ตอนพิเศษ [PART 2]
[/b]
เดือนกันยายน พี่อู๋พาผมไปร้านหนังสือของรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัย ร้านหนังสือนั้นอยู่ตรงข้ามกับเซ็นทรัลเวสเกต ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออำเภอบางใหญ่หรือบางบัวทองกันแน่ ร้านนั้นคือร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งที่พี่อู๋เป็นลูกค้าประจำ
ผมถามพี่อู๋ว่าทำไมเราต้องมาไกลถึงที่นี่ ทำไมเขาไม่กดสั่งซื้อหรือเข้าร้านหนังสือบนห้างอย่างที่เราชอบทำบ่อยๆ พี่อู๋บอกว่าหลังจากนี้เขาจะอุดหนุนร้านหนังสืออิสระเพราะต้องการกระจายเงินให้เจ้าของธุรกิจรายย่อย นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่กินไก่ทอดหรือเบอร์เกอร์ร้านนั้นอีกแล้ว แม้แต่ไอศกรีมร้านโปรดที่ชอบนักหนาก็ไม่เคยได้เงินจากเราอีก ผมไม่ถามเหตุผลจากพี่อู๋เพราะพอจะรู้อะไรๆบ้าง และแน่นอนว่าผมสนับสนุนทุกความตั้งใจของแฟนเต็มที่ หากเขายืนยันที่จะไม่กิน ผมก็ไม่กิน
“สวัสดีค้าบ กู้ด รี้ดดิ้ง ยินดีต้อนรับค้าบ”
พนักงานคนหนึ่งเอ่ยทักทายเรา ผมส่งยิ้มตามมารยาทขณะเดินตามพี่อู๋ไปทั่วร้านหนังสือ บรรยากาศช่วงบ่ายวันเสาร์คึกครื้นไปด้วยลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงาน บางคนหอบหิ้วเอาแท็บเล็ตมาทำงานที่ร้าน บางคนจับกลุ่มคุยกันบริเวณคาเฟ่ขายเครื่องดื่ม ผมจับมือพี่อู๋หลวมๆขณะมองพวกเขาเหล่านั้น มันไม่เหมือนร้านหนังสือเสียทีเดียว มันเหมือนห้องสมุดขนาดย่อมที่ผู้คนสามารถนั่งทำงานได้ จะนำเครื่องดื่มเข้ามารับประทานก็ได้ แถมยังจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนอีกด้วย
ที่กู้ด รี้ดดิ้ง นี้เอง ผมก็ได้พบกับพี่ติณกับพี่สองที่เป็นเพื่อนร่วมเอกของคุณหมูพี และมาร์กาเร็ต แมวดำหางกุดซึ่งนั่งเฝ้าพวกเขาสองคนอยู่บนโต๊ะ มาร์กาเร็ตเป็นแมวของพี่ติณ ขนของมันสีดำสนิท ดวงตาเหลืองวาวเหมือนลูกแก้ว หูตั้งตลอดเวลาและระมัดระวังตัวนักหนา พี่อู๋ตื่นเต้นเมื่อได้เจอมาร์กาเร็ตซึ่งเป็นมาสค็อตของกู้ด รี้ดดิ้ง เขาถือวิสาสะเรียกแมวหางด้วนตัวนั้นว่ามาร์กี้
พี่อู๋ดูชอบแมวมากกว่าหมา เขาเริ่มจากลูบหัวมัน เกาคาง และร้องเรียกแม้ว แม้ว แม้วแต่มาร์กาเร็ตไม่สนใจ มันเบี่ยงหน้าหลบปลายนิ้วของพี่อู๋แล้วเดินนวยนาดกลับไปหาพี่ติณ หางสั้นกุดของมันขยับเล็กน้อย ใบหน้ายโสโอหังของเจ้าแมวแทบไม่เหลียวแลเรา และเมื่อเขาส่งเสียงเรียกมาร์กาเร็ต! มาร์กาเร็ต! อีกครั้ง มันก็ทำเพียงแค่ชายตามองอย่างถือตัว
“หรือต้องเรียกนามสกุลด้วย” พี่อู๋พูดติดตลก “มาร์กาเร็ตนามสกุลอะไรเหรอติณ”
“ทองหล่อ” พี่ติณตอบแล้วหัวเราะ “มันชื่อมาร์กาเร็ต ทองหล่อเพราะมาจากโรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อ”
“พี่อยากอุ้มมัน”
“อุ้มได้ครับ ถ้ามันยอมนะ”
พี่ติณเชิญชวนด้วยการช้อนตัวมาร์กาเร็ตให้พี่อู๋ คุณอิศรินทร์ประคับประคองเจ้ามาร์กี้อย่างระมัดระวังและเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด แต่ไม่ทันจะได้อิงแอบหรือหอมหัว มันก็กระโดดออกจากอกเขาแล้วเดินหนีไปทางพี่สองแทน มาร์กาเร็ตล้มตัวลงนอนข้างแขนของพี่สอง ตาของมันจ้องเขม็งมาที่เราด้วยความสนใจใคร่รู้แต่ไม่ยอมเข้าใกล้ มันคงสงสัยว่าพักแซรอยจะยุ่งย่ามอะไรกับมันนักหนา
“ไม่รักดีเหมือนมึงเลยสอง”
“ไม่รักดีพ่อมึงสิ”
พี่ติณหัวเราะลั่น เขาเป็นผู้ชายสบายๆที่ชอบนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้และพูดจาเฮฮา ส่วนพี่สองเป็นผู้ชายใส่แว่นเนิร์ดๆที่นั่งหลังโก่งพิมพ์งานอยู่ข้างพี่ติณ เวลาคุยกันเขาแทบไม่เงยหน้าจากแล็ปท็อปเลย เขามีเรื่องวุ่นวายให้ทำตลอดจนเมินเฉยการปรากฎตัวของเรา ตอนที่เจอพวกเขา ผมนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน แต่พี่อู๋บอกว่าพี่ติณณภพต่างหากที่เป็นเจ้าของร้าน
“พี่ดูไม่มีออร่าเจ้าของธุรกิจขนาดนั้นเลยเหรอ”
พี่ติณพูดแกมหยอกแล้วหัวเราะ ผมต้องรีบแก้ตัวว่าเปล่าครับ เปล่าเลย ผมเห็นใครๆก็เดินมาหาพี่สอง ของขาดก็เรียกพี่สอง สำนักพิมพ์มาส่งหนังสือก็เรียกพี่สอง ผมเลยนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน พวกเรานั่งคุยกันที่โต๊ะอยู่พักใหญ่ราวกับเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่จริงๆพวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน พี่อู๋เพิ่งจะรู้จักพี่ติณไม่นานมานี้ผ่านบทความบนอินเทอร์เน็ต พอเราแวะเวียนมาอุดหนุนหน้าร้านพวกเขาก็จำได้ทันทีว่าคนนี้คือพี่อู๋ พี่อู๋แฟนเก่าคุณหมูพี ใช่ คุณหมูพีคนนั้นแหละ คุณหมูพีที่ไปได้ดีกับรักครั้งใหม่ ผมดีใจที่เขามูฟออนจากพี่อู๋ได้ในท้ายที่สุด
“เออติณ ช่วงนี้หนังสือหมวดไหนขายดีที่สุดวะ”
“การเมืองสิพี่อู๋ ขายดีขึ้นเยอะมาก เติมสต็อกไม่หยุด” พี่ติณยิ้มกว้าง “แต่หมวดอื่นก็ขายได้นะ เรื่อยๆแหละ แค่ช่วงนี้การเมืองขายดีกว่าปกติ”
ผมนั่งฟังพี่อู๋กับพี่ติณคุยกัน ส่วนพี่สองไม่ยุ่งกับใครเพราะเอาแต่จ้องหน้าคอมตาไม่กระพริบ ผมนึกสงสัยว่าเขากำลังหมกมุ่นกับอะไรเพราะคิ้วของพี่สองขมวดมุ่น เขาเม้มปากเป็นพักๆขณะที่รัวมือลงบนแป้นคีย์บอร์ด ดูเคร่งเครียดเหมือนกำลังพิมพ์ด่าใครซักคนอยู่ พอรู้ว่าถูกมอง พี่สองก็เงยหน้าขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ” ผมสะดุ้ง รู้สึกอายที่เผลอมองพี่สองจนถูกจับได้ “ผมเห็นพี่สองพิมพ์เร็วมาก”
“อ๋อ --” เขาขานในลำคอ “ธรรมดาน่ะ”
แล้วพี่สองก็เงียบไปอีก เขาดูเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยคุย มีเงยหน้าตอบพี่ติณกับพี่อู๋บ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่สายตาของพี่สองจะจับจ้องหน้าจอมากกว่า ผมนั่งฟังคุณอิศรินทร์พูดคุยกับรุ่นน้องอย่างออกรส ทั้งเรื่องทำธุรกิจร้านหนังสือ พอดแคสต์ การลงทุน การซื้อบ้าน งานประจำ เงินออม สารพัดเรื่องที่คนมีเงินคุยกัน ส่วนผมเอาแต่แอบมองพี่สองทำงานจนกระทั่งพวกเขาชวนกันเดินทัวร์รอบร้าน
“ผมนั่งรอตรงนี้นะครับ”
ผมบอกพี่อู๋ คุณอิศรินทร์พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินจากไปพร้อมพี่ติณ ปล่อยให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะกับเพื่อนของเขาซึ่งเอาแต่นั่งทำงานไม่พูดไม่จา เมื่อพวกเขาหายไปซักพัก พี่สองก็หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความก่อนจะวางลงที่เดิม และตวัดตามองผมซึ่งแอบมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“เราคือเด็กคนนั้นที่พี่อู๋เก็บมาเลี้ยงเหรอ”
“ครับ”
ผมตอบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขารู้ว่าผมกับพี่อู๋ลงเอยกันได้ยังไง ก็เรามีคุณหมูพีอยู่ทั้งคน ผมว่าเผลอๆเพื่อนทั้งวิทยาเขตคงรู้กันหมดแล้วว่าพี่อู๋เก็บลิงแถวจรัญสนิทวงศ์มาเลี้ยง
“แต่งงานกันแล้วเหรอ” พี่สองปรายตามองมือซ้ายของผม บนนิ้วนางมีแหวนแพลทินัมสวมอยู่
“อ๋อ ยังครับ หมั้นไว้เฉยๆ” ผมตอบพลางขยับแหวน “ถ้าไม่ติดโควิดก็อาจจะแต่งปลายปีนี้”
“ไม่ต่างกันนักหรอก”
“ครับ?”
“จะแต่งหรือแค่หมั้นไว้เฉยๆก็ไม่ต่างกัน” พี่สองอธิบายเพิ่ม “งานแต่งงานของเกย์เป็นแค่สัญลักษณ์แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย พี่ว่าจะหมั้นหรือแต่งก็ไม่สำคัญ”
“ครับ”
ผมขานตอบ รู้สึกบทสนทนาเริ่มกร่อยอย่างไรชอบกลเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้ พี่สองคงจับสีหน้าของผมได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“แต่ยังไงเราก็อยากแต่งใช่ไหม”
“ครับ ผมกับพี่อู๋อยากแต่งงาน”
“จะจัดงานหรือเปล่า”
“คงเป็นงานเล็กๆในครอบครัวครับ”
“เหรอ” พี่สองพึมพำพร้อมกับพยักหน้า “วางแผนชีวิตแต่งงานยังไงล่ะ”
“ยังไม่ได้วางอะไรเลยครับ ตอนนี้ผมตกงาน”
“เข้าใจได้ ไม่ต้องรีบหรือกดดันหรอก ของแบบนี้บทจะมาก็มาเอาดื้อๆ เขาเรียกว่าอะไรนะ จังหวะชีวิตใช่ไหม บางทีเราก็ต้องรอไปก่อนเดี๋ยวสิ่งดีๆจะเข้ามาเอง”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้ยินพี่สองให้กำลังใจ เขาไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ห่วยแตกอย่างที่คิด เขาแค่เป็นคนพูดน้อยแต่พูดจาเข้าหู
“พี่เห็นแหวนเราแล้วก็คิดถึงตัวเอง”
“ยังไงครับ”
“พี่เป็นเกย์” พี่สองเล่าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
“พี่สองแต่งงานหรือยังครับ”
“คงไม่มีวันนั้นหรอก”
“เหรอครับ” ผมขานตอบเสียงอ่อน นึกว่าเขาจะชวนคุยเรื่องการจัดงานแต่งงานหรือการจัดการสินสมรสของเกย์เสียอีก
“พี่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย พี่จะดูแลใครได้”
“ผมก็เอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน”
“แต่พี่อู๋ดูแลก้องได้ไง” พี่สองยิ้ม “อีกอย่าง ไม่มีใครทนพี่ได้นาน”
“เหรอครับ”
“ใช่” พี่สองหันไปจ้องจอแล็ปท็อปต่อและเริ่มรัวมือบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง “พี่มีภาระมากเกินไป”
“ถึงจะเอาตัวเองไม่รอด แต่ผมว่าพี่สองสมควรได้มีความรักดีๆเหมือนคนอื่นนะครับ”
มือที่กำลังพิมพ์งานอยู่ชะงัก พี่สองมองผมผ่านเลนส์แว่นสายตาหนาเตอะด้วยแววตาประหลาดใจ
“บางทีคู่ชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ดูแลซึ่งกันและกัน”
“ก้อง”
“ครับ”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว” พี่สองยิ้มขำราวกับผมไร้เดียงสานักหนา เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ “พี่อู๋คงดีกับก้องมาก ก้องถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้เจอความรักดีๆ”
“แฟนพี่สองไม่ดีเหรอครับ”
“เขาดี” พี่สองตอบโดยไม่มองหน้าผม “ก็ดีที่สุดสำหรับการเป็นเขาแล้ว”
“ถ้าเขาเป็นคนดี เขาดีกับพี่สอง พี่สองก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ”
“มีสิ แต่มันก็ไม่ใช่ความรักที่สุขแบบสุดๆหรอก พี่มีเรื่องอื่นให้กังวลมากเกินไป จะพูดยังไงดีละ คือ — พี่ไม่ได้ตัวคนเดียวน่ะสิ”
“เหรอครับ”
“อืม บางทีคนเราก็มีข้อจำกัดที่เลี่ยงไม่ได้”
“แล้วพี่สองรักเขาไหม”
พี่สองชะงักไป ตาของเขายังจ้องหน้าจอคอมอยู่ แต่ดูเหมือนคำถามนั้นจะเป็นหมัดฮุกที่ทำเอาพี่สองต้องหยุดคิดครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมการยอมรับว่ารักใครซักคนถึงต้องใช้เวลาไตร่ตรอง ถ้ารักก็แค่พูดออกมาเลยไม่ได้เหรอ
“รักแล้วยังไง ถ้ารักแล้วมันไปต่อไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”
พี่สองหัวเราะอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การหัวเราะในความไร้เดียงสาของก้องเกียรติ เขากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง
“แต่ถ้าเราจับมือกันแน่นพอ ยังไงมันก็ต้องลงเอยด้วยดีครับ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ผมเชื่อว่าถ้าพี่สองกับแฟนหนักแน่นมากพอ ใครก็ทำอะไรพวกพี่ไม่ได้เลยแม้กระทั่งครอบครัว อย่างพ่อของผมก็เกลียดพี่อู๋เข้าไส้เหมือนกัน ด่าเขาเหมือนหมูเหมือนหมา พุ่งไปต่อยเขาจนกำเดาไหลก็เคย แต่ผมมันเด็กหัวดื้อ ผมคิดอย่างเดียวว่าผมรักพี่อู๋ ผมรักเขา ผมจะไม่ยอมให้พ่อมาสั่งว่าต้องรักใครหรือไม่รักใคร ในเมื่อผมรักพี่อู๋แล้วเขาก็รักผม เราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกเลย”
“พี่อู๋รวยไหม”
“ครับ?” ผมงุนงงกับคำถาม
“พี่อู๋รวยมากไหม”
“ก็พออยู่ได้ครับ”
“แล้วพี่อู๋ทำงานหาเงินด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อพ่อแม่ใช่ไหม”
“ครับ เขาเป็นล่ามญี่ปุ่น”
“นี่แหละคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างก้องกับพี่” พี่สองอมยิ้ม แววตาของเขาดูเศร้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ก้องมีความรักที่ดี พี่ก็ดีใจด้วย แต่อย่าบอกให้พี่ศรัทธาในความหนักแน่นอะไรเลย โลกของความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มันซับซ้อนกว่าที่ก้องคิดเยอะ”
ผมมองพี่สอง จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาดูเหมือนคนอมทุกข์มากกว่าเนิร์ดที่หมกมุ่นกับการทำงาน เรามองหน้ากันไม่กี่วินาทีก็ละสายตาออก ผมปล่อยให้พี่สองทำงานของตัวเองต่อไป ส่วนผมทอดสายตามองพี่อู๋ซึ่งกำลังยืนคุยกับพี่ติณอยู่หน้าชั้นหนังสือ
โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว
คำพูดของพี่สองดังก้องอยู่ในหู ใช่ โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว และผมคือผู้โชคดีซึ่งได้ลงเอยกับเขาในท้ายที่สุด ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่สองตรงที่เขาบอกว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีความรักที่ดี ผมคิดว่าถ้าแฟนของพี่สองหนักแน่นพอ พี่สองจะไม่ต้องกังวลอย่างนี้เลย พี่สองไม่ต้องจมอยู่กับความคิดที่ว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้แต่งงานหรือทำได้แค่มองแหวนบนนิ้วนางของผมด้วยความอิจฉา ผมอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้พี่สองแต่ก็ทำไม่ได้ ผมกำลังรอโอกาสที่เราจะได้พูดเรื่องคนรักของตัวเองอีกครั้ง แต่พี่สองกลับไม่พูดอะไร
“ไปกินข้าวด้วยกันไหมสอง” พี่อู๋เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วเอ่ยชวนพวกเราทุกคน ผมหันมองพี่สองที่ยังคงมุ่งมั่นกับการรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และคาดหวังว่าเขาจะไปทานข้าวกับเราเพื่อคุยกันมากกว่านี้ ทว่าพี่สองกลับไม่ตอบจนพี่ติณต้องโยกหัวเพื่อน
“อะไรของมึง”
“พี่อู๋ถามว่าไปกินข้าวไหม”
“อ๋อ” เขาขานรับ “วันนี้ไม่สะดวกครับ พอดีผมต้องรีบส่งงานให้ลูกค้า”
“น่าเสียดาย” พี่อู๋บ่น “เดี๋ยวพี่ซื้อข้าวแล้วฝากมากับติณนะ”
“ขอบคุณครับ”
พี่สองยิ้มและยกมือไหว้ตามมารยาท หลังจากนั้นเขาก็ทำงานต่อ พี่สองดูมีแต่งาน งาน งานให้โฟกัสจนไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวจนเราต้องยอมแพ้ ก่อนจากกันพี่อู๋พยายามอุ้มมาร์กาเร็ตอีกครั้ง คราวนี้เจ้าแมวดำหางด้วนยอมให้พี่อู๋กอดอยู่สองสามวินาทีจึงกระโดดหนี มันหายไปหลังชั้นหนังสือซึ่งอยู่ริมสุดของร้านและไม่โผล่มาอีก คุณอิศรินทร์ยกมือทาบอกด้วยความตื้นตันใจ เขาพึมพำว่ามาร์กี้ตัวนุ่มจัง นุ่มเหมือนผ้าขนหนู นุ่มเหมือนพรมเช็ดเท้า ตัวก็หอมแชมพูอ่อนๆ ก้อง พี่ว่าพี่อยากเลี้ยงแมว
“เลิกฝันครับ คอนโดเราห้ามเลี้ยงสัตว์”
ผมดับฝันคุณอิศรินทร์ที่ยืนเพ้ออยู่ข้างๆ ท่าทางเขาคงชอบแมว เขาดูชอบแมวมากกว่าหมา แต่ผมคิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงตอนนี้ ดังนั้นความคิดซื้อแมวหรือหมามาเลี้ยงจึงต้องพับเก็บลงกล่อง ผมไม่อนุญาตให้พี่อู๋เพิ่มภาระด้วยการอุปการะสิ่งมีชีวิตแน่นอน
เมื่อถึงเวลาต้องไปจริงๆ ผมจึงยกมือไหว้พี่สองและเดินตามหลังพี่อู๋ไปที่รถ พอคิดว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้คุยกับพี่สองอีก ผมก็เดินย้อนกลับเข้าไปในร้าน พี่สองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นผมเขาจึงถามว่าลืมอะไร
“พี่สองครับ”
“ว่า”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียวก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าพี่สองจะไม่เจอใครที่รักพี่ทั้งหมดของหัวใจนะครับ” พี่สองที่กำลังทำงานอยู่ถึงกับชะงัก เขาเงยหน้าจากคอมมองก้องเกียรติแบบงงๆแล้วถามว่าอะไรนะ “คือ – ผมหมายความว่า พี่สองเองก็สมควรได้รับความรักดีๆเหมือนกัน พี่สองสมควรได้เจอใครที่อยากแต่งงานและแลกแหวนกับพี่สอง ผมอาจจะโลกสวยไปหน่อย แต่ผมเชื่อจริงๆนะว่าคนใจดีอย่างพี่สองต้องได้พบใครซักคนแน่ๆ”
ผมพูดอย่างเร่งรีบเพราะต้องทำเวลา ไม่ได้คาดหวังว่าพี่สองจะซาบซึ้งน้ำตาไหลหรือขอบอกขอบใจที่พูดจารื่นหู ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถือสิทธิ์อะไรไปพูดกับพี่สองว่าเขาสมควรได้รับความรักดีๆ แต่ผมเชื่อจริงๆนะ ผมแค่อยากบอกพี่สองว่ารักแท้มันมีอยู่จริง ตอนนี้พี่สองอาจจะยังไม่เจอ แต่วันหนึ่งเขาจะได้พบกับใครซักคนที่รักเขาโดยไม่มีข้อแม้แน่ๆ
“ก้อง”
“ครับ”
“ขึ้นรถเถอะ พี่อู๋เดินมาตามแล้ว” พี่สองพยักเพยิดไปทางประตูร้าน คุณอิศรินทร์ของผมกำลังชะโงกหน้าเข้ามาพอดี เขาเรียกก้องเกียรติอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่าลืมอะไร
“กำลังไปครับ” ผมบอกพี่อู๋และรีบหันหน้ามาหาพี่สอง ตอนนั้นเองผมถึงเห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“พี่ขออวยพรให้ก้องมีความสุขกับชีวิตแต่งงานนะ”
ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับ” ผมบอกเขา “ผมขอให้พี่สองได้เจอคนนั้นเช่นกันนะครับ”
พี่สองหัวเราะแล้วโบกมือไล่ เขาก้มหน้าทำงานต่อ ส่วนผมเดินออกจากร้านหนังสือด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ผมอาจจะสาระแนเกินไปหน่อย แต่ผมอยากให้พี่สองรู้ไว้ว่าเด็กกำพร้าแม่อย่างผมหรือคนที่มีภาระเยอะอย่างพี่สอง เราต่างคู่ควรกับความรักและสมควรที่จะถูกรักโดยใครซักคนเหมือนกัน
TBC
_________________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้พบทุกคนอีกครั้งผ่านพี่อู๋และก้องเกียรตินะคะ ตอนพิเศษตอนนี้กลั่นออกมาด้วยความรู้สึกคิดถึงล้วนๆ หวังว่าจะสร้างความสุขให้คุณนักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ

ส่วนพี่จ๋าที่สนใจน้องก้องแบบรูปเล่ม ขอเรียนให้ทราบว่าน้องก้องไม่มีวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติน้า ตอนนี้มีวางจำหน่ายเฉพาะร้านหนังสือนายอินทร์เท่านั้นค่ะ ทุกคนสามารถสั่งซื้อออนไลน์:
https://www.naiin.com/product/detail/502220 หรือ walk in ไปซื้อที่สาขาหน้าร้านทั้ง 30 สาขาตามด้านล่างนี้นะคะ
- มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
- โฮมโปร จ.เลย
- โฮมโปร จ.เพชรบูรณ์
- โฮมโปร สระบุรี
- อาคาร CSSD รพ.จุฬาฯ กทม.
- โลตัส บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
- เซ็นทรัล อุบลราชธานี
- เซ็นทรัล จ.ลำปาง
- ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้นBF กทม.
- โฮมโปร บุรีรัมย์
- เซ็นทรัล อุดรธานี
- โลตัส โคราช2 จ.นครราชสีมา
- อัมพร จ.พระนครศรีอยุธยา
- ม.มหิดล พระราม6 กทม.
- เซ็นเตอร์วัน กทม.
- น้อมจิตต์ (บางกะปิ) กทม.
- โลตัส อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- โลตัส จ.สตูล
- เซ็นทรัล ขอนแก่น
- รพ.พระมงกุฏเกล้า กทม.
- ปตท.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี
- วีแสควร์ จ.นครสวรรค์
- เดอะมอลล์ โคราช ชั้น2 จ.นครราชสีมา
- บิ๊กซี ขอนแก่น
- สยามพารากอน ชั้น3 กทม.
- โฮมโปร ประชาชื่น จ.นนทบุรี
- เซ็นทรัล พระราม2 กทม.
- เอ็มโพเรียม
- เดอะมอลล์ บางกะปิ กทม.
- เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น4 จ.นนทบุรี
ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจและแรงผลักดันที่ทุกคนมอบให้เรานะคะ รู้ใช่ไหมคะว่าเราจะไม่มีวันนี้เลยหากไม่มีพวกคุณทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงที่เป็นพลังให้เราได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไว้พบกันเมื่อมีโอกาสนะคะ ขอบคุณค่ะ
Ms.Ambiguous