เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 122272 ครั้ง)

ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
สงสารน้องกอริล่าก้อง

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
15
สัปดาห์ของคนใบ้ [PART1]
ผมกับแม่มีเกมที่เล่นกันประจำอยู่เกมหนึ่ง เป็นเกมประหลาดที่ไม่ว่าจะเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนสงสัย เราเรียกมันว่าเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ในหนึ่งเดือนจะมีหนึ่งสัปดาห์ที่เราไม่พูดกันเลย -- ไม่พูดจริงๆ แม่ไม่คุยกับผมซักประโยคเดียว

กติกาของเกมนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของแม่ล้วนๆ บางทีแม่นึกอยากจะเป็นใบ้ก็เล่นเกมนี้โดยไม่รอความเห็นของผม สมัยประถม ผมเคยร้องไห้ไปโรงเรียนเพราะน้อยใจที่แม่ไม่ยอมคุยด้วย แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความเสียใจกลับกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่งวันหนึ่ง เราต่างสร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมา แม่อยู่ในโลกของแม่ ผมก็อยู่ในโลกของนายก้องเกียรติ มีกำแพงกั้นตรงกลางระหว่างเรา ผมเห็นแม่ แม่เห็นผม แต่เราไม่เปิดเผยโลกของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น

เพื่อนสนิทสมัยมัธยมเคยพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่ค่อนข้างประหลาด ซึ่งผมเห็นด้วย บางครั้งเราเป็นแม่ลูกกัน บางครั้งเราเหมือนคนแปลกหน้าที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมเคยตั้งคำถามว่าทำไมแม่ต้องสร้างเกมสัปดาห์ของคนใบ้ขึ้นมาด้วย แต่พอกลายเป็นกอริลลา ผมถึงตระหนักได้ว่าบางที การเงียบไม่พูดไม่จากับใครก็เป็นการฮีลตัวเองที่ดีเหมือนกัน

ถามว่าทำไมจู่ๆผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะเหรอ?
เพราะพี่อู๋ -- กำลังเล่นเกมคนใบ้กับผมอยู่ยังไงล่ะ

เราแทบไม่คุยกันเลยเพราะพี่อู๋มีเรื่องต้องคิด ส่วนผมก็ยุ่งกับการติดต่อเพื่อนบ้านที่เคยอยู่ใกล้กัน ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลวันนั้น ผมเปลี่ยนใจกลับมาใช้โทรศัพท์ตามเดิม ทันทีที่เปิดเครื่อง กล่องข้อความก็แจ้งเตือนว่ามีใครพยายามติดต่อมาบ้าง เยอะสุดคือลุงชัย รองลงมาคือลุงชื่น ทุกคนพยายามติดต่อผมสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแต่ลุงชัยบ่อยกว่าใครเพื่อน

ล่าสุดลุงเพิ่งโทรหาผมเมื่อวาน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคนเคยเห็นหน้ากันทุกวัน พอผมถามถึงความเป็นอยู่ของลุง แกก็บอกว่าดีแล้วที่ผมไปอยู่กับพี่อู๋ เพราะบ้านของเพื่อนที่ลุงขออาศัยตั้งอยู่ในชุมชนยาเสพติด เด็กที่นี่มีส่วนรู้เห็นในขบวนการเกือบทุกบ้าน วันดีคืนดีก็ไล่กระทืบกันเพราะเบี้ยวไม่มีเงินจ่ายค่ายา หนักหน่อยคือถูกตำรวจยิงตาย เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้ออกข่าวเพราะคนแถวนี้ตายกันบ่อยเหมือนผักเหมือนปลา ลุงบอกว่าถ้าผมมาอยู่ต้องประสาทกินแน่ๆ แกบอกว่าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างผมเลย

“ดีแล้วที่ได้ไปอยู่กับคุณอู๋ เขาดูแลเอ็งดีใช่ไหมล่ะ”

“ครับ” ผมตอบ “พี่อู๋ดูแลผมดีมากๆ”

ผมไม่ได้บอกลุงชัยเรื่องเกมสัปดาห์ของคนใบ้ ไม่ได้บอกเรื่องที่เกือบโดนพี่อู๋ตี เรื่องคุณหมูพี เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเพราะไม่อยากให้แกเป็นกังวล ผมอยากให้ลุงได้ยินแต่เรื่องดีๆ ไม่อยากให้รู้สึกผิดที่ไม่พาผมไปอยู่ด้วย พอรู้ว่านายก้องเกียรติกินอิ่มนอนหลับและมีชีวิตสุขสบายที่ลาดพร้าว แกก็โล่งใจและบอกว่าว่างๆจะไปหา ซึ่งว่างๆของแกไม่ได้หมายถึงเวลาว่าง แต่หมายถึงตอนที่ถนนว่างต่างหาก

“ไว้เจอกันนะครับ”

ผมพูดประโยคสุดท้ายแล้ววางสาย ก่อนจะโทรหาลุงชื่น โทรหาพี่ลี โทรหาข้าวฟ่างเพื่อสอบถามสารทุกข์สุขดิบของทุกคนไปเรื่อย ส่วนใหญ่ผมไม่ได้คุย แค่รับฟังและคอยตอบคำถามพวกเขามากกว่า แน่นอนว่าเรื่องที่ออกจากปากนายก้องเกียรติมีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น ไม่มีเรื่องโดนกรีดจนเหวอะทั้งตัว ไม่มีเรื่องแย่ๆให้พวกเขากังวล

ผมใช้เวลาคุยกับเพื่อนบ้านเกือบชั่วโมง จนเมื่อเราไม่มีเรื่องพูดถึงวางสายแล้วกลับเข้าสู่เกมสัปดาห์ของคนใบ้โดยคุณอุรัสยาอีกครั้ง จริงๆพี่อู๋ก็ไม่ได้เย็นชาหรือเมินเฉยนายก้องเกียรติเสียทีเดียว เขาแค่อยู่ในช่วงที่ไม่อยากพูด ไม่อยากพูดก็คือไม่อยากพูด ไม่มีอารมณ์อื่นมาปะปน ไม่มีความไม่พอใจใดๆทั้งนั้น

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบเอ็ดนาที

หลังวางสายผมจึงเดินไปหาพี่อู๋ที่กำลังเล่นเปียโนของเอมอยู่ข้างนอก ผมรู้ว่ากอริลลาแต่ละตัวแสดงอาการไม่เหมือนกัน บางตัวร้องไห้ทั้งวัน บางตัวด้านชาไร้ความรู้สึก บางตัวก็ชอบทำร้ายตัวเองเพราะอยากรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับกอริลลาอู๋นั้น เขาแสดงนิสัยออกมาด้วยการกดเปียโนเรื่อยเปื่อยเป็นชั่วโมงๆ ต้องให้กอริลลาก้องเข้าไปขัดจังหวะถึงจะหยุดพักแล้วเริ่มกลับมาเป็นคุณอุรัสยาคนเดิมอีกครั้ง

“คุยกับลุงเสร็จแล้วเหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ “พี่จะเข้าห้องนอนเลยไหม? เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้”
“ก้องเปิดเลยก็ได้ ไม่ต้องรอพี่หรอก”

พี่อู๋บอก ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องนอนเพื่อเปิดแอร์และเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่เปิดฝักบัวล้างคราบสบู่ออกจากผิวก็ได้ยินเสียงพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับใครซักคน ผมรีบปิดฝักบัวเพื่อเงี่ยหูฟัง ได้ยินเป็นคำๆไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่เดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวกับคุณหมูพี เพราะทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่พูดถึงแฟนเก่า

“พีย้ายไปแอดมิทที่มนารมย์แล้วเหรอ? เป็นไงบ้าง?”

เดาผิดที่ไหน

“กูคงไม่ไปเยี่ยมหรอก ไปก็มีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง” บทสนทนาเว้นวรรคชั่วครู่ “ถ้ายังไงฝากอัปเดตอาการพีด้วยนะ”

ผมกัดริมฝีปาก คิดอยู่แล้วว่าพี่อู๋คงตัดคุณหมูพีไม่ขาด พวกเขาคบกันมาสิบปี จีบกันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในมหาลัยจนอายุสามสิบกว่า ต่อให้คุณหมูพีจะเกรี้ยวกราดและทำร้ายร่างกายพี่อู๋บ่อยขนาดไหนแต่เขาก็ยังมีส่วนดีๆให้จดจำ ผู้ปกครองของผมเองก็ยังรักและหวังดีกับคุณพีรพัฒน์อยู่ เพียงแค่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

ผมไม่ได้คิดประโยคเท่ๆพวกนั้นด้วยตัวเองหรอกนะ
ผมแอบได้ยินพี่อู๋คุยโทรศัพท์กับเพื่อนอีกที

ดูเหมือนว่าในบรรดาเพื่อนทั้งหมด พี่ตั้มเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพี่อู๋ได้มากที่สุด พวกเขาคุยโทรศัพท์กันบ่อย ส่วนใหญ่จะอัปเดตอาการคุณหมูพีให้ฟัง ผมไม่รู้ว่าที่พี่อู๋ถามถึงอดีตคนรักนั้นเพราะเป็นห่วง ไม่อยากรู้สึกผิด หรือยังตัดใจไม่ได้กันแน่ แต่ในมุมมองของเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่เคยคบกับใครจริงๆจังๆ ผมคิดว่าพี่อู๋ยังรักคุณหมูพีอยู่ ถ้าไม่รักก็คงไม่ถามถึงบ่อยขนาดนี้

บทสนทนาเงียบลงแล้ว พี่อู๋คงเดินออกจากห้องเพราะกลัวกอริลลาก้องได้ยิน ผมเช็ดตัวในห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน พอออกมาก็ไม่เจอพี่อู๋ แต่ได้ยินเสียงคีย์แปร่งเพี้ยนของเปียโนดังมาจากข้างนอก ผมเดินไปตามเสียงแล้วก็พบกอริลลาที่กำลังเศร้าโศกบรรเลงเพลงด้วยอินเนอร์ของว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท แต่เพลงที่กอริลลาอู๋เรียบเรียงขึ้นมาโคตรปั่นประสาทจนอยากเดินไปปิดฝาครอบเปียโนแล้วไล่ให้เขาไปนอน

“พี่น่าจะเรียนเปียโนนะครับ”

ผมพูด

“ก้องคิดว่าพี่ควรเรียนเหรอ?”

ควร -- ควรมากๆ อย่างน้อยผมจะได้ฟังเพลงที่เป็นเพลงจริงๆ ไม่ใช่เสียงติ๊งหน่องนองนอยตึ๋งๆกิ๊งๆอย่างทุกวันนี้

“ก้องล่ะชอบดนตรีไหม? สนใจเปียโนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ -- แค่อยากลองเล่นดูซักครั้ง”

ผมอ้ำอึ้งเพราะลึกๆก็อยากเล่นมานาน แต่พอคิดถึงคืนก่อนที่ฟ้าฝ่าตอนกำลังจะกดคีย์ ผมก็สันหลังเย็นวาบ คิดไปต่างๆนานาว่าเอมอาจจะไม่พอใจ เขาอาจจะไม่อยากให้ใครแตะเปียโนของตัวเองนอกจากพี่ชายก็ได้ 

“งั้นมาสิ ลองเล่นดูก่อน เผื่อชอบ”
“แต่เปียโนตัวนี้เป็นของเอมนะครับ”
“ทำไม? ก้องคิดว่าเอมกลายเป็นผีสิงเปียโนเหรอ?”
“เปล่าเสียหน่อย”

ผมบุ้ยปากและแอบไขว้นิ้วข้างหลัง อย่าแกล้งกันเลยนะเอม เราไม่ได้อยากแตะของของนาย พี่อู๋ยัดเยียดให้ลองต่างหาก

“อยากเล่นก็มาเล่นสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

พี่อู๋กวักมือเรียกยิกๆ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเชื้อเชิญให้กอริลลาก้องเข้ามาลอง ผมลังเลแต่ก็เดินไปนั่งตำแหน่งประจำของเอม ขอโทษนะ ผมนึกในใจ สัญญาว่าจะเล่นเบาๆ จะไม่ทำให้เปียโนของนายบุบสลาย เพราะฉะนั้นอย่าโกรธเราเลย ไปโกรธพี่อู๋เถอะ เราไม่ได้อยากเล่นจริงๆ ที่นั่งเนี่ยเพราะเกรงใจพี่ชายของนายหรอก ลึกๆเราไม่อยากยุ่งกับของของนายเลยนะ

ผมกล้าๆกลัวๆ ชั่งใจว่าควรลองกดซักติ๊งดีไหมแต่พี่อู๋ก็คะยั้นคะยออยู่นั่นแหละ กดเลยก้อง กดเลย เขาเชียร์จนผมค่อยๆวางมือขวาลงบนคีย์สีขาวตัวหนึ่งก่อนจะกดเบาๆ

ตึ๊ง!

ผมกดตัวเดียวแล้วนั่งเก็บมือเรียบร้อย โอเคนะเอม เราเล่นแค่ครั้งเดียว ตึ๊งเดียว ไม่โกรธกันนะ โอเคไหม โอเคไหม --

“เล่นอีกสิ จิ้มให้มันเยอะๆ”

พี่อู๋พูดดึงมือผมไปกดคีย์เปียโนหลายตัวอย่างเอาแต่ใจจนได้เพลงเพี้ยนๆมาหนึ่งท่อน

“เปียโนไม่ใช่น้ำจิ้มไก่นะ พี่จะบอกให้ผมจิ้มเอาๆได้ไง ถ้ามันพังขึ้นมาล่ะ?”
“คิดมากว่ะก้อง กดเล่นเฉยๆมันจะพังได้ไง?”
“ก็ผมเล่นไม่เป็น”
“งั้นสมัครเรียนสิ เดี๋ยวพี่จ่ายค่าเรียนให้ เอาหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้า ปฏิเสธผู้ปกครองด้วยคำพูดเรียบง่ายแต่พี่อู๋ก็ยังโน้มน้าวอยู่นั่นแหละ เขาบอกว่าปล่อยทิ้งไว้ไม่มีคนเล่นก็น่าเสียดาย สู้ส่งให้ผมเรียนดีกว่า อย่างน้อยถ้าผมเล่นเป็น เปียโนของเอมจะได้ไม่เงียบเหงาเหมือนทุกวันนี้

“ทำไมพี่ไม่เรียนเองล่ะครับ พี่ควรเรียนมากกว่าผมอีกนะ”
“พี่แก่แล้ว เรียนไปก็เท่านั้นแหละ ให้เด็กๆอย่างก้องเรียนดีกว่า” พี่อู๋ยิ้ม ตาของเขาเป็นประกายวิบวับครั้งแรกในรอบหลายวัน “ดีไหมก้อง? ถือว่าฆ่าเวลาช่วงรอสอบด้วย”
“ผมไม่อยากรบกวนพี่อ่ะ แค่พาไปหาหมอผมก็เกรงใจมากแล้ว ถ้าเรียนเปียโนพี่คงต้องเสียเวลารับส่งผมอีก”
“พี่มีเพื่อนเป็นครูสอนดนตรี เดี๋ยวจ้างมาสอนที่นี่เลยก็ได้”
“แต่ --”
“เออน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ดีกว่าอยู่เฉยๆไม่มีอะไรทำเนอะ”

แต่ผม -- ผมไม่ได้อยากเรียนเปียโน

“งั้นพี่โทรหาเพื่อนเลยนะ จะได้จองตารางไว้ เดี๋ยวเรามาคุยกัน”

พี่อู๋ยิ้มกว้างขณะกดเบอร์โทรศัพท์หาเพื่อนที่เป็นครูสอนดนตรี เขาดูมีความสุขมากเมื่อคิดไปเองว่านายก้องเกียรติสนใจเรียนเปียโน ยิ่งเห็นว่าเขาตื่นเต้นเท่าไหร่ ความต้องการของตัวเองก็ค่อยๆถูกอัดให้เล็กลงเท่านั้น ผมได้แต่นั่งมองพี่อู๋คุยกับเพื่อนเป็นวรรคเป็นเวร เขาบอกว่าค่าสอนไม่เกี่ยง ชั่วโมงละเท่าไหร่ขอให้บอก เขาอยากให้นายก้องเกียรติเล่นเปียโนเป็นจริงๆ

“ก็ไม่เชิงน้องหรอก จะว่าไงดี --” ผมหลุดจากความคิดเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของพี่อู๋ “เออ เอาเป็นว่ามาสอนเถอะ กูจ้างมึงก็แล้วกัน”

ในตอนนั้นเองผมถึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า พี่อู๋ไม่ได้จ้างครูมาสอนเพราะคิดว่าผมชอบเปียโนหรอก เขากำลังนำผมไปแทนที่เอม เขาทำเหมือนผมเป็นเอม เป็นน้องชายที่จ่ายเงินให้เรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ผมอยากบอกพี่อู๋ว่าผมไม่ใช่เอม ผมคือกอริลลาก้องซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ในชีวิตของพี่ อย่าบังคับให้ผมเล่นเปียโนเพื่อทดแทนคนที่จากไปเลย ยังไงผมก็ไม่มีวันเหมือนเอม ผมไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์เหมือนน้องชายของพี่ ถ้าวันหนึ่งพี่รู้ว่าผมไม่มีหัวด้านดนตรี ผมเป็นน้องชายของพี่ไม่ได้ พี่จะยังอยากเลี้ยงเด็กเหลือขอคนนี้อยู่ไหม

“เรียบร้อย” คุณอุรัสยายิ้มแป้น “เริ่มเรียนเดือนหน้านะ เพราะเดือนนี้ตารางไอ้โรมเต็มแน่นจนปลีกตัวมาไม่ได้”

กอริลลาก้องยิ้มเจื่อน ไม่รู้จะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง ผมพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อบอกพี่อู๋ว่าจริงๆแล้วไม่ได้อยากเรียนเปียโน ผมแค่อยากลองกดเล่นเฉยๆ ไม่อยากจริงจังกับมันขนาดนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มมีชีวิตชีวาของผู้ปกครอง ผมก็กดความต้องการของตัวเองไว้ แล้วมองผู้มีพระคุณที่พูดไม่หยุดอยู่ตรงหน้า

“ดีจัง” พี่อู๋ลูบด้านข้างของเปียโนเบาๆ “ซื้อมาครึ่งล้านไม่เสียเปล่า มีคนได้ใช้ตั้งสองคน”

ผมพูดไม่ออก ได้แต่นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาทะเลาะกับคุณหมูพี พี่อู๋เคยพูดว่าไม่ได้เอานายก้องเกียรติมาแทนที่ใครทั้งนั้น แต่วันนี้เขากลับทำให้ผมรู้สึกว่าต้องเป็นเอมคนที่สอง ต้องเรียนเปียโนตามแผนที่เขาคิดเอาไว้ แล้วผมควรทำยังไง นายก้องเกียรติที่เคยเรียนแค่ขลุ่ยเพียงออสมัยชั้นประถม -- จะเล่นเปียโนให้เก่งเท่าน้องชายของเขาได้ยังไง

“พี่อู๋ครับ”
“หืม?”

คุณอุรัสยาเงยหน้ามอง พอเห็นผมเงียบไม่พูดต่อก็วกกลับไปคุยเรื่องเปียโนอีกหน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ถูกยกเลิกกะทันหัน ผมได้แต่ฟังพี่อู๋แบบหูซ้ายทะลุหูขวา เนื้อหาที่เขาพยายามสื่อไม่เหลือติดสมองเลย ในหัวมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านว่าจะเอายังไงต่อไป ถ้ายืนยันกับพี่อู๋ว่าไม่อยากเรียน เกมสัปดาห์ของคนใบ้ก็จะกลับมาอีกครั้งซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นแบบั้น ผมอยากให้เกมนี้เป็นเกมส่วนตัวระหว่างผมกับแม่ ต่อให้เคยคิดว่ามันคือการฮีลตัวเองที่ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากเล่นเกมนี้ทุกเดือน ในเมื่อแม่ตายแล้วก็ขอให้มันจบไป ผมไม่อยากให้พี่อู๋เอามันมาเล่น ผมไม่อยากอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครพูดด้วยเลย

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืน

ในที่สุดกอริลลาก้องก็ตัดสินใจได้ ถ้าพี่อู๋อยากให้ผมเป็นเอม ผมก็จะเป็นให้ ไม่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอะไร ผมจะเป็นให้ทุกอย่าง ผมจะเล่นเปียโนให้เก่ง จะรับผิดชอบงานบ้านให้ดี จะสอบเข้ามหาลัยดังๆให้ได้เหมือนที่พี่อู๋เคยคาดหวังกับเอม ผมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่เขาไม่เล่นเกมสัปดาห์กับคนใบ้กับผมอีกก็พอ




สัปดาห์แรกของเดือนธันวา ผมเริ่มเรียนดนตรี

พี่โรมเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของพี่อู๋ ดังนั้นเขาจึงไม่ระแคะระคายเมื่อต้องคลุกคลีกับคุณอุรัสยาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเหี้ยบนอินเทอร์เน็ต พี่โรมแอบคุยเรื่องนี้กับผมตอนพี่อู๋ไปเข้าห้องน้ำ เขาบอกว่าเพื่อนส่วนใหญ่ที่รู้จักกันมานานเข้าข้างพี่อู๋ทั้งนั้น แต่เพื่อนสมัยมหาลัยจะเอนไปทางคุณหมูพีเพราะชุดความคิดแปลกประหลาดเช่น คนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนคือคนเหี้ย ผมบอกพี่โรมว่าผมอยากให้พวกสอนเก่งมีแฟนประสาทแดกแบบคุณหมูพีจัง ถึงตอนนั้นจะยังด่าผู้ปกครองของผมอยู่ไหม จะยังอัปสเตตัสแขวะพี่อู๋ จะแกล้งด่าลอยๆเหมือนจุดธูปเรียกบรรพบุรุษมากินข้าวอีกไหม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“ปากร้ายนะเราอ่ะ” พี่โรมยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก เขาเป็นผู้ชายสูงร้อยเจ็ดสิบผู้ชื่นชอบทุกอย่างที่มีคิตตี้ “แล้วนี่ไปเจอไอ้อู๋ได้ไงเหรอ?”
“เจอ -- แถวบ้านครับ” ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริงทั้งหมด “ผมเดินเตะฝุ่นอยู่แถวบ้าน พี่อู๋ขับรถผ่านมาก็เลยรู้จักกัน”

แม้ว่านายก้องเกียรติจะเลิกลั่กแต่พี่โรมก็ปล่อยผ่าน ไม่ถามเพิ่มหรือแสดงความสงสัยอะไรอีก ผมแอบถามพี่โรมเกี่ยวกับผู้ปกครองสมัยเรียนมัธยมด้วย เขาบอกว่าพี่อู๋ตอนนั้นโคตรเกรอะกรัง วันๆเล่นแต่บาสกับอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะไม่เหมือนลูกหมอคนอื่นๆในโรงเรียนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนหัวฟู ผมถามพี่โรมว่าสมัยมัธยม ผู้ปกครองของผมเคยมีแฟนไหม พี่โรมส่ายหน้า บอกแค่ว่ามีแต่สาวๆแกล้งโทรผิดไปเบอร์บ้านพี่อู๋เพื่อชวนคุย ถ้าแฟนเป็นตัวเป็นตนยังไม่มี

“พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแฟนเก่ามันเท่าไหร่หรอก -- หมายถึงคนที่เพิ่งเลิกอ่ะ แต่เท่าที่ฟังจากเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ได้ยินว่านางร้ายอยู่นะ”
“มากๆครับ” ผมช่วยยืนยันข่าวซุบซิบนั้นอีกเสียง “แต่เพื่อนสมัยมัธยมไม่มีใครเกลียดพี่อู๋ใช่ไหมครับ?”
“โอ๊ย -- ไม่มี ไม่มีใครเกลียดมันหรอก ทุกคนเห็นใจมันจะตาย มีแต่เพื่อนแฟนเก่ามันทั้งนั้นแหละที่ไม่จบ คนประสาทแดกนี่มันก็อยู่ด้วยกันได้เนอะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกลับมาโฟกัสที่บทเรียนต่อ เนื้อหาวันแรกยังไม่เริ่มเล่นเพลงอย่างที่คิดเอาไว้ พี่โรมบอกว่าเขาจะสอนพื้นฐานของตัวโน้ตก่อน นี่ขนาดแค่พื้นฐานก็ปวดหัวกับบรรทัดห้าเส้นและสัญลักษณ์จะแย่ ดนตรีไม่ใช่ทางถนัดของผมเลย ไม่ใช่ซักนิด คนที่เคยอ่านโน้ตดนตรีไทยแค่ โด เร มี จะไปรู้เรื่องระบบกุญแจซอล กุญแจฟาได้ยังไง ต่อให้พี่โรมอธิบายอย่างใจเย็นก็เถอะ ผมไม่ได้หัวไวถึงขนาดเข้าใจทุกอย่างภายในหนึ่งชั่วโมง

“อย่ากดดันตัวเองนะคะน้องก้อง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเนอะ”

พี่โรมปลอบใจเมื่อเห็นผมหน้าดำคร่ำเครียดกับการท่องจำว่าอะไรคืออะไร ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนก่อนจะผละหน้าออกจากกระดาษแล้วสารภาพความจริงกับคุณครูโรม

“ผมไม่มีเซนส์ทางด้านดนตรีเลย ถ้าพี่อู๋ถามว่าเป็นไงบ้าง พี่ช่วยพูดยังไงก็ได้เพื่อไม่ให้พี่อู๋เฟลได้ไหมครับ?”
“น้องก้องหมายความว่ายังไงคะ? อู๋มันจะเฟลทำไมเหรอ?”
“เขาจ่ายเงินตั้งแพงเพื่อให้ผมเรียน แต่ผมกลับไม่ได้เรื่อง เรียนมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผมยังนับจังหวะไม่เป็น”
“ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิดหรอกนะคะน้องก้อง” พี่โรมแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่ก็รับปากว่าจะพูดเฉพาะข้อดีของผมให้ผู้ปกครองฟัง “มาพยายามด้วยกันเนอะ ค่อยๆทำความเข้าใจวันละนิดละหน่อย พี่ว่าน้องก้องทำได้แน่นอนค่ะ”

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่รู้สึกมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ว่าจะทำออกมาได้ดีเหมือนเอม แต่กอริลลาก้องที่เคยเล่นแค่ขลุ่ยเพียงออยังคงพยายามตั้งอกตั้งใจอ่านโน้ตดนตรีเบื้องต้นจนกระทั่งโทรศัพท์ของพี่อู๋สั่น เสียงเตือนสั้นๆแบบนี้คงเป็นข้อความจากเมสเซนเจอร์ในเฟสบุ๊กแน่ๆ ทันทีที่มันสั่น ครืด! ผมกับพี่โรมก็ชะโงกหน้าไปดูโทรศัพท์ของพี่อู๋ที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

[อู๋ พีอยากเจอ จะเอายังไง?]

เอาเหี้ยอะไรอีก

ผมนึกด่าในใจ ไหนว่าวันนั้นจบกันไปแล้วไง ทำไมถึงยังส่งข้อความมาหาผู้ปกครองของผมเพื่อให้เขากลับไปเจอคนประสาทแดกอีก ผมนั่งจ้องหน้าจอเขม็ง ยอมรับว่าไม่พอใจมากๆที่เพื่อนของคุณหมูพีทำตัวเป็นกาวตราช้างไปได้

“ลำไย” พี่โรมกลอกตา “ไม่ต้องไปสนใจมันนะคะ เรามาเรียนกันต่อเถอะ”

ผมพยักหน้ารับแล้วแสร้งทำเป็นโฟกัสกับบรรทัดห้าเส้นทว่าในใจกลับคิดแผนชั่วไปต่างๆนานา หลังเรียนเสร็จผมจะเอาโทรศัพท์ของพี่อู๋ไปซ่อน ผมจะยัดเอาไว้ในซอกโซฟาเพื่อไม่ให้เขาหาเจอและไม่ต้องเห็นข้อความบ้านั่น ผมสาบานเลยว่าจะขัดขวางทุกทางเพื่อไม่ให้พี่อู๋กลับไปเจอเรื่องเฮงซวยอีก ต่อให้ต้องเอาไอโฟนเครื่องละสามหมื่นของเขาจุ่มชักโครก ผมก็จะทำ

แผนของผมเกือบสำเร็จอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าจิตใต้สำนึกมันถามซ้ำๆว่านายก้องเกียรติมีสิทธิ์อะไร นี่มันเรื่องของพี่อู๋กับแฟนเก่า โทรศัพท์ก็เป็นของเขา แถมเราไม่ใช่ญาติหรือพี่น้องแท้ๆคลานตามกันมาด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เดินออกมาจากห้องน้ำ โทรศัพท์ของเขาจึงวางอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิม ไม่ได้โดนยัดในโซฟาตามแผนชั่วของกอริลลาก้อง แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาว่ามีคนคาบข่าวว่าอยากให้พี่อู๋ไปเจอคุณหมูพี ทั้งพี่โรมและผมปิดปากสนิท ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่สุดท้ายคุณอุรัสยาก็อ่านข้อความนั่นจนได้

“ทีนี้เรามาหัดเคาะจังหวะกันนะคะ เลขสี่ข้างบนก็คือห้องละสี่จังหวะ ถ้าเป็นเลขสามก็คือห้องละสามจังหวะ พี่จะเริ่มจากสี่จังหวะก่อนแล้วกัน น้องก้องฟังตามเสียงปรบมือพี่นะคะ หนึ่ง สอง สาม สี่ หนึ่ง สอง สาม --”

ทำไมพี่ถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?

ผมเหลือบมองผู้ปกครองที่นั่งเล่นมือถือบนโซฟาจนหมดชั่วโมงเรียน ไม่รู้ว่าพี่อู๋ตอบข้อความนั้นว่ายังไง แต่ที่แน่ๆเขาเริ่มไม่มีอารมณ์ร่วมกับพวกเราแล้ว ขนาดพี่โรมรายงานเขาว่าวันนี้สอนอะไรบ้าง และนายก้องเกียรติเรียนรู้ได้ไวขนาดไหน เขายังไม่ตั้งใจฟังเลย พี่อู๋ใจลอยอยู่ที่โทรศัพท์ ไม่ได้สนใจเด็กในอุปการะที่ส่งเสียให้เรียนเปียโนซักนิด

“เจอกันพรุ่งนี้นะคะน้องก้อง”

พี่โรมโบกมือลาก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้กอริลลาสองตัวยืนอยู่ในบรรยากาศอึดอัดที่ไม่มีใครพูดอะไร พี่อู๋เดินกลับไปนั่งบนโซฟา คราวนี้เขาพิมพ์ตอบยิกๆเหมือนกำลังแชทกับใครบางคน เดาว่าน่าจะเป็นพี่ตั้มเพราะซักพักโทรศัพท์ก็ดัง พี่อู๋พูดแค่ว่ามึงเห็นที่กูแคปให้ดูหรือยัง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน

จริงๆผมอยากเปิดใจคุยกับผู้ปกครองเหมือนกัน ผมอยากบอกให้เขาใจแข็งไม่หันหลังกลับไป แต่ทุกครั้งที่คิดจะพูดแบบนั้น คำว่า มึงเสือกอะไร ก็ลอยเข้ามาในหัวตลอด นั่นสิ นายก้องเกียรติเสือกอะไร พี่อู๋จะกลับไปคบกับคุณหมูบ้าหรือยอมอดทนอยู่ในวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมก็ไม่ใช่เรื่องของผมเสียหน่อย ผมจึงทำแค่รออยู่ข้างนอก รอ และรอว่าพี่อู๋จะออกมาเมื่อไหร่ แต่เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายผมต้องลุกไปทำมื้อเย็นจะได้มีข้ออ้างเวลาเคาะประตูเรียกให้เขาออกจากห้อง

“พี่อู๋ กับข้าวเสร็จแล้วครับ”

ผมได้ยินเสียงกึกกักนิดหน่อยก่อนบานประตูจะเปิดออก พี่อู๋ดูซึมๆเครียดๆเหมือนคนมีเรื่องกลุ้มใจ ยังดีที่เขายอมลุกมากินข้าวให้กอริลลาชื่นใจบ้าง เพราะถ้าเขาเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องเหมือนวันก่อน ผมต้องประสาทแดกตายแน่ๆ

“วันนี้มีไข่ดาวไม่สุกกับแกงจืดสาหร่ายครับ” ผมเลื่อนชามน้ำซุปร้อนๆไปวางกลางโต๊ะก่อนจะเสิร์ฟข้าวสวยร้อนที่มีไข่ดาวเด้งดึ๋งอยู่ด้านบน “ผมทอดให้พี่สองฟองเลย”

พี่อู๋แค่ยิ้มบางๆแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวในส่วนของตัวเอง ผมมองผู้ปกครองที่นั่งอยู่ตรงข้าม หวังว่าวันนี้เขาจะเอ่ยปากชื่นชมว่ากับข้าวอร่อยเหมือนทุกที แต่มีแค่ความเงียบเป็นคำชม ไม่มีบทสนทนาอื่นนอกจากเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้

“อร่อยไหมครับ?”
“อืม อร่อย”

พี่อู๋ตอบอย่างขอไปที คำตอบของเขาไม่ทำให้ผมดีใจเลย

“พี่อู๋ครับ”
“หื้ม?”
“ถ้าพี่คิดถึงเขา -- ก็ไปเยี่ยมเขาเถอะครับ”

ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักไปครู่หนึ่ง คุณอุรัสยาไม่ได้ตำหนิที่ผมแอบอ่านข้อความส่วนตัว เขาก็แค่อึ้งราวกับไม่คิดว่ากอริลลาก้องจะพูดประโยคนี้ออกมา ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อบรรยากาศมันอึดอัดเพราะพี่อู๋อยู่หลังกำแพงของตัวเอง ผมก็ต้องพังอะไรซักอย่างเพื่อจะได้มองเห็นเขา ได้รับรู้ว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งปลอมๆมีอารมณ์แบบไหนซ่อนอยู่

“ทำไมพี่ต้องไปเยี่ยมพีล่ะก้อง?”
“เพราะตอนที่ไม่มีเขา พี่ดูไม่มีความสุขเลย” ผมบอกเหตุผล
“คิดมาก พี่ไม่ได้รัก --”
“ผมว่าพี่ควรพบจิตแพทย์นะครับ”

กอริลลาก้องโพล่งความต้องการของตัวเองออกไป คราวนี้พี่อู๋เหวอแดก เขาดูสับสนและงุนงงว่านายก้องเกียรติพูดเรื่องบ้าอะไร

“ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”

ผมบอกแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง เขาส่ายหน้าเหมือนคำแนะนำของเด็กอายุสิบเจ็ดเป็นเรื่องตลกขบขัน พี่อู๋บอกว่าทำไมเขาต้องพบจิตแพทย์ด้วยในเมื่อไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเสียหน่อย พี่อู๋ไม่ได้อยากตาย เขาแค่อยู่ในโหมดเศร้าเพราะเพิ่งเลิกกับแฟน ส่วนใหญ่ใครๆก็รู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น ต่อให้หมดรักไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เสียใจ

“ก้องเคยมีแฟนไหม?”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“แล้วเคยอกหักหรือเปล่า?”

ผมครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า ผมเคยอกหักตอนมัธยมต้นจากผู้หญิงที่เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน มันก็หน่วงๆเจ็บๆตามประสาปั๊บปี้เลิฟ มีบางที่เสียใจเพราะโดนปฏิเสธ แต่ก็ไม่ถึงกับเก็บตัวเงียบแบบพี่อู๋เสียหน่อย

“ไว้วันไหนก้องมีความรัก ก้องจะเข้าใจ”
“ทำไมพี่ไม่อธิบายผมมาตรงๆ ทำไมต้องรอให้ผมมีความรัก? ชาตินี้ผมอาจจะไม่มีใครเลยก็ได้ วันหนึ่งผมอาจจะฆ่าตัวตาย อาจจะหายไป อาจจะ --”
“ก้อง” พี่อู๋ขัดจังหวะ “ของแบบนี้อธิบายไปก็ไม่อิน ต้องสัมผัสด้วยตัวเอง”
“ผมแค่อยากเข้าใจพี่บ้าง”
“ไม่ต้องพยายามเข้าใจพี่หรอก ก้องอยู่ให้มีความสุขเถอะ อย่าเอาเรื่องของพี่ไปคิดให้หนักสมองเลย เครียดเปล่าๆ”
“สรุปพี่จะหาหมอไหมครับ?”
“ไม่อ่ะ” พี่อู๋ตอบทันควัน “พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่สบายดี”

ผู้ปกครองส่ายหน้า ปล่อยให้เด็กในอุปการะนั่งเหม่อราวกับหลุดหายไปยังโลกอีกใบ พี่อู๋ไม่รู้หรอกว่าจริงๆผมคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังถามหาความหมายของคำว่ารัก แต่จริงๆแล้วผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้เขารู้ตัวต่างหาก พี่อู๋เหมือนกอริลลาที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกอริลลา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าของเขาไร้ความรู้สึกมาซักระยะแล้ว ผมล่ะอยากจับเขามัดมือมัดเท้าไปหาหมอจริงๆ

“กินข้าวเถอะก้อง เลิกคิดมากได้แล้ว”

พี่อู๋แบ่งไข่ขาวใส่จานของผม

“พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่สบายดี”

ผมฝืนยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ แสร้งทำเป็นไม่คิดอะไรทว่าจริงๆแล้วกำลังเครียดหนัก ความคิดเรื่องกลับไปเยี่ยมคุณหมูพีว่าแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าคือการไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ผมจินตนาการถึงวันที่พี่อู๋ล้มไม่ออกเลย ถ้าวันนั้นมาถึง กอริลลาก้องซึ่งจิตป่วยไม่แพ้กันจะรับมือไหวไหมนะ

ผมคิดไม่ออกจริงๆ




อ่านพาร์ท 2 ต่อข้างล่างได้เลยค่ะ  :monkeysad:



ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
15 [PART2]
เกมสัปดาห์ของคนใบ้


นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงสิบเจ็ดนาที

พี่อู๋ยังไม่กลับบ้าน

เขาไม่ได้บอกผมว่าไปไหน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่พ้นโรงพยาบาลมนารมย์แน่ๆ พี่อู๋ออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยง เขาหายไปสี่ชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ทิ้งให้ผมเรียนเปียโนกับพี่โรมเพียงลำพังในห้องแค่สองคนเท่านั้น

“น้องก้องคะ วันนี้เป็นอะไร ทำไมน้องก้องดูไม่มีสมาธิเลย?”

ผมที่กำลังแบกโลกทั้งใบไม่รู้จะตอบยังไง จึงทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆแล้วพยายามตั้งสมาธิกับบทเรียนต่อ เมื่อวานแค่บรรทัดห้าเส้นและตัวโน้ตต่างๆก็แย่แล้ว วันนี้เจอคอร์ดเข้าไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผมงงเป็นไก่ตาแตก สัญลักษณ์พวกนี้ยากยิ่งกว่าคณิตเสริมสมัยมอปลายเสียอีก พอพี่โรมเห็นผมเงียบ เขาก็เว้นระยะให้นายก้องเกียรติได้พักหายใจก่อนจะถามว่าน้องก้องไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ได้เสมอนะคะ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกดดันนะ

“ผมจำเนื้อหาที่พี่อธิบายไม่ได้ครับ” ผมสารภาพความจริง “วันนี้ผมไม่มีใจจะเรียนเลย”

พี่โรมเหลือบมองนาฬิกา เหลือเวลาแค่สิบกว่านาทีถึงจะหมดคอร์สสำหรับวันนี้ เขาวางเอกสารอธิบายตัวโน้ตลงบนโต๊ะก่อนจะชวนผมไปที่เปียโน เปิดฝาครอบคีย์ขึ้นแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

“งั้นเรามาคลายเครียดด้วยการลองเล่นเพลงง่ายๆดีกว่าเนอะ” เขาพูดก่อนจะเริ่มกดคีย์ให้ผมฟัง ไล่ตั้งแต่โดเรมีไปจนถึงโด๊เสียงสูง “น้องก้องเคยได้ยินเพลงนี้ไหมคะ ทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ลสตาร์”
“เพลงเอบีซีเหรอครับ?”
“ใช่ๆ ทำนองเดียวกัน” พี่โรมวางนิ้วบนคีย์ให้ดูเป็นตัวอย่าง “ไม่ต้องคิดอะไรนะ ลองใช้เซนส์เล่นดู เพลงนี้ง่ายๆสบายมาก เล่นแค่มือขวามือเดียวก่อนก็ได้”

ผมลองกดตามที่พี่โรมสอน น่าแปลกที่จู่ๆก็เห็นภาพรวมชัดขึ้น กอริลลาก้องผู้รักตรีโกณมิติยิ่งกว่าอะไรค่อยๆเข้าสู่โลกของดนตรีจนเริ่มสร้างความเข้าใจฉบับตนเองขึ้นมา ผมแทนตัวโน้ตทั้งเจ็ดด้วยตัวเลข โดคือหนึ่ง มีคือสอง ไล่ไปเรื่อยๆจนตัวสุดท้ายโดยทีคือเจ็ด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น หมดปัญหาจำว่าตรงไหนคือโดคือซอล เพราะผมเล่นท่องเป็น

Twinkle Twinkle Little Star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

ว้าว --
ได้โปรดเรียกผมว่าอัจฉริยะทางด้านแปลงอะไรไม่รู้เป็นความเข้าใจของตัวเองเถอะ

พี่โรมไม่รู้หรอกว่าผมไม่ได้จำตัวโน้ต ผมมองมันเป็นตัวเลขแล้วกดตามรหัสที่ท่องไว้ คราวนี้การเรียนดนตรีสนุกขึ้นจนลืมความเครียด ผมเรียนรู้ไวจนสามารถเล่นเพลงอนุบาลหมีน้อยอย่าง Twinkle Twinkle Little Star ได้ภายในเวลาสิบนาทีด้วยซ้ำ

เมื่อเริ่มจำแม่น พี่โรมก็เล่นมือซ้ายให้ ส่วนผมเล่นมือขวา เพลงเอบีซีเวอร์ชั่นอิหยังวะจึงถือกำเนิดขึ้น ผมจำวินาทีที่เล่นเพลงนี้จบได้ มันทั้งสนุก ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นเมื่อคิดว่าวันนี้มีอะไรไปอวดผู้ปกครองแล้ว

“วันนี้พี่ปล่อยให้เล่นง่ายๆเพราะเห็นน้องก้องเครียด คราวหน้าเราจะทบทวนเนื้อหาใหม่อีกครั้งแล้วพี่จะสอนการวางมือที่ถูกต้องนะคะ ค่อยๆทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อาจจะลองวางมือบนสเกลซี เมเจอร์ก่อนแล้วไล่นิ้วไปก็ได้ คิดว่าเปียโนคือเพื่อน ทำความรู้จักเขาเรื่อยๆ วันหนึ่งน้องจะสนิทกับเขาจนหลับตาเล่นได้เลย”

ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่รู้ว่าวันที่เล่นเปียโนเก่งเหมือนเอมจะมาถึงหรือเปล่า นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงครึ่ง ถึงเวลาที่พี่โรมต้องกลับแล้ว แต่พี่อู๋ก็ยังไม่มา

“พี่โรมครับ เรื่องเงินค่าเรียน --”
“อ๋อ อู๋มันโอนให้พี่แล้วจ้ะเมื่อคืน” เขายิ้มหวาน “น้องก้องล็อกประตูห้องดีๆนะคะ เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ”

ผมยกมือสวัสดีพี่โรมแล้วปิดประตูห้อง จากที่เคยนั่งรอเฉาๆก็เปลี่ยนเป็นฝึกเล่นเพลงที่เพิ่งเรียนเมื่อครู่แทน ผมเล่นมือขวาจนคล่องแต่มือซ้ายยังคงจำไม่ได้ก็เลยเปิดยูทิวบ์เพื่อเล่นตามความเข้าใจของคนสมองถั่ว บนอินเตอร์เน็ตมีความรู้ฟรีให้เรียนเยอะแยะ ถ้าผมลองเสิร์ชหาด้วยตัวเองก่อน พี่อู๋อาจจะไม่ต้องเสียเงินหลักพันเพื่อให้กอริลลาก้องเรียนเปียโนก็ได้

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสิบนาที

ในคอนโดไม่มีเสียงอื่นเลยนอกจากเพลง Twinkle Twinkle Little Star ที่บรรเลงโดยนายก้องเกียรติ ผมตั้งใจและทุ่มเทให้มันสมบูรณ์แบบด้วยความคิดที่ว่าถ้าพี่อู๋เห็นผมพัฒนาจากเมื่อวานขนาดไหน เขาคงดีใจ และกลับมาร่าเริงเหมือนวันก่อนแน่นอน





นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบสามนาที

คุณอุรัสยาเพิ่งกลับถึงบ้าน ผมรีบหันหน้ามองทันทีที่ได้ยินเสียงไขกุญแจ พี่อู๋กลับมาแล้ว เขาดูเหมือนผักเหี่ยวๆที่แช่ในตู้เย็นนานหลายวัน ไม่มีสีสัน ไม่มีชีวิตชีวาราวกับทุกอย่างถูกลบออกไปหมด ผมทำเพียงแค่มองผู้ปกครองค่อยๆถอดรองเท้าอย่างเชื่องช้า ทันทีที่เขาหันมา ผมก็ถามด้วยคำถามเดิมๆ

“พี่โอเคไหมครับ?”

พี่อู๋ส่ายหน้า เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับว่าไม่ไหวกับสิ่งที่เป็นอยู่ แววตาของเขาไม่มีน้ำตา ไม่มีอาการเหมือนคนเพิ่งร้องไห้แต่ดูเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ พี่อู๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไหล่ตกมาทางนี้ เขากางแขนกว้างแล้วดึงผมเข้าไปกอดแน่น มันแน่นจนผมทำตัวไม่ถูกเลย

“อยู่แบบนี้ซักพักนะก้อง”

พี่อู๋ขอร้อง แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธผู้มีพระคุณ ผมยืนเป็นหุ่นให้เขากอดนานหลายนาที พี่อู๋ถือโอกาสนี้ซบหน้าลงใบไหล่ของผมแล้วถอนหายใจ เขาไม่พูดเลย ไม่ระบายหรือเล่าอะไรให้ฟังนอกจากกอดกอริลลาก้องเงียบๆ ผมลังเลอยู่นานว่าควรตอบสนองยังไง แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไร ผมยืนเฉยๆพร้อมกับรวบรวมความกล้าถามเขา

“พี่อู๋คืนดีกับเขาแล้วเหรอครับ?”
“เปล่า”

เขาตอบ น้ำเสียงเหมือนคนเหนื่อยล้าที่ไม่มีทางไป พี่อู๋ทำให้ผมคิดไกลว่าลึกๆแล้วเขายังรักคุณหมูพีอยู่ พอคิดแบบนั้นผมก็เจ็บใจ อยากเตือนสติเขาด้วยการขุดคุ้ยวีรกรรมแสบๆที่คุณพีรพัฒน์ทำกับเราขึ้นมาอีกหน แต่กลัวว่าจะเป็นการซ้ำแผลใจให้เจ็บกว่าเดิม ดังนั้นกอริลลาก้องจึงหุบปาก ไม่สั่งสอนเขาเหมือนที่คนในเฟสบุ๊กเคยทำ
 
“พี่คุยกับผมได้นะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” พี่อู๋ปฏิเสธ “วันนี้ไม่ต้องทำข้าวเย็นเผื่อนะ พี่ไม่หิว”

ผู้ปกครองสั่งก่อนจะผละตัวออก เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของกอริลลาก้อง เขาก็ยืนยันอีกครั้งว่าไม่เป็นไร เขาไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเครียดเลย

“จะไม่ให้ผมเครียดได้ไง ผมเป็นห่วงพี่”
“พี่รู้ลิมิตตัวเองดีก้อง ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ พี่จะบอกเอง”
“พี่ไม่บอกหรอก พี่ไม่เคยบอกอะไรผมเลย” ผมตัดพ้อเหมือนตัวเองเป็นคนในครอบครัว ทั้งๆที่จริงเป็นเด็กข้างถนนที่ถูกเก็บมาเลี้ยง “ทำไมพี่ถึงบังคับให้ผมไปหาหมอได้ แต่ผมบังคับพี่ไม่ได้ล่ะ?”
“เพราะก้องไม่มีเงิน ก้องไม่มีอำนาจมากพอจะบีบพี่” เขาแกล้งแหย่ แต่ผมไม่ขำ “ไปกินข้าวเถอะ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ เห็นไหมว่าพี่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”
“ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนี่ครับ”

พี่อู๋แกล้งยีผมนายก้องเกียรติเบาๆก่อนจะเดินไปอาบน้ำ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ เราใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดเหมือนคนไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างเงียบอยู่เพียงลำพังในโลกของตัวเอง ไม่มีบทสนทนาเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการกินข้าวด้วยกันหรือเย้าแหย่หน้าทีวี พี่อู๋หายเข้าไปในห้องและไม่ออกมาอีกเลย

ผมเว้นช่องว่าง เว้นระยะห่าง เว้นวรรคผู้ปกครองได้ใช้เวลากับตัวเอง แต่สุดท้ายทนได้แค่สองชั่วโมงก็ต้องหาเรื่องไปดูเพราะรู้สึกเป็นห่วง ผมเปิดประตูเข้าไปเจอพี่อู๋นอนคว่ำหน้าบนเตียง ข้างๆมีโทรศัพท์วางไว้ราวกับเตรียมพร้อมรับสาย พอเห็นเขาหลับผมก็ปิดประตู เดินกลับมาที่โถงนั่งเล่นเพื่อซ้อมเปียโนเพราะอยากสร้างความประทับใจให้พี่อู๋

Twinkle Twinkle Little Star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง

Up above the world so high
ซอล  ซอล   ฟา  ฟา    มี       มี       เร
ห้า     ห้า   สี่     สี่    สาม   สาม    สอง

Like a diamond in the sky
ซอล  ซอล   ฟา  ฟา    มี       มี       เร
ห้า     ห้า   สี่     สี่    สาม   สาม    สอง

Twinkle, twinkle little star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก  หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร     เร    โด
สี่   สี่   สาม  สาม สอง สอง  หนึ่ง --

เย้! ตอนนี้ผมสามารถส่งเสียงดีใจได้หรือยังนะ?

หลังจมเจ่ากับมันเกือบชั่วโมง ในที่สุดผมก็สามารถเล่นเพลง Twinkle, twinkle little star เว่อร์ชั่นที่ดีที่สุดของกอริลลาได้เสียที การต้องเล่นทั้งมือซ้ายและมือขวาพร้อมกันทั้งๆที่ยังไม่เรียนจริงจังนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานดนตรี แต่สุดท้ายผมก็ทำได้ ผมสามารถเล่นเพลงสั้นๆได้หนึ่งเพลงด้วยการดูและจำจากยูทิวบ์ ขณะที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่อู๋ก็เดินออกจากห้องมายืนมองกอริลลาเล่นเปียโนตรงโถงทางเดิน

พอเห็นผู้ปกครอง ผมก็เริ่มเล่นใหม่อีกครั้งด้วยความตื่นเต้นเหมือนได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ มันอาจจะเป็น Twinkle, twinkle little star เวอร์ชั่นที่ช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน แต่นี่คือเพลงแรกที่ผมสามารถเล่นได้ ผมตั้งใจกดคีย์เปียโนตามลำดับตัวเลขที่ท่องไว้ในหัวโดยไม่ผิดแม้แต่ตัวเดียว หวังว่าคุณอุรัสยาจะประทับใจจนยอมเปิดปากพูดบ้างนะ

Twinkle, twinkle little star
โด     โด    ซอล  ซอล  ลา   ลา  ซอล
หนึ่ง หนึ่ง  ห้า   ห้า   หก  หก  ห้า

How I wonder what you are
ฟา  ฟา  มี     มี      เร      เร      โด
สี่   สี่   สาม  สาม  สอง  สอง  หนึ่ง

ทันทีที่เสียงเปียโนเงียบลง ผมก็รีบหันหน้าหาพี่อู๋เตรียมฟังคำชมเชยเต็มที่ ทว่าสิ่งที่เห็นคือภาพผู้ปกครองกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจกอริลลาเล่นเปียโนซักนิด

“อ้าว เล่นจบแล้วเหรอ?” พี่อู๋ถามเมื่อจู่ๆห้องก็เงียบไปเสียเฉยๆ “เก่งจัง”

ผมไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั้น ราวกับเขาแค่พูดให้มันจบๆไป ไม่ได้ตั้งใจฟังหรือภูมิใจในตัวผมอะไรมากมาย ผมจ้องพี่อู๋อยู่นานเกือบนาที นึกไปเองว่าหลังแชทกับเพื่อนเสร็จ เขาจะเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปากชมเหมือนที่เคยชมเอม ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่อู๋เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ผมนั่งคนเดียวในห้องที่มีแค่เสียงนาฬิกาเดินต๊อกแต๊กเพียงลำพัง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มยี่สิบสองนาที

ผมปิดฝาครอบคีย์ลงแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนเล็กแทนที่จะนอนกับผู้ปกครอง ผมเริ่มคิดว่าการฝืนใจเรียนเปียโนไม่คุ้มค่าเลยเพราะต่อให้เรียนรู้ไวแค่ไหน ตั้งใจมากแค่ไหน สุดท้ายพี่อู๋ก็เล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับนายก้องเกียรติอยู่ดี




TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

แหะๆๆๆ มาช้ามากๆ หมดข้อแก้ตัว ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ   :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2019 22:23:50 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
ตอนนี้พี่อู๋ ไม่ได้เล่นเกมส์ใบ้กับก้องคนเดียว เล่นกับเราด้วยค่ะ
ใบ้กันไปหมดเลยย  :o12:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ปลายทางของสองคนนี้คือที่ไหนช่วยบอกที

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ทำไมมันช่างหดหู่ซึมเศร้าอะไรเช่นนี้ จิตตกไปตามๆกัน

ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
ความไม่ชัดเจนของพี่อู๋ทำให้ความเจ็บปวดของน้องก่องชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้องเป็นเด็กชอบคิดแทน พอพี่อู๋เอาแต่เงียบ น้องก็คิดอะไรที่ทำร้ายตัวเองทุกวันทุกวัน ฮืออออ สงสารน้อง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อึดอัดไปหมดเลยค่ะ อยากพาน้องออกมา พี่อู๋คือป่วยหนักมาก คิดว่าน้องเด็กน้องไม่คิดอะไรหรือยังไง นี่คนป่วยนะ ไหนจะเรื่องให้เล่นเปียโนอีก เล่นเพื่ออะไรอ่ะ พอเล่นเป็นแล้วก็ไม่เห็นจะสนใจ เอาน้องมาแล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ไปหาหมอเถอะ เหนื่อย อึดอัด ท้อแท้มาก อยากพาน้องไปกับเรา ฮือ

ปล.เขียนดีมากๆ มากขึ้นทุกตอนค่ะ สำหรับตอนนี้คืออึดอัดมาก แต่ร้องไม่ออก วนอยู่ในหัวไม่ยอมออกเลย แง  :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่ไหวจริง ๆ พี่อู๋คือป่วยหนักมากแล้ว น้องก้องต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกนานแค่ไหนเหรอ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เครียดกว่าเดิมอีกตอนนี้ จะมีทางใหนที่ทำให้พี่กอลิล่าอู๋ยอมไปพบหมอสักทีนะ สงสารน้องก้องมากเลย ต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ใหน
มีความรู้สึกว่าตอนนี้มีพี่โรมที่ช่วยทำให้ผ่อนคลาย แม้จะไม่มากก็เถอะ แต่พี่โรมใจดี ดูเข้าใจและไม่กดดันน้อง

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารก้อง อิพี่อู๋แกทำน้องเครียด เหมือนใกล้แตกหักแล้วอ่ะตอนนี้


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ขอให้ก้องอดทนนะ อย่าเพื่งถอดใจในการบ่วยพี่อู๋  :katai1: :mew2:

ออฟไลน์ chubbybunny

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอแสงสว่างที่ปลายอุโมงด้วยค่ะ ทางนี้จะขาดใจแล้ว

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 แอบอยากให้น้องลงมือทำร้ายตัวเองจริงจังให้นายอู๋สำนึกผิดไปเลย! โกธรๆๆ ทำไมทำกับน้องแบบนี้ คิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาสิ น้องไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เก็บได้ข้างทาง แล้วแค่พาไปรักษา ให้ข้าวให้น้ำก็พอนะ น้องเป็นคน มีความรู้สึก และน้องแคร์แกมากไงอู๋ ถ้าไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้นก็ปล่อยน้องไปเหอะ

ออฟไลน์ heymild

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห้อม อึดอัดมากจริง อยากให้ไปหาหมอทั้งคู่เลย
จงหายยยยยย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ปลายทางของสองคนนี้คือที่ไหนช่วยบอกที

5555555555555555555555 ขำกร๊ากเลยเรา เห็นด้วยๆ เอออออนั่นนะสิ แต่ว่าเข้าใจความใบ้นะ บางทีนี่ก็เป็น แบบอยากอยู่กับตัวเอง ก็จะเงียบใบ้แบบนี้เลย แต่ไม่ได้น่าอึดอัดแบบนี้ พี่อู๋นี่คือมีความกังวล พะวง งุนงงซึมเศร้าเข้าไปแทรก เลยเผลอละเลยคนอยู่ด้วย ก็ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจพี่เขาอะนะ 5555 ไม่เข้าใจที่ว่าปากบอกไม่เป็นไร แต่ทำไมทำตัวแบบนั้น ส่วนก้องก็เห็นด้วยนะที่ว่าอยากจะซ่อนมือถือพี่อู๋ อยากจะอะไรเรื่องหมูพี แต่ก็คิดว่าแล้วเรามีสิทธิ์อะไรไปเสือก เออก็คิดได้ แต่การที่ก้องจะให้พี่อู๋ไปหาหมอ คิดไม่ออกเลยจะใช้ทางไหน คงไม่สำคัญพออย่างที่บอก แต่ถ้าไม่ไหวก็ช่างแม่งเถอะก้อง เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ 555 แต่ก็นะคงอดห่วงเขาไม่ได้ เฮ้อออออออ!! ปลายทางสองคนนี้อยู่ไหน 555555555 นี้รอดูเลยจะเป็นยังไงต่อจากนี้ แต่ว่านะ ก้องได้ทีมแล้วเว้ย พี่โรมทีมก้องแน่น้อนน ก็อยากจะให้ดนตรีช่วยบำบัดได้นะ สนุกมากกกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้ได้อ่านกัน ^_^

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ลำใยพี่อู๋ :katai4:

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถ้ายังเป็นแบบนี่ต่อไป จะวนเข้าลูปเดิมของน้องก้องกับแม่มั้ยคะแค่เปลี่ยนตัวละครจากกอริลลาแม่เป็นกอริลลาพี่อู๋

คิดว่ามีตัวละครใหม่ๆเข้ามาบรรยากาศจะเปลี่ยนไป แต่เหมือนเดิมเลย แงงงงง เจ็บปวด

 :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ดนตรีน่าจะช่วยบำบัดน้องก้้องได้
แต่ว่าน้องก้องต้องออกไปเจอคนอืานบ้างนะลูก
ปล่อยอุรัสยาไว้คนเดียวบ้าง

บางทีก็เกลียดพี่อู๋สุดๆไปเลย

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารน้องก้องที่สุด TT ขอให้มีทางออกในเรื่องนี้สักที


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ lalilali

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ppp044

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อึดอัดไปหมดเลย ;-;

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
16 [PART1]


ผมนอนไม่หลับ
ผมง่วง -- แต่มันไม่หลับ

เปลือกตาคันยุบยิบ หัวหนักอึ้ง ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนลมจากไดร์เป่าผมของเจ๊หมิว ผมนอนมองเพดานมาตั้งแต่เช้า หลับๆตื่นๆอยู่หลายหนและยังไม่ได้ลุกจากเตียง พี่อู๋บอกว่าเมื่อคืนผมพลิกตัวหลายครั้ง เขาถามว่านอนไม่หลับเหรอ ผมส่ายหน้าแล้วโกหก

“เปล่าครับ แค่เปลี่ยนท่านอนเฉยๆ”

 ผมโกหก โกหกด้วยนิสัยเดิมๆที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวผมกำลังรู้สึกยังไง เกมสัปดาห์ของคนใบ้ยังดำเนินต่อในซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด พี่อู๋พูดน้อยจนนับคำได้ เขาดูครุ่นคิดหนักใจอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ขมวดคิ้ว บางทีก็นิ่วหน้า บางทีหันมาจ้องผมเฉยๆก็มี

“พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ผมถามเมื่อเห็นพี่อู๋ทำท่าทางแบบนั้น เขาส่ายหน้าก่อนจะกลับไปจดจ้องกับโทรศัพท์ต่อ ผมอยากแย่งไอโฟนมาจากมือของเขาชะมัด ผมอยากจะปามันลงไปชั้นล่าง อยากจะใช้เท้าเหยียบให้จอแตกเขาจะได้ไม่อาลัยอาวรณ์คุณหมูบ้าอีก ตั้งแต่วันที่ไปเยี่ยมถึงโรงพยาบาล พี่อู๋ก็ดูเหมือนคนมีเรื่องให้คิดหนัก

อยากกลับไปคืนดีล่ะสิ
ผมรู้นะ -- ว่าพี่ยังรักเขาอยู่

ผมเฝ้ามองพี่อู๋อยู่ห่างๆ วันแล้ววันเล่าที่เขาไม่ออกไปไหน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำให้กอริลลาก้องเริ่มเบื่อหน่าย ไม่กระตือรือร้นอยากทำหรืออยากกินอะไรอีกแล้ว เหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็งไว้จนชาด้าน ผมไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากกลวงโบ๋และว่างเปล่า เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า และความอับจนหนทางนั้นก็กัดกินผมเรื่อยๆจนขาดวิ่น ในที่สุดผมไม่เหลือความรู้สึกอีกเลย ผมมีชีวิตเพื่อตื่นมาดูว่าพี่อู๋เป็นยังไง ถ้าเขาสบายดี ก็แค่นั้น

  วันหนึ่งขณะที่กำลังทำมื้อเย็นอยู่หน้าเตา จู่ๆจานที่วางหมิ่นเหม่บนเคานท์เตอร์ก็หล่นเพล้ง แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆบนพื้น ผมถอนหายใจยาว มองดูเศษซากของจานบิ่นๆแล้วย่อตัวลงเก็บ พี่อู๋ที่อยู่ห้องน้ำรีบตะโกนถามว่าทำอะไร ผมตอบเขาว่าเปล่าครับ จานหล่น แค่จานหล่น ไม่มีอะไรหรอก

ผมนั่งจ้องเศษจานเซรามิกสีแดงที่กระจายบนพื้นสีขาว บางชิ้นแตกเป็นสามเหลี่ยม บางชิ้นเป็นเกล็ดเล็กๆ รูปร่างของมันแตกต่างกันไป ผมค่อยๆบรรจงหยิบเศษซากของพวกมันขึ้นมา ชิ้นที่หนึ่ง ชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม ชิ้นที่สี่

ชิ้นที่ห้า -- มีปลายแหลมเหมือนมีด

ผมเคยสงสัยว่าของเปราะบางอย่างเซรามิกพวกนี้สามารถทำให้มนุษย์เลือดออกได้ยังไง เพราะวันก่อนที่คุณหมูพีกรีดข้อมือตัวเองก็ใช้แค่เศษแตกๆจากแก้วพวกนี้เท่านั้น ผมลองใช้นิ้วแตะตรงขอบบิ่น มันให้ความรู้สึกสากกระด้างเหมือนจับกระดาษทราย ผมไล้นิ้วไปเรื่อยๆจนกระทั่งลองกดน้ำหนักบนปลายแหลม ไม่มีเลือดออก มันไม่เจ็บ เศษเซรามิกพวกนี้สร้างรอยแผลไม่ได้
แต่ถ้าลองปาดดูล่ะ?

ผมใช้มือขวาจับเศษแก้วก่อนจะวางบนข้อมือซ้าย เส้นเลือดสีม่วงเต้นตุบตับใต้ผิวหนังเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ยืนยันว่านายก้องเกียรติยังมีชีวิตอยู่ ความแสบจากรอยบาดทำให้ผมสงสัยมากกว่าเดิม ผมรู้สึกเจ็บนะ มันเจ็บ แต่ทำไมไม่มีเลือด ทำไมเลือดไม่ออกเยอะเหมือนคุณหมูพีล่ะ

ถ้าปาดตรงนี้ --
ถ้าปาด -- ลงบนผิวที่บางกว่านี้หน่อย

ผมขยับเศษแก้วขึ้นไปเกือบถึงฝ่ามือ กดมันเบาๆบนผิวหนังจนเจ็บจี๊ดไปถึงสมอง ตอนนี้ข้อมือของผมยังคงสะอาดเหมือนเดิม ไม่มีหยดเลือดหรือรอยแผล มีแค่รอยสีขาวที่ค่อยๆปรากฎขึ้นช้าๆก่อนจะตามด้วยของเหลวสีแดงเป็นจุดเล็กๆ เลือดออกแล้ว แต่ไม่ได้ไหลเป็นน้ำเหมือนของเขาเลย

งั้นต้องกรีดให้ลึกเท่าไหร่ -- ต้องโดนอีกกี่แผลผมถึงจะเป็นที่รักเหมือนคุณหมูพี

ลึกๆแล้วผมรู้ตัวว่าอิจฉาคุณพีรพัฒน์มาโดยตลอด คนนิสัยเสียแบบเขาไม่ควรมีใครอยากอยู่ข้างๆแท้ๆ แต่สุดท้ายทุกคนก็ห้อมล้อมเขา ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งพี่อู๋ ใครๆก็เห็นอกเห็นใจคุณหมูพี เศษแก้วชิ้นเดียวในคืนนั้นทำให้เขาได้รับความรักความสนใจ ถ้าผมมีแผลบ้างล่ะ? ถ้าผมเจ็บตัวจนเลือดออกบ้าง --

พี่อู๋จะเลิกเล่นเกมสัปดาห์ของคนใบ้กับผมไหม?

จังหวะที่กำลังจะลองปาดให้ลึกกว่านี้ จู่ๆข้อมือของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงจนเศษจานสีแดงหล่น มันกระทบพื้นดังกริ๊ง!ก่อนจะเงียบไป ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงตะคอกจากพี่อู๋ ไม่มีคำถามบีบคั้นให้อึดอัดใจ เขาแค่ดึงมือผมออกแล้วหยุดค้างไว้แค่นั้นเพื่อให้ผมตั้งสติด้วยตัวเอง

“จานแตกครับ” ผมบอกผู้ปกครอง “พี่อู๋ครับ จานแตก”
“เห็นแล้ว”
“ผมกำลังจะเก็บจาน”
“จริงเหรอ?”
“ครับ” ผมยืนยันแล้วก้มหน้าก้มตาหยิบเศษแก้วใส่ถุงพลาสติก “กำลังจะเก็บ”

พี่อู๋ผละตัวออก เขากลับไปยืนข้างๆเหมือนเดิมและจ้องกอริลลาก้องตาไม่กระพริบ ผมรู้ทันทีว่าเขาโกรธแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าโกรธเรื่องอะไร โกรธที่ผมทำจานใบโปรดของเขาแตก หรือโกรธที่เห็นผมพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจ ผมอยากบอกพี่อู๋นะว่าไม่ได้อยากเลียนแบบคุณหมูพี อารมณ์มันพาไป จู่ๆผมก็แค่สงสัยว่าเศษของแตกๆพวกนี้เรียกความสนใจจากพี่ได้ยังไง แต่ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล พี่อู๋ไม่โวยวาย ไม่ได้สติแตกเหมือนตอนเห็นคุณหมูพีเลือดออกเลย

“ทำไมทำแบบนี้ล่ะก้อง?”
“ทำอะไรครับ?” ผมถามกลับ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาทั้งๆที่แสบข้อมือแทบแย่
“ก้องเป็นอะไร?”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร?”
“แล้วทำแบบนี้ทำไม?”
“ทำอะไรครับ?”

พี่อู๋ตาขวาง เขาโกรธจนไหล่สั่นเมื่อนายก้องเกียรติทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขาถามเสียงแข็งเป็นครั้งที่สามว่าเป็นอะไร ทำแบบนี้ทำไม และเมื่อผมถามกลับว่าทำอะไรเหรอ? ผมทำอะไรผิด พี่อู๋ก็เม้งแตก เขาหยิบเศษจานขึ้นมาแล้วกรีดบนแขนตัวเองให้ดู

“ทำแบบนี้ไง!”

ผมกรีดร้องเมื่อเห็นเลือดซึมออกตามรอยแผลเป็นจุดๆ ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำแบบนี้ทำไม พี่ทำแบบนี้ทำไม อยู่หลายหน พี่อู๋ไม่ตอบ สีหน้าของเขาราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่กอริลลาก้องโวยวายจะเป็นจะตาย แต่คุณอุรัสยากลับนิ่งเฉย มองดูผมร้องไห้สุดเสียงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการปลอบใจ

“พี่ทำแบบนี้ทำไม! พี่ทำแบบนี้ทำไม!”
“ทำอะไร?”
“พี่ทำแบบนี้ทำไม?!” ผมตะโกนถาม “พี่กรีดแขนตัวเองทำไม?!”
“ก้องมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“พี่อู๋!”

ผมชักดิ้นชักงอเหมือนคนบ้า ยิ่งพี่อู๋ตอบกวนตีนเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นเท่านั้น คราวนี้ผู้ปกครองเลิกถามแล้วว่าทำทำไม เขาแค่นั่งมองกอริลลาก้องตีอกชกหัวตัวเองอย่างใจเย็นผิดกับผมที่ตะโกนคอแทบแตก เสียงร้องไห้ของผมคงดังมากจนลุงยามข้างล่างถึงกับโทรมาถามพี่อู๋ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ก้องเดินชนโต๊ะครับ นิ้วก้อยไปเกี่ยวกับขาโต๊ะ คงเจ็บน่าดู” เขาโกหก “ครับ ครับ เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”

หลังวางสาย พี่อู๋ยังคงนั่งมองผมเฉยๆ เขาไม่ตอบโต้คำตัดพ้อต่อว่าของกอริลลาก้อง ไม่เข้ามาปลอบหรือกอดเหมือนที่ทำกับคุณหมูพี เขาไม่ให้ความสนใจแม้ว่าผมจะทำร้ายตัวเองจนได้เลือด ไม่มอบความรักความเป็นห่วงใดๆนอกจากมองผมร้องจนคอแทบแตกอยู่คนเดียว เขาไม่โอ๋ ไม่พูดปลอบ ไม่ดุด่าที่ทำเรื่องโง่ๆ พี่อู๋ไม่ทำในสิ่งที่ผมต้องการเลยซักอย่าง
 
“ทีนี้รู้หรือยังว่าเวลาพี่เห็นก้องทำร้ายตัวเอง พี่รู้สึกยังไง?”

คุณอุรัสยาพูดเมื่อเห็นผมร้องจนเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆก็ต้องหยุดร้องซักพักเพื่อรวบรวมพลังเตรียมแหกปากร้องต่อ คราวนี้ผมเงยหน้ามองผู้ปกครอง เขากำลังมองมาเหมือนกัน เราเล่นเกมจ้องตานานเกือบนาทีจนสุดท้ายนายก้องเกียรติต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ หลบสายตาดุดันของพี่อู๋แล้วก้มมองพื้นแทน

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

เขาสั่ง แต่ผมไม่รับปาก

“ก้องเกียรติ พี่บอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก ได้ยินไหม?”
“พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก”
“ห้ามได้หรือไม่ได้เดี๋ยวก็รู้”

พี่อู๋จ้องกลับจนผมกลัว จากที่เคยเป็นฝ่ายน้อยใจก็กลายเป็นคนรู้สึกผิด ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแผลบนแขนของพี่อู๋ คำพูดต่างๆมันจุกตรงคอจนได้แต่นั่งเป็นใบ้นานหลายนาที พี่อู๋นั้นอดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาไม่ลุกไปไหนเลย ไม่เก็บเศษจาน ไม่คุย ไม่ทำแผลที่แขนตัวเอง เขานิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายง้อเพราะกลัว กอริลลาก้องค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ผู้ปกครอง ผมบอกพี่อู๋ว่าขอโทษครับ แล้วก็ร้องไห้อีกรอบ

“ผมน้อยใจที่พี่ไม่คุยกับผมเลย” ผมบอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่อู๋ฟัง “ผมรู้ว่าพี่ยังเสียใจเรื่องคุณหมูพี รู้ว่าพี่ยังรักเขาอยู่ แต่พี่เลิกเล่นเกมนี้ไม่ได้เหรอ ผมไม่ชอบเกมนี้ ผมไม่อยากให้พี่เล่นเกมนี้กับผม”
“เกมอะไร?” เขาถามด้วยสีหน้างุนงง
“สัปดาห์ของคนใบ้” ผมตอบ “แม่เล่นเกมนี้กับผมมาทั้งชีวิตแล้ว พี่อย่าเป็นเหมือนแม่เลยนะ ผมไม่ชอบที่พี่เงียบเลย”

พี่อู๋เงียบเหมือนคิดเรื่องอื่นอยู่ พอผมระบายความในใจจนหมดเปลือกเขาถึงถามต่อว่ายาอยู่ที่ไหน ผมตอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกหรือมีความลับอะไร

แต่ -- แต่ผมจำไม่ได้ว่าเอายาไปไว้ที่ไหน

 ครั้งสุดท้ายที่หาหมอ ผมยังถือถุงยาอยู่ แต่หลังจากนั้นผมกลับนึกไม่ออกว่าทิ้งมันไว้ที่ไหน พอพี่อู๋เห็นผมอ้ำๆอึ้งๆ เขาก็จับได้ทันที

“ยาหายเหรอ?”

ผมยอมรับ ครับ ยาหาย ผมจำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน พี่อู๋เริ่มหงุดหงิด เขามุ่งมั่นกับการหายารักษากอริลลาจนลืมผมไปชั่วขณะ คุณอุรัสยานึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่นาน เขาไล่ตั้งแต่พาผมไปหาหมอ รถชน เจอผมหน้าโรงพยาบาล ขึ้นแท็กซี่ ไปซื้อของเข้าห้อง -- พอนึกได้ว่าครั้งล่าสุดเราซื้อของมาหลายถุง เขาก็เปิดตู้เก็บเครื่องปรุงเหนือเตาไฟฟ้าก่อนจะหันมามองกอริลลาก้องตาขวาง

“ไม่ได้กินยาซักเม็ดเลยเหรอ?” 

เขาวางยาสี่ปึกลงบนเคานท์เตอร์ครัวแล้วกระแทกกระปุกยาทิ้งท้ายเป็นการบอกกลายๆว่าโมโหแค่ไหน

“ผม -- ผมลืม”
“ลืม? ลืมว่าเก็บยาไว้ตรงไหนเนี่ยนะ?”

พี่อู๋ถามย้ำ ผมยอมรับตามตรง ก็ผมลืมจริงๆนี่ วันนั้นเราเหนื่อยกันมาก และผมก็เครียดมากจนไม่ได้สนใจอะไร เมื่อได้ยินคำอธิบายทั้งหมดพี่อู๋ถึงกับทึ้งหัวตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด เขาบอกว่าเขาผิดเองแหละที่ดูแลผมไม่ดี เขามีเรื่องให้คิดเยอะจนไม่ค่อยได้สนใจกอริลลาก้องที่เลี้ยงไว้เท่าไหร่ ผมอยากถามพี่อู๋เหมือนกันว่าเขาเครียดเรื่องอะไรแต่ก็พอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องคุณหมูพี

“พี่น่าจะเอะใจให้เร็วกว่านี้” ผู้ปกครองตำหนิตัวเอง “แต่ -- เมื่อกี๊พูดถึงเกมอะไรนะ?”
“สัปดาห์ของคนใบ้ครับ”
“ก้องบอกว่าพี่เล่นเกมนี้กับก้องเหรอ? เล่น? ยังไง?”
“ครับ” ผมยืนยัน “พี่ไม่คุยกับผมเลย พี่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน คุยกับพี่ตั้มเรื่องคุณหมูพี พี่ไม่สนใจผมเหมือนเมื่อก่อน”
“มั่วแล้ว พี่คุยกับประกันบ่อยกว่าไอ้ตั้มอีก” เขาผลักหัวผม
“ไม่จริง ผมถามพี่ตลอดว่ากับข้าวอร่อยไหม พี่ก็ตอบแค่ว่าอร่อยแต่กินไม่หมด”
“เพราะมันเค็ม”
“พี่ว่าอะไรนะครับ?”
“กับข้าวของก้องรสชาติไม่เหมือนเดิมแล้ว” พี่อู๋ตอกย้ำ “ที่ไม่พูดตรงๆเพราะไม่อยากให้ก้องเสียใจ แต่จะให้ฝืนกินจนเป็นโรคไตมันก็ไม่คุ้มเปล่าวะก้อง”

ผมน่ะ -- ไม่เคยเสียใจเลยนะที่โดนตำหนิว่าทำบางเมนูไม่อร่อย แต่พอได้ยินพักหลังมานี้รสชาติมันห่วยแตกจนพี่อู๋กินไม่ลงก็แอบเจ็บนิดหน่อยเหมือนกัน เรากินด้วยกันแท้ๆ ทำไมมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย

“อีกอย่าง คนที่ไม่ยอมพูดก็คือก้องนั่นแหละ”
“ไม่จริง ผมชวนพี่คุยตลอด ผมเรียนเปียโนก็เพราะพี่ ผมทำทุกอย่างก็เพราะอยากให้พี่กลับมาสนใจผมเหมือนเดิม พี่นั่นแหละเปลี่ยนไป พี่ไม่ใช่พี่อู๋คนเดิมที่ผมรู้จัก”
“ที่คิดแบบนี้เพราะขาดยาหรือน้อยใจ?”
“ผมไม่ได้คิดไปเองนะ หลังๆมานี้พี่ไม่สนใจผมเลย ขนาดผมเล่นเปียโนเป็นตั้งหนึ่งเพลง พี่ยังไม่ชมซักคำ!”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าวันนั้นก้องเล่นเพลงเดิมซ้ำกี่รอบ?”
“สองสามรอบเอง”
“สองสามรอบ? แน่ใจ?” เขาถามจนผมเริ่มลังเล “ก้องไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเล่นเป็นสิบรอบ เล่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงและไม่ยอมหยุดจนพี่ต้องยกมือถือมาจับเวลาว่าจะเล่นอีกนานแค่ไหน”

พี่อู๋บอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา เขาเปิดคลังภาพเพื่อให้ผมดูคลิปวิดีโอที่อัดไว้ หน้าจอปรากฏภาพของกอริลลาก้องกำลังนั่งหลังคู้เล่นเปียโนอย่างใจจดใจจ่อ หน้าของผมก้มต่ำจนแทบจะติดคีย์เปียโน ท่าทางดูหมกมุ่นเหมือนนักเปียโนเสียสติที่ลืมวันลืมคืน พอเห็นสภาพตัวเองผ่านทางวิดีโอคลิปแล้ว ผมก็จำนนต่อหลักฐาน เถียงไม่ออกว่าตัวเองดูผิดไปจากปกติจริงๆ

“ทีนี้ก้องมีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า?”
“ไม่มีครับ”
“ก้องเกียรติ”
“ก็ได้ -- แต่ผมไม่รู้ว่าควรบอกพี่ดีไหม” ผมอ้ำๆอึ้งๆ “ผมไม่อยากไปหาหมอแล้ว”
“ทำไม?”
“ผมรู้สึกว่าหมอไม่ได้เข้าใจจริงๆ เขาแค่พูดเพื่อให้ผมสบายใจ แต่สุดท้ายเขาก็เหมือนคนอื่นที่มองว่าผมยึดติดกับพี่เกินไปจนไม่ยอมเริ่มต้นใหม่เสียที”
“แล้วก้องคิดว่าไง?”
“ผมว่ามันก็จริงส่วนนึง แต่อีกส่วนก็ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด” ผมสารภาพ “วันนั้นผมกลัวว่าพี่ทิ้งก็เลยรีบคุยกับหมอให้เสร็จไวๆเพราะอยากไปหาพี่ แต่หมอไม่ยอม หมอพูดให้ผมยืนด้วยตัวเองทั้งๆที่ผมยังไม่พร้อม ผมไม่พร้อมจะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวตอนนี้”
“ทำไมล่ะ?”
“ผม -- ผมอยากอยู่กับพี่ตลอดไป” กอริลลาก้องร้องไห้อีกแล้ว “ผมไม่ได้รักความสบายหรือยึดติดพี่เพราะเห็นแก่เงิน แต่ผมไม่เหลือใครแล้ว ผมแค่ไม่อยาก -- ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม พี่เข้าใจไหมว่าผมไม่อยากตื่นมามองเพดานคนเดียว ผมอยากมีพี่นอนมองเพดานอยู่ข้างๆ”
“เกือบซึ้งแล้วก้อง มาตกม้าตายตรงคำว่านอนมองเพดานนี่แหละ”
“ผมแค่กลัวว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น -- ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมถ้าไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน”

พี่อู๋ดูกังวลเมื่อผมพูดว่าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตคนเดียว เราต่างรู้ทั้งนั้นว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งผมต้องไปตามทางของตัวเองเพราะเขาไม่สามารถเลี้ยงกอริลลาก้องได้จนตาย พี่อู๋รู้ ผมก็รู้ แต่เรายังไม่เคยพูดถึงวันนั้นจริงๆจังๆซักครั้ง

“ก้อง -- พี่ว่าก้องน่าจะไปที่นี่นะ”

ผมเงยหน้ามองผู้ปกครองทั้งน้ำตา ไม่เข้าใจเลยว่าที่นี่ของเขาหมายถึงที่ไหน พี่อู๋ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพร้อมกับกดโทรศัพท์ เขาส่งมันให้ผมอ่าน ในนั้นเขียนว่าศูนย์สุขภาวะทางจิต

“บางทีกินยาอย่างเดียวไม่พอ ก้องน่าจะมีใครซักคนคอยช่วยอีกทาง” พี่อู๋อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นผมแสดงสีหน้าต่อต้าน “ไปคุยกับนักจิตบำบัดนะก้อง เดี๋ยวพี่พาไป”
“แต่ผมไม่อยากนั่งตอบคำถามกับคนแปลกหน้าแล้ว ผมเบื่อที่จะต้องเล่าเรื่องตัวเองซ้ำๆ เบื่อที่ต้องเล่าให้ฟังว่าแม่ตายยังไง”
“ทำไมล่ะ? ก้องไม่อยากรู้สึกดีขึ้นเหรอ?”
“พี่ก็รู้ว่าโรคนี้ไม่มีวันหายหรอก” ผมบอกพี่อู๋ “ยังไงมันก็รักษาไม่ได้ พี่อย่าเสียเงินเสียเวลากับผมอีกเลย”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ก้องรู้สึกดีขึ้น ต่อให้จ่ายเป็นหมื่นพี่ก็จ่ายได้ --”
“พี่เลิกทำเหมือนผมเป็นเอมซักทีได้ไหม?! ต่อให้พี่ใช้เงินกับผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่มีวันเป็นเอมของพี่หรอก!”

คราวนี้พี่อู๋เป็นฝ่ายอึ้ง เขาตกใจเมื่อผมกลับมาเกรี้ยวกราดอีกหนด้วยการพาดพิงถึงเอม พอพูดถึงตัวแทน ผมก็ร้องไห้โฮออกมา ผมบอกเขาว่าทำเต็มที่แล้ว ผมพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนน้องชายของเขาแต่มันไม่เคยดีพอ ผมไม่ได้เกิดมาเก่งเหมือนเอม ไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรีเหมือนเอม และผมไม่อยากฝืนตัวเองอีกแล้ว

ผมไม่อยาก -- ไม่อยากเป็นใครที่ไม่ใช่ก้องเกียรติอีกแล้ว

“ถ้าพี่ตั้งใจเอาก้องมาแทนที่เอมจริงๆ คิดว่าตอนนี้ก้องจะได้นั่งกรีดแขนตัวเองเหรอ?! นู่น! คงขลุกตัวในโรงเรียนกวดวิชาแถวพญาไทนู่น! ไม่มีเวลามาน้อยใจแบบนี้หรอก!”

ผมชะงักเมื่อโดนตะคอกกลับ พี่อู๋กำมือแน่นเหมือนมีเรื่องอยากพูดมากกว่านี้แต่สุดท้ายเขาก็เงียบ และพยายามกลับมาที่เรื่องของเด็กในอุปการะแทน

“พี่ไม่เคยคาดหวังให้ก้องเป็นเอม ไม่เคยอยากให้ก้องเก่งเหมือนเอม ทำไมล่ะก้อง? ทำไมถึงคิดว่าพี่เอาก้องมาแทนที่ใครตลอด? พี่ทำอะไรผิดเหรอ? พี่พูดจาไม่ดีเหรอ?”
“พี่บังคับให้ผมเรียนเปียโน”
“พี่เห็นก้องชอบ --”
“ผมไม่ชอบ! ผมไม่ชอบเปียโน!”
“ถ้าไม่ชอบแล้วนั่งมองตาละห้อยทุกวันทำไมล่ะก้อง?” เขาถามเสียงสั่นราวกับผิดหวังที่ผมตะโกนออกไปว่าเกลียดเครื่องดนตรีนั่นแค่ไหน “ที่พี่ติดต่อไอ้โรมเพราะคิดว่าดนตรีจะช่วยบำบัดให้หายไวๆ แต่ถ้าก้องไม่มีความสุขกับมัน พี่ไม่ฝืนใจก็ได้ ไม่ต้องเรียนเปียโนก็ได้”
“ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีความสุข”
“แต่เมื่อกี๊ก้องเพิ่งตะคอกใส่หน้าพี่ว่าไม่ชอบเปียโน”
“ผมไม่ชอบที่ต้องกดดันตัวเองเพื่อเล่นเก่งเหมือนเอมต่างหาก”
“แล้วพี่เคยขอให้ก้องเป็นเอมเหรอ?”

พี่อู๋ถามย้อน คราวนี้ผมเห็นความผิดหวังในแววตาของเขาด้วย

“พี่เคยพูดเหรอว่าต้องเรียนเปียโนให้เก่งเท่าเอม ต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นน้องชายที่ว่านอนสอนง่าย พี่ไม่เคยพูดซักคำเพราะพี่รู้ว่าก้องไม่ใช่เอม ก้องก็คือก้อง เป็นเด็กซื่อบื้อธรรมดาๆคนหนึ่ง พี่ไม่เคยคิดจะปั้นก้องให้เป็นเอมซักครั้ง เมื่อไหร่ชุดความคิดลิเกพวกนี้จะหลุดจากหัวก้องซักที ขี้เกียจอธิบายแล้วนะโว้ย!”
“พี่หาว่าผมเป็นดราม่าควีนเหรอ?”
“เออ!!!!!”

พี่อู๋ขึ้นเสียง ถ้าเป็นเวลาปกติเราคงหัวเราะขำๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ขำ ผมอยากร้องไห้ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นดราม่าควีน

“ผมไม่ได้ชอบดราม่า! ผมแค่น้อยใจ!”
“น้อยใจเรื่องอะไร?”
“น้อยใจที่พี่สนแต่เรื่องของคุณหมูพีไง!”
“โอ๊ย -- หมูพีอีกแล้วเหรอวะ --” คุณอุรัสยายีหัวจนฟูยุ่ง สองมือลูบหน้าด้วยท่าทางเหมือนเด็กมหาลัยจนปัญญากับการอธิบายแคลคูลัสให้เด็กประถมฟัง
“ขนาดผมเจ็บตัวพี่ยังไม่สนใจเลย! พี่เปลี่ยนไปมากแค่ไหนพี่รู้ตัวไหม?!”
“ที่พี่ไม่ปลอบเพราะพี่ไม่อยากให้ก้องมีชุดความคิดผิดๆไง! ถ้าโอ๋ทุกครั้งที่ก้องทำร้ายตัวเองเหมือนหมูพี ต่อไปก้องจะคิดว่าขอแค่เจ็บตัวก็จะได้ความรักซึ่งมัน! ไม่! ใช่! พี่ไม่อยากสร้างเงื่อนไขแบบนั้นกับก้อง พี่ผิดมากเลยเหรอ? หืม? ผิดมากเลยเหรอที่ไม่โอ๋ก้อง?”
“ผมไม่ได้อยากให้พี่โอ๋ ผมแค่อยากให้พี่สนใจผมเหมือนเดิม!”
“แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้คืออะไร? ไม่สนใจเหรอ? แบบนี้เรียกว่าไม่สนใจเหรอ?” พี่อู๋ยกมือจะเขกหัวกอริลลาก้องแต่ก็ไม่ได้ทำ “ความคิดลิเกๆแบบนั้นเก็บไว้อ่านจากนิยายเถอะ เพราะถ้าพี่ไม่สนใจก้องจริง พี่จะพาก้องไปหาหมอ จะจ้างไอ้โรมมาสอนเปียโน จะพยายามหาวิธีช่วยให้ก้องดีขึ้นทำไม?”

ผมเงียบ เถียงไม่ออกเพราะที่พี่อู๋พูดก็จริงทุกอย่าง กอริลลาก้องได้แต่นั่งจ๋อย อุตส่าห์หงายการ์ดกรีดแขนแล้วแต่โดนเสยกลับจนแพ้ราบคาบ ใช่สิ -- ผมมันดราม่าควีน ผมมันคิดไปเอง ผมมัน -- ผม --

“ทีนี้ฟังพี่ -- ไปอาบน้ำแปรงฟัน โกนหนวดให้เรียบร้อยแล้วมากินข้าวกินยา”

พี่อู๋ลูบหัวผมเบาๆ เขาเช็ดน้ำตาออกให้ก่อนจะดึงแก้มนายก้องเกียรติจนยืดเหมือนพิซซ่าขอบชีสที่เราเคยกินด้วยกัน

“รู้ไหมว่าก้องเน่าแค่ไหน? หนวดก็ครึ้ม หน้าก็มัน แถมตายังบวมอีก” พี่อู๋เปลี่ยนเป้าหมายจากแก้มมาเป็นปลายจมูกของกอริลลา “หยุดร้องไห้แล้วไปจัดการตัวเองนะ”
“ครับ”

ผมตอบเสียงอ่อย ก่อนจะโดนพี่อู๋ลากไปตบกลางสี่แยก ผมกลับไม่รู้สึกถึงความสกปรกซกมกของตัวเองเลย ไม่ได้กลิ่นหรือเหนียวตัวเพราะไม่ได้อาบน้ำหลายวัน แต่พอพี่อู๋ทักเรื่องนี้ จู่ๆผมก็ได้กลิ่นปากตัวเองมากะทันหัน ผมกลายเป็นคนซกมกเหมือนที่เคยว่าคุณอุรัสยาไปแล้ว

“หลังจากนี้ก้องไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว พี่จะสั่งไลน์แมน”
“กับข้าวผมไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“กินยาก่อน กินยาให้ครบสองสัปดาห์แล้วเราค่อยพูดกันเรื่องกับข้าว”
“ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วย?”
“เพราะตอนนี้ก้องขาดยาไง คนขาดยา อธิบายยังไงก็เก็บไปน้อยใจอยู่ดี”

พี่อู๋เขกหัวกอริลลาก้องดังก๊อก! จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆพี่อู๋ก็จับแขนผมเอาไว้ เขามองด้วยสายตาเว้าวอนแบบแปลกๆก่อนจะเอ่ยปากขอให้ช่วย

“ทายาให้หน่อยสิ เจ็บว่ะ”
“แล้วพี่กรีดแขนตัวเองทำไมล่ะ!” ผมแหวใส่คุณอุรัสยา “กรีดเองก็ทายาเองสิครับ แผลใครแผลมัน”
“จะเอาแบบนี้เหรอก้องเกียรติ?”
“ครับ เอาแบบนี้แหละ” ผมตอบแล้วเอื้อมตัวหยิบกล่องปฐมพยาบาลหลังตู้เย็น “ผมอาบน้ำก่อนนะ เหม็น”
“เออ ดีนะที่ยังรู้ตัวว่าเหม็น”

ผมเบะปากแล้วไปอาบน้ำ ไม่สนพี่อู๋ที่นั่งเก็บเศษจานบนพื้นคนเดียว หลังจัดการตัวเองเสร็จ ผมก็เดินไปหาพี่อู๋เพื่อทำแผลให้ น่าแปลกที่แผลของคุณอุรัสยาไม่ลึกเท่าของผมแต่เลือดไหลเยอะกว่า ในขณะที่ของผมมีตั้งหลายแผลแต่เลือดกลับมีแค่นิดเดียว -- นิดเดียวจริงๆ นี่สินะที่คนเขาพูดกันว่าเลือดข้น เงินจาง กรีดยาวเป็นทาง ไม่มีน้ำยางซักหยด

“พรุ่งนี้ไปหานักจิตบำบัดนะก้อง” พี่อู๋บอกเมื่อทำแผลให้เขาเสร็จ ผมไม่รับปาก “ว่าไง? ไปไหม?”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?”
“พี่มีทางเลือกให้ก้องแค่ทางเดียว --”
“ซึ่งก็คือต้องไป ถูกไหมครับ?”
“ถั่วต้ม” พี่อู๋พยักหน้าอย่างพอใจ “นะ เดี๋ยวพี่โทรจองให้ คิวว่างเมื่อไหร่พี่จะพาไป”

ผมเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ถ้าไม่ชอบ ไม่อยากทำหรือถูกขัดใจ มุมปากของผมจะโค้งต่ำทันที บางครั้งก็มองบนโดยไม่รู้ตัว แสดงออกถึงท่าทีเบื่อหน่ายจนพี่อู๋กังวล ดังนั้นตอนเห็นผมเริ่มเฉยชากับการตอบคำถาม คุณอุรัสยาก็ยื่นข้อเสนอแบบยื่นหมูยื่นแมว ถ้าผมไปหาหมอ เขาจะให้สิ่งที่ผมต้องการ

“พี่จะซื้อเกมให้”
“ผมไม่อยากได้ครับ”
“รองเท้าผ้าใบ”
“ไม่อยากได้”
“บุฟเฟ่ต์แซลม่อน”
“ผมไม่ใช่หมีกริซลีที่อยากกินปลาส้มขนาดนั้น”

ผมส่ายหน้า พี่อู๋ถอนหายใจเซ็งๆแล้วพยายามเสนอต่อ เขาบอกว่าจะให้ขนม ให้เกม ให้เสื้อผ้าเท่ๆ ให้กระเป๋าเป้สวยๆซักใบ ให้หนังสือที่ผมอยากอ่าน ให้ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป พอผมปฏิเสธทุกคำเสนอ เขาก็เริ่มเพิ่มวงเงินมากขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ของกินของใช้กลายเป็นเที่ยวต่างประเทศ พี่จะพาไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปเวียดนาม ไปเกาหลี ก้องอยากโกอินเตอร์ไหม ถ้าอยาก ต้องพบนักจิตบำบัดก่อน พี่อู๋ถึงจะจองตั๋วให้ แล้วเราก็ค่อยกลับห้องมาแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวกันสองคน

“ผมรู้นะว่าที่พี่ยื่นเสนอเว่อๆเพราะพี่มั่นใจว่าผมไม่เอา”
“อ่ะ ถูกอีก งั้นบอกมาซักทีเถอะ ก้องอยากได้อะไร?”

ผมแกล้งเล่นตัว ทำเป็นไม่พูดอยู่หลายนาทีจนพี่อู๋รำคาญ เขาเลิกถามในที่สุดเพราะกอริลลาก้องมัวแต่ทำตัวเป็นหล่อเลือกได้ ผมรีบคว้าแขนผู้ปกครองเมื่อพี่อู๋ลุกจากโซฟา เขามองหน้าผมและยิ้มเหมือนผู้ชนะ เขารู้ว่านายก้องเกียรติมีของที่อยากได้ เพียงแค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเท่านั้น

“ผมจะยอมไปพบนักจิตบำบัดก็ได้ถ้า --”
“ถ้าอะไร?”
“ถ้าพี่ -- พี่เข้าบำบัดกับผม”

ผมยื่นคำขาด

“แต่ถ้าพี่ไม่ไป ผมก็ไม่ไป”




ต่อด้านล่างอีกแล้วจ้ะพี่จ๋า  :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
16 [PART2]



กอริลลาสองตัวตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า พวกมันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำธุระข้างนอก กอริลลาที่อายุมากกว่าตัดสินใจแวะร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเพราะหิว มันหยิบแซนด์วิชทูน่ามาสองกล่อง นมสองขวด และน้ำเปล่าหนึ่งขวดเป็นเสบียงติดกระเป๋าก่อนจะเดินเท้าข้ามสะพานลอย มุ่งหน้าสู่รถไฟฟ้ามหานครสถานีลาดพร้าว

กอริลลาที่แก่กว่าบ่นเรื่องชั่วโมงเร่งด่วน ลิงตัวอื่นๆเริ่มทยอยเดินเข้ามาในสถานี พวกมันยืนต่อแถวเป็นระเบียบหน้าป้ายที่เขียนว่าหัวลำโพง กอริลลาที่เด็กกว่าเริ่มหาวปากกว้าง แสดงท่าทางเบื่อหน่ายและหมดเรี่ยวแรงทั้งๆที่ยังไม่ทำอะไร

“รถน่าจะเสร็จก่อนปีใหม่ อดทนอีกนิดนะ ใช้รถไฟฟ้าไปก่อน”

กอริลลาที่เด็กกว่าพยักหน้ารับ พวกมันขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่สถานีสีลมเพื่อไปตามนัด ตลอดทางที่ยืนโหนราว กอริลลาที่แก่กว่าเอาแต่จ้องกอริลลาเด็ก มันจ้องเฉยๆจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง กอริลลาที่อายุมากกว่าจูงมือกอริลลาเด็กไปเรื่อยๆอย่างชำนาญ มันเดินข้ามถนน เข้าเขตโรงพยาบาลไปจนถึงตึกสีขาว กอริลลาเด็กเงยหน้าอ่านชื่ออาคารตรงหน้า บรมราชชนนีศรีศตพรรษ มันหันไปถามผู้ปกครองว่าชื่อนั้นมีความหมายว่ายังไง

“ไม่รู้อ่ะ เดี๋ยวค่อยเปิดกูเกิ้ลที่บ้านนะ”

มันตอบ ก่อนจะจูงมือเด็กในปกครองขึ้นไปชั้นห้าซึ่งมีป้ายเขียนว่าคณะจิตวิทยา พวกมันมาถึงจุดหมายแล้ว กอริลลาที่แก่กว่าโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นก็รอไม่กี่นาที ผู้หญิงท่าทางใจดีก็เชิญพวกมันเข้าไป กอริลลาทั้งสองตัวต้องกรอกแบบสอบถามก่อนเข้ารับการตรวจ สำหรับกอริลลาเด็กนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะมันผ่านการถามย้ำซ้ำๆมาแล้วหลายหน แต่กอริลลาที่แก่กว่าดูท่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ บางทีมันหยุดนึกนานมากราวกับไม่แน่ใจในคำตอบ

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาชี้แจ้งถึงสิทธิของกอริลลา จะไม่มีการนำเสียงหรือใบหน้าของมันไปเปิดเผยแพร่ ทุกเรื่องที่ออกจากปากกอริลลาจะเป็นความลับ มีแค่นักจิตวิทยาเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน กอริลลาที่อายุน้อยกว่าค่อนข้างเฉยๆ ไม่สนใจว่าเรื่องของตัวเองจะถูกนำไปบอกต่อหรือไม่ แต่กอริลลาตัวใหญ่มีสีหน้าโล่งใจเมื่อเจ้าหน้าให้สัญญาว่าจะรักษาความลับอย่างดี

“คนรู้จักพี่เรียนที่นี่เยอะ” มันอธิบายความกังวลให้กอริลลาเด็กฟัง “รอข้างนอกก่อนนะ คุยไม่นานหรอก”

กอริลลาที่อายุน้อยกว่าพยักหน้ารับและอดทนรอครอบครัวเพียงคนเดียวของมันนานเกือบสองชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบสองนาที ผู้ปกครองของมันเดินออกมาจากห้องสีขาวด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งร้องไห้ ดวงตาและปลายจมูกแดงช้ำ ขนตายังเปียกชื้นจนเห็นได้ชัด กอริลลาเด็กใจไม่ดีที่เห็นผู้ปกครองของมันร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามไถ่อะไรนอกจากนั่งรอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อตัวเองอย่างใจเย็น

ระหว่างที่นั่งรอหน้าห้องตรวจ กอริลลาเด็กเริ่มกังวลจนมือเย็นไปหมด กอริลลาที่อายุมากกว่าปลอบมันด้วยการจับมือเบาๆ ทั้งสองตัวนั่งปิดปากเงียบโดยไม่พูดคุยเลยซักคำ มีเพียงแค่มือของพวกมันเท่านั้นที่สัมผัสกันอยู่

“ถ้ามันไม่ดีขึ้นล่ะ” กอริลลาเด็กถามเสียงสั่น
“เราก็ค่อยหาวิธีอื่นต่อไป”
“ถ้ามันไม่หาย ถ้าไม่มีใครช่วยผมได้ ถึงตอนนั้น -- พี่จะเบื่อผมไหม? พี่จะรำคาญ พี่จะทิ้งผมเหมือนแม่ไหม?” มันถามอีก
“พี่ไม่ทิ้งก้องหรอก”
“สัญญานะ”
“สัญญา”

กอริลลาเด็กยิ้มเมื่อผู้ปกครองมันเกี่ยวก้อยสัญญา หลังจากนั่งรอไม่กี่นาที ในที่สุดชื่อของมันก็ถูกเรียก กอริลลาก้องลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมามองกอริลลาที่อายุมากกว่า

“ตอนที่ผมออกจากห้อง -- ผมจะเห็นพี่นั่งตรงนี้ใช่ไหม?”

กอริลลาอู๋พยักหน้ารับ

“คุยเสร็จเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนะ”
“ครับ”

กอริลลาโบกมือลาก่อนจะเดินเข้าห้องสีขาวทางขวามือ น่าเสียดายที่มันอดเห็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของกอริลลาอู๋ นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงยี่สิบเจ็ดนาที หลังจ่ายเงินค่าบริการ กอริลลาทั้งสองตัวก็นั่งรถไฟฟ้าไปพารากอน กอริลลาอู๋พากอริลลาก้องไปกินอาหารญี่ปุ่นก่อนจะจบการเดินทางด้วยหนังสือสามเล่ม หนึ่ง โสกราตีส สอง ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน และ สาม --

เอ่ยชื่อคือคำรัก



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้

ขอโทษที่มาช้านะคะ นี่คือความเร็วสม่ำเสมอของหนูแหละ วอนพี่จ๋าทำใจ อัปเร็วกว่านี้ไม่ได้จริงๆ แง 55555555555555555  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และแท็กเช่นเคยนะคะ กำลังใจน่ารักๆทำให้อยากเขียนตอนต่อไปเรื่อยๆ รักทุกคนที่ซู้ดเลย <3

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดีใจจังที่ไปรักษาทั้งคู่ พอรู้ในมุมมองของพี่อู๋ กอลิล่าก้องก็คิดไปเองเยอะเหมือนกันนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ได้ฟังมุมพี่อู๋บ้างก็แอบปวดหัวตามอยู่เหมือนกัน คนป่วยกับคนป่วยสองคนอยู่ด้วยกันอ่ะแก มันก็จะล้มลุกคลุกคลานหน่อย แต่ก็สบายใจไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าพี่อู๋ได้รักษาด้วย ไม่รู้นะว่าหมูพีจะกลับมาอีกหรือเปล่า แต่ไม่ต้องมาสร้างเรื่องปวดหัวแหละดีแล้ว แค่สู้กับตัวเองเขาก็เหนื่อยกันไปหมด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด