เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 122073 ครั้ง)

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
พิเศษยังไง มีอะไรในวันคริสมาสต์ //นี่ก็เรียกอุรัสยาตามก้องมาตลอดนะ 55555 เออหากิจกรรมทำร่วมกันบ่อยๆละดีแล้ว รอตอนต่อไปค่ะ มีอะไรเซอร์ไพรส์น๊า?

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
น้องก้องทำให้ป้าเข้าใจว่าพี่อู๋ป่วยที่แท้หนูไม่กินยาแล้วมโนไปเองทั้งนั้น

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากไปดีดติ่งหูอิศรินทร์ ข้อหาหลอกน้อง

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คริสมาสต้้องเป็นวันเกอดพี่อู๋แน่ๆเลย

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่อู๋ชื่อเพราะจัง ในที่สุดก็รู้ชื่อจริงพี่แกสักที 55555
เราอ่านแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่รู้จักพี่อู๋สักที คาดเดาตัวละครตัวนี้ไม่เคยได้ ไม่รู้ว่าอารทณ์ไหน ยิ้มๆ อยู่นี่อาจจะเก็บความเศร้าไว้หนือเปล่า คือไม่รู้จริงๆ

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกเหมือนอ่านชีวิตตัวเองชอบกล

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
วันเกิดน้องใข่ป่าววว

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พอเหตุการณ์สงบลงก็แอบกลัว กลัวมีพายุใหญ่ 55

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
19 [PART 1]

วันที่ 25 ธันวาคม

ผมตื่นนอนตอนตีห้าสิบสี่นาทีในเช้าวันคริสต์มาส สภาพอากาศแถวลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดค่อนข้างครึ้มนิดหน่อย อาจเป็นการครึ้มฝนแบบตอแหลที่หลอกให้เราดีใจว่าอากาศน่าจะเย็นกว่าเมื่อวาน แต่สุดท้ายแดดก็ร้อนเปรี้ยงเหมือนยมบาลขึ้นมาซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าปากซอย คุณครูเคยบอกว่าประเทศไทยมีสามฤดู ผมลองนับดูแล้วก็เป็นตามที่ครูสอนจริงๆเพราะอากาศบ้านเรานั้นมีทั้ง --

ร้อน
ร้อนมากๆ
ร้อนชิบหาย ไอ้สัส!!!!!

ผมปิดม่าน ไม่สนใจว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวเพราะสุดท้ายก็ต้องถ่อสังขารไปกลางเมืองอยู่ดี วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ผมจำได้ขึ้นใจเพราะพี่อู๋เอาแต่พูดว่าคริสต์มาสๆๆทั้งอาทิตย์จนรำคาญ บางทีอาจเป็นเพราะกระแสทางโทรทัศน์ที่บิ้วหนักเป็นพิเศษก็ได้ พี่อู๋ถึงตื่นเต้นจนตัวสั่นขนาดนี้

ผมนอนแผ่บนโซฟา กดรีโมตทีวีดูแก้เซ็งระหว่างรอคุณอิศรินทร์ตื่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบแปดนาที พี่อู๋ถึงเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน พอเห็นกอริลลาก้องนั่งเบื่อหน้าโทรทัศน์ เขาก็ตะโกนเสียงดังทันที

“OH! MY BIRTHDAY BOY!”

ผมสะดุ้งเพราะน้ำเสียงของเขาฟังเหมือนตะคอกมากกว่า

“อะไรของพี่เนี่ย?!”
“เฮ้ย วันนี้วันเกิดใครวะ”

เขาปรี่มาเบียดกอริลลาก้องที่กำลังนั่งเหวอบนโซฟา แถมยังยื่นหน้าเขามาใกล้จนผมต้องถอยอีก พี่อู๋ไม่รู้เหรอว่าเราไม่คนเราไม่ควรอยู่ใกล้กันขนาดนี้ถ้ายังไม่ได้แปรงฟัน นี่ไม่ใช่ละครนะ กลิ่นปากของผมไม่ได้หอมตลอดเวลาเหมือนในโฆษณาหรอก

“วันนี้วันเกิดใครอ่ะ?” พี่อู๋เจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญ “วันเกิดใครเนี่ย ทำไมเจ้าภาพไม่ตอบ”

ผมกลอกตามองบน รู้แหละว่าคริสต์มาสคือวันเกิดของใครแต่พอเจอมุกนี้ก็ขี้เกียจพูด ผมไม่ให้คำตอบที่พี่อู๋ต้องการ ผมแค่เดินไปหน้าทีวี ชี้ไปที่ภาพรูปปั้นของพระแม่มารีกับพระเยซูที่ปรากฎอยู่ในข่าวก่อนจะบอกคุณอิศรินทร์ว่า

“วันเกิดพระเยซูครับ”

พี่อู๋หยุดยิ้ม

“เอ้า -- ร้องเพลงให้เจ้าภาพหน่อยเร็ว!”

ผมแกล้งปรบมือร้องเพลงด้วยสีหน้าระรื่นในขณะที่ผู้ปกครองนั่งปั้นหน้าเซ็งบนโซฟา

“ไม่เอาเค้กมาให้พระเยซูเป่าด้วยเลยอ่ะก้อง?”

พี่อู๋ประชด แต่ผมจัดให้ตามคำขอ ในตู้เย็นของเรามีเค้กเอสแอนด์พีเหลืออยู่หนึ่งชิ้นพอดี ผมหยิบมันออกมาแล้วปักหลอดดูดน้ำแทนเทียนวันเกิดก่อนจะนำไปจ่อหน้าทีวี

“เป่าเลยครับพระเยซู! ฟู่ -- ฟู่ -- แฮปปี้เบิร์ธเดย์!”
“เย้! ฮาเลลูยา!” คุณอิศรินทร์ร้องตะโกนพร้อมกับชูสองมือเหนือหัว “ขอบคุณพระเจ้าที่ส่งเด็กคนนี้มาให้ลูก มันโง่ดี ลูกชอบ”

ผมเบะปาก ปาหลอดเปื้อนครีมใส่พี่อู๋ที่หัวเราะคิกคักเพราะเอาชนะได้ด้วยมุกมันโง่ดี

“วันนี้ก้องอยากไปไหน?”
“ไม่อยากไปไหนครับ” ผมตอบตามจริง “พี่ถามทำไม? จะพาผมไปเลี้ยงวันเกิดเหรอ พี่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ มันเปลือง”
“เปล่า พี่จะพาไปฉลองวันเกิดพระเยซู”

สงสัยจะได้ตกนรกก่อนเลี้ยงวันเกิดกอริลลาก้อง

“ไปอาบน้ำแต่งตัวสิ พี่จะพาไปข้างนอก”
“ไปไหนครับ?”
“ไปลาดพร้าวยี่สิบห้า” พี่อู๋กวนตีนต่อ “ซื้อผัดกะเพราะมากินก่อน ค่อยว่าเรื่องอื่นตอนสายๆเนอะ”

 ผู้ปกครองจอมบงการพูดเองเออเองแล้วลุกไปอาบน้ำ ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดนั่งเซ็งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบนาที พี่อู๋เร่งให้ผมออกจากห้องโดยพูดแค่ว่าเดี๋ยวไม่ทัน

“ป้าขายกะเพรากลับตั้งบ่ายสาม พี่จะรีบทำไมครับ?”

ผมถามแต่พี่อู๋ไม่ตอบ เขาเดินจ้ำอ้าวไปหน้าปากซอยเหมือนคนปวดขี้ที่ต้องวิ่งไปซื้อทิชชู่โดยมีกอริลลาก้องเดินหาวตามหลังติดๆ




หน้าเซเว่นปากซอยลาดพร้าวยี่สิบห้ามักจะมีรถเข็นขายกับข้าว ตรงหัวมุมโค้งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ตรงกลางคือรถขายไก่ทอด ถัดไปอีกนิดถึงจะเป็นร้านของป้ากะเพรา ผมตามหลังพี่อู๋จนถึงรถเข็นของป้า แต่คุณอิศรินทร์กลับไม่หยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น เขาเดินเลยไปอีกหน่อยจนถึงรถเข็นขายกับข้าวที่มีแกงถุงจัดวางเรียบร้อย

พี่อู๋หยิบแกงจืดหนึ่งถุง ต้มข่าหนึ่งถุง ข้าวเปล่าหนึ่งถุง เขาซื้อไข่ดาวอีกหนึ่งฟองและแกงบวดฟักทองเป็นของตบท้าย ผมถามผู้ปกครองว่าไม่กินผัดกะเพราแล้วเหรอ เขาส่ายหน้า บอกว่าค่อยกลับมากินตอนสายๆ

“งั้นพี่ซื้อทำไมเยอะแยะ?”

ผมบ่น แต่ก็ยอมตามผู้ปกครองต้อยๆเหมือนลูกหมา พี่อู๋ตรงดิ่งไปที่คอนโด เขาเปิดประตูรถและเร่งกอริลลาก้องที่เดินหอบให้ขึ้นมาเร็วๆ

“จะเจ็ดโมงแล้วก้อง อย่าช้า ให้ไวเลย”

ผมหน้าบูดเพราะโดนบ่นแต่ก็เชื่อฟังคำสั่งของพี่อู๋อย่างดี วีออสสีดำออกจากซอยลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดแล้วขับไปทางโชคชัยสี่ การจราจรตอนเช้าไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดไว้ รถเริ่มติดเรื่อยๆจนเหยียบคันเร่งไม่ได้ แต่พี่อู๋ก็ยังมุ่งมั่น ฝ่ารถติดราวกับมีเรื่องสำคัญต้องทำ

“ไม่เห็นมีเลย” คุณอิศรินทร์บ่น
“ไม่มีอะไรครับ?”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขากวาดตามองริมฟุตปาธบ่อยกว่ามองถนน ผมเองก็พยายามมองแต่ไม่เห็นสิ่งที่คนอย่างคุณอิศรินทร์ตามหาเลย เช้าๆแบบนี้ไม่มีอะไรหรอกนอกจากรถเข็นขายของกิน มีน้ำเต้าหู้ มีปาท่องโก๋ มีข้าวมันไก่และข้าวเหนียวหมูทอด ผมถามพี่อู๋ว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวจะวิ่งลงไปซื้อให้ เขาบอกว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาของกิน แต่มาหาพระ

“พระ?” ผมทวนคำ “พี่หาพระทำไม?”

เขาก็ไม่ยอมตอบอีก พี่อู๋ขับรถเข้าไปในซอยเล็กๆเลยตลาดนิดหน่อย เขาพยายามยัดวีออสของตัวเองเข้าช่องเล็กๆจนเกือบจะจูบกับรถกระบะคันข้างหน้า พอดับเครื่อง คุณอิศรินทร์รีบเปิดประตูรถพร้อมถุงกับข้าว เขาบอกผมว่าลงมาเร็ว ไปหาพระกัน

ตอนนั้นผมถึงเข้าใจว่าพี่อู๋ซื้อแกงถุงและขับรถวนหาพระสงฆ์ทำไม วันนี้เป็นวันเกิดของผม เขาตั้งใจพาผมมาตักบาตรทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพระอยู่ตรงไหน พี่อู๋เดินถามพ่อค้าแม่ค้าว่าเห็นพระไหม พวกเขาชี้ไปอีกด้าน บอกว่าพระเดินนำลิ่วแล้ว

พี่อู๋ขอบคุณพวกเขาพร้อมกับก้าวขาวิ่งทันที ปล่อยให้เจ้าของวันเกิดวิ่งตามเหมือนลูกหมาเช่นเคย พอวิ่งได้ซักระยะเราก็เห็นจีวรสีส้มอยู่ไม่ไกล ผมค่อยๆชะลอฝีเท้าลงเพราะคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเราต้องสงบเสงี่ยม แต่คุณอิศรินทร์เป็นบ้า ตะโกนเสียงดังว่า

“พระ! พระครับ! หยุดก่อน!”

ไอ้บ้าเอ๊ย -- ใครเขาเรียกพระแบบนั้นกัน

ผมอายสายตาคนรอบข้าง แต่ก็เดินเข้าไปหาพระที่มากับลูกศิษย์ตามพี่อู๋ คุณอิศรินทร์เห็นท่านหยุดรอก็ยิ้มกว้าง ยกมือที่ถือแกงถุงทูนหน้าผากแล้วพูดขอบคุณครับหน้าตาเฉย

“วันนี้วันเกิดเด็กคนนี้ครับ” พี่อู๋บอกพระ “ผมอยากให้เขาทำบุญ”

ผมค่อยๆโผล่ไปยืนข้างพี่อู๋ เขาส่งแกงถุงให้ก่อนจะถอยไปยืนข้างหลัง ผมมองเขา มองคุณอิศรินทร์ที่หอบแฮ่กแต่ก็ยังพยักหน้าเป็นเชิงสั่งให้ตักบาตรเลย ดังนั้นผมจึงไม่หักน้ำใจของเขาด้วยการหิ้วแกงถุงกลับไปกินที่บ้าน ผมถอดรองเท้า วางแกงถุงลงในบาตร ก่อนจะยกมือไหว้เพื่อรับพร

“ก้อง ดอกไม้”

พี่อู๋กระซิบก่อนจะส่งดอกกุหลาบสีชมพูแปร๋นมาให้ ผมมองมันอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันไปหาผู้ปกครองที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างหลัง

“นี่อะไรครับ?”
“ดอกไม้ไง”
“รู้ แต่ให้ผมทำไม?”
“ไม่ได้ให้ก้อง” เขาขัดใจ “ก้องเอาให้พระสิ ตักบาตรอย่าขาดดอกไม้”
“พี่จะบ้าเหรอ นี่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ ถึงใช่ พี่ก็ซื้อดอกกุหลาบให้พระไม่ได้!”
“ได้ดิวะ ดอกกุหลาบก็คือดอกไม้เหมือนกัน!”
“แต่ผมไม่เคยเห็นใครถวายกุหลาบให้พระ!”
“ดอกอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละโยม ถ้าเจตนาดียังไงก็เหมือนกัน”

พระท่านช่วยยุติสงครามโลกครั้งที่สามด้วยการตัดบทก่อนที่เราจะเถียงกันเป็นเด็ก หลังตักบาตรเสร็จ ผมก็หันไปหาพี่อู๋ที่ยืนถามแม่ค้าดอกไม้สดว่าดอกกุหลาบถวายพระได้หรือเปล่า เธอยืนยันว่าได้ ดอกไม้ชนิดไหนก็ได้ ขอแค่มีกลิ่นหอมไม่และเป็นพิษก็พอ

“เห็นไหม บอกแล้วว่าให้ได้ๆ”

พี่อู๋บ่นอุบอิบเมื่อเห็นผมเดินมาหา เขาบอกแม่ค้าว่าขอซื้อดอกกุหลาบสีขาวอีกหนึ่งดอก ขอสวยๆเลยนะ แม่ค้าจัดให้ตามคำขอ เธอคัดดอกที่สวยที่สุดส่งให้คุณอิศรินทร์

 “อ่ะ เอาไป” เขายื่นดอกกุหลาบให้ “รับไปดิ”

ผมไม่เข้าใจแต่ก็รับดอกกุหลาบสีขาวจากพี่อู๋ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้ดอกไม้จากใครมาก่อนเลย พี่อู๋คือคนแรก แถมเป็นคนเดียวที่ยื่นของให้แล้วเดินหนี ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองผู้ปกครองจ้ำอ้าวกลับรถ ไม่เข้าใจว่าจะรีบไปไหนนักหนา บ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้ เผลอๆเดินกลับน่าจะถึงเร็วกว่าขับรถด้วยซ้ำ

“ไม่เคยมีใครให้ดอกไม้ผมมาก่อน” ผมพูดเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ผมต้องดูแลมันยังไงครับ?”
“ก็ -- เสียบๆในแก้วน้ำมั้ง” พี่อู๋อึกอัก “ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก เหี่ยวก็ซื้อใหม่”
“ซื้อใหม่ก็ไม่เหมือนดอกนี้หรอก”
“ถ้าพี่เป็นคนซื้อให้ ยังไงก็ไม่ต่างกัน”
“พี่พูดอย่างกับว่าพี่จะซื้อให้ผมอีกงั้นแหละ”
“ถ้าก้องอยากได้พี่ก็ซื้อให้” เขายักไหล่ “ทำไมวันนี้พูดมากจัง กลับถึงบ้านรีบกินข้าวเลย เดี๋ยวสายๆต้องไปพารากอนอีก”
“ไปทำไมครับ?”
“ไปฉลองวันเกิดให้พระเยซู”

พี่อู๋ตอบสั้นๆแล้วขับรถกลับลาดพร้าวยี่สิบเจ็ดโดยมีกอริลลาก้องนั่งชื่นชมดอกกุหลาบในมือไปตลอดทาง
 

 


ต่อข้างล่างเลยพี่จ๋า ตัวอักษรเกินอีกแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
19 [PART 2]


ของขวัญวันเกิดของนายก้องเกียรติคือคูปองหนึ่งใบ เป็นคูปองที่เขียนด้วยลายมือยึกยือบนกระดาษเอสี่ว่า ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะซื้อทุกอย่างให้จริงๆเหรอ เมื่อพี่อู๋พยักหน้า ผมก็ขอเขาว่าซื้ออัลปากาให้หน่อย เอาสีขาวนะ ผมเห็นในทีวีดูน่ารักดี อยากเลี้ยงจัง

“ถามนิติคอนโดสิว่าให้เลี้ยงสัตว์หรือเปล่า”

ผมบอกแล้วไงว่าเขาเป็นคนฉลาด พี่อู๋น่ะเก่งเรื่องการเลี่ยงบาลีที่สุด แต่เรื่องอื่นๆอย่างต่อตู้หรือซ่อมอ่างน้ำตันกลับทำไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วยตลอด

“ผมไม่มีของที่อยากได้เลยครับ”
“ไปเดินพารากอนเดี๋ยวก็มี”
“งั้นพี่ซื้อพารากอนให้ผมได้ไหม?”
“ก้องบริหารเป็นหรือเปล่าล่ะ?” เขาย้อน “บริหารไม่เป็นก็ซื้ออย่างอื่นก่อนดีไหม เสื้อผ้า รองเท้า --”

พูดไปเรื่อย

ผมส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อคุณอิศรินทร์หาช่องโหว่ได้ตลอด นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงเจ็ดนาที เราเดินทางถึงพารากอนด้วยรถไฟฟ้าเพราะเกลียดการจราจรหลังเลิกงาน พี่อู๋ถามว่าตอนเที่ยงอยากกินอะไร ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่มีของที่อยากได้เป็นพิเศษ เขาจึงพาเดินตะลอนไปทั่ว เราผ่านร้านอาหารดังๆหลายร้านทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น พี่อู๋ไม่บอกใบ้เลยว่าเขาอยากกินอะไร อยากกินบอนชอน ทงคัตสึ หรือข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดาๆที่ราคาไม่ธรรมดา ดังนั้นผมจึงเลือกจากสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ผมบอกผู้ปกครองว่าอยากกินเอ็มเค

“ทำไมถึงชอบเอ็มเคล่ะ?”
“ผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเรามาฉลองกับครอบครัว” ผมตอบ “สมัยเด็กๆ ถ้ามีโอกาสดีๆ แม่ก็พาผมมากินเหมือนกัน”

ผมหยุดเรื่องของแม่ไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากคิดถึง พี่อู๋ก็คงรู้เลยไม่ต่อบทสนทนาเกี่ยวกับแม่ที่ทิ้งไปอีก เราต่างก้มหน้าก้มตาทานสุกี้และเป็ดย่างจนเกลี้ยง หลังกินอิ่มผมก็ส่งคูปองคืนให้พี่อู๋ บอกเขาว่าขอบคุณที่พามาเลี้ยงวันเกิด มันอร่อยมาก ขอบคุณครับ

“คูปองนี่สำหรับซื้อของ เลี้ยงข้าวไม่นับ”

คุณอิศรินทร์บอกระหว่างพาเดินชมพารากอนเหมือนเป็นเจ้าของ

“ค่อยๆคิดนะก้อง วันนี้เลือกไม่ได้ไม่เป็นไร วันอื่นก็ได้ พี่พามาซื้อได้ทุกวัน”

ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่ไม่ได้เลือกของที่ตัวเองอยากได้หรอก สิ่งที่พี่อู๋ให้ผมนั้นมากยิ่งกว่าของขวัญวันเกิด เขาให้ชีวิตใหม่ ให้โลกใบใหม่ ให้ครอบครัวใหม่แก่กอริลลากำพร้า จากใจจริง ผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แค่พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมโดดเดี่ยวก็เกินพอแล้ว

เราสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูราคาแล้วก็วางลงที่เดิมเพราะมันแพงเกินไป ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กฝรั่งที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง มันเป็นตู้กระจกที่มีความยาวเกือบสองเมตร ข้างในเป็นกล่องดนตรีรูปแบบต่างๆ มีปุ่มให้กดฟังเพลง มีหลายแบบให้เลือก

“กล่องดนตรีดีไอวายค่ะ” พนักงานขายยิ้มเมื่อกอริลลาก้องหยุดยืนหน้าตู้กระจก “สามารถกดปุ่มลองฟังเพลงได้นะคะ ชอบเพลงไหนก็ซื้อฐานกล่องดนตรีและตกแต่งด้านบนได้ตามใจชอบเลยค่ะ”

ผมเหลียวมองตามมือของเธอ ด้านหลังเป็นยิ่งกว่าโกดังขายของตกแต่งเล็กๆน้อยๆที่ทำจากไม้ มีรถคันเล็กสีแดง มีสนูปี้ มีตัวละครน่ารักๆวางเต็มไปหมด ผมก้มมองปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นปุ่มตัวเลขสีเงินมันวาวเหมือนโทรศัพท์บ้าน พอลองกดเลขหนึ่ง เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้นโดยมีกล่องดนตรีหมายเลขหนึ่งหมุนโชว์เป็นตัวอย่าง

กอริลลาก้องเหมือนได้ของเล่นใหม่ มันกดไล่ทีละเพลงๆตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ ฟังจนจบ ฟังแล้วฟังอีกด้วยความเพลิดเพลิน เพลงที่ชอบที่สุดไม่ใช่เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์หรือเมอร์รี คริสต์มาส มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังแล้วติดหูจนต้องกดเล่นซ้ำๆอยู่สามสี่ครั้ง พี่อู๋ที่เคยยืนมองเริ่มเข้ามาร่วมวง เรากดปุ่มฟังเพลงรอบแล้วรอบเล่าจนพนักงานขายต้องสปอยล์ต่อว่าถ้าสนใจลองดูของตกแต่งก่อนได้นะคะ ได้ทั้งเพลงที่ชอบ และกล่องดนตรีที่มีชิ้นเดียวในโลกด้วย

“เอาไหมก้อง?”

พี่อู๋ถาม ผมเหลือบมองราคาที่แปะข้างล่างก่อนจะส่ายหน้า แค่ฐานก็เริ่มที่สองพันห้าแล้ว ถ้าตกแต่งเสร็จ คงดาวน์บ้านได้หลังนึงเลย

ผมปฏิเสธ ผมบอกเขาว่าแค่กดเล่นเฉยๆก็สนุกแล้ว ไม่ต้องซื้อกลับบ้านหรอก แต่คุณอิศรินทร์อ่านใจกอริลลาก้องออก เขารู้ว่าผมชอบ รู้ว่าผมอยากได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบคูปองวันเกิดของนายก้องเกียรติออกมาเพื่อยืนยันว่าผมสามารถเป็นเจ้าของกล่องดนตรีไม้ได้จริงๆ

“แต่มันแพง”
“ไม่แพง”

พี่อู๋เถียง เขาหันไปสมทบกับคนขายเพื่อเสี้ยมให้ผมยอมรับว่าอยากได้ พวกเขากรอกหูนายก้องเกียรติด้วยการบอกว่ากล่องดนตรียี่ห้อนี้ว่างขายแค่ช่วงคริสมาสต์ วันที่สามปีหน้าก็จะเลิกขายแล้ว อยากได้ก็ซื้อเลย ถ้าพลาดคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่ๆ

“สนใจเบอร์ไหนคะ?”

พนักงานถามเมื่อเห็นกอริลลาตัวหนึ่งยืนเคลิ้ม ผมชี้นิ้วไปที่เบอร์สิบห้าทันที มันเป็นฐานกล่องดนตรีทรงกลมเรียบๆที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน เธอยิ้มแล้วบอกว่าผมเป็นคนส่วนน้อยที่เลือกเพลงนี้ พอถามว่ามันคือเพลงอะไร เธอตอบว่า

“White Christmas ค่ะ” เธอหยิบกล่องดนตรีที่ผมเลือกจากชั้นวาง “ส่วนของตกแต่งอยู่ด้านโน้นนะคะ ชำระเงินแล้วสามารถใช้โต๊ะตกแต่งได้เลยค่ะ”

ผมขอบคุณเธอก่อนจะเดินไปเลือกของตกแต่งสำหรับกล่องดนตรี พี่อู๋เดินตามผมไม่ห่าง เขาคอยมองว่าผมหยิบอะไรแต่ไม่ออกความเห็น เขาให้อิสระผมเต็มที่ในการออกแบบกล่องดนตรีของตัวเอง ดังนั้นผมจึงหยิบตุ๊กตาสนูปี้มาตัวเดียว

“แค่นี้เหรอ?”
“ครับ” ผมบอกพี่อู๋ก่อนจะพลิกราคาใต้กล่องให้เขาดู “แค่ตัวเดียวก็สี่ร้อยกว่าบาทแล้ว”
“ไม่กลัวสนูปี้เหงาหรือไง?”

เขาถามก่อนจะเอื้อมตัวหยิบตุ๊กตาเด็กชายออกมาอีกหนึ่งตัว ผมถามเขาว่าตัวละครนี้ชื่ออะไร 

“ชาร์ลี บราวน์ เจ้าของสนูปี้”

พี่อู๋บอกแล้วพาไปจ่ายเงิน หลังจากนั้นเราจึงไปที่โต๊ะตกแต่งซึ่งมีกาวและอุปกรณ์อื่นๆวางเตรียมไว้ให้ ผมจัดท่ายืนให้สนูปี้กับชาร์ลีอยู่หลายหน ตรงกลางบ้าง ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง หันหน้ามาเจอกันบ้าง หันหลังให้กันบ้าง ผมลังเลมากเพราะกลัวติดกาวแล้วออกมาไม่สวย แต่พี่อู๋ไม่ว่าอะไรซักคำ เขารอจนผมเจอมุมถูกใจและบีบกาวติดด้วยตัวเอง

“ขอบคุณครับพี่อู๋”

ผมบอกผู้ปกครองขณะจ้องมองของขวัญวันเกิดด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์ยิ้ม เขาดูมีความสุขมากที่กอริลลาก้องหมุนกล่องดนตรีอีกหลายหน ซักพักเขาก็บอกว่ามีตุ๊กตาแค่สองตัวดูโล่งเกินไป ต้องมีต้นไม้และของขวัญด้วยถึงจะดูดีขึ้น

พี่อู๋ซื้อต้นคริสต์มาสจิ๋วและของประดับเล็กๆน้อยๆเพิ่ม เราจึงได้กล่องดนตรีที่สวยมากๆหนึ่งชิ้น นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงห้าสิบเก้านาที พี่อู๋พาผมข้ามไปอีกฝั่งเพื่อกินก้อย เราเดินรำลึกความหลังสมัยครั้งแรกที่มาสยามด้วยกัน ตอนนั้นผมโคตรเซ็งเลยที่ถูกเขาลากไปมา ตัดภาพมาที่ตอนนี้ นายก้องเกียรติแทบจะเดินตามพี่อู๋เหมือนลูกหมาแล้ว

คุณอิศรินทร์ชวนเดินเล่นแถวสกายวอล์คเชื่อมไปเซ็นทรัลเวิลด์ เขาบอกว่าตรงนั้นแสงสวยน่าถ่ายรูปมาก ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าถ่ายรูป เขาดูไม่เหมือนวัยรุ่นที่ชอบสรรหามุมสวยๆเพื่อถ่ายรูปเลย แต่ผมก็ไม่ขัดใจเขา แสงของพระอาทิตย์ตอนห้าโมงสวยจริงๆอย่างที่เขาว่า มันไม่สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน แต่เป็นสีทองอ่อนมองแล้วไม่ปวดตา เราหยุดพักเมื่อเดินถึงตรงกลางของสกายวอล์ค พี่อู๋หยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกด แชะ! ถ่ายรูปกอริลลาก้อง

“พี่ถ่ายแบบนี้เลยเหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นเขาเก็บโทรศัพท์เหมือนเดิม “ถ่ายให้มันดีๆสิครับ อย่าถ่ายตอนผมน่าเกลียด”
“ก้องชอบถ่ายรูปเหรอ?”
“เฉยๆครับ ใครให้ถ่ายก็ถ่าย” ผมตอบ
“งั้นพี่ขอสวยๆซักรูปนะ”

พี่อู๋ปลดล็อคหน้าจอไอโฟนอีกครั้ง คราวนี้ผมมองกล้องแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มตามฉบับของนายก้องเกียรติ ทันทีที่เสียง แชะ! เงียบลง ผมก็ขอดูรูปของตัวเอง

ภาพถ่ายของกอริลลาก้องไม่แย่เลย ตาของผมกลายเป็นสีน้ำตาลสว่างเพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบตรงหน้าพอดี พี่อู๋บอกว่าถ้าอัปรูปนี้ในอินสตราแกรมนะ รับรองมีคนกดไลก์เยอะแน่ๆเพราะผมหล่อมาก

“เซลฟี่กับพี่หน่อยได้หรือเปล่า?”

คุณอิศรินทร์ขอ ผมฉีกยิ้มทันที แล้วเราก็ได้ภาพคู่กันอีกหนึ่ง พอถ่ายด้วยกันก็เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“ทำไมก้องตาเศร้าจัง?” พี่อู๋พึมพำ
“ตาของผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเศร้าหรือไม่เศร้าหรอก ต่อให้แม่ไม่ตาย ต่อให้ได้เรียนต่อมหาลัย มันก็ยังดูเศร้าอยู่ดี” 

พี่อู๋ไม่พูดอะไรอีก เขาปล่อยให้เสียงการจราจรข้างล่างกลบความเงียบระหว่างเรา พอเขาพูดเรื่องตา ผมก็คิดถึงแม่ แต่ไหนแต่ไรคนมักจะถามแม่ว่าทำไมลูกชายตาเศร้า แม่ตอบพวกเขาว่าก็แค่แววตา จริงๆแล้วก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

ก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ

ในสายตาของแม่ -- ผมเป็นลูกชายที่ร่าเริงจริงๆเหรอ?

“ก้อง”

ผมหันตามเสียงเรียกของพี่อู๋ ในมือของเขาถือของขวัญห่อด้วยกระดาษสีแดง

“พี่คิดนานมากว่าจะให้ก้องดีไหม แต่ไหนๆก็ได้มาแล้ว พี่อยากให้ก้องเก็บไว้”

ผมขมวดคิ้วก่อนจะแกล้งทำเป็นบ่นว่าสิ้นเปลือง จะให้อะไรนักหนา รู้ไหมว่าเงินทองไม่ได้หาง่ายๆนะ พี่อู๋ไม่ขำกับคำแขวะของนายก้องเกียรติอีกแล้ว เขาดูจริงจังและจดจ่อกับผมที่กำลังแกะของขวัญมาก มากจนผมสงสัยว่าอะไรอยู่ในนี้

ของขวัญวันเกิดจากพี่อู๋เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูจากรูปร่างและเสียงตอนเขย่าแล้วน่าจะเป็นกรอบรูปหรือไม่ก็หนังสือ พอแกะกล่องกระดาษสีน้ำตาลออก ผมได้แต่ยืนนิ่ง พูดไม่ออก มีแค่ความรู้สึกตื้อตันเหมือนจมน้ำเท่านั้น

“สุขสันต์วันเกิดก้องเกียรติ” พี่อู๋พูด เขายกมือลูบหัวผมเมื่อเห็นผมร้องไห้ “พี่อวยพรไม่เก่ง แต่อยากบอกให้รู้ว่าก้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ”

ผมเม้มปาก พยายามกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ได้เลยเมื่อเห็นรูปถ่ายของแม่ นี่คือรูปที่เราถ่ายด้วยกันในงานเลี้ยงปีใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประถม ตัดผมทรงหัวเกรียนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างแม่ ผมจำได้ว่าเราจัดงานกันที่บ้านลุงชื่น แถมยังจำได้อีกว่าพี่ลีเป็นคนถ่ายรูปนี้

“พี่ไปเอามาจากไหนครับ?”

ผมถาม พูดตรงๆว่าตั้งแต่ไฟไหม้บ้าน ผมหมดหวังที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับแม่แล้ว ทั้งเชือก ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรูปถ่าย ทุกอย่างหายไปหมดในบ้านหลังนั้นไม่เหลืออะไรซักอย่าง แต่จู่ๆพี่อู๋ก็ถือรูปนี้มาให้ เขาพาแม่มาหาผม เขาเอาอนุสรณ์อันใหม่ของแม่มาแทนที่เชือกเส้นนั้น

“ลุงชื่นส่งมาให้” พี่อู๋บอก “พี่โทรถามลุงชัยว่าพอจะมีของเกี่ยวกับแม่ของก้องบ้างไหม ลุงชัยบอกให้ถามลุงชื่น พี่ก็เลยติดต่อไปที่ลุงจนได้รูปนี้มา”
“พี่อู๋ --”
“หืม?”
“ขอบคุณครับ” ผมกอดเขา “ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณครับ”

พี่อู๋ปลอบด้วยการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่กอริลลาตัวนี้ไม่มีสิ่งอื่นจะตอบแทนเขานอกจากการขอบคุณซ้ำๆ

“ผมไม่อยากยอมรับเลย แต่ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่าผมคิดถึงแม่ ผมคิดถึงแม่จริงๆ ผมคิดถึงแม่ --” ผมสะอื้น “ถ้าวันนี้แม่ยังอยู่ เราก็คงไปกินเอ็มเคด้วยกัน แม่คงซื้อของขวัญให้ผมเหมือนพี่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว แม่ไม่อยู่ -- กินเอ็มเคกับผมในวันเกิดอีกแล้ว”

ผมเสียใจจริงๆที่แม่ตาย ผมเสียใจที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาผมหลอกตัวเองว่าโกรธแม่แค่เพราะไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้ใครมองเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร พอพี่อู๋เอาอนุสรณ์ของแม่ที่เป็นรูปถ่ายสวยๆมาแทนที่เชือกเก่าๆ ผมฝืนทำเป็นไม่รู้สึกไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ผมต้องการมาตลอดตั้งแต่บ้านไฟไหม้คือแม่ ผมต้องการแม่ แต่ในวันที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมยังมีรูปถ่ายอีกหนึ่งใบ รูปสุดท้ายของเราสองคน รูปของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่ที่กลายเป็นของต่างหน้าให้ดูแก้คิดถึง

“ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย”

ผมบอกเขา แต่คุณอิศรินทร์กลับหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วกอดกอริลลาจิตป่วยเอาไว้แน่น

“ร้องเถอะก้อง ร้องเลย ให้มันออกมาบ้าง”

ผมพยายามหยุดตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เหลือบเห็นหน้าของแม่ในรูปถ่าย น้ำตามันก็ทะลักออกมายิ่งกว่าก๊อกแตก ผมเอาแต่ร้อง ร้อง และร้องอยู่ตรงสกายวอล์คท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินสวนไปมา ผมว่าถ้าพี่อู๋ไม่กอดอยู่คงมีใครซักคนวิ่งมามัดตัวผมแล้ว เพราะผมร้องเหมือนจะตาย ผมจะตายจริงๆนะ การร้องไห้แทบขาดใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง 

เวลาผ่านไปซักพัก น้ำตาก็แห้งเอง ผมเริ่มมองรูปแม่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมกอดกรอบรูปของเราเอาไว้แน่น ดีใจที่อนุสรณ์ของแม่ยังอยู่ ดีใจที่มันไม่ใช่เชือกเส้นเก่าที่แขวนตรงราวบันได แต่เป็นภาพถ่ายของเรา ภาพผมกับแม่ ภาพเราสองคนที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

พี่อู๋รอผมจนสงบด้วยตัวเอง เขายืนกอดคอกอริลลาก้องโดยเหม่อมองท้องฟ้าข้างหน้า แววตาของคุณอิศรินทร์ในตอนนี้ก็ดูเศร้ามากจนผมใช้แขนซ้ายโอบเอวเขาไว้หลวมๆ พี่อู๋หันกลับมามอง เขายิ้มเมื่อกอริลลาก้องเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแต่ยังคงไม่พูดอะไร เรายืนดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันตรงสกายวอล์คก่อนจะกลับบ้าน

วันนี้คือวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของนายก้องเกียรติ เป็นวันที่กอริลลาจิตป่วยได้ยิ้มจากใจจริงๆครั้งแรก ดังนั้นต่อให้รถไฟฟ้าจะแน่นเป็นปลากระป๋องก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดรำคาญ เรายืนเบียดกันกลางรถไฟโดยไม่มีบทสนทนา พี่อู๋ใช้มือซ้ายจับราว ส่วนมือขวาก็โอบเอวนายก้องเกียรติเพราะคนแน่นมากจนผมหาที่เกาะไม่ได้

ผมสูดน้ำมูกเล็กน้อยก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่พี่อู๋ ต้องขอบคุณมนุษย์กรุงเทพที่เบียดเข้ามาเต็มขบวนจนทำให้เราไม่เป็นจุดสนใจนัก พอถึงสถานีปลายทางหมอชิต เราก็ลงจากรถพร้อมกัน พี่อู๋แวะซื้อปลาหมึกย่างใต้สถานีแล้วเข้าไปนั่งกินในสวนสาธารณะ ผมเคี้ยวปลาหมึกจนแก้มตุ่ย ส่วนคุณอิศรินทร์ก็มองผู้คนที่มาออกกำลังกาย ไม่ได้มองนายก้องเกียรติ 

“ก้อง”
“ครับ?”
“พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก”

น้ำเสียงพี่อู๋ดูจริงจัง คราวนี้เขาจ้องตาผม มองผมด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมสังหรณ์ใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ คงเป็นเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้คุณอิศรินทร์ดูว้าวุ่นแบบนี้

“พรุ่งนี้พี่ต้องกลับบ้านที่ใต้แล้ว”

หัวใจของผมหยุดเต้น

“และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ อาจจะหลังปีใหม่ หรือสงกรานต์ หรือไม่กลับมาอีกเลย”

พี่หมายความว่าไง?

ผมสงสัย แต่พูดไม่ออก ไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อได้ยินว่าครอบครัวคนเดียวของผมต้องย้ายไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก

เราจะไม่ได้เจอกันอีก
เราจะ -- ไม่ได้เจอกันอีก งั้นเหรอ?

ไหนพี่บอกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วไง?

ผมมองหน้าพี่อู๋ ตอนนี้มันจุกจนพูดไม่ออกเพราะคุณอิศรินทร์พูดเกริ่นเหมือนเขาจำเป็นต้องไปที่ไกลๆและอาจจะไม่กลับมาหาผมอีก พอเห็นกอริลลาก้องนิ่งค้างเหมือนวิญญาณออกจากร่าง พี่อู๋ก็รีบเสนอทางเลือกให้ราวกับรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันตายแน่ถ้าเขายังเงียบอยู่แบบนี้

“พี่ไม่อยากบังคับก้อง แต่พี่ก็ไม่อยากทิ้งก้องไว้คนเดียวเหมือนกัน งั้นก้องช่วยเลือกแทนพี่ได้ไหม? ก้องบอกพี่หน่อยว่าก้องจะอยู่กรุงเทพ --”

เขาถามเป็นนัย

“หรือจะย้ายไปอยู่ใต้กับพี่”



TBC


----------------------------------------------

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้




เพลงที่น้องก้องเลือกคือเพลงแรกในคลิปนี้นะคะ https://www.youtube.com/watch?v=4PCYn8VjxwA
ส่วนตอนหน้าน้องก้องจะไปกรีดยางอยู่ใต้กับพี่อู๋หรือไม่ โปรดดดด ติดดดด ตามมม / วิ่ง

คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้คุยเรื่องรวมเล่มแล้วนะคะ ตอนแรกอยากทำเองมากๆ อยากคุมทุกอย่างเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ทุกวันนี้แทบจะไม่มีเวลาหายใจแน้วพี่จ๋า ทำงานเหน่ยมาก ไม่รู้บ.จะเปิดเครื่องอีกเมื่อไหร่ กลัวว่าถ้าพิมพ์เองจะออกมาไม่ดี ไม่มีเวลาส่งของ ไม่มีเวลาตอบอีเมลทุกคน ซึ่งอาจจะให้สนพ.เป็นคนจัดการแทนนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอาไง ขอเวลาหน่อยพี่จ๋า ช่วงนี้หนูความคิดปลาทอง ใช้ชีวิตจบแบบวันต่อวัน ไม่วางแผนอนาคตเลย ตัดสินใจได้เมื่อไหร่จะประกาศอีกทีนะคะ พี่จ๋าใจเยมๆน้า เวทนาหนูหน่อย หนูคิดอะไรไม่ทันจริงๆ อยากค่อยๆตัดสินใจน่ะค่ะ แหะๆ

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันตรงนี้ และอ่านทอล์คที่โคตรยาวนี้จนจบนะคะ รักค่ะ  ;-;

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มีความสุขมาทั้งวัน สุดท้ายบอกเรื่องช็อคๆ  o22
 :pig4:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตกใจหมดนึกว่าพี่อู๋จะทิ้งก้อง ไปไหนไปกันเนอะๆไปอยู่ใต้กันก็ไปเถอะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตกใจหมดเลยคุณอิศรินทร์ นึกว่าจะทิ้งน้องแม่จะฉาบให้ ใจหายไปหมด ฮือ พาน้องไปด้วยๆ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ฮาตอนพี่อู๋เรียกพระมาก ตอนนี้อบอุ่นมาก พี่อู๋ดีกับน้องมาก ตกใจช่วงท้ายแต่อยากให้ก้องกลับไปพร้อมพี่อู๋นะ อย่าทิ้งน้องน้าาา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รออุดหนุนเล่มนะคะ รักน้องก้องมาก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขอเล่าหน่อยนะคะ
เมื่อวาน​ 22/3​ เป็นวันที่น่าเบื่อมากๆสำหรับฉัน​ เฟซดูตนไม่มีอะไรจะดู  นิยายเรื่องที่น่าสนใจหรือติดตามอยู่บางเรื่องก็จบแล้วบางเรื่องก็ไม่มาต่อ​ ไล่ไปไล่มา​ ข้ามเรื่องไปมาจนตัดสินใจเข้ามาอ่านเพราะหาเรื่องอื่นไม่มีแล้ว​  :a5: ฉันร้องไห้​จะเป็นจะตายตั้งแต่ตอนแรกที่อ่านเลยค่ะ​  :monkeysad: ลากยาวทั้งคืนไม่หลับไม่นอนจนกระทั้งตอนนี้​ หน้าฉันบวมฉึ่ง​ หัวเริ่มปวดเพราะไม่ได้นอน​ อารมณ์มัน​ ดาวน์ไปกับเรื่องจนทุกอย่างอึมครึมไปหมด​ มันจะอะไรกันนักหนาหนอชีวิต​ ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่คนป่วยนะคะ

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านแล้วร้องให้ตามน้องก้อง


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แงงงง ในที่สุดก็มาต่อแล้ว รอทุกวันเลยค่ะ ลุ้น part 2 ถ้าเค้าย้ายไปอยู่ใต้กัน อะไรๆจะได้เริ่มชีวิตใหม่สักที ปลูกต้นรักไปด้วยเลย กริ้วๆ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
รักก้อง อย่าทิ้งน้องนะพี่อู๋

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไปไหนไปด้วย จะทิ้งกันได้ไง

ออฟไลน์ Rach

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อย่าบอกนะว่าจะพาไปเปิดตัวกับครอบครัววววว   :hao6:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
20

พี่อู๋ขับรถพาผมมาที่บ้านเก่าตอนเช้า

บนที่ดินของผม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เศษซากปรักหักพังอยู่ยังไงก็อย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนย้าย ไม่มีการเคลียร์พื้นที่ มันถูกทิ้งร้างจนมีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อม รั้วบ้านมีไม้เลื้อยปกคลุมจนไม่เห็นข้างใน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเพื่อนบ้าน พวกเขาเคลียร์ซากเรียบร้อยและเริ่มทยอยสร้างใหม่

พี่ลีสร้างเสร็จก่อนใครเลยย้ายกลับมาคนแรก ข้าวฟ่างกับเจ๊หมิวเป็นกลุ่มที่สอง ผมได้ยินมาว่าลุงชื่นจะย้ายกลับมาหลังปีใหม่ เดาเอาว่าไอ้แดงก็น่าจะมาด้วย ลุงชัยน่าจะรออีกพักใหญ่ๆจนกว่าจะมีเงินก้อน ส่วนป้าเพ็ญหายไป ไม่มีใครรู้ว่าแกอยู่ไหน แต่บ้านของแกไม่ได้รกร้างเหมือนของผม แกคงจ้างคนมาเคลียร์ที่ดินแล้วแค่ยังไม่ได้ปลูกบ้าน

ผมยืนมองที่ดินตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด จะให้พูดว่าคิดถึงก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่บรรยากาศของบ้านไม่น่าอยู่เอาเสียเลย มีแต่ซากไม้โดนเผากับเศษเฟอร์นิเจอร์ที่ไหม้ไม่หมด นอกจากนั้นยังเหลือชานบันไดกับราวผุๆที่เคยมีอนุสรณ์ของแม่ ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปข้างในโดยมีพี่อู๋เดินตาม

ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่กลางบ้าน ยืนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยนอกจากเก็บภาพความทรงจำเอาไว้ให้เต็มตา ลมหนาวพัดผ่านทำให้ใบไม้ปลิวหล่น ผมรู้สึกไปเองว่าแม่คงมารอผมกลับบ้าน ไม่แน่นะ แม่อาจจะยืนอยู่ข้างหน้า แม่อาจจะกำลังกอดผม หรือไม่ก็ทักทายผมจากที่ไหนซักแห่งในบ้านหลังนี้ก็ได้

“ก้อง”

พี่อู๋เรียก เขาเดินมาโอบไหล่ราวกับรู้ว่าผมไม่ไหว

“รอข้างหลังนะ”

เขาบอกแล้วปล่อยให้ผมใช้เวลาส่วนตัวเพื่อบอกลาแม่ ผมหยิบธูปและจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองออกจากกระเป๋าผ้า ผมจุดธูปหนึ่งดอก ตรงหน้าคือจุดที่เป็นอนุสรณ์ของแม่ ครั้งหนึ่งผมเคยเดินผ่านมัน เคยสัมผัส เคยจ้องมองเพื่อระลึกถึงแม่ที่จากไป แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว ผมต้องบอกลาแม่ตามที่หมอและพี่อู๋แนะนำเสียที

“ไม่ต้องห่วงนะแม่”

ผมพูดลอยๆ ตั้งใจส่งสาส์นถึงแม่ที่อยู่ที่ไหนซักแห่ง

“ผมจะมีความสุข ผมจะดูแลตัวเองดีๆ ถึงเวลาของผมเมื่อไหร่ ผมจะไปหาแม่นะ”

ผมพูดแค่นั้นแล้วเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลอีกพักใหญ่ก่อนจะวางจดหมายลายมือของตัวเองตรงชานบันได ถ้อยคำกล่าวลาของนายก้องเกียรติมีเพียงแค่สองประโยค หนึ่งคือผมรักแม่มากๆ และสองคือคำลงท้ายชื่อตัวเอง

ระหว่างที่กำลังร้องไห้เงียบๆ จู่ๆพี่อู๋ก็เดินมาจุดธูปหนึ่งดอกแล้วเริ่มแนะนำตัว

“ผมชื่ออู๋นะครับ ผมคือคนที่เจอก้องบนสะพาน”

คุณอิศรินทร์พูดหมดว่าตัวเองคือใคร เจอผมได้ยังไง และหลังจากนี้กำลังจะไปไหน ตอนแรกผมคิดว่าเขาแกล้งเพราะเห็นกอริลลาก้องยืนพูดคนเดียว แต่พอเขาเอ่ยคำว่าคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมถึงรู้ว่าเขาไม่ได้หยอกเล่น พี่อู๋กำลังให้สัญญากับแม่ต่างหาก

“แม่ครับ วันนี้ผมจะพาก้องไปอยู่บ้านผมที่ใต้” เขาพูดต่อ ปล่อยให้เด็กกำพร้ายืนเช็ดน้ำตาเงียบๆคนเดียว “หลังจากนี้ก้องเกียรติจะมีคนดูแลต่อ เขาจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแน่นอนครับ ผมสัญญา”

ลมหนาวพัดอีกครั้งเมื่อพี่อู๋พูดจบ คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่าแม่มา แม่น่าจะอยู่แถวนี้และได้ยินคำพูดของเรา ผมจึงยืนยันกับแม่อีกครั้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ ผมสบายดี

“ผมจะทำบุญให้แม่บ่อยๆ” ผมสัญญาอีกข้อ “ถ้าชาติหน้ามีจริง มาเกิดเป็นแม่ของผมอีกนะครับ”

เราปักธูปบนดินแข็งๆหน้าชานบันได จดหมายลายมือถูกวางทับด้วยก้อนหินที่อยู่แถวนั้น ผมมองบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลัง ขึ้นรถพี่อู๋เพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตามที่วางแผนไว้








ผมไม่ได้ถามพี่อู๋ว่าบ้านของเขาอยู่จังหวัดอะไร ไม่สนด้วยว่าเขาจะพาไปไหน ในเมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อขับไปถึงขั้วโลกใต้ก็คงกลับตัวไม่ทัน

ผมเคยนั่งรถไปทัศนศึกษาที่ชลบุรี ยังจำได้ถึงความน่าเบื่อของการนั่งรถนานๆโดยไม่ได้ขยับแขนขา ผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมเดินทางไกลอีกเด็ดขาดเพราะไม่อยากเมารถ แต่สุดท้ายกอริลลาก้องก็อยู่ที่นี่ นั่งบนวีออสสีดำที่วิ่งมานานเกือบสี่ชั่วโมงแล้วโดยไม่จอดแวะที่ไหนเลย

“หิวยังก้อง?”

พี่อู๋ถาม ตามองถนนแต่กลับใช้มือสะกิดนายก้องเกียรติที่นั่งเป็นผักเหี่ยวเบาๆ

“อีกนานไหมอ่ะพี่?”
“ก็ --” คุณอิศรินทร์มองนาฬิกาบนรถ “ใช้ได้แหละ เราเพิ่งถึงเพชรบุรีเอง”

ผมไม่รู้หรอกเพชรบุรีอยู่ไหน ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากเพชรบุรีต้องผ่านจังหวัดอะไร ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่หิวหรอก แค่เมื่อยก้นนิดหน่อย พอรู้ว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งอยากยืดเส้นยืดสาย คุณอิศรินทร์ก็แวะจอดปั๊มน้ำมันใหญ่ที่อยู่ข้างทาง เขาปล่อยให้นายก้องเกียรติไปวิ่งเล่น ไปซื้อขนมในเซเว่น ก่อนจะเรียกขึ้นรถเมื่อเราใช้เวลาพักมากเกินไป

“พี่อยากถึงบ้านก่อนสามทุ่ม” พี่อู๋มุ่งมั่น “ไม่รู้ที่บ้านมีอะไรกินหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ค่อยออกไปกินโรตีเนอะ”
“คนแถวบ้านพี่กินโรตีตอนค่ำเหรอ?”
“ใช่ ทำไม?”
“เขาไม่กลัวอ้วนกันเหรอ?”

คุณอิศรินทร์หัวเราะ เขาบอกว่าจะขุนผมให้อ้วนเป็นหมูแล้วค่อยเชือดทิ้งทีหลัง กอริลลาก้องที่ได้ยินคำขู่จึงตอบสนองด้วยการยักไหล่ ผมบอกพี่อู๋ว่าเขาไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ผมน่ะ -- กินจุมาทั้งชีวิตแต่น้ำหนักขึ้นยากมาก ไม่มีทางกลายเป็นหมูอย่างที่เขาว่าแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงสิบหกนาที พี่อู๋กับผมแวะกินเคเอฟซีในจุดพักรถของปั๊มน้ำมัน พอท้องอิ่มเราก็แยกกันไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ผมเดินตากแอร์ในเซเว่น ส่วนพี่อู๋ยืนเลือกเครื่องดื่มชูกำลังหน้าตู้แช่ ผมถามเขาว่าขับรถจำเป็นต้องกินเอ็มร้อยเลยเหรอ คุณอิศรินทร์บอกว่าถ้าไม่กินซักขวดมีหวังได้ถึงบ้านพรุ่งนี้เช้า

หลังเติมพลังงานและโด๊ปยา พี่อู๋ก็พร้อมพากอริลลาเข้าป่าภาคใต้ ผมจำไม่ได้ว่าวิวข้างทางเป็นยังไงเพราะดูๆไปก็เหมือนกันหมด ต้นไม้ ต้นไม้ ถนนยาวๆ ถนนสี่เลนยาวๆ ถนนสองเลนยาวๆ สี่แยกที่ไฟจราจรเสีย ถนนเป็นหลุมเพราะรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เจอต้นไม้อีกรอบ เจอป้ายลูกนิมิต ป้ายไวนิลโฆษณาคอนเสิร์ตลูกทุ่ง เจอหลักกิโล เจอป้ายแนะนำของฝาก เจอร้านขายที่ปัดน้ำฝนราคาหนึ่งร้อยบาท ผมมองเห็นแค่นี้ วนไปวนมาเหมือนดูหนังเรื่องเดิม

พี่อู๋ขับต่อได้อีกสองชั่วโมงก็เริ่มง่วง ตาปรือเหมือนจะหลับอยู่หลายหน พอเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกเขาว่าพี่จะขับรถทั้งๆที่ง่วงชิบหายไม่ได้ ไม่งั้นพี่จะหลับใน แล้วเราจะตายกันหมดเพราะรถคว่ำ

“ฝีมือระดับพี่ ไม่มีคำว่าหลับใน”
“ขี้โม้เถอะ ผมเคยเห็นพี่หลับตอนรอไฟแดงที่แยกรัชดาด้วย”
“แยกนั้นไม่หลับก็บ้าแล้ว ติดตั้งสองชั่วโมง”

ผมพยายามหาวิธีให้ผู้ปกครองหายง่วงซึ่งดูเหมือนจะมีวิธีเดียวคือการชวนคุย พอคุยไปซักพักก็หลับกลางอากาศ แต่เป็นผมนะที่หลับ ส่วนพี่อู๋ต้องขับรถคนเดียวโดยไม่ต้องมีกอริลลาอยู่เป็นเพื่อนนานเกือบชั่วโมง ผมหลับๆตื่นๆ เดี๋ยวรู้เรื่องไม่รู้เรื่องจนบ่ายสาม ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าวิวข้างทางเปลี่ยนไปแล้ว จากถนนหนทางกลายเป็นภูเขา ภูเขาลูกใหญ่ ภูเขาที่มีศาลเจ้ากับรูปปั้นช่าง และร้ายขายของฝากวางเรียงรายเต็มไปหมด

“กินกล้วยอบไหมก้อง? อร่อยนะ”

พี่อู๋หันถามเมื่อเห็นกอริลลาก้องใช้หลังมือเช็ดน้ำลายบูด ผมที่กำลังอึนๆจึงพยักหน้าเออออโดยไม่รู้อะไร คุณอิศรินทร์แวะจอดร้านขายของฝากร้านหนึ่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าทุกร้านที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้ล้วนขายของเหมือนกันหมด นั้นก็คือกล้วย และขนมแปรรูปจากกล้วย

กล้วย กล้วย กล้วยเต็มไปหมด กล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กล้วยฉาบ กล้วยชุบแป้งทอด กล้วยเชื่อม กล้วยเคลือบช็อกโกแลต กล้วยกวน กล้วย กล้วย

ผมยืนข้างพี่อู๋ที่เหมากล้วยเล็บมือนางอบตั้งห้าร้อยบาท เขาวางของฝากทั้งหมดไว้เบาะหลังและแกะให้ชิมหนึ่งกล่อง ลองดู เขาว่า ผมจึงหยิบขึ้นมากัดคำเล็กๆ รสชาติไม่เหมือนกล้วยอบแข็งๆที่วางขายในห้างเลย กล้วยของพี่อู๋อร่อยกว่าตั้งเยอะ ทั้งสด ทั้งแน่น ทั้งหวานน้ำผึ้ง ไม่ใช่หวานน้ำตาลเหมือนที่เคยกิน

“อีกนานไหมครับกว่าจะถึงบ้านพี่?”
“ก็ใช้ได้”
“ใช้ได้ของพี่คือกี่ชั่วโมง?”
“หก”

ผมจะร้องไห้ นี่ผมต้องนั่งๆนอนๆกินๆบนวีออสอีกตั้งหกชั่วโมงเลยเหรอ

“ผ่านชุมพรก็สุราษฎร์ ใกล้แล้วแหละ ไม่นานหรอก”

ผมพยักหน้าเข้าใจแต่จริงๆไม่อยากเข้าใจ กว่าจะถึงสุราษฎร์ ลำไส้ของผมคงขดพันรวมกันเป็นก้อนไหมพรมแล้วมั้ง แต่ทำไงได้ในเมื่อพี่อู๋ให้ตัวเลือกแค่สองทาง หนึ่งคืออยู่กับเขา หรือสองคือแยกกันทางใครทางมัน นายก้องเกียรติที่ไม่เหลือครอบครัวให้คำตอบคุณอิศรินทร์ได้ในทันที

“ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร -- ผมอยากไปกับพี่”

ตอนแรกผมกังวลว่าพี่อู๋จะเซ็งที่พลาดโอกาสสลัดกอริลลาก้องทิ้ง ที่ไหนได้ เขากลับยิ้มกว้างและให้สัญญาต่างๆนานาว่าจะพาไปกินของอร่อยๆ พาไปเที่ยวที่สวยๆ พาไปใช้ชีวิตแบบคนต่างจังหวัด พาไปสอยมะพร้าว ไปเก็บมังคุด ไปนั่นไปนี่ พี่อู๋วางแผนเยอะจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจชัดๆ คุณอิศรินทร์ไม่โน้มน้าวให้ตัวถ่วงอย่างผมอยู่กรุงเทพต่อเลย ไม่พูดด้วยซ้ำว่าผมควรรอสอบโอเน็ตปีถัดไปหรือติดต่อหาลุงชัยให้รับช่วงดูแลต่อ เขาแค่เก็บกระเป๋า เก็บเสื้อผ้า พากอริลลาก้องขึ้นรถ ง่ายๆเหมือนเก็บลูกหมาจรจัดมาเลี้ยง อยากได้ก็แค่หิ้วกลับบ้าน จบ แฮปปี้กันทั้งคนทั้งหมา ทั้งผู้ปกครองและกอริลลาต่างมีความสุขกับการย้ายที่อยู่ทั้งคู่

“พี่อู๋ ผมถามจริงๆเถอะนะ” ผมเกริ่นเมื่อกินกล้วยหมดไปสองชิ้น “พี่อยากให้ผมไปบ้านพี่จริงๆเหรอ?”
“ถ้าไม่จริงจะขับมาถึงชุมพรไหม?” เขาตอบกวนๆ
“ทำไมพี่ไม่บอกให้ผมอยู่กรุงเทพซักคำ ทั้งๆที่พี่มีโอกาสทิ้งผมแล้ว”
“ก้องจะอยู่กรุงเทพกับใคร? ลุงชัยเหรอ?”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
“คิดว่าพี่จะยอมปล่อยเราไปอยู่ใกล้พวกเด็กส่งยาเหรอ?” พี่อู๋ยกมือขึ้น ตั้งท่าเตรียมเขกหัวกอริลลาก้องแต่ไม่ได้ทำ “บางทีต่างจังหวัดน่าจะดีกว่านะ ชีวิตสโลว์ไลฟ์อาจเข้ากับเราสองคนก็ได้”

คุณอิศรินทร์ดูมั่นอกมั่นใจในขณะที่นายก้องเกียรติเริ่มคิดหนัก การเดินทางครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่ย้ายไปอยู่ลาดพร้าวกับเขา ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้ากลับบ้านจริงๆของพี่อู๋ บ้านที่ไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่มีคุณพ่อคุณแม่และญาติของเขาอาศัยอยู่ด้วย

“พี่จะบอกครอบครัวพี่ยังไงถ้าเขาถามว่าผมเป็นใคร?”
“ไม่บอก”
“ได้เหรอ?”
“ได้สิ” พี่อู๋ยักไหล่ “พี่อายุสามสิบกว่าแล้วนะก้อง พี่ไม่ใช่เด็กที่ต้องบอกพ่อแม่ทุกครั้งเวลาพาใครกลับบ้าน”
“พี่พูดเหมือนเมื่อก่อนพาสาวเข้าบ้านบ่อย”
“บ่อยอะไรล่ะ มีแค่ไอ้ตั้มกับหมูพีมั้งที่เคยมา”

แล้วบทสนทนาก็เงียบเมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกกล่าวถึง ผมเข้าใจว่าคงมีแต่คนที่สนิทด้วยมากๆเท่านั้นถึงมีโอกาสเที่ยวบ้านของเขา หนึ่งคือพี่ตั้ม เพื่อนเป็นเพื่อนตาย เพื่อนรักที่เก็บศพพี่อู๋จากข้าวสารมาส่งลาดพร้าว สองคือคุณหมูพีที่เพิ่งเลิกไปไม่นาน และสาม --

นายก้องเกียรติ

ก้องเกียรติเนี่ยนะ? กอริลลาก้องที่เอาแต่ผลาญเงินของพี่อู๋เนี่ยนะ?
คุณอิศรินทร์คิดอะไรอยู่ ผมไม่เข้าใจเขาเลย

ผมกำจัดความกังวลด้วยกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กินไปดูดนิ้วจุ๊บจั๊บเสียงดังจนพี่อู๋หันมอง ผมเครียดจริงๆนะ เครียดมากว่าจะบอกครอบครัวของเขายังไง พ่อแม่พี่อู๋จะว่าไหมถ้าจู่ๆมีตัวแถมไปอาศัยอยู่ในบ้าน เขาจะยอมให้ผมอยู่ด้วยไหม จะต้อนรับผมเหมือนคุณหมูพีหรือเปล่า ยิ่งคิดก็รู้สึกแย่ พอรู้สึกแย่ก็เริ่มหยิบขนมใส่ปาก พี่อู๋คงเห็นอาการประหลาดๆของกอริลลาก้องจึงเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยและให้สัญญาว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม ผมและเขา -- เราจะใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม

“ถ้ามันไม่โอเคล่ะ?”
“ก็กลับลาดพร้าว” พี่อู๋ยักไหล่
“ถ้าเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นพี่จะหลอกผมว่านี่คือตั๋วเที่ยวเดียวทำไม?”
“จริงๆไม่ได้อยากกลับ แต่พี่มีเรื่องต้องทำ”
“งั้นทิ้งผมไว้ที่ลาดพร้าวก็ได้ ไม่เห็นต้องพาลงมาด้วยเลย”
“ถ้าพี่กลับไปไม่เจอก้อง ใครจะรับผิดชอบ?”
“ทำไมจะไม่เจอ?” ผมเถียง “หรือต่อให้ผมหายไปจริงๆก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พี่ไม่ต้องสนใจหรอก”

พี่อู๋เงียบ เขาไม่พูดอะไรอีกนอกจากขับออกจากปั๊มน้ำมันและมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตอนบน

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4

บรรยากาศอึดอัดเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองวิวข้างทางและฟังเพลงเรื่อยเปื่อย พี่อู๋ไม่คุยกับผมเลย เขาขับรถอย่างเดียว ตามองถนนเขม็ง ไม่คอยเหลือบมองเด็กเอาแต่ใจเป็นระยะๆเหมือนเมื่อก่อน พอรู้ตัวว่าโดนโกรธก็รู้สึกแย่ ผมเสียใจนะที่ทำให้พี่อู๋โมโห แต่เขาควรรู้ว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือความจริง ถึงเวลาเมื่อไหร่ผมคงต้องไป พี่อู๋ก็รู้ เขารู้ดีว่าเราไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันตลอดหรอก ผมอยากให้เขายอมรับได้ว่าถ้าผมอยากไปจริงๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย พี่อู๋ทำดีที่สุดแล้ว ดีกว่าใครในโลกที่เคยเมตตานายก้องเกียรติแล้ว

ผมหลับๆตื่นๆ นั่งสัปปะหงกสลับกับตื่นมาดูสีท้องฟ้าเป็นระยะๆ จากสีส้มแสบตาของตอนบ่ายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง เป็นสีชมพู เริ่มมืดเหมือนมีเมฆครึ้ม ก่อนจะเข้ากลางคืนอย่างสมบูรณ์ ผมไม่ได้คุยกับพี่อู๋ก็เลยไม่รู้ว่าเราถึงไหน แต่ลืมตาอีกทีรถก็วิ่งผ่านป้ายทางหลวงที่เขียนว่า

ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดน --

ผมอ่านทันแค่นั้นแหละเพราะพี่อู๋ตีนผีมาก เขาขับเลนซ้ายบ้างขวาบ้างเพื่อแซงรถข้างหน้า จริงอยู่ที่ผู้ปกครองของผมเป็นคนใจเย็น แต่คนใจเย็นนี่แหละน่ากลัวที่สุด เวลาเขาโมโห เขาจะหาทางระบายออกด้วยวิธีน่าหวาดเสียวเช่นขับรถเหี้ยเป็นต้น

“อย่าขับเร็วสิครับ”

ผมง้อเขาด้วยการชวนคุย แต่พี่อู๋ไม่สนใจ เขาจ้องถนนเขม็งและเร่งความเร็วขึ้นอีกจนผมตัวปลิวติดเบาะรถ

“พี่อู๋!”
“อะไร?”
“ผมบอกว่าอย่าขับเร็วไง!” ผมโวยวาย “พี่ขับรถแบบนี้รู้ไหมมันอันตรายนะ!”
“ก้องจะให้พี่ทนต่อไปเหรอ?”

นั่นไง -- ละครฉากแรกมาแล้ว

“พี่ก็รู้ว่าผมปากเสีย พี่จะเก็บคำพูดผมมาคิดให้รกสมองทำไม?”
“มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของพี่ ไม่เกี่ยวกับก้องหรอก”
“พี่อย่าประชดสิ”
“ไม่ได้ประชด” พี่อู๋ปาดเข้าเลนซ้ายอย่างรวดเร็ว “แม่งเอ๊ย --”
“พี่ใจเย็นๆดิ! ผมรู้ว่าพี่โกรธ รู้ว่าพี่โมโหที่ผมพูดแบบนั้น แต่ผมแค่อยาก --”

คุณอิศรินทร์ไม่ฟังนายก้องเกียรติพูดจบประโยค เขาเลี้ยวซ้ายเข้าปั๊มน้ำมันก่อนจะจอดรถเหมือนคนรีบร้อน แน่นอนว่ากอริลลาที่เคยปากเก่งไม่กล้าพูดมาก ผมนั่งตัวแข็งทื่อ ตาเหลือบมองผู้ปกครองอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เขากลับลงจากรถแล้ววิ่งพุ่งเข้าห้องน้ำชาย สับเท้ายิ่งกว่านักฟุตบอลในรายการกีฬาที่เคยดูด้วยกัน ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าใจว่าเขาไม่ได้โกรธหรอก

พี่อู๋ก็แค่ปวดอึเท่านั้นเอง










“สบายไหมครับ?”
“อือ สุดๆ”

พี่อู๋ตอบหน้าระรื่นหลังทำธุระเสร็จ เขาทำเหมือนก่อนหน้าเราไม่ได้ทะเลาะ ทำเหมือนเรื่องที่คุยบนรถไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงแกล้งลืมมันไปแล้วชวนเขาเข้าเซเว่นเพื่อหาขนมกินรองท้อง พอเห็นผู้ปกครองกลับมาอารมณ์ดีก็เริ่มรู้สึกหมั่นไส้ ทำเป็นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาตั้งนาน ที่แท้ก็แค่ปวดห้องน้ำ ถ้าปวดมากขนาดนั้นบอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องตีนผีให้ตกใจเลย

“สามทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังไม่ถึงบ้านพี่ซักที”
“เอาน่า อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”

พี่อู๋หยิบกระเป๋าเงินจ่ายค่าขนม ผมยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าการเดินทางอันยาวนานโคตรๆของเรากำลังจะจบลง ซักพักกอริลลาก้องก็เริ่มนึกสงสัยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ในเมื่อผู้ปกครองของมันบอกว่าใกล้แล้ว แต่มันกลับไม่รู้เลย

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที พี่อู๋ขับรถออกจากปั๊มน้ำมันโดยมีขนมจีบกุ้งยัดอยู่เต็มปาก เราผ่านเทสโก้โลตัส ผ่านมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผ่านถนนคดโค้งยิ่งกว่าเครื่องเล่นในสวนสนุก หลังจากนั้นก็วิ่งต่อยาวๆบนถนนสี่เลนจนถึงสี่แยกที่เขียนป้ายว่าบางปู พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวขวา ขับเข้าสู่ถนนใหญ่ที่ไม่มีไฟข้างทางเลย

“ทำไมมันมืดจัง?”

ผมสงสัย พี่อู๋บอกว่าต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ ทางที่เราวิ่งคือเส้นอ้อมเมือง ถนนหนทางมืดจนต้องเปิดไฟสูงเพราะมองอะไรแทบไม่เห็น แต่พอเข้าเขตสนามบินถึงจะเริ่มมีไฟข้างทางให้พอเห็นลางๆ แล้วก็หายไปอีกสิบกว่ากิโล แล้วก็กลับมาใหม่เมื่อเข้าใกล้เขตอำเภอเมืองมากขึ้น

“นี่โรงเรียนเก่าพี่”
“ไหนครับ?”
“ทางซ้ายมือ” พี่อู๋ชี้ให้ดู “พี่จบจากโรงเรียนนี้แหละ”
“อ๋อ --” ผมลากเสียง “เมื่อไหร่จะถึงซักทีครับ?”
“ใกล้แล้วก้อง” พี่อู๋ตอบ “เวลคั่มทูประเทศคอน”

คุณอิศรินทร์หัวเราะหึหึในขณะที่นายก้องเกียรติได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น รถของเราเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกอีกหนก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วเมื่อขับผ่านห้างแม็คโคร ผมว่าเราใกล้ถึงบ้านแล้วเพราะพี่อู๋แตะเบรคนานขึ้น ในที่สุดวีออสจากประเทศลาดพร้าวก็จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ติดถนน บ้านรูปร่างประหลาดขัดกับหลังอื่นๆที่ตั้งอยู่รอบข้าง มันคือบ้านสี่เหลี่ยมเหมือนตึกแถวให้เช่า แต่ไม่ใช่บ้านเช่า นี่คือบ้านของพี่อู๋จริงๆ

“บ้านพี่ใหญ่จัง”

ผมชมเมื่อเห็นบ้านของผู้ปกครอง บ้านพี่อู๋ไม่ได้มุงกระเบื้องหลังคาด้วยซ้ำ มันเป็นตึกสี่เหลี่ยมสูงสี่ชั้น ภายนอกทาสีขาวเกลี้ยงไม่มีสีอื่นแต่งแต้ม รั้วบ้านทำจากอะลูมิเนียมอย่างดี มันแข็งแรงทนทานและออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะเพราะผมมองอะไรไม่เห็นเลย

“รอในรถนะ เดี๋ยวพี่เปิดประตูก่อน”

พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงไปไขกุญแจแล้วเข็นประตูจนสุดทาง หลังจากนั้นวีออสก็เข้าสู่รั้วบ้านซึ่งมีรถจอดอยู่หลายคัน พอเห็นจำนวนรถที่จอดใต้ชายคาผมก็เริ่มกังวล สมาชิกบ้านพี่อู๋ต้องมีหลายคนแน่ๆ ไม่งั้นพวกเขาจะมีรถสามสี่คันจอดอยู่ในบ้านหลังเดียวเพื่ออะไร

“ไป ไปอาบน้ำกินข้าว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงช่วยพี่อู๋ขนสัมภาระลงจากรถ ไม่ว่าเขาไปไหนผมก็ไปด้วย กอริลลาก้องเดินตามผู้ปกครองติดๆไม่ยอมทิ้งระยะห่างจนถึงประตูข้างบ้าน พี่อู๋เปิดไฟห้องครัว ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าห้องครัวอยู่ใกล้ลานจอดรถขนาดนี้

“ห้องพี่อยู่ชั้นสามเลย ขึ้นบันไดเหนื่อยหน่อย แต่รับรองว่าส่วนตัวสุดๆ”

ผมพยักหน้าและช่วยขนของจนถึงห้องนอนของผู้ปกครอง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆสีขาวสะอาดกับเตียงไม้สีน้ำตาลเตี้ยๆวางชิดติดผนัง พี่อู๋ถามว่าอยากนอนข้างในหรือข้างนอก ผมตอบว่ายังไงก็ได้ เขาจึงให้นอนด้านในด้วยเหตุผลที่ว่าเผื่อปวดฉี่ตอนกลางคืน จะได้ไม่ต้องปีนข้ามตัวนายก้องเกียรติเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

“พ่อกับแม่ของพี่ล่ะ?”
“นอนแล้วมั้ง” พี่อู๋ตอบแบบไม่ใส่ใจ
“ผมควรไปสวัสดีพ่อกับแม่ของพี่ก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยคนแก่นอนเถอะ ไปกวนกลางดึกแบบนี้เดี๋ยวก็ความดันขึ้นยกบ้าน”

คุณอิศรินทร์พูดติดตลกก่อนจะชวนผมไปหาอะไรกินในครัว ตอนแรกเขาจะไปร้านโรตี ตามที่พูดนั่นแหละ แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นผมอ้าปากหาว ทำหน้าง่วงพร้อมหลับตลอดเวลา พี่อู๋บอกว่าแม่น่าจะเตรียมข้าวเอาไว้ให้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร คงไม่พ้นข้าวแกง

“อ้าว โจ๊กว่ะ”

พี่อู๋เปิดฝาชีแล้วหยิบโจ๊กออกมา สงสัยคุณแม่ของเขาคงจะรู้ว่าลูกชายไม่ได้กลับบ้านคนเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้สองถุง

“พี่บอกแม่เหรอว่าผมจะมา?”
“บอก”
“พี่หลอกผมเหรอ?”
“เปล่า พี่บอกแค่ว่าจะพาคนมาด้วย”
“แค่นั้น?”

ผมขมวดคิ้ว พี่อู๋พยักหน้าพลางแกะโจ๊กใส่ชาม

“รีบกินเถอะเราอ่ะ เดี๋ยวต้องกินยาแล้วนอนอีก”

ผมทำตามคำสั่งผู้ปกครอง เรานั่งกินโจ๊กกันเงียบๆในห้องครัว เป็นบรรยากาศอึดอัดพิลึกเพราะต้องทำเหมือนไม่มีตัวตนเพื่อไม่ให้รบกวนคนในบ้าน แหงสิผมยังไม่ได้เจอพวกเขาเลย ไม่ได้สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้แนะนำตัวกับครอบครัวเขา คืนทำเสียงดังกระโตกกระตาก ความประทับใจแรกพบคงเหลือศูนย์ โดนแม่พี่อู๋เตะไปนอนในสวนยางแน่ๆ ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันหรอก

“อ้าว -- อู๋”

เสียงผู้หญิงทำผมตกใจจนช้อนหล่นกระทบถ้วยดังเคร้ง ผมรีบลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้คุณแม่พี่อู๋ในชุดนอนเหลืองสด แกก็รับไหว้แบบงงๆก่อนจะมองหน้าลูกชายตัวดีที่นั่งขัดสมาธิกินโจ๊กบนเก้าอี้เพื่อรอฟังคำอธิบาย

“แม่หวัดดีครับ”

พี่อู๋ยกมือไหว้แล้วกินต่อ เขาใช้นิ้วชี้สั่งให้นายก้องเกียรตินั่งลงเพราะตอนนี้ผมดูโคตรเด๋อในสายตาของผู้ใหญ่

“คนนี้ไง ที่บอกว่าจะพามาอ่ะ”
“อ๋อ” แม่พี่อู๋ยิ้มแล้วถามกอริลลาพลัดถิ่น “ดูเด็กจัง อายุเท่าไหร่เหรอเราน่ะ?”
“สิบแปดครับ”
“คุกนะไอ้อู๋”

พี่อู๋สำลักข้าวต้ม ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องคุกมาอยู่ในบทสนทนาได้ยังไง

“ป๊าอ่ะ นอนแล้วเหรอ?”
“อืม” คุณแม่เปลี่ยนเรื่อง “เราล่ะชื่ออะไร?”
“ก้องครับ ก้องเกียรติ”

ผมยิ้มแหะๆพร้อมกับทำหน้าใสซื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดูไว้ก่อน น่าแปลกที่การซักประวัติอย่างเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่อยู่ไหน ทำงานอะไร นึกยังไงถึงตามลูกชายคนอื่นมาถึงใต้กลับไม่อยู่ในคำถามชวนคุยเลย ส่วนใหญ่พวกเราจะนั่งเงียบเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด พี่อู๋กินโจ๊กจนหมด ส่วนผมกินแค่ครึ่งเดียว พอกินเสร็จคุณแม่ก็มองหน้าพี่อู๋แล้วถอนหายใจ แกบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอะไร

“เจ๊ออมอ่ะ พูดอะไรหรือเปล่า?”
“ก็พูดเหมือนอู๋นั่นแหละ”
“แล้วแม่โอเคไหม?”

คุณแม่ไม่ตอบ เธอเสหน้ามองทางอื่นราวกับหนักใจก่อนจะเดินตบไหล่พี่อู๋แล้วเดินขึ้นห้อง ก่อนไปเธอบอกกอริลลาก้องว่าทำตัวตามสบายเลยนะ ถ้าขาดเหลืออะไรแต่ไม่กล้าบอกแก ก็ให้บอกพี่อู๋ เดี๋ยวพี่อู๋คงแจ้นมาบอกเอง

“ล้างจานด้วยอู๋”
“ครับ”

จบ บทสนทนาของแม่ลูกตัดฉับ ผมอาสาล้างจานให้คุณอิศรินทร์แล้วเดินกลับห้องที่ชั้นสาม บ้านของพี่อู๋เหมือนฐานทัพลับในหนังที่เคยดู ทุกอย่างดูแปลกตาและมีปริศนามากมายเต็มไปหมด น่าเสียดายที่ผู้ปกครองของผมไม่ได้พาทัวร์ เขาตรงดิ่งไปชั้นสาม ปิดไฟตรงหัวบันไดก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง

“ห้องน้ำอยู่ชั้นสองนะก้อง ชั้นสามอาบไม่ได้ ปั๊มน้ำไม่ขึ้น”
“ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอครับ?”

กอริลลาก้องหยิบผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืน มันถือแปรงสีฟันและสบู่เอาไว้ในมือ เตรียมพร้อมทำความสะอาดตัวเอง

“มาสิ เดี๋ยวพี่พาไป”

คุณอิศรินทร์เดินนำไปที่ชั้นสอง แน่นอนว่าบ้านทั้งหลังเปิดไฟแค่บางบริเวณเท่านั้น และดวงที่เปิดอยู่มีแค่ดวงเดียวคือไฟหน้าห้องน้ำ นอกนั้นดับสนิทจนมองเห็นลางๆว่าชั้นสองมีห้องขนาดใหญ่อีกสี่ห้อง ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นห้องนอนของครอบครัวเขาเพราะบริเวณรอบๆดูโล่งผิดจากชั้นสามที่มีข้าวของเด็กผู้ชายเต็มไปหมด

“อาบน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนเสื้อห้องนี้นะ” พี่อู๋ชี้ไปที่ห้องริมสุดทางขวามือ “เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ชอบตัวไหนก็หยิบมาใส่เลย บ้านนี้ใส่เสื้อปนกันทุกคน”
“พี่รอผมหน้าห้องน้ำได้ไหม?” ผมขอ
“กลัวผีเหรอ?”
“เปล๊า --”
พี่อู๋ยิ้มมุมปาก “อ่ะ รอก็รอ ไปอาบน้ำสิ พี่จะได้อาบต่อ”

ผมปิดประตูห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าของวันนี้ออกแล้วรีบเปิดฝักบัว ล้างหน้าถูตัวและแปรงฟันเร็วยิ่งกว่าความไวของแสงที่เดินทางมาถึงโลก ผมถูสบู่จนเกลี้ยงเพราะกลัวทำเตียงพี่อู๋เหม็น ถูตั้งแต่หน้าถึงข้อเท้า ล้างแล้วล้างอีก ขยี้ๆให้ขี้ไคลหลุดจนมั่นใจว่าสะอาดถึงออกจากห้องน้ำ แต่พอออกมา พี่อู๋ก็ไม่อยู่แล้ว

ไอ้พี่อู๋ -- จำไว้เลยนะ

ผมกัดฟันกรอดขณะเปิดประตูเข้าห้องแต่งตัว ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆที่มีตู้เสื้อผ้าวางเต็มผนังทั้งสามด้าน อีกด้านมีราวแขวนเสื้อที่ดูแล้วน่าจะเป็นชุดนอน ผมล็อคประตู เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งแล้วเลือกเสื้อสีขาวกับกางเกงผ้ายืดมาใส่ พอมองตัวเองในกระจกผมก็เริ่มเอะใจว่านี่คงไม่ใช่เสื้อผ้าพี่อู๋หรอก น่าจะเป็นของเอม เพราะไซส์เล็กกว่าและสไตล์วัยรุ่นเกินกว่าคุณลุงวัยสามสิบสองจะเลือกใส่

ปิ๊บ!

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงปิ๊บเบาๆจากที่ไหนซักแห่ง ห้องเก็บเสื้อผ้าไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นเลยนอกจากพัดลมกับหลอดไฟ จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเสียงเล็กแหลมนั่นจะอยู่ในห้องนี้

ปิ๊บ!

มันดังอีก คราวนี้ผมเริ่มระแวง รู้สึกเหมือนเสียงอยู่ใกล้มากแต่ไม่รู้มาจากไหน ผมเดินตามหาต้นตอของเสียงจากทุกที่ ทั้งมุมนั้นมุมนี้ เดินเอาหูแนบบานประตูตู้เสื้อผ้าจนกระทั่งมั่นใจว่ามันดังจากผนังทางซ้ายซึ่งติดกับห้องใหญ่ที่อยู่ถัดไป

ปิ๊บ! ปิ๊บ!

ผมปิดไฟในห้องแต่งตัวก่อนจะค่อยๆย่องออกมา พอไม่มีรถวิ่งผ่านหน้าบ้าน เสียงปิ๊บ!ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งชัดมากขึ้นเมื่อลองเอาหูแนบบานประตูห้องนั้น

คงมีใครลืมปิดสวิตช์อะไรซักอย่าง

ผมเดา เพราะเสียงปิ๊บ!นั้นเหมือนเสียงเตือนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า จริงๆจะไม่ยุ่งก็ได้ แต่พอคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ ไฟอาจลัดวงจรทำให้บ้านพี่อู๋ไหม้เหมือนบ้านตัวเองผมก็เปิดประตูเข้าไป ห้องนี้ไม่ได้ล็อก แอร์เย็นฉ่ำ ทุกอย่างมืดสนิทจนกระทั่งผมเดินเข้าไปซักพักถึงรู้ว่าเสียงปิ๊บ!มาจากไหน

มาจากมอนิเตอร์เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ

มีชายชราคนหนึ่งนอนบนเตียงผู้ป่วย สายระโยงระยางเชื่อมต่อตัวเขากับอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มไปหมด เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงร้องปิ๊บ ปิ๊บเป็นจังหวะ กอริลลาก้องได้แต่ยืนชะงักอยู่กับที่ รู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองทำเกินไป นี่คือบ้านของพี่อู๋ คือที่ส่วนตัวของครอบครัวเขาไม่ใช่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด ผมไม่สมควรเปิดประตูบานนี้เข้ามาด้วยซ้ำ แต่พอนึกถึงสภาพชายชราที่นอนเป็นผัก ผมก็ก้าวขาไม่ออก ใจหนึ่งอยากรู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร อีกใจก็คิดว่ามันจะดูเสือกเกินไปหรือเปล่า ผมที่ไม่รู้จะไปไหนตัดสินใจกลับไปหาผู้ปกครอง จังหวะกำลังหมุนตัวเตรียมหนี หญิงชราคนหนึ่งก็ยืนขวางบานประตู เธอดูตกใจไม่แพ้นายก้องเกียรติเพียงแค่มีสติมากพอจะถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจว่า

“เธอเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านของฉัน!”










ตอนนี้ก็จะอ่านยากนิดหน่อย อัปจากไอแพดfดยกhอปจากไดรฟ์อีกที
คืนนี้น่าจะไม่ได้กลั[gร็ว ขvดทษพี่จ๋าทุกคนด้วยนะคะ
เดี๋ยวมาแก้ใหม่ให้พรุ่งนี้ค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกกดดันแปลกๆ คนที่นอนคือคุณพ่อหรอ หรือคุณปู่ของพี่อู๋ :katai4:

ออฟไลน์ Dyckia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“เวลคั่มทูประเทศคอน” 55 บรรยายเห็นภาพมาก รู้เลยพี่อู๋จบจากโรงเรียนไหน

ออฟไลน์ ลิงภูเขา

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-4
คนเขียนโหดมาก เอาความดราม่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้พี่อู๋โดนด่ากลับไปเลยนะ !

ไอ้เราหรือก็หลงโมโหอิพี่อู๋ ที่ไหนได้ น้องก้องขาดยา  :m20:

ทำไมรู้สึกตื่นเต้นกับการกลับมาบ้านของพี่อู๋มากเลย แต่ดูคุณแม่ก็ท่าทางใจดีนะ น่าจะเอ็นดูน้องอยู่  :m1:

รอตอนต่อไปนะฮับ
(มเน้รวบหลายตอนก็จะงงๆ หน่อย หมายถึงคนอ่านนี่แหละ  :m23:)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
ตอนนี้ครบรสมากกกกกก อ่านในมุมความคิดก้องแล้วจะทำตัวไม่ถูกตามก้องทุกทีเลย
ชอบตอนคุณแม่บอกว่า คุกนะอู๋ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คุกๆๆๆๆๆลอยมาแต่ไกลเลยค่ะ 555555  :z1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด