มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3  (อ่าน 18411 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧


‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧

veritas omnia vincit

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2020 18:47:42 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
มิอาจก้าวล่วง


** For explicit (updated) version please visit https://bit.ly/340sIcE **

 
บทหนึ่ง


   ตราชูเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม

   "แต่ถ้าคนอ่านค่าเอียงก็จบ"

   เดือนตุลาฟังคำเปรียบเปรยเพียงผ่าน มองเอกสารข้อร้องเรียนประจำวันในมือต่อไปโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงบ่นเลื่อนลอย ก็ถ้าให้เทียบแล้วของในมือเขามีความสำคัญมากกว่าตั้งเยอะ

   "งามหน้า นี่หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยติดต่อพี่มาสองรอบแล้ว"

   "แล้วทำไมไม่ให้สัมภาษณ์ล่ะครับ"

   "ไม่ใช่หน้าที่ไหม พี่เป็นแค่รักษาการประธาน"

   "แต่คนสร้างเรื่องคือประธานนี่ครับ" มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยยามนึกถึงบุคคลที่สาม ผู้ชายแสนโง่เขลาที่ไม่สามารถควบคุมอำนาจให้อยู่ในการดูแลได้ "...อ้อ เป็นอดีตไปแล้ว"

   กระดาษเอสี่ในมือถูกสลับเปลี่ยนรวดเร็วตามความเคยชิน ข้อเรียกร้องแผ่นล่างสุดเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทระหว่างกลุ่มกิจกรรมสองกลุ่มที่มีจุดประสงค์และวิธีดำเนินการที่คล้ายคลึงกัน ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องด่วนเสียด้วย อย่างนี้เขาก็ต้องเรียกประชุมวาระพิเศษอีกแล้วสินะ พวกสายวิทย์จะต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้งแน่

   หยิบตราปั๊มขึ้นมาประทับคำว่าด่วนลงไปแล้วแยกเอาไว้ต่างหาก เช็กเอกสารทั้งหมดในมืออีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

   "ไม่ค่อยออกอาการเลยนะน้องตุล"

   คนเป็นน้องยกไหล่ขึ้น "ผมไม่โอเคกับพี่ต้นหลิวมาตั้งแต่แรกแล้วครับ"

   "ปีหนึ่ง?"

   "เอาให้ชัดก็คือตั้งแต่ปีหนึ่งรอบแรก" เล่าสบายๆ ตามประสาคนคุ้นเคยกันมานาน ตุลเดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวทางซ้ายของรุ่นพี่ปีสี่อย่างมัจฉ์

   "ชัดเจนเว่อร์"

   "แล้วนี่ไม่ต้องอ่านหนังสือเหรอครับเลยมาวุ่นวายที่นี่ได้"

   ปรายตามองคนที่ควรจะหมกตัวอยู่กับกองหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รักษาการประธานของตุลาการนักศึกษาสะดุ้งโหยงให้กับคำพูดเชือดเฉือนไม่มีไว้หน้า แม้ว่าจะได้ยินมานานแต่ก็บอกเลยว่าคงไม่สามารถทำใจยิ้มรับให้กับน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นนั้นได้

   "ก็เรื่องนี้มันน่าเครียดกว่า พี่ก็กังวลไง"

   "แต่องค์คณะคนอื่นเขาไม่มีใครสนใจเลยนะครับ"

   "ก็ว่าไปนั่น ลงทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งโซเชียลเบอร์นั้นใครจะไม่รู้" จังหวะพูดถึงหนังสือพิมพ์ก็ปัดกองกระดาษเปื้อนหมึกที่ถูกทิ้งเอาไว้บนเบาะไปบนพื้น ตัวอักษรขนาดใหญ่ทำตัวหนาอ่านได้ใจความว่าเป็นเรื่องน่าอัปยศที่องค์การเกี่ยวกับความยุติธรรมกลับถูกแฉในประเด็นความเท่าเทียมและไม่เลือกข้าง "ต้นหลิวมันเป็นยังไงบ้างอะตอนนี้"

   "ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ตัวเองทำครับ"

   ที่น่าอับอายกว่าสิ่งใดคือบุคคลกระทำผิดคือ 'ประธาน' สูงสุดบนบัลลังก์

   "แค่โดนปลดกลางอากาศก็โหดแล้ว พี่สงสารจัง"

   "เอาตามความรู้สึกผมแล้วพี่ไม่ได้สงสารเหมือนอย่างที่ปากบอกเลยนะครับ"

   ด้วยความที่อยู่กันมานานพอสมควรจนเรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจ ยิ่งเป็นประเภทที่มีศัตรูคนเดียวกันแล้วยิ่งเข้ากันได้ดีขึ้นไปอีก ต้นหลิวที่พวกเขากำลังพูดถึงคืออดีตประธานตุลาการนักศึกษาที่เพิ่งมีข่าวฉาวเกี่ยวกับคำตัดสินในคดีพิพาทด้วยอคติ โดยมีหลักฐานเป็นแชตตอบโต้ระหว่างตนเองกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง ยังไม่รวมกับที่ลือกันว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับทางสภานักศึกษาเพื่อให้มีการออกกฎที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดอีก

   "สงสารที่อนาคตดับแน่ แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยสังคมเราก็ไม่ต้องมีคนตรรกะพังๆ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งไง"

   "แล้วยังกล้ามาบอกว่าผมไม่ค่อยเก็บอาการ"

   "เนี่ย ปากร้ายอย่างนี้ไงคนอื่นถึงมองว่าเราน่ากลัว"

   "อยู่มานานก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเองหน่อยสิครับ" องค์การที่มีสมาชิกอยู่ในองค์กรแค่เก้าชีวิต แต่คนเกลียดหลายเท่าตัวนัก "พี่มัจเป็นคนสอนผมเอง"

   ถ้าเทียบจำนวนปีแล้วบอกเลยว่ามัจฉ์เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ นักศึกษาจากฝั่งศิลปศาสตร์ที่สนใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมมาตั้งแต่ปีหนึ่งและเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ขึ้นเป็นประธานรักษาการทั้งที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ เป็นการพิสูจน์ว่าบางครั้งโลจิกไม่ได้จำเป็นต้องมาจากคนเรียนตรงสายเสมอไป

   "น้องตุลใจร้าย เออ เอาแต่คุยจนลืมเลยว่าตั้งใจมาบอกอะไร"

   "อะไรครับ"

   "มหาวิทยาลัยเลือกคนเข้ามาแทนได้แล้วนะ"

   หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดยพลัน ปกติแล้วกระบวนการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ยิ่งเป็นการเข้ารับตำแหน่งนอกรอบที่ไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกับคนอื่นแล้วด้วย ตุลคิดเอาไว้ว่ากว่าจะมีคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ก็คงเกือบหมดวาระในรอบนี้

   "ทำไมเร็ว"

   "ก็คงตั้งใจเอามาเคลียร์เรื่องนี้โดยเฉพาะแหละ"

   อ่านไม่ออกเลยว่าผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังทำอะไรอยู่ "ใครครับที่จะเข้ามาใหม่"

   "ไม่ใช่เข้าใหม่ กลับมาต่างหาก"

   แย้มยิ้มของรุ่นพี่ปีสี่ไม่น่าไว้วางใจแม้แต่น้อย

   "สัทธาจะกลับมาแล้วนะ"
 


   มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทความรู้ไม่ต่างจากที่อื่น หากหนึ่งระบบที่กลายเป็นความแตกต่างและไม่มีใครสามารถทำได้เหมือนคือการสร้างการปกครองจำลองจากการบริการงานระดับประเทศ

   บริหาร - นิติบัญญัติ - ตุลาการ

   สามเสาหลักตามทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจที่ดีในระบอบประชาธิปไตย สองชื่อแรกเป็นที่คุ้นเคยของนักศึกษาอยู่แล้วอย่างองค์การนักศึกษาและสภานักศึกษา หากเสาที่สามต่างหากที่เป็นความโดดเด่นของระบบการปกครองที่นี่

   องค์การนักศึกษาเป็นตัวแทนในการบริหารกิจการและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษา

   สภานักศึกษาคอยดูแลในส่วนของการร่างและออกกฎหมาย รวมถึงสิทธิและสวัสดิการของนักศึกษา

   และตุลาการนักศึกษาที่มีอำนาจและหน้าที่ในการตัดสินข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบ รวมทั้งตรวจสอบการทำงานของสองเสาก่อนหน้าให้ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น

   เพราะนโยบายหลักของสภามหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด มันเลยเกือบเรียกได้ว่าการบริหารงานที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินโดยผู้ปฏิบัติงานจริง แม้ว่าจะมีช่องว่างให้ได้ปวดหัวบ้างเป็นบางครั้งแต่ระบบนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในภาพรวม

   'ตุลาการนักศึกษา' ประกอบไปด้วยองค์คณะเก้าคนที่ถูกคัดเลือกจากจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไม่จำกัดชั้นปี มีวาระหนึ่งปีและจะต้องคัดเลือกใหม่เสมอในรอบถัดไป หากมีเหตุสุดวิสัยอันเป็นผลให้ตุลาการคนหนึ่งคนใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ก็จะต้องมีการคัดเลือกใหม่ทันที

  'ก็แค่พวกขี้โอ่ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า'

   'ท่านอย่างนั้น ท่านอย่างนู้น ท่านอย่างนี้'

   'สูงนักระวังตอนตกลงมา'


   เดือนตุลาได้ยินคำพวกนั้นมาจนเบื่อแล้วล่ะ

   จะค้านก็ไม่อยากอ้าปากเพราะรู้ว่าบางคนก็แสดงตนสะท้อนถ้อยคำพวกนั้นไม่มีผิด

   "ได้ข่าวว่าพี่ธรรมจะกลับไปอยู่ฝั่งนั้นเหรอ"

   เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนเล่มหนา พยักหน้าให้พลางเก็บเอาสัมภาระที่ดูเกะกะเต็มโต๊ะไปหมดมาไว้ข้างตัวเอง เพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของเดือนตุลาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยเลือกที่จะถามต่อในสิ่งที่ยังสงสัย

   "ทำไมกลับไปนะ นึกว่าเขาแฮปปี้กับฝั่งสภาแล้ว"

   "อยากรู้คงต้องถามมหา’ลัย นี่คนอื่นยังสงสัยอยู่เลยว่าเพราะอะไรถึงแต่งตั้งเร็ว" ตำแหน่งที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนตั้งแต่การส่งชื่อในคณะ ให้อาจารย์คัดเลือกภายในหนึ่งรอบ จากนั้นแล้วต้องผ่านการเห็นชอบจากสภานักศึกษาด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสามในสี่ ก่อนจะจบลงที่การอนุมัติแต่งตั้งจากกรรมการของมหาวิทยาลัย

   ถึงบอกว่าเลือกวันนี้ได้ตอนเกือบหมดวาระ

   มันค่อนข้างยุ่งยากและกินเวลานาน เดือนตุลาเองมองว่ามันไร้สาระและมากขั้นตอนจนเกินไป ที่ต้องให้ผ่านสภานักศึกษาก่อนนี่โคตรผิดหลักความเป็นอิสระของตุลาการ นี่ก็พยายามเข้าใจว่าที่ต้องให้ผ่านสภาเพราะอยากให้มันยังคงความเป็นงานของนักศึกษาอยู่ แต่เอาจริงสามในสี่นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะ

   ยังไม่รวมกับเกมการเมืองภายใน นี่ก็หนึ่งในช่องว่างที่เห็นชัดแต่ไม่มีใครแก้ไขได้ เพราะถ้าไม่ผ่านขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดมันหมายถึงการตีกลับไปเริ่มต้นใหม่ เห็นว่าจำนวนองค์คณะที่น้อยที่สุดที่เคยเจอคือสามคน ที่เหลือติดอยู่ตามขั้นบันไดอันสูงชันนั่นแหละ

   "เพราะเคยเป็นมาแล้วหรือเปล่า เอาจริงคือแค่เห็นลิสต์ผลงานก็แทบไม่มีอะไรให้ค้านอะ"

   "อาจจะ ไม่รู้เหมือนกัน"

   "ล่ะคนอื่นเป็นไง พนันว่ามีคนใกล้เป็นบ้า"

   นึกตามว่าสมาชิกที่เหลือในองค์คณะแสดงออกอย่างไรบ้างยามเขาประกาศเรื่องบุคคลที่จะเข้ามาแทนที่ในอีกหนึ่งเก้าอี้ว่างที่เหลือ

   "หลายคนอยู่"

   "พวกโจทก์เก่าน่ะสิ"

   เด็กคณะนิติศาสตร์หนีกฎหมายและงานที่เกี่ยวข้องไม่พ้น เดือนตุลากับปลายเจตน์ก็เช่นกัน เพื่อนเขาเคยเป็นอนุกรรมการช่วยในการร่างกฎหมายของฝั่งสภานักศึกษา รวมถึงเคยโดนลากให้มาช่วยอ่านคำร้องและหาหลักระเบียบการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง

   ส่วนตัวเองเป็นหนึ่งในองค์คณะตุลาการนักศึกษา อยู่มาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งจนถึงทุกวันนี้

   "พี่ธรรมมีใครรักด้วยเหรอ" ไม่ใช่การประชดประชัน มันคือเรื่องจริง

   "อย่างน้อยก็แก๊งก์คนป่าไง" มีการยกมือขึ้นมาทำเป็นตัววีที่หักงอ เบ้ปากยามกล่าวถึงกลุ่มที่ไม่รู้จะเรียกอย่างไรให้ตรงตามบุคลิกของพวกเขาเหล่านั้น "เนี่ย เลิกเรียนกันแล้วมั้งถึงลงมาสูบบุหรี่"

   พยักเพยิดไปด้านหลัง ภาพที่ชินตามาตั้งแต่แรกทำให้เขาไม่หันกลับไปมองตาม พนันได้เลยว่าต้องมีกลุ่มพี่ปีสี่ท่าทางไม่รับแขกอยู่ตรงนั้น มีหลายรูปแบบตั้งแต่ผมยาวเกือบกลางหลัง ไว้หนวดครึ้ม แต่งตัวตาลุงด้วยเสื้อค่ายฟรีกับกางเกงขาบาน ลากยาวไปถึงแบบแต่งตัวดีทุกกระเบียดนิ้วแต่ดันเสพติดพืชใบเขียวขั้นหนัก

   พอจบคลาสก็จะลงมาสุมกันอยู่ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากตึกเพื่อเปิดวงสูบยาเส้น ควันขโมงจนกลายเป็นจุดต้องห้ามเข้าไปใกล้สำหรับคนอื่น เดี๋ยวนี้ดีหน่อยเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันบ้างแล้วเลยลดเรื่องกลิ่นแต่ไปเพิ่มเรื่องควันแทน

   "แต่ไม่มีว่าที่ตุลาการนักศึกษาเลยแฮะ"

   "เถียงกับอาจารย์ไม่จบล่ะสิ"

   "มั้ง ขึ้นเรียนกันเถอะ อาจารย์น่าจะใกล้ถึงแล้ว"

   พยักหน้าเห็นด้วย ปิดประมวลเล่มหนาที่หยิบมาอ่านคู่กับหนังสือเรียน ยัดของทุกอย่างใส่ลงไปในถุงผ้าสกรีนโลโก้มหาวิทยาลัยที่ได้ฟรีจากการไปช่วยงานสักงานสมัยปีหนึ่ง ทนมือทนแดดแต่อมน้ำ ข้อดีของมันคือเก็บของได้เยอะจนนึกว่ากลับไปเรียนสมัยประถม

   ตึกเรียนคณะนิติศาสตร์อยู่ลึกสุดในรั้วมหาวิทยาลัย ที่นี่เราไม่ค่อยได้ใช้ตึกเรียนส่วนกลางเพราะทุกคณะมีตึกส่วนตัวเอาไว้รองรับเพียงพออยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าตลอดสี่ปีถ้าไม่ขวนขวายออกไปหาวิชาคณะอื่นเรียนเองก็จงเฉาตายอยู่ที่นี่ไปซะเถอะ

   เราเรียนที่ชั้นสามเลยเดินไปทางบันไดหนีไฟแทนการใช้ลิฟต์

   "เอาจริงคือนึกว่าจะดีใจที่พี่ธรรมกลับมา"

   "ทำไม?"

   "ไอดอลมึงไม่ใช่เหรอ พี่ธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ซิ่วมาอยู่คณะนี้ก็เพราะพี่เขานี่"

   ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ต้องเก็บเอาไว้ เดือนตุลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ครั้งแรกที่คณะทันตแพทยศาสตร์ ก่อนจะลาออกเมื่อเรียนไปได้เทอมครึ่งแล้วสมัครเข้าเรียนใหม่ในคณะนิติศาสตร์แทน ส่วนปลายเจตน์เรียนคณะบัญชีมาก่อนแล้วก็เลือกซิ่วเพราะบ้านอยากให้เรียนสายกฎหมายเหมือนลูกคนอื่น

   "กูโตขึ้นแล้วมั้ง ตอนนั้นมันความคิดเด็กๆ อะมึง"

   แค่รู้สึกว่าเขาห่างไกล...จนยอมทำทุกทางเพื่อให้ก้าวเข้าไปใกล้ได้มากขึ้น

   "สองปีก่อนนี่เด็กกว่านี้เท่าไหร่เชียว" ตอนนี้ตุลเรียนชั้นปีที่สอง

   "เยอะอะ เอาจริงคือมาอยู่ตุลาการนี่กูเจออะไรเยอะมากเลย"

   ตั้งแต่สงครามจิตวิทยาการแต่งตั้ง ผ่านทุกด่านมาแล้วก็ต้องเจอระบบอาวุโสและคุณวุฒิภายใน มีกันไม่ถึงสิบหน่อตอนเลือกประธานก็ยังมีปัญหาจนเกือบได้ล้มการเลือกตั้งทั้งหมด พอทำงานจริงก็ได้เจอกับเรื่องเส้นสายและความสัมพันธ์ในเชิงลึกอีก

   จนทุกวันนี้คิดว่าหน้ากากของตัวเองถูกแต่งแต้มเอาไว้สวยงามจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวอีกแล้ว

   "แค่ฟังที่บ่นก็พอเข้าใจอยู่ เพราะงั้นกูเลยไม่อยากทำงานพวกนี้"

   เปิดประตูด้านหลังห้องเผื่อเอาไว้ไม่ให้เป็นการรบกวนอาจารย์ หน้าห้องว่างเปล่าแทนการบอกว่าพวกเขายังมาทันคลาสเรียนวิชาอาญาภาคความผิดในวันนี้ ตุลเดินไปนั่งเก้าอี้แถวที่สามช่วงตรงกลางอันเป็นทำเลที่กำลังดีสำหรับการเรียน มีปลายนั่งข้างซ้ายเหมือนอย่างทุกที

   ไม่ได้สุงสิงกับเพื่อนร่วมรุ่นตามประสาคนไม่ได้ทำกิจกรรมในคณะเลยสักอย่างเพราะข้ามขั้นขึ้นไปทำระดับมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่แรก แต่ก็เริ่มต้นด้วยการถูกล่อลวงให้ติดกับล่ะนะ

   "ดีแล้ว หนีไปซะ"

   "แน่นอน ปล่อยให้มึงทำงานปวดประสาทไปคนเดียว" มองแรงใส่คนทำหน้าเหนือกว่า มุมปากที่ยกขึ้นข้างหนึ่งน่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา "คิดบ้างไหมว่าอยากปล่อยมือเมื่อไหร่"

   แม้จะเป็นการดำรงตำแหน่งปีต่อปี คนที่เคยทำงานมาก่อนแล้วย่อมได้รับความไว้วางใจให้รับหน้าที่หากแจ้งความประสงค์ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ไม่ถึงกับว่าเป็นการต่ออายุงานอัตโนมัติแต่ว่าการพิจารณาของภาคส่วนต่างๆ ก็จะลดระดับความยุ่งยากลงไปมากพอสมควร

   "ตอนนี้ยังสนุก เรื่องพี่ต้นหลิวนี่ไม่รู้จนจบจะได้เจออีกไหม"

   กลายเป็นเรื่องคุยขำขันในหลายส่วนของคณะ มันก็เกิดขึ้นจากการทำตัวเองทั้งนั้น ตุลเชื่อว่าถ้าทำหน้าที่เงียบๆ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว เอาเข้าจริงสภาที่ว่าไม่ค่อยมีตัวตนมาเจอฝ่ายตุลาการเข้าไปนี่แทบเรียกได้ว่าล่องหนไม่มีที่ยืน ถ้าไม่ได้กลายมาเป็นคู่ความในคดีก็คงไม่เห็นหน้าคนทำงานส่วนนี้สักครั้ง

   ต่างจากบางคนที่ไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงบทบาทของตัวเองอย่างถ่องแท้

   อยากจะได้หน้าก็ไปอยู่องค์การฝ่ายบริหารสิ มาอยู่ฝ่ายตัดสินความผิดทำไม

   "เรื่องพี่ต้นหลิวนี่พีกจริง ไม่รู้กล้ามาเรียนหรือยัง"

   "ไม่ได้ตาม แต่คิดว่าคนที่ไม่ฟังใครอย่างนั้นไม่น่าจะมาง่ายๆ"

   ทะนงในตำแหน่งของตน

   โดยหลงลืมว่ามันไม่คงอยู่นิรันดร์

   ข้อกำหนดเรื่ององค์คณะของตุลาการนักศึกษาระบุเอาไว้ชัดเจนว่าสี่ในเก้าคนต้องเป็นนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ นั่นหมายถึงว่าเกือบครึ่งหนึ่งจะต้องเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างในตึกคณะแห่งนี้ อาจจะดูลำเอียงแต่มันก็ยังมีเหตุผลเบื้องหลังที่พอรับฟังได้อยู่

   ตามสถิติที่ผ่านมาส่วนใหญ่ตำแหน่งประธานองค์คณะก็เลยไม่พ้นเด็กสองคณะนี้ จะมีแตกต่างบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ค่อยพ้นสายสังคม ถ้าได้ตำแหน่งมาแล้วไม่ได้ออกตัวแรงให้ใครหมั่นไส้มันก็ดีไป น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นกับต้นหลิวอดีตประธานคนล่าสุด

   ทั้งอวดตนและเจ้ายศเจ้าอย่าง ป่าวประกาศว่าตนมีอำนาจในมือแค่ไหนจนคนอื่นพาลรำคาญไปหมด ยังไม่รวมกับพิธีรีตรองและตำแหน่ง 'ท่าน' ที่ต้องใส่เอาไว้ตรงหน้าชื่ออีก

   ถึงบอกว่าคนอย่างนี้ออกจากตำแหน่งได้ก็ดีไง

   "ปีสี่ไม่ต้องเข้าเรียนหมดเลยนี่ พนันปะว่าโผล่มาอีกทีวันสอบเลย" วิชาของคณะส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บคะแนนระหว่างทางรวมถึงไม่มีชิ้นงาน ทั้งหมดคือการสอบแบ่งกลางและปลายภาคแล้วแต่ผู้สอน "แต่เอาจริงต้องขอบคุณพี่เขานะ คนในเฟซกูเพิ่งรู้ว่ามีฝ่ายตุลาการเพราะเรื่องนี้หลายคนเลย"

   ไม่แปลกใจเลยสักนิด ก็บอกแล้วว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมดไม่ได้ออกหน้าให้ใครเห็น ยิ่งถ้าไม่มีข้อทะเลาะเบาะแว้งอะไรยิ่งไม่ต้องรู้จักเข้าไปใหญ่ เหมือนมีชื่อเอาไว้ให้คุ้นๆ ว่ามีคนเคยมาประชาสัมพันธ์ตอนแนะนำกลุ่มกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตอนวันแรกเข้าเท่านั้น

   "ที่จริงไม่ต้องรู้ก็ดีอะ กูขี้เกียจรับเรื่อง"

   "อู้งานเหรอ"

   "งั้นมั้ง ...นี่อาจารย์ไม่ได้แคนเซิลคลาสใช่ไหมเนี่ย"

   เลยเวลาเข้าเรียนมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว ตอนนี้เพื่อนในห้องก็เริ่มอยู่ไม่สุขกันทั้งหมด เดือนตุลาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าเด็กแถวหน้าสุดในการลุกออกไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำคณะ แต่ส่วนมากแล้วถ้าเกินครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ก็เป็นอันรู้กันว่าไม่ต้องรอ

   "กูว่าใช่"

   "ไม่อยากเมกอัปคลาสอะ..." เรื่องที่น่าเบื่อที่สุดคือการนัดเรียนเพิ่มเติมในช่วงเย็นหรือไม่ก็เสาร์อาทิตย์ มันควรเป็นเวลาพักผ่อนสมองต่างหากนะ "ช่วงนี้กูไม่ว่างด้วย เรื่องเวรตะไลนี่แหละ"

   "งั้นก็รอดูต่อไป"

   "น้องๆ ครับ อาจารย์พิมพ์ประภาฝากมาบอกว่าเลทชั่วโมงหนึ่งนะ แกรถเสียบนทางด่วน"

   เสียงประกาศทุ้มนุ่มน่าฟังเรียกให้ทุกคนหันไปทางผู้ชายตรงโต๊ะสอนเป็นตาเดียว ตุลทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจนี่เกือบจะหลุดคำหยาบคายออกมาแล้ว จบการประชาสัมพันธ์ชายคนเดิมในชุดสบายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไรก็วางไมค์ลงแต่ไม่ได้ออกจากห้องไปเลย ปลายทางหลังจากนั้นคือเก้าอี้ด้านหน้าตัวที่เขานั่งอยู่

   คิดแล้วว่าไม่น่ารอด

   "ว่าไงน้องตุล"

   ลอบถอนหายใจไม่ให้ผิดสังเกต "สบายดีครับพี่ฟีน"

   "พี่ก็สบายดีเหมือนกัน" อยากจะสวนกลับไปว่าไม่ได้ถาม และไม่อยากรู้ด้วย "นี่รู้แล้วใช่ไหมว่าธรรมจะกลับไปทำงานด้วย"

   ถ้าเป็นคณะอื่นไม่ว่าใครจะขึ้นมาทำงานก็ช่างหัวมัน แต่นี่มันคณะที่เกี่ยวข้องโดยตรงแบบไม่มีทางตัดออกจากกันได้นี่นา เป็นข้อมูลที่รู้โดยทั่วกันว่าในหนึ่งปีมีใครที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง รวมถึงใครที่ถูกปลดออกไปบ้าง ยิ่งกับการแต่งตั้งกลางปีที่มีเบื้องหลังไม่ค่อยปกติด้วย

   "ครับ ได้รับเอกสารแต่งตั้งแล้ว"

   ทุกขั้นตอนรวดเร็วเสียจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคณะทำงานเดียวกับที่เคยยื่นเรื่องขอเบิกงบประมาณประจำปีไป อันนั้นนี่ผ่านไปเทอมหนึ่งแล้วเรื่องทั้งหมดก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด

   "ถ้ามีอะไรสนุกๆ ก็อย่าลืมเอามาเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ"

   "ตอนนี้ที่สนุกที่สุดก็น่าจะเป็นร่างระเบียบใหม่ของพี่มากกว่านะครับ" เชือดเฉือนด้วยเรื่องที่เป็นท็อปปิกใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ก็ร่างระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของนักศึกษาที่มีเสียงเล่าอ้างว่าพี่ต้นหลิวมีส่วนเกี่ยวพันในการล็อกบางคุณสมบัตินั่นแหละนะ

   "เมื่อไหร่น้องตุลจะเลิกใจร้ายกับพี่อะ"

   "ก็ตอนที่พี่เลิกพยายามแทรกเข้ามายุ่งกับฝั่งนี้มั้งครับ"

   ส่วนสำคัญที่สุดของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือนอกจากจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงแล้ว ตำแหน่งประธานกรรมาธิการของฝ่ายกฎระเบียบและวินัยของสภานักศึกษานั่นสร้างความน่ารำคาญใจให้เสมอไม่เคยเปลี่ยน

   การเมืองก็คือการเมือง

   ปีแรกที่เข้ามาเป็นเพียงเด็กน้อยไร้อาวุธป้องกันตัว พอเริ่มเข้าปีที่สอง (หรือการกลับมาเรียนปีหนึ่งใหม่อีกครั้ง) ก็เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าเพราะอะไรถึงมีคนเคยเตือนเขาเอาไว้เช่นนี้ ถึงจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอย่างที่บอกว่าไว้ในทฤษฎีมันก็ยังมีคนพยายามเข้ามา 'ตีสนิท' อยู่ไม่ขาด

   "หือ พี่ทำอะไรเหรอ"

   รอยยิ้มพราวระยับนั่นแหละคือสิ่งแรกที่ทำให้เดือนตุลาตั้งธงในใจเอาไว้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ พี่ทิชากรหรือที่ชื่อเล่นว่าฟีนทำงานให้ฝั่งสภานักศึกษามาตั้งแต่แรกเข้า ไต่เต้าจากตำแหน่งอนุกรรมการขึ้นเป็นประธานกรรมาธิการที่ทรงอำนาจที่สุดในสภาได้ภายในเวลาปีครึ่ง

   "พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ"

   "แปลกจัง ทำไมน้องตุลถึงใส่ร้ายพี่อย่างนี้นะ"

   "ฟีน ไปกินข้าวได้แล้ว"

   เสียงที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นสักนิด เขาฝืนเงยขึ้นไปมองหน้าของคนมาใหม่ช้าๆ และเลี่ยงที่จะไม่สบเข้ากับสายตาข้างหลังกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมสีดำ

   ผู้ชายผมยาวระต้นคอไม่เป็นทรง มีไรหนวดขึ้นเล็กน้อยตามประสาคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นสไตล์คุณลุงไม่ได้ดูดีอะไร มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำแบบเอากลับมาใช้ใหม่ได้ส่วนอีกข้างก็แบกหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาเอาไว้ไม่ปล่อย กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามไปแล้วล่ะนะ

   "เคๆ แล้วนี่ไม่ทักอะไรคนร่วมงานหน่อยเหรอ"

   ท่าการขยับหน้าเล็กน้อยดูไม่มีความใส่ใจข้างใน "ยังไม่ใช่คนร่วมงาน"

   สัทธาไม่เคยเห็นเขาในสายตาเช่นเดิม


***
   ความจริงแล้วเรื่องนี้อยู่ในแผนการแต่งก่อน × ไม่มีความจริงในความจริง × ค่ะ แต่ว่าเจ้าก็เลือกไปแต่งทางนั้นก่อน เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่หมดพลังใจแต่งไปก่อนก็เลยเอามาลงกดดันตัวเองไว้ค่ะ
   เนื้อหาจะไม่หนักในเรื่องของความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ไปหนักเรื่องอื่นแทน (หัวเราะ) เปิดมาก็น่าจะพอเดาได้เนอะว่าไปทางไหน ขอให้เจ้าลงได้จบแบบที่ไม่หายไปก่อนนะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2020 00:28:17 โดย 23August »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อันนี้เครียดเรื่องการเมืองสินะคะ  :hao7:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสอง [30.6.18]
«ตอบ #4 เมื่อ30-06-2018 17:02:46 »

บทสอง


   ถามว่าเคยผ่านการประชุมมากี่หนคงต้องบอกว่านับไม่ถ้วน

   แต่ไม่เคยมีครั้งไหนอยู่ไม่สุขเท่าครั้งนี้มาก่อน

   อีกห้านาทีจะถึงเวลาที่แจ้งเอาไว้ตามวาระ วันแรกในการเข้ารับตำแหน่งของตุลาการนักศึกษาคนใหม่หลังจากมีหนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางมหาวิทยาลัย หากในห้องประชุมตอนนี้มันมีสมาชิกเพียงแค่แปดชีวิต ไร้วี่แววของคนที่ 'กลับมา' สักนิดเดียว

   บรรยากาศในภาพรวมสำหรับเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด นอกจากตุลแล้วอีกสี่คนเคยผ่านการทำงานร่วมกับผู้ชายชื่อสัทธามาก่อน ส่วนที่เหลือนี่จะเป็นการพบกันครั้งแรก

   หากเรื่องเล่าที่เป็น ‘ตำนาน’ ทุกคนคงได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน

   เข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่งด้วยคะแนนสอบลำดับแรกจากทั้งหมดเกือบสองร้อยคน ได้รับสิทธิในการเสนอชื่อเข้าทำงานฝ่ายตุลาการนักศึกษาโดยอัตโนมัติตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ที่ให้ทำได้เพราะการเสนอชื่อไม่จำเป็นต้องได้รับการคัดเลือก หากมีคนอื่นที่ประวัติดีกว่าก็ต้องเป็นไปตามลำดับ

   "ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้น้องตุล ธรรมมันไม่เคยมาสายสักหน่อย"

   คำปลอบจากคนข้างตัวไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เดือนตุลาหันไปมองหน้าพี่ปีสี่จากคณะศิลปศาสตร์ที่ทำงานในสายนี้มาตั้งแต่เข้าชั้นปีที่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เป็นเพื่อนกันมานานก็พูดได้นี่ ไม่ได้มีชนักติดหลังแบบเขาด้วย

   ส่วนมากแล้วถ้าไม่ใช่คณะที่ถูกเหมาว่าบ้าการเมืองอย่างนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์แล้วสมาชิกที่เหลือในองค์คณะจะแบ่งออกเป็นสองแบบ คืออยู่ยาวจนเรียนจบหรือไม่ก็ปีเดียวหายตัว ไม่ค่อยมีประเภทอยู่สองปีแรกแล้วกลับมาทำงานในปีสุดท้ายหรอก

   "ทำไม่ได้เลยครับ"

   "ลองทำอย่างสองคนนั้นสิ นั่งเล่นมือถือสบายใจ"

   มองบนยามเห็นว่าบุ้ยใบ้ไปทางใด "พวกสายวิทยาศาสตร์ก็งี้ไหมล่ะครับ"

   ตุลาการนักศึกษาต้องมีความหลากหลายในสายการเรียน เพราะฉะนั้นมันยังมีข้อบังคับเพิ่มเติมว่าจะต้องมีสมาชิกจากสายวิทยาศาสตร์อย่างน้อยสามคนด้วย มันก็เลยกลายเป็นข้อผูกมัดกลายๆ ให้ต้องส่งเหยื่อมาทำงาน

   พอเป็นการมัดมือชกที่ไม่เต็มใจ เราจึงเหยียดกันเองภายในองค์คณะว่าพวกสายวิทย์ทั้งหลายไม่มีความตั้งใจจริงที่จะมาทำงาน บางคนแค่อยากได้โปรไฟล์ไปใส่ในเรซูเมหรือไม่ก็หาเรื่องเอาไว้อวดกับเหล่าเพื่อนฝูงเป็นเรื่องเก๋ไก๋

   "ตัวเองก็เคยเรียนนะ"

   ไม่ต่างจากเดือนตุลา นักศึกษาน้องใหม่ชั้นปีที่หนึ่งคณะทันตแพทยศาสตร์ที่โดนโมเมให้ลงชื่อทั้งที่ยังไม่รู้สโคปงานใด

   "อย่างน้อยผมก็ตั้งใจทำงานแล้วกันครับ"

   "ไม่เถียง ...อีกหนึ่งนาที"

   โลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นหรือยังไงกันนะ เหมือนคุยไม่กี่ประโยคก็เกือบหมดเวลา แล้วทำไมพี่ธรรมผู้มีความรับผิดชอบเสมอถึงยังไม่โผล่มาอีกล่ะ

   "ที่จริงคือประมาณสี่สิบวินาทีแล้วล่ะครับ" มองเข็มวินาทีบนนาฬิกาทรงเหลี่ยมตรงข้อมือตัวเอง "หรือควรออกไปตาม..."

   "เดินมาแล้วนั่น"

   ประตูห้องประชุมเป็นแบบใส เพราะอย่างนั้นพอมีผู้มาใหม่มายืนอยู่เลยเห็นชัดเจน

   จังหวะการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตุลจับจ้องทุกอิริยาบถตั้งแต่การเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะข้างห้องตัวเล็กที่มีใบรายชื่อเช็กองค์ประชุมวางเอาไว้คู่กับปึกกระดาษวาระการประชุมทั้งหมดในวันนี้

   ปากกาลามีสีดำที่มักจะติดตัวเอาไว้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดปลอกพร้อมใช้ ตลกดีที่แม้กาลเวลาจะผ่านมามากกว่าหนึ่งปีแล้วก็ยังจำได้ดีว่าการลงลายมือชื่อแบบไม่มีการยกมือขึ้นพักเป็นอย่างไร สัทธาหยิบเอกสารจำเป็นเข้าไปรวมกับแฟ้มพลาสติกยับยู่สีเหลือง เดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุดที่ไม่มีคนรอบข้าง

   "ยังนั่งที่เดิม กวนตีน" พี่มัจเปรยกลั้วหัวเราะ มีการหันมายักคิ้วใส่เขาด้วย "นี่พี่ต้องนำการประชุมใช่ไหม"

   "ใช่สิครับ ตอนนี้พี่เป็นรักษาการประธาน"

   เรียงตามลำดับอาวุโสในการดำรงตำแหน่ง ในเวลานี้มีรุ่นพี่ปีสี่ที่ทำงานมาตั้งแต่เข้าชั้นปีที่หนึ่งเพียงแค่พี่มัจฉ์ก็เลยต้องเป็นไปตามนั้น

   "น่าเบื่อจัง แต่ถ้าให้เป็นวันสุดท้ายก็โอ"

   "วันนี้ก็เลือกประธานใหม่แล้วไงครับ" ตำแหน่งสูงสุดไม่ควรว่างนาน ยิ่งกับช่วงเวลาที่มีข้อพิพาทใหญ่รอให้สะสาง "เราอาจจะได้ประธานจากศิลปศาสตร์ก็ได้"

   เย้าแหย่ตามประสาคนทำงานด้วยกัน รู้ดีว่าพี่มัจทำงานดีแต่เกลียดการออกหน้าเพียงใด

   "น้องตุลก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แค่ส่งธรรมกลับมาพี่ก็รู้แล้วว่าพวกผู้ใหญ่เขาคิดอะไรอยู่"

   ความน่าเบื่อหนึ่งอย่างคือแม้จะบอกว่าอยากให้การบริหารทั้งหมดอยู่ในความดูแลของนักศึกษาด้วยกันเอง กฎก็ยังมีช่องให้สภามหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยสมาชิกคนละเจนเนอเรชันเป็นผู้ชี้ขาดในหลายเรื่องสำคัญ และตอนนี้ต้องบอกว่ารวมถึงเรื่องประธานคนต่อไปของตุลาการนักศึกษา

   "ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้แล้วกัน พี่มัจขึ้นไปเถอะครับ"

   "อือ ตื่นเต้นจัง ไม่คิดว่าจะมีบุญได้นั่งเก้าอี้ตัวกลางเหมือนอย่างคนอื่นเขา"

   นิสัยชอบกระแนะกระแหนนี่คือหนึ่งในคุณสมบัติของคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้หรือยังไงกันนะ ห้องประชุมสี่เหลี่ยมมีเก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่กับโต๊ะแบบกระจกใสเรียงไว้เป็นทรงโค้งเกือบครึ่งวงกลมรอบห้อง ตรงกลางด้านหน้าทำเป็นเวทียกระดับ มีที่นั่งประธานและบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่เตรียมพร้อม

   หน้าโต๊ะมีป้ายไม้แกะสลักพิมพ์เอาไว้ว่าประธาน ส่วนของคนอื่นจะเป็นป้ายอะคริลิคแนวนอนปรินท์ชื่อจริงและนามสกุลติดเอาไว้ นี่พี่มัจฉ์ก็ทำตัวน่าปาของใส่ด้วยการพกกระดาษสีขาวเขียนคำว่า 'รักษาการ' ด้วยลายมือเอาไปติดไว้ข้างหน้าป้ายตำแหน่งอีกที

   "สวัสดีครับ ถ้าสมาชิกครบแล้วผมในฐานะรักษาการประธานตุลาการนักศึกษาขอเริ่มที่วาระแรก เรื่องแจ้งให้ทราบ..."

   น้ำเสียงโทนกลางน่าฟังไล่เรียงตามลำดับวาระไม่มีสะดุด สมแล้วที่ทำงานมานานอย่างที่ปากบอก อดไม่ได้ที่จะเอาไปเทียบกับ 'ท่านประธาน' คนก่อนที่พอเข้าประชุมทีไรต้องมีเรื่องให้ปวดหัวตามมา เดือนตุลานั่งฟังพี่เขาไล่เรียงวาระต่างๆ จนถึงส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของการประชุมในวันนี้

   "อย่างที่เราทราบกันดีว่าประธานคนก่อนถูกปลดออกเพราะเหตุขัดข้องบางประการ เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับกิจกรรมนักศึกษาจึงได้มีการแต่งตั้งสมาชิกขึ้นมาใหม่แทนที่ว่างลง ซึ่งคือคุณสัทธาจากคณะนิติศาสตร์ หลายท่านคงเคยร่วมงานกันมาก่อน ส่วนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งในปีที่แล้วหรือปีนี้อาจไม่ทราบว่าคุณสัทธาทำงานกับร่วมผมตั้งแต่ปีหนึ่งแต่ออกไปทำงานให้กับสภานักศึกษาเมื่อปีที่แล้ว"

   อีกนัยหนึ่งคือทำงานกับตุลาการตอนปีหนึ่งและปีที่สอง ส่วนปีที่สามย้ายไปทำงานกับสภาท่ามกลางความไม่เข้าใจของทุกคน
ก็เราพูดเล่นแต่คิดจริงกันมาเสมอ

   สัทธา 'ต้อง' ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวกลางนั่น

   "เมื่อองค์คณะครบอีกครั้งผมจึงขอเปิดโหวตเลือกประธานคนใหม่ โดยวิธีการเลือกนั้นจะเป็นการเสนอชื่อจากสมาชิกแล้วลงคะแนนเสียงรับรองแบบเปิดเผย ความจริงควรจะมีการเสนอนโยบายแต่ผมคิดว่ามันเสียเวลาเปล่า ยังไงอีกห้านาทีเราจะเริ่มการเสนอชื่อเลยนะครับ"

   คิดเสียว่าเป็นความแตกต่างของคนที่มีเนื้อหาการเรียนยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็นเส้นตรงอย่างพวกเขา คืออะไรที่มันพอจะลดลัดตัดตอนเพื่อให้ประหยัดเวลาได้ก็จะทำ ขืนเป็นเดือนตุลาเหรอบอกเลยว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกำหนดไม่มีบิดพลิ้ว เป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบขั้นร้ายแรงเลยล่ะ

   มันเป็นห้านาทีที่มีไปตามมารยาท ขนาดประธานเองยังหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความมาหาเพื่อไหว้วานให้ช่วยทำเป็นแอบถ่ายตอนอยู่บนเวทีให้หน่อย จะเอาไปอวดคนอื่น

   แม้จะเหนื่อยใจกับความรักสนุกไม่มีที่สิ้นสุดก็ยังยอมทำตามคำขอ เปลี่ยนไปกดช่องสี่เหลี่ยมที่เขียนว่ากล้องให้ภาพบนหน้าจอกลายเป็นคุณพี่มัจกับโต๊ะประธาน รู้ใจว่าต้องอยากให้ถ่ายแบบติดป้ายชื่อตำแหน่งแน่ เลยต้องเอี้ยวตัวหามุมที่เหมาะหน่อย ตรงนี้ก็น่าจะดี

   "..."

   ขยับออกเล็กน้อยยามเหลือบไปเห็นว่ามันติดครึ่งตัวของบางคนตรงมุมสุด ที่เห็นผ่านจอคือคุณสัทธากำลังยกกระดาษที่ไม่น่าจะใช่วาระการประชุมขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา มันบังไปเกือบครึ่งหน้าจนดูไม่ออกว่าสายตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างไร

   เมื่อคิดว่าได้ภาพที่ดีที่สุดแล้วจึงส่งให้คนร้องขอ ประจวบกับหมดเวลาห้านาทีเลยต้องกลับมาทำหน้าที่ต่อ

   "ดิฉันขอเสนอคุณเดือนตุลาเป็นประธานคนต่อไปค่ะ"

   ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจยามได้ยินชื่อตัวเองเป็นการเปิดประเดิม บังคับไม่ให้ร่างกายมองไปทางเจ้าของคำเสนอ เพราะรู้ดีว่าถ้าหันไปจะต้องเจอสายตาเยาะเย้ยอย่างแน่นอน

   ค่าของคนอยู่ที่เป็นคนของใคร และเธอเป็นรุ่นน้องที่รู้โดยทั่วกันว่าสนิทกับพี่ต้นหลิวมาก เชื่อได้เลยว่าจงใจทำให้เขาอับอายเพราะหากมองเพียงชั้นปีแล้วมันคงเป็นเรื่องน่าขำที่ให้เด็กปีสองขึ้นเป็นประธาน แม้ว่าหากนับตามจำนวนปีที่เคยทำงานมันจะบวกเข้าไปอีกหนึ่งก็ตาม

   ชื่อที่สองเป็นของรักษาการประธานคนปัจจุบัน สีหน้าไม่พอใจเผยออกมาชัดเจนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกผลักให้ชิงชัยในตำแหน่งที่ไม่อยากได้ บางทีเขาก็อยากจะเป็นคนเปิดเผยและไม่แคร์เรื่องสายตาคนภายนอกได้อย่างที่พี่มัจฉ์กำลังทำ

   "งั้นผมขออีกชื่อแล้วกัน พอดีเป็นคนใช้อำนาจในทางไม่ชอบน่ะ" มีการหัวเราะคิกคักออกมาอีกน่ะ ความจริงจำนวนผู้ได้รับการเสนอชื่อมีแค่สองคนก็เพียงพอแล้วสำหรับองค์คณะทำงานที่มีเพียงเก้าชีวิต ก็ชัดเจนดีว่าไม่อยากให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งและยังหมายความต่อไปได้ว่ามีคนอื่นที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า

   ห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ตุลสบตาพลางอ่านข้อความลับที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มเล็กตรงมุมปากของพี่ปีสี่จากคณะศิลปศาสตร์

   "งั้นให้คุณเดือนตุลาเป็นคนเสนอแล้วกันครับ ยังไงก็เป็นคนถูกเสนอไปแล้ว"

   ผิดจากที่คิดเอาไว้ที่ไหน!

   ใช้อำนาจในทางไม่ชอบได้มากกว่าเดิมจนอยากรู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน เจ้าของชื่อเดือนตุลาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยื่นมือไปเปิดไมค์ประชุมข้างหน้าตัวเอง ไล่มองสมาชิกทุกคนจนครบและไปจบอยู่ตรงชายคนที่อยู่สุดท้ายของอีกฝั่ง เขาคนเดิมที่กลับมาใหม่ยังคงอ่านเอกสารฉบับเดิมไม่ได้ให้ความสนใจกับการประชุมสักนิด

   งั้นก็ต้องเรียกให้กลับมาอยู่ในหน้าที่หน่อยแล้ว

   "ผมเสนอชื่อคุณสัทธาครับ"

   ชื่อที่ไม่ได้เรียกมานานกระดากปากเหลือเกิน มันคงเป็นตัวเลือกที่นอกเหนือจากความคาดหมายของบางคนเลยมีเสียงฮือขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับเจ้าของชื่อนั้นยังทำเหมือนไม่สนใจโลกด้วยการหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมาเขียนอะไรขยุกขยิกในกระดาษตรงหน้า

   ราวกับว่าเสียงของเขาไปไม่ถึงโลกที่อีกฝ่ายอาศัยอยู่

   "งั้นก็มีสามคน ผม คุณสัทธา แล้วก็คุณเดือนตุลานะครับ ขอเริ่มการลง..."

   "ท่านประธานครับ ผมขอสละสิทธิ"

   แม้จะเพิ่งได้ยินมาไม่กี่วันก่อนก็ตาม น้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์นั่นก็ยังทำให้ใจเขากระตุกวูบโดยไม่มีสาเหตุได้เช่นเดิม

   "ผมเกรงว่าทำไม่ได้ครับ"

   "ไม่มีระเบียบข้อไหนเขียนว่าห้ามสละสิทธิ"

   "งั้นผมว่าคุณควรกลับไปอ่านระเบียบข้อก่อนหน้าถึงหน้าที่ของตุลาการนักศึกษาว่าเป็นฝ่ายรักษาความเรียบร้อยของนักศึกษา แต่สิ่งที่คุณกำลังทำคือการสร้างความวุ่นวายเองนะครับ"

   บอกเลยว่ามวยถูกคู่ คนสองคนที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่แรกต้องอ่านเกมของอีกฝั่งออกอยู่แล้ว มันก็เป็นเหตุผลที่อ้างได้ทั้งคู่แหละ แต่ดูเหมือนว่าจะมีฝ่ายหนึ่งที่ภาษีดีกว่า

   "ผมเพิ่งเข้ามาใหม่ มันเป็นหน้าที่ที่ใหญ่เกินไป"

   "ประสบการณ์ทำงานที่นี่สองปี รวมกับไปช่วยสภาอีกปีผมว่ามันก็ไม่ได้ใหม่เท่าไหร่นะ แล้วอีกอย่างผมว่าคนที่ผ่านกระบวนการแต่งตั้งได้เร็วขนาดนี้ แสดงว่าต้องได้รับความเชื่อมั่นจากทุกฝ่ายว่าสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี"

   "...งั้นผมขอถอนคำสละสิทธิ"

   เป็นการฟาดฟันเล็กๆ ที่ทำให้หวาดกลัวว่าพี่มัจแสนใจดีที่รู้จักมาสามปีคือคนเดียวกับที่ไล่ต้อนพี่ธรรมจนมุมตอนนี้หรือไม่ ตุลกลืนน้ำลายลงคอเรียกความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง พี่ปีสี่น่ากลัวที่สามารถ 'ประชดประชัน' ในคำพูดธรรมดาพวกนั้นได้อย่างสวยงาม

   เอามาแปลเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือถ้าไม่ได้กลับมาเอาตำแหน่งประธานคืนก็คงไม่เสนอหน้าเข้ามาหรอก

   บอกแล้วว่ามันคือตำแหน่งที่รอใส่ชื่อของสัทธาเข้าไป ไม่ใช่พี่ต้นหลิวเลยสักนิด เรื่องทั้งหมดมันมาผิดแผนเมื่อพี่ธรรมของทุกคนไม่แสดงความประสงค์ที่จะดำรงตำแหน่งต่อแล้วไปโผล่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสภานักศึกษาของพรรคการเมืองที่มีพี่ฟีนเป็นคนจัดตั้งขึ้นมา

   ไม่เคยมีใครรู้ว่าเพราะอะไรสัทธาถึงตัดสินใจเช่นนั้นจนทุกวันนี้

   รวมถึงตัวเขาเอง

   การลงคะแนนเสียงเป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ศูนย์เสียงสำหรับเขา สามเสียงสำหรับพี่มัจฉ์ และตอนนี้คือช่วงของการการออกเสียงให้กับสมาชิกคนล่าสุด

   "...สามเหรอ"

   มันเป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่าควรจะต้องเป็นอย่างนั้น โดยมารยาทแล้วคนได้รับการเสนอชื่อจะงดออกเสียง รวมถึงตัวประธานในที่ประชุมเองก็ควรเป็นกลางกับทุกฝ่ายเช่นกัน

   "ถ้าสามเท่ากันก็เลือกจากอายุงานครับ" เกลียดจับใจยามเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าของสัทธา พี่ธรรมเก่งเรื่องการยียวนปั่นหัวคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว "...เหมือนอย่างทุกที"

   แล้วคิดเหรอว่าคนที่แสดงออกชัดเจนเรื่องไม่อยากได้ตำแหน่งจะยอมง่ายๆ "ผมว่ามันไม่แปลกหรอกเนอะที่ประธานจะออกคะแนนเสียงด้วย"

   กฎหมายการจัดตั้งหุ้นส่วนบริษัทมีเขียนเอาไว้ทำนองนี้เหมือนกัน หากเสียงในที่ประชุมมีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานมีอีกหนึ่งคะแนนชี้ขาด บอกตามตรงเลยว่ามันเป็นการเอามาปรับใช้ที่ไม่ค่อยถูกต้องตามหลักการเท่าไหร่ในความรู้สึก

   "ยังไงผมก็เป็นเด็กเอกภาษาเยอรมัน ไม่ได้เรียนพวกกฎระเบียบและเหตุผลเบื้องหลังมาจริงจังอยู่แล้วนี่เนอะ"

   ตุลล่ะอยากจะบันทึกหน้าของพี่มัจฉ์ตอนพูดประโยคพวกนั้นออกมาเหลือเกิน ทั้งท่านั่งพิงเก้าอี้สบายๆ พร้อมกับยกศอกพักเอาไว้ตรงพนักวาง นัยน์ตาเจ้าเล่ห์พราวระยับเป็นข้อพิสูจน์ว่าเพราะอะไรถึงยืนหยัดอยู่ในวงการนี้มาได้สามปีกว่าโดยไม่หายไปเสียก่อน

   "ผมเกรงว่าไม่ควร ประธานต้องเป็นกลาง"

   "ผมเป็นรักษาการ และนี่มันเป็นทางที่ผมว่าจะช่วยให้เราบรรลุวัตถุประสงค์เร็วที่สุดนะ"

   "คุณเป็นคู่แข่งของผม"

   "เพราะอย่างนั้นผมเลยทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะไง"

   "..."

   ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าทั้งหมดเป็นความสามารถเฉพาะตัว เดือนตุลาอยู่มาเข้าปีที่สามยังเทียบไม่ได้เลยแม้แต่กระผีกเดียว จะว่าไปแล้วพี่ธรรมก็แพ้ทางพี่มัจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา

   "ตามนั้นนะครับ ผมลงคะแนนเสียงให้คุณสัทธาด้วยเป็นสี่ต่อสาม ขอแสดงความยินดีกับคนที่สมควรได้รับตำแหน่งประธานตุลาการนักศึกษาคนใหม่ด้วยครับ"

   พี่มัจฉ์ลุกออกจากที่นั่งของประธานกลับมาอยู่ข้างเขาเช่นเดิม ไม่พอมีการเปิดไมค์เร่งให้ประธานคนใหม่เข้าไปนั่งตรงกลางแทนที่ด้วย

   "เชิญคุณสัทธาทำหน้าที่ต่อครับ"

   ยังคงเป็นเพื่อนที่หวังดีเสมอไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการหรือเปล่า แต่ขืนถามพี่มัจไปก็คงได้แต่คำตอบชวนหัวเสียกลับมา สายตาของทุกคนจับจ้องไปทางชายผู้ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมาดๆ ที่ยังนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม

   "...เล่นบทโศกที่ต้องพลัดพรากกับเก้าอี้ตัวเก่าหรือไง" มันควรจะเป็นการพึมพำเอาให้ได้ยินแค่สองคน หากไมค์ที่ยังเปิดค้างเอาไว้ทำให้เสียงมันเล็ดลอดออกลำโพงไปเสียแล้ว "โอ๊ะ ขอโทษในความสะเพร่าครับ"

   จงใจไม่ต้องสืบ

   ก็คิดเหมือนกันว่าบางทีต้องหาเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยเตรียมเอาไว้ เผื่อเหม็นหน้าจนลงมือกันเมื่อไหร่จะได้รีบส่งถึงมือหมอได้ทันท่วงที

   คนโดนกดดันจากทั้งสายตาและคำพูดลุกขึ้นแบบที่หยิบเพียงปากกากับวาระการประชุมไว้กับตัว ก้าวช้าจนเกือบเป็นการเดินจงกรมไปยังจุดดึงความสนใจตรงกลาง ยังทำตัวเหมือนปกติต่างจากคนที่เพิ่งได้รับหนึ่งในตำแหน่งใหญ่ที่สุดของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

   ผมระต้นคอไม่เป็นทรง แว่นสายตาทรงเหลี่ยมที่ไม่ใช่งานแฟชัน และชุดไปรเวทเกือบเป็นแบบอยู่บ้านสร้างชุดความคิดเกี่ยวกับตัวตนได้ไม่ยาก เชื่อเลยว่าองค์คณะหลายคนจะต้องสงสัยกว่าเพราะอะไรคนที่ดูไม่เอาอ่าวอย่างนี้ถึงได้ขึ้นเป็นประธาน

   ลุ้นตัวโก่งว่าสิ่งแรกที่คนเพิ่งได้เป็นประธานจะทำคืออะไร เอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ธรรมก็ยังมีบุคลิกบางอย่างที่พาให้คนอื่นรู้สึกหวั่นใจได้เสมอ สัทธาที่น่ากลัวคือสัทธาที่กำลังเงียบ คือให้ตวาดใส่หน้ายังดีกว่าเลย

   ไม่ทิ้งลายความแค้นด้วยการเอื้อมมือออกไปหยิบเศษกระดาษระบุข้อความรักษาการเอามาไว้ในมือ ไล่อ่านมันเพียงไม่กี่วินาทีก่อนขยำทิ้งบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระสักนิด

   ส่วนเจ้าของกระดาษก็หลุดหัวเราะหึออกมาเท่านั้น

   "ก็...เอาเป็นว่าเวลาที่เหลืออีกเกือบเทอมจะตั้งใจทำงานแล้วกันนะครับ"

   รวมถึงสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งที่รู้เลยว่าไม่มีการเตรียมมาก่อน น่าเบ้ปากตรงที่อีกฝ่ายน่ะเป็นตัวเก่งในการดีเบตให้มหาวิทยาลัยมาก็หลายครั้ง ไอ้การเรียบเรียงคำพูดให้สวยหรูแบบด้นสดน่ะไม่ยากเกินความสามารถหรอก นี่ตั้งใจจะพรางตัวหรือยังไงกัน

   จะสงสารคนที่ไม่เคยเจอก็ใช่อยู่ อยากจะตบบ่าปลอบใจว่าอย่าเพิ่งโดนรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเลย คนอย่างสัทธาน่ะมีอะไรที่เก็บเอาไว้รอให้เจอเซอร์ไพรส์อีกเยอะ

   เนื่องด้วยวาระหลักของวันนี้คือการเลือกประธานคนใหม่อย่างเดียวก็เลยไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านั้น พอเราตกลงเรื่องวันและเวลาในการหารือเกี่ยวกับข้อพิพาทสำคัญที่สุดอย่างเรื่องของพี่ต้นหลิวได้แล้วก็ถึงช่วงของการแยกย้าย

   "น้องตุลอยากไปนั่งมองพี่กินเหล้าฉลองไหม"

   ขยับศีรษะไปทางคนข้างตัว ตอบด้วยแพทเทิร์นเดิมราวกับเซ็ตเอาไว้ "ไม่ครับ ผมไม่ดื่ม"

   "ไม่ได้ชวนกิน ก็บอกแล้วให้ไปนั่งมอง"

   "พี่มัจไลน์วีดีโอมาก็ได้ครับ เดี๋ยวผมมองจากห้องให้"

   "ทำไมถึงเย็นชากับพี่ได้อย่างนี้นะ เต๊าะทุกวันมาตั้งสามปีนี่ไม่หวั่นไหวบ้างเลยเหรอ" ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอได้ยินคำถามเช่นนั้นสายตาเจ้ากรรมถึงเผลอลอบมองคนที่กำลังเก็บของอยู่อีกฝั่ง "...ก็นั่นสิเนอะ"

   "อะไรครับ ผมก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าพยายาม"

   "มาเป็นเพลง นี่ถ้าพี่ได้ยินเพลงนี้จะไม่น้ำตานองหน้าเหรอ"

   "คนอย่างพี่มัจนี่ร้องไห้เป็นด้วยเหรอครับ"

   "แรง"

   "สกิลของผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ"

   มัจฉ์ส่ายหัววืด "แค่นี้ก็พอแล้ว พี่ยังจำน้องตุลคนน่ารักที่ถูกล่อลวงตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ ได้อยู่เลยนะ"

   "ต้องโทษพี่แล้วล่ะครับที่ทำให้ผมเป็นอย่างนี้"

   "ทำไมไม่โทษคนหลอกมาทำงานบ้าง ...เฮ้ธรรม กินเหล้ากันเถอะ"

   ทำได้เพียงส่งตาดุคาดโทษเอาไว้ น่าเชื่อมากเลยสิที่วกเข้าเรื่องนี้แล้วต่อด้วยการตะโกนชวนคนที่กำลังเปิดประตูห้องอยู่

   "คนหักหลังไม่มีสิทธิชวน" ติดเล่นมากกว่าจริงจัง ก็พวกเขาน่ะเป็นเพื่อนซี้ต่างคณะกันนี่นา "เว้นแต่จะเปิดดีลน่าสน"

   "มีน้องตุลไปด้วยนี่น่าสนพอไหม"

   แทบจะเป็นการปฏิเสธในทันทีด้วยซ้ำ "ขอผ่าน"

   "ผมไม่ได้บอกว่าจะไปกับพี่มัจเลยนะ" ไม่อยากเป็นตัวการให้งานฉลองของรุ่นพี่กร่อย เขารู้ตัวเองดีน่า "พี่มัจไปกับพี่ธรรมเถอะ"

   ขอบคุณที่ท่องชื่ออีกฝ่ายหน้ากระจกมาตั้งแต่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นแล้วไม่น่าจะเรียกชื่อต้องห้ามได้คล่องปากเท่านี้

   "แล้วยังวีดีโอคอลได้อยู่ปะ"

   "ก็มีคนไปกินด้วยแล้วไง จะคอลหาผมอีกทำไม"

   "ก็เผื่ออยากเห็น...ใคร" ยืนยันอีกครั้งว่าอย่าคิดลองดีกับมัจฉ์ "เตรียมรับสายนะ เมาเมื่อไหร่จะโทรไปกวน"

   ตัดจบด้วยการทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ ผลักหลังรุ่นพี่ให้ลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องประชุมที่ร้างผู้คนสักที ส่วนการเก็บกวาดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านประจำตึกต่อ

   "ไปเถอะครับ เอนจอยกับอิสระให้เต็มที่"

   "น้องตุลไม่ไปจริงเหรอ ถ้าพี่โดนธรรมฆ่าหมกข้างทางล่ะ"

   "เดี๋ยวเป็นพยานบุคคลว่ามันเป็นสองแปดเก้าจะได้รับโทษหนักกว่าฆ่าคนตายธรรมดานะครับ" ส่งยิ้มจริงใจยิ่งกว่าครั้งไหน ปล่อยให้ทั้งสองคนเดินออกไปก่อนแล้วจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องนี้ "แล้วถ้ามีเรียนเช้าก็อย่าดื่มหนักเกินไปด้วย"

   กำชับในสิ่งที่กังวลที่สุด เขาไม่เคยมองว่าเรื่องพวกนี้ผิดมหันต์ถึงขั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ถ้าอยากจะทำก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง ประเภทที่ว่าเมาแล้วกลายเป็นภาระคนอื่นอย่าทำเลย

   "งั้นพี่กับธรรมไปก่อนนะ"

   "ครับ"

   "ไว้เจอกันนะน้องตุล"

   ตั้งใจจะทำแค่โบกมือลาตรงขั้นบันได หากนึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบเอ่ยออกไป "พี่ธรรมครับ"

   แค่นยิ้มในใจยามได้รับเพียงการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น ความเรียบเฉยบนใบหน้าซ้ำเติมความจริงที่ว่าเขายังเป็นแค่คนโง่ที่หวังว่าจะได้รับความสนใจกลับมาบ้าง

   "ยังไงก็เป็นคนร่วมงานกันแล้ว"

   "..."

   "ฝากตัวอีกครั้งนะครับ"


***
   เจ้าไม่รู้จะตัดตรงไหนดีเลยค่ะสำหรับตอนนี้ ก็ใส่ๆ ให้หมดแล้วกันเนอะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2019 23:40:11 โดย 23August »

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสอง [30.6.18]
«ตอบ #5 เมื่อ01-07-2018 02:51:07 »

 :katai1: :katai1: :katai1: อะไรยังไงงงงงงงงง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสาม [6.10.18]
«ตอบ #6 เมื่อ06-10-2018 16:10:16 »

บทสาม


   ทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่ควรวิ่งทะเล่อทะล่าออกจากตึกเพื่อกลับไปยังหอพักอย่างนี้ก็ยังทำ ความเหนื่อยล้าจากการออกแรงจำนวนมากในระยะสั้นทำให้ทรุดตัวลงพิงกับกำแพงเพื่อพักหายใจหลังจากปิดประตูห้องพักแล้ว

   เสียงลมหายใจสลับเข้าออกดังจนได้ยินชัด เหงื่อชื้นปรากฏอยู่เต็มกรอบหน้า เดือนตุลาปล่อยให้ตัวเองได้อยู่ในสภาวะสติแตกเต็มขั้นอีกพักใหญ่จึงสูดอากาศเข้าไปลึกแทนการดึงให้ตัวเองกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

   เขาทำได้แล้ว...

   จากที่ไม่กล้าสู้หน้ามาตั้งแต่เรื่องนั้น ตอนนี้เขาสามารถเรียกชื่อพี่ธรรมได้อีกครั้งแล้วนะ

   แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ กลับมาเลยก็ตามที มันก็ยังดีกว่าสถานะเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนที่ตอบรับคำฝากตัวของเขากลายเป็นพี่มัจผู้เอาแต่แย้มยิ้มจนน่ารำคาญ บอกไม่ได้ว่าเพราะดีใจที่ไม่ต้องรับตำแหน่งหรือว่าเป็นการหาเรื่องให้บางคนปวดหัวมากขึ้นไปอีก

   พอสมองกลับมาประมวลผลได้ตามปกติแล้วถึงนึกออกว่าลืมอะไรไป นี่ยังไม่ได้ทานอาหารมาตั้งแต่ตอนเที่ยงนี่นา ความจริงแล้วหลังจากการประชุมเขามักจะแวะร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำใต้หอเพื่อความสะดวก ยังไม่ถึงขั้นกินแต่มาม่าเพราะว่ามันประหยัดเวลาชีวิต

   แต่ตอนนี้ไม่อยากจะเดินไปไหนเลย ขอนั่งโง่ๆ อยู่ที่เดิมอีกสักพักได้ไหม

   เสียงเรียกเข้าจากโปรแกรมแชตสีเขียวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เดือนตุลาเขยิบร่างที่ไม่ค่อยมีวิญญาณไปหากระเป๋าผ้าใบเก่ง ดึงเอาของไม่จำเป็นออกมากองเอาไว้จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการในมือ ชื่อและนามสกุลแบบเต็มยศของคนที่เพิ่งแยกกันได้ไม่นานทำเอาอารมณ์ห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม

   มีประสบการณ์แล้วว่าไม่ควรจะปล่อยไป ยังไงพี่มัจก็พร้อมจะกระหน่ำโทรซ้ำจนกว่าจะได้ตามต้องการ เขาก็เลยสไลด์หน้าจอเพื่อรับการโทรเข้าพร้อมวิดีโอเสีย

   "ครับพี่มัจ"

   (ทำตามที่บอก โทรมาให้น้องตุลนั่งดูพี่กินเหล้า)

   ไม่รู้จะปลงยังไงแล้วจริงๆ บนหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าเห็นช่วงใบหน้าลากยาวลงมาจนเกือบอก น่าจะเป็นร้านนั่งชิลล์เลยยังคุยกันรู้เรื่องเกือบทั้งหมด ไฟสลัวปรากฏภาพที่ส่วนใหญ่กลืนไปกับความมืด ต่างกับเขาที่สว่างจ้าจนเหมือนกับเป็นคนละโลก

   "โอเค เห็นแล้ว ผมวางได้แล้วใช่ไหม"

   (ไม่เคยอ่อนโยนเลย)

   "พี่มัจคุยกับพี่ธรรมให้สนุกเถอะครับ"

   (ไม่เอา คุยกับน้องตุลแล้วสบายใจกว่า นี่ไปกินอะไรมา)

   ทำไมถึงเลือกเรื่องคุยได้ถูกประเด็นเหลือเกิน "อ่า...ยังไม่ได้กินครับ"

   (หืม แต่นี่กลับห้องแล้วไม่ใช่เหรอ)

   "ครับ เดี๋ยวว่าจะออกไปอีกที"

   ถึงจะบอกว่าไม่อยากขยับตัวแล้วแต่เพื่อป้องกันเรื่องโรคกระเพาะที่เป็นๆ หายๆ แล้วการทานอาหารให้ครบสามมื้อเป็นสิ่งที่ควรทำ

   (ออกไปตอนนี้เลย สามทุ่มกว่าแล้ว)

   มีเรื่องหนึ่งที่เดือนตุลาเก็บเอาไว้ไม่ค่อยให้ใครรู้ คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดในโลกใบนี้ไม่ใช่พ่อแม่แต่เป็นพี่มัจ คือลองสังเกตแล้วว่าพี่เขาก็ไม่ได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดหรือว่าใช้เสียงดุอะไรเลยนะ เหมือนจิตใต้สำนึกมันบอกเองว่าไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ไม่ควรทำให้พี่เขาอารมณ์เสียเด็ดขาด

   "ครับ จะออกไปตอนนี้เลย" ตอบรับเสียงเหนื่อยอ่อน เหยียดตัวขึ้นมายืนเต็มความสูงโดยที่ไม่ได้สนใจคนในสายเท่าไหร่ "แต่ผมไม่คอลไปด้วยหรอกนะ"

   (ก็ได้ กินร้านไหนบอกมา เดี๋ยวไปสอดแนม)

   "พี่มัจอย่าทำให้ผมคิดว่าพี่เป็นพวกโรคจิตได้ไหมครับ"

   (ตัวเองนั่นแหละมองพี่ในแง่ร้าย ไปกินข้าวแล้วถ่ายรูปเซลฟีตัวเองกับจานข้าวมาด้วย)

   นั่นมันน่ากลัวไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยนะ

   อือออตอบรับแบบขอไปทีเพื่อให้สามารถวางสายได้ หยิบกระเป๋าเงินกับสมาร์ตโฟนมาไว้ในมือข้างซ้าย ส่วนทางขวาก็เกี่ยวเอาพวงกุญแจตรงชั้นวางข้างประตูห้อง อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าเข้ามายังไงก็ออกไปอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมือนคนกลับห้องแล้วเลย

   โชคดีที่หอพักออกแบบด้านหลังของตึกให้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสำหรับนักศึกษา เรื่องอดอยากนี่ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด คือต่อให้ลงมาตอนตีสามก็ยังมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งเปิดอยู่ดี

   สั่งเมนูง่ายๆ ที่ไม่น่าจะอืดท้อง ส่วนเครื่องดื่มก็เป็นน้ำเปล่าที่ร้านมีบริการเอาไว้ให้ฟรีอยู่แล้ว ไม่ลืมถ่ายรูปอาหารโดยไม่ติดหน้าของเขาอย่างที่พี่มัจกำชับเอาไว้ก่อนหน้า ชักอยากจะให้อีกฝ่ายเมาแล้วจะได้ไม่มาวุ่นวายอะไรอีก

   เสร็จแล้วก็กลับขึ้นห้องเลยไม่ได้แวะไปที่ไหนต่อ ตั้งใจว่าจะเอาชีตของวิชาที่เพิ่งเรียนในวันนี้ขึ้นมาทบทวนอีกหน่อยก่อนจะเข้านอน มันเป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่สมัยอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อย่างน้อยในหนึ่งวันก็ขอให้ได้แตะสักหน้าสองหน้าก็ยังดี

   พอได้จำนวนเท่าที่ต้องการแล้วก็ถึงเวลาของการจัดกระเป๋าสำหรับการเรียนในวันรุ่งขึ้น เปลี่ยนเอาหนังสือในวันนี้ออกแล้วเอาของที่จะต้องใช้เข้าไปแทน เข้าปีที่สองแล้วเรียกได้ว่าทั้งชินและเฉยชากับกองหนังสือเรียนหนาเป็นตั้งที่ยังไม่รวมกับชีตสรุปจำนวนมหาศาลหลายสำนัก

   เลือกที่จะมาเป็นเด็กนิตินี่คืออ่านจนวันตาย

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลาห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน เดือนตุลาลุกออกจากเตียงด้วยสภาพอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมเข้านอนไปส่องตรงช่องตาแมวว่าใครที่มารบกวนในยามวิกาลเช่นนี้ ความคิดทางลบหลายอย่างผุดขึ้นมายามไม่เห็นมีใครสักคนอยู่ตรงนั้น

   มั่นใจว่าห้องพักของตัวเองอยู่ในรัศมีของกล้องวงจรปิดอย่างแน่นอนก็เลยกล้าเปิดออกไปพิสูจน์ บนทางเดินมีเพียงความว่างเปล่าไร้ผู้คน สิ่งแปลกปลอมเดียวก็คือถุงพลาสติกที่มีซีเรียลแบบแท่งยี่ห้อที่เคยเห็นแต่ไม่ค่อยได้ซื้อบ่อยนักสองห่อข้างในห้อยอยู่ตรงลูกบิด

   หน้าถุงไม่มีการจ่าหน้าชื่อคนรับ เผื่อว่าจะจำผิดชั้นหรือไม่ก็อาจจะผิดห้องเลยปล่อยมันเอาไว้ที่เดิมดีกว่า

   มีนิสัยที่เหมือนพวกเด็กอนามัยจัดอย่างหนึ่งคือจะไม่ชอบเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน อย่างมากที่สุดคือการหยิบมาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เท่านั้นเอง ก็เลยจัดการทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมเจออะไรก็ตามแต่ในวันรุ่งขึ้น

   หนึ่งวันที่แสนยาวนานจบลงเสียที
 


   เรื่องที่น่าประหลาดใจแรกคือเดือนตุลาตื่นสายเพราะว่าไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก

   ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง เขาน่ะเป็นพวกเซ็นซิทีฟต่อทุกสิ่งจนถึงขั้นที่ว่าบ้านยอมให้อยู่หอคนเดียวไม่ต้องแบ่งห้องกับใครเพราะรู้ว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แค่มีคนเมาเคยมาตะโกนเรียกเพื่อนจากข้างล่างหอเขาก็ตื่นตาค้างแล้ว

   ช่วงเวลายี่สิบนาทีอันตรายบอกให้เขาลดทุกขั้นตอนอันแสนเยิ่นเย้อให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อให้มีเวลาเหลือประมาณเจ็ดนาทีในการออกจากห้อง เรื่องน่าสงสัยอย่างที่สองคือถุงพลาสติกยังแขวนเอาไว้ที่เดิมไม่มีใครมาแสดงความเป็นเจ้าของ

   ไม่เหลือช่วงให้คิดแล้วเลยคว้าเอาไว้ก่อน คิดว่าถ้ามีใครมาทวงก็ค่อยจ่ายเงินคืนไปแล้วกัน อย่างน้อยของพวกนี้ก็น่าจะช่วยให้ผ่านหนึ่งชั่วโมงครึ่งอันเป็นวิชาคาบเช้าไปได้อยู่

   เปิดประตูห้องเรียนในนาทีสุดท้ายก่อนเข้าคาบ ต่อให้คณะนี้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการเช็กชื่อเขาก็ยังเป็นสายตรงต่อเวลาอยู่เช่นเดิม ห้องเรียนไม่ถึงกับหร็อมแหร็มแต่ถ้าเห็นรายชื่อคนลงทะเบียนทั้งหมดแล้วก็หายไปไม่น้อย

   รู้ว่ามันไม่ใช่มื้อเช้าที่ดีเท่าไหร่เพราะงั้นหลังจากหมดคาบและรอเรียนตอนบ่ายต่อเขาถึงลากตัวเองไปยังห้องอาหารขนาดเล็กใต้ตึก ขี้เกียจต่อรถออกไปยังโรงอาหารที่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ดูสิว่าความหิวมันสามารถทำให้คนเราขี้เกียจได้ถึงขนาดนี้เลย

   "ถึงกับขึ้นป้าย สมัยพี่ต้นหลิวก็มีปะ" ปลายเจตน์บุ้ยหน้าไปทางบอร์ดติดประกาศข้างห้องฝ่ายการนักศึกษาของคณะ มันมีไวนิลแผ่นเดียวคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดเอาไว้ ข้างในเป็นกราฟิกที่ดูแล้วก็รู้ว่าคงจ้างนักศึกษาในคณะสักคนทำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้งานสไตล์มินิมอลอย่างนี้

   ข้อความเขียนแสดงความยินดีกับประธานตุลาการนักศึกษาคนใหม่พร้อมกับภาพของสัทธาที่ตัดมาจากงานกิจกรรมสมัยไปทำงานให้สภา น่าจะกำลังนั่งฟังการประชุมอะไรสักอย่างอยู่ล่ะมั้งถึงมีโต๊ะอยู่ด้วย

   "มี โพสต์อวดจะตายชัก 'เป็นเกียรติอย่างยิ่ง' นี่ยังจำคำขึ้นต้นได้อยู่เลย"

   "ช่างจดช่างจำ"

   "นิดหน่อย แต่ที่ขึ้นได้นี่แสดงว่าพี่ธรรมยังไม่เห็น" ก็สัทธาน่ะเกลียดงานประชาสัมพันธ์จะตายไป "พนันกันไหมว่าจะอยู่กี่วัน"

   "กี่ชั่วโมงดีกว่ามั้ง"

   ข้าวราดแกงตรงหน้าไม่มีความหมายเมื่อหันไปเห็นว่ามีใครกำลังเดินออกมาจากส่วนของตึกเรียน พี่ธรรมและกลุ่มเพื่อนของเขาก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ

   เสียงโห่ฮาดังจนคนแถวนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว เพื่อนคนหนึ่งเก๊กหน้าเลียนแบบท่าของคนในรูปดูตลกเสียจนแม้แต่เจ้าของชื่อบนนั้นยังรวมหัวขำขัน ดูทำตัวสิ ไม่แปลกใจเลยใช่ไหมล่ะที่มีคนเรียกว่าเป็นพวกคนป่าประจำคณะ แต่อย่าเอ็ดไปเชียว ในกลุ่มนั้นมีตัวท็อปเรียงราย ยังไม่รวมกับเหล่านักกิจกรรมในระดับมหาวิทยาลัยอีกจำนวนหนึ่งด้วย

   คนอื่นเคลื่อนตัวไปยังโต๊ะประจำแล้ว มีแค่สัทธาคนเดียวที่เข้าห้องฝ่ายการนักศึกษาที่อยู่ติดกัน ไม่พ้นเรื่องนี้แน่เลย

   "คุณเดือนตุลาครับ คิดว่าคุณสัทธาเปิดโหมดไหนข้างในครับ"

   ถึงจะหมั่นไส้ที่เพื่อนล้อเลียน 'มารยาทเบื้องต้นในที่ประชุม' ก็เถอะ เขาคิดตามแล้วก็หยิบเอาทางที่คิดว่าเหมาะกับตัวตนของผู้ชายผมประบ่าคนนั้นมาตอบ

   "แค่พูดเรียบๆ ว่ารบกวนเอาออกด้วยนะครับ จบ"

   "กูว่าถามก่อนว่าใครเอาขึ้น แล้วบอกว่าไม่ได้รับอนุญาต ให้เอาออก"

   รู้เลยใช่ไหมว่าเราสองคนมองผู้ชายที่ชื่อว่าสัทธายังไง

   ความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เสียงรอบตัวมันเลยลดลงมาเป็นระดับมาตรฐานเท่านั้น "ล่ะทำไมเมื่อเช้ามาสายขนาดนั้น"

   "ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก"

   "เห..."

   "อือ เมื่อวานในที่ประชุมหนักไปหน่อยมั้ง"

   "เออ มีคนเอามาเล่าอยู่"

   เอาจริงคือจากเก้าคนมันนับหัวได้เลยว่าใครเป็น 'คนมาเล่า' มีอยู่แค่คนเดียวนั่นแหละที่อยากจะป่าวประกาศว่าตัวเองได้รับอิสรภาพแล้ว พี่มัจน่ะในสายตาของคนนอกคือพวกปากมากที่เก็บอะไรไม่ค่อยอยู่ ส่วนที่เขาเจอมาตลอดสามปีคือคนพูดเก่งที่รู้ว่าควรพูดแค่ไหนเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด

   "โหดอยู่ เลือกมาสองปีไม่เคยเจอครั้งไหนมีปัญหาเท่านี้เลย" เพราะว่ามีกันแค่เก้าคนเกมลอบบี้มันเลยไม่ค่อยสนุกอะไร ที่แย่งกันมากคือพวกรองประธานเพราะว่าไม่ต้องออกหน้าเยอะแต่ว่าตำแหน่งก็ยังใหญ่ "พี่มัจก็ออกตัวแรงมากว่าไม่เอาตำแหน่งแน่"

   "ก็มันไม่ใช่ของพี่เขานี่"

   "แต่คนที่ควรได้ก็งอแงอยู่นะ"

   เห็นทำหน้านิ่งอย่างนั้นไม่รู้ว่าข้างในเก็บอะไรเอาไว้บ้าง

   "คืออย่างน้อยก็ขอบคุณที่มันไม่เป็นตราบาปให้เศร้าใจว่าได้คนโง่มาเป็นประธาน"

   เราก็ใช้คำแรงกันเป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะนะ แล้วการทำงานที่ผ่านมาเดือนตุลาก็ค่อนข้างยอมรับว่าพี่ต้นหลิวเป็นแค่ 'คนโง่' อย่างที่คนอื่นเรียกจริง

   คือถ้าให้เล่าเรื่องวีรกรรมเด็ดคงต้องใช้เวลาค่อนวัน

   ส่วนถ้าเล่าเรื่องเต็มคงเป็นสัปดาห์

   "เขาก็อยู่ตั้งหลายเดือนเลยนะ"

   "ปล่อยให้มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมไปเถอะ"

   "จริงจังอะไรขนาดนั้นปลาย ที่จริงมันก็เป็นแค่เรื่องเฉพาะกลุ่มที่คนข้างนอกไม่สนใจเท่านั้นเอง"

   อยู่มานานจนชินชาไปเองว่าเราเป็นกลุ่มงานที่มีชีวิตอยู่เบื้องหลังไม่ได้ออกหน้าเหมือนกับพวกฝ่ายบริหารอย่างองค์การนักศึกษา ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าพวกเขาทั้งเก้าคนมีใครบ้าง งานที่ต้องตัดสินมีผลเป็นอย่างไร แล้วก็เพราะว่าไม่เข้าใจเนื้องานและบทบาทที่ควรทำมันก็เลยเกิดการแก่งแย่งแสงสปอร์ตไลต์กันหลายครั้ง

   พี่ต้นหลิวน่ะตัวดีเลย แสนจะภาคภูมิใจในฐานะประธานผู้ตัดสิน ตุลอยู่มาเข้าปีที่สามก็ยังไม่เคยเจอพี่ประธานคนไหนให้ความสำคัญกับการโปรโมตองค์กรมากกว่าการค้นหาหลักเหตุผลเบื้องหลังในการตัดสินข้อพิพาทได้เท่านี้ ความจริงถ้าเรื่องไม่แดงขึ้นก่อนมีโปรเจกต์ถ่ายรูปเดี่ยวไว้แนะนำตัวด้วยนะ

   ก็เลยคิดเสมอว่าถ้าอยากจะอยู่กลางฝูงชนก็ย้ายไปทำงานอะไรที่มันได้ติดต่อกับคนอื่น มาอยู่ตรงนี้นอกจากจะไม่ได้สังคมแล้วยังเสียเพื่อนง่ายเชียวล่ะ

   "ก็จริง ตอนที่ประกาศรายชื่อก็มีแต่คณะเราที่สาปแช่ง"

   "ปลงซะบ้าง การเมืองก็อย่างนี้"

   พี่มัจน่ะชอบพูดคำนี้ด้วยสีหน้าสบายๆ เหมือนพูดผ่านโลกมามากจนปลงได้กับทุกอย่างแล้ว ได้ข่าวว่าก็แก่กว่ากันแค่ปีกว่าเท่านั้นเอง

   "แค่กูเข้าไปเป็นอนุกรรมการยังโคตรปวดหัว ...โอ๊ะ นี่ผ่านมาไม่ถึงชั่วโมงเลยปะ" หมุนหน้าหันไปมองตามได้ทันที เจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายสองคนที่ออกมายืนเก้กังอยู่ตรงหน้าบอร์ดน่าสงสารเหลือเกิน "พี่ธรรมคือโหดจริงอะ เจ้าหน้าที่งี่เง่าก็ยังไม่รอด"

   "ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาแล้วนี่เรียกว่าเบๆ"

   มุมบนซ้ายของป้ายไวนิลถูกปลดออกเป็นอย่างแรก ตามด้วยฝั่งตรงข้าม คำว่าขอแสดงความยินดีหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่ต่างจากอำนาจและชื่อเสียงที่พร้อมจะหายไปทุกเมื่อ

   สัทธาดังในรุ่นตัวเองจากตำแหน่งที่หนึ่งของคณะตอนสอบเข้าอย่างที่เคยบอก ตามมาด้วยตำแหน่งท็อปเซกของวิชาบังคับในคณะเกือบทุกตัวในชั้นปีที่หนึ่งทั้งที่อยู่ในตำแหน่งตุลาการนักศึกษาไปด้วย

   ยังไม่เปิดเทอมปีที่สองก็ไปตีกับฝ่ายการนักศึกษาเรื่องค่าหน่วยกิตที่มีการคำนวณผิดพลาดจนต้องล้างการลงทะเบียนทั้งหมดใหม่ พอปีสองเทอมสองก็สร้างเพจวิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการรุ่นจนเกิดสงครามเย็นภายในคณะไปพักใหญ่ ปีสามคิดว่าดีขึ้นที่ไหนได้ย้ายไปทำงานให้สภานักศึกษาแล้วก็ขึ้นไปท้าตีกับพวกผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยแทน

   ยังไม่รวมกับชีตสรุปหลายวิชาที่เป็นตัวช่วยชีวิตใครหลายคน เห็นเป็นพวกคนป่าอย่างนั้นแต่งานทุกชิ้นไม่เคยผิดหวัง โดยเฉพาะกับวิชาสายปกครองทั้งหลาย

   เขาเองก็ได้อานิสงส์มาไม่น้อย อย่างล่าสุดก็คือวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญนี่แหละ

   "ในมุมกูให้พี่ธรรมกลับไปอยู่กับตุลาการก็น่าสนุกอะ ไปสภาแล้วเหมือนเป็นเบี้ยให้พี่ฟีนใช้" ปลายเจตน์เองก็เคยเข้าไปช่วยแบบที่โดน 'หลอก' ให้ทำงานเหมือนกัน "โคตรร้ายอะ คนอะไรไม่รู้"

   ทิชากรคือผู้คุมอำนาจอยู่ด้านหลังม่านของสภานักศึกษา ใครทำงานทางสายนั้นรู้กันหมด ที่ให้เด็กคณะรัฐศาสตร์คนอื่นขึ้นนั่งตำแหน่งประธานเพราะแค่ไม่อยากออกหน้าเท่านั้น แต่ถ้าลองมีปัญหาอะไรขึ้นมาทุกคนก็วิ่งแจ้นหา 'พี่ฟีน' กันทั้งนั้น

   และคำชี้ขาดจากเขาเป็นที่สิ้นสุด

   หมดเวลาการพักกลางวันแล้วก็บอกลาปลายเพื่อเตรียมตัวไปเรียนภาคบ่ายต่อ จากการเรียนชั้นปีที่หนึ่งซ้ำอีกครั้งทำให้เขาเก็บวิชาบังคับไปเกือบทั้งหมดและสามารถเอาเวลานั้นไปใช้กับวิชาเสรีต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ มันเหลือหน่วยกิตมากพอให้เลือกเรียนวิชาไร้สาระตามใจได้

   อย่างตอนนี้เขาก็ไปลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป ช่วงต้นตั้งแต่พวกกรีกโรมันยาวไปถึงก่อนยุคกลาง และถ้ามีเวลามากพอเทอมหน้าก็จะลงตัวต่อคือยุคกลางเรื่อยมาจนปัจจุบัน

   หรือว่าจะหาเรื่องเก็บสายประวัติศาสตร์ดีนะ

   ห้องเรียนขนาดเล็กมีนักศึกษาประมาณสี่สิบชีวิต ส่วนใหญ่เป็นเด็กเอกประวัติศาสตร์ที่จำเป็นต้องเรียนเป็นตัวบังคับ จะมีพวกเลขรหัสอื่นไม่กี่คนเอง เหมือนว่านอกจากเขาแล้วจะมีเด็กจากเศรษฐศาสตร์อีกสองสามคน นี่ทีแรกก็ชวนเพื่อนมาเรียนด้วยแหละแต่ว่ามันขอเอาเวลาไปนอนดีกว่า

   นั่งโดดเดี่ยวไร้สังคมเช่นเดียวกับทุกที หยิบเอาสมุดจดเล่มบางที่เอาไว้ใช้กับวิชานี้โดยเฉพาะขึ้นมาเตรียมพร้อม นึกย้อนไปว่าอาจารย์จะหยิบเอาหัวข้อไหนในหนังสืออ่านประกอบเล่มหนาขึ้นมาพูดในชั่วโมงนี้

   'ถ้าจำเป็นต้องฝ่าฝืนกฎหมาย จงทำเพื่อยึดอำนาจ ไม่เช่นนั้น จงยึดมั่นในกฎหมาย'

   เดือนตุลาเลิกคิ้วขึ้นตอนที่เห็นประโยคนี้บนหน้าจอ ชื่อที่กำกับเอาไว้ข้างล่างคือชื่อของจูเลียสซีซาร์ ผู้ชายที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีหรือร้ายแค่ไหน ทั้งตำแหน่งเผด็จการตลอดชีวิต แล้วยังมีเรื่องของคลีโอพัตราเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

   นั่นหมายความว่าคนอย่างกาอุส ยูลิอุส ไกซา เป็นคนที่เชื่อมั่นในกฎหมายหรือเปล่านะ?

   มันเป็นประโยคที่มีความย้อนแย้งในตัวเองเมื่อลองเอามาเรียบเรียง เหมือนกับว่าจะเชื่อมั่นใจสิ่งที่เรียกว่ากฎหมาย แต่ก็ยอมรับหน้าตาเฉยว่าการยึดอำนาจโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องที่ทำได้เหมือนกัน ก็คงเพราะว่าตอนนี้เรียนอยู่ในคณะนิติศาสตร์ด้วยเลยสนใจไปหมดทุกอย่าง

   แต่ก็ว่าไม่ได้ สมัยนั้นการเป็นเผด็จการน่ะไม่ได้ผิดตรงไหนเลยนี่นา ตอนที่อาจารย์เล่าครั้งแรกก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

   ยุคโรมันเป็นอะไรที่สนุกดี ความยิ่งใหญ่ที่มากเกินไปจนสุดท้ายก็ล่มสลายลงเป็นสัจธรรมที่เห็นได้หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ แล้วมันก็มีเรื่องที่ตลกไม่ออกหลายเรื่องอย่างเช่นว่าจักรพรรดิจัสติเนียนได้พยายามรวบรวมกฎหมายขึ้นมาแต่ว่าดันบันทึกเป็นภาษากรีก คนในโรมันที่ใช้ภาษาละตินในขณะนั้นก็เลยไม่ค่อยสนใจเป็นต้น

   กว่ากฎหมายจะกลับมาเป็นที่สนใจก็ศตวรรษที่สิบเอ็ดเลยนะ กว่าจะมีพระไปพบตัวประมวลกฎหมายเข้าน่ะ

   คาบเรียนสามชั่วโมงจบลงไปแล้ว เขาเดินออกไปหน้าห้องพร้อมกับคำถามที่ยังค้างอยู่ข้างในสองสามข้อ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะนะ อาจารย์ผู้หญิงสูงวัยใจดีไม่อิดออดที่เขาถามอะไรมากมายแถมยังแนะนำหนังสือให้ลองไปอ่านเพิ่มถ้ามีส่วนที่คิดว่ายังสงสัยอยู่

   เพราะว่าวันนี้เป็นเวรเข้าไปดูแลห้องตุลาการ หลังจากเลิกเรียนในภาคบ่ายแล้วเลยว่าจะแวะตลาดนัดก่อนไปทำงาน ช่วงเข้ามาทำงานแรกๆ มันไม่ค่อยมีการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ บางวันก็ร้างจนคนที่มาร้องเรียนได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการทำงานของตุลาการก่อนปัญหาตน

   ตอนนั้นคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็มีพี่ธรรมกับพี่มัจนี่แหละ เป็นสองคนที่ผลักดันให้ระบบการทำงานกลับมาเข้าที่เข้าทางได้ รื้อระบบข้างในจนเกือบจะเป็นการปฏิวัติเงียบไปด้วยซ้ำ

   มีกันเก้าคนก็เลยแบ่งกันวันละสองคน ส่วนเศษคนเดียวจะได้รับสิทธิพิเศษในการสั่งใครก็ได้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนหากต้องการ ตอนนี้ก็คือเดือนตุลาคนนี้ไงล่ะ

   ไม่ได้รู้สึกแปลกหรือว่าโดนทิ้งอะไรทั้งนั้น เข้าใจเสมอว่าหลายคนไม่ชอบความ 'เป็นทางการ' ของเขาเท่าไหร่ อีกอย่างคืองานมันไม่ได้เยอะขนาดที่รับมือคนเดียวไม่ไหว มันเป็นแค่การสแตนด์บายเผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน คนที่เข้ามาอย่างมากก็แค่ยื่นเอกสารเกี่ยวกับการร้องทุกข์เอาไว้

   ในตลาดนัดประจำมหาวิทยาลัยตอนห้าโมงกว่ายังมีพื้นที่ว่างให้เดินได้สะดวก ร้านขายอาหารที่ตั้งแบบไม่ถาวรเองก็เพิ่งพร้อมให้บริการ เขาเดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งแรก สั่งน้ำใบเตยกับน้ำข้าวโพดโดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าไม่เอาถุงพลาสติกกับหลอด

   ต่อจากนั้นก็เดินสำรวจจนทั่วอีกหนึ่งรอบเพื่อเป็นการตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร เรื่องอาหารเขาไม่มีเมนูประจำตายตัว เกิดอยากทานอะไรขึ้นมาก็เลือกสิ่งนั้น อย่างที่คิดตอนนี้คือเคบับเพิ่มชีสก็น่าสน

   นาฬิกาข้อมือทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบอกเวลาว่าเหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนถึงเวลาทำงาน นิสัยชอบไปก่อนเวลาเลยเร่งให้เขาหยุดเดินหาของทานเล่นแล้วไปประจำหน้าที่สักที ตอนออกมาจากบริเวณของตลาดนัดสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าผ้าที่กลายร่างเป็นกระต่ายได้จึงมีน้ำสมุนไพร เคบับ และทับทิมกรอบสาหริม

   เดือนตุลาบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามหาวิทยาลัยคิดอะไรอยู่ตอนที่สร้างตึกสี่ชั้นแห่งนี้ขึ้นมา มันเป็นตึกที่แยกตัวออกมาต่างหากจากกลุ่มงานนักศึกษา ชั้นล่างสุดเป็นงานบริการบางกลุ่มของเจ้าหน้าที่ ชั้นสองเป็นของสภานักศึกษา ชั้นสามขององค์การนักศึกษา และชั้นสี่ตกเป็นของตุลาการ

   'สูงส่ง' แม้กระทั่งสถานที่ทำงานเชียวล่ะ

   ส่วนตัวแล้วคิดว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี ที่เห็นได้ชัดเลยคือการที่ไม่มีลิฟต์นี่แหละ เขาเดินผ่านชั้นสองที่มีสมาชิกเดินเข้าออกขวักไขว่กว่าปกติเป็นสัญญาณว่าวันนี้คงมีการประชุม ส่วนชั้นสามนั้นมักจะมีเสียงดังตลอดทั้งปีสมกับเป็นฝ่ายดูแลงานออกหน้าต่างๆ

   สำหรับชั้นทำงานของตุลแล้วมันมักเงียบ วังเวง ไร้ชีวิตเสมอ จะจอแจขึ้นมาหน่อยก็วันที่ต้องจัดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือไม่ก็ตัดสินพิพากษา มีนโยบายชัดเจนว่าถ้าไม่พอใจก็ไปอุทธรณ์มหาวิทยาลัยเอาเอง ถ้ามีตบตีกันแถวนี้จะได้ความผิดฐานทะเลาะวิวาทเข้าไปเพิ่มอีก

   มองกล่องยื่นเอกสารเรื่องร้องเรียนที่ว่างเปล่าด้วยความโล่งใจว่าวันนี้น่าจะไม่ต้องเจองานหนัก ดึงกุญแจที่ฝากเอาไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นมาเปิดห้อง เปิดสวิตช์วงจรไฟฟ้าในห้องให้เรียบร้อย หยิบของออกมาจากถุงวางเรียงเอาไว้บนโต๊ะเตรียมพร้อมสำหรับมื้อเย็น

   เป็นคนเหงาที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ นอกจากปลายแล้วเขาก็มีสังคมเล็กๆ ในวงตุลาการกับคนที่ต้องติดต่องานกันเท่านั้นเอง เหมือนจะสนิทกับพวกพี่เจ้าหน้าที่มากกว่าด้วยในบางครั้ง

   "ทำไมอยู่คนเดียว?"

   หากวันนี้กลับมีบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม

***
   หายไปนานเลยเนอะ กลับมาอัปแบบที่รู้ตัวว่าตอนต่อไปจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ค่ะ เพราะยังหาวิธีแฮนเดิลชีวิตไม่ได้อยู่ดี (ฮา) แต่คิดว่าต้องอัปก่อนที่จะถูกแจ้งลบเพราะไม่มาต่อค่ะ...
   แด่หกตุลาที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2019 23:47:12 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #7 เมื่อ22-11-2018 21:45:47 »

บทสี่


   แทบจะเป็นการตวัดจนหน้าหันไปทางประตูห้อง ผู้ชายตัวสูงที่พิงขาอยู่ตรงนั้นยังคงอยู่ในชุดเดิมแบบเดียวกับที่เขาเห็นช่วงกลางวัน ในมือถือหนังสือเล่มหนาที่ดูหน้าปกแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างแน่นอน

   "...ผมเข้างานคนเดียวครับ"

   "ไม่ชวนคนอื่น?"

   "อยู่คนเดียวสบายใจกว่าครับ"

   "งั้นทนอึดอัดหน่อย พี่มารอฟีนประชุมน่ะ"

   ตลกชะมัดที่ประธานมาพูดทำนองนี้ใส่ "ครับ"

   สัทธาผงกหัวขึ้นลงพลางปิดประตู เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดยาวสำหรับแขกแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ ล่องลอยเข้าไปในโลกของตัวอักษรโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาใด

   บอกตัวเองในใจว่าของหวานคงต้องกลับไปกินที่ห้องแล้ว กวาดซากที่หลงเหลือจากมื้อเย็นเอาไว้ที่เดียวให้สะดวกกับการหยิบลงไปทิ้ง ในเมื่อวันนี้ไม่มีงานให้จัดการก็เลยว่าจะเปิดคอมหาอะไรดู ว่าไปแล้วไม่ได้เข้าไปอัปเดตกฎหมายใหม่เลยแฮะ

   ก็เล่นประกาศใช้อย่างกับตราปั๊มของเล่น

   ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์แต่ละคนบ่นเรื่องนี้กัน ในยุคที่กฎหมายฉบับใหม่เผยแพร่เป็นว่าเล่น ในหลายครั้งมันไม่ได้มีการทบทวนถึงผลทางบวกและทางลบมากเพียงพอ แถมบางกรณียังเอาคนไม่เข้าใจกฎหมายมาเขียน ใช้บังคับไม่ได้ก็ต้องออกฉบับแก้ไขเพิ่มเติมออกมา วนเป็นวงเวียนที่น่าเศร้าใจ

   "เปิดเพลงต่อได้นะ พี่โอเค"

   "...ครับ"

   เมื่อกี้เขาเปิดโปรแกรมสตรีมมิงเพลงตามความเคยชิน ก่อนจะหรี่เสียงลงแทบไม่ทันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

   "อยู่ถึงกี่โมง"

   "สองทุ่มครึ่งครับ"

   "ฟีนน่าจะเลิกดึกกว่านั้น ถ้ายังไงตุลกลับตามเวลาเดิมได้เลยเดี๋ยวพี่ปิดห้องให้ กุญแจก็ฝากไว้กับยามเหมือนเดิมใช่ไหม"

   "..."

   เดือนตุลาปิดปากเงียบ ตามองแต่หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนไปแสดงหน้าข่าวรอบโลกประจำวัน อารมณ์คงที่ก่อนหน้านี้ดิ่งลงจนน่ากลัวเพียงเพราะคำเดียว

   "เปลี่ยนที่ฝากแล้วเหรอ?"

   "...สิบ"

   "ว่าไงนะ?"

   "เดือนสิบ"

   เสียงที่ออกไปเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

   "ปกติพี่ธรรมเรียกผมว่าเดือนสิบ"

   มันเป็นเวลาที่ผ่านมาไม่นานจนไม่อยากเชื่อว่าคนพูดจะ 'ลืม' สิ่งที่ตนเองเคยบอกไว้ คำเอ่ยที่ทำให้เดือนตุลาสัมผัสถึงความพิเศษที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

   เดือนตุลาเหรอ งั้นพี่เรียกว่าเดือนสิบนะ

   "เรียกให้เหมือนกับคนอื่นไง"

   "เดือน สิบ"

   จะว่าทำตัวงี่เง่าก็ได้แหละ ตุลยังย้ำคำเดิมซ้ำอีกครั้งโดยเน้นทีละพยางค์ให้คิดไปทางอื่นไม่ได้นอกจากแสดงความปรารถนาชัดว่าจะให้เรียกแบบไหน

   สัทธาปิดหนังสือที่วางเอาไว้บนตักลง ขยับท่านั่งให้หลังตรงพร้อมกับวางมือเอาไว้ตรงตัก เกลียดนักล่ะพวกที่ข่มขวัญกันด้วยท่านั่ง ทั้งที่พี่ธรรมก็รู้ดีว่าปกติแค่ใช้เสียงนิ่งไม่ต้องแสดงออกอะไรมากมายคนอื่นก็ไม่กล้าต่อกรแล้ว

   "เรามาตกลงกันหน่อยดีกว่าไหมเดือนตุลา"

   หัวใจที่พองขึ้นยามได้ยินคำขึ้นต้นห่อเหี่ยวลงไปพลัน เขาตีหน้าขรึมทำเป็นอวดดี เชิดหน้าใส่กลบความกลัวทั้งหมด ใจคิดเป็นร้อยอย่างแล้วว่าพี่ธรรมต้องการสร้างข้อตกลงเรื่องอะไร

   "บอกว่าเดือนสิบ" ยังปากกล้าได้อยู่ หากมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่ายก็บอกให้เขารู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร "ข้อตกลงอย่างแรกคือพี่ธรรมต้องเรียกผมว่าเดือนสิบเหมือนเดิม"

   มนุษย์ทุกคนปรารถนาเป็นผู้เป็นที่รัก

   เป็นคนพิเศษ

   "...ก็ได้"

   แม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของอีกฝ่ายก็ตาม

   "งั้นพี่อยากจะตกลงเกี่ยวกับอะไร"

   "เรื่องงานไม่ต้องกลัวพี่ คุยได้หมด"

   หลุดแค่นหัวเราะออกมา ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างสัทธาจะต้องการเพียงแค่นี้ "เราเคยทำงานด้วยกันมาก่อนนะครับ"

   เดือนตุลาเต็มที่กับงานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน พวกเอกสารเขาก็ตรวจขั้นสุดท้ายเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดเสมอ งานราชการน่ะเรื่องมากจะตายไป ทั้งกั้นหน้า ตัวเลขไทย แล้วยังไม่รวมกับบางคำบางข้อความที่มีชื่อเรียกเฉพาะอีก

   สัทธาคือคนที่รู้ดีกว่าใคร

   "อืม อย่างนั้นก็ดี เห็นเกร็งๆ เลยบอกไว้ก่อน"

   "แค่นี้เหรอครับ?" ถามลองเชิงกับคนที่กลับไปเปิดหนังสืออ่านนอกเวลาอีกครั้ง "ผมนึกว่าพี่มี 'เรื่องอื่น' ที่อยากจะพูดมากกว่านี้ซะอีก"

   "ไม่มี พี่จะอ่านต่อแล้วนะ"

   ทุกอย่างคือการตัดบทในพริบตา ตุลเม้มริมฝีปากแน่นยามเห็นทุกอากัปกิริยาที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจ มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเสียในช่วงที่ต้องยอมรับว่ามีเพียงเขาที่เป็นเดือดเป็นร้อนไปเองฝ่ายเดียว

   ยังจำได้ดีว่าการเจอกับสัทธาครั้งแรกเป็นอย่างไร และไม่มีทางลืมว่าครั้งสุดท้ายมันจบลงแบบไหน

   คนที่เดินออกไปไร้เยื่อใยคนนั้นกลับมาทำไม...

   "...ทำไมพี่ถึงกลับมา"

   ไม่มีอีกแล้วเดือนตุลาคนที่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว ความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นบทเรียนที่สอนให้เขายอมรับว่าโลกใบนี้ไม่มีความยุติธรรมใด คนที่อ่อนแอก็ต้องยอมรับสภาพและกลายเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า

   "..."

   "ตอบผมหน่อยได้ไหมพี่ธรรม"

   แผ่นหลังที่หายไปโดยไม่หันกลับมายังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเสมอ

   "..."

   "ถ้าเงียบ ผมจะเชื่อว่าพี่หายไปเพราะวันนั้นนะ"

   "..."

   "..."

   "พี่ว่าพี่ไปอยู่ข้างล่างดีกว่า"

   การเฉไฉเปลี่ยนไปเรื่องอื่นคือการบอกโดยอ้อมว่าไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับมันอีก

   สัทธาไม่ต้องเก็บของอะไรมากมายเพียงแค่ยกกระเป๋าขึ้นสะพายและผุดลุกไปทางออก คนมีหน้าที่เฝ้าห้องทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นผู้ชมการแสดงจากหน้าจอ ท่องเลขหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อยื้อเวลาไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิด

   หากเมื่อครบถึงเลขสุดท้ายแล้ว เขากลับโพล่งออกไปทันที

   "ถ้าพี่บอกว่าคุยได้หมด ผมก็จะบอกให้พี่ฟัง"

   "..."

   "การกลับมาทำงานร่วมกับคนที่ตัวเองยังรักอยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับ"
 


   ทำเป็นปากดีได้ต่อหน้า หากลับหลังแล้วก็กังวลใจอยู่ตามลำพัง

   เข้าวันที่สามแล้วตั้งแต่เขาพูดออกไปในสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดตนเอง เกือบครบช่วงเวลาที่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์บอกว่าสมองจะสามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างได้ครบถ้วนทั้งหมด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรความรู้สึกในตอนนั้นถึงไม่จางเลยไปเลย

   พี่ธรรมจะมองว่าเขาเป็นคนยึดติดหรือเปล่านะ

   ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อเป็นเรื่องจริงนี่นา

   "...พี่โคตรใจร้ายเลยรู้ไหม"

   "ใครทำอะไรน้องตุล?"

   สะดุ้งโหยงกับเสียงที่กระซิบข้างหู มองใบหน้าแย้มยิ้มเป็นนิจของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ที่ยังไม่ยอมยืดตัวกลับไปเต็มความสูงเช่นเดิม

   "บอกพี่มาได้เลย เดี๋ยวเคลียร์ให้เอง"

   เห็นความเต็มใจที่ส่งผ่านมาชัดแล้วก็ได้แต่ปฏิเสธไปก่อน "ไม่มีอะไรครับ"

   "ไม่เชื่อ"

   "ถ้าบอกว่าผมเหนื่อยกับรายงานการประชุมที่เหมือนไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อักษรมาเลยพี่จะช่วยเคลียร์ให้ไหมล่ะครับ"

   "ยากเลยแฮะ" วิธีการเปลี่ยนหัวข้อที่ดีที่สุดคือเอาเรื่องงานมาคุย พี่มัจน่ะรักความสนุกสนานจะตายไป "ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเอามาทำเอง ไม่เชื่อ"

   ปกติแล้วนอกจากองค์คณะจะมีเลขานุการคอยจดบันทึกและทำรายงานการประชุมอีกสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นขอลาออกไปตั้งแต่ช่วงต้นเทอมด้วยสาเหตุว่ามีปัญหาส่วนตัวกับพี่ต้นหลิว อีกคนนี่ก็ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไม่รู้ว่าประธานคนก่อนไปเก็บมาจากไหน

   เข้าใจได้ว่ามันเป็นตำแหน่งที่ดูไม่มีค่าและความสำคัญ มันเลยยากที่จะหาคนเต็มใจทำสุดความสามารถและได้งานที่มีประสิทธิภาพออกมา พออาสาบอกว่าจะทำให้เองก็กลายเป็นการถือตนข่มท่านคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นไปเสียอีก

   บอกแล้วว่าทำงานพวกนี้น่าปวดหัว

   "มีประธานคนใหม่แล้วฝากพี่มัจเสนอเรื่องนี้หน่อยสิครับ"

   "เฮอะ ธรรมจะบอกให้ต่างคนต่างจดเองไม่เปลืองแรงคนอื่นน่ะสิ"

   วันนี้ไม่ต้องเข้ามาเฝ้าห้อง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตตอนเย็นอยู่ที่นี่เพราะว่ามันจะมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นวาระเร่งด่วน

   เกลียดนักล่ะกลุ่มกิจกรรมที่มีพื้นที่ขอบข่ายของงานใกล้เคียงจนหาความแตกต่างไม่ค่อยเจอ ไม่รู้ว่าฝั่งสภาอนุมัติออกมาได้ยังไงตั้งหลายต่อหลายกลุ่ม แล้วพองานทับกันจนไม่รู้จะหาจุดตรงกลางจากไหนก็มาจบตรงที่ว่าต้องให้ตุลาการช่วยไกล่เกลี่ย นอกจากจะเป็นศาลแล้วยังทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการอีกต่างหาก

   บางกรณีที่ไม่อยากให้เรื่องขึ้นสู่กระบวนการทางศาล หลายครั้งสัญญาเปิดโอกาสให้เลือกอีกช่องทางที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าอย่างอนุญาโตตุลาการ คือให้คนอื่นที่ไม่ใช่ศาลและคู่ความต่างยอมรับมาเป็นผู้ตัดสินข้อพิพาทแทนโดยผลของการตัดสินก็ยังคงผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามทั้งหมด

   "ผมว่าก็ดีนะ โตแล้วก็ควรรับผิดชอบตัวเองให้ได้"

   "เนี่ย เพราะมีลูกคู่อย่างนี้เดี๋ยวธรรมก็เอาแต่ใจกว่าเดิม"

   แม้คำค้านแรกที่โผล่ขึ้นมาคือคงไม่มีใครเอาแต่ใจได้เท่าคนตรงหน้าอีกแล้ว เดือนตุลาก็เลือกที่จะปิดปากเอาไว้ให้สนิทแล้วเดินออกไปเตรียมห้องประชุมแทน นี่ตอนออกแบบคนวางแปลนคงลืมไปว่าชั้นนี้จะมีคนใช้งานแค่เก้าคน การทำห้องย่อยสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์อีกสี่ห้องจึงเป็นอะไรที่เกินความต้องการไปหน่อย ด้วยความที่ไม่อยากให้มันถูกปล่อยทิ้งร้างครึ่งหนึ่งเลยกลายเป็นห้องเก็บของสำหรับบางกลุ่มกิจกรรมไปแล้ว

   คือถ้าแบกของขึ้นมาสี่ชั้นไหวก็ใช้ไปเลย เต็มที่

   ภายในมีโต๊ะเก้าอี้เตรียมไว้พร้อมใช้งาน รวมถึงมีบอร์ดกระจกพร้อมปากกาไวต์บอร์ด ของที่ดูแล้วสามารถเอามาเป็นอาวุธฟาดฟันกันได้ถูกนำออกไปตั้งแต่เกิดเรื่องชุลมุนสมัยก่อนเขาเข้าเรียน

   ตรวจสอบภาพรวมให้ไม่มีข้อบกพร่อง เร่งเปิดแอร์ในระดับที่เย็นกว่าปกติเผื่อไว้ดับอาการหัวร้อนของทุกฝ่าย เช็กว่าอีกกี่นาทีจะถึงเวลานัดหมาย วันนี้เขาไม่ได้รับมอบหมายให้มาเป็นคนไกล่เกลี่ยแต่พี่มัจก็เปรยบอกว่าอยากให้มีตุลาการคนอื่นเข้ามาเตรียมพร้อมเอาไว้

   เรื่องนอกเหนือจากความคาดหมายมีได้เสมอแหละ

   "น้องตุล นอกจากธรรมแล้วใครอีกที่เข้างานวันนี้"

   เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารข้อร้องเรียน ตอบกลับไปทันที "ก็น้องรักพี่ต้นหลิวไงครับ"

   คณะกรรมการย่อยถูกล็อกเอาไว้หนึ่งตำแหน่งคือประธาน ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่การใช้ดุลยพินิจ เราไม่ใช้องค์คณะใหญ่เพราะว่ามันจะดูเป็นการเข้ามากดดันจนเกินไป ก็เลยเหลือเพียงแค่สามคนอันเป็นตัวเลขที่กำลังดี

   นี่ก็ไม่รู้ว่าเลือกกันอีท่าไหนถึงได้คนนี้มา จะเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นการเสียมารยาท โชคยังดีที่อีกคนคือพี่มัจฉ์ไม่อย่างนั้นแล้วอาจกลายเป็นคนอื่นต้องมาไกล่เกลี่ยตุลาการแทน

   "นี่ไม่ใช่วันดีของพี่แน่เลย" เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วก็เอ็นดู บางมุมพี่มัจเป็นเด็กน้อยมากๆ เลยล่ะ "แต่ถ้าได้กอดให้กำลังใจจากน้องตุลพี่ว่ามันก็โอเคอยู่"

   "ผมยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้เลยครับ"

   "แค่อยากกอดน้องตุลอะ"

   เกณฑ์ความสูงของพี่มัจฉ์ค่อนไปทางต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน มันเลยทำให้เดือนตุลาคนที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบต้องกดหน้าลงมาเพื่อพบกับสายตาอ้อนวอนของอีกฝ่าย เรื่องของเรื่องคือพี่เขาทำอย่างนี้มาตั้งแต่รู้จักกันวันแรกๆ จนถึงทุกวันนี้มันก็ยังไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

   "ไม่ครับ"

   "อย่างน้อยให้พี่สักครั้งตอนวันรับปริญญาก็ได้"

   "ผมไม่คิดจะไปเบียดเสียดกับคนเป็นล้านอย่างนั้นแน่นอน"

   "นั่นสิ..."

   "พี่มัจไปตามคนร่วมองค์คณะเถอะครับ เดี๋ยวกลายเป็นว่าต้องให้คนอื่นมารอล่ะขายหน้าแย่"

   เราต้องมีการประชุมกันก่อนว่าจะแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไร รวมถึงคุยกันให้กระจ่างว่าการตัดสินควรออกไปในแนวทางไหนที่จะดีกับทุกฝ่าย ถ้าสมมุติว่ามีคนไม่ยอมอ่อนข้อใครจะเป็นคนหว่านล้อม หรือว่าถ้าต้องตัดสินเมื่อไหร่ก็ต้องมีคนปิดประเด็นได้เช่นกัน

   "ธรรมบอกว่าจะมาตรงเวลา"

   สัทธาน่ะเป็นคนตรงต่อเวลาของแท้เลยล่ะ

   "งั้นก็รออีกคนไป"

   "พี่ถามได้ปะว่าคิดยังไงที่ธรรมกลับมา"

   "...ถ้าบอกว่าถามไม่ได้แล้วพี่มัจจะยอมรามือไหมล่ะครับ"

   ยิ้มแกมรู้ทันอย่างนั้นไม่เคยพาเรื่องดีมาสักครั้ง "งั้นแสดงว่าดีใจใช่ไหมล่ะ"

   ก็เพราะว่าชอบทำตัวอย่างนี้ไงเลยไม่ค่อยมีใครชอบเท่าไหร่ พี่มัจฉ์ชอบคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วล่วงหน้า ที่เอามาถามก็แค่อยากมีความสุขเวลาพบว่าสิ่งที่ตนเองคิดมันถูกต้อง

   "ผมชอบที่เราได้คนทำงานเป็นกลับมา"

   "ไม่เอาในแง่ส่วนรวมสิ เอาแค่ความรู้สึกน้องตุลเลย"

   "..."

   ไม่อยากจะเอ่ยออกไปสักคำ เพิ่งบอกไปเองว่าพี่มัจน่ะมีคำตอบเอาไว้ในใจแล้ว ต่อให้เขาตอบไปในทางไหนมันก็จะถูกโยงให้กลับมาเป็นอย่างที่ต้องการจนได้ ล่ะขืนตอบอะไรที่มันเข้าทางพี่เขาด้วยแล้วนะ เดือนตุลาบอกเลยว่ามีแต่เสียกับเสีย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

   "พี่รอคำตอบอยู่นะ"

   ท่ามกลางความเงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของมัจฉ์ที่สะท้อนจากแสงไฟยังคงมองตรงไม่มีหันเหไปทางอื่น จนตุลลืมตัวเปิดปากเตรียมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไป "ผม..."

   "ทำไมต้องใช้ห้องนี้?"

   หากเสียงแทรกขององค์คณะประจำวันดังขึ้นมาเสียก่อน ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องก่อนหน้าแล้วหันไปมองทางผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ยอมเข้ามา ความไม่พอใจปรากฏเล็กน้อยผ่านน้ำเสียง

   "ห้องอื่นก็เยอะแยะ"

   "กูอนุเคราะห์ให้เป็นห้องชมรมไปแล้วสองห้อง ก็เลยเหลือแค่นี้"

   "แต่ห้องถัดไปก็ยังว่าง"

   "แล้วมันต่างกันตรงไหน"

   "..."

   คนที่รู้ความนัยปิดปากสนิททั้งคู่ เดือนตุลาเข้าใจดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะเอ่ยคำใดออกมา พี่มัจฉ์ยิ่งจับความรู้สึกเก่งอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าไปฝึกวิชาการอ่านสีหน้าและท่าทางมาจากไหนมากมาย เวลาทายหรือประเมินอะไรก็ไม่ค่อยพลาดด้วย

   “รอฟังเหตุผลอยู่”

   “...ใช้ห้องนี้ก็ได้”

   บอกแล้วว่าคนเดียวที่คุมพี่ธรรมได้ก็คนนี้แหละ ต่อให้แผลงฤทธิ์ใส่คนทั้งโลกได้ก็ต้องมาสยบให้กับพี่มัจ

   “เตือนครั้งเดียวว่าอย่ามางี่เง่าเวลางานนะธรรม ต่อให้มึงเป็นประธานกูก็ไม่เว้น”

   “เออ”

   “งั้นก็นั่งอ่านสรุปไป ขอตามคนร่วมองค์คณะอีกหน่อหน่อย”

   จากห้องที่เคยมีเสียงพูดคุยก็กลายเป็นพื้นที่ห้ามใช้เสียงไปแล้ว บรรยากาศที่น่าอึดอัดพาให้อยากเดินตามออกไปข้างนอกเพื่อหาอากาศที่ถ่ายเทมากกว่านี้ เดือนตุลาบอกตัวเองซ้ำอีกครั้งให้ตั้งสติเอาไว้ให้มากที่สุด อย่าเพิ่งนำเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน

   พี่ธรรมเดินมานั่งแทนที่ในเก้าอี้ที่เพิ่งว่างลง หยิบเอาแผ่นกระดาษที่วางเอาไว้เป็นชุดอยู่แล้วขึ้นมาไล่อ่านเร็วๆ คล้ายกับว่าไม่ใส่ใจ เสียงพลิกเอกสารดังเป็นจังหวะต่อเนื่องในอัตราใกล้เคียงกัน หากเมื่อหมดชุดแล้วเขาก็เริ่มไล่อ่านใหม่อีกครั้ง

   “ไม่มีชื่อเป็นองค์คณะนี่?”

   “อ้อ สแตนด์บายเผื่อไว้น่ะครับ” ตอบกลับเสียงเรียบ เดินไปเช็กเครื่องปรับอากาศอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันเกินไป “ถ้าตุลาการตีกันเองเมื่อไหร่จะได้อพยพคนทัน”

   “งานก็คืองาน น่าจะแยกออก”

   ตอบอย่างนั้นแสดงว่ายังใส่ใจกับรายละเอียดอยู่ “ผมว่าพี่น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าคำนั้นมันใช้ไม่ได้”

   ทั้งเล่นตัวจนเกือบเสียงาน เสนอหน้าออกสื่อจนลืมความรับผิดชอบหลักตัวเอง ไม่รวมกับยิบย่อยอื่นๆ อีกพอสมควร พี่เขาก็ไปอยู่ฝั่งสภาที่เล่นการเมืองแรงกว่าฝั่งนี้ไม่รู้กี่เท่ามาเป็นปี น่าจะได้ประสบการณ์ไม่น้อย

   “มั้ง เดือนสิบช่วยปรับแอร์หน่อยเถอะ จะหนาวแข่งกับห้องเรียนรวมเหรอ”

   “...”

   ทั้งที่มันเป็นเงื่อนไขที่สร้างขึ้นมาเอง

   เขากลับไม่ยินดีเท่าที่ควรยามได้ยินเสียงเรียกชื่อตามที่เคยต่อรองกันเอาไว้

   “หรือว่าร้อน ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ต้องปรับก็ได้นะ”

   “ไม่ร้อนครับ นี่ก็คิดว่าควรปรับลงมาหน่อยเหมือนกัน”

   ก็เลยกดรีโมตปรับลดลงอุณหภูมิให้อยู่ในตัวเลขที่น่าจะไม่หนาวและร้อนเกินไปแทน ขยันพอที่จะเดินไปเช็กความเรียบร้อยของหน้าต่างและผ้าม่านด้วย คือตอนนี้เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่ไม่ใช่การกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวยาวนั่น

   “อือ ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ พี่ธรรมอยากให้...”

   เกลียดระบบความทรงจำที่ฉายภาพเก่ายามกลับหลังหันมาเจอกับผู้ชายคนเดิม คำที่ตั้งใจว่าจะถามถูกเก็บเข้าไปอยู่เพียงในความคิด ตุลซ่อนมือข้างที่ยังว่างเอาไว้ข้างหลังตัวไม่ให้เห็นว่ามันกำแน่นแค่ไหน เม้มปากเอาไว้สนิทตามระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้น

   “หืม อยากให้อะไร?”

   ขอบคุณที่สัทธายังสนใจแต่ข้อมูลตรงหน้า “อยากให้ปรับเพิ่มกว่านี้ไหมครับ ตอนนี้ยี่สิบห้าแล้ว”

   “เท่านั้นก็ได้”

   สัมผัสได้ว่ามือข้างที่กำแน่นชื้นเหงื่อจนน่ากลัว ทั้งการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนในหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้น และความคิดที่เรียบเรียงไม่เป็นระบบส่งผลให้สมองเริ่มเบลอ จนมันร้องเตือนให้เขาทำอะไรก็ได้เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์สุดแย่นี้

   “พี่รบกวนออกไปตามมัจกับอีกคนให้หน่อย อีกสามนาทีจะถึงเวลาแล้ว”

   “ได้ครับ”

   ยินดีกับหน้าที่นี้มากเชียวล่ะ ตุลก้าวยาวๆ ไปทางประตูห้อง นึกอยู่ว่าควรจะออกไปตามที่ไหนจึงเข้าท่ามากที่สุด ถ้าแค่โทรตามก็น่าจะอยู่ตรงทางเดิน หรืออาจจะฮาร์ดคอร์หน่อยก็ลงไปดักรอหน้าตึก

   “เดือนสิบ”

   เสียงนั้นตรึงให้เขาหยุดทุกการเคลื่อนไหวโดยพลัน

   “พี่ไม่ได้หายไปเพราะเรื่องวันนั้น”

   “...”

   “แล้วถึงมันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นายก็ต้องทำให้ได้ เข้าใจใช่ไหม”

   แค่นยิ้มสมเพชคือสิ่งที่เดือนตุลามอบให้กับตัวเอง



***
   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2019 21:10:30 โดย 23August »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #8 เมื่อ22-11-2018 22:24:38 »

กลับมาแล้วน้องตุลของเราอย่ามาทำร้ายน้องเราเลยพี่ธรรม..ขอบคุณคุณเจ้านะคะ..ขอเป็นกำลังใจให้มากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #9 เมื่อ23-11-2018 05:29:01 »

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
« ตอบ #9 เมื่อ: 23-11-2018 05:29:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #10 เมื่อ23-11-2018 10:23:32 »

มันมีเรื่องอะไรกันน้อออออออ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #11 เมื่อ24-11-2018 14:05:14 »

เครียดแฮะ แต่จะตามอ่านต่อค่ะ อยากรู้เขามีเรื่องอะไรกัน

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #12 เมื่อ25-11-2018 04:10:23 »

เพิ่งอ่านจบบทที่ 1 แหล่ะ แต่คันมืออยากเม้นแล้ว (ฮา)
ส่วนตัวเคยทำงานอยู่ในองค์การนิสิตค่ะ อยากจะบอกว่าฝ่ายบริหารเองก็เป็นโดนคนมองไม่ต่างจากตุลาการเท่าไรหรอกนะ
กลุ่มนึงก็มองว่าเป็นหน่วยงานเจ้ายศเจ้าอย่าง บอกว่าเราเป็นแค่ทาสของมหาลัยแต่กลับคิดว่าได้ตำแหน่งสูงส่ง
อีกกลุ่มนึงก็มองว่า ในเมื่ออยู่เหนือนิสิตทั้งมหาลัยแล้ว ก็ต้องรู้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างสิ
และคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหน่วยงานของมหาลัย ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในมหาลัยมีหน่วยงานหรือองค์กรแบบนี้ด้วย คิดว่ากิจกรรมหรือกฏต่าง ๆ มาจากผู้บริหาร เพราะงั้นเรื่องได้หน้านี่ก็ไม่ค่อยมี แต่ปัญหานี่มีมาตลอดเลย (ฮา)
เวลาจะจัดโครงการแต่ละทีแทบจะต้องตบตีกับผู้บริหาร แล้วยังกับพวกสภา สโม ชมรมอีก โห นึกย้อนไปแล้วปวดหัวมากเลยค่ะ
เรื่องเส้นสายภายในนี่เป็นอะไรที่สุด ๆ จริง ๆ นะ ยิ่งใกล้เลือกตั้งนี่ยิ่งแบบ... การทำงานส่วนกลางสอนอะไรได้เยอะมาก 
พวกการได้ใช้เวลาว่างหรือได้เพื่อนใหม่นี่มันเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ เลย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
«ตอบ #13 เมื่อ26-11-2018 16:03:58 »

 :man1: :man1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
«ตอบ #14 เมื่อ06-01-2019 19:13:14 »

บทห้า


   บรรยากาศในห้องประชุมสำหรับเก้าชีวิตตอนนี้กำลังตึงเครียดได้ที่เลยล่ะ

   เดือนตุลาไล่มองตั้งแต่มุมซ้ายสุดของห้องไปยังฝั่งตรงข้าม มองปฏิกิริยาตอบรับที่ฉายอยู่บนใบหน้าของแต่ละคนด้วยความบันเทิงในหัวใจไม่ต่างจากพี่ปีสี่ด้านข้าง สามารถแยกประเภทออกได้เป็นสองส่วนคือกำลังปลงตกกับสถานการณ์เพราะเคยประสบมาแล้วกับคนใหม่ที่กังวลจนหน้าซีด

   มันเป็นการเรียกประชุมวิสามัญที่เร่งด่วนและกระชั้นชิดจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งการทำระเบียบการประชุมล่วงหน้าลงในกรุ๊ปเฟซและไลน์ โดยระยะเวลานับแต่ประกาศเรียกจนถึงช่วงการเข้าประชุมคือสิบห้าชั่วโมงเท่านั้น

   “ผมให้เวลาคุณอธิบายเต็มที่ เชิญเลยครับ”

   จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาอาวุธที่น่ากลัวของสัทธาคือบุคลิก ยามใจดีก็เป็นพี่ชายแสนอบอุ่นที่พึ่งพาได้เสมอ หากใจร้ายเมื่อไหร่คนที่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ตลอดคือยอดมนุษย์

   เมื่อรวมเข้ากับวาทศิลป์ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีในฐานะตัวแทนดีเบตของมหาวิทยาลัย การเลือกใช้คำและน้ำเสียงที่เหมาะเจาะลงตัวกับทุกสถานการณ์มันก็เสริมเข้าไปใหญ่ ตอนนี้หลายคนที่เคยให้ค่าผู้ชายคนนี้ต่ำกว่าเกณฑ์เกินไปคงจะรู้สึกผิดแล้ว

   ไม่มีอะไรดีกว่าการเจอของจริง

   หัวข้อในการประชุมวันนี้คือการเรียกมาซักถามสำหรับข้อขัดข้องที่ทำให้หนึ่งในองค์คณะที่ควรจะเข้าทำงานสำหรับการไกล่เกลี่ยเมื่อวานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งที่มีการแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ เมื่อวานพี่มัจเดินกลับเข้ามาตรงเวลาที่นัดหมายเอาไว้โดยแนะนำกับกลุ่มกิจกรรมทั้งสองว่ามีเดือนตุลาเป็นองค์คณะคนที่สาม

   ตอนนั้นคือต้องปัดอาการเบลอทั้งหมดที่เป็นเอฟเฟคต่อจากคำตอบของพี่ธรรมออกไปก่อน รับหน้าแบบที่ยังไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ คือเห็นหน้าพี่มัจฉ์ที่กำลังแสร้งยิ้มการค้าให้แล้วก็ขอสงบปากสงบคำไม่ทักหรือเถียงอะไรดีกว่า

   ทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้เหมือนกันหมด พี่มัจเองถ้าเป็นเรื่องงานแล้วก็เด็ดขาดไม่ต่างจากพี่ธรรม เผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะงั้นตอนที่ถึงเวลานัดหมายแล้วไม่ปรากฎตัวก็ไม่ตามให้วุ่นวาย อีกอย่างคือไม่อยากจะให้คนอื่นต้องมาเห็นตุลาการในสภาพที่แตกความสามัคคี

   เราใช้เวลาในการหาข้อสรุปไม่นานเหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ส่วนหนึ่งก็มาจากคู่เพื่อนที่แท็กทีมกันดึงเข้าหาเมนไอเดียไม่ปล่อยให้ใครได้ออกนอกทะเลเลย ยิ่งจังหวะการรับส่งที่ดูแล้วเหมือนกันเตี๊ยมกันมาเป็นเดือนนั่นแล้วถ้าเป็นใครก็อยากจะหาข้อสรุปให้เร็วที่สุดแล้วออกจากห้องนี้ไปสักที

   รวมถึงตัวเขาเองเช่นกัน

   ‘พรุ่งนี้เรียกประชุมด่วน ใครไม่มาก็ให้แม่งลาออกไปซะ’

   พอคนอื่นออกไปหมดแล้วก็ระเบิดลงตู้ม สั่งให้ประธานไปดำเนินการต่อให้เสร็จสรรพ ถามว่าบรรยากาศตอนนั้นแย่แค่ไหนก็ถึงขั้นที่ว่าถ้าพี่มัจหันมาขอกอดจากเขาก็จะยอมให้ไม่อิดออด

   เท่าที่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานมาแล้วมีไม่กี่ครั้งที่มีปัญหาเรื่ององค์คณะในการทำงานไม่ครบ (ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยมีใครอยากจะส่งเรื่องมาถึงชั้นนี้เท่าไหร่​) แล้วทั้งหมดมันมามาจากเหตุสุดวิสัยประเภทที่ว่าอาจารย์นัดส่งงานด่วน หรือไม่ก็ความไม่สะดวกส่วนตัวที่ยังพอยอมรับกันได้ การบอกล่วงหน้าทำให้เราสามารถหาตัวแทนมาทำงานได้ทันเสมอ

   แต่ถ้าจะหายไปไม่บอกกล่าวอย่างนี้ก็เกินไปหน่อย อาจคิดว่าการดื้อเงียบเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ซึ่งหากเป็นช่วงเวลาที่พี่ต้นหลิวยังดำรงตำแหน่งมันคงลอยหายไปไม่มีใครพูดถึงแล้วล่ะ

   โชคร้ายคือดันมาทำนิสัยอย่างนี้ในยุคของสัทธา

   “ท่านประธานครับ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะอธิบายถึงเหตุสุดวิสัย และเราไม่ควรจะปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้”

   พูดจากใจคือเดือนตุลาเองก็เกลียดความ ‘เป็นพิธีการ’ ของคำพูดที่ใช้มากเลยนะ ประเภทที่ต้องแนะนำชื่อของตัวเองก่อน ตามด้วยคำพูดสวยหรูที่ฟังดูแล้วขัดความรู้สึกไปหมด แต่จะทำยังไงได้ล่ะ มันถูกฝังหัวว่าเป็นพื้นที่ของผู้มีความรู้และมีมารยาททางสังคมนี่นา

   พี่มัจฉ์วันนี้เข้าโหมดโหดตั้งแต่เริ่มการประชุม เรียกได้ว่าถ้ามีช่องให้ใช้อินเนอร์เมื่อไหร่ก็พร้อมจะใส่เต็มที่ นี่ยังน้อยๆ นะ ตอนแรกสุดแกยังพูดเปรยให้คนอื่นได้ยินว่าทีงานนัดเป็นสัปดาห์มาไม่ได้ แต่นัดไม่กี่ชั่วโมงกลับโผล่หน้ามา

   แน่ใจเลยว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยากจะออกจากห้องนี้ไปสักที นึกขอบคุณเสียงเพลงดังแว่วมาจากกลุ่มกิจกรรมที่ซ้อมอยู่ชั้นล่างสุดของตึกสำหรับสิ่งเยียวยาเดียวในเวลานี้

   เหลือบตาไปมองว่าตัวละครสำคัญในฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง จากที่ตีหน้าเย่อหยิ่งดูไม่แคร์กับสิ่งใดในช่วงต้นกลายเป็นว่าเธอกำลังก้มหน้าไม่ยอมสบตา คงไม่คิดว่าจะเจอแรงกดดันขนาดนี้แหละ ยิ่งเป็นจังหวะที่ไม่มีใครคอยให้ท้ายเช่นเดียวกับที่ผ่านมาแล้วด้วย

   ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่เสียหายหากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาสิ่งบันเทิงใจอื่นทำบ้างระหว่างรอ ก็หน้าที่ของเขาในวันนี้มีเพียงแค่เข้ามานั่งในห้องนี้ให้ครบองค์ประชุมทั้งหมดแค่นั้นเองนี่นา

   “เราต้องให้โอกาสกับทุกคน ...แต่เขาจะเห็นค่าของมันหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่อง”

   และพี่ธรรมก็ทำอย่างที่พูดคือปล่อยให้เวลาเดินต่อไป จะว่าสงสารก็มีข้อแย้งว่าทำตัวเองทั้งนั้น คนที่แยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การทำงานไม่ได้เป็นอันตรายกับทุกองค์กร ยิ่งกับงานที่ต้องใช้ความยุติธรรมอย่างนี้แล้วด้วย

   การอยู่ตรงกลางไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในความเป็นจริงเราไม่สามารถยืดหยัดอยู่โดดเดี่ยวเพื่อผดุงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กฎระเบียบของการทำงานให้ส่วนรวมมีเงื่อนไขยุ่งยากที่ในบางครั้งเหมือนจะมากเรื่อง หากต้องคงอยู่ไว้เพื่อลดความคลางแคลงใจ

   ในไลน์ของเขาเพิ่งเด้งข้อความใหม่จากพี่มัจฉ์ มันก็เป็นการงอแงทั่วไปที่ไม่ต่างจากทุกทีว่าเบื่อ อยากให้จบแล้ว คือขอแค่ได้ส่งมาแต่ว่าไม่ต้องตอบกลับก็ได้ คนว่างพอกันเลยส่งกลับไปว่าสงสัยจังว่าเพราะอะไรวันนี้พี่ธรรมถึงดูใจดีผิดปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วต้องเข้าประเด็นไม่มีการให้โอกาสอย่างนี้หรอก

   แว่วเสียงหัวเราะในลำคอจากคนข้างตัว เครื่องมือสื่อสารราคาแพงถูกวางคว่ำหน้าเอาไว้กับโต๊ะเรียบร้อย พี่มัจทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ทำงานตัวนุ่ม ร่นตัวลงไปจนอยากจะดุให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ

   พอไม่มีคนคุยด้วยแล้วก็เลยต้องหาอย่างอื่นทำ ตุลมองไปยังโต๊ะตรงใหญ่ตรงกลางห้องที่มีท่านประธานคนใหม่นั่งเขียนบางสิ่งลงไปในสมุดตรงหน้าไม่มีหยุดพัก เส้นผมที่ปรกหน้าลงมาไม่น้อยทำให้ทั้งใบหน้าดูรุงรังเข้าไปอีก

   เมื่อไหร่พี่ธรรมจะยอมตัดผมสั้นนะ

   ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็ไม่เคยเห็นเปลี่ยนทรงผมกับใครเขาบ้าง ความยาวที่คงอยู่ในระดับเดิมตลอดบอกเขาว่ามันได้รับการตัดแต่งอยู่เสมอ แล้วทำไมไม่ตัดให้มันดูดีกว่านี้หน่อยก็ไม่รู้

   ‘น้องเรียนทันตะใช่ปะ ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ’

   ...

   จะว่าไปแล้วก็คิดถึงวันนั้นเหมือนกันนะ

   ในวันพบปะนักศึกษาเข้าใหม่ทั้งมหาวิทยาลัยเดือนตุลาเป็นเด็กโชคร้ายที่โดนมอเตอร์ไซด์รับจ้างโก่งค่าวินแล้วยังส่งผิดตึกอีก เขาก็เลยต้องหาทางกลับไปยังตึกของคณะทันตแพทยศาสตร์ด้วยการขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น

   มองซ้ายขวาดูแล้วประเมินในใจว่าควรจะทักคนไหนเพราะไม่อยากจะได้คำตอบกลับมาว่าก็เป็นเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเช่นกัน แล้ววินนี่ก็หูตึงขนาดไหนกัน บอกว่าทันตะมาส่งที่นิติ

   แอบประหม่าไม่น้อยเมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้น นี่ก็ทำตัวเป็นให้สมกับเป็นเด็กมหา’ลัยด้วยการไม่ยอมให้ผู้ปกครองมาส่ง แล้วเพื่อนในห้องสมัยมัธยมปลายก็มาเรียนต่อที่นี่แค่สามคน เยี่ยมมาก

   ผู้คนเดินสวนไปมาขวักไขว่สมกับเป็นคณะที่ขึ้นชื่อลำดับต้นที่มีคนสมัครมากที่สุด ดูจากภายนอกแล้วเป็นการยากที่จะประเมินว่าคนไหนเป็นเด็กใหม่แล้วคนไหนเป็นรุ่นพี่ หรือถ้าลองเดินไปตรงที่ลงทะเบียนมันจะดีกว่านะ เพราะยังไงคนตรงนั้นก็ต้องเป็นปีสองขึ้นไปอยู่แล้ว

   เลยเดินตามป้ายลูกศรที่ชี้เข้าไปข้างในตึกด้วยจังหวะการเดินที่ไม่ได้รีบเร่งอะไร ภาพของนักศึกษาในชุดไปรเวทไม่เหมือนกับที่เคยจินตนาการเอาไว้ จากด้านหน้าตึกเข้าไปถึงจุดลงทะเบียนห่างกันเพียงแค่เล็กน้อย และเมื่อเห็นนักศึกษาในชุดสตาฟแบบเดียวกันยืนรวมกลุ่มก็ได้เวลาถามออกไป

   “พี่ครับ ตึกทันตะไปทางไหนเหรอครับ”

   เลือกคนที่ดูแล้วหน้าตาเป็นมิตรที่สุด พี่ผู้ชายกับป้ายชื่อที่ห้อยคอมีปากกาเคมีเขียนคำว่า ‘ฟีน’ เอาไว้เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มทักทายเป็นอย่างแรก

   “ตึกทันตะออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายตามทางไปโรงอาหารใหญ่ได้เลยครับ แต่พี่ไม่แนะนำให้เดินไปนะ ไกล”

   “อ่า...” แต่จะให้ขึ้นวินอีกรอบเขาก็กลัวว่าคราวนี้จะไปโผล่พวกรัฐศาสตร์ไม่ก็วิศวะแทนน่ะสิ “ขอบคุณครับ”

   “ไปถูกหรือเปล่า หรือให้พี่เดินไปส่งตรงทางแยกไหม”

   “ไม่เป็นไรครับๆ ผมน่าจะไปถูกแหละ”

   เกรงใจจะตายชัก นี่พี่เขาทำงานอยู่ด้วย

   “พี่ว่าไปส่งดีกว่า”

   “ไม่ต้องครับ”

   “แป๊บเดียวเอง ...โอ๊ะ เจอเหยื่อแล้ว ธรรมมานี่หน่อย!”

   สะดุ้งเลยล่ะตอนที่พี่เขาเพิ่มระดับของเสียงกะทันหันช่วงท้าย พี่ฟีนโบกมือไปให้ใครบางคนด้านหลังของเขาจนร่างกายเผลอหันมองตามไปโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางผู้คนที่ยังคงเดินสวนกันมีผู้ชายคนหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของเขา อาจเป็นเพราะชุดนักศึกษาที่ไม่ได้ถูกระเบียบเท่าไหร่นั่น หรือว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์โดยรวมก็ไม่รู้สิ

   ใส่แว่นมีกรอบสีดำงานทั่วไป ผมยาวเลยมาตรฐานของชายไทยมากอยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวชายรุ่ยอยู่นอกกางเกงทั้งหมด ไม่รู้ว่าที่เอาเนคไทพาดเอาไว้ตรงไหล่ข้างหนึ่งนั่นเพราะยังไม่ได้ผูกหรือว่าถอดออกมาแล้ว

   “ทำไม จะใช้งานกูเหรอ”

   “ต้องไปประชาสัมพันธ์ที่คณะไหนต่อบ้างอะ”

   “สายแพทย์ หมอ ทันตะ กายภาพ”

   “งั้นฝากเอาน้องไปส่งที่ทันตะหน่อย”

   “น้อง?”

   มีการชี้มาทางเขาส่งๆ อีกต่างหาก จะบอกว่าหน้าแก่ไม่เหมือนกับเด็กเพิ่งเข้ามาใหม่หรือยังไงกัน

   “อือ น้องหลงมาผิดตึกอะ”

   “ทันตะกับนิติแม่งห่างกันคนละโยชน์เลยนะ”

   “ธรรม น้องเพิ่งมาใหม่”

   จะบอกว่าดูโง่มากเลยใช่ไหมล่ะที่หลงมาที่นี่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย พี่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างคันนั้นต่างหาก

   “เออๆ เดี๋ยวไปส่งให้”

   คือความประทับใจแรกพบมันเกือบเป็นศูนย์จนไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณในการเดินไปส่ง เดือนตุลาตั้งใจว่าเดี๋ยวถ้าพ้นจากระยะสายตาของพี่ฟีนไปแล้วจะถามเส้นทางเองอีกครั้งแล้วแยกย้ายต่างคนต่างไป พี่เขาก็ดูยุ่งๆ เหมือนมีงานต้องทำต่อด้วย

   “ทำไมมาโผล่ที่นิติได้อะ”

   ก็แปลกใจเหมือนกันที่พี่เขาเปิดประเด็นก่อน “มอไซด์มาส่งผิด ผมมารู้ตัวก็ตอนเดินเข้ามาเห็นป้ายคณะ”

   “...แม่งโกงงี้อีกล่ะ เจอฟ้องสภาแน่”

   “เจอบ่อยเหรอครับ”

   “ประจำ เล่นแง่นั่นนี่ตลอด สงสัยต้องหาเรื่องโละออกทั้งหมด”

   ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าสภาที่พี่เขาบอกหมายถึงอะไร แต่ก็คงเป็นหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับนักศึกษาล่ะมั้ง จะว่าไปแล้วคนอย่างนี้ทำงานระดับนั้นได้ด้วยเหรอ มาดไม่ให้เลยแฮะ

   “อย่างนี้ผมควรจะใช้วิธีไหนเดินทางในมหา’ลัยดี”

   “ไม่มีรถปะ จักรยานไม่ก็เดินมั้ง รถบริการฟรีในม. ก็มีแหละแต่อย่าไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนนั่นเลย”

   “งั้นจักรยานน่าจะโอเคสุดสินะครับ” เขาไม่มีทางเดินได้แน่ จากหอที่อยู่ด้านนอกรั้วกว่าจะถึงนี่เป็นลมตายกลางทางไปก่อนแหง “พี่ไปทำอะไรที่ตึกแพทย์เหรอ”

   ถึงจะไม่มีความประทับใจแรกพบ ก็ใช่ว่าจะไม่คุยกันเลย ตุลไม่รู้ว่าทางคนเดินเส้นนี้มีความยาวขนาดไหน เพราะงั้นแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือหาเรื่องคุยไปเรื่อยให้ไม่มีช่วงเวลาเดตแอร์จนน่าอึดอัดเกินไป

   “แนะนำตัวให้คนเป็นร้อยๆ ฟัง ไม่มีถามสักคำว่าอยากให้รู้จักไหม”

   “อ่า...ครับ”

   “เดี๋ยวเดินไปทางซ้ายนะ แล้วตึกแรกที่เจอนั่นแหละทันตะ พี่ไปก่อนล่ะ”

   ทั้งประโยคนั่นถึงห้าวินาทีหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ พี่ที่ชื่อว่าธรรมโบกมือลาพลางเดินแยกไปทางขวาที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าตึกของคณะแพทยศาสตร์ ส่วนตัวเขาเองก็เดินในอัตราเร็วเท่าเดิมไม่ได้เร่งเพิ่มเพราะยังไงก็สายไปแล้ว จะเร็วหรือช้ามันก็ไม่ได้มีผลกับชีวิตเท่าไหร่

   เก็บอาการหน่ายใจทั้งหมดให้อยู่ใต้ใบหน้าไม่รับแขก เดินไปนั่งต่อท้ายแถวของเด็กปีหนึ่งที่มีประมาณห้าสิบชีวิต ตอนนี้ตรงหน้าห้องมีรุ่นพี่ปีห้าและหกสามคนกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอในช่วงแรกของการเรียนให้ฟังอยู่ เดือนตุลาปล่อยให้เสียงพวกนั้นเดินทางมาถึงแต่ไม่เก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ มีแต่เรื่องน่าเบื่อทั้งนั้น

   เขาไม่ได้มีคณะที่อยากเรียนจนถึงขั้นยอมแลกทุกอย่างเพื่อได้มันมาไว้ในครอบครอง พ่อแม่ปล่อยให้เรียนอะไรก็ได้ตามใจอีก ก็เลยจบที่ว่าสอบตามเพื่อนจนมาติดคณะทันตแพทยศาสตร์นี่แหละ

   ไม่ได้มองภาพชีวิตของตัวเองต่อจากนี้อีกหกปีเอาไว้เลยแม้แต่น้อย คิดว่าน่าจะวนเวียนอยู่กับการเรียนและขึ้นวอร์ดอะไรทำนองนั้น น่าเบื่อไม่ต่างจากชีวิตสมัยมัธยมปลายที่เรียนที่โรงเรียนตอนเช้าและติวเพิ่มเติมตอนเย็น

   “ต่อไปจะเป็นการแนะนำตัวสามเสาทำงานหลัก ตัวแทนของนักศึกษาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยนะคะ”

   แปลกใจตั้งแต่ชื่อเรียก ‘สามเสา’ แล้วล่ะ เขาชันเข่าขึ้นมาเพื่อให้ร่างกายได้มีการขยับบ้าง มองนักศึกษาในชุดพิธีการถูกระเบียบยืนเรียงกันเป็นแผงมีเว้นช่องว่างเอาไว้สองแห่งเพื่อให้ง่ายต่อการแยกทั้งสามส่วน ฟังเอ็มซีประจำคณะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าแต่ละส่วนมีชื่อเรียกแตกต่างกันอย่างไรบ้างง

   ยังพอมีความรู้วิชาสังคมศึกษาหลงเหลืออยู่บ้างเลยเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงเรียกว่าสามเสา ก็เป็นการเลียนแบบการแบ่งอำนาจทั้งสามส่วน กลุ่มที่พูดจบไปแล้วคือฝ่ายบริหารหรือองค์การนักศึกษา ตอนนี้เป็นคิวของสภา อันนี้ล่ะมั้งที่พี่ธรรมบอกว่าจะเอาเรื่องรถรับจ้างไปฟ้อง ส่วนสุดท้ายก็...

   “สวัสดีครับ สัทธาจากคณะนิติศาสตร์ ตุลาการนักศึกษาประจำปีนี้ครับ”

   เสียงที่เพิ่งได้ยินมาไม่นานเรียกให้สติกลับเข้าร่างทั้งหมด ตุลมองตรงไปยังผู้ชายคนเดียวที่กำลังครอบครองไมค์อยู่ในเวลานี้ เสื้อผ้าที่เคยอยู่ในสภาพหลุดรุ่ยก่อนหน้าถูกจัดจนเรียบร้อยไม่ต่างจากเส้นผมยาวที่มัดรวบเอาไว้ด้านหลัง พี่ธรรมหรือสัทธาอธิบายหน้าที่และการทำงานในภาพรวมโดยไม่รู้เลยว่ามีหนึ่งสายตากำลังจับจ้องทุกอิริยาบท

   ตลกดีที่ตั้งใจฟังทุกคำ ไม่มีส่วนไหนหลุดออกไปจนคิดว่าตัวเองเข้าใจระบบการทำงาน การเลือก และวิธีการร้องเรียนเมื่อเจอปัญหาไม่คาดฝันเรียบร้อย ไม่เคยคิดว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีกลุ่มทำงานของนักศึกษาที่ตั้งขึ้นมาสำหรับตัดสินข้อพิพาทเลยแฮะ

   ประหลาดดี

   “เบื้องต้นก็เท่านี้...ขอบคุณครับ”

   อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเลยล่ะตอนที่พี่เขาจบประโยคสุดท้ายแล้วยิ้มให้ จะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ได้แต่ว่าจุดที่พี่เขากำลังมองตรงมาคือท้ายห้องแน่ๆ

   ...

   สะบัดหัวไล่ภาพเก่าที่ค้างอยู่ในความทรงจำออกไปให้หมดเมื่อไมค์หน้าห้องถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง ผู้ถูกกล่าวหาในความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตุลาการนักศึกษายังคงปิดปากเอาไว้สนิทไม่แก้ต่างให้ตัวเอง พี่ธรรมโน้มตัวเข้าไปหาเครื่องช่วยกระจายเสียงแล้วเอ่ยปากแจ้งว่าหมดเวลาการอธิบาย

   “ผมว่ามันนานเกินไปแล้วล่ะ”

   “...”

   “ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่บังคับ”

   “...”

   “เอาเป็นว่าขอเริ่มดำเนินการถอดถอนต่อไปเลยแล้วกัน”

   หนึ่งเรื่องตลกที่เกิดขึ้นคือบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดควรชักนำทุกคนเข้าไปสู่ความตึงเครียด หากเดือนตุลาเกือบหลุดหัวเราะหยันให้ตัวเองเสียอย่างนั้น

   เพิ่งยอมรับว่าต่อให้สถานการณ์ตรงหน้าจะต่างกันแค่ไหน

   สายตาของเขาก็ไม่เคยละไปจากผู้ชายคนนั้นได้เลย


 
   “ถอดไม่ถอด”

   “ถอด จะเหลือเหรอ”

   “ไหนโชว์หน่อยว่าถอดหมดไหม”

   “ไม่ตลกอะ”

   คนที่เพิ่งเล่นมุกไม่ฮายกไหล่ขึ้น “ไม่อยากให้เพื่อนเครียดไง”

   “ก็ไม่ได้เครียดนะ”

   เดือนตุลาวางโทรศัพท์ที่ยังค้างเอาไว้ตรงหน้าร่างประกาศปลดตุลาการนักศึกษารายที่สองในรอบไม่ถึงหนึ่งเดือนไว้บนโต๊ะตัวเล็ก เงยหน้าขึ้นมาหาเพื่อนสนิทในคณะที่มาพร้อมกับเอกสารเป็นตั้ง เรียนอย่างเดียวไม่ชอบ หาเรื่องไปทำกิจกรรมนั่นนี่ได้ตลอดเวลาล่ะคนนี้

   “สบายใจกว่าเดิมด้วย”

   กฎระเบียบเรื่องการลงมติถอดถอนตุลาการนักศึกษามีช่องว่างค่อนข้างมาก แต่มันไม่ได้ใช้บ่อยนักเพราะ ‘ความเชื่อ’ ที่ว่าหากทำเมื่อไหร่มันคือการแสดงให้คนภายนอกเห็นถึงปัญหาภายในองค์กร บวกเข้ากับความเห็นที่ไม่ลงรอยกันมากนักในแต่ละรุ่นมันก็เลยถูกใช้งานนับครั้งได้

   “ก็คนโง่หายไปตั้งสองคนนี่”

   “เนี่ย ปากร้ายอีกล่ะปลาย” แค่เปรยแต่ไม่แก้ไขคำ “มีคนออกก็ต้องหาคนเข้า เหนื่อยต่ออีก”

   “น่าจะยกยอดเป็นปีหน้าไปเลยมั้ง ไม่น่าจะมีใครได้บัตรฟาสต์แทร็กเหมือนพี่ธรรมแล้ว”

   “ล่ะนี่เรียกมาใช้แรงงานทำอะไร”

   วันหยุดที่ควรจะได้นอนตื่นสายหลังจากดูหนังโต้รุ่งกลายเป็นว่าต้องลากร่างโทรมๆ ออกมาหาเพื่อนที่ใต้หอใน ปลายเจตน์เรียกเขามาช่วยเรียบเรียงเอกสารสำหรับงานแข่งขันทางกฎหมายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

   “คัดแยกเอกสารตอบรับคนเข้างานตอนเช้า แล้วก็รวมรายชื่อคนแข่งลงเอ็กซ์เซล”

   “ของรอบไหน”

   “รอบภายใน”

   การแข่งขันแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือเด็กมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัย ส่วนที่เพื่อนของเขาได้รับหน้าที่มาคือมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีความยากกว่าเป็นสองเท่าเพราะต้องจัดการแข่งขันภายในคณะเองหนึ่งรอบก่อนที่จะจัดแข่งระหว่างสถาบันการศึกษาอีกรอบ

   ปีที่แล้วเขาช่วยทำงานในฝ่ายมัธยมมา ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือพวกกลุ่มอาจารย์ที่พาเด็กมาแข่ง ที่เหลือไม่มีอะไรเป็นจุดที่ทำให้ปวดประสาทจนอยากจะอัดยา ไม่ถึงกับไม่ชอบแต่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรกว่าจะไม่ทำต่อแล้ว ไหงต้องกลับมารับผิดชอบในส่วนที่ใหญ่กว่าเดิมก็ไม่รู้

   “ปีนี้มีใครเป็นตัวเต็งบ้าง”

   “ไม่รู้เหมือนกัน นี่เปิดฟอร์มครั้งแรก”

   พยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มงานในส่วนของตัวเอง เอกสารตอบรับจำนวนหนึ่งถูกแสกนเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยว่ากรอกข้อมูลมาครบหรือไม่ เพราะเป็นกิจกรรมใหญ่ที่มีการเปิดงานลำดับต้นในตอนเช้าเลยมีแขกจากภายนอกเข้ามาจากหลายภาคส่วน เขาต้องช่วยลิสต์ว่าจะมีใครบ้าง

   เพื่อไม่ให้มันเงียบจนเกินไป ปลายเจตน์จึงเปิดเพลงจากแอปพลิเคชันสตรีมหนึ่งไปด้วย เพลงฮิตห้าสิบลำดับแรกบนบิลบอร์ดสากลผลัดกันเล่นโดยไม่เรียงลำดับ มีเสียงประกอบเป็นการพากษ์ให้ฟังว่ามีใครบ้างที่ลงแข่ง ชื่อทีมสร้างสรรค์จนเขาตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็อยากจะลงแข่งพร้อมกับชื่อทีมเท่ๆ บ้าง

   “เหี้ยอะไรของพวกพี่เขาวะ บาบาเรียนหนึ่ง บาบาเรียนสอง บาบาเรียนสาม ...เชี่ยเอ๊ย พวกคนป่าลงกันสี่ทีมเลยอะ”

   ก็ว่าแล้ว ชื่อทีมที่ดูประหลาดอย่างนี้ไม่น่าจะมีใครตั้ง ดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้ฉายาของตัวเองดีนี่นา

   “แล้วคิดว่าเบอร์ไหนจะชนะ”

   ถึงพี่หลายคนจะเก่งลำดับต้นของรุ่น แต่เหมือนว่าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจแต่สายปกครองเกือบหมด การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการรวมความรู้ของทั้งสี่ชั้นปีเข้าไว้ด้วยกัน นั่นหมายความว่ายังมีอีกหลายภาควิชาที่รอให้ไปเจอ

   “ไม่ชัวร์เลยวะ เหมือนพี่เขาสุ่มกันจับคู่ แต่นี่มีพวกมูธคอร์ตลงด้วย”

   “โห สงคราม”

   “อาจมีพวกม้ามืดก็ ...ไอ้เหี้ย”

   จากที่เห็นเพื่อนเลื่อนสกอร์บาร์ขึ้นลงก็กลายเป็นหยุดมือไปเสียอย่างนั้น ปลายเจตน์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอจนน่ากลัวจะตาบอด นัยน์ตาหรี่ลงคล้ายว่าไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฎอยู่

   “เจอม้ามืดแล้วเหรอ”

   “กูท้าพนันหมดหน้าตักอะว่าทีมนี้ชนะ”

   ความสงสัยปรากฎชัดบนใบหน้า เพื่อนที่ทำลากมาทำงานก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ด้วยการหมุนโน้ตบุ๊กตรงหน้าตัวเองมาให้

   “ทีมที่สิบเจ็ด”

   ไล่ตามเลขด้านหน้าจนเจอตามที่ชี้นำ สองช่องแรกจะเป็นชื่อและนามสกุลของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคน

   สัทธา

   ทิชากร

   อดเม้มปากแน่นไม่ได้ เขาพยายามบังคับใบหน้าให้ดูไม่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ได้เพิ่งได้รับรู้ เคลื่อนขยับสายตาไปทางตารางขวามือช่องถัดไปซึ่งระบุชื่อทีมเอาไว้

   “...”

   “แค่ชื่อทีมก็กินขาดแล้ว”

   มิอาจก้าวล่วง


***
   นี่ยิ่งกว่านิยายรายเดือนอีกเนอะคะ (หัวเราะ) กว่าจะแต่งตอนนี้จบได้ก็เหนื่อยใช่เล่นค่ะ เหมือนต้องรื้ออะไรหลายอย่างมากเลยค่ะ แล้วก็พิมพ์ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ อีก...
   เจ้ามีความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ค่ะ (เก็บกดจนต้องหาที่ลงนั่นเอง) ดีใจที่มีคนหัวอกเดียวกันเป็นนักอ่านนะคะ (ฮา) อีกส่วนก็แอบเสียใจที่กว่าจะได้เขียนจริงๆ ความรู้สึกในตอนนั้นมันก็เลือนไปเยอะแล้ว เลยต้องบอกไว้ว่ามันอาจจะดูตึงเพราะความเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มหน่อยๆ แต่จะไม่ให้มันกลายเป็นบทความวิชาการแน่นอนค่ะ (หัวเราะ)

    #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
«ตอบ #15 เมื่อ06-01-2019 21:09:48 »

ขอบคุณนะคะคุณเจ้าถึงจะรายเดือนราย2เดือนหรือมากกว่าก็รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
«ตอบ #16 เมื่อ27-01-2019 09:55:48 »

แง ติดใจความลึกลับของพี่ธรรม รอนะคะ :katai5:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
«ตอบ #17 เมื่อ27-01-2019 17:00:23 »

มีความหลังกันละสิ ทำไมพี่ดูใจร้ายกับน้องจัง  :katai4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
«ตอบ #18 เมื่อ21-02-2019 20:12:08 »

บทหก


   มีเดียเพลย์เป็นเรื่องน่ากลัว

   โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้ถึง ‘เบื้องหลัง’ ของมัน

   เดือนตุลารู้ตัวเลยว่านอนไม่ค่อยหลับมาเข้าคืนที่สามแล้ว และคืนนี้ก็น่าจะต่อเนื่องเป็นคืนที่สี่แบบที่ไม่มีทางไหนจะช่วยเยียวยาได้

   ปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการแสกนลายนิ้วมือ ตั้งใจจะเข้าไปอัปเดตข่าวสารตามความเคยชินในแอปเฟซบุ๊ก หากเมื่อหน้าแรกของไทมไลน์ปรากฎขึ้นมาเขาก็รีบปิดแทบไม่ทัน

   เกือบลืมไปเลยว่าไม่ควรเข้า...

   ถอนหายใจออกมาอีกครั้งกับหน้าจอสีดำสนิท ใต้ความมืดนั้นยังมีข้อความแรกที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อสักครู่แทรกเข้ามาเป็นระยะจนทำได้เพียงแค่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าหนีไม่พ้นก็จงยอมรับมันเสีย

   ‘ข่าวลือ’ เริ่มต้นด้วยหนึ่งสเตตัสตัดพ้อจากอดีตตุลาการนักศึกษาที่ถูกปลดออกคนล่าสุด การช่วงชิงจังหวะในการเป็นคนแรกรวดเร็วจนคนทำเอกสารอย่างเขาเองก็ยังตามไม่ทัน ตามจริงแล้วประกาศถูกตั้งเวลาให้โพสต์ในเช้าวันถัดไป และมันก็กลายเป็นการเผยแพร่ตามหลังเสียอย่างนั้น

   การแชร์ถูกกระจายออกไปในวงที่ไม่กว้างมากนักในคราวแรก หากหลังจากที่ประกาศออกมาแล้วมันถูกเพจแนวจอมแฉของนักศึกษาบางกลุ่มส่งต่อจนกลายเป็นท็อปปิคร้อนแรงไปเสียได้

   ก็เล่นปลดตุลาการสองคนในเวลาไม่ถึงเดือน โคตรจะผิดปกติ

   “...พรุ่งนี้คลาสบ่ายเรียนกับใคร”

   ทวนข้อความล่าสุดจากการแจ้งเตือนด้านบนของปลายเจตน์ในแชตสีเขียวแล้วก็ต้องกลับมานึกอีกครั้งในเวลาบ่ายโมงของวันถัดไปคือวิชาอะไร เขาไม่ค่อยเข้าใจระบบการแบ่งคาบสอนของอาจารย์บางกลุ่มเท่าไหร่ แบบว่าสลับกันมาสอนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แล้วสุดท้ายก็จำวันผิด

   ด้วยความที่ไม่แน่ใจเหมือนกันก็เลยตอบไปตามที่ตัวเองเข้าใจว่าควรเป็นของอาจารย์ท่านไหน ตบท้ายว่าเพื่อความแน่ใจให้เพื่อนลองไปถามคนอื่นแล้วเอาข้อมูลชุดล่าสุดกลับมาบอกอีกรอบ

   พอกดส่งไปแล้วก็กลับมาคิดมากเรื่องเดิมอีกครั้ง เขาเลิกสนใจไปแล้วว่าการถอนหายใจออกมาอย่างนี้มันจะทำให้สุขภาพจิตเสียไปเท่าไหร่ ตอนนี้มันไม่มีทางระบายที่ดีมากกว่านี้แล้วนี่นา

   ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่คนอื่นถึงไม่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับมันเลยสักนิด โดยเฉพาะกับประธานคนใหม่ที่เหมือนว่าจะกลายเป็นตัวละครหลักในบทละครภาคนี้ไปแล้ว ความแคลงใจในเรื่องของช่วงระยะเวลาการคัดเลือกถูกนำมาวิจารณ์โดยบุคคลที่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามันมีองค์การนี้อยู่ด้วย และมันก็กลายเป็นเรื่องของความคิดเห็นส่วนตัวมากกว่าเรื่องของระเบียบข้อบังคับ

   ตลกดีที่คนในเงียบ

   ส่วนคนนอกกลับร้องแรกแหกกระเชอ

   นอกจากเรื่องของความเร็วแล้วมันยังมีเรื่องจาก ‘ข้างใน’ ว่าพี่ธรรมไม่ถูกชะตากับพี่ต้นหลิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอมีอำนาจก็เลยใช้มันแบบผิดวัตถุประสงค์ไปมากอยู่ แล้วรุ่นน้องคนนี้ก็โดนลูกหลงไปด้วยทั้งที่ไม่มีเอี่ยว เหมือนกับเข้ามากวาดออกให้เกลี้ยงทำนองนั้น

   จะปฏิเสธก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่สองคนนั้นไม่ถูกกันจริง จะอธิบายว่ามันไม่ได้เริ่มจากการเกลียดขี้หน้าไร้สาเหตุแต่มันมีจุดเริ่มจากความไม่ลงรอยกันเรื่องทัศนคติการทำงานคงไม่มีใครฟัง ต้องเป็นคนที่เคยทำงานกับทั้งสองคนมาก่อนเท่านั้นล่ะมั้งที่รู้ซึ้ง

   “อะ เสนอหน้ากันเข้าไป....”

   พอทำใจกลับมาเลื่อนไทม์ไลน์อีกครั้งก็ได้เห็นสเตตัสจากบุคคลที่ไม่น่าพึงประสงค์ เป็นพวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแต่ว่ายังทำตัวมีบทบาทอยูในฝั่งองค์การนักศึกษา เคยรับแอดตั้งแต่สมัยเข้าเรียนใหม่ๆ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตรรกะส่วนตัวจะป่วยได้เท่านี้ ที่ยังเก็บเอาไว้ก็เผื่อเป็นความบันเทิงในวันที่เบื่อโลก

   คนบางคนก็พยายามหาซีนได้ตลอด

   มันเป็นการจับแพะชนแกะโดยแท้จริง เคลมประวัติการทำงานของตัวเองว่ามันได้รับการแก้ไขอย่างไรโดยที่ลืมจุดสำคัญว่าบทบาทหน้าที่ของสองเสานี้แตกต่างกันโดยชิ้นเชิง อยากจะบอกว่าเชิญคุณพี่เครียดเรื่องสืบทอดอำนาจข้างในต่อไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับคนอื่นเลย

   เตือนสติอีกครั้งว่าอย่าทำอะไรให้สุขภาพจิตเสียไปมากกว่านี้ โยนเครื่องมือสื่อสารเอาไว้ในรัศมีที่มือเอื้อมถึงแล้วเปลี่ยนไปเหม่อมองเพดานแทน

   ไม่เข้าใจเลย...

   สัทธาไม่มีรีแอคชันใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อช่องทางไหนมันก็ยังคงว่างเปล่าไร้การแจ้งเตือน บอกไม่ได้ว่ามันคือการรับมือประเภทหนึ่งหรือว่าเป็นการเมินไม่ให้ค่าและความสำคัญสักนิด

   ส่วนตัวมีนโยบายไม่อัปเดตสเตตัสใดหรือว่าจะแชร์สักโพสต์จะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญระดับสูงสุด เป็นพวกที่เหมือนไม่มีตัวตนแต่ยังคงตามติดความเป็นไปตลอด

   เพราะอย่างั้นไม่ต้องหวังเรื่องที่เขาจะอัปสเตตัสแก้ไขหรือว่าซ้ำเติมอะไรทั้งนั้น มันก็กึ่งธรรมเนียมปฎิบัติของคนทำงานฝั่งนี้ด้วยแหละ พูดให้น้อยแล้วปล่อยให้การกระทำแสดงออกแทน หากใครอยากจะเป็นตัวของตัวเองก็ไม่ได้ห้าม รับผิดชอบผลที่จะตามมาให้ได้ก็พอ

   คิดไปไกลจนถึงขั้นว่าอยากเสนอให้ที่ประชุมออกข้อชี้แจงหรือว่าแถลงการณ์อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พอนึกหน้าของหกชีวิตที่เหลือแล้วก็ปลอบใจว่าอย่าทำอะไรที่เหนื่อยเปล่าเลย

   ภาพด้านบนเป็นปูนทาสีขาวที่มีร่องรอยความเก่าตามเวลา ไหนใครบอกว่าเพิ่งสร้างมาได้แค่สามสี่ปีทำไมถึงโทรมได้เท่านี้ก็ไม่รู้ โฟกัสของสายตาชัดบ้างเบลอบ้างตามเรื่องราวที่อยู่ในห้วงความคิด ตัวตนฟากหนึ่งก็ให้คำปลอบว่ามันเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมที่มนุษย์ตัวเล็กอย่างเขาทำอะไรไม่ได้ ส่วนอีกฝั่งก็ตั้งคำถามย้ำว่าแล้วถ้าไม่ใช่เดือนตุลาใครจะเป็นคนประคองมันได้ดีกว่า

   คิดไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ก็ถ้าพี่ธรรมไม่สนใจเขาก็คงทำได้แค่ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา ปัดมือสะเปะสะปะหาสิ่งที่เพิ่งโยนไปให้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง เช็กในไลน์อย่างแรกว่าปลายเจตน์ไปเช็กความถูกต้องของตารางการสอนมาแล้วหรือยัง

   ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าไม่ค่อยมีเพื่อนที่คุยกันจริงจังเท่าไหร่ ห้องแชตที่อยู่ส่วนล่างของหน้าแรกนั้นเป็นกรุ๊ปสำหรับตุลาการนักศึกษาในรุ่นนี้ ตัวเลขในวงเล็บที่เหลือเพียงเจ็ดจากที่ควรจะเป็นเก้าย้ำว่าเรื่องทั้งหมดมันยังคงต้องดำเนินต่อไป

   กดเข้าไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ข้อความส่วนท้ายติดกับช่องว่างสำหรับการพิมพ์ตอบคือการแจ้งว่ามีคนได้ออกจากกลุ่มไปแล้ว ก็อยากจะบอกว่าออกไปดีๆ ไม่ต้องหาเรื่องทิ้งท้ายก็ได้

   เขาถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง

   เดือนตุลาเพิ่งรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าการสื่อสารก็วันนี้เอง
 


   อะไรคือการโทรมานัดให้มาหาที่ห้องทำงานในวันที่ไม่ได้เป็นเวรดูแล ไม่ยอมบอกรายละเอียดแล้วก็ยังไม่เห็นเริ่มทำอะไรสักทีนอกจากนั่งไขว่ห้างเล่นเกมอยู่ตรงโซฟาตั้งแต่เข้ามา

   “สรุปแล้วพี่มัจจะให้ผมทำอะไรครับ?”

   “เฝ้าพี่เล่นเกม”

   “พี่ มัจ”

   “ทำไมชอบดุอะ เดี๋ยวชนะเกมนี้จะไปบิ๊กคลีนนิ่งแล้ว”

   “บิ๊กคลีนนิ่ง? เรามีแม่บ้านนะครับ?”

   คิดเอาเองว่ามหาวิทยาลัยคงไม่ไว้ใจเรื่องความสะอาดสักเท่าไหร่ก็เลยมีกฎระเบียบเอาไว้ชัดเจนว่าในหนึ่งสัปดาห์จะมีแม่บ้านผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดูแล ถ้ากลัวเรื่องข้อมูลเอกสารทั้งหลายก็เก็บให้เรียบร้อยหรือไม่ก็จัดเวรยามเอาเอง แต่จะไม่มีห้ามไม่ให้เข้าไปทำความสะอาดเด็ดขาด

   ไม่รู้ว่ากลุ่มอื่นเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับข้อนี้หรือเปล่า เท่าที่รู้คือยังไม่เคยมีใครฟ้องร้องเรื่องนี้ ส่วนห้องตุลาการน่ะแทบไม่มีปัญหาเพราะว่าพี่มัจเจ้ากี้เจ้าการจนห้องอยู่ในระเบียบเสมอ ก็ถ้าไม่เรียบร้อยแล้วเกิดมีการปนกันของเอกสารขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

   “หมายถึงห้องนู้นอะ” บุ้ยปากไปทางฉากกั้นที่ทำจากโครงไม้งานชั่วคราว ป้ายด้านหน้าแขวนชื่อเจ้าของห้องเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ “เคยคุยกับธรรมมันมานานล่ะ ยกเอาโต๊ะเก้าอี้อะไรออกมาให้หมดเลย”

   ในห้องนี้แบ่งออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอพื้นที่รับแขกอยู่ทางซ้าย มองตรงไปจะเป็นโต๊ะส่วนกลางหลายตัวที่ไม่ได้มีการระบุเจ้าของเอาไว้ชัด อยู่ที่ว่าใครจะครอบครองปกปักษ์ ที่ติดกับกำแพงด้านขวาคืออุปกรณ์เครื่องมืออย่างคอมพิวเตอร์แล้วก็ปรินท์เตอร์ ในสุดเป็นห้องที่กั้นพื้นที่เอาไว้สำหรับประธานตุลาการคนเดียว

   “เอาออก?”

   “อือ รำคาญห้องแยก หรือว่าสั่งรื้อเลยดี?”

   ท้อใจกับยิ้มหวานของคนตรงหน้าชะมัด “พวกพี่อยู่อีกแค่ไม่กี่เดือนเองนะครับ...”

   ทำตัวอย่างกับเป็นพวกผอ. ที่พอย้ายมาโรงเรียนใหม่ก็ต้องปรับปรุงนู่นนั่นนี่ที่ดูแล้วไม่มีประโยชน์เกือบทั้งหมด อย่างทาสีใหม่หรือไม่ก็เปลี่ยนชื่อตึก คือถ้ามันไม่ได้มีผลต่อการเรียนของเด็กก็ไม่ต้องริเริ่มอะไรมากมายก็ได้

   “แล้วไงล่ะ แล้วพวกพี่จะเปลี่ยนไม่ได้เหรอ”

   ประโยคง่ายในโทนการเล่าสบายๆ มาพร้อมกับการลุกขึ้นยืดตัว ความเคารพในตัวรุ่นพี่ตรงหน้ามันก็สั่งให้ปิดปากเงียบเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที

   ถึงจะบ่นอย่างนั้นอย่างนี้ล้านแปด เดือนตุลาก็กล้าพูดว่าการได้เจอกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่ามัจฉ์เป็นโชคดีลำดับต้นสำหรับชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัย คนที่ไม่ได้ทำตัวเป็นครูผู้รู้ไปหมดทุกอย่าง แค่เป็นตัวของตัวเองที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ เท่านั้นก็มากเกินพอแล้ว

   “มันจะดีหรือไม่ดีไม่มีใครบอกได้หรอก แต่อย่างน้อยถ้าเราก็ได้ลงมือทำนะ”

   “มันก็จริงครับ”

   “ถ้าหลังจากนี้น้องตุลเห็นว่ามันไม่ดีก็แค่หาทางอื่น แต่อย่าจมกับที่เลย”

   “พูดเหมือนว่าผมจะทำต่ออย่างนั้นแหละครับ”

   “เอ๋?” เสียงสูงอย่างนั้นแสดงว่ากำลังประหลาดใจจริงอยู่หรือเปล่า “นี่พูดจริงพูดเล่น”

   โคลงหัวยามเห็นว่าอีกคนเดินไปเปิดประตูห้องประธานหน้าตาเฉย “ก็คิดๆ อยู่ครับ”

   “เพราะอะไรอะ เหนื่อยใจกับคนโง่ไม่ไหวแล้วเหรอ”

   ได้ยินเสียงของพี่มัจดังเบาเป็นช่วงตามกฎการเดินทางของเสียงผ่านกำแพงกั้น เขาเลยเดินตามไปพิงอยู่ตรงขอบประตูเพื่อเป็นการสังเกตการณ์ไปในตัว

   “ก็ใช่ แต่อย่างอื่นก็ด้วยครับ”

   “อย่างอื่นที่ว่ารวมธรรมด้วยล่ะสิ”

   “ไม่ครับ”

   ตั้งโปรแกรมเอาไว้แล้วว่าถ้าพูดชื่อนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ มันก็เป็นแค่ความหวังลมแล้งที่ค่อยกล่อมบอกว่าตนเองจะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อต่อกรกับความเฉยชาไร้ความห่วงหาอาทรนั่น

   หัวเราะหยันมาก่อนเอ่ยปาก “ไม่เชื่อหรอกนะ”

   “ก็เอาที่พี่มัจฉ์สบายใจเลย”

   มองไปรอบห้องที่มีร่องรอยของความไม่ใส่ใจกระจายตัวอยู่ทั่วไป อยู่มาเข้าปีที่สามแต่ถ้าให้นับจริงแล้วเหยียบเข้ามาข้างในนี้นับครั้งได้ ตัวประธานสองคนก่อนพี่ต้นหลิวคล้ายกันตรงที่เป็นสายวิชาการจ๋า ขังตัวอยู่ในห้องเสมอจนไม่มีใครอยากเข้าไปหา

   เสียงวัตถุต่างชนิดกระทบพื้นไม่เป็นจังหวะดังต่อจากนั้นอีกพักใหญ่ ก็เล่นกวาดเอาของที่ดูไร้ประโยชน์บนโต๊ะทำงานกับชั้นวางที่อยู่ติดกันลงมาไม่มีความเกรงใจอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวถ้าห้องข้างล่างขึ้นมาร้องเรียนแล้วจะบ่นให้

   ทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการเดินไปหยิบถุงดำขนาดใหญ่มาเตรียมเอาไว้ แค่คิดว่าจะต้องแบกขยะพวกนี้จากชั้นสี่ลงไปชั้นหนึ่งก็เหนื่อยแล้ว

   “บาย” พวกชั้นวางเอกสารทำจากกระดาษแข็งอัดเป็นทรงแสนโทรมเป็นของชิ้นสุดท้ายที่ถูกโยนทิ้ง อ้อ ต้องใช้คำว่าเกือบเพราะท้ายสุดของแท้คือป้ายไม้สามเหลี่ยมพลาสติดที่มีชื่อนามสกุลจริงของพี่ต้นหลิวติดอยู่ คนเราควรจะรู้จักการรักษาของหน่อยไหมล่ะ “เหนื่อยแล้วอะ ทำไมป่านนี้ธรรมยังไม่มาอีก”

   หน้าตึงขึ้นไปหนึ่งระดับเมื่อได้รับรู้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง รู้สึกกลัวการเผชิญหน้าทั้งที่มันยังไม่เกิดผิดกับตัวตนที่ใครต่างบอกว่าใจเด็ดแค่ไหน

   “พี่แค่โยนของมากองที่พื้นเองนะ มันเหนื่อยตรงไหน”

   “อือ แค่นี้ก็เหนื่อยล่ะ ไว้ค่อยมาทำต่อ”

   “พี่มัจครับ” เรียกชื่อเสียงแข็ง

   เสียเวลาแล้วยังต้องมาเสียอารมณ์อีก ข่าวที่ยังไม่เคลียร์แถมยังเหมือนจะลุกลามนั่นยังตกค้างอยู่ข้างในความคิดไม่มีวี่แววว่าจะหายไปในเร็ววัน ปลายเองก็บอกอ้อมๆ ว่าช่วงนี้ถ้าไม่อยากหัวร้อนก็แนะนำให้หลีกออกจากโซเชียลสักพัก แล้วเขาทำได้ที่ไหนกัน

   การส่งต่อของชุดข้อมูลที่ไม่ได้รับการกรองหรือรับรองแพร่กระจายทั่ว มีทั้งส่วนที่ถูกต้องและบิดเบือนผสมกันไป ตอนนี้ในสายตาของใครหลายคนตุลาการนักศึกษาไม่ต่างจากเด็กชั้นมัธยมต้นที่แก่งแย่งความเป็นใหญ่ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

   ก็ไม่กล้าบอกว่าเรื่องมันจะดีกว่านี้ถ้าพี่ธรรมหรือใครสักคนออกโรงมาปกป้อง มันอาจจะกลายเป็นการแก้ต่างที่น่าพึงพอใจหรือกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ลุกลามก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรที่ไม่มีเสียงและอาจตีความได้หลายทาง ลองเลือกผิดแค่คำเดียวก็ตายกันมานักต่อนัก

   ตอนนี้มีเพจที่ปวารณาตัวเป็นศัตรูแล้วหนึ่งเพจ เอาเรื่องที่หลายคนแชร์มารวมไว้เป็นที่เดียวกันจากนั้นก็สร้างข้อสรุปที่ไม่ได้ตั้งอยู่บทสมมตฐานที่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

   “ไม่เอาอย่าทำหน้ายุ่งอย่างนั้นสิ” ใครก็ตามที่เจอรอยยิ้มอย่างนั้นแล้วยังตึงได้อยู่ก็ประหลาดเต็มทน “เครียดใช่ไหม เรื่องธรรมอะ”

   กลั้นหายใจไปชั่วขณะก่อนผ่อนมันออกมา เก็บมันเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ “ไม่ให้เครียดได้ยังไง”

   “เนี่ย หน้าจะแก่ก่อนวัยเพราะอย่างนี้”

   “บางคนเขาบอกว่าที่ปลดออกเพราะพี่ธรรมเกลียดพี่ต้นหลิวจนพาลใส่คนอื่นด้วยซ้ำ”

   “ถ้าคนเรามันคิดได้แค่นั้นก็ปล่อยไป” พี่มัจปัดฝุ่นที่เปื้อนมือออก ก้าวขายาวกว่าปกติในการข้ามกองของไม่ใช้แล้วพวกนั้นออกมาทางประตู กดปิดสวิชท์ไฟเป็นการจบการทำงานในวันนี้

   “หิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
 


   “รู้ปะว่ามหาลัยเรามีเด็กกี่คน”

   ร้านเบอร์เกอร์ในตึกสไตล์ลอฟต์เปิดใหม่อีกฝั่งหนึ่งของหอพักคือสถานที่ที่เราทั้งสองคนมาฝากท้องสำหรับมื้อเย็นของวันนี้ เห็นมาสักพักแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้ามาลอง อย่างกับพี่มัจฉ์อ่านใจได้เลย

   หยิบเอามันฝรั่งทอดราดชีสเข้าปากไปชิ้นหนึ่งก่อนตอบ “ไม่ทราบครับ”

   “เกือบสองหมื่น”

   คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกมือขึ้นเท้าคางไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า

   “เข้าใจที่พี่จะบอกไหม”

   “ไม่ครับ”

   “คิดว่าจากตัวเลขชุดนั้น มีกี่คนที่รู้จักตุลาการนักศึกษา?”

   ผิดคาดอยู่เหมือนกันที่ได้เปิดเลคเชอร์ในสถานที่และบรรยากาศเช่นนี้ “เอาตามตรงก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

   นอกจากตัวคณะที่มีความเกี่ยวข้องเรื่องสายอาชีพโดยตรงแล้วเขาก็รู้ตัวแหละว่าในสถานศึกษาแห่งนี้มันมีไม่กี่คนที่รู้จักและเข้าใจว่ากลุ่มนี้มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไร ถ้าไม่เป็นพวกเพื่อนของคนที่ได้ตำแหน่งก็ไม่พ้นคนที่ให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของระบบการแบ่งแยกอำนาจโดยแท้จริง

   “นั่นแหละ เพราะอย่างนั้นเลิกเครียดเถอะ ไม่มีใครเขามาสนใจเราหรอก”

   “แต่...”

   “แต่มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ แล้วตุลเองก็เห็นตัวอย่างมาเยอะนี่ว่าสุดท้ายแล้วมันจบแบบไหน”

   ความเฉยชาอันตรายยิ่งกว่าความโกรธแค้น

   “พี่ก็เห็นนี่ครับว่ามีบางคนพยายามทำลาย” หมายถึงกลุ่มคนที่ยังพร้อมรัวคีย์บอร์ดเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง “ผมว่าบางทีเราก็ควรปกป้องตัวเองเหมือกันนะ”

   “อ๋อ อันนั้นน่ะ...”

   “ไม่ได้สั่งให้กู?”

   บทสนทนาถูกแทรกโดยไม่ทันตั้งตัว ตุลหันไปทางขวาที่มีร่างของบุคคลที่สามยืนค้ำหัวอยู่ ฟังแค่เสียงไม่ต้องแหงนขึ้นไปมองหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร

   “ไม่รู้มึงจะกินอะไร สั่งเองเลย”

   “มึงสั่งชุดไหน”

   “เบอร์เกอร์เนื้อ ส่วนของน้องตุลเป็นแฮมเบคอน”

   “เค”

   ปลงตกกับนิสัยเสียของพี่มัจ รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันบ้างเลย พี่ธรรมถามแค่หนึ่งจะตอบกลับไปถึงสองทำไมก็ไม่รู้

   ระบบการบริการตัวเองหลังจากพนักงานเรียกชื่อและหมายเลขสินค้าบอกให้เขารู้ว่ารายการที่สมาชิกรายล่าสุดสั่งไม่ใช่ชนิดเดียวกับทั้งเขาและพี่มัจ มันเป็นเบอร์เกอร์ไก่ชีสที่มีเพิ่มปริมาณของมันฝรั่งทอด ไปต่อสู้กับอะไรมาถึงหิวโซได้อย่างนี้

   “โดนบ่นเยอะปะ”

   “ก็ตามปกติ”

   “แสดงว่าเยอะ”

   ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกพี่เขากำลังพูดกันก็เลยเงียบดีกว่า สัทธาไปทำอะไรมาถึงไม่ได้ไปตามนัดการเคลียร์ห้อง เขาไม่มีความกล้าพอจะแอบมองว่าบนใบหน้าของพี่เขามันเฉยชาไม่ต่างจากคำกล่าวหรือเปล่าด้วย

   “คิดซะว่าเขาทำได้แค่นั้น มันก็ดูไม่เยอะแล้ว”

   ก้มหน้าก้มตาสนใจแต่อาหาร ตัดเป็นชิ้นพอดีคำสำหรับการละเลียดทาน ปกติแล้วเห็นคนอื่นเขาชอบคุยงานกันในร้านกาแฟไม่ก็ร้านเหล้า เพิ่งเคยเจอคนที่สุมหัวกันในร้านเบอร์เกอร์โฮมเมดก็วันนี้

   “ดีแล้ว น้องตุลห่วงมากเลยรู้ไหม”

   “ไม่รู้”

   “...”

   จำเป็นต้องใจร้ายขนาดนี้ไหมนะสัทธา

   “กูบอกแล้วก็รู้ซะ” หมั่นไส้เป็นการส่วนตัวแล้วก็ไปลงกับอาหาร มันฝรั่งทอดในถาดของพี่ธรรมถูกขโมยเข้าปากคนนั่งด้านข้างไม่มีหยุด

   “ทำไมพวกพี่ถึงดูไม่เดือดร้อนได้ขนาดนี้นะ ผมไม่เข้าใจเลย” ยอมรับเลยว่ากระแทกเสียงลงไปไม่น้อยในคำถาม ถูกสอนมาตั้งแต่แรกรับตำแหน่งว่าหากมีความเห็นแย้งในเรื่องงานก็ให้พูดกันตามตรง เก็บเอาไว้แล้วไปนินทาลับหลังมันไม่ช่วยอะไร

   นัยน์ตาของพี่มัจหยีลงในจังหวะที่มีการขยับมุมปากออกด้านข้าง

   “น้องตุลว่าชี้แจงกับแก้ตัวต่างกันยังไง?”

   ต่อจากคำถามคณิตศาสตร์เรื่องจำนวนนักศึกษา ทำไมเขาต้องเจอกับภาษาไทยเรื่องความหมายของคำอีกนะ

   “ในบางครั้งก็ต่างกันมาก แต่บางครั้งก็ไม่มีความแตกต่างอะไรเลยครับ”

   เป็นการใช้ความรู้สึกส่วนตัวผสมไปกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ในหลายครั้งต่อให้มันจะเป็นการชี้แจงในส่วนข้อเท็จจริงที่ดีแค่ไหนแต่ในสายตาคนอื่นมันก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้นเอง

   “ก็นั่นแหละ มันเลยมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้นเยอะ”

   “...?” ทำหน้าสงสัยให้กลับไป ยังตามเรื่องที่ต้องการสื่อไม่ทัน

   “บอกได้ไหมธรรม”

   “ได้ ไม่เป็นไร”

   พี่มัจฉ์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไปตามส่วนต่างๆ บนหน้าจอไม่มีพัก เพราะวางเอาไว้บนโต๊ะมันก็เลยเห็นชัดเจนว่าหลังจากเข้าหน้าจอหลัก แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กคือลำดับต่อมาตามด้วยการเข้าไปยังส่วนของการตั้งค่าเกี่ยวกับการดูแลเพจ

   คุ้นเคยกันส่วนนี้อยู่พอสมควรเพราะตัวเองก็ต้องเป็นแอดมินในส่วนของเพจประชาสัมพันธ์ของตุลาการนักศึกษาเหมือนกัน สมาชิกทุกคนจะต้องเป็นคนดูแลโดยเท่าเทียมไม่มีการยกเว้นให้ใครมีอำนาจเหนือกว่า เป็นนโยบายที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยเปิดเพจแรกๆ แล้ว

   ส่วนที่แตกต่างกับของตัวเองคือนอกจากพี่มัจยังเป็นผู้ดูแลเพจอีกสองสามชื่อ มองแต่รูปตัวแทนไม่คุ้นแต่พอเห็นชื่อแล้วก็ได้แต่เงยองศาของหน้าขึ้นมาจ้องตา

   “...”

   “บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงหรอก”

   หนึ่งในนั้นคือเพจที่เดือนตุลาเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มีทางญาติดีเป็นอันขาด คอนเทนต์เกี่ยวกับเรื่องฉาวข้างในมหาวิทยาลัยที่ดูแล้วเหมือนจะทำเอาเพื่อความสะใจมากกว่ามีจุดประสงค์ในการเป็นกระบอกเสียงอีกทางของนักศึกษา ไม่ได้บอกว่าเรื่องที่ลงเป็นความเท็จ หากในความคิดของเขาแล้วมันมีทางอื่นที่ดีกว่าในการส่งต่อข้อความไปยังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ

   ตัวเลขของบัญชีผู้ใช้ที่ชื่นชอบในเรื่องราวเหล่านี้ทะลุแสนไปแล้ว หลายโพสต์มีการแชร์เป็นวงกว้างจนมีการปรับปรุงรวมถึงนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งจนเคยมีเรื่องที่เกือบจะถึงมือของตุลาการนักศึกษาเช่นกัน อย่างประเด็นล่าสุดที่ตามขยี้ไม่หยุดก็ไม่พ้นเรื่องของพี่ที่นั่งเยื้องอีกฝั่งของเขานี่แหละ

   เดี๋ยวนะ...

   “พี่มัจ”

   “ว่า”

   “บนโต๊ะนี้...ไม่ใช่พี่คนเดียวที่ดูแลเพจใช่ไหมครับ”

   ยิ้มที่เขาเคยนิยามว่ามันสว่างไสว ในคราวนี้มันกลับกลายเป็นตัวแทนของความมืดมิดในมิติแสนบิดเบี้ยว “มันไม่มีใครจริงใจกับเราหรอกนะน้องตุล โดยเฉพาะกับสิ่งที่เรียกว่าการเมือง”

   ไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ

   เตือนตุลาได้คำตอบโดยไม่จำเป็นต้องมีคำว่าเยสหรือโนในนั้น

   มันยังมีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวใหม่อยู่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกดไลก์ แชร์ หรือว่าข้อความส่วนตัว เขาผลักเจ้าเครื่องมือสื่อสารทรงเหลี่ยมกลับไปทางเจ้าของ

   มันเป็นความหวาดกลัวที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

   “เพราะอย่างนั้นอย่าให้ใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง”


***
   เป็นพระเอกที่ไม่มีบทบาทเลยเนอะคะ (หัวเราะ) ตั้งแต่ตอนหน้าคุณสัทธาจะกลับมาทวงตำแหน่งค่ะ
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
«ตอบ #19 เมื่อ21-02-2019 20:28:53 »

จ้างมาแพงหรอคะพระเอก พูดกี่ประโยค ถถถถถ   :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-02-2019 20:28:53 »





ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
«ตอบ #20 เมื่อ21-02-2019 20:59:15 »

คุณสัทธาคะค่าตัวแพงมากเหรอคะเดี๋ยวเราจะปลดออกจากตำแหน่งนะคะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
«ตอบ #21 เมื่อ22-02-2019 00:44:40 »

ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในการเมือง  :z6:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
«ตอบ #22 เมื่อ30-03-2019 10:36:08 »

แงงง รอนะคะ :z13: :z13:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
«ตอบ #23 เมื่อ02-04-2019 21:30:43 »

บทเจ็ด


   เกลียด

   เขาเกลียดพี่มัจฉ์จริงๆ

   “อยากแวะที่ไหนก่อนบอกได้นะ”

   “...ไม่เป็นไรครับ”

   ทางเดินเท้าข้างถนนเลนเล็กที่เหมาะกับแค่สวนไปมาเลนเดียวดูไกลกว่าทุกครั้ง ระยะห่างแค่ถนนแปดเลนกั้นทอดยาวยิ่งกว่าครั้งไหนที่เดินผ่าน ความไม่พอใจส่วนตัวบวกเข้ากับใบหน้าที่ยังยิ้มระรื่นได้ไม่มีเปลี่ยนก่อนแยกย้ายของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์คนนั้นพาให้เผลอเดาะลิ้นตามความเคยชิน

  ‘ยังไงก็อยู่หอเดียวกัน กลับด้วยกันไปสิ’

   เป็นยังไงล่ะ แย่ยิ่งกว่าอะไรดี

   “ไม่พอใจเรื่องเพจ?”

   ประหลาดใจเหมือนกันที่พี่ธรรมเป็นคนเปิดประเด็น “อันนั้นตกใจมากกว่าครับ”

   “ไม่เห็นแปลก”

   “คนที่ไหนเขาใส่ร้ายตัวเองกัน”

   “มัจก็บอกชัดเจนแล้วนะ”

   ชินเสียแล้วกับวิธีการพูดที่เหมือนการสอนสั่งมากกว่า จะว่าไปแล้วหลังจบพี่ธรรมจะทำอะไรต่อนะ อาจารย์สัทธาก็เป็นอะไรที่ดูเป็นไปได้เหมือนกัน

   “ตอนนี้ผมยังไม่เห็นข้อดีที่พี่สองคนทำอย่างนี้เลย”

   “รออีกสักพัก ไม่นาน”

   “จะรอดูแล้วกันครับ” รู้ฐานะของตัวเองดีกว่าไม่มีสิทธิเข้าไปวุ่นวายกับสิ่งที่พวกพี่เขากำลังทำอยู่ ก็เป็นได้แค่วงนอกตลอดเวลาอยู่แล้วนี่นา “ขอให้มันเป็นอย่างที่พวกพี่หวังแล้วกัน”

   ก็ว่ามันยังพอต่อบทสนทนาได้ หากในความเป็นจริงมันหลงเหลือเพียงเสียงรถยนต์บนท้องถนนเท่านั้นที่ดังเป็นดนตรีประกอบ บริเวณหน้าหอพักในเวลาสี่ทุ่มกว่ามีนักศึกษาในชุดลำลองบางตาและไม่มีใครรออยู่ตรงหน้าลิฟต์สักราย

   เข้าไปยืนอยู่ข้างในกล่องเหล็กทรงเหลี่ยม กดเลขสี่ตามด้วยเจ็ด หมายเลขแรกเป็นของเขาส่วนห้องเจ็ดศูนย์แปดน่ะเป็นของคนข้างตัว ตอนปีหนึ่งก็อยู่หอในตามที่ทางบ้านต้องการแหละ แต่ทั้งการเรียนแล้วก็กิจกรรมมันไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบที่วางเอาไว้ก็เลยต้องย้ายออกในช่วงปิดเทอมเล็ก

   หอพักกลางเก่ากลางใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแบบขอไปทีไม่ใช่ตัวเลือกแรกของนักศึกษาที่นี่ แต่เมื่อหักลบไปกับราคาค่าเช่าสำหรับหนึ่งคนมันถูกกว่าพอสมควร พออยู่จนชินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แถมยังมีศูนย์อาหารขนาดใหญ่อยู่ห่างไปนิดเดียวอีกต่างหาก

   “...นึกว่าจะย้ายไปแล้ว”

   “ครับ?”

   ทวนแบบที่ไม่ได้ตั้งตัวเท่าไหร่ ก็ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ พี่ธรรมจะเปิดปากนี่นา

   “ไม่คิดว่าจะยังอยู่ที่นี่”

   “...”

   ความสูงเพียงสี่ชั้นพาให้บทสนทนายืดยาวไปมากกว่านั้นไม่ได้ เขาก้าวเดินออกไปยังด้านนอกเชื่องช้า เม้มปากแน่นยามข้างในห้วงความคิดย้ำเตือนว่าการตัดสินใจไม่สามารถรอได้

   เดือนตุลายื่นมือไปกั้นประตูฟากหนึ่งเอาไว้ ทำตัวเป็นเด็กใจกล้าอีกครั้ง

   “พี่ไม่รู้จริงเหรอว่าทำไมผมยังอยู่ตรงนี้”

   “...”

   “ผมพูดให้ฟังอีกรอบได้นะ”

   “...”

   “แต่พี่อยากจะฟังหรือเปล่า?”

   “...”

   คำตอบของสัทธาคือประตูเหล็กที่เคลื่อนตัวเข้าหากันเงียบเชียบไร้คำลา
 


   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ากังวลเองไปก่อนจนรู้สึกว่าทุกอย่างช้าไปหมดหรือเปล่า คำว่าสักพักของพี่ธรรมกินเวลาสามวันกว่าที่กระแสจะตีกลับไปทางบุคคลที่ถูกปลดออกทั้งสอง หลักฐานและเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ส่อไปทางทุจริตถูกเผยแพร่ทีละชิ้นคอยเลี้ยงกระแสจนตอนนี้ไม่ใช่แค่ฝั่งตุลาการเท่านั้นที่เป็นประเด็น แต่รวมถึงองค์การนักศึกษาและสภาด้วย

   ยิ่งตอนนี้เข้าใกล้การเลือกตั้งของฝั่งสภาเข้าไปทุกขณะก็กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี พูดแล้วก็ดีใจระคนไปกับปลงตกที่คนอื่นเริ่มตระหนักว่าควรสนใจในสิทธิของตัวเองสักที

   “พี่มัจว่าเราต้องเลื่อนการเลือกตั้งไหมครับ”

   “ไม่น่าจะ พวกผู้ใหญ่เขาไม่ยอมหรอก ...น่ะ ทำหน้าอย่างนี้อีกแล้วนะ”

   โดนชี้นิ้วใส่พร้อมทำท่าล้อเลียนยามลอบมองบนให้กับคำก่อนหน้า “ก็ข้ออ้างมันเป็นเรื่องนี้ตลอดเลยนี่ครับ”

   ผู้ใหญ่ไม่ชอบอย่างนั้น

   ผู้ใหญ่ห้ามอย่างนี้

   ผู้ใหญ่

   ได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานจนทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เบื้องหลังของความภาคภูมิใจที่มหาวิทยาลัยใช้เป็นจุดขายให้กับนักศึกษาหน้าใหม่คือความน่ารังเกียจของคนมีอายุที่ไม่ยอมลงจากอำนาจเสียที จะให้ไปสู้บ่อยๆ ก็เหนื่อยเปล่าเพราะไม่เห็นมีครั้งไหนเสียงของนักศึกษาจะไปถึงสักที

   “ช่วยไม่ได้ ตอนที่ที่เสนอให้มีตัวแทนนักศึกษาเข้าไปก็ไม่สนใจกันเองนี่”

   มันคือความขมขื่นที่คนเด็กกว่ารู้ว่ากว่าจะเอามาเล่าให้กลายเป็นเรื่องตลกอย่างนี้ได้มันต้องผ่านการเยียวยาจากสิ่งที่เรียกว่าเวลาขนาดไหน เดือนตุลาเข้ามาไม่ทันในช่วงเวลาที่กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้น แต่ได้เห็นจุดสิ้นสุดของมันเต็มสองตา

   ในตอนนั้นเรียกว่าเพิ่งได้ตำแหน่งก็เจองานหนักเลยล่ะ โดยตำแหน่งและระเบียบเรื่องของหน้าที่แล้วฝั่งของตุลาการนักศึกษาไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายกับงานในฝั่งของการออกกฎระเบียบของสภานักศึกษา สิ่งที่ทำได้ก็คือเป็นเบื้องหลังที่ปิดปากไร้เสียงสนับสนุนหรือคัดค้าน

   กฎระเบียบในส่วนของสภามหาวิทยาลัยที่จะจัดตั้งขึ้นนั้นสร้างความกังวลให้คนกลุ่มหนึ่งถึงความชอบธรรมในการดำเนินงานโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของตัวแทนนักศึกษา ชื่อที่บอกว่าเป็นการจัดตั้งเพื่อบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยแต่กลับไม่ให้คนส่วนมากมีส่วนร่วม

   เป็นเด็กที่ไม่เคยสนใจเรื่องการเลือกตั้งหรือว่าออกสิทธิมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกการเลือกประธานนักเรียนก็ไม่เคยเข้าไปเอี่ยวสักครั้ง พอได้เห็นความจริงจังของคนที่มีส่วนร่วมตรงนั้นแล้วตอนแรกยังสงสัยว่าต้องอินกับมันขนาดนี้ด้วยเหรอ

   โต้โผใหญ่เท่าที่เห็นก็พวกรุ่นพี่โต๊ะคนป่านี่แหละ พี่ธรรมเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ด้วยตัวตำแหน่ง แต่คนอื่นนี่เรียกได้ว่าทุ่มเต็มร้อยจนเด็กปีหนึ่งอย่างเขาทำได้แค่มองตาปริบ ทั้งการล่ารายชื่อและสร้างแคมเปญที่ต่อเนื่องไม่มีขาด เริ่มชื่นชมในความเป็น ‘วัยเปี่ยมฝัน’ ของพวกเขาเหล่านั้นอยู่เงียบๆ จนซึมซับไม่รู้ตัว

   และความจริงโหดร้ายเสมอ

   ความพยายามในการแก้ไขร่างกฎระเบียบไม่เป็นผลสำเร็จ ต่อให้ร้องเรียนผ่านช่องทางที่มีมากแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่านักศึกษาส่วนมากจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน สุดท้ายมันก็เลยถูกปัดตกแล้วกลายเป็นบาดแผลในวงเหล้าไปเสีย

   ฉะนั้นอย่าแปลกใจเลยที่เหล่ารุ่นพี่แก๊งค์พี่ธรรมจะหัวร้อนทุกครั้งที่มีคนจุดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าหลังจากคราวนั้น มันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้เราผิดหวังจนชาชิน จนหลายคนไม่อาจหาญที่จะยืดหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเอง

   “ปล่อยเรื่องเลือกตั้งไปก่อน เรามาทำงานของเราก่อนดีกว่า”

   “งานของเรา?”

   “อืม งานของพี่ที่อยากให้น้องตุลมานั่งให้กำลังใจก็ได้”

   เมื่อไหร่พี่มัจจะจบสักทีนะ

   ช่วงนี้น่ะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคที่สุดเท่าที่เคยทำงานมาเลยก็ได้ องค์คณะที่เหลือแค่เจ็ดคนแล้วยังมีปัญหาให้สะสางอีกเป็นกระบุง เรื่องของพี่ต้นหลิวจะจัดการทั้งหมดเองก็ทำไม่ได้เต็มตัวเพราะสุดท้ายแล้วหน้าที่ของฝ่ายนี้มันมีเพียงการตัดสิน ไม่สามารถทำงานในเชิงรุกได้ ช่วยเข้าใจกันหน่อยได้ไหมว่าตุลาการไม่ได้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง

   “เลิกคุย ทำงาน”

   ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก ความจริงคนที่นั่งอยู่ตรงนี้มันไม่ได้มีแค่สองคนหรอก เขาก็แค่ทำเหมือนกันว่าตรงนี้มันไม่ได้มีประธานตุลาการนักศึกษาคนล่าสุดนั่งอยู่ด้วยก็เท่านั้นเอง

   ตอนนี้เราสามคนได้กลายร่างกลายเป็นกรรมกรคัดแยกประเภทของเอกสารไปแล้ว พี่มัจบ่นว่าเบื่อห้องประชุมคับแคบก็เลยย้ายสัมมะโนครัวหอบหิ้วเอากองกระดาษหนาเป็นตั้งมานั่งอยู่ในร้านกาแฟข้างในส่วนของหอพักนักศึกษาแทน

   ช่วงบ่ายของวันเสาร์มีลูกค้าประปรายกระจายตัวตามมุม คงเป็นเพราะส่วนใหญ่กลับบ้านล่ะมั้ง ซึ่งคนที่ควรได้กลับไปนอนกลิ้งบนเตียงฟูกสปริงที่บ้านน่าจะรวมถึงเขาด้วยสิ

   ที่ไม่มีคนอื่นมาด้วยก็ไม่รู้ว่าเพราะติดธุระกันจริงหรือไม่อยากจะเจอหน้าพี่ธรรมก็ไม่รู้ ตอนนี้คิดว่ามากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนที่เหลืออยู่ไม่น่าจะมีใครกล้าหือกับประธานคนใหม่แล้วล่ะ

   “แล้วจะเคลียร์เรื่องต้นหลิวครั้งหน้าให้จบเลยไหมธรรม จะได้ไปเรื่องอื่นต่อ”

   “อย่างนั้นก็ได้”

   จากที่คิดเอาเองคือเรื่องของพี่ต้นหลิวไม่น่าจะยากเย็นอะไร ก็แค่เอาเรื่องเข้าที่ประชุมแล้วก็พิจารณาไปตามวาระ มันคงไม่ได้มีการลงโทษอะไรที่ร้ายแรงจนถึงขั้นพ้นสภาพนักศึกษา เหมือนเอาแค่ให้เป็นตราบาปที่ติดตัวไปจนตายทำนองนั้น

   เห็นพี่มัจจะเอาคำวินิจฉัยอัปโหลดเข้าเพจด้วย รับรองว่ามันจะต้องแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างไม่น้อย

   ที่จริงแล้วชื่อพี่เขานี่ย่อมาจากมัจจุราชหรือเปล่า

   พี่ทั้งสองคนดูสบายใจไม่มีกังวลกับเรื่องที่ที่ต้องจัดการ เหมือนมานั่งชิลล์ใช้ชีวิตแบบคนว่างงานในวันหยุดสุดสัปดาห์อะไรอย่างนั้น จินตนาการไปว่าถ้าตัวเองต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกันจะยังสามารถจัดการกับสถานการณ์อย่างนี้ได้ดีเท่านี้หรือเปล่า

   คิดแล้วก็อิจฉานะที่พวกเขาสามารถเจอกับมิตรสหายในการทำงานอย่างนี้ ตัวเขาเองนอกจากปลายเจตน์ที่เป็นเพื่อนในคณะแล้วก็นึกไม่ออกว่ามีใครอีก ส่วนในตุลาการมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่สามคนที่มีบุคลิกคนละโยชน์จนเป็นไม่สนิทใจจะคุย

   มือตักทาร์ตผลไม้ที่เป็นของหวานชิ้นเดียวบนโต๊ะเข้าปาก ตายังอ่านมาตราที่เกี่ยวข้องซ้ำอีกครั้งว่ามันจะไม่มีข้อผิดพลาดใดปรากฎอยู่ในเอกสาร ทำอันนี้เสร็จแล้วก็ต้องเอาไปเกลาภาษาต่ออีก จะบ้าตาย

   รูปแบบของเอกสารราชการเป็นความยุ่งยากที่หลุดคำหยาบนับไม่ถ้วนสมัยทำแรกๆ ฟอนต์ การกั้นหน้า ตัวเลขไทย และอีกสารพัดที่ไม่เคยคิดว่าจะถูกตีกลับมาแก้ ยิ่งรอบนี้มันไม่ใช่การทำงานที่จบในชั้นของนักศึกษาเพียงอย่างเดียวก็ซับซ้อนเข้าไปใหญ่ ก็พวก ‘ผู้ใหญ่’ นั่นแหละที่ต้องการรายงานทั้งหมด

   อดเหล่มองคนข้างตัวไม่ได้ ก็เป็นที่รู้กันว่าที่พี่ธรรมกลับมาน่ะมันได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มนั้นมากแค่ไหน จนมันระแวงไปหมดว่านอกจากเข้ามาจัดการเรื่องของพี่ต้นหลิวแล้วมันยังมีอะไรซ่อนเอาไว้อีกหรือไม่

   สัทธาในวันนี้ก็ยังอยู่ในชุดสไตล์เดิม กางเกงทรงตรงแบบคุณลุงสีดำที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนของนักเรียนมัธยมปลาย เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กว่าขนาดตัวหนึ่งไซซ์ไม่มีลายสกรีนเป็นพิเศษ นัยน์ตาคู่สวยหลังกรอบแว่นจ้องมองเพียงแผ่นกระดาษเอสี่ตรงหน้า พอเริ่มอ่านหนังสือแล้วก็หลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างนี้ตลอด

   ถัดออกไปทางขวาคือบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับการรับรองให้ถูกกฎหมายวางเอาไว้หรา แก้วกาแฟร้อนพันธุ์ดังจากภาคเหนือเหลือเพียงก้นแก้วเท่านั้น เดือนตุลารีบก้มหน้ากลับมามองส่วนงานของตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจ้องนานเกินไปจนเก็บรายละเอียดได้เท่านั้น

   “หมดสักที” ท่าทางเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงแฟ้มของพี่มัจฉ์กระฉับกระเฉง น้ำเสียงร่าเริงบอกชัดว่ามีความสุขแค่ไหนชิ้นงานที่เพิ่งเสร็จสิ้น “เสร็จจากนี้แล้วทำอะไรต่อ”

   “อ่านหนังสือกับฟีน”

   “ที่นี่?”

   “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

   “โอเค งั้นกลับเลยแล้วกัน”

   ทำหน้านิ่งผิดกับในใจที่แทบจะซีดขาวไปแล้ว งานส่วนของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์เสร็จก็จริงแต่คนที่มีหน้าที่ตรวจสอบขั้นสุดท้ายอย่างเขาน่ะยังมีกองเป็นกระบุง เท่ากับว่าเขาจะต้องอยู่กับพี่ธรรมสองคนอีกครั้ง

   ในความทรงจำยังคงเห็นภาพเดิมเด่นชัด บานประตูลิฟต์ที่ปิดลงเชื่องช้าโดยคำสั่งของคนที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไปไร้เยื่อใยไม่เคยเปลี่ยน ตอนนั้นเดินกลับถูกห้องใช้กุญแจถูกดอกอยู่หรอก พอเข้าห้องไปเท่านั้นแหละนั่งเหม่ออยู่ปลายเตียงนานสองนานจนตาแห้งไปหมด

   “แล้วทำไมรีบอ่านจัง ยังไม่กลางเทอมเลยนะธรรม”

   “ไม่ใช่สอบ แข่งตอบปัญหา”

   “อ้อ...”

   “อีกสิบวันแข่งแล้ว ไม่มีเวลาอ่านเท่าไหร่เลยต้องรีบ”

   ถ้าสัทธากับทิชากรวุ่นกับการอ่านเตรียมตัว เดือนตุลาก็หัวปั่นกับการเป็นฝ่ายจัดการแข่งขันพอกัน มีอย่างที่ไหนจากไปช่วยฝ่ายทะเบียนนิดหน่อยก็โมเมว่าเป็นคณะผู้จัดงาน จะให้ไปติดต่อกับอาจารย์เรื่องข้่อสอบที่รบกวนขอให้ช่วยออกไว้ทุกเมื่อเชื่อวัน

   แล้วอาจารย์แต่ละคนก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลย ทั้งที่บรีฟชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าขอบเขตประมาณไหนก็ยังมีส่วนที่ไปซ้ำกับอีกท่าน แล้วพอบอกว่าข้อสอบที่ขอความอนุเคราะห์ยังต้องเอาไปคัดเลือกอีกทีก็บ่นเป็นคนแก่ขี้น้อยใจอีก ปวดหัวจนอยากจะขอเบิกค่าพารา

   “มั่นคงกับเป้าหมายดี”

   “เด็กมีปมต่างหากมัจ”

   ถ้าถามว่าเข้าใจไหมว่าพวกพี่เขากำลังพูดถึงเรื่องไหนก็ตอบได้เลยว่าไม่สักนิด พี่มัจเอาแต่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง ส่วนพี่ธรรมก็เข้าสู่ห้วงมิติที่แปดกับเอกสารตรงหน้าแล้ว นี่ไม่ได้สังเกตเลยว่านอกจากกองรายงานการประชุมทั้งหมดแล้วในย่ามใบประจำยังมี
หนังสืออาญาภาคทั่วไปเล่มหนานอนอยู่

   “ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”

   “กล้าพูด ก็รู้อยู่แก่ใจ”

   ยิ้มยียวนอย่างนั้นไม่มีใครเลียนแบบพี่มัจฉ์ได้สักคน “รู้ว่า?”

   “จะไปไหนก็ไป เสียเวลาอ่าน”

   “อยากอยู่กับน้องตุลสองคนก็บอกมา”

   ก็เป็นอย่างนี้แหละนะคนเรา รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เคยคิดจะรักษาน้ำใจกันเอาไว้บ้างเลย มันคือความย้อนแย้งที่ปากบอกว่าชินแต่สุดท้ายแล้วข้างในส่วนลึกมันก็ยังสัมผัสถึงความวูบโหวงอยู่เสมอ

   “รำคาญ”

   “ครับๆ ไปแล้วครับ”

   “บายครับพี่มัจ” สบช่องให้มีบทได้บ้างสักที

   “ไหนกอดลา”

   “ไม่มีครับ”

   จากนั้นก็ไม่สนใจเสียงบ่นน้อยใจในโชคชะตาแล้ว ความเงียบสงบกลับคืนสู่พื้นที่แห่งนี้เมื่อมีแค่สองคน เขาลองเปิดข้อมูลทั้งชุดเพื่อประเมินว่ามันต้องเร่งมือแค่ไหน แค่ต้องอยู่กับพี่ธรรมก็แย่แล้ว มีพี่ฟีนเข้ามาอีกคนนี่บอกได้เลยว่านอกจากจะไม่ได้งานแล้วอาจจะมีระเบิดลงคาเฟ่

   ทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าที่จำใจนั่งโต๊ะเดียวกันเพราะว่าไม่มีที่ว่างอื่น เพิ่งขีดฆ่าคำผิดถึงแค่หน้าที่สามก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาทักทายบุคคลไม่พึงประสงค์

   “ไง”

   “สวัสดีครับพี่ฟีน”

   แค่เห็นหน้าก็เหมือนถูกดูดพลังงานออกจากร่างกายไปเกือบหมด รอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากเสมอไม่เคยแปรเป็นความสว่างสดใสให้ได้เช่นเดิม

   “งานตุลาการเหรอ”

   “ครับ” ดึงส่วนที่เป็นเนื้องานทั้งหมดมาไว้ในมือไม่ให้หลงเหลืออยู่บนโต๊ะ ทำทุกทางให้มันพ้นหูตาสัปปะรดแพรวพราว “พี่ฟีนช่วยทำตามหลักการแบ่งอำนาจด้วยครับ”

   เป็นหลักการเบื้องต้นที่ต้องเรียนมาก่อนเขาตั้งกี่ปี ไม่เห็นจะทำตามบ้างเลย ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับหน้าที่ต้องแยกจากกันให้่ชัดเจนสิ

   “น้องตุลเรียนโทมหาชนเถอะ ถ้าจะขนาดนี้”

   “นั่นเป็นเรื่องของผมครับ”

   “จะลงจากตำแหน่งแล้ว หยวนหน่อยสิ”

   “ไม่ครับ แล้วจะขอบคุณมากถ้าปีนี้สภาไม่ฟ้องเรื่องเลือกตั้งอีก”

   ขุดเอาเรื่องปวดหัวเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาเล่าใหม่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าองค์การที่ไม่มีบทบาทข้างในมหาวิทยาลัยอย่างสภาทำไมถึงมีคนแก่งแย่งอยากมีส่วนร่วม หรือเพราะคิดว่าได้ตำแหน่งง่ายก็ไม่รู้สิ

   อย่างปีที่แล้วก็เป็นเรื่องของเงินสนับสนุนการหาเสียงจากภายนอก ...พูดให้ชัดคือจากพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นต่างขั้วอำนาจกันแล้วมาเล่นเกมกันในระดับการเมืองของนักศึกษา จากนั้นเลยกลายเป็นว่าพอเห็นการจัดกิจกรรมที่เชิญคนจากกลุ่มเหล่านี้มามีส่วนร่วมก็มองทางลบไปหมด

   “พี่ทำอะไรไม่ได้สักหน่อย วางมือแล้ว”

   “เหรอครับ” ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองหนึ่งชัดเจนอย่างทิชากรไม่มีทางปล่อยให้ฐานเสียงใหญ่อย่างนักศึกษาและศิษย์เก่าในมหาวิทยาลัยไปแน่นอน กล้าพนันหมดตัวว่าเรียนจบไปต้องได้เห็นชื่อนี้อยู่ในผู้สมัครส่วนบัญชีรายชื่อหรือไม่ก็ลงเขต “ผมไม่เชื่อหรอก”

   “เสียใจนะเนี่ย”

   “กูบอกแล้วว่าให้เอาเหล้าเบียร์ไปเซ่น เงินมันมีหลักฐานหลงเหลือ”

   “เดี๋ยวนี้มันชอบถ่ายรูปอัปลงโซเชียลกันอะมึง เดี๋ยวพลาด”

   “งั้นก็รับเงินต่อไป แล้วตีกันให้พอ”

   “เฮอะ เดี๋ยวนี้เขาไม่แบ่งพรรคที่รับเงินกันแล้ว ทำให้ทุกคนรับเงินจากพรรคเดียวสิสนุกกว่า”

   สะกิดใจแต่ไม่อยากมีส่วนร่วม เรื่องพวกนี้นี่สามารถเล่าออกมาได้หน้าตาเฉยได้หรือไง

   “แล้วทำไมน้องตุลถึงอยู่ที่นี่ล่ะ ธรรมชวนมาเหรอ”

   “ตอนแรกพวกผมทำงานกันน่ะครับ มีพี่มัจด้วยแต่กลับไปแล้ว”

   “เขาไม่อยากเจอมึงไงฟีน”

   “กูก็ไม่อยากเจอมึงเหมือนกัน”

   บอกว่าจะมาอ่านหนังสือด้วยกัน แต่เท่าที่เห็นนี่คือหาเรื่องไปมาชัดๆ พี่ปีสี่ผู้มาใหม่เป็นเครื่องสร้างบรรยากาศชั้นดีที่คลายความอึดอัดในช่วงแรกออกไปเกือบทั้งหมด พวกเขาเริ่มต้นด้วยการหยิบเอากระดาษรายงานมีเส้นเล่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายมือของทั้งคู่ผสมกันขึ้นมาไล่ทีละหัวข้อ ตกลงกันเรียบร้อยว่าต่างคนจะเน้นส่วนไหน

   คิดแล้วก็อยากได้พี่ฟีนที่เคยเจอเมื่อวันแรกกลับคืนมาเหมือนกัน ยิ่งรู้จักมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งอยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วบอกตัวเองว่าให้ถามรุ่นพี่คนอื่นแทน การเลือกจากหน้าตาเพราะคิดว่าไม่มีพิษมีภัยนี่มันเป็นเรื่องพลาดของแท้

   ตั้งมั่นอยู่กับงานแค่ไหนถ้าเจอพวกพี่เขาผลัดกันจุดประเด็นไม่มีหยุดอย่างนี้ก็จบ เข้าใจแค่บางเรื่องที่เรียนมาก่อนแล้ว ส่วนความรู้ตั้งแต่ชั้นปีที่สามขึ้นไปบอกเลยว่าเหมือนฟังเอเลี่ยนคุยภาษาต่างดาวกัน

   “อันนี้แค่พราก ไม่ได้อนาจาร”

   “มึงต้องภาคยานุวัติก่อน มันแค่ลงนามไม่ได้”

   “หลักการพื้นฐานการคลังสิบข้อ แล้วอะไรอีกวะ อ้อ! วินัยการคลัง”

   “อะไรคือคำสั่งทางปกครอง แม่งยังเป็นแค่ความเห็นอยู่เลยเถอะ”
   
   และอีกสารพัด

   ไม่ได้บอกพี่ทั้งสองคนว่าเขาเป็นคนจัดงาน ไม่อย่างนั้นนะนี่มันผลประโยชน์ทับซ้อนกันไปมาน่าปวดหัว 

   “หิวแล้ว ร้านนี้อะไรอร่อยอะ ไม่เคยมากินเลย”

   “ไม่รู้”

   “น้องตุลช่วยพี่แนะนำหน่อย”

   “ไม่รู้เหมือนกันครับ ปกติผมกินแค่ลาเต้กับทาร์ตอะ”

   “เคเค”

   กะพริบตาปริบยามเห็นอิริยาบทหยิบกระเป๋าเงินเดินลิ่วไปทางเคาท์เตอร์ คือนี่เปลี่ยนมาเป็นพี่ฟีนแล้วแน่ใช่ไหม เขารู้สึกเหมือนว่าพี่มัจฉ์ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย จะว่าไปแล้วพวกพี่เขาก็คล้ายกันหลายอย่าง

   จู่ๆ คนข้างตัวก็ลุกขึ้นพรวดออกไปนอกร้านพร้อมกับโทรศัพท์และบุหรี่ไฟฟ้า อาจจะต้องการสารพิษเข้าไปเพิ่มในร่างกายล่ะมั้ง เด็กมหาวิทยาลัยเสพติดเยอะแยะจะตายไป

   ท่องบอกว่าอีกไม่กี่บรรทัดก็สามารถหลุดพ้นได้แล้ว ตั้งใจยิ่งกว่าปกติเพื่อให้ไม่หลุดไปก่อน จัดการขีดฆ่าตรงคำผิดที่อยู่ตรงบรรทัดแรกของหน้า แล้วก็ต้องเอาเนื้อหาส่วนกลางไปตรวจสอบอีกรอบเพราะเหมือนว่ามันจะไม่สัมพันธ์กับข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับมา

   ปิดฝาปากกาเมื่อหมดบรรทัดสุดท้าย เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นกล่องกระดาษสีขาวที่มีทาร์ตผลไม้แบบเดียวกับที่เขาทานหมดไปแล้ววางเอาไว้ไม่ห่างจากตัวเท่าไหร่ตั้งหรา พี่ทั้งสองคนต่างก้มหน้าอยู่กับหนังสือไม่มีใครสนใจน้องปีสองอย่างเขาสักคน

   “อันนี้คืออะไรครับ?”

   สำหรับเดือนตุลาแล้วไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเกรงใจรุ่นพี่อะไรทั้งนั้น

   เป็นพี่ปีสี่ฝั่งสภาที่เฉลย “ให้น้องตุล”

   “ผม?”

   “อือ”

   “...”

   “แต่ไม่บอกหรอกนะว่าใครซื้อให้”


***
   คุณสัทธาเริ่มกลับมาทวงตำแหน่งแล้วนะคะ เป็นนิยายมากกว่ารายเดือนไปแล้วจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ) เอาจริงๆ คือไม่รู้เหมือนกันว่ามาแนวนี้คนอ่านชอบไหม เพราะมันคือการเขียนมีแรงขับเคลื่อนคือความเก็บกดส่วนตัวล้วนเลย แต่ก็ดีใจที่มีคนรอนะคะ ยังไงฟีตแบกก็เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดจริงๆ ค่ะ
   เจ้ามีลงเรื่องสั้นประจำปีนี้เอาไว้เมื่อต้นปี E I L V เผื่อว่าแก้ขัดระหว่างรอตอนหน้านะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
«ตอบ #24 เมื่อ02-04-2019 22:04:37 »

 :3123:
 :katai2-1:
 :pig4:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
«ตอบ #25 เมื่อ02-04-2019 22:35:28 »

กลับมาคราวนี้สัทธาอย่าหายหน้าไปนานนะเดือนตุลาคิดถึง..ขอบคุณที่พาสัทธากลับมาค่ะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
«ตอบ #26 เมื่อ02-04-2019 23:15:59 »

ไม่ชอบบุคลิคสัทธาอ่ะ ไม่ปลื้ม

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
«ตอบ #27 เมื่อ27-10-2019 17:05:26 »

บทแปด


   มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากว่าเพราะอะไรห้องเรียนขนาดใหญ่บนชั้นสามของตึกเรียนรวมถึงมีจำนวนประชาชนมากผิดปกติอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ในเมื่อวันนี้มันมีการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายรอบแรกสำหรับเด็กภายในคณะนิติศาสตร์ยังไงล่ะ

   เดือนตุลาสูดหายใจเข้าไปลึกพลางปลอบตัวเองว่าถ้าเจอหน้าเพื่อนสนิทเมื่อไหร่ก็ห้ามเผลอมองแรงหรือประชดใส่เด็ดขาด

   ปลายเจตน์นะปลายเจตน์

   “ช้าสัตว์ กูบอกว่าก่อนเที่ยงไง”

   หมุนข้อมือด้านขวาขึ้นมาดูหน้าปัด “นี่ก็สิบเอ็ดห้าเก้าไง”

   เสียงสบถด่าต่อจากนั้นเป็นอะไรที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาแสร้งทำเป็นหัวเราะร่าเพื่อซ่อนความไม่พอใจทั้งหมดเอาไว้ จะบอกว่าเรื่องนี้เพื่อนผิดมันก็ไม่เชิง มองอีกแง่หนึ่งก็คือไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนเขาก็ควรจะทำงานให้เป็นมืออาชีพ

   ตอนแรกก็นึกว่าหน้าที่จะจบลงแค่การติดต่อกับอาจารย์ วันจริงก็เสนอหน้าเข้ามาตรวจสอบว่าส่วนที่ตัวเองประสานงานให้ไม่มีข้อผิดพลาด กลายเป็นว่าเมื่อคืนเพื่อนที่เข้าใจว่าสนิทที่สุดในคณะโทรมาหาเสียงเครียด บอกว่างานในวันนี้มีคนเดินข้อสอบไม่พออยากให้เข้ามาช่วยหน่อย

   อยากจะด่าแต่ก็สงสารเพื่อน ยังไงวันนี้ทางคณะก็ประกาศเป็นวันหยุดภายในเพื่อให้ทุกคนเต็มที่กับการแข่งขัน คนไม่มีคาบเรียนอย่างเขาก็ควรทำตัวมีน้ำใจเสียบ้าง

   กลุ่มคนที่กระจัดกระจายไม่มีกลุ่มก้อนชัดมีทั้งคนที่รู้จักชื่อ คุ้นแค่หน้า และไม่เคยรู้จักมาก่อน มันน่าจะเป็นกิจกรรมเดียวที่รวมนักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีเอาไว้ด้วยกันได้ สำหรับน้องปีหนึ่งและสองเรารู้กันว่ามันคือการลองสนามเพื่อประเมินสถานการณ์ นี่มันสนามรบของพี่ปีสามและสี่ที่มีองค์ความรู้มากพอสมควรแล้ว

   ปีหน้าก็ว่าจะชวนปลายมาลงแข่งอยู่ ถือว่าเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัว

   “ไปนั่งตรงลงทะเบียนเลยมึง อย่าลืมย้ำด้วยว่าให้ปิดมือถือตอนแข่ง”

   “ไหนบอกว่าให้มาช่วยเดินข้อสอบ”

   “เมื่อคืนที่โทรไปคือแค่นั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มึงต้องช่วยกูเพิ่มแล้วล่ะ”

   ตอนแรกจะทั้งกลอกตามองบนแล้วกลับมามองแรงใส่ แต่พอเห็นใบหน้าแสนโทรมของเพื่อนแล้วก็ทำได้แค่บึนปากแล้วเดินไปทางโต๊ะตัวเดียวที่อยู่ในละแวกนี้

   สงสารก็สงสารแต่อีกใจก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เพื่อนต้องจัดการเอง ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งที่เดือนตุลาเจอมากับตัวคือการเรียนในคณะที่ค่อนข้างเป็นทฤษฎีจ๋าอย่างนี้มันเป็นแหล่งรวมเหล่าบรรดาเด็กเรียนที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมมาก่อน ส่วนพวกที่เคยทำมาจนเซียนก็จะเฟดตัวออกไม่เข้ามาช่วยเพราะไม่อยากเจอคนทำงานไม่เป็น

   จากสาเหตุเรื่องทรัพยากรมนุษย์มันเลยต้องประคับประคองมากกว่าปกติเยอะอยู่ นอกจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ที่ซิ่วมาแล้วไม่ค่อยกลมกลืนกับเด็กในชั้นเดียวกันแล้วมันยังรวมถึงไม่อยากจะต้องมาเจอเรื่องบั่นทอนพลังชีวิต นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักที่เขาข้ามขั้นไปทำงานให้กับมหาวิทยาลัยเลย

   รู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นปีคนที่หัวหมุนอยู่ตรงโต๊ะลงทะเบียนนั้นอยู่แล้วเลยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เป็นเพื่อนของปลายเจตน์ที่มีความสนใจในกิจกรรมวิชาการมากกว่าการเมืองอย่างพวกเขา ก็เลยทำงานแค่ในคณะอย่างเดียว

   ทักทายกันพอให้ไม่รู้สึกประดักประเดิด จากนั้นก็ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารลงทะเบียนอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงวุ่นวาย ยังมีเวลาอีกเกือบสิบนาทีให้ได้สำรวจความเรียบร้อยและจับจุดที่อาจจะมีปัญหาระหว่างการทำงานได้

   สำหรับปัญหาแรกที่พบคือเรื่องอุปกรณ์ที่ช่วยในการประชาสัมพันธ์ พื้นที่ที่เปิดโล่งและเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจทำให้การประกาศว่าถึงเวลาลงทะเบียนยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็น จะให้คนสองคนตะโกนแข่งกับผู้เข้าแข่งขันเป็นร้อยนี่ก็เป็นอัตราส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

   ก็เลยต้องใช้วิธีการไทยมุงเอา คือพยายามเรียกคนที่ยืนอยู่ใกล้กับจุดลงทะเบียนมากที่สุดเข้ามาก่อน จากนั้นก็ปล่อยมันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ

   “ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นคนจัด”

   รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามประมาณนี้แน่นอน เดือนตุลาผู้มีประสบการณ์มากมายรู้ว่าควรรับมือกับรุ่นพี่ปีสี่คนที่ยืนค้ำหัวอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตัวยาวอย่างไร

   “ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องบอกนี่ครับ”

   เสียงหัวเราะร่าเริงแตกต่างจากความตึงเครียดรอบตัว “ใจร้ายจังเลย”

   “รีบเซ็นแล้วก็เข้าห้องเลยนะครับ ปิดโทรศัพท์ด้วย”

   “ได้ครับๆ” คงเพราะว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะมาคุยเล่นยื้อเวลาได้ พี่ฟีนถึงได้ตวัดลายเส้นแทนชื่อลงไปในช่องว่างโดยไม่อิดออด “ธรรมรีบเซ็น น้องตุลสั่ง”

   กลายเป็นเขาที่เจ้ากี้เจ้าการเสียอย่างนั้น คนร่วมทีมอย่างสัทธาแทรกตัวเข้ามาเงียบๆ กวาดตามองหาตำแหน่งว่างในตารางและใช้ปากกาลามีคู่ใจแท่งเดิมในการเซ็นชื่อลงลายมือชื่อ จังหวะการเขียนสม่ำเสมอเกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงพริบตาเดียว

   “ขอบคุณครับ อย่าลืมปิดโทรศัพท์นะครับ”

   ทวนในสิ่งที่เพื่อนกำชับเอาไว้เป็นอย่างดีอีกครั้ง ฝืนตัวเองให้มองเพียงกระดาษเอสี่ตรงหน้า ไม่เงยขึ้นไปจับจ้องช่วงใบหน้าของประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบัน มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะก้มหน้าเหมือนพวกไร้มารยาทเช่นนี้

   เขาไม่อยากจะยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนพิเศษ

   ถึงจะคิดว่าตัวเอง ‘โต’ กว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีมุมเด็กน้อยอยู่ภายในตัว คือถ้าเลือกได้จะไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนี้ครอบงำความรู้สึกจนกลายเป็นใครอีกคนที่เดือนตุลาไม่รู้จักหรอก

   ไม่คาดหวังก็จะผิดหวัง หนึ่งข้อของการที่ก้มหน้าอยู่คือไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขายามที่คู่เพื่อนปีสี่ตรงหน้าเลี่ยงตัวออกจากจุดลงทะเบียนไปโดยไม่เอ่ยคำลา แอบเหล่มองตามจนเห็นว่าทั้งสองเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

   จากตรงนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่น่าระทึกใจ เมื่อประกาศผ่านโทรโข่งตัวเล็กที่สั่งให้ปลายเจตน์ไปตามล่ามาเป็นครั้งสุดท้ายว่าใกล้จะปิดการลงทะเบียนแล้วก็รอว่าจะมีใครวิ่งหน้าตั้งมาหรือไม่ พอไม่มีก็ได้เวลาไปทำงานส่วนอื่นต่อ

   ตำแหน่งเด็กวิ่งข้อสอบเป็นอะไรที่ดูไม่น่าสนใจ มันเลยไม่แปลกที่ผู้จัดงานจะต้องมาวิ่งวุ่นหาคนช่วยทุกปี ส่วนมากก็คือจะหลอกพวกน้องปีหนึ่งที่สนิทกันตอนวันรับน้องหรือไม่ก็วันรวมกลุ่มมาทำ เขาก็เกือบจะโดนเพื่อนตัวดีลากมาทำแล้วแต่ช่วงนั้นมันมีงานใหญ่ของตุลาการพอดีเลยรอดตัวไป

   ส่วนตอนนี้ก็ต้องบอกว่าใช้บุญไปหมดแล้ว ก็เลยต้องมาทำงานที่จงใจหนีมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนได้ บรรยากาศข้างในห้องเรียนที่กลางเป็นสนามแข่งขันชั่วคราวไม่ได้ให้ความรู้สึกตึงเครียดขนาดนั้น ค่อนไปทางเป็นการรวมรุ่นให้ได้พบปะสังสรรค์กันมากกว่า

   ตามที่ควรจะเป็นแล้วพวกปีหนึ่งและปีสองชิลล์ที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ส่วนที่เห็นเวลานี้เหมือนว่าจะกลับตาลปัตรเมื่อคนที่ดูผ่อนคลายมากที่สุดเป็นเหล่ารุ่นพี่ปีสี่ ที่เจาะจงลงไปก็ได้ว่าเป็นเหล่าคนป่าที่พร้อมใจกันมาแข่งยกกลุ่มแบบที่ยังไม่เห็นว่ามีใครหายไป

   ซึ่งมันก็มองได้หลายทาง เตรียมตัวมาพร้อมจนไม่ต้องกังวล มาเอาเกียรติบัตรเป็นปีสุดท้าย หรือไม่ก็รู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งมันถูกจองเอาไว้ให้ใคร

   สำหรับเดือนตุลาแล้วเขาโอนเอียงไปทางข้อสุดท้าย

   ใครๆ ก็รู้ว่าหนึ่งในสิบทีมที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจะต้องเป็นของพี่ธรรมและพี่ฟีน อาจจะมีม้ามืดกลุ่มอื่นบ้างแต่ดาวเด่นของวันนี้ก็ไม่พ้นผู้ชายสองคนที่มีอำนาจเกือบจะสูงสุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้แน่นอน

   บรรยากาศจอแจแปรเป็นความเงียบสงัดเมื่อเสียงทักทายแรกกระจายตัวออกตามลำโพงที่ติดตั้งเอาไว้ทั่วทุกมุมห้อง พิธีกรในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาของส่วนกิจกรรมที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งเคยทำกิจกรรมด้านนี้เป็นครั้งแรก สังเกตเอาจากวิธีการพูดที่ไม่ได้เว้นจังหวะให้พอเหมาะและการอธิบายกติกาการแข่งขันที่ดูไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นัก

   ชื่อและนามสกุลของอาจารย์ที่เชิญให้มาเป็นกรรมการในการแข่งขันไล่เรียงจากซ้ายไปขวาจนครบ มีทริกแนะนำวิธีการเขียนตอบนิดหน่อยพอให้ได้ผ่อนคลาย จากนั้นสนามแข่งขันที่แท้จริงถึงเริ่มต้นขึ้น

   จับสัมผัสได้ดีว่าความตึงเครียดมันแผ่ออกไปรอบห้องสี่เหลี่ยมนี้อย่างรวดเร็ว เขาก้าวเท้ายาวแบบที่พยายามควบคุมจังหวะไม่ให้มีเสียงดังรบกวนผู้เข้าแข่งขัน รู้สึกดีอยู่เหมือนกันที่ได้รับผิดชอบแถวริมสุดติดกำแพงเพราะอย่างน้อยก็จะได้แอบพิงตอนเมื่อยได้

   “น้องตุล ไหนอวยพรเร็ว”

   “...”

   เพื่อความรัดกุมเราก็เลยกำหนดให้ต้องเซ็นชื่ออีกครั้งก่อน และนั่นมันก็เลยทำให้รุ่นพี่ปีสี่คนเดิมได้โอกาสวอแวเขาต่อจากเมื่อสักครู่ เดือนตุลาทำหน้านิ่งผิดกับข้างในใจที่อยากจะเอ่ยปากว่าคนที่ยังทำตัวไม่เหมาะกับกาลเทศะอย่างนายทิชากรอีกรอบ พี่ฟีนก็ติดเล่นอย่างนี้ได้ตลอดเลย

   รับเอากระดาษที่มีลายมือชื่อของทั้งสองคนมาไว้ในมือและเคลื่อนตัวไปยังโต๊ะตัวถัดไปโดยไม่มีการทำตามคำร้องขอ การแข่งขันที่มีคนเข้าร่วมเกือบห้าสิบทีมทำเอาต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองว่าการเดินไปมาไม่กี่สิบรอบไม่น่าจะทำให้ร่างกายแย่ลงสักเท่าไหร่

   การแข่งขันในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่คือการเลือกตอบแบบปรนัยหนึ่งถึงสี่ กับอีกส่วนคืออัตนัยที่ต้องเขียนอธิบายเหตุผลประกอบคำตอบ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะว่ารอบแรกมีผู้ร่วมการแข่งขันเยอะจนไม่สามารถที่จะทำร้ายสายตาของกรรมการด้วยการทำให้เป็นการเขียนตอบล้วนได้

   “เก็บคำตอบได้ครับ”

   แม้ว่าจะน่าเบื่อไปเสียหน่อยแต่ก็ถือไม่ได้แย่ไปทั้งหมด เท้าข้างขวาของเขาขยับออกไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับคำสั่งจากพิธีกรคนเดิม การจัดเก็บดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ต้องใช้สติและความแม่นยำอยู่ไม่น้อยเพื่อเป็นทำเวลาให้สามารถดำเนินการแข่งขันต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด

   ระหว่างที่กระดาษคำตอบทั้งหมดถูกรวบรวมและเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจความถูกต้องในการให้คะแนน อาจารย์ท่านอื่นก็จะเริ่มอธิบายเฉลยในข้อนั้นไปพลางเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

   เอาตามจริงแล้วมันก็ไม่ได้แฟร์กับน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาคลุกคลีอยู่กับตัวอักษรเป็นพืดอย่างนี้ได้ไม่นาน เนื้อหาที่ใช้ในการสอบทั้งหมดจะครอบคลุมเนื้อหาจนถึงปีสามเทอมหนึ่ง ซึ่งคนที่เรียนมาครบทั้งหมดแล้วจะต้องเป็นพี่ปีสามกับพี่ปีสี่เท่านั้น แต่จะให้ทำให้แฟร์กับน้องปีสองมันก็ไม่ได้เพราะว่าพอหมดจากรอบนี้แล้วมันยังมีการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยอีก ขืนไม่เอาคนที่พร้อมที่สุดล่ะได้ขายขี้หน้าแหง

   “อาจารย์ครับ แต่ว่าตรงนี้มันยังเป็นข้อถกเถียงทางวิชาการไม่ใช่เหรอครับ เรื่องคำสั่งทางปกครอง”

   เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขาชอบการแข่งขันครั้งนี้ ถ้ามีตรงไหนที่ดูเหมือนว่าจะมีข้อกังขาก็สามารถยกมือขึ้นแล้วถามได้เลย วิชากฎหมายปกครองเป็นตัวบังคับตอนปีสามเขาก็เลยไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่รุ่นพี่คนนี้กำลังท้วงเท่าไหร่นัก เหมือนว่ามันจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการแบ่งประเภททำนองนั้น

   ฟังที่อาจารย์ประจำภาควิชานี้อธิบายไปเรื่อยๆ แบบที่เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ จดลงลิสต์เอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่างจะกลับไปตามหาหนังสือมาอ่านเผื่อเอาไว้

   ตอนนี้ก็ผ่านไปได้สามส่วนสี่ของคำถามทั้งหมดแล้ว คะแนนรวมที่โชว์อยู่บนโปรเจคเตอร์แผ่นใหญ่บอกว่ามีทีมที่น่าจะได้เข้ารอบแน่นอนแล้วอย่างน้อยก็สามทีม โดยที่หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นผู้ชายสองคนที่มีอำนาจรวมกันเกือบเท่านักศึกษาทั้งหมดมหาวิทยาลัย

   ขำคะแนนของกลุ่มคนป่าสองที่เหมือนมาทำสถิติตอบไม่ได้สักข้อเพราะว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงข้างหลังชื่อทีมมีแต่เลขศูนย์เรียงตั้งแต่ข้อแรกยันข้อล่าสุด ลองชะเง้อมองดูแล้วก็พบว่าเป็นรุ่นพี่สองคนที่ปลายเจตน์เคยบอกว่าถนัดทางด้านกฎหมายมหาชนและเคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟ้องมหาวิทยาลัยตัวเองมาแล้ว

   ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก

   ได้ยินครั้งแรกสุดก็ตอนที่มีพี่จากสภาสักคนเอาเรื่องนี้เข้ามาเปรยให้ฝั่งตุลาการฟัง เป็นข้อขัดแย้งในเรื่องประกาศบางตัวที่มีลักษณะของการลิดรอนสิทธิบางประการของนักศึกษา เข้าไปคุยกับอาจารย์ผู้ดูแลฝ่ายแล้วก็ได้คำตอบประมาณว่าเป็นการเขียนขู่เอาไว้แต่จะไม่มีการบังคับจริง ฝั่งนี้ก็เลยคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นไม่ต้องมีประกาศไปเลยดีกว่า

   ตีกันจนไปจบตรงที่อาจารย์บอกว่าจะไม่มีการยกเลิกประกาศอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากให้มันมีการแก้ไขก็ไปฟ้องศาลเอา คือตอนนั้นก็เข้าใจแค่ว่าเป็นการบ่นลอยๆ ไม่น่าจะทำจริง มาเห็นอีกทีก็ตอนที่เพื่อนในคณะแชร์ข่าวการยื่นฟ้องออกมานั่นแหละ

   มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่มีการพูดเป็นวงกว้าง ก็แค่บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นแหละที่จะให้ความสนใจ พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็เข้าใจความน่ากลัวของสิ่งที่เรียกว่าการสื่อสารเหมือนกันนะ ทางพี่ๆ ก็อยากให้เรื่องทั้งหมดมันอยู่ในความสนใจของสังคมเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายเขามีอำนาจในการควบคุมมากกว่าน่ะ

   เพราะงั้นมันเลยเป็นได้แค่ข่าวเล็กๆ ที่มีการแชร์ในวงคนรู้จัก คนในมหาวิทยาลัยหลายคนก็ยังไม่รู้เลยมั้ง ตอนนี้ถึงขั้นตอนไหนเขาเองก็ไม่ได้ตาม

   น่าเสียดาย

   ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่มีการว่อกแว่กที่โต๊ะไหนเป็นพิเศษ ในท้ายที่สุดก็ทำไม่ได้เพราะว่าพี่ปีสี่คนนั้นน่ะเหมือนจะมีปัญหากับปากกาหมึกซึมแท่งโปรดจากการสังเกตตั้งแต่เก็บข้อสอบของสองข้อที่แล้ว ถ้าไม่ลืมเติมหมึกก็น่าจะเกี่ยวกับหัวแร้ง

   เป็นคนที่ทำตัวให้แตกต่างได้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน อย่างเรื่องของปากกาที่ใช้ก็เหมือนกัน บางคนใช้ปากกาหมึกซึมพวกนี้กับงานลงลายเซ็นแค่นั้น ส่วนคุณพี่สัทธาคือติดตัวตลอดเวลาไม่เห็นจะเคยเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นบ้างเลย

   ไม่ได้อยากจะบอกว่าตัวเองสายตาดีหรือว่าช่างสังเกตกว่าคนอื่น

   ก็แค่คนตรงนั้นคือพี่ธรรมเท่านั้นแหละ

   จะทำตัวเป็นพวกไม่ยอมรับความจริงไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เรื่องนี้น่ะเขายอมรับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความคิดที่จะหาข้ออ้างมาหักล้างเลยสักครั้ง และอาจเป็นเพราะความตรงนั่นแหละที่ทำให้พี่ฟีนหยุดแซวไปได้เยอะอยู่

   มีเวลาให้ตัดสินใจแค่ก่อนหมดคำอธิบายของข้อนี้เท่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจให้พลางปลอบตัวเองว่ามันก็เป็นแค่ความห่วงใยในฐานะของคนที่รู้จักกันมานาน เลือกที่จะทำอย่างที่หัวใจต้องการมากกว่าการวิเคราะห์ภายในสมอง

   จากที่ควรจะมีแค่กระดาษคำถามวางเอาไว้บนโต๊ะ มันก็เลยกลายเป็นว่าปากกาลามีอีกแท่งแต่คนละสีถูกวางลงไปพร้อมกันด้วย แน่นอนว่าตอนนั้นไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายสักประโยค ซึ่งก็ดีแล้ว

   ส่วนลึกในใจก็อยากจะแอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง น่าเสียดายตรงที่เมื่อมองจากจุดพักของคนเดินกระดาษคำตอบมันไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ใจจริงก็อยากเห็นปฏิกิริยาตอบรับของประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบันอยู่เหมือนกัน

   ขอโทษในใจที่ต้องให้พี่เขาใช้ปากกาที่บรรจุสีหมึกอื่น ไม่ใช่สีประจำอย่างเนวีบลูของไดอามีน ก็อันที่พี่ใช้น่ะมันแพงเกินกว่าที่คนไม่ค่อยสนใจอย่างเขาเลือกที่จะหาอันที่ไม่ต้องตามหาให้มากความแทน เป็นพวกไร้รสนิยมที่ไม่เคยสนใจเรื่องความแตกต่างของน้ำหมึกแต่ละชนิดน่ะ แค่มีใช้ก็พอแล้ว

   เสียงฮือฮาที่เกิดขึ้นทั่วห้องยามดำเนินถึงข้อรองสุดท้ายเป็นอะไรที่เข้าใจได้ไม่ยาก คำถามที่ถูกตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งว่ามันควรจะมีคำพิพากษาอย่างไรในเมื่อมันเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ประมวลไม่ได้ระบุให้ครอบคลุม

   “สำหรับข้อนี้ไม่ว่าจะตอบตามแนวฎีกาหรือว่าตามหลักในประมวลผมก็ให้หมดนะครับ”

   จะว่าไปก็แปลกใจเหมือนกันนะหลังจากฟังคำอธิบายยาวยืดที่มาตั้งนาน เพราะมันก็กลายเป็นว่าทำอย่างนี้ไปมันก็ไม่ต่างกับการกลืนน้ำลายในสิ่งที่เคยพูดเลย อาจารย์คนไหนด่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งยืดยาว เรื่องความลักลั่นในระบบกฎหมายของประเทศนี้

   มันเป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครอยากปรับปรุงให้มันถูกต้องมากเสียเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นประเทศใต้ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ที่ยึดการตีความตามตัวบทในประมวลกฎหมายแต่กลับทำงานแบบยึดตามแนวคำพิพากษาเหมือนประเทศฝั่งคอมมอนลอว์เสียอย่างนั้น

   อะไรๆ ก็ฎีกาไว้ก่อน

   แล้วที่ตลกร้ายที่สุดคือเขาเรียนเรื่องพื้นฐานพวกนี้ตั้งแต่สมัยเข้าปีหนึ่งแรกๆ คือเข้ามาถึงยังไม่ทันได้เรียนกฎหมายสักบทก็ต้องมาเจอกับเรื่องน่าประสาทเสียพวกนี้แล้ว เป็นการรับน้องที่น่าประทับใจมากเลยล่ะ

   การแข่งขันจบไปแบบไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก คนที่คิดว่าต้องผ่านเข้ารอบแน่ๆ ไม่มีใครที่หลุดออกไป ส่วนที่เหลือไม่ได้รู้จักมักจี่เลยประเมินไม่ได้ แต่ก็ต้องมีความสามารถพอตัวแหละ

   เพราะว่าหลวมตัวมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องช่วยให้จบ เดือนตุลาจัดแจงย้ายเก้าอี้เล็กเชอร์ในห้องให้กลับไปเป็นแถวยาวตามเดิมโดยมีน้องปีหนึ่งสองคนเป็นผู้ช่วย เขาน่ะเกลียดพวกที่เอาหน้าเสร็จแล้วก็หายตัวที่สุดเลย คือเป็นคนสร้างขยะแล้วก็ควรจะเก็บด้วยสิ

   ใช้เวลาไม่นานเสียงลากเก้าอี้น่ารำคาญหูก็หายไปทั้งหมด เขาเดินไปยืนอยู่ตรงบนพื้นยกระดับสำหรับประกอบการสอนของอาจารย์เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ถือว่าไม่แย่สำหรับการจัดการโดยสามชีวิต มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยคุณป้าแม่บ้านก็ไม่น่าจะด่าตามหลัง

   “...”

   ประหลาดชะมัด

   เดือนตุลารู้สึกว่าความว่างเปล่าแสนกว้างมันแคบลงไปถนัดตายามก้มลงมองจากจุดสูงกว่า

   ความรู้สึกของคนที่อยู่บนบัลลังก์มันจะเหมือนหรือคล้ายกับที่กำลังสัมผัสอยู่หรือเปล่านะ

   “น้องตุลจะรอล็อกห้องเหรอ นี่ไม่ใช่ที่ตึกนะ”

   อยากอยู่คนเดียวก็มีคนเข้ามาวุ่นวายจนได้ น้องปีสองคนเดียวในห้องนี้เบนหน้ากลับไปทางต้นเสียงเงียบๆ ก้าวลงจากเวทีแต่ไม่ได้พุ่งตรงไปหาพี่ปีสี่ที่ได้รับตำแหน่งที่สี่ของการแข่งที่เพิ่งผ่านไป ใช่ แปลกใจนิดหน่อยที่คะแนนของพวกเขาห่างจากที่หนึ่งตั้งสามจุดห้า

   มาแผ่วปลายตอนท้ายเฉยเลยคู่นี้น่ะ ปลายเจตน์ยังเดินมากระซิบกับเขาเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

   “แค่เช็กให้มั่นใจครับ แต่ถ้าพี่ฟีนจะรอก็เชิญ”

   “เมื่อไหร่จะเลิกร้ายอะ”

   “ก็กล้าพูดนะครับ” ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังยืนยันว่าเขาไม่มีทาง ‘ร้าย’ ได้เท่าคนตรงหน้าหรอก “แล้วทำไมยังไม่กลับกันล่ะ ลืมของเหรอ”

   แต่ก็คิดว่าตอนที่เดินจัดของไม่เห็นว่ามีของอะไรหล่นอยู่นะ หรือว่าเหล่ารุ่นน้องเก็บได้แล้วเอาไปไว้ตรงหน้าห้องแล้วกันนะ

   “ไม่ได้ลืม”

   “แล้ว...?”

   “ตัวเองนั่นแหละลืมอะไรหรือเปล่า"

   “...”

   อ่า...นั่นสินะ

   “ก็คืนมาสิครับ”

   เกือบลืมไปเลยว่ามีของสำคัญบางชิ้นที่หายไป ทำงานตลอดเวลาอย่างนี้มันก็ต้องมีหลงลืมกันบ้างแหละ

   แบมือออกไปยื่นขอปากกาหมึกซึมแท่งเก่ง ยิ้มแผล่จากคนตรงหน้าบอกเขาว่าทุกอย่างไม่น่าจะง่ายอย่างนั้นแน่นอน รู้ว่าการนับหนึ่งถึงร้อยไม่ช่วยอะไรก็เลยยอมทิ้งมือลงตามเดิม

   บอกแล้วว่าเป็นกลุ่มรุ่นพี่ที่ได้ที่สี่ นั่นหมายถึงว่ามันมีสองคนอยู่ในห้องนี้ พี่ธรรมน่ะยืนอยู่แถวหน้าประตูตั้งแต่แรกแต่ก็ทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนตลอดเวลา คือไม่รู้ว่าจะต้องคงคอนเซปต์เป็นมนุษย์ไร้มนุษยสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปถึงไหน ตอนอยู่กับเพื่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย

   “...ให้ใครใช้ ก็ไปเอาคืนจากคนนั้นสิ”

   คำกระซิบนั่นไม่ต่างจากเสียงล่อลวงของปีศาจเลยล่ะ

   มือที่แตะลงตรงบ่าไม่ได้มาพร้อมแรงกดหนักจนกลายเป็นการบีบบังคับ มิหนำซ้ำแรงผลักเพียงแค่เล็กน้อยนั่นแหละที่มันทำให้เขาขยับโดยไม่เต็มใจ

   การแข่งขันมากกว่าสองชั่วโมงคงสูบพลังงานของสัทธามากพอสมควร ดูได้จากรอยล้าบนใบหน้าแล้วก็สไตล์ของทรงผมที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ยิ่งกว่าเดิม นี่ก็อยากรู้เมื่อไหร่จะยอมตัดผมสั้นแบบคนอื่นเขาบ้าง เดินขึ้นมาชั้นสี่ทีไรแม่บ้านคนใหม่นึกว่าเป็นนักศึกษาที่ขึ้นมาร้องเรียนทุกที

   ก็ยังกลัวอะไรไม่รู้เหมือนเดิมเลยไม่กล้าสบตาเท่าไหร่นัก เขาก้มลงมองบริเวณมือทั้งสองข้างเพื่อที่จะได้รู้ว่าควรจะให้ความสนใจกับทิศไหนมากกว่ากัน

   รับปากกาแท่งนั้นกลับมาไว้ในมือโดยระวังไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายสัมผัส เหมือนกับเป็นกฎเหล็กที่ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาดทำนองนั้น

   “หน้าที่ของตัวเองคืออะไร?”

   เสียงราบเรียบของสัทธามันไม่ได้เจือความหัวเสียเอาไว้แม้แต่น้อย

   หากมันทำให้เดือนตุลาสะอึกลึกอยากจะหายไปจากตรงนี้

   “เป็นกรรมการ...จะเปิดตามองไม่ได้” เธมิสคือชื่อของเทพีแห่งความยุติธรรม หล่อนปิดตาเอาไว้เสมอเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงธรรม ปราศจากความลำเอียง “ต่อให้คู่ความผิดพลาดในเรื่องที่เล็กน้อยแค่ไหน นายก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือนะเดือนสิบ”

   อีกแล้ว...

   ทำมันพังอีกแล้ว

   เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

   “พลาดคือพลาด คือไม่พร้อมเอง”

   “...”

   “นายมีหน้าที่เดียว”

   “...”

   “คือยกตราชูให้เท่ากันเสมอ”

   ในเสี้ยววินาทีแสนสั้น

   เดือนตุลาเข้าใจแล้ว

   ที่เขาบอกว่า ‘มิอาจก้าวล่วง’ มันหมายความว่าอย่างไร


***
   คิดว่าอีกหน่อยต้องทำอ้างอิงท้ายบทจริงๆ แล้วล่ะค่ะ (หัวเราะ)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
«ตอบ #28 เมื่อ27-10-2019 18:18:09 »

สัทธาอย่าดุน้องสนับสนุนอ้างอิงค่ะ5555ขอบคุณนะคะคุณเจ้าเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
«ตอบ #29 เมื่อ27-10-2019 23:53:55 »

โอ้โหคุณพี่คะะะะะะะะะะะ  :ling2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด