บทสิบห้า เรื่องพี่ต้นหลิวถูกเลื่อน หมดการเลือกตั้งของพี่ฟีน
สถานีต่อไปคือการแข่งขันตอบปัญหารอบสุดท้าย
เดือนตุลามองปฏิทินแผ่นใหญ่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองว่าอีกแค่สองวันเขาก็จะหลุดพ้นจากความทรมานทั้งหมดทั้งปวงแล้ว
เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องไปช่วยปลายเจตน์เช็กความเรียบร้อยของสถานที่ที่จะใช้แข่งขันอีก ชักอยากจะตัดเพื่อนแต่ถ้าทำอย่างนั้นคงหัวเดียวกระเทียมลีบของจริง
วันนี้ว่างทั้งช่วงเช้าก็เลยว่าจะออกไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสียหน่อย รู้สึกว่าในช่วงที่ผ่านมาใช้เวลากับการทบทวนน้อยลงจนน่าโมโห เพื่อนในคณะบางคนเริ่มเก็บตัวเตรียมสอบปลายภาคกันแล้วแต่เขายังต้องมาวุ่นวายกับสารพัดเรื่อง
โอเค เขาน่ะไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยใจรักเต็มร้อยตั้งแต่แรก เรียกว่าเป็นการทำงานแบบมีผลประโยชน์แฝงเลยล่ะ คิดว่าทำปีเดียวแล้วก็จบๆ กันไป พอถูกล้างสมองมากเข้าก็สมยอมที่จะทำต่อในปีที่สอง แล้วก็มาเจอคนใจร้ายหักหลังจนเสียศูนย์ จากนั้นก็ปลงโลกคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วจะทำต่อไปจนจบเลยก็ไม่แย่
แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงนะเรื่องที่ปีหน้าจะไม่ทำงานแล้ว
เตรียมหนังสือเรียนและประมวลที่กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามและสามสิบสี่ไปแล้ว กระเป๋าปากกาและขวดน้ำแบบเก็บอุณหภูมิทุกอย่างถูกยัดรวมกันในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ เหลือแค่ว่าปลุกใจให้ลุกออกจากเตียงได้ก็จะสำเร็จไปด้วยดี
ผุดลุกจากการกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงโดยพลันยามได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ แวบแรกคือนึกว่าจะมีใครเคยมารบกวนถึงห้องบ้าง มันมีแค่ชื่อหรือสองชื่อที่โผล่ขึ้นมา แล้วไม่ว่าชื่อไหนก็ไม่น่าจะมาหาเขาในเวลานี้ได้เลย
ไม่ระวังตัวด้วยการปลดล็อกประตูโดยไม่มองจากช่องตาแมวก่อน และแค่เห็นการแต่งกายก็ชะงักไปครู่ใหญ่
“มีหนังสือสัญญาให้ยืมไหม?”
เข้าประเด็นไม่มีการทักทายอะไรก่อนทั้งสิ้น ตุลกะพริบตาซ้ำอีกสองสามครั้งระหว่างที่ข้างในสมองก็ประมวลผลว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่
พี่ธรรมในชุดอยู่บ้านอันได้แก่เสื้อยืดตัวโคร่งจากกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยสักงาน กางเกงผ้าฝ้ายขายาวกรอมเท้า ผมยาวถูกมัดเอาไว้ไม่เรียบร้อยจนเห็นปอยร่วงข้างแก้ม อ้อ แน่นอนว่าเสื้อนั้นน่ะไม่ได้ซื้อเองแต่ไปขโมยจากห้องเก็บของส่วนกลางหลังจบงานแหง
“สัญญา?”
“อือ หาของตัวเองไม่เจอ”
“อ่า...คิดว่ามีนะครับ”
คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรต่อก็เลยเกิดเดทแอร์ขึ้นเสียอย่างนั้น ผู้มาเยือนเลิกคิ้วขึ้นสูงแบบที่เขาเดาความหมายเองว่ามันน่าจะหมายถึงทำไมไม่ไปหยิบหนังสือให้ล่ะ
“เดี๋ยวรอ”
“รอข้างในได้นะครับ มันต้องรื้อหน่อย” เพราะว่าเป็นหนังสือที่ใช้ตั้งแต่ปีก่อนเขาเลยเก็บลงลังไปแล้ว “หรือพี่ธรรมกลับห้องไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้”
มันไม่ใช่ข้ออ้าง ทั้งหมดคือเหตุผลที่ไม่มีอะไรแฝง ก็แค่ไม่อยากให้พี่ปีสี่ต้องมายืนแกร่วอยู่หน้าประตูห้องระหว่างรอเขารื้อกล่องลังกระดาษที่ถูกปิดตายภายหลังจากหมดเทอม
คณะนิติศาสตร์คือคณะที่ทำลายโลกอย่างรุนแรงในความคิด นอกจากหนังสือเล่มหนาที่อาจจะไม่ได้จบแค่หนึ่งเล่มต่อหนึ่งวิชาแล้วยังมีเหล่าชีตประกอบการสอนที่อาจารย์แจกเพิ่มเติมในห้อง ไม่รวมกับสรุปที่ไม่ได้มีแค่แหล่งเดียวอีกต่างหาก
ก็ตั้งคำถามอยู่เสมอแหละว่าการเรียนกฎหมายมันควรจะเป็นแบบไหน ใช่แบบที่เขากำลังศึกษาอยู่หรือเปล่า ไอ้การเรียนที่เน้นหนักไปทางการท่องจำแล้วปรับใช้แค่เท่าที่เคยอ่านในหนังสือ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังของกฎหมายสักเท่าไหร่ พอมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็เอาแต่อ้างฎีกาจนน่าหัวเสีย
“ยืนรอข้างนอกนี่แหละ พักสมอง”
สงสัยอ่านหนังสือแล้วเจอส่วนที่ไม่แน่ใจล่ะมั้ง “งั้นรอข้างในได้นะครับ น่าจะสะดวกกว่า”
“ไม่กลัว?”
ไอ้การกระตุกยิ้มแล้วทวนคำของเขาด้วยเสียงยียวนนี่มันสมกับเป็นพี่ธรรมดีชะมัด
“ครับ”
ผ่านมาสามปีจะให้ไม่ชินชาก็คงไม่ได้ ถึงจะยังไม่นับว่าตัวเองเข้าขั้นผู้เชี่ยวชาญแต่เดือนตุลาน่ะมั่นหน้ามากเลยว่าคนที่สามารถต้านทานการปั่นประสาทจากพี่ธรรมกับพี่มัจได้เท่าเขาน่ะแทบไม่มีอยู่เลย
ขี้เกียจยื้อแย่งกับคนที่ไม่เคยอ่านความคิดออก ก็เลยเปิดประตูค้างเอาไว้อย่างนั้นแทนการบอกว่าอยากจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็เชิญ หรืออยากจะยืนอยู่ข้างนอกก็ไม่ว่า เขาเดินกลับเข้ามาข้างในห้องพักโดยมีปลายทางอยู่ตรงกล่องลังไม่ใช้แล้วที่ไปหยิบมาจากข้างร้านสะดวกซื้อสามกล่องที่วางเรียงต่อกันบริเวณริมหนึ่งของห้อง
ไล่ดูว่ากล่องไหนที่เขียนเอาไว้ว่านิติปีหนึ่งเทอมหนึ่ง พอเจอแล้วก็นั่งขัดสมาธิเตรียมหาหนังสือเล่มที่ต้องการ น่าเบื่อหน่อยตรงที่ว่าชอบวางเอาไว้ลึกสุดแล้วค่อยเอาพวกชีตกับเลคเชอร์ทับ เท่ากับว่าต้องรื้อออกมาเกือบทั้งหมดนั่นแหละถึงจะเจอที่ต้องการ
หยิบจับออกมาทีละกองไม่ให้ปนกัน ได้ยินเสียงบานประตูปิดลงเบามือเลยลดระดับความเร็วในการรื้อลงหน่อย เห็นจากหางตาว่าพี่คนนั้นเดินมาพิงตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งขวามือหากทำเป็นไม่สนใจ
พอได้เห็นซากอารยธรรมของตัวเองเมื่อปีหนึ่งแล้วก็อดทึ่งความขยันในตอนนั้นไม่ได้ คือตอนนี้ขี้เกียจเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยล่ะ ไอ้การจะมาสรุปทีละเรื่องหลังจากหมดคาบเรียนแล้วนี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกวันนี้ทำแค่ก่อนสอบก็พอ
“จะเอาเล่มบุคคลด้วยไหมครับ จะได้หยิบทีเดียว”
“เอาแค่นั้นพอ”
“โอเคครับ” เจอสิ่งที่ต้องการแล้ว เขากรีดตัวเล่มเช็กดูว่ามีกระดาษเขียนเพ้ออะไรสอดแทรกเอาไว้หรือไม่ เมื่อมันไม่มีอะไรที่น่าห่วงแล้วจึงลุกยืนขึ้นมามอบให้อีกคน “นี่ครับ ไว้ค่อยคืนหลังจากแข่งเสร็จเลยก็ได้”
“ไม่เกินสามวันคืนแหละ”
“ผมหมายถึงแข่งรอบทั่วประเทศ” พอจบจากรอบนี้แล้วใช่ว่าจะเสร็จสิ้น มันยังมีการแข่งขันรอบทั่วประเทศที่มหาวิทยาลัยของเขาเป็นเจ้าภาพจัดรออยู่ในปีหน้า แต่ตรงนั้นเหมือนว่าปลายเจตน์จะไม่ใช่คนดูแลแล้ว “เทอมหน้าเลยนี่ครับ”
“มั่นใจว่าจะชนะ?”
“ก็ถ้าพี่ธรรมบอกว่ามีเด็กเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ด้วยก็ต้องชนะแล้วล่ะครับ”
ถึงไม่มีเรื่องนี้เขาก็ปักใจเชื่อว่าทีม ‘มิอาจก้าวล่วง’ จะต้องชนะอยู่แล้ว
“ยังใช้อยู่เหรอ”
“ใช้?”
ใจยังจดจ่ออยู่กับเรื่องพี่ฟีนจะตามไม่ทันว่ามันหมายถึงอะไร ตุลมองตามทิศทางที่ปลายนิ้วของพี่ธรรมชี้ไปยังชั้นวางข้างตัว
อ้อ...
“แน่นอนสิครับ”
มันเป็นชั้นวางของใช้ทั่วไปสี่ชั้นที่ทำจากเหล็กฉากเจาะรูสีเทาเอามาประกบกันแล้วเอาไม้อัดแผ่นมารองเป็นฐาน ไม่ได้เป็นงานไม้หรือว่าของสำเร็จรูแบบที่หาได้ในอิเกีย
“ก็พี่เป็นคนบอกว่าให้ใช้ไปจนจบนี่นา”
...
‘ต้องใช้ไปจบเรียนจบเลยนะ รู้ไหม’ ภาพอดีตทาบทับไม่ทันได้ตั้งตัว เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองคนแก่กว่าหนึ่งปีไม่วางตาในการตั้งโครงทั้งสี่มุมขึ้นมาจนมองเห็นว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน แว่นสายตากับท่าการหยิบจับอุปกรณ์ช่างคล่องแคล่วดูไม่เข้ากันเลยสักนิด
มันเกิดจากการที่เขาไปบ่นให้รุ่นพี่ที่ห้องตุลาการฟังว่าอยากได้ชั้นวางของใหม่ในห้องแต่ก็ไม่อยากซื้อแบบที่สำเร็จรูปแล้วเพราะไม่เจอแบบที่ถูกใจ ที่ชอบก็แพงจนเสียดายเงิน ถึงจะได้ใช้ไปหกปีเลยก็เถอะ ตอนที่พี่ธรรมถามเรื่องรูปแบบการใช้งานคร่าวๆ ก็ตอบไปตามจริงเพราะนึกว่าจะช่วยเสาะหาให้
ไม่คิดว่าจะได้ข้อเสนอว่าถ้าไม่คิดมากเรื่องความสวยงามก็พอจะช่วยได้ จากนั้นก็ลากเขาไปร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วก็ซื้อของที่จำเป็นมาวางกองไว้ในห้องนี้ จัดการทำให้เสร็จสรรพแบบที่ตุลทำอย่างเดียวก็คือเอาของมาวางไว้
ขนาดจะเลี้ยงข้าวตอบแทนยังบอกว่าออกแค่ค่าน้ำก็พอแล้วเลย
เป็นสัทธาที่แสนใจดี จนเขาไม่อยากจะยอมรับว่าในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นจะกลายเป็นคนที่ใจร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา
“แล้วทำไมที่พี่ให้ทำอีกอย่างถึงไม่ทำ” “พี่ควรหยุดถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วนะครับ” เดือนตุลาไม่ลังเลสักนิดที่จะยอกย้อนกลับไป “เพราะพี่ ‘ต้อง’ ได้เป็นประธานตุลาการนักศึกษาไง”
พอเป็นรอบชิงชนะเลิศแล้วระดับความตึงเครียดแตกต่างกันลิบลับ
เดือนตุลากวาดตามองรอบห้องเรียนที่แปรสภาพกลายเป็นสนามแข่งขันขนาดย่อมแล้วลอบกลืนน้ำลายเงียบๆ ความกดดันที่แผ่ออกมาจากสีหน้าและท่าทางของทุกทีมเป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ว่าในครั้งนี้จะไม่มีการออมมือให้เหมือนรอบที่แล้วแน่
ที่บอกว่าทุกทีมคือทุกทีมจริง แม้แต่ทีมของผู้ชายสองคนที่เขาบอกว่ามีอำนาจรวมกันมากกว่าใครก็ยังไม่เข้ามาทักทายหรือว่าหยอกล้อกับเขาที่โต๊ะลงทะเบียนเลย ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยพี่ฟีนก็ต้องเข้ามาเกาะแกะพอเป็นกระสายแล้ว
คือในภาพรวมแล้วพี่ฟีนก็ยังร่าเริงแหละ แค่ไม่ใช่ในระดับปกติเท่านั้นเอง
“พอเห็นอย่างนี้แล้วกูไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่มัจเคยชนะพี่ฟีนมาก่อน”
อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับระดับชาติก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นการแถลงข้อข้องใจว่าเพราะอะไรการแข่งครั้งนี้ถึงมีความหมายกับทิชากรเหลือเกิน พอเพื่อนเขารับรู้เรื่องราวโดยสังเขปแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเปิดกูเกิลขึ้นมาค้นหาภาพหลักฐาน พอมันปรากฏต่อสายตาแล้วก็สบถคำหยาบไม่มีหยุด
จากที่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลอื่นที่น่าสนกลายเป็นว่าสติแตกแบบที่ว่าเขาต้องกล่อมให้ใจเย็นลงหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าปลายเจตน์เคยไปทำงานให้พี่ฟีนมาก่อนด้วยมีความสนิทชิดเชื้อกันในระดับหนึ่ง แล้วก็รู้จักพี่มัจจากการที่เขาเอาเรื่องความวุ่นวายข้างในออกมาเล่าให้ฟังบ้าง
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”
“แล้วพี่ฟีนนี่จะเก็บกดอะไรขนาดนั้นวะ สี่ปียังไม่สายอย่างนี้เหรอ”
“นี่ก็สงสัยเหมือนกัน”
“แต่เป็นกูก็คงแค้นอยู่อะ แพ้คนอย่างพี่มัจ”
จำไม่ได้ว่าปลายเจตน์เคยมีเรื่องอะไรกับพี่มัจหรือเปล่าถึงเน้นชื่อเสียจนผิดปกติ อาจจะเคยถูกคนนั้นยียวนกวนประสาทเหมือนอย่างที่คนในตุลาการมากกว่าครึ่งเจอมาล่ะมั้ง
พอเป็นรอบชิงแล้วคนเดินข้อสอบก็ใช้น้องปีหนึ่งแค่สองคนเป็นอันเสร็จสิ้น รวมถึงภาระงานในการลงทะเบียนของเขาก็หมดลงไปแล้ว ตอนนี้มันก็เลยว่างพอที่จะยืนคุยกระซิบกระซาบกันบริเวณมุมลึกสุดข้างเวทีรอจนกว่าการแข่งขันจะจบ
“พอรู้อย่างนี้อยากรู้เลยว่าพวกพี่เขาจบไปจะทำอะไรกันต่อบ้าง” รู้สึกดีที่ไม่ใช่คนเดียวที่สนใจความเป็นไปของรุ่นพี่เหล่านี้ “พี่ฟีนสายการเมืองแหละ อย่างเรื่องระเบียบที่อยากให้ผ่านให้ได้ก็เพราะจะเอาไปเป็นโปรไฟล์นี่”
“มั้ง พี่มัจอาจจะเป็นบริษัทที่ได้ใช้ภาษา แต่พี่ธรรมนี่ไม่รู้เลยแฮะ”
“กูว่าไปเป็น ‘ท่าน’ ต่ออีกรอบ”
“แต่กูว่าไม่”
“ทำไม?”
ยกไหล่ขึ้นประกอบคำตอบ “เซ้นส์มันบอก คนอย่างพี่ธรรมไม่เข้าไปอยู่ในระบบเฮงซวยตั้งแต่วิธีการคัดเลือกอย่างนั้นหรอก”
การสอบคัดเลือกผู้พิพากษาในประเทศนี้เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเข้าใจ มันแบ่งออกเป็นสามสนามสอบที่เรียกกันว่าสนามใหญ่ เล็ก และจิ๋ว ถ้าจะสอบสนามใหญ่ก็ใช่ว่าจบนิติศาสตร์มาจะสอบได้เลย หลังจากที่ทรมานอยู่ในระบบการศึกษามาตลอดสี่ปีแล้วยังต้องผ่านการสอบเนติบัณฑิตที่เขาเคยอ่านธงคำตอบแล้วไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่าการท่องฎีกาแล้วนำไปตอบในข้อสอบ ไม่เคยมีการคิดวิเคราะห์ที่พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนเลยสักนิด
แล้วกว่าจะผ่านครบทั้งสี่วิชาที่กำหนดเอาไว้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ถ้าอยากจะทำงานไปด้วยสอบไปด้วยก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่ผ่านได้ในหนึ่งปีก็เป็นพวกที่เลือกเรียนอย่างเดียวไม่เริ่มทำงานทั้งนั้นแหละ ประเภทที่ว่าทำงานไปด้วยอ่านไปด้วยแล้วผ่านนี่มีน้อยพอควร
ก็คือถ้าจะสอบสนามใหญ่จะต้องมีวุฒินิติศาสตรบัณฑิตจากสถาบันที่ได้รับการรับรองและมีวุฒิเนติบัณฑิต พอเงื่อนไขน้อยก็มีคนสมัครเยอะ ต้องแข่งขันกันสูงไปอีก ซึ่งถ้าทุกคนสามารถแข่งขันกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้จะไม่คิดมากเลย (ต่อให้เขาไม่เห็นด้วยกับวุฒิเนติเท่าไหร่ก็เถอะ)
มันกลับกลายเป็นว่าระบบนี้ได้เปิดช่องทางอื่นสำหรับคนที่มีได้รับโอกาสทางการศึกษามากกว่า เอื้อให้ความไม่เท่าเทียมขยายตัวออกกว้างขึ้นจนไม่อยากทำใจรับ
ที่จำกัดคุณสมบัติลงมาอีกขั้นหนึ่งคือสนามเล็ก ซึ่งจะต้องมีวุฒิเนติและจบชั้นปริญญาโทจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง อันนี้คู่แข่งก็จะน้อยลงมาหน่อยตามข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติที่มีมากขึ้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะเรียนต่อชั้นปริญญาโทใช่ไหมล่ะ
ถ้าคิดว่าสนามสอบมีแค่นั้นจบแล้วเขาจะขอแนะนำสิ่งที่เรียกว่าสนามจิ๋ว ซึ่งผู้สมัครนอกจากจะจบเนติแล้วยังจะต้องจบชั้นปริญญาโทจากต่างประเทศที่มีระยะเวลาสองปี
ใช่
ต้องจบนอกและเรียนสองปี [1]
เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่เรียนนิติศาสตร์ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกสองปีทุกคน อย่างเขาเองถ้าให้ไปถามที่บ้านเองก็อาจจะได้คำตอบกลับมาว่าส่งได้แต่ต้องประหยัดหน่อย ฐานะทางบ้านกลายเป็นการปิดโอกาสในการสอบ มันคือความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
ยังไม่รวมกับรูปแบบการสอบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละสนาม ในขณะที่สนามใหญ่ต้องใช้เวลามากกว่าสิบสองชั่วโมง [2] ในการสอบตามรายวิชาที่กำหนดไว้ [3] สนามจิ๋วกลับใช้เวลาเพียงประมาณแปดชั่วโมงเท่านั้น [4]
นอกจากนั้นสัดส่วนคะแนนในรายวิชาก็เช่นกัน ในวิชาภาษาอังกฤษของสนามใหญ่นั้นจัดสรรให้ยี่สิบคะแนน ในการสอบของสนามจิ๋วกลับเทไปทางคะแนนภาษาอังกฤษถึงหกสิบคะแนนจากร้อยเจ็ดสิบคะแนน [5]
ซึ่งถ้าบอกว่ามันคือการคัดเลือกผู้พิพากษา สัดส่วนของคะแนนควรจะให้น้ำหนักกับกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ภาษาเสียหน่อย ตอนที่เห็นวิชาที่ต้องสอบคราวแรกถึงกับต้องวนไปอ่านซ้ำว่าสนามจิ๋วสอบแค่นี้จริงหรือ
นี่เคยได้ยินรุ่นพี่ตุลาการที่จบไปปีที่แล้วบ่นเรื่องเอเจนซีเรียนต่อนอก พอบอกว่าอยากไปเรียนทางกฎหมายสิ่งแรกที่นางนั้นจะแนะนำมาคือการบอกว่ามหาวิทยาลัยไหนได้รับการรับรองบ้าง ไม่ใช่ว่าที่ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์หรือสายการเรียนที่สนใจ
ซึ่งเรื่องที่ชวนหัวเสียที่สุดคือสัดส่วนของผู้ผ่านการสอบจากสนามใหญ่อยู่ที่น้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และสนามจิ๋วอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ [6]
เป็นขั้นตอนการหาผู้ตัดสินความยุติธรรม
ที่ไม่ยุติธรรม
“ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ไหม”
“กูเคยคิดว่าอาจจะเป็นครู”
“พอมึงบอกกูนี่เห็นภาพพี่ธรรมพ่นบุหรี่ปุ๋ยหน้าห้องระหว่างสอนเด็กเลย”
“ไม่ได้ไหมปลาย” ขืนทำนี่ได้โดนทั้งสอบวินัยแล้วก็หยุดการสอน
“ขอเปลี่ยนเรื่องหน่อย อันนี้คิดนานล่ะ แต่กูยังไม่เคยถามใคร”
“ว่า”
“มึงว่าพี่ธรรมกับพี่ฟีนเคยกิ๊กกันป่ะ” “...”
น้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มเกือบพุ่งออกมาดีที่ปิดปากทัน เดือนตุลารีบกลืนลงคอก่อนที่จะหันมาจ้องเพื่อนตาเขม็ง
“มันน่าสงสัยนะมึง คือพวกพี่เขาสนิทกันโคตรๆ อะ ในเฟซพี่ฟีนกูว่าเห็นรูปพี่ธรรมมากกว่าอีก” ไอ้เรื่องรูปนี่เห็นด้วย คือพี่ฟีนน่ะชอบลงรูปพี่ธรรมทุกอิริยาบถอย่างกับว่าเป็นบันทึกคุณแม่น้องธรรม บางรูปก็ถ่ายดีแต่ส่วนมากคือเป็นตอนทีเผลอทั้งนั้น “แล้วมึงดูดิ เพื่อนมองกันอย่างนั้นเหรอวะ”
ที่เขาเห็นคือภาพผู้ชายสองคนที่มีกระดาษเอสี่พับเป็นสามเหลี่ยมพิมพ์ชื่อทีมวางเอาไว้ตรงริมขอบด้านนอกสุดของโต๊ะกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดโดยที่พี่ธรรมกำลังกดปากกาลงไปย้ำๆ ตรงจุดหนึ่งในนั้น ส่วนพี่ฟีนก็พยายามชี้ไปอีกจุดแทน
“กูเห็นเพื่อนสองคนกำลังจะฆ่ากันตาย”
ตอบตามที่คิด มองไม่ออกเลยว่าที่บอกว่าเพื่อนไม่มองกันอย่างนั้นมันเป็นแบบไหน คือที่เขาคิดน่ะถ้าลุกขึ้นมาต่อยกันได้คงทำไปแล้ว
ไม่ได้เห็นมุมนี้ของสัทธาบ่อยนัก ภาพในความทรงจำของเขามันจะไม่พ้นพี่ธรรมแสนเอื่อยเชื่อยที่มักจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด ในมือจะต้องมีหนังสือนอกเวลาสักเล่มติดตัวเอาไว้เสมอ ถ้าตัดตำแหน่งประธานตุลาการนักศึกษาไปก็เป็นแค่คนมีอุดมการณ์ที่ลอยไปเรื่อยแค่นั้นเอง
อาการโกรธหรือว่าโมโหนี่เห็นนับนิ้วได้ ต่อให้พี่มัจจะปั่นประสาทสักแค่ไหนวิธีการรับมือที่ได้ผลเสมอสำหรับพี่เขาคือปล่อยให้มันเริ่มต้นและหยุดไปเองตามธรรมชาติ พอคนหนึ่งเริ่มแล้วอีกคนไม่ตามมันก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
จะมีอารมณ์ร่วมในบทสนทนาขึ้นมาหน่อยก็ต้องที่คุยเรื่องการเมืองหรือไม่ก็วิจารณ์อะไรสักอย่างที่อยู่รอบกาย เท่าที่เขาเคยเห็นมากับตาอันที่มีผลกระทบมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องการไม่มีส่วนร่วมของนักศึกษาในกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย
“มึงมองคนละแบบกับกูอะ”
แล้วจะให้เดือนตุลาทำยังไงถึงมองแบบเดียวกันล่ะ ตั้งแต่วันแรกมาจนวันนี้สัทธากับทิชากรก็ยังเป็นเพื่อนสนิทแบบที่เขายังย้ำเสมอว่าอยากมีแบบนี้บ้างในมหาวิทยาลัย คนที่พร้อมจะบ้าดีเดือดไปกับเราในทุกก้าวจังหวะของชีวิตน่ะนะ สุดยอดจะตายไป
“พวกพี่เขาสนิทกัน”
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไงมึง”
“มึงติดซีรีส์เรื่องอะไรอยู่ปลาย สารภาพมา” หรี่ตาชี้หน้า แล้วอย่าหวังว่าเขาจะยอมรามือง่ายๆ จนกว่าเพื่อนจะสารภาพ
”ไม่ได้ติด แค่อ่านหนังสือก็จะตายแล้วไอ้เหี้ย”
“งั้นนิยาย”
“ไม่มีเหมือนกัน!”
ถ้าอย่างนั้นทางที่เป็นไปได้คือปลายเจตน์น่าจะจัดงานมากจนเพี้ยน “ไม่น่าหรอกมึง ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมีจุดสังเกตแล้วไหม”
พอพูดเรื่องนี้ถึงสะกิดใจขึ้นมา จะว่าไปทั้งพี่ธรรมแล้วก็พี่ฟีนไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับคนรักเลยทั้งคู่ ก็ถ้าเทียบจากโปรไฟล์ในห้องเรียนและกิจกรรมข้างนอกมันไม่น่าจะหลุดรอดมาจนถึงตอนนี้ได้เลย โดยเฉพาะกับพี่ฟีน ยอมรับเลยก็ได้ว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ
ถ้าจำไม่ผิดต่อให้ย้อนกลับไปตั้งแต่รู้จักกันวันแรกเขาก็ยังไม่เคยเห็นแฟนของทิชากรเลยสักคน
ประหลาด
“กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไง”
“มึงติดนิยายก็ยอมรับมาปลาย”
แสร้งทำเป็นพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ มือตบบ่าแปะแทนการบอกว่าต่อให้ติดนิยายแค่ไม่ทำให้เสียการเรียนก็พอแล้ว
“ก็บอกว่าไม่ได้ติดไง”
ว่าแต่คนอื่นเขา ตัวเองก็ติดนิสัยชอบแกล้งมาเหมือนกันนั่นแหละนะ เดือนตุลากลั้นยิ้มไม่ให้เสียงหัวเราะมันออกมารบกวนการแข่งขัน เอื้อมมือไปแตะตัวเพื่อนให้เข้ามาอยู่ข้างในหลืบก่อนที่จะจะมีอาจารย์เดินมาพ่นไฟใส่
เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่ออีกสักพักก่อนที่จะกลับมามองตารางคะแนนในช่วงกลางการแข่งขัน ถ้าเป็นรอบแรกเขาอาจจะคิดว่ามันยังคาดคะเนอะไรไม่ได้ ส่วนในรอบนี้ก็คงต้องบอกว่ามันอาจจะระบุตัวผู้ชนะได้ในอีกไม่ช้า
สายตาของเดือนตุลาเคลื่อนไปจับจ้องอยู่กับผู้ชายผมประบ่าคนนั้น
“...แต่มันเปลี่ยนจริงนะ”
“เปลี่ยน?”
“อืม พอบอกออกไปแล้ว”
“...”
“ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลย” (ทีมของพี่ธรรมกับพี่ฟีนชนะครับ)
“ก็ไม่แปลก”
(วางสายได้แล้วใช่ไหมครับ)
“เดี๋ยวสิ แล้วนี่ไปไหนกับสองคนนั้นต่อหรือเปล่า”
(คิดว่าผมอยากจะอยู่กับพวกพี่เขานานเหรอครับ) ท่ากลอกตาที่อีกฝั่งคงไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงออกมาน่ารักจนต้องรีบแคปหน้าจอเก็บไว้ (แต่คิดว่ามีธุระกันต่อ พอประกาศผลเสร็จพี่ฟีนรีบออกไปเลย)
“เหรอ โอเค บายบายน้องตุล”
มัจฉ์โบกมือให้รุ่นน้องอีกฝั่งของหน้าจอโทรศัพท์ที่ทำหน้าไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแต่ก็ยอมยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์บอกลาเช่นเดียวกับเขา หัวเราะคิกคักมีความสุขที่วันนี้ได้แกล้งเดือนตุลาจนพอใจแล้ว คืนนี้ได้นอนหลับฝันดีแน่เลย
วางสมาร์ตโฟนเครื่องสี่เหลี่ยมลงข้างตัว มองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดบานกระจกเอาไว้ตามแบบคนชอบอากาศถ่ายเทเพื่อพบกับความมืดมิดในยามราตรี เขาปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพอสมควรจึงสะบัดหัวไล่อาการล้าสะสมจากการอ่านหนังสือตั้งแต่ช่วงบ่าย
ลุกออกจากเตียงขนาดสองคนนอนมายังกระจกบานใหญ่ ตารางงานที่ยังมีต่อจากนี้บอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ จัดแต่งผมด้านหน้าที่ยาวเกือบถึงตาให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นจากนั้นจึงเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเป็นสิ่งถัดไป
ครบหมดแล้วก็รอแค่เวลา นาฬิกาดิจิทัลขนาดใหญ่เหนือกระจกบอกว่าอีกสามนาทีจะเป็นเวลาสองทุ่มตรงที่เขากำลังรอคอย
ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นระหว่างรอคอยให้เลขตำแหน่งสุดท้ายเปลี่ยนไป เริ่มนับหนึ่งไปเรื่อยเป็นภาษาเยอรมันอย่างที่ถนัดจนได้ยินเสียงสั่นครืดของเครื่องมือสื่อสารบนเตียง ปรายตามองมองหากไม่คิดที่จะเดินไปหยิบเพราะมันมีเพียงแค่คนเดียวที่จะโทรมาในเวลานี้
สวมรองเท้าแตะแบรนด์ดังไม่เร่งรีบ ออกจากห้องแบบที่ไม่ได้ล็อกประตูหรือว่าปิดไฟก่อน เลือกที่ใช้บันไดหนีไฟในการลงจากชั้นสี่ลงไปชั้นหนึ่งเพื่อซื้อเวลา
ล็อบบี้ของที่พักมีเด็กในวัยเดียวกับเขานั่งประปราย หากมองปราดเดียวก็รู้ว่าสายตาเกือบทุกคู่จับจ้องไปที่ใด
ที่เห็นโดดเด่นมาแต่ไกลคือดอกไฮเดรนเยียหลากสีช่อใหญ่ที่บังช่วงแขนของคนตรงนั้นไปเกือบหมด มัจไม่ปิดบังความรู้สึกด้วยการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความสม่ำเสมอที่ไม่ควรจะเป็น
มันเป็นจังหวะการเดินที่ปกติ
จังหวะการเต้นของหัวใจที่ปกติ
จังหวะการยิ้มทักที่ปกติ
“สุขสันต์ครบรอบวันเลิกกันครับมัจฉ์”
“สุขสันต์วันเลิกกันครับทิชา”
และคำอวยพรที่ให้กันเป็นปกติ
***
[1] ตามระเบียบการแล้วใช้คำว่าเรียนต่อต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี หรือสามารถเรียนหลักสูตรปริญญาโทที่ใช้ระยะเวลา 1 ปี แต่เรียน 2 หลักสูตร (2 ใบ) ได้เช่นกัน
[2]
https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/176130 [3]
https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362 [4]
https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/122603 [5]
https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362 [6]
https://www.bbc.com/thai/thailand-45397244 , สถิติปี 61 อยู่ที่ 22.1% ปี 60 อยู่ที่ 33.33%
ใส่อ้างอิงจนนึกว่ากำลังเขียนเปเปอร์เลยค่ะ (หัวเราะ) เอาจากใจจริงเองก็รู้สึกกังวลเหมือนกันนะคะว่าจะได้รับ reaction ยังไงจากการเขียนตอนนี้ แต่ก็นะคะ ถ้าไม่ได้เขียนคงจะเสียใจไปอีกนานค่ะ (ยิ้ม)
เจ้าไม่เขียนเพื่อที่จะ blame คนที่มีโอกาสมากกว่า (เพราะถ้าพูดตามความจริงแล้วเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสนั้นมากกว่าเช่นกัน) แต่เจ้าก็แค่อยากเขียนว่าในมุมของเจ้ามันมีปัญหาที่เกิดในเชิงโครงสร้าง การสร้างเงื่อนไขทางการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมอย่างชัดเจน ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้มีอำนาจออกระเบียบไม่แยแสผลกระทบที่เกิดขึ้น และปัญหาที่สำคัญคือการที่พวกเขาไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาค่ะ
มีอะไรที่อยากเล่าเกี่ยวกับเหตุผลในการการเขียนเรื่องนี้เยอะแยะ แต่เอาเป็นว่าไว้จบก่อนแล้วค่อยเขียนยาวๆ ทีเดียวเนอะคะ เป็นการสร้างแรงใจให้เขียนจนจบด้วย ตอนหน้าเจ้าสัญญาว่าจะเป็นการพักเบรคเล็กน้อยนะคะ (ฮา)
#มิอาจก้าวล่วง