๆ ดังนั้นทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน ผมจะรักพี่อู๋มากเป็นพิเศษ เราจะพูดจาลามกใส่กัน พูดคำหยาบที่หากพ่อได้ยิน พ่อคงหยิบไม้มาฟาดผมจนเลือดซิบแน่ๆเพราะมันไม่สุภาพ แต่คำหยาบเหล่านั้นเวลาถูกพูดบนเตียงกลับเร้าอารมณ์เป็นบ้า โดยเฉพาะช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอดแล้วเราครวญคราง ยิ่งตอนที่พี่อู๋ย้ำแรงๆและผมเรียกเขาว่าผัว โคตรสุดยอดในความรู้สึกของเราเลย

“อา --”

เมื่อปลดปล่อยเอาความต้องการทั้งหมดออกมา เราต่างนอนหอบด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้สิ่งที่พี่อู๋เคยพูดไว้กลายเป็นจริงแล้ว ผมชอบที่เขาเอาใจใส่นะ แต่ไม่ชอบให้เขาทำเหมือนผมอ่อนแอเปราะบางจนดูแลตัวเองไม่ได้ หลังพักเหนื่อยเสร็จ ผมจะถอดถุงยางให้เขา จากนั้นเราก็สลับกันไปอาบน้ำ อาบเสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ค้างไว้ของตัวเอง ครั้งหนึ่งเรามีเซ็กส์กันช่วงสอบไฟนอล ผมเจ็บก้นจะแย่แต่ก็ต้องนอนอ่านหนังสือไม่งั้นก็คงได้คะแนนไม่ดี มันเป็นแบบนี้ตลอดในความสัมพันธ์ของเรา มีระยะห่าง แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินจนถึงขั้นหมางเมินเหมือนคนหมดรักต่อกัน

“อาทิตย์หน้าไปเกาะล้านกันไหม?”

พี่อู๋ถามผมที่กำลังทำการบ้านหน้าทีวี ผมเงยหน้ามองเขา ไม่เข้าใจว่านึกยังไงถึงถามแต่ก็บอกให้เขาไปขออนุญาตพ่อ เพราะผมยังไงก็ไปอยู่แล้ว ติดอยู่อย่างเดียวคือพ่อนี่แหละที่ยังคงระแวงไม่ให้ไปไหนไกล ผมไม่แน่ใจว่าพ่อหวงลูกทุกคนเหมือนกันหมดไหมหรือเจาะจงก้องเกียรติคนเดียว แต่เห็นชมพู่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่ ผมจึงเทน้ำหนักไปที่คำพูดของแอปเปิ้ลที่ว่าพ่อกลัวเราตายเพราะอุบัติเหตุมากกว่า

ซึ่งแน่นอนว่าพ่อไม่อนุญาต พ่อบอกว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้นั่งรถไกลๆเพราะกลัวพี่อู๋หลับใน พอบอกว่าเขาไม่หลับหรอก เขาขับรถทางไกลเก่งมาก พ่อก็จะบอกว่ากลัวเรือล่ม กลัวขับมอเตอร์ไซค์ตกเขา กลัวเจ็ตสกีคว่ำ กลัวนั่นกลัวนี่จนเราต้องยอมแพ้ โอเค ไม่ไปไหนนอกจากเดินห้างก็ได้ ถ้าพ่อจะหวงขนาดนี้ ทำไมไม่เอาโซ่ล่ามพวกเราไว้เลยจะได้ไม่ต้องพะวงตลอดเวลา

แต่พ่อก็เข้มงวดได้ไม่นานเท่าไหร่ เมื่อผมขึ้นปีสาม พ่อเริ่มอนุญาตให้ไปวันเดย์ทริปกับพี่อู๋บ้าง แน่นอนว่าเงื่อนไขคือเหมือนเดิม ไปเช้าเย็นกลับ อย่ากลับค่ำหรือพากันหายไปเกินสามวันเพราะพ่อไม่สบายใจ ดังนั้นพี่อู๋จะพาผมกลับบ้านที่ใต้ก็ไม่ได้ จะพาออกทริปเที่ยวต่างๆก็ไม่ได้นอกจากไปชลบุรีที่อยู่ห่างไปไม่กี่ชั่วโมง แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราเพราะพี่อู๋ขยันมาหาผมเสมอ ต่อให้ไม่ได้ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาก็พยายามมาเจอผมทุกอาทิตย์เพราะคิดถึง ผมได้แต่หวังว่าความสม่ำเสมอมั่นคงของเขาจะทำให้พ่อใจอ่อน และยอมปล่อยให้เราได้ใช้ชีวิตผู้ใหญ่เสียที





คืนก่อนผมฝันถึงออกัส เป็นฝันธรรมดาไม่ใช่ฝันร้ายหรือฝันดี และความฝันนั้นทำให้ผมหวนนึกถึงอดีตเพื่อนคนนี้อีกครั้ง

ปัจจุบันออกัสลาออกจากลาดกระบังไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามันคิดจะออกตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีก็ตอนที่มหาวิทยาลัยเอกชนใช้มันโปรโมตเป็นพรีเซนเตอร์คณะนิเทศ ผม ทราย มิวและโบ้ทไม่ได้ให้ความสนใจออกัสเหมือนเคย อาจมีระลึกวีรกรรมแสบๆที่มันเคยทำเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครเสียใจที่มันซิ่ว เราทุกคนรู้สึกเฉยๆ และผมสงสารมันจริงๆที่ซิ่วไปโดยไม่มีใครคิดถึงเลย

พอนึกถึงออกัส ผมก็มักจะหวนคิดถึงช่วงนั้นที่ทำให้ชีวิตของผมยุ่งเหยิงวุ่นวาย หลังออกสื่อแถลงข่าว ผมจำได้ว่ากระแสละครไม่ได้มาแรงเหมือนที่คิดไว้ ออกจะเงียบๆและค่อยๆจางไป แล้วกลับมาบูมใหม่เมื่อใกล้ตอนจบเท่านั้น ส่วนน้องฝนเราก็ไม่ได้พูดคุยติดต่อกันอีก เธอหายไป ไม่ได้อัปเดตเรื่องราวให้รู้ว่าถูกบริษัทฟ้องไหม ต้องไปไกล่เกลี่ยที่ศาลหรือได้คุยกับออกัสบ้างหรือเปล่า ที่แน่ๆสิ่งที่น้องฝนบอกเราเป็นจริงแทบทุกข้อ ต้นสังกัดพยายามดันคู่จิ้นใหม่ให้ออกัสแต่เข็นยังไงก็เข็นไม่ขึ้น มันจะดังเปรี้ยงปร้างก็ไม่สุดเพราะออกัสโดนฉุดด้วยภาพลักษณ์ตัวสร้างกระแสไปแล้ว ทุกอย่างจึงออกมาครึ่งๆกลางๆ มีทั้งคำด่าและคำอวยจนไม่สามารถจำกัดความได้ว่าความนิยมของออกัสเป็นไปในแง่บวกหรือลบเพราะมันพอๆกัน

ส่วนคนที่ด่าก้องเกียรติ ตอนนี้ก็ได้เจอกันเรียบร้อย ผมไปโรงพักเพื่อไกล่เกลี่ยมาแล้วครั้งหนึ่งจึงมีโอกาสพบคนที่ทวีตด่าผมว่าอีกะหรี่ น่าเศร้าที่บางคนยังเด็กมากจนต้องให้ผู้ปกครองมาขอโทษด้วยตัวเอง บางคนก็โตจนทำงานทำการแต่กลับพูดอะไรไม่คิดให้ดีจนต้องมาคุยกันที่โรงพัก ผมกับพ่อเห็นตรงกันว่าไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อจึงไกล่เกลี่ย ให้คนพวกนั้นอัปแถลงการณ์ขอโทษผมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งน่าเสียดายที่คำขอโทษไม่ดังเท่าคำด่า แต่ช่างมันเถอะ จบกันแล้วจบไป ไม่ต้องข้องเกี่ยวมาสร้างเวรสร้างกรรมอีก ยกเว้นพนักงานของเจอี ทนายแนะนำให้ฟ้องแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายเพราะพวกเขาคือต้นเหตุของกระแสทั้งหมด

แน่นอนว่าพนักงานสี่คนนั้นอยู่ไม่สุข พวกเขาพยายามติดต่อเพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ยไม่ให้เรื่องไปถึงชั้นศาล ซึ่งผมไม่สนใจ ผมปล่อยให้ทนายกับพ่อเป็นคนจัดการว่าจะเรียกร้องเท่าไหร่ ผมขอแค่คำขอโทษและการยอมรับผิดกับสังคมตรงๆว่าเจอีอยู่เบื้องหลังการปั่นกระแสด่าก้องเกียรติ เชื่อไหมว่าหลังเรื่องนี้ถึงหูบริษัท พนักงานทั้งสี่ก็มีเงินมาจ่ายผมคนละห้าหมื่นบาทแลกกับการถอนฟ้อง ผมบอกพ่อว่าบ้านเราไม่ขัดสนเรื่องเงิน ไม่ต้องเน้นจำนวนหรอกว่าได้มากหรือน้อย ที่ผมต้องการคือแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการจากเจอีและพนักงาน ผมอยากให้พวกเขาสารภาพความจริงให้สังคมรับรู้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาทำไม่ได้เพราะเจอีไม่ยอม ทางบริษัทคิดว่าจ่ายเงินให้สองแสนแล้วเป็นอันจบไปแต่ผมไม่ง่ายแบบนั้น

การต่อสู้ของเรายืดเยื้อยาวนานอยู่เป็นเดือน ในที่สุดพนักงานทุกคนก็ยอมแถลงการณ์ขอโทษผมบนโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งในเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ แต่น่าเศร้าที่มันยังคงไม่เป็นกระแสมากพอ มันไม่ได้เงียบฉี่ถึงขั้นไม่มีใครพูดถึง จริงๆก็มี แค่ไม่ได้เปรี้ยงปร้างเท่าตอนรุมด่า สุดท้ายทุกคนก็ลืมว่าก้องเกียรติต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นขนาดไหน เจอียังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่าระยะหลังจะสะดุดขาตัวเองสร้างกระแสให้โดนด่าบ่อยๆจนคนเริ่มอี๋ก็ตาม

ส่วนออกัส – ทำงานกับเจอีแค่ซีรี่ส์เรื่องนั้นเรื่องเดียวแล้วเงียบหายไปพักใหญ่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมเห็นรูปมันในประกาศโฆษณาบนสถานีรถไฟ คิดว่าน่าจะยังอยู่รอดต่อไปในวงการได้ ผมไม่เจอออกัสเลยตั้งแต่วันสอบครั้งนั้น ไม่เคยได้คุยกันอีกจนกระทั่งวันที่ไปเที่ยวพัทยากับพี่อู๋

มันเป็นการพบกันโดยบังเอิญจริงๆ ผมต่อคิวซื้อส้มตำริมหาด ห่างไปประมาณไม่ถึงสิบเมตรก็เป็นออกัสกับกองถ่ายแฟชั่น ผมคิดว่าน่าจะถ่ายกางเกงเพราะเห็นมันเปลี่ยนกางเกงตั้งสองตัวในเวลาห้านาที ตอนนั้นผมไม่คิดจะเดินเข้าไปทักมันเลย แค่มองจากไกลๆและเห็นมันยังมีงานทำเหมือนเดิมก็โอเคแล้ว แต่เมื่อออกัสเห็นผม มันก็รีบเดินมาหา ผมประหม่าเพราะยังหลอนกับการถูกแอบถ่ายโดยแฟนคลับคู่จิ้น ดังนั้นการสนทนาแรกของเราจึงกระอักกระอ่วนมากเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน ออกัสส่งยิ้มให้ผมราวกับไม่มีเรื่องค้างคาใจอีกแล้ว

“ไงมึง มากับใคร?”
“กับพี่อู๋”
“ยังคบกันอยู่เหรอ?”
“อืม” ผมตอบ ไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร “มาทำอะไรที่นี่อ่ะ?”
“ถ่ายแบบกางเกง” ออกัสตบแปะๆบนกางเกงที่ตัวเองสวมอยู่เป็นเชิงอวด “เรียนเป็นไงบ้าง?”
“ยากชิบหาย ช่วงไหนมีการบ้านแม่งจะไม่ค่อยได้นอน มึงอ่ะ? ซิ่วไปเรียนคณะอะไร?”
“นิเทศ สนุกดี มีความสุขกว่าเรียนวิศวะเยอะ”
“ดีแล้ว นี่ยังเป็นเด็กของเจอีอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่แล้ว กูออกมารับงานอิสระเพราะค่ายเลือกงาน พวกถ่ายแบบเสื้อผ้าที่กูชอบนี่ไม่ค่อยได้ทำหรอก ตอนแรกก็เครียดเหมือนกัน กลัวไม่มีใครติดต่อมา แต่ยังมีคนจ้างกูไปถ่ายหนังด้วย เปิดกองต้นเดือนหน้า ฉายเมื่อไหร่อย่าลืมไปดูนะ”
“เล่นเป็นตัวอะไรวะ? ผี?”
“เชี่ย ถูก” ออกัสยิ้มแฉ่ง “กูเล่นเป็นผีน้องพระเอกที่หลอกคนในบ้านอ่ะ มึงอยากฟังเรื่องย่อไหม?”

เกริ่นขนาดนี้แล้ว เล่ามาเลยก็ได้จ้า

 “คือเรื่องเปิดมาว่ากูตายไปได้เจ็ดวัน แล้วเขาเชื่อกันว่าวันที่เจ็ดวิญญาณจะกลับมาใช่ป้ะ เออ ทีนี้อ่ะนะเรื่องจะไม่บอกว่ากูตายเพราะอะไร แต่ตัวละครจะดูเสียใจมากที่กูตาย ทั้งพ่อแม่ พี่ชายเนี่ยดูเศร้ามาก อย่างกับหนังดราม่า แต่จริงๆแล้วเป็นหนังฆาตกรรมเว้ย พี่เป็นคนฆ่ากู ส่วนพ่อกับแม่ไม่แน่ใจว่าใครฆ่า แต่คิดว่าเป็นคนในครอบครัวแน่ๆ ทีนี้กูเลยตามหลอกทุกคนในบ้านให้มันระแวงกันเอง สุดท้ายตอนจบตรงที่กูไม่มีจริงตั้งแต่แรก แต่ไอ้ตัวพี่ชายมันหลอนเพราะกลัว”
“เดี๋ยวๆๆ คือยังไงนะ?” ผมชักจะงง “ไม่มีจริงแต่แรกคือไม่มีมึง หรือไม่มีผี?”
“ไม่มีผี คือไม่มีผีหลอกอ่ะ กูตายไปก็จริงแต่ไม่หลอกใคร พี่กูหลอนไปเอง”
“เออ น่าสนุกว่ะ เดี๋ยวนี้หนังผีหักมุมเยอะแยะ”
“เอ้อ – แล้วพวกเพื่อนๆไปไงกันบ้าง ทราย มิว ไอ้โบ้ท”
“ก็เรื่อยๆนะ ทรายเลิกกับพี่กิ๊บแล้ว”

ผมอัปเดตให้ออกัสฟัง มันทำตาโตก่อนจะถามย้ำว่าเลิกแล้วเหรอ ไอ้ทรายอ่ะนะเลิกกับพี่กิ๊บ ผมจึงบอกว่าใช่ เลิกแล้ว เลิกได้ซักพักแล้วแต่ไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร ส่วนมิวยังโสดและติ่งหนักเหมือนเดิม ไอ้โบ้ทกลายเป็นหมีมีกล้าม ตัวใหญ่แต่เนื้อแน่น หุ่นกำลังดี มึงล่ะ?

“กูดีขึ้นนะ ตั้งแต่เคลียร์กับน้องฝนกับค่าย” ออกัสยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้ย้อนกลับไปเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่ได้ขอโทษถึงเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น เราทั้งคู่ต่างแกล้งทำเป็นลืม “กูไปละ เหลือกางเกงอีกเจ็ดตัวที่ต้องถ่าย”
“โอเค บ๊ายบายมึง”
“บาย อย่าลืมฟอลไอจีกูนะ”
“มึงยังไม่เลิกขายตัวเองอีกเหรอ?”

ผมถามขณะที่ออกัสออกตัววิ่งเหยาะๆกลับไปที่กองถ่าย มันหันมาโบกมือลาและนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับออกัสตัวต่อตัว และไม่รู้เลยว่าอนาคตออกัสจะเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปลายปี แต่ต่อให้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงขนาดไหน #กัสก้อง ก็ยังเป็นรอยด่างพร้อยในประวัตินักแสดงของออกัส ทุกครั้งที่มีดราม่า เรื่องนี้จะถูกขุดขึ้นมาพูดถึงตลอดไม่เคยเงียบหายไปไหน เพียงแค่กระแสเบาบางลงไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงแรก เพียงแค่ทุกคนพร้อมใจกันมองว่าออกัสยังเด็กและทำอะไรโดยไม่คิด ซึ่งผมก็คงไม่รู้จะผูกใจเจ็บไปทำไมในเมื่อออกัสก็ได้รับโทษในส่วนของตัวเองไปแล้ว

บางทีผมยังนึกเสียดายว่าถ้าออกัสไม่เห็นแก่ตัว ไม่กระหายอยากมีชื่อเสียงในวงการ ป่านนี้เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันก็คงไม่ต้องออกจากลาดกระบังอย่างโดดเดี่ยว แต่ช่างเถอะ เราผ่านจุดนั้นมานานหลายปีแล้ว ที่เราสามารถกลับมาคุยกันได้อีกครั้งเพราะชีวิตของเราทั้งคู่ต่างไปได้ดีในทิศทางของตัวเอง หากผมกับพี่อู๋ไม่ได้กลับมาคบกัน ป่านนี้ไอ้ออกัสเละคาตีนผมแล้ว ไม่ปล่อยให้มันเดินกลับไปทำงานหล่อๆหรอก

ผมจ่ายเงินค่าส้มตำไก่ย่างและเดินกลับไปหาพี่อู๋ เขานอนสวมแว่นกันแดดบนเตียงผ้าใบใต้ร่มไม้ ห่างออกไปสองสามเมตรคือมะนาวกำลังสร้างปราสาททรายในโลกส่วนตัว วันนี้ผมพาน้องสาวคนเล็กมาเที่ยวด้วยเพราะทนคำรบเร้าไม่ไหว มะนาวชอบพี่อู๋มากเพราะเขาตามใจทุกอย่าง อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเที่ยวไหนก็ได้ไป ขนาดบ่นว่าอยากไปทะเลเหมือนเพื่อนบ้าง พี่อู๋ยังยอมสละวันเสาร์ของเราให้มะนาวเพื่อขับรถพายายเด็กนี่มาเที่ยวเลย

“มะนาว มากินข้าวเร็ว”

ผมเรียก มะนาวปัดทรายสองสามทีแล้วลุกขึ้นมาหา เราสามคนนั่งกินส้มตำไก่ย่างและน้ำอัดลมเย็นๆริมหาดท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าในเดือนกันยายน วันนี้เป็นวันเดย์ทริปพิเศษของมะนาวโดยเฉพาะ ชมพู่อยู่หอที่มหาวิทยาลัย แอปเปิ้ลติดเรียนพิเศษ ส่วนส้มจีนไปทำรายงานบ้านเพื่อน ดังนั้นเหลือแค่ยายตัวจี๊ดของผมคนเดียวที่ต้องนั่งหงอยไม่มีอะไรทำ พอรู้ว่าพี่อู๋จะมาหาก็เริ่มออกอาการ พันแข้งพันขาเป็นแมว มะนาวขอไปด้วยได้ไหม ถามอยู่อย่างนั้นแหละจนพี่อู๋ใจอ่อน ต้องหอบหิ้วมาด้วยไม่งั้นมะนาวจะน้อยใจไม่คุยกับใครอีก

“เฮียก้องหายไปนานอ่ะ มะนาวสร้างปราสาทเจ้าหญิงเสร็จแล้วทำไมเพิ่งมา” มะนาวบ่นพลางกัดไก่ย่างคำใหญ่ “เฮียก้อง มะนาวเล่นอันนั้นได้ไหม?” เธอชี้นิ้วไปยังเจ็ทสกีที่กำลังลากห่วงยางกล้วยในทะเล ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ได้ อันตราย”
“แต่พี่อู๋บอกว่าเล่นได้”
“แต่เฮียเป็นพี่ชายของมะนาว ถ้าเฮียบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”

จบ นี่คือการตัดบทที่โหดร้ายทารุณกับเด็กปอห้าที่สุด มะนาวหน้าบูดแค่แป๊ปเดียวก็อารมณ์ดีเหมือนเดิมเพราะโดนพี่อู๋สปอยล์ เขาพามะนาวไปเล่นน้ำ แถมยังเช่าห่วงยางให้เล่นอีก พี่อู๋ทำให้ความภาคภูมิใจในการเป็นพี่ชายหายไปประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็น ระหว่างที่เล่นน้ำกับพวกเขา ผมครุ่นคิดตลอดว่าใจร้ายกับน้องเกินไปไหม เป็นพี่ที่เข้มงวดเกินไปหรือเปล่า แต่พอเห็นคนหงายหลังหล่นจากบานาน่าโบ้ทแล้วก็คิดได้ว่ายอมเป็นพี่ชายใจร้ายที่น้องไม่รักดีกว่าต้องหอบหิ้วน้องไปโรงพยาบาลดีกว่า อย่างน้องผมก็ไม่ต้องโดนพ่อกับอาแตงว่าเหมือนที่เคยพามะนาวไปลื่นปากแตกเมื่อเดือนก่อน ผมยังจำสีหน้าพ่อตอนเห็นน้องเล็กของบ้านเลือดออกได้เลย ถ้าไม่ติดว่าโตเกินไปสำหรับไม้เรียว ผมอาจจะโดนพ่อฟาดเพี๊ยะๆซักสองสามแผลโทษฐานไม่ดูแลน้องให้ดีก็ได้

เราเล่นน้ำกันประมาณชั่วโมงกว่าๆ ผมจึงชวนให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเพราะได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ก่อนกลับพี่อู๋แวะเซ็นทรัลตามใจมะนาวอีกรอบ วันนั้นมีงานแฟร์ขายของสี่ภาคพอดี ผมกับพี่อู๋จึงไม่ต้องคิดหนักว่าจะซื้ออะไรไปฝากคนที่บ้าน เราได้ของกินกลับไปให้อาแตงทำอาหารอีกเพียบเลย เย็นวันนั้นพี่อู๋ขับรถถึงบ้านประมาณห้าโมงเกือบหกโมง เขายกของเข้าไปเก็บในบ้าน ส่วนผมแบกมะนาวที่นอนไม่ยอมตื่นไปทิ้งบนโซฟาและกลับไปช่วยพี่อู๋ขนของ พ่อชวนพี่อู๋ให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนกลับบ้าน แต่ผมเห็นเขาเหนื่อยมาทั้งวันก็เลยไม่อยากให้กลับ ไหนจะตามใจยายมะนาว ไหนจะขับรถรับส่งดุจสารถีดีเด่นอีก ผมจึงขออนุญาตพ่อให้พี่อู๋ค้างที่นี่ซักคืน

“อืม ได้”

พ่อพูดห้วนๆขณะก้มหน้าก้มตากินข้าว ผมเหลือบมองสีหน้าของย่าเพราะอยากรู้ว่าย่าคิดยังไง แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรนอกจากใบหน้าเหี่ยวย่นและคิ้วขมวดไม่รับแขกของย่าซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ประจำตัวเท่านั้น

“เออ – ป๊ามีเรื่องจะบอกพวกเรา”

พ่อพูดเกริ่นแล้ววางตะเกียบ ผมกับน้องๆเงยหน้ามองพ่อเพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องที่อยากมอบหมายให้รับผิดชอบเช่น พาไอ้หมีไปเดินเล่น ต่อไปใครกินข้าวไม่เป็นเวลาต้องล้างจานเอง ทว่าสิ่งที่พ่อกำลังจะบอกเราเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น เป็นเรื่องสำคัญชนิดที่อาแตงยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับบีบมือพ่อ อย่าบอกนะว่า --

“บ้านเรากำลังจะมีข่าวดี”
“หา?”




ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยงับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-11-2019 19:56:03
44 [Part 2/3]


ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย มันเบลอๆแบล๊งก์ๆราวกับถูกทุบด้วยค้อนปอนด์เข้าอย่างจังตรงหัว บ้านเรากำลังจะมีข่าวดี ข่าวดีอะไรที่ทำให้พ่อกับอาแตงต้องยิ้มหวานขนาดนี้ อาแตงท้องเหรอ? อาแตงเนี่ยนะ? อาแตงที่น่าจะอายุสี่สิบกว่าแล้วน่ะนะกำลังท้อง ผมไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างผู้หญิงวัยสี่สิบเริ่มตั้งครรภ์ หรือครรภ์นี้คือครรภ์ที่ห้า ผมได้แต่มองหน้าป๊าด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไม ทำแบบนี้ทำไม อาแตงก็อายุเยอะแล้ว สุขภาพไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยสาวๆ ทำไมถึงเสกเด็กเข้าท้องให้เป็นภาระ ทำไมต้องให้อาแตงเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วยในเมื่อตอนนี้สมาชิกในบ้านก็ล้นจนต้องแย่งกันใช้ห้องน้ำแล้ว

“พ่อทำอาแตงท้องเหรอ?”
“ภพกำลังจะแต่ง --”

ผมไม่น่าโพล่งออกไปเลย การพูดแบบนั้นทำให้พ่อกับอาแตงเหวอไปพักหนึ่ง ส่วนย่านั่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อก้องเกียรติพูดจาแปลกๆ แต่พอได้ยินคำเกริ่นที่พ่อพูดไม่ทันจบประโยค ผมก็พอเข้าใจแล้วว่าข่าวดีที่ว่าไม่เกี่ยวกับบ้านเราโดยตรงหรอก มันคือข่าวดีของเฮียภพต่างหาก เฮียภพกำลังจะแต่งงาน แต่ผมดัน – คิดว่าอาแตงท้องเสียได้

“อยากมีน้องมากเลยเหรอ?”

พ่อถาม ผมส่ายหน้าและยิ้มแหยก่อนจะฟังข่าวสำคัญต่อไป เฮียภพตั้งใจจะจัดงานแต่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราซึ่งเป็นญาติอาจจะต้องคอยช่วยงานเฮียด้วย ส่วนเรื่องชุดไปงานเย็นยังไม่ได้กำหนดว่าจะใช้สีโทนไหน พ่อแค่บอกให้ทราบเฉยๆ เผื่อใครมีแผนอยากลดหุ่นจะได้สวยๆในวันงาน พ่อพูดแบบนั้นก่อนจะปรายตามองส้มจีน

“อะไร? ส้มไม่ได้อ้วนซะหน่อยอ่ะ!”

ผมยิ้มขำ รู้สึกโล่งใจที่ข่าวดีคืองานแต่งงานแทนที่จะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ เพราะถ้าอาแตงท้องลูกอีกคนจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆน่าดู พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันจนเกลี้ยง หลังกินเสร็จผมก็ช่วยอาแตงเก็บจานชามไปล้างตามเวรประจำวันของตัวเอง ส่วนมะนาวอวดกระเป๋าดินสอใบใหม่ให้ส้มจีนดู ยายตัวจี๊ดของผมคุยฟุ้งกับทุกคนเลยว่าพี่อู๋ใจดีแค่ไหน ขนาดส้มจีนกับแอปเปิ้ลไม่ได้ไปก็ยังมีกะจิตกะใจซื้อกระเป๋าดินสอมาฝากด้วย ผมมองเด็กสองคนคุยอวดแล้วได้แต่นึกขำ ถ้าพี่อู๋มีเซนส์กว่านี้ซักหน่อย เขาอาจจะไม่ซื้อกระเป๋าดินสอลายเจ้าหญิงดิสนีย์ให้แอปเปิ้ลกับส้มจีน ลำพังส้มจีนยังพอถูๆไถๆได้ แต่แอปเปิ้ลที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยดูไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร

“เฮียต้องบอกพี่อู๋บ้างนะว่าเปิ้ลไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้”

แอปเปิ้ลมองกระเป๋าดินสอในมือ ผมได้แต่ยิ้มขำสงสารน้อง พี่อู๋เขาถือคติซื้ออะไรต้องซื้อให้เหมือนๆกันน่ะ ดังนั้นถ้าเขาซื้อของแบบไหนให้มะนาว แอปเปิ้ลก็ต้องรับของแบบนั้นไปโดยไม่มีข้อแม้ เขากลัวพวกเธอน้อยใจถ้าซื้อของให้ไม่เหมือนกัน

หลังช่วยกันเก็บจานชามเข้าตู้ พี่อู๋ก็ปลีกตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผลของการดื้อไม่ฟังคำเตือนของก้องเกียรติสำฤทธิ์ผลแล้ว ผิวของพี่อู๋ไหม้แดงเพราะแดดเผานอกร่มผ้า ผมได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจที่เขาไม่เชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็บอกเขาว่าจะเอาเจลว่านหางจระเข้มาให้ ไม่รู้กระปุกใหญ่ที่แช่ในตู้เย็นเป็นของใคร เดี๋ยวจะลองถามอาแตงดูอีกที

พี่อู๋เดินขึ้นชั้นสองหายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมรื้อตู้เย็นหาเจลว่านหางไปทาผิวไหม้ๆของแฟน ระหว่างที่กำลังรื้อนั่นรื้อนี่ อาแตงก็เรียกให้ไปช่วยแกะเกาลัดให้ย่าหน่อย พอดีอาแตงกับอาป๊ากำลังจะออกไปทำธุระที่โรงงาน กว่าจะกลับคงอีกพักใหญ่ ก้องไปแกะเกาลัดให้อาม่าหน่อยนะ แกะไม่ยากหรอก มีที่แกะอยู่ในถุงแล้ว

ผมไม่ค่อยอยากทำแต่จำใจรับปาก นึกอยากสกายคิกใครก็ตามที่ซื้อเกาลัดมาฝากย่าจริงๆ ผมหยิบถุงกระดาษที่ใส่เกาลัดสีแดงกับถังขยะใบเล็กและเดินตรงไปห้องนั่งเล่น ย่านั่งอยู่บนรถเข็นดูรายการตลกช่องเดียวกับที่แนชอบดู ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ามาหาย่าทำไมนอกจากนั่งลงบนพื้นและเริ่มแกะเกาลัดให้ ย่าเหลือบตามองผมครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า

“แกะเป็นเหรอ?”
“เป็นครับ”

พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ได้กินเกาลัดบ่อยก็เลยไม่ค่อยชัวร์ว่าพลาสติกสีขาวมีรอยหยักตรงปลายมีไว้ทำอะไร ผมยกมันขึ้นมาดู ลองแคะๆแงะๆบนเปลือกเกาลัดแต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นก็เลยโยนเกาลัดใส่ปาก กัดจนแตกโผล๊ะแล้วคายออกมาแกะเนื้อให้ย่ากิน

“แกะไม่เป็นก็บอกว่าแกะไม่เป็นสิ อาม่าจะได้สอนให้”

ผมเงยหน้ามองย่าและยอมรับตามตรงว่าใช่ ผมแกะไม่เป็น ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เกาลัดก็เลยไม่รู้ว่าต้องแกะยังไงถึงจะออกมาสวยๆ ย่าหยิบเกาลัดขึ้นมาจากถุงหนึ่งเม็ด ชี้ให้ดูว่าส่วนไหนคือหัวส่วนไหนคือก้น ที่เป็นแหลมๆเหมือนจุกเด็กคือหัว วิธีแกะก็ง่ายมาก ใช้นิ้วออกแรงบีบตรงหัวให้แตะโผล๊ะ พอแตกก็ไล่บี้เรื่อยๆ มันจะแตกตามรอยผ่าครึ่งของลูก ไหนลองทำให้อาม่าดูหน่อยซิ

โพล๊ะ!

“ได้แล้วๆ!”

ผมตื่นเต้นดีใจเมื่อเกาลัดเม็ดแรกที่ไม่เปื้อนน้ำลายได้ออกมาอวดโฉมให้โลกดู ย่ายิ้มกว้าง แกชมผมว่าเก่งมากก่อนจะรับเกาลัดที่ปอกโดยหลานชายมากิน พอเห็นผมแกะอย่างเดียวแต่ไม่กิน ย่าก็บอกให้แบ่งไปบ้าง เกาลัดถุงนึงตั้งใหญ่แกกินคนเดียวไม่หมด ดังนั้นย่ากับหลานชายก็เลยมีกิจกรรมได้ทำด้วยกันเป็นครั้งแรกนั่นคือการกินเกาลัดหน้าทีวี

ผมแกะเกาลัดให้ย่าไปสลับกับดูรายการตลก รสชาติมันๆหวานๆของเกาลัดทำเอาเพลินจนลืมไปเลยว่าพี่อู๋กำลังรอว่านหางจระเข้อยู่ เรากินไปหัวเราะไปกับมุขตลก พอเข้าช่วงคั่นโฆษณา ย่าจึงชวนผมคุยเป็นครั้งแรกเมื่อได้อยู่กันลำพังสองคน

“ไปเที่ยวกับอู๋สนุกไหม?”

ผมตอบว่าสนุกครับและเล่าให้ฟังว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง ผมพามะนาวไปเล่นทราย เล่นน้ำ เช่าห่วงยางด้วย เล่าว่ามะนาวร้องจะเล่นบานาน่าโบ้ท ย่าถามว่าบานาน่าโบ้ทคืออะไร ผมจึงต้องสาธิตให้ย่าดูด้วยการทำไม้ทำมือว่ามันคือห่วงยางรูปกล้วยที่โดนเรือลากอีกทีหนึ่ง มันจะวิ่งฉิวบนผิวน้ำแบบนี้ๆๆ น่าสนุกมาก ย่าดูผมอธิบายแล้วก็บอกว่าอันตราย ไม่ให้มะนาวเล่นน่ะดีแล้ว ผมทำถูกต้องแล้ว ก้องเป็นพี่ชายที่ดีมาก

ผมเขินนิดหน่อยตอนย่าชมว่าเป็นพี่ชายที่ดี เขินนะ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากคุยเรื่องทั่วไป ย่าถามว่าทำไมผมไม่ซื้ออะไรมาฝากย่าเลย ผมจึงบอกว่าพี่อู๋ซื้อสาลี่ญี่ปุ่นมาให้แล้วไง ย่าส่ายหน้าและบอกว่าอยากได้ของฝากจากผม

“จริงๆผมไม่รู้จะซื้ออะไรให้ย่า อาแตงบอกว่าย่าเป็นความดัน ย่ากินไข่เค็มไม่ได้” ผมเกาแก้มแบบแก้เก้อไม่รู้จะอธิบายยังไง “ย่าชอบอะไรล่ะ คราวหน้าผมจะซื้อให้”
“ลื้อซื้ออะไรมาอาม่าก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
“งั้นคราวหน้าผมซื้อของกินมาให้นะ ย่าไม่น่าจะชอบของจุ๊กจิ๊ก”
“ซื้อต้นไม้มาก็ได้ เดี๋ยวให้อาแตงปลูกหน้าบ้าน”

พอได้ยินว่าจะให้อาแตงเป็นคนปลูก ผมก็รู้สึกว่าย่าใช้งานอาแตงหนักเกินไปหรือเปล่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือคนงานทำหน้าที่นี้แทนที่จะเป็นลูกสะใภ้ล่ะ ดูเหมือนย่าจะอ่านสีหน้าเคลือบแคลงใจของผมออก ย่าบอกว่าอาแตงเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้น ออกดอกออกผลสวยๆทั้งนั้น หน้าที่ปลูกต้นไม้จึงเป็นของอาแตง

“มือเย็นมันมีจริงเหรอย่า?”

ผมถามด้วยความสงสัย ย่ายิ้มดีใจใหญ่เลยที่เรามีเรื่องให้คุยกันมากขึ้น ย่าบอกว่าเป็นความเชื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเป็นจริงตามที่โบราณว่า ดูอย่างอาป๊าก้องสิ ปลูกอะไรก็ตายหมด ไม่เคยได้ออกดอกให้ดูเลยซักต้น ในขณะที่อาแตงแค่โยนใส่หลุม ใช้เท้ากลบก็งอกเงยเหมือนคนสวนมาเอง ของแบบนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ว่าแต่ก้องมือร้อนหรือมือเย็น

“ผมไม่เคยปลูกต้นไม้เลย บ้านผมไม่มีที่”

ผมพูดถึงบ้านหลังเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก ก่อนจะเงียบไปเมื่อบทสนทนานั้นทำให้เราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ย่าปล่อยให้เสียงโทรทัศน์ดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นต่อ มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับก้องเกียรติเหมือนเดิมเพียงแค่ไม่มีคำถามจี้ใจดำอย่าง ลำบากไหมอยู่กันสองคนแม่ลูก แม่เลี้ยงมายังไง ได้กินของอร่อยหรือเปล่า ย่าถามแค่ว่าผมอยากลองปลูกต้นไม้ไหม ปลูกดาวเรืองก็ได้จะได้มีดอกไม้ไปถวายพระ ผมตอบคำถามย่าไปเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน ย่าเองก็คงตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกันจึงเปลี่ยนจากการซักไซ้ถามความมาเป็นการเล่าเรื่องแทน

“เมื่อก่อนนะ บ้านหลังนี้คนยั๊วะเยี๊ยะ เวลากินข้าวทีโต๊ะไม่เคยพอ ต้องมีคนยืนกิน”

ย่าเริ่มต้นรำลึกความหลังของตัวเอง ยังดีที่ไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องราวดีๆของชีวิตให้นายก้องเกียรติเจ็บใจเล่น ย่าแค่เล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยใช้เวลาด้วยกันยังไงบ้าง เฮียภพแก่กว่าผมเจ็ดปี ตอนนั้นเปรี้ยวซ่าชนิดที่อาป๊าของผมปวดหัวประจำ ถ้าแปะโป้ง พ่อของเฮียภพกับเมียไม่ตายไปเสียก่อน ป่านนี้อาป๊าก็คงไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังคงเที่ยวเล่นเถลไถลแน่ๆ

“อาม่านะ เคยอุ้มลื้อมาตากแดดตรงนี้ด้วย”

 ย่าชี้ไปชานหน้าบ้านและหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราสองคน ย่าบอกว่าเมื่อก่อนเฮียภพมีลูกบอลลูกหนึ่งแต่ไม่รู้เล่นอีท่าไหน ลูกบอลกระเด้งใส่หน้าผมที่กำลังยืนเกาะเสาจนล้มก้นจ้ำเบ้า หลังจากนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านแตกอย่างกับมีสงคราม แม่โกรธเฮียภพมากจนไม่ยอมให้ผมลงมาเล่นข้างล่างอีก เล่าถึงตรงนี้ย่าก็เผลอหลุดปากออกมาว่าแม่ผมเหมือนจงอางหวงไข่ ใครขออุ้ม ขอพาไปเล่นไม่ได้ต้องคอยจิกคอยเฝ้าตลอด เวลาแม่พาผมออกจากห้องแต่ละครั้ง ทุกคนจะชอบมาป้วนเปี้ยน มาหอมมากอดจนแม่ไม่พอใจ สุดท้ายไม่ยอมพาผมลงมาข้างล่างเลยจนขวบกว่า แม่ถึงเอามารับลมบ้างเพราะย่าสั่ง

ผมเคยได้ยินบางส่วนจากพ่อจึงไม่อยากคุยกับย่ามากไปกว่านี้ ผมกลัวว่าถ้ารู้เรื่องราวในอดีต ภาพจำที่มีต่อแม่จะเปลี่ยนไป ผมจึงนั่งเงียบ ไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะไม่อยากหงุดหงิดอารมณ์เสีย โชคดีที่ย่าเองก็คงสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นเหมือนกัน ย่าจึงชวนผมคุยเรื่องอื่นก่อนจะถามถึงเงินหนึ่งหมื่นที่ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีก่อนว่าใช้หมดหรือยัง

“หมดแล้วครับ”

ผมพูดพลางนึกถึงเงินก้อนที่ย่าให้ ซึ่งเป็นเงินก้อนแรกและก้อนเดียวเพราะหลังจากนั้น ย่าไม่ให้เงินผมเยอะขนาดนั้นอีกเลย แต่ล่าสุดย่าเพิ่งให้ชมพู่เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แถมให้มากกว่าผมตั้งสองเท่า หรือจริงๆแล้วย่าไม่ได้พิศวาสหลานชายอย่างที่ทุกคนคิดหรอก เพราะสุดท้ายย่าก็ให้ชมพู่และน้องสาวคนอื่นๆมากพอๆกับที่ให้ก้องเกียรติ

“ไอ้หยา เงินตั้งหมื่น – ลื้อใช้หมดเลยเหรอ?”

ย่าแสดงออกว่าผิดหวังมาก ส่วนผมเหวอว่าตกลงแล้วย่าต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ เงินหนึ่งหมื่นมันไม่ได้มากมายถึงขนาดใช้ได้ไม่มีหมดสำหรับยุคสมัยนี้ที่ข้าวราดแกงเริ่มต้นที่จานละสามสิบห้าบาท ผมจึงบอกย่าว่าอย่าโมโหเลย คราวก่อนที่ไปศาล ผมได้เงินชดเชยมาตั้งเยอะ ตอนนี้เก็บเข้าบัญชีไม่เอาออกมาใช้ซักบาท พอพูดถึงเรื่องนี้ ย่าก็หงุดหงิดหัวเสียทันที ย่าบ่นว่าไม่น่ายอมความเลย ฟ้องให้หมดจะได้เก็บเงินเข้ากระเป๋าเยอะๆให้คุ้ม

“อย่าไปรังแกเขาเลยย่า บางคนอายุเท่าส้มจีน พ่อแม่เขาไม่มีจ่ายหรอก”

ผมแกะเกาลัดให้ย่าต่อ รายการตลกมาถึงพอดี เราจึงจบบทสนทนาไว้ตรงนี้และกลับมาคุยกันอีกเมื่อเข้าช่วงโฆษณา ดูเหมือนย่าจะรู้อะไรๆเกี่ยวกับผมเยอะมาก เดาเอาว่าพ่อน่าจะเล่าให้ย่าฟังทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องที่พี่อู๋ช่วยผมจากสะพาน ย่าเองก็รับรู้ แถมยังถามอีกว่าอู๋ไปไหน ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาว่านหางจระเข้ไปให้เขา เพราะผิวไหม้แดดแรงมาก เหมือนเบค่อนบนเตาเลย

ผมขอตัวย่าครู่หนึ่งเพื่อเอาเจลไปให้พี่อู๋ แต่เขาก็เดินลงบันไดมาพอดี ย่าจึงชวนพี่อู๋ให้กินเกาลัดด้วยกัน ทีแรกย่าไม่ยอมบอกวิธีแกะง่ายๆต้องทำยังไง เรานั่งดูว่าพี่อู๋แกะเกาลัดด้วยวิธีไหน พอเห็นเขาเอาใส่ปากและกัดกร๊อบก็หัวเราะทันที

“ทำแบบนี้ครับ บีบๆให้มันแตก”

ผมสาธิตให้พี่อู๋ดู จากนั้นเรากินเกาลัดกันอีกหน่อยจนกระทั่งพี่อู๋บ่นว่าแสบ ผมจึงควักเจลเย็นๆในกระปุกทาตามผิวแดงๆของเขา พี่อู๋ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าย่า เขานั่งเป็นคุณลุงพุงพลุ้ยโดยไม่ลืมขออนุญาตเพราะไม่ไหวจริงๆ มันแสบร้อนไปหมด ย่าไม่ว่าอะไรเพราะเห็นหลักฐานคาตาว่าผิวเขาไหม้จริงๆ แต่คนที่รับไม่ได้คือพ่อ เขาเดินเข้ามาและถอนหายใจก่อนจะบอกพี่อู๋ว่าใส่เสื้อเถอะ บ้านหลังนี้มีผู้ชายเซ็กซี่ได้แค่คนเดียวซึ่งก็คือพ่อเท่านั้น

อาแตงหัวเราะขำและยิ้มกว้างเมื่อเราใช้ช่วงเวลาย่าหลานด้วยกันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายายตัวแสบของเราหายไป อาแตงหายขึ้นไปชั้นสองพักใหญ่ก็เดินลงมาบอกว่ามะนาวสลบคาฟูกไปแล้ว สงสัยเหนื่อยเพราะเล่นทั้งวันแถมยังกินจนพุงกางอีก เราใช้เวลาด้วยกันในห้องนั่งเล่นไม่นานก็ถึงเวลานอนของย่า ผมเข็นย่าไปส่งถึงเตียงกับอาแตง เราสองคนช่วยกันจัดแจงห่มผ้าและเปิดพัดลมให้ หลังจากนั้นก่อนดับไฟ ผมบอกย่าว่าฝันดีครับ แต่การบอกฝันดีคงไม่อยู่ในวัฒนธรรมที่ย่าคุ้นเคย ย่าจึงอวยพรผมกลับว่าขอให้รวยๆเฮงๆนะก้องนะแทน





บ้านของเราวุ่นวายมากเพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นงานแต่งของเฮียภพ พ่อยกขโยงพวกเราทุกคนไปเช่าชุดที่ร้าน วันนั้นผมจึงได้มีโอกาสพบคนอื่นๆในครอบครัวของพ่ออีกครั้ง

พูดกันตามตรง นอกจากอาแตงและน้องสาวทั้งสี่คน ผมไม่รู้สึกอยากเข้าหาใครอีกเลย มันเป็นการลองเสื้อผ้าที่อึดอัดทรมาน ถ้าไม่มีมะนาวกับส้มจีนคอยป่วนอยู่ข้างๆ ผมอาจจะกัดลิ้นตายในร้านที่มีแต่ผู้หญิงวุ่นวายกับการเลือกชุดให้เข้าธีมสีงานแต่งก็ได้ งานเช้าเราจะสวมชุดกี่เพ้าสีแดง งานเย็นสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแลคสีครีม จริงๆพ่อไม่ต้องพาผมมาเลือกที่ร้านก็ได้เพราะพวกเสื้อเชิ้ตกับกางเกงผมสามารถขอให้พี่อู๋ช่วยได้ แต่พ่อก็ยังหนีบผมมา เขาตั้งใจไว้ว่าหลังเลือกเสื้อผ้าเสร็จเราจะไปกินข้าวกัน

ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศในตอนนี้เท่าไหร่ มันอึดอัดและรู้สึกแปลกแยกยังไงพิกลเมื่อต้องนั่งท่ามกลางญาติๆที่แทบไม่รู้จักกันมาก่อน หนำซ้ำญาติเหล่านั้นก็มีแต่ผู้หญิงซึ่งผมประหม่าทุกครั้งเพราะทำตัวไม่ถูก ผมกลัวว่าความเด๋อด๋าของตัวเองทำให้ภาพลักษณ์ออกมาตลก แต่พอมีโอกาสนั่งคุยและกินข้าวร่วมกันซักพัก ผมก็ค้นพบว่าถ้าไม่ปริปากพูดก็ไม่มีใครชวนคุยเท่าไหร่ บรรดาลูกพี่ลูกน้องไม่มีใครกล้ายุ่งกับผมเลยเพราะเป็นผู้ชาย พวกเธอเขินอายเกินกว่าจะชวนคุยเพราะผมไม่เหมือนเฮียภพที่ยิ้มใจดีตลอดเวลา

งานแต่งของเฮียภพทำให้ผมเห็นว่าพ่อมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เป็นพ่อเจ้าบ่าว เขาอารมณ์ดียิ้มร่า เดินสายแจกการ์ดตลอดหลายเดือนเพื่อบอกข่าวดีให้คนมาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายบุญธรรม บางทีพ่อคงตระหนักได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำหน้าที่พ่อเจ้าบ่าว นอกนั้นเป็นพ่อเจ้าสาว เพราะก้องเกียรติลูกแท้ๆในไส้เป็นเกย์ คงจัดงานเชิดหน้าชูตาอวดใครไม่ได้หรอก ดังนั้นพ่อจึงทุ่มเทกับงานแต่งของเฮียภพเต็มที่เพราะโอกาสดีๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในครอบครัวของเราอีกแล้ว

หากถามว่าผมเสียใจไหมที่เห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพมากกว่าตัวเอง คำตอบก็มีทั้งใช่และไม่ใช่ ลึกๆผมเองก็เสียใจที่ทำให้เขาพลาดโอกาสเป็นพ่อเจ้าบ่าวของก้องเกียรติ ชาตินี้พ่อคงไม่มีวันได้ไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหน ไม่มีหลานจากลูกชายให้อุ้ม แต่อีกใจก็ยังคิดว่าเห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพแทนที่จะเป็นผมก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อจะได้ไม่ต้องช้ำใจมากที่งานแต่งไม่เคยเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง

พูดถึงงานแต่งงาน – ผมก็คิดถึงพี่อู๋

เพราะกฎหมายประเทศนี้ยังไม่รองรับให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้ ผมจึงไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดยังไงกับการแต่งงาน มีบ้างบางครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าในห้วงความคิดของเขา มีซักครั้งไหมที่เขาอยากแต่งงานกับผมหรือทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เวลาจ้องตาพี่อู๋เพื่อดูว่าเขาคิดยังไง ผมก็จะได้คำตอบเป็นความว่างเปล่าเพราะแววตาไม่สามารถเล่าได้ว่าอยากแต่งหรือไม่แต่ง ผมจึงลองถามพี่อู๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะบอกว่า อืม ก็เคยคิดนะ ก่อนหน้านี้เขาเคยจะแต่งงานกับคุณหมูพี

“แต่ไม่ได้แต่งเพราะเลิกกันไปก่อน ไม่งั้นเปลืองเงินแย่”

คำพูดของเขาทำเอาผมนอยด์ไปหลายวัน ไม่ได้นอยด์ที่พี่อู๋บอกว่าเคยคิดจะแต่งงานกับคุณหมูพี แต่นอยด์ตรงที่เขาพูดว่าเปลืองเงิน สำหรับพี่อู๋ พิธีกรรมนี้คงไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเพราะเพื่อนสนิทของเขาก็เพิ่งหย่ามา พี่อู๋คงมีมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก้องเกียรติหลายขุมนัก ในขณะที่ผมแบ่งเวลามาเพ้อฝัน อยากมีงานแต่งงานของตัวเองเหมือนเฮียภพบ้าง แต่พอคิดถึงการจัดงาน มันก็เริ่มคิดต่อว่าเรื่องสินสอดล่ะจะเอายังไง ใครจะเป็นฝ่ายสู่ขอในเมื่อเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋ต้องเป็นฝ่ายขอผมสิ หากเขาคิดจะพาผมออกจากบ้านมาสร้างครอบครัว เขาต้องเป็นฝ่ายเข้าไปขอพ่อ แต่พี่อู๋ก็มีพ่อมีแม่ หรือเราต่างเรียกสินสอดด้วยกันทั้งคู่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนสำหรับเริ่มชีวิตใหม่ อ่า – แล้วแบบนี้พ่อจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ ผมชักสงสัยจึงถามพ่อตรงๆ แต่พ่อก็โพล่งขึ้นมาว่าไม่ให้แต่ง

“ยังเรียนไม่จบเลย คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ?” พ่อที่สวมแว่นสายตายาวเหลือบมองผมแล้วส่ายหน้าราวกับระอาในความแก่แดดของก้องเกียรตินักหนา “เพิ่งคบกันมากี่ปีเอง อู๋เขาว่ายังไงล่ะ?”
“พี่อู๋ยังไม่ได้พูดอะไร ผมแค่ถามพ่อเฉยๆ”
“ก้องเป็นผู้ชาย ป๊าเรียกสินสอดไม่ได้หรอก” คำตอบของพ่อทำเอาผมยิ้มกว้าง แต่ประโยคถัดมาก็ดูดรอยยิ้มนั้นหายวับในพริบตา “คบกับอู๋นานกว่านี้อีกหน่อยสิ ซักสิบปี เอาให้ชัวร์ว่าไม่ทิ้งกันแน่แล้วค่อยคุยเรื่องนี้ใหม่”

ตั้งสิบปี – สิบปีเลยนะ ผมกับพี่อู๋เพิ่งคบกันได้สองปีกว่าเอง อีกตั้งแปดปีแน่ะกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนเป็นครอบครัว พอลองยกนิ้วขึ้นมานับ ตอนนั้นพี่อู๋ก็คงสี่สิบสามหรือสี่สิบสี่ โห แก่ขนาดนั้นแล้วเพิ่งได้แต่งงาน เขาจะไม่เหี่ยวตายไปก่อนใช่ไหม ผมถามพ่อว่าตอนอายุสี่สิบห้า พ่อทำอะไรอยู่ เขานั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่าทำโรงงานลูกชิ้นนี่แหละ มะนาวเกิดช่วงนั้นพอดี ทำไม ถามทำไม

“ผมว่าสิบปีมันนานเกินไป พี่อู๋จะรอไหวเหรอ เขาคงแก่มากแล้ว”
“รอไม่ไหวก็ช่างซี อาป๊าไม่สนใจหรอกว่าอู๋รอไหวไหม ไม่ไหวก็ไปเลย”

พ่อยักไหล่ไม่สนใจใยดีก่อนจะก้มหน้ากดเครื่องคิดเลขต่อ ปล่อยให้ผมเดินกลับไปนั่งบนโซฟาข้างมะนาวที่กำลังเล่นเกมในมือถือของอาแตง พลางครุ่นคิดว่าอนาคตของเราจะจริงจังจนถึงขั้นนั้นไหม ผมนึกภาพตัวเองในชุดเจ้าบ่าวไม่ออกเลยจริงๆ



ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 04-11-2019 19:56:46
44 [PART 3/3]


ผมใช้ชีวิตตามประสาตัวเองจนถึงงานแต่งของเฮียภพ ป๊าอนุญาตให้ลูกๆทุกคนขาดเรียนหนึ่งวันเพื่อมาร่วมงานมงคลสมรสของพี่ชาย ช่วงเช้าเป็นงานพิธียกน้ำชาแบบจีน พ่อกับอาแตงทำหน้าที่เป็นพ่อแม่เจ้าบ่าวแทนแปะโป้งที่ตายไปนานหลายปี งานของเฮียภพค่อนข้างใหญ่เอิกเกริก เฮียมีช่างภาพในงานถึงสองคนเพื่อบันทึกภาพในมุมต่างๆ บันทึกทุกอย่างรวมถึงสีหน้าของผมกับครอบครัวทำให้เราเห็นว่าพ่อมีความสุขมากแค่ไหน

หลังเสร็จงานเช้าเรามีเวลานิดหน่อย ผมกับครอบครัวกลับไปนอนเอาแรงที่บ้าน ส่วนบ่าวสาวก็เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าใหม่เพื่อต้อนรับแขกในอีกหกชั่วโมงถัดไป งานเย็นจัดขึ้นในอาคารอเนกประสงค์ของอำเภอ เป็นอาคารใหญ่ที่รองรับแขกได้เกือบพันคนเพราะพ่อเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เฮียภพเองก็เพื่อนเยอะจนรายชื่อแขกเหรื่อทะลุเกินห้าร้อย พอพูดถึงจำนวนตัวเลข ผมก็คิดถึงบทสนทนาของพ่อกับเฮียที่โรงงาน พ่อบอกเฮียว่าให้เชิญเฉพาะคนสนิทเพราะยิ่งคนมาเยอะ เรายิ่งต้องเพิ่มโต๊ะจีนเยอะ อย่าคิดว่าแขกจะใส่เงินให้เยอะตามจำนวน บางคนขนมาเจ็ดแปดคนใส่แค่สองร้อยก็มี

“มันต้องเป็นธุรกิจขนาดนี้เลยเหรอพ่อ?”

ผมที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานของพ่อถามขึ้น พ่อบอกว่าผมยังเด็ก ผมไม่รู้อะไรหรอก งานแต่งงานต้องใช้เงินใช้ทองเหมือนกัน ถ้าบริหารดีก็ได้กำไรไว้ตั้งตัว แต่ถ้าจัดการซี้ซั้วไม่วางแผนจนขาดทุนครึ่งล้านก็มี เพราะฉะนั้นงานแต่งไหนที่สเกลค่อนข้างใหญ่ต้องคิดให้รอบคอบ อย่างบรรดาลูกน้องพ่อไม่เขียนซองให้มาร่วมงานเพราะถึงแจกไปเขาก็มีเงินไม่มาก สู้เลี้ยงที่โรงงานเลยดีกว่า ไม่ต้องนับหัวพวกเพิ่มโต๊ะจีน แถมไม่โดนลูกน้องนินทาลับหลังด้วยเพราะช่วงข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ใครเจ๋อมาแจกซองไม่ดูตาม้าตาเรือต้องมีโดนด่ากันบ้าง

ผมสัมผัสได้ว่าพ่อกับเฮียภพหัวธุรกิจมากก็งานนี้ เพราะหากผมเป็นเจ้าบ่าว ผมคงไม่คิดมากถึงขนาดนั่งนับจำนวนแขกหรอก ใครอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร ซองไม่ต้องใส่ถ้าไม่ได้กินข้าวในงาน แต่พ่อบอกว่าทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเงิน เราแต่งงานมงคลให้ทุกคนมาร่วมยินดีก็จริง ถ้าเป็นไปได้อย่าขาดทุนจะดีที่สุด ลำพังแสนสองแสนยังพอรับได้ แต่ถ้าขนาดครึ่งล้านมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตำน้ำพริกละลายน้ำ เพราะฉะนั้นอะไรวางแผนได้ก็ทำเถอะ ลดค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อม ไว้ก้องแต่งงานเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง

ผมนิ่งไปเมื่อพ่อพูดว่าแต่งงาน ไม่รู้หรอกว่าชาตินี้จะได้แต่งไหม แต่ดูจากรูปการณ์แล้วคงไม่ได้แต่ง ผมเองก็ไม่อยากทำให้พ่ออับอายด้วยการจัดงานป่าวประกาศบอกคนให้คนรู้ว่าลูกในไส้ของพ่อไม่ใช่ชายแท้ แต่ผมดีใจนะที่พ่อพูดราวกับว่ายังรองานแต่งงานของก้องเกียรติอยู่ ซึ่งงานที่ว่าก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงไหม เพราะแฟนตัวดีของผมไม่ค่อยพูดอะไร นอกจากคุยเล่นหัวเราะไปวันๆก็ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้เลย สงสัยพี่อู๋คงคิดว่าการคบกันในสายตาของผู้ใหญ่คงเป็นขั้นสูงสุดในความสัมพันธ์แล้ว ผมเองไม่อยากคาดหวังจึงไม่คุยเรื่องนี้กับเขาอีก

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ดนาที พี่อู๋โทรศัพท์หาผมเพื่อบอกว่าเขาขับรถมาถึงหอประชุมแล้ว มาช่วยเขาแต่งตัวหน่อย ผมเดินไปหาเขาโดยบอกชมพู่ว่าไปรับพี่อู๋ พอเจอหน้ากันผมก็ยิ้มกว้าง พี่อู๋ดูหล่อเป็นพิเศษเมื่อผูกเน็กไทสีน้ำเงินเข้ม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเหมือนกันกับผม ต่างตรงที่กางเกงสแลค ของเขาเป็นสีดำ ส่วนของผมเป็นสีครีม ทันทีที่เห็นก้องเกียรติเดินมาทางนี้เขาก็กางแขนออก ไม่ได้จะกอดผม แต่ถามว่าอ้วนไหม ปริไหม ผมจะตอบอะไรได้ล่ะนอกจากบอกว่าไม่อ้วนครับ ทั้งๆที่ – เอ่อ –

“ต้องใส่สูทไหม?”
“ไม่ต้องก็ได้ มันร้อน พี่อู๋รีบเข้างานเถอะ ของกินจะหมดโต๊ะอยู่แล้วเนี่ย ส้มจีนบอกว่าพี่อู๋มาช้าต้องโดนตัดสิทธิ์”

ชายที่ผมรักหัวเราะขำให้กับความหวงกินของส้มจีน เราเดินเคียงข้างกันเข้าร่วมงานฉลองมงคลสมรส เขาหย่อนซองลงกล่อง รับของชำร่วยเป็นพวงกุญแจลูกชิ้นเสียบไม้ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับครอบครัวของก้องเกียรติ ตอนนี้สมาชิกในบ้านของผมต่างเคยชินกับการมีเขาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว เราจึงสามารถร่วมโต๊ะได้อย่างสนิทใจ แม้แต่ย่าก็ยิ้มรับเมื่อพี่อู๋ยกมือไหว้และกระซิบบอกว่าซื้อองุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่นมาฝาก ย่าขอบอกขอบใจยกใหญ่ก่อนจะชวนพี่อู๋กินข้าว เพราะถ้าช้ากว่านี้อีกนิด ส้มจีนกับมะนาวจะยึดลูกชิ้นในจานทั้งหมดเป็นของตัวเอง

ผมไม่เคยมีส่วนร่วมในงานแต่งงานมาก่อนจึงค่อนข้างตื่นเต้นเมื่อพิธีกรสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวถึงเรื่องราวความรักของพวกเขา เฮียภพยิ้มเขินจนหน้าแดงเป็นลูกชิ้นกุ้งตอนที่เล่าว่าเจอแฟนคนนี้ได้ไง แถมไม่ได้เล่าอย่างเดียว ยังมีพรีเซนเทชั่นอย่างกับทำรายงานมาเสนอคุณครูไม่มีผิด คนที่สนใจวิดีโอนั้นคงมีแค่เฮียภพกับบรรดาเพื่อนๆ ส่วนคนอื่นในงานกำลังง่วนอยู่กับปลากะพงทอดน้ำปลาที่เพิ่งเสิร์ฟบนโต๊ะ ผมดูพรีเซนเทชั่นของเฮียแล้วได้แต่ขำเมื่อจินตนาการถึงงานของตัวเอง

ผมจะบอกแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดียังไงดีนะ บอกพวกเขาว่าเจอกับผู้ชายที่นั่งกินข้าวจนแก้มตุ่ยอยู่ตอนนี้บนสะพานพระรามแปด เป็นการพบกันที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว แถมยังร่วมหัวจมท้าย ผ่านเรื่องประหลาดพิสดารสารพัดทั้งแฟนที่เป็นหมูบ้า ทั้งโดนกรีดจนเหวอะ ไหนจะตะลอนไปอยู่ภาคใต้เป็นเดือนๆ ถึงขนาดก่อกระเปื้องฉาบปูนด้วยกันก็ทำมาแล้ว ผมกับพี่อู๋ผ่านเรื่องราวมามากกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะเดินทางมาถึงวันนี้ วันที่เราพัฒนาความสัมพันธ์จากผู้ปกครองมาเป็นคนรัก แต่มันก็ไม่ง่ายเพราะโชคชะตาพาผมมาพบกับพ่ออีกครั้ง ระหว่างนั้นก็มีแต่เรื่องปวดหัวเกิดขึ้นชนิดที่เล่าสามสี่วันไม่หมด ดูแล้วน่าจะเป็นพรีเซนเทชั่นที่คุณครูให้คะแนนแค่ห้าเต็มสิบ เพราะความรักของพวกเธอมันยุ่งเหยิงเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังหรือตีแผ่สั้นๆให้คนเข้าใจ

แต่หลังจบพรีเซนเทชั่น พ่อกับอาแตงก็ได้ขึ้นไปยืนบนเวที ไม่น่าเชื่อว่าผมได้เห็นพ่อประหม่าเป็นครั้งแรก เขากล่าวขอบคุณนักการเมืองที่มาเป็นประธานในพิธีและบอกว่าตัวเองดีใจแค่ไหนที่มีวันนี้ แม้ว่าเฮียโป้งจะเสียไป – บลา บลา บลา – แต่ผมก็เห็นภพเป็นลูกชายแท้ๆอีกคน ไม่ทราบว่าทุกคนรู้ไหมว่านอกจากภพ ผมยังมีลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อก้องเกียรติ

แล้วไฟสปอร์ตไลท์ก็ฉายเข้าหน้าผมที่กำลังเคี้ยวเต้าหู้ปลา

“ชีวิตคนเป็นพ่อไม่ต้องการอะไรเลยครับ ขอแค่ลูกเรามีความสุขก็พอแล้ว”

พ่อยังคงพูดต่อไป ส่วนพี่อู๋กับน้องสาวของผมกลั้นขำกันแทบไม่ไหวเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว พอสปอร์ตไลท์ย้ายกลับไปบนเวที ผมถึงหันไปแว้ดใส่แฟนที่นั่งกินกระเพาะปลาอยู่ข้างๆ ผมบอกพี่อู๋ว่าถ้ายังหัวเราะอีกก็คืนที่กินอยู่มาเลย ผมไม่ให้กินแล้ว

“เฮ้ยๆ อย่าแย่ง พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เลิกงาน”

พี่อู๋ตอบมุบมิบแล้วตักกระเพาะปลาเข้าปากด้วยท่าทางหิวโหย เขาคงหิวมาตั้งแต่บ่ายถึงได้กินเอาๆขนาดนี้ เรานั่งร่วมพิธีจนกระทั่งถึงคิวบ่าวสาวทยอยถ่ายรูปหมู่ตามโต๊ะต่างๆ ด้วยความที่แขกในงานเยอะมากทำให้บางส่วนไม่สามารถรอได้ ก็ขอตัวกลับก่อนพร้อมกับข้าวคนละถุงสองถุง ที่เหลือๆจะเป็นเพื่อนบ่าวสาวกับเพื่อนของพ่อที่ตั้งวงกินเหล้าเฮฮาไม่เลิก ผมไม่ให้พี่อู๋ดื่มเพราะคืนนี้จะกลับไปนอนลาดพร้าว แต่พอเห็นเขาหาวอยากนอนก็เลยเปลี่ยนใจ คืนนี้นอนบ้านก็ได้วะ ไม่อยากเสี่ยงเลย

กว่างานจะเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม แต่พวกเฮียภพกับเจ้าสาวยังมีปาร์ตี้ต่อจึงอยู่โรงยิมกันอีกพักใหญ่ ส่วนพ่อขับรถพาครอบครัวกลับไปพักผ่อนที่บ้านเพราะถึงเวลานอนของย่าและมะนาวแล้ว พวกเขานั่งอัลฟาร์ดไป ส่วนผมนั่งวีออสของพี่อู๋ ตลอดทางเราคุยกันว่าพิธีแต่งงานมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง พี่อู๋บอกว่าเครื่องเสียงไม่ดี พูดอะไรก็เอี๊ยดๆอ๊าดๆน่ารำคาญ ส่วนอาหารพี่ให้แปดเต็มสิบ เมนูไม่หวือหวาแต่อร่อยใช้ได้สำหรับโต๊ะจีน ส่วนของชำร่วยถือว่าอยู่ในมาตรฐาน น่ารักดี แต่เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ น่าจะต้องเก็บลงกล่อง

ผมได้แต่ฟังพี่อู๋และไม่ค่อยออกความเห็นเท่าไหร่ นี่คือครั้งแรกที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของงานจึงไม่สามารถเปรียบเทียบอะไรได้ ผมคุยกับพี่อู๋เล่นๆว่าคืนนี้เฮียภพต้องมีความสุขมากแน่เลย เจ้าสาวแต่งหน้าสวย ไม่รู้จะเดินหน้าปั๊มเบบี๋เลยไหม พี่อู๋หัวเราะจนแทบเห็นลิ้นไก่ เขาบอกว่าร้อยเปอร์เซ็น ไม่มีอะไรกันแน่นอนเพราะเหนื่อยมาก เผลอๆพรุ่งนี้ตื่นมาก็ไม่ได้ล้างหน้าไก่เพราะต้องนับซอง ยิ่งงานใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน นู่น – อีกสองสามวันถึงจะหายเหนื่อย ถ้าเฮียภพกับเจ้าสาวไม่มีปัญหาเรื่องแบ่งสินสอดก็สบายเลย แต่ถ้ามีก็ทำใจ เพราะสำหรับบางบ้าน สินสอดเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่พ่อแม่เจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวอาจมีดีลลับเบื้องหลังก็ได้

“พี่รู้ดีจัง คิดจะแต่งงานหรือไง”

ผมแกล้งแซวเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร พี่อู๋เงียบไปไม่ได้แก้ตัวว่าเฮ้ย ไม่แต่งหรอกหรืออะไรทำนองนั้น เขาพูดถึงงานแต่งของเฮียภพจนกระทั่งถึงบ้าน พอเราเดินเข้าไปข้างในก็เจอมะนาวนั่งเล่นของเล่นอยู่ในห้องรับแขก ผมถามน้องว่าทำไมยังไม่นอน มะนาวบอกว่าต่อคิวใช้ห้องน้ำ เพราะตอนนี้บรรดาเจ๊ๆกับแม่มีเรื่องให้จัดการเยอะมาก โบกแป้งหน้ากว่าลูกชิ้นของพ่ออีก น่าจะต้องใช้เวลาพักใหญ่

ผมกับพี่อู๋ฟังแล้วได้แต่ขำในความช่างพูดของน้องสาว เราจึงนั่งเล่นเป็นเพื่อนมะนาวจนกระทั่งถึงคิวเธออาบน้ำ มะนาวกำลังสวมบทเป็นสไตล์ลิสต์ชื่อดังหลังรันเวย์ เธอมีแหวน มีเครื่องประดับมากมายในตลับ บางชิ้นเหมือนของจริงจนผมต้องถามว่าไม่ได้ขโมยแม่มาใช่ไหม เธอบอกว่าใช่ เฮียก้องไม่รู้จักเว็ปซื้อของออนไลน์เหรอ เซ็ทนี้เจ๊ชมพู่สั่งให้ มะนาวมีแหวนสวยๆเป็นโหลเลย เธอพูดพลางเอาออกมาอวด

มะนาวเหมือนพวกบ้าสมบัติ เธอชอบชื่นชมของสวยๆงามๆที่ตัวเองมีในครอบครอง สร้อยเส้นนี้ก็สวยนะ ดูกำไลสิ ดูแหวนสิ อุ๊ย – สวยไปหมด ส่องไปส่องมาก็เริ่มเอามาแต่งตัวเอง เธอสวมกำไลให้พี่อู๋ ติดตุ้มหูแบบหนีบให้ เราเล่นทุกอย่างกับน้องจนกระทั่งอาแตงเรียกมะนาวไปอาบน้ำนอน เธอจึงเก็บของลงกล่องเป็นระเบียบและบอกผมว่าพรุ่งนี้จะมาเล่นอีก ผมยิ้มและโบกมือให้น้องก่อนจะหันมาหาพี่อู๋

คุณอิศรินทร์ของผมกำลังยิ้มแปลกๆ เขามองหน้าก้องเกียรติอยู่ชั่วครู่ก่อนจะฉวยมือซ้ายของผมอย่างรวดเร็วแล้วสวมแหวนให้ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังมึนๆงงๆว่าเขาทำอะไรจนกระทั่งเห็นแหวนของมะนาวบนนิ้วนางข้างซ้ายตัวเอง ตอนนั้นผมถึงกับหุบยิ้มไม่ได้เลย

“แหวนเพชรจากสำเพ็ง มอบให้เธอคนเดียวจ้า”

พี่อู๋บีบเสียงเหมือนมะนาว ผมหัวเราะขำทั้งๆที่น้ำตาคลอ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งถูกขอแต่งงานยังไงอย่างนั้น ผมเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้จึงยื่นหน้าไปจุ๊บพี่อู๋เบาๆ ผมบอกเขาว่าเรามาแต่งงานกันเถอะ ตอนนี้เลย และถือวิสาสะขโมยแหวนของมะนาวมาหนึ่งวงเพื่อสวมให้เขา

“ไม่รอเรียนจบแล้วค่อยสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวเหรอ?”
“พี่คิดจะมาขอผมจริงหรือไง?”
“คิดสิ ก็คิดบ้างแหละ แต่ยังไม่ได้วางแผนอะไร” พี่อู๋ยิ้มพลางก้มมองแหวนทับทิมสีแดงเม็ดใหญ่เท่าลูกตาที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง “เพชรสวยมากเลยค่ะคุณก้องเกียรติ น้ำงาม ท่าทางจะหลายบาทนะคะเนี่ย”

เราหลุดขำและกุมมือกันเอาไว้แน่น แต่กุมได้ไม่เท่าไหร่พี่อู๋ก็เริ่มแสดงอาการแปลกๆ เขาพยายามดันแหวนออกเพราะรู้สึกว่ามันรัดแน่นเกิดไป ตอนนั้นเราถึงตระหนักได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะนายก้องเกียรติเล่นอะไรไม่คิดอีกแล้ว

“อันนี้คือจะผูกมัดให้พี่เป็นผัวเธอตลอดไปเหรอ?”

พี่อู๋พูดทีเล่นทีจริง จากที่ขำๆเริ่มไม่ขำเมื่อนิ้วของเขาบวมเป่ง สุดท้ายเราต้องหิ้วกันไปขอความช่วยเหลือจากอาแตง เรื่องเล่าเฮียก้องกับพี่ผู้ชายแต่งงานกันโดยใช้แหวนที่จิ๊กมาจากกล่องของเล่นของมะนาวจึงเป็นที่กล่าวขานทุกช่วงเทศกาลในครอบครัวของเรา ขนาดพ่อยังส่ายหน้าระอาเมื่อเห็นเราสามคนพยายามใช้สบู่ถูๆเพื่อให้แหวนลื่นหลุดจากนิ้วของพี่อู๋ แต่เขาไม่ได้ว่าอะไรที่เราแลกแหวนแทนใจกัน ราวกับพ่อรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง แค่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้แน่นอน




TBC



______________________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ค่ะ! สัปดาห์หน้าก็เป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้แล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ

ส่วนวันนี้เรามีอัปเดตรูปเล่มมาแจ้งตามสัญญาเลย น้องก้องยังไม่มีกำหนดเปิดพรีในปีนี้นะคะ อาจจะเป็นต้นปีหน้า หรือไม่ก็เดือนมีนาคม ระยะเวลาอาจจะทิ้งช่วงห่างนานไปหน่อยเพราะเราส่งต้นฉบับช้าเกินไป สนพ.ต้องใช้เวลาพรูฟและจัดเล่มนิดนึง ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นทุกคนจะลืมน้องก้องกันไปหรือยัง เราเองก็ค่อนข้างกังวลค่ะ แต่หวังว่าเมื่อน้องก้องวางขาย ทุกคนจะให้ความรักและสนับสนุนกันแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยน้า

ก่อนไปขอขายของต่ออีกนี้ด สเปในเล่มมีทั้งหมดห้าตอนค่ะ ความยาวรวมทั้งหมดหกหมื่นคำ ยาวมากๆ เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองของพี่อู๋คนเดียวเลย แถมมีเล่าเรื่องต่อจากตอนจบอีกนิดหน่อย พลาดไม่ได้แล้วน้าอย่างนี้ คอนเฟิร์มค่ะว่าจุใจ สะใจ และเต็มที่เหมือนเคย ขอฝากน้องก้องไว้ด้วยนะคะ อย่าลืมกันน้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อย่าลืมนิยายเรื่องนี้เลยนะคะ มันคือความกังวลที่สุดในสามโลกของนักเขียนเลยค่ะ ;-;

สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่วันจันทร์หน้าเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเรื่องราวของน้องก้อง วันจันทร์ถัดๆไปเราจะนำเรื่องราวของเพื่อนร่วมเอกคุณหมูพีมาลงค่ะ แหะ ขอฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 04-11-2019 20:29:42
ตอนนี้มีความละมุน และอบอุ่นจากครอบครัว :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-11-2019 20:40:11
จะรอซื้อเล่มแน่นอนนน ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 04-11-2019 21:01:39
ตอนหน้าจบแล้วอะ แอบเศร้า รักเรื่องนี้มาก คือนับวันรอเลย แอแงง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-11-2019 21:11:09
ตอนนี้น่ารักมากๆเลยค่ะ มีความสุขจริงๆสักทียัยก้องเอ้ยยย ส่วนเล่ม แน่นอนว่าซื้อค่ะๆๆ  :hao7:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-11-2019 21:26:28
ค่อยยังชั่ว หมดดราม่าแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 04-11-2019 21:56:58
น้องมะนาวน่ารักจริงๆ เลย  :mew1:
ดีใจที่ก้องกับย่าได้มีเวลานั่งคุยกันแแบบนี้นะคะ
ดูอบอุ่นมากๆ เรื่องที่ผ่านๆ มาก็ให้ผ่านไปนะก้อง
ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขก็พอ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 04-11-2019 22:11:03
ตอนนี้เป็นตอนที่อ่มนแล้วมีความสุขสุดๆอ่ะ
แต่เสียดายไม่อยากให้จบเลย อย่างอยู่ข้างเตียง อู๋กัองไปตลอดไป
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-11-2019 22:45:49
เรียบๆเรื่อยๆแต่สบายใจมาก(กกกก)​ ทุกอน่างมันลงตัว​ แอบสะดุ้งเรื่องของทรายนิดหน่อยที่เลิกกับแฟน​ เพราะเห็นสู้กันมาเยอะจนกว่าจะได้คบกัน​ แล้วเรื่องราวของก้องตอนที่ย่าพูดถึงว่าพ่อหรือทุกคนรู้เรื่องแล้วเรื่องสะพานอะไรแบบนั้น​ อยากรู้ว่าเขามีรีแอคชั่นแบยไหนกัน​  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 04-11-2019 23:19:00
ตลกแหวนติดนิ้วอ่ะ 555555
ดีๆ รออ่านตอนจบดีๆ เพราะเรื่องนี้ติดแบบ จำเนื้อเรื่องได้ค่อนข้างเยอะ สนุกมาก อินมาก อินแบบงง
สู้ๆน้าคนเขียน


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 04-11-2019 23:24:31
 หูยยย น่ารัก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-11-2019 00:42:50
ตอนนี้น่ารักมากเลยค่ะ อ่านแล้วยิ้มตาม สัมผัสได้ถึงความสุขของทุกคนเลย รอเก็บเล่มแน่นอนค่ะเรื่องนี้
หมูอู๋อ้วนลงพุงแบบนี้ อีกสัก10ปีลุคเสี่ยแน่ๆ555
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-11-2019 10:32:54
 :กอด1: :pig4: :กอด1:


 o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 05-11-2019 10:51:02
 :mew1:  เรื่องนี้รู้สึกเหมือนอ่านไดอารี่  เลยค่ะ   อยากอ่านมุมของพี่อู๋บ้างค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 05-11-2019 14:00:35
รักเสี่ยอู๋กับกอริลลาก้องจัง ผูกพันมาก ตามเก็บแน่นอนค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 05-11-2019 16:17:43
โคตรดีใจจจ ก้องมีความสุขแล้ววว พ่อก้องตลกกก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-11-2019 23:07:33
เป็นการลงเอยที่ดีมาก กับทุกตัวละคร
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-11-2019 22:21:01
อบอุ่นใจ
ทั้งความรักในครอบครัว
และความรักของลิงก้องกับหมูอู๋

ปริ่มมากฮะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 07-11-2019 16:07:36
อ่านไป เขินไป หัวเราะไป งือออ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [CH 44 update!] 4/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 07-11-2019 22:36:27
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END!] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 11-11-2019 19:54:08
45 [PART1/3]





ผมกำลังยืนรอพี่อู๋อยู่กับเพื่อนๆ เราไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์ หรือเงิน หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งแปลกปลอมนอกจากชุดราชปะแตนสีขาวและชุดครุยสีแดง รอบตัวผมมีแต่คนสวมชุดครุยสีแดงเหมือนกันเต็มไปหมด สีหน้าของเราเหนื่อยล้า ต่างมองหาครอบครัวของตัวเองที่ไม่รู้ว่ากระจัดกระจายอยู่ที่ไหน เราตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์และเงินเข้าหอประชุม แต่คงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะเขาจะบอกแค่ว่าเป็นกฎ



ผมยังคงเดินไปเรื่อยกับกลุ่มเพื่อน ผมหาทราย มิว หรือโบ้ทไม่เจอจึงได้แต่อยู่กับเพื่อนร่วมภาคที่ยังคงวุ่นวายกับการหาครอบครัวตนเอง ผมรู้ว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีการน่าจะวุ่นวายเอามากๆ แต่พอได้เจอกับตัวเองถึงรู้ซึ้งคำว่าวุ่นวายชิบหายเป็นยังไง ผมอยากให้คุณลองหลับตา จินตนาการว่าคุณต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายเหมือนกันกว่าพันคน ทุกคนหน้าแน่นจนจำแทบไม่ได้เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ บวกกับอากาศที่ร้อนจนเหงื่อไหลทำเอาเครื่องสำอางเยิ้มเป็นคราบยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด กว่าจะเดินไปถึงจุดที่นัดแนะที่อู๋ก็ตั้งยี่สิบนาที แถมต้องกวาดสายตามองหาคนนับพันที่อยู่ในบริเวณนี้อีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย



แต่แล้วผมก็เจอทุกคนเพราะความโดดเด่นสะดุดตาของสีเสื้อ วันนี้พี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมู กางเกงสีครีม แต่งตัวเสียหล่อเหมือนเจ้าบ่าวยืนรอบนแท่นพิธี รอบตัวเขาคือครอบครัวของผมซึ่งสวมชุดสีแดงเหมือนกัน ทั้งพ่อ อาแตง ย่า และน้องสาวของผม ต่างมาร่วมแสดงความยินดีในธีมสีประจำคณะ ผมหลุดยิ้มเพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะนัดกันใส่ราวกับมางานแต่งขนาดนี้ และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีกเมื่อพี่อู๋ยกกล้องถ่ายรูปเพื่อบันทึกภาพนายก้องเกียรติกับใบปริญญาเป็นรูปแรกหลังออกจากหอประชุม



มันเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เป็นวันที่ผมสามารถยิ้มได้ทั้งวันโดยไม่หงุดหงิดหัวเสียกับสภาพอากาศในเมืองไทย ผมไม่ได้จ้างช่างภาพมาบันทึกความทรงจำในวันสำคัญ ดังนั้นคนที่คอยยกกล้องถ่ายรูปให้จึงมีแค่พี่อู๋ อีกคนที่ดูมีความสุขมากกว่าบัณฑิตก็คือพ่อ พ่อยิ้มกว้างยิ่งกว่าตอนยืนบนเวทีในงานแต่งเฮียภพ ยิ้มจนแก้มแทบปริ ยิ้มและสั่งให้พี่อู๋ถ่ายรูปเยอะๆเพื่อบันทึกวันแห่งความสุขของพวกเขาเอาไว้ แม้ว่าความสำเร็จของผมเริ่มต้นโดยไม่มีพ่อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากว่าจะเรียนจบสี่ปี พ่อคือคนสำคัญที่ให้ทุน ให้ปัจจัยต่างๆจนผมมีวันนี้



“เอาดอกไม้ให้ก้องเร็วอาแตง”



พ่อสั่งด้วยความตื่นเต้น ช่อดอกไม้พับจากธนบัตรสีเทาช่อใหญ่จึงถูกส่งให้ผม ทันทีที่เห็นมัน คำขอบคุณไม่ได้หลุดจากปากของก้องเกียรติ แต่ผมใช้สายตากะคร่าวๆว่ามีแบงก์พันทั้งหมดกี่ใบ หลังจากนั้นบรรดาน้องสาวก็มอบของน่ารักๆให้อย่างชมพู่ให้ตุ๊กตา แอปเปิ้ลให้ช่อดอกไม้ที่เธอซื้อด้วยตัวเอง ส่วนส้มจีนกับมะนาวซื้อลูกโป่งให้ผม เป็นลูกโป่งขายหน้างานใบใหญ่ที่มีของจุ๊กจิ๊กอยู่ข้างใน น้องบอกว่าซื้อให้เฮียก้อง แต่สุดท้ายก็แย่งกันถือจนผมต้องซื้อใหม่ให้อีกใบจะได้ไม่ทะเลาะกัน



เราถ่ายรูปด้วยกันหลายช็อต ผมเดาเอาว่าน่าจะถึงห้าร้อยรูปเพราะแต่ละคนท่าเยอะเหลือเกิน เดี๋ยวก็ขอย้ายไปถ่ายที่สถานีรถไฟ ถ่ายกับป้ายคณะ ถ่ายในสนามด้วยแอคติ้งต่างๆจนผมอายเวลามีคนมอง แต่จะว่าพวกเขาไม่ได้เพราะวันนี้คือวันแห่งความสุขตามที่พ่อว่า หลังผ่านเรื่องราวมากมายจนอยากลาออกอยู่หลายครั้ง ในที่สุดวันนี้ก้องเกียรติก็ได้เป็นวิศวกรสมใจอยากแล้วครับ ขณะถ่ายรูปกับทุกคน มีวูบหนึ่งแล่นเข้ามาเหมือนสายลมพัดที่ให้ความรู้สึกบางเบาและอ้างว้าง จู่ๆผมก็คิดถึงแม่ และนึกสงสัยว่าแม่จะเห็นผมในชุดครุยสีแดงนี้ไหม



แน่นอนว่าแม่ต้องเห็นอยู่แล้ว



แม่ของผมก็ชอบสีแดง ยิ่งสีแดงสดแบบนี้แม่ต้องมองเห็นจากที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับคิดว่าจะหาแม่เจอ แต่บนนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นท้องฟ้าสีเข้มกับก้อนเมฆสีขาว ผมนึกอยากให้สายตาของเราประสานกัน ผมอยากให้แม่เห็นรอยยิ้มของผมในวันนี้ และผมเองก็อยากเห็นสีหน้าของแม่ ผมอาจจะทำให้แม่โมโหที่ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อ ผมอาจทำให้แม่ตายตาไม่หลับถ้ารู้ว่าผมมีอะไรกับผู้ชาย แต่พี่อู๋บอกเสมอว่าอย่าคิดแทนคนตาย ดังนั้นผมจึงทำได้แค่หวังว่าแม่จะรับรู้และเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของก้องเกียรติ หวังว่าแม่จะสบายใจและหลับอย่างสงบโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก



ในขณะที่ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า พี่อู๋ก็เดินมาโอบไหล่ เขาส่งกรอบรูปที่เคยมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้และพูดว่าถ่ายรูปกับแม่เป็นที่ระลึกนะ ผมน้ำตาซึมเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนจะเดินปลีกตัวจากทุกคนซักครู่เพื่อถ่ายรูปกันสองคนเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่รู้ว่าอาแตงคิดยังไงก็เลยไม่อยากให้อาเคืองถ้าต้องเห็นรูปคนรักเก่าของพ่อในวันดีๆแบบนี้ แต่พ่อคงเห็นว่าท่าทีของผมแปลกไป ไม่สดใสร่าเริงเหมือนเคยจึงเดินตามมา พอเห็นผมถือกรอบรูปของแม่ พ่อก็นิ่งไปพักหนึ่งและเริ่มร้องไห้เมื่อได้ดูรูปถ่ายใกล้ๆ เราสองคนไม่พูดอะไรจนกระทั่งพ่อบอกว่าถ่ายรูปกันเถอะ เราสามคนพ่อแม่ลูก ดังนั้นผมจึงมีรูปครอบครัวของตัวเองใบแรกในรอบยี่สิบสามปี แม้ว่าแม่จะมาเพียงแค่ภาพถ่ายเล็กๆ แต่ผมจะถือว่าเราอยู่ด้วยกันในวันนี้



เราอยู่ถ่ายรูปไม่นานก็เดินทางกลับเพื่อไปฉลองวันพิเศษต่อที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ พ่อจัดหนักจัดเต็มให้เรากินทุกอย่างตามที่ต้องการยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นเราก็กลับบ้านโดยคืนนี้พี่อู๋ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนด้วย พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรามานั่งล้อมวงดูรูปด้วยกัน รูปไหนสวย รูปไหนดีจะคัดเก็บไว้เตรียมอัดใส่อัลบั้ม อาแตงเอาแต่บ่นว่าตัวเองแก่ทั้งๆที่ผมว่าอาไม่ได้แก่เท่าไหร่ ส่วนชมพู่เซ็งเมื่อเห็นว่าเธอเลือกรองพื้นผิดเบอร์ เธอถึงขนาดบอกว่าก่อนอัดต้องส่งรูปทั้งหมดให้เธอก่อน เธอจะส่งให้แฟนช่วยรีทัชรองพื้นให้เท่ากับคออีกที หลังจากนั้นจะอัดใหญ่เท่าผนังโรงงานก็ได้ ชมพู่ไม่ห้าม



ผมนั่งเท้าคางมองรูปคู่ที่เราถ่ายด้วยกันความภูมิใจ แม้แต่ในภาพถ่าย พี่อู๋ยังเก็บแววตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มดีใจเอาไว้ไม่มิด ผมบอกเขาว่าเราน่าจะสวมครุยแล้วถ่ายด้วยกันบ้างเนอะ เหมือนคู่รักคนอื่นๆที่เคยเห็นในเฟสบุ๊กไง เราอาจจะไม่ได้รักกันในวัยเรียน แต่ถ้ามีโอกาสได้เห็นพี่ใส่ครุยอีกครั้งก็คงดี



“ได้นะ” พี่อู๋เห็นด้วย “ไว้เราไปเช่าครุยแล้วถ่ายด้วยกันใหม่ เก็บเป็นรูปคู่ไว้ที่บ้าน”



ผมส่งยิ้มให้ชายที่ผมรักและนั่งเลือกรูปต่อ ในรูปเขาหล่อมากเพราะพี่อู๋ผอมลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ น้ำหนักเขาหายไปเกือบสิบกิโลกรัมเพราะโหมงานหนัก ผมเคยถามเขาว่าในเมื่อไม่มีภาระอะไรต้องผ่อน ทำไมถึงทำงานหนักจนตัวเองโทรมขนาดนี้ พี่อู๋บอกว่าเขาอยากเก็บเงินไว้เผื่ออนาคตของเรา



“ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง แต่เผื่อไว้ก่อนก็ดี”



หัวใจของผมพองโตเมื่อได้ยินว่าเผื่ออนาคตของเรา ปกติพี่อู๋ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลย เขาใช้ชีวิตตามประสาชายโสดที่ไม่มีภาระผูกพันจนบางครั้งผมเองยังอิจฉา แต่จู่ๆพอผมใกล้เรียนจบ เขาก็จริงจังกับชีวิตขึ้นมากะทันหัน เมื่อรู้ว่าอนาคตของเขามีนายก้องเกียรติอยู่ด้วย ผมจึงมีความสุขมาก มากชนิดที่ไม่คิดอยากทำอะไรอีก อยากอยู่กับพี่อู๋ตลอดไปเท่านั้น แต่พอคิดเรื่องนี้ทีไรก็มักจะไม่สบายใจเพราะผมเรียนจบแล้ว ถึงเวลาต้องหางานมาซักพักแต่กลับไม่ได้เริ่มทำอะไรซักอย่าง พี่อู๋บอกว่าจะหยุดพักซักครึ่งปีก็ได้เพราะชีวิตผมเจอเรื่องหนักๆมามาก แต่คิดอีกที ผมก็มีแก๊ปเยียร์แล้วไง – เมื่อหกปีก่อน ตอนที่ได้เจอกับพี่อู๋ ผมออกจากระบอบการศึกษาตั้งสองปี เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ควรเสียเวลารีรอ ต้องรีบหางานหาการทำเสียที














มีคนบอกว่าหลังเรียนจบเราจะอยู่ในสภาวะเคว้งคว้างเหมือนหลงทาง ตอนแรกผมคิดว่ามันคือการกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่หลังจบพิธีรับปริญญาบัตรแล้วกลับเห็นด้วยกับกล่าวที่ว่านั่นมากๆ



มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยทิ้งยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีขั้นบันไดให้ไปต่อ ไม่มีคู่มือบอกว่าต้องทำอะไรถัดไปจึงจะถือว่าไม่เสียชาติเกิด ในขณะที่โบ้ทไปเวิร์คที่อเมริกา มิวเทคคอร์สเรียนภาษาสั้นๆที่เกาหลี ทรายช่วยที่บ้านขายเบเกอรี่เต็มตัว นายก้องเกียรติกลับนึกไม่ออกว่าอนาคตของตัวเองควรเป็นยังไง



หลังสอบเสร็จปลายภาคสัปดาห์แรก พ่อขอให้ผมลองฝึกงานที่โรงงานลูกชิ้น ผมยอมตกลงเพราะคิดว่าอย่างน้อยการเดินไปเดินมาท่ามกลางลูกชิ้นล้านลูกน่าจะดีกว่านอนเฉยๆ แต่พอสัมผัสการทำงานที่แท้จริงมันยากกว่าที่คิด มันไม่ได้สวยหรูเหมือนในกระทู้พันทิป เจ้าของโรงงานต้องแบกความเสี่ยงและความรับผิดชอบเยอะมาก ไหนจะต้องหาเงินหมุน หาเงินจ่ายพนักงาน ยิ่งช่วงไหนเฮียภพอยากขยายไลน์การผลิตก็ต้องกู้เงินซื้อเครื่องจักร ต้องเสี่ยงทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะขายดีหรือเปล่า บางครั้งเกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องอาศัยประสบการณ์ในการแก้เกม สำหรับเฮียภพที่เกิดและเติบโตโดยมีลูกชิ้นเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม เขาสามารถบริหารและมีความสุขไปกับการทำงานได้ ในขณะที่ผมไม่เข้าใจและรู้สึกว่าตัวเองช่างกระจอกงอกง่อยนัก ผมไม่อยากรับความเสี่ยงในการดูแลชีวิตคนนับร้อยจึงบอกพ่อว่าพอเถอะ อย่าฝืนเลย ยกโรงงานให้เฮียภพบริหารดีกว่า เพราะถ้ามันอยู่ในมือผม – มันต้องเจ๊งบ๊งแน่ๆ



ที่มั่นใจว่ามันต้องเจ๊งเพราะผมไม่มีหัวการค้าเลย ในขณะที่เฮียภพเริ่มผลิตลูกชิ้นอกไก่สูตรคลีนกับลูกชิ้นไรซ์เบอร์รีแคลลอรีต่ำเพื่อตีตลาดคนรักสุขภาพ ผมกลับคิดอะไรไม่ออกนอกจากยืนชิมลูกชิ้นที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ อันนี้อร่อยครับ อันนี้ไม่ค่อยเวิร์คนะผมว่ามันเค็มไป ส่วนลูกชิ้นอกไก่อร่อยกำลังดีเลย ผมมีประโยชน์แค่นั้นจริงๆ แค่ยืนกินลูกชิ้นไปวันๆ ไม่ได้ช่วยงานอะไรพ่อกับเฮียเท่าไหร่ ขนาดวันก่อนพ่อถามทุกคนในบ้านว่าอยากกินลูกชิ้นแบบไหน น้องๆเสนอลูกชิ้นปลาแซลมอน ลูกชิ้นเจ ลูกชิ้นแฟนซี สารพัดของแปลกใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจ แต่ผมกลับบอกพ่อว่า –



อยากกินลูกชิ้นทอด



ผมยังจำได้เลยว่าพ่อมองผมยังไง เขาดูหดหู่สิ้นหวังกับคำตอบลูกชิ้นทอดของก้องเกียรติ และหลังจากนั้นพ่อก็ไม่ว่าอะไรอีก เพราะความไม่มีหัวการค้าของผมเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนขนาดนี้ พ่อจะพูดอย่างอื่นได้ยังไงนอกจากปล่อยให้ผมกินลูกชิ้นทอดต่อไป ดังนั้นแผนส่งต่อกิจการให้ก้องเกียรติจึงพับเก็บไว้ ตราบใดที่พ่อยังพอมีเรี่ยวแรงคุมกิจการ พ่ออาจจะปล่อยๆผมให้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ร่างกายของพ่อเริ่มอ่อนแอจนดูแลโรงงานไม่ได้ วันนั้นเราอาจจะมีเลือดข้นคนจางเกิดขึ้นในบ้าน ก็ไม่แน่นะ ทุกอย่างอาจจบลงด้วยดีก็ได้ ไม่ใช่ครอบครัวคนจีนทุกคนจะเจอเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย ผมได้แต่ภาวนาว่าในอนาคต -- พ่อกับเฮียภพจะไม่เคืองกันเรื่องสืบทอดกิจการนะ



ผมใช้ชีวิตในโรงงานประมาณสี่เดือนก็เลิกและเริ่มหาลู่ทางใหม่ ผมคุยกับพี่อู๋ว่าทำยังไงเราถึงจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนเหมือนเดิม เขาจึงบอกให้หางาน มีงานทำเมื่อไหร่ ความจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้วิศวกรก็ไม่ได้หางานกันง่ายๆ ผมต้องแข่งกับเพื่อนร่วมวิชาชีพอีกนับพันและคนมีประสบการณ์อีกนับหมื่นเพื่อให้ได้งานมา เชื่อไหมว่าผมใช้เวลาหางานเกือบสองเดือนหลังรับเข้าพิธีปริญญาบัตรกว่าจะได้งานที่ไม่ไกลจากลาดพร้าวเท่าไหร่ งานแรกของผมคือวิศวกรเขียนแบบให้บริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องจักรแถวบางนา เป็นบริษัทเล็กๆที่มีพนักงานสิบห้าคน นายญี่ปุ่นสองคนที่ดูแล้วไม่น่าจะวุ่นวายอะไร แต่หลังทำงานไปได้ซักระยะ ผมจึงรู้ซึ้งกับคำว่าโลกของการทำงานโหดร้ายกว่าสมัยเรียนเยอะ



ใน Job description ระบุว่าผมต้องเขียนแบบเครื่องจักรตามที่ลูกค้ารีเควส อาจจะต้องออกต่างจังหวัดไปติดตั้งเครื่องบ้างแต่จะได้โอทีหากทำงานล่วงเวลาสามสิบนาทีเป็นต้นไป แต่ถึงเวลาทำงานจริงๆมันยังมีข้อเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆที่คาดไม่ถึงเช่นหากวันไหนผมต้องไปควบคุมติดตั้งเครื่องที่นิคมอมตะซิตี้ วันนั้นคือวันที่ผมเหนื่อยมากที่สุดเพราะต้องเริ่มงานเร็วกว่าเดิมประมาณครึ่งชั่วโมง จากที่เคยเริ่มแปดครึ่งก็ต้องเริ่มแปดโมงเพราะเวลาของบริษัทไม่เท่ากัน แถมเลิกเลทอีก ซึ่งมองมุมนี้ ผมควรได้รับโอทีในส่วนของครึ่งชั่วโมงตอนเช้าด้วย แต่บริษัททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมจ่ายจนผมเสียเปรียบไม่ได้ค่าแรงตามที่ตกลง ผมเคยบ่นเรื่องนี้ให้พี่อู๋ฟังและเขาก็โมโหมาก เขาบอกว่าบริษัทกำลังเอาเปรียบพนักงาน แต่ถามว่าผมทำอะไรได้? ไม่มี ผมทำอะไรไม่ได้ เด็กกำลังอยู่ในช่วงโปรจะเรียกร้องให้จ่ายโอทีส่วนนี้ได้ไง ผมจึงต้องก้มหน้าก้มตาทนอยู่เกือบเดือนกว่าเจ้านายจะคิดได้เพราะถูกพี่เมฆ วิศวะอาวุโสที่ทำงานมานานกว่ายี่สิบปีเดินเข้าไปถามตรงๆ นายแค่บอกว่า อืม ผมจะจ่ายให้นะ แล้วก็เงียบไปราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ยุติธรรม แต่เพิกเฉยเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน คุณว่ามันแย่ไหมล่ะ



นี่ยังไม่รวมการแบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างลับๆในบริษัทอีกนะ ผมเป็นเด็กใหม่เพิ่งเริ่มงาน จึงยังไม่ประสีประสากับกีฬาสีภายในพรรค ใครดีมาก็ดีตอบ ยิ้มแย้มแจ่มใสไปเรื่อยไม่คิดร้ายกับใคร แต่พออยู่ไปซักพักถึงเริ่มสัมผัสได้ว่าที่นี่แบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือนาย เลขาที่ควบตำแหน่งล่าม บัญชี และเมเนเจอร์ กลุ่มที่สองคือวิศวกรที่สัมผัสได้ถึงรังสีไม่เป็นมิตรของกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มที่สามคือช่างประกอบที่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับดราม่า ส่งแบบมาก็พอ พวกเขาจะประกอบตามที่เขียนไว้ ส่วนใครตีกับใครก็ช่างหัวมันเถอะ ยังไงช่างประกอบก็ไม่ต้องปะทะกับนายเหมือนวิศวกรอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่สนแต่ก็มีร่วมวงสนทนากับเราบ้าง



ผมนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่อู๋ว่าทำไงดี ผมอยากเป็นมิตรกับทุกคน ไม่อยากเลือกข้างเลยเพราะยังไงเราก็ต้องทำงานด้วยกัน แม้กระทั่งจัดซื้อที่เพิ่งเข้ามาใหม่ยังต้องดีลงานกับผมในบางครั้ง พี่อู๋บอกว่าต่อให้ไม่เลือกวันนี้ อนาคตสถานการณ์ก็จะบีบให้เลือกอยู่ดี ด้วยความที่บริษัทพนักงานน้อย ความทั่วถึงเกี่ยวพันจึงมากชนิดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเป็นไปได้ก็แกล้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อไปเถอะ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจและทำงานต่อไป แต่ทนทำได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเอนเอียงยืนฝ่ายทีมพี่วิศวะในที่สุด



จากใจจริง – ผมไม่เคยอยากด่าใครในที่ทำงานเลย แต่บางครั้งพี่ล่ามก็ทำให้ผมเคลือบแคลงในการแปลเหมือนกัน หลายต่อหลายครั้งที่นายพูดยาวมากทว่าเธอแปลออกมาสั้นๆแค่สามสี่ประโยค ผมเดาเอาว่าคงย่อความ แต่ทำไมการย่อความถึงทำให้เราคุยกันไม่รู้เรื่องมากกว่าเดิม หลายต่อหลายครั้งนายแสดงท่าทีหงุดหงิดอารมณ์เสีย นายเริ่มตำหนิผมและพี่หัวหน้าโปรเจ็คที่แก้แบบไม่ถูกต้องเสียที ลูกค้าบอกว่าต้องการให้ลมเป่าชิ้นส่วนให้แห้งก่อนลำเลียงขึ้นสายพานทำไมออกแบบไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดไหม แต่ก็เถียงแทนหัวหน้าโปรเจ็คไปว่ามันทำไม่ได้หรอกเพราะชิ้นส่วนวางซ้อนกัน ชั้นแรกที่อยู่ล่างสุดน่ะแห้งก็จริง แต่ชั้นที่สองและสามจะไม่แห้งเพราะมีชั้นหนึ่งขวางอยู่ไง แค่นี้ไม่เข้าใจเหรอวะ – ผมไม่ได้พูดนะ ด่าในใจ – แต่สุดท้ายก็จบไม่สวย นายอาละวาดจนผมโมโห จึงไประบายให้พี่อู๋ฟังและขอให้เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นให้หน่อย ผมอยากฉะกับนาย



พี่อู๋เตือนแล้วว่าอย่าทำ ต่อให้เก่งมาจากไหนก็อย่าไปปะทะกับนายญี่ปุ่นตัวต่อตัวเพราะมันไม่คุ้ม แต่เขาก็บ้าจี้เขียนสิ่งที่ผมขอให้เรียบร้อย สัปดาห์ถัดมาผมไปทำงานด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตั้งใจว่าจะฟาดกับนายซักป้าบด้วยภาษาญี่ปุ่นระดับเทพของแฟน ซึ่งแน่นอนว่าจะฟาดเขาก็ต้องสงวนภาพลักษณ์เอาไว้ด้วย ผมทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยการบอกนายว่าปัญหาเมื่อวันก่อน ผมไปทบทวนจนรู้สาเหตุแล้วนะครับ นั่นเป็นเพราะว่า – ส่งกระดาษให้ นายกวาดสายตาอ่านอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกเลขาเข้ามาล่าม เธอรับกระดาษจากนายมาอ่านและถามผมว่าใครพิมพ์ให้ทำไมใช้คำเก่งจัง ผมตอบอ้อมแอ้มว่ารุ่นพี่ครับ รุ่นพี่พิมพ์ให้ พี่ล่ามไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มของการเปิดฉากสงคราม



“จริงๆก้องไม่ต้องให้รุ่นพี่เขียนให้ก็ได้นะ บริษัทเราก็มีล่าม ไม่อย่างนั้นจะจ้างมาทำไม”



เพราะพี่ล่ามมั่วไงครับ เครื่องจักรตัวนี้ถึงวนในแอ่งไม่จบเสียที ผมไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิล่ามเพราะเข้าใจดีว่าล่ามไม่ถนัดด้านวิศวกรรม พี่อู๋เองก็ไม่ได้เก่งแต่แรกเหมือนกัน เขาต้องใช้เวลาเป็นปี ต้องโดนวิศวะด่า โดนต่อว่าถึงจะเขียนอธิบายได้เซียนขนาดนี้ แต่อย่างน้อยๆพี่ช่วยแปลให้ครบความเถอะ ถามวิศวะก็ได้หากไม่เข้าใจคอนเส็ปต์ของเครื่องจักร ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่จบไม่สิ้น เหมือนคุยกันคนละเรื่องอยู่อย่างนี้



แต่จะบอกว่าเป็นความผิดพี่ล่ามก็ไม่ได้ในเมื่อสุดท้ายนายก็ไม่เข้าใจ สั่งให้พวกเราไปแก้แบบมาใหม่อยู่ดี ผมได้แต่เดินคอตกออกจากห้องทำงาน พอเวลาพักเบรคก็ลงไปปรับทุกข์กับพี่ๆวิศวะว่านายดุจัง เอาแต่ตำหนิไม่เห็นบอกเลยว่าต้องแก้ยังไง พี่บาสที่เป็นหัวหน้าโปรเจ็คบอกให้ทำใจ เพราะชีวิตการทำงานก็แบบนี้แหละก้อง แต่วันนี้ผมทำพลาดตรงที่ข้ามหน้าล่ามของนายเกินไป ต่อให้เรามั่นใจหรือถูกต้องขนาดไหนก็อย่าทำแบบนี้เลย เคืองกันเปล่าๆ ผมจึงได้แต่นั่งจ๋อยเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้พี่ล่ามเสียหน้า พอตกเย็นก็ไลน์ไปขอโทษพี่ล่ามเป็นการส่วนตัว เธอไม่ได้ว่าอะไร เธอบอกแค่ว่าดีแล้วที่ผมพยายามอยากให้นายเข้าใจ แล้วเงียบหาย ผมเดาเอาว่าพี่ล่ามคงโกรธแหละ ใครโดนแบบนี้ก็ต้องโกรธทั้งนั้น ผมนี่โง่จริงๆที่ไม่เชื่อคำพูดของพี่อู๋ ถ้าอยู่เงียบๆไม่เอากระดาษให้นายอ่านแต่แรกก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่แบบนี้หรอก



มีอีกหลายอย่างที่พี่อู๋สอนผม เรามักจะคุยกันตลอดเวลาผมมีปัญหาเรื่องงานหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางตัว พี่อู๋ทำงานในสายนี้มาเป็นสิบปี เขาคลุกคลีกับพวกวิศวะและนายญี่ปุ่นจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเขาพอสมควรเช่นเรื่องกฎระเบียบ พี่อู๋เน้นย้ำมากๆว่าผมต้องทำตามกฎที่โรงงานเขียนไว้ เช่นการใส่หมวกแก๊ปเมื่อต้องลงไปห้องประกอบเครื่อง แม้ว่ามันจะเป็นหมวกบางๆไม่สามารถป้องกันอะไรได้ แต่คนญี่ปุ่นค่อนข้างซีเรียสกับความปลอดภัยมากๆก็ต้องสวมไว้ก่อน นอกจากนี้เขายังสอนผมวางตัวให้เป็นที่เอ็นดูเพราะผมยังเด็กเกินกว่าจะอวดดีในบ้างเรื่อง ประสบการณ์ของผมยังน้อย ผมเพิ่งเริ่มทำงานและยังอ่อนต่อวงการนี้นัก เพราะฉะนั้นควรน้อมรับคำติชมและสังเกตการณ์ทำงานการแก้ปัญหาแทนที่จะเอาแต่นึกโมโหเวลาถูกว่า



ผมนึกภาพตัวเองตอนไม่มีพี่อู๋ไม่ออกเลย ถ้าไม่มีเขา – ผมจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานได้ราบรื่นขนาดนี้ไหม ยิ่งไปกว่านั้นพี่อู๋คือความสบายใจอย่างเดียวในชีวิตของผม ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมารับที่บางนาเพื่อกลับไปค้างลาดพร้าวด้วยกัน ส่วนวันจันทร์ตอนเช้าผมจะตื่นเร็วกว่าปกตินิดหน่อย ติดรถของพี่อู๋ไปขึ้นบีทีเอสและต่อแท็กซี่ไปทำงาน ผมเคยพยายามไปกลับลาดพร้าวบางนาทุกวันแต่มันไม่เวิร์คเลย นอกจากค่ารถไฟฟ้าที่แพงและระยะเวลาที่ค่อนข้างนานแล้ว ผม พี่อู๋ และพ่อจึงเห็นตรงกันว่าควรเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่ใกล้บริษัทแล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปทำงานดีกว่า พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นการได้พักผ่อนต่างหาก งานหนักแค่ไหนถ้าได้นอนเต็มอิ่มก็ยังพอมีแรงสู้ต่อไป หากต้องอดนอนและเหนื่อยกับการเดินทางซ้ำๆซากๆทุกวัน ไม่เกินหกเดือนผมคงเกิดภาวะ burn out syndrome แน่ๆ



ดังนั้นชีวิตของผมจึงต้องแบ่งเป็นสามส่วน ผมมีเวลาส่วนตัวทุกวันจันทร์ถึงพฤหัส ส่วนวันศุกร์ก็กลับลาดพร้าวมาอยู่กับชายที่ผมรัก เดือนหนึ่งผมจะกลับบ้านไปหาพ่อครั้งหนึ่ง ผมว่าพ่อคงรู้แหละว่าพี่อู๋แอบมารับผมไปอยู่ด้วยทุกสัปดาห์ แต่เขาไม่ว่าอะไรที่ผมตัดสินใจแบบนี้เพราะผมโตแล้ว ผมรับผิดชอบตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่มีเงินมากพอสำหรับส่งให้พ่อ แต่พ่อก็ไม่เคยเรียกร้องขออะไร พ่อมีมากกว่าผมตั้งกี่แสนกี่ล้านเท่า เขาไม่อยากให้ผมต้องเจียดเงินอันน้อยนิดไปให้เขาเพื่อแสดงสัญลักษณ์ความกตัญญูหรอก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะเงินเดือนของผมเริ่มต้นแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาท พอหักประกันสังคม หักค่าเช่าห้อง ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอยู่ต่างๆ จึงเหลือเก็บเดือนละไม่ถึงพัน พี่อู๋บอกว่าชีวิตการทำงานมันก็เป็นแบบนี้แหละ ในเมื่อเราไม่มีประสบการณ์ก็ต้องเรียนรู้ไปก่อน ไว้เก่งเมื่อไหร่ค่อยย้ายงานเพื่ออัปเงินเดือนยังไม่สาย



นอกจากนี้ – ยังมีสิ่งสำคัญมากๆที่พี่อู๋เน้นย้ำกับผมตลอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ



อย่าให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์







ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยฮับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 11-11-2019 19:55:29
45 [PART 2/3]

พี่อู๋บอกว่าคนในประเทศนี้มีภาพจำต่อเพศที่สามไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต่อให้ไม่แสดงออกตรงๆว่ารังเกียจเหยียดหยาม แต่มักจะมีคำพูดเฮงซวยซึ่งล้อเลียนเราหลุดจากปากคนเหล่านั้นออกมาเรื่อยๆ ขนาดพี่อู๋เป็นเกย์มาตั้งแต่สมัยเรียน เขายังไม่เคยบอกเพื่อนร่วมงานเรื่องนี้เลย เจ้านายกี่คน เซลล์กี่คนที่เคยไปดื่มด้วยกัน วิศวกรที่ทำงานด้วย ไม่มีใครรู้ว่าพี่อู๋คบกับผู้ชาย และเขายังประหม่าทุกครั้งเมื่อถูกสงสัยว่าเป็นเกย์หรือเปล่าเพราะไม่เคยพูดถึงผู้หญิงหรือภรรยาทั้งๆที่อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว



“ให้เขาคิดว่าเราเป็นเพลย์บอยไปวันๆยังดีกว่า”



พี่อู๋เคยบอก และผมเศร้ามากที่แม้แต่คนที่มั่นใจสุดๆอย่างพี่อู๋กลับไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตัวเองได้ ทุกคนที่บริษัทต่างคิดว่าเขามีแฟนสาวลับๆหรือไม่ก็เป็นพวกเพลย์บอยฟันไปเรื่อยไม่จริงจังกับใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่รับได้ ไม่ใช่นายจ้างทุกคนที่เข้าใจถึงความแตกต่างนี้ พี่อู๋เองสัมผัสทุกอย่างจนรู้ดีแล้วจึงกำชับผมว่าอย่าบอกใคร เขาไม่ได้อายที่เป็นแฟนกับผม แต่บางครั้งการพูดความจริงออกไปมันมีผลเสียมากกว่าที่คิด อย่างเพื่อนของเขาที่ถูกทำให้เป็นตัวตลกในที่ทำงาน เอะอะก็ล้อเล่นด้วยการแซวว่าขี้ติดกางเกง หนักสุดคือเดินมาตีตูดราวกับเพศที่สามจะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นก้องอย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าคบกับผู้ชาย เวลาใครถามก็บอกแค่ว่ามีแฟนแล้ว แต่ไม่ต้องโกหกสร้างตัวปลอมขึ้นมา เขาถามอะไรก็บอก ทำอาชีพอะไรก็บอกไปว่าเป็นล่าม จบ



ตอนแรกผมคิดว่ามันจะซักแค่ไหนเชียว โลกเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว มันจะมีคนล้อเลียนเกย์อยู่อีกเหรอ แต่พอมีโอกาสได้กินเหล้ากับพี่ๆที่บริษัท ผมก็รู้ว่าสิ่งที่พี่อู๋พูดเป็นความจริงทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับเรา บางคนมองเราเป็นตัวตลก บางคนปากบอกว่ายอมรับแต่ก็ยังเล่นมุกถังทอง หรือถามคำถามไม่สุภาพอย่างเป็นรุกหรือรับ นอนให้เขาเสียบหรือเสียบเขา ผมว่ามันเป็นคำถามชั้นต่ำที่ไม่ควรถามใคร ขนาดโบ้ทยังไม่เคยถามผมเลย แล้วคนพวกนี้เป็นใครถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้นกับผม แต่เกิดกับวิศวกรไฟฟ้าที่เซ็นสัญญาทำงานร่วมกันแค่โปรเจ็คเดียว เขาปิดตัวเองไม่ได้เพราะท่าทางออกสาว ตอนถูกรุมถาม เจ้าตัวหน้าเสียไปเลย เขาฝืนยิ้มๆทำเป็นขำแต่ผมว่าในใจคงอยากต่อยปากช่างประกอบบริษัทผมจะแย่ ผมได้แต่ขอโทษเขาตอนที่เข้าห้องน้ำพร้อมกัน ผมบอกเขาว่าพี่ช่างเป็นคนปากพล่อยอยู่แล้ว ใครๆก็รู้ อย่าถือสาเอาความเลย อย่าใส่ใจคำพูดหมาๆแบบนั้นเลยนะ



“ไม่เป็นไรหรอก พี่ชินแล้ว”



เป็นคำตอบแสนเศร้าที่ผมฟังแล้วอยากร้องไห้ ทำไมคนๆหนึ่งต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำๆจนชินชาด้วย ผมไม่เข้าใจเลย เชื่อไหมว่าหลังจากนั้นผมไม่ไว้ใจใครอีกนอกจากพี่อู๋ ทุกคนที่บริษัทจึงไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นเกย์ พวกเขาคิดว่าผมคือเด็กเนิร์ดอ๊องๆจีบสาวไม่เป็นจนพี่ล่ามแนะนำเซลล์สวยๆให้



ด้วยความที่เป็นวิศวกร ยังไงเวลาสั่งอะไหล่ประกอบเครื่องจักรก็ต้องมีคุยกับเซลล์บ้างเพราะจัดซื้อไม่รู้ว่าแต่ละชิ้นมันต่างกันยังไง ดังนั้นผมจึงมีโอกาสคุยกับเซลล์ที่มาส่งของหลายคน บางคนขับรถมาจากชลบุรีเพื่อดูว่าหน้าตาผมเป็นยังไงตามคำสปอยล์ของพี่ล่าม เธอดูกะตือรือร้นในเรื่องของผมมากจนเกินเหตุ เวลาผมบอกปัดความหวังดีที่แสนจะสาระแนนั้นด้วยการบอกว่ามีแฟนแล้ว พี่ล่ามจะคิดว่าผมโกหก เธอนึกว่าผมไม่ชอบผู้หญิงที่หาให้ก็เลยแนะนำคนใหม่เรื่อยๆ เลขาของบริษัทซัพพลายเออร์บ้าง ล่ามในโรงงานที่ชลบุรีบ้าง เยอะมากจนผมสงสัยว่าทำไมเธอจุ้นจ้านขนาดนี้ จนรู้จากพี่วิศวะที่ทำงานมานานอีกทีว่าพี่ล่ามขึ้นชื่อว่าเป็นแม่สื่อมือทอง คนญี่ปุ่นที่มาทำงานในไทยได้แฟนเพราะพี่ล่ามแนะนำเยอะแยะก็คงติดลม คิดว่าตัวเองเป็นแม่สื่อแม่ชักล่ะมั้ง พูดจบพี่วิศวะก็หัวเราะและบอกว่าคนอะไรขี้เสือก เขาจ้างมาทำงานก็ทำไปสิ จะเปิดบริษัทหาคู่ในโรงงานหรือไง



ผมเห็นด้วย เพราะหลังๆมันเริ่มล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว เซลล์ที่พี่ล่ามเคยพยายามชักมาให้ถึงขนาดแอดไลน์มาชวนผมคุยจนพี่อู๋ควันออกหูอยู่บ่อยๆ เขาไม่ชอบ แต่ไม่สามารถตอกหน้าเธอได้ว่าเป็นแฟนของก้องเกียรติเพราะเป็นห่วงผมที่ต้องทำงานต่ออีกหลายปี มันวนเวียนซ้ำซากจนทำให้เราทะเลาะกันอยู่หลายหน ผมเองก็เบื่อและเหนื่อยจนต้องไลน์ไปต่อว่าพี่ล่ามตรงๆ พี่ล่ามคงตกใจเพราะไม่คิดว่าผมจะโกรธขนาดนี้ เธอจึงถามว่ามีแฟนแล้วจริงๆเหรอ ผมจึงบอกว่าครับ มีแล้ว พี่ก็อย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมไม่ชอบ



เรื่องราวเจ๊าะแจ๊ะทั้งหมดจึงจบแค่ตรงนี้โดยไม่มีความสัมพันธ์ของใครแตกหัก ผมทำพี่ล่ามเสียความมั่นใจจนเลิกเป็นแม่สื่อแม่ชักอยู่พักใหญ่ ส่วนพี่อู๋ก็แฮปปี้ มีความสุขที่ชีวิตของเรากลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมตามที่ควรเป็น













พอถึงจุดหนึ่งของชีวิตการทำงาน ผมก็หมดแรง ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเพื่ออะไร อาจเพราะเงินเหลือเก็บน้อยนิดที่ไม่พอสำหรับซื้อของทางใจ หรือเพราะการทำงานหนักติดกันหกวันต่อสัปดาห์ ผมจึงเข้าสู่ภาวะหมดไฟไวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน



เคยมีคนบอกว่าโซเชียลมีเดียทำให้เราเป็นทุกข์เพราะเห็นด้านดีๆของคนอื่น แต่สำหรับผม มันคือเชื้อเพลิงเล็กๆที่พอให้มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นทำงานในวันถัดไปเวลาเห็นเพื่อนๆอัปเดตสเตตัสว่ากำลังอยู่ในช่วงตามหาสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าโบ้ทที่ยังคงนั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ผมหลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่นเพราะเริ่มต้นทำงานได้เร็วกว่า แต่สุดท้ายผมก็หลอกตัวเองได้ไม่นานเมื่อเห็นจำนวนเงินในบัญชี ผมรู้สึกว่ามันน้อยและไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปเลย



ช่วงหลังๆผมต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน แถมไปชลบุรีเพื่อติดตั้งเครื่องจักรบ่อยมาก บางครั้งต้องไปตลอดสัปดาห์แต่ผมไม่สามารถเช่าห้องพักแถวนั้นได้เพราะบริษัทไม่มีสวัสดิการรองรับในส่วนนี้ นายบอกว่าจะจ่ายให้เฉพาะค่าน้ำมัน ค่ากินค่าเดินทางพิเศษไม่มีให้ ต่อให้วันนั้นเลิกดึกแค่ไหนก็ต้องกลับบางนาเพื่อเอารถมาคืนบริษัท บางคืนผมได้นอนแค่สามชั่วโมงก็ต้องออกไปใหม่ ผมเสียเวลาพักผ่อนไปกับการเดินทางในขณะที่ค่าแรงได้น้อยนิดประมาณชั่วโมงละแปดสิบบาท ผมจึงปรับทุกข์กับพี่อู๋ว่าทำยังไงดี ผมเหนื่อยมากเลย พี่ผ่านช่วงเริ่มต้นใหม่ๆได้ยังไงกัน พี่อู๋บอกผมว่า



“เป็นหนี้สิ พอมีภาระมีค่าใช้จ่าย คนเราก็จะดิ้นรนทำงานเพื่อจ่ายหนี้ทั้งนั้น”



ผมฟังพี่อู๋เล่าถึงชีวิตการทำงานแล้วรู้สึกว่าตัวเองกระจอกชะมัด ชั่วโมงทำงานของผมน้อยกว่าที่พี่อู๋เคยทำตั้งสองสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่เขาย้ำผมว่ามันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย การทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนมีแต่จะทำให้สุขภาพแย่ อีกอย่าง – การไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐแล้ว ถ้ารู้สึกว่าเงินที่ได้ไม่คุ้มค่าแรงก็ลาออกเถอะ ยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการวิศวกร ถือเสียว่าเป็นการอัปค่าตัวด้วย จะลาออกมากินๆนอนๆที่บ้านก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องกลับบ้านที่โน่นหรอก มาอยู่ลาดพร้าวนี่แหละ หายเหนื่อยเมื่อไหร่ค่อยเริ่มออกหางาน



ฟังจบผมก็ย่นหน้าใส่พี่อู๋ รู้ทันหรอกนะว่านี่คือแผนการให้เราอยู่ด้วยกันเต็มเวลาเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่รับปากพี่อู๋ว่าจะลาออก แต่คิดไว้เหมือนกันว่าหลังได้โบนัสตอนสิ้นปี หากเงินเดือนไม่ปรับขึ้นจนคุ้มค่าผมอาจจะหยุดงานซักพักตามที่เขาว่า พอคุยเรื่องงานจบเราก็คุยเรื่องอื่นต่อ ตลอดเวลาที่ไม่อยู่ด้วยกันมันมีเรื่องให้แชร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ยิ่งตอนนี้ผมทำงานด้วยแล้ว พี่อู๋ยิ่งมีเรื่องอยากสอนผมเป็นร้อยๆข้อ แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นมีแต่เรื่องงานเสมอไป บางครั้งเราก็สนุกกับกิจกรรมที่ชื่นชอบบ้าง อย่างการออกไปกินของอร่อยๆตอนดึก การไปดูหนัง และการนั่งชิลที่ข้าวสาร –



หนึ่งในความฝันอันสูงสุดของพี่อู๋คือการได้ไปร้านเหล้ากับผม จริงๆคนอายุประมาณเขาไม่มาข้าวสารหรอก ส่วนใหญ่ไปทองหล่อหรือย่านแพงๆขายเครื่องดื่มแก้วละห้าร้อย ไม่กินเหล้าราคาถูกผสมน้ำอัดลมและฟังเพลงเสียงดัง แต่ในข้าวสารก็ไม่ได้มีแต่ผับตื๊ดหรือร้านเฉพาะวัยรุ่น ร้านนั่งชิลสั่งอาหารก็มี บ่อยครั้งเราจะไปดื่มกันที่นั่น คุยกันเรื่อยเปื่อยถึงแผนการในอนาคตหรือไม่ก็กินสตรีทฟู้ดที่ขายอยู่ริมทาง ส่วนใหญ่ผมไม่เรียกกิจกรรมนี้ว่าการดื่ม ผมเรียกว่าการมอม เพราะพี่อู๋ชอบมอมให้ผมเมาแล้วหิ้วขึ้นห้อง แต่อย่าคิดว่าการเมาของผมต่อยอดไปถึงเซ็กส์นะ เพราะผมเมาหลับ เมาแล้วหลับให้เขาแบกขึ้นหลังไปนอนต่อ พี่อู๋ล่ะช๊อบชอบเวลาก้องเกียรติเมาเพราะผมจะพูดมากขึ้นมาอีกสามร้อยเปอร์เซ็นต์ จะกล้าพูดเรื่องใต้สะดือหรือทำอะไรก็ตามที่ก้องเกียรติตัวจริงไม่กล้า เขาเคยอัดคลิปตอนผมร้องเพลงด้วย ปกติผมชอบแหกปากร้องเพลงที่ไหน นี่ทั้งร้องทั้งเต้นเหมือนสมัยพี่อู๋โคฟเวอร์เพลงผีเสื้อราตรี เออ ผมเชื่อแล้วว่าเหล้าเปลี่ยนนิสัยคนได้จริงๆ



หลังอดทนทำงานได้เกือบสองปี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลาออก ผมอาจจะเป็นเด็กไม่สู้งานอย่างที่ผู้ใหญ่ในอินเทอร์เน็ตว่า แต่เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมเสียไปเลย ตอนแรกที่บอกพี่อู๋ว่าจะลาออก ผมนึกว่าเขาจะบ่นหรือสอนอะไรซักหน่อยที่ไม่อดทนให้ครบสองปีทว่าพี่อู๋กลับไม่ว่าอะไร เขาบอกผมแค่ว่าให้แจ้งเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ด้วยว่าจะย้ายออก ข้าวของในห้องค่อยทยอยคนอาทิตย์ละนิดละหน่อยเดี๋ยวก็หมด ส่วนมอเตอร์ไซค์ค่อยใช้ขนส่งเอกชนให้มาส่งที่ลาดพร้าว จอดไว้ที่บ้านก่อน ได้งานใหม่เมื่อไหร่ค่อยพาไป



ผมทำตามคำแนะนำของพี่อู๋ทุกอย่างยกเว้นแจ้งพี่ล่ามว่าจะลาออกในเดือนหน้า ผมค่อนข้างกังวลว่าคนในออฟฟิศจะคิดยังไง พวกเขาจะมองว่าก้องเกียรติไม่สู้งานไหมแต่สุดท้ายเมื่อได้บอกไป ความรู้สึกโล่งอกยิ่งกว่าครั้งไหนๆก็เข้ามาแทนที่ ผมมีความสุขมากเมื่อได้นับถอยหลังเวลาที่ต้องทำงานที่นี่ ลาก่อนการทำโอทีจนถึงสี่ทุ่ม ลาก่อนชลบุรี ลาก่อน – พี่ช่างประกอบที่ชอบตะคอกผมเวลาอธิบายแปลนเครื่องจักร ผมโลดแล่นอย่างเริงร่า ทุกวันคือความสุขราวกับอยู่ในโลกของเทพนิยาย ผมโบกมือบ๊ายบายทุกอย่างโดยไม่รู้สึกใจหายจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ไปเลี้ยงส่งกับพี่วิศวะ ผมถึงกังวลกับงานใหม่ในอนาคตเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกับทีมที่โคตรดีแบบนี้อีกไหม



“พวกพี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก อย่าเศร้าเลย คิดถึงก็ไลน์มาคุยกันได้ตลอด ชีวิตคนเรามันต้องไปต่อ”



พี่เมฆพูดให้กำลังใจ แม้กระทั่งเลี้ยงส่งเขายังจ่ายค่าข้าวให้ผมเหมือนวันแรกที่เข้ามาทำงาน ส่วนพี่วิศวะคนอื่นๆคุยเรื่องในออฟฟิศกันเพื่อสร้างบรรยากาศสมานฉันท์ส่งท้าย ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้นดื่มไปเยอะเท่าไหร่ แต่พี่เกมรินให้กี่แก้วก็หมดทุกแก้ว กับแกล้มก็เกลี้ยงกริบเพราะทีมของเรากินจุทุกคน ปกติผมไม่เคยเมาต่อหน้าพี่ๆเลย แต่วันนั้นก็แสดงอภินิหารให้พวกเขาเห็นว่าก้องเกียรติเวอร์ชั่นดีดเหมือนคนบ้าเป็นยังไง ผมจับขวดเบียร์ทำเป็นไมค์โครโฟน ร้องเพลงและเอ่ยปากแซวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยจนกระทั่งเริ่มง่วง ตอนนั้นผมถึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ผมขับมอเตอร์ไซค์กลับห้องไม่ไหว สงสัยต้องรบกวนขอให้ใครซักคนไปส่ง



ผมสะกิดบอกพี่เมฆเพื่อขอรบกวนให้ไปส่งที่ห้องหน่อย ส่วนมอเตอร์ไซค์ฝากไว้ที่ร้านกระต๊อบก็ได้เพราะเรามากินบ่อยจนเป็นลูกค้าประจำ พี่เมฆบอกว่าได้ๆ เดี๋ยวเขาขับรถไปส่งที่หอ แต่พอนั่งไปอีกเกือบชั่วโมง จู่ๆผมก็เห็นวีออสสีดำขับเข้ามาจอดริมรั้วด้านข้าง เห็นพี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงมาจากรถ สีหน้าท่าทางเรียบตึงดูไม่ค่อยพอใจ แต่เมื่อเจอกับพี่ๆในทีมของผมเขาก็ยกมือไหว้สวัสดี บอกว่าเป็นพี่ของก้อง เขามารับผมกลับบ้าน



“พี่มาได้ไงเนี่ย?”



ผมถามด้วยเสียงอู้อี้ในคอ ทั้งดีใจทั้งประหลาดใจที่มีอัศวินขี่ม้าขาวมารับถึงร้านเหล้า พี่อู๋บอกว่าเขาโทรหาผมแต่มีคนรับสาย บอกว่าผมกำลังเปิดคอนเสิร์ตในร้านเสียงดังมากจนลูกค้าจะเรียกตำรวจแล้ว ผมหัวเราะขำและตบแก้มเขาเบาๆสองที



“กลับบ้านเรากันเถอะครับ”



ผมพยายามอ้อนเขา อีกหน่อยก็จะหอมแก้มพี่อู๋อยู่แล้วแต่แฟนของผมมีไหวพริบมากพอที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น เขาบอกให้ผมกล่าวอำลาพี่ๆในวงเหล้า สปีชสุดท้ายของก้องเกียรติในฐานะวิศวะน้องเล็กของบริษัทคือจงลาออก! จงลาออก! และจงลาออก! จนทุกคนขำพรืดและโบกมือลา ส่วนพี่อู๋ก็หิ้วผมไปที่รถ พอได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเราก็คุยอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น อย่างแรกที่หลุดจากปากพี่อู๋คือทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเมาได้ขนาดนี้ อย่างที่สองคือทำไมไม่ระวังตัว วางกระเป๋าเงินทิ้งไว้บนโต๊ะไม่กลัวมีคนหยิบไปหรือไง ผมเอานิ้วชี้แตะปากพี่อู๋และร้องจุ๊ๆ



“อย่าบ่นครับ วันนี้วันประกาศอิสรภาพ กลับบ้านเราดีกว่า”



ผมคิดถึงห้องของเรา คิดถึงเตียง คิดถึงการลืมตาตื่นมาอยู่ในคอนโดจะแย่ แต่พี่อู๋ไม่ได้ขับรถกลับบ้านตามที่ผมขอ เขามุ่งหน้าไปอพาร์ทเม้นต์ของก้องเกียรติและบอกว่าคืนนี้เราต้องค้างที่นี่ พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปร้านเพื่อเอารถไปส่งบริษัทเอกชน เราต้องย้ายของออกจากหอ ต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ผมจึงไม่ว่าอะไรนอกจากบอกพี่อู๋ว่าเราดื่มด้วยกันในห้องดีไหม ถ้าพี่เห็นด้วยก็จอดที่เซเว่นแล้วซื้อเหล้าเข้าไปกินกันเถอะ



“เป็นขี้เมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พี่อู๋ถามขำๆ ไม่ได้โมโหหรือโกรธที่ผมชวนดื่มต่อ “เอาอะไรบ้าง? ถั่ว? มันฝรั่งทอด?”

“เอาโคล่ากับน้ำแข็งมาเยอะๆก็พอครับ นอกนั้นอะไรก็ได้”



ผมบอกพี่อู๋และงีบหลับบนรถครู่หนึ่ง ตื่นมาอีกทีเราก็อยู่หน้าร้านขายหมาล่าริมทาง พี่อู๋ซื้อกับแกล้มมาเยอะมาก เขาดูจริงจังกับการดื่มเพื่อฉลองอิสรภาพครั้งแรกของก้องเกียรติอย่างน่าเหลือเชื่อ นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสามสิบสองนาที ผมเริ่มสร่างเมาแล้ว จึงสามารถเดินด้วยตัวเองและขนของกินขึ้นห้องได้สบายๆ หลังจากนั้นเราก็ตั้งโต๊ะ เปิดเหล้า เตรียมมิกซ์เซอร์และจัดกับแกล้มใส่จาน พี่อู๋หายไปเข้าห้องน้ำเกือบห้านาทีก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาชงเหล้าให้ผมและชวนกินไส้ย่างหมาล่า เขาถามผมว่าเผ็ดมากไหม



“ไม่เผ็ดมากครับ ก็พอกินได้”



ผมบอกและเริ่มดื่มด้วยกันสองคนกับชายที่ผมรัก มันเป็นการดื่มแบบเคร่งเครียดที่ไม่มีเรื่องตลกโปกฮาให้ระบายเหมือนกินกับทีมพี่วิศวะเพราะก้องเกียรติเพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตมันว่างเปล่าขนาดไหน ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี แต่เป็นการขยับไปข้างหน้าที่แสนจะเอื่อยเฉื่อยและไร้แรงบันดาลใจ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำงานไปเพื่ออะไร เพื่อให้ได้เงินไปวันๆอย่างนั้นเหรอ ผมยังนึกแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่มีของที่อยากซื้อเลย อาจเป็นเพราะผมไม่ขาดอะไรล่ะมั้ง บ้านของพ่อก็มี บ้านของพี่อู๋ก็มี จะไปไหนไกลๆมีคนคอยขับรถรับส่งสบายตลอด อีกอย่างครอบครัวก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยกันหมดแล้ว ชมพู่รับปริญญา แอปเปิ้ลกำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ส้มจีนกำลังจะสอบปีถัดไป ส่วนมะนาวเพิ่งขึ้นชั้นมัธยม กิจการโรงงานลูกชิ้นของพ่อก็ไม่ได้ส่อเค้ามีปัญหา พ่อกับเฮียภพยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจนผมนึกสงสัยว่ามีบ้างไหมที่พ่อจะเบื่อ หรือขี้เกียจตื่นไปโรงงาน จะว่าไปผมไม่เคยเห็นพ่อขี้เกียจเลย แม้แต่วันอาทิตย์พ่อก็ยังแวะเข้าไปทั้งๆที่โรงงานปิด พ่อดูขยันอย่างไร้ขีดจำกัด ส่วนผมเริ่มหมดไฟ ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากทำงาน ผมอยากนอนเฉยๆ อยากย้อนเวลากลับไปตอนเรียนหนังสือที่มีแค่เพื่อนกับพี่อู๋ แต่พออายุมากขึ้นผมไม่สามารถทำตัวแบบนั้นได้เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมการเติบโตถึงยากจัง มันยากจริงๆนะกับการตามหาความหมายว่าเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ผมจึงเล่าเรื่องนี้ให้พี่อู๋ฟัง



“มันว่างเปล่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำงานหนักไปทำไมในเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องแก่ตายอยู่ดี”

“คิดแบบนั้นก็แย่สิ คนเราต้องแก่ก็จริง แต่เราเลือกได้ว่าตอนแก่จะมีชีวิตแบบไหน อยากมีเงินเก็บจนนั่งๆนอนๆที่บ้านได้ หรือต้องทำงานทุกวันแลกเงินเล็กๆน้อยๆเป็นค่าข้าว ตัวเราในตอนนี้เป็นคนกำหนดนะ”

“ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกแบบ --” ผมยักไหล่ “มันไม่มีเป้าหมายท้าทายเลย”

“ยังไง?”

“พี่จำมิวเพื่อนผมได้ไหม? ตอนนี้มิวมีแฟนแล้วนะ”

“คนที่เป็นติ่งเกาหลีน่ะเหรอ?”

“ช่าย วันก่อนเราคุยกัน มิวบอกในกลุ่มแชทว่าคิดเรื่องแต่งงาน” ผมเล่าให้พี่อู๋ฟัง “ผู้หญิงนี่น่าอิจฉาเนอะ ส่วนใหญ่ดูมีเป้าหมายว่าชีวิตเป็นลำดับขั้นตอนยังไง ทำงาน แต่งงาน มีลูก ซื้อบ้าน มันดูเป็นสเต็ปๆจนบางทีผมก็อิจฉา”

“บางทีการมีครอบครัวก็ไม่ใช่เป้าหมายของทุกคนหรอก ทำไม? ก้องอยากแต่งงานมีลูกเหรอ?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมแค่รู้สึกว่าการมีเป้าหมายให้พุ่งชนมันน่าจะดีกว่าเลื่อนลอยไม่ใช่หรือไง” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม “ตอนพี่อายุเท่าผม พี่มีความฝันอะไรบ้างไหม?”

“ไม่มี พี่คิดแค่ว่าจะทำงานหาเงินโปะหนี้ให้หมด” พี่อู๋บอก “รู้ตัวอีกทีพี่ก็จะสี่สิบแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกัน”

“พี่ไม่คิดเรื่องอื่นเลยเหรอ?”

“ไม่” เขาส่ายหน้า

“แม้แต่ตอนนี้พี่ก็ไม่มีเรื่องที่อยากทำเลยเหรอ?”



พี่อู๋นิ่งไปครู่หนึ่ง เขากินไก่เสียบไม้ก่อนจะเอนหลังพิงขอบเตียง



“มีนะ แต่สิ่งที่พี่อยากทำมันต้องใช้คนอีกคน”

“ให้ผมช่วยไหมล่ะ? ถ้าพี่ไม่ได้อยากทำอะไรเสี่ยงตายอย่างโดดบันจี้จั๊มหรือปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ผมพอช่วยได้นะ”

“จริงอ่ะ? ช่วยได้แน่นะ?”

“แน่สิครับ” ผมยืนยันและกินไส้ย่างอีกไม้ “พี่อยากทำอะไรล่ะ? ลองบอกผมหน่อย”



พี่อู๋นั่งอมยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาดื่มเหล้าจนหมดแก้วนั่นแหละถึงเริ่มหันมามองหน้าผมด้วยแววตาแปลกๆ ผมถามพี่อู๋ว่าทำไม มีอะไร จ้องแบบนี้จะชวนไปทำเรื่องแผลงๆอีกล่ะสิใช่ไหม เขาส่ายหน้าและบอกว่ามันก็ไม่ได้พิสดารขนาดนั้นหรอก เขาแค่อยากแต่งงานกับผม ก้องแต่งงานกับพี่ได้ไหม





ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยคับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 11-11-2019 19:57:58
45 [PART 3/3]


ตอนที่ได้ยินคำว่าแต่งงานกับพี่ได้ไหม ผมตัวชาไปหมดเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรสเผ็ดร้อนของหมาล่าหรือคำขอแต่งงานที่แสนจะเรียบง่ายนั้นทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ผมถามพี่อู๋ว่าเอาจริงเหรอ เราจะแต่งงานกันจริงๆเหรอ เขาจึงพยักหน้ารับว่าเอาจริง เขาอยากแต่งจริงๆ ปกติเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย สมัยคบกับหมูพีก็ไม่อยากทำอะไรแบบนี้เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ แต่พอคบกับผมแล้วเขาอยากแต่งงาน



“พี่รู้สึกว่าเราควรอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ควรเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นสามีของกันและกัน” พี่อู๋ยิ้มในขณะที่ผมน้ำตาคลอเบ้า อยากร้องไห้จะแย่ “อย่างน้อยพ่อของก้องจะได้สบายใจด้วยไง ถ้าก้องแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวและย้ายมาอยู่กินกับพี่ พ่อจะได้ไม่กังวล”

“เราจะแต่งงานกันได้ยังไง? การแต่งงานของเรามันไม่มีผลทางกฎหมายหรอกในเมื่อจดทะเบียนสมรสไม่ได้”



พี่อู๋พยักหน้าเห็นด้วย เขาบ่นว่าตัวเองอายุจะสี่สิบแล้ว พระราชบัญญัติคู่ชีวิตก็ยังไม่ผ่านเสียที แต่การแต่งงานคือพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันมากขึ้น แม้ว่าเราจะจดทะเบียนสมรสไม่ได้ เราไม่สามารถถือสิทธิ์ของกันและกันในฐานะคู่ครองได้ แต่พี่อู๋จะแบ่งทุกอย่างให้ยุติธรรมกับผมมากที่สุด เขาจะทำเหมือนเราเป็นคู่แต่งงานคู่อื่น เราจะแชร์ทรัพย์สินร่วมกัน ถึงจะทำเรื่องกู้ร่วมให้ถูกต้องไม่ได้ก็เถอะ แต่เขาจะไม่มีวันเอาเปรียบผมแน่นอน ขอให้ผมไว้ใจเขา และยอมแต่งงานกับเขา รับรองว่าพี่อู๋จะดูแลผมให้อยู่สุขสบายเหมือนเจ้าชาย ก้องเกียรติจะเป็นสามีที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่งในโลก ถ้าผมตอบตกลงและแต่งงานกับเขา



“แต่งครับ!” ผมดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น “ผมจะแต่งงานกับพี่!”



พี่อู๋ยิ้มกว้างจนเห็นตีนกา สิ้นสุดการขอแต่งงานที่แสนจะเรียบง่ายและปราศจากความโรแมนติคอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่คู่อื่นขอแต่งงานกันในที่สวยๆ พี่อู๋กลับขอผมต่อหน้าหมาล่าทั้งยี่สิบไม้ เหล้าหนึ่งขวด มิกซ์เซอร์ และถังน้ำแข็ง แต่ผมไม่สนใจหรอกว่ามันเป็นการขอแต่งงานที่ต่างจากของคู่อื่นยังไงในเมื่อใจความสำคัญก็คือแต่ง แค่นั้นเป็นอันจบ ผมจะถือว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เขาจะเป็นสามีของผม แล้วผม –



“ถ้าพี่เป็นสามี ผมต้องเป็นภรรยาเหรอ?”

“ก็เป็นสามีเหมือนกัน ทำไมต้องเป็นภรรยา? สามีกับสามีก็ได้ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“แล้วเรื่องสินสอดล่ะ?” ผมถาม แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่ภรรยา แต่อดคิดไม่ได้เพราะธรรมเนียมโบราณแต่ดั้งเดิมค่อนข้างทำให้สับสนพอสมควร

“ถ้าพ่อก้องเรียก พี่ก็จ่ายได้”

“พ่อไม่เรียกหรอก พ่อเคยบอกว่าผมเป็นผู้ชาย พ่อไม่เอาสินสอด”



ผมบอกเขา พี่อู๋จึงเลิกคิ้วประหลาดใจเพราะไม่รู้ว่าก้องเกียรติแอบคุยกับพ่อเมื่อไหร่ ผมจึงบอกเขาว่าคุยตั้งแต่เฮียภพแต่งงานแล้ว เพราะตอนนั้นผมเองก็อยากแต่งงานเลยลองถามเล่นๆ ไม่ได้จริงจังเพราะไม่คิดว่าพี่อู๋จะขอผมจริงๆ



“แล้วพี่จะขอผมเมื่อไหร่? พี่จะให้ป๊ากับแม่มาสู่ขอผมไหม?” ผมถามอย่างตื่นเต้น

“ขอสิ ก็ต้องขออยู่แล้วเพราะพี่พาก้องออกจากบ้าน” พี่อู๋บอก “งั้นวันอาทิตย์นี้ไปร้านขายแหวนกัน วัดขนาดก่อน เวลาใส่จะได้พอดี”



ผมพยักหน้า หลังจากนั้นเราก็เปิดเว็บไซต์ร้านทำแหวนที่พี่อู๋ตั้งใจจะพาผมไปเลือก ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังบ่นเบื่อชีวิตเพราะไม่รู้ว่าคนเราทำงานหนักไปทำไม แต่พอพี่อู๋บอกว่าอยากแต่งงานด้วย ผมก็เริงร่า มีความสุข และหัวใจพองโตเมื่อได้เลือกดูแหวนบนเว็บไซต์ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยไม่ทันตั้งตัว พี่อู๋แค่ถามว่าแต่งไหม และเมื่อผมบอกว่าแต่งครับ เราก็กลายเป็นคู่รักที่กำลังจะมีงานมงคลทันที



“เรื่องจัดงานเดี๋ยวค่อยว่ากัน” พี่อู๋จุ๊บหน้าผากผมที่กำลังใช้นิ้วสไลด์หน้าจอเพื่อเลือกแหวนที่ตัวเองถูกใจ “พรุ่งนี้เก็บของเสร็จ เอารถไปส่ง เดี๋ยวไปบ้านพ่อของก้องเพื่อคุยเรื่องนี้กัน”

“พี่อยากจัดงานในโรงแรมไหม?”

“แล้วแต่ก้อง” เขายิ้ม “อยากทำอะไรก็ทำเลย พี่ได้หมดทุกอย่าง”

“ผมอยากสวมชุดสีขาว”

“ได้สิ”

“อยากให้มีพิธีเล็กๆในบ้านด้วย”

“แน่นอน”

“ผมอยาก --”



ผมคงพูดมากเกินไป พี่อู๋จึงทำให้ผมเงียบด้วยการหอมแก้มและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ คืนนั้นเราใช้เวลาเลือกแหวนตั้งชั่วโมงกว่าจะได้แบบที่ถูกใจ ผมถามพี่อู๋ว่าเราจะได้แต่งงานกันจริงๆเหรอ เหมือนฝันไปเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ งั้นหลังจากนี้เราจะทำยังไงดีล่ะ พี่จะเข้าไปขอผมช่วงไหน หลังสู่ขอจากพ่อ พี่จะซื้อบ้านจริงๆใช่ไหม งั้นซื้อที่ไหนดีล่ะ แถวไหนดี ทำเล โอ๊ย – ตื่นเต้นไปหมด แต่พี่อู๋บอกให้ผมใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดไกล บ้านเอาไว้ค่อยซื้อตอนที่งานของผมมั่นคงก็แล้วกัน



ผมไม่ดื้อกับเขา ไม่ว่าพี่อู๋จะพูดอะไรผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยทุกประเด็น หลังคุยเรื่องนี้จบ ไม่มีใครกินเหล้าอีกเลย เหล้าไม่อร่อยเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเรานั้นน่าสนใจกว่าแอลกอฮอล์รสขมตั้งเยอะ ผมจึงเก็บโต๊ะและล้างจาน ไล่ให้พี่อู๋ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จากนั้นเราก็พักผ่อนบนเตียงหกฟุตในห้องเช่าแคบๆของก้องเกียรติ พี่อู๋นอนกอดผมทั้งๆที่ยังไม่หลับ เขาแค่นอนลูบหัวของผมไปเรื่อยๆและบอกว่าเขาน่ะ – รักผมจริงๆนะ เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้กับผมไปจนแก่ แต่เขาก็กังวลมากเพราะผมอายุยังน้อย เพิ่งเริ่มทำงาน เพิ่งกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว เขากลัวว่าผมจะไม่อยากลงหลักปักฐานตอนนี้



“พี่ไม่รู้อะไร ผมน่ะ เพ้อเจ้อถึงงานแต่งของเราตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว” ผมหัวเราะก่อนจะจูบปลายคางของเขา “พี่อู๋ ผมก็รักพี่มากเหมือนกัน”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิ” ผมกอดเขา เอาขาก่ายบนท้องแบนๆของเขาด้วย “ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันคือเรื่องจริง บางทีผมเกือบลืมไปแล้วว่าเราผ่านอะไรๆมาด้วยกันเยอะขนาดไหน”



พี่อู๋ไม่พูดอะไรนอกจากจูบหน้าผากของผม ริมฝีปากของเขาคลอเคลียอยู่แถวนั้นไม่ห่าง เราต่างเงียบราวกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กมอปลายที่ไม่มีทางไปอยู่เลย แต่เพราะพี่อู๋ เพราะเขาขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา ผมจึงยังมีชีวิตรอดและได้ลงเอยกับชายที่ผมรักอย่างทุกวันนี้ พอคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ผมก็ถามพี่อู๋ว่าพี่เคยเสียใจไหมที่ช่วยผมจากสะพาน เขายิ้มและส่ายหน้า



“ไม่เสียใจ มีบางครั้งที่สงสัยว่านึกยังไงถึงเก็บก้องมาเลี้ยงเหมือนกัน แต่รับมาอยู่ด้วยแล้วก็ต้องดูแลกันไป”

“ผมว่าเรื่องของเราเหมือนชะตาฟ้าลิขิต”

“ขนาดนั้น?” พี่อู๋ก้มมองผมที่กำลังนอนซบตรงหัวไหล่ของเขา

“ใช่ ถ้าไม่มีพี่ ผมก็ไม่มีอะไรเลย” ผมหอมแก้มพี่อู๋ “พี่รู้ไหมว่าผมเป็นก้องเกียรติอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะพี่นะ”



พี่อู๋ยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงจูบผม เราจูบกันเบาๆด้วยความรู้สึกท่วมท้นในใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หลังจากผ่านอะไรๆด้วยกันมาหลายปี พี่อู๋ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาคือคนที่อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ผมอยากเป็นคู่แท้ เป็นคู่ชีวิตที่คอยดูแลกันและกันตลอดไป ผมอยากเป็นคนที่เขารัก เป็นก้องเกียรติที่เขารู้สึกดีด้วยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ดังนั้นตอนที่เราถอนจูบออกจากกัน ผมจึงบอกรักพี่อู๋ซ้ำอีกครั้ง บอกอยู่นั่นแหละเพื่อให้เขาสัมผัสได้ว่านายก้องเกียรติรักเขามากขนาดไหน



“รู้แล้วไอ้อ้วน” พี่อู๋ตอบยิ้มๆ เขายื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียกับผมและจูบอย่างอ้อยอิ่งเป็นการทิ้งท้าย “พี่ก็รักก้องมากๆเหมือนกัน วันอาทิตย์นี้หลังเลือกแหวนเสร็จ เรากลับไปอยู่ลาดพร้าวด้วยกันนะ”



ผมยิ้มกว้างและนอนกอดเขา ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจมันแผ่ซ่านจนหยุดยิ้มไม่ได้ ต้องนอนอมยิ้มอยู่อย่างนั้นเพราะมีความสุขมาก หลังจากนี้ชีวิตของผมจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนไม่รู้ แต่หลังแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว ผมจะได้ย้ายไปอยู่กับเขาตามประสาคู่สมรส ผมไม่อยากคิดไกลถึงขนาดว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง พี่อู๋จะได้ย้ายไปอยู่ที่ไหน จะซื้อบ้านไหม หรือมีโอกาสทำสิ่งใหม่ๆหรือเปล่า ผมรู้สึกว่ายังไงสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าการได้อยู่กับชายที่ผมรักหรอก ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องเฮงซวยอะไรเกิดขึ้น ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป



ผมไม่อยากตายอีกแล้ว เพราะตอนนี้ชีวิตของก้องเกียรติมีเรื่องมากมายให้จัดการ ผมกำลังจะได้แต่งงาน กำลังจะวางแผนสร้างอนาคตของตัวเองกับว่าที่สามี เมื่อลองมองย้อนกลับไป ผมรู้สึกว่าตัวเองมาไกลพอสมควร ถ้าหากวันนั้นพี่อู๋ไม่ขับรถผ่าน ไม่เดินเข้ามาหา ไม่อนุญาตให้ไปอยู่ด้วยกัน ผมจะยังมีชีวิตอยู่จนได้พบความสุขเหมือนทุกวันนี้ไหม แน่นอนว่าผมคงไม่อาจพูดว่าการอดทนรอจนพบความสุขเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ ผมแค่รู้สึกว่าในเสี้ยววินาทีอันแสนสั้นนั้นส่งผลต่อชีวิตของเราค่อนข้างมาก มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกจากดีเป็นร้าย หรือจากซวยสุดๆเป็นโชคดีสุดๆ ผมไม่อาจบอกใครต่อให้อดทนจนปัญหาเหล่านั้นผ่านพ้นไป ผมทำเพียงได้แค่หนุนใจว่าบนโลกใบนี้ – ไม่ได้มีคุณคนเดียวหรอกนะที่เจอเรื่องเฮงซวย เราทุกคนต่างมีเรื่องเฮงซวยเหมือนๆกันหมด



แต่เชื่อผมเถอะว่าความเฮงซวยพวกนั้นมันอยู่กับเราได้ไม่นานหรอก



เหมือนฤดูหนาวในกรุงเทพมหานคร เหมือนหน้าร้อนที่ไม่ได้ร้อนจนแสบผิวทุกวัน มันมีวันที่ฝนตก แดดร่ม พายุเข้า วันที่อากาศเย็นสบายจนคุณไม่อยากตื่นไปทำงาน วันที่คุณรู้สึกว่าต้องออกไปสูดอากาศเสียหน่อย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนไปแทบทุกวัน ดังนั้นผมจึงไม่อาจให้กำลังใจทุกคนได้ว่า สู้นะ สู้เถอะ ชีวิตยังต้องไปต่อ ผมคงไม่สามารถสอนใครให้รักตัวเองได้เพราะเราตกอยู่ในสถานการณ์และปัจจัยที่ต่างกัน สิ่งที่ผมแนะนำได้คงมีแค่อย่ารีบด่วน ตัดสินใจเลย อย่าเพิ่งรีบไปเลย



เพราะคุณไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น



มันอาจมีเรื่องดีๆที่ทำให้คุณยิ้ม มีเรื่องน่ายินดีผ่านเข้ามาในชีวิตคุณอีกก็ได้ หรือถ้ามันไม่ไหวจนสุดทนจริงๆ ผมคิดว่าการไปพบจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่ดี ไม่ว่าจะโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลมนารมย์ หรือสถานพยาบาลไหนก็ได้ตามสะดวก หากคุยกันไม่ถูกใจก็แค่เปลี่ยนหมอ มันไม่ใช่ความผิดของคุณที่ไม่ประทับใจเพราะจิตแพทย์ก็เหมือนเพื่อน คนไหนคุยถูกคอก็คบคนนั้น ใครที่ไม่ใช่ก็แค่แยกทางกันไป ประเทศนี้มีจิตแพทย์อีกหลายคนที่พร้อมรับฟังและเข้าใจคุณ ผมมั่นใจว่าหลังเข้ารับการรักษา คุณจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย จริงๆนะ ผมไม่โกหก คุณจะดีขึ้น มันจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน



เมื่อคุณอ่านถึงตรงนี้ ผมคงต้องบอกว่าถึงเวลาต้องจากกันแล้วนะ แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวทั้งหมด หากเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ผมขออวยพรให้คุณโชคดี ขอให้คุณสามารถผ่านเรื่องเฮงซวยที่กำลังเผชิญอยู่ไปได้อย่างรวดเร็ว และเจอใครซักคนที่เข้าใจคุณอย่างถ่องแท้ เหมือนที่ผมเจอพี่อู๋นะครับ



ด้วยรัก

จากคนที่กำลังจะกระโดนสะพาน แต่ดันมีคุณลุงขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาขวางก็เลยลงเอยกับเขาด้วยการแต่งงานในอีกเก้าปีถัดมา









END



11 November, 2019











สวัสดีค่ะ ทุกคนที่อ่านถึงตอนจบของนิยายเรื่องนี้



เราใช้เวลานานมากเพื่อเขียนทอล์คสุดท้ายเพราะไม่รู้จะพูดอะไร มันมีหลายอารมณ์มากๆจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีก่อน งั้นเราขอเริ่มตรงที่ขอขอบคุณทุกคน ทุกคนเลยค่ะที่สนับสนุนและให้กำลังใจเรามาโดยตลอด ไม่ว่าจะคอมเม้นต์ แฮชแท็ก โดเนท ดีเอ็ม หรือแม้แต่เมนชั่นมาคุย เราอยากบอกว่าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนมากๆที่รักและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะที่มีส่วนผลักดันให้เราสามารถเขียนน้องก้องได้จนจบ ตอนแรก เราไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะจบมั้ย เราค่อนข้างกลัวและเป็นกังวล กลัวทุกอย่าง แต่เพราะกำลังใจจากทุกคน เพราะความรักจากทุกคน นิยายเรื่องนี้จึงจบลงได้โดยสมบูรณ์ค่ะ



ขอบคุณทุกคนที่เป็นนักอ่านผู้น่ารักและใจดี คอยให้คำติชมแนะนำ คอยให้กำลังใจกันมาเสมอนะคะ

ขอบคุณแฟนอาร์ตสวยๆทุกชิ้น ขอบคุณมากๆนะคะที่สละเวลาวาดน้องก้องกับพี่อู๋ขึ้นมาให้พวกเราได้เห็นกัน

ขอบคุณไจโกะจังจาก fictionlog ขอบคุณสำหรับการโปรโมทบนหน้าเว็ปไซต์จนมีคนเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนโนเนมคนนี้นะคะไจโกะจัง

ขอบคุณทุกสำนักพิมพ์ที่ติดต่อมา ขอบคุณสำนักพิมพ์เฮอร์มิตที่ให้โอกาสตีพิมพ์ เราไม่เคยร่วมงานกับสำนักพิมพ์มาก่อนเลย มันเกินความคาดหมายมากๆที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนและบอกกันปากต่อปากจนน้องก้องมาไกลได้ขนาดนี้นะคะ



อาจมีหลายคนที่เราไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่เราอยากบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณจริงๆค่ะที่มอบความรักมากมายให้นิยายเรื่องนี้ เราไม่เคยถูกรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย เป็นนักเขียนในเงามาตลอด ไม่เคยมีสปอตไลท์ส่องเข้ามาถึง พอได้รับความรักเยอะๆและมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีคนมารักมาชอบในสิ่งที่เราเขียนขึ้น ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เรามีความสุขมากนะคะที่ได้รับฟี้ดแบคจากทุกคน ขอบคุณมากๆที่ไม่ทำให้เราท้อจนเลิกเขียน ขอบคุณที่เป็นยาชูกำลังชั้นดีให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนที่เราตกงาน ตอนที่เราล้มเหลวกับทุกๆอย่าง พอเห็นฟี้ดแบคของน้องก้อง เราก็รู้สึกว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่พอมีความหมายอยู่บ้าง เราอยากมีชีวิตอยู่เพื่อเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆเพราะพวกคุณ ขอบคุณมากนะคะ



ตอนนี้มันจบแล้ว เราเสียใจเหมือนกันที่มันจบเพราะผูกพันกับทุกคน ผูกพันกับพี่อู๋น้องก้อง แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปเนอะ ไม่ว่าใครก็ตามที่อ่านจนถึงตอนนี้ เราขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านทุกความเฮงซวยในชีวิตไปได้นะคะ โรคซึมเศร้าหายได้ มันหายได้จริงๆค่ะถ้าพบหมอและกินยา เราไม่โกหก วันนี้คุณอาจจะอ่อนแอ แต่วันนึงคุณจะแข็งแรงดี คุณจะไม่เป็นไร คุณจะสบายดี และกินอิ่มนอนหลับได้เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ



สุดท้ายก่อนจากกัน เราขอสวมบทแม่ค้าขายของหน่อย (แม้ว่ารายละเอียดสินค้าจะยังไม่ออกก็ตาม แหะๆ) กำหนดน้องก้องอาจจะได้ตีพิมพ์ปีหน้าช่วงเดือนมีนาคม ระยะเวลามันค่อนข้างนานเลยค่ะเพราะเราส่งต้นฉบับช้า ทำให้กระบวนการต่างๆช้าลงกว่าเดิมไปอีก จากใจจริง เราค่อนข้างเป็นกังวลพอสมควรค่ะ กลัวว่าทุกคนจะลืม กลัวว่ากว่าจะถึงเวลานั้น น้องก้องคงไม่น่าดึงดูดเท่าจังหวะเวลานี้อีกแล้ว เราได้แต่หวังว่าเมื่อคุณเห็นน้องก้องวางขายในร้านหนังสือ ได้โปรดช่วยมอบความรักและสนับสนุนนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ สิ่งที่นักเขียนทุกคนกลัวก็คงเป็นเรื่องนี้แหละค่ะ กลัวว่างานของเราไม่ติดอยู่ในใจของใคร กลัวว่าสุดท้ายมันจะถูกลืม แต่ไม่เป็นไรค่ะ ที่ผ่านมามันก็ดีมากๆ มันดีเกินไปสำหรับคนอย่างเราแล้ว แค่ได้รับโอกาส ได้รับความรักมากขนาดนี้ มันก็ดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้แล้วค่ะ



นี่คงเป็นย่อหน้าสุดท้ายสำหรับการบอกลาแล้ว เพราะเป็นตอนสุดท้ายของนิยาย หากคุณมีอะไรอยากบอกเล่าหรือพูดถึงน้องก้อง สามารถคอมเม้นท์บอกกันได้ในตอนนี้นะคะ ถึงนิยายจะจบ แต่ฟี้ดแบคต่างๆยังคงมีความหมายสำหรับนักเขียนเสมอค่ะ ไม่รู้ว่านิยายเรื่องหน้าของเราจะได้รับความรักมากมายเหมือนครั้งนี้มั้ย เราเองก็ค่อนข้างกลัวและเป็นกังวล หากมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งในงานเขียนชิ้นถัดไป ช่วยให้โอกาสเราอีกครั้ง ช่วยสนับสนุนงานชิ้นใหม่ของเราด้วยนะคะ


ด้วยรัก และลาก่อน

Ms.Ambiguous

หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 11-11-2019 20:28:31
รักนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ รู้สึกขอบคุณมากที่มีน้องก้องกับพี่อู๋ ได้ติดตามเรื่องนี้จนจบก็นู้สึกเหมือนเห็นลูกจะแต่งงานจริงๆเลยค่ะ  :mew4: ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องนี้จนจบ แล้วทำได้ดีมาตลอด จะรอติดตามรูปเล่ม ไม่ลืมแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-11-2019 21:00:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-11-2019 21:37:22
 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:


 :katai2-1: o13 o13 o13 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 11-11-2019 21:55:09
นิยายดีมากๆๆๆ
อ่านแล้วอิน น้องก้องเศร้าเราก็เศร้าไปกับก้อง
ไม่ว่าน้องจะเป็นกอลิล่าก้อง หรือน้องก้อง
น้องก็ก็คือคนที่เราอยากให้น้องมีความสุขจริงสักที
เห็นแฮปปี้ เราก็แฮปปี้

ขอบคุณคนเขียนมากๆ คุณทำให้เราเข้าใจอาการป่วยมากขึ้น และรู้สึกระมัดระวังการกระทำของเรา
ขอบคุณจริงๆ รัก


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-11-2019 22:42:50
 :pig4:
ตามอ่านตามลุ้นมานาน ใจหายเหมือนกันนะ จบซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-11-2019 23:44:57
รักและเอ็นดูก้องเกียรติเหมือนลูกเหมือนหลาน
เห็นตั้งแต่วันที่แย่ วันที่แย่กว่าเดิม วันที่แย่สุด ๆ
จนมีวันที่ยิ้มได้ วันที่ประสบความสำเร็จ วันที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับพี่อู๋
ขอให้ก้องประครองความรักด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นใจ
ขอให้ก้องใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีสติและมีความสุข
รักก้องและพี่อู๋จ้ะ
ขอบคุณนักเขียนนะคะที่นำพาตัวละครและเรื่องราวของเขามาให้เราได้อ่านได้อินกันขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-11-2019 00:10:48
ขอบคุณเหมือนกันกับเรื่องราวอู๋ก้องที่สะท้อนความเป็นจริงได้เป็นเรื่องเป็นราวมาก
รู้สึกเอาใจช่วยก้องเป็นระยะ เชียร์อู๋ไปพลางให้ชนะใจป๋าก้อง

จบไปนี่เหงาเลยนะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 12-11-2019 00:15:26
นิยายดีมากกกกกกกกก......
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-11-2019 00:57:37
บอกไม่ถูกเลยค่ะว่ารู้สึกยังไงตอนที่อ่านคำสุดท้ายจบ​ มันหลากหลายความรู้สึกมากๆ​ ยกเว้นคำว่า​ "ขอบคุณ​"
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเนื้อหาแน่นๆ​ เรียบเรียงดี​ ภาษาเขียนดี​ และอันนี้สำคัญ​คือ​ คำผิดน้อยมาก​ นั้นแสดงให้เห็นว่านักเขียน​ใส่ใจและให้ความสำคัญ​กับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 12-11-2019 03:05:57
ชอบจีง
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 12-11-2019 05:41:59
ยินดีกับก้องด้วยจ้า  ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องหางานที่ลงตัวกับชีวิตคู่   ชีวิตต้องดำเนินต่อไปจริงๆ 
จะรอเล่มวางขายนะคะ o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 12-11-2019 08:53:31
สุดยอดค่ะ รักนิยายเรื่องนี้มากๆคุณนักเขียนสื่อสารและถ่ายทอดมันได้ดีมากในรูปแบบของน้องก้องและพี่อู๋ บางครั้งที่เราท้อ เราได้มาอ่านนิยายของคุณมันช่วยชูจิตใจเราได้เลยทีเดียว ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆให้เราได้ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 12-11-2019 13:31:30
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ เราชอบนิยายเรื่องนี้มาก ตอนจบดีมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-11-2019 16:18:18
เรารอซื้อแน่นอนค่ะ ไม่ว่านานแค่ใหน เป็นนิยายที่ควรค่าแก่การครอบครองจริงๆ

เราไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนี้ยังไงดี เราเป็นนักอ่านอย่างเดียว อาจจะเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยเก่งนะคะ 55

แต่อยากจะบอกนักเขียนว่า ชอบเรื่องนี้มากจริงๆ ติดตามมาตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนได้ฝ่าฟันปัญหาทุกๆอย่างมาพร้อมกับน้องก้อง ดีใจที่สุดท้ายก้องก็ได้พบกับความสุขในชีวิตสักที มันดีใจตามไปด้วยอ่ะค่ะ แต่ก็ใจหายเหมือนกันไม่อยากให้จบเลย จากนี้ไปคงคิดถึงน้องก้องกับพี่อู๋มากเลย (พี่อู๋ตอนจบผอมแล้วเรียก หมูอู๋ไม่ได้แล้วสิ55 คิดถึงพุงกะทิพี่อู๋)

เราชอบสไตล์การเขียนมากเลยค่ะ คือคุณนักเขียนสามารถถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครผ่านตัวหนังสือออกมาได้ดีมากๆ  ทำให้เรารู้สึกตามไปด้วย เราชอบความเรียลในหลายๆอย่าง พวกสถานที่ ความคิด และการกระทำของตัวละคร
 อ่านแล้วไม่เหมือนนิยายที่ถูกแต่งขึ้น แต่เหมือนกำลังอ่านเรื่องราวชีวิตของคนๆนึงที่เกิดขึ้นจริงๆ อีกอย่างมันไม่ใช่นิยายที่ให้ความบันเทิงอย่างเดียว เราได้ข้อคิดได้มุมมองชีวิตเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ สำหรับนิยายดีๆแบบนี้

นิยายเรื่องนี้เรายกขึ้นหิ้งในใจเราเลยค่ะ เราอ่านมาเป็นร้อยๆเรื่อง แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องที่เราชอบมากๆ ซึ่ง "เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้" เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ

ป.ล.จะคอยติดตามผลงานอื่นๆของคุณนักเขียนต่อนะคะ ติดใจฝีมือการเขียนจริงๆค่ะ ผลิตผลงานดีๆออกมาอีกนะคะ จะคอยอุดหนุนแน่นอนค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 12-11-2019 20:37:50
แงงงงง ขอบคุณคุณด้วยนะ ที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่านโคตรรักเลยยย รอทุกอาทิตย์ ไม่คิดว่าตอนนี้จะจบด้วยซ้ำแงงงง จะติดตามคุณตลอดน้าาา จ
รักพี่อู๋น้องก้องมากๆๆ ไม่มีวันลืมเลยยย ถ้าได้เจอน้องก้องกับพี่อู๋ข้างนอกเราอาจไม่สะดวกที่จะพากลับบ้านก็ขอโทษด้วยยย จริงๆเราโคตรจะอยากเก็บ แต่ถ้ามีโอกาสเราจะพากลับบ้านนาจาาาา รอเรื่องอื่นนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: newyork_jaja2 ที่ 12-11-2019 20:39:48
 :L2:  ขอบคุณค่ะ เราชอบเรื่องนี้มากเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 12-11-2019 23:04:12
ขอให้ชีวิตคู่ของพี่อู๋กับน้องก้องมีความสุขตลอดไปนะคะ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร :impress2:
ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้นะคะ ชอบมากๆ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2019 22:12:51
ไปคิดคำที่จะคอมเม้นท์อยู่สองวัน ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากขอบคุณคุณเรย์มากๆ ขอบคุณที่สร้างตัวละครยัยส้มก้องออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ขอบคุณหมูอู๋ที่มาเจอน้อง ขอบคุณที่สร้างความสุข มอบรอยน้ำตา และความกระวนกระวายที่ทำให้เราอยากอ่านตอนต่อไปจนเฝ้ารอให้ถึงสองทุ่มวันจันทร์แทบไม่ไหว ขอบคุณมากๆเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 15-11-2019 01:13:37
เริ่มอ่านตอน 5 โมงเย็น รวดเดียวจบตอนตี 2
ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องนี้จะดึงให้เราจมอยู่ได้นานขนาดนี้
อารมณ์แบบไม่จบ ไม่สามารถหลับได้ .. ขนาดนั้น

ปกติไม่ชอบอ่านดราม่ารันทดค่ะ
แต่เรื่องนี้ สำนวนผ่านมุมมองของก้อง
ทำให้เราอ่านไปใจหนักไป แต่ก็ยิ้มไป
ผู้เขียนดึงเราให้ดิ่งลงในเนื้อหา ผ่านสำนวนขำ ๆ ได้ดีจริงค่ะ
เรียกว่า พลาดไม่ได้สักตัวหนังสือเดียว
ชอบมาก

ที่สำคัญ หลงรักพี่อู๋เลยค่ะ
พี่อู๋น่ารักมากกกกกกกกกกกกก
แม้เฮียจะมีความเลวในถ้อยคำบ้างเวลาเฮียหลุด
แต่ก็นะ ... คนเราก็งี้แหละ

ชอบค่ะชอบ ชอบมาก
ขอบคุณนะคะที่ถ่ายทอดผู้ป่วยด้วยโรคนี้
... ได้อย่างนุ่มนวล และแสนจะเข้าใจ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: เพ่ขุน ที่ 15-11-2019 08:24:34
นิยายเรื่องนี้ดีมาก
ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้
สนุกมาก

 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 15-11-2019 14:46:39
สนุกมากค่ะ รอหนังสือ  :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-11-2019 23:17:02
 :m31: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 17-11-2019 13:24:28
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณไรท์ม๊ากมาก ที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน เป็นนิยายที่บอกเลยสำหรับตัวเราคือดีมากก อ่านแต่ละตอนคือเฉียบ เฉียบในที่นี้ของเราคือ ในแต่ละตอนออกมาได้สมูทมาก ไม่มีสะดุด ไม่มีเสียอารมณ์ในการอ่าน รู้สึกอินในแต่ละตอน คือสามารถดึงคนอ่านในมีคงามสึกร่วมได้ บทจะมีความสุขก็คือยิ้มปริ บทจะบีบหัวใจ สงสาร แก้แค้น ขำ คือมันอินทุกอารมณ์จริงๆ มันทำให้เราได้คิดตามว่าต่อไปแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ เนื้อเรื่องถึงจะไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องโรคทางจิตของก้อง แต่อยากจะบอกว่าไรทืทำการบ้านมาดีมาก พฤติกรรมของอาการทางจิตก็คือชัด เนื้อเรื่องค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่ละตอนมีความหมายมีความก้าวหน้าในตัวมันเอง ต่อไปนี้อยากจะขอระบายความรู้สึกเกี่ยวกับตัวละครให้ไรท์ได้อ่าน เพราะอัดอั้นตันใจมาก อยากจะมาเขียนคอมเม้นทืให้ไรท์จริงๆ (เป็นนิยายที่ดีมากๆอีกเรื่อง ที่รู้สึกว่านิสัย บทบาทของตัวละครโคตรชัด ไม่วอกแวก หรือเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา คือ รู้สึกไรท์ใส่ใจรายละเอียดมาก สำหรับเรา ตอนนี้ยกเรื่องนี้ให้เป็น The best ในดวงใจเราสำหรับตัวละคร)
ก้อง -เป็นผู้ชายที่น่าสงสารและโชคดีที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ ที่ได้พบกับพี่อู๋ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก้องเป้นคนที่เก่งมาก สามารถเอาชนะต่อโรคของตัวเอง ทุกสิ่งอย่างที่ถาโถมเขามาในชีวิต สู้ต่อไปจนมีคำว่าวันต่อๆไป ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ รักตัวละครนี้ เอาใจช่วยตลอดในแต่ละตอน เป็นคนที่ตรงๆ คิดอะไรก็พูดแบบนั้น แต่ในความตรงๆนั้นก็ยังมีความไร้เดียงสาซ่อนอยู่ ชีวิตต้องเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เท่าที่อ่าน ก้องเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่เคยทำอะไรให้ใครจนต้องบาดหมางกัน ไม่ใช่คนเริ่มก่อนด้วยซ้ำ แต่ถ้าด่าคือด่ากลับไม่โกงเหมือนกัน รู้สึกเข้าใจก้องมาก ไม่ว่าจะทำอะไร หรือคิดยังไง ฟิลมันแบบเพราะก้องเคยเป็นแบบนี้ ทำให้ก้องกลายมาเป็นแบบนี้
พี่อู๋ -เป็นผู้ชายในอุดมคติเราเลยก็ว่าได้ 55+ เหมือนถ้าไม่มีอู๋ในวันนั้น ก็จะไม่มีก้องเกียรติในวันนี้ ช่วงแรกๆที่เจอพี่อู๋ คือพูดได้คำเดียว คือนิสัยเกินรับประทานมาก แต่อาจจะด้วยเพราะช่วงนั้นพี่อู๋ก็เริ่มมีอาการและพฤติกรรมที่เข้าข่ายป่วย เป็นช่วงชัวิตที่ลงเหว แต่พอพี่อู่ได้เจอกับก้อง บอกเลยว่า จริงๆแล้ว ถ้าไม่มีก้องในวันนั้น  ก็ไม่มีพี่อู๋ในวันนี้เหมือนกัน ต่างคนต่างขาด เติมเต้มในส่วนของกันละกันได้ลงตัว เป็นคนทีมีความเป็นผู้ใหญ่ น่าพึ่งพาเป็นที่พึ่งให้กับก้อง และในเรื่องความรัก ชอบที่พี่อู๋ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายมาก จะมีสักกี่คนที่เป็นแบบนี้ แต่จะมีอยู่เดียวตอนที่ทะเลาะกัน รู้สึกพี่อู๋ ไม่น่ารักเลย แต่ก็เข้าใจละเนอะ ถ้าได้ยินคำว่าเขารักเราที่เงินมันก็เซเป็นธรรมดา แต่ควรคุยกันดีกว่า ดีกว่าเงียบแล้วปล่อยให้ก้องลอยเคว้งแบบนั้น เพราะทุกทีก็เห็นคุยเพื่อเคลียร์กัน
หมูพี -คือประสาทจริง เข้าใจว่ารัก แต่รักแบบผิดๆอะ แต่ยังดีที่มีพ่อแม่ เพื่อนให้กำลัง แต่ก็รักผิดมากไปหน่อยเช่นกัน สปอยกันจนเห็นหมูพีเป็นพระเจ้าที่ไม่ได้อะไรผิดนี่ก็เกินไป
ทราย -รู้สึกว่าเป้นอีกคนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เป็นคนสวยๆมั่นๆ รุ้สึกว่านี้แหละคือเพื่อนสนิทก้องเลยนะ  เป็นที่ปรึกษาและรับฟังได้ดีที่เดียว ตอนก้องโดนด่า เรื่อง #กัสก้อง เหมือนเป็นบทลงโทษ บทเรียนอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องตระหนักว่า ไม่ควรพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดต่อ สำหรับเราเราคิดว่าทราย เป็นเพื่อนแท้ เพื่อนตายได้เลย ไม่เคยหนีปัญหา รับผิดชอบการกระทำตัวเอง
มิว -เป็นเจ้าแม่ทวิตเว่อ 55+ ก่อนหน้านั้นรู้สึกโกรธแทนก้องมาก เพราะถ้าไม่ใช่เพราะมิว เรื่อง #กัสก้องคงไม่ลงเหวแบบนี้ แต่ถ้าถามถึงว่าเพราะอะไร อันนี้เราเข้าใจมิว เพราะแค่อยากอธิบายให้เพื่อนเก่าเข้าใจ ไม่ไปตีสีใส่ไข่เอาเอง ด้วยความเป็นเพื่อน ก็ไม่อยากให้คนอื่นมองเพื่อนเราผิดไป แต่อาจจะพูดหลุดมากไป จนทำให้กลายเป็นแบบนี้ แต่มิวก็เป็นอีกคนที่รู้สึกว่านี่ก็เพื่อนตายเหมือนกัน ไม่ทิ้งปัญหา จัดการให้ มิวร้ายมากตอนตอกกลับพวกค่ายกับออกัส คือยกให้นางมงลงค่ะ
ออกัส -จะบอกว่าเกลียดมากเลยจ้าา ทำให้ตัวเองดูสูง แต่คนอื่นดูต่ำ เหยียบหัวคนอื่นเพื่อตัวเอง จริงๆก็ไม่สมควรเรียกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ โทษใครก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเองออะ ตัวเองลอยลำไม่เคยเห็นหัวใคร พอตัวเองเดือดร้อน จะก้มกราบเท้าไม่ให้เอาเรื่อง พูดเลยก้องทำถูกแล้วที่เอาเรื่องถึงที่สุด ทุกคนมีความฝันได้ แต่เป็นความฝันที่ไม่เหยียบหัวใครขึ้นไปเพื่อไปคว้าอะได้ไหมค่ะ ที่เท่าไรที่ก้องยังเรียกว่าเพื่อน เป็นเราเราเลิกคบเลยจริงๆ พวกแบบไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
พ่อก้อง -ทำหน้าที่พ่อได้ดีมากเท่าที่พ่อจทำให้ได้ แต่ก็อินไปกับก้องเลยนะว่า พ่อจะกลับมาทำไม เป็นเพราะก้องเป็นผู้ชายหรือเปล่า ถึงได้กลับมาตามหา อยากให้ไปอยู่ด้วย ซึ่งเอาจริงๆเลยนะ เราก็คิดเหมือนก้อง เรารู้สึกว่าจริงๆแล้ว พ่อก็ไม่ได้รักก้องมากพอ ถ้ารักจริงปานนี้ก็ต้องตามหาอยู่ เจอไปนานแล้ว เหมือนแบบรักเพราะก้องเป็นผู้ชาย รักเพราะสามารถสืบสกุลได้อ ไม่ได้รักเพราะก้องเป็นก้องออะ รู้สึกแค่อยากเอาก้องมาเผ็นของตัวเองแล้วภูมิใจว่าฉันเลี้ยงลุกฉันมาดี มีวันนี้ได้เพราะฉัน แต่หารุ้ไม่ ที่สำเร้จได้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะพ่อ แต่เป็นเพราะพี่อู๋จ้า (อันนั้นเขาก็นนอบน้อมเกิน ไม่เห็นได้ความดีความชอบส่วนนี้) ชุดความคิดแปลกๆอะ เอาจริง
แม่ก้อง -รู้สึกเป็นปริศนามาก ไม่รุ้ว่าจริงๆแล้วแม่ก้องเป็นคนยังไงกันแน่ เพราะถ้าฝั่งจากฝั่งก้องฝั่งพ่อ คือ แม่เหมือนนางทาสในละคร แต่พอฝั่งอาม่า คือ เหมือนแม่มีอาการป่วยจิตนิดๆหน่อยซ้ำ เหมือนสิ่งที่เล่ามามันตรงข้ามกันสิ้นเชิง แต่สำหรับเรา เราก็รุ้สึกว่าไรท์วางเนื้อเรื่องดี คิดว่าให้มันเป็นปริศนาต่อไปเถอะ  ไม่อยากรู้แขวนคอตายเพราะอะไร คิดว่าถ้าไม่รุ้ย่อมดีซะกว่า

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายดีๆแบบนี้มากเลยค่ะ จะรอซื้อหนังสือมาเก็บไว้นะคะ สู้ต่อนะคะไรท์ เป็นครั้งแรกที่มาขียนคอมเม้นยาวเป็นหางเว่าเลย ไม่รำคาญกันเนอะคือินจนต้องหาทางระบายออก5555
ขอบคุณมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 17-11-2019 20:18:01
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ เราชอบมากๆ
เราชอบที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของก้องกับพี่อู๋ที่มันค่อยเป็นค่อยไป
เราชอบที่ได้เห็นก้องตั้งแต่ก้องไม่ใครไม่เหลืออะไรในชีวิต
จนตอนนี้เราได้เห็นก้องที่ได้เรียนหนังสือ มีเพื่อน มีคนรัก มีครอบครัว จนน้องเรียนจบจะแต่งงาน
มันทัชเรามากๆเลย ชอบจนไม่รู้จะพูดยังไง เราอ่านรวดเดียวจบเลย55555 นอนร้องไห้ตาบวมเป็นก้อง2เลยค่ะ55555
เราขอเป็นอีกคนที่สนับสนุนคุณนักเขียนนะคะ ไว้เล่มออกจะซื้อแน่นอน^^
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนมีผลงานดีๆออกมาอีกเยอะๆเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 18-11-2019 14:51:10
อ่านรวดเดียวจนจบ สนุกมากกก มีหลากอารมณ์มาก อ่านไปแต่ละตอนก็ลุ้นไปว่าจะอารมณ์ไหน  o13
จะติดตามผลงานไปเรื่อยๆนะคะ รอหนังสืออยู่เน้อ อยากอ่านมุมพี่อู๋
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ak_kumiko ที่ 21-11-2019 22:20:52
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิยายที่ดีมากเรื่องหนึ่ง

เป็นนิยายที่จั่วหัวได้เจ๋งมาก พอได้อ่านก็ได้รู้ว่า ก้องคล้ายเรามากในตอนแรกๆของเรื่องที่เล่าทุกอย่างด้วยเวลา คือใส่รายละเอียดสมจริงมาก เป๊ะยันนาที จนบางทีก็คิดว่า ถ้าเราเป็นก้องที่เจอชีวิตแบบนั้น เราจะตัดสินใจยังไง ดังนั้นการเห็นก้องค่ิอยๆโตขึ้นในทุกบรรทัด เหมือนเป็นการโตขึ้นของตัวเองเหมือนกัน
เป็นนิยายที่เล่าเรื่องไม่หวือหวา ไม่มีฉากเว่อร์ สมเหตุสมผล แต่สนุกมากๆ เรื่องหนึ่ง ขอยกให้เป็นหนึ่งในนิยายขึ้นหิ้งแล้วกันค่ะ
เป็นนิยายที่อ่านแล้ว ทำให้คิดได้ว่า ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้ มีสุขมีทุกข์ปนๆกัน เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องไปหาเหตุผลให้มันก็ได้ เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน

คุณนักเขียนทำให้มิติของตัวละครครบมากเลยค่ะ คือไม่ต้องเฉลยหมด ปมไม่ต้องแกะหมดก็ได้ เพราะคนเราก็ล้วนมีเหตุผลต่างกันไปอยู่แล้ว เหมือนกับที่ทิ้งปริศนาเรื่องแม่ของก้องเอาไว้ เพราะขนาดคนเป็นลูกที่อยู่ด้วยมาทั้งชีวิตยังไม่เข้าใจ แล้วเราเป็นใครถึงไปตัดสินเค้า

ขอย้ำอีกครั้งว่าเรารักนิยายเรื่องนี้มากค่ะ

เหมือนย้อนดูตัวเอง คิดว่าถ้าว่างแล้วจะไปพบแพทย์ค่ะ เราอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้
อีกอย่าง อาชีพที่ตัวละครทำคือสิ่งที่เราทำอยู่ด้วย โดยเฉพาะของพี่อู๋ ขอยืนยันอีกครั้งว่าเป็นเรื่องจริง ชีวิตไม่ง่ายเลย และการทำงานที่ได้ไม่คุ้มเสียกับสุขภาพจิต คืองานที่ควรลาออกมากๆ

รออุดหนุนนิยายนะคะ ถ้าเป็นไปได้อยากจะได้ลายเซ็นต์คุณนักเขียนมากเลยค่ะ พอจะเป็นไปได้ไหมคะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-11-2019 15:16:17
 :L2: :L1:

รอหนังสือ
ขอบคุณมากมาย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 25-11-2019 14:16:08
เราประทับใจเรื่องที่มากเลยค่ะมากๆคือ


แต่เนื่องด้วยว่าเรื่องนี้ถูกเล่าจากมุมมองของนายเอกเป็นหลัก มันเลยมีเรื่องที่เรายังค้างคาอยู่ เช่น

เราอยากอ่านเรื่องจากมุมมองของก้องบ้าง ขอเป็นตอนพิเศษได้มั้ยคะ ยังมีอะไรหลายๆอย่างที่ยังรู้สึกค้างคาอยู่

ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ

ป.ล. คุณนักเขียนเรียนด้านไหนมาหรอคะ จิตวิทยาหรือภาษาญี่ปุ่นหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 25-11-2019 19:27:41
สวัสดีค่ะ ปกติไม่เคยตอบคอมเม้นท์ในกระทู้นิยายเลย แต่มีนักอ่านถามคำถามมาก็กลัวว่าถ้าไปตอบในทวิตเตอร์อาจจะมองไม่เห็น งั้นขอทิ้งคอมเม้นท์ไว้ในช่องทางนี้ก็แล้วกันนะคะ ;-;

ก่อนอื่นเลย คุณ ak_kumiko: สำหรับลายเซ็น ได้แน่นอนค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้เจอกันหรือเปล่า อาจจะต้องรองานหนังสือปีหน้าค่ะ แต่ตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ไม่ได้นัดแนะอะไร คิดว่าอาจจะไม่ได้ไปออกบูธ แต่หากคุณ ak_kumiko มีเวลาไปงาน เรานัดเจอกันรอบนอกก็ได้ค่ะ ดีใจมากที่จะได้มีโอกาสพบคุณ เมื่อหนังสือออกแล้วคุณยังต้องการลายเซ็นอยู่ ทักมาทางทวิตเตอร์ @ambiguous90 ได้เสมอนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ  :hao5:

คุณ  w-for-winnie: เดี๋ยวเราจะตอบในส่วนที่พอตอบได้นะคะ

1. จริงๆแล้ว พี่อู๋เป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า - ไม่ได้เป็นหนักถึงซึมเศร้าค่ะ แค่ภาวะเครียดเฉยๆค่า ที่พี่อู๋เครียดเพราะตกงานค่ะ แล้วเค้าเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูกเพราะพี่อู๋ไม่เคยมีช่วงว่างงานมาก่อนเลย ยิ่งว่างมากพี่อู๋ก็ยิ่งหาอะไรทำ ส่วนใหญ่จึงไปลงกับเหหล้าค่ะเพราะได้เจอเพื่อนเจอสังคม กินแล้วหลับง่ายกว่าปกติด้วยก็เลยเป็นที่มาว่าทำไมเค้ามีพฤติกรรมแปลกๆ พอติดเหล้า + พักผ่อนไม่ค่อยพอทำให้เค้าหงุดหงิดอารมณ์เสีย แต่โดยพื้นฐานพี่อู๋เป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้วด้วยค่ะ พอติดเหล้าก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ตัวละครตัวนี้มีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์จริงค่ะ

2. เอมฆ่าตัวตายเพราะอะไรมีเฉลยในตอนพิเศษท้ายเล่มค่ะ  :mew1:

3. แม่ของก้องเป็นคนยังไง ทำไมถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย - แม่ของก้องเป็นคนปริศนาค่ะ เป็นตัวละครลับที่เราตั้งใจไม่เขียนหรือพูดถึงในเชิงลึกเพราะคิดว่าเนื้อเรื่องมันสมบูรณ์แบบในตัวเองอยู่แล้ว เราอยากให้เรื่องออกมาเป็นสีเทาที่ไม่มีใครถูกใครผิด ทั้งพ่อและอาม่า เรากลัวว่าหากเขียนลงไป คนอ่านอาจมีธงในใจตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายผิดน่ะค่ะ เลยเลือกที่จะเว้นไว้ให้แม่เป็นคนที่เราไม่รู้จักค่ะ

4. ความรู้สึกของพี่อู๋ตอนโกรธก้องก็มีเฉลยในตอนพิเศษท้ายเล่มเช่นกันคับผม  :impress2:

5. ตอนพิเศษ ตอนนี้ยังไม่มีแพลนอะไรเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้เลยค่ะ นอกจากตอนพิเศษที่เล่าเฉพาะในมุมมองพี่อู๋ ถ้ามีโอกาสอาจจะเข็นตอนพิเศษในช่วงพิเศษออกมานะคะ เพราะเราเองก็คิดถึงน้องก้องและตัวละครในนิยายเหมือนกันค่ะ  :hao5:

6. เราเรียนอักษรค่ะ แต่ไม่ได้เรียนเอกญี่ปุ่นนะคะ เรียนโทญี่ปุ่นค่า   :mew3:


สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้นะคะ เราอาจจะไม่ค่อยได้เข้ามาเช็กบ่อยเท่าเมื่อก่อน แต่หากเจอคำถามก็จะรีบตอบเช่นเคยค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับการสนับสนุนที่มีให้กันเสมอมา  :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-11-2019 03:51:49
 มาแอบส่องค่ะ​ เผื้อว่าตะมีตอนพิเศษ​มาให้อ่านกัน :hao7:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 27-11-2019 02:29:11
เขียนดีมากๆๆ อ่าน 2 วันรวดไม่ได้หลับได้นอน วางไม่ลงจริงๆ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: inkteuk ที่ 28-11-2019 00:23:27
เดินทางมาไกลมากๆเลย จากเด็กอายุสิบเจ็ดที่เป็นกอริลลาก้องในวันนั้นสู่นายก้องเกียรติที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ อ่านแล้วเหมือนเราได้ทางไปกับก้องเลย รักพี่อู๋และก้องมากๆๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ รู้สึกดีมาก เราก็รู้ว่าตัวเองโตขึ้นไปพร้อมกับมุมมองของก้อง รักก
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 28-11-2019 09:56:36
ขอบคุณมากๆๆๆนะคะ
สนุกมากจริงๆ คนเขียนเก่งมากๆค่ะที่เขียนได้กินใจขนาดนี้ บางครั้งเราอ่านแล้วเรารู้สึกเหมือนเราเข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครในเรื่อง
ทุกอย่างมันดูเข้ากันไปหมดมันไม่มีคำว่าสงสัยเลยมันสนุกมากจนวางไม่ลง
อ่านถึงตีสามทุกวันฮ่าๆๆ ขอบคุณมากจริงๆนะคะที่เขียนเรื่องดีๆอย่างนี้มาให้อ่าน
คุณคือนักเขียนฝีมือดีคนหนึ่งเลยค่ะจะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 24-01-2020 01:38:05
น้ำตาไหลสองรอบสำหรับตอนจบ ทำให้ย้อนไปวันที่เค้าเจอกันแรกๆ ยาวนานมากจริงๆ เรื่องราวเยอะเยะมากมาย ผูกพันกับกอริลลาก้องมาก ลุ้นกับน้องตลอด รักเรื่องนี้มากกกกก ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ ที่พากอริลลาก้องกับเสี่ยอู๋มาให้รู้จัก :กอด1: // รอเก็บหนังสือแน่นอนค่ะ!!! o13
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 15-04-2020 01:07:10
ขอบคุณคุณนักเขียนมากๆนะคะที่สร้างเรื่องราวสร้างตัวละครที่น่ารักน่าติดตามขึ้นมา
เราอ่านเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกเหมือนเรากำลังเติบโตไปพร้อมๆกับตัวละครเลยค่ะ ได้เห็นมุมมองความคิดต่างๆของแต่ละตัวละครได้เห็นความบิดเบี้ยวที่ปลูกฝังในสังคม ประทับใจมากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยจริงๆขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมานะคะ :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 07:56:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 19-06-2020 10:41:05
ประทับใจเรื่องนี้ค่ะ ได้ข้อคิดดีๆมากมาย ได้ความสุขและความสนุกในการอ่าน ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: 末っ子 ที่ 22-06-2020 14:57:10
ขอบคุณ​มากเลยค่ะ ประทับใจมากได้เปิดประสบการณ์​หรือมุมมองใหม่ๆของคนในสังคมส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญปัญหาแบบนี้เหมือนกัน เป็นนิยายที่รู้สึกว่า เอ้อ คงมีคนเจอกับอะไรแบบนี้อยู่แน่ๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเลย คนเขียนด้วย ขอให้ผลิตผลงานดีดีออกมาอีกนะคะ ซื้อรวมเล่มแน่น่อนจ้าาา :pig2:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: keekytobe ที่ 26-06-2020 20:28:17
 :mew1:เป็นนิยาย ที่ครบรสจริงๆๆ ค่ะ
ประทับใจ ทั้งฉากเปิด เนื้อเรื่อง และฉากปิด

ภาษาที่ใช้ก็อ่านง่าย มีหลายมุม หลานตอนที่สอดแทรกสาระ และความคิดในหลายๆ แง่มุม
หลากหลายวัย หลากหลายความคิดดีค่ะ

ชอบมากๆ นะคะ

ขอบคุณที่เขียนงานดีๆ ให้อ่านค่ะ




หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Sriwanan ที่ 27-06-2020 11:20:24
ขอบคุณมากครับ สนุกมาก อ่านจบแล้วทั้งคืน  :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 03-07-2020 22:48:04
นิยายดราม่าแห่งปีเลย
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: allmysecret ที่ 04-07-2020 17:04:17
เราชอบพล็อตเรื่องค่ะแปลกใหม่ดี แตที่ชอบมากๆคือภาษาและการบรรยาย ประทับใจมาก นี่เป็นนิยายขึ้นหิ้งเราอีกเรื่องหนึ่ง รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: BlueBunny ที่ 09-07-2020 08:51:07
เป็นเรื่องแรกที่อ่านจบหลังจากที่ไม่ได้เข้ามานาน

เรื่องนี้บทดีมาก สงสัยจังว่าทำไมไรท์เข้าใจบริบทเมดเลิฟดีมาก รวมถึงทุกรายละเอียดในเรื่องนี้

จบแต่ยังค้างคาอยู่หน่อยๆ ว่าพี่อู๋โกรธมากแต่ไหน เรื่องรักเพราะเงินไม่ได้ขยายความออกมาเคลียร์กันมากเท่าไร
ทดแทนด้วยอารมณ์นั้นด้วยเค้กวันเกิดหนึ่งก้อน และฉากในรถสุดร้อนแรง //แอบคิดด้วยง่าพี่อู๋มาเอาคืน แต่ก็ผิดคาด
ไม่ได้มีการอธิบายอะไรไปมากกว่าความไม่มั่นใจที่จู่โจมเข้า คิดภาพว่าวินาทีที่ได้ยินคำพูดของก้องคงโกรธตัวสั่น กัดกรามแน่น เผลอๆ อาจจะร้องไห้ด้วย

อีกอย่างที่ชื่นชมมากคือ การเอาเรื่องของผู้มีอาการป่วยมาเป็นตัวละครหลัก ทำให้ได้เห็นหลายๆ แง่มุม ที่สำคัญมากกว่าแค่ส่งกำลังใจคือการกระทำที่ชัดเจนด้วย และโรคซึมเศร้าอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ (ยกมือด้วยหนึ่งคน ได้ทบทวนตัวเอง ได้เข้าใจและคิดว่าจะไปหาหมอเหมือนกัน)

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ รออุดหนุนเมื่อวางจำหน่ายนะครับ หวังเล็กๆ ว่าจะมีส่วนขยายเพิ่มเติมที่ไม่มีในนี้
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 29-07-2020 12:14:17
ขอบคุณนักเขียนมากๆ ที่สร้างสรรค์เรื่องนี้มาก เรามีความสุขมากที่เราได้รู้จักกอริลลาก้องและพี่อู๋ เรารู้สึกผูกพันไปกับพวกเรามากจริงๆ เราอ่านเรื่องนี้รวดเดียวจนไม่หลับไม่นอนเพราะเราอยากอ่านเรื่องของก้องไปเรื่อยๆ เราชอบความเป็นน้องก้อง และความเป็นพี่อู๋ใส่ใจและดูแลกอริลลาก้องตลอด ชอบตอนไปอยู่ใต้ เหมือนพวกเค้ากำลังใช้ชีวิต เราไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง แต่เราเก็บไปฝัน เรานอนไม่หลับ เหมือนยังติดเรื่องนี้อยู่ ยังอยากอ่านเรื่องราวของกอริลลาก้องและพี่อู๋ ขอบคุณมากจริงๆที่สร้างสรรค์เรื่องดีๆขึ้นมา เราเพิ่มเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องโปรดเราเลย รักก้องและพี่อู๋นะ ขอบคุณ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [END] 11/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: kukkukku ที่ 09-08-2020 22:57:59
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ บอกเลยว่าสนุกมากๆๆๆค่ะ เราไม่รู้จะบรรยายยาวๆยังไง แต่เรื่องนี้มีครบทุกรสเลยค่ะ ภาษาที่คุณใช้เขียนก็ดีมาก ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดีๆแบบนี้ออกมานะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/12/20
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 05-10-2020 21:48:27
เดือนตุลาคมในปีโรคระบาด ผมกับเขายังคงอยู่ด้วยกันที่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด
[/b]

* ไทม์ไลน์ตอนพิเศษนี้ไม่ตรงกับไทม์ไลน์เส้นเรื่องหลัก เป็นเพื่องตอนพิเศษแก้คิดถึงเท่านั้นค่ะ
** เหตุการณ์ที่ปรากฏในเรื่องนี้จะไม่ปรากฏในเรื่อง Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก เป็นเพียงเหตุการณ์พิเศษที่เราอยากให้พวกเขามาเจอกันเท่านั้นค่ะ
*** ตอนพิเศษนี้เป็นเพียง part แรก part สองอาจจะตามมาแต่ไม่ใช่เร็วๆนี้นะคะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ


ช่วงนี้มีซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งกำลังเป็นกระแส ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร ได้ยินมาว่าตัวเอกชื่อพักแซรอย

พักแซรอยคือใคร มาจากเรื่องอะไร นักแสดงตัวจริงชื่ออะไร ผมคงตอบเหมือนนายประวิตรว่าไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้เลย เดาเอาว่าเนื้อเรื่องคงสนุกมากหรือไม่นักแสดงก็หน้าตาดีมากจนทุกคนต้องพูดถึง ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าทรงผมของพักแซรอยเป็นที่นิยมมาก มากถึงขนาดที่ว่าร้านตัดผมผู้ชายจะต้องมีรูปผมหน้าม้าเต่อของแซรอยแปะอยู่บนผนัง ทรงผมของแซรอยไม่ใช่ทรงที่ผมชอบเท่าไหร่ มันทั้งสั้นเต่อเหมือนเด็กหญิงหมูฉึกฉึกจากโฆษณาผงปรุงรสและเกรียนติดหนังหัวจนเกินไป ดังนั้นผมจึงไม่สนใจทรงแซรอยที่ผู้ชายหลายคนในประเทศไทยเริ่มแห่กันไปตัด ผมไม่สนใจเลยจนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง พี่อู๋กลับบ้านพร้อมกับทรงผมยอดนิยมอย่างพักแซรอย

“มองอะไร จำผัวตัวเองไม่ได้หรือไง” พี่อู๋พูดเซ็งๆเมื่อเห็นผมอ้าปากค้างนานไปหน่อย เขาถอดรองเท้า วางกระเป๋า ถอดเน็กไทที่รัดรอบคอออกเสร็จเรียบร้อย แต่ก้องเกียรติก็ยังคงนั่งปากหวอมองแฟนของตัวเองอยู่อย่างนั้น
“พี่อู๋นึกยังไงถึงตัดทรงนี้”
“ช่างบอกว่ามันฮิต”
“ใช่ แต่ --” ผมตั้งใจจะพูดแต่หลุดหัวเราะเสียก่อน
“ขำเหรอ มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าครับ แค่ --” ผมอยากหยุดหัวเราะแต่ทำไม่ได้ คุณจะให้ผมหยุดหัวเราะได้ยังไงก็ดูพี่อู๋สิ! เมื่อเช้าเขายังผมฟูยุ่งออกไปทำงานอยู่เลย แล้วดูตอนนี้ ดูเขาสิ! คุณอิศรินทร์รูปหล่อของก้องเกียรติกลายเป็นอู๋จังโดยสมบูรณ์แล้ว
“อยู่ไม่ได้แล้วกู”
“ผมไม่ได้หัวเราะเพราะมันตลก!” ผมรีบวิ่งเดินเข้าไปหาพี่อู๋ เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดขณะที่เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ให้ตายเถอะ พี่อู๋ – เขาดูเหมือนวัยรุ่นแถวสยามมากกว่าล่ามคนเก่งของบริษัทเสียอีก “ผมว่าน่ารักดี”
“เลิกปลอม”
 ผมรีบยั้งปากตัวเองไม่ให้โพล่งออกไปว่าอีควาย!
“ใครมันทำให้สุดหล่อของผมเสียความมั่นใจ” ผมยกมือประคองแก้มเขา โอ๋ น่ารักจัง น่ารักจัง พี่อู๋ดูเด็กลงตั้งหลายปีเพราะม้าเต่อแบบพักแซรอย “เหมือนได้ผัวใหม่เลย”
“ไม่คุยด้วยแล้ว”

พี่อู๋งอน เขาถอดเสื้อผ้าและเดินล่อนจ้อนไปอาบน้ำ ปล่อยให้ผมยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวหน้าประตูห้อง ผมรู้ว่าคุณอิศรินทร์โกรธไม่นานหรอก เขาอาจจะงอนที่ผมไม่ว้าวกับลุคใหม่แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นออกจะตื้นเขินไปหน่อย พี่อู๋เสียความมั่นใจกับผมทรงนี้มากๆ มากจนเขาเผลอมองกระจกด้วยความกังวลอยู่หลายครั้ง บางทีก็เปิดกล้องหน้าโทรศัพท์แล้วหันซ้ายหันขวา ยิ่งวันไหนออกไปพบลูกค้าเขาจะแต่งตัวเนี๊ยบผิดหูผิดตา ราวกับว่าเสื้อผ้าและองค์ประกอบอื่นๆสามารถทำให้ทุกคนมองข้ามทรงผมพักแซรอยของคุณล่ามได้ ผมเฝ้ามองความไม่สบายใจของแฟนอยู่สองสามวันจนเริ่มทนไม่ไหว เช้าวันหนึ่งขณะที่พี่อู๋กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ผมก็เดินไปสวมกอดเขาจากด้านหลังและเอ่ยปากชมว่า

“อู๋จังหล่อจังเลย” ผมยิ้มให้พี่อู๋ผ่านกระจก คุณอิศรินทร์ที่หน้าบึ้งตั้งแต่ตื่นนอนหลุดยิ้มแล้วแกล้งตีหน้าขรึมต่อ “พี่อู๋ไม่ชอบผมทรงนี้เหรอ”
“มันดูตลก”
“ไม่จริง ผมว่าน่ารักจะตาย” ผมตอบพลางใช้นิ้วจิ้มแก้มของเขา “พี่อู๋หล่อมากเลย”
“เลิกแซวเสียที พี่จะไม่เชื่อใครแล้ว”
“ไม่ได้แซวเล่น ผมพูดจริงๆ พี่อู๋จะฟังคำพูดคนอื่นทำไม พี่ฟังผมสิ ผมเป็นแฟนพี่ ผมเป็นคนที่รักพี่ที่สุดนะ” ผมย้ำและประคองแก้มพี่อู๋ให้มองกระจก “พี่อู๋ตัดม้าเต่อแล้วเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยเลย ถ้าพี่สวมเชิ้ตขาวและผูกไทของผม พี่คงดูเหมือนเด็กลาดกระบัง”
“เหรอ” เขาตอบรับเขินๆ
“ใช่ พี่ดูไม่เหมือนคนอายุใกล้เลขสี่ซักนิด” พี่อู๋คลี่ยิ้มพอใจ
“ถ้าก้องชอบพี่ก็โอเค”

เขาตอบในท้ายที่สุด ผมจึงหอมแก้มพี่อู๋ เขาถึงกับเสียอาการจนปั้นหน้าไม่ถูก หลังช่วยเขาแต่งตัวเราก็ทานข้าวเช้าด้วยกันที่โต๊ะอาหาร นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามนาที ผมกับคุณอิศรินทร์นั่งทานแซนด์วิชทูน่าไข่ต้มและโกโก้ร้อนหน้าทีวี สิ่งที่ต่างไปจากเมื่อก่อนคือเราไม่ดูโทรทัศน์อีกแล้ว ผมไม่เปิดรายการข่าวเหมือนที่เคยทำและพี่อู๋ก็ไม่สนใจสื่อหลักในประเทศมาพักใหญ่ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับฉับพลัน จู่ๆพี่อู๋ก็รู้สึกว่าสื่อกระแสหลักไม่ตอบโจทย์สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ เราทั้งคู่จึงลงความเห็นกันว่าโทรทัศน์เครื่องนี้มีไว้เพื่อดูเน็ตฟลิกซ์และยูทูบน่าจะคุ้มค่ากว่า แน่นอนว่าซีรีส์หรือคลิปตลกๆในยูทูบต้องดีกว่าการดูชีวิตประจำวันของผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอยู่แล้ว

“เย็นนี้กินอะไรดี”
“อะไรก็ได้ครับ” ผมตอบพลางใช้นิ้วเช็ดคราบโกโก้ให้เขาตรงมุมปาก “พี่อู๋อยากกินอะไรก็บอก หรือเราจะออกไปกินข้างนอกก็ได้ถ้าพี่กลับบ้านเร็ว”
“น่าจะดึกเหมือนเดิม”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสั่งกับข้าวมารอ พี่อู๋อยากกินอะไรค่อยไลน์มาบอกผมนะ”

พี่อู๋พยักหน้ายิ้มและจูบลา ก่อนเปิดประตูห้อง เขาถามอย่างไม่มั่นใจนักว่าตนเองกับทรงผมพักแซรอยเข้ากันจริงหรือไม่ ผมต้องย้ำอีกหลายครั้งว่าผมทรงนี้ทำให้พี่อู๋ดูหน้าเด็กมาก เขาดูเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆที่กำลังย่ำเท้าหางานมากกว่าชายใกล้เลขสี่ที่มีค่าคอเรสเตอรอลในเลือดสูง พี่อู๋ดูขวยเขินก่อนจะหยิบหน้ากากอนามัยมาสวม เรากอดกันครู่หนึ่ง ผมอวยพรให้พี่อู๋ขับรถปลอดภัย จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมนั่นคือผมอยู่คนเดียวในคอนโด ไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีงานให้ทำ ไม่มีที่ให้ไป เงินส่วนตัวที่เก็บไว้ร่อยหรอจนไม่อาจซื้อของฟุ่มเฟือยได้เหมือนเดิมเพราะผมตกงานมาหลายเดือนแล้ว

หากผมรู้ว่าในอีกไม่กี่เดือนถัดมาจะมีโรคระบาด ผมคงไม่ลาออกจากบริษัทตั้งแต่แรก

หากผมรู้ หากผมรู้ ผมคงไม่ลาออก หากผมรู้ว่าการพักผ่อนเอาแรงที่คิดว่ากินเวลาไม่กี่เดือนจะยาวนานขนาดนี้ ผมคงอดทนทำงานต่อไปโดยไม่ปริปากบ่น หากผมรู้ หากผมรู้ว่าโรคระบาดจะรุนแรงถึงขั้นต้องล็อคดาวน์ ผมคงซื้อหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือตุนไว้ตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นพี่อู๋ก็คงไม่ต้องจ่ายเงินหลายพันเพื่อซื้อหน้ากากสำหรับเราสองคน

“ช่วยไม่ได้นี่นา” พี่อู๋บ่นเมื่อหน้ากากส่งมาถึงบ้าน หน้ากากกล่องละแปดร้อยบาททำเอาผมเจ็บใจจนไม่อยากหยิบมันขึ้นมาใส่ “ใช้แล้วทิ้ง อย่าใช้ซ้ำนะ”

พี่อู๋พูดอย่างนั้น แต่ผมก็แอบใส่ซ้ำอยู่ดี

ความอัดอั้นตันใจที่ต้องอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นเช่นห้างสรรพสินค้าปิด มนุษย์เงินเดือนที่เคยเบียดเสียดกันไปทำงานหายวับไปในพริบตา กรุงเทพเหมือนเมืองร้างไร้ผู้คน แต่ความขัดสนกำลังกระจายตัวเป็นวงกว้างโดยไม่ส่งเสียงไปถึงชนชั้นกลาง ผมจำได้ว่าชีวิตของเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จำได้ว่าเคยร้องไห้เพราะเครียดกับการตามข่าวโรคระบาดทุกวันเพราะมันอาจเกิดขึ้นกับเรา อาจเป็นผมหรือพี่อู๋ที่ติดเชื้อ อาจเป็นคนที่เรารักซึ่งไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศหรือคลุกคลีกับชาวต่างชาติ สิ่งที่ทำให้ผมประสาทเสียคือการคิดว่าหากมีผู้ป่วยติดเชื้อพร้อมกันหมื่นคน โรงพยาบาลคงไม่มีเตียงมากพอสำหรับรองรับชนชั้นกลางอย่างเรา

ผมจำทุกอย่างได้ดีถึงความกลัวนั้น และรู้สึกผิดทุกครั้งเมื่อเห็นหลายครอบครัวลำบากอย่างแสนสาหัส ส่วนผมกับพี่อู๋ยังพอไปต่อได้โดยไม่ต้องดิ้นรนมากนัก ทุกครั้งที่เห็นข่าวคนต่อแถวรอข้าวฟรีตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น คนขโมยของจากตู้ปันสุข หรือข่าวอื่นๆเกี่ยวกับความแร้นแค้น ผมจะทำใจอ่านไม่ได้เพราะอ่อนไหวเกินไป ถ้าขอพรได้ผมคงขอให้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แค่ผม พี่อู๋ และครอบครัวของเราเท่านั้นที่อยู่รอด แต่ผมอยากให้คนอื่นรอดเช่นเดียวกันกับเราทว่ารัฐบาลกลับทุบความหวังนั้นทิ้งด้วยการบอกว่าประเทศเรามีเงินไม่พอสำหรับเยียวยาทุกคน 

พี่อู๋ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดเท่าไหร่ เขายังคงได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ทำงานสัปดาห์ละห้าวัน และไม่ได้ work from home พี่อู๋ออกไปทำงานโดยมีความเป็นห่วงและความกังวลของผมไล่ตามหลัง คุณไม่เข้าใจหรอกว่าผมกลัวแค่ไหนเมื่อเห็นสรุปตัวเลขจากแอคเคานท์สำนักข่าวในทวิตเตอร์ ทุกครั้งที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศ ผมเป็นกังวลจนประสาทแทบแดกเพราะกลัวพี่อู๋สัญจรไปมาระแวกเดียวกับผู้ป่วย ผมใช้ชีวิตด้วยความกลัวทุกวัน ผมไม่ได้กลัวตัวเองตาย แต่ผมกลัวพี่อู๋ตาย ความคิดนั้นทำเอาผมขวัญเสียถึงขั้นร้องไห้ตอนพี่อู๋ออกไปทำงาน ผมยืนร้องตรงประตูและขอให้เขาลาออกเพราะสถานการณ์เลวร้ายสุดขีด ผมถึงขั้นบอกเขาว่าเราหนีไปอยู่นครศรีธรรมราชกันเถอะ กลับไปอยู่บ้านแนจนกว่าโรคระบาดจะหยุดเถอะ กรุงเทพมีคนอยู่มากเกินไป ชาวต่างชาติก็เยอะเกินไป เราอาจจะติดเชื้อจากใครก็ได้ แต่พี่อู๋ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แถมวันถัดมาดันมีข่าวผู้ติดเชื้อในอำเภอที่ของย่า ทำเอาผมขวัญเสียหนักกว่าเดิมเพราะนครศรีธรรมราชที่คิดว่าห่างไกลก็ไม่ปลอดภัย

“ก้อง พี่ต้องทำงานเพราะเราต้องใช้เงิน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ พี่อู๋ยังคงเป็นคนเดิม เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและใจดีเหมือนเดิม “อีกอย่างพี่ไม่รู้อนาคต พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าลาออกแล้วจะหางานใหม่ได้ไหม”
“พี่อู๋หาได้อยู่แล้ว พี่เก่ง ใครๆก็อยากได้”
“ช่วงนี้ทุกบริษัทต้องการ save cost กันทั้งนั้น ต่อให้หาใหม่ก็คงไม่ได้เงินเดือนมากเท่านี้หรอก พี่ยังลาออกตอนนี้ไม่ได้”

พี่อู๋ปลอบไปพร้อมกับพยายามบอกให้ผมมองไกลกว่านั้น จริงอยู่ที่โรคระบาดน่ากลัว แต่การไม่มีรายได้น่ากลัวเกินกว่าที่ก้องเกียรติจะจินตนาการได้ ยิ่งตอนนี้ธุรกิจของพ่อเองก็ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร พี่อู๋จึงไม่อยากพาผมไปเสี่ยงด้วยการลาออกจากงานเพื่อหนีโรคระบาด เราพูดคุยจนเข้าใจว่าในภาวะแบบนี้เราคงทำได้แค่ป้องกันตัวเอง ที่ประตูคอนโด ผมจะวางตะกร้าผ้าแบบมีฝาปิดเอาไว้ ทุกวันหลังพี่อู๋กลับจากทำงานเขาจะล้างมือด้วยสบู่เหลวและถอดเสื้อผ้าลงตะกร้าทันที เราใช้ห้องน้ำเล็กสำหรับอาบน้ำหลังกลับจากข้างนอก ส่วนห้องนอนใหญ่เป็นเขตปลอดเชื้อที่เราจะไม่ย่างกรายเข้าไปจนกว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมกับพี่อู๋ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งเราผ่านช่วงตึงเครียดที่สุดมาได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเรื่องใหม่เข้ามา นั่นคือข่าวฉาวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และการประท้วงต่อต้านในเดือนสิงหาคม

เกือบทุกวันพี่อู๋จะไลน์ให้ผมลงไปรับของที่นิติคอนโด ส่วนใหญ่พัสดุที่มาส่งคือหนังสือ ผมรู้ว่ามันคือหนังสือเพราะตัวกล่องสกรีนคำว่า good reading สีดำเด่นชัด ช่วงนี้พี่อู๋สั่งหนังสือเยอะมาก มันไม่ใช่หนังสือปรัชญาเข้าใจยาก ไม่ใช่วรรณกรรมแปลหรืออะไรที่เขาเคยชอบอ่าน แต่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และการเมือง ผมไม่เคยถามพี่อู๋ ไม่เคยพูดว่าพี่บ้าการเมืองเกินไปหรือเปล่า พี่หมกมุ่นกับเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่าเพราะเชื่อว่าสิ่งที่พี่อู๋ให้ความสนใจไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังเลยซักครั้ง ซึ่งผมโอเคหากพี่อู๋จะไม่พูดหรือแสดงความเห็นให้ฟังเพราะเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ นั่นคือมีที่ว่างและระยะห่างสำหรับบางเรื่อง พี่อู๋เคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเสมอ ส่วนผมเป็นเพียงผู้ตามที่แอบอ่านแต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นคล้อยตามใดๆ พี่อู๋คงไม่หวังว่าผมจะเคลื่อนไหวหรือออกมาเรียกร้องอะไรกับใครจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาเห็นผมนอนอ่านหนังสือ 6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง ของธงชัย วินิจจะกูล พี่อู๋ก็เดินเข้ามาลูบแก้มผมไม่กี่วินาทีแล้วจากไป ผมสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจอันท่วมท้นของเขา



Part 2 ต่อด้านล่างนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 05-10-2020 21:50:21
ตอนพิเศษ [PART 2]
[/b]


เดือนกันยายน พี่อู๋พาผมไปร้านหนังสือของรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัย ร้านหนังสือนั้นอยู่ตรงข้ามกับเซ็นทรัลเวสเกต ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออำเภอบางใหญ่หรือบางบัวทองกันแน่ ร้านนั้นคือร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งที่พี่อู๋เป็นลูกค้าประจำ

ผมถามพี่อู๋ว่าทำไมเราต้องมาไกลถึงที่นี่ ทำไมเขาไม่กดสั่งซื้อหรือเข้าร้านหนังสือบนห้างอย่างที่เราชอบทำบ่อยๆ พี่อู๋บอกว่าหลังจากนี้เขาจะอุดหนุนร้านหนังสืออิสระเพราะต้องการกระจายเงินให้เจ้าของธุรกิจรายย่อย นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่กินไก่ทอดหรือเบอร์เกอร์ร้านนั้นอีกแล้ว แม้แต่ไอศกรีมร้านโปรดที่ชอบนักหนาก็ไม่เคยได้เงินจากเราอีก ผมไม่ถามเหตุผลจากพี่อู๋เพราะพอจะรู้อะไรๆบ้าง และแน่นอนว่าผมสนับสนุนทุกความตั้งใจของแฟนเต็มที่ หากเขายืนยันที่จะไม่กิน ผมก็ไม่กิน

“สวัสดีค้าบ กู้ด รี้ดดิ้ง ยินดีต้อนรับค้าบ”

พนักงานคนหนึ่งเอ่ยทักทายเรา ผมส่งยิ้มตามมารยาทขณะเดินตามพี่อู๋ไปทั่วร้านหนังสือ บรรยากาศช่วงบ่ายวันเสาร์คึกครื้นไปด้วยลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงาน บางคนหอบหิ้วเอาแท็บเล็ตมาทำงานที่ร้าน บางคนจับกลุ่มคุยกันบริเวณคาเฟ่ขายเครื่องดื่ม ผมจับมือพี่อู๋หลวมๆขณะมองพวกเขาเหล่านั้น มันไม่เหมือนร้านหนังสือเสียทีเดียว มันเหมือนห้องสมุดขนาดย่อมที่ผู้คนสามารถนั่งทำงานได้ จะนำเครื่องดื่มเข้ามารับประทานก็ได้ แถมยังจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนอีกด้วย

ที่กู้ด รี้ดดิ้ง นี้เอง ผมก็ได้พบกับพี่ติณกับพี่สองที่เป็นเพื่อนร่วมเอกของคุณหมูพี และมาร์กาเร็ต แมวดำหางกุดซึ่งนั่งเฝ้าพวกเขาสองคนอยู่บนโต๊ะ มาร์กาเร็ตเป็นแมวของพี่ติณ ขนของมันสีดำสนิท ดวงตาเหลืองวาวเหมือนลูกแก้ว หูตั้งตลอดเวลาและระมัดระวังตัวนักหนา พี่อู๋ตื่นเต้นเมื่อได้เจอมาร์กาเร็ตซึ่งเป็นมาสค็อตของกู้ด รี้ดดิ้ง เขาถือวิสาสะเรียกแมวหางด้วนตัวนั้นว่ามาร์กี้

พี่อู๋ดูชอบแมวมากกว่าหมา เขาเริ่มจากลูบหัวมัน เกาคาง และร้องเรียกแม้ว แม้ว แม้วแต่มาร์กาเร็ตไม่สนใจ มันเบี่ยงหน้าหลบปลายนิ้วของพี่อู๋แล้วเดินนวยนาดกลับไปหาพี่ติณ หางสั้นกุดของมันขยับเล็กน้อย ใบหน้ายโสโอหังของเจ้าแมวแทบไม่เหลียวแลเรา และเมื่อเขาส่งเสียงเรียกมาร์กาเร็ต! มาร์กาเร็ต! อีกครั้ง มันก็ทำเพียงแค่ชายตามองอย่างถือตัว

“หรือต้องเรียกนามสกุลด้วย” พี่อู๋พูดติดตลก “มาร์กาเร็ตนามสกุลอะไรเหรอติณ”
“ทองหล่อ” พี่ติณตอบแล้วหัวเราะ “มันชื่อมาร์กาเร็ต ทองหล่อเพราะมาจากโรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อ”
“พี่อยากอุ้มมัน”
“อุ้มได้ครับ ถ้ามันยอมนะ”

พี่ติณเชิญชวนด้วยการช้อนตัวมาร์กาเร็ตให้พี่อู๋ คุณอิศรินทร์ประคับประคองเจ้ามาร์กี้อย่างระมัดระวังและเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด แต่ไม่ทันจะได้อิงแอบหรือหอมหัว มันก็กระโดดออกจากอกเขาแล้วเดินหนีไปทางพี่สองแทน มาร์กาเร็ตล้มตัวลงนอนข้างแขนของพี่สอง ตาของมันจ้องเขม็งมาที่เราด้วยความสนใจใคร่รู้แต่ไม่ยอมเข้าใกล้ มันคงสงสัยว่าพักแซรอยจะยุ่งย่ามอะไรกับมันนักหนา

“ไม่รักดีเหมือนมึงเลยสอง”
“ไม่รักดีพ่อมึงสิ”

พี่ติณหัวเราะลั่น เขาเป็นผู้ชายสบายๆที่ชอบนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้และพูดจาเฮฮา ส่วนพี่สองเป็นผู้ชายใส่แว่นเนิร์ดๆที่นั่งหลังโก่งพิมพ์งานอยู่ข้างพี่ติณ เวลาคุยกันเขาแทบไม่เงยหน้าจากแล็ปท็อปเลย เขามีเรื่องวุ่นวายให้ทำตลอดจนเมินเฉยการปรากฎตัวของเรา ตอนที่เจอพวกเขา ผมนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน แต่พี่อู๋บอกว่าพี่ติณณภพต่างหากที่เป็นเจ้าของร้าน

“พี่ดูไม่มีออร่าเจ้าของธุรกิจขนาดนั้นเลยเหรอ”

พี่ติณพูดแกมหยอกแล้วหัวเราะ ผมต้องรีบแก้ตัวว่าเปล่าครับ เปล่าเลย ผมเห็นใครๆก็เดินมาหาพี่สอง ของขาดก็เรียกพี่สอง สำนักพิมพ์มาส่งหนังสือก็เรียกพี่สอง ผมเลยนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน พวกเรานั่งคุยกันที่โต๊ะอยู่พักใหญ่ราวกับเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่จริงๆพวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน พี่อู๋เพิ่งจะรู้จักพี่ติณไม่นานมานี้ผ่านบทความบนอินเทอร์เน็ต พอเราแวะเวียนมาอุดหนุนหน้าร้านพวกเขาก็จำได้ทันทีว่าคนนี้คือพี่อู๋ พี่อู๋แฟนเก่าคุณหมูพี ใช่ คุณหมูพีคนนั้นแหละ คุณหมูพีที่ไปได้ดีกับรักครั้งใหม่ ผมดีใจที่เขามูฟออนจากพี่อู๋ได้ในท้ายที่สุด

“เออติณ ช่วงนี้หนังสือหมวดไหนขายดีที่สุดวะ”
“การเมืองสิพี่อู๋ ขายดีขึ้นเยอะมาก เติมสต็อกไม่หยุด” พี่ติณยิ้มกว้าง “แต่หมวดอื่นก็ขายได้นะ เรื่อยๆแหละ แค่ช่วงนี้การเมืองขายดีกว่าปกติ”

ผมนั่งฟังพี่อู๋กับพี่ติณคุยกัน ส่วนพี่สองไม่ยุ่งกับใครเพราะเอาแต่จ้องหน้าคอมตาไม่กระพริบ ผมนึกสงสัยว่าเขากำลังหมกมุ่นกับอะไรเพราะคิ้วของพี่สองขมวดมุ่น เขาเม้มปากเป็นพักๆขณะที่รัวมือลงบนแป้นคีย์บอร์ด ดูเคร่งเครียดเหมือนกำลังพิมพ์ด่าใครซักคนอยู่ พอรู้ว่าถูกมอง พี่สองก็เงยหน้าขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ” ผมสะดุ้ง รู้สึกอายที่เผลอมองพี่สองจนถูกจับได้ “ผมเห็นพี่สองพิมพ์เร็วมาก”
“อ๋อ --” เขาขานในลำคอ “ธรรมดาน่ะ”

แล้วพี่สองก็เงียบไปอีก เขาดูเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยคุย มีเงยหน้าตอบพี่ติณกับพี่อู๋บ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่สายตาของพี่สองจะจับจ้องหน้าจอมากกว่า ผมนั่งฟังคุณอิศรินทร์พูดคุยกับรุ่นน้องอย่างออกรส ทั้งเรื่องทำธุรกิจร้านหนังสือ พอดแคสต์ การลงทุน การซื้อบ้าน งานประจำ เงินออม สารพัดเรื่องที่คนมีเงินคุยกัน ส่วนผมเอาแต่แอบมองพี่สองทำงานจนกระทั่งพวกเขาชวนกันเดินทัวร์รอบร้าน

“ผมนั่งรอตรงนี้นะครับ”

ผมบอกพี่อู๋ คุณอิศรินทร์พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินจากไปพร้อมพี่ติณ ปล่อยให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะกับเพื่อนของเขาซึ่งเอาแต่นั่งทำงานไม่พูดไม่จา เมื่อพวกเขาหายไปซักพัก พี่สองก็หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความก่อนจะวางลงที่เดิม และตวัดตามองผมซึ่งแอบมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“เราคือเด็กคนนั้นที่พี่อู๋เก็บมาเลี้ยงเหรอ”
“ครับ”

ผมตอบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขารู้ว่าผมกับพี่อู๋ลงเอยกันได้ยังไง ก็เรามีคุณหมูพีอยู่ทั้งคน ผมว่าเผลอๆเพื่อนทั้งวิทยาเขตคงรู้กันหมดแล้วว่าพี่อู๋เก็บลิงแถวจรัญสนิทวงศ์มาเลี้ยง

“แต่งงานกันแล้วเหรอ” พี่สองปรายตามองมือซ้ายของผม บนนิ้วนางมีแหวนแพลทินัมสวมอยู่
“อ๋อ ยังครับ หมั้นไว้เฉยๆ” ผมตอบพลางขยับแหวน “ถ้าไม่ติดโควิดก็อาจจะแต่งปลายปีนี้”
“ไม่ต่างกันนักหรอก”
“ครับ?”
“จะแต่งหรือแค่หมั้นไว้เฉยๆก็ไม่ต่างกัน” พี่สองอธิบายเพิ่ม “งานแต่งงานของเกย์เป็นแค่สัญลักษณ์แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย พี่ว่าจะหมั้นหรือแต่งก็ไม่สำคัญ”
“ครับ”

ผมขานตอบ รู้สึกบทสนทนาเริ่มกร่อยอย่างไรชอบกลเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้ พี่สองคงจับสีหน้าของผมได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“แต่ยังไงเราก็อยากแต่งใช่ไหม”
“ครับ ผมกับพี่อู๋อยากแต่งงาน”
“จะจัดงานหรือเปล่า”
“คงเป็นงานเล็กๆในครอบครัวครับ”
“เหรอ” พี่สองพึมพำพร้อมกับพยักหน้า “วางแผนชีวิตแต่งงานยังไงล่ะ”
“ยังไม่ได้วางอะไรเลยครับ ตอนนี้ผมตกงาน”
“เข้าใจได้ ไม่ต้องรีบหรือกดดันหรอก ของแบบนี้บทจะมาก็มาเอาดื้อๆ เขาเรียกว่าอะไรนะ จังหวะชีวิตใช่ไหม บางทีเราก็ต้องรอไปก่อนเดี๋ยวสิ่งดีๆจะเข้ามาเอง”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้ยินพี่สองให้กำลังใจ เขาไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ห่วยแตกอย่างที่คิด เขาแค่เป็นคนพูดน้อยแต่พูดจาเข้าหู
“พี่เห็นแหวนเราแล้วก็คิดถึงตัวเอง”
“ยังไงครับ”
“พี่เป็นเกย์” พี่สองเล่าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
“พี่สองแต่งงานหรือยังครับ”
“คงไม่มีวันนั้นหรอก”
“เหรอครับ” ผมขานตอบเสียงอ่อน นึกว่าเขาจะชวนคุยเรื่องการจัดงานแต่งงานหรือการจัดการสินสมรสของเกย์เสียอีก
“พี่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย พี่จะดูแลใครได้”
“ผมก็เอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน”
“แต่พี่อู๋ดูแลก้องได้ไง” พี่สองยิ้ม “อีกอย่าง ไม่มีใครทนพี่ได้นาน”
“เหรอครับ”
“ใช่” พี่สองหันไปจ้องจอแล็ปท็อปต่อและเริ่มรัวมือบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง “พี่มีภาระมากเกินไป”
“ถึงจะเอาตัวเองไม่รอด แต่ผมว่าพี่สองสมควรได้มีความรักดีๆเหมือนคนอื่นนะครับ”

มือที่กำลังพิมพ์งานอยู่ชะงัก พี่สองมองผมผ่านเลนส์แว่นสายตาหนาเตอะด้วยแววตาประหลาดใจ

“บางทีคู่ชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ดูแลซึ่งกันและกัน”
“ก้อง”
“ครับ”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว” พี่สองยิ้มขำราวกับผมไร้เดียงสานักหนา เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ “พี่อู๋คงดีกับก้องมาก ก้องถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้เจอความรักดีๆ”
“แฟนพี่สองไม่ดีเหรอครับ”
“เขาดี” พี่สองตอบโดยไม่มองหน้าผม “ก็ดีที่สุดสำหรับการเป็นเขาแล้ว”
“ถ้าเขาเป็นคนดี เขาดีกับพี่สอง พี่สองก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ”
“มีสิ แต่มันก็ไม่ใช่ความรักที่สุขแบบสุดๆหรอก พี่มีเรื่องอื่นให้กังวลมากเกินไป จะพูดยังไงดีละ คือ —  พี่ไม่ได้ตัวคนเดียวน่ะสิ”
“เหรอครับ”
“อืม บางทีคนเราก็มีข้อจำกัดที่เลี่ยงไม่ได้”
“แล้วพี่สองรักเขาไหม”

พี่สองชะงักไป ตาของเขายังจ้องหน้าจอคอมอยู่ แต่ดูเหมือนคำถามนั้นจะเป็นหมัดฮุกที่ทำเอาพี่สองต้องหยุดคิดครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมการยอมรับว่ารักใครซักคนถึงต้องใช้เวลาไตร่ตรอง ถ้ารักก็แค่พูดออกมาเลยไม่ได้เหรอ

“รักแล้วยังไง ถ้ารักแล้วมันไปต่อไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”

พี่สองหัวเราะอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การหัวเราะในความไร้เดียงสาของก้องเกียรติ เขากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง

“แต่ถ้าเราจับมือกันแน่นพอ ยังไงมันก็ต้องลงเอยด้วยดีครับ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ผมเชื่อว่าถ้าพี่สองกับแฟนหนักแน่นมากพอ ใครก็ทำอะไรพวกพี่ไม่ได้เลยแม้กระทั่งครอบครัว อย่างพ่อของผมก็เกลียดพี่อู๋เข้าไส้เหมือนกัน ด่าเขาเหมือนหมูเหมือนหมา พุ่งไปต่อยเขาจนกำเดาไหลก็เคย แต่ผมมันเด็กหัวดื้อ ผมคิดอย่างเดียวว่าผมรักพี่อู๋ ผมรักเขา ผมจะไม่ยอมให้พ่อมาสั่งว่าต้องรักใครหรือไม่รักใคร ในเมื่อผมรักพี่อู๋แล้วเขาก็รักผม เราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกเลย”
“พี่อู๋รวยไหม”
“ครับ?” ผมงุนงงกับคำถาม
“พี่อู๋รวยมากไหม”
“ก็พออยู่ได้ครับ”
“แล้วพี่อู๋ทำงานหาเงินด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อพ่อแม่ใช่ไหม”
“ครับ เขาเป็นล่ามญี่ปุ่น”
“นี่แหละคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างก้องกับพี่” พี่สองอมยิ้ม แววตาของเขาดูเศร้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ก้องมีความรักที่ดี พี่ก็ดีใจด้วย แต่อย่าบอกให้พี่ศรัทธาในความหนักแน่นอะไรเลย โลกของความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มันซับซ้อนกว่าที่ก้องคิดเยอะ”

ผมมองพี่สอง จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาดูเหมือนคนอมทุกข์มากกว่าเนิร์ดที่หมกมุ่นกับการทำงาน เรามองหน้ากันไม่กี่วินาทีก็ละสายตาออก ผมปล่อยให้พี่สองทำงานของตัวเองต่อไป ส่วนผมทอดสายตามองพี่อู๋ซึ่งกำลังยืนคุยกับพี่ติณอยู่หน้าชั้นหนังสือ

โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว

คำพูดของพี่สองดังก้องอยู่ในหู ใช่ โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว และผมคือผู้โชคดีซึ่งได้ลงเอยกับเขาในท้ายที่สุด ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่สองตรงที่เขาบอกว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีความรักที่ดี ผมคิดว่าถ้าแฟนของพี่สองหนักแน่นพอ พี่สองจะไม่ต้องกังวลอย่างนี้เลย พี่สองไม่ต้องจมอยู่กับความคิดที่ว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้แต่งงานหรือทำได้แค่มองแหวนบนนิ้วนางของผมด้วยความอิจฉา ผมอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้พี่สองแต่ก็ทำไม่ได้ ผมกำลังรอโอกาสที่เราจะได้พูดเรื่องคนรักของตัวเองอีกครั้ง แต่พี่สองกลับไม่พูดอะไร

“ไปกินข้าวด้วยกันไหมสอง” พี่อู๋เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วเอ่ยชวนพวกเราทุกคน ผมหันมองพี่สองที่ยังคงมุ่งมั่นกับการรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และคาดหวังว่าเขาจะไปทานข้าวกับเราเพื่อคุยกันมากกว่านี้ ทว่าพี่สองกลับไม่ตอบจนพี่ติณต้องโยกหัวเพื่อน
“อะไรของมึง”
“พี่อู๋ถามว่าไปกินข้าวไหม”
“อ๋อ” เขาขานรับ “วันนี้ไม่สะดวกครับ พอดีผมต้องรีบส่งงานให้ลูกค้า”
“น่าเสียดาย” พี่อู๋บ่น “เดี๋ยวพี่ซื้อข้าวแล้วฝากมากับติณนะ”
“ขอบคุณครับ”

พี่สองยิ้มและยกมือไหว้ตามมารยาท หลังจากนั้นเขาก็ทำงานต่อ พี่สองดูมีแต่งาน งาน งานให้โฟกัสจนไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวจนเราต้องยอมแพ้ ก่อนจากกันพี่อู๋พยายามอุ้มมาร์กาเร็ตอีกครั้ง คราวนี้เจ้าแมวดำหางด้วนยอมให้พี่อู๋กอดอยู่สองสามวินาทีจึงกระโดดหนี มันหายไปหลังชั้นหนังสือซึ่งอยู่ริมสุดของร้านและไม่โผล่มาอีก คุณอิศรินทร์ยกมือทาบอกด้วยความตื้นตันใจ เขาพึมพำว่ามาร์กี้ตัวนุ่มจัง นุ่มเหมือนผ้าขนหนู นุ่มเหมือนพรมเช็ดเท้า ตัวก็หอมแชมพูอ่อนๆ ก้อง พี่ว่าพี่อยากเลี้ยงแมว

“เลิกฝันครับ คอนโดเราห้ามเลี้ยงสัตว์”

ผมดับฝันคุณอิศรินทร์ที่ยืนเพ้ออยู่ข้างๆ ท่าทางเขาคงชอบแมว เขาดูชอบแมวมากกว่าหมา แต่ผมคิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงตอนนี้ ดังนั้นความคิดซื้อแมวหรือหมามาเลี้ยงจึงต้องพับเก็บลงกล่อง ผมไม่อนุญาตให้พี่อู๋เพิ่มภาระด้วยการอุปการะสิ่งมีชีวิตแน่นอน

เมื่อถึงเวลาต้องไปจริงๆ ผมจึงยกมือไหว้พี่สองและเดินตามหลังพี่อู๋ไปที่รถ พอคิดว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้คุยกับพี่สองอีก ผมก็เดินย้อนกลับเข้าไปในร้าน พี่สองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นผมเขาจึงถามว่าลืมอะไร

“พี่สองครับ”
“ว่า”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียวก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าพี่สองจะไม่เจอใครที่รักพี่ทั้งหมดของหัวใจนะครับ” พี่สองที่กำลังทำงานอยู่ถึงกับชะงัก เขาเงยหน้าจากคอมมองก้องเกียรติแบบงงๆแล้วถามว่าอะไรนะ “คือ – ผมหมายความว่า พี่สองเองก็สมควรได้รับความรักดีๆเหมือนกัน พี่สองสมควรได้เจอใครที่อยากแต่งงานและแลกแหวนกับพี่สอง ผมอาจจะโลกสวยไปหน่อย แต่ผมเชื่อจริงๆนะว่าคนใจดีอย่างพี่สองต้องได้พบใครซักคนแน่ๆ”

ผมพูดอย่างเร่งรีบเพราะต้องทำเวลา ไม่ได้คาดหวังว่าพี่สองจะซาบซึ้งน้ำตาไหลหรือขอบอกขอบใจที่พูดจารื่นหู ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถือสิทธิ์อะไรไปพูดกับพี่สองว่าเขาสมควรได้รับความรักดีๆ แต่ผมเชื่อจริงๆนะ ผมแค่อยากบอกพี่สองว่ารักแท้มันมีอยู่จริง ตอนนี้พี่สองอาจจะยังไม่เจอ แต่วันหนึ่งเขาจะได้พบกับใครซักคนที่รักเขาโดยไม่มีข้อแม้แน่ๆ

“ก้อง”
“ครับ”
“ขึ้นรถเถอะ พี่อู๋เดินมาตามแล้ว” พี่สองพยักเพยิดไปทางประตูร้าน คุณอิศรินทร์ของผมกำลังชะโงกหน้าเข้ามาพอดี เขาเรียกก้องเกียรติอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่าลืมอะไร
“กำลังไปครับ” ผมบอกพี่อู๋และรีบหันหน้ามาหาพี่สอง ตอนนั้นเองผมถึงเห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“พี่ขออวยพรให้ก้องมีความสุขกับชีวิตแต่งงานนะ”
ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับ” ผมบอกเขา “ผมขอให้พี่สองได้เจอคนนั้นเช่นกันนะครับ”

พี่สองหัวเราะแล้วโบกมือไล่ เขาก้มหน้าทำงานต่อ ส่วนผมเดินออกจากร้านหนังสือด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ผมอาจจะสาระแนเกินไปหน่อย แต่ผมอยากให้พี่สองรู้ไว้ว่าเด็กกำพร้าแม่อย่างผมหรือคนที่มีภาระเยอะอย่างพี่สอง เราต่างคู่ควรกับความรักและสมควรที่จะถูกรักโดยใครซักคนเหมือนกัน



TBC


_________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้พบทุกคนอีกครั้งผ่านพี่อู๋และก้องเกียรตินะคะ ตอนพิเศษตอนนี้กลั่นออกมาด้วยความรู้สึกคิดถึงล้วนๆ หวังว่าจะสร้างความสุขให้คุณนักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ :D

ส่วนพี่จ๋าที่สนใจน้องก้องแบบรูปเล่ม ขอเรียนให้ทราบว่าน้องก้องไม่มีวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติน้า ตอนนี้มีวางจำหน่ายเฉพาะร้านหนังสือนายอินทร์เท่านั้นค่ะ ทุกคนสามารถสั่งซื้อออนไลน์: https://www.naiin.com/product/detail/502220 หรือ walk in ไปซื้อที่สาขาหน้าร้านทั้ง 30 สาขาตามด้านล่างนี้นะคะ

- มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
- โฮมโปร จ.เลย
- โฮมโปร จ.เพชรบูรณ์
- โฮมโปร สระบุรี
- อาคาร CSSD รพ.จุฬาฯ กทม.
- โลตัส บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
- เซ็นทรัล อุบลราชธานี
- เซ็นทรัล จ.ลำปาง
- ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้นBF กทม.
- โฮมโปร บุรีรัมย์
- เซ็นทรัล อุดรธานี
- โลตัส โคราช2 จ.นครราชสีมา
- อัมพร จ.พระนครศรีอยุธยา
- ม.มหิดล พระราม6 กทม.
- เซ็นเตอร์วัน กทม.
- น้อมจิตต์ (บางกะปิ) กทม.
- โลตัส อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- โลตัส จ.สตูล
- เซ็นทรัล ขอนแก่น
- รพ.พระมงกุฏเกล้า กทม.
- ปตท.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี
- วีแสควร์ จ.นครสวรรค์
- เดอะมอลล์ โคราช ชั้น2 จ.นครราชสีมา
- บิ๊กซี ขอนแก่น
- สยามพารากอน ชั้น3 กทม.
- โฮมโปร ประชาชื่น จ.นนทบุรี
- เซ็นทรัล พระราม2 กทม.
- เอ็มโพเรียม
- เดอะมอลล์ บางกะปิ กทม.
- เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น4 จ.นนทบุรี

ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจและแรงผลักดันที่ทุกคนมอบให้เรานะคะ รู้ใช่ไหมคะว่าเราจะไม่มีวันนี้เลยหากไม่มีพวกคุณทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงที่เป็นพลังให้เราได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไว้พบกันเมื่อมีโอกาสนะคะ ขอบคุณค่ะ

Ms.Ambiguous
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
เริ่มหัวข้อโดย: kukkuuu ที่ 13-11-2023 17:04:43
ทีมอ่านปี 2023 ครับ 5555555
เพิ่งได้มีโอกาสรู้จักเรื่องนี้ น่ารักมากกกก ดราม่ามากเช่นกัน
ตอนนี้ตามหาหนังสือไม่ได้เลย อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกมาก พี่ๆน้องๆคนไหนทราบว่ามีขายที่ไหนอัพเดทกันบ้างนะครับ
รักพี่อู๋น้องก้องมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 09-12-2023 00:28:47
ทั้งลุ้น เครียด สุข ครบรสจริงๆ อินมากครับ
หัวข้อ: Re: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
เริ่มหัวข้อโดย: Bs_sai69 ที่ 20-01-2024 09:31:45
 :z1: :mew1: :pig4: :impress2: :sad4: :katai1: :katai3: