| Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4  (อ่าน 45481 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2019 21:07:25 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
| Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก |

บทเกริ่นนำ


Fairy Tale (n.) เทพนิยาย 


   ผมกำลังอ่านเทพนิยายอยู่

   มันเป็นเรื่องของ 'อสูร' ผู้โหดร้ายที่กักขัง 'เทวดา' เอาไว้ในปราสาทหลังใหญ่ของตน

   เทวดาแสนธรรมดา ไร้เสน่ห์ต่างจากทูตทั่วไปที่มักจะเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล มันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจว่าอสูรร้ายจะครอบครองเขาไว้ด้วยเหตุใด โลกคู่ขนานของเทวดากับปีศาจนั้นถูกขีดเส้นแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน และมันไม่ควรมีการย่างกรายเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่ายไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม

   จนกระทั่งวันหนึ่งที่เทวดาบังเอิญไปรู้ว่าอสูรร้ายมี 'กล่องความลับ' เก็บไว้

   สิ่งที่อาจบอกได้ว่าเพราะเหตุใดชายแสนดีจึงกลายเป็นอสูรร้ายน่าหวาดหวั่น

   มันเป็นเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายไม่ต่างจากเทพนิยายทั่วไป ไม่มีส่วนไหนตื่นตาตื่นใจพอที่จะพาให้ผมรู้สึกคล้อยตามไปกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติจำนวนมากข้างใน

   แม้ความใกล้ชิดภายหลังจะทำให้เทวดาได้ค้นพบว่าที่จริงแล้วคำอ้างเกี่ยวกับความโหดร้ายไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมด ทูตตัวน้อยก็ยังคงไม่ละความพยายามที่จะตามหาความลับของอสูรโดยหวังว่ามันจะเป็นทางหนีให้สามารถออกไปจากอาณาเขตแสนกว้างใหญ่

   ในที่สุดเทวดาก็ค้นพบกล่องเก็บความลับนั้น

   ...

   .

   น่าเสียดายที่พอผมเปิดอ่านไปจนถึงส่วนที่สำคัญที่สุด มันกลับถูกฉีกออกไป

   ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่า 'ความลับ' ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร หรือแม้กระทั่งว่าในท้ายที่สุดแล้วเทวดาจะยอมเปิดกล่องแห่งความลับนั่นหรือไม่ เพราะผมเองก็ไม่กล้าอ่านข้ามไปว่าในท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของทั้งสองคนมันจะจบลงในรูปแบบไหน

   ไม่รู้สิ

   ผมคงกลัว...ว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าสุดท้ายอาจไม่ได้จบอย่างสวยงามเช่นเดียวกับเทพนิยาย

   เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้นเอง


Fairy Tale (n.) เรื่องโกหก


***
   เจ้าไม่ชอบนิสัยอยากเปิดเรื่องเมื่อไหร่ก็ทำของตัวเองมากเลยค่ะ (หัวเราะ) อันเนื่องมาจากการที่แต่งพี่แบล็คไม่ได้ดังใจสักทีเราเลยแอบหนีมาทำการลงบทเกริ่นเอาไว้ก่อนค่ะ ยังไงก็ฝากตัวอีกครั้งนะคะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 22:27:35 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่หนึ่ง

   แล้วสิ่งใดวิ่งได้เร็วที่สุดบนโลกใบนี้
   - What is the fastest thing in the world?



   ผมรู้จักผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   ...และไม่รู้จักเช่นกัน

   ใบหน้าไม่ค่อยปรากฎรอยยิ้ม มันมักจะมีเพียงความว่างเปล่าอยู่ข้างในจนอ่านความคิดไม่ได้ ริมฝีปากที่ยังอยู่ชิดกันคล้ายเส้นตรงไม่ช่วยบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันหมายถึงอะไร ผมปล่อยให้เราประสานสายตากันอยู่อย่างนั้น รออยู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาหรือไม่

   และการคาดคะเนก็ไม่พลาดเมื่อมีนมกล่องรสจืดไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อวางลงบนโต๊ะ

   ไม่มีการทักทาย ไม่ว่าจะทางวาจาหรือผ่านท่าทาง เขาจะปรากฎตัวเพื่อนำเจ้ากล่องกระดาษสี่เหลี่ยมมาวางไว้แล้วก็เดินออกไปเหมือนทุกครั้ง

   มองชายคนนั้นเดินหายไปตรงมุมตึกพร้อมด้วยเพื่อนสนิทที่เห็นอยู่ด้วยกันเป็นประจำจนชินตา ผมกระพริบตาถี่ๆ เป็นการทดสอบความมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เกิดจากการที่ผมเพ่งสมาธิอยู่กับตัวหนังสือจนเบลอไปเอง

   ถึงจะเจอหลายครั้งจนควรชินได้แล้ว แต่พอได้เจอใกล้ๆ อย่างนี้ทีไรก็อดกลัวไม่ได้

   แอบมองซ้ายขวาไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต บริเวณข้างในสุดของห้องสมุดในช่วงเพิ่งเปิดภาคเรียนไม่นานร้างผู้คนจนกลายเป็นห้องเงียบชั้นดี นึกขอบคุณที่เลือกเก้าอี้ตัวในสุดเพราะจะได้ไม่มีใครอื่นเป็นพยานในเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

   ธชา

   นั่นคือชื่อของผู้ชายคนนั้น

   จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาเพิ่มเติมผมก็ไม่รู้ว่าจะให้อะไรดี เอาเป็นว่าไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งมากเท่าไหร่เนื่องด้วยวีรกรรมและชื่อเสียงไม่ดีส่วนตัวอันสะสมมาจากช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ลากยาวมาจนถึงปีสองเทอมสองอย่างนี้ เช่นช่วงเข้ามาใหม่มันก็ต้องมีประกวดดาวเดือนอะไรพวกนี้ใช่ไหมล่ะ ธชาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกวางตัวเอาไว้นะ แล้วก็อาละวาดบ้านแตกจนคนให้ฉายาว่า ‘อสูร’ มา

   ก็ทำตัวไม่ค่อยดีด้วยแหละ ในคณะเป็นอันรู้โดยทั่วกันว่าเขาเป็นจำพวก 'อย่าเข้าใกล้โดยไม่มีเรื่องจำเป็น' ไม่ค่อยน่าอยู่ใกล้ แล้วก็ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนอกเหนือจากเพื่อนคนเดียวที่เดินข้างกันไปเมื่อสักครู่

   ให้นับครั้งที่เคยเจอกันตั้งแต่ปีหนึ่งก็ยังได้ เล่าไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยทักทายกันหรือเปล่าเพราะแค่หน้ายังไม่คิดจะมอง คือเราสองคนเหมือนกันในแง่ที่ว่าไม่ค่อยมีสังคมเท่าไหร่ แต่เราก็ยังเป็นซับเซตย่อยที่ต่างกันอยู่ดี

   หนังสือเรียนที่เอามาอ่านทบทวนถูกปิดลงหลังจากยอมรับแล้วว่าคงอ่านต่อไปไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องที่เจอเมื่อกี้มันมากเกินกว่าที่จะยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่าอยู่ดีๆ ก็มีชายคนดังของคณะเดินเข้ามาหา แล้วเขาทำอย่างนี้มาหลายสัปดาห์แล้ว

   เดินออกจากโต๊ะที่นั่งอยู่ไปตามทางเดินประจำ ผมชอบห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนี้เพราะความเก่าแก่ของมัน ดีไซน์ที่ยังมีกลิ่นไอของการตกแต่งแบบสมัยก่อน เห็นได้ตั้งแต่ชั้นหนังสือไปจนถึงบริเวณนั่งอ่าน บวกกับปริมาณหนังสือที่ไม่รู้ว่าต้องเกิดกี่ชาติถึงจะอ่านได้ครบทุกเล่ม บางเล่มนี่เก่าเสียจนการเปิดอ่านในแต่ละหน้าต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด แค่พลิกรุนแรงกว่าปกตินิดหน่อยมันอาจจะหลุดออกมาทั้งแผ่นก็ได้

   จนมาหยุดอยู่ตรงชั้นหนังสือที่เกือบติดกับนิทานเด็กอย่างหมวดเทพนิยาย ความน่าประหลาดใจของมันคือการแบ่งหมวดหมู่และประเภทของผู้อ่านว่าเหมาะสมกับช่วงอายุใดอายุหนึ่งเท่านั้น เราถูกบังคับว่าต้องจัดประเภทของเทพนิยายให้อยู่ในส่วนของหนังสือสำหรับเด็ก ทั้งที่เนื้อในของบางเรื่องมันรุนแรงจนผู้ใหญ่ยังต้องเบ้หน้า

   มองไล่ไปตั้งแต่ชั้นบนสุดจนมาจบอยู่ตรงชั้นที่อยู่ในระดับสายตา กระทั่งเจอกับหนังสือปกทำมือแบบที่เห็นได้ทั่วไปตามห้องสมุด ผมชอบที่เขาทำปกให้เป็นแบบแข็งอย่างนี้นะ ไม่อย่างนั้นแล้วหนังสือที่ต้องผลัดกันใช้ไม่เคยอยู่ในสภาพสวยสักเล่ม

   น่าโมโหที่สุดคงเป็นพวกหนังสือเรียน ขีดอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของ

   แอบแปลกใจนิดหน่อยตรงที่หน้าปกสีกรมท่านั้นเป็นของดั้งเดิมไม่ใช่การปรับเปลี่ยนใหม่อย่างที่เข้าใจทีแรก รอยปั๊มสีทองที่ลึกลงไปเขียนเพียงคำว่า Fairy Tales ไร้ชื่อคนเขียนหรือว่าคนแปล ผมค่อยๆ พลิกกระดาษสีน้ำตาลที่มาพร้อมกลิ่นเฉพาะตัวทีละหน้า สารบัญช่วยบอกได้คร่าวๆ ว่ามีเรื่องไหนที่ผมยังไม่เคยอ่านบ้าง

   ถ้าอยากลองเปิดโลกให้กว้างขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปไหนก็ได้ ก็แค่ลองนั่งอ่านเทพนิยายแบบที่ไม่ใช่เรื่องของพี่น้องกริมม์หรือว่าเจ้าหญิงเจ้าชายในดิสนีย์ดูสิ ทั้งโหดร้ายแล้วก็ไม่ได้จบด้วยความสุข ที่ได้ยินกันทุกวันนี้มันคือฉบับปรับปรุงทั้งนั้น

   ขอเรียกว่าเป็นโชคดีของวันที่ได้เจอหนังสือเล่มที่แทบไม่เคยอ่านเรื่องด้านในเลย ผมเดินกลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มที่เอาไปลงทะเบียนยืมเรียบร้อย เก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเป้เตรียมพร้อมกลับบ้าน จะเว้นไว้ก็แต่นมกล่องที่วางเอาไว้ที่เดิม

   ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะใส่พวกยาพิษลงไปข้างในหรอก คนอย่างธชามีวิธีทำลายมนุษย์เยอะแยะ ไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรอย่างนี้ทุกวันก็ได้ ผมแค่ไม่ไว้ใจใน  'ความหวังดี' นี่ต่างหาก

   อีกอย่างคือผมเกลียดนมรสจืด

   "วันนี้กลับเร็วนะ"

   หันไปตามเสียงทัก ตอบกลับสั้น "อืม แอร์หนาวไป"

   โกหกออกไปเสียอย่างนั้น ผมมองเพื่อนในเอกของตัวเองสาละวนอยู่กับการหาบัตรนักศึกษาเพื่อใช้เป็นตั๋วผ่านออกไปยังด้านนอก เราเจอกันข้างในห้องสมุดหลายครั้ง เป็นคนจำพวกที่ไม่อยากรีบกลับบ้านเพราะไม่รู้จะทำอะไรเลยมาหาที่ที่มีแอร์ฟรี ไฟฟรี ไวไฟฟรีใช้เหมือนกัน

   ชื่อชินหรือเชน...อะไรประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้เพราะว่าไม่ใส่ใจจะจำ ที่จริงก็ไม่อยากจะคุยด้วยเท่าไหร่หรอก

   "กลับบ้านเลยป่ะ ไปหาอะไรกินกับเราก่อนไหม"

   "ไม่ล่ะ" ปฏิเสธกลับไปเช่นทุกที ผมไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น "ที่บ้านรออยู่"

   แล้วก็ต้องเก็บไว้เป็นสถิติให้ตัวเองว่าวันนี้ได้ทำการโกหกสองครั้งติดในเวลาห่างกันไม่ถึงนาทีดี ผมไม่ชอบการอยู่ในสังคมใหญ่ก็เพราะอย่างนี้ เราต้องมานั่งรักษามารยาทไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นพวกแกะดำไปทันที แค่รู้จักเคารพความแตกต่างยังทำกันไม่ได้แล้วยังไปยุ่งวุ่นวายคนอื่นอีก

   พอออกมาข้างนอกอุณหภูมิของอากาศที่ต่างกันในระดับหนึ่งก็สร้างปฏิกิริยาขึ้นบริเวณเลนส์แว่นตาอันใหญ่ของตัวเอง ผมหยิบเครื่องช่วยเพิ่มความคมชัดให้การมองออก เก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัว ปล่อยให้สายตาได้มองเห็นในมุมกว้างกว่าเดิม

   "เหรอ งั้นไว้คราวหน้าแล้วกันเนอะแฟร์"

   "อือ"

   ก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีครั้งหน้าอย่างที่บอกไป ยังไงผมก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยงได้อยู่ดี ทางเดินจากห้องสมุดออกไปยังถนนใหญ่มีเพียงทางออกเดียว นั่นเลยทำให้ทั้งผมแล้วก็เขายังต้องเดินเคียงข้างกันต่อไป

   "นี่ซุ่มอ่านจบไปกี่เล่มแล้วล่ะ"

   "ไม่จบ อ่านอย่างอื่น" ผมชักรำคาญคนที่เอาแต่ถามไม่มีหยุดแล้วล่ะ นี่อุตส่าห์ทำตัวไม่อยากคุยด้วยขนาดนี้ไม่สังเกตหน่อยหรือไง "เราไปก่อน..."

   คำที่ตั้งใจใช้เพื่อตัดบทสนทนาออกมาไม่ครบ เมื่อผมเห็นว่าตรงรั้วทางออกมีใครยืนอยู่

   ชายเจ้าของกล่องนมพวกนั้น

   "เราไปขึ้นรถไฟฟ้าดีกว่า" กลับหลังหันพร้อมเปลี่ยนใจทันควัน จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์ปรับอากาศจากหน้าถนนเพราะว่ามันประหยัดแล้วก็จอดตรงหน้าซอยบ้านเลยต้องใช้ทางเลือกที่สองคือรถไฟฟ้าแทน "บาย"

   "เฮ้! เราไปด้วยดิ"

   คงเห็นเหมือนกันแล้ว คนอะไรไม่รู้ ขนาดไม่รู้จักยังแผ่รังสีความไม่น่าเข้าใกล้ออกมาได้

   "ชาน่ากลัวเนอะ" พ้นจากตรงนั้นคนพูดมากก็เปิดประเด็นใหม่ ธชามีชื่อเล่นที่ย่อมาจากชื่อจริง เรียกง่ายแต่ก็ไม่อยากเรียกเท่าไหร่

   "...คงอย่างนั้น"

   "แฟร์ไม่ใส่แว่นก็เห็นเหรอ"

   ผมเงียบไปแป๊บหนึ่งเพื่อเลือกคำตอบที่ดีที่สุด แบบที่ไม่ใช่บอกว่าเพราะเมื่อกี้เพิ่งเจอ "เด่น..."

   "ก็จริง"

   ปล่อยให้คนอยากพูดได้ขยับปากตามที่ต้องการ ส่วนตัวเองก็ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาพร้อมกับตอบรับไปในบางครั้งแบบไม่ให้เสียน้ำใจเท่าไหร่ มีทั้งเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องกิจกรรม รวมถึงเรื่องราวของผู้ชายที่เป็นอสูรคนนั้นด้วย สิ่งที่ได้ยินแต่ ‘เขาเล่าว่า’ ไม่เคยได้สัมผัสว่าความจริงมันเป็นอย่างไร

   "แต่เพื่อนคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันบอกว่าสมัยก่อนชาไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ มาเปลี่ยนช่วงจบมัธยมก่อนเปิดเทอมเข้ามหาลัยเอง"

   นั่นเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว คนในคณะเองนินทากันให้แซ่ด

   ธชาไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะข่าวด้านลบในเรื่องของความสัมพันธ์แบบของคู่รัก จะเด่นอยู่เรื่องเดียวคือการเรียนที่ไม่ถึงกับท็อปตลอด แต่ว่าถ้าวิชาไหนโดดเด่นแล้วเขาก็จะเป็นที่หนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน อย่างเช่นพวกวรรณกรรม นั่นแหละส่วนโปรดปรานของอสูรเลยล่ะ

   "ได้ข่าวเรื่องที่แตงกับยีนส์ทะเลาะกันเพราะดอกกุหลาบของชาไหม ตัวอย่างก็มีตั้งหลายคนเมื่อไหร่จะเข็ดกันนะ"

   ดอกกุหลาบเจ้าปัญหา

   ไม่ต่างอะไรกับแอปเปิ้ลทองคำในสงครามกรุงทรอย

   มันเริ่มจากงานเฟรชชี่เมื่อช่วงปีหนึ่ง สำหรับการเลือกดาวเดือนในคณะจะใช้วิธีการให้เด็กเข้าใหม่ทุกคนมีกุหลาบในมือคนละดอก แล้วใช้วิธีการเอาไปใส่ไว้ในแจกันของผู้เข้าประกวดแต่ละคน

   ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าธชาได้ดอกไม้กลีบสวยนี่ไปถล่มทลาย ส่วนแรกคงเพราะว่าในคณะที่เกือบแปดสิบเปอร์เซนต์เป็นผู้หญิงอย่างนี้ไม่ค่อยมีผู้ชายแท้โผล่เข้ามาเท่าไหร่ แล้วยิ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีแล้วด้วย แล้วจำที่ผมบอกช่วงต้นได้ไหม ที่บอกว่าอาละวาดบ้านแตกน่ะ เขาก็แค่เดินมาหยิบแจกันใบใหญ่นั้นไปทิ้งในถังขยะใบใหญ่ตรงริมห้องโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ผมยังจำความเงียบที่แผ่กระจายไปทั่วห้องตอนนั้นได้ดีเลยล่ะ

   ส่วนดอกกุหลาบในส่วนของธชาเองเขาไม่ได้ให้กับเพื่อนคนไหน แต่กลับข้ามขั้นไปส่งให้รุ่นพี่ปีสี่ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในรุ่น คนอื่นเลยเข้าใจว่านั่นเป็นการ 'จีบ' แบบโจ่งแจ้ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็จบตรงที่ว่าพี่คนนั้นต้องรอเก้อเพราะว่าไม่เคยมีอะไรเพิ่มเติมมาจากธชาอีกเลย

   เลยกลายเป็นอสูรร้ายเลือดเย็นที่เล่นสนุกกับ 'หัวใจ' ผ่านดอกกุหลาบ

   และสุดท้ายเรื่องที่พันกันจนยุ่งเหยิงกลายเป็นความท้าทายของผู้หญิงและชายในมหาวิทยาลัยว่าความหมายของดอกกุหลาบที่ให้ไปคืออะไรกันแน่ บางคนธชาเองก็สานต่อนะ ส่วนบางคนก็เพียงได้รับแล้วก็ไม่เคยมีอะไรเพิ่มเติม

   ผมรู้เรื่องเขาเยอะใช่ไหมล่ะ ถึงบอกว่าผมทั้งรู้จักแล้วก็ไม่รู้จักเขาไง

   บอกเลยว่าคณะที่เต็มไปด้วยผู้หญิงน่ะไม่ค่อยมีเรื่องไหนหลุดออกไปจากวงสนทนาหรอก

   "ถ้าแฟร์ได้ดอกกุหลาบบ้างจะทำไง"

   "หืม?" คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้ฟังว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

   "เราถามว่าถ้าได้ดอกกุหลาบจากชา แฟร์จะทำยังไง"

   "คนอย่างเรา?"

   ท้ายเสียงผมปรับให้เป็นคำถาม รถยนต์ที่จอดเอาไว้ข้างทางกลายเป็นกระจกที่สะท้อนตัวตนของ 'กาลวินท์' กลับมา ผมธรรมดาแบบที่ตัดให้สะดวกต่อการจัดทรงเป็นหลัก แว่นกรอบโตทรงแบบที่กึ่งฮิตกึ่งเนิร์ดอยู่ตามสมัย ชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ แล้วก็กระเป๋าเป้แบบที่เน้นการใช้สอยเป็นหลัก ดูยังไงก็เป็นแค่เด็กสายแว่นคงแก่เรียนโคตรธรรมดา

   กับกุหลาบดอกสวยอย่างนั้น...

   "ไม่มีทาง"

   มันก็มีแค่นมกล่องรสจืดแค่นั้นแหละ


 
   "เล่นงี้จริงดิ..."

   มองป้ายหน้าห้องเรียนตอนเช้าที่ติดเอาไว้ว่า 'งดการสอน' พร้อมกับเหตุผลว่าติดประชุมด่วน นี่มันทำลายความตั้งใจในการตื่นเช้ามาเรียนให้ทันวิชารอบแปดโมงของผมไปหน่อยไหม

   เป็นพวกที่มีโทรศัพท์มือถือเอาไว้ให้รู้ว่ายังพอมีทางติดต่อบ้าง รวมถึงเอาไว้กรอกเวลาต้องให้เบอร์โทรติดต่อกลับก็เท่านั้น ผมเองมีเฟซบุ๊กเอาไว้สำหรับอยู่ในกรุ๊ปรุ่นอย่างเดียว เผื่อเอาไว้สำหรับงานเร่งด่วน แต่ดูเหมือนว่าการแจ้งเตือนที่เพื่อนบางคนส่งให้ตั้งแต่เมื่อคืนมันมาไม่ถึงผมด้วยเหตุผลว่าตัวเองไปปิดส่วนการแจ้งเอาไว้

   สงสัยหลังจากนี้คงต้องไปปรับเปลี่ยนการตั้งค่าบ้างแล้ว

   เดินทอดน่องลงมาถึงชั้นล่างของตึกเรียน คิดว่าไปหาเครื่องดื่มเบสิกสำหรับการเข้าไปหมกตัวอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยก่อนดีกว่า เลยไปจบตรงร้านค้าประเภทที่มีทุกอย่าง พุ่งไปยังตู้น้ำพร้อมกับหยิบขวดน้ำเปล่าออกมา

   ผิดจากที่คาดเอาไว้รอบสองเมื่อเห็นว่าตรงจุดชำระเงินมีใครอีกคนที่ผมให้นิยามว่ารู้จักแต่ก็ไม่รู้จักคนที่สอง เพื่อนของธชาที่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอทั้งที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ผมไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเรียนอยู่คณะไหนกันแน่ ดูจากลุกแล้วคงเป็นพวกสายสังคม

   ชุดนักศึกษาแบบที่ไม่ได้ถูกระเบียบเท่าไหร่ ช่างพูดช่างเจรจาต่างกับเพื่อนของตัวเอง มองจากภายนอกแล้วดูเป็นผู้ชายอบอุ่นมากกว่า คือถ้าต้องเลือกว่าจะเป็นเพื่อนกับคนไหนร้อยทั้งร้อยคงเลือกคนนี้ ส่วนผมจะคนไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ

   ส่วนลึกของในใจบอกผมว่าเขาน่ากลัวกว่าธชาอีก

   ตอนที่อีกคนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากเก็บเงินทอนลงกระเป๋ายังเป็นตอนที่ผมจ้องทุกอิริยาบทอยู่ ตาของเราเลยสบหากันแบบที่ไม่มีช่วงให้ได้หลบ เขาชะงักไปนิดหน่อยจากนั้นถึงกระตุกยิ้มมุมปากให้ ทางผมเองไม่ได้ตอบกลับอะไรเป็นพิเศษ

   "น้ำเปล่าเหรอ?"

   "..."

   คำทักที่เหมือนกับคำถามสะดุดความรู้สึกบางอย่าง ความเย็นของน้ำที่แช่ตู้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งในมือของผมไม่ช่วยให้ความตระหนกลดลง

   ผมรู้ว่าตัวเองกำลังกลัว ...แต่กลัวอะไรผมไม่อาจบอกได้

   "เหนื่อยไหม?"

   และไม่เข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไร

   นั่นคือการพบเจอกันทั้งหมด ผมไม่มีเรียนในภาคบ่าย รวมถึงไม่ได้มีนัดใครตอนเย็น จะให้กลับบ้านเลยมันก็ทำได้แหละ ก็แค่คิดว่าอุตส่าห์ลากสังขารมาเรียนแล้วทำไมต้องกลับไปมือเปล่าอย่างนั้น เลยพาตัวเองไปอยู่พื้นที่มีแอร์ฟรีดีกว่า

   บรรณารักษ์ที่ผมไม่รู้จักชื่อยิ้มให้เช่นทุกที ผมเองตอบกลับไปด้วยการผงกหัวทักทาย มันก็เป็นความสัมพันธ์ผิวเผินที่มีความสุขดีเหมือนกัน ไม่ต้องรู้จัก ก็แค่คนที่เจอกันในทุกวันไปเรื่อยๆ

   สถานที่เดิม บรรยากาศเดิม พาให้ผมจมดิ่งลงไปอยู่กับตัวอักษรในหนังสือเล่มหนาได้ไม่ยาก เพลงสากลสลับกับเพลงไทยแล้วแต่ว่าเพลย์ลิสต์จะสุ่มส่วนไหนขึ้นมาไม่ได้ทำลายสมาธิสักนิด บางทีผมแค่อาจต้องการสร้างสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นการบอกว่าห้ามรบกวน

   วันก่อนกลับบ้านไปก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยสักหน้าเพราะว่ามีเรื่องนิดหน่อย การที่ต้องดูแลบ้านคนเดียวในขณะที่ผู้ปกครองหนีไปทำงานประจำอยู่ต่างจังหวัดนี่มันก็ลำบากไม่ใช่เล่น แม้จะชินแล้วมันก็ยังอดเบื่อหน่ายไม่ได้อยู่ดี

   จะเรียกว่าคนไม่มีเพื่อนก็ได้มั้ง ถ้าผมจะบอกว่าตัวเองนี่แหละที่เลือกไม่เป็นเพื่อนกับใครจะเชื่อหรือเปล่า คือสไตล์ของตัวเองก็ไม่น่าจะมีใครสนหรอกนะ ทำตัวแบบที่เห็นวูบแรกแล้วจะมีสเตอริโอไทป์ของพวกคงแก่เรียนโผล่ตามมา แล้วอุปนิสัยก็ไม่น่าคบหาเท่าไหร่

   เอาน่า บางครั้งการที่เราได้เป็นตัวของตัวเองมันก็น่าภูมิใจออก

   กล่องที่เห็นอยู่ตรงหางตาบอกว่ายังมีอีกหนึ่งสิ่งเดิมๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกับทุกวัน

   ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเจ้าของนมกล่องไร้ประโยชน์นั่น ยังแสดงออกเหมือนว่าตัวเองให้ความสนใจอยู่กับหนังสือจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนอื่นเข้าใกล้ โดยปกติเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว เขาจะเดินเข้ามาเงียบๆ สมกับที่อยู่ในห้องสมุดตลอด

   ธชาเองก็ไม่ได้อ่านโพสต์ในเฟซเหมือนผมอย่างนั้นสิ หรือไม่ก็มีวิชาเรียนเสรีในภาคบ่ายตัวที่ต่างจากผม คณะที่มีตัวเลือกเสรีค่อนข้างหลากหลายทำให้การเรียนในปีสองหลังจากที่เลือกวิชาเอกไปแล้วประสบกับตารางเรียนที่ต่างจากเพื่อนคนอื่นมากพอสมควร อย่างผมเองก็เรียนหลายตัวที่ออกนอกคณะ ไม่ค่อยได้เจอหน้าคนในเอกเท่าไหร่

   ลุ้นไปกับเนื้อหาที่กำลังเกิดขึ้น เรื่องของเทพนิยายสมัยกรีกที่คล้ายกับเรื่องราวสมัยใหม่หลายเรื่องผสมกัน ผมกำลังลุ้นว่าระหว่างพี่ชายที่โง่เขลาผู้มีลูกสาวแสนปราดเปรื่องอยู่เบื้องหลัง กับน้องชายที่ทะนงว่าตัวเองนั้นฉลาดกว่าใคร คนไหนจะเป็นคนตอบคำถามทั้งสามข้อของพระราชาได้ก่อนกัน ให้เดานะต้องเป็นพี่ชายคนโง่แหง

   นั่นไงล่ะ

   หรือว่าผมจะลองเสี่ยงดวงกับพวกเกมเสี่ยงโชคดีนะ

   ความคิดในโลกส่วนตัวที่กำลังแล่นได้ที่ถูกกระชากให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงเมื่อผมเห็นว่าสายของหูฟังข้างหนึ่งอยู่ในมือของอสูรร้าย เล่นดึงอย่างนั้นถ้าพังขึ้นมาเขาจะรับผิดชอบหรือเปล่า

   "...อย่าหนี"

   "?"

   แล้วก็อย่างนี้ ไม่ปล่อยให้ผมได้รวบรวมแล้วก็กลั่นกรองจนได้ข้อสรุปเขาก็ทิ้งสายหูฟังของผมลงตรงนั้น เดินกลับหลังหันออกไปอย่างทุกที ถึงยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็ไม่อยากใส่ใจมาก กลับมาลองทดสอบการใช้งานว่ามันยังทำงานได้เต็มที่หรือไม่ หลังจากนั้นถึงมองเลยไปยังของประจำวันต่อ

   นมกล่องรสจืดเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง เขาจะรู้บ้างไหมว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ทุกวันนี้มันคือการลงทุนที่เสียเปล่า ผมไม่มีเวลามากพอจะมานั่งตามสืบเสาะหาความจริงหรอกว่าธชาทำมันไปเพื่ออะไร เสียดายเวลาชีวิตน่ะ เอาไปอ่านหนังสือเพิ่มยังได้ประโยชน์มากกว่าอีก

   ไม่มีใครที่พอให้ข้อมูลได้ว่านอกจากกุหลาบดอกสวยแล้วคนอย่างอสูรยังมีวิธีการล่อลวงอย่างอื่นอีกหรือไม่ แล้วไอ้การเอานมกล่องมาใช้เป็นเครื่องมือจะเป็นหนึ่งในกลเม็ดหรือเปล่า ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นเลยนะ อาจจะมีแต่ว่าเขาไม่เอามาพูดออกสื่อก็เป็นไปได้

   ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้น เอื้อมมือไปปรับหน้าจอให้เปลี่ยนเป็นเพลงถัดไป กลับมาอยู่กับเนื้อหาของเรื่องที่อ่านค้างไว้

   คำถามแรกของพระราชาคือสิ่งใดหนักที่สุดในโลก น้องชายคนฉลาดนั้นตอบอย่างไม่มีความลังเลว่าก้อนหินขนาดมหึมาหรือว่าก้อนเหล็ก ในขณะที่สาวน้อยผู้อยู่เบื้องหลังให้คำตอบผ่านบิดาของตนเองไปว่าของที่หนักที่สุดคือเปลวไฟ เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อาจยกมันขึ้นได้

   เป็นความคิดที่แปลกดี

   คำถามข้อที่สอง สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ คราวนี้คนน้องตอบว่าเงิน นี่ขนาดเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยกรีกแล้วก็ยังเหมือนกับยุคปัจจุบันเหมือนกัน ผมยังไม่อ่านบรรทัดต่อไปที่จะเป็นส่วนเฉลย ลองจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเองจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี ถ้าต้องอยู่ในยุคนั้นเหรอ...อาจเป็นการที่ได้เป็นคนโรมันแล้วไม่ต้องเป็นทาส หรือว่าจะเป็นการที่เกิดเป็นลูกผู้ชายผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งหมด

   พอได้คำตอบให้ตัวเองแล้วผมจึงอ่านต่อ เห...ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่แฮะ คราวนี้ด้วยความช่วยเหลือของลูกสาวเช่นเดิม พี่ชายคนโง่ตอบว่าของที่สำคัญที่สุดคือพื้นดิน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรายังยืนอยู่ได้บนโลกใบนี้

   จนมาถึงคำถามข้อที่สาม

   แล้วสิ่งใดวิ่งได้เร็วที่สุดบนโลกใบนี้

   อืม มันเป็นการถามแบบรูปธรรมหรือว่าเป็นเพียงนามธรรมกันล่ะ ก็รู้กันอยู่ว่ายุคกรีกนั่นเป็นต้นกำเนิดของปรัชญาเลยนะ ถ้าไม่มีคนช่างคิดสามคนนั้น เราอาจไม่ต้องปวดหัวอย่างทุกวันนี้ก็ได้

   น้องชายตอบอย่างไม่มีความลังเลว่านกหรือว่าม้านี่แหละที่วิ่งเร็วที่สุดแล้ว ก็รับได้แหละเพราะนั่นมันยุคกรีกนี่นา ถ้าลองให้ผมไปตอบคงเสือชีตาร์อะไรประมาณนั้น พวกแสงหรือเสียงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์กว่าจะรุ่งเรืองคืออีกพันๆ ปีต่อมา

   ผมว่าเรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดก็ตรงที่คนตอบยังคงเป็นลูกสาวอยู่นี่แหละ แล้วคำตอบที่เธอบอกบิดาคือ

   "..."

   นิ่งไปพักใหญ่เมื่อเห็นประโยคนั้น บางอย่างสะกิดใจเสียจนต้องย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นย่อหน้าอีกครั้ง ผมไล่สายตาไปตามตัวอักษรเพื่อค้นพบว่าแม้จะทวนซ้ำอีกครั้งคำตอบก็ยังเหมือนเดิม

   นั่นสิ เธอก็ตอบถูกนะ

   สิ่งที่วิ่งได้เร็วที่สุดคงไม่พ้นหัวใจ...


***
   เป็นเรื่องที่เล่นใหญ่กว่าทั้งสองเรื่องที่ผ่านมาค่ะ (หัวเราะ) ขอฝากชากับแฟร์ด้วยนะคะ /โค้ง
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 22:27:54 โดย 23August »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นึกว่าจะเป็น ความคิด เสียอีก

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สอง


   บอกทางมา ...แล้วหลังจากนั้นฉันจะตามหาคุณจนพบเอง
   - East of the sun and West of the moon

 

   มีใครบางคนเคยบอกว่าการทำอะไรสักอย่างติดต่อกันเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันมันจะกลายเป็นนิสัย

   พวกคุณเคยทำได้บ้างไหม?

   ผมทำไม่ได้เลยล่ะ ต่อให้ลองใหม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็มักจะประสบความล้มเหลว อย่างของผมเองวันอันตรายจะอยู่ประมาณวันที่สิบถึงสิบสาม เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ความเบื่อหน่ายที่มีมากกว่านำไปสู่ความคิดที่ว่าทำไมต้องทรมานตัวเองขนาดนี้ด้วย

   อ้อ! ถ้ารอดก็มีอยู่อย่างเดียว คือการนั่งอ่านหนังสือนานๆ แบบที่ไม่ต้องขยับไปไหนทั้งวัน ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ผมถนัดสุด

   ตอนนี้ผมอ่านเทพนิยายเล่มหนานั่นได้หลายส่วนแล้วล่ะ มีความน่าสนใจนิดหน่อยตรงที่ว่าถึงชื่อเรื่องจะเหมือนไม่เคยอ่านแต่เนื้อหาข้างในหลายครั้งมันคือการเอาเรื่องหลายเรื่องมาผสม หรือบางทีก็เหมือนกันด้วยซ้ำไปเพียงแค่ว่าเป็นเทพนิยายของคนละประเทศเท่านั้น

   เรื่องราวเหนือธรรมชาติ ปีศาจ ภูต คนแคระ เวทมนตร์ เจ้าหญิงและเจ้าชาย มันมักจะวนเวียนไปอยู่แค่นั้นไม่หนีไปไหน ส่วนที่ยังพอให้ลุ้นได้หน่อยคือช่วงจบของเรื่องที่พลิกไปจากการจบแบบทั่วไปอยู่บ้าง มันน่าเบื่อเกินไปหน่อยถ้าจะจบแบบ 'อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปนิรันดร์' การได้เจอเรื่องที่จบในรูปแบบอื่นมันก็เป็นการสร้างความหลากหลายที่ดี

   "เรียงแถวออกมาจับฉลากเลยค่ะ"

   วิชาบังคับของเอกเป็นอะไรที่ไม่น่ารื่นเริงใจ นี่เป็นเอกหนึ่งของคณะที่ได้ชื่อว่าการแข่งขันสูงที่สุด ใครหลายคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแลกกับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมคงโชคดีกว่าบางคนที่รู้ตัวเองว่าอยากเรียนอะไรตั้งแต่ช่วงเข้ามัธยมห้า ในระหว่างที่คนอื่นยังบอกไม่ได้ว่าอยากเรียนต่อในคณะไหนผมตั้งเป้าหมายในการเรียนจนจบชั้นปริญญาไว้แล้ว การเตรียมตัวที่ดีกว่าช่วยให้ผมได้ในสิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือ

   คนเราควรมีแผนสำหรับการดำเนินชีวิตเอาไว้หลายๆ ทางนะ

   และคงอยู่กับอะไรเดิมๆ มาจนเบื่อ การทำงานคู่ที่มักจะเป็นการจับกันเองคราวนี้ถูกเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจด้วยการเปลี่ยนเป็นจับฉลากหน้าห้อง ผมรอจนเพื่อนเกือบทั้งเอกเข้าแถวเรียงหนึ่งแล้วจึงขยับลุกจากที่นั่งของตัวเองไปต่อบ้าง ยืนเงียบๆ ฟังคนอื่นตั้งข้อสันนิษฐานว่าเพราะอะไรอาจารย์ถึงปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา

   "กาลวินท์ ...สิบห้าครับ" อ่านตัวเลขในกระดาษพร้อมกับบอกชื่อจริง ผมมองตามช่องตารางที่แบ่งเอาไว้เป็นสองส่วนในแต่ละบรรทัด ผมอยู่ตรงช่องแรกแสดงว่ายังไม่มีใครจับได้เลขนี้ ข้างหลังผมเองก็เหลือไม่กี่คน ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น

   ขอให้ได้ผู้หญิงแล้วกัน ไม่เรื่องมากดี ผมว่าพอเป็นเพศตรงข้ามแล้วการวางตัวในฐานะเพื่อนที่ต้องทำงานร่วมกันมันง่ายกว่าเพศเดียวกัน ถ้าผมไปทำตัวเงียบๆ ใส่เพื่อนผู้ชายเดี๋ยวก็กลายเป็นหาเรื่องอีก

   หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านคำสั่งและอ่านรายละเอียดของงานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ มันจำเป็นที่เราต้องรู้ว่างานนี้ต้องทำอะไรบ้าง แล้วกำหนดส่งคือวันไหน สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยคือคนในคณะบางคนยังมีสกิลการจับใจความสำคัญที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาก

   รออีกไม่นานภาพบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ที่เคยเป็นส่วนอธิบายคำสั่งก็กลายเป็นกระดาษจดรายชื่อของสมาชิก ผมไล่จากเลขหนึ่งลงมาถึงเลขของตัวเอง ชื่อแรกนั้นเป็นของตัวเองอยู่ ส่วนชื่อหลังก็...

   "..."

   อสูรร้ายจะต้องเสกคาถาสักบทใส่อาจารย์แหง

   เพราะตารางช่องหลังนั้นถูกเติมด้วยคำว่า 'ธชา' ไงล่ะ

   "จับคู่ได้เลยค่ะ มีอะไรให้รีบถามได้เลยก่อนหมดคาบ"

   แล้วห้องเรียนที่เคยเงียบก็เกิดเสียงจอแจจากทุกพื้นที่ ผมนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะยังตกใจในสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ ตายแน่ๆ ทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนั้นด้วยนะ

   "จะแบ่งยังไง"

   สติหลุดไปจนถึงช่วงที่ได้ยินเสียงเขาข้างตัวนั่นแหละ โต๊ะแบบเลคเชอร์เดี่ยวตัวใกล้ที่สุดถูกหมุนให้เปลี่ยนมาหันหน้าชนกัน ผมหลับตาลงพลางยกมือขึ้นดันแว่นให้กลับไปอยู่ตรงสันจมูกตามเดิม ช่วงเวลาอาจไม่นานเท่าไหร่ก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเขาโดยไม่มีการเตรียมใจ

   "เลือกก่อนเลย เราทำที่เหลือเอง"

   "ควรเลือกส่วนที่คิดว่าจะทำได้ดีก่อน"

   "เราไม่คิดว่าตัวเองทำได้ดีสักอย่าง"

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขา "งั้นเอาที่คิดว่าโอเคที่สุด"

   "เลือกก่อนเถอะ" เส้นแบ่งที่ขีดความเป็นคนไม่รู้จักกันมันมากเสียจนผมไม่กล้าคุยแบบสะดวกใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อแบบไหนดี ถ้าเรียกแค่ชื่อเล่นจะดูล้ำเส้นไปหรือเปล่า แต่ถ้าให้ผมเรียกแบบเต็มยศมันก็ดูพิลึกไปหน่อย "เราได้หมด"

   งานของเด็กคณะอักษรมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานเดี่ยวแสนสบายไปจนถึงงานที่นึกว่าต้องระดมคนทั้งคณะมาช่วยทำ ส่วนงานนี้ก็ไม่ใช่งานที่ส่งได้ในห้องเลย แต่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมมากเสียจนคิดว่าไม่น่าจะจบง่ายๆ แล้วยิ่งคู่ทำงานของผมเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความถนัดในด้านวรรณกรรมแล้วด้วย งานนี้คงต้องเตรียมใจรับงานใหญ่

   มันก็ดูไม่ยากนะ ก็แค่ให้หางานเขียนตามที่สนใจเอามาวิเคราะห์พวกเนื้อหาแล้วก็ความเป็นมาทั่วไป จะยากก็ตรงที่ต้องมานั่งเปรียบเทียบว่าเบื้องหลังของเรื่องที่ส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันนี่แหละ มันเลยทำให้เรื่องที่จะทำต้องผ่านการคัดสรรมาอย่างดี

   "งั้นเลือกเรื่องก่อน ไว้ค่อยแบ่งงานกัน" ผมบอกตามที่คิดออกไป

   "มันก็ต้องไปดูก่อนแหละ มีเรื่องไหนอยากทำอยู่แล้วหรือเปล่า"

   ธชาเก่งวิชานี้เป็นพิเศษ เขาอาจจะมีอะไรที่สนใจก่อนแล้วก็ได้

   "ไม่มี"

   "ถ้าอย่างนั้น..." ผมเตรียมเสนอไปว่าต่างคนก็หาข้อมูลไปก่อน แล้วค่อยมานัดคุยกันอีกที

   "เจอกันที่ห้องสมุด"

   เพียงแต่เจ้าของฉายาอสูรตัดให้เหลือเพียงคำตอบเดียวไปก่อนแล้ว

   "อ่า..." อยากจะบอกความต้องการเดิมของตัวเองไปอยู่นะ ผมต้องลองชั่งน้ำหนักความปลอดภัยก่อนว่ามันควรจะทำตัวขัดใจเขาหรือไม่ "ไว้ค่อยนัดคุยกันก็ได้นะ เผื่อสะดวกอย่างนั้นมากกว่า"

   "ห้องสมุด เวลาเดิม"

   มันเป็นการนัดที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลง แล้วธชาก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับสายตาหลายคู่ตามไล่หลัง คนที่เพิ่งตกอยู่ในตำแหน่งน่าลำบากใจอย่างผมคงได้แต่ยอมรับสภาพไปตามระเบียบ อย่างน้อยเรื่องการทำงานก็ไม่น่าห่วงล่ะมั้ง เขาไม่ใช่คนจำพวกที่กินแรงคนอื่นอยู่แล้ว

   "สู้นะแฟร์"

   "อือ" คนร่วมเอกคนเดียวกับที่เจอครั้งก่อนเดินมาพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ ได้ยินคนอื่นเรียกว่าบี เขาไม่ได้ชื่อชินหรือเชนอย่างนั้นเหรอ แล้วผมไปจำจากไหนมานะ "ไม่น่าจะมีอะไร"

   "ชาทำงานดี"

   "ดีแล้ว"

   "ระวังไว้นะ"

   "ไม่มีอะไรหรอก" พับกระดาษคำสั่งจนมันกลายเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก พลิกแพลงไปมาโดยตั้งเป้าหมายให้มันเป็นใบหน้าของหมีน้อยตัวหนึ่ง "ทำงานแล้วก็จบกันไป"

   ได้แค่สร้างความมั่นใจให้ไป ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดเลยสักนิด


 
   "ลองอ่านเรื่องนี้ดู"

   เทพนิยายที่ธชาส่งมาให้ผมอ่านเป็นเรื่องสี่สามหรือสี่ เราสองคนตกลงกันว่าวันนี้จะลองค้นหาแบบคร่าวๆ ให้พอรู้ว่าเรื่องที่อยากจะทำเป็นแนวไหน มีแหล่งข้อมูลเป็นหนังสือจำนวนมากตรงหน้าเราสามคน

   ใช่ ตรงนี้มีสามคน

   นอกจากธชาแล้วยังพ่วงมาด้วยเพื่อนคนที่ผมบอกว่า 'ไม่น่าเข้าใกล้ยิ่งกว่า' อย่างเชน คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงเอาชื่อของเขาไปปะปนกันเพื่อนร่วมเอกได้ เขาเดินมานั่งเงียบๆ แบบที่ไม่พูดอะไร ทำราวกับว่าผมไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้น แล้วว่างขนาดไหนถึงมาช่วยพวกผมทำงานได้นะ

   "ตะวันออกของดวงตะวั..."

   "อย่าพยายามแปลไทยเลย อ่านไปเถอะ"

   ยังอ่านชื่อเวอร์ชั่นแปลเองโง่ๆ ไม่จบก็โดนขัดเสียก่อน มันก็ดีแหละ พออ่านชื่อจบทั้งหมดก็เข้าใจว่าทำไมธชาถึงบอกไม่ต้องแปล ในเมื่อแปลออกมาแล้วนอกจากจะดูไม่มีความหมายแล้วถ้าต้องทำจริงอาจต้องไปหาคำไวพจน์ที่ยากเกินกว่าเข้าใจได้มาใช้ดัดแปลงอีก

   มันเป็นเรื่องของหมีขาวตัวหนึ่งซึ่งยื่นข้อเสนอให้กับชายแก่ผู้ยากจน ว่าถ้าหากเขายกลูกสาวคนเล็กที่งดงามที่สุดให้แล้วหมีขาวจะเสกให้ชายแก่กลายเป็นมหาเศรษฐี เขาได้ตกลงตามข้อเสนอนั้น โดยยอมยกลูกสาวคนเล็กแสนสวยให้กับหมีขาวไป

   เจ้าหมีขาวพาหญิงสาวไปยังปราสาทหลังใหญ่ ณ ที่นั้นร่างจริงที่ซ่อนเอาไว้ใต้รูปลักษณ์ของสัตว์ตัวใหญ่ก็เผยออกมา ที่แท้แล้วหมีขาวเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผู้ซึ่งเข้านอนพร้อมกับเธอทุกค่ำคืนโดยซ่อนร่างจริงไว้ใต้ความมืดมิดของราตรี

   ผมอ่านถึงตรงนั้นแล้วนึกถึงเรื่องเทพนิยายกรีกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เรื่องราวความรักของเทพเจ้าแห่งความรักกับหญิงสาวนามไซคี ผู้ซึ่งผิดคำสัญญาด้วยการลอบมองใบหน้าของชายปริศนาในยามค่ำคืน ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่มีโครงเรื่องคล้ายกัน เทพนิยายมันคือการเอาเรื่องนั้นมาผสมกับเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ

   ส่วนถัดมาก็ไม่ต่างอะไร เธอกลับบ้านไปแล้วโดนมารดาล่อลวงว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหลังม่านสีดำนั้นอาจเป็นพวกโทรลก็ได้ พอกลับมาอยู่ในปราสาทหล่อนจึงผิดสัญญาโดยการแอบเอาเทียนไขส่องดูว่าใครหรือสิ่งใดกันแน่ที่อยู่กับเธอทุกค่ำคืน

   ตรงนี้ก็ยังเหมือนอยู่ แล้วก็เหมือนจนถึงตรงที่หล่อนพลาดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าถูกหักหลัง มาต่างก็ตรงที่ชายหนุ่มผู้ซ่อนอยู่ในร่างหมีตัวขาวไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างเดิมแล้วหนีไป เขาเฉลยว่าตนเองเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ผู้ถูกคำสาปจากแม่เลี้ยงให้หาหญิงสาวมาอาศัยอยู่ด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงของพวกโทรล ลูกเลี้ยงของเธอ

   อืม...ตรงนี้เริ่มน่าสนใจขึ้น
   
   พักสายตาด้วยการเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน เชนยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มใหญ่ในมือของตัวเอง โดยที่มืออีกข้างนั้นจดอะไรก็ไม่รู้ลงกระดาษเอสี่เป็นระยะ สำหรับธชาเขามองผมอยู่ก่อนแล้วตอนที่ตัวเองหันไปหา เราเริ่มเกมจ้องตาไม่ต่างจากทุกที มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องหลบนี่นา

   ถ้าให้ลองเทียบ อย่างเขาจะมี 'ร่างจริง' แบบไหนอยู่ข้างในนั้นนะ

   "อ่านจบแล้ว?"

   เสียงของเขาเย็นกว่าแอร์ที่กำลังเปิดกระหึ่มอยู่ตอนนี้เสียอีก

   "เหลืออีกเยอะ ปวดตา" ผมอ่านมาตั้งหลายเรื่อง วันนี้ใช้สายตาเยอะกว่าทุกวันอีก

   "พักหน่อย เดี๋ยวค่อยอ่านต่อ" ธชาปิดหนังสือตรงหน้าของตัวเองลง ก้มหน้าลงไปหยิบอะไรบ้างอย่างข้างตัว "เอานี่ไป"

   เกือบหลุดขำตอนที่เห็นว่าสิ่งที่เขานำมาวางไว้บนโต๊ะคืออะไร มันเป็นเครื่องดื่มสำหรับบำรุงสายตายี่ห้อที่ผมเห็นตามโฆษณาอยู่บ่อยๆ ได้ฟังกี่รอบก็ไม่เคยเชื่อคำอวดอ้างสรรพคุณนั่นเลย

   "ไม่เป็นไร ขอบคุณ"

   "กิน"

   "ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร"

   เสียงหัวเราะจากบุคคลที่สามผู้แทรกเข้ามาในบทสนทนาเรียกให้เราทั้งคู่หันไปหา เจ้าของเสียงยังก้มหน้าอ่านสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองไม่รู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องอยู่ เรื่องที่กำลังอ่านมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ

   "ไม่เนียน"

   ปากกาที่เสกเข้ามาอยู่ในมือของธชาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พุ่งตรงเข้าไปหาเพื่อนของตัวเอง มันปะทะกับตัวปกพอให้อีกคนรู้ว่ามีคนเรียกอยู่ ผมมองเพื่อนสนิทสองคนโต้ฝีปากกันไปมาเงียบๆ แบบคนรู้สถานะของตัวเองดี

   "ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น"

   "อ่านของมึงไป"

   เสียงของธชาที่ใช้คุยกับเพื่อนคนสนิทต่างไปจากเวลาใช้พูดกับผมอยู่พอสมควร อบอุ่น ดูปลอดภัย แล้วก็ไม่มีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมา รวมถึงท่าทีสบายๆ ดูเข้าถึงง่ายไม่เหมือนกับที่เห็นทุกที ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

   "บอกแฟร์?"

   "..."

   เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้เชนเรียกชื่อเล่นของผมเหรอ

   "มันเรียกง่ายกว่ากาลวินท์ แฟร์คงไม่อยากเรียกเราว่าเชนินทร์หรอกใช่ไหมล่ะ"

   บอกแล้วไงว่าเขาไม่น่าเข้าใกล้ พอเพื่อนแสนดีของธชาหันมาเห็นว่าผมทำหน้าแปลกไปหลังจากได้ยินชื่อเล่นของตัวเองออกจากปากทั้งที่ยังไม่ได้ทักทายอะไรกันเลยสักครั้งเลยมีการขยายความเพิ่มขึ้นมาหน่อย ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นมากขึ้นเท่าไหร่

   "วันนี้ต้องได้ห้าเรื่อง อ่านต่อไปซะ"

   พอโดนตัดเข้าโฆษณาสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นชัดบนใบหน้าของเชนินทร์คือยิ้มเล็กตรงมุมปาก สิ่งที่ควรจะสื่อความหมายถึงบรรยายการที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองมันกลายสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้ผมระวังตัวเองอยู่เสมอ ห้ามให้เขาเล็ดรอดเข้ามาในพื้นที่ของผม ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจโดนยึดครองได้ไม่ยาก

   ถ้าโควตาของวันนี้มันแค่ห้าเล่มอย่างนี้ผมก็อ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายก็พอแล้วสินะ รีบอ่านให้จบดีกว่า

   นอกจากเรื่องการแต่งงานของเจ้าชายรูปงามกับเจ้าหญิงชาวโทรลแล้ว เจ้าชายยังบอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่าเขาจะต้องไปอาศัยอยู่ในปราสาทที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระอาทิตย์และตะวันตกของพระจันทร์ นี่คือที่มีของชื่อเรื่องสินะ ผมขออนุญาตแปลแบบตรงตัวไปก่อนแล้วกัน คือไม่มีอารมณ์มานั่งตัดเติมแต่งถ้อยคำให้สวยงาม

   'ฉันจะตามหาคุณจนพบเอง'

   หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาภายหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เช้าวันต่อมาปราสาทแสนสวยงามที่หล่อนอยู่กับเจ้าชายก็สลายหายไปกับความทรงจำ เธอออกตามหาจนกระทั่งพบกับหญิงชราคนหนึ่งพร้อมกับแอปเปิ้ลทองคำ น่าเสียดายตรงที่หญิงชราผู้นั้นไม่อาจให้คำตอบได้ว่าปราสาทที่ว่าอยู่ตรงไหน สิ่งที่เธอมอบให้กับหญิงสาวแสนสวยคือแอปเปิ้ลลูกนั้นพร้อมกับม้าหนึ่งตัวสำหรับการเดินทาง

   หญิงผู้ตามหาปราสาทปริศนาดังกล่าวเดินทางต่อมาจนพบกับชาวบ้านบนภูเขาลูกถัดไป เขากำลังนั่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหวีทองคำในมือ และเหมือนกับหญิงชราคนแรก เขาไม่รู้ว่าปราสาทที่กำลังตามหาอยู่นั้นคือที่แห่งใด ถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจหวีทองคำนั้นกลายเป็นสมบัติชิ้นที่สองต่อจากแอปเปิ้ล

   นอกจากนั้นเธอยังได้เครื่องปั่นด้ายทองคำจากชาวบ้านคนที่สาม พร้อมคำตอบที่เหมือนเดิมว่าไม่รู้จักปราสาทนั้น ส่วนที่เพิ่มเติมคือคราวนี้หญิงสาวไม่ต้องไปตามหาชาวบ้านรายที่สี่ เนื่องจากคำแนะนำใหม่ที่ให้ลองไปหาเทพแห่งลมทางทิศตะวันออกแทน

   จากนั้นด้วยความร่วมมือของเทพเจ้าแห่งลมทั้งสี่ทิศในท้ายที่สุดหญิงสาวก็พบปราสาทดังกล่าว เธอได้สร้างเงื่อนไขว่าจะยอมมอบแอปเปิ้ลทองคำให้กับเจ้าหญิงโทรลหากหล่อนยอมให้เธอได้พบกับเจ้าชาย เจ้าหญิงโทรลตกลงตามนั้น โดยยอมให้เธอได้พบกับเจ้าชายผู้หลับไหลด้วยฤทธิ์ยา (ถือว่าเจ้าหญิงเองก็ฉลาดนะ...) ในวันต่อมา หล่อนได้ขอพบกับเจ้าชายอีกครั้ง คราวนี้แลกกับหวีทองคำ และเหมือนกับครั้งก่อนหน้า แม้เธอได้พบกับเจ้าชายแต่ก็ไม่อาจสื่อสารถึงกันได้เนื่องจากยานอนหลับ

   ในครั้งที่สามนี้ เจ้าชายไม่ได้ดื่มน้ำผสมยานอนหลับที่เจ้าหญิงโทรลนำมาให้ นั่นนำไปสู่การพบเจอกันภายหลังจากที่หญิงสาวยอมแลกเครื่องปั่นด้ายทองคำกับการได้พบหน้า เจ้าชายได้วางแผนการหลบหนี เขาประกาศว่าจะแต่งงานกับใครก็ตามที่สามารถลบรอยเปื้อนของไขสัตว์ที่อยู่ตรงเสื้อของเขาได้ แน่นอนว่าทั้งเจ้าหญิงโทรลและมารดาไม่อาจทำได้ แต่หญิงสาวสามารถทำได้สำเร็จเพราะได้มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

   เจ้าชายยังปลดปล่อยเหล่านักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน อีกทั้งนำข้าวของสมบัติติดตัวไปจากปราสาทแห่งนั้น ทั้งเจ้าชายรูปงามผู้ปลอมตัวอยู่ใต้รูปลักษณ์หมีขาวและหญิงสาวผู้ตามหาจนพบก็ได้อยู่ด้วยกันนิรันดร์

   "..."

   เอาจริงเลยนะ โคตรไม่ประทับใจ

   ตั้งแต่ว่าหญิงสาวนั่นหลงรักเจ้าชายเมื่อไหร่ เธอจะจิตใจโอบอ้อมอารีถึงขนาดที่ว่ารักหมีขาวทั้งที่หล่อนเป็นแค่ของแลกเปลี่ยนกับความร่ำรวยของบิดาเลยเหรอ หรือว่าพอรู้ว่าเป็นเจ้าชายรูปงามก็เลยเกิดพิศวาท

   ตอนนี้ผมฟันธงไปแล้วว่าเธอรักเพราะเขาเป็นเจ้าชาย

   คือถ้ายังเป็นหมีขาวต่อไปคงได้แอบลอบฆ่าสักวัน

   "ชอบเรื่องนี้เหรอ?"

   ผมถามพลางเคาะนิ้วลงไปบนปกหนังสือเล่มหนาเป็นจังหวะ นึกไปถึงเจ้าหมีกระดาษตัวที่พับเอาไว้ช่วงก่อนจบคาบเรียน ดันทิ้งไปตอนเจอถังขยะหน้าห้องเรียนเสียแล้วสิ ไม่อย่างนั้นเอามาประกอบการอ่านได้เลยนะ

   "เปล่า"

   "..."

   ใช้สายตาแทนการบอกว่าไม่เข้าใจ ผมนั่งอ่านเรื่องไม่จรรโลงใจนี้ตั้งนานเพราะนึกว่าอีกคนสนใจ ถ้าอย่างนั้นแล้วจะให้ผมอ่านทำไม

   "ผมจะตามหาคุณจนพบ"

   คำที่หญิงสาวบอกกับเจ้าชายก่อนจากลา

   เสียงเรียบที่มาพร้อมกับนัยน์ตาคมมันปลุกความรู้สึกบางอย่างข้างในตัวผม ธชาไม่เปลี่ยนสีหน้าขณะพูดมันออกมาเลยสักนิด ถ้าหากผมเป็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นแล้วการได้ยินคำเอ่ยนั้นออกมามันอาจพาให้หัวใจพองโตได้ไม่ยาก เพียงแต่เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงแล้วก็ต้องเข้าใจหน่อยว่าทั้งตัวผมเองเป็นผู้ชายที่อยู่ในชั้นมหาวิทยาลัยและเขาเองก็ไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือลมปากเสียเท่าไหร่

   ผมไม่ได้โง่

   แค่ยังไม่เข้าใจบางเรื่องก็เท่านั้น

   "เราไม่เชื่อ 'ความรัก' ของผู้หญิงคนนี้"

   "ก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อ"

   จากการอ่านเทพนิยายเพื่อความสนุกสนานกลายเป็นการสนทนาเชิงวิเคราะห์เจาะลึกไปเสียแล้ว บนโต๊ะตัวยาวในห้องสมุดมีสองโทนเสียงที่แตกต่างกันกำลังโต้ไปมาไม่มีหยุด

   ฝ่ายแรกคือตัวผมเอง ยังยืนกรานอยู่เช่นเดิมว่าไม่เชื่อในเรื่องที่หญิงสาวคนนี้จะรักเจ้าชายในร่างหมีขาว และผมก็ไม่เชื่อว่าทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำเพื่อเทิดทูนสิ่งที่เรียกว่าความรัก ลองคิดตามตรรกะง่ายๆ เลยนะ การที่ต้องตกอยู่ในสถานะนั้นมันเต็มไปด้วยความกดดันระดับไหน แล้วจะเอาเวลาไหนไปเปลี่ยนความรู้สึก

   อีกฝ่ายที่ไม่ถึงกับเป็นฝ่ายตรงกัน คือมีบางส่วนเท่านั้นที่เห็นเหมือนกัน คือธชาเชื่อว่าหล่อนมีความรู้สึกดีกับหมีขาวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และการออกตามหาก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความรักแต่รวมไปถึงความรู้สึกผิดจากการผิดสัญญาด้วยอีกหนึ่งอย่าง

   สรุปแล้วเราก็ยังเห็นเหมือนกันว่าสิ่งที่หญิงสาวทำลงไปมันไม่ใช่เพราะเรื่องความรักทั้งหมด มันอาจมีองค์ประกอบอื่นเข้ามาด้วย ธชาเองก็อ้างเรื่องเดียวกับผมว่ามันก็เหมือนกับเรื่องของคิวปิดและไซคีนั่นแหละ ไอ้เรื่องนั้นก็คิดไม่ออกว่ารักกันตอนไหน คิวปิดพอเข้าใจได้เพราะเผลอทำศรปักตัวเอง แต่ไซคีล่ะ

   “งั้นวันนี้เอาไว้แค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ว่าง เดี๋ยวนัดอีกทีนะ”

   ประโยคปกติของอสูรเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากเพื่อนได้อีกครั้ง ผมเพิ่งรู้ว่าเชนเป็นพวกเส้นตื้นที่ขำได้ทุกเรื่อง ตอนนี้พวกเราอ่านสิ่งที่อาจจะกลายมาเป็นคะแนนในการทำงานได้มากพอสมควรแล้วล่ะ เจอเรื่องที่คิดว่าจะเอามาเป็นหัวข้อรายงานแล้วเหมือนกัน เพื่อความไม่ประมาทเราว่าจะอ่านอีกสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าไม่เจอเรื่องไหนน่าสนใจกว่าก็คงเลือกได้ไม่ยาก

   “อยู่ห้องสมุดตลอด”

   บอกไปแบบที่อีกคนก็คงรู้อยู่แล้ว เขาชอบมาในเวลาเดียวกันซ้ำๆ อย่างกับว่าเป็นความเคยชินที่ต้องทำในทุกวันไปแล้ว จะว่าไปมันก็เลยยี่สิบเอ็ดวันแล้วด้วย นี่กลายเป็นนิสัยของเขาไปแล้วใช่ไหมนะ

   ส่วนผมเองก็คงติดนิสัยการไม่ยอมรับของจากคนแปลกหน้าไปแล้วเหมือนกัน

   "ไปล่ะน..."

   "ไปด้วย"

   ยังไม่ทันบอกลาได้จบประโยคเสียงเย็นเรียบนั้นก็แทรกขึ้นมาก่อน คราวนี้เชนไม่ได้หัวเราะออกมาเหมือนครั้งก่อนหน้า เขาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงคนเดียว น่าเสียดายที่ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเลยไม่สามารถคำนวณหรือคาดเดาได้ว่าเขาพูดอะไร ส่วนเพื่อนสนิทอย่างธชาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าด่ากลับไปด้วยคำหยาบคายต่อเนื่องจนคล้ายการแรป

   จากที่มักจะเดินคนเดียววันนี้เลยมีผู้ร่วมเดินทางคนใหม่ เชนบอกว่าจะอยู่ในห้องสมุดต่อมันเลยเหลือแค่ผมกับธชาที่เดินออกมาพร้อมกัน ลองเทียบเอาจากครั้งที่แล้วเราคงต้องยืนข้างกันอย่างนี้ไปจนกว่าผมจะออกจากรั้วคณะไปได้

   "ให้ไปส่งไหม?"

   "ไม่ ขอบคุณ"

   ปฏิเสธกลับไปในเสี้ยววินาที ผมตั้งเส้นแบ่งสำหรับเราสองคนเอาไว้ชัดเจนอีกครั้ง

   "ค่อยแยกกันตรงทางออก"

   บอกอย่างนั้นก็หมดทางหนี ผมไม่ได้กลัวที่ต้องมาเดินข้างอย่างนี้เหมือนอย่างที่หลายคนไม่กล้าแม้แต่อยู่ในรัศมีที่ห่างออกไปพอสมควร บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความน่ากลัวของธชาที่จริงแล้วมันอยู่ตรงไหน เพราะอะไรคนถึงชอบบอกกันว่าเขาน่ากลัว

   อาจเป็นเพราะการแต่งตัวแบบที่ไม่ค่อยถูกต้องตามรูปแบบ มีการเสริมให้เข้ากับแฟชั่นเท่าที่เป็นไปได้ รวมถึงต่างหูแบบห้อยจี้ลายไม่คุ้นนั่น

   มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่วิ่งสวนไปมาบนถนนเท่านั้นเป็นสิ่งช่วยให้บรรยากาศรอบข้างไม่เงียบจนเกินไป ไม่แม้แต่จะลองเหลือบหันไปมองว่าคนด้านข้างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพอมองออกว่ามีใครหลายคนจ้องมาทางเรา ธชาเป็นผู้ชายที่ไม่ถึงกับดังจนคนรู้จักทั่วไป นอกจากคนในคณะแล้วก็จะมีแค่คนส่วนหนึ่งที่ให้ความสนใจเท่านั้น ส่วนมากคนที่มองมักจะประทับใจในความสูงแล้วก็หน้าตามากกว่า

   ผมหยุดเท้าตอนที่ยืนอยู่ชิดรั้ว ส่วนอีกคนนั้นก็ทำตามไม่ต่างกัน

   "รบกวนหน่อยแล้วกันนะช่วงนี้" หมายถึงการทำงานคู่กันที่ผมคงต้องอาศัยความสามารถพิเศษด้านภาษาของเขาเยอะอยู่ "ถ้าทำเร็วหน่อยคงไม่ต้องใช้เวลานาน"

   "ไม่รีบ"

   แต่ผมอยากให้รีบจัง

   "เอาตามสะดวกแล้วกัน เราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

   "แค่เสร็จในเวลาก็พอ"

   "อืม อย่างนั้นก็ได้" ยกมือขึ้นมาแบบไม่ได้โบกอะไร การบอกลาที่มีคนติว่าไม่จริงใจเท่าไหร่ "ไปก่อนล่ะ"

   "เดี๋ยวก่อน"

   เขาไม่ได้เอื้อมมือมาจับตัวผมไว้ หรือว่ารั้งสายกระเป๋าให้หยุดเดิน สิ่งที่อสูรร้ายใช้มีเพียงเสียงเย็นแบบเดิม แค่นั้นมันก็ทำให้ผมไม่กล้าขัดคำสั่ง

   "อยากให้เราไปหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเหรอ?" เมื่อกี้เราไม่ได้แบ่งงานกันชัดเจน บางทีเขาอาจเพิ่งนึกอะไรเกี่ยวกับตัวรายงานของเราออก

   ชายที่สูงกว่าผมหลายเซนติเมตรก้มลงมาคล้ายกับกำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง ผมเอียงคอรอว่าเขาต้องการจะสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า การอยู่กับอสูรอย่าไปทำอะไรที่ขัดใจเลย ไหลตามน้ำไปนั่นแหละเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว

   "ให้"

   จนไม่ทันได้รู้สึกตัวว่ามือของเขากำลังยื่นอะไรบางอย่างแสนคุ้นเคยมาให้ ผมมองเครื่องดื่มที่นักวิชาการบอกว่ามันดีต่อสุขภาพสลับกับใบหน้าไร้อารมณ์ ตัดสินใจสารภาพบางสิ่งออกไปด้วยความหวังเล็กๆ ว่ามันจะช่วยให้เขาเลิกทำอะไรที่ผมไม่สามารถตอบสนองกลับไปได้สักที

   "เผื่อไม่รู้ เราไม่เคยเอานมนั่นกลับมาด้วยเลย"

   "งั้นถ้ารู้อยู่แล้วล่ะ"

   "..."

   ผมคิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างอสูรร้ายไม่มีทางปล่อยให้สิ่งที่ต้องการหลุดมือไป คำตอบรับของเขามันง่ายเสียจนความไม่เข้าใจที่มีมากอยู่แล้วทวีมากขึ้นไปอีก ถ้าเขารู้แล้วจะทำมันไปทำไมกัน

   อยากรู้เหลือเกินว่าใต้ร่างของอสูรนั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่

   "รับไปเถอะ อยากให้"

   "เราไม่กิน"

   "รับ"

   เมื่อลองคิดถึงอนาคตข้างหน้าของตัวเองแล้วการทำตามคำสั่งมันคงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ยังไม่วายปากพล่อยพูดออกไป "ทิ้งมันลงตรงนี้เลยได้ไหม"

   "เชิญ"

   "..."

   ราวกับว่าอีกคนไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความลังเล ผมเล่นตัดบทไร้เยื่อใยขนาดนั้นยังสามารถโต้กลับมาได้จนกลายเป็นผมเองที่นิ่งไป

   "เราไม่รู้ว่านายทำไปเพื่ออะไร" เป็นการเปลี่ยนความเคยชินมากกว่ายี่สิบเอ็ดวันของตัวเองเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมเก็บมันลงกระเป๋ารวมกับของอย่างอื่น ความหนักของมันมากกว่าที่คิดเอาไว้ไม่น้อย "ช่วยบอกให้เราเข้าใจสถานะของตัวเองหน่อยได้ไหม"

   สบกับนัยน์ตาสีดำสนิทสวยงามราวกับพระเจ้าได้มอบความรักให้มากกว่าใคร เคยได้ยินหลายคนบอกว่าตาเขาสวย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้พิสูจน์คำเล่าลือนั้น

   "สักวันหนึ่งก็จะรู้เอง"


***
   น้อมรับผิดกับการหายตัวไปค่ะ... ช่วงนี้เจ้าเคลียร์หลายๆ อย่างในชีวิตให้เข้าที่อยู่ค่ะ แล้วอีกอย่างคือยังไม่ค่อยมั่นคงกับทางที่อยากให้เรื่องนี้เป็นเท่าไหร่ เลยยังไม่อยากลงถ้ายังรู้สึกว่าไม่โอเคกับมัน ก็หวังว่าตัวเองจะเจอทางที่ใช่เร็วๆ ค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 22:28:16 โดย 23August »

ออฟไลน์ Map

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้นะ
จะรอติดตามเสมอค่า ชอบมากทั้งการบรรยาย การดำเนินเรื่องราว ความลึกลับ  :o8:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
เรื่องนี้ดีมากกกกกก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สาม

   อย่ากังวลไปเลยที่รัก ข้าพร้อมจะตายไปกับท่าน
   - King Kojata

 

   ผมกำลังคิดถึงพล็อตอมตะในนิยายทุกยุคสมัยอยู่

   เรื่องเกี่ยวกับตัวเอกที่ความจำเสื่อมจนไม่อาจจำใครในชีวิตได้

   ค่อนข้างเป็นพล็อตที่พบได้ทั่วไปและสามารถรับรู้ได้โดยประสบการณ์ว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไปเปิดอ่านบทวิจัยทางการแพทย์ก็ได้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ส่วนมากมักเป็นความทรงจำที่หายไปชั่วคราวเสียมากกว่า

   เหตุผลที่ผมคิดเรื่องนี้อยู่เหรอ ก็เพราะกำลังมโนว่าตัวเองเป็นตัวเอกอยู่ล่ะมั้ง

   ‘ผมจะตามหาคุณจนพบ’

   คำพูดนั้นราวกับว่าเขารู้จักผมมาก่อน...

   ไม่เคยมีประวัติการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุรุนแรง ไม่เคยมีประวัติทางจิต แล้วก็ไม่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาในกรณีจำคนผิด

   นี่ผมขุดมาทุกมุกแล้วนะ

   กลิ้งไปมาบนเตียงขนาดสองคนนอนจนเบื่อ ความนุ่มของมันนอกจากไม่ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแล้วยังกล่อมให้เคลิ้มจนต้องลุกขึ้นมานั่งดีๆ ก่อนที่จะเผลอหลับไปแบบที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ภาพที่กระทบเข้าตาเป็นสิ่งแรกคือกล่องนมสีส้มบนโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเตียง ผมปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสจนกลายเป็นภาพเบลอไปช่วงใหญ่ถึงสะบัดหัวไล่ความคิดล้านแปดออกไป

   และพอภาพมัวนั้นหายไป เสียงของเขาก็กลับมาก้องในหัวจนยากจะลืม

   "...คุณกำลังตามหาใครอยู่เหรอ"

   เดินไปแตะตรงขอบมุมหนึ่งของกล่อง ส่งคำถามที่ไร้คนตอบออกไป

   ยังชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำทั้งใบหน้าแล้วก็น้ำเสียงยามเอ่ยคำนี้ออกมา เขาพูดต่อหน้าผม...แต่เหมือนไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นผู้รับรู้คนเดียว ข้างในนั้นมันมีใครอื่นอยู่

   ใครสักคนที่ไม่ใช่ผม

   ...

   แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องมาคิดมากไหมเนี่ย

   สุดท้ายก็ทิ้งมันลงไปในถังขยะข้างโต๊ะ ของเหลวที่มีความหนาแน่นมากบวกกับกฎแรงโน้มถ่วงของโลกพาเสียงตกกระทบสะท้อนกลับมาหา เดินไปนั่งพิงกับขอบหน้าต่างบานใหญ่กินพื้นที่เกือบทั้งกำแพงห้องด้านหนึ่ง มันถูกออกแบบไว้สำหรับการชมทิวทัศน์กลางคืน เพราะห้องนี้อยู่ชั้นสามที่สามารถมองออกไปได้เกือบร้อยแปดสิบองศา ส่วนข้อเสียคือตอนกลางวันต้องปิดม่านเอาไว้สนิทไม่งั้นจะกลายเป็นโชว์รูมห้องนอนสำหรับคนเดินผ่านไปมา

   บ้านในซอยเล็กมีเพียงแสงริบหรี่จากตึกคุ้นเคย ส่วนใหญ่ในซอยจะเป็นบ้านสองชั้นมีเพียงไม่กี่บ้านที่ทำตัวไม่เหมือนชาวบ้าน

   อย่างหลังที่ผมกำลังอาศัยอยู่เป็นต้น คุณพ่อและคุณแม่ของผมไม่ใช่สถาปนิก แต่ว่าเรามีญาติผู้อาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นผู้ช่วยออกแบบให้

   ถ้าย้อนเวลาได้ก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องจินตนาการกว้างไกลขนาดนี้ก็ได้ ผมขอห้องธรรมดาก็พอแล้ว
   
   วิวตรงหน้าดีกว่าในห้องนิดหน่อย เหยียดขาออกให้สะดวกกับการนั่งเหม่อมองจุดไฟสีแดงจากการจราจรบนท้องถนนที่อยู่ไกลออกไป บางคนเรียกมันว่าหิ่งห้อยเมืองหลวง สว่างแต่ไร้ชีวิต

   อยู่อย่างนั้นได้ไม่นานเสียงเดิมก็กลับมาหลอนหูอีกครั้ง ถอนหายใจออกมาเสียงดังได้เพราะว่าอยู่คนเดียว เอื้อมไปหยิบหนังสือปกสวยจากห้องสมุดมาไว้ตรงตัก ท่องบอกตัวเองว่ามันสามารถช่วยให้ผมหายจากอาการฟุ้งซ่านได้

   จากที่บอกว่ามันค่อนข้างต่างจากที่เคยอ่านมาตลอดชีวิตคงใช้ไม่ได้แล้ว สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องที่วนเวียนไปมาระหว่างราชา เจ้าชาย เจ้าหญิง แม่มด ปีศาจ แล้วก็เวทมนตร์ น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่าเทพนิยายที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศจะชุดภาพความคิดเกี่ยวกับแม่มดที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร บอกเลยว่าพล็อตยอดฮิตที่สุดตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงหนึ่งส่วนสามของเล่มคือราชาแต่งงานใหม่กับหญิงม่ายที่เป็นแม่มดปลอมตัวมา

   ส่วนเรื่องที่ผมกำลังเริ่มอ่านตอนนี้เป็นเรื่องของพระราชาผู้ออกตรวจบ้านเมืองอย่างที่เคยทำ เจ้าผู้ครองนครเกิดกระหายน้ำในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ในป่า ณ ที่นั้นกลุ่มผู้ตามเสด็จได้พบกับน้ำพุขนาดใหญ่ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนพระราชาก็ไม่อาจดื่มน้ำนั้นได้

   กระทั่งหมดความอดทน พระราชาจึงยอมแพ้ ตั้งพระทัยที่จะกลับไปยังแคมป์ของเมือง หากมีผู้วิเศษคนหนึ่งสาปไม่ให้ไปไหนได้ ข้อต่อรองของอิสรภาพคือการที่พระราชาต้องมอบของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่เคยคาดฝันเมื่อกลับไปถึงเมืองให้ เพชร พลอย ทองคำ นั่นคือสิ่งที่พระราชาคิดออก โดยไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเดินทางกลับไปแล้วจะพบกับสมาชิกใหม่ในครอบครัวอย่างเจ้าชายน้อยวัยแรกเกิด

   พระราชาลืมคำสัญญาที่ให้เอาไว้เสียสนิท เวลาล่วงเลยไปจนเจ้าชายเติบใหญ่ ชายชราผู้วิเศษตนนั้นก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าชายและเล่าถึงสัญญาที่พระบิดาของพระองค์เคยให้เอาไว้ คำสัญญาของกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชายจึงนำตัวเองไปเป็นเครื่องบรรณาการตามคำสัญญาของพระบิดา

   ระหว่างทางเขาได้พบกับเป็ดสิบสามตัวว่ายอยู่ในแม่น้ำ โดยมีเครื่องแต่งกายของสตรีวางอยู่ริมสระ ด้วยความสงสัยเจ้าชายเลยหยิบมาหนึ่งชุด นั่นทำให้ความจริงปรากฎว่าฝูงเป็ดแท้จริงแล้วเป็นบุตรสาวของชายวิเศษผู้นั้น โดยชุดที่เขาถืออยู่เป็นของลูกสาวคนสุดท้อง เจ้าชายยอมคืนชุดให้กับหญิงสาว โดยได้รับคำขอบคุณเป็นการเตือนให้อย่าแสดงอาการตระหนกยามได้พบกับบิดาของตน

   ด้วยความช่วยเหลือของบุตรคนเล็ก ผู้วิเศษจึงพึงพอใจในตัวของเจ้าชายไม่น้อย ในขั้นแรกผู้วิเศษออกคำสั่งให้เจ้าชายสร้างปราสาทหินอ่อนภายในหนึ่งวัน สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงถูกเนรมิตด้วยฝีมือของบุตรสาวคนสุดท้อง ขั้นที่สองเป็นการตามหาตัวบุตรสาวคนเล็กจากบรรดาบุตรสาวทั้งสิบสามคน คราวนี้เจ้าชายสามารถชี้ตัวได้ถูกต้องเนื่องจากหญิงสาวได้ทำรอยตำหนิเอาไว้บริเวณใบหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกต
   
   คำบัญชาทั้งสองครั้งผ่านไปอย่างง่ายดายด้วยฝีมือการแก้ไขปัญหาของลูกสาวคนสุดท้อง และในครั้งล่าสุดเช่นกัน ผู้วิเศษสั่งให้เจ้าชายเย็บรองเท้าให้คู่หนึ่งซึ่งมีความพอดีกับขนาดของตน เจ้าชายผู้จนปัญญาในการตามหาขนาดเท้าของผู้วิเศษได้รับความช่วยเหลืออีกครั้ง โดยลูกสาวได้เสกให้มีหิมะจำนวนมากสุมบริเวณรอบปราสาท เมื่อบิดาของตัวเองเดินออกไปภายนอกจึงทิ้งรอยเท้าเอาไว้

   เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้เตือนให้นอนได้แล้วดังขึ้นคั่นจังหวะ ในช่วงหลังผมต้องปรับเปลี่ยนนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้เข้าที่มากขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็อ่านหนังสือเพลินกว่าจะรู้ตัวตีสองตีสาม ในห้องเองก็ไม่มีนาฬิกาคอยบอกเวลาหลังจากเรือนเก่าได้ทำการสละชีพไปได้สักพักแล้ว

   เอาที่คั่นกระดาษสามาเสียบเอาไว้ วางมันลงบริเวณขอบหนึ่งของหน้าต่างเผื่อไว้สำหรับการพักผ่อนในค่ำคืนต่อไป ห้องที่มีการวางผังเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างดีดับลงพร้อมกันเมื่อผมป้อนคำสั่งตรงหัวเตียง ซุกตัวลงในผ้าห่มผืนใหญ่ ปล่อยให้ตัวเองได้จมอยู่กับความเงียบสงัดรอบตัวเช่นเดียวกับทุกวัน

   ในราตรีนั้นผมเข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมคำถามหนึ่งในใจ

   จะมีใครสักคนไหมที่พร้อมสละทุกอย่างเพื่อผมเช่นนี้
 


   หลังจากเป็นผู้ครอบครองมุมลึกของห้องสมุดคนเดียวกลายเป็นสามคนเสียอย่างนั้น เคยเสนอไปว่าให้ต่างคนต่างทำในส่วนของตัวเองไปแล้วค่อยมารวบรวมทีเดียวจะได้ไม่ต้องมาพบปะพูดคุยกันมาก ก็ไม่ได้พูดอย่างนั้นออกไปตรงๆ ใช้คำอ้อมประมาณว่าถ้าอีกฝ่ายไม่สะดวกจะได้ไม่เกิดปัญหา

   กลายเป็นธชาบอกว่าสะดวกเสมอสำหรับการมาทำงานที่นี่ด้วยกัน

   “ไปกินข้าวด้วยกันต่อเลยสิ”

   “...”

   มองหน้าผู้ชายสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกันไปมา อ้าปากเตรียมปฏิเสธอย่างที่ทำมาโดยตลอด

   “เลือกร้านไว้เลยแล้วกัน”

   และไม่มีช่องให้ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย

   จะพูดว่าชินมันก็ได้อยู่ อย่างที่เคยบอกเรื่องความเคยชินจากการทำอะไรซ้ำๆ ไง พอต้องเจอหน้าเขาทั้งคู่อยู่ทุกเย็นในวันที่มีเรียนมันก็คลายความกระดากในฐานะคนแปลกหน้าลงไปมาก ผมไม่ค่อยแปลกใจที่เจอธชาเพราะว่าเขาเป็นคู่ทำงานของผม แต่ว่ากับเชนนี่ผมก็เคยหลุดประชดไปเหมือนกันว่าย้ายมาเรียนคณะอักษรตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เคยเห็นเขาสองคนห่างกันสักที

   ตอนนี้เราตกลงกันได้แล้วว่าจะทำเรื่องไหน จากการที่ได้ตะลุยอ่านมาเกือบสัปดาห์จนเกือบแยกซับเซตของรูปแบบเทพนิยายได้แล้วเราก็พบว่าควรกลับมาอยู่กับเรื่องราวของเทพนิยายที่คนคุ้นเคยในระดับหนึ่งดีกว่าไปเลือกเรื่องที่อยู่ในหลืบ หนึ่งคือมันง่ายต่อการหาข้อมูล และสองคือมันช่วยให้เรามั่นใจได้มากขึ้นว่าเรื่องที่ตัวเองอ่านมันเข้าใจตรงกับผู้เขียน อย่างบางเรื่องที่มีเนื้อหาเกือบเหมือนกันแตกต่างกันไปตรงรายละเอียดไม่สำคัญบางส่วน ผมไม่อยากจะมานั่งไล่หาว่าเรื่องราวที่แท้จริงประเทศไหนเป็นต้นตำรับ

   มันเรื่องที่เหมาะกับคนเป็น ‘อสูร’ มากที่สุด

   เดาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ

   พวกผมสรุปว่าจะเลือกเรื่อง Beauty and the Beast ในการทำงานโดยมีมติเป็นเอกฉันท์สามต่อศูนย์เสียง

   จะเรียกว่าเล่นง่ายมันก็ใช่แหละ อาจารย์เองก็ไม่ได้ห้ามให้ทำซ้ำหัวข้อกันด้วย ตอนที่พวกผมกรอกหัวข้อลงไปในแบบฟอร์มเพื่อนคนเดิมยังเดินมาบอกเลยว่ามันก็เหมาะกับพวกผมดี

   “โหย เพิ่งรู้ว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้นิทานชาติอื่นด้วย” ท่ามกลางความเงียบเสียงแทรกอย่างนี้มักเกิดขึ้นเป็นปกติ เชนสมาชิกในกลุ่มคนที่สามทำหน้าตื่นเต้นพลางไล่ไปตามบรรทัด จากนั้นไม่นานมันก็แปรเป็นการขมวดคิ้วก่อนจะปิดมันลง “...แทบจะลอกมาเลยนี่”

   หัวเราะเบาๆ ให้กับการวิจารณ์ชุดต่อมา ได้รู้แล้วว่าการเรียนไม่ควรผูกติดอยู่กับความถนัดในทางใดทางหนึ่ง เชนเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ เอกปิโตรเคมีอะไรทำนองนั้น บอกง่ายๆ ว่าอยากเรียนอะไรที่คนอื่นเขาไม่ค่อยสนใจจะได้ไม่ต้องเจอผู้คนมาก แต่ยังต้องทำเงินได้เยอะอยู่

   ยอมใจกับความคิด

   รู้อย่างหนึ่งแล้วก็ตั้งคำถามต่อไป ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ผมไม่ได้โอเวอร์นะ นอกจากคาบเรียนที่แตกต่างกับไปตามคณะและความถนัดแล้วพอได้สังเกตจริงถึงพบว่าในเวลาว่างที่เหลือทั้งหมดผมต้องเจอเชนอยู่ข้างธชาเสมอ

   ไม่เคยมีใครตั้งข้อสังเกตเลยเหรอว่าเพื่อนสนิทนี่ต้องตัวติดกันขนาดนี้เลยไหม ผมบอกแล้วว่าตัวเองไม่มีเพื่อนเท่าไหร่เลยไม่เข้าใจฟีลนั้น ไปไหนมาไหนคนเดียวจนไม่ชินกับการรอคนอีกสองให้เดินไปพร้อมกัน

   “แล้ววันนี้ต้องหาอะไรเพิ่มอีกไหม ไม่อย่างนั้นก็ออกเร็วหน่อยแล้วกัน ร้านข้าวคนจะได้ไม่เยอะ”

   “ไปเลยก็ได้”
   
   ทั้งหมดนั้นไม่มีเสียงของผมเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ ได้แต่ปลงแล้วก็เก็บความรู้สึกเบื่อหน่ายของตัวเองเอาไว้ข้างในคนเดียว ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมด้วยการเก็บเครื่องเขียนทั้งหมดลงกระเป๋า นี่ต้องแวะไปซื้อปากกาแท่งใหม่ด้วย ตั้งแต่เปิดเทอมมานี่มีรายงานที่ต้องเขียนด้วยลายมือส่งมากจนลืมเช็กว่าน้ำหมึกใกล้หมดแล้ว

   เชนขับรถมาเรียน นั่นช่วยให้การเดินทางในช่วงเย็นของเราไม่ต้องอาศัยรถโดยสารสาธารณะที่อาจต้องใช้เวลามากกว่าชั่วโมงในการพาเราทั้งสามคนไปยังจุดหมาย คนรู้ตำแหน่งของตัวเองดีอย่างผมเลยหยุดรออยู่ตรงประตูหลัง ปล่อยให้เพื่อนสนิทสองคนนั่งข้างหน้าไปแทน

   ถึงอย่างนั้นตอนที่เสียงปิดประตูบานสุดท้ายจบลง มันกลายเป็นว่าเบาะหลังที่ควรมีผมเพียงคนเดียวกลับมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้านขวามือ

   “กูไม่ใช่คนขับรถ”

   “แล้วจะให้แฟร์นั่งข้างหลังคนเดียวเหรอ"

   “ใช่”

   “ขับไปซะ”

   เรียกได้ว่าเป็นบุญอยู่เหมือนกันที่ได้ยินได้เห็นอะไรอย่างนี้ บรรยากาศการพูดคุยระหว่างอสูรกับคนสนิทมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น จะเป็นเชนที่ชอบแหย่แล้วธชาก็จะตบกลับนิ่งๆ ตามสไตล์ของเขานั่นแหละ

   ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง คงเป็นเพราะไม่คุ้นกับเส้นทางสิ่งที่เห็นมันเลยดูแปลกประหลาดในบางความรู้สึก เสียงเพลงช่องไทยไม่ค่อยคุ้นหูจากนิสัยไม่ชอบตามข่าวสารของตัวเอง ก็ถ้าขึ้นรถเมล์มันจะมีอยู่สองออฟชันให้ หนึ่งคือเพลงโจ๊ะลั่นรถอย่างกับแหล่งมั่วสุมเคลื่อนที่ หรือไม่ก็จะมีเสียงของกระเป๋ารถเมล์บอกชื่อป้ายเป็นระยะไป

   “นี่บอกแฟร์แล้วใช่ไหมว่าเราจะไปกินที่ไหน” เป็นเชนที่ถามขึ้นมาตอนเราติดไฟแดง

   “ยัง”

   เพิ่งรู้สึกตัวสินะว่าลืมอะไรไป

   “ไอ้...” เสียงก่นด่ามาเพียงต้นสาย หลังจากนั้นมันเบาจนผมแทบจับใจความไม่ได้ “เดี๋ยวเราไปกินตรงหลังมหาลัยกันนะ ปกติกินข้าวเย็นเยอะไหม”

   "แล้วแต่สถานการณ์"

   ถ้าลืมทานข้าวกลางวันก็สั่งเยอะหน่อย สมมุติว่าเผลอกินขนมตอนคาบบ่ายมากไปก็ลดเหลือแค่ของกินเล่น การกินให้ชีวิตตัวคนเดียวผ่านไปอีกหนึ่งวันไม่ต้องไปละเมียดละไมกับมันมากนักหรอก

   "ต้องกิน"

   ตั้งแต่เขาพูดกับผมมานี่เป็นการสั่งไปแล้วกี่ครั้งกัน เกือบจะคลุมเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของการเปิดปากเลยมั้ง "เราบอกแล้วว่าแล้วแต่อารมณ์ตอนนั้น"

   "จากนี้ต้องกิน"

   "อย่ามาสั่งเรา"

   ได้ยินเสียงผิวปากหวือตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ขอบอกเลยว่าถึงจะดูเป็นมนุษย์จำพวกไม่สู้คนแต่ความจริงแล้วถ้ามันเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกของตัวเองผมสู้ไม่ถอย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นอสูรก็ตามที ถ้าผมไม่ใช่ลูกน้องบริวารหรือว่าคนในโอวาทเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่ง

   เรามาทานร้านอาหารกึ่งตามสั่งกัน คือมีเมนูประจำอยู่แล้วตายตัว เสริมด้วยตัวเลือกพิเศษถ้าอยากได้อะไรพลิกแพลงก็บอกได้ เก๋อยู่เหมือนกัน

   "เคยมากินไหม"

   "ไม่เคย คนละทิศกับทางกลับบ้าน"

   ผมใช้ชีวิตโดยอาศัยศูนย์อาหารขนาดใหญ่แถวบ้านมากกว่า พออยู่นอกเมืองหน่อยมันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริโภค แล้วก็ยังได้ปริมาณที่มากกว่าด้วย

   "ดีเลย พามาเปิดหูเปิดตา"

   เชนพูดเก่งกว่าธชา ทุกประโยคจะเป็นการเปิดประเด็นจากผู้ชายลุกอบอุ่นคนที่ผมขอย้ำคำเดิมว่าไม่น่าเข้าใกล้ มีเจ้าอสูรคอยตอบในบางประเด็นที่เกี่ยวกับตัวเอง นอกนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องสัพเพเหระ

   ร้านที่ว่าก็เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เรียงรายต่อกันไปภายในพื้นที่ที่ถูกจัดไว้เพื่อเป็นศูนย์อาหาร ผมก้มหน้าทำเป็นไม่มองสายตาคนรอบข้าง ถึงไม่ใช่คนดังแต่ธชาก็สะดุดตาคนเดินผ่านไปมาได้อยู่ดี ผมชินแล้วล่ะพอต้องทำงานกับเขาเป็นเวลาพอสมควร

   "แฟร์ไม่กินนี่ล่ะ"
   
   นี่ที่เขาว่าคือต้มแซบกระดูกอ่อนที่ใส่หมูสับมาแทน แม้ไม่มีสีแดงจัดแต่เม็ดพริกที่ลอยอยู่ก็ไม่น่าดึงดูดใจเลยสักนิด ผมส่ายหน้าไปมาพลางอธิบายเหตุผล "ไม่กินเผ็ด เป็นพวกจืดชืด"

   "ถึงว่าไม่ปรุงอะไรเลย"

   ยังมีมนุษย์ที่ไม่ปรุงอาหารทุกชนิดอยู่บนโลกเยอะไหมนะ ทำไมผมถึงกลายเป็นตัวประหลาดเวลาไปทานอะไรสักอย่างแล้วไม่เคยแตะกล่องเครื่องปรุงไปได้ อาหารทุกชนิดมันได้รับการปรุงมาอย่างดีจนกลายเป็นรสชาติที่เหมาะสมที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ การที่ยัดพริกและน้ำตาลไม่สนใจโลกนั่นเป็นการหยามเกียรติคนทำอาหารชัดๆ

   "อืม มันก็ดีอยู่แล้ว"

   "เราว่าร้านนี้จืด ต้องใส่เผ็ดหน่อย" ไอ้คำว่าหน่อยที่ใช้มันคือการตักพริกป่นพูนช้อนใส่ลงไปในต้มแซบเพิ่ม "อย่างชามันชอบกินเผ็ด"

   "กูกินได้หมด"

   "เหรอ"

   "ส่วนมึงน่ะ เงียบแล้วกินไปซะ"

   ช่างเป็นมื้อเย็นนี่น่าภิรมย์เสียเหลือเกิน

   "นี่เราทำตามสำนวนไทยไง กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่"

   การมาทานอาหารเย็นกับพวกเขาสองคนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อเราจบมื้ออาหารแล้วเชนก็เดินนำไปยังร้านของหวานที่เพิ่งเปิดใหม่ (ตามที่ธชาบอก) ไม่ไกลจากร้านอาหารตามสั่ง

   ใครบ้างไม่เคยได้ยินคำพูดนั้น นั่นมันเป็นสำนวนที่ใช้แบ่งแยกระหว่างชนชั้นเพราะคนในสมัยก่อนถ้าไม่ใช่พวกมีอันจะกินแล้วก็ไม่ค่อยสนเรื่องอาหารกันหรอก ต่างจากพวกมีเศรษฐีที่จะมีอาหารทั้งคาวหวานเสร็จสรรพ ไม่ได้หมายความว่าถ้ากินอาหารมื้อคาวเสร็จแล้วไม่มีของหวานต่อจะกลายเป็นพวกไพร่เสียหน่อย

   น่าจับส่งไปเรียนภาษาไทยใหม่ทั้งคู่เลย

   "แฟร์ชอบช็อกโกแลตหรือสตรอว์เบอรีมากกว่ากัน"

   "ไม่ชอบทั้งคู่"

   "เอาสตรอว์เบอรี"

   เสียงแรกคือคนที่ยังไม่หยุดพูด ตามมาด้วยการตอบจากผม ตบท้ายก็เหลือแค่ธชาอยู่คนเดียว ถ้าจะเจ้ากี้เจ้าการขนาดนี้ทีหลังไม่ต้องหันมาถามผมหรอก อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ

   "มึงก็ได้ยินว่าแฟร์บอกไม่ชอบ"

   "แต่กูจะกิน"

   "มะม่วงแล้วกัน"

   ตลกดีเหมือนกันตอนได้ยินธชาสวดส่งเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยถ้อยคำหยาบคาย เชนเดินตัวปลิวไปสั่งสินค้าหน้าเคาท์เตอร์โดยปล่อยให้ผมต้องยืนอยู่ข้างอสูรลำพัง สายตาผมสอดส่องไปยังบริเวณอื่นโดยอัตโนมัติ หาที่นั่งภายในร้านขนมหวานที่เต็มแล้วเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์

   "ทางนี้มีโต๊ะว่าง"

   เลยต้องเดินตามผู้นำไปไม่ปริปาก เราได้ที่นั่งตรงกลางๆ ของร้าน เป็นโต๊ะไม้ตัวยาวสำหรับสี่ที่ รอบข้างขนาบด้วยกลุ่มของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกัน พอผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ของตัวเองสิ่งแรกที่ทำคือการเปิดกระเป๋าหาหนังสืออ่านเล่นที่มักจะติดเอาไว้เผื่อสำหรับเหตุการณ์อย่างนี้เสมอ เน้นไปทางหนังสือเล่มเล็กที่พกพาง่าย อ่านไม่นานก็จบ

   "แปลกดี เดี๋ยวนี้พอว่างหน่อยใครเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาดูกันแล้ว นี่แฟร์เอาหนังสือมาอ่าน" เชนคนเดิมเพิ่มเติมคือถือถาดของหวานขนาดใหญ่มาด้วยทัก

   "ไม่ชอบใช้โทรศัพท์ แล้วก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาอยู่แล้ว"

   "ให้เราโทรไปหาไหม?"

   เหล่มองใบหน้ากึ่งเล่นกึ่งจริง เชนินทร์เติมความไม่น่าเชื่อถือให้ประโยคด้วยการยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้น "ไม่เป็นไร ขอบคุณ"

   "โทรได้นะ ปกติใช้ค่าโทรไม่เคยเกินเลยสักเดือน"

   "ขอบคุณ ไม่เป็นไร"

   ใช้คำเดียวกับที่เคยบอกกับธชาอีกครั้ง ผมปั้นหน้าเฉยชาเสร็จก็ก้มลงมาอ่านหนังสือต่อ ไม่คิดจะกินของหวานเหมือนกับสองคนที่เหลือ ยังไม่ทันได้พลิกหน้าถัดไปมันก็มีที่คั่นหนังสือขนาดใหญ่มาวางทับเอาไว้ เครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหม่ค้างไว้ตรงหน้าโทรออก ผมช้อนตาขึ้นมามองคนฝั่งตรงข้าม ใช้สายตาแทนการถามออกไป

   "กดเบอร์แล้วเมมเลย"

   "ไม่"

   "ศูนย์แปด ศูนย์เก้า หรือศูนย์หก"

   "ไม่ได้เอามือถือมา จำเบอร์ไม่ได้"

   "โกหก" นัยน์ตาคนขี้เล่นแปรเป็นคมกริบไม่ต่างจากของเพื่อน "สมัยนี้ใครไม่พกโทรศัพท์กัน"

   ผมคุมอารมณ์ไม่พอใจที่ปนเปไปกับความรู้สึกรำคาญเอาไว้ข้างใน ทำไมเชนินทร์ต้องมาเซ้าซี้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองขนาดนี้ด้วย

   “เราไง”

   “มีชีวิตอยู่ได้ยังไง”

   “ก็ยังเห็นนั่งอยู่ตรงนี้นี่”

   ไม่ชอบเริ่มสงครามก่อน และไม่ใช่ว่าจะยอมหลบอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเสมอไป ถ้ายังหาเรื่องผมอยู่เราก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องญาติดีกัน

   “หึ” มุมปากที่ยกขึ้นคล้ายกำลังเย้ยหยันบางสิ่ง “ก็ไม่รู้สินะ มันอาจเป็นแค่เรื่องหล...”

   “ก็แค่พูดเล่น ทำไมต้องทำคิ้วขมวด”

   การประชันผ่านสายตาแล้วก็คำพูดเริ่มไปได้ไม่เท่าไหร่ทั้งตัวผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้รับสัมผัสอ่อนโยนตรงระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วของอสูรจิ้มตรงนั้นสองสามครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นนวดเบาๆ พอให้ผ่อนคลาย ผมสูดลมหายใจลึกโดยหวังว่าออกซิเจนที่เข้าไปจะช่วยลดจังหวะการบีบตัวของเส้นเลือดบริเวณหัวใจได้มากขึ้น

   เมื่อปลายประสาทตรงนั้นไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นต่อผมถึงบอกกลับ "ไม่ชอบ"

   "เชนมันชอบแหย่"

   แค่นหัวเราะให้การอธิบายนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเชนไม่น่าเข้าใกล้จนคำว่า 'เป็นคนชอบแหย่' ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด

   "ใช่..." ท้ายเสียงถูกลากให้ยาวกว่าปกติ นัยน์ตาแพรวระยับที่มองตรงมาที่ผมไม่น่าไว้วางใจเหมือนตัวของเขาเอง "เวลาเห็นเปลือกนอกค่อยๆ กะเทาะออกมา มันสนุกจะตายไป"


 
   พอเสร็จภารกิจทุกอย่างในวันนี้ก็กลับมานั่งอยู่ตรงพื้นที่เดิมตรงริมหน้าต่าง หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าที่มีที่คั่นทำมืออันเก่าเก็บแทรกเอาไว้ เป็นของที่ระลึกจากการเยี่ยมชมงานโอเพ่นเฮาส์สมัยมัธยมปลายของโรงเรียนอื่นที่ห่างออกไปจากสถานศึกษาของตัวเองครึ่งค่อนเมืองตามคำชวนของบางคน

   คนที่ตอนนี้อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล...

   จากที่คิดว่าจะอ่านหนังสือเลยกลายเป็นจ้องกระดาษเคลือบพลาสติกแข็งในมือแทน กระดาษสาสีครีมสว่างตัดกับตัวดอกไม้แห้งที่ผ่านการถนอมให้อยู่ในสภาพดี ตอนที่ทำก็มีคนมาอธิบายเรื่องกรรมวิธีอยู่เหมือนกัน มีไม่กี่ขั้นตอนแต่ก็ลืมไปหมดแล้ว

   พลิกไปดูด้านหลัง ตรงมุมขวาล่างของกระดาษทรงเหลี่ยมมีลายมือของผมเขียนเลขหกหลักเอาไว้ เรียงจากเดือน วันแล้วก็ปี มันช่วยบอกผมว่าสิ่งนี้กำเนิดขึ้นจากฝีมือของผมเมื่อไหร่ตามคำแนะนำของใครคนเดิมคนที่ให้ความรู้เรื่องการประดิษฐ์ ตอนนั้นไม่น่าบ้าจี้เขียนลงไปตามเลยแฮะ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่หลุดคำนวณไปเองว่าวันเวลาที่ดีผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

   เสียงเครื่องยนต์ปลุกให้หลุดจากภวังค์ความคิด ผมตวัดหน้าลงไปมองจุดสีแดงขนาดใหญ่เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่เห็นรายละเอียด มันเป็นรถจักรยานยนต์ปรับแต่งคันใหญ่ของบ้านหลังสุดในซอย พอดึกหน่อยก็จะเริ่มออกอาละวาดไม่สนใจผู้คน จะร้องเรียนก็ไม่ค่อยได้ผลเพราะว่าซอยที่เคยมีผู้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตอนนี้มันบางตาลงไปเยอะ พอความเจริญไม่เข้ามาสู่ภายในหมู่บ้านมันเลยทยอยกลายเป็นบ้านร้างทีละหลังสองหลัง ตอนนี้เหลืออยู่ห้าหลังเองมั้ง บอกไปนอกจากเสียงจะไม่ลดลงแล้วอาจอันตรายต่อชีวิตอีกต่างหาก

   เป็นครั้งแรกที่ต้องขอบคุณเสียงรบกวน ผมวางที่คั่นทำมือไว้ข้างตัว เริ่มอ่านต่อจากส่วนที่ค้างเอาไว้เมื่อคืนก่อน เมื่อเจ้าชายสามารถตอบคำถาม (ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหญิง) ได้ครบทั้งสามข้อ ทั้งคู่ต่างตกลงที่จะหนีออกไปจากปราสาทแห่งนี้ด้วยกัน แล้วก็มีปัญหาตอนกลับเมืองอีกนิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วก็ครองรักกันนิรันดร์

   "..."

   โคตรไม่เป็นเหตุเป็นผลอีกแล้ว เรื่องแบบนี้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกสืบทอดต่อกันมาทำไมนะ ผมว่ามันควรหายไปกับกาลเวลาอย่างเดียวเลย

   เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารช่วยบอกผมว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหว เพราะว่ามันเป็นส่วนเดียวที่ผมเปลี่ยนคำสั่งให้แจ้งเตือนตลอดเวลา เฉพาะกับสิ่งนี้เท่านั้นที่ผมให้ความสำคัญในระดับเหนือกว่า

   หยิบกระเป๋าเป้ใบเดียวของตัวเองขึ้นมา เปิดช่องด้านหลังสุดเพื่อหยิบสิ่งที่เพิ่งส่งเสียงร้องเตือน ด้านล่างสุดบอกว่านอกจากการแจ้งเตือนครั้งล่าสุดแล้วมันมีสายที่ไม่ได้รับจำนวนสี่สายจากเบอร์แปลกหนึ่งรายการ ผมท้าพนันเลยก็ได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้น

   การเตือนบอกผมว่าในห้องสนทนาบนแอปพลิเคชันออนไลน์มีสมาชิกส่งรูปภาพมาให้พร้อมกับข้อความยาวเหยียดต่อท้าย ผมเปิดเข้าไปดูรูปแล้วยิ้มให้กับหน้าจอคนเดียว มือเปลี่ยนไปกดคำสั่งบันทึกรูปภาพจากนั้นถึงกลับมาไล่อ่านข้อความตัวอักษร เมื่อสรุปใจความได้แล้วถึงส่งกลับไปด้วยความยาวไม่แพ้กัน


***
   อ่า...ตอนเปลี่ยนวันที่ตรงหัวข้อก็นึกไม่ถึงเลยค่ะว่าจะหายไปนานขนาดนี้ จะพยายามให้มันไม่นานเท่านี้แล้วค่ะ
   ตอนนี้ก็คิดว่าโครงเรื่องนี้เสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว มีทิศทางที่จะให้ไปค่อนข้างชัดเจนแล้วล่ะ สำหรับเทพนิยายในแต่ละตอนเจ้าจะพยายามให้มันตรงตามเนื้อเรื่องเดิมมากที่สุดนะคะ อาจมีผิดพลาดบ้างจากความไม่ถนัดทางด้านภาษาของเจ้า หรือว่าการดัดแปลงเพื่อให้มันเข้ากับเนื้อเรื่องค่ะ ตรงไหนที่เจ้าดัดแปลงก็จะอธิบายเอาไว้ให้ชัดเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดนะคะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 23:10:33 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่สี่

   ใยเจ้าจึงกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนก หากไม่อาจโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
   - Peter and the Wolf

 

   มันเป็นวันอาทิตย์ที่แสนธรรมดาสำหรับผม ตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมของใส่บาตร หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันหยุดแล้วก็ไล่เรียงงานที่ต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการซักและตากผ้า ส่วนภาคบ่ายตั้งใจว่าจะจัดการรายงานส่วนของตัวเอง แต่ตอนที่พาตัวเองมายังโต๊ะเขียนหนังสือตัวประจำดันนึกถึงอะไรบางอย่างออก

   ผมยังไม่ได้ซื้อปากกาแท่งใหม่เลย

   เป็นคนโรคจิตที่ไม่ชอบใช้เครื่องเขียนยี่ห้อใหม่ จะใช้แต่สิ่งเดิมซ้ำๆ จนกว่ามันจะหาซื้อไม่ได้ ลองซื้ออย่างอื่นมาใช้แล้วก็รู้สึกติดขัดไปหมด หัวปากกาใหญ่ไป สีไม่สวย ตวัดแล้วไม่คม สารพัดข้อติที่จะเอามาใช้เพื่อหลอกตัวเองว่าคงไม่มีแบบไหนดีเท่าที่ใช้อยู่

   ช่วงบ่ายเลยออกมาเจอแดดแรงราวกับกลางฤดูร้อนเพื่อมาจบที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ต้องเลือกเดินทางเข้ามาเพราะแถวบ้านไม่มีร้านที่ขายปากกายี่ห้อนี้

   เดินเข้าร้านหนังสือที่มีขายอุปกรณ์เครื่องเขียนด้วย ไม่ชอบเข้ามาในช่วงวันหยุดเพราะจะมีเด็กตัวน้อยเดินไปมาจนน่าปวดหัว พาตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าโซนของใช้ที่ตัวเองต้องการ หัวเสียจนอยากสบถออกมาให้คนอื่นได้ยินเมื่อเห็นว่าช่องใส่ไส้ปากกาสีน้ำเงินดำของตัวเองว่างเปล่า

   เป็นอย่างนี้ทุกที

   จะไม่เจ็บใจเลยถ้าหัวแบบศูนย์จุดห้ามีจนเต็ม ส่วนศูนย์จุดสามแปดแบบที่ผมใช้ว่างเปล่า นี่พระเจ้ากำลังโกรธแค้นอะไรผมอยู่หรือเปล่านะ แค่ของราคาไม่เท่าไหร่ยังเสกให้ผมไม่อาจจับต้องมันได้เลย

   หลอกตัวเองด้วยการหยิบวัตถุในช่องศูนย์จุดห้าขึ้นมาดูว่ามีหลงติดไปบ้างหรือไม่ จนต้องยอมรับความจริงและเปลี่ยนแผนเพื่อไม่ให้การออกมาถึงที่นี่ของตัวเองเสียเปล่า ใช้สีน้ำเงินธรรมดาไปก่อนก็ได้ ไว้หมดเมื่อไหร่ค่อยมาซื้อแบบเดิม

   "มาทำอะไร?"

   เกือบทำปากกาในมือร่วงเพราะเสียงเย็นๆ แบบนั้น ความสูงของอีกฝ่ายมีความแตกต่างจากผมพอสมควรจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ระหว่างที่ยังย้ายสติจากส่วนของการเลือกหาปากกามาสู่การตอบคำถามก็กวาดตาสำรวจการแต่งกายไปพลาง

   วันนี้ธชามาในชุดลำลองแปลกตา เพราะมหาวิทยาลัยของเรามีกฎระเบียบเรื่องการใส่ชุดนักศึกษามาเรียนการได้พบคนรู้จักในชุดไปรเวทมันเลยไม่คุ้น เสื้อยืดสีเทาสกรีนโลโก้เล็กๆ ตรงอกซ้ายกับกางเกงยีนส์พอดีตัว มีสายเงินร้อยอยู่ตรงหูกางเกง รสนิยมดีใช่เล่น

   "ซื้อไส้ปากกา" ชูไส้ปากการีฟิลในมือขึ้นให้เขาเห็นชัด ใบหน้าเรียบเฉยมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบริเวณคิ้วข้างหนึ่งเหมือนกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

   "แต่ปกติไม่ได้ซื้อสีนี้"

   "...หมดน่ะ"

   เว้นช่องว่างให้สูดอากาศเข้าไปก่อนตอบ ผมไม่กล้ามองหน้าชายผู้ไม่ต่างอะไรกับอสูรร้ายในคราบของมนุษย์ยามที่เกิดความตะขิดตะขวงในใจว่าเขาจำได้ถึงสีปากกาที่ผมใช้เลยเหรอ

   "ไปที่อื่นไหม" ที่อื่นจากคำอธิบายเพิ่มเติมคือร้านขายเครื่องเขียนขนาดใหญ่บนถนนที่ถัดออกไปอีกสองเส้น "ไปด้วยได้"

   "ไม่เป็นไร ใช้ไปก่อนแหละ"

   ไม่แน่ใจว่าเลิกนำเข้าแล้วหรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมสังเกตมาสักพักแล้วล่ะว่ามันค่อนข้างจะบางตาไปเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยแฮะ การตามหาปากกาที่เหมาะกับตัวเองได้สักแท่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

   "ธชามาซื้ออะไรล่ะ"

   "หนังสือ"

   ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่นี่ก็จำหน่ายหนังสือเหมือนกัน

   "ขยัน"

   "คงไม่เท่าคนที่อยู่ห้องสมุดทุกวัน"

   "ประชดเหรอ เห็นอยู่ว่าไปทำอะไร"

   "ก็เพราะเห็นอยู่ทุกวันเลยรู้ไง"

   ประโยคนั้นอาจน่าประทับใจสำหรับสาวน้อยวัยสดใส ธชาเป็นผู้ชายที่มีความน่าสนใจในระดับต้นๆ ของเอก ครบทั้งรูปลักษณ์แล้วก็ฐานะ ต้องขอโทษด้วยที่ตรงนี้ไม่ใช่สาวน้อยอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้า ฟังแล้วนอกจากไม่ใจเต้นแล้วยังพาความน่าสะพรึงตามมาอีก

   "เราไม่ประทับใจหรอกนะ"

   "งั้นต้องทำแบบไหนล่ะ"

   "อย่าทำอะไรเลยดีที่สุด" เทียบไส้ปากกาที่อยู่ในมือเป็นครั้งสุดท้าย เลือกอันที่สองจากทางขวาเพราะว่ามันมากที่สุด ผมไม่ชอบซื้อเผื่อเอาไว้เยอะๆ ไว้หมดเมื่อไหร่ค่อยออกไปซื้อเพิ่ม "ไปล่ะ"

   ยกมือขึ้นบอกลาแบบทุกที เดินลัดเลาะตามช่องต่างๆ ไปจนถึงเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมวางสินค้าลงบนที่ว่าง หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเตรียมหาบัตรสมาชิกแล้วก็เงินสด

   "จ่ายรวมเลยใช่ไหมคะ?"   

   คำถามที่แปลกไปกว่าทุกครั้งเรียกให้ผมต้องรีบยกหน้าขึ้นมามอง และในขณะที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักอีกเสียงก็ตอบกลับไปก่อนแล้ว

   "ครับ"

   ถึงเห็นว่าบริเวณที่เคยมีเพียงไส้ปากกามันถูกเพิ่มเติมด้วยหนังสือวรรณกรรมภาษาต่างประเทศหนึ่งเล่ม พร้อมกับธนบัตรสีเทาหนึ่งใบบนนั้น

   "มีบัตรสมาช..."

   "จ่ายแยกครับ"

   สงสารพนักงานอยู่เหมือนกันที่ต้องมาเจอกับลูกค้าอย่างเราสองคน ผมแยกเอาสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมาซื้อออกจากของของอีกคน ส่งสัญญาณว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้ามายุ่งกับส่วนของผมเด็ดขาด "นี่บัตร"

   "แต่ถ้าใช้บัตร หนังสือลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะคะ"

   "..."

   พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็ไม่กล้ายืนยันความต้องการของตัวเอง มันคงดูเป็นพวกคนแล้งน้ำใจเกินไปหน่อยใช่ไหมล่ะ ผมแอบเห็นมุมปากข้างหนึ่งของธชายกขึ้นเล็กน้อย เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เห็นได้ไม่ค่อยบ่อยนัก

   "แฟร์คงไม่ใจร้ายหรอกใช่ไหม"

   "อยากให้เป็นไหมล่ะ"

   "ทำอย่างนั้นกับเราลงเหรอ"

   คำอุทานเบาๆ จากพนักงานส่งสัญญาณให้ผมรีบทำอะไรบางอย่างก่อนที่ทุกอย่างมันจะกู่ไม่กลับ "คิดรวมไปเลยครับ"

   อีกฝั่งหนึ่งของเคาท์เตอร์คงอยากให้ลูกค้าที่น่าปวดหัวอย่างผมหายไปเร็วที่สุด สินค้าทุกชิ้นถูกตรวจสอบราคาแล้วใส่ลงไปในถุงเดียวกัน ผมปล่อยให้คนอยากหาเรื่องเสียเงินจัดการในส่วนที่เหลือไป ตัวเองเก็บบัตรสมาชิกใส่กระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวออกไปรอนอกร้าน

   "นี่ค่าปากกา" เตรียมเงินให้พอดีกับค่าสินค้าของตัวเอง เป็นการแลกเปลี่ยนที่เข้ากับกับนิยามเศรษฐกิจในโลกของทุนนิยมอย่างแท้จริง การใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

   "หักลบไปกับส่วนลดแล้วกัน"

   "ไม่เป็นไร"

   ไม่อยากมีข้อข้องเกี่ยวกับเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องแค่นี้ก็ตาม ธชาปรายตามองธนบัตรที่อยู่ในมือของผมราวกับว่าไม่เห็นสิ่งใด 

   "เรื่องแค่นี้เอง"

   "เราไม่ชอบ" นิสัยบางอย่างก็แก้ไม่ได้ อย่างเรื่องไม่ชอบรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบคนอื่น "รับไป"

   "ไม่"

   ดื้อด้านชะมัด ก็เพราะมนุษย์น่ารำคาญอย่างนี้ไงผมเลยชอบอยู่คนเดียวมากกว่า

   สีหน้าของผมแสดงออกชัดว่าหงุดหงิดที่โดนขัดใจ ส่วนคุณอสูรคงไม่สนหรอกว่าผมรู้สึกแบบไหนอยู่ ธชาแยกหนังสือของตัวเองออกจากถุง แล้วยื่นที่เหลือมาให้ ผมรับมันด้วยความระมัดระวังไม่ให้มือของตัวเองต้องสัมผัสกับอีกคน

   "แล้วจะตอบแทน 'คนใจดี' ทีหลังนะ"


 
   "แฟร์ ไปกินข้าวเย็นกันไหม"

   มือข้างขวาที่ขีดตัวอักษรอยู่บนกระดาษหยุดกะทันหัน ผมสบตาสมาชิกหมายเลขสามที่จะไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่เสี้ยวคะแนน เตรียมปฏิเสธไปอย่างทุกที

   "ไม่ไป วันนี้กูจองตัวแล้ว"

   แต่เร็วไม่เท่าอีกคน

   "หือ..." ผมเคยบอกหรือยังว่าเวลาเชนทำเสียงคล้ายกับประหลาดใจมันน่าหวาดระแวงมากเลย "จองไปไหน ทำไมไม่บอกกู"

   "ไปดูคอนเสิร์ต จะไปเหรอ"

   "ออเคสตราอีกล่ะสิ"

   "ก็มีอย่างเดียว"

   ต้องเป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหนถึงรู้จากการที่บอกแค่นั้น ธชาพยักหน้าขึ้นลงไม่ได้ตอบอะไร เหลือแต่เชนผู้ทำเสียงอือออรับทราบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานแบบที่ผมไม่อยากได้มาให้

   "ถึงจะอยากไปดูกับแฟร์ก็เถอะ งานนี้คงต้องขอบาย"

   "เราก็ยังไม่ได้บอกว่าอยากไปดูกับนาย"

   เสียงหัวเราะหยันเหยียดกับสายตาของเราที่จ้องกันไม่มีละลดคงคล้ายกับภาพในการ์ตูนญี่ปุ่นไม่น้อย ผมไม่ใช่คนชอบสงบปากสงบคำมากเท่าไหร่ พวกเขาก็คงเข้าใจในนิสัยข้อนี้ของผมแล้ว นอกจากการอวยพรแล้วมันเลยไม่มีการปะทะคารมอะไรอีก

   "ดูให้สนุกนะ"

   กิจวัตรหลังเลิกเรียนในวันนี้ต่างออกไปจากทุกที

   ของตอบแทนที่ว่าคือบัตรชมการแสดงออเคสตร้าที่จัดแสดงในหอประชุมของมหาวิทยาลัย จากโรงเรียนสอนดนตรีชื่อดังที่เข้ามาขอใช้สถานที่ ธชายื่นให้ผมเมื่อวานตอนที่เรากำลังรอเชนอยู่ตรงหน้าหอสมุด

   "งานใหญ่อยู่นะ"

   ดูจากจำนวนผู้ชมหน้าประตูทางเข้า ไม่ค่อยมีเด็กใส่ชุดนักศึกษาแบบผม ส่วนใหญ่จะเป็นวันทำงานในชุดเรียบร้อยจนถึงคุณปู่ที่นั่งรถเข็นมากับลูกหลาน ผมที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีมากเท่าไหร่เลยได้โอกาสเปิดหูเปิดตาในโลกอีกมิติ

   "นักไวโอลินมือหนึ่งของไทย กับวาทยกรระดับโลก"

   "อ้อ..." มีปฏิกิริยาตอบกลับพอให้รู้ว่ารับทราบ คนไทยเองก็สนใจดนตรีสากลไม่น้อยเลยนะเนี่ย "แล้วถ้าไม่เคยฟังดนตรีคลาสสิกเลยจะเข้าใจไหม"

   "เข้าใจ"

   "ไม่ง่วงใช่ไหม"

   เข้าประเด็นเลยแล้วกัน ความคิดของผมที่มีต่อการแสดงประเภทนี้คือต้องช้าๆ เนิบๆ เสียงเพลงพร้อมกล่อมให้หลับฝันดี ผมไม่ได้ปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนแรกที่เขาบอกเพราะรู้ดีว่าบอกไปแล้วก็ใช่ว่าอีกคนจะยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ

   ที่นั่งของเราอยู่ตรงกลางเยื้องไปข้างหลังของหอการแสดง ที่นั่งบริเวณตอนกลางมีผลเสียกับการเดินเข้าไปที่ยากลำบากนิดหน่อย ผมเคยเข้ามาข้างในแค่ครั้งเดียวสมัยปฐมนิเทศชั้นปีที่หนึ่ง แล้วก็เอาแต่อ่านหนังสือไม่สนใจสิ่งที่อยู่บนเวทีเลย

   "มันมาจากเรื่องเล่า อาจจะต่างจากความคิดเกี่ยวกับออเคสตราหน่อย เพราะนี่จะไม่ได้เล่นแต่ดนตรี วาทยกรจะเล่าเรื่องประกอบไปด้วย"

   "เล่าเรื่องประกอบ?"

   "เดี๋ยวดูก็จะเข้าใจ เป็นการแสดงดนตรีประกอบกับเทพนิยายของรัสเซีย"

   ผงกหัวกลับไปแบบที่ในใจย้อนกับการกระทำ ภาพที่ผมคิดออกเกี่ยวกับการแสดงดนตรีพวกนี้คือเสียงเพลงติดต่อกันยาวไปหลายสิบนาที ไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร พวกวิชาเกี่ยวกับเสียงเพลงนี่ได้น้อยตลอดตั้งแต่เด็กยันโต

   เปิดดูใบสูจิบัตร การแสดงจะเริ่มในอีกประมาณสิบนาที ผมไม่เคยได้ยินชื่อของนักประพันธ์คนนี้มาก่อน เป็นคนรัสเซียเมืองที่เต็มไปด้วยความลึกลับ

   ความมืดรอบตัวส่งสัญญาณว่าการแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เสียงปรบมือดังต้อนรับนักรังสรรค์เสียงเข้าประจำที่  ขอบคุณความเป็นเด็กอักษรของตัวเองเลยพอเข้าทุกส่วนของการแนะนำเบื้องต้นที่มีแต่ภาษาอังกฤษ วาทยกรที่เห็นเพียงผมขาวอยู่ไกลๆ กำลังแนะนำว่าเสียงดนตรีไหนแทนตัวละครใดบ้าง อย่างเช่นหมาป่าก็เป็นเฟรนซ์ฮอรน์ (ธชาบอก) ปีเตอร์เป็นพวกเครื่องสาย (ธชาอธิบาย) แล้วแมวเป็นคลาริเน็ต (แน่นอนว่าธชาอีกเช่นกัน)

   ตัวเองของเราคือมนุษย์นามว่าปีเตอร์ เขาเป็นนักสำรวจรุ่นเยาว์ผู้อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าใหญ่ วันหนึ่งขณะออกไปทำความสะอาดบริเวณตัวบ้าน เขาเผลอเปิดประตูสวนของตัวเองเอาไว้ เป็นเหตุให้เจ้าเป็ด (แทนด้วยโอโบ) ที่เลี้ยงเอาไว้สบโอกาสออกไปว่ายน้ำในบึงใกล้เคียง ณ ที่นั้นเจ้าเป็ดได้มีปากเสียงกับนก (แทนด้วยฟลุ๊ต) บริเวณนั้น

   'ใยเจ้าจึงกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนก หากไม่อาจโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้'

   ในห้วงความทรงจำของเจ้านกนั้นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับตนเองจะต้องมีความพิเศษยิ่งกว่าผู้ใด นั่นคือการบินถลาอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ

   'แล้วนกตัวใดกันเล่า ที่ไม่อาจว่ายอยู่ในผืนน้ำได้'

   เจ้าเป็ดย้อนกลับ เพราะในช่วงชีวิตของมันสิ่งที่นกควรทำได้คือการแหวกว่ายในธาราเช่นเดียวกับที่ตนเองกำลังกระทำอยู่

   มันเป็นเรื่องที่น่าคิดนะ...

   ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างยกความคิดของตัวเองขึ้นมาโต้เถียงกันไม่มีใครยอมใคร มันไม่รู้เลยว่ามีผู้ชมที่ไม่ได้รับเชิญกำลังจ้องมองไม่วางตา เจ้าแมวที่ปีเตอร์เลี้ยงไว้นั่นเอง มันแทรกตัวเข้าไปใกล้สัตว์ปีกทั้งสองช้าๆ เตรียมตะครุบเหยื่ออย่างไร้ความปรานี

   โชคดีที่เรื่องเศร้าไม่เกิดขึ้น ปีเตอร์ได้ร้องเตือนทั้งสองได้ทัน ต่างฝ่ายต่างนำข้อเด่นของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือหนีความตายได้อย่างดี เจ้านกก็บินขึ้นฟ้า ส่วนเจ้าเป็ดก็ว่ายอยู่ในบึงต่อไป

   ผมเข้าใจคำว่าเล่าเรื่องประกอบที่บอกแล้วล่ะ วาทยกรที่มักจะสะบัดไม้ทูบาไปตลอดการแสดงคราวนี้ต้องหันมาเล่าเรื่องให้ฟังด้วย พอจบหนึ่งฉากถึงกลับไปกำกับเครื่องดนตรีตามเนื้อหาที่ได้เล่าเอาไว้แล้ว มันลื่นไหลต่อกันไม่สะดุด ไม่มีความรู้สึกขัดตากับการเปลี่ยนตำแหน่งไปมาจนผมดื่มด่ำกับการแสดงโดยไม่รู้ตัว จากที่กังวลว่าจะเข้าไม่ถึงศิลปะชนิดนี้กลายเป็นว่าผมไม่อยากหลุดออกไปจากภาพตรงหน้าเลย

   จากเหตุการณ์นั้นปีเตอร์ถูกคุณปู่ของตัวเองดุเสียยกใหญ่

   'ถ้ามีหมาป่าโผล่มา เจ้าจะทำอย่างไร'

   'ลูกผู้ชายอย่างข้าไม่กลัวหมาป่า'


   ปีเตอร์ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ นั่นยิ่งทำให้คุณปู่ของเขาโกรธเป็นอย่างมาก เจ้าหนุ่มผู้ห้าวหาญถูกพากลับบ้านพร้อมกับคำสั่งห้ามออกไปนอกรั้วบ้านอีก หลังจากนั้นไม่นานคำขู่ของปู่กลับกลายเป็นความจริง เมื่อเจ้าหมาป่าสีเงินปรากฎตัวขึ้น เจ้าแมวตัวร้ายหลบหนีขึ้นไปบนต้นไม้ได้ทัน เจ้านกบินอยู่บนท้องฟ้า ส่วนเจ้าเป็ดผู้โชคร้ายไม่อาจหนีเงื้อมมือของหมาป่าได้พ้น
   
   คนประกาศตัวว่าไม่เกรงกลัวหมาป่ารีบคว้าเชือกแล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ วางแผนให้เจ้านกบินสำรวจพื้นที่และกลับมารายงานเมื่อเจอหมาป่า กระทั่งเจ้าตัวร้ายเข้ามาใกล้ ปีเตอร์จึงจับมันไว้ด้วยเชือกแล้วผูกเอาไว้กับต้นไม้ ยิ่งหมาป่าพยายามดิ้นหนีมากเท่าไหร่ เชือกที่ทำปมเอาไว้ก็มัดแน่นมากเท่านั้น

   ดนตรีคงเป็นภาษากลางที่คนทั้งโลกเข้าใจได้จริง คนที่ไม่สามารถอ่านโน้ตดนตรีบนบรรทัดห้าเส้นได้ถูกต้องครบทุกตัวอย่างผมยังจับอารมณ์ของการแสดงได้ ช่วงไหนน่าตื่นเต้น แล้วตอนไหนจังหวะที่เร่งขึ้นกลายเป็นลุ้นระทึก

   ฉากต่อมาเป็นการปรากฎตัวของนายพราน เขาตามล่าหมาป่าแสนดุร้ายตัวนี้มานานแล้ว โชคคงยังเป็นของหมาป่าตัวนี้อยู่เมื่อปีเตอร์ต่อรองไม่ให้นายพรานสังหารเสีย เขาเสนอให้นำตัวของเจ้าวายร้ายไปอยู่ในพาเหรดเฉลิมฉลองชัยชนะในช่วงวันแรงงานแห่งชาติ ณ ที่นั้นทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างมีความสุข

   ไม่เว้นแต่เจ้าเป็ดที่ยังมีชีวิตอยู่ในท้องของหมาป่าตัวร้าย

   เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่มีหยุด นักดนตรีและผู้ควบคุมต่างยืนขึ้นรับคำชมเชย ผมปล่อยให้ตัวเองล่องลอยอยู่ในโลกของสัมผัสการได้ยินจนเต็มอิ่มถึงดึงให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

   มันก็ไม่ได้ง่วงเท่าไหร่นะ


 
   “เป็นไง?”

   การแสดงทั้งหมดกินเวลาเกือบชั่วโมง เป็นหกสิบนาทีที่ผมเต็มอิ่มกับความสวยงามของเสียงดนตรีและการสร้างสรรค์ คนประพันธ์นี่นอกจากจะต้องมีความรู้เรื่องดนตรีแล้วยังแต่งเทพนิยายได้สนุกไม่ใช่น้อยเลย

   “สนุกดี”

   “ไว้จะพามาดูอีก”

   “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”

   คำบอกแกมบังคับไม่น่าไว้วางใจจนต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน เราสองคนรอจนผู้ชมทยอยออกไปยังทางออกเกือบหมดแล้วถึงเริ่มลุกจากที่นั่ง หอแสดงอยู่อีกฟากหนึ่งของรั้วมหาวิทยาลัย ผมเลยต้องเดินมากกว่าปกติเพื่อไปขึ้นรถประจำทางตรงป้ายประจำ

   "เอารถมา เดี๋ยวไปส่ง"

   เห็นแต่เชนขับเลยนึกว่าเขาไม่ใช้รถ ผมส่ายหัววืด ไม่อยากจะรับความหวังดีอะไรเพิ่มอีก

   "กลับเองแหละ"

   "ไปส่ง"

   "จะกลับเอง"

   ผมเถียงกับเขาวันหนึ่งกี่เรื่องกัน หรือควรจะบอกว่ามีเรื่องไหนบางที่เราไม่เถียงกันดีกว่า คนอย่างธชานี่ก็แปลกนะ เข้ามาแบบไม่น่าไว้วางใจแล้วยังจะให้ผมเชื่อถืออย่างนั้นเหรอ บวกกับชื่อเสียงที่ไม่น่าเข้าไปยุ่งนั่นถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานคู่ด้วยกันคงโบกมือลาไปนานแล้ว

   "งั้นไปส่งที่ป้าย"

   "ปกติเดินคนเดียว"

   "ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสองคนแล้วเหรอ"

   ...

   จะโต้กลับก็ไม่เจอทางชนะ หลังออกจากห้องสมุดแล้วธชาจะชอบเดินออกไปกับผมจนถึงทางออกเสมอ จากนั้นเขาถึงย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อกลับกับเชน พูดจนเลิกพูดว่าไม่ต้องทำตัวเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้นก็ได้ อย่างน้อยข้างในมหาวิทยาลัยความปลอดภัยก็ยังมีเยอะ ธชาก็ไม่เคยคิดจะเอาคำพูดของผมกลับไปคิดหรอก อยากทำอะไรก็ทำ

   "ดึกแล้ว เดินเป็นเพื่อนดีกว่า"

   "ไม่เป็นไรจริงๆ"

   "ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้"

   แล้วคนบอกว่าจะเดินเป็นเพื่อนก็นำลิ่วออกไปปล่อยให้ผมกระพริบตาถี่ แผ่นหลังของชายตัวสูงที่ยังอยู่ตรงนั้นบอกว่ามันไม่ใช่ภาพหลอน และกลายเป็นผมต้องก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินตามให้ทัน

   "ชอบตรงไหนมากที่สุด"

   "อืม...ตอนที่เป็ดทะเลาะกับนก"

   "ทำไมล่ะ"

   "น่าคิดดี"

   ต่างฝ่ายต่างเรียกว่าตัวเองเป็นนก มีปีกเหมือนกัน แต่ความสามารถในบางเรื่องไม่เหมือนกัน เพียงแค่นั้นกลับทำให้เราแบ่งแยกจนตัดสินว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกของตน

   "ในวันที่เราบอกว่าจะไม่แบ่งแยก แต่พอเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นก็ยังมีการยกเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาสู้"

   การอ่านจากในหน้าหนังสือหรือว่าสิ่งที่พบเจอได้ในชีวิตจริง ในโลกที่เราเรียกร้องความเท่าเทียมและให้เคารพความเป็นมนุษย์สุดท้ายแล้วยังติดอยู่ในกับดักของการแบ่งอยู่ดี ไม่ว่าจะเรื่องง่ายๆ เช่นเรื่องเชื้อชาติหรือว่าโครงสร้างความสัมพันธ์ในเรื่องของความรัก

   เราไม่ได้เคารพความเป็นมนุษย์กันเลย

   มันทั้งน่าเศร้าแล้วก็ขบขันในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือว่าพัฒนาแล้วก็ตามทีเถอะ มันยังมีประเด็นอีกมากมายที่คนเราเรียกร้องแต่ไม่ยอมทำตาม และมันคงเกิดขึ้นไม่ได้เร็วๆ นี้หรอก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบความคิดเดิมเหมือนนกกับเป็ดตัวนั้นอยู่

   "โลกมันก็อย่างนี้แหละ"

   ถนนเส้นกว้างยังมีรถวิ่งสวนไปมาหนาแน่น ส่วนหนึ่งก็คงมาจากผู้ชมการแสดงเมื่อกี้ ผมมองซ้ายขวาตรวจดูว่าจะสามารถเดินข้ามไปได้เมื่อไหร่ พอเห็นจากสุดสายตาว่าถนนจะกลับมาโล่งสักพักหนึ่งจึงหันหน้ามาเพื่อนัดแนะเวลาข้าม

   "งั้นเทวดานี่เป็นมนุษย์ไหม?"

   ...เลยไม่มีเวลาได้เตรียมตัวกับคำถาม

   "แล้วอสูรเป็นมนุษย์ไหมล่ะ?"

   ใช้ปฏิภาณไหวพริบทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ในการโต้กลับไป สุดท้ายแล้วคนเป็นอสูรก็ยังร้ายกาจไม่มีเปลี่ยน

   ชื่อเล่นของผมคือแฟร์ แบบที่ให้เรียกเต็มๆ คือ 'แฟรี่' ที่แปลว่าเทวดาไม่ก็นางฟ้านั่นแหละ ไม่ได้แปลว่าความเท่าเทียมหรือว่าสีอ่อน อย่าถามว่าใครเป็นคนตั้งเลย มีอย่างที่ไหนคุณแม่ของผมตกลงกับน้องสาวว่าถ้ามีลูกจะแลกกันตั้งชื่อเล่น เป็นไงล่ะ ผลงานของความคิดพิลึกนั่น

   การจราจรอันแสนวุ่นวายเคลื่อนตัวออกไปแล้ว หลงเหลือเพียงเสียงของใบไม้แห้งปลิวไปตามแรงลม ถ้าเป็นตัวผมก่อนเข้าไปฟังอาจไม่ถามอะไรอย่างนั้น คงเป็นเพราะสิ่งที่ตกค้างอยู่ในความทรงจำเลยนำไปสู่มุมมองใหม่เกี่ยวกับผู้ชายคนหน้า

   มีบางคนบอกว่าอสูรเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ตอนนี้ผมจะได้รู้ความจริงข้อนั้นแล้วใช่หรือไม่   

   "นั่นยังต้องถามอีกเหรอ"
   
   "คิดว่าไม่ต้องแล้ว"

   ธชาไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่ใครร่ำลือกัน ถ้าเอาแค่เท่าที่ผมได้เจอมาเองกับตัวนะ อย่างน้อยเขาก็ยังมีมุกที่เอาไว้ตบกับเชนตอนเฮฮา แล้วก็ไม่ได้หัวเสียใส่ใครพร่ำเพรื่อ ใต้ชื่อที่ใครต่อใครเรียก ผมว่าเขาเองก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ข้างในสุดอยู่ดี

   จนไม่รู้เลยว่าใครกันที่อยากทำลายเขาได้เท่านี้

   "อ้อ วันนี้ไม่มีนม เอานี่ไปแทนก่อนแล้วกัน" มันเป็นนมจืดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ยี่ห้อเดิมที่ซื้อมาเป็นประจำ น้ำนมสีขาวขุ่นในขวดแก้วพร้อมติดยี่ห้อเอาไว้ด้วยสติกเกอร์พลาสติกเรียบง่ายไม่ต่างจากคนซื้อ

   "...เราต้องอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่"

   ผมคิดอย่างนั้นจริงนะ เราทำงานร่วมกันมาเกือบเดือนแล้ว ไม่รวมเวลาก่อนหน้านั้นอีกไม่น้อยด้วย จนถึงตอนนี้ผมยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย ไม่ต้องหวังจากเชน รายนั้นน่ะปิดปากสนิทจนนึกว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างส่วนการออกเสียงมาด้วย ลองเลียบเคียงแค่ไหนก็ไม่เคยได้ผล

   คิดเหรอว่าผมไม่เคยถามว่าเพราะอะไรตัวเองถึงต้องมาอยู่ในสถานะอย่างนี้ แต่คิดมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้คำตอบกลับมายังไงล่ะ โลกแห่งความเป็นจริงสอนให้ผมเลิกไขว่คว้าในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วยอมรับว่าเราควรพอใจกับสถานะของตัวเองไป

   เพราะบางตำแหน่งมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

   "อยากอยู่นานแค่ไหนล่ะ" แล้วทำไมกลายเป็นว่าผมโดนย้อนถามนะ เขาต่างหากที่ต้องบอกว่าเมื่อไหร่จะจบระบบความสัมพันธ์นี้

   "นายต่างหากที่ต้องบอกเรา"

   "ไม่รู้สิ"

   "..."

   "จนกว่าจะยอมรับอะไรบางอย่างได้ล่ะมั้ง"


***
   เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเทพนิยายที่เจ้าชอบมากที่สุดเลยค่ะ (ยิ้ม) เจ้าชอบตอนที่นกกับเป็ดถามกันมากๆ เลย และยอมรับเลยว่ามันย้อนคำถามกลับมาหาเจ้าจำนวนหนึ่งเลยล่ะ ถ้าใครสนใจลองเข้าไปดูในยูทูบได้นะคะ เป็นซิมโฟนียาวประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 22:29:04 โดย 23August »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จะรักกันยังไงเนี่ยสองคนนี้ ต่างคนต่างเข้าไม่ถึงกัน  :hao5:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่ห้า

   เจ้าเหมือนชายชราแห่งท้องทะเล ชายแห่งพื้นพิภพ และทารกแห่งโลกันต์ ไม่สิ เจ้าเหมือนคนพวกนั้นทั้งหมด
   และเจ้าก็ยังเป็นผู้ชายคนเดิมของข้า!
   - The Golden Key

 

   "ไม่เบื่อบ้างหรือไงอยู่แต่ในตึก"

   "ไม่นะ"

   "แต่เราเบื่ออะ"

   เพราะคำพูดนั้น กิจวัตรในช่วงวันเสาร์ของผมเลยแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา ตื่นมาตอนเช้าทำอะไรเสร็จสรรพก็ต้องรีบพาตัวเองออกจากบ้านไปยังจุดนัดพบ ขนาดไปก่อนเวลาตั้งสิบห้านาทียังเจอผู้ชายสองคนที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้รออยู่แล้วเลย

   "สาย"

   "นัดสิบเอ็ดโมง" โชว์ให้คนบ่นเห็นว่าเข็มสั้นบนนาฬิกาตรงข้อมือของตัวเองยังอยู่ที่เลขสิบ "มาเร็วกันเอง"

   "ชามันโรคจิต มันกลัวบางคนไม่รอ"

   "มึงมาสายบ่อยไง"

   "เดี๋ยวเราฟังต่อในรถ ตอนนี้ไปกันได้หรือยัง"

   มายืนเถียงกันกลางแดดตอนเกือบเที่ยงอย่างนี้มีใครเขาทำกัน ผมต้องเป็นฝ่ายปรามทั้งสองคนเอง ฉุดกระชากลากถูให้ขึ้นไปบนรถคันเก่งของเชนที่กลายเป็นเพื่อนคุ้นตาไปอีกอย่าง เช่นเดียวกับทุกครั้งคือคนขับอยู่ข้างหน้าคนเดียวแล้วผมกับธชาจะเป็นผู้โดยสารบนเบาะหลัง ตอนแรกๆ ก็บ่นไม่ยอมหยุดแหละ พอเพื่อนตัวเองไม่รับมุกแล้วเลยเลิกไป

   เพลงไทยในช่องวิทยุหนึ่งทำหน้าที่สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ฟังได้อย่างดี ก็เหมือนอย่างทุกทีคือผมจะมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้สนใจว่าคนด้านข้างจะทำอะไรบ้าง ถ้าเชนชวนคุยผมก็จะตอบไปเท่าที่อยากตอบ

   "ไม่ถามหน่อยเหรอว่าเรากำลังไปที่ไหน"

   เช่นคำถามนี้เป็นต้น "ถ้าถามแล้วไม่อยากไปจะเปลี่ยนที่ไหมล่ะ"

   ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่กลอกตาใส่ เพื่อนสุดสนิทสองคนเขาชอบเอาทฤษฎีความเป็นพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในทางที่ผิด เลือกกันเอาเองว่าอยากจะไปที่ไหนแล้วถือสองมติในมือเป็นเสียงส่วนมาก ส่วนผมก็ต้องเป็นเสียงส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิได้แสดงความคิดเห็นกับใครเขา

   "ไม่เปลี่ยน"
   
   "นั่นแหละเราเลยไม่ถาม"

   หนึ่งคนนำ แล้วก็อีกคนก็เสริม เป็นการรวมตัวกับที่ลงตัวเสียเหลือเกิน ธชากับเชนินทร์ไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามของกันและกัน แต่เป็นคนสองคนที่อยู่ในส่วนอินเตอร์เซคของวงกลมเดียวกัน ข้อสรุปของผมเป็นอย่างนั้น

   การได้มาอยู่กับเขาทั้งสองคนมันก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของผม ระหว่างเรียนยังเหมือนเดิม ไม่มีการก้าวก่ายชีวิตของกันและกัน จะเจอกันแค่ในช่วงของหลังเลิกเรียนในห้องสมุด กลายเป็นว่าผมเจอเชนระหว่างคาบเรียนบ่อยกว่าอีกมั้ง

   คงเป็นอีกหนึ่งอานิสงค์จากการได้ทำงานคู่อสูร

   "แฟร์รับหน่อย"

   "หืม"

   "กลัวชนคนอื่น เองไปอ่านเองนะ"

   รีบเอื้อมมือไปรับสมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่จากคนข้างหน้า ไม่ค่อยได้จับต้องเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้มากนักจนรู้สึกว่ามันหนักจนไม่น่าจะสะดวกต่อการพกพา ตรงหน้าจอถูกปลดล็อกและเข้าส่วนของเว็บไซต์หนึ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ใช้นิ้วไล่ลงไปเรื่อยๆ เพื่ออ่านรายละเอียด

   มันเป็นรีวิวของที่อ่านหนังสือนอกตัวเมืองแห่งหนึ่ง เท่าที่ดูจากภาพแล้วค่อนข้างมีสไตล์น่าสนใจพอควร ด้วยแนวคิดของเจ้าของที่อยากให้มันเป็นแหล่งการศึกษาที่ไม่อยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมเลยสร้างให้พื้นที่บ้านทั้งหมดของตัวเองกลายเป็นห้องสมุดธรรมชาติขนาดใหญ่ ต่อเติมให้บรรยากาศเอื้ออำนวยต่อการอ่านมากยิ่งขึ้น

   เปิดแบบดูรูปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยอ่านเนื้อหามากนักเพราะตัวอักษรมันเล็กจนน่ากลัวว่าจะเมารถไปเสียก่อน คนเราจะสายตาเสียเพิ่มขึ้นจากการจ้องแสงสว่างขนาดนี้นานๆ นี่แหละ

   "น่าสนไหม ชาบอกว่าแฟร์น่าจะชอบ"

   สิ่งแรกที่น่าประหลาดใจคือการเล่าแบบนั้นมันสามารถแปลความหมายได้ว่าคนที่เลือกทำงานนอกสถานที่ในวันนี้คือธชา ไม่ใช่คนที่บ่นว่าเบื่อห้องสมุดอย่างเชน

   "ก็น่าสน แต่ไม่รู้จะชอบหรือเปล่า"
   
   "ทำไมต้องดักอย่างนั้น"

   “เพราะพวกนายไม่รู้จักเราไง”

   อาจรู้สึกไปคนเดียวว่าอุณหภูมิภายในรถยนต์สูงขึ้นเล็กน้อยจากคำพูดของตัวเอง สิ่งแรกที่พวกเขาพลาดคือการคิดไปเองว่าผมจะชอบสถานที่นี้ ส่วนอย่างที่สองที่ไม่น่าให้อภัยยิ่งกว่าคือการที่หลงคิดไปเองว่ารู้จักผม

   “เหรอ...แปลกจัง” ชายที่ผมไม่อยากเข้าใกล้ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดก่อนหน้า น้ำเสียงร่าเริงเป็นมิตรยังคงอยู่ในประโยคหลังไม่มีหายไป “แต่เราคิดว่าเรารู้จักแฟร์ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ”
 


   ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการมาสู่จุดหมายปลายทาง ลมเย็นที่ปะทะหน้าในวูบแรกบอกได้ถึงความแตกต่างของพื้นที่ชานเมือง อากาศไม่ถึงกับบริสุทธิ์อย่างพวกแหล่งฟอกปอด แต่ก็ยังดีกว่าการที่ต้องมาเผชิญกับมลพิษทุกวันและทุกเวลา

   "แฟร์เอานมจืดไหม"

   "...น้ำเปล่า"

   "อ้าว เห็นชาซื้อไปให้ทุกวัน นึกว่าชอบ"

   "ไม่ชอบ"

   ตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ แบบที่ให้อีกคนตรงนั้นได้ยินเต็มสองรูหู ถึงเคยพูดแล้วแต่ให้พูดอีกก็ไม่มีปัญหา จนกว่ามันจะทะลุผ่านส่วนของจิตสำนึกว่าผมไม่ต้องการมัน

   "งั้นเหรอ"

   เราสามคนโชคดีที่มาวันนี้ เจ้าของว่าอย่างนั้น เพราะทีแรกทีมงานที่คอยช่วยเหลือดูแลความเรียบร้อยขอลาพร้อมกันทีเดียวสามคนจนไม่เหลือคนทำงาน พวกเขาเลยโพสต์ประกาศลงเพจไปว่าวันนี้ปิดทำการหนึ่งวัน ส่วนผู้มาเยือนหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างพวกผมเลยเกือบได้เป็นผู้โชคร้าย ถ้าเจ้าของไม่ใจดียอมเปิดทำการเป็นกรณีพิเศษ พวกเราเลยได้อานิสงค์พิเศษให้เข้าไปใช้บริการได้แบบวีไอพี ไร้สมาชิกอื่นเข้ามารบกวน

   ถ้าให้ผมนิยามที่นี่เอง ผมคงเรียกมันว่าบ้านสมุด เพราะมันไม่ใช่แค่ห้องเก็บสมุดเท่านั้น แต่หนังสือยังกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งบริเวณไม่เว้นแม้แต่ข้างเก้าอี้ผ้าใบตรงระเบียงนอกตัวเรือน มีทั้งของสะสมส่วนตัวจากเจ้าของบ้านผู้รักการอ่านตั้งแต่จำความได้ ญาติสนิทมิตรสหาย รวมถึงคนในโลกออนไลน์ที่ได้รับรู้ข่าวสารเป็นทอดต่อกันมา

   มันเลยมีหนังสือทุกประเภทจริงๆ ตั้งแต่หนังสือของเด็กเริ่มหัดอ่านไปจนถึงหนังสือปรัชญาเฉพาะทางที่ผมไม่มีทางแตะมันถ้าไม่ต้องใช้สอบ เราสามคนแยกย้ายกันไปตามพื้นที่โปรดของตัวเอง เชนหลบไปอยู่ตรงมุมห้องสมุดขนาดกลางดัดแปลงจากน้องนั่งเล่นเดิม ส่วนธชาผมหาเขาไม่เจอตั้งแต่บอกว่าไม่ชอบนมจืดนั่นแหละ

   สำรวจพื้นที่ด้านในจนครบถึงมาปักหลักอยู่ตรงเก้าอี้โยกตรงสวนหญ้าขนาดเล็กด้านหลังของบ้าน ถ้าตอนสร้างบ้านที่อยู่ปัจจุบันผมสามารถออกความเห็นได้แล้วก็จะบอกให้พ่อแม่ทำสวนอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ตอนนี้มันบ้านคอนกรีตของแท้เลยล่ะ

   หนังสือที่อยู่ในมือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียน มันเป็นเล่มที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงทางออกโดดเดี่ยว เห็นแล้วรู้สึกเหงาแทนจนเลือกหยิบมันมาด้วย

   เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แค่ไม่อยากให้มันต้องตั้งอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็เท่านั้นเอง ผมดูชื่อเรื่องเพียงผ่าน พลิกด้านหลังไปอ่านเรื่องย่อแทน นิยายพีเรียดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ผมไม่คุ้นชื่อของผู้เขียน และหวังว่าเนื้อหาของมันจะแปลกไม่ต่างจากชื่อคนแต่ง

   สายลมพัดเอื่อย กลิ่นใบหญ้า แสงแดดมีเพียงรำไรจนไม่ต้องอยู่ใต้ต้นไม้ก็ยังได้ เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด ผมเปิดระบบตัดสัญญาณในตัว เตรียมด่ำดิ่งลงไปอยู่ในโลกของตัวอักษรเรียงรายเพียงอย่างเดียว

   "อ่านให้ฟังหน่อย"

   "..."

   มองหนังสืออีกเล่มบนตักของตัวเองไม่พูดอะไรออกมาเพิ่ม ผมไม่ว่าหรอกนะถ้าเขาจะมาอ่านแถวนี้เหมือนกัน สิ่งที่ธชาเห็นอยู่แล้วคือผมกำลังเริ่มอ่านของตัวเอง เขาไม่ควรมาสั่งทำตัวเป็นเจ้าชีวิตของผมอย่างนี้ นอกจากจะทำตัวไม่น่าคบแล้วยังทำนิสัยน่ารังเกียจอีก

   "เรามีเล่มของตัวเองแล้ว" สายตาก็ไม่ได้สั้นอะไรเขาต้องเห็นอยู่แล้วสิ "อ่านเองคงไม่ยากเท่าไหร่หรอก"

   "ไม่อยากอ่านเอง"

   "ก็ไม่ต้องอ่าน"

   เงื่อนไขมันยากตรงไหนกัน ถ้าไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่าน เรื่องแค่นี้เขาน่าจะเข้าใจอยู่แล้วนะ

   "อยากให้แฟร์อ่านให้"

   ไม่พอยังลากเอาเก้าอี้ตัวถัดไปมาชนหลังกันอีกต่างหาก ผมก่นด่าพอให้ได้ยินถนัดทั้งสองคน ส่งหนังสือของเขากลับไปพร้อมกับเตรียมเปิดโหมดปฏิเสธสัญญาณรบกวน ยังไม่ทันจะได้อ่านหน้าแรกเลยภาพก็วนลูปกลับไปเหมือนช่วงก่อนหน้าไม่กี่นาที คือการที่เขาโยนหนังสือลงมาพร้อมกับพูดว่า

   "อ่านให้ฟังหน่อย"

   "เรามีเล่มที่จะอ่านแล้ว" และผมว่างพอที่จะเล่นเกมเดิมซ้ำๆ ต่อไป "ไปให้เชนอ่านเถอะ"

   "ปล่อยมันนอนไปเถอะ"

   "นอน? ไม่ได้อ่านหนังสือเหรอ"

   "เฮอะ ตอนนี้คงฝันหวานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"

   ให้ตาย ผมนึกว่าเขาจะมาเพื่ออ่านหนังสืออย่างที่กระตือรือร้นมาตั้งแต่วันก่อนเสียอีก กลายเป็นการเปลี่ยนที่งีบแค่นั้นเหรอ ถ้ารู้อย่างนี้ผมจะไม่ยอมมาตามที่เขาบ่นว่าเบื่อห้องสมุดเด็ดขาดเลย ดันไปห่วงคนที่ต้องมาติดแหงกอยู่กับเพื่อนจนยอมให้ทำตามใจได้

   "ไปปลุกสิ ไม่น่ายากหรอก"

   "ลองได้หลับแล้วรอมันตื่นเองได้เลย ไม่เคยมีใครปลุกได้เรื่องสักคน"

   "รู้จักกันดีจังเลยนะ"

   ถามเหมือนแอบประชดในตัวเลยเนอะ ขอสาบานต่อหน้าทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าคำพูดของผมไม่ได้ต้องการสื่อไปในทางนั้นเลยสักนิด หวังว่าเขาจะเข้าความหมายตามที่พูดจากคนที่ไม่มีโมเมนท์เพื่อนสนิทมากเท่าไหร่

   "ก็รู้จักกันมานานแล้ว"

   "สมัยมัธยมเหรอ"

   "ประมาณประถมปลาย"

   นานมากเลยนะนั่น ผมคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยจนเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ของธชาที่มาคืออะไร จนเขากลับมาพูดประเด็นเดิมซ้ำอีกครั้งถึงจะปรับโหมดกลับมาได้

   "แฟร์อย่าลืมอ่าน”

   "ไม่"

   “อ่าน”

   ยังมีทางไหนให้เลือกอีกไหม ผมทำตัวกระฟัดกระเฟียดใส่พลางพลิกดูหน้าปก มันเป็นรูปวาดนางฟ้ามีปีกตัวน้อยกำลังถือกุญแจซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อเรื่อง ภาพที่เป็นลายเส้นขาวดำทั้งหมดสวยแปลกตา

   เรื่องของเด็กชายกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับกุญแจวิเศษสีทองที่อยู่ตรงปลายสายรุ้ง วันหนึ่งที่สายรุ้งแสนสวยปรากฎขึ้น เด็กชายก็ไม่มีความลังเลที่จะออกตามหาสิ่งที่อยู่ในเรื่องเล่า เขาตามแสงเจ็ดสีไปจนถึงเมืองนางฟ้า เมืองวิเศษที่ยามเย็นแสงรุ้งกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนพาเขาไปเจอกับปลายสายรุ้งและกุญแจสีทองในที่สุด

   "ปลายสายรุ้งไม่มีจริงสักหน่อย"

   ยังไม่ทันจบบทที่หนึ่งผมก็โดนสกัดดาวรุ่งครั้งแรก การที่เราหันหลังชนกันอยู่อย่างนี้ผมเลยไม่รู้ว่านั่นเป็นการขัดแบบจริงจังตามแนวทางวิทยาศาสตร์หรือว่าเขาแค่ต้องการแกล้งผมไปเรื่อย

   "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเทพนิยาย"

   "น่าจะสมจริงกว่านี้หน่อย"

   "ไปเขียนเองแล้วกัน"

   ไม่เก็บคำทักท้วงมาใส่ใจ เริ่มอ่านต่อไปคงจะดีกว่า

   แน่นอนว่าพอมีกุญแจ สิ่งต่อไปที่ต้องตามหาคือมันใช้สำหรับการไขอะไรกันแน่ เนื้อเรื่องตัดไปยังอีกฉาก มันเป็นบ้านของพ่อค้าผู้มีบุตรสาวแสนสวยผู้กำลังตกเป็นเหยื่อรังแกของเหล่านางฟ้าตัวร้ายทั้งหลาย ความพยายามในการแกล้งสำเร็จเมื่อหญิงสาวเข้าใจผิดไปว่ามีหมีสามตัวกำลังบุกเข้ามาที่ห้องนอนของตน เธอจึงเอาชีวิตรอดโดยการหนีเข้าไปในป่าไป

   โชคร้ายยังไม่จบเท่านั้นเมื่อเธอตกลงไปในหลุมพรางลึก ส่วนเรื่องดีคือมันยังมีเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างคล้ายปลาแต่มีขนคล้ายปีกนกบินเข้ามาช่วยเหลือไว้ และนำไปยังบ้านของหญิงสาวแสนสวยนางหนึ่ง เรื่องเหนือธรรมชาติที่เธอพบคือที่นั่นมีหม้อน้ำเดือดต้มรอไว้อยู่แล้ว และปลาเหล่านั้นก็จบชีวิตของตัวเองด้วยการกระโดดเข้าไปอยู่ในหม้ออย่างเต็มใจ

   หญิงสาวถามชื่อ หล่อนตอบว่าทุกคนต่างเรียกเธอว่า 'ยุ่งเหยิง' เพราะเรือนผมหยักเรียงตัวไม่สวยงามของตน

   "คนอะไรชื่อยุ่งเหยิง"

   "ก็เรียกแบบภาษาอังกฤษไง มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขั้นนั้นสักหน่อย"

   ชื่อแบบอังกฤษของเธอคือ Tangle นี่ผมเอาความรู้จากวิชาการแปลเบื้องต้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดล่ะนะ ทำไมเขาต้องทำเสียงเอือมขนาดนั้นด้วยล่ะ

   “อะไรที่แปลแล้วยากไม่ต้องทำก็ได้นะ”

   “อ่านเองดีไหมจะได้ถูกใจ” ประชดไปทุกครั้งที่มีโอกาส ที่ท่องบอกตัวเองว่าได้บุญจากการอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังมันเริ่มอยากจะทำบาปแทน

   “ไม่ อ่านต่อไปสิ”

   “ก็อย่าวิจารณ์ทุกตอนสิ”

   “เราต้องคิดตามไปด้วย ใช้สมองหน่อย”

   จะเถียงก็เห็นเกรดวิชาวรรณกรรมของตัวเองลอยขึ้นมาห้ามเอาไว้ก่อน กับเขาคนที่ได้คะแนนสูงสุดในประวัติการสอนของอาจารย์มหาโหดไม่ควรจะเอาตัวเองไปอยู่ในวังวนนั้นให้ช้ำใจ

   ยุ่งเหยิงจึงอาศัยอยู่กับหญิงผู้เรียกตัวเองว่าคุณย่าผู้อยู่มานับพันปีต่อไป ที่นั่นเธอได้อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย มีเจ้าปลาขนคอยดูแลในทุกเรื่อง คุณย่าบอกว่าที่นี่คือโลกวิเศษ ที่ที่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้เสมอ

   กลับมาที่เด็กชายผู้ได้กุญแจสีทองแล้ว เขาเดินทางจนมาพบกับคุณย่าและยุ่งเหยิง ที่นี่เขาได้ชื่อว่ามอสซีเพราะว่าตนถืออัญมณีที่มีตะไคร่ปกคลุมมาด้วย นอกจากนั้นแล้วยังได้คำแนะนำเกี่ยวกับในการออกตามหาส่วนเติมเต็มของกุญแจ และต้องรับเงื่อนไขในการพาหญิงยุ่งเหยิงเดินทางไปด้วย แม้ทั้งสองจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณสุภาพสตรีผู้มากฤทธิ์ก็ตาม ยุ่งเหยิงก็ต้องยอมทำตามคำสั่ง

   ทั้งสองเดินทางต่อไปจนพบกับพื้นที่โล่งกว้างที่มีความประหลาดคือมันเต็มไปด้วยเงาสิ่งมีชีวิต แต่มองไปทางไหนก็ไม่พบตัวตนปรากฎ ด้วยความสงสัยพวกเขาจึงตกลงกันว่าจะต้องตามหาเมืองแห่งเงานี้ให้เจอ

   น่าเศร้าที่โชคชะตาพลัดพรากทั้งสองออกจากกัน หญิงสาวพบกับต้นไม้ที่อดีตเคยเป็นปลาผู้ช่วยเหลือของตน  และนำพาเธอไปพบกับชายชราแห่งท้องทะเล ชายวิเศษไม่อาจพาเธอไปยังจุดหมายปลายทางได้ เขาจึงส่งเธอไปหาพี่น้องของตัวเองอย่างชายชราแห่งผืนพิภพผู้มีชีวิตยืนยาวกว่าตน

   แม้จะประหลาดใจที่ชายชราแห่งผืนพิภพคือคนหนุ่ม ไม่มีเค้าของความชราอย่างที่ชายชรามแห่งท้องทะเลได้บอกเอาไว้ เธอก็ยังหาทางเพื่อไปยังเมืองแห่งเงานั้นให้เจอ ไม่ต่างกับชายคนแรกเขาเองก็ให้คำตอบเธอไม่ได้ คำแนะนำสำหรับเธอคือการลองไปพบกับชายแห่งไฟกัลป์

   เขาบอกให้เธอเดินลงไปในหลุมไร้แสงสว่างจากทางออกอีกฟากฝั่ง หล่อนแย้งว่ามันไม่มีทางให้เดินต่อไปได้ แต่ชายแห่งผืนพิภพเองก็ยังคงยืนยันว่าเธอต้องกระโดดลงไปในหลุมนั้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเธอจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้

   "ถ้าเป็นแฟร์จะโดดไหม?"

   อ่านได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเปลี่ยนย้ายที่อยู่ของสติ ผมชักจะแยกประสาทเก่งแล้วล่ะ

   "เราคงไม่ยอมมากับผู้ชายตั้งแต่แรก" ตอบไปตามสิ่งที่คิด ในเมื่อการอยู่กับคุณสุภาพสตรีแสนใจดีมันมีครบทุกอย่างแล้ว ผมคงไม่พาตัวเองไปเจอความลำบากอีกหรอก "อยู่อย่างนั้นก็สบายอยู่แล้ว"

   "เหรอ..."

   "เหมือนไม่เชื่อนะ"

   "อ่านต่อเถอะ"

   ขนาดผมไม่ค่อยทันคนมากเท่าไหร่ยังรู้เลยว่าเขาจงใจเลี่ยงการตอบ ขี้เกียจจะยื้อให้ยืดยาวต่อไปเลยอ่านต่อไปดีกว่า

   ที่สุดปลายทางของอุโมงค์เธอได้พบกับชายชราแห่งไฟกัลป์ในร่างของทารกน้อยเปลือยเปล่า ผู้แนะนำตัวว่าเป็นอายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสาม เขาให้คำแนะนำว่าจงตามเจ้างูไป แล้วมันจะพาเธอไปยังปลายทางที่วาดหวังเอาไว้

   ส่วนมอสซีไปพบกับชายชราแห่งท้องทะเลและได้รับพลังวิเศษที่สามารถเดินข้ามบนท้องทะเลได้ เขาเดินบนน้ำไล่ตามสายรุ้งไปจนพบกับหน้าผา และด้านบนสุดนั้นเขาได้พบกับหญิงสาวยุ่งเหยิงที่รออยู่ก่อนแล้ว มันเป็นเวลามากกว่าเจ็ดปีนับตั้งแต่พวกเขาพลัดพรากจากกัน และพวกเขาก็มีเรื่องราวการผจญภัยมากมายที่รอการเล่า

   พวกเขาตามออกตามหาจนพบประตูของกุญแจทอง เบื้องหลังมันคือบันไดแสนสวยที่จะพาพวกเขาไปยังเมืองแห่งเงาอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ และทั้งสองเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ไปด้วยกัน

   "แค่นั้น?"

   ผมลองพลิกดูว่ามันมีบทต่อไปหรือว่าส่วนไหนที่บอกให้อ่านต่อเล่มสองหรือไม่ แต่ก็ไม่เจอ "ใช่ จบแล้ว"

   "เชื่อเลย..."

   อยากจะพูดคำนั้นอยู่เหมือนกัน ปูมาทั้งเรื่องจนนึกว่ามันต้องมีสมบัติมหาศาลหรือไม่ก็ของวิเศษอะไรรออยู่ กลายเป็นว่ามันเป็นกุญแจที่นำไปสู่แผ่นดินแห่งใหม่เท่านั้นเอง ตั้งแต่คุณสุภาพสตรีอายุพันปี ชายบนหุบเขา ชายแห่งไฟ ชายแห่งท้องทะเล ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะจบอย่างนี้

   "เลือกมาผิดเล่มไปหน่อยนะ"

   "ก็ไม่ขนาดนั้น เนื้อหาใช้ได้อยู่"

   หลังที่พิงกันไว้ได้ตามหลักแรงต้านและแรงผลักไหววูบเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้น ผมหันไปมองคนเข้าใจยากปัดละอองฝุ่นออกจากเสื้อ จากนั้นถึงยื่นมือมาให้

   คิดว่าเขาคงหมายถึงหนังสือในมือ เลยส่งคืนไปให้ตามที่ขอ ธชารับมันไปแล้วย้ายไปไว้ในมืออีกข้างส่วนข้างขวายังกลับมาอยู่ในท่าเดิม ก็ยังไม่เข้าใจความหมายเลยส่งเล่มของตัวเองที่ยังไม่ได้อ่านไปให้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็กลับเข้ามาสู่ลูปเดิมอีก

   "งั้นเราเริ่มออกเดินทางกันบ้างดีไหม"

   กลัวว่าหลอนไปเองเลยต้องทวน "หือ?"

   "เข้าไปข้างในได้แล้ว"

   "ทั้งที่เรายังไม่ได้แตะของตัวเองสักหน้าเลยเนี่ยนะ" ได้เปิดไปถึงแค่หน้าปกใน ขยายความให้อีกหน่อย "เข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะกลับแล้วค่อยออกมาตาม"

   ธชาคงเบื่อข้างนอกแล้วมั้ง ถึงจะไม่ได้มีแดดแรงจัดแต่มันก็ยังอบอ้าวในระดับหนึ่ง พวกเกลียดอากาศร้อนอย่างเขาน่าจะทนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

   ผมไม่ได้เจออากาศธรรมชาติอย่างนี้มานานแล้วเลยอยากจะดื่มด่ำกับมันอีกหน่อย ชีวิตคนที่เรียนในเมืองมันจะหนีไปหาอากาศบริสุทธิ์เจอได้ง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ นี่เรียกได้ว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รักษาปอดให้อยู่กับผมไปอีกนานได้เหมือนกัน

   จะว่าไปถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมอาจเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอื่น ที่ไม่ต้องอยู่กับความวุ่นวายอย่างนี้

   ความวุ่นวายที่รวมอสูรร้ายตนนี้เข้าไปด้วย

   "เข้าไปด้วยกัน"

   คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชีวิตของใครต่อใครไปทั่วหรือยังไง เมินคำบอกกึ่งสั่งนั้นแล้วโน้มตัวไปคว้าหนังสือของตัวเองกลับมา เปิดอ่านแบบไม่เกรงกลัวว่านั่นเป็นการท้าทายทางตรงหรือไม่

   “แฟร์ เข้าไป”

   “เราควรแบ่งเส้นขอบเขตความสัมพันธ์หน่อยไหม?”

   โผล่งขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ ผมว่าเรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วล่ะ และถ้าจนถึงเวลานี้ธชาเองยังไม่สามารถหาตำแหน่งที่ลงตัวสำหรับตัวเองได้เราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นทั้งเขาแล้วก็ผมต้องมาตกอยู่ในวังวนความยุ่งเหยิงนี้

   ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวผู้ต้องเดินทางกับคนแปลกหน้า

   “อยู่อย่างนี้ก็ได้”

   “แต่เราไม่โอเค” และนั่นไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องที่เขาทำเมื่อสักครู่ ขอย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน

   “แล้วไง?”

   อสูรร้ายเป็นพวกเอาแต่ใจ เคยมีคนบอกผมเอาไว้แล้ว

   “เรายังต้องทำงานกันอีกยาว เรื่องแค่นี้อย่าทำให้มันเป็นปัญหา” ใช้ทุกสกิลการเชื่อมโยงเข้ากับวาทศิลป์โน้มน้าวที่ตัวเองไม่ค่อยมีกับใครเขา ดึงเอาเรื่องที่คิดว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดขึ้นมาพูด

   “งานนี้ให้เราทำคนเดียวยังได้เลยนะแฟร์”

   “...”

   ตอนนี้ผมเข้าใจแจ้งชัดเลยว่าตัวเองเป็นแค่เชลยของอสูรเท่านั้น และต่อให้ผมยกเอาเหตุผลขึ้นมาอ้างล้านแปดแค่ไหนมันก็ไม่มีทางช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

   “เอานี่ไป”

   ตะครุบซองกระดาษยับยู่ยี่เอาไว้ตามสัญชาติญาณ ส่งคำถามผ่านการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่จะให้ผมทำอะไรอีกล่ะพ่อคนไม่เคยโดนขัดใจ

   “หาซื้อยากชะมัด เปลี่ยนยี่ห้อเถอะ” ยังไม่ทันได้เปิดดูข้างใน เขาก็เฉลยไปก่อนแล้ว “อย่านั่งนานล่ะ เดี๋ยวฟ้ามืดแล้วยุงจะมาหาม”

   คนทำตัวใจดีเดินหายเข้าไปในส่วนของตัวบ้านแล้ว ปล่อยให้ผมอยู่กับหนังสือหนึ่งเล่มแล้วก็ไส้ปากกาสีโปรดอีกจำนวนหนึ่งต่อไป
 


   ขากลับเจ้าของรถงอแงไม่ยอมเป็นสารภีอีก อสูรเพื่อนสนิทเลยต้องระเห็จตัวเองเป็นคนขับโดยไม่ลืมที่จะบังคับให้เชนต้องนั่งอยู่ข้างหน้าเป็นเพื่อน ปล่อยให้ผมได้ครองพื้นที่ข้างหลังเพียงคนเดียว มีเพื่อนเอาแต่ใจอย่างนี้คบกันรอดได้ยังไงกัน

   นั่งเหงาอยู่คนเดียวสักพักร่างกายก็เริ่มส่งสัญญาณว่าต้องการการพักผ่อน วันนี้ผมตื่นเช้าแล้วยังต้องออกมาเตร็ดเตร่กับพวกเขา เปลือกตาเริ่มเข้ามาชิดกันเรื่อยๆ จนภาพเคลื่อนไหวข้างตัวกลายเป็นความมืดมิด

   ประสาทสัมผัสส่วนของการรับฟังได้ยินเสียงดีเจประจำคลื่นวิทยุบอกชื่อเพลงถัดไป จากนั้นถึงตามมาด้วยทำนองแปลกที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน มันช้า เบา แล้วก็ไม่ค่อยเข้ากับน้ำเสียงของคนร้องเท่าไหร่ในความคิด คงเพราะง่วงได้ที่แล้วถึงปล่อยให้มันเลยผ่านไปได้

   "แล้ว...ไงบ้าง" ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้ม เสียงแทรกก็เกิดขึ้น

   "หมายถึง"

   "ปล่อยให้ได้อยู่กันสองคนแล้ว ได้อะไรบ้างล่ะ"
   
   ...นั่นหมายถึงเชนจงใจให้มันเป็นอย่างนี้เหรอ

   ฝืนลมหายใจให้เข้าออกสม่ำเสมอคล้ายคนยังอยู่ในนิทราลึก นึกกลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเสียงของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอาจดังไปถึงคนที่ห่างออกไปหนึ่งช่วงเบาะ พอเข้าใจฟีลลิ่งของตัวละครเวลาแอบดักฟังเลยล่ะ

   "แฟร์อยู่ข้างหลัง"

   ได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับเบาะนิดหน่อย เดาไปเองว่าคนนั่งเบาะหน้าคงขยับตัวมามอง "เห็นจากกระจกหลังแล้วว่าหลับ ...นั่นไงหลับสนิทเลย"

   หลับบ้าอะไรกันล่ะ!

   คนแกล้งทำเป็นหลับก็เลยต้องเล่นให้สมบทบาทมากที่สุด จากนั้นมันมีเพียงเสียงของเครื่องเล่นดนตรีบรรเลงเพลงไทยร่วมสมัยอีกช่วงใหญ่ธชาถึงตอบกลับไป

   "...คล้าย"

   "คือไม่ใช่?"

   เสียงแรกมาจากคนขับ และสวนด้วยคนนั่งข้างแทบจะทันที

   อะไรคือคล้าย แล้วที่บอกว่าไม่ใช่คืออะไรกัน...

   "ก็อาจจะ...เป็นไปได้"

   "อย่าพูดเรื่องอะไรที่มั่นใจอยู่แล้วชา"

   "พอ เดี๋ยวแฟร์ตื่น"
   
   บทสนทนาที่ยังจับประเด็นไม่ได้จบลงพร้อมกับข้อกังขาที่เพิ่มขึ้นจนเกือบล้น ความสงสัยเดิมก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผยแล้วยังต้องมาเจอเรื่องใหม่อีกเหรอ นี่พวกเขากำลังเล่นเกมอะไรกับผมอยู่หรือเปล่า ให้มาเป็นตัวละครที่ต้องเดินตามเส้นทางที่วางเอาไว้แล้วมันน่าโมโหนะ

   เอาเถอะ

   อย่างน้อยมันบอกว่าผมยังต้องผจญภัยต่อไปเหมือนกัน


***
   มาเร็วกว่าที่บอกเอาไว้นิดหน่อย รอบนี้ยังไงก็จะลงให้จบให้ได้ค่ะ เห็นวันเปิดเรื่องแล้วกลุ้มใจ (หัวเราะ)
   เทพนิยายในตอนนี้โหดกว่าตอนแรกที่ตั้งใจเลือกมากเลย เจ้าดันไปเจอพวกวิเคราะห์เนื้อหา มีหลายคนออกมาอธิบายสัญลักษณ์ที่ซ่อนเอาไว้เยอะแยะอยู่เหมือนกันค่ะ เจ้าอ่านไปสักพักแล้วต้องบอกตัวเองว่ากลับมาแต่งให้จบก่อน ไม่งั้นอีกนานแน่...แต่บางคนก็บอกในอีกแง่ว่ามันเป็นการแต่งที่ไม่มีอะไรแอบแฝงนะคะ
   ส่วนเนื้อหาหลักก็บอกไม่ได้ว่ามีแอบเอาไว้เยอะแค่ไหนเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมชาดูมีเงื่อนงำในการเข้ามาหาแฟร์ แต่แฟร์คือตัดเชือกทิ้งทุกสะพานเลยจริงๆ อยากรู้ตอนต่อไปแล้วค่าาา  :impress2:

ออฟไลน์ คุณพระ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
หื้ออออออ  ภาษาดีมากเลยค่ะ  แล้วก็น่าติดตามมากๆ พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง๊ :katai1:
สู้ๆนะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ 

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
การบรรยายเรื่องดีจังเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกกลัวธชาไปด้วย เพราะไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆมาเข้าหาแฟร์แบบนี้ทำไม
มันว่างไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย55555

แต่เชนเหมือนจะรู้อะไรนะ

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านจนถึงตอนล่าสุดแล้วกลัวจัง คล้ายที่คืออะไร? แล้วสรุปคือใช่หรือไม่ใช่ งงไปหมดแล้ววว
แฟร์ก็ดูเป็นพวกปิดกั้นตัวเองมากๆ แต่ก็มีคนที่แฟร์พอจะคุยด้วยอยู่ เช่นคนที่ส่งรูปมากับข้อความยาวๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงพ่อแม่ไหม

ไหนจะคนในอดีตแฟร์ที่เคยไปทำที่คั่นหนังสือด้วยกันอีก
จะบอกว่าความจำเสื่อมก็ไม่ใช่ เพราะเนื้อหาก็ดักทางมาแล้วว่าไม่จริง5555

จะคอยติดตามนะคะ พลอตน่าสนใจมากเลย

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก เป็นกำลังใจให้นะค้า มีเราคนนนึงนะคะที่อ่านอยู่  :impress3:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
มาติดตามนะคะ :katai4:

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบในทุกๆ อย่างของเรื่องนี้เลยค่ะ มันดีไปหมด ;///;
ภาษาสวยมาก อ่านง่าย ชอบเรื่องที่เป็นเทพนิยายต่างๆ ด้วยค่ะ
ความรู้เรื่องเทพนิยายมีน้อยมาก พอได้อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้อ่านเทพนิยายไปด้วยเลย ชอบมากค่ะ
ชอบพระนายในเรื่องด้วย ส่วนมากชอบเห็นคาแรคเตอร์คล้ายๆ แฟร์ที่จะเป็นฝ่ายไปชอบพระเอกที่คาแรคเตอร์แบบธชาก่อน
แต่เรื่องนี้ธชาเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน อีกทั้งไม่ได้แอบชอบกันมาก่อนทั้งคู่ด้วย(? รึเปล่าน้า)
ชอบความเชนที่เหมือนจะเฟรนลี่แต่ดูลึกลับสุดด้วย 5555

ยังไงก็ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ แบบนี้มานะคะ ติดตามเลยค่า  :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ลึกลับสุดๆ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่หก


   จำไม่ได้หรือว่าข้ามักจะนอนอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ
   - Kisa The Cat

 

   "หนาว"

   "..."

   "หิวด้วย"

   "..."

   "แฟร์ เราออกไปกินข้าวกันเถอะ"

   ผมปิดสมุดตรงหน้าลง ลุกขึ้นพรวดพราดพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในมือ เดินออกจากที่นั่งประจำไปยังชั้นวางหนังสือโดยไม่สนเสียงร้องเรียกที่ไล่ตามหลังมา

   ตรวจเลขรหัสตรงสันกับหน้าชั้นวางทำจากเหล็กแบบโบราณ เดินเข้ามาข้างในจนเจอกับช่องที่หยิบมาเมื่อช่วงต้น วางมันไว้ตามเดิมพลางตรวจดูว่ามีเล่มอื่นน่าสนใจกว่าหรือเปล่า ไม่ชอบงานเดี่ยวที่ต้องใช้พลังงานในการเล่นใหญ่อย่างนี้เลย กว่าจะเจอสักเรื่องต้องเปิดหาหลายเล่มแล้วยังทวนเป็นร้อยรอบ

   "งานเดี่ยวเหรอ"

   เจ้าของความน่ารำคาญยังคงตามมาหลอกหลอน ผมปรายตามองเชนินทร์ผู้ยืนอยู่อีกฝั่งของชั้นที่ทะลุถึงกันได้ ส่งสายตาเอือมระอาเต็มทนผ่านเลนส์แว่นไป "อืม"

   "ช่วยไหม"

   "เงียบสิ นั่นจะช่วยมากเลยล่ะ"

   ถ้าจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนน่ากลัวยอมทำเองแล้วได้คะแนนตามเนื้อผ้าดีกว่า ดีไม่ดีให้เชนช่วยอาจจะทำให้งานเสร็จช้าลงกว่าเดิมอีก

   เสียงหยันในลำคอบอกผมให้รู้ว่าใบหน้าของอีกคนแสดงออกอย่างไรโดยไม่ต้องเห็น "ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ ถามจริง"

   วันนี้ธชาไม่ได้มา บอกไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วว่าต้องไปธุระกับทางบ้าน วันนี้ผมเลยมีนมรสหวานต่างจากทุกวัน เชนนี่ก็แปลก ขนาดผมจิกไปว่าทำตัวเหมือนพวกซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเขาก็ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อได้อีก

   เลื่อนหนังสือสภาพโทรมออกมา เปิดหาหน้าสารบัญว่ามีหัวข้อที่ผมต้องการหรือไม่ ถ้ามันไม่ได้มีข้อมูลที่ดีมากจนได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องคนยืมรายก่อนๆ คงเป็นพวกไม่รักษาของขั้นสุด

   "เรียนแบบนี้ก็เหนื่อยอยู่แล้ว"

   "หมายถึงเรื่องของชา”

   เสียงพลิกกระดาษที่เคยดังเป็นซาวด์ประกอบหายไปแล้ว ผมถอนหายใจออกมาให้อีกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากใส่ใจเท่าไหร่

   “ต้องทำงานด้วยกัน” ย้ำว่าเรารู้จักกันในฐานะไหน

   “วันนี้ชาไม่อยู่ เปิดโปรโมชั่นให้ถามอะไรก็ได้ฟรี”

   “เพื่อนนี่เขาขายกันลับหลังอย่างนี้เหรอ”

   “นี่ช่วยเพื่อนอยู่ต่างหากล่ะ”

   “ขอบคุณในความหวังดี แต่ถ้าอยากรู้อะไรเดี๋ยวเราไปหาเอง”

   กลับมามองตั้งหนังสือตรงหน้า สองจิตสองใจกับอีกเล่มที่วางไว้ต่อจากนั้น หัวข้อเรื่องเดียวกันแต่อีกเล่มมีชื่อคนอื่นเป็นผู้แก้ไขเพิ่มเติม พวกนี้เปิดอ่านไม่กี่หน้าจะไม่เห็นความแตกต่าง แต่ก็ไม่อยากหยิบไปเพื่อเจอว่ามันแทบจะเป็นการคัดลอกแล้ววางลง

   “ถามมาเถอะ อะไรก็ได้”

   “เอาเล่มนี้ไปด้วยดีไหม?” ลากคนช่างยุมาใช้ประโยชน์ดีกว่า ทั้งไม่ต้องได้ยินเขาร่ายมนตร์กรอกหูแล้วก็ไม่ต้องตัดสินใจเองอีกต่างหาก

   “อะไรนะ?”

   “เราจะเอาเล่มนี้กลับไปอ่านดีไหม”

   ใบหน้ายุ่งติดปรับอารมณ์ไม่ทันของเชนตลกดีเหมือนกัน เขายังคงยืนอยู่ในล็อกถัดไปจากของผม เสียงพึมพำในลำคอบอกว่ากำลังใช้สมาธิในการเลือกอยู่ไม่น้อย

   “แล้วมันต่างกันยังไง”

   “เรื่องเดียวกัน แต่เล่มนี้มีคนเพิ่มเติม” ยกให้เห็นว่าหน้าปกทั้งสองเล่มมีชื่อคนแต่งเหมือนกัน

   “เพิ่มเติม?”

   “หนังสือมันเก่าก็ต้องมีการปรับปรุง”

   “แล้วทำไมไม่เอาไปแต่เล่มใหม่?”

   “เผื่อบางอย่างเอาออกไปแล้ว” ระหว่างอธิบายก็เปิดหนังสือเทียบกันไปด้วยเลย ดูจากสารบัญก็มีหลายส่วนที่ไม่ตรงกัน “อย่างเช่นเรื่องของการตีความหมาย...”

   “ก็เอาไปทั้งคู่”

   “นั่นสิ ไม่เห็นยาก”

   เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าที่ผมถามทั้งหมดก็แค่หาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่คุยในประเด็นที่น่าปวดหัว เหมือนเชนจะลืมไปแล้วว่าตอนแรกเดินตามผมมาเพราะอะไร เราสองคนถึงกลับไปอยู่ในพื้นที่ประจำได้โดยไม่ต่อปากต่อคำกันอีก

   หนังสือตรงหน้าสองเล่มถูกจ้องไม่วางตาโดยคนฝั่งตรงข้าม ตามเดิมบนโต๊ะสี่เหลี่ยมจะมีแค่ผมนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงคนเดียว พอมีอีกสองคนเข้ามาเสริมมันเลยจะมีมุมหนึ่งถูกเว้นว่างเอาไว้สำหรับวางของใช้ส่วนตัวปะปนกันไป ปกติเชนจะนั่งถัดออกไปทางขวาส่วนธชาเปลี่ยนไปมาตามอารมณ์

   “อยากเอาไปอ่านก่อนไหม”

   ยังเหลือที่ต้องเคลียร์อีกเล่ม เขาส่ายหัวไปมาจนเส้นผมยาวเกือบปรกหน้าไหวไปตามแรง ชั่ววูบหนึ่งนัยน์ตาของคนแสนดีฉายแววเจ้าเล่ห์จนผมนึกหวั่น

   บอกแล้วไงว่าเชนินทร์ไม่น่าเข้าใกล้

   "มีอะไร?"

   "แฟร์นี่เก่งจังเนอะ" เสียงทุ้มนิดหน่อยตามสไตล์ผู้ชายมีความนัยแฝงอยู่ "เอาเป็นว่าเราจะขยายโปรโมชันให้จนกว่าจะอยากถามแล้วกัน"

   วกกลับมาเรื่องนี้จนได้ "ไม่ถาม"

   ผมไม่รู้จัก 'ธชา' หรอก

   แล้วผมก็ไม่รู้จัก 'เชนินทร์' เหมือนกัน

   จากสิ่งที่พวกเขาหลุดปากคุยกันเมื่อวันก่อนเป็นบทเรียนให้ผมรู้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามไว้ใจทั้งนั้น

   “โห่ อย่างนี้ก็ไม่สนุกสิ”

   ขยับยิ้มเล็กน้อยส่งคืนไปให้ “แต่เราสนุกมากเลยล่ะ”

   พอหาข้อมูลทำงานต่อก็ไม่สนใจเสียงรบกวน คนขี้เบื่อเลยขอออกไปหาอะไรกินข้างนอกเรียบร้อย นี่ผมไล่ทางอ้อมด้วยการบอกว่าถ้าไม่สะดวกก็กลับไปได้เลยเชนินทร์ก็ยังยืนยันที่จะปักหลักอยู่ด้วย บอกว่าถ้าธชาโทรมาเช็กแล้วไม่อยู่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

   จงรักภักดีเสียเหลือเกิน

   เปิดอ่านเล่มหลักในส่วนที่ตัวเองต้องการ ผมไม่ชอบหาข้อมูลเบื้องต้นจากอินเทอร์เน็ต มันมักจะเป็นข้อมูลชุดเดียวกันที่ไม่ผ่านการคัดกรองสักเท่าไหร่ เพื่อความสบายใจผมชอบหาจากหนังสือมากกว่า เผื่อว่าถ้าผิดพลาดอะไรก็ยังเอาตรงนี้ไปใช้อ้างได้

   เจอส่วนที่ต้องการครบถ้วนแล้วจึงเอาโพสต์อิทแผ่นเล็กมาคั่นเอาไว้ เปลี่ยนไปเปิดอีกเล่มในช่วงเวลาเดียวกับที่เพื่อนร่วมโต๊ะกลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกสกรีนชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นในห้าง ผมถลึงตาใส่คนแหกกฎห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มใส่แก้วเข้ามาข้างในเพื่อที่จะได้รับรอยยิ้มกวนๆ กลับมา

   “ออกไปกินข้างนอก”

   “อยู่แล้ว นี่มาเรียกให้ไปกินด้วยกันไง”

   “ไม่เป็นไร”

   ถึงจะบอกตัวเองว่ามันคงเป็นนิสัยของคนห่วงใยเพื่อนฝูงเสมอผมก็ยังไม่ชอบมันอยู่ดี ทั้งคู่มักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากอยู่เป็นประจำรวมถึงลากให้ผมทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมกันตลอด อย่างเรื่องอาหารตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมทานมื้อเย็นคนเดียวแบบนับครั้งได้เลยล่ะ

   “ซื้อมาแล้ว”

   “เอากลับไปกินเป็นข้าวเช้าพรุ่งนี้สิ” บอกด้วยตรรกะของคนทั่วไป

   “ไม่เอา ไม่ชอบของเวฟ”

   "งั้นจะทำอะไรก็เชิญ” ให้พื้นที่ไว้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเถอะ ต้องทำตามคนอื่นตลอดเวลามันทรมานจะตายไป "เราไม่กิน โอเคนะ"

   "ไม่โอเค"

   เชนคิดว่าชีวิตของผมมันเรียบง่ายเกินไปเลยอยากจะทำให้มันมีอะไรน่าตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมาหน่อยหรือเปล่า

   “เราหิว แล้วเราก็ต้องอยู่กับแฟร์ เพราะงั้นเรากินตรงนี้นะ”

   “จะบ้าเหรอ!” เอ็ดเข้าให้ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องหนึ่งกับเรื่องสองมาประกอบแล้วสรุปใจความเอาเอง

   “แอบกินขนมตั้งหลายรอบแล้วยังไม่เป็นไรเลย”

   “เพราะนั่นเป็นแค่ขนม”

   อีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกประสาทจะกินคือการแหกกฎทุกครั้งเท่าที่ทำได้ของคู่เพื่อนนี่แหละ ธชาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเชนนี่ตัวดีเลย จากของทานเล่นไม่มีกลิ่นอย่างพวกลูกอมมันก็เริ่มขยับเป็นขนมถุงใหญ่ ไม่นานนี้มันกลายเป็นถุงคุกกี้จากร้านเบเกอรี่มีชื่อแถวมหาวิทยาลัย เปรยๆ ว่ากำลังหาวิธีเอาแก้วกาแฟเข้ามาแบบไม่ให้ใครเห็นอยู่

   "เอาน่า" การพยายามปลอบใจด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสำหรับผม เชนินทร์ยักคิ้วขึ้นคล้ายกำลังบอกว่ามีแค่ผมนี่แหละที่จริงจังกับทุกอย่างไปเอง "การรักษาความลับมันมีกฎแค่ข้อเดียวเองแฟร์"

   เป็นอีกครั้งที่ผมทำได้เพียงปั้นหน้านิ่งซ่อนความหวาดระแวงเอาไว้

   "อย่าให้ใครจับได้ก็พอ"


 
   ในท้ายที่สุดผมก็ต้องพาตัวเองออกมาอยู่ตรงม้านั่งข้างตึกจนได้ มันยังเปิดไฟเอาไว้สว่างทั่วบริเวณสำหรับอำนวยความสะดวกและให้ความปลอดภัยกับนักศึกษาที่เดินไปมาช่วงกลางคืน หลังจากมีการร้องเรียนไปตั้งแต่หลายปีก่อน

   ช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงสอบที่จะเห็นกลุ่มติวจนกลายเป็นติวเตอร์เซ็นเตอร์ เกือบจะเป็นส่วนร้างที่มีไว้ให้สุนัขประจำตึกครอบครองแล้วด้วยซ้ำ

   เชนเลือกโต๊ะตัวเกือบในสุดไร้ผู้คนรอบข้าง ผมนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขาบริการทุกอย่างเสร็จสรรพ ถ้าอยากจะลากผมออกมาด้วยขนาดนี้ก็ต้องมีการจูงใจที่ได้ผลหน่อยล่ะ

   "ดูแลดีจังนะ"

   จะว่าไปแล้วเชนนี่ก็แสนดีอย่างนี้ตลอดเลยนะ เวลาอยู่กันสามคนเขาก็มักจะเป็นคนไปสั่งอาหาร หรือไม่ก็จัดวางอะไรให้เป็นระเบียบพร้อมสำหรับการรับประทาน  เรียกได้ว่าถ้าเป็นเพื่อนกันธรรมดาคงจะเป็นจำพวกพ่อพระมาโปรด เพื่อนแสนประเสริฐ อะไรทำนองนั้น

   "ก็เฉพาะกับแฟร์นี่แหละ"

   "ถือว่าเมื่อกี้เราไม่ได้พูดแล้วกัน"

   “หึ แพ้บุหรี่หรือเปล่า?”

   มองข้าวหน้าปลาสีส้มตรงหน้าตัวเองแล้วเงยขึ้นมาหา ในมือของคนไม่น่าเข้าใกล้มีซองบุหรี่ลายแปลกกับไฟแช็กราคาสูงอยู่ จะสูบหรือไง

   “ไม่” หยิบช้อนส้อมพลาสติกงานดีมาไว้ในมือ เตรียมพร้อมสำหรับมื้อเย็น ได้กินข้าวฟรีอีกมื้อแล้วสิ

   “งั้นจุดไล่ยุงได้ไหม”

   หยุดมือของตัวเองไว้ที่อีกครึ่งเซ็นต์จะถึงตัวปลา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงในขณะที่อีกคนส่งยิ้มแจ่มใสมาให้

   “ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาว่าบุหรี่ไล่ยุงได้หรือไง”

   “ไม่”

   และก็ไม่เชื่อด้วยว่ามันไล่ได้จริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมียากันยุงออกมาเป็นหลายสิบแบบหรอก

   “พูดแต่คำว่า ‘ไม่’ นี่ไม่เบื่อเหรอ”

   พอได้ยินอย่างนั้นทำไมผมถึงกระตุกยิ้มก็ไม่รู้สิ “ไม่”

   “แต่ถ้าเราจุดก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

   “ไม่นะ แต่เราคิดว่ามันไร้ประโยชน์”

   บอกไปอย่างที่คิด คนเรียนคณะทางสายวิทยาศาสตร์อย่างเขาน่าจะรู้ดีกว่าคนที่เอาแต่เรียนความเป็นมาและการเปลี่ยนไปของภาษาอย่างผม นอกจากควันของบุหรี่ไม่น่าจะช่วยกำจัดแมลงกวนใจแล้วกลิ่นของมันอาจเพิ่มสารพิษในปอดของคนเรามากกว่าอีกด้วย

   “ก็ได้” ซองกระดาษในมือถูกวางลงอย่างเบามือ “เราสั่งปลาแซลมอนมาให้นะ ชามันชอบ”

   อยากจะเสกให้มีเครื่องมือที่เจาะเข้าไปถึงข้างในสมองส่วนของการประมวลผลของเชนได้ ดีที่ยังไม่แบ่งส่วน เรื่องอย่างนี้ควรบอกผมตั้งแต่หยิบแล้วไหม “งั้นเก็บไปให้ธชาด้วย”

   “ไม่อะ นี่เราสั่งให้แฟร์”

   “ด้วยของที่คนอื่นชอบ?”

   คนเราต้องมีระบบความคิดที่ประหลาดขนาดไหนถึงใช้วิธีการนี้ หรือถ้าไม่บอกเลยจะดีกว่าหรือเปล่า

   “ก็ไม่รู้ว่าแฟร์ชอบอะไร แต่รู้ว่าชาชอบอะไรไง”

   หมดทางจะต่อล้อต่อเถียง ต่อให้ผมมีเหตุผลที่ดีและเข้าท่ากว่านี้มากแค่ไหนเขาก็หาเรื่องอื่นมาตลบได้อยู่ดี อีกอย่างคือไม่อยากคิดไปเองว่ามุมปากยกขึ้นติดร้ายที่มาพร้อมประโยคท้ายสุดนั่นมันมีอะไรซ่อนเอาไว้ ถึงไม่ใช่คนเซ้นส์ดีก็ใช่ว่าจะเป็นพวกนอกโลกที่เข้าใจยาก

   “งั้นรู้ไว้ว่าเราชอบซีฟู้ด”

   “อ่าฮะ จะจำไว้นะ” ท่ารับปากแบบขอไปทีที่แสดงออกมาไม่ได้สอดคล้องกับคำพูดเลยสักนิด เราสองคนเริ่มทานมื้อเย็นของตัวเองไปเงียบๆ ไม่รบกวนกัน เรื่องดีคือเชนไม่จุดบุหรี่เพื่อไล่ยุงอย่างที่บอก ส่วนเรื่องแย่คือตอนนี้ทั่วบริเวณเหลือแค่ผมกับเขาสองคน ไม่มีใครคิดอยากจะนั่งตากลมตอนช่วงเย็นบ้างเลยหรือไง

   เมื่ออิ่มตามความเคยชินของเด็กรุ่นใหม่ก็จะหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมา โทรศัพท์ของเชนเป็นรุ่นที่รองรับการใช้ปากกาเป็นอุปกรณ์เสริม ผมเห็นเขาชอบหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อย่างนี้บ่อย บางทีก็เป็นลายมืออ่านยากยาวติดต่อกันเป็นพรืด หรือบางครั้งก็เป็นรูปวาดลายเส้นเป็นเอกลักษณ์บอกเล่าเรื่องราว

   ส่วนผมคนที่ไม่ได้หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากห้องสมุดด้วยเลยต้องมองรอบข้างเรื่อยเปื่อยแทน

   “น่ารักไหมแฟร์”

   “หือ?” กำลังดูใบไม้แห้งร่วงหล่นสู่พื้นดินตามกฎของธรรมชาติเลยไม่รู้สึกตัวว่าตรงหน้ามีของบางอย่างวางอยู่ มือถือของเชนโชว์รูปวาดสัตว์แสนเอาแต่ใจอย่างเจ้าแมวเหมียวเอาไว้ มันมีขนยาวฟูฟ่องเห็นได้จากรอยหยักแทนขอบ หูตั้ง ตาดุไม่น่ารัก เขาวาดไว้แต่โครงเส้นผมเลยบอกไม่ได้ว่าแมวตัวนี้มันมีสีอะไร

   “แมว น่ารักไหม”

   “ก็ดี” หมั่นไส้ไม่อยากให้เหลิง แม้ว่ามันจะน่ารักมากก็ตามที

   “ชื่อคิสา ถ้าอ่านไม่ผิดนะ”

   “เลี้ยงเองเหรอ”

   “เปล่า แมวในเทพนิยาย”

   ไม่คุ้นชื่อนั้น อาจเป็นเพราะผมอ่านมากจนไม่อาจจำรายละเอียดได้หมด

   “อ่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ชอบเลยเอามาทำเป็นการ์ตูนอ่านเล่นเอง”

   หน้าจอสี่เหลี่ยมของเครื่องสารพัดประโยชน์ถูกเจ้าของกดคำสั่งบนหน้าจอสองสามครั้ง จนไปจบที่รูปของหญิงสาวในชุดคล้ายกับราชินีเพราะมีเทียร่าสวมอยู่ตรงศีรษะ ด้านข้างมีแมวแม่ลูกอ่อนนอนอยู่

   “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”

   มันเป็นเรื่องของราชินีผู้ไม่มีบุตรเสียที เธอรู้สึกอิจฉาที่แมวมีลูกได้ในขณะที่เธอพยายามมากแคไหนมันก็ไม่เคยสำเร็จ หล่อนเฝ้ารำพันถึงความเศร้าโศกที่ตนเองต้องเผชิญ เมื่อแม่แมวได้ยินดังนั้นจึงไปปรึกษากับนางฟ้า ด้วยพรวิเศษในที่สุดราชินีก็ให้กำเนิดบุตรสาวสมความปรารถนา

   ภาพต่อมาเป็นทารกตัวน้อยในเปลกับเจ้าลูกแมวนอนอยู่เคียงข้างกัน ผมชอบที่เชนวาดเส้นผมสั้นๆ ของทารกแทนรายละเอียดของเด็กนั่นจัง

   เจ้าหญิงน้อยกับลูกแมวเป็นคู่สนิทที่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ หากแมวหายไปไหนเจ้าหญิงก็จะร้องเรียกจนกว่าจะเจอสหายของตนเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าแมวน้อยก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ แม้ราชินีจะให้คนทั้งวังตามหาทุกซอกทุกมุมแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยใด

   เวลาถัดมาหลายปีทารกน้อยก็เติบใหญ่เป็นเจ้าหญิงแสนสวย วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังเล่นกับลูกบอลอยู่นั้นปรากฏว่าบอลหายไปไกลจนต้องออกตามหา ในที่ที่ไม่คุ้นเคยเธอได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง เสียงนั้นแนะนำตนเองว่าเป็นน้องสาวของเธอ เจ้าหญิงผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวย่อมไม่เชื่อเสียงปริศนา เธอกลับมาที่วังพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดที่ประสบให้มารดาฟัง

   ราชินีเมื่อได้รับฟังเรื่องทั้งหมดจึงเล่าความทรงจำในช่วงเวลาเยาว์วัยเกี่ยวกับเจ้าแมวตัวลูกให้บุตรสาวฟัง เมื่อเจ้าหญิงได้ทราบดังนั้นวันต่อมาเธอจึงออกตามหาเจ้าของเสียง แต่โชคไม่เข้าข้างเมื่อเธอถูกยักษ์จับตัวไป ในช่วงแรกเจ้ายักษ์สั่งให้เธอเดินตาม แต่ไม่นานนักเจ้าหญิงน้อยก็หมดแรงที่จะก้าว เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ยักษ์แสนดุร้ายทำคือตัดขาทั้งสองข้างของเจ้าหญิงออกไปเสีย จากนั้นก็จากไปพร้อมกับขาแล้วทิ้งหล่อนไว้ในป่าเพียงลำพัง

   คราวนี้รูปวาดบนหน้าจอของเชนคือเจ้าหญิงที่กำลังร้องไห้โดยไร้ขาทั้งสองข้าง มีสีแดงฉานแทนความเจ็บปวดที่ได้รับ รูปที่ผมบอกว่าน่ารักคราวนี้มันก็ยังใช้คำนั้นได้อยู่แหละถ้าไม่คิดอะไรมาก เขาทำให้เนื้อเรื่องแสนโหดร้ายลดความน่ากลัวลงไปได้ไม่น้อยเลยล่ะ

   “ทำไมไม่เรียนทางศิลปะ” เชนน่ะให้ฟีลลิ่งของเด็กสายศิลป์แบบสุดโต่งจะตายไป

   เจ้าของรูปวาดยกไหล่ขึ้น “ชอบวาด แต่ไม่ชอบทฤษฎี”

   “เรียนวิทยาน่าจะต้องจำมากกว่าอีกนะ”

   “มันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ได้จริง อีกอย่างมันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลมากกว่า”

   พอเข้าใจไม่ตรงกันเลยวกกลับเข้าสู่เรื่องเดิมได้ ถัดไปเป็นเจ้าแมวเหมียวช่วยพาเจ้าหญิงไร้ขาไปกบดานในบ้านพัก เชนวาดให้แมวมันตัวใหญ่จนคล้ายหมีมีหางยาว เขาบอกว่ามันไม่เมคเซ้นส์เท่าไหร่ที่แมวจะพามนุษย์หนีไปได้

   เจ้าแมวบุกเข้าไปในบ้านของยักษ์ใจร้าย มันแอบเทเกลือจำนวนมากลงไปในอาหารของคู่ยักษ์สามีภรรยา นั่นทำให้อมนุษย์ตัวใหญ่รีบออกไปตามหาแหล่งน้ำเพื่อดับกระหาย เปิดโอกาสให้ผู้บุกรุกได้เข้าไปตามหาขาที่ถูกตัดออก เจ้าแมวออกมาพร้อมกับขาทั้งสองข้างและหญ้าวิเศษที่จะช่วยสมานแผลให้หายดี

   ด้วยความช่วยเหลือนี้เจ้าหญิงจึงกลับสู่อ้อมกอดของราชินีได้โดยปลอดภัย แต่ไม่มีใครพบกับเจ้าแมวสหายรักของเจ้าหญิงอีกเลย ด้วยความผิดหวังที่เจ้าแมวผู้ช่วยชีวิตจากไปโดยไม่ลานางจึงตรอมใจ ไม่ยอมกินหรือนอน พระราชาจึงได้แก้ปัญหาด้วยการจัดงานอภิเษกให้กับเจ้าหญิงเสีย

   ในคืนวันแต่งงานนั้นเองเจ้าแมวได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันร้องขอสิ่งหนึ่งจากเจ้าหญิงนั่นคือการขอให้ตนได้นอนหลับตรงปลายเตียงของเธอ แน่นอนว่าเจ้าหญิงไม่มีทางปฏิเสธ เช้าวันถัดมาเจ้าแมวกลับกลายเป็นเจ้าหญิงแสนงดงาม แล้วความจริงก็ปรากฏว่าที่แท้แล้วเจ้าแมวแม่ลูกทั้งสองตัวนั้นเป็นมนุษย์ที่ถูกนางฟ้าสาปให้กลายร่างเป็นแมวจนกว่าจะถอนคำสาปได้ นั่นคือการทำความดีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

   และเหมือนกับเทพนิยายทั่วไป เจ้าหญิงแมวก็ได้อภิเษกสมรสกับคนรัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

   “ลำเอียงอยู่เหมือนกันนะ”

   ผมเปรยเมื่อเห็นชัดๆ ว่าเขาลงรายละเอียดรูปในส่วนของเจ้าหญิงแมวมากกว่าเจ้าหญิงที่เคยขาขาด อ่านมาหลายเรื่องจนทำใจได้กับการเล่าเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สักแต่จะจบแบบมีความสุขให้ได้ก็พอ

   “ก็น่าสงสารกว่านี่”

   “ตรงไหน”

   “ทุกอย่างเลย”

   หน้าจอที่สว่างมาเป็นเวลานานดับลงไปแล้ว ผมผละตัวเองออกมาเก็บกล่องอาหารเย็นให้เรียบร้อย ตบท้ายด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่หยิบติดตัวออกมาด้วย

   “แต่เจ้าหญิงก็ไม่ต้องทำอะไรดีนะ” ขนาดถูกฟันขาขาดยังมีคนเอามาต่อให้ถึงที่

   “ทำไมไม่เอานมออกมาด้วยล่ะ”

   “บอกแล้วว่าไม่ชอบ”

   “ไม่เสียดายเงินเราหน่อยเหรอ”

   “ไปเรียกเก็บเอาจากเพื่อนตัวเองแล้วกัน”

   มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย ในเมื่อบอกแล้วว่าไม่ต้องการแต่ก็ยังเอามาไม่หยุดหย่อนก็ปล่อยให้เอาเงินมาทิ้งเสียเปล่าเอง ผมลองคำนวณดูแล้วว่าถ้าธชาเอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นมันก็ได้ของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน

   เราสองคนเดินกลับเข้าไปในตัวตึกพร้อมกัน มารยาทขั้นพื้นฐานในการใช้ห้องสมุดลดระดับเสียงการพูดคุยของเราตามไปด้วย

   “สรุปแล้วชอบเรื่องนี้เพราะอะไร”

   นั่งฟังเขาเล่าแล้วไม่เห็นจะมีส่วนไหนที่น่าประทับใจเลยสักนิด อย่างแมวตัวแม่เองก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้ถอนคำสาป ยังไม่รวมที่ตัดขาขาดเป็นเวลานานแล้วสามารถเอามาต่อได้สนิท ตามหลักการแพทย์แล้วเจ้าหญิงควรจะตายเพราะขาดเลือดไปแล้วด้วยซ้ำ

   “ก็ชอบตอนจบ”

   “ที่อยู่ดีๆ ก็ได้แต่งงานกับเจ้าชาย?”

   “เปล่า..."

   แสงสว่างตรงหน้าจอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ผมถึงเห็นว่ามันคือไฟล์ที่อยู่นอกเหนืออัลบั้มก่อนหน้าที่ใช้เล่าเรื่อง เป็นภาพกึ่งวาดจริงกึ่งวาดเล่นของตัวละครปีกโตแสนสวย มันถูกลงสีไว้แค่ส่วนของเสื้อผ้าให้ความรู้สึกสดใส แต่ส่วนของปีกนั้นยังเป็นสีดำร่างเอาไว้รีบๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไร

   คล้ายกับว่าร่างจริงของเธอไม่ใช่เทวาแสนใจดี

   "ชอบตรงที่เฉลยว่าคนสาปเป็นนางฟ้าต่างหาก”

   แต่เป็นภูตตัวร้ายจากขุมนรก


***
   ช่วงนี้ก็ไปกันเรื่อยๆ ก่อนเนอะคะ ให้แฟร์ได้รู้จักกับคู่เพื่อนเพิ่มขึ้นหน่อย
   ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมกันนะคะ (ยิ้ม) เจ้ามีความสุขกับทุก feedback มากจริงๆ ค่ะ
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
เรื่องเริ่มลึกลับมากขึ้นทุกที
"การรักษาความลับมันมีกฎแค่ข้อเดียว...อย่าให้ใครจับได้ก็พอ" ประโยคนี้ทำเราสะกิดใจเลยค่ะ
ว่าแฟร์แอบปิดบังอะไรไว้อยู่รึเปล่า
ความลึกลับของเรื่องนี้ทำเราคิดไปต่างๆ นาๆ ถึงขั้นออกไปทางแฟนตาซีเลยก็มี555555

 :pig4: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทุกคนดูมีความลับเต็มไปหมด ตอนเชนให้ถามทำไมแฟร์ไม่ถามมมม คนอ่านอยากรู้หลายอย่างมากค่ะ ฮือ  :katai4:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ความลับมันน่าค้นหามากๆ ชอบคาแรกเตอร์ของแฟร์มากๆ เป็นลึกลับน่าค้นหาจริงๆ ชอบเรื่องเทพนิยายด้วยมันช่างสอดคล้องกับสถานการณ์เหลือเกิน ภาษาดีมากๆอ่านง่าย ชอบความลึกลับของเรื่องนี้จริงๆ อ่านแต่ละตอนก็ชวนให้สงสัย ทุกคนดูลึกลับ 555 ช่างยั่วยวนจริงๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่เจ็ด


   ข้าไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริง!
   - Maid Maleen

 

   ผมเคยถามตัวเองว่า 'เพื่อน' สำคัญระดับไหนในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์ ตั้งแต่เด็กก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับความรู้สึกพวกนั้นมากเท่าไหร่ การได้รู้จักคู่เพื่อนอย่างธชากับเชนเองก็เป็นการเปิดโลกอยู่เหมือนกัน

   เชนเรียกมันว่าความคิดแบบเด็กๆ เมื่อธชาไล่เพื่อนของตัวเองออกไปจากห้องสมุดเพราะเมื่อวันก่อนเขาได้อยู่กับผมแค่สองคนไปแล้ว

   จากใจเลยนะ ไม่ต้องอยู่เลยนี่แหละดีที่สุด

   นมกล่องวางเอาไว้แบบเดิม และผมก็คงทำเหมือนทุกวันที่ปล่อยให้มันเป็นของประดับไป วันนี้ทั้งผมแล้วก็เขาไม่มีเวลามาทำงานกลุ่มเพราะต้องอ่านหนังสือสำหรับควิซอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะเรียกว่าใจร้ายก็ไม่เชิง แค่อาจารย์บอกว่าที่นัดเป็นสัปดาห์หน้าต้องเลื่อนเข้าเนื่องจากมีประชุมด่วนที่ต่างจังหวัด และเพื่อไม่ให้ไกลเกินไปเลยต้องใช้วิธีนี้

   วิชาเกี่ยวกับวรรณคดีน่ากลัวเสมอสำหรับผม และคนที่ฟาดตำแหน่งท็อปเสมอๆ ก็ยังนั่งอ่านหน้านิ่งไม่พูดจาอะไร ก็นะ นี่มันวิชาที่รู้กันรุ่นต่อรุ่นว่าคนได้เอมีนับหัวได้ ส่วนการได้ซีเป็นเรื่องธรรมดาสุด เขาก็คงหวังที่เดิมไว้แหละ

   หยิบไฮไลต์ออกมาขีดส่วนที่คิดว่าสำคัญ ตั้งใจว่ากลับบ้านจะไปทวนอีกสักรอบ ผมไม่ได้หวังคะแนนอะไรสูงมากมายเลยขอแค่ผ่านก็มีความสุข อ่านไปจนถึงส่วนที่เพิ่งนึกได้ว่าจะจดเพิ่มเติมเลยหยิบปากกามาขีดเขียนลงไปก่อนจะลืมอีกครั้ง

   “...”

   สะดุดกับสีหมึกแปลกตากว่าของคนอื่น สีน้ำเงินเกือบดำคล้ายกรมท่าในบางที มันเคยเป็นสีที่ผมคุ้นมาเสมอจนกระทั่งเขาเป็นผู้หยิบยื่นมันมาให้ เพราะพอเห็นมันทีไร...ผมก็จะต้องตั้งคำถามขึ้นมาทุกทีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   “ไม่เข้าใจเหรอ?”

   เสียงเรียบเรียกให้ออกจากภวังค์ ผมรีบปฏิเสธกลับไปพลันด้วยการส่ายหน้าไปมา กดหน้ามองลายมือของตัวเองที่เขียนประโยคประหลาดนอกเหนือจากบทเรียนลงไป ช่วงต้นมันก็ยังเป็นคำที่ผมเขียนเกี่ยวกับข้อสอบอยู่แหละ ส่วนที่อยู่ในบรรทัดสุดท้าย

   Who are you?

   คุณเป็นใครกันแน่ธชา...

   “อยากรู้ตรงไหนก็ถาม ไม่ค่อยชอบวิชานี้นี่”

   “เราก็ไม่ชอบสักวิชา”

   เหมือนเป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติเวลาเขาบอกอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวผมเอง มันสั่งให้ผมรีบโต้กลับคืนไปก่อนที่อสูรร้ายจะหลงระเริงตนว่าเป็นผู้หยั่งรู้ในทุกเรื่อง

   “ตรงเรื่องของวรรณคดีกับปรัชญาระวังหน่อย คนชอบพลาดกัน”

   "ขอบคุณ"

   ธชาเป็นคนใจดีนะ ถ้าถามผมตอนนี้

   “แล้วก็ตรงประวัติความคิด อย่าจำสลับกันล่ะ"

   เข้าใจว่าตัวเองเหมือนคนที่ดูไม่มีความรู้ แต่ถ้าเรื่องไหนที่อาจารย์ย้ำทุกครั้งที่เข้าสอนนี่ก็ต้องเน้นเอาไว้แล้วไหมล่ะ ทำอย่างกับผมไม่เคยเรียนไปได้ ตัวเขาเองมากกว่าที่เข้าห้องเรียนน้อยกว่าผมไม่รู้กี่เท่า ยังไม่เคยเห็นอยู่ครบคาบได้เลยสักครั้ง

   “รู้แล้วๆ” ตอบรับไปให้จบบทสนทนาไปอย่างนั้น “ไม่ต้องห่วงเราก็ได้ เราโอเค”

   “อยากห่วง”

   “...”

   ผมเกลียดคำที่เขาเอ่ยออกมา

   “ไม่ต้อง” และปากก็โพล่งออกไปเร็วไม่ต่างกับสิ่งที่อยู่ในใจ

   รอยยิ้มจางปรากฏตรงมุมปากไร้ความหมาย อสูรร้ายต้องเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรกับอะไรอย่างนี้ไม่ใช่หรือไง แล้วเพราะอะไรยามเห็นมันประดับอยู่ถึงดูลงตัวยิ่งกว่าการฉีกยิ้มกว้างของบางคนอีก

   “งั้นเหรอ”

   “อ่านต่อไปเถอะ เราไม่กวนแล้ว”

   กลายเป็นรู้สึกผิดเสียอีกที่ทำให้ต้องมาเสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้สาระ ก็ถ้าบังเอิญคะแนนของเขามันลดลงมาแล้วอาจถูกโบ้ยให้เป็นความผิดของผมก็ได้ไง ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อนสิ

   เรียงชีตไว้บนโต๊ะเป็นชุดตามลำดับการสอน มันเป็นทางสองแพร่งเหมือนกันนะว่าเราจะเลือกชีตหรือว่าหนังสือถ้ามีเวลาในการอ่านไม่เพียงพอ พอจะอ่านแต่หนังสืออย่างเดียวก็กลัวว่าสิ่งที่จดเพิ่มเติมในชีตมันอาจจะดีกว่า แต่ถ้าให้อ่านแค่ชีตมันก็กลัวว่าจะไม่ครบอีก

   ชีวิตการเรียนทำไมต้องยากขนาดนี้นะ

   สมองของผมยังพยายามจดจำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แค่เนื้อหาก็ทำเอาอยากตะโกนโวยวายออกมาแล้ว ยังไม่รวมกับการวิเคราะห์ที่ต้องทำสำหรับการวิจารณ์อีก นี่ผมเป็นนักศึกษาหรือว่ากำลังเตรียมตัวเป็นศาสตราจารย์กัน

   เสียงแผ่นกระดาษเคาะลงกับโต๊ะบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมา ในมือของธชามีกระดาษกรีนรี้ดจำนวนหนึ่ง ดูจากแผ่นแรกแล้วมันเป็นการซีรอกซ์สมุดจดด้วยลายมือ หัวข้อที่อยู่ด้านบนสุดคือเรื่องที่ผมกำลังอ่านอยู่นี่แหละ อีกข้างถือสมุดเล่มที่สันนิษฐานว่าเป็นต้นฉบับเคาะกับบ่าเอาไว้

   "ไว้พรุ่งนี้จะมาติวให้ วันนี้พอแล้ว"

   "แต่นี่เพิ่งสี่โมงกว่า"
   
   พลิกดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองว่ายังเหลือเวลาในการทบทวนอีกนานเท่าไหร่ วันนี้ผมกับธชามีเรียนแค่ภาคเช้าเลยเข้ามาสิงอยู่ในห้องสมุดตั้งแต่บ่าย ตั้งใจว่าจะอยู่ไปถึงดึกเลย

   "อืม เวลากำลังดี"

   "กำลังดี?"

   ถามพลางนึกตัวเลือกที่ดูเข้าท่า ไม่ใช่การทานข้าวเย็นแน่ และเขาก็ไม่ได้นัดหมายก่อนว่าจะให้ไปไหนด้วย

   "ตอนนี้รถบนสะพานน่าจะยังไม่เยอะเท่าไหร่"


 
   ให้สรุปตามความเข้าใจ ธชาแค่ไม่อยากจะนั่งอ่านหนังสือต่อไปแล้วเท่านั้นแหละ

   "ชุดนี้ทำดีกว่าคราวที่แล้วอีกนะ"   

   พลิกตามกระดาษชุดใหม่ไปเรื่อยจนถึงหน้าสุดท้าย จากนั้นถึงวางเอาไว้บนตักตามเดิม ลายมือเป็นระเบียบแบบที่ไม่น่าจะเป็นเลคเชอร์ของคนไม่ค่อยเข้าเรียน ทุกอย่างถูกจัดเป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการเชื่อมโยง ส่วนไหนที่ต้องระวังก็มีดอกจันขนาดใหญ่เตือนเอาไว้

   สมุดจดของธชาเรียบร้อยอ่านง่ายเหมือนที่ผ่านมา ผมเคยรอดตายในวิชามนุษย์กับศาสนามาเพราะชีตผีที่แจกว่อนทั่วชั้นของเขานี่แหละ แต่มันก็มีไม่กี่วิชา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนทำในตอนนั้น

   เคยมีคนเอาไปขายต่อแบบเก็งกำไรให้รุ่นน้องด้วย เลยโดนอสูรขู่เสียจนไม่กล้าหน้าเลือด

   "ไม่หรอก"

   "ซีมาเท่าไหร่"

   “ให้”

   “คำนวณมา” ใช้กระดาษอย่างนี้แพงจะตาย

   “บอกว่าให้”

   “ไม่เป็นไร ถึงจะไม่อยากได้แต่นายก็เสียเงินไปแล้ว”

   เป็นความจริงเกือบหมดคือเขาเสียเงินไปแล้ว ส่วนที่เป็นความเท็จคือผมไม่อยากได้

   มองทางด้านหน้าที่ไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าธชากำลังเดินทางไปยังสะพานสักแห่งอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น แต่จะไปทำไมกันนะ

   "ก็มาด้วยแทนแล้วไง"

   อยากจะหัวเราะออกมาจัง ถึงไม่มีเรื่องนี้แต่ถ้าอยากให้ผมไปด้วยมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น นึกแล้วถ้าเชนอยู่ด้วยก็ดีสิ เขาต้องช่วยให้บรรยากาศมันดีกว่าตอนนี้แน่

   แสงแดดช่วงก่อนเย็นไม่มากเท่าทุกวัน ที่เห็นได้ชัดเลยคือการที่ผมไม่ต้องหรี่ตาลงเพื่อลดปริมาณของแสงที่ผ่านเข้ามา เสียงดีเจจากคลื่นวิทยุบอกสภาพอากาศว่ามีเมฆมากในช่วงเย็นและอาจมีฝนตกในบางพื้นที่ จากนั้นถึงเป็นอินโทรของเพลงอินเตอร์ที่กำลังฮิตในช่วงนี้

   เสียงร้องตามในลำคอจากคนขับเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน ผมฝืนตัวเองไม่ให้หันไปมองคนด้านข้างพร้อมกับทำหน้าตกใจที่ได้ยินอะไรอย่างนั้น เชนเคยบอกว่าธชาไม่ฟังเพลงไทย ส่วนเหตุผลจำได้แต่ว่ามันเป็นอะไรที่เด็กน้อยมากๆ

   จากถนนใหญ่เขาเลี้ยวเข้าสู่ทางใต้สะพานขนาดเล็ก ในช่วงแรกมันมีสองเลนแล้วยุบเหลือเพียงหนึ่งเมื่อผ่านไปครึ่งทาง ดูจากการเบี่ยงให้กับรถที่สวนมาแล้วแล้วคงคุ้นเคยพอควร มันอาจจะเป็นทางกลับบ้านหรือไม่ก็ขับรถเล่นประจำ

   จนในที่สุดเราก็เจอสะพานที่ว่า ผมยังไม่ทันอ่านชื่อสะพานได้ครบรถยนต์ของเขาก็ทะยานผ่านไปเสียแล้ว หน้าต่างทั้งสองข้างขยับลงตามคำสั่งที่ได้รับ แรงจากลมที่ปะทะเข้ามากะทันหันมากเสียจนภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำไปชั่วขณะ

   "ดูวิวฝั่งตัวเองไป เดี๋ยวขับอ้อมกลับมาอีกรอบอยู่แล้ว"

   ตอนแรกมันเป็นตึกประปรายตรงตีนสะพาน แล้วขยับเป็นกำแพงปูนต่อขึ้นมาจนมองอะไรไม่เห็น ก่อนที่ภาพมุมกว้างของเมืองหลวงจะปรากฎต่อสายตาเมื่อมันกลายเป็นกระจกใสแทน ผมจ้องมองมันไม่วางตา พาหนะที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไม่เท่าไหร่ช่วยให้ผมเก็บรายละเอียดได้หลายอย่าง

   จนถึงกลางสะพานสูงธชาก็หยุดรถ กดปุ่มไฟฉุกเฉินไว้แทนการบอกว่ารถมีปัญหา

   ซึ่ง...มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยไง

   "น่าจะอยู่ได้เกือบสิบนาที ลงได้เลย"

   บอกเร็วๆ แล้วก็เปิดประตูฝั่งตัวเอง ผมทำตาปริบมองเขาปีนออกไปยืนตรงทางเดินคนด้านนอกของสะพาน มีการหันมากวักมือเรียกให้รีบออกไปอีกต่างหาก

   คราวนี้ลมเย็นปะทะทั้งตัวไม่เฉพาะแค่หน้า ก้าวข้ามออกไปยืนอยู่ด้านนอกเหมือนอย่างที่ธชาทำ เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องมาเวลานี้ ก็ถ้าขืนมาหยุดรถเพื่อชมทิวทัศน์ตอนเวลาเลิกงานนี่คงโดนด่าไปเจ็ดชั่วโคตร

   "สวยไหม?"

   "ก็สวยดี"

   ตอบไปตามตรง เหม่อมองแม่น้ำสายใหญ่ที่แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง ตึกสูงเรียงรายด้านซ้ายเป็นตัวแทนของฝั่งที่เจริญกว่า ส่วนอีกข้างยังมีพื้นที่สีเขียวพอให้เห็นอยู่ไม่น้อย นึกเสียดายที่วันนี้เมฆมาก ไม่อย่างนั้นแล้วท้องฟ้ากับก้อนปุยสีขาวมันจะเป็นองค์ประกอบที่ดีเหมือนกัน

   ลมยังพัดผ่านเข้ามาต่อเนื่อง ผมหลับตาลงแล้วสูดอากาศเข้าไปลึก มันคงไม่ได้สะอาดหรือว่าเต็มไปด้วยออกซิเจน ก็แค่อยากจะเก็บความรู้สึกเอาไว้เท่านั้นเอง

   "เราชอบมาขับรถเล่นเวลาเครียดๆ" ฟันธงไปเองว่าเรื่องเครียดที่เขากำลังบอกคือเรื่องสอบย่อย "คิดว่าก็น่าจะชอบ"

   "ทำไมชอบคิดแทนกัน"

   ถามโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองหน้า ผมยังคงปล่อยให้ประสาทสัมผัสการมองเห็นซึมซับความสวยงามตรงหน้าต่อไป โอกาสที่ได้มาเห็นมันมีไม่มาก เพราะงั้นควรที่จะเก็บเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

   "เผื่อว่าจะได้เข้าใจแฟร์มากขึ้นไง"

   คิ้วสองข้างขยับเข้ามาหากัน ตะหงิดใจกับมันในระดับเล็กน้อยพอที่จะเลยผ่านไปได้โดยไม่ต้องจี้ให้ได้คำตอบ

   เวลาที่เหลือเราไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในโลกของตัวเองไปเงียบๆ ไม่รบกวนกัน พอผมชำเลืองเห็นว่าธชาเริ่มขยับตัวแล้วมันก็เป็นการบอกว่าช่วงเวลาคลายเครียดได้หมดลงไปแล้ว ต่อจากนี้คือการกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

   "...ขอบคุณนะ"

   คงเป็นคนนิสัยไม่ดีเกินไปหน่อยถ้าไม่ขอบคุณสำหรับการพามาเจอบรรยากาศน่าประทับใจ ชายที่ผมยังคงไม่รู้จักมากเท่าไหร่นักหันกลับมามองเพียงเสี้ยวหน้า ต่างหูแบบห้อยที่เปลี่ยนไปแบบไปจากคราวครั้งที่แล้วขยับตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย

   ก่อนรอยประดับสวยจะปรากฏตรงมุมปาก "ไม่เป็นไร"

   มันงามเสียผมจับได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไป


 
   ถือว่าเป็นการควิซที่ผมมั่นใจมากกว่าทุกครั้ง ด้วยอานิสงค์ของชีตผีงานพรีเมียมแล้วก็การติวหลักสูตรเร่งรัดก่อนเข้าเชือดหน้าห้องสอบสิบห้านาที แล้วก็เหมือนกันทุกทีที่ผมแยกกลับตรงประตูรั้ว รอรถโดยสารประจำทางเพื่อกลับบ้าน

   คว้าหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองออกมาจากกระเป๋า เข้าไปส่วนแอปพลิเคชันสำหรับพูดคุยเพียงชนิดเดียวในนั้น เมินข้อความใหม่ล่าสุดจากคนที่เพิ่งแยก นิ้วกดเข้าไปตรงห้องสนทนาที่อยู่ติดกันแทน

   ข้อความสุดท้ายคือสิ่งที่ผมส่งไปเมื่อคืน ยังไม่ปรากฏคำว่ารี้ดตรงหน้าประโยคแสดงว่ายังไม่เปิดอ่าน ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เก็บมันลงไปตามเดิมแล้วกว่าจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ตอบธชาก็เกือบเข้านอนแล้ว

   กดเข้าไปอ่านถึงรู้ว่ามันคือลิงก์ต่อไปยังไฟล์บางอย่างที่เป็นชื่อผสมระหว่างตัวอักษรภาษาอังกฤษกับตัวเลข มีคำอธิบายต่อจากนั้นว่าเป็นตัวงานส่วนของเขาที่เริ่มทำแล้ว

   ส่วนล่างสุดคือคำแนะนำว่าควรเปิดอ่านในคอมมากกว่า คนที่โดนเตียงดูดแล้วอย่างผมไม่มีทางลุกขึ้นไปเปิดโน้ตบุ๊กหรอก แค่กดไปตรงลิงก์ยังขี้เกียจเลย

   ต้องใช้ความพยายามจำนวนมากในการสัมผัส หน้าจอใหม่เผยขึ้นมาให้เห็นว่ามันคือส่วนของโปรแกรมเวิร์ดแบบออนไลน์ที่มีข้อความบางอย่างพิมพ์เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ส่วนของหน้าแรกเป็นคำอธิบายให้ผมเข้าใจง่ายๆ ว่ามันมีไว้ทำอะไร


   ไว้ทำงานด้วยกัน มันแก้ไขได้เลย

   เราทำสารบัญคร่าวๆ ไว้แล้ว แก้ได้ตามสะดวก



   ผมไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้าย ธชากำหนดหัวข้อเอาไว้ให้แล้วเสร็จสรรพ ตรงไหนที่เป็นส่วนของผมก็มีเขียนเครื่องหมายเตือนเอาไว้ข้างหลังด้วยกันผิดพลาด ตรงหน้าแรกๆ นอกจากหัวข้อแล้วยังมีเนื้อหาหลายบรรทัด

   อ่านไปแค่ไม่กี่ประโยคก็รู้แล้วว่าเขาเองอ่านเนื้อหาสำหรับทำงานนี้เยอะขนาดไหน

   เอาเวลาไหนไปทำนะ

   ตั้งคำถามในใจแล้วก็คงค้างไว้ตรงนั้น เล่นในโทรศัพท์อย่างนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ผมเลยไล่ลงมาจนถึงหน้าสุดท้ายให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรเล็ดรอดออกไปจากสายตาได้แล้วย้อนกลับมาในกล่องสนทนาอีกครั้ง

   รูปตัวแทนของธชาเป็นด้านหลังของเขาในมุมที่คงมีใครสักคน (แบบที่ไม่ต้องเดามาก) แอบถ่ายเก็บเอาไว้ ดูจากบรรยากาศต้นไม้สีเขียวโดยรอบแล้วคงเป็นสวนสาธารณะสักแห่ง ความหนาแน่นของพื้นที่สะสมออกซิเจนจุดประกายความคิดให้ผมอยากแวะไปเยี่ยมสถานที่อย่างนั้นบ้าง

   ธชาเอาเวลาไหนไปเสาะหาพื้นที่พวกนี้นะ


   T’CHA : อ่านนี่สิ


   ประโยคที่มาพร้อมกับลิงก์ที่สองเป็นส่วนต่อขยายที่ผมว่ามันไม่น่าเกี่ยวกับเนื้อหาแรก ลองกดเข้าไปถึงรู้ว่ามันเป็นหน้าเว็บการ์ตูนแบบผิดกฎหมาย นี่เขาช่วยรู้สึกตัวหน่อยได้ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยน่ะ

   คนที่ไม่มีการสอบติดเป็นเงาตามตัวแล้วย่อมทำตัวเอ้อระเหยได้ ผมกดเข้าไปตรงเครื่องหมายเริ่มต้นที่นำไปยังตอนหนึ่งของการ์ตูนที่ว่า ช่วงแรกต้องใช้จินตนาการขั้นสูงอยู่หน่อยเพราะว่ามันไม่ใช่ช่วงต้นของเรื่อง แต่พออ่านไปได้สักพักก็พอจะปะติปะต่อเรื่องเองได้อยู่

   เมทมาลีน ไม่ใช่ชื่อมาลีนแล้วเป็นคนใช้ เธอเป็นเจ้าหญิงที่รักกับเจ้าชายองค์หนึ่ง ความรักของคนทั้งคู่ถูกขัดขวางจากพระราชาผู้เป็นบิดาของเธอ พระองค์สั่งห้ามไม่ให้เธออภิเษกแล้วยังจับเธอขังไว้ในหอคอยใหญ่โตพร้อมกับคนใช้ ทุกทางถูกปิดตายไว้สนิท ส่วนอาหารนั้นมีเพียงพอสำหรับช่วงเวลาเจ็ดปี

   เวลาล่วงเลยผ่านมาจนครบ อาหารทั้งหมดก็ไม่เพียงพอสำหรับประทังชีวิต เจ้าหญิงผู้ถูกคุมขังจึงตกลงใจที่จะหนีออกมาจากหอคอยแห่งนั้น เมื่อเธอหนีออกไปข้างนอกได้สำเร็จความจริงจึงปรากฏว่าเพราะอะไรเสบียงอาหารจึงไม่เข้าไปเติม

   เมืองแสนสวยงามที่เธอเคยรู้จักกลับกลายเป็นเมืองร้างจากสงคราม มีข้าศึกบุกเข้ามาในเวลาที่หล่อนอาศัยอยู่ในกรงขังไร้ทางออก พระราชาถูกสังหาร ประชาชนต่างแตกกระสานซ่านเซ็นกันไป เมื่อสิ่งที่เคยวาดฝันไว้ไม่มีอยู่แล้วหล่อนกับสาวใช้จึงเดินทางออกไปยังเมืองของเจ้าชายเจ้าของหัวใจ

   สมกับเป็นเรื่องดัดแปลง เธอพบกับเจ้าชายผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง ตรงนี้ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดคือเจ้าชายคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าชายที่นางรักมาก่อน เขากำลังจะสมรสกับเจ้าหญิงแสนสวยงามอีกองค์หนึ่ง ด้วยแรงแห่งรักเมทมาลีนปลอมตัวเข้าไปในปราสาทในฐานะของนางกำนัล แอบผสมยานอนหลับเข้าไปในของเสวยของเจ้าหญิงในวันอภิเษกแล้วปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงแทน

   ร้ายกาจใช่เล่น

   ผมไม่ได้อ่านเนื้อหาตอนอื่น เลยไม่เข้าใจว่านักฆ่าที่จ้องจะทำร้ายเจ้าชายมาจากไหน เมทมาลีนปกป้องคนที่หล่อนรักเอาไว้ด้วยชีวิต แล้วเรื่องทั้งหมดก็มาเฉลยว่าเจ้าหญิงในหอคอยสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เพราะคงไม่มีใครที่อาศัยอยู่ในหอคอยที่ถูกปิดตายตั้งเจ็ดปีได้

   “โหดร้ายจังนะ...”

   ถึงจะไม่เข้าใจในบางช่วงแต่ก็ประทับใจการดัดแปลงจนต้องไปตามอ่านเรื่องจริง ที่ไม่เหมือนกับเนื้อหาการ์ตูนในหลายตอน
ในเรื่องต้นฉบับเจ้าหญิงออกมาพบบ้านเมืองถูกทำลายราบคาบ แล้วเธอก็ต้องใจสลายอีกครั้ง เมื่อเจ้าชายกำลังจะสมรสกับหญิงสาวอีกคน เจ้าหญิงผู้นั้นเป็นหญิงผู้ไม่มีความเชื่อมั่นใจตนเอง เธอคิดว่าตนเองไม่ควรค่าพอกับเจ้าชาย ตลอดเวลาเธอจึงหลบอยู่แต่ในห้องของตนเองไม่ออกไปพบผู้ใด

   เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์และจิตใจที่โหดร้ายเกิดความละอายในรูปลักษณ์ของตัวเอง จึงบังคับให้เมทมาลีนแต่งตัวเป็นเจ้าสาวแทนตัวเองในงานอภิเษก ระหว่างทางนางพยายามบอกใบ้ให้เจ้าชายรู้ว่าตนเองคือเมทมาลีนผู้เป็นความรัก ไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริงที่พระองค์จะต้องแต่งงานด้วย แต่เจ้าชายก็ไม่รับรู้

   ในงานนั้นเจ้าชายได้มอบสร้อยคอทองคำให้กับเจ้าสาวตัวปลอมเอาไว้ และเมื่อถึงช่วงราตรีเจ้าสาวตัวจริงก็กลับมาทวงพื้นที่ แล้วยังสั่งให้ทหารออกไปสังหารเมทมาลีนอีกต่างหาก ส่วนเจ้าชายเมื่อหาสร้อยที่มอบให้หญิงสาวไม่พบจึงรู้ได้โดยพลันว่านั่นไม่ใช่เจ้าสาวช่วงกลางวันของตน

   ชายหนุ่มรีบออกตามหาเจ้าสาวของตนเอง เสียงร้องขอความช่วยเหลือและสร้อยคอที่ส่องแสงออกมาเป็นตัวช่วยให้เจ้าชายหาเมทมาลีนจนพบ แล้วทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ส่วนเจ้าสาวตัวจริงถูกประหารชีวิต

   จากที่คิดว่าจะนอนเร็วนี่เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้วผมยังไม่ได้ห่มผ้าเลย ทั้งเรื่องดัดแปลงแล้วก็ต้นฉบับมันหน่วงแตกต่างกันไปคนละแบบ แล้วในความคิดผมตามแบบฉบับต้นฉบับมันน่าเศร้ายิ่งกว่าการที่ต้องรู้ว่าตนเองไร้ร่างกายไปแล้วเสียอีก แต่ภาพรวมเรื่องแบบดัดแปลงมันสนุกกว่านะ


   T’CHA : อ่านจบหรือยัง?

   เขาแอบส่งลูกน้องในปราสาทใหญ่มาอยู่ในห้องของผมหรือเปล่า อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองได้ไม่เท่าไหร่ก็ส่งข้อความมาแล้ว

 
   FAIR_ : อือ
   T’CHA : เป็นไง
   FAIR_ : สงสารเจ้าสาว
   T’CHA : ทำไม?
   FAIR_ : หมายถึงเจ้าสาวคนแรก
   FAIR_ : ในการ์ตูนนะ



   ถ้านับแค่เรื่องที่สั่งให้เมทมาลีนไปงานแต่งแทนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ตัวเจ้าหญิงในหอคอยนั่นร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอีก


   T’CHA : พิมพ์แล้วไม่ค่อยเข้าใจ
   T’CHA : โทรคุยไหม?



   “...”

   ค้างเอาไว้ตรงหน้านั้นไม่ส่งข้อความอะไรกลับไปด้วยความหวาดระแวง คิดไปว่าถ้ารีบเปิดโหมดเครื่องบินตอนนี้จะทันหรือเปล่า


   Line Call : T’CHA


   ...ผมโง่ไอทีเองแหละ

   “อืม”

   (นอนดึกนะ)

   เสียงปลายสายแบบผ่านคลื่นความถี่มีความแตกต่างจากที่เคยได้ยินทุกครั้ง

   “ปกติ”

   (วีดีโอไหม)

   “ไม่” เกลียดความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็วันนี้แหละ แค่เสียงก็ไม่อยากได้ยินแล้วยังต้องมาเห็นหน้าอีกเหรอ

   (อยู่กับคนอื่นเหรอ)

   “เปล่า คนเดียว”

   ไม่มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดเชิงลึกไปมากกว่านั้น ผมป้อนคำสั่งเปลี่ยนไปใช้โหมดลำโพงพลางเดินไปนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง คงยังไม่ได้นอนง่ายๆ แล้วล่ะ ที่ตั้งใจว่าจะนอนเร็วเปลี่ยนไปเริ่มต้นใหม่พรุ่งนี้แล้วกันนะ

   (งั้นคุยได้นาน พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้า)

   “ไม่คิดว่าเราอยากจะนอนเยอะๆ บ้างเหรอ”

   (แฟร์นอนน้อย)

   “หึ...”

   แค่นเสียงหัวเราะออกไปได้อย่างเดียว ก็ชินกับการเปรยเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างของธชามาสักพักแล้วล่ะ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เขาไปเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนนะ หรือเพราะเห็นว่าผมเป็นเด็กเนิร์ดเลยมาเหมารวมว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

   (แล้วสงสารที่ฤทธิ์ยาหมดก่อนงั้นเหรอ)

   อ้อ ผมเล่าข้ามไปนิดหน่อยว่าในฉบับการ์ตูนดัดแปลงเจ้าสาวตัวจริงไม่ได้สวยงามเช่นที่เห็น นั่นเป็นผลจากยาวิเศษจากแม่มดต่างหาก พอยาหมดฤทธิ์แล้วนางก็กลับกลายเป็นหญิงอ้วนหน้าตาธรรมดาทั่วไป

   “ไม่ เราสงสารที่เขากลายเป็นตัวประกอบไร้ค่า” กลัวว่าจะอธิบายไม่เข้าใจเลยเสริมเข้าไปอีก “เราว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ เธอควรจะได้ในสิ่งที่คู่ควรกับตัวเองไม่ใช่หรือไง”

   (แต่ตามเนื้อเรื่องเจ้าชายไม่ได้อยากอภิเษกอยู่แล้วนี่ มันก็เป็นแค่แผนหลอกมาลีนแค่นั้นเอง)

   “มันก็ใช่” ผมยอมรับในส่วนนั้น ในขณะที่บางส่วนก็ยังค้านอยู่ “แต่มาลีนก็ต้องรู้อยู่แล้วสิว่านั่นไม่ใช่เจ้าชายที่ตัวเองรัก”

   (เธอรัก ‘เจ้าชาย’ ไงแฟร์)

   "..."

   มุมของเขาแตกต่างจากผมมากทีเดียวล่ะ ผมไม่เถียงนะว่ามันอาจเป็นทางที่ดีกว่าก็ได้สำหรับคนที่ตั้งทัศนคติในเรื่องการแต่งงานว่าต้องเป็นความรักของคนสองคน ซึ่งในความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปสักหน่อย มันต้องมีอะไรอีกมากมายที่เอามาใช้ประกอบ

   (...ชอบแบบไหนมากกว่า)

   “อะไรนะ?” คิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันฟังว่าเขาพูดอะไร ธชาเองก็อ่านทั้งสองแบบแล้วเลยคุยกันได้ยาวมาจนถึงตอนนี้

   (ถามว่าชอบเรื่องเวอร์ชั่นไหนมากกว่า)

   “ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ”

   มนุษย์ที่โหยหาความรัก...น่ากลัว

   อย่างเจ้าหญิงในหอคอยตามแบบการ์ตูน ถึงจะรักมากไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เล่ห์กลเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา เธอควรจะรักตัวเองให้ได้มากกว่าที่จะเที่ยวออกไปตามหารักจากคนอื่น

   หรือบางทีผมควรถามว่าเธอรู้จัก ‘รัก’ หรือเปล่า

   ปลายสายเงียบหายไปหลังจากประโยคนั้น ในเมื่ออีกคนไม่เอ่ยปากอะไรผมก็ทำตัวเป็นกฎของแรงสะท้อนที่ไม่มีสิ่งใดย้อนกลับไปเหมือนกัน รออีกเกือบนาทีก็ยังไม่ได้ยินอะไรผมถึงตัดสินใจบอกลา

   “นอนก่อนล่ะ”

   กดปุ่มวางสายตามไปแทบจะในทันที ผมตั้งนาฬิกาปลุกของวันรุ่งขึ้นเอาไว้ให้เรียบร้อย วางมันลงบนโต๊ะข้างเตียงที่อยู่ไม่ไกลจากรัศมีการเอื้อมหยิบในตอนเช้า ตบท้ายด้วยการเปลี่ยนคำสั่งอัตโนมัติของแผงไฟ

   สะดุดกับหนึ่งแสงสว่างวาบกลางความมืด มันคือการแจ้งเตือนบนหน้าจอว่ามีข้อความใหม่ส่งมาถึงจากผู้ชายคนเดิม

   คำที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ


   T'CHA : See you in the morning, wrong bride


***
   เรื่องนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนนะคะ คือพาร์ทเรื่องต้นฉบับกับเรื่องที่มีการ์ตูนเอามาดัดแปลง ส่วนที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนเรื่อง Ludwig Kakumei (Ludwig Revolution) มีพิมพ์กับสยามอินเตอร์คอมมิกค่ะ
   เจ้าเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็ตอนที่อ่านไปแล้วครึ่งเรื่องค่ะ (ฮา)
   #หลอกลวงรัก

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
อยากรู้แล้วว่าชาต้องการอะไรจากแฟรรรรรรรรรรรรรรรร  :hao4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เรื่องเล่าที่แปด


   ลูกขอเพียงดอกไม้สีแดงเป็นของฝากจากแดนไกล
   - The Scarlet Flower

 

   “สามกล่องครับ เซ็นต์รับตรงนี้ได้เลย”

   เครื่องมือสื่อสารสารพัดประโยชน์ถูกยื่นมาให้ ผมใช้นิ้วลากเส้นให้กลายเป็นชื่อจริงของตัวเองจนเรียบร้อยถึงรับของทรงเหลี่ยมทั้งหมดมา ชื่อกับที่อยู่ของผู้ส่งเรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏได้อย่างดี

   พ่อกับแม่ของผมนี่น่ารักจังนะ

   อย่างที่บอกว่าทั้งพ่อแล้วก็แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณพ่อเป็นข้าราชการในสายงานปกครองที่ติดใจชีวิตบ้านนอกจนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นั่นจนแก่ ส่วนคุณแม่ตอนแรกเองไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่จนได้ลองไปอยู่แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่กรุงเทพอีก แล้วยังลามไปถึงน้องสาวของแม่หรือคุณน้าของผม รายนั้นก็ย้ายตามไปด้วยทั้งครอบครัว

   ผมเคยไปเยี่ยมในช่วงปิดเทอมอยู่เหมือนกัน อยู่ได้สั้นๆ ไม่เกินเดือน วันแรกก็ไม่ชินเท่าไหร่จนผ่านช่วงสัปดาห์แรกไปเลยเข้าใจว่าเพราะอะไรทั้งสองถึงไม่ยอมกลับเข้ามาอยู่ในเมืองอีก

   ก็แอบคิดอยู่ว่าถ้าเรียนจบแล้วน่าจะย้ายไปอยู่ด้วย ชักจะไม่ชอบสังคมเมืองแล้ว

   ลำเลียงพัสดุเข้าไปทีละชิ้นตามที่กำลังเอื้ออำนวย จนถึงกล่องสุดท้ายที่สะดวกพอสำหรับการถือด้วยมือเดียว ผมใช้กุญแจบ้านที่แขวนติดกับบานประตูในการเปิดผนึกกล่องทั้งหมด หยิบมันออกมาทีละชิ้นตามประเภทการใช้งาน

   กล่องแรกเป็นพวกของฝากขึ้นชื่อในจังหวัด มีทั้งของคาวแล้วก็ของหวานปะปนกันไป เพราะอย่างนี้เลยเลือกใช้บริการขนส่งเอกชนสินะ ไม่อย่างนั้นแล้วตอนที่ผมเปิดกล่องออกมามันอาจมีแต่ความว่างเปล่าก็เป็นได้ ด้านล่างสุดมีกระดาษแข็งเขียนด้วยลายมือบุพการีว่าให้ทานอาหารเยอะๆ หน่อย แถมยังย้ำมาด้วยว่าห้ามลืมทานให้ครบทุกมื้อ

   ก็มันน่าเบื่อที่ต้องมานั่งคิดว่าวันนี้จะทานอะไรดีนี่นา

   อ่านรายละเอียดของแต่ละชิ้นไปเรื่อย แม่ของผมก็ชอบทำอะไรอย่างนี้แหละ มีลูกเล่นที่แสดงถึงความใส่ใจ อย่างกระดาษก็ต้องมีลวดลายประดับเอาไว้เสมอ ส่วนมากจะเป็นลายดอกไม้ของโปรด อย่างใบนี้เป็นดอกกุหลาบ ส่วนก่อนหน้าเป็นดอกบัว

   คราวนี้ไม่ยอมถ่ายรูปอุปกรณ์สำหรับการออกกำลังเพราะยังรู้สึกหมั่นไส้คำสั่งที่เขียนติดมาด้วยกันอยู่ เลยไปยังกล่องที่สามที่แตกต่างจากพวก เครื่องหมายรอยยิ้มกับลายมือเขียนกำกับเอาไว้ว่ากล่องแห่งความสุข

   “...”

   มุมปากทั้งสองข้างขยับองศาขึ้นเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ก็สมชื่ออยู่นะ

   มันเป็นอุปกรณ์สำหรับการเย็บสมุด งานอดิเรกเดียวของผมที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน คือผมเป็นพวกได้เกรดบีในวิชาศิลปะและดนตรีทุกชนิดไง อะไรที่ต้องใช้จินตนาการในการทำนี่ไม่เคยไปด้วยกันได้ แค่ผสมสีให้มันกลายเป็นงานสีตรงกันข้ามผมยังทำให้มันกลายเป็นสีใกล้เคียงกันได้เลย โดนพ่อแม่บ่นว่าควรหาอะไรทำเป็นหลักแหล่งจนมาจบที่นี่แหละ พอดีมีคนคอยเคี่ยวเข็ญตลอดด้วยมันเลยมาถึงจุดนี้ได้ รู้ตัวเองดีว่าถ้ามีตัวคนเดียวมันก็คงต้องเก็บเข้ากรุไม่ต่างจากอย่างอื่น

   กระดาษบางอย่างหาซื้อยากในเมือง อย่างพวกที่เอามาทำหน้าปก ผมชอบอะไรที่มันแปลกๆ จนโดนบ่นว่าเป็นคนโรคจิตที่ชอบของไม่เหมือนใคร ถ้าเริ่มเห็นใครใช้คล้ายกันก็จะหลีกตัวออกมาแล้วหาของใหม่ อาจเรียกอีกอย่างได้ว่าเป็นพวกโลเลไม่มีความชัดเจนก็ได้มั้ง

   พื้นที่แถวนั้นเป็นแหล่งผลิตกระดาษ พ่อของผมเคยเอามาอวดตั้งแต่สมัยย้ายไปใหม่ๆ แล้ว และนั่นก็เป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่จะพาผมไปอยู่ที่นั่นตาม อาจเปิดร้านฝึกสอนทำสมุดเล็กๆ ของตัวเอง คงมีความสุขไม่น้อย

   "อา...เคี่ยวชะมัด"

   รำพันกับตัวเองพร้อมกับหวังว่ามันจะส่งไปถึง ผมอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นเล็กที่ระบุรายละเอียดราคาของสินค้าแต่ละชิ้น ข้อความบนนั้นตบท้ายด้วยการย้ำว่าถ้าลงมาหาเมื่อไหร่ผมต้องจ่ายให้ครบด้วย

   คราวนี้ถ่ายเฉพาะกระดาษในมือ กดเปลี่ยนไปยังโปรแกรมสนทนาสีเขียวอันเดียวในเครื่อง เลือกห้องแชทด้านบนสุดแล้วส่งรูปไปตามระเบียบ

   FAIR_ : รีบมาทวงหนี้เลยนะ

 

   ทำเสร็จทุกอย่างก็มานั่งจมอยู่ตรงโซฟา เปิดทีวีไปแบบไร้จุดหมายจบที่ชาแนลการ์ตูนเก่าในยูทูบ ลายเส้นของมันต่างจากที่คุ้นตาในปัจจุบันจนต้องจ้องว่ามันมาจากชาติไหนกันแน่ ผมอ่านตัวอักษรโรมันที่ไม่คุ้นเคยพวกนั้นไม่ออก จะมีพวกตัวพื้นฐานบางตัวเหมือนกับของภาษาอังกฤษ แต่ว่าบางส่วนนี่นึกว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า

   สำเนียงแบบไม่คุ้นเลยสักนิด โชคดีที่มีซับภาษาอังกฤษอยู่ข้างล่าง ระหว่างที่เรื่องดำเนินไปไม่ถึงไหนผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันชื่อ Scarlet Flower เป็นเรื่องของ Beauty and the Beast เวอร์ชันรัสเซีย อืม...นี่ผมกำลังฟังภาษาที่เขาว่ายากติดหนึ่งในสิบของโลกอยู่ล่ะ

   สร้างขึ้นเมื่อปี 1952 หรือเกือบเจ็ดสิบปีที่แล้ว ถือว่าเป็นงานที่โอเคในสมัยนั้น ถ้าเทียบแล้วก็ช่วงของซินเดอเรลล่าแล้วก็เจ้าหญิงนิทรา

   เรื่องของเศรษฐีม่ายที่มีลูกสาวสามคน วันหนึ่งเขาจำต้องไปค้าขายที่แดนไกลจึงเรียกลูกสาวมาถามว่าต้องการสิ่งใดเป็นของฝากหรือไม่ ลูกสาวคนแรกขอมงกุฎทองประดับด้วยเพชรแสนสวย ลูกสาวคนที่สองขอกระจกที่สะท้อนแต่ความเยาว์วัยอยู่ข้างในนั้น ส่วนลูกสาวคนที่สามขอดอกสการ์เล็ตที่เห็นในความฝัน

   แม้บิดาจะรู้ว่าความปรารถนาของบุตรสาวทั้งสามคนยากจะทำให้สำเร็จตามขอ หัวใจของพ่อก็ยังมุ่งมั่นที่จะเสาะหามาให้ เขาออกเดินทางไปยังพื้นที่แสนไกลเพื่อขายสินค้า ระหว่างทางเขาสามารถตามหากระจกแห่งความอ่อนเยาว์และมงกุฎแสนสวยที่ไม่มีใครเหมือน กระทั่งการซื้อขายสินค้าได้สิ้นสุดลง ชาวเรือต่างยินดีที่จะได้กลับไปยังบ้านเกิดของตนแต่ว่าบิดาม่ายยังมีเรื่องที่ติดค้างในใจเพราะเขายังตามหาดอกไม้แสนสวยของลูกสาวคนเล็กอย่างนาเชนก้าไม่ได้

   ฉากต่อมาคือพ่อค้าบนเรือสำเภาของตัวเอง ฟ้าที่สดใสกลับกลายเป็นพายุที่พาไปยังเกาะวิเศษแห่งหนึ่ง ที่นั่นบิดาถูกต้อนรับด้วยความสะดวกสบายทั้งอาหารและที่พัก และยังได้เจอกับดอกไม้สีเลือดหมูแสนสวยคล้ายกับความปรารถนาของบุตรสาวคนสุดท้อง

   ด้วยความยินดีที่ได้พบสิ่งที่ตามหาเขาจึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกไม้ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปโดยพลัน เสียงปริศนาอนุญาตให้เขาสามารถนำดอกไม้กลับไปได้แต่จะต้องส่งบุตรสาวคนหนึ่งกลับมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

   อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกตาก็คงเป็นการใช้สีของเรื่องนี้ ติดภาพการ์ตูนฝั่งยุโรปที่ใช้สีสดใสตัดกันไปมาจนเห็นการเล่นสีโทนเดียวกันเป็นเรื่องที่ประหลาด

   เสียงเรียกเข้าแบบไม่คุ้นดังมาได้สักพักแล้ว ช่วงแรกก็หาแทบแย่ว่าตัวเองลืมปิดเสียงของโทรทัศน์หรือว่าอะไร จนต้องเตือนตัวเองเอาไว้ว่านั่นคือเสียงไลน์คอลจากคนคนเดียวที่ใช้ฟังก์ชันนี้ เผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังตอนที่มันหายไปช่วงหนึ่งก่อนจะกลับมาดังอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองซ้ำๆ ก่อนกดรับสายแบบไม่เต็มใจสักนิด

   (กว่าจะรับ)

   “ไม่ได้ใช้”

   (เปิดวีดีโอหน่อย)

   “ไม่ เปลืองเน็ต” ผมไม่ชอบทำตามคำสั่งของเขาเลย จริงๆ นะ “จะให้เราทำงานตรงไหนเหรอ”

   (เปล่า แค่อยากเห็นหน้า)

   "แต่เราไม่อยากเห็นนายเลยล่ะ"

   (เสียงอะไร ดูหนัง?)

   "จะดูอะไรก็เรื่องของเรา"

   (ดูด้วยสิ)

   เกือบสบถตามออกไปแล้วไหมล่ะ ทำไมจะต้องแทรกตัวเองเข้ามาในทุกวิถีทางขนาดนั้น แล้ววันนี้คุณเพื่อนตัวดีไม่อยู่หรือไงถึงมาหาเรื่องป่วนผมได้

   "เปิดเน็ตดูสิ ชื่อเรื่อง Scarlet Flower"

   (จะดูด้วย)

   ไม่ได้ตั้งใจจะดูจริงจังตั้งแต่แรก ที่ยังนั่งดูอยู่ก็เพราะว่าไม่มีอะไรทำ แล้วมันใช่เรื่องไหมเนี่ยที่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมานั่งถือโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้เพื่อให้ธชาได้ดูหนังไปพร้อมกัน ภาพก็เล็กแค่นั้นดูรู้เรื่องที่ไหน

   "ถ้าเมื่อยจะวางมือนะ"

   ไม่ได้ใส่หูฟังเสียงเลยออกลำโพงอยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้วล่ะ เรื่องก่อนหน้านี้ก็ประมาณว่านาเชนก้ายอมเดินทางไปที่เกาะแห่งนั้นตามการแลกเปลี่ยน ที่นั่นเธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และให้สัญญากับเสียงปริศนาว่าจะไม่หนีไปไหน

   จนได้รู้ว่าบิดาของตนล้มป่วยลง อสูรยอมปล่อยให้เธอกลับมาโดยมีเงื่อนไขว่าต้องกลับไปเพียงสามวันเท่านั้น การกลับมาบ้านครั้งนี้เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่สาวทั้งสองฟัง ด้วยความริษยาพวกเธอจึงแกล้งปรับเวลาของนาฬิกาให้ช้ากว่าความเป็นจริง กว่านาเชนก้าจะทราบว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาที่ถูกบิดเบือนก็นานพอสมควร เธอกลับไปพบกับอสูรที่กำลังจะสิ้นลมหายใจข้างต้นสการ์เล็ต หญิงสาวแสนดีร่ำไห้พร่ำบอกว่าเธอรักเขามากแค่ไหน

   จากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก อสูรกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม แบบที่ผมไม่ค่อยเข้าใจค่านิยมความสวยงามของคนรัสเซียเท่าไหร่ เขาเฉลยว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในร่างอสูรจนกว่าจะมีคนรักเขาจากภายใน

   "ยังอยู่หรือเปล่า"

   หน้าจอของอีกฝั่งคือเพดานห้อง ส่วนของผมที่อยู่มุมบนขวาเป็นหน้าจอทีวีจอแบนขนาดใหญ่ รออยู่สักครึ่งนาทีผมก็ไม่เห็นว่าจะมีสัญญาณใดส่งกลับมา ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็วางสายเลยแล้วกัน เปลืองแบตของผมเกินไปแล้ว แทนที่จะอยู่ได้สามวันนี่คงเหลือไม่เท่าไหร่

   "เราปิดก่อนนะ" หยิบมันขึ้นมาเตรียมปิดอย่างที่บอก

   (อย่าเพิ่งสิ)

   "มีอะไรอีก"

   (สรุปแล้วสการ์เล็ตไม่ใช่ชื่อดอกไม้)

   นี่เขาหายไปหาข้อมูลมาอย่างนั้นเหรอ กับเรื่องอื่นนี่เต็มที่ได้เท่านี้ไหมนะ อย่างที่มีคนบอกเลยว่าเรามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ไม่ควรสนใจ

   "ก็แค่ดอกไม้สีแดง" ดูจากในรูปแล้วมันก็บอกไม่ได้หรอกว่าเอาต้นไหนมาเป็นต้นแบบ อารมณ์แบบอยากจะวาดแบบไหนลงไปก็ทำตามใจ "จะดอกอะไรมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอยู่แล้วนี่"

   (แต่บ้านสวยดี)

   ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอย้ายมุมกล้องเป็นบริเวณรอบห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นหน้าจอทีวีอย่างเดียว "...ขอบคุณ"

   (ไม่เปลี่ยนให้เห็นหน้าบ้างเหรอ)

   "ไม่ล่ะ"

   อีกฝั่งตอนนี้คือช่วงบนของธชานั่งอยู่ในร้านกาแฟตกแต่งสวย ผมเห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะแค่ไม่สนใจ เดี๋ยวนี้ร้านพวกนี้ผุดขึ้นอย่างกับเสกขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในทำเลที่มั่นคงจริงแล้วก็หายไปได้ง่ายไม่แพ้กัน

   (อยากไปเยี่ยมบ้าง)

   "ไม่ต้องมา เกรงใจ" ทั้งสั่งทั้งขู่ เจ้าของบ้านไม่ต้อนรับยังจะเสนอตัวอีก

   (ใจร้ายเนอะ)

   "แน่นอน"

   (นี่ ถ้าให้ขอของฝากได้หนึ่งอย่าง แฟร์จะขออะไร?)

   จู่ๆ จากเรื่องของการเยี่ยมบ้านมันกระโดดมาเรื่องของฝากได้ยังไงกัน ยังไม่ทันได้นึกให้ถี่ถ้วนดีคำตอบหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาเสียก่อน

   "...ขอได้จริงเหรอ?" เสียงของผมที่ถามกลับไปมันแหบกว่าที่เคยเป็น จนเห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของอีกฝั่งเปลี่ยนไปจากเดิม

   (อืม)

   เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียทั้งหมดเท่าที่คิดได้หากพูดมันออกไป ซึ่งถ้าเน้นที่ความสบายใจแล้วผมควรพูดอย่างที่คิด ติดอยู่ก็ตรงที่ฉุกนึกขึ้นมาได้ว่ามันคงทำให้อีกคนไม่พอใจแน่

   “เราขอหนังสือที่มีตอนจบของเรื่องนี้ได้หรือเปล่า”

 

   “ชาจะมากี่โมงกันแน่”

   เสียงติดแหลมของหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนขนาดใหญ่ลอยมากระทบโสต ที่ได้ยินชัดขนาดนั้นเพราะว่าผมกำลังนั่งหันหลังชนกับเธอยังไงล่ะ

   “น่าจะอีกไม่นาน วิชานี้ชาเข้าเรียนตลอด”

   “โอ๊ย! ไม่อยากรอแล้วนะ”

   “ใจเย็นน่า แล้วตอนคุยก็อย่าไปเหวี่ยงล่ะ”

   จากสไตล์ที่ผมเห็นผ่านๆ ตอนเดินเข้ามานั่งหญิงสาวกลุ่มนี้คงไม่ใช่เด็กในคณะ ซึ่งไม่อยากจะเดาไปเองว่าคราวนี้จะมาจากคณะไหน ตอนที่ได้ยินเขาคุยกันก็อยากจะเข้าไปแทรกเพื่อแก้ความเข้าใจผิดในหลายส่วนอยู่ เช่นเรื่องที่บอกว่าธชาเข้าเรียนวิชานี้ตลอด เมื่อคาบที่แล้วอาจารย์ยังเตือนอ้อมๆ เลยว่าคนที่ขาดเรียนบ่อยต้องพยายามรักษาวินัยของตัวเองให้มากกว่านี้

   จะบอกว่าตัวเองชินก็ไม่ถึงขั้นนั้น ใต้ตึกคณะของผมมักจะมีสมาชิกหน้าแปลกแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดอยู่แล้ว ทั้งมาส่องสาวแล้วก็ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารที่อยู่ติดกัน บางครั้งก็เป็นคนแปลกหน้าที่ดีแต่บางทีก็ต้องบอกว่าคนพวกนั้นควรจะกลับไปอยู่แค่ในพื้นที่ของตัวเองก็พอ

   เอาจากที่ตั้งใจฟังบางช่วงบางตอนมันก็เกือบเป็นเรื่องเดิมแหละ เรื่องของอสูรร้ายแห่งคณะที่ดูท่าว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกแล้ว

   บางทีผมก็คิดนะว่าเพราะอะไรถึงยังมีคนปรารถนาดอกไม้ดอกนั้น

   รู้สึกว่าช่วงสัปดาห์ที่แล้วมันมีงานอะไรสักอย่างที่เชนลากชาไปทำ แล้วดันอุตริเอาเรื่องเล่ากุหลาบไปใช้อ้างอิงอีก มันเลยกลายเป็นว่าใครก็ตามที่ถูกแรนดอมขึ้นมาก็คิดไปเองว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น

   ข้อความที่พิมพ์สั้นๆ ว่าให้เข้าทางประตูหลังจะปลอดภัยกว่ายังไม่ได้ส่งออกไปสักที เพราะถ้าเขามาติดกับดักตรงนี้รับรองได้เลยว่าต้องเข้าเรียนสายแหง เลยชั่งใจอยู่ว่าควรจะทำตัวเป็นคนดีหรือปล่อยให้เขามาเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองสร้างเอาไว้

   เลือกเป็นคนดีเผื่อว่าอานิสงส์จะสะท้อนกลับมาเยอะๆ แล้วกัน

   ยังไม่ทันกดออกจากห้องแชตคำว่ารี้ดก็ปรากฏ ผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะส่งอะไรมาให้ต่อจากนั้น ยังปล่อยเวลาให้ไหลผ่านต่อไปโดยมีเสียงวงสนทนาเดิมคอยบรรเลง อีกประมาณสิบห้านาทีจะได้เวลาเข้าเรียน นั่งได้อีกสิบนาทีสบายๆ

   “นั่นไงชา!”

   คิ้วข้างหนึ่งของผมกระตุกขึ้นไม่รู้ตัว รีบหยิบโทรศัพท์มาดูว่าคำเตือนส่งถึงเขาแน่หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำไมถึงยังมาเข้าทางประตูหน้าอีกล่ะ

   “เข้าเรียนกัน”

   รีบสะบัดหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง อ้าปากค้าทำตาโตเหมือนจะพูดแต่ว่าไม่มีเสียงใดหลุดออกมา เพราะในหัวมีตั้งแต่คำด่ายาวไปถึงคำถามว่าทำไมเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้

   “ลุก” แถมยังถือวิสาสะฉวยเอาหนังสือตรงหน้าของผมไปถือเอาไว้เองอีก ถ้ามือไม่เร็วพอที่จะหยิบกระเป๋าของตัวเองมันต้องไปอยู่กับเขาเพิ่มแหง

   “...”

   “จะให้ลากหรือไง”

   “...”

   “แฟร์”

   เรียกเสียงเข้มอย่างนั้นให้ไม่ลุกได้ไหมล่ะ ผมเลี่ยงสายตาไม่ยอมหันไปสบกับโต๊ะด้านหลัง ไม่ต่างกับเขาที่ทำเหมือนกับว่าเสียงเรียกชื่อของตัวเองในตอนนี้ไม่มีอยู่จริง สงสารตัวเองขึ้นมาจับใจเลย ถ้าผมมีตาทิพย์มองเห็นอนาคตจะไม่นั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้หรอก

   คนมีชื่อเล่นว่าอสูรเดินนำตรงเข้าไปยังประตูทางเข้าตึก ไม่หันซ้ายขวามองสิ่งรอบข้างตัวเองเลย ผมเองก็เดินตามไปเงียบๆ ไม่ได้ทักในเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เขาอาจไม่อยากพูดถึงมันก็ได้ใครจะรู้

   "นี่ชา..."

   ไม่รู้ทำไม ระหว่างการเดินขึ้นบันไดผมถึงย้อนกลับไปคิดถึงการ์ตูนที่เราคุยกันก่อนหน้าไม่นาน ดอกไม้สีแดงที่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนของนาเชนก้า สิ่งแสนสำคัญสำหรับอสูรตัวร้าย

   "กุหลาบพวกนั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม?"

   ช่วงตาอ่านไม่ออกว่ากำลังสื่อถึงสิ่งใด มันไร้อารมณ์ไม่ต่างจากเสียงที่ให้คำตอบผมกลับคืนมา

   "ก็รู้อยู่แล้วนี่"

 

   เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมไม่ได้เข้าห้องสมุดหลังเลิกเรียนเพราะธชาบอกว่าไม่อยากอ่านหนังสือ เลือกไปมาก็จบที่ร้านไอศกรีมไม่เคยได้ยินชื่อ อยู่ลึกเข้ามาในห้างกลางเมืองไม่ห่างจากคณะ คนในร้านมีพอประมาณไม่ได้แน่นหนาจนรู้สึกอึดอัดอะไร การตกแต่งเป็นสีโทนสว่างแล้วก็วางของวินเทจประดับ ตรงด้านหลังที่ผมนั่งอยู่ก็มีแอปเปิลทำจากไม้วางเรียงลำดับกันอยู่

   “เดี๋ยวมา”

   มองธชาผุดลุกออกจากที่นั่งไปโดยไม่มีสาเหตุ เราสองคนมองสมาชิกคนที่สามเดินไปยังทางออกของร้าน เขาจะกลับมาก่อนของหวานมาเสิร์ฟไหมนะ ผมไม่อยากจะนั่งกินกับเชนสองคนหรอก

   “ไม่สนใจเรื่องที่ชาเจอมาวันนี้หน่อยเหรอ” ธชาเล่าเรื่องที่เจอเมื่อกลางวันคร่าวๆ ให้เพื่อนตัวเองฟังแล้ว

   “ไม่ใช่เรื่องของเรา จะยุ่งทำไม” ทั้งเตือนตัวเองแล้วก็แขวะคนถาม “อยู่กับตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า”

   ตั้งแต่รู้จักกับเชนมาบอกเลยว่าสกิลการตอบโต้ของผมดีขึ้นมาก จากที่ไม่ค่อยปากร้ายใส่ใครกลายเป็นว่าเขาพูดอะไรมาผมก็พร้อมที่จะเป็นด้านตรงข้ามที่ตีกลับทุกสิ่ง

   ใช้สายตาฟาดฟันแทนคำพูด ระหว่างเราสองคนมีเพียงเสียงเพลงสากลที่เปิดคลอภายในร้านเท่านั้นคอยขับกล่อม เอาสิ อยากจะทำอย่างนี้ผมก็ไม่ขัด

   ไม่รู้มาก่อนว่านิสัยใจคอของอีกคนแท้จริงเป็นอย่างไร หรือว่าโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงหาเรื่องจิกกัดคนอื่นได้ตลอดเวลาอย่างนี้ ก็อยากจะถามเชนเหมือนกันว่าชาติที่แล้วผมไปดักตีหัวหรือว่าทำเวรกรรมอะไรเอาไว้ชาตินี้ถึงได้ตามมาจองล้างจองผลาญไม่มีหยุด

   "แต่แปลกดีเหมือนกันนะที่บอกว่าชาตอบเร็ว มันมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับแชตเท่าไหร่เลยไม่ค่อยตอบ”

   ปิดปากเงียบแล้วใช้แต่หูฟังเรื่องเล่าที่ไม่เคยรู้มาก่อน เท่าที่เจอมาธชาเป็นคนที่ผมจัดอยู่ในไทป์ตอบเร็วนะ ไม่น่าจะเป็นพวกไม่ค่อยตอบ ว่าแต่ว่า 'ความทรงจำที่ไม่ดี' อย่างที่บอกมันหมายถึงอะไรกัน

   "เหรอ" แสร้งว่าไม่สนใจ เป้าหมายคือการหลอกล่อให้รายละเอียดหลุดออกมาเอง

   "อือ มันเคย..."

   "เมนูที่สั่งได้แล้วค่ะ"

   อยากจะเดาะลิ้นระบายความไม่สบอารมณ์ ของหวานถูกนำมาเสิร์ฟในจังหวะที่พอดีจนเกินไป

   “โอ้ กลับมาพอดีเลยชา”

   คนหายตัวไปไหนไม่รู้กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษทรงเหลี่ยม ถุงสีน้ำเงินเข้มเล่นลายกราฟิกสีครีมตัดกัน สวยเสียจนถ้าเป็นผมคงไม่กล้าหยิบมาใช้ ผมไม่สนใจว่าเขาไปซื้ออะไรมา ยังไม่มีข้าวเย็นตกท้องแต่ต้องมาทานของหวานก่อนก็คงช่วยบรรเทาความหิวไปได้พอควร

   เราสามคนเหมือนกันตรงที่ไม่มีใครถ่ายรูปอาหารก่อนทาน พอทุกอย่างวางเอาไว้พร้อมแล้วสิ่งที่พวกเราทำคือการตักจ้วงของหวานเนื้อครีมแบบไม่ต้องให้สัญญาณ ชาเลือกวานิลลา เชนเลือกรสแปลกๆ ที่ผมฟังพนักงานอธิบายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ส่วนผมเลือกเป็นผลไม้อย่างมะนาว

   “ของแฟร์อร่อย”

   “ทีหลังก็สั่งเองสิ” ทีอย่างนี้มาชม ตอนสั่งทำแบะปากแล้วบ่นว่าผมกินแบบคนแก่ คือคนแก่ที่ไหนจะมากินของเปรี้ยวๆ อย่างนี้ให้ปวดฟันกัน “แล้วก็กินของตัวเองไปให้หมดด้วย”

   ปรายตามองช้อนอีกฝ่ายที่ยังค้างอยู่ในถ้วยของผม ของเชนน่ะเพิ่งกินไปได้คำกว่าเองมั้ง สมน้ำหน้าคนอยากสั่งอะไรแปลกๆ

   “มันไม่อร่อยอะ”

   “เดินไปพูดตรงเคาท์เตอร์สิ”

   “ก้มหน้ากินของมึงไปชา”

   กลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการทะเลาะกันอีกแล้ว สองคนนี้มีเคล็ดลับอะไรในการอยู่ด้วยกันโดยไม่ฆ่ากันตายไปก่อน ผมไม่ได้รับหน้าที่เป็นกรรมการเลยทำตาปริบๆ ใส่ แอบชิมเจ้าก้อนครีมเดียวที่ยังเหลืออยู่ว่ารสชาติมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ

   "..."

   อืม รับประทานไม่ลงจนเหลือจริง

   คนที่ชอบก็อาจจะชอบเลยนะ แต่สำหรับคนที่กินแต่ของรสเปรี้ยวอย่างผมมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำออกมาขายได้เลย จะว่าหวานก็ไม่เชิง ผสมอะไรบางอย่างที่ให้กลิ่นฉุนแบบพืชสมุนไพรเข้าไปอีก นี่กินน้ำตามเข้าไปแล้วยังรู้สึกว่าสัมผัสเดิมยังไม่จางไปเลย

   พอหมดหน้าที่กินต่อมาก็ได้เวลาจ่ายเงิน เราจะชอบหารสามกันแบบที่ให้แต่ละคนมีส่วนต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

   “วันนี้เลี้ยงแฟร์”

   ยังไม่ทันได้เห็นบิลใบเสร็จก็โดนมัดมือชกอีกแล้ว “ไม่”

   “เนื่องโอกาสพิเศษไง”

   “เราไม่ได้เกิดวันนี้” ถึงจะเป็นการเปิดช่องให้คำถามอื่นมาก็ไม่สน สำหรับผมแล้ววันพิเศษที่ว่าไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงวันครบรอบ วันแรกพบ วันบ้าวันบออะไรทั้งนั้น

   “ใช่ ไม่ใช่วันเกิด” เชนพยักหน้าขึ้นลง กระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเอง “บอกแฟร์ไปสิชาว่าทำไมเราถึงมากินกัน”

   “...”

   “จะขอบคุณที่ช่วยเรื่องเมื่อกลางวันไม่ใช่หรือไง”

   อยากจะมองอยู่หรอกว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ผมไม่กล้าอะเอาจริง อสูรที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือคนเดียวกับที่ใครต่อใครหวาดกลัวอย่างนั้นเหรอ

   จบมื้อของหวานก็แยกกันตรงชั้นสอง ผมต้องไปทางเชื่อมรถไฟฟ้าลงไปป้ายรถเมล์ข้างล่าง ส่วนเขาสองคนจะไปเอารถที่จอดเอาไว้อีกตึก

   "แฟร์"

   เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงคนอื่นเรียกชื่อของตัวเอง ผมหันหน้ากับมาทางต้นเสียงว่าใครเป็นคนเรียก เพื่อพบกับธชาที่เพิ่งแยกกันไปได้ไม่กี่นาทีดี

   "เอานี่ไปด้วย"

   ไม่ทันได้สังเกตว่าเขาไม่ได้มามือเปล่า มือข้างซ้ายของธชามีถุงกระดาษที่เพิ่งได้มาตอนทานของหวานอยู่ด้วย

   "ไม่เอา"

   "รับไป"

   "ไม่"

   สงสัยพูดยาวไปเลยไม่เข้าใจ ต้องให้ใช้คำตรงๆ อย่างนี้ถึงจะเข้าหูบ้าง หรือว่าในสมองส่วนการควบคุมของเขาจะเข้าใจว่าการพูดคำว่า 'ไม่' มีค่าเท่ากับ 'ใช่' ก็ไม่รู้สิ

   ธชาขยับปากเตรียมพูดอะไรบางอย่าง แต่กลายเป็นล้วงหาของในกระเป๋ากางเกงตัวเองแทน สิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้คือเครื่องมือสื่อสารไม่ใส่เคสเอาไว้

   "...ส่งมาเหรอ ยังไม่ได้เปิด ...มาวันไหน ...ได้ ...เจอกัน" ผมไม่รู้หรอกว่าเขากับปลายสายกำลังสนทนาในหัวข้ออะไรกันอยู่ ครั้นจะช่วงชิงจังหวะนั้นในการหนีก็ทำไม่ได้เพราะตาดุที่มองตรงมาไม่ขยับไปทางอื่น "...ไปรับอยู่แล้วน่า กลัวอะไร ...สัญญาครับ"

   "..."

   ผมไม่เคยเห็นธชาในพาร์ทอบอุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยล่ะ อ่อนโยนยิ่งกว่าช่วงเวลาทั้งหมดที่ผมรู้จักรวมกันเสียอีก นี่เขากำลังคุยกับใครกัน เพื่อนคนอื่นของอสูรอย่างนั้นเหรอ

   หรือเป็นมากกว่านั้น

   แปลกใจนะ ก็ตลอดมาผมไม่เคยเห็นเขาสองคนพูดถึงเพื่อนคนอื่นจนเหมือนกับว่าไม่มีใครคบอีกแล้วบนโลกใบนี้ จะมีก็แต่เชนเอาเพื่อนในคณะมานินทาให้ฟังว่าตอนเรียนมีเรื่องอะไรน่ารำคาญบ้างเท่านั้นเอง ส่วนธชาก็อย่างที่เห็นแหละ ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้

   จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย

   คิดได้อย่างนั้นสายตาที่ปรามมาก็ไร้ความหมายไปเลย ผมเดินลิ่วย้อนกลับไปยังทางเดิมที่ผ่านมา ตัดสินใจว่าจะเดินไปอีกป้ายก่อนหน้าแทน

   ยังคงได้ยินเสียงคุยผ่านคลื่นความถี่ตามมาอยู่ตลอดการก้าวเท้าเดิน "อือ ถ้าอย่างนั้นวางสายก่อนนะ ...แฟร์ หยุดเดิน"

   "ธชา!"

   ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาขึ้นเสียงใส่เลยถ้าไม่ติดว่าคนเอาแต่ใจเดินเร็วจนกระทั่งแซงแล้วก็บังทางเดินแคบๆ นี้เอาไว้ทั้งหมด

   "เอาของไปด้วย"

   อารมณ์ไม่ดีจากหลายเรื่องผสมกัน ทั้งเข้าเรียนสาย โดนคนเจ้ากี้เจ้าการบังคับชีวิต แล้วยังต้องมาฟังเขาคุยอะไรก็ไม่รู้กับคนอื่น ท่าการหยิบถุงใบนั้นเลยเรียกได้ว่าเป็นการกระชากเข้ามาหาตัว "ที่จริงไม่ต้องขอบคุณเรื่องที่เราเตือนเมื่อกลางวันก็ได้"

   "อยากจะขอโทษมากกว่าที่ทำให้ต้องเจออะไรแบบนั้น"

   "เราเฉยๆ อะ" ยักไหล่ขึ้น ไม่ได้เก็บสิ่งที่ตัวเองเจอมาคิดมาก "เพราะวันหนึ่งเราอาจต้องเป็นคนตรงนั้นก็ได้"

   จะว่าพูดตรงมันก็ใช่อยู่ จะให้ย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าผมรู้ฐานะตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิที่จะละลาบละล้วงอะไร แล้วก็ยังเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกัน

   กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีของชิ้นอื่นติดมือกลับมาด้วยก็ก่อนเข้านอน เปิดดูข้างในถุงกระดาษว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน อย่างแรกคือสิ่งที่ได้มาเป็นประจำอย่างนมกล่องรสจืด ส่วนอีกชิ้นเป็นสมุดปกแข็งสีน้ำตาลอ่อนไร้ลวดลายประดับ หน้าแรกเป็นกระดาษแบบถนอนมสายตาไร้เส้นรวมถึงไม่มีร่องรอยของการขีดเขียนใด

   ...ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคย 'ขอ' อะไรเอาไว้

   ผมคว่ำสมุดไปด้านหลัง ทาบมือเอาไว้อย่างนั้นแต่ไม่กล้าที่จะเปิดดูว่ามันจะซ่อนอะไรอยู่ รอบกายเงียบเสียจนจับได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นแค่ไหน

   ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก บังคับให้ตาของตัวเองโฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้าไม่เบนไปทางอื่น ช่วงบนว่างเปล่าไม่ต่างจากหน้าแรก ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนเจอลายมือคุ้นตาเขียนข้อความเอาไว้ในทำนองว่าอสูรได้กลับมาเป็นเจ้าชายอีกครั้ง

   แต่ไม่มีข้อความไหนเอ่ยถึงเทวดาผู้โชคร้ายแม้แต่น้อย


***
   Merry Christmas ค่ะ (ยิ้ม) แล้วก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยเลยนะคะ ช่วงเทศกาลก็ต้องฉลองหน่อยเนอะ เคยบอกแต่ในทวิตแต่ว่ายังไม่ได้บอกในนี้ว่าเจ้าจะหยุดลงเรื่องนี้จนกว่าจะแต่งจบ เพื่อไม่ให้ความคาดหวังเรื่องการตอบรับมันมีผลกับสุขภาพใจของเจ้าเกินไปค่ะ แต่ยังไงจะพยายามแต่งให้จบแน่ๆ อาจต้องรอกันหน่อยนะคะ
   #หลอกลวงรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 21:10:12 โดย 23August »

ออฟไลน์ Raccool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +237/-2
งือออ คิดถึงง  :hao5:
ชอบอ่านพาร์ทที่เป็นนิทานหรือเรื่องเล่ามากเลยค่ะ
เชนทำท่าจะเฉลยอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สำเร็จอีกแล้วว แวว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ติดตามเสมอค่า
Merry Christmas ค่าา :กอด1: :L2: :L1:

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ๊ยยย ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อน เหมือนไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิงแต่เราก็ยังพยายามที่จะคล้ายมันออก ชาแฟร์นี้ทำเราตึ้บจริงๆนะเนี่ย มันเดาไม่ออกเลยว่าตอนต่อไปจะมาแนวไหนอีก นิทานก็สนุกชอบมาก เหมือนพยายามจะเปิดปม(แต่อินี่ดันเปิดไม่ออกเรียกสั้นๆว่าโง่ :m15: ) ฮ้อยยยย คิดถึงสุดๆไปเลยชาแฟร์
Merry X'masนะคะพี่เจ้า :)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด