เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 121889 ครั้ง)

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้ำตาไหลสองรอบสำหรับตอนจบ ทำให้ย้อนไปวันที่เค้าเจอกันแรกๆ ยาวนานมากจริงๆ เรื่องราวเยอะเยะมากมาย ผูกพันกับกอริลลาก้องมาก ลุ้นกับน้องตลอด รักเรื่องนี้มากกกกก ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ ที่พากอริลลาก้องกับเสี่ยอู๋มาให้รู้จัก :กอด1: // รอเก็บหนังสือแน่นอนค่ะ!!! o13

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอบคุณคุณนักเขียนมากๆนะคะที่สร้างเรื่องราวสร้างตัวละครที่น่ารักน่าติดตามขึ้นมา
เราอ่านเรื่องนี้แล้วเรารู้สึกเหมือนเรากำลังเติบโตไปพร้อมๆกับตัวละครเลยค่ะ ได้เห็นมุมมองความคิดต่างๆของแต่ละตัวละครได้เห็นความบิดเบี้ยวที่ปลูกฝังในสังคม ประทับใจมากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยจริงๆขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมานะคะ :pig4: :L2:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ประทับใจเรื่องนี้ค่ะ ได้ข้อคิดดีๆมากมาย ได้ความสุขและความสนุกในการอ่าน ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ 末っ子

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ขอบคุณ​มากเลยค่ะ ประทับใจมากได้เปิดประสบการณ์​หรือมุมมองใหม่ๆของคนในสังคมส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญปัญหาแบบนี้เหมือนกัน เป็นนิยายที่รู้สึกว่า เอ้อ คงมีคนเจอกับอะไรแบบนี้อยู่แน่ๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนเลย คนเขียนด้วย ขอให้ผลิตผลงานดีดีออกมาอีกนะคะ ซื้อรวมเล่มแน่น่อนจ้าาา :pig2:

ออฟไลน์ keekytobe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew1:เป็นนิยาย ที่ครบรสจริงๆๆ ค่ะ
ประทับใจ ทั้งฉากเปิด เนื้อเรื่อง และฉากปิด

ภาษาที่ใช้ก็อ่านง่าย มีหลายมุม หลานตอนที่สอดแทรกสาระ และความคิดในหลายๆ แง่มุม
หลากหลายวัย หลากหลายความคิดดีค่ะ

ชอบมากๆ นะคะ

ขอบคุณที่เขียนงานดีๆ ให้อ่านค่ะ





ออฟไลน์ Sriwanan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณมากครับ สนุกมาก อ่านจบแล้วทั้งคืน  :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
นิยายดราม่าแห่งปีเลย

ออฟไลน์ allmysecret

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราชอบพล็อตเรื่องค่ะแปลกใหม่ดี แตที่ชอบมากๆคือภาษาและการบรรยาย ประทับใจมาก นี่เป็นนิยายขึ้นหิ้งเราอีกเรื่องหนึ่ง รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ BlueBunny

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นเรื่องแรกที่อ่านจบหลังจากที่ไม่ได้เข้ามานาน

เรื่องนี้บทดีมาก สงสัยจังว่าทำไมไรท์เข้าใจบริบทเมดเลิฟดีมาก รวมถึงทุกรายละเอียดในเรื่องนี้

จบแต่ยังค้างคาอยู่หน่อยๆ ว่าพี่อู๋โกรธมากแต่ไหน เรื่องรักเพราะเงินไม่ได้ขยายความออกมาเคลียร์กันมากเท่าไร
ทดแทนด้วยอารมณ์นั้นด้วยเค้กวันเกิดหนึ่งก้อน และฉากในรถสุดร้อนแรง //แอบคิดด้วยง่าพี่อู๋มาเอาคืน แต่ก็ผิดคาด
ไม่ได้มีการอธิบายอะไรไปมากกว่าความไม่มั่นใจที่จู่โจมเข้า คิดภาพว่าวินาทีที่ได้ยินคำพูดของก้องคงโกรธตัวสั่น กัดกรามแน่น เผลอๆ อาจจะร้องไห้ด้วย

อีกอย่างที่ชื่นชมมากคือ การเอาเรื่องของผู้มีอาการป่วยมาเป็นตัวละครหลัก ทำให้ได้เห็นหลายๆ แง่มุม ที่สำคัญมากกว่าแค่ส่งกำลังใจคือการกระทำที่ชัดเจนด้วย และโรคซึมเศร้าอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ (ยกมือด้วยหนึ่งคน ได้ทบทวนตัวเอง ได้เข้าใจและคิดว่าจะไปหาหมอเหมือนกัน)

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ รออุดหนุนเมื่อวางจำหน่ายนะครับ หวังเล็กๆ ว่าจะมีส่วนขยายเพิ่มเติมที่ไม่มีในนี้
ขอบคุณครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณนักเขียนมากๆ ที่สร้างสรรค์เรื่องนี้มาก เรามีความสุขมากที่เราได้รู้จักกอริลลาก้องและพี่อู๋ เรารู้สึกผูกพันไปกับพวกเรามากจริงๆ เราอ่านเรื่องนี้รวดเดียวจนไม่หลับไม่นอนเพราะเราอยากอ่านเรื่องของก้องไปเรื่อยๆ เราชอบความเป็นน้องก้อง และความเป็นพี่อู๋ใส่ใจและดูแลกอริลลาก้องตลอด ชอบตอนไปอยู่ใต้ เหมือนพวกเค้ากำลังใช้ชีวิต เราไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง แต่เราเก็บไปฝัน เรานอนไม่หลับ เหมือนยังติดเรื่องนี้อยู่ ยังอยากอ่านเรื่องราวของกอริลลาก้องและพี่อู๋ ขอบคุณมากจริงๆที่สร้างสรรค์เรื่องดีๆขึ้นมา เราเพิ่มเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องโปรดเราเลย รักก้องและพี่อู๋นะ ขอบคุณ :กอด1:

ออฟไลน์ kukkukku

  • สบายๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ บอกเลยว่าสนุกมากๆๆๆค่ะ เราไม่รู้จะบรรยายยาวๆยังไง แต่เรื่องนี้มีครบทุกรสเลยค่ะ ภาษาที่คุณใช้เขียนก็ดีมาก ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดีๆแบบนี้ออกมานะคะ  :L1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
เดือนตุลาคมในปีโรคระบาด ผมกับเขายังคงอยู่ด้วยกันที่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด
[/b]

* ไทม์ไลน์ตอนพิเศษนี้ไม่ตรงกับไทม์ไลน์เส้นเรื่องหลัก เป็นเพื่องตอนพิเศษแก้คิดถึงเท่านั้นค่ะ
** เหตุการณ์ที่ปรากฏในเรื่องนี้จะไม่ปรากฏในเรื่อง Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก เป็นเพียงเหตุการณ์พิเศษที่เราอยากให้พวกเขามาเจอกันเท่านั้นค่ะ
*** ตอนพิเศษนี้เป็นเพียง part แรก part สองอาจจะตามมาแต่ไม่ใช่เร็วๆนี้นะคะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ


ช่วงนี้มีซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งกำลังเป็นกระแส ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร ได้ยินมาว่าตัวเอกชื่อพักแซรอย

พักแซรอยคือใคร มาจากเรื่องอะไร นักแสดงตัวจริงชื่ออะไร ผมคงตอบเหมือนนายประวิตรว่าไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้เลย เดาเอาว่าเนื้อเรื่องคงสนุกมากหรือไม่นักแสดงก็หน้าตาดีมากจนทุกคนต้องพูดถึง ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าทรงผมของพักแซรอยเป็นที่นิยมมาก มากถึงขนาดที่ว่าร้านตัดผมผู้ชายจะต้องมีรูปผมหน้าม้าเต่อของแซรอยแปะอยู่บนผนัง ทรงผมของแซรอยไม่ใช่ทรงที่ผมชอบเท่าไหร่ มันทั้งสั้นเต่อเหมือนเด็กหญิงหมูฉึกฉึกจากโฆษณาผงปรุงรสและเกรียนติดหนังหัวจนเกินไป ดังนั้นผมจึงไม่สนใจทรงแซรอยที่ผู้ชายหลายคนในประเทศไทยเริ่มแห่กันไปตัด ผมไม่สนใจเลยจนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง พี่อู๋กลับบ้านพร้อมกับทรงผมยอดนิยมอย่างพักแซรอย

“มองอะไร จำผัวตัวเองไม่ได้หรือไง” พี่อู๋พูดเซ็งๆเมื่อเห็นผมอ้าปากค้างนานไปหน่อย เขาถอดรองเท้า วางกระเป๋า ถอดเน็กไทที่รัดรอบคอออกเสร็จเรียบร้อย แต่ก้องเกียรติก็ยังคงนั่งปากหวอมองแฟนของตัวเองอยู่อย่างนั้น
“พี่อู๋นึกยังไงถึงตัดทรงนี้”
“ช่างบอกว่ามันฮิต”
“ใช่ แต่ --” ผมตั้งใจจะพูดแต่หลุดหัวเราะเสียก่อน
“ขำเหรอ มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าครับ แค่ --” ผมอยากหยุดหัวเราะแต่ทำไม่ได้ คุณจะให้ผมหยุดหัวเราะได้ยังไงก็ดูพี่อู๋สิ! เมื่อเช้าเขายังผมฟูยุ่งออกไปทำงานอยู่เลย แล้วดูตอนนี้ ดูเขาสิ! คุณอิศรินทร์รูปหล่อของก้องเกียรติกลายเป็นอู๋จังโดยสมบูรณ์แล้ว
“อยู่ไม่ได้แล้วกู”
“ผมไม่ได้หัวเราะเพราะมันตลก!” ผมรีบวิ่งเดินเข้าไปหาพี่อู๋ เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดขณะที่เรายืนหันหน้าเข้าหากัน ให้ตายเถอะ พี่อู๋ – เขาดูเหมือนวัยรุ่นแถวสยามมากกว่าล่ามคนเก่งของบริษัทเสียอีก “ผมว่าน่ารักดี”
“เลิกปลอม”
 ผมรีบยั้งปากตัวเองไม่ให้โพล่งออกไปว่าอีควาย!
“ใครมันทำให้สุดหล่อของผมเสียความมั่นใจ” ผมยกมือประคองแก้มเขา โอ๋ น่ารักจัง น่ารักจัง พี่อู๋ดูเด็กลงตั้งหลายปีเพราะม้าเต่อแบบพักแซรอย “เหมือนได้ผัวใหม่เลย”
“ไม่คุยด้วยแล้ว”

พี่อู๋งอน เขาถอดเสื้อผ้าและเดินล่อนจ้อนไปอาบน้ำ ปล่อยให้ผมยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวหน้าประตูห้อง ผมรู้ว่าคุณอิศรินทร์โกรธไม่นานหรอก เขาอาจจะงอนที่ผมไม่ว้าวกับลุคใหม่แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นออกจะตื้นเขินไปหน่อย พี่อู๋เสียความมั่นใจกับผมทรงนี้มากๆ มากจนเขาเผลอมองกระจกด้วยความกังวลอยู่หลายครั้ง บางทีก็เปิดกล้องหน้าโทรศัพท์แล้วหันซ้ายหันขวา ยิ่งวันไหนออกไปพบลูกค้าเขาจะแต่งตัวเนี๊ยบผิดหูผิดตา ราวกับว่าเสื้อผ้าและองค์ประกอบอื่นๆสามารถทำให้ทุกคนมองข้ามทรงผมพักแซรอยของคุณล่ามได้ ผมเฝ้ามองความไม่สบายใจของแฟนอยู่สองสามวันจนเริ่มทนไม่ไหว เช้าวันหนึ่งขณะที่พี่อู๋กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ผมก็เดินไปสวมกอดเขาจากด้านหลังและเอ่ยปากชมว่า

“อู๋จังหล่อจังเลย” ผมยิ้มให้พี่อู๋ผ่านกระจก คุณอิศรินทร์ที่หน้าบึ้งตั้งแต่ตื่นนอนหลุดยิ้มแล้วแกล้งตีหน้าขรึมต่อ “พี่อู๋ไม่ชอบผมทรงนี้เหรอ”
“มันดูตลก”
“ไม่จริง ผมว่าน่ารักจะตาย” ผมตอบพลางใช้นิ้วจิ้มแก้มของเขา “พี่อู๋หล่อมากเลย”
“เลิกแซวเสียที พี่จะไม่เชื่อใครแล้ว”
“ไม่ได้แซวเล่น ผมพูดจริงๆ พี่อู๋จะฟังคำพูดคนอื่นทำไม พี่ฟังผมสิ ผมเป็นแฟนพี่ ผมเป็นคนที่รักพี่ที่สุดนะ” ผมย้ำและประคองแก้มพี่อู๋ให้มองกระจก “พี่อู๋ตัดม้าเต่อแล้วเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยเลย ถ้าพี่สวมเชิ้ตขาวและผูกไทของผม พี่คงดูเหมือนเด็กลาดกระบัง”
“เหรอ” เขาตอบรับเขินๆ
“ใช่ พี่ดูไม่เหมือนคนอายุใกล้เลขสี่ซักนิด” พี่อู๋คลี่ยิ้มพอใจ
“ถ้าก้องชอบพี่ก็โอเค”

เขาตอบในท้ายที่สุด ผมจึงหอมแก้มพี่อู๋ เขาถึงกับเสียอาการจนปั้นหน้าไม่ถูก หลังช่วยเขาแต่งตัวเราก็ทานข้าวเช้าด้วยกันที่โต๊ะอาหาร นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามนาที ผมกับคุณอิศรินทร์นั่งทานแซนด์วิชทูน่าไข่ต้มและโกโก้ร้อนหน้าทีวี สิ่งที่ต่างไปจากเมื่อก่อนคือเราไม่ดูโทรทัศน์อีกแล้ว ผมไม่เปิดรายการข่าวเหมือนที่เคยทำและพี่อู๋ก็ไม่สนใจสื่อหลักในประเทศมาพักใหญ่ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับฉับพลัน จู่ๆพี่อู๋ก็รู้สึกว่าสื่อกระแสหลักไม่ตอบโจทย์สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ เราทั้งคู่จึงลงความเห็นกันว่าโทรทัศน์เครื่องนี้มีไว้เพื่อดูเน็ตฟลิกซ์และยูทูบน่าจะคุ้มค่ากว่า แน่นอนว่าซีรีส์หรือคลิปตลกๆในยูทูบต้องดีกว่าการดูชีวิตประจำวันของผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมอยู่แล้ว

“เย็นนี้กินอะไรดี”
“อะไรก็ได้ครับ” ผมตอบพลางใช้นิ้วเช็ดคราบโกโก้ให้เขาตรงมุมปาก “พี่อู๋อยากกินอะไรก็บอก หรือเราจะออกไปกินข้างนอกก็ได้ถ้าพี่กลับบ้านเร็ว”
“น่าจะดึกเหมือนเดิม”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสั่งกับข้าวมารอ พี่อู๋อยากกินอะไรค่อยไลน์มาบอกผมนะ”

พี่อู๋พยักหน้ายิ้มและจูบลา ก่อนเปิดประตูห้อง เขาถามอย่างไม่มั่นใจนักว่าตนเองกับทรงผมพักแซรอยเข้ากันจริงหรือไม่ ผมต้องย้ำอีกหลายครั้งว่าผมทรงนี้ทำให้พี่อู๋ดูหน้าเด็กมาก เขาดูเหมือนชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆที่กำลังย่ำเท้าหางานมากกว่าชายใกล้เลขสี่ที่มีค่าคอเรสเตอรอลในเลือดสูง พี่อู๋ดูขวยเขินก่อนจะหยิบหน้ากากอนามัยมาสวม เรากอดกันครู่หนึ่ง ผมอวยพรให้พี่อู๋ขับรถปลอดภัย จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมนั่นคือผมอยู่คนเดียวในคอนโด ไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีงานให้ทำ ไม่มีที่ให้ไป เงินส่วนตัวที่เก็บไว้ร่อยหรอจนไม่อาจซื้อของฟุ่มเฟือยได้เหมือนเดิมเพราะผมตกงานมาหลายเดือนแล้ว

หากผมรู้ว่าในอีกไม่กี่เดือนถัดมาจะมีโรคระบาด ผมคงไม่ลาออกจากบริษัทตั้งแต่แรก

หากผมรู้ หากผมรู้ ผมคงไม่ลาออก หากผมรู้ว่าการพักผ่อนเอาแรงที่คิดว่ากินเวลาไม่กี่เดือนจะยาวนานขนาดนี้ ผมคงอดทนทำงานต่อไปโดยไม่ปริปากบ่น หากผมรู้ หากผมรู้ว่าโรคระบาดจะรุนแรงถึงขั้นต้องล็อคดาวน์ ผมคงซื้อหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือตุนไว้ตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นพี่อู๋ก็คงไม่ต้องจ่ายเงินหลายพันเพื่อซื้อหน้ากากสำหรับเราสองคน

“ช่วยไม่ได้นี่นา” พี่อู๋บ่นเมื่อหน้ากากส่งมาถึงบ้าน หน้ากากกล่องละแปดร้อยบาททำเอาผมเจ็บใจจนไม่อยากหยิบมันขึ้นมาใส่ “ใช้แล้วทิ้ง อย่าใช้ซ้ำนะ”

พี่อู๋พูดอย่างนั้น แต่ผมก็แอบใส่ซ้ำอยู่ดี

ความอัดอั้นตันใจที่ต้องอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นเช่นห้างสรรพสินค้าปิด มนุษย์เงินเดือนที่เคยเบียดเสียดกันไปทำงานหายวับไปในพริบตา กรุงเทพเหมือนเมืองร้างไร้ผู้คน แต่ความขัดสนกำลังกระจายตัวเป็นวงกว้างโดยไม่ส่งเสียงไปถึงชนชั้นกลาง ผมจำได้ว่าชีวิตของเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จำได้ว่าเคยร้องไห้เพราะเครียดกับการตามข่าวโรคระบาดทุกวันเพราะมันอาจเกิดขึ้นกับเรา อาจเป็นผมหรือพี่อู๋ที่ติดเชื้อ อาจเป็นคนที่เรารักซึ่งไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศหรือคลุกคลีกับชาวต่างชาติ สิ่งที่ทำให้ผมประสาทเสียคือการคิดว่าหากมีผู้ป่วยติดเชื้อพร้อมกันหมื่นคน โรงพยาบาลคงไม่มีเตียงมากพอสำหรับรองรับชนชั้นกลางอย่างเรา

ผมจำทุกอย่างได้ดีถึงความกลัวนั้น และรู้สึกผิดทุกครั้งเมื่อเห็นหลายครอบครัวลำบากอย่างแสนสาหัส ส่วนผมกับพี่อู๋ยังพอไปต่อได้โดยไม่ต้องดิ้นรนมากนัก ทุกครั้งที่เห็นข่าวคนต่อแถวรอข้าวฟรีตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น คนขโมยของจากตู้ปันสุข หรือข่าวอื่นๆเกี่ยวกับความแร้นแค้น ผมจะทำใจอ่านไม่ได้เพราะอ่อนไหวเกินไป ถ้าขอพรได้ผมคงขอให้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แค่ผม พี่อู๋ และครอบครัวของเราเท่านั้นที่อยู่รอด แต่ผมอยากให้คนอื่นรอดเช่นเดียวกันกับเราทว่ารัฐบาลกลับทุบความหวังนั้นทิ้งด้วยการบอกว่าประเทศเรามีเงินไม่พอสำหรับเยียวยาทุกคน 

พี่อู๋ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดเท่าไหร่ เขายังคงได้รับเงินเดือนเท่าเดิม ทำงานสัปดาห์ละห้าวัน และไม่ได้ work from home พี่อู๋ออกไปทำงานโดยมีความเป็นห่วงและความกังวลของผมไล่ตามหลัง คุณไม่เข้าใจหรอกว่าผมกลัวแค่ไหนเมื่อเห็นสรุปตัวเลขจากแอคเคานท์สำนักข่าวในทวิตเตอร์ ทุกครั้งที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศ ผมเป็นกังวลจนประสาทแทบแดกเพราะกลัวพี่อู๋สัญจรไปมาระแวกเดียวกับผู้ป่วย ผมใช้ชีวิตด้วยความกลัวทุกวัน ผมไม่ได้กลัวตัวเองตาย แต่ผมกลัวพี่อู๋ตาย ความคิดนั้นทำเอาผมขวัญเสียถึงขั้นร้องไห้ตอนพี่อู๋ออกไปทำงาน ผมยืนร้องตรงประตูและขอให้เขาลาออกเพราะสถานการณ์เลวร้ายสุดขีด ผมถึงขั้นบอกเขาว่าเราหนีไปอยู่นครศรีธรรมราชกันเถอะ กลับไปอยู่บ้านแนจนกว่าโรคระบาดจะหยุดเถอะ กรุงเทพมีคนอยู่มากเกินไป ชาวต่างชาติก็เยอะเกินไป เราอาจจะติดเชื้อจากใครก็ได้ แต่พี่อู๋ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แถมวันถัดมาดันมีข่าวผู้ติดเชื้อในอำเภอที่ของย่า ทำเอาผมขวัญเสียหนักกว่าเดิมเพราะนครศรีธรรมราชที่คิดว่าห่างไกลก็ไม่ปลอดภัย

“ก้อง พี่ต้องทำงานเพราะเราต้องใช้เงิน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ พี่อู๋ยังคงเป็นคนเดิม เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและใจดีเหมือนเดิม “อีกอย่างพี่ไม่รู้อนาคต พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าลาออกแล้วจะหางานใหม่ได้ไหม”
“พี่อู๋หาได้อยู่แล้ว พี่เก่ง ใครๆก็อยากได้”
“ช่วงนี้ทุกบริษัทต้องการ save cost กันทั้งนั้น ต่อให้หาใหม่ก็คงไม่ได้เงินเดือนมากเท่านี้หรอก พี่ยังลาออกตอนนี้ไม่ได้”

พี่อู๋ปลอบไปพร้อมกับพยายามบอกให้ผมมองไกลกว่านั้น จริงอยู่ที่โรคระบาดน่ากลัว แต่การไม่มีรายได้น่ากลัวเกินกว่าที่ก้องเกียรติจะจินตนาการได้ ยิ่งตอนนี้ธุรกิจของพ่อเองก็ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร พี่อู๋จึงไม่อยากพาผมไปเสี่ยงด้วยการลาออกจากงานเพื่อหนีโรคระบาด เราพูดคุยจนเข้าใจว่าในภาวะแบบนี้เราคงทำได้แค่ป้องกันตัวเอง ที่ประตูคอนโด ผมจะวางตะกร้าผ้าแบบมีฝาปิดเอาไว้ ทุกวันหลังพี่อู๋กลับจากทำงานเขาจะล้างมือด้วยสบู่เหลวและถอดเสื้อผ้าลงตะกร้าทันที เราใช้ห้องน้ำเล็กสำหรับอาบน้ำหลังกลับจากข้างนอก ส่วนห้องนอนใหญ่เป็นเขตปลอดเชื้อที่เราจะไม่ย่างกรายเข้าไปจนกว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมกับพี่อู๋ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งเราผ่านช่วงตึงเครียดที่สุดมาได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเรื่องใหม่เข้ามา นั่นคือข่าวฉาวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และการประท้วงต่อต้านในเดือนสิงหาคม

เกือบทุกวันพี่อู๋จะไลน์ให้ผมลงไปรับของที่นิติคอนโด ส่วนใหญ่พัสดุที่มาส่งคือหนังสือ ผมรู้ว่ามันคือหนังสือเพราะตัวกล่องสกรีนคำว่า good reading สีดำเด่นชัด ช่วงนี้พี่อู๋สั่งหนังสือเยอะมาก มันไม่ใช่หนังสือปรัชญาเข้าใจยาก ไม่ใช่วรรณกรรมแปลหรืออะไรที่เขาเคยชอบอ่าน แต่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และการเมือง ผมไม่เคยถามพี่อู๋ ไม่เคยพูดว่าพี่บ้าการเมืองเกินไปหรือเปล่า พี่หมกมุ่นกับเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่าเพราะเชื่อว่าสิ่งที่พี่อู๋ให้ความสนใจไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่เคยคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังเลยซักครั้ง ซึ่งผมโอเคหากพี่อู๋จะไม่พูดหรือแสดงความเห็นให้ฟังเพราะเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ นั่นคือมีที่ว่างและระยะห่างสำหรับบางเรื่อง พี่อู๋เคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเสมอ ส่วนผมเป็นเพียงผู้ตามที่แอบอ่านแต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นคล้อยตามใดๆ พี่อู๋คงไม่หวังว่าผมจะเคลื่อนไหวหรือออกมาเรียกร้องอะไรกับใครจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาเห็นผมนอนอ่านหนังสือ 6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง ของธงชัย วินิจจะกูล พี่อู๋ก็เดินเข้ามาลูบแก้มผมไม่กี่วินาทีแล้วจากไป ผมสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจอันท่วมท้นของเขา



Part 2 ต่อด้านล่างนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
ตอนพิเศษ [PART 2]
[/b]


เดือนกันยายน พี่อู๋พาผมไปร้านหนังสือของรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัย ร้านหนังสือนั้นอยู่ตรงข้ามกับเซ็นทรัลเวสเกต ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออำเภอบางใหญ่หรือบางบัวทองกันแน่ ร้านนั้นคือร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งที่พี่อู๋เป็นลูกค้าประจำ

ผมถามพี่อู๋ว่าทำไมเราต้องมาไกลถึงที่นี่ ทำไมเขาไม่กดสั่งซื้อหรือเข้าร้านหนังสือบนห้างอย่างที่เราชอบทำบ่อยๆ พี่อู๋บอกว่าหลังจากนี้เขาจะอุดหนุนร้านหนังสืออิสระเพราะต้องการกระจายเงินให้เจ้าของธุรกิจรายย่อย นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่กินไก่ทอดหรือเบอร์เกอร์ร้านนั้นอีกแล้ว แม้แต่ไอศกรีมร้านโปรดที่ชอบนักหนาก็ไม่เคยได้เงินจากเราอีก ผมไม่ถามเหตุผลจากพี่อู๋เพราะพอจะรู้อะไรๆบ้าง และแน่นอนว่าผมสนับสนุนทุกความตั้งใจของแฟนเต็มที่ หากเขายืนยันที่จะไม่กิน ผมก็ไม่กิน

“สวัสดีค้าบ กู้ด รี้ดดิ้ง ยินดีต้อนรับค้าบ”

พนักงานคนหนึ่งเอ่ยทักทายเรา ผมส่งยิ้มตามมารยาทขณะเดินตามพี่อู๋ไปทั่วร้านหนังสือ บรรยากาศช่วงบ่ายวันเสาร์คึกครื้นไปด้วยลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงาน บางคนหอบหิ้วเอาแท็บเล็ตมาทำงานที่ร้าน บางคนจับกลุ่มคุยกันบริเวณคาเฟ่ขายเครื่องดื่ม ผมจับมือพี่อู๋หลวมๆขณะมองพวกเขาเหล่านั้น มันไม่เหมือนร้านหนังสือเสียทีเดียว มันเหมือนห้องสมุดขนาดย่อมที่ผู้คนสามารถนั่งทำงานได้ จะนำเครื่องดื่มเข้ามารับประทานก็ได้ แถมยังจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนอีกด้วย

ที่กู้ด รี้ดดิ้ง นี้เอง ผมก็ได้พบกับพี่ติณกับพี่สองที่เป็นเพื่อนร่วมเอกของคุณหมูพี และมาร์กาเร็ต แมวดำหางกุดซึ่งนั่งเฝ้าพวกเขาสองคนอยู่บนโต๊ะ มาร์กาเร็ตเป็นแมวของพี่ติณ ขนของมันสีดำสนิท ดวงตาเหลืองวาวเหมือนลูกแก้ว หูตั้งตลอดเวลาและระมัดระวังตัวนักหนา พี่อู๋ตื่นเต้นเมื่อได้เจอมาร์กาเร็ตซึ่งเป็นมาสค็อตของกู้ด รี้ดดิ้ง เขาถือวิสาสะเรียกแมวหางด้วนตัวนั้นว่ามาร์กี้

พี่อู๋ดูชอบแมวมากกว่าหมา เขาเริ่มจากลูบหัวมัน เกาคาง และร้องเรียกแม้ว แม้ว แม้วแต่มาร์กาเร็ตไม่สนใจ มันเบี่ยงหน้าหลบปลายนิ้วของพี่อู๋แล้วเดินนวยนาดกลับไปหาพี่ติณ หางสั้นกุดของมันขยับเล็กน้อย ใบหน้ายโสโอหังของเจ้าแมวแทบไม่เหลียวแลเรา และเมื่อเขาส่งเสียงเรียกมาร์กาเร็ต! มาร์กาเร็ต! อีกครั้ง มันก็ทำเพียงแค่ชายตามองอย่างถือตัว

“หรือต้องเรียกนามสกุลด้วย” พี่อู๋พูดติดตลก “มาร์กาเร็ตนามสกุลอะไรเหรอติณ”
“ทองหล่อ” พี่ติณตอบแล้วหัวเราะ “มันชื่อมาร์กาเร็ต ทองหล่อเพราะมาจากโรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อ”
“พี่อยากอุ้มมัน”
“อุ้มได้ครับ ถ้ามันยอมนะ”

พี่ติณเชิญชวนด้วยการช้อนตัวมาร์กาเร็ตให้พี่อู๋ คุณอิศรินทร์ประคับประคองเจ้ามาร์กี้อย่างระมัดระวังและเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด แต่ไม่ทันจะได้อิงแอบหรือหอมหัว มันก็กระโดดออกจากอกเขาแล้วเดินหนีไปทางพี่สองแทน มาร์กาเร็ตล้มตัวลงนอนข้างแขนของพี่สอง ตาของมันจ้องเขม็งมาที่เราด้วยความสนใจใคร่รู้แต่ไม่ยอมเข้าใกล้ มันคงสงสัยว่าพักแซรอยจะยุ่งย่ามอะไรกับมันนักหนา

“ไม่รักดีเหมือนมึงเลยสอง”
“ไม่รักดีพ่อมึงสิ”

พี่ติณหัวเราะลั่น เขาเป็นผู้ชายสบายๆที่ชอบนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้และพูดจาเฮฮา ส่วนพี่สองเป็นผู้ชายใส่แว่นเนิร์ดๆที่นั่งหลังโก่งพิมพ์งานอยู่ข้างพี่ติณ เวลาคุยกันเขาแทบไม่เงยหน้าจากแล็ปท็อปเลย เขามีเรื่องวุ่นวายให้ทำตลอดจนเมินเฉยการปรากฎตัวของเรา ตอนที่เจอพวกเขา ผมนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน แต่พี่อู๋บอกว่าพี่ติณณภพต่างหากที่เป็นเจ้าของร้าน

“พี่ดูไม่มีออร่าเจ้าของธุรกิจขนาดนั้นเลยเหรอ”

พี่ติณพูดแกมหยอกแล้วหัวเราะ ผมต้องรีบแก้ตัวว่าเปล่าครับ เปล่าเลย ผมเห็นใครๆก็เดินมาหาพี่สอง ของขาดก็เรียกพี่สอง สำนักพิมพ์มาส่งหนังสือก็เรียกพี่สอง ผมเลยนึกว่าพี่สองคือเจ้าของร้าน พวกเรานั่งคุยกันที่โต๊ะอยู่พักใหญ่ราวกับเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่จริงๆพวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน พี่อู๋เพิ่งจะรู้จักพี่ติณไม่นานมานี้ผ่านบทความบนอินเทอร์เน็ต พอเราแวะเวียนมาอุดหนุนหน้าร้านพวกเขาก็จำได้ทันทีว่าคนนี้คือพี่อู๋ พี่อู๋แฟนเก่าคุณหมูพี ใช่ คุณหมูพีคนนั้นแหละ คุณหมูพีที่ไปได้ดีกับรักครั้งใหม่ ผมดีใจที่เขามูฟออนจากพี่อู๋ได้ในท้ายที่สุด

“เออติณ ช่วงนี้หนังสือหมวดไหนขายดีที่สุดวะ”
“การเมืองสิพี่อู๋ ขายดีขึ้นเยอะมาก เติมสต็อกไม่หยุด” พี่ติณยิ้มกว้าง “แต่หมวดอื่นก็ขายได้นะ เรื่อยๆแหละ แค่ช่วงนี้การเมืองขายดีกว่าปกติ”

ผมนั่งฟังพี่อู๋กับพี่ติณคุยกัน ส่วนพี่สองไม่ยุ่งกับใครเพราะเอาแต่จ้องหน้าคอมตาไม่กระพริบ ผมนึกสงสัยว่าเขากำลังหมกมุ่นกับอะไรเพราะคิ้วของพี่สองขมวดมุ่น เขาเม้มปากเป็นพักๆขณะที่รัวมือลงบนแป้นคีย์บอร์ด ดูเคร่งเครียดเหมือนกำลังพิมพ์ด่าใครซักคนอยู่ พอรู้ว่าถูกมอง พี่สองก็เงยหน้าขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ” ผมสะดุ้ง รู้สึกอายที่เผลอมองพี่สองจนถูกจับได้ “ผมเห็นพี่สองพิมพ์เร็วมาก”
“อ๋อ --” เขาขานในลำคอ “ธรรมดาน่ะ”

แล้วพี่สองก็เงียบไปอีก เขาดูเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยคุย มีเงยหน้าตอบพี่ติณกับพี่อู๋บ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่สายตาของพี่สองจะจับจ้องหน้าจอมากกว่า ผมนั่งฟังคุณอิศรินทร์พูดคุยกับรุ่นน้องอย่างออกรส ทั้งเรื่องทำธุรกิจร้านหนังสือ พอดแคสต์ การลงทุน การซื้อบ้าน งานประจำ เงินออม สารพัดเรื่องที่คนมีเงินคุยกัน ส่วนผมเอาแต่แอบมองพี่สองทำงานจนกระทั่งพวกเขาชวนกันเดินทัวร์รอบร้าน

“ผมนั่งรอตรงนี้นะครับ”

ผมบอกพี่อู๋ คุณอิศรินทร์พยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินจากไปพร้อมพี่ติณ ปล่อยให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะกับเพื่อนของเขาซึ่งเอาแต่นั่งทำงานไม่พูดไม่จา เมื่อพวกเขาหายไปซักพัก พี่สองก็หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความก่อนจะวางลงที่เดิม และตวัดตามองผมซึ่งแอบมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“เราคือเด็กคนนั้นที่พี่อู๋เก็บมาเลี้ยงเหรอ”
“ครับ”

ผมตอบ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขารู้ว่าผมกับพี่อู๋ลงเอยกันได้ยังไง ก็เรามีคุณหมูพีอยู่ทั้งคน ผมว่าเผลอๆเพื่อนทั้งวิทยาเขตคงรู้กันหมดแล้วว่าพี่อู๋เก็บลิงแถวจรัญสนิทวงศ์มาเลี้ยง

“แต่งงานกันแล้วเหรอ” พี่สองปรายตามองมือซ้ายของผม บนนิ้วนางมีแหวนแพลทินัมสวมอยู่
“อ๋อ ยังครับ หมั้นไว้เฉยๆ” ผมตอบพลางขยับแหวน “ถ้าไม่ติดโควิดก็อาจจะแต่งปลายปีนี้”
“ไม่ต่างกันนักหรอก”
“ครับ?”
“จะแต่งหรือแค่หมั้นไว้เฉยๆก็ไม่ต่างกัน” พี่สองอธิบายเพิ่ม “งานแต่งงานของเกย์เป็นแค่สัญลักษณ์แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย พี่ว่าจะหมั้นหรือแต่งก็ไม่สำคัญ”
“ครับ”

ผมขานตอบ รู้สึกบทสนทนาเริ่มกร่อยอย่างไรชอบกลเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้ พี่สองคงจับสีหน้าของผมได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“แต่ยังไงเราก็อยากแต่งใช่ไหม”
“ครับ ผมกับพี่อู๋อยากแต่งงาน”
“จะจัดงานหรือเปล่า”
“คงเป็นงานเล็กๆในครอบครัวครับ”
“เหรอ” พี่สองพึมพำพร้อมกับพยักหน้า “วางแผนชีวิตแต่งงานยังไงล่ะ”
“ยังไม่ได้วางอะไรเลยครับ ตอนนี้ผมตกงาน”
“เข้าใจได้ ไม่ต้องรีบหรือกดดันหรอก ของแบบนี้บทจะมาก็มาเอาดื้อๆ เขาเรียกว่าอะไรนะ จังหวะชีวิตใช่ไหม บางทีเราก็ต้องรอไปก่อนเดี๋ยวสิ่งดีๆจะเข้ามาเอง”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้ยินพี่สองให้กำลังใจ เขาไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ห่วยแตกอย่างที่คิด เขาแค่เป็นคนพูดน้อยแต่พูดจาเข้าหู
“พี่เห็นแหวนเราแล้วก็คิดถึงตัวเอง”
“ยังไงครับ”
“พี่เป็นเกย์” พี่สองเล่าด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
“พี่สองแต่งงานหรือยังครับ”
“คงไม่มีวันนั้นหรอก”
“เหรอครับ” ผมขานตอบเสียงอ่อน นึกว่าเขาจะชวนคุยเรื่องการจัดงานแต่งงานหรือการจัดการสินสมรสของเกย์เสียอีก
“พี่ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย พี่จะดูแลใครได้”
“ผมก็เอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน”
“แต่พี่อู๋ดูแลก้องได้ไง” พี่สองยิ้ม “อีกอย่าง ไม่มีใครทนพี่ได้นาน”
“เหรอครับ”
“ใช่” พี่สองหันไปจ้องจอแล็ปท็อปต่อและเริ่มรัวมือบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง “พี่มีภาระมากเกินไป”
“ถึงจะเอาตัวเองไม่รอด แต่ผมว่าพี่สองสมควรได้มีความรักดีๆเหมือนคนอื่นนะครับ”

มือที่กำลังพิมพ์งานอยู่ชะงัก พี่สองมองผมผ่านเลนส์แว่นสายตาหนาเตอะด้วยแววตาประหลาดใจ

“บางทีคู่ชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ดูแลซึ่งกันและกัน”
“ก้อง”
“ครับ”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว” พี่สองยิ้มขำราวกับผมไร้เดียงสานักหนา เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ “พี่อู๋คงดีกับก้องมาก ก้องถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้เจอความรักดีๆ”
“แฟนพี่สองไม่ดีเหรอครับ”
“เขาดี” พี่สองตอบโดยไม่มองหน้าผม “ก็ดีที่สุดสำหรับการเป็นเขาแล้ว”
“ถ้าเขาเป็นคนดี เขาดีกับพี่สอง พี่สองก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ”
“มีสิ แต่มันก็ไม่ใช่ความรักที่สุขแบบสุดๆหรอก พี่มีเรื่องอื่นให้กังวลมากเกินไป จะพูดยังไงดีละ คือ —  พี่ไม่ได้ตัวคนเดียวน่ะสิ”
“เหรอครับ”
“อืม บางทีคนเราก็มีข้อจำกัดที่เลี่ยงไม่ได้”
“แล้วพี่สองรักเขาไหม”

พี่สองชะงักไป ตาของเขายังจ้องหน้าจอคอมอยู่ แต่ดูเหมือนคำถามนั้นจะเป็นหมัดฮุกที่ทำเอาพี่สองต้องหยุดคิดครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมการยอมรับว่ารักใครซักคนถึงต้องใช้เวลาไตร่ตรอง ถ้ารักก็แค่พูดออกมาเลยไม่ได้เหรอ

“รักแล้วยังไง ถ้ารักแล้วมันไปต่อไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”

พี่สองหัวเราะอีกครั้ง แต่ไม่ใช่การหัวเราะในความไร้เดียงสาของก้องเกียรติ เขากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง

“แต่ถ้าเราจับมือกันแน่นพอ ยังไงมันก็ต้องลงเอยด้วยดีครับ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ผมเชื่อว่าถ้าพี่สองกับแฟนหนักแน่นมากพอ ใครก็ทำอะไรพวกพี่ไม่ได้เลยแม้กระทั่งครอบครัว อย่างพ่อของผมก็เกลียดพี่อู๋เข้าไส้เหมือนกัน ด่าเขาเหมือนหมูเหมือนหมา พุ่งไปต่อยเขาจนกำเดาไหลก็เคย แต่ผมมันเด็กหัวดื้อ ผมคิดอย่างเดียวว่าผมรักพี่อู๋ ผมรักเขา ผมจะไม่ยอมให้พ่อมาสั่งว่าต้องรักใครหรือไม่รักใคร ในเมื่อผมรักพี่อู๋แล้วเขาก็รักผม เราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกเลย”
“พี่อู๋รวยไหม”
“ครับ?” ผมงุนงงกับคำถาม
“พี่อู๋รวยมากไหม”
“ก็พออยู่ได้ครับ”
“แล้วพี่อู๋ทำงานหาเงินด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อพ่อแม่ใช่ไหม”
“ครับ เขาเป็นล่ามญี่ปุ่น”
“นี่แหละคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างก้องกับพี่” พี่สองอมยิ้ม แววตาของเขาดูเศร้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ก้องมีความรักที่ดี พี่ก็ดีใจด้วย แต่อย่าบอกให้พี่ศรัทธาในความหนักแน่นอะไรเลย โลกของความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มันซับซ้อนกว่าที่ก้องคิดเยอะ”

ผมมองพี่สอง จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาดูเหมือนคนอมทุกข์มากกว่าเนิร์ดที่หมกมุ่นกับการทำงาน เรามองหน้ากันไม่กี่วินาทีก็ละสายตาออก ผมปล่อยให้พี่สองทำงานของตัวเองต่อไป ส่วนผมทอดสายตามองพี่อู๋ซึ่งกำลังยืนคุยกับพี่ติณอยู่หน้าชั้นหนังสือ

โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว

คำพูดของพี่สองดังก้องอยู่ในหู ใช่ โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียว และผมคือผู้โชคดีซึ่งได้ลงเอยกับเขาในท้ายที่สุด ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพี่สองตรงที่เขาบอกว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีความรักที่ดี ผมคิดว่าถ้าแฟนของพี่สองหนักแน่นพอ พี่สองจะไม่ต้องกังวลอย่างนี้เลย พี่สองไม่ต้องจมอยู่กับความคิดที่ว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้แต่งงานหรือทำได้แค่มองแหวนบนนิ้วนางของผมด้วยความอิจฉา ผมอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นกำลังใจให้พี่สองแต่ก็ทำไม่ได้ ผมกำลังรอโอกาสที่เราจะได้พูดเรื่องคนรักของตัวเองอีกครั้ง แต่พี่สองกลับไม่พูดอะไร

“ไปกินข้าวด้วยกันไหมสอง” พี่อู๋เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วเอ่ยชวนพวกเราทุกคน ผมหันมองพี่สองที่ยังคงมุ่งมั่นกับการรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และคาดหวังว่าเขาจะไปทานข้าวกับเราเพื่อคุยกันมากกว่านี้ ทว่าพี่สองกลับไม่ตอบจนพี่ติณต้องโยกหัวเพื่อน
“อะไรของมึง”
“พี่อู๋ถามว่าไปกินข้าวไหม”
“อ๋อ” เขาขานรับ “วันนี้ไม่สะดวกครับ พอดีผมต้องรีบส่งงานให้ลูกค้า”
“น่าเสียดาย” พี่อู๋บ่น “เดี๋ยวพี่ซื้อข้าวแล้วฝากมากับติณนะ”
“ขอบคุณครับ”

พี่สองยิ้มและยกมือไหว้ตามมารยาท หลังจากนั้นเขาก็ทำงานต่อ พี่สองดูมีแต่งาน งาน งานให้โฟกัสจนไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวจนเราต้องยอมแพ้ ก่อนจากกันพี่อู๋พยายามอุ้มมาร์กาเร็ตอีกครั้ง คราวนี้เจ้าแมวดำหางด้วนยอมให้พี่อู๋กอดอยู่สองสามวินาทีจึงกระโดดหนี มันหายไปหลังชั้นหนังสือซึ่งอยู่ริมสุดของร้านและไม่โผล่มาอีก คุณอิศรินทร์ยกมือทาบอกด้วยความตื้นตันใจ เขาพึมพำว่ามาร์กี้ตัวนุ่มจัง นุ่มเหมือนผ้าขนหนู นุ่มเหมือนพรมเช็ดเท้า ตัวก็หอมแชมพูอ่อนๆ ก้อง พี่ว่าพี่อยากเลี้ยงแมว

“เลิกฝันครับ คอนโดเราห้ามเลี้ยงสัตว์”

ผมดับฝันคุณอิศรินทร์ที่ยืนเพ้ออยู่ข้างๆ ท่าทางเขาคงชอบแมว เขาดูชอบแมวมากกว่าหมา แต่ผมคิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงตอนนี้ ดังนั้นความคิดซื้อแมวหรือหมามาเลี้ยงจึงต้องพับเก็บลงกล่อง ผมไม่อนุญาตให้พี่อู๋เพิ่มภาระด้วยการอุปการะสิ่งมีชีวิตแน่นอน

เมื่อถึงเวลาต้องไปจริงๆ ผมจึงยกมือไหว้พี่สองและเดินตามหลังพี่อู๋ไปที่รถ พอคิดว่าหลังจากนี้อาจจะไม่ได้คุยกับพี่สองอีก ผมก็เดินย้อนกลับเข้าไปในร้าน พี่สองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นผมเขาจึงถามว่าลืมอะไร

“พี่สองครับ”
“ว่า”
“โลกนี้มีพี่อู๋แค่คนเดียวก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าพี่สองจะไม่เจอใครที่รักพี่ทั้งหมดของหัวใจนะครับ” พี่สองที่กำลังทำงานอยู่ถึงกับชะงัก เขาเงยหน้าจากคอมมองก้องเกียรติแบบงงๆแล้วถามว่าอะไรนะ “คือ – ผมหมายความว่า พี่สองเองก็สมควรได้รับความรักดีๆเหมือนกัน พี่สองสมควรได้เจอใครที่อยากแต่งงานและแลกแหวนกับพี่สอง ผมอาจจะโลกสวยไปหน่อย แต่ผมเชื่อจริงๆนะว่าคนใจดีอย่างพี่สองต้องได้พบใครซักคนแน่ๆ”

ผมพูดอย่างเร่งรีบเพราะต้องทำเวลา ไม่ได้คาดหวังว่าพี่สองจะซาบซึ้งน้ำตาไหลหรือขอบอกขอบใจที่พูดจารื่นหู ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถือสิทธิ์อะไรไปพูดกับพี่สองว่าเขาสมควรได้รับความรักดีๆ แต่ผมเชื่อจริงๆนะ ผมแค่อยากบอกพี่สองว่ารักแท้มันมีอยู่จริง ตอนนี้พี่สองอาจจะยังไม่เจอ แต่วันหนึ่งเขาจะได้พบกับใครซักคนที่รักเขาโดยไม่มีข้อแม้แน่ๆ

“ก้อง”
“ครับ”
“ขึ้นรถเถอะ พี่อู๋เดินมาตามแล้ว” พี่สองพยักเพยิดไปทางประตูร้าน คุณอิศรินทร์ของผมกำลังชะโงกหน้าเข้ามาพอดี เขาเรียกก้องเกียรติอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่าลืมอะไร
“กำลังไปครับ” ผมบอกพี่อู๋และรีบหันหน้ามาหาพี่สอง ตอนนั้นเองผมถึงเห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“พี่ขออวยพรให้ก้องมีความสุขกับชีวิตแต่งงานนะ”
ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับ” ผมบอกเขา “ผมขอให้พี่สองได้เจอคนนั้นเช่นกันนะครับ”

พี่สองหัวเราะแล้วโบกมือไล่ เขาก้มหน้าทำงานต่อ ส่วนผมเดินออกจากร้านหนังสือด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ผมอาจจะสาระแนเกินไปหน่อย แต่ผมอยากให้พี่สองรู้ไว้ว่าเด็กกำพร้าแม่อย่างผมหรือคนที่มีภาระเยอะอย่างพี่สอง เราต่างคู่ควรกับความรักและสมควรที่จะถูกรักโดยใครซักคนเหมือนกัน



TBC


_________________________


#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้พบทุกคนอีกครั้งผ่านพี่อู๋และก้องเกียรตินะคะ ตอนพิเศษตอนนี้กลั่นออกมาด้วยความรู้สึกคิดถึงล้วนๆ หวังว่าจะสร้างความสุขให้คุณนักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ :D

ส่วนพี่จ๋าที่สนใจน้องก้องแบบรูปเล่ม ขอเรียนให้ทราบว่าน้องก้องไม่มีวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติน้า ตอนนี้มีวางจำหน่ายเฉพาะร้านหนังสือนายอินทร์เท่านั้นค่ะ ทุกคนสามารถสั่งซื้อออนไลน์: https://www.naiin.com/product/detail/502220 หรือ walk in ไปซื้อที่สาขาหน้าร้านทั้ง 30 สาขาตามด้านล่างนี้นะคะ

- มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ
- โฮมโปร จ.เลย
- โฮมโปร จ.เพชรบูรณ์
- โฮมโปร สระบุรี
- อาคาร CSSD รพ.จุฬาฯ กทม.
- โลตัส บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
- เซ็นทรัล อุบลราชธานี
- เซ็นทรัล จ.ลำปาง
- ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ชั้นBF กทม.
- โฮมโปร บุรีรัมย์
- เซ็นทรัล อุดรธานี
- โลตัส โคราช2 จ.นครราชสีมา
- อัมพร จ.พระนครศรีอยุธยา
- ม.มหิดล พระราม6 กทม.
- เซ็นเตอร์วัน กทม.
- น้อมจิตต์ (บางกะปิ) กทม.
- โลตัส อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- โลตัส จ.สตูล
- เซ็นทรัล ขอนแก่น
- รพ.พระมงกุฏเกล้า กทม.
- ปตท.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี
- วีแสควร์ จ.นครสวรรค์
- เดอะมอลล์ โคราช ชั้น2 จ.นครราชสีมา
- บิ๊กซี ขอนแก่น
- สยามพารากอน ชั้น3 กทม.
- โฮมโปร ประชาชื่น จ.นนทบุรี
- เซ็นทรัล พระราม2 กทม.
- เอ็มโพเรียม
- เดอะมอลล์ บางกะปิ กทม.
- เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น4 จ.นนทบุรี

ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจและแรงผลักดันที่ทุกคนมอบให้เรานะคะ รู้ใช่ไหมคะว่าเราจะไม่มีวันนี้เลยหากไม่มีพวกคุณทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงที่เป็นพลังให้เราได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไว้พบกันเมื่อมีโอกาสนะคะ ขอบคุณค่ะ

Ms.Ambiguous

ออฟไลน์ kukkuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทีมอ่านปี 2023 ครับ 5555555
เพิ่งได้มีโอกาสรู้จักเรื่องนี้ น่ารักมากกกก ดราม่ามากเช่นกัน
ตอนนี้ตามหาหนังสือไม่ได้เลย อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกมาก พี่ๆน้องๆคนไหนทราบว่ามีขายที่ไหนอัพเดทกันบ้างนะครับ
รักพี่อู๋น้องก้องมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทั้งลุ้น เครียด สุข ครบรสจริงๆ อินมากครับ

ออฟไลน์ Bs_sai69

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด