× ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4  (อ่าน 30892 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**********

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2019 21:07:05 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ไม่มีความจริงในความจริง

หนึ่ง
 
   แนะนำตัวหน่อย

   ชื่อปรัญ ชื่อเล่นปัน เป็นนักศึกษาโครงการทุนผู้มีศักยภาพประจำปีนี้ครับ

   เด็กโครงการต้องทำอะไรบ้าง?

   เยอะแยะ แล้วแต่ว่าจะถูกเรียกไปใช้งานในส่วนไหน บางคนอยู่ห้องธุรการ ห้องฝ่ายการนักศึกษา อย่างเราก็ได้อยู่งานที่ปรึกษา

   มีเก็บชั่วโมงการทำงานไหม?

   มีแต่เหมือนไม่มี คือปกติแล้วพอจบเทอมจะต้องให้หัวหน้าฝ่ายงานเซ็นต์ผ่านไง ถ้าไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเป็นประจำก็เตรียมโดนริบทุนได้ ดีไม่ดีถูกเรียกเก็บย้อนหลังด้วย เหมือนว่าในสัญญาจะเขียนเอาไว้นะ

   ดูเหมือนว่าจะเคร่ง?

   พอคิดว่าได้เงินค่าจ้างด้วยแล้วมันก็พอหักลบกันได้

   ตั้งแต่ทำงานในโครงการมา มีเรื่องอะไรน่าสนใจไหม?

   (คิดนานมาก) มันก็มีแหละ...ทุกเรื่องเป็นอะไรที่ใหม่ น่าสนใจทั้งหมด

   มีอะไรอยากจะฝากบอกเด็กที่จะเข้ามาในโครงการนี้ปีหน้าบ้าง?

   ก็ลองดูถ้าคิดว่าคุณสมบัติผ่าน ได้เรียนฟรีมีเงินใช้ แล้วมาเป็นมนุษย์แรงงานด้วยกันนะครับ (ยิ้มกว้าง)

   กระดาษเอสี่ที่ข้างหลังเป็นแผ่นอนุมัติโครงการกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีที่แล้วพร้อมกับแผ่นโพสต์อิทสีเขียวมะนาวที่เขียนข้อความว่า 'ให้ปันเปลี่ยนประโยคให้ดีกว่านี้' และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่แทนอารมณ์โกรธถูกวางลงกับโต๊ะทำงานตัวเล็กข้างโน้ตบุ๊กรุ่นกลางของตัวเองที่ใช้งานมาได้นานพอสมควรแล้ว

   "ก็บอกให้ตอบอย่างที่คิด นี่ก็ทำให้แล้วไง"

   บ่นไปแบบที่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ปรัญยังเขม่นตาใส่สิ่งไม่มีชีวิตอยู่อีกสักพักหนึ่งจึงรู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องมองอยู่

   ถอนหายใจแบบที่ดูแล้วแนบเนียนที่สุด เงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มที่เห็นนิดเดียวก็รู้ว่ามันไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ให้กับคนมาใหม่ ผู้ชายที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารแบบหนังสีน้ำตาลเข้ม มีตุ๊กตาช้างสีเขียวพาสเทลที่เคยเห็นแต่ไม่รู้จักชื่อคล้องเอาไว้ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   คนมาใหม่หยิบแฟ้มที่เขียนไว้บนหน้าปกว่ารายชื่อผู้เข้ารับบริการพร้อมกับเปิดไปยังหน้าสุดท้ายเองเสร็จสรรพ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการเขียนข้อมูลทั้งหมดลงไป

   "เข้าไปได้เลยใช่ไหม"

   "ได้ วันนี้โล่ง"

   "ขอบคุณ"

   และนั่นคือบทสนทนาทั้งหมดของเรา ผู้ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปด้านในส่วนที่กั้นเอาไว้เป็นห้องสำหรับการพูดคุยส่วนเขาเองก็นั่งอยู่ที่เดิม

   มันก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ถามว่าชินไหมคงบอกตามตรงว่าไม่ เด็กโครงการผู้รับหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับของแผนกให้คำปรึกษาเอื้อมมือไปหยิบเอาแฟ้มที่ยังเปิดค้างเอาไว้ที่หน้าสุดท้ายมาไว้กับตัว หมุนเก้าอี้ออกไปทางด้านขวาที่มีอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในงานราชการเท่านั้นตั้งอยู่ ขยับเมาส์เพื่อรันโปรแกรมจากการพักหน้าจอจากนั้นก็เข้าไปยังส่วนบันทึกประวัติ

   คือไม่เข้าใจมากกับการให้คนมาใช้บริการเขียนชื่อตัวเองลงในเล่มเพื่อให้นักศึกษาอย่างเขากรอกเข้าไปในเซิฟเวอร์อีกรอบ กลัวว่าจะไม่มีงานทำจนไม่คุ้มกับค่าจ้างหรือไง

   กดไปตามส่วนต่างๆ ของแบบฟอร์ม ตั้งแต่ประเภทของผู้ใช้งาน วันเดือนปีที่เข้ารับบริการ รหัสนักศึกษา

   "เอื้อม...อา...รัญ"

   ทำเป็นท่องไปอย่างนั้นแหละ นิ้วที่พรมอยู่บนคีย์บอร์ดนี่ขยับไปตามความเคยชินแล้ว เขาเติมนามสกุลลงไปข้างท้ายก่อนที่จะตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนที่จะกดส่งข้อมูลไป

   ยังว่างอยู่เลยไล่สายตาดูว่าในรอบเดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าใช้บริการมากเท่าไหร่ ส่วนที่เตะตาคงไม่พ้นลายมือตวัดแบบเฉียงอ่านยากที่โผล่มาถึงสามครั้งในรอบสามสัปดาห์ก่อนหน้า ก็คนที่เข้ามาใช้บริการคนล่าสุดนี่แหละ

   นักศึกษามหาวิทยาลัยกับโรคทางจิตเวชเป็นเรื่องปกติ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ประจำห้องบอกเมื่อเข้าเทรนและทำความเข้าใจเนื้องานวันแรก จะบอกว่าโชคดีกว่าเพื่อนที่ถูกส่งไปยังห้องฝ่ายการนักศึกษาก็พูดได้ไม่เต็มปาก ขณะที่เพื่อนเหล่านั้นต้องวิ่งวุ่นกับปัญหาสารพัดตลอดทั้งปี บางวันเขาสามารถนั่งแกร่วอยู่ตรงโต๊ะตัวนี้ได้โดยเจอผู้เข้าใช้บริการเพียงหนึ่งราย

   แต่ความง่ายมันก็มักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ต้องเจอกับอะไรที่เสี่ยงชีวิตกว่าหน่อย

   ถ้าพูดถึงโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นบ่อยกับนักศึกษามันก็คงไม่พ้นโรคซึมเศร้า โรคเครียด อะไรทำนองนั้น ส่วนมากแล้วมีปัจจัยตั้งต้นแตกต่างแต่สุดท้ายแล้วคือไม่สามารถจะจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองจนต้องมาหาที่ปรึกษา มันเป็นนโยบายของทางมหาวิทยาลัยที่อยากให้มีห้องรับฟังแบบที่ยังไม่ต้องถึงกับการต้องไปโรงพยาบาล ประมาณว่าอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่สร้างความสบายใจให้นักศึกษามากกว่าทำนองนั้น

   ตั้งแต่อยู่ประจำที่นี่มาตั้งแต่เปิดเทอมหนึ่งจนเข้ากลางเทอมสองแล้วปรัญได้เจอเรื่อง 'น่าระทึกใจ' หลายครั้ง ที่ยังตราตึงได้มาจนถึงตอนนี้คือผู้ชายที่เดินยิ้มแย้มเข้ามาก่อนที่จะใช้ปากกาหัวแหลมแทงช่วงขาของตัวเองระหว่างการปรึกษา ทั้งต้องช่วยเข้าไปดึงสติแล้วยังต้องพยายามตามหาคนเข้ามาเสริมทัพ กลับห้องไปทั้งที่ควรหลับเป็นตาย แต่จังหวะการยิ้มคืนให้และรอยเลือดมันก็ตามหลอกหลอนจนนอนไม่หลับอยู่ดี

   อยากจะรู้เหรอว่าแล้วคนที่ชื่อเอื้อมอารัญเข้ามารับคำปรึกษาในเรื่องอะไร บอกเลยก็ได้ว่าไม่รู้หรอก อาจารย์ไม่เคยเอาเรื่องของนักศึกษาที่เข้ารับบริการออกมาเล่าให้ฟังอยู่แล้ว ไม่กล้าฟันธงไปเองเพราะเขาไม่รู้เลยว่าใต้ใบหน้าที่มักประดับด้วยยิ้มมุมปากเล็กๆ มันซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง

   มาบ่อยจนเป็นขาประจำ บางครั้งก็แค่ไม่กี่นาทีส่วนหลายครั้งก็กินเวลาเป็นชั่วโมง บางครั้งด้วยตารางการเรียน เขายังต้องเคยต้องไปเรียนก่อนที่อีกฝ่ายจะออกมาจากห้องด้วยซ้ำไป

   "แม่ง ...เกือบลืมไปเลยว่ามีเจ้ากรรมนายเวรอยู่"

   ค่อนข้างออกประเด็นไปมากจนเกือบลืมว่ามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ปกติแล้วทุนในโครงการนี้จะเปิดเป็นโครงการแรกๆ ของมหาวิทยาลัยจึงต้องเร่งในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เสียหน่อย เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าบทสัมภาษณ์จะถูกเอาไปลงในแผ่นพับ ก็ตอนนั้นบอกเองว่าตอบให้เป็นตัวของตัวเอง นี่ก็จัดให้แล้วไง

   ไล่ดูว่าควรจะตัดคำไหนบอกบ้าง แน่นอนว่ามนุษย์แรงงานคือสิ่งแรก ส่วนคำว่าเรียนฟรีมีตังค์ใช้มันมีคำอื่นที่สื่อความได้เหมือนกันแต่ว่าเป็นระดับภาษาที่สุภาพมากกว่านี้ไหมนะ

   "ทำงานหาประสบการณ์ในยามเรียนพร้อมกับได้ค่าตอบแทน..."

   แต่มันก็ไม่ได้หาประสบการณ์อะไรสักหน่อย

   "เติมเต็มชีวิตนักศึกษาและได้เงิน..."

   เติมเต็มด้วยความรู้น่าจะดีกว่า

   "ใช้ทุนตามสัญญาก่อนที่จะถูกเรียกเบี้ยปรับ..."

   แม่งเริ่มแปลกๆ เข้าไปทุกที

   "ตอบแทนมหาวิทยาลัย"

   "..."

   "ส่วนประโยคหลังคิดไม่ออก ใช้คำว่า 'เรียนรู้คุณค่าของเงิน' ก็เชยไปหน่อย"

   "ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ"

   ทำได้เพียงแค่กล่าวขอบคุณคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ในเวลานี้ เอื้อมอารัญผงกหัวเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปยังประตูกระจกที่กั้นเป็นสัดส่วนของห้องนี้ไว้ เขามองจนแผ่นหลังนั้นกลืนหายกลายเป็นส่วนหนึ่งฝูงชนจึงจรดปลายปากกาที่อยู่ในมือลงกับส่วนของแผ่นกระดาษที่ว่างอยู่

   บรรจงเขียนข้อความที่ได้ยินทั้งหมดลงไป ทำการตัดแต่งให้คำพูดดูไม่อลังการแต่ก็ยังทำให้ประทับใจอยู่ลงไปจนครบ ตั้งใจว่าพอครบชั่วโมงทำงานแล้วจะแวะเอาไปส่งให้เพื่อนเลยจะได้หมดสิ้นภาระติดตัวสักที
 


   เอาเข้าจริงแล้วไอ้ที่เขาชอบตามหาชีวิตการเป็นนักศึกษาที่คุ้มค่าตลอดช่วงสี่ปีมันเป็นอะไรที่เข้าใจยากไม่น้อย อย่างปรัญเองก็ต้องทำงานสัปดาห์ล่ะหลายชั่วโมง นอกจากนั้นแล้วก็ทุ่มให้กับงานอดิเรกอย่างการเข้าโรงหนังไปดื่มด่ำกับงานภาพยนตร์ใหม่ๆ เสมอ

   จะให้ไปมีเวลาทำนู่นนี่นั่นเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้

   "แต่มึงก็ควรจะทำตัวให้เข้ากับเพื่อนฝูงบ้าง อย่างน้อยศุกร์นี้ก็ไปก๊งกันหน่อยไหม"

   "บอกแล้วว่าไม่ใช่แนว ขี้เกียจเก็บศพพวกมึงด้วย"

   เคยไปรอบหนึ่งช่วงได้เป็นนักศึกษาใหม่ๆ เลย ทั้งไม่เข้าใจว่าเสียงเพลงดังอย่างนั้นฟังรู้เรื่องด้วยเหรอแล้วยังต้องลำบากเก็บซากของเพื่อนกลับห้องจนครบด้วย

   "นักบุญปัน"

   "เลิกเรียกชื่อนั้นสักทีน่า"

   ชื่อที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ก็เรียนโรงเรียนคริสต์มาเลยได้รับอิทธิพลพวกเรื่องเล่าแล้วก็การใช้คำไม่น้อย เขาก็ไม่ได้ทำตัวประเสริฐเลิศเลออะไร ทำไมถึงต้องเรียกด้วยชื่อนี้ก็ไม่รู้

   "ตราบใดที่มึงยังเป็นคนดีผิดที่ผิดเวลาอย่างนี้กูไม่เลิกหรอก"

   ได้ยินบ่อยจนเบื่อแล้ว เพื่อนรอบตัวเขาชอบบ่นลอยๆ เรื่องความใจดีไม่เข้าเรื่องหลายครั้ง อย่างเรื่องที่ยังทำงานอยู่ส่วนของห้องที่ปรึกษาก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าเจอเรื่องน่าประสาทเสียแบบนั้นบ่อยเข้าส่วนมากเทอมเดียวก็ขอหนีกันแล้ว มีแต่ปรัญนี่แหละที่บอกว่าเต็มใจจะอยู่ต่อ

   คือต่อให้เหมือนจะเป็นคนดีแค่ไหนมันก็ยังมีลิมิตของการยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว เขาจะประเมินก่อนเสมอว่าการแทรกเข้าไปมันจะส่งผลดีหรือร้ายมากกว่ากัน

   "กูจัดการชีวิตได้"

   "มึงแม่งชอบสงสารคนไปเรื่อยอะ อย่างเรื่องเงินเนี่ย แค่ที่กูรู้ลูกหนี้ที่ชักดาบหายไปก็เท่าไหร่แล้ว"

   "ก็มันไม่ค่อยจำเป็น"

   ค่าเรียนฟรี แถมมีเงินใช้จากการทำงานหลายส่วน พ่อแม่นี่แทบจะไม่ต้องส่งเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนมาให้แล้ว

   "เก็บไว้บ้าง เลิกใจดีก็ดี"

   เมื่อได้ยินในเรื่องที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็เลยเอาแค่พอให้ผ่านหู "ถ้าให้กูแก้ตรงไหนอีกก็บอกมา ไปล่ะ"

   "โธ่ ทีอย่างนี้ล่ะมาหนี"

   ถ้าเป็นสมัยที่ยังเลือดร้อนอยู่คงได้ตีกันสักตั้ง แล้วที่ผ่านมาเราก็แลกหมัดกันไปแล้วหลายครั้งอยู่จนเรียนรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร

   "จะไปเตรียมตัว เดี๋ยวเย็นนี้มีงาน"

   "แล้วจะรอรีวิว ...โอ๊ะ คุณเอื้อมนี่"

   ไม่ได้หันหน้าไปตามทิศที่สายตาอีกคนจ้องมองอยู่ในทันที ชื่อที่เพิ่งผ่านหูและผ่านตามาไม่ถึงสามชั่วโมงดีสร้างหนึ่งคำถามขึ้นมาว่าคนชื่อ 'เอื้อม' นี่จะมีสักกี่คนกันเชียว

   เบนหน้าตามไปเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการแสดงออกว่ากำลังสนใจมากจนเกินไป ที่เห็นอยู่คือขอบกระเป๋าถือกับตุ๊กตาตัวใหญ่ห้อยเอาไว้เด่นบนโต๊ะม้าหินห่างออกไปสี่ตัว ส่วนเจ้าของเห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้นเอง

   "ส่งไปให้ฮิวดูดีกว่า เจอเพื่อนรักโดยบังเอิญ"

   ชื่อที่ออกมานั่นก็เพื่อนในแวดวงเดียวกันนี่แหละ มาจากต่างโรงเรียนแต่ว่า 'คลิ๊ก' เลยสนิทกันมาเรื่อยๆ

   "มึงไม่คิดว่าการแอบถ่ายอย่างนี้มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลบ้างเหรอ?" ว่าจะไม่พูดแล้วแต่อดไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยเข้าใจและคิดว่าต่อให้ได้รับคำอธิบายที่สวยหรูแค่ไหนมันก็ยังมาจบตรงที่เป็นการละเมิดอยู่ดี คนสมัยนี้คิดแต่ความสะดวกของตัวเองไม่เคยสนว่ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่

   "ขำๆ ไม่เห็นมีอะไร"

   "แล้วถ้ามีคนมาแอบถ่ายมึงบ้างล่ะ"

   "ไม่มีหรอก คิดมาก"

   ปรัญถอนหายใจออกมาเสียงดัง และสิ่งที่ได้รับคืนมามีเพียงแค่เสียงหัวเราะขบขันน่ารำคาญหู

   "คนดังอย่างเอื้อมมันคงชินกับอะไรอย่างนี้แล้วล่ะ"

   "ดังขนาดนั้น?"

   คงเพราะว่าเจอกันหลายครั้งแล้วล่ะมั้งเลยคิดว่าการได้รู้จักตัวตนของเอื้อมอารัญเพิ่มเติมมันคงไม่ได้มีอะไรแปลก เผื่อว่าจะมีข้อมูลที่บอกได้ด้วยว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นสมาชิกหน้าคุ้นของห้องที่ปรึกษา

   "ในทางที่ไม่ค่อยโอเคนะ เห็นฮิวบอกว่าชมรมออเคสตรารู้วีรกรรมดีว่าขี้โกหกแค่ไหน เหมือนพวกเด็กเลี้ยงแกะไม่ก็พิน็อคคิโอ"

   "โกหก?"

   "อืม บอกว่าตัวเองนั่นนู่นนี่แต่คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันมาก็บอกว่าไม่เคยได้ยิน พอเข้ามหาลัยก็ยังไม่เลิกสร้างเรื่องสารพัด ไปให้ฮิวเล่าสิ"

   "ไม่ล่ะ"

   "ทำไม จะค้านบอกว่าก่อนที่จะตัดสินใครควรจะทำความรู้จักเขาให้ดีก่อนหรือไง"

   ชักจะอารมณ์เสียกับการคุยกับคนที่มีทัศนคติไม่ตรงกันแล้วล่ะ เขาก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเองเพื่อพบว่านี่มันเป็นเวลาที่สมควรจะออกเดินทางแล้ว ถ้าไม่อยากเจอรถติดอีกสามชาติเศษก็จงหนีออกไปก่อน

   "ก็ด้วย ไปแล้วนะ ไว้เจอกัน"

   ไม่สนใจเสียงที่ไล่หลังตามมา จากจุดที่นั่งอยู่ตั้งแต่แรกถ้าจะออกไปทางถนนใหญ่จะต้องผ่านโต๊ะตัวที่เอื้อมอารัญนั่งอยู่คนเดียว กวาดสายตาเพียงชั่วครู่ระหว่างเดินผ่านเพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าไม่สนใจสิ่งรอบตัว หน้าจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์โชว์หน้าแรกของเฟซบุ๊กอยู่

   มองว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดา และอดคิดต่อไปไม่ได้ว่าความสะดวกสบายมันกำลังทำลายสิ่งที่เรียกว่าการเคารพความเป็นส่วนตัวเข้าไปทุกที

   "...ขี้โกหกอย่างนั้นเหรอ"

   ทำไมปรัญถึงกลับคิดว่าคนที่ยิ้มจางไม่จริงใจเสมออย่างนั้นไม่น่าจะสร้างเรื่องอะไรได้เลย
 


   ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาต้องเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ อะไรคือการที่อาจารย์ประจำวันต้องรีบออกไปกะทันหันเพราะลูกสาวมีปัญหากับทางโรงเรียน แล้วไม่สามารถหาใครมาแทนได้ทันจนต้องขอให้เขาคอยนั่งประจำที่เอาไว้เผื่อว่าถ้ามีใครมาหาจะได้บอกว่าให้ไปทางโรงพยาบาลดีกว่า

   บรรยากาศข้างในห้องนี้มักจะเงียบอยู่แล้ว มันเป็นการเข้าออกสม่ำเสมอไม่มีการค้างอยู่นาน การต้องอยู่คนเดียวมันเหงาเสียจนต้องเปิดยูทิวบ์เข้าไปหาเพลงฟังฆ่าเวลา

   อีกตั้งเกือบสองชั่วโมงกว่าจะหมดเวลาทำงาน

   เข้าหน้าจอท่องเที่ยวอินเทอร์เน็ตพร้อมกับเปิดไปยังส่วนที่ดูประจำ ทริลเลอร์ของหนังที่จะเข้าฉายในอีกไม่ช้า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงรู้สึกไม่ตื่นเต้นหรือว่ารอคอยการมาถึง ทั้งที่ปกติแล้วมันเป็นความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป

   สลับไปยังส่วนของทวิตเตอร์ เช็กดูฟีตแบกของรีวิวที่เพิ่งลงไปเมื่อคืน ตอบกลับบางข้อความที่ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องและทักทายกับชื่อสมาชิกประจำ

   กราฟค่าการวิเคราะห์ผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นสีเขียวที่ควรจะพึงพอใจ ยังไม่รวมกับยอดรีทวิตที่ขยับขึ้นสูงทุกครั้งที่เข้ามาตรวจสอบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดีแต่ทำไมถึงห่อเหี่ยวได้เบอร์นี้

   นี่มันแย่เกินไปแล้วนะ

   ข้อความจากช่องเมจเสจของเฟซบุ๊กแจ้งขึ้นมาว่ามีการทักทายจากคนคุ้นเคย เนื้อหาที่บอกว่ายินดีด้วยที่บทสัมภาษณ์เวอร์ชันแก้ไขได้ผ่านการตรวจสอบของกองบรรณาธิการแล้วช่วยให้เขายิ้มขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องการประดิษฐ์คำอีก
พิมพ์ตอบคืนไปพร้อมกับส่งภาพเคลื่อนไหวตลกๆ เมื่อไม่มีเครื่องหมายที่แสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเขาจึงปิดมันลง ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปเช็กทวิตเตอร์อีกครั้งเผื่อว่ามีอะไรให้อ่านเพิ่มเติม

   "วันนี้ไม่เป..."

   เตรียมท่องประโยคเดิมเป็นครั้งที่สามเมื่อเห็นว่าประตูกระจกเปิดออกอีกครั้ง คำว่าไม่เปิดให้บริการออกมาไม่ได้เต็มประโยคเพราะช่วงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยลังเลของคนตรงนั้น

   "อ้อ ...ขอบคุณครับ"

   "แต่ว่าถ้าอยากจะนั่งพักก็ได้นะ"

   คำนั้นออกไปเร็วกว่าที่สมองจะทันได้ประมวลอะไร ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีใครใช้ที่นี่เป็นแหล่งพักพิงหรอก เพราะว่าตัวห้องแล้วก็ลักษณะของผู้เข้าใช้บริการนี่แหละ

   ที่กล้าเสนอไปอย่างนั้นคิดว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการใบหน้าที่แสดงความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง ต่อให้เป็นการขยับมุมปากขึ้นที่ดูเสแสร้งแต่ว่ามันไม่เคยมีครั้งไหนที่เขามาพร้อมกับอาการ 'เคว้ง' เท่านี้ อีกอย่างเอื้อมอารัญเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของที่นี่

   แล้วมันก็ไม่ได้มีกฎที่ห้ามใช้ที่นี่เป็นห้องนั่งเล่นสักหน่อย

   "ผมอยู่คนเดียว โซฟาข้างในว่าง"

   ให้คำสนับสนุนคนที่ยังลังเล คุณเอื้อมของเพื่อนเขาละล้าละหลังอยู่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่ก่อนที่จะยอมพาตัวเองเข้ามาอยู่ด้านใน

   "ขอบคุณ"

   ใครกันที่บอกว่าเอื้อมอารัญเป็นพวกชอบโกหก

   รอยร้าวข้างในนัยน์ตาคู่นั้นบอกหมดทุกอย่างเลยต่างหาก

   จากที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวก็เหมือนว่าจะคลายความเหงาไปได้หน่อย สมาชิกที่เพิ่มขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจส่งยิ้มเล็กมาให้ยามที่ก้าวเท้าผ่านเข้าไปยังส่วนในของห้อง เขารอจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างกำลังดีลับหายไปตรงมุมกำแพงถึงกลับมามองหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ

   กวาดตาไล่ตามการอัปเดตไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกว่างงานเช่นนี้มากเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี เอื้อมอารัญน่าจะอยากอยู่คนเดียว การเข้าทักทายคงรบกวนอยู่ไม่น้อย

   ช่วงเวลาที่เหลือถูกใช้ไปแอปพลิเคชันสำหรับดูภาพยนตร์ เขากดปุ่มหยุดเมื่อเหลือบไปเห็นว่าอีกสิบนาทีก็จะหมดเวลาทำงาน ยกแขนขึ้นเหยียดสูงเป็นการบิดขี้เกียจก่อนเริ่มงานชิ้นต่อไป

   คว้าเอาแก้วน้ำเซรามิกส่วนตัวตรงมุมโต๊ะทางขวามาไว้ในมือ ลุกขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการล้างและเก็บมันเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะคิดว่าคงจะครอบครองส่วนนี้อีกนานเลยซื้อเก็บเอาไว้ใช้งานในระยะยาว เป็นแก้วลายภาพยนตร์หลายภาคที่ได้มาเป็นของฝากจากเพื่อนในกลุ่มที่ไปเที่ยวต่างประเทศ

   จากตรงโต๊ะต้อนรับจะต้องผ่านส่วนของโซฟาก่อนที่จะเจอห้องครัวขนาดเล็กด้านหลังสุด เขาพยายามเดินโดยกำกับจังหวะการก้าวไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนอีกคน เอื้อมอารัญนั่งก้มหน้าจดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นใหญ่ตรงตัก เข้าใจดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะจ้องนานๆ เลยบังคับให้มองแต่ทางข้างหน้าเท่านั้น

   "เดี๋ยวจะปิดแล้วนะ"

   หรือที่จริงต้องบอกว่าต้องปิดแล้วตอนนี้ เขานึกว่าการที่เดินผ่านเข้าไปล้างแก้วแล้วเดินออกมาอีกรอบจะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงการหมดช่วงเวลาให้บริการ แต่นี่ออกไปเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนเลย

   ปรัญเว้นระยะห่างของตัวเองกับอีกคนแบบที่คิดว่ากำลังดี คือไม่ได้ใกล้จนชิดแต่ก็ไม่ได้ห่างจนให้อารมณ์ของคนน่ารังเกียจ นักศึกษาที่เป็นคนไข้ขาประจำวางปากกาในมือลง ปิดแฟ้มอันใหญ่ในเสีย เขาเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่สมุดที่เย็บมาให้แล้ว แต่เป็นแบบที่สามารถสอดใส่กระดาษเพิ่มเข้าไปได้เอง ตอนแรกมองแค่ผ่านเลยไม่รู้

   "อือ..."

   เพราะมองไม่เห็นหน้าเลยจ้องแต่ส่วนของช่วงแขนและฝ่ามือ ปลายนิ้วเรียวสวยดูสุขภาพดีแบบคนดูแลตัวเองเสมอบรรจงเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ลงแฟ้มหนังใบใหญ่ เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรอจนแขกขยับตัวลุกออกไปทางด้านหน้า ตรวจสอบอะไรให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายจึงตามไป

   ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษาความปลอดภัย นี่ก็เป็นเรื่องที่แบ่งฝ่ายกันได้ประหลาด ที่บอกว่าปิดประตูคือแค่ปิดประตูจริงๆ ไม่ได้มีการเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในเลย ถ้ามีใครแอบอาศัยอยู่ต่อก็ยังได้

   "คิดว่าอาจารย์หมอน่าจะไม่มีธุระอะไรด่วนแล้ว ยังไงถ้าอยากได้คำปรึกษาก็ลองมาพรุ่งนี้อีกทีนะ"

   ยังคงทำหน้าที่เป็นเด็กทำงานใช้ทุนที่ดีจนวินาทีสุดท้ายก่อนปิดประตูลง

   "ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่ให้อยู่ในห้องด้วย"

   "เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว"

   "นายชอบเครื่องดื่มอะไร กาแฟ? ชา?"

   คิดว่าไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะสานต่อบทสนทนา "โกโก้"

   "ศุกร์นี้เข้างานเวลาเดิมใช่ไหม เดี๋ยวซื้อมาให้"

   "เฮ้ย ไม่ต้องหรอก" ปฏิเสธพัลวัน ยกไม้ยกมือขึ้นมาประกอบท่าทางว่าไม่ต้องการรับสินน้ำใจใดๆ เอื้อมอารัญขยับช่วงคอเล็กน้อยแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันหมายถึงอะไร กลับหลังหันพลางเอ่ยคำลา

   "ไว้เจอกันนะ"

   ก็เลยทำได้เพียงเปลี่ยนไปเป็นการโบกมือลาเท่านั้นเอง


***
   ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่า ต้องไม่หนักค่ะ (ฮา) แต่จะทำได้ไหมนี่ต้องดูอีกทีนะคะ
   ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งค่ะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จะไม่หนักใช่ไหมคะ 555
โอ๊ย ทำไมแค่ตอนแรก เราก็เริ่มเห็นลางหนักแล้ว แง
คุณเอื้อมกับน้องปรัญ เจอกันในที่ๆโรแมนติกมากเลย ._.

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ฮือ คนเขียนจะพยายามเขียนไม่ให้หนักสำเร็จใช่ไหมคะ ตอนต่อๆไปมันจะเบากว่านี้ใช่ไหมคะ  :ruready

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สอง

   เอื้อมอารัญเป็นคนดังในคณะ

   คณะที่มีนักศึกษาแค่สี่สิบคน

   มันเป็นคณะที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่เมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับพวกการผสมผสานองค์ความรู้หลายอย่างจนเขาเองเรียกว่าจับฉ่าย ค่าเทอมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคณะอื่นที่เปิดมาเป็นเวลานาน บางคนถึงกับเรียกคณะเปิดใหม่พวกนี้ว่าเป็นแหล่งผลิตใบปริญญาที่จ่ายครบก็จบ

   ส่วนตัวปรัญเองเลือกเรียนในคณะที่มีการแข่งขันในรอบปกติค่อนข้างสูง กระซิบบอกก็ได้ว่าส่วนหนึ่งที่เลือกเป็นเด็กทุนเพราะว่ามันไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงกับคนทั้งประเทศนี่แหละ

   ดูไม่ค่อยยุติธรรม แต่ว่าโลกของเราก็ไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว

   แล้วทำไมถึงเล่าเรื่องที่บอกว่าเป็นคนดังของคณะเหรอ

   ก็เพราะว่าเพื่อนตัวดีกำลังสาธยายเรื่องของ 'เอื้อมอารัญ' ไม่ยอมจบอยู่นี่ไง

   "คือมึงเข้าใจกูใช่ไหม แค่เรื่องในคณะก็วุ่นวายมากพออยู่แล้วนี่ยังต้องมาเจอเรื่องตารางซ้อมบ้าบอคอแตกอะไรนี่อีก"

   "เออ เข้าใจ"

   "ถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ดีไป นี่อะไร วุ่นวายไปหมด"

   ฟังฮิวบ่นกระปอดกระแปดไป มือก็จัดการตักก้อนน้ำแข็งไสที่เริ่มละลายแล้วเข้าปาก จะเรียกว่าอาหารมื้อบ่ายสี่ก็กระดากปาก เอาเป็นว่าเขาบังเอิญเจอกับเพื่อนต่างคณะคนนี้ที่หน้าประตูทางออกตึก พอคุยจับใจความได้ว่ากำลังจะออกไปหาของกินเลยโดนลากมาด้วย

   มาจบอยู่ที่ร้านบิงซูที่อดีตเคยขายพวกฮันนี่โทสต์ เรียกได้ว่าเป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคที่เทรนด์การกินเปลี่ยนไปได้เสมอจนเหนื่อยจะไล่ตาม

   แล้วเหตุผลอะไรถึงวกมาคุยเรื่องของเอื้อมอารัญเหรอ ก็พอดีฮิวจำได้ว่าวันก่อนเพื่อนเขาส่งรูปจากด้านหลังไปให้ พอรู้ว่าปรัญเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยไม่สามารถหยุดเล่าเรื่องได้

   "อยากจะเชิญออก แต่ก็หาคนมาแทนไม่ทันแล้ว"

   เท่าที่ฟังความฝ่ายเดียวคือฮิวค่อนข้างไม่โอเคกับนิสัยไม่รักษาวินัยของ 'คุณเอื้อม' เท่าไหร่ ชมรมออร์เคสตราต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน วันที่ซ้อมแยกมันก็ยังพอทำเนา แต่อีกไม่นานจะเป็นการซ้อมรวมแล้ว

   "อ้างนู่นอ้างนี่ รถเสีย งานกลุ่ม นี่ล่าสุดบอกว่าต้องกลับบ้านด่วนเพราะแม่ป่วย"

   "แม่เขาอาจจะป่วยจริงก็ได้นี่"

   "ตอนกูโทรไปเช็กแม่เขาตีแบตอยู่"

   ถ้ามีหลักฐานอย่างนี้ก็ค้านยาก แล้วจะให้ปกป้องต่อไปทั้งที่ไม่รู้เรื่องจริงก็ไม่ควร เลยคิดว่าทางที่เป็นกลางที่สุดคือการรับฟังโดยไม่เลือกข้าง

   "ไม่เข้าใจพวกที่โกหกได้หน้าตาย ชีวิตมีความสุขเหรอกับการสร้างเรื่องไปเรื่อยๆ น่ะ"

   อันนี้เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่ต้องมาทำงานในห้องที่ปรึกษาแล้วทัศนคติเกี่ยวกับมนุษย์ของปรัญเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร เขาเจอตั้งแต่เคสที่เป็นขั้นเริ่มต้นไปจนถึงอาการที่ต้องส่งหาจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเร่งด่วน มันค่อยๆ ให้คำสอนกับเขาในเรื่องความแตกต่างของบุคคล

   ก็บอกแล้วไงว่าบางคนที่ยิ้มแย้มเข้ามาแต่กลับทำร้ายตัวเองได้หน้าตาเฉยก็มี

   "ก็เราไม่ใช่เขา บางทีก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก"

   "ก็ใช่ เด็กมีปมเรื่องบ้านก็อย่างนี้"

   "เหรอ..." ชักกลัวว่าถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องคุยมันอาจจะโยงไปถึงเรื่องที่เขาไม่อยากรับรู้ "ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น"

   "ถ้ามีปมก็ควรไปหาหมอสิวะ"

   เกือบยั้งปากไม่อยู่แล้วว่าเอื้อมอารัญก็ทำอย่างนั้นอยู่ "บางปัญหาหมอก็ช่วยไม่ได้"

   อาจารย์เป็นคนบอกเอง คือมันก็มีทั้งภูมิหลังความสัมพันธ์หรือบางทีก็เป็นความผิดปกติทางประสาท ถ้าเจอต้นตอแล้วคนไข้ให้ความร่วมมือก็ดีไป ต้องยอมรับว่าเคสที่ไม่ยอมรับและปล่อยให้มันเรื้อรังก็มีไม่น้อย

   "มึงอยู่ห้องดูแลพวกมีปัญหาอะไรนั่นใช่ไหม หรือว่าลองแนะนำให้คุณเอื้อมไปดี"

   "กินเถอะ นี่ละลายไปตั้งเยอะแล้ว"

   นั่นเป็นการตัดประเด็นที่ปรัญมองว่าตัวเองสามารถทำได้ดีเหมือนกัน เพื่อนที่เพิ่งมารู้จักกันในมหาวิทยาลัยคงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนชวนมาทาน เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักเกล็ดของหวานต่อจากนั้น ปล่อยให้เรื่องที่คุยก่อนหน้าจบไปไม่มีการต่อความ

   ถึงตัวเองจะเจอกับเอื้อมมาหลายครั้งแต่ถ้าเทียบในเรื่องของรายละเอียดแล้วนั่งอยู่กับฮิวไม่กี่นาทีกลับได้มากกว่า ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองและจัดสรรให้เหลือแต่เพียงความจริง ยังไม่ควรเชื่อจนสนิทใจ

   ดูเหมือนว่าจะเข้าข้างเอื้อมอารัญสินะ ยอมรับก็ได้ว่าโอนเอียงไปทางนั้นไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นเจออะไรมาบ้าง แต่เอาจากที่เจอมากับตัวมันเป็นคนละทางเลย

   หรือเพราะว่าเราเจอกันแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้นด้วยล่ะมั้ง

   "แล้วนี่วันนี้ไปดูหนังหรือเปล่า"

   กระดกน้ำเปล่าในแก้วเข้าไปอีกครั้ง วางมันลงพลางส่ายหัวดิก "ไม่ ต้องกลับไปเคลียร์งานกลุ่ม"

   "งานกลุ่มที่ทำไม่กี่คนอีกแล้วล่ะสิ"

   เราเจอกันครั้งแรกในรายวิชาที่มีการคละรหัสนักศึกษาทั้งชั้นปี บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของดวงชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรถึงได้เพื่อนร่วมกลุ่มที่มีความรับผิดชอบและเต็มไปด้วยความสามารถ งานทุกส่วนไม่มีคนบ่ายเบี่ยงหรือโยนภาระให้ใครคนหนึ่งคนใด และผลของมันคือเกรดเอตัวเองในชีวิตการเป็นนักศึกษา

   มันก็เลยพอรู้จักนิสัยการทำงานของแต่ละคนดี

   "ทำหลายคนอยู่"

   "กูอยากให้มึงเลิกเป็นคนดีอะ"

   นี่ทำไมแต่ละคนถึงได้แนะนำเขาในเชิงนี้นะ "ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น"

   "ไม่ดีขนาดนั้น แต่ว่าใครทำอะไรไม่ได้เดี๋ยวปันจัดการให้หมด"

   ปรัญไม่เคยอวดตน มีน้ำใจ และเป็นมิตร นั่นคือสิ่งที่เพื่อนทุกคนสัมผัสได้ และเพราะความจริงใจนั่นแหละคนรอบข้างถึงได้กังวลว่ามันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายสักวัน

   "ช่วยกันไป ไม่งั้นก็ไม่เสร็จ"

   "ใครไม่ทำงานมึงก็ไม่ต้องส่งชื่อเลย โตๆ กันแล้ว"

   พูดน่ะง่าย ส่วนคนที่ทำจริงน่ะหายาก เคยเจอของจริงอยู่แค่ครั้งเดียวตอนปลายภาคเทอมที่แล้ว เป็นคนใกล้ตัวนี่แหละที่ไม่ยอมให้เอาเปรียบ จะว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายก็ใช่ หรือมองอีกแง่มันเต็มไปด้วยความซับซ้อนมากทีเดียว ปันคงไม่ใจเด็ดพอที่จะทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น

   "ก็ให้เขาทำอย่างอื่น ออกไปรายงานก็ได้"

   "เหี้ยเอ๊ย พูดถึงรายงานกูต้องทำกับคุณเอื้อมนี่กว่า"

   ทำไมถึงไม่สามารถหลีกพ้นเรื่องนี้ไปได้สักทีนะ

   "อาจารย์แม่งอินดี้นับเลขหนึ่งถึงยี่สิบ ใครได้เหมือนกันก็ต้องคู่กัน แล้วใครได้แจกพ็อตเจอเอื้อมอารัญ กูเอง!"

   เรื่องเล่ามารวดเดียวแทบไม่เว้นจังหวะสำหรับการหายใจ การแสดงออกผ่านทางสีหน้าและท่าทางของฮิวแทนความรู้สึกหน่ายระคนปลงตกได้ดีทีเดียว

   "แต่ก็นะ ถือว่าช่วยเหลือสัตว์โลกไป"
 


   "โกโก้มาแล้ว น่าจะละลายนิดหน่อยอะ"

   หันหน้าออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง มองคนมาใหม่อย่างเอื้อมอารัญใช้แผ่นหลังในการดันประตูออก มือข้างหนึ่งถือถุงกระดาษสกรีนลายสัญลักษณ์ร้านค้าเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็เป็นแฟ้มหนังใบใหญ่พร้อมกับตุ๊กตาตัวเดิม

   คนที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้เข้ามาในฐานะคนไข้หรือว่าพนักงานส่งเครื่องดื่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม วางถุงลงบนโต๊ะพลางทำการแจกแจงเองเสร็จสรรพ ปันมองแก้วพลาสติกบรจุน้ำสีน้ำตาลตรงหน้าตัวเองนิดหน่อยก่อนที่จะสลับไปมองเจ้าของแก้วชาเขียวแบบปั่น ชั่งใจอยู่ว่าจะบอกดีหรือไม่

   ว่าที่บอกว่าชอบโกโก้ หมายถึงชนิดร้อนต่างหาก

   "...ขอบคุณ"

   แล้วก็ตัดสินใจว่าถ้าทำอย่างนั้นมัน็เป็นการหักหน้าเกินไปหน่อย เลยเก็บไว้กับตัวเองพอ

   "เราต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย... เออ ชื่ออะไรอะ ว่าจะถามแล้วก็ลืมทุกที"

   "ปัน"

   "เราเอื้อมนะ มาจากชื่อจริงนั่นแหละ"

   เผลอเติมคำว่า 'คุณ' ให้ตรงหน้าชื่อเหมือนอย่างที่เพื่อนทั้งสองคนทำ จะว่าไปแล้วทำไมถึงต้องเรียกว่าคุณเอื้อมด้วยนะ มันเป็นการประชดหรือว่ามีสาเหตุอื่น

   "อืม"

   คนหลอดไปมาเพื่อให้ความเข้มตรงก้นแก้วขึ้นไปผสมกับชั้นน้ำข้างบน เขาไม่ค่อยดื่มแบบที่ใส่น้ำแข็งเพราะว่ามันละลายค่อนข้างไว แล้วยังเจือจางความเข้มข้นของตัวน้ำไปเกือบหมด เพื่อให้สามารถดื่มด่ำกับรสชาติแล้วเขาถึงชอบแบบร้อนมากกว่า

   จรดริมฝีปากกับปลายหลอด ดูดมันขึ้นมาด้วยความปลงตกว่ามันคงไม่ใช่รสชาติที่ถูกปากเท่าไหร่ และมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเขานึกว่าตัวเองกำลังคิดโกโก้ที่มีน้ำเปล่าเป็นส่วนผสมประมาณเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์

   "วันนี้จะคุยไหม" ยกแฟ้มบันทึกการเข้าใช้งานขึ้นเป็นส่วนประกอบ "ต่อว่าคงต้องรอสักพัก เมื่อกี้เพิ่งมีคนเข้าไปเอง"

   เด็กจากคณะแพทยศาสตร์ เป็นคณะที่สร้างสถิติทุกปีไม่เคยมีใครมาล้มล้างได้ คือคณะอื่นมันจะมีเกณฑ์ที่ไม่เคยเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งใช้ไม่ได้กับเด็กคณะนี้ ในหนึ่งปีก็ต้องมีการประชุมเรื่องพักการเรียนและให้พ้นสภาพนักศึกษาอยู่เสมอ

   "เปล่า นี่แวะเอาน้ำมาให้อย่างที่บอกเฉยๆ" เอื้อมอารัญจะว่าไม่ซับซ้อนก็ใช่อยู่ ช่วงไหล่ยักขึ้นเร็วๆ ก่อนที่จะเล่าต่อ "นั่งพักอีกหน่อยเดี๋ยวต้องไปแล้ว มีงานต่อน่ะ"

   งานที่ปรัญรู้เองว่ามันหมายถึงการเข้าซ้อมรวมเป็นวันแรก ตั้งแต่เจอหน้านี่คงเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้คุยกันยาว ไม่อย่างนั้นแล้วไดอะล็อกจะอยู่แค่ 'เขียนชื่อด้วยครับ' 'ต้องรอนะครับ' 'ขอบคุณครับ' ทำนองนี้ ไอ้การมาคุยกันเรื่องอื่นนี่ไม่ต้องหวังเลย

   "ชอบกินชาเขียวเหรอ" เพราะไม่รู้จะคุยเรื่องไหนเลยงัดเอาสิ่งใกล้ตัวมาเป็นประเด็น

   เพื่อนๆ ชอบบอกว่ารสนิยมการกินของเขาแปลก ไม่เคยคิดจะแตะกาแฟเพราะเคยลองไปกระป๋องเดียวก็พาใจสั่นไปทั้งคืน จากนั้นเลยบอกลากันถาวร

   "ใช่ แต่หาอร่อยยาก" ในขณะที่แก้วข้างกายปรัญยังมีโกโก้ผสมน้ำแข็งอยู่เกือบเต็ม สิ่งที่อยู่ในมือของเอื้อมอารัญก็หมดไปมากกว่าครึ่งแล้ว "คนไทยติดหวาน ทุกอย่างเลยหวานไปหมด"

   พยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่อาหารคาวไปยันของหวานนั่นแหละ

   "แล้วไหนบอกว่าชอบโกโก้ ไม่เห็นดื่มเลย"

   ชั่งใจอยู่ได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องตอบออกไป "ชอบแบบร้อนน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก"

   เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าสีหน้าอย่างนั้นจะอธิบายด้วยคำไหน เอื้อมเขม่นตาใส่เขาในระดับที่ไม่ค่อยต่างจากการมองปกติ ริมฝีปากขมุบขมิบอะไรไม่ได้ศัพท์

   "ก็ซื้อมาแล้ว ไม่อยากให้เสียน้ำใจ"

   "แต่ถ้าไม่บอกเราเมื่อกี้ จะเสียใจกว่าอีก"

   "ไม่ค่อยมีใครกินแบบนี้กันหรอก ไม่แปลก"

   เหมือนคนบ้าที่สั่งเครื่องดื่มแบบนี้ในประเทศที่มีสามฤดูคือร้อน ร้อนมาก และร้อนปางตาย ถ้าเป็นช่วงไหนที่บังเอิญมีลมหนาวมาก็ได้บรรยากาศอยู่ แต่ส่วนมากมันนานๆ ทีจะเกิดขึ้นน่ะ

   แล้วไม่ค่อยมีใครชงถูกใจจนซื้อแบบผงมาเตรียมไว้เองด้วยซ้ำ อยู่ในตู้ชั้นเก็บของในห้องครัวนั่นแหละ วางรวมกับของที่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ศูนย์งานที่มีทางเข้าห้องครัวเชื่อมกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยทำเองเพราะรสมือตัวเองก็ห่วยแตกพอกัน

   "งั้นไว้ขอแก้ตัวใหม่นะ"

   "เฮ้ย ไม่ต้อง" ปฏิเสธพลัน แค่นี้ก็รู้สึกเกรงใจมากเกินพอ "เราเรื่องมากด้วยอะ อย่าลำบากเลย"

   "ไม่ลำบาก ไปตะลอนกินตามร้านในรีวิวสนุกจะตาย"

   ในบางมุมเอื้อมก็แอบซ่อนความดื้อเอาไว้ไม่น้อย เขาดูดเครื่องดื่มในมือเข้าไปอีกครั้งจนได้ยินเสียงแจ้งเตือนว่ามันหมดลงแล้ว ท่าตบเข่าพร้อมกับส่งยิ้มจางให้เหมือนกับทุกครั้งที่เจอกัน

   "เราไป..."

   ประโยคที่เหมือนจะเป็นการลาออกมาได้ไม่ครบทั้งหมด เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงกระชากประตูอย่างแรง ตามด้วยการตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หมอ

   "ปัน! เด็กชัก!"

   ไม่มีเวลาสำหรับคำถามอะไรทั้งนั้น ปรัญหันไปคว้าโทรศัพท์ภาพในพร้อมกับกดเบอร์ที่ถูกบังคับให้ท่องจนขึ้นใจ เขารีบแจ้งข้อมูลพื้นฐานและพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือให้กับศูนย์งานที่รับผิดชอบ จัดการดึงประวัติการเข้าใช้งานของนักศึกษาขึ้นมาเตรียมเอาไว้เผื่อ

   เขาไม่มีความรู้เรื่องการรับมือกับอาการชักเบื้องต้น และทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความสับสนปนเร่งรีบจนเกือบลืมไปว่าในห้องนี้ยังมีอีกคน

   คือเอื้อมอารัญที่กลายเป็นผู้ช่วยพยาบาลไปเสียแล้ว

   เพิ่งเรียบเรียงอะไรได้ก็ตอนที่ฝ่ายพยาบาลกรูกันเข้ามาช่วยกันรับช่วงต่อ นักศึกษาสองคนถึงได้หลบฉากออกมาดูการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จบด้วยการย้ายตัวไปรักษายังสถานที่ที่มีเครื่องมือและบุคลากรครบมากกว่านี้

   เก็บไว้เป็นอีกหนึ่งเรื่องระทึกใจสำหรับการทำงาน ปรัญจัดการเคลียร์บางส่วนของห้องให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ตั้งแต่กองกระดาษใบปลิวให้ความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเวชเบื้องต้นที่ถูกปัดตกจากชั้นวาง โซฟาที่ถูกย้ายเพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ส่วนที่อยู่ในห้องกั้นของอาจารย์ไม่เข้าไปยุ่ง

   ทุกขั้นตอนมีเพื่อนร่วมชะตากรรมจนถึงลำดับสุดท้ายคือการปิดห้องให้เรียบร้อย ชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านในอีกครั้งเป็นการย้ำให้หายกังวล

   "แล้วไม่ต้องไปทำธุระต่อแล้วเหรอ"

   ถามคนข้างตัว มือข้างหนึ่งแกว่งถุงกระดาษของร้านค้าที่มีแก้วน้ำสองใบข้างใน มันยังมีน้ำหนักไม่น้อยเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเขาไม่ได้มีเวลาแตะมันเพิ่มเลย นี่เดี๋ยวจะเอาไปทิ้งตรงถังขยะหน้าตึกแล้ว

   "เจอเรื่องตื่นเต้นจนไม่น่าจะมีสมาธิไปซ้อม อีกอย่างเลทมาครึ่งชั่วโมงแล้ว"

   เสียงหัวเราะแห้งตรงท้ายประโยคกับการขยับมุมปากเล็กน้อยเป็นตัวเสริมที่เข้าใจได้ ตอนนี้เขาเองก็ไม่ต่างกัน อยากจะพุ่งตัวกลับห้องไปนอนบนเตียงแล้ว

   "นี่กำลังจะส่งข้อความไปบอกว่าไปไม่ได้แล้ว แต่พวกนั้นต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าเพิ่งเจออะไรมา"

   ซ่อนใบหน้ากังวลเอาไว้คนเดียว คือนึกเสียงของฮิวออกเลยว่าจะต้องบ่นไปสามบ้านแปดบ้านไม่มีจบสิ้น

   "นี่"

   "ฮะ?"

   เกือบสะดุ้งเพราะการหันหน้ามาสบตาแบบไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาเมื่อสักครู่มันมีแค่เรื่องเล่าจากคนอื่นในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเอื้อมอารัญ ในแง่หนึ่งแล้วความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ควรมีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนอีกมุมหนึ่งคือถ้าลองมาเจอเหตุการณ์ที่ยากต่อการควบคุมอย่างนี้เองแล้วจะทำอย่างไรต่อไป

   คนเรามักมีวิธีแก้ปัญหาให้คนอื่นได้สารพัด แต่พอเจอกับตัวถึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรตายตัว

   "ถ้าไม่มีอะไรทำต่อไปทานข้าวเย็นกันไหม?"
 


   มันก็เลยกลายเป็นว่าปรัญได้มานั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกับเอื้อมอารัญอีกครั้งในสถานที่ที่ต่างออกไป

   "เอาเท่านี้ครับ ส่วนน้ำดื่มเอาเป็นน้ำเปล่า ปันอยากสั่งอะไรเพิ่มไหม?"

   "ไม่ล่ะ" ปฏิเสธกลับไป วางเมนูอาหารในมือลงรอให้พนักงานเสิร์ฟเก็บมันออกไป "ตอนเย็นเรากินไม่ค่อยเยอะ"

   "ทำไมล่ะ เป็นวัยกำลังโตต้องกินเยอะๆ สิ"

   "เหมือนที่เอื้อมสั่งน่ะเหรอ"

   แกล้งหยอกกลับ ก็รายการอาหารที่พนักงานจดไปเมื่อสักครู่เขายังคิดอยู่เลยว่ามันเกินกว่าความสามารถของคนสองคนจะจัดการหมดได้

   "เราแค่สั่งตามที่รีวิวบอกว่าอร่อย"

   ร้านอาหารที่เราสองคนมาหาอาหารเย็นทานไม่ได้อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัยแต่ต้องขับรถออกมาพอสมควร เอื้อมอารัญบอกว่าเจอคนแนะนำมาในอินเทอร์เน็ต ตั้งใจว่าจะมาลองหลายครั้งแล้วแต่เพิ่งสบโอกาสหาคนมาด้วย เข้าใจได้เพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่มีทางเดินอาดเข้าร้านมาทานคนเดียวแน่

   นึกว่าเอื้อมจะเป็นผู้ชายประเภทที่เพื่อนเยอะเสียอีก

   "เป็นสายชอบของล่าตามรีวิวเหรอ"

   เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ พอเริ่มมีโพสต์รีวิวที่หนึ่งก็จะมีสองสามสี่ตามมาเหมือนการแยกเซลล์แบบยกกำลัง ไม่ได้บอกว่าผิดแต่ว่ามันไม่ใช่ทางเขาเท่าไหร่ ชีวิตวันๆ แค่ดูหนังและดื่มด่ำกับสิ่งที่ต้องการสื่อก็หมดแล้ว

   ร้านอาหารเป็นประเภทฟิวชันผสมหลายชาติ การแต่งร้านเลยหลากหลายตามไม่ได้สื่อเด่นชัดถึงชาติใด ห้องขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยกระจกมีม่านปักสีขาวลายดอกไม้หลายชนิดประดับ เว้นระยะห่างของโต๊ะได้พอดีไม่ชิดเกินไปจนกลายเป็นอึดอัด แล้วราคาก็ไม่ได้สูงเกินเหตุจนสามารถเห็นเด็กในชุดนักศึกษาเหมือนกับพวกเขาหลายส่วน

   "นิดหน่อย มันก็สนุกดี" เหมือนว่าจะเจอเรื่องคุยที่เหมาะ ถึงได้ยินเรื่องเล่าจากนั้นยาวพอสมควร "แถวบ้านเรามันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนอะ เลยอิจฉาพวกที่สามารถบอกว่าปั่นจักรยานไปลองของตามรีวิวก็ยังได้ นี่ก่อนหน้านี้เราไปกินไอติมไข่แข็งมา อร่อย"

   แค่เล่าไม่พอยังมีการเปิดรูปขึ้นมาอวดเพิ่มอีกต่างหาก

   "ปันไม่ชอบเหรอ"

   "เราไม่ชอบวิ่งตามกระแสน่ะ" คำตอบดูน่าหมั่นไส้ ปรัญรู้ดี ช่วยไม่ได้ที่หลายครั้งเขารู้สึกอย่างนั้นจริง "ไม่ได้บอกว่าผิด แค่ไม่ถูกจริตกับตัวเราเท่าไหร่"

   ไม่ถึงกับลนลานแก้ตัวเพื่อให้สบายใจ เขาลอบมองดูทีท่าตั้งแต่ที่พูดเรื่องกระแสแล้วล่ะ เอื้อมอารัญแค่พยักหน้าขึ้นลงนิดหน่อยพอรับทราบ ไม่ได้ดูมีอคติกับสิ่งที่เขาแสดงออกอะไร

   "แต่ที่มากับเรานี่โอเคใช่ไหม"

   "ที่เห็นอยู่ด้วยก็น่าจะเป็นคำตอบอยู่แล้วนะ"

   "นั่นสิเนอะ"

   ถือวิสาสะตอนที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามก้มหน้ามองแต่แสงจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเก็บรายละเอียดบางอย่างบนใบหน้า ถ้ามองในภาพรวมแล้วมันไม่มีอะไรที่โดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างมันก็ลงตัวเหมาะเจาะไม่ขัดตา ถ้าสายตายังดีอยู่เหมือนจะมีไฝเม็ดเล็กอยู่ตรงโหนกแก้ม แล้วก็มีลักยิ้มด้วย

   ผมที่ไม่เห็นต้องเซ็ตอะไรมากก็เข้าทรง เส้นผมดูมีน้ำหนักและผ่านการดูแลมาอย่างดีไม่เหมือนกับเขา แค่ครีมนวดยังไม่เคยคิดจะซื้อมาใช้

   "เราห้ามลืมสั่งสาคูแคนตาลูปนะ นี่เขาบอกว่าห้ามพลาด"

   เสียงเดินทางมาไม่เต็มประโยคเท่าไหร่ ก็คนเล่ายังเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมขยับเลยนี่นา

   "ได้ ถ้ากินของคาวหมด"

   "ไม่หมดก็เก็บกลับสิ ยากอะไร"

   เหมือนได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ชายพูดน้อย เอาแต่ยิ้มเล็กๆ ท่าทางไม่ค่อยเอนจอยโลก คนตรงหน้าเขาดูมีชีวิตชีวาหรือพูดอีกอย่างคือเป็น 'มนุษย์' มากขึ้น

   ส่วนมากเราไม่ได้คุยกันต่อเนื่อง จะเป็นประมาณว่าเอื้อมมีอะไรนึกออกก็จะพูดออกมา ส่วนเขาเป็นฝ่ายเริ่มเพียงแค่หัวข้อเดียว

   ไม่รู้สึกแปลกกับการก้มหน้ามองแต่โทรศัพท์ในมือตัวเอง ปรัญเลื่อนหน้านิวฟีตด้วยนิ้วโป้งไวๆ ไม่ได้หยุดอยู่ตรงโพสต์ไหนนาน จนมาเจอกับสเตตัสของฮิวที่เพิ่งอัปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

   โกหกได้ก็โกหกไป

   ทั้งช่วงเวลาแล้วก็เนื้อหามันลงตัวจนเขาไม่คิดว่ามันจะหมายความถึงใครอื่นได้อีก

   เปลี่ยนไปเข้าอีกแอปหนึ่งแทนด้วยความคาดหวังว่ามันคงมีอะไรที่จรรโลงใจมากกว่า ประจวบเหมาะกับการมาเสิร์ฟของอาหารจานแรกเลยเป็นที่รู้กันว่าควรเก็บเครื่องมือสื่อสารให้พ้น

   ค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าที่คิดเอาไว้ มันเป็นการร่วมโต๊ะครั้งแรกที่ไม่กระอักกระอ่วนหรือว่าต้องมาศึกษาทีท่ากัน อยากทานอะไรก็หยิบ ไม่ชอบผักก็ไม่ตักขึ้นมาปล่อยให้มันถูกลืมเอาไว้อย่างนั้น การปรุงรสชาติที่ไม่ติดหวานอย่างที่บ่นกันก่อนหน้าช่วยให้มื้อเย็นเต็มไปด้วยความน่าพึงพอใจ

   ถ้าเทียบจากความสูงที่แทบไม่ต่าง รูปร่างก็ใกล้เคียงแล้วต้องบอกว่าเอื้อมกินจุกว่าเขาเยอะ ที่บอกว่ามีความสุขกับการตามหาของอร่อยนี่ไม่เกินกว่าที่พูดเลย

   "เราเจอปันในห้องนั้นตั้งแต่เทอมแรกเลยปะ"

   "ใช่ พอดีเขาให้มาประจำงานส่วนนี้น่ะ"

   ไม่หือไม่อือ อยากจะให้ทำในส่วนไหนปรัญก็โอเค ไม่เรื่องมาก

   ต่อให้มีการรีวิวงานจากรุ่นพี่ว่าส่วนไหนดี ส่วนไหนควรเลี่ยง เขาก็มองว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาที่จะพามาให้ ตะกายหนีเท่าไหรก็ไม่มีทางพ้น

   "เราไม่เคยรู้เลยว่ามีโครงการนี้ด้วย" ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการรอของหวาน หลังจากที่อาหารเย็นมื้อใหญ่ได้จบลงไปแล้ว "ดูเข้าง่ายกว่าโครงการปกติเยอะเลย"

   "ง่ายกว่าเยอะ ถ้าคุณสมบัติครบก็อยากแนะนำให้สมัครทางนี้ดีกว่า"

   "เราก็ทำหลายอย่างตอนมัธยม แต่ว่าไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน"

   บทสนทนาราบรื่นจนไม่อยากให้มีอะไรมาขัด น่าเสียดายที่มันถูกแย่งความสนใจไปโดยถ้วยของหวานใบกำลังดีที่เพิ่งวางลงกับโต๊ะ คนบอกว่าห้ามพลาดของหวานจัดการคนมันให้เข้าด้วยกันก่อนเริ่มทำการพิสูจน์

   "อร่อยนะ ลองไหม" ช้อนเซรามิกกระทบกับขอบถ้วยยามชิมคำแรกเรียบร้อย ฝ่ามือที่ผายมาทางเขาบอกให้ส่ายหัวกลับไป

   "ไม่ล่ะ อิ่มมาก"

   นี่มันเกินกว่ามื้อปกติไม่น้อย เขาไม่ค่อยทานมื้อเย็นเยอะเพราะว่ามันจะไปรบกวนสมาธิในการชมภาพยนตร์ ก็ส่วนมากรอบปฐมทัศน์มันมักจะเป็นเวลานี้ เขาในฐานะนักรีวิวที่มีคนติดตามจำนวนหนึ่งได้รับเชิญจนกลายเป็นขาประจำนานพอสมควรแล้ว

   เพื่อการทำงานที่ไม่ค่อยได้เงินเป็นหลักเป็นแหล่งเท่าไหร่เลยต้องตัดปัจจัยที่จะเข้าไปขัดขวางสมาธิ อาการง่วงคือสิ่งที่ต้องระวังเอาไว้ แค่เดินทางจากมหาวิทยาลัยไปโรงภาพยนตร์ก็ดูดพลังงานพอแล้ว อย่าให้อย่างอื่นเข้ามามีบทบาทอีกเลย

   "แล้วนายจะต้องเสียใจ"

   ก็เลยกลายเป็นการรับชมการทานของหวานแบบที่ไม่มีบทบรรยายเหมือนกับรายการอาหารทั้งหลาย พอจบมื้อแล้วก็ยังต้องมาทะเลาะกันต่ออีกว่าจะต้องเป็นการจ่ายแบบหารครึ่งเท่านั้น เขาไม่ยอมให้เอื้อมออกเงินทั้งหมดเองหรอก เครื่องดื่มโกโก้ยังไม่ได้ใช้คืนเลย

   งัดเอาเรื่องอเมริกันแชร์ น้ำใจคนไทย และวิธีการเข้าสังคมของบางประเทศ มาได้ข้อสรุปสุดท้ายคือหารครึ่งส่วนของคาวและเครื่องดื่ม ส่วนของหวานจะเป็นความรับผิดชอบของคนอยากกินคนเดียว

   อย่างนี้ค่อยรับได้หน่อย ปรัญไม่สนใจเรื่องราคาที่ปรากฎบนบิลว่ามันจะเป็นเลขสี่หลักซึ่งแตกต่างจากมื้อเบสิกหลายเท่า เขาไม่ค่อยได้เอาเงินไปใช้ทำอะไรอยู่แล้ว จะเอามาลงกับของกินมันคงไม่ได้เป็นเรื่องประหลาด

   "เฟซปันชื่ออะไรอะ แอดไปได้ไหม"

   แค่เดินออกจากร้านไปยังลานจอดรถก็ยังไม่ยอมปล่อยสมาร์ตโฟน มองดูทางกรวดหินที่ทอดยาวต่อไปแล้วอดห่วงไม่ได้ถ้าเผลอสะดุดจนหน้าทิ่ม แรงปะทะของมันน่าจะสร้างความเสียหายได้มากพอควร

   บอกชื่อเสียงเรียงนามที่ใช้ไปทีละตัวให้สามารถกดแป้นได้ทัน "แต่ไม่อัปอะไรหรอก ร้างมาก"

   ตัวตนบนโลกออนไลน์ของปรัญอยู่ในทวิตเตอร์มากกว่า ก็แอคเคาท์รีวิวหนังนั่นแหละ

   "ปา...รัน อ่านอย่างนี้หรือเปล่า"

   "ปรัญ" ออกเสียงแบบที่ถูกต้องให้ "เลยชื่อเล่นว่าปัน"

   เป็นอะไรที่สิ้นคิดจนไม่ค่อยอยากจะเล่าที่มาของชื่อเล่นให้ใครฟังเท่าไหร่ เราสามารถอนุมานได้จากเพื่อนที่ชื่อเกี่ยวข้องกับฟุตบอลว่าเป็นกีฬาโปรดของพ่อ หรือว่าจะเป็นดาราคนโปรดของแม่ สำหรับเขาแล้วมันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการตั้งชื่อจริงแล้วพบว่าขี้เกียจหาชื่ออีกเลยพยัญชนะของคำแรกมาใส่รวมกับสระและตัวสะกดในคำที่สอง

   ปะบวกกับรัญ เลยได้คำว่าปัน

   "แอดไปแล้วนะ ห้ามบล็อก..." อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดินโดยไม่มีสัญญาณเตือน แอบเสียมารยาทด้วยการขยับเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนหน้าจอ มันกำลังแสดงผลเป็นข้อความเดียวกับที่เขาเห็นก่อนหน้า

   "...โดนคิดว่าโกหกจริงด้วยแฮะ"

   "..."

   "เอาเถอะ ยังไงก็เป็นครายวูลฟ์ (Cry Wolf) ของพวกเขาอยู่แล้วล่ะนะ"

   ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็จะรู้ 'กิตติศัพท์' ดีนี่นา


***
   รับรู้ได้ถึงความระแวงของคนอ่าน...เจ้าจะไปแบบเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่เครียดค่ะ (หัวเราะ) ลองวางโครงเรื่องจนจบแล้วน่าจะไม่ยาวเหมือนกับทุกเรื่องที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ลัดคิวแต่งก็งี้ล่ะนะคะ
   #ไม่มีความจริง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2018 12:04:11 โดย 23August »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อ่านตอนนี้แล้วก็ไม่ค่อยเครียดนะคะ แต่อยู่ในสภาวะก้ำกึ่งในการตัดสินใจว่าจะวางใจเอื้อมดีรึเปล่า ก็สงสารเอื้อมนะคะที่โดนเพื่อนว่าแบบนั้น แต่ถ้าเราเจอแบบฮิวที่รู้ว่าแม่ตีแบตอยู่ เราก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน สุดท้ายเราก็อยู่ทีมเดียวกับปันค่ะ เข้าข้างเอื้อมหน่อยๆ ฮ่าๆ

แอบตงิดๆตรงประโยคที่ว่า "เราแค่สั่งตามที่รีวิวบอกว่าอร่อย"
คือมันมีอะไรหรือเราคิดมากไปเอง รู้สึกระแวงไปหมดเลยค่ะ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นทีมแม่น้องปัน ถ้าน้องปันเข้าข้างเอื้อม แม่ก็จะเข้าข้าง แง
เหมือนคุณเอื้อมนี่น่าจะมีปมอะไรซักอย่าง ก็ต้องอ่านๆไป เพราะไม่เคยเดาอะไรจากงานคุณเจ้าได้เลย ฮือ ไม่ฉลาดพอ ;-;
แต่ถ้าเราเป็นฮิวแล้วรู้ว่าเอื้อมโกหกจริง อย่างเรื่องแม่ตีเเบดงี้ ก็คงไม่สบอารมณ์อ่ะ แต่ในเรื่องอื่นก็ไม่รู้ว่าจริงไหม
แต่นั้นแหละค่ะ ทีมแม่น้องปันปันจะอยู่ข้างคุณเอื้อม เพราะปันว่าดี แม่ก็ว่าดี แง่ม

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สาม
 
   คราวนี้บนโต๊ะเลคเชอร์ของเขามีโกโก้ร้อนแก้วหนึ่งวางเอาไว้

   เอื้อมอารัญส่งข้อความมาถามว่าวันนี้มีเรียนกี่โมง ที่ตึกไหน ด้วยความที่ไม่คิดอะไรเลยตอบไปโดยไม่ซักไซ้ให้มากความ พอเดินมาถึงหน้าห้องเรียนแล้วเจอคนหน้าคุ้นนั่งไขว่ห้างรออยู่แล้วก็เข้าใจว่าถามไปทำไม

   'เห็นในเฟซว่าร้านอยู่แถวนี้ น่าจะยังร้อนอยู่นะ'

   ตลกกับการบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าเป็นการซื้อของตามคำเชื้อเชิญบนโลกออนไลน์ แล้วที่บอกว่ายังร้อนอยู่ตอนที่เอามาถือไว้เองมันก็ยังอุ่นดี

   เหมือนเอื้อมจะถือคติซื้อมาก่อน แม่จะได้ห้ามไม่ได้ เขาพูดทิ้งท้ายทำนองว่าถ้าบอกก่อนก็จะไม่มีทางรับ เพราะฉะนั้นก็ต้องหาทางที่จะไม่โดนเบรก แถมยังภูมิใจกับแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้อีกต่างหาก

   เปลี่ยนไปมองโปรเจกเตอร์หน้าห้อง มันไม่มีสไลด์จากโปรแกรมยอดฮิตอย่างหลายวิชา มีเพียงลายมือที่อ่านค่อนข้างยากของอาจารย์กับกราฟบางอย่างที่ดูแล้วน่าปวดหัว ไม่สงสารนักศึกษาที่ต้องมาแกะลายมือโย้เย้จนแทบจะกลายเป็นเส้นวาดเดียวเลย

   จดอะไรลงไปนิดหน่อยในหนังสือเล่มหนา เนื้อหามันไม่ค่อยต่างกันมากเพราะชื่อคนเขียนก็คือคนเดียวกับที่ยังพูดไม่หยุดนั่นแหละ เป็นวิชาที่รุ่นพี่บอกว่าถ้าไม่อยากตื่นมาเรียนก็ตั้งใจจำคำที่อาจารย์ใช้ในหนังสือไปตอบ ยังไงก็ได้เอถ้าไม่พลาดทำผิดข้อ

   นั่นทำให้ปริมาณสมาชิกภายในห้องมีเพียงครึ่งหนึ่งของที่ลงเรียนทั้งหมด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะว่าจะได้ไม่ต้องแย่งที่นั่ง ปรัญเลือกมุมบนด้านหลังของห้องแบบไล่สโลปเพื่อให้ความสูงไม่เป็นที่รบกวน และแน่นอนว่ามันสะดวกต่อการแอบทำอย่างอื่นด้วย

   เช่นตอบแชตของเจ้าของเครื่องดื่มในเช้าวันนี้

   U Arun : รอเรียนตอนสิบเอ็ดโมง

   สัมผัสได้ว่าช่วงหัวคิ้วคงขยับเข้ามาหากันไม่น้อย นี่เพิ่งเก้าโมงครึ่งเองนะ

   U Arun : แต่ปกติมาเวลานี้อยู่แล้ว

   อย่างกับมีญาณวิเศษว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องนี้ ภาพขยับได้ที่มาพร้อมข้อความ Don't Worry ไม่เห็นทำให้เขาหยุดกังวลได้เลย

   Parun P : แล้วทำอะไรต่อ?
   U Arun : นั่งเหม่อไปเดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้ว
   U Arun : ไม่เหมือนตอนอยากให้คาบเรียนหมดไวๆ


   นิ้วโป้งหัวแม่มือยังขยับไปตามส่วนของแป้นพิมพ์ได้ไม่ครบทั้งประโยคก็ต้องรีบวางมันลง ก็อาจารย์เล่นเปลี่ยนเรื่องสอนโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เขารีบเปิดหาเลขหน้าที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ เพ่งสายตาหาส่วนที่มีเนื้อความตรงกับเสียงที่ผ่านลำโพง

   แล้วไม่รู้ว่าเกิดเครื่องติดอะไรขึ้นมาถึงกลายร่างเป็นแรปเปอร์จนจบคาบ พอได้ยินคำว่ามาต่อชั่วโมงหน้าทั้งห้องถึงสามัคคีถอนหายใจโล่งอก เขาควานหากระเป๋าใบเล็กที่เอาไว้ใส่ปากกาขึ้นมาเก็บอุปกรณ์เขียน จากนั้นก็ปิดหนังสือแล้วเก็บทุกอย่างลงไปทีเดียว

   สะพายกระเป๋าข้างให้เรียบร้อย มือข้างซ้ายถือเครื่องดื่มที่ไม่มีเวลาได้ยกขึ้นจิบชิมรสชาติ ส่วนอีกข้างปลดล็อกรหัสหน้าจอโทรศัพท์เพื่อพบว่าลืมอะไรไป

   U Arun : ว่างจัง
   U Arun : เข้าไปนั่งเรียนด้วยได้ไหมอะ
   U Arun : น่าจะไม่ได้ ตั้งใจเรียนไม่ดูมือถือเลย


   ส่วนภาพประกอบที่ส่งมาต่อจากนั้นคือรูปถ่ายจากช่องกระจกเล็กๆ ด้านนอกประตูห้อง ซึ่งสามารถเห็นแผ่นหลังของเขากำลังก้มหน้าคร่ำเคร่งกับบทเรียนอยู่

   U Arun : ไปเรียนแล้วนะ อย่าลืมรีวิวโกโก้ให้ด้วย

   ข้อความสุดท้ายส่งมาเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว นี่อย่าบอกนะว่าเอื้อมอารัญนั่งเหม่ออยู่นอกห้องอย่างที่บอกจริง

   ชั่งใจอยู่นานว่าจะส่งอะไรกลับไปก่อนเป็นอย่างแรก เลยหาที่นั่งแล้วจัดการทดสอบเครื่องดื่มเย็นชืดเสียก่อน มันก็ไม่ถึงกับดีมากแต่สำหรับเขาแล้วก็ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป คราวนี้ถือว่ารีวิวเชื่อถือได้

   Parun P : ก็โอเค

   "..."

   เหลือบขึ้นไปมองความยาวของข้อความที่แตกต่างกันเสียเหลือเกิน รู้สึกผิดเสียจนต้องแค้นสมองออกมาว่าควรจะเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปบ้าง

   จะบอกว่าไม่ต้องสรรหาของมาให้ชิมแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นการห้ามที่ไร้ประโยชน์ เอื้อมอารัญของเพื่อนๆ เป็นจำพวกเอาแต่ใจไม่น้อยเลยล่ะ มันเหมือนเป็นเรื่องเล่าสืบเนื่องต่อกัน ถ้าเริ่มเล่าเรื่องนิสัยที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่แล้วนอกจากเรื่องโกหกมันมักจะต่อด้วยคติถ้าอยากได้ก็ต้องได้

   เอาจากที่ประสบมากับตัวไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่มีเพื่อน ถ้าบอกว่าเรื่องความไม่รับผิดชอบหลังจากวันนั้นแล้วก็เห็นว่าไปซ้อมไม่ขาด บางครั้งยังอัปรูปขึ้นเฟซตอนพักอยู่เลย

   กลับไปทวนดูข้อความก่อนหน้าอีกครั้งด้วยความหวังว่าอาจเจออะไรที่เอามาเป็นส่วนต่อยอดได้ เรื่องเหม่อก่อนเข้าเรียนไม่น่าจะช่วย...

   เอาเป็นตรงนี้แล้วกัน

   Parun P : โต๊ะว่างเยอะ ถ้าอยากเรียนด้วยคาบหน้าก็ลองเข้ามาสิ
 


   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรสัปดาห์นี้ไม่ค่อยมีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการ แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปอีกพักใหญ่ซึ่งเข้าใกล้การสอบกลางภาคแล้วมันจะเริ่มมีการเพิ่มขึ้นของตัวเลขอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจารย์เลยบอกว่าถือเป็นการเซฟพลังเอาไว้เตรียมเจอกับของจริง

   แฟ้มรายชื่อผู้เข้าใช้บริการถูกหยิบออกมาเปิดตรวจสอบ ภาพรวมมันเป็นตัวเลขในเกณฑ์มาตรฐานไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง
จะประหลาดก็ตรงไม่มีชื่อของเอื้อมอารัญมาสองสัปดาห์แล้ว

   ใช่ว่าจะไม่มาเลย เอื้อมแวะมาเมื่อวันก่อน แต่มาเพื่อถามว่าเย็นวันพฤหัสเขาสะดวกไปทานข้าวเย็นด้วยหรือเปล่า น่าเสียดายที่วันนั้นมีนัดกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญก่อนแล้วเลยต้องปฏิเสธไป

   คงเป็นคนที่ใจดีมากเกินไปอย่างที่เพื่อนคนอื่นบอก เขายังรู้สึกผิดกับการเป็นต้นเหตุของใบหน้าหงอยลงไปหนึ่งระดับตอนที่บอกว่าไม่สามารถไปด้วยได้อยู่เลย ถึงต่อจากนั้นจะส่งข้อความไปขอโทษซ้ำอีกครั้งและเอื้อมก็บอกว่าไม่เป็นไรก็เถอะ

   คนที่ควรจะเข้าไปขอรับคำปรึกษาคือปรัญนี่แหละ

   "ควรจะเลิกคิดมาก..."

   เอื้อมไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนด้วยอย่างที่เคยชวน เขาตอบกลับมาติดเล่นว่าเป็นเด็กสายศิลป์ที่ไม่ถูกกับตัวเลขทุกกรณี และมันก็จบลงอย่างที่ควรจะเป็นโดยที่ไม่มีใครรื้อขึ้นมาพูดใหม่

   ไหนใครเพิ่งบอกว่าต้องเลิกคิดมาก

   ยอมรับว่าเป็นคนที่ชอบเอาใจเขามาใส่ใจเราเองมากจนเกินไป แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ ลองมาเจอผู้ชายทำหน้าตาไม่ค่อยยิ้มในห้องสำหรับการปรึกษาด้านจิตเวชติดต่อกันเป็นระยะเวลาพอสมควรอย่างเขา ร้อยทั้งร้อยคงไม่ทิ้งให้มันแย่ลงกว่าเดิม

   "ปันจะไปงานตลาดตอนเย็นไหม"

   "ครับ?"

   หมดเวลาทำงานในวันนี้ เดี๋ยวจะเป็นช่วงพักเที่ยงของอาจารย์และตัวเขาเอง ต่อจากนั้นก็เตรียมเข้าเรียนในภาคบ่าย

   "งานตลาดนอกรอบที่จัดวันนี้ไง ตรงโซนลานจอดรถน่ะ"

   เมื่อได้คำอธิบายเพิ่มถึงพอนึกได้ว่าช่วงที่ผ่านมาเห็นป้ายเชิญชวนให้เข้าร่วมในรูปแบบต่างๆ อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ไวนิลสีสันสดใส แล้วก็มีป้ายห้อยระย้าตามเสา ที่เข้าไปในเฟซวันก่อนก็มีคนแชร์กิจกรรมภายในงาน มีขายของ โชว์ความสามารถนักศึกษา ของแจกฟรีจากสปอนเซอร์ ไม่ถึงกับระดับสนใจจนต้องไปให้ได้

   "ถ้าเบื่อๆ คงไปแหละครับ"

   "คิดไว้แล้วว่าปันต้องตอบประมาณนี้ อาจารย์ต้องตกใจแน่ๆ ถ้าบอกว่าไปแน่นอน"

   "ก็จะได้ไม่ทำให้อาจารย์ตกใจไงครับ"

   "แต่ถ้าว่างก็ไปเถอะ เผื่อเจอของดีไง" ไม่วายมีการขยิบตาส่งท้ายมาให้อีก "ไปกินข้าวเที่ยงได้แล้ว เจอกันที่งานตอนเย็นนะจ๊ะ"

   สรุปแล้วก็คืออาจารย์จะไปแน่ๆ แค่นั้นแหละ

   ปรัญยกมือขึ้นไหว้ลา ออกจากห้องแอร์ไปเจอกับแสงแดดและความร้อนที่แผดเผาเสียจนอยากกลับหลังหันแล้วเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยตามเดิม เบ้หน้าให้กับอุณหภูมิสุดแสนจะไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตพลางก้าวเดินไปยังที่จอดรถจักรยานเสือภูเขาด้านหลังตึก เอาให้สมกับอยู่ในมหาวิทยาลัยสีเขียวหน่อย

   เอาเข้าจริงแล้วการเดินทางข้างในไม่ได้ยาก มีทางเดินพร้อมหลังคาติดตั้งเอาไว้พร้อมเสร็จสรรพสำหรับการใช้งาน ติดก็ตรงความร้อนนี่แหละที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ ใครมันจะทนเดินจากตึกเรียนกลับหอโดยไม่เป็นลมแดดไปก่อนได้

   ใช้วิธีการโยนหัวก้อยว่ามื้อกลางวันจะไปจบที่ไหน ไม่ค่อยอยากไปส่วนโรงอาหารกลางเท่าไหร่เพราะนี่มันเพิ่งเป็นช่วงเวลาการปล่อยคลาสเรียน บรรดานักศึกษาที่ถูกสูบพลังงานจากห้องเรียนจะต้องกรูกันเข้าไปแย่งชิงพื้นที่นั่งอย่างที่เห็นมาเสมอแน่

   เลยเลือกที่จะเบนทางไปยังโรงอาหารในโซนหอพักแทน นอกจากทางเดินที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่แล้วทางที่สร้างขนานกันไปคือทางสำหรับจักรยาน (และไม่น้อยที่มีจักรยานยนต์แอบเข้ามาใช้) ลัดเลาะไปตามป้ายบอกทางจนถึงทางแยก ด้านซ้ายคือทางเข้าส่วนหอพัก ส่วนที่เห็นคนจำนวนมากเดินไปมาวุ่นวายทางขวาคือลานจอดรถกลาง

   เบรกเกียร์จนเครื่องทุ่นแรงหยุดการทำงาน มองไปยังพื้นที่โล่งที่มักจะเห็นรถยนต์หลากยี่ห้อหลายสีสันจอดเรียงกันไปกลายเป็นลานสำหรับการจัดกิจกรรมในค่ำคืนนี้ เวทีขนาดเล็กตั้งอยู่สุดสายตา ส่วนพื้นก็มีการเอาชอล์กสีมาแบ่งช่องตารางเอาไว้ บางส่วนยังว่างเปล่าแต่ไม่น้อยที่เริ่มจัดวางร้านแล้ว

   เสียงประกาศตามสายเชิญชวนดังมาไม่ขาด เขาไม่ได้สนใจว่ามันจะมีร้านอาหารชื่อดังหรือว่ามินิคอนเสิร์ตจากนักร้องคิวทอง สิ่งเดียวที่นึกถึงคือใบหน้าของคนที่บอกว่าชอบเสาะหาของตามรีวิว

   คิดว่ามันคงไม่ได้เสียหายอะไรสำหรับการเป็นคนเชิญชวนบ้าง ถ้าเทียบแล้วรอบอื่นก็มีแต่เอื้อมที่เอ่ยปากก่อน คราวนี้สลับกันบ้างก็ได้

   "งานใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย"

   หลังจากตัดสินใจแล้ว ปันก็พิมพ์ลงไปในแชตแค่ว่าสนใจมาเดินตลาดเย็นนี้ด้วยกันหรือเปล่า และได้รับคำตอบเป็นการตกลงแบบลากตัวสุดท้ายยาวยืด ตามมาด้วยภาษาประหลาดที่เขียนด้วยภาษาไทยแต่ไม่เข้าใจความหมาย เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็วล่ะนะ

   "อือ นึกว่าจะมีนิดเดียว" เท่าที่กวาดตามองตอนนี้มันคงมากกว่าร้อยร้านค้า ทั้งส่วนที่เป็นกิจการของนักศึกษาและบุคคลภายนอก มีแบ่งส่วนระหว่างของกินและของใช้ชัดเจน ละลานตาจนไม่รู้ว่าควรเริ่มที่ตรงไหนดี "แล้ววันนี้ไม่ต้องซ้อมเหรอ"

   เอื้อมอารัญตอบทั้งที่สายตายังสอดส่องหาของถูกใจ "งดซ้อม เพราะทุกคนโหวตว่าอยากมางาน"

   "ทุกคนเลยเหรอ" ทวนกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็คิดว่าฮิวน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่โหวตให้งด "อะไรจะมติเป็นเอกฉันท์ขนาดนั้น"

   "ที่จริงคือไม่รู้เหมือนกันว่าใครเริ่มเสนอ แต่ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็ได้ประโยชน์ล่ะนะ"

   "นั่นไม่เท่ากับว่าทุกคนโหวตว่าอยากมา"

   "จะเป็นแบบไหนก็ไม่ได้ทำให้ผลเปลี่ยนไปสักหน่อย ไปทางนู้นกัน"

   ความคิดที่ว่าจะเริ่มตรงไหนถูกเก็บไปเมื่อคนมาด้วยเดินลิ่วนำไปทางโซนของกินแล้ว พวกเขาคงเข้างานในช่วงเวลาที่ตรงกับบรรดานักศึกษาจำนวนมาก มันเลยเป็นการเดินชมงานช้าๆ ไม่สามารถขยับหลบหลีกเพื่อความรวดเร็วได้

   ส่วนสูงที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของชายไทยเป็นผลดีกว่าที่คิด ปรัญฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาที่เรียนสลับไปกับการแวะเข้าไปซื้อสินค้าหลายประเภท จากหนึ่งก็เป็นสองและสาม แล้วเริ่มเพิ่มขึ้นจนท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติ

   ร้านนี้อร่อย

   ร้านนั้นมีคนแนะนำเยอะ

   ร้านนู้นเป็นเพื่อนของเพื่อนบังคับให้ช่วยอุดหนุน

   "คุณเอื้อมมาช่วยซื้อเร็ว!"

   นึกว่าจะหมดสิ้นเวรกรรมกับส่วนของกินแล้ว อีกแค่สามร้านจะถึงทางออกไปยังลานสำหรับรับประทานควบคู่ไปกับการแสดงบนเวที มันก็ยังไม่วายมีคนเรียกชื่อเอื้อมอารัญอีกจนได้

   เขาก็เจอเพื่อนในคณะเหมือนกัน เป็นการยักคิ้วทักทายแล้วก็จากกันไป ไม่เหมือนกับที่เอื้อมทำ ต้องแวะเข้าไปคุยหรือไม่ก็ได้อะไรติดมือมาเสมอ

   "ขายอะไรอะ"

   "อิตาเลี่ยนโซดา เอาแบบไหนสั่งเลยเดี๋ยวทำให้พิเศษ"

   ชื่อเครื่องดื่มที่ปรัญบอกไม่ได้ว่าเจอมากี่ร้านแล้วในการเดินหนึ่งรอบ ก็ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมหาศาล การขายเครื่องดื่มนี่มันเหมาะสำหรับการค้าเกินกำไรจริงๆ

   "เราไม่กินโซดา มีแบบอื่นไหม" ยืนอยู่ด้านหลังเยื้องพอให้เห็นหน้าแค่นิดหน่อยผ่านช่วงไหล่ ยังไงตรงนั้นก็ไม่มีคนรู้จักอยู่แล้ว "ไม่มีเหรอ ...งั้นปันเอาอะไรไหม เดี๋ยวเราเลี้ยง"

   เพราะการหันมาถามความเห็นกะทันหันเลยไม่ทันได้หลบให้มีระยะห่างที่ดีกว่านี้ มันใกล้ในระดับที่เห็นชัดว่าตามกรอบหน้ามีเม็ดเหงื่อโผล่ขึ้นมาพอควร เอื้อมยักคิ้วขึ้นพลางย้ำในคำถามเดิม

   "อ่า...ไม่ล่ะ"

   ทั้งจากที่ไม่ค่อยถูกปากกับน้ำผสมแก๊ส แล้วก็ไม่อยากรู้สึกติดค้างมากขึ้น

   "งั้นเอาที่น่าจะอร่อยมา ต้องพิเศษอย่างที่บอกนะ"

   ไม่เข้าใจเลยว่ามันมาจบที่ตรงนี้ได้ยังไง

   "ให้เขียนหน้าถุงว่าอะไร ชื่อเอื้อมไหม?" ภาชนะที่ใช้บรรจุไม่ใช่แก้วใสอย่างที่ขายทั่วไป แต่เป็นถุงพลาสติกเนื้อหนาที่มีซิปปิดพร้อมกับหูหิ้ว ไม่แน่ใจว่าสกรีนหรือใช้ปากกาเขียนคำว่า NAME เอาไว้พร้อมกับตัวการ์ตูนสายเส้นน่ารัก "หรือว่าจะเป็นชื่อของเพื่อนดี?"

   อยากจะบอกว่าไม่ต้องสนใจก็ได้ คือดูจากลักษณะการพูดจาและท่าทางแล้วคงเป็นผู้หญิงที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่าย เธอเลยไม่กระดากอายสำหรับการหันมาขอความคิดเห็น

   "เขียนแค่รัญลงไปก็ได้ R-U-N"

   "ว้า นึกว่าจะได้เขียนคำว่าคุณเอื้อมซะอีก"

   "เสียใจด้วยนะ"

   ตลอดการพูดคุยมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ปรัญลอบเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่คนเดียว ผู้ชายข้างหน้าเขาตอนนี้ไม่เหมือนเอื้อมคนที่เจอในห้องที่ปรึกษา มันแตกต่างเสียจนอดคิดไมได้ว่าแบบไหนที่เป็นตัวตนแท้จริงของเขา

   หรือว่าไม่มีเลย

   เนื่องจากมือเต็มแล้วมันก็ควรถึงเวลาทำลายลงกระเพาะ สถานที่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนยากต่อการหาพื้นที่นั่ง โชคยังอยู่ข้างพวกเขาเมื่อย้อนกลับมายังส่วนการแสดงอีกครั้งก็เจอกับเก้าอี้ตัวยาวทำจากไม้อัดเป็นทรงกล่องว่างพอดี

   ถึงจะบอกว่าเป็นตัวยาวแต่มันก็ไม่ได้สะดวกสำหรับสองคนนั่งเสียทีเดียว บรรดาอาหารในถุงพลาสติกที่สั่งให้ใส่รวมกันเท่าที่จะทำได้ต้องวางลงกับพื้นพิงเก้าอี้ไว้ หยิบขึ้นมาลองทานทีละอย่างตามที่แขนสองคนสี่ข้างจะเอื้ออำนวย

   "เดี๋ยวขอถ่ายอันนี้ก่อน ปันอยากกินอะไรหยิบไปก่อนเลย"

   อันนี้ที่ว่าคือถุงอิตาเลียนโซดาจากร้านสุดท้ายก่อนหลุดพ้นนั่นแหละ เอื้อมขยับซ้ายขวาก้มเงยอยู่หลายทิศ นัยน์ตาเพ่งตรงไปยังส่วนกรอบสี่เหลี่ยมที่กำลังโชว์ภาพตัวอย่างก่อนกดบันทึก ปากก็บ่นเรื่องการจัดไฟของงานที่มันไม่ได้เหมาะกับการถ่ายภาพแนวฮิปสเตอร์เท่าไหร่

   พอรัวชัตเตอร์จนพอใจจึงเปลี่ยนมาเป็นการตรวจสอบภาพที่เพิ่งจัดองค์ประกอบเสร็จสิ้น ปันจิ้มเอาไก่ทอดราดชีสเข้าปากเป็นชิ้นที่สามระหว่างที่มองเอื้อมอารัญสลับภาพเปรียบเทียบไปมา ปากก็คาบหลอดน้ำดื่มค้างเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

   "...ไหนบอกไม่กินโซดา?"

   "พูดไปงั้นอะ ตอนแรกไม่อยากกิน"

   นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับ 'ครายวูลฟ์' ชื่อเอื้อมอารัญ

   "เอาจริงคือมันก็ไม่ได้อร่อยมากสำหรับเราด้วย หวานไป"

   "แล้วทำไมไม่ปฏิเสธ" เหมือนอย่างที่เขาทำ

   "ขี้เกียจโดนเอาไปพูดว่าคุณเอื้อมนั่นนี่ รำคาญ"

   "..."

   อธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกับการเล่ากึ่งเล่นกึ่งจริงทั้งที่ใบหน้ายังคงเคร่งเครียดกับการจับจ้องภาพชุดเดิม น้ำเสียงยามเรียกชื่อตัวเองกดลงหนักราวกับต้องการตอกย้ำอะไรบางอย่าง

   "ปันว่าลงภาพนี้ดีไหม"

   ภาพที่มีถุงน้ำสีแดงสดเป็นของดึงความสนใจอยู่ตรงกลาง ส่วนพื้นหลังเป็นภาพเบลอที่คงมีแต่เขารู้ว่าผู้ชายที่เห็นแต่ด้านข้างนั่นคือใคร

   "ถ้าชอบก็ลง"

   ในเรื่องของการมีตัวตนบนโลกออนไลน์เอื้อมคือคนที่ใช้ชีวิตได้ตรงกันข้ามกับเขาอย่างสมบูรณ์ การอัปเดตอะไรสักอย่างขึ้นหน้าฟีตจากยูสเซอร์ U Arun กลายเป็นสิ่งชินตาตั้งแต่รับเป็นเพื่อน

   สงสัยว่าการกดโทรศัพท์ด้วยมือข้างเดียวจะไม่สะดวกสำหรับการเล่น เจ้าน้ำที่เขายังจำชื่อไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไรถึงถูกไหว้วานให้ช่วยถือเอาไว้ ปรัญยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อการสำรวจบางอย่าง

   "ทำไมถึงให้เขียนว่ารัญล่ะ" ไม่เคยได้ยินใครเรียกด้วยชื่อนี้ ส่วนมากมีแค่เอื้อมเท่านั้น

   "อ๋อ เพราะมันเป็นชื่อของเราสองคนไง"

   "..."

   ปรัญไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องมาเจอกับคำตอบแบบนี้เลย

   "ก็มาด้วยกัน จะให้เขียนแค่ชื่อตัวเองก็แปลกๆ"

   "ไม่เห็นแปลกเลย"

   รู้อยู่แล้วว่าชื่อจริงของสองคนลงท้ายด้วยคำเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องปกติที่บังเอิญเจอได้ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ยกตัวอย่างเช่นชื่อผู้ชายที่ลงท้ายด้วยพงศ์เป็นต้น

   "จะเดินกลับไปให้เขียนใหม่ไหมล่ะ"

   "ไม่"

   แค่ลองจินตนาการว่าต้องเข้าไปเดินเบียดเสียดกับฝูงชนจำนวนมากแล้วก็ขยาดแล้ว อากาศในฤดูหนาวที่ไม่มีความเย็นมันเหมาะกับการอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว นี่จำไม่ได้แล้วนะว่าใส่เสื้อหนาวแขนยาวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

   ไก่ทอดคงใส่ผงเพิ่มรสชาติมากเสียจนคอแห้ง ปันจำใจดื่มน้ำในมือพร้อมกับภาวนาว่ามันคงไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ รสชาติแรกที่สัมผัสได้คือความหวานอย่างที่เอื้อมอธิบาย แล้วเจือจางลงเมื่อเริ่มคุ้น ไม่ถึงกับกินไม่ได้เลยแต่ก็เหมาะสำหรับการถ่ายรูปอย่างเดียว

   นึกว่าเลือกรูปได้แล้วจะหมดปัญหา นี่เอื้อมยังอยู่ในหน้าเปลี่ยนโทนสีจากโปรแกรมตัดแต่งอยู่เลย ปลายนิ้วเรียวสวยกดไปตามคำสั่งด้านล่างด้วยความชำนาญ ลองชะเง้อหน้าไปมองยังประมวลความลงตัวของมันไม่เสร็จก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นฟิลเตอร์อื่นแล้ว

   ไม่ได้มองว่าเป็นนิสัยของผู้หญิงเท่านั้นที่จะชอบการตกแต่งให้สวยงาม ศิลปะเป็นเรื่องทัศนคติส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ความงามของแต่ละยุคสมัยยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอด เอาอะไรมากกับรูปแค่หนึ่งหรือสองภาพ ถ้าปรัญมีหัวทางด้านการจัดแต่งองค์ประกอบก็คงปฏิบัติคล้ายกัน

   ดูท่าทางแล้วว่าไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจในเร็ววัน กลัวว่าของที่ซื้อมาจะหายร้อนไปก่อนเลยถือวิสาสะยื่นอาหารในมือไปใกล้กับช่วงปาก วิธีการอ้าปากแล้วงับโดยที่ส่วนอื่นของร่างกายยังคงตั้งสมาธิอยู่กับการแต่งภาพดูเป็นธรรมชาติจนต้องกลั้นขำไว้คนเดียว

   "เราแท็กปันได้ใช่ไหม" กว่าจะได้อย่างที่ต้องการก็คืออาหารชุดที่สามคือมันฝรั่งทอดโรยผงรสสาหร่าย และมันยังเหลืออีกหลายอย่างให้จัดการ "เผื่อว่าไม่ชอบน่ะ"

   "ได้ ไม่มีปัญหา"

   เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่มีการแจ้งเตือนเรื่องภาพที่ถูกติดชื่อคือเมื่อไหร่ ที่บอกว่าเป็นเฟซร้างน่ะไม่เกินความจริงหรอก แต่ก็ใช่ว่าไม่เข้าไปดูเลยนะ เข้าเกือบทุกวันแต่ก็ไม่เคยแสดงตัวตนบนนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่

   เสียงประกาศของเอ็มซีเรียกให้ผู้เข้าชมงานทยอยมากองอยู่ตรงบริเวณที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ อีกประมาณสิบนาทีก็จะถึงช่วงของมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ ปรัญมองซ้ายขวาเพื่อประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ถ้าไม่ออกตอนนี้แล้วไปลุกระหว่างการแสดงมันน่าจะไม่โอเค

   "อยากฟังเพลงหรือเปล่า"

   "อยาก!"

   แล้วจะทำอะไรได้นอกจากเก็บความคิดเรื่องชวนไปนั่งที่อื่นไว้ เปลี่ยนไปมองบนเวทีที่นักดนตรีกำลังเซ็ตอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้าที่แทน

   ปรัญไม่อินกับเพลงไทย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ปกครองชอบเพลงต่างประเทศกันทั้งคู่ เพราะงั้นตั้งแต่ยุคเทป ซีดี ทัมป์ จนมาถึงการฟังเพลงผ่านมือถือเพลย์ลิสต์ของเขาทั้งหมดจึงแทบไม่มีบทเพลงภาษาไทย มีครั้งหนึ่งเคยเล่นเกมทายชื่อเพลงไทยกับฮิว ผลคือแพ้ราบคาบ

   เสียงปรบมือปนกับโห่ร้องดังขึ้นยามผู้หญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ตามแบบที่กำลังนิยมปรากฎตัวขึ้น เธอกล่าวสวัสดีกับผู้เข้าร่วมงานเล็กน้อยพอให้คุ้นกับบรรยากาศ จากนั้นก็เป็นเวลาของบทเพลงที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

   ในขณะที่คนรอบกายสามารถร้องตามในท่อนฮุกได้ ทั้งเอื้อมและเขาก็นั่งเงียบกันอยู่สองคนคล้ายหลุมดำ มันฟังยากตามแบบฉบับของเพลงสมัยนี้ แล้วเนื้อร้องก็ไม่ค่อยคล้องจองกันจนเหมือนกับอยากจะเอาคำไหนมาใส่ก็ได้ เข้าไม่ถึงเลยแฮะ

   จับเนื้อหาได้ว่าเป็นการเล่าเกี่ยวกับความรักที่เต็มไปด้วยความระแวงไม่เชื่อใจกัน การโกหกที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างซ้ำหลายครั้งจบลงด้วยการลาจาก มันก็เป็นเหตุเป็นผลกันดีอยู่ อยู่ที่่ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงคนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นั้นจะรับมือกับมันด้วยวิธีเดียวกับในบทเพลงหรือไม่

   ความรักสร้างข้อแม้เสมอ

   ยังดีหน่อยที่ช่วงหลังสลับเป็นเพลงสากล จากที่ต้องนั่งเป็นหุ่นที่ไม่สามารถขยับไปมาได้ก็เลยฮัมตาม พอครบจำนวนบทเพลงแล้วมันก็ถึงคิวของการแสดงชุดอื่น ซึ่งแค่ฟังจากชื่อแล้วก็ชวนให้หลับสบาย

   "ออกไปกันไหม"

   "ไปสิ"

   พออยากจะเดินออกเมื่อไหร่ก็ทำ ปันจัดการรวบรวมขยะทั้งหมดใส่รวมกันไว้ในถุงเดียว ใช้ความสามารถส่วนตัวในการหาช่องว่าแทรกตัวออกจากงาน นี่คิดว่าส่วนหนึ่งที่เพื่อนเรียกว่าคุณเอื้อมเพราะวิธีการแสดงออกอย่างนี้นี่แหละ

   นิสัยตัวละครฝ่ายร้ายชัดๆ

   "ไหนบอกว่าอยากฟังเพลง ไม่เห็นเงยหน้าจากมือถือเลย" เล่าตามที่ตาเห็น ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายเอื้อมอารัญละสายตาจากหน้าจอเพียงแค่สองหรือสามครั้ง และทั้งหมดเป็นการเงยขึ้นมาช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับไปก้มใหม่

   "ที่จริงคือแค่ยังไม่อยากอยู่คนเดียวอะ"

   "..."

   "โกหกปันอีกแล้ว ไม่ดีเลยเนอะ"


***
   เหมือนกำลังแต่งนิยายรีวิวของกิน (ฮา) แต่ให้บรรยายรสชาติก็ทำไม่เป็น เป็นมนุษย์จืดชืดที่สุดเลยค่ะ
   มีทีมปันขึ้นมาล่ะ ส่วนเจ้าขออยู่ทีมตรงกลางแล้วกัน จะได้ไม่มีใครน้อยหน้ากว่า แล้วก็ไม่ต้องระแวงนะคะ ยังยืนยันว่าจะพยายามให้ไม่หนัก ไม่เหนื่อยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สี่
 
   เที่ยงคืนสิบสามนาที

   เสียงเคาะประตูดังสนั่น

   และคำพูดสั้นๆ ว่า "มีอะไรจะคุยด้วย"

   "..."

   เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรตอนนี้ปรัญถึงต้องมานั่งพับเพียบอยู่บนพื้นห้องโดยมีฮิวยืนเท้าสะเอวค้ำหัวอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

   "ทำไมไม่บอกว่าช่วงนี้สนิทกับคุณเอื้อม"

   เดี๋ยวลองไปดูดวงหน่อยดีกว่าว่าราศีของเขากำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกใช่ไหม แต่ละคนที่เข้ามาหาเขาไม่ได้พาโชคลาภมาสักคน

   "ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสนิทได้หรือเปล่า"

   นอกจากการเจอกันเฉลี่ยสัปดาห์ละครั้งอย่างที่เป็นเสมอแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่า 'สนิท' อย่างที่เพื่อนใช้คำ ในโลกออนไลน์ก็ไม่ได้คุยกันบ่อย อย่างที่บอกว่าปันอาศัยอยู่ในโลกของทวิตเตอร์มากกว่าเฟซบุ๊ก จะเข้าไปตอบต่อเมื่อนึกขึ้นได้นั่นแหละ

   "เล่ามาว่าทำไมถึงไปเดินตลาดด้วยกันได้"

   "อ้อ" จับเอาประเด็นมาสรุปใจความให้ตัวเองได้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากอะไร "ก็ชวนไปเดิน ไม่มีอะไรแปลกนี่"

   "ถ้าเป็นคนอื่นกูก็เข้าใจ แต่ทำไมต้องเป็นเอื้อมอารัญ"

   "คือกูเข้าใจว่าพวกมึงไม่ถูกกัน..."

   "แค่มึงคิดอย่างนั้นก็ผิดแล้วปัน"

   "..."

   จากการแหงนมองจนคอเกือบเคล็ด ฮิวเดินไปลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่งคร่อมฝั่งพนักพิง ตั้งศอกขึ้นข้างหนึ่งไว้สำหรับเอนศีรษะไปพิง

   "กูรู้จักกับเอื้อมมาเข้าปีที่หกแล้ว นานอยู่นะ" พวกเขามาจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนคนละห้องแต่ว่าอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน "เอาเป็นว่ากูได้ยินแล้วก็ได้เห็นอะไรมาเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดีก็เถอะ"

   เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงกับขอบเตียง แสดงออกว่ากำลังตั้งใจฟังเรื่องที่เพื่อนกำลังเล่าอยู่ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ โดยส่วนตัวแล้วยังสับสนอยู่ว่าสรุปแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์ในเชิงไหน ก็เวลาที่ฮิวเล่าเรื่องเกี่ยวกับเอื้อมมันมักจะออกมาในแนวบ่นทุกอย่างที่ขวางหน้า จนนึกว่าเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

   "รู้ใช่ไหมว่ามันมี 'นิสัยไม่ดี' อยู่"

   "เจอมากับตัวแล้ว"

   "เออนั่นแหละ ยังเจอแค่เรื่องเล็กน้อยเลยยังรับได้ใช่ไหมล่ะ"

   "..."

   "กูก็ไม่เคยเจอเรื่องใหญ่หรอกนะ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่เจอ"

   ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเอื้อม มันมักจะเป็นการเล่าที่มีคำว่า 'คนอื่นเล่าว่า' 'ได้ยินมาว่า' 'เขาพูดกันว่า' แทบไม่มีครั้งไหนที่เป็นการประสบพบเจอกับตัวเอง

   จนบอกไม่ได้เลยว่ามันผ่านการเติมแต่งและดัดแปลงมามากแค่ไหน

   "มันก็น่าสงสารแหละ ทั้งเรื่องบ้านแล้วก็เพื่อนที่ไม่ค่อยจริงใจกับมัน" เคยผ่านหูสำหรับส่วนแรกมาแล้ว แต่ในส่วนหลังนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน เพราะอย่างนี้หรือเปล่าเขาถึงกลายเป็นเด็กขี้เหงาอย่างทุกวันนี้ "แต่สำหรับกูมันก็ต้องโทษตัวเองให้เป็นด้วย"

   มีหลายอย่างที่ปรัญอยากจะเอ่ยปากถาม หากลองประเมินในภาพรวมแล้วมันคงจะดีกว่าถ้าเขาปิดปากแล้วเป็นคนฟังต่อไป

   "ที่ลากมันเข้าไปวงด้วยก็เผื่อว่าจะรู้จักปรับตัว เปลี่ยนนิสัย ถ้าเจอคนที่ทำให้มันเชื่อมั่นแล้วพร้อมที่จะเลิกนิสัยไม่ดีพวกนั้นได้ก็ดีไป"

   "..." แค่กลืนน้ำลายลงคอยังรู้สึกผิด

   "แต่คนนั้นจะเป็นใครก็ได้ ...ที่ไม่ใช่มึง"

   เขานึกไปถึงใบหน้าของเอื้อมอารัญในวันนั้น วันที่เห็นชัดถึง 'รอยร้าว' ข้างในนัยน์ตาที่แสดงออกชัดว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ มันอาจจะเป็นอย่างที่เพื่อนชอบพูดกัน ปันเป็นคนดีเกินกว่าที่จะปล่อยให้ใครบางคนตกอยู่ในอันตราย

   แม้มันอาจทำให้ตนเองต้องเผชิญความเสี่ยงด้วยก็ตาม

   "ความใจดีของมึงจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิม กูคิดอย่างนั้น" ฝ่ามือทั้งสองของตบลงบนราวเก้าอี้ไม้ ฮิวขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าว หมุนตัวออกไปทางประตูห้องเป็นสัญลักษณ์ของการบอกลา "เท่ากับว่ากูเตือนแล้วนะปัน อย่าถลำลึกกับผู้ชายอย่างคุณเอื้อม"

   "..."

   "เพราะตอนสุดท้ายพวกมึงจะเจ็บทั้งคู่”
 


   "วันก่อนเปลี่ยนกะทำงานกับเพื่อนเหรอ"

   หยุดการพิมพ์ข้อความในกระดานสนทนาลงก่อน ขยับบานพับหน้าจอลงเพื่อให้เห็นใบหน้าของผู้ชายฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน วันนี้เอื้อมอารัญก็ยังคงมาพร้อมกับแฟ้มหนังใบใหญ่เช่นเดิม ที่น่าดีใจคือวันนี้ไม่มีถุงกระดาษใส่เครื่องดื่มติดมือมาด้วย

   "อือ พอดีมีอะไรต้องไปทำหน่อย" ไม่เข้าใจระบบการทำงานของเด็กทุนเลย เขาก็ควรจะรู้ไหมว่าช่วงไหนต้องทำงานแล้วช่วงไหนที่พอจะว่าง นี่คิดอยากจะเรียกเมื่อไหร่ก็ทำ วันก่อนในช่วงเวลาที่ควรจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะต้อนรับเลยต้องกลายร่างเป็นพนักงานแบกของที่จะใช้สำหรับการเข้าค่ายสามวันสองคืนของเด็กมัธยมที่สมัครเข้ามาในโครงการผู้มีศักยภาพ

   พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็หน่าย เดี๋ยวต้องไปเป็นสตาฟอีก

   "แวะมาแล้วไม่เจอ ว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นหน่อย”

   "ทำไมไม่ทักแชตมาล่ะ โทรมาก็ได้"

   "ถ้าเจอกับตัวยังไงปันก็ปฏิเสธเราไม่ได้ไง"

   ส่ายหัวเบาๆ ให้กับวิธีการคิดแบบเด็กตัวน้อย ถึงจะมาแค่ตัวอักษรเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้ว ด้วยเงื่อนไขการเดินทางไปดูภาพยนตร์ตอนเย็นทำให้ปันไม่ค่อยมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนเท่าไหร่ แล้วพอมันกลายเป็นความเคยชินเลยไม่มีใครชวนอีก

   "แล้วจะมาชวนวันนี้แทน?"

   "ฮื่อ ไม่ได้ วันนี้มีซ้อม"

   "ดีแล้ว ตั้งใจซ้อม" ถึงไม่อยากจะนึก ใบหน้าและน้ำเสียงจริงจังของฮิวเมื่อวันก่อนก็กลับมาทักทายอยู่ดี "แล้วจะเข้าไปคุยเลยไหม อาจารย์ว่างอยู่นะ"

   ยังไม่ลืมว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรที่ต้องทำ ถ้าลองดูตามบันทึกจะพบว่าตั้งแต่การเจอกันครั้งที่ช่วยพี่นักศึกษาแพทย์จากอาการชักก็ไม่เคยเห็นชื่อของเอื้อมอารัญในฐานะคนเข้าใช้บริการอีกเลย

   "ไม่ๆ ช่วงนี้คิดว่าโอเคขึ้นแล้ว"

   แม้จะยังไม่เข้าใจที่บอกว่าโอเคขึ้นหมายถึงเรื่องไหน เขาก็ไม่มีสิทธิไปซักไซร้ไล่เรียงให้มากความ ก็เลยตัดสินใจว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า "แล้วนี่เพื่อนเลิกแกล้งหรือยัง มันเด้งในเฟซเราเต็มไปหมดเลย"
   
   มีเรื่องขำขันนิดหน่อยจากภาพถุงพลาสติกที่มีชื่อของเราเขียนติดเอาไว้ ทั้งการแท็กเฟซแล้วก็แคปชันที่เขียนเพียงคำว่า 'RUN' เท่านั้น ก็เลยได้เห็นการยกพลมาถล่มจากเพื่อนที่โรงเรียนเก่าเกือบห้าสิบข้อความ ใจความสรุปได้ว่าเป็นการแกล้งแซวไปอย่างนั้นเอง

   เอื้อมอารัญจบจากโรงเรียนชายล้วน ลักษณะข้อความเลยดูห่ามและอาจจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่สำหรับบางคน เขาตื่นขึ้นมาเจอการแจ้งเตือนที่มากกว่าปกติในตอนเช้า พอเข้าไปตรวจแล้วก็ติดลมยาวจนเกือบเข้าเรียนคาบเช้าในวันนั้นไม่ทัน

   "เลิกแล้ว แต่ถ้านึกได้มันก็จะขุดขึ้นมาเล่นเองนั่นแหละ"

   "เพื่อนตลกดี"

   "เจ้ากรรมนายเวรน่ะสิ ที่บอกว่าอย่ารับแอดพวกมันนี่เรื่องจริงนะ"

   ส่วนของห้องสนทนาที่มีข้อความส่งมาจากคนคนเดียวเกือบสิบ ที่เขียนย้ำตั้งแต่ต้นแรกจนจบคือการบอกว่าถ้ามีใครส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนมาก็อย่าไปสนใจ ลบไปเลยก็ดี

   "ไม่อยากให้รับก็จะไม่รับ" เป็นนโยบายส่วนตัวด้วย ต่อให้ใครจะบอกว่าบนโลกออนไลน์ไม่มีคำว่าส่วนตัวแต่เขาก็ยังอยากจะสร้างพื้นที่ที่อนุญาตให้เข้าไปเพียงบางคน "แล้วนี่คือแวะมาถามแค่นี้เหรอ"

   ถ้าไม่เข้ารับบริการแล้วมันก็ไม่มีอยากอื่นให้ทำแล้ว เอื้อมขยับรอยยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม ให้คำเฉลยที่ทำให้เขาต้องกะพริบตาถี่ๆ เรียกสติให้กลับมา

   "แค่อยากเจอปันน่ะ"

   มันเป็นคำบอกเล่าที่ง่าย ตรง และไม่มีการใช้คำประดิษฐ์ให้สวยงาม

   ไม่เคยเจอใครเหมือนอย่างเอื้อม ตั้งแต่การยอมรับเรื่องการโกหกในแต่ละครั้ง หรือว่าจะเป็นการบอกในสิ่งที่อยู่ในความคิด ในโลกแห่งความเป็นจริงเรามักจะเจอการเก็บงำซ่อนสิ่งที่อยู่ในความคิดเอาไว้เสมอ จนบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่คิดว่า 'อ่านง่าย' แท้จริงแล้วมันคือ 'อ่านไม่ออก' หรือไม่

   ถึงจะดูภาพยนตร์มาเยอะแต่การแสดงออกทั้งหมดนั่นคือการเล่นให้สมบทบาท ผู้คนที่เจอตามชีวิตประจำวันคงไม่ได้อ่านง่ายเช่นเดียวกับในละคร แล้วเอื้อมอารัญนี่ควรจัดอยู่ในประเภทไหนกันนะ

   "โอ๊ะ มีคนมา งั้นเราไปก่อนดีกว่า"

   ประตูกระจกที่เปิดออกปรากฎให้เห็นนักศึกษาหญิงสองคนมาด้วยกัน เอื้อมอารัญผุดลุกออกจากที่นั่งเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก บอกลาด้วยการส่งยิ้มเล็กที่ดูไม่เข้ากันกับนัยน์ตาที่พยายามการกลบความผิดหวังด้วยการทำให้กลายเป็นสระอิ

   แค่จะยกมือขึ้นบอกลาก็ยังไม่ทัน เขาไม่สามารถมองจนแผ่นหลังลับหายไปได้เพราะต้องให้ความสำคัญกับหญิงสาวตรงหน้ามากกว่า ปันอธิบายจุดประสงค์และวิธีการขอเข้ารับการใช้บริการครั้งแรก และเพราะว่าต้องจัดการกรอกข้อมูลลงไปให้ระบบเลยลืมไปเสียสนิทว่าตั้งใจจะส่งข้อความไปบอกว่าต้องซ้อมให้เยอะ

   จะว่าไปยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเล่นอะไร ฮิวเล่นกลองทิมปานีที่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ นึกไม่ออกว่าผู้ชายสไตล์นั้นเหมาะกับเครื่องดนตรีชนิดไหน น่าจะเป็นเครื่องลมทองเหลือง

   "อันนี้ผู้ชายคนนั้นเขาลืมไว้หรือเปล่าคะ ตอนเข้ามาก็เห็นวางเอาไว้แล้ว"

   เพื่อนของผู้เข้ารับบริการก้มลงไปหยิบของบางอย่างที่น่าจะวางเอาไว้กับขอบโต๊ะอีกฝั่งก่อนจะออกจากห้อง ด้วยดีไซน์แบบเก่ามันเลยไม่สามารถมองทะลุหรือว่ามีช่องว่างสำหรับการสังเกตได้

   และแฟ้มหนังใบใหญ่พร้อมด้วยตุ๊กตาสีเขียวมินต์ก็เป็นป้ายชื่อในตัว

   "ใช่ครับ ขอบคุณมาก"

   ตอนนั้นเอื้อมก็รีบจริงนั่นแหละ เล่นเดินลิ่วออกไปไม่สนอะไรสักอย่าง แล้วนี่ก็ไม่เห็นโทรมาถามหา ยังไม่รู้หรือไม่สำคัญจนสามารถมาเอาวันหลังได้

   แต่ปกติแล้วเห็นถือเอาไว้ไม่ห่างตัว ถ้าข้างในมีโน้ตเพลงอยู่แล้วจะซ้อมได้ไหมเนี่ย

   ปรัญกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรเลือกทางไหน ระหว่างรอจนกว่าเขาจะกลับมาตามหาเองหรือว่าเดินเอาไปให้เลย ตึกที่ซ้อมมันไม่ได้ไกลจนไม่สามารถเดินไปได้ และหลังจากนี้มันก็ไม่มีงานอะไรรอเขาอยู่

   ก็นั่นแหละ สรุปว่าเอาไปให้ จบ

   เพราะความกว้างของแฟ้มที่มากกว่ากระเป๋าสะพายข้างของเขาเลยต้องถือเอาไว้ เดินออกจากห้องไปทางที่จอดจักรยานด้วยความเคยชินก่อนจะพบว่าคนเราไม่ควรจะใช้มือเดียวในการบังคับ ต่อให้มีเลนสำหรับจักรยานแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

   เบนไปอีกทางเพื่อใช้ทางเดินเท้าแทน ปลอบใจว่าการได้ขยับร่างกายมันก็ดีเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เดินผ่านเส้นทางนี้เลยเกือบหลงไปเหมือนกัน เส้นทางคอนกรีตกว้างพอสำหรับสามหรือสี่คนเดิน รอบข้างประดับไปด้วยต้นไม้ขนาดปานกลาง

   อาจารย์เล่าว่ามันไม่ค่อยมีต้นใหญ่เพราะว่าเกือบทั้งหมดเป็นการยกทั้งต้นมาลง แล้วพอเจอฝนตกหนักหน่อยมันก็ล้มโครมคราม
เบี่ยงหลบเข้าทางขวาเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไล่หลังมา ทำหน้าเบื่อใส่จักรยานยนต์ที่ผ่านหน้าไป เมื่อไหร่จะใช้ทางให้ถูกประเภทไม่มักง่ายสักที

   ผ่านร้านขายของชำสารพัด ตามด้วยร้านเครื่องดื่มตั้งในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก จำนวนของนักศึกษาที่ยืนรอสินค้ามากพอที่จะการันตีถึงความอร่อย ปรัญหยุดนึกว่าตอนที่เอื้อมมาหาเขาได้ถือแก้วน้ำปั่นมาด้วยหรือไม่ พอมั่นใจว่ามันไม่มีเลยเลี้ยวเข้าไปต่อแถว

   "ชาเขียวปั่นครับ ไม่หวานนะ"

   เอื้อมไม่ใช่คนทานหวาน เท่าที่สังเกตการการบ่นครั้งสองครั้ง เขาไม่ได้สั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองเพราะว่าตอนอยู่ในห้องก็ได้รับอภินันทนาการจากอาจารย์มาเป็นน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่ง

   สภาพตอนนี้เลยเป็นการถือแฟ้มมือซ้าย แก้วน้ำมือขวา เร่งจังหวะการเดินให้เร็วขึ้นไปหน่อยด้วยความกังวลว่ามันคงไม่ทนทานกับสภาพความร้อนอย่างที่เป็นอยู่

   ตึกกิจกรรมสำหรับนักศึกษาดูวุ่นวายและจอแจเช่นทุกที อย่างห้องของเด็กทุนเดินเข้ามาก็จะเจออยู่ทางซ้ายเลย ลึกเข้าไปก็จะเป็นการจัดสรรปันส่วนตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ตั้งแต่พวกกลุ่มบำเพ็ญประโยชน์ องค์การนักศึกษา แล้วก็พวกนักเต้น

   เสียงไม่ตีกันตายได้ยังไง

   เลี้ยวเข้าทางซ้ายเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองห้องริมสุด มันกินพื้นที่เกือบหนึ่งส่วนสามของชั้น เป็นกลุ่มกิจกรรมที่น่าจะโดนเขม่นจากเพื่อนร่วมตึกไม่น้อยเลยล่ะ

   ทำตัวเป็นคนเส้นใหญ่โดยการเปิดประตูเข้าไปราวกับเป็นนักดนตรีผู้เข้ามาใช้งานจนคุ้นชิน เขาเคยเดินขึ้นมาหาฮิวอยู่หลายครั้ง เป็นการอู้งานของเด็กทุนแบบเนียนๆ เวลาเจองานที่มันเกินขอบเขตหน้าที่ไปหน่อย

   จากประตูหลักสิ่งแรกที่เจอคือส่วนกลาง ก่อนจะแยกออกไปเป็นห้องย่อยสำหรับเครื่องดนตรีแต่ละชนิด มันเป็นห้องที่มีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาเลยไม่มีใครจ้องให้รู้สึกประหม่า มองหาเจ้าของแฟ้มด้วยการกวาดตาเพียงแค่ครั้งเดียวก็เจอ

   เอื้อมอารัญนั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ตัวติดมุมห้อง ข้างกายมีกล่องเครื่องดนตรีทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายไม้สีสวย ก้าวเท้าเข้าไปหาเพียงไม่กี่จังหวะก็เข้าประชิดตัว

   รอยยิ้มที่กว้างมากกว่าปกติคือสิ่งที่ได้รับกลับมาอย่างแรกเมื่อสบสายตา

   "เอามาให้จริงด้วย"

   "ตั้งใจ?"

   ไม่อย่างนั้นแล้วคำพูดแรกที่ทักมันควรจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า

   "ลืมจริง แต่คิดว่าปันต้องเอามาให้แน่ๆ"

   ปรัญคงเชื่อคำอธิบายได้สนิทใจ ถ้าคำเตือนของฮิวไม่ย้อนกลับมาเตือนความจำเสียก่อน "มั่นใจขนาดนั้น?"

   "ปันใจดี ...นั่นก็ของเราใช่ไหม"

   ชี้ตรงมายังสิ่งที่อยู่ในมือ และทำตามความตั้งใจเดิมคือการยื่นไปให้ไม่มีอิดออด คนชอบชาเขียวลองชิมมันในทันที ตามมาด้วยการรีวิวรสชาติ

   "โอเคเลยอะ ถ้าหวานน้อยกว่านี้ได้จะดีมาก"

   "นี่ก็บอกเขาว่าไม่หวานแล้วนะ"

   "งั้นอาจหวานมาตั้งแต่ตัวผง นี่ซื้อร้านไหนอะ"

   มันมีเก้าอี้ตัวเดียวแถวนั้น เลยต้องลำบากก้มหน้าคุยด้วย "ตรงทางเชื่อมก่อนถึงตึก ไม่ค่อยผ่านล่ะสิ"

   มันเป็นทางเดินเท้าที่คนใช้รถไม่น่าจะเคยใช้เป็นทางผ่าน จะจอดรถเพื่อลงไปซื้อก็ไม่สะดวก จะต้องตั้งใจเดินไปซื้อโดยเฉพาะถึงได้กิน

   ท่าส่ายหัววืดไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้คนเริ่มทยอยเดินเข้าไปในห้องซ้อมของตัวเองกันแล้ว พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเลยลดระดับลงมาหลายเท่าตัว แล้วทำไมคนตรงหน้าเขาไม่กระตือรือร้นกับการฝึกซ้อมเลยนะ

   "ไปซ้อมได้แล้ว"

   "ปันเข้าไปในห้องด้วยได้ไหม"

   อาการงอแงน่ารักดี เลยเผลอยีจนผมไม่เป็นทรง "ไม่ได้ แต่เดี๋ยวจะรอไปกินข้าวหลังซ้อมด้วย"

   ถ้าถามว่าตกลงใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตอบว่าตอนที่พูดออกไปนั่นแหละ ถือเป็นการแก้มือจากที่ปฏิเสธคราวที่แล้วไปด้วย

   "ได้เลย!" ขอเรียกว่าเป็นการตอบแบบลิงโลด เอื้อมกระวีกระวาดหิ้วกล่องไม้ที่เขายังไม่รู้ว่าใส่อะไรขึ้น กอดแฟ้มใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขนโดยมีแก้วน้ำปั่นอยู่ในมือ ไม่วายสำทับเรื่องมื้อเย็น "ออกมาเราต้องเจอปันอยู่ตรงนี้นะ"

   ทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค เปลี่ยนไปนั่งแทนที่ให้สบายใจได้ไม่ต้องกังวล คราวนี้ไม่มีการขยับองศาของริมฝีปากจนเห็นรอยบุ๋มแต่เขาก็สัมผัสมันได้ถึงความสุขใจจากอีกฝ่าย

   ถ้าเขาทำให้เอื้อมมีความสุขได้อย่างนี้บ่อยๆ ก็ดีสิ
 


   ช่วงเวลาสามทุ่มไม่ได้เหมาะกับการทานอาหารเย็น แต่ในเมื่อมันเป็นไฟลท์บังคับก็ต้องทนไป

   อาหารตามสั่งในโรงอาหารโต้รุ่งคือจุดหมายของเราสองคน สั่งกับข้าวสามอย่างและข้าวกล้องสองจาน จำนวนผู้ใช้บริการน้อยจนคล้ายกับร้านอาหารที่กั้นห้องไว้เป็นส่วนตัว

   "เอื้อมเล่นไวโอลินเหรอ"

   สังเกตเอาจากสมาชิกของชมรมที่เดินออกมาจากห้องซ้อมเดียวกัน รูปร่างของเคสใส่ตามรูปทรงเครื่องดนตรีบอกได้ว่ามันเก็บรักษาสิ่งใดเอาไว้

   "อืม ตั้งแต่ประถมต้นแล้ว"

   "แปลกดี" ในแง่บวกไม่ใช่การดูแคลน สำหรับเขาแล้วมันเป็นเครื่องดนตรีที่มักจะอยู่คู่กับผู้หญิง "เราเล่นอะไรไม่เป็นเลยล่ะ"

   "สอนได้นะ ค่าสอนเอาเป็นชาเขียวปั่นก็พอ"

   "โห ใจดีจัง"

   "ไม่งั้นเอาเป็นมากินข้าวเย็นกับเราบ่อยๆ ก็ได้ โอเคเหมือนกัน"

   ไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ เขาตักใบผักกาดในแกงจืดมาใส่จานตัวเอง ตัดให้มันขนาดเล็กลงสำหรับการรับประทาน เราใช้วิธีการเลือกอาหารที่คิดว่าทานได้ทั้งคู่หนึ่งอย่าง แล้วแบ่งกันเอาชนิดที่ตนเองต้องการอีกคนละหนึ่ง เลยรวมเป็นสามชนิดที่ไม่เข้ากันบนโต๊ะอาหาร

   เรื่องราวบนโต๊ะเป็นเรื่องทั่วไป ผลัดกับเล่าประสบการณ์ของตัวเองและรับฟังของอีกฝ่าย ชีวิตการเป็นเด็กปีหนึ่งหมายความว่าต้องเข้าเรียนในวิชาที่เป็นตัวบังคับมหาวิทยาลัย เราเลยแชร์กันเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยได้รับว่าน่าประทับใจและควรจะทิ้งมันไปแค่ไหน

   "เดี๋ยวมีงานใหญ่อีกชิ้น ให้พรีเซนต์หน้าห้องแล้วก็ตอบคำถาม เตี๊ยมกันให้ดีล่ะ"

   "ตัวนี้คณะเราเรียนแยกต่างหากไม่เจอใครเลย น่าจะคุยกันง่าย"

   อย่างที่เคยเล่าว่าเอื้อมอารัญเรียนอยู่ในคณะที่เพิ่งเปิดใหม่ มีเพียงสองรุ่นเลยรู้จักกันแทบจะทั้งหมด ตึกเรียนก็แยกต่างหากไม่ต้องมาใช้งานรวมกันส่วนกลาง เรียกได้ว่าเป็นเหมาะกับนักศึกษาที่ชอบความเป็นส่วนตัว

   "คิดภาพห้องเรียนไม่ออกเลย เรามีเป็นร้อยคนแหนะ" เลยต้องเรียนห้องใหญ่ตลอด การเป็นเซกชันอย่างมากที่สุดคือสี่กลุ่ม ส่วนมากจะอยู่ที่สอง

   "เหมือนห้องเรียนมัธยม หมายถึงนิสัยของบางคนด้วยนะ ไม่รู้จักโต"

   คลับคล้ายว่าฮิวเคยบ่นประมาณนี้ แต่คนที่บอกว่า 'ไม่รู้จักโต' ก็คือคนตรงข้ามเขานี่แหละ

   นานาจิตตังของแท้

   "น่าจะอบอุ่น"

   "แต่ก็น่าเบื่อพอต้องคิดว่าต้องอยู่กันแค่นี้ไปอีกสามปี"

   "เวลาผ่านไปเร็วจะตาย"

   รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน คว้าเอาขวดน้ำเปล่ามาดื่มเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะจบมื้อเย็นตอนเกือบสี่ทุ่ม สี่มันไม่ใช่นิสัยการกินที่ดีเท่าไหร่เลยนะ

   "เราอยากเร่งเวลาได้อะ อย่างแรกเลยจะเร่งให้พ้นช่วงแสดงไปสักที"

   "ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมถึงมาเล่นล่ะ"

   "เพื่อนชวน มันบอกว่าเราควรจะมีสังคมอื่นอยู่บ้าง" ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร "ทำไมต้องคิดว่าการมีคนรู้จักเยอะถึงเป็นความสุขนะ เราชอบการที่ไม่ต้องเจอใครมากเลย"

   "เป็นสายอินโทรเวิร์ดเหรอ"

   "ข้างนอกมันใจร้ายจนบอกตัวเองว่าอย่าก้าวออกไปอีกเลยต่างหาก"

   "..."

   "มีปันกินข้าวด้วยอย่างนี้ก็ดี ถ้าเราชวนบ่อยๆ จะได้ไหม"

   ข้อหัวถูกเปลี่ยนกะทันหันราวกับต้องการกลบความเจ็บปวดเอาไว้ ใบหน้าเปี่ยมหวังเหมือนเวลาถือขนมให้สุนัขไม่ก็แมว แล้วจะให้ทำร้ายกันลงได้ยังไง

   "บ่อยๆ ไม่ได้ ต้องทำงาน"

   "ห้องปิดห้าโมงไม่ใช่เหรอ"

   "อ่า เราเป็นนักรีวิวหนัง" หลายคนรู้อยู่แล้วไม่ได้เป็นความลับสุดยอดห้ามแพ่งพราย พวกมันยังชอบมาแกล้งขอบัตรฟรีอยู่เลย "เพราะงั้นตอนเย็นจะไม่ได้ว่างตลอด เข้าเมือง"

   "แบบที่จะออกมาโฟ่ๆ แล้วก็ให้คะแนนน่ะเหรอ"

   "อะไรทำนองนั้น"

   ลองนึกเทียบสิ่งที่เขียนรีวิวในทวิตกับคำว่าโฟ่ๆ ที่เขาใช้ ในสายตาของนักดนตรีนี่คงมองต่างมุมมากเลย

   "งั้นจะชวนวันไหนจะทักไปก่อนแล้วกันนะ"

   "ได้เลย"

   "ดูชีวิตยุ่งดี กลางวันก็ทำงาน ตอนเย็นก็ยังมีงานอีก"

   "ชินแล้ว" จัดเทเอาเศษอาหารไว้รวมในจานเดียวเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บบนชั้น ไหนบอกว่าโรงโต้รุ่งนี่เหลืออยู่แค่สามสี่โต๊ะเอง "พอเอนจอยกับมันก็ไม่มีอะไรแย่"

   "อย่างที่เขาบอกว่าทำสิ่งที่ชอบมันดีเสมอล่ะสิ"

   สะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยแบบที่เก็บจานแล้วก็สามารถเดินตัวปลิวออกไปข้างนอกตึกได้เลย นี่เขาจะต้องเดินอ้อมกลับไปเอาจักรยานที่จอดไว้ก่อน หรือว่าค่อยมาพรุ่งนี้ทีเดียวเลยดี สวัสดิการของมหาวิทยาลัยเรื่องแสงสว่างที่เพียงพอยังเป็นข้อร้องเรียนที่ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าไหร่

   "วันไหนเบื่อก็แวบไปดูหนังกับเราสิ จะได้ขอเขาไว้สองใบ" เสนอทีเล่นทีจริง ช่วงแรกปรัญก็เป็นแค่เด็กมัธยมที่ชอบดูหนัง แล้วก็เริ่มอยากจะแชร์ความรู้สึกที่มีลงไปบนโลกโซเชียล นานเข้ามันก็กลายเป็นนักดูหนังไปเสียแล้ว

   "ไม่เอา เราไม่ชอบโรงหนัง" ปากของเอื้อมอารัญเบะออก เล่าความหลังต่อจากนั้นไม่มีขาดตอน "คบมาสองคนก็เลิกทั้งหมดหลังจากที่ไปดูหนังหมดเลย เข็ด"

   "..."

   ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งเรื่องที่ไม่ชอบและเหตุผลเบื้องหลังของมัน

   "เรื่องนี้พูดจริง ไม่ได้โกหก" การหยุดเดินและจ้องตรงเข้ามาข้างในนัยน์ตาระหว่างการเล่าจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้งรวมกัน "เราคิดว่าปันก็คงรู้เรื่องของเรามาบ้างแหละ แล้วมันก็มีหลายเรื่องที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นจริง"

   เสียงจิ้งหรีดหวีดหวิวแสบหู น่าแปลกที่มันดูไพเราะยิ่งกว่าน้ำเสียงการเล่าเรื่องที่ไม่มีการขึ้นสูงต่ำ 

   "แต่ก็อยากบอกว่าต่อจากนี้ปันจะไม่มีทางได้ยินเรื่องโกหกจากเราแน่นอน"


***
   ไม่รู้จะคุยอะไรดี ยังไงก็ยังอยากอ่านคอมเมนต์เป็นฮีลลิ่งให้ตัวเองอยู่นะคะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น้องปันก็ยังใจดีเหมือนเดิม ฮิวก็ดูใจดีแต่เหมือนจะไม่ได้เข้าใจเอื้อมจริงๆ ต่างกับปันที่เชื่อในสิ่งที่เจอกับตัวมากกว่าสิ่งที่ได้ยินมา แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนอื่นๆเจอเอื้อมในแบบไหนกัน แต่เอื้อมก็มีเพื่อนที่แบบคุยหยอกล้อ เล่นกันไรงี้ ไม่ได้โดนแบนง่ะ เอื้อมอาจจะเคยเจอสังคมที่ไม่ดีมา
โอ้ยยย เอื้อมลู๊กกกก  :a5: :a5:
ฮือ ติดตามไปเรื่อยๆน่าจะดีสุดแล้ว  :katai5:
แต่เดี๋ยวจะหาเวลาไปคิดอีกทีว่าทำไมเอื้อมถึงจะไม่โกหกปัน :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปันลูกแม่ หนูเป็นคนดีจังเลย ฮือ
ทำไมเราอ่านแล้วรู้สึกตัวเองชั่วไปเลย 555
นี่บางทีเราก็เชื่อไอที่เขาว่ากันว่า แง แต่บางทีก็โดนเอง สรุปวนไปเรื่อยๆ
อ่ะนี่ไง ก็เหมือนที่ปันคิดว่าฮิวไม่ชอบคุณเอื้อม ทำไมเน้นตัวหนา ทำไมมมมมม
มันมีปริศนาอะไรซ่อนอยู่ หรือเราคิดมากไป แง คุณเจ้าาา
ส่งกำลังใจกองโตๆให้นะคะ เราชอบงานคุณเจ้ามากๆ แบบมากๆ ชอบที่สุดคือพิชแบล็ค
คือพออ่านที่หนึ่งจบแล้วต่อพิชแบล็ค หัวใจก็ด้านชาไปเลย ตอนจบทำเอาเราอึนไปสามสี่วัน
พอมาเรื่องแฟร์เฟย์ โอโห ไปค่ะ ไปรักษาใจต่อ ฮือ
ลูกคูมแม่แต่ล่ะคน...
ส่วนเรื่องนี้ ก็ชอบค่ะ ชอบภาษา โทนเรื่อง และชอบตัวละครมากๆ
ชอบบรรยากาศของเรื่องทุกเรื่อง เราไม่ค่อยชอบอ่านนิยายที่มันเป็นเรื่องรักเพียวๆ
แต่จะชอบอ่านที่มันมีอะไรๆ
คุณเจ้าสู้ๆนะคะ ถ้าท้อก็จะเป็นกำลังใจให้ จะรออ่านต่อไปเรื่อยๆน้าาา

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราอ่านแล้วเรารู้สึกฟีลกู๊ด รู้สึกเอื้อมกำลังจีบปันอยู่แบบเนียนๆ แต่ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรเพราะชื่อเรื่อง :serius2:

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ทุกอย่างเหมือนจะดีแต่ด้วยชื่อเรื่องไม่มีอะไรที่ไว้ใจได้เลย

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
การอ่านไประแวงไปมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

เราเคยได้ยินมาว่าการโกหกบางครั้งมันคือการปกป้องตัวเอง
เวลาคนเราต้องการที่จะมีตัวตนในสังคมทำให้ต้องทำ
แต่บางคนกลับถลำลึกกับมันจนแยกความจริงกับสิ่งที่ตัวเองโกหกไม่ออก

เราอยากรู้ปมของอารัญว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอารัญรู้ตัวว่าตัวเองโกหกแต่บางครั้งก็ยังเลือกจะทำทั้งๆรู้ผลว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว

อ่านเรื่องแฟร์ไปทำให้เราระแวงคนเขียนไปประมาณ 60 เปอค่ะ 55555


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านแบบไม่ระแวงไม่ได้เลยค่ะคุณเจ้า ประสบการณ์สอนเรามา 55555555 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะทีมคุณเอื้อมนะคะ เอ็นดู
เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
พลังของคำว่า"เขาว่ากันว่า" มันมากมายมหาศาลจริงๆ เป็นการทำลายคนคนหนึ่งได้รุนแรงแล้วยาวนานที่สุด แล้วแบบแต่ละคนไม่เคยได้เจอแบบจังๆสักคน  ที่เอื้อมทำ เหมือนแค่ปัดๆให้เรื่องจบลงจะได้เลิกเซ้าซี้ เลิกพูดต่อ อยากรู้จังว่าความใจร้ายอะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งขังตัวเองไว้ในคำโกหก เป็นกำลังใจให้ปันให้จิตใจไม่โอนเอียงกันคำว่าเขาว่ากันว่า เป็นกำลังใจให้เอื้อมที่จะพูดความจริง เป็นกำลังให้คุณเจ้าสร้างพลังที่ดีส่งมาให้คนอ่านเสมอๆนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ห้า

   "สรุปก็ใช้คำว่าตอบแทนมหาลัยอย่างที่เราบอกเหรอ"

   "ก็เป็นคำที่โอเค"

   “ขอทวงเครดิตหน่อยสิ”

   “อยากได้ค่าตอบแทนเป็นอะไรล่ะ”

   กระทุ้งศอกคนนั่งข้างกันบนโซฟา ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักส่งกลับมาแต่ไม่มีคำตอบของสิ่งที่ถามไป

   เอื้อมอารัญยังไม่ถึงเวลาซ้อม และเขาเองก็ไม่ต้องไปทำงานไม่ว่าจะในฐานะไหน ช่วงเวลาที่ยังพอเหลืออยู่หลังคาบเรียนสุดท้ายเลยมาจบตรงการนั่งตากแอร์รอในห้องของเด็กทุนกันสองคน

   พูดให้ถูกคือตอนแรกปรัญต้องเข้ามาคุยงานค่ายสำหรับการคัดเด็กรุ่นถัดไป ประธานรุ่นดันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยจนต้องเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด แล้วเพิ่งประกาศในไลน์เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ใครมันจะเปลี่ยนแผนชีวิตทัน

   คือตอนแรกที่ตั้งใจเอาไว้คือปล่อยเอื้อมไปซ้อม เขาก็ประชุม พอทั้งคู่เสร็จงานก็ได้เวลาไปทานข้าวเย็น ตอนนี้เลยเรียกได้เต็มปากว่าแผนล่มไม่เป็นท่า นั่งแกร่วกันต่อไป

   ห้องเด็กทุนมีชื่อเต็มว่าศูนย์อาสาพัฒนาอะไรสักอย่าง มันยาวเสียจนไม่ค่อยแปลกใจที่คนอื่นจะย่อให้มันสั้นลงจนเหลือแค่ไม่กี่คำ ในเวลาปกติเป็นห้องสารพัดประโยชน์ที่ใครอยากจะมาใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้ จะคึกคักและหมดยุคห้องร้างก็แค่ช่วงที่ต้องทำค่ายนี่แหละ

   อย่างตอนนี้ทั้งห้องก็มีเขานั่งกันแค่สองคน เอื้อมบอกว่าขึ้นไปก็ต้องนั่งเงียบคนเดียวเลยขออยู่ที่นี่ก่อน

   พอพาเข้ามาก็มือบอนไม่มีหยุด หยิบนู่นจับนี่อย่างกับไม่เคยเห็นห้องทำงานของพวกนักกิจกรรม แล้วบนโต๊ะส่วนกลางตอนนี้ก็ดันมีกองแผ่นพับเตรียมแจกวางเอาไว้ อันที่มีเนื้อหาข้างในเป็นบทสัมภาษณ์เจ้าปัญหาตอนแรกนั่นแหละ

   "นี่เพิ่งรู้ว่าทำงานได้เงินด้วย เรานึกว่าทำให้ฟรี"

   "ผู้บริหารเขามองว่าให้ทำงานฟรีสี่ปีก็หน้าเลือดไปหน่อยน่ะ" เงื่อนไขหนึ่งตอนเซ็นต์สัญญาคือต้องทำงานให้ตลอดทั้งสี่ปี ส่วนในทางปฏิบัติสักปีที่สามพวกอาจารย์ก็จะปล่อยให้โบยบินไปเจออิสระกันแล้ว "แต่เงินก็ไม่ได้เยอะอะไร น้อยกว่าขั้นต่ำด้วย"

   คิดเป็นรายชั่วโมงอีกต่างหาก ได้ข่าวกองทุนก็มีเงินตั้งเยอะแยะไม่รู้หายไปหมุนในบัญชีของเจ้าหน้าที่คนไหนหมด

   "ก็ดีนะ นี่เท่ากับออกแค่ค่าหอเลยใช่ไหม"

   "ของเราค่าหอออกเอง แต่เพื่อนบางคนก็มีได้เงินอุดหนุนส่วนนี้เหมือนกัน"

   "จะดีเกินไปล่ะ แล้วรู้จักโครงการนี้ได้ไง"

   "เพื่อนในห้องชวนให้สมัครเป็นเพื่อน แต่เราได้คนเดียว"

   เคยได้ยินประเภทที่ว่าตามเพื่อน ตามแฟน ตามคนที่แอบชอบมาสมัครแต่ว่าอีกคนไม่ติด ยังคิดอยู่เลยว่าโลกไม่น่าจะทำร้ายกันได้ขนาดนี้ เป็นสัจธรรมที่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัว ยังดีที่เพื่อนของเขาสามารถแก้มือได้ในรอบแอดมิชชัน ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต

   "เป็นเราจะเลิกคบแล้ว เพื่อนทรยศ"

   "มันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ต่างหาก"

   กว่าจะผ่านไปได้แต่ละรอบ ตอนส่งใบสมัครรอบแรกก็ต้องเตรียมพวกเอกสารและหลักฐานจำพวกเกียรติบัตรเอาไว้ให้พร้อม พวกรุ่นพี่โรงเรียนที่ได้ตอนรุ่นก่อนก็ขู่แล้วขู่อีกว่าแต่ละคนส่งมาเป็นตั้ง พอประกาศผลว่าผ่านการคัดเบื้องต้นแทนที่จะโล่งก็ต้องมาเครียดเรื่องการเข้าค่ายอีก

   ไม่มีใครสปอยล์และบอกได้ว่าเกณฑ์การคัดเลือกเป็นอย่างไร กิจกรรมที่ทำร่วมกันตลอดสามวันสองคืนค่อนข้างจะอยู่ในรูปแบบงานทั่วไป ดูความสามัคคี ภาวะผู้นำ ทำนองนี้ ด้วยความที่ตกอยู่ในสภาวะการแข่งขันตลอดเวลาเลยไม่ค่อยได้เพื่อนต่างโรงเรียน ตอนรายชื่อตัวจริงออกยังสงสัยว่านายปรัญไปทำอะไรที่น่าประทับใจเอาไว้

   "อีกอย่างจะไม่เอาทุนก็ไม่ได้ อาจารย์ขู่ว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วผลเสียจะตกไปที่รุ่นน้อง" ประมาณว่าจะโดนเพ่งเล็งจากกรรมการตัดสินว่าเป็นโรงเรียนที่เคยมีนักเรียนทำตัวไม่ดีมากั๊กที่คนอื่น มองมหาวิทยาลัยนี้เป็นแค่ลำดับสำรอง ทำเป็นผู้ใหญ่ขี้น้อยใจไปได้

   "สุดยอดของความคนละโลก เรานี่แค่ไปสอบแล้วก็รอผล"

   "เลือกคณะนี้เพราะอะไรเหรอ"

   ไม่อยากคิดว่าเป็นเพราะความเข้าง่ายและจบชัวร์ของมัน

   "เอาจริงคืออยากเรียนโปรแกรมที่คลุมตัววิชาพวกนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นมันก็ต้องเลือกแค่ทางหนึ่งทางใดใช่ไหมล่ะ"

   ทั้งที่สิ่งสำคัญต่อการศึกษาในยุคปัจจุบันคือการบูรณาการเข้าด้วยกัน แต่เหมือนว่าเรายังคง 'อนุรักษ์นิยม' กันอยู่พอสมควร

   "เลยเลือกที่นี่ แล้วก็คิดว่าเลือกไม่ผิดนะ"

   ไม่เหมือนอย่างที่คนอื่นเคยเล่าว่าที่เอื้อมอารัญเข้าคณะนี้เพราะช่องทางที่ง่ายต่อการเข้าศึกษา สามารถบอกใครต่อใครได้ว่าตัวเองเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง

   "ปกติเรียนประ..."

   "คุณเอื้อม ไปเตรียมซ้อม"

   ไม่ทันได้หาข้อมูลเกี่ยวกับตัวคณะเพิ่มเติมเสียงแทรกก็เข้ามาก่อน ฮิวยืนหน้านิ่งอยู่ตรงบานเลื่อกระจกทำใหม่ ท่ายันขอบประตูดูไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก

   ก็รู้กันอยู่ว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบห้านาที เอื้อมผู้สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีตอบรับพลางลุกไปขึ้นโดยไม่ลืมหันมาสำทับเรื่องอาหารเย็นที่วันนี้เขาต้องเป็นคนเลือก

   อาการไม่พอใจเห็นได้ชัดเจนผ่านนัยน์ตาและริมฝีปาก อดกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวลไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าตึงเครียด เขารู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนไม่อยากให้เอื้อมอารัญอยู่ใกล้ แต่จะให้ใจร้ายทำอย่างนั้นโดยไม่มีเหตุผลบอกเลยว่าทำไม่ลง

   สายตาที่มีแต่ 'รอยร้าว' ในวันนั้นยังฝังอยู่แน่นในความทรงจำ

   "ไม่พูดอีกแล้วนะ"

   "อือ"

   "ขอให้โชคดีแล้วกัน"

   บานประตูเลื่อนปิดลงช้าๆ ปรัญหลุบตาลงต่ำมองแผ่นพับที่คนนั่งข้างเมื่อสักครู่ฝากเก็บ หน้าที่ยังเปิดค้างเอาไว้อยู่คือบทสัมภาษณ์นักศึกษา รูปตัวเขาแบบหน้าตรงเห็นเกือบครึ่งตัวที่ถูกบังคับถ่ายใหม่หลังจากที่ส่งภาพเห็นแต่ด้านหลังไปให้ส่งยิ้มที่ดูไม่ออกว่ากำลังเยาะเย้ยหรือให้กำลังใจ

   บางทีปรัญคงใจดีเกินไปอย่างที่คนอื่นบอกจริง
 


   ค่อนข้างเข้าไม่ถึงเนื้อหาที่ต้องการสื่อ เหมือนว่าจะใส่สัญลักษณ์ลงไปในเรื่องมากจนกลบเนื้อหาหลัก ส่วนงานภาพไม่ต้องพูดถึงสวยงามเหมือนอย่างที่ผ่านมา ส่วนตัวผมประทับใจเรื่องก่อนหน้ามากกว่า

   เรียบเรียงคำที่ต้องการจะเล่าผ่านตัวอักษรลงไปเท่าที่ยังติดค้างอยู่ในความทรงจำ เลยผ่านพวกคำผิดและโครงสร้างประโยคที่ไม่ค่อยถูกตำแหน่งไปก่อน ตอนนี้ต้องเน้นที่เมนไอเดียแล้วค่อยกลับมาทำการพิสูจน์อักษรใหม่อีกครั้ง

   บนรถโดยสารสาธารณะเที่ยวสุดท้ายที่จะพาไปมหาวิทยาลัยมีผู้โดยสารประปราย การเดินทางอีกเป็นชั่วโมงคือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการทำงานให้เสร็จลุล่วง จากที่เคยเวียนหัวทุกครั้งที่เล่นโทรศัพท์บนรถทุกวันนี้บอกเลยว่าสบายมาก

   เลือกนั่งตรงเก้าอี้เดี่ยวจะได้ไม่รบกวนใคร ไม่อย่างนั้นพอมีคนนั่งข้างแล้วก็จะรู้สึกผิดกับการขยันนิ้วโป้งบนหน้าจอไม่มีหยุด สิ่งที่อยู่ในความคิดค่อยๆ ร้อยเรียงออกมาเป็นตัวอักษรและประโยคติดต่อกันจนไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ร้อยคำแล้ว

   หน้าต่างแจ้งเตือนว่ามีการทักทายจากเอื้อมอารัญ เขารีบกดเข้าไปดูข้อความทั้งหมดแบบที่ไม่สนใจว่าค้างอยู่ตรงไหน หรือว่าถ้ากลับมาแล้วอาจจะนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรลงไป

   U Arun : เสาร์บ่ายว่างไหม

   ส่ายหัวเล็กๆ ให้กับการถามที่ดูเหมือนว่าได้คืบจะเอาศอก นอกจากมื้อเย็นหลังจากการซ้อมแล้วนี่เริ่มลามมาถึงวันหยุดแล้วสินะ

   Parun P : ส่งรีวิวมาให้ดูก่อน

   เดาเอาเองไปก่อนว่ามันคงไม่พ้นการแสดงความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวกับทุกครั้ง ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่มันจะได้คำตอบประมาณว่า เป็นร้านประจำ มาบ่อย หรือว่าติดใจรสชาติจนมาซ้ำ มีแต่คำว่ารีวิวว่างอย่างนั้นอย่างนี้เปลี่ยนร้านไปเรื่อย น่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบความจำเจพอสมควรเลยล่ะ

   U Arun : แหนะ รู้ทัน
   U Arun : อันนี้ สาขาไหนก็ได้


   กดตามลิงก์ที่เป็นข้อความสุดท้าย เข้าไปเจอกับสักเพจบนเฟซบุ๊กที่ทำการโฆษณาเกี่ยวกับเครื่องดื่มชนิดใหม่ของร้านสุกี้ที่มีสโลแกนเรื่องความสุข เขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทานคือเมื่อไหร่ ที่บ้านชอบปิ้งย่างมากกว่าต้มน่ะ

   Parun P : น้ำอัญชันอะนะ?

   ถ้าไม่นับเรื่องชื่อเมนูแปลกๆ เขาชอบภาพถ่ายที่ใช้ประกอบการรีวิวอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นส่วนผสมที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากันได้เท่าไหร่เลยนะ

   U Arun : ใช่แล้ววว น่ากินเนอะ

   ขอบอกเลยว่าเอื้อมเป็นสายล่าของกินที่แท้จริง

   นึกดูว่าวันเสาร์มีตารางงานอย่างอื่นก่อนหน้าแล้วหรือไม่ จำนวนสาขาที่มีทั่วทั้งกรุงเทพฯ คงช่วยให้ไม่ได้ต้องเดินทางไกลเหมือนอย่างบางข้อเสนอที่เขาปัดตก ถ้าว่างก็ไปได้แหละ

   Parun P : ว่าง
   Parun P : ไปที่ไหนดีล่ะ


   ยังไงปรัญก็เป็นสายติดบ้านที่เพื่อนในกลุ่มก็ไม่ชอบออกไปไหนไกลพอกัน กว่าจะลากมาให้ครบได้แต่ละทีต้องนัดล่วงหน้าเป็นดือน มีคนพูดเล่นอยู่เลยว่าเดี๋ยวจะกำหนดช่วงถ่ายภาพนอกรอบสำหรับรับปริญญาตั้งแต่ขึ้นปีสาม กว่าจะถึงวันจริงคงลืมไปแล้วว่ามีนัด

   เอื้อมส่งสัญลักษณ์แทนการบอกว่าดีใจมายกใหญ่ ทั้งแบบอีโมจิแล้วก็สติกเกอร์ เพื่อไม่ให้ดูไร้การตอบรับเลยส่งเซมิโคลอนและวงเล็บปิดที่เป็นรอยยิ้มแบบคลาสสิกกลับไป

   U Arun : ล่ะนี่ปันอยู่ไหน หนังจบแล้วเหรอ
   Parun P : อยู่บนรถเมล์ กำลังกลับมอแล้ว
   Parun P : คนขับเหมือนเตรียมตัวไปแข่งฟาสเก้า

 
   ปลงตกกับความเสี่ยงที่เจอเป็นกิจวัตรประจำวัน ใครบอกว่าสูบบุหรี่กินเหล้าทำให้ชีวิตสั้นลง การโดยสารอยู่บนรถประจำทางนี่ก็พาเขาไปทักทายยมโลกได้เร็วพอกันนั่นแหละ ดึกอย่างนี้พอไม่ต้องแข่งเก็บรอบหาลูกค้าก็วิญญาณนักซิ่งเข้าสิง ขับเร็วอย่างกับมีกฎห้ามขับต่ำกว่าแปดสิบ

   ยังไม่รวมกับกระเป๋ารถเมล์ที่แล้วแต่ดวงพอกัน ถ้าเจอคนน่ารักก็ดีไป ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะได้ยินประวัติชีวิตของตนเองและพวกพ้องเป็นของแถมนอกจากตั๋วใบเล็ก

   เหยียบไว้เลยนะว่าตอนเด็กปันเคยอยากลองเป็นกระเป๋ารถเมล์ด้วย รู้สึกว่าท่าเก็บเงินแล้วฉีกตั๋วโคตรเท่

   U Arun : อ้าว ทำไมไม่นั่งรถตู้

   ส่วนมากการเดินทางเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเขตกลางเมืองของนักศึกษาคือรถตู้ เกือบจะเป็นการผูกขาดอยู่แล้ว

   Parun P : หมดรอบแล้ว เวลานี้ไม่มี
   U Arun : งั้นวันหลังให้ไปรับไหม


   "..."

   แต่อันนี้ก็เกินไปหน่อย

   Parun P : ตั้งใจซ้อมไป

   นึกแล้วว่ามันน่าจะเป็นกลางไม่ดูตัดรอนจนน่าเกลียด เอื้อมอารัญชัดเจนเรื่องความต้องการของตัวเอง และเป็นเขาที่พร้อมจะสนองมันกลับไปโดยไม่กลัวสิ่งที่จะตามมา เรียกได้ว่าถ้ามีคนผิดก็ต้องหารครึ่งล่ะ

   U Arun : ซ้อมอยู่

   สงสัยกลัวจริงว่าจะไม่เชื่อเลยส่งรูปถ่ายจากมุมสูงติดช่วงหน้านิดหน่อย ถัดจากนั้นคือแท่นวางโน้ตที่มีแฟ้มพลาสติกเล่มโตตั้งเอาไว้

   Parun P : ดีมากครับ

   เขาเห็นเครื่องหมายถูกแทนการบอกว่าอ่านแล้ว แต่มันไม่มีการแจ้งเตือนว่ามีข้อความไหนกำลังถูกพิมพ์เพื่อตอบกลับมา
ยังไม่ทันได้คิดมากไปเองว่าถูกโกรธหรือเปล่าเครื่องก็สั่นพร้อมกับหน้าจอโชว์ว่ามีสายโทรเข้า ชื่อที่บันทึกเอาไว้ว่า 'เอื้อมอารัญ' กึ่งบังคับให้ต้องรีบรับสายโดยพลัน

   (เหมือนจะไม่เชื่อ?)

   "เชื่อสิ ก็เอื้อมบอกว่าจะไม่โกหกนี่"

   ตั้งแต่วันที่เอื้อมอารัญให้สัญญา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาเคยได้ยินเรื่องโกหกจากเด็กชายผู้ป่าวร้องว่าตนพบเจอหมาป่าอีกเลย ไม่นับรวมเรื่องที่ไปโกหกคนอื่นนะ อันนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมมากจริงๆ

   ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนเริ่มคำถามใหม่ (…นี่อีกนานไหมกว่าจะถึง)

   มองออกไปนอกหน้าต่าง ลองคำนวณดูว่ามันควรจะใช้เวลาเท่าไหร่ “ประมาณยี่สิบนาทีมั้ง”

   (เอาหูฟังมาหรือเปล่า)

   “ใส่อยู่”

   (งั้นสนใจฟังเราซ้อมไหม)

   ขอบคุณที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องโดนล้อเรื่องที่กำลังทำกลั้นยิ้มจนหน้าประหลาดแน่ๆ

   “เสียงไม่ดังรบกวนคนอื่นเหรอ”

   (ใส่ตัวลดเสียงเอาไว้แล้ว)

   “งั้นก็ได้นะ”

   เสียงกุกกักจากปลายสายน่าจะมาจากการวางโทรศัพท์ไว้สักที ตามมาด้วยการไล่โน้ตนิดหน่อยก่อนจะกลายเป็นเพลง มันไม่ต่อเนื่องกันโดยตลอด ค่อนไปทางการเล่นท่อนเดิมซ้ำๆ จนกว่าจะพอใจ

   เลยชิงจังหวะนั้นกลับไปเปลี่ยนข้อความในโน้ตที่ยังค้างเอาไว้ เติมแต่งมันจนพอใจแล้วเปลี่ยนไปเข้าทวิตเตอร์เตรียมทวิต เลทกว่าเวลาปกตินิดหน่อยไม่น่าจะมีปัญหา

   หมดหน้าที่ที่ต้องทำแล้วก็ตั้งสมาธิกับเสียงเพลงได้เต็มที่ ปรัญเคยเรียนเปียโนตอนเด็กตามวิชาบังคับของโรงเรียน เราเข้ากันไม่ได้จนต้องยอมแพ้และไม่เคยเหลียวแลมองเครื่องดนตรีชนิดอื่นอีกเลย อ้อ แต่ตีกลองสันได้นะ อันนั้นสามารถนับด้วยได้หรือเปล่า

   อีกฝ่ายคงติดลมจนลืมไปแล้วว่ากำลังต่อสายถึงกันอยู่ ไม่อยากจะไปขัดอารมณ์ศิลปินเลยเงียบไม่รายงานความคืบหน้า พอลงจากรถเมล์ตรงป้ายประจำก็เดินทอดน่องไปถึงลานจอดจักรยาน ขอบคุณที่เจ้าสองล้อมันยังจอดอยู่ดีไม่โดนใครตัดโซ่ไป

   ลมไม่ถึงกับเย็นเข้าปะทะหน้า ยังติดอยู่ในความสุนทรีย์ไม่อยากจะกลับเข้าไปเจอห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เลยเลี้ยวไปทางซ้ายแทนที่จะเป็นขวาเช่นเดียวกับทุกวัน ตอนเข้ามาใหม่ๆ เห่อลูกชายจนเอาไปสำรวจมาจนทั่วมหาลัย เลยรู้ว่าตรงส่วนหลังจากตึกสร้างใหม่มีสวนร้างตั้งอยู่

   ก็ไม่ได้ร้างแบบไม่ได้รับการดูแล แต่มันไม่ค่อยมีใครดั้นด้นเข้ามาเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์หรอก

   ขนาดไม่ได้ใหญ่โตแต่ร่มรื่น เคยตั้งใจว่าถ้าวันไหนอากาศดีๆ ก็อยากจะมานั่งถอนหายใจทิ้งอยู่เหมือนกัน หรือว่าจะลองชวนเอื้อมมาดีนะ

   (ไหนบอกว่ายี่สิบนาทีถึง นี่มันสามสิบกว่านาทีแล้วนะ)

   เกือบเบรกรถหน้าคว่ำ เขารีบเลี้ยวกลับเพื่อออกไปยังถนนใหญ่ สารภาพออกไปว่าแอบออกมานอกเส้นทาง "มาปั่นจักรยานเล่นต่อ"

   (ปั่นเล่น?)

   "แต่นี่กำลังจะกลับล่ะ" ตั้งใจจะกลับอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับน้ำเสียงติดไม่พอใจนั่นเลย

   (ดีแล้ว กลางคืนอันตราย)

   "เราว่าตอนไหนก็ไม่มีความปลอดภัยทั้งนั้นแหละ"

   คุยเล่นจนถึงบริเวณหน้าหอพัก จัดการจอดมันเอาไว้ตรงพื้นที่ที่คิดว่าปลอดภัย ได้ยินเสียงเพลงจากร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ละแวกนั้นลอยคลอมาเหมือนอย่างทุกที มีใครรู้กฎหมายเกี่ยวกับบริเวณที่อนุญาตให้เปิดร้านเหล้ารอบสถานศึกษาบ้าง ได้ยินบ่อยเข้าก็หน่าย

   "ตอนนี้เรากำลังล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋า ...เปิดล็อกห้อง ...ถอดรองเท้าแล้วก็โยนกระเป๋าไปบนเตียง"

   ด้วยความที่เอื้อมถามตลอดเวลาว่าทำอะไร ถึงไหนแล้ว เลยจัดการบรรยายทุกอิริยาบทไปเสียเลย

   "เปิดไวไฟ ...เดินไปหยิบผ้าขนหนูตรงระเบียง ...เตรียมถอดกางเกงแล้ว"

   (ไม่ต้องบอกขนาดนั้นก็ได้ไหม) ปลายสายทักเสียงแหว ยังได้ยินเสียงดีดเครื่องสายเป็นจังหวะคลอตามมา (ไปอาบน้ำแล้วรีบนอน เราก็จะไปอาบบ้างล่ะ)

   "อ่าฮะ"

   (ขอบคุณที่ฟังเราซ้อมนะ)

   "ด้วยความยินดีครับ"
 


   อากาศช่วงบ่ายของวันเสาร์ทรมานเสียจนรู้สึกขอบคุณคนที่คิดค้นเครื่องปรับอากาศขึ้นมา

   เวลานัดของเราคือบ่ายโมงตรง ไม่มากหรือน้อยเกินไปสำหรับมื้อเที่ยง เอื้อมอารัญส่งมาบอกว่าจะมาช้าหน่อยเพราะการก่อสร้างแถวบ้านมันเป็นต้นเหตุของการจราจรที่เคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติ คนชอบมาถึงก่อนเวลาอย่างเขาเลยต้องมาเดินแกร่วรอ

   รูปแบบการจัดวางโครงสร้างของห้างไม่ค่อยแตกต่างกับอีกหลายแห่งที่สร้างขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน จะให้ขึ้นไปดูรอบหนังก็ไม่ใช่เรื่องเลยต้องเลือกอย่างอื่น จนมาจบที่การเดินเข้าไปยังโซนเครื่องเล่นเกมแทน

   แปลกดีที่มันไม่ค่อยมีคนเข้าใช้บริการทั้งที่เป็นวันหยุด เขาเลือกเกมคลาสสิกอย่างยิงซอมบี้ในการฆ่าเวลา หยอดเหรียญเข้าไปเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้น โทษว่าไม่ได้เล่นมาสักพักใหญ่ก็เลยตายในเวลาไม่นาน เขาเคยได้คะแนนเกือบสูงสุดด้วยนะ ขออวดหน่อย

   ขณะมือล้วงหาเหรียญสำหรับเกมที่สองเอื้อมอารัญก็โทรมาก่อน จากนักล่าอมนุษย์เลยต้องกลับมาเป็นลูกค้าอยู่ในร้านอาหารแทน เราเลือกสิ่งที่ตนเองชอบไม่ต่างจากทุกที แน่นอนว่าต้องตบท้ายด้วยเครื่องดื่มเมนูใหม่ประจำเดือนอันเป็นเป้าหมายหลัก

   มีการลักเอาโทรศัพท์ของเขาไปกดส่วนลดอีกด้วยนะ

   "ก็เลยไปเล่นเกมเหรอ"

   ระหว่างรออาหาร ก็เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าไปทำอะไรมา "อืม มือตกไปเยอะเลย"

   "อยากไปเล่นบ้าง"

   "หลังกินเสร็จไปย่อยกันไหมล่ะ"

   ยื่นข้อเสนอไป สำหรับเขาแล้วถ้าจะให้เข้าห้างเพื่อทานอาหารหนึ่งมื้อแล้วกลับมันก็ลงทุนเกินไปหน่อย

   "ไป อยากลองเล่นเกมต่อยวัดแต้มดูอะ"

   "เดี๋ยวจะรอดูผลงาน"

   "อย่าดูถูกเอื้อมอารัญเชียวนะ" เครื่องดื่มสีประหลาดวางลงสองแก้ว หนึ่งคือนมอะไรสักอย่างส่วนสองเป็นมะนาวผสมอัญชัน คนอยากลองเกือบสั่งอย่างที่สามแล้วดีที่เขาห้ามทัน "เราเคยเรียนต่อยมวยด้วย"

   เท่าที่ฟังมาเอื้อมก็เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าเหมือนกัน ยื่นมือออกไปตั้งใจจะหยิบแก้วทรงเหลี่ยมมาไว้กับตัวแต่ก็ถูกฟาดเต็มแรงเสียก่อน คนอยากลองหยิบเอาแก้วทั้งสองใบไปวางไว้ข้างกันตามด้วยการยกสมาร์ตโฟนขึ้นเล็งจากมุมสูง เหมือนว่าภาพที่ได้จะไม่ค่อยน่าพอใจเลยบอกให้เขาขยับหลบไปจนพ้นรัศมี

   ยังดีที่ได้รูปตามต้องการเร็ว ปล่อยให้เจ้าของไอเดียได้ลองชิมทั้งสองแก้วเพื่อเลือกเมนูโปรด และดูเหมือนว่าเครื่องดื่มรสเปรี้ยวจะไม่ค่อยถูกปากเลยถูกส่งมาให้เขาจัดการแทน

   "แล้วสัปดาห์หน้าไปดูหนังกี่วัน"

   "น่าจะวันเดียว ไม่ค่อยมีเรื่องอยากดู" มันเริ่มเป็นหนึ่งในหัวข้อการคุยในกิจวัตรประจำวันของเราไปแล้ว "แต่ว่าก็ต้องไปช่วยงานทุนเตรียมของ"

   ทำไมจะไม่รู้ว่าถามเรื่องดูหนังทำไม นี่ในหัวเอื้อมต้องเตรียมเมนูสำหรับทั้งสัปดาห์เอาไว้แล้วแหง

   ดักคอเอาไว้ก่อน นี่เข้าใกล้วันค่ายแล้วทุกชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาโครงการผู้มีศักยภาพก็ถูกเกณฑ์กลับมาใช้งานโดยไม่มีข้อแม้ การเตรียมงานทั้งก่อนและวันจริงมีขั้นตอนยุ่งยาก นี่แหละข้อเสียของการเอาเด็กกิจกรรมมาเจอกัน บางคนเคยเป็นแต่ผู้นำแล้วตามไม่ค่อยลง

   ส่วนปรัญอยู่ฝ่ายใช้แรงงาน ใครอยากให้ช่วยอะไรก็บอก ไม่ชอบเสนอตัวเป็นหัวหน้าหรือผู้ริเริ่มด้วยการอธิบายว่าตนทำงานในห้องที่ปรึกษาซึ่งเต็มไปด้วยความปวดหัวมากพออยู่แล้ว ภาระที่ได้รับอาจทำให้การทำงานไม่เต็มที่และมีผลเสียไม่ได้เฉพาะกับตน

   "ก็ห้องข้างล่างเอง ถ้าเราเลิกก่อนแล้วเดี๋ยวไปรอ"

   "ไม่รู้เสร็จกี่โมงนะ"

   "เหมือนไม่ค่อยอยากให้ไปเลย"

   กลายเป็นอย่างนั้นไปอีก "ไม่อยากให้รอนาน ซ้อมก็หนักแล้ว"

   "เราไม่อยากกินข้าวกับพวกนั้น" และน่าจะรวมถึงไม่อยากจะทานคนเดียวด้วย "นิสัยไม่ดีเลยเนอะ"

   ทำการปลอบใจโดยการตักเอาชิ้นเนื้อและแป้งที่ลอยขึ้นมาปริ่มน้ำให้กับเอื้อมอารัญก่อน อันไหนถ้าไม่กินเดี๋ยวก็โยนกลับมาให้เขาเอง "บางทีเราก็ไม่ชอบไปกินข้าวกับคนเยอะๆ เหมือนกัน"

   มากคนมากความ มันน่าเบื่อที่ต้องมารับฟังความคิดเห็นที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆ ตั้งแต่เลือกร้านยันเลือกเมนู ในบางครั้งเลยชอบทานแบบไม่กี่คนมากกว่า ไหงเหลือแค่ตัวคนเดียวในตอนสุดท้ายก็ไม่รู้สิ

   "เราชอบอยู่กับปันนะ"

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจพองโตยามได้ยิน อารมณ์ว่ารู้สึกดีที่สามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ได้ล่ะมั้ง เท่าที่เจอกันมาเอื้อมมักจะอยู่คนเดียว หรือต่อให้มีคนรายล้อมมันก็ให้ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก้อน

   อย่างเวลาไปซ้อมดนตรีก็เหมือนกัน ไม่เคยมีการทักทายจากเพื่อนคนอื่นนอกจากฮิว เขาจะเห็นเอื้อมเดินถือเคสไม้เข้าและออกคนเดียวไม่เคยมีใครสนทนาด้วย ขนาดเขาไปนั่งรอเฉยๆ ยังมีเพื่อนจากคณะเดียวกันเข้ามาถามว่ามาทำอะไร

   ถึงจะได้รับสีหน้าบอกบุญไม่รับตอนตอบว่ามารอเอื้อมอารัญก็เถอะ

   "อืม"

   "ชอบที่ปันแสดงออกอย่างนี้เวลาเราบอกด้วย"

   "อย่างนี้?"

   "ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา"

   "..."

   "บางทีคนเราก็ไม่ต้องการอะไรมากมายหรอก ช่วยตักสาหร่ายให้เราหน่อยสิ"

   กระวีกระวาดทำอย่างที่บอก ตะกร้อที่อยู่ฝั่งเขาทำให้ต้องกลายเป็นพนักงานตักไปโดยปริยาย ล้วงหาสิ่งที่ต้องการเพียงครั้งเดียวก็เจอ

   "ปกติเราต้องกินลูกชิ้นกุ้งกับสาหร่ายอะ ต้องเป็นแพ็กคู่"

   จัดการส่งไปให้ถึงในชาม ทำเป็นดึงกลับมาควานหาอะไรให้ตัวเองทั้งที่สายตายังแอบจับจ้องอยู่แต่ช่วงศีรษะของเอื้อมอารัญ สีหน้าที่ยังคงเป็นปกติไม่มีพิรุธหรือแต่งเติมอะไรตอนพูดคำว่า 'เรื่องธรรมดา' ติดค้างอยู่ในความคิดไม่หลุดออกไปตาม

   หรือเพราะมันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากจนลืมให้ความสำคัญ

   ไม่ลืมว่าอิมเมจของเอื้อมเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่น จากมุมมองของตัวเองแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ตอนบอกถึงความปรารถนา ในบางครั้งสิ่งที่สามัญที่สุดตามหายากที่สุด

   "นี่เพิ่งรู้ว่าสั่งน้ำกลับบ้านได้ ไม่งั้นกินอย่างอื่นไปแล้ว"

   "แต่เอาน้ำร้านนี้ไปเข้าร้านนู้นก็ตลก"

   เดินย่อยโดยมีปลายทางเป็นโซนเกมที่เพิ่งจากมาได้ไม่นาน ความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้จากพนักงานเล่นเอาคนชอบหาของทานตามรีวิวบ่นไม่หยุด เขานึกว่าถ้าจะสั่งเครื่องดื่มต้องทานในร้านเท่านั้น แต่ความจริงแล้วสามารถสั่งแบบเทคโฮมได้

   "ก็จริง...นอกจากที่เราจะไปเล่นแล้วปันอยากทำอะไรอีกไหม"

   "ยิงปืนสักตาก็ดี อยากแก้มือ" ยังคาใจจากรอบแข่งก่อนหน้าอยู่

   "โอเคเลย"

   บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเสียวสันหลังวาบกับการตอบรับไร้ความลังเล

   "แล้วมาแข่งหาคนแพ้กันดีกว่า"

   พนันได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่การแข่งที่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยแน่นอน


***
   แม้ว่าเจ้าจะทำให้คนอ่านระแวงแต่ก็ยังยืนยันว่าจะพยายามไม่หนักจริงๆ (ฮา) เจ้าชอบความเป็นเรื่องธรรมดา เรียบๆ เรื่อยๆ ของพวกเขาสองคนมากเลยค่ะ
   เรื่องนี้ไม่น่าเกินยี่สิบตอน แล้วเจ้าจะมาเล่าที่มาของเรื่องนี้ให้อ่านช่วงท้ายนะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ยังคงยืนยันว่าระแวงเหมือนเดิมค่ะ 55555

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
หลงเข้ามาอ่านค่ะ ติดตามนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหงาแทนคุณเอื้อม  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
หก
 
   ปรัญเข้าใจมาโดยตลอดว่าในหนึ่งการแข่งขันมีโอกาสแพ้ ชนะ และเสมอ

   "ตกลงนะ ถ้าเราชนะปันไปกับเรา ส่วนถ้าปันชนะก็ไปกับเราเหมือนกัน"

   นั่นหมายความว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนแพ้อยู่ดีต่างหาก

   "ขอทวนใหม่อีกครั้งได้ไหม"

   "สรุปคือยังไงปันก็ต้องไปเที่ยวกับเรา"

   เป็นการสรุปที่จับใจความได้ครบถ้วนอยู่ ถึงตัวเองจะยังไม่รู้รายละเอียดอะไรสักอย่างแต่ถ้าเอื้อมอยากไปก็คงต้องเป็นอย่างนั้น

   "งั้นไม่ต้องแข่งก็ได้มั้ง"

   "ไม่สิ เราอยากเล่น"

   เสียงเครื่องเล่นที่ดังปนเปจากทุกทิศทางกลายเป็นข้อบังคับให้พวกเขาต้องเพิ่มระดับเสียงในการพูดคุย ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเครื่องเล่นเครื่องเดิมที่ทำปันเจ็บแค้นใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว พร้อมกับการร่ายกติกาการแข่งขันที่เขาไม่เจอความยุติธรรมข้างใน

   แลกเหรียญอะไรเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่หยอดมันเข้าไปและเตรียมตัวสำหรับการเริ่มเกม เอื้อมไม่ได้เล่าเกี่ยวกับความสามารถในการเล่น เลยไม่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเองได้

   จับอุปกรณ์ในมือเอาไว้ให้มั่น ตั้งสติพร้อมสำหรับการแข่งขัน คราวนี้ปันคิดว่าฝีมือกลับเข้าที่กว่าครั้งก่อน หากยามเหลือบไปมองตัวเลขบอกแต้มคะแนนด้านบนมันกลับห่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ

   เขาเป็นฝ่ายตามหลังอยู่

   ปลอบใจว่าอย่าเพิ่งเสียสมาธิตอนนี้ แต่ดูเหมือว่าการเสียศูนย์หนึ่งครั้งจะทำให้ทุกอย่างเป๋ไปหมด ต่อให้แต้มคะแนนของเขายังคงขยับขึ้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังตามคนด้านข้างไม่ทันอยู่ดี

   "ไปวันพุธหน้านะ ที่หยุดทั้งม."

   นั่นคือคำแรกที่ควรเอ่ยหลังจากได้รับชัยชนะหรือไง ปรัญขยับมุมปากนิดหน่อยพลางยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะรับคำสั่งจากผู้อำนวยการสูงสุด

   "ครับผม"

   "ดีมาก นี่เราขอไปเล่นตรงนั้นต่อได้ไหมอะ"

   ปลายนิ้วที่ชี้ไปทางตู้คีบตุ๊กตาไม่เหมือนอย่างที่คุยไว้ตั้งแต่แรก "แล้วเกมต่อยล่ะ"

   "ไม่เอาแล้ว อยากเล่นอันนี้มากกว่า"

   "ก็ไปสิ" ไม่ขัดใจหรอก เอื้อมเหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเสียคน แล้วเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ไม่ห้ามแถมยังส่งเสริมอีกต่างหาก "เล่นเกมเก่งจัง"

   "เคยไปเรียนยิงปืนกับพ่อน่ะ แต่ก็คงไม่ได้ไปอีกแล้ว"

   ยังจำได้ว่าเอื้อมอารัญมีปัญหากับทางบ้าน มันเกี่ยวข้องกันไหมนะ

   "นี่มาเล่นไม่กี่เกม พวกกลองจับจังหวะพอได้แต่อย่างบาสคือยอมแพ้"

   "อันนั้นเราก็ไม่ถนัด"

   เดินไล่ไปตามตู้ทรงเหลี่ยมวางเรียงราย ตุ๊กตาจำนวนมากข้างในละลานตาจนอยากจะรู้ว่าจะเลือกหยุดอยู่ตรงไหน เขาไม่ค่อยชอบเครื่องเล่นพวกนี้เพราะว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย กว่าจะสำเร็จหนึ่งครั้งเดินเข้าร้านไปซื้อเลยน่าจะใช้เงินและแรงน้อยกว่า

   มันมีทั้งตัวละครที่เขารู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน เอื้อมเดินวนไปมาสองรอบเพื่อประเมินหาตู้ที่ดูแล้วมีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จเยอะที่สุด จนมาจบตรงที่พวงกุญแจขนาดเกือบสามส่วนสี่ของฝ่ามือทรงกลมหน้าตาน่ารัก การตัดเย็บของตุ๊กตาไม่ได้ประณีตเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับห่วยแตก

   "คิดว่าตัวขาวหรือดำน่าจะหยิบง่ายสุด"

   ท่าชะโงกหน้าเข้าไปเกือบชิดตู้ หรี่ตามองดูองศาต่างๆ จริงจังยิ่งกว่าตอนซ้อมดนตรีเสียอีก เคยอ่านทฤษฎีการหยิบตุ๊กตาที่แชร์กันในเน็ตมาเยอะ นี่คงจะได้เห็นว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่

   "เราว่าตัวนี้"​ จิ้มไปตรงโดนัลด์ดั๊กตัวขาวที่อยู่ใกล้สุดและไม่มีตัวอื่นมาเบียดรบกวน "แต่ถ้าชอบตัวดำอยู่แล้วก็ลองตัวนั้นก่อนก็ได้"

   คิดไปถึงเจ้าผ้ายัดนุ่นที่ห้อยอยู่บนแฟ้มหนังใบเดิม อันนั้นก็น่ารัก

   "งั้นรอบนี้ถือว่าลองมือ"

   "เขาว่ากันว่าต้องไม่ตั้งใจถึงจะได้"

   ส่วนถ้าเต็มที่เมื่อไหร่กว่าจะคว้ามาได้คือแทบรากเลือด เราเป็นทีมเวิร์กที่ดีด้วยการให้ผู้ควบคุมจอยขยับหามุมจากด้านหน้า ส่วนตัวเขาเขย่งขึ้นไปมองจากมุมสูงเพื่อกำกับจุดตัดอีกครั้ง ยังดีที่มันไม่ใช่เกมที่เปิดโอกาสให้เคลื่อนไหวได้แค่ครั้งหรือสองครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วคงคว้าได้แต่อากาศ

   "ตรงนี้เหรอ"

   "ไม่ ขยับซ้ายอีกนิด นิดเดียว" ทำไมบอกว่าซ้ายแล้วถึงไปทางขวาล่ะ "เอื้อม นั่นมันขวา"

   "แต่ซ้ายมันดูห่างไปนะ"

   "มุมบนไม่ห่าง ซ้ายหน่อย"

   "ถ้าไม่ได้เราจะโทษปัน"

   ล็อกเป้าหมายสุดท้ายพร้อมกับกดแป้นกลม อุปกรณ์สำหรับหนีบเคลื่อนตัวลงไปช้าๆ ในความรู้สึก ตั้งแต่จังหวะการกางแขน จับตรงเป้าหมาย อุ้มมันขึ้นมาอยู่ในกรง ทุกการเคลื่อนไหวลุ้นระทึกจนลืมเรื่องที่ไม่ลงรอยกันก่อนหน้า ภาพตุ๊กตาสีขาวข้างในกรงหนีบเคลื่อนไหวตามกลไกแถมยังดูสั่นจนน่าหวาดเสียวเล่นเอาหัวใจเต้นเร็วขึ้นไม่น้อย

   จนมันร่วงหล่นลงมาตามช่องสำหรับการหยิบนั่นแหละถึงกลับมามีเสียงคุยต่อ

   "เหย...ได้จริงด้วยอะ"

   กะพริบตาถี่ว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นจริงหรือไม่ ก็บอกแล้วว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุน พอได้อย่างที่หวังเอาไว้มันก็น่าตกใจไม่น้อย

   แต่ก็นะ มนุษย์รักความเสี่ยง

   "ลองอีกดีไหม แต่ว่าเรารู้สึกว่าตัวเองใช้ดวงไปหมดแล้ว"

   พยักพเยิดให้ทำตามใจ "อยากทำก็ทำ"

   "ให้ปันลองดีกว่า"

   แล้วทำไมมันกลายเป็นภาระของเขาไปได้ เหรียญที่วางเอาไว้ตรงหน้าตู้ถูกทิ้งเอาไว้รอให้เขาจัดการ ปันขยับไปยืนตรงตำแหน่งของผู้เล่นแทนแล้วให้อีกคนเป็นผู้กำกับ คราวนี้ต่อให้เล็งจนดูไม่มีข้อผิดพลาดมันก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่ากลับขึ้นมาด้วย

   "ดวงหมดแล้วจริงด้วย"

   ตุ๊กตาตัวกลมในมือถูกโยนขึ้นลงในอากาศ ความผิดหวังที่เพิ่งได้รับดึงเอาความสนุกทั้งหมดออกไปสิ้น ผู้ชายส่วนสูงมาตรฐานเลยเดินห่อเหี่ยวออกจากโซนเกมด้วยความตั้งใจว่าจะแยกย้ายกันกลับเสียที

   "นี่ไงที่เขาบอกว่าอย่าโลภมาก" ปรัญถือคติไม่มีการทดลองซ้ำครั้งที่สาม ทั้งไม่อยากเจอความผิดหวังและมันเป็นการย่ำอยู่กับที่เกินไป

   "เสียดาย นึกว่าจะได้มาเป็นคู่"

   "แค่เป็นตัวละครจากเรื่องเดียวกันไม่น่าจะนับว่าเป็นคู่"

   "มันก็ใช่อยู่ ...แป๊บนะ" เขาหยุดเดินกะทันหัน มือข้างที่ว่างควานหาสิ่งที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง "ครับผม ...รู้ได้ไง"

   เอื้อมอารัญตอบรับตาโต หันรีหันขวางมองหาใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง เขาลองมองตามเผื่อว่าจะเจอสิ่งที่ตามหา เท่าที่มองระดับสายตายังไม่เจอ แต่ว่า...

   "ตรงนั้นหรือเปล่าเอื้อม" ชี้ไปทางชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังยืนเกาะรั้วอยู่หนึ่งชั้นสูงขึ้นไป ไม่เแปลกใจที่มองเห็นกันได้เพราะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เจ้าหล่อนพยายามโบกไม้โบกมือให้มาสักพักแต่เอื้อมเอาแต่มองคนที่เดินสวนในชั้นเดียวกัน

   "เจอแล้ว จะให้ขึ้นไปหาหรือจะลงมา"

   "ก็ได้ รออยู่ตรงนั้นแหละ"

   จากที่มีเป้าหมายเป็นการเดินออกไปยังด้านนอกห้างสรรพสินค้าก็เลยกลายเป็นโดนดึงมือขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกชั้นแทน ปรัญมองพวกเขาสามคนทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย เลี่ยงตัวออกมาให้ห่างนิดหน่อยตามประสาคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมก่อน

   จากการสังเกตคิดว่าสองคนนั้นน่าจะเป็นแฟนกัน ดูจากท่าจับมือและความแนบชิดที่ไม่น่าจะอยู่ในขั้นของเพื่อนสนิทต่างเพศ ไม่ใส่ใจว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขานี่นา

   เสียงหัวเราะสลับกันไปมาระหว่างทั้งสามคน ดูจากรูปการณ์แล้วเอื้อมน่าจะเป็นเพื่อนกับฝั่งผู้ชายเพราะจบจากโรงเรียนชายล้วน แต่คนที่โทรมาหากลับเป็นผู้หญิง หรือว่าเคยเล่นดนตรีด้วยกัน ไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนที่เจอกันตามที่เรียนพิเศษ

   "งั้นเราไปก่อนล่ะ ไปแล้วนะรัญ"

   ทำหน้าสงสัยกลับไปยามรับรู้ว่าเธอกำลังบอกลาเขา "คนนี้ชื่อปันต่างหาก"

   "อ้าว เราเห็นที่แท็กเขียนชื่อนี้"

   ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเรื่องทำนองนี้ ก็พยายามเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะให้ความสนใจกับเรื่องที่อยู่รอบตัว

   "โดนหลอกแล้ว"

   "อ้อ เกือบลืมว่าเอื้อมก็ชอบโกหกคนอื่นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนี่เนอะ"

   มันเป็นคำที่ทำให้ปรัญยิ้มไม่ออก ส่วนอีกคนก็แค่ตอบกลับทีเล่นไปเท่านั้น "ก็นะ"

   "กินข้าวให้อร่อยล่ะ ไว้เจอกันใหม่"

   "บายบาย"

   หลังจากออกนอกแผนที่วางเอาไว้ก็ได้กลับเข้าสู่ทางปกติอีกครั้ง เดี๋ยวเอื้อมจะไปส่งเขาครึ่งทางเพราะว่ายังไงมันก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว "เรากินข้าวกันมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ"

   ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไรกับเรื่องเล็กแค่นั้นเอื้อมอารัญถึงต้องเล่าเรื่องเท็จออกไป

   รถยุโรปห้าประตูคันเล็กของเอื้อมอารัญถอยออกจากซองจอด เคลื่อนตัวไปตามลูกศรที่มีข้อความต่อท้ายว่าทางออกไปเรื่อยๆ

   "เผื่อไว้ว่าเขาจะชวนไปทำอะไรต่อน่ะ ไม่อยากไป"

   "แต่เขายังไม่ชวนสักหน่อย"

   "เดี๋ยวก็ชวน เชื่อสิ"

   "สนิทเหรอ"

   "แฟนเก่าน่ะ"
   
   "..."

   ใจจริงก็ไม่อยากเงียบหรอก แต่มันก็ห้ามไม่ได้นี่นา

   จะว่ายังไงดี คือการเจอกันของแฟนเก่ามันเต็มไปด้วยความราบรื่นได้เท่านั้นเลยเหรอ เพื่อนเขาแต่ละคนเวลาเลิกกับแฟนนี่แทบจะไม่เผาผีกัน แล้วนี่คือแบบที่แฟนเก่ากับแฟนปัจจุบันมาด้วยกันด้วยนะ

   "คิดมาก ก่อนคบคนนี้เราก็เคยชอบผู้ชายมาเหมือนกัน"

   "..."

   เงียบรอบสอง

   สมควรจะตกใจมากกว่าเดิมหรือยังไงดี

   "แย่จัง บรรยากาศเสียเลยอะ" เขาไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าแบบไหน "ไม่รู้จะทำให้เชื่อได้แค่ไหน แต่นี่เราไม่อยากโกหกอะไรปันเลยจริงๆ"

   "...เราไม่โอเคแค่เรื่องที่เอื้อมโกหก"

   ไม่อยากให้มันค้างคากันต่อไปนานกว่านี้ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเอื้อมอารัญถึงต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น เพราะอย่างนี้ไงคนอื่นถึงมองว่าเป็นครายวูลฟ์ไม่จบไม่สิ้น

   "สำหรับเราแล้วถ้าไม่อยากก็บอกออกไปตรงๆ มันก็น่าจะดีกว่าการโกหกไปเรื่อยๆ"

   "แต่สำหรับเราแล้วมันดีกว่า"

   น้ำเสียงที่ใช้ตอนสวนกลับมากระด้างยิ่งกว่าครั้งไหน รถที่ขับอยู่ตรงเลนกลางตลอดตบเข้าทางซ้ายเตรียมเทียบบาทวิถีในบริเวณที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมาส่ง

   "เรารู้ว่าปันไม่เข้าใจหรอก"

   "..."

   "เพราะบางทีเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน"
 


   ถ้าเปิดหาวิธีทำให้รู้สึกผิดน้อยลงในกูเกิลจะเจอไหมนะ

   ทั้งที่คิดว่าไม่ใช่คนผิดตั้งแต่ต้นทำไมถึงต้องมารู้สึกหน่วงในใจอย่างนี้ด้วย กลุ่มความรู้สึกแสนขุ่นมัวเกาะเต็มช่วงอกจนพาลไม่อยากทำอะไรสักอย่าง

   นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง จ้องเครื่องมือสื่อสารเครื่องสี่เหลี่ยมที่นอนอยู่ตรงหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังฝึกสมาธิตามนิกายเซนที่บอกให้เพ่งก้อนหิน ใจหนึ่งก็บอกว่าให้โทรไปเคลียร์อีกรอบให้หมดเรื่อง แต่อีกใจก็ไม่อยากพูดอะไรที่อาจเป็นการทำร้ายอีก

   ไม่รู้สิ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งทำให้เอื้อมอารัญพังทลายไปอีกครั้ง

   นี่คงเป็นหนึ่งในนิสัยที่ยังปล่อยไปไม่ได้ ไอ้การที่จะบอกว่า 'ช่างมันเถอะ' ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสำหรับเขาเท่าไหร่

   มีสองทางเลือกที่ทำได้ หนึ่งคือการโทรไปเคลียร์ให้ตัวเองสบายใจ หรือว่าสองคือรอจนกว่าอีกคนจะติดต่อกลับมาเอง เขาไม่รู้วิธีการจัดการเรื่องอารมณ์ของเอื้อม บางคนก็ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แล้วกลับมาเอง ฮิวนี่ต้องง้ออย่างเดียวถึงจะหาย

   "หรือว่าทักไปหาฮิวดี..."

   เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีทางไหนที่น่าจะโอเคได้เท่า

   กดปุ่มเปิดหน้าจอ ใส่พาสเวิร์ดที่กดจนชินมือ ใช้นิ้วชี้เดียวในการสไลด์เลื่อนไปยังแอปพลิเคชันที่ตามหา ชื่อของฮิวไม่ใช่รายชื่อที่ดูด้านบนของห้องสนทนา พวกเขามักจะคุยกันแบบต่อหน้ามากกว่า

   พอเข้ามาก็เห็นว่าเรื่องที่คุยกันครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับการนัดหมายเรื่องวันทำงานกลุ่ม ตอนนั้นฮิวก็ยังบ่นเรื่องที่เขาเอาแต่ช่วยเพื่อนจนคนอื่นแทบไม่ต้องทำอะไร

   จิ้มไปทีละตัวอักษรจนกลายเป็นคำ และพอมันอ่านได้ใจความตามที่ต้องการก็ต้องมาชั่งใจอีกว่าจะกดปุ่มส่งไปดีหรือไม่
การตัดสินใจนี่เป็นเรื่องที่ยากเสมอเลย

   หน้าจอที่ดับลงหลังจากไม่มีการใช้งานเกินสามนาทีเป็นเครื่องบอกว่าการต่อสู้กันภายในความคิดดำเนินไปถึงไหนแล้ว เขากลั้นใจเปิดเครื่องอีกครั้ง ตั้งมั่นว่าจะต้องกดส่งไปโดยไม่มีการลังเลอะไรอีก

   "..."

   ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ พอหน้าจอกลับมามีแสงสิ่งที่ปรากฎอยู่คือการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จากเอื้อมอารัญ จะขอบคุณความกล้าเรื่องก่อนหน้าที่ยังคงหลงเหลืออยู่เขาถึงกดเข้าไปอ่านทันที ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องมานั่งเครียดอีกรอบเรื่องจะเปิดหรือไม่เปิดอ่านเลยดี

   U Arun : ขอโทษ
   U Arun : ถึงจะไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไรก็เถอะ


   ตลกกับการตอบแบบเอื้อมเหลือเกิน นอกจากข้อความที่อ่านแล้วดูไม่ค่อยเหมือนการง้อมันยังมีภาพของตุ๊กตาตัวกลมที่เคยอยู่ในตู้ส่งมาด้วย การแต่งเติมให้ดูเข้ากับสิ่งที่ต้องการสื่อด้วยการส่งเครื่องหมายแทนสีหน้าเศร้าเหงาหงอยอยู่ข้างกัน

   U Arun : อ่านไม่ตอบนี่คืออะไร?

   แค่ยังนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรกลับไปบ้างก็โดนเล่นงานเสียแล้ว เก็บเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนเอาไว้ ตอนนี้ต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ดีก่อน

   Parun P : ยังเขียนเรียงความส่งคืนไปไม่เสร็จ
   U Arun : เกินเหตุ
   U Arun : ไม่โกรธเราแล้วใช่ไหม

   ดูท่าว่าจะติดใจเรื่องนี้อยู่แหง ก็บอกแล้วไงว่าไม่โอเคแค่เรื่องเดียว

   Parun P : ไม่ค่อยชอบมากกว่า
   Parun P : แต่ตอนนี้ไม่เท่าไหร่แล้ว


   เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะส่งผลถึง 'ตัวตน' เท่าที่เข้าใจเอื้อมอารัญเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านที่มีเงินในระดับหนึ่งแน่นอน ทั้งโทรศัพท์ เครื่องแต่งกาย รวมถึงรถที่ใช้ แล้วเหมือนว่าหอก็เหมาอยู่คนเดียวทั้งที่ปกติแล้วมันมักจะเป็นการแชร์กันอยู่เสียส่วนใหญ่

   จะบอกว่าเพราะได้รับแต่เงินไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัวก็บอกไม่ได้ บางคนชอบความสุขที่เสกจากเงินมากกว่าความใส่ใจจากสถาบันครอบครัว ถึงฮิวจะบอกว่าเป็นปมที่บ้านมันก็แปลได้หลายความหมายอยู่ดี

   U Arun : แล้วเรื่องแฟนเก่าเราอะ
   U Arun : โอเคไหม


   แอบทำใจเอาไว้หน่อยแล้วว่าต้องโดนถามถึงเรื่องนี้ต่อแน่ คือชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์ความรักกันบ้างแหละ อาจจะเป็นแอบรัก รักข้างเดียว หรือว่าคิดไปเองว่าใจตรงกัน ไอ้การเคยมีแฟนมาก่อนนี่บอกได้เลยว่าธรรมดามาก

   เอื้อมก็เป็นคนหน้าตาดี ถ้าบอกว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อนอันนั้นน่าตกใจกว่าอีก ผู้หญิงคนนั้นเองก็ดูเข้ากับเขาได้ดี ขนาดยืนคุยไม่นานยังสัมผัสได้ถึงความน่ารักเลย

   Parun P : เราไม่ได้คิดอะไรนะ
   Parun P : จริงๆ


   แต่ถ้าย้อนถามว่าแล้วอย่างนั้นแสดงว่าปรัญก็เคยมีความรักมาก่อนใช่ไหม อันนี้ต้องบอกเลยว่าสถิติเรื่องความรักเป็นศูนย์ ทั้งจบมาจากโรงเรียนชายล้วนแล้วยังเอาแต่สนใจความรักในหนังไม่คิดจะหาในโลกแห่งความจริง ก็เคยมีคนเข้ามาจีบแหละมั้ง เพื่อนบอกว่าอย่างนั้น

   เหมือนกับว่าเอื้อมอารัญจะพอใจแล้วเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน เขาส่งลิงก์ที่เป็นรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวห่างจากเมืองกรุงไปประมาณสองชั่วโมงมาให้ พร้อมกับเขียนบอกคร่าวๆ ว่าอยากจะไปทำอะไรบ้าง

   เปิดรูปดูแค่ผ่านตาเพราะเชื่อว่าเดี๋ยวไปเจอของจริงทีเดียวง่ายกว่า อันที่สนใจอ่านจริงคือกิจกรรมที่บอกว่าสามารถจะทำได้ข้างใน เดี๋ยวนี้แหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติหลายแห่งก็เริ่มปรับตัวด้วยการสร้างจุดขายอื่นควบคู่ไปด้วย ที่น่ากังวลคือมันจะพาปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมตามมานี่สิ

   จากลิงก์พอย้อนกลับมาแล้วจะเจอกับหน้าแรกของเฟซบุ๊ก เขากดลากหน้าต่างลงให้มันโหลดข้อมูลใหม่ล่าสุดขึ้นมาดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจไหม โพสต์แรกเป็นการแชร์ข่าวที่กำลังฮือฮากันบนโลกออนไลน์ ส่วนต่อมาคือวีดีโอสอนทำอาหารที่เหมือนว่าจะง่ายแต่ลองทำแล้วไม่เคยสำเร็จ

   และที่อยู่ถัดมาคือการอัปภาพพร้อมแคปชันสั้นๆ จากเอื้อมอารัญ

   U Arun
   ฝากตัวด้วยนะ

   รูปถ่ายแนบคือตุ๊กตาตัวเดิมแต่พื้นหลังเปลี่ยนไป มันถูกแขวนเอาไว้กับกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่เก็บเครื่องสายขนาดสี่ทับสี่เอาไว้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างขัดตาละไม่มีความเข้ากันเลยสักนิด

   กดเข้าไปตรงส่วนคอมเมนต์ตั้งใจว่าจะแซว มันมีเพียงหนึ่งข้อความที่ปรากฎขึ้นก่อนหน้า

   ตัวนี้ชื่อ RUN หรือเปล่า ; P

   ภาพตัวแทนเป็นรูปคู่ชายหญิงที่เพิ่งเจอกันเมื่อช่วงบ่าย ไม่ได้กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม มองในแง่ดีว่าเรื่องของพวกเขาคงจบสวยอยู่ถึงยังคุยเล่นหยอกล้อกันได้แม้กระทั่งบนโลกออนไลน์

   ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอารมณ์อยากคุยโต้ตอบถึงได้หายไปดื้อๆ ปรัญกดออกจากแอปแล้วเปลี่ยนไปเข้าทวิตเตอร์แทน ตัวเลขการแจ้งเตือนว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหวบ้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับคนที่กำลังศึกษาและเรียนรู้กลไกการทำงานของตลาดออนไลน์

   กว่าจะกดปุ่มกลับสู่หน้าโฮมก็กินเวลาเกือบชั่วโมง ทั้งคุยเล่นโต้ตอบกับผู้ติดตามแล้วก็ท่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอนแรกว่าจะนอนเลยแต่คิดไปคิดมาแล้วกลับไปเช็กอะไรหน่อยดีกว่า

   พิมพ์ชื่อบัญชีผู้ใช้ตรงช่องการหา มันพาเขาไปยังหน้าหลักที่มีรูปโคเวอร์เป็นภาพโน้ตดนตรีหนึ่งบรรทัดแต่ไม่มีส่วนบ่งบอกว่ามันมาจากบทเพลงใด ส่วนรูปตัวแทนเป็นเอื้อมกำลังขยับยิ้มจางจนแทบไม่เห็นรอยบุ๋ม บอกไม่ได้ว่าถ่ายจากที่ไหนเพราะเล่นเบลอหลังเสียขนาดนั้น

   เมื่อไม่มีการอัปเดตอะไรเพิ่มเติมภาพเคสไวโอลินจึงยังเป็นโพสต์ล่าสุด มีการเพิ่มเติมจากครั้งสุดท้ายที่เห็นคือเอื้อมอารัญเข้าไปตอบในรีพลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   แน่อยู่แล้ว

   ก็เลยไปกด Love ให้เสียหน่อย


***
   อากาศจะหนาวได้อีกสักกี่วันนะคะ... คิดว่าการย้ำว่าไม่ต้องระแวงน่าจะทำให้ยิ่งกลัวกันไปกว่าเดิม (ฮา) เรื่องนี้สัญญาว่าไม่หนักเท่าสองเรื่องยาวที่ผ่านมาจริงๆ ค่ะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เจ็ด
 
   ตามโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ผ่านมาในชีวิตของปรัญจะเป็นแนวการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าชัดเจน ไม่ถึงกับกำหนดช่วงเวลาแต่ต้องบอกได้ว่าจบจากที่นี่แล้วจะไปต่อที่ไหน มีแผนสำรองเอาไว้พร้อมเผื่อสำหรับเรื่องไม่คาดคิด

   "ก็ไปน้ำตกก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันต่อ"

   มันเป็นคำบอกเล่าที่ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าการอธิบายสโคปการเที่ยวได้หรือไม่ เอื้อมอารัญกับเสื้อฮาวายสีเขียวหม่น กางเกงขาสั้นพร้อมกับรองเท้าแตะเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ คือเห็นในแวบแรกก็บอกได้เลยว่ากำลังจะเดินทางไปสักที่ที่ไม่ใช่การเข้าห้องเรียน

   "อย่างนั้นก็ได้"

   "เราเข้าไปซื้อน้ำก่อนนะ ปันเอาอะไรไหม"

   แวะตรงปั๊มใหญ่สุดท้ายก่อนออกจากตัวเมือง เขาว่าจะเดินไปซื้อของทานเล่นในร้านสะดวกซื้อหน่อย ระหว่างทางจะได้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป

   ส่วนเอื้อมอารัญชี้ไปตรงป้ายชื่อร้านกาแฟที่รสชาติไม่เหมือนกันสักสาขา นี่ก็เป็นพวกเสพติดเครื่องดื่มจนขาดไม่ได้สินะ

   "ระวังไม่ได้อย่างที่หวังล่ะ" ขู่เอาไว้ก่อน เป็นที่รู้กันในวงกว้างถึงกิตติศัพท์ฝีมือการชง "เราเอาโกโก้ร้อนนะ"

   ยังคงเป็นคนบ้าในอากาศสามสิบเอ็ดองศา เอื้อมพยักหน้ารับทราบแล้วแยกย้ายกันไปตามจุดหมาย เครื่องปรับอากาศในร้านเย็นฉ่ำจนไม่อยากจะออกมาเจอความจริง เขาหยิบตะกร้าเดินไปตรงชั้นวางขนมขบเคี้ยว กวาดเอาของที่ชอบกินสามสี่อย่างลงมาใส่ ตามด้วยการหาสิ่งที่เป็นลิสต์ออเดอร์ของคนขับอย่างโอริโอ้กับเอ็มแอนด์เอ็มถุงฟ้า

   เหมือนว่าวันก่อนมีคนบ่นอยากกินช็อกโกแลตเลยหยิบแบบดาร์กออกมาสองแท่ง มีลูกอมดับกลิ่นปากอีกกล่องและเกือบได้ป๊อกกี้มาเพิ่มถ้าไม่ถูกเบรกเสียก่อน

   "นี่กินกันแค่สองชั่วโมงนะ"

   "เผื่อขากลับด้วยไง"

   มันเป็นการตอบที่ไม่ค่อยเมกเซ้นส์เท่าไหร่ แต่ว่าหยิบลงมาขนาดนี้แล้วมันอาจจะเก็บไปกินได้ถึงทริปหน้าเลยด้วยซ้ำ

   "ไม่ต้องซื้อเยอะหรอก เดี๋ยวไปที่นั่นก็มีของขาย" คงหมายถึงร้านอาหารริมน้ำตกตามรีวิว

   "งั้นเท่านี้พอ มีอะไรอยากได้เพิ่มไหม"

   เอื้อมอารัญส่ายหัวไปมา "ไม่เอาแล้ว ขับรถไม่มีเวลากินหรอก"

   "เดี๋ยวบริการให้" เสนอทางเลือกเสริม ตั้งใจแน่วว่าจะต้องลากเข้ามาร่วมหัวจมท้ายกันให้ได้ "รับรองว่าไม่ลำบาก"

   ส่งแบงก์สีม่วงไปให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ตอนรอเงินทอนเลยเพิ่งมีเวลาสังเกตว่าในมือของคนอยากเที่ยวมีแก้วพลาสติกและแก้วกระดาษถืออยู่คนละฝั่ง

   "ร้อนไหม ส่งมานี่" ถือวิสาสะคว้ามาไว้กับตัวเอง จากที่มือหนึ่งถือถุงใส่ของแล้วควรจะเหลืออีกข้างไว้สำหรับรับเงินทอนเลยลำบากให้คนเพิ่งมือว่างรับแทน

   "ไม่ร้อนนะ คิดว่าข้างหนึ่งร้อนข้างหนึ่งเย็นจะได้กลายเป็นอุ่น"

   นั่นมันวิธีคิดที่เกินขอบจำกัดของวิทยาศาสตร์เกินไปหน่อยไหม พอกลับขึ้นมาบนรถสิ่งแรกที่ต้องทำคือการตั้งค่าแผนที่ เอื้อมก้มหน้าตรวจสอบความถูกต้องของโลเคชันอีกครั้ง ตั้งมันเอาไว้บนที่ยึดโทรศัพท์ทางซ้ายของพวงมาลัยและเริ่มการเดินทางที่แท้จริง

   "ล่ะเป็นไง ชาเขียวปั่น"

   "เหอะ น้ำเปล่า"

   "บอกแล้ว"

   "ล่ะช็อกโกแลตเป็นไง เราเถียงกับคนสั่งเรื่องช็อกโกแลตกับโกโก้ด้วย แต่เขาบอกมีแค่นี้"

   หนึ่งในปัญหาโลกแตกที่ปรัญเจอยามสั่ง เขาเข้าใจแหละว่ามันก็มาจากต้นโกโก้เหมือนกัน แต่ว่ารสชาติมันไม่เหมือนนี่นา

   "ยังร้อนอยู่ ไม่ได้ลองเลย" ให้มันเข้าไปลวกปากคงไม่ใช่จุดเริ่มต้นการเดินทางที่ดีเท่าไหร่ "เหมือนว่าจะมีการแยกเอาไขมันออกระหว่างกรรมวิธีการผลิต ประมาณนั้น"

   ก็ช่วงที่รู้ว่ามีสิทธิเข้าศึกษาต่อในโครงการแล้วนั่นแหละ มันเลยมีเวลาว่างพอสำหรับการเอนจอยชีวิต ทั้งดูหนังมาราธอนแล้วก็เอ้อระเหยตามใจอยาก เคยไปสั่งแล้วเจอพนักงานตอบกวนส้นเท้ากลับมาเลยเปิดอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเอาตรงนั้นเลย

   มันจะมีขั้นตอนหนึ่งที่รีดเอาไขมันออกจากตัวโกโก้แบบเหลว คือถ้าเอาออกก็จะกลายเป็นโกโก้ ส่วนถ้าไม่เอาออกก็จะกลายเป็นช็อกโกแลต เป็นความรู้ทั่วไปที่รู้ก็ดีไม่รู้ก็ได้ และเพราะว่ามีส่วนประกอบที่ไม่เหมือนกันนี่แหละบางคนเลยบอกว่าวิธีการแยกชนิดเวลามันเป็นแท่งของแข็งคือให้ลองหักแล้วเสียงจะต่างกัน

   "เราเคยโดนบ่นเรื่องที่เอาแต่กินชาเขียวปั่นด้วยแหละ"

   "ตอนนี้มีเราเป็นคู่หูชาเขียวโกโก้แล้วไง"

   "โคตรไม่เข้ากันเลย" น้ำเสียงร่าเริงสดใสแบบที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก เอื้อมอารัญยังมองแต่ถนนตรงหน้าไม่วอกแวก ปันวางแก้วกระดาษที่มีข้อความเขียนว่าระวังเครื่องดื่มมีความร้อนเอาไว้ตรงที่เก็บข้างตัว รื้อหาของทานเล่นในถุงแทน

   "พูดถึงเรื่องโกโก้ร้อน รู้ไหมว่าเคยมีคดีแปลกๆ เช่นฟ้องร้องเรื่องที่กาแฟร้อนไป หรือว่าฝาที่ใช้ปิดมันไม่แน่นพอด้วยแหละ"
ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ปรัญก็จะเล่าเรื่องที่ต่อยอดจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับโกโก้ให้ฟัง

   "ไม่เคยรู้ มีด้วยเหรอ"

   ดูท่าแล้วจะเป็นพวกมนุษย์เมืองร้อนที่แท้จริง ถ้าลองสังเกตดูตามแก้วบรรจุเครื่องดื่มร้อนของร้านที่มีชื่อเสียงหน่อยมันจะมีข้อความที่เขียนเตือนให้ระวังเรื่องอุณหภูมิที่สูง เห็นเขาว่ามันเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันเรื่องการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ

   "อืม มีผู้หญิงแก่เคยฟ้องแมกโดนัลล์เพราะว่าไม่ยอมเตือนเรื่องที่กาแฟมันร้อนไป แบบว่าเปิดฝาจะเทน้ำตาลแล้วทำหกใส่ตัว ทีนี้มันมีดาเมจเยอะมาก พอแจ้งไปทางแมกก็รับผิดชอบแค่นิดเดียวก็เลยฟ้องศาลจนชนะ"

   "เห..."

   "ทีนี้พวกบริษัทใหญ่ๆ ก็เลยต้องพิมพ์เตือนเอาไว้ เผื่อเป็นข้อต่อสู้ว่าก็นี่ไงเตือนแล้ว ไม่ระวังเอง"

   "แปลกดี"

   "เป็นบริษัทพวกนี้ก็น่าปวดหัวอยู่หรอก มีคนเคยฟ้องเรื่องที่ใส่น้ำแข็งเยอะไปด้วยนะ"

   ฉีกถุงโอรีโอ้ออก หยิบหนึ่งชิ้นยื่นไปให้ชิดกับริมฝีปากคนขับ เอื้อมอ้าปากเตรียมงับแล้วในจังหวะแรกแต่พอหลุบตาลงมาเห็นก็รีบหดศีรษะกลับ "เอาไส้ออกให้ก่อน มันหวาน"

   นี่ก็กลัวหวานทุกประเภทเลยแฮะ

   ทำตามคำสั่งไม่มีบกพร่อง ไม่อยากให้มันต้องทิ้งเสียเปล่าเลยยัดเข้าปากตัวเองแทน เกิดความคิดแผลงๆ อย่างเช่นอยากจะลองเอาครีมไปจุ่มกับน้ำช็อกโกแลตแต่ใจก็ไม่อยากเสี่ยงเจออันตรายอย่างผู้หญิงแก่รายนั้น

   ประกอบกับนึกขึ้นได้ว่าคงปล่อยให้ความร้อนได้ระบายออกไปพอสมควรแล้ว เคลื่อนมือออกไปคว้ามันเอามาถือไว้แล้วลองชิมมันเป็นครั้งแรก รู้สึกดีที่เตรียมใจเอาไว้แล้วเลยไม่ค่อยผิดหวังกับมันมากเท่าไหร่ เอาเป็นว่าอยู่ในเกณฑ์กินได้แต่คงไม่กลับมาซื้อซ้ำ

   จากตัวเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลมากอยู่แล้วพอไปผสมกับความหวานของครีมที่ทานเข้าไปก่อนหน้ามันก็ยิ่งเอียนไปใหญ่ เสียดายที่เมื่อกี้ไม่ได้ซื้อน้ำเปล่าติดมาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ยังพอมีอะไรให้กลั้วปาก

   "ปันนี่เคยทะเลาะกับคนอื่นบ้างไหม"

   นึกตามสักครู่ก่อนตอบ "ไม่ค่อยนะ"

   ทั้งรู้สึกเสียดายเวลาแล้วก็เสียดายความรู้สึก สู้เอาไปทำอย่างอื่นน่าจะมีประโยชน์และประเทืองปัญญามากกว่า

   "ถึงว่า..."

   "ทำไม?"

   "ก็ปันไม่เคยขัดใจเราเลยอะ" เสียงกำกับเส้นทางจากโทรศัพท์เตือนว่าจะต้องเลี้ยวออกเลนนอกในอีกสองร้อยเมตร "เลยคิดว่าต้องเป็นจำพวกคนที่ยอมก่อนแน่ๆ"

   มันก็จริงอย่างที่มีข้อสังเกต หมายถึงเรื่องที่เขาไม่ค่อยทำตัวเป็นเรือขวางคลอง ยอมเดินตามเส้นทางที่มีคนกำกับเอาไว้แล้ว มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาอยู่แล้วด้วยแหละ ในสายตาของคนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยากถ้าทางไหนทำให้เรื่องมันไปสู่ปลายทางได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อก็จะเลือกทางนั้น

   "ก็แค่ไม่ได้มีความคิดเห็นเรื่องไหนที่ชัดเจนน่ะ"

   "อย่างฮิวชอบบอกว่าเราเรื่องมาก"

   เอื้อมอารัญรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อน

   "ก็ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย" บอกในมุมที่ตัวเองมอง ยังไม่ลืมหน้าที่คนแกะขนมและป้อนเข้าปาก

   "ชื่อนักบุญปันนี่ไม่ได้พูดกันเล่นสินะ"

   "รู้?"

   "เข้าเฟซไปก็เจอแล้ว เพื่อนปันชอบทักอย่างนี้อะ"

   อย่างที่บอกว่าโลกของปรัญมักจะอยู่ในทวิตเตอร์ จะเข้ามาตรวจสอบพอเป็นพิธีหรือไม่ก็มาตอบข้อความที่เพื่อนทักหน้าวอล มันก็เหมือนกับการล้อชื่อพ่อแม่ แค่เปลี่ยนมาเรียกฉายาที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาแทน

   "มันก็พูดเว่อร์" เขาว่าตัวเองก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง แค่ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้

   "แต่เราเห็นด้วยนะ ปันใจดีจริงๆ นั่นแหละ"

   "..."

   "จนบางทีก็คิดเหมือนกันว่าที่ปันดีกับเราเพราะแค่สงสาร"

   ปรัญชักจะเกลียดนิสัยของตัวเองก็ตอนนี้แหละ
 


   "เออ เราว่าจะถามอยู่ ตลาดมันเปิดวันธรรมดาใช่ไหม"

   จากป้ายบอกทางดูเหมือนว่าเราจะเข้าใกล้จุดหมายแล้ว มันเป็นเรื่องที่เขาเพิ่งสะกิดใจตอนเปิดอ่านข้อมูลในโทรศัพท์อีกครั้ง เพราะว่านอกจากกิจกรรมข้างในแล้วมันไม่มีรายละเอียดในส่วนของวันและเวลาเปิดทำการเลย

   "...ไม่รู้แฮะ"

   "เอื้อม" ไม่ได้อยากเรียกชื่อเสียงหน่าย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นการตอบที่ค่อนข้างจะกำปั้นทุบดินเกินไปหน่อย "จริงจังไหมเนี่ย"

   เพราะทุกครั้งวางใจให้เป็นคนจัดการ โดยที่ลืมไปว่ามันเป็นการแวะทานอาหารไม่ได้ออกมาท่องเที่ยวต่างจังหวัดเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ทำไมชักจะสัมผัสได้ถึงแววผิดหวังมาแต่ไกลเลย

   "แต่มันเป็นน้ำตกนะ ตลาดไม่เปิดก็น่าจะไปให้ปลากัดเท้าได้อยู่แหละ"

   กิจกรรมที่เอื้อมอารัญเล่าซ้ำมาเป็นสิบรอบได้แล้ว เขาบอกว่าเคยไปทำสปาปลามาตอนที่มันบูมใหม่ๆ แล้วผิดหวังกับการบริการมาก คราวนี้ตั้งใจว่าจะต้องได้แก้มือกับปลาที่อยู่ในธรรมชาติให้ได้

   สำหรับปรัญส่วนที่อยากจะทำคือการได้นั่งมองสายน้ำไหลไปตามเส้นการเดินทาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

   เป็นไงล่ะทริปสบายๆ ได้เจอกับธรรมชาติ เดี๋ยวรอดูเลย

   "มีเบอร์ไหม ลองโทรไปเช็กก่อนเถอะ"
   
   "แต่เห็นป้ายทางเข้าตลาดแล้วนะ" ชี้ไปตรงป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ที่อยู่ทางริมถนนทางซ้าย "ไม่ต้องหรอก วัดดวงเอา"

   ถ้าคนขับต้องการอย่างนั้นก็จะไม่ขัด คนอยากนั่งมองน้ำไหลเอื่อยหันหน้าออกไปทางด้านนอกหน้าต่างรออ่านข้อความยินดีต้อนรับที่ติดห่างกันเป็นระยะ ตอนแรกมันก็มีแต่ชื่อของตลาดแล้วก็บอกจำนวนกิโลเมตรที่ยังต้องเดินทางต่อ แต่พอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ มันก็มีข้อความที่เปลี่ยนไป

   "มันเขียนว่าเปิดแค่เสาร์อาทิตย์อะเอื้อม"

   "อือออ เห็นแล้ว" ไม่ต้องเห็นหน้ายังรู้เลยว่าต้องงอแงอยู่แน่ "ส่วนอื่นก็น่าจะเปิดแหละ"

   เจอเรื่องประทับใจแรกเข้าไปก็ไม่อยากให้ความหวังอีก เครื่องยนต์ห้าประตูยังคงเคลื่อนตัวตามเส้นทางไม่มีพัก จนกระทั่งเจอกับเรื่องจริงที่ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่

   "พูดเป็นเล่น ปิดตั้งแต่ทางเข้าเลยเนี่ยนะ"

   มองป้ายที่เขียนชื่อน้ำตกสลับกับรั้วเหล็กที่ปิดเอาไว้สนิท เรียกได้ว่าไม่เกินความคาดหมายเหมือนกับตอนชิมเครื่องดื่มร้อนของตัวเอง

   "เขาก็คงขี้เกียจดูแลทุกวันล่ะมั้ง"

   "มันเป็นแหล่งศึกษาตามธรรมชาติ!"

   เข้าสู่โหมดคุณเอื้อมแล้วสินะ...

   "จะลองแงะรั้วเข้าไปไหมล่ะ แต่ว่ายามสี่ขาตัวนั้นน่าจะไม่ปลื้ม" ผายมือไปทางสุนัขตัวโตหลังรั้วที่ตั้งการ์ดสังเกตการมาทางนี้สักพักแล้ว "หรืออย่างน้อยลงไปเหยียบให้รู้ว่าถึงแล้วก็ได้นะ"

   "ไม่เอา!"

   "งั้นก็ต้องมาสุมหัวเลือกแผนสำรอง"

   หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเตรียมหาข้อมูลท่องเที่ยวใกล้เคียง และคำว่า No Service ตรงมุมซ้ายบนมันก็เป็นตัวขัดขวางไปในตัว
สัญญาณจะไม่ครอบคลุมอะไรได้เท่านี้ เสียเงินเดือนหนึ่งก็เยอะอยู่นะ

   "มือถือเอื้อมมีสัญญาณไหม ของเราไม่มีเลย"

   "มีหลายขีดอยู่ ปันเอาไปลองหาเลย"

   เรียกว่าอารมณ์เหวี่ยงได้ที่ เขารับเอาโทรศัพท์ที่ทำการปลดล็อกหน้าจอเป็นที่เรียบร้อยแล้วมาเปิดหาเว็บเบราว์เซอร์ ภาพที่ใช้เป็นพื้นหลังตอนนี้คือรูปกล่องไวโอลินที่มีตุ๊กตาสีขาวตัวกลมห้อยเอาไว้อยู่ เอื้อมเป็นคนที่ถ่ายภาพสวยจริงๆ นั่นแหละ

   "มีทะเล สนไหม"

   "ก็ได้ ตั้งแผนที่เลย"

   จัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ มองทิวทัศน์ข้างทางพร้อมฟังเสียงบ่นไปด้วย

   "ปกติเอื้อมไปทะเลบ่อยไหม" จะไปที่ไหนก็ควรจะหาเรื่องคุยให้เข้ากับบรรยากาศ ปรัญเคยไปเกาะล้านกับชาวแก๊งก์ตอนมัธยมปลาย คิดถูกที่เชื่อคำกล่าวว่าจงนัดเพื่อนเที่ยวให้ได้ตอนมัธยม เพราะว่าเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่การเจอกันให้ครบกลุ่มเป็นเรื่องยากมาก "เราไม่ได้มาเป็นปีแล้วมั้ง"

   "เคยแบบ จอดเทียบข้างทางแล้วก็เปิดหน้าต่างให้อากาศเค็มๆ เข้ามา อันนั้นนับไหม"

   "อืม...นับก็ได้มั้ง"

   "เบื่อเลยขับไปเรื่อยๆ ไปโผล่หัวหินเฉย"

   นั่นเรียกว่าเรื่อยๆ ได้เหรอ

   "จะว่าไปแล้วอยากไปเชียงใหม่อะ"

   จากหัวหิน ตอนนี้ขึ้นเหนือสู่เชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อย จะว่าไปแล้วเขาไปเชียงใหม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ เหมือนจะเด็กอยู่พอควรมั้ง นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ตอนกลางคืนเพื่อให้ถึงเช้ามืด ส่วนไปที่ไหนบ้างลืมหมดแล้ว

   "ไปไหมล่ะ" ยื่นข้อเสนอที่เหมือนการพลั้งปากออกไป

   "ขอคิดก่อน ..ไหนป้ายบึกเตียนเนี่ย"

   มองซ้ายขวาหาทางเข้า จากสามแยกมันเขียนว่าให้เลี้ยวมาทางซ้ายประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่นี่คิดว่าเข้ากิโลเมตรที่สามแล้วนะ

   "ไม่เห็นนะ หรือว่าจะเลยแล้ว" ดูตามแผนที่มันก็ห่างจากจุดปักพอสมควร "อ้อมกลับไหม หรือไง"

   ชักจะหัวเสียกับความผิดแผนทุกจังหวะในการเดินทาง วันนี้เป็นวันดวงดาวร้ายเข้าแทรกหรือเปล่า นี่คือจะไปเหยียบทะเลยังหาหาดไม่เจอเลย

   "ไม่ล่ะ เดี๋ยวแวะหาดหน้าเลยแล้วกัน"

   เป็นการเที่ยวแบบถึงเวลาค่อยว่ากันต่ออย่างแท้จริง เอื้อมเลี้ยวเข้าถนนทางขวา จากสองข้างทางที่มีแต่พื้นที่สีเขียวก็เริ่มเห็นตึกคอนกรีตขึ้นเรียงราย ที่เห็นอยู่สุดทางเวลานี้คือพื้นน้ำทอดยาวไปไกล มีรถยนต์จอดเรียงกันประปรายตามริมถนนและลานจอดใกล้เคียง

   หาที่จอดใต้ร่มไม้ ดับเครื่องพร้อมลงไปสัมผัสกับพื้นทรายหลังจากที่ต้องนั่งหุบขาอยู่บนรถเป็นเวลานาน ลมแรกปะทะไม่ค่อยให้ความรู้สึกของชายหาด คือมันก็ดูเหนียวแต่ว่าไม่ได้ให้กลิ่นไอทะเล เจ้าของแผนการเดินทางเดินข้ามจากฝั่งพื้นยางมะตอยลงไปหาธรรมชาติ ตามมาด้วยตัวเขาเองที่ขยับเข้าไปใกล้ตาม

   สูดลมหายใจเข้าไปลึก เสียงคลื่นและสายลมอันเป็นเอกลักษณ์ทักทายการมาถึงสมกับเป็นเจ้าบ้านที่ดี แสงแดดในเวลาเกือบเที่ยงเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าคงไม่มีการเดินลงไปสัมผัสพื้นน้ำ นับถือใจกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นน้ำอยู่ไม่ไกลจากริมหาดชะมัด

   คนน้อย ขยะแทบไม่เห็น มันเงียบสงบต่างจากการเดินทางมาทะเลครั้งหลังสุด แต่ก็นะ เวลาเที่ยงในวันธรรมดาไม่ใช่ช่วงเวลาการพักผ่อนของคนทั่วไป

   "เหยียบทรายแค่นี้ก็พอแล้วเนอะ"

   "นั่นสิ"

   จากเมื่อก่อนที่เคยมองว่าการเที่ยวหนึ่งครั้งต้องเต็มไปด้วยกิจกรรมสารพัด ตอนนี้เขาแค่ยืนเฉยๆ ทอดสายตามองท้องฟ้าและแผ่นน้ำก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว

   ทำตัวเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมาเยอะแล้วเลย

   "ลองหาร้านอาหารกินกันไหมปัน มาถึงริมหาดทั้งที"

   "ไก่ย่างกับส้มตำน่ะเหรอ"

   อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมีเมนูตายตัวแค่นี้ แล้วรถเข็นที่ขายอยู่รอบตัวเขาก็มีแค่นั้นด้วยนะ

   "กินอาหารทะเลสิ เดี๋ยวดูรีวิวก่อน"

   เอื้อมและแอปรีวิวเป็นของคู่กัน นี่จะไม่แปลกใจเลยวันหนึ่งไปโผล่ในชื่อของกลุ่มคนพัฒนาแอปพลิเคชันหรือไม่ก็สร้างแพลทฟอร์มเป็นของตัวเอง

   "มีทางนั้น เลี้ยวไปสองร้อยเมตร น่าจะโอเคอยู่"

   ถ้าเป็นเรื่องของกินแล้วค่อนข้างให้ความเชื่อมั่นกับเซ้นส์ในการเลือก มีบ้างที่มันไม่ถูกปากแต่โดยภาพรวมคือดีมากกว่าเสีย ส่วนคราวนี้จะออกหัวหรือก้อยก็คงต้องเป็นเรื่องที่ติดตามกันต่อไป

   ตกลงกันว่าเดินไปหาร้านดีกว่าการขับรถ ผู้ชายวัยมหาลัยสองคนเลยต้องตากแดดเลาะไปตามริมถนนเพื่อสืบเสาะหาร้านที่มีชื่อตามบอก  ระยะทางที่แจ้งไว้ในแผนที่กับความเป็นจริงยังสอดคล้องกันอยู่เลยหาเจอได้ไม่ยาก มันก็เหมือนกับร้านอาหารริมทะเลทั่วไปที่ไม่ได้ตกแต่งให้สวยงาม มีหลังคาพอให้กันแดดกันฝนได้ โต๊ะทำจากไม้ไผ่หรือไม่ก็ม้าหินอ่อน มีลูกค้าในยามบ่ายเพียงแค่สองโต๊ะ

   เป็นพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด เท่ากับว่าทั้งร้านมีแค่พวกเขาที่เป็นลูกค้าคนไทย เสียงพนักงานบอกว่าเลือกที่นั่งได้ตามสะดวกไล่หลังมา เอื้อมลังเลระหว่างโต๊ะไม้ไผ่ตัวในกับม้าหินเกือบพ้นส่วนกันแดด เขาเลยเสนอว่านั่งข้างนอกน่าจะได้บรรยากาศริมทะเลกว่า

   แผ่นกระดาษเคลือบพลาสติกพิมพ์คำว่าเมนูตัวใหญ่วางลงตรงหน้าทันทีที่หย่อนตัวนั่ง เขาชะเง้อหน้าไปมองป้ายกระดาษแข็งที่เขียนว่าวันนี้มีเมนูพิเศษคือกั้งในราคาพิเศษ กลับมาพนันกับตัวเองว่าคุณเอื้อมจะต้องสั่งแน่นอน

   "เอาเป็นปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำทะเล แล้วก็กั้งทอดกระเทียมครับ"

   ผิดจากที่บอกไหมล่ะ

   "ที่จริงเขาบอกว่ากุ้งอบวุ้นเส้นก็โอเค..." รายการอาหารน่าจะส่งไปถึงครัวแล้วแต่เอื้อมอารัญก็ยังเปิดดูข้อคิดเห็นในมือถืออยู่ดี "ถ้าเพิ่มอีกอย่างคิดว่าจะกินหมดไหม"

   เพื่อสุขภาพของตัวเองแล้วแย้งน่าจะดีที่สุด "เท่านี้ก่อนแหละ ขนมก็ยังไม่หมด"

   "ก็ได้ ...แต่ทะเลที่นี่สะอาดเนอะ"

   พยักหน้าเห็นด้วย ที่ผ่านมาพอพูดถึงทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วหมายถึงปริมาณผู้คนมหาศาล ขยะเกลื่อนกลาด แล้วก็น้ำทะเลสีขุ่น

   "ตลกอะ มาทะเลเพื่อหาร้านกินข้าว"

   "ก็ดีกว่าเปิดหน้าต่างไปทักทายอย่างเดียวไหมล่ะ"

   ปรัญเอนหลังพิงกับเก้าอี้ ปล่อยท่านั่งตามสบายให้สมกับเป็นการมาพักผ่อน ลมทะเลพัดพาอากาศที่หาไม่ได้ในเมืองกรุงมาให้ไม่มีหยุด ปล่อยสายตาให้หลุดจากการจับจ้องบางสิ่ง ถือว่าเป็นการปล่อยให้ทั้งนัยน์ตาและสมองได้ลดการทำงานไปพร้อมกัน

   "โอ๊ะ!"

   สะดุ้งโหยงตอนมีสัมผัสแปลกปลอมบางอย่างคลอเคลียตรงช่วงขา เขารีบมองหาตัวการใต้ที่นั่งเพื่อพบกับเจ้าแมวสีขาวขนสั้นตัวหนึ่งกำลังเยื้องย่างอยู่รอบๆ ไม่ไปไหน หางของมันเข้มปลายแล้วไล่สีขึ้นมาจนถึงโคน ท่าทางจะคุ้นชินกับคนมากเลยเงยหน้าขึ้นมาหาวใส่ไปที

   "อะไรเหรอ"

   "แมวน่ะ"

   ไม่กล้าจู่โจมเข้าไปจับ ลองเชิงดูสักพักด้วยการส่งมือไปให้ เมื่อไม่มีอาการหลบหนีหรือถอยหลังเลยเปลี่ยนไปเขี่ยตรงกลางหน้าผาก ตาแมวสีขาวมุกค่อนไปทางเทาแปลกตากว่าที่เคยพบเจอ "สีตาสวยด้วยนะ"

   "ไหน"

   เอื้อมถามเสียงสดใส นัยน์ตาลุกวาวพร้อมจะข้ามโต๊ะมาอีกฝั่งจนเขาต้องรีบปรามให้อ้อมมาดีๆ

   "สวยจังเลยสาวน้อย"

   "รู้ด้วยว่าเพศอะไร?" ปันรู้แค่ว่านี่คือแมวก็พอแล้ว

   "ก็ไม่มีลูกกระแป๋ง" ยังมีการชี้ไปตรงหางอีกน่ะ "ว่าไง ชื่ออะไรน่ะเรา"

   ชอบตั้งชื่อให้ทุกอย่างรอบตัวนั่นคือเอื้อมอารัญ ไวโอลินก็มี รถที่ขับมาวันนี้ก็เหมือนกัน ชื่อหลากหลายไม่มีจุดร่วมเพราะถ้าตอนนั้นคิดอะไรออกก็ตั้ง

   "แมรี่ไหม น่ารักนะ"

   แม้ว่าจะมีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าความจริงแล้วแมวเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะสื่อแต่มันเพียงแค่ไม่สนใจเท่านั้นเองก็ตามที คนแยกเพศของแมวไม่เป็นก็คิดว่าปล่อยให้มันเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยอิสระไม่ต้องไปทำความเข้าใจมันต่อไปก็ดีแล้ว
   
   แมวเหงามาเจอคนหงอย (จากทริปที่ผิดแผนไม่มีชิ้นดี) ดูเข้ากันได้ ปันขยับตัวออกห่างมาหน่อยเพื่อให้พวกเขาสามารถทักทายกันได้สะดวก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ให้อีกคนดูว่าตัวเองทำเสียงสองใส่สิ่งมีชีวิตขนาดไหน

   จะว่าไปคุณเอื้อมเองก็มี 'นิสัยแมวๆ' เยอะอยู่เหมือนกัน

   อาหารอยู่ในเกณฑ์โอเคมาก ประทับใจต้มยำทะเลที่น้ำเข้มข้นและใส่เครื่องมาจนแทบล้นชาม ปลาก็ตัวใหญ่ไม่ทอดจนไหม้เกินไป ส่วนกั้งเป็นเมนูเด็ดของร้านที่น่าประทับใจไม่ต่างจากการการันตีของพนักงาน คิดถูกที่ไม่สั่งกุ้งอบวุ้นเส้นเพิ่ม แค่นี้ก็ยังแน่นพอสมควร

   "ไปแล้วนะแมรี่"

   ไม่วายโบกมือลาก่อนกลับ เขาสะบัดมือไล่เศษทรายที่ไม่รู้ติดมาจากตรงไหน มองหนึ่งคนหนึ่งแมวเล่นฉากจากลากันโดยมีพี่พนักงานคนเดิมอยู่ด้านหลังเป็นตัวประกอบ

   "น่ารักอะ ตาสวย"

   "แต่ไม่ยอมให้ถ่ายดีๆ เลย"

   คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย รถที่มีระบบการเตือนเรื่องมาตรการความปลอดภัยเป็นอย่างดีพร้อมที่จะแผดเสียงสั่งให้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ทันทีที่ล้อขยับออกจากจุดจอด นี่ทั้งสองคนงัดสารพัดวิธีมาล่อให้มองกล้องแล้วแต่แมรี่ของเอื้อมก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย

   "หมดปลาไปตั้งหลายชิ้น"

   "คราวหน้าเตรียมขนมแมวไว้สิ" เคยเห็นพวกเพื่อนบ้าแมวใช้เป็นตัวหลอกล่ออยู่ เขาว่ากันว่าแมวมักจะถูกล่อลวงด้วยของกินง่าย "รับรองเอื้อมจะฮอตขึ้นมาทันที"

   "ไว้จะไปหาข้อมูล"

   "แล้วนี่จะไปไหนต่อ" เป็นการวางแผนแบบงานต่องานมากๆ "จะกลับเลยเหรอ"

   "อืม...นั่นสิ นอยด์จนไม่อยากจะไปไหนแล้ว"

   ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ก็น่าจะเซ็งอยู่หรอก "งั้นกลับเนอะ"

   "ตามนั้น โอ๊ะ! เขาบอกตรงนั้นมีร้านขายของฝากแหละ"

   "..."

   "ปันนน" อ้อนเรียกชื่อแถมเขย่าขาอย่างนี้เหมือนแมวอย่างที่บอกไหมล่ะ "แวะกันเถอะ"

   ใครเพิ่งบอกว่าไม่อยากจะไปไหนแล้วไง


***
   สวัสดีวันสงกรานต์นะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
แปด
 

   ยิ่งใกล้วันแสดงมากเท่าไหร่ห้องที่ปรึกษาก็มีโอกาสได้ต้อนรับเอื้อมอารัญบ่อยเท่านั้น

   "วันนี้ร้านน้ำปิดล่ะ"

   แต่ไม่ได้มาในฐานะนักศึกษาที่ขอเข้ารับบริการเลยสักครั้ง

   "เขาก็ปิดป้ายไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วนี่"

   เห็นว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ อยากจะรู้จริงว่ากำไรที่ได้จากการขายน้ำหลังจากหักลบค่าใช้จ่ายแล้วมันมากพอสำหรับการตะลอนทัวร์เลยเหรอ ถ้าดีจริงเดี๋ยวจบไปแล้วเขาจะหาเรื่องเปิดบ้าง

   พูดไปอย่างนั้น คิดว่าที่เจ้าของร้านทำได้เพราะเปิดร้านขายน้ำตามใจนี่คืองานเสริมทำเอาสนุก วัตถุดิบกับราคาไม่ได้ไปด้วยกันเลย

   "อยากกินชาเขียวปั่น"

   "เพลาๆ ลงบ้างก็ดีนะ" ไม่อย่างนั้นเจอเอื้อมที่ไหนก็จะมีแก้วชาเขียวที่นั่น

   "ไม่ได้ เสพติดไปแล้วอะ"

   "เข้าไปคุยกับอาจารย์เลยว่ามีวิธีการลดละเลิกบ้างไหม"

   ไม่ได้พูดเล่น นี่หยิบเอาแฟ้มบันทึกรายชื่อขึ้นมาแล้วจริง เอื้อมส่ายหน้าโดยพลัน เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างเป็นธรรมชาติและแนบเนียน "ช่วงนี้ปวดข้อมือมากเลย"

   "เล่นโทรศัพท์มากไป"

   ใช้คำว่าติดโทรศัพท์ขั้นหนักก็ได้ ถ้ามือข้างหนึ่งถือแก้วชาเขียวอีกข้างก็มีไว้สำหรับจับมือถือแหละ ตอนคุยกันจะตอบเร็วเสมอจนสามารถทักไปแล้วรอคำตอบได้เลย

   "เพราะซ้อมต่างหาก" คนโดนบ่นทำหน้าเซ็ง แนบหน้าลงกับหลังมือที่วางบนโต๊ะอยู่ก่อนแล้ว "เหนื่อยอะ นึกว่าเข้ามหาลัยแล้วจะไม่ต้องเล่นหนักแท้ๆ"

   นั่นไม่เกี่ยวกับการซ้อมแต่เป็นโรครักความสมบูรณ์แบบต่างหาก ถ้าได้ฟังตอนซ้อมก็จะรู้เลยว่าเขาไม่เคยปล่อยให้ท่อนไหนผิดพลาด จะเล่นซ้ำจนกว่าจะได้อย่างที่พอใจ อย่างเมื่อคืนก็เล่นแค่ไม่กี่บรรทัดวนไปมาจนเขามั่นใจว่าตอนวันจริงจะต้องจำจังหวะได้ตั้งแต่ตัวโน้ตแรก

   "เล่นวันไหน" รู้แค่ว่าจะมีการแสดง แต่ไม่เห็นเรื่องประกาศวันเวลาสักที "ต้นเดือนหน้าหรือเปล่า"

   "กลางเดือนสามมั้ง ประมาณนั้น"

   นั่นคืออีกประมาณสามสัปดาห์ได้ ปรัญผงกหัวขึ้นลงให้รู้ว่ารับทราบเรียบร้อย

   "ปันต้องมานะ"

   เขาโดนย้ำเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้วกัน ไม่ว่าตอนไหนพอนึกขึ้นมาได้เอื้อมจะต้องหยิบมันขึ้นมาสั่งการซ้ำๆ จนอยากเปิดหน้าปฏิทินแล้วให้เขียนตัวหนาลงไปเลยว่านี่คือวันแสดงจริง

   ยกมือขึ้นสามนิ้วแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ส่งสัญญาณผ่านสายตาไปว่าให้เขยิบออกจากที่นั่งเพื่อให้คนเข้าใช้บริการได้รับความสะดวก วันนี้มีนักศึกษาเข้ามารายที่สองแล้ว สมแล้วที่กำลังเข้าใกล้ช่วงสอบกลางภาค

   จัดการทุกอย่างเช่นเดียวกับที่ได้รับการเทรนมา พอนักศึกษาเข้าไปแล้วก็ได้เวลากรอกข้อมูลเข้าระบบ ตอนที่ต้องค่อยๆ อ่านลายมือชื่อทีละตัวอักษรเพื่อป้องกันความผิดพลาดก็อดคิดเรื่องอื่นตามไปด้วยไม่ได้ จะว่าไปแล้วทำไมเอื้อมอารัญถึงหยุดการรักษาไปเสียอย่างนั้นนะ มันก็ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่นา

   จะให้ถามออกไปตามตรงมันก็ไม่ใช่เรื่อง ดันมองได้ทั้งสองแง่ว่าอาการป่วยฟื้นตัวมากแล้วหรือจะบอกว่าเขาคิดว่าการรักษาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

   มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ถ้าแตะผิดจุดอาจหมายถึงการแตกสลาย

   ยังไม่ทันกดส่งบันทึกเสียงโครมครามจากด้านหลังเรียกให้เขาต้องรีบไปตามหาสาเหตุ ป้ายหน้าห้องที่กั้นขึ้นมาปรับเป็นคำว่ากำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาตัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมดให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว

   "...ทำอะไรเนี่ย"

   เดินไปถามคนยืนกอดอกหน้าเคร่งเครียดอยู่หลังสุดของห้องครัว ตามองตรงไปยังอุปกรณ์หลายอย่างที่ดูแล้วคือการหยิบจับลงมาก่อนค่อยเลือกใช้ตรงแผ่นหินอ่อนข้างซิงก์น้ำ เสียงที่ได้ยินไม่พ้นแก้วสำหรับแขกคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกล ดีนะหยิบแบบพลาสติกมา

   "สวมวิญญาณบาริสตา แต่ได้เป็นล้มเหลวไม่เป็นท่า"

   แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังก็รู้แล้วว่าเขาก็ต้องเป็นคนจัดการต่อสินะ "จะทำอะไรล่ะ"

   "ไม่รู้อะ ของเยอะมากเลย"

   ในตู้ริมซ้ายสุดของห้องคือแหล่งสะสมขุมทรัพย์ชั้นดี มีตั้งแต่ชาเขียวหลายเชื้อชาติ ชาพม่า กาแฟแบบซอง และรวมไปถึงกระป๋องโกโก้ของเขาเอง นี่ก็เป็นโรคชอบซื้อมาเก็บให้อุ่นใจเหมือนกันทุกคน ได้ใช้หรือไม่เป็นประเด็นรอง เรื่องหลักคือมันต้องเต็มตลอดต่างหาก

   "ลองชาพม่าไหม แต่หวานนะ"

   เคยได้ลองอยู่ครั้งหนึ่ง มีงานใหญ่แล้วเตรียมเกินเลยเป็นภาระให้เขาจัดการ เป็นชาผสมนมที่หอมดี

   "มันไม่ต้องเพิ่มน้ำตาลเองใช่ไหม"

   "ไม่ต้อง เราไม่ค่อยอยากแนะนำโกโก้ เพราะตัวเองก็ยังไม่กล้าทำเลย" สมัยเป็นคนเห่อห้องก็อย่างนี้ ซื้อมาทั้งแก้วเซรามิกทั้งเครื่องดื่มส่วนตัว สุดท้ายกินแต่น้ำเปล่า "ชาเขียวแบบซองเอื้อมก็ไม่น่าจะชอบ"

   "เราเชื่อปันนะ"

   "ความเชื่อมันก็คือการเสี่ยงหัวก้อยเหมือนกันแหละ"

   ตอบรับพลางเดินไปเสียบปลั๊กกาต้มน้ำ มันมีตู้กดน้ำแบบที่สามารถสั่งได้ทั้งสองแบบอยู่ข้างกัน สงสัยใช้งานมานานจนน้ำที่ได้มีอุณหภูมิน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ก็เลยกลายเป็นเครื่องกดน้ำอุ่นไปแทน

   ควานหาแก้วส่วนกลางออกมาอีกใบตามด้วยช้อนอีกคัน เก็บของที่วางไว้ระเกะระกะตอนแรกให้กลับไปอยู่ตามตำแหน่งเดิม ก็เมนูนี้มันไม่ต้องทำอะไรนอกจากฉีกซอง เท แล้วก็ตามด้วยน้ำร้อน ถ้าสามารถทำให้มันผิดกว่าที่ควรจะเป็นได้คือต้องเก่งมาก

   "แล้วหยิบของคนอื่นทำเองได้อย่างนี้เลยเหรอ"

   "มันกลายเป็น 'ธรรมเนียมปฏิบัติ' ไปแล้วล่ะ" กึ่งกุศโลบายให้รู้จักแบ่งปัน นี่ไม่ได้เช็กเลยว่ามีใครหยิบผงโกโก้ของเขาไปใช้บ้าง ถ้าใกล้หมดแล้วจะได้ไปซื้อใหม่

   น้ำเดือดดีแล้ว เขาจัดการทำตามสเต็ปง่ายๆ อย่างที่ได้บอกไป ไม่ถึงสองนาทีต่อจากนั้นในมือเอื้อมอารัญก็ได้ครอบครองเครื่องดื่มที่อาจจะช่วยลดอาการเสพติดชาเขียวเฉพาะหน้าไปได้

   เดินกลับมาส่วนหน้าห้องพร้อมกัน วิธีการประคองเครื่องดื่มด้วยสองมือน่าเอ็นดู อะไรจะกลัวทำหกได้ขนาดนั้น

   "หวานจริงด้วย"

   จิบคำแรกก็บ่นเสียแล้ว ปรัญกลับไปตั้งใจกรอกข้อมูลให้ครบทั้งหมดก่อนถึงกลับมาคุยด้วยต่อ

   "แต่รสชาติโอเคใช่ไหม"

   "กลิ่นหอมดี"

   ไม่ค่อยตรงกับประเด็นที่ถาม ช่างมันเถอะ "วันนี้ซ้อมเร็วขึ้นใช่ไหม อย่าลืมล่ะ"

   ใกล้ช่วงสอบแล้วมันก็ต้องมีการผ่อนปรนกันบ้าง หมายถึงเลิกเร็วขึ้นแต่ว่าก็ต้องเริ่มก่อนเพื่อทบให้ชั่วโมงการฝึกยังเท่าเดิม วันนี้ไม่ได้ไปรอด้วย ภาพยนตร์โรแมนติกคอมมาดีรอให้เขาไปทำความรู้จักอยู่

   กลายเป็นสมาชิกของห้องออร์เคสตราไปโดยปริยาย วันไหนที่มีซ้อมและเขาไม่ต้องเดินทางออกนอกมหาวิทยาลัยมันก็จะเป็นการนั่งรอทานมื้อดึกด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรให้ปวดหัวกับการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เคยบอกแล้วไงว่าเขาไม่ค่อยมีเพื่อนทานข้าวเย็นอยู่แล้ว

   แล้วก็อยากจะเป็นเงื่อนไขให้เอื้อมไม่ขาดซ้อม ถ้าไปตามคุมยังไงก็ไม่มีทางโดดได้ และยังเป็นจุดเซฟที่ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกด้วย

   เอื้อมอารัญเก่ง ถ้าเป็นเขาการที่ต้องเข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมอะไรบางอย่างโดยไม่มีใครให้ความสำคัญแล้วมันต้องเป็นสังคมที่น่ากระอักกระอ่วน แต่กับครายวูลฟ์แล้วนั้นเขาสามารถมาถึงเพื่อซ้อมอย่างเดียว เมื่อหมดเวลาก็เดินออกมาไม่เคยมีการไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้ต่อ

   "ไม่อยากซ้อมเลย...ไม่มีชาเขียวเสริมแรงด้วย"

   "ก็ได้กินชาพม่าแล้วไง"

   "วันนี้ไม่ไปดูหนังได้ไหม"

   เวลาเด็กทารกรู้ว่าการร้องไห้จะทำให้มีคนปลอบก็จะร้องเพื่อเรียกความสนใจ นักไวโอลินคนนี้ก็ไม่ต่างกันเลย

   "ไม่ได้ มีบัตรแล้ว" การไม่ไปคือการเสียมารยาทขั้นสุด "ก็ซ้อมเหมือนทุกวันไง"

   "แต่วันนี้ปวดข้อมือ" มีการยกแขนขึ้นมาแกว่งประกอบด้วย

   ตกอยู่ในสภาวะที่ตอบแบบไหนก็เหมือนจะมีแต่ข้อเสีย ไม่สามารถสิงร่างเพื่อวัดระดับอาการได้ด้วยสิ

   "บอกฮิวว่าลาซ้อมดีไหม"

   ถ้าใจไม่มีแล้วจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องยาก ปันเชื่อว่าอาการบาดเจ็บที่บอกเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วเมื่อเทียบกับนิสัยช่างซ้อมจะกว่ามันจะออกมาดีที่สุด สิ่งที่ยากคือสำหรับคนอื่นจะเชื่อหรือเปล่านี่สิ เอื้อมอารัญยิ่งเป็นนักโกหกในสายตาของทุกคนอยู่ด้วย

   "ก็จะได้โดนโทรไปเช็กอาการกับแม่อีกน่ะสิ" เบะปากมองบน เรื่องนี้เอื้อมก็รู้เหรอ "บอกไปก็โดนคิดว่าโกหกทั้งหมด แล้วก็ชอบไปพูดแบบผิดๆ ให้แม่ฟัง"

   เข้าใจทั้งสองฝ่าย หนึ่งไม่เชื่อและอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการให้เชื่อ

   "งั้นเอามือมา"

   แบมือยื่นออกไปเกือบสุดแขน คนบ่นปวดแขนทำหน้างงใส่แต่ก็ยอมวางทับมาโดยดี

   บรรจงกดไล่ไปตามฝ่ามือ จับได้ถึงก้อนผังผืดช่วงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ มั่นใจได้ว่ามันเป็นจุดที่มีอาการบาดเจ็บยามกดแรงลงไปมากกว่าปกติแล้วอีกฝ่ายถึงร้องลั่น เดี๋ยวนี้คนเป็นเยอะเพราะว่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน นี่คิดว่ายังดีไม่ถึงขั้นนิ้วล็อก

   "ต้องเล่นมือถือน้อยลงนะ เริ่มเป็นก้อนแล้ว"

   "เจ็บ อย่าลงแรงเยอะสิ"

   "ไม่เจ็บแล้วจะหายได้ยังไง" ปากบ่น ส่วนมือก็ยอมผ่อนแรงลง ก็ไม่อยากจะเห็นคนทำหน้าเบี้ยวนี่นา "ตรงข้อมือด้วยใช่ไหม"

   ใช้การคลำเอาตามที่คิดว่าน่าจะถูกหลัก เคยไปร้านนวดกับคุณแม่หลายรอบจนพอจำคร่าวๆ ได้ จากฝ่ามือไล่ลงไปตรงข้อมือเจ้าปัญหา มันเป็นส่วนกระดูกที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มาก อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ที่จริงแล้วควรจะดึงข้อนิ้วด้วย อย่างว่าล่ะนะเขาเป็นฝีมือสมัครเล่น

   เดี๋ยวเอื้อมจะได้ลาซ้อมเพราะนวดผิดวิธีเอา

   เปลี่ยนไปจัดการอีกข้าง ปลายนิ้วด้านสมกับผ่านการกดสายเหล็กมาไม่รู้กี่รอบ ช่วงมือของเอื้อมยาวเรียวสวยไม่คดข้อ น่าจะเหมาะกับการจับคันชักและประคองเครื่อง จะว่าไปแล้วยังไม่เคยเห็นเอื้อมอารัญและไวโอลินของเขาเลยแฮะ

   ตั้งสมาธิกับการนวดเพลินจนเกือบลืมเวลาซ้อม ใจจริงอยากจะเดินไปนวดตรงไหล่ให้อีกหน่อย

   "ไว้ไปนวดแผนไทยกันไหม หรือว่าไปตรงคณะกายภาพก็ได้"

   พนันเลยว่าคนเสพติดชาเขียวปั่นไม่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายแน่ อย่างน้อยถ้าได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน่อยมันก็คงจะเป็นเรื่องดี

   "นวดแค่นี้ยังเจ็บเลย ไปร้านต้องกระดูกหักแน่"

   "แต่มันจะสบายตัวขึ้นนะ"

   "เราไปซ้อมแล้วดีกว่า" สงสัยว่าทำให้กลัวการนวดไปแล้วแหง ถึงตัดบทฉับ "ขอบคุณสำหรับบริการเสริมครับ"

   ปรัญขยับยิ้มอ่อนโยน "ด้วยความยินดีครับ"

   "เดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วจะส่งไปบอกว่ายังปวดมากอยู่ไหม"

   มือข้างหนึ่งถือแฟ้มหนัง อีกข้างสะพายเคสสี่เหลี่ยมผืนผ้าเอาไว้ ตุ๊กตาเป็ดตัวกลมสีขาวขยับไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว เอื้อมไม่กล้าเอาเครื่องดนตรีไว้บนรถเพราะกลัวเรื่องความร้อน

   จะว่าไปแล้วนึกขึ้นได้ว่าจะเตือนเรื่องนี้ "แล้วตอนเดินก็ระวังตุ๊กตาหล่นอีกล่ะ"

   มีอย่างที่ไหนโทรมาเสียงเครียดบอกว่าหาตุ๊กตาที่แขวนเอาไว้กับไวโอลินไม่เจอ คุยเรียกสติตั้งนาน ให้ลองนึกว่าไปตะลอนที่ไหนมาบ้างในหนึ่งวัน ให้ทายว่าเจอที่ไหน...ใต้เบาะรถยนต์

   พอเจอแล้วก็กลับมาร่าเริงอย่างกับว่าคนสติแตกเมื่อสักครู่ไม่มีอยู่จริง ปรัญล่ะกลุ้มใจ
 


   ไฟในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กลับมาสว่างอีกครั้ง และเหล่าผู้ชมในรอบการแสดงเดียวกันทยอยลุกออกจากที่ไปจนเกือบหมด ปรัญนั่งมองหน้าจอที่ปรากฎชื่อรูปแบบการฉายภาพอยู่อีกสักพักจึงลุกออก ปล่อยให้พนักงานเคลียร์งานเก็บกวาดไปเช่นเดียวกับที่ผ่านมา

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาว่าดึกแค่ไหน ตั้งใจจะเข้าไปตรวจสอบข้อความว่ามีคนส่งมาบ่นเรื่องปวดข้อมือหรือไม่ แต่ทั้งหมดก็ถูกพับเก็บลงไปก่อนเมื่อเห็นการแจ้งเตือนจำนวนสายไม่ได้รับและข้อความแบบเอสเอ็มเอสจากฮิว

   โทรกลับด้วย

   การประกอบเข้ากันของปัจจัยหลายอย่างบอกให้เขาทำตามโดยไม่ลังเล ปันกดหาเบอร์ของเพื่อนในขณะที่ยังก้าวบนพื้นพรมออกไปยังส่วนของทางออก

   มันมีเสียงรายงานสัญญาณต่อติดเพียงแค่หนึ่งครั้งก็ได้ยินเสียงของเพื่อน

   (คุณเอื้อมอยู่ด้วยไหม?)

   แค่ต้นประโยคก็เริ่มน่ากังวลแล้วสิ "ไม่ นี่กูมาดูหนัง"

   (แล้วมันได้ส่งอะไรไปหาหรือเปล่า)

   "ยังไม่ได้เช็ก แป๊บ..." ที่จริงสิ่งที่ต้องการมากสุดคือความเป็นมาของเรื่อง นี่มีปัญหาอะไรกับเอื้อมอีกหรือเปล่า "มีแค่บอกว่าจะซ้อมแล้ว"

   ซึ่งเป็นข้อความปกติที่เจอทุกวันถ้ามีการซ้อม เหมือนการรายงานความประพฤติในหนึ่งวัน

   (เหรอ)

   "เกิดอะไรขึ้น"

   มันต้องมีอยู่แล้วล่ะ น้ำเสียงของฮิวก็ไม่ได้สบายดีเท่าไหร่ ติดเคร่งเครียดด้วยซ้ำไป (จะเรียกว่าทะเลาะหรือว่าเข้าใจผิดดีก็ไม่รู้)

   เพื่อนกันมานานบางคู่ยิ่งเข้าใจกัน ส่วนสองคนนี้ต้องบอกเลยว่าหาเรื่องกันได้ตลอด

   "เล่ามา"

   ไม่ใช่การลองหยั่งเชิงถาม แต่เป็นการบอกว่าปรัญต้องรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเอื้อมอารัญ เขาเลี้ยวขวาเตรียมออกจากส่วนของโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะต่อไปยังส่วนรับรองกลางข้างห้องขายตั๋ว จากตรงนั้นการออกไปข้างนอกตึกต้องใช้ลิฟต์ที่อยู่บล็อกถัดออกไป

   (ก็ทะเลาะ...)

   "ฮิว เดี๋ยวกูโทรกลับ"

   ตัดบทลงตรงนั้นยามเห็นว่ามีใครนั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่โดดเดี่ยวบนเบาะตัวยาว รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้แล้ว

   เอื้อมอารัญเงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ โครงหน้าที่สะท้อนจากแสงไฟสลัวดูสับสนกับทุกอย่างรอบกาย ปันมีหลายคำถามไล่ตั้งแต่ว่าทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ไปถึงเรื่องที่มีปัญหากับเพื่อนอีกคน ทุกอย่างที่ต้องการคำอธิบายถูกเก็บเอาไว้ในใจสวนทางกับฝ่ามือที่ยื่นออกไปให้จับ

   "กลับม.กันเนอะ"
 


   "อยากแวะซื้ออะไรไหม"

   ในวันที่เจ้าของรถดูไม่พร้อมแม้แต่การประคองตนเอง ปรัญเสนอตัวเป็นคนขับโดยไม่ลืมที่จะเล่นมุกเรื่องที่จะไม่รับประกันความปลอดภัยของรถยุโรปห้าประตูคันนี้ มันไม่ค่อยได้ผลกลับมาเป็นที่น่าพึงพอใจเมื่อเอื้อมเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดกับเขาสักที

   เข้าใจว่าจะต้องรับฟังเรื่องบ่นยาวยืดเสียอีก

   "ไม่"

   "อยากฟังเรื่องที่เราเพิ่งดูมาหรือเปล่า"

   อีกเรื่องที่เพิ่งนึกได้ กว่าจะกลับไปเคลียร์ทุกอย่างเสร็จคืนนี้ไม่มีรีวิวแหง ขอให้ความทรงจำของเขายังอยู่ดีถึงเวลานั้นด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจต้องลงทุนกลับเข้ามาดูเองอีกรอบ

   "ไม่"

   เจอมาสองไม่แล้ว ยังไม่อยากได้ไม่ที่สามเพราะมันหมายถึงการตกรอบ

   "งั้นถ้าเอื้อมอยากเล่าเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกเรานะ"

   ฟันธงแล้วว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล เมื่อกี้ถ้าได้คุยกับฮิวนานกว่านั้นหน่อยก็อาจจะพอเข้าใจเรื่องได้ ทำยังไงได้ล่ะ ปรัญแค่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ไม่สามารถแบ่งความคิดไปให้ความสนใจกับส่วนอื่นได้แล้ว

   เขากลัว...กลัวว่าต้องเห็นสายตาแบบนั้นอีกครั้ง

   ถึงโล่งอกตอนที่เห็นว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่กลัวไปเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไว้วางใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ต่อให้พวกเขาทะเลาะหรือว่าเข้าใจไม่ตรงกันแค่ไหนมันก็ไม่เคยถึงขั้นว่ามาหาเขาถึงที่ นี่ถ้าไม่เคยเล่าให้ฟังว่าปกติมาดูสาขาไหนแล้วเอื้อมจะทำอย่างไร จะต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ

   แค่ลองนึกยังใจวูบโหวง

   มันเป็นความเงียบที่ไม่ได้แย่จนรู้สึกทนอยู่ไม่ได้ การแบ่งประสาทสัมผัสสายตาให้บาลานซ์กันระหว่างถนนกับคนข้างกายเป็นเรื่องยากพอสมควร ขอบคุณปริมาณรถอันน้อยนิดบนท้องถนนยามกลางคืนสำหรับความร่วมมือ

   เขาไม่หันมานั่งหน้าตรงเลยด้วยซ้ำ เอื้อมพิงหน้ากับขอบกั้นมองออกไปด้านนอกตลอดเวลาจนถึงหน้าหอพักและยอมกลับมาคุยกับด้วยตอนเท้าเหยียบพื้น

   "แวะเซเว่นก่อน"

   ร้านสะดวกซื้อขนาดสามห้องตั้งเด่นอยู่ริมทางเข้า ปันกลายร่างเป็นลูกเป็ดที่เดิมตามแม่ต้อยๆ ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา สิ่งที่อยู่ในตะกร้าสีส้มตอนนี้มีเครื่องดื่มรสนมเปรี้ยว สาหร่ายแบบซอง น้ำแข็งถุง แล้วก็ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น

   "…"

   อย่างสุดท้ายมันไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่เลย

   มาในอารมณ์ไหนไม่รู้ขนาดถุงใส่ยังไม่รับ ช่วยเอาของที่น่าจะหนักที่สุดอย่างน้ำแข็งแล้วก็นมเปรี้ยวมาถือเอาไว้เอง ที่เหลือให้เจ้าของเงินจัดการไป

   ใช้คีย์การ์ดเป็นกุญแจผ่านเข้าไป กดปุ่มเลขชั้นสูงสุดที่มีในลิฟต์ จากที่เห็นสะท้อนผ่านกระจกยังเป็นการก้มหน้ามองของในมือไม่ยอมสบตาสักครั้ง ความผิดปกติทั้งหมดชักจะทำให้ระดับอารมณ์คงที่ของเขาขยับขึ้นสูง เรื่องเดิมยังไม่เคลียร์นี่ยังมีเรื่องชุดทำแผลเข้ามาอีก

   ห้องพักของเอื้อมอารัญใหญ่กว่าที่เขาอาศัยอยู่พอสมควร เจ้าของห้องหายเข้าไปทางฉากกั้นระหว่างส่วนนั่งเล่นกับที่น่าจะเป็นห้องครัว ปล่อยให้เขาได้ยืนสำรวจภาพรวมของห้องอีกครู่ใหญ่ มันก็เหมือนกับสถานที่พักของนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป หนังสือกองไว้เป็นหย่อมทั่วห้อง โต๊ะทำงานกับของที่ดูแล้วไม่เกี่ยวกับการเรียน แล้วก็มีที่วางโน้ตเหล็กพิงเอาไว้ตรงริมกำแพงติดกับหน้าต่าง

   เอื้อมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกะละมังขนาดปานกลางที่มีน้ำเกือบครึ่ง เข้าใจแล้วว่าเอาน้ำแข็งมาทำอะไร เฮชทูโอในสถานะของแข็งถูกเทลงไปทั้งหมดจนปริ่มเกือบล้น ตามมาด้วยการกดฝ่ามือข้างซ้ายลงไปให้จมลึก

   "...มือเป็นอะไร"

   สารภาพเลยว่าไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติ เท่าที่จำได้ตอนที่ยื่นมือมาให้จับก็ใช้มือขวา บนรถหรือว่าตอนอยู่ในร้านก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

   "…"

   คำตอบของคำถามมีเพียงความเงียบ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่เราแยกกัน เอื้อมจะไปซ้อมไวโอลิน...

   ที่ต้องใช้มือซ้ายในการกดสายดนตรี

   มือตรงไปคว้าข้อแขนขึ้นมาเร็วกว่าความคิด ปรากฎรอยแผลถลอกขนาดใหญ่แห้งกรังกลางฝ่ามือ เอื้อมอารัญที่พยายามกระตุกมือกลับไปยิ่งสร้างความไม่พอใจให้มากขึ้นไปอีก

   "อย่างแรกที่ต้องรู้นะเอื้อม ทำอย่างนี้มันไม่ช่วยให้แผลหายไวขึ้น"

   มีใครเขาเอาน้ำเย็นจัดมาล้างแผลที่แห้งขนาดนี้แล้วกัน มีแต่รีบไปล้างเอาสิ่งสกปรกออกแล้วจัดการใส่ยาฆ่าเชื้อปิดแผลให้เรียบร้อย ปกติแล้วการประคบเย็นมันใช้กับอาการปวดหรืออักเสบของกล้ามเนื้อ

   ไม่มีผ้าใช้ซับหยดน้ำที่ยังเกาะหลายจุด ก็เลยดึงปลายเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดให้จนมันแห้งดี ความเย็นที่ยังคงฝังตัวอยู่ข้างในผิวไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคต่อการล้างแผลหรอก ปรัญแค่อยากทำให้มั่นใจก่อนว่าตัวแผลมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่กังวลคราวแรก

   สำรวจภาพรวมทั้งหมดของบาดแผล น่าหงุดหงิดเมื่อคิดว่าเขาเพิ่งสัมผัสมันเมื่อไม่ถึงครึ่งวันที่แล้วในสภาพสมบูรณ์ดี

   "เดี๋ยวแห้งแล้วทายาให้ ปวดไหมจะได้ลงไปซื้อพาราเพิ่ม"

   "…"

   "แล้วนี่ไวโอลินอยู่ไหน ไม่ชอบให้มันอยู่ในรถไม่ใช่เหรอ"

   เหมือนว่าจะเจอคำใบ้แรก เอื้อมหน้าเสียลงไปมากกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเครื่องดนตรี ในหัวลิสต์ออกมาเป็นช้อยส์แยกความน่าจะเป็นเต็มไปหมด อาจเป็นเรื่องที่บอกว่าปวดมือแล้วจะขอไม่ซ้อมเลยโดนฮิวบ่น หรือว่าระหว่างซ้อมไปมีปัญหากับใครเพิ่มเติม

   ทุกทางมีความเป็นไปได้ทั้งหมด คงมีแต่คนฝั่งตรงข้ามเท่านั้นที่จะให้เฉลยได้

   "เราลงไปเอาให้นะ จะได้ซื้อพาราด้วย"

   ใจจริงยังไม่อยากปล่อยเอาไว้คนเดียวหรอก ขืนอยู่กับความเงียบแล้วมีความคิดแผลงๆ ขึ้นมานี่ห้ามไม่ทันเลยนะ ยาระงับอาการปวดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเจ็บ โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการล้างแผลที่ถูกวิธีควรเป็นอย่างไร

   ลุกขึ้นเตรียมไปหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถในจังหวะที่จับได้ถึงแรงรั้งบางอย่างตรงปลายเสื้อที่ยังมีรอยชื้นอยู่ เอื้อมอารัญรั้งเขาเอาไว้ด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่อาจรู้ได้

   "ไม่กินยาก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องลงไปเอาของนะ" เริ่มการต่อรองครั้งที่หนึ่ง

   "…"

   "นับหนึ่งถึงห้าร้อย รับรองกลับมาทันแน่"

   เป็นการต่อรองครั้งที่สองที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าตอนนี้ค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่องแล้วกัน

   ระหว่างยังคิดไม่ออกว่าจะเสนอรอบที่สามเป็นเรื่องอะไรดี มือที่เพียงรั้งเอาไว้ตอนแรกกลับกลายเป็นขยุ้มมันจนแน่น รับรู้แล้วว่าก่อนจะเปิดข้อต่อรองอีกครั้งเขาจะต้องรับมือกับอย่างอื่นให้ได้ก่อน

   "ไหนใครบอกว่าจะไม่โกหกเรา"

   มันเป็นไพ่ตายที่ไม่ควรนำออกมาใช้หากไม่ใช่สถานการณ์คับขัน ซึ่งมันใช่สำหรับเขาตอนนี้

   "งั้นก็ต้องเล่าให้เราฟังนะว่าเกิดอะไรขึ้น"


***
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เกิดอะไรขึ้น??อ่านงานของคุณเจ้าต้องตั้งใจอ่านมากๆเลยค่ะกลัวว่าถ้าพลาดช่วงไหนไปแล้วช่วงนั้นมันอาจมีอะไรซ่อนอยู่รอติดตามอ่านนะคะเป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านถึงตอนที่ 4แล้ว ยอมรับตรงๆเลยว่ากลัวมากค่ะ จริงๆเราว่าเรื่องนี้ดูปูมาแบบที่ทำให้เรากลัวมากกว่าเรื่องน้องแฟร์อีก T_T
กลัวใจคุณเอื้อมมาก เดาทางไม่ถูกเลย แล้วไหนจะชื่อเรื่องที่บอกว่าไม่มีความจริงอีก กลัวว่าเอื้อมจะหลอกปันมาทั้งหมดเนี่ยสิ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าสงสารคุณเอื้อมอยู่เหมือนกันนะ แต่เราคิดว่ายังไงสิ่งที่เพื่อนทำกับเอื้อมก็ไม่ได้ขนาดที่ทนไม่ได้เพราะเราก็เห็นว่าคุณเอื้อมก็ยังพอมีเพื่อนอยู่นี่นา (คือตอนแรกคิดว่าจะนิสัยแย่+พูดถึงกันแย่จนเพื่อนขยาด ไม่คบเลยอะไรประมาณนั้นอะค่ะ)

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านจนถึงตอนแปดแล้วค่ะ ตอนคุณเอื้อมเล่นกับน้องแมวต้องน่ารักมากกกกกกแน่ๆเลย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าคุณเอื้อมโกหกงู้นงี้ แล้วตอนนี้เราเชื่อได้ใช่มั้ยว่าจะไม่โกหกปัน อย่างน้อยแค่ไม่โกหกปันเราก็โอเคแหละ เพราะเชื่ออยู่ลึกๆว่าคุณเื้อมมีเหตุผลที่ต้องโกหก อยากรู้จังว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ;-;

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เป็น​ไป​ได้​ไห​มว่า เอื้อมไม่ได้​ไป​รักษา​ แต่ต้องการไปพบปัน แล้​วอดีต​ของเอื้อมคืออะไร ฮิว้ใช่ไหม​แต่​ไม่​พูด​ อ่านไปเครียด​ไป

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
เก้า
 

   "เอื้อมหลับไปแล้ว"

   (เออ ดีแล้ว นี่ทางนี้ก็วุ่นวายฉิบหาย)

   "กล่องไวโอลินอยู่แน่นอนใช่ไหม"

   (อยู่ เก็บไว้ให้แล้วไม่ห่วง)

   ฟังคำบ่นยาวเหยียดต่อจากนั้นไม่เข้าไปขัด เอาให้ปลายสายได้ระบายความเครียดเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้าง นี่บางทีก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองมีคาแรกเตอร์ของเพื่อนที่น่าเชื่อถือหรืออย่างไรถึงชอบมีคนเข้ามาบอกให้ช่วยรับฟังหน่อย อาจจะเป็นเพราะมั่นใจได้ว่าเรื่องที่คุยกันสองคนจะไม่มีคนที่สามเข้ามารับรู้

   โล่งอกอยู่ไม่น้อยหลังจากได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากทั้งสองฝ่าย แม้จะตามมาด้วยความไม่เข้าใจนิดหน่อยก็ตามที

   กว่าจะทำให้เอื้อมอารัญสงบได้ก็ปาไปหลายชั่วโมง การเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อแล้วข้อมูลที่บอกเล่าในแต่ละรอบก็ไม่ค่อยเหมือนกัน ต้องใจเย็นค่อยๆ เรียบเรียงจนได้รู้ว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดคืออะไร

   ตุ๊กตาตัวกลมชื่อรัญนั่นเอง

   เตือนไปแล้วว่าตัวล็อกมันไม่ค่อยดี ให้ระวังหล่น ยังไม่ทันขาดคำพอถึงห้องซ้อมเอื้อมก็พบว่าเจ้าก้อนสีขาวมันไม่อยู่เสียแล้ว แล้วคราวนี้ดันอารมณ์ศิลปินจอดรถเอาไว้แถวห้องที่ปรึกษาแล้วเดินไปยังตึกกิจกรรมแทน พอเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่เลยเดินย้อนกลับไปหา

   นึกทางตรงนั้นออกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเดินหาของชิ้นไม่ใหญ่ ทั้งเป็นทางเดินยอดฮิตจากตึกเรียนกลับเข้าไปยังส่วนของหอพักด้านใน แล้วยังไม่รวมแหล่งชุมนุมของนักศึกษานี่อีก

   เอื้อมบอกว่าเดินหาสองสามรอบแล้วก็ยังไม่เจอ พอปลงตกจะกลับไปซ้อมก็เจอรถมอเตอร์ไซต์พุ่งเข้ามาจนหลบแทบไม่ทัน ก็เลยได้แผลที่มือมาเป็นของฝาก

   เมื่อไหร่คนเราจะเข้าใจว่าทางจักรยานไม่ควรมีเครื่องยนต์ชนิดอื่นวิ่งผ่าน

   กลับมาทุกคนก็เริ่มซ้อมไปแล้ว มือก็ยังเจ็บเลยว่าจะไปทำแผลแล้วกลับห้องไปนอนพัก บังเอิญเจอกับฮิวที่ออกมาพักพอดีก็เลยเป็นเรื่อง หลังจากตรงนี้เขาจะขอเปลี่ยนไปเล่าในมุมของฮิวบ้างแล้วกันนะ พอดีข้อมูลที่ได้มันไม่ตรงกันเท่าไหร่แล้ว

   ฮิวบอกว่าตอนที่เอื้อมไม่ได้บอกว่าจะออกไปหาของ แค่หันมาพูดทำนองจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวกลับมา เขาก็ไม่อยากให้ไปเพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลาซ้อมแล้ว แน่นอนว่าเอื้อมไม่ฟัง สำทับว่าจะรีบกลับมาให้ทันแต่กว่าจะกลับมาจริงก็ปาไปครึ่งชั่วโมง

   พอเจออีกทีก็บอกแค่ว่าจะไม่ซ้อมแล้ว ขอกลับเลย พอได้ยินอย่างนั้นจะให้คุมอารมณ์อยู่คงไม่ไหว เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมเลยน็อตหลุดต่อว่าไปชุดใหญ่ จบลงด้วยการเดินปึงปังออกไปจากห้องซ้อมของเอื้อมอารัญ

   ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นการเล่าจากทั้งสองฝ่าย ถ้าข้อมูลตรงไหนไม่เหมือนกันปรัญก็คงไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำตัวเป็นผู้ชมในเหตุการณ์

   หนึ่งความจริงกลายเป็นหลายเรื่องเล่าได้เสมอ

   (แล้วมือคุณเอื้อมเจ็บมากไหม) ฮิวไม่รู้เรื่องนี้ เขาถึงกับเงียบไปตอนเล่าให้ฟัง (กูไม่อยากจะไปตามหาคนใหม่นะ)

   "ห่วงเพื่อนหรือว่ากลัวคนขาด"

   น่าหงุดหงิดใจแทน ในเวลานี้เขายังสนใจเรื่องการแสดงได้มากกว่าสภาพจิตใจของเพื่อนเลย

   (ทั้งคู่ แต่เอาจริงแล้วห่วงเรื่องคนขาดมากกว่า)

   "ไม่สนใจเพื่อนหน่อยเหรอวะ"

   (คุณเอื้อมเคยบอกว่าจะตายมาตั้งแต่ม.สี่ทุกวันนี้ยังไม่เห็นจะมีวี่แวว)

   "..."

   ปรัญเม้มปากเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นแล้วคงได้เผลอหลุดคำหยาบคายออกไปแน่ สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาทักทายคือความโกรธจากวิธีและน้ำเสียงการเล่าที่ดูปล่อยสบายไม่คิดมาก ต่างจากเนื้อหาซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงผสมกับความน่ากังวลใจ

   (ถ้าเอื้อมพูดอะไรทำนองนี้ก็อย่าไปเชื่อมาก เพื่อนเสียหมามาหลายครั้งแล้ว)

   "มึง..."

   (เอาจริงนี่กูกำลังกลืนน้ำลายตัวเอง ที่บอกว่าจะไม่เตือนมึงแล้ว)

   มีหลายอย่างที่อยากจะเอ่ยออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงเลือกการเงียบแล้วกลายเป็นเพียงฝ่ายฟังโดยไม่ออกความคิดเห็น

   (ระวังนะ ถ้ามึงอยากปล่อยเมื่อไหร่คุณเอื้อมจะไม่ยอมให้ทำ)

   ไม่มีการต่อสัญญาณจากปลายสายแล้ว แต่ปรัญก็ยังมองหน้าจอที่มีวอลเปเปอร์เป็นรูปโควทข้อความจากหนังเรื่องโปรดต่ออีกหลายนาที สิ่งที่กำลังวิ่งตีกันอยู่ข้างในความคิดมีหลายอย่าง เขาค่อยๆ จัดเรื่องสิ่งที่ต้องจำเพิ่ม ตามด้วยหัวข้อที่ยังอยู่ในลิ้นชักรอการพิสูจน์

   เปิดประตูห้องให้เบามือที่สุด ทั้งห้องมีเพียงแสงไฟขนาดอ่อนจากโคมไฟตั้งพื้นให้แสงสว่าง ตามทางไม่มีสิ่งของวางรกให้การเดินลำบาก เขาขยับนั่งยองริมเตียงฝั่งที่มีเอื้อมอารัญนอนหลับสนิทไร้พิษสง จัดผ้าห่มสีฟ้าเข้าชุดกับผ้าคลุมเตียงให้ปิดถึงช่วงอก

   มือข้างซ้ายที่กอดหมอนข้างคว่ำเอาไว้ไม่เห็นอาการของบาดแผล จากนักศึกษาช่วยงานห้องที่ปรึกษาก็ได้เป็นผู้ช่วยพยาบาล ปันจัดการทายาและปิดแผลไว้แล้วเรียบร้อย

   แล้วเอื้อมยังมี 'แผลที่มองไม่เห็น' อยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่านะ

   นาฬิกาดิจิทัลสี่เหลี่ยมบอกเวลาตีสามเข้าไปแล้ว มันถึงเวลาที่ควรจะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน เขาไม่ได้นอนค้างในห้องนี้ด้วยหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าแล้วก็สิ่งที่เจ้าของห้องยืนกราน

   'เพราะถ้าเราขอ ปันก็จะทำให้เราไง'

   ในช่วงเวลาที่ปรัญพบว่าตนไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เท่าไหร่ เอื้อมอารัญเข้าใจตัวตนของเขาดีทีเดียว

   มันถูกเผงตามบอก ขอแค่เอื้อมเอ่ยออกมาคำเดียวว่าอยากให้อยู่ด้วยเขาก็พร้อมจะทำให้ เขาไม่อยากปล่อยให้คนยังอารมณ์ไม่คงที่อยู่คนเดียว ยิ่งฮิวบอกว่าเคยมีความคิดเรื่องการปลิดชีวิตตัวเองยิ่งแล้วใหญ่

   ลอบมองเจ้าชายนิทราอีกหน่อยจึงยืดขาลุกขึ้นไล่อาการเมื่อยล้า ชั่งใจว่าควรจะออกจากห้องไปเลยหรือว่าควรจะบอกลาเสียก่อน

   ไม่ใช่การปลุกขึ้นมาเพื่อโบกมือลาก่อนแน่ การทิ้งข้อความเอาไว้เป็นทางเลือกที่ดูเข้าท่า

   แล้วห้องมืดอย่างนี้จะไปหาแสงสว่างที่ไหนมาส่อง ให้ใช้โคมไฟก็ลำบากไปหน่อย ...หรือว่าเอาเป็นวิธีที่เพิ่งเห็นในภาพยนตร์มาดีนะ

   เป็นการบอกลาที่น่ารักผสมความขำขันของคนไม่ประสีประสาในรัก การประทับจูบตรงปลายนิ้วตัวเองก่อนจะยื่นไปแตะกับอีกฝั่ง เขาเปลี่ยนมันนิดหน่อยตรงที่ปลายทางไม่ใช่ริมฝีปากของอีกคน แต่เป็นหลังฝ่ามือซ้ายที่มีอาการบาดเจ็บทิ้งร่อยรอยเอาไว้อยู่

   ผิวเนื้อเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่มีการตอบสนองกลับ

   "...ตัวเองก็เป็นคนใจดีเหมือนกันแหละ"
 


   สรุปแล้วอาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องถอนตัว

   แถมยังได้เวลาพักเพิ่มเติมมาอีกต่างหาก

   ปรัญไม่รู้ว่าเกิดการทำสัญญาประนีประนอมกันระหว่างเอื้อมกับชมรมออร์เคสตรายังไง ผลสรุปเลยกลายเป็นว่าเพื่อให้มือได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้สามารถไม่เข้าซ้อมได้ เขาล่ะตกใจแทบแย่ตอนที่คนได้พักแทบจะกระชากประตูกระจกเพื่อบอกเล่าข่าวดี ความยินดีบนใบหน้านี่กลบไม่มิดเลย

   "แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะออกมาตะลอนอย่างนี้ไหมเอื้อม"
   
   ขอให้ได้บ่นบ้างก็พอใจแล้ว ปรัญรับหน้าที่เป็นผู้ขับรถยุโรปห้าประตูแทนคนงอแงอบอกว่าตัวเองยังต้องการการพักผ่อน

   โดยการเข้าเมืองมาหาร้านเครื่องดื่มเน้นชาเขียวตามรีวิวที่เพจหนึ่งเพิ่งโพสต์

   "แล้วจะอยู่ม. ทำไมล่ะ น่าเบื่อออก"

   "ไหนบอกว่าต้องไปหาหนังสือในห้องสมุดไง"

   ยกเรื่องที่เป็นหัวข้อการพูดคุยในสองสามวันที่ผ่านมาขึ้นแย้ง เอื้อมยังถามเขาถึงวิธีการเสิร์จหาข้อมูลจากเว็บกลางอยู่เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่หาข้อมูลเรื่องรีวิวเก่งแต่ใช้งานส่วนของงบริการหาหนังสือออนไลน์ไม่เป็น

   "เดี๋ยววันนี้กลับไปหาก็ได้"

   "ต้องไปหาเองนะ เราต้องไปช่วยงานเด็กทุน" งานค่ายเหมือนเดิม สุดสัปดาห์นี้เป็นวันจริงแล้ว "แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็โทรมาตามได้เลย"

   "พนักงานห้องสมุดน่าจะช่วยได้แหละ ไม่เป็นไร"

   "ระวังมือด้วย"

   "มันไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อกี้ปันก็เพิ่งเปลี่ยนผ้าให้เอง"

   คนเอาแต่ใจอ้างว่าทำแผลเองไม่ถนัด ทั้งที่เป็นคนถนัดขวาและเจ็บมือซ้ายนั่นแหละ

   ชักอยากจะรู้แล้วว่าเอื้อมอารัญกดไลก์ทุกเพจที่เกี่ยวข้องกับการรีวิวรวมถึงตั้งค่าให้เตือนเสมอเมื่อมีการอัปเดตหรือไม่ ช่างสรรหาของมาเสนอได้ตลอดสามเวลาหลังอาหาร

   คราวนี้ไม่พ้นเครื่องดื่มโปรด ที่มีการเพิ่มระดับความเข้มข้นด้วยการใส่ไอติมลงไปปั่นด้วย

   หยุดอยู่ตรงหน้าบันไดเลื่อน หันมาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ "อยู่ชั้นไหนนะ"

   "ในนี้บอกชั้นล่าง"

   ในนี้ก็คือหน้าจอโพสต์ที่ได้ทำการแคปเอาไว้เรียบร้อย กดเร็วๆ สองครั้งเพื่อให้มันขยายส่วนที่ต้องการ นั่นคือชื่อร้านและสถานที่ตั้ง

   พยักหน้ารับทราบข้อมูล "งั้นลงไปเลยเนอะ"

   ห้างสรรพสินค้าเวลากลางวันในวันธรรมดาเงียบสงบแตกต่างจากการมาเยือนช่วงสุดสัปดาห์ เขาเคยนัดกับเพื่อนมาเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนรวมถึงพวกเขาเอาถึงต้องมากองกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย

   นึกว่าจะได้สั่งเครื่องดื่มสบายๆ เสียอีก ผิดคาดเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนกระจายตัวตามพื้นที่ว่าง เอื้อมไม่เสียเวลามองเมนู ตรงดิ่งเข้าไปยังส่วนสั่งสินค้าพร้อมกับสั่งทันทีราวกับคิดมาตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้าแล้ว

   "ปันเอาช็อกโกแลตไหม"

   ใบหน้าแหงนมองป้ายรายการสินค้าเคลื่อนองศาลงมาหาคนข้างตัว "ก็ได้ ถ้าเอาแบบไม่หวานได้ก็ดี"

   ถึงมันจะไม่ได้เป็นโกโก้ก็เถอะ

   "แล้วก็เอาช็อกโกแลตร้อนครับ"

   เสียงพนักงานทวนรายการคล่องแคล่ว เขาย้ายสายตาไปมองส่วนของราคาเพื่อจดจำตัวเลขที่ต้องให้คืน เปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรราคาเท่าสินค้าให้กับเอื้อม

   "นี่สั่งแบบเข้มสุดเลยนะ ถ้ายังหวานต้องมีเรื่องกันหน่อยแล้ว"

   ขยับยิ้มอ่อนโยนให้กับนัยน์ตามุ่งมั่น "ก็บอกแล้วว่ามันคือการเสี่ยงดวง"

   "เราเชื่อแล้วก็อย่าทำให้ผิดหวังสิ"

   "งั้นก็ไปรับมาพิสูจน์ได้แล้ว"

   ผลักหลังให้ออกเดิน รับเครื่องดื่มตามความชอบของตัวเองมาถือเอาไว้ จากตรงนั้นเราเลือกกันไม่ได้ว่าจะเดินทางไปที่ไหนต่อ ข้างนอกก็ร้อนแต่ข้างในนี้มันก็ไม่มีอะไรให้เดิน

   "เราคิดมาสักพักล่ะว่าชาเขียวเมืองไทยให้ฟิลลิงเหมือนกันหมด ไม่เหมือนตอนไปญี่ปุ่นเลย"

   "มาจากแหล่งผลิตเดียวกันมั้ง"

   ไม่มีความสามารถในการแยกแยะรสชาติขนาดนั้น เขารู้แค่ว่าอันไหนถูกปากแล้วอันไหนที่ตกรอบเท่านั้นแหละ ให้มานั่งแยกว่าอันนี้กลมกล่อม อันนี้หวานมัน บอกเลยว่าทำไม่ได้

   ยังถือเครื่องดื่มชนิดร้อนเอาไว้ไม่ยกขึ้นจิบ สำหรับเอื้อมอารัญรายนั้นแทบจะยกซดตั้งแต่แก้วหลุดออกจากมือของพนักงาน

   "ก็อร่อยดี"

   "งั้นเก็บเข้าลิสต์ได้สินะ"

   "แต่ถ้าอยากกินต้องถ่อมาถึงที่นี่เลยเหรอ"

   "ชีวิตเด็กนอกเมือง..."

   "คุณเอื้อม"

   ชื่อที่ใช้เรียกส่งผลให้ทั้งสองตวัดหน้าไปหา ผู้ชายตัวสูงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบที่มาพร้อมกับหนังสือใส่กระดูกงูในมือคุ้นหน้าแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยพบปะกันเมื่อไหร่

   "อ้าว เจอกันบ่อยเฉยเลยนะไนน์"

   "พอบทไม่เจอก็ไม่เจอนานเลยเนอะ"

   น้ำเสียงและท่าทางเริ่มคุ้น ใบหน้าบอกเชื้อจีนแย้มยิ้มสดใส และพอพวกเขาอ้างถึงบุคคลที่สามถึงปิ๊งว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

   แฟนใหม่ของแฟนเก่าเอื้อม

   เป็นวิธีการนับความสัมพันธ์ที่น่าปวดหัวใช่เล่น ปันอยากจะรู้ว่าเรื่องระหว่างพวกเขาสามคนดำเนินไปทางไหนถึงยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ขนาดนี้ ถ้าลองเป็นตัวเองการเผชิญหน้ากับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนใหม่ของคนเคยคบนี่ไม่น่าจะสุขสงบไร้อาการกระอักกระอ่วนได้

   "ล่ะนี่น้ำร้านใหม่ข้างล่างปะ เห็นเพื่อนพูดว่าจะมาลองอยู่"

   "ใช่ ก็โอเคนะ ลองไหม?" ไม่ว่าเปล่ายังมีการยื่นไปให้ทดสอบ และอีกฝ่ายก็ไม่ลังเลที่จะทำตามคำเสนอ

   "เข้มดี แบบที่เอื้อมชอบเลย"

   "ใช่แล้ววว"

   ไม่ผิดใช่ไหมถ้าปรัญจะบอกว่าไม่ปกติเลยสักนิด ทุกอย่างราบรื่นไร้รอยบาดหมางจนคิดว่าหรือว่ากำลังอยู่ในความฝัน

   ถ้าเข้าใจไม่ผิดพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม น่าจะสนิทเลยล่ะ นั่นยิ่งทำให้แผนผังความสัมพันธ์ในหัวของเขายุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ นี่มันพล็อตของนิยายรักทั่วไปไม่ได้มีการตลบหลังให้กลายเป็นเรื่องสยองขวัญใช่ไหม

   เป็นอีกครั้งที่สมัครใจขยับตัวออกจากวงสนทนา ทำได้แต่เงียบไม่อาจก้าวไปหลบอยู่มุมอื่นได้เพราะมือของเอื้อมคว้าข้อแขนเอาไว้แน่น ระหว่างที่เขาสองคนแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย สิ่งเดียวที่ทำได้คือละเลียดเครื่องดื่มในมือเสีย

   ให้คะแนนเจ็ดเต็มสิบ ตัดตรงที่ทั้งเรื่องของความหวานแล้วก็ไม่พอใจอะไรไม่รู้

   "ตั้งแต่วันก่อนแล้วปันไม่พูดอะไรเลยอะ คุณเอื้อมมึงห้ามไว้เหรอ"

   "ทำไมต้องมองว่ากูร้ายตลอดเลยวะ มึงแม่ง"

   "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย นอกจากกูแล้วมีใครอยู่กับมึงได้นานขนาดนี้ไหมล่ะ"

   ปรัญรู้ตัวดีว่ากำลังอิจฉาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

   "ก็คนอื่นแย่..."

   "ตัวเองก็ด้วยครับคุณเอื้อม" การยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากเอื้อมเป็นธรรมชาติอย่างกับเป็นของคุ้นชิน "ก่อนจะทำตัวเป็นกระจกส่องคนอื่นควรจะเป็นแก้วที่ชัดใสก่อนนะ"

   ให้ความรู้สึกเป็นเพื่อนที่เหมือนพี่แล้วก็พ่อไปในตัว จากเอื้อมอารัญคนเอาแต่ใจกลายเป็นเพียงเด็กน้อยไร้พิษสงไม่กล้าออกปากเถียง บทสนทนาทั้งหมดจบด้วยการฝากความคิดถึงไปให้หญิงสาวที่เป็นตัวเชื่อมของคนทั้งสอง ต่อจากนั้นเราก็ต้องกลับมาคิดเรื่องเดิมอีกครั้งคือจะไปที่ไหนต่อ

   "ปันอยากซื้อของไปฝากเพื่อนไหม ขนมอะไรงี้"

   "คนชั้นแรงงานอย่างพวกนั้นน่าจะอยากกินเอ็มร้อยมากกว่า" ไม่เข้าใจระบบการทำงานโต้รุ่งสักที ความที่เป็นคนศรัทธาในเรื่องการแบ่งเวลาให้เป็นสร้างคำถามให้เสมอว่าการทำงานจำเป็นต้องหามรุ่งหามค่ำเท่านั้นจริงหรือ ควรจะจัดสรรเวลาให้ลงตัวได้หรือไม่ "นี่กี่โมงแล้วอะ มันนัดเอาไว้สี่ครึ่ง"

   "บ่ายสองแล้ว ในซุปเปอร์น่าจะมีเอ็มร้อยนะ"

   "ค่อยกลับไปซื้อในเซเว่นก็ได้"

   "เหรอ"

   พอมันเหลือเวลาให้ใช้ตอนว่างอีกไม่นานเลยคิดว่าทำอะไรที่อีกฝ่ายอยากทำดีกว่า "คุ...เอื้อมล่ะอยากไปไหนอีกไหม"

   แทบจะตบปากตัวเองที่เกือบหลุดปากเรื่องด้วยคำนำหน้าชื่อเหมือนอย่างที่คนอื่นทำ ทั้งที่ก็ปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ดันฟังพวกเขาคุยกันตั้งนานนี่นา

   นัยน์ตาที่อ่านความหมายไม่ออกสบไม่ลดละ "จะว่าไปแล้วปันไม่เคยเรียกเราว่าคุณเอื้อมเหมือนคนอื่นเลยเนอะ"

   "เหมือนเอื้อมไม่ชอบ เลยไม่อยากพูด"

   จำได้ชัดเจนทั้งสีหน้าและน้ำเสียงยามเรียกตัวเองว่า 'คุณเอื้อม' ออกมา

   มันเป็นคำที่ทั้ง 'ให้เกียรติ' และ 'หยันเหยียด' ในเวลาเดียวกัน

   ดูจากบุคลิกแล้วไม่แปลกใจหรอกถ้าเพื่อนจะรวมหัวกันเรียกแบบนั้น ท่าทางเป็นคุณหนูทุกกระเบียดนิ้ว ฐานะทางบ้านต้องไม่ขี้เหร่แน่จากข้าวของเครื่องใช้ กิริยามารยาทไปจนถึงรสนิยมในเรื่องต่างๆ คือแค่เครื่องดนตรีที่เล่นยังเป็นเครื่องสายคลาสสิกเลย

   แต่มันก็มองได้อีกแง่ว่าเป็นการ 'ประชด' ตามแบบฉบับของสังคมแห่งการนินทา

   "ที่จริงเราก็ไม่ได้ชอบนะ แต่ก็ชินไปแล้วล่ะ"

   "..."

   "ขอบคุณที่คิดถึงใจเราด้วยนะ"
 


   ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกที่สมัครใจเป็นฝ่ายใช้แรงงาน ตั้งแต่นั่งทำงานจนถึงตอนนี้ยังไม่เจอเรื่องราบรื่นเลยสักนิด

   ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ ปัญหาที่ต้องการสกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากเสียจนชักอยากจะลากเอาประธานการจัดการมานั่งคุยกับรองฝ่ายอื่นอีกครั้งเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน พอฝ่ายกิจกรรมบอกหนึ่งอย่าง วิชาการก็เดินมาบอกว่าไม่ใช่ ยังไม่รวมกับคำพูดของอาจารย์ที่เนื้อหามาเป็นหนังคนละม้วน

   พอใกล้ถึงงานจริงมากเท่าไหร่คนเราก็สติแตกได้มากเท่านั้น มันเป็นงานใหญ่ที่มีผลต่อชื่อเสียงและหน้าตาของมหาวิทยาลัยเสียด้วย คือถ้าเป็นค่ายอื่นที่จัดโดยนักศึกษาคณะนั้นๆ มันก็เป็นค่ายที่ทำแล้วจบไป ไม่เหมือนของเขาที่มีการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อด้วย ขืนพลาดตรงไหนไปเรียกว่าตายยกกลุ่ม

   สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือกระดาษเอาไว้สำหรับกิจกรรมเงียบ ต้องรัดกุมในการวางแผนการเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหรือว่าจุดพลิก ทุกอย่างจำเป็นต้องดำเนินตามเส้นทางที่วางเอาไว้

   ด้วยความที่ 'หน้าปันดูน่าเชื่อถือที่สุด' เลยถูกโยนตำแหน่งผู้รับผิดชอบมาให้เมื่อประมาณสามสิบนาทีที่แล้ว การตบบ่าพร้อมกับให้กำลังใจว่ามันไม่มีอะไรยากยิ่งทำให้เขากลุ้มใจเข้าไปใหญ่ มันเป็นกิจกรรมที่ปีที่แล้วก็ได้เล่นมาด้วยตนเองอยู่หรอก แต่ได้ตำแหน่งคนที่ต้องนั่งเงียบตลอดกิจกรรมไง

   นึกภาพไม่ออกเลยว่าควรจะเริ่มตำแหน่งใด ดำเนินการต่ออย่างไร และพาร์ตจบที่สมบูรณ์มีหน้าตาประมาณไหน

   ปวดหัวจนอยากจะเขวี้ยงแผนงานทั้งหมดเข้ากองไฟ

   ดันอยู่ในสังคมที่ต้องยอมรับกว่าการโยนงานเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยเอาคำว่างานที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันมาอ้าง เคสของเขาน่าจะยังดีกว่าเพื่อนบางมหาวิทยาลัยที่ทำงานเหมือนเล่นขายของตอนเด็ก

   หลับตาลงเรียกสติและสมาธิให้กลับมาสถิตร่าง ตั้งใจว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก่อนที่จะไล่ไปตามสาย คำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในหัวว่าจะต้องทดสอบเส้นทางทั้งหมดกี่ครั้ง แล้วนี่มีอยู่ชีวิตเดียวจะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

   มองซ้ายขวาหาเหยื่อช่วยงาน สิ่งที่พบคือความวุ่นวายและหัวหมุนกระจายตัวอยู่ทั่วไป นี่มันจะไม่มีใครว่างมาเป็นคนร่วมะตากรรมกับเขาหน่อยเลยเหรอ

   "หน้าเครียดจัง"

   แหงนมองสุดคอเพื่อพบว่ามีบางคนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง เขาฝืนขยับยิ้มทักทายพลางทิ้งตัวลงพิงกับช่วงขา เปลี่ยนเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือบ้าง

   "เอื้อมสนใจมาแบ่งความเครียดไหม"

   ได้ยินเสียงหัวเราะสดใส ขยับมานั่งหลังตรงดีๆ หลังจากที่ข้อเข่ากระทุ้งเตือนว่าหมดเวลาพักผ่อน เอื้อมอารัญทรุดตัวลงมานั่งขัดสมาธิอยู่เยื้องออกไปทางขวา ชะโงกหน้าเข้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือของตน

   "แค่เห็นตัวหนังสือเป็นพรืดก็ไม่ค่อยอยากช่วยแล้วอะ"

   ที่จริงแล้วนอกจากรายละเอียดของกิจกรรมภาพรวมมันยังมีลายมือหลายคนโยงเส้นไปมาเพื่อเชื่อมความคิดให้ถูกต้องตรงกัน เส้นนี้เป็นตัวเชื่อมจากฐานสองไปห้า ส่วนอันนี้ต้องระวังว่าฐานสี่อาจจะเข้าใจว่าเป็นฐานแปด เป็นต้น

   "แล้วได้หนังสือหรือยัง" เราแยกกันตรงหน้าห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย

   "เรียบร้อย เจ้าหน้าที่อย่างเจ๋งอะ เราหาตั้งนานไม่เจอเขาเดินมาช่วยแป๊บๆ เสร็จล่ะ"

   แค่เอื้อมหาตู้วางเจอเขาก็ดีใจแล้ว "ระวังเรื่องวันคืนด้วย เดี๋ยวค่าปรับเข้าไปไม่สนุกนะ"

   รุ่นพี่ของปันเคยเจอไปพันกว่าบาท ก็อยากจะบอกว่าถ้าพี่จะยืมนานขนาดนั้นก็ซื้อไปเลยเถอะครับ

   "นี่ตั้งแจ้งเตือนไว้แล้ว รับรองไม่มีพลาด"

   "ดีแล้ว"

   "สรุปจะให้เราช่วยตรงไหนบ้าง"

   "นี่จะช่วยจริงอะ" นึกว่าแค่แวะมาหาเหมือนทุกที แบบที่แค่โผล่หน้ามาได้พูดว่าปันคำเดียวก็พอใจ "แล้วรายงาน?"

   "มีเวลาตั้งเยอะ ตอนนี้อยากช่วยมากกว่า"

   ขัดใจไปก็คงไม่ดี ปรัญส่งปึกกระดาษเจ้าปัญหาไปให้ดูแลพร้อมสำหรับอธิบายกฎกติกาการเล่นคร่าวๆ รวมถึงเล่าเรื่องกังวลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

   "มันจะวุ่นวายอยู่หน่อย เราไม่ได้ทำเหมือนปีที่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเพื่อนบางคนบอกว่ามันมีช่องโหว่อยู่"

   "เราว่าถ้ากลัวก็ทำเป็นเส้นทางเดียวไปเลย หรือไม่คนประจำฐานอะต้องเช็กว่ากลุ่มไหนมาแล้ว กลุ่มในยังไม่มา ถ้าบอกว่าต้องเข้าทุกฐานเสมอ"

   ปากกาหมึกในมือเอื้อมหมุนไปมายามเสนอความคิดเห็น พอคิดว่าอยากจะเพิ่มเติมตรงไหนก็จัดการขีดมันลงไปเพิ่มจนเห็นเป็นเส้นสีดำเข้มชัดเจน

   "แต่ว่ามันจะมีปัญหาเรื่องฐานแรกๆ ที่จะชนกันน่ะสิ"

   "ก็ให้พวกเขาเริ่มคนละฐาน หลังจากนั้นอยู่ที่ไทม์เมอร์ว่าจะเมเนจเวลาได้ไหม"

   "คือมันค่อนข้างควบคุมยาก"

   "แสดงว่ายังคุมได้ หรือว่าเราลองเปลี่ยนตรงนี้..."

   ปรัญมองครึ่งหน้าข้างของคนที่หลุดเข้าไปในโลกของหลักแห่งการเชื่อมโยงของเหตุและผล นัยน์ตาเป็นประกายกับการวางโครงเส้นการเดินทาง เห็นรอยลักยิ้มชัดเวลาทวนแผนแล้วมันเป็นไปอย่างที่วางเอาไว้ เขาชอบที่เอื้อมเป็นอย่างนี้

   จนบางทีอาจเป็นเขาเองที่ไม่สามารถปล่อยเอื้อมอารัญไป


***
   การันตีว่าไม่น่ากลัวและไม่ต้องเผื่อใจ ความหนักน้อยกว่าเรื่องของแฟร์แน่ๆ (หัวเราะ) เรื่องนี้คนที่น่าระแวงที่สุดคือเจ้านี่แหละค่ะ ไม่ใช่เอื้อมหรอก (ฮา) อีกสองสามตอนน่าจะได้เขียนถึงที่มาว่าทำไมเจ้าถึงเลือกชื่อเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อ่านไประแวงไป  ฮ่าๆ เดาใจเอื้อมยากมากเลย   :katai1:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ชอบอ่ะ แต่อย่าหน่วงกว่านี้นะ
กลัวว่าคนน่าสงสารที่สุดคือคุณเอื้อม
รอตอนต่อไปอยู่นะจ้ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด