เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 122281 ครั้ง)

ออฟไลน์ Bernini

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

อ้าวพี่อู๋ ตกลงคิดไม่ซื่อจริงๆด้วย!!! แล้วยังไงเรื่องอาการป่วย จะทำไงต่อล่ะคะ

เรื่องนี้เขียนมิติตัวละครได้ดีมากค่ะ การดำเนินเรื่องก็ดี ทุกคนมีพัฒนาการหมด ค่อยๆทำให้คนอ่านรู้จักตัวละครอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้จะเล่าผ่านแค่มุมมองของก้องก็สามารถรับรู้บรรยกาศของเรื่องได้ รอติดตามนะคะ

แล้วติดใจมากค่ะ ทำไมต้องพีกรีดข้อมือถึงทิ้งก้องไว้ เป็นอย่างที่ก้องคิดใช้ไหมว่าไม่สำคัญ มันติดใจเราะในสถานการณ์นั้นอู๋ไม่ได้นึกถึงก้องเลย แล้วทำท่าเหมือนจะบอกว่าชอบก้อง แต่ตัวเองให้ความรู้สึกกับก้องแค่ไหน ทั้งๆที่ก็เห็นว่าพียังสำคัญ

ถ้าก้องตกลงคบกับอู๋ง่ายๆจะไม่แฟร์เลยค่ะ หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ตอนนี้สามารถคือตัวเอกเลย โกอู๋เป็นยิ่งกว่ากยศนี่ดูจะเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย เป็นทุกอย่างที่กอลิล่าก้องต้องการ

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวพี่อู๋แหะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
22 [PART1]

พี่อู๋รวย ผมรู้ ครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะ ผมรู้ แต่การเอ่ยปากยืมเงินเขาเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

ผมอยู่ภาคใต้มาสองวันแล้ว เป็นการอยู่บ้านที่ไม่ต่างจากอยู่ลาดพร้าวเพราะสุดท้ายเราก็ตัวติดกันแค่สองคนอยู่ดี ญาติคนอื่นๆกระจัดกระจายไปตามห้องต่างๆ คุณแม่นั่งร้อยลูกปัดเป็นของขวัญปีใหม่ในห้องนั่งเล่น ปะป๊านอนดูรายการข่าวจนหมดวัน ป้าอ้อยทำงานบ้านซ้ำๆซากๆ แกขยันทำความสะอาดมากกว่าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวยกนั่นยกนี่ เดี๋ยวซักผ้า ซักเครื่องนอนให้คนในบ้าน

ส่วนแน --

ถ้าไม่ถึงมื้ออาหาร แนแทบจะไม่ลงมาข้างล่างเลย

ด้วยอายุและน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเยอะ ผมเข้าใจว่าการขึ้นลงบันไดสามชั้นคงเป็นเรื่องลำบาก ถ้าไม่มีเสียงร้องของลูกเจ๊ออมดังมาจากห้องข้างๆ ผมคงคิดว่าเราอยู่โรงแรมเพราะมีคนเดินเต็มบ้านแต่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พวกเขาต่างมีธุระส่วนตัวที่ต้องทำ เล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง คุยโทรศัพท์บ้าง ทำงานจากแล็ปท็อปบ้าง แม้แต่พี่อู๋กับนายก้องเกียรติยังหากิจกรรมที่ตัวเองอยากทำแทนที่จะไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเลย

“พ่อแม่พวกมันก็มา ไม่ต้องสนใจหรอก คงอยู่กันได้แหละ” พี่อู๋นอนบิดขี้เกียจบนเตียงหลังสวาปามมื้อเช้าชุดใหญ่ที่ป้าอ้อยเตรียมให้ “วันก่อนคุยกับสมาร์ทเยอะเลยนี่”
“ครับ”
“คุยเรื่องอะไรบ้างเหรอ?”
“ก็ทั่วๆไป” ผมเลี่ยงการพูดถึงกยศ. “สมาร์ทให้ผมดูพีเอสพีด้วย”
“พี่ซื้อให้ เอาหรือเปล่าล่ะ?”

ผมส่ายหน้า พอได้คำตอบเป็นการปฏิเสธ พี่อู๋ยิ้มดีใจใหญ่เลย คิดว่าผมจะขอล่ะสิ ไม่มีทางหรอก ของฟุ่มเฟือยแบบนั้นถ้าไม่มีเงินเก็บเองผมไม่เล่นดีกว่า

“ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้ก้องติดเกมเหมือนพวกไอ้พวกสอเสือ”
“สามเสือติดเกมตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ?” ผมถาม นึกสงสัยจริงๆว่าติดเกมขนาดนี้ทำไมถึงเรียนได้ดิบได้ดีทุกคน
“เด็กมันหัวดีอ่ะ ยิ่งพ่อแม่สนับสนุนเต็มที่อีกก็ยิ่งไปไกล”

นั่นคือความจริง และเป็นความจริงที่น่าเจ็บใจชะมัด ต่อให้เรียนเก่งขนาดไหน ถ้าไม่มีคนสนับสนุนก็ไปได้ไม่ไกลหรอก ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว เด็กบางคนอยากเรียนต่อแต่ที่บ้านส่งไม่ไหวก็ต้องยอมรับทุนคณะที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อให้ได้ปริญญา ถ้าเด็กเก่งๆพวกนั้นมีทุนเหมือนสามทหารเสือนะ ป่านนี้คงเป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนายพลนายกไปแล้วก็ได้

“คุยอะไรกับสมาร์ทอีกบ้าง?”
“ไม่ค่อยคุยเยอะ ผมไม่รู้จะพูดอะไร”
“เหรอ?” พี่อู๋ทำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “พี่เห็นก้องคุยกับมันตั้งนาน ก็เลยงงว่ามีเรื่องอะไรให้คุย”
“เราคุยกันเรื่องก๋งด้วย”
“เหรอ?”
“ครับ”

ผมตอบแค่นั้น ปิดบทสนทนา กอริลลาก้องขอเชิญคุณก๋งออกจากห้องก่อนที่ผู้ปกครองของผมจะเศร้าอีกนะครับ





วันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม

บ้านพี่อู๋มีธรรมเนียมกินอาหารทะเลด้วยกันในวันสิ้นปี และปีนี้คือปีแรกที่นายก้องเกียรติได้นั่งร่วมโต๊ะฉลองปีใหม่กับคนแปลกหน้า พวกเขาแยกย้ายกันขับรถออกนอกตัวเมือง ผ่านสองข้างทางที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งนาโล่งๆกับวัว

อ้อ -- ผ่านทัชมาฮาลสีทองหลังใหญ่ด้วย
แต่พี่อู๋บอกว่านั่นไม่ใช่ทัชมาฮาล นั่นคือมัสยิด เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของคนมุสลิมต่างหาก

“ใหญ่เหมือนวังเลยครับ”

ผมยังเหลียวหลังมองแม้ว่ารถจะขับผ่านมาไกลแล้ว ขับได้อีกซักระยะผมก็เจอมัสยิดอีก พี่อู๋บอกว่าแถวนี้เป็นชุมชนมุสลิม ที่ใส่หมวกกับสวมชุดคลุมยาวๆก็คือชาวมุสลิมทั้งนั้น ผมถามผู้ปกครองว่าคนที่นี่เขาไม่ตีกันเหมือนข่าวในทีวีเหรอ พี่อู๋หัวเราะใหญ่

“อยู่กันได้ปกตินะ คนไม่ดีก็คือคนไม่ดีอ่ะ นับถือศาสนาอะไรไม่น่าจะเกี่ยว เพราะขนาดพี่เป็นคริสเตียน พี่ยังเป็นคนเหี้ยได้เลย”
“ผมคิดว่าพี่เป็นพุทธ เมื่อวันเกิดพี่เพิ่งพาผมไปตักบาตรเองนะ”
“ก้องตักไง พี่ไม่ได้ตัก”
“แต่ผมเห็นพี่นั่งพนมมือในงานศพนักการเมืองด้วย”
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวเตรียมกลับรถ “ก้องก็เหมือนกัน มาอยู่ครอบครัวพี่ ต้องทำตัวให้เนียนนะรู้ไหม”
“เนียนยังไงครับ?”
“กินให้เยอะ เล่นให้เยอะ” เขาบอก “แล้วก็ต้องยิ้มเยอะๆด้วยนะ ยิ้มตลอดเวลาเหมือนเพิ่งพี้กัญชายิ่งดี”

ผมหัวเราะแล้วด่าพี่อู๋ว่าบ้า กัญชาไม่ได้หาง่ายๆเสียหน่อย พอกลับรถ เราก็เลี้ยวเข้าถนนแคบๆทางซ้ายมือ สองข้างทางไม่มีอะไรเลยนอกจากป่ามะพร้าวกับรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน ขับตรงไปอีกนิดก็ถึงร้านอาหารที่มีรอจอดไม่เป็นระเบียบ แทรกตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มั่วไปหมด พี่อู๋บอกว่าที่จอดแบบนี้เพราะหลบต้นมะพร้าว ไม่งั้นรถบุบ ต้องเสียค่าเคาะทำสีใหม่กันหลายพันแน่ๆ

“ถึงแล้ว ไปกินข้าวกัน”

ผมมองผ่านหน้าต่างรถเห็นกระท่อมหลังคามุงจากวางเรียงเป็นแถว มีอาคารหลังใหญ่หนึ่งหลัง เป็นอาคารสี่เหลี่ยมหลังคาหน้าจั่วธรรมดาๆที่เปิดโล่งสามด้านให้ลมโกรก ข้างในมีเด็กเสิร์ฟใส่ชุดโปโลสีเหลืองเดินกันให้ทั่ว พวกเขากำลังง่วนกับการจัดสถานที่ ร้านอาหารช่วงปีใหม่นี่คึกคักดีจริงๆ

“ก้องอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

พี่อู๋ถามขณะล็อครถ เตรียมตัวเดินเข้าร้านโดยมีญาติคนอื่นๆตามมาสมทบ ผมนึกคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง แต่คิดอะไรไม่ออก เลยบอกเขาว่าอยากกินข้าวไข่เจียวหมูสับครับ

“มาถึงทะเลจะกินแค่ไข่เจียวได้ไง” พี่อู๋ดึงนายก้องเกียรติมากอดคอแล้วยีหัวจนเสียทรง “ทอดมันกุ้งไหม? ปูไข่นึ่งนมสดไหม? หรือปลาหมึกนึ่งมะนาว?”
“อะไรก็ได้ครับ”
“งั้นก็ลองกินมันทุกอย่างเลยเนอะ”

เราเดินจนถึงอาคารโปร่งที่มีโต๊ะยาวรออยู่ กติกาเดิมของครอบครัวนี้ก็คือใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ ดังนั้นเราจึงเห็นสมาร์ทนั่งหัวโต๊ะเหมือนเป็นประธานในพิธี ญาติคนอื่นๆนั่งติดกับลูกๆของตัวเองแบ่งเป็นฝักฝ่าย ส่วนผมนั่งปลายโต๊ะ มีพี่อู๋ขนาบซ้าย ทางขวาคือหมาจรจัดที่มารอกินอาหาร มันนั่งยิ้มลิ้นห้อยราวกับรู้ว่าวันนี้จะได้กินของดี

“อย่าให้อาหารมันนะคะ เดี๋ยวมันเป็นโรคไต”

เด็กเสิร์ฟในร้านเตือน เธอบอกว่าไม่ต้องสงสารมัน ไอ้ตัวนี้อยู่ดีกินดีกว่าลูกจ้างอย่างเธอเสียอีก เราหัวเราะเล็กน้อยก่อนเริ่มฉลองวันส่งท้ายปี โชคดีที่พวกเขาสั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเลยไม่ต้องรอนาน ผมมีโอกาสได้เห็นอาหารทะเลละลานตาครั้งแรกในชีวิตก็วันนี้

ปูไข่นึ่ง ปูผัดนมสด ปูผัดผงกะหรี่ ปลากะพงนึ่งมะนาว ต้มยำทะเล กุ้งชุบแป้งทอด หมึกนึ่งมะนาว แกงส้มกุ้งตัวเท่านิ้วกลาง ต้มปลากระบอก ยำไข่แมงดายกมาทั้งกระดอง หอยนางรมสด หอยแครงนึ่ง ทอดมันกุ้ง กั้งนึ่ง ทอดมันปลากราย ข้าวผัดทะเลชามเท่าควาย และอีกสารพัดเมนูที่ผมไม่รู้จัก

“เพิ่มไข่เจียวหมูสับอีกจานนึงครับ”

พี่อู๋บอกเด็กเสิร์ฟ ผมนึกเกรงใจที่ผู้ปกครองต้องสั่งอาหารเพิ่มให้กอริลลาที่ตอบแบบส่งเดชเพราะไม่รู้จะกินอะไร เสียงคุยกันจอแจตามประสาครอบครัวใหญ่ดังตลอดเวลานั่งทานอาหาร ผมเป็นคนนอกได้แต่เงียบกริบ กินข้าวในส่วนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จาสลับกับมองวิวนอกชานระเบียง ร้านนี้อยู่ติดทะเลก็จริงแต่ไม่มีหาดทรายเลย มีแค่โขดหินเป็นแนวกั้นน้ำ มองเห็นแค่คลื่นกระฉอกซัดเข้าฝั่งเท่านั้น

“ตรงนี้ทะเลไม่ค่อยสวยเนอะ” คุณอิศรินทร์ชวนคุย “แต่เราเน้นกิน ไม่เน้นวิว”

ผมยิ้มแล้วตักทอดมันกุ้งกินอีกคำ วันนี้นายก้องเกียรติได้ลองกินอะไรหลายอย่าง ทั้งแกงส้มที่เป็นสีเหลือง ทั้งกั้งนึ่งเนื้อเด้งดึ๋ง ปิดท้ายด้วยหอยนางรมสดบีบมะนาวโรยด้วยกระเทียมเจียว พอท้องอิ่มเด็กๆก็เริ่มเรียกร้องหาไอศกรีม พวกเขางอแงเพราะในร้านไม่มียี่ห้อที่ตัวเองชอบ ดังนั้นพี่อู๋จึงบอกว่ากินเสร็จจะพาไปสเวนเซ่นส์ หยุดแหกปาก แล้วนั่งเงียบๆเสียที

“โกอู๋เลี้ยงหรือเปล่าล่ะ?”

สากลถาม เมื่อคุณอิศรินทร์พยักหน้า เขาก็ยกนิ้วโป้งให้

“หล่อ สปอร์ต ใจดี ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด”

ญาติคนหนึ่งแซว แล้วบทสนทนาก็พุ่งมาหาพี่อู๋ทันที ในสายตาของญาติๆ พี่อู๋คือหลานที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ผมได้รู้อะไรหลายๆอย่างบนโต๊ะอาหารเช่นพี่อู๋เคยได้โบนัสเกือบครึ่งล้าน เคยทำงานหนักยี่สิบชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์ เคยบินตามนายไปญี่ปุ่น ไปอินโดนีเซีย ไปนั่นไปนี่เหมือนล่าสะสมแต้ม แถมเป็นล่ามฝีมือดีของบริษัทดัง เงินเดือนหลักแสน แล้วพวกเขาก็ถามถึงโบนัสปีนี้

“เท่าไหร่ล่ะ?”

คุณแม่ของเหมยยิ้มๆ พี่อู๋โกหกหน้าตาย

“ปีนี้กำไรไม่ดี เลยได้แค่สามแสนกว่าๆ”

ผมอึดอัดที่เห็นผู้ปกครองปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีใครในครอบครัวเขารู้เรื่องตกงานเลยซักคน ที่เห็นน่าจะมีแค่เจ๊ออมเท่านั้นที่รู้ว่าช่วงนี้น้องชายเป็นยังไงบ้าง พูดถึงเงิน คนอื่นๆก็สรรหาเรื่องมาคุยกันจนเหมือนเป็นการโอ้อวดกลายๆ ลูกสาวได้เงินเดือนเท่านี้ ได้โบนัสเท่านี้ ลูกชายเอาแต่ทำงานหาเงินมาเตรียมสร้างบ้าน แต่ขำสุดคือคุณลุงที่ชื่อโป้ย แกบอกว่าลูกชายติด xxx จนป่านนี้ยังไม่กลับบ้านเลย

“เราสามารถพูดคำว่า xxx ได้ในที่สาธารณะเหรอครับ?”
“ได้นะถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ” พี่อู๋ขำ ผมแอบมองรอบตัว ในอาคารโปร่งโล่งสบายนี้มีแค่ครอบครัวของคุณอิศรินทร์จริงๆ ลูกค้าอีกสองโต๊ะยาวยังมาไม่ถึง “บ้านพี่โผงผางกันแบบนี้แหละ ไม่ต้องตกใจ”

ตอนแรกการคุยไปกินไปก็สนุกดี แต่พอคุณแม่สร้อยเพชรถามว่าควรซื้ออะไรฝากแน บรรยากาศเริ่มกร่อยเสียอย่างนั้น มื้อนี้แนไม่ได้มากับเราด้วย พี่อู๋บอกว่าแนไม่อยากทิ้งก๋งไปไหน ต่อให้อดกินของดีก็ยอม แกอยากเฝ้าก๋งเพราะกลัวก๋งไป เดี๋ยวไม่มีโอกาสได้ลา

“แม่นะแม่” คุณป้าคนหนึ่งบ่นแล้วถอนหายใจ “ปล่อยก๋งไปแต่ทีแรกก็จบแล้ว ไม่รู้จะยื้อทำไม”

ประโยคนั้นเหมือนชนวนระเบิด เสียงความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือกลุ่มที่คิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องไม่ทิ้งกัน ต้องดูแลกันไปจนกว่าจะหมดลม ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าอยู่ต่อก็มีแต่ทรมาน แถมไม่ใช่แค่ก๋งที่ทรมาน คนดูแลอย่างแนก็ทรมานเหมือนกัน ไหนจะค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเพราะต้องเปิดแอร์ยี่สิบสี่ชั่วโมง ค่าจ้างพยาบาลดูแลพิเศษ ค่านมกระป๋อง ค่านั่นค่านี่ ไล่เป็นรายการเยอะยิ่งกว่าอาหารบนโต๊ะ ซึ่งคนพูดก็ไม่ใช่ใคร คุณแม่สร้อยเพชรที่ต้องอยู่บ้านเดียวกับแนและก๋งนั่นเอง ผมเดาเอาว่าแกคงเก็บกดมานานเพราะทุกอย่างลงที่แกกับป้าอ้อยทั้งนั้น พวกลูกชายไม่เห็นต้องรับรู้อะไร

“ใช่ว่ามึงจ่ายคนเดียวนี่ กูก็ช่วยหารทุกเดือน”

ขึ้นมึงกูแล้วด้วย --

“นั่นพ่อมึงนะสร้อย ใจคอมึงจะปล่อยให้พ่อตายเฉยๆเลยเหรอ?”

ครอบครัวพี่อู๋เริ่มเถียงบนโต๊ะอาหาร โชคดีที่ไม่มีใครกินเหล้า เพราะขนาดไม่มีเหล้ายังใส่อารมณ์กันน่ากลัว พวกเขาเริ่มพูดห้วนๆ เริ่มทวงบุญคุณ เริ่มสาดคำพูดไม่น่ารักใส่กัน เจ๊ออมรำคาญจนต้องให้สามีอุ้มลูกไปเดินเล่นไกลๆ ส่วนหลานคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันอึกอัก มีแค่เจ๊ออมและพี่อู๋เท่านั้นที่ดูปล่อยวาง ไม่ได้ร่วมเถียงกับคนอื่น

“พวกมึงยื้อก๋งมาสามรอบแล้ว กูว่ามึงพอซักทีดีไหม? ปล่อยก๋งไปสบายๆไม่ได้เหรอ?”

คุณแม่สร้อยเพชรระบาย ตามด้วยป้าอ้อย และคนอื่นที่เห็นด้วยว่าเราไม่ควรทรมานก๋งไปมากกว่านี้ ส่วนฝ่ายค้านก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน ลุงโป้ยบอกว่าที่ให้ก๋งตายไม่ได้เพราะเป็นห่วงแน แกทำใจไม่ได้หรอก เอมก็เพิ่งตาย ถ้าก๋งตายอีกคนจะทำยังไง แนรับไม่ไหว แนต้องตายตามก๋งไปแน่ๆ

“จะให้มีงานศพสามงานติดๆกันเลยหรือไง”

เจ๊ออมลุกจากโต๊ะเมื่อพวกเขาพูดถึงเอม เธอเดินออกไปเลยโดยไม่บอกลาใครซักคน ตามด้วยคุณพ่อของพี่อู๋ ส่วนคุณแม่สร้อยเพชรนั่งตาแดงเถียงกับพี่น้องต่อ หลานๆถูกไล่ไปวิ่งเล่นนอกอาคาร ปล่อยให้ผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันก่อน นายก้องเกียรติจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในที่ประชุม เขาเอาแต่ฟัง เงียบ ฟัง และเงียบอยู่หลายนาที

วาทกรรมเราคือลูกถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้งและอีกครั้ง ความกตัญญูในฉบับของพวกเขาถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกรอเทป ก๋งกับแนเลี้ยงเรามายากลำบาก ต้องขับสองแถว ต้องเชื่อมเหล็ก ต้องทำสารพัดงานช่างให้ลูกๆได้เรียน มาวันนี้มีฐานะจะทิ้งก๋งได้ไง เราเป็นลูก เราต้องกตัญญู เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อตาย

“แต่ตอนนี้ก๋งก็เหมือนตายแล้วหรือเปล่า”

พี่อู๋ปากหมา

“อู๋ไม่ได้บอกให้ถอดปลั๊กตอนนี้ แค่บอกว่าถ้าคราวหน้าต้องเรียกรถพยาบาลอีกก็พอเถอะ ปล่อยให้ก๋งตายที่บ้านยังดีกว่า”
“มีข่าวเจ้าชายนินทราฟื้นเยอะแยะ ต้องมีความหวังสิ จะหมดหวังได้ไง” ลูกสะใภ้คนหนึ่งร่วมวงสนทนา “คนที่โบสถ์ก็ช่วยอธิษฐานกันทุกอาทิตย์ รอเวลาหน่อยไม่ได้เหรออู๋?”
“อธิษฐานมากี่ปีแล้ว ตอนนี้ก๋งลุกขึ้นนั่งได้หรือยัง?”

แล้วก็ -- ยาว

ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงโดนยำ เขามีเหตุผลแต่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง ทุกคนยึดถือคำว่ากตัญญูจนมองข้ามอะไรหลายๆอย่าง ผมเองก็มีชุดความคิดที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าแม่เป็นเหมือนก๋งและผมพอมีฐานะ มีเงินซัพพอร์ตเหมือนครอบครัวพี่อู๋ ผมก็จะดูแลแม่จนกว่าจะตายกันไปข้างนึง

“ทำไมต้องเถียงกันเรื่องนี้ด้วยวะ” พี่อู๋หงุดหงิดรำคาญ “ให้ก๋งนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวตัวเองนี่เรียกว่ากตัญญูเหรอ?”
“อู๋ มึงไม่ใช่ผู้ชาย มึงไม่มีวันได้เป็นพ่อคน มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่ถูกลูกฆ่าตายหรอก”

ญาติคนหนึ่งพูดขึ้น คราวนี้คุณอิศรินทร์เงียบเลย เขาโกรธ แต่ไม่ชักสีหน้า เขาไม่พอใจ แต่ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น กอริลลาก้องที่นั่งเขี่ยข้าวในจานเริ่มรู้ว่าสถานะของผู้ปกครองในครอบครัวเป็นยังไง พวกเขามองว่าพี่อู๋เก่ง มองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าใครๆ แต่ก็ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่างแค่เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง

“ก้องไปเดินเล่นก่อนไหม?”

พี่อู๋พูดขึ้น เขาแตะไหล่ผมเบาๆเป็นเชิงขอร้องให้ออกไปก่อน กอริลลาก้องจึงไม่ขัดคำสั่ง ผมรีบลุกจากโต๊ะอาหารแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่สนิทกับใครนอกจากพี่อู๋ ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้ว่าควรฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ปกครองยังไง ดังนั้นที่พึ่งสุดท้ายคงไม่พ้นสมาร์ทที่นั่งกดเกมอยู่บนม้านั่งริมโขดหิน

“นั่งด้วยได้หรือเปล่า?”
“นั่งดิ”

สมาร์ทตอบโดยไม่มองหน้าเหมือนเช่นทุกที ผมหลับตา ปล่อยให้ลมทะเลปะทะใบหน้าเรื่อยๆจนเริ่มเหนียว กลิ่นคาวทะเลลอยคลุ้งแปลกๆ กลิ่นเหมือนบ่อเลี้ยงปลามากกว่า พอลืมตาท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม คลื่นซัดกระทบหินแรงขึ้น ยุงกัด แต่สมาร์ทยังไม่ไปไหน

“ไอ้เหี้ย กัดอะไรนักหนา”

จู่ๆสมาร์ทโพล่งขึ้นมา ผมงงว่ามันด่าใคร ซักพักนึกได้ อ๋อ ด่ายุง

“เอายากันยุงไหม?”
“เอา ขอพนักงานให้หน่อย”

ผมเป็นธุระหยิบยากันยุงให้สมาร์ท แถมจุดไฟและวางใกล้ๆเท้าด้วยเพื่อไม่ให้จังหวะการเล่นเกมสะดุด พวกสามทหารเสือยังบ้าเกมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นให้มามุงดูด้วย ผมเห็นสไปก์กับสากลนั่งห่างจากเราค่อนข้างไกล รอบตัวเขาคือน้องๆ ถัดไปคือเจ๊ออมกับแฟนคอยดูแลเด็กๆ ผมแอบเห็นป๊าพี่อู๋ยืนสูบบุหรี่อยู่ไกลลิบ เขาคงอึดอัดน่าดู

“ทำไมมานั่งตรงนี้? ไม่อยู่กับโกอู๋แล้วเหรอ?”

สมาร์ทถาม ผมจึงตอบว่าผู้ปกครองสั่งให้ออกมาเดินเล่น แต่ไม่รู้จะเดินไปไหนก็เลยมาขอนั่งด้วย

“ไม่เคยเห็นครอบครัวใหญ่ทะเลาะกันล่ะสิ”
“อือ ปกติเราอยู่กับแม่แค่สองคน”
“ตอนนี้แม่ไปไหน”
“แม่เสียแล้ว”
“ขอโทษนะ แต่ -- เป็นอะไรถึงเสีย?”
“ผูกคอตาย”

ผมเงียบ สมาร์ทเงียบ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังอีกสามสี่ครั้งเราถึงเริ่มคุยกันใหม่

“ทะเลาะกันบ่อยเหรอ?”

ผมเปิดบทสนทนา สมาร์ทยักไหล่ เขาดูสบายๆไม่เครียดกับการเห็นครอบครัวโต้เถียงขึ้นมึงกูกันซักนิด

“ประจำ เดี๋ยวก็ดีกัน ไม่ต้องตกใจ”
“เมื่อกี๊มีลุงคนนึงพูดว่าพี่อู๋ไม่ใช่ผู้ชาย”
“ที่นี่ไม่มีเกย์หรอก ชายรักชายคือตุ๊ด เขาคิดแค่นั้น” นายสมาร์ทพูดเซ็งๆ
“เราคิดว่าทุกคนรับได้ที่พี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงเสียอีก”
“รับได้สิ เพราะไม่ใช่ลูกของตัวเองไง” สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพี 
“แนรู้เรื่องนี้ไหม?”
“ไม่รู้ และห้ามบอกให้แนรู้ด้วย”
“ไม่บอกหรอก” ผมยิ้มเจื่อน “แต่เป็นเกย์นี่ผิดมากเหรอ?”
“ถ้าเป็นครอบครัวคนจีนก็นะ --”

ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว พูดแค่นั้นกอริลลาก้องก็เข้าใจทั้งหมด

“คุยเรื่องมหาลัยกับโกอู๋ยัง”

สมาร์ทเปลี่ยนเรื่อง ผมส่ายหน้า บอกเขาว่ายังไม่ได้คุย ไม่กล้าคุยเรื่องนี้เลย เกรงใจ

“บอกให้ขอไง”
“ไม่เอา ไม่อยากรบกวนพี่อู๋”
“โกอู๋รวยจะตาย เดือนเดียวโกยเป็นแสน แถมลูกเมียก็ไม่มี วันๆทำแต่งานไม่ได้ใช้เงิน ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าไง”

สมาร์ทเล่าให้ฟังเป็นเชิงบ่นมากกว่า ผมไม่กล้าบอกเขาว่าพี่อู๋ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว ตอนนี้เขาตกงานและเคว้งคว้างยิ่งกว่ากล่องโฟมที่ลอยกลางทะเลเสียอีก แถมรายจ่ายมีเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่ไม่เข้าเลย ในเมื่อพี่อู๋ลำบากขนาดนี้จะให้ผมแบมือขอเงินเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคงดูน่าเกลียดเกินไป

“มอปลายได้เกรดอะไร?” สมาร์ทถาม เมื่อผมบอกว่าสามกลางๆ เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และบอกต่อว่า “บ้านนี้บ้าคนเก่งนะ ถ้ามั่นใจว่าเรียนพิเศษแล้วสอบติดมอรัฐก็ขอเลย บ้านเราให้ทุนนักเรียนทุกปี ให้ก้องอีกคนคงไม่เป็นไรมั้ง”
“โห ใจดีจัง”
“แนกับก๋งเชื่อว่าการศึกษาเปลี่ยนชนชั้นได้ จากที่เคยจนไม่มีจะกิน ถ้าสอบติดราชการก็จะกลายเป็นชนชั้นกลาง ใครมีหัวธุรกิจหน่อยก็ค่อยๆหาลู่ทางหารายได้เสริม ขยับขยายดิ้นรนเรื่อยๆจนเป็นชนชั้นกลางขอบชีส --”
“ชนชั้นกลางขอบชีส?”
“ก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐีไง”

โอโห สมาร์ทมันแบ่งชนชั้นในสังคมเป็นพิซซ่าเลยอ่ะ

“บ้านพี่อู๋นี่ไม่ใช่เศรษฐีเมืองคอนเหรอ?”
“หึ เราคือชนชั้นกลางขอบชีส”
“นี่ขนาดชนชั้นกลางนะ” ผมอ้าปากเหวอ “เศรษฐีเมืองคอนจะขนาดไหน”

ผมเก็บคำพูดของสมาร์ทมาคิด ชนชั้นกลางขอบชีสเป็นนิยามที่เข้าใจง่ายดี เขากำลังบอกว่าฐานะทางบ้านค่อนข้างดีนะ แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นเศรษฐีที่สามารถใช้ปืนยิงแบงค์โปรยเล่นได้อย่างที่กอริลลาก้องคิด พอนึกทบทวนคำพูดของสมาร์ท ผมเริ่มเห็นแสงสว่างนิดหน่อย สมาร์ทบอกว่าบ้านพี่อู๋บ้าคนเก่ง ซึ่งฟังจากบทสนทนาส่วนใหญ่แล้วท่าทางน่าจะจริง

ถ้าสมมติผมใช้คำว่าขอยืมล่ะ? ขอยืมเงินไปเรียนต่อได้ไหมครับ?
คงดูน่าเกลียดน้อยกว่า “ส่งผมเรียนหน่อยสิ” ใช่ไหม?

“ทุนที่บ้านสมาร์ทให้นักเรียนเป็นทุนเปล่าเหรอ?”
“อืม”
“ให้ฟรีๆเลยอ่ะนะ?”
“เออ” สมาร์ทยืนยัน “โบ่สร้อยไปมอบทุนหน้าเสาธงทุกเทอม”
“แล้ว -- แล้วเด็กที่ได้ทุนต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะ ต้องลองถามโบ่ดู”

ผมถอนหายใจ ใครจะกล้าเข้าไปถามคุณแม่สร้อยเพชรในเวลาแบบนี้วะ เขาเถียงกันจนจะฟาดกระดองแมงดาใส่หน้ากันแล้ว ขืนกอริลลาก้องคลานเข้าไปกระซิบ โบ่สร้อยครับ ก้องขอยืมเงินเรียนพิเศษหน่อยได้ไหม มีหวังโดนถีบลงทะเลแน่

“แต่จริงๆไม่ต้องขอโบ่สร้อยหรอก ขอโกอู๋สิ”
“สมาร์ทไม่รู้สึกว่ามันน่าเกลียดเหรอที่เราแบมือขอเงินญาติสมาร์ทแบบนี้?”
“ไม่อ่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะการศึกษาสำคัญ” เขายืนยันความคิดตัวเอง “ก๋งกับแนพูดตลอดว่าถ้าส่งเด็กขาดโอกาสให้ได้เรียนที่ดีๆ เท่ากับว่าเราช่วยคนให้หลุดพ้นจากพิซซ่าแป้งกรอบได้อีกหนึ่งครอบครัว”

มาอีกแล้ว -- เปรียบชนชั้นของคนเป็นพิซซ่า ผมเดาเอาว่าบางกรอบคือคนฐานะปานกลางค่อนข้างลำบาก ไม่ได้อดอยากแต่ก็ไม่ค่อยมีเหลือไว้เพื่อของฟุ่มเฟือยราคาแพง สั้นๆก็คือครอบครัวผมเองนั่นแหละ

“หรือจะกู้เราก็ได้นะ แต่ไม่ให้ยืมฟรีหรอก”
“สมาร์ทมีให้เรายืมเท่าไหร่ล่ะ?”

ผมแกล้งถาม อยากวัดใจเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเขาจะให้มากแค่ไหน

“หมื่นนึงพอหรือเปล่า?”
“ห้าหมื่นไม่ได้เหรอ?”

ผมต่อรอง สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพีมองกอริลลาก้องตาขวาง

“ถ้าจะขนาดนั้นก็ทำเรื่องกู้ธนาคารไปเลยดีไหม?”
“ล้อเล่นหรอก” ผมหัวเราะ “แต่ถึงจะมีคนให้ยืมเงิน เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัย”
“บอกให้ลงเรียนพิเศษไง ตึกวรรณสรณ์ไงที่พญาไทอ่ะ ไปสิ มีครบ จบในตึกเดียว”

 สมาร์ทเริ่มหงุดหงิดเพราะเล่นเกมแพ้ เขาปิดเกม เก็บใส่กระเป๋าและหันมาคุยกับผมจริงจัง

“หรือจะเอาชีทเรียนพิเศษเราไหม? มันมีรอยขีดเต็มแล้วนะ แต่ยังพออ่านได้อยู่”
“สมาร์ทให้เราจริงเหรอ?”
“อืม”
“ไม่ส่งต่อให้สไปก์เหรอ?”
“เดี๋ยวสไปก์มันก็ลงเรียนใหม่ ไม่อ่านของเก่าจากเราหรอก” เด็กลาดกระบังกลอกตา “จะเอาไม่เอา? ถ้าเอาก็บอกให้โกอู๋ขับรถไปเอาที่บ้านเราละกัน”
“เอาๆๆ! ขอบคุณมากนะ” ผมดีใจ “แต่บ้านสมาร์ทอยู่ไหนเหรอ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังอยู่ตรงไหนอ่ะ?”
“อยู่ข้างบิ๊กซีไง”

สมาร์ทมุมปากกระตุกราวกับรู้ว่านายก้องเกียรติต้องถามต่อแน่ๆ

“บิ๊กซีอยู่ไหนอ่ะ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังคือตรงไหน?”
“ตรงที่มีร้านทองเยอะๆ” สมาร์ทเซ็ง “ตรงที่น้ำท่วมบ่อยๆ”
“น้ำท่วมด้วยเหรอ? ท่วมประมาณไหน?”
“เลยเข่าขึ้นไปนิดหน่อย”
“ท่วมหนักกว่ากรุงเทพไหม?”
“ยังอยากได้หนังสืออยู่หรือเปล่า?”
“อยากสิ”
“งั้นเลิกถามซักที เดี๋ยวโกอู๋พาไปเองแหละ”
“โอเค”

ผมตื่นเต้นเมื่อคิดเรื่องเรียนหนังสือ แต่พอคิดดูดีๆอีกทีก็เริ่มกลัวเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ผมไม่มีความฝันหรือแรงบันดาลใจเหมือนพี่อู๋ ผมไม่มีของแบบนั้นเลย ยิ่งพยายามนึกว่าก่อนสอบโอเน็ตเคยอยากทำอาชีพอะไรยิ่งนึกไม่ออก ผมไม่ฉลาดพอจะเป็นหมอ ไม่ถนัดภาษาจนเป็นล่ามได้เหมือนพี่อู๋ รู้สึกเคว้งคว้างเป็นบ้า พอโอกาสอยู่ตรงหน้าก็ดันเจอทางตันอีก

ผมกับสมาร์ทนั่งตากยุงอีกพักใหญ่ก่อนพี่อู๋จะเดินมาเรียกให้ขึ้นรถกลับบ้าน เขาบอกว่าวันนี้คงไม่ไปสเวนเซ่นส์แล้วแต่จะสั่งมาให้กินที่บ้านแทน ผมเดาว่าคงเพราะทะเลาะกันค่อนข้างแรงเลยไม่มีอารมณ์ไปไหน ปกติพี่อู๋ชอบพานายก้องเกียรติไปกินไปเที่ยวจะตาย ไม่น่าพลาดโอกาสพาผมทัวร์ห้างหรอก

“กลับบ้านกันเถอะ”

พี่อู๋บอก กอริลลาก้องจึงเดินตามผู้ปกครองที่กำลังหงุดหงิดไปที่รถโดยไม่พูดถึงแผนในอนาคตของตัวเองซักคำ



ใช่จ้ะพี่จ๋า มันมาสองพาร์ทอีกแล้ว แหะๆๆ  :o8:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
เราถึงบ้านตอนสองทุ่มหกนาที

ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอนตัวเองโดยไม่รวมกลุ่มพูดคุยกันเหมือนวันก่อน พี่อู๋ที่ดูอารมณ์ไม่ดีรักษาสัญญาด้วยการสั่งสเวนเซ่นส์หลายรสให้มาส่งถึงบ้าน พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยและเล่นกันเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าก่อนหน้าพ่อแม่ของเด็กๆจะทะเลาะกันจนแทบยกหม้อต้มยำทุ่มใส่หัวก็ตาม

พอกินไอศกรีมเสร็จ พี่อู๋ก็กลับห้องตัวเองโดยหนีบกอริลลาก้องไปด้วย เราสองคนอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสามสิบแปดนาที นายก้องเกียรติกับคุณอิศรินทร์ยังคงนอนไม่หลับ ดังนั้นพี่อู๋จึงลุกขึ้นเปิดไฟแล้วบอกว่าลงไปเคานท์ดาวน์กันเถอะ

“พอห้าทุ่มห้าสิบ เราจะเขียนเป้าหมายที่อยากทำให้ได้ในปีหน้ากัน”

เขาพูดพลางส่งกระดาษเอสี่ให้กอริลลา

“ปีหน้าก้องมีเป้าหมายอะไร เขียนลงในนี้เลยนะ”

ผมมองกระดาษและปากกาเมจิกสีน้ำเงินในมือ ปีหน้า? สิ่งที่ผมอยากทำในปีหน้างั้นเหรอ? นายก้องเกียรติคิดหนักระหว่างลงบันไดไปห้องนั่งเล่นใหญ่ ในนั้นมีแค่สมาร์ทกับสไปก์นอนเล่นเกมบนโซฟา พอถามว่าน้องๆคนอื่นอยู่ไหน คำตอบก็คือโดนไล่ไปนอนหมดแล้ว

“เคานท์ดาวน์หรือเปล่าเราอ่ะ?”

พี่อู๋ถามสองทหารเสือ สไปก์พยักหน้า ส่วนสมาร์ทไม่ตอบ

“ปีนี้เหงาเนอะโก”

สไปก์ชวนคุยเมื่อผมนั่งลงบนพื้น วางกระดาษและปากกาเมจิกบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี

“คงไม่มีอารมณ์มาเคานท์ดาวน์กัน” สมาร์ทออกความเห็น “โกไม่ไปดูก๋งบ้างเหรอ?”
“ดูแล้ว”
“เป็นไง?”
“ไม่เป็นไง”

ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติตอบ เขานั่งลงข้างผมแล้วใช้เวลาด้วยกันจนเกือบเที่ยงคืน มันเป็นการนั่งเคานท์ดาวน์ที่เงียบไม่ต่างอะไรจากผมกับแม่เลย เราแยกกันทำสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่ในโลกของตัวเอง พอใกล้เวลานับถอยหลัง พี่อู๋ สมาร์ท และสไปก์ถึงหยิบปากกาออกมาเขียนเป้าหมายสำหรับปีถัดไป

ผมเหลือบมองพวกเขา มองพี่อู๋ที่นั่งปั้นหน้านึกไม่ออกว่าชีวิตนี้เป้าหมายอะไรที่อยากทำอีก คิดๆดูแล้วเราสองคนนี่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนนึงตกงานไม่ยอมเริ่มใหม่ ส่วนอีกคนกลัวสอบไม่ผ่านจนนั่งเป็นใบ้ ไม่กล้าคุยเรื่องทุนตามที่สมาร์ทแนะนำ

“ปีหน้าอยากทำอะไรวะสไปก์?”

พี่อู๋ถามน้องชาย ซึ่งคำตอบของเด็กหน้ากลมเหมือนซาลาเปาก็คือ

ได้เกรดสี่ทุกตัวและไม่หลับตอนเรียนเคมีอุ๊

“มึงทำไม่ได้หรอก” สมาร์ทหัวเราะก๊าก “โกอ่ะ?”
“เอาของสมาร์ทมาดูก่อนดิ”

พี่อู๋ยื่นหมูยื่นแมว เสือตัวแรกแห่งพี่น้องสามสอส่งกระดาษให้พี่ชายดูด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาต่างมีเป้าหมายที่อยากทำ สวนทางกับเราสองคนที่ไม่ได้วางแผนไว้เลย

เรียนจบพร้อมเพื่อนและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ก็ -- สมกับเป็นสมาร์ทดี

“โกอู๋อ่ะ?”

สไปก์ถามบ้าง คุณอิศรินทร์นึกแล้วนึกอีกอยู่นานหลายนาที นานจนทั้งสองคนก้มหน้าเล่นเกมต่อไม่รอคำตอบ แต่สุดท้ายพี่อู๋ก็คิดออก เขาเขียนลงไปว่า --

รวย

อยากรวยแต่ไม่ทำงาน ชาตินี้จะเป็นไปได้เหรอวะพี่

ผมไม่ได้พูด แค่คิดในใจ เสียงพิธีกรในโทรทัศน์เริ่มให้สัญญาณว่าใกล้ถึงเวลานับถอยหลังแล้ว ผู้คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นตัวเลขหนึ่งนาทีสุดท้ายบนจอภาพขนาดใหญ่

“ก้องล่ะ?” พี่อู๋ถามเพราะเห็นผมเงียบไม่พูดไม่จา “ก้องมีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้บ้างไหม?”

ผมลังเลว่าควรเขียนดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เขียนความในใจของตัวเองลงไป สิ่งที่ผมคิดว่าอยากทำในปีหน้า และตั้งใจจะทำให้ได้ก็คือ --

“อู๋!”

เจ๊ออมเปิดประตูมาขัดจังหวะขณะที่สมาร์ทกับสไปก์ร่วมนับถอยหลังกับพิธีกร คุณอิศรินทร์กับกอริลลาก้องได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กเพราะสีหน้าของเจ๊ออมดูไม่ค่อยดีเลย

“แปด! เจ็ด!”

สไปก์นับ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“ลุกขึ้น --”
“ลุกไปไหน?”

พี่อู๋ถามเจ๊ออมที่ยืนหอบอยู่ตรงประตู สมาร์ทปิดเกมและเริ่มเคานท์ดาวน์เสียงดังพร้อมกับน้องชาย

“หก! ห้า!”
“โรงพยาบาล”

เจ๊ออมพูดต่อ

“สี่! สาม!”

สองเสือยังคงร่าเริงต่อไปในขณะที่เราเริ่มใจไม่ดี

“ก๋งความดันตก”

เจ๊ออมเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้

“สอง! หนึ่ง! แฮปปี้นิวเยียร์!”

“ก๋งไม่ไหวแล้วอู๋”

ทั้งห้องเงียบสนิท มีแค่เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนในโทรทัศน์เท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตสองสามวินาที มันเบลอๆ มึนๆเหมือนประมวลผลไม่ถูก แต่พอเห็นผู้ปกครองตกใจจนลนลาน วิ่งไปสวมรองเท้าโดยมีสองเสือและเจ๊ออมวิ่งตามติดๆ ผมถึงรู้ว่าพี่อู๋ที่เคยพูดว่า “ปล่อยให้ก๋งตายเถอะ” ก็ยังทำใจยอมรับความสูญเสียไม่ได้เหมือนกัน


TBC
__________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

สวัสดีวันเสาร์จ้ะพี่จ๋า มาซะดึกเลยเพราะเดี๋ยวหลังจากนี้จะไม่ว่างอีกแล้ว แหะๆ หลายตอนเลยที่หนูเอาแต่บ่น เหน่ยๆๆๆจนไม่ได้คุยกับพี่จ๋า งั้นวันนี้ขอทอล์คยาวหน่อยนะค้า

1. มีพี่จ๋าถามว่า “โก” เป็นภาษาใต้หรือภาษาจีน ในบริบทของนิยายเรื่องนี้คือจีนไหหลำค่ะ เราเรียกพี่ชายว่าโก พี่สาวว่าเจ๊ ยาย = แน/เน่ะ ตา = ก๋ง/เด้ ป้า = โบ่ จริงๆมีอีกหลายคำเลยแต่ไม่ได้เขียนชัดๆเพราะกลัวพี่จ๋างง แบบ โบ่ไหนฟะ เด้ไหนฟะ หมายไหนฟะ เพื่ออรรถรสและความราบรื่น หนูขอเอาแค่พี่ชาย พี่สาว ตายายพ่อแม่มานะคะ

2. เงินเดือนและโบนัสของพี่อู๋อาจจะดูเว่อร์แบบ เห๋ย ครึ่งล้าน บ้าป้ะแกร ใครมันจะได้เยอะขนาดนั้น แต่อยากบอกว่าถ้าล่ามญี่ปุ่นเก่งๆที่พ่วงตำแหน่งเลขาด้วยเงินเดือนแตะแสนก็มีน้า โบนัสทุกหกเดือนอีก โอทีอีก สวัสดิการต่างๆอีก คือรับเละเลย ถึงเงินจะเยอะแต่ไม่มีเวลาใช้เพราะถวายหัวให้นายหมด ดังนั้นจึงเป็นที่คำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงเปย์เก่ง เปย์เหมือนมี passive income แต่ถึงขั้นเศรษฐีมั้ย ก็มั่ย ก็เป็นแค่พิซซ่าขอบชีสสสสสส

3. มีพี่จ๋าถามถึงรวมเล่มมาเยอะมากๆเลย หนูยืนยันนะคะว่ามีขายแน่นอน เพราะเซ็นสัญญาไปแล้ว ถ้าไม่รวมเล่มหนูก็โดนสิเพราะถือว่าเบี้ยวสัญญา 55555555555555555555555555555  เดี๋ยวรายละเอียดค่อยคอนเฟิร์มอีกทีนะคะ ตอนนี้ปก 1 เรียบร้อยแน้ว ที่เหลือกำลังบรีฟนะฮับ พี่จ๋าใจเย็นๆ คอนเฟิร์มว่าพี่จ๋าจะได้ซื้อแน่นอนจ้า แต่ซื้อตอนไหนไม่รู้ เพราะหนูไม่ว่างเลย ด่านายอยู่ ;-; แต่เดี๋ยวจะลงตัวอย่างปกแรกของเล่มหนึ่งให้ดูในแท็ก #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ นะคะ

แล้วก็ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆและกำลังใจดีๆที่มีให้กันนะคะ ทุกคนคอมเม้นท์กันน่ารักมาก ขอบคุณมากๆนะคะที่ชอบนิยายเรื่องนี้ หนูมีความสุขทุกครั้งที่เห็นคอมเม้นท์ ต่อให้วันนั้นโดนนายด่าว่ามึงทำงานประสาอะไรวะก็ยังยิ้มได้ ขอบคุณนะค้า ขอบคุณมากๆเลย และขอโทษด้วยที่สัญญาไม่เคยเป็นสัญญา บอกว่าจะเช็กดีๆก็มีหลุด จะมาให้เร็วขึ้นกลับช้าลงเรื่อยๆจนเหลือเดือนละตอน ขอโทษนะคะ ไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ แต่จะไม่เทเรื่องนี้แน่นอนค่ะเพราะอย่างที่บอกว่าสัญญาเซ็นไปแล้ว มันเทไม่ได้แล้วพี่จ๋า มัน 55555555555555 เท 5555555555555555555 ไม่ 5555555555555555 ได้ 555555555555555555

ทอล์คยาวมากๆ ยาวกว่าตัวนิยายอีก ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ รักทู้กคนเลย หนูนอนก่อนน้า วันนี้เหน่ยมาก ไม่มีงานทำแต่เหน่ย หนูจะรออ่านคอมเม้นท์ที่บางพลีนะคะ ขอบคุณค่ะ     :-[

ออฟไลน์ Dyckia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตลกมาก ที่สมาร์ทตอบว่า ท่าวังที่น้ำท่วมบ่อย 55

ออฟไลน์ Bernini

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

แบบนี้อู๋จะยิ่งทรุดไหมนะ? ตกงาน เลิกกับแฟนห่วยๆแต่ก็ยังรักแฟนอยู่ ทะเลาะกับที่บ้าน ก๋งก็มาเสียอีก ทำใจดีๆไว้นะอู๋ ก้องเกียรติเป็นเด็กดี อู๋อย่าลืมนึกถึงก้องให้มากๆนะ

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กอลิล่าอู๋สู้ๆเด้อ
น้องก้องก็กลับไปเรียนนะลูก

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฮึบ! ไว้นะพี่อู๋

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สู้ๆนะพี่อู๋ น้องก้องด้วยอยากให้น้องกลับไปเรียน หรือเจอสิ่งที่น้องรักจัง หวังว่าฟ้าหลังฝนจะสวยงามกับกอลริล่าทั้งสองนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
มีความสุขทุกครั้งที่อ่าน ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ kun98

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบการเปรียบเทียบ​ 5555555​  :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ลุ้นระทึกใจทุกตอนเลย เอาใจช่วยก้อง พี่อู๋ และก๋งด้วยนะคะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สงสารพี่อู๋จัง  :sad4:

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รักก้อง รักพี่อู๋ รักคนเขียน เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ nrbtst1997

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เบื่อก้องมาก​  นายควรออกมาจากชิวิตนายอู๋ได้แล้ว ไม่ไหวๆ​ ขอพักไว้แค่ตอนที่13  พอเครียด​

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Passive income....ตามมาหลอกหลอนเราถึงนี่เลยเหรอเนี่ย อ่านตอนนี้แล้วก็อดคิดไม้ได้ว่าถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพี่อู๋ เราจะตัดสินใจยังไง แน่นอนว่าครอบครัวขเราเราก็รักอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจปล่อยเขาไป ไม่ให้ทรมานเนี่ย มันเป็นความต้องการของเราฝ่ายเดียวที่คิดแทนคนที่กำลังนอนอยู่หรือเปล่า...เป็นกำลังใจให้พี่อู๋ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
อ่านมาถึงตรงนี้เลยคิดว่าจะคอมเมนท์ยาวๆสักที
ฮืออออออ คุณนักเขียนเขียนดีมากเลยค่ะ เราชอบมาก เห็นชื่อก็ว่าแปลกดีเลยกดเข้ามาอ่าน
ช่วงแรกอ่านแล้วนึกกว่าจะเป็นฟีลกู๊ดเบาๆ ที่ไหนได้ :z3:
ตอนก้องป่วยแรกๆคือหน่วงตาม มีน้ำตาซึมเลย แล้วพี่อู๋ก็โคตรดี
ดีจนแบบ เอ๊ะ นี่ก็ป่วยป่าววะ น่าจะมีสตอรี่ชัวร์
พอมากลางเรื่องพี่อู๋ด่าก้องทีเราแบบ วดฟ พี่มึงเป็นไรเนี่ย อย่าด่าน้องงง หน้าชาแทน
แต่ก็คิดละแหละว่าป่วยเหมือนกันแน่นอน
ส่วนหลังๆมาเราว่าก็โอเคขึ้นหน่อย ไม่เบาไม่หนัก
อยากชื่นชมที่นักเขียนบรรยายด้วยภาษาง่ายและลื่นมากค่ะ มีความเรียลสูง
แต่ส่วนตัวเราว่าเนื้อหาหนักอยู่นะเพราะมันเกี่ยวกับโรคนี้
เรายิ่งอ่านยิ่งชอบแต่ก็ยิ่งเหมือนถูกนิยายคุณนักเขียนกัดกินเราเข้าไปทุกที ฮรึก
รูปแบบการป่วยของคนสามแบบนี่คือดีมากเลยนะคะ
คนแบบก้อง คนแบบหมูพี แล้วก็คนแบบพี่อู๋
เราคิดว่ามันก็ไม่เชิงนิยายวายหรอก แต่เป็นนิยายสะท้อนสังคมที่ค่อนข้างโอเคเลยสำหรับเรา
ยังไงก็จะอยู่ต่อไปด้วยกันถึงตอนจบเลย ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน เลิ้บๆ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
แต่ละตอนมันมีอะไรให้คิดตลอดเลย ทุกคนมีปัญหาหมดไม่ว่าจะสถาบันใดก็ตาม
บ้านพี่อู๋ดูรักกัน แต่เอาจริงกลับไม่ค่อยเข้าใจลูกเลย ลึกๆ เพราะพี่อู๋ไม่ชอบผู้หญิงสินะ
หลายๆ พาร์ทอยากตีพี่อู๋ที่สุด เป็นผู้ชายที่วัยสามสิบมีความคิดย้อนแย้งกันจนน่าตีที่สุด
บางครั้งก้องมีคงวามคิดโตกว่าพี่อู๋จริงๆ นะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ก่อนหน้านี้บ้านเราก็สถานการณ์เดียวกับบ้านพี่อู๋เลยค่ะ นอนอยู่ห้าปี หมดไปเยอะ แต่ที่บ้านไม่ตีกัน ดูแลปกติแต่ถ้าเขาจะไปก็ปล่อย เข้าใจฟีลเลย ช่วงแรกๆแบบรับไม่ไหว มันหนักไปหมด เพิ่งผ่านมาได้สดๆร้อนๆ

เข้าใจคุณยายเลย เขาอยู่ด้วยกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งมากมาย มันทำใจลำบาก กว่ายายเราจะโอเคก็นานอยู่ ตอนนี้พี่อู๋ต้องเข้มแข็งนะ เขากำลังจะไม่ทรมานแล้ว อยากให้พี่อู๋กลับไปทำงาน ให้น้องไปเรียน ลองไปใช้ชีวิตแบบเจอสังคมใหม่ๆกันบ้างอาการจะได้ดีขึ้น เป็นกำลังใจให้นะคะ คนเขียนด้วย รักนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
23 [PART1]


พวกเขาหายไปหมดเลย

ทุกคน --

ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากนายก้องเกียรติ สามีของเจ๊ออม และลูกเล็กของเธอ

เมื่อห้านาทีก่อนคือความโกลาหลไม่ต่างจากวันที่บ้านถูกไฟไหม้ พวกญาติๆกระวนกระวายวิ่งวุ่นเหมือนผึ้งแตกรัง หลานๆถูกปลุกกลางดึก ส่วนเจ๊ออม ป๊า และลูกของก๋งคนอื่นๆช่วยกันเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟท์ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านพี่อู๋มีลิฟท์ก็ตอนนี้ มันเป็นช่องสี่เหลี่ยมซ่อนอยู่หลังบ้าน ถ้าไม่เปิดประตูจะไม่รู้เลยว่ามี แต่มันไม่ใช่ลิฟต์สวยๆเหมือนในโรงแรมหรือโรงพยาบาล เป็นแค่โครงเหล็กกั้นสี่ด้านเหมือนรั้วบ้าน ข้างในโปร่งโล่งจนเห็นแม้กระทั่งตอนเจ๊ออมกำลังบีบลูกบอลหรืออะไรซักอย่างแทนเครื่องช่วยหายใจ

ผมไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวเกะกะขวางทาง ไม่กล้าถามสมาร์ทด้วยว่ากำลังไปโรงพยาบาลไหนกัน สุดท้ายพอถึงนาทีที่ก๋งอาการทรุด พวกเขาทุกคนก็ดิ้นรนพาก๋งส่งหมอทั้งนั้น แม้แต่พี่อู๋ที่เคยปากดียังช่วยเข็นเตียงของก๋งจนถึงรถพยาบาลที่ไม่รู้ว่ามาจอดรอเมื่อไหร่ เจ๊ออมขึ้นไปบนรถกับก๋ง หลานๆวิ่งกระจัดกระจายขึ้นรถคันอื่นๆ แนขึ้นรถคันหนึ่งของลูกชาย ส่วนพี่อู๋เองก็รีบมากเหมือนกัน รีบจนไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเขาขับรถออกไปทีละคัน ทีละคันจนหมดบ้าน เหลือไว้แค่กอริลลาก้องกับกุญแจหนึ่งดอกสำหรับล็อกประตูรั้วเท่านั้น


นาฬิกาบอกเวลาว่าตีหนึ่งสามสิบสี่นาที

พี่อู๋โทรมาเช็กว่านายก้องเกียรติทำอะไรอยู่

“ผมกำลังรอพี่กลับบ้านครับ”

ผมตอบ พอคุณอิศรินทร์เงียบไปนาน ผมจึงถามเรื่องอื่นแทนเช่น พี่ง่วงไหม อยากกินมาม่าหรือเปล่า หรือถ้าเหนื่อยก็กลับมานอน พรุ่งนี้เราค่อยไปกินของอร่อยๆกัน

“พี่กำลังกลับแล้ว”

พี่อู๋บอก ผมได้ยินเสียงป้าอ้อยเรียกเด็กๆขึ้นรถกลับบ้าน บทสนทนาของเราเงียบอีกหลายวินาทีก่อนพี่อู๋จะบอกว่าต้องวางสายแล้ว แค่นี้ก่อนนะ

“ครับ”

ผมตอบ และนั่งมองประตูห้องนั่งเล่นใหญ่เหมือนหมารอเจ้าของ ไม่ถึงสิบนาที รถวีออสสีดำและคันอื่นๆอีกสองสามคันก็ขับเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหลานๆที่กำลังง่วงนอนเต็มที สะใภ้และลูกเขยทยอยพาลูกตัวเองไปส่งที่เตียง ผมชะเง้อคอมองหาผู้ปกครอง พอไม่เห็นเขามาเสียทีก็เลยเดินตามหาจนเจอว่าพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในวีออส ข้างๆเขาคือป๊าที่กำลังพูดบางอย่างด้วยท่าทางเครียดๆ หลังจากนั้นป๊าก็ลงจากรถ เจอผมยืนหลบอยู่หลังบานประตู แกพยักหน้ายิ้มๆแล้วบอกให้นายก้องเกียรติเข้านอน

“สวัสดีปีใหม่ก้อง” ป๊าชวนคุย “ถ้ายังไงก็เรียกอู๋ขึ้นนอนด้วยนะ”
“ครับ สวัสดีปีใหม่นะครับ”

ผมยืนรอ รอ และรอให้พี่อู๋พร้อม เขาไม่ขยับตัวหรือทำอะไรเลยนอกจากจับพวงมาลัยแน่นเหมือนกำลังคิดหนัก เวลาผ่านไปอีกสิบนาที เจ๊ออมปาดน้ำตาเดินเข้ามาในบ้าน เธอลูบไหล่ผมและบอกให้ไปนอน

“ผมรอพี่อู๋อยู่ครับ”

ผมตอบเจ๊ออม เธอชะเง้อมองน้องชายที่นั่งเก็บตัวในรถก่อนจะบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ เดี๋ยวอู๋ก็ขึ้นนอนเอง

นายก้องเกียรติเคยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ผมยืนรอจนเมื่อยขา รอ รอ รอ รอจนพี่อู๋ดับเครื่องและลงจากรถ พอเห็นหน้าผม เขาก็ยิ้มๆถามว่าทำไมไม่นอน

“ผมรอพี่อยู่”

พี่อู๋ไม่ตอบอะไรกลับมา เขายีผมกอริลลาก้องจนเสียทรง เรากอดคอเดินเข้าบ้านพร้อมกัน
“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน ก้องนอนเลย ไม่ต้องรอ”

ผู้ปกครองสั่ง แน่นอนว่าผมไม่ทำ ผมรอจนกระทั่งพี่อู๋อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รอจนเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง รอจนเขาขึ้นนอนบนเตียงและถอนหายใจยาวๆ ผมไม่กล้าถามพี่อู๋ว่าก๋งเป็นยังไงบ้าง ตกลงตัดสินใจกันยังไง แนไหวไหม พี่โอเคหรือเปล่า เดาเอาว่าก๋งน่าจะยังมีชีวิตอยู่แต่โอกาสรอดคงน้อยเต็มที

“พรุ่งนี้พี่จะพาก้องไปโอเชี่ยน”
“โอเชี่ยนคืออะไรครับ?”
“ห้าง” เขาบอก “พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อกันนะ”

ผมไม่เข้าใจซักนิด ทำไมเราต้องซื้อเสื้อผ้าในเมื่อนายก้องเกียรติสามารถหยิบยืมของใครในบ้านมาใส่ก็ได้

“พี่อู๋”
“ว่า?”

ผมจินตนาการว่าเรากำลังอยู่ในอวกาศ อยู่ในภาวะสุญญากาศที่อึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมไม่รู้ว่าควรปลอบ ควรกอด ควรให้กำลังใจ หรือพูดยังไงเพื่อให้พี่อู๋หายเศร้า สุดท้ายผมทำได้แค่เรียกชื่อเขา เรียกพี่อู๋ พี่อู๋ครับ พี่ --

“เรียกแล้วไม่คุย โดนมะเหงกนะ”

คุณอิศรินทร์เขกหัวนายก้องเกียรติดังโป๊ก หมดกันอารมณ์ห่วงหาอาทร ลาก่อน นอนเศร้าไปคนเดียวเลย

“เรียกพี่ทำไม?”

แต่พี่อู๋ยังนึกสงสัยจนต้องเอ่ยถาม ท่ามกลางความมืดกับสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสง มีแค่ผมเท่านั้นที่ยังคงลืมตาอยู่

“ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมเป็นห่วงพี่จัง”
“ห่วงพี่? ห่วงทำไม?” 
“มันยากใช่ไหมพี่? การทำใจยอมรับความจริง --”

ผมเกริ่นทิ้งไว้ รอจังหวะให้คุณอิศรินทร์หันมาแต่เขายังหลับตาเหมือนเดิม

“คนเรามีพบก็ต้องมีจาก”

พี่อู๋พูดเมื่อกอริลลาก้องไม่ยอมต่อประโยคให้จบ คิดว่าเขาคงรู้ว่าผมต้องการสื่ออะไร เขารู้แน่ๆว่าเด็กในอุปการะเป็นห่วงและอยากบอกว่าการสูญเสียมันทำใจยาก แต่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำธรรมดา วันหนึ่ง -- เราจะไม่เจ็บปวดกับการจากไปเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“สวัสดีปีใหม่ครับ”

ผมบอกเขา คราวนี้คุณอิศรินทร์ขำออกเสียงก่อนจะขานรับในลำคอ

“อืม สวัสดีปีใหม่นะก้อง”

นาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่าตีสองหกนาที เข้าสู่เช้าวันใหม่ของพุทธศักราชใหม่ที่เริ่มต้นโดยมีนายก้องเกียรติหลับน้ำลายยืดข้างผู้ปกครอง ส่วนคุณอิศรินทร์ได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆเพียงลำพัง



นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงตรง

บ้านของคุณอิศรินทร์เงียบเหมือนสวนสนุกร้าง ในห้องครัวไม่มีอาหารหรือร่องรอยการใช้งาน อ่างน้ำแห้งสนิท จานชามคว่ำเก็บในตู้เป็นระเบียบ ไฟในห้องนั่งเล่นใหญ่ดับมืด ไม่มีเสียงทีวี ไม่มีเสียงหัวเราะแสบแก้วหูของเด็กๆ ไม่มีเงาของใคร แม้แต่ป้าอ้อยคนขยันก็ไม่อยู่ที่นี่

“ทุกคนไปโรงพยาบาล”

พี่อู๋ช่วยไขข้อข้องใจให้กอริลลา เท่ากับว่าตอนนี้เราอยู่ในบ้านกันสองคน ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากบ้านตรงดิ่งไปโอเชี่ยน พร้อมผู้ปกครอง มันคือห้างขนาดเล็กถ้าเทียบกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เล็กกว่าประมาณหนึ่งในยี่สิบเห็นจะได้ ส่วนสภาพและการตกแต่งภายใน ผมว่าใหม่กว่าพาต้าปิ่นเกล้านิดนึง

พอหาที่จอดได้ เด็กเฝ้าลานจอดก็ฉีกตั๋วยื่นให้เรา เขาบอกว่าค่าจอดยี่สิบบาท ถ้าซื้อของครบสองร้อยให้เอาตั๋วไปแสตมป์ที่ประชาสัมพันธ์แล้วค่อยมารับเงินคืน คุณอิศรินทร์ทำเออออห่อหมกพยักหน้าไปเรื่อย แต่พอไกลสายตาเด็กลานจอดรถ เขาก็บ่นเรื่องตั๋วค่าจอดยี่สิบบาททั้งๆที่บางห้างในกรุงเทพคิดค่าจอดแพงกว่านี้ตั้งเยอะ

“เซ็นทรัลก็ไม่คิดตังค์ค่าจอดรถลูกค้าเลยหรือเปล่าวะก้อง?”

พี่อู๋เถียงขาดใจ อ่ะ ผมยอมแพ้ก็ได้ ไม่ว่าแล้วครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพี่เหมือนเดิม

เราเดินเข้าทางด้านหลังของห้าง ผ่านโซนขายร้านเสื้อผ้าผู้ชายและเครื่องหนังแบรนด์ต่างๆ พี่อู๋เดินตรงดิ่งไปที่ราวเสื้อผ้าลดราคา เขาแหวกหาเสื้อเชิ้ตเหมือนยังไม่เจอลายที่ถูกใจ เขาแหวกไปมาหลายนาทีจนพนักงานหญิงต้องเดินมาถามว่าสนใจอยากได้แบบไหนดีคะ

“เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆอ่ะครับ” พี่อู๋บอกแล้วชี้มาที่นายก้องเกียรติ “ให้น้องคนนี้”

พนักงานร้องอ๋อแล้วพาเราไปอีกโซนที่ขายเสื้อเชิ้ตวัยทำงานโดยเฉพาะ พวกมันเหมือนเสื้อของพี่อู๋ในตู้ที่คอนโดเลย ต่างกันแค่สีและลาย ส่วนใหญ่มนุษย์เงินเดือนคงนิยมแต่ตัวกันแนวนี้ เปลี่ยนสีเสื้อ สลับสีกางเกงแค่เทา ดำ น้ำตาล กับรองเท้าหนังสุภาพอีกหนึ่งคู่ สงสัยพี่อู๋จะให้ผมซ้อมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่พร้อมโหนบีทีเอสในสภาพรักแร้เปียกไปทำงานกลางหน้าร้อน

พนักงานไม่ค่อยเทคแคร์เราเท่าไหร่ แต่คุณอิศรินทร์ก็ไม่ได้สนใจ เขาดูสบายใจกับการซื้อของโดยไม่มีใครคอยกำกับด้วยซ้ำ เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนเกือบสิบปีทำไมจะไม่รู้ว่าเสื้อเชิ้ตไซส์ไหนใส่แล้วถึงจะออกมาดูดี พี่อู๋หยิบหลายขนาดมาทาบบนตัวกอริลลาก้องก่อนจะใช้ให้ไปลอง ผมทำแบบนี้อยู่หลายหน เปลี่ยนเสื้อสีขาวหลายยี่ห้อ หลายแบบหลายตัว แต่ก็ยังไม่ถูกใจ

“มีไซส์ที่เข้ารูปกว่านี้ไหมครับ? ตัวนี้ไหล่ตก”

พี่อู๋ถามพยักงานพร้อมกับชี้ให้ดูว่าเสื้อที่เธอเสนอมามันไม่ได้ขนาดตามที่เขาต้องการ พนักงานสาวหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อเชิ้ตสามตัวให้คุณอิศรินทร์เลือก

เราใช้เวลากับเสื้อตั้งครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพี่อู๋ก็เจอเนื้อคู่ของนายก้องเกียรติ เสื้อเชิ้ตสีขาวล้วนคอปก ติดกระดุมคอแล้วไม่รัดเหนียงจนหายใจไม่ออก ความยาวช่วงแขนก็ยาวพอดีกับข้อมือ ตะเข็บแขนตรงหัวไหล่เป๊ะ ใส่แล้วเข้ารูปดูเป็นทรง ผมมองตัวเองในกระจก รู้สึกเหมือนเป็นอิศรินทร์ร่างโคลน พร้อมออกไปโหนบีทีเอสแล้วครับ

“เอาตัวนี้ตัวนึงครับ” เขาตอบพลางติดกระดุมมือให้นายก้องเกียรติ “ที่นี่มีกางเกงสแล็คไหมครับ?”
“มีค่ะ”

เธอผายมือไปอีกด้าน เราเดินตามไปจนถึงตัวหุ่นโชว์ที่กำลังสวมกางเกงคอลเล็คชั่นใหม่ของปีนี้ คงไม่ต้องพูดยาวว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อู๋เลือกกางเกงให้ผมต่อ เขาให้ลองจนกว่ากอริลลาก้องจะเจอไซส์ที่พอดีตัวจริงๆ ใส่ออกมาแล้วดูเท่เหมือนมนุษย์รถไฟใต้ดิน พอลองใส่ทั้งเสื้อและกางเกงพร้อมกัน ผมถึงเอะใจว่านี่ไม่ใช่ชุดมนุษย์เงินเดือน นี่มันชุดร่วมงานศพ

“ทั้งหมดสองพันสี่ร้อยหกบาทค่ะ”

พี่อู๋ส่งบัตรให้พนักงานรูด ส่วนกอริลลายืนมองเงาตัวเองในกระจก กอริลลาก้องในชุดมนุษย์เงินเดือนก็ดูไม่เลว แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่คุณอิศรินทร์ทำแบบนี้ เขาเสียเงินตั้งสองพันเพื่อให้เด็กในปกครองมีชุดใส่ไปร่วมงานศพ ทั้งๆที่ก๋งยังไม่ตาย ก๋งยังอยู่ในโรงพยาบาล แต่เขากลับเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

“ไปดูรองเท้ากัน”

พี่อู๋เดินนำ ผมได้แค่มองแผ่นหลังของผู้ปกครองที่ดูเหี่ยวเฉากว่าปกติ นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงห้านาที คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปกินเอ็มเค แล้วเราก็ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน




ก๋งอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนแถวอ้อมค่าย ผมไม่รู้ว่ามันชื่ออ้อมค่ายจนกระทั่งญาติคนหนึ่งโทรศัพท์บอกทางเพื่อให้คนอื่นๆตามมาเยี่ยมก๋งครั้งสุดท้าย หน้าห้องไอซียูไม่ได้มีแค่พวกเราที่จับจองโซฟา แต่ยังมีคนอื่นที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันนั่งด้วย ผมพยายามมองหาแนเพราะอยากรู้ว่าแนเป็นยังไงบ้าง แต่หายังไงก็หาไม่เจอ เจอแค่สามทหารเสือนั่งกดเกมท่ามกลางเสียงบทสนทนาคร่ำเครียดของครอบครัว

พี่อู๋ถึงโรงพยาบาลเป็นคนสุดท้าย เขาผลักประตูเข้าไปในห้องไอซียู ปล่อยให้กอริลลาก้องนั่งกับสามเสือเงียบๆอยู่หลายนาที ซักพักคุณอิศรินทร์ก็จูงมือแนออกมา ลูกคนอื่นๆสลับกันเข้าไป เรียงคิวแต่ละครอบครัวจนถึงหลานคนสุดท้าย แล้วแนก็กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง

“ตกลงแม่ว่ายังไง?”

น้องสะใภ้คนหนึ่งถามคุณแม่สร้อยเพชร ผมเดาเอาว่าคำตอบคงไม่ดีเท่าไหร่เพราะแกเริ่มร้องไห้ก่อนจะบอกให้ผู้ใหญ่พาเด็กๆกลับบ้าน

“แม่จะให้เด้*กลับบ้าน” (พ่อ)
“หมออนุญาตเหรอ?”
“แม่เซ็นแล้ว” คุณแม่สร้อยเพชรสะอื้น “ไม่ต้องพูดอะไรมากนะ พาพวกเด็กๆขึ้นรถ ทำเหมือนวันปกติพอ”

ผมได้แค่มองครอบครัวคุณอิศรินทร์หัวใจสลายหน้าห้องไอซียู บางคนร้องไห้เงียบๆ บางคนก็สะอื้นจนตัวสั่น ป้าอ้อยร้องหนักกว่าใครเพื่อน แกเรียกหาเด้ เด้ เด้ และตามด้วยเสียงครางฮือเหมือนจะขาดใจ หลานที่โตหน่อยน้ำตาซึมเพราะรู้ว่ากำลังจะเสียก๋งไป ส่วนเด็กเล็กๆถามพ่อแม่ตัวเองใหญ่ว่าร้องไห้ทำไม พอพวกเขาไม่ตอบ เด็กๆก็แหกปากร้องตาม

“เดี๋ยวโรงพยาบาลจัดการให้ ไปรอที่บ้านเถอะ”

ป๊าของพี่อู๋บอก ครอบครัวคุณอิศรินทร์ทยอยเดินลงบันไดไปลานจอดรถ ส่วนผม คุณแม่สร้อยเพชร และลูกของก๋งคนอื่นๆยังยืนอยู่หน้าไอซียู รอจนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟต์ ส่งขึ้นรถตู้ และขับนำไปบ้านของก๋งกับแน





ต่อ part 2 ข้างล่างเลยจ้ะพี่จ๋า  :z2:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
23 [PART 2]

รถพยาบาลมาส่งถึงห้องของก๋ง ผมไม่รู้ว่าข้างในทำอะไรกันเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เขาไป แต่ได้ยินสมาร์ทบอกว่าพยาบาลถอดเครื่องช่วยหายใจก๋งแล้ว

“จริงๆแม่เราก็ทำได้นะ แม่เราเป็นพยาบาล”

สมาร์ทพูดเหมือนไม่เสียใจ แต่ผมเห็นเขานั่งน้ำตาคลอ

“ไม่ต้องตามติดโกอู๋หรอก ปล่อยโกไว้แบบนั้นแหละ เวลาเสียใจโกไม่ชอบคุยกับใคร”

ต่อให้สมาร์ทไม่บอกผมก็รู้ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ปกครองดี ดังนั้นตลอดช่วงบ่ายนายก้องเกียรติจึงไม่โผล่หน้าไปวุ่นวายบริเวณชั้นสองเลย หลานๆสลับกันเข้าออกห้องของก๋งตามปกติ ลูกเขยและสะใภ้แวะเวียนไปหาบ้างแต่คนที่อยู่ในห้องตลอดคือแน คุณแม่สร้อยเพชร และป้าอ้อย พี่อู๋ออกจากห้องก๋งตอนห้าโมงเย็น เขาร้องไห้จนตาบวมไม่ต่างจากเจ๊ออม แต่ก็ยังฝืนยิ้มและสั่งให้ผมไปซักเสื้อที่เพิ่งซื้อวันนี้

“เสร็จแล้วมากินข้าวกันนะ”

พี่อู๋บอก ผมจึงหิ้วถุงเสื้อผ้ากับกาละมังไปซักบนดาดฟ้า ขยี้ๆเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผู้ปกครองซื้อให้ด้วยความทนุถนอม ผมตากเสื้อและกางเกงแสล็คไว้บนราวกลางแจ้งที่แสงแดดส่องถึง อากาศร้อนเหมือนซ้อมตกนรกขนาดนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง

นายก้องเกียรติทำหน้าที่ตัวเองเสร็จตอนพิซซ่ามาส่งพอดี เด็กๆที่หิวโซมาหลายชั่วโมงแย่งกันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนได้แต่ยืนเหม่อเหมือนไปต่อไม่ถูก สามทหารเสือคือตรงกลางระหว่างความเศร้ากับรับความจริงได้ สากลกินน้อยลงนิดหน่อย สไปก์ปากดีเหมือนเดิม ส่วนสมาร์ทไม่พูดเลย ไม่กินพิซซ่าซักคำ

“ตอนแรกโกอู๋จะเซ็น แต่แนไม่ให้” สมาร์ทชวนกอริลลาก้องคุย “แนรู้ว่ามันไม่มีหวังแล้ว ถ้าให้หลานเซ็น โกอู๋คงรู้สึกมีตราบาปจนวันตาย”
“แนเซ็นเองเหรอ?”
“อืม”
“แนทำใจได้แล้วเหรอ?”

ไม่มีคำตอบ สมาร์ทปิดเกมและยอมกินพิซซ่าร่วมกับกอริลลาก้อง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบห้านาที เด็กเล็กๆเล่นของเล่นกันไม่รู้เดียงสา หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของพวกเขาก็ทยอยเรียกให้ขึ้นรถทีละครอบครัวและขับออกไป เหลือบ้านที่มีแค่ก๋ง แน คุณแม่สร้อยเพชร ป๊า ป้าอ้อย เจ๊ออม สามีเจ๊ออม ลูกของเจ๊ออม คุณอิศรินทร์และกอริลลาก้องเท่านั้น

“อย่าลืมไปเอาหนังสือที่บ้านเรานะ” สมาร์ทย้ำก่อนขึ้นรถ “มาเอาช้า เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม เข้าไปไม่ได้นะจะบอกให้”

ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะเดินเข้าบ้าน ในห้องนั่งเล่นใหญ่ ผมเห็นป๊าดื่มเหล้าในขวดแก้วคนเดียวเงียบๆ แกนั่งไขว่ห้าง ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ วางแก้ว ถอนหายใจ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน นายก้องเกียรติที่เป็นส่วนเกินจึงเลี่ยงขึ้นไปชั้นสอง เมื่อเห็นว่าข้างนอกไม่มีคนอยู่จึงเดินขึ้นไปหาผู้ปกครองบนชั้นสาม แต่พอได้ยินเสียงบานพับประตูเปิด นายก้องเกียรติก็แอบย่องกลับมานั่งส่องที่ขั้นบันไดชั้นสองเพื่อรอดูว่าใครออกมา

เป็นพี่อู๋กับเจ๊ออมนั่นเอง ตอนเจ๊ออมอยู่ในอ้อมแขนของคุณอิศรินทร์ เธอดูบอบบางเหมือนดอกไม้ที่แค่แตะก็ช้ำ แค่ลมพัดก็ปลิว ผมได้แต่มองสองพี่น้องกอดกันจนกระเสียงไวโอลินดังลอดมาจากห้องของก๋ง มันเป็นน้ำเสียงหวานเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่ง มีใครเปิดเพลงจากวิทยุ

เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็หมองมืดหม่น
ทนเงียบเหงา อ้างว้าง

เพลงนี้คงเป็นเพลงโปรดของใครซักคนในบ้าน พวกเขาอาจเปิดให้ก๋งฟังครั้งสุดท้ายก่อนจากกันตลอดกาล หรือไม่ก็แค่บังเอิญเปิดเฉยๆ แต่น้ำเสียงของนักร้องเศร้ามาก เศร้าจนวูบหนึ่ง ผมแอบคิดถึงแม่ที่จากไป

เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอไม่สร่าง
ใจฉันค้างเคียงเธอ

ผมฟังเพลงนี้จบหนึ่งรอบและกลับขึ้นไปรอผู้ปกครองในห้องชั้นสาม วันนี้เป็นวันที่ยากมากสำหรับคุณอิศรินทร์ ผมก็เลยไม่ชวนคุยหรือถามอะไรให้มากความ เรานอนข้างกันเงียบๆในห้อง มีดาวสะท้อนแสงจางๆบนเพดาน ผมเป็นกำลังใจให้พี่อู๋ด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะครับ แค่นั้น สั้นๆ จบ

คุณอิศรินทร์ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นพี่อู๋นอนหลับตา ไม่พูดกับผมซักคำนอกจากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆบนแขนของกอริลลาจนหลับพร้อมกัน




นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าสี่สิบนาที พี่อู๋ปลุกผม และบอกว่าก๋งตายแล้ว



นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าห้าสิบสองนาที

หลังก๋งจากไปแค่สิบกว่านาที รถทุกคันที่เคยจอดที่นี่ก็กลับมาอีกครั้ง เสียงร้องไห้ดังระงมทั่วทั้งบ้านทำเอาบรรยากาศหม่นเศร้าจนกอริลลาก้องแอบน้ำตาซึม ญาติๆส่วนใหญ่หายเข้าไปในห้องของก๋ง ผมเดาเอาว่าคงไปบอกลาหรือไม่ก็ช่วยกันเตรียมตัวให้ก๋งออกเดินทางครั้งสุดท้าย ส่วนคุณอิศรินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องก๋ง ไม่ได้อยู่กับกอริลลาก้อง แต่ปลีกตัวขึ้นไปนั่งคนเดียวบนดาดฟ้า

นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงหกนาที

ผมตกใจเมื่อเดินสวนกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดยาวถึงตาตุ่ม เขาส่งยิ้มให้และพูดว่าสวัสดีลูก ขอพระเจ้าอวยพรทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน พอเห็นสมาร์ทเดินเข้ามาในบ้าน ผมก็รีบวิ่งไปหา ถามว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ทำไมจู่ๆถึงเข้ามาในบ้านพี่อู๋ได้

“คนที่โบสถ์น่ะ” สมาร์ทตอบเสียงอู้อี้ “พวกเขามาร้องเพลงกัน”
“ร้องเพลงตอนนี้เนี่ยนะ?”
“อื้อ เราเชื่อว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เป็นเรื่องน่ายินดี”
“น่ายินดีตรงไหน?”
“อย่างน้อยก๋งก็ไม่ต้องทรมานแล้วไง”

ผมปลีกตัวไปนั่งหลบมุมระหว่างบันไดชั้นสองกับชั้นสาม คอยสอดส่องมองผู้คนเดินเข้าห้องของก๋งจนล้นออกมายืนเรียงแถวข้างนอก ซักพักพวกเขาก็พากันเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีในขณะที่ลูกหลานของก๋งน้ำตานองหน้า ร้องเพลงไม่เป็นภาษาจนได้ยินแค่เสียงสะอื้นและเสียงสูดน้ำมูกเท่านั้น




นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงตรง ทุกคนในครอบครัวสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวดำ

ร่างของก๋งถูกบรรจุในโลงสีขาวประดับด้วยไม้กางเขนสีทอง นายก้องเกียรติแอบมองพิธีกรรมทางศาสนาผ่านบานกระจกห้องนั่งเล่น ทุกขั้นตอนดำเนินด้วยความสงบ พอเก้าโมงตรง รถบรรทุกคันเล็กก็เข้ามาจอดในบ้าน รับเอาก๋งไปส่งที่ไหนซักแห่งโดยมีลูกหลานขับรถตามเป็นขบวน รถตู้คันใหญ่สีขาวมีแนกับลูกๆวิ่งเป็นคันที่สอง ส่วนวีออสของพี่อู๋คือคันสุดท้าย เขารอจนกระทั่งทุกคนออกจากบ้านจึงขับตามไป

รถบรรทุกขับเข้ามาในรั้วแห่งหนึ่งตรงข้ามที่ทำการเทศบาล ที่นี่มีตึกใหม่เพิ่งสร้างอยู่ทางซ้าย ส่วนด้านหน้าคือตึกชั้นเดียวก่อด้วยอิฐสีแดง ตอนเรามาถึง พวกเขายกก๋งเข้าไปวางในอาคารใหม่สีครีมเรียบร้อยแล้ว  โลงศพของก๋งถูกวางไว้ด้านหน้าของเวที ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นจุดเด่นรวมสายตาโดยไม่ต้องใช้ของประดับ

แต่งานศพของก๋งไม่เรียบง่ายเหมือนของแม่ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นรถกระบะขนดอกไม้สดเข้ามาจอดข้างอาคาร นักจัดดอกไม้มืออาชีพลงมือตกแต่งที่นอนของก๋งด้วยดอกเบญจมาศสีขาวเป็นร้อยๆดอก นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบเก้านาที กรอบรูปของนายเตี้ยม แซ่ลี ถูกนำมาวางข้างโลง

การเตรียมงานค่อนข้างวุ่นวายอยู่แล้วโดยเฉพาะงานของคนตายที่มีญาติและคนรู้จักเยอะเหมือนก๋งเตี้ยม ลูกๆของก๋งจึงต้องแบ่งงานกันทำคนละอย่าง คนหนึ่งทำแผ่นพับพิธีการ อีกคนเตรียมเมนูอาหารและติดต่อแม่ครัว อีกคนสั่งทำของที่ระลึก พวกเด็กๆที่ไม่รู้เดียงสาก็วิ่งเล่นไปทั่วโถงพิธี เล่นสนุกโดยไม่รู้ว่าความตายคืออะไร ส่วนสามทหารเสือนั่งกดเกมอยู่บนม้านั่ง สมาร์ทตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งหยุดร้องไห้ ส่วนสไปก์กับสากลแค่ดูซึมๆ ผมเดินไปหาสามเสือเพราะไม่รู้จะขลุกตัวกับใครเพราะคุณอิศรินทร์หายไป เขาหายไปตั้งแต่ลงจากรถแล้ว

“หาโกอู๋เหรอ?”
“อืม” ผมขานตอบ “พี่อู๋อยู่ไหนอ่ะ?”
“ติดประกาศหน้าบอร์ดให้สมาชิกรู้ว่าก๋งตาย”

สมาร์ทชี้นิ้วไปยังอาคารอิฐแดง ผมเห็นพี่อู๋แล้ว เขากำลังหันหลัง ยืนแปะกระดาษบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง

“เสียใจด้วยนะ”
“เรื่องก๋งเหรอ?”
“อืม”
“เสียใจทำไม ต้องดีใจสิ” สมาร์ทพูด
“สมาร์ทไม่เศร้าเหรอที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอก๋งอีกแล้ว?”

สมาร์ทเงียบ เขาเบะปากกลั้นน้ำตานานหลายวินาทีก่อนจะร้องไห้ออกมา ผมไม่แซวเขานอกจากลูบหลังเบาๆ

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก” สมาร์ทบอกอย่างมีความหวัง “ที่ไหนซักแห่ง -- เราจะได้เจอกันอีก”

ผมไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ขัดคอ ถึงจะอยากบอกสมาร์ทว่าบางที --

บางทีการยอมรับว่าเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องผิด

ในเมื่อเขารู้สึกเศร้ากับการจากไปของก๋ง เขามีสิทธิ์ร้องไห้ มีสิทธิ์ฟูมฟาย สมาร์ทไม่จำเป็นต้องพูดไดอะล็อกเหมือนคนในโบสถ์ ไม่จำเป็นต้องทำตัวร่าเริง เศร้าก็คือเศร้า แค่ร้องไห้ออกมา แค่ยอมรับมัน ไม่จำเป็นต้องฝืนเพื่อใครเลย

พอเห็นสมาร์ทเริ่มร้องไห้ ผมก็นึกเป็นห่วงคู่ชีวิตของก๋ง ผมพยายามสอดสายตาหาแนแต่ไม่เห็นแกอยู่แถวนี้ ก็แค่ไม่เห็นนะ แต่เสียงแนน่ะ -- ดังสุดๆไปเลย

“ม่ายล่าย ม่ายล่าย ม่ายเอาดอกกุหลาบ โกเตี้ยมม่ายชอบกุหลาบ”

เสียงแนดังมาจากเก้าอี้แถวหน้าสุด แกคอยชี้นิ้วให้นักจัดดอกไม้ปรับแต่งนั่นนี่ตามประสาแม่งาน ผมแปลกใจที่ไม่เห็นแกนั่งร้องไห้จะเป็นจะตายอย่างที่คิด แนยังคงทำทุกอย่างเพื่อให้งานของสามีออกมาดีที่สุด ตรงใจก๋งที่สุด แม้ตอนนี้ก๋งจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆเพื่อบ่นเรื่องดอกกุหลาบสีชมพูและกลิ่นน้ำอบ แต่แนก็คอยกำกับควบคุมแทนก๋งอย่างดี

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงเจ็ดนาที

นายก้องเกียรติยังเดินเล่นบริเวณโบสถ์เพียงลำพัง ผมเตะก้อนกรวดพลางมองต้นไม้ที่ปลูกริมรั้ว หยุดอ่านประกาศบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง ช่วยคุณป้าคนหนึ่งกวาดกลีบดอกไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นบนพื้น ผมฆ่าเวลาทั้งหมดไปกับการเดินและสำรวจจนกระทั่งนักดนตรีของโบสถ์เดินทางมาถึง ผมได้ยินศิษยาภิบาลเรียกพวกเขาว่าทีมอนุชน เขาบอกครอบครัวคุณอิศรินทร์ว่าคนกลุ่มนี้แหละจะบรรเลงเพลงในงานของก๋ง

หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปในโถงของอาคารใหม่อีกครั้งเพราะความอยากรู้อยากเห็น ผมแอบนั่งมองทีมอนุชนปรับจูนเครื่องดนตรีเงียบๆและได้แต่คิดว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ โลงศพสีขาว ไม้กางเขนสีทอง เปียโนสีน้ำตาลเก่าๆ กลองชุด กีต้าร์ คีย์บอร์ด เบส และแทมบูรีน นี่พวกเขาจะเห็นทุกอย่างเป็นงานรื่นเริงไม่ได้นะ

“พี่หาตั้งนาน ไปวิ่งเล่นอยู่แถวไหนมา?”

คุณอิศรินทร์ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มือดึงคอเสื้อเพื่อระบายความร้อน ผมยักไหล่แทนคำตอบ พื้นที่โบสถ์ก็มีแค่นี้ พี่คิดว่าผมจะไปไหนได้ถ้าไม่เดินเตะกรวดกับอ่านประกาศบนบอร์ด

“เหนื่อยไหม?”
“ผมต้องเป็นฝ่ายถามพี่ต่างหาก”
“เหนื่อยดิ” พี่อู๋ตอบ คราวนี้ถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเลยเหรอพ่อ “ก้องอยากกลับบ้านก่อนไหม? กว่าพิธีวันนี้จะเสร็จก็เกือบสามทุ่มแน่ะ”
“ผมกลับไปก็เหงาสิ ไม่มีพี่อยู่ด้วย”
“เออ พูดจาเข้าหูดีว่ะวันนี้” คุณอิศรินทร์หัวเราะ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเข้าหูตรงไหน ปกติเราคุยกันแบบนี้ประจำ “หิวหรือยัง? พี่จะพาไปกินข้าว”
“แต่ผมเห็นแม่ครัวตั้งหม้อเตรียมเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว”
“ก็ให้แขกกินสิ ส่วนเราหาอะไรอร่อยๆข้างนอกกินดีกว่า”
“แนไม่ว่าเหรอถ้าจู่ๆพี่หายตัวไป?”
“โอ๊ย -- เขาชินกันทั้งบ้านแล้ว” พี่อู๋ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้า ไม่เหมือนพี่อู๋คนเดิมที่เคยสบถด่าการจราจรแยกรัชดาลาดพร้าวเลย “เนี่ย ร้านอร่อยอยู่ไม่ไกล นั่งสองแถวไปก็ได้”

ผมพยักหน้าตกลง เอาเถอะ คุณอิศรินทร์อยากทำอะไรผมก็ไม่ขัดแล้วเวลานี้ เราสองคนเดินออกจากโบสถ์เงียบๆไม่ได้บอกใครว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอเห็นรถสองแถวสีน้ำเงินวิ่งเข้ามาเทียบฟุตปาธ เราก็กระโดดขึ้นรถโดยมีเสียงแนตะโกนไล่หลัง

“ไอ้หมูอู๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ผมหัวเราะก๊าก ไอ้หมูอู๋ ไอ้หมูอู๋ สมน้ำหน้า กลับมาต้องโดนแนด่าแน่ๆเลย



ห๊ะ!! นี่ยังไม่ part 3 อีกเหรอ ใช่แน้วคุงพี่ ตอนนี้เรื่องมันย๊าว  :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
23 [PART3]

ผมรู้มาว่ารถสองแถวราคาสิบบาทตลอดสาย

พี่อู๋ยื่นแบงค์ยี่สิบให้คนขับเมื่อรถจอดเทียบใกล้กับสี่แยกไฟแดงตรงกับสะพานลอยสีแดง ผมเห็นซุ้มประตูแบบจีนบนสะพานด้วย แถวนี้มีร้านขายทองเรียงรายติดๆกัน ที่มากพอๆกับร้านทองคือร้านขายยา พวกเขาแทบจะเปิดร้านสลับกันเลย ร้านทอง ร้านขายยา ร้านทอง ร้านขายยา ร้านขายนาฬิกา ร้านขายทอง ร้านขายทอง ร้านขายยา

ร้านขายทองเยอะๆ -- แสดงว่าแถวนี้คือบ้านสมาร์ทใช่ไหม?

ผมไม่ได้ถามพี่อู๋เพราะเห็นเขาเหนื่อยมาทั้งวัน แถมยังพากอริลลาก้องออกตะลุยกินร้านอร่อยที่ซุกอยู่ในหลืบในซอยอีก ช่วงแรกที่เราเดินบรรยากาศก็คึกคักดี ร้านค้าพวกนี้ถูกทาสีใหม่แต่กลิ่นอายความคลาสสิคยังหลงเหลืออยู่ เราเดินผ่านหน้าร้านขายเบเกอรี่ที่ชื่อวังเด็ก ผ่านร้านขายสังฆภัณฑ์ ร้านขายของเด็กอ่อน ข้ามถนนบนทางม้าลายซึ่งเป็นการข้ามแบบเสี่ยงตายเพราะไม่มีใครจอดให้เรา พี่อู๋ต้องจับมือผมแน่นเพื่อค่อยๆเดินทีละนิด ทีละนิด และก้มหัวขอบคุณเมื่อรถเก๋งคันหนึ่งจอดให้เราข้าม

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

คุณอิศรินทร์บอกและพาข้ามถนนอีกรอบ คราวนี้เรายืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียน มีกระเป๋านักเรียนห้อยต่องแต่งเหมือนสอยดาวตามงานวัด ทีแรกผมคิดว่าร้านอร่อยของเขาจะเป็นห้องอาหาร มีแอร์ มีบานกระจก มีการจัดตกแต่งดีๆเหมือนที่เรามักจะไปในกรุงเทพ แต่ยิ่งเดินเข้าลึกเข้าไปในซอยผมยิ่งคิดว่าไม่น่าใช่ เพราะซอยที่เรากำลังเดินอยู่นั้นแคบมาก แคบจนรถยนต์วิ่งเข้ามาไม่ได้ บนถนนขรุขระมีแอ่งน้ำขังเพราะขาดการซ่อมแซม ผมเดินย่ำแอ่งน้ำ เดินผ่านกองขยะ ผ่านบ้านเก่าๆที่ดูเหมือนบ้านร้าง ก่อนจะเห็นแสงไฟลอดออกมาจากอาคารหลังนึง

“ร้านโกชิน” พี่อู๋บอกเมื่อเห็นกอริลลาอ้าปากเหวอ “อย่าตัดสินจากหน้าร้านนะ กินก่อน แล้วค่อยวิจารณ์”

พี่อู๋พาผมไปนั่งที่โต๊ะเก่าๆตัวหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมโต๊ะเป็นป้ายไวนิลโฆษณา มีเหยือกน้ำวางอยู่ข้างๆ มีทิชชู่สีชมพู ไม้จิ้มฟัน ตะกร้าใส่ช้อนส้อมและกล่องใส่ตะเกียบ ดูเผินๆเหมือนร้านสตรีทฟู้ดทั่วไปในกรุงเทพ แค่เปลี่ยนจากบนฟุตปาธมาเป็นถนนเส้นเล็กๆที่มีแอ่งน้ำขัง มีกลิ่นชื้นแฉะ มีกลิ่นอายความวังเวง

คุณอิศรินทร์สั่งผัดเครื่องแกงหมูกรอบ ไข่เจียวหมูสับ เกี๊ยวปลา และผัดผักบุ้งไฟแดงซึ่งเมนูพื้นฐานที่กินร้านไหนก็ได้ ระหว่างรอกับข้าวมาเสิร์ฟ ผมใช้นิ้วเคาะโต๊ะทบทวนโน้ตเพลงเบาๆ ส่วนพี่อู๋อยู่ในโหมดนั่งมองกอริลลาก้อง มอง แล้วถอนหายใจ มองใหม่อีกที แล้วก็ถอนหายใจอีก ผมถามเขาว่ามองทำไม หน้าผมมีรอยเท้าใครแปะอยู่เหรอ

“พี่แค่สงสัยว่าก้องผ่านมันมาได้ยังไง?”

คุณอิศรินทร์ถาม แต่ผมไม่รู้สึกว่านั่นคือคำถาม ผมคิดว่าเขาแค่พูดกับตัวเองมากกว่า 

“ก้องเก่งมากเลยนะที่ยังอยู่ถึงวันนี้”
“เก่งอะไร ตอนนั้นผมจะฆ่าตัวตายแล้ว แต่พี่นั่นแหละเข้ามาขวาง ผมถึงยังทนหายใจอยู่จนทุกวันนี้ไง”
“ก้องเคยรู้สึกเสียใจบ้างไหม?”
“เรื่องอะไรครับ?” ผมถาม
“ที่ยังมีชีวิตอยู่ --” คุณอิศรินทร์เท้าคางและจ้องหน้าผม “ถ้าวันนั้นพี่ปล่อยให้ก้องกระโดดลงไป ก้องว่าเราจะเป็นยังไง?”
“ไม่เป็นไง ผมก็แค่ตาย ส่วนพี่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป ทำไมจู่ๆพี่ถึงพูดเรื่องนี้ --”

กับข้าวก็ถูกเสิร์ฟขัดจังหวะเวลา ทีแรกผมตั้งใจรอให้เด็กเสริ์ฟเดินไปไกลๆแล้วค่อยถาม แต่กลิ่นหอมของเครื่องเทศ สีสันจัดจ้านของอาหารทำให้คำถามถูกกลืนลงคอ บนโต๊ะของเรามีผัดเครื่องแกงหมูกรอบสีส้มที่มีใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า และถั่วฝักยาวเป็นส่วนประกอบ ผมไม่ว่าอะไรเมื่อเห็นถั่วฝักยาวในกับข้าวจานนี้ แต่ถ้าเจอถั่วฝักยาวในกะเพราล่ะก็ -- ก็ไม่อะไร ผมจะกินให้เกลี้ยงเหมือนกัน

เครื่องแกงหมูกรอบเพิ่งวางได้ไม่กี่วินาที เกี๊ยวปลาน้ำใสกับผัดผักบุ้งจานใหญ่ก็ตามมาเป็นจานที่สองและสาม ปิดท้ายไข่เจียวฟูฟ่อง โอ้โห -- ผมต้องขอลืมเรื่องที่จะคุยกับผู้ปกครองไปก่อน อาหารตรงหน้ามันยั่วจนไม่อยากให้มีคำไหนหลุดออกจากปากนอกจากคำว่า “อร่อย”

“อร่อย!”
“ยังไม่ได้กิน!” พี่อู๋ตบมุก เขาหัวเราะไหล่สั่นพลางตักหมูกรอบให้กอริลลาหนึ่งชิ้น “นี่หมูกรอบ เนื้อแน่น หนังกรอบแบบเหนียวๆ เคี้ยวจนปวดกราม ลองชิมดูนะ”

นายก้องเกียรติตักหมูกรอบกับข้าวสวยใส่ปาก รสสัมผัสของผัดเครื่องแกงจานนี้ไม่เหมือนที่เคยกิน หนังหมูกรอบกัดแล้วกังกร๊อบ เนื้อหมูก็แน่นจนต้องออกแรงเคี้ยวเหมือนที่พี่อู๋ว่า แต่ทีเด็ดของจานนี้คือเครื่องแกง เครื่องแกงที่ใช้ผัดทั้งหอมและมัน เผ็ดร้อนนิดหน่อยให้พอรู้ว่า เออ ฉันเผ็ดนะ ฉันคือเครื่องแกงตำด้วยสากคนใต้ รสชาติไม่ติดหวานหรือไม่เค็มจนเกินไป เป็นความกลมกล่อมแบบเผ็ดร้อนที่โคตรลงตัว ผมชอบจานนี้มากๆ ให้สิบคะแนนเลย 

 เราสองคนกินข้าวด้วยกันเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ผมตักหมูกรอบ ราดด้วยน้ำซุปหวานกระดูกหมูและกินหนึ่งคำ คำที่สองตักไข่เจียว คำที่สามผัดผักบุ้ง แล้ววนกลับไปกินหมูกรอบอีกครั้ง เรากิน กิน กินจนเรอดังเอิ๊ก กินจนเกลี้ยงไม่เหลืออะไรติดจานนอกจากใบมะกรูดกับพริก พี่อู๋ดูมีความสุขขึ้นเยอะเมื่อได้กินข้าวที่นี่ ผมถามเขาว่าชอบร้านนี้มากเลยเหรอ เขาส่ายหน้าและตอบว่า

“ร้านไหนไม่สำคัญหรอก” คุณอิศรินทร์พูดทั้งๆที่ยังคาบไม้จิ้มฟันในปาก ท่าทางดูเหมือนกุ๊ยประจำซอยในละคร “ที่สำคัญคือมากินกับใครต่างหาก”

ผมทำเป็นพยักหน้า อ๋อ เหรอ เหรอครับ อืม อืม แล้วลุกขึ้นเมื่อผู้ปกครองจ่ายค่าข้าวเสร็จ คราวนี้เขาเดินทะลุออกไปทางท้ายซอย ข้ามถนนเส้นเล็กๆอีกสายและเดินบนฟุตปาธ พอถึงหัวมุมที่เป็นร้านขายของเขาก็เลี้ยวซ้ายก่อนจะหันมาบอกนายก้องเกียรติว่า

“กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่”

อะไรของพี่วะ --

ผมสบถในใจ พอเดินเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าพี่อู๋พามาซื้อขนมจากรถพ่วงข้างที่จอดขายหน้าห้างลัคกี้ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเป็นร้านขายขนมไทยด้วยซ้ำ เห็นคนยืนมุงเป็นวงกลม ผมคิดว่าเขากำลังเก็งหวยกัน ที่ไหนได้ ต่อคิวซื้อขนม

“เอาทองหยิบยี่สิบบาทครับ ฟังทองสังขยาสามชิ้น แล้วก็ --” พี่อู๋หันมาถามผม “ก้องชอบทองอะไร? ทองหยิบ? ทองหยอด? ฝอยทอง?”
“ทองคำแท่ง”
“มะเหงกสิ” เขาเขกหัวกอริลลา ผมบุ้ยปาก ก่อนจะบอกว่าทองหยิบครับ
“งั้นทองหยิบยี่สิบบาทอีกถุงนึงครับ”

เรายืนรอคิวเกือบห้านาทีกว่าได้ขนมไทยมาครอบครอง พอซื้อเสร็จ ทุกอย่างก็กลับมาว่างเปล่าเพราะไม่มีจุดหมายให้ไปต่อ ผมคิดว่าซักพักพี่อู๋คงจะโบกสองแถวกลับโบสถ์ แต่ความจริงคือเขาไม่ยอมกลับ คุณอิศรินทร์พาผมเดินเที่ยวเล่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวประดุจตัวเองเป็นไกด์ นี่คือห้างเก่าแก่ของเมืองนะครับ ลัคกี้คือห้างที่อยู่ทางซ้าย ถัดไปคือสหไทยตั้งอยู่ด้านขวา ถ้าอยากซื้อของที่ระลึกเชิญด้านนี้ครับ

“ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่เลย”

ผมรู้สึกเหมือนได้พี่อู๋คนเดิมกลับมาตอนที่เขาจูงมือพากอริลลาข้ามถนน เราเดินเล่นชั้นใต้ดินในห้างสหไทยเพื่อซื้อขนม เดินดูเสื้อผ้าราคาถูกที่แขวนห้อยบนราว เดินผ่านโซนขายเครื่องสำอางเทลมีและยี่ห้องอื่นๆที่ไม่เคยเห็นโฆษณาในทีวี คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปโซนกิฟต์ช็อปที่ชั้นสาม ในนั้นขายเครื่องเขียนแทบจะทุกชนิดในประเทศคอน ผมเดินเข้าล็อคนั้นออกล็อคนี้ ยืนทดลองขีดเขียนปากกาสีเล่นๆ ลองไฮต์ไลท์ ลองเปิดดูสมุดบันทึกแบบต่างๆ ในขณะที่คุณอิศรินทร์ยืนเลือกกรอบรูปถ่ายตั้งโต๊ะ เขาเลือกอยู่พักใหญ่จึงหยิบไปจ่ายเงิน

“ก้องไม่อยากได้อะไรเหรอ?”

พี่อู๋ถามเมื่อเห็นกอริลลาเดินมาหาตัวเปล่า ผมบอกเขาว่าไม่มีของที่อยากได้เพราะทดลองทุกสีจนพอใจแล้ว สนุกมากครับ ขณะกำลังจ่ายเงิน เสียงโทรศัพท์ของพี่อู๋ก็ดังขึ้น นายก้องเกียรติจอมเสือกแอบมองหน้าเจอเพื่อดูว่าใครโทรมา

เจ๊ออม is calling

โดนด่าแน่ๆพี่ไอ้หมูอู๋

ผมคิด และก็เป็นจริงตามนั้น พี่อู๋หน้าบูดทันทีที่รับสาย เดาเอาว่าเจ๊ออมคงตามให้กลับไปช่วยงานของก๋ง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบเอ็ดนาที คุณอิศรินทร์จูงมือนายก้องเกียรติขึ้นสะพานลอยสีแดงข้ามไปอีกฝั่งเพื่อนั่งรถสองแถวกลับโบสถ์

ช่วงใกล้หนึ่งทุ่มของที่นี่ ท้องฟ้าจะมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่สีน้ำเงินของท้องฟ้า มีแค่แสงจากเกาะกลางถนนเท่านั้นที่ให้ความสว่าง ผมกับพี่อู๋นั่งตรงข้ามกัน เขาพิงหัวกับขอบหลังคารถสองแถวราวกับมันหนักเกินกว่าจะนั่งหลังตรงด้วยตัวเอง พอเห็นสภาพแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ และสายตาแบบนี้ ผมก็เข้าใจทันทีว่าการหนีออกมากินข้าวกับผมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการไตร่ตรอง พี่อู๋คิดไว้แล้ว เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะออกจากโบสถ์ตอนกี่โมงเพื่อไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปกับใคร แผนการที่เขาทำไม่ใช่แค่ความดื้อรั้นของหลานชายคนโต

แต่พี่อู๋กำลังหนีความจริง
เขาหนี -- จากจุดที่ทำให้เขาทุกข์ใจ

แต่ไหนแต่ไรผู้ปกครองของผมไม่ชอบเผชิญหน้ากับความจริงอยู่แล้ว เขามักจะหนี หลบซ่อน พยายามเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ตัวเองปะทะกับความเจ็บปวด เขามักจะพาตัวเองออกจากตรงนั้นเสมอ ตอนคบกับคุณหมูพีก็เช่นกัน พี่อู๋ไม่ยอมพูดตรงๆว่าไม่อยากไปต่อ เขามัวแต่รอเวลา ดึงเวลาให้คุณหมูพีเป็นฝ่ายเบื่อจนต้องขอไปเอง แต่พอสถานการณ์มันไม่ได้ดั่งใจ คุณหมูพีไม่ยอมไปง่ายๆ เขาจึงต้องยอมเจ็บตัว ดับเครื่องชนพุ่งเข้าใส่ทุกปัญหาอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่กลัวผลตามมา พอทุกอย่างจบลง เขาก็จะกลับมาเป็นคุณอิศรินทร์คนเดิม คนธรรมดามีบาดแผลเต็มตัวและพยายามหาความสุขใส่ในโลกของตัวเองเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มตรง พี่อู๋กดกริ่งเพื่อให้รถสองแถวจอดหน้าที่ทำการเทศบาล ทันทีที่ลงจากรถเราก็ยืนรอริมฟุตปาธ เตรียมข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อร่วมงานของก๋ง แสงไฟนีออนจากคริสตจักรบอกเราทางอ้อมว่าพิธีไว้อาลัยของคืนแรกใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว ผมหันไปมองผู้ปกครอง มองใบหน้าที่ราบนิ่งเหมือนไม่เสียใจโดยไม่พูดอะไร

พี่อู๋ของผม
พี่อู๋ที่น่าสงสาร --

การออกไปข้างนอกช่วยให้ลืมว่าก๋งตายก็จริง แต่การเห็นโลงศพสีขาวและไม้กางเขนสีทองบรรจุร่างของก๋งเอาไว้เป็นยิ่งกว่าการเฆี่ยนตีให้ได้แผล ในสมองพี่อู๋คงกำลังท่องว่าก๋งตายแล้ว ก๋งตายเมื่อเช้า และวันนี้เขาต้องเข้าร่วมพิธีศพของก๋งในฐานะหลานชายคนโต ก๋งจากไปแล้ว ก๋งจากไปเมื่อเช้า และหลังจากนี้เขาจะไม่ได้เห็นก๋งอีก

เรายืนรอหาโอกาสข้ามถนนอยู่นานมาก ไม่ใช่ว่ารถไม่จอดให้เราข้าม แต่พี่อู๋ไม่ยอมเดินต่างหาก เขามองไม้กางเขนบนอาคารหลังคาอิฐสีแดงด้วยแววตาว่างเปล่า ผมจับมือคุณอิศรินทร์เอาไว้แน่น ตอนที่เขาหันมา ผมไม่ได้พูดว่าข้ามถนนซักทีเถอะครับ แต่ผมจับเฉยๆ แค่จับเอาไว้เฉยๆ ถ้าพี่อู๋ไม่อยากข้าม ผมก็ไม่ข้าม เราจะยืนทำใจอยู่ตรงนี้อีกหน่อยก็ได้ ต่อให้อยากบอกคุณอิศรินทร์ว่าพี่หนีความจริงไม่ได้ แต่ผมไม่มีวันผลักไสเขาให้เผชิญหน้ากับความสูญเสียเหมือนที่คนอื่นทำ ไว้พี่อู๋พร้อมเมื่อไหร่ค่อยยอมรับมันก็ได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยท่องติดหัวว่า แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ผมท่องตลอด แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายบนราวบันได แต่พอเวลาผ่านไป คำว่า แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ก็หายไปด้วย เหลือแค่ความทรงจำดีๆของเรา ซึ่งวันหนึ่งในอนาคต อนาคตที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าพี่อู๋จะทำใจได้ เขาจะทำใจได้แน่นอน สมองของเขาจะเหลือแค่ความทรงจำดีๆระหว่างเขาและก๋งไว้ให้คิดถึง วันหนึ่ง พี่จะเข้าใจและยอมรับมันด้วยด้วยตัวเอง วันหนึ่ง -- วันหนึ่ง --

วันหนึ่ง -- พี่จะเข้มแข็งพอจนรับได้ว่าคนที่พี่รักจะต้องค่อยๆทยอยล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน มันคือสัจธรรม มันคือความจริง ถ้าหากมันเจ็บจนไม่อยากรับรู้ สิ่งที่พี่ทำได้คือหนีไปเรื่อยๆ หนีวนเป็นวงกลม หนีหัวซุกหัวซุน แต่การทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก จริงๆนะ มันไม่เป็นไร พี่ไม่จะตาย พี่จะไม่ตายแค่เพราะคนที่พี่รักจากไป แต่พี่ตายแน่ถ้าพี่ไม่รักตัวเอง ถ้ายังปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือช่วงก่อนเลิกกับคุณหมูพี พี่ตายแน่

“ไปกันเถอะก้อง ถนนโล่งแล้ว”

พี่อู๋พูดหลังจากยืนเหม่อเป็นนาที ผมบีบมือเขาแน่น เราสองคนจูงมือข้ามทางม้าลายด้วยกัน อย่ากลัวเลยนะพี่อู๋ ผมบอกเขาในใจ นายก้องเกียรติจะอยู่ตรงนี้ ผมจะคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้พี่จากข้างหลังเองครับ


TBC

___________________________

ขอโทษที่มาต่อช้านะคะ แต่หนูมาแล้วน้า
อาจจะยาวหน่อย ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
:hao5:

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารพี่อู๋จัง เนื้อเรื่องดำเนินเรื่อยๆดีจังค่ะ เราจะได้อยู่กับพี่อู๋และน้องก้องไปนานจนวันนึงมันพัฒนาเป็นความรักเนาะ

ออฟไลน์ fun_la_ong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นกำลังใจให้พี่อู๋

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
สู้ๆนะพี่อู๋  :กอด1:
ก้องโตขึ้นมาก เป็นน้องก้องที่เข้มแข็งมาก ดีใจที่น้องมาถึงจุดนี้ได้ น้องมองโลกตามความเป็นจริงได้และยังเข้าใจความรู้สึกของพี่อู๋ น้องก้าวผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ สองคนนี้จะเป็นกำลังใจให้กันและกันในวันที่อีกฝ่ายนึงเผชิญกับเรื่องแย่ๆ
ขอให้พี่อู๋ผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้นะคะ :L2:

ไม่รู้จะชื่นชมยังไงดีกับนักเขียน เพราะเราชอบเรื่องนี้มาก อ่านเท่าไหร่ก็ไม่พอ555 อยากอ่านต่อเรื่อยๆ
ชอบการดำเนินเรื่อง ชอบสำนวนในการเขียน ชอบการที่พระเอกนายเอกไม่เร่งรีบในการตกหลุมรักกันง่ายๆ
ไม่ต้องรีบจีบกัน มีสิ่งรอบข้างให้ได้โฟกัส มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ชอบความค่อยๆเป็นค่อยๆไป ใส่ใจรายละเอียด ซึ่งมันค่อนข้างหายากกับนิยายวายสมัยนี้ ดีใจที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ออกเล่มเปย์แน่นอนค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้โห โคตรชอบอ่ะ แต่งดีมั่ก โคตรรักเลย คราวนี้จะเป็นคุณก้องเกียรติที่ต้องดูแลอิศรินทร์รึเปล่าา ยาวมั่กตอนนี้อยากได้ซัก5พาร์ท ><

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด