พิมพ์หน้านี้ - มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: 23August ที่ 23-05-2018 20:29:30

หัวข้อ: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-05-2018 20:29:30
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧

23August's World

- เรื่องยาว -
"ที่หนึ่ง" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48590.0) • ♚ PITCH BLACK ♛ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) • | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57367.0) • × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0)
Now loading...
มิอาจก้าวล่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67260.0)

- เรื่องสั้น -
FREEZE | FLY (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) • With Love, ด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) • ﹉ RESTART ﹍ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61080.0) • สมุดกระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64163.0) • ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) • E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0)

‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧ ‧:❉:‧

veritas omnia vincit

หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหนึ่ง [23.5.18]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-05-2018 20:44:03
มิอาจก้าวล่วง


** For explicit (updated) version please visit https://bit.ly/340sIcE **

 
บทหนึ่ง


   ตราชูเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม

   "แต่ถ้าคนอ่านค่าเอียงก็จบ"

   เดือนตุลาฟังคำเปรียบเปรยเพียงผ่าน มองเอกสารข้อร้องเรียนประจำวันในมือต่อไปโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงบ่นเลื่อนลอย ก็ถ้าให้เทียบแล้วของในมือเขามีความสำคัญมากกว่าตั้งเยอะ

   "งามหน้า นี่หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยติดต่อพี่มาสองรอบแล้ว"

   "แล้วทำไมไม่ให้สัมภาษณ์ล่ะครับ"

   "ไม่ใช่หน้าที่ไหม พี่เป็นแค่รักษาการประธาน"

   "แต่คนสร้างเรื่องคือประธานนี่ครับ" มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยยามนึกถึงบุคคลที่สาม ผู้ชายแสนโง่เขลาที่ไม่สามารถควบคุมอำนาจให้อยู่ในการดูแลได้ "...อ้อ เป็นอดีตไปแล้ว"

   กระดาษเอสี่ในมือถูกสลับเปลี่ยนรวดเร็วตามความเคยชิน ข้อเรียกร้องแผ่นล่างสุดเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทระหว่างกลุ่มกิจกรรมสองกลุ่มที่มีจุดประสงค์และวิธีดำเนินการที่คล้ายคลึงกัน ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องด่วนเสียด้วย อย่างนี้เขาก็ต้องเรียกประชุมวาระพิเศษอีกแล้วสินะ พวกสายวิทย์จะต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้งแน่

   หยิบตราปั๊มขึ้นมาประทับคำว่าด่วนลงไปแล้วแยกเอาไว้ต่างหาก เช็กเอกสารทั้งหมดในมืออีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

   "ไม่ค่อยออกอาการเลยนะน้องตุล"

   คนเป็นน้องยกไหล่ขึ้น "ผมไม่โอเคกับพี่ต้นหลิวมาตั้งแต่แรกแล้วครับ"

   "ปีหนึ่ง?"

   "เอาให้ชัดก็คือตั้งแต่ปีหนึ่งรอบแรก" เล่าสบายๆ ตามประสาคนคุ้นเคยกันมานาน ตุลเดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวทางซ้ายของรุ่นพี่ปีสี่อย่างมัจฉ์

   "ชัดเจนเว่อร์"

   "แล้วนี่ไม่ต้องอ่านหนังสือเหรอครับเลยมาวุ่นวายที่นี่ได้"

   ปรายตามองคนที่ควรจะหมกตัวอยู่กับกองหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รักษาการประธานของตุลาการนักศึกษาสะดุ้งโหยงให้กับคำพูดเชือดเฉือนไม่มีไว้หน้า แม้ว่าจะได้ยินมานานแต่ก็บอกเลยว่าคงไม่สามารถทำใจยิ้มรับให้กับน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นนั้นได้

   "ก็เรื่องนี้มันน่าเครียดกว่า พี่ก็กังวลไง"

   "แต่องค์คณะคนอื่นเขาไม่มีใครสนใจเลยนะครับ"

   "ก็ว่าไปนั่น ลงทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งโซเชียลเบอร์นั้นใครจะไม่รู้" จังหวะพูดถึงหนังสือพิมพ์ก็ปัดกองกระดาษเปื้อนหมึกที่ถูกทิ้งเอาไว้บนเบาะไปบนพื้น ตัวอักษรขนาดใหญ่ทำตัวหนาอ่านได้ใจความว่าเป็นเรื่องน่าอัปยศที่องค์การเกี่ยวกับความยุติธรรมกลับถูกแฉในประเด็นความเท่าเทียมและไม่เลือกข้าง "ต้นหลิวมันเป็นยังไงบ้างอะตอนนี้"

   "ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ตัวเองทำครับ"

   ที่น่าอับอายกว่าสิ่งใดคือบุคคลกระทำผิดคือ 'ประธาน' สูงสุดบนบัลลังก์

   "แค่โดนปลดกลางอากาศก็โหดแล้ว พี่สงสารจัง"

   "เอาตามความรู้สึกผมแล้วพี่ไม่ได้สงสารเหมือนอย่างที่ปากบอกเลยนะครับ"

   ด้วยความที่อยู่กันมานานพอสมควรจนเรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจ ยิ่งเป็นประเภทที่มีศัตรูคนเดียวกันแล้วยิ่งเข้ากันได้ดีขึ้นไปอีก ต้นหลิวที่พวกเขากำลังพูดถึงคืออดีตประธานตุลาการนักศึกษาที่เพิ่งมีข่าวฉาวเกี่ยวกับคำตัดสินในคดีพิพาทด้วยอคติ โดยมีหลักฐานเป็นแชตตอบโต้ระหว่างตนเองกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง ยังไม่รวมกับที่ลือกันว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับทางสภานักศึกษาเพื่อให้มีการออกกฎที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดอีก

   "สงสารที่อนาคตดับแน่ แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยสังคมเราก็ไม่ต้องมีคนตรรกะพังๆ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งไง"

   "แล้วยังกล้ามาบอกว่าผมไม่ค่อยเก็บอาการ"

   "เนี่ย ปากร้ายอย่างนี้ไงคนอื่นถึงมองว่าเราน่ากลัว"

   "อยู่มานานก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเองหน่อยสิครับ" องค์การที่มีสมาชิกอยู่ในองค์กรแค่เก้าชีวิต แต่คนเกลียดหลายเท่าตัวนัก "พี่มัจเป็นคนสอนผมเอง"

   ถ้าเทียบจำนวนปีแล้วบอกเลยว่ามัจฉ์เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ นักศึกษาจากฝั่งศิลปศาสตร์ที่สนใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมมาตั้งแต่ปีหนึ่งและเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ขึ้นเป็นประธานรักษาการทั้งที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ เป็นการพิสูจน์ว่าบางครั้งโลจิกไม่ได้จำเป็นต้องมาจากคนเรียนตรงสายเสมอไป

   "น้องตุลใจร้าย เออ เอาแต่คุยจนลืมเลยว่าตั้งใจมาบอกอะไร"

   "อะไรครับ"

   "มหาวิทยาลัยเลือกคนเข้ามาแทนได้แล้วนะ"

   หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดยพลัน ปกติแล้วกระบวนการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ยิ่งเป็นการเข้ารับตำแหน่งนอกรอบที่ไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกับคนอื่นแล้วด้วย ตุลคิดเอาไว้ว่ากว่าจะมีคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ก็คงเกือบหมดวาระในรอบนี้

   "ทำไมเร็ว"

   "ก็คงตั้งใจเอามาเคลียร์เรื่องนี้โดยเฉพาะแหละ"

   อ่านไม่ออกเลยว่าผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังทำอะไรอยู่ "ใครครับที่จะเข้ามาใหม่"

   "ไม่ใช่เข้าใหม่ กลับมาต่างหาก"

   แย้มยิ้มของรุ่นพี่ปีสี่ไม่น่าไว้วางใจแม้แต่น้อย

   "สัทธาจะกลับมาแล้วนะ"
 


   มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทความรู้ไม่ต่างจากที่อื่น หากหนึ่งระบบที่กลายเป็นความแตกต่างและไม่มีใครสามารถทำได้เหมือนคือการสร้างการปกครองจำลองจากการบริการงานระดับประเทศ

   บริหาร - นิติบัญญัติ - ตุลาการ

   สามเสาหลักตามทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจที่ดีในระบอบประชาธิปไตย สองชื่อแรกเป็นที่คุ้นเคยของนักศึกษาอยู่แล้วอย่างองค์การนักศึกษาและสภานักศึกษา หากเสาที่สามต่างหากที่เป็นความโดดเด่นของระบบการปกครองที่นี่

   องค์การนักศึกษาเป็นตัวแทนในการบริหารกิจการและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษา

   สภานักศึกษาคอยดูแลในส่วนของการร่างและออกกฎหมาย รวมถึงสิทธิและสวัสดิการของนักศึกษา

   และตุลาการนักศึกษาที่มีอำนาจและหน้าที่ในการตัดสินข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบ รวมทั้งตรวจสอบการทำงานของสองเสาก่อนหน้าให้ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น

   เพราะนโยบายหลักของสภามหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด มันเลยเกือบเรียกได้ว่าการบริหารงานที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินโดยผู้ปฏิบัติงานจริง แม้ว่าจะมีช่องว่างให้ได้ปวดหัวบ้างเป็นบางครั้งแต่ระบบนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในภาพรวม

   'ตุลาการนักศึกษา' ประกอบไปด้วยองค์คณะเก้าคนที่ถูกคัดเลือกจากจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไม่จำกัดชั้นปี มีวาระหนึ่งปีและจะต้องคัดเลือกใหม่เสมอในรอบถัดไป หากมีเหตุสุดวิสัยอันเป็นผลให้ตุลาการคนหนึ่งคนใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ก็จะต้องมีการคัดเลือกใหม่ทันที

  'ก็แค่พวกขี้โอ่ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า'

   'ท่านอย่างนั้น ท่านอย่างนู้น ท่านอย่างนี้'

   'สูงนักระวังตอนตกลงมา'


   เดือนตุลาได้ยินคำพวกนั้นมาจนเบื่อแล้วล่ะ

   จะค้านก็ไม่อยากอ้าปากเพราะรู้ว่าบางคนก็แสดงตนสะท้อนถ้อยคำพวกนั้นไม่มีผิด

   "ได้ข่าวว่าพี่ธรรมจะกลับไปอยู่ฝั่งนั้นเหรอ"

   เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนเล่มหนา พยักหน้าให้พลางเก็บเอาสัมภาระที่ดูเกะกะเต็มโต๊ะไปหมดมาไว้ข้างตัวเอง เพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของเดือนตุลาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยเลือกที่จะถามต่อในสิ่งที่ยังสงสัย

   "ทำไมกลับไปนะ นึกว่าเขาแฮปปี้กับฝั่งสภาแล้ว"

   "อยากรู้คงต้องถามมหา’ลัย นี่คนอื่นยังสงสัยอยู่เลยว่าเพราะอะไรถึงแต่งตั้งเร็ว" ตำแหน่งที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนตั้งแต่การส่งชื่อในคณะ ให้อาจารย์คัดเลือกภายในหนึ่งรอบ จากนั้นแล้วต้องผ่านการเห็นชอบจากสภานักศึกษาด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสามในสี่ ก่อนจะจบลงที่การอนุมัติแต่งตั้งจากกรรมการของมหาวิทยาลัย

   ถึงบอกว่าเลือกวันนี้ได้ตอนเกือบหมดวาระ

   มันค่อนข้างยุ่งยากและกินเวลานาน เดือนตุลาเองมองว่ามันไร้สาระและมากขั้นตอนจนเกินไป ที่ต้องให้ผ่านสภานักศึกษาก่อนนี่โคตรผิดหลักความเป็นอิสระของตุลาการ นี่ก็พยายามเข้าใจว่าที่ต้องให้ผ่านสภาเพราะอยากให้มันยังคงความเป็นงานของนักศึกษาอยู่ แต่เอาจริงสามในสี่นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะ

   ยังไม่รวมกับเกมการเมืองภายใน นี่ก็หนึ่งในช่องว่างที่เห็นชัดแต่ไม่มีใครแก้ไขได้ เพราะถ้าไม่ผ่านขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดมันหมายถึงการตีกลับไปเริ่มต้นใหม่ เห็นว่าจำนวนองค์คณะที่น้อยที่สุดที่เคยเจอคือสามคน ที่เหลือติดอยู่ตามขั้นบันไดอันสูงชันนั่นแหละ

   "เพราะเคยเป็นมาแล้วหรือเปล่า เอาจริงคือแค่เห็นลิสต์ผลงานก็แทบไม่มีอะไรให้ค้านอะ"

   "อาจจะ ไม่รู้เหมือนกัน"

   "ล่ะคนอื่นเป็นไง พนันว่ามีคนใกล้เป็นบ้า"

   นึกตามว่าสมาชิกที่เหลือในองค์คณะแสดงออกอย่างไรบ้างยามเขาประกาศเรื่องบุคคลที่จะเข้ามาแทนที่ในอีกหนึ่งเก้าอี้ว่างที่เหลือ

   "หลายคนอยู่"

   "พวกโจทก์เก่าน่ะสิ"

   เด็กคณะนิติศาสตร์หนีกฎหมายและงานที่เกี่ยวข้องไม่พ้น เดือนตุลากับปลายเจตน์ก็เช่นกัน เพื่อนเขาเคยเป็นอนุกรรมการช่วยในการร่างกฎหมายของฝั่งสภานักศึกษา รวมถึงเคยโดนลากให้มาช่วยอ่านคำร้องและหาหลักระเบียบการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง

   ส่วนตัวเองเป็นหนึ่งในองค์คณะตุลาการนักศึกษา อยู่มาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งจนถึงทุกวันนี้

   "พี่ธรรมมีใครรักด้วยเหรอ" ไม่ใช่การประชดประชัน มันคือเรื่องจริง

   "อย่างน้อยก็แก๊งก์คนป่าไง" มีการยกมือขึ้นมาทำเป็นตัววีที่หักงอ เบ้ปากยามกล่าวถึงกลุ่มที่ไม่รู้จะเรียกอย่างไรให้ตรงตามบุคลิกของพวกเขาเหล่านั้น "เนี่ย เลิกเรียนกันแล้วมั้งถึงลงมาสูบบุหรี่"

   พยักเพยิดไปด้านหลัง ภาพที่ชินตามาตั้งแต่แรกทำให้เขาไม่หันกลับไปมองตาม พนันได้เลยว่าต้องมีกลุ่มพี่ปีสี่ท่าทางไม่รับแขกอยู่ตรงนั้น มีหลายรูปแบบตั้งแต่ผมยาวเกือบกลางหลัง ไว้หนวดครึ้ม แต่งตัวตาลุงด้วยเสื้อค่ายฟรีกับกางเกงขาบาน ลากยาวไปถึงแบบแต่งตัวดีทุกกระเบียดนิ้วแต่ดันเสพติดพืชใบเขียวขั้นหนัก

   พอจบคลาสก็จะลงมาสุมกันอยู่ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากตึกเพื่อเปิดวงสูบยาเส้น ควันขโมงจนกลายเป็นจุดต้องห้ามเข้าไปใกล้สำหรับคนอื่น เดี๋ยวนี้ดีหน่อยเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันบ้างแล้วเลยลดเรื่องกลิ่นแต่ไปเพิ่มเรื่องควันแทน

   "แต่ไม่มีว่าที่ตุลาการนักศึกษาเลยแฮะ"

   "เถียงกับอาจารย์ไม่จบล่ะสิ"

   "มั้ง ขึ้นเรียนกันเถอะ อาจารย์น่าจะใกล้ถึงแล้ว"

   พยักหน้าเห็นด้วย ปิดประมวลเล่มหนาที่หยิบมาอ่านคู่กับหนังสือเรียน ยัดของทุกอย่างใส่ลงไปในถุงผ้าสกรีนโลโก้มหาวิทยาลัยที่ได้ฟรีจากการไปช่วยงานสักงานสมัยปีหนึ่ง ทนมือทนแดดแต่อมน้ำ ข้อดีของมันคือเก็บของได้เยอะจนนึกว่ากลับไปเรียนสมัยประถม

   ตึกเรียนคณะนิติศาสตร์อยู่ลึกสุดในรั้วมหาวิทยาลัย ที่นี่เราไม่ค่อยได้ใช้ตึกเรียนส่วนกลางเพราะทุกคณะมีตึกส่วนตัวเอาไว้รองรับเพียงพออยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าตลอดสี่ปีถ้าไม่ขวนขวายออกไปหาวิชาคณะอื่นเรียนเองก็จงเฉาตายอยู่ที่นี่ไปซะเถอะ

   เราเรียนที่ชั้นสามเลยเดินไปทางบันไดหนีไฟแทนการใช้ลิฟต์

   "เอาจริงคือนึกว่าจะดีใจที่พี่ธรรมกลับมา"

   "ทำไม?"

   "ไอดอลมึงไม่ใช่เหรอ พี่ธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ซิ่วมาอยู่คณะนี้ก็เพราะพี่เขานี่"

   ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ต้องเก็บเอาไว้ เดือนตุลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ครั้งแรกที่คณะทันตแพทยศาสตร์ ก่อนจะลาออกเมื่อเรียนไปได้เทอมครึ่งแล้วสมัครเข้าเรียนใหม่ในคณะนิติศาสตร์แทน ส่วนปลายเจตน์เรียนคณะบัญชีมาก่อนแล้วก็เลือกซิ่วเพราะบ้านอยากให้เรียนสายกฎหมายเหมือนลูกคนอื่น

   "กูโตขึ้นแล้วมั้ง ตอนนั้นมันความคิดเด็กๆ อะมึง"

   แค่รู้สึกว่าเขาห่างไกล...จนยอมทำทุกทางเพื่อให้ก้าวเข้าไปใกล้ได้มากขึ้น

   "สองปีก่อนนี่เด็กกว่านี้เท่าไหร่เชียว" ตอนนี้ตุลเรียนชั้นปีที่สอง

   "เยอะอะ เอาจริงคือมาอยู่ตุลาการนี่กูเจออะไรเยอะมากเลย"

   ตั้งแต่สงครามจิตวิทยาการแต่งตั้ง ผ่านทุกด่านมาแล้วก็ต้องเจอระบบอาวุโสและคุณวุฒิภายใน มีกันไม่ถึงสิบหน่อตอนเลือกประธานก็ยังมีปัญหาจนเกือบได้ล้มการเลือกตั้งทั้งหมด พอทำงานจริงก็ได้เจอกับเรื่องเส้นสายและความสัมพันธ์ในเชิงลึกอีก

   จนทุกวันนี้คิดว่าหน้ากากของตัวเองถูกแต่งแต้มเอาไว้สวยงามจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวอีกแล้ว

   "แค่ฟังที่บ่นก็พอเข้าใจอยู่ เพราะงั้นกูเลยไม่อยากทำงานพวกนี้"

   เปิดประตูด้านหลังห้องเผื่อเอาไว้ไม่ให้เป็นการรบกวนอาจารย์ หน้าห้องว่างเปล่าแทนการบอกว่าพวกเขายังมาทันคลาสเรียนวิชาอาญาภาคความผิดในวันนี้ ตุลเดินไปนั่งเก้าอี้แถวที่สามช่วงตรงกลางอันเป็นทำเลที่กำลังดีสำหรับการเรียน มีปลายนั่งข้างซ้ายเหมือนอย่างทุกที

   ไม่ได้สุงสิงกับเพื่อนร่วมรุ่นตามประสาคนไม่ได้ทำกิจกรรมในคณะเลยสักอย่างเพราะข้ามขั้นขึ้นไปทำระดับมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่แรก แต่ก็เริ่มต้นด้วยการถูกล่อลวงให้ติดกับล่ะนะ

   "ดีแล้ว หนีไปซะ"

   "แน่นอน ปล่อยให้มึงทำงานปวดประสาทไปคนเดียว" มองแรงใส่คนทำหน้าเหนือกว่า มุมปากที่ยกขึ้นข้างหนึ่งน่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา "คิดบ้างไหมว่าอยากปล่อยมือเมื่อไหร่"

   แม้จะเป็นการดำรงตำแหน่งปีต่อปี คนที่เคยทำงานมาก่อนแล้วย่อมได้รับความไว้วางใจให้รับหน้าที่หากแจ้งความประสงค์ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ไม่ถึงกับว่าเป็นการต่ออายุงานอัตโนมัติแต่ว่าการพิจารณาของภาคส่วนต่างๆ ก็จะลดระดับความยุ่งยากลงไปมากพอสมควร

   "ตอนนี้ยังสนุก เรื่องพี่ต้นหลิวนี่ไม่รู้จนจบจะได้เจออีกไหม"

   กลายเป็นเรื่องคุยขำขันในหลายส่วนของคณะ มันก็เกิดขึ้นจากการทำตัวเองทั้งนั้น ตุลเชื่อว่าถ้าทำหน้าที่เงียบๆ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว เอาเข้าจริงสภาที่ว่าไม่ค่อยมีตัวตนมาเจอฝ่ายตุลาการเข้าไปนี่แทบเรียกได้ว่าล่องหนไม่มีที่ยืน ถ้าไม่ได้กลายมาเป็นคู่ความในคดีก็คงไม่เห็นหน้าคนทำงานส่วนนี้สักครั้ง

   ต่างจากบางคนที่ไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงบทบาทของตัวเองอย่างถ่องแท้

   อยากจะได้หน้าก็ไปอยู่องค์การฝ่ายบริหารสิ มาอยู่ฝ่ายตัดสินความผิดทำไม

   "เรื่องพี่ต้นหลิวนี่พีกจริง ไม่รู้กล้ามาเรียนหรือยัง"

   "ไม่ได้ตาม แต่คิดว่าคนที่ไม่ฟังใครอย่างนั้นไม่น่าจะมาง่ายๆ"

   ทะนงในตำแหน่งของตน

   โดยหลงลืมว่ามันไม่คงอยู่นิรันดร์

   ข้อกำหนดเรื่ององค์คณะของตุลาการนักศึกษาระบุเอาไว้ชัดเจนว่าสี่ในเก้าคนต้องเป็นนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ นั่นหมายถึงว่าเกือบครึ่งหนึ่งจะต้องเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างในตึกคณะแห่งนี้ อาจจะดูลำเอียงแต่มันก็ยังมีเหตุผลเบื้องหลังที่พอรับฟังได้อยู่

   ตามสถิติที่ผ่านมาส่วนใหญ่ตำแหน่งประธานองค์คณะก็เลยไม่พ้นเด็กสองคณะนี้ จะมีแตกต่างบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ค่อยพ้นสายสังคม ถ้าได้ตำแหน่งมาแล้วไม่ได้ออกตัวแรงให้ใครหมั่นไส้มันก็ดีไป น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นกับต้นหลิวอดีตประธานคนล่าสุด

   ทั้งอวดตนและเจ้ายศเจ้าอย่าง ป่าวประกาศว่าตนมีอำนาจในมือแค่ไหนจนคนอื่นพาลรำคาญไปหมด ยังไม่รวมกับพิธีรีตรองและตำแหน่ง 'ท่าน' ที่ต้องใส่เอาไว้ตรงหน้าชื่ออีก

   ถึงบอกว่าคนอย่างนี้ออกจากตำแหน่งได้ก็ดีไง

   "ปีสี่ไม่ต้องเข้าเรียนหมดเลยนี่ พนันปะว่าโผล่มาอีกทีวันสอบเลย" วิชาของคณะส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บคะแนนระหว่างทางรวมถึงไม่มีชิ้นงาน ทั้งหมดคือการสอบแบ่งกลางและปลายภาคแล้วแต่ผู้สอน "แต่เอาจริงต้องขอบคุณพี่เขานะ คนในเฟซกูเพิ่งรู้ว่ามีฝ่ายตุลาการเพราะเรื่องนี้หลายคนเลย"

   ไม่แปลกใจเลยสักนิด ก็บอกแล้วว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมดไม่ได้ออกหน้าให้ใครเห็น ยิ่งถ้าไม่มีข้อทะเลาะเบาะแว้งอะไรยิ่งไม่ต้องรู้จักเข้าไปใหญ่ เหมือนมีชื่อเอาไว้ให้คุ้นๆ ว่ามีคนเคยมาประชาสัมพันธ์ตอนแนะนำกลุ่มกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตอนวันแรกเข้าเท่านั้น

   "ที่จริงไม่ต้องรู้ก็ดีอะ กูขี้เกียจรับเรื่อง"

   "อู้งานเหรอ"

   "งั้นมั้ง ...นี่อาจารย์ไม่ได้แคนเซิลคลาสใช่ไหมเนี่ย"

   เลยเวลาเข้าเรียนมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว ตอนนี้เพื่อนในห้องก็เริ่มอยู่ไม่สุขกันทั้งหมด เดือนตุลาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าเด็กแถวหน้าสุดในการลุกออกไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำคณะ แต่ส่วนมากแล้วถ้าเกินครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ก็เป็นอันรู้กันว่าไม่ต้องรอ

   "กูว่าใช่"

   "ไม่อยากเมกอัปคลาสอะ..." เรื่องที่น่าเบื่อที่สุดคือการนัดเรียนเพิ่มเติมในช่วงเย็นหรือไม่ก็เสาร์อาทิตย์ มันควรเป็นเวลาพักผ่อนสมองต่างหากนะ "ช่วงนี้กูไม่ว่างด้วย เรื่องเวรตะไลนี่แหละ"

   "งั้นก็รอดูต่อไป"

   "น้องๆ ครับ อาจารย์พิมพ์ประภาฝากมาบอกว่าเลทชั่วโมงหนึ่งนะ แกรถเสียบนทางด่วน"

   เสียงประกาศทุ้มนุ่มน่าฟังเรียกให้ทุกคนหันไปทางผู้ชายตรงโต๊ะสอนเป็นตาเดียว ตุลทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจนี่เกือบจะหลุดคำหยาบคายออกมาแล้ว จบการประชาสัมพันธ์ชายคนเดิมในชุดสบายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไรก็วางไมค์ลงแต่ไม่ได้ออกจากห้องไปเลย ปลายทางหลังจากนั้นคือเก้าอี้ด้านหน้าตัวที่เขานั่งอยู่

   คิดแล้วว่าไม่น่ารอด

   "ว่าไงน้องตุล"

   ลอบถอนหายใจไม่ให้ผิดสังเกต "สบายดีครับพี่ฟีน"

   "พี่ก็สบายดีเหมือนกัน" อยากจะสวนกลับไปว่าไม่ได้ถาม และไม่อยากรู้ด้วย "นี่รู้แล้วใช่ไหมว่าธรรมจะกลับไปทำงานด้วย"

   ถ้าเป็นคณะอื่นไม่ว่าใครจะขึ้นมาทำงานก็ช่างหัวมัน แต่นี่มันคณะที่เกี่ยวข้องโดยตรงแบบไม่มีทางตัดออกจากกันได้นี่นา เป็นข้อมูลที่รู้โดยทั่วกันว่าในหนึ่งปีมีใครที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง รวมถึงใครที่ถูกปลดออกไปบ้าง ยิ่งกับการแต่งตั้งกลางปีที่มีเบื้องหลังไม่ค่อยปกติด้วย

   "ครับ ได้รับเอกสารแต่งตั้งแล้ว"

   ทุกขั้นตอนรวดเร็วเสียจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคณะทำงานเดียวกับที่เคยยื่นเรื่องขอเบิกงบประมาณประจำปีไป อันนั้นนี่ผ่านไปเทอมหนึ่งแล้วเรื่องทั้งหมดก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด

   "ถ้ามีอะไรสนุกๆ ก็อย่าลืมเอามาเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ"

   "ตอนนี้ที่สนุกที่สุดก็น่าจะเป็นร่างระเบียบใหม่ของพี่มากกว่านะครับ" เชือดเฉือนด้วยเรื่องที่เป็นท็อปปิกใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ก็ร่างระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของนักศึกษาที่มีเสียงเล่าอ้างว่าพี่ต้นหลิวมีส่วนเกี่ยวพันในการล็อกบางคุณสมบัตินั่นแหละนะ

   "เมื่อไหร่น้องตุลจะเลิกใจร้ายกับพี่อะ"

   "ก็ตอนที่พี่เลิกพยายามแทรกเข้ามายุ่งกับฝั่งนี้มั้งครับ"

   ส่วนสำคัญที่สุดของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือนอกจากจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงแล้ว ตำแหน่งประธานกรรมาธิการของฝ่ายกฎระเบียบและวินัยของสภานักศึกษานั่นสร้างความน่ารำคาญใจให้เสมอไม่เคยเปลี่ยน

   การเมืองก็คือการเมือง

   ปีแรกที่เข้ามาเป็นเพียงเด็กน้อยไร้อาวุธป้องกันตัว พอเริ่มเข้าปีที่สอง (หรือการกลับมาเรียนปีหนึ่งใหม่อีกครั้ง) ก็เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าเพราะอะไรถึงมีคนเคยเตือนเขาเอาไว้เช่นนี้ ถึงจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอย่างที่บอกว่าไว้ในทฤษฎีมันก็ยังมีคนพยายามเข้ามา 'ตีสนิท' อยู่ไม่ขาด

   "หือ พี่ทำอะไรเหรอ"

   รอยยิ้มพราวระยับนั่นแหละคือสิ่งแรกที่ทำให้เดือนตุลาตั้งธงในใจเอาไว้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ พี่ทิชากรหรือที่ชื่อเล่นว่าฟีนทำงานให้ฝั่งสภานักศึกษามาตั้งแต่แรกเข้า ไต่เต้าจากตำแหน่งอนุกรรมการขึ้นเป็นประธานกรรมาธิการที่ทรงอำนาจที่สุดในสภาได้ภายในเวลาปีครึ่ง

   "พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ"

   "แปลกจัง ทำไมน้องตุลถึงใส่ร้ายพี่อย่างนี้นะ"

   "ฟีน ไปกินข้าวได้แล้ว"

   เสียงที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นสักนิด เขาฝืนเงยขึ้นไปมองหน้าของคนมาใหม่ช้าๆ และเลี่ยงที่จะไม่สบเข้ากับสายตาข้างหลังกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมสีดำ

   ผู้ชายผมยาวระต้นคอไม่เป็นทรง มีไรหนวดขึ้นเล็กน้อยตามประสาคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นสไตล์คุณลุงไม่ได้ดูดีอะไร มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำแบบเอากลับมาใช้ใหม่ได้ส่วนอีกข้างก็แบกหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาเอาไว้ไม่ปล่อย กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามไปแล้วล่ะนะ

   "เคๆ แล้วนี่ไม่ทักอะไรคนร่วมงานหน่อยเหรอ"

   ท่าการขยับหน้าเล็กน้อยดูไม่มีความใส่ใจข้างใน "ยังไม่ใช่คนร่วมงาน"

   สัทธาไม่เคยเห็นเขาในสายตาเช่นเดิม


***
   ความจริงแล้วเรื่องนี้อยู่ในแผนการแต่งก่อน × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0) ค่ะ แต่ว่าเจ้าก็เลือกไปแต่งทางนั้นก่อน เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่หมดพลังใจแต่งไปก่อนก็เลยเอามาลงกดดันตัวเองไว้ค่ะ
   เนื้อหาจะไม่หนักในเรื่องของความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ไปหนักเรื่องอื่นแทน (หัวเราะ) เปิดมาก็น่าจะพอเดาได้เนอะว่าไปทางไหน ขอให้เจ้าลงได้จบแบบที่ไม่หายไปก่อนนะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหนึ่ง [23.5.18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-05-2018 14:00:31
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหนึ่ง [23.5.18]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-06-2018 21:11:39
อันนี้เครียดเรื่องการเมืองสินะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสอง [30.6.18]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-06-2018 17:02:46
บทสอง


   ถามว่าเคยผ่านการประชุมมากี่หนคงต้องบอกว่านับไม่ถ้วน

   แต่ไม่เคยมีครั้งไหนอยู่ไม่สุขเท่าครั้งนี้มาก่อน

   อีกห้านาทีจะถึงเวลาที่แจ้งเอาไว้ตามวาระ วันแรกในการเข้ารับตำแหน่งของตุลาการนักศึกษาคนใหม่หลังจากมีหนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางมหาวิทยาลัย หากในห้องประชุมตอนนี้มันมีสมาชิกเพียงแค่แปดชีวิต ไร้วี่แววของคนที่ 'กลับมา' สักนิดเดียว

   บรรยากาศในภาพรวมสำหรับเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด นอกจากตุลแล้วอีกสี่คนเคยผ่านการทำงานร่วมกับผู้ชายชื่อสัทธามาก่อน ส่วนที่เหลือนี่จะเป็นการพบกันครั้งแรก

   หากเรื่องเล่าที่เป็น ‘ตำนาน’ ทุกคนคงได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน

   เข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่งด้วยคะแนนสอบลำดับแรกจากทั้งหมดเกือบสองร้อยคน ได้รับสิทธิในการเสนอชื่อเข้าทำงานฝ่ายตุลาการนักศึกษาโดยอัตโนมัติตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ที่ให้ทำได้เพราะการเสนอชื่อไม่จำเป็นต้องได้รับการคัดเลือก หากมีคนอื่นที่ประวัติดีกว่าก็ต้องเป็นไปตามลำดับ

   "ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้น้องตุล ธรรมมันไม่เคยมาสายสักหน่อย"

   คำปลอบจากคนข้างตัวไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เดือนตุลาหันไปมองหน้าพี่ปีสี่จากคณะศิลปศาสตร์ที่ทำงานในสายนี้มาตั้งแต่เข้าชั้นปีที่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เป็นเพื่อนกันมานานก็พูดได้นี่ ไม่ได้มีชนักติดหลังแบบเขาด้วย

   ส่วนมากแล้วถ้าไม่ใช่คณะที่ถูกเหมาว่าบ้าการเมืองอย่างนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์แล้วสมาชิกที่เหลือในองค์คณะจะแบ่งออกเป็นสองแบบ คืออยู่ยาวจนเรียนจบหรือไม่ก็ปีเดียวหายตัว ไม่ค่อยมีประเภทอยู่สองปีแรกแล้วกลับมาทำงานในปีสุดท้ายหรอก

   "ทำไม่ได้เลยครับ"

   "ลองทำอย่างสองคนนั้นสิ นั่งเล่นมือถือสบายใจ"

   มองบนยามเห็นว่าบุ้ยใบ้ไปทางใด "พวกสายวิทยาศาสตร์ก็งี้ไหมล่ะครับ"

   ตุลาการนักศึกษาต้องมีความหลากหลายในสายการเรียน เพราะฉะนั้นมันยังมีข้อบังคับเพิ่มเติมว่าจะต้องมีสมาชิกจากสายวิทยาศาสตร์อย่างน้อยสามคนด้วย มันก็เลยกลายเป็นข้อผูกมัดกลายๆ ให้ต้องส่งเหยื่อมาทำงาน

   พอเป็นการมัดมือชกที่ไม่เต็มใจ เราจึงเหยียดกันเองภายในองค์คณะว่าพวกสายวิทย์ทั้งหลายไม่มีความตั้งใจจริงที่จะมาทำงาน บางคนแค่อยากได้โปรไฟล์ไปใส่ในเรซูเมหรือไม่ก็หาเรื่องเอาไว้อวดกับเหล่าเพื่อนฝูงเป็นเรื่องเก๋ไก๋

   "ตัวเองก็เคยเรียนนะ"

   ไม่ต่างจากเดือนตุลา นักศึกษาน้องใหม่ชั้นปีที่หนึ่งคณะทันตแพทยศาสตร์ที่โดนโมเมให้ลงชื่อทั้งที่ยังไม่รู้สโคปงานใด

   "อย่างน้อยผมก็ตั้งใจทำงานแล้วกันครับ"

   "ไม่เถียง ...อีกหนึ่งนาที"

   โลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้นหรือยังไงกันนะ เหมือนคุยไม่กี่ประโยคก็เกือบหมดเวลา แล้วทำไมพี่ธรรมผู้มีความรับผิดชอบเสมอถึงยังไม่โผล่มาอีกล่ะ

   "ที่จริงคือประมาณสี่สิบวินาทีแล้วล่ะครับ" มองเข็มวินาทีบนนาฬิกาทรงเหลี่ยมตรงข้อมือตัวเอง "หรือควรออกไปตาม..."

   "เดินมาแล้วนั่น"

   ประตูห้องประชุมเป็นแบบใส เพราะอย่างนั้นพอมีผู้มาใหม่มายืนอยู่เลยเห็นชัดเจน

   จังหวะการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตุลจับจ้องทุกอิริยาบถตั้งแต่การเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะข้างห้องตัวเล็กที่มีใบรายชื่อเช็กองค์ประชุมวางเอาไว้คู่กับปึกกระดาษวาระการประชุมทั้งหมดในวันนี้

   ปากกาลามีสีดำที่มักจะติดตัวเอาไว้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดปลอกพร้อมใช้ ตลกดีที่แม้กาลเวลาจะผ่านมามากกว่าหนึ่งปีแล้วก็ยังจำได้ดีว่าการลงลายมือชื่อแบบไม่มีการยกมือขึ้นพักเป็นอย่างไร สัทธาหยิบเอกสารจำเป็นเข้าไปรวมกับแฟ้มพลาสติกยับยู่สีเหลือง เดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุดที่ไม่มีคนรอบข้าง

   "ยังนั่งที่เดิม กวนตีน" พี่มัจเปรยกลั้วหัวเราะ มีการหันมายักคิ้วใส่เขาด้วย "นี่พี่ต้องนำการประชุมใช่ไหม"

   "ใช่สิครับ ตอนนี้พี่เป็นรักษาการประธาน"

   เรียงตามลำดับอาวุโสในการดำรงตำแหน่ง ในเวลานี้มีรุ่นพี่ปีสี่ที่ทำงานมาตั้งแต่เข้าชั้นปีที่หนึ่งเพียงแค่พี่มัจฉ์ก็เลยต้องเป็นไปตามนั้น

   "น่าเบื่อจัง แต่ถ้าให้เป็นวันสุดท้ายก็โอ"

   "วันนี้ก็เลือกประธานใหม่แล้วไงครับ" ตำแหน่งสูงสุดไม่ควรว่างนาน ยิ่งกับช่วงเวลาที่มีข้อพิพาทใหญ่รอให้สะสาง "เราอาจจะได้ประธานจากศิลปศาสตร์ก็ได้"

   เย้าแหย่ตามประสาคนทำงานด้วยกัน รู้ดีว่าพี่มัจทำงานดีแต่เกลียดการออกหน้าเพียงใด

   "น้องตุลก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แค่ส่งธรรมกลับมาพี่ก็รู้แล้วว่าพวกผู้ใหญ่เขาคิดอะไรอยู่"

   ความน่าเบื่อหนึ่งอย่างคือแม้จะบอกว่าอยากให้การบริหารทั้งหมดอยู่ในความดูแลของนักศึกษาด้วยกันเอง กฎก็ยังมีช่องให้สภามหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยสมาชิกคนละเจนเนอเรชันเป็นผู้ชี้ขาดในหลายเรื่องสำคัญ และตอนนี้ต้องบอกว่ารวมถึงเรื่องประธานคนต่อไปของตุลาการนักศึกษา

   "ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้แล้วกัน พี่มัจขึ้นไปเถอะครับ"

   "อือ ตื่นเต้นจัง ไม่คิดว่าจะมีบุญได้นั่งเก้าอี้ตัวกลางเหมือนอย่างคนอื่นเขา"

   นิสัยชอบกระแนะกระแหนนี่คือหนึ่งในคุณสมบัติของคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้หรือยังไงกันนะ ห้องประชุมสี่เหลี่ยมมีเก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่กับโต๊ะแบบกระจกใสเรียงไว้เป็นทรงโค้งเกือบครึ่งวงกลมรอบห้อง ตรงกลางด้านหน้าทำเป็นเวทียกระดับ มีที่นั่งประธานและบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่เตรียมพร้อม

   หน้าโต๊ะมีป้ายไม้แกะสลักพิมพ์เอาไว้ว่าประธาน ส่วนของคนอื่นจะเป็นป้ายอะคริลิคแนวนอนปรินท์ชื่อจริงและนามสกุลติดเอาไว้ นี่พี่มัจฉ์ก็ทำตัวน่าปาของใส่ด้วยการพกกระดาษสีขาวเขียนคำว่า 'รักษาการ' ด้วยลายมือเอาไปติดไว้ข้างหน้าป้ายตำแหน่งอีกที

   "สวัสดีครับ ถ้าสมาชิกครบแล้วผมในฐานะรักษาการประธานตุลาการนักศึกษาขอเริ่มที่วาระแรก เรื่องแจ้งให้ทราบ..."

   น้ำเสียงโทนกลางน่าฟังไล่เรียงตามลำดับวาระไม่มีสะดุด สมแล้วที่ทำงานมานานอย่างที่ปากบอก อดไม่ได้ที่จะเอาไปเทียบกับ 'ท่านประธาน' คนก่อนที่พอเข้าประชุมทีไรต้องมีเรื่องให้ปวดหัวตามมา เดือนตุลานั่งฟังพี่เขาไล่เรียงวาระต่างๆ จนถึงส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของการประชุมในวันนี้

   "อย่างที่เราทราบกันดีว่าประธานคนก่อนถูกปลดออกเพราะเหตุขัดข้องบางประการ เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับกิจกรรมนักศึกษาจึงได้มีการแต่งตั้งสมาชิกขึ้นมาใหม่แทนที่ว่างลง ซึ่งคือคุณสัทธาจากคณะนิติศาสตร์ หลายท่านคงเคยร่วมงานกันมาก่อน ส่วนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งในปีที่แล้วหรือปีนี้อาจไม่ทราบว่าคุณสัทธาทำงานกับร่วมผมตั้งแต่ปีหนึ่งแต่ออกไปทำงานให้กับสภานักศึกษาเมื่อปีที่แล้ว"

   อีกนัยหนึ่งคือทำงานกับตุลาการตอนปีหนึ่งและปีที่สอง ส่วนปีที่สามย้ายไปทำงานกับสภาท่ามกลางความไม่เข้าใจของทุกคน
ก็เราพูดเล่นแต่คิดจริงกันมาเสมอ

   สัทธา 'ต้อง' ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวกลางนั่น

   "เมื่อองค์คณะครบอีกครั้งผมจึงขอเปิดโหวตเลือกประธานคนใหม่ โดยวิธีการเลือกนั้นจะเป็นการเสนอชื่อจากสมาชิกแล้วลงคะแนนเสียงรับรองแบบเปิดเผย ความจริงควรจะมีการเสนอนโยบายแต่ผมคิดว่ามันเสียเวลาเปล่า ยังไงอีกห้านาทีเราจะเริ่มการเสนอชื่อเลยนะครับ"

   คิดเสียว่าเป็นความแตกต่างของคนที่มีเนื้อหาการเรียนยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็นเส้นตรงอย่างพวกเขา คืออะไรที่มันพอจะลดลัดตัดตอนเพื่อให้ประหยัดเวลาได้ก็จะทำ ขืนเป็นเดือนตุลาเหรอบอกเลยว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกำหนดไม่มีบิดพลิ้ว เป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบขั้นร้ายแรงเลยล่ะ

   มันเป็นห้านาทีที่มีไปตามมารยาท ขนาดประธานเองยังหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความมาหาเพื่อไหว้วานให้ช่วยทำเป็นแอบถ่ายตอนอยู่บนเวทีให้หน่อย จะเอาไปอวดคนอื่น

   แม้จะเหนื่อยใจกับความรักสนุกไม่มีที่สิ้นสุดก็ยังยอมทำตามคำขอ เปลี่ยนไปกดช่องสี่เหลี่ยมที่เขียนว่ากล้องให้ภาพบนหน้าจอกลายเป็นคุณพี่มัจกับโต๊ะประธาน รู้ใจว่าต้องอยากให้ถ่ายแบบติดป้ายชื่อตำแหน่งแน่ เลยต้องเอี้ยวตัวหามุมที่เหมาะหน่อย ตรงนี้ก็น่าจะดี

   "..."

   ขยับออกเล็กน้อยยามเหลือบไปเห็นว่ามันติดครึ่งตัวของบางคนตรงมุมสุด ที่เห็นผ่านจอคือคุณสัทธากำลังยกกระดาษที่ไม่น่าจะใช่วาระการประชุมขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา มันบังไปเกือบครึ่งหน้าจนดูไม่ออกว่าสายตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างไร

   เมื่อคิดว่าได้ภาพที่ดีที่สุดแล้วจึงส่งให้คนร้องขอ ประจวบกับหมดเวลาห้านาทีเลยต้องกลับมาทำหน้าที่ต่อ

   "ดิฉันขอเสนอคุณเดือนตุลาเป็นประธานคนต่อไปค่ะ"

   ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจยามได้ยินชื่อตัวเองเป็นการเปิดประเดิม บังคับไม่ให้ร่างกายมองไปทางเจ้าของคำเสนอ เพราะรู้ดีว่าถ้าหันไปจะต้องเจอสายตาเยาะเย้ยอย่างแน่นอน

   ค่าของคนอยู่ที่เป็นคนของใคร และเธอเป็นรุ่นน้องที่รู้โดยทั่วกันว่าสนิทกับพี่ต้นหลิวมาก เชื่อได้เลยว่าจงใจทำให้เขาอับอายเพราะหากมองเพียงชั้นปีแล้วมันคงเป็นเรื่องน่าขำที่ให้เด็กปีสองขึ้นเป็นประธาน แม้ว่าหากนับตามจำนวนปีที่เคยทำงานมันจะบวกเข้าไปอีกหนึ่งก็ตาม

   ชื่อที่สองเป็นของรักษาการประธานคนปัจจุบัน สีหน้าไม่พอใจเผยออกมาชัดเจนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกผลักให้ชิงชัยในตำแหน่งที่ไม่อยากได้ บางทีเขาก็อยากจะเป็นคนเปิดเผยและไม่แคร์เรื่องสายตาคนภายนอกได้อย่างที่พี่มัจฉ์กำลังทำ

   "งั้นผมขออีกชื่อแล้วกัน พอดีเป็นคนใช้อำนาจในทางไม่ชอบน่ะ" มีการหัวเราะคิกคักออกมาอีกน่ะ ความจริงจำนวนผู้ได้รับการเสนอชื่อมีแค่สองคนก็เพียงพอแล้วสำหรับองค์คณะทำงานที่มีเพียงเก้าชีวิต ก็ชัดเจนดีว่าไม่อยากให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งและยังหมายความต่อไปได้ว่ามีคนอื่นที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้มากกว่า

   ห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ตุลสบตาพลางอ่านข้อความลับที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มเล็กตรงมุมปากของพี่ปีสี่จากคณะศิลปศาสตร์

   "งั้นให้คุณเดือนตุลาเป็นคนเสนอแล้วกันครับ ยังไงก็เป็นคนถูกเสนอไปแล้ว"

   ผิดจากที่คิดเอาไว้ที่ไหน!

   ใช้อำนาจในทางไม่ชอบได้มากกว่าเดิมจนอยากรู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน เจ้าของชื่อเดือนตุลาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยื่นมือไปเปิดไมค์ประชุมข้างหน้าตัวเอง ไล่มองสมาชิกทุกคนจนครบและไปจบอยู่ตรงชายคนที่อยู่สุดท้ายของอีกฝั่ง เขาคนเดิมที่กลับมาใหม่ยังคงอ่านเอกสารฉบับเดิมไม่ได้ให้ความสนใจกับการประชุมสักนิด

   งั้นก็ต้องเรียกให้กลับมาอยู่ในหน้าที่หน่อยแล้ว

   "ผมเสนอชื่อคุณสัทธาครับ"

   ชื่อที่ไม่ได้เรียกมานานกระดากปากเหลือเกิน มันคงเป็นตัวเลือกที่นอกเหนือจากความคาดหมายของบางคนเลยมีเสียงฮือขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับเจ้าของชื่อนั้นยังทำเหมือนไม่สนใจโลกด้วยการหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมาเขียนอะไรขยุกขยิกในกระดาษตรงหน้า

   ราวกับว่าเสียงของเขาไปไม่ถึงโลกที่อีกฝ่ายอาศัยอยู่

   "งั้นก็มีสามคน ผม คุณสัทธา แล้วก็คุณเดือนตุลานะครับ ขอเริ่มการลง..."

   "ท่านประธานครับ ผมขอสละสิทธิ"

   แม้จะเพิ่งได้ยินมาไม่กี่วันก่อนก็ตาม น้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์นั่นก็ยังทำให้ใจเขากระตุกวูบโดยไม่มีสาเหตุได้เช่นเดิม

   "ผมเกรงว่าทำไม่ได้ครับ"

   "ไม่มีระเบียบข้อไหนเขียนว่าห้ามสละสิทธิ"

   "งั้นผมว่าคุณควรกลับไปอ่านระเบียบข้อก่อนหน้าถึงหน้าที่ของตุลาการนักศึกษาว่าเป็นฝ่ายรักษาความเรียบร้อยของนักศึกษา แต่สิ่งที่คุณกำลังทำคือการสร้างความวุ่นวายเองนะครับ"

   บอกเลยว่ามวยถูกคู่ คนสองคนที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่แรกต้องอ่านเกมของอีกฝั่งออกอยู่แล้ว มันก็เป็นเหตุผลที่อ้างได้ทั้งคู่แหละ แต่ดูเหมือนว่าจะมีฝ่ายหนึ่งที่ภาษีดีกว่า

   "ผมเพิ่งเข้ามาใหม่ มันเป็นหน้าที่ที่ใหญ่เกินไป"

   "ประสบการณ์ทำงานที่นี่สองปี รวมกับไปช่วยสภาอีกปีผมว่ามันก็ไม่ได้ใหม่เท่าไหร่นะ แล้วอีกอย่างผมว่าคนที่ผ่านกระบวนการแต่งตั้งได้เร็วขนาดนี้ แสดงว่าต้องได้รับความเชื่อมั่นจากทุกฝ่ายว่าสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี"

   "...งั้นผมขอถอนคำสละสิทธิ"

   เป็นการฟาดฟันเล็กๆ ที่ทำให้หวาดกลัวว่าพี่มัจแสนใจดีที่รู้จักมาสามปีคือคนเดียวกับที่ไล่ต้อนพี่ธรรมจนมุมตอนนี้หรือไม่ ตุลกลืนน้ำลายลงคอเรียกความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง พี่ปีสี่น่ากลัวที่สามารถ 'ประชดประชัน' ในคำพูดธรรมดาพวกนั้นได้อย่างสวยงาม

   เอามาแปลเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือถ้าไม่ได้กลับมาเอาตำแหน่งประธานคืนก็คงไม่เสนอหน้าเข้ามาหรอก

   บอกแล้วว่ามันคือตำแหน่งที่รอใส่ชื่อของสัทธาเข้าไป ไม่ใช่พี่ต้นหลิวเลยสักนิด เรื่องทั้งหมดมันมาผิดแผนเมื่อพี่ธรรมของทุกคนไม่แสดงความประสงค์ที่จะดำรงตำแหน่งต่อแล้วไปโผล่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสภานักศึกษาของพรรคการเมืองที่มีพี่ฟีนเป็นคนจัดตั้งขึ้นมา

   ไม่เคยมีใครรู้ว่าเพราะอะไรสัทธาถึงตัดสินใจเช่นนั้นจนทุกวันนี้

   รวมถึงตัวเขาเอง

   การลงคะแนนเสียงเป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ศูนย์เสียงสำหรับเขา สามเสียงสำหรับพี่มัจฉ์ และตอนนี้คือช่วงของการการออกเสียงให้กับสมาชิกคนล่าสุด

   "...สามเหรอ"

   มันเป็นตัวเลขที่เรียกได้ว่าควรจะต้องเป็นอย่างนั้น โดยมารยาทแล้วคนได้รับการเสนอชื่อจะงดออกเสียง รวมถึงตัวประธานในที่ประชุมเองก็ควรเป็นกลางกับทุกฝ่ายเช่นกัน

   "ถ้าสามเท่ากันก็เลือกจากอายุงานครับ" เกลียดจับใจยามเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าของสัทธา พี่ธรรมเก่งเรื่องการยียวนปั่นหัวคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว "...เหมือนอย่างทุกที"

   แล้วคิดเหรอว่าคนที่แสดงออกชัดเจนเรื่องไม่อยากได้ตำแหน่งจะยอมง่ายๆ "ผมว่ามันไม่แปลกหรอกเนอะที่ประธานจะออกคะแนนเสียงด้วย"

   กฎหมายการจัดตั้งหุ้นส่วนบริษัทมีเขียนเอาไว้ทำนองนี้เหมือนกัน หากเสียงในที่ประชุมมีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานมีอีกหนึ่งคะแนนชี้ขาด บอกตามตรงเลยว่ามันเป็นการเอามาปรับใช้ที่ไม่ค่อยถูกต้องตามหลักการเท่าไหร่ในความรู้สึก

   "ยังไงผมก็เป็นเด็กเอกภาษาเยอรมัน ไม่ได้เรียนพวกกฎระเบียบและเหตุผลเบื้องหลังมาจริงจังอยู่แล้วนี่เนอะ"

   ตุลล่ะอยากจะบันทึกหน้าของพี่มัจฉ์ตอนพูดประโยคพวกนั้นออกมาเหลือเกิน ทั้งท่านั่งพิงเก้าอี้สบายๆ พร้อมกับยกศอกพักเอาไว้ตรงพนักวาง นัยน์ตาเจ้าเล่ห์พราวระยับเป็นข้อพิสูจน์ว่าเพราะอะไรถึงยืนหยัดอยู่ในวงการนี้มาได้สามปีกว่าโดยไม่หายไปเสียก่อน

   "ผมเกรงว่าไม่ควร ประธานต้องเป็นกลาง"

   "ผมเป็นรักษาการ และนี่มันเป็นทางที่ผมว่าจะช่วยให้เราบรรลุวัตถุประสงค์เร็วที่สุดนะ"

   "คุณเป็นคู่แข่งของผม"

   "เพราะอย่างนั้นผมเลยทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะไง"

   "..."

   ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าทั้งหมดเป็นความสามารถเฉพาะตัว เดือนตุลาอยู่มาเข้าปีที่สามยังเทียบไม่ได้เลยแม้แต่กระผีกเดียว จะว่าไปแล้วพี่ธรรมก็แพ้ทางพี่มัจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา

   "ตามนั้นนะครับ ผมลงคะแนนเสียงให้คุณสัทธาด้วยเป็นสี่ต่อสาม ขอแสดงความยินดีกับคนที่สมควรได้รับตำแหน่งประธานตุลาการนักศึกษาคนใหม่ด้วยครับ"

   พี่มัจฉ์ลุกออกจากที่นั่งของประธานกลับมาอยู่ข้างเขาเช่นเดิม ไม่พอมีการเปิดไมค์เร่งให้ประธานคนใหม่เข้าไปนั่งตรงกลางแทนที่ด้วย

   "เชิญคุณสัทธาทำหน้าที่ต่อครับ"

   ยังคงเป็นเพื่อนที่หวังดีเสมอไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักการหรือเปล่า แต่ขืนถามพี่มัจไปก็คงได้แต่คำตอบชวนหัวเสียกลับมา สายตาของทุกคนจับจ้องไปทางชายผู้ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมาดๆ ที่ยังนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม

   "...เล่นบทโศกที่ต้องพลัดพรากกับเก้าอี้ตัวเก่าหรือไง" มันควรจะเป็นการพึมพำเอาให้ได้ยินแค่สองคน หากไมค์ที่ยังเปิดค้างเอาไว้ทำให้เสียงมันเล็ดลอดออกลำโพงไปเสียแล้ว "โอ๊ะ ขอโทษในความสะเพร่าครับ"

   จงใจไม่ต้องสืบ

   ก็คิดเหมือนกันว่าบางทีต้องหาเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยเตรียมเอาไว้ เผื่อเหม็นหน้าจนลงมือกันเมื่อไหร่จะได้รีบส่งถึงมือหมอได้ทันท่วงที

   คนโดนกดดันจากทั้งสายตาและคำพูดลุกขึ้นแบบที่หยิบเพียงปากกากับวาระการประชุมไว้กับตัว ก้าวช้าจนเกือบเป็นการเดินจงกรมไปยังจุดดึงความสนใจตรงกลาง ยังทำตัวเหมือนปกติต่างจากคนที่เพิ่งได้รับหนึ่งในตำแหน่งใหญ่ที่สุดของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

   ผมระต้นคอไม่เป็นทรง แว่นสายตาทรงเหลี่ยมที่ไม่ใช่งานแฟชัน และชุดไปรเวทเกือบเป็นแบบอยู่บ้านสร้างชุดความคิดเกี่ยวกับตัวตนได้ไม่ยาก เชื่อเลยว่าองค์คณะหลายคนจะต้องสงสัยกว่าเพราะอะไรคนที่ดูไม่เอาอ่าวอย่างนี้ถึงได้ขึ้นเป็นประธาน

   ลุ้นตัวโก่งว่าสิ่งแรกที่คนเพิ่งได้เป็นประธานจะทำคืออะไร เอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ธรรมก็ยังมีบุคลิกบางอย่างที่พาให้คนอื่นรู้สึกหวั่นใจได้เสมอ สัทธาที่น่ากลัวคือสัทธาที่กำลังเงียบ คือให้ตวาดใส่หน้ายังดีกว่าเลย

   ไม่ทิ้งลายความแค้นด้วยการเอื้อมมือออกไปหยิบเศษกระดาษระบุข้อความรักษาการเอามาไว้ในมือ ไล่อ่านมันเพียงไม่กี่วินาทีก่อนขยำทิ้งบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ยี่หระสักนิด

   ส่วนเจ้าของกระดาษก็หลุดหัวเราะหึออกมาเท่านั้น

   "ก็...เอาเป็นว่าเวลาที่เหลืออีกเกือบเทอมจะตั้งใจทำงานแล้วกันนะครับ"

   รวมถึงสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งที่รู้เลยว่าไม่มีการเตรียมมาก่อน น่าเบ้ปากตรงที่อีกฝ่ายน่ะเป็นตัวเก่งในการดีเบตให้มหาวิทยาลัยมาก็หลายครั้ง ไอ้การเรียบเรียงคำพูดให้สวยหรูแบบด้นสดน่ะไม่ยากเกินความสามารถหรอก นี่ตั้งใจจะพรางตัวหรือยังไงกัน

   จะสงสารคนที่ไม่เคยเจอก็ใช่อยู่ อยากจะตบบ่าปลอบใจว่าอย่าเพิ่งโดนรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเลย คนอย่างสัทธาน่ะมีอะไรที่เก็บเอาไว้รอให้เจอเซอร์ไพรส์อีกเยอะ

   เนื่องด้วยวาระหลักของวันนี้คือการเลือกประธานคนใหม่อย่างเดียวก็เลยไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านั้น พอเราตกลงเรื่องวันและเวลาในการหารือเกี่ยวกับข้อพิพาทสำคัญที่สุดอย่างเรื่องของพี่ต้นหลิวได้แล้วก็ถึงช่วงของการแยกย้าย

   "น้องตุลอยากไปนั่งมองพี่กินเหล้าฉลองไหม"

   ขยับศีรษะไปทางคนข้างตัว ตอบด้วยแพทเทิร์นเดิมราวกับเซ็ตเอาไว้ "ไม่ครับ ผมไม่ดื่ม"

   "ไม่ได้ชวนกิน ก็บอกแล้วให้ไปนั่งมอง"

   "พี่มัจไลน์วีดีโอมาก็ได้ครับ เดี๋ยวผมมองจากห้องให้"

   "ทำไมถึงเย็นชากับพี่ได้อย่างนี้นะ เต๊าะทุกวันมาตั้งสามปีนี่ไม่หวั่นไหวบ้างเลยเหรอ" ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอได้ยินคำถามเช่นนั้นสายตาเจ้ากรรมถึงเผลอลอบมองคนที่กำลังเก็บของอยู่อีกฝั่ง "...ก็นั่นสิเนอะ"

   "อะไรครับ ผมก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าพยายาม"

   "มาเป็นเพลง นี่ถ้าพี่ได้ยินเพลงนี้จะไม่น้ำตานองหน้าเหรอ"

   "คนอย่างพี่มัจนี่ร้องไห้เป็นด้วยเหรอครับ"

   "แรง"

   "สกิลของผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะ"

   มัจฉ์ส่ายหัววืด "แค่นี้ก็พอแล้ว พี่ยังจำน้องตุลคนน่ารักที่ถูกล่อลวงตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ ได้อยู่เลยนะ"

   "ต้องโทษพี่แล้วล่ะครับที่ทำให้ผมเป็นอย่างนี้"

   "ทำไมไม่โทษคนหลอกมาทำงานบ้าง ...เฮ้ธรรม กินเหล้ากันเถอะ"

   ทำได้เพียงส่งตาดุคาดโทษเอาไว้ น่าเชื่อมากเลยสิที่วกเข้าเรื่องนี้แล้วต่อด้วยการตะโกนชวนคนที่กำลังเปิดประตูห้องอยู่

   "คนหักหลังไม่มีสิทธิชวน" ติดเล่นมากกว่าจริงจัง ก็พวกเขาน่ะเป็นเพื่อนซี้ต่างคณะกันนี่นา "เว้นแต่จะเปิดดีลน่าสน"

   "มีน้องตุลไปด้วยนี่น่าสนพอไหม"

   แทบจะเป็นการปฏิเสธในทันทีด้วยซ้ำ "ขอผ่าน"

   "ผมไม่ได้บอกว่าจะไปกับพี่มัจเลยนะ" ไม่อยากเป็นตัวการให้งานฉลองของรุ่นพี่กร่อย เขารู้ตัวเองดีน่า "พี่มัจไปกับพี่ธรรมเถอะ"

   ขอบคุณที่ท่องชื่ออีกฝ่ายหน้ากระจกมาตั้งแต่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นแล้วไม่น่าจะเรียกชื่อต้องห้ามได้คล่องปากเท่านี้

   "แล้วยังวีดีโอคอลได้อยู่ปะ"

   "ก็มีคนไปกินด้วยแล้วไง จะคอลหาผมอีกทำไม"

   "ก็เผื่ออยากเห็น...ใคร" ยืนยันอีกครั้งว่าอย่าคิดลองดีกับมัจฉ์ "เตรียมรับสายนะ เมาเมื่อไหร่จะโทรไปกวน"

   ตัดจบด้วยการทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ ผลักหลังรุ่นพี่ให้ลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องประชุมที่ร้างผู้คนสักที ส่วนการเก็บกวาดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านประจำตึกต่อ

   "ไปเถอะครับ เอนจอยกับอิสระให้เต็มที่"

   "น้องตุลไม่ไปจริงเหรอ ถ้าพี่โดนธรรมฆ่าหมกข้างทางล่ะ"

   "เดี๋ยวเป็นพยานบุคคลว่ามันเป็นสองแปดเก้าจะได้รับโทษหนักกว่าฆ่าคนตายธรรมดานะครับ" ส่งยิ้มจริงใจยิ่งกว่าครั้งไหน ปล่อยให้ทั้งสองคนเดินออกไปก่อนแล้วจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องนี้ "แล้วถ้ามีเรียนเช้าก็อย่าดื่มหนักเกินไปด้วย"

   กำชับในสิ่งที่กังวลที่สุด เขาไม่เคยมองว่าเรื่องพวกนี้ผิดมหันต์ถึงขั้นเป็นเรื่องต้องห้าม ถ้าอยากจะทำก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง ประเภทที่ว่าเมาแล้วกลายเป็นภาระคนอื่นอย่าทำเลย

   "งั้นพี่กับธรรมไปก่อนนะ"

   "ครับ"

   "ไว้เจอกันนะน้องตุล"

   ตั้งใจจะทำแค่โบกมือลาตรงขั้นบันได หากนึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบเอ่ยออกไป "พี่ธรรมครับ"

   แค่นยิ้มในใจยามได้รับเพียงการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น ความเรียบเฉยบนใบหน้าซ้ำเติมความจริงที่ว่าเขายังเป็นแค่คนโง่ที่หวังว่าจะได้รับความสนใจกลับมาบ้าง

   "ยังไงก็เป็นคนร่วมงานกันแล้ว"

   "..."

   "ฝากตัวอีกครั้งนะครับ"


***
   เจ้าไม่รู้จะตัดตรงไหนดีเลยค่ะสำหรับตอนนี้ ก็ใส่ๆ ให้หมดแล้วกันเนอะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสอง [30.6.18]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 01-07-2018 02:51:07
 :katai1: :katai1: :katai1: อะไรยังไงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสาม [6.10.18]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-10-2018 16:10:16
บทสาม


   ทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่ควรวิ่งทะเล่อทะล่าออกจากตึกเพื่อกลับไปยังหอพักอย่างนี้ก็ยังทำ ความเหนื่อยล้าจากการออกแรงจำนวนมากในระยะสั้นทำให้ทรุดตัวลงพิงกับกำแพงเพื่อพักหายใจหลังจากปิดประตูห้องพักแล้ว

   เสียงลมหายใจสลับเข้าออกดังจนได้ยินชัด เหงื่อชื้นปรากฏอยู่เต็มกรอบหน้า เดือนตุลาปล่อยให้ตัวเองได้อยู่ในสภาวะสติแตกเต็มขั้นอีกพักใหญ่จึงสูดอากาศเข้าไปลึกแทนการดึงให้ตัวเองกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

   เขาทำได้แล้ว...

   จากที่ไม่กล้าสู้หน้ามาตั้งแต่เรื่องนั้น ตอนนี้เขาสามารถเรียกชื่อพี่ธรรมได้อีกครั้งแล้วนะ

   แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ กลับมาเลยก็ตามที มันก็ยังดีกว่าสถานะเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนที่ตอบรับคำฝากตัวของเขากลายเป็นพี่มัจผู้เอาแต่แย้มยิ้มจนน่ารำคาญ บอกไม่ได้ว่าเพราะดีใจที่ไม่ต้องรับตำแหน่งหรือว่าเป็นการหาเรื่องให้บางคนปวดหัวมากขึ้นไปอีก

   พอสมองกลับมาประมวลผลได้ตามปกติแล้วถึงนึกออกว่าลืมอะไรไป นี่ยังไม่ได้ทานอาหารมาตั้งแต่ตอนเที่ยงนี่นา ความจริงแล้วหลังจากการประชุมเขามักจะแวะร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำใต้หอเพื่อความสะดวก ยังไม่ถึงขั้นกินแต่มาม่าเพราะว่ามันประหยัดเวลาชีวิต

   แต่ตอนนี้ไม่อยากจะเดินไปไหนเลย ขอนั่งโง่ๆ อยู่ที่เดิมอีกสักพักได้ไหม

   เสียงเรียกเข้าจากโปรแกรมแชตสีเขียวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เดือนตุลาเขยิบร่างที่ไม่ค่อยมีวิญญาณไปหากระเป๋าผ้าใบเก่ง ดึงเอาของไม่จำเป็นออกมากองเอาไว้จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการในมือ ชื่อและนามสกุลแบบเต็มยศของคนที่เพิ่งแยกกันได้ไม่นานทำเอาอารมณ์ห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม

   มีประสบการณ์แล้วว่าไม่ควรจะปล่อยไป ยังไงพี่มัจก็พร้อมจะกระหน่ำโทรซ้ำจนกว่าจะได้ตามต้องการ เขาก็เลยสไลด์หน้าจอเพื่อรับการโทรเข้าพร้อมวิดีโอเสีย

   "ครับพี่มัจ"

   (ทำตามที่บอก โทรมาให้น้องตุลนั่งดูพี่กินเหล้า)

   ไม่รู้จะปลงยังไงแล้วจริงๆ บนหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าเห็นช่วงใบหน้าลากยาวลงมาจนเกือบอก น่าจะเป็นร้านนั่งชิลล์เลยยังคุยกันรู้เรื่องเกือบทั้งหมด ไฟสลัวปรากฏภาพที่ส่วนใหญ่กลืนไปกับความมืด ต่างกับเขาที่สว่างจ้าจนเหมือนกับเป็นคนละโลก

   "โอเค เห็นแล้ว ผมวางได้แล้วใช่ไหม"

   (ไม่เคยอ่อนโยนเลย)

   "พี่มัจคุยกับพี่ธรรมให้สนุกเถอะครับ"

   (ไม่เอา คุยกับน้องตุลแล้วสบายใจกว่า นี่ไปกินอะไรมา)

   ทำไมถึงเลือกเรื่องคุยได้ถูกประเด็นเหลือเกิน "อ่า...ยังไม่ได้กินครับ"

   (หืม แต่นี่กลับห้องแล้วไม่ใช่เหรอ)

   "ครับ เดี๋ยวว่าจะออกไปอีกที"

   ถึงจะบอกว่าไม่อยากขยับตัวแล้วแต่เพื่อป้องกันเรื่องโรคกระเพาะที่เป็นๆ หายๆ แล้วการทานอาหารให้ครบสามมื้อเป็นสิ่งที่ควรทำ

   (ออกไปตอนนี้เลย สามทุ่มกว่าแล้ว)

   มีเรื่องหนึ่งที่เดือนตุลาเก็บเอาไว้ไม่ค่อยให้ใครรู้ คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดในโลกใบนี้ไม่ใช่พ่อแม่แต่เป็นพี่มัจ คือลองสังเกตแล้วว่าพี่เขาก็ไม่ได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดหรือว่าใช้เสียงดุอะไรเลยนะ เหมือนจิตใต้สำนึกมันบอกเองว่าไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ไม่ควรทำให้พี่เขาอารมณ์เสียเด็ดขาด

   "ครับ จะออกไปตอนนี้เลย" ตอบรับเสียงเหนื่อยอ่อน เหยียดตัวขึ้นมายืนเต็มความสูงโดยที่ไม่ได้สนใจคนในสายเท่าไหร่ "แต่ผมไม่คอลไปด้วยหรอกนะ"

   (ก็ได้ กินร้านไหนบอกมา เดี๋ยวไปสอดแนม)

   "พี่มัจอย่าทำให้ผมคิดว่าพี่เป็นพวกโรคจิตได้ไหมครับ"

   (ตัวเองนั่นแหละมองพี่ในแง่ร้าย ไปกินข้าวแล้วถ่ายรูปเซลฟีตัวเองกับจานข้าวมาด้วย)

   นั่นมันน่ากลัวไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยนะ

   อือออตอบรับแบบขอไปทีเพื่อให้สามารถวางสายได้ หยิบกระเป๋าเงินกับสมาร์ตโฟนมาไว้ในมือข้างซ้าย ส่วนทางขวาก็เกี่ยวเอาพวงกุญแจตรงชั้นวางข้างประตูห้อง อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าเข้ามายังไงก็ออกไปอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมือนคนกลับห้องแล้วเลย

   โชคดีที่หอพักออกแบบด้านหลังของตึกให้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสำหรับนักศึกษา เรื่องอดอยากนี่ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด คือต่อให้ลงมาตอนตีสามก็ยังมีร้านข้าวต้มโต้รุ่งเปิดอยู่ดี

   สั่งเมนูง่ายๆ ที่ไม่น่าจะอืดท้อง ส่วนเครื่องดื่มก็เป็นน้ำเปล่าที่ร้านมีบริการเอาไว้ให้ฟรีอยู่แล้ว ไม่ลืมถ่ายรูปอาหารโดยไม่ติดหน้าของเขาอย่างที่พี่มัจกำชับเอาไว้ก่อนหน้า ชักอยากจะให้อีกฝ่ายเมาแล้วจะได้ไม่มาวุ่นวายอะไรอีก

   เสร็จแล้วก็กลับขึ้นห้องเลยไม่ได้แวะไปที่ไหนต่อ ตั้งใจว่าจะเอาชีตของวิชาที่เพิ่งเรียนในวันนี้ขึ้นมาทบทวนอีกหน่อยก่อนจะเข้านอน มันเป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่สมัยอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อย่างน้อยในหนึ่งวันก็ขอให้ได้แตะสักหน้าสองหน้าก็ยังดี

   พอได้จำนวนเท่าที่ต้องการแล้วก็ถึงเวลาของการจัดกระเป๋าสำหรับการเรียนในวันรุ่งขึ้น เปลี่ยนเอาหนังสือในวันนี้ออกแล้วเอาของที่จะต้องใช้เข้าไปแทน เข้าปีที่สองแล้วเรียกได้ว่าทั้งชินและเฉยชากับกองหนังสือเรียนหนาเป็นตั้งที่ยังไม่รวมกับชีตสรุปจำนวนมหาศาลหลายสำนัก

   เลือกที่จะมาเป็นเด็กนิตินี่คืออ่านจนวันตาย

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลาห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน เดือนตุลาลุกออกจากเตียงด้วยสภาพอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมเข้านอนไปส่องตรงช่องตาแมวว่าใครที่มารบกวนในยามวิกาลเช่นนี้ ความคิดทางลบหลายอย่างผุดขึ้นมายามไม่เห็นมีใครสักคนอยู่ตรงนั้น

   มั่นใจว่าห้องพักของตัวเองอยู่ในรัศมีของกล้องวงจรปิดอย่างแน่นอนก็เลยกล้าเปิดออกไปพิสูจน์ บนทางเดินมีเพียงความว่างเปล่าไร้ผู้คน สิ่งแปลกปลอมเดียวก็คือถุงพลาสติกที่มีซีเรียลแบบแท่งยี่ห้อที่เคยเห็นแต่ไม่ค่อยได้ซื้อบ่อยนักสองห่อข้างในห้อยอยู่ตรงลูกบิด

   หน้าถุงไม่มีการจ่าหน้าชื่อคนรับ เผื่อว่าจะจำผิดชั้นหรือไม่ก็อาจจะผิดห้องเลยปล่อยมันเอาไว้ที่เดิมดีกว่า

   มีนิสัยที่เหมือนพวกเด็กอนามัยจัดอย่างหนึ่งคือจะไม่ชอบเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน อย่างมากที่สุดคือการหยิบมาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เท่านั้นเอง ก็เลยจัดการทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมเจออะไรก็ตามแต่ในวันรุ่งขึ้น

   หนึ่งวันที่แสนยาวนานจบลงเสียที
 


   เรื่องที่น่าประหลาดใจแรกคือเดือนตุลาตื่นสายเพราะว่าไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก

   ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง เขาน่ะเป็นพวกเซ็นซิทีฟต่อทุกสิ่งจนถึงขั้นที่ว่าบ้านยอมให้อยู่หอคนเดียวไม่ต้องแบ่งห้องกับใครเพราะรู้ว่ามันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แค่มีคนเมาเคยมาตะโกนเรียกเพื่อนจากข้างล่างหอเขาก็ตื่นตาค้างแล้ว

   ช่วงเวลายี่สิบนาทีอันตรายบอกให้เขาลดทุกขั้นตอนอันแสนเยิ่นเย้อให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อให้มีเวลาเหลือประมาณเจ็ดนาทีในการออกจากห้อง เรื่องน่าสงสัยอย่างที่สองคือถุงพลาสติกยังแขวนเอาไว้ที่เดิมไม่มีใครมาแสดงความเป็นเจ้าของ

   ไม่เหลือช่วงให้คิดแล้วเลยคว้าเอาไว้ก่อน คิดว่าถ้ามีใครมาทวงก็ค่อยจ่ายเงินคืนไปแล้วกัน อย่างน้อยของพวกนี้ก็น่าจะช่วยให้ผ่านหนึ่งชั่วโมงครึ่งอันเป็นวิชาคาบเช้าไปได้อยู่

   เปิดประตูห้องเรียนในนาทีสุดท้ายก่อนเข้าคาบ ต่อให้คณะนี้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการเช็กชื่อเขาก็ยังเป็นสายตรงต่อเวลาอยู่เช่นเดิม ห้องเรียนไม่ถึงกับหร็อมแหร็มแต่ถ้าเห็นรายชื่อคนลงทะเบียนทั้งหมดแล้วก็หายไปไม่น้อย

   รู้ว่ามันไม่ใช่มื้อเช้าที่ดีเท่าไหร่เพราะงั้นหลังจากหมดคาบและรอเรียนตอนบ่ายต่อเขาถึงลากตัวเองไปยังห้องอาหารขนาดเล็กใต้ตึก ขี้เกียจต่อรถออกไปยังโรงอาหารที่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ดูสิว่าความหิวมันสามารถทำให้คนเราขี้เกียจได้ถึงขนาดนี้เลย

   "ถึงกับขึ้นป้าย สมัยพี่ต้นหลิวก็มีปะ" ปลายเจตน์บุ้ยหน้าไปทางบอร์ดติดประกาศข้างห้องฝ่ายการนักศึกษาของคณะ มันมีไวนิลแผ่นเดียวคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดเอาไว้ ข้างในเป็นกราฟิกที่ดูแล้วก็รู้ว่าคงจ้างนักศึกษาในคณะสักคนทำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้งานสไตล์มินิมอลอย่างนี้

   ข้อความเขียนแสดงความยินดีกับประธานตุลาการนักศึกษาคนใหม่พร้อมกับภาพของสัทธาที่ตัดมาจากงานกิจกรรมสมัยไปทำงานให้สภา น่าจะกำลังนั่งฟังการประชุมอะไรสักอย่างอยู่ล่ะมั้งถึงมีโต๊ะอยู่ด้วย

   "มี โพสต์อวดจะตายชัก 'เป็นเกียรติอย่างยิ่ง' นี่ยังจำคำขึ้นต้นได้อยู่เลย"

   "ช่างจดช่างจำ"

   "นิดหน่อย แต่ที่ขึ้นได้นี่แสดงว่าพี่ธรรมยังไม่เห็น" ก็สัทธาน่ะเกลียดงานประชาสัมพันธ์จะตายไป "พนันกันไหมว่าจะอยู่กี่วัน"

   "กี่ชั่วโมงดีกว่ามั้ง"

   ข้าวราดแกงตรงหน้าไม่มีความหมายเมื่อหันไปเห็นว่ามีใครกำลังเดินออกมาจากส่วนของตึกเรียน พี่ธรรมและกลุ่มเพื่อนของเขาก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ

   เสียงโห่ฮาดังจนคนแถวนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว เพื่อนคนหนึ่งเก๊กหน้าเลียนแบบท่าของคนในรูปดูตลกเสียจนแม้แต่เจ้าของชื่อบนนั้นยังรวมหัวขำขัน ดูทำตัวสิ ไม่แปลกใจเลยใช่ไหมล่ะที่มีคนเรียกว่าเป็นพวกคนป่าประจำคณะ แต่อย่าเอ็ดไปเชียว ในกลุ่มนั้นมีตัวท็อปเรียงราย ยังไม่รวมกับเหล่านักกิจกรรมในระดับมหาวิทยาลัยอีกจำนวนหนึ่งด้วย

   คนอื่นเคลื่อนตัวไปยังโต๊ะประจำแล้ว มีแค่สัทธาคนเดียวที่เข้าห้องฝ่ายการนักศึกษาที่อยู่ติดกัน ไม่พ้นเรื่องนี้แน่เลย

   "คุณเดือนตุลาครับ คิดว่าคุณสัทธาเปิดโหมดไหนข้างในครับ"

   ถึงจะหมั่นไส้ที่เพื่อนล้อเลียน 'มารยาทเบื้องต้นในที่ประชุม' ก็เถอะ เขาคิดตามแล้วก็หยิบเอาทางที่คิดว่าเหมาะกับตัวตนของผู้ชายผมประบ่าคนนั้นมาตอบ

   "แค่พูดเรียบๆ ว่ารบกวนเอาออกด้วยนะครับ จบ"

   "กูว่าถามก่อนว่าใครเอาขึ้น แล้วบอกว่าไม่ได้รับอนุญาต ให้เอาออก"

   รู้เลยใช่ไหมว่าเราสองคนมองผู้ชายที่ชื่อว่าสัทธายังไง

   ความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เสียงรอบตัวมันเลยลดลงมาเป็นระดับมาตรฐานเท่านั้น "ล่ะทำไมเมื่อเช้ามาสายขนาดนั้น"

   "ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก"

   "เห..."

   "อือ เมื่อวานในที่ประชุมหนักไปหน่อยมั้ง"

   "เออ มีคนเอามาเล่าอยู่"

   เอาจริงคือจากเก้าคนมันนับหัวได้เลยว่าใครเป็น 'คนมาเล่า' มีอยู่แค่คนเดียวนั่นแหละที่อยากจะป่าวประกาศว่าตัวเองได้รับอิสรภาพแล้ว พี่มัจน่ะในสายตาของคนนอกคือพวกปากมากที่เก็บอะไรไม่ค่อยอยู่ ส่วนที่เขาเจอมาตลอดสามปีคือคนพูดเก่งที่รู้ว่าควรพูดแค่ไหนเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด

   "โหดอยู่ เลือกมาสองปีไม่เคยเจอครั้งไหนมีปัญหาเท่านี้เลย" เพราะว่ามีกันแค่เก้าคนเกมลอบบี้มันเลยไม่ค่อยสนุกอะไร ที่แย่งกันมากคือพวกรองประธานเพราะว่าไม่ต้องออกหน้าเยอะแต่ว่าตำแหน่งก็ยังใหญ่ "พี่มัจก็ออกตัวแรงมากว่าไม่เอาตำแหน่งแน่"

   "ก็มันไม่ใช่ของพี่เขานี่"

   "แต่คนที่ควรได้ก็งอแงอยู่นะ"

   เห็นทำหน้านิ่งอย่างนั้นไม่รู้ว่าข้างในเก็บอะไรเอาไว้บ้าง

   "คืออย่างน้อยก็ขอบคุณที่มันไม่เป็นตราบาปให้เศร้าใจว่าได้คนโง่มาเป็นประธาน"

   เราก็ใช้คำแรงกันเป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะนะ แล้วการทำงานที่ผ่านมาเดือนตุลาก็ค่อนข้างยอมรับว่าพี่ต้นหลิวเป็นแค่ 'คนโง่' อย่างที่คนอื่นเรียกจริง

   คือถ้าให้เล่าเรื่องวีรกรรมเด็ดคงต้องใช้เวลาค่อนวัน

   ส่วนถ้าเล่าเรื่องเต็มคงเป็นสัปดาห์

   "เขาก็อยู่ตั้งหลายเดือนเลยนะ"

   "ปล่อยให้มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมไปเถอะ"

   "จริงจังอะไรขนาดนั้นปลาย ที่จริงมันก็เป็นแค่เรื่องเฉพาะกลุ่มที่คนข้างนอกไม่สนใจเท่านั้นเอง"

   อยู่มานานจนชินชาไปเองว่าเราเป็นกลุ่มงานที่มีชีวิตอยู่เบื้องหลังไม่ได้ออกหน้าเหมือนกับพวกฝ่ายบริหารอย่างองค์การนักศึกษา ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าพวกเขาทั้งเก้าคนมีใครบ้าง งานที่ต้องตัดสินมีผลเป็นอย่างไร แล้วก็เพราะว่าไม่เข้าใจเนื้องานและบทบาทที่ควรทำมันก็เลยเกิดการแก่งแย่งแสงสปอร์ตไลต์กันหลายครั้ง

   พี่ต้นหลิวน่ะตัวดีเลย แสนจะภาคภูมิใจในฐานะประธานผู้ตัดสิน ตุลอยู่มาเข้าปีที่สามก็ยังไม่เคยเจอพี่ประธานคนไหนให้ความสำคัญกับการโปรโมตองค์กรมากกว่าการค้นหาหลักเหตุผลเบื้องหลังในการตัดสินข้อพิพาทได้เท่านี้ ความจริงถ้าเรื่องไม่แดงขึ้นก่อนมีโปรเจกต์ถ่ายรูปเดี่ยวไว้แนะนำตัวด้วยนะ

   ก็เลยคิดเสมอว่าถ้าอยากจะอยู่กลางฝูงชนก็ย้ายไปทำงานอะไรที่มันได้ติดต่อกับคนอื่น มาอยู่ตรงนี้นอกจากจะไม่ได้สังคมแล้วยังเสียเพื่อนง่ายเชียวล่ะ

   "ก็จริง ตอนที่ประกาศรายชื่อก็มีแต่คณะเราที่สาปแช่ง"

   "ปลงซะบ้าง การเมืองก็อย่างนี้"

   พี่มัจน่ะชอบพูดคำนี้ด้วยสีหน้าสบายๆ เหมือนพูดผ่านโลกมามากจนปลงได้กับทุกอย่างแล้ว ได้ข่าวว่าก็แก่กว่ากันแค่ปีกว่าเท่านั้นเอง

   "แค่กูเข้าไปเป็นอนุกรรมการยังโคตรปวดหัว ...โอ๊ะ นี่ผ่านมาไม่ถึงชั่วโมงเลยปะ" หมุนหน้าหันไปมองตามได้ทันที เจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายสองคนที่ออกมายืนเก้กังอยู่ตรงหน้าบอร์ดน่าสงสารเหลือเกิน "พี่ธรรมคือโหดจริงอะ เจ้าหน้าที่งี่เง่าก็ยังไม่รอด"

   "ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาแล้วนี่เรียกว่าเบๆ"

   มุมบนซ้ายของป้ายไวนิลถูกปลดออกเป็นอย่างแรก ตามด้วยฝั่งตรงข้าม คำว่าขอแสดงความยินดีหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่ต่างจากอำนาจและชื่อเสียงที่พร้อมจะหายไปทุกเมื่อ

   สัทธาดังในรุ่นตัวเองจากตำแหน่งที่หนึ่งของคณะตอนสอบเข้าอย่างที่เคยบอก ตามมาด้วยตำแหน่งท็อปเซกของวิชาบังคับในคณะเกือบทุกตัวในชั้นปีที่หนึ่งทั้งที่อยู่ในตำแหน่งตุลาการนักศึกษาไปด้วย

   ยังไม่เปิดเทอมปีที่สองก็ไปตีกับฝ่ายการนักศึกษาเรื่องค่าหน่วยกิตที่มีการคำนวณผิดพลาดจนต้องล้างการลงทะเบียนทั้งหมดใหม่ พอปีสองเทอมสองก็สร้างเพจวิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการรุ่นจนเกิดสงครามเย็นภายในคณะไปพักใหญ่ ปีสามคิดว่าดีขึ้นที่ไหนได้ย้ายไปทำงานให้สภานักศึกษาแล้วก็ขึ้นไปท้าตีกับพวกผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยแทน

   ยังไม่รวมกับชีตสรุปหลายวิชาที่เป็นตัวช่วยชีวิตใครหลายคน เห็นเป็นพวกคนป่าอย่างนั้นแต่งานทุกชิ้นไม่เคยผิดหวัง โดยเฉพาะกับวิชาสายปกครองทั้งหลาย

   เขาเองก็ได้อานิสงส์มาไม่น้อย อย่างล่าสุดก็คือวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญนี่แหละ

   "ในมุมกูให้พี่ธรรมกลับไปอยู่กับตุลาการก็น่าสนุกอะ ไปสภาแล้วเหมือนเป็นเบี้ยให้พี่ฟีนใช้" ปลายเจตน์เองก็เคยเข้าไปช่วยแบบที่โดน 'หลอก' ให้ทำงานเหมือนกัน "โคตรร้ายอะ คนอะไรไม่รู้"

   ทิชากรคือผู้คุมอำนาจอยู่ด้านหลังม่านของสภานักศึกษา ใครทำงานทางสายนั้นรู้กันหมด ที่ให้เด็กคณะรัฐศาสตร์คนอื่นขึ้นนั่งตำแหน่งประธานเพราะแค่ไม่อยากออกหน้าเท่านั้น แต่ถ้าลองมีปัญหาอะไรขึ้นมาทุกคนก็วิ่งแจ้นหา 'พี่ฟีน' กันทั้งนั้น

   และคำชี้ขาดจากเขาเป็นที่สิ้นสุด

   หมดเวลาการพักกลางวันแล้วก็บอกลาปลายเพื่อเตรียมตัวไปเรียนภาคบ่ายต่อ จากการเรียนชั้นปีที่หนึ่งซ้ำอีกครั้งทำให้เขาเก็บวิชาบังคับไปเกือบทั้งหมดและสามารถเอาเวลานั้นไปใช้กับวิชาเสรีต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ มันเหลือหน่วยกิตมากพอให้เลือกเรียนวิชาไร้สาระตามใจได้

   อย่างตอนนี้เขาก็ไปลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป ช่วงต้นตั้งแต่พวกกรีกโรมันยาวไปถึงก่อนยุคกลาง และถ้ามีเวลามากพอเทอมหน้าก็จะลงตัวต่อคือยุคกลางเรื่อยมาจนปัจจุบัน

   หรือว่าจะหาเรื่องเก็บสายประวัติศาสตร์ดีนะ

   ห้องเรียนขนาดเล็กมีนักศึกษาประมาณสี่สิบชีวิต ส่วนใหญ่เป็นเด็กเอกประวัติศาสตร์ที่จำเป็นต้องเรียนเป็นตัวบังคับ จะมีพวกเลขรหัสอื่นไม่กี่คนเอง เหมือนว่านอกจากเขาแล้วจะมีเด็กจากเศรษฐศาสตร์อีกสองสามคน นี่ทีแรกก็ชวนเพื่อนมาเรียนด้วยแหละแต่ว่ามันขอเอาเวลาไปนอนดีกว่า

   นั่งโดดเดี่ยวไร้สังคมเช่นเดียวกับทุกที หยิบเอาสมุดจดเล่มบางที่เอาไว้ใช้กับวิชานี้โดยเฉพาะขึ้นมาเตรียมพร้อม นึกย้อนไปว่าอาจารย์จะหยิบเอาหัวข้อไหนในหนังสืออ่านประกอบเล่มหนาขึ้นมาพูดในชั่วโมงนี้

   'ถ้าจำเป็นต้องฝ่าฝืนกฎหมาย จงทำเพื่อยึดอำนาจ ไม่เช่นนั้น จงยึดมั่นในกฎหมาย'

   เดือนตุลาเลิกคิ้วขึ้นตอนที่เห็นประโยคนี้บนหน้าจอ ชื่อที่กำกับเอาไว้ข้างล่างคือชื่อของจูเลียสซีซาร์ ผู้ชายที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีหรือร้ายแค่ไหน ทั้งตำแหน่งเผด็จการตลอดชีวิต แล้วยังมีเรื่องของคลีโอพัตราเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

   นั่นหมายความว่าคนอย่างกาอุส ยูลิอุส ไกซา เป็นคนที่เชื่อมั่นในกฎหมายหรือเปล่านะ?

   มันเป็นประโยคที่มีความย้อนแย้งในตัวเองเมื่อลองเอามาเรียบเรียง เหมือนกับว่าจะเชื่อมั่นใจสิ่งที่เรียกว่ากฎหมาย แต่ก็ยอมรับหน้าตาเฉยว่าการยึดอำนาจโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องที่ทำได้เหมือนกัน ก็คงเพราะว่าตอนนี้เรียนอยู่ในคณะนิติศาสตร์ด้วยเลยสนใจไปหมดทุกอย่าง

   แต่ก็ว่าไม่ได้ สมัยนั้นการเป็นเผด็จการน่ะไม่ได้ผิดตรงไหนเลยนี่นา ตอนที่อาจารย์เล่าครั้งแรกก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

   ยุคโรมันเป็นอะไรที่สนุกดี ความยิ่งใหญ่ที่มากเกินไปจนสุดท้ายก็ล่มสลายลงเป็นสัจธรรมที่เห็นได้หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ แล้วมันก็มีเรื่องที่ตลกไม่ออกหลายเรื่องอย่างเช่นว่าจักรพรรดิจัสติเนียนได้พยายามรวบรวมกฎหมายขึ้นมาแต่ว่าดันบันทึกเป็นภาษากรีก คนในโรมันที่ใช้ภาษาละตินในขณะนั้นก็เลยไม่ค่อยสนใจเป็นต้น

   กว่ากฎหมายจะกลับมาเป็นที่สนใจก็ศตวรรษที่สิบเอ็ดเลยนะ กว่าจะมีพระไปพบตัวประมวลกฎหมายเข้าน่ะ

   คาบเรียนสามชั่วโมงจบลงไปแล้ว เขาเดินออกไปหน้าห้องพร้อมกับคำถามที่ยังค้างอยู่ข้างในสองสามข้อ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะนะ อาจารย์ผู้หญิงสูงวัยใจดีไม่อิดออดที่เขาถามอะไรมากมายแถมยังแนะนำหนังสือให้ลองไปอ่านเพิ่มถ้ามีส่วนที่คิดว่ายังสงสัยอยู่

   เพราะว่าวันนี้เป็นเวรเข้าไปดูแลห้องตุลาการ หลังจากเลิกเรียนในภาคบ่ายแล้วเลยว่าจะแวะตลาดนัดก่อนไปทำงาน ช่วงเข้ามาทำงานแรกๆ มันไม่ค่อยมีการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ บางวันก็ร้างจนคนที่มาร้องเรียนได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการทำงานของตุลาการก่อนปัญหาตน

   ตอนนั้นคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็มีพี่ธรรมกับพี่มัจนี่แหละ เป็นสองคนที่ผลักดันให้ระบบการทำงานกลับมาเข้าที่เข้าทางได้ รื้อระบบข้างในจนเกือบจะเป็นการปฏิวัติเงียบไปด้วยซ้ำ

   มีกันเก้าคนก็เลยแบ่งกันวันละสองคน ส่วนเศษคนเดียวจะได้รับสิทธิพิเศษในการสั่งใครก็ได้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนหากต้องการ ตอนนี้ก็คือเดือนตุลาคนนี้ไงล่ะ

   ไม่ได้รู้สึกแปลกหรือว่าโดนทิ้งอะไรทั้งนั้น เข้าใจเสมอว่าหลายคนไม่ชอบความ 'เป็นทางการ' ของเขาเท่าไหร่ อีกอย่างคืองานมันไม่ได้เยอะขนาดที่รับมือคนเดียวไม่ไหว มันเป็นแค่การสแตนด์บายเผื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน คนที่เข้ามาอย่างมากก็แค่ยื่นเอกสารเกี่ยวกับการร้องทุกข์เอาไว้

   ในตลาดนัดประจำมหาวิทยาลัยตอนห้าโมงกว่ายังมีพื้นที่ว่างให้เดินได้สะดวก ร้านขายอาหารที่ตั้งแบบไม่ถาวรเองก็เพิ่งพร้อมให้บริการ เขาเดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งแรก สั่งน้ำใบเตยกับน้ำข้าวโพดโดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าไม่เอาถุงพลาสติกกับหลอด

   ต่อจากนั้นก็เดินสำรวจจนทั่วอีกหนึ่งรอบเพื่อเป็นการตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร เรื่องอาหารเขาไม่มีเมนูประจำตายตัว เกิดอยากทานอะไรขึ้นมาก็เลือกสิ่งนั้น อย่างที่คิดตอนนี้คือเคบับเพิ่มชีสก็น่าสน

   นาฬิกาข้อมือทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบอกเวลาว่าเหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนถึงเวลาทำงาน นิสัยชอบไปก่อนเวลาเลยเร่งให้เขาหยุดเดินหาของทานเล่นแล้วไปประจำหน้าที่สักที ตอนออกมาจากบริเวณของตลาดนัดสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าผ้าที่กลายร่างเป็นกระต่ายได้จึงมีน้ำสมุนไพร เคบับ และทับทิมกรอบสาหริม

   เดือนตุลาบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามหาวิทยาลัยคิดอะไรอยู่ตอนที่สร้างตึกสี่ชั้นแห่งนี้ขึ้นมา มันเป็นตึกที่แยกตัวออกมาต่างหากจากกลุ่มงานนักศึกษา ชั้นล่างสุดเป็นงานบริการบางกลุ่มของเจ้าหน้าที่ ชั้นสองเป็นของสภานักศึกษา ชั้นสามขององค์การนักศึกษา และชั้นสี่ตกเป็นของตุลาการ

   'สูงส่ง' แม้กระทั่งสถานที่ทำงานเชียวล่ะ

   ส่วนตัวแล้วคิดว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี ที่เห็นได้ชัดเลยคือการที่ไม่มีลิฟต์นี่แหละ เขาเดินผ่านชั้นสองที่มีสมาชิกเดินเข้าออกขวักไขว่กว่าปกติเป็นสัญญาณว่าวันนี้คงมีการประชุม ส่วนชั้นสามนั้นมักจะมีเสียงดังตลอดทั้งปีสมกับเป็นฝ่ายดูแลงานออกหน้าต่างๆ

   สำหรับชั้นทำงานของตุลแล้วมันมักเงียบ วังเวง ไร้ชีวิตเสมอ จะจอแจขึ้นมาหน่อยก็วันที่ต้องจัดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือไม่ก็ตัดสินพิพากษา มีนโยบายชัดเจนว่าถ้าไม่พอใจก็ไปอุทธรณ์มหาวิทยาลัยเอาเอง ถ้ามีตบตีกันแถวนี้จะได้ความผิดฐานทะเลาะวิวาทเข้าไปเพิ่มอีก

   มองกล่องยื่นเอกสารเรื่องร้องเรียนที่ว่างเปล่าด้วยความโล่งใจว่าวันนี้น่าจะไม่ต้องเจองานหนัก ดึงกุญแจที่ฝากเอาไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นมาเปิดห้อง เปิดสวิตช์วงจรไฟฟ้าในห้องให้เรียบร้อย หยิบของออกมาจากถุงวางเรียงเอาไว้บนโต๊ะเตรียมพร้อมสำหรับมื้อเย็น

   เป็นคนเหงาที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ นอกจากปลายแล้วเขาก็มีสังคมเล็กๆ ในวงตุลาการกับคนที่ต้องติดต่องานกันเท่านั้นเอง เหมือนจะสนิทกับพวกพี่เจ้าหน้าที่มากกว่าด้วยในบางครั้ง

   "ทำไมอยู่คนเดียว?"

   หากวันนี้กลับมีบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม

***
   หายไปนานเลยเนอะ กลับมาอัปแบบที่รู้ตัวว่าตอนต่อไปจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ค่ะ เพราะยังหาวิธีแฮนเดิลชีวิตไม่ได้อยู่ดี (ฮา) แต่คิดว่าต้องอัปก่อนที่จะถูกแจ้งลบเพราะไม่มาต่อค่ะ...
   แด่หกตุลาที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-11-2018 21:45:47
บทสี่


   แทบจะเป็นการตวัดจนหน้าหันไปทางประตูห้อง ผู้ชายตัวสูงที่พิงขาอยู่ตรงนั้นยังคงอยู่ในชุดเดิมแบบเดียวกับที่เขาเห็นช่วงกลางวัน ในมือถือหนังสือเล่มหนาที่ดูหน้าปกแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างแน่นอน

   "...ผมเข้างานคนเดียวครับ"

   "ไม่ชวนคนอื่น?"

   "อยู่คนเดียวสบายใจกว่าครับ"

   "งั้นทนอึดอัดหน่อย พี่มารอฟีนประชุมน่ะ"

   ตลกชะมัดที่ประธานมาพูดทำนองนี้ใส่ "ครับ"

   สัทธาผงกหัวขึ้นลงพลางปิดประตู เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดยาวสำหรับแขกแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ ล่องลอยเข้าไปในโลกของตัวอักษรโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาใด

   บอกตัวเองในใจว่าของหวานคงต้องกลับไปกินที่ห้องแล้ว กวาดซากที่หลงเหลือจากมื้อเย็นเอาไว้ที่เดียวให้สะดวกกับการหยิบลงไปทิ้ง ในเมื่อวันนี้ไม่มีงานให้จัดการก็เลยว่าจะเปิดคอมหาอะไรดู ว่าไปแล้วไม่ได้เข้าไปอัปเดตกฎหมายใหม่เลยแฮะ

   ก็เล่นประกาศใช้อย่างกับตราปั๊มของเล่น

   ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์แต่ละคนบ่นเรื่องนี้กัน ในยุคที่กฎหมายฉบับใหม่เผยแพร่เป็นว่าเล่น ในหลายครั้งมันไม่ได้มีการทบทวนถึงผลทางบวกและทางลบมากเพียงพอ แถมบางกรณียังเอาคนไม่เข้าใจกฎหมายมาเขียน ใช้บังคับไม่ได้ก็ต้องออกฉบับแก้ไขเพิ่มเติมออกมา วนเป็นวงเวียนที่น่าเศร้าใจ

   "เปิดเพลงต่อได้นะ พี่โอเค"

   "...ครับ"

   เมื่อกี้เขาเปิดโปรแกรมสตรีมมิงเพลงตามความเคยชิน ก่อนจะหรี่เสียงลงแทบไม่ทันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

   "อยู่ถึงกี่โมง"

   "สองทุ่มครึ่งครับ"

   "ฟีนน่าจะเลิกดึกกว่านั้น ถ้ายังไงตุลกลับตามเวลาเดิมได้เลยเดี๋ยวพี่ปิดห้องให้ กุญแจก็ฝากไว้กับยามเหมือนเดิมใช่ไหม"

   "..."

   เดือนตุลาปิดปากเงียบ ตามองแต่หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนไปแสดงหน้าข่าวรอบโลกประจำวัน อารมณ์คงที่ก่อนหน้านี้ดิ่งลงจนน่ากลัวเพียงเพราะคำเดียว

   "เปลี่ยนที่ฝากแล้วเหรอ?"

   "...สิบ"

   "ว่าไงนะ?"

   "เดือนสิบ"

   เสียงที่ออกไปเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

   "ปกติพี่ธรรมเรียกผมว่าเดือนสิบ"

   มันเป็นเวลาที่ผ่านมาไม่นานจนไม่อยากเชื่อว่าคนพูดจะ 'ลืม' สิ่งที่ตนเองเคยบอกไว้ คำเอ่ยที่ทำให้เดือนตุลาสัมผัสถึงความพิเศษที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

   เดือนตุลาเหรอ งั้นพี่เรียกว่าเดือนสิบนะ

   "เรียกให้เหมือนกับคนอื่นไง"

   "เดือน สิบ"

   จะว่าทำตัวงี่เง่าก็ได้แหละ ตุลยังย้ำคำเดิมซ้ำอีกครั้งโดยเน้นทีละพยางค์ให้คิดไปทางอื่นไม่ได้นอกจากแสดงความปรารถนาชัดว่าจะให้เรียกแบบไหน

   สัทธาปิดหนังสือที่วางเอาไว้บนตักลง ขยับท่านั่งให้หลังตรงพร้อมกับวางมือเอาไว้ตรงตัก เกลียดนักล่ะพวกที่ข่มขวัญกันด้วยท่านั่ง ทั้งที่พี่ธรรมก็รู้ดีว่าปกติแค่ใช้เสียงนิ่งไม่ต้องแสดงออกอะไรมากมายคนอื่นก็ไม่กล้าต่อกรแล้ว

   "เรามาตกลงกันหน่อยดีกว่าไหมเดือนตุลา"

   หัวใจที่พองขึ้นยามได้ยินคำขึ้นต้นห่อเหี่ยวลงไปพลัน เขาตีหน้าขรึมทำเป็นอวดดี เชิดหน้าใส่กลบความกลัวทั้งหมด ใจคิดเป็นร้อยอย่างแล้วว่าพี่ธรรมต้องการสร้างข้อตกลงเรื่องอะไร

   "บอกว่าเดือนสิบ" ยังปากกล้าได้อยู่ หากมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่ายก็บอกให้เขารู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร "ข้อตกลงอย่างแรกคือพี่ธรรมต้องเรียกผมว่าเดือนสิบเหมือนเดิม"

   มนุษย์ทุกคนปรารถนาเป็นผู้เป็นที่รัก

   เป็นคนพิเศษ

   "...ก็ได้"

   แม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของอีกฝ่ายก็ตาม

   "งั้นพี่อยากจะตกลงเกี่ยวกับอะไร"

   "เรื่องงานไม่ต้องกลัวพี่ คุยได้หมด"

   หลุดแค่นหัวเราะออกมา ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างสัทธาจะต้องการเพียงแค่นี้ "เราเคยทำงานด้วยกันมาก่อนนะครับ"

   เดือนตุลาเต็มที่กับงานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน พวกเอกสารเขาก็ตรวจขั้นสุดท้ายเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดเสมอ งานราชการน่ะเรื่องมากจะตายไป ทั้งกั้นหน้า ตัวเลขไทย แล้วยังไม่รวมกับบางคำบางข้อความที่มีชื่อเรียกเฉพาะอีก

   สัทธาคือคนที่รู้ดีกว่าใคร

   "อืม อย่างนั้นก็ดี เห็นเกร็งๆ เลยบอกไว้ก่อน"

   "แค่นี้เหรอครับ?" ถามลองเชิงกับคนที่กลับไปเปิดหนังสืออ่านนอกเวลาอีกครั้ง "ผมนึกว่าพี่มี 'เรื่องอื่น' ที่อยากจะพูดมากกว่านี้ซะอีก"

   "ไม่มี พี่จะอ่านต่อแล้วนะ"

   ทุกอย่างคือการตัดบทในพริบตา ตุลเม้มริมฝีปากแน่นยามเห็นทุกอากัปกิริยาที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจ มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเสียในช่วงที่ต้องยอมรับว่ามีเพียงเขาที่เป็นเดือดเป็นร้อนไปเองฝ่ายเดียว

   ยังจำได้ดีว่าการเจอกับสัทธาครั้งแรกเป็นอย่างไร และไม่มีทางลืมว่าครั้งสุดท้ายมันจบลงแบบไหน

   คนที่เดินออกไปไร้เยื่อใยคนนั้นกลับมาทำไม...

   "...ทำไมพี่ถึงกลับมา"

   ไม่มีอีกแล้วเดือนตุลาคนที่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว ความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นบทเรียนที่สอนให้เขายอมรับว่าโลกใบนี้ไม่มีความยุติธรรมใด คนที่อ่อนแอก็ต้องยอมรับสภาพและกลายเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า

   "..."

   "ตอบผมหน่อยได้ไหมพี่ธรรม"

   แผ่นหลังที่หายไปโดยไม่หันกลับมายังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเสมอ

   "..."

   "ถ้าเงียบ ผมจะเชื่อว่าพี่หายไปเพราะวันนั้นนะ"

   "..."

   "..."

   "พี่ว่าพี่ไปอยู่ข้างล่างดีกว่า"

   การเฉไฉเปลี่ยนไปเรื่องอื่นคือการบอกโดยอ้อมว่าไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับมันอีก

   สัทธาไม่ต้องเก็บของอะไรมากมายเพียงแค่ยกกระเป๋าขึ้นสะพายและผุดลุกไปทางออก คนมีหน้าที่เฝ้าห้องทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นผู้ชมการแสดงจากหน้าจอ ท่องเลขหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อยื้อเวลาไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิด

   หากเมื่อครบถึงเลขสุดท้ายแล้ว เขากลับโพล่งออกไปทันที

   "ถ้าพี่บอกว่าคุยได้หมด ผมก็จะบอกให้พี่ฟัง"

   "..."

   "การกลับมาทำงานร่วมกับคนที่ตัวเองยังรักอยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกครับ"
 


   ทำเป็นปากดีได้ต่อหน้า หากลับหลังแล้วก็กังวลใจอยู่ตามลำพัง

   เข้าวันที่สามแล้วตั้งแต่เขาพูดออกไปในสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดตนเอง เกือบครบช่วงเวลาที่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์บอกว่าสมองจะสามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างได้ครบถ้วนทั้งหมด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรความรู้สึกในตอนนั้นถึงไม่จางเลยไปเลย

   พี่ธรรมจะมองว่าเขาเป็นคนยึดติดหรือเปล่านะ

   ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อเป็นเรื่องจริงนี่นา

   "...พี่โคตรใจร้ายเลยรู้ไหม"

   "ใครทำอะไรน้องตุล?"

   สะดุ้งโหยงกับเสียงที่กระซิบข้างหู มองใบหน้าแย้มยิ้มเป็นนิจของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ที่ยังไม่ยอมยืดตัวกลับไปเต็มความสูงเช่นเดิม

   "บอกพี่มาได้เลย เดี๋ยวเคลียร์ให้เอง"

   เห็นความเต็มใจที่ส่งผ่านมาชัดแล้วก็ได้แต่ปฏิเสธไปก่อน "ไม่มีอะไรครับ"

   "ไม่เชื่อ"

   "ถ้าบอกว่าผมเหนื่อยกับรายงานการประชุมที่เหมือนไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อักษรมาเลยพี่จะช่วยเคลียร์ให้ไหมล่ะครับ"

   "ยากเลยแฮะ" วิธีการเปลี่ยนหัวข้อที่ดีที่สุดคือเอาเรื่องงานมาคุย พี่มัจน่ะรักความสนุกสนานจะตายไป "ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเอามาทำเอง ไม่เชื่อ"

   ปกติแล้วนอกจากองค์คณะจะมีเลขานุการคอยจดบันทึกและทำรายงานการประชุมอีกสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นขอลาออกไปตั้งแต่ช่วงต้นเทอมด้วยสาเหตุว่ามีปัญหาส่วนตัวกับพี่ต้นหลิว อีกคนนี่ก็ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ ไม่รู้ว่าประธานคนก่อนไปเก็บมาจากไหน

   เข้าใจได้ว่ามันเป็นตำแหน่งที่ดูไม่มีค่าและความสำคัญ มันเลยยากที่จะหาคนเต็มใจทำสุดความสามารถและได้งานที่มีประสิทธิภาพออกมา พออาสาบอกว่าจะทำให้เองก็กลายเป็นการถือตนข่มท่านคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นไปเสียอีก

   บอกแล้วว่าทำงานพวกนี้น่าปวดหัว

   "มีประธานคนใหม่แล้วฝากพี่มัจเสนอเรื่องนี้หน่อยสิครับ"

   "เฮอะ ธรรมจะบอกให้ต่างคนต่างจดเองไม่เปลืองแรงคนอื่นน่ะสิ"

   วันนี้ไม่ต้องเข้ามาเฝ้าห้อง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตตอนเย็นอยู่ที่นี่เพราะว่ามันจะมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นวาระเร่งด่วน

   เกลียดนักล่ะกลุ่มกิจกรรมที่มีพื้นที่ขอบข่ายของงานใกล้เคียงจนหาความแตกต่างไม่ค่อยเจอ ไม่รู้ว่าฝั่งสภาอนุมัติออกมาได้ยังไงตั้งหลายต่อหลายกลุ่ม แล้วพองานทับกันจนไม่รู้จะหาจุดตรงกลางจากไหนก็มาจบตรงที่ว่าต้องให้ตุลาการช่วยไกล่เกลี่ย นอกจากจะเป็นศาลแล้วยังทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการอีกต่างหาก

   บางกรณีที่ไม่อยากให้เรื่องขึ้นสู่กระบวนการทางศาล หลายครั้งสัญญาเปิดโอกาสให้เลือกอีกช่องทางที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าอย่างอนุญาโตตุลาการ คือให้คนอื่นที่ไม่ใช่ศาลและคู่ความต่างยอมรับมาเป็นผู้ตัดสินข้อพิพาทแทนโดยผลของการตัดสินก็ยังคงผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามทั้งหมด

   "ผมว่าก็ดีนะ โตแล้วก็ควรรับผิดชอบตัวเองให้ได้"

   "เนี่ย เพราะมีลูกคู่อย่างนี้เดี๋ยวธรรมก็เอาแต่ใจกว่าเดิม"

   แม้คำค้านแรกที่โผล่ขึ้นมาคือคงไม่มีใครเอาแต่ใจได้เท่าคนตรงหน้าอีกแล้ว เดือนตุลาก็เลือกที่จะปิดปากเอาไว้ให้สนิทแล้วเดินออกไปเตรียมห้องประชุมแทน นี่ตอนออกแบบคนวางแปลนคงลืมไปว่าชั้นนี้จะมีคนใช้งานแค่เก้าคน การทำห้องย่อยสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์อีกสี่ห้องจึงเป็นอะไรที่เกินความต้องการไปหน่อย ด้วยความที่ไม่อยากให้มันถูกปล่อยทิ้งร้างครึ่งหนึ่งเลยกลายเป็นห้องเก็บของสำหรับบางกลุ่มกิจกรรมไปแล้ว

   คือถ้าแบกของขึ้นมาสี่ชั้นไหวก็ใช้ไปเลย เต็มที่

   ภายในมีโต๊ะเก้าอี้เตรียมไว้พร้อมใช้งาน รวมถึงมีบอร์ดกระจกพร้อมปากกาไวต์บอร์ด ของที่ดูแล้วสามารถเอามาเป็นอาวุธฟาดฟันกันได้ถูกนำออกไปตั้งแต่เกิดเรื่องชุลมุนสมัยก่อนเขาเข้าเรียน

   ตรวจสอบภาพรวมให้ไม่มีข้อบกพร่อง เร่งเปิดแอร์ในระดับที่เย็นกว่าปกติเผื่อไว้ดับอาการหัวร้อนของทุกฝ่าย เช็กว่าอีกกี่นาทีจะถึงเวลานัดหมาย วันนี้เขาไม่ได้รับมอบหมายให้มาเป็นคนไกล่เกลี่ยแต่พี่มัจก็เปรยบอกว่าอยากให้มีตุลาการคนอื่นเข้ามาเตรียมพร้อมเอาไว้

   เรื่องนอกเหนือจากความคาดหมายมีได้เสมอแหละ

   "น้องตุล นอกจากธรรมแล้วใครอีกที่เข้างานวันนี้"

   เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารข้อร้องเรียน ตอบกลับไปทันที "ก็น้องรักพี่ต้นหลิวไงครับ"

   คณะกรรมการย่อยถูกล็อกเอาไว้หนึ่งตำแหน่งคือประธาน ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่การใช้ดุลยพินิจ เราไม่ใช้องค์คณะใหญ่เพราะว่ามันจะดูเป็นการเข้ามากดดันจนเกินไป ก็เลยเหลือเพียงแค่สามคนอันเป็นตัวเลขที่กำลังดี

   นี่ก็ไม่รู้ว่าเลือกกันอีท่าไหนถึงได้คนนี้มา จะเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นการเสียมารยาท โชคยังดีที่อีกคนคือพี่มัจฉ์ไม่อย่างนั้นแล้วอาจกลายเป็นคนอื่นต้องมาไกล่เกลี่ยตุลาการแทน

   "นี่ไม่ใช่วันดีของพี่แน่เลย" เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วก็เอ็นดู บางมุมพี่มัจเป็นเด็กน้อยมากๆ เลยล่ะ "แต่ถ้าได้กอดให้กำลังใจจากน้องตุลพี่ว่ามันก็โอเคอยู่"

   "ผมยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้เลยครับ"

   "แค่อยากกอดน้องตุลอะ"

   เกณฑ์ความสูงของพี่มัจฉ์ค่อนไปทางต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐาน มันเลยทำให้เดือนตุลาคนที่สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบต้องกดหน้าลงมาเพื่อพบกับสายตาอ้อนวอนของอีกฝ่าย เรื่องของเรื่องคือพี่เขาทำอย่างนี้มาตั้งแต่รู้จักกันวันแรกๆ จนถึงทุกวันนี้มันก็ยังไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

   "ไม่ครับ"

   "อย่างน้อยให้พี่สักครั้งตอนวันรับปริญญาก็ได้"

   "ผมไม่คิดจะไปเบียดเสียดกับคนเป็นล้านอย่างนั้นแน่นอน"

   "นั่นสิ..."

   "พี่มัจไปตามคนร่วมองค์คณะเถอะครับ เดี๋ยวกลายเป็นว่าต้องให้คนอื่นมารอล่ะขายหน้าแย่"

   เราต้องมีการประชุมกันก่อนว่าจะแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไร รวมถึงคุยกันให้กระจ่างว่าการตัดสินควรออกไปในแนวทางไหนที่จะดีกับทุกฝ่าย ถ้าสมมุติว่ามีคนไม่ยอมอ่อนข้อใครจะเป็นคนหว่านล้อม หรือว่าถ้าต้องตัดสินเมื่อไหร่ก็ต้องมีคนปิดประเด็นได้เช่นกัน

   "ธรรมบอกว่าจะมาตรงเวลา"

   สัทธาน่ะเป็นคนตรงต่อเวลาของแท้เลยล่ะ

   "งั้นก็รออีกคนไป"

   "พี่ถามได้ปะว่าคิดยังไงที่ธรรมกลับมา"

   "...ถ้าบอกว่าถามไม่ได้แล้วพี่มัจจะยอมรามือไหมล่ะครับ"

   ยิ้มแกมรู้ทันอย่างนั้นไม่เคยพาเรื่องดีมาสักครั้ง "งั้นแสดงว่าดีใจใช่ไหมล่ะ"

   ก็เพราะว่าชอบทำตัวอย่างนี้ไงเลยไม่ค่อยมีใครชอบเท่าไหร่ พี่มัจฉ์ชอบคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วล่วงหน้า ที่เอามาถามก็แค่อยากมีความสุขเวลาพบว่าสิ่งที่ตนเองคิดมันถูกต้อง

   "ผมชอบที่เราได้คนทำงานเป็นกลับมา"

   "ไม่เอาในแง่ส่วนรวมสิ เอาแค่ความรู้สึกน้องตุลเลย"

   "..."

   ไม่อยากจะเอ่ยออกไปสักคำ เพิ่งบอกไปเองว่าพี่มัจน่ะมีคำตอบเอาไว้ในใจแล้ว ต่อให้เขาตอบไปในทางไหนมันก็จะถูกโยงให้กลับมาเป็นอย่างที่ต้องการจนได้ ล่ะขืนตอบอะไรที่มันเข้าทางพี่เขาด้วยแล้วนะ เดือนตุลาบอกเลยว่ามีแต่เสียกับเสีย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

   "พี่รอคำตอบอยู่นะ"

   ท่ามกลางความเงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของมัจฉ์ที่สะท้อนจากแสงไฟยังคงมองตรงไม่มีหันเหไปทางอื่น จนตุลลืมตัวเปิดปากเตรียมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไป "ผม..."

   "ทำไมต้องใช้ห้องนี้?"

   หากเสียงแทรกขององค์คณะประจำวันดังขึ้นมาเสียก่อน ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องก่อนหน้าแล้วหันไปมองทางผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ยอมเข้ามา ความไม่พอใจปรากฏเล็กน้อยผ่านน้ำเสียง

   "ห้องอื่นก็เยอะแยะ"

   "กูอนุเคราะห์ให้เป็นห้องชมรมไปแล้วสองห้อง ก็เลยเหลือแค่นี้"

   "แต่ห้องถัดไปก็ยังว่าง"

   "แล้วมันต่างกันตรงไหน"

   "..."

   คนที่รู้ความนัยปิดปากสนิททั้งคู่ เดือนตุลาเข้าใจดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะเอ่ยคำใดออกมา พี่มัจฉ์ยิ่งจับความรู้สึกเก่งอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าไปฝึกวิชาการอ่านสีหน้าและท่าทางมาจากไหนมากมาย เวลาทายหรือประเมินอะไรก็ไม่ค่อยพลาดด้วย

   “รอฟังเหตุผลอยู่”

   “...ใช้ห้องนี้ก็ได้”

   บอกแล้วว่าคนเดียวที่คุมพี่ธรรมได้ก็คนนี้แหละ ต่อให้แผลงฤทธิ์ใส่คนทั้งโลกได้ก็ต้องมาสยบให้กับพี่มัจ

   “เตือนครั้งเดียวว่าอย่ามางี่เง่าเวลางานนะธรรม ต่อให้มึงเป็นประธานกูก็ไม่เว้น”

   “เออ”

   “งั้นก็นั่งอ่านสรุปไป ขอตามคนร่วมองค์คณะอีกหน่อหน่อย”

   จากห้องที่เคยมีเสียงพูดคุยก็กลายเป็นพื้นที่ห้ามใช้เสียงไปแล้ว บรรยากาศที่น่าอึดอัดพาให้อยากเดินตามออกไปข้างนอกเพื่อหาอากาศที่ถ่ายเทมากกว่านี้ เดือนตุลาบอกตัวเองซ้ำอีกครั้งให้ตั้งสติเอาไว้ให้มากที่สุด อย่าเพิ่งนำเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน

   พี่ธรรมเดินมานั่งแทนที่ในเก้าอี้ที่เพิ่งว่างลง หยิบเอาแผ่นกระดาษที่วางเอาไว้เป็นชุดอยู่แล้วขึ้นมาไล่อ่านเร็วๆ คล้ายกับว่าไม่ใส่ใจ เสียงพลิกเอกสารดังเป็นจังหวะต่อเนื่องในอัตราใกล้เคียงกัน หากเมื่อหมดชุดแล้วเขาก็เริ่มไล่อ่านใหม่อีกครั้ง

   “ไม่มีชื่อเป็นองค์คณะนี่?”

   “อ้อ สแตนด์บายเผื่อไว้น่ะครับ” ตอบกลับเสียงเรียบ เดินไปเช็กเครื่องปรับอากาศอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันเกินไป “ถ้าตุลาการตีกันเองเมื่อไหร่จะได้อพยพคนทัน”

   “งานก็คืองาน น่าจะแยกออก”

   ตอบอย่างนั้นแสดงว่ายังใส่ใจกับรายละเอียดอยู่ “ผมว่าพี่น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าคำนั้นมันใช้ไม่ได้”

   ทั้งเล่นตัวจนเกือบเสียงาน เสนอหน้าออกสื่อจนลืมความรับผิดชอบหลักตัวเอง ไม่รวมกับยิบย่อยอื่นๆ อีกพอสมควร พี่เขาก็ไปอยู่ฝั่งสภาที่เล่นการเมืองแรงกว่าฝั่งนี้ไม่รู้กี่เท่ามาเป็นปี น่าจะได้ประสบการณ์ไม่น้อย

   “มั้ง เดือนสิบช่วยปรับแอร์หน่อยเถอะ จะหนาวแข่งกับห้องเรียนรวมเหรอ”

   “...”

   ทั้งที่มันเป็นเงื่อนไขที่สร้างขึ้นมาเอง

   เขากลับไม่ยินดีเท่าที่ควรยามได้ยินเสียงเรียกชื่อตามที่เคยต่อรองกันเอาไว้

   “หรือว่าร้อน ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ต้องปรับก็ได้นะ”

   “ไม่ร้อนครับ นี่ก็คิดว่าควรปรับลงมาหน่อยเหมือนกัน”

   ก็เลยกดรีโมตปรับลดลงอุณหภูมิให้อยู่ในตัวเลขที่น่าจะไม่หนาวและร้อนเกินไปแทน ขยันพอที่จะเดินไปเช็กความเรียบร้อยของหน้าต่างและผ้าม่านด้วย คือตอนนี้เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่ไม่ใช่การกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวยาวนั่น

   “อือ ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ พี่ธรรมอยากให้...”

   เกลียดระบบความทรงจำที่ฉายภาพเก่ายามกลับหลังหันมาเจอกับผู้ชายคนเดิม คำที่ตั้งใจว่าจะถามถูกเก็บเข้าไปอยู่เพียงในความคิด ตุลซ่อนมือข้างที่ยังว่างเอาไว้ข้างหลังตัวไม่ให้เห็นว่ามันกำแน่นแค่ไหน เม้มปากเอาไว้สนิทตามระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้น

   “หืม อยากให้อะไร?”

   ขอบคุณที่สัทธายังสนใจแต่ข้อมูลตรงหน้า “อยากให้ปรับเพิ่มกว่านี้ไหมครับ ตอนนี้ยี่สิบห้าแล้ว”

   “เท่านั้นก็ได้”

   สัมผัสได้ว่ามือข้างที่กำแน่นชื้นเหงื่อจนน่ากลัว ทั้งการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนในหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้น และความคิดที่เรียบเรียงไม่เป็นระบบส่งผลให้สมองเริ่มเบลอ จนมันร้องเตือนให้เขาทำอะไรก็ได้เพื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์สุดแย่นี้

   “พี่รบกวนออกไปตามมัจกับอีกคนให้หน่อย อีกสามนาทีจะถึงเวลาแล้ว”

   “ได้ครับ”

   ยินดีกับหน้าที่นี้มากเชียวล่ะ ตุลก้าวยาวๆ ไปทางประตูห้อง นึกอยู่ว่าควรจะออกไปตามที่ไหนจึงเข้าท่ามากที่สุด ถ้าแค่โทรตามก็น่าจะอยู่ตรงทางเดิน หรืออาจจะฮาร์ดคอร์หน่อยก็ลงไปดักรอหน้าตึก

   “เดือนสิบ”

   เสียงนั้นตรึงให้เขาหยุดทุกการเคลื่อนไหวโดยพลัน

   “พี่ไม่ได้หายไปเพราะเรื่องวันนั้น”

   “...”

   “แล้วถึงมันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นายก็ต้องทำให้ได้ เข้าใจใช่ไหม”

   แค่นยิ้มสมเพชคือสิ่งที่เดือนตุลามอบให้กับตัวเอง



***
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-11-2018 22:24:38
กลับมาแล้วน้องตุลของเราอย่ามาทำร้ายน้องเราเลยพี่ธรรม..ขอบคุณคุณเจ้านะคะ..ขอเป็นกำลังใจให้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-11-2018 05:29:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-11-2018 10:23:32
มันมีเรื่องอะไรกันน้อออออออ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-11-2018 14:05:14
เครียดแฮะ แต่จะตามอ่านต่อค่ะ อยากรู้เขามีเรื่องอะไรกัน
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 25-11-2018 04:10:23
เพิ่งอ่านจบบทที่ 1 แหล่ะ แต่คันมืออยากเม้นแล้ว (ฮา)
ส่วนตัวเคยทำงานอยู่ในองค์การนิสิตค่ะ อยากจะบอกว่าฝ่ายบริหารเองก็เป็นโดนคนมองไม่ต่างจากตุลาการเท่าไรหรอกนะ
กลุ่มนึงก็มองว่าเป็นหน่วยงานเจ้ายศเจ้าอย่าง บอกว่าเราเป็นแค่ทาสของมหาลัยแต่กลับคิดว่าได้ตำแหน่งสูงส่ง
อีกกลุ่มนึงก็มองว่า ในเมื่ออยู่เหนือนิสิตทั้งมหาลัยแล้ว ก็ต้องรู้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่างสิ
และคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหน่วยงานของมหาลัย ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในมหาลัยมีหน่วยงานหรือองค์กรแบบนี้ด้วย คิดว่ากิจกรรมหรือกฏต่าง ๆ มาจากผู้บริหาร เพราะงั้นเรื่องได้หน้านี่ก็ไม่ค่อยมี แต่ปัญหานี่มีมาตลอดเลย (ฮา)
เวลาจะจัดโครงการแต่ละทีแทบจะต้องตบตีกับผู้บริหาร แล้วยังกับพวกสภา สโม ชมรมอีก โห นึกย้อนไปแล้วปวดหัวมากเลยค่ะ
เรื่องเส้นสายภายในนี่เป็นอะไรที่สุด ๆ จริง ๆ นะ ยิ่งใกล้เลือกตั้งนี่ยิ่งแบบ... การทำงานส่วนกลางสอนอะไรได้เยอะมาก 
พวกการได้ใช้เวลาว่างหรือได้เพื่อนใหม่นี่มันเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสี่ [22.11.18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-11-2018 16:03:58
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-01-2019 19:13:14
บทห้า


   บรรยากาศในห้องประชุมสำหรับเก้าชีวิตตอนนี้กำลังตึงเครียดได้ที่เลยล่ะ

   เดือนตุลาไล่มองตั้งแต่มุมซ้ายสุดของห้องไปยังฝั่งตรงข้าม มองปฏิกิริยาตอบรับที่ฉายอยู่บนใบหน้าของแต่ละคนด้วยความบันเทิงในหัวใจไม่ต่างจากพี่ปีสี่ด้านข้าง สามารถแยกประเภทออกได้เป็นสองส่วนคือกำลังปลงตกกับสถานการณ์เพราะเคยประสบมาแล้วกับคนใหม่ที่กังวลจนหน้าซีด

   มันเป็นการเรียกประชุมวิสามัญที่เร่งด่วนและกระชั้นชิดจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งการทำระเบียบการประชุมล่วงหน้าลงในกรุ๊ปเฟซและไลน์ โดยระยะเวลานับแต่ประกาศเรียกจนถึงช่วงการเข้าประชุมคือสิบห้าชั่วโมงเท่านั้น

   “ผมให้เวลาคุณอธิบายเต็มที่ เชิญเลยครับ”

   จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาอาวุธที่น่ากลัวของสัทธาคือบุคลิก ยามใจดีก็เป็นพี่ชายแสนอบอุ่นที่พึ่งพาได้เสมอ หากใจร้ายเมื่อไหร่คนที่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ตลอดคือยอดมนุษย์

   เมื่อรวมเข้ากับวาทศิลป์ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีในฐานะตัวแทนดีเบตของมหาวิทยาลัย การเลือกใช้คำและน้ำเสียงที่เหมาะเจาะลงตัวกับทุกสถานการณ์มันก็เสริมเข้าไปใหญ่ ตอนนี้หลายคนที่เคยให้ค่าผู้ชายคนนี้ต่ำกว่าเกณฑ์เกินไปคงจะรู้สึกผิดแล้ว

   ไม่มีอะไรดีกว่าการเจอของจริง

   หัวข้อในการประชุมวันนี้คือการเรียกมาซักถามสำหรับข้อขัดข้องที่ทำให้หนึ่งในองค์คณะที่ควรจะเข้าทำงานสำหรับการไกล่เกลี่ยเมื่อวานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งที่มีการแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ เมื่อวานพี่มัจเดินกลับเข้ามาตรงเวลาที่นัดหมายเอาไว้โดยแนะนำกับกลุ่มกิจกรรมทั้งสองว่ามีเดือนตุลาเป็นองค์คณะคนที่สาม

   ตอนนั้นคือต้องปัดอาการเบลอทั้งหมดที่เป็นเอฟเฟคต่อจากคำตอบของพี่ธรรมออกไปก่อน รับหน้าแบบที่ยังไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ คือเห็นหน้าพี่มัจฉ์ที่กำลังแสร้งยิ้มการค้าให้แล้วก็ขอสงบปากสงบคำไม่ทักหรือเถียงอะไรดีกว่า

   ทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้เหมือนกันหมด พี่มัจเองถ้าเป็นเรื่องงานแล้วก็เด็ดขาดไม่ต่างจากพี่ธรรม เผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะงั้นตอนที่ถึงเวลานัดหมายแล้วไม่ปรากฎตัวก็ไม่ตามให้วุ่นวาย อีกอย่างคือไม่อยากจะให้คนอื่นต้องมาเห็นตุลาการในสภาพที่แตกความสามัคคี

   เราใช้เวลาในการหาข้อสรุปไม่นานเหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ส่วนหนึ่งก็มาจากคู่เพื่อนที่แท็กทีมกันดึงเข้าหาเมนไอเดียไม่ปล่อยให้ใครได้ออกนอกทะเลเลย ยิ่งจังหวะการรับส่งที่ดูแล้วเหมือนกันเตี๊ยมกันมาเป็นเดือนนั่นแล้วถ้าเป็นใครก็อยากจะหาข้อสรุปให้เร็วที่สุดแล้วออกจากห้องนี้ไปสักที

   รวมถึงตัวเขาเองเช่นกัน

   ‘พรุ่งนี้เรียกประชุมด่วน ใครไม่มาก็ให้แม่งลาออกไปซะ’

   พอคนอื่นออกไปหมดแล้วก็ระเบิดลงตู้ม สั่งให้ประธานไปดำเนินการต่อให้เสร็จสรรพ ถามว่าบรรยากาศตอนนั้นแย่แค่ไหนก็ถึงขั้นที่ว่าถ้าพี่มัจหันมาขอกอดจากเขาก็จะยอมให้ไม่อิดออด

   เท่าที่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานมาแล้วมีไม่กี่ครั้งที่มีปัญหาเรื่ององค์คณะในการทำงานไม่ครบ (ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยมีใครอยากจะส่งเรื่องมาถึงชั้นนี้เท่าไหร่​) แล้วทั้งหมดมันมามาจากเหตุสุดวิสัยประเภทที่ว่าอาจารย์นัดส่งงานด่วน หรือไม่ก็ความไม่สะดวกส่วนตัวที่ยังพอยอมรับกันได้ การบอกล่วงหน้าทำให้เราสามารถหาตัวแทนมาทำงานได้ทันเสมอ

   แต่ถ้าจะหายไปไม่บอกกล่าวอย่างนี้ก็เกินไปหน่อย อาจคิดว่าการดื้อเงียบเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ซึ่งหากเป็นช่วงเวลาที่พี่ต้นหลิวยังดำรงตำแหน่งมันคงลอยหายไปไม่มีใครพูดถึงแล้วล่ะ

   โชคร้ายคือดันมาทำนิสัยอย่างนี้ในยุคของสัทธา

   “ท่านประธานครับ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะอธิบายถึงเหตุสุดวิสัย และเราไม่ควรจะปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้”

   พูดจากใจคือเดือนตุลาเองก็เกลียดความ ‘เป็นพิธีการ’ ของคำพูดที่ใช้มากเลยนะ ประเภทที่ต้องแนะนำชื่อของตัวเองก่อน ตามด้วยคำพูดสวยหรูที่ฟังดูแล้วขัดความรู้สึกไปหมด แต่จะทำยังไงได้ล่ะ มันถูกฝังหัวว่าเป็นพื้นที่ของผู้มีความรู้และมีมารยาททางสังคมนี่นา

   พี่มัจฉ์วันนี้เข้าโหมดโหดตั้งแต่เริ่มการประชุม เรียกได้ว่าถ้ามีช่องให้ใช้อินเนอร์เมื่อไหร่ก็พร้อมจะใส่เต็มที่ นี่ยังน้อยๆ นะ ตอนแรกสุดแกยังพูดเปรยให้คนอื่นได้ยินว่าทีงานนัดเป็นสัปดาห์มาไม่ได้ แต่นัดไม่กี่ชั่วโมงกลับโผล่หน้ามา

   แน่ใจเลยว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่อยากจะออกจากห้องนี้ไปสักที นึกขอบคุณเสียงเพลงดังแว่วมาจากกลุ่มกิจกรรมที่ซ้อมอยู่ชั้นล่างสุดของตึกสำหรับสิ่งเยียวยาเดียวในเวลานี้

   เหลือบตาไปมองว่าตัวละครสำคัญในฉากนี้เป็นอย่างไรบ้าง จากที่ตีหน้าเย่อหยิ่งดูไม่แคร์กับสิ่งใดในช่วงต้นกลายเป็นว่าเธอกำลังก้มหน้าไม่ยอมสบตา คงไม่คิดว่าจะเจอแรงกดดันขนาดนี้แหละ ยิ่งเป็นจังหวะที่ไม่มีใครคอยให้ท้ายเช่นเดียวกับที่ผ่านมาแล้วด้วย

   ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่เสียหายหากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาสิ่งบันเทิงใจอื่นทำบ้างระหว่างรอ ก็หน้าที่ของเขาในวันนี้มีเพียงแค่เข้ามานั่งในห้องนี้ให้ครบองค์ประชุมทั้งหมดแค่นั้นเองนี่นา

   “เราต้องให้โอกาสกับทุกคน ...แต่เขาจะเห็นค่าของมันหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่อง”

   และพี่ธรรมก็ทำอย่างที่พูดคือปล่อยให้เวลาเดินต่อไป จะว่าสงสารก็มีข้อแย้งว่าทำตัวเองทั้งนั้น คนที่แยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การทำงานไม่ได้เป็นอันตรายกับทุกองค์กร ยิ่งกับงานที่ต้องใช้ความยุติธรรมอย่างนี้แล้วด้วย

   การอยู่ตรงกลางไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในความเป็นจริงเราไม่สามารถยืดหยัดอยู่โดดเดี่ยวเพื่อผดุงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กฎระเบียบของการทำงานให้ส่วนรวมมีเงื่อนไขยุ่งยากที่ในบางครั้งเหมือนจะมากเรื่อง หากต้องคงอยู่ไว้เพื่อลดความคลางแคลงใจ

   ในไลน์ของเขาเพิ่งเด้งข้อความใหม่จากพี่มัจฉ์ มันก็เป็นการงอแงทั่วไปที่ไม่ต่างจากทุกทีว่าเบื่อ อยากให้จบแล้ว คือขอแค่ได้ส่งมาแต่ว่าไม่ต้องตอบกลับก็ได้ คนว่างพอกันเลยส่งกลับไปว่าสงสัยจังว่าเพราะอะไรวันนี้พี่ธรรมถึงดูใจดีผิดปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วต้องเข้าประเด็นไม่มีการให้โอกาสอย่างนี้หรอก

   แว่วเสียงหัวเราะในลำคอจากคนข้างตัว เครื่องมือสื่อสารราคาแพงถูกวางคว่ำหน้าเอาไว้กับโต๊ะเรียบร้อย พี่มัจทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ทำงานตัวนุ่ม ร่นตัวลงไปจนอยากจะดุให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ

   พอไม่มีคนคุยด้วยแล้วก็เลยต้องหาอย่างอื่นทำ ตุลมองไปยังโต๊ะตรงใหญ่ตรงกลางห้องที่มีท่านประธานคนใหม่นั่งเขียนบางสิ่งลงไปในสมุดตรงหน้าไม่มีหยุดพัก เส้นผมที่ปรกหน้าลงมาไม่น้อยทำให้ทั้งใบหน้าดูรุงรังเข้าไปอีก

   เมื่อไหร่พี่ธรรมจะยอมตัดผมสั้นนะ

   ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็ไม่เคยเห็นเปลี่ยนทรงผมกับใครเขาบ้าง ความยาวที่คงอยู่ในระดับเดิมตลอดบอกเขาว่ามันได้รับการตัดแต่งอยู่เสมอ แล้วทำไมไม่ตัดให้มันดูดีกว่านี้หน่อยก็ไม่รู้

   ‘น้องเรียนทันตะใช่ปะ ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ’

   ...

   จะว่าไปแล้วก็คิดถึงวันนั้นเหมือนกันนะ

   ในวันพบปะนักศึกษาเข้าใหม่ทั้งมหาวิทยาลัยเดือนตุลาเป็นเด็กโชคร้ายที่โดนมอเตอร์ไซด์รับจ้างโก่งค่าวินแล้วยังส่งผิดตึกอีก เขาก็เลยต้องหาทางกลับไปยังตึกของคณะทันตแพทยศาสตร์ด้วยการขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น

   มองซ้ายขวาดูแล้วประเมินในใจว่าควรจะทักคนไหนเพราะไม่อยากจะได้คำตอบกลับมาว่าก็เป็นเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเช่นกัน แล้ววินนี่ก็หูตึงขนาดไหนกัน บอกว่าทันตะมาส่งที่นิติ

   แอบประหม่าไม่น้อยเมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้น นี่ก็ทำตัวเป็นให้สมกับเป็นเด็กมหา’ลัยด้วยการไม่ยอมให้ผู้ปกครองมาส่ง แล้วเพื่อนในห้องสมัยมัธยมปลายก็มาเรียนต่อที่นี่แค่สามคน เยี่ยมมาก

   ผู้คนเดินสวนไปมาขวักไขว่สมกับเป็นคณะที่ขึ้นชื่อลำดับต้นที่มีคนสมัครมากที่สุด ดูจากภายนอกแล้วเป็นการยากที่จะประเมินว่าคนไหนเป็นเด็กใหม่แล้วคนไหนเป็นรุ่นพี่ หรือถ้าลองเดินไปตรงที่ลงทะเบียนมันจะดีกว่านะ เพราะยังไงคนตรงนั้นก็ต้องเป็นปีสองขึ้นไปอยู่แล้ว

   เลยเดินตามป้ายลูกศรที่ชี้เข้าไปข้างในตึกด้วยจังหวะการเดินที่ไม่ได้รีบเร่งอะไร ภาพของนักศึกษาในชุดไปรเวทไม่เหมือนกับที่เคยจินตนาการเอาไว้ จากด้านหน้าตึกเข้าไปถึงจุดลงทะเบียนห่างกันเพียงแค่เล็กน้อย และเมื่อเห็นนักศึกษาในชุดสตาฟแบบเดียวกันยืนรวมกลุ่มก็ได้เวลาถามออกไป

   “พี่ครับ ตึกทันตะไปทางไหนเหรอครับ”

   เลือกคนที่ดูแล้วหน้าตาเป็นมิตรที่สุด พี่ผู้ชายกับป้ายชื่อที่ห้อยคอมีปากกาเคมีเขียนคำว่า ‘ฟีน’ เอาไว้เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มทักทายเป็นอย่างแรก

   “ตึกทันตะออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายตามทางไปโรงอาหารใหญ่ได้เลยครับ แต่พี่ไม่แนะนำให้เดินไปนะ ไกล”

   “อ่า...” แต่จะให้ขึ้นวินอีกรอบเขาก็กลัวว่าคราวนี้จะไปโผล่พวกรัฐศาสตร์ไม่ก็วิศวะแทนน่ะสิ “ขอบคุณครับ”

   “ไปถูกหรือเปล่า หรือให้พี่เดินไปส่งตรงทางแยกไหม”

   “ไม่เป็นไรครับๆ ผมน่าจะไปถูกแหละ”

   เกรงใจจะตายชัก นี่พี่เขาทำงานอยู่ด้วย

   “พี่ว่าไปส่งดีกว่า”

   “ไม่ต้องครับ”

   “แป๊บเดียวเอง ...โอ๊ะ เจอเหยื่อแล้ว ธรรมมานี่หน่อย!”

   สะดุ้งเลยล่ะตอนที่พี่เขาเพิ่มระดับของเสียงกะทันหันช่วงท้าย พี่ฟีนโบกมือไปให้ใครบางคนด้านหลังของเขาจนร่างกายเผลอหันมองตามไปโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางผู้คนที่ยังคงเดินสวนกันมีผู้ชายคนหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของเขา อาจเป็นเพราะชุดนักศึกษาที่ไม่ได้ถูกระเบียบเท่าไหร่นั่น หรือว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์โดยรวมก็ไม่รู้สิ

   ใส่แว่นมีกรอบสีดำงานทั่วไป ผมยาวเลยมาตรฐานของชายไทยมากอยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวชายรุ่ยอยู่นอกกางเกงทั้งหมด ไม่รู้ว่าที่เอาเนคไทพาดเอาไว้ตรงไหล่ข้างหนึ่งนั่นเพราะยังไม่ได้ผูกหรือว่าถอดออกมาแล้ว

   “ทำไม จะใช้งานกูเหรอ”

   “ต้องไปประชาสัมพันธ์ที่คณะไหนต่อบ้างอะ”

   “สายแพทย์ หมอ ทันตะ กายภาพ”

   “งั้นฝากเอาน้องไปส่งที่ทันตะหน่อย”

   “น้อง?”

   มีการชี้มาทางเขาส่งๆ อีกต่างหาก จะบอกว่าหน้าแก่ไม่เหมือนกับเด็กเพิ่งเข้ามาใหม่หรือยังไงกัน

   “อือ น้องหลงมาผิดตึกอะ”

   “ทันตะกับนิติแม่งห่างกันคนละโยชน์เลยนะ”

   “ธรรม น้องเพิ่งมาใหม่”

   จะบอกว่าดูโง่มากเลยใช่ไหมล่ะที่หลงมาที่นี่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย พี่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างคันนั้นต่างหาก

   “เออๆ เดี๋ยวไปส่งให้”

   คือความประทับใจแรกพบมันเกือบเป็นศูนย์จนไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณในการเดินไปส่ง เดือนตุลาตั้งใจว่าเดี๋ยวถ้าพ้นจากระยะสายตาของพี่ฟีนไปแล้วจะถามเส้นทางเองอีกครั้งแล้วแยกย้ายต่างคนต่างไป พี่เขาก็ดูยุ่งๆ เหมือนมีงานต้องทำต่อด้วย

   “ทำไมมาโผล่ที่นิติได้อะ”

   ก็แปลกใจเหมือนกันที่พี่เขาเปิดประเด็นก่อน “มอไซด์มาส่งผิด ผมมารู้ตัวก็ตอนเดินเข้ามาเห็นป้ายคณะ”

   “...แม่งโกงงี้อีกล่ะ เจอฟ้องสภาแน่”

   “เจอบ่อยเหรอครับ”

   “ประจำ เล่นแง่นั่นนี่ตลอด สงสัยต้องหาเรื่องโละออกทั้งหมด”

   ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าสภาที่พี่เขาบอกหมายถึงอะไร แต่ก็คงเป็นหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับนักศึกษาล่ะมั้ง จะว่าไปแล้วคนอย่างนี้ทำงานระดับนั้นได้ด้วยเหรอ มาดไม่ให้เลยแฮะ

   “อย่างนี้ผมควรจะใช้วิธีไหนเดินทางในมหา’ลัยดี”

   “ไม่มีรถปะ จักรยานไม่ก็เดินมั้ง รถบริการฟรีในม. ก็มีแหละแต่อย่าไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนนั่นเลย”

   “งั้นจักรยานน่าจะโอเคสุดสินะครับ” เขาไม่มีทางเดินได้แน่ จากหอที่อยู่ด้านนอกรั้วกว่าจะถึงนี่เป็นลมตายกลางทางไปก่อนแหง “พี่ไปทำอะไรที่ตึกแพทย์เหรอ”

   ถึงจะไม่มีความประทับใจแรกพบ ก็ใช่ว่าจะไม่คุยกันเลย ตุลไม่รู้ว่าทางคนเดินเส้นนี้มีความยาวขนาดไหน เพราะงั้นแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือหาเรื่องคุยไปเรื่อยให้ไม่มีช่วงเวลาเดตแอร์จนน่าอึดอัดเกินไป

   “แนะนำตัวให้คนเป็นร้อยๆ ฟัง ไม่มีถามสักคำว่าอยากให้รู้จักไหม”

   “อ่า...ครับ”

   “เดี๋ยวเดินไปทางซ้ายนะ แล้วตึกแรกที่เจอนั่นแหละทันตะ พี่ไปก่อนล่ะ”

   ทั้งประโยคนั่นถึงห้าวินาทีหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ พี่ที่ชื่อว่าธรรมโบกมือลาพลางเดินแยกไปทางขวาที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าตึกของคณะแพทยศาสตร์ ส่วนตัวเขาเองก็เดินในอัตราเร็วเท่าเดิมไม่ได้เร่งเพิ่มเพราะยังไงก็สายไปแล้ว จะเร็วหรือช้ามันก็ไม่ได้มีผลกับชีวิตเท่าไหร่

   เก็บอาการหน่ายใจทั้งหมดให้อยู่ใต้ใบหน้าไม่รับแขก เดินไปนั่งต่อท้ายแถวของเด็กปีหนึ่งที่มีประมาณห้าสิบชีวิต ตอนนี้ตรงหน้าห้องมีรุ่นพี่ปีห้าและหกสามคนกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอในช่วงแรกของการเรียนให้ฟังอยู่ เดือนตุลาปล่อยให้เสียงพวกนั้นเดินทางมาถึงแต่ไม่เก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ มีแต่เรื่องน่าเบื่อทั้งนั้น

   เขาไม่ได้มีคณะที่อยากเรียนจนถึงขั้นยอมแลกทุกอย่างเพื่อได้มันมาไว้ในครอบครอง พ่อแม่ปล่อยให้เรียนอะไรก็ได้ตามใจอีก ก็เลยจบที่ว่าสอบตามเพื่อนจนมาติดคณะทันตแพทยศาสตร์นี่แหละ

   ไม่ได้มองภาพชีวิตของตัวเองต่อจากนี้อีกหกปีเอาไว้เลยแม้แต่น้อย คิดว่าน่าจะวนเวียนอยู่กับการเรียนและขึ้นวอร์ดอะไรทำนองนั้น น่าเบื่อไม่ต่างจากชีวิตสมัยมัธยมปลายที่เรียนที่โรงเรียนตอนเช้าและติวเพิ่มเติมตอนเย็น

   “ต่อไปจะเป็นการแนะนำตัวสามเสาทำงานหลัก ตัวแทนของนักศึกษาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยนะคะ”

   แปลกใจตั้งแต่ชื่อเรียก ‘สามเสา’ แล้วล่ะ เขาชันเข่าขึ้นมาเพื่อให้ร่างกายได้มีการขยับบ้าง มองนักศึกษาในชุดพิธีการถูกระเบียบยืนเรียงกันเป็นแผงมีเว้นช่องว่างเอาไว้สองแห่งเพื่อให้ง่ายต่อการแยกทั้งสามส่วน ฟังเอ็มซีประจำคณะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าแต่ละส่วนมีชื่อเรียกแตกต่างกันอย่างไรบ้างง

   ยังพอมีความรู้วิชาสังคมศึกษาหลงเหลืออยู่บ้างเลยเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงเรียกว่าสามเสา ก็เป็นการเลียนแบบการแบ่งอำนาจทั้งสามส่วน กลุ่มที่พูดจบไปแล้วคือฝ่ายบริหารหรือองค์การนักศึกษา ตอนนี้เป็นคิวของสภา อันนี้ล่ะมั้งที่พี่ธรรมบอกว่าจะเอาเรื่องรถรับจ้างไปฟ้อง ส่วนสุดท้ายก็...

   “สวัสดีครับ สัทธาจากคณะนิติศาสตร์ ตุลาการนักศึกษาประจำปีนี้ครับ”

   เสียงที่เพิ่งได้ยินมาไม่นานเรียกให้สติกลับเข้าร่างทั้งหมด ตุลมองตรงไปยังผู้ชายคนเดียวที่กำลังครอบครองไมค์อยู่ในเวลานี้ เสื้อผ้าที่เคยอยู่ในสภาพหลุดรุ่ยก่อนหน้าถูกจัดจนเรียบร้อยไม่ต่างจากเส้นผมยาวที่มัดรวบเอาไว้ด้านหลัง พี่ธรรมหรือสัทธาอธิบายหน้าที่และการทำงานในภาพรวมโดยไม่รู้เลยว่ามีหนึ่งสายตากำลังจับจ้องทุกอิริยาบท

   ตลกดีที่ตั้งใจฟังทุกคำ ไม่มีส่วนไหนหลุดออกไปจนคิดว่าตัวเองเข้าใจระบบการทำงาน การเลือก และวิธีการร้องเรียนเมื่อเจอปัญหาไม่คาดฝันเรียบร้อย ไม่เคยคิดว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีกลุ่มทำงานของนักศึกษาที่ตั้งขึ้นมาสำหรับตัดสินข้อพิพาทเลยแฮะ

   ประหลาดดี

   “เบื้องต้นก็เท่านี้...ขอบคุณครับ”

   อธิบายความรู้สึกไม่ถูกเลยล่ะตอนที่พี่เขาจบประโยคสุดท้ายแล้วยิ้มให้ จะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ได้แต่ว่าจุดที่พี่เขากำลังมองตรงมาคือท้ายห้องแน่ๆ

   ...

   สะบัดหัวไล่ภาพเก่าที่ค้างอยู่ในความทรงจำออกไปให้หมดเมื่อไมค์หน้าห้องถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง ผู้ถูกกล่าวหาในความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตุลาการนักศึกษายังคงปิดปากเอาไว้สนิทไม่แก้ต่างให้ตัวเอง พี่ธรรมโน้มตัวเข้าไปหาเครื่องช่วยกระจายเสียงแล้วเอ่ยปากแจ้งว่าหมดเวลาการอธิบาย

   “ผมว่ามันนานเกินไปแล้วล่ะ”

   “...”

   “ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่บังคับ”

   “...”

   “เอาเป็นว่าขอเริ่มดำเนินการถอดถอนต่อไปเลยแล้วกัน”

   หนึ่งเรื่องตลกที่เกิดขึ้นคือบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดควรชักนำทุกคนเข้าไปสู่ความตึงเครียด หากเดือนตุลาเกือบหลุดหัวเราะหยันให้ตัวเองเสียอย่างนั้น

   เพิ่งยอมรับว่าต่อให้สถานการณ์ตรงหน้าจะต่างกันแค่ไหน

   สายตาของเขาก็ไม่เคยละไปจากผู้ชายคนนั้นได้เลย


 
   “ถอดไม่ถอด”

   “ถอด จะเหลือเหรอ”

   “ไหนโชว์หน่อยว่าถอดหมดไหม”

   “ไม่ตลกอะ”

   คนที่เพิ่งเล่นมุกไม่ฮายกไหล่ขึ้น “ไม่อยากให้เพื่อนเครียดไง”

   “ก็ไม่ได้เครียดนะ”

   เดือนตุลาวางโทรศัพท์ที่ยังค้างเอาไว้ตรงหน้าร่างประกาศปลดตุลาการนักศึกษารายที่สองในรอบไม่ถึงหนึ่งเดือนไว้บนโต๊ะตัวเล็ก เงยหน้าขึ้นมาหาเพื่อนสนิทในคณะที่มาพร้อมกับเอกสารเป็นตั้ง เรียนอย่างเดียวไม่ชอบ หาเรื่องไปทำกิจกรรมนั่นนี่ได้ตลอดเวลาล่ะคนนี้

   “สบายใจกว่าเดิมด้วย”

   กฎระเบียบเรื่องการลงมติถอดถอนตุลาการนักศึกษามีช่องว่างค่อนข้างมาก แต่มันไม่ได้ใช้บ่อยนักเพราะ ‘ความเชื่อ’ ที่ว่าหากทำเมื่อไหร่มันคือการแสดงให้คนภายนอกเห็นถึงปัญหาภายในองค์กร บวกเข้ากับความเห็นที่ไม่ลงรอยกันมากนักในแต่ละรุ่นมันก็เลยถูกใช้งานนับครั้งได้

   “ก็คนโง่หายไปตั้งสองคนนี่”

   “เนี่ย ปากร้ายอีกล่ะปลาย” แค่เปรยแต่ไม่แก้ไขคำ “มีคนออกก็ต้องหาคนเข้า เหนื่อยต่ออีก”

   “น่าจะยกยอดเป็นปีหน้าไปเลยมั้ง ไม่น่าจะมีใครได้บัตรฟาสต์แทร็กเหมือนพี่ธรรมแล้ว”

   “ล่ะนี่เรียกมาใช้แรงงานทำอะไร”

   วันหยุดที่ควรจะได้นอนตื่นสายหลังจากดูหนังโต้รุ่งกลายเป็นว่าต้องลากร่างโทรมๆ ออกมาหาเพื่อนที่ใต้หอใน ปลายเจตน์เรียกเขามาช่วยเรียบเรียงเอกสารสำหรับงานแข่งขันทางกฎหมายที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

   “คัดแยกเอกสารตอบรับคนเข้างานตอนเช้า แล้วก็รวมรายชื่อคนแข่งลงเอ็กซ์เซล”

   “ของรอบไหน”

   “รอบภายใน”

   การแข่งขันแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือเด็กมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัย ส่วนที่เพื่อนของเขาได้รับหน้าที่มาคือมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีความยากกว่าเป็นสองเท่าเพราะต้องจัดการแข่งขันภายในคณะเองหนึ่งรอบก่อนที่จะจัดแข่งระหว่างสถาบันการศึกษาอีกรอบ

   ปีที่แล้วเขาช่วยทำงานในฝ่ายมัธยมมา ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือพวกกลุ่มอาจารย์ที่พาเด็กมาแข่ง ที่เหลือไม่มีอะไรเป็นจุดที่ทำให้ปวดประสาทจนอยากจะอัดยา ไม่ถึงกับไม่ชอบแต่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรกว่าจะไม่ทำต่อแล้ว ไหงต้องกลับมารับผิดชอบในส่วนที่ใหญ่กว่าเดิมก็ไม่รู้

   “ปีนี้มีใครเป็นตัวเต็งบ้าง”

   “ไม่รู้เหมือนกัน นี่เปิดฟอร์มครั้งแรก”

   พยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มงานในส่วนของตัวเอง เอกสารตอบรับจำนวนหนึ่งถูกแสกนเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยว่ากรอกข้อมูลมาครบหรือไม่ เพราะเป็นกิจกรรมใหญ่ที่มีการเปิดงานลำดับต้นในตอนเช้าเลยมีแขกจากภายนอกเข้ามาจากหลายภาคส่วน เขาต้องช่วยลิสต์ว่าจะมีใครบ้าง

   เพื่อไม่ให้มันเงียบจนเกินไป ปลายเจตน์จึงเปิดเพลงจากแอปพลิเคชันสตรีมหนึ่งไปด้วย เพลงฮิตห้าสิบลำดับแรกบนบิลบอร์ดสากลผลัดกันเล่นโดยไม่เรียงลำดับ มีเสียงประกอบเป็นการพากษ์ให้ฟังว่ามีใครบ้างที่ลงแข่ง ชื่อทีมสร้างสรรค์จนเขาตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็อยากจะลงแข่งพร้อมกับชื่อทีมเท่ๆ บ้าง

   “เหี้ยอะไรของพวกพี่เขาวะ บาบาเรียนหนึ่ง บาบาเรียนสอง บาบาเรียนสาม ...เชี่ยเอ๊ย พวกคนป่าลงกันสี่ทีมเลยอะ”

   ก็ว่าแล้ว ชื่อทีมที่ดูประหลาดอย่างนี้ไม่น่าจะมีใครตั้ง ดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้ฉายาของตัวเองดีนี่นา

   “แล้วคิดว่าเบอร์ไหนจะชนะ”

   ถึงพี่หลายคนจะเก่งลำดับต้นของรุ่น แต่เหมือนว่าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจแต่สายปกครองเกือบหมด การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการรวมความรู้ของทั้งสี่ชั้นปีเข้าไว้ด้วยกัน นั่นหมายความว่ายังมีอีกหลายภาควิชาที่รอให้ไปเจอ

   “ไม่ชัวร์เลยวะ เหมือนพี่เขาสุ่มกันจับคู่ แต่นี่มีพวกมูธคอร์ตลงด้วย”

   “โห สงคราม”

   “อาจมีพวกม้ามืดก็ ...ไอ้เหี้ย”

   จากที่เห็นเพื่อนเลื่อนสกอร์บาร์ขึ้นลงก็กลายเป็นหยุดมือไปเสียอย่างนั้น ปลายเจตน์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอจนน่ากลัวจะตาบอด นัยน์ตาหรี่ลงคล้ายว่าไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฎอยู่

   “เจอม้ามืดแล้วเหรอ”

   “กูท้าพนันหมดหน้าตักอะว่าทีมนี้ชนะ”

   ความสงสัยปรากฎชัดบนใบหน้า เพื่อนที่ทำลากมาทำงานก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ด้วยการหมุนโน้ตบุ๊กตรงหน้าตัวเองมาให้

   “ทีมที่สิบเจ็ด”

   ไล่ตามเลขด้านหน้าจนเจอตามที่ชี้นำ สองช่องแรกจะเป็นชื่อและนามสกุลของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคน

   สัทธา

   ทิชากร

   อดเม้มปากแน่นไม่ได้ เขาพยายามบังคับใบหน้าให้ดูไม่ตื่นเต้นกับเรื่องที่ได้เพิ่งได้รับรู้ เคลื่อนขยับสายตาไปทางตารางขวามือช่องถัดไปซึ่งระบุชื่อทีมเอาไว้

   “...”

   “แค่ชื่อทีมก็กินขาดแล้ว”

   มิอาจก้าวล่วง


***
   นี่ยิ่งกว่านิยายรายเดือนอีกเนอะคะ (หัวเราะ) กว่าจะแต่งตอนนี้จบได้ก็เหนื่อยใช่เล่นค่ะ เหมือนต้องรื้ออะไรหลายอย่างมากเลยค่ะ แล้วก็พิมพ์ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ อีก...
   เจ้ามีความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ค่ะ (เก็บกดจนต้องหาที่ลงนั่นเอง) ดีใจที่มีคนหัวอกเดียวกันเป็นนักอ่านนะคะ (ฮา) อีกส่วนก็แอบเสียใจที่กว่าจะได้เขียนจริงๆ ความรู้สึกในตอนนั้นมันก็เลือนไปเยอะแล้ว เลยต้องบอกไว้ว่ามันอาจจะดูตึงเพราะความเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มหน่อยๆ แต่จะไม่ให้มันกลายเป็นบทความวิชาการแน่นอนค่ะ (หัวเราะ)

    #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 06-01-2019 21:09:48
ขอบคุณนะคะคุณเจ้าถึงจะรายเดือนราย2เดือนหรือมากกว่าก็รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-01-2019 09:55:48
แง ติดใจความลึกลับของพี่ธรรม รอนะคะ :katai5:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทห้า [6.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 27-01-2019 17:00:23
มีความหลังกันละสิ ทำไมพี่ดูใจร้ายกับน้องจัง  :katai4:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-02-2019 20:12:08
บทหก


   มีเดียเพลย์เป็นเรื่องน่ากลัว

   โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้ถึง ‘เบื้องหลัง’ ของมัน

   เดือนตุลารู้ตัวเลยว่านอนไม่ค่อยหลับมาเข้าคืนที่สามแล้ว และคืนนี้ก็น่าจะต่อเนื่องเป็นคืนที่สี่แบบที่ไม่มีทางไหนจะช่วยเยียวยาได้

   ปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการแสกนลายนิ้วมือ ตั้งใจจะเข้าไปอัปเดตข่าวสารตามความเคยชินในแอปเฟซบุ๊ก หากเมื่อหน้าแรกของไทมไลน์ปรากฎขึ้นมาเขาก็รีบปิดแทบไม่ทัน

   เกือบลืมไปเลยว่าไม่ควรเข้า...

   ถอนหายใจออกมาอีกครั้งกับหน้าจอสีดำสนิท ใต้ความมืดนั้นยังมีข้อความแรกที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อสักครู่แทรกเข้ามาเป็นระยะจนทำได้เพียงแค่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าหนีไม่พ้นก็จงยอมรับมันเสีย

   ‘ข่าวลือ’ เริ่มต้นด้วยหนึ่งสเตตัสตัดพ้อจากอดีตตุลาการนักศึกษาที่ถูกปลดออกคนล่าสุด การช่วงชิงจังหวะในการเป็นคนแรกรวดเร็วจนคนทำเอกสารอย่างเขาเองก็ยังตามไม่ทัน ตามจริงแล้วประกาศถูกตั้งเวลาให้โพสต์ในเช้าวันถัดไป และมันก็กลายเป็นการเผยแพร่ตามหลังเสียอย่างนั้น

   การแชร์ถูกกระจายออกไปในวงที่ไม่กว้างมากนักในคราวแรก หากหลังจากที่ประกาศออกมาแล้วมันถูกเพจแนวจอมแฉของนักศึกษาบางกลุ่มส่งต่อจนกลายเป็นท็อปปิคร้อนแรงไปเสียได้

   ก็เล่นปลดตุลาการสองคนในเวลาไม่ถึงเดือน โคตรจะผิดปกติ

   “...พรุ่งนี้คลาสบ่ายเรียนกับใคร”

   ทวนข้อความล่าสุดจากการแจ้งเตือนด้านบนของปลายเจตน์ในแชตสีเขียวแล้วก็ต้องกลับมานึกอีกครั้งในเวลาบ่ายโมงของวันถัดไปคือวิชาอะไร เขาไม่ค่อยเข้าใจระบบการแบ่งคาบสอนของอาจารย์บางกลุ่มเท่าไหร่ แบบว่าสลับกันมาสอนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แล้วสุดท้ายก็จำวันผิด

   ด้วยความที่ไม่แน่ใจเหมือนกันก็เลยตอบไปตามที่ตัวเองเข้าใจว่าควรเป็นของอาจารย์ท่านไหน ตบท้ายว่าเพื่อความแน่ใจให้เพื่อนลองไปถามคนอื่นแล้วเอาข้อมูลชุดล่าสุดกลับมาบอกอีกรอบ

   พอกดส่งไปแล้วก็กลับมาคิดมากเรื่องเดิมอีกครั้ง เขาเลิกสนใจไปแล้วว่าการถอนหายใจออกมาอย่างนี้มันจะทำให้สุขภาพจิตเสียไปเท่าไหร่ ตอนนี้มันไม่มีทางระบายที่ดีมากกว่านี้แล้วนี่นา

   ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่คนอื่นถึงไม่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับมันเลยสักนิด โดยเฉพาะกับประธานคนใหม่ที่เหมือนว่าจะกลายเป็นตัวละครหลักในบทละครภาคนี้ไปแล้ว ความแคลงใจในเรื่องของช่วงระยะเวลาการคัดเลือกถูกนำมาวิจารณ์โดยบุคคลที่อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามันมีองค์การนี้อยู่ด้วย และมันก็กลายเป็นเรื่องของความคิดเห็นส่วนตัวมากกว่าเรื่องของระเบียบข้อบังคับ

   ตลกดีที่คนในเงียบ

   ส่วนคนนอกกลับร้องแรกแหกกระเชอ

   นอกจากเรื่องของความเร็วแล้วมันยังมีเรื่องจาก ‘ข้างใน’ ว่าพี่ธรรมไม่ถูกชะตากับพี่ต้นหลิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอมีอำนาจก็เลยใช้มันแบบผิดวัตถุประสงค์ไปมากอยู่ แล้วรุ่นน้องคนนี้ก็โดนลูกหลงไปด้วยทั้งที่ไม่มีเอี่ยว เหมือนกับเข้ามากวาดออกให้เกลี้ยงทำนองนั้น

   จะปฏิเสธก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่สองคนนั้นไม่ถูกกันจริง จะอธิบายว่ามันไม่ได้เริ่มจากการเกลียดขี้หน้าไร้สาเหตุแต่มันมีจุดเริ่มจากความไม่ลงรอยกันเรื่องทัศนคติการทำงานคงไม่มีใครฟัง ต้องเป็นคนที่เคยทำงานกับทั้งสองคนมาก่อนเท่านั้นล่ะมั้งที่รู้ซึ้ง

   “อะ เสนอหน้ากันเข้าไป....”

   พอทำใจกลับมาเลื่อนไทม์ไลน์อีกครั้งก็ได้เห็นสเตตัสจากบุคคลที่ไม่น่าพึงประสงค์ เป็นพวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วแต่ว่ายังทำตัวมีบทบาทอยูในฝั่งองค์การนักศึกษา เคยรับแอดตั้งแต่สมัยเข้าเรียนใหม่ๆ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตรรกะส่วนตัวจะป่วยได้เท่านี้ ที่ยังเก็บเอาไว้ก็เผื่อเป็นความบันเทิงในวันที่เบื่อโลก

   คนบางคนก็พยายามหาซีนได้ตลอด

   มันเป็นการจับแพะชนแกะโดยแท้จริง เคลมประวัติการทำงานของตัวเองว่ามันได้รับการแก้ไขอย่างไรโดยที่ลืมจุดสำคัญว่าบทบาทหน้าที่ของสองเสานี้แตกต่างกันโดยชิ้นเชิง อยากจะบอกว่าเชิญคุณพี่เครียดเรื่องสืบทอดอำนาจข้างในต่อไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับคนอื่นเลย

   เตือนสติอีกครั้งว่าอย่าทำอะไรให้สุขภาพจิตเสียไปมากกว่านี้ โยนเครื่องมือสื่อสารเอาไว้ในรัศมีที่มือเอื้อมถึงแล้วเปลี่ยนไปเหม่อมองเพดานแทน

   ไม่เข้าใจเลย...

   สัทธาไม่มีรีแอคชันใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อช่องทางไหนมันก็ยังคงว่างเปล่าไร้การแจ้งเตือน บอกไม่ได้ว่ามันคือการรับมือประเภทหนึ่งหรือว่าเป็นการเมินไม่ให้ค่าและความสำคัญสักนิด

   ส่วนตัวมีนโยบายไม่อัปเดตสเตตัสใดหรือว่าจะแชร์สักโพสต์จะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญระดับสูงสุด เป็นพวกที่เหมือนไม่มีตัวตนแต่ยังคงตามติดความเป็นไปตลอด

   เพราะอย่างั้นไม่ต้องหวังเรื่องที่เขาจะอัปสเตตัสแก้ไขหรือว่าซ้ำเติมอะไรทั้งนั้น มันก็กึ่งธรรมเนียมปฎิบัติของคนทำงานฝั่งนี้ด้วยแหละ พูดให้น้อยแล้วปล่อยให้การกระทำแสดงออกแทน หากใครอยากจะเป็นตัวของตัวเองก็ไม่ได้ห้าม รับผิดชอบผลที่จะตามมาให้ได้ก็พอ

   คิดไปไกลจนถึงขั้นว่าอยากเสนอให้ที่ประชุมออกข้อชี้แจงหรือว่าแถลงการณ์อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พอนึกหน้าของหกชีวิตที่เหลือแล้วก็ปลอบใจว่าอย่าทำอะไรที่เหนื่อยเปล่าเลย

   ภาพด้านบนเป็นปูนทาสีขาวที่มีร่องรอยความเก่าตามเวลา ไหนใครบอกว่าเพิ่งสร้างมาได้แค่สามสี่ปีทำไมถึงโทรมได้เท่านี้ก็ไม่รู้ โฟกัสของสายตาชัดบ้างเบลอบ้างตามเรื่องราวที่อยู่ในห้วงความคิด ตัวตนฟากหนึ่งก็ให้คำปลอบว่ามันเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมที่มนุษย์ตัวเล็กอย่างเขาทำอะไรไม่ได้ ส่วนอีกฝั่งก็ตั้งคำถามย้ำว่าแล้วถ้าไม่ใช่เดือนตุลาใครจะเป็นคนประคองมันได้ดีกว่า

   คิดไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ก็ถ้าพี่ธรรมไม่สนใจเขาก็คงทำได้แค่ปล่อยให้มันหายไปกับกาลเวลา ปัดมือสะเปะสะปะหาสิ่งที่เพิ่งโยนไปให้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง เช็กในไลน์อย่างแรกว่าปลายเจตน์ไปเช็กความถูกต้องของตารางการสอนมาแล้วหรือยัง

   ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าไม่ค่อยมีเพื่อนที่คุยกันจริงจังเท่าไหร่ ห้องแชตที่อยู่ส่วนล่างของหน้าแรกนั้นเป็นกรุ๊ปสำหรับตุลาการนักศึกษาในรุ่นนี้ ตัวเลขในวงเล็บที่เหลือเพียงเจ็ดจากที่ควรจะเป็นเก้าย้ำว่าเรื่องทั้งหมดมันยังคงต้องดำเนินต่อไป

   กดเข้าไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ข้อความส่วนท้ายติดกับช่องว่างสำหรับการพิมพ์ตอบคือการแจ้งว่ามีคนได้ออกจากกลุ่มไปแล้ว ก็อยากจะบอกว่าออกไปดีๆ ไม่ต้องหาเรื่องทิ้งท้ายก็ได้

   เขาถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง

   เดือนตุลาเพิ่งรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าการสื่อสารก็วันนี้เอง
 


   อะไรคือการโทรมานัดให้มาหาที่ห้องทำงานในวันที่ไม่ได้เป็นเวรดูแล ไม่ยอมบอกรายละเอียดแล้วก็ยังไม่เห็นเริ่มทำอะไรสักทีนอกจากนั่งไขว่ห้างเล่นเกมอยู่ตรงโซฟาตั้งแต่เข้ามา

   “สรุปแล้วพี่มัจจะให้ผมทำอะไรครับ?”

   “เฝ้าพี่เล่นเกม”

   “พี่ มัจ”

   “ทำไมชอบดุอะ เดี๋ยวชนะเกมนี้จะไปบิ๊กคลีนนิ่งแล้ว”

   “บิ๊กคลีนนิ่ง? เรามีแม่บ้านนะครับ?”

   คิดเอาเองว่ามหาวิทยาลัยคงไม่ไว้ใจเรื่องความสะอาดสักเท่าไหร่ก็เลยมีกฎระเบียบเอาไว้ชัดเจนว่าในหนึ่งสัปดาห์จะมีแม่บ้านผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดูแล ถ้ากลัวเรื่องข้อมูลเอกสารทั้งหลายก็เก็บให้เรียบร้อยหรือไม่ก็จัดเวรยามเอาเอง แต่จะไม่มีห้ามไม่ให้เข้าไปทำความสะอาดเด็ดขาด

   ไม่รู้ว่ากลุ่มอื่นเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับข้อนี้หรือเปล่า เท่าที่รู้คือยังไม่เคยมีใครฟ้องร้องเรื่องนี้ ส่วนห้องตุลาการน่ะแทบไม่มีปัญหาเพราะว่าพี่มัจเจ้ากี้เจ้าการจนห้องอยู่ในระเบียบเสมอ ก็ถ้าไม่เรียบร้อยแล้วเกิดมีการปนกันของเอกสารขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

   “หมายถึงห้องนู้นอะ” บุ้ยปากไปทางฉากกั้นที่ทำจากโครงไม้งานชั่วคราว ป้ายด้านหน้าแขวนชื่อเจ้าของห้องเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ “เคยคุยกับธรรมมันมานานล่ะ ยกเอาโต๊ะเก้าอี้อะไรออกมาให้หมดเลย”

   ในห้องนี้แบ่งออกได้เป็นสามส่วนใหญ่ เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอพื้นที่รับแขกอยู่ทางซ้าย มองตรงไปจะเป็นโต๊ะส่วนกลางหลายตัวที่ไม่ได้มีการระบุเจ้าของเอาไว้ชัด อยู่ที่ว่าใครจะครอบครองปกปักษ์ ที่ติดกับกำแพงด้านขวาคืออุปกรณ์เครื่องมืออย่างคอมพิวเตอร์แล้วก็ปรินท์เตอร์ ในสุดเป็นห้องที่กั้นพื้นที่เอาไว้สำหรับประธานตุลาการคนเดียว

   “เอาออก?”

   “อือ รำคาญห้องแยก หรือว่าสั่งรื้อเลยดี?”

   ท้อใจกับยิ้มหวานของคนตรงหน้าชะมัด “พวกพี่อยู่อีกแค่ไม่กี่เดือนเองนะครับ...”

   ทำตัวอย่างกับเป็นพวกผอ. ที่พอย้ายมาโรงเรียนใหม่ก็ต้องปรับปรุงนู่นนั่นนี่ที่ดูแล้วไม่มีประโยชน์เกือบทั้งหมด อย่างทาสีใหม่หรือไม่ก็เปลี่ยนชื่อตึก คือถ้ามันไม่ได้มีผลต่อการเรียนของเด็กก็ไม่ต้องริเริ่มอะไรมากมายก็ได้

   “แล้วไงล่ะ แล้วพวกพี่จะเปลี่ยนไม่ได้เหรอ”

   ประโยคง่ายในโทนการเล่าสบายๆ มาพร้อมกับการลุกขึ้นยืดตัว ความเคารพในตัวรุ่นพี่ตรงหน้ามันก็สั่งให้ปิดปากเงียบเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที

   ถึงจะบ่นอย่างนั้นอย่างนี้ล้านแปด เดือนตุลาก็กล้าพูดว่าการได้เจอกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่ามัจฉ์เป็นโชคดีลำดับต้นสำหรับชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัย คนที่ไม่ได้ทำตัวเป็นครูผู้รู้ไปหมดทุกอย่าง แค่เป็นตัวของตัวเองที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ เท่านั้นก็มากเกินพอแล้ว

   “มันจะดีหรือไม่ดีไม่มีใครบอกได้หรอก แต่อย่างน้อยถ้าเราก็ได้ลงมือทำนะ”

   “มันก็จริงครับ”

   “ถ้าหลังจากนี้น้องตุลเห็นว่ามันไม่ดีก็แค่หาทางอื่น แต่อย่าจมกับที่เลย”

   “พูดเหมือนว่าผมจะทำต่ออย่างนั้นแหละครับ”

   “เอ๋?” เสียงสูงอย่างนั้นแสดงว่ากำลังประหลาดใจจริงอยู่หรือเปล่า “นี่พูดจริงพูดเล่น”

   โคลงหัวยามเห็นว่าอีกคนเดินไปเปิดประตูห้องประธานหน้าตาเฉย “ก็คิดๆ อยู่ครับ”

   “เพราะอะไรอะ เหนื่อยใจกับคนโง่ไม่ไหวแล้วเหรอ”

   ได้ยินเสียงของพี่มัจดังเบาเป็นช่วงตามกฎการเดินทางของเสียงผ่านกำแพงกั้น เขาเลยเดินตามไปพิงอยู่ตรงขอบประตูเพื่อเป็นการสังเกตการณ์ไปในตัว

   “ก็ใช่ แต่อย่างอื่นก็ด้วยครับ”

   “อย่างอื่นที่ว่ารวมธรรมด้วยล่ะสิ”

   “ไม่ครับ”

   ตั้งโปรแกรมเอาไว้แล้วว่าถ้าพูดชื่อนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะแสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ มันก็เป็นแค่ความหวังลมแล้งที่ค่อยกล่อมบอกว่าตนเองจะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อต่อกรกับความเฉยชาไร้ความห่วงหาอาทรนั่น

   หัวเราะหยันมาก่อนเอ่ยปาก “ไม่เชื่อหรอกนะ”

   “ก็เอาที่พี่มัจฉ์สบายใจเลย”

   มองไปรอบห้องที่มีร่องรอยของความไม่ใส่ใจกระจายตัวอยู่ทั่วไป อยู่มาเข้าปีที่สามแต่ถ้าให้นับจริงแล้วเหยียบเข้ามาข้างในนี้นับครั้งได้ ตัวประธานสองคนก่อนพี่ต้นหลิวคล้ายกันตรงที่เป็นสายวิชาการจ๋า ขังตัวอยู่ในห้องเสมอจนไม่มีใครอยากเข้าไปหา

   เสียงวัตถุต่างชนิดกระทบพื้นไม่เป็นจังหวะดังต่อจากนั้นอีกพักใหญ่ ก็เล่นกวาดเอาของที่ดูไร้ประโยชน์บนโต๊ะทำงานกับชั้นวางที่อยู่ติดกันลงมาไม่มีความเกรงใจอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวถ้าห้องข้างล่างขึ้นมาร้องเรียนแล้วจะบ่นให้

   ทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการเดินไปหยิบถุงดำขนาดใหญ่มาเตรียมเอาไว้ แค่คิดว่าจะต้องแบกขยะพวกนี้จากชั้นสี่ลงไปชั้นหนึ่งก็เหนื่อยแล้ว

   “บาย” พวกชั้นวางเอกสารทำจากกระดาษแข็งอัดเป็นทรงแสนโทรมเป็นของชิ้นสุดท้ายที่ถูกโยนทิ้ง อ้อ ต้องใช้คำว่าเกือบเพราะท้ายสุดของแท้คือป้ายไม้สามเหลี่ยมพลาสติดที่มีชื่อนามสกุลจริงของพี่ต้นหลิวติดอยู่ คนเราควรจะรู้จักการรักษาของหน่อยไหมล่ะ “เหนื่อยแล้วอะ ทำไมป่านนี้ธรรมยังไม่มาอีก”

   หน้าตึงขึ้นไปหนึ่งระดับเมื่อได้รับรู้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง รู้สึกกลัวการเผชิญหน้าทั้งที่มันยังไม่เกิดผิดกับตัวตนที่ใครต่างบอกว่าใจเด็ดแค่ไหน

   “พี่แค่โยนของมากองที่พื้นเองนะ มันเหนื่อยตรงไหน”

   “อือ แค่นี้ก็เหนื่อยล่ะ ไว้ค่อยมาทำต่อ”

   “พี่มัจครับ” เรียกชื่อเสียงแข็ง

   เสียเวลาแล้วยังต้องมาเสียอารมณ์อีก ข่าวที่ยังไม่เคลียร์แถมยังเหมือนจะลุกลามนั่นยังตกค้างอยู่ข้างในความคิดไม่มีวี่แววว่าจะหายไปในเร็ววัน ปลายเองก็บอกอ้อมๆ ว่าช่วงนี้ถ้าไม่อยากหัวร้อนก็แนะนำให้หลีกออกจากโซเชียลสักพัก แล้วเขาทำได้ที่ไหนกัน

   การส่งต่อของชุดข้อมูลที่ไม่ได้รับการกรองหรือรับรองแพร่กระจายทั่ว มีทั้งส่วนที่ถูกต้องและบิดเบือนผสมกันไป ตอนนี้ในสายตาของใครหลายคนตุลาการนักศึกษาไม่ต่างจากเด็กชั้นมัธยมต้นที่แก่งแย่งความเป็นใหญ่ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

   ก็ไม่กล้าบอกว่าเรื่องมันจะดีกว่านี้ถ้าพี่ธรรมหรือใครสักคนออกโรงมาปกป้อง มันอาจจะกลายเป็นการแก้ต่างที่น่าพึงพอใจหรือกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ลุกลามก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรที่ไม่มีเสียงและอาจตีความได้หลายทาง ลองเลือกผิดแค่คำเดียวก็ตายกันมานักต่อนัก

   ตอนนี้มีเพจที่ปวารณาตัวเป็นศัตรูแล้วหนึ่งเพจ เอาเรื่องที่หลายคนแชร์มารวมไว้เป็นที่เดียวกันจากนั้นก็สร้างข้อสรุปที่ไม่ได้ตั้งอยู่บทสมมตฐานที่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

   “ไม่เอาอย่าทำหน้ายุ่งอย่างนั้นสิ” ใครก็ตามที่เจอรอยยิ้มอย่างนั้นแล้วยังตึงได้อยู่ก็ประหลาดเต็มทน “เครียดใช่ไหม เรื่องธรรมอะ”

   กลั้นหายใจไปชั่วขณะก่อนผ่อนมันออกมา เก็บมันเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ “ไม่ให้เครียดได้ยังไง”

   “เนี่ย หน้าจะแก่ก่อนวัยเพราะอย่างนี้”

   “บางคนเขาบอกว่าที่ปลดออกเพราะพี่ธรรมเกลียดพี่ต้นหลิวจนพาลใส่คนอื่นด้วยซ้ำ”

   “ถ้าคนเรามันคิดได้แค่นั้นก็ปล่อยไป” พี่มัจปัดฝุ่นที่เปื้อนมือออก ก้าวขายาวกว่าปกติในการข้ามกองของไม่ใช้แล้วพวกนั้นออกมาทางประตู กดปิดสวิชท์ไฟเป็นการจบการทำงานในวันนี้

   “หิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
 


   “รู้ปะว่ามหาลัยเรามีเด็กกี่คน”

   ร้านเบอร์เกอร์ในตึกสไตล์ลอฟต์เปิดใหม่อีกฝั่งหนึ่งของหอพักคือสถานที่ที่เราทั้งสองคนมาฝากท้องสำหรับมื้อเย็นของวันนี้ เห็นมาสักพักแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้ามาลอง อย่างกับพี่มัจฉ์อ่านใจได้เลย

   หยิบเอามันฝรั่งทอดราดชีสเข้าปากไปชิ้นหนึ่งก่อนตอบ “ไม่ทราบครับ”

   “เกือบสองหมื่น”

   คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกมือขึ้นเท้าคางไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า

   “เข้าใจที่พี่จะบอกไหม”

   “ไม่ครับ”

   “คิดว่าจากตัวเลขชุดนั้น มีกี่คนที่รู้จักตุลาการนักศึกษา?”

   ผิดคาดอยู่เหมือนกันที่ได้เปิดเลคเชอร์ในสถานที่และบรรยากาศเช่นนี้ “เอาตามตรงก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

   นอกจากตัวคณะที่มีความเกี่ยวข้องเรื่องสายอาชีพโดยตรงแล้วเขาก็รู้ตัวแหละว่าในสถานศึกษาแห่งนี้มันมีไม่กี่คนที่รู้จักและเข้าใจว่ากลุ่มนี้มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไร ถ้าไม่เป็นพวกเพื่อนของคนที่ได้ตำแหน่งก็ไม่พ้นคนที่ให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของระบบการแบ่งแยกอำนาจโดยแท้จริง

   “นั่นแหละ เพราะอย่างนั้นเลิกเครียดเถอะ ไม่มีใครเขามาสนใจเราหรอก”

   “แต่...”

   “แต่มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ แล้วตุลเองก็เห็นตัวอย่างมาเยอะนี่ว่าสุดท้ายแล้วมันจบแบบไหน”

   ความเฉยชาอันตรายยิ่งกว่าความโกรธแค้น

   “พี่ก็เห็นนี่ครับว่ามีบางคนพยายามทำลาย” หมายถึงกลุ่มคนที่ยังพร้อมรัวคีย์บอร์ดเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง “ผมว่าบางทีเราก็ควรปกป้องตัวเองเหมือกันนะ”

   “อ๋อ อันนั้นน่ะ...”

   “ไม่ได้สั่งให้กู?”

   บทสนทนาถูกแทรกโดยไม่ทันตั้งตัว ตุลหันไปทางขวาที่มีร่างของบุคคลที่สามยืนค้ำหัวอยู่ ฟังแค่เสียงไม่ต้องแหงนขึ้นไปมองหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร

   “ไม่รู้มึงจะกินอะไร สั่งเองเลย”

   “มึงสั่งชุดไหน”

   “เบอร์เกอร์เนื้อ ส่วนของน้องตุลเป็นแฮมเบคอน”

   “เค”

   ปลงตกกับนิสัยเสียของพี่มัจ รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันบ้างเลย พี่ธรรมถามแค่หนึ่งจะตอบกลับไปถึงสองทำไมก็ไม่รู้

   ระบบการบริการตัวเองหลังจากพนักงานเรียกชื่อและหมายเลขสินค้าบอกให้เขารู้ว่ารายการที่สมาชิกรายล่าสุดสั่งไม่ใช่ชนิดเดียวกับทั้งเขาและพี่มัจ มันเป็นเบอร์เกอร์ไก่ชีสที่มีเพิ่มปริมาณของมันฝรั่งทอด ไปต่อสู้กับอะไรมาถึงหิวโซได้อย่างนี้

   “โดนบ่นเยอะปะ”

   “ก็ตามปกติ”

   “แสดงว่าเยอะ”

   ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกพี่เขากำลังพูดกันก็เลยเงียบดีกว่า สัทธาไปทำอะไรมาถึงไม่ได้ไปตามนัดการเคลียร์ห้อง เขาไม่มีความกล้าพอจะแอบมองว่าบนใบหน้าของพี่เขามันเฉยชาไม่ต่างจากคำกล่าวหรือเปล่าด้วย

   “คิดซะว่าเขาทำได้แค่นั้น มันก็ดูไม่เยอะแล้ว”

   ก้มหน้าก้มตาสนใจแต่อาหาร ตัดเป็นชิ้นพอดีคำสำหรับการละเลียดทาน ปกติแล้วเห็นคนอื่นเขาชอบคุยงานกันในร้านกาแฟไม่ก็ร้านเหล้า เพิ่งเคยเจอคนที่สุมหัวกันในร้านเบอร์เกอร์โฮมเมดก็วันนี้

   “ดีแล้ว น้องตุลห่วงมากเลยรู้ไหม”

   “ไม่รู้”

   “...”

   จำเป็นต้องใจร้ายขนาดนี้ไหมนะสัทธา

   “กูบอกแล้วก็รู้ซะ” หมั่นไส้เป็นการส่วนตัวแล้วก็ไปลงกับอาหาร มันฝรั่งทอดในถาดของพี่ธรรมถูกขโมยเข้าปากคนนั่งด้านข้างไม่มีหยุด

   “ทำไมพวกพี่ถึงดูไม่เดือดร้อนได้ขนาดนี้นะ ผมไม่เข้าใจเลย” ยอมรับเลยว่ากระแทกเสียงลงไปไม่น้อยในคำถาม ถูกสอนมาตั้งแต่แรกรับตำแหน่งว่าหากมีความเห็นแย้งในเรื่องงานก็ให้พูดกันตามตรง เก็บเอาไว้แล้วไปนินทาลับหลังมันไม่ช่วยอะไร

   นัยน์ตาของพี่มัจหยีลงในจังหวะที่มีการขยับมุมปากออกด้านข้าง

   “น้องตุลว่าชี้แจงกับแก้ตัวต่างกันยังไง?”

   ต่อจากคำถามคณิตศาสตร์เรื่องจำนวนนักศึกษา ทำไมเขาต้องเจอกับภาษาไทยเรื่องความหมายของคำอีกนะ

   “ในบางครั้งก็ต่างกันมาก แต่บางครั้งก็ไม่มีความแตกต่างอะไรเลยครับ”

   เป็นการใช้ความรู้สึกส่วนตัวผสมไปกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ในหลายครั้งต่อให้มันจะเป็นการชี้แจงในส่วนข้อเท็จจริงที่ดีแค่ไหนแต่ในสายตาคนอื่นมันก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้นเอง

   “ก็นั่นแหละ มันเลยมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้นเยอะ”

   “...?” ทำหน้าสงสัยให้กลับไป ยังตามเรื่องที่ต้องการสื่อไม่ทัน

   “บอกได้ไหมธรรม”

   “ได้ ไม่เป็นไร”

   พี่มัจฉ์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไปตามส่วนต่างๆ บนหน้าจอไม่มีพัก เพราะวางเอาไว้บนโต๊ะมันก็เลยเห็นชัดเจนว่าหลังจากเข้าหน้าจอหลัก แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กคือลำดับต่อมาตามด้วยการเข้าไปยังส่วนของการตั้งค่าเกี่ยวกับการดูแลเพจ

   คุ้นเคยกันส่วนนี้อยู่พอสมควรเพราะตัวเองก็ต้องเป็นแอดมินในส่วนของเพจประชาสัมพันธ์ของตุลาการนักศึกษาเหมือนกัน สมาชิกทุกคนจะต้องเป็นคนดูแลโดยเท่าเทียมไม่มีการยกเว้นให้ใครมีอำนาจเหนือกว่า เป็นนโยบายที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยเปิดเพจแรกๆ แล้ว

   ส่วนที่แตกต่างกับของตัวเองคือนอกจากพี่มัจยังเป็นผู้ดูแลเพจอีกสองสามชื่อ มองแต่รูปตัวแทนไม่คุ้นแต่พอเห็นชื่อแล้วก็ได้แต่เงยองศาของหน้าขึ้นมาจ้องตา

   “...”

   “บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงหรอก”

   หนึ่งในนั้นคือเพจที่เดือนตุลาเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มีทางญาติดีเป็นอันขาด คอนเทนต์เกี่ยวกับเรื่องฉาวข้างในมหาวิทยาลัยที่ดูแล้วเหมือนจะทำเอาเพื่อความสะใจมากกว่ามีจุดประสงค์ในการเป็นกระบอกเสียงอีกทางของนักศึกษา ไม่ได้บอกว่าเรื่องที่ลงเป็นความเท็จ หากในความคิดของเขาแล้วมันมีทางอื่นที่ดีกว่าในการส่งต่อข้อความไปยังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ

   ตัวเลขของบัญชีผู้ใช้ที่ชื่นชอบในเรื่องราวเหล่านี้ทะลุแสนไปแล้ว หลายโพสต์มีการแชร์เป็นวงกว้างจนมีการปรับปรุงรวมถึงนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งจนเคยมีเรื่องที่เกือบจะถึงมือของตุลาการนักศึกษาเช่นกัน อย่างประเด็นล่าสุดที่ตามขยี้ไม่หยุดก็ไม่พ้นเรื่องของพี่ที่นั่งเยื้องอีกฝั่งของเขานี่แหละ

   เดี๋ยวนะ...

   “พี่มัจ”

   “ว่า”

   “บนโต๊ะนี้...ไม่ใช่พี่คนเดียวที่ดูแลเพจใช่ไหมครับ”

   ยิ้มที่เขาเคยนิยามว่ามันสว่างไสว ในคราวนี้มันกลับกลายเป็นตัวแทนของความมืดมิดในมิติแสนบิดเบี้ยว “มันไม่มีใครจริงใจกับเราหรอกนะน้องตุล โดยเฉพาะกับสิ่งที่เรียกว่าการเมือง”

   ไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ

   เตือนตุลาได้คำตอบโดยไม่จำเป็นต้องมีคำว่าเยสหรือโนในนั้น

   มันยังมีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวใหม่อยู่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกดไลก์ แชร์ หรือว่าข้อความส่วนตัว เขาผลักเจ้าเครื่องมือสื่อสารทรงเหลี่ยมกลับไปทางเจ้าของ

   มันเป็นความหวาดกลัวที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

   “เพราะอย่างนั้นอย่าให้ใครทำร้ายเราได้นอกจากตัวเราเอง”


***
   เป็นพระเอกที่ไม่มีบทบาทเลยเนอะคะ (หัวเราะ) ตั้งแต่ตอนหน้าคุณสัทธาจะกลับมาทวงตำแหน่งค่ะ
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 21-02-2019 20:28:53
จ้างมาแพงหรอคะพระเอก พูดกี่ประโยค ถถถถถ   :mew3:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-02-2019 20:59:15
คุณสัทธาคะค่าตัวแพงมากเหรอคะเดี๋ยวเราจะปลดออกจากตำแหน่งนะคะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-02-2019 00:44:40
ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรในการเมือง  :z6:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทหก [21.2.19]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 30-03-2019 10:36:08
แงงง รอนะคะ :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 02-04-2019 21:30:43
บทเจ็ด


   เกลียด

   เขาเกลียดพี่มัจฉ์จริงๆ

   “อยากแวะที่ไหนก่อนบอกได้นะ”

   “...ไม่เป็นไรครับ”

   ทางเดินเท้าข้างถนนเลนเล็กที่เหมาะกับแค่สวนไปมาเลนเดียวดูไกลกว่าทุกครั้ง ระยะห่างแค่ถนนแปดเลนกั้นทอดยาวยิ่งกว่าครั้งไหนที่เดินผ่าน ความไม่พอใจส่วนตัวบวกเข้ากับใบหน้าที่ยังยิ้มระรื่นได้ไม่มีเปลี่ยนก่อนแยกย้ายของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์คนนั้นพาให้เผลอเดาะลิ้นตามความเคยชิน

  ‘ยังไงก็อยู่หอเดียวกัน กลับด้วยกันไปสิ’

   เป็นยังไงล่ะ แย่ยิ่งกว่าอะไรดี

   “ไม่พอใจเรื่องเพจ?”

   ประหลาดใจเหมือนกันที่พี่ธรรมเป็นคนเปิดประเด็น “อันนั้นตกใจมากกว่าครับ”

   “ไม่เห็นแปลก”

   “คนที่ไหนเขาใส่ร้ายตัวเองกัน”

   “มัจก็บอกชัดเจนแล้วนะ”

   ชินเสียแล้วกับวิธีการพูดที่เหมือนการสอนสั่งมากกว่า จะว่าไปแล้วหลังจบพี่ธรรมจะทำอะไรต่อนะ อาจารย์สัทธาก็เป็นอะไรที่ดูเป็นไปได้เหมือนกัน

   “ตอนนี้ผมยังไม่เห็นข้อดีที่พี่สองคนทำอย่างนี้เลย”

   “รออีกสักพัก ไม่นาน”

   “จะรอดูแล้วกันครับ” รู้ฐานะของตัวเองดีกว่าไม่มีสิทธิเข้าไปวุ่นวายกับสิ่งที่พวกพี่เขากำลังทำอยู่ ก็เป็นได้แค่วงนอกตลอดเวลาอยู่แล้วนี่นา “ขอให้มันเป็นอย่างที่พวกพี่หวังแล้วกัน”

   ก็ว่ามันยังพอต่อบทสนทนาได้ หากในความเป็นจริงมันหลงเหลือเพียงเสียงรถยนต์บนท้องถนนเท่านั้นที่ดังเป็นดนตรีประกอบ บริเวณหน้าหอพักในเวลาสี่ทุ่มกว่ามีนักศึกษาในชุดลำลองบางตาและไม่มีใครรออยู่ตรงหน้าลิฟต์สักราย

   เข้าไปยืนอยู่ข้างในกล่องเหล็กทรงเหลี่ยม กดเลขสี่ตามด้วยเจ็ด หมายเลขแรกเป็นของเขาส่วนห้องเจ็ดศูนย์แปดน่ะเป็นของคนข้างตัว ตอนปีหนึ่งก็อยู่หอในตามที่ทางบ้านต้องการแหละ แต่ทั้งการเรียนแล้วก็กิจกรรมมันไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบที่วางเอาไว้ก็เลยต้องย้ายออกในช่วงปิดเทอมเล็ก

   หอพักกลางเก่ากลางใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแบบขอไปทีไม่ใช่ตัวเลือกแรกของนักศึกษาที่นี่ แต่เมื่อหักลบไปกับราคาค่าเช่าสำหรับหนึ่งคนมันถูกกว่าพอสมควร พออยู่จนชินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แถมยังมีศูนย์อาหารขนาดใหญ่อยู่ห่างไปนิดเดียวอีกต่างหาก

   “...นึกว่าจะย้ายไปแล้ว”

   “ครับ?”

   ทวนแบบที่ไม่ได้ตั้งตัวเท่าไหร่ ก็ไม่คิดว่าอยู่ดีๆ พี่ธรรมจะเปิดปากนี่นา

   “ไม่คิดว่าจะยังอยู่ที่นี่”

   “...”

   ความสูงเพียงสี่ชั้นพาให้บทสนทนายืดยาวไปมากกว่านั้นไม่ได้ เขาก้าวเดินออกไปยังด้านนอกเชื่องช้า เม้มปากแน่นยามข้างในห้วงความคิดย้ำเตือนว่าการตัดสินใจไม่สามารถรอได้

   เดือนตุลายื่นมือไปกั้นประตูฟากหนึ่งเอาไว้ ทำตัวเป็นเด็กใจกล้าอีกครั้ง

   “พี่ไม่รู้จริงเหรอว่าทำไมผมยังอยู่ตรงนี้”

   “...”

   “ผมพูดให้ฟังอีกรอบได้นะ”

   “...”

   “แต่พี่อยากจะฟังหรือเปล่า?”

   “...”

   คำตอบของสัทธาคือประตูเหล็กที่เคลื่อนตัวเข้าหากันเงียบเชียบไร้คำลา
 


   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ากังวลเองไปก่อนจนรู้สึกว่าทุกอย่างช้าไปหมดหรือเปล่า คำว่าสักพักของพี่ธรรมกินเวลาสามวันกว่าที่กระแสจะตีกลับไปทางบุคคลที่ถูกปลดออกทั้งสอง หลักฐานและเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ส่อไปทางทุจริตถูกเผยแพร่ทีละชิ้นคอยเลี้ยงกระแสจนตอนนี้ไม่ใช่แค่ฝั่งตุลาการเท่านั้นที่เป็นประเด็น แต่รวมถึงองค์การนักศึกษาและสภาด้วย

   ยิ่งตอนนี้เข้าใกล้การเลือกตั้งของฝั่งสภาเข้าไปทุกขณะก็กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี พูดแล้วก็ดีใจระคนไปกับปลงตกที่คนอื่นเริ่มตระหนักว่าควรสนใจในสิทธิของตัวเองสักที

   “พี่มัจว่าเราต้องเลื่อนการเลือกตั้งไหมครับ”

   “ไม่น่าจะ พวกผู้ใหญ่เขาไม่ยอมหรอก ...น่ะ ทำหน้าอย่างนี้อีกแล้วนะ”

   โดนชี้นิ้วใส่พร้อมทำท่าล้อเลียนยามลอบมองบนให้กับคำก่อนหน้า “ก็ข้ออ้างมันเป็นเรื่องนี้ตลอดเลยนี่ครับ”

   ผู้ใหญ่ไม่ชอบอย่างนั้น

   ผู้ใหญ่ห้ามอย่างนี้

   ผู้ใหญ่

   ได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานจนทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เบื้องหลังของความภาคภูมิใจที่มหาวิทยาลัยใช้เป็นจุดขายให้กับนักศึกษาหน้าใหม่คือความน่ารังเกียจของคนมีอายุที่ไม่ยอมลงจากอำนาจเสียที จะให้ไปสู้บ่อยๆ ก็เหนื่อยเปล่าเพราะไม่เห็นมีครั้งไหนเสียงของนักศึกษาจะไปถึงสักที

   “ช่วยไม่ได้ ตอนที่ที่เสนอให้มีตัวแทนนักศึกษาเข้าไปก็ไม่สนใจกันเองนี่”

   มันคือความขมขื่นที่คนเด็กกว่ารู้ว่ากว่าจะเอามาเล่าให้กลายเป็นเรื่องตลกอย่างนี้ได้มันต้องผ่านการเยียวยาจากสิ่งที่เรียกว่าเวลาขนาดไหน เดือนตุลาเข้ามาไม่ทันในช่วงเวลาที่กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้น แต่ได้เห็นจุดสิ้นสุดของมันเต็มสองตา

   ในตอนนั้นเรียกว่าเพิ่งได้ตำแหน่งก็เจองานหนักเลยล่ะ โดยตำแหน่งและระเบียบเรื่องของหน้าที่แล้วฝั่งของตุลาการนักศึกษาไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายกับงานในฝั่งของการออกกฎระเบียบของสภานักศึกษา สิ่งที่ทำได้ก็คือเป็นเบื้องหลังที่ปิดปากไร้เสียงสนับสนุนหรือคัดค้าน

   กฎระเบียบในส่วนของสภามหาวิทยาลัยที่จะจัดตั้งขึ้นนั้นสร้างความกังวลให้คนกลุ่มหนึ่งถึงความชอบธรรมในการดำเนินงานโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของตัวแทนนักศึกษา ชื่อที่บอกว่าเป็นการจัดตั้งเพื่อบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยแต่กลับไม่ให้คนส่วนมากมีส่วนร่วม

   เป็นเด็กที่ไม่เคยสนใจเรื่องการเลือกตั้งหรือว่าออกสิทธิมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกการเลือกประธานนักเรียนก็ไม่เคยเข้าไปเอี่ยวสักครั้ง พอได้เห็นความจริงจังของคนที่มีส่วนร่วมตรงนั้นแล้วตอนแรกยังสงสัยว่าต้องอินกับมันขนาดนี้ด้วยเหรอ

   โต้โผใหญ่เท่าที่เห็นก็พวกรุ่นพี่โต๊ะคนป่านี่แหละ พี่ธรรมเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ด้วยตัวตำแหน่ง แต่คนอื่นนี่เรียกได้ว่าทุ่มเต็มร้อยจนเด็กปีหนึ่งอย่างเขาทำได้แค่มองตาปริบ ทั้งการล่ารายชื่อและสร้างแคมเปญที่ต่อเนื่องไม่มีขาด เริ่มชื่นชมในความเป็น ‘วัยเปี่ยมฝัน’ ของพวกเขาเหล่านั้นอยู่เงียบๆ จนซึมซับไม่รู้ตัว

   และความจริงโหดร้ายเสมอ

   ความพยายามในการแก้ไขร่างกฎระเบียบไม่เป็นผลสำเร็จ ต่อให้ร้องเรียนผ่านช่องทางที่มีมากแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่านักศึกษาส่วนมากจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน สุดท้ายมันก็เลยถูกปัดตกแล้วกลายเป็นบาดแผลในวงเหล้าไปเสีย

   ฉะนั้นอย่าแปลกใจเลยที่เหล่ารุ่นพี่แก๊งค์พี่ธรรมจะหัวร้อนทุกครั้งที่มีคนจุดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าหลังจากคราวนั้น มันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้เราผิดหวังจนชาชิน จนหลายคนไม่อาจหาญที่จะยืดหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเอง

   “ปล่อยเรื่องเลือกตั้งไปก่อน เรามาทำงานของเราก่อนดีกว่า”

   “งานของเรา?”

   “อืม งานของพี่ที่อยากให้น้องตุลมานั่งให้กำลังใจก็ได้”

   เมื่อไหร่พี่มัจจะจบสักทีนะ

   ช่วงนี้น่ะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคที่สุดเท่าที่เคยทำงานมาเลยก็ได้ องค์คณะที่เหลือแค่เจ็ดคนแล้วยังมีปัญหาให้สะสางอีกเป็นกระบุง เรื่องของพี่ต้นหลิวจะจัดการทั้งหมดเองก็ทำไม่ได้เต็มตัวเพราะสุดท้ายแล้วหน้าที่ของฝ่ายนี้มันมีเพียงการตัดสิน ไม่สามารถทำงานในเชิงรุกได้ ช่วยเข้าใจกันหน่อยได้ไหมว่าตุลาการไม่ได้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง

   “เลิกคุย ทำงาน”

   ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก ความจริงคนที่นั่งอยู่ตรงนี้มันไม่ได้มีแค่สองคนหรอก เขาก็แค่ทำเหมือนกันว่าตรงนี้มันไม่ได้มีประธานตุลาการนักศึกษาคนล่าสุดนั่งอยู่ด้วยก็เท่านั้นเอง

   ตอนนี้เราสามคนได้กลายร่างกลายเป็นกรรมกรคัดแยกประเภทของเอกสารไปแล้ว พี่มัจบ่นว่าเบื่อห้องประชุมคับแคบก็เลยย้ายสัมมะโนครัวหอบหิ้วเอากองกระดาษหนาเป็นตั้งมานั่งอยู่ในร้านกาแฟข้างในส่วนของหอพักนักศึกษาแทน

   ช่วงบ่ายของวันเสาร์มีลูกค้าประปรายกระจายตัวตามมุม คงเป็นเพราะส่วนใหญ่กลับบ้านล่ะมั้ง ซึ่งคนที่ควรได้กลับไปนอนกลิ้งบนเตียงฟูกสปริงที่บ้านน่าจะรวมถึงเขาด้วยสิ

   ที่ไม่มีคนอื่นมาด้วยก็ไม่รู้ว่าเพราะติดธุระกันจริงหรือไม่อยากจะเจอหน้าพี่ธรรมก็ไม่รู้ ตอนนี้คิดว่ามากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนที่เหลืออยู่ไม่น่าจะมีใครกล้าหือกับประธานคนใหม่แล้วล่ะ

   “แล้วจะเคลียร์เรื่องต้นหลิวครั้งหน้าให้จบเลยไหมธรรม จะได้ไปเรื่องอื่นต่อ”

   “อย่างนั้นก็ได้”

   จากที่คิดเอาเองคือเรื่องของพี่ต้นหลิวไม่น่าจะยากเย็นอะไร ก็แค่เอาเรื่องเข้าที่ประชุมแล้วก็พิจารณาไปตามวาระ มันคงไม่ได้มีการลงโทษอะไรที่ร้ายแรงจนถึงขั้นพ้นสภาพนักศึกษา เหมือนเอาแค่ให้เป็นตราบาปที่ติดตัวไปจนตายทำนองนั้น

   เห็นพี่มัจจะเอาคำวินิจฉัยอัปโหลดเข้าเพจด้วย รับรองว่ามันจะต้องแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างไม่น้อย

   ที่จริงแล้วชื่อพี่เขานี่ย่อมาจากมัจจุราชหรือเปล่า

   พี่ทั้งสองคนดูสบายใจไม่มีกังวลกับเรื่องที่ที่ต้องจัดการ เหมือนมานั่งชิลล์ใช้ชีวิตแบบคนว่างงานในวันหยุดสุดสัปดาห์อะไรอย่างนั้น จินตนาการไปว่าถ้าตัวเองต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกันจะยังสามารถจัดการกับสถานการณ์อย่างนี้ได้ดีเท่านี้หรือเปล่า

   คิดแล้วก็อิจฉานะที่พวกเขาสามารถเจอกับมิตรสหายในการทำงานอย่างนี้ ตัวเขาเองนอกจากปลายเจตน์ที่เป็นเพื่อนในคณะแล้วก็นึกไม่ออกว่ามีใครอีก ส่วนในตุลาการมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่สามคนที่มีบุคลิกคนละโยชน์จนเป็นไม่สนิทใจจะคุย

   มือตักทาร์ตผลไม้ที่เป็นของหวานชิ้นเดียวบนโต๊ะเข้าปาก ตายังอ่านมาตราที่เกี่ยวข้องซ้ำอีกครั้งว่ามันจะไม่มีข้อผิดพลาดใดปรากฎอยู่ในเอกสาร ทำอันนี้เสร็จแล้วก็ต้องเอาไปเกลาภาษาต่ออีก จะบ้าตาย

   รูปแบบของเอกสารราชการเป็นความยุ่งยากที่หลุดคำหยาบนับไม่ถ้วนสมัยทำแรกๆ ฟอนต์ การกั้นหน้า ตัวเลขไทย และอีกสารพัดที่ไม่เคยคิดว่าจะถูกตีกลับมาแก้ ยิ่งรอบนี้มันไม่ใช่การทำงานที่จบในชั้นของนักศึกษาเพียงอย่างเดียวก็ซับซ้อนเข้าไปใหญ่ ก็พวก ‘ผู้ใหญ่’ นั่นแหละที่ต้องการรายงานทั้งหมด

   อดเหล่มองคนข้างตัวไม่ได้ ก็เป็นที่รู้กันว่าที่พี่ธรรมกลับมาน่ะมันได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มนั้นมากแค่ไหน จนมันระแวงไปหมดว่านอกจากเข้ามาจัดการเรื่องของพี่ต้นหลิวแล้วมันยังมีอะไรซ่อนเอาไว้อีกหรือไม่

   สัทธาในวันนี้ก็ยังอยู่ในชุดสไตล์เดิม กางเกงทรงตรงแบบคุณลุงสีดำที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนของนักเรียนมัธยมปลาย เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กว่าขนาดตัวหนึ่งไซซ์ไม่มีลายสกรีนเป็นพิเศษ นัยน์ตาคู่สวยหลังกรอบแว่นจ้องมองเพียงแผ่นกระดาษเอสี่ตรงหน้า พอเริ่มอ่านหนังสือแล้วก็หลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างนี้ตลอด

   ถัดออกไปทางขวาคือบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังไม่ได้รับการรับรองให้ถูกกฎหมายวางเอาไว้หรา แก้วกาแฟร้อนพันธุ์ดังจากภาคเหนือเหลือเพียงก้นแก้วเท่านั้น เดือนตุลารีบก้มหน้ากลับมามองส่วนงานของตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจ้องนานเกินไปจนเก็บรายละเอียดได้เท่านั้น

   “หมดสักที” ท่าทางเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงแฟ้มของพี่มัจฉ์กระฉับกระเฉง น้ำเสียงร่าเริงบอกชัดว่ามีความสุขแค่ไหนชิ้นงานที่เพิ่งเสร็จสิ้น “เสร็จจากนี้แล้วทำอะไรต่อ”

   “อ่านหนังสือกับฟีน”

   “ที่นี่?”

   “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

   “โอเค งั้นกลับเลยแล้วกัน”

   ทำหน้านิ่งผิดกับในใจที่แทบจะซีดขาวไปแล้ว งานส่วนของพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์เสร็จก็จริงแต่คนที่มีหน้าที่ตรวจสอบขั้นสุดท้ายอย่างเขาน่ะยังมีกองเป็นกระบุง เท่ากับว่าเขาจะต้องอยู่กับพี่ธรรมสองคนอีกครั้ง

   ในความทรงจำยังคงเห็นภาพเดิมเด่นชัด บานประตูลิฟต์ที่ปิดลงเชื่องช้าโดยคำสั่งของคนที่อยู่ชั้นสูงขึ้นไปไร้เยื่อใยไม่เคยเปลี่ยน ตอนนั้นเดินกลับถูกห้องใช้กุญแจถูกดอกอยู่หรอก พอเข้าห้องไปเท่านั้นแหละนั่งเหม่ออยู่ปลายเตียงนานสองนานจนตาแห้งไปหมด

   “แล้วทำไมรีบอ่านจัง ยังไม่กลางเทอมเลยนะธรรม”

   “ไม่ใช่สอบ แข่งตอบปัญหา”

   “อ้อ...”

   “อีกสิบวันแข่งแล้ว ไม่มีเวลาอ่านเท่าไหร่เลยต้องรีบ”

   ถ้าสัทธากับทิชากรวุ่นกับการอ่านเตรียมตัว เดือนตุลาก็หัวปั่นกับการเป็นฝ่ายจัดการแข่งขันพอกัน มีอย่างที่ไหนจากไปช่วยฝ่ายทะเบียนนิดหน่อยก็โมเมว่าเป็นคณะผู้จัดงาน จะให้ไปติดต่อกับอาจารย์เรื่องข้่อสอบที่รบกวนขอให้ช่วยออกไว้ทุกเมื่อเชื่อวัน

   แล้วอาจารย์แต่ละคนก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลย ทั้งที่บรีฟชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าขอบเขตประมาณไหนก็ยังมีส่วนที่ไปซ้ำกับอีกท่าน แล้วพอบอกว่าข้อสอบที่ขอความอนุเคราะห์ยังต้องเอาไปคัดเลือกอีกทีก็บ่นเป็นคนแก่ขี้น้อยใจอีก ปวดหัวจนอยากจะขอเบิกค่าพารา

   “มั่นคงกับเป้าหมายดี”

   “เด็กมีปมต่างหากมัจ”

   ถ้าถามว่าเข้าใจไหมว่าพวกพี่เขากำลังพูดถึงเรื่องไหนก็ตอบได้เลยว่าไม่สักนิด พี่มัจเอาแต่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง ส่วนพี่ธรรมก็เข้าสู่ห้วงมิติที่แปดกับเอกสารตรงหน้าแล้ว นี่ไม่ได้สังเกตเลยว่านอกจากกองรายงานการประชุมทั้งหมดแล้วในย่ามใบประจำยังมี
หนังสืออาญาภาคทั่วไปเล่มหนานอนอยู่

   “ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”

   “กล้าพูด ก็รู้อยู่แก่ใจ”

   ยิ้มยียวนอย่างนั้นไม่มีใครเลียนแบบพี่มัจฉ์ได้สักคน “รู้ว่า?”

   “จะไปไหนก็ไป เสียเวลาอ่าน”

   “อยากอยู่กับน้องตุลสองคนก็บอกมา”

   ก็เป็นอย่างนี้แหละนะคนเรา รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เคยคิดจะรักษาน้ำใจกันเอาไว้บ้างเลย มันคือความย้อนแย้งที่ปากบอกว่าชินแต่สุดท้ายแล้วข้างในส่วนลึกมันก็ยังสัมผัสถึงความวูบโหวงอยู่เสมอ

   “รำคาญ”

   “ครับๆ ไปแล้วครับ”

   “บายครับพี่มัจ” สบช่องให้มีบทได้บ้างสักที

   “ไหนกอดลา”

   “ไม่มีครับ”

   จากนั้นก็ไม่สนใจเสียงบ่นน้อยใจในโชคชะตาแล้ว ความเงียบสงบกลับคืนสู่พื้นที่แห่งนี้เมื่อมีแค่สองคน เขาลองเปิดข้อมูลทั้งชุดเพื่อประเมินว่ามันต้องเร่งมือแค่ไหน แค่ต้องอยู่กับพี่ธรรมก็แย่แล้ว มีพี่ฟีนเข้ามาอีกคนนี่บอกได้เลยว่านอกจากจะไม่ได้งานแล้วอาจจะมีระเบิดลงคาเฟ่

   ทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าที่จำใจนั่งโต๊ะเดียวกันเพราะว่าไม่มีที่ว่างอื่น เพิ่งขีดฆ่าคำผิดถึงแค่หน้าที่สามก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาทักทายบุคคลไม่พึงประสงค์

   “ไง”

   “สวัสดีครับพี่ฟีน”

   แค่เห็นหน้าก็เหมือนถูกดูดพลังงานออกจากร่างกายไปเกือบหมด รอยยิ้มที่ประดับอยู่ตรงมุมปากเสมอไม่เคยแปรเป็นความสว่างสดใสให้ได้เช่นเดิม

   “งานตุลาการเหรอ”

   “ครับ” ดึงส่วนที่เป็นเนื้องานทั้งหมดมาไว้ในมือไม่ให้หลงเหลืออยู่บนโต๊ะ ทำทุกทางให้มันพ้นหูตาสัปปะรดแพรวพราว “พี่ฟีนช่วยทำตามหลักการแบ่งอำนาจด้วยครับ”

   เป็นหลักการเบื้องต้นที่ต้องเรียนมาก่อนเขาตั้งกี่ปี ไม่เห็นจะทำตามบ้างเลย ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับหน้าที่ต้องแยกจากกันให้่ชัดเจนสิ

   “น้องตุลเรียนโทมหาชนเถอะ ถ้าจะขนาดนี้”

   “นั่นเป็นเรื่องของผมครับ”

   “จะลงจากตำแหน่งแล้ว หยวนหน่อยสิ”

   “ไม่ครับ แล้วจะขอบคุณมากถ้าปีนี้สภาไม่ฟ้องเรื่องเลือกตั้งอีก”

   ขุดเอาเรื่องปวดหัวเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาเล่าใหม่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าองค์การที่ไม่มีบทบาทข้างในมหาวิทยาลัยอย่างสภาทำไมถึงมีคนแก่งแย่งอยากมีส่วนร่วม หรือเพราะคิดว่าได้ตำแหน่งง่ายก็ไม่รู้สิ

   อย่างปีที่แล้วก็เป็นเรื่องของเงินสนับสนุนการหาเสียงจากภายนอก ...พูดให้ชัดคือจากพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นต่างขั้วอำนาจกันแล้วมาเล่นเกมกันในระดับการเมืองของนักศึกษา จากนั้นเลยกลายเป็นว่าพอเห็นการจัดกิจกรรมที่เชิญคนจากกลุ่มเหล่านี้มามีส่วนร่วมก็มองทางลบไปหมด

   “พี่ทำอะไรไม่ได้สักหน่อย วางมือแล้ว”

   “เหรอครับ” ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองหนึ่งชัดเจนอย่างทิชากรไม่มีทางปล่อยให้ฐานเสียงใหญ่อย่างนักศึกษาและศิษย์เก่าในมหาวิทยาลัยไปแน่นอน กล้าพนันหมดตัวว่าเรียนจบไปต้องได้เห็นชื่อนี้อยู่ในผู้สมัครส่วนบัญชีรายชื่อหรือไม่ก็ลงเขต “ผมไม่เชื่อหรอก”

   “เสียใจนะเนี่ย”

   “กูบอกแล้วว่าให้เอาเหล้าเบียร์ไปเซ่น เงินมันมีหลักฐานหลงเหลือ”

   “เดี๋ยวนี้มันชอบถ่ายรูปอัปลงโซเชียลกันอะมึง เดี๋ยวพลาด”

   “งั้นก็รับเงินต่อไป แล้วตีกันให้พอ”

   “เฮอะ เดี๋ยวนี้เขาไม่แบ่งพรรคที่รับเงินกันแล้ว ทำให้ทุกคนรับเงินจากพรรคเดียวสิสนุกกว่า”

   สะกิดใจแต่ไม่อยากมีส่วนร่วม เรื่องพวกนี้นี่สามารถเล่าออกมาได้หน้าตาเฉยได้หรือไง

   “แล้วทำไมน้องตุลถึงอยู่ที่นี่ล่ะ ธรรมชวนมาเหรอ”

   “ตอนแรกพวกผมทำงานกันน่ะครับ มีพี่มัจด้วยแต่กลับไปแล้ว”

   “เขาไม่อยากเจอมึงไงฟีน”

   “กูก็ไม่อยากเจอมึงเหมือนกัน”

   บอกว่าจะมาอ่านหนังสือด้วยกัน แต่เท่าที่เห็นนี่คือหาเรื่องไปมาชัดๆ พี่ปีสี่ผู้มาใหม่เป็นเครื่องสร้างบรรยากาศชั้นดีที่คลายความอึดอัดในช่วงแรกออกไปเกือบทั้งหมด พวกเขาเริ่มต้นด้วยการหยิบเอากระดาษรายงานมีเส้นเล่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยลายมือของทั้งคู่ผสมกันขึ้นมาไล่ทีละหัวข้อ ตกลงกันเรียบร้อยว่าต่างคนจะเน้นส่วนไหน

   คิดแล้วก็อยากได้พี่ฟีนที่เคยเจอเมื่อวันแรกกลับคืนมาเหมือนกัน ยิ่งรู้จักมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งอยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วบอกตัวเองว่าให้ถามรุ่นพี่คนอื่นแทน การเลือกจากหน้าตาเพราะคิดว่าไม่มีพิษมีภัยนี่มันเป็นเรื่องพลาดของแท้

   ตั้งมั่นอยู่กับงานแค่ไหนถ้าเจอพวกพี่เขาผลัดกันจุดประเด็นไม่มีหยุดอย่างนี้ก็จบ เข้าใจแค่บางเรื่องที่เรียนมาก่อนแล้ว ส่วนความรู้ตั้งแต่ชั้นปีที่สามขึ้นไปบอกเลยว่าเหมือนฟังเอเลี่ยนคุยภาษาต่างดาวกัน

   “อันนี้แค่พราก ไม่ได้อนาจาร”

   “มึงต้องภาคยานุวัติก่อน มันแค่ลงนามไม่ได้”

   “หลักการพื้นฐานการคลังสิบข้อ แล้วอะไรอีกวะ อ้อ! วินัยการคลัง”

   “อะไรคือคำสั่งทางปกครอง แม่งยังเป็นแค่ความเห็นอยู่เลยเถอะ”
   
   และอีกสารพัด

   ไม่ได้บอกพี่ทั้งสองคนว่าเขาเป็นคนจัดงาน ไม่อย่างนั้นนะนี่มันผลประโยชน์ทับซ้อนกันไปมาน่าปวดหัว 

   “หิวแล้ว ร้านนี้อะไรอร่อยอะ ไม่เคยมากินเลย”

   “ไม่รู้”

   “น้องตุลช่วยพี่แนะนำหน่อย”

   “ไม่รู้เหมือนกันครับ ปกติผมกินแค่ลาเต้กับทาร์ตอะ”

   “เคเค”

   กะพริบตาปริบยามเห็นอิริยาบทหยิบกระเป๋าเงินเดินลิ่วไปทางเคาท์เตอร์ คือนี่เปลี่ยนมาเป็นพี่ฟีนแล้วแน่ใช่ไหม เขารู้สึกเหมือนว่าพี่มัจฉ์ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย จะว่าไปแล้วพวกพี่เขาก็คล้ายกันหลายอย่าง

   จู่ๆ คนข้างตัวก็ลุกขึ้นพรวดออกไปนอกร้านพร้อมกับโทรศัพท์และบุหรี่ไฟฟ้า อาจจะต้องการสารพิษเข้าไปเพิ่มในร่างกายล่ะมั้ง เด็กมหาวิทยาลัยเสพติดเยอะแยะจะตายไป

   ท่องบอกว่าอีกไม่กี่บรรทัดก็สามารถหลุดพ้นได้แล้ว ตั้งใจยิ่งกว่าปกติเพื่อให้ไม่หลุดไปก่อน จัดการขีดฆ่าตรงคำผิดที่อยู่ตรงบรรทัดแรกของหน้า แล้วก็ต้องเอาเนื้อหาส่วนกลางไปตรวจสอบอีกรอบเพราะเหมือนว่ามันจะไม่สัมพันธ์กับข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับมา

   ปิดฝาปากกาเมื่อหมดบรรทัดสุดท้าย เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นกล่องกระดาษสีขาวที่มีทาร์ตผลไม้แบบเดียวกับที่เขาทานหมดไปแล้ววางเอาไว้ไม่ห่างจากตัวเท่าไหร่ตั้งหรา พี่ทั้งสองคนต่างก้มหน้าอยู่กับหนังสือไม่มีใครสนใจน้องปีสองอย่างเขาสักคน

   “อันนี้คืออะไรครับ?”

   สำหรับเดือนตุลาแล้วไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเกรงใจรุ่นพี่อะไรทั้งนั้น

   เป็นพี่ปีสี่ฝั่งสภาที่เฉลย “ให้น้องตุล”

   “ผม?”

   “อือ”

   “...”

   “แต่ไม่บอกหรอกนะว่าใครซื้อให้”


***
   คุณสัทธาเริ่มกลับมาทวงตำแหน่งแล้วนะคะ เป็นนิยายมากกว่ารายเดือนไปแล้วจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ) เอาจริงๆ คือไม่รู้เหมือนกันว่ามาแนวนี้คนอ่านชอบไหม เพราะมันคือการเขียนมีแรงขับเคลื่อนคือความเก็บกดส่วนตัวล้วนเลย แต่ก็ดีใจที่มีคนรอนะคะ ยังไงฟีตแบกก็เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดจริงๆ ค่ะ
   เจ้ามีลงเรื่องสั้นประจำปีนี้เอาไว้เมื่อต้นปี E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0) เผื่อว่าแก้ขัดระหว่างรอตอนหน้านะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-04-2019 22:04:37
 :3123:
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 02-04-2019 22:35:28
กลับมาคราวนี้สัทธาอย่าหายหน้าไปนานนะเดือนตุลาคิดถึง..ขอบคุณที่พาสัทธากลับมาค่ะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเจ็ด [2.4.19]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 02-04-2019 23:15:59
ไม่ชอบบุคลิคสัทธาอ่ะ ไม่ปลื้ม
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 27-10-2019 17:05:26
บทแปด


   มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากว่าเพราะอะไรห้องเรียนขนาดใหญ่บนชั้นสามของตึกเรียนรวมถึงมีจำนวนประชาชนมากผิดปกติอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ในเมื่อวันนี้มันมีการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายรอบแรกสำหรับเด็กภายในคณะนิติศาสตร์ยังไงล่ะ

   เดือนตุลาสูดหายใจเข้าไปลึกพลางปลอบตัวเองว่าถ้าเจอหน้าเพื่อนสนิทเมื่อไหร่ก็ห้ามเผลอมองแรงหรือประชดใส่เด็ดขาด

   ปลายเจตน์นะปลายเจตน์

   “ช้าสัตว์ กูบอกว่าก่อนเที่ยงไง”

   หมุนข้อมือด้านขวาขึ้นมาดูหน้าปัด “นี่ก็สิบเอ็ดห้าเก้าไง”

   เสียงสบถด่าต่อจากนั้นเป็นอะไรที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาแสร้งทำเป็นหัวเราะร่าเพื่อซ่อนความไม่พอใจทั้งหมดเอาไว้ จะบอกว่าเรื่องนี้เพื่อนผิดมันก็ไม่เชิง มองอีกแง่หนึ่งก็คือไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนเขาก็ควรจะทำงานให้เป็นมืออาชีพ

   ตอนแรกก็นึกว่าหน้าที่จะจบลงแค่การติดต่อกับอาจารย์ วันจริงก็เสนอหน้าเข้ามาตรวจสอบว่าส่วนที่ตัวเองประสานงานให้ไม่มีข้อผิดพลาด กลายเป็นว่าเมื่อคืนเพื่อนที่เข้าใจว่าสนิทที่สุดในคณะโทรมาหาเสียงเครียด บอกว่างานในวันนี้มีคนเดินข้อสอบไม่พออยากให้เข้ามาช่วยหน่อย

   อยากจะด่าแต่ก็สงสารเพื่อน ยังไงวันนี้ทางคณะก็ประกาศเป็นวันหยุดภายในเพื่อให้ทุกคนเต็มที่กับการแข่งขัน คนไม่มีคาบเรียนอย่างเขาก็ควรทำตัวมีน้ำใจเสียบ้าง

   กลุ่มคนที่กระจัดกระจายไม่มีกลุ่มก้อนชัดมีทั้งคนที่รู้จักชื่อ คุ้นแค่หน้า และไม่เคยรู้จักมาก่อน มันน่าจะเป็นกิจกรรมเดียวที่รวมนักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีเอาไว้ด้วยกันได้ สำหรับน้องปีหนึ่งและสองเรารู้กันว่ามันคือการลองสนามเพื่อประเมินสถานการณ์ นี่มันสนามรบของพี่ปีสามและสี่ที่มีองค์ความรู้มากพอสมควรแล้ว

   ปีหน้าก็ว่าจะชวนปลายมาลงแข่งอยู่ ถือว่าเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัว

   “ไปนั่งตรงลงทะเบียนเลยมึง อย่าลืมย้ำด้วยว่าให้ปิดมือถือตอนแข่ง”

   “ไหนบอกว่าให้มาช่วยเดินข้อสอบ”

   “เมื่อคืนที่โทรไปคือแค่นั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มึงต้องช่วยกูเพิ่มแล้วล่ะ”

   ตอนแรกจะทั้งกลอกตามองบนแล้วกลับมามองแรงใส่ แต่พอเห็นใบหน้าแสนโทรมของเพื่อนแล้วก็ทำได้แค่บึนปากแล้วเดินไปทางโต๊ะตัวเดียวที่อยู่ในละแวกนี้

   สงสารก็สงสารแต่อีกใจก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เพื่อนต้องจัดการเอง ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งที่เดือนตุลาเจอมากับตัวคือการเรียนในคณะที่ค่อนข้างเป็นทฤษฎีจ๋าอย่างนี้มันเป็นแหล่งรวมเหล่าบรรดาเด็กเรียนที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมมาก่อน ส่วนพวกที่เคยทำมาจนเซียนก็จะเฟดตัวออกไม่เข้ามาช่วยเพราะไม่อยากเจอคนทำงานไม่เป็น

   จากสาเหตุเรื่องทรัพยากรมนุษย์มันเลยต้องประคับประคองมากกว่าปกติเยอะอยู่ นอกจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ที่ซิ่วมาแล้วไม่ค่อยกลมกลืนกับเด็กในชั้นเดียวกันแล้วมันยังรวมถึงไม่อยากจะต้องมาเจอเรื่องบั่นทอนพลังชีวิต นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักที่เขาข้ามขั้นไปทำงานให้กับมหาวิทยาลัยเลย

   รู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นปีคนที่หัวหมุนอยู่ตรงโต๊ะลงทะเบียนนั้นอยู่แล้วเลยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เป็นเพื่อนของปลายเจตน์ที่มีความสนใจในกิจกรรมวิชาการมากกว่าการเมืองอย่างพวกเขา ก็เลยทำงานแค่ในคณะอย่างเดียว

   ทักทายกันพอให้ไม่รู้สึกประดักประเดิด จากนั้นก็ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารลงทะเบียนอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงวุ่นวาย ยังมีเวลาอีกเกือบสิบนาทีให้ได้สำรวจความเรียบร้อยและจับจุดที่อาจจะมีปัญหาระหว่างการทำงานได้

   สำหรับปัญหาแรกที่พบคือเรื่องอุปกรณ์ที่ช่วยในการประชาสัมพันธ์ พื้นที่ที่เปิดโล่งและเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจทำให้การประกาศว่าถึงเวลาลงทะเบียนยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็น จะให้คนสองคนตะโกนแข่งกับผู้เข้าแข่งขันเป็นร้อยนี่ก็เป็นอัตราส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

   ก็เลยต้องใช้วิธีการไทยมุงเอา คือพยายามเรียกคนที่ยืนอยู่ใกล้กับจุดลงทะเบียนมากที่สุดเข้ามาก่อน จากนั้นก็ปล่อยมันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ

   “ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นคนจัด”

   รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามประมาณนี้แน่นอน เดือนตุลาผู้มีประสบการณ์มากมายรู้ว่าควรรับมือกับรุ่นพี่ปีสี่คนที่ยืนค้ำหัวอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตัวยาวอย่างไร

   “ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องบอกนี่ครับ”

   เสียงหัวเราะร่าเริงแตกต่างจากความตึงเครียดรอบตัว “ใจร้ายจังเลย”

   “รีบเซ็นแล้วก็เข้าห้องเลยนะครับ ปิดโทรศัพท์ด้วย”

   “ได้ครับๆ” คงเพราะว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะมาคุยเล่นยื้อเวลาได้ พี่ฟีนถึงได้ตวัดลายเส้นแทนชื่อลงไปในช่องว่างโดยไม่อิดออด “ธรรมรีบเซ็น น้องตุลสั่ง”

   กลายเป็นเขาที่เจ้ากี้เจ้าการเสียอย่างนั้น คนร่วมทีมอย่างสัทธาแทรกตัวเข้ามาเงียบๆ กวาดตามองหาตำแหน่งว่างในตารางและใช้ปากกาลามีคู่ใจแท่งเดิมในการเซ็นชื่อลงลายมือชื่อ จังหวะการเขียนสม่ำเสมอเกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงพริบตาเดียว

   “ขอบคุณครับ อย่าลืมปิดโทรศัพท์นะครับ”

   ทวนในสิ่งที่เพื่อนกำชับเอาไว้เป็นอย่างดีอีกครั้ง ฝืนตัวเองให้มองเพียงกระดาษเอสี่ตรงหน้า ไม่เงยขึ้นไปจับจ้องช่วงใบหน้าของประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบัน มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่เขารู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะก้มหน้าเหมือนพวกไร้มารยาทเช่นนี้

   เขาไม่อยากจะยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนพิเศษ

   ถึงจะคิดว่าตัวเอง ‘โต’ กว่าเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีมุมเด็กน้อยอยู่ภายในตัว คือถ้าเลือกได้จะไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนี้ครอบงำความรู้สึกจนกลายเป็นใครอีกคนที่เดือนตุลาไม่รู้จักหรอก

   ไม่คาดหวังก็จะผิดหวัง หนึ่งข้อของการที่ก้มหน้าอยู่คือไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขายามที่คู่เพื่อนปีสี่ตรงหน้าเลี่ยงตัวออกจากจุดลงทะเบียนไปโดยไม่เอ่ยคำลา แอบเหล่มองตามจนเห็นว่าทั้งสองเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

   จากตรงนั้นมันก็ไม่มีอะไรที่น่าระทึกใจ เมื่อประกาศผ่านโทรโข่งตัวเล็กที่สั่งให้ปลายเจตน์ไปตามล่ามาเป็นครั้งสุดท้ายว่าใกล้จะปิดการลงทะเบียนแล้วก็รอว่าจะมีใครวิ่งหน้าตั้งมาหรือไม่ พอไม่มีก็ได้เวลาไปทำงานส่วนอื่นต่อ

   ตำแหน่งเด็กวิ่งข้อสอบเป็นอะไรที่ดูไม่น่าสนใจ มันเลยไม่แปลกที่ผู้จัดงานจะต้องมาวิ่งวุ่นหาคนช่วยทุกปี ส่วนมากก็คือจะหลอกพวกน้องปีหนึ่งที่สนิทกันตอนวันรับน้องหรือไม่ก็วันรวมกลุ่มมาทำ เขาก็เกือบจะโดนเพื่อนตัวดีลากมาทำแล้วแต่ช่วงนั้นมันมีงานใหญ่ของตุลาการพอดีเลยรอดตัวไป

   ส่วนตอนนี้ก็ต้องบอกว่าใช้บุญไปหมดแล้ว ก็เลยต้องมาทำงานที่จงใจหนีมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนได้ บรรยากาศข้างในห้องเรียนที่กลางเป็นสนามแข่งขันชั่วคราวไม่ได้ให้ความรู้สึกตึงเครียดขนาดนั้น ค่อนไปทางเป็นการรวมรุ่นให้ได้พบปะสังสรรค์กันมากกว่า

   ตามที่ควรจะเป็นแล้วพวกปีหนึ่งและปีสองชิลล์ที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ส่วนที่เห็นเวลานี้เหมือนว่าจะกลับตาลปัตรเมื่อคนที่ดูผ่อนคลายมากที่สุดเป็นเหล่ารุ่นพี่ปีสี่ ที่เจาะจงลงไปก็ได้ว่าเป็นเหล่าคนป่าที่พร้อมใจกันมาแข่งยกกลุ่มแบบที่ยังไม่เห็นว่ามีใครหายไป

   ซึ่งมันก็มองได้หลายทาง เตรียมตัวมาพร้อมจนไม่ต้องกังวล มาเอาเกียรติบัตรเป็นปีสุดท้าย หรือไม่ก็รู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งมันถูกจองเอาไว้ให้ใคร

   สำหรับเดือนตุลาแล้วเขาโอนเอียงไปทางข้อสุดท้าย

   ใครๆ ก็รู้ว่าหนึ่งในสิบทีมที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจะต้องเป็นของพี่ธรรมและพี่ฟีน อาจจะมีม้ามืดกลุ่มอื่นบ้างแต่ดาวเด่นของวันนี้ก็ไม่พ้นผู้ชายสองคนที่มีอำนาจเกือบจะสูงสุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้แน่นอน

   บรรยากาศจอแจแปรเป็นความเงียบสงัดเมื่อเสียงทักทายแรกกระจายตัวออกตามลำโพงที่ติดตั้งเอาไว้ทั่วทุกมุมห้อง พิธีกรในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาของส่วนกิจกรรมที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งเคยทำกิจกรรมด้านนี้เป็นครั้งแรก สังเกตเอาจากวิธีการพูดที่ไม่ได้เว้นจังหวะให้พอเหมาะและการอธิบายกติกาการแข่งขันที่ดูไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นัก

   ชื่อและนามสกุลของอาจารย์ที่เชิญให้มาเป็นกรรมการในการแข่งขันไล่เรียงจากซ้ายไปขวาจนครบ มีทริกแนะนำวิธีการเขียนตอบนิดหน่อยพอให้ได้ผ่อนคลาย จากนั้นสนามแข่งขันที่แท้จริงถึงเริ่มต้นขึ้น

   จับสัมผัสได้ดีว่าความตึงเครียดมันแผ่ออกไปรอบห้องสี่เหลี่ยมนี้อย่างรวดเร็ว เขาก้าวเท้ายาวแบบที่พยายามควบคุมจังหวะไม่ให้มีเสียงดังรบกวนผู้เข้าแข่งขัน รู้สึกดีอยู่เหมือนกันที่ได้รับผิดชอบแถวริมสุดติดกำแพงเพราะอย่างน้อยก็จะได้แอบพิงตอนเมื่อยได้

   “น้องตุล ไหนอวยพรเร็ว”

   “...”

   เพื่อความรัดกุมเราก็เลยกำหนดให้ต้องเซ็นชื่ออีกครั้งก่อน และนั่นมันก็เลยทำให้รุ่นพี่ปีสี่คนเดิมได้โอกาสวอแวเขาต่อจากเมื่อสักครู่ เดือนตุลาทำหน้านิ่งผิดกับข้างในใจที่อยากจะเอ่ยปากว่าคนที่ยังทำตัวไม่เหมาะกับกาลเทศะอย่างนายทิชากรอีกรอบ พี่ฟีนก็ติดเล่นอย่างนี้ได้ตลอดเลย

   รับเอากระดาษที่มีลายมือชื่อของทั้งสองคนมาไว้ในมือและเคลื่อนตัวไปยังโต๊ะตัวถัดไปโดยไม่มีการทำตามคำร้องขอ การแข่งขันที่มีคนเข้าร่วมเกือบห้าสิบทีมทำเอาต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองว่าการเดินไปมาไม่กี่สิบรอบไม่น่าจะทำให้ร่างกายแย่ลงสักเท่าไหร่

   การแข่งขันในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่คือการเลือกตอบแบบปรนัยหนึ่งถึงสี่ กับอีกส่วนคืออัตนัยที่ต้องเขียนอธิบายเหตุผลประกอบคำตอบ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะว่ารอบแรกมีผู้ร่วมการแข่งขันเยอะจนไม่สามารถที่จะทำร้ายสายตาของกรรมการด้วยการทำให้เป็นการเขียนตอบล้วนได้

   “เก็บคำตอบได้ครับ”

   แม้ว่าจะน่าเบื่อไปเสียหน่อยแต่ก็ถือไม่ได้แย่ไปทั้งหมด เท้าข้างขวาของเขาขยับออกไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับคำสั่งจากพิธีกรคนเดิม การจัดเก็บดูเหมือนจะง่ายแต่ก็ต้องใช้สติและความแม่นยำอยู่ไม่น้อยเพื่อเป็นทำเวลาให้สามารถดำเนินการแข่งขันต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด

   ระหว่างที่กระดาษคำตอบทั้งหมดถูกรวบรวมและเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจความถูกต้องในการให้คะแนน อาจารย์ท่านอื่นก็จะเริ่มอธิบายเฉลยในข้อนั้นไปพลางเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

   เอาตามจริงแล้วมันก็ไม่ได้แฟร์กับน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาคลุกคลีอยู่กับตัวอักษรเป็นพืดอย่างนี้ได้ไม่นาน เนื้อหาที่ใช้ในการสอบทั้งหมดจะครอบคลุมเนื้อหาจนถึงปีสามเทอมหนึ่ง ซึ่งคนที่เรียนมาครบทั้งหมดแล้วจะต้องเป็นพี่ปีสามกับพี่ปีสี่เท่านั้น แต่จะให้ทำให้แฟร์กับน้องปีสองมันก็ไม่ได้เพราะว่าพอหมดจากรอบนี้แล้วมันยังมีการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยอีก ขืนไม่เอาคนที่พร้อมที่สุดล่ะได้ขายขี้หน้าแหง

   “อาจารย์ครับ แต่ว่าตรงนี้มันยังเป็นข้อถกเถียงทางวิชาการไม่ใช่เหรอครับ เรื่องคำสั่งทางปกครอง”

   เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เขาชอบการแข่งขันครั้งนี้ ถ้ามีตรงไหนที่ดูเหมือนว่าจะมีข้อกังขาก็สามารถยกมือขึ้นแล้วถามได้เลย วิชากฎหมายปกครองเป็นตัวบังคับตอนปีสามเขาก็เลยไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่รุ่นพี่คนนี้กำลังท้วงเท่าไหร่นัก เหมือนว่ามันจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการแบ่งประเภททำนองนั้น

   ฟังที่อาจารย์ประจำภาควิชานี้อธิบายไปเรื่อยๆ แบบที่เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ จดลงลิสต์เอาไว้แล้วว่าหลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่างจะกลับไปตามหาหนังสือมาอ่านเผื่อเอาไว้

   ตอนนี้ก็ผ่านไปได้สามส่วนสี่ของคำถามทั้งหมดแล้ว คะแนนรวมที่โชว์อยู่บนโปรเจคเตอร์แผ่นใหญ่บอกว่ามีทีมที่น่าจะได้เข้ารอบแน่นอนแล้วอย่างน้อยก็สามทีม โดยที่หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นผู้ชายสองคนที่มีอำนาจรวมกันเกือบเท่านักศึกษาทั้งหมดมหาวิทยาลัย

   ขำคะแนนของกลุ่มคนป่าสองที่เหมือนมาทำสถิติตอบไม่ได้สักข้อเพราะว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงข้างหลังชื่อทีมมีแต่เลขศูนย์เรียงตั้งแต่ข้อแรกยันข้อล่าสุด ลองชะเง้อมองดูแล้วก็พบว่าเป็นรุ่นพี่สองคนที่ปลายเจตน์เคยบอกว่าถนัดทางด้านกฎหมายมหาชนและเคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการฟ้องมหาวิทยาลัยตัวเองมาแล้ว

   ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก

   ได้ยินครั้งแรกสุดก็ตอนที่มีพี่จากสภาสักคนเอาเรื่องนี้เข้ามาเปรยให้ฝั่งตุลาการฟัง เป็นข้อขัดแย้งในเรื่องประกาศบางตัวที่มีลักษณะของการลิดรอนสิทธิบางประการของนักศึกษา เข้าไปคุยกับอาจารย์ผู้ดูแลฝ่ายแล้วก็ได้คำตอบประมาณว่าเป็นการเขียนขู่เอาไว้แต่จะไม่มีการบังคับจริง ฝั่งนี้ก็เลยคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นไม่ต้องมีประกาศไปเลยดีกว่า

   ตีกันจนไปจบตรงที่อาจารย์บอกว่าจะไม่มีการยกเลิกประกาศอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากให้มันมีการแก้ไขก็ไปฟ้องศาลเอา คือตอนนั้นก็เข้าใจแค่ว่าเป็นการบ่นลอยๆ ไม่น่าจะทำจริง มาเห็นอีกทีก็ตอนที่เพื่อนในคณะแชร์ข่าวการยื่นฟ้องออกมานั่นแหละ

   มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่มีการพูดเป็นวงกว้าง ก็แค่บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นแหละที่จะให้ความสนใจ พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็เข้าใจความน่ากลัวของสิ่งที่เรียกว่าการสื่อสารเหมือนกันนะ ทางพี่ๆ ก็อยากให้เรื่องทั้งหมดมันอยู่ในความสนใจของสังคมเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายเขามีอำนาจในการควบคุมมากกว่าน่ะ

   เพราะงั้นมันเลยเป็นได้แค่ข่าวเล็กๆ ที่มีการแชร์ในวงคนรู้จัก คนในมหาวิทยาลัยหลายคนก็ยังไม่รู้เลยมั้ง ตอนนี้ถึงขั้นตอนไหนเขาเองก็ไม่ได้ตาม

   น่าเสียดาย

   ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่มีการว่อกแว่กที่โต๊ะไหนเป็นพิเศษ ในท้ายที่สุดก็ทำไม่ได้เพราะว่าพี่ปีสี่คนนั้นน่ะเหมือนจะมีปัญหากับปากกาหมึกซึมแท่งโปรดจากการสังเกตตั้งแต่เก็บข้อสอบของสองข้อที่แล้ว ถ้าไม่ลืมเติมหมึกก็น่าจะเกี่ยวกับหัวแร้ง

   เป็นคนที่ทำตัวให้แตกต่างได้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน อย่างเรื่องของปากกาที่ใช้ก็เหมือนกัน บางคนใช้ปากกาหมึกซึมพวกนี้กับงานลงลายเซ็นแค่นั้น ส่วนคุณพี่สัทธาคือติดตัวตลอดเวลาไม่เห็นจะเคยเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นบ้างเลย

   ไม่ได้อยากจะบอกว่าตัวเองสายตาดีหรือว่าช่างสังเกตกว่าคนอื่น

   ก็แค่คนตรงนั้นคือพี่ธรรมเท่านั้นแหละ

   จะทำตัวเป็นพวกไม่ยอมรับความจริงไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เรื่องนี้น่ะเขายอมรับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความคิดที่จะหาข้ออ้างมาหักล้างเลยสักครั้ง และอาจเป็นเพราะความตรงนั่นแหละที่ทำให้พี่ฟีนหยุดแซวไปได้เยอะอยู่

   มีเวลาให้ตัดสินใจแค่ก่อนหมดคำอธิบายของข้อนี้เท่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจให้พลางปลอบตัวเองว่ามันก็เป็นแค่ความห่วงใยในฐานะของคนที่รู้จักกันมานาน เลือกที่จะทำอย่างที่หัวใจต้องการมากกว่าการวิเคราะห์ภายในสมอง

   จากที่ควรจะมีแค่กระดาษคำถามวางเอาไว้บนโต๊ะ มันก็เลยกลายเป็นว่าปากกาลามีอีกแท่งแต่คนละสีถูกวางลงไปพร้อมกันด้วย แน่นอนว่าตอนนั้นไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายสักประโยค ซึ่งก็ดีแล้ว

   ส่วนลึกในใจก็อยากจะแอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง น่าเสียดายตรงที่เมื่อมองจากจุดพักของคนเดินกระดาษคำตอบมันไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ใจจริงก็อยากเห็นปฏิกิริยาตอบรับของประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบันอยู่เหมือนกัน

   ขอโทษในใจที่ต้องให้พี่เขาใช้ปากกาที่บรรจุสีหมึกอื่น ไม่ใช่สีประจำอย่างเนวีบลูของไดอามีน ก็อันที่พี่ใช้น่ะมันแพงเกินกว่าที่คนไม่ค่อยสนใจอย่างเขาเลือกที่จะหาอันที่ไม่ต้องตามหาให้มากความแทน เป็นพวกไร้รสนิยมที่ไม่เคยสนใจเรื่องความแตกต่างของน้ำหมึกแต่ละชนิดน่ะ แค่มีใช้ก็พอแล้ว

   เสียงฮือฮาที่เกิดขึ้นทั่วห้องยามดำเนินถึงข้อรองสุดท้ายเป็นอะไรที่เข้าใจได้ไม่ยาก คำถามที่ถูกตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งว่ามันควรจะมีคำพิพากษาอย่างไรในเมื่อมันเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ประมวลไม่ได้ระบุให้ครอบคลุม

   “สำหรับข้อนี้ไม่ว่าจะตอบตามแนวฎีกาหรือว่าตามหลักในประมวลผมก็ให้หมดนะครับ”

   จะว่าไปก็แปลกใจเหมือนกันนะหลังจากฟังคำอธิบายยาวยืดที่มาตั้งนาน เพราะมันก็กลายเป็นว่าทำอย่างนี้ไปมันก็ไม่ต่างกับการกลืนน้ำลายในสิ่งที่เคยพูดเลย อาจารย์คนไหนด่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งยืดยาว เรื่องความลักลั่นในระบบกฎหมายของประเทศนี้

   มันเป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์ที่แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครอยากปรับปรุงให้มันถูกต้องมากเสียเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นประเทศใต้ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ที่ยึดการตีความตามตัวบทในประมวลกฎหมายแต่กลับทำงานแบบยึดตามแนวคำพิพากษาเหมือนประเทศฝั่งคอมมอนลอว์เสียอย่างนั้น

   อะไรๆ ก็ฎีกาไว้ก่อน

   แล้วที่ตลกร้ายที่สุดคือเขาเรียนเรื่องพื้นฐานพวกนี้ตั้งแต่สมัยเข้าปีหนึ่งแรกๆ คือเข้ามาถึงยังไม่ทันได้เรียนกฎหมายสักบทก็ต้องมาเจอกับเรื่องน่าประสาทเสียพวกนี้แล้ว เป็นการรับน้องที่น่าประทับใจมากเลยล่ะ

   การแข่งขันจบไปแบบไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก คนที่คิดว่าต้องผ่านเข้ารอบแน่ๆ ไม่มีใครที่หลุดออกไป ส่วนที่เหลือไม่ได้รู้จักมักจี่เลยประเมินไม่ได้ แต่ก็ต้องมีความสามารถพอตัวแหละ

   เพราะว่าหลวมตัวมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องช่วยให้จบ เดือนตุลาจัดแจงย้ายเก้าอี้เล็กเชอร์ในห้องให้กลับไปเป็นแถวยาวตามเดิมโดยมีน้องปีหนึ่งสองคนเป็นผู้ช่วย เขาน่ะเกลียดพวกที่เอาหน้าเสร็จแล้วก็หายตัวที่สุดเลย คือเป็นคนสร้างขยะแล้วก็ควรจะเก็บด้วยสิ

   ใช้เวลาไม่นานเสียงลากเก้าอี้น่ารำคาญหูก็หายไปทั้งหมด เขาเดินไปยืนอยู่ตรงบนพื้นยกระดับสำหรับประกอบการสอนของอาจารย์เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ถือว่าไม่แย่สำหรับการจัดการโดยสามชีวิต มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยคุณป้าแม่บ้านก็ไม่น่าจะด่าตามหลัง

   “...”

   ประหลาดชะมัด

   เดือนตุลารู้สึกว่าความว่างเปล่าแสนกว้างมันแคบลงไปถนัดตายามก้มลงมองจากจุดสูงกว่า

   ความรู้สึกของคนที่อยู่บนบัลลังก์มันจะเหมือนหรือคล้ายกับที่กำลังสัมผัสอยู่หรือเปล่านะ

   “น้องตุลจะรอล็อกห้องเหรอ นี่ไม่ใช่ที่ตึกนะ”

   อยากอยู่คนเดียวก็มีคนเข้ามาวุ่นวายจนได้ น้องปีสองคนเดียวในห้องนี้เบนหน้ากลับไปทางต้นเสียงเงียบๆ ก้าวลงจากเวทีแต่ไม่ได้พุ่งตรงไปหาพี่ปีสี่ที่ได้รับตำแหน่งที่สี่ของการแข่งที่เพิ่งผ่านไป ใช่ แปลกใจนิดหน่อยที่คะแนนของพวกเขาห่างจากที่หนึ่งตั้งสามจุดห้า

   มาแผ่วปลายตอนท้ายเฉยเลยคู่นี้น่ะ ปลายเจตน์ยังเดินมากระซิบกับเขาเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

   “แค่เช็กให้มั่นใจครับ แต่ถ้าพี่ฟีนจะรอก็เชิญ”

   “เมื่อไหร่จะเลิกร้ายอะ”

   “ก็กล้าพูดนะครับ” ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังยืนยันว่าเขาไม่มีทาง ‘ร้าย’ ได้เท่าคนตรงหน้าหรอก “แล้วทำไมยังไม่กลับกันล่ะ ลืมของเหรอ”

   แต่ก็คิดว่าตอนที่เดินจัดของไม่เห็นว่ามีของอะไรหล่นอยู่นะ หรือว่าเหล่ารุ่นน้องเก็บได้แล้วเอาไปไว้ตรงหน้าห้องแล้วกันนะ

   “ไม่ได้ลืม”

   “แล้ว...?”

   “ตัวเองนั่นแหละลืมอะไรหรือเปล่า"

   “...”

   อ่า...นั่นสินะ

   “ก็คืนมาสิครับ”

   เกือบลืมไปเลยว่ามีของสำคัญบางชิ้นที่หายไป ทำงานตลอดเวลาอย่างนี้มันก็ต้องมีหลงลืมกันบ้างแหละ

   แบมือออกไปยื่นขอปากกาหมึกซึมแท่งเก่ง ยิ้มแผล่จากคนตรงหน้าบอกเขาว่าทุกอย่างไม่น่าจะง่ายอย่างนั้นแน่นอน รู้ว่าการนับหนึ่งถึงร้อยไม่ช่วยอะไรก็เลยยอมทิ้งมือลงตามเดิม

   บอกแล้วว่าเป็นกลุ่มรุ่นพี่ที่ได้ที่สี่ นั่นหมายถึงว่ามันมีสองคนอยู่ในห้องนี้ พี่ธรรมน่ะยืนอยู่แถวหน้าประตูตั้งแต่แรกแต่ก็ทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนตลอดเวลา คือไม่รู้ว่าจะต้องคงคอนเซปต์เป็นมนุษย์ไร้มนุษยสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปถึงไหน ตอนอยู่กับเพื่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย

   “...ให้ใครใช้ ก็ไปเอาคืนจากคนนั้นสิ”

   คำกระซิบนั่นไม่ต่างจากเสียงล่อลวงของปีศาจเลยล่ะ

   มือที่แตะลงตรงบ่าไม่ได้มาพร้อมแรงกดหนักจนกลายเป็นการบีบบังคับ มิหนำซ้ำแรงผลักเพียงแค่เล็กน้อยนั่นแหละที่มันทำให้เขาขยับโดยไม่เต็มใจ

   การแข่งขันมากกว่าสองชั่วโมงคงสูบพลังงานของสัทธามากพอสมควร ดูได้จากรอยล้าบนใบหน้าแล้วก็สไตล์ของทรงผมที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ยิ่งกว่าเดิม นี่ก็อยากรู้เมื่อไหร่จะยอมตัดผมสั้นแบบคนอื่นเขาบ้าง เดินขึ้นมาชั้นสี่ทีไรแม่บ้านคนใหม่นึกว่าเป็นนักศึกษาที่ขึ้นมาร้องเรียนทุกที

   ก็ยังกลัวอะไรไม่รู้เหมือนเดิมเลยไม่กล้าสบตาเท่าไหร่นัก เขาก้มลงมองบริเวณมือทั้งสองข้างเพื่อที่จะได้รู้ว่าควรจะให้ความสนใจกับทิศไหนมากกว่ากัน

   รับปากกาแท่งนั้นกลับมาไว้ในมือโดยระวังไม่ให้ส่วนไหนของร่างกายสัมผัส เหมือนกับเป็นกฎเหล็กที่ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาดทำนองนั้น

   “หน้าที่ของตัวเองคืออะไร?”

   เสียงราบเรียบของสัทธามันไม่ได้เจือความหัวเสียเอาไว้แม้แต่น้อย

   หากมันทำให้เดือนตุลาสะอึกลึกอยากจะหายไปจากตรงนี้

   “เป็นกรรมการ...จะเปิดตามองไม่ได้” เธมิสคือชื่อของเทพีแห่งความยุติธรรม หล่อนปิดตาเอาไว้เสมอเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงธรรม ปราศจากความลำเอียง “ต่อให้คู่ความผิดพลาดในเรื่องที่เล็กน้อยแค่ไหน นายก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือนะเดือนสิบ”

   อีกแล้ว...

   ทำมันพังอีกแล้ว

   เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

   “พลาดคือพลาด คือไม่พร้อมเอง”

   “...”

   “นายมีหน้าที่เดียว”

   “...”

   “คือยกตราชูให้เท่ากันเสมอ”

   ในเสี้ยววินาทีแสนสั้น

   เดือนตุลาเข้าใจแล้ว

   ที่เขาบอกว่า ‘มิอาจก้าวล่วง’ มันหมายความว่าอย่างไร


***
   คิดว่าอีกหน่อยต้องทำอ้างอิงท้ายบทจริงๆ แล้วล่ะค่ะ (หัวเราะ)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 27-10-2019 18:18:09
สัทธาอย่าดุน้องสนับสนุนอ้างอิงค่ะ5555ขอบคุณนะคะคุณเจ้าเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-10-2019 23:53:55
โอ้โหคุณพี่คะะะะะะะะะะะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 29-10-2019 06:38:54

เริ่มเข้าใจคำว่า มิอาจก้าวล่วง แล้ว
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-10-2019 14:10:12
พูดงี้เหรอ
น้องเดือนสิบหนีไปไกลๆ เลย
ไม่ต้องไปยุ่งกับพี่มันให้เสียเว
เราสวย เราเริ่ด เราต้องเชิด ท่องไว้ๆๆ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 30-12-2019 00:53:38
บทเก้า


   เดือนตุลาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง

   จนเกินไป

   เขาได้ยินคำนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน และเกือบทุกครั้งมันก็จบลงด้วยการยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นคลื่นเสียงที่ลอยหายไปในอากาศ

   แต่ก็นั่นแหละ เขายังเป็นมนุษย์อยู่ดี สิ่งที่สะสมมาไว้ตลอดทั้งชีวิตมันเทียบไม่ได้เลยกับไม่กี่ประโยคของรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบัน คำว่า ‘หน้าที่ของตัวเองคืออะไร’ มันยังวนเวียนอยู่ในความคิดไม่มีวี่แววว่าจะหายไปอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ

   ถอนหายใจออกมาจนไม่อยากจะนับว่าอายุขัยหายไปกี่ปีแล้ว อาจจะเป็นเพราะในช่วงชีวิตตั้งแต่จำความได้เขาไม่คุ้นชินกับคำตักเตือนพวกนี้เท่าไหร่ เดือนตุลามักจะรับผิดชอบงานได้ดีเสมอตั้งแต่เด็ก รวมถึงแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้รวดเร็วเป็นระบบแบบที่หลายคนเคยออกปากชม

   เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยนั่งหงอยอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ไม่คิดจะขยับตัวไปไหน แค่กลับห้องมาได้แบบครบสามสิบสองไม่โดนรถเฉี่ยวหรือว่าโจรดักปล้นก็ดีแค่ไหนแล้ว

   เลยเวลาอาหารเย็นมาได้สักพักใหญ่และยังไม่มีใจที่จะลุกออกจากพื้นห้องสักที เขาชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียทั้งหมดแล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ได้กินมื้อเย็นสักวันก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก

   เสียงเครื่องมือสื่อสารสั่นกระทบกับประมวลกฎหมายปกแข็งพาให้หลุดออกจากภวังค์ได้ไม่ยาก ตุลรวบรวมพลังงานทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ในการไถตัวออกไปรับสายที่กำลังโทรเข้ามา เอื้อมมือจนสุดแขนแทนที่จะใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น

   และชื่อที่บันทึกเอาไว้ด้วยชื่อย่อภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่ามัจจุราชก็สูดพลังเฮือกสุดท้ายของเขาไปจนสิ้น

   “ครับ”

   (พี่อยากกินสเต๊กอะ)

   “...ครับ”

   (อีกสิบห้านาทีไปรับนะ)

   “...ครับ?”

   เป็นการเอ่ยคำเดิมซ้ำที่แตกต่างกันในน้ำเสียงทั้งหมด เริ่มจากปกติ เหนื่อยหน่าย และกลายเป็นจับต้นชนปลายไม่ถูก เขามองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กลับมาเป็นหน้าโฮมพร้อมกับพื้นหลังที่เป็นโควทภาษาละตินจากหนังสือกฎหมายบันทึกเอาไว้เตือนใจ

   ใช้เวลาอีกสักพักใหญ่กว่าจะเรียบเรียงทุกอย่างได้ถูก แวบแรกคืออยากจะโทรกลับไปปฏิเสธแต่วินาทีต่อมาคือความปลงในเหตุการณ์ที่เคยดำเนินมาในแนวทางนี้หลายต่อหลายครั้ง เขาล่ะอยากจะรู้เหลือเกินว่าเพื่อนที่คณะของพี่มัจรับมือกับนิสัยเอาแต่ใจอย่างนี้ตลอดรอดฝั่งได้ยังไง

   บอกตัวเองว่านี่จะเป็นการถอนหายใจรอบสุดท้ายแล้ว มองซ้ายขวาหาว่ากระเป๋าผ้าดิบใบที่ใช้วันนี้ถูกโยนไปไว้ตรงส่วนไหนของห้องแล้วลากสังขารที่ไม่ค่อยเที่ยงเท่าไหร่ไปตาม หยิบแค่กระเป๋าเงินออกมาก็พร้อมสำหรับการออกจากห้อง

   ถึงบอกว่าสิบห้านาทีแต่ตอนนี้ก็ล็อกห้องเป็นที่เรียบร้อย เดือนตุลามองตัวเลขดิจิทัลข้างลิฟต์ที่เพิ่มขึ้นจนถึงเลขหกแล้วก้าวข้ามเข้าไปเมื่อประตูเปิดออก กดเลขหนึ่งตามด้วยคำสั่งปิดก่อนรอให้ระบบรันไปอย่างที่ควรจะเป็น

   แน่นอนว่าเครื่องยนต์กลางเก่ากลางใหม่อย่างนี้ต้องใช้เวลาสักพักในการประมวลผล เขาผู้เคยชินกับความแปรปรวนของมันไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับการเคลื่อนตัวที่ช้าราวกับกำลังทดสอบความอดทน ยังไงก็ยังมีเวลาเหลืออยู่แล้ว ส่วนวันไหนที่มีเรื่องด่วนแนะนำว่าให้ลงบันไดหนีไฟเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

   ปลายเจตน์เองก็เคยถามว่าไม่มีความคิดจะย้ายบ้างเหรอ เขาก็แค่บอกปัดว่าที่อยู่มันก็ไม่ได้แย่อะไร ค่าเช่าก็ถูกเมื่อเทียบกับหลายตึกสร้างใหม่ข้างเคียง แถมยังใกล้กับอาคารเรียนอีกต่างหาก

   ส่วนเหตุผลที่แท้จริงคงไม่ต้องบอกอีก

   พอว่างแล้วก็เริ่มคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว เพื่อไม่ให้พี่ปีสี่ที่กำลังมาหาจับผิดได้ก็เลยเดินไปตรงมุมหนังสือพิมพ์ที่ก็แอบแปลกใจเหมือนกันตอนเห็นครั้งแรก เลือกฉบับที่คิดว่าจะอ่านแล้วไม่ปวดหัวกับการใช้ภาษาไทยที่เหมือนไม่มีการตรวจทานเข้าไปทุกวัน และไม่ต้องไปเครียดกับการนำเสนอที่คลับคล้ายว่าจะเอียงข้างมาไว้ในมือ

   รู้ว่าไม่มีเวลาอ่านเพียงพอเลยเอาแค่ให้ได้อัปเดตว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในรอบวันจากหน้าแรก รู้สึกหน่ายและปลงกับการเมืองที่ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่กว่าเดิมในทุกวันตามมาด้วยรำคาญเรื่องที่ไม่ควรจะมีใครให้ความสนใจแต่ก็ยังได้ขึ้นหน้าหนึ่ง ตัดสินใจว่าถ้าเปิดไปดูข่าวกีฬาน่าจะช่วยถนอมสุขภาพจิตมากกว่า

   “กินสิน้องตุล พี่เลี้ยงเลยนะ”

   สายตาที่หลุดโฟกัสไปครู่ใหญ่กลับมาอยู่ที่คนฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง เดือนตุลาก้มลงมองสปาเกตตีคาโบนาราจานใหญ่ข้างหน้าตัวเองแล้วก็หยิบส้อมขึ้นมาไม่มีอิดออด ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาดื้อแพ่งอะไรทั้งนั้นแหละ

   “ไม่ชอบเหรอ พี่ว่าร้านนี้ก็โอเค”

   เขายกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบก่อนตอบ “โอเคครับ แค่ยังสงสัยนิดหน่อยว่าถ้าพี่หิวทำไมถึงต้องมากินไกลขนาดนี้”

   มันไม่ใช่ร้านในละแวกรั้วมหาวิทยาลัยอย่างที่เข้าใจเอาไว้ แต่กลับเป็นร้านอาหารที่ตั้งขึ้นมาเด่นท่ามกลางบรรยากาศบ้านสวนขนาดกำลังดี และใช้เวลาในการขับรถมามากกว่ายี่สิบนาที

   คือตอนที่เห็นว่ารถยนต์เอสยูวีคันใหญ่ที่ไม่ได้เหมาะกับไซซ์ของเจ้าของเคลื่อนตัวไปบนท้องถนนโดยไม่มีการผ่อนความเร็วนั่นก็ปลงไปแล้วหนึ่งรอบ พอผ่านมามากกว่าสิบห้านาทีก็ยังไม่ถึงที่หมายก็ได้เวลาปลงรอบสอง พี่มัจเป็นคนที่เอาแต่ใจจนเกินพอดีไม่เคยเปลี่ยนเลย

   “ยิ่งหิวก็ยิ่งต้องกินของที่ทำให้ตัวเองมีความสุขไง”

   เห็นยิ้มจนตาหยีอย่างนั้นแล้วก็ไม่อยากจะขัดใจ มองพี่เขาละเมียดตัดเนื้อริบอายออกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปเรียนพวกวิชากิริยามารยาทพวกนี้มาจากไหน แค่ท่าจับยังรู้สึกว่าดูดีเลย

   ส่วนตัวแล้วเขาค่อนข้างจะชื่นชมรสนิยมในหลายๆ ด้านของพี่ปีสี่คนนี้นะ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน บุคลิก หรือว่าจะเป็นเรื่องของทัศนคติ เป็นความรู้สึกที่ว่าโชคดีที่ได้ซึมซับความแตกต่างที่ดี

   แต่ก็นั่นแหละ

   อย่าเข้าใกล้เกินความจำเป็นดีที่สุด

   “ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ”

   “ถ้าสาเหตุของความอ้วนมาจากความสุข จะกลัวไปทำไม” ไม่เห็นความเป็นเหตุเป็นผลของมันแต่ก็ไม่อยากจะเถียง “แล้วแข่งวันนี้เป็นไง พวกมันไม่น่าจะตกรอบอยู่แล้วมั้ง”

   แล้วตะกอนที่ตกค้างอยู่ก็ถูกกวนขึ้นมาอีกครั้งจนได้

   “ที่สี่ครับ จากสิบทีม”

   “หืม...”

   “ตอนแรกก็คะแนนนำแหละครับ มาแผ่วช่วงท้าย” เสียงฮึมฮัมในลำคอนั้นเต็มไปด้วยความฉงงจนเขาเลือกที่จะอธิบายเพิ่ม “คิดว่าเพราะผมด้วยแหละ”

   “น้องตุล?”

   “ไม่ชัวร์แต่คิดว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือใช่ พอดีช่วงท้ายผมเห็นปากกาพี่ธรรมมีปัญหาเลยเอาของตัวเองไปให้ใช้ก่อน เดาว่าพี่เขาคงไม่พอใจที่ผมทำอย่างนั้นเลยไม่ยอมเขียนคำตอบน่ะครับ”

   ให้ยอมรับตามตรงก็ได้ว่าตอนนี้เขาอยากได้ใครสักคนมารับฟังเรื่องทั้งหมด และในเมื่อคนตรงหน้าคือรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานานจนเชื่อใจได้ว่ามันจะไม่มีอะไรที่น่าระแวงหากเล่าออกไป

   “อ๋า มันไม่ชอบอะไรอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะเนอะ”

   ห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่ที่ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้อยู่แล้ว เมื่อเทียบจำนวนปีแล้วพี่มัจต้องคุ้นเคยกับพี่ธรรมมากกว่าเขาอยู่แล้ว ได้ยินมาอยู่ว่าตอนปีหนึ่งพวกเขาลงพวกตัวเสรีเหมือนกันแล้วก็ไปแทคทีมเป็นตัวป่วนในห้องเรียนจนพวกเพื่อนๆ เอามาแซวบ่อยครั้งถ้ามีโอกาส

   “ก็เลยนอยด์ๆ มั้งครับ เดี๋ยวก็หาย”

   “น้องตุลอย่าคิดมากเลย ธรรมมันก็เป็นคนบ้าอย่างนั้นแหละ แค่ปากกาเอง”

   หน้าที่ของนายคืออะไร

   คำปลอบโยนนั้นไม่มีค่าเลยเมื่อเสียงที่หลอกหลอนมาตั้งแต่เย็นย้อนกลับมาเล่นอีกครั้ง

   “กลายเป็นหน้าจ๋อยกว่าเดิมอีก พอแข่งเสร็จมันก็ดุต่อล่ะสิ”

   “ก็...ครับ”

   “ตามสเต็ป นี่ก็อีกอย่าง เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยชอบเป็นสายบวกนะ คนเลยหมั่นไส้นี่ไง”

   อันนี้เป็นสิ่งที่ตุลได้ทำการวิจัยขึ้นมาเองในเรื่องของบุคลิกที่แตกต่างกันระหว่างพี่ธรรมกับพี่มัจ ถ้าให้เทียบแบบเห็นภาพมากที่สุดคนแรกจะเป็นฝ่ายบุกที่ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น บวกเป็นบวก ตายเป็นตายกันไปข้างเหมือนที่เคยเห็นแล้วในการประชุมปลดคนออกจากตำแหน่ง

   และแน่นอนว่าถ้ามีแต่ฝ่ายบวกการทำงานมันไม่มีทางราบรื่นแน่นอน ถ้าเป็นคนข้างนอกที่ไม่รู้จักมักจี่หรือเคยทำงานร่วมกันมากก่อนจะชอบพี่มัจผู้ซึ่งดูเป็นสายประนีประนอมและเมตตาอาทรมากกว่า เขาเรียกเองว่าเป็นฝ่ายปลอบหลังจากที่โดนพี่ธรรมถล่มมาแล้ว

   คนเลยจะชอบสไตล์คนอย่างพี่มัจมากกว่า เอาเท่าที่จำความได้ก็ยังไม่เคยได้ยินใครบอกว่าชอบคุณสัทธาล่ะนะ

   ส่วนพวกที่เคยทำงานมาก่อนจะรู้ว่าจะเป็นใครในสองคนนี้ก็แย่ทั้งนั้น

   ส่วนตัวแล้วพี่มัจฉ์น่ะแย่กว่าหลายเท่าเสียด้วยซ้ำไป

   “ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพี่มัจถึงมาทำงานตรงนี้”

   “เดี๋ยว มันพูดอะไรมา พี่ว่านี่มันผิดปกติล่ะ”

   “ไม่รู้สิครับ เหมือนผมเคยคิดว่าเหตุผลที่คนเราจะมาทำอะไรอย่างนี้มันต้องยิ่งใหญ่มากๆ ประเภทที่ว่ามีความเชื่อว่าเราจะต้องเปลี่ยนโลกได้ด้วยมือของคนธรรมดา ต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในเรื่องพวกนี้จากก้นบึ้งของจิตใจ”

   ตั้งแต่เข้ามาเดือนตุลาก็ไม่เคยคิดจะถามเหตุผล เพราะเริ่มเข้าใจแค่ว่ามันเป็นการเติมเต็มโควตาของแต่ละสายการเรียนให้เต็มตามที่มีการกำหนดเอาไว้ในระเบียบการ ยิ่งเจอพวกที่ทำงานไม่เป็นสักอย่างแต่ดันจับพลัดจับผลูเข้ามายิ่งปลงโลก ทำงานด้วยกันมากเข้าก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท

   “แต่พออยู่ไปนานๆ เข้าแล้วมันก็กลายเป็นว่ามันไม่เหมือนกับที่เคยคิดเอาไว้”

   “โหย งั้นถ้าพี่บอกว่าแค่อยากจะหาเรื่องสนุกๆ ทำนี่น้องตุลต้องผิดหวังแน่เลย”

   “ใช่เหรอครับ?”

   แย้มยิ้มละไมอย่างที่มักจะปรากฎอยู่บนใบหน้าของพี่มัจบอกเขาว่ามันจะไม่มีการอธิบายมากไปกว่านี้ คือชอบทำเป็นเมินไปคุยเรื่องอื่นแทนตอนที่ไม่อยากตอบแล้วประจำแหละ เขาก็เลยทำเป็นคุยแบบไม่จริงจังในเรื่องอื่นอย่างที่อีกคนต้องการ

   “แล้วมันดุเรื่องอะไรอีกไหม เดี๋ยวพี่จะไปด่าคืนให้”

   “ไม่มีครับ”

   “จริงอะ”

   “อาจมีอย่างอื่นด้วย แต่ไม่ได้มองว่าพี่เขาดุไร้สาระน่ะครับ”

   “เนี่ย ไม่เคยคิดจะอยู่ข้างพี่บ้างเลย”

   บรรยากาศที่ผ่อนคลายช่วยให้เขาทานอาหารได้คล่องขึ้น เพิ่งสังเกตว่านอกจากเบคอนแบบชิ้นแล้วมันก็ยังมีแบบกรอบผสมเข้าไปด้วย เคี้ยวเพลินดี

   “ผมไม่เคยอยู่ข้างใครทั้งนั้นแหละ”

   เพราะรู้ตัวดีกว่าหากต้องการรอดชีวิตจากการเมืองได้คือการไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น

   จะใช้คำว่าเข็ดหรือว่ามีประสบการณ์มากพอสมควรก็ไม่รู้สิ เขาน่ะยังโชคดีที่เลือกอยู่ในมุมมืดไม่ออกไปสุงสิงกับใครนอกเขตการทำงานเท่าไหร่ ส่วนคนรอบข้างนี่ก็ขยันพาเรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่มาประเคนให้ถึงห้องตุลาการ เขาถึงซูฮกว่าพี่มัจน่ะเก่งที่ต่อให้เป็นที่รู้จักของคนในวงทำงานแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องปวดหัวเข้ามา

   “ทำเป็นพูด น้องตุลน่ะเข้าข้างธรรมตลอดแหละ”

   “ไม่นะครับ จริงๆ คืออยากจะด่าพี่เขาจะตายไป”

   “ว่า”

   “พี่เป็นเหี้ยอะไรมากไหมล่ะมั้งครับ”

   เสียงหัวเราะแบบไม่เหลือมาดเป็นการตอบรับแบบที่เขาพอใจมากที่สุด “ช่วยอัดคลิปเอามาให้พี่ดูด้วยสิ”
 


   คำขอบคุณพร้อมกับกำชับว่าพรุ่งนี้ห้ามลืมเอารถไปล้างคือสิ่งสุดท้ายที่เดือนตุลาทำก่อนปิดประตูรถคันใหญ่ของรุ่นพี่ปีสี่ลง ตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจะสั่งไลน์ไปเตือนอีกครั้งเพราะไม่อย่างนั้นแล้วเบาะที่มีคราบของชานมไข่มุกจะต้องแผลงฤทธิ์แน่นอน

   คนอะไรลืมว่าตัวเองซื้อเครื่องดื่มเอาไว้ตั้งแต่เช้ารู้ตัวตอนทีมันหกเลอะเบาะตอนดึก

   เวลาห้าทุ่มไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่น แม้จะเป็นบริเวณรอบมหาวิทยาลัยก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ขนาดมีกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเอาไว้ชัดเจนการทำร้ายร่างกายยังเกิดขึ้นได้คลอดเวลา เอาเป็นว่าในเมื่อไม่มีใครคอยรักษาความปลอดภัยเอาไว้ได้ก็ต้องดูแลตัวเองกันไป

   ประหลาดใจเหมือนกันที่มีความสุขจนฮัมเพลงโปรดตั้งแต่หน้าประตูหอจนถึงลิฟต์ ยอมรับเลยว่าความหม่นหมองระคนไปกับความกังวลที่สะสมก่อนหน้าหายวับไปภายหลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับพี่มัจฉ์ในหลายหัวข้อ

   จากที่ควรจะกดเลขห้าก็กลายเป็นเลขแปดไปเสีย ความเก่าของมันช่วยให้เขามีเวลาชั่งใจในตู้สี่เหลี่ยมคับแคบว่าจะเดินหน้าหรือว่าถอยหลัง

   ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้วนี่นา

   แพทเทิร์นของตึกที่เหมือนกันในทุกชั้นพาเขาไปยังจุดหมายที่ต้องการได้สะดวก แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูออกมาบอกเขาว่าเจ้าของห้องไม่ได้ออกไปไหนในยามวิกาล

   แปดศูนย์เก้าคือเลขที่เขาคุ้นเคย มือเคาะตรงประตูสามครั้งอย่างที่เป็นมาเสมอ

   ความเงียบรอบกายพาให้เสียงหัวใจที่เต้นรัวดังจนน่าฉงน เขาสูดหายใจเข้าไปลึกพลางบอกว่ามันคงไม่ได้แย่เหมือนการสอบครั้งแรกตอนชั้นปีที่หนึ่งที่เกือบจะเป็นลมก่อนเข้าห้อง

   เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำเอาสติแตกกระเจิง จู่ๆ เขาก็อยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นหรือไม่ก็อยากจะมีเครื่องมือในการช่วยให้ล่องหนได้ หากในระหว่างที่ยังตีกันในหัวไม่เสร็จประตูบานใหญ่ก็เปิดออกกว้างเสียก่อน

   สัทธาอยู่ในชุดนอนแบบคุณลุงอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะมีคนรุ่นเดียวกันใส่สไตล์นี้ ผมที่ยาวเกือบไหล่มัดรวมกันเอาไว้หลวมจนมีปอยร่วงลงมาเล็กน้อย รอยล้าบนหน้าคงเป็นผลมาจากการแข่งขันในวันนี้

   “ว่าไง”

   “ผมขอคุยอะไรกับพี่หน่อยได้ไหมครับ”

   “ได้”

   “แต่มันอาจจะยาวหน่อย”

   ช่วงคิ้วที่พ้นจากความรุงรังแสดงความสงสัยออกมาเต็มที่ “ยืนคุยได้ ไม่ซี”

   “ข้างในดีกว่าครับ”

   “เดือนสิบ”

   “ผมไม่กลัว”

   “...”

   “เพราะอย่างนั้นพี่ก็ไม่ควรจะกลัวเหมือนกัน”

   ชักสงสัยว่าตัวเองไปเอาความบ้าดีเดือดพวกนี้มาจากไหน ตั้งแต่วันก่อนที่ทำตัวอวดดีต่อหน้าพี่เขาแล้ว

   ระหว่างที่รอให้อีกคนตัดสินใจเขาก็เปลี่ยนไปไล่เก็บรายละเอียดส่วนอื่น ด้วยความที่อาศัยอยู่ในตึกเดียวกันก็เลยคุ้นเคยกับโครงสร้างของห้องอยู่แล้ว ชั้นวางรองเท้าแบบฝังเข้าไปกับผนังปิดเอาไว้สนิทไม่มีการเปิดแง้ม ส่วนบนพื้นก็ไม่มีรองเท้าคู่ไหนวางระเกะระกะ ถัดออกไปเป็นถังขยะที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษไม่มีลักษณะบ่งชี้เฉพาะ โดยภาพรวมแล้วก็บอกได้ว่ามันก็ยังเรียบร้อยเหมือนเดิม

   “...ตัดสินใจแล้วนะ”

   คราวนี้เดือนตุลาไม่มีความคิดที่จะหันเหสายตาไปทางอื่น “ครับ”

   “งั้นก็เข้ามา”

   เรียกได้ว่าราบรื่นกว่าที่ประเมินเอาไว้ตั้งแต่แรกเยอะอยู่ คือจริงๆ ในหัวของเขาตอนนี้มีการลิสต์แผนสำรองสองสามและสี่เอาไว้เตรียมพร้อมแล้วในกรณีที่แผนแรกไม่ประสบความสำเร็จ ยังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับพี่ธรรมให้ได้ล่ะ

   สิ่งแรกที่เข้ามาในโสตสัมผัสคือกลิ่นหวานที่เขาคุ้นเคย เทียนหอมกลิ่นวานิลลากลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในห้องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยเข้ามาเยี่ยมเยือนจนถึงคราวปัจจุบัน มันเป็นภาพที่ประหลาดพอสมควรที่ของที่วางเอาไว้ข้างกันคือบุหรี่ยี่ห้อนอกแบบซองพร้อมกับไฟแช็กเสร็จสรรพ

   ชอบนักล่ะแหกกฎเนี่ย

   รู้ดีว่าจุดประสงค์ของไอ้เจ้าไขมันแบบแท่งนี้ไม่ใช่เพื่อความผ่อนคลายแต่เป็นการกลบกลิ่น ส่วนถุงสำลีจากร้านชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นที่วางเอาไว้ไม่ไกลกันเท่าไหร่นั่นก็ไม่ใช่เพื่อทำความสะอาดใบหน้า

   “นั่งบนเก้าอี้ไป เอาหมอนนี่รอง”

   รับเอาหมอนใบหนาที่เคยวางเอาไว้บนหัวเตียงมาซัพพอร์ตหลัง ห้องพักสำหรับเด็กมหาวิทยาลัยไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยมากขนาดนั้นอยู่แล้ว พื้นที่สำหรับพักผ่อนมันก็มีเพียงแค่เตียง เก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือ แล้วก็พื้นห้องเท่านั้น

   แขกที่เจ้าของห้องดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับยอมทำตามไม่มีอิดออด ส่วนอีกหนึ่งชีวิตนั้นก็จัดการเคลียร์หนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มที่เปิดค้างเอาไว้รอบเตียงให้เรียบร้อย จัดการรวบเอกสารทั้งหมดให้เป็นกองเดียวโดยไม่มีการจัดแบ่งให้เป็นหมวดหมู่

   สี่ทุ่มกว่าก็ยังอยู่กับหนังสือ เชื่อเขาเลย

   “ขอเก็บผ้าแป๊บ เดี๋ยวมาคุย”

   ทำตัวตามสบายผิดกับเขาเหลือเกิน เนื่องด้วยว่าประโยคก่อนหน้านั้นมันไม่ใช่การขออนุญาตแต่เป็นการบอกให้ฟังเพราะฉะนั้นตอนนี้เขาก็เลยต้องมานั่งเกร็งอยู่ในห้องที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากหมอนใบใหญ่สองใบแล้วในห้องนี้ไม่มีเหล่าตุ๊กตาสักตัว แต่ยังมีหมอนข้างที่พี่ฟีนเคยแซวว่าสมแล้วที่เป็นลูกคนจีน

   หมุนเก้าอี้หันกลับไปทางโต๊ะทำงานเพื่อพบกับชิ้นส่วนของปากกาหมึกซึมเจ้าปัญหาที่ถูกแยกออกเตรียมไว้สำหรับการเติม ขวดแก้วเตี้ยทรงเหลี่ยมที่บรรจุของเหลวสีน้ำเงินเข้มเอาไว้เพียงครึ่งเดียวบอกว่ามันเป็นของที่ถูกหยิบมาใช้เสมอในชีวิตประจำวัน

   จู่ๆ ก็รู้สึกเกลียดเจ้าแท่งเหล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้มีส่วนผิดเกี่ยวกับการกระทำของเขาเลยก็ตาม

   อย่างน้อยที่สุดสัทธาก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำเหมือนว่าไม่ให้ค่ากับเขาไปทั้งหมด พอถึงเวลาที่ต้องฟังมันก็ไม่มีการว่อกแว่กเช็กข้อความในโทรศัพท์หรือให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่าคู่สนทนา ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี

   “ว่ามา”

   “ผมไปกินข้าวกับพี่มัจมา” มันอาจจะเป็นการเกริ่นที่ประหลาด ก็เขาคิดอะไรไม่ออกนี่นา

   “อ่าฮะ”

   “แล้วก็คิดว่าควรจะมาคุยกับพี่ต่ออีกสักหน่อย”

   “แล้ว...?”

   “ก็เลยจะมาถามว่าพี่สัทธาเป็นเหี้ยอะไรครับ” เดือนตุลาอาจจะตาฝาดไปเอง เหมือนว่าเมื่อสักครู่มุมปากของคนตรงหน้าจะขยับองศานิดหน่อยล่ะ “อันนั้นเป็นอินเนอร์ส่วนตัว ส่วนจริงๆ ผมมีข้อสงสัยนิดหน่อย คือก็ถามพี่มัจไปแล้วล่ะแต่ว่าไม่ได้คำตอบที่พอใจเลยมาลองถามพี่ดีกว่า”

   “ถามว่า”

   “ทำไมพี่ถึงมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้เหรอครับ”

   “...”

   “ไม่ใช่แค่รอบนี้ แต่ตั้งแต่แรกเลย”

   เคยบอกไปแล้วว่านายสัทธาได้รับการเสนอชื่อตามระเบียบที่ตั้งเอาไว้ หากมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องยอมจำนนต่อมันไม่มีทางปฎิเสธ อย่างเด็กที่ได้ที่หนึ่งของปีถัดมาก็ขอสละสิทธิ์ไม่รับการคัดเลือกเหมือนกัน

   “พี่มัจตอบผมว่าก็แค่อยากทำอะไรสนุกๆ”

   “...”

   “ส่วนผมก็โดนพี่หลอกเข้ามาเพื่อให้คุมเสียงในที่ประชุมได้ง่ายกว่าเดิม”

   ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้ สัทธาเป็นคนยอมรับเองในวันที่ประกาศรายชื่อองค์คณะตุลาการนักศึกษาในปีนั้น

   จากเด็กที่เพิ่งเข้าชั้นปีที่หนึ่งโดยไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากไปกว่าในวิชาสังคมศึกษา เข้าใจแค่ว่าผู้พิพากษาคือคนตัดสินคดีพิพาทระหว่างคู่ความที่มีปัญหา และศาลในประเทศไทยแบ่งได้เป็นสามชั้น กลับต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เหมือนว่าจะมีอำนาจในมือมากมายจนน่ากลัวใจ

   ยังจำได้ดีว่าวันแรกที่ต้องเข้าประชุมเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์แค่ไหน ยิ่งตอนที่ฟังรุ่นพี่ปีสองสองคนคุยกันต่อหน้าว่าการมีอยู่ของเขาจะทำให้การควบคุมทิศทางการทำงานภายในองค์กรเป็นเรื่องง่ายขึ้นแล้วก็จมดิ่งกับความคิดฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่

   เดือนตุลาเกลียดการเป็นเบี้ยล่าง

   หากพอถึงจุดหนึ่งแล้วเขาก็ได้เรียนรู้และยอมรับโดยดุษณีว่าในโลกใบนี้เราต่างอยู่ใต้ล่างใครบางคนเสมอไม่มีทางปฏิเสธได้

   “ผมเลยอยากรู้...ว่าสำหรับพี่แล้วการยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดมันหมายถึงอะไร”

   “ถ้าเอารอบแรก ก็แค่รู้สึกว่าเป็นตำแหน่งที่ดูไร้สาระดี ก็เลยลองดู” เป็นคำตอบที่สมแล้วที่เป็นเพื่อนกับพี่มัจฉ์ได้ “ส่วนรอบสอง...ก็แค่คนเห็นแก่ตัวน่ะ”

   “...”

   น่าประหลาดที่แค่นยิ้มไม่ทราบความหมายติดค้างอยู่ในความทรงจำชัดเจน “ได้คำตอบแล้วเนอะ กลับไปห้องตัวเองได้แล้ว”

   ตุลสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเรียกสติว่าในเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วมันก็ควรจะกลับอย่างที่บอก หากสิ่งที่ยังติดค้างอยู่นับตั้งแต่แรกพบอีกครั้งบอกให้จัดการอีกเรื่องที่ค้างคาไปพร้อมกันเสีย

   “ถ้าพี่บอกว่ามันเป็นแค่เรื่องของคนเห็นแก่ตัว งั้นมันคงไม่แปลกที่ผมจะทำเหมือนกัน”

   หัวใจของเดือนตุลากำลังซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   “คราวนี้ผมไม่ยอมให้พี่หนีไปแล้วนะ”

   “...”

   “อ้อ แล้วก็ลองเปลี่ยนมุกดูบ้างนะครับ บางครั้งผมก็อยากได้อย่างอื่นนอกจากเลี้ยงอาหารปลอบขวัญน่ะ”


***
   เป็นเรื่องที่ต้องปูเยอะกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาจริงๆ ค่ะ มันอาจจะดูเอื่อยไปหน่อยแต่เจ้าตั้งใจที่จะค่อยๆ เขียนแต่ละตอนไปพร้อมกับการตั้งคำถามในหลายๆ ประเด็นที่ติดค้างอยูในใจ และก็หวังว่าเจ้าจะได้คำตอบให้กับตัวเองในเร็ววันเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)
   ยิ่งเขียนยิ่งชอบน้องตุลมากๆ เลยล่ะค่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เป็นเพราะอะไรนะ (หัวเราะ)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 30-12-2019 06:25:51
ที่แท้สัทธาวางแผนให้มัจพาน้องไปเลี้ยงปลอบขวัญรอคุณเจ้าเสมอนะคะเราอยากได้คำตอบของ'มิอาจก้าวล่วง'
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-12-2019 02:12:35
อ้ยยยย น้องเขารู้ทันเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 31-12-2019 17:44:03
ปรบมือให้น้องตุลรัวๆ น้องตุลเริศมาก
พระเอกน่าหมั่นไส้สุดๆ ต้องเจอนายเอกแบบนี้แหละถึงจะเอาอยู่
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 01-01-2020 07:29:07
 :katai1:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทเก้า [30.12.19] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-01-2020 04:05:01
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบ [10.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 10-01-2020 18:34:50
บทสิบ


   ระหว่างพี่ธรรมกับพี่ฟีน ใครสมควรจะตายก่อนนะ

   “กูเลือกแล้วว่าควรผลักตกเหวพร้อมกันทั้งคู่”

   ขบเคี้ยวและคาดโทษเอาไว้เรียบร้อย เดือนตุลาใช้ความอดกลั้นอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ขว้างเอกสารที่อยู่ในมือตัวเองลงกับพื้นแล้วเผาซ้ำ ร่างระเบียบการใหม่ของสภานักศึกษาที่ติดอยู่ในขั้นของการพิจารณาภายในกรรมาธิการนานมากกว่าปกติจนมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะเริ่มส่งเสียงประท้วง

   ถึงจะเป็นแค่นักศึกษาชั้นปีที่สอง แต่ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ตรงนี้มาสามปีเขาเห็นช่องโหว่ในทางปฏิบัติของกฎระเบียบนี้ตั้งแต่มาตราแรกๆ ยาวไปจนเกือบถึงข้อสุดท้าย เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการอ่านไปคิ้วขมวดไปเลยก็ว่าได้

   เขียนอย่างกับเป็นกฎเด็กเล่น

   “อย่าจริงจังมากสิ มองว่าเป็นเรื่องขำๆ แล้วมึงจะตลกมากเลยนะ”

   เขาทำตาขึงใส่คำปลอบนั้น “ไม่ได้ไหม”

   เพื่อนที่คงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจทั้งจากสีหน้าและน้ำเสียงยักไหล่ขึ้นตามแบบฉบับของคนที่รู้จักกันมานาน “เอาเถอะ แต่เหยียบไว้อย่าให้ใครรู้ว่าได้มาจากกูแล้วกัน”

   “กลัวทำไม ถ้ามันหลุดมาถึงมึงได้ มันก็หลุดไปหาคนอื่นได้เหมือนกัน”

   ในบางครั้งถ้ามีเรียนในช่วงบ่ายเท่านั้นเราก็จะเจอกันเร็วกว่าเที่ยงหน่อยเพื่อให้ไม่ต้องไปเจอกับประชากรจำนวนมหาศาลที่พร้อมใจกันกรูเข้ามาในช่วงเที่ยง ข้อเสียเล็กน้อยของมันคือการที่เราจะว่างยาวไปจนเที่ยงนั่นแหละ

   แล้วเพื่อนที่ดีก็เพิ่มความระทึกใจให้ชีวิตด้วยการเอากระดาษปึกหนึ่งมาวางเอาไว้ตรงหน้า ชื่อของเอกสารที่เขียนเอาไว้ตรงหน้าแรกทำเอาเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดแถมยังเกือบหลุดปากด่าไปแล้วว่าไปเอามาจากไหน ปลายมันก็บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะบอกภายหลังจากที่อ่านไปแล้ว

   สำหรับเขามันเป็นร่างใหม่ที่ยิ่งกว่าคำว่าห่วยแตก เหมือนกับว่าเป็นการเอาบัญญัตินั่นนี่มาใส่รวมกันจากหลายแหล่งโดยไม่ดูความกลมกลืน ทำอย่างกับไม่มีบทเรียนมาได้

   “เพราะเขาจงใจให้กูรู้ไง”

   “ใคร?”

   “ก็มีอยู่แค่คนเดียวปะ” นิ้วชี้กับกลางที่ชูเป็นรูปวีหักขึ้นลง มันคงพ้นช่วงปลงโลกมาแล้วเลยกลายเป็นการเล่าทั่วไป “ส่งให้กูเพราะจะให้กูส่งให้มึง”

   “กู?”

   “อือ”

   “ทำไม?”

   มันเป็นคำถามเดียวที่โผล่ขึ้นมาหลังจากเพื่อนเอ่ยเช่นนั้น

   “เดาดิ ไม่ยากเลยนะ”

   “มึงอย่ามาอย่างนี้นะปลาย”

   ไอ้การที่เกริ่นมาเหมือนมีเรื่องขาดบาดตายอยากจะพูดแต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วกลับบอกว่าไม่มีอะไรสักหน่อยนี่มันสมควรจะบรรจุในหนังสือมารยาทในวงสนทนาเบื้องต้นสักที

   “จะให้กูตอบแบบไหนล่ะ” มันไม่ใช่การปลอบที่ทำให้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็คงเหนื่อยกับทุกอย่างจนไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดแล้วเลยยอมปล่อยมันไปก่อน “แต่จริงๆ เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพี่ธรรมนะ”

   “พี่ธรรม?”

   “ก็บางคนเขาบอกว่าที่พี่เขากลับมารับตำแหน่งนี้เพราะว่าจะช่วยผ่านร่างระเบียบนี้ในแบบที่พี่ฟีนอยากได้”

   “บ้าน่า”

   ท่ายกไหล่ไม่ยี่หระนั่นแทนอะไรได้หลายอย่าง “อะไรก็เกิดขึ้นได้ พวกเขาก็สนิทกันจะตายไป”

   “ตุลาการจะไปทำอะไรได้”

   “อย่างน้อยถ้าใครร้องเรียนมาก็ปัดตกการพิจารณาได้ไง” จากที่ตั้งใจว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปผูกกับเอกสารชุดนี้มากนักตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว หนึ่งในหน้าที่ของตุลาการนักศึกษาคือการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายหากมีการร้องเรียนมา จะไม่สามารถเริ่มต้นการพิจารณาเองได้เพราะมันจะผิดตามหลักนิติรัฐ [1] “น่าจะตั้งใจให้มันหลุดออกมาเยอะๆ แล้วให้โซเชียลช่วยกดดันแหละ”

   พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เพื่อนสนิทของพี่เขาทำก็บอกตัวเองว่าเพราะอย่างนั้นแหละพวกเขาเลยเป็นเพื่อนกันได้ 

   “แต่กูตั้งใจแล้วว่าไม่ส่งต่อ หมั่นไส้แม่ง ให้ไปหาคนอื่นเอาเอง”

   เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการระวังตัวไม่ให้สร้างศัตรูพร่ำเพรื่อ ปลายเจตน์ที่เขารู้จักเป็นคนใจดีในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับจะยอมตลอดไป แล้วหลังจากที่โดนหลอกไปใช้งานเมื่อปีที่แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ความสัมพันธ์มันจะสะบั้นลงได้เช่นนี้

   “แต่เขาจะปล่อยลงออนไลน์จริงเหรอ ไม่เปลี่ยนวิธีกันหน่อยหรือไง”

   ถึงว่าที่ผ่านมามันจะได้ผลในระดับที่เขาเองก็ยังแปลกใจที่คนเหล่านี้ยังใช้รูปแบบเดิมอีกครั้ง

   “มันกระจายง่าย คนก็พร้อมเชื่ออยู่แล้ว”

   จะเกลียดก็เกลียดไม่ลงเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น 

   เก็บเอกสารที่เหมือนจะเป็นความลับแต่ก็คนรู้เยอะใส่กระเป๋าแฟ้มของตัวเองให้เรียบร้อย หยิบแก้วชาไทยที่ละลายกลายเป็นน้ำเปล่าไปแล้วขึ้นมาถือเตรียมเดินเข้าห้องเรียน ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งว่าลืมวางอะไรเอาไว้หรือไม่จากนั้นก็เตรียมตัวเข้าไปใช้สมองกับการเรียน

   “กลุ้มใจชะมัด ทำไมคนเราถึงชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อนอย่างนี้นะ”

   “มึงจะไปคิดมากแทนเขาทำไม”

   “แล้วจะให้เฉยอย่างนั้นเหรอ”

   แค่นยิ้มตรงมุมปากของปลายเจตน์เต็มไปด้วยความอ่อนล้า

   “มึงไม่เคยเข็ดเลยตุล”

   “...” 

   “กับทุกเรื่องเลย”
 


   น้องตุล วันนี้ฝากเฝ้าห้องแทนพี่หน่อยได้ไหม

   ต้องกลับบ้านไปเคลียร์อะไรนิดหน่อย


   อ่านข้อความจากรุ่นพี่ปีที่ที่กระหน่ำโทรเข้ามามากกว่าห้าสายในช่วงคาบเรียนเมื่อสักครู่แล้วเอียงคอสงสัย อาจจะดูเป็นเด็กเคร่งเครียดไม่น้อยที่ปิดการแจ้งเตือนทุกอย่างระหว่างคาบเรียนเพื่อให้มันไม่มีอะไรรบกวนสมาธิระหว่างการเรียน ซึ่งเหตุผลอีกส่วนมันคือพี่มัจน่ะเคยถล่มข้อความมาหาเขาจนต้องปิดเครื่องเลยล่ะ

   แปลกเกินไป

   โดยปกติแล้วพี่มัจน่ะไม่เคยทักมาขอความช่วยเหลือจากเขาเหรอ เกือบทั้งหมดมันเป็นการทักมาเพื่อป่วนไปเรื่อยเสียมากกว่า ความกังขาทั้งหมดหมดไปเมื่อเขาเปลี่ยนไปเช็กห้องสนทนาที่อยู่ติดกัน มันเป็นกรุปรวมตุลาการนักศึกษาในปีนี้ที่เหลือเพียงเจ็ดคน ลืมไปเลยว่าตอนนี้มันไม่ครบองค์คณะ

   มันมีการตอบโต้กันประมาณสามสิบข้อความระหว่างพี่มัจกับคนอื่น เหมือนว่าพี่เขาจะเข้ามาถามแล้วไม่มีใครว่างในช่วงเย็นวันนี้แล้วเขายังไม่เข้ามาตอบมันเลยมีการทักแยกไป

   ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนมีน้ำใจ ส่วนอีกครึ่งก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่จะสร้างบุญคุณกับรุ่นพี่คนนี้เอาไว้ เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและควรจะเป็นเดือนตุลาจึงกดออกจากโปรแกรมแชตแล้วเปลี่ยนไปที่ไอคอนการโทร ไถรายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกเอาไว้จนเจอที่ต้องการ

   “โอเคครับ สะดวกเป็นการแลกเวรอย่างนั้นก็ได้”

   ได้ข้อสรุปภายในการคุยไม่ถึงสามนาที พี่มัจฉ์ไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องธุระส่วนตัวที่อ้างอิง ก็บอกแค่ว่าไปไม่ได้แล้วจะอยู่เฝ้าห้องแทนเขาตารางเวรในครั้งหน้า มันก็เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้กลับไปทำความสะอาดห้องก็ต้องเปลี่ยนสถิตอยู่ในห้องทำงาน

   บอกแผนการในเย็นนี้ให้เพื่อนสนิทฟังก่อนแยกย้ายกัน ตอนที่เดินไปตามเส้นทางสำหรับการลัดเลาะไปยังตึกกิจกรรมเขาก็อดคิดเรื่องเอกสารร่างระเบียบเจ้าปัญหาไปด้วยไม่ได้ คือถ้าเอาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่น่าจะเข้าเอี่ยวกับการทำงานของฝ่ายตุลาการได้ หากพูดในแง่ของอำนาจในการตรวจสอบเพียวๆ แล้วมันก็ต้องยอมรับว่าเกี่ยวกันโดยตรง

   ตามหลักของการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจแล้วฝ่ายนิติบัญญัติสามารถถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ส่วนฝ่ายบริหารก็สามารถคานอำนาจกลับได้ด้วยอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร

   แล้วฝ่ายตุลาการอยู่ตรงไหนของความสัมพันธ์นี้ล่ะ?

   ถ้าถามว่าใครตรวจสอบศาล เราก็เรียนกันมาว่าเพื่อให้ศาลทำงานเป็นอิสระและเป็นกลางไม่ถูกแทรกแซงจากใครหรือองค์กรใดจึงเป็นฝ่ายที่ไม่ได้ถ่วงดุลอำนาจกับใคร เป็นการตรวจสอบภายในกันเองหรือตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกในบางกรณี แล้วถามจริงเถอะนะไอ้การตรวจสอบกันเองนี่จะเอาความโปร่งใสมาจากไหน

   ตลกที่ขำไม่ออก

   “มัจครับ วันนี้ไม่มีน้ำปั่นนะ”

   ชะโงกหน้าออกมาจากอดีตห้องประธานที่กลายเป็นห้องเก็บเอกสารสารพัดไปแล้ว ร่างของรุ่นพี่ปีสี่เจ้าของตำแหน่งประธานกรรมาธิการตัวที่มีปัญหาอยู่ไม่น่าประหลาดใจเท่าคำทักทายและถุงผ้าในมือ

   ตายยากชะมัด

   “อ้าว?”

   “พี่มัจมีธุระด่วนครับเลยขอแลกเวร”
   
   พี่ฟีนพยักหน้ารับทราบพลางวางของทั้งหมดลงกับโต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุด “เหรอ”

   “มีอะไรไหมครับ”

   รู้ว่ามันเป็นการถามที่ดูโง่มาก ก็เขาวางตัวในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ถูกนี่นา

   ไม่ยักรู้ว่าพี่ฟีนสนิทกับพี่มัจถึงขั้นนี้ เข้าใจมาโดยตลอดว่าพี่มัจกับพี่ฟีนไม่ค่อยถูกกันตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่ธรรมก็เลยต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเขาทั้งสองอยู่เสมอ

   “ไม่มีๆ แค่เอาของมาให้” เขาเดาเอาเองว่าการจิ้มกดไปตามตำแหน่งต่างๆ ของหน้าจอระหว่างตอบคำถามของเขาคือการพิมพ์ไปหาคนที่ควรจะอยู่ในห้องตอนนี้ “น้องตุลกินเมี่ยงสมุนไพรไหม ร้านนี้ปลูกผักเองด้วยนะ”

   “อ่า...ไม่ดีกว่าครับ”

   ปฏิเสธกลับไปไม่เต็มเสียง คือยังไม่ทันได้คำตอบสำหรับเรื่องแรกเลยตอนนี้เขาก็ต้องมาประหลาดใจกับความใจดีของรุ่นพี่คนนี้อีกแล้ว จะว่ายังไงดี สำหรับตุลแล้วเขามีคติให้ตัวเองว่าถ้าเลี่ยงพี่ฟีนได้เมื่อไหร่ก็เลี่ยง จงลืมความประทับใจแรกพบในวันนั้นไปเสียเถอะ ที่เหลือน่ะพี่เขาเป็นตัวปัญหาชั้นดีชัดๆ

   “งั้นข้าวผัดผักรวมหมูกรอบไข่ดาวอะ”

   “ไม่เหมือนกันครับ”

   “โอเค พี่วางไว้ตรงนี้นะ อย่าลืมเอากลับไปด้วย”

   ถ้าสมมติเขาว้ากใส่ประธานหลังม่านแห่งสภานักศึกษานี่จะเป็นอะไรไหมนะ ทำไมรุ่นพี่รอบตัวเขาถึงมีแต่คนเอาแต่ใจและไม่ฟังคนอื่นได้เท่านี้ สงสัยเหลือเกินว่าเวลาทำงานกับคนอื่นนี่ไม่ตีกันตายได้ยังไง คือเป็นเขานะจะต้องเหม็นขี้หน้าหรือไม่เผาผีกันไปแล้ว

   ถึงจะไม่ชอบเท่าไหร่ที่พี่ฟีนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่แทนที่จะออกไปหลังจากหมดหน้าที่แล้ว ก็ตามบทบาทและหน้าที่แล้วเราควรวางตัวให้เหมาะสมสมกับเป็นสองฝ่ายที่มีหน้าที่ตรวจสอบกันสิ

   ก็ว่าไป ทำอย่างกับพูดแล้วจะฟัง

   “มัจได้บอกไหมว่าธุระอะไร”

   เท้าขวาที่ก้าวกลับเข้าไปในห้องเอกสารแล้วยกกลับมาอยู่นอกธรณีประตูเช่นเดิม “ไม่ได้บอกครับ”

   ส่วนที่อยากจะบอกต่อจากนั้นคือและไม่คิดจะถามเรื่องชาวบ้านไปทั่วหรอก คือมาถามเขามันจะได้อะไรทำไมถึงไม่เลือกไปถามเจ้าตัวเองเลยล่ะ

   ด้วยความระแวงก็เลยถือโอกาสเช็กเสียเลยว่ามีเอกสารอะไรที่ไม่ควรแพร่งพรายตกหล่นอยู่บริเวณที่พี่ฟีนนั่งอยู่หรือไม่ เขาล่ะไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้กุมอำนาจไปมากกว่านี้เลยให้ตายเถอะ

   ส่วนตัวแล้วไม่รู้ประวัติเบื้องลึกของรุ่นพี่คนนี้ พี่ฟีนสำหรับเดือนตุลาคือพี่คนแรกที่เขารู้จักในคณะนิติศาสตร์เพราะว่าช่วยแนะนำจนเขาถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ได้โดยสวัสดิภาพ พอเริ่มเข้าไปทำงานในฐานะตุลาการก็จัดให้อยู่ในประเภทของคนที่ทำงานคนละฝ่ายที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันมาก

   พอกลับเข้ามาอยู่คณะนิติศาสตร์ในฐานะนักศึกษาปีแรกก็เลยได้ยินเรื่องเล่าแบบปากต่อปากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายที่ชื่อสัทธากับทิชากร ปลายเจตน์เองก็เคยเสริมว่าเขาเคยเห็นรุ่นพี่คนนี้คลุกคลีกับทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว

   ความบ้าดีเดือดมันมารุนแรงก็ช่วงปีที่แล้วที่พี่เขาเลือกจะสร้างพรรคใหม่ขึ้นมาลงสนามหลังจากที่อยู่กับครอบครัวการเมืองเดิมมาถึงสองปี คิดว่าน่าจะแตกหักกับคนอื่นในพรรคเก่าพอสมควรเพราะว่าสมาชิกในทีมของพี่ฟีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นหน้าใหม่เกือบทั้งหมด

   ไม่กล้าฟันธงว่าเพราะอะไรพรรคการเมืองของพี่ฟีนถึงได้รับเสียงสนับสนุนที่มากจนน่าตกใจ มันไม่ถึงกับเป็นชัยชนะที่ขาดลอยแต่ว่ามันก็เรียกได้ว่าเป็นรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เขาไม่เคยคุยเรื่องนี้กับคนอื่นเลยบอกไม่ได้ว่าในสายตาของคนข้างนอกมองว่ามันเป็นเรื่องของความโชคดีหรือว่าเป็นความเก๋าเกมที่สะสมมาเป็นระยะหนึ่ง

   “น้องตุลได้อ่านร่างระเบียบใหม่แล้วหรือยัง”

   “...”

   ชะงักค้างไปชั่วขณะตามแบบฉบับของคนมีความผิดติดตัว ก็อย่างที่เปรยเอาไว้แล้วว่ามันไม่ใช่เอกสารที่สามารถเอาออกมาเผยแพร่ได้ ส่วนในอีกมุมหนึ่งคือคำถามของเขาเป็นการการันตีคำพูดของปลายเจตน์

   “เป็นไงบ้าง อ่านแล้วหงุดหงิดเนอะ”

   นัยน์ตาเรียวคมที่ดันบังเอิญสบเข้าหากันคือความผิดพลาดล่าสุดที่เดือนตุลาทำ รอยยิ้มจางของอีกฝ่ายแทนคำตอบว่าอีกฝ่ายรู้อะไรบางอย่างอยู่แล้ว เกลียดเสียยิ่งกว่าเกลียดเวลาที่ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ คือเล่นไม่เหลือช่องว่างให้บ่ายเบี่ยงหรือว่าแก้ตัวเลยสักนิด

   หน้าที่หลักของฝ่ายนิติบัญญัติในมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่าสภานักศึกษาคือการพิจารณาเรื่องกฎระเบียบและข้อบังคับที่ใช้ภายใน ส่วนที่ไปคาบเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิและสวัสดิการนักศึกษาด้วยน่าจะเป็นเพราะว่าพวกผู้ใหญ่กลัวว่าจะว่างไป แต่ถ้าเอาตามหลักทฤษฎีแล้วมันควรจะจบแค่การออกกฎหมายอย่างเดียว

   ชอบเอาไปปนกันจนมั่ว พอมีปัญหาขึ้นมาก็ตามแก้กันจนหัวฟู

   “ยังอ่านไม่หมดครับ”

   เชื่อเลยว่าพอหลุดจากตรงนี้ไปแล้วสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนคนสนิทแล้วทำการพ่นคำผรุสวาทใส่ไม่มีหยุด ถ้าไม่เอามาให้เขาอ่านมันก็จบแล้วไหม

   “แค่บทว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ก็พังแล้ว จะให้มหาวิทยาลัยเข้ามาคุมอีกชั้นอีก”

   ตรงนั้นก็เป็นจุดที่ต้องให้ปลายเจตน์ช่วยอ่านอีกครั้งเลยว่าเขาอ่านอะไรผิดหรือเปล่า คือตัวร่างนี้มันมาจากผู้ใหญ่ไม่ได้เป็นการริเริ่มจากฝั่งของนักศึกษาเอง มันก็เลยเต็มไปด้วยทัศนคติแบบคนสูงกว่าที่ไม่เคยลงมาคลุกคลีกับความเป็นจริง

   “เขาก็ต้องทำอะไรที่ตัวเองได้ประโยชน์สิครับ”

   “แล้วจะเรียกว่าระเบียบการของนักศึกษาไปทำไม”

   “...”

   “โอเค พี่ไม่ว่านะถ้าบอกว่าบางข้อกำหนดมันควรจะแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานในภาพรวม แต่ถ้าตัวเองเล่นเขียนมาให้เสร็จสรรพแล้วส่งมาให้ทางนี้ทำตัวเป็นตรายางก็ไม่ใช่ไหม”

   “...”

   “คือมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่กฎหมายมันจะสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตที่มันร้อยพ่อพันแม่ก็อย่างนี้ แต่จะให้เอาพวกที่หัวเริ่มล้านอยู่แล้วมาวางกฎระเบียบของเด็กอายุหนึ่งปลายๆ สองต้นๆ มันก็ควรจะสะกิดใจถึงความไม่เข้ากันหน่อย จะดื้อเป็นคนเขียนแต่ไม่รับฟังก็ไม่ใช่ไหม”

   ปลายเจตน์เคยอธิบายให้เขาฟังเมื่อครั้งประกาศรายชื่อและตำแหน่งของสมาชิกสภานักศึกษาเผยแพร่ออกมา เหตุผลที่ชื่อของทิชากรอยู่ในส่วนของประธานกรรมาธิการกฎระเบียบและวินัยไม่ใช่ประธานสภาพนักศึกษาคนปัจจุบัน หนึ่งเรื่องที่สำคัญก็คือการกุมอำนาจในการอนุมัติกฎระเบียบที่ใช้บังคับนี่แหละ

   คนเขียนกฎหมายได้เปรียบเสมอ

   มันไม่เกินอย่างที่ใครเขาพูดกันหรอก

   “เพราะกฎบอกว่าต้องให้สภานักศึกษาเป็นคนอนุมัติก่อนบังคับใช้ ก็เลยจะมาเร่งให้ทางนี้ลงมติเห็นชอบให้มันจบๆ ไปแค่นั้นมันใช่ที่ไหน แล้วพอขอเวลาในการพิจารณาก็มากดดันผ่านทางผู้บริหารอีก ไร้สาระเป็นบ้า”

   เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้ยินพี่ฟีนวิจารณ์การทำงานภายในให้ฟัง เมื่อก่อนคือเขาไม่ใส่ใจจะไปก้าวก่ายเองด้วยเพราะถือว่าเราทำงานในคนละส่วนกัน อีกอย่างคือพอมันออกมาจากพี่คนนี้แล้วมันก็ทำให้อยากจะเบ้ปากใส่อยู่ร่ำไป

   เอาเป็นว่านิยามง่ายๆ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนักการเมืองสไตล์ คอนเน็กชั่นยุบยับ และทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด อย่าหวังว่าการเข้าการเข้าหาจะเป็นเรื่องของมิตรภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอย่างทิชากรน่ะเก็บดอกเบี้ยตั้งแต่วินาทีแรกเลยล่ะ

   “จริงๆ พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องตุลแหละ แต่เอาไว้ให้ช่วงระเบียบนี้ซาลงก่อนแล้วกัน”

   สะกิดใจกับคำที่รุ่นพี่ใช้อยู่เล็กน้อย เขาจำได้แม่นว่าหลังจากนี้อีกไม่ถึงสองสัปดาห์ดีจะเป็นช่วงเวลาของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสำหรับสมาชิกสภานักศึกษารุ่นถัดไป ที่ตัวร่างระเบียบนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวมากเท่าที่ควรก็เพราะว่ามันกำลังจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านด้วยแหละ

   เหล้าเก่าในขวดเก่าที่หลอมใหม่ เป็นนิยามที่เขามอบให้กับการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทางนี้แล้วบอกเลยว่าร้อยทั้งร้อยไม่เคยรู้ถึงความเน่าเฟะข้างในหรอก ส่วนมากก็เป็นคนที่หน้าเดิมๆ และพร้อมจะทำงานในแบบเดิมๆ

   “ก็หนักอยู่นะครับ”

   “มันก็ดีกว่าตอนที่ทะเลาะกันข้างในแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย”

   “ผมไม่รู้ฝั่งนั้นเท่าไหร่ ไม่อยากจะออกความเห็นเยอะ” คิดว่านี่จะเป็นจังหวะดีที่จะไล่อีกคนให้ออกไปจากห้องนี้เสียที “พี่ฟีนไม่มีธุระต่อเหรอครับ คุยกับผมได้ตั้งนาน”

   “พี่ว่างตลอดสำหรับน้องตุล”

   ไม่บ่อยครั้งที่เดือนตุลาจะมองบนใส่รุ่นพี่อย่างนี้

   “อย่าเป็นพี่มัจสองเลยครับ ผมขอล่ะ”

   “ใจร้ายที่สุดแล้วคนนี้”

   “เอาที่พี่สะดวกเลยครับ ผมทำความสะอาดห้องต่อล่ะ”

   ปรามเอาไว้ด้วยการส่งตาดุไปบอกว่าอย่ายุ่งวุ่นวายกับของในห้องนี้ เขาเดินกลับเข้าไปอยู่ในส่วนของกองเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นการสะสมมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น แผนที่คิดเอาไว้สำหรับการจัดระเบียบเอกสารดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำได้ตามที่คิดเอาไว้ทั้งหมดเมื่อมองเห็นปริมาณที่น่าจะทำให้พื้นถล่มได้ง่ายๆ

   อย่างไรตอนนี้เดือนตุลาก็สามารถนำยึดเอาคำที่พี่มัจบอกว่าภายในองค์คณะพวกเราต่างเท่าเทียมกันมาใช้ได้ ถ้าไม่มีใครคิดจะทำความสะอาดเดี๋ยวเขาจะจัดการให้เอง ไม่ต้องเข้ามาช่วยก็ได้แต่อย่าทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมก็พอ

   “พี่ฟีนครับ ผมว่าพี่กลับ ...อ้าว?”

   ตอนแรกเดือนตุลาได้เตรียมคำบ่นเอาไว้จนจบประโยคเรียบร้อย ที่มันออกมาได้ไม่ครบประโยคเพราะว่าผู้ชายที่ยืนเช็กแฟ้มเอกสารที่จัดส่งมายังฝ่ายตุลาการนักศึกษากลับเป็นเจ้าของตำแหน่งประธานตุลาการแทน สัทธาก็ยังคงอยู่ในคอสตูมที่เขายังย้ำคำเดิมว่าไม่เหมือนกับนักศึกษาเลยสักนิด

   “มันมาเหรอ”

   ถามทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่กับแผ่นกระดาษตรงหน้า พี่ธรรมพลิกกระดาษสองสามแผ่นกลับไปมาอีกครั้งอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม

   “เอาข้าวมาให้พี่มัจน่ะครับ” พอเห็นว่ากล่องกระดาษชานอ้อยทั้งสองกล่องยังอยู่ที่เดิมเลยหาคนช่วยจัดการเลยดีกว่า “ถ้าพี่ธรรมจะกินก็สองกล่องตรงนั้นเลย”

   ไม่มีทางหยิบเองอยู่แล้วและไม่อยากให้เสียของ ถ้าพี่ธรรมไม่เอาก็คงหิ้วลงไปฝากให้พี่ยามอยู่ดี

   “ไม่เอา เจอหน้ากันจนเบื่อแล้ว”

   เรียกได้ว่าไม่แปลกใจ ก็ช่วงนี้น่ะพี่เขาสองคนตัวติดกันยิ่งกว่าแฝดสยามอินจัน ไม่รู้ว่าแค่การแข่งขันตอบปัญหาทางกฎหมายมันต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ คือได้รางวัลชนะเลิศไปก็ไม่ได้ช่วยให้สอบผู้พิพากษาหรือว่าอัยการติดไหม

   “ทำไมพวกพี่ดูซีเรียสกับการแข่งจัง หมายถึง...สำหรับผมไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้” เดินไปใกล้ๆ เพื่อสังเกตว่าเอกสารพวกนั้นน่าสนใจแค่ไหน ระยะห่างเล็กน้อยพาเอาสติไขว้เขวได้พอสมควร “ก็แค่ตอบปัญหากฎหมาย”

   “ไม่ใช่พี่ มัน”

   “ครับ?”

   “คนที่จริงจังอะมัน ไม่ใช่พี่”

   เลิกคิ้วขึ้นตามประสาคนมีคดีกันมานาน เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ “แล้วทำไมพี่เขาถึงจริงจังเหรอครับ”

   “เด็กเก็บกด เจ้าคิดเจ้าแค้น ไร้สาระ”

   “เก็บกด?”

   “การแข่งขันตอบปัญหาระดับมัธยมปีที่ฟีนอยู่ม.หก ลองไปหาต่อเอง”

   “โอเคครับ” ตอบรับแบบไม่ใส่ใจแต่มือเตรียมจะกดคีย์เวิร์ดในกูเกิลแล้ว วันนี้พี่ธรรมใจดีผิดกับทุกครั้งเลย “แล้วพี่ธรรมมีธุระอะไรที่ห้องหรือเปล่าครับ จะได้ไม่รบกวน”

   “เปล่า เห็นที่มัจมันพิมพ์ลงไปในกรุปแล้วไม่มีใครสรุปก็เลยแวะมาหน่อย”

   จะว่าไปก็ลืมไปเลย พอคุยกับพี่มัจเสร็จก็คิดว่าไม่มีปัญหาแล้วก็ไม่ได้เข้าไปอัปเดตให้ใครฟัง “อ้อ ผมลืมบอกเองแหละครับ”

   “ไม่เป็นไร ไว้จะไปบอกมัจมันด้วยว่าคราวหลังก็บอกด้วย”

   “นึกว่าพี่จะชวนผมไปกินข้าว อะไรทำนองนี้”

   ตั้งใจที่จะแหย่รุ่นพี่ปีสี่ให้เขวเสียบ้าง นัยน์ตาเรียวข้างหลังกรอบแว่นช้อนขึ้นมามองในขณะที่ทั้งใบหน้ายังคงนิ่งสนิท เย็นชาเหลือเกินคนอะไร

   “นายมีข้าวของฟีนแล้วไง”

   “อันนั้นผมว่าจะเอาไปให้พี่ยามน่ะครับ”

   “ก็เรื่องของนาย”

   “พี่ธรรมครับ” ในห้วงเวลาที่ราวกับเดินย้อนกลับ เดือนตุลาคลับคล้ายว่าตนได้ท่องอยู่ในช่วงเวลาที่เขาเป็นน้องปีหนึ่งที่รุ่นพี่ต่างเอ็นดูในความเอาแต่ใจ “เลิกเก๊กหน่อยเถอะครับ ยังไงผมก็ยังยืนยันอย่างที่บอกไป...”

   “งั้นให้พี่ยืนยันบ้างนะ”

   ไม่ทันได้ขยับปากจนครบ น้ำเสียงราบเรียบไม่มีเจือความรู้สึกนั่นมันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าของอีกฝ่ายที่โน้มเข้ามาใกล้จนเกือบชิดเยื้องไปทางข้างแก้มจนได้ยินเสียงลมหายใจเค้ากลิ่นยาเส้นข้างใบหู

   “นายตัดสินใจพลาดแล้วเดือนสิบ”

   มันยะเยือกเสียจนเขาต้องยอมรับบางอย่างโดยดุษณี

   “พลาดที่สุดในชีวิตของนายเลยล่ะ”


***
[1] ลักษณะอำนาจกระทำการของฝ่ายตุลาการ (ศาล) จะเป็นในลักษณะ passive คือไม่สามารถริเริ่มการกระบวกการตรวจสอบได้เอง ต้องมีการฟ้องร้องเข้ามาเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) และฝ่ายบริการ (รัฐบาล) ที่มีอำนาจกระทำการในการริเริ่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน

   เขียนยากจริงๆ นะคะการบาลานซ์ให้เนื้อเรื่องที่ต้องการเขียนดำเนินไปพร้อมกันทุกด้าน เจ้าคิดว่าตอนนี้น่าจะปูพื้นฐานของความสัมพันธ์ได้พอสมควรแล้วค่ะ อาจจะดูไกลตัวหน่อยแต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ห่างเลย ค่อยๆ ตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกันกับเจ้านะคะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบ [10.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 14-01-2020 00:04:00
เดือนสิบพลาดยังไงน้ารอคุณสัทธามาอธิบาย
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบ [10.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-01-2020 01:32:22
พลาดยังไงคะพี่ธรรม ให้เคลียร์นะ  :ling1:

เราชอบสำนวนการเขียนของนักเขียนมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนมาทางนี้เลยค่ะเลยแอบงงๆบ้าง แต่พยายามอ่านทวนเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ภาษาสวยค่ะ สไตล์การเขียน อ่านแล้วสบายตามากๆ

เรากำลังเบื่อนิยายแนวเดิมๆ ภาษาเด็กๆ พล็อตเดิมๆซ้ำๆ เลยอยากอ่านอะไรที่แตกต่าง เราว่าเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว เราชอบที่ตัวละครดูมีงานมีการ 55 มีหน้าที่ของตัวเองและตั้งใจทำมัน อีกอย่างตัวละครแต่ละตัวเขามีความผู้ใหญ่ดีค่ะ บุคลิกเหมาะกับคณะที่เรียน ไม่ง้องแง้งเป็นเด็กอนุบาล เหมือนทั่วๆไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเอ็ด [17.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-01-2020 18:05:09
บทสิบเอ็ด


   “น้องตุลมองพี่แล้วทำหน้าประหลาดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”

   “...”

   “อยู่ดีๆ กล้ามเนื้อบนหน้าพี่มันเบี้ยวเหรอ”

   “...ทำไมพี่มัจถึงเลือกเรียนภาษาเยอรมันแทนเหรอครับ”

   “แทน?”

   “ได้ที่หนึ่งการตอบปัญหา ทำไมถึงไม่เข้านิติศาสตร์ล่ะ”

   ไม่บ่อยหรือเรียกได้ว่าแทบเป็นศูนย์ที่เดือนตุลาจะได้เห็นอีกฝ่ายชะงักก่อนตอบ “ธรรมบอกเหรอ”

   “ให้คำใบ้แล้วผมก็เอาไปหาต่อเองน่ะครับ”

   จะปกป้องไปเพื่ออะไรก็ตอบตัวเองไม่ได้ แต่เขาไม่อยากให้เพื่อนสนิทต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องอย่างนี้หรอกนะ

   อยากรู้ก็ต้องรู้ ขอบคุณความก้าวไกลของเทคโนโลยีที่ทำให้การค้นหาเป็นไปโดยราบรื่นไม่พบกับอุปสรรคใด แค่เขียนชื่อรายการการแข่งขันตามด้วยปีเท่านั้นเสิร์ชเอนจินก็ประมวลสิ่งที่เขากำลังสืบเสาะออกมา ภาพแรกที่เห็นคือรูปถ่ายในจังหวะรับประกาศนียบัตรของเด็กผู้ชายชั้นมัธยมหกสองคนที่มีคำอธิบายของรูปว่าเป็นผู้ชนะเลิศของการแข่งขันตอบปัญหาทางกฎหมายระดับมัธยม

   รอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ของหนึ่งในนั้นเด่นสะดุดตาจนไม่ต้องไปเช็กเรื่องชื่อก็ยังได้ เขาที่ช็อกกับข้อมูลใหม่คิดอะไรไม่ออกจนต้องเปลี่ยนไปเช็กรูปอื่นในเซตเดียวกันเพื่อดึงสติ

   แล้วก็กลายเป็นว่าได้เซอร์ไพรส์รอบสอง

   ใครจะไปคิดว่าพี่ฟีนสมัยก่อนจะหน้าละอ่อนและดูไม่มีพิษภัยได้เท่านั้น

   เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่ขึ้นชื่อติดหนึ่งในห้าของเด็กมัธยมปลายทั่วประเทศ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง พออ่านถึงตรงนี้ก็เลยเริ่มเข้าใจที่พี่ธรรมบอกว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แล้วยิ่งเป็นคนใกล้ตัวอีกต่างหาก อย่างนี้แสดงว่าพี่ฟีนกับพี่มัจรู้จักกันมานานพอสมควรเลยสินะ

   “พี่เกลียดรูปนั้นอะ หัวเกรียนน่าเกลียดมากเลยเนอะ” เบ้ปากประกอบกับการเล่า อันนี้ก็เข้าใจได้เพราะตอนนั้นพี่เขาคงยังต้องเรียนรด. ด้วย “เมื่อไหร่กฎระเบียบไร้สาระพวกนี้จะหายไปสักที”

   “ผมว่าก็ไม่ค่อยมีใครรอดกับทรงนั้นหรอกครับ”

   “เนอะ เพื่อนพี่ยัดแล้วรอไปค่ายอย่างเดียวหลายคนเลย หมั่นไส้”

   “ของผมเจอแต่เขาจะเรียกก่อนเริ่มค่ายแล้วเอาสัญลักษณ์มาติดไว้ก่อนเลย”

   “เยี่ยมมากสังคม แต่เด็ดสุดคือไม่ต้องทำอะไรเลย”

   “แต่เรายังคุยเรื่องของพี่มัจไม่จบเลยนะครับ”

   จะไม่มีการยอมให้เบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นเด็ดขาด ตุลหรี่ตามองรุ่นพี่ปีสี่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวมประจำตำแหน่ง ทำเป็นมองลมฟ้าอากาศทั้งที่ห้องนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ากำแพงสีขาวสภาพโทรมและกองกระดาษไม่รู้กี่สิบตั้ง

   “ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ พี่ต้องหัวเกรียนเพราะเรียนรด. ไง”

   “เราคุยกันเรื่องแข่งตอบปัญหาครับ”

   “น้องตุลคุยกับพี่ แต่พี่ไม่อยากคุยต่างหาก”

   ถึงกับบอกมาตามตรงอย่างนี้เขาว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วมันมีวิธีการบ่ายเบี่ยงมากมายไม่ใช่การตัดจบ

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ไม่อยากก็คือไม่อยาก”

   “แล้วถ้าผมให้กอดล่ะ”

   ไอ้การผุดลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแต่เกือบจะกลายเป็นตกเก้าอี้อย่างนั้นมันเป็นรีเอกชันที่เกินเบอร์ไปหน่อยหรือเปล่านะคนเรา

   “จริงจัง?”

   “พี่คิดว่ายังไงล่ะครับ?”

   “พี่ว่าพี่อาจจะฝันอยู่ น้องตุลไม่เคยยอมให้พี่กอดเลยอะ”

   ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วพบว่าการเปลืองตัวเล็กน้อยอย่างนี้ไม่น่าจะมีปัญหา มันก็มีจุดเล็กๆ ที่สะกิดใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยอมลงทุนมากกว่าปกติไม่น้อย ไอ้อาการหวงเนื้อหวงตัวของเขาน่ะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี แล้วนี่คือปฏิเสธมาตลอดสามปีกว่าเลยนะ

   แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

   อุปนิสัยทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะตามหาตัวตนที่แท้จริง ขนาดถามว่าเพราะอะไรถึงมาทำงานตรงนี้ก็ยังตอบว่าอยากทำอะไรสนุกๆ ซึ่งเขาอาจเชื่อตามที่บอกหากไม่พบความรู้ชุดใหม่ที่ทำเอาไปต่อไม่ถูก

   “นี่ก็ยอมแล้วไงครับ”

   “สิบห้าวิ”

   “ครับ?”

   “จะกอดสิบห้าวิ พี่นับเอง”

   ห่างกันก็หลายเมตรอยู่ยังรู้เลยว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายแค่ไหน การได้เป็นผู้เหนือกว่าในการต่อรองบอกเขาว่ามันคุ้มค่าแล้วล่ะมั้งที่ยอมหัวแข็งมาตลอดเวลาเพื่อใช้ในเวลาที่จำเป็น

   สังคมของเดือนตุลาแบ่งได้เป็นสามส่วนใหญ่คือเพื่อนสมัยมัธยม ปลายเจตน์ แล้วก็คนในองค์คณะตุลาการ ถ้านอกเหนือจากนี้แล้วจะเรียกว่าไม่มีเพื่อนเลยก็ว่าได้ พอไม่มีเพื่อน สิ่งที่ตามมาคือไอ้การกอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นเรื่องที่พบเจอได้ไม่บ่อยนักไปโดยปริยาย

   “ตามนั้นก็ได้ครับ”

   รุ่นพี่ปีสี่ที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายเซนติเมตรก้าวเท้าเร็วมาใกล้ด้วยท่าทีเริงร่า “ถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ไหม”

   เขาโคลงหัวด้วยความเอือมระอาเต็มแก่

   “ไม่ต้องเลยครับ”

   “โอ๊ย วันนี้วันที่เท่าไหร่นะ กี่โมงด้วย จะเก็บเอาไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยได้กอดน้องตุล”

   กลัวว่าจะไม่ได้คำตอบวันนี้ เดือนตุลาเลยจัดการวาดแขนรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามาชิดอกเสีย กำชับเรื่องเวลาเพื่อให้ไม่เสียเปรียบ

   “นับเร็วครับ”

   อธิบายสัมผัสที่กำลังซึมซับอยู่ไม่ถูกเหมือนกัน ร่างกายที่แนบชิดกันเพิ่มความอบอุ่นได้ในระดับหนึ่ง ก็รู้สึกดีอยู่หรอก หากอีกใจก็ทำตัวไม่ถูกกับความใกล้ระดับนี้

   จับได้ว่าคนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดกำลังแกล้งปั่นหัวด้วยการนับเลขเป็นภาษาเยอรมันอันเป็นภาษาเอก เนี่ย ก็เป็นคนอย่างนี้ไงเลยมีคนแอบหมั่นไส้ เขาไม่รู้หรอกว่าความหมายของคำพูดนั้นว่ามันหมายถึงตัวเลขหนึ่งถึงสิบห้าจริงหรือไม่ พอไล่ตามได้ครบคำแล้วก็ผละออกทันที

   “ฮือ ขออีกรอบได้ไหม”

   ตามองตามแบบฉบับคนรู้ทัน “ไม่ได้ครับ”

   คือไอ้อาการลิงโลดอย่างนั้นมันสร้างคำถามให้เขาว่าแค่การสัมผัสแนบชิดในระยะเวลาสั้นมันสร้างความสุขได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาแค่รู้สึกวูบโหวงนิดหน่อยแค่นั้น หัวใจยังเต้นในจังหวะสม่ำเสมอเท่าเดิมไม่มีการเร่งเลยด้วยซ้ำ

   “ได้เวลาที่พี่จะตอบคำถามผมแล้วครับ”

   “น้องตุลต้องลดความดุลงนะรู้ไหม”

   “ตอบไม่ตรงคำถามได้ศูนย์คะแนนนะครับ”

   “ดุอีกล่ะ โอเคๆ ก็รู้ใช่ไหมว่าสี่จากเก้ามาจากรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์”

   อย่างที่เขาเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว สี่คนจะถูกกำหนดให้มาจากสองคณะนี้ ส่วนอีกห้าคนก็มีกำหนดสายการเรียนเอาไว้แล้วเช่นกัน อย่างสายแพทย์ก็จะต้องมีคนหนึ่งเสมอ ซึ่งถ้านับตามสถิติแล้วจะตามหายากที่สุดเพราะไม่มีใครเต็มใจลงมาทำทั้งที่เรียนเป็นบ้าเป็นหลัง รวมถึงมันจะมีชุดความคิดแปลกๆ อย่างเช่นว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจกระบวนการยุติธรรมหรอก

   เขาในฐานะเด็กปีหนึ่งคณะทันตแพทยศาสตร์เลยกลายเป็นเบี้ยให้กับรุ่นพี่สองคนที่ใช้ประโยชน์จากช่องว่างนั้น

   “แล้วสองคนต้องมาจากสายสังคมศาสตร์คณะอื่น...ที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาทำงานกันหรอก” นัยน์ตาระยับกับรอยยิ้มพรายนั่นมันเหมาะกับเป็นตัวแทนของความดีงามหรือน่าหวาดหวั่นกันนะ “แล้วสำหรับพี่ภาษาเป็นอะไรที่เอาไปต่อยอดได้มากกว่าวิชาการเพียวๆ อีก มันก็แค่นี้เอง ความจริงก็ใช้ได้กับทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก ในเมื่อมันมีวิธีที่ในการคว้าที่ง่ายและเหมาะกับเรากว่าตั้งเยอะ”

   “...”

  “...แล้วทำไมพี่ต้องเลือกทางที่ยากด้วยล่ะ”

   เบื้องลึกของใจบอกเดือนตุลาว่าคนตัวเล็กตรงหน้าน่ากลัวยิ่งกว่าใคร
 


   เคยได้ยินการนิยามว่าเป็นตัวเรียกลมเรียกฝน ไม่คิดว่าเขาจะได้เข้าใจคำว่าตัวเรียกปัญหาก็วันนี้

   “คือก็บอกมาสิว่ามันไม่สุภาพตรงไหน”

   ประโยคเดิมถูกถามซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขาจัดการขยับเน็กไทตรงคอปกเสื้อนักศึกษาให้เข้าที่ก่อนที่จะหมุนตัวไปทางขวาเพื่อตอบ

   “ตรงที่พี่เป็นประธานตุลาการไงครับ”

   “มันไม่เกี่ยวกันนะ”

   “งั้นพี่จะให้เกี่ยวตรงไหนล่ะครับ”

   ความอดทนที่เติมมาจนเต็มก่อนออกจากห้องถูกสูบออกมาใช้จนเกลี้ยงหลอด ขนาดที่ว่าเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอรับมือกับพี่ธรรมในโหมดเจ้าหนูทำไมก็ยังไม่สามารถควบคุมระดับความไม่พอใจได้ดีพอ ก็ถ้าจะมีปัญหากับทุกเรื่องอย่างนี้ใครรับมือไหว

   “เกี่ยวตรงที่ว่า สรุปแล้วกางเกงยีนไม่สุภาพสำหรับงานนี้ตรงไหน”

   ไม่อยากได้ยินคำว่ากางเกงยีนออกจากปากอีกแม้แต่ครั้งเดียว แบบที่ถ้าสามารถเสกคาถาดูดเสียงหรือว่าเซนเซอร์คำได้เขาจะขอสูบเอาคำนี้ไปทิ้ง

   “พี่คิดว่าถามผมแล้วผมจะให้คำตอบได้เหรอครับ งานนี้องค์การนักศึกษาเป็นคนจัดนะ”

   “มีเบอร์ประธานไหม เดี๋ยวคุยเอง”

   พอคุ้นกับตำแหน่งแล้วก็เอาใหญ่ เขาผู้ซึ่งไม่อยากตกอยู่ในห้วงคำถามที่ว่าสรุปแล้วการใส่ยีนกับเสื้อนักศึกษาเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยหรือไงก็เลยเดินไปตรงไวต์บอร์ดที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล มันถูกตีเป็นตารางเอาไว้ด้วยปากกาชนิดที่ล้างออกไม่ได้แทนวันตามปฏิทิน ส่วนถ้าเขยิบไปอีกหน่อยจะเป็นรายชื่อเบอร์ติดต่อภายในมหาวิทยาลัยที่ฝ่ายเลขาส่งมาให้

   ไล่หาตัวเลขสิบหลักไม่อิดออด ค่อยๆ ไล่ไปทีละตัวให้กดตามได้ทัน จากนั้นถือว่าหน้าที่จบลงแล้วไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก เขาเดินออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องประชุมที่เหลือว่าหลังจากที่อนุญาตให้กลุ่มกิจกรรมกีฬาเอ็กซ์ตรีมเข้ามาใช้งานเมื่อวานช่วงเย็น

   ไล่ไปตามจุดสำคัญอย่างเช่นสวิตช์ไฟ เครื่องปรับอากาศ แล้วก็คอมพิวเตอร์ พยักหน้าพอใจเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบเรื่องน่ากังวล เอื่อยเฉื่อยอยู่คนเดียวอีกหน่อยตามประสาคนที่ยังไม่อยากกลับเข้าไปเจอเรื่องน่าปวดหัว

   ในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเขากับพี่ธรรมจะต้องไปเสนอหน้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวแทนแนวหน้าของมหาวิทยาลัยที่ดี มันเป็นการประชุมประจำปีของบรรดาฝ่ายบริหารจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายในประเทศ อาจไม่ได้ครบทั้งหมดแต่ก็เป็นเรื่องของหน้าตามหาวิทยาลัยพอสมควร

   ดันโชคดีที่สุดในสามโลกที่ปีนี้ได้เป็นเจ้าภาพ ภาระมันก็เลยมาทักทายตอนที่ได้รับหนังสือเชิญให้เข้าร่วมในพิธีต้อนรับช่วงเช้า ใจหนึ่งก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากจะอวดระบบการปกครองภายในที่แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง แต่อีกใจก็คิดว่าในเมื่อไม่เกี่ยวกับการทำงานของตุลาการเลยสักนิดจะให้ไปเสนอหน้าทำไม

   พอเอาไปประกาศในกรุปเพื่อขอตัวแทนก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือสักคน ประธานน่ะเป็นไฟลต์บังคับอยู่แล้ว พอไล่ไปตามลำดับความอาวุโสลำดับแรกจะเป็นพี่มัจผู้ปฏิเสธรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม จากนั้นก็ไม่มีใครเต็มใจเลยสักคนจนมาตกอยู่ที่เขานี่ไง

   จะปล่อยให้พี่ธรรมไปคนเดียวมันก็มีเรื่องของภาพลักษณ์องค์กรเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งเป็นคนในแวดวงการทำงานเดียวกันแล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากปลดพี่ต้นหลิวและตุลาการอีกคนค่อนไปทางน่ากังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในการทำงานภายใต้ผู้นำคนใหม่

   จะว่าไปก็เข้าใกล้วันพิจารณาของพี่ต้นหลิวเข้าไปทุกที มันมีทั้งเรื่องเอกสารและตำแหน่งเข้ามาเกี่ยวข้องจนเขาไม่อยากจะพลาดในรายละเอียดเล็กน้อย ตั้งแต่ว่าถ้าสมมติว่าเจ้าตัวไม่เข้าร่วมการประชุมแล้วมีการลงคะแนนเสียงมันจะสามารถบังคับใช้ได้หรือไม่เพราะว่าในระเบียบการไม่ได้มีเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้

   กลับไปห้องทำงานใหญ่อีกครั้งเพื่อพบว่าประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบันนั่งอ่านหนังสือนอกเวลาสบายใจ ใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมดูผ่อนคลายจนเขาชักระแวงว่าเมื่อสักครู่มันมีบทสนทนาแบบไหนเกิดขึ้นบ้าง

   คือเงียบสงบอย่างนี้เมื่อไหร่น่ะมีเรื่องใหญ่ตามมาทุกที

   “สรุปยังไงบ้างครับ”

   “จะใส่อย่างนี้ไป”

   ตอบอย่างนี้คือคุยกันไม่ลงตัวแหง มองตั้งแต่ผมทรงยาวที่ไม่เป็นทรงเท่าไหร่ เสื้อนักศึกษาที่เขาเดินไปเช็กถึงห้องแล้วอาสารีดให้เมื่อคืน แล้วก็กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินเข้มเจ้าปัญหา คือคนที่ชินกับนิสัยตั้งคำถามกับทุกอย่างของพี่ธรรมก็รู้ดีว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำคือปล่อยมันไป

   “เขาไม่ได้บ่นอะไรใช่ไหมครับ”

   “ไม่ได้ฟัง”

   แค่นี้ก็เห็นแววความวุ่นวายมาแต่ไกลเลยล่ะ เดือนตุลาถอนหายใจออกมาแบบที่ให้ได้ยินเสียงชัดว่านิสัยแบบนี้ของพี่ธรรมนี่แหละที่สร้างศัตรูไปทั่ว

   “ถ้ามีเรื่องผมชิ่งคนแรกนะครับ”

   “พี่ปกป้องเดือนสิบอยู่แล้วน่า”

   “จะรอดูนะครับ” ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตัวเลขดิจิทัลสี่หลักกำลังร้องเตือนว่ามันได้เวลาทำงานนอกเวลาแล้ว เขาสังเกตความไม่เรียบร้อยของไทที่อีกฝ่ายสวมแล้วเดินเข้าไปจับแก้โดยไม่ขออนุญาตเจ้าตัวก่อน “ไปกันเถอะครับ ใกล้ถึงเวลานัดล่ะ”

   เรื่องน่าชื่นชมอย่างหนึ่งของสัทธาคือต่อให้เขาจะอิดออดในเรื่องพวกนี้แค่ไหน แต่เรื่องการทำงานและรักษาเวลาแล้วเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ไม่เคยมีครั้งไหนที่มาสาย รวมทั้งศึกษาเรื่องรายละเอียดของงานเบื้องต้นแบบที่ไม่มีทางขายหน้าอย่างแน่นอน

   รู้สึกดีทุกครั้งที่พบว่ามหาวิทยาลัยอื่นไม่มีระบบตุลาการ เขาไม่อยากจะมานั่งจัดการประชุมไร้ประโยชน์เช่นนี้หรอกนะ ถึงจากประวัติศาสตร์แล้วการรวมกลุ่มของปัจเจกเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทางสังคมมานักต่อนัก หากในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเช่นกัน

   จุดนัดพบคือหอประชุมใหม่ที่สร้างเสร็จภายหลังจากที่เขาเข้าเรียนครั้งแรกได้ครึ่งปี มันถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องรับรองสำหรับผู้เข้าร่วมเกือบร้อยชีวิต พอเห็นคนแปลกหน้าจากต่างมหาวิทยาลัยเดินขวักไขว่อย่างนี้แล้วก็ประหม่าขึ้นมาเฉย

   ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ติดต่อกันมาตั้งแต่แรกพุ่งเข้าชาร์จรวดเร็วจนตกใจ คิดในแง่ร้ายคือต้องโดนบรีฟมาอย่างหนักหน่วงแน่ว่าฝ่ายตุลาการน่ะเป็นตัวปัญหาที่ต้องคอยเฝ้าระวังไม่ให้คลาดสายตา

   ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดจากที่คิดเท่าไหร่หรอกนะ

   รู้ตัวดี

   พยักหน้ารับทราบแบบที่ไม่ใช่ขอไปทีตอนที่ฟังกำหนดการคร่าวๆ ตรงที่น่าห่วงว่าพี่ประธานของเขาจะแผลงฤทธิ์ก็คงเป็นช่วงฟรีไทม์หลังจากการเปิดงานของอธิการบดี ถึงจะตั้งใจทำตัวลีบแค่ไหนเดี๋ยวก็จะต้องมีคนจากฝั่งบริหารเสนอหน้าเข้ามาแนะนำเองแหละ

   นั่งประจำที่ที่กำหนดเอาไว้แล้ว ปรบมือให้กับผู้ชายสองคนที่เพิ่งเดินขึ้นไปสมทบหญิงสาวหนึ่งเดียวบนเวที ตุลจำชื่อของพี่ผู้หญิงปีสี่คณะรัฐศาสตร์เจ้าของตำแหน่งประธานองค์การนักศึกษาคนปัจจุบันไม่ได้ แต่ถ้าเอาเท่าที่ฟังแล้วก็ดูเป็นสายผู้หญิงเก่งที่น่าจับตามอง

   ต่อมาคือประธานสภานักศึกษาหรือที่เรียกเองว่าหุ่นเชิดของพี่ฟีน ไม่คิดจะใส่ใจเพราะรู้ตื้นลึกหนาบางไม่น้อย ไอ้ชุดนักศึกษาแบบเป็นทางการเต็มยศนั่นทำให้คุณประธานตุลาการที่ยืนอยู่ถัดไปกลายเป็นพวกไม่น่าเชื่อถือไปเลย แล้วเอาเวลาที่ไหนไปถอดเน็กไทน่ะ เมื่อกี้เขาอุตส่าห์จัดให้แล้วนะ

   มองให้ลึกลงไปมันมีปัญหาเกี่ยวกับการแต่งกายแฝงอยู่ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใส่กระโปรงเพื่อความสุภาพของผู้หญิง สีผมที่เหมาะสม หรืออาจจะต้องถามลงไปถึงว่าเราจำเป็นต้องมีการระบุเกี่ยวกับการแต่งการที่ผิดระเบียบขึ้นมาเลยหรือไม่ เพราะอะไรถึงต้องกำหนดให้มันผิด ซึ่งมันก็เป็นการสะท้อนความไม่ตระหนักของคนในสังคมได้ดีเลยล่ะ

   มองพี่ธรรมตาไม่กะพริบทุกอิริยาบถ แค่มัดผมก่อนขึ้นเวทีก็เป็นบุญหัวสำหรับเขาแล้ว ไอ้ท่ายืนสบายๆ อย่างกับว่ากำลังจะพรีเซนต์งานหน้าห้องเรียนสมัยมัธยมไม่ใช่ต่อหน้าคนมีตำแหน่งจากหลายสิบมหาวิทยาลัยทำเอาเขาอยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายส่งไปให้พี่มัจฉ์ดูบ้าง

   เชื่อมั่นและมั่นคงในตัวเองเสมอ

   สมแล้วที่ชื่อว่าสัทธา

   เป็นชื่อที่อยากจะสัมภาษณ์พ่อแม่ของพี่ธรรมอยู่เหมือนกันนะว่าเพราะอะไรถึงเลือกเช่นนี้

   เห็นจากหางตาว่าคนร่วมเวทียิ้มเจื่อนให้กัน คือใจหนึ่งเขาน่ะเข้าใจพี่ธรรมนะเรื่องที่ไม่อยากจะใส่กางเกงสแลกมาทำงานอะไรพวกนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเพื่อป้องกันเรื่องพวกนี้ก็จำใจทำไปหน่อยเถอะ

   หากมองต่างมุมกัน เราควรเคารพเหตุผลของกันและกัน

   นั่นคือหนึ่งสิ่งที่เขารักเกี่ยวกับสังคมรอบข้างที่ตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ บอกเสมอว่าโชคดีที่ไม่ต้องผจญกับความปวดประสาทจากบางคนหรือบางกลุ่ม มันไม่ใช่เรื่องของถูกผิดแต่เป็นเรื่องของการมองที่ต่างมุมกันเท่านั้นเอง

   “สำหรับบทบาทหน้าที่ของฝ่ายเราจะคล้ายคลึงกับการทำงานของศาล คือเป็นผู้ตัดสินปัญหาระหว่างนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยและในบางครั้งอาจจะสามารถเข้าร่วมเป็นองค์พิจารณาของข้อพิพาทระหว่างนักศึกษากับบุคลากรได้เช่นกัน สำหรับโครงสร้างขององค์กรนั้น...”

   ฟังเรื่องที่ได้ยินมาแล้วไม่รู้กี่สิบรอบหากไม่เบื่อเลยสักนิดเมื่อคนอธิบายเป็นผู้ชายคนนี้ บุคลิกของพี่ธรรมสำหรับเขาแล้วสามารถต่อยอดได้หลายทาง นอกจากอาชีพยอดฮิตของฝั่งนักเรียนกฎหมายแล้ว อาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

   จะว่าไปแล้วพี่ธรรมมองชีวิตตัวเองหลังเรียนจบอย่างไรนะ

   ปล่อยให้กิจกรรมบนเวทีรันไปตามกำหนดการที่วางเอาไว้แล้ว เขาก็รอแค่ให้ถึงช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงวิจารณ์การทำงานภายในของแต่ละมหาวิทยาลัย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเขาจะเงียบปากให้มากที่สุดแล้วปล่อยให้คนร่วมงานอีกคนรับหน้าเอง

   “สภาเขาไม่ทำอะไรอย่างนี้บ้างเหรอครับ”

   ระหว่างที่รอเปลี่ยนสไลด์สำหรับส่วนถัดไป เขาที่บังเอิญหันไปเห็นประธานของฝั่งสภานักศึกษากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจสิ่งรอบข้างก็เกิดสงสัยขึ้นมา แล้วพี่ธรรมย้ายไปทำงานให้ฝั่งนู้นมาเป็นปีก็น่าจะรู้เรื่องอยู่แหละ

   “จริงๆ ก็เคยคุยนะ”

   “แล้วทำไมไม่สำเร็จเหรอครับ”

   “ความไม่เมกเซนส์ของระบบ พวกเราอยู่กันแค่ปีเดียว...ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ โครงการยังไม่ทันถึงไหนก็เปลี่ยนชุดบริหารแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าชุดทำงานต่อไปจะสนับสนุนหรือเปล่ามันก็วนกันเป็นลูปอย่างนี้แหละ”

   ผงกหัวเห็นด้วยกับชุดความคิดนี้ เขาเพิ่งมาสะกิดใจเรื่องพวกนี้ภายหลังจากที่พี่ฟีนเข้าไปมีบทบาทจนเรียกได้ว่าควบคุมการทำงานเกือบทั้งหมด ก็พอหมดชุดทำงานนี้มันก็ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนเข้ามาทำงานต่อ

   สภานักศึกษาที่นี่เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเรื่องสมาชิกสูง บางคนก็พร้อมจะตีจากพรรคเดิมไปสังกัดพรรคอื่นหรือว่าผันตัวไปทำงานในฝ่ายอื่นอย่างเช่นองค์กรนักศึกษาแทน ก็อย่างที่บอกว่าการทำงานตรงนี้คือต้องอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ไม่เหมาะกับคนที่อยากอยู่ใต้แสงไฟหรอก

   มันเลยเรียกได้ว่ามีความไม่มั่นคงและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอด ต่อให้ปีนี้ได้เก้าอี้ถล่มทลายแต่ปีหน้ามันอาจจะไม่มีพรรคนี้ลงเลือกตั้งเลยก็เป็นได้ มันเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของการจัดตั้งพรรคการเมืองภายในมหาวิทยาลัยตรงที่ไม่มีใครให้ความสนใจจริงจังเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ที่แท้จริง

   เพราะมันไม่ต่อเนื่องนั่นแหละเลยกลายเป็นการพายเรือในอ่าง แต่จะเห็นคนกลุ่มเดียวควบคุมการทำงานเป็นรุ่นต่อรุ่นอย่างที่องค์การนักศึกษาเป็นอยู่มันก็ไม่น่าจะเวิร์กพอกัน ที่ผ่านมาคือต่อให้เปลี่ยนชื่อพรรคที่ลงสมัครแต่ว่าคนที่ทำงานด้านในก็ยังเป็นคนเดิม ที่ต้องเปลี่ยนบ้างเพราะว่าคนเริ่มวิจารณ์แล้วว่ามันเป็นการสืบทอดอำนาจ

   แล้วถามจริงว่าการอยู่แบบฝังรากลึกอย่างนั้นการขุดรากถอนโคนจะทำได้ที่ไหน อย่างปีที่แล้วก็มีทีมที่มาล้มได้แหละ แต่การทำงานภายใต้การเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแล้วยังต้องทำให้ดีภายใต้ความกดดันล้านแปดมันจะไปดีเด่นอะไร ยังไม่รวมกับการใช้อำนาจจากผู้ใหญ่อีกนะ เด็กใครเด็กมัน

   มันก็กลายเป็นเกมการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งไปซะงั้น
   
   ไม่ยุติธรรมต่อนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยเลยว่าไหม

   เขาว่ามันเป็นปัญหาจากการที่คนออกระเบียบพวกนี้ไม่เข้าใจธรรมชาติในการปฏิบัติหน้าที่ ชอบคิดไปเองว่ามันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นมันก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องการศึกษาที่ถูกตีกรอบเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะว่าตอนปีหนึ่งคงไม่มีใครปีกกล้าขาแข็งเท่าไหร่

   น่าเสียดายนะ

   ทั้งที่มันควรเป็นช่วงเวลาที่วัยรุ่นได้มีโอกาสในการแสดงออกถึงความเชื่อของตัวเองมากที่สุดแท้ๆ

   แต่จะให้เขาลองเสนอโครงสร้างการบริหารที่เหมาะสมมากกว่านี้ก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ข้อจำกัดมันเต็มไปหมดจนปวดหัว คือเอาแค่ทุกวันนี้มีคนกระแหนะกระแหนเรื่องวิธีการสรรหาตุลาการนักศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพเขายังทำอะไรไม่ได้เลย

   “แต่ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร งานนี้ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเหมือนกันแหละ”

   อยากจะขำพรืดแต่ทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งไม่ว่อกแว่กมองซ้ายขวา อย่างน้อยคนที่นั่งถัดไปจากพี่ธรรมก็ต้องได้ยินชัดแหละ ไม่รู้ว่ามาจากภาคส่วนไหนด้วย

   “แต่พี่มัจเคยบอกว่าการเริ่มต้นมันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรนะครับ”

   “มันต้องมีเงื่อนไขอย่างเช่นความพร้อมของคณะทำงานด้วยสิ” คุยกันเพลินจนไม่ได้ฟังวิทยากรบนเวทีเลยสักนิด ตอนนี้พิธีกรประจำงานกำลังไล่ลำดับกิจกรรมถัดไปซึ่งก็คือช่วงของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น “ถ้าเห็นแต่ความฉิบหายข้างหน้า ก็อย่าไปทำเลย”

   เพราะเป้าหมายหลักคือการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเลยไม่มีความคิดที่จะเดินไปทักทายใครทั้งนั้น ระหว่างที่รอบข้างเริ่มลุกขึ้นไปทักทายกันตามมารยาทแล้วผู้ชายสองคนจากกลุ่มการทำงานที่ชื่อว่าตุลาการนักศึกษาก็ยังนั่งแบตหมดอยู่ที่เดิม

   “ไอ้เหี้ยธรรม ชุดมึงอย่างเด็ด”

   ยังไม่ทันได้ต่อยอดประเด็นก็มีบุคคลที่สามโผล่เข้ามาเสียก่อน ผู้ชายในชุดนักศึกษาไม่ผูกไทกับทรงผมที่ดูเหมือนว่าจะตื่นแล้วออกจากห้องมาเลยทำให้เดือนตุลาต้องเหลือบตามองป้ายห้อยคำที่แขวนชื่อ ตำแหน่ง และสังกัดของมหาวิทยาลัยเอาไว้

   “ชุดปกติ”

   “พ่อมึงเถอะ แล้วคนอื่นไม่ด่าตายห่าเหรอใส่อย่างนี้”

   “ต้องสน?”

   “สมกับเป็นมึงฉิบหาย”

   ปิดปากเงียบ ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนเสียเลย บทสนทนาที่ลื่นไหลช่วยบอกเขาว่าคงเป็นคนรู้สึกที่สนิทกันในระดับหนึ่ง เพื่อนสมัยมัธยมอย่างนั้นเหรอ นี่มันจะเป็นการรวมตัวกันของคนใหญ่คนโตเกินไปไหม

   “กูถามแล้วว่ามันไม่สุภาพตรงไหน พอแม่งบอกว่าไม่ถูกกาลเทศะกูเลยซัดต่อแม่ง แล้วกาลเทศะที่ว่าคืออะไร”

   “เนี่ย มึงก็อย่างนี้อะธรรม” ขนาดเพื่อนยังถอนหายใจแบบนั้น เข้าใจเขาขึ้นมาหรือยัง

   “คือรับฟังนะ แต่ถ้าการให้เหตุผลมีน้ำหนักไม่เพียงพอกูว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่จะไม่ปฏิบัติตาม” การเล่าทั้งหมดไม่มีความเดือดดาลเจือ หากช่วงตาที่เขาเห็นจากมุมข้างมันแสดงออกชัดว่าคนที่กำลังพูดอยู่จริงจังกับการให้เหตุผลมากแค่ไหน

   “อย่าอ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน มันเป็นคำตอบของคนโง่”


***
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเอ็ด [17.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 17-01-2020 20:38:34
อ่านแล้วนึกถึงที่แห่งหนึ่งที่เพิ่งมีเรื่องราวโด่งดังเมื่อเร็วนี้ติดตามเดือนสิบกับพี่ธรรมอย่างตั้งอกตั้งใจรอพาร์ทปัจจุบัน
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเอ็ด [17.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-01-2020 02:01:33
เป็นเรื่องใกล้ตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสอง [22.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-01-2020 20:57:50
บทสิบสอง


   เสียงพูดคุยจอแจจับไม่ได้ศัพท์ของคนกลุ่มใหญ่บริเวณด้านในสุดของร้านอาหารน่าจะเป็นมลภาวะทางเสียงของคนอื่นไม่น้อย

   เดือนตุลากล่าวขอโทษในใจให้กับสายตาไม่พอใจของลูกค้าที่นั่งเล่นอยู่ประปรายภายใน นี่เป็นครั้งแรกที่เคยมาเหยียบก็เลยไม่รู้บรรยากาศปกติของที่นี่สักเท่าไหร่ หากเดาจากบริบทแล้วมันคงเป็นร้านนั่งเล่นที่มีความเงียบสงบพอควรล่ะ

   หลังจากจบช่วงแลกเปลี่ยนแล้วทั้งเขาและพี่ธรรมก็เต็มใจจะหนีออกจากงานทันที เราต่างแยกย้ายกันไปตามตารางชีวิตปกติ อย่างเขาก็เข้าเรียนวิชาเลือกในภาคบ่าย ส่วนพี่ธรรมบอกว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งรอบถัดไป

   จากนั้นก็คิดว่าจะกลับไปกวาดถูห้อง หากการแจ้งเตือนที่มากผิดปกติของกรุปตุลาการก็พลิกแผนแบบร้อยแปดสิบองศาเมื่อพี่ธรรมเอาข้อความเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงกลางคืนจากทางองค์การนักศึกษามาประชาสัมพันธ์ ด่าในใจไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการประสานงานที่ไม่เป็นมืออาชีพเลยสักนิด

   มันก็เป็นแค่การเลี้ยงอาหารเย็นที่ดูเป็นกันเองพอสมควร ไม่มีการปิดร้านหรือว่าจองห้องส่วนตัว เหมือนจะแค่แจ้งกับทางเจ้าของร้านเอาไว้แล้วรบกวนขอให้ช่วยจัดพื้นที่ให้สะดวกต่อการรับประทานเท่านั้น

   “พี่อยากกินไก่ทอดอะน้องตุล”

   กลั้นใจไม่ชักสีหน้าใส่คนร้องขอ พอเป็นของฟรีล่ะตอบรับไวเชียวล่ะ คนแรกที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมงานรับประทานอาหารก็คือคนเดียวกับที่ปฏิเสธไม่ยอมไปงานเช้า จะว่ากวนประสาทก็ใช่อยู่

   ตักปีกไก่ทอดที่อยู่หน้าตัวเองไปให้ตามที่ขอ ตำแหน่งการนั่งไม่ได้มีการกำหนดเอาไว้เป็นทางการเลยจะเป็นแนวอยากจะอยู่ตรงไหนก็เชิญ จะกินอะไรก็สั่งเอง ด้วยความที่มันค่อนไปทางร้านนั่งดื่มมากกว่าร้านอาหารเลยมีเมนูไม่เท่าไหร่

   ขอเดาว่าที่เลือกร้านนี้เพราะอยากประหยัดงบประมาณค่าอาหารแล้วเอามาลงที่เหล้าทีเดียว

   “ทำไมไก่ที่นี่อร่อยจัง”

   “ผมว่ารสชาติมันไม่เห็นจะต่างกันเลยครับ”

   เสียงคุยยังคงดังรบกวนคนอื่นเป็นระยะ ระหว่างที่สมาชิกรายอื่นดูมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเขากับพี่มัจฉ์ก็ทำตัวแตกแยกเหมือนที่ประธานองค์กรทำด้วยการเอาแต่นั่งกินไม่คิดจะสนทนาพาทีกับผู้อื่น ตอนนี้เขาคิดว่าคนอื่นคงมองว่ากลุ่มกิจกรรมนี้เป็นพวกขวางโลกไปแล้วแหง

   ตุลาการมาสามคนแต่ว่าตอนนี้เหลือแค่สอง ท่านประธานของพวกเราน่ะหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อาจจะไปสูบบุหรี่อยู่ตรงบริเวณที่จัดเอาไว้ล่ะมั้ง รายนั้นน่ะถ้าไม่ได้เอาสารพิษเข้าร่างสักวันจะต้องลงแดงตายแหง

   ส่วนฝั่งของสภานี่อย่างกับขนกันมาทั้งทีม นำมาโดยผู้กุมอำนาจเบื้องหลังม่านอย่างพี่ฟีนผู้ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง เห็นของฟรีหน่อยเป็นไม่ได้ล่ะคนพวกนี้ สารภาพเลยว่าตั้งแต่ที่เขาเจอพี่ฟีนในห้องทำงานวันนั้นสายตาเจ้ากรรมก็มักจะแอบสอดส่องดูพฤติกรรมของพวกเขาทั้งสองคนอยู่บ่อยครั้ง

   คือคิดไม่ตกจริงๆ นะ ทางหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เป็นเหตุผลเป็นกันอยู่แหละที่พี่ฟีนจะเจ็บแค้นจากคนที่ชนะตัวเองในชั้นมัธยมแต่เบนสายไปเรียนอย่างอื่นเฉย แต่อีกทางก็คือคนอย่างนั้นไม่น่าจะเก็บเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาใส่ใจ เขาน่ะมีวิธีที่จะอยู่ในสปอต์ไลต์ตั้งเยอะแยะ

   อย่างตอนนี้คือต่างคนต่างอยู่กับกลุ่มทำงานของตัวเองไม่มีการเฉียดเข้าใกล้กันเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องหวังเรื่องการทักทายหรือว่าบทสนทนาเล็กน้อย มันทำเอาเขาชักจะไม่มั่นใจว่าที่เจอพี่ฟีนวันก่อนเป็นเรื่องจริงหรือไม่

   พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร แล้วระหว่างพวกเขาความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหนกันนะ?

   “อร่อย หนังกรอบ”

   ไม่มีความคิดจะเถียงกับเรื่องพวกนี้ มันว่างเกินไปจนอยากกลับห้องไปพักผ่อน ที่เขาคิดไว้ตอนแรกคือมาเผื่อว่าพี่ธรรมกับพี่มัจพร้อมใจกันแท็กทีมกันทำลายภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไม่เหลือซาก เขาจะได้เป็นประจักษ์พยานความล่มสลายนั้นด้วยตาตัวเอง

   หันไปมองรอบร้านด้วยความหวังว่ามันอาจจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าไก่ทอดจานที่สอง อากาศของภูมิภาคมรสุมเขตร้อนคงผสมสไปรท์กับน้ำแข็งตรงหน้ารวมกันจนรสชาติจางลงไปมากโข บรรยากาศมืดสลัวเมื่อเคล้ากับการแสดงดนตรีของเด็กเอกวอยซ์ดูเงียบเหงาแต่อบอุ่นในคราวเดียวกัน

   “พี่มัจจะอยู่อีกนานไหมครับ”

   “ก็เรื่อยๆ นะ อยากกลับแล้วเหรอ”

   “รู้สึกว่าอยู่ต่อไปก็เสียดายเวลาชีวิตน่ะครับ”
   
   พี่ปีสี่ข้างกายพยักหน้าพลางตักไก่ทอดชิ้นล่าสุดเข้าปาก จากนั้นก็สั่งเบียร์มาเพิ่มอีกต่างหาก

   “ขอโทษนะครับ พวกคุณใช่ฝ่ายกฎหมายของมหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

   หันหน้าไปทางต้นเสียง เป็นที่แน่นอนว่าเขาจำไม่ได้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใครหรือทำงานอะไร แต่ถ้าเข้ามาทักเองขนาดนี้ก็ต้องรับแขกหน่อยล่ะ

   “ตุลาการนักศึกษาครับ ชื่อที่ใช้เรียก”

   “โอเค คือผู้ชายใส่แว่นคนนั้นเป็นประธานใช่ไหมครับ เขาอยู่ที่ไหนเหรอ ผมว่ามันเป็นคอนเซปต์ที่น่าสนใจเลยอยากจะสอบถามอะไรเพิ่มเติมหน่อย”

   “เอาเข้าจริงคือพวกเราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ” เดือนตุลาตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ถ้าไม่เจาะจงว่าต้องคุยกับพี่ธรรมคนเดียว พวกเราน่าจะช่วยตอบคำถามได้แหละ”

   “ทำไมถึงมีกลุ่มนี้เกิดขึ้นเหรอ ผมหมายถึงมันดูเป็นเรื่องที่ล้ำเกินไปหน่อย” ชินไปแล้วล่ะกับชุดความคิดประมาณนี้ คืออย่าว่าแต่เด็กที่อื่นเลย เอาแค่นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเราถึงต้องมีนักศึกษามาตัดสินคดีด้วย

   “ถ้าให้ตอบตามจริงก็คือผู้ใหญ่เขาอยากให้มีครับ เขาว่ามันจะช่วยจำลองระบบการปกครองอย่างที่ควรจะเป็นขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ได้เวิร์กเท่าไหร่ล่ะนะ ตอนแรกจะให้ตุลาการจัดการเลือกตั้งด้วยซ้ำ”

   ไม่ได้ตอบแบบไปเรื่อย เดือนตุลาผู้ผ่านช่วงเวลาแห่งความสงสัยนั้นมาแล้วเคยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายการนักศึกษาที่ทำงานในส่วนนี้มานานเกี่ยวกับมัน และนี่คือคำตอบที่ได้รับกลับมา

   ยิ่งได้เห็นเอกสารเกี่ยวกับร่างระเบียบชุดแรกแล้วอยากจะเป็นลม ตอนนั้นน่ะอำนาจที่ให้ตุลาการมามีแค่การไกล่เกลี่ย ไม่ถึงขั้นอนุญาโตตุลาการเลยด้วยซ้ำ[1] แล้วถามจริงเถอะถ้าจะให้ทำแค่หว่านล้อมคนที่กำลังหัวเสีย แล้วไม่ให้อำนาจในการตัดสินมาจะสร้างองค์กรนี้ขึ้นมาทำไม

   ยังไม่รวมกับที่ตอนแรกจะให้จัดการเลือกตั้งของทั้งองค์การนักศึกษากับสภานักศึกษาด้วยนะ เอาแบบโง่ๆ คุยกันเลยกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการเลือกตั้งควรเป็นองค์กรอิสระไหม แค่คนดำเนินการเลือกตั้งยังไม่โปร่งใสใครมันจะอยากมาเลือก

   อ้อ ลืมไปว่าเลือกตั้งก็ไปก็เท่านั้น ไปสร้างระบบให้เอื้อต่อชัยชนะดีกว่า

   สุดยอดไปเลย

   “ก็เอาง่ายๆ อย่างที่เราเรียนมาตั้งแต่มัธยมแหละครับ เป็นหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่แบ่งอำนาจสามด้าน นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ถ้าเทียบแล้วที่นี่องค์การนักศึกษาก็เป็นนฝ่ายบริหารหรือว่ารัฐบาล นิติบัญญัติคือสภานักศึกษา แล้วสุดท้ายคือเราครับ”

   พอมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ใช้โครงสร้างเดียวกันในการบริหารมันก็เลยต้องอธิบายตั้งแต่แรก คือถ้าให้เปิดบทเรียนแบบเต็มเขาคิดว่าพ้นคืนนี้ก็ยังไม่ถึงไหน ไม่อยากไปแตะฝั่งสภามากด้วยเพราะระบบการทำงานภายในที่มีอยู่ในปัจจุบันมันก็ไม่ได้ตรงกับทฤษฎีสักเท่าไหร่

   เอาแค่ฝ่ายบริหารเองก็ยังปวดหัวจะแย่ ที่เราเรียนมาเมื่อเจอความเป็นจริงบอกได้เลยว่าคนละเรื่อง

   เขาเคยมีความคิดจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎระเบียบยกเซต มาแบ่งเส้นเขตอำนาจหน้าที่และการทำงานให้เข้าใจตรงกันไปเลย ทำตัวแบบนี้แล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด เอาอย่างนั้นมาใส่อย่างนี้ แล้วพอโดนแย่งหน้าที่ก็ไปยุ่งกับงานฝ่ายอื่นต่ออีกชั้น

   “ส่วนถ้าให้เล่าตามความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้แบ่งการทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะว่าขนาดการบริหารระดับประเทศก็ยังบัดซบไม่แพ้กันเลย ประเทศบ้าอะไรปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ทุกคนไม่เสมอภาค งงไหม”

   เดือนตุลาปล่อยให้คนที่ทำงานมานานกว่าได้อธิบายตามลำดับไม่เข้าไปขัด แม้ว่าช่วงท้ายจะดูสุ่มเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ คือถ้าเอาตามหลักการแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งจริง ในเมื่อบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสิ่งที่ควรจะยึดมั่นสูงสุดคือกฎหมาย และประชาชนทุกคนต้องเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือไง

   มันเป็นกึ่งกลางระหว่างความเกลียดชังกับความเบื่อหน่าย เดือนตุลาลองพิจารณาแล้วนิยามตัวเองว่าเป็นชนชั้นกลางในสังคมนี้มาโดยตลอด จนบางครั้งเขาก็ยอมรับว่าตัวเองมองแต่จากมุมที่สูงกว่าบางคน และมันก็กลายเป็นความละเลยเพิกเฉยที่ไม่น่าให้อภัย

   สิ่งที่เขาคิดว่าปกติ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปกติ

   ความไม่รู้อันตราย

   หากตระหนักแล้วมันควรมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ปล่อยผ่าน

   “อันนี้ที่ผมสงสัยนะ ทำไมถึงต้องมีตุลาการด้วย” ไม่แปลกใจเลยที่โดนยิงคำถามประมาณนี้ คืออย่าว่าแต่คนข้างนอกเลยแค่ตัวเขาเองก็ยังคิดแบบเดียวกันตอนที่เข้าทำงานใหม่ๆ “เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิดคนที่อาวุโสที่สุดก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ปีสี่ใช่ไหมครับ มันไม่ได้ห่างกันมากมายเลยนะ”

   “มันไม่ใช่อยู่ที่อายุของพวกผมครับ” วิธีการอธิบายของพี่มัจฉ์เต็มไปด้วยความเอ็นดู “จะว่ายังไงดีล่ะ อย่างศาลยุติธรรมเองก็ไม่มีใครมานั่งจับผิดว่าผู้พิพากษาอายุเยอะหรือน้อยกว่าคู่ความใช่ไหม มันก็ไม่ต่างกันแหละ”

   ตั้งใจฟังวิธีการอธิบายของคนที่ได้ชื่อว่าเรียนเอกภาษาเยอรมันมาเข้าปีที่สี่ เขาผู้ซึ่งอยู่กับหลักวิชาการจากเฉพาะสายมานานไม่เคยตั้งคำถามว่าในสายตาของคนนอกแล้วการมีอยู่ของกฎหมายและผู้บังคับใช้เป็นเช่นไร เพราะในชีวิตประจำวันมักเจอแต่คนที่เอาแต่พูดยากๆ ในเชิงวิชาการที่สุดท้ายต่อยอดในชีวิตจริงไม่ได้เต็มไปหมด

   “พวกเราแค่เคารพกฎหมายว่ามันจะให้ความยุติธรรมได้”

   “แล้วคุณมั่นใจได้แค่ไหนว่ามันจะยุติธรรม?”

   ประทับใจกับการสวนกลับทันควัน มันแสดงว่าคนฟังมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งตั้งใจฟังไม่ได้เป็นการพยักหน้ามารยาทอย่างเดียว

   “นั่นก็เป็นหน้าที่ของตุลาการแล้วล่ะครับ”

   ตุลาการไม่ใช่คนที่สร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อตัดสินความถูกต้องในคดีนั้น เราเป็นเพียงผู้อารักขากฎหมายที่ต้องรักษาความยุติธรรมเอาไว้ เป็นตัวแทนของความเป็นกลางปราศจากอคติ

   และเป็นหัวใจให้กับตัวอักษรที่แสนแข็งกระด้าง

   ...อย่างนั้นเหรอ?
 


   หลังจากนั่งเป็นตัวประกอบฉากมามากกว่าสองชั่วโมง เขาก็ตัดสินใจว่ากลับห้องดีกว่า ตอนนี้พี่มัจน่ะคุยติดลมกับคนเดิมที่เข้ามาถามเรื่องตุลาการจนลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าตอนแรกเป็นคนสัญญาว่าจะอยู่กับเขาตลอดการกินเลี้ยงในครั้งนี้

   ชั่งใจว่าจะเดินไปบอกลาหรือว่าหายตัวไปเงียบๆ เลยดี กลัวว่าถ้าเขาเข้าไปแทรกตอนนี้มันจะทำให้บรรยากาศการพูดคุยเสียหรือเปล่า รวมถึงไม่แน่ใจว่าพี่มัจจะยอมให้เดินกลับเองหรือไม่

   การตัดสินใจครั้งสุดท้ายมาจบลงตรงที่ไม่บอกแล้วค่อยส่งแชตมาให้ตอนที่ถึงห้องแล้วดีกว่า เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและน่าจะไร้เรื่องปวดหัวตามหลัง พอคิดเช่นนั้นก็ได้เวลาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วสอดส่องหาลู่ทางเตรียมชิ่ง

   โชคดีตรงที่ไม่ได้หิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาให้เป็นที่สังเกตของใคร มันก็เหมือนกับว่าเขาแค่เดินออกไปเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็สูดอากาศข้างนอก หรือเอาตามที่เห็นคือสภาพแต่ละคนตอนนี้ก็ไม่ได้เต็มร้อยเท่าไหร่หรอก อย่าให้ใครเอารูปไปแฉเชียวนะว่าในนี้มีประธานกี่ชีวิต

   “กลับแล้วเหรอ”

   เดือนตุลาสะดุ้งโหยงยามสัมผัสแรงสะกิดตรงไหล่ “ครับ...”

   พี่ธรรมในชุดตามใจฉันเต็มยศเป็นอะไรที่เห็นจนชินแบบที่สามารถเดาได้เลยด้วยซ้ำว่าวันพรุ่งนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมาก แท่งนิโคตินในมือบอกว่าที่เดาไว้ตั้งแต่แรกมันไม่ได้ผิดไปจากนั้นเท่าไหร่ ห่างออกไปแค่นิดเดียวก็เป็นพื้นที่สูบบุหรี่ด้วย

   “ยังไง เดิน?”

   “ครับ มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น” เอาแบบทอดน่องเรื่อยเปื่อยมองดินฟ้าอากาศก็ไม่น่าจะเกินสิบนาที อาจจะน่ากลัวตรงทางข้ามสะพานลอยนิดหน่อยเท่านั้นเอง “แป๊บเดียวเองครับ”

   มองปลายนิ้วคีบบุหรี่จรดลงกับริมฝีปากเชื่องช้า อากัปกิริยาการสูดเอาสารพิษเข้าไปก่อนปล่อยควันสีเทาหม่นออกมาสวยงามราวกับจัดแจงท่วงท่าเอาไว้แล้ว เห็นช่วงหนึ่งเปลี่ยนไปสูบแบบไฟฟ้าแล้วไหงกลับมาตายรังกับแบบเดิมกันนะ

   “ขอหมดมวน”

   “ครับ?”

   “หมดมวนแล้วเดี๋ยวไปด้วย”

   ไปต่อไม่ถูก และเขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำหน้าประหลาดอยู่แน่

   “พี่ธรรมไม่เข้าไปคุยกับคนอื่นเหรอครับ พี่มัจก็อยู่ข้างในนะ”

   “ถ้าอยากคุยคงไม่มาสูบบุหรี่ตรงนี้”

   “นั่นน่ะสิครับ”

   นึกบทสนทนาต่อยอดไม่ได้แล้วเลยเงียบดีกว่า เพื่อไม่ให้เป็นที่รบกวนของลูกค้าที่เดินเข้าออกก็เลยต้องย้อนกลับมาบริเวณพื้นที่สูบบุหรี่ที่กั้นขึ้นมาพอเป็นพิธี ตุลไม่ได้ซีเรียสเรื่องบุหรี่มือสองหรือว่ามะเร็งปอดอยู่แล้วเพราะเขาน่ะชินกับกลิ่นนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว

   แบล็ก เดวิล วานิลลา

   รสนิยมเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้จริงนั่นแหละ ตั้งแต่รู้จักกับพี่ธรรมเขาก็ได้เปิดโลกเกี่ยวกับสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปากกา บุหรี่ หรือแม้แต่หนังสือที่อ่าน เขาก็ไม่เคยเจอใครที่โทรไปถามสำนักพิมพ์ว่าหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยนั้นเอามาจากต้นฉบับภาษารัสเซียหรือว่าภาษาอังกฤษเหมือนกัน

   “ไหนพี่ธรรมบอกว่าหมดมวน”

   “ก็หมดมวนไง”

   “นี่พี่เพิ่งจุดใหม่ไปนะครับ”

   “ก็ไม่ได้บอกว่าหมดมวนนั้นนี่”

   เหนื่อยจะสู้รบตบมือแล้วจริง เขาหันหน้าออกไปมองส่วนหน้าร้านที่ยังมีร่องรอยของความคึกคักกระจายตัวอยู่ทั่วไป เดือนตุลาไม่ค่อยข้ามมาฝั่งนี้จากนิสัยส่วนตัวและกลุ่มคนที่คบหา มันก็เลยเป็นภาพที่ไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก

   ส่วนอีกคนน่ะเขาคิดว่าน่าจะช่ำชองไม่น้อย กลุ่มคนป่าของพี่ธรรมเป็นที่รู้จักกันดีในนามของขี้เหล้านิติ ไปร้านไหนก็เมาเละ ยังไม่รวมกับปาร์ตี้ล่าสุดที่บ้านของหนึ่งในนั้น ภาพกองขวดแก้วหลากสีสันว่างเปล่าที่วางเรียงต่อกันจนเต็มพื้นที่บนโต๊ะนั่นเรียกคอมเมนต์ได้มหาศาลเลยล่ะ

   “ข้างในคุยอะไรบ้าง”

   จะเข้าข้างตัวเองว่าหาเรื่องคุยก็ไม่กล้า เรื่องข้างในมันก็งานด้วยล่ะนะ “ส่วนมากผมไม่ได้คุยครับ แต่ก่อนออกมาพี่มัจคุยกับคนอื่นเรื่องตุลาการอยู่”

   “แล้วเป็นไง เขาคิดว่าตุลาการต้องติดไวนิลที่มีหน้าตัวเองไว้รอบมหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

   ขำพรืดแบบไม่กั๊กทีท่า ถึงเห็นอย่างนี้พี่ธรรมก็ช่างค่อนขอดพอกัน “ปล่อยให้พี่ต้นหลิวทำอย่างนั้นไปคนเดียวเถอะครับ”

   “ประชุมจันทร์หน้าใช่ไหม?”

   “อย่าถามอะไรที่จำแม่นอยู่แล้วได้ไหมล่ะครับ” คิดเหรอว่าสัทธาจะลืมเรื่องพวกนี้ ไม่มีทาง “จะว่าไปพี่ธรรมได้ยินเรื่องที่เขาจะล็อบบี้ไหมครับ”

   “ล็อบบี้?”

   “ที่ว่าพี่ต้นหลิวจะล่อให้บางคนไม่เข้าประชุม องค์คณะจะได้ไม่ครบ”

   ได้ยินครั้งแรกจากปลายเจตน์ยังต้องขอทวนซ้ำ คนเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะหรอกในเมื่อเพื่อนคนเดียวก็เป็นหูเป็นตาแทนสิบคน แล้วความน่ากลัวคือเรื่องที่เล่าน่ะเชื่อถือได้ไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ จบไปไม่ต้องทำงานกฎหมายหรอก ไปเป็นนักขายข้อมูลน่าจะรุ่ง

   “โคตรโง่”

   เสียงแค่นหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยรอยหยามเหยียด

   “ก็ฟังหูไว้หูแหละครับ” คิดเอาไว้ว่าพี่ธรรมน่ะน่าจะรู้เรื่องอยู่แล้ว คือถ้าไม่รู้เองพี่มัจก็ต้องมาบอกอยู่ดี จะว่าไปแล้วถ้าลองให้เจอกับปลายเจตน์น่าจะเป็นการรวมตัวกันที่น่ากลัวอยู่นะ

   มันก็มีอีกวิธีที่จะยื้อการพิจารณาคือไม่ปรากฏตัว ประมาณว่าเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่ยอมรับการตัดสินใดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ทำอย่างนั้นมันก็จะทำให้เสียเครดิตในระยะยาว สู้เอาไปบอกคนอื่นว่าที่ข้อพิพาทไม่ได้รับการตัดสินเพราะว่าปัญหาจากทางตุลาการเองดีกว่าเยอะ

   “เป็นนักกฎหมายไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่เอากฎหมายมาสู้ล่ะ”

   มองแสงไฟสีส้มสลัวที่ปรากฏตัวตามการทำงานของปฏิกิริยาเคมีแทนที่จะเป็นช่วงใบหน้า แท่งบุหรี่ที่เหลือไม่ถึงครึ่งพาความย้อนแย้งบางอย่างเข้ามาหา ใจหนึ่งก็อยากให้มันหมดโดยไวจะได้ออกจากกลุ่มควันพิษนี้สักที แต่อีกใจก็อยากจะยื้อมันเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับความใกล้ชิดนี้

   ครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ใกล้แบบไม่มีเรื่องงานเข้ามาคือเมื่อไหร่นะ

   ตั้งแต่ก่อนที่พี่เขาเลือกเดินจากไปหรือเปล่า

   “ขอโทษนะ มีไฟแช็กไหม”

   เป็นประโยคที่ไม่แปลกหูหากยืนอยู่ตรงนี้ ที่น่าสงสัยจนขมวดคิ้วคือคนแปลกหน้าเจ้าของคำถามนั้นควรจะเห็นไหมว่าใครคาบบุหรี่อยู่

   “ไม่...”

   “เอาไป”

   ยังไม่ทันได้ปฏิเสธเสียงของบุคคลที่สามก็แทรกขึ้นมาก่อน ช่วงหน้าและนัยน์ตาของเดือนตุลามองตามไฟแช็กราคาถูกที่ซื้อได้ตามร้านชำลอยอยู่บนอากาศเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนตกลงพื้นข้างตัวของคนถาม ส่งยิ้มแหยไปให้คนที่ยังทำอะไรไม่ถูก

   “รีบจุดรีบคืน จะไปแล้ว”

   คนโชคร้ายกระวีกระวาดหยิบมันขึ้นมาจากพื้นแล้วกดให้เกิดประกายไฟ พอควันชุดแรกพ่นออกมาก็กุลีกุจรคืนให้เจ้าของไปทันที จากที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่รับแขกอยู่แล้วเจออย่างนี้เข้าไปอีกน่าจะเข็ด

   ช่วงหลังของประโยคบอกให้เขาก้มลงมองอดีตแท่งกระบอกที่ตอนนี้แบนราบบนพื้น เขม่นมองในความสลัวเพื่อพบว่ามันยังเหลือพื้นที่สีขาวอีกตั้งเยอะ ไหนคนที่บอกว่าหมดมวนค่อยกลับ

   “ไปเดือนสิบ กลับ”

   “อ่า...ครับ” ออกเดินไม่มีการให้สัญญาณแจ้งเตือน กลายเป็นเขาเองอีกที่ต้องทำตามโดยทันที

   “ทีหลังถ้าเจออะไรอย่างนี้อีกให้มีรีแอกชันไวหน่อย”

   แค่เดินตามให้ทันก็ยากแล้วนี่ยังเปิดประเด็นใหม่อีก เขาขอใช้สมาธิกับการก้าวเท้าวยาวก่อนได้ไหม

   “ครับ?”

   “เข้ามามุกนี้อะหาเรื่องคุยต่อทั้งนั้น”

   “อ้อ...” รับทราบหากไม่ได้คิดจะเก็บมาใส่ใจ คือว่าคนอย่างเขาน่ะนะแค่เข้ามาคุยงานเพื่อนบางคนยังต้องฝากปลายเจตน์มาเลย นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้า “แต่ปกติแล้วผมก็ตัดบทนะครับ”

   “นั่นแหละ เผื่อไว้”

   “น่าแต่น้อยใจนะครับ ไหนบอกว่าจะปกป้องผมไง”

   “เมื่อกี้ก็ทำอยู่นะ”

   “...”

   จะว่าจะเป็นฝ่ายปั่นหัวเสียบ้าง ไหงกลายเป็นตัวเองโดนคำอธิบายง่ายๆ นั้นโจมตีคืนแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วน็อกเอาท์ไปเสียได้
ไม่อยากนิสัยเสียแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอยากให้ทางเดินนี้มันทอดยาวต่อไป ในขณะเดียวกันก็หัวเสียนิดหน่อยยามพบว่าต่อให้เร่งฝีเท้าขึ้นแค่ไหนมันก็ยังไม่เฉียดใกล้สักที

   ไม่สิ

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยไล่ตามผู้ชายคนนี้ทันอยู่แล้วนี่นา

   จะต้องผ่านหอพักอีกสองตึกก็จะถึงจุดหมาย ช่วงเวลาเกือบห้าทุ่มยังดูครึกครื้นผิดจากภาพจำว่ามันควรจะเงียบเหงาสมกับเป็นเวลาเข้านอน นี่เขาใช้ชีวิตช่วงกลางคืนไปกับการอ่านหนังสือมากเกินไปหน่อยเหรอ

   “ผมแวะซื้อน้ำเต้าหู้แป๊บนะครับ”

   ในเสี้ยววินาทีก่อนจะเข้าเขตหอพักของตน เขาก็ตัดสินใจที่จะยื้อการใช้เวลาร่วมกันไปอีกหน่อย ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นอะไรที่ตุลแวะเข้ามาเพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่ย้ายมาพักอาศัยที่นี่ทั้งที่มันตั้งอยู่ห่างจากเขตที่พักไม่ถึงยี่สิบก้าวดี และนี่จะเป็นครั้งที่สอง

   ไล่มองตามเมนูที่มีตัวเลือกละลานตา จนมาจบตรงที่ว่าสั่งแบบคลาสสิกน่าจะง่ายที่สุด คำสั่งว่าขอแบบลดความหวานสองถุงคือสิ่งสุดท้ายก่อนก้มลงหยิบเงินในกระเป๋า

   “พี่ธรรมช่วยถือให้หน่อยได้ไหม”

   ภูมิใจเหลือเกินที่สามารถเอ่ยคำขอออกไปได้ อาจดูเป็นพวกรักโลกไม่รู้จักเวลาที่เขาเลือกปฏิเสธถุงพลาสติกแล้วใช้วิธีการถือบริเวณเหนือหนังยางรัดแทน ก็พอคิดว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องพักแล้วมันก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้ถุงอีกใบเลยนี่นา

   “อร่อยเหรอ”

   “ต้องลองก่อนถึงบอกได้ครับ”

   ได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับหอจริงจังเสียที ถ้าให้พวกเมื่อเช้ามาเห็นพี่ธรรมในสภาพมือข้างหนึ่งถือปากถุงน้ำเต้าหู้เอาไว้ส่วนอีกมือก็เต็มไปด้วยของจำเป็นอย่างโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และซองบุหรี่แล้วจะต้องหมดความน่าเกรงขามแน่

   “ก็ว่า ไม่เห็นเคยชอบน้ำพวกนี้”

   “จำได้เหรอครับ”

   “คนที่ทั้งปีทั้งชาติกินแต่น้ำเปล่าน่ะเดือนสิบ” อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง “ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวเดินกลับไปแวะหาอะไรกินก่อนกลับห้องก็ได้”

   เบื่อตัวเองเหลือเกินที่ได้ยินประโยคที่เหมือนกำลังเแสดงความใส่ใจเป็นพิเศษแค่นั้นก็รู้สึกพองฟูอยู่ในอก จนสามารถหักลบกับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานทั้งหมดที่คนตรงหน้าเคยมอบให้มามากกว่าหนึ่งปีกว่าได้จนหมด

   ไม่เคยเข็ดเหมือนอย่างที่ปลายเจตน์บอกจริง

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “กินเวลานี้ไม่อ้วนหรอกน่า”

   “พี่ธรรม”

   “ว่า”

   “พี่ไม่ต้องกังวลนะ”

   แม้มันจะไม่มีความโรแมนติกสักนิด เดือนตุลาก็ชอบจังหวะที่อีกคนชะงักค้างไปเพราะการเปลี่ยนหัวข้อเรื่องจนตัวเองสามารถก้าวเท้ายาวไล่ตามทัน

   ยิ้มออกได้ยามภาพที่เขาเห็นไม่ใช่แผ่นหลังแต่เป็นเสี้ยวหน้าด้านข้าง

   “ผมก็ยังรักแค่พี่อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”


***
   [1] อนุญาโตตุลาการจะมีอำนาจตัดสินคดีความได้ในกรณีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยินยอมผูกพันในผลการตัดสินนั้น
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสอง [22.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ironmanwife ที่ 22-01-2020 22:03:54
ฮืออออ น้องตุลลูกกก ทำไมเราถึงเจ็บปวดกับประโยคบอกรักของเดือนตุลา เราชอบในความเป็นน้องมากๆเลย ชอบในความซื่อตรงกับหัวใจของตัวเอง ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดอะไรมา หรือเจอความเย็นชา ใจร้ายจากคุณสัทธามากแค่ไหน แต่น้องยังคงเด็ดเดี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง อยากกอดเหลือเกิน น้องตุล
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสอง [22.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-01-2020 22:09:11
ทำไมเราอ่านแล้วยิ้มก็ไม่รู้รู้สึกน้ำเต้าหู้มันหวานนน..อยากรู้จังกลิ่นบุหรี่กลิ่นนี้เป็นอย่างไรเพราะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสอง [22.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-01-2020 23:45:19
น้อนตุลลลล  :กอด1:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสอง [22.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-01-2020 03:00:11
น้องซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองดีจัง  :hao5:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสาม [25.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-01-2020 18:36:01
บทสิบสาม


   “ปกติน้องตุลดูดวงไหม”

   “ไม่นะครับ”

   “โอเค งั้นเย็นนี้ไปกับพี่นะ”

   “...”

   มันอาจจะเป็นผลพวงจากการเป็นเด็กห้องพิเศษวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น เข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ตอนมัธยมปลาย และเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์มาก่อน เขาเลยไปด้วยกันไม่ค่อยได้กับศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างพวกโหราศาสตร์และการทำนาย

   มันก็เลยเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อยามที่ต้องมานั่งรอดูดวงอย่างนี้

   เหลือบมองคนนั่งถัดไปทางด้านขวาที่ยังกดโทรศัพท์ไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความหัวเสียทั้งปวง มีอย่างที่ไหนมัดมือชกแบบที่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าสุดท้ายแล้วตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

   ยอมรับมาตั้งนานแล้วว่าตัวเองไม่ใช่สายแฮงก์เอาท์กับเพื่อนร่วมรุ่นเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความเป็นเด็กซิ่วบวกเข้ากับบุคลิกส่วนตัว ที่ยังดีหน่อยก็คงเป็นถ้ามีใครชวนแล้วไม่ติดธุระอื่นก็ไปด้วยได้

   แล้วนี่เรียกว่าชวนได้ไหมนะ

   “ผมขอไปหาอะไรกินก่อนได้ไหมครับ”

   ตอนนี้เขากับพี่มัจกำลังนั่งอยู่บริเวณคอมมอนชั้นหนึ่งของหอพักที่ห่างจากตัวมหาวิทยาลัยเล็กน้อย ด้วยความที่พี่เขาบอกว่าเวลาที่นัดคือหกโมงมันเลยเหลือเวลาอีกเกือบยี่สิบนาทีให้เขาได้หลีกหนีออกไปจากตรงนี้ได้

   พี่มัจฉ์น่ะรักศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้นี้จนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ ในทุกต้นเดือนเขาจะได้รับภาพคำทำนายประจำเดือนจากพี่คนนี้จนเป็นกิจวัตร หรือถ้าเป็นช่วงต้นปีก็จะมีการส่งตารางสีมงคลประจำปีมาให้เทียบกันจากหลายสำนัก หนักที่สุดคือเคยบังคับให้เขาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เพราะเป็นกาลกิณี

   ก็หน่ายแต่ตราบใดที่ความเชื่อพวกนี้ไม่ได้เดือดร้อนเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่าม

   “ได้ๆ แต่กลับมาให้ทันหกโมงนะ”

   ให้คำอนุญาตทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั่นแหละ เมื่อเป็นอิสระแล้วเขาก็ลุกออกจากตรงนั้นทันทีโดยมีเป้าหมายแรกคือเดินไปยังส่วนขายอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะมีร้านไก่ทอดอร่อยอยู่ จะได้ไปลองสักที

   ถ้าให้แบ่งเป็นสัดส่วนเดือนตุลาใช้ชีวิตประมาณสามส่วนไปกับปลายเจตน์ในห้องเรียน สองส่วนกับพี่มัจ (แบบที่เขาไม่ได้เต็มใจขนาดนั้น) แล้วก็อีกห้าส่วนกับตัวเอง เคยถามหลายรอบแล้วล่ะว่าเกิดถูกชะตาอะไรกับเขาถึงทำตัวติดแจ แต่พี่เขาก็ชอบอมยิ้มไม่ยอมตอบอย่างเดียวเลย

   พอเป็นอาคารพักอาศัยที่พ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยออกมาหน่อยมันก็มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับพักผ่อน ตุลหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมในสุด ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบกายที่แตกต่างจากกิจวัตรปกติตุนเอาไว้ก่อนที่จะต้องกลับไปเจอความวุ่นวาย

   อีกสองวันจะถึงการพิจารณาของพี่ต้นหลิว อีกห้าวันเป็นการเลือกตั้งสภานักศึกษา แล้วสัปดาห์หน้าก็เป็นการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายภายในรอบไฟนอลก่อนจะเจอกับมหาวิทยาลัยอื่น

   เนื้อหอมยิ่งกว่าใคร

   ใจหนึ่งก็ยังกังวลเรื่องที่ได้ยินมาเกี่ยวกับการล็อบบี้ อีกใจก็ปลอบว่าคนอย่างสัทธากับมัจฉ์ไม่ยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแน่ คนคิดมากอย่างเขาก็เลยทำได้แค่รอดูต่อไป

   ทำเป็นมองนกชมไม้และคิดไปไกลถึงขั้นว่าหรือคิดเรื่องย้ายหอหลังจบปีการศึกษานี้ดี ที่อยู่ปัจจุบันของเขามันมีความสะดวกในเรื่องการเดินไปยังตึกเรียนไม่ต้องสงสัย หากเต็มไปด้วยนักศึกษาเดินขวักไขว่ไม่มีความเงียบสงบเท่าที่ควร

   และเหตุผลสำคัญคือพี่ธรรมเรียนจบปีนี้

   เวลาเกือบยี่สิบนาทีผ่านไปไว้กว่าที่คิด นิสัยตรงต่อเวลากำลังออกคำสั่งให้เขาเคลื่อนร่างเกือบไร้วิญญาณออกจากตรงนี้กลับไปหาพี่ปีสี่เจ้าปัญหาได้แล้ว

   “น้องตุลว่าพี่ซื้ออะไรไปถวายให้ธรรมดี”

   เมื่อไหร่พี่มัจจะเลิกตั้งหัวข้อสนทนาแบบแรนดอมสักที “บุหรี่สักซองก็พอ”

   “หมายถึงอาหารเย็นสิ”

   “พี่เขาไปหาทานเองน่าจะเร็วกว่าไหมครับ”

   ด้วยตารางชีวิตที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก เดือนตุลาจะได้เจอพี่ธรรมแค่วันที่มีการประชุมตุลาการหรือไม่ก็บังเอิญเจอที่ห้องทำงานนับครั้งได้ นอกจากนั้นแล้วเรียกได้ว่าการเรียนคณะเดียวกันก็ทำให้เขาได้ใช้เครื่องปรับอากาศตัวเดียวกันเท่านั้นแหละ ไม่ต้องพูดถึงเวลาหลับหอเลย

   ผิดจากรุ่นพี่คนนี้ที่ขยันโผล่หน้ามาให้เจอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจอกันต่อหน้าหรือว่าในแชตก็ตาม

   “มันอ่านเตรียมแข่งไง แทบจะขังตัวเองอยู่ในห้องประชุมเล็กแล้วมั้ง”

   “สั่งแกร็บสิครับ”

   “ก็สั่งพี่มันไม่ต้องเสียค่าส่งนี่นา”

   พอถึงจุดหนึ่งเดือนตุลาก็จะเลิกเถียง คือมันก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการย้ายสำมะโนกรประชาชนมาอยู่กินที่ห้องประชุมชั้นสี่แหละ หนึ่งในห้องที่เหลือของตุลาการนักศึกษาถูกครอบครองปรปักษ ์โดยผู้ชายสองคนที่มีอำนาจรวมกันมากกว่าคนครึ่งมหาวิทยาลัย

   กระดาษไวต์บอร์ดเต็มไปด้วยร่องรอยปากกาเมจิก คีย์เวิร์ดสำคัญในกฎหมายหมวดต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วจนน่าจะมีแค่คนเขียนเท่านั้นที่เข้าใจ จากที่จะเข้าไปเตือนเรื่องให้รักษาความสะอาดก็ปิดประตูเงียบๆ แล้วให้พวกพี่เขาตั้งสมาธิอ่านหนังสือกันต่อไปดีกว่า

   ในเสี้ยววินาทีหนึ่งใบหน้ายิ้มแย้มของพี่มัจฉ์ถูกทาบทับด้วยประธานหลังม่านอย่างพี่ฟีน พอคิดว่าคนอย่างนั้นกำลังอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตายเพื่อเอาชนะคนตัวเล็กข้างเขาแล้วมันก็ตลกดี ไว้ลองไปถามปลายเจตน์ดีกว่าว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนี้บ้าง

   “เอาแค่ข้าวหมูกรอบตรงฝั่งตรงข้ามก็ได้มั้งครับ พี่ธรรมชอบอยู่”

   “แต่ถ้าขับไปแล้วมันจะเลยประตูใหญ่น่ะสิ พี่ขี้เกียจไปวนรถอีกรอบ”

   “งั้นระหว่างที่พี่มัจดูดวง เดี๋ยวผมเดินไปให้ก็ได้” หวังว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ไม่ได้ดูเหมือนหาเรื่องหนีออกไปจากตรงนี้ “แล้วไหนบอกว่าหกโมงไงครับ”

   “เมื่อกี้เขาโทรมาบอกว่ารถติดอะ น่าจะอีกพักนึง” เขาไม่เคยเชื่อคำว่าอีกสักพักเลยให้ตาย ไม่เคยน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงสักราย “เอาจริงพี่มีคนที่อยากลองดูดวงด้วยมากเลยนะ พ่อพี่เคยไปหารอบหนึ่งแต่ตอนนั้นพี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด นี่ติดต่อกี่รอบก็ไม่ได้ล่ะ”

   ฟังเรื่องเล่าหากไม่เอาเก็บมาใส่ใจ คิดว่าเป็นการแสดงน้ำใจกับรุ่นพี่ที่ดีกับเขามาเสมอ

   ‘นักทำนาย’ ของพี่มัจเป็นผู้หญิงอายุราวสามสิบ ผิวเข้มเข้ากับเสื้อผ้าสไตล์บาติกสีสันสดใส ผมหยิกยาวมัดรวบเป็นหางม้า จะบอกว่าไม่เป็นอย่างที่จินตนาการเอาไว้ล่วงหน้าก็พูดไม่เต็มปาก คนร่วมห้องสมัยมัธยมของเขาคนหนึ่งถ้ามองจากรูปลักษณ์แล้วไม่มีทางเชื่อว่าเลี้ยงกุมารสิบสามองค์

   เดือนตุลามองเธอจัดแจงวางอุปกรณ์ในการทำนายไพ่ทาโร่ลงบนโต๊ะทีละชิ้น ตั้งแต่ผ้ากำมะหยี่ผืนใหญ่สีแดงสด แก้วใสที่เหมือนจะเอามาว่าเป็นของประกอบฉาก และอย่างสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือไพ่นึงสำรับ

   เริ่มจากการให้ตั้งสมาธิแล้วตัดไพ่ตามใจ จากนั้นก็คลี่แผ่นกระดาษแข็งประดับลวดลายทั้งหมดให้เป็นครึ่งวงกลมสวยงาม ท่าทางและน้ำเสียงของพี่มัจเต็มไปด้วยความแน่วแน่จริงจังจนเขาไม่กล้าเอ่ยปากแซว

   “สำหรับเรื่องงาน คุณจะสับสนแล้วก็ลังเลอยู่เล็กน้อยในช่วงสองเดือนหลังจบ จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงที่มีความสำคัญกับคุณจะทำให้คุณตัดสินใจได้ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากเพราะไพ่ใบสุดท้ายบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรจะได้รับอิสระอย่างที่คุณต้องการแน่นอน”

   คนคนนี้ยังอยากได้อิสระอะไรอีก จ้องมองรูปวาดบนไพ่ทั้งสามใบแล้วขมวดคิ้วอยู่คนเดียว ตุลยังไม่เข้าใจเลยว่าการตีความหมายจากรูปแต่ละรูปมันทำได้อย่างไร ผิดกับพี่มัจที่พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจลูกเดียว

   “ส่วนเรื่องชีวิต ดวงของคุณเป็นดาวพึ่งตนเอง คือความสำเร็จทั้งหมดจะไม่ได้มีเรื่องดวงหนุนนำ จะเกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัติเท่านั้น แล้วคุณเป็นพวกที่บางครั้งก็ขวานผ่าซากไม่สนใจคนอื่นเท่าไหร่ อันนี้ต้องระวัง ส่วนใบสุดท้ายบอกว่าไม่ต้องเครียดเยอะ มีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณเสมออยู่แล้ว”

   มีจุดที่ถูกต้องอยู่นะ ไอ้ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนน่ะ

   “เงิน ไม่น่าห่วงเลย คุณเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีพร้อมและทุกคนก็พร้อมสนับสนุนให้คุณได้ทำอย่างที่ต้องการ ที่จะต้องระวังคือชอบใช้เงินไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่นัก ช่วงกลางเดือนอาจมีโชคเรื่องเสี่ยงดวงด้วย”

   เพิ่งสังเกตว่าต่อให้อยู่กันมาเข้าปีที่สามเขาก็ไม่เคยรู้ประวัติเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย อย่างพี่ธรรมก็รู้ว่าเป็นลูกคนจีนอย่างแท้จริงอย่างที่เพื่อนกลุ่มพี่เขาชอบเอามาล้อ อย่างวันตรุษจีนเมื่อครั้งเขาอยู่ปีหนึ่งครั้งแรกบอกได้เลยว่าช็อกกับปริมาณผลไม้และของไหว้ที่พี่เขาเอามาแบ่งปันกับเหล่าคนป่า

   เหมือนว่าบ้านจะอยู่เยาวราชด้วยมั้ง ถ้าพี่มัจไม่หลอกเขานะ

   “ภาพรวมคือก็จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ดี อาจมีเรื่องที่ให้กังวลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องไปกังวลกับมันมากเพราะว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่อาจจะต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์กับคนที่รู้จักกันมานาน รู้จักแบบที่รู้ไส้รู้พุง ปีนี้มันจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่จะเป็นทางดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ไพ่มันบอกว่าเป็นไปได้ทั้งคู่”

   “โอเคครับ ส่วนเรื่องสุขภาพนี่ไม่มีอะไรน่าห่วงเนอะ ...น้องตุลอยากถามอะไรไหม”

   นั่งฟังเพลินๆ ก็โดนลากเข้าไปร่วมวงเฉย “อ่า...ไม่เป็นไรครับ”

   “ไม่จริงเหรอ ถามเรื่องความรักอะไรอย่างนี้ไง”

   ไม่เคยที่จะรักษาน้ำใจกันเลยนะคนเรา นี่พอดีว่าตรงนี้เป็นเขาคนที่ยอมรับและชินชากับสถานะไปแล้ว ไอ้การที่คิดว่ามาปั่นเพื่อให้นอตหลุดนี่อย่าหวัง

   สงสัยพี่มัจลืมไปแล้วว่าตอนที่ถามเดือนตุลาว่าชอบธรรมเหรอแล้วเขาตอบรับด้วยคำว่าครับคำเดียว

   “ไม่ครับ แล้วทำไมพี่มัจไม่ถามเรื่องความรักล่ะครับ” เพิ่งมาสะกิดใจก็ตอนที่มีคนเปิดประเด็น ถึงว่าทำไมรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป “เผื่อว่าปีนี้จะได้เจอคู่อะไรอย่างนี้”
   
   พูดไปเรื่อยตามสกิลที่ได้ศึกษามาจากคนรอบข้างหากไม่เคยมีโอกาสได้ใช้จริง ช่วงหลังนี่เขาก็ว่าตัวเองเริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนไม่กลัวที่จะสวนกลับไปโดยไม่กลัวเอฟเฟกที่จะตามมาแล้วล่ะ

  “เฮอะ ไม่ล่ะ ความรักของพี่พี่ต้องกำหนดเองสิ” ทิ้งการสนทนานั้นเอาไว้ด้วยประโยคปิดแสนเท่ พี่มัจคุยกับหมอดูอีกนิดหน่อยเรื่องวิธีการรักษาสุขภาพจากนั้นก็เปิดแอปธนาคารออนไลน์ขึ้นมาเพื่อโอนค่าบริการให้เสร็จสรรพ

   ประทับใจวิวัฒนาการของเทคโนโลยี

   “งั้นเราเดินข้ามฝั่งไปซื้อแล้วค่อยกลับมาเนอะ จะได้ไม่ต้องอ้อมรถหลายรอบ”

   นึกว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ จากที่วางแผนเอาไว้ว่าจะชิ่งหนีก็เลยกลายร่างเป็นมนุษย์ส่งอาหารชั่วคราวเสียอย่างนั้น เดือนตุลายืนเป็นตัวประกอบให้กับพี่มัจในการสั่งอาหารทั้งหมดคล่องแคล่วราวกับว่าทั้งสองคนมักจะสั่งเมนูนี้อยู่เป็นประจำจนท่องได้ขึ้นใจ

   “พี่มัจไม่เคยเจอหมอดูที่ทำนายไม่ตรงบ้างเหรอครับ”

   “ถ้าไม่แม่นพี่ก็ไม่ดูด้วยตั้งแต่แรกไง”

   มันก็จริงอย่างที่ว่า เก็บเอาไว้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้เรียนรู้

   “แล้วอย่างคนนี้เป็นยังไงครับ”

   “ก็ต้องรอดูก่อนแหละ แต่ว่าหลายอย่างก็แอบตรงอยู่ ...น้องตุลรับสายให้หน่อย”

   รับเครื่องมือสื่อสารขนาดใหญ่มาถือไว้เองทั้งที่ความคิดยังจดจ่ออยู่กับเรื่องการดูดวง การสั่นเตือนของมันน่ารำคาญจนเขาต้องอ่านชื่อที่บันทึกไว้ว่ามันมาจากใคร

   ชื่อจริง ชื่อเล่น ตามด้วยนามสกุลเป็นภาษาไทยคือการบันทึกที่น่าประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็น ส่ายหัวเอือมระอาให้กับนิสัยขี้แกล้งไม่ยอมจบสิ้น “ถ้าพี่ธรรมโกรธผมไม่ช่วยนะครับ”

   “มันโกรธก็อดตายอะ บอกแค่นี้”

   ถ้าอย่างนั้นเขาไม่สนใจอะไรแล้วนะ เดือนตุลาสไลด์ปุ่มไปทางขวาก่อนจะนำมาแนบหูไว้

   (สรุปมึงจะเข้ามากี่โมง กูกับฟีนจะแดกชีตแทนข้าวแล้ว)

   “กำลังรอเขาห่อครับ”

   (...เดือนสิบ?)

   ถ้าหูไม่ได้ฝาดหรือว่าโทรศัพท์ของพี่มัจมีปัญหา เมื่อกี้เขาได้ยินเสียงพี่ฟีนล้อเลียนชื่อเขาที่พี่ธรรมใช้เรียกด้วยล่ะ

   “ครับ พี่มัจให้รับสายให้”

   คำสบถหยาบคายเต็มไปด้วยความหัวเสียจากปลายสายส่งมาสองสามคำก่อนกลับมาเป็นปกติ (สรุปซื้อข้าวหมูกรอบใช่ไหม มันส่งมาบอกอย่างนั้น)

   “ใช่ครับ พี่ธรรมอยากได้อะไรเพิ่มไหม”

   (อยากกินอะไรก็สั่งเลย แล้วคิดรวมมา)

   ไม่ค่อยมั่นใจว่าที่ตอบมาเป็นเรื่องเดียวกับที่ถามไปและไม่สามารถทำใจให้ชินกับพี่ธรรมโหมดนี้ได้เลย คิดแล้วว่าเดี๋ยวไปซื้อพวกขนมกินเล่นเล็กน้อยเพิ่มดีกว่า ดูทรงแล้วคืนนี้พวกเขาก็คงใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่นค่อนคืนอีกแหง หรือว่าซื้อพวกเครื่องดื่มชูกำลังดี

   “สัปดาห์หน้าเลือกตั้งแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมพี่ฟีนดูไม่เครียดอะไรเลย” เปรยถามทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนใต้กำกับของพี่ฟีนในปีนี้นั่นแหละ “ยังเอาเวลามาอ่านหนังสือได้”

   “เครียดทำไมล่ะ” เสียงหัวเราะช่วงท้ายเจือไปด้วยรอยเอ็นดู รถยนต์เอสยูวีห้าประตูเคลื่อนตัวบนท้องถนนโดยไม่มีการเร่งเครื่องจนเกินกำหนด “เขาไม่ได้จริงจังกับสภาเบอร์นั้นอยู่แล้ว”

   “เห็นว่าปีนี้จะเอาระบบเลือกตั้งออนไลน์มาใช้ด้วยนี่ครับ”

   “ใช่ๆ คือพี่ก็ว่าสะดวกดีนะ แต่ข้อเสียก็เยอะอยู่ เรื่องแฮคระบบอะไรอย่างนี้”

   “ก็เอาเป็นว่าอย่าเอาเรื่องมาเข้าตุลาการอีกแล้วกันครับ” โคลงหัวให้กับหนึ่งในประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุด “ผมไม่อยากจะปวดหัวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกแล้วนะ”

   อันนี้ก็อยากจะถามมหาวิทยาลัยเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่กับการให้งบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับการหาเสียงเลยสักนิด จะบอกว่าต้องบริหารให้มีประสิทธิภาพคือบอกเลยว่าการพีอาร์แค่นั้นคงไม่มีใครรู้ว่ามีการเลือกตั้งอยู่ แล้วพอเงินที่ใช้ในงานโปรโมตไม่พอก็ต้องไปหาจากแหล่งอื่น จบลงด้วยการเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองระดับประเทศยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

   พอพรรคแรกเอาเรื่องเข้ามาฟ้อง พรรคที่สองก็ตามมา ตอนนั้นเขาอยากจะลาออกจากตำแหน่งให้รู้แล้วรู้รอด แถมไม่รู้ว่าไปดีลกันข้างหลังยังไงสุดท้ายถึงถอดคำฟ้องทั้งหมด

   “ปีนี้ไม่ปวดแน่ ถ้าโดนคือรวบทีเดียวหมด”

   “ที่พี่ฟีนบอกว่าปีนี้รับเงินแหล่งเดียวไม่ได้ล้อเล่นเหรอครับ”

   ช่วงไหล่ของพี่ปีสี่ยกขึ้นเล็กน้อย “ก็ไม่รู้สินะ”

   สมองตื้อไปชั่วขณะ คือจากที่ได้ยินในร้านวันนั้นแล้วเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องแต่งขำขันไม่ได้มีอะไรที่จริงจัง ยิ่งประกอบเข้ากับที่พี่ธรรมผสมโรงแล้วเขาปักใจเชื่อว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง

   “พวกเขาคิดว่าการทำอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไรเหรอ”

   “มีสิ การเมืองอยู่ทุกที่นั่นแหละ”

   “พี่ฟีนนี่เขาเป็นใครกันแน่เนี่ย”

   สำเนียงนั้นไม่ใช่แบบไทย แต่ก็ไม่ใช่แบบบริทิชหรืออเมริกันที่เราคุ้นเคย “An idiot”

   “อันนั้นไม่ใช่ว่าเราก็เป็นกันทุกคนเหรอครับ”

   “นั่นสิเนอะ”

   จับผิดมาได้สักพักแล้วว่าพอเป็นเรื่องของพี่ฟีนทีไรมันมักจะเป็นน้ำเสียงพิเศษที่เรียกไม่ถูกว่าเอ็นดูหรือว่ารังเกียจ แต่เอาเป็นว่าทั้งชีวิตนี้เดือนตุลาก็ยังไม่เคยใช้เสียงแบบนั้นกับใครเลยก็แล้วกัน

   เครื่องยนต์สี่ล้อหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารไม่ได้เลี้ยวเข้าไปจอดด้านในอย่างที่ควรจะเป็น เขาหันหน้ากลับมาเลิกคิ้วให้กับคนขับแทนคำถามว่าจะทำอะไรต่อ

   “ขี้เกียจไปเจอหน้าพวกมันแล้วอะ น้องตุลขึ้นไปให้หน่อยสิ”

   “...”

   “บอกว่าทั้งหมดร้อยห้าสิบ แล้วก็ค่าตัวน้องตุลอีกสองร้อย พี่กลับก่อนล่ะนะ”



   ให้ข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมถึงโดนทิ้งเอาไว้หน้าตึกในเวลาหนึ่งทุ่มกว่าเช่นนี้ เมื่อเขาไม่สามารถมองไฟท้ายรถได้ชัดเจนอีกแล้วถึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ปลงตกยามมองถุงแบบนำกลับมาใช้ซ้ำได้ในมือที่ร้องเตือนว่าเขายังมีงานที่ต้องทำอยู่

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นการจัดฉากให้เป็นอย่างที่พี่มัจฉ์ต้องการ คนนั้นน่ะมีความสุขจะตายเวลาที่ได้ทำอะไรอย่างนี้ ไม่เบื่อบ้างหรือไงที่ทำมาได้ตั้งแต่รู้จักกันปีแรกยันทุกวันนี้

   วันนี้ส่วนงานชั้นสองขององค์การนักศึกษายังคงคึกคักเช่นเดิน หลังจากนี้จะมีอีเวนต์ใหญ่ก่อนจะเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาค ฝ่ายบริหารก็มีอำนาจประมาณนี้แหละ แล้วก็จะเป็นการดูแลเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน พิทักษ์สิทธิของนักศึกษาทำนองนี้

   พอเหยียบชั้นสามคือความแตกต่างลิบลับ มันเงียบเหงาสมแล้วที่กำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ตามมารยาทแล้วในระหว่างเลือกตั้งสมาชิกของสภานักศึกษาทั้งหมดไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนไม่ควรจะเข้ามาใช้งานเนื่องด้วยอาจจะเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบได้

   จากทางเดินตรงยาวอันมีปลายทางเป็นห้องตุลาการนักศึกษามีเพียงห้องที่สองจากทางขวาที่เปิดไฟสว่าง เดือนตุลาเดินเข้าไปใกล้ด้วยจังหวะการก้าวที่สม่ำเสมอ คือตอนนี้เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์มาตื่นเต้นแล้วไง

   “มาแล้วครับ”

   “พระเจ้า ในที่สุด!”

   ท่าการผุดลุกขึ้นมาพร้อมตะครุบถุงในมือของเขาบ่งบอกว่าพี่ปีสี่น่าจะหิวโหยจริง จานชามและแก้วน้ำส่วนกลางของห้องตุลาการถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วบนโต๊ะติดริมหน้าต่าง อ่านหนังสือเยอะมันก็ใช้สมองเยอะล่ะนะ

   พี่ฟีนเป็นคนบริการทุกอย่างเสร็จสรรพในขณะที่คนร่วมทีมนั่งไขว่ห้างอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์ ไวต์บอร์ดที่เคยขาวสะอาดในวันนี้เพิ่มความสกปรกขึ้นไปอีกขั้นด้วยโพสต์อิทหลากหลายสีสัน อย่าให้รู้ว่าเบิกของส่วนกลางมาใช้ทำอะไรอย่างนี้นะ จะบ่นไปอีกสามวันเจ็ดวันเลย

   “ไม่มีของน้องตุลเหรอ”

   “แค่มาส่งแล้วจะกลับแล้วครับ”

   แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ตอนนี้เขาควรจะกลับถึงห้องแล้วด้วยซ้ำ

   “พี่มัจฝากบอกว่าค่าอาหารร้อยห้าสิบบาท ส่วนค่าส่งสองร้อยครับ” ไอ้ที่บอกว่าเป็นค่าตัวเขาน่ะฝันไปเถอะว่าจะบอก

   “โอเค”

   “ให้แม่งแค่ร้อยห้าสิบพอ ค่าส่งเหี้ยไรไม่ต้องให้”

   “ไม่ได้สิ”

   งงนิดหน่อยตรงคนที่ตอบรับแถมกดมือถือยิกๆ คือพี่ฟีนไม่ใช่คนที่โทรไปตามอาหารเย็น แถมยังไม่อิดออดเรื่องราคาหรือว่าต้องถามเรื่องเบอร์บัญชีหรือว่าเบอร์พร้อมเพย์

   หรือก่อนหน้าที่เขาไม่ใส่ใจจริงๆ นะถึงไม่สังเกตเห็นความสนิทชิดเชื้อนี้

   “ธรรม ชั้นนี้ไม่มีถ้วยเล็กเหรอ” จากการโต้เถียงกับพี่มัจหน้าร้านขนมหวานไทยเราได้ข้อสรุปว่าปลากริมไข่เต่ากับบัวลอยเผือกเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด “แล้วจะกินยังไง”
   
   “มีช้อนไหมล่ะ ก็ตักจากถุงนั่นแหละ”

   “ควายธรรม”

   “ไม่ใช้ชามก็ไม่ต้องล้าง ไม่ต้องล้างก็ไม่ต้องเปลืองทรัพยากรน้ำนะมึง”

   “เรื่องของมึง กูลงไปเอาจากข้างล่างก็ได้”

   อะไรจะต้องเตรียมพร้อมขนาดนั้นก็ไม่รู้ เด็กปีสองคนเดียวของห้องมองคนอยากกินขนมหวานใส่ชามเล็กเดินเลี้ยวออกจากห้องไปทางบันไดขึ้นลง หันกลับมาก็เจอกับพี่อีกคนที่ยังพิมพ์อะไรลงมือถืออยู่นั่น

   “กลับเลยได้นะ รู้ว่าไม่อยากอยู่นาน”

   “ห้องนี้โอเคกว่าห้องนั้นครับ ไม่เป็นไร”

   ตอบกลับง่ายๆ ไม่ได้โกหกเพื่อความสบายใจ คือเอาเข้าจริงพอเวลามันผ่านไปแล้วความทรงจำในวันนั้นมันก็เจือจางลงไปเล็กน้อย ทำนองว่าก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่หรอก ก็แค่ว่าเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่บนความใจร้ายต่อไปนี่แหละ

   ความเงียบที่น่าอึดอัดกระจายตัวอยู่รอบห้องทันทีที่จบประโยคนั้น เขาไม่ได้ปากพล่อยขนาดที่จะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็บอกตัวเองเอาไว้แล้วว่าถ้าในครั้งนี้มีโอกาสที่จะลงมือทำตามใจก็จงเต็มที่ อย่าปล่อยให้สิ่งเดียวที่ทำได้คือตั้งคำถามที่ไม่เคยมีใครให้คำตอบได้อีกเลย

   จมอยู่กับมันมาได้ตั้งนาน

   ถึงเวลาตะกายขึ้นมาเหนือน้ำแล้วนะ

   กลายเป็นว่ามีความสุขเสียอีกที่ได้เห็นพี่ธรรมเงียบผิดวิสัย ขยับร่างกายเตรียมตัวออกจากห้องเพื่อเดินทางกลับ อย่างไรเสียวันนี้พวกพี่เขาก็ยังต้องอ่านหนังสือต่อไม่ควรจะรบกวนไปมากกว่านี้

   “บอกดีกว่าไหมเดือนสิบ จะได้ไม่ต้องค้างคาอะไรกัน”

   มันไม่ใช่คำลาอย่างที่ควรจะเป็น

   ตุลจ้องมองผู้ชายตรงนั้นตาไม่กะพริบ ตอบกลับสั้นเพียงคำเดียวไม่ต่างจากความแน่วแน่ข้างใน

   “ไม่ครับ”

   ไม่เว้นช่องให้อีกฝ่ายได้เบี่ยงไปประเด็นอื่น “ต่อให้พี่จะพูดเรื่องนี้ซ้ำอีกรอบ ผมก็ยังจะบอกเหมือนเดิม”

   จนถึงวินาทีนี้เขาไม่เคยเสียใจกับทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อสัทธา

   “นายน่ะ...”

   เสียงเปิดประตูที่ดังจากด้านหลังเป็นระฆังบอกว่าหมดเวลา มันไม่สามารถมีบทสนทนาใดต่อจากนั้นได้อีกแล้ว เขาบอกลารุ่นพี่ทั้งสองคนนิดหน่อยโดยไม่ลืมแสร้งทำเป็นว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้มีความตึงเครียดเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน

   เปิดแอปพลิเคชันสำหรับการพูดคุยขึ้นมา ตั้งใจจะรายงานว่าได้ทำการส่งอาหารเรียบร้อย ช่วยเช็กว่ามียอดเงินเข้าหรือไม่ หากเมื่อหน้าจอหลักมีการอัปเดตเขากลับพบว่ามันมีข้อความจำนวนมากผิดปกติจากพี่มัจก่อนแล้ว

   เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ก่อน เขาเดินทอดน่องจนมาถึงจุดรอรถประจำทางที่ให้บริการฟรีภายในมหาวิทยาลัย พอได้ทรุดนั่งลงจึงเปิดเข้าไปดูว่าหัวข้ออะไรที่ทำให้พี่เขาส่งข้อความมาหาเยอะแยะเช่นนี้

   กลบหน้าหน่ายไม่ได้ยามพบว่าทั้งหมดนั้นมันคือข้อความทำนายที่มีการอธิบายเอาไว้ตรงบรรทัดแรกสุดว่าเป็นหมอดูทางโทรศัพท์ที่พี่มัจรับประกันความแม่น แล้วนี่เอาชื่อนามสกุลเขาไปให้คนอื่นทำนายไม่มีมาขอล่วงหน้าอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน

   ด้วยภาษาที่ใช้อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องยอมใจในความพยายามในการพิมพ์ใหม่ทั้งหมด มันเริ่มต้นด้วยภาพรวมของทั้งปีจากนั้นก็เป็นการเล่าสิ่งที่ควรระวังในแต่ละเดือน ที่เหมือนจะน่ากังวลคือช่วงครึ่งปีต่อจากนี้ที่เหมือนว่าชีวิตของเขาจะพบกับเรื่องนอกเหนือความคาดหมายที่ยากลำบากพอสมควร

   รวมไปถึงต้องระวังการตัดสินใจให้ดี คิดให้รอบคอบ ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างไปเพื่อที่จะได้อะไรที่สูงค่ากว่า คนรอบข้างพร้อมที่จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แล้วก็อีกสารพัดที่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นปีที่หนักของเดือนตุลาอยู่ไม่น้อยเชียวล่ะ

   เรื่องเงินไม่ค่อยน่าห่วง ก็ไม่มีอะไรที่มากไปกว่ามีรายได้กับรายจ่ายในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินขาดมือ

   บรรทัดสุดท้ายเกี่ยวกับความรัก

   “...”

   เสียงเครื่องยนต์เฉพาะชนิดดังใกล้เข้ามาทุกที เงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าเป็นสายการเดินรถที่ตนเองกำลังรอคอย เดือนตุลากดปุ่มล็อกหน้าจอรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียจังหวะการลุก แอบมองขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตึกด้านหลังที่มีไฟเปิดสว่างเพียงแค่ห้องเดียว

   เงาของผู้ชายหนึ่งคนตรงกระจกบานใหญ่เรียกยิ้มเล็กมุมปากได้ไม่ยาก

   ก็นั่นแหละ

   เรื่องความรักต้องให้เราเป็นกำหนดเองสิ


***
   The truth always hurts
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสาม [25.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: panacea_ ที่ 25-01-2020 21:57:15
ฮั่นแน๊๊๊๊๊๊ มีความเรื่องความรักเราต้องเป็นคนกำหนดเองสิด้วย ละพี่มัจแอบมีซัมติงเปล่าเนี้ยย
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสี่ [28.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-01-2020 18:59:54
บทสิบสี่


   “พี่ธรรมว่าพรรคของพี่ฟีนจะได้สักกี่ที่นั่งเหรอครับ”

   “ไม่เกินเจ็ด สิบคือโคตรหรู”

   “ถ้าได้แค่นั้นมันจะทำอะไรได้ครับ ไม่ถึงกึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ”

   “เป็นประธานไม่ได้ แต่ว่าก็ต่อรองได้อยู่ ตัวเลขแค่นี้เหมาะที่จะเล่นตัวจะตายไป”

   เอียงคอกะพริบตาปริบกลับไป เดือนตุลามองครึ่งหน้าด้านซ้ายของรุ่นพี่ปีสองแล้วก็อดถามออกไปไม่ได้ตามประสาคนที่ยังไม่เข้าใจระบบมากนัก

   “เล่นตัว?”

   “ก็จะเป็นพวกเนื้อหอม พรรคไหนก็อยากได้ไปเป็นพวกไง”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

   เอาจากที่มองไม่เห็นจะเนื้อหอมตรงไหน ก็ถ้าสมมติว่ามีพรรคหนึ่งได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งขึ้นมาการมีตัวตนของพรรคพี่ฟีนก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ

   “เป็นได้ถึงขั้นนั้น แต่เอาจริงแล้วปีนี้มันก็แค่เช็กสนามมากกว่า ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่พรรคเดิมอย่างนี้หรอก” มองใบปลิวที่มีหน้าของหัวหน้าพรรคแจกยิ้มแสนเป็นมิตรแล้วก็ไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “ปีหน้าทำพรรคเองแน่ รอดูสิ”

   ผิวปากหวือให้กับสิ่งใหม่ที่เพิ่งรู้ นึกว่าเป็นแค่ชอบทำกิจกรรมไปตามประสา ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่ารุ่นพี่แสนใจดีที่เขารู้จักคนแรกในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังมีแผนการใหญ่ขนาดนั้น

   “พี่เขาจะไปเอาใครมาอยู่ครับ คนจากพรรคเดิมเหรอ”

   “คนใหม่ มันไม่เอาคนจากพรรคเดิมมาเป็นหนี้บุญคุณหรอก”

   ยังไม่เข้าใจดีนักแต่คิดว่าพอเดาออก “แล้วพี่เขาจะมาชวนพี่ธรรมไปอยู่ด้วยไหมครับ”

   “ถ้าให้ตำแหน่งประธานสภา พี่จะไป”

   “งั้นรอรับของตุลาการดีกว่าไหมครับ”

   จากวันนั้นที่ถูกดักเจอหน้าห้องเรียนเพื่อให้กรอกข้อมูลในใบสมัครและแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อเสร็จสรรพ จนมาถึงวันนี้เรียกได้ว่าเขาไม่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มา ประมาณว่าเป็นวันสต็อปเซอร์วิสที่แค่ยื่นบัตรนักศึกษาให้เจ้าหน้าที่หลังจากนั้นก็นั่งรออย่างเดียวพอ

   กะพริบตาครั้งเดียวก็ได้อยู่บนเก้าอี้แล้ว

   เอาจริงก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

   “ก็ว่าไปนั่น มีบางคนอยากได้ใจจะขาดนะ”

   นึกหน้ารุ่นพี่ปีสองคณะเดียวกับพี่ธรรมอีกคนแล้วก็หน่ายใจแปลกๆ การเจอกันครั้งแรกของเราคือการที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาว่า ‘เด็กของธรรม’ ด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนจนเกือบได้วางมวยกับพี่มัจที่อยู่ด้วยกัน คนนั้นก็ใจใหญ่เสียเหลือเกินทั้งที่ตัวเล็กกว่าใครเพื่อน

   จะเถียงกลับก็ทำไม่ได้เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ตอนแรกน่ะเขาเข้าใจว่าที่บอกให้ช่วยหน่อยคืองานเอกสารเล็กน้อย เพิ่งมารู้หลังจากที่ชื่อจริงและนามสกุลของตนไปปรากฏอยู่ในคำสั่งแต่งตั้งตุลาการนักศึกษาปีล่าสุดว่าตนเองนั้นเป็นเด็กปีหนึ่งคนเดียวจากองค์คณะทั้งเก้าคน และยังมีอีกหลายคนที่ต้องการตำแหน่งนี้หากติดเรื่องเงื่อนไขตามโควตาสายการเรียน

   จะว่าไปแล้วระบบโควตานี่มันส่งเสริมหรือว่ากัดกร่อนความยุติธรรมกัน

   “ผมไม่ชอบพี่ต้นหลิวเลยครับ” อาจไม่ถึงกับเป็นพวกพูดขวานผ่าซาก เขาก็แค่รู้สึกสบายใจที่จะเล่าความในใจให้พี่ปีสองคนนี้ฟังเท่านั้นเอง “ไม่เคยรู้จักมักจี่กันสักหน่อยทำไมถึงดูไม่ชอบผมได้ขนาดนี้”

   “ปล่อยมันไปเถอะ”

   “แล้วพี่มัจไม่เห็นมาดู ทำไมพี่ธรรมถึงต้องอยู่ล่ะครับ”

   “มันบอกว่าอยากได้กำลังใจ”

   “มาเอากำลังใจอะไรตอนนับคะแนน”

   หลายครั้งที่รุ่นพี่ที่แก่กว่าเขาหนึ่งปีทำตัวเหมือนเด็กกว่าเป็นสิบปี

   ยอมรับตามตรงเลยว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกันที่ต้องมาอยู่ในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกได้ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ จากชีวิตของเด็กปีหนึ่งที่ควรจะได้เรียนรู้สังคมใหม่เป็นขั้นตอนกลับกลายเป็นว่าเขาถูกอุ้มขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า

   ถามว่ารู้อะไรเกี่ยวกับองค์กรนี้บ้างก็บอกได้เลยว่าเป็นศูนย์ ก่อนการประชุมครั้งแรกเขาต้องมานั่งฟังเลคเชอร์จากพี่มัจฉ์อยู่ประมาณสามชั่วโมงเพื่อให้เข้าใจการทำงานในภาพรวม อำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมี รวมถึงสิทธิพิเศษที่ได้รับจากการอยู่ในตำแหน่งนี้

   ยังไม่ทันได้เข้าใจทะลุปรุโปร่งบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากการเลือกตั้งสภานักศึกษารุ่นถัดไป พอได้อยู่วงในก็เหมือนว่ามีโอกาสซึมซับมันมากกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเห็นพวกพี่เขาออกไปทักทายเหล่านักศึกษาตามส่วนกลางของตึกเรียนรวมหรือไม่ก็แหล่งพลุกพล่าน

   “ฟีนมันบ้า”

   “อันนั้นรู้อยู่แล้วครับ”

   “จริงๆ เดือนสิบกลับก่อนก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็อยู่หอเดียวกับพี่นี่นา กลับด้วยกันสบายใจกว่าเยอะ”

   วันนี้เป็นเวรเฝ้าห้องของเขา ซึ่งตามตารางแล้วมันจะหมดหน้าที่ในอีกราวๆ สามสิบนาทีข้างหน้า หากกิจวัตรที่แสนเงียบสงบในวันนี้กลับถูกทำลายยับเยินด้วยการนับคะแนนเสียงแบบเรียลไทม์บริเวณชั้นล่างสุดของตึก มันก็เริ่มการนับคะแนนแล้วล่ะแต่พี่ธรรมบอกว่าไม่ต้องรีบลงไปก็ได้

   อีกทั้งเขายังไม่เคยได้สัมผัสกิจกรรมอะไรอย่างนี้มาก่อนก็เลยอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างที่เคยเห็นในภาพยนตร์หรือไม่ เหมือนอย่างที่พี่มัจบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกอันแสนน้อยนิดในฐานะของประชาชนในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ

   อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

   อีกส่วนคือเขาอยากจะรู้ว่า ‘โลก’ ของสัทธาเป็นแบบไหน

   “จะลงไปดูไหมเลย ตอนนี้น่าจะคะแนนน่าจะเริ่มนิ่งแล้วล่ะ” เห็นจากที่โชว์ให้คือหน้าจอการอัปเดตจากบางคนบนเฟซบุ๊ก เป็นภาพถ่ายของกระดานนับคะแนนล่าสุด “เหมือนจะได้เก้าคน เยอะอยู่นะ”

   เดือนตุลารับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำงานของสภานักศึกษาคร่าวๆ จากคนที่เดินข้างกันเพื่อลงไปยังชั้นหนึ่ง มันค่อนข้างเป็นคอนเซปต์ที่เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับจุดที่เขากำลังยืนอยู่ ก็ของเขามันเป็นการแต่งตั้งนี่นา ไม่เห็นจะต้องไปหาเสียงเลย วันก่อนเจอพี่ฟีนที่โถงกลางเขาก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน

   จะว่าต้องลงทุนลงแรงก็ใช่อยู่ ถ้าเทียบแล้วเขาน่ะเป็นประเภทของคนที่ไม่มีความคิดจะใส่ใจเรื่องการเลือกตั้งมาตั้งแต่มีสิทธิครั้งแรก เวลาที่มีการลงคะแนนเสียงในโรงเรียนพวกนั้นก็ไม่เคยใส่ใจ เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้ใครขึ้นมานโยบายที่ประกาศปาวๆ ก็ไม่เคยทำได้อยู่ดี

   “จะว่าไปพี่ธรรมเลือกใครเหรอครับ” น่าจะต้องเลือกเพื่อนตัวเองอยู่แล้วล่ะนะ อย่างเดือนตุลาก็เลือกพรรคที่พี่ฟีนสังกัดเพราะได้รับสินบนมาเป็นทาร์ตเค้กผลไม้เจ้าโปรด

   ล้อเล่นนะเรื่องสินบน

   แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกนะ คิดว่าเด็กปีหนึ่งอย่างเขาจะรู้อะไรมากเกี่ยวกับการทำงานพวกนี้เหรอ มันก็เป็นการเลือกตามมารยาทที่บางครั้งก็ไปเกี่ยวข้องกับคะแนนกิจกรรมเท่านั้นแหละ นี่เพื่อนร่วมคณะของเขาหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำองค์การนี้มันมีไว้เพื่ออะไร หน้าที่และความรับผิดชอบมีแค่ไหน

   บางคนก็เลือกที่จะไม่มาลงคะแนนเลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

   เขาน่ะดีหน่อยที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ก็เลยมีโอกาสได้ฟังคำอธิบายการทำงานทั้งตามทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสา ส่วนตอนที่เลือกก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ารู้จักกับพี่ฟีนและถือเป็นคำขอบคุณที่เคยช่วยเขาเอาไว้

   “ไม่ลงคะแนนเสียง”

   “ไม่ลง?”

   “ไม่ลงคะแนนเสียงให้ใครทั้งนั้น” ความไม่เข้าใจคงแสดงออกชัดบนใบหน้า พี่ธรรมถึงได้อธิบายต่อ “เดือนสิบเคยได้ยินที่เขาบอกว่าคนพวกนี้คือตัวแทนของประชาชนไหม”

   นึกย้อนกลับไปว่าเคยเรียนเรื่องทำนองนี้ในชั้นมัธยมปลายหรือไม่ ก็คุ้นอยู่ว่าในช่วงสาธารณรัฐโรมันมีประชากรจำนวนเพิ่มขึ้นก็เลยต้องมีระบบผู้แทน (เซเนท) ขึ้นมาเพราะไม่สามารถให้ทุกคนลงคะแนนเสียงด้วยตัวเองอีกแล้ว

   “คิดว่าเคยนะครับ”

   “เคยแหละ ประเทศนี้ก็สอนประวัติศาสตร์ซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ลบบางส่วนออกไปแบบไม่ไยดีเหมือนกัน”

   “แล้วมันเกี่ยวกับที่พี่ธรรมไม่ลงคะแนนเสียงตรงไหน”

   “ก็เขาบอกว่าคนพวกนี้คือตัวแทนของเรา แต่พี่ไม่เชื่อว่าจะมีใครเป็นตัวแทนพี่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมันจะมีความปรารถนาแบบเดียวกันไปทั้งหมดได้ใช่ไหม ...ยกเว้นร่างโคลนของพี่นะ”

   ช่วงท้ายยังพยายามทำเป็นติดตลกได้อยู่นะคนเรา

   “แล้วพี่ฟีนไม่โกรธแย่เหรอครับ”

   “ช่างมันสิ นี่มันสิทธิของพี่”

   “นึกว่าจะเป็นแบบว่าเพื่อนกันก็ต้องเลือกซะอีก”

  “อย่างนั้นมันไม่ใช่ประชาธิปไตย”

   เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติยามถูกแทรกสอนที่จะเงียบลงไปถนัดตาแล้วคิดตาม นึกว่าอยู่ด้วยกันมาสักพักใหญ่แล้วจะเริ่มเข้าใจตัวตนของเด็กสายสังคมเหล่านี้มากขึ้นแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย สัทธาก็ยังมีชุดความคิดที่ทำให้ประหลาดใจได้เสมอ

   แอบรู้สึกแย่ที่ตัวเองลงคะแนนเสียงด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างนั้นเลย

   “เหลือแปดที่นั่งแฮะ”

   คุยเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้สนใจการลงคะแนน พอรอบข้างที่แสนจอแจหลงเหลือเพียงความเงียบผิดวิสัยนั่นแหละถึงพร้อมใจกันหันไปมองกระดาษน้ำตาลแผ่นใหญ่ที่ใช้จดคะแนน มันไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภา ซึ่งจะนำไปสู่สภาวะการแย่งชิงตำแหน่งประธานแน่นอน

   “น่าจะเนื้อหอมจริงอย่างที่พี่ธรรมบอกนะครับ” ลองบวกลบจำนวนที่แต่ละพรรคต้องการเพิ่มเพื่อการเป็นเสียงส่วนมากแล้วก็คิดว่าน่าสนุกดีเหมือนกัน “รู้สึกดีที่ไม่โดนพวกพี่หลอกมาทำอะไรอย่างนี้เฉยเลย”

   “บอกแล้วว่าได้แค่นี้ ไม่มีทางถึงเลขสองหลักหรอกธรรม”

   ยังไม่ทันได้วิเคราะห์สถานการณ์กันต่อบุคคลที่สามที่อยู่ในบทสนทนาของเราสองคนตั้งแต่แรกก็เดินอาดมาหายังส่วนหลังสุดของห้องด้วยท่าทีแสนสบายใจไม่มีความกังวลเลยสักนิด ผิดกับคนอื่นที่ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่สภาวะตึงเครียดเต็มรูปแบบ

   “มึงทำได้ แต่มึงไม่ทำไอ้สัตว์”

   การลอยหน้าลอยตาไม่แยแสกับสิ่งรอบข้างสร้างความสับสนข้างในความคิดของเดือนตุลาเต็มไปหมด คือตอนนี้พี่ฟีนควรจะสนใจเรื่องจุดยืนของพรรคมากกว่าไหม

   “กูต้องได้กลับคืนไปมากกว่าที่ลงแรง เรื่องอะไรจะให้คนอื่นชุบมือเปิบ”

   “ล่ะยังไงต่อ คนอื่นในพรรคอะ”

   “ไม่รู้ ช่างมัน กูเป็นฝ่ายค้านก็ได้ไม่ซี”

   “เนี่ย มึงก็อย่างนี้อะฟีน”

   “กูทำไมเหรอ” ยิ้มแสยะราวกับซาตานที่กำลังเย้ยหยันความโง่เง่าของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้เห็นจากทิชากร “โอ๊ะ สายแรกมาล่ะ”

   เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงเปิดตัวของนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่กำลังเป็นสตาร์ระดับสูงในเวลานี้ ได้ยินครั้งแรกนี่คือนิ่งไปพักหนึ่งเลย พี่ฟีนจัดการลดเสียงมันลงจนเหลือเพียงระบบสั่นหากไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย

   “ไม่รับก็ตัดสายไป น่ารำคาญ”

   “ไม่ได้สิ นี่คือช่วงสนุกที่สุดเลยนะ”

   “ไปสนุกที่อื่น กูจะพาน้องกลับหอแล้ว”

   “ให้กูขับไปส่งไหม”

   “เฮอะ เชิญมึงไปต่อรองเก้าอี้กับคนอื่นให้สบายใจเถอะ ยังไงคืนนี้อีกยาวไม่ใช่เหรอ”

   ยืนเป็นตัวประกอบที่ไม่มีบทพูดอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ จับใจความได้ว่าต่อจากนี้จะเป็นช่วงของการเจรจาเพื่อรวบรวมจำนวนสมาชิกให้มากพอต่อการเป็นเสียงส่วนมากภายในสภานักศึกษา ซึ่งมันก็อาจจะมาในรูปแบบของการยื่นข้อเสนอเป็นตำแหน่งต่างๆ หรือไม่ก็การรับปากว่าจะมีการดำเนินงานในแนวทางที่ต้องการ

   ไม่จำเป็นที่จะต้องดีลให้เทไปทั้งพรรค เอาแค่จำนวนที่เพียงพอต่อสัดส่วนครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง

   “จำไว้นะน้องตุล อย่าเชื่อที่ใครบอกว่าคะแนนออกแล้วจะจบ” สะดุ้งโหยงยามถูกปลุกออกจากภวังค์ความคิดอันแสนปั่นป่วน เขามองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาของพี่ฟีนเพื่อพบเพียงความมืดสนิทของสีดำ “มันเริ่มต้นจากตรงนี้ต่างหาก”

   ราบเรียบ

   เย็นชา

   ไร้หัวใจ

   “การเมืองมันก็อย่างนี้แหละ”



   ภาพตรงหน้ามันไม่ต่างอะไรกับเดจาวู

   จังหวะการดำเนินเนื้อเรื่องที่เหมือนเดิมแตกต่างกันเพียงตัวละครบางตัวทำเอาเขาต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาว่ามันเป็นช่วงเวลาปัจจุบันไม่ใช่เมื่อสองปีก่อน

   สิบเก้ากับสามสิบสี่เป็นตัวเลขสี่หลักที่ปรากฎอยู่บนนั้น เขาเงยหน้าขึ้นไปมองกระดานแบบดิจิทัลที่รอโชว์คะแนนสุดท้ายภายหลังจากการรวบรวมทั้งหมด ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ว่าสำหรับการประกาศคะแนนจะมีขึ้นในเวลาสองทุ่มตรง

   การเลือกตั้งจบไปแล้วตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นการขนเครื่องเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดกลับมาเก็บไว้ที่ส่วนกลางและรอให้คณะทำงานรวบรวมคะแนนหลังระบบประมวลผลเรียบร้อยแล้ว

   บริเวณชั้นหนึ่งอันเป็นพื้นที่ส่วนกลางกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง มันดูวุ่นวายเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วเมื่อมีกลุ่มทำงานเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยเข้ามาจับจองพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับการรายงานสด คือเขาก็ชอบความพัฒนาของการทำงานอยู่หรอก ติดอยู่ตรงที่ว่ามันดูเกะกะจนมองข้างหน้าไม่เห็นเท่านั้นเอง

   ไม่ใช่เวรในการเฝ้าห้อง และความจริงแล้วมันยังมีรายงานวิชาประวัติศาสตร์รอให้เขากลับไปจัดการ ภาระงานทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความสำคัญกับเขาเลยเมื่อเทียบกับการประกาศผลในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้า

   ต่อให้ไม่อยากสนใจแต่คนที่ถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปแล้วอย่างเขาน่ะไม่สามารถทำใจเมินเฉยกับมันได้ตลอดรอดฝั่ง ผิดกับตุลาการปีสี่เอกเยอรมันที่ไม่แม้จะเฉียดเข้ามาย่างกรายบริเวณนี้ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน

   “แล้วธรรมล่ะ”

   เขาล่ะท้อแท้กับคำถามพวกนี้เหลือเกิน คือถ้ามาด้วยกันก็ต้องเห็นไหม

   “ไม่รู้ครับ”

   เคยเป็นเด็กปีหนึ่งที่ไม่ประสีประสากับการเลือกตั้งเหล่านี้ จากนั้นก็เป็นเด็กปีหนึ่งอีกครั้งที่ได้เห็นว่าการล้างอำนาจเก่าเป็นเช่นไร ส่วนครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สาม...ที่เขากำลังตั้งตารอว่ามันจะเป็นชัยชนะที่ถล่มทลายอย่างที่ประเมินเอาไว้หรือไม่

   อันที่จริงแล้วพี่ฟีนก็สอนเขาว่าถ้าจะให้พูดเต็มปากว่าชนะมันไม่ใช่เพียงแค่การได้เป็นเสียงข้างมากหรือว่าประธานเสมอไป แต่เป็นการสร้างความยำเกรงเหนือทุกคนต่างหาก

   มันก็เป็นเรื่องที่ยากกว่ากันเยอะเลยนะ

   “เหรอ แล้วต้นหลิวเป็นไงบ้าง ประชุมเรียบร้อยดี”

   “ไม่มาครับ เลยต้องเลื่อนการประชุมไปก่อน” พูดแล้วก็หัวเสียขึ้นมาอีกเลย ไม่อยากจะคุยเรื่องเกี่ยวกับท่านสัทธาก็เลยหาหัวข้ออื่นมาทดแทน “แล้วนี่คิดว่าเพิ่มจากปีที่แล้วกี่ที่นั่งดีครับ”

   ถ้าให้เทียบด้วยสายตา ปีที่แล้วมีความตึงเครียดกว่าเพราะชื่อของสัทธาที่อยู่ต่อจากทิชากรในบัญชีรายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เล่นเอาสองของแรงจากคณะนิติศาสตร์มาอยู่ด้วยกันเด็กในคณะให้ความสนใจเยอะนะ

   “น้อยกว่าอยู่แล้ว แต่น้อยกว่าแค่ไหนต้องรอดู”

   “อ้าว”

   “พี่ต้องได้คืนเท่าที่พี่เหนื่อย ใครไม่ช่วยพี่ก็ไม่สมควรได้อะไรไป”

   นี่ก็เดจาวูเหมือนกัน

   เด็ดขาดไม่ต่างอะไรกับคนที่บอกว่าเข้ามาอยู่องค์คณะตุลาการเพราะว่าอยากเล่นสนุก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ฟีนเปรยเรื่องทำนองนี้ให้เขาฟัง คือบางทีคำพูดคำจากของพี่เขาให้ความรู้สึกว่าเรียนสายบัญชีมากกว่าอีก

   ในฐานะคนที่เห็นการทำงานของพี่ฟีนมาตลอดเขากล้าพูดว่าผู้ชายคนนี้จริงจังกับการทำงานในระดับสูงมาก แต่ละนโยบายที่ออกมาประชาสัมพันธ์ต้องผ่านการสอบถามความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจการจากผู้เกี่ยวข้องมาก่อนแล้ว มันจะไม่มีการมานั่งเทียนบนอากาศเป็นอันขาด

   ข้อเสียของมันคือการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการได้จริง อีกมุมหนึ่งมันก็กลายเป็นข้อจำกัดในการทำงานไปโดยปริยาย อย่างบางโครงการที่เห็นผ่านตาของพรรคอื่นคือเขาแทบจะหลุดคำด่าออกมาตรงนั้น คือมันไม่ได้อยู่ในขอบอำนาจที่สภาจะทำได้ แล้วจะไปเสกมาจากไหนกัน

   ก็อย่างว่าล่ะนะ

   ใครใส่ใจบ้างว่านโยบายเป็นแบบไหน

   ใครใส่ใจบ้างว่านโยบายนั้นทำได้จริงหรือไม่

   ใครใส่ใจบ้างว่าคนเหล่านั้นเป็น ‘ผู้แทน’ เราได้จริงหรือเปล่า

   ทั้งหมดนั้นเดือนตุลาไม่เคยฉุกคิดขึ้นมาก่อน เรียนรู้และลองผิดลองถูกจนถึงวันที่กล้าบอกว่ามีประสบการณ์มากพอสมควร ก็เลยบอกตัวเองว่าก็เหมือนกับที่ไม่เคยมีใครสนใจการมีอยู่ของตุลาการไง

   ไม่เคยมีความคิดที่จะสนใจว่ามีใครอยู่ในพรรคบ้าง คิดไม่ออกด้วยว่าสภาพข้างในภายหลังจากที่พี่ฟีนจบไปแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน นั่นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอาการลอยตัวไม่ยี่หระกับผลของคะแนนที่กำลังออกมา สี่ปีของพี่เขาก็น่าจะกอบโกยและสร้างบารมีมามากอยู่

   “แล้วถ้าได้น้อยกว่าเดิมจะไม่เป็นปัญหาอะไรเหรอครับ”

   “ไม่นะ ก็เป็นฝ่านค้านไปสิ” ถ้ายังหัวเราะร่าอย่างนั้นได้ก็น่าจะไม่เครียดจริง “ถ้าจับทางได้หน่อย ขยี้พวกนั้นในที่ประชุมโคตรสนุกอะ”

   รู้สึกดีขึ้นมาเฉยเลยที่ไม่ต้องทำงานฝ่ายเดียวกัน แค่เอาตอนที่ถามคำถามอาจารย์ระหว่างการแข่งไปลองเทียบกับสถานการณ์ในห้องประชุมแล้วเขาก็ไม่อยากจะจินตนาการต่อแล้ว นี่ยังไม่รวมว่าปีที่แล้วพี่ฟีนมีพี่ธรรมเข้าไปช่วยเสริมทัพอีกแรงนะ

   “แต่ทำอย่างนั้นงานจะไม่เดินเหรอครับ”

   “พี่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะพาลไปทุกเรื่องไหมล่ะ” ขอค้านได้ไหมว่าพี่เขาน่ะเป็นเด็กน้อยของแท้เลยล่ะ “เรื่องไหนที่ควรสนับสนุนก็ทำ แต่อันไหนที่เห็นแล้วไม่ถูกตามหลักเราก็ต้องค้าน”

   “แล้วอย่างร่างระเบียบตัวนั้นอยู่ในหมวดไหนเหรอครับ”

   มันพาให้นึกย้อนไปถึงเรื่องที่ปลายเจตน์เคยเล่าว่าส่วนหนึ่งที่พี่ธรรมกลับมารับตำแหน่งประธานตุลาการเพราะว่าต้องการจะช่วยเพื่อนของตน ความร้ายของคนตรงหน้าน่ะมีมากจนเขาสะบัดความกังวลใจนั้นออกไปไม่ได้เลย

   “อันนั้นพี่ค้านสุดใจเลย”

   เราทั้งคู่พร้อมใจกันปิดปากเมื่อได้ยินเสียงซาวน์เช็กจากลำโพงติดตั้งที่กระจายตัวอยู่ตามมุมห้อง หน้าจอฉายโปรเจคเตอร์ขนาดพกพาด้านหน้าสุดของห้องฉายตราสัญลักษณ์ของสภานักศึกษาเคียงคู่กับตราของคณะกรรมการการเลือกตั้งแทนการบอกว่าเนื้อหาของการแถลงจะเกี่ยวข้องกับใคร

   แอบไม่พอใจกลุ่มกิจกรรมที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนักตรงที่พอเริ่มงานแล้วก็ไม่สนใจว่าการใช้เสียงมันจะรบกวนคนอื่นหรือไม่ เดือนตุลาขยับตัวเล็กน้อยไปทางที่พี่ฟีนยืนพิงกำแพงเอามือล้วงกระเป๋าสบายอารมณ์

   ชักอยากจะขอเคล็ดลับวิธีที่ทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นบ้าไปก่อน

   มันเป็นช่วงเวลาเกริ่นก่อนเปิดคะแนนที่แสนเยิ่นเย้อเกินความจำเป็น ยังทำใจให้ชินกับพิธีการล้านแปดพวกนี้ไม่ได้สักที จนแทบจะกลายเป็นว่าพอต้องอยู่กับอะไรพวกนี้นานเข้าระดับความอดทนข้างในก็ยิ่งน้อยลงไปทุกวัน เกือบจะหลุดทำหน้าหน่ายใส่ก็หลายรอบ

   ความตึงเครียดปกคลุมพื้นที่โดยพลันเมื่อเข้าช่วงของการประกาศผลคะแนน จากที่แต่ละพรรคยืนแยกกันเป็นกลุ่มก้อนตอนนี้มันเริ่มผสมกันจนไม่เห็นเส้นแบ่ง เดือนตุลาสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เพิ่มระดับความเร็วขึ้นโดยไม่ได้ร้องขอ มันบอกเขาว่าตอนนี้ทั้งร่างกายกำลังตื่นเต้นกับมันแค่ไหน

   ปีที่แล้วเขาเลือกที่จะหนีกลับห้องตั้งแต่บ่าย ปากบอกปลายเจตน์ว่ามันไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรอกแต่ว่ามือไม่ยอมหยุดอัปเดตผลคะแนนจากเพื่อนคนหนึ่งในเฟซบุ๊กเลย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งพี่ฟีนและพี่ธรรมต้องได้เก้าอี้อยู่แล้วมันก็ยังมีความขุ่นเคืองอยู่ข้างใน

   ตารางคะแนนที่รายงานทั้งคะแนนดิบและตัวเลขของเก้าอี้ที่ได้ภายหลังจากการเข้าสูตรคำนวณฉายขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของพรรคที่ได้เก้าอี้มากที่สุด เสียงเซ็งแซ่ของผู้เฝ้าสังเกตการณ์ และเสียงของคนข้างตัวที่ยังคงโทนปกติไม่แสดงออกถึงสิ่งใด

   “ก็ไม่แย่” สิ่งที่พี่ฟีนทำมีเพียงแค่การหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปที่ฉายอยู่บนโปรเจคเตอร์จากที่ไกลๆ เท่านั้นเอง “น่าจะคุยไม่ยาก”

   สิบห้าที่นั่งเป็นตัวเลขที่เรียกว่าเยอะก็ใช่ น้อยก็ไม่เชิง เพราะการที่จะได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภามันจะต้องได้ยี่สิบสามเสียงขึ้นไป ก็เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่งประธานขนาดนั้นก็รอเล่นตัวกับคนที่จะเข้ามาจีบ หรือไม่ก็เตรียมเป็นฝ่ายค้าน

   ส่วนปีที่แล้วพวกพี่เขาได้มาสิบเก้าที่นั่ง ไปดีลกับพรรคอื่นมายังไงก็ไม่รู้สุดท้ายแล้วได้เกินครึ่งหนึ่งก็เลยได้เป็นเสียงส่วนมากที่คุมทั้งตำแหน่งประธานสภาและประธานกรรมาธิการที่ใหญ่ที่สุด ที่เหลือก็เป็นการแบ่งกันแล้วแต่ตามตกลง

   จนตอนนี้ก็ยังไม่เคยเข้าใจว่าการมีตำแหน่งมันมีผลกับชีวิตแค่ไหน เหมือนการที่แต่งตั้งรองตำแหน่งประธานสภาเป็นจำนวนมากเพื่อให้หัวหน้าแต่ละพรรคไม่น้อยใจ ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดในเอกสารแต่งตั้งปีที่แล้วมีตำแหน่งรองประธานถึงคนที่สี่ มีแต่ทำอะไรไม่ได้น่ะสู้ไม่เอาเลยไม่ดีกว่าเหรอ

   “ถือว่าหายไปเยอะนะ ยังดีที่รู้ก่อน ช่วงท้ายเลยมีเวลาเร่งหาคะแนน”

   “...”

   เดือนตุลาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเรื่องเล่าที่เหมือนการรำพันกึ่งสารภาพอย่างนั้นจากปากของทิชากร

   แสร้งเก็บความตกใจนั้นเอาไว้ข้างในให้แนบเนียนที่สุด ไร้ประโยชน์ที่จะประดิษฐ์คำเพื่อตะล่อมถามในสิ่งที่ตัวเองอยากได้เลยโพล่งออกไปตามที่ใจคิด

   “มันเป็นระบบออนไลน์ไม่ใช่เหรอครับ แล้วก็ห้ามให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป”

   ถ้าเป็นอย่างที่ผ่านมาก็จะใช้วิธีการส่งคนไปประจำทุกหน่วยการเลือกตั้งแล้วจดคะแนนเอาไว้ พวกนี้มักจะรู้กันอยู่แล้วว่าใครจะเลือกพรรคไหน เพราะคนที่ไม่ใส่ใจก็จะไม่มาตั้งแต่แรก หลังประเมินสถานการณ์ถ้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายคือเวลาในการเกณฑ์คนมาเพิ่ม

   ก็คิดว่าปัญหาพวกนั้นจะหายไปหลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ระบบที่ต้องส่งคะแนนเข้าระบบทั้งหมด ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อีก

   หัวเราะสั้นคล้ายกับที่เขาเคยได้รับจากรุ่นพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ “ก็ยังเข้าไปได้นะ ได้ตัวเลขออกมาด้วย”

   “...”

   ไปต่อไม่ถูกเลย

   “อีกกลุ่มก็ทำนะ คิดมากทำไม”

   น่าขยะแขยง

   เขารังเกียจตรงนี้ ตรงที่เขาได้แต่รับรู้ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงการตกลงกันข้างในเพื่อตำแหน่งโดยไม่มีใครเคารพหรือเห็นหัวคนที่เลือกมาเลยสักนิด

   “เอาล่ะ...”

   ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินหน้าเครียดตรงเข้ามาเป็นสัญญาณว่าวงเวียนน่ารังเกียจกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง

   “ได้เวลาเล่นเกมกันอีกแล้วสินะ”


***
   นี่มีพระเอกไว้ทำอะไรนะคะ แต่มาทีไรก็ใจร้ายกับน้องทุกทีเลย ไม่ดีเลยเนอะคะ (หัวเราะ)
   รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ถ้าต้องออกไปข้างนอกก็ใส่หน้ากากป้องกันเอาไว้เนอะ
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบสี่ [28.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 28-01-2020 22:34:09
พี่ธรรมช่วยใจดีกับน้องเดือนสิบบ้างนะคะดุตลอดเลยแต่ก็สอนน้องด้วยความรักเนาะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบห้า [31.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 31-01-2020 18:50:55
บทสิบห้า


   เรื่องพี่ต้นหลิวถูกเลื่อน หมดการเลือกตั้งของพี่ฟีน

   สถานีต่อไปคือการแข่งขันตอบปัญหารอบสุดท้าย

   เดือนตุลามองปฏิทินแผ่นใหญ่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองว่าอีกแค่สองวันเขาก็จะหลุดพ้นจากความทรมานทั้งหมดทั้งปวงแล้ว

   เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องไปช่วยปลายเจตน์เช็กความเรียบร้อยของสถานที่ที่จะใช้แข่งขันอีก ชักอยากจะตัดเพื่อนแต่ถ้าทำอย่างนั้นคงหัวเดียวกระเทียมลีบของจริง

   วันนี้ว่างทั้งช่วงเช้าก็เลยว่าจะออกไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสียหน่อย รู้สึกว่าในช่วงที่ผ่านมาใช้เวลากับการทบทวนน้อยลงจนน่าโมโห เพื่อนในคณะบางคนเริ่มเก็บตัวเตรียมสอบปลายภาคกันแล้วแต่เขายังต้องมาวุ่นวายกับสารพัดเรื่อง

   โอเค เขาน่ะไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยใจรักเต็มร้อยตั้งแต่แรก เรียกว่าเป็นการทำงานแบบมีผลประโยชน์แฝงเลยล่ะ คิดว่าทำปีเดียวแล้วก็จบๆ กันไป พอถูกล้างสมองมากเข้าก็สมยอมที่จะทำต่อในปีที่สอง แล้วก็มาเจอคนใจร้ายหักหลังจนเสียศูนย์ จากนั้นก็ปลงโลกคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วจะทำต่อไปจนจบเลยก็ไม่แย่

   แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงนะเรื่องที่ปีหน้าจะไม่ทำงานแล้ว

   เตรียมหนังสือเรียนและประมวลที่กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามและสามสิบสี่ไปแล้ว กระเป๋าปากกาและขวดน้ำแบบเก็บอุณหภูมิทุกอย่างถูกยัดรวมกันในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ เหลือแค่ว่าปลุกใจให้ลุกออกจากเตียงได้ก็จะสำเร็จไปด้วยดี

   ผุดลุกจากการกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงโดยพลันยามได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ แวบแรกคือนึกว่าจะมีใครเคยมารบกวนถึงห้องบ้าง มันมีแค่ชื่อหรือสองชื่อที่โผล่ขึ้นมา แล้วไม่ว่าชื่อไหนก็ไม่น่าจะมาหาเขาในเวลานี้ได้เลย

   ไม่ระวังตัวด้วยการปลดล็อกประตูโดยไม่มองจากช่องตาแมวก่อน และแค่เห็นการแต่งกายก็ชะงักไปครู่ใหญ่

   “มีหนังสือสัญญาให้ยืมไหม?”

   เข้าประเด็นไม่มีการทักทายอะไรก่อนทั้งสิ้น ตุลกะพริบตาซ้ำอีกสองสามครั้งระหว่างที่ข้างในสมองก็ประมวลผลว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่

   พี่ธรรมในชุดอยู่บ้านอันได้แก่เสื้อยืดตัวโคร่งจากกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยสักงาน กางเกงผ้าฝ้ายขายาวกรอมเท้า ผมยาวถูกมัดเอาไว้ไม่เรียบร้อยจนเห็นปอยร่วงข้างแก้ม อ้อ แน่นอนว่าเสื้อนั้นน่ะไม่ได้ซื้อเองแต่ไปขโมยจากห้องเก็บของส่วนกลางหลังจบงานแหง

   “สัญญา?”

   “อือ หาของตัวเองไม่เจอ”

   “อ่า...คิดว่ามีนะครับ”

   คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรต่อก็เลยเกิดเดทแอร์ขึ้นเสียอย่างนั้น ผู้มาเยือนเลิกคิ้วขึ้นสูงแบบที่เขาเดาความหมายเองว่ามันน่าจะหมายถึงทำไมไม่ไปหยิบหนังสือให้ล่ะ

   “เดี๋ยวรอ”

   “รอข้างในได้นะครับ มันต้องรื้อหน่อย” เพราะว่าเป็นหนังสือที่ใช้ตั้งแต่ปีก่อนเขาเลยเก็บลงลังไปแล้ว “หรือพี่ธรรมกลับห้องไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้”

   มันไม่ใช่ข้ออ้าง ทั้งหมดคือเหตุผลที่ไม่มีอะไรแฝง ก็แค่ไม่อยากให้พี่ปีสี่ต้องมายืนแกร่วอยู่หน้าประตูห้องระหว่างรอเขารื้อกล่องลังกระดาษที่ถูกปิดตายภายหลังจากหมดเทอม

   คณะนิติศาสตร์คือคณะที่ทำลายโลกอย่างรุนแรงในความคิด นอกจากหนังสือเล่มหนาที่อาจจะไม่ได้จบแค่หนึ่งเล่มต่อหนึ่งวิชาแล้วยังมีเหล่าชีตประกอบการสอนที่อาจารย์แจกเพิ่มเติมในห้อง ไม่รวมกับสรุปที่ไม่ได้มีแค่แหล่งเดียวอีกต่างหาก

   ก็ตั้งคำถามอยู่เสมอแหละว่าการเรียนกฎหมายมันควรจะเป็นแบบไหน ใช่แบบที่เขากำลังศึกษาอยู่หรือเปล่า ไอ้การเรียนที่เน้นหนักไปทางการท่องจำแล้วปรับใช้แค่เท่าที่เคยอ่านในหนังสือ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังของกฎหมายสักเท่าไหร่ พอมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็เอาแต่อ้างฎีกาจนน่าหัวเสีย

   “ยืนรอข้างนอกนี่แหละ พักสมอง”

   สงสัยอ่านหนังสือแล้วเจอส่วนที่ไม่แน่ใจล่ะมั้ง “งั้นรอข้างในได้นะครับ น่าจะสะดวกกว่า”

   “ไม่กลัว?”

   ไอ้การกระตุกยิ้มแล้วทวนคำของเขาด้วยเสียงยียวนนี่มันสมกับเป็นพี่ธรรมดีชะมัด

   “ครับ”

   ผ่านมาสามปีจะให้ไม่ชินชาก็คงไม่ได้ ถึงจะยังไม่นับว่าตัวเองเข้าขั้นผู้เชี่ยวชาญแต่เดือนตุลาน่ะมั่นหน้ามากเลยว่าคนที่สามารถต้านทานการปั่นประสาทจากพี่ธรรมกับพี่มัจได้เท่าเขาน่ะแทบไม่มีอยู่เลย

   ขี้เกียจยื้อแย่งกับคนที่ไม่เคยอ่านความคิดออก ก็เลยเปิดประตูค้างเอาไว้อย่างนั้นแทนการบอกว่าอยากจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็เชิญ หรืออยากจะยืนอยู่ข้างนอกก็ไม่ว่า เขาเดินกลับเข้ามาข้างในห้องพักโดยมีปลายทางอยู่ตรงกล่องลังไม่ใช้แล้วที่ไปหยิบมาจากข้างร้านสะดวกซื้อสามกล่องที่วางเรียงต่อกันบริเวณริมหนึ่งของห้อง

   ไล่ดูว่ากล่องไหนที่เขียนเอาไว้ว่านิติปีหนึ่งเทอมหนึ่ง พอเจอแล้วก็นั่งขัดสมาธิเตรียมหาหนังสือเล่มที่ต้องการ น่าเบื่อหน่อยตรงที่ว่าชอบวางเอาไว้ลึกสุดแล้วค่อยเอาพวกชีตกับเลคเชอร์ทับ เท่ากับว่าต้องรื้อออกมาเกือบทั้งหมดนั่นแหละถึงจะเจอที่ต้องการ

   หยิบจับออกมาทีละกองไม่ให้ปนกัน ได้ยินเสียงบานประตูปิดลงเบามือเลยลดระดับความเร็วในการรื้อลงหน่อย เห็นจากหางตาว่าพี่คนนั้นเดินมาพิงตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งขวามือหากทำเป็นไม่สนใจ

   พอได้เห็นซากอารยธรรมของตัวเองเมื่อปีหนึ่งแล้วก็อดทึ่งความขยันในตอนนั้นไม่ได้ คือตอนนี้ขี้เกียจเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยล่ะ ไอ้การจะมาสรุปทีละเรื่องหลังจากหมดคาบเรียนแล้วนี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกวันนี้ทำแค่ก่อนสอบก็พอ

   “จะเอาเล่มบุคคลด้วยไหมครับ จะได้หยิบทีเดียว”

   “เอาแค่นั้นพอ”

   “โอเคครับ” เจอสิ่งที่ต้องการแล้ว เขากรีดตัวเล่มเช็กดูว่ามีกระดาษเขียนเพ้ออะไรสอดแทรกเอาไว้หรือไม่ เมื่อมันไม่มีอะไรที่น่าห่วงแล้วจึงลุกยืนขึ้นมามอบให้อีกคน “นี่ครับ ไว้ค่อยคืนหลังจากแข่งเสร็จเลยก็ได้”

   “ไม่เกินสามวันคืนแหละ”

   “ผมหมายถึงแข่งรอบทั่วประเทศ” พอจบจากรอบนี้แล้วใช่ว่าจะเสร็จสิ้น มันยังมีการแข่งขันรอบทั่วประเทศที่มหาวิทยาลัยของเขาเป็นเจ้าภาพจัดรออยู่ในปีหน้า แต่ตรงนั้นเหมือนว่าปลายเจตน์จะไม่ใช่คนดูแลแล้ว “เทอมหน้าเลยนี่ครับ”

   “มั่นใจว่าจะชนะ?”

   “ก็ถ้าพี่ธรรมบอกว่ามีเด็กเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ด้วยก็ต้องชนะแล้วล่ะครับ”

   ถึงไม่มีเรื่องนี้เขาก็ปักใจเชื่อว่าทีม ‘มิอาจก้าวล่วง’ จะต้องชนะอยู่แล้ว

   “ยังใช้อยู่เหรอ”

   “ใช้?”

   ใจยังจดจ่ออยู่กับเรื่องพี่ฟีนจะตามไม่ทันว่ามันหมายถึงอะไร ตุลมองตามทิศทางที่ปลายนิ้วของพี่ธรรมชี้ไปยังชั้นวางข้างตัว

   อ้อ...

   “แน่นอนสิครับ”

   มันเป็นชั้นวางของใช้ทั่วไปสี่ชั้นที่ทำจากเหล็กฉากเจาะรูสีเทาเอามาประกบกันแล้วเอาไม้อัดแผ่นมารองเป็นฐาน ไม่ได้เป็นงานไม้หรือว่าของสำเร็จรูแบบที่หาได้ในอิเกีย

   “ก็พี่เป็นคนบอกว่าให้ใช้ไปจนจบนี่นา”

   ...

   ‘ต้องใช้ไปจบเรียนจบเลยนะ รู้ไหม’

   ภาพอดีตทาบทับไม่ทันได้ตั้งตัว เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองคนแก่กว่าหนึ่งปีไม่วางตาในการตั้งโครงทั้งสี่มุมขึ้นมาจนมองเห็นว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน แว่นสายตากับท่าการหยิบจับอุปกรณ์ช่างคล่องแคล่วดูไม่เข้ากันเลยสักนิด

   มันเกิดจากการที่เขาไปบ่นให้รุ่นพี่ที่ห้องตุลาการฟังว่าอยากได้ชั้นวางของใหม่ในห้องแต่ก็ไม่อยากซื้อแบบที่สำเร็จรูปแล้วเพราะไม่เจอแบบที่ถูกใจ ที่ชอบก็แพงจนเสียดายเงิน ถึงจะได้ใช้ไปหกปีเลยก็เถอะ ตอนที่พี่ธรรมถามเรื่องรูปแบบการใช้งานคร่าวๆ ก็ตอบไปตามจริงเพราะนึกว่าจะช่วยเสาะหาให้

   ไม่คิดว่าจะได้ข้อเสนอว่าถ้าไม่คิดมากเรื่องความสวยงามก็พอจะช่วยได้ จากนั้นก็ลากเขาไปร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วก็ซื้อของที่จำเป็นมาวางกองไว้ในห้องนี้ จัดการทำให้เสร็จสรรพแบบที่ตุลทำอย่างเดียวก็คือเอาของมาวางไว้

   ขนาดจะเลี้ยงข้าวตอบแทนยังบอกว่าออกแค่ค่าน้ำก็พอแล้วเลย

   เป็นสัทธาที่แสนใจดี จนเขาไม่อยากจะยอมรับว่าในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นจะกลายเป็นคนที่ใจร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา

   “แล้วทำไมที่พี่ให้ทำอีกอย่างถึงไม่ทำ”

   “พี่ควรหยุดถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วนะครับ” เดือนตุลาไม่ลังเลสักนิดที่จะยอกย้อนกลับไป “เพราะพี่ ‘ต้อง’ ได้เป็นประธานตุลาการนักศึกษาไง”


   พอเป็นรอบชิงชนะเลิศแล้วระดับความตึงเครียดแตกต่างกันลิบลับ

   เดือนตุลากวาดตามองรอบห้องเรียนที่แปรสภาพกลายเป็นสนามแข่งขันขนาดย่อมแล้วลอบกลืนน้ำลายเงียบๆ ความกดดันที่แผ่ออกมาจากสีหน้าและท่าทางของทุกทีมเป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ว่าในครั้งนี้จะไม่มีการออมมือให้เหมือนรอบที่แล้วแน่

   ที่บอกว่าทุกทีมคือทุกทีมจริง แม้แต่ทีมของผู้ชายสองคนที่เขาบอกว่ามีอำนาจรวมกันมากกว่าใครก็ยังไม่เข้ามาทักทายหรือว่าหยอกล้อกับเขาที่โต๊ะลงทะเบียนเลย ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยพี่ฟีนก็ต้องเข้ามาเกาะแกะพอเป็นกระสายแล้ว

   คือในภาพรวมแล้วพี่ฟีนก็ยังร่าเริงแหละ แค่ไม่ใช่ในระดับปกติเท่านั้นเอง

   “พอเห็นอย่างนี้แล้วกูไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่มัจเคยชนะพี่ฟีนมาก่อน”

   อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับระดับชาติก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นการแถลงข้อข้องใจว่าเพราะอะไรการแข่งครั้งนี้ถึงมีความหมายกับทิชากรเหลือเกิน พอเพื่อนเขารับรู้เรื่องราวโดยสังเขปแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเปิดกูเกิลขึ้นมาค้นหาภาพหลักฐาน พอมันปรากฏต่อสายตาแล้วก็สบถคำหยาบไม่มีหยุด

   จากที่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลอื่นที่น่าสนกลายเป็นว่าสติแตกแบบที่ว่าเขาต้องกล่อมให้ใจเย็นลงหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าปลายเจตน์เคยไปทำงานให้พี่ฟีนมาก่อนด้วยมีความสนิทชิดเชื้อกันในระดับหนึ่ง แล้วก็รู้จักพี่มัจจากการที่เขาเอาเรื่องความวุ่นวายข้างในออกมาเล่าให้ฟังบ้าง

   “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”

   “แล้วพี่ฟีนนี่จะเก็บกดอะไรขนาดนั้นวะ สี่ปียังไม่สายอย่างนี้เหรอ”

   “นี่ก็สงสัยเหมือนกัน”

   “แต่เป็นกูก็คงแค้นอยู่อะ แพ้คนอย่างพี่มัจ”

   จำไม่ได้ว่าปลายเจตน์เคยมีเรื่องอะไรกับพี่มัจหรือเปล่าถึงเน้นชื่อเสียจนผิดปกติ อาจจะเคยถูกคนนั้นยียวนกวนประสาทเหมือนอย่างที่คนในตุลาการมากกว่าครึ่งเจอมาล่ะมั้ง

   พอเป็นรอบชิงแล้วคนเดินข้อสอบก็ใช้น้องปีหนึ่งแค่สองคนเป็นอันเสร็จสิ้น รวมถึงภาระงานในการลงทะเบียนของเขาก็หมดลงไปแล้ว ตอนนี้มันก็เลยว่างพอที่จะยืนคุยกระซิบกระซาบกันบริเวณมุมลึกสุดข้างเวทีรอจนกว่าการแข่งขันจะจบ

   “พอรู้อย่างนี้อยากรู้เลยว่าพวกพี่เขาจบไปจะทำอะไรกันต่อบ้าง” รู้สึกดีที่ไม่ใช่คนเดียวที่สนใจความเป็นไปของรุ่นพี่เหล่านี้ “พี่ฟีนสายการเมืองแหละ อย่างเรื่องระเบียบที่อยากให้ผ่านให้ได้ก็เพราะจะเอาไปเป็นโปรไฟล์นี่”

   “มั้ง พี่มัจอาจจะเป็นบริษัทที่ได้ใช้ภาษา แต่พี่ธรรมนี่ไม่รู้เลยแฮะ”

   “กูว่าไปเป็น ‘ท่าน’ ต่ออีกรอบ”

   “แต่กูว่าไม่”

   “ทำไม?”

   ยกไหล่ขึ้นประกอบคำตอบ “เซ้นส์มันบอก คนอย่างพี่ธรรมไม่เข้าไปอยู่ในระบบเฮงซวยตั้งแต่วิธีการคัดเลือกอย่างนั้นหรอก”

   การสอบคัดเลือกผู้พิพากษาในประเทศนี้เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเข้าใจ มันแบ่งออกเป็นสามสนามสอบที่เรียกกันว่าสนามใหญ่ เล็ก และจิ๋ว ถ้าจะสอบสนามใหญ่ก็ใช่ว่าจบนิติศาสตร์มาจะสอบได้เลย หลังจากที่ทรมานอยู่ในระบบการศึกษามาตลอดสี่ปีแล้วยังต้องผ่านการสอบเนติบัณฑิตที่เขาเคยอ่านธงคำตอบแล้วไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่าการท่องฎีกาแล้วนำไปตอบในข้อสอบ ไม่เคยมีการคิดวิเคราะห์ที่พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนเลยสักนิด

   แล้วกว่าจะผ่านครบทั้งสี่วิชาที่กำหนดเอาไว้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ถ้าอยากจะทำงานไปด้วยสอบไปด้วยก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่ผ่านได้ในหนึ่งปีก็เป็นพวกที่เลือกเรียนอย่างเดียวไม่เริ่มทำงานทั้งนั้นแหละ ประเภทที่ว่าทำงานไปด้วยอ่านไปด้วยแล้วผ่านนี่มีน้อยพอควร

   ก็คือถ้าจะสอบสนามใหญ่จะต้องมีวุฒินิติศาสตรบัณฑิตจากสถาบันที่ได้รับการรับรองและมีวุฒิเนติบัณฑิต พอเงื่อนไขน้อยก็มีคนสมัครเยอะ ต้องแข่งขันกันสูงไปอีก ซึ่งถ้าทุกคนสามารถแข่งขันกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้จะไม่คิดมากเลย (ต่อให้เขาไม่เห็นด้วยกับวุฒิเนติเท่าไหร่ก็เถอะ)

   มันกลับกลายเป็นว่าระบบนี้ได้เปิดช่องทางอื่นสำหรับคนที่มีได้รับโอกาสทางการศึกษามากกว่า เอื้อให้ความไม่เท่าเทียมขยายตัวออกกว้างขึ้นจนไม่อยากทำใจรับ

   ที่จำกัดคุณสมบัติลงมาอีกขั้นหนึ่งคือสนามเล็ก ซึ่งจะต้องมีวุฒิเนติและจบชั้นปริญญาโทจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง อันนี้คู่แข่งก็จะน้อยลงมาหน่อยตามข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติที่มีมากขึ้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะเรียนต่อชั้นปริญญาโทใช่ไหมล่ะ

   ถ้าคิดว่าสนามสอบมีแค่นั้นจบแล้วเขาจะขอแนะนำสิ่งที่เรียกว่าสนามจิ๋ว ซึ่งผู้สมัครนอกจากจะจบเนติแล้วยังจะต้องจบชั้นปริญญาโทจากต่างประเทศที่มีระยะเวลาสองปี

   ใช่

   ต้องจบนอกและเรียนสองปี [1]

   เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่เรียนนิติศาสตร์ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกสองปีทุกคน อย่างเขาเองถ้าให้ไปถามที่บ้านเองก็อาจจะได้คำตอบกลับมาว่าส่งได้แต่ต้องประหยัดหน่อย ฐานะทางบ้านกลายเป็นการปิดโอกาสในการสอบ มันคือความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

   ยังไม่รวมกับรูปแบบการสอบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละสนาม ในขณะที่สนามใหญ่ต้องใช้เวลามากกว่าสิบสองชั่วโมง [2] ในการสอบตามรายวิชาที่กำหนดไว้ [3] สนามจิ๋วกลับใช้เวลาเพียงประมาณแปดชั่วโมงเท่านั้น [4]

   นอกจากนั้นสัดส่วนคะแนนในรายวิชาก็เช่นกัน ในวิชาภาษาอังกฤษของสนามใหญ่นั้นจัดสรรให้ยี่สิบคะแนน ในการสอบของสนามจิ๋วกลับเทไปทางคะแนนภาษาอังกฤษถึงหกสิบคะแนนจากร้อยเจ็ดสิบคะแนน [5]

   ซึ่งถ้าบอกว่ามันคือการคัดเลือกผู้พิพากษา สัดส่วนของคะแนนควรจะให้น้ำหนักกับกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ภาษาเสียหน่อย ตอนที่เห็นวิชาที่ต้องสอบคราวแรกถึงกับต้องวนไปอ่านซ้ำว่าสนามจิ๋วสอบแค่นี้จริงหรือ

   นี่เคยได้ยินรุ่นพี่ตุลาการที่จบไปปีที่แล้วบ่นเรื่องเอเจนซีเรียนต่อนอก พอบอกว่าอยากไปเรียนทางกฎหมายสิ่งแรกที่นางนั้นจะแนะนำมาคือการบอกว่ามหาวิทยาลัยไหนได้รับการรับรองบ้าง ไม่ใช่ว่าที่ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์หรือสายการเรียนที่สนใจ

   ซึ่งเรื่องที่ชวนหัวเสียที่สุดคือสัดส่วนของผู้ผ่านการสอบจากสนามใหญ่อยู่ที่น้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และสนามจิ๋วอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ [6]

   เป็นขั้นตอนการหาผู้ตัดสินความยุติธรรม

   ที่ไม่ยุติธรรม

   “ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ไหม”

   “กูเคยคิดว่าอาจจะเป็นครู”

   “พอมึงบอกกูนี่เห็นภาพพี่ธรรมพ่นบุหรี่ปุ๋ยหน้าห้องระหว่างสอนเด็กเลย”

   “ไม่ได้ไหมปลาย” ขืนทำนี่ได้โดนทั้งสอบวินัยแล้วก็หยุดการสอน

   “ขอเปลี่ยนเรื่องหน่อย อันนี้คิดนานล่ะ แต่กูยังไม่เคยถามใคร”

   “ว่า”

   “มึงว่าพี่ธรรมกับพี่ฟีนเคยกิ๊กกันป่ะ”

   “...”

   น้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มเกือบพุ่งออกมาดีที่ปิดปากทัน เดือนตุลารีบกลืนลงคอก่อนที่จะหันมาจ้องเพื่อนตาเขม็ง

   “มันน่าสงสัยนะมึง คือพวกพี่เขาสนิทกันโคตรๆ อะ ในเฟซพี่ฟีนกูว่าเห็นรูปพี่ธรรมมากกว่าอีก” ไอ้เรื่องรูปนี่เห็นด้วย คือพี่ฟีนน่ะชอบลงรูปพี่ธรรมทุกอิริยาบถอย่างกับว่าเป็นบันทึกคุณแม่น้องธรรม บางรูปก็ถ่ายดีแต่ส่วนมากคือเป็นตอนทีเผลอทั้งนั้น “แล้วมึงดูดิ เพื่อนมองกันอย่างนั้นเหรอวะ”

   ที่เขาเห็นคือภาพผู้ชายสองคนที่มีกระดาษเอสี่พับเป็นสามเหลี่ยมพิมพ์ชื่อทีมวางเอาไว้ตรงริมขอบด้านนอกสุดของโต๊ะกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดโดยที่พี่ธรรมกำลังกดปากกาลงไปย้ำๆ ตรงจุดหนึ่งในนั้น ส่วนพี่ฟีนก็พยายามชี้ไปอีกจุดแทน

   “กูเห็นเพื่อนสองคนกำลังจะฆ่ากันตาย”

   ตอบตามที่คิด มองไม่ออกเลยว่าที่บอกว่าเพื่อนไม่มองกันอย่างนั้นมันเป็นแบบไหน คือที่เขาคิดน่ะถ้าลุกขึ้นมาต่อยกันได้คงทำไปแล้ว

   ไม่ได้เห็นมุมนี้ของสัทธาบ่อยนัก ภาพในความทรงจำของเขามันจะไม่พ้นพี่ธรรมแสนเอื่อยเชื่อยที่มักจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด ในมือจะต้องมีหนังสือนอกเวลาสักเล่มติดตัวเอาไว้เสมอ ถ้าตัดตำแหน่งประธานตุลาการนักศึกษาไปก็เป็นแค่คนมีอุดมการณ์ที่ลอยไปเรื่อยแค่นั้นเอง

   อาการโกรธหรือว่าโมโหนี่เห็นนับนิ้วได้ ต่อให้พี่มัจจะปั่นประสาทสักแค่ไหนวิธีการรับมือที่ได้ผลเสมอสำหรับพี่เขาคือปล่อยให้มันเริ่มต้นและหยุดไปเองตามธรรมชาติ พอคนหนึ่งเริ่มแล้วอีกคนไม่ตามมันก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว

   จะมีอารมณ์ร่วมในบทสนทนาขึ้นมาหน่อยก็ต้องที่คุยเรื่องการเมืองหรือไม่ก็วิจารณ์อะไรสักอย่างที่อยู่รอบกาย เท่าที่เขาเคยเห็นมากับตาอันที่มีผลกระทบมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องการไม่มีส่วนร่วมของนักศึกษาในกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย

   “มึงมองคนละแบบกับกูอะ”

   แล้วจะให้เดือนตุลาทำยังไงถึงมองแบบเดียวกันล่ะ ตั้งแต่วันแรกมาจนวันนี้สัทธากับทิชากรก็ยังเป็นเพื่อนสนิทแบบที่เขายังย้ำเสมอว่าอยากมีแบบนี้บ้างในมหาวิทยาลัย คนที่พร้อมจะบ้าดีเดือดไปกับเราในทุกก้าวจังหวะของชีวิตน่ะนะ สุดยอดจะตายไป

   “พวกพี่เขาสนิทกัน”

   “เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไงมึง”

   “มึงติดซีรีส์เรื่องอะไรอยู่ปลาย สารภาพมา” หรี่ตาชี้หน้า แล้วอย่าหวังว่าเขาจะยอมรามือง่ายๆ จนกว่าเพื่อนจะสารภาพ

   ”ไม่ได้ติด แค่อ่านหนังสือก็จะตายแล้วไอ้เหี้ย”

   “งั้นนิยาย”

   “ไม่มีเหมือนกัน!”

   ถ้าอย่างนั้นทางที่เป็นไปได้คือปลายเจตน์น่าจะจัดงานมากจนเพี้ยน “ไม่น่าหรอกมึง ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมีจุดสังเกตแล้วไหม”

   พอพูดเรื่องนี้ถึงสะกิดใจขึ้นมา จะว่าไปทั้งพี่ธรรมแล้วก็พี่ฟีนไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับคนรักเลยทั้งคู่ ก็ถ้าเทียบจากโปรไฟล์ในห้องเรียนและกิจกรรมข้างนอกมันไม่น่าจะหลุดรอดมาจนถึงตอนนี้ได้เลย โดยเฉพาะกับพี่ฟีน ยอมรับเลยก็ได้ว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ

   ถ้าจำไม่ผิดต่อให้ย้อนกลับไปตั้งแต่รู้จักกันวันแรกเขาก็ยังไม่เคยเห็นแฟนของทิชากรเลยสักคน

   ประหลาด

   “กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไง”

   “มึงติดนิยายก็ยอมรับมาปลาย”

   แสร้งทำเป็นพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ มือตบบ่าแปะแทนการบอกว่าต่อให้ติดนิยายแค่ไม่ทำให้เสียการเรียนก็พอแล้ว

   “ก็บอกว่าไม่ได้ติดไง”

   ว่าแต่คนอื่นเขา ตัวเองก็ติดนิสัยชอบแกล้งมาเหมือนกันนั่นแหละนะ เดือนตุลากลั้นยิ้มไม่ให้เสียงหัวเราะมันออกมารบกวนการแข่งขัน เอื้อมมือไปแตะตัวเพื่อนให้เข้ามาอยู่ข้างในหลืบก่อนที่จะจะมีอาจารย์เดินมาพ่นไฟใส่

   เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่ออีกสักพักก่อนที่จะกลับมามองตารางคะแนนในช่วงกลางการแข่งขัน ถ้าเป็นรอบแรกเขาอาจจะคิดว่ามันยังคาดคะเนอะไรไม่ได้ ส่วนในรอบนี้ก็คงต้องบอกว่ามันอาจจะระบุตัวผู้ชนะได้ในอีกไม่ช้า

   สายตาของเดือนตุลาเคลื่อนไปจับจ้องอยู่กับผู้ชายผมประบ่าคนนั้น

   “...แต่มันเปลี่ยนจริงนะ”

   “เปลี่ยน?”

   “อืม พอบอกออกไปแล้ว”

   “...”

   “ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลย”



   (ทีมของพี่ธรรมกับพี่ฟีนชนะครับ)

   “ก็ไม่แปลก”

   (วางสายได้แล้วใช่ไหมครับ)

   “เดี๋ยวสิ แล้วนี่ไปไหนกับสองคนนั้นต่อหรือเปล่า”

   (คิดว่าผมอยากจะอยู่กับพวกพี่เขานานเหรอครับ) ท่ากลอกตาที่อีกฝั่งคงไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงออกมาน่ารักจนต้องรีบแคปหน้าจอเก็บไว้ (แต่คิดว่ามีธุระกันต่อ พอประกาศผลเสร็จพี่ฟีนรีบออกไปเลย)

   “เหรอ โอเค บายบายน้องตุล”

   มัจฉ์โบกมือให้รุ่นน้องอีกฝั่งของหน้าจอโทรศัพท์ที่ทำหน้าไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแต่ก็ยอมยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์บอกลาเช่นเดียวกับเขา หัวเราะคิกคักมีความสุขที่วันนี้ได้แกล้งเดือนตุลาจนพอใจแล้ว คืนนี้ได้นอนหลับฝันดีแน่เลย

   วางสมาร์ตโฟนเครื่องสี่เหลี่ยมลงข้างตัว มองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดบานกระจกเอาไว้ตามแบบคนชอบอากาศถ่ายเทเพื่อพบกับความมืดมิดในยามราตรี เขาปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพอสมควรจึงสะบัดหัวไล่อาการล้าสะสมจากการอ่านหนังสือตั้งแต่ช่วงบ่าย

   ลุกออกจากเตียงขนาดสองคนนอนมายังกระจกบานใหญ่ ตารางงานที่ยังมีต่อจากนี้บอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ จัดแต่งผมด้านหน้าที่ยาวเกือบถึงตาให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นจากนั้นจึงเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเป็นสิ่งถัดไป

   ครบหมดแล้วก็รอแค่เวลา นาฬิกาดิจิทัลขนาดใหญ่เหนือกระจกบอกว่าอีกสามนาทีจะเป็นเวลาสองทุ่มตรงที่เขากำลังรอคอย

   ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นระหว่างรอคอยให้เลขตำแหน่งสุดท้ายเปลี่ยนไป เริ่มนับหนึ่งไปเรื่อยเป็นภาษาเยอรมันอย่างที่ถนัดจนได้ยินเสียงสั่นครืดของเครื่องมือสื่อสารบนเตียง ปรายตามองมองหากไม่คิดที่จะเดินไปหยิบเพราะมันมีเพียงแค่คนเดียวที่จะโทรมาในเวลานี้

   สวมรองเท้าแตะแบรนด์ดังไม่เร่งรีบ ออกจากห้องแบบที่ไม่ได้ล็อกประตูหรือว่าปิดไฟก่อน เลือกที่ใช้บันไดหนีไฟในการลงจากชั้นสี่ลงไปชั้นหนึ่งเพื่อซื้อเวลา

   ล็อบบี้ของที่พักมีเด็กในวัยเดียวกับเขานั่งประปราย หากมองปราดเดียวก็รู้ว่าสายตาเกือบทุกคู่จับจ้องไปที่ใด

   ที่เห็นโดดเด่นมาแต่ไกลคือดอกไฮเดรนเยียหลากสีช่อใหญ่ที่บังช่วงแขนของคนตรงนั้นไปเกือบหมด มัจไม่ปิดบังความรู้สึกด้วยการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความสม่ำเสมอที่ไม่ควรจะเป็น

   มันเป็นจังหวะการเดินที่ปกติ

   จังหวะการเต้นของหัวใจที่ปกติ

   จังหวะการยิ้มทักที่ปกติ

   “สุขสันต์ครบรอบวันเลิกกันครับมัจฉ์”

   “สุขสันต์วันเลิกกันครับทิชา”

   และคำอวยพรที่ให้กันเป็นปกติ


***

   [1] ตามระเบียบการแล้วใช้คำว่าเรียนต่อต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี หรือสามารถเรียนหลักสูตรปริญญาโทที่ใช้ระยะเวลา 1 ปี แต่เรียน 2 หลักสูตร (2 ใบ) ได้เช่นกัน
   [2] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/176130
   [3] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362
   [4] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/122603
   [5] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362
   [6] https://www.bbc.com/thai/thailand-45397244 , สถิติปี 61 อยู่ที่ 22.1% ปี 60 อยู่ที่ 33.33%

   ใส่อ้างอิงจนนึกว่ากำลังเขียนเปเปอร์เลยค่ะ (หัวเราะ) เอาจากใจจริงเองก็รู้สึกกังวลเหมือนกันนะคะว่าจะได้รับ reaction ยังไงจากการเขียนตอนนี้ แต่ก็นะคะ ถ้าไม่ได้เขียนคงจะเสียใจไปอีกนานค่ะ (ยิ้ม)
   เจ้าไม่เขียนเพื่อที่จะ blame คนที่มีโอกาสมากกว่า (เพราะถ้าพูดตามความจริงแล้วเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสนั้นมากกว่าเช่นกัน) แต่เจ้าก็แค่อยากเขียนว่าในมุมของเจ้ามันมีปัญหาที่เกิดในเชิงโครงสร้าง การสร้างเงื่อนไขทางการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมอย่างชัดเจน ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้มีอำนาจออกระเบียบไม่แยแสผลกระทบที่เกิดขึ้น และปัญหาที่สำคัญคือการที่พวกเขาไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาค่ะ
   มีอะไรที่อยากเล่าเกี่ยวกับเหตุผลในการการเขียนเรื่องนี้เยอะแยะ แต่เอาเป็นว่าไว้จบก่อนแล้วค่อยเขียนยาวๆ ทีเดียวเนอะคะ เป็นการสร้างแรงใจให้เขียนจนจบด้วย ตอนหน้าเจ้าสัญญาว่าจะเป็นการพักเบรคเล็กน้อยนะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบห้า [31.1.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 01-02-2020 20:53:40
ขอบคุณคุณเจ้านะคะที่แย่งเวลามาแต่งเรื่องดีๆให้อ่านเป็นกำลังใจให้ผ่านการเรียนที่หนักหน่วงไปได้นะคะเราเคยผ่านมาแล้วชนิดต้องอ่านเรฟถึงตีสามทุกวันพร้อมอาหารอ่านไปทานได้จบมาพร้อมนน.ที่เพิ่มพร้อมคุณวุฒิ5555..ตอนนี้ขออนุญาตไปฟินกับพี่มัจกับพี่ฟีนก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบหก [10.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 10-02-2020 18:07:38
บทสิบหก


   สองสัปดาห์กับอีกสามวัน

   คนเรานี่สามารถหายตัวไปเฉยๆ อย่างนี้ก็ได้เหรอ

   เดือนตุลาตั้งข้อสงสัยกับตัวเองยามเปิดดูหน้าหลักของเฟซบุ๊กพี่ฟีนเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ โพสต์ล่าสุดที่ปรากฏต่อสายตาเขายังคงเป็นการแชร์ภาพน้องแมวน่ารักจากทั่วโลกที่กำลังนอนหลับสนิทโชว์พุงไม่สนใจใครแม้แต่เจ้าของที่พยายามจะก่อกวนการนิทรา

   ไล่ลงมาก็จะเจอการผสมที่หาความเข้ากันไม่ได้ของโพสต์หลากหลายหัวข้อ มีตั้งแต่วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดไปจนถึงแชร์เพลงใหม่ของวงดนตรีอินดี้ทางยุโรปที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

   มาหยุดอยู่ตรงที่รูปถ่ายที่อัปโหลดเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นภาพที่จะเรียกว่าตั้งใจถ่ายก็ไม่ใช่แอบถ่ายก็ไม่เชิง อารมณ์ประมาณว่าพี่ธรรมกำลังชี้หน้ามาทางกล้องพร้อมแคปชันว่าท่านประธานที่เคารพ

   แย่ล่ะ...

   ไล่อ่านคอมเมนต์ระหว่างกลุ่มเพื่อนที่แซวกันเกือบเลือดตกยางออกเพลิน พอจะย้อนกลับไปดูรูปอีกครั้งก็กลายเป็นว่าเผลอไปกดโดนปุ่มไลก์เสียอย่างนั้น แต่ว่าเขากดอีกครั้งเพื่อยกเลิกแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง

   เมื่อกี้พี่ทันนะ

   เสียเมื่อไหร่

   พี่ฟีนจะพิมพ์เร็วเกินไปไหมนะ เขายังไม่ทันหายตกใจจากความผิดพลาดเมื่อกี้เลย

   กดโดนครับ

   จะมีมาดให้อีกฝ่ายไล่บี้ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ยอมรับความจริงไปเลยดีกว่า กดส่งแล้วก็ออกจากหน้าจอการสนทนาเลยตามแบบฉบับคนที่ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ถึงยังไงเดี๋ยวอีกฝ่ายก็หาเรื่องมาคุยต่อได้เองตามประสา

   ปิดเทอมเลยว่างเหรอ

   มาส่องเฟซพี่อย่างนี้เขินนะ

   เอาไปอวดธรรมดีกว่า


   ข้อความแรกที่แจ้งเตือนตรงด้านบนของจอไม่น่าสนใจ ข้อความที่สองก็เช่นเดียวกัน หากข้อความที่ส่งมาเป็นครั้งสุดท้ายก็พาให้มือของเขากดเข้าไปอ่านไวกว่าความคิด ตามมาด้วยการพิมพ์ข้อความที่ดูแล้วไม่ได้เป็นดูอยากรู้อยากเห็นจนเกินไป

   ไม่ใช่ว่าเข้าป่าหายสาบสูญไปแล้วเหรอครับ

   พอเห็นว่าอีกฝ่ายอ่านทันทีที่ข้อความส่งไปถึงก็เลยเปลี่ยนใจรอคำตอบ

   ไม่ๆ มันออกจากป่ามาสามสี่วันแล้ว ไปแค่สัปดาห์เดียว

   “...”

   นอกเหนือจากความคาดหมายมากเหมือนกันที่เห็นข้อความสุดท้าย ที่เขาพิมพ์ไปก่อนหน้ามันเป็นแค่การประชดน่ะเข้าใจใช่ไหม แล้วอะไรคือการที่ได้รับการตอบรับว่า ใช่ ไปเดินป่ามาจริงแต่ว่าตอนนี้ออกมาแล้ว

   คือพี่ธรรมไปเข้าป่ามาจริงเหรอครับ?

   ใช่ คราวนี้ไปที่ไหนไม่รู้ ชื่อแปลกๆ


   “...”

   คิดถึงมันเหรอ

   ไปหาที่บ้านไหมล่ะ

   เยาวราชเอง



   ความวุ่นวายจากทั้งการจราจรและนักท่องเที่ยวมหาศาลตรงหน้าเป็นสิ่งที่ทำใจเอาไว้แล้วแต่ก็ยังยอมรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เดือนตุลาสูดลมหายใจเข้าลึกระหว่างมองซ้ายขวารอจังหวะที่สามารถเดินข้ามไปยังถนนอีกฝั่งได้ แต่เท่าที่เห็นแล้วมันไม่เห็นจะมีโอกาสเลย

   “น้องตุลรีบเดินเร็ว”

   ไม่พูดเปล่ายังออกแรงผลักให้ออกเดินอีก ไม่พอใจนิสัยอย่างนั้นแต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินแทรกตามฝูงชนไปตามประสา หน้ามุ่ยแบบไม่คิดจะปกปิดจากทั้งความร้อนแล้วก็ไม่อยากจะทนกับนิสัยเอาแต่ใจของพี่ปีสี่ที่มาด้วยกัน

   ถ้าไม่ติดว่าต้องอาศัยพี่ฟีนนะ เขาไม่ยอมมาด้วยหรอก

   “เดินเร็วกว่านี้ผมได้โดนรถชนสิครับ”

   ซอยขนาดเล็กที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่ามันเป็นทางเดินยาวจนสุดสายตา พี่ฟีนเปลี่ยนมาเดินนำโดยไม่สนใจว่าคนด้านหลังอย่างเขาจะตามทันหรือไม่ บรรยากาศของร้านค้าที่ขายสินค้าจากแดนไกลพาเขาเข้าไปยังอีกโลกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

   มันเหมือนกันว่าเขาวาร์ปข้ามมายังอีกประเทศ ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือขวามันเรียงรายไปด้วยสินค้าที่ดูแล้วก็รู้ว่านำเข้ามาจากประเทศจีนละลานตา มีทั้งแบบของสดแล้วก็ของแห้ง รวมถึงมีร้านขายขนมแบบค้าส่งอีกต่างหาก

   คนข้างหน้าก็ต้องจับตาดูไว้ไม่ให้คลาดสายตา แต่ว่าของสองข้างทางก็น่าสนใจ เขาผู้เติบโตมมากับวัฒนธรรมคนไทยที่ทำได้แต่อิจฉาเพื่อนต่างเชื้อชาติที่ได้รับอังเป่าในวันตรุษจีนแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรอย่างนี้บ่อยนัก

   เข้าร้านอาหารจีนยังนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ

   “นี่เรากำลังเดินไปที่ไหนเหรอครับ”

   “บ้านธรรมไง”

   “ในซอยนี้?”

   “ใช่ เนี่ยอีกไม่กี่ห้องก็ถึงแล้ว”

   เขาถามด้วยความสงสัย “พี่ฟีนมาบ่อยเหรอครับ”

   “ก็หลายครั้งนะ มาแล้วอิ่มท้องตลอดเลยชอบมา”

   แล้วพออยากจะเลี้ยวตรงไหนก็ทำ เดือนตุลาเกือบจะเบรกหน้าทิ่มตอนที่คนนำทางหักหัวเลี้ยวไปทางขวาแล้วเดินอาดเข้าไปในร้านขายอาหารแห้งแถมยังตะโกนเสียงดังหน้าตาเฉย

   “ม๊า ลูกชายตัวจริงกลับมาทวงความยุติธรรมแล้ว!”

   “ยุติธรรมเหี้ยอะไรของมึง”

   ยังไม่ทันได้สำรวจรอบข้างก็ต้องรีบหันหน้าตรงมาหาต้นเสียง และภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาเผลอทำตาโตใส่สิ่งที่เห็น

   ผิดคาด

   ใช้คำนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว

   ก็ใครมันจะไปคิดว่าเขาจะได้เห็นท่านประธานตุลาการนักศึกษาในสภาพผมมัดลวกๆ เอาไว้ข้างหลัง ชุดเสื้อผ้าโปร่งสไตล์จีนจ๋านั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ตรงเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ข้างตัวก็มีหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษเปิดทิ้งค้างเอาไว้อยู่ล่ะ

   ถ้าเหล่าเพื่อนคนป่าของพี่เขามาเห็นบอกได้เลยว่าล้อไปอีกสิบชาติ

   “มาทำอะไร”

   “คิดถึง”

   ต่อให้ในร้านจะมีลูกค้าเดินไปมาเป็นระยะพี่ฟีนก็ดูไม่สะทกสะท้านสักนิด พี่เขายืนเท้าโต๊ะประจันหน้าลูกชายเจ้าของร้านจากอีกฝั่งไม่คิดว่ามันลำบากคนที่จะเอาสินค้ามาจ่ายเลยสักนิด

   เนี่ย ถ้าปลายเจตน์ได้ยินประโยคเมื่อกี้นะมันจะต้องเอาไปตีความเองอีกแน่

   “เรื่องของมึง”

   “โห นี่เพื่อนถ่อมาหาถึงบ้านเลยนะ”

   “ไม่ได้เชิญ” ท่าทางไม่รับแขกจนเขาสงสัยว่ามานั่งเป็นฝ่ายเก็บเงินได้ยังไง” พี่ส้มไปเรียกม๊าให้หน่อย บอกว่าลูกชายตัวจริงมาหา”

   ช่วงหลังพี่ธรรมหันไปคุยกับผู้หญิงอายุราวสามสิบกลางๆ ที่ยืนเติมสินค้าอยู่ไม่ไกล เธอพยักหน้ารับแล้วก็หายยังส่วนหลังของบ้านปล่อยให้ผู้มาเยือนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แล้วไอ้ชื่อที่ใช้เรียกนั่นมันเต็มไปด้วยคำประชดเต็มที่เลยน่ะนั่น

   “ม๊าอยู่ไหนอะ”

   “ดูละครอยู่ชั้นสอง โคตรติดอะเรื่องนี้”

   “แนวชอบล่ะสิ”

   “เออ กูนั่งฟังด้วยแค่ไม่กี่นาทียังโคตรรำคาญ แต่ความสุขของเขาไม่อยากไปขัด”

   “งั้นกูขึ้นไปหาข้างบนเลยดีกว่า เผื่อว่าจะนั่งดูด้วย”

   มองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ที่พาเขามาเดินหายไปยังมุมหนึ่งที่น่าจะเป็นบันไดทางขึ้น พอไม่เห็นทั้งร่างแล้วจึงหันกลับมามองคนที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้นวมเช่นเดิม เดือนตุลาไม่รู้ว่าควรจะสงสัยอะไรก่อนแล้ว เอาเป็นว่าข้อสรุปคือที่ได้ให้กับตัวเองคือว่าพี่ฟีนไม่ได้สนิทกับแค่พี่ธรรมแต่ว่ารวมถึงคนอื่นในครอบครัวด้วย

   “ไปเอาเก้าอี้ตัวนั้นมานั่งก็ได้”

   “อ่า...ครับ”

   ทำตามโดยไม่คิดจะสงสัยอะไรทั้งสิ้น เดินไปหยิบเก้าอี้ไม้แท่นกลมงานเก่าที่มีลวดลายแบบจีนทาเคลือบเอาไว้มาวางบริเวณมุมหนึ่งของโต๊ะที่เล็งแล้วไม่น่าจะรบกวนการซื้อขาย เกร็งจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก็เลยหันไปมองรอบร้านหนึ่งรอบจากนั้นจึงวนกลับมายังคนที่เริ่มอ่านหนังสือไม่สนใจโลกอีกครั้ง

   ช่วยสนใจกันมากกว่านี้หน่อยได้ไหมสัทธา

   คิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรเลยถามในเรื่องที่โผล่ขึ้นมาเป็นอย่างแรก “พี่ฟีนมาหาบ่อยเหรอครับ”

   “ไม่บ่อย แต่แทรกซึมเก่งฉิบหาย”

   “อ๋อ แล้วไปเดินป่าเป็นไงบ้างครับ”

   “ก็ดี ฝนตกเยอะกว่าที่คิดนิดหน่อย แต่ภาพรวมโอเค”

   “อ้อ...”

   มันก็ทั้งเขาคิดเรื่องคุยต่อไม่ออกแล้วอีกฝ่ายก็ออกตัวชัดว่าไม่อยากจะคุยนั่นแหละ เดือนตุลาย่นจมูกให้กับกลิ่นของแห้งที่ไม่คุ้นเคย หันมองไปเกือบทุกทิศเป็นการสำรวจว่าในร้านขนาดหนึ่งห้องนี้มีอะไรขายบ้าง มันมีทั้งของที่เขารู้จักดีอยู่แล้วอย่างพวกเห็ดหอมแห้ง ของที่เขารู้แค่ว่ามันใช้ประกอบการทำอาหารจีน แล้วที่อยู่ข้างหลังเขาตอนนี้ก็เป็นพวกเครื่องปรุงรสแบบจีนแพกเกจไม่คุ้น

   เสียงพนักงานหน้าร้านแนะนำสินค้าสลับกับบอกราคาดังมาเป็นระยะ เขามองลูกค้ารายล่าสุดหยิบจับถุงพลาสติกที่บรรจุกระเพาะปลาแห้งไว้เพื่อเทียบคุณภาพสินค้าพลางคุยเป็นภาษาจีนกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พอได้ที่ต้องการแล้วก็จ่ายเงิน

   “สี่ร้อยยี่สิบนะ”

   “ใช่”

   หันกลับมาสำรวจคนเก็บเงินบ้าง พี่ธรรมรับแบงก์สีเทาจากมือของอีกคนมาถือไว้เอง จากนั้นก็เปิดเก๊ะด้านข้างจนได้ยินเสียงไม้เก่าครูดไปกับล้อเลื่อนที่เสื่อมสภาพแล้ว อากัปกิริยาหยิบจับเงินทอนแล้วนับซ้ำเพื่อความแน่ใจไม่มีเงอะงะติดขัดบอกว่ามันเป็นเรื่องคุ้นเคย

   นี่ก็ผิดคาดอีกเรื่อง

   “คอมนี่ไม่ได้เอาไว้เก็บเงินเหรอครับ”

   “เปล่า ไว้ให้แม่พี่ดูซีรีส์”

   “...”

   “แต่พอระบบจ่ายเงินเข้าที่คงได้ใช้มากกว่านี้แหละ”
   
   รู้ได้ยังไงนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ คือตอนแรกน่ะเขาคิดว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ใช้สำหรับคำนวณรายการการสั่งซื้อทั้งหมดเพื่อลดข้อผิดพลาด ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นการใช้เพื่อความบันเทิงเลยสักนิด

   จากคนนั่งเก็บเงินก็ลุกขึ้นเปลี่ยนหน้าที่ไปจัดของขึ้นชั้น ตอนแรกเขาก็ว่าจะอาสาช่วยอีกฝ่ายก็ดักเอาไว้ก่อนว่านั่งเล่นต่อไป ดูแค่นี้ก็บอกได้เลยว่าพี่เขาทำเรื่องพวกนี้จนชิน

   “แล้วฟีนมันไปหลอกอะไรถึงมาด้วยกัน”

   “ไม่ได้หลอกครับ ชวนธรรมดาเลย”

   “เหรอ”

   ตามมารยาทที่พึงมีแล้วพี่ธรรมควรรู้ไหมว่าถ้าเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็ควรจะสานต่อน่ะ ไม่ใช่ว่าพอได้ที่ต้องการแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือต่อหน้าตาเฉย

   ต่อให้ในร้านมีพัดลมเครื่องใหญ่เปิดส่ายไปมาจนรู้สึกว่าอากาศมันมีการถ่ายเทตลอดเวลา เขาก็ยังอึดอัดเล็กน้อยกับความเงียบที่ก่อตัวขึ้นรอบตัว ชักอยากจะขึ้นไปบอกพี่ฟีนว่าหยุดดูละครแล้วลงมาให้ช่วยเชียร์อัปบรรยากาศให้ดีกว่านี้หน่อย

   หรือว่ากลับเลยดีนะ เพราะยังไงเขาก็แค่อยากมั่นใจว่าพี่ธรรมยังมีชีวิตอยู่แค่นั้นเองนี่นา

   (ธรรม!!!)

   สะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงดังทะลุออกมาจากลำโพงขนาดพกพาข้างตัว เลิ่กลั่กกับสถานการณ์ที่ทำนายแนวโน้มไม่ได้ว่าดีหรือร้าย นั่นคือเสียงของคุณแม่พี่ธรรมหรือเปล่า แล้วทำไมต้องเรียกลูกชายเสียงดังอย่างนั้นด้วยล่ะ

   เจ้าของชื่อคั่นหนังสือหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ด้วยนิ้ว เอื้อมตัวไปหยิบเอาเครื่องกระจายเสียงขนาดเล็กมาถือไว้

   “อะไรม๊า”

   (ฟีนบอกว่ามีน้องอีกคนมาด้วย)

   “ม๊าก็เห็นจากกล้องแล้วปะว่ามีอะ”

   (เออ ก็เห็นไง) ขิงก็ราข่าก็แรง ไม่แปลกใจแล้วว่านิสัยที่ดูเงียบแต่ถึงเวลาก็ฆ่าเรียบไม่ยอมคนนี่มาจากไหน (พาน้องออกไปเที่ยวเลย มาถึงเยาวราชทั้งที)

   “เฝ้าร้าน ให้ฟีนพาไปดิ”

   (ให้ส้มเฝ้า แล้วหยิบไปเลยพันนึง เลี้ยงน้องด้วย)

   เก็บไว้เป็นเกียรติประวัติว่าวันนี้เขาได้เห็นคนที่สัทธาปราชัยด้วยแล้ว คือพอออกคำสั่งทั้งหมดเสร็จคุณแม่ของพี่ธรรมที่เขายังไม่เห็นหน้าก็ปิดการเชื่อมต่อทันที ปล่อยให้ลูกชายเรียกชื่อทวนอีกสองสามครั้งจนแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถอุทธรณ์คำสั่งได้จึงกันมามองหน้าเขานิ่งๆ

   ปลายนิ้วของสัทธาชี้ไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีจุดไฟสีแดงกับกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ “ไหว้ผ่านจอไปก่อน แม่พี่ดูอยู่แหละ”

   ไม่เต็มใจที่จะทำเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากขัด เดือนตุลาโบกมือให้กับกล้องบนเพดานตัวนั้นสองสามครั้งก่อนที่จะได้ยินเสียงเชื่อมต่อสัญญาณผ่านลำโพงอีกรอบ แล้วพอเขายกมือขึ้นมาไหว้ก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาด้วย

   นี่ดูละครหรือว่านั่งจับตาดูลูกชายเฝ้าร้านกันแน่ ระแวงไปก่อนแล้วร้อยแปดว่า ‘ลูกชายตัวจริง’ ข้างบนนั้นจะใส่สีตีไข่อะไรไปบ้าง จะบอกว่าเขาเป็นใคร รุ่นน้องที่คณะ รุ่นน้องที่ตุลาการ หรือว่าจะเรียกด้วยฐานะอื่นที่ชวนให้เข้าใจผิด

   ตัดสินใจผิดของแท้ที่มากับพี่ฟีน


   จากนั้นแล้วคนที่โดนคำสั่งให้เป็นคนนำเที่ยวก็แค่วางหนังสือลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ หยิบกระเป๋าเงินใบโทรมกับโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้แตะต้องลิ้นชักเก็บเงินอย่างที่คนเป็นแม่บอก จากนั้นก็พูดกับเขาสั้นๆ ว่าให้ลุกขึ้นเท่านั้นเอง

   พี่ธรรมเดินไปฝากงานกับพนักงานหน้าร้านคนเดิมสองสามประโยคจากนั้นก็หันมาทำพยักพเยิดให้เขาเป็นเชิงว่าจะไม่ไปเหรอ จากที่คิดว่าตอนแรกจะกลับบ้านเลยในเมื่อมันมีโอกาสที่ดีกว่านั้นเขาก็เลยตามเลย คิดเสียว่าได้มาเที่ยวในแหล่งที่ไม่ค่อยได้มาสัมผัสมากนัก

   คือปลายเจตน์ก็เคยชวนมาเดินหาของกินยามวิกาล หากว่าระยะทางจากตรงนี้ถึงบ้านของเขาเรียกได้ว่าคนละมุมเมือง กว่าจะมาถึงแล้วกว่าจะได้กลับคงมืดค่ำ แถมพวกขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้สะดวกในการต่อรถเลยสักนิดเดียว ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้เขาเฉียดมาละแวกนี้นับครั้งได้

   “เดี๋ยวพาไปไหว้พระก่อน แล้วค่อยเดินวนออกไปข้างนอก”

   “ได้ครับ”

   ตอนนี้จะนำทางไปที่ไหนเขาก็ไม่มีขัดทั้งนั้น ผู้คนจำนวนมากที่เดินสวนไปมาตลอดเวลาบีบช่องการเดินให้สะดวกต่อการเดินแบบแถวเรียงเดี่ยวมากกว่าหน้ากระดาน มันก็เลยต้องให้พี่ธรรมเดินนำไปก่อนแล้วเขาก็รีบสาวเท้าตามให้ทัน

   ยังตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยสินค้าเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านขายกระดาษไหว้เจ้าที่เดินผ่านไม่กี่วินาทียังเห็นถึงความหลากหลายและล้ำลึกที่น่าประทับใจ มีทั้งโมเดลบ้าน รถ แล้วยังมีพวกแท็บเล็ตอีก อีกหน่อยต้องมีส่งกระดานหุ้นไปให้แน่

   “อะ ไหว้ตามสบาย ไม่ต้องรีบ”

   จุดแรกของการเดินทางคือศาลเจ้าแบบจีนที่เขาอ่านชื่อแล้วไม่กล้าออกเสียงเองเพราะกลัวผิดโทน บรรยากาศแบบจีนจ๋าทำเอาเขาเงอะงะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็เลยแอบเหล่มองคุณยายด้านข้างแล้วทำตาม ระหว่างที่พนมมือขึ้นมาตรงอกก็คิดไปก่อนแล้วว่าถ้าสวดเป็นภาษาไทยแล้วองค์พระจะเข้าใจไหม

   ตั้งสมาธิอยู่กับตัวเองสักพักจนสบายใจที่จะออกมาเจอพี่ธรรมยังยืนล้วงกระเป๋ารออยู่ตรงส่วนนอกของศาลไม่ขยับไปไหน ขอบอกเลยว่าการแต่งกายอย่างนี้สุดแสนจะเข้ากันกับสถานที่

   “ปกติพี่ธรรมสวดเป็นภาษาอะไรครับ” ยังสงสัยอยู่เลยถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า “คือเมื่อกี้ผมคิดขึ้นมาว่าถ้าผมภาวนาเป็นภาษาไทยแล้วเทพเจ้าจะเข้าใจไหม”

   “พี่พูดตามแม่ แม่ให้พูดอะไรก็พูดตาม ไม่เข้าใจความหมายหรอก” เยี่ยมมากเลยสัทธา เขารู้สึกดีขึ้นมาเลยทีเดียว “ขนมจีบไหม ร้านนี้อร่อยดี ฟีนมันก็ชอบ”

   อยากจะหยุดตรงไหนก็หยุดไม่เกรงใจคนเดินตามหลังมาสักนิด เดือนตุลาพยายามทำตัวลีบให้เกะกะคนสัญจรไปมาน้อยที่สุดระหว่างมองเข้าไปในร้านติ่มซำที่บอกว่าอร่อย เมื่อนึกย้อนไปว่าเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ทานแค่นิดเดียวเลยตอบตกลงไป

   “ฮะเก๋า ซาลาเปา หมั่นโถว?” คือไม่อยากจะเหมารวมหรอกนะ แต่ความคล่องแคล่วในการไล่ชื่ออาหารแต่ละชนิดนี่น่าประทับใจชะมัด “หรือว่าเอาพวกพาย ทาร์ตไข่ก็ดี”

   “เอาที่พี่ธรรมคิดว่าอยากลองแล้วกันครับ”

   ต่อให้ไม่ได้หยิบเงินมาตามที่คุณแม่บอกพี่ธรรมก็ยังเป็นคนจ่ายทั้งหมดอยู่ดี เขาเลยไม่อยากเรื่องมากสักเท่าไหร่เลยปล่อยตามเลย เข้าใจเลยที่พี่ฟีนบอกว่าชอบมาหาพี่ธรรมเพราะจะไม่มีเวลาให้ท้องว่าง นี่ขนาดว่าเพิ่งมาไม่เท่าไหร่ก็ได้ของกินจำนวนไม่น้อยแล้ว

   ฟังรายการอาหารที่สั่งไปไม่มีการหยุดคิดเพื่อตัดสินใจอย่างกับว่าเป็นอาหารมื้อเช้าในทุกวันอยู่แล้ว แถมยังมีการเอ่ยขำขันขอของแถมจากพนักงานอีกต่างหาก ถึงว่าทำไมถึงตีสนิทกับเจ้าของร้านกาแฟตรงใต้ตึกของคณะได้รวดเร็วปานนั้น มีประสบการณ์ตรงนี่เอง

   ได้ของที่ต้องการแล้วโดยที่มีผู้ชายสูงวัยคล้ายกับเหล่าเจ้าของร้านหรือไม่ก็คนดูแลร้านเตือนความจำมาว่าอย่าลืมกลับไปบอกให้แม่พี่ธรรมส่งรายการอาหารที่จะสั่งมาด้วย

   สินค้าที่ขายสองข้างทางไม่ใช่อะไรที่เขาจะซื้อกลับไปทำอาหารทานเองหรือว่าฝากคนที่บ้าน มันก็เลยเป็นการเดินทอดน่องสำรวจเสียมากกว่า เขาเพิ่งรู้ว่ามันมีวัตถุดิบสำหรับการปรุงที่หลากหลายขนาดนี้ รวมถึงขนมสำหรับไหว้ในเทศกาลต่างๆ ของชาวจีนด้วย

   เพิ่งเดินผ่านร้านที่ขายชาแห้งใส่ถุงกระสอบใสวางเรียงกันจนเต็มหน้าร้านแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ คือมันมีตั้งแต่แบบที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านไปจนถึงแบบชาดอกไม้ที่มัดมาเป็นก้อน แล้วมันก็ยังมีแบ่งยิบย่อยจนเขาต้องหยุดเพื่ออ่านรายละเอียดที่เขียนเอาไว้
   
   “อย่างนี้จะรู้ได้ยังไงครับว่าใครชอบแบบไหน”

   “ก็ลองไปเรื่อย พี่อยากกินแบบไหนก็เดินไปบอกอาแปะร้านข้างๆ แล้วก็ตักมาลอง”

   “แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”

   คิดภาพออกเลยที่บอกว่าเดินไปหยิบมาหน้าตายน่ะ คือบอกเลยว่าหมดมาดความเป็นประธานที่องค์การสุดแสนจะเกรงใจ

   “ได้ ฟีนแม่งขโมยกลับไปตลอดอะ ไม่ต้องคิดมาก”

   อยากจะบ้าตายเหลือเกิน เรื่องอย่างนี้นี่สามารถพูดออกมาได้หน้าตาเฉยเลยเหรอ แล้วพี่ฟีนนี่สรุปแล้วมาเพื่อของฟรีจริงๆ ใช่ไหมนะ ไม่เห็นจะมีตอนไหนที่พี่ธรรมหยุดพูดเรื่องของกินเลย

   “เขยิบไปอีกฝั่ง ร้านนั้นไม่ถูกกับแม่พี่”

   “อันนี้ลูกเขาเคยได้เกรดน้อยกว่าพี่ตอนเรียนม. สี่ จากนั้นคือไม่คุยกันอีกเลย”

   “เออ เดี๋ยวบอกม๊าให้โกว ไม่ลืมๆ”

   ถึงจะไม่ใช่การเล่าที่ต่อเนื่องจนเป็นเนื้อเดียวกันแต่มันก็ยังดีกว่าช่วงแรกที่แทบจะไม่มีเสียงใดหลุดออกจากบ้าน ตุลเป็นฝ่ายเงียบแล้วรอถามในบางส่วนที่เขาอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าไม่มีตรงไหนที่สนใจถึงขั้นอยากจะรู้ให้ได้ก็ปล่อยให้พี่ธรรมเล่าตามใจไปเรื่อยเปื่อย

   สัทธาโตมากับสถานที่แห่งนี้สินะ

   เดินมาจนถึงหน้าซอยที่ออกมากับพี่ฟีนตั้งแต่ทีแรก ปริมาณของรถราและผู้คนที่เขากะด้วยสายตาแล้วนอกจากจะไม่น้อยลงมันเหมือนจะเพิ่มเติมตามช่วงเวลาที่คล้อยเย็นลงไปเรื่อยๆ ถ้าเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในถนนเส้นนี้รับรองว่าต้องบอกที่บ้านว่าย้ายสถานเดียว

   “อยากกินขนมปังที่ต่อคิวยาวๆ ไหม แต่พี่เฉยๆ นะ”

   “ผมไม่มีความอดทนที่จะรอคิวขนาดนั้นหรอกครับ”

   “งั้นอยากกินอะไร จะได้พาไปถูก”

   บทจะโยนมาให้ตัดสินใจทันทีนี่เมื่อไหร่จะเลิกทำ เขาไม่ได้เป็นคนที่มีปฏิกิริยาตอบรับฉบับพลันแบบที่ถามอะไรมาก็ตอบได้เลยสักหน่อย มันก็ต้องขอเวลาในการคิดและตัดสินใจบ้างสิ

   “เอาที่พี่ธรรมคิดว่าโอเคแล้วกันครับ ผมได้หมดล่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวแวะซื้อน้ำปั่นแล้วไปกินบะหมี่ปูกัน”

   ร้านน้ำปั่นของพี่ธรรมอยู่ไม่ไกลจากจุดข้ามทางม้าลายหน้าถนน หลังจากที่เขาต้องใช้สกิลในการเดินผ่าฝูงจนโดยไม่หลงกับคนนำทางมาได้แล้วก็ต้องมาหาที่ยืนที่ดูแล้วไม่รบกวนทางเดินอีก ย้ำอีกครั้งว่าเขาพูดจริงนะที่บอกว่าไม่มีทางอาศัยอยู่ละแวกนี้ได้แน่นอน

   ทุกอย่างเป็นธรรมชาติจนสัมผัสได้ว่ามันคือกิจวัตรปกติของสัทธา ตั้งแต่การหยิบเอากระดาษมาเขียนรายการที่สั่งแล้วก็มีการย้ำกับคนรับออเดอร์ว่าขอแบบไม่หวานจนเกินไป

   “ลองอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าบ้าง เผือกปั่นนี่เมนูเด็ดเลยนะ”

   ระมัดระวังไม่ให้หลุดมาดรุ่นน้องที่ไม่กล้าหืออือ ก็คือเจ้าตัวน่ะสั่งน้ำที่บอกว่าเป็นเมนูเด็ดให้เขาแต่ตัวเองน่ะเลือกยาคูลย์ปีโป้ปั่นที่มีการเน้นว่าขอเพิ่มพิเศษปีโป้

   รับเอาน้ำปั่นในถุงพลาสติกที่ใช้เชือกฟางมัดแทนหูหิ้วมาถือเอาไว้เก้กัง ยกมันขึ้นในระดับสายตาเพื่อวิเคราะห์ความแน่นหนาสำหรับรองรับน้ำหนัก ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าไหร่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยปล่อยเลยตามเลย รสชาติแรกรับสัมผัสคือความหวานจากธรรมชาติของเผือกที่ไม่คุ้นเคย

   “ที่จริงในซอยนั้นก็สำเพ็ง เคยมาเดินไหม”

   “เหมือนจะเคยมาซื้อของทำงานกีฬาสีกับเพื่อนนะครับ แต่ว่าก็นานล่ะ”

   “ก็ยังวุ่นวายแบบเดิมแหละ แต่เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน”

   “แล้วที่ร้านบะหมี่อยู่ตรงไหนเหรอครับ”

   “เดี๋ยวเดินจนถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปล็อกนึงก็เจอแล้ว”

   รับฟังเรื่องราวครั้งยังเยาว์วัยไม่ขัดจังหวะ ซูฮกคนที่ต้องนั่งรถเมลกลับบ้านทุกวันหลังเลิกเรียนสมัยมัธยม ยิ่งช่วงเทศกาลคือแทบจะเป็นบ้าตาย มีการบอกด้วยนะว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยได้หยุดเรียนในวันตรุษจีนเลยเพราะแม่บอกว่ามันไม่จำเป็น ตั้งใจเรียนไปเถอะ

   แม้กระทั่งตอนที่เดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวพี่ธรรมก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจได้เช่นเดิม มีอย่างที่ไหนพอสั่งแล้วต้องบอกคนขายว่าไม่ต้องแถมเกี๊ยวพิเศษมาให้ ถึงจะกำชับเอาไว้เสียดิบดีปริมาณอาหารในชามตรงหน้าเขามันก็ยังเยอะจนเกือบทานไม่หมดอยู่ดี

   แน่นอนว่าในมื้อนี้เขาก็ยังไม่ต้องหยิบกระเป๋าเงินตัวเอง เจ้าถิ่นได้ทำการจ่ายเงินในราคาสั่งแบบพิเศษแล้วจบลงด้วยการถูกเจ้าของร้านยื่นเงินกลับมาพร้อมคำขู่ว่าจะรับกลับไปโดยดีหรือว่าให้เอากลับไปให้แม่ถึงบ้าน พอมาถึงบ้านแล้วนอกจากของทานเล่นที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วแม่ของพี่ธรรมยังมีเตรียมของฝากเอาไว้แล้วอีกต่างหาก

   แย่ที่สุด

   เจออย่างนี้เข้าไปใครมันจะไปหยุดชอบได้ล่ะ


***

   กลับมาจากหนีเที่ยวแล้วค่ะ (ยิ้ม) ให้เป็นตอนพักเบรกก่อนที่จะหนักไปยาวๆ เลยแล้วกันนะคะ
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเจ็ด [12.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 12-02-2020 18:29:51
บทสิบเจ็ด


   ช่องแรกกรอกอีเมลนักศึกษา

   ช่องที่สองเป็นรหัสผ่านแปดหลัก

   แต่ก็ยังล็อกอินไม่ได้อยู่ดี

   “พี่ธรรมแน่ใจนะครับว่าให้พาสเวิร์ดผมมาไม่ผิด”

   “ไม่ ก็จดเอาไว้อย่างนี้” ยืนยันเสียงหนักแน่นพลางเปิดโน้ตในโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ ไฟล์ขนาดเล็กรวบรวมชื่อบัญชีและพาสเวิร์ดใต้การใช้งานของนายสัทธาเอาไว้จนครบถ้วน “หรือว่าต้องใส่ตัวแรกตัวใหญ่”

   “ลองทั้งสองแบบแล้วครับ”

   “อีกรอบหน่อย”

   ทิ้งทั้งตัวพิงพนักนวมไม่คิดจะปิดความไม่พอใจข้างใน “พี่ลองใส่เองไหมครับ ผมยอมแพ้แล้ว”

   “ก็ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วมันไม่ได้ไง”

   “แล้วทำไมไม่ติดต่อฝ่ายไอทีครับ”

   “ส่งอีเมลไปแล้วได้รีพลายมาว่าให้เดินไปถามที่ตึกเอง กลัวไปแล้วจะตีเจ้าหน้าที่”

   พอเข้าใจว่าตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเลยยอมกลับมานั่งตัวตรงตาจ้องไปยังโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าบนโต๊ะต่อ คราวนี้ใช้วิธีการพิมพ์ลงในโน้ตทีละตัวเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีการพิมพ์ตัวอักษรหรือว่าตัวเลขไหนผิดพลาด จากนั้นถึงค่อยคัดลอกมันไปวางไว้ในช่องที่กำหนดไว้

   หากมันก็ยังขึ้นข้อความว่ามีความผิดพลาดในการเข้าสู่บัญชีอยู่ดี

   “ไม่ได้เหมือนเดิมเลยครับ”

   “เหรอ”

   “พี่ธรรมได้ลงทะเบียนอีเมลแน่ใช่ไหมครับ”

   “ฟีนบอกทำให้แล้วตอนปีหนึ่ง”

   ชักจะปวดข้างขมับกับคนที่ยังไม่รู้สึกรู้สาแล้วกลับไปนั่งไล่อ่านเอกสารเกี่ยวกับข้อร้องเรียนชุดใหม่ที่เพิ่งมีการยื่นเอกสารเข้ามาเมื่อสามวันก่อน โน้ตบุ๊กก็ไม่ใช่ของเขา อีเมลก็ไม่ใช่ของเขา แล้วทำไมเดือนตุลาถึงต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ไม่รู้ว่าต้นตออยู่ตรงไหนให้ด้วย

   ตามจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่เวรการเฝ้าของทั้งเขาและพี่ธรรม ที่ต้องหอบร่างที่ผ่านการเรียนมายาวนานมากกว่าหกชั่วโมงมาทำงานต่อก็เพราะข้อร้องเรียนที่จู่ๆ ก็พร้อมใจกันส่งเข้ามา เมื่อก่อนนี่เดือนหนึ่งมีสามเคสก็แทบจะตื่นตระหนกกันหมดแล้ว นี่สองเคสในสัปดาห์เดียว

   นี่กลายเป็นว่ามาห้องนี้ทีไรถ้าไม่เจอพี่ธรรมก็เจอพี่มัจตลอดเลย

   แปลก

   “งั้นก็ให้พี่ฟีนทำให้สิครับ” ยิ่งพอรู้ว่าต้องมารับผิดชอบแทนพี่ที่เขาไม่อยากจะเสวนาด้วยก็อยากจะผลักภาระกลับไป “วันนี้สภาประชุมนี่”

   “ใช่ ตอนแรกก็รอมันมาทำให้นี่แหละ แต่ว่าน่าจะยังประชุมไม่เสร็จมั้ง”

   ถึงว่าพอเปิดประตูห้องตุลาการแล้วเขาถึงเห็นท่านประธานของกลุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงโซฟา มีคอมพิวเตอร์พกพาตัวเก่าที่เห็นนับครั้งได้วางเอาไว้บนตัก ทีแรกเขาก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายหรอก เป็นพี่ธรรมแหละที่เปิดหัวข้อขึ้นมาว่าเคยใช้อีเมลของมหาวิทยาลัยหรือเปล่า

   คำนวณอยู่ในหัวสักครู่จึงตอบกลับไปว่ามี เพราะว่าใช้มันในการโหลดโปรแกรมออฟฟิซที่เพิ่งให้บริการกับนักศึกษาทั้งที่มหาวิทยาลัยอื่นทำไปก่อนแล้วหลายปี นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่ใช้ได้มันทำอะไรเท่าไหร่

   “แล้วพี่ต้องใช้ทำอะไรนะครับ ส่งอีเมลหาใคร?”

   “ส่งเอกสารให้สภามหาวิทยาลัย เขาบอกว่าไม่ให้ใช้เมลส่วนตัวส่ง กำชับพี่มาประมาณสามล้านรอบได้”

   ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเพราะว่าไม่เคยเป็นประธานอย่างใครเขา ตั้งแต่วันแรกที่เคยไม่เข้าใจความไม่เมกเซ้นส์ในขั้นตอนการทำงานอย่างไรวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม

   “จะว่าไปตอนเลือกประธานปีที่แล้วเป็นยังครับ”

   รู้เพราะว่าความคึกคักที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักของชั้นสาม ปลายเจตน์เคยบอกว่ามันเป็นการประชุมครั้งเดียวที่มีคนเข้าร่วมครบเพราะว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนพวกนี้คือตำแหน่งไม่ใช่ความรับผิดชอบต่อนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยที่เลือกมา

   คุ้นเคยแต่บรรยากาศที่มีคนเข้าร่วมประชุมมากที่สุดแค่เก้าคน ก็เลยไม่รู้ว่าในห้องที่บรรจุสมาชิกสภามากกว่าห้าเท่าจะมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด จะตึงเครียดหรือว่าผ่อนคลาย จะมีใครลุกขึ้นมาประท้วงการเสนอชื่อด้วยเรื่องคุณสมบัติอย่างที่เขาเคยเจอหรือไม่

   ก็ตอนนั้นเป็นแค่เด็กปีหนึ่งล่ะนะ

   เป็นการรับน้องที่จำได้ไม่มีลืมเลยล่ะ พอมาถึงแล้วก็โดนพี่มัจลากให้ไปนั่งอยู่ข้างกันโดยที่ไม่มีการบรีฟล่วงหน้าว่าเนื้อหาในการประชุมมีอะไรบ้าง นั่งหน้าเหลอหลาตั้งแต่ตอนเริ่มประชุมแล้วเกือบจะสติแตกตอนที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งคัดค้านว่าเด็กปีหนึ่งไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการทำงาน

   โชคยังเข้าข้างเขาอยู่ก็ตรงที่พี่มัจกับพี่ธรรมช่วยกันดีเฟนส์ว่าทั้งคู่ก็ทำงานมาตั้งแต่ปีที่แล้วเหมือนกัน มันก็เลยถูกปัดตกไป ประชุมเสร็จแล้วพี่มัจก็บ่นเสียยกใหญ่เรื่องที่ตัดสินคนจากอายุ

   “น่าเบื่อ”

   “อ้าว ไม่ได้สนุกหรอกครับ”

   “มันจะเป็นแนวลุ้นว่าจะมีใครหักหลังหรือเปล่ามากกว่า” สัทธาปิดเอกสารปึกใหญ่ลง ถอดแว่นออกมาลดอาการล้าจากการอ่านใต้หลอดไฟที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพสายตา “มันสนุกตอนที่ดีลหลังประกาศผลการเลือกตั้ง แต่เราก็ต้องมั่นใจว่าคนที่บอกว่าจะลงคะแนนเสียงให้เราจะยังรักษาคำพูดในวันจริง”

   “อ้อ...”

   “แล้วพอตกลงกันหมดแล้ว วันจริงก็น่าเบื่อเพราะว่ามันจะผ่านการเสนอไปเร็วมาก ทุกคนยกมือลงคะแนนเสียงไม่แตกแถว ไม่มีการคัดค้านเพราะว่ามันถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว”

   “ไม่มีหักหลัง?”

   “มีแต่แบบว่ารู้ว่าใครเป็นพวกนกสองหัว จำพวกที่ว่าคนจากพรรคหนึ่งเสนอชื่อคนจากพรรคตรงข้ามให้ คือมันก็เห็นชัดอยู่แล้วอะนะว่ามีเบื้องหลัง”

   “ไม่มีความเกรงใจคนที่เลือกเข้ามาเลยเนอะครับ”

   “หมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ปกติ”

   “ผมนึกว่าพี่จะไม่ชอบอะไรอย่างนี้เสียอีก”

   “ทำไงได้ นี่ไงผลของการไม่ใส่ใจ สิทธิก็น้อยอยู่แล้วยังปล่อยมันไปอีก” ท่าขยับไหล่ไม่ยี่หระราวกับคนละได้แล้วซึ่งทางโลก  “ก็งดออกเสียงทุกตำแหน่งไปนั่นแหละ สบายใจ”

   “แล้วไม่รู้สึกแย่บ้างเหรอครับ”

   “นี่มันการเมือง”

   ครั้งแล้วครั้งเล่า

   ที่คำนี้มันตอกย้ำว่าสิ่งที่เดือนตุลาเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริง

   “แล้ว...”

   ทำไมถึงเลือกที่จะไป

   “แล้ว?”

   แล้วกลับมาเพราะอะไร

   การทวนบอกให้เขาเก็บความคิดนั้นเอาไว้ข้างในเช่นเดิม กลัวว่าจะได้คำตอบบ่ายเบี่ยงแบบเดิมหรือไม่ก็ทำให้บรรยากาศเสียไปหมดเลยปิดปาก กับคนที่ไม่เคยเดาใจได้อย่างนั้นน่ะไม่พยายามเข้าข้างตัวเองดีที่สุด ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าทุกเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร

   ในเสี้ยววินาทีมันมีเพียงหนึ่งตัวเลือก “อยู่ที่นู่นได้ทำงานอะไรบ้างครับ”

   “ก็มีร่างระเบียบนักศึกษา น่าจะได้อ่านแล้วมั้ง ก็คงใช้เวลาร่างนานด้วยแล้วก็ไม่ถูกใจพวกนั้นด้วย ที่ฟีนมันบ่นอยู่ทุกวันนี้เป็นเวอร์ชันของพวกผู้ใหญ่”

   ดูท่าว่าจะเป็นร่างที่สำคัญจริงถึงลากยาวมาจนถึงตอนนี้ อดคิดถึงเหล่า ‘เรื่องเล่า’ ทั้งหมดที่ได้ยินมาไม่ได้เลยแฮะ

   “นานจังนะครับ”

   “ก็อย่างนั้นแหละ ฟีนมันอยากให้นักศึกษาเขียนเยอะกว่าเพราะว่ายังไงคนที่ต้องปฏิบัติตามก็เป็นพวกเรา”

   “อยากฟ้องฝ่ายการ กูทำได้ปะ”

   ยังไม่ทันจะฟังเรื่องเล่าต่อก็ต้องหันไปทางหน้าประตูกระจก แล้วคนนี้ไปกินรังแตนมาจากไหน เปิดปิดประตูก็เสียงดังแถมยังโยนกระเป๋าคลัชไปบนโซฟาส่งๆ แบบไม่สนใจว่ามันจะมีรอยหรือไม่

   “ตัวมึงไม่ได้ แต่ไปหาคนอื่นมาฟ้องแล้วมึงช่วยได้” คนนี้ก็ไม่เคยที่จะไม่เข้าข้างเพื่อนเลย “มีเรื่องอะไรอะ”

   “เรื่องทุนเยอรมันนั่นแหละ แม่งมาบอกว่าเอกสารที่กูส่งไปแล้วมันไม่ครบ แล้วตอนที่ให้เช็กให้บอกครบแล้วๆ”

   “อ้าว แล้วยังไง”

   “กูให้ไปรับผิดชอบเอง แต่ไม่ได้ก็ช่างแม่ง ไปเองก็ได้”

   ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เหมือนว่าที่เดาเรื่องอนาคตกันเอาไว้จะผิดจากที่คาดแฮะ

   ตอนนี้กำลังอ่านคู่มือการลงทะเบียนอีเมลนักศึกษาอยู่ก็เลยไม่เข้าไปแทรก แล้วถ้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่อย่างนี้ก็ไม่อยากจะเข้าไปเสี่ยงเท่าไหร่ ไว้ให้กลับมาร่าเริงก่อนค่อยว่ากัน

   “แล้วของมึงอะ”

   “เขายังไม่ได้บอกอะไร ก็รอไป”

   “...”

   นั่นมันหมายถึงอะไรกันนะ ใช่อย่างที่เขาเข้าใจหรือเปล่า

   “แล้วนี่น้องตุลทำไมใช้คอมธรรมอะ”

   ช่างสังเกตเหลือเกิน “กำลังพยายามแก้เรื่องเมลมหา’ ลัยให้พี่ธรรมอยู่ครับ”

   พูดแล้วก็อ่านต่อดีกว่า เผื่อว่ามันจะช่วยให้ลืมเรื่องล่าสุดที่ทำให้ฟุ้งซ่านไปด้วย ตอนนี้เขาว่าจะลองเช็กดูว่ามันสามารถเปลี่ยนพาสเวิร์ดจากตรงนี้ได้เลยหรือไม่ แล้วมันจะได้เป็นการพิสูจน์ด้วยเลยว่าที่บอกให้พี่ฟีนช่วยสมัครให้มันเคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

   “มีปัญหาอะไรเหรอ”

   “ล็อกอินแล้วมันบอกว่าพาสเวิร์ดผิดตลอดเลยครับ” ปากเล่าส่วนมือก็พิมพ์ชื่ออีเมลเดิมอีกครั้ง กดเข้าไปยังส่วนของการแก้ไขในกรณีลืมรหัสผ่านเพื่อปฏิบัติตามขึ้นตอน “พี่ธรรม ระบบบอกว่าไม่มีชื่ออีเมลนี้”

   ไม่ต่างจากที่คิดเลยสักนิด ทิชากรน่ะเชื่อถือได้ที่ไหน

   “เหรอ งั้นสมัครใหม่ไปเลย”

   “ทำไมไม่สมัครเองครับ”

   “อยากอ่านคำฟ้องอีกรอบ คิดว่าไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณา”

   ทำอย่างกับเขาเองไม่ต้องอ่านอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ไฟล์ทั้งหมดนั้นยังนอนนิ่งอยู่ในคลาวด์ส่วนกลางของตุลาการอยู่เลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาเพื่อให้ทันเทคโนโลยี คือนอกจากจะมาส่งที่นี่เองแล้วก็สามารถส่งผ่านระบบออนไลน์ได้เหมือนกัน

   ก็ลดการใช้กระดาษด้วยแล้วก็เป็นการเช็กคนที่เข้ามาดาวน์โหลดไฟล์ด้วย มันจะมีการเก็บข้อมูลของคนที่เข้ามาใช้งานตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าใครที่ยังไม่เข้ามารับผิดชอบก็ค่อยไปตามจิกต่อ

   คราวนี้เลยกลับไปไล่เปิดดูช่วงแรกของคู่มือการสมัคร ทำตามทีละขั้นตอนช้าๆ ไม่เร่งรีบ พอตรงไหนที่ต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครก็เรียกให้เดินมากรอกให้หน่อย

   ไม่เดินไปเองหรอกนะบอกเลย ไม่ใช่วันสต็อปเซอร์วิสขนาดนั้น

   “จะว่าไปแล้วคิดยังไงกับสวัสดิการที่มหาวิทยาลัยให้เราบ้าง”

   “ตอนนี้กูรู้สึกว่าตัวเองเสียดายเงินค่าเทอมมาก ถ้าได้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานแค่นี้อะ”

   “ข้างในมันก็ไม่ได้ทำงานง่ายอย่างนั้นน่ามัจ เราก็รู้กัน”

   “แต่มันก็ควรจะดีกว่านี้” อันนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เห็นบ่นนั่นนี่ว่าไม่ถูกใจบางครั้งคือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวนักศึกษาที่เป็นผู้แทนหรอก เหล่าเจ้าพนักงานที่ต้องไปประสานงานด้วยแหละตัวดี พอไปคุยด้วยก็ให้สัญญาว่าจะช่วยเต็มที่เสียดิบดี จากนั้นก็ลืมไปเสียสนิท “เสียค่าเทอมไปแล้วนะ ได้แค่นี้คือไม่โอเค”

   “ไม่โอเคแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่าคิดมากเลย”

   ถ้ามาอีหรอบนี้เมื่อไหร่บอกเลยว่ายาว เดือนตุลาผู้สมัครอีเมลนักศึกษาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเลื่อนตัวโน้ตบุ๊กแสนหนักออกไปวางเยื้องทางขวาเอาไว้แทนการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่านอกจากที่ให้ช่วยแล้วเขาไม่ได้ทำการรื้อค้นข้อมูลส่วนตัวอย่างอื่นอีก และตอนนี้น่ะเรื่องที่พี่เขากำลังคุยกันมันน่าสนใจกว่า

   ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าอายุของเขาห่างกับสองคนนั้นแค่ปีเดียวแน่เหรอ ทั้งความคิดความอ่านน่ะดูมีสาระกว่ากันตั้งเยอะ อีกทั้งยังยึดมั่นในหลักการหนักแน่นไม่เคยสั่นคลอน สภาพแวดล้อมที่พวกพี่เขาโตมาเป็นแบบไหน ครอบครัว โรงเรียน หรือเพื่อนฝูง 

   สักวันหนึ่งเดือนตุลาจะเป็นเช่นนั้นได้ไหมนะ

   “พวกผู้บริหารไม่เห็นจะใส่ใจสักอย่าง อาหารแพงอยู่แล้วยังจะให้สัมปทานนั่นนี่เข้ามาอีก รถโดยสารก็อันตรายกับชีวิต หอพักก็โคตรแพง สถานที่สำหรับเล่นกีฬาก็น้อย ใช้สถานที่ข้างในมหา’ ลัยก็ยังต้องจ่ายค่าเช่า อะไรอีก อ้อ! แค่ทำให้ในมหาวิทยาลัยมีแสงสว่างเพียงพอเพื่อความปลอดภัยยังทำไม่ได้เลย”

   ไล่ลิสต์มาเสียจนเขามีคำถามว่าสรุปแล้วมีอะไรที่น่าพอใจบ้างในสายตาของพี่มัจฉ์

   “แค่เรื่องสวัสดิการพื้นฐานที่เท่าเทียมยังไม่มี โคตรห่วยแตก”

   “ไม่ชินอีกเหรอ”

   “มันไม่ควรชินไง”

   “มัจ เราอยู่ในโลกทุนนิยม”

   “แล้วมันทำให้รัฐไม่ต้องดูแลชีวิตประชาชนเหรอ”

   ให้พี่มัจฉ์เป็นฝ่ายชนะในแมตช์นี้โดยคะแนนเอกฉันท์

   ด้วยนิสัยที่ชอบฟังมากกว่าอยู่แล้วเลยไม่รู้สึกน้อยใจหรือว่าลดความสำคัญ บางครั้งก็คิดว่าตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องที่กำลังวิพากษ์ด้วยแหละเลยไม่อยากจะหน้าแตก

   แต่อย่าให้พี่มัจรู้เชียวนะ รายนั้นน่ะจะโกรธตลอดเลยว่าเขาที่เขาบอกว่าตัวเองเด็กกว่าเลยไม่อยากจะออกความเห็นมาก มันไม่ควรจะเอาอายุมาแบ่งเรื่องความเข้าใจโลกเสียหน่อย หรือเวลาที่อยากค้านอะไรในที่ประชุมก็ให้ยกมือไปเลย ในห้องประชุมทุกคนมีฐานะเป็นตุลาการนักศึกษาเท่ากัน อย่าให้ใครมาลิดรอนเสรีภาพในการพูดของเรา

   พอได้รับการสนับสนุนมากเข้าจากเด็กปีหนึ่งที่ไม่พูดอะไรในการประชุมครั้งแรกๆ ก็ปีกกล้าขาแข็ง ยิ่งมีแบกอัปดีทั้งพี่ธรรมแล้วก็พี่มัจช่วงหนึ่งนี่เขาสนุกกับการยกมือถามจะตายไป

   ต้องย้ำก่อนนะว่ามันต้องเป็นคำถามที่สร้างสรรค์ ไอ้ประเภทที่ว่าไม่สนใจศึกษาข้อมูลมาก่อนแล้วก็พูดมั่วๆ นี่ไม่เอานะ ความใส่ใจในหน้าที่ยังต้องมี

   มองไปมองมามันก็เป็นปัญหาฝังรากลึกในการศึกษาที่เราไม่ปลูกฝังให้กล้าแสดงความคิดเห็น

   “ถ้ากูทำได้นะธรรม กูจะให้มหาวิทยาลัยแจกแจงออกมาเลยว่าเงินค่าเทอมทั้งหมดมันถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง อะไรที่เป็นสวัสดิการของเรา ให้คนจ่ายได้รู้ว่าอะไรที่เป็นสิทธิพึงมี”

   “มึงก็ไปบอกฟีนให้ออกกฎสิ”

   “ระเบียบนั่นค้างมาตั้งแต่ปีที่แล้วยังไม่ได้ออก ให้กูหวังอะไรเหรอ” มันกลายเป็นว่าเอกสารที่เพื่อนตัวดีย้ำหนักหนาว่าไม่ให้บอกคนอื่นว่ามาจากไหนกลับมีคนได้อ่านมันแล้วพอสมควร  “เนี่ย แล้วมึงกับกูก็ไม่เปิดช่องให้น้องตุลแจมอีกล่ะ”

   ยกมือขึ้นมาโบกให้ไม่ต้องคิดมาก “ผมชอบฟังพวกพี่คุยกันครับ”

   “แต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดนะ”

   “ครับ?”

   “ฟังได้ แต่ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่พวกพี่พูดหรอก อยากเชื่ออะไรให้หาข้อมูลให้รอบด้านก่อน”

   “พี่บอกผมมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะครับ” อันนี้เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายจริงจังระดับสิบ พี่มัจฉ์มักจะเน้นเสมอว่าสำหรับทุกความคิดเห็นมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่อย่าไปคิดว่าหากเห็นต่างแล้วจะเป็นเรื่องผิด ขอแค่มีเหตุผลรองรับเพียงพอก็พอแล้ว “แล้วก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้นอยู่แล้ว”

   “ดีมาก”

   ความพึงพอใจแสดงออกด้วยการพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรอยยิ้ม “เดี๋ยวกลับก่อนดีกว่า อยู่ต่อกลัวจะเดินกลับไปหาฝ่ายการอีกรอบ”

   เป็นเพื่อนสนิทกันได้เพราะหัวรุนแรงพอกันแน่นอน

   “เออ กลับไปนอนให้หายหัวร้อนก่อนเถอะ”

   “ได้ ฝันดีนะน้องตุล”

   ทำหน้าปั้นยากให้กับคนที่โบกไม้โบกมือแล้วเกือบจะส่งจูบเป็นการปิดท้าย รอจนมั่นใจว่ารุ่นพี่ปีสี่ลับหายไปตรงทางลงบันไดแล้วจึงกลับมารายงานผลในฐานะช่างไอทีชั่วคราว

   “เรียบร้อยแล้วนะครับ ชื่ออีเมลกับพาสผมพิมพ์เก็บเอาไว้ตรงโน้ต”

   “ขอบใจ”

   พูดไปตั้งเยอะ ลงมือไปก็มาก ได้กลับมาแค่หนึ่งประโยคนั่นแหละ เดือนตุลาผู้ชินกับการตอบรับแสนเย็นชาแล้วก็คิดว่ากลับบ้างดีกว่า หมดตารางเวรการเฝ้าแล้วด้วย ไม่รู้ข้างล่างจะเลือกกันเสร็จเมื่อไหร่ด้วยเลยไม่อยากเสี่ยงเจอหน้าพี่ฟีน

   เก็บสัมภาระของตัวเองไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ถึงกับเสียงดังโครมครามรบกวนคนอื่น ตรวจสอบความเรียบร้อยในภาพรวมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่เผลอหลงลืมวางเอกสารที่สำคัญเอาไว้ด้านนอก เดี๋ยวมันจะมีคนที่ไม่น่าพึงประสงค์ที่เจาะจงว่าชื่อทิชากรเข้ามาป่วนจะยุ่งแน่

   ขนาดเดินถือกระเป๋าใบใหญ่อย่างนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจับสังเกตได้ เขาเลยเลิกหวังลมแล้งว่าคงได้รับความสนใจแล้วอย่างน้อยก็จะมีคำบอกลา

   “พี่ธรรม”

   แล้วเป็นฝ่ายเรียกเองเสียเลย

   “หืม”

   “ถ้าผมอยากฝันดี ผมฝันถึงพี่ได้หรือเปล่า”

   “ไม่ได้”

   แอบหงุดหงิดแว่นตากรอบเหลี่ยมปิดบังทุกอย่างเอาไว้ได้มิดชิด หรือว่าก็ควรต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าต่อให้มันมีหรือไม่มีเขาก็ไม่เคยอ่านความคิดของสัทธาออกสักครั้งอยู่แล้ว

   “เพราะมันจะเป็นฝันร้ายที่สุดเลยล่ะ”
 


   ไม่ได้เตรียมใจเลยว่าจะต้องมาเผชิญกับความโหดร้ายในระดับนี้

   เดือนตุลาทำหน้ายุ่งใส่สมุดจดที่เต็มไปด้วยร่องรอยการขีดเขียนไม่เป็นระเบียบตามแบบฉบับของคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งมั่นเอาไว้เลยว่าต้องทานข้าวเย็นให้เร็วกว่าเดิมหน่อยจะได้กลับไปทวนเนื้อหาวันนี้ก่อนที่คาบหน้าจะต่อไม่ติดยิ่งกว่าเดิม

   เป็นแค่เด็กปีหนึ่งต้องเรียนอะไรขนาดนี้เลยเหรอ

   ลาออกจากคณะทันตแพทยศาสตร์ตอนนี้ทันไหมนะ

   เก็บอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างใส่กระเป๋าผ้าดิบที่ได้จากงานปฐมนิเทศเตรียมกลับบ้าน ไม่ต้องบอกลาใครทั้งนั้นตามประสาคนที่ยังไม่มีเพื่อนสักคน กำลังคิดอยู่ว่าสามารถอยู่อย่างนี้ไปจนเรียนจบได้หรือไม่ ความเงียบอย่างนี้มันก็ไม่ได้แย่

   “พี่สัทธา?”

   ด้านนอกของห้องเรียนริมสุดของตึกในเวลาหกโมงเย็นไม่ควรจะมีใครมารอใช้ต่อ หากในเวลานี้มันมีผู้ชายสองคนที่เขาคุ้นหน้าเพียงหนึ่งกำลังยืนพิงราวระเบียงอยู่ไม่ยอมไปไหนคล้ายกำลังรอคอยการออกมาของใครบางคนอยู่

   “จำชื่อได้ด้วย”

   คนตรงหน้าคือรุ่นพี่ที่จะเรียกว่ามีพระคุณกับเขาก็ได้ ซึ่งดูจากการแต่งกายแล้วหยุดคิดแวบหนึ่งเลยว่านี่คือการแต่งตัวของเด็กมหาวิทยาลัยไม่ใช่คุณลุงแถวบ้านเหรอ ไม่สิ คุณลุงข้างบ้านเขายังแต่งตัวดีกว่านี้อีก

   “ชื่อพี่แปลก”

   “นี่เพื่อนพี่ชื่อมัจ ปีสองเหมือนกัน” ช่วงท้ายมีการยกนิ้วโป้งขึ้นมาชี้ไปทางคนข้างตัว ผู้ชายตัวเล็กที่เอาแต่ยิ้มน่ารักดูไม่เข้ากับบุคลิกของเพื่อนอีกคนเลย “แล้วน้องชื่ออะไร”

   “ตุลครับ”

   “น้องเรียนทันตะใช่ปะ ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”

   คือตอนแรกเกือบจะสวนไปแล้วว่ามาหาถึงตึกทันตะคงจะเรียนเอกปรัชญาหรอก

   “ช่วย?”

   “จำได้ใช่ไหมว่าพี่เป็นตุลาการนักศึกษา”

   พยักหน้ารับไปอย่างนั้น คือมันเป็นชื่อจะว่าเห่ยก็ใช่อยู่เลยจำได้ “ได้ครับ”

   “ปีหนึ่งยังเรียนไม่หนักหรอกเนอะ มาช่วยพี่ทำงานได้หรือเปล่า”

   “ธรรม มึงช่วยอธิบายให้น้องเข้าใจก่อนที่จะชวนได้ไหม”

   “เวลามีไม่เยอะ รีบ ส่งเอกสารได้ถึงแค่พรุ่งนี้”

   “งั้นก็รีบอธิบายมาครับ”

   สาบานเลยก็ได้ว่าไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะ ก็ถ้าปล่อยให้พวกพี่เขาเถียงกันต่อบอกเลยว่าเดี๋ยวคงโดนพี่ยามขึ้นมาไล่ แล้วถ้าจริงเถอะว่ามันไม่มีที่อื่นที่เหมาะสำหรับการคุยมากกว่าหรือยังไงกัน ทั้งมืดทั้งเงียบ คือคุยกันตรงนี้แต่เสียงสะท้อนน่าจะดังไปถึงโถงกลาง

   “จะให้ช่วยทำงานของตุลาการหน่อย นี่เอาเอกสารที่ต้องกรอกมาให้หมดล่ะ ขอแค่ชื่อนามสกุลรหัสนักศึกษาก็พอ อ้อ แล้วก็สำเนาบัตรนักศึกษาด้วย”

   ไม่เคยเฉียดเข้าไปทำงานจำพวกนี้ เข้าใจไปเองคำว่าช่วยคืองานเล็กน้อยประเภทงานเอกสารหรือไม่ก็ฝ่ายใช้แรงงาน ชั่งใจอยู่หน่อยระหว่างความสันโดษที่ตั้งใจเอาไว้กับการตอบแทนความช่วยเหลือที่พี่เขาเคยให้หยิบยื่นให้ในวันนั้น

   ไม่น่าเป็นอะไรหรอกมั้ง

   “โอเคครับ”

   เพื่อให้สะดวกต่อการลงรายละเอียดอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเดือนตุลาในฐานะเจ้าถิ่นเลยเดินนำมาทางโถงส่วนกลางที่มีบริการโต๊ะและเก้าอี้ตัวยาวเอาไว้ นั่งลงฝั่งหนึ่งแล้วให้คนที่เหลือประจันหน้าจากอีกฝั่งเอา

   อยากรู้ขึ้นมาเล็กน้อยว่าช่วยงานแค่นั้นทำไมต้องกรอกอะไรมากมายดูเป็นพิธีการ ที่บอกว่าให้เขียนแค่ชื่อนามสกุลคือเป็นเช่นนั้นจริง เขาไม่ได้สนใจที่จะอ่านรายละเอียดทั้งหมดของแบบฟอร์ม เอาเป็นว่าถ้าช่วยได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณกันด้วย 

   ให้ข้อมูลที่พี่เขาชี้จนครบแล้วส่งกลับไป พี่สัทธาไล่อ่านมันทีละบรรทัดจนเขาระแวงว่าเด็กนิตินี่ต้องสนใจภาษาขนาดนั้นเลยเหรอ

   “เดือนตุลาเหรอ งั้นพี่เรียกว่าเดือนสิบนะ”

   คลับคล้ายว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเขามันเหวี่ยงวูบยามได้ยินชื่อเรียกตัวเองจากปากของพี่คนเดิม

   เดือนสิบ

   “ชื่อเท่จัง ทำไมถึงชื่อนี้อะ”

   “เกิดเดือนนี้ครับ แม่บอกว่าคิดเอาไว้ว่าถ้าไม่ใช่เดือนตุลาก็เป็นคมตุลา” ต่อให้ยังไม่รู้ว่ามันเขียนแบบไหนก็ชมเอาไว้ก่อน “แต่ปู่กลัวว่าถ้ามีคำว่าคมในชื่อแล้วชีวิตจะมีแต่ของแหลมเข้ามาทิ่มแทง เลยได้ชื่อนี้”

   อธิบายแบบเป็นแพทเทิร์นไม่มีกั๊ก ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมาย้อนความหลังล่ะนะ

   “ชอบอะ พี่ชื่อมัจฉ์นะ เขียนอย่างนี้” พี่ตัวเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบนหน้าจอสองสามจังหวะตามด้วยการพิมพ์ตัวอักษรที่ผสมกันแล้วเป็นชื่อจริงออกมา นี่ก็ชื่อแปลกพอกัน “ชื่อเล่นก็แค่ตัดตัวสุดท้ายออกเลย”

   “โอเค ครบแล้ว ไม่น่าจะมีอะไร ถ้าเรียบร้อยแล้วจะติดต่อไปอีกทีนะ”

   “เอาเบอร์ไหมครับ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาดักรออย่างนี้”

   ไม่อยากจะคิดเลยว่าเหล่าคนร่วมคณะที่ออกจากห้องเรียนมาก่อนเขาจะตกใจแค่ไหนที่มีคนท่าทางไม่น่าไว้วางใจมายืนทอดน่องอยู่อย่างนี้ แลกคอนแทกกันเอาไว้เลยน่าจะช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปโดยสะดวกขึ้น

   “โอเค เดือนสิบ ไว้เจอกันนะ”

   เดือนตุลาส่งยิ้มกว้างให้ทั้งสองคน

   “ฝากตัวด้วยนะครับ”

   ...

   .

   พลันภาพทั้งหมดกลับกลายเป็นความมืดมิดของรัตติกาล

   เดือนตุลารับรู้ถึงจังหวะการสูบฉีดเลือกเข้าไปข้างในหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้นจนน่ากลัว ต่อให้อยากจะยกมือขึ้นปัดป่ายขอความช่วยเหลืออย่างไรมันก็ทำได้เพียงหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น

   ราวกับร่างกายไม่ใช่ของเขา

   หายใจไม่ออก

   ขยับไม่ได้

   กลัว

   หวาดกลัวเหลือเกิน

   “...!”

   เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้สำหรับการพักสายตาปลุกเขาให้ออกจากห้วงภวังค์แสนพรั่นพรึง

   ร่างกายผุดนั่งขึ้นโดยอัตโนมัติ ลมหายใจดังหอบถี่แข่งกับบทเพลงบรรเลงที่ยังเล่นซ้ำตามการตั้งค่า ตุลพยายามฝืนจังหวะการหายใจให้กลับมาเป็นระดับปกติ หนังสือวิชากฎหมายอาญาภาคความผิดเป็นหมอนหนุนช่วยบอกเขาว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้าบ้าง

   ฝันร้ายจริงด้วย


***
   คนใจร้ายน่ะก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเจ็ด [12.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-02-2020 00:38:12
คนใจร้าย! อยากรู้จริงๆอะไรทำไมถึงทิ้งน้องไป  :ling2:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบแปด [14.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 14-02-2020 18:06:22
บทสิบแปด


   ตุลาการไม่ควรเข้าไปยุ่งกับการเมือง

   แต่ดูเหมือนว่าบางคนกำลังพยายามลากมันเข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้เลย

   เอกสารที่อ่านมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ไม่น่าอภิรมย์จนต้องวางมันลง เรื่องเดิมที่ยังคาราคาซังไม่ยอมจบสิ้นพาให้เขาหัวเสียทุกครั้งที่ได้ยินไม่ว่าจากใครก็ตาม

   สัปดาห์หน้าจะเป็นการเรียกพี่ต้นหลิวเข้ามาสู่กระบวนการพิจารณาแล้วจะได้ตัดสินเรื่องความผิดและโทษ หลังจากที่คราวที่เจ้าตัวนั้นไม่ปรากฏตัวต่อที่ประชุม ปล่อยองค์คณะทั้งหมดต้องมาเสียเวลาเปล่า คราวนี้เลยต้องใช้ความสามารถพิเศษในการกดดันทั้งจากฝั่งของเพื่อนแล้วก็ฝ่ายการนักศึกษา เปรยไปว่าหากยังปฏิเสธการเข้าสู่การตรวจสอบภายในอีกก็จะระงับการขึ้นทะเบียนจบ

   คนที่มีอำนาจเหนือกว่านี่น่ากลัวเนอะ

   ละสายตาจากกองกระดาษแล้วเปลี่ยนไปต่อสายไปยังเพื่อนสนิทที่สุดในคณะ คิดว่าอย่างน้อยการที่ไม่ต้องอยู่คนเดียวมันก็น่าจะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าการจมอยู่กับเอกสารชุดเดิมๆ ประโยคซ้ำๆ ที่ไม่อยากจะอ่านอีกแล้ว เรื่องทั้งหมดมันก็รู้อยู่แล้วจะตอกย้ำเข้าไปอีกเพื่ออะไร

   ปลายเจตน์ทำให้เขาผิดหวังด้วยการบอกว่ากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กับครอบครัว นั่นแสดงว่าเขาเองต้องแกร่วอยู่รอบมหาวิทยาลัยในเย็นวันศุกร์คนเดียว

   การนัดประชุมในวันเสาร์เป็นอะไรที่โคตรจะโหดร้ายในความคิด หากทุกคนก็น่าจะทำใจกึ่งยอมจำนนไปแล้วว่าถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ไม่มีวันไหนที่ทุกคนจะว่างพร้อมกันอีกบวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้มันควรจะจบลงสักทีมันก็เลยออกมาอีหรอบนี้

   ยังไม่กล้าผ่อนความระแวงที่ยังคงเกาะติดอยู่ในทุกก้าว โดยเฉพาะกับการทำหน้าที่ขององค์คณะที่เหลือ เรื่องที่เคยเอามาคุยกันว่ามันอาจจะมีการล็อบบี้ยังคงไว้วางใจไม่ได้ เขาจะโล่งใจได้ก็ต่อเมื่อมีคนเข้าร่วมประชุมครบทั้งหมดเจ็ดคนนั่นแหละ

   เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันแชตของเฟซบุ๊กดังขึ้นแทรกเสียงเพลงที่เปิดเอาไว้อยู่แล้ว เดือนตุลาผู้ไม่ชัวร์ว่าเผลอไปกดโดนปุ่มโหมดปกติตั้งแต่เมื่อไหร่หยิบขึ้นมาตรวจสอบว่าระหว่างพี่มัจกับปลายเจตน์ใครจะเป็นคนส่งข้อความมาหา

   แชร์ไม่ได้

   ถูกบล็อกไปแล้ว

   น้องตุลก็น่าจะโดนเหมือนกันมั้ง


   ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ เขาเปิดดูรูปสามรูปที่ถูกส่งมาเป็นอันดับแรกแบบไร้คำใบ้ พอภาพที่ตอนแรกเป็นพิกเซลไม่ชัดโหลดครบแล้วเขาถึงกับเผลอหลุดร้องออกมาด้วยความสงสัย มันเป็นชื่อเฟซบุ๊กของคนเจ้าปัญหาที่เขาภาวนาให้มาปรากฏตัวในการพิจารณาสักที

   คลื่นใต้น้ำไม่เคยมีสัญญาณเตือนให้ระวังภัย หลังจากเรียนนิติมาเข้าปีที่สองนิสัยการอ่านเปลี่ยนไปจากเดิมจนสัมผัสได้ การอ่านทีละบรรทัดเชื่องช้าไม่เร่งรีบให้ข้อสรุปกับเขาว่าพี่ต้นหลิวอัปสเตตัสเรียกคะแนนสงสาร ฝืนใจอ่านตั้งนานกว่าจะครบทั้งหมดตามประสาของคนที่รำคาญความเยิ่นเย้อของภาษาที่ไม่ได้ช่วยให้การสื่อความหมายเข้าใจมากขึ้น

   โดยสรุปก็คือบอกว่าตลอดการทำงานมาเข้าปีที่สี่ในองค์คณะเขาได้รับความทุกข์ทนจากการใช้อำนาจเหนือของท่านประธานคนปัจจุบันและเพื่อน (ซึ่งมีอยู่คนเดียวก็คือพี่มัจ) มีการขัดแข้งขัดขาบ่อยครั้งเพราะว่าอิจฉา แล้วยังมีการเมนชันถึงเขาว่าเอาเด็กเส้นเข้ามาด้วย

   ในช่วงท้ายเป็นการเขียนเพื่อเรียกคะแนนสงสารว่าต่อให้ไม่อยากจะยอมรับความอยุติธรรมนี้สักนิดเดียว แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์เขาจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสัปดาห์หน้าอย่างแน่นอน

   จะว่ายังไงดีล่ะ

   ในทางทฤษฎีแล้วมันก็ไม่ใช่แต่ว่าจะปฏิเสธก็ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่ามันเป็นการใช้จังหวะที่พอดีทั้งตำแหน่งแล้วก็ตัวบุคคลดีกว่า ใครมันจะไปรู้ว่าปีที่เขาเข้ามาครั้งแรกมันจะไม่มีใครจากสายการแพทย์ส่งใบสมัครเลยสักคน คู่เพื่อนที่เห็นช่องตรงนั้นก็เลยคิดถึงเขาขึ้นมา

   น่าเสียดายที่แคปเจอร์หน้าจอมาเพียงแค่ส่วนของสเตตัสไม่มีในส่วนของคอมเมนต์ คือเขาก็อยากจะรู้แหละว่าคนอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อความทั้งหมดนั้นบ้าง จะเห็นด้วยแบบสุดลิ่มทิ่มประตูไหมนะ แล้วคนทั้งหมดมีสักกี่คนที่เคยเข้ามาสัมผัสการทำงานของตุลาการ

   ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันครับ

   ช่างจริงใจไม่เจือการประชดเลยสักนิดเดียว จากนั้นเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตในช่วงดึกของวันศุกร์ไปกับซีรีส์ทางกฎหมายบนเน็ตฟลิกซ์ ผ่านไปแล้วสองตอนก็คิดว่าจะพักสายตาเสียหน่อย ตัวเลขในวงกลมสีแดงตรงแอปแชตสีเขียวเชิญชวนให้เขาเข้าไปตรวจสอบว่ามันมีเรื่องอะไรที่ต้องอัปเดตหรือไม่

   ห้องสนทนาด้านบนสุดคือกรุปของตุลาการที่มีการเขียนเตือนว่าการประชุมในวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นเวลาเก้าโมงครึ่ง ต่อจากนั้นเป็นข้อความจากปลายเจตน์

   เห็นยัง

   กดเข้าไปอ่านไม่เร่งรีบ แพทเทิร์นของรูปภาพที่ส่งมาก่อนหน้าคือสเตตัสเดียวกับที่ได้รับจากอีกคนก่อนแล้ว เดือนตุลากดไปตามตำแหน่งต่างๆ บนหน้าจอจนได้คำที่ต้องการ

   เห็นแล้ว

   ช้าไปนะ


   ทันใดคำว่า READ ก็ปรากฏขึ้นด้านบนของตัวเลขบอกเวลาส่ง เขาที่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลเท่าไหร่นักเลยเตรียมแซวต่อว่าทำไมไม่โดนบล็อกแบบคนอื่นบ้าง

   แล้วอันนี้เห็นหรือยัง?

   “...?”

   ดูจากรูปเล็กก็รู้ว่ามันเป็นการถ่ายหน้าจอจากส่วนของคอมเมนต์ใต้โพสต์ เขาเปิดมันขึ้นเป็นภาพใหญ่พลางบ่นความด้อยประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อในใจ นี่ขนาดซื้อเน็ตแยกต่างหากแล้วยังช้าขนาดนี้เลยเหรอ

   ไล่อ่านมันจากบนลงล่าง เท่าที่เห็นก็เป็นการให้กำลังใจจากเพื่อนสู่เพื่อน ดูไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจสักอย่าง

   “...”

   คอมเมนต์รองสุดท้ายที่มาจากอดีตตุลาการนักศึกษาอีกคนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ บอกว่าตนเองเข้าใจการเลือกปฏิบัตินั้นดี มีการวิจารณ์ต่อไปว่าระบบการตรวจสอบภายในนี่มันไม่มีความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาเลยสักนิด

   ทำงานมาตั้งนานต้องออกไปก่อนถึงเพิ่งจะคิดได้หรือยังไง

   ในทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจ เพื่อให้ตุลาการไม่ถูกแทรกแซงทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติจึงไม่มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงาน ซึ่งหลักนี้ก็ถูกนำมาปรับใช้ในการทำงานของตุลาการนักศึกษาเช่นเดียวกัน เรื่องของพี่ต้นหลิวก็จะถูกตัดสินด้วยองค์คณะที่เหลือไม่ใช่ฝ่ายอื่นหรือว่าคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ

   เขาน่ะถามพี่ธรรมไปตั้งแต่ครั้งแรกที่อธิบายระบบการคานอำนาจของทั้งสามเสาแล้วว่าอย่างนี้ใครจะเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบที่พูดกันปาวๆ ว่าเป็นเรื่องภายใน ในวันนั้นนอกจากเขาจะไม่ได้คำตอบแล้วยังได้โจทย์มาเพิ่มอีกว่าให้ไปลองคิดมาว่าทำอย่างไรมันถึงจะเชื่อมั่น

   จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถแก้โจทย์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความซับซ้อนนั่นได้สักที เท่าที่อ่านตามหนังสือวิธีการอธิบายสุดแสนคลาสสิกคือการที่บอกว่าตุลาการก็ต้องยึดมั่นในกฎหมายและยืนข้างความถูกต้อง มันก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ตามมาแน่นอน

   ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันยังไม่ใช่คำตอบที่ฟังขึ้นสักเท่าไหร่

   ซึ่งในอีกไม่ถึงสัปดาห์เดือนตุลาอาจให้คำตอบนั้นกับตัวเองก็ได้ ใครจะรู้ เขาทิ้งเรื่องติดค้างเอาไว้ตรงนั้นเพื่อให้สายตาได้จับจ้องการตอบกลับจากเจ้าของโพสต์ในประเด็นที่ดูแล้วเป็นการสุมไฟกองใหม่ขึ้นมา

   “...”

   และทำได้เพียงว่าขอให้ไม่มีลมพัดโหมให้มันลุกลามไปมากกว่านี้เลย



   โทษว่าเป็นผลมาจากประโยคนั้นของพี่ต้นหลิวเลยพาให้นอนไม่เต็มอิ่มตลอดทั้งคืน เดือนตุลาลากร่างที่วิญญาณยังกลับเข้าร่างไม่ครบสะโหลสะเหลขึ้นชั้นสี่ของตึกกิจกรรมนักศึกษาในเวลาแปดโมงห้าสิบกว่านาที จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้อะไรเท่านี้

   ปลายเจตน์เคยถามเขาว่าไม่เบื่อเหรอที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเขาก็ตอบไปตามตรงว่ามันชินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว ถ้าไม่ต้องทำงานนี้ก็คงสิงอยู่แต่ในห้องอยู่ดี

   ...แต่ถ้ามาคนแรกห้องก็ยังไม่เปิดน่ะสิ

   รองเท้าผ้าใบที่แตะบันไดขั้นสุดท้ายของชั้นสี่หยุดกึก ห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดว่าต้องเดินลงไปขอกุญแจจากยามมาเปิดประตูห้องอีกรอบ ตอนแรกก็ว่าจะกลับหลังหันแล้วแต่มันดันได้ยินเสียงพูดคุยดังก้องตามทางเดินเสียก่อน

   “อืม ถึงแล้ว ...ก็อย่างที่บอกนะ อย่าคิดว่าไม่รู้”

   “...”

   “อย่ามาทวงบุญคุณ ...จะทำอะไรก็ทำไป แต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่มัจไม่ยอมแน่”

   ไม่มีทางจำเสียงนั้นไม่ได้แน่ ตุลชะโงกหน้าให้พ้นจากมุมกำแพงไปเพื่อความแน่ใจว่าตรงนั้นมีรุ่นพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ยืนอยู่ใช่หรือไม่ พอเห็นว่าเป็นพี่มัจในชุดไปรเวทสบายๆ แล้วก็ต้องมาใช้สมองในยามเช้าอีกว่าจะเดินเข้าไปเลยดีไหม ไม่อยากจะรบกวนเวลาคุยโทรศัพท์น่ะ

   หากจะยืนอยู่ตรงนี้คงได้มีสิทธิล้มลงไปแหง เขาเลยให้กำลังใจตัวเองว่าข้างในมันเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ไม่มีใครสามารถยึดครองได้ อย่าทำเหมือนบางคนที่คิดว่ามีอำนาจเหนือทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีสิทธิมาตั้งแต่แรก เดินเข้าไปเปิดประตูห้องแบบที่จงใจเว้นจังหวะให้อีกฝ่ายทันสังเกต

   “มัจทำได้ครับทิ ...ไงน้องตุล”

   “สวัสดีครับพี่มัจ”

   คนมาก่อนการวางสายทันทีโดยไม่มีแม้สักประโยคบอกลา ยังคงมารยาทดีพอที่จะไม่แอบเหลือบมองว่ามันเป็นการโทรเข้าจากใครทั้งที่ในใจนั้นอยากรู้เสียเต็มประดา

   “มาเช้าจัง”

   “พี่มัจเช้ากว่าอีกครับ”

   “จำผิดว่าเก้าโมงอะ เอาขนมปังไหม”

   ส่ายหัวไม่รับน้ำใจ “กินข้าวมาแล้วครับ”

   “เมื่อคืนนอนดึกเหรอ ทำไมดูยังไม่ตื่น”

   “ครับ ดึกไปหน่อย”

   เออออตามไปตามประสาคนไม่อยากจะคุยเยอะ เดือนตุลาวางกระเป๋าใบประจำลงบนโต๊ะส่วนกลางตัวที่ดูรกน้อยที่สุด ตั้งใจเอาไว้ว่าสักเก้าโมงสิบห้าจะเดินไปเช็กความเรียบร้อยในห้องประชุมใหญ่เสียหน่อย สงสัยต้องเปิดแอร์ให้เย็นกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อเป็นการดับคนหัวร้อนทั้งหลาย

   ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีการเล่าเรื่องคอมเมนต์นั้นเด็ดขาด จะยอมออกความเห็นก็ต่อเมื่อพี่มัจเป็นคนเปิดประเด็นเท่านั้น

   “อ่านเอกสารเรื่องนี้เหรอ จริงๆ ไม่ต้องเครียดมากก็ได้นะ ยังไงมันก็มีความผิดอยู่แล้ว”

   ไอ้เรื่องนี้น่ะหลักฐานมัดตัวอยู่แล้ว ทั้งแชตทั้งคำสารภาพจากบุคคลที่สาม เขากำลังกลัวเรื่องอื่นต่างหาก

   “ผมกลัวเรื่องที่มีคนบอกว่าพี่ต้นหลิวพยายามจะล้มงานต่างหากครับ”

   “ถ้ามันทำอย่างนั้นคือมันโง่เต็มทน ไม่มาพวกเราก็ส่งเรื่องไม่ให้จบไปนะ” พี่เขาสามารถแสดงออกถึงท่าทีไร้กังวลทั้งที่กำลังคุยเรื่องที่เกี่ยวพันอนาคตของอีกคนหนึ่งได้อย่างไรกันนะ “สู้มารับความผิดแล้วจบดีกว่า”

   “แต่มันก็เป็นตราบาปนะครับ”

   “ทำตัวเองทั้งนั้น”

   สมาชิกคนที่สามและสี่มาถึงแล้ว หลังจากการทักทายพอเป็นพิธีทั้งคู่ก็ขอตัวไปรออยู่ในห้องประชุมเลย เขาก็เลยได้โอกาสฝากเช็กเรื่องความเรียบร้อยในภาพรวมของห้องด้วย

   “ก็จริงแหละครับ”

   “ทั้งที่ก็รู้ว่าต้องตัดสินให้เป็นกลาง ตัดสินให้ยุติธรรม ก็ยังไปหาเรื่องใส่ตัวเอียงข้างอีก”

   กลับมาบ่นเรื่องนี้อีกจนได้ ในเคสนั้นผู้ตัดสินสามคนมีพี่ต้นหลิว ตุลาการที่ถูกถอดไปล่าสุด แล้วคนสุดท้ายเป็นปีสามอีกคนที่เพิ่งเคยเข้ามาทำงานปีแรก พอมีคะแนนสองต่อหนึ่งยังไงมันก็สามารถตัดสินในแบบที่ต้องการได้ คงไม่คิดว่าหลังจากนั้นฝ่ายที่แพ้จะไปเอาข้อมูลการดีลมาได้ จากนั้นก็ระเบิดตูม วุ่นวายกันไปหมด

   แต่พูดก็พูดเถอะ เขาว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง

   ดีไม่ดีอาจจะเป็นอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้นี่แหละ

   “แล้วเป็นยังไง อีกหน่อยใครจะเชื่อคำตัดสิน?”

   “ก็นั่นน่ะสิครับ”

   “ทำอย่างกับไม่เคยเรียนตามทฤษฎีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของฝ่ายอื่น จริงๆ ในใจพี่คิดว่าต่อให้ไม่เคยเรียนมันก็ควรจะรู้ได้จากสามัญสำนึกไหม”

   “ขี้บ่น”

   “แล้วจะทำไมล่ะธรรม”

   หันไปมองทางท่านประธานที่เดินเข้ามาในสภาพเหมือนกับว่าตื่นแล้วก็ออกจากห้องมาเลย ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าประชุมในหัวข้อที่มีความสำคัญระดับหนึ่งสักนิด

   “รำคาญหู แล้วไหนข้าวเช้ากู”

   “ไม่มี”

   “ในถุงใช่ปะ” เพื่อนรักเพื่อนร้ายที่สุดแล้วสองคนนี้ พี่มัจน่ะทำหน้าไม่เต็มใจเสียเต็มประดาแต่ก็โยนทั้งถุงขนมปังที่ชวนเขาทานก่อนหน้าไปให้อยู่ดี หรือว่าที่จริงแล้วพี่เขาแอบใส่ยาพิษเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนะ “แล้วเมื่อกี้คุยเรื่องอะไรกันอยู่”

   “คุยว่าถ้าคำตัดสินมันไม่ยุติธรรมแล้วจะแย่แค่ไหน”

   “ก็ทำให้เราต้องมาทำงานในเช้าวันเสาร์อย่างนี้ไง” มือข้างหนึ่งถือถุงบรรจุขนมปังอันใหญ่ อีกข้างคือกาแฟกระป๋องที่ถือมาตั้งแต่แรก “โคตรแย่เลย”

   “ถ้ามึงใจร้ายตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่มีอะไรแล้วธรรม”

   “กูแค่ทำตามระเบียบไหมล่ะ”

   “แล้วก็ต้องมาลำบากกู”

   “คิดว่ากูไม่ลำบากหรือไง”

   ทำตาหลุกหลิกมองซ้ายขวาอยู่คนเดียวยามจับความผิดปกติในโทนเสียงของการพูดคุยได้ ถึงพี่ทั้งสองคนจะตีกันบ่อยแต่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เคยโกรธกันจริงจัง แล้วทำไมครั้งนี้พี่มัจถึงดูใส่อารมณ์กับมัน

   “หงุดหงิดได้ แต่อย่าลงกับงาน”

   “คนอย่างกูอะธรรม”

   “มึงอะตัวดี”

   อันนี้ขอเป็นฝั่งพี่ธรรมเต็มที่ ต่อให้เคยบอกแล้วหลายครั้งเขาก็ยังจะย้ำอีกว่าพี่มัจเป็นบุคคลที่เดือนตุลาเคยสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยอมทำให้พี่เขาหัวเสียหรือว่านอตหลุดเป็นอันขาด คือถ้าเห็นว่าโวยวายน่ะคือเรื่องมันยังไม่ได้ใหญ่โต ต้องลองเงียบแล้วก็ยิ้มรับทุกอย่างสิ ขอหนีไปก่อนใครเพื่อน

   “แล้วเรื่องที่คุยเมื่อกี้ถึงไหน”

   “พูดว่าอีกหน่อยคงไม่มีใครเชื่อมั่นในคำตัดสิน”

   “แต่กูว่าแค่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อแล้ว”

   หากหนึ่งคนเป็นไฟ อีกคนก็ต้องยอมแสร้งเป็นน้ำ มันเป็นเรื่องของภาวะผู้นำและการรับมือเฉพาะหน้าที่ต่อให้เขาผ่านการฝึกฝนมามากแค่ไหนมันก็ยังทำให้เป็นธรรมชาติอย่างพี่ธรรมไม่ได้ เรื่องพวกนี้น่ะเป็นของเฉพาะตัวอย่างแท้จริง

   ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่ามันจะเอาเรื่องนี้มาอ้างได้ สำหรับเขาแล้วถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีศักยภาพเพียงพอก็ควรจะลดบทบาทลงหรือว่าหาตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ทะยานอยากไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง

   “แต่ก็อย่างว่า ตัวกฎหมายเองก็พอกันนั่นแหละ บอกว่ากฎหมายที่ให้อำนาจครอบทั้งจักรวาลชอบด้วยกฎหมายเสมอที่คือคิดอะไรอยู่ การควบคุมด้วยความกลัวมันใช่เหรอ”

   “มัจฉ์”

   “อ้อ ยังไม่รวมอันนั้นด้วยเนอะ ตีความกว้างได้สุดยอดไปเลย”

   “...”

   “ก็รู้ใช่ไหมว่ากูพูดถึงอะไรอยู่”

   “...”

   “แม่งโคตรเหมาะกับชื่อทีมของมึงเลยธรรม”

   แย้มยิ้มหยันเยาะเย้ยให้กับสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แก่ใจว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากมันไม่เคยมีใครเอ่ยออกมาได้โดยไม่ต้องกริ่งเกรงอำนาจอื่น

   “ตรวจสอบไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้”

   “...”

   “เฮงซวยทั้งหมดนั่นแหละ จะกฎหมายหรือว่าตัวผู้ใช้กฎหมาย อ้างเข้าไปสิเคารพกฎหมายน่ะ”

   “...”

   “ทั้งที่บอกว่าเท่าเทียม แต่สุดท้ายก็ยังยกไว้ให้สูงกว่า”

   “...”

   “แล้วกดหัวประชาให้จมใต้บัลลังก์อยู่ดี”



   เดือนตุลาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่จบการประชุมอันแสนยาวนานแล้วเขาจะแวะไปห้างที่อยู่ใกล้ที่สุด หาอะไรกินเพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นก็จะไปซื้อพวกขนมหวานมาตุนเอาไว้เตรียมพร้อมสำหรับช่วงการสอบ

   ไหงถึงต้องมาใช้สมองอยู่ในร้านบอร์ดเกมต่อล่ะ

   “เหมือนพวกพี่แค่อยากได้คนแพ้เลยครับ” บ่นเสียงอ่อน มองการ์ดบนโต๊ะทั้งหมดที่กำลังโชว์ว่าเขาเป็นผู้แพ้พ่ายในเกมนี้ “ปวดหัวจัง”

   เกมแนวบลัฟไม่ใช่ที่เขาถนัด หากสำหรับสามคนที่เหลือแล้วมันคงเป็นความโปรดปรานที่ได้ใช้ความแพรวพราวเพื่อช่วงชิงตำแหน่งที่เหนือกว่า เดือนตุลาน่ะตอนที่ฟังพวกพี่เขาเล่าวิธีการเล่นคร่าวๆ ยังต้องขอให้อธิบายอีกรอบ พวกเขาก็ดูใจดีค่อยๆ ให้ความรู้ไปทีละน้อย

   ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาขย้ำเขาจนสิ้นลมหายใจหลังสัญญาณเริ่ม

   “เล่นกันสามคนไม่สนุกอะ มันจะไม่จบสักที”

   “แล้วที่พี่สามคนเปลี่ยนมาเล็งผมนี่มันสนุกเหรอครับ”

   อุตส่าห์ใจแข็งบอกปัดคำชวนของพี่มัจตั้งสามสี่ครั้ง พอไม่มีครั้งที่ห้าก็โล่งใจที่ไม่ต้องมารับมือกับการถูกตามตื๊อ ที่ไหนได้พอเดินลงมาจากตึกพร้อมพี่ทั้งสองคนก็มีรถยนต์คันคุ้นตาของพี่ฟีนจอดรอพร้อมรับ ถูกดันหลังให้ขึ้นรถมาแบบไม่ถามความสมัครใจสักคำ

   พอบ่นว่าตั้งใจจะไปซื้อของก็ได้รับคำปลอบว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปรับถึงใต้หอแล้วค่อยไปด้วยกันอีกที เท่านั้นยังไม่พอมีการเสนอว่าถ้าอย่างนั้นก็หาเรื่องไปดูหนังด้วยเลย

   สำหรับคนที่รู้จักกันดีอยู่แล้วการเล่นเกมพวกนี้น่าจะปลุกความอยากเอาชนะได้ไม่ยาก เขาน่ะอึ้งไปตั้งหลายครั้งระหว่างการเล่นเพราะว่ารายละเอียดเล็กน้อยที่เขาเชื่อว่าต่อให้รู้จักกับปลายเจตน์จนวันรับปริญญาก็ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น

   ‘ถ้ามัจหยุดคิดอย่างนี้แสดงว่าน่ากลัว’

   ‘ธรรมมันชอบโยนตัวเบ้งลงมาก่อน เอามาล่อ’

   ‘ได้ยินเสียงอืมเมื่อกี้ปะ แสดงว่าฟีนกำลังไม่พอใจกับสถานการณ์แหละ’


   มองว่ามันเป็นการหยุดคิดที่ปกติไม่มีอะไรแปลก มองว่าการลงอย่างนั้นมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่รู้สึกว่าตัวนั้นไร้ประโยชน์แล้ว และแค่คำเดียวมันไม่เห็นจะบอกอารมณ์ได้ตรงไหน

   เขากลายเป็นคนที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดรอบตัวไปเฉยเลยล่ะ

   “เราก็ต้องเล็งคนที่อ่อนแอที่สุดแหละ”

   โหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน แล้วจำเป็นแค่ไหนที่พยักหน้าเห็นด้วยกันเกือบรอบวงอย่างนั้น

   สรุปแล้วเดือนตุลามาทำอะไรที่นี่นะ

   ต่อจากนั้นพี่มัจฉ์เสนอให้เปลี่ยนไปเล่นเกมแนวอื่นที่อ่านจากวิธีการเล่นแล้วน่าสนใจดี มันไม่ใช่แค่เกมที่ต้องบริหารทรัพยากรอย่างเดียวแต่ยังต้องรู้จักวิธีการปกครองที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกด้านดำเนินไปพร้อมกัน คือเรียกได้ว่าต้องบูรณาการความรู้ทุกแขวงมารวมกัน

   ดูจากความเคยชินแล้วพวกพี่เขาคงมาเล่นด้วยกันบ่อยแหละ ถ้าจะรู้เช่นเห็นชาติแล้วเอาอีกฝ่ายมาแฉให้เขาฟังได้ตลอดเวลาอย่างนี้ พี่ธรรมจะเป็นแนวไม่พูดอะไรมากแล้วรอจัดการตอนที่จังหวะเหมาะทีเดียว พี่มัจนี่คือเหมือนว่าจะอ่านได้ง่ายสุดแต่สุดท้ายเขาก็โดนตลบหลังตลอด พี่ฟีนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยเดาการเล่นไม่ออกสักเกม

   อยากจะถามพระเจ้าว่าคิดอะไรอยู่ถึงส่งผู้ชายสามคนนี้มาเจอกัน

   “เย้ ชนะ”

   เป็นชัยชนะที่ไม่ค้านสายตาใครทั้งนั้น พี่ธรรมกับพี่ฟีนต่างปรบมือเปาะแปะให้กับสมาชิกอีกคนที่ยกมือขึ้นสูงเหนือหัวยินดีกับตำแหน่งที่ตัวเองเพิ่งได้ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจจริงจังว่าจะเรียนภาษาไปเพื่ออะไรถ้าจะมีความสามารถรอบด้านเท่านี้่

   “ทำไมมันถึงไม่มีบอร์ดเกมเกี่ยวกับกฎหมายบ้างนะครับ”

   “เพราะว่ามันคือความฉิบหายไงน้องตุล” พี่ฟีนตอบคนแรกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “สร้างความสงบที่ได้ความแตกแยกมาแทน” ตามมาด้วยคุณสัทธาที่ไม่เคยปิดปากได้สนิทเมื่อหัวข้อที่สนทนามันเกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียนรู้มาตลอดสี่ปี “ดีจริงๆ”

   “แต่คนที่มีอำนาจในการออกกฎหมายนี่น่ากลัวจริงนะมึง” จบที่คำรำพันพลางถอนหายใจเหนื่อล้าของพี่มัจ “เพราะเมื่อไหร่ที่พวกเขาสามารถอ้างว่าตัวเองเป็นผู้มีสิทธิออกกฎหมายเพื่อสร้างความชอบธรรมของมันได้ ทุกอย่างคือดูไร้ค่าไปเลย”

   “บอกแล้วให้ปลงแบบกู”

   “ก็อยากจะทำให้ได้อยู่ไหมล่ะธรรม”

   “เริ่มเวิ่นล่ะ ออกไปสูบบุหรี่กับกูไป”

   “กูไม่สูบ”

   “เออน่า เดือนสิบดูแลฟีนด้วย”

   แล้วก็ลากคอเอาคนตัวเล็กสุดในวงออกไปด้วยเสียอย่างนั้น พี่มัจขัดขืนอยู่ในจังหวะแรกแล้วเปลี่ยนไปเป็นเดินไปบ่นไปไม่มีหยุด เขาหันกลับมาเก็บอุปกรณ์ประกอบการเล่นให้มันกลับไปอยู่ในกล่องเช่นเดิม เมินคำสั่งที่บอกว่าให้ดูแลพี่ปีสี่อีกคนไปเสีย

   คนอย่างนี้ดูแลไปก็กลับมาแว้งกลับอย่างเดียว

   “คิดไว้แล้วหรือยังว่าปีหน้าจะทำอะไรต่อ”

   “ก็ลงเรียนในรายวิชาบังคับแหละครับ คงไปลงวิชาออกแบบไม่ได้”

   เล่าออกไปโดยลงรายละเอียดน้อยที่สุด นับตั้งแต่วันนั้นมาแล้วตุลสงบปากสงบคำให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้เวลาอยู่กับรุ่นพี่คนนี้ จะว่าไม่ถูกจริตกับแครักเตอร์อย่างนั้นก็ใช่อยู่ เขาน่ะไม่ชอบคนที่ให้ความรู้สึกเป็นนักการเมืองแต่กำเนิดอย่างนี้เลยให้ตาย เหมือนมีภาพจำไปแล้วว่าคนพวกนี้น่ะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้ประโยชน์ทั้งหมดมันเข้าตัว

   วิเคราะห์เอาเองว่าที่พี่เขาเลือกไปทำงานฝั่งสภาแทนที่จะอยู่กับตุลาการเพราะว่าไม่อยากจะต้องมาแข่งกับเพื่อนตัวเอง แถมยังมีอัตราส่วนของการแข่งสูงอีกต่างหาก แล้วที่ไม่ไปอยู่ฝั่งองค์การนักศึกษาก็เพราะว่ามันต้องลงมือลงแรงมากจนไม่คุ้ม

   ไม่เคยปฏิเสธว่าทิชากรเป็นคนเก่งแบบหาตัวจับยากสำหรับเด็กในวัยเดียวกัน ทั้งเรื่องบุคลิก คอนเนชัน แล้วยังมีหน้าตาเข้าไปประกอบอีก

   ส่วนเรื่องนิสัยขอละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน

   “เหรอ แล้วเรื่องกิจกรรมล่ะ จะอยู่ตุลาการต่อหรือว่าคิดจะย้ายไปไหนไหม”

   “พี่ฟีนจะคุยอะไรก็บอกมาเถอะครับ”

   ถ้าต้องการยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งการเมืองจะทำตัวเป็นมนุษย์จำพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวคงไม่ได้ เดือนตุลายังจำได้ดีว่าในวันก่อนนั้นพี่ฟีนเคยเปรยเอาไว้แล้วว่าอยากจะคุยกับเขาเกี่ยวกับบางเรื่อง ตอนที่ไปเยี่ยมพี่ธรรมก็เหมือนจะหาโอกาสคุยแต่ว่าก็ไม่สบช่อง

   มุมปากคนฝั่งตรงข้ามขยับขึ้นเล็กน้อย

   “รู้ใช่ไหมว่าสภากำลังทำร่างระเบียบนักศึกษาอยู่”

   จะทวนในสิ่งที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วทำไม “ครับ”

   “ตอนนี้มันมีสองเวอร์ชัน คือแบบที่พวกพี่ร่างกันมาตั้งแต่ปีที่แล้วกับแบบที่พวกผู้ใหญ่เขาเขียนมาให้”

   อันนี้ก็ทราบเป็นอย่างดีเช่นกัน

   “แล้วยังไงครับ”

   “มันค้างยังไม่ประกาศใช้สักทีเพราะว่าพี่อยากได้แบบแรก แต่ตอนนี้เหมือนพวกนั้นอยากได้แบบสอง แล้วพี่อยากให้ร่างมันเสร็จในปีหน้า”

   เข้าใจได้ว่ามันผ่านมานานเกินไปแล้ว จะเรียกว่าช่างยึดติดหรือว่ามีความรับผิดชอบดีนะ ทั้งที่อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้วแท้ๆ

   “ผมก็ภาวนาให้มันจบนะครับ”

   “คือเรื่องในสภาพี่จัดการเองได้ แค่อยากมั่นใจว่ามันจะไม่ไปมีปัญหากับฝ่ายอื่นเหมือนกัน” ควบคุมสีหน้าที่ชักจะตึงมากขึ้นทุกคำบอกเล่า “มันมีโอกาสที่ถ้าพี่ยืนยันจะเอาร่างแบบของพี่ พวกเขาจะฟ้องเข้าตุลาการให้พิจารณาหยุดการอนุมัติ”

   หัวข้อที่เคยปรามาสว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือโคมลอยไม่น่าใส่ใจวันนี้กลับกลายเป็นว่ามันเกิดขึ้นจริง

   “แล้วถ้าไม่นับธรรมกับมัจตอนนี้คนที่มีอายุการทำงานมากที่สุดคือน้องตุล ต่อให้อยู่ปีสามก็เถอะ”

   “ขอแบบเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับพี่ฟีน” เหนื่อยเต็มทนแล้วกับการที่ต้องมาฟังเรื่องอ้อมโลกทั้งที่จุดประสงค์มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรก “ไม่ต้องอ้อมแล้ว”

  “น้องตุลเป็นประธานตุลาการปีหน้าให้พี่ได้ไหม”

   เดือนตุลามั่นใจว่าตนเองได้ยินทุกคำชัดเจนไม่มีผิดพลาดหรือคำเพี้ยน

   “พี่จัดการที่เหลือทั้งหมดให้เอง เหลือแค่น้องตุลตกลงก็พอ”

   ตามองตรงไม่ละหรือหลบสายตาไปทางอื่น แย้มยิ้มที่ยังเป็นเครื่องประดับประจำตัวของทิชากรยังคงประทับอยู่เช่นนั้นแม้ว่าเนื้อหาในการพูดคุยของเรามันจะไม่ได้เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย ในหัวเต็มไปด้วยข้อสงสัยร้อยแปดพันเก้า มันเป็นคำถามที่เขาไม่กล้าคาดเดาเลยว่ามันมีเบื้องหลังแค่นั้นจริงหรือไม่

   “ไม่ครับ”

   ยืนกรานในอุดมการณ์ที่ยึดถือ เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นทั้งที่เขาเพิ่งดิสคัสกับพี่ที่เหลืออีกสองคนไปเองเรื่องเกี่ยวกับคำพิพากษา ถ้าการได้มาของตุลาการไม่โปร่งใสแล้วใครจะไปเชื่อล่ะ

   “ยังไม่ต้องรีบตอบขนาดนี้ก็ได้ ยังเหลือเวลาเยอะแยะ”

   “พี่...”

   “แต่อยากให้ตกลงนะ” เสียงที่ล่อลวงอยู่มันน่าระแวงจนเขาไม่กล้ากลืนน้ำลายลงคอ “เพราะสุดท้ายน้องตุลจะขอบคุณพี่ เชื่อสิ”


***

   ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนก็ต้องได้เขียนแหละเนอะคะ (ยิ้ม) เจ้าอยากให้เรื่องนี้ได้เปลี่ยนโลเคชันบ้างนะคะ แต่ว่าคนพวกนี้เขาก็ทำงานนี่นา จะให้ไปที่ไหนได้ล่ะ
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเก้า [18.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-02-2020 22:00:27
*Warning: Drug and abuse*


บทสิบเก้า


   จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนแรกที่แนะนำวิธีนี้ให้ แต่เขาก็คิดถูกที่ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเอาไว้ให้ต่ำกว่าปกติสองระดับเพื่อรับมือกับความแปรปรวนด้านอารมณ์ของทุกคน ขยับช่วงไหล่เล็กน้อยพอให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวก่อนที่ไม่รู้ว่าจังหวะไหนจะต้องนั่งตัวตรงห้ามหลุกหลิกไปทางอื่น

   ความอึมครึมภายหลังจากการแจ้งเริ่มต้นการพิจารณาไม่เคยเป็นบรรยากาศที่รับมือได้ง่ายเลยสักครั้ง เขาลอบมองความคุ้นเคยที่ไม่เคยคุ้นรอบห้องแทนการสนใจบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหน้าสุดตรงกลางที่ยังคงไม่เปิดปากสักครั้ง

   สัทธานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ที่เขายังคงยืนยันเสมอว่ามันเหมาะกับผู้ชายคนนี้ที่สุดแล้ว คาดคะเนไม่ได้เลยว่าระดับอารมณ์มันคงที่หรือว่าปั่นป่วนแค่ไหน ตั้งแต่เจอหน้าในห้องทำงานก็ทำหน้านิ่งจนไม่กล้าเข้าไปทักทายสักคำ เห็นอย่างนี้ถ้าเป็นเรื่องงานแล้วต้องทำเต็มที่เสมอล่ะนะ

   “รบกวนช่วยให้ความร่วมมือด้วยครับ”

   ช่างเป็นภาพแสนพิกล ในเวลาไม่ถึงครึ่งปีที่แล้วอดีตคนที่ได้นั่งบนโต๊ะตัวใหญ่สุดตรงกลางกลับกลายเป็นต้องมาอยู่ฝั่งตรงข้าม จากผู้ตัดสินแปรเปลี่ยนเป็นผู้ที่ต้องดุษณีต่อมัน

   เดือนตุลาเชื่อที่พี่มัจบอกว่ายังไงงานนี้พี่ต้นหลิวก็ไม่ยอมเลี่ยงการเข้าร่วมพิจารณาคดีแน่นอน ผู้ถูกกล่าวหาแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ด้วยการโพสต์สเตตัสต่อเนื่องจนถึงเช้าวันนี้ หากทั้งหมดมันก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ที่สามารถเอามาหักลบข้อกล่าวหาได้เลย

   พยายามไม่คิดมากเรื่องที่สเตตัสทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เขียนว่ามันมีเบื้องหลังเรื่องผลประโยชน์ในการเข้ารับตำแหน่ง ช่วงหลังนี่เหมือนว่าเป็นการลากเรื่องอะไรออกมาเขียนก็ได้ทั้งที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

   ปลายเจตน์ถึงกับส่งมาบอกว่าตั้งค่าให้ไม่เห็นโพสต์ไปแล้ว ถ้าอยากจะให้อัปเดตอะไรก็บอกเดี๋ยวจะเข้าไปส่องให้

   เริ่มประชุมห้าโมงครึ่งก็มาห้าโมงยี่สิบเก้า ทำคอตั้งหลังตรงเดินอาดไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวกลางแถวหน้าสุดที่คนทำงานรู้กันดีว่ามันคือที่ตำแหน่งสำหรับผู้ถูกกล่าวหา ไม่มีการทักทายอื่นคนร่วมงานสักคนเดียว

   ข้อดีของมันก็คือเราสามารถเริ่มการพิจารณาได้ตรงตามตารางเวลาที่วางเอาไว้ ส่วนข้อเสียของมันคือไม่รู้ว่าจะต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน

   คนอื่นก็ทำได้แค่รอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสแก้ต่าง เป็นได้แค่ตัวประดับในห้องนี้กันทั้งนั้น เริ่มคิดว่าที่มันทำให้คนอื่นเสียเวลาโดยไม่ใช่เรื่องแล้วนะ เขาอยากจะกลับห้องไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกลางภาคมากกว่าที่จะต้องมานั่งหายใจเข้าออกในห้องนี้

   “ด้วยความเคารพครับท่านสัทธา ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา”

   พออ่านรายละเอียดของการพิจารณาในแต่ละส่วนก็เข้าอีหรอบนี้ มันมีสองสามเรื่องที่ต้องพิจารณาโดยมีเรื่องใหญ่คือการใช้อำนาจในทางมิชอบ แค่นั้นก็หนักแล้ว ยังไม่รวมกับเรื่องที่ว่าไปเอี่ยวกับฝั่งสภาอีก

   “คือพูดกันตามตรงนะเลิกเรียกผมว่าท่านสักที ผมไม่ได้สูงส่งกว่าใคร”

   “มันคือการให้เกียรติท่านประธานครับ”

   “...แต่ไม่ให้เกียรติตัวเองเลยสักนิด”

   เสียงกระซิบกระซาบที่ตุลได้ยินชัดเจนหากไม่มั่นใจว่ามันจะส่งไปถึงคนที่นั่งอยู่ถัดออกไปสองแถวได้หรือไม่ พี่มัจนี่ก็ไม่เคยคิดจะลดราวาศอกกันเลยสักครั้ง

   “หยุดลดทอนความเป็นมนุษย์ เลิกคิดว่าตัวเองสูงกว่าได้แล้ว เราไม่ได้สูงกว่าใคร”

   ใช่ เราไม่ได้สูงกว่าใคร

   หลังจากนั้นมันก็ไม่มีคำให้การที่เป็นประโยชน์ เลยต้องสั่งพักครึ่งที่ไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ เดือนตุลาวางปากกาหมึกซึมในมือลงกับโต๊ะพลางนึกว่าพรุ่งนี้เขามีเรียนคลาสกี่โมงบ้าง ถ้าได้นอนคืนนี้เต็มที่มันจะเยี่ยมยอดมากเลยล่ะ

   “เป็นไง เหนื่อยไหม”

   “ง่วงมากกว่าครับ” วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้คนที่รู้จักกันมานานเป็นคนฆ่ากันเองดีกว่า “พี่มัจว่ามีอะไรที่ช่วยให้ตาสว่างได้บ้าง”

   “เจอธรรมสอนไปอย่างนั้นยังไม่สว่างบ้างเหรอ” คนเราสามารถหัวเราะถูกใจให้กับเรื่องพวกนี้ได้คงมีแต่พี่มัจ ตัวเขาเองน่าจะสยองขวัญไม่ต่างกับคนอื่น “แต่มันเกือบหลุดอยู่นะวันนี้อะ”

   “เหรอครับ”

   ถึงจะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้อยู่ในการพิจารณาภายใน พี่ธรรมก็ไม่เคยมีอากาศ ‘คุมไม่ได้’ เลย

   “อืม ไปสะกิดโดนตรงที่มันไม่ชอบแล้วแหละมั้ง เรื่องคำพูดที่มันบ่นมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว”

   “ที่ชอบทำเหมือนกับว่าตุลาการเป็นพวกที่มีศักดิ์สูงกว่าใช่ไหมครับ”

   “อือ เอาจริงแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หลายคนจะยกตนให้เป็นอย่างนั้น”

   “ครับ?”

   “ได้โปรดอนุญาต...ขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง...ควรไม่ควรแล้วแต่ละโปรด”

   รำพันในถ้อยคำที่เขาเคยได้ยินผ่านหูและเห็นผ่านตา แต่ละคำคือสิ่งที่ถูกกำหนดว่า ‘ต้อง’ ระบุลงในคำร้อง

   “ยิ่งใหญ่จังเนอะ สูงส่งจนไม่เห็นรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของคนที่เท่ากันเลย” นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้จับจ้องไปที่ใครหรือสิ่งใด ราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดที่เขาไม่เคยนิยามความล้ำลึกได้ “ไม่เห็นเลยสักนิด...”

   พี่มัจในโหมดคนปลงโลกเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขาว่าคนๆ นี้คนเคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง ทำไมคนที่อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าถึงได้หมดศรัทธากับสิ่งที่เรียกว่าการเมืองและสังคมได้เท่านี้ รวมถึงความย้อนแย้งที่ว่าหากไม่มีความเชื่อมั่นในระบบแล้วจะมาทำงานตรงนี้เพื่ออะไร

   เพื่อความสนุกอย่างนั้นจริงเหรอ

   ต่อให้ไม่ได้สืบทราบไปถึงขั้นว่าฐานะครอบครัวเป็นอย่างไร ผ่านการศึกษาแบบไหนมา ไลฟ์สไตล์ของพี่มัจมันก็แสดงออกให้เห็นอยู่แล้วว่าพี่เขาน่ะไม่ใช่พวกที่ถูกคนรอบข้างฝังหัวมาว่าต้องเรียนให้ดีแล้วชีวิตจะสบายอย่างแน่นอน ก็เลยสะกิดใจอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมพี่เขาถึงชอบพูดเรื่องความเท่าเทียมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “มันมีปัญหาขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ก็รู้สึกว่าประเทศอื่นยังใช้คำว่า Dear Honor ได้เลย

   “คนอื่นไม่รู้แต่สำหรับพี่มันมีนะ ตัวอักษรพวกนั้นสะท้อนว่าคนพวกนั้นมองตัวเองแบบไหน มองว่าตัวเองสัมพันธ์กับใคร”

   ส่วนท้ายของการเล่ามีการยกมือขึ้นมาทำเป็นตัววีที่หักงอลง ความรังเกียจเผยชัดผ่านทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

   “บางคนน่ะ ถึงกับให้คำพิพากษามันแตะต้องไม่ได้ด้วยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ ไปดูสิ ว่ามันเป็นการเขียนว่าตัดสิน ‘ใน’ อะไร”

   ใช้มันเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ตัวกฎหมาย...หรืออาจจะถึงกับเป็นการลามไปถึงการสร้างความชอบธรรมให้ตัวผู้ตัดสินในแบบที่ไม่ถูกต้อง

   “กฎหมายไม่ควรผูกกับบางอย่างเอาไว้”

   “มันก็แค่คำไม่ใช่เหรอครับ”

   “ก็ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เอาออกไปเลยล่ะ การที่ยังยึดมันเอาไว้อยู่ก็หมายความว่ายังต้องการใช้ประโยชน์จากมันใช่หรือเปล่า แล้วที่ผ่านมาพี่ว่าพวกเขาก็ยังทำอย่างนั้นกันอยู่นะ”

   ความคิดเห็นของเขาในเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกับพี่มัจฉ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เริ่มเรียนกฎหมายมาเขาไม่ได้รู้สึกว่าการปกครองด้วยกฎหมายเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมารองรับขนาดนั้น อย่างพวกนักคิดเองก็มีตั้งแต่ที่ให้ความเห็นว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีจริง บางส่วนก็บอกว่ามีจริง

   ยังไม่รวมกับที่ทฤษฎีของแต่ละคนก็มีความเห็นเกี่ยวกับมนุษย์แตกต่างกันไปอีกนะ บางคนก็บอกว่ามนุษย์เป็นสีขาว แต่บางคนก็บอกว่าเป็นสีดำ สรุปแล้วก็คือว่าในโลกนี้มีทฤษฎีเกี่ยวกับกฎหมายและความยุติธรรมที่แตกต่างจนบอกไม่ได้ว่าของใครที่ดีที่สุด

   “เกลียด เกลียดไปหมดแหละ เหมือนอย่างที่ต้นหลิวมันเอาแต่เรียกว่า ‘ท่าน’ ก็เหมือนกัน ถามจริงเถอะว่าจะเรียกอย่างนั้นไปทำไม แบ่งแยกชนชั้นเหรอ อาชีพอื่นเขาไม่เห็นจะต้องทำอะไรอย่างนี้เลย”

   “อันนี้ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

   “ใช่ไหมล่ะ คือแล้วคนอื่นไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอเวลาที่ได้ยินอะ”

   ทีละเล็ก อย่างละน้อย เดือนตุลาก็ได้ซึมซับและรับรู้ว่าเพราะอะไรคนข้างกายของเขาจึงเลิกที่จะเรียนในสาขาอื่น คงเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถอยู่กับสภาวะที่แสนจะบิดเบี้ยวนี้ได้ น่านับถือจังนะคนที่มีความเชื่อมั่นแรงกล้าอย่างนี้

   “เมื่อวันก่อน...”

   วูบหนึ่งใบหน้าของพี่มัจฉ์ถูกทาบทับด้วยอีกคน นั่นเลยทำให้จากที่ว่าจะเล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อวันก่อนให้ฟังก็ตัดสินใจที่จะปิดปากเอาไว้ให้สนิทตามเดิม

   “วันก่อน?”

   “ที่บอกว่าจะพาผมไปซื้อของยังไม่ได้ไปเลยนะครับ”

   คิดอะไรไม่ออกแล้ว ณ จุดนั้น ใจของเขาน่ะมีอย่างเดียวก็คือต้องเก็บข้อเสนอในเรื่องนั้นลงไปไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด ยิ่งกับพี่มัจแล้วก็พี่ธรรมด้วย

   ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยคิดเกี่ยวกับตำแหน่งมาก่อน ก็เอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับรุ่นพี่คนนั้นเสมอล่ะนะ เขาเลยคิดแค่ว่าพี่ธรรมจะต้องได้เป็นประธานเท่านั้น ไม่เคยมองภาพอนาคตหลังจากการจบการศึกษาไปแล้วเลย

   จะว่าน่ากลัวมันก็ไม่ได้ขั้นนั้น เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าพี่ฟีนจะรู้เรื่องภายในองค์คณะราวกับว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิก ถ้าจะเล่นมีเพื่อนเป็นคนกุมอำนาจหลักข้างในสองคนอย่างนี้ ยังไม่รวมว่าเขาไปตีซี้เบื้องหลังอีกไม่รู้กี่คนด้วยนะนั่น

   แค่ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเจาะจงเป็นเขาเท่านั้น

   ไม่เชื่อว่ามันเป็นแค่เรื่องของระเบียบการร้อยเปอร์เซ็นต์ คนทำงานอย่างเขาน่ะรู้ว่าต่อให้เป็นประธานแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดเสียหน่อย ทุกอย่างยังต้องผ่านการยินยอมจากที่ประชุมอยู่ดี

   มันคือความเคลือบแคลงใจที่ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมไหนมันก็ไม่มีความกระจ่างสักทาง จะบอกว่าเพราะว่าเขาเป็นคนที่ทำงานมานานที่สุดมันก็ใช่อยู่เมื่อเทียบจากอายุการทำงาน หากมันจะต้องมีคนมาแย้งในเรื่องของระดับชั้นปีอยู่แล้ว

   ด้วยตัวระบบของมันแล้วเท่าที่รู้มายังไม่เคยมีเด็กปีสามคนไหนได้รับตำแหน่งนี้สักราย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อมองจากสายตาของคนข้างนอก มันก็ต้องคิดว่าคนที่มีอายุมากกว่าจะมีวุฒิภาวะมากเพียงพอในการจัดการงานทั้งหมดได้

   แม้ว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

   ยังไม่รวมกับสภาพการทำงานที่ต้องยอมรับว่าถ้าพี่ธรรมกับพี่มัจจบไปแล้วเขาจะกลายเป็นมนุษย์หัวเดียวกระเทียมลีบที่ไม่มีผู้สนับสนุนอย่างแท้จริง ก็ตั้งแต่อยู่มาเขาก็ไม่เคยทำความรู้จักมักจี่กับใครเลยล่ะนะ มาทำงานแล้วก็จบกันไป

   สรุปให้ตัวเองได้ว่าการที่ทำอย่างนั้นไปมันจะไม่มีผลดีอะไรกับชีวิต

   “โหย ไปหลังจากนี้เลยก็ยังได้”
   
   มันไม่ต่างจากเกมบอร์ดที่พวกเราได้เล่นกันเมื่อวันก่อน ในท้ายที่สุดแล้วเดือนตุลาก็เป็นคนอ่อนแอที่ทุกฝ่ายต่างพร้อมใจกันร่วมมือกำจัดอยู่ดี

   “ได้เวลาประชุมต่อแล้วครับ”

   เหลือบมองตัวเลขดิจิทัลหกหลักบนจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ ช่วงพักเบรกของเราใช้เวลาเท่าที่ประกาศเอาไว้ไม่มีการล่วงหรือเกินเวลา นี่สมาชิกคนอื่นคงเข็ดกันแล้วเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาสาย เรื่องเวลานี่ไม่มีใครเป๊ะเกินสัทธาแล้วล่ะ

   เบื่อที่ต้องกลับมานั่งเงียบๆ แบบเดิมอยู่เหมือนกัน พี่ต้นหลิวก็เอาแต่พูดจาวกไปวนมาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเจ้าของคำพูดในแชตทั้งหมด ทั้งที่มีทั้งพยานบุคคลแล้วก็สิ่งแวดล้อมก็ยังดึงดันว่าตัวเองบริสุทธิ์

   ทำไปเพื่ออะไรกันนะ

   มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งเลื่อนลอยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน พี่เขาเองก็เรียนคณะกฎหมายจนจะจบอยู่แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าการทำอย่างนี้มันไม่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

   ไร้ความสนใจในบทสนทนาที่วกไปวนมาไม่ยอมออกจากวงกลมสักที เลยละสายตามาอ่านเอกสารตรงหน้าดีกว่า มันเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณาทั้งหมดที่เขาก็ยอมใจคนที่รวบรวมเหมือนกันว่าไปเอาทั้งหมดนี่มาได้ยังไงโดยที่ไม่โดนดักทำร้ายไปก่อน

   ในแชตเจ้าปัญหามันไม่ใช่แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันมีข้อโต้แย้งที่ดีเพียงพอว่ามันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด แต่ว่าที่ไม่รอดของแท้น่ะเป็นประเด็นที่พี่เขาไปเอี่ยวกับฝั่งของสภาต่างหาก อันนั้นน่ะหลักฐานทั้งหมดรัดแน่นจนขยับไม่ได้เลยล่ะ

   ทุกอย่างมันลงตัวเกินไปราวกับถูกจัดฉากเอาไว้แล้ว

   และพอเดือนตุลาเหล่มองพี่ปีสี่ข้างตัวที่ยังกดโทรศัพท์สบายใจแล้วมันบอกให้เขายอมรับเถอะว่ามันมีความเป็นไปได้สูงจนเกือบมั่นใจได้

   เจออย่างนี้ใครอยากจะเข้าไปยุ่งกับการเมือง ไม่ใช่เขาล่ะหนึ่ง

   ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการจบการพิจารณาได้ด้วยดี พี่ต้นหลิวก็เอาแต่ปฏิเสธจนจนใจที่จะจี้ต่อ คือถ้าอย่างจะยืนกรานเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยไป

   “ก็อย่างที่บอก ผมไม่ยอมรับคำตัดสินของคนที่เล่นยาหรอกครับ”

   ...

   .

   เอาจนได้

   คิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันมีความน่าจะเป็นที่จะออกมาในอีหรอบนี้

   พอหมดช่วงของการพิจารณาแล้วมันก็ควรจะแยกย้าย หากคำเอ่ยทิ้งท้ายของอดีตประธานตุลาการพาให้จังหวะการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนข้างในหัวใจเร็วขึ้นจนสัมผัสได้ เขาลอบกลืนน้ำลายลงในขณะที่ตาก็ยังมองตรงไปยังเก้าอี้ประธานตาไม่กะพริบ ลุ้นระทึกยิ่งกว่าอะไรดีว่าปฏิกิริยาตอบรับจะเป็นเช่นไร

   มันเป็นหนึ่งในหัวข้อที่พี่ต้นหลิวเขียนเปรยลงไปในสเตตัสหลังๆ ประมาณว่าจะเอาอะไรกับคนที่อยู่ในกลุ่มของเพื่อนที่มีการเล่นของผิดกฎหมาย คือถึงจะเป็นกลุ่มคนป่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหลวแหลกไหม

   สีหน้าของสัทธายังคงราบเรียบไม่มีแววขุ่นเคืองกับคำสบประมาท เมินคำเอ่ยพวกนั้นด้วยการจัดเก็บเอกสารกองสูงบนโต๊ะให้กลับไปอยู่ในแฟ้มพลาสติกซองใหญ่ เหน็บลามี่แท่งประจำเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยมือซ้าย

   จากนั้นก็ยืนขึ้นเต็มความสูงตามด้วยการเก็บเก้าอี้นวมตัวใหญ่ไว้ติดกับโต๊ะตามเดิม ตากวาดมองความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะจบลงด้วยการยื่นปลายนิ้วไปแตะลงตรงมุมขอบของป้ายไม้ระบุตำแหน่งขยับมันให้ได้ระดับเท่ากันทั้งสองข้าง

   ไม่ต้องร้องแรกแหกกระเชอหรือว่าป่าวประกาศความยิ่งใหญ่ของตำแหน่ง พี่ธรรมสร้างสัญลักษณ์เพื่อให้ตระหนักถึงความแตกต่างของหน้าที่ด้วยการกระทำเดียว

   ความยำเยงที่ใครอื่นทำไม่ได้

   ต้องขอบคุณพี่มัจฉ์ที่เปิดทางให้คนอื่นสามารถเลี่ยงตัวออกจากห้องได้โดยสะดวกด้วยการเดินไม่สนใจโลกออกไปทางประตู ราวกับว่าเมื่อสักครู่มันไม่ได้มีสงครามประสาทเกิดขึ้นสักนิดเดียว เมื่อมีคนแรกเปิดคนที่สองและสามก็ตามไปเป็นขบวนจนตอนนี้ทั้งห้องมันเหลือเพียงแค่พี่ธรรม พี่ต้นหลิว แล้วก็เขาเท่านั้น

   ไม่มีตัวตนในสายตาของคนทั้งคู่อยู่แล้ว ต่อให้เขายืนเด่นอยู่คนเดียวท่ามกลางโต๊ะว่างเปล่ามันก้ไม่มีใครคิดจะสนใจหรอก ก็เลยหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปอย่างนี้แหละ

   อยากรู้ใจจะขาดว่าฉากการแสดงองก์ต่อไปจะเป็นอย่างไร

   ต่างฝ่ายต่างปิดปากสนิท ฝ่ายประธานคือยืนเอามือข้างที่ว่างล้วงกระเป๋าในท่าแสนผ่อนคลาย สำหรับผู้รับการพิจารณายังคงนั่งเอาหลังพิงพนักไว้ สายตาขึ้งเคียดมาพร้อมกับขบเขี้ยวฟันเอาไว้แน่น

   ราวกับเป็นโลกต่างมิติ

   เดือนตุลาลองเอาตัวเองทาบทับกับรุ่นพี่ปีสี่ที่เพิ่งสูญสิ้นทุกเกียรติยศลงอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนที่หยิ่งผยองอย่างนั้นนี่มันเทียบได้กับการที่ทั้งโลกล่มสลายลงไหม

   มันสำคัญแค่ไหนกันนะกับ ‘ชื่อ’ พวกนั้น

   สัทธาหันทั้งตัวไปทางประตูออก ทุกย่างก้าวเนิบนาบเต็มไปด้วยความเรื่อยเฉื่อยไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งออกคำพิพากษาตัดสินความผิด

   ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไปก็อยากจะออกไปอีกคนแหละ หากว่านิสัยของคนที่ชอบรักษาความสะอาดของห้องเอาไว้ตลอดก็รั้งเขาเอาไว้ อยากจะให้พี่ต้นหลิวออกจากห้องนี้ไปให้ไวเขาจะได้เคลียร์ห้องให้เรียบร้อย

   ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่าเกลียดรุ่นพี่คนนี้อยู่ดี มันก็เลยไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมเท่าไหร่ตอนที่ได้ฟังการพิจารณาทั้งหมด จะเป็นอารมณ์ว่าก็ทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าทำหน้าที่ให้ดีตั้งแต่แรกมันก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว

   บอกตามตรงเลยว่าไม่มีความกลัวเลยสักนิด ในสายตาของเขามันมีแต่ความสมน้ำหน้าไปจนถึงขั้นสมเพชคนที่ไม่รู้จักการวางตัวให้ถูกต้อง ไม่รวมกับการกระทำที่ผ่านมาร้อยแปดพันเก้าด้วย เขาน่ะจะไม่โกรธเลยนะถ้ามันเป็นการวิจารณ์ในเรื่องการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทุกงานที่ผ่านมามันพิสูจน์อยู่แล้วว่าเขารับผิดชอบงานได้ดีแค่ไหน

   ก็มีแต่พี่เขานั่นแหละที่เอาแต่ตินู่นติงนี่ ให้ลากเรื่องเก่าออกมาพูดก็บอกได้ถึงขั้นที่ว่าปัจจัยหลักที่ได้เป็นประธานเพราะว่าโชคดีที่พี่ธรรมออกไปแล้ว พี่มัจก็ไม่เคยอยากเป็น มันก็เลยตกเป็นของคนที่อยู่ในองค์คณะมานานที่สุดเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผลงานที่ผ่านมาเลย

   นี่แหละนะที่บอกว่าการทำงานน่ะมีคนที่รักดีกว่ามีคนที่เกลียด

   พี่ต้นหลิวไม่สงสัยหรือว่าประหลาดใจเลยที่เขายังปักหลักอยู่ตรงนี้ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องเขม็งจนเขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาต

   “อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้เรื่อง สักวันหนึ่งมันก็ต้องแดงอยู่ดี”

   ส่ายหัวระอาให้คำกึ่งขู่กึ่งจนตรอก ให้ตายเถอะ จนจังหวะสุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่พ้นเรื่องนี้

   เดือนตุลาประชันหน้ากับคนที่เขาสามารถยกคางสูงได้โดยไม่ลังเล “เสียใจด้วยนะครับ”

   ยิ้มแสยะให้กับคนที่บอกว่ารู้อะไรหลายอย่าง

   “มันจะไม่มีวันนั้น”



***
ต่อโพสต์ถัดไปค่ะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบเก้า [18.2.20] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-02-2020 22:03:12

   เขาชักอยากจะทดสอบว่าในห้วงอวกาศจะเงียบได้มากหรือน้อยกว่านี้

   หากมันอยู่ในภาพยนตร์หรือว่าการ์ตูนสักเรื่อง ทางเดินที่ปิดไฟจนหมดทุกดวงคงสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวที่พร้อมบีบรัด ในทางกลับกันเดือนตุลาผู้ปิดห้องทำงานกลางของตุลาการนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลับสงบนิ่งเสียจนกลัวใจตัวเอง

   ทุกย่างก้าวเชื่องช้าไม่มีความเร่งรีบ เพราะว่าปลายทางของมันไม่ใช่บันไดทางลงแต่เป็นห้องประชุมย่อยหนึ่งในสองที่ยังใช้งานได้อยู่ แสงไฟจากสปอต์ไลท์ด้านนอกสาดส่องเข้ามาพอให้เห็นเงาร่างชัดว่ามันมีใครนั่งพิงขอบหน้าต่างรออยู่ก่อนแล้ว

   ยังอยู่ตรงนั้น

   ไม่เคยไปไหนเลย

   จับกลอนประตูเอาไว้ให้มั่น สูดหายใจเข้าไปจนลึกสุดปอดตามความเชื่อว่ามันจะช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้น

   ยังคงเลือกที่จะหมุนลูกบิดแม้มือจะสั่น ความกลัวที่แล่นขึ้นมาถูกกลบลงไปเมื่อมันมีความต้องการที่จะพบหน้าเสียมากกว่า

   อยากจะเป็นพวกเล่นตัวบ้างก็เลยไม่ยอมปริปากก่อน เขาเดินไปนั่งบนโต๊ะทรงเหลี่ยมขนาดแปดคนนั่งที่ตั้งเอาไว้ตรงกลางห้องเงียบเชียบ คิดว่าก็รอมาแล้วตั้งนานจะรอมากกว่านี้อีกสักชั่วโมงจะเป็นอะไรไป

   มันควรจะเต็มไปด้วยความกลัว หวาดระแวง และพรั่นพรึง ส่วนที่เขาจับสัมผัสได้ตอนนี้คือความสบายใจที่ไม่ต้องปกปิดบางอย่างเอาไว้อีกแล้ว

   “ทำไมพูดกับต้นหลิวอย่างนั้น?”

   เป็นชัยชนะครั้งแรกที่แสนจะภาคภูมิใจ จงใจเว้นจังหวะอีกพักใหญ่จึงให้คำตอบ

   “ก็แค่อยากบอกครับ”

   และเขาบอกเลยว่านั่นไม่ใช่การยียวนแต่อย่างใด มันคือสิ่งที่เขาคิดจริงในวินาทีนั้น

   เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าประตูห้องไม่ได้ปิดหลังจากที่พี่ธรรมออกไป แล้วคนที่เข้าใจดีว่าเราสองคนมีความหลังในแบบไหนมาคงไม่ปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง ขอเถอะ คิดว่าคลุกคลีกันมานานขนาดนั้นก็ต้องรู้จักนิสัยกันบ้างแหละ

   “ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริง?”

   ตอกย้ำความไม่พอใจด้วยการจุดแท่งยาสูบในมือ แสงสีส้มหม่นริบหรี่ที่ปรากฏขึ้นภายหลังจากการจ่อเข้ากับเปลวไฟไม่ต่างอะไรกับห้วงอารมณ์ขุ่นมัว

   กลิ่นของยาเส้นในวันนี้ไม่เหมือนกับกลิ่นที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่มีคลายตัวลง

   มันเป็นการรับผิดที่แสนน่าหงุดหงิดกับนิสัยการยอมรับความจริงได้โดยไม่มีการบ่ายเบี่ยงอย่างที่ระบบความคิดของมนุษย์ควรทำ เขาตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนกล้าเผชิญหน้ากับความผิดได้โดยไม่มีความหวาดกลัว
   
   “ใช่ครับ”

   “อย่าปกป้องกันในเรื่องที่ผิด” เดือนตุลาหน่ายเต็มทนกับคนที่แสนจะซื่อตรงกับเรื่องพวกนี้ “แค่ที่บอกให้ไปรายงานกับสภาแล้วไม่ทำพี่ก็รู้สึกแย่เกินพอ”

   “แล้วยังไงล่ะครับ ทำไมจะทำไม่ได้ครับ”

   “เพราะมันผิดไง”

   ชักจะหัวเสียตอนที่สัทธาเอาแต่ย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่มีใครบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกหรือว่าควรไม่ใช่เหรอ มันอยู่ที่ว่าต่อให้มันจะผิดแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะปิดมันเอาไว้ต่างหาก

   “สั่งตั้งแต่คราวที่แล้วก็ไม่ทำ คราวนี้ช่วยทำให้มันถูกต้องทีได้ไหม?”

   “ไม่ครับ”

   ลบความเข้าใจว่าเดือนตุลาน่ะเป็นพวกหัวอ่อนของทุกคนไปได้เลย กับเรื่องนี้น่ะเขาจะไม่ยอมทำตามเด็ดขาด

   “เลิกดื้อสักที”

   “ทำไมครับ พี่จะบอกเหมือนเดิมเหรอว่าพี่เกือบจะทำร้ายผมน่ะ”

ทำเป็นปากกล้าทั้งที่ทั้งร่างชาวาบไม่ทราบสาเหตุ เดือนตุลาเม้มปากเอาไว้แน่พลางท่องบอกว่าอย่าเพิ่งให้อาการพวกนั้นมันกลับ   มาทำร้าย สั่งให้สมองเลิกย้อนภาพในวันนั้นกลับขึ้นมาแล้วอยู่กับปัจจุบันก่อน

   พอคู่กรณีไม่ยอมปริปากเขาถึงเสริมต่อ

   “ก็บอกแล้วไงครับว่ามันก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ”

   “นายไม่ผิด ทั้งหมดคือความผิดของพี่” เสียงทุ้มนั่นกับความมืดมิดของรัตติกาลไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ “อะไรที่ไม่ยินยอมมันผิดทั้งนั้น เข้าใจไหม”
   
   เคยเรียนในห้องมาแล้วทั้งหมดนั่นแหละ ตั้งแต่องค์ประกอบของความผิด ยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ ปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่สามารถดิ้นรนเพราะธรรมชาติของร่างกายที่ออกแบบให้ยอมจำนนในสถานการณ์ที่ไร้ทางชนะ หากทั้งหมดนั้นเขาก็ไม่เคยยอมรับความจริง

   “ผมก็ไม่ได้ไม่ยินยอมนะ”

   “เลิกหลอกตัวเอง”

   “...”

   “ขอร้องเลย พี่ผิดตั้งแต่ให้นายลองแล้ว”

   ‘จะลองไหมล่ะ ระวังสำลักนะ’

   สงสัยตั้งแต่ช่วงแรกว่าในห้องประชุมย่อยมันต้องมีบางอย่างซ่อนเอาไว้หรือเปล่า เดือนตุลามักจะเห็นผ่านตาอยู่เสมอว่าพี่ธรรมชอบเข้าสิงไปอยู่ข้างในเสมอในเวลาที่ไม่มีเวรเฝ้า บางครั้งก็จะนั่งพิงขอบกระจกสูบบุหรี่มองออกไปข้างนอก จนถึงวันที่ทุกอย่างเป็นใจให้เขาได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั่นแหละ

   ถ้าบอกว่ากฎหมายบางมาตราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม แล้วการที่มนุษย์เราสามารถทำให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปได้เป็นอย่างดีภายใต้กฎที่บอกว่าผิดจะเป็นเช่นไร พื้นที่สีเทาของกฎหมายเป็นเรื่องที่เอามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เสมอ

   อย่างเช่นว่าสมาชิกตุลาการนักศึกษาที่กำลังใช้พืชผิดกฎหมายอยู่

   ด้วยสภาพของกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันแล้วเขาไม่ตกใจเลยสักนิดที่มันอยู่ในความครอบครองของรุ่นพี่ เห็นแต่ละหน่อแล้วบอกเลยว่าถ้าจะปลูกตรงระเบียงห้องพักก็ยังบอกว่าปกติอยู่

   เป็นวัยรุ่นที่อยากลองและยอมตกกับดักด้วยความเต็มใจ มันเป็นการผสมกันของความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับและความต้องการโลกในอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

   รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่แค่แท่งบุหรี่ที่ซื้อได้ทั่วไป กลิ่นยาเส้นละอวลอาย สารพิษเข้าสู่ร่างพาให้ล่องลอยจนยากจะควบคุมสติ เคลิบเคลิ้มเสียจนไม่กระดากอายที่จะพิงทั้งร่างเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เสียงหัวเราะแผ่วที่ประสานกันยามนินทาเรื่องราวรอบตัวตั้งแต่อาจารย์ที่คณะไปจนถึงแม่บ้านประจำตึก

   เริ่มย้ายไปเรื่องการศึกษาแสนเฮงซวย โอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันของนักเรียน ชีวิตที่ต้องอยู่ในโรงเรียนกวดวิชาจนไม่ได้มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิต หรือว่าถึงจะออกไปก็ไม่ได้มีชีวิตให้ใช้เสียเท่าไหร่ ต่อจากนั้นก็ได้เวลาย้อนกลับมาคุยเรื่องของกฎหมายหลายฉบับที่มีปัญหาคาราคาซังตั้งแต่อุ้มบุญ ผู้ลี้ภัย หรือแม้กระทั่งเรื่องของพืชที่ถูกกำหนดให้ผิดกฎหมาย ทำไมบางประเทศถึงทำได้แล้วทำไมเราถึงล็อกสนิทปิดตายไม่ไปเอ่ยถึงมันอีก

   จนไปถึงเรื่องของความรักในวัยเรียนที่ดูเหมือนว่าจะไร้ประสบการณ์พอกัน พอจุดประเด็นติดมันก็ลามไปถึงเรื่องปรัชญาความรักที่เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่ ประมาณว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีความแน่นอนสักอย่างแล้วทำไมคนเราถึงยังก้าวเท้าข้ามไปล่ะ

   ‘แต่ผมเลือกจะเสี่ยงนะ’

   เขาช้อนตาขึ้นไปสบตากับรุ่นพี่คนนั้น สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้วเผยโครงสร้างที่ไม่ได้มีความหล่อเหลาน่าหลงใหลเหมือนอย่างสมัยนิยมแต่เขาก็ไม่สามารถละความสนใจไปได้เลย

   มนตร์สะกดอาจมีจริง

   ถึงใครจะบอกว่าการทำงานด้วยกันมันจะควรจะช่วยให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้น สำหรับเขาน่ะมันเป็นความใกล้แค่ในส่วนของทางกายภาพอย่างเดียว ในส่วนของความรู้สึกน่ะตั้งแต่รู้จักกันมามันไกลอย่างไรผ่านมาเกือบปีมันก็ไม่เคยชิดเลย เขายังคงเป็นคนที่เดือนตุลาเฝ้ามองจากที่แสนไกลไม่ต่างจากวันแรกพบ

   สติและสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์จนกล้าเคลื่อนไหวร่างกายทีละน้อย ระวังตัวในเขย่งตัวขึ้นไปให้ริมฝีปากอยู่ระดับเดียวกัน ลังเลอยู่นิดหน่อยยามที่มันสัมผัสชิดใกล้จนยากเกินกว่าจะย้อนกลับหลัง มันเป็นจูบที่เขาจำได้แค่ว่าหัวใจเต้นเร็วแรงจนน่าตกใจ และไม่น่าเชื่อว่าฤทธิ์ของมันจะทำให้เขาบ้าดีเดือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   จำได้ดีว่าเป็นคนเริ่มทั้งหมดในเวลาที่พี่ปีสองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

   ‘พี่...’

   แต่ที่เขาไม่ได้เตรียมใจมาก่อน คือมันจะลุกลามจนกลายเป็นฝันร้ายในหลายครั้ง

   แรงที่กดลงมามหาศาลจนต่อให้เขาขัดขืนแค่ไหนมันก็แสนจะไร้ค่า ในใจตะโกนร้องไม่ไปภาษาหากสิ่งที่ออกมามีเพียงความว่างเปล่า กระทั่งในจังหวะหนึ่งเดือนตุลาก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้โดยสมบูรณ์

   บอกไม่ได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงห้านาที หรือว่ามันอาจจะกินเวลายาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง เดือนตุลาเค้นความทรงจำในช่วงนั้นได้แค่ว่าเขาถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพังในสภาพที่เสื้อผ้าไม่หลุดลุ่ย ไม่มีร่องรอยอื่นตามร่างกายเพราะว่าพี่เขาน่ะหยุดชะงักไปก่อน

   เรื่องราวทั้งหมดเขาไม่สามารถเรียบเรียงให้เป็นตามลำดับได้อย่างถูกต้องเท่าไหร่นัก รวมถึงบางรายละเอียดอาจจะมีข้อผิดพลาดไปบ้าง ตั้งสติได้อีกทีก็ต้องที่กลับมานั่งคุดคู้อยู่ในห้อง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากลับมาอย่างไร

   ภายหลังจากนั้นไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มันเป็นความหวาดผวาเล็กน้อยหากยังคงทำใจดีสู้เสือเมื่อพี่คนนั้นเดินลงมาหา ร่างกายของเขายังคงปฏิเสธด้วยการหลบอยู่หลังบานประตูที่แง้มออกเพียงแค่เล็กน้อย

   ‘ไปบอกฝ่ายการ พี่จะยอมรับผิดทุกอย่าง’

   มันเป็นความสับสนยิ่งกว่าทุกเรื่องในชีวิตของเขารวมกัน ใจหนึ่งในฐานะของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่โลกของความยุติธรรมในระดับลึกกว่าเดิมบอกว่ามันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกซุกเอาไว้ใต้พรม หากอีกใจก็โต้แย้งว่าเรื่องอะไรจะยอมให้ปัญหาพวกนี้ขัดขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งของพี่ที่เขาเชิดชูมาโดยตลอดล่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าจะไม่ได้ทำงานต่อแต่อาจจะลามไปถึงว่าไม่สามารถเรียนต่อได้เลยด้วยซ้ำ

   จมดิ่งอยู่ในความคิดพวกนั้นลำพังไม่สามารถปรึกษาใครได้ทั้งนั้น ลังเลอยู่ไม่นานเพราะว่าสุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่ามันมีเพียงหนึ่งคำตอบตั้งแต่แรก

   มันเป็นความผิดที่ใจบอกเขาเสมอว่ามันถูกต้องแล้ว

   ทำเป็นเมินแล้วปล่อยผ่านมันไปราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขายังคงใช้ชีวิตให้เป็นปกติมากที่สุดโดยที่ไม่ลืมเก็บเรื่องที่ย้ายคณะให้เป็นความลับที่สุด การลาออกจากคณะเดิมได้ทำเรื่องเอาไว้ก่อนแล้วเรียบร้อยเลยไม่มีอะไรมากไปกว่าการโอนบางหน่วยกิต แล้วก็รอเข้าไปเรียนในปีการศึกษาหน้าเท่านั้น

   พี่มัจดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ตอนที่เห็นชื่อคณะในใบสมัครตุลาการนักศึกษาปีก่อน ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เดาเอาไว้ไม่มีพลาดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ส่วนเรื่องที่ผิดคาดก็นั่นแหละ

   ไม่มีชื่อของสัทธาในใบสมัครสักใบ

   เป็นความเจ็บที่เขาไม่เคยสัมผัสว่ามันสามารถปวดร้าวได้เท่านั้น

   “พี่ก็ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้วนะ”

   “ด้วยการที่หนีหน้าผมอย่างนั้นเหรอครับ”

   “พี่ควรทำ”

   “ถ้าอย่างนั้นพี่จะกลับมาทำไมสัทธา” ตวัดใส่เสียงห้วน สุดท้ายแล้วมันก็วนกลับมาเรื่องนี้จนได้ “ขอได้ไหม อย่าทำให้ผมเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้”

   เป็นการผสมกันของบรรยากาศ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ และความหลังฝังใจที่เก็บเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว

   “นายก็คิดเองมาตั้งแต่แรกนะ”

   “...”

   “หยุดได้แล้วเดือนตุลา”

   ต่อให้รู้ว่ามันเป็นเพียงคำเอ่ยไร้ค่าที่อีกคนพร้อมจะปล่อยให้มันลอยไปในห้วงอากาศ เขาก็ยังคงยืนยันในความรู้สึกของตัวเอง ก็อย่างที่พี่มัจเคยบอกว่าคนเราควรจะซื่อตรงไง

   “ถ้านายรักพี่ นายจะทำตามที่พี่บอกตั้งแต่แรก”

   “...”

   “พี่เคยคิดมาตลอดว่าการย้อนเวลามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ คนเราไม่ควรจะได้รับโอกาสในการแก้ไข” เสียงที่ทุ้มต่ำลงกว่าปกติจนจับความแตกต่างได้ “แต่นายทำให้คิดอย่างนั้น...”

   “...”

   “ถ้าทำได้ พี่จะไม่ยอมให้นายรู้จักพี่เด็ดขาดเลย”


***
   ยังไม่ลงสักทีเพราะว่าตีกับตัวเองค่ะ กลัวไปเองสารพัดเลย ไม่รู้ว่าจะสื่อออกไปยังไงให้มันตรงกับที่คิดที่สุด ไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ก็ยังรักพวกเขานะคะ
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบ [19.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-02-2020 18:24:23
บทยี่สิบ


   เดือนตุลาไม่เคยเสียดายกับการตัดสินใจในทุกย่างก้าวของชีวิต

   ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เลือกเรียนต่อมัธยมต้นในโรงเรียนระดับปานกลางแทนที่จะเป็นโรงเรียนชื่อดังที่สอบเข้าได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเตรียมตัว

   ตอนที่เลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายในการเรียนที่ชัดเจนขนาดนั้น

   ตอนที่สอบคณะทันตแพทยศาสตร์ด้วยความคิดที่ว่าไม่มีคณะอะไรที่อยากเรียนเป็นพิเศษก็เลือกอะไรที่มันดูไม่เสียแรงเปล่าที่เรียนสายนี้มาแล้ว

   ตอนที่บอกกับพ่อแม่ว่าจะลาออกจากคณะแล้วย้ายไปเรียนนิติศาสตร์แทน

   ไม่เคยเลยสักครั้ง

   ตอนแรกก็มองผิวเผินแค่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กหลายคนคงต้องเจอ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็พบว่ามันมีมิติที่ลึกลงไปกว่านั้นอีกไม่น้อยที่ตัวเขาเองยังโชคดีกว่าใครหลายคนที่มีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่ตนเองมีสิทธิตัดสินใจเองโดยไม่ต้องคิดเรื่องเงื่อนไขอื่น

   เดือนตุลาไม่เคยมีต้นแบบในการใช้ชีวิต ประเภทที่ว่ามีใครบางคนเป็นไอดอลหรือว่าแรงบันดาลใจบอกเลยว่าเข้าไม่ถึง เขาน่ะเป็นพวกที่ยืนหยัดด้วยตัวเองมาโดยเสมอจนหลายครั้งก็มองว่าทำไมคนเราถึงเอาตัวตนของเราไปผูกเอาไว้กับคนอื่นล่ะ

   จนได้เจอกับรุ่นพี่เหล่านั้น

   ไม่เคยสนใจเรื่องการเมือง ไม่เคยสนใจว่ากฎหมายมันเป็นอย่างไร แต่ช่วงเวลาที่ได้ศึกษาและเรียนรู้ภายใต้ชื่อตุลาการนักศึกษามันเปลี่ยนความคิดในเรื่องนี้ของเขาไปตลอดกาล เพราะรุ่นพี่สามคนมันเลยทำให้เขาอยากจะลองศึกษาลงไปให้ลึกจนกว่าจะเข้าใจว่ามันมีความหมายแค่ไหน

   เขาเคยล้ม เคยพลาด แต่เพราะคิดเสมอว่าทุกการตัดสินใจมันเป็นเรื่องของบทเรียนที่ไม่มีทางควบคุมได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เขาก็จะยืนยันเช่นเดิมว่าไม่เคยรู้สึกผิดหวังกับการได้รักผู้ชายที่ชื่อสัทธา

   ไม่ได้ปิดจนเป็นความลับที่ไม่อาจแพร่งพรายอยู่แล้วว่าที่เขาเลือกออกจากคณะที่รับประกันเรื่องอนาคตได้อย่างดีเป็นเพราะว่าเขาอยากจะก้าวเข้าไปในโลกที่อีกฝ่ายอาศัยอยู่ ถึงจะดูเป็นการอธิบายที่ไร้สาระสำหรับใครหลายคนแต่กับเขาคือบอกเลยว่ามันยิ่งใหญ่มาก

   มันอาจจะดูเป็นความรักที่น่าขบขันเมื่อเทียบกับคนอื่นอีกหลายคน หากสำหรับเขาแล้วการที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยคิดจะแตะต้องมาก่อนเพื่อมันแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจะตายไป

   เพราะอย่างนั้นในตอนนี้

   ในวินาทีที่ชายผู้เป็นดั่งโลกใบใหม่ประกาศิตให้หยุดทุกอย่างเสีย

   เขาถึงได้เข้าใจว่าการล่มสลายของความศรัทธาเป็นอย่างไร



   “เป็นอะไรของมึง”

   “อกหัก”

   “อีกแล้วเหรอ”

   “ทำไมมึงถึงใช้คำว่าอีกแล้ว”

   ปลายเจตน์ยักไหล่ขึ้น “ก็กับคนนี้ตั้งแต่กูรู้จักมึงมาก็ขยันทำให้อกหักตลอด”

   หมดคำจะเถียงให้กับเพื่อนคนสนิท ก็อย่างว่าล่ะนะเขาไม่ได้ปิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเขาน่ะแสนจะภาคภูมิใจที่จะได้แนะนำให้ปลายได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าสัทธา

   “แย่เนอะ”

   “ก็อย่างนั้นแหละความรัก” เป็นโมเมนต์ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเองเหมือนกัน ไอ้การที่ได้มานั่งจับเข่าคุยกับเพื่อนเรื่องความรักที่ไม่สมหวังเนี่ย “แล้วคราวนี้อะไรอีกล่ะ”

   “ก็เดิมๆ แต่รอบนี้เหมือนจะหนักที่สุด”

   “ขนาดไหน”

   “ขนาดที่ว่าเขาบอกว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อให้ไม่เจอกู”

   “...โหดฉิบหาย”

   “จริง”

   ช่างตรงใจเสียเหลือเกิน เขาพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความเห็นด้วยให้กับความคิดเห็นนั้น หมุนปากกาหมึกซึมในมือไปมาแบบที่ไม่กลัวว่ามันจะตกหล่นจนใช้การไม่ได้

   “แล้วจะยังไง ตัดใจ?”

   “ทำได้คงไม่ต้องมานั่งอย่างนี้”

   ตอนนี้เดือนตุลานั่งห้อยขาอยู่บริเวณสะพานแขวนขนาดย่อมในสวนที่ถูกปล่อยร้างห่างจากตัวตึกคณะไม่ไกล หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้ทำการสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งใหม่แล้วมันก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาใช้งานเท่าไหร่ คิดไปแล้วก็น่าเศร้าชะมัดที่แม้แต่พื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพักผ่อนรัฐยังจัดให้ไม่ได้

   พอดีกับที่ปลายเจตน์โทรมาถามเรื่องเรียนเล็กน้อย ก็เลยชวนมานั่งเล่นด้วยเสียเลย

   “คือมึงหมดอาลัยตายอยากมาก เอาจริง”

   “ถ้าตายจริงได้กูก็ยินดีอะ”

   “อาการหนักนะ”

   มีรีแอคชันกลับไปด้วยการยื่นคางไปเกยกับเชือกเส้นหนาที่ไม่มีความสะอาดใด เหม่อมองภาพมุมกว้างด้านหน้าโดยไม่โฟกัสกับจุดหนึ่งจุดใดเพื่อลดการทำงานของสมองลง

   “เหนื่อยอะปลาย”

   “เหนื่อยก็ถอยออกมา”

   “หึ เขาน่ะหนีไปก่อนกูจะขยับอีก”

   ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้เป็นฝ่ายก้าวไปข้างหลัง มีแต่เดินตามแบบที่ไม่เคยมีครั้งไหนสัมผัสถึงคำว่าใกล้เส้นชัย

   “ไม่เข็ด”

   “เลิกตอกย้ำได้ไหม”

   “ถ้าไม่จำก็จะย้ำไปเรื่อยๆ”

   “งั้นมึงก็น่าจะได้ย้ำจนตาย”

   “อะไรจะขนาดนั้น”

   เดือนตุลายิ้มล้าให้กับตัวเอง “ก็ขนาดนั้นเลยแหละ”

   นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจว่าต่อให้เขาอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากแค่ไหนแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีเรื่องดีหลงเหลืออยู่บ้าง คือถ้าไม่มีปลายเจตน์เขาก็คงต้องกลับห้องไปคุยกับกระจกแหง

   “นี่กินข้าวยัง”

   “ยัง กินไม่ลง”

   “งั้นไปหาอะไรกินก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

   ไม่อยากจะคิดอะไรแล้วก็ปล่อยให้มันเลยตามเลย ถอนหายใจด้วยความหวังว่ามันจะไล่ความหม่นหมองที่ก่อตัวอยู่เต็มอกให้คลายตัวลง

   ตอบตามตรงก็คือไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา มันก็เป็นแค่การหลอกตัวเองเพื่อให้ยังมีเหตุผลในการหายใจอยู่ก็เท่านั้นเอง

   “กินเสร็จมีแผนจะทำอะไรต่อ”

   “ไม่รู้ กลับห้องมั้ง” มันเป็นกิจวัตรของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเท่าไหร่ “แต่คิดแล้วก็ยังไม่อยากกลับ”

   พอนึกว่าอาศัยอยู่ในตึกเดียวกับพี่ธรรมก็กลัวการบังเอิญเจอเสียอย่างนั้น ผิดจากที่ผ่านมาที่เขาน่ะเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับเรื่องที่ไม่คาดคิดนั้นสักครั้ง

   “แล้วอยากไปไหน วัด? โบสถ์? พาไปได้หมดนะ” ในสถานการณ์อย่างนี้ก็ยังติดตลกได้อีกนะ ถึงจะไม่ค่อยสบายใจขึ้นสักนิดเขาก็ขอบคุณในความพยายาม

   “อยากอยู่ที่ๆ สบายใจ”

   “งั้นไปกินเหล้ากันไหม”

   “หืม?” ประหลาดใจจนต้องใช้เสียงสูง ตวัดหน้าไปหาเจ้าของไอเดียที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน

   “เขาชอบบอกกันว่าเหล้าจะช่วยให้ลืมความเศร้าได้ชั่วคราว ไปลองกันไหมล่ะ”



   ทำเป็นใจกล้าเดินเข้าร้านเหล้าแบบที่ไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก ตาสอดส่องสลับซ้ายขวาไม่มีพักตามประสาของคนที่ไม่เคยเหยียบเข้ามาในสถานที่อบายมุขเช่นนี้มาก่อน กลิ่นอับของมันไม่น่าอภิรมย์เหมือนกับกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายชนิดที่ปะปนจนกลายเป็นความน่าเวียนเหียน

   ให้เพื่อนที่น่าจะช่ำชองมากกว่าเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ มีหน้าที่แค่นั่งอยู่บนโต๊ะแล้วก็รอให้แก้วมาวางตรงหน้าเท่านั้นเอง

   บ่นตัวเองข้างในว่าเป็นคนที่ไม่เคยมีบทเรียนเลยจริง เรื่องที่เกิดคราวก่อนก็จากบุหรี่ นี่ก็มาเหล้า ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   ต่อให้รู้ว่ามันผิด

   แล้วเขาจะยึดในสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้เลยเหรอ

   ไม่ว่าจะพี่ธรรม พี่มัจ หรือว่าแม้แต่พี่ฟีนเขาก็สามารถยืนหยัดอยู่กับความเชื่อของตัวเองได้เลย ถ้ามันเป็นเรื่องที่บอกว่าถ้ามีเหตุและผลเพียงพอมันก็ไม่มีถูกผิดไง

   “กลับมาที่คำถามเดิม จะเอายังไงต่อดี”

   “คืนนี้ไม่คิดอะไรแล้วได้ไหม”

   ปรารถนาอย่างเดียวคือต้องการผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างโง่ๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความอีก ให้ที่เหลือมันเป็นเรื่องของพรุ่งนี้เช้าไปแล้วกัน

   “แล้วแต่”

   “ทำไมร้านนี้เหมือนเด็กนิติเยอะจัง” ก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจคนรอบข้างขนาดนั้น ตั้งแต่มานั่งมีคนมาทักทายปลายเจตน์สองคนแล้ว พอมองไปรอบๆ ก็ว่าคุ้นหน้าหลายคน “มีนัดเลี้ยงเหรอ”
   
   “เฮอะ เจ้าของร้านเป็นเด็กนิติเก่า มาแล้วได้ส่วนลด”
   
   โอเค ถือว่าเข้าใจตรงกัน

   แก้วเครื่องดื่มเย็นเฉียบตรงหน้ายังคงอยู่ในระดับปริ่มปากแก้วไม่มีลดลง ผิดกับในมือของเพื่อนที่เติมแล้วเติมอีก แสงไฟสลัวกับเสียงเพลงคลอในระดับที่พอดีต่อการพูดคุยบ่งบอกถึงความใส่ใจ นี่ถ้าหารเท่าขึ้นมาเขาเสียเปรียบมากเลยนะเนี่ย

   “กูลาออกจากตุลาการดีไหมปลาย”

   แรนดอมหัวข้อตามใจ ก็พอคิดว่าเรื่องคาราคาซังมันมีทั้งของตัวเองแล้วก็พี่ฟีนเขาก็ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายอะไรทั้งนั้น บางครั้งการที่ได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาธรรมดาก็น่าสนเหมือนกัน

   ทิชากรไม่ได้ล้ำเส้นด้วยการถามซ้ำจนเกินระดับพอดี พูดให้ถูกคือหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเปรยออกมาเลยต่างหาก เขาดูใจเย็นกับข้อเสนอที่ให้มาโดยไม่สนใจสักนิดว่าปฏิกิริยาตอบรับจากเขาเป็นไปในทางไหน เหมือนกันว่าปักหลักไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะทำตาม

   “ตอบตัวเองว่าเพราะงานหรือคน”

   “คนที่พางานมาให้”

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประธานชื่อสัทธา

   “งั้นก็ยิ่งยากเลย แต่ว่าเขาก็จะจบแล้วนี่”

   “นั่นแหละ ตอนแรกเลยคิดว่างั้นก็ออกดีกว่า แต่...” พอเล่าถึงตรงนี้น้ำเสียงแสนเจ้าเล่ห์นั้นก็กลับมาเล่นโดยไม่ตั้งใจ ก็เขายังไม่เข้าใจว่าพี่ฟีนจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร “แต่มันก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องคิดอยู่”

   “ทำไมอะ มึงก็ไม่ได้คิดเรื่องทำกิจกรรมอยู่แล้วนี่”

   อันนี้ก็จริง คือเขาเข้าใจเพื่อนบางคนที่ต้องเข้าทำกิจกรรมเพราะคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการสมัครงานในอนาคตนะ ก็ดันคิดว่าถ้าไม่ได้เต็มใจทำอะไรก็อย่าเข้าไปเบียดเบียนคนอื่นเลย ไอ้การทำงานแบบที่ไม่รู้ระดับความสามารถของตัวเองน่ะพาปัญหามาให้นักต่อนัก

   “งั้นลาออกเนอะ”

   “บอกกูจะได้อะไรขึ้นมา ไปเขียนจดหมายสิ”

   “กูมีร่างเอาไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งนะ อย่าทำเป็นเล่น”

   “งั้นก็ทำ จะรอดู”

   รอบข้างไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจจนอยากจะทิ้งสายตาเอาไว้นาน จะให้มานั่งคุยแต่ตามองมือถือก็ไม่ใช่ เราเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระก่อนที่วกกลับมาเรื่องการสอบที่ใกล้จะเวียนกลับมาหาอีกครั้ง พอบั่นทอนกำลังใจกันพอสมควรแล้วก็คิดว่าควรจะได้เวลาแยกย้ายเสียที

   บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเรื่อยเฉื่อยถูกทำลายลงด้วยเสียงพูดคุยจอแจของคนกลุ่มใหญ่ตรงหน้าประตูทางเข้า เขาหรี่ตาลงในพื้นที่ไฟสลัวดูว่าตรงนั้นมันเป็นใคร ทำไมถึงเสียงคุ้นเหลือเกิน กระทั่งเห็นหมวกเบเร่ต์ของหนึ่งในนั้นเด่นออกมาจึงให้ข้อสรุปได้ว่ากลุ่มพี่คนป่านั่นแหละ

   ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นไม่เสื่อมคลาย ต่อให้แต่ละคนจะมีแครักเตอร์ชัดเจนขนาดไหนพอมารวมกันแล้วมันก็ดูกลืนกันดี ขออีกอย่างได้ไหมว่าเวลาสูบบุหรี่ใต้คณะช่วยไปสูบไกลๆ หน่อย สงสารคนอื่นบ้าง

   อย่างนี้พี่ธรรมจะมาไหมนะ

   ใจหนึ่งก็อยากให้มันเป็นเรื่องบังเอิญที่มีอยู่จริง อีกใจคือคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าเขามาหา

   เนี่ยแหละความรัก

   คลุ้มคลั่งเหลือเกิน

   “ปกติบาบาเรียนเขากินเหล้าในร้านกันเหรอวะ”

   นี่ก็ลูกช่างแขวะ พวกพี่คนป่าน่ะไม่ได้อะไรขนาดนั้นสักหน่อย ไม่นับเรื่องที่ชอบแหกปากโวยวายในทุกไตรมาสนะ

   ชักอยากกลับไปเรียนสายวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจว่าเพราะอะไรการที่ได้เห็นหน้าคนๆ หนึ่งจากพื้นที่ที่ห่างออกไปพอสมควรถึงพาให้ใจเต้นแรงได้อย่างที่เป็นอยู่ พี่ธรรมที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนปลอบใจเขาว่าอย่างน้อยมันก็มีเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น

   ระหว่างโต๊ะของเขากับพี่ธรรมห่างกันพอสมควรจนมั่นใจไปเองว่ามันไม่น่าจะมีปัญหา นึกไม่ออกว่าฉลองเนื่องในโอกาสอะไรถึงรวมตัวกันได้จนเกือบครบทั้งแก๊ง ขนาดพี่บางคนที่เขาว่าเห็นหน้าค่าตานับครั้งได้ก็ยังอยู่ด้วยเลย

   “ทำบุญใหญ่เนื่องในโอกาสอะไรวะ”

   เขาปักธงไปแล้วนะว่าปลายเจตน์จะต้องเคยมีเรื่องกับเหล่ารุ่นพี่พวกนั้นอย่างแน่นอน “เกิดอยากจะกินมั้ง”

   เอาอะไรมากกับคนพวกนี้ พวกนี้อยากจะจัดเสวนาบ่นคณะก็ลงมือติดต่อขอประสานงานพื้นที่ นัดอาจารย์ จัดสถานที่ แล้วก็ไลฟ์เองเสร็จสรรพน่ะ

   เปลี่ยนใจจากที่บอกว่าจะกลับแล้วตั้งแต่เห็นหน้าของแขกกลุ่มล่าสุด นั่งแช่ต่อโดยที่เพื่อนแสนดีก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาให้มากความ เรากำลังคิดว่าอนาคตของคนในคณะจะเป็นแบบไหนหลังจากคนกลุ่มนี้เรียนจบไปแล้ว เอาจริงนะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะเอาคนพวกนี้มารวมกันไว้ในที่เดียวกัน

   แล้วก็คงเป็นผลพวงจากประสบการณ์ร่วมในการเป็นเด็กซิ่วทั้งคู่ เรากำลังวิพากษ์กันเรื่องว่าเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยให้อะไรกับเราบ้าง มันก็มีทั้งเรื่องที่ดีแล้วก็ร้ายแหละ คำถามต่อไปคือในเรื่องที่ร้ายเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยพลังของเด็กธรรมดาหรือไม่

   “ยาก”

   “เนอะ” ผงกหัวหงึกหงักเห็นด้วย “คือก็อยากทำนะ แต่รู้สึกว่าตัวเล็กไปตลอดเลย”

   “เพราะงั้นมันเลยน่านับถือไง คนที่ยังไหวอะ กูเจอแค่เรื่องสองเรื่องก็พอล่ะ หมดใจ”

   “ลองทำแบบพวกพี่เขาไหม”

   “เป็นบาบาเรียนรุ่นสองเหรอ ไม่เอานะ”

   แกล้งเย้าขำขัน คือจะให้เป็นอย่างนั้นคงไม่ไหว มีความปัจเจกสูงจนเกินไป

   ไม่ปิดบังและไม่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ตุลนั่งมองทุกอากัปกิริยาของประธานตุลาการโดยมีอีกคนนั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ ไม่รบกวนอะไร พี่ธรรมยังคงสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนขนาดใหญ่ อะไรจะไร้สติได้ทั้งที่เพิ่งเข้าร้านมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

   ต้องไปก๊งที่อื่นกันมาก่อนแล้วแหง

   ให้เดาก็ในสถานศึกษานั่นแหละ

   “อ้าวปลาย มานานยัง”

   จากนั้นไม่นานก็มีคนเข้ามาทักจนได้ เป็นรุ่นพี่ในกลุ่มคนป่าที่เขาก็เป็นเฟรนด์ในเฟซบุ๊กเหมือนกัน ไม่ค่อยเข้าเรียนแต่ว่าจะชอบโผล่ไปตามการชุมนุมแทน

   “ก่อนพวกพี่พักใหญ่ แล้วนี่ทำไมมากันเยอะจังพี่”

   “อ๋อ มายินดีให้กับอาจารย์สัทธา”

   “อาจารย์?”

   เรื่องเล่าดึงเขาออกจากห้วงภวังค์ได้เป็นอย่างดี รีบหันหน้าไปทางซ้ายที่มีสมาชิกคนใหม่เข้ามาร่วมวง “อือ มันผ่านการคัดเลือกแล้ว”

   “อ้าว สรุปเข้าโครงการจริงเหรอพี่...นึกว่าพูดเล่น”

   “จริง”

   มันมีการสนทนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อจากนั้นหากทั้งหมดมันไม่เข้าไปยังโสตการรับรู้แล้ว ตอนนี้ฉากในความทรงจำที่เล่นวนอยู่คือเรื่องทุนที่พี่มัจเคยคุยกับพี่ธรรมแล้วพี่เขาก็ตอบกลับแค่ว่ายังไม่มีอะไรเพิ่มเติม เท่ากับว่าทุกอย่างมันก็ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   ผิดหวัง เสียใจ หม่นหมอง หลายความรู้สึกปะปนกันจนเขาไม่สามารถจะให้คำนิยามที่เจาะจงได้

   หากที่ชัดเจนที่สุด คงเป็นความน้อยใจที่เขาไม่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของสัทธาเลย

   “เนี่ย ลงทุนกลับไปเป็นประธานเลยนะ แลกกับทุนนี้อะ”

   “จริงเหรอพี่ ไม่เกี่ยวมั้ง คนอย่างพี่ธรรมต่อให้ไม่กลับมาทำงานก็ไม่มีใครสู้ได้อยู่ดี”

   “ถ้าไม่อย่างนั้นจะกลับไปหาเรื่องใส่ตัวทำไม”

   เป็นข้อความจริงที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนรู้จัก ทั้งการเรียนที่ติดอันดับต้นของคณะเสมอทั้งที่ยังแบ่งเวลามาทำงานตลอดเวลา ยังไม่รวมกับกิจกรรมภายนอกที่บางครั้งกลุ่มคนป่าของพี่เขาร่วมกันจัดทำขึ้นมาอีก

   นี่ก่อนจะจบก็มีโครงการสั่งลา เห็นว่าจะเป็นการวิจารณ์ในทุกแง่มุมของคณะนี้ไม่ใช่แค่ในเรื่องของวิชาการ หากยังรวมไปถึงสวัสดิการและการใช้ชีวิต เห็นแค่โปสเตอร์แล้วก็คิดว่าน่าจะเดือดอยู่เหมือนกัน

   ผุดลุกทันทีที่เห็นว่าสัทธาหลุดออกจากกลุ่มเดินไปยังทางออกด้านข้างของร้าน ป้ายไฟแอลอีดีที่ติดว่าทางไปโซนสูบบุหรี่ช่วยให้เขาพอเตรียมใจเอาไว้ได้ว่าถ้าออกไปจะต้องถูกรมควันอย่างแน่นอน

   ไม่เป็นอย่างที่กลัวเอาไว้เมื่อบริเวณที่จัดเอาไว้ให้เหล่าสิงห์อมควันไม่มีท่านประธานตุลาการรวมอยู่ด้วย มองไปทั้งซ้ายและขวาว่าถ้าไม่อยู่ตรงนี้แล้วจะไปตรงไหน แสงไฟที่มีเพียงพอทั่วทั้งบริเวณทอดยาวไปถึงจุดจอดรถขนาดย่อมที่ห่างออกไปไม่กี่สิบก้าวช่วยชี้ให้เห็นเป้าหมายได้ชัดเจน

   พื้นกรวดสร้างเสียงรบกวนทุกการย่างก้าว สัทธาอาจคิดว่าเป็นลูกค้ารายอื่นที่กำลังจะกลับไปเอารถเลยไม่ได้หันมาให้ความสนใจ เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้สามารถเดินตามไปได้กระทั่งอีกฝ่ายปักหลักบริเวณมุมลึกสุดที่เป็นกำแพงปูนกั้นอาณาเขตของแต่ละตึก

   ความสงสัยไม่มีปรากฏอยู่บนนั้น ราวกับว่าชินชาไปเสียแล้วที่จะมีเด็กรั้นอย่างเขาคอยตามติด พี่ธรรมเปิดกล่องบุหรี่ยับยู่ในมือ เคาะมันออกมาหนึ่งมวนแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

   “ไม่ให้สูบนะ ไม่ต้องมองอย่างนั้น”

   “...ทำไมพี่ถึงใจร้ายได้เท่านี้นะครับ”

   พอกันทีกับคำถามที่เคยอยู่แค่ข้างในใจ เดือนตุลาไม่เคยอยากล้ำเส้นเข้าไปทำให้อีกฝ่ายอึดอัดตามประสาของคนที่ชอบคิดไปเอง สำหรับเขาแล้วมันเป็นการเว้นระยะที่คิดว่าทำได้ดีมากเลยนะ คือต่อให้อยากจะใกล้ชิดมากกว่านี้แค่ไหนก็ยอมอยู่ที่เดิมน่ะ

   มองปลายนิ้วชี้และกลางที่มีแท่งนิโคตินสีขาวเคลื่อนตัวขึ้นไปจรดริมฝีปาก เปลวไฟเกิดขึ้นจากการสะกิดไฟแช็กเพียงแค่หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ทำให้มันเกิดประกายไฟโดยการสูดลมหายใจเข้าไปลึก

   ควันสีเทาหม่นกระจายตัวอยู่ทั่ว “ไม่เคยบอกว่าตัวเองใจดีนะ”

   “ใจร้ายมากๆ”

   “อือ เป็นคนใจร้าย”

   สัทธาคงไม่รู้ ว่ายิ่งยอมรับตามข้อกล่าวหาโดยไม่แก้ต่างนั่นแหละคือความใจดี

   หากเป็นในสถานการณ์ปกติแล้วก็อย่างนี้ เวลาที่เขาเหนื่อยหรือว่าไม่พอใจก็จะยอมตามน้ำไปเรื่อยเพื่อให้ผ่อนคลาย จะไม่มีการมาโต้เถียงว่าตัวเองเป็นคนใจดีหรือว่าไม่เห็นด้วยเลยสักครั้ง

   “ทำไมเลือกทำอย่างนี้เหรอครับ”

   “ก็เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่บอกไง”

   หลุดแค่นหัวเราะไม่พอใจให้กับคำอธิบายที่ไม่ชอบใจเลยสักนิด

   ต่อให้อ้างเรื่องราวร้อยแปดพันเก้าแค่ไหน สุดท้ายแล้วสำหรับเดือนตุลาเหตุผลหลักของมันคือการที่อีกฝ่ายไม่อยากจะมีเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นแหละ

   ยังคงยืนอยู่ที่เดิมต่อให้กลิ่นบุหรี่ที่ยังคงลอยรอบตัวไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาชอบใจนัก มันมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะระบายออกไปให้ได้รับรู้ แล้วก็จบลงที่ว่าถึงพูดออกไปมันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์เหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอ

   “พี่จะไปไกลแค่ไหนก็ได้นะสัทธา” จ้องลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยม ส่งข้อความที่รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ธรรมไม่ต้องการจะได้ยิน “แต่ผมจะไม่ยอมให้พี่หนีพ้น”

   จะดึงดันอยู่เช่นนี้

   “ไม่มีทาง”



   หัวข้อว่าหนังสือลาออกของประธานตุลาการไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อเปิดอีเมล

   ฝืนใจอ่านซ้ำอีกครั้งด้วยความหวังแสนริบหรี่ว่ามันอาจจะมีความผิดพลาดในบางข้อมูล กระทั่งไล่จนจบบรรทัดสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง

   ที่เขาเจ็บปวดที่สุด คือผู้ชายคนนั้นยังก้าวไปยังเส้นทางอื่นด้วยจังหวะที่แสนจะสม่ำเสมอ ไม่มีการเร่งขึ้นจนกลายเป็นการวิ่งหรือว่าอะไรทั้งนั้น ต่างจากเขาที่ต่อให้เร่งฝีเท้าจนขาอ่อนแรงแค่ไหนก็ไม่เคยที่จะไล่ตามได้ทันสักที

   เหลือบมองเครื่องมือสื่อสารที่วางเอาไว้ห่างมือไม่เท่าไหร่ ชื่อพี่มัจที่อยู่บนนั้นพานพาให้ความหม่นหมองกระจายตัวมากกว่าเดิม กดคำสั่งปิดสั่นแล้วก็รอจนกว่าอีกฝั่งจะวางสาย จากนั้นก็ปิดการติดต่อในทุกทางด้วยการเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบินเอาเสียเลย
   
   ขยับร่างที่ราวกับไร้วิญญาณไปทางเตียงนอน ล้มตัวลงด้วยความหวังว่าความนุ่มของมันจะช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้าง หลังจากฝังหน้าอยู่กับหมอนสักพักจนร่างกายประท้วงว่าควรจะพลิกตัวก่อนที่จะขาดอากาศหายใจเลยเปลี่ยนท่าเล็กน้อย

   มีเรื่องที่ต้องคิดมากมายจนไม่รู้จะเริ่มต้นไหน

   หากหัวข้อที่วิ่งวนกลับมาไวที่สุดไม่มีทางพ้นพี่สัทธา

   อีกแล้ว

   เดินจากไปแบบไร้คำลาอีกแล้ว

   ทำไมนะ การตัดสินใจแบบนี้ของเขามันผิดมากเลยเหรอ มันแย่ถึงขั้นที่ว่าต้องหายไปอีกครั้งอย่างนั้นเลยใช่ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ทุ่มสุดความสามารถแล้วที่จะแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานให้ได้มากที่สุด การที่เขาปล่อยให้มันมาปะปนกันแค่ครั้งสองครั้งนี่ถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ

   เผลอกัดฟันแน่นไม่รู้ตัว คำถามจำนวนมากที่ไม่มีทางได้คำตอบต่างพร้อมใจใจผุดขึ้นมาไม่มีพัก ตุลปล่อยให้มันปรากฏแล้วก็ดับไปตามธรรมชาติโดยไม่คิดจะเข้าไปฝืนมันสักนิด เขาน่ะไม่มีใจจะไปห้ามอะไรทั้งนั้น

   หลับตาลงโดยหวังว่าความมืดมิดจะช่วยเยียวยาความฟุ้งซ่านเหล่านี้ เรียกความมั่นใจด้วยการหายใจเข้าไปลึกที่สุด มันช่วยให้สมองปลอดโปร่งในระยะสั้นพอที่จะทบทวนอีกครั้งว่าจะตัดสินใจเช่นนี้ใช่หรือไม่ ในเมื่อมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป จะหยุดอยู่ตรงนี้หรือว่าจะไปต่อทางไหน

   มันมีเพียงคำตอบเดียว

   ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เพื่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องการปรับค่าการรับแสงของสายตา ปัดป่ายหาสมาร์ตโฟนที่ควรอยู่ไม่ไกล เมื่อคว้าเจอแล้วก็หยิบมันมาปลดล็อกหน้าจอ เปิดเข้าแอปพลิเคชันแชตของเฟซบุ๊ก จากนั้นก็ไล่ลงมาหาชื่อของรุ่นพี่ปีสี่คนที่เขาออกปากมาเสมอว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว พิมพ์ข้อความลงไปรวดเร็วไม่มีการกลับมาคิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง

  พี่ฟีนครับ

   เรื่องประธาน

   ผมตกลงนะ


   ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้

   และจะต้องก้าวข้ามพื้นที่ตรงนั้นไปให้ได้เลย



***
   แล้วเจอกันอีกครั้งตอนจบนะคะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 20-02-2020 18:48:09
บทยี่สิบเอ็ด


   “สรุปแล้วจะเลือกทางนี้?”

   “ไม่ได้เลือกอะไร ทำงานเสร็จแล้วก็ออก”

   คำอธิบายเรียบเฉยไม่เป็นที่พอใจจนมัจฉ์เปลี่ยนจากการนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ขึ้นมานั่งเอามือยัดเบาะเอาไว้ มองเพื่อนที่รู้จักกันมาเข้าปีที่สี่นั่งอ่านหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษที่เห็นชินจนตาอยู่ตรงระเบียงด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

   “ต้องปฏิบัติตามตัวอักษรเคร่งครัดอะไรขนาดนั้นน่ะ”

   “ไม่ได้เคร่ง ก็บอกเขาไว้แล้วว่าเข้ามาเคลียร์เรื่องต้นหลิวให้อย่างเดียว”

   ที่อยู่ในใจน่ะคือด่าไปแล้วร้อยจบ กดคำสั่งพักหน้าจอสี่เหลี่ยมที่โชว์เนื้อหาในอีเมลฉบับล่าสุดเกี่ยวกับการลาออกของคนตรงหน้า เห็นแล้วก็หงุดหงิดไม่อ่านดีกว่า

   ชอบทำอะไรไม่เคยคิดจะปรึกษาเพื่อนก่อน

   “แล้วทำไมไม่อยู่ต่อจนจบ อีกแค่เดือนกว่าเอง”

   “กูไม่ชอบเอาเปรียบคนอื่น อะไรที่ไม่ใช่ของกูก็ต้องปล่อย”

   “ตอแหลจังธรรม”
   
   “พอพูดเรื่องจริงมึงก็ใส่ร้ายกู”

   จงใจกระแทกเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็นท่านั่งสุดแสนจะสบายใจ มีหนังสือวางอยู่บนตักราวกับเป็นวันพักผ่อนที่แสนจะวิเศษแล้วอยากจะเดินไปคว้าหนังสือในมือแล้วขว้างทิ้งไปเสีย

   ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนที่แสนจะรักความเป็นส่วนตัวหอบหนังสือมาถึงบ้านของเขาด้วยเหตุผลอะไร คนเรามันก็ไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลาอย่างนั้น

   “คนอย่างมึงอะธรรม สำเหนียกเอาไว้นะถ้าไม่มีกูก็ไม่มีใครที่ทนอยู่กับมึงได้แล้ว” กระแหนะกระแหนตามประสาของคนวงในที่พอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย “เพราะตอนนั้นมึงก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนกูหรอกนะ กูเลยยอม”

   “มึงบังคับให้กูมาหาต่างหาก กูจะกลับห้องก็ไม่ให้”

   “ไม่ มึงห่วงกู”

   “คนที่บอกเลิกเขาเองแล้วก็มาซึมเองอะนะ” ไอ้การทำเสียงเฮอะอย่างนั้นคืออะไรกัน “ห่วงทำไม ทำตัวเองทั้งนั้น”

   ยืดตัวไปหยิบแก้วใสรบรรจุน้ำชายี่ห้อที่ดื่มเป็นประจำมาดื่มดับความร้อนของอารมณ์ มองความเข้มของแสงแดดด้านนอกแล้วก็ไม่อยากจะขยับตัวออกไปเจอความรุนแรงของธรรมชาติเลยสักนิด

   “เกลียดมึงอะสัทธา”

   “เกลียดเหมือนกันมัจฉ์” คงเป็นความสัมพันธ์ที่หาไม่ได้ในคำนิยามทั่วไป ต้องบอกว่าเกลียดจนแทบจะฆ่ากันตายนี่แหละถึงจะสบายใจ ถ้าบอกว่ารักกันเมื่อไหร่คงโลกถล่ม “จะตีกันก็เรื่องของพวกมึง เลิกเอากูไปเกี่ยวสักที เหนื่อย”

   หมั่นไส้คนทำหน้าระอาเสียเต็มประดา เขาเลยเดินไปรบกวนการอ่านด้วยแกะตัวเองจากบนโซฟาเดินไปยังส่วนนอกกระจกใสบานใหญ่ ยันตัวขึ้นไปนั่งบนที่เท้าแขนเพื่อทำลายทุกสมาธิแทน ขอบอกเลยว่าถ้ายังทำเป็นเก๊กอยู่จะได้มีการขยับลงไปนั่งตักแทนแน่

   “ไม่ จะให้มึงปวดหัวอย่างนี้ไปอีกนานเลย”

   “ทำไมพวกมึงถึงได้เห็นแก่ตัวกันจัง”

   “เราทุกคนต่างหากธรรม”

   การปิดหนังสือลงแล้วค่อยๆ ยกคางขึ้นมาเชิดหน้าใส่นี่มันแสนจะเป็นสัทธา ถ้าเป็นน้องตุลนี่คงก็ทำหน้าหงอยไปแล้วแต่พอดีนี่คือมัจฉ์ไง

   เรื่องอะไรจะยอมแพ้กัน

   หนึ่งความสงสัยผุดขึ้นมาเลยขยับปากถาม “มึงเคยคิดไหมว่าเราไม่น่าจะมารู้จักกันเลย”

   “ตลอดเวลา”

   ก็เพราะว่าสามารถปากร้ายเช่นนี้ใส่กันได้ตลอดราวกับเป็นแหล่งระบายอารมณ์ชั้นดีนี่แหละมั้งเลยยังคบกับได้มาจนถึงทุกวันนี้ มัจหยิบหนังสือเล่มกำลังดีในที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอ่านชื่อเรื่องแล้วเปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ไอ้เรื่องความรักแสนโรแมนติกนี่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้เลยนะ

   ทำเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีแต่ปฏิบัติเป็นศูนย์ไปได้

   “ไม่ใช่แค่รู้จักมึงนะ ฟีนด้วย ตัวทำลายชีวิตกูชัดๆ”

   คิดย้อนไปแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีช่วงไหนที่เป็นอย่างที่บอก สำหรับเขาแล้วมันเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแสนจะโอบอ้อมอารี เศร้าใจเหลือเกินที่เพื่อนมองว่ามันเป็นการทำลายน่ะ

   “อันนั้นกูช่วยอะไรไม่ได้”

   “ไปจัดการคนของมึงบ้าง ชักจะเอาใหญ่ ...วันก่อนแม่งก็แกล้งให้อาจารย์ถามกูทั้งคาบ”

   “ไม่ใช่คนของกู”

   “แต่อดีตก็เคยคบ”

   “หนึ่งสัปดาห์อย่าเรียกว่าคบ ขอเถอะ”
   
   กลอกตามองบน นึกแล้ววันนั้นไม่น่าหลุดปากเล่า

   “แต่มันก็ขยันมาเซอร์ไพรส์วันที่เลิก”

   “คนประหลาด”

   “แต่ก็ชอบ กูรู้น่า”

   ยู่หน้าไม่พอใจคนรู้ทัน ตอนแรกว่าจะเถียงว่าชอบดอกไม้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบคนให้ หากพอพิจารณาให้รอบด้านแล้วมันมีแต่ช่องว่างให้เพื่อนได้ถล่มก็เลยเงียบดีกว่า

   หาเรื่องอื่นคุยไปเรื่อยจะได้หลุดออกจากหัวข้อก่อนหน้า คือเขาน่ะอยากกลับเรื่องที่ลาออกไม่ปรึกษาใครแต่ดูเห็นแล้วก็บอกได้ว่าเจ้าของหนังสือน่ะไม่อยากจะพูดถึงมันเลย ตอนนี้เรื่อง

   “แล้วจะมีผลเมื่อไหร่” ตั้งใจว่าจะทำให้มันติดตลกด้วยการแทรกเรื่องอื่นเข้าไป “คือปกติเคยแต่ไล่คนออกอะ ไม่ชินกับการมีคนลาออก”

   มองกลับไปตั้งแต่เริ่มทำงานมาก็ยังไม่เจอเคสที่สมัครใจออกเอง ใครก็ตามที่มาอยู่ตำแหน่งนี้ไม่ปรารถนาที่จะลงจากบัลลังก์ตัวสูงง่ายๆ หรอก อยู่กับชื่อ ตำแหน่ง และสิทธิพิเศษกันไปจนกว่าจะพอใจ

   “สองสัปดาห์มั้ง ไม่ชัวร์”

   “แล้วไม่ต้องอ่านเตรียมแข่งเหรอ”

   “ไม่น่าจะต้องนะ มันได้อย่างที่ต้องการไปแล้วนี่” ถ้าฟังจากแค่น้ำเสียงก็คงคิดว่าเป็นการบอกเล่าทั่วไป ส่วนถ้าได้เห็นท่ายักคิ้วประกอบด้วยนี่น่าจะมีสิทธิได้วางมวยกัน “คำว่าชนะเลิศอะ”
   
   “เด็กเก็บกด”

   “ที่มีมึงเป็นต้นเหตุ”

   มัจฉ์ยักไหล่ไม่ยี่หระ “กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

   ค่อนไปทางเป็นเรื่องขำขันที่เอากลับมาเล่าเมื่อไหร่ก็ยังสร้างความสุขได้เสมอ ณ จุดนั้นเขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวแทนนักเรียนที่ดีในการแข่งขัน ให้ติวแบบไหนก็ทำตามไม่คิดมาก พอไปแข่งก็หวังเอาไว้แค่ว่าเอาให้ไม่อายชื่อโรงเรียนก็พอ ไม่คาดฝันถึงตำแหน่งชนะเลิศสักนิด

   พูดเล่นน่ะ

   เห็นสีหน้าคนแพ้แล้วมันบันเทิงจะตาย

   “ไม่เชื่อ”

   “เรื่องของมึง”

   “เดี๋ยวฟีนอยากจะอ่านเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ทักมาเอง” พอเห็นเพื่อนยิ้มร้ายเช่นนั้นแล้วไม่น่าไว้วางใจเลย “จริงๆ คือถ้าบอกว่ากูอยู่นี่มันน่าจะแจ้นมาทันทีแหละนะ”
   
   ชินกับคำเย้าแหย่ทำนองนั้นแล้วเลยเมินผ่านความพยายามที่จะปั่นประสาทไปได้ไม่ยาก ชักจะเมื่อยกับการนั่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นนี้ก็เลยลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายด้วยท่าที่จำได้ว่าเคยเรียนสมัยประถม ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อแขกสักนิด

   “มันอยู่ชล ไม่มาหรอก”

   “ใส่ใจ”

   “เฟซบุ๊กแจ้งเตือนไหมล่ะ”

   “ต่อให้ไม่แจ้งมันก็เล่าทุกเรื่องให้มึงฟัง”

   สงสัยต้องความเข้าใจผิดหน่อย “ก็ไม่ได้ทุกเรื่องขนาดนั้น”

   “เพราะว่าต่อให้ฟีนมันไม่บอกมึงก็รู้อยู่ดีไง”

   ปีนข้ามรั้วไม้ออกไปด้านนอก เท้าเปลือยเปล่าแตะลงกับพื้นหญ้าเขียวชอุ่มกินพื้นที่พอสมควร หรี่ตาลงยามได้รับแสงมากกว่าที่ควร เขาย่อตัวลงจนข้อพับชิดเพื่อให้สะดวกต่อการสอดส่องดูความเรียบร้อยของไม้พุ่มรอบระเบียงที่ไม่ได้รับการตัดแต่งมาสักพักใหญ่ จะว่าไปแล้วก็ได้เวลาแต่งทรงแล้วล่ะ

   “เนี่ย มึงเงียบ มึงกำลังวางแผนอีกล่ะ”

   หน่ายเสียจริงเวลาที่ถูกรู้ทัน ก็ไม่ชอบเท่าไหร่ส่วนอีกใจก็คิดว่ามันก็เป็นความรู้ว่าสึกว่าได้รับการใส่ใจดีเหมือนกัน

   “กูกำลังคิดว่าจะแต่งต้นไม้ยังไง”

   “ตามสบาย”

   “มึงยกกล่องตรงนั้นมาให้หน่อย”

   ชี้นิ้วไปยังกล่องเก็บอุปกรณ์ตกแต่งต้นไม่ที่วางชิดมุมอยู่ด้านหลังเก้าอี้หวายที่สัทธานั่งอยู่ มาถึงขั้นนี้แล้วก็จัดการหน่อยเลยแล้วกัน

   อุ้มกล่องไม้ขนาดใหญ่ด้วยแขนทั้งสองข้างตามน้ำหนักที่ไม่ใช่เล็กน้อย ทำมาตั้งแต่เด็กแล้วเลยไม่ต้องเสียเวลามานั่งสงสัยว่าอุปกรณ์นี้ชื่ออะไร ใช้งานอย่างไร เขาเลือกกรรไกรตัดแต่งออกมาเล็มในส่วนที่เห็นแล้วรำคาญตาออกไปทีละน้อย

   “เก่งนะ”

   “หมายถึง”

   “ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะรักโลก รักต้นไม้”

   “มึงไม่คิดว่ากูรำคาญเลยจะตัดให้พ้นสายตาบ้างเหรอ”

   ตลอดเวลาไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับคู่สนทนาที่ยังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดิม มือจับเช็กดูว่ามีตรงไหนที่ต้องการการดูแลอีกบ้าง พอเจอจุดที่ไม่พอใจก็จัดการจัดแต่งเสีย

   “ถอนทิ้งง่ายกว่าไหม”

   “มันก็ยังมีประโยชน์ ...มึงเดินไปหยิบหมวกสานในห้องให้หน่อย”

   หวังดีว่าถ้านั่งนานไปเดี๋ยวสุขภาพจะเสีย ก็เลยให้ได้ขยับตัวเสียหน่อย เพื่อนตัวดีของเขาไม่บ่นหรือว่าอิดออดหากแสดงออกถึงความไม่เต็มใจด้วยการลุกขึ้นชักช้าอืดอาด พอกลับเข้าไปด้านในห้องของนั่งเล่นก็จงใจเดินไปอีกฝั่งทั้งที่เห็นตำตาว่าหมวกที่เขาว่ามันแขวนอยู่ตรงไหน

   ไม่มีใจจะบ่นก็เลยปล่อยให้ทำตามใจ กระเถิบตัวเองไปหาจุดที่คิดว่าสมควรได้รับการจัดการต่อไป

   กล่าวคำขอบคุณเล็กน้อยยามสัมผัสถึงบางสิ่งที่ครอบลงมาบนศีรษะ จากหางตาคือสัทธาไม่ได้กลับไปนั่งบนเก้าอี้แต่ยืนพิงกับระเบียงแทน

   “มึงดูหน้าโง่มากเลยเวลาอยู่กับต้นไม้”

  “ส่วนมึงอะโง่ทุกเวลา”

   เสียงหืมในลำคอคงแปลได้ว่าสัทธาไม่เข้าใจมัน ก็เลยต้องอธิบายเพิ่มไปหน่อย

   “ที่กูกับฟีนทำอะ ก็แค่จะลากต้นหลิวออกไป ไม่ได้สนว่าใครจะเข้ามาแทน” ตาสนใจแต่พื้นใบเขียวตรงหน้า มือยังไม่หยุดตัดแต่ง ส่วนปากก็คุยไปเรื่อย “มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยธรรม มึงไม่ต้องกลับมาก็ได้”

   “ก็บอกแล้วว่า...”

   ระคายหูกับคำอ้างร้อยแปดจนแทรกประโยคอื่นเสียเลย “แต่มึงก็ทำ เพราะมึงรู้ว่ามันเป็นอะไรที่น้องตุลอยากเห็น เขาอยากให้มึงได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น”

   “...”

   ความเงียบเป็นคำตอบที่มัจพอใจที่สุด

   “ใจดีเกินไปแล้วนะ นอกจากกูสองคนไม่มีใครเข้าใจมึงหรอก”
   
   “ก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้เข้าใจ”

   ถอนหายใจระอาให้คนที่ปราดเปรื่องในเรื่องเรียนและการทำงาน แต่เรื่องการจัดการชีวิตติดลบ

   “แล้วแต่”

   “แล้วเรื่องฟีน เอายังไง”

   “ก็อยากขวางนะ เคยขู่ไปแล้วด้วย แต่ว่าก็อยากให้ได้เหมือนกัน”

   ใจแลกใจ ถ้าจะไม่มีความลับต่อกันก็ต้องเปิดปากเล่าเรื่องที่รู้อยู่แล้วออกไป

   คนอย่างนั้นน่ะถ้ามีช่องว่างให้ใช้ประโยชน์เมื่อไหร่ต้องตะครุบเอาไว้ อย่างเรื่องนี้นี่คือบอกเลยว่าเล็งมาตั้งแต่ต้นปีแล้วแหง อาจวางเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ใครสั่งใครสอนให้กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ถึงขั้นนี้

   “เพราะมองตามจริงแล้วนอกจากน้องตุลก็ไม่มีใครเวิร์กแล้ว”

   “คนใหม่ไง”

   “ขอล่ะ ไม่เอาพวกที่เข้ามาแบบฝันหวานไม่ดูความจริง ไม่เอาพวกที่อ้างว่าตัวเองมีประสบการณ์มาเยอะแยะแต่ว่าตอนสุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นระบบสักอย่างได้ไหม”

   เรื่องนี้คือขอละไว้ในฐานที่เข้าใจเลยเถอะ มัจฉ์น่ะไม่กล้าอวดว่าผ่านประสบการณ์การทำงานมาจนเอาไปอวดอ้างความน่าเคารพจากใครทั้งนั้น เขาตระหนักอยู่เสมอว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะเอ่ยออกไปได้เต็มปากว่าเราเป็นพวกที่สูงส่งกว่า

   “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดธรรม ห้ามได้ที่ไหน”

   “ก็ห้ามได้อยู่นะ”

   “ยาก ฟีนเขาคิดมาหมดแล้วไงว่าถ้าทำอย่างนี้อะ พวกเราจะไม่ยอมขวางแน่”

   “มันไม่คิดว่าเดือนสิบจะไม่ตกลงบ้างเหรอ”

   “หุบปากถ้าจะพูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้นนะสัทธา”

   นี่ไม่ใช่คำพูดรุนแรงสำหรับพวกเขา ไม่ต้องตกใจไป

   คือกับเรื่องนี้น่ะขอใส่อารมณ์หน่อย คือคิดได้แค่นั้นเหรอ กับเด็กที่ถึงขั้นว่าเปลี่ยนคณะการเรียนมาเริ่มต้นใหม่เพราะผู้ชายผมยาวใส่แว่นกรอบเหลี่ยมชอบทำตัวเหมือนลุง ดูจากภายนอกแล้วโคตรจะไม่น่าพิสมัย เขาเองตอนที่เจอกันครั้งแรกยังคิดเลยว่านี่ซิ่วมากี่รอบ

   แล้วนี่คือตำแหน่งเดียวกับที่คนที่ตัวเองบูชาเลยนะ เรื่องอะไรจะปล่อย

   ยิ่งมีเรื่องลาออกเข้ามาเอี่ยวแล้วด้วย

   “แต่ถ้าทำอย่างนี้สุดท้ายระบบมันก็ไม่ได้รันอย่างที่ควรเป็น”

   “บิดเบี้ยวมากๆ จะได้แตกหักสักทีไง” คิดอย่างที่ออกความเห็นจริง ในฐานะคนที่ไม่มีความเมตตาต่อสัตว์โลกเท่าไหร่การที่ปล่อยให้อยู่ในจุดที่ไม่สามารถยื้อให้อยู่ในสภาพเดิมได้แล้วค่อยสร้างมันขึ้นมาใหม่ง่ายกว่าเยอะ “จะได้เอาพวกตัวปัญหาออกไป การคัดเลือกของธรรมชาติน่ะมีประสิทธิภาพกว่าที่คิดนะ”

   “มันก็มีทายาทอยู่เรื่อยๆ”

   “ธรรม พวกเราปกป้องน้องเขามานานเกินไปแล้ว ได้เวลาปล่อยให้บินเองสักที คือมันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ว่าเราก็ทำได้แค่มองเขาเรียนรู้และเติบโต”

   ให้ความเห็นตามที่คิด ถึงจะเอ็นดูเดือนตุลาแค่ไหนมันก็ต้องยอมรับว่าจะจับมือเดินไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงเส้นชัยคงเป็นไปไม่ได้ รวมถึงเด็กคนนั้นคงไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่

   “บินได้สูงเท่าไหร่มันก็ต้องอยู่ที่ความทะยาน จะป้องกันตัวเองจากศัตรูได้เท่าไหร่นั่นก็อยู่ที่การเอาตัวรอด ส่วนถ้าไม่ไหว...ก็แค่หล่นลงมา”

   เสียงกรรไกรตัดกิ่งไม้อ่อนที่กำลังออกดอกชูช่อเด่นดังเป็นครั้งสุดท้าย พอใจกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพุ่มไม้อยู่คนเดียว มัจฉ์ยกไม้ดอกขนาดเล็กขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา กลีบสีขาวบอบบางสวยงามสมกับเป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากธรรมชาติ หากในใจก็เสียดายที่มันจะโรยราไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง

   ขยับมุมปากเล็กน้อยเป็นการบอกลาก่อนปล่อยให้ร่วงหล่นตามกฎแรงโน้มถ่วง

   “โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”



แด่สิ่งที่ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา และไม่มีอยู่จริง




***

   กลับไปลองดูวันที่เปิดเรื่องแล้วก็อึ้งไปหลายวินาทีอยู่นะคะ (หัวเราะ) อยู่กันมานานมากเลย อย่างที่เคยบอกว่าเรื่องนี้ความจริงแล้วอยู่ในแพลนการแต่งหลังจากที่จบเรื่องหลอกลวงรัก แต่ว่าเจ้าก็แว้บไปเขียนไม่มีความจริงในความจริงก่อน บวกกับที่ไปเรียนต่อด้วยจนกลายเป็นว่าเรื่องนี้ถูกทิ้งยาวเลยค่ะ
   ปกติแล้วเจ้าเป็นคนที่เขียนทอร์กท้ายเรื่องยาว และมั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะยาวกว่าเดิมไปอีกค่ะ (ฮา) จะเริ่มจากที่เคยสัญญาว่าทำไมเจ้าถึงตั้งชื่อเรื่องนี้ด้วยคำที่เจ้าเกลียดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน คำนี้อยู่ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมค่ะ คำเต็มของมันคือ ‘อันมิอาจก้าวล่วงได้’ ซึ่งตัวมาตรานั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่เจ้าเขียนในเรื่องนี้หรอกนะคะ เจ้าก็แค่รู้สึกถึงเส้นอะไรบางอย่างที่แบ่งเขตกั้นระหว่างตัวอักษรพวกนั้น มันเป็นความคิดที่ว่า โห ต้องใช้คำขนาดนั้นเลยเนอะ พอเอาไปโยงกับประสบการณ์การเรียนและการทำงานในมหาวิทยาลัยทั้งหมดแล้วเจ้าก็เลยคิดว่านิยายเรื่องนี้แหละที่จะเป็นตัวสะท้อนฉากจบชีวิตในวัยเรียนของฉัน (ฮา)
   เจ้ามีอะไรที่อยากเขียนลงไปในเรื่องนี้เยอะมาก นั่นเลยทำให้เรื่องนี้ยากที่สุดในแง่ที่ว่าจะเรียงลำดับเนื้อหาอย่างไรให้มันบาลานซ์กันทั้งสองฝั่ง ทั้งเรื่องวิชาการที่เจ้าอยากจะเล่าแล้วก็ความสัมพันธ์ของตัวละครด้วย คือเอาจริงบางครั้งกลับมาอ่านแล้วก็คิดว่านี่ฉันเขียนอะไรของฉันอยู่นะ ต้องยากอย่างนี้เหรอ (หัวเราะ) มันก็อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวอยู่บ้างแหละค่ะ
   เริ่มต้นที่อะไรก่อนดี โครงเรื่องแล้วกัน เจ้าวางเอาไว้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายในวัยมหา’ ลัย คิดอย่างแรกเลยคือต้องคณะนิติแหละ จะเป็นคณะอื่นก็คงไม่ใช่เรื่อง แต่ว่าจะให้นักศึกษามาเล่าเรื่องพวกนี้ก็แอบคิดว่ามันจะยากไปหน่อยไหมนะ เขียนให้มันสอดคล้องกันยากมากเลย เจ้าก็เลยเลือกที่จะสร้างองค์การนี้ขึ้นมาค่ะ (ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าเข้าใจว่าไม่น่าจะมีใครทำ) เทียบระบบจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีเก้าคน ส่วนเรื่องวิธีการเลือกนั้นเจ้าไม่ได้เทียบมาค่ะ เพราะคิดว่าถ้าให้มันเป็นการสอบแบบสอบผู้พิพากษาจริงๆ ไม่น่าจะมีใครได้เป็น (หัวเราะ)
   พอเล่าเรื่องนี้แล้วก็ย้อนความเป็นเรื่ององค์การอื่นด้วยเลยแล้วกัน เจ้าจะไม่เหมารวมว่าการทำงานของสองฝ่ายนี้ในความเป็นจริงของแต่ละมหาลัยจะเป็นรูปแบบไหนนะคะ ที่เคยทำงานมาก็เข้าใจว่ามันมีระบบโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปแหละ อยู่ที่ระเบียบตั้งแต่แรกด้วยว่าให้ขอบเขตอำนาจหน้าที่แค่ไหน ที่เจ้าเจอมาคือเจ้าปวดหัวกับการแบ่งอำนาจหน้าที่ที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นมากๆ เลยค่ะ มันกลายเป็นว่าทฤษฎีในเรื่องพวกนี้ปรับใช้กับความจริงไม่ได้เลย แล้วมันกลายเป็นความไม่เข้าใจค่ะ ไม่เข้าใจมากเลยว่าทำไมถึงไม่แก้ไขทำให้ถูกต้อง ทำไมถึงยังยึดกับสิ่งที่ไม่ใช่ขนาดนั้น
   แล้วยิ่งไปได้เข้าไปลองทำในหลายแง่ หลายมุม เจ้าคิดมาเสมอเลยค่ะว่าการเมืองในระดับมหาวิทยาลัยนี่น่ากลัวนะ ในแง่ที่ว่าแทนที่มันจะทำให้เติบโต กลับกลายเป็นว่าเจ้ายิ่งหมดความเชื่อมั่นค่ะ ซึ่งมันสะท้อนอยู่ในเรื่องแหละ ก็บอกได้ว่าในบางครั้งสิ่งที่เห็นว่ามันเหมือนไม่มีอะไร มันมีจริงนะคะ การเมืองข้างในมันมีอยู่และไม่มีทางหายไปง่ายๆ หรอก
   โจทย์เลยเป็นว่าเขียนแบบไหนที่จะทำให้รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ไกลตัวค่ะ เอาง่ายๆ เลยตั้งแต่ว่าการเลือกตั้งตอนเราอยู่ในมหาลัยนี่แหละ เราเคยไปใช้สิทธิกันหรือเปล่า มันมีใครบ้างที่ใช้ประโยชน์จากความไม่สนใจของเราตรงนั้น คือเจ้าก็เคยเป็นคนที่ไม่สนใจนะคะ คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาตลอดเลย ใครจะเป็นผู้นำมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราสักหน่อย อยู่แค่สี่ปีเดี๋ยวก็ไปแล้ว จนได้ลงไปทำงานเองค่ะ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำงานในเงื่อนไขล้านแปด (ที่มีอุปสรรคใหญ่ที่สุดชื่อว่ามหาวิทยาลัย) จนทั้งเข้าใจแล้วก็เสียใจที่ต้องปล่อยให้เวลานั้นมันดำเนินไปในแบบที่ผลออกมาเหมือนกับว่าตัวเองเพิกเฉยกับมันค่ะ
   บวกกับช่วงที่ผ่านมาเจ้าได้กลับไปลงสนามจริงค่ะ สนามที่ยิ่งทำให้เจ้าไปต่อไม่ถูกกับความเชื่อที่เคยมี สุดท้ายก็เลยได้แต่บอกตัวเองว่าใช่ การเมืองมันก็อย่างนั้นแหละ ต่อให้ในระดับไหนก็ตามทีเถอะ แล้วความตลกคือพอก้าวเข้าไปแล้วถอยออกมาไม่ได้เลยค่ะ กลายเป็นว่าชีวิตถูกล้อมไปแล้วเสียอย่างนั้น ซึ่งไม่ดีหรอกค่ะที่จริงน่ะ (หัวเราะ) อีกอย่างคือเจ้าได้มีโอกาสคุยกับคนที่ยังมีไฟค่ะ ซึ่งมันตั้งคำถามใหญ่ให้เจ้าจริงๆ นะคะว่าคนเหล่านี้เขายังยืนหยัดอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เขาไม่สูญสิ้นบ้างเหรอ ก็ได้เรียนรู้มาเยอะค่ะ
   ที่เขียนมาทั้งหมดเจ้าไม่ได้อยากจะให้ทุกคนหมดหวังไปกับเจ้าด้วยนะคะ คือมันก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาแหละ ส่วนหนึ่งเจ้าดีใจนะคะที่เห็นว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง มันมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งรอบตัวมากขึ้น
   ส่วนต่อมาก็คงเป็นเรื่องที่เขียนลงไป คือยากที่สุดคือเขียนแบบไหนให้ไม่อันตรายกับตัวเองแต่ก็ยังชัดเจนพอที่จะสื่อกับคนอ่านว่ามันหมายถึงอะไรค่ะ (ยิ้ม) มันเป็นเรื่องที่ยากนะคะ เพราะเจ้าก็ยังคิดว่าหลายครั้งเรื่องพวกนี้มันดูไกลตัวจนยากที่จะเขียนออกมาให้มันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย เจ้าของอำนาจ การแบ่งแยกอำนาจ อำนาจในการตรวจสอบภายใน การสอบผู้พิพากษา หรือว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหลายๆ มาตรา คือหลายเรื่องคิดหนักนะคะ ว่าจะเขียนไม่เขียน ถามตัวเองว่าเสี่ยงชีวิตไม่น้อยเลยนะถ้าเธอจะเขียนเรื่องพวกนี้น่ะ แล้วก็จบที่ว่าเขียนเถอะ เขียนไปให้เธอไม่เสียใจ เขียนไปให้มันเป็นความทรงจำว่าเธอเคยมีตัวตนแบบไหน ก็ถือว่าได้เขียนครบนะคะ
   ส่วนที่ยากพอกับการเขียนเนื้อเรื่องคือเรื่องของภาษาค่ะ คือจนป่านนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่คิดว่าภาษาตัวเองนิ่งเลยค่ะ ยิ่งกับเรื่องนี้คือแสนจะแกว่ง ชีวิตที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลักนี่ยากจังนะคะ ตลอดการเขียนนอกจากจะคิดคำได้แต่ซ้ำๆ แล้วที่เจ้าปวดหัวที่สุดคือการที่คิดเป็นภาษาอังกฤษออกแต่คิดไทยไม่ออกค่ะ (ฮา) ต้องเอาไปแปลในดิกก่อน แล้วบางคำมันเป็นภาษาวิชาการด้วย ไม่อยากจะพลาดก็เลยเนี่ยแหละค่ะ ถูกดองมาอย่างยาวนานก็อย่างนี้
   เรื่องนี้ทุกคนจะเหมือนกันตรงที่เป็นสีเทาค่ะ ไม่มีใครที่ขาว และไม่มีใครที่ดำ (ยิ้ม) เจ้าไม่ได้บอกที่พวกเขาทำมันถูก จริงๆ คือมันก็ผิดล่ะ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงที่ความผิดมันถูกฝังกลบด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ความกลัว ความเกรง ความรัก เยอะค่ะ เจ้าก็คิดหนักนะคะที่ให้น้องตุลเลือกทางนั้น เพราะว่ามันเป็นความผิดที่คนที่เรียนโดยตรงมาน่าจะรู้ดีที่สุด ก็อย่างนั้นแหละค่ะ โลกเรามันก็อย่างนี้ ซึ่งถ้ามันช่วยสร้างความกล้าที่จะป่าวประกาศว่ามันผิดได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะ
   เจ้าชอบสภาวะ dilemma ในเรื่องนี้มากๆ เลยนะคะ รวมถึงความ contradiction ด้วย คือเขียนแล้วรู้สึกเลยว่าเนี่ยแหละความย้อนแย้งที่ฉันเจอมา
   ก็จะประมาณนี้แหละค่ะ จะทำให้ดิ่งไหมนะคะ ปกติแล้วเวลาเจ้าเขียนเจ้าจะวางเส้นเรื่องเอาไว้ก่อนจนจบ ไม่ว่าจะพิชแบล็คหรือว่าหลอกลวงรักคือเจ้าไม่เข้าไปเปลี่ยนตอนจบเลยนะคะ แต่กับเรื่องนี้คือประหลาดมาก เพราะเจ้าลังเลกับการเขียนตอนจบมาตั้งแต่เริ่มแต่งตอนแรกจนถึงตอนยี่สิบเลย เจ้ารู้สึกว่าตัวเองก็ยังคงอยู่ในระหว่างการเรียนรู้จนไม่สามารถที่จะตัดสินใจในเรื่องของอนาคตได้ค่ะ เจ้าเลยจบแบบนี้ แบบที่น้องตุลก็ยังคงเลือกเดินตามในเส้นทางเดียวกับสัทธา หากว่าหลังจากนั้นแล้วจะเป็นแบบไหนเจ้าก็ยังมองไม่ออกเลย เหมือนกับว่าต่อให้ปากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เชื่อในเรื่องระบบพวกนี้ ไม่เชื่อในเรื่องความยุติธรรม แต่ลึกๆ แล้วข้างในของเจ้าก็ยังเป็นอย่างนั้นมั้งคะ ยังคงหวังเอาไว้ว่ามันอาจจะมีจริง
   ในย่อหน้าเกือบสุดท้ายนี้คงเป็นแพทเทิร์นเดิม ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับงานเขียนของเจ้ามาไม่ว่าจะเริ่มต้นตั้งแต่ตรงไหน เจ้า appreciate กับทุกแรงซัพพอร์ต ทุกกำลังใจ ทุกครั้งที่เจ้าคิดว่ามันคงไปต่อไม่ไหวแล้วแต่มันก็ยังพอไปได้แหละนะ ขอบคุณที่รักพวกเขา ขอบคุณที่เป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอนะคะ
   สำหรับหลังจากจบเรื่องนี้แล้วเจ้าจะกลับไปเรียนต่อในเทอมสุดท้ายค่ะ ความทรมานทั้งหมดมันกำลังจบลงล่ะ (ฮา) ไม่ได้มองไว้ว่าในส่วนของงานเขียนมันจะมีใหม่ไหมหรือว่ายังไง ยอมรับกันตรงนี้ว่าเจ้าอยู่ในสภาวะที่ยอมแพ้กับงานเขียนแล้วค่ะ สู้ไม่ไหวล่ะ ที่ยังเขียนเรื่องนี้เพราะไม่อยากจะทิ้งไว้ ก็สร้างเขามาก็ควรจะเขียนให้จบล่ะเนอะ ข้อดีของมันคือการที่เราไม่มองเรื่องพวกนี้ก็จะยังสู้ไปได้ค่ะ เป็นความชินชาที่ก็ไม่ได้ดีกับสุขภาพจิตเท่าไหร่ (ส่วนลึกๆ ก็ยังคิดมากนะคะ แต่ว่าก็จะน้อยลงแบบที่ตัวเองรู้สึกได้แหละ) ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็โฟกัสไปทีละเรื่อง จะเขียนจะหยุดอะไรก็ค่อยๆ คิด ถ้าจะยอมแพ้ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะแจ้งหน้าทวิตแบบจริงจังไม่หายไปเฉยๆ แน่นอนค่ะ
   ยังมีที่ติดค้างเอาไว้อยู่คือเรื่องสั้นประจำปี อันนั้นยังไงก็จะเขียนค่ะ เป็นประเพณีมานานแล้วล่ะ (ยิ้ม) แต่ว่าจะมาเมื่อไหร่นี่คือไม่รับปากนะคะ ประจำปีก็คือลงได้เมื่อไหร่ก็ได้ในปี 2020 นี่แหละ (ฮา)
   ขอบคุณจากใจค่ะ

   แด่ความยุติธรรมที่ฉันไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง
   23August

   #มิอาจก้าวล่วง
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-02-2020 02:39:17
ชอบที่เดือนตุลายังเชื่อในความรู้สึกตัวเองเสมอ มันแบบว่า T_____________T
เป็นเรื่องที่ต้องอ่านแล้วคิดตามตลอด ไม่สามารถหลุดได้ซักบรรทัด
แต่คนเขียนเขียนได้ค่อนข้างเข้าใจง่าย  o13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 24-02-2020 22:36:31
สุดท้ายก็ยังสงสารน้องตุลส่วนสัทธานี่ก็สัทธาจริงๆหรือเราจะเป็นเพียงผู้พ่ายแพ้กันนะเดือนสิบ.ขอบคุณคุณเจ้านะคะที่แต่งเรื่องนี้มาในช่วงเวบาที่พอเหมาะพอสมเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-03-2020 09:41:40
เดือนสิบก็ยังมีแรงสู้ก็เลยยังสู้ไม่ถอย
ขออวยพรให้อนาคตคุ้มค่ากับที่สู้นะ
หัวข้อ: Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:28:06
 :pig4: