{เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)  (อ่าน 8421 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
{เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
« เมื่อ08-07-2017 22:04:06 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

ⓇⒺⓈⓉⒶⓇⓉ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2019 21:05:37 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [08.07.17]
«ตอบ #1 เมื่อ08-07-2017 22:23:30 »

RESTART

EP.1


   เวลากลางคืนในเดือนสิงหาร้อนกว่าทุกปีที่ผ่านมา

   ปาดเหงื่อตรงข้างแก้มออกไป เอื้อมมือออกไปหยิบแก้วกาแฟเย็นราคานักศึกษาที่ตัวเองซื้อมาเตรียมเอาไว้มาดื่ม ความหวานที่สั่งให้มากกว่าปกติช่วยให้อารมณ์ขุ่นลบหายออกไปได้ไม่น้อย เวลาอย่างนี้ก็ต้องของหวานที่ให้ความเย็นไปพร้อมกับช่วยให้ตาสว่างล่ะนะ

   พลิกหนังสือไปหน้าถัดไป ความสะอาดของมันเรียกเอาคิ้วของผมขยับเข้าหากัน ทั้งที่แผ่นก่อนหน้ามันเต็มไปด้วยร่องรอยของการขีดเขียนแล้วทำไมส่วนนี้ถึงไม่มีอะไรเลยล่ะ โดยเฉพาะในกรณีที่หน้าถัดไปก็กลับมาเขียนเอาไว้สองสามตำแหน่งด้วย

   เปิดกลับไปหาวันที่ตรงหน้าแรกของชีต เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วผมทำอะไรอยู่นะ

   "กลับได้แล้ว"

   อ้อ...จำได้ล่ะ

   ตอนที่เขาโทรมาหาบอกว่าเบื่อคาบเรียน แล้วให้ผมช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนหน่อย

   "ทำไมวันนี้มาหาได้?" ถามออกไปด้วยความสงสัย ก็ในเมื่อนี่เป็นเวลาแค่สองทุ่ม ปกติแล้วมันเป็นเวลาที่เริ่มทำงานจริงจังเสียด้วยซ้ำ และกว่าไฟจะมอดก็ตอนเที่ยงคืนกว่านั่นแหละ

   "ไฟดับ หม้อแปลงระเบิด"

   ผมได้แต่หรี่ตามองด้วยความสงสัย "ที่นี่ไม่เห็นเป็นอะไร"

   'ที่นี่' ที่ว่าคือตึกที่ห่างไปไม่ไกล เดินไม่เกินห้านาทีก็ถึง เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่สามนาทีสี่สิบวินาที ส่วนถ้าวิ่งเร็วสุดก็หนึ่งนาที ผมบอกได้หมดทุกสถานการณ์นั่นแหละ ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างนี้มาเข้าปีที่สองแล้วนี่นา

   "ก็ดีแล้ว" นอกจากเขาจะเมินคำถามแล้วยังเดินเข้ามาใกล้จนเกือบชิด "หิว อยากกินข้าวร้านป้า"

   "ปกติก็กินอยู่ร้านเดียว"

   "งั้นก็ไปกันเถอะ"

   มองอีกคนเดินตัวปลิวออกไปไม่คิดจะรอกัน ถอนหายใจออกมาเบาๆ พอให้ไม่ผิดสังเกต กลับมาเก็บของที่วางไว้ระเกะระกะบนโต๊ะเพราะคิดว่าอีกนานกว่าจะได้เจอคนที่ปรากฎตัวแบบไม่บอกล่วงหน้า จัดการเอากระดาษโพสต์อิทแปะเอาไว้ตรงหน้าที่อ่านล่าสุดเพื่อให้สะดวกต่อการกลับมาตามอ่านอีกครั้ง

   คิดแล้วก็ตลกประโยคก่อนหน้าที่บอกว่าไปด้วยกัน ในเมื่อเขาไม่คิดจะหยุดรอหรือว่าชะลอการเดินเลยสักนิดเดียว ผมทอดน่องไปตามทางเรื่อยเปื่อยไม่คิดว่าต้องเร่งรีบอะไร เราไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปรับนาฬิกาชีวิตให้เดินในจังหวะเท่ากับคนอื่นเสียหน่อย

   เดินคนเดียวจนถึงร้านที่อยู่บนบทสนทนาก่อนหน้า นั่งลงฝั่งตรงข้ามของชายในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาดที่ก้มหน้ามองแต่หน้าจอโทรศัพท์เช่นทุกที

   "สั่งให้หรือยัง"

   "ปลาซอสเผ็ด"

   นั่นหมายความว่าในมื้อนี้อาหารของเราสองคนจะเป็นชนิดเดียวกัน "แล้วทำไมหม้อระเบิด"

   ในมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งนี้เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นหนึ่งในคำเล่าขาน ไม่ว่าใครก็แทบไม่เจอความขัดข้องในการใช้บริการไม่ว่าจะส่วนใดก็ตาม แปลกดีที่ได้ยิน

   "ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปปรับระบบยังไง"

   "..."

   "ขี้เกียจแก้โค้ด เลยจับฉลากหาคนทำ"

   ทุกคำชอบใช้แค่ให้พอเข้าใจได้ ตลกที่ผมดันเข้าใจเหมือนเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคน

   "เดี๋ยวอาจารย์จับได้ล่ะแย่" มีอย่างที่ไหนทำลายทรัพย์สินส่วนรวมอย่างนั้น

   "หึ หน้าตึกยังเดินมาขอบคุณอยู่เลยที่ช่วยให้เลื่อนเดทไลน์ส่งงานเป็นพรุ่งนี้"

   หัวเราะในลำคอด้วยโทนเสียงที่ไม่ต่างกันมากนัก คนหลอดพลาสติกในแก้วน้ำสีสดไปมาจนได้ยินเสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกับขอบเป็นจังหวะแปลกหู

   "หัวเราะอย่างนั้นหมายถึง?"

   "อยู่กันมาตั้งนานยังไม่รู้เหรอว่ากำลังบอกอะไร" แค่ผมเห็นว่าเขาเริ่มยกมือขึ้นเสยผมบ่อยครั้งกว่าปกตินั่นก็รู้แล้วว่าข้างใต้นั้นมันมีเรื่องกังวลใจอยู่ "งานพังอีกแล้วเหรอ"

   "ไม่ถึงกับพัง"

   "บัค?" มีอยู่ไม่กี่อย่างที่ทำให้เด็กเอกไอทีหงุดหงิดได้

   "ลองเล่นนี่หน่อย"

   เครื่องมือสื่อสารเครื่องโตหมุนย้ายฝั่งมาอยู่กับผมแทน หน้าจอปรากฎกรอบไม้เก่าให้ความรู้สึกน่าหดหู่ขนาดย่อมตกแต่งเอาไว้โดยมีปุ่มเริ่มอยู่ตรงกลาง 

   มือกดตามคำสั่งไปแบบไม่คิดอะไร ชินกับการต้องมาเป็นผู้เล่นจำเป็นแล้ว เขาเรียนเอกเทคโนโลยีสารสนเทศ เจาะลึกลงไปคือจำพวกผู้พัฒนาแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์ทั้งสองระบบ เป็นสายงานที่ยังอยู่รอดได้ในอนาคตอีกไกล

   รอจนโหลดเสร็จจึงเริ่มต้นเล่นไปตามสเป็คแรกเริ่ม มันเป็นเกมที่ให้เดินไปตามส่วนต่างๆ ของบ้านหลังใหญ่โดยต้องเก็บไอเทมจำเป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอทางออก เคยเล่นเกมประมาณนี้มาแล้วเลยใช้ความทรงจำเดิมในการคลำทางไป

   "..."

   จนมาเจอความผิดปกติก็ตอนที่ตายนี่แหละ

   "ทำไมไม่มีปุ่มออก?"

   อิงตามคำสั่งปกติของเกมทั่วไป ที่จะมีตัวเลือกให้ออกไปยังหน้าหลักได้หากแพ้ในตานั้นๆ แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้มันมีแค่คำสั่ง 'Restart' อยู่เพียงปุ่มเดียวเท่านั้น

   "หือ?"

   อีกฝ่ายคงยังไม่รู้ผมเลยส่งมันกลับไป "นี่ มีแต่ให้เริ่มต้นใหม่"

   "...ทำไมวะ" ท้ายเสียงลงหนักแบบคนไม่พอใจเท่าไหร่นัก ผมปล่อยให้เป็นภาระของคนสร้าง ส่วนคนที่มีหน้าที่ทดสอบเบื้องต้นอย่างผมก็หลบฉากออกไป ไว้ค่อยออกเมื่อตอนที่เขาเรียกอีกครั้ง

   "ทำมากี่วันแล้ว"

   "นานล่ะมั้ง กูเอามาทำต่อ คนอื่นบอกว่าแก้โค้ดไม่ไหวแล้ว"

   เด็กเก่งที่ได้ทุนเรียนฟรีจนจบชั้นปริญญาตรี แล้วถ้าอยากจะเรียนต่อก็จะให้ทุนในชั้นเรียนที่สูงกว่า มีหลายมหาวิทยาลัยยื่นข้อเสนอให้ไปเรียนด้วยแต่ว่าก็เลือกที่นี่เพราะเอาเข้าโปรแกรมแรนดอมแล้วได้ที่นี่ออกมา

   โคตรบ้าบอ

   "ปวดหลังหรือไหล่"

   เขาหรี่ตามองผมอย่างคนรู้ทัน "ต้องสอบทั้งหมดกี่ส่วน"

   "ห้า แต่ว่าที่เหลือลองฝึกกับเพื่อนแล้วไม่มีปัญหา"

   มันไม่ใช่การเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุย ใช้คำว่าถึงคราวพูดเรื่องตัวเองบ้างแล้วกัน

   มันเป็นความสัมพันธ์ที่เราแลกเปลี่ยน 'ร่างกาย' กัน เขามีผมไว้ทดสอบเกม ส่วนผมมีเขาไว้ทดสอบกายภาพ นอกเหนือจากนั้นมันก็เป็นเรื่องของความคลุมเครือสำหรับคนอื่นที่ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัยสำหรับพวกผม

   ผมเรียนคณะกายภาพบำบัด เพราะว่าพ่อแม่อยากให้เรียนทางหมอแต่ว่าผมไม่อยากจะทนอยู่กับหนังสือและชีวิตที่ไร้สุขอนามัยไปอีกหกปี ใช้วิธีการกาข้อสอบมั่วในรอบกสพท. แล้วก็ตั้งใจเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเพื่อให้คะแนนถึงตอนแข่งขันกับเด็กทั้งประเทศ

   "งั้นคืนนี้ค้างห้องมึงนะ" เขาถามในขณะที่สายตายังจ้องอยู่ที่เกมของตัวเอง

   "อืม"

   "ชุดซักหรือยัง"

   "แล้วมั้ง คิดว่าอย่างนั้น"

   ก็อยากจะขัดอยู่หรอกว่าถ้าไม่มีเขาก็เอาของผมไปใส่อยู่ดี เพราะงั้นเรื่องที่ว่าจะส่งซักหรือยังนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลยสักนิด ขนาดตัวของเราไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ เรียกว่าแลกกันใส่ได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า และเสื้อที่เขากำลังใส่ตอนนี้มันก็เงินของผมเหมือนกัน

   "แวะเซเว่นด้วย"

   "อ่าฮะ"

   เรายังคุยเรื่องทั่วไปในระหว่างรับประทานอาหารเย็นที่มาในรูปแบบเดียวกัน ต่างกันก็ตรงที่ปลาของผมมันดูตัวเล็กกว่านิดหน่อย รสชาติที่ไม่ได้คิดว่าอร่อยติดลิ้นอะไรมากนักช่วยประทังความหิวไปได้อีกมื้อ

   "เอาไป" ระหว่างที่ข้าวกล้องพร่องไปได้เกือบครึ่ง ชิ้นปลาขนาดใหญ่มันก็ถูกวางลง "เบื่อล่ะ คราวหน้าเปลี่ยนเมนูกัน"

   "ต้องใช้คำว่า เปลี่ยนแล้วกูก็ต้องกินด้วยต่างหาก"

   ไม่เห็นเคยขอความเห็นตรงไหน มีแต่เขานั่นแหละที่อยากทำอะไรก็ทำตามใจ ผมมันพวกที่ไม่ชอบเรื่องมากอยู่แล้วไง จะอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

   ถึงจะไม่ชอบบางครั้งก็เถอะ

   "เอาหัวหอมมา"

   เข้าไม่ถึงความอร่อยของการใส่หัวหอมลงไปในการผัดด้วยเท่าไหร่ ผมกวาดเอาหัวหอมผัดที่เขี่ยเอาไว้ตรงข้างจานไปให้ตามที่ขอ ถ้าคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนแล้วผมได้กำไรเต็มๆ เลยงานนี้

   มื้อเย็นราคาเกือบร้อยของเราถูกชำระโดยคนโดนโยนงาน ผมกับเขาเดินตามทางกลับไปยังหอโดยไม่ลืมที่จะแวะร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกกันไว้ ต่างคนแยกไปตามชั้นวางของที่ตนเองต้องการ ผมเดินไปหยิบน้ำผลไม้แบบกล่องมาสองสามแบบ ส่วนเขาเองก็หายเข้าไปในช่องขนมทานเล่น เคยอ่านโภชนาการที่ติดเอาไว้ตรงข้างถุงไหมนะว่ามันเต็มไปด้วยสารที่ทำร้ายร่างกายขนาดไหน

   "รวมกันเลยใช่ไหมคะ"

   "ครับ" ต่างคนต่างวางของตัวเองพร้อมกัน เจอพนักงานถามอย่างนี้จนชินล่ะ "ใช้บัตรจ่าย"

   หยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาหาบัตรส่วนกลางที่ตกลงกันว่าจะใส่ไว้ในนั้นเป็นจำนวนเท่ากัน จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดแยกให้วุ่นวาย อีกอย่างมันก็ได้สะสมแต้มแลกของด้วย

   เมื่อได้ของที่จำเป็นต่อการจ่ายเงินแล้วก็กลับไปมองหน้าจอดิจิทัล เช็กว่าจำนวนเงินกับสินค้าที่ปรากฎมันตรงกันหรือไม่ ผมเคยเจอพนักงานคิดเกินไปด้วยแหละ จากนั้นเลยติดนิสัยต้องตามมองตลอด

   จนถึงขนมถุงสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เมื่อเขาหยิบกล่องสีสันขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือที่มักจะวางขายอยู่บริเวณข้างเคาท์เตอร์ลงแบบไม่มีคำอธิบาย

   ปรายตามองสีหน้าของแคชเชียร์ แอบชื่นชมที่เธอไม่ออกอาการเหมือนบางที่ "ต้องสอบ"

   "ก็เผื่อไว้"

   ส่ายหัวเบาๆ เอือมระอากับนิสัยอย่างนั้นจนเรียบเรียงออกมาไม่ถูก

   "ให้กูได้ซ้อมสอบก่อนเถอะ"

   "ไม่น่านานหรอกมั้ง"

   "ใครจะไปรู้"

   ไม่อยากจะเถียงมากอีก วางบัตรลงไปตรงแผ่นอ่านข้อมูลแล้วรอจนระบบทำงานเสร็จสมบูรณ์ เขาเป็นคนหยิบถุงทั้งหมดไปถือไว้เอง และหน้าที่ของผมคือเดินตามออกไปเหมือนที่ผ่านมา

   "...แฟนกันเหรอเนี่ย"

   ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูอัตโนมัติก็ได้ยินเสียงของพนักงานไล่หลัง มองแผ่นหลังผู้ชายคนนั้นกลืนไปกับฝูงชนพลางย้อนถามตัวเอง

   นั่นสิ

   ความสัมพันธ์ของเรานี่ควรเรียกว่าอะไรนะ



 
   เครื่องมือสื่อสารที่สั่นไม่ยอมหยุดในกระเป๋าส่งสัญญาณบอกผมว่ามีการเชื่อมต่อเครือข่าย มองเวลาบนนาฬิกาแขวนผนังแล้วคำนวณว่าจะมีใครโทรมารบกวนตอนนี้บ้าง นึกออกแล้วจึงวางของเล่นใหม่ในมือลงพลางใช้อีกมือควานหาสิ่งที่ต้องการ

   ชื่อภาษาอังกฤษผสมกับสัญลักษณ์ทางเคมีบนหน้าจอกำลังบอกผมว่าใครคือคนทางปลายสาย

   "ว่า"

   (มาหาที่ตึกหน่อย)

   "เอาอะไรบ้าง" ใช้ความเคยชินถามกลับไป เสียงง่วงอย่างนั้นดีไม่ดีเขาน็อคก่อนผมจะถึงแน่นอน "แต่ต้องสักพักนะ ทำงานอยู่"

   (ลาเต้ พิชโช แล้วก็มึง)

   "โอเค"

   มีแค่สองอย่างเลยไม่ต้องยกปากกาขึ้นมาจด ผมกดวางสายแล้วหันมาให้ความสนใจกับเครื่องมือในการวัดช่วงมุมการเคลื่อนที่ของข้อต่ออีกครั้ง คิดว่าตัวเองชอบวิชาที่เรียนนะ ไม่ว่าจะตัวไหนก็เถอะ แล้วทำไมต้องมาเจออาจารย์ประจำวิชาที่ไม่น่าประทับใจเลยสักนิด

   อีกเกือบยี่สิบนาทีถึงเริ่มเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ ผมไม่ได้บอกคนอื่นว่าจะไปไหนเพราะพวกเขาก็คงชินกันแล้ว

   "ต้องไปแล้วล่ะสิ"

   "ก็นะ"

   "เดี๋ยวนี้เขาฮิตเทรนด์คบแบบไม่ระบุสถานะเหรอ"

   อาจไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก รู้จักกันตั้งแต่เข้ามาเรียนแรกๆ เพราะว่าเลขรหัสนักศึกษาอยู่ติดกัน อีกฝ่ายก็ชอบพูดอะไรตามตรงแต่ไม่ถึงขั้นปากสุนัข เราก็เลยเป็นเพื่อนกันได้อย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ

   "ไม่ได้คบ"

   ต้องอธิบายให้เข้าใจตรงกันหน่อย เดี๋ยวจะคิดไปเองอยู่คนเดียว

   "หา?"

   "อืม" เลยผ่านเสียงร้องหลงเต็มขั้นนั้นไปเสีย ไม่คิดจะลงรายละเอียดอะไรที่มากกว่านั้นอยู่แล้ว "เจอกันคาบหน้านะ"

   บอกลาเกือบเรียกว่าไร้เยื่อใย ออกมารอรถบริการภายในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังส่วนกลางที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้เกือบครบครัน ต้องแวะซื้อของตามสั่งก่อนถึงจะเข้าไปในตึกได้ วันนี้ผมไม่ลืมเอาบัตรมาแลกใช่ไหมนะ เดี๋ยวต้องใช้วิชามารล่ะจะยุ่ง

   ตึกในมหาวิทยาลัยบางตึกก็มีกฎมากมายเสียจนน่ารำคาญ เช่นต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบทุกอย่างไม่มีข้อยกเว้น ต้องแขวนบัตรนักศึกษาเอาไว้ตลอดการเข้าใช้หรือไม่ก็ต้องมีบัตรอนุญาตพิเศษ

   ผมก็มาตึกนี้บ่อยนะ แบบที่ยามหน้าตึกทักทายทุกครั้งที่เดินผ่าน ถึงอย่างนั้นพอไม่ใช่เด็กในคณะก็ต้องปฏิบัติตามกฎการเข้าใช้ที่มากเสียจนน่าปวดหัว ระหว่างต่อแถวเพื่อจ่ายเงินก็มองออกไปข้างนอกเรื่อยเปื่อย นี่เป็นเวลาเลิกเรียนคาบบ่ายเลยเห็นนักศึกษาเดินสวนไปมาเต็มไปหมด

   ...

   รวมถึงเห็นเขาอยู่กับใครอีกคน...หลังจากที่เคยเห็นกับใครหลายๆ คนก่อนหน้า

   ถ้าออกมาเองได้ก็ไม่ต้องโทรหาผมเลยนี่นา

   "สองรายการเจ็ดสิบบาทครับ"

   ของทานเล่นแค่นั้นในเมืองหลวงนี่พุ่งขึ้นไปได้เท่านี้แล้วเหรอ ผมมองตัวเลขสรุปยอดเงินตรงหน้าจอแล้วเก็บบัตรแทนเงินสดลงไป ยื่นธนบัตรสีแดงหนึ่งใบไปแทนพลางนึกถึงสมัยที่ยังซื้อของหลายๆ อย่างได้ด้วยเงินไม่กี่สิบบาท

   นี่แหละนะทุนนิยม

   ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองยื้อเวลาอะไรนะ พอซื้อของเสร็จก็นั่งแกร่วอยู่แถวนั้นร่วมสิบนาทีก่อนจะยอมขยับตัวอีกครั้ง ตอนที่ขึ้นมาบนตึกเรียนของอีกคนผมก็เจอเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ถุงพลาสติกสกรีนสโลแกนรณรงค์ให้รักษ์โลกวางตรงข้างตัว แล้วก็พาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงมุมประจำ

   "เมื่อไหร่จะซื้อของให้ถูกตามที่สั่ง"

   "ก็อยากกินอย่างนี้"

   มองของสองชิ้นในมือของอีกคนพลางยักไหล่ขึ้น ด้านขวาคือแก้วพลาสติกสีน้ำตาลบรรจุมัคคิอาโตเอาไว้ ส่วนทางซ้ายคือทาโร่รสสาหร่ายอย่างที่ผมชอบ

   ถูกแล้ว กาแฟผสมฟองนมนั่นก็ของชอบผมเหมือนกัน

   "ก็ซื้อของตัวเองเพิ่มไปสิ"

   "ไม่ล่ะ" ปฏิเสธคำแนะนำด้วยการแบมือให้เอาเครื่องดื่มมาให้ผม "ไม่กินก็เอามา"

   นอกจากจะไม่ได้ดื่มเองแล้วยังต้องมองเขาจิบหนึ่งคำก่อนเททั้งหมดทิ้งลงอ่างล้างมืออย่างไม่ใยดี เบ้ปากให้นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคนเริ่มต้นมันผมเองนี่นา

   "เงินกูนะ"

   "ไม่ได้ใช้บัตร?"

   อย่างที่บอกว่าเราแชร์เงินในบัตรคนละครึ่ง "ลืม"

   "เห..."

   "โยนทาโร่มาหน่อย"

   "บอกให้ซื้อพิชโช"

   เราไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง

   เขาชอบลาเต้ ผมชอบมัคคิอาโต

   เขาชอบพิชโช ผมชอบทาโร่

   ไม่มีอะไรที่ดูแล้วช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรามันดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นได้สักนิด

   "อยากกิน"

   คำตอบไร้เหตุผลจนถ้าลองเอาไปพูดใส่คนอื่นอาจโดนสหบาทาไปแล้ว แต่กับเขาแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงแค่การส่งยิ้มมุมปากไม่น่าไว้วางใจมาให้เท่านั้น มือข้างหนึ่งถือถุงขนมที่มีหน้าซองเขียนกำกับเอาไว้ว่าทำจากเนื้อปลาพลางโบกมันไปมาไม่ยอมส่งมาอย่างที่ผมขอ

   "ถ้าวันหลังบอกให้ซื้อทาโร่จะซื้ออย่างอื่นมาไหม"

   คิ้วขมวดเข้าหากันมากกว่าปกติ นี่คำถามอะไรกัน "ไม่ ก็ชอบอย่างนี้"

   "งั้นก็คิดถูกที่ให้ซื้ออันนี้"

   "..."

   ผมก็ยังตามเขาไม่ทันอยู่ดี

   "วันนี้เดี๋ยวไปต่อนะ"

   "อ่าฮะ"

   นั่นคือการบอกว่าในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ต่างคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ผมหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาทวนรายละเอียดในวิชาจิตวิทยากายภาพ ไม่ชอบวิชานี้เท่าไหร่เพราะคนสอนเป็นผู้หญิงวัยชราที่มาพร้อมกับเสียงชวนง่วงจนน่าอัดเอาไปทำเพลงกล่อมให้หลับ เผลอสติหลุดแป๊บเดียวก็ต่อเนื้อหาไม่ค่อยติดแล้ว

   มองเขาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองพร้อมกับกรอกภาษาต่างดาวลงไปไม่มีหยุด ครั้งแรกที่เห็นก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย พออยู่ไปนานๆ ก็กลายเป็นคิดว่าเขาไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง หรือในบางครั้งก็หลายวันไปเลย

   "อันนี้เกมนั้นหรือเปล่า" หมายถึงตัวเกมที่มีเพียงคำสั่งให้เริ่มต้นใหม่เมื่อตกเป็นฝ่ายแพ้

   "เปล่า อีกอัน"

   "แก้ได้แล้ว?"

   ไม่รู้ทำไมถึงชอบมันมากกว่าเกมอื่นที่เคยเล่น ทั้งที่มันก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ติดจะเป็นเกมเบสิคเสียด้วยซ้ำไป คงเป็นเพราะคำสั่งสุดท้ายที่ผมเจอเมื่อครั้งก่อน เกมที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ยอมแพ้เป็นอะไรที่แปลกดี

   "ทิ้งไว้ก่อน อันนี้งานด่วนกว่า"

   ถึงบอกว่าเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาโปรแกรมไม่ใช่เฉพาะฝั่งเกมเท่านั้น อย่างวันก่อนก็ลองทดสอบส่วนของแอปพลิเคชันอีบุ๊ก (Electronic Book) ให้อยู่ ยังใช้ยากพอสมควรสำหรับคนที่ชอบอ่านจากหน้ากระดาษอย่างผม มันก็มีข้อดีอย่างเช่นพวกการเล่นวีดีโอหรือเพลงประกอบแหละ ผมแค่ไม่ชินแล้วก็ไม่ชอบเท่านั้นเอง

   "แล้วคราวนี้เป็นอะไร"

   ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ แบบคนปลงตกได้แล้วซึ่งทุกอย่าง ถ้าลองได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกของการเขียนโปรแกรมแล้วต่อให้ได้ยินสัญญาณเตือนไฟไหม้ก็ยังเขียนต่อไปได้ไม่มีสะทกสะท้าน อาจจะโดนด่าถ้าไม่ยอมให้เซฟงานขึ้นเซิฟเวอร์ก่อนอีกต่างหาก

   "ทีหลังไม่ต้องเรียกมาเลยนะ" เอ่ยลอยๆ ให้มันเดินทางไปกับคลื่นเสียง และไม่ต่างอะไรกับประโยคก่อนหน้าที่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา "เสียเวลา"

   แทนที่ผมจะได้นั่งทำงานของตัวเองต่อหรือไม่ก็ออกไปหาของกินใส่ท้องตัวเอง ก็กลายเป็นว่าต้องมาติดแหงกอยู่ตรงนี้ ถ้าถามว่าหน้าที่ของผมคืออะไร ก็เหมือนที่เห็นนั่นคือการเป็นเมจเซนเจอร์ส่งของขึ้นตึก หลังจากนั้นแล้วก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นสถานที่อ่านหนังสือที่มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว

   "แค่ให้แวะซื้อของให้นิดเดียวเอง อีกอย่างมานั่งอ่านที่นี่สบายกว่าตั้งเยอะ"

   ทีอย่างนี้ล่ะยอมตอบ ผมส่งเสียงแค้นเยาะกลับไปพร้อมกับกระแหนะกระแหนสิ่งที่เพิ่งเจอมา "ทั้งที่ตัวเองก็เดินลงมาเองได้น่ะเหรอ"

   ถึงไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมดมันก็เพียงพอแล้วสำหรับการบอกว่าผมไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่คาดหวังว่าจะได้รับบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดกลับมาหรอก ก็บอกไปแล้วว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาอยู่กับใครคนอื่น 

   อีกอย่างนะ

   "ก็อยากเจอ"

   เขาพูดแค่นั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว


***
   สวัสดีครั้งแรกกับเรื่องสั้นประจำปี 2017 ของเจ้าค่ะ (ยิ้ม)
   เรื่องนี้ไม่มีชื่อตัวเอกนะคะ จะมีแต่ผมกับเขา เพราะเจ้าคิดชื่อไม่ออกค่ะ (หัวเราะ) จะพยายามแยกให้อ่านแล้วไม่งงมากที่สุด แล้วจะให้ตัวละครน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ สำหรับเนื้อหาแล้วก็คงไม่ค่อยต่างจากทุกเรื่องที่ผ่านมาคือจะให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องเหมือนเดิมค่ะ (ยิ้ม)
   #รีสตาร์ทเกม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2017 14:09:06 โดย 23August »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [08.07.17]
«ตอบ #2 เมื่อ10-07-2017 15:25:34 »

เป็นรักรสขมรึเปล่า??? รอจ้า  :m17:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [08.07.17]
«ตอบ #3 เมื่อ13-07-2017 03:41:58 »

 :pig4:

ออฟไลน์ gon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [08.07.17]
«ตอบ #4 เมื่อ16-07-2017 21:37:51 »

ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีอ่ะ

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [08.07.17]
«ตอบ #5 เมื่อ16-07-2017 21:44:35 »

 :pig4: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.1 [16.07.17]
«ตอบ #6 เมื่อ16-07-2017 21:46:40 »

เล่นเกมน่ะรีสตาร์ทได้ แต่ชีวิตจริงมันทำไม่ได้น่ะสิ ฮา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2017 21:50:05 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #7 เมื่อ16-07-2017 21:50:58 »

ไหนตอนที่สอง....หาไม่เจอฮะ  :confuse:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #8 เมื่อ16-07-2017 21:58:45 »

EP.2


   "...ยังแก้ไม่ได้เหรอ"

   หลังจากได้รับการลงเกมเวอร์ชันทดสอบในสมาร์ตโฟนของตัวเอง ผมก็กลับมาทำหน้าที่หนูทดลองที่ดีด้วยการตรวจสอบว่าการพัฒนาคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว บางส่วนที่ติดขัดตั้งแต่ครั้งก่อนได้รับการแก้ไขแล้ว รวมถึงความสมจริงที่เพิ่มขึ้นมาด้วย

   ก็เหลือแต่คำสั่งตอนแพ้นี่แหละที่ยังเหมือนเดิม

   ปุ่มกดมีเพียงแค่คำสั่ง 'เริ่มต้นใหม่' เพียงอย่างเดียวให้เลือก ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก คราวนี้ผมสามารถผ่านไปได้จนเคลียร์ช่วงแรกเกือบหมดแล้ว ดันไปพลาดไม่รู้ว่าถ้าจะขึ้นชั้นสองจะต้องไปปิดคำสั่งควบคุมแสงไฟก่อน เลยเน่าตายอยู่ในลิฟต์ไป

   อารมณ์ไม่ค่อยดีเลยอยากออกเกม ก็ดันมีแต่คำสั่งให้รีสตาร์ทอีก

   "ตรงไหน"

   คนพัฒนาบอกว่าอยากรู้ความคืบหน้า คืนนี้ผมเลยถูกลากมาค้างที่ห้องด้วย ผมกับเขาเหมือนกันตรงที่ต้องเช่าหอพักอยู่ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในเมือง ส่วนเขาบ้านอยู่อีกฝั่งของเมืองจนต้องยอมย้ายที่อยู่ชั่วคราวเพื่อให้สะดวกต่อการเรียน

   "ที่เดิม ไม่มีให้ออกเกม"

   "กูว่าแก้กูแล้วนะ"

   ยกไหล่ขึ้นแทนการปลอบผสมกับตอกย้ำ "ก็อย่างที่เห็น"

   "ไว้ค่อยแก้ มีงานอื่นอีก"

   "อันนี้คือทำเล่นๆ เหรอ"

   ก็ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้ส่งคงไม่บอกว่าเอาไว้ทำเมื่อว่างหรอก อีกอย่างนอกจากงานที่มีคะแนนแล้วเขายังรับงานนอกเองด้วย ยังไงงานที่ได้เงินมันก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ

   "ทำไปเรื่อย ทดสอบฝีมือ"

   ความท้าทายไม่กี่อย่างของพวกคลั่งไคล้ภาษาอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากการเขียนตัวอักษรให้กลายเป็นภาพปรากฎบนหน้าจอแล้วการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเป็นเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักกันมาสถิติแก้โค้ดที่นานที่สุดคือสามสิบสองชั่วโมงไม่ได้พัก แบบที่ผมมาหาตอนเช้า นอน แล้วตอนที่ตื่นก็ยังเห็นเขาอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์แบบเดิม

   "จะรอเล่นอีกรอบแล้วกัน"

   "คงอีกสักพักใหญ่เลยล่ะ ชอบเกมนี้?"

   "มั้ง"

   เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหรือไม่ชอบ ส่วนหนึ่งอาจมาจากนิสัยไม่ค่อยยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ด้วยแหละ อย่างเกมของเขาทุกเกมที่ผ่านมือของผมจะต้องจบด้วยคำว่าชนะถึงจะยอมเลิก

   ตัวเองนอนกลิ้งไปมาบนเตียง ส่วนเจ้าของห้องนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น สายตาจับจ้องแต่แสงไฟบนโน้ตบุ๊กบนตัก ผมมองเขาพรมนิ้วมือไปบนแป้นเป็นจังหวะที่ไม่มีความสม่ำเสมอสลับกับใช้เมาส์ลากไปมา เห็นท่านั่งที่ไม่ค่อยส่งผลดีกับสุขภาพเลยต้องเตือนหน่อย

   "นี่ นั่งหลังตรงอย่างที่สอนสิ"

   พอมาเรียนแบบเจาะลึกแล้วก็กลายเป็นคนโรคจิตที่ระแวงโรคใกล้ตัวไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะกับโรคที่เกิดจากการใช้ร่างกายในท่าเดียวกันเป็นเวลานานจนเป็นปัญหาเรื้อรัง อะไรที่ป้องกันเอาไว้ได้ก่อนก็ควรที่จะทำตามไปเถอะ มันไม่คุ้มกับการต้องไปรักษาภายหลังหรอกนะ

   คนโดนสั่งหันมาทำหน้าเบื่อใส่ก่อนจะปฏิบัติตามโดยดี ผมหลุดขำให้มุมเด็กน้อยของเขา คือยังไงก็จะทำตามแหละ แต่ก็ขอให้ได้แสดงออกหน่อยว่าก็ไม่ได้อยากจะทำเท่าไหร่

   "ขำตรงไหน?"

   "ก็ตรงที่หันมาไง"

   "เฮอะ..." ยิ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างนั้นแล้วก็เหมือนเด็กเข้าไปใหญ่ "แค่ก้นกูแตะที่นั่งก็ต้องท่องสเต็ปที่มึงเคยสอนแล้ว หลอนหูฉิบหาย"

   "สอนข้างหูอย่างนั้นไม่หลอนให้มันรู้ไป"

   คิดว่าตัวเองก็เป็นลูกช่างแขวะเหมือนกัน ผมวางโทรศัพท์ของตัวเองลงเมื่ออีกคนลุกออกจากที่นั่งแล้วก้าวขึ้นเตียงมาอยู่ด้วย เปลี่ยนต้นขาของผมให้กลายเป็นหมอนหนุนโดยการทิ้งทั้งศีรษะลงมาตามความเคยชิน ผมที่เริ่มยาวแล้วไม่ทำให้อาการระคายแทรกเข้ามาผ่านเนื้อผ้าได้ง่ายเช่นทุกครั้ง

   "ครูมึงรู้คงประทับใจอะ สอนตอนที่เรามีเซ็กส์กันเนี่ยนะ"

   "ถ้าเป็นเวลาอื่นมึงก็ไม่ฟังกูนี่"

   บทสนทนาเรียบง่ายราวกับเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งสำหรับเราสองคนแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ

   "ฟังตลอดเถอะ"

   "แต่นี่ก็จำได้แล้วไง ถือว่าประสบความสำเร็จก็พอแล้ว"

   ยังจำสีหน้าในวันนั้นได้อยู่เลย ตอนที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายผมแล้วหยุดชะงักไปมันน่าขำมากเลยนะ

   เขาพลิกตัวในเสี้ยววินาทีจนผมไม่มีเวลาได้ป้องกัน ใช้แขนทั้งสองข้างกักผมเอาไว้ใต้ร่าง ระบบความทรงจำของร่างกายแจ้งเตือนว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น คนที่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรอย่างผมปล่อยให้ริมฝีปากของอีกฝ่ายสัมผัสไปตามส่วนต่างๆ ของใบหน้าจนพอใจ จากนั้นตัวเองถึงเผยอปากขึ้นไปจุมพิตคืนเบาๆ

   "นี่..."

   "ว่าไง" เตรียมปลดกระดุมเสื้อนอนของอีกฝ่ายออกแล้ว "จะหยุดก็รีบบอก"

   "คบกันไหม?"

   "..."

   เอาตามความจริงเลยก็ไม่คิดว่าจะได้ยินอย่างนั้นเหมือนกัน ผมกระพริบตาถี่ๆ พลางทบทวนว่าเมื่อกี้ตัวเองหูฝาดไปเองหรือเปล่า มือทั้งสองข้างที่สาละวนกับเสื้อผ้าของเขาเปลี่ยนเป็นการเอื้อมจับไหล่ก่อนจะกดให้เขากลับไปนั่งหลังตรงแล้วผมขึ้นคร่อมไว้แทน

   "ให้พูดอีกที"

   "คบกันไหม?"

   และเมื่อได้ยินคำเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองผมก็ยิ่งไปต่อไม่ถูก

   ก็บอกแล้วไงว่าความสัมพันธ์ของเรามันชัดเจนและคลุมเครือไปพร้อมๆ กัน เพราะงั้นตอนที่ได้ยินอย่างนั้นเลยไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองมากเท่าไหร่ มันไม่เหมือนกับคำที่ใช้ในนิยายหรือว่าละคร ผมไม่มีอาการใจเต้นแรงหรือว่าตื้นตันใจกับคำพวกนั้น สิ่งเดียวที่คิดออกคือมันแปลกจนเกินไป

   "ขอเหตุผล"

   มือสองข้างของเขาโอบเอวผมเอาไว้เพื่อเพิ่มความบาลานซ์ "ไม่มี"

   "ไม่ได้"

   ยืนกรานตามความคิดของตัวเอง นอกจากเกมที่ยังไม่เสร็จดีผมว่าคนพัฒนานี่ก็ยังต้องการการประมวลผลที่มากขึ้นเหมือนกัน
ถ้าเป็นเขาคนที่ผมรู้จักจะไม่มีทางพูดอะไรอย่างนี้ออกมา

   "ก็ไม่มี ให้คำตอบมาเร็ว"

   และรู้จักเขามากพอที่จะปลงว่าต่อให้ตัวเองจี้เอาคำตอบมากแค่ไหนก็คงไม่ได้อย่างที่ต้องการ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ต่อหน้าพลางนึกคำตอบที่เหมาะกับช่วงเวลานี้มากที่สุด ผมเคยคิดนะว่าการที่คนๆ หนึ่งเซอร์ไพรส์โดยการขอใครอีกคนแต่งงานกลางเหตุการณ์นั่นนู่นนี่เป็นอะไรที่ไม่แฟร์กับฝ่ายต้องให้คำตอบเลยสักนิด ก็ในขณะที่ผู้เสนอมีเวลาคิดมากมายเกี่ยวกับการแต่งงาน ผู้สนองกลับมีเวลาไม่กี่วินาทีภายหลังจากคำขอในการตอบกลับ

   พอมาเจอเองก็รู้เลยว่ามันไม่แฟร์จริงๆ นั่นแหละ

   "อยากได้แบบไหนล่ะ" สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ชัดคือผมไม่พร้อมจะคิดชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอะไรทั้งนั้น ตอนนี้สมองเริ่มรวนแล้ว

   "เยสออร์โน"

   คนเขียนโปรแกรมก็อย่างนี้ล่ะนะ มีแค่คำตอบที่ใช่หรือไม่ใช่ไปเลย ไม่มีการบอกว่าให้เวลาคิดเพิ่มเติมหรือว่าตอบอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากคำสั่งข้างต้น

   มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ตาของเขาบอกอะไรได้หลายอย่างมาตั้งนานแล้ว เช่นตอนที่เศร้าหรือว่ากำลังหงุดหงิด ต่างจากคราวนี้ที่มันไม่ช่วยให้ความกระจ่างอะไรกับผมได้สักอย่าง มันมืดสนิทเสียจนต้องโน้มทั้งตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้ช่วงตาจับจ้องอยู่กับสิ่งอื่นแทน

   เช่นริมฝีปากที่กำลังเหยียดยิ้มร้ายกาจราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว

   "...เยส"



   "กูเห็นมันเดินกับเด็กสถาปัตย์คนนั้นมาสักพักแล้วนะ"

   "อืม" ได้ยินหมดแหละว่าเพื่อนของตัวเองพูดอะไร แต่ไม่อยากจะแสดงออกว่ากำลังใส่ใจเพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่จบลงง่ายๆ

   "ไม่มีคำอื่นแล้วหรือไง"

   "อ่าฮะ"

   "ไม่ใช่คบกันอยู่เหรอ เห็นวันก่อนอัปเฟซ"

   "เลิกกันแล้ว"

   บอกกลับไปง่ายๆ แล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกล่องเหล็กที่เอาไว้เก็บของหล่นกับพื้นเสียงดัง

   "เลิกแล้ว?"

   "ใช่" ล่ะก็ต้องเป็นผมเองที่ก้มลงไปเก็บ สีหน้ากระอักกระอ่วนระคนไปกับความตื่นตกใจของเพื่อนมากเสียจนต้องปลอบ "คบได้ก็เลิกได้นะ"

   "เดี๋ยวนะ ขอเวลาแป๊บ..."

   มันร้ายแรงมากเลยหรือไง เพื่อนถึงต้องทำหน้าเหมือนกับทั้งโลกกำลังจะถล่มลงมาอย่างนั้น

   "มันยากตรงไหน ก็แค่เลิกกัน"

   หลังจากที่ตอบตกลงไปแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักเขาก็ขึ้นสเตตัสบนเฟซบุ๊กของตัวเองหรา เรียกให้เพื่อนและใครอื่นที่ผมไม่รู้จักจำนวนมากโผล่เข้ามาแสดงความยินดีในคอมเมนต์เต็มไปหมด เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นการบอกว่าในที่สุดก็มีวันนี้สักที หลังจากที่ต้องเก็บความสงสัยมานาน ส่วนอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นการพนันกันว่าสเตตัสนี้จะอยู่ได้อีกกี่วัน

   ก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปสักอย่างเลยไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจะต้องมาป่าวประกาศให้คนอื่นรู้โดยทั่วกันเสียอย่างนั้น ผมเองไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับตัวอักษรบนโลกออนไลน์อยู่แล้วเลยปล่อยให้มันเลยตามเลย จากนั้นอีกเกือบสัปดาห์เขาก็ขอเลิกด้วยเหตุผลว่าเด็กสถาปัตย์คนที่อยู่ในเนื้อหาการคุยก่อนหน้าขอคบ

   เลยต้องมาเลิกกับผมก่อน

   แน่นอนว่าตอบกลับไปได้ทันทีต่างจากตอนที่โดนขอคบ ก็ในเมื่อการที่ต้องถูกผูกมัดด้วยชื่อสถานะมันไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีเลยนี่นา

   "แล้วจะคบทำไมวะ"

   "แล้วใครเอาแต่ถามว่าทำไมไม่คบกันสักทีล่ะ" สวนกลับไปตามความรู้สึก "ทำไมเราต้องยัดเยียดตัวเองเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์แบบที่ไม่ต้องการด้วย"

   หลายคนเคยบอกผมว่าการกระทำของเรามันคือการคบกัน

   และผมกับเขาก็จะตอบกลับไปในทันทีว่าเราไม่ได้คบกันสักหน่อย มันเป็นคำถามที่น่าเบื่อมากเลยนะ ทำไมต้องมาเหมารวมว่าการกระทำหนึ่งมีค่าเท่ากับต้องเป็นแฟนเท่านั้น เหมือนอย่างการที่ผมอยู่กับเขาเสมออย่างนี้ก็เหมือนกัน การที่เราอยู่ด้วยกันมันมีค่าเท่ากับแฟนเสมอไปหรือไง ก็แค่อยากอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องมีข้อยุ่งยากเรื่องคำจำกัดความไม่ได้เหรอ

   เราสองคนพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ แล้วทำไมคนข้างนอกถึงต้องมาไม่พอใจแทนด้วย

   "...มึงควรไปเรียนสายสังคม" อย่างเพื่อนคนนี้ก็เคยถามประมาณนี้หลายรอบนะ เจอผมยืนกรานในความคิดเดิมจนไม่ถามแล้วมั้ง

   หัวเราะเย้ยตอนได้ยิน "มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำต่างหาก เลิกคิดอะไรแบบนี้ได้แล้ว"

   การตัดสินคนแบบ Stereotype (การเหมารวม) เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดใจสำหรับผม ในช่วงแรกก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินคนจากการเหมารวมเหมือนกัน จนมาเจอกับเขาแล้วก็อ่านหนังสือนอกเวลาหลายประเภทนอกเหนือจากที่ถูกบังคับให้อ่านในเวลาเรียนก็เลยตระหนักถึงความสำคัญขึ้นมาหน่อย

   "แล้วตอนนี้อยู่ในสถานะอะไร แฟนเก่า?"

   "ถ้านิยามว่าการเลิกกันแล้วจะต้องเป็นแฟนเก่าก็ใช่ แต่ถ้าเอาตามที่รู้สึกก็คือไม่มีอะไรเปลี่ยน"

   เรื่องของเราก็เป็นประมาณนี้

   ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน

   ในช่วงเวลาที่ไม่มีใคร เราก็กลับมาอยู่ด้วยกัน

   แต่ถ้ากำลังสานสัมพันธ์ไม่ว่ากับใคร เราก็จะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวกลับไปอยู่ในมุมมืด เป็นเพียงภาพเลือนรางที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตามหาได้

   "งั้นคืนนี้ไปฉลองให้กับความโสดกันไหม?"

   "ที่ไหนล่ะ" ไม่ค่อยขัดใจใครหรอก เข้าใจอยู่ว่าช่วงที่ผ่านมามีควิซมาราธอนตั้งแต่ต้นเดือนลากยาวมาจนกลางเดือนแล้ว "เอาแบบไม่ไกลนะ ขี้เกียจ"

   ร้านเหล้ากับรอบข้างมหาวิทยาลัยเป็นของคู่กัน บางที่นี่เล่นเปิดใกล้หอพักเสียจนนึกว่าเจ้าของคนเดียวกัน ผมเคยเปิดอ่านเจอเรื่องกฎระเบียบการตั้งร้านเหล้าในละแวกสถานศึกษาอยู่เหมือนกันนะ นั่งหาตอนที่ตัวเองก็นั่งกินเหล้าอยู่ในร้านนั่นแหละ ย้อนแย้งในตัวเองสุดๆ ไปเลย

   "เดี๋ยวไปดูโต๊ะว่างแล้วจะบอกอีกที เจอกันสองทุ่มหน้าประตูสี่ก่อนแล้วกัน"

   "ได้เลย"

   แล้วตารางชีวิตในเย็นวันนั้นของผมไม่ว่างเพราะอย่างนี้นี่แหละ


 
   ผมมองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ

   ยิ่งเรียนกายวิภาคอยู่เลยทำให้ชินชากับอวัยวะทุกชิ้นไปด้วย

   มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ต่างกับสัตว์อื่น บ้านเมืองนี้พยายามสอนให้รักนวลสงวนตัวแล้วผลักให้เรื่องเพศสัมพันธ์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ทั้งที่มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องสืบพันธุ์ต่อเนื่องไปไม่มีจบสิ้น

   เพราะอย่างนั้นไม่ว่าคุณจะใช้ร่างกายของตัวเองทำอะไรมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเข้าไปตัดสินใจแทน

   คงต้องโทษตัวเองที่คิดอะไรง่ายเกินไป ผมดันลืมหนังสือเรียนไว้ในห้องของเขาตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมแล้ว มันเอาไว้ใช้เรียนในครึ่งหลังของเทอม รีบซื้อเอามาไว้ก่อนเพราะกลัวจะหมดสต็อก แล้วห้องก็อยู่ระหว่างหอพักของผมกับร้านเหล้าที่เพื่อนส่งโลเคชันมาให้ ก็เลยคิดง่ายๆ ว่าแวะมาเอาเลยก็ดี

   เรามีกุญแจห้องของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์จำเป็นที่ควบคุมไม่ค่อยได้อย่างเช่นลืมเอาไว้ในห้องแล้วมาดึกขึ้นได้อยู่หน้าห้องตอนห้าทุ่ม หอพักสมัยนี้มีเวลาการยืมกุญแจที่ไม่สะดวกต่อการใช้บริการเลยสักนิด

   ห้องของเขาใหญ่กว่าห้องของผมพอสมควร แบ่งสัดส่วนเตียงนอนกับส่วนห้องนั่งเล่นเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนไม่รบกวนกันมากเท่าไหร่ นิสัยเปิดปิดประตูห้องให้เบามือช่วยให้การรบกวนของผมไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก กำลังจะถอดรองเท้าไว้ตรงตู้ข้างกำแพงก็ดันเห็นว่ามันมีคู่ที่ไม่คุ้นวางระเกะระกะอยู่

   เงยหน้ามองทางส่วนของห้องนอนตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดกระจายตัวอยู่ทั่วไปจนกลืนน้ำลายลงไปได้ยากลำบาก

   และเสียงครางด้วยความสุขสมนั่นหยุดทุกความตั้งใจเดิมของผมลง

   สั่งให้ร่างกายค่อยๆ ถอยหลังออกมาทีละก้าวอย่างระมัดระวัง มือจับลูกบิดเอาไว้แน่นเพื่อความมั่นใจว่าตอนที่ปิดประตูลงมันจะไม่ส่งสัญญาณอะไรให้เจ้าของห้องรู้ว่ามีบุคคลที่สามอยู่ ขอบคุณที่ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาดจนกระทั่งภาพด้านหน้าของผมเปลี่ยนจากความแสงมืดสลัวในห้องเป็นสีน้ำตาลของบานประตูไม้

   "เป็นอะไรหรือเปล่า"

   "สบายดี ไม่มีอะไรนะ"

   ต้องใช้เสียงดังกว่าปกตินิดหน่อยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ระดับเดซิเบลอาจสร้างความเสียหายให้กับการได้ยินได้ไม่ยาก ผมกับเพื่อนร่วมคณะและเพื่อนของเพื่อนอีกสองสามคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงโต๊ะไม้ไม่ไกลจากเวทีดนตรีสดเท่าไหร่ เพื่อนบอกว่าเลือกที่นี่เพราะการจัดแต่งร้านบวกกับประเภทของดนตรีที่เล่นเข้าถึงง่าย

   ผมจำไม่ค่อยได้ว่าหลังจากที่ปิดประตูแล้วตัวเองทิ้งสติเอาไว้ตรงไหน มันกลับมาเข้าร่างก็ตอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในร้านเหล้าแล้ว ตรงหน้ามีเครื่องดื่มมึนเมาไม่กี่ชนิดวางเรียงเอาไว้เป็นการบอกว่าคืนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้างในเบื้องต้น ก็อย่างนี้แหละนะราคานักศึกษา จะสั่งอะไรที่มันแพงมากมายไปทำไม กินให้เมาก็พอแล้ว

   "เห็นมาช้า นึกว่าจะไม่มาแล้ว"

   การแวะขึ้นไปเอาของมันกินเวลานานกว่าที่คิดไม่น้อยเลยล่ะ

   "มาสิ ก็บอกแล้วไงว่ามา"

   อย่างน้อยถ้าผมตกลงอะไรไปแล้วไม่มีการหลบหลีกหรอกนะ ถึงจะดูคิดมากไปเองแต่การที่เรารับปากอะไรออกไปแล้วก็ไม่ควรผิดคำพูด ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่ต้องเจอกับความผิดหวังอย่างนั้นแล้วก็ขอเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยต่อไปเองดีกว่า

   "แต่ดูหน้าแล้วไม่ค่อยจอยเลย"

   "หน้าปกติ"

   ไม่ถึงกับหน้าตายหรือว่าไร้อารมณ์ ก็แค่ไม่ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าถ้าคิดว่าไม่จำเป็นเท่านั้นเอง

   "แล้วนี่ไม่เฮิร์ตกับเขาบ้างเหรอ ที่เลิกกัน"

   วกกลับมาเรื่องนี้จนได้สินะ ผมกระดกของมึนเมาในมือของตัวเองจนเกือบหมดแก้วก่อนตอบ "ไม่นะ"

   "ทำได้ไงวะ"

   "เริ่มจากเลิกคิดแทนกัน แล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้หมดแหละ"

   "นี่มึงอยู่บนโลกเดียวกับกูแน่เหรอ"

   คนไม่ค่อยเก็บความคิดก็อย่างนี้แหละ ก็ดีเหมือนกันนะสำหรับคนที่ต้องอยู่กับคนที่เอาแต่อมพะนำอย่างเขา การที่ไม่ต้องนั่งอ่านสีหน้ากับท่าทางแล้วมาเก็บมาตีความเอาเองก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี

   "ใช่สิ"

   "หรือกูควรถามว่ามึงสองคนน่ะอยู่โลกอื่นหรือเปล่า"

   เก็บมันมาคิดตาม ผมรู้จักกับเขาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เทียบเวลาจริงคือช่วงประมาณมัธยมศึกษาปีที่หกเทอมสอง บังเอิญเรียนกวดวิชาในสถาบันเดียวกัน พอดีว่ามันเป็นการเรียนสดในห้องเรียนเล็กๆ ไม่ใช่การเรียนกับหน้าจอโทรทัศน์หรือว่าคอมพิวเตอร์เลยรู้จักกันในระดับหนึ่ง

   พอแอดมิชชันผมก็ดันได้มหาวิทยาลัยเดียวกัน แค่คนละคณะ เรื่องบังเอิญที่สองคือในวิชาบังคับชั้นปีหนึ่งสามวิชาเราได้เรียนในกลุ่มเดียวกันหมดจนเหมือนกับมีใครจงใจสลับให้มันเป็นอย่างนั้น ความสนิทก็เลยเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องเห็นหน้ากันสามวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย

   เขาไม่ใช่คนดี ผมรู้

   ผมรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ตั้งแต่หัวเกรียนตอนมัธยมเขาก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่หยุดอยู่ที่ใครนาน เปลี่ยนไปเรื่อยแล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะมีใครเข้ามา ตั้งแต่เด็กวัยใสไปจนถึงสาวมหาลัยก็เห็นมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่ทนสักราย

   ระยะห่างของเราน้อยลงเมื่อเขาเอ่ยปากขอให้ผมช่วยทดสอบเกมที่กำลังพัฒนาให้หน่อย

   ไม่ใช่คนเล่นเกมเก่ง อาจนิยามตัวเองว่าพวกเห่ยที่ไม่มีความสามารถในด้านการบังคับร่างกายให้สัมพันธ์กับสิ่งที่ปรากฎตรงหน้า ไอ้การที่ต้องมองหน้าจอพร้อมกับขยับมือไปมานี่ไม่ใช่ทางเลยสักนิด

   แต่เขาก็ยังให้ผมช่วยอยู่เสมอ พอเล่นไปมาก็เริ่มจับทางได้จนกลายเป็นหมายเลขหนึ่งบนบอร์ดคะแนนในเกมที่กำลังพัฒนาหลายตัว

   "...กูไม่น่ารู้จักกับมันเลยเนอะ"

   ย้อนกลับไปแล้วก็พบว่าตัวเองไม่น่าจะหลุดเข้ามาอยู่ในวังวนนี้ พอเป็นส่วนหนึ่งในการทดลองไปนานๆ แล้วผมก็กล้าแลกเปลี่ยนกับเขา คณะกายภาพบำบัดเป็นคณะที่ต้องใช้การทดสอบกับมนุษย์หลายส่วน เพราะงั้นในช่วงที่ผมต้องเริ่มการศึกษาในภาคปฏิบัติก็ได้เขามาช่วยเป็นหุ่นทดลองให้

   "ไม่ควรเลยล่ะ"

   พอเขามีใครอื่นผมก็ไม่ต้องรับสายในทุกช่วงเวลาที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่มีข้อความส่งมารบกวนในช่วงการเรียนหนังสือ สารภาพเลยว่าความจริงผมไม่รู้หรอกว่าเด็กสถาปัตย์อะไรนั่นเป็นคนเดียวกับที่ผมเจอหรือเปล่า เสียงที่ได้ยินเมื่อช่วงเย็นจะเป็นคนอื่นก็ยังได้เลย

   "แล้วต่อจากนี้จะเอาไง เลือกใหม่?"

   "เลือก?"

   "ก็เห็นว่าคุยกับคนอื่นอยู่"

   "ยุ่งเนอะ" หรือเรียกอีกอย่างว่าเสือก

   แล้วไอ้การบอกว่าคุยกับคนอื่นนั่นมันเป็นการประกาศโจ่งแจ้งว่าเพื่อนเองก็คอยติดตามชีวิตของผมอยู่เหมือนกัน ผมก็ไปเรื่อยแหละ ตราบใดที่่ยังไม่อยู่ในสถานะที่ 'คนอื่น' บังคับให้ต้องซื่อสัตย์ มันก็เป็นสิทธิของผมที่จะคุยกับใครก็ได้นี่นา

   "คนอย่างมึงไม่ใช่ไทป์ที่คนจะเมิน"
   
   ทำปากคล้ายกำลังจะออกเสียงอ้อ

   "ง่าย?"

   "ขอใช้คำว่ามีคนเข้ามาให้เลือกไม่ขาดดีกว่า"

   "ก็ไม่ถึงขั้นนั้น"

   "แต่ก็มีใช่ไหมล่ะ"

   คราวนี้ไม่ยอมตอบด้วยเสียง แค่ยกโทรศัพท์ของตัวเองที่ส่องแสงจ้าเป็นการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จำนวนหนึ่งส่งเข้ามา ท่ามกลางแสงสลัวผมเห็นเพื่อนผู้มีรหัสต่อกันแสยะยิ้ม มันบอกอะไรได้ชัดเจนจนเราทั้งคู่เลือกที่จะหันกลับไปจมอยู่กับเครื่องดื่มของตัวเองต่อ

   "กู 'เคย' คิดว่าเรื่องของพวกมึงแปลก"

   "แล้ว...?"

   "แต่ตอนนี้กูคิดว่าคนอื่นที่สามารถจำกัดกรอบให้ทำอะไรเหมือนกันได้ตลอดอย่างนั้นแปลกกว่า"

   ผมว่าตัวเองไม่ใช่คนเส้นตื้นอะไรมากมาย ตอนที่หลุดหัวเราะออกมาเลยคิดว่าเป็นผลมาจากเหล้าผสมโซดาในมือ ดันให้ชงแบบเข้มด้วยสิ

   "มันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ"

   เหม่อไปบนเวทีขนาดเล็ก แสงไฟเล่นสีสันไม่ค่อยเข้ากันมากเท่าไหร่ในความรู้สึก เสียงกีตาร์เล่นส่วนอินโทรของเพลงปนไปกับเสียงกลองและคีย์บอร์ด มันเป็นเพลงช้าเนื้อหาเกี่ยวกับความสับสนและลังเลใจ ซึ่งบอกเลยว่ามันไม่ได้โดนใจผมแถมยังพาลให้หงุดหงิดกับคนที่หลงอยู่ในโลกแห่งความรักอย่างนั้น

   มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมสูญเสียตัวตนเพื่ออ้อนวอนขอความรักจากคนอื่น

   ภาพที่ชัดกลายเป็นเบลอเมื่อจุดสนใจกลายเป็นข้างในระบบความคิด ปล่อยให้มันทำงานด้วยตัวเองต่อไปไม่เข้าไปแทรก ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองครองสติได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

   "..."

   จนกระทั่งความทรงจำดึงเอาเสียงครางไม่น่าฟังนั้นกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งนั่นแหละถึงสามารถโฟกัสภาพตรงหน้าได้เต็มที่ ผมว่าตัวเองพอรู้แล้วว่าทำไมถึงดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร

   "ถ้าจะเอามันออกก็มีแต่ทางนั้นสินะ..." พึมพำให้ตัวเองฟังเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดได้ ทับแบงค์สีเทาไว้ด้วยแก้วที่มีแต่น้ำแข็งเอาไว้ "กลับก่อนล่ะนะ ขอบคุณที่ชวนมา"

   เพื่อนที่ดีจะไม่ถามอะไรให้มากความ มีเพียงรอยยิ้มและมือที่ยกขึ้นมาบอกลาเท่านั้น ผมเดินออกมาจากส่วนที่เสียงดังครึกโครม ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ในมือตามด้วยคำสั่งโทรออกไปยังเบอร์โปรดเดียวในเครื่อง

   (...ว่า)

   "จะไปหาที่ห้อง"

   (ก็มาสิ)

   "เก็บกวาดอะไรให้สะอาดด้วยล่ะ"

   (อ้อ) ตอบอย่างนั้นมาได้คงรู้แล้วล่ะว่าผมเจออะไรเข้า น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังราบเรียบไม่แสดงอาการใด (อีกกี่นาทีล่ะ ถ้าสักยี่สิบนาทีก็น่าจะสะอาดอยู่)

   "สิบห้านาที" ต่อรองกลับไปหลังจากคำนวณเสร็จสรรพว่าต่อให้เดินจงกรมยกย่างเหยียบย่องไปตลอดทางมันก็ไม่มีทางถึงยี่สิบนาทีได้ "อะไรที่ไม่ชอบก็อย่าให้เห็น เข้าใจไหม"

   (ได้เลยครับ)

   และผมมั่นใจว่าตอนที่ตัวเองเปิดประตูเข้าไปทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ต้องการ


***
   ตอนแรกตั้งใจให้เรื่องนี้อยู่ในระดับที่เหนื่อยน้อยกว่า FREEZE | FLY ค่ะ ...แต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นะคะ (หัวเราะ) จะเป็นเรื่องสั้นสามตอนจบเหมือนเรื่องสั้นที่ผ่านมาเลย แล้วจะมาคุยถึงความเป็นมาในการแต่งเรื่องนี้ในตอนหน้าค่ะ
   #รีสตาร์ทเกม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2017 11:06:40 โดย 23August »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #9 เมื่อ16-07-2017 22:27:34 »

จริง ๆ ก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-07-2017 22:27:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #10 เมื่อ16-07-2017 23:02:19 »

ลุ้น..นนนนนนน ว่าจะจบยังไง รออ่านค่า  :amen: :amen: :amen:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #11 เมื่อ17-07-2017 03:35:01 »

 :pig4:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.2 [16.07.17]
«ตอบ #12 เมื่อ18-07-2017 08:22:03 »

รู้สึกแบบ...เทาๆ จะว่าหน่วงก็หร่วงหน่อย แต่ก็ไม่เชิง(?)
จะเป็นยังไงต่อออ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.3 END [23.07.17]
«ตอบ #13 เมื่อ23-07-2017 21:28:53 »

EP.3


   ทำไมถึงชอบเล่นกีฬาที่เสี่ยงอันตราย?

   เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์มักถูกดึงดูดด้วยความท้าทายยังไงล่ะ

   "จะลงรอบต่อไปเลยไหม?"

   เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นจนต้องยกมือขึ้นอุดหูข้างหนึ่งหลังจากนั้น ผมพยักหน้าขึ้นลงแทนการบอกว่าตกลง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำใจให้ชินกับเสียงพวกนั้นไม่ได้เลยสักที ก็รู้ว่าเสียมารยาทนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับคนถามเพราะว่ากำลังยุ่งวุ่นวายกับการรื้อหาตัวช่วยในห้องปิดตายอยู่

   "ได้ครับพี่"

   "ทำไมช่วงนี้มาบ่อย"

   "ครับ?" บทสนทนาที่ไม่น่าจบง่ายๆ บอกให้ผมเลิกสนใจสิ่งที่อยู่ในมือ กดปุ่มหยุดเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ต้องเจอกับหน้าจอเจ้าปัญหานั่น

   "ปกตินานๆ มาที นี่สองสัปดาห์มาครั้งที่สามแล้ว"

   นั่นมันคงเป็นเรื่องที่ 'ผิดปกติ' สินะ ผมประกบมือเข้าด้วยกันตอนนึกถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรตัวเองถึงแวะเวียนมายังสนามแข่งติดต่อกันอย่างที่พี่เขาบอก

   "ช่วงนี้ว่าง"

   ช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ไม่ได้กลับบ้านเพราะติดเรียนซัมเมอร์ ส่วนคนที่มักจะตามให้ไปอยู่ด้วยกันโดนคำสั่งให้ไปช่วยงานในนามมหาวิทยาลัยที่ภาคเหนือเป็นเวลาหนึ่งเดือน เป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนกับการได้เรียนฟรีแล้วก็มีเงินใช้ด้วยแหละ ผมเลยกลายเป็นคนไม่มีอะไรทำเลยซะงั้น

   "แฟนไปไหนล่ะ เห็นเพื่อนชอบแซ็วว่าติดแฟน"

   "ผมไม่มีแฟนสักหน่อย"

   "เห..."

   มันเป็นคำถามที่ชินจนเลิกรำคาญไปแล้ว กลายเป็นว่าสนุกกับการได้เห็นใบหน้าสงสัยพวกนั้นอีกต่างหาก ยิ่งถ้าใครมีคำถามเพิ่มผมก็จะตอกกลับจนไม่มีใครเคยเอาเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพูดซ้ำสอง

   "เรื่องจริง"

   "แต่พี่เห็นตัวเองขึ้นรีเลชั่น"

   "ที่จริงตอนนี้ต้องเรียกว่าเป็นแฟนเก่าอย่างที่ใครเขาใช้ล่ะมั้งครับ"

   "โอ๊ะ ข่าวใหม่" ไม่มีความตกใจปนอยู่ในประโยคของพี่เขา ผมก็แค่บอกตามมารยาทเท่านั้นแหละ "อย่างนี้ก็โสดสนิทแล้วใช่ไหม"

   "ก็คงอย่างนั้นครับ" ตอบเอื่อยๆ ไปพลางย่อภาพในโทรศัพท์ให้เล็กลงเพื่อมองภาพรวมทั้งหมด ตอนนี้ผมขึ้นมาถึงช่วงท้ายของชั้นสองแล้วล่ะ เหลืออยู่แค่สองห้องแล้วจะไปถึงชั้นสามซึ่งมีประตูทางออกไปด้านนอก จากนั้นก็จบเกม

   "งั้นพี่เริ่มต้นจีบได้ใช่ไหม"

   ผมหัวเราะคล้ายอย่างที่เขาทำ โทษคำเสนอนั้นว่าเป็นผลให้หน้าจอขึ้นคำสั่งเริ่มต้นใหม่หลังจากเลือกดับสวิทช์ผิดฝั่ง "ชนะรอบนี้ให้ได้ก่อนเถอะครับ"

   "เราไม่ได้มานาน จะไหวเหรอ"

   "ต้องดูสถิติภาพรวมด้วยสิครับ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ผมชนะนะ"

   ถึงจะตั้งใจจะให้ข้อมูลเฉยๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการอวดตน กับพี่เขาแล้วผมมักจะเป็นผู้ชนะเสียมากกว่า ไม่สิ ไม่ว่ากับใครผมก็มักจะเป็นผู้ชนะตลอดนั่นแหละ

   "ก็ต้องลอง ถ้าพี่ชนะจะเริ่มจีบนะ"

   ผมส่งยิ้มมุมปากท้าทายกลับไป "จะรอดูนะครับ"

   ก็บอกแล้วไงว่ามนุษย์ชอบเรื่องเสี่ยงอันตราย


 
   "งานเป็นไง"

   (น่าเบื่อ)

   "ก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น"

   (อยากกลับแล้ว)

   พูดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ต้องเดินทางจนผ่านมาเกือบสามสัปดาห์ก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนคำ ผมหัวเราะกลับไปให้ปลายสายอิจฉาเล่นๆ พลางนึกว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟังบ้างดี มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้วสำหรับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟัง

   ผมรู้จักหมดแหละว่าเพื่อนของเขามีกี่คน ถนัดด้านไหนบ้าง กำลังจะโดนไทร์หรือว่าทะเลาะกับแฟนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ต่างกับเขาที่รู้จักสังคมเล็กๆ ในคณะของผมพอสมควร เช่น ประธานชั้นปีแสนงี่เง่าลามไปถึงหมาประจำใต้ตึกที่ไม่เลิกเห่าผมสักที

   "อีกนิดเดียวน่า" สำหรับผมเวลาอีกสัปดาห์กว่าเรียกว่าไม่นานเท่าไหร่

   (มาหากูหน่อย)

   "ตลก" ระยะทางจากที่พักไปถึงจังหวัดที่เขาอยู่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหกชั่วโมง "ไกล ขี้เกียจขับเอง"

   (นั่งเครื่องมา)

   "จองให้สิ จะไปไฟลท์ที่ใกล้ที่สุดเลย"

   (ได้)

   "บ้าเหรอ"

   เขายิ่งเป็นพวกพูดจริงทำจริงอยู่ด้วย 

   (ล่ะนี่ทำอะไร ไปแข่งรถ?)

   อยู่จนรู้จักกันในระดับที่เรียกว่าน้อยเรื่องนักที่จะข้ามผ่านไป เขารู้อยู่แล้ว่าผมมีงานอดิเรกเป็นการแข่งขันในสนามที่ได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย ไม่เคยออกไปแข่งในสนามเถื่อน หรือว่าเอาไปใช้ในทางผิดกฎหมายอะไร ผมแค่ชอบเวลาที่ตัวเองเหยียบคันเร่งจนทั้งเครื่องและคนกระโจนออกไปก็เท่านั้นเอง

   มันตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสเสี้ยววินาทีอันตราย

   "อืม ฝีมือตกไปเยอะเลย แพ้พี่ด้วย"

   เป็นความบังเอิญที่พี่ชายคนสนิทแถวบ้านเช่าเป็นพวกชอบแข่งและแต่งรถ ผมผู้ต้องเข้ามาอยู่โดดเดี่ยวในเมืองหลวงเลยได้อิทธิพลมาจากพี่เขาพอสมควร ทั้งเรื่องรถยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง วิธีการรักษา รวมไปถึงกติกาการแข่งขัน

   ก็พี่คนนั้นที่บอกว่าจะจีบผมนั่นแหละ

   (คราวก่อนยังชนะขาดลอยอยู่เลย)

   "นานแล้วไหมล่ะ"

   เขาเป็นคนที่น่าหมั่นไส้ในเรื่องพรสวรรค์นะ ผมเคยพาเขาไปสนามด้วยหลายครั้งอยู่ ครั้งแรกๆ ก็ไม่ต่างกับพวกมือใหม่หัดขับเล่น สักครั้งที่สี่เท่านั้นแหละ ได้ที่สองมาแบบที่เฉียดกับที่หนึ่งไปแค่จุดวินาที แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ายังควบคุมรถไม่ค่อยได้อีก

   (ห้าเดือน หลังวันเกิดกูสี่วันไง) ความจำของเขาเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ใจ ถ้าให้ผมมาจำอะไรอย่างนี้ก็คงไม่เหลือเนื้อที่ให้จำชื่อกล้ามเนื้อแล้วก็ทฤษฎีในการวิเคราะห์ปัญหาของผู้ป่วยแล้ว

   "พี่เขาบอกว่าจะจีบกูแหละ"

   บอกออกไปตามตรง ผมไม่มีความคิดที่จะปกปิดอยู่แล้ว เหมือนกับเขาที่จะบอกผมอยู่เสมอว่ากำลังคุยกับใคร อยู่ในขั้นไหน ในบางมุมเราเป็นคนรู้ใจที่สามารถบอกได้ทุกเรื่องไม่มีความลับต่อกัน เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องแพนโดร่าจะไม่มีทางแพร่งพรายออกไป

   ส่วนในบางมุมเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยแม้แต่จะเดินสวนทางกัน

   (แล้ว...?)

   "แล้วเขาก็ถามกูว่า คิดว่าเราจะอยู่อย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน"

   'ต้นไม้ที่รากไม่มั่นคง มันล้มลงมาได้ง่ายมากเลยนะ'

   คำแรกหลังจากที่ผมก้าวลงจากรถ การแข่งแบบหนึ่งต่อหนึ่งที่ผมแพ้หมดท่าเพราะว่าเผลอผ่อนความเร็วในช่วงกลางของการแข่ง

   (มึงเลยคิดมาก?)

   "เรียกว่าเก็บมาคิดตามดีกว่า"

   (ค่าเท่ากันนั่นแหละ แค่มึงคิดถึงตรงนี้ก็คือคิดมากแล้ว)

   มันก็จริงอย่างที่เขาว่านะ ผมอยู่ในจุดที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งสำหรับทุกคำตัดสินของคนภายนอก แต่สุดท้ายแล้วพอถูกกะเทาะมากๆ มันก็กลายเป็นว่าเอาเก็บมานึกถึงจนกลายเป็นตะกอนตกค้างอยู่ข้างในใจ

   "เหรอ"

   (ไม่ต้องทำเสียงหงอยอย่างนั้น) ระหว่างการพูดคุยมีเสียงกดแผงคีย์บอร์ดจากอีกฝั่งดังมาไม่ขาดระยะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำงานได้ตลอดเลย (เจอกันพรุ่งนี้ ไฟลท์สามโมงยี่สิบห้า ไปก่อนเวลาชั่วโมงครึ่งนะ)

   "...หา"

   (คุยอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ไว้มาคุยต่อหน้าแล้วกัน)

   นั่นเลยเป็นที่มาของการยืนโดดเดี่ยวเดียวดายรอให้รถของใครอีกคนขับวนมารับที่สนามบินปลายทาง

   ผมเริ่มเก็บของสำหรับเวลาสามวันสองคืนเมื่อเช้า ส่วนเมื่อคืนปล่อยให้มันหมดไปกับการทบทวนความคิดแล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง เอาเข้าจริงก็เคยไปทริปญี่ปุ่นกับที่บ้านด้วยเวลาการวางแผนสิบวันก่อนถึงวันบินนะ คิดว่าอันนั้นกระชั้นชิดที่สุดแล้วเจอเย็นวันถัดไปนี่ล้มทุกสถิติเลย

   เสียงแตรรถเก่าเรียกให้หลายคนตรงนั้นหันมองเป็นตาเดียว ผมชะเง้อหน้าไปมองดูว่าคนที่โบกมือหยอยๆ ตรงคนขับรถใช่เขาหรือเปล่า พอเห็นว่าเป็นคนเดียวกับที่ถือวิสาสะจองตั๋วเครื่องบินในประเทศให้เมื่อคืนถึงพาตัวเองกับกระเป๋าเป้ใบเหมาะกับการเดินทางในระยะสั้นๆ ขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับ

   "ทีหลังขอเวลามากกว่านี้หน่อย"

   "นึกว่าอยากเจอมาก"

   "ตัวเองมากกว่ามั้ง"

   "หึ เดี๋ยวพาไปตลาดคนเดินก่อน หาของกิน"

   ไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว บรรยากาศของตลาดค่อนข้างอบอุ่นสมกับเป็นเมืองไม่ใหญ่ สำเนียงการพูดแตกต่างออกไปจากที่มักจะได้ยินในชีวิตประจำวัน ของที่น่าสนใจคือพวกอาหารพื้นเมืองแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชื่อก็แปลกแต่เขาการันตีว่ามันอร่อย จากมือว่างเปล่าตอนนี้เลยมีถุงให้ถือเอาไว้สองสามอย่าง

   "แวะตรงนี้หน่อย"

   มองเขาเดินเข้าไปสั่งของลักษณะคุ้นเคย จากนั้นก็เดินต่อไปอีกสองสามร้านแบบที่ไม่ต้องฟังก็รู้ว่าเขากำลังสั่งอะไร ก็ของที่เขาเดินเข้าไปซื้อคือของโปรดของผมนี่นา

   ส่วนตอนนี้ผมก็ยืนอยู่หน้าร้านขนมหวานแบบไทย เลือกเอาทองหยิบทองหยอดแล้วก็ขนมชั้นอย่างที่เขาชอบ ไม่มีให้กับตัวเองเพราะว่าไม่ชอบอะไรที่หวานแสบคออย่างนี้ เขาเคยบอกว่าผมเป็นพวกกินยาก ปากสูง หาเรื่องติได้ตลอดจนไม่น่าจะมีชีวิตได้ยืนยาวขนาดนี้ด้วยล่ะ

   อาหารพร้อม เครื่องดื่มพร้อม ก็ได้เวลาหาที่นั่งรับประทาน ความน่ารักอีกอย่างของตลาดนี้คือการที่มีซุ้มที่นั่งบริการเอาไว้เสร็จสรรพ จะทิ้งก็มีถังขยะเตรียมเอาไว้พร้อมไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ข้างนอก

   "อะ อยากเล่าอะไรก็เล่าเลย"

   "ก็...ไม่มีอะไรแล้วมั้ง"

   "ถ้ามั้งคือยังมีอะไร"

   "ก็คิดเรื่องที่บอกแหละ ไม่รู้ว่าเราจะอยู่อย่างนี้กันไปได้อีกนานแค่ไหน"

   มันอาจจบตอนที่เราไม่ต้องอยู่ในสังคมนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ต่างคนต่างกลับไปอยู่ในสังคมที่ตัวเองจากมา หรือว่าอาจจะเร็วกว่านั้น...

   "คิดอะไรเยอะแยะ"

   "ก็ต้องมีบ้าง" ตักทาโกยากิไร้ใส้เข้าปาก มันอาจมีเนื้อปลาหมึกนิดหน่อยเป็นส่วนน้อยจนผมไม่อยากจะนับ "เผื่อวันไหนกูเปิดประตูเข้าไปเจออะไรอย่างนั้นอีกจะได้วางแผนชีวิตต่อถูก"

   "ทีมึงนอนกับเขาแล้วกูยังไม่สนอะไรเลย มึงไม่ต้องรีบ"

   "..."

   "กูไม่ได้อะไรนะ" อาการยกไหล่ขึ้นพร้อมกับเอียงคอหน่อยๆ เป็นท่าแสดงถึงความไม่ใส่ใจอย่างที่พูด "เราก็เป็นอย่างนี้กันมานานแล้วนี่"

   อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมกับเขายังอยู่ด้วยกันได้คือทัศนคติในหลายๆ เรื่อง และเซ็กส์คือหนึ่งในนั้น

   ยอมรับตามตรงเลยว่าผมนอนกับพี่เขาไปแล้ว สองครั้งล่ะมั้ง หลังออกจากสนามก็ไปทานข้าวเย็นแล้วก็จบลงบนเตียง ไม่เมา ไม่เหงา ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทั่วไปไม่จำเป็นต้องเป็นของคนที่ผูกพันด้วยชื่อเรียก

   สิทธิในร่างกายควรเป็นของเราจริงไหม?

   "อีกอย่างถ้ามึงรู้สึกอะไรจริง ...มึงคงไม่มาอยู่กับกูตอนนี้ใช่ไหมล่ะ"

   "กูไม่รู้ว่ามันควรเป็นแบบไหน" บอกไปด้วยความสัตย์จริง ผมรู้แค่ว่าถ้าเขาอยากให้มาผมก็จะมา เหมือนอย่างที่ผมเคยโทรหาเขาให้เก็บกวาดทุกอย่างให้เสร็จ เขาก็พร้อมจะทำในสิ่งที่ผมต้องการ "หรือเราอาจจะแปลกอย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน"

   "กูแนะนำให้มึงกินให้อิ่มแล้วค่อยเอาพลังงานไปช่วยคิดในสมอง"

   "มึงชอบที่เราเป็นอย่างนี้ไหม?"

   เป็นครั้งแรกเลยล่ะที่ผมถามอย่างนั้นออกไป

   "มึงไม่น่าถามอะไรที่รู้อยู่แล้วนะ"

   "กูเคยคิดว่ากูรู้ แต่ตอนนี้กูว่าตัวเองไม่รู้แล้ว"

   "มึงแค่สับสน"

   "หรือกูกำลังยอมรับความจริงได้"

   "..."

   มันปนเป ซับซ้อน และพันกันจนยุ่งเหยิง

   เราสบสายตากันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาพอสมควร จนผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรพูดมันออกไป "...เราลองห่างกันไหม?"

   "ขอเหตุผล"

   "เยสหรือโน"


 
   ทำอะไรอยู่

   มองข้อความล่าสุดที่เพิ่งแจ้งเตือนเมื่อสามสิบแปดวินาทีที่แล้วด้วยความรู้สึกเฉยชาไม่ต่างจากทุกที ไม่ว่าจะเมื่อไหร่หรือว่าตอนไหนการเห็นชื่อเจ้าของไลน์มันไม่เคยทำให้ผมตื่นเต้นหรือว่าตกใจไปกับมันได้สักที คนเรานี่เฉยชากับทุกสิ่งได้อย่างนี้เลยหรือไง

   หันกลับมามองชีตตรงหน้าตัวเองต่อ เกลียดนักล่ะวิชาอนาโตมี แล้วก็สอนเร็วอย่างกับว่านักศึกษาใช้แรมความเร็วสูงกับมีเมมโมรี่หลายร้อยกิ๊กไปได้

   ปลอบใจตัวเองว่าคงต้องกลับไปท่องเองเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา พยายามจดที่อาจารย์บอกเพิ่มเติมลงไปให้ได้มากที่สุดเผื่อว่ามันจะไปโผล่อยู่ในควิซอีกสองสัปดาห์ที่จะถึง และคงเพราะว่าให้ความสนใจกับมันเสียจนหมด ผมถึงนึกได้ว่ายังไม่ได้ตอบไลน์ก็อีกสองชั่วโมงต่อมา

   เย็นนี้ไปกินซูชิกันไหม

   ถ้าเป็นนอกห้องเรียนผมคงถอนหายใจออกมานิดหน่อยพอให้ได้ระบายอารมณ์หน่าย พี่ที่เฝ้าเพียรจีบผมยังไม่ยอมลดละเลยสักนิด แถมยังจะหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ เสียจนพาลไม่อยากเห็นหน้าแล้วด้วยซ้ำ

   จะเจอที่ร้านหรือให้พี่ไปรับ

   เราไม่ควรเอาใครคนอื่นมาตั้งเป็นมาตรวัด แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าตัวเองกำลังเอาเขามาเทียบกับพี่ในหลายๆ เรื่อง อย่างเช่นว่าถ้าเขาชวนอะไรแล้วผมไม่ตอบ นั่นคือการตอบไปในตัวแล้วว่าปฏิเสธ จะไม่มีการส่งข้อความมาซ้ำสองให้รำคาญตาอย่างนี้หรอก

   ผมไม่เคยชอบคำว่าแฟนเพราะอย่างนี้

   มันเหมือนกรอบสี่เหลี่ยมที่คอยกักขังเราไม่ให้ออกจากเส้นที่ขีดเอาไว้ ถ้าสมมุติว่าทำสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่กำหนดก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลากับเพื่อน รูปที่ไม่เคยโพสต์ลงโซเชียล หรือว่าจะเป็นการที่เราไม่สนใจจะทักทายเมื่อเดินสวนกัน

   "มึงช่วยปิดสั่นหน่อยก็ดี"

   "ขอโทษ"

   ลืมไปเลยว่าห้องเรียนในวันนี้เป็นแบบโต๊ะคู่ แล้วดันเอาโทรศัพท์ไว้ข้างตัวอีกต่างหาก

   "จะจบแล้วล่ะสิ"

   "ก็...อาจจะ"

   "ถึงบอกว่าอย่าพยายามทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง"

   "เหมือนมึงกำลังด่ากูอยู่เลย"

   เปรยพลางกดเปลี่ยนคำสั่งให้เป็นโหมดไม่มีเสียงและไม่ใช้ระบบสั่น ต่อด้วยการเพิ่มคำสั่งอัดเสียงเอาไว้เพราะรู้แล้วว่าตัวเองคงไม่มีสมาธิฟังต่อ ยังดีที่เหลือเวลาเรียนอีกประมาณชั่วโมงเดียว ไม่อย่างนั้นแล้วไม่อยากคิดถึงเวลาที่ต้องไปทวนเองเลย

   "ก็เห็นมาหลายรอบแล้วไง"

   "มันไม่ได้หมายความว่ารอบนี้จะเป็นเหมือนกันนี่"

   "ก่อนพูดน่ะคิดก่อน"

   ชะงักค้างไปนิดหน่อย ตวัดหน้ามามองเพื่อนเลขรหัสต่อกันด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย ก็ถ้าโดนบอกว่าเป็นพวกทำอะไรไม่ชอบคิดอย่างนั้นต่อหน้าก็ต้องมีอาการบ้างแหละ

   เกลียดที่เขายิ้มจนตาปิดอย่างนั้น "ยังไม่ทันขาดคำเลย"

   "ชอบยุ่งจังเลยนะ" ทั้งประชดแล้วก็แดกดันไปในตัว อย่าหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาอะไรส่งกลับมา "เอาชีตของคาบต่อไปมาให้ลอกด้วย"

   "โดด?"

   และมันก็เปิดโอกาสให้ผมได้โต้กลับ "คิดก่อนพูดสิ แล้วจะไม่ถาม"

   เสียงจอแจของนักศึกษาเกือบร้อยชีวิตดังขึ้นทันทีที่อาจารย์กล่าวคำอำลา ผมรีบเก็บของไม่กี่ชิ้นบนโต๊ะลงกระเป๋าถือให้เรียบร้อย

   "นี่" หันมามองตามเสียงเรียกพร้อมกับคิดไปด้วยว่าตัวเองลืมอะไร "ไม่มีใครรู้ดีที่สุดนอกจากตัวเองนะ"

   เลยไม่คิดว่าตัวเองจะได้คำพูดอย่างนั้นกลับมาแทน ผมโคลงหัวไปมาให้กับเพื่อนที่น่าจะเพิ่มเลเวลความสนิทขึ้นไปอีก อยากจะจิกกัดอะไรให้สาสมกับความน่าหมั่นไส้นั่นเสียหน่อย ติดที่ว่ามันมีเรื่องอื่นที่ต้องให้ความสนใจมากกว่า

   "แน่นอนอยู่แล้วน่า"

   ห้องเรียนอยู่ชั้นสามของตึก ตอนที่ผมเดินลงมาถึงด้านล่างพี่ก็ยืนรออยู่แล้ว เห็นอย่างนั้นคำตอบที่ชัดเจนก็บอกผมว่าควรทำอะไรต่อไป

   "มาแล้..."

   ถ้าเทียบกับฉากในละครก็คงเป็นตอนที่เดินผ่านไปเหมือนกับว่าเราไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่ธาตุอากาศที่ผมมองไม่เห็น ...แต่ก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจมันสักนิดเดียว มือข้างขวากดสไลด์ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับควานหาเบอร์รายการโปรดที่ไม่เคยเปลี่ยน เปิดลำโพงเอาไว้เพราะไม่อยากยกมือขึ้นมาแนบหูให้เสียเวลา

   "อยู่ไหน" ได้ยินเสียงรอสายเพียงแค่สามครั้งเท่านั้นสัญญาณก็เชื่อมต่อกันติด สถานที่ที่ปลายสายบอกคือแหล่งกบดานเดียวอย่างตึกเรียนของคณะ

   "กำลังไปหานะ"


 
   เวลากลางคืนในเดือนธันวาหนาวกว่าทุกปีที่ผ่านมา

   เรามีเบียร์ต่างยี่ห้อคนละกระป๋อง

   กับบุหรี่สอดไส้อยู่ในมือคนละมวน

   ละเลียดสัมผัสช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยให้สารพิษแล่นเข้าร่างกายตามกลไกของมัน กลิ่นไม่น่าพิสมัยในวันแรกที่ลองกับวันนี้มันไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย

   ในช่วงแรกที่เรารู้จักกัน ผมไม่สูบบุหรี่ ส่วนเขาไม่ดื่มเบียร์ อยู่กันไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ไปเฉย จะเรียกว่าเป็นการพบกันครึ่งทางก็ได้ล่ะมั้ง

   "แล้ว...เป็นไง"

   ความเงียบระหว่างเรามีเขาเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา พอนั่งเล่นอยู่ที่ห้องทดลองจนกระทั่งงานในส่วนของวันนี้เสร็จแบบที่ไม่ต้องหาเรื่องไปทำให้หม้อแปลงระเบิดเราก็ออกไปทานข้าวที่ร้านป้าด้วยเมนูเดียวกันอย่างเคย จากนั้นก็ออกมานั่งรับลมอยู่ที่กลางสะพานข้ามขนาดเล็กข้างในมหาวิทยาลัย

   "ห่วยแตก" ผมตอบตามที่คิด

   "บุหรี่เหรอ ก็บอกแล้วว่าไม่ให้ทำแบบนี้"

   "ทุกเรื่องเลยต่างหาก" ก็เข้าใจได้ว่ามีหลายความหมายที่สื่อได้ถึง อย่างที่เห็นได้ชัดคือเบียร์แล้วก็บุหรี่ และที่ไม่พูดไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ผมเป็นฝ่ายขอห่างออกมาเอง

   "ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ" 

   "มึงว่าที่เราทำอย่างนี้มันช่วยให้เห็นอะไรชัดขึ้นไหม"

   "ไม่นะ"

   "..."

   "กูชัดเจนมาตั้งนานแล้ว" หันมามองหน้าคนด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจ แล้วได้ควันสีเทาขุ่นพ่นใส่หน้ากลับมา มันพร่ามัวเพียงชั่วคราวก่อนกลับไปชัดเจนแบบเดิมเมื่อสายลมพัดพามันออกไป "มีแต่มึงนั่นแหละที่หลงอยู่ในเขาวงกตไม่ยอมออกมาสักที"

   "เขาว่ากันว่าวิธีการเล่นเขาวงกตที่ถูกต้องคือให้มึงเดินตามมุมไปเรื่อยๆ ยังไงก็เจอทางออกอยู่แล้ว"

   ผมเคยเล่นเหมือนกันเมื่อสองสามปีที่แล้ว ถึงจะเป็นเขาวงกตโง่ๆ ก็ตามทีเถอะ ใช้ทริกตามที่บอกในการไขปริศนาในเวลาไม่ถึงสองนาทีดีก็เจอทางออกแล้ว

   ยิ้มแสยะมุมปากของเขาน่ากลัวกว่าครั้งไหน "งั้นกูจะปิดทางออก"

   นั่นคือวิธีการแก้ปัญหาในแบบของเขาสินะ ผมสูดลมหายใจเอาสารพิษเข้าไปอีกครั้ง จากนั้นถึงดับมันลงกับริมขอบรั้วเหล็ก ขอโทษในใจคนเดียวว่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเสียแล้ว

   หมั่นไส้จนเผลอแขวะกลับไป "มึงไม่เคยเล่นตามเกมสักที"

   "อย่าคิดอะไรให้มันเป็นแพทเทิร์นมากนักสิ นั่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเกมเลยนะ"

   "กูยังเล่นเกมนั้นไม่จบเลย นี่มีแก้ตรงไหนเพิ่มไหม" นึกขึ้นได้พอดีเลยถาม

   "นิดหน่อย ลองเล่นดู"

   สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ยื่นมาให้อีกครั้ง หน้าจอปรากฎเกมเดิมที่ผมยังไม่ถึงเส้นชัยแถมยังติดปัญหาเรื่องคำสั่งเริ่มต้นใหม่ หยิบมันมาวางไว้บนตักเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบ ที่เปลี่ยนไปจนเห็นชัดคือปรับระดับสีให้อ่อนลงจนความน่าหดหู่ครั้งแรกหายไป แล้วก็บังคับได้อย่างที่ต้องการมากขึ้น

   เพราะว่ามันเป็นฉบับแก้ไขการเล่นก็ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นใหม่ ผมใช้ความทรงจำเดิมในการเล่นรอบแรกก่อนที่จะพบว่าเฉลยที่มีอยู่มันถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว ไหนบอกว่าแก้นิดหน่อยไม่ใช่เหรอ

   "นี่..." คราวนี้ตัวเลือกหลังแพ้ที่เคยมีเพียงการเริ่มต้นใหม่ได้รับการเพิ่มเติมในส่วนของการออกจากเกมแล้ว ผมมองทั้งสองคำสั่งสลับกันไปมาหลายวินาทีก่อนจะถามคำถามโง่ๆ ออกไป "แล้วถ้ากูไม่อยากเล่นเกมนี้แล้ว...ต้องทำยังไงเหรอ"

   "กดปุ่มออกไง"

   สิ้นคำตอบเสียงการแจ้งเตือนข้อความใหม่ของแอปพลิเคชันไลน์มาพร้อมกันพอปอัปด้านบน มันเป็นข้อความบอกรักและฝันดีจากใครคนที่ผมไม่รู้จัก

   ส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสมเพชให้กับตัวอักษรพวกนั้น "...นั่นสิ ไม่เห็นยากอะไรเลย"

   ปัดการแจ้งเตือนขึ้นไป

   แล้วกดปุ่มรีสตาร์ทเหมือนทุกครั้ง


***
   เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สูบชีวิตเจ้าไปเยอะเลยค่ะระหว่างแต่ง (ยิ้ม)
   เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องที่ 'มัว' ที่สุดตั้งแต่แต่งมาค่ะ คือไม่ชัดเจน ล่องลอย แล้วก็ยากที่จะบอกว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน
   คำว่า RESTART เจ้าตั้งใจสื่อในอีกมุมที่ไม่ใช่ New begin แต่เป็นเรื่องของ Loop วนซ้ำที่ไม่มีวันจบ เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายส่วนค่ะ จากชีวิตจริงส่วนหนึ่งด้วย แล้วก็พยายามจำกัดให้อยู่ในวงที่ต้องการสื่อมากที่สุด เจ้าอยากเล่นกับความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่เคยคิดอยากจะมีชื่อเรียกค่ะ เพราะถามเริ่มมีชื่อเรียกเมื่อไหร่ สิ่งที่จะตามมาคือกรอบข้อบังคับที่ไม่ได้เต็มใจเข้าไปร่วมแสดงเจตนา ไม่มีคำว่าถูก-ผิดในทุกการกระทำ และมีแค่เขาสองคนที่รู้ว่ามันควรจะเป็นอย่างไรต่อไป
   เป็นเรื่องที่ยากแต่ก็มีความสุขที่ได้แต่งอย่างที่อยากทำ แล้วก็คิดว่าเรื่องหน้าจะฟีลกู๊ดแล้วล่ะ (หัวเราะ) คงต้องมาลุ้นว่าตัวเองจะพาเรื่องสั้นในปีหน้าไปในทางไหน
   ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ
   23August

   #รีสตาร์ทเกม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 12:30:32 โดย 23August »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.3 END [23.07.17]
«ตอบ #14 เมื่อ23-07-2017 21:54:07 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.3 END [23.07.17]
«ตอบ #15 เมื่อ23-07-2017 22:51:17 »

มันก้อออกจะเทาๆหน่อย...แต่คิดว่าเค้าทั้งคู่รักกันในแบบฉบับของตัวเอง  :undecided: :undecided: :undecided:

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ - EP.3 END [23.07.17]
«ตอบ #16 เมื่อ27-07-2017 07:59:31 »

ไม่รู้จะสงสารใครดี วนอยู่ทีีเดิม   :katai1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #17 เมื่อ02-10-2017 18:05:16 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #18 เมื่อ04-10-2017 23:55:40 »

บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง เราคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกเหมือนกันนะ อ่านแล้วดาวน์คิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ เขียนดีมาก ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆแบบนี้นะคะ จะตามอ่านให้หมดเลยค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ kanatthanit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #19 เมื่อ21-10-2017 14:05:44 »

อ่านจบแล้วสงสารพี่ข้างบ้าน สงสารน้องสถาปัตย์ ที่เดินเข้ามาในความสัมพันธ์ของสองคนนี้  :mew5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-10-2017 14:05:44 »





ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #20 เมื่อ21-10-2017 19:13:45 »

เหมือนอยู่คนละโลกกันกับคู่นี้อะ  :z3:
มันก็จะไม่เข้าใจหน่อยแต่งงมากๆๆ
ค่ะ โอ้ย อึดอัด คลุมเครือทุกสิ่งอย่าง แต่เค้ามีความสุขกันใช่มั้ย? แง้ๆ เหมือนเราโลกสวยอยู่ในกรอบของความรัก ของสถานะ......อืม เป็นเรื่องที่ดีมาก ทำให้เห็นอีกแง่มุมของความรัก  o13

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #21 เมื่อ21-10-2017 21:27:31 »

จริงๆแล้วเขาก็รักกันใช่มั๊ย มันดูอึมครึมอยู่ในวังวนไม่จบไม่สิ้น :ling2: ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆแบบนี้นะคะเป็นอีกหนึ่งมุมมองของความรัก :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ JanJanIsHappy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #22 เมื่อ30-10-2017 01:07:59 »

เส้นเรื่องเป็นสีเทาไปหมดเลย ไม่หน่วง แต่หม่นมาก

ออฟไลน์ wargroup

  • Twitter/IG : @inaSSusani
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #23 เมื่อ31-10-2017 14:25:19 »

เขียนดีจัง แตกต่าง ชวนอ่านมากๆเลย จบสวยด้วยค่ะ ...นายเอกมาโซคิสม์สินะ
แอบอยากให้เป็นเรื่องยาว เผื่อจะมีการแหก Loop ในอนาคต อิอิ

ในใจของคนอ่านสายน้ำเน่า อยากให้คุณกายภาพเอ็นด์เกม อยากเห็นคุณไอทีรู้สึกขาด
สิ่งที่เคยได้ก็ไม่ได้อีกต่อไป อยากเห็นรีแอคชั่นแห่งความเจ็บปวดของพระเอก 555

ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #24 เมื่อ05-11-2017 22:45:22 »

เรื่องนี้คุมโทนอึดอัดทั้งเรื่องจริงๆ คนเขียนเก่งมากเลยที่สามารถสื่อสารอารมณ์ออกมาได้รู้สึกเป็นไปตามที่คนเขียนต้อง ภาษดีมากๆ ขอบคุณค่า :hao5:

ออฟไลน์ poommy_TY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #25 เมื่อ06-11-2017 00:04:46 »

เพิ่งมาตามอ่านเลย
บอกไม่ถูกเหมือนกัน อึนๆ เทาๆ หน่วงๆ นิดๆ
เราสงสารคนที่อยากเข้ามาสร้างความสัมพันธ์กับสองคนนี้อ่ะ 55555555555

เข้าใจว่าการคบกันแบบนี้มันคือความสบายใจของทั้งคู่
แต่มันก็ยังหน่วง 5555 ความคลุมเครือนี่มันทำให้เราอึดอัดดีจริงๆเล้ยยยย โอยยยย

อารมณ์เหมือนตอนอ่าน freeze I fly เลยค่าาา

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #26 เมื่อ11-11-2017 23:53:20 »

ชอบที่เปรียบความสัมพันธ์ของทั้งคู่กับเกม มันจริงที่ว่าในเกมเราเลือกจะจบตรงไหนก็ได้จะเล่นจบหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่เรา แต่ในความสัมพันธ์จริงๆเราเลือกเเบบนั้นไม่ได้ตลอด การวนกลับมาเล่น"เกม"เดิม แพทเทิร์นเดิมอีกรอบไม่จบสิ้นก็เป็นอีกความสัมพันธ์ที่เราต้องพบเจอจริงๆอยู่ตลอด แล้วก็ชอบที่พูดถึงเขาวงกตจริงๆทริคนี้ใช้ได้ไม่ตลอดเหมือนกับเรื่องราวของทั้งคู่นั่นแหละ ต่อให้รู้จักกันดีแค่ไหนแต่ในบางมุมก็เหมือนไม่รู้จักกันเลย พูดมายืดยาวจะบอกว่าชอบมากๆ ทั้งการใช้ภาษาและตัวเนื้อเรื่อง เป็นกำลังใจให้นะคะ จะติดตามผลงานค่ะ ^^

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #27 เมื่อ07-01-2018 11:19:45 »

 :mc4:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #28 เมื่อ02-10-2018 23:06:21 »

เขาคงรักกันแหละ แต่แบบคนอ่านอึดอัดจังเลยยย  :pig4:

ออฟไลน์ chaoyui

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: {เรื่องสั้น} ﹉ RESTART ﹍ (จบ)
«ตอบ #29 เมื่อ03-10-2018 00:22:35 »

ความสัมพันธ์อะไรกันนี่ สมชื่อrestartเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด