21 PART2
พี่อู๋เอาอาหารเช้าถวายป้าสร้อยที่นั่งดูข่าวอยู่หน้าทีวีก่อนจะชวนผมไปหน้าบ้าน เขาบอกว่ามีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เท่าร้านติ่มซำและมีของให้เล่นเพียบเลย ซึ่งของเล่นที่ว่าน่ะ --
กระดานลื่นสำหรับเด็กสามถึงห้าขวบ แป้นชู้ตบาสที่สูงเท่าสะดือนายก้องเกียรติกระดานแม่เหล็กไว้แปะบัตรคำต่างๆ และกล่องใส่ของเล่นมากมายเต็มไปหมด
นี่คุณอิศรินทร์เห็นผมเป็นน้องอีกคนหรือไง ไม่คิดบ้างเหรอว่ากระดานลื่นอันนั้นเปราะง่ายขนาดไหน แค่ก้าวขาข้างเดียว พลาสติกบางๆนั่นก็แตกแล้ว ถ้าจะให้ผมเล่นต้องซื้ออันที่ใหญ่กว่านี้สิ อันที่เป็นเหล็กในสวนสาธารณะน่ะ แบบนั้นเลย ผมถึงจะสไลด์ลงมาได้
“อย่าโฟกัสของเล่นเด็กสิ นู่น ทีวี --”
พี่อู๋อวดโทรทัศน์จอใหญ่ที่สุดเท่าที่กอริลลาเคยเห็น มีโซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่วางห่างจากทีวีประมาณห้าเมตร ข้างๆเป็นรูปปั้นเทพเจ้าจีนวางเรียงรายในตู้ คุณอิศรินทร์บอกว่าจะทำอะไรก็ได้ในห้องนี้ จะกินขนมหก จะเลอะเทอะ หรือจะนอนขวางทางยังไงก็ได้ แต่อย่าให้ตุ๊กตาแก้วในตู้แตกล่ะ ไม่งั้นหัวนายก้องเกียรติได้แตกตามตุ๊กตาแน่
“เดี๋ยวสิบโมงคงทยอยกันมา อาจจะน่ารำคาญหน่อย ถ้าอึดอัดก็บอกนะ พี่จะพาไปอยู่ข้างบน”
ผมตอบแค่ครับ และพยายามไม่กังวล ถึงเราจะได้อยู่กันสองคนในห้องนั่งเล่นแต่ผมกลับไม่อุ่นใจเหมือนอยู่ลาดพร้าวเลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม เป็นที่แปลกประหลาด เป็นที่ที่นายก้องเกียรติไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีพี่อู๋ คุณอิศรินทร์คงรับรู้ถึงความกังวลของเด็กชอบเก็บตัวอย่างกอริลลาก้องจึงคอยพูดปลอบตลอดว่าไม่เป็นไร ลูกพี่ลูกน้องของเขาซนก็จริงแต่มีมารยาทนะ ถ้าผมเกลียดเด็ก ไม่อยากเล่นกับเด็กเขาก็ไม่ว่า เขาจะพาผมไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์ในห้องนอนแทน
นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบห้านาที
ผมนอนกัดเล็บดูทีวีกับผู้ปกครอง ซักพักเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของเด็กก็ดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้า มากันแล้ว พี่อู๋พูดยิ้มๆ เขาหันไปทางประตูเลื่อนก่อนจะกางแขนกว้างรับเด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดขวบเข้ามากอดแน่น
“โกอู๋หวัดดีค่ะ” เธอเหลือบมองผมและเริ่มทำตัวล่อกแล่ก “นี่ใครอ่ะ?”
“เพื่อนโกเอง ชื่อก้อง ต่อไปเหมยต้องเรียกเขาว่าโกก้องนะรู้ไหม”
“หวัดดีค่ะโกก้อง” เด็กหญิงเหมยยกมือไหว้ตามมารยาท “ปีนี้โกพีไม่มาเหรอ?”
พี่อู๋ดูลำบากใจเมื่อ โกพี กลายเป็นหัวข้อสนทนา ผมเองก็อึดอัดไม่รู้จะพูดอะไร เดาเอาว่าหลานสาวของเขาคงรู้แหละว่าคุณหมูพีสำคัญกับคุณอิศรินทร์มากขนาดไหน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว
“โกพีติดธุระเลยมาไม่ได้อ่ะ”
“หนูโทรหาโกพีได้ไหม?”
ผมล่ะลำบากใจแทนเขาจริงๆ
“โทรได้สิ แต่เหมยต้องใช้โทรศัพท์ตัวเองโทรนะ”
เด็กหญิงเหมยเข้าใจง่ายกว่าที่คิด เธอถามถึงของฝากนิดหน่อยก่อนจะวิ่งไปเล่นของเล่นหลังห้องโดยมีเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันสามคน สวมแว่นสายตาสี่แหลี่ยมทรงคล้ายๆกัน ก้มหน้ากดพีเอสพีเดินเรียงแถวเข้ามาในห้อง พวกเขาทักทายคุณอิศรินทร์ว่า
“โกอู๋หวัดดีครับ”
แล้วแยกย้ายกันไปนั่งคนละมุมของโซฟา ไม่มีใครสนใจนายก้องเกียรติที่นั่งข้างพี่อู๋เลยซักคน
“แฝดเหรอครับ?” ผมถาม แต่ดูจากวัยที่ค่อนข้างต่างกันพอสมควร ผมว่าไม่น่าใช่แฝด
“พี่น้องน่ะ ไม่ได้มีแค่หน้านะที่ถอดแบบมา สมองมันก็ก็อปปี้ส่วนดีๆจากพ่อกับแม่มาทั้งนั้น”
พี่อู๋พูดด้วยความภูมิใจ เขาชี้นิ้วแนะนำน้องชายให้นายน้องเกียรติรู้จักทีละคน คนแรกที่ผมยาวกว่าใครชื่อสมาร์ท อายุสิบแปดเท่านายก้องเกียรติและเพิ่งสอบเข้าวิศวะลาดกระบังได้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผมพูดว่าหวัดดีสมาร์ท เขาตอบกลับมาว่าหวัดดีโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลย
คนถัดมาที่ตัดรองทรงชื่อสไปก์ ไอ้นี่หัวดีที่สุดในบรรดาสามคน ตอนนี้เรียนเตรียมอุดม แม่หวังให้เป็นหมอแต่มันดันบอกว่าไม่เรียน อนาคตใฝ่ฝันอยากเป็นเศรษฐี อยากทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รวยและไม่เหนื่อย แม่มันเลยประชดให้ไปขายยา ขายยาในความหมายของแม่คือยาบ้า แต่ไอ้สไปก์ตีความผิดว่าขายยาแบบเภสัชกร มันเลยได้เป้าใหม่ อยากยืนตากแอร์เย็นๆในร้านขายยาของตัวเอง
“เออ ตลกดีว่ะ”
“มีตลกกว่านี้อีกนะ”
พี่อู๋พูดแล้วชี้ไปที่เด็กชายอายุน้อยสุด ผมเดาเอาว่าน่าจะเพิ่งขึ้นมัธยม ดูทางทรงผมที่เกรียนติดหนังหัวแล้วต้องเป็นเด็กมัธยมแน่ๆ ทรงที่ตบหัวแล้วดังแป๊ะๆนั่นแหละ ช่วงวัยเด็กอันน่าจดจำสำหรับนายก้องเกียรติเลย
“นี่สากล --”
“สากล?” ผมทวนชื่อหลานชายของเขาอีกครั้ง “สมาร์ท สไปก์ กับสากลเหรอครับ?”
“เออ มันเกิดมาได้เพราะพ่อกับแม่พากันไปเที่ยวสกลนคร แล้วก็จนปัญญากับการตั้งชื่อให้เข้ากับพี่ๆมาก สมาร์ท สไปก์ สไบ สบง สบาย สบี่ สบอย สะดม สะดึง สระไดร์ โอ๊ย -- คิดยาวไปจนถึงเสือกอ่ะ”
“ใครมันจะตั้งชื่อลูกว่าเสือกวะพี่?”
“เพราะแบบนั้นไงมันถึงชื่อสากล จะเรียกสกลตามชื่อจังหวัดก็ฟังดูขัดกับพี่ๆไปนิด งั้นชื่อสากลไปเลย สากล สากล สากล เวลาโมโหก็เรียกมันไอ้สกล!”
“ได้ยินนะโกอู๋” สากลถลึงตามอง
“เล่นแต่เกมจริงๆไอ้ทีมสอเสือใส่เกือก”
“ก็มันไม่มีอะไรให้ทำอ่ะ” สไปก์บ่น “ละนี่โกพีไม่มาเหรอ?”
คุณหมูพีอีกแล้ว --
“ไม่มา”
“ดีมาก”
“ทำไม?”
“รำคาญโกพี ชอบถามเรื่องเกรด” สมาร์ท พี่คนโตโพล่งแทนน้องชายอีกสองคนที่นั่งกดเกมกันคนละฟาก “แล้วนี่ใครเหรอครับ?”
“รุ่นน้องพี่ ชื่อก้อง รุ่นเดียวกับสมาร์ทนั่นแหละ”
“รุ่นน้องอะไรเด็กกว่าเป็นสิบปี”
“ไม่งั้นเขาจะเรียกว่ารุ่นน้องเหรอไอ้สามารถ?”
พี่อู๋ถามย้อน เด็กลาดกระบังยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆทยอยตามมา เสียงห้องนั่งเล่นเริ่มเจี๊ยวจ๊าวเพราะมีเด็กเล็กมาด้วย กอริลลาก้องที่เป็นแขกไม่สามารถจำชื่อญาติทั้งหมดของพี่อู๋ได้จริงๆ ผมจึงแสร้งทำเป็นดูทีวีข้างพี่อู๋ พยายามทำตัวให้ชิลที่สุดทั้งๆที่เริ่มอึดอัดนิดหน่อยเพราะพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับผมเลย พวกแกเอาแต่ถามหาโกพีที่อยู่ไหนก็ไม่รู้
“เด็กๆกินข้าวกัน”
นาฬิกาบอกเวลาว่าเทียงเจ็ดนาที เสียงป้าอ้อยเรียกให้ทุกคนทิ้งของเล่นในมือแล้วปรี่ไปทางห้องทานข้าว มีแค่สามทหารเสือเท่านั้นที่ยังนั่งก้มหน้าก้มตากดเกมไม่เลิกจนแม่ของพวกเขาต้องมาตาม
“ไป! กิน! ข้าว!”
เธอโยกหัวลูกชายทีละคนเบาๆก่อนจะหันมายิ้มแหยให้กอริลลาแปลกหน้า เด็กสองคนบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมวางพีเอสพีลงบนโต๊ะ มีแค่สมาร์ทเท่านั้นที่ยังเล่นอยู่ และแม่ของเขาก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย
“สมาร์ท กินข้าว”
พี่อู๋ชวนเมื่อเหลือแค่เราสามคนในห้องนั่งเล่นใหญ่ สมาร์ทที่ตอนแรกยังเป็นเด็กติดเกมกลับเงยหน้าขึ้นแล้วถามพี่อู๋ว่าเลิกกับโกพีแล้วเหรอ ผมถึงกับอึ้งเพราะหลานของคุณอิศรินทร์นี่ฉลาดเป็นกรดจริงๆ
“เออ เลิกละ”
“ก้องคือแฟนใหม่ใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่” ผมแย้ง “เราเป็นรุ่นน้องพี่อู๋จริงๆ”
“โม้เหอะ พี่อู๋ทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่น่าจะมีรุ่นน้องอายุเท่าเรานะ”
สมาร์ทขยับแว่นเหมือนโคนัน นี่ผมต้องระวังตัวไหมว่าจะมีคดีฆาตกรรมหรือมีใครตายหรือเปล่า
“คนใหม่อ่ะดิ” สมาร์ทตอกย้ำทฤษฎีของตัวเอง ส่วนกอริลลาก้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้างั้นเป็นอะไรกับโกอู๋อ่ะ? ปกติโกไม่พาใครเข้าบ้านนะ”
“เป็นรุ่นน้อง”
“รุ่นน้องที่อายุสิบแปด?”
“ใช่” ผมพยักหน้า “แค่แวะมาเที่ยวบ้านพี่อู๋เฉยๆ”
“แล้วบ้านก้องอยู่ไหนเหรอ?”
ผมมึนตึบพักนึงเพราะนึกไม่ออกว่าบ้านอยู่ตรงไหนกันแน่ ตกลงนายก้องเกียรติอยู่จรัญสนิทวงศ์หรือลาดพร้าว ผมไม่รู้ว่าควรตอบสมาร์ทยังไง
“พาแฟนใหม่มาก็ยอมรับดิโก ยากตรงไหน?”
“ก็ยังไม่ใช่แฟนไง” พี่อู๋ขมวดคิ้วพลางโบกมือไล่สมาร์ทให้ไปกินข้าว “ถามอะไรมากวะไอ้สามารถ ไปกินข้าวไป เดี๋ยวพ่อมึงร่อนจานมาโขกหัวหรอก”
สมาร์ทยอมวางเกมแล้วเดินนำเราสองคนไปที่ห้องทานข้าว มันเป็นห้องขนาดใหญ่สีขาวที่มีเพียงแค่โต๊ะกับเก้าอี้ทำจากไม้เนื้อแข็ง ในห้องมีผู้ใหญ่ยืนคุยเสียงดังกันเต็มไปหมด กอริลลาก้องปรากฏตัวขึ้นโดยยกมือไหว้ทุกคน จากนั้นพี่อู๋ก็แนะนำว่านี่ก้องเกียรตินะ จบ ไม่มีการอธิบายว่าผมคือใคร เก็บมาจากไหน เรื่องราวเป็นยังไง ครอบครัวของเขารับรู้แค่ว่าผมชื่อก้องเกียรติเท่านั้น
“นี่เหรอก้อง?”
ผู้ชายดูคุ้นหน้าคุ้นตาถาม ผมยกไหว้เขาอีกครั้ง รู้ในทันทีว่าผู้ใหญ่คนนี้คือป๊าของพี่อู๋ที่เคยเห็นในรูปถ่ายครอบครัว
“นั่งเลยก้อง กินขนมจีนเป็นไหม?”
“เป็นครับ”
“ดีๆ กินเยอะๆ ป๊าสั่งขนมจีนมาสิบโล กินให้หมดอย่าเหลือนะ”
ตั้งสิบกิโล
ผมอึ้ง แต่นั่นแหละ ครอบครัวพี่อู๋เป็นครอบครัวใหญ่ นับรวมๆแล้วในห้องนี้มีคนทานข้าวอยู่ประมาณยี่สิบสามคน และทุกคนกินจุเหมือนซ้อมออกรายการทีวีแชมป์เปี้ยนตอนนักแดกแหลก พวกเด็กๆตักขนมจีนใส่จานตัวเองแล้วเหยาะน้ำปลา ส่วนคนที่โตหน่อยจะกินกับน้ำแกง มีแกงอะไรบ้างผมไม่รู้ ผมก็เหยาะน้ำปลาเหมือนกัน
“ก้องไม่กินเผ็ดเหรอ?”
ผมส่ายหน้า ตอบไปว่าจริงๆแล้วกินได้แต่ไม่รู้จะเลือกกินกับน้ำแกงไหนดี คุณน้าท่าทางใจดีคนหนึ่งแนะนำให้ผมรู้จักทีละถ้วย นี่แกงไตปลา นี่แกงน้ำพริก สีแดงอมส้มดูเหมือนเผ็ดแต่ไม่เผ็ดซักนิด ส่วนทางนี้คือแกงเขียวหวาน แกงปู น้ำยากะทิ จะกินผสมกันอย่างละช้อนก็ได้ หรือราดอย่างเดียวก็ได้ หรือจะเหยาะน้ำปลาเหมือนพวกเด็กๆก็ได้ นายก้องเกียรติเลือกได้เลย เลือกที่ชอบ ที่อยากทาน
นอกจากขนมจีนแล้วยังมีเครื่องเคียงอีกหลายอย่าง ไข่ยางมะตูมวางอัดแน่นบนถาด มีกุ้งทอด มีสารพัดผักวางเรียงเป็นตับ กอริลลาก้องที่ไม่ชินกับขนมจีนจึงเลือกเหยาะแค่น้ำปลา กินไข่ยางมะตูมครึ่งซีก กับกุ้งทอดแค่หนึ่งแผ่นเท่านั้น
บรรยากาศตอนทานอาหารไม่ได้เคร่งเครียดหรือเคร่งมารยาทอย่างที่ผมกลัวเลย ผู้ใหญ่บางคนยืนกิน บางคนเคี้ยวผักมูมมาม บางคนซดน้ำแกงเสียงดัง พวกเขาพูดคุยหัวเราะเป็นภาษาใต้ด้วยความสนุกสนาน แม้แต่แนที่เคยน่ากลัวก็กลายเป็นธนาคารให้หลานๆไถตังโดยมีหัวโจกคือสไปก์ ไอ้นี่มันร้ายจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า แค่คุยกับแนไม่ถึงสิบวินาที มันได้เงินห้าร้อยบาทไปซื้อโค้กลิตรแล้ว
“เอาอะไรเปล่าโกก้อง?”
สไปก์ถามโดยมีเด็กๆวิ่งตามหลังไปเป็นพรวน ผมส่ายหน้า บอกไม่เอาก่อนจะช่วยป้าอ้อยเก็บจานชามไปล้าง ห้องทานอาหารยังคงมีเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ มีทั้งอวดผลการเรียนลูกตัวเอง ทั้งด่าความดื้อความซนความแก่แดดของลูกให้ญาติคนอื่นๆฟัง ป๊ากับแม่พี่อู๋จะค่อนข้างเงียบกว่าใครเพราะลูกโตหมดแล้ว คนนึงเป็นหมอ คนนึงเป็นล่าม อีกคน -- ฆ่าตัวตาย
เจ๊ออมนั่งกินขนมจีนเงียบๆไม่พูดไม่จา เธอยิ้มเมื่อผมยกมือไหว้เป็นหนที่สองแล้วถามพี่อู๋ว่า คนนี้เหรอ? ผู้ปกครองกอริลลาพยักหน้าและตอบว่า
“คนนี้แหละ”
แต่ผมไม่รู้ว่า คนนี้แหละ ของพวกเขาสามารถตีความได้ในแง่ไหนบ้าง
☁
นายก้องเกียรติอยู่ในครัวช่วยป้าอ้อยล้างจานจนพวกเด็กๆกลับมา สไปก์ซื้อโค้กลิตรมาสามขวด ที่เหลือเป็นขนมถุงไร้สาระของโปรดเด็กวัยกำลังโต เสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจดังขึ้นทันทีเพราะแก้วน้ำไม่พอสำหรับรินโคล่าให้ทุกคน ดังนั้นพวกพี่คนโตจึงสละสิทธิ์ เจ๊ออม พี่อู๋ และนายก้องเกียรติไม่กินโคล่าของน้องๆก็ได้
“ทำไมต้องใช้แก้วอ่ะ ใช้ปากก็ได้ป้ะ?”
สากลพูดแล้วกระดกขวดโคล่าทันที เด็กคนอื่นๆตำหนิการกินที่ไร้มารยาทและไม่มีสมบัติผู้ดีเอามากๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต่อแถวรอคิดยกขวดโค้กซดตามสากล
“หม่าม้าบอกว่ายังไงคะเรื่องกินน้ำกับคนอื่น?” น้องชายคนหนึ่งโดนคุณแม่ดึงเสื้อไม่ให้เข้าไปร่วมวง “อย่ากินน้ำต่อจากปากใคร หม่าม้าสอนหนูแล้วไงครับ”
ดูๆไปก็อบอุ่นดี
บ้านหลังใหญ่ ครอบครัวใหญ่ พี่น้องที่วิ่งวุ่นทั่วทั้งบ้าน บทสนทนาตามประสาคุณพ่อคุณแม่และญาติๆกับอาหารมื้อใหญ่ บรรยากาศครอบครัวในฝันทำให้กอริลลาก้องอิจฉาจนพาลไปถึงเอม ครอบครัวของเขาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ญาติพี่น้องมีสตางค์ หน้าที่การงานดี ใจดีขนาดนี้ ไม่รู้จะฆ่าตัวตายให้พ่อแม่ช้ำใจทำไม
ผมล้างจานเสร็จเรียบร้อย แต่ผู้ใหญ่ยังคงคุยกันอยู่ เจ๊ออมปลีกตัวขึ้นไปให้นมลูกเงียบๆบนชั้นสาม ส่วนญาติๆคนอื่นและพี่อู๋หน้าดำคร่ำเครียดคุยอะไรบางอย่าง ผมเห็นผู้ปกครองเท้าคางด้วยสีหน้าตึงๆ ดูกดดันเหมือนเจอทางตัน ดูอึดอัดเหมือนโดนใครบีบคอ ผมได้แต่มองพี่อู๋ผ่านบานกระจกนานหลายนาทีจนสมาร์ททิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมถึงละสายตาจากผู้ปกครอง
“ชอบเล่นเกมมากเลยเหรอ?”
“อืม” เขาขานตอบแบบขอไปที “มีใครไม่ชอบเล่นเกมบ้าง อยากลองเล่นป้ะ?”
“ไม่เป็นไร เรานั่งดูทีวีก็ได้ เพลินดี”
แล้วผมก็เงียบ สมาร์ทก็เงียบ มีแค่เสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กคนอื่นๆและเสียงของเล่นกระทบกันเท่านั้นที่ดังในห้อง สามทหารเสือนั่งเล่นเกมกันคนละมุมเหมือนเดิม สมาร์ทนั่งข้างผม สไปก์นอนหนุนหมอนเล่นบนพื้น ส่วนสากลนั่งขวางทางกระดานลื่น ไม่ยอมให้น้องคนเล็กปีนขึ้นจนเกิดศึกน้ำตานองหน้า
“ไอ้สกล มึงอย่าไปเล่นตรงนั้นดิวะ! น้องร้องแล้วเนี่ย!”
สมาร์ทตะโกนตำหนิน้องชายโดยไม่เงยหน้าจากพีเอสพีเลยด้วยซ้ำ ผมเหล่มองสากลที่ค่อยๆกระถดตัวหลบให้น้องเล็กขึ้นไปเล่นกระดานลื่น ไม่เถียงกลับ ไม่กวนเท้า ไม่แกล้ง ไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากเล่นเกม เออ ไอ้สามทหารเสือมันบ้าเกมจริงๆอย่างที่พี่อู๋ว่า
“อยากรู้ไหมว่าพวกผู้ใหญ่คุยเรื่องอะไร?”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ทั้งๆที่จาจ้องจอในมือแท้ๆ แต่สมาร์ทก็ยังรู้ว่าผมให้คำตอบเขาว่ายังไง
“เขาคุยกันเรื่องใครจะเป็นฝ่ายฆ่าก๋ง”
“จริงดิ?”
“จริง”
“พี่อู๋เคยบอกว่าเขาต้องเป็นคนถอดปลั๊กเครื่องช่วยหายใจ” ผมเล่าให้สมาร์ทฟัง เดาจากท่าทางก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขารู้อยู่แล้ว “ทำไมต้องเป็นพี่อู๋อ่ะ?”
“เพราะตอนนั้นโกติสท์แตกไปหน่อย พวกเด็กอาร์ตก็แบบนี้แหละ”
“ยังไง?”
“เข้าใจมนุษย์ แต่มนุษย์แม่งไม่เข้าใจพวกมัน”
ผมหัวเราะ บางทีก็จริงอย่างที่สมาร์ทว่า พี่อู๋ดูเข้าอกเข้าใจไปซะทุกเรื่อง เขาคือตัวขวางโลกท่ามกลางสังคมที่ยึดถือศีลธรรมจอมปลอม เขาคือผู้ชายที่สนับสนุนให้ทำแท้งเสรีมากพอๆกับส่งเสริมให้มีพรบ.คู่ชีวิต ผมขอเดา -- อีกครั้ง ว่าพี่อู๋น่าจะเป็นคนบอกให้ปล่อยก๋งไป แต่คนอื่นไม่ยอม อาจจะมีเรื่องบาปบุญและความกตัญญูเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเชื่อเถอะว่าผู้ปกครองของผมเขาไม่สนใจหรอก เขาหัวสมัยใหม่และคิดไกลกว่านั้น ไม่แน่เขาคงหลุดปากประชดประชัน บอกว่าถ้าไม่มีใครกล้าถอดเดี๋ยวอู๋ถอดเองก็ได้ หลังจากนั้นญาติพร้อมใจมัดมือให้เขาเป็นคนถอด ไหนๆก็ปากดีแล้ว ช่วยทำเหมือนที่พูดด้วย -- ผมแค่เดานะ
“พวกผู้ใหญ่เชื่อว่าการถอดปลั๊กคือการฆ่าก๋ง”
“แล้วปล่อยให้ก๋งนอนทรมานแบบนี้ไม่แย่กว่าเหรอ?”
“นั่นดิ” สมาร์ทเห็นด้วย “เถียงกันมาตั้งแต่ต้นปี เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ”
“สมาร์ทพูดเหมือนอยากให้ก๋งตาย”
“ใช่ ตายเถอะ บางครั้งตายก็ดีกว่าอยู่นะ”
เราเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มใหม่
“เรียนมอไหนอ่ะ?”
“ยังไม่มีที่เรียน”
“จริงจัง?” สมาร์ละสายตาจากพีเอสพีแค่สองวิแล้วกลับไปให้ความสำคัญต่อ “ทำไมไม่เรียนต่ออ่ะ ขี้เกียจเหรอ?”
ผมไม่รู้จะบอกสมาร์ทยังไงก็เลยเล่าคร่าวๆแค่ว่าผมขาดคะแนนโอเน็ตจึงยื่นเข้ามหาลัยไหนไม่ได้ สมาร์ทขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่านายก้องเกียรติขาดสอบ
“ขาดได้ไง? วันสำคัญนะ”
“อื้อ” ผมเม้มปาก “วันสำคัญสำหรับเราเหมือนกัน”
แล้วก็เงียบอีก คลื่นความเงียบพัดมาเป็นระลอกเหมือนคลื่นในทะเล บางทีสมาร์ทก็ชวนผมคุย บางทีก็ด่าตัวละครในเกม มีบ้างที่หันไปด่าน้องชายสองคนแต่ส่วนใหญ่เขาจมอยู่ในโลกของเกมมากกว่า นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสองสิบเจ็ดนาที สมาร์ทถามผมถึงอนาคตที่เลิกฝันไปนานแล้ว
“อยากเรียนต่อไหม?”
“ยังไม่ได้คิดเลย”
“การศึกษาสำคัญนะ” เขาย้ำด้วยท่าทีจริงจัง “ใบปริญญาสำคัญมาก”
“ก็ -- ไม่รู้จะทำยังไงนี่”
“ยื่นสอบโอเน็ตรอบพิเศษสิ”
“ไม่อยากอ่านหนังสือใหม่แล้ว เราห่างจากการเรียนมานานเกินไป”
“อยู่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ? โรงเรียนกวดวิชาเยอะแยะ ไปสมัครสิ”
“บอกแล้วไงว่าไม่มีเงิน”
ผมถอนหายใจ สมาร์ทนี่ยังไงวะ บอกตั้งแต่แรกว่าไม่มีเงินๆ ยังจะผลักกอริลลาก้องกลับเข้าสู่ระบอบการศึกษาให้ได้ จู่ๆเด็กลาดกระบังผู้มีใจรักในเกมเงยหน้าขึ้น เขามองมาทางผมด้วยแววตาประหลาดราวกับผมทำเรื่องโง่ๆออกไป ผมมองหน้าสมาร์ท เราจ้องตากัน ก่อนที่ดวงตาสองชั้นคู่นั้นจะกลับไปมองจอต่อหลังพูดประโยคหนึ่ง
“บอกโกอู๋สิ”
สมาร์ทแนะนำด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังมากๆ
“โกอู๋น่ะ -- เป็นยิ่งกว่ากยศ.ซะอีก รู้หรือเปล่า”
TBC
----------------------------------------------
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
หายไปนานเช่นเคย อย่าเพิ่งลืมกันเลยนะคะ