มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3  (อ่าน 18373 ครั้ง)

ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
«ตอบ #30 เมื่อ29-10-2019 06:38:54 »


เริ่มเข้าใจคำว่า มิอาจก้าวล่วง แล้ว

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทแปด [27.10.19]
«ตอบ #31 เมื่อ30-10-2019 14:10:12 »

พูดงี้เหรอ
น้องเดือนสิบหนีไปไกลๆ เลย
ไม่ต้องไปยุ่งกับพี่มันให้เสียเว
เราสวย เราเริ่ด เราต้องเชิด ท่องไว้ๆๆ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทเก้า


   เดือนตุลาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง

   จนเกินไป

   เขาได้ยินคำนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน และเกือบทุกครั้งมันก็จบลงด้วยการยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นคลื่นเสียงที่ลอยหายไปในอากาศ

   แต่ก็นั่นแหละ เขายังเป็นมนุษย์อยู่ดี สิ่งที่สะสมมาไว้ตลอดทั้งชีวิตมันเทียบไม่ได้เลยกับไม่กี่ประโยคของรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบัน คำว่า ‘หน้าที่ของตัวเองคืออะไร’ มันยังวนเวียนอยู่ในความคิดไม่มีวี่แววว่าจะหายไปอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ

   ถอนหายใจออกมาจนไม่อยากจะนับว่าอายุขัยหายไปกี่ปีแล้ว อาจจะเป็นเพราะในช่วงชีวิตตั้งแต่จำความได้เขาไม่คุ้นชินกับคำตักเตือนพวกนี้เท่าไหร่ เดือนตุลามักจะรับผิดชอบงานได้ดีเสมอตั้งแต่เด็ก รวมถึงแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้รวดเร็วเป็นระบบแบบที่หลายคนเคยออกปากชม

   เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยนั่งหงอยอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ไม่คิดจะขยับตัวไปไหน แค่กลับห้องมาได้แบบครบสามสิบสองไม่โดนรถเฉี่ยวหรือว่าโจรดักปล้นก็ดีแค่ไหนแล้ว

   เลยเวลาอาหารเย็นมาได้สักพักใหญ่และยังไม่มีใจที่จะลุกออกจากพื้นห้องสักที เขาชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียทั้งหมดแล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ได้กินมื้อเย็นสักวันก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก

   เสียงเครื่องมือสื่อสารสั่นกระทบกับประมวลกฎหมายปกแข็งพาให้หลุดออกจากภวังค์ได้ไม่ยาก ตุลรวบรวมพลังงานทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ในการไถตัวออกไปรับสายที่กำลังโทรเข้ามา เอื้อมมือจนสุดแขนแทนที่จะใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้น

   และชื่อที่บันทึกเอาไว้ด้วยชื่อย่อภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่ามัจจุราชก็สูดพลังเฮือกสุดท้ายของเขาไปจนสิ้น

   “ครับ”

   (พี่อยากกินสเต๊กอะ)

   “...ครับ”

   (อีกสิบห้านาทีไปรับนะ)

   “...ครับ?”

   เป็นการเอ่ยคำเดิมซ้ำที่แตกต่างกันในน้ำเสียงทั้งหมด เริ่มจากปกติ เหนื่อยหน่าย และกลายเป็นจับต้นชนปลายไม่ถูก เขามองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กลับมาเป็นหน้าโฮมพร้อมกับพื้นหลังที่เป็นโควทภาษาละตินจากหนังสือกฎหมายบันทึกเอาไว้เตือนใจ

   ใช้เวลาอีกสักพักใหญ่กว่าจะเรียบเรียงทุกอย่างได้ถูก แวบแรกคืออยากจะโทรกลับไปปฏิเสธแต่วินาทีต่อมาคือความปลงในเหตุการณ์ที่เคยดำเนินมาในแนวทางนี้หลายต่อหลายครั้ง เขาล่ะอยากจะรู้เหลือเกินว่าเพื่อนที่คณะของพี่มัจรับมือกับนิสัยเอาแต่ใจอย่างนี้ตลอดรอดฝั่งได้ยังไง

   บอกตัวเองว่านี่จะเป็นการถอนหายใจรอบสุดท้ายแล้ว มองซ้ายขวาหาว่ากระเป๋าผ้าดิบใบที่ใช้วันนี้ถูกโยนไปไว้ตรงส่วนไหนของห้องแล้วลากสังขารที่ไม่ค่อยเที่ยงเท่าไหร่ไปตาม หยิบแค่กระเป๋าเงินออกมาก็พร้อมสำหรับการออกจากห้อง

   ถึงบอกว่าสิบห้านาทีแต่ตอนนี้ก็ล็อกห้องเป็นที่เรียบร้อย เดือนตุลามองตัวเลขดิจิทัลข้างลิฟต์ที่เพิ่มขึ้นจนถึงเลขหกแล้วก้าวข้ามเข้าไปเมื่อประตูเปิดออก กดเลขหนึ่งตามด้วยคำสั่งปิดก่อนรอให้ระบบรันไปอย่างที่ควรจะเป็น

   แน่นอนว่าเครื่องยนต์กลางเก่ากลางใหม่อย่างนี้ต้องใช้เวลาสักพักในการประมวลผล เขาผู้เคยชินกับความแปรปรวนของมันไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับการเคลื่อนตัวที่ช้าราวกับกำลังทดสอบความอดทน ยังไงก็ยังมีเวลาเหลืออยู่แล้ว ส่วนวันไหนที่มีเรื่องด่วนแนะนำว่าให้ลงบันไดหนีไฟเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

   ปลายเจตน์เองก็เคยถามว่าไม่มีความคิดจะย้ายบ้างเหรอ เขาก็แค่บอกปัดว่าที่อยู่มันก็ไม่ได้แย่อะไร ค่าเช่าก็ถูกเมื่อเทียบกับหลายตึกสร้างใหม่ข้างเคียง แถมยังใกล้กับอาคารเรียนอีกต่างหาก

   ส่วนเหตุผลที่แท้จริงคงไม่ต้องบอกอีก

   พอว่างแล้วก็เริ่มคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว เพื่อไม่ให้พี่ปีสี่ที่กำลังมาหาจับผิดได้ก็เลยเดินไปตรงมุมหนังสือพิมพ์ที่ก็แอบแปลกใจเหมือนกันตอนเห็นครั้งแรก เลือกฉบับที่คิดว่าจะอ่านแล้วไม่ปวดหัวกับการใช้ภาษาไทยที่เหมือนไม่มีการตรวจทานเข้าไปทุกวัน และไม่ต้องไปเครียดกับการนำเสนอที่คลับคล้ายว่าจะเอียงข้างมาไว้ในมือ

   รู้ว่าไม่มีเวลาอ่านเพียงพอเลยเอาแค่ให้ได้อัปเดตว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในรอบวันจากหน้าแรก รู้สึกหน่ายและปลงกับการเมืองที่ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่กว่าเดิมในทุกวันตามมาด้วยรำคาญเรื่องที่ไม่ควรจะมีใครให้ความสนใจแต่ก็ยังได้ขึ้นหน้าหนึ่ง ตัดสินใจว่าถ้าเปิดไปดูข่าวกีฬาน่าจะช่วยถนอมสุขภาพจิตมากกว่า

   “กินสิน้องตุล พี่เลี้ยงเลยนะ”

   สายตาที่หลุดโฟกัสไปครู่ใหญ่กลับมาอยู่ที่คนฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง เดือนตุลาก้มลงมองสปาเกตตีคาโบนาราจานใหญ่ข้างหน้าตัวเองแล้วก็หยิบส้อมขึ้นมาไม่มีอิดออด ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาดื้อแพ่งอะไรทั้งนั้นแหละ

   “ไม่ชอบเหรอ พี่ว่าร้านนี้ก็โอเค”

   เขายกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบก่อนตอบ “โอเคครับ แค่ยังสงสัยนิดหน่อยว่าถ้าพี่หิวทำไมถึงต้องมากินไกลขนาดนี้”

   มันไม่ใช่ร้านในละแวกรั้วมหาวิทยาลัยอย่างที่เข้าใจเอาไว้ แต่กลับเป็นร้านอาหารที่ตั้งขึ้นมาเด่นท่ามกลางบรรยากาศบ้านสวนขนาดกำลังดี และใช้เวลาในการขับรถมามากกว่ายี่สิบนาที

   คือตอนที่เห็นว่ารถยนต์เอสยูวีคันใหญ่ที่ไม่ได้เหมาะกับไซซ์ของเจ้าของเคลื่อนตัวไปบนท้องถนนโดยไม่มีการผ่อนความเร็วนั่นก็ปลงไปแล้วหนึ่งรอบ พอผ่านมามากกว่าสิบห้านาทีก็ยังไม่ถึงที่หมายก็ได้เวลาปลงรอบสอง พี่มัจเป็นคนที่เอาแต่ใจจนเกินพอดีไม่เคยเปลี่ยนเลย

   “ยิ่งหิวก็ยิ่งต้องกินของที่ทำให้ตัวเองมีความสุขไง”

   เห็นยิ้มจนตาหยีอย่างนั้นแล้วก็ไม่อยากจะขัดใจ มองพี่เขาละเมียดตัดเนื้อริบอายออกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปเรียนพวกวิชากิริยามารยาทพวกนี้มาจากไหน แค่ท่าจับยังรู้สึกว่าดูดีเลย

   ส่วนตัวแล้วเขาค่อนข้างจะชื่นชมรสนิยมในหลายๆ ด้านของพี่ปีสี่คนนี้นะ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน บุคลิก หรือว่าจะเป็นเรื่องของทัศนคติ เป็นความรู้สึกที่ว่าโชคดีที่ได้ซึมซับความแตกต่างที่ดี

   แต่ก็นั่นแหละ

   อย่าเข้าใกล้เกินความจำเป็นดีที่สุด

   “ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ”

   “ถ้าสาเหตุของความอ้วนมาจากความสุข จะกลัวไปทำไม” ไม่เห็นความเป็นเหตุเป็นผลของมันแต่ก็ไม่อยากจะเถียง “แล้วแข่งวันนี้เป็นไง พวกมันไม่น่าจะตกรอบอยู่แล้วมั้ง”

   แล้วตะกอนที่ตกค้างอยู่ก็ถูกกวนขึ้นมาอีกครั้งจนได้

   “ที่สี่ครับ จากสิบทีม”

   “หืม...”

   “ตอนแรกก็คะแนนนำแหละครับ มาแผ่วช่วงท้าย” เสียงฮึมฮัมในลำคอนั้นเต็มไปด้วยความฉงงจนเขาเลือกที่จะอธิบายเพิ่ม “คิดว่าเพราะผมด้วยแหละ”

   “น้องตุล?”

   “ไม่ชัวร์แต่คิดว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือใช่ พอดีช่วงท้ายผมเห็นปากกาพี่ธรรมมีปัญหาเลยเอาของตัวเองไปให้ใช้ก่อน เดาว่าพี่เขาคงไม่พอใจที่ผมทำอย่างนั้นเลยไม่ยอมเขียนคำตอบน่ะครับ”

   ให้ยอมรับตามตรงก็ได้ว่าตอนนี้เขาอยากได้ใครสักคนมารับฟังเรื่องทั้งหมด และในเมื่อคนตรงหน้าคือรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานานจนเชื่อใจได้ว่ามันจะไม่มีอะไรที่น่าระแวงหากเล่าออกไป

   “อ๋า มันไม่ชอบอะไรอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะเนอะ”

   ห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่ที่ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้อยู่แล้ว เมื่อเทียบจำนวนปีแล้วพี่มัจต้องคุ้นเคยกับพี่ธรรมมากกว่าเขาอยู่แล้ว ได้ยินมาอยู่ว่าตอนปีหนึ่งพวกเขาลงพวกตัวเสรีเหมือนกันแล้วก็ไปแทคทีมเป็นตัวป่วนในห้องเรียนจนพวกเพื่อนๆ เอามาแซวบ่อยครั้งถ้ามีโอกาส

   “ก็เลยนอยด์ๆ มั้งครับ เดี๋ยวก็หาย”

   “น้องตุลอย่าคิดมากเลย ธรรมมันก็เป็นคนบ้าอย่างนั้นแหละ แค่ปากกาเอง”

   หน้าที่ของนายคืออะไร

   คำปลอบโยนนั้นไม่มีค่าเลยเมื่อเสียงที่หลอกหลอนมาตั้งแต่เย็นย้อนกลับมาเล่นอีกครั้ง

   “กลายเป็นหน้าจ๋อยกว่าเดิมอีก พอแข่งเสร็จมันก็ดุต่อล่ะสิ”

   “ก็...ครับ”

   “ตามสเต็ป นี่ก็อีกอย่าง เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยชอบเป็นสายบวกนะ คนเลยหมั่นไส้นี่ไง”

   อันนี้เป็นสิ่งที่ตุลได้ทำการวิจัยขึ้นมาเองในเรื่องของบุคลิกที่แตกต่างกันระหว่างพี่ธรรมกับพี่มัจ ถ้าให้เทียบแบบเห็นภาพมากที่สุดคนแรกจะเป็นฝ่ายบุกที่ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น บวกเป็นบวก ตายเป็นตายกันไปข้างเหมือนที่เคยเห็นแล้วในการประชุมปลดคนออกจากตำแหน่ง

   และแน่นอนว่าถ้ามีแต่ฝ่ายบวกการทำงานมันไม่มีทางราบรื่นแน่นอน ถ้าเป็นคนข้างนอกที่ไม่รู้จักมักจี่หรือเคยทำงานร่วมกันมากก่อนจะชอบพี่มัจผู้ซึ่งดูเป็นสายประนีประนอมและเมตตาอาทรมากกว่า เขาเรียกเองว่าเป็นฝ่ายปลอบหลังจากที่โดนพี่ธรรมถล่มมาแล้ว

   คนเลยจะชอบสไตล์คนอย่างพี่มัจมากกว่า เอาเท่าที่จำความได้ก็ยังไม่เคยได้ยินใครบอกว่าชอบคุณสัทธาล่ะนะ

   ส่วนพวกที่เคยทำงานมาก่อนจะรู้ว่าจะเป็นใครในสองคนนี้ก็แย่ทั้งนั้น

   ส่วนตัวแล้วพี่มัจฉ์น่ะแย่กว่าหลายเท่าเสียด้วยซ้ำไป

   “ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพี่มัจถึงมาทำงานตรงนี้”

   “เดี๋ยว มันพูดอะไรมา พี่ว่านี่มันผิดปกติล่ะ”

   “ไม่รู้สิครับ เหมือนผมเคยคิดว่าเหตุผลที่คนเราจะมาทำอะไรอย่างนี้มันต้องยิ่งใหญ่มากๆ ประเภทที่ว่ามีความเชื่อว่าเราจะต้องเปลี่ยนโลกได้ด้วยมือของคนธรรมดา ต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในเรื่องพวกนี้จากก้นบึ้งของจิตใจ”

   ตั้งแต่เข้ามาเดือนตุลาก็ไม่เคยคิดจะถามเหตุผล เพราะเริ่มเข้าใจแค่ว่ามันเป็นการเติมเต็มโควตาของแต่ละสายการเรียนให้เต็มตามที่มีการกำหนดเอาไว้ในระเบียบการ ยิ่งเจอพวกที่ทำงานไม่เป็นสักอย่างแต่ดันจับพลัดจับผลูเข้ามายิ่งปลงโลก ทำงานด้วยกันมากเข้าก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท

   “แต่พออยู่ไปนานๆ เข้าแล้วมันก็กลายเป็นว่ามันไม่เหมือนกับที่เคยคิดเอาไว้”

   “โหย งั้นถ้าพี่บอกว่าแค่อยากจะหาเรื่องสนุกๆ ทำนี่น้องตุลต้องผิดหวังแน่เลย”

   “ใช่เหรอครับ?”

   แย้มยิ้มละไมอย่างที่มักจะปรากฎอยู่บนใบหน้าของพี่มัจบอกเขาว่ามันจะไม่มีการอธิบายมากไปกว่านี้ คือชอบทำเป็นเมินไปคุยเรื่องอื่นแทนตอนที่ไม่อยากตอบแล้วประจำแหละ เขาก็เลยทำเป็นคุยแบบไม่จริงจังในเรื่องอื่นอย่างที่อีกคนต้องการ

   “แล้วมันดุเรื่องอะไรอีกไหม เดี๋ยวพี่จะไปด่าคืนให้”

   “ไม่มีครับ”

   “จริงอะ”

   “อาจมีอย่างอื่นด้วย แต่ไม่ได้มองว่าพี่เขาดุไร้สาระน่ะครับ”

   “เนี่ย ไม่เคยคิดจะอยู่ข้างพี่บ้างเลย”

   บรรยากาศที่ผ่อนคลายช่วยให้เขาทานอาหารได้คล่องขึ้น เพิ่งสังเกตว่านอกจากเบคอนแบบชิ้นแล้วมันก็ยังมีแบบกรอบผสมเข้าไปด้วย เคี้ยวเพลินดี

   “ผมไม่เคยอยู่ข้างใครทั้งนั้นแหละ”

   เพราะรู้ตัวดีกว่าหากต้องการรอดชีวิตจากการเมืองได้คือการไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น

   จะใช้คำว่าเข็ดหรือว่ามีประสบการณ์มากพอสมควรก็ไม่รู้สิ เขาน่ะยังโชคดีที่เลือกอยู่ในมุมมืดไม่ออกไปสุงสิงกับใครนอกเขตการทำงานเท่าไหร่ ส่วนคนรอบข้างนี่ก็ขยันพาเรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่มาประเคนให้ถึงห้องตุลาการ เขาถึงซูฮกว่าพี่มัจน่ะเก่งที่ต่อให้เป็นที่รู้จักของคนในวงทำงานแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องปวดหัวเข้ามา

   “ทำเป็นพูด น้องตุลน่ะเข้าข้างธรรมตลอดแหละ”

   “ไม่นะครับ จริงๆ คืออยากจะด่าพี่เขาจะตายไป”

   “ว่า”

   “พี่เป็นเหี้ยอะไรมากไหมล่ะมั้งครับ”

   เสียงหัวเราะแบบไม่เหลือมาดเป็นการตอบรับแบบที่เขาพอใจมากที่สุด “ช่วยอัดคลิปเอามาให้พี่ดูด้วยสิ”
 


   คำขอบคุณพร้อมกับกำชับว่าพรุ่งนี้ห้ามลืมเอารถไปล้างคือสิ่งสุดท้ายที่เดือนตุลาทำก่อนปิดประตูรถคันใหญ่ของรุ่นพี่ปีสี่ลง ตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจะสั่งไลน์ไปเตือนอีกครั้งเพราะไม่อย่างนั้นแล้วเบาะที่มีคราบของชานมไข่มุกจะต้องแผลงฤทธิ์แน่นอน

   คนอะไรลืมว่าตัวเองซื้อเครื่องดื่มเอาไว้ตั้งแต่เช้ารู้ตัวตอนทีมันหกเลอะเบาะตอนดึก

   เวลาห้าทุ่มไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการเดินเล่น แม้จะเป็นบริเวณรอบมหาวิทยาลัยก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ขนาดมีกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเอาไว้ชัดเจนการทำร้ายร่างกายยังเกิดขึ้นได้คลอดเวลา เอาเป็นว่าในเมื่อไม่มีใครคอยรักษาความปลอดภัยเอาไว้ได้ก็ต้องดูแลตัวเองกันไป

   ประหลาดใจเหมือนกันที่มีความสุขจนฮัมเพลงโปรดตั้งแต่หน้าประตูหอจนถึงลิฟต์ ยอมรับเลยว่าความหม่นหมองระคนไปกับความกังวลที่สะสมก่อนหน้าหายวับไปภายหลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับพี่มัจฉ์ในหลายหัวข้อ

   จากที่ควรจะกดเลขห้าก็กลายเป็นเลขแปดไปเสีย ความเก่าของมันช่วยให้เขามีเวลาชั่งใจในตู้สี่เหลี่ยมคับแคบว่าจะเดินหน้าหรือว่าถอยหลัง

   ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้วนี่นา

   แพทเทิร์นของตึกที่เหมือนกันในทุกชั้นพาเขาไปยังจุดหมายที่ต้องการได้สะดวก แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูออกมาบอกเขาว่าเจ้าของห้องไม่ได้ออกไปไหนในยามวิกาล

   แปดศูนย์เก้าคือเลขที่เขาคุ้นเคย มือเคาะตรงประตูสามครั้งอย่างที่เป็นมาเสมอ

   ความเงียบรอบกายพาให้เสียงหัวใจที่เต้นรัวดังจนน่าฉงน เขาสูดหายใจเข้าไปลึกพลางบอกว่ามันคงไม่ได้แย่เหมือนการสอบครั้งแรกตอนชั้นปีที่หนึ่งที่เกือบจะเป็นลมก่อนเข้าห้อง

   เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำเอาสติแตกกระเจิง จู่ๆ เขาก็อยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นหรือไม่ก็อยากจะมีเครื่องมือในการช่วยให้ล่องหนได้ หากในระหว่างที่ยังตีกันในหัวไม่เสร็จประตูบานใหญ่ก็เปิดออกกว้างเสียก่อน

   สัทธาอยู่ในชุดนอนแบบคุณลุงอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะมีคนรุ่นเดียวกันใส่สไตล์นี้ ผมที่ยาวเกือบไหล่มัดรวมกันเอาไว้หลวมจนมีปอยร่วงลงมาเล็กน้อย รอยล้าบนหน้าคงเป็นผลมาจากการแข่งขันในวันนี้

   “ว่าไง”

   “ผมขอคุยอะไรกับพี่หน่อยได้ไหมครับ”

   “ได้”

   “แต่มันอาจจะยาวหน่อย”

   ช่วงคิ้วที่พ้นจากความรุงรังแสดงความสงสัยออกมาเต็มที่ “ยืนคุยได้ ไม่ซี”

   “ข้างในดีกว่าครับ”

   “เดือนสิบ”

   “ผมไม่กลัว”

   “...”

   “เพราะอย่างนั้นพี่ก็ไม่ควรจะกลัวเหมือนกัน”

   ชักสงสัยว่าตัวเองไปเอาความบ้าดีเดือดพวกนี้มาจากไหน ตั้งแต่วันก่อนที่ทำตัวอวดดีต่อหน้าพี่เขาแล้ว

   ระหว่างที่รอให้อีกคนตัดสินใจเขาก็เปลี่ยนไปไล่เก็บรายละเอียดส่วนอื่น ด้วยความที่อาศัยอยู่ในตึกเดียวกันก็เลยคุ้นเคยกับโครงสร้างของห้องอยู่แล้ว ชั้นวางรองเท้าแบบฝังเข้าไปกับผนังปิดเอาไว้สนิทไม่มีการเปิดแง้ม ส่วนบนพื้นก็ไม่มีรองเท้าคู่ไหนวางระเกะระกะ ถัดออกไปเป็นถังขยะที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษไม่มีลักษณะบ่งชี้เฉพาะ โดยภาพรวมแล้วก็บอกได้ว่ามันก็ยังเรียบร้อยเหมือนเดิม

   “...ตัดสินใจแล้วนะ”

   คราวนี้เดือนตุลาไม่มีความคิดที่จะหันเหสายตาไปทางอื่น “ครับ”

   “งั้นก็เข้ามา”

   เรียกได้ว่าราบรื่นกว่าที่ประเมินเอาไว้ตั้งแต่แรกเยอะอยู่ คือจริงๆ ในหัวของเขาตอนนี้มีการลิสต์แผนสำรองสองสามและสี่เอาไว้เตรียมพร้อมแล้วในกรณีที่แผนแรกไม่ประสบความสำเร็จ ยังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับพี่ธรรมให้ได้ล่ะ

   สิ่งแรกที่เข้ามาในโสตสัมผัสคือกลิ่นหวานที่เขาคุ้นเคย เทียนหอมกลิ่นวานิลลากลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในห้องนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยเข้ามาเยี่ยมเยือนจนถึงคราวปัจจุบัน มันเป็นภาพที่ประหลาดพอสมควรที่ของที่วางเอาไว้ข้างกันคือบุหรี่ยี่ห้อนอกแบบซองพร้อมกับไฟแช็กเสร็จสรรพ

   ชอบนักล่ะแหกกฎเนี่ย

   รู้ดีว่าจุดประสงค์ของไอ้เจ้าไขมันแบบแท่งนี้ไม่ใช่เพื่อความผ่อนคลายแต่เป็นการกลบกลิ่น ส่วนถุงสำลีจากร้านชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นที่วางเอาไว้ไม่ไกลกันเท่าไหร่นั่นก็ไม่ใช่เพื่อทำความสะอาดใบหน้า

   “นั่งบนเก้าอี้ไป เอาหมอนนี่รอง”

   รับเอาหมอนใบหนาที่เคยวางเอาไว้บนหัวเตียงมาซัพพอร์ตหลัง ห้องพักสำหรับเด็กมหาวิทยาลัยไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยมากขนาดนั้นอยู่แล้ว พื้นที่สำหรับพักผ่อนมันก็มีเพียงแค่เตียง เก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือ แล้วก็พื้นห้องเท่านั้น

   แขกที่เจ้าของห้องดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับยอมทำตามไม่มีอิดออด ส่วนอีกหนึ่งชีวิตนั้นก็จัดการเคลียร์หนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มที่เปิดค้างเอาไว้รอบเตียงให้เรียบร้อย จัดการรวบเอกสารทั้งหมดให้เป็นกองเดียวโดยไม่มีการจัดแบ่งให้เป็นหมวดหมู่

   สี่ทุ่มกว่าก็ยังอยู่กับหนังสือ เชื่อเขาเลย

   “ขอเก็บผ้าแป๊บ เดี๋ยวมาคุย”

   ทำตัวตามสบายผิดกับเขาเหลือเกิน เนื่องด้วยว่าประโยคก่อนหน้านั้นมันไม่ใช่การขออนุญาตแต่เป็นการบอกให้ฟังเพราะฉะนั้นตอนนี้เขาก็เลยต้องมานั่งเกร็งอยู่ในห้องที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากหมอนใบใหญ่สองใบแล้วในห้องนี้ไม่มีเหล่าตุ๊กตาสักตัว แต่ยังมีหมอนข้างที่พี่ฟีนเคยแซวว่าสมแล้วที่เป็นลูกคนจีน

   หมุนเก้าอี้หันกลับไปทางโต๊ะทำงานเพื่อพบกับชิ้นส่วนของปากกาหมึกซึมเจ้าปัญหาที่ถูกแยกออกเตรียมไว้สำหรับการเติม ขวดแก้วเตี้ยทรงเหลี่ยมที่บรรจุของเหลวสีน้ำเงินเข้มเอาไว้เพียงครึ่งเดียวบอกว่ามันเป็นของที่ถูกหยิบมาใช้เสมอในชีวิตประจำวัน

   จู่ๆ ก็รู้สึกเกลียดเจ้าแท่งเหล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้มีส่วนผิดเกี่ยวกับการกระทำของเขาเลยก็ตาม

   อย่างน้อยที่สุดสัทธาก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำเหมือนว่าไม่ให้ค่ากับเขาไปทั้งหมด พอถึงเวลาที่ต้องฟังมันก็ไม่มีการว่อกแว่กเช็กข้อความในโทรศัพท์หรือให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่าคู่สนทนา ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี

   “ว่ามา”

   “ผมไปกินข้าวกับพี่มัจมา” มันอาจจะเป็นการเกริ่นที่ประหลาด ก็เขาคิดอะไรไม่ออกนี่นา

   “อ่าฮะ”

   “แล้วก็คิดว่าควรจะมาคุยกับพี่ต่ออีกสักหน่อย”

   “แล้ว...?”

   “ก็เลยจะมาถามว่าพี่สัทธาเป็นเหี้ยอะไรครับ” เดือนตุลาอาจจะตาฝาดไปเอง เหมือนว่าเมื่อสักครู่มุมปากของคนตรงหน้าจะขยับองศานิดหน่อยล่ะ “อันนั้นเป็นอินเนอร์ส่วนตัว ส่วนจริงๆ ผมมีข้อสงสัยนิดหน่อย คือก็ถามพี่มัจไปแล้วล่ะแต่ว่าไม่ได้คำตอบที่พอใจเลยมาลองถามพี่ดีกว่า”

   “ถามว่า”

   “ทำไมพี่ถึงมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้เหรอครับ”

   “...”

   “ไม่ใช่แค่รอบนี้ แต่ตั้งแต่แรกเลย”

   เคยบอกไปแล้วว่านายสัทธาได้รับการเสนอชื่อตามระเบียบที่ตั้งเอาไว้ หากมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องยอมจำนนต่อมันไม่มีทางปฎิเสธ อย่างเด็กที่ได้ที่หนึ่งของปีถัดมาก็ขอสละสิทธิ์ไม่รับการคัดเลือกเหมือนกัน

   “พี่มัจตอบผมว่าก็แค่อยากทำอะไรสนุกๆ”

   “...”

   “ส่วนผมก็โดนพี่หลอกเข้ามาเพื่อให้คุมเสียงในที่ประชุมได้ง่ายกว่าเดิม”

   ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้ สัทธาเป็นคนยอมรับเองในวันที่ประกาศรายชื่อองค์คณะตุลาการนักศึกษาในปีนั้น

   จากเด็กที่เพิ่งเข้าชั้นปีที่หนึ่งโดยไม่มีความรู้ด้านกฎหมายมากไปกว่าในวิชาสังคมศึกษา เข้าใจแค่ว่าผู้พิพากษาคือคนตัดสินคดีพิพาทระหว่างคู่ความที่มีปัญหา และศาลในประเทศไทยแบ่งได้เป็นสามชั้น กลับต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เหมือนว่าจะมีอำนาจในมือมากมายจนน่ากลัวใจ

   ยังจำได้ดีว่าวันแรกที่ต้องเข้าประชุมเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์แค่ไหน ยิ่งตอนที่ฟังรุ่นพี่ปีสองสองคนคุยกันต่อหน้าว่าการมีอยู่ของเขาจะทำให้การควบคุมทิศทางการทำงานภายในองค์กรเป็นเรื่องง่ายขึ้นแล้วก็จมดิ่งกับความคิดฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่

   เดือนตุลาเกลียดการเป็นเบี้ยล่าง

   หากพอถึงจุดหนึ่งแล้วเขาก็ได้เรียนรู้และยอมรับโดยดุษณีว่าในโลกใบนี้เราต่างอยู่ใต้ล่างใครบางคนเสมอไม่มีทางปฏิเสธได้

   “ผมเลยอยากรู้...ว่าสำหรับพี่แล้วการยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดมันหมายถึงอะไร”

   “ถ้าเอารอบแรก ก็แค่รู้สึกว่าเป็นตำแหน่งที่ดูไร้สาระดี ก็เลยลองดู” เป็นคำตอบที่สมแล้วที่เป็นเพื่อนกับพี่มัจฉ์ได้ “ส่วนรอบสอง...ก็แค่คนเห็นแก่ตัวน่ะ”

   “...”

   น่าประหลาดที่แค่นยิ้มไม่ทราบความหมายติดค้างอยู่ในความทรงจำชัดเจน “ได้คำตอบแล้วเนอะ กลับไปห้องตัวเองได้แล้ว”

   ตุลสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเรียกสติว่าในเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วมันก็ควรจะกลับอย่างที่บอก หากสิ่งที่ยังติดค้างอยู่นับตั้งแต่แรกพบอีกครั้งบอกให้จัดการอีกเรื่องที่ค้างคาไปพร้อมกันเสีย

   “ถ้าพี่บอกว่ามันเป็นแค่เรื่องของคนเห็นแก่ตัว งั้นมันคงไม่แปลกที่ผมจะทำเหมือนกัน”

   หัวใจของเดือนตุลากำลังซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   “คราวนี้ผมไม่ยอมให้พี่หนีไปแล้วนะ”

   “...”

   “อ้อ แล้วก็ลองเปลี่ยนมุกดูบ้างนะครับ บางครั้งผมก็อยากได้อย่างอื่นนอกจากเลี้ยงอาหารปลอบขวัญน่ะ”


***
   เป็นเรื่องที่ต้องปูเยอะกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาจริงๆ ค่ะ มันอาจจะดูเอื่อยไปหน่อยแต่เจ้าตั้งใจที่จะค่อยๆ เขียนแต่ละตอนไปพร้อมกับการตั้งคำถามในหลายๆ ประเด็นที่ติดค้างอยูในใจ และก็หวังว่าเจ้าจะได้คำตอบให้กับตัวเองในเร็ววันเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)
   ยิ่งเขียนยิ่งชอบน้องตุลมากๆ เลยล่ะค่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เป็นเพราะอะไรนะ (หัวเราะ)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ที่แท้สัทธาวางแผนให้มัจพาน้องไปเลี้ยงปลอบขวัญรอคุณเจ้าเสมอนะคะเราอยากได้คำตอบของ'มิอาจก้าวล่วง'

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อ้ยยยย น้องเขารู้ทันเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ปรบมือให้น้องตุลรัวๆ น้องตุลเริศมาก
พระเอกน่าหมั่นไส้สุดๆ ต้องเจอนายเอกแบบนี้แหละถึงจะเอาอยู่

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
รอนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบ


   ระหว่างพี่ธรรมกับพี่ฟีน ใครสมควรจะตายก่อนนะ

   “กูเลือกแล้วว่าควรผลักตกเหวพร้อมกันทั้งคู่”

   ขบเคี้ยวและคาดโทษเอาไว้เรียบร้อย เดือนตุลาใช้ความอดกลั้นอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ขว้างเอกสารที่อยู่ในมือตัวเองลงกับพื้นแล้วเผาซ้ำ ร่างระเบียบการใหม่ของสภานักศึกษาที่ติดอยู่ในขั้นของการพิจารณาภายในกรรมาธิการนานมากกว่าปกติจนมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะเริ่มส่งเสียงประท้วง

   ถึงจะเป็นแค่นักศึกษาชั้นปีที่สอง แต่ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ตรงนี้มาสามปีเขาเห็นช่องโหว่ในทางปฏิบัติของกฎระเบียบนี้ตั้งแต่มาตราแรกๆ ยาวไปจนเกือบถึงข้อสุดท้าย เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการอ่านไปคิ้วขมวดไปเลยก็ว่าได้

   เขียนอย่างกับเป็นกฎเด็กเล่น

   “อย่าจริงจังมากสิ มองว่าเป็นเรื่องขำๆ แล้วมึงจะตลกมากเลยนะ”

   เขาทำตาขึงใส่คำปลอบนั้น “ไม่ได้ไหม”

   เพื่อนที่คงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจทั้งจากสีหน้าและน้ำเสียงยักไหล่ขึ้นตามแบบฉบับของคนที่รู้จักกันมานาน “เอาเถอะ แต่เหยียบไว้อย่าให้ใครรู้ว่าได้มาจากกูแล้วกัน”

   “กลัวทำไม ถ้ามันหลุดมาถึงมึงได้ มันก็หลุดไปหาคนอื่นได้เหมือนกัน”

   ในบางครั้งถ้ามีเรียนในช่วงบ่ายเท่านั้นเราก็จะเจอกันเร็วกว่าเที่ยงหน่อยเพื่อให้ไม่ต้องไปเจอกับประชากรจำนวนมหาศาลที่พร้อมใจกันกรูเข้ามาในช่วงเที่ยง ข้อเสียเล็กน้อยของมันคือการที่เราจะว่างยาวไปจนเที่ยงนั่นแหละ

   แล้วเพื่อนที่ดีก็เพิ่มความระทึกใจให้ชีวิตด้วยการเอากระดาษปึกหนึ่งมาวางเอาไว้ตรงหน้า ชื่อของเอกสารที่เขียนเอาไว้ตรงหน้าแรกทำเอาเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดแถมยังเกือบหลุดปากด่าไปแล้วว่าไปเอามาจากไหน ปลายมันก็บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะบอกภายหลังจากที่อ่านไปแล้ว

   สำหรับเขามันเป็นร่างใหม่ที่ยิ่งกว่าคำว่าห่วยแตก เหมือนกับว่าเป็นการเอาบัญญัตินั่นนี่มาใส่รวมกันจากหลายแหล่งโดยไม่ดูความกลมกลืน ทำอย่างกับไม่มีบทเรียนมาได้

   “เพราะเขาจงใจให้กูรู้ไง”

   “ใคร?”

   “ก็มีอยู่แค่คนเดียวปะ” นิ้วชี้กับกลางที่ชูเป็นรูปวีหักขึ้นลง มันคงพ้นช่วงปลงโลกมาแล้วเลยกลายเป็นการเล่าทั่วไป “ส่งให้กูเพราะจะให้กูส่งให้มึง”

   “กู?”

   “อือ”

   “ทำไม?”

   มันเป็นคำถามเดียวที่โผล่ขึ้นมาหลังจากเพื่อนเอ่ยเช่นนั้น

   “เดาดิ ไม่ยากเลยนะ”

   “มึงอย่ามาอย่างนี้นะปลาย”

   ไอ้การที่เกริ่นมาเหมือนมีเรื่องขาดบาดตายอยากจะพูดแต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วกลับบอกว่าไม่มีอะไรสักหน่อยนี่มันสมควรจะบรรจุในหนังสือมารยาทในวงสนทนาเบื้องต้นสักที

   “จะให้กูตอบแบบไหนล่ะ” มันไม่ใช่การปลอบที่ทำให้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็คงเหนื่อยกับทุกอย่างจนไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดแล้วเลยยอมปล่อยมันไปก่อน “แต่จริงๆ เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพี่ธรรมนะ”

   “พี่ธรรม?”

   “ก็บางคนเขาบอกว่าที่พี่เขากลับมารับตำแหน่งนี้เพราะว่าจะช่วยผ่านร่างระเบียบนี้ในแบบที่พี่ฟีนอยากได้”

   “บ้าน่า”

   ท่ายกไหล่ไม่ยี่หระนั่นแทนอะไรได้หลายอย่าง “อะไรก็เกิดขึ้นได้ พวกเขาก็สนิทกันจะตายไป”

   “ตุลาการจะไปทำอะไรได้”

   “อย่างน้อยถ้าใครร้องเรียนมาก็ปัดตกการพิจารณาได้ไง” จากที่ตั้งใจว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปผูกกับเอกสารชุดนี้มากนักตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว หนึ่งในหน้าที่ของตุลาการนักศึกษาคือการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายหากมีการร้องเรียนมา จะไม่สามารถเริ่มต้นการพิจารณาเองได้เพราะมันจะผิดตามหลักนิติรัฐ [1] “น่าจะตั้งใจให้มันหลุดออกมาเยอะๆ แล้วให้โซเชียลช่วยกดดันแหละ”

   พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เพื่อนสนิทของพี่เขาทำก็บอกตัวเองว่าเพราะอย่างนั้นแหละพวกเขาเลยเป็นเพื่อนกันได้ 

   “แต่กูตั้งใจแล้วว่าไม่ส่งต่อ หมั่นไส้แม่ง ให้ไปหาคนอื่นเอาเอง”

   เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีของการระวังตัวไม่ให้สร้างศัตรูพร่ำเพรื่อ ปลายเจตน์ที่เขารู้จักเป็นคนใจดีในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับจะยอมตลอดไป แล้วหลังจากที่โดนหลอกไปใช้งานเมื่อปีที่แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ความสัมพันธ์มันจะสะบั้นลงได้เช่นนี้

   “แต่เขาจะปล่อยลงออนไลน์จริงเหรอ ไม่เปลี่ยนวิธีกันหน่อยหรือไง”

   ถึงว่าที่ผ่านมามันจะได้ผลในระดับที่เขาเองก็ยังแปลกใจที่คนเหล่านี้ยังใช้รูปแบบเดิมอีกครั้ง

   “มันกระจายง่าย คนก็พร้อมเชื่ออยู่แล้ว”

   จะเกลียดก็เกลียดไม่ลงเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น 

   เก็บเอกสารที่เหมือนจะเป็นความลับแต่ก็คนรู้เยอะใส่กระเป๋าแฟ้มของตัวเองให้เรียบร้อย หยิบแก้วชาไทยที่ละลายกลายเป็นน้ำเปล่าไปแล้วขึ้นมาถือเตรียมเดินเข้าห้องเรียน ตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งว่าลืมวางอะไรเอาไว้หรือไม่จากนั้นก็เตรียมตัวเข้าไปใช้สมองกับการเรียน

   “กลุ้มใจชะมัด ทำไมคนเราถึงชอบทำให้ตัวเองเดือดร้อนอย่างนี้นะ”

   “มึงจะไปคิดมากแทนเขาทำไม”

   “แล้วจะให้เฉยอย่างนั้นเหรอ”

   แค่นยิ้มตรงมุมปากของปลายเจตน์เต็มไปด้วยความอ่อนล้า

   “มึงไม่เคยเข็ดเลยตุล”

   “...” 

   “กับทุกเรื่องเลย”
 


   น้องตุล วันนี้ฝากเฝ้าห้องแทนพี่หน่อยได้ไหม

   ต้องกลับบ้านไปเคลียร์อะไรนิดหน่อย


   อ่านข้อความจากรุ่นพี่ปีที่ที่กระหน่ำโทรเข้ามามากกว่าห้าสายในช่วงคาบเรียนเมื่อสักครู่แล้วเอียงคอสงสัย อาจจะดูเป็นเด็กเคร่งเครียดไม่น้อยที่ปิดการแจ้งเตือนทุกอย่างระหว่างคาบเรียนเพื่อให้มันไม่มีอะไรรบกวนสมาธิระหว่างการเรียน ซึ่งเหตุผลอีกส่วนมันคือพี่มัจน่ะเคยถล่มข้อความมาหาเขาจนต้องปิดเครื่องเลยล่ะ

   แปลกเกินไป

   โดยปกติแล้วพี่มัจน่ะไม่เคยทักมาขอความช่วยเหลือจากเขาเหรอ เกือบทั้งหมดมันเป็นการทักมาเพื่อป่วนไปเรื่อยเสียมากกว่า ความกังขาทั้งหมดหมดไปเมื่อเขาเปลี่ยนไปเช็กห้องสนทนาที่อยู่ติดกัน มันเป็นกรุปรวมตุลาการนักศึกษาในปีนี้ที่เหลือเพียงเจ็ดคน ลืมไปเลยว่าตอนนี้มันไม่ครบองค์คณะ

   มันมีการตอบโต้กันประมาณสามสิบข้อความระหว่างพี่มัจกับคนอื่น เหมือนว่าพี่เขาจะเข้ามาถามแล้วไม่มีใครว่างในช่วงเย็นวันนี้แล้วเขายังไม่เข้ามาตอบมันเลยมีการทักแยกไป

   ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนมีน้ำใจ ส่วนอีกครึ่งก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่จะสร้างบุญคุณกับรุ่นพี่คนนี้เอาไว้ เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและควรจะเป็นเดือนตุลาจึงกดออกจากโปรแกรมแชตแล้วเปลี่ยนไปที่ไอคอนการโทร ไถรายชื่อผู้ติดต่อที่บันทึกเอาไว้จนเจอที่ต้องการ

   “โอเคครับ สะดวกเป็นการแลกเวรอย่างนั้นก็ได้”

   ได้ข้อสรุปภายในการคุยไม่ถึงสามนาที พี่มัจฉ์ไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องธุระส่วนตัวที่อ้างอิง ก็บอกแค่ว่าไปไม่ได้แล้วจะอยู่เฝ้าห้องแทนเขาตารางเวรในครั้งหน้า มันก็เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้กลับไปทำความสะอาดห้องก็ต้องเปลี่ยนสถิตอยู่ในห้องทำงาน

   บอกแผนการในเย็นนี้ให้เพื่อนสนิทฟังก่อนแยกย้ายกัน ตอนที่เดินไปตามเส้นทางสำหรับการลัดเลาะไปยังตึกกิจกรรมเขาก็อดคิดเรื่องเอกสารร่างระเบียบเจ้าปัญหาไปด้วยไม่ได้ คือถ้าเอาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่น่าจะเข้าเอี่ยวกับการทำงานของฝ่ายตุลาการได้ หากพูดในแง่ของอำนาจในการตรวจสอบเพียวๆ แล้วมันก็ต้องยอมรับว่าเกี่ยวกันโดยตรง

   ตามหลักของการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจแล้วฝ่ายนิติบัญญัติสามารถถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ส่วนฝ่ายบริหารก็สามารถคานอำนาจกลับได้ด้วยอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร

   แล้วฝ่ายตุลาการอยู่ตรงไหนของความสัมพันธ์นี้ล่ะ?

   ถ้าถามว่าใครตรวจสอบศาล เราก็เรียนกันมาว่าเพื่อให้ศาลทำงานเป็นอิสระและเป็นกลางไม่ถูกแทรกแซงจากใครหรือองค์กรใดจึงเป็นฝ่ายที่ไม่ได้ถ่วงดุลอำนาจกับใคร เป็นการตรวจสอบภายในกันเองหรือตรวจสอบโดยองค์กรภายนอกในบางกรณี แล้วถามจริงเถอะนะไอ้การตรวจสอบกันเองนี่จะเอาความโปร่งใสมาจากไหน

   ตลกที่ขำไม่ออก

   “มัจครับ วันนี้ไม่มีน้ำปั่นนะ”

   ชะโงกหน้าออกมาจากอดีตห้องประธานที่กลายเป็นห้องเก็บเอกสารสารพัดไปแล้ว ร่างของรุ่นพี่ปีสี่เจ้าของตำแหน่งประธานกรรมาธิการตัวที่มีปัญหาอยู่ไม่น่าประหลาดใจเท่าคำทักทายและถุงผ้าในมือ

   ตายยากชะมัด

   “อ้าว?”

   “พี่มัจมีธุระด่วนครับเลยขอแลกเวร”
   
   พี่ฟีนพยักหน้ารับทราบพลางวางของทั้งหมดลงกับโต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุด “เหรอ”

   “มีอะไรไหมครับ”

   รู้ว่ามันเป็นการถามที่ดูโง่มาก ก็เขาวางตัวในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ถูกนี่นา

   ไม่ยักรู้ว่าพี่ฟีนสนิทกับพี่มัจถึงขั้นนี้ เข้าใจมาโดยตลอดว่าพี่มัจกับพี่ฟีนไม่ค่อยถูกกันตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่ธรรมก็เลยต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเขาทั้งสองอยู่เสมอ

   “ไม่มีๆ แค่เอาของมาให้” เขาเดาเอาเองว่าการจิ้มกดไปตามตำแหน่งต่างๆ ของหน้าจอระหว่างตอบคำถามของเขาคือการพิมพ์ไปหาคนที่ควรจะอยู่ในห้องตอนนี้ “น้องตุลกินเมี่ยงสมุนไพรไหม ร้านนี้ปลูกผักเองด้วยนะ”

   “อ่า...ไม่ดีกว่าครับ”

   ปฏิเสธกลับไปไม่เต็มเสียง คือยังไม่ทันได้คำตอบสำหรับเรื่องแรกเลยตอนนี้เขาก็ต้องมาประหลาดใจกับความใจดีของรุ่นพี่คนนี้อีกแล้ว จะว่ายังไงดี สำหรับตุลแล้วเขามีคติให้ตัวเองว่าถ้าเลี่ยงพี่ฟีนได้เมื่อไหร่ก็เลี่ยง จงลืมความประทับใจแรกพบในวันนั้นไปเสียเถอะ ที่เหลือน่ะพี่เขาเป็นตัวปัญหาชั้นดีชัดๆ

   “งั้นข้าวผัดผักรวมหมูกรอบไข่ดาวอะ”

   “ไม่เหมือนกันครับ”

   “โอเค พี่วางไว้ตรงนี้นะ อย่าลืมเอากลับไปด้วย”

   ถ้าสมมติเขาว้ากใส่ประธานหลังม่านแห่งสภานักศึกษานี่จะเป็นอะไรไหมนะ ทำไมรุ่นพี่รอบตัวเขาถึงมีแต่คนเอาแต่ใจและไม่ฟังคนอื่นได้เท่านี้ สงสัยเหลือเกินว่าเวลาทำงานกับคนอื่นนี่ไม่ตีกันตายได้ยังไง คือเป็นเขานะจะต้องเหม็นขี้หน้าหรือไม่เผาผีกันไปแล้ว

   ถึงจะไม่ชอบเท่าไหร่ที่พี่ฟีนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่แทนที่จะออกไปหลังจากหมดหน้าที่แล้ว ก็ตามบทบาทและหน้าที่แล้วเราควรวางตัวให้เหมาะสมสมกับเป็นสองฝ่ายที่มีหน้าที่ตรวจสอบกันสิ

   ก็ว่าไป ทำอย่างกับพูดแล้วจะฟัง

   “มัจได้บอกไหมว่าธุระอะไร”

   เท้าขวาที่ก้าวกลับเข้าไปในห้องเอกสารแล้วยกกลับมาอยู่นอกธรณีประตูเช่นเดิม “ไม่ได้บอกครับ”

   ส่วนที่อยากจะบอกต่อจากนั้นคือและไม่คิดจะถามเรื่องชาวบ้านไปทั่วหรอก คือมาถามเขามันจะได้อะไรทำไมถึงไม่เลือกไปถามเจ้าตัวเองเลยล่ะ

   ด้วยความระแวงก็เลยถือโอกาสเช็กเสียเลยว่ามีเอกสารอะไรที่ไม่ควรแพร่งพรายตกหล่นอยู่บริเวณที่พี่ฟีนนั่งอยู่หรือไม่ เขาล่ะไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้กุมอำนาจไปมากกว่านี้เลยให้ตายเถอะ

   ส่วนตัวแล้วไม่รู้ประวัติเบื้องลึกของรุ่นพี่คนนี้ พี่ฟีนสำหรับเดือนตุลาคือพี่คนแรกที่เขารู้จักในคณะนิติศาสตร์เพราะว่าช่วยแนะนำจนเขาถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ได้โดยสวัสดิภาพ พอเริ่มเข้าไปทำงานในฐานะตุลาการก็จัดให้อยู่ในประเภทของคนที่ทำงานคนละฝ่ายที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันมาก

   พอกลับเข้ามาอยู่คณะนิติศาสตร์ในฐานะนักศึกษาปีแรกก็เลยได้ยินเรื่องเล่าแบบปากต่อปากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายที่ชื่อสัทธากับทิชากร ปลายเจตน์เองก็เคยเสริมว่าเขาเคยเห็นรุ่นพี่คนนี้คลุกคลีกับทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว

   ความบ้าดีเดือดมันมารุนแรงก็ช่วงปีที่แล้วที่พี่เขาเลือกจะสร้างพรรคใหม่ขึ้นมาลงสนามหลังจากที่อยู่กับครอบครัวการเมืองเดิมมาถึงสองปี คิดว่าน่าจะแตกหักกับคนอื่นในพรรคเก่าพอสมควรเพราะว่าสมาชิกในทีมของพี่ฟีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นหน้าใหม่เกือบทั้งหมด

   ไม่กล้าฟันธงว่าเพราะอะไรพรรคการเมืองของพี่ฟีนถึงได้รับเสียงสนับสนุนที่มากจนน่าตกใจ มันไม่ถึงกับเป็นชัยชนะที่ขาดลอยแต่ว่ามันก็เรียกได้ว่าเป็นรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เขาไม่เคยคุยเรื่องนี้กับคนอื่นเลยบอกไม่ได้ว่าในสายตาของคนข้างนอกมองว่ามันเป็นเรื่องของความโชคดีหรือว่าเป็นความเก๋าเกมที่สะสมมาเป็นระยะหนึ่ง

   “น้องตุลได้อ่านร่างระเบียบใหม่แล้วหรือยัง”

   “...”

   ชะงักค้างไปชั่วขณะตามแบบฉบับของคนมีความผิดติดตัว ก็อย่างที่เปรยเอาไว้แล้วว่ามันไม่ใช่เอกสารที่สามารถเอาออกมาเผยแพร่ได้ ส่วนในอีกมุมหนึ่งคือคำถามของเขาเป็นการการันตีคำพูดของปลายเจตน์

   “เป็นไงบ้าง อ่านแล้วหงุดหงิดเนอะ”

   นัยน์ตาเรียวคมที่ดันบังเอิญสบเข้าหากันคือความผิดพลาดล่าสุดที่เดือนตุลาทำ รอยยิ้มจางของอีกฝ่ายแทนคำตอบว่าอีกฝ่ายรู้อะไรบางอย่างอยู่แล้ว เกลียดเสียยิ่งกว่าเกลียดเวลาที่ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ คือเล่นไม่เหลือช่องว่างให้บ่ายเบี่ยงหรือว่าแก้ตัวเลยสักนิด

   หน้าที่หลักของฝ่ายนิติบัญญัติในมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่าสภานักศึกษาคือการพิจารณาเรื่องกฎระเบียบและข้อบังคับที่ใช้ภายใน ส่วนที่ไปคาบเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิและสวัสดิการนักศึกษาด้วยน่าจะเป็นเพราะว่าพวกผู้ใหญ่กลัวว่าจะว่างไป แต่ถ้าเอาตามหลักทฤษฎีแล้วมันควรจะจบแค่การออกกฎหมายอย่างเดียว

   ชอบเอาไปปนกันจนมั่ว พอมีปัญหาขึ้นมาก็ตามแก้กันจนหัวฟู

   “ยังอ่านไม่หมดครับ”

   เชื่อเลยว่าพอหลุดจากตรงนี้ไปแล้วสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนคนสนิทแล้วทำการพ่นคำผรุสวาทใส่ไม่มีหยุด ถ้าไม่เอามาให้เขาอ่านมันก็จบแล้วไหม

   “แค่บทว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ก็พังแล้ว จะให้มหาวิทยาลัยเข้ามาคุมอีกชั้นอีก”

   ตรงนั้นก็เป็นจุดที่ต้องให้ปลายเจตน์ช่วยอ่านอีกครั้งเลยว่าเขาอ่านอะไรผิดหรือเปล่า คือตัวร่างนี้มันมาจากผู้ใหญ่ไม่ได้เป็นการริเริ่มจากฝั่งของนักศึกษาเอง มันก็เลยเต็มไปด้วยทัศนคติแบบคนสูงกว่าที่ไม่เคยลงมาคลุกคลีกับความเป็นจริง

   “เขาก็ต้องทำอะไรที่ตัวเองได้ประโยชน์สิครับ”

   “แล้วจะเรียกว่าระเบียบการของนักศึกษาไปทำไม”

   “...”

   “โอเค พี่ไม่ว่านะถ้าบอกว่าบางข้อกำหนดมันควรจะแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานในภาพรวม แต่ถ้าตัวเองเล่นเขียนมาให้เสร็จสรรพแล้วส่งมาให้ทางนี้ทำตัวเป็นตรายางก็ไม่ใช่ไหม”

   “...”

   “คือมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่กฎหมายมันจะสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตที่มันร้อยพ่อพันแม่ก็อย่างนี้ แต่จะให้เอาพวกที่หัวเริ่มล้านอยู่แล้วมาวางกฎระเบียบของเด็กอายุหนึ่งปลายๆ สองต้นๆ มันก็ควรจะสะกิดใจถึงความไม่เข้ากันหน่อย จะดื้อเป็นคนเขียนแต่ไม่รับฟังก็ไม่ใช่ไหม”

   ปลายเจตน์เคยอธิบายให้เขาฟังเมื่อครั้งประกาศรายชื่อและตำแหน่งของสมาชิกสภานักศึกษาเผยแพร่ออกมา เหตุผลที่ชื่อของทิชากรอยู่ในส่วนของประธานกรรมาธิการกฎระเบียบและวินัยไม่ใช่ประธานสภาพนักศึกษาคนปัจจุบัน หนึ่งเรื่องที่สำคัญก็คือการกุมอำนาจในการอนุมัติกฎระเบียบที่ใช้บังคับนี่แหละ

   คนเขียนกฎหมายได้เปรียบเสมอ

   มันไม่เกินอย่างที่ใครเขาพูดกันหรอก

   “เพราะกฎบอกว่าต้องให้สภานักศึกษาเป็นคนอนุมัติก่อนบังคับใช้ ก็เลยจะมาเร่งให้ทางนี้ลงมติเห็นชอบให้มันจบๆ ไปแค่นั้นมันใช่ที่ไหน แล้วพอขอเวลาในการพิจารณาก็มากดดันผ่านทางผู้บริหารอีก ไร้สาระเป็นบ้า”

   เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้ยินพี่ฟีนวิจารณ์การทำงานภายในให้ฟัง เมื่อก่อนคือเขาไม่ใส่ใจจะไปก้าวก่ายเองด้วยเพราะถือว่าเราทำงานในคนละส่วนกัน อีกอย่างคือพอมันออกมาจากพี่คนนี้แล้วมันก็ทำให้อยากจะเบ้ปากใส่อยู่ร่ำไป

   เอาเป็นว่านิยามง่ายๆ คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนักการเมืองสไตล์ คอนเน็กชั่นยุบยับ และทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด อย่าหวังว่าการเข้าการเข้าหาจะเป็นเรื่องของมิตรภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอย่างทิชากรน่ะเก็บดอกเบี้ยตั้งแต่วินาทีแรกเลยล่ะ

   “จริงๆ พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องตุลแหละ แต่เอาไว้ให้ช่วงระเบียบนี้ซาลงก่อนแล้วกัน”

   สะกิดใจกับคำที่รุ่นพี่ใช้อยู่เล็กน้อย เขาจำได้แม่นว่าหลังจากนี้อีกไม่ถึงสองสัปดาห์ดีจะเป็นช่วงเวลาของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสำหรับสมาชิกสภานักศึกษารุ่นถัดไป ที่ตัวร่างระเบียบนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวมากเท่าที่ควรก็เพราะว่ามันกำลังจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านด้วยแหละ

   เหล้าเก่าในขวดเก่าที่หลอมใหม่ เป็นนิยามที่เขามอบให้กับการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถ้าไม่ได้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทางนี้แล้วบอกเลยว่าร้อยทั้งร้อยไม่เคยรู้ถึงความเน่าเฟะข้างในหรอก ส่วนมากก็เป็นคนที่หน้าเดิมๆ และพร้อมจะทำงานในแบบเดิมๆ

   “ก็หนักอยู่นะครับ”

   “มันก็ดีกว่าตอนที่ทะเลาะกันข้างในแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย”

   “ผมไม่รู้ฝั่งนั้นเท่าไหร่ ไม่อยากจะออกความเห็นเยอะ” คิดว่านี่จะเป็นจังหวะดีที่จะไล่อีกคนให้ออกไปจากห้องนี้เสียที “พี่ฟีนไม่มีธุระต่อเหรอครับ คุยกับผมได้ตั้งนาน”

   “พี่ว่างตลอดสำหรับน้องตุล”

   ไม่บ่อยครั้งที่เดือนตุลาจะมองบนใส่รุ่นพี่อย่างนี้

   “อย่าเป็นพี่มัจสองเลยครับ ผมขอล่ะ”

   “ใจร้ายที่สุดแล้วคนนี้”

   “เอาที่พี่สะดวกเลยครับ ผมทำความสะอาดห้องต่อล่ะ”

   ปรามเอาไว้ด้วยการส่งตาดุไปบอกว่าอย่ายุ่งวุ่นวายกับของในห้องนี้ เขาเดินกลับเข้าไปอยู่ในส่วนของกองเอกสารที่ไม่รู้ว่าเป็นการสะสมมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น แผนที่คิดเอาไว้สำหรับการจัดระเบียบเอกสารดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำได้ตามที่คิดเอาไว้ทั้งหมดเมื่อมองเห็นปริมาณที่น่าจะทำให้พื้นถล่มได้ง่ายๆ

   อย่างไรตอนนี้เดือนตุลาก็สามารถนำยึดเอาคำที่พี่มัจบอกว่าภายในองค์คณะพวกเราต่างเท่าเทียมกันมาใช้ได้ ถ้าไม่มีใครคิดจะทำความสะอาดเดี๋ยวเขาจะจัดการให้เอง ไม่ต้องเข้ามาช่วยก็ได้แต่อย่าทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมก็พอ

   “พี่ฟีนครับ ผมว่าพี่กลับ ...อ้าว?”

   ตอนแรกเดือนตุลาได้เตรียมคำบ่นเอาไว้จนจบประโยคเรียบร้อย ที่มันออกมาได้ไม่ครบประโยคเพราะว่าผู้ชายที่ยืนเช็กแฟ้มเอกสารที่จัดส่งมายังฝ่ายตุลาการนักศึกษากลับเป็นเจ้าของตำแหน่งประธานตุลาการแทน สัทธาก็ยังคงอยู่ในคอสตูมที่เขายังย้ำคำเดิมว่าไม่เหมือนกับนักศึกษาเลยสักนิด

   “มันมาเหรอ”

   ถามทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่กับแผ่นกระดาษตรงหน้า พี่ธรรมพลิกกระดาษสองสามแผ่นกลับไปมาอีกครั้งอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม

   “เอาข้าวมาให้พี่มัจน่ะครับ” พอเห็นว่ากล่องกระดาษชานอ้อยทั้งสองกล่องยังอยู่ที่เดิมเลยหาคนช่วยจัดการเลยดีกว่า “ถ้าพี่ธรรมจะกินก็สองกล่องตรงนั้นเลย”

   ไม่มีทางหยิบเองอยู่แล้วและไม่อยากให้เสียของ ถ้าพี่ธรรมไม่เอาก็คงหิ้วลงไปฝากให้พี่ยามอยู่ดี

   “ไม่เอา เจอหน้ากันจนเบื่อแล้ว”

   เรียกได้ว่าไม่แปลกใจ ก็ช่วงนี้น่ะพี่เขาสองคนตัวติดกันยิ่งกว่าแฝดสยามอินจัน ไม่รู้ว่าแค่การแข่งขันตอบปัญหาทางกฎหมายมันต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ คือได้รางวัลชนะเลิศไปก็ไม่ได้ช่วยให้สอบผู้พิพากษาหรือว่าอัยการติดไหม

   “ทำไมพวกพี่ดูซีเรียสกับการแข่งจัง หมายถึง...สำหรับผมไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้” เดินไปใกล้ๆ เพื่อสังเกตว่าเอกสารพวกนั้นน่าสนใจแค่ไหน ระยะห่างเล็กน้อยพาเอาสติไขว้เขวได้พอสมควร “ก็แค่ตอบปัญหากฎหมาย”

   “ไม่ใช่พี่ มัน”

   “ครับ?”

   “คนที่จริงจังอะมัน ไม่ใช่พี่”

   เลิกคิ้วขึ้นตามประสาคนมีคดีกันมานาน เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ “แล้วทำไมพี่เขาถึงจริงจังเหรอครับ”

   “เด็กเก็บกด เจ้าคิดเจ้าแค้น ไร้สาระ”

   “เก็บกด?”

   “การแข่งขันตอบปัญหาระดับมัธยมปีที่ฟีนอยู่ม.หก ลองไปหาต่อเอง”

   “โอเคครับ” ตอบรับแบบไม่ใส่ใจแต่มือเตรียมจะกดคีย์เวิร์ดในกูเกิลแล้ว วันนี้พี่ธรรมใจดีผิดกับทุกครั้งเลย “แล้วพี่ธรรมมีธุระอะไรที่ห้องหรือเปล่าครับ จะได้ไม่รบกวน”

   “เปล่า เห็นที่มัจมันพิมพ์ลงไปในกรุปแล้วไม่มีใครสรุปก็เลยแวะมาหน่อย”

   จะว่าไปก็ลืมไปเลย พอคุยกับพี่มัจเสร็จก็คิดว่าไม่มีปัญหาแล้วก็ไม่ได้เข้าไปอัปเดตให้ใครฟัง “อ้อ ผมลืมบอกเองแหละครับ”

   “ไม่เป็นไร ไว้จะไปบอกมัจมันด้วยว่าคราวหลังก็บอกด้วย”

   “นึกว่าพี่จะชวนผมไปกินข้าว อะไรทำนองนี้”

   ตั้งใจที่จะแหย่รุ่นพี่ปีสี่ให้เขวเสียบ้าง นัยน์ตาเรียวข้างหลังกรอบแว่นช้อนขึ้นมามองในขณะที่ทั้งใบหน้ายังคงนิ่งสนิท เย็นชาเหลือเกินคนอะไร

   “นายมีข้าวของฟีนแล้วไง”

   “อันนั้นผมว่าจะเอาไปให้พี่ยามน่ะครับ”

   “ก็เรื่องของนาย”

   “พี่ธรรมครับ” ในห้วงเวลาที่ราวกับเดินย้อนกลับ เดือนตุลาคลับคล้ายว่าตนได้ท่องอยู่ในช่วงเวลาที่เขาเป็นน้องปีหนึ่งที่รุ่นพี่ต่างเอ็นดูในความเอาแต่ใจ “เลิกเก๊กหน่อยเถอะครับ ยังไงผมก็ยังยืนยันอย่างที่บอกไป...”

   “งั้นให้พี่ยืนยันบ้างนะ”

   ไม่ทันได้ขยับปากจนครบ น้ำเสียงราบเรียบไม่มีเจือความรู้สึกนั่นมันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน ใบหน้าของอีกฝ่ายที่โน้มเข้ามาใกล้จนเกือบชิดเยื้องไปทางข้างแก้มจนได้ยินเสียงลมหายใจเค้ากลิ่นยาเส้นข้างใบหู

   “นายตัดสินใจพลาดแล้วเดือนสิบ”

   มันยะเยือกเสียจนเขาต้องยอมรับบางอย่างโดยดุษณี

   “พลาดที่สุดในชีวิตของนายเลยล่ะ”


***
[1] ลักษณะอำนาจกระทำการของฝ่ายตุลาการ (ศาล) จะเป็นในลักษณะ passive คือไม่สามารถริเริ่มการกระบวกการตรวจสอบได้เอง ต้องมีการฟ้องร้องเข้ามาเท่านั้น ซึ่งจะต่างจากฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) และฝ่ายบริการ (รัฐบาล) ที่มีอำนาจกระทำการในการริเริ่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน

   เขียนยากจริงๆ นะคะการบาลานซ์ให้เนื้อเรื่องที่ต้องการเขียนดำเนินไปพร้อมกันทุกด้าน เจ้าคิดว่าตอนนี้น่าจะปูพื้นฐานของความสัมพันธ์ได้พอสมควรแล้วค่ะ อาจจะดูไกลตัวหน่อยแต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ห่างเลย ค่อยๆ ตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกันกับเจ้านะคะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เดือนสิบพลาดยังไงน้ารอคุณสัทธามาอธิบาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทสิบ [10.1.20] P.2
« ตอบ #39 เมื่อ: 14-01-2020 00:04:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พลาดยังไงคะพี่ธรรม ให้เคลียร์นะ  :ling1:

เราชอบสำนวนการเขียนของนักเขียนมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนมาทางนี้เลยค่ะเลยแอบงงๆบ้าง แต่พยายามอ่านทวนเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ภาษาสวยค่ะ สไตล์การเขียน อ่านแล้วสบายตามากๆ

เรากำลังเบื่อนิยายแนวเดิมๆ ภาษาเด็กๆ พล็อตเดิมๆซ้ำๆ เลยอยากอ่านอะไรที่แตกต่าง เราว่าเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว เราชอบที่ตัวละครดูมีงานมีการ 55 มีหน้าที่ของตัวเองและตั้งใจทำมัน อีกอย่างตัวละครแต่ละตัวเขามีความผู้ใหญ่ดีค่ะ บุคลิกเหมาะกับคณะที่เรียน ไม่ง้องแง้งเป็นเด็กอนุบาล เหมือนทั่วๆไป  :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบเอ็ด


   “น้องตุลมองพี่แล้วทำหน้าประหลาดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”

   “...”

   “อยู่ดีๆ กล้ามเนื้อบนหน้าพี่มันเบี้ยวเหรอ”

   “...ทำไมพี่มัจถึงเลือกเรียนภาษาเยอรมันแทนเหรอครับ”

   “แทน?”

   “ได้ที่หนึ่งการตอบปัญหา ทำไมถึงไม่เข้านิติศาสตร์ล่ะ”

   ไม่บ่อยหรือเรียกได้ว่าแทบเป็นศูนย์ที่เดือนตุลาจะได้เห็นอีกฝ่ายชะงักก่อนตอบ “ธรรมบอกเหรอ”

   “ให้คำใบ้แล้วผมก็เอาไปหาต่อเองน่ะครับ”

   จะปกป้องไปเพื่ออะไรก็ตอบตัวเองไม่ได้ แต่เขาไม่อยากให้เพื่อนสนิทต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องอย่างนี้หรอกนะ

   อยากรู้ก็ต้องรู้ ขอบคุณความก้าวไกลของเทคโนโลยีที่ทำให้การค้นหาเป็นไปโดยราบรื่นไม่พบกับอุปสรรคใด แค่เขียนชื่อรายการการแข่งขันตามด้วยปีเท่านั้นเสิร์ชเอนจินก็ประมวลสิ่งที่เขากำลังสืบเสาะออกมา ภาพแรกที่เห็นคือรูปถ่ายในจังหวะรับประกาศนียบัตรของเด็กผู้ชายชั้นมัธยมหกสองคนที่มีคำอธิบายของรูปว่าเป็นผู้ชนะเลิศของการแข่งขันตอบปัญหาทางกฎหมายระดับมัธยม

   รอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ของหนึ่งในนั้นเด่นสะดุดตาจนไม่ต้องไปเช็กเรื่องชื่อก็ยังได้ เขาที่ช็อกกับข้อมูลใหม่คิดอะไรไม่ออกจนต้องเปลี่ยนไปเช็กรูปอื่นในเซตเดียวกันเพื่อดึงสติ

   แล้วก็กลายเป็นว่าได้เซอร์ไพรส์รอบสอง

   ใครจะไปคิดว่าพี่ฟีนสมัยก่อนจะหน้าละอ่อนและดูไม่มีพิษภัยได้เท่านั้น

   เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่ขึ้นชื่อติดหนึ่งในห้าของเด็กมัธยมปลายทั่วประเทศ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง พออ่านถึงตรงนี้ก็เลยเริ่มเข้าใจที่พี่ธรรมบอกว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แล้วยิ่งเป็นคนใกล้ตัวอีกต่างหาก อย่างนี้แสดงว่าพี่ฟีนกับพี่มัจรู้จักกันมานานพอสมควรเลยสินะ

   “พี่เกลียดรูปนั้นอะ หัวเกรียนน่าเกลียดมากเลยเนอะ” เบ้ปากประกอบกับการเล่า อันนี้ก็เข้าใจได้เพราะตอนนั้นพี่เขาคงยังต้องเรียนรด. ด้วย “เมื่อไหร่กฎระเบียบไร้สาระพวกนี้จะหายไปสักที”

   “ผมว่าก็ไม่ค่อยมีใครรอดกับทรงนั้นหรอกครับ”

   “เนอะ เพื่อนพี่ยัดแล้วรอไปค่ายอย่างเดียวหลายคนเลย หมั่นไส้”

   “ของผมเจอแต่เขาจะเรียกก่อนเริ่มค่ายแล้วเอาสัญลักษณ์มาติดไว้ก่อนเลย”

   “เยี่ยมมากสังคม แต่เด็ดสุดคือไม่ต้องทำอะไรเลย”

   “แต่เรายังคุยเรื่องของพี่มัจไม่จบเลยนะครับ”

   จะไม่มีการยอมให้เบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่นเด็ดขาด ตุลหรี่ตามองรุ่นพี่ปีสี่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวมประจำตำแหน่ง ทำเป็นมองลมฟ้าอากาศทั้งที่ห้องนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ากำแพงสีขาวสภาพโทรมและกองกระดาษไม่รู้กี่สิบตั้ง

   “ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ พี่ต้องหัวเกรียนเพราะเรียนรด. ไง”

   “เราคุยกันเรื่องแข่งตอบปัญหาครับ”

   “น้องตุลคุยกับพี่ แต่พี่ไม่อยากคุยต่างหาก”

   ถึงกับบอกมาตามตรงอย่างนี้เขาว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วมันมีวิธีการบ่ายเบี่ยงมากมายไม่ใช่การตัดจบ

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ไม่อยากก็คือไม่อยาก”

   “แล้วถ้าผมให้กอดล่ะ”

   ไอ้การผุดลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแต่เกือบจะกลายเป็นตกเก้าอี้อย่างนั้นมันเป็นรีเอกชันที่เกินเบอร์ไปหน่อยหรือเปล่านะคนเรา

   “จริงจัง?”

   “พี่คิดว่ายังไงล่ะครับ?”

   “พี่ว่าพี่อาจจะฝันอยู่ น้องตุลไม่เคยยอมให้พี่กอดเลยอะ”

   ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วพบว่าการเปลืองตัวเล็กน้อยอย่างนี้ไม่น่าจะมีปัญหา มันก็มีจุดเล็กๆ ที่สะกิดใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยอมลงทุนมากกว่าปกติไม่น้อย ไอ้อาการหวงเนื้อหวงตัวของเขาน่ะมันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี แล้วนี่คือปฏิเสธมาตลอดสามปีกว่าเลยนะ

   แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

   อุปนิสัยทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะตามหาตัวตนที่แท้จริง ขนาดถามว่าเพราะอะไรถึงมาทำงานตรงนี้ก็ยังตอบว่าอยากทำอะไรสนุกๆ ซึ่งเขาอาจเชื่อตามที่บอกหากไม่พบความรู้ชุดใหม่ที่ทำเอาไปต่อไม่ถูก

   “นี่ก็ยอมแล้วไงครับ”

   “สิบห้าวิ”

   “ครับ?”

   “จะกอดสิบห้าวิ พี่นับเอง”

   ห่างกันก็หลายเมตรอยู่ยังรู้เลยว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายแค่ไหน การได้เป็นผู้เหนือกว่าในการต่อรองบอกเขาว่ามันคุ้มค่าแล้วล่ะมั้งที่ยอมหัวแข็งมาตลอดเวลาเพื่อใช้ในเวลาที่จำเป็น

   สังคมของเดือนตุลาแบ่งได้เป็นสามส่วนใหญ่คือเพื่อนสมัยมัธยม ปลายเจตน์ แล้วก็คนในองค์คณะตุลาการ ถ้านอกเหนือจากนี้แล้วจะเรียกว่าไม่มีเพื่อนเลยก็ว่าได้ พอไม่มีเพื่อน สิ่งที่ตามมาคือไอ้การกอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นเรื่องที่พบเจอได้ไม่บ่อยนักไปโดยปริยาย

   “ตามนั้นก็ได้ครับ”

   รุ่นพี่ปีสี่ที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายเซนติเมตรก้าวเท้าเร็วมาใกล้ด้วยท่าทีเริงร่า “ถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ไหม”

   เขาโคลงหัวด้วยความเอือมระอาเต็มแก่

   “ไม่ต้องเลยครับ”

   “โอ๊ย วันนี้วันที่เท่าไหร่นะ กี่โมงด้วย จะเก็บเอาไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยได้กอดน้องตุล”

   กลัวว่าจะไม่ได้คำตอบวันนี้ เดือนตุลาเลยจัดการวาดแขนรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามาชิดอกเสีย กำชับเรื่องเวลาเพื่อให้ไม่เสียเปรียบ

   “นับเร็วครับ”

   อธิบายสัมผัสที่กำลังซึมซับอยู่ไม่ถูกเหมือนกัน ร่างกายที่แนบชิดกันเพิ่มความอบอุ่นได้ในระดับหนึ่ง ก็รู้สึกดีอยู่หรอก หากอีกใจก็ทำตัวไม่ถูกกับความใกล้ระดับนี้

   จับได้ว่าคนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดกำลังแกล้งปั่นหัวด้วยการนับเลขเป็นภาษาเยอรมันอันเป็นภาษาเอก เนี่ย ก็เป็นคนอย่างนี้ไงเลยมีคนแอบหมั่นไส้ เขาไม่รู้หรอกว่าความหมายของคำพูดนั้นว่ามันหมายถึงตัวเลขหนึ่งถึงสิบห้าจริงหรือไม่ พอไล่ตามได้ครบคำแล้วก็ผละออกทันที

   “ฮือ ขออีกรอบได้ไหม”

   ตามองตามแบบฉบับคนรู้ทัน “ไม่ได้ครับ”

   คือไอ้อาการลิงโลดอย่างนั้นมันสร้างคำถามให้เขาว่าแค่การสัมผัสแนบชิดในระยะเวลาสั้นมันสร้างความสุขได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาแค่รู้สึกวูบโหวงนิดหน่อยแค่นั้น หัวใจยังเต้นในจังหวะสม่ำเสมอเท่าเดิมไม่มีการเร่งเลยด้วยซ้ำ

   “ได้เวลาที่พี่จะตอบคำถามผมแล้วครับ”

   “น้องตุลต้องลดความดุลงนะรู้ไหม”

   “ตอบไม่ตรงคำถามได้ศูนย์คะแนนนะครับ”

   “ดุอีกล่ะ โอเคๆ ก็รู้ใช่ไหมว่าสี่จากเก้ามาจากรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์”

   อย่างที่เขาเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว สี่คนจะถูกกำหนดให้มาจากสองคณะนี้ ส่วนอีกห้าคนก็มีกำหนดสายการเรียนเอาไว้แล้วเช่นกัน อย่างสายแพทย์ก็จะต้องมีคนหนึ่งเสมอ ซึ่งถ้านับตามสถิติแล้วจะตามหายากที่สุดเพราะไม่มีใครเต็มใจลงมาทำทั้งที่เรียนเป็นบ้าเป็นหลัง รวมถึงมันจะมีชุดความคิดแปลกๆ อย่างเช่นว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจกระบวนการยุติธรรมหรอก

   เขาในฐานะเด็กปีหนึ่งคณะทันตแพทยศาสตร์เลยกลายเป็นเบี้ยให้กับรุ่นพี่สองคนที่ใช้ประโยชน์จากช่องว่างนั้น

   “แล้วสองคนต้องมาจากสายสังคมศาสตร์คณะอื่น...ที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาทำงานกันหรอก” นัยน์ตาระยับกับรอยยิ้มพรายนั่นมันเหมาะกับเป็นตัวแทนของความดีงามหรือน่าหวาดหวั่นกันนะ “แล้วสำหรับพี่ภาษาเป็นอะไรที่เอาไปต่อยอดได้มากกว่าวิชาการเพียวๆ อีก มันก็แค่นี้เอง ความจริงก็ใช้ได้กับทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก ในเมื่อมันมีวิธีที่ในการคว้าที่ง่ายและเหมาะกับเรากว่าตั้งเยอะ”

   “...”

  “...แล้วทำไมพี่ต้องเลือกทางที่ยากด้วยล่ะ”

   เบื้องลึกของใจบอกเดือนตุลาว่าคนตัวเล็กตรงหน้าน่ากลัวยิ่งกว่าใคร
 


   เคยได้ยินการนิยามว่าเป็นตัวเรียกลมเรียกฝน ไม่คิดว่าเขาจะได้เข้าใจคำว่าตัวเรียกปัญหาก็วันนี้

   “คือก็บอกมาสิว่ามันไม่สุภาพตรงไหน”

   ประโยคเดิมถูกถามซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขาจัดการขยับเน็กไทตรงคอปกเสื้อนักศึกษาให้เข้าที่ก่อนที่จะหมุนตัวไปทางขวาเพื่อตอบ

   “ตรงที่พี่เป็นประธานตุลาการไงครับ”

   “มันไม่เกี่ยวกันนะ”

   “งั้นพี่จะให้เกี่ยวตรงไหนล่ะครับ”

   ความอดทนที่เติมมาจนเต็มก่อนออกจากห้องถูกสูบออกมาใช้จนเกลี้ยงหลอด ขนาดที่ว่าเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอรับมือกับพี่ธรรมในโหมดเจ้าหนูทำไมก็ยังไม่สามารถควบคุมระดับความไม่พอใจได้ดีพอ ก็ถ้าจะมีปัญหากับทุกเรื่องอย่างนี้ใครรับมือไหว

   “เกี่ยวตรงที่ว่า สรุปแล้วกางเกงยีนไม่สุภาพสำหรับงานนี้ตรงไหน”

   ไม่อยากได้ยินคำว่ากางเกงยีนออกจากปากอีกแม้แต่ครั้งเดียว แบบที่ถ้าสามารถเสกคาถาดูดเสียงหรือว่าเซนเซอร์คำได้เขาจะขอสูบเอาคำนี้ไปทิ้ง

   “พี่คิดว่าถามผมแล้วผมจะให้คำตอบได้เหรอครับ งานนี้องค์การนักศึกษาเป็นคนจัดนะ”

   “มีเบอร์ประธานไหม เดี๋ยวคุยเอง”

   พอคุ้นกับตำแหน่งแล้วก็เอาใหญ่ เขาผู้ซึ่งไม่อยากตกอยู่ในห้วงคำถามที่ว่าสรุปแล้วการใส่ยีนกับเสื้อนักศึกษาเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยหรือไงก็เลยเดินไปตรงไวต์บอร์ดที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล มันถูกตีเป็นตารางเอาไว้ด้วยปากกาชนิดที่ล้างออกไม่ได้แทนวันตามปฏิทิน ส่วนถ้าเขยิบไปอีกหน่อยจะเป็นรายชื่อเบอร์ติดต่อภายในมหาวิทยาลัยที่ฝ่ายเลขาส่งมาให้

   ไล่หาตัวเลขสิบหลักไม่อิดออด ค่อยๆ ไล่ไปทีละตัวให้กดตามได้ทัน จากนั้นถือว่าหน้าที่จบลงแล้วไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก เขาเดินออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องประชุมที่เหลือว่าหลังจากที่อนุญาตให้กลุ่มกิจกรรมกีฬาเอ็กซ์ตรีมเข้ามาใช้งานเมื่อวานช่วงเย็น

   ไล่ไปตามจุดสำคัญอย่างเช่นสวิตช์ไฟ เครื่องปรับอากาศ แล้วก็คอมพิวเตอร์ พยักหน้าพอใจเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบเรื่องน่ากังวล เอื่อยเฉื่อยอยู่คนเดียวอีกหน่อยตามประสาคนที่ยังไม่อยากกลับเข้าไปเจอเรื่องน่าปวดหัว

   ในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเขากับพี่ธรรมจะต้องไปเสนอหน้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวแทนแนวหน้าของมหาวิทยาลัยที่ดี มันเป็นการประชุมประจำปีของบรรดาฝ่ายบริหารจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายในประเทศ อาจไม่ได้ครบทั้งหมดแต่ก็เป็นเรื่องของหน้าตามหาวิทยาลัยพอสมควร

   ดันโชคดีที่สุดในสามโลกที่ปีนี้ได้เป็นเจ้าภาพ ภาระมันก็เลยมาทักทายตอนที่ได้รับหนังสือเชิญให้เข้าร่วมในพิธีต้อนรับช่วงเช้า ใจหนึ่งก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากจะอวดระบบการปกครองภายในที่แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง แต่อีกใจก็คิดว่าในเมื่อไม่เกี่ยวกับการทำงานของตุลาการเลยสักนิดจะให้ไปเสนอหน้าทำไม

   พอเอาไปประกาศในกรุปเพื่อขอตัวแทนก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือสักคน ประธานน่ะเป็นไฟลต์บังคับอยู่แล้ว พอไล่ไปตามลำดับความอาวุโสลำดับแรกจะเป็นพี่มัจผู้ปฏิเสธรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม จากนั้นก็ไม่มีใครเต็มใจเลยสักคนจนมาตกอยู่ที่เขานี่ไง

   จะปล่อยให้พี่ธรรมไปคนเดียวมันก็มีเรื่องของภาพลักษณ์องค์กรเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งเป็นคนในแวดวงการทำงานเดียวกันแล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากปลดพี่ต้นหลิวและตุลาการอีกคนค่อนไปทางน่ากังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในการทำงานภายใต้ผู้นำคนใหม่

   จะว่าไปก็เข้าใกล้วันพิจารณาของพี่ต้นหลิวเข้าไปทุกที มันมีทั้งเรื่องเอกสารและตำแหน่งเข้ามาเกี่ยวข้องจนเขาไม่อยากจะพลาดในรายละเอียดเล็กน้อย ตั้งแต่ว่าถ้าสมมติว่าเจ้าตัวไม่เข้าร่วมการประชุมแล้วมีการลงคะแนนเสียงมันจะสามารถบังคับใช้ได้หรือไม่เพราะว่าในระเบียบการไม่ได้มีเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้

   กลับไปห้องทำงานใหญ่อีกครั้งเพื่อพบว่าประธานตุลาการนักศึกษาคนปัจจุบันนั่งอ่านหนังสือนอกเวลาสบายใจ ใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมดูผ่อนคลายจนเขาชักระแวงว่าเมื่อสักครู่มันมีบทสนทนาแบบไหนเกิดขึ้นบ้าง

   คือเงียบสงบอย่างนี้เมื่อไหร่น่ะมีเรื่องใหญ่ตามมาทุกที

   “สรุปยังไงบ้างครับ”

   “จะใส่อย่างนี้ไป”

   ตอบอย่างนี้คือคุยกันไม่ลงตัวแหง มองตั้งแต่ผมทรงยาวที่ไม่เป็นทรงเท่าไหร่ เสื้อนักศึกษาที่เขาเดินไปเช็กถึงห้องแล้วอาสารีดให้เมื่อคืน แล้วก็กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินเข้มเจ้าปัญหา คือคนที่ชินกับนิสัยตั้งคำถามกับทุกอย่างของพี่ธรรมก็รู้ดีว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำคือปล่อยมันไป

   “เขาไม่ได้บ่นอะไรใช่ไหมครับ”

   “ไม่ได้ฟัง”

   แค่นี้ก็เห็นแววความวุ่นวายมาแต่ไกลเลยล่ะ เดือนตุลาถอนหายใจออกมาแบบที่ให้ได้ยินเสียงชัดว่านิสัยแบบนี้ของพี่ธรรมนี่แหละที่สร้างศัตรูไปทั่ว

   “ถ้ามีเรื่องผมชิ่งคนแรกนะครับ”

   “พี่ปกป้องเดือนสิบอยู่แล้วน่า”

   “จะรอดูนะครับ” ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตัวเลขดิจิทัลสี่หลักกำลังร้องเตือนว่ามันได้เวลาทำงานนอกเวลาแล้ว เขาสังเกตความไม่เรียบร้อยของไทที่อีกฝ่ายสวมแล้วเดินเข้าไปจับแก้โดยไม่ขออนุญาตเจ้าตัวก่อน “ไปกันเถอะครับ ใกล้ถึงเวลานัดล่ะ”

   เรื่องน่าชื่นชมอย่างหนึ่งของสัทธาคือต่อให้เขาจะอิดออดในเรื่องพวกนี้แค่ไหน แต่เรื่องการทำงานและรักษาเวลาแล้วเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ไม่เคยมีครั้งไหนที่มาสาย รวมทั้งศึกษาเรื่องรายละเอียดของงานเบื้องต้นแบบที่ไม่มีทางขายหน้าอย่างแน่นอน

   รู้สึกดีทุกครั้งที่พบว่ามหาวิทยาลัยอื่นไม่มีระบบตุลาการ เขาไม่อยากจะมานั่งจัดการประชุมไร้ประโยชน์เช่นนี้หรอกนะ ถึงจากประวัติศาสตร์แล้วการรวมกลุ่มของปัจเจกเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทางสังคมมานักต่อนัก หากในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเช่นกัน

   จุดนัดพบคือหอประชุมใหม่ที่สร้างเสร็จภายหลังจากที่เขาเข้าเรียนครั้งแรกได้ครึ่งปี มันถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องรับรองสำหรับผู้เข้าร่วมเกือบร้อยชีวิต พอเห็นคนแปลกหน้าจากต่างมหาวิทยาลัยเดินขวักไขว่อย่างนี้แล้วก็ประหม่าขึ้นมาเฉย

   ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ติดต่อกันมาตั้งแต่แรกพุ่งเข้าชาร์จรวดเร็วจนตกใจ คิดในแง่ร้ายคือต้องโดนบรีฟมาอย่างหนักหน่วงแน่ว่าฝ่ายตุลาการน่ะเป็นตัวปัญหาที่ต้องคอยเฝ้าระวังไม่ให้คลาดสายตา

   ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดจากที่คิดเท่าไหร่หรอกนะ

   รู้ตัวดี

   พยักหน้ารับทราบแบบที่ไม่ใช่ขอไปทีตอนที่ฟังกำหนดการคร่าวๆ ตรงที่น่าห่วงว่าพี่ประธานของเขาจะแผลงฤทธิ์ก็คงเป็นช่วงฟรีไทม์หลังจากการเปิดงานของอธิการบดี ถึงจะตั้งใจทำตัวลีบแค่ไหนเดี๋ยวก็จะต้องมีคนจากฝั่งบริหารเสนอหน้าเข้ามาแนะนำเองแหละ

   นั่งประจำที่ที่กำหนดเอาไว้แล้ว ปรบมือให้กับผู้ชายสองคนที่เพิ่งเดินขึ้นไปสมทบหญิงสาวหนึ่งเดียวบนเวที ตุลจำชื่อของพี่ผู้หญิงปีสี่คณะรัฐศาสตร์เจ้าของตำแหน่งประธานองค์การนักศึกษาคนปัจจุบันไม่ได้ แต่ถ้าเอาเท่าที่ฟังแล้วก็ดูเป็นสายผู้หญิงเก่งที่น่าจับตามอง

   ต่อมาคือประธานสภานักศึกษาหรือที่เรียกเองว่าหุ่นเชิดของพี่ฟีน ไม่คิดจะใส่ใจเพราะรู้ตื้นลึกหนาบางไม่น้อย ไอ้ชุดนักศึกษาแบบเป็นทางการเต็มยศนั่นทำให้คุณประธานตุลาการที่ยืนอยู่ถัดไปกลายเป็นพวกไม่น่าเชื่อถือไปเลย แล้วเอาเวลาที่ไหนไปถอดเน็กไทน่ะ เมื่อกี้เขาอุตส่าห์จัดให้แล้วนะ

   มองให้ลึกลงไปมันมีปัญหาเกี่ยวกับการแต่งกายแฝงอยู่ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใส่กระโปรงเพื่อความสุภาพของผู้หญิง สีผมที่เหมาะสม หรืออาจจะต้องถามลงไปถึงว่าเราจำเป็นต้องมีการระบุเกี่ยวกับการแต่งการที่ผิดระเบียบขึ้นมาเลยหรือไม่ เพราะอะไรถึงต้องกำหนดให้มันผิด ซึ่งมันก็เป็นการสะท้อนความไม่ตระหนักของคนในสังคมได้ดีเลยล่ะ

   มองพี่ธรรมตาไม่กะพริบทุกอิริยาบถ แค่มัดผมก่อนขึ้นเวทีก็เป็นบุญหัวสำหรับเขาแล้ว ไอ้ท่ายืนสบายๆ อย่างกับว่ากำลังจะพรีเซนต์งานหน้าห้องเรียนสมัยมัธยมไม่ใช่ต่อหน้าคนมีตำแหน่งจากหลายสิบมหาวิทยาลัยทำเอาเขาอยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายส่งไปให้พี่มัจฉ์ดูบ้าง

   เชื่อมั่นและมั่นคงในตัวเองเสมอ

   สมแล้วที่ชื่อว่าสัทธา

   เป็นชื่อที่อยากจะสัมภาษณ์พ่อแม่ของพี่ธรรมอยู่เหมือนกันนะว่าเพราะอะไรถึงเลือกเช่นนี้

   เห็นจากหางตาว่าคนร่วมเวทียิ้มเจื่อนให้กัน คือใจหนึ่งเขาน่ะเข้าใจพี่ธรรมนะเรื่องที่ไม่อยากจะใส่กางเกงสแลกมาทำงานอะไรพวกนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเพื่อป้องกันเรื่องพวกนี้ก็จำใจทำไปหน่อยเถอะ

   หากมองต่างมุมกัน เราควรเคารพเหตุผลของกันและกัน

   นั่นคือหนึ่งสิ่งที่เขารักเกี่ยวกับสังคมรอบข้างที่ตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ บอกเสมอว่าโชคดีที่ไม่ต้องผจญกับความปวดประสาทจากบางคนหรือบางกลุ่ม มันไม่ใช่เรื่องของถูกผิดแต่เป็นเรื่องของการมองที่ต่างมุมกันเท่านั้นเอง

   “สำหรับบทบาทหน้าที่ของฝ่ายเราจะคล้ายคลึงกับการทำงานของศาล คือเป็นผู้ตัดสินปัญหาระหว่างนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยและในบางครั้งอาจจะสามารถเข้าร่วมเป็นองค์พิจารณาของข้อพิพาทระหว่างนักศึกษากับบุคลากรได้เช่นกัน สำหรับโครงสร้างขององค์กรนั้น...”

   ฟังเรื่องที่ได้ยินมาแล้วไม่รู้กี่สิบรอบหากไม่เบื่อเลยสักนิดเมื่อคนอธิบายเป็นผู้ชายคนนี้ บุคลิกของพี่ธรรมสำหรับเขาแล้วสามารถต่อยอดได้หลายทาง นอกจากอาชีพยอดฮิตของฝั่งนักเรียนกฎหมายแล้ว อาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

   จะว่าไปแล้วพี่ธรรมมองชีวิตตัวเองหลังเรียนจบอย่างไรนะ

   ปล่อยให้กิจกรรมบนเวทีรันไปตามกำหนดการที่วางเอาไว้แล้ว เขาก็รอแค่ให้ถึงช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงวิจารณ์การทำงานภายในของแต่ละมหาวิทยาลัย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเขาจะเงียบปากให้มากที่สุดแล้วปล่อยให้คนร่วมงานอีกคนรับหน้าเอง

   “สภาเขาไม่ทำอะไรอย่างนี้บ้างเหรอครับ”

   ระหว่างที่รอเปลี่ยนสไลด์สำหรับส่วนถัดไป เขาที่บังเอิญหันไปเห็นประธานของฝั่งสภานักศึกษากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจสิ่งรอบข้างก็เกิดสงสัยขึ้นมา แล้วพี่ธรรมย้ายไปทำงานให้ฝั่งนู้นมาเป็นปีก็น่าจะรู้เรื่องอยู่แหละ

   “จริงๆ ก็เคยคุยนะ”

   “แล้วทำไมไม่สำเร็จเหรอครับ”

   “ความไม่เมกเซนส์ของระบบ พวกเราอยู่กันแค่ปีเดียว...ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ โครงการยังไม่ทันถึงไหนก็เปลี่ยนชุดบริหารแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าชุดทำงานต่อไปจะสนับสนุนหรือเปล่ามันก็วนกันเป็นลูปอย่างนี้แหละ”

   ผงกหัวเห็นด้วยกับชุดความคิดนี้ เขาเพิ่งมาสะกิดใจเรื่องพวกนี้ภายหลังจากที่พี่ฟีนเข้าไปมีบทบาทจนเรียกได้ว่าควบคุมการทำงานเกือบทั้งหมด ก็พอหมดชุดทำงานนี้มันก็ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนเข้ามาทำงานต่อ

   สภานักศึกษาที่นี่เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเรื่องสมาชิกสูง บางคนก็พร้อมจะตีจากพรรคเดิมไปสังกัดพรรคอื่นหรือว่าผันตัวไปทำงานในฝ่ายอื่นอย่างเช่นองค์กรนักศึกษาแทน ก็อย่างที่บอกว่าการทำงานตรงนี้คือต้องอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ไม่เหมาะกับคนที่อยากอยู่ใต้แสงไฟหรอก

   มันเลยเรียกได้ว่ามีความไม่มั่นคงและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอด ต่อให้ปีนี้ได้เก้าอี้ถล่มทลายแต่ปีหน้ามันอาจจะไม่มีพรรคนี้ลงเลือกตั้งเลยก็เป็นได้ มันเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของการจัดตั้งพรรคการเมืองภายในมหาวิทยาลัยตรงที่ไม่มีใครให้ความสนใจจริงจังเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ที่แท้จริง

   เพราะมันไม่ต่อเนื่องนั่นแหละเลยกลายเป็นการพายเรือในอ่าง แต่จะเห็นคนกลุ่มเดียวควบคุมการทำงานเป็นรุ่นต่อรุ่นอย่างที่องค์การนักศึกษาเป็นอยู่มันก็ไม่น่าจะเวิร์กพอกัน ที่ผ่านมาคือต่อให้เปลี่ยนชื่อพรรคที่ลงสมัครแต่ว่าคนที่ทำงานด้านในก็ยังเป็นคนเดิม ที่ต้องเปลี่ยนบ้างเพราะว่าคนเริ่มวิจารณ์แล้วว่ามันเป็นการสืบทอดอำนาจ

   แล้วถามจริงว่าการอยู่แบบฝังรากลึกอย่างนั้นการขุดรากถอนโคนจะทำได้ที่ไหน อย่างปีที่แล้วก็มีทีมที่มาล้มได้แหละ แต่การทำงานภายใต้การเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดแล้วยังต้องทำให้ดีภายใต้ความกดดันล้านแปดมันจะไปดีเด่นอะไร ยังไม่รวมกับการใช้อำนาจจากผู้ใหญ่อีกนะ เด็กใครเด็กมัน

   มันก็กลายเป็นเกมการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งไปซะงั้น
   
   ไม่ยุติธรรมต่อนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยเลยว่าไหม

   เขาว่ามันเป็นปัญหาจากการที่คนออกระเบียบพวกนี้ไม่เข้าใจธรรมชาติในการปฏิบัติหน้าที่ ชอบคิดไปเองว่ามันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นมันก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องการศึกษาที่ถูกตีกรอบเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะว่าตอนปีหนึ่งคงไม่มีใครปีกกล้าขาแข็งเท่าไหร่

   น่าเสียดายนะ

   ทั้งที่มันควรเป็นช่วงเวลาที่วัยรุ่นได้มีโอกาสในการแสดงออกถึงความเชื่อของตัวเองมากที่สุดแท้ๆ

   แต่จะให้เขาลองเสนอโครงสร้างการบริหารที่เหมาะสมมากกว่านี้ก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ข้อจำกัดมันเต็มไปหมดจนปวดหัว คือเอาแค่ทุกวันนี้มีคนกระแหนะกระแหนเรื่องวิธีการสรรหาตุลาการนักศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพเขายังทำอะไรไม่ได้เลย

   “แต่ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร งานนี้ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเหมือนกันแหละ”

   อยากจะขำพรืดแต่ทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งไม่ว่อกแว่กมองซ้ายขวา อย่างน้อยคนที่นั่งถัดไปจากพี่ธรรมก็ต้องได้ยินชัดแหละ ไม่รู้ว่ามาจากภาคส่วนไหนด้วย

   “แต่พี่มัจเคยบอกว่าการเริ่มต้นมันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรนะครับ”

   “มันต้องมีเงื่อนไขอย่างเช่นความพร้อมของคณะทำงานด้วยสิ” คุยกันเพลินจนไม่ได้ฟังวิทยากรบนเวทีเลยสักนิด ตอนนี้พิธีกรประจำงานกำลังไล่ลำดับกิจกรรมถัดไปซึ่งก็คือช่วงของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น “ถ้าเห็นแต่ความฉิบหายข้างหน้า ก็อย่าไปทำเลย”

   เพราะเป้าหมายหลักคือการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเลยไม่มีความคิดที่จะเดินไปทักทายใครทั้งนั้น ระหว่างที่รอบข้างเริ่มลุกขึ้นไปทักทายกันตามมารยาทแล้วผู้ชายสองคนจากกลุ่มการทำงานที่ชื่อว่าตุลาการนักศึกษาก็ยังนั่งแบตหมดอยู่ที่เดิม

   “ไอ้เหี้ยธรรม ชุดมึงอย่างเด็ด”

   ยังไม่ทันได้ต่อยอดประเด็นก็มีบุคคลที่สามโผล่เข้ามาเสียก่อน ผู้ชายในชุดนักศึกษาไม่ผูกไทกับทรงผมที่ดูเหมือนว่าจะตื่นแล้วออกจากห้องมาเลยทำให้เดือนตุลาต้องเหลือบตามองป้ายห้อยคำที่แขวนชื่อ ตำแหน่ง และสังกัดของมหาวิทยาลัยเอาไว้

   “ชุดปกติ”

   “พ่อมึงเถอะ แล้วคนอื่นไม่ด่าตายห่าเหรอใส่อย่างนี้”

   “ต้องสน?”

   “สมกับเป็นมึงฉิบหาย”

   ปิดปากเงียบ ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนเสียเลย บทสนทนาที่ลื่นไหลช่วยบอกเขาว่าคงเป็นคนรู้สึกที่สนิทกันในระดับหนึ่ง เพื่อนสมัยมัธยมอย่างนั้นเหรอ นี่มันจะเป็นการรวมตัวกันของคนใหญ่คนโตเกินไปไหม

   “กูถามแล้วว่ามันไม่สุภาพตรงไหน พอแม่งบอกว่าไม่ถูกกาลเทศะกูเลยซัดต่อแม่ง แล้วกาลเทศะที่ว่าคืออะไร”

   “เนี่ย มึงก็อย่างนี้อะธรรม” ขนาดเพื่อนยังถอนหายใจแบบนั้น เข้าใจเขาขึ้นมาหรือยัง

   “คือรับฟังนะ แต่ถ้าการให้เหตุผลมีน้ำหนักไม่เพียงพอกูว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่จะไม่ปฏิบัติตาม” การเล่าทั้งหมดไม่มีความเดือดดาลเจือ หากช่วงตาที่เขาเห็นจากมุมข้างมันแสดงออกชัดว่าคนที่กำลังพูดอยู่จริงจังกับการให้เหตุผลมากแค่ไหน

   “อย่าอ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน มันเป็นคำตอบของคนโง่”


***
   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2020 22:40:19 โดย 23August »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านแล้วนึกถึงที่แห่งหนึ่งที่เพิ่งมีเรื่องราวโด่งดังเมื่อเร็วนี้ติดตามเดือนสิบกับพี่ธรรมอย่างตั้งอกตั้งใจรอพาร์ทปัจจุบัน

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นเรื่องใกล้ตัวจริงๆ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบสอง


   เสียงพูดคุยจอแจจับไม่ได้ศัพท์ของคนกลุ่มใหญ่บริเวณด้านในสุดของร้านอาหารน่าจะเป็นมลภาวะทางเสียงของคนอื่นไม่น้อย

   เดือนตุลากล่าวขอโทษในใจให้กับสายตาไม่พอใจของลูกค้าที่นั่งเล่นอยู่ประปรายภายใน นี่เป็นครั้งแรกที่เคยมาเหยียบก็เลยไม่รู้บรรยากาศปกติของที่นี่สักเท่าไหร่ หากเดาจากบริบทแล้วมันคงเป็นร้านนั่งเล่นที่มีความเงียบสงบพอควรล่ะ

   หลังจากจบช่วงแลกเปลี่ยนแล้วทั้งเขาและพี่ธรรมก็เต็มใจจะหนีออกจากงานทันที เราต่างแยกย้ายกันไปตามตารางชีวิตปกติ อย่างเขาก็เข้าเรียนวิชาเลือกในภาคบ่าย ส่วนพี่ธรรมบอกว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งรอบถัดไป

   จากนั้นก็คิดว่าจะกลับไปกวาดถูห้อง หากการแจ้งเตือนที่มากผิดปกติของกรุปตุลาการก็พลิกแผนแบบร้อยแปดสิบองศาเมื่อพี่ธรรมเอาข้อความเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงกลางคืนจากทางองค์การนักศึกษามาประชาสัมพันธ์ ด่าในใจไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการประสานงานที่ไม่เป็นมืออาชีพเลยสักนิด

   มันก็เป็นแค่การเลี้ยงอาหารเย็นที่ดูเป็นกันเองพอสมควร ไม่มีการปิดร้านหรือว่าจองห้องส่วนตัว เหมือนจะแค่แจ้งกับทางเจ้าของร้านเอาไว้แล้วรบกวนขอให้ช่วยจัดพื้นที่ให้สะดวกต่อการรับประทานเท่านั้น

   “พี่อยากกินไก่ทอดอะน้องตุล”

   กลั้นใจไม่ชักสีหน้าใส่คนร้องขอ พอเป็นของฟรีล่ะตอบรับไวเชียวล่ะ คนแรกที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมงานรับประทานอาหารก็คือคนเดียวกับที่ปฏิเสธไม่ยอมไปงานเช้า จะว่ากวนประสาทก็ใช่อยู่

   ตักปีกไก่ทอดที่อยู่หน้าตัวเองไปให้ตามที่ขอ ตำแหน่งการนั่งไม่ได้มีการกำหนดเอาไว้เป็นทางการเลยจะเป็นแนวอยากจะอยู่ตรงไหนก็เชิญ จะกินอะไรก็สั่งเอง ด้วยความที่มันค่อนไปทางร้านนั่งดื่มมากกว่าร้านอาหารเลยมีเมนูไม่เท่าไหร่

   ขอเดาว่าที่เลือกร้านนี้เพราะอยากประหยัดงบประมาณค่าอาหารแล้วเอามาลงที่เหล้าทีเดียว

   “ทำไมไก่ที่นี่อร่อยจัง”

   “ผมว่ารสชาติมันไม่เห็นจะต่างกันเลยครับ”

   เสียงคุยยังคงดังรบกวนคนอื่นเป็นระยะ ระหว่างที่สมาชิกรายอื่นดูมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเขากับพี่มัจฉ์ก็ทำตัวแตกแยกเหมือนที่ประธานองค์กรทำด้วยการเอาแต่นั่งกินไม่คิดจะสนทนาพาทีกับผู้อื่น ตอนนี้เขาคิดว่าคนอื่นคงมองว่ากลุ่มกิจกรรมนี้เป็นพวกขวางโลกไปแล้วแหง

   ตุลาการมาสามคนแต่ว่าตอนนี้เหลือแค่สอง ท่านประธานของพวกเราน่ะหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อาจจะไปสูบบุหรี่อยู่ตรงบริเวณที่จัดเอาไว้ล่ะมั้ง รายนั้นน่ะถ้าไม่ได้เอาสารพิษเข้าร่างสักวันจะต้องลงแดงตายแหง

   ส่วนฝั่งของสภานี่อย่างกับขนกันมาทั้งทีม นำมาโดยผู้กุมอำนาจเบื้องหลังม่านอย่างพี่ฟีนผู้ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง เห็นของฟรีหน่อยเป็นไม่ได้ล่ะคนพวกนี้ สารภาพเลยว่าตั้งแต่ที่เขาเจอพี่ฟีนในห้องทำงานวันนั้นสายตาเจ้ากรรมก็มักจะแอบสอดส่องดูพฤติกรรมของพวกเขาทั้งสองคนอยู่บ่อยครั้ง

   คือคิดไม่ตกจริงๆ นะ ทางหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เป็นเหตุผลเป็นกันอยู่แหละที่พี่ฟีนจะเจ็บแค้นจากคนที่ชนะตัวเองในชั้นมัธยมแต่เบนสายไปเรียนอย่างอื่นเฉย แต่อีกทางก็คือคนอย่างนั้นไม่น่าจะเก็บเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาใส่ใจ เขาน่ะมีวิธีที่จะอยู่ในสปอต์ไลต์ตั้งเยอะแยะ

   อย่างตอนนี้คือต่างคนต่างอยู่กับกลุ่มทำงานของตัวเองไม่มีการเฉียดเข้าใกล้กันเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องหวังเรื่องการทักทายหรือว่าบทสนทนาเล็กน้อย มันทำเอาเขาชักจะไม่มั่นใจว่าที่เจอพี่ฟีนวันก่อนเป็นเรื่องจริงหรือไม่

   พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร แล้วระหว่างพวกเขาความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหนกันนะ?

   “อร่อย หนังกรอบ”

   ไม่มีความคิดจะเถียงกับเรื่องพวกนี้ มันว่างเกินไปจนอยากกลับห้องไปพักผ่อน ที่เขาคิดไว้ตอนแรกคือมาเผื่อว่าพี่ธรรมกับพี่มัจพร้อมใจกันแท็กทีมกันทำลายภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไม่เหลือซาก เขาจะได้เป็นประจักษ์พยานความล่มสลายนั้นด้วยตาตัวเอง

   หันไปมองรอบร้านด้วยความหวังว่ามันอาจจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าไก่ทอดจานที่สอง อากาศของภูมิภาคมรสุมเขตร้อนคงผสมสไปรท์กับน้ำแข็งตรงหน้ารวมกันจนรสชาติจางลงไปมากโข บรรยากาศมืดสลัวเมื่อเคล้ากับการแสดงดนตรีของเด็กเอกวอยซ์ดูเงียบเหงาแต่อบอุ่นในคราวเดียวกัน

   “พี่มัจจะอยู่อีกนานไหมครับ”

   “ก็เรื่อยๆ นะ อยากกลับแล้วเหรอ”

   “รู้สึกว่าอยู่ต่อไปก็เสียดายเวลาชีวิตน่ะครับ”
   
   พี่ปีสี่ข้างกายพยักหน้าพลางตักไก่ทอดชิ้นล่าสุดเข้าปาก จากนั้นก็สั่งเบียร์มาเพิ่มอีกต่างหาก

   “ขอโทษนะครับ พวกคุณใช่ฝ่ายกฎหมายของมหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

   หันหน้าไปทางต้นเสียง เป็นที่แน่นอนว่าเขาจำไม่ได้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใครหรือทำงานอะไร แต่ถ้าเข้ามาทักเองขนาดนี้ก็ต้องรับแขกหน่อยล่ะ

   “ตุลาการนักศึกษาครับ ชื่อที่ใช้เรียก”

   “โอเค คือผู้ชายใส่แว่นคนนั้นเป็นประธานใช่ไหมครับ เขาอยู่ที่ไหนเหรอ ผมว่ามันเป็นคอนเซปต์ที่น่าสนใจเลยอยากจะสอบถามอะไรเพิ่มเติมหน่อย”

   “เอาเข้าจริงคือพวกเราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหนครับ” เดือนตุลาตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ถ้าไม่เจาะจงว่าต้องคุยกับพี่ธรรมคนเดียว พวกเราน่าจะช่วยตอบคำถามได้แหละ”

   “ทำไมถึงมีกลุ่มนี้เกิดขึ้นเหรอ ผมหมายถึงมันดูเป็นเรื่องที่ล้ำเกินไปหน่อย” ชินไปแล้วล่ะกับชุดความคิดประมาณนี้ คืออย่าว่าแต่เด็กที่อื่นเลย เอาแค่นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเราถึงต้องมีนักศึกษามาตัดสินคดีด้วย

   “ถ้าให้ตอบตามจริงก็คือผู้ใหญ่เขาอยากให้มีครับ เขาว่ามันจะช่วยจำลองระบบการปกครองอย่างที่ควรจะเป็นขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ได้เวิร์กเท่าไหร่ล่ะนะ ตอนแรกจะให้ตุลาการจัดการเลือกตั้งด้วยซ้ำ”

   ไม่ได้ตอบแบบไปเรื่อย เดือนตุลาผู้ผ่านช่วงเวลาแห่งความสงสัยนั้นมาแล้วเคยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายการนักศึกษาที่ทำงานในส่วนนี้มานานเกี่ยวกับมัน และนี่คือคำตอบที่ได้รับกลับมา

   ยิ่งได้เห็นเอกสารเกี่ยวกับร่างระเบียบชุดแรกแล้วอยากจะเป็นลม ตอนนั้นน่ะอำนาจที่ให้ตุลาการมามีแค่การไกล่เกลี่ย ไม่ถึงขั้นอนุญาโตตุลาการเลยด้วยซ้ำ[1] แล้วถามจริงเถอะถ้าจะให้ทำแค่หว่านล้อมคนที่กำลังหัวเสีย แล้วไม่ให้อำนาจในการตัดสินมาจะสร้างองค์กรนี้ขึ้นมาทำไม

   ยังไม่รวมกับที่ตอนแรกจะให้จัดการเลือกตั้งของทั้งองค์การนักศึกษากับสภานักศึกษาด้วยนะ เอาแบบโง่ๆ คุยกันเลยกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการเลือกตั้งควรเป็นองค์กรอิสระไหม แค่คนดำเนินการเลือกตั้งยังไม่โปร่งใสใครมันจะอยากมาเลือก

   อ้อ ลืมไปว่าเลือกตั้งก็ไปก็เท่านั้น ไปสร้างระบบให้เอื้อต่อชัยชนะดีกว่า

   สุดยอดไปเลย

   “ก็เอาง่ายๆ อย่างที่เราเรียนมาตั้งแต่มัธยมแหละครับ เป็นหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่แบ่งอำนาจสามด้าน นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ถ้าเทียบแล้วที่นี่องค์การนักศึกษาก็เป็นนฝ่ายบริหารหรือว่ารัฐบาล นิติบัญญัติคือสภานักศึกษา แล้วสุดท้ายคือเราครับ”

   พอมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ใช้โครงสร้างเดียวกันในการบริหารมันก็เลยต้องอธิบายตั้งแต่แรก คือถ้าให้เปิดบทเรียนแบบเต็มเขาคิดว่าพ้นคืนนี้ก็ยังไม่ถึงไหน ไม่อยากไปแตะฝั่งสภามากด้วยเพราะระบบการทำงานภายในที่มีอยู่ในปัจจุบันมันก็ไม่ได้ตรงกับทฤษฎีสักเท่าไหร่

   เอาแค่ฝ่ายบริหารเองก็ยังปวดหัวจะแย่ ที่เราเรียนมาเมื่อเจอความเป็นจริงบอกได้เลยว่าคนละเรื่อง

   เขาเคยมีความคิดจะเสนอให้มีการแก้ไขกฎระเบียบยกเซต มาแบ่งเส้นเขตอำนาจหน้าที่และการทำงานให้เข้าใจตรงกันไปเลย ทำตัวแบบนี้แล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด เอาอย่างนั้นมาใส่อย่างนี้ แล้วพอโดนแย่งหน้าที่ก็ไปยุ่งกับงานฝ่ายอื่นต่ออีกชั้น

   “ส่วนถ้าให้เล่าตามความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้แบ่งการทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะว่าขนาดการบริหารระดับประเทศก็ยังบัดซบไม่แพ้กันเลย ประเทศบ้าอะไรปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ทุกคนไม่เสมอภาค งงไหม”

   เดือนตุลาปล่อยให้คนที่ทำงานมานานกว่าได้อธิบายตามลำดับไม่เข้าไปขัด แม้ว่าช่วงท้ายจะดูสุ่มเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ คือถ้าเอาตามหลักการแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งจริง ในเมื่อบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสิ่งที่ควรจะยึดมั่นสูงสุดคือกฎหมาย และประชาชนทุกคนต้องเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือไง

   มันเป็นกึ่งกลางระหว่างความเกลียดชังกับความเบื่อหน่าย เดือนตุลาลองพิจารณาแล้วนิยามตัวเองว่าเป็นชนชั้นกลางในสังคมนี้มาโดยตลอด จนบางครั้งเขาก็ยอมรับว่าตัวเองมองแต่จากมุมที่สูงกว่าบางคน และมันก็กลายเป็นความละเลยเพิกเฉยที่ไม่น่าให้อภัย

   สิ่งที่เขาคิดว่าปกติ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปกติ

   ความไม่รู้อันตราย

   หากตระหนักแล้วมันควรมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ปล่อยผ่าน

   “อันนี้ที่ผมสงสัยนะ ทำไมถึงต้องมีตุลาการด้วย” ไม่แปลกใจเลยที่โดนยิงคำถามประมาณนี้ คืออย่าว่าแต่คนข้างนอกเลยแค่ตัวเขาเองก็ยังคิดแบบเดียวกันตอนที่เข้าทำงานใหม่ๆ “เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิดคนที่อาวุโสที่สุดก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ปีสี่ใช่ไหมครับ มันไม่ได้ห่างกันมากมายเลยนะ”

   “มันไม่ใช่อยู่ที่อายุของพวกผมครับ” วิธีการอธิบายของพี่มัจฉ์เต็มไปด้วยความเอ็นดู “จะว่ายังไงดีล่ะ อย่างศาลยุติธรรมเองก็ไม่มีใครมานั่งจับผิดว่าผู้พิพากษาอายุเยอะหรือน้อยกว่าคู่ความใช่ไหม มันก็ไม่ต่างกันแหละ”

   ตั้งใจฟังวิธีการอธิบายของคนที่ได้ชื่อว่าเรียนเอกภาษาเยอรมันมาเข้าปีที่สี่ เขาผู้ซึ่งอยู่กับหลักวิชาการจากเฉพาะสายมานานไม่เคยตั้งคำถามว่าในสายตาของคนนอกแล้วการมีอยู่ของกฎหมายและผู้บังคับใช้เป็นเช่นไร เพราะในชีวิตประจำวันมักเจอแต่คนที่เอาแต่พูดยากๆ ในเชิงวิชาการที่สุดท้ายต่อยอดในชีวิตจริงไม่ได้เต็มไปหมด

   “พวกเราแค่เคารพกฎหมายว่ามันจะให้ความยุติธรรมได้”

   “แล้วคุณมั่นใจได้แค่ไหนว่ามันจะยุติธรรม?”

   ประทับใจกับการสวนกลับทันควัน มันแสดงว่าคนฟังมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งตั้งใจฟังไม่ได้เป็นการพยักหน้ามารยาทอย่างเดียว

   “นั่นก็เป็นหน้าที่ของตุลาการแล้วล่ะครับ”

   ตุลาการไม่ใช่คนที่สร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อตัดสินความถูกต้องในคดีนั้น เราเป็นเพียงผู้อารักขากฎหมายที่ต้องรักษาความยุติธรรมเอาไว้ เป็นตัวแทนของความเป็นกลางปราศจากอคติ

   และเป็นหัวใจให้กับตัวอักษรที่แสนแข็งกระด้าง

   ...อย่างนั้นเหรอ?
 


   หลังจากนั่งเป็นตัวประกอบฉากมามากกว่าสองชั่วโมง เขาก็ตัดสินใจว่ากลับห้องดีกว่า ตอนนี้พี่มัจน่ะคุยติดลมกับคนเดิมที่เข้ามาถามเรื่องตุลาการจนลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าตอนแรกเป็นคนสัญญาว่าจะอยู่กับเขาตลอดการกินเลี้ยงในครั้งนี้

   ชั่งใจว่าจะเดินไปบอกลาหรือว่าหายตัวไปเงียบๆ เลยดี กลัวว่าถ้าเขาเข้าไปแทรกตอนนี้มันจะทำให้บรรยากาศการพูดคุยเสียหรือเปล่า รวมถึงไม่แน่ใจว่าพี่มัจจะยอมให้เดินกลับเองหรือไม่

   การตัดสินใจครั้งสุดท้ายมาจบลงตรงที่ไม่บอกแล้วค่อยส่งแชตมาให้ตอนที่ถึงห้องแล้วดีกว่า เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและน่าจะไร้เรื่องปวดหัวตามหลัง พอคิดเช่นนั้นก็ได้เวลาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วสอดส่องหาลู่ทางเตรียมชิ่ง

   โชคดีตรงที่ไม่ได้หิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาให้เป็นที่สังเกตของใคร มันก็เหมือนกับว่าเขาแค่เดินออกไปเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็สูดอากาศข้างนอก หรือเอาตามที่เห็นคือสภาพแต่ละคนตอนนี้ก็ไม่ได้เต็มร้อยเท่าไหร่หรอก อย่าให้ใครเอารูปไปแฉเชียวนะว่าในนี้มีประธานกี่ชีวิต

   “กลับแล้วเหรอ”

   เดือนตุลาสะดุ้งโหยงยามสัมผัสแรงสะกิดตรงไหล่ “ครับ...”

   พี่ธรรมในชุดตามใจฉันเต็มยศเป็นอะไรที่เห็นจนชินแบบที่สามารถเดาได้เลยด้วยซ้ำว่าวันพรุ่งนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมาก แท่งนิโคตินในมือบอกว่าที่เดาไว้ตั้งแต่แรกมันไม่ได้ผิดไปจากนั้นเท่าไหร่ ห่างออกไปแค่นิดเดียวก็เป็นพื้นที่สูบบุหรี่ด้วย

   “ยังไง เดิน?”

   “ครับ มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น” เอาแบบทอดน่องเรื่อยเปื่อยมองดินฟ้าอากาศก็ไม่น่าจะเกินสิบนาที อาจจะน่ากลัวตรงทางข้ามสะพานลอยนิดหน่อยเท่านั้นเอง “แป๊บเดียวเองครับ”

   มองปลายนิ้วคีบบุหรี่จรดลงกับริมฝีปากเชื่องช้า อากัปกิริยาการสูดเอาสารพิษเข้าไปก่อนปล่อยควันสีเทาหม่นออกมาสวยงามราวกับจัดแจงท่วงท่าเอาไว้แล้ว เห็นช่วงหนึ่งเปลี่ยนไปสูบแบบไฟฟ้าแล้วไหงกลับมาตายรังกับแบบเดิมกันนะ

   “ขอหมดมวน”

   “ครับ?”

   “หมดมวนแล้วเดี๋ยวไปด้วย”

   ไปต่อไม่ถูก และเขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำหน้าประหลาดอยู่แน่

   “พี่ธรรมไม่เข้าไปคุยกับคนอื่นเหรอครับ พี่มัจก็อยู่ข้างในนะ”

   “ถ้าอยากคุยคงไม่มาสูบบุหรี่ตรงนี้”

   “นั่นน่ะสิครับ”

   นึกบทสนทนาต่อยอดไม่ได้แล้วเลยเงียบดีกว่า เพื่อไม่ให้เป็นที่รบกวนของลูกค้าที่เดินเข้าออกก็เลยต้องย้อนกลับมาบริเวณพื้นที่สูบบุหรี่ที่กั้นขึ้นมาพอเป็นพิธี ตุลไม่ได้ซีเรียสเรื่องบุหรี่มือสองหรือว่ามะเร็งปอดอยู่แล้วเพราะเขาน่ะชินกับกลิ่นนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว

   แบล็ก เดวิล วานิลลา

   รสนิยมเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้จริงนั่นแหละ ตั้งแต่รู้จักกับพี่ธรรมเขาก็ได้เปิดโลกเกี่ยวกับสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปากกา บุหรี่ หรือแม้แต่หนังสือที่อ่าน เขาก็ไม่เคยเจอใครที่โทรไปถามสำนักพิมพ์ว่าหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยนั้นเอามาจากต้นฉบับภาษารัสเซียหรือว่าภาษาอังกฤษเหมือนกัน

   “ไหนพี่ธรรมบอกว่าหมดมวน”

   “ก็หมดมวนไง”

   “นี่พี่เพิ่งจุดใหม่ไปนะครับ”

   “ก็ไม่ได้บอกว่าหมดมวนนั้นนี่”

   เหนื่อยจะสู้รบตบมือแล้วจริง เขาหันหน้าออกไปมองส่วนหน้าร้านที่ยังมีร่องรอยของความคึกคักกระจายตัวอยู่ทั่วไป เดือนตุลาไม่ค่อยข้ามมาฝั่งนี้จากนิสัยส่วนตัวและกลุ่มคนที่คบหา มันก็เลยเป็นภาพที่ไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก

   ส่วนอีกคนน่ะเขาคิดว่าน่าจะช่ำชองไม่น้อย กลุ่มคนป่าของพี่ธรรมเป็นที่รู้จักกันดีในนามของขี้เหล้านิติ ไปร้านไหนก็เมาเละ ยังไม่รวมกับปาร์ตี้ล่าสุดที่บ้านของหนึ่งในนั้น ภาพกองขวดแก้วหลากสีสันว่างเปล่าที่วางเรียงต่อกันจนเต็มพื้นที่บนโต๊ะนั่นเรียกคอมเมนต์ได้มหาศาลเลยล่ะ

   “ข้างในคุยอะไรบ้าง”

   จะเข้าข้างตัวเองว่าหาเรื่องคุยก็ไม่กล้า เรื่องข้างในมันก็งานด้วยล่ะนะ “ส่วนมากผมไม่ได้คุยครับ แต่ก่อนออกมาพี่มัจคุยกับคนอื่นเรื่องตุลาการอยู่”

   “แล้วเป็นไง เขาคิดว่าตุลาการต้องติดไวนิลที่มีหน้าตัวเองไว้รอบมหาวิทยาลัยหรือเปล่า”

   ขำพรืดแบบไม่กั๊กทีท่า ถึงเห็นอย่างนี้พี่ธรรมก็ช่างค่อนขอดพอกัน “ปล่อยให้พี่ต้นหลิวทำอย่างนั้นไปคนเดียวเถอะครับ”

   “ประชุมจันทร์หน้าใช่ไหม?”

   “อย่าถามอะไรที่จำแม่นอยู่แล้วได้ไหมล่ะครับ” คิดเหรอว่าสัทธาจะลืมเรื่องพวกนี้ ไม่มีทาง “จะว่าไปพี่ธรรมได้ยินเรื่องที่เขาจะล็อบบี้ไหมครับ”

   “ล็อบบี้?”

   “ที่ว่าพี่ต้นหลิวจะล่อให้บางคนไม่เข้าประชุม องค์คณะจะได้ไม่ครบ”

   ได้ยินครั้งแรกจากปลายเจตน์ยังต้องขอทวนซ้ำ คนเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะหรอกในเมื่อเพื่อนคนเดียวก็เป็นหูเป็นตาแทนสิบคน แล้วความน่ากลัวคือเรื่องที่เล่าน่ะเชื่อถือได้ไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ จบไปไม่ต้องทำงานกฎหมายหรอก ไปเป็นนักขายข้อมูลน่าจะรุ่ง

   “โคตรโง่”

   เสียงแค่นหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยรอยหยามเหยียด

   “ก็ฟังหูไว้หูแหละครับ” คิดเอาไว้ว่าพี่ธรรมน่ะน่าจะรู้เรื่องอยู่แล้ว คือถ้าไม่รู้เองพี่มัจก็ต้องมาบอกอยู่ดี จะว่าไปแล้วถ้าลองให้เจอกับปลายเจตน์น่าจะเป็นการรวมตัวกันที่น่ากลัวอยู่นะ

   มันก็มีอีกวิธีที่จะยื้อการพิจารณาคือไม่ปรากฏตัว ประมาณว่าเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่ยอมรับการตัดสินใดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ทำอย่างนั้นมันก็จะทำให้เสียเครดิตในระยะยาว สู้เอาไปบอกคนอื่นว่าที่ข้อพิพาทไม่ได้รับการตัดสินเพราะว่าปัญหาจากทางตุลาการเองดีกว่าเยอะ

   “เป็นนักกฎหมายไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่เอากฎหมายมาสู้ล่ะ”

   มองแสงไฟสีส้มสลัวที่ปรากฏตัวตามการทำงานของปฏิกิริยาเคมีแทนที่จะเป็นช่วงใบหน้า แท่งบุหรี่ที่เหลือไม่ถึงครึ่งพาความย้อนแย้งบางอย่างเข้ามาหา ใจหนึ่งก็อยากให้มันหมดโดยไวจะได้ออกจากกลุ่มควันพิษนี้สักที แต่อีกใจก็อยากจะยื้อมันเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับความใกล้ชิดนี้

   ครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ใกล้แบบไม่มีเรื่องงานเข้ามาคือเมื่อไหร่นะ

   ตั้งแต่ก่อนที่พี่เขาเลือกเดินจากไปหรือเปล่า

   “ขอโทษนะ มีไฟแช็กไหม”

   เป็นประโยคที่ไม่แปลกหูหากยืนอยู่ตรงนี้ ที่น่าสงสัยจนขมวดคิ้วคือคนแปลกหน้าเจ้าของคำถามนั้นควรจะเห็นไหมว่าใครคาบบุหรี่อยู่

   “ไม่...”

   “เอาไป”

   ยังไม่ทันได้ปฏิเสธเสียงของบุคคลที่สามก็แทรกขึ้นมาก่อน ช่วงหน้าและนัยน์ตาของเดือนตุลามองตามไฟแช็กราคาถูกที่ซื้อได้ตามร้านชำลอยอยู่บนอากาศเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนตกลงพื้นข้างตัวของคนถาม ส่งยิ้มแหยไปให้คนที่ยังทำอะไรไม่ถูก

   “รีบจุดรีบคืน จะไปแล้ว”

   คนโชคร้ายกระวีกระวาดหยิบมันขึ้นมาจากพื้นแล้วกดให้เกิดประกายไฟ พอควันชุดแรกพ่นออกมาก็กุลีกุจรคืนให้เจ้าของไปทันที จากที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่รับแขกอยู่แล้วเจออย่างนี้เข้าไปอีกน่าจะเข็ด

   ช่วงหลังของประโยคบอกให้เขาก้มลงมองอดีตแท่งกระบอกที่ตอนนี้แบนราบบนพื้น เขม่นมองในความสลัวเพื่อพบว่ามันยังเหลือพื้นที่สีขาวอีกตั้งเยอะ ไหนคนที่บอกว่าหมดมวนค่อยกลับ

   “ไปเดือนสิบ กลับ”

   “อ่า...ครับ” ออกเดินไม่มีการให้สัญญาณแจ้งเตือน กลายเป็นเขาเองอีกที่ต้องทำตามโดยทันที

   “ทีหลังถ้าเจออะไรอย่างนี้อีกให้มีรีแอกชันไวหน่อย”

   แค่เดินตามให้ทันก็ยากแล้วนี่ยังเปิดประเด็นใหม่อีก เขาขอใช้สมาธิกับการก้าวเท้าวยาวก่อนได้ไหม

   “ครับ?”

   “เข้ามามุกนี้อะหาเรื่องคุยต่อทั้งนั้น”

   “อ้อ...” รับทราบหากไม่ได้คิดจะเก็บมาใส่ใจ คือว่าคนอย่างเขาน่ะนะแค่เข้ามาคุยงานเพื่อนบางคนยังต้องฝากปลายเจตน์มาเลย นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้า “แต่ปกติแล้วผมก็ตัดบทนะครับ”

   “นั่นแหละ เผื่อไว้”

   “น่าแต่น้อยใจนะครับ ไหนบอกว่าจะปกป้องผมไง”

   “เมื่อกี้ก็ทำอยู่นะ”

   “...”

   จะว่าจะเป็นฝ่ายปั่นหัวเสียบ้าง ไหงกลายเป็นตัวเองโดนคำอธิบายง่ายๆ นั้นโจมตีคืนแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วน็อกเอาท์ไปเสียได้
ไม่อยากนิสัยเสียแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอยากให้ทางเดินนี้มันทอดยาวต่อไป ในขณะเดียวกันก็หัวเสียนิดหน่อยยามพบว่าต่อให้เร่งฝีเท้าขึ้นแค่ไหนมันก็ยังไม่เฉียดใกล้สักที

   ไม่สิ

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยไล่ตามผู้ชายคนนี้ทันอยู่แล้วนี่นา

   จะต้องผ่านหอพักอีกสองตึกก็จะถึงจุดหมาย ช่วงเวลาเกือบห้าทุ่มยังดูครึกครื้นผิดจากภาพจำว่ามันควรจะเงียบเหงาสมกับเป็นเวลาเข้านอน นี่เขาใช้ชีวิตช่วงกลางคืนไปกับการอ่านหนังสือมากเกินไปหน่อยเหรอ

   “ผมแวะซื้อน้ำเต้าหู้แป๊บนะครับ”

   ในเสี้ยววินาทีก่อนจะเข้าเขตหอพักของตน เขาก็ตัดสินใจที่จะยื้อการใช้เวลาร่วมกันไปอีกหน่อย ร้านเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นอะไรที่ตุลแวะเข้ามาเพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่ย้ายมาพักอาศัยที่นี่ทั้งที่มันตั้งอยู่ห่างจากเขตที่พักไม่ถึงยี่สิบก้าวดี และนี่จะเป็นครั้งที่สอง

   ไล่มองตามเมนูที่มีตัวเลือกละลานตา จนมาจบตรงที่ว่าสั่งแบบคลาสสิกน่าจะง่ายที่สุด คำสั่งว่าขอแบบลดความหวานสองถุงคือสิ่งสุดท้ายก่อนก้มลงหยิบเงินในกระเป๋า

   “พี่ธรรมช่วยถือให้หน่อยได้ไหม”

   ภูมิใจเหลือเกินที่สามารถเอ่ยคำขอออกไปได้ อาจดูเป็นพวกรักโลกไม่รู้จักเวลาที่เขาเลือกปฏิเสธถุงพลาสติกแล้วใช้วิธีการถือบริเวณเหนือหนังยางรัดแทน ก็พอคิดว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องพักแล้วมันก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้ถุงอีกใบเลยนี่นา

   “อร่อยเหรอ”

   “ต้องลองก่อนถึงบอกได้ครับ”

   ได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับหอจริงจังเสียที ถ้าให้พวกเมื่อเช้ามาเห็นพี่ธรรมในสภาพมือข้างหนึ่งถือปากถุงน้ำเต้าหู้เอาไว้ส่วนอีกมือก็เต็มไปด้วยของจำเป็นอย่างโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และซองบุหรี่แล้วจะต้องหมดความน่าเกรงขามแน่

   “ก็ว่า ไม่เห็นเคยชอบน้ำพวกนี้”

   “จำได้เหรอครับ”

   “คนที่ทั้งปีทั้งชาติกินแต่น้ำเปล่าน่ะเดือนสิบ” อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง “ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวเดินกลับไปแวะหาอะไรกินก่อนกลับห้องก็ได้”

   เบื่อตัวเองเหลือเกินที่ได้ยินประโยคที่เหมือนกำลังเแสดงความใส่ใจเป็นพิเศษแค่นั้นก็รู้สึกพองฟูอยู่ในอก จนสามารถหักลบกับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานทั้งหมดที่คนตรงหน้าเคยมอบให้มามากกว่าหนึ่งปีกว่าได้จนหมด

   ไม่เคยเข็ดเหมือนอย่างที่ปลายเจตน์บอกจริง

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “กินเวลานี้ไม่อ้วนหรอกน่า”

   “พี่ธรรม”

   “ว่า”

   “พี่ไม่ต้องกังวลนะ”

   แม้มันจะไม่มีความโรแมนติกสักนิด เดือนตุลาก็ชอบจังหวะที่อีกคนชะงักค้างไปเพราะการเปลี่ยนหัวข้อเรื่องจนตัวเองสามารถก้าวเท้ายาวไล่ตามทัน

   ยิ้มออกได้ยามภาพที่เขาเห็นไม่ใช่แผ่นหลังแต่เป็นเสี้ยวหน้าด้านข้าง

   “ผมก็ยังรักแค่พี่อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”


***
   [1] อนุญาโตตุลาการจะมีอำนาจตัดสินคดีความได้ในกรณีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยินยอมผูกพันในผลการตัดสินนั้น
   #มิอาจก้าวล่วง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 21:01:14 โดย 23August »

ออฟไลน์ Ironmanwife

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮืออออ น้องตุลลูกกก ทำไมเราถึงเจ็บปวดกับประโยคบอกรักของเดือนตุลา เราชอบในความเป็นน้องมากๆเลย ชอบในความซื่อตรงกับหัวใจของตัวเอง ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดอะไรมา หรือเจอความเย็นชา ใจร้ายจากคุณสัทธามากแค่ไหน แต่น้องยังคงเด็ดเดี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง อยากกอดเหลือเกิน น้องตุล

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ทำไมเราอ่านแล้วยิ้มก็ไม่รู้รู้สึกน้ำเต้าหู้มันหวานนน..อยากรู้จังกลิ่นบุหรี่กลิ่นนี้เป็นอย่างไรเพราะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้อนตุลลลล  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น้องซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองดีจัง  :hao5:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบสาม


   “ปกติน้องตุลดูดวงไหม”

   “ไม่นะครับ”

   “โอเค งั้นเย็นนี้ไปกับพี่นะ”

   “...”

   มันอาจจะเป็นผลพวงจากการเป็นเด็กห้องพิเศษวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น เข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ตอนมัธยมปลาย และเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์มาก่อน เขาเลยไปด้วยกันไม่ค่อยได้กับศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างพวกโหราศาสตร์และการทำนาย

   มันก็เลยเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อยามที่ต้องมานั่งรอดูดวงอย่างนี้

   เหลือบมองคนนั่งถัดไปทางด้านขวาที่ยังกดโทรศัพท์ไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความหัวเสียทั้งปวง มีอย่างที่ไหนมัดมือชกแบบที่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าสุดท้ายแล้วตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

   ยอมรับมาตั้งนานแล้วว่าตัวเองไม่ใช่สายแฮงก์เอาท์กับเพื่อนร่วมรุ่นเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความเป็นเด็กซิ่วบวกเข้ากับบุคลิกส่วนตัว ที่ยังดีหน่อยก็คงเป็นถ้ามีใครชวนแล้วไม่ติดธุระอื่นก็ไปด้วยได้

   แล้วนี่เรียกว่าชวนได้ไหมนะ

   “ผมขอไปหาอะไรกินก่อนได้ไหมครับ”

   ตอนนี้เขากับพี่มัจกำลังนั่งอยู่บริเวณคอมมอนชั้นหนึ่งของหอพักที่ห่างจากตัวมหาวิทยาลัยเล็กน้อย ด้วยความที่พี่เขาบอกว่าเวลาที่นัดคือหกโมงมันเลยเหลือเวลาอีกเกือบยี่สิบนาทีให้เขาได้หลีกหนีออกไปจากตรงนี้ได้

   พี่มัจฉ์น่ะรักศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้นี้จนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ ในทุกต้นเดือนเขาจะได้รับภาพคำทำนายประจำเดือนจากพี่คนนี้จนเป็นกิจวัตร หรือถ้าเป็นช่วงต้นปีก็จะมีการส่งตารางสีมงคลประจำปีมาให้เทียบกันจากหลายสำนัก หนักที่สุดคือเคยบังคับให้เขาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เพราะเป็นกาลกิณี

   ก็หน่ายแต่ตราบใดที่ความเชื่อพวกนี้ไม่ได้เดือดร้อนเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่าม

   “ได้ๆ แต่กลับมาให้ทันหกโมงนะ”

   ให้คำอนุญาตทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั่นแหละ เมื่อเป็นอิสระแล้วเขาก็ลุกออกจากตรงนั้นทันทีโดยมีเป้าหมายแรกคือเดินไปยังส่วนขายอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะมีร้านไก่ทอดอร่อยอยู่ จะได้ไปลองสักที

   ถ้าให้แบ่งเป็นสัดส่วนเดือนตุลาใช้ชีวิตประมาณสามส่วนไปกับปลายเจตน์ในห้องเรียน สองส่วนกับพี่มัจ (แบบที่เขาไม่ได้เต็มใจขนาดนั้น) แล้วก็อีกห้าส่วนกับตัวเอง เคยถามหลายรอบแล้วล่ะว่าเกิดถูกชะตาอะไรกับเขาถึงทำตัวติดแจ แต่พี่เขาก็ชอบอมยิ้มไม่ยอมตอบอย่างเดียวเลย

   พอเป็นอาคารพักอาศัยที่พ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยออกมาหน่อยมันก็มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับพักผ่อน ตุลหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมในสุด ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบกายที่แตกต่างจากกิจวัตรปกติตุนเอาไว้ก่อนที่จะต้องกลับไปเจอความวุ่นวาย

   อีกสองวันจะถึงการพิจารณาของพี่ต้นหลิว อีกห้าวันเป็นการเลือกตั้งสภานักศึกษา แล้วสัปดาห์หน้าก็เป็นการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายภายในรอบไฟนอลก่อนจะเจอกับมหาวิทยาลัยอื่น

   เนื้อหอมยิ่งกว่าใคร

   ใจหนึ่งก็ยังกังวลเรื่องที่ได้ยินมาเกี่ยวกับการล็อบบี้ อีกใจก็ปลอบว่าคนอย่างสัทธากับมัจฉ์ไม่ยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแน่ คนคิดมากอย่างเขาก็เลยทำได้แค่รอดูต่อไป

   ทำเป็นมองนกชมไม้และคิดไปไกลถึงขั้นว่าหรือคิดเรื่องย้ายหอหลังจบปีการศึกษานี้ดี ที่อยู่ปัจจุบันของเขามันมีความสะดวกในเรื่องการเดินไปยังตึกเรียนไม่ต้องสงสัย หากเต็มไปด้วยนักศึกษาเดินขวักไขว่ไม่มีความเงียบสงบเท่าที่ควร

   และเหตุผลสำคัญคือพี่ธรรมเรียนจบปีนี้

   เวลาเกือบยี่สิบนาทีผ่านไปไว้กว่าที่คิด นิสัยตรงต่อเวลากำลังออกคำสั่งให้เขาเคลื่อนร่างเกือบไร้วิญญาณออกจากตรงนี้กลับไปหาพี่ปีสี่เจ้าปัญหาได้แล้ว

   “น้องตุลว่าพี่ซื้ออะไรไปถวายให้ธรรมดี”

   เมื่อไหร่พี่มัจจะเลิกตั้งหัวข้อสนทนาแบบแรนดอมสักที “บุหรี่สักซองก็พอ”

   “หมายถึงอาหารเย็นสิ”

   “พี่เขาไปหาทานเองน่าจะเร็วกว่าไหมครับ”

   ด้วยตารางชีวิตที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก เดือนตุลาจะได้เจอพี่ธรรมแค่วันที่มีการประชุมตุลาการหรือไม่ก็บังเอิญเจอที่ห้องทำงานนับครั้งได้ นอกจากนั้นแล้วเรียกได้ว่าการเรียนคณะเดียวกันก็ทำให้เขาได้ใช้เครื่องปรับอากาศตัวเดียวกันเท่านั้นแหละ ไม่ต้องพูดถึงเวลาหลับหอเลย

   ผิดจากรุ่นพี่คนนี้ที่ขยันโผล่หน้ามาให้เจอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจอกันต่อหน้าหรือว่าในแชตก็ตาม

   “มันอ่านเตรียมแข่งไง แทบจะขังตัวเองอยู่ในห้องประชุมเล็กแล้วมั้ง”

   “สั่งแกร็บสิครับ”

   “ก็สั่งพี่มันไม่ต้องเสียค่าส่งนี่นา”

   พอถึงจุดหนึ่งเดือนตุลาก็จะเลิกเถียง คือมันก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการย้ายสำมะโนกรประชาชนมาอยู่กินที่ห้องประชุมชั้นสี่แหละ หนึ่งในห้องที่เหลือของตุลาการนักศึกษาถูกครอบครองปรปักษ ์โดยผู้ชายสองคนที่มีอำนาจรวมกันมากกว่าคนครึ่งมหาวิทยาลัย

   กระดาษไวต์บอร์ดเต็มไปด้วยร่องรอยปากกาเมจิก คีย์เวิร์ดสำคัญในกฎหมายหมวดต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วจนน่าจะมีแค่คนเขียนเท่านั้นที่เข้าใจ จากที่จะเข้าไปเตือนเรื่องให้รักษาความสะอาดก็ปิดประตูเงียบๆ แล้วให้พวกพี่เขาตั้งสมาธิอ่านหนังสือกันต่อไปดีกว่า

   ในเสี้ยววินาทีหนึ่งใบหน้ายิ้มแย้มของพี่มัจฉ์ถูกทาบทับด้วยประธานหลังม่านอย่างพี่ฟีน พอคิดว่าคนอย่างนั้นกำลังอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตายเพื่อเอาชนะคนตัวเล็กข้างเขาแล้วมันก็ตลกดี ไว้ลองไปถามปลายเจตน์ดีกว่าว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนี้บ้าง

   “เอาแค่ข้าวหมูกรอบตรงฝั่งตรงข้ามก็ได้มั้งครับ พี่ธรรมชอบอยู่”

   “แต่ถ้าขับไปแล้วมันจะเลยประตูใหญ่น่ะสิ พี่ขี้เกียจไปวนรถอีกรอบ”

   “งั้นระหว่างที่พี่มัจดูดวง เดี๋ยวผมเดินไปให้ก็ได้” หวังว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ไม่ได้ดูเหมือนหาเรื่องหนีออกไปจากตรงนี้ “แล้วไหนบอกว่าหกโมงไงครับ”

   “เมื่อกี้เขาโทรมาบอกว่ารถติดอะ น่าจะอีกพักนึง” เขาไม่เคยเชื่อคำว่าอีกสักพักเลยให้ตาย ไม่เคยน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงสักราย “เอาจริงพี่มีคนที่อยากลองดูดวงด้วยมากเลยนะ พ่อพี่เคยไปหารอบหนึ่งแต่ตอนนั้นพี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด นี่ติดต่อกี่รอบก็ไม่ได้ล่ะ”

   ฟังเรื่องเล่าหากไม่เอาเก็บมาใส่ใจ คิดว่าเป็นการแสดงน้ำใจกับรุ่นพี่ที่ดีกับเขามาเสมอ

   ‘นักทำนาย’ ของพี่มัจเป็นผู้หญิงอายุราวสามสิบ ผิวเข้มเข้ากับเสื้อผ้าสไตล์บาติกสีสันสดใส ผมหยิกยาวมัดรวบเป็นหางม้า จะบอกว่าไม่เป็นอย่างที่จินตนาการเอาไว้ล่วงหน้าก็พูดไม่เต็มปาก คนร่วมห้องสมัยมัธยมของเขาคนหนึ่งถ้ามองจากรูปลักษณ์แล้วไม่มีทางเชื่อว่าเลี้ยงกุมารสิบสามองค์

   เดือนตุลามองเธอจัดแจงวางอุปกรณ์ในการทำนายไพ่ทาโร่ลงบนโต๊ะทีละชิ้น ตั้งแต่ผ้ากำมะหยี่ผืนใหญ่สีแดงสด แก้วใสที่เหมือนจะเอามาว่าเป็นของประกอบฉาก และอย่างสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือไพ่นึงสำรับ

   เริ่มจากการให้ตั้งสมาธิแล้วตัดไพ่ตามใจ จากนั้นก็คลี่แผ่นกระดาษแข็งประดับลวดลายทั้งหมดให้เป็นครึ่งวงกลมสวยงาม ท่าทางและน้ำเสียงของพี่มัจเต็มไปด้วยความแน่วแน่จริงจังจนเขาไม่กล้าเอ่ยปากแซว

   “สำหรับเรื่องงาน คุณจะสับสนแล้วก็ลังเลอยู่เล็กน้อยในช่วงสองเดือนหลังจบ จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงที่มีความสำคัญกับคุณจะทำให้คุณตัดสินใจได้ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากเพราะไพ่ใบสุดท้ายบอกว่าไม่ว่าจะอย่างไรจะได้รับอิสระอย่างที่คุณต้องการแน่นอน”

   คนคนนี้ยังอยากได้อิสระอะไรอีก จ้องมองรูปวาดบนไพ่ทั้งสามใบแล้วขมวดคิ้วอยู่คนเดียว ตุลยังไม่เข้าใจเลยว่าการตีความหมายจากรูปแต่ละรูปมันทำได้อย่างไร ผิดกับพี่มัจที่พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจลูกเดียว

   “ส่วนเรื่องชีวิต ดวงของคุณเป็นดาวพึ่งตนเอง คือความสำเร็จทั้งหมดจะไม่ได้มีเรื่องดวงหนุนนำ จะเกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัติเท่านั้น แล้วคุณเป็นพวกที่บางครั้งก็ขวานผ่าซากไม่สนใจคนอื่นเท่าไหร่ อันนี้ต้องระวัง ส่วนใบสุดท้ายบอกว่าไม่ต้องเครียดเยอะ มีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณเสมออยู่แล้ว”

   มีจุดที่ถูกต้องอยู่นะ ไอ้ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนน่ะ

   “เงิน ไม่น่าห่วงเลย คุณเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีพร้อมและทุกคนก็พร้อมสนับสนุนให้คุณได้ทำอย่างที่ต้องการ ที่จะต้องระวังคือชอบใช้เงินไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเท่าไหร่นัก ช่วงกลางเดือนอาจมีโชคเรื่องเสี่ยงดวงด้วย”

   เพิ่งสังเกตว่าต่อให้อยู่กันมาเข้าปีที่สามเขาก็ไม่เคยรู้ประวัติเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย อย่างพี่ธรรมก็รู้ว่าเป็นลูกคนจีนอย่างแท้จริงอย่างที่เพื่อนกลุ่มพี่เขาชอบเอามาล้อ อย่างวันตรุษจีนเมื่อครั้งเขาอยู่ปีหนึ่งครั้งแรกบอกได้เลยว่าช็อกกับปริมาณผลไม้และของไหว้ที่พี่เขาเอามาแบ่งปันกับเหล่าคนป่า

   เหมือนว่าบ้านจะอยู่เยาวราชด้วยมั้ง ถ้าพี่มัจไม่หลอกเขานะ

   “ภาพรวมคือก็จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ดี อาจมีเรื่องที่ให้กังวลเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ต้องไปกังวลกับมันมากเพราะว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่อาจจะต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์กับคนที่รู้จักกันมานาน รู้จักแบบที่รู้ไส้รู้พุง ปีนี้มันจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่จะเป็นทางดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ไพ่มันบอกว่าเป็นไปได้ทั้งคู่”

   “โอเคครับ ส่วนเรื่องสุขภาพนี่ไม่มีอะไรน่าห่วงเนอะ ...น้องตุลอยากถามอะไรไหม”

   นั่งฟังเพลินๆ ก็โดนลากเข้าไปร่วมวงเฉย “อ่า...ไม่เป็นไรครับ”

   “ไม่จริงเหรอ ถามเรื่องความรักอะไรอย่างนี้ไง”

   ไม่เคยที่จะรักษาน้ำใจกันเลยนะคนเรา นี่พอดีว่าตรงนี้เป็นเขาคนที่ยอมรับและชินชากับสถานะไปแล้ว ไอ้การที่คิดว่ามาปั่นเพื่อให้นอตหลุดนี่อย่าหวัง

   สงสัยพี่มัจลืมไปแล้วว่าตอนที่ถามเดือนตุลาว่าชอบธรรมเหรอแล้วเขาตอบรับด้วยคำว่าครับคำเดียว

   “ไม่ครับ แล้วทำไมพี่มัจไม่ถามเรื่องความรักล่ะครับ” เพิ่งมาสะกิดใจก็ตอนที่มีคนเปิดประเด็น ถึงว่าทำไมรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป “เผื่อว่าปีนี้จะได้เจอคู่อะไรอย่างนี้”
   
   พูดไปเรื่อยตามสกิลที่ได้ศึกษามาจากคนรอบข้างหากไม่เคยมีโอกาสได้ใช้จริง ช่วงหลังนี่เขาก็ว่าตัวเองเริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนไม่กลัวที่จะสวนกลับไปโดยไม่กลัวเอฟเฟกที่จะตามมาแล้วล่ะ

  “เฮอะ ไม่ล่ะ ความรักของพี่พี่ต้องกำหนดเองสิ” ทิ้งการสนทนานั้นเอาไว้ด้วยประโยคปิดแสนเท่ พี่มัจคุยกับหมอดูอีกนิดหน่อยเรื่องวิธีการรักษาสุขภาพจากนั้นก็เปิดแอปธนาคารออนไลน์ขึ้นมาเพื่อโอนค่าบริการให้เสร็จสรรพ

   ประทับใจวิวัฒนาการของเทคโนโลยี

   “งั้นเราเดินข้ามฝั่งไปซื้อแล้วค่อยกลับมาเนอะ จะได้ไม่ต้องอ้อมรถหลายรอบ”

   นึกว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ จากที่วางแผนเอาไว้ว่าจะชิ่งหนีก็เลยกลายร่างเป็นมนุษย์ส่งอาหารชั่วคราวเสียอย่างนั้น เดือนตุลายืนเป็นตัวประกอบให้กับพี่มัจในการสั่งอาหารทั้งหมดคล่องแคล่วราวกับว่าทั้งสองคนมักจะสั่งเมนูนี้อยู่เป็นประจำจนท่องได้ขึ้นใจ

   “พี่มัจไม่เคยเจอหมอดูที่ทำนายไม่ตรงบ้างเหรอครับ”

   “ถ้าไม่แม่นพี่ก็ไม่ดูด้วยตั้งแต่แรกไง”

   มันก็จริงอย่างที่ว่า เก็บเอาไว้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้เรียนรู้

   “แล้วอย่างคนนี้เป็นยังไงครับ”

   “ก็ต้องรอดูก่อนแหละ แต่ว่าหลายอย่างก็แอบตรงอยู่ ...น้องตุลรับสายให้หน่อย”

   รับเครื่องมือสื่อสารขนาดใหญ่มาถือไว้เองทั้งที่ความคิดยังจดจ่ออยู่กับเรื่องการดูดวง การสั่นเตือนของมันน่ารำคาญจนเขาต้องอ่านชื่อที่บันทึกไว้ว่ามันมาจากใคร

   ชื่อจริง ชื่อเล่น ตามด้วยนามสกุลเป็นภาษาไทยคือการบันทึกที่น่าประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็น ส่ายหัวเอือมระอาให้กับนิสัยขี้แกล้งไม่ยอมจบสิ้น “ถ้าพี่ธรรมโกรธผมไม่ช่วยนะครับ”

   “มันโกรธก็อดตายอะ บอกแค่นี้”

   ถ้าอย่างนั้นเขาไม่สนใจอะไรแล้วนะ เดือนตุลาสไลด์ปุ่มไปทางขวาก่อนจะนำมาแนบหูไว้

   (สรุปมึงจะเข้ามากี่โมง กูกับฟีนจะแดกชีตแทนข้าวแล้ว)

   “กำลังรอเขาห่อครับ”

   (...เดือนสิบ?)

   ถ้าหูไม่ได้ฝาดหรือว่าโทรศัพท์ของพี่มัจมีปัญหา เมื่อกี้เขาได้ยินเสียงพี่ฟีนล้อเลียนชื่อเขาที่พี่ธรรมใช้เรียกด้วยล่ะ

   “ครับ พี่มัจให้รับสายให้”

   คำสบถหยาบคายเต็มไปด้วยความหัวเสียจากปลายสายส่งมาสองสามคำก่อนกลับมาเป็นปกติ (สรุปซื้อข้าวหมูกรอบใช่ไหม มันส่งมาบอกอย่างนั้น)

   “ใช่ครับ พี่ธรรมอยากได้อะไรเพิ่มไหม”

   (อยากกินอะไรก็สั่งเลย แล้วคิดรวมมา)

   ไม่ค่อยมั่นใจว่าที่ตอบมาเป็นเรื่องเดียวกับที่ถามไปและไม่สามารถทำใจให้ชินกับพี่ธรรมโหมดนี้ได้เลย คิดแล้วว่าเดี๋ยวไปซื้อพวกขนมกินเล่นเล็กน้อยเพิ่มดีกว่า ดูทรงแล้วคืนนี้พวกเขาก็คงใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่นค่อนคืนอีกแหง หรือว่าซื้อพวกเครื่องดื่มชูกำลังดี

   “สัปดาห์หน้าเลือกตั้งแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมพี่ฟีนดูไม่เครียดอะไรเลย” เปรยถามทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนใต้กำกับของพี่ฟีนในปีนี้นั่นแหละ “ยังเอาเวลามาอ่านหนังสือได้”

   “เครียดทำไมล่ะ” เสียงหัวเราะช่วงท้ายเจือไปด้วยรอยเอ็นดู รถยนต์เอสยูวีห้าประตูเคลื่อนตัวบนท้องถนนโดยไม่มีการเร่งเครื่องจนเกินกำหนด “เขาไม่ได้จริงจังกับสภาเบอร์นั้นอยู่แล้ว”

   “เห็นว่าปีนี้จะเอาระบบเลือกตั้งออนไลน์มาใช้ด้วยนี่ครับ”

   “ใช่ๆ คือพี่ก็ว่าสะดวกดีนะ แต่ข้อเสียก็เยอะอยู่ เรื่องแฮคระบบอะไรอย่างนี้”

   “ก็เอาเป็นว่าอย่าเอาเรื่องมาเข้าตุลาการอีกแล้วกันครับ” โคลงหัวให้กับหนึ่งในประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุด “ผมไม่อยากจะปวดหัวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกแล้วนะ”

   อันนี้ก็อยากจะถามมหาวิทยาลัยเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่กับการให้งบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับการหาเสียงเลยสักนิด จะบอกว่าต้องบริหารให้มีประสิทธิภาพคือบอกเลยว่าการพีอาร์แค่นั้นคงไม่มีใครรู้ว่ามีการเลือกตั้งอยู่ แล้วพอเงินที่ใช้ในงานโปรโมตไม่พอก็ต้องไปหาจากแหล่งอื่น จบลงด้วยการเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองระดับประเทศยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

   พอพรรคแรกเอาเรื่องเข้ามาฟ้อง พรรคที่สองก็ตามมา ตอนนั้นเขาอยากจะลาออกจากตำแหน่งให้รู้แล้วรู้รอด แถมไม่รู้ว่าไปดีลกันข้างหลังยังไงสุดท้ายถึงถอดคำฟ้องทั้งหมด

   “ปีนี้ไม่ปวดแน่ ถ้าโดนคือรวบทีเดียวหมด”

   “ที่พี่ฟีนบอกว่าปีนี้รับเงินแหล่งเดียวไม่ได้ล้อเล่นเหรอครับ”

   ช่วงไหล่ของพี่ปีสี่ยกขึ้นเล็กน้อย “ก็ไม่รู้สินะ”

   สมองตื้อไปชั่วขณะ คือจากที่ได้ยินในร้านวันนั้นแล้วเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องแต่งขำขันไม่ได้มีอะไรที่จริงจัง ยิ่งประกอบเข้ากับที่พี่ธรรมผสมโรงแล้วเขาปักใจเชื่อว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง

   “พวกเขาคิดว่าการทำอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไรเหรอ”

   “มีสิ การเมืองอยู่ทุกที่นั่นแหละ”

   “พี่ฟีนนี่เขาเป็นใครกันแน่เนี่ย”

   สำเนียงนั้นไม่ใช่แบบไทย แต่ก็ไม่ใช่แบบบริทิชหรืออเมริกันที่เราคุ้นเคย “An idiot”

   “อันนั้นไม่ใช่ว่าเราก็เป็นกันทุกคนเหรอครับ”

   “นั่นสิเนอะ”

   จับผิดมาได้สักพักแล้วว่าพอเป็นเรื่องของพี่ฟีนทีไรมันมักจะเป็นน้ำเสียงพิเศษที่เรียกไม่ถูกว่าเอ็นดูหรือว่ารังเกียจ แต่เอาเป็นว่าทั้งชีวิตนี้เดือนตุลาก็ยังไม่เคยใช้เสียงแบบนั้นกับใครเลยก็แล้วกัน

   เครื่องยนต์สี่ล้อหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารไม่ได้เลี้ยวเข้าไปจอดด้านในอย่างที่ควรจะเป็น เขาหันหน้ากลับมาเลิกคิ้วให้กับคนขับแทนคำถามว่าจะทำอะไรต่อ

   “ขี้เกียจไปเจอหน้าพวกมันแล้วอะ น้องตุลขึ้นไปให้หน่อยสิ”

   “...”

   “บอกว่าทั้งหมดร้อยห้าสิบ แล้วก็ค่าตัวน้องตุลอีกสองร้อย พี่กลับก่อนล่ะนะ”



   ให้ข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมถึงโดนทิ้งเอาไว้หน้าตึกในเวลาหนึ่งทุ่มกว่าเช่นนี้ เมื่อเขาไม่สามารถมองไฟท้ายรถได้ชัดเจนอีกแล้วถึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ปลงตกยามมองถุงแบบนำกลับมาใช้ซ้ำได้ในมือที่ร้องเตือนว่าเขายังมีงานที่ต้องทำอยู่

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นการจัดฉากให้เป็นอย่างที่พี่มัจฉ์ต้องการ คนนั้นน่ะมีความสุขจะตายเวลาที่ได้ทำอะไรอย่างนี้ ไม่เบื่อบ้างหรือไงที่ทำมาได้ตั้งแต่รู้จักกันปีแรกยันทุกวันนี้

   วันนี้ส่วนงานชั้นสองขององค์การนักศึกษายังคงคึกคักเช่นเดิน หลังจากนี้จะมีอีเวนต์ใหญ่ก่อนจะเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาค ฝ่ายบริหารก็มีอำนาจประมาณนี้แหละ แล้วก็จะเป็นการดูแลเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน พิทักษ์สิทธิของนักศึกษาทำนองนี้

   พอเหยียบชั้นสามคือความแตกต่างลิบลับ มันเงียบเหงาสมแล้วที่กำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ตามมารยาทแล้วในระหว่างเลือกตั้งสมาชิกของสภานักศึกษาทั้งหมดไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนไม่ควรจะเข้ามาใช้งานเนื่องด้วยอาจจะเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบได้

   จากทางเดินตรงยาวอันมีปลายทางเป็นห้องตุลาการนักศึกษามีเพียงห้องที่สองจากทางขวาที่เปิดไฟสว่าง เดือนตุลาเดินเข้าไปใกล้ด้วยจังหวะการก้าวที่สม่ำเสมอ คือตอนนี้เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์มาตื่นเต้นแล้วไง

   “มาแล้วครับ”

   “พระเจ้า ในที่สุด!”

   ท่าการผุดลุกขึ้นมาพร้อมตะครุบถุงในมือของเขาบ่งบอกว่าพี่ปีสี่น่าจะหิวโหยจริง จานชามและแก้วน้ำส่วนกลางของห้องตุลาการถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วบนโต๊ะติดริมหน้าต่าง อ่านหนังสือเยอะมันก็ใช้สมองเยอะล่ะนะ

   พี่ฟีนเป็นคนบริการทุกอย่างเสร็จสรรพในขณะที่คนร่วมทีมนั่งไขว่ห้างอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์ ไวต์บอร์ดที่เคยขาวสะอาดในวันนี้เพิ่มความสกปรกขึ้นไปอีกขั้นด้วยโพสต์อิทหลากหลายสีสัน อย่าให้รู้ว่าเบิกของส่วนกลางมาใช้ทำอะไรอย่างนี้นะ จะบ่นไปอีกสามวันเจ็ดวันเลย

   “ไม่มีของน้องตุลเหรอ”

   “แค่มาส่งแล้วจะกลับแล้วครับ”

   แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ตอนนี้เขาควรจะกลับถึงห้องแล้วด้วยซ้ำ

   “พี่มัจฝากบอกว่าค่าอาหารร้อยห้าสิบบาท ส่วนค่าส่งสองร้อยครับ” ไอ้ที่บอกว่าเป็นค่าตัวเขาน่ะฝันไปเถอะว่าจะบอก

   “โอเค”

   “ให้แม่งแค่ร้อยห้าสิบพอ ค่าส่งเหี้ยไรไม่ต้องให้”

   “ไม่ได้สิ”

   งงนิดหน่อยตรงคนที่ตอบรับแถมกดมือถือยิกๆ คือพี่ฟีนไม่ใช่คนที่โทรไปตามอาหารเย็น แถมยังไม่อิดออดเรื่องราคาหรือว่าต้องถามเรื่องเบอร์บัญชีหรือว่าเบอร์พร้อมเพย์

   หรือก่อนหน้าที่เขาไม่ใส่ใจจริงๆ นะถึงไม่สังเกตเห็นความสนิทชิดเชื้อนี้

   “ธรรม ชั้นนี้ไม่มีถ้วยเล็กเหรอ” จากการโต้เถียงกับพี่มัจหน้าร้านขนมหวานไทยเราได้ข้อสรุปว่าปลากริมไข่เต่ากับบัวลอยเผือกเป็นอะไรที่ลงตัวที่สุด “แล้วจะกินยังไง”
   
   “มีช้อนไหมล่ะ ก็ตักจากถุงนั่นแหละ”

   “ควายธรรม”

   “ไม่ใช้ชามก็ไม่ต้องล้าง ไม่ต้องล้างก็ไม่ต้องเปลืองทรัพยากรน้ำนะมึง”

   “เรื่องของมึง กูลงไปเอาจากข้างล่างก็ได้”

   อะไรจะต้องเตรียมพร้อมขนาดนั้นก็ไม่รู้ เด็กปีสองคนเดียวของห้องมองคนอยากกินขนมหวานใส่ชามเล็กเดินเลี้ยวออกจากห้องไปทางบันไดขึ้นลง หันกลับมาก็เจอกับพี่อีกคนที่ยังพิมพ์อะไรลงมือถืออยู่นั่น

   “กลับเลยได้นะ รู้ว่าไม่อยากอยู่นาน”

   “ห้องนี้โอเคกว่าห้องนั้นครับ ไม่เป็นไร”

   ตอบกลับง่ายๆ ไม่ได้โกหกเพื่อความสบายใจ คือเอาเข้าจริงพอเวลามันผ่านไปแล้วความทรงจำในวันนั้นมันก็เจือจางลงไปเล็กน้อย ทำนองว่าก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่หรอก ก็แค่ว่าเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่บนความใจร้ายต่อไปนี่แหละ

   ความเงียบที่น่าอึดอัดกระจายตัวอยู่รอบห้องทันทีที่จบประโยคนั้น เขาไม่ได้ปากพล่อยขนาดที่จะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็บอกตัวเองเอาไว้แล้วว่าถ้าในครั้งนี้มีโอกาสที่จะลงมือทำตามใจก็จงเต็มที่ อย่าปล่อยให้สิ่งเดียวที่ทำได้คือตั้งคำถามที่ไม่เคยมีใครให้คำตอบได้อีกเลย

   จมอยู่กับมันมาได้ตั้งนาน

   ถึงเวลาตะกายขึ้นมาเหนือน้ำแล้วนะ

   กลายเป็นว่ามีความสุขเสียอีกที่ได้เห็นพี่ธรรมเงียบผิดวิสัย ขยับร่างกายเตรียมตัวออกจากห้องเพื่อเดินทางกลับ อย่างไรเสียวันนี้พวกพี่เขาก็ยังต้องอ่านหนังสือต่อไม่ควรจะรบกวนไปมากกว่านี้

   “บอกดีกว่าไหมเดือนสิบ จะได้ไม่ต้องค้างคาอะไรกัน”

   มันไม่ใช่คำลาอย่างที่ควรจะเป็น

   ตุลจ้องมองผู้ชายตรงนั้นตาไม่กะพริบ ตอบกลับสั้นเพียงคำเดียวไม่ต่างจากความแน่วแน่ข้างใน

   “ไม่ครับ”

   ไม่เว้นช่องให้อีกฝ่ายได้เบี่ยงไปประเด็นอื่น “ต่อให้พี่จะพูดเรื่องนี้ซ้ำอีกรอบ ผมก็ยังจะบอกเหมือนเดิม”

   จนถึงวินาทีนี้เขาไม่เคยเสียใจกับทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อสัทธา

   “นายน่ะ...”

   เสียงเปิดประตูที่ดังจากด้านหลังเป็นระฆังบอกว่าหมดเวลา มันไม่สามารถมีบทสนทนาใดต่อจากนั้นได้อีกแล้ว เขาบอกลารุ่นพี่ทั้งสองคนนิดหน่อยโดยไม่ลืมแสร้งทำเป็นว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้มีความตึงเครียดเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน

   เปิดแอปพลิเคชันสำหรับการพูดคุยขึ้นมา ตั้งใจจะรายงานว่าได้ทำการส่งอาหารเรียบร้อย ช่วยเช็กว่ามียอดเงินเข้าหรือไม่ หากเมื่อหน้าจอหลักมีการอัปเดตเขากลับพบว่ามันมีข้อความจำนวนมากผิดปกติจากพี่มัจก่อนแล้ว

   เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ก่อน เขาเดินทอดน่องจนมาถึงจุดรอรถประจำทางที่ให้บริการฟรีภายในมหาวิทยาลัย พอได้ทรุดนั่งลงจึงเปิดเข้าไปดูว่าหัวข้ออะไรที่ทำให้พี่เขาส่งข้อความมาหาเยอะแยะเช่นนี้

   กลบหน้าหน่ายไม่ได้ยามพบว่าทั้งหมดนั้นมันคือข้อความทำนายที่มีการอธิบายเอาไว้ตรงบรรทัดแรกสุดว่าเป็นหมอดูทางโทรศัพท์ที่พี่มัจรับประกันความแม่น แล้วนี่เอาชื่อนามสกุลเขาไปให้คนอื่นทำนายไม่มีมาขอล่วงหน้าอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน

   ด้วยภาษาที่ใช้อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องยอมใจในความพยายามในการพิมพ์ใหม่ทั้งหมด มันเริ่มต้นด้วยภาพรวมของทั้งปีจากนั้นก็เป็นการเล่าสิ่งที่ควรระวังในแต่ละเดือน ที่เหมือนจะน่ากังวลคือช่วงครึ่งปีต่อจากนี้ที่เหมือนว่าชีวิตของเขาจะพบกับเรื่องนอกเหนือความคาดหมายที่ยากลำบากพอสมควร

   รวมไปถึงต้องระวังการตัดสินใจให้ดี คิดให้รอบคอบ ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างไปเพื่อที่จะได้อะไรที่สูงค่ากว่า คนรอบข้างพร้อมที่จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แล้วก็อีกสารพัดที่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นปีที่หนักของเดือนตุลาอยู่ไม่น้อยเชียวล่ะ

   เรื่องเงินไม่ค่อยน่าห่วง ก็ไม่มีอะไรที่มากไปกว่ามีรายได้กับรายจ่ายในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินขาดมือ

   บรรทัดสุดท้ายเกี่ยวกับความรัก

   “...”

   เสียงเครื่องยนต์เฉพาะชนิดดังใกล้เข้ามาทุกที เงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าเป็นสายการเดินรถที่ตนเองกำลังรอคอย เดือนตุลากดปุ่มล็อกหน้าจอรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียจังหวะการลุก แอบมองขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของตึกด้านหลังที่มีไฟเปิดสว่างเพียงแค่ห้องเดียว

   เงาของผู้ชายหนึ่งคนตรงกระจกบานใหญ่เรียกยิ้มเล็กมุมปากได้ไม่ยาก

   ก็นั่นแหละ

   เรื่องความรักต้องให้เราเป็นกำหนดเองสิ


***
   The truth always hurts
   #มิอาจก้าวล่วง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ panacea_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮั่นแน๊๊๊๊๊๊ มีความเรื่องความรักเราต้องเป็นคนกำหนดเองสิด้วย ละพี่มัจแอบมีซัมติงเปล่าเนี้ยย

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบสี่


   “พี่ธรรมว่าพรรคของพี่ฟีนจะได้สักกี่ที่นั่งเหรอครับ”

   “ไม่เกินเจ็ด สิบคือโคตรหรู”

   “ถ้าได้แค่นั้นมันจะทำอะไรได้ครับ ไม่ถึงกึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ”

   “เป็นประธานไม่ได้ แต่ว่าก็ต่อรองได้อยู่ ตัวเลขแค่นี้เหมาะที่จะเล่นตัวจะตายไป”

   เอียงคอกะพริบตาปริบกลับไป เดือนตุลามองครึ่งหน้าด้านซ้ายของรุ่นพี่ปีสองแล้วก็อดถามออกไปไม่ได้ตามประสาคนที่ยังไม่เข้าใจระบบมากนัก

   “เล่นตัว?”

   “ก็จะเป็นพวกเนื้อหอม พรรคไหนก็อยากได้ไปเป็นพวกไง”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

   เอาจากที่มองไม่เห็นจะเนื้อหอมตรงไหน ก็ถ้าสมมติว่ามีพรรคหนึ่งได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งขึ้นมาการมีตัวตนของพรรคพี่ฟีนก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ

   “เป็นได้ถึงขั้นนั้น แต่เอาจริงแล้วปีนี้มันก็แค่เช็กสนามมากกว่า ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่พรรคเดิมอย่างนี้หรอก” มองใบปลิวที่มีหน้าของหัวหน้าพรรคแจกยิ้มแสนเป็นมิตรแล้วก็ไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “ปีหน้าทำพรรคเองแน่ รอดูสิ”

   ผิวปากหวือให้กับสิ่งใหม่ที่เพิ่งรู้ นึกว่าเป็นแค่ชอบทำกิจกรรมไปตามประสา ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่ารุ่นพี่แสนใจดีที่เขารู้จักคนแรกในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังมีแผนการใหญ่ขนาดนั้น

   “พี่เขาจะไปเอาใครมาอยู่ครับ คนจากพรรคเดิมเหรอ”

   “คนใหม่ มันไม่เอาคนจากพรรคเดิมมาเป็นหนี้บุญคุณหรอก”

   ยังไม่เข้าใจดีนักแต่คิดว่าพอเดาออก “แล้วพี่เขาจะมาชวนพี่ธรรมไปอยู่ด้วยไหมครับ”

   “ถ้าให้ตำแหน่งประธานสภา พี่จะไป”

   “งั้นรอรับของตุลาการดีกว่าไหมครับ”

   จากวันนั้นที่ถูกดักเจอหน้าห้องเรียนเพื่อให้กรอกข้อมูลในใบสมัครและแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อเสร็จสรรพ จนมาถึงวันนี้เรียกได้ว่าเขาไม่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มา ประมาณว่าเป็นวันสต็อปเซอร์วิสที่แค่ยื่นบัตรนักศึกษาให้เจ้าหน้าที่หลังจากนั้นก็นั่งรออย่างเดียวพอ

   กะพริบตาครั้งเดียวก็ได้อยู่บนเก้าอี้แล้ว

   เอาจริงก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

   “ก็ว่าไปนั่น มีบางคนอยากได้ใจจะขาดนะ”

   นึกหน้ารุ่นพี่ปีสองคณะเดียวกับพี่ธรรมอีกคนแล้วก็หน่ายใจแปลกๆ การเจอกันครั้งแรกของเราคือการที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาว่า ‘เด็กของธรรม’ ด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนจนเกือบได้วางมวยกับพี่มัจที่อยู่ด้วยกัน คนนั้นก็ใจใหญ่เสียเหลือเกินทั้งที่ตัวเล็กกว่าใครเพื่อน

   จะเถียงกลับก็ทำไม่ได้เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ตอนแรกน่ะเขาเข้าใจว่าที่บอกให้ช่วยหน่อยคืองานเอกสารเล็กน้อย เพิ่งมารู้หลังจากที่ชื่อจริงและนามสกุลของตนไปปรากฏอยู่ในคำสั่งแต่งตั้งตุลาการนักศึกษาปีล่าสุดว่าตนเองนั้นเป็นเด็กปีหนึ่งคนเดียวจากองค์คณะทั้งเก้าคน และยังมีอีกหลายคนที่ต้องการตำแหน่งนี้หากติดเรื่องเงื่อนไขตามโควตาสายการเรียน

   จะว่าไปแล้วระบบโควตานี่มันส่งเสริมหรือว่ากัดกร่อนความยุติธรรมกัน

   “ผมไม่ชอบพี่ต้นหลิวเลยครับ” อาจไม่ถึงกับเป็นพวกพูดขวานผ่าซาก เขาก็แค่รู้สึกสบายใจที่จะเล่าความในใจให้พี่ปีสองคนนี้ฟังเท่านั้นเอง “ไม่เคยรู้จักมักจี่กันสักหน่อยทำไมถึงดูไม่ชอบผมได้ขนาดนี้”

   “ปล่อยมันไปเถอะ”

   “แล้วพี่มัจไม่เห็นมาดู ทำไมพี่ธรรมถึงต้องอยู่ล่ะครับ”

   “มันบอกว่าอยากได้กำลังใจ”

   “มาเอากำลังใจอะไรตอนนับคะแนน”

   หลายครั้งที่รุ่นพี่ที่แก่กว่าเขาหนึ่งปีทำตัวเหมือนเด็กกว่าเป็นสิบปี

   ยอมรับตามตรงเลยว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกันที่ต้องมาอยู่ในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกได้ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ จากชีวิตของเด็กปีหนึ่งที่ควรจะได้เรียนรู้สังคมใหม่เป็นขั้นตอนกลับกลายเป็นว่าเขาถูกอุ้มขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า

   ถามว่ารู้อะไรเกี่ยวกับองค์กรนี้บ้างก็บอกได้เลยว่าเป็นศูนย์ ก่อนการประชุมครั้งแรกเขาต้องมานั่งฟังเลคเชอร์จากพี่มัจฉ์อยู่ประมาณสามชั่วโมงเพื่อให้เข้าใจการทำงานในภาพรวม อำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมี รวมถึงสิทธิพิเศษที่ได้รับจากการอยู่ในตำแหน่งนี้

   ยังไม่ทันได้เข้าใจทะลุปรุโปร่งบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากการเลือกตั้งสภานักศึกษารุ่นถัดไป พอได้อยู่วงในก็เหมือนว่ามีโอกาสซึมซับมันมากกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเห็นพวกพี่เขาออกไปทักทายเหล่านักศึกษาตามส่วนกลางของตึกเรียนรวมหรือไม่ก็แหล่งพลุกพล่าน

   “ฟีนมันบ้า”

   “อันนั้นรู้อยู่แล้วครับ”

   “จริงๆ เดือนสิบกลับก่อนก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็อยู่หอเดียวกับพี่นี่นา กลับด้วยกันสบายใจกว่าเยอะ”

   วันนี้เป็นเวรเฝ้าห้องของเขา ซึ่งตามตารางแล้วมันจะหมดหน้าที่ในอีกราวๆ สามสิบนาทีข้างหน้า หากกิจวัตรที่แสนเงียบสงบในวันนี้กลับถูกทำลายยับเยินด้วยการนับคะแนนเสียงแบบเรียลไทม์บริเวณชั้นล่างสุดของตึก มันก็เริ่มการนับคะแนนแล้วล่ะแต่พี่ธรรมบอกว่าไม่ต้องรีบลงไปก็ได้

   อีกทั้งเขายังไม่เคยได้สัมผัสกิจกรรมอะไรอย่างนี้มาก่อนก็เลยอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างที่เคยเห็นในภาพยนตร์หรือไม่ เหมือนอย่างที่พี่มัจบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกอันแสนน้อยนิดในฐานะของประชาชนในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ

   อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

   อีกส่วนคือเขาอยากจะรู้ว่า ‘โลก’ ของสัทธาเป็นแบบไหน

   “จะลงไปดูไหมเลย ตอนนี้น่าจะคะแนนน่าจะเริ่มนิ่งแล้วล่ะ” เห็นจากที่โชว์ให้คือหน้าจอการอัปเดตจากบางคนบนเฟซบุ๊ก เป็นภาพถ่ายของกระดานนับคะแนนล่าสุด “เหมือนจะได้เก้าคน เยอะอยู่นะ”

   เดือนตุลารับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำงานของสภานักศึกษาคร่าวๆ จากคนที่เดินข้างกันเพื่อลงไปยังชั้นหนึ่ง มันค่อนข้างเป็นคอนเซปต์ที่เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับจุดที่เขากำลังยืนอยู่ ก็ของเขามันเป็นการแต่งตั้งนี่นา ไม่เห็นจะต้องไปหาเสียงเลย วันก่อนเจอพี่ฟีนที่โถงกลางเขาก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน

   จะว่าต้องลงทุนลงแรงก็ใช่อยู่ ถ้าเทียบแล้วเขาน่ะเป็นประเภทของคนที่ไม่มีความคิดจะใส่ใจเรื่องการเลือกตั้งมาตั้งแต่มีสิทธิครั้งแรก เวลาที่มีการลงคะแนนเสียงในโรงเรียนพวกนั้นก็ไม่เคยใส่ใจ เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้ใครขึ้นมานโยบายที่ประกาศปาวๆ ก็ไม่เคยทำได้อยู่ดี

   “จะว่าไปพี่ธรรมเลือกใครเหรอครับ” น่าจะต้องเลือกเพื่อนตัวเองอยู่แล้วล่ะนะ อย่างเดือนตุลาก็เลือกพรรคที่พี่ฟีนสังกัดเพราะได้รับสินบนมาเป็นทาร์ตเค้กผลไม้เจ้าโปรด

   ล้อเล่นนะเรื่องสินบน

   แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกนะ คิดว่าเด็กปีหนึ่งอย่างเขาจะรู้อะไรมากเกี่ยวกับการทำงานพวกนี้เหรอ มันก็เป็นการเลือกตามมารยาทที่บางครั้งก็ไปเกี่ยวข้องกับคะแนนกิจกรรมเท่านั้นแหละ นี่เพื่อนร่วมคณะของเขาหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำองค์การนี้มันมีไว้เพื่ออะไร หน้าที่และความรับผิดชอบมีแค่ไหน

   บางคนก็เลือกที่จะไม่มาลงคะแนนเลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

   เขาน่ะดีหน่อยที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ก็เลยมีโอกาสได้ฟังคำอธิบายการทำงานทั้งตามทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสา ส่วนตอนที่เลือกก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ารู้จักกับพี่ฟีนและถือเป็นคำขอบคุณที่เคยช่วยเขาเอาไว้

   “ไม่ลงคะแนนเสียง”

   “ไม่ลง?”

   “ไม่ลงคะแนนเสียงให้ใครทั้งนั้น” ความไม่เข้าใจคงแสดงออกชัดบนใบหน้า พี่ธรรมถึงได้อธิบายต่อ “เดือนสิบเคยได้ยินที่เขาบอกว่าคนพวกนี้คือตัวแทนของประชาชนไหม”

   นึกย้อนกลับไปว่าเคยเรียนเรื่องทำนองนี้ในชั้นมัธยมปลายหรือไม่ ก็คุ้นอยู่ว่าในช่วงสาธารณรัฐโรมันมีประชากรจำนวนเพิ่มขึ้นก็เลยต้องมีระบบผู้แทน (เซเนท) ขึ้นมาเพราะไม่สามารถให้ทุกคนลงคะแนนเสียงด้วยตัวเองอีกแล้ว

   “คิดว่าเคยนะครับ”

   “เคยแหละ ประเทศนี้ก็สอนประวัติศาสตร์ซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ลบบางส่วนออกไปแบบไม่ไยดีเหมือนกัน”

   “แล้วมันเกี่ยวกับที่พี่ธรรมไม่ลงคะแนนเสียงตรงไหน”

   “ก็เขาบอกว่าคนพวกนี้คือตัวแทนของเรา แต่พี่ไม่เชื่อว่าจะมีใครเป็นตัวแทนพี่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมันจะมีความปรารถนาแบบเดียวกันไปทั้งหมดได้ใช่ไหม ...ยกเว้นร่างโคลนของพี่นะ”

   ช่วงท้ายยังพยายามทำเป็นติดตลกได้อยู่นะคนเรา

   “แล้วพี่ฟีนไม่โกรธแย่เหรอครับ”

   “ช่างมันสิ นี่มันสิทธิของพี่”

   “นึกว่าจะเป็นแบบว่าเพื่อนกันก็ต้องเลือกซะอีก”

  “อย่างนั้นมันไม่ใช่ประชาธิปไตย”

   เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติยามถูกแทรกสอนที่จะเงียบลงไปถนัดตาแล้วคิดตาม นึกว่าอยู่ด้วยกันมาสักพักใหญ่แล้วจะเริ่มเข้าใจตัวตนของเด็กสายสังคมเหล่านี้มากขึ้นแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย สัทธาก็ยังมีชุดความคิดที่ทำให้ประหลาดใจได้เสมอ

   แอบรู้สึกแย่ที่ตัวเองลงคะแนนเสียงด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างนั้นเลย

   “เหลือแปดที่นั่งแฮะ”

   คุยเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้สนใจการลงคะแนน พอรอบข้างที่แสนจอแจหลงเหลือเพียงความเงียบผิดวิสัยนั่นแหละถึงพร้อมใจกันหันไปมองกระดาษน้ำตาลแผ่นใหญ่ที่ใช้จดคะแนน มันไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภา ซึ่งจะนำไปสู่สภาวะการแย่งชิงตำแหน่งประธานแน่นอน

   “น่าจะเนื้อหอมจริงอย่างที่พี่ธรรมบอกนะครับ” ลองบวกลบจำนวนที่แต่ละพรรคต้องการเพิ่มเพื่อการเป็นเสียงส่วนมากแล้วก็คิดว่าน่าสนุกดีเหมือนกัน “รู้สึกดีที่ไม่โดนพวกพี่หลอกมาทำอะไรอย่างนี้เฉยเลย”

   “บอกแล้วว่าได้แค่นี้ ไม่มีทางถึงเลขสองหลักหรอกธรรม”

   ยังไม่ทันได้วิเคราะห์สถานการณ์กันต่อบุคคลที่สามที่อยู่ในบทสนทนาของเราสองคนตั้งแต่แรกก็เดินอาดมาหายังส่วนหลังสุดของห้องด้วยท่าทีแสนสบายใจไม่มีความกังวลเลยสักนิด ผิดกับคนอื่นที่ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่สภาวะตึงเครียดเต็มรูปแบบ

   “มึงทำได้ แต่มึงไม่ทำไอ้สัตว์”

   การลอยหน้าลอยตาไม่แยแสกับสิ่งรอบข้างสร้างความสับสนข้างในความคิดของเดือนตุลาเต็มไปหมด คือตอนนี้พี่ฟีนควรจะสนใจเรื่องจุดยืนของพรรคมากกว่าไหม

   “กูต้องได้กลับคืนไปมากกว่าที่ลงแรง เรื่องอะไรจะให้คนอื่นชุบมือเปิบ”

   “ล่ะยังไงต่อ คนอื่นในพรรคอะ”

   “ไม่รู้ ช่างมัน กูเป็นฝ่ายค้านก็ได้ไม่ซี”

   “เนี่ย มึงก็อย่างนี้อะฟีน”

   “กูทำไมเหรอ” ยิ้มแสยะราวกับซาตานที่กำลังเย้ยหยันความโง่เง่าของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้เห็นจากทิชากร “โอ๊ะ สายแรกมาล่ะ”

   เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงเปิดตัวของนักมวยปล้ำคนหนึ่งที่กำลังเป็นสตาร์ระดับสูงในเวลานี้ ได้ยินครั้งแรกนี่คือนิ่งไปพักหนึ่งเลย พี่ฟีนจัดการลดเสียงมันลงจนเหลือเพียงระบบสั่นหากไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย

   “ไม่รับก็ตัดสายไป น่ารำคาญ”

   “ไม่ได้สิ นี่คือช่วงสนุกที่สุดเลยนะ”

   “ไปสนุกที่อื่น กูจะพาน้องกลับหอแล้ว”

   “ให้กูขับไปส่งไหม”

   “เฮอะ เชิญมึงไปต่อรองเก้าอี้กับคนอื่นให้สบายใจเถอะ ยังไงคืนนี้อีกยาวไม่ใช่เหรอ”

   ยืนเป็นตัวประกอบที่ไม่มีบทพูดอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ จับใจความได้ว่าต่อจากนี้จะเป็นช่วงของการเจรจาเพื่อรวบรวมจำนวนสมาชิกให้มากพอต่อการเป็นเสียงส่วนมากภายในสภานักศึกษา ซึ่งมันก็อาจจะมาในรูปแบบของการยื่นข้อเสนอเป็นตำแหน่งต่างๆ หรือไม่ก็การรับปากว่าจะมีการดำเนินงานในแนวทางที่ต้องการ

   ไม่จำเป็นที่จะต้องดีลให้เทไปทั้งพรรค เอาแค่จำนวนที่เพียงพอต่อสัดส่วนครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง

   “จำไว้นะน้องตุล อย่าเชื่อที่ใครบอกว่าคะแนนออกแล้วจะจบ” สะดุ้งโหยงยามถูกปลุกออกจากภวังค์ความคิดอันแสนปั่นป่วน เขามองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาของพี่ฟีนเพื่อพบเพียงความมืดสนิทของสีดำ “มันเริ่มต้นจากตรงนี้ต่างหาก”

   ราบเรียบ

   เย็นชา

   ไร้หัวใจ

   “การเมืองมันก็อย่างนี้แหละ”



   ภาพตรงหน้ามันไม่ต่างอะไรกับเดจาวู

   จังหวะการดำเนินเนื้อเรื่องที่เหมือนเดิมแตกต่างกันเพียงตัวละครบางตัวทำเอาเขาต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาว่ามันเป็นช่วงเวลาปัจจุบันไม่ใช่เมื่อสองปีก่อน

   สิบเก้ากับสามสิบสี่เป็นตัวเลขสี่หลักที่ปรากฎอยู่บนนั้น เขาเงยหน้าขึ้นไปมองกระดานแบบดิจิทัลที่รอโชว์คะแนนสุดท้ายภายหลังจากการรวบรวมทั้งหมด ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ว่าสำหรับการประกาศคะแนนจะมีขึ้นในเวลาสองทุ่มตรง

   การเลือกตั้งจบไปแล้วตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นการขนเครื่องเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดกลับมาเก็บไว้ที่ส่วนกลางและรอให้คณะทำงานรวบรวมคะแนนหลังระบบประมวลผลเรียบร้อยแล้ว

   บริเวณชั้นหนึ่งอันเป็นพื้นที่ส่วนกลางกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง มันดูวุ่นวายเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วเมื่อมีกลุ่มทำงานเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยเข้ามาจับจองพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับการรายงานสด คือเขาก็ชอบความพัฒนาของการทำงานอยู่หรอก ติดอยู่ตรงที่ว่ามันดูเกะกะจนมองข้างหน้าไม่เห็นเท่านั้นเอง

   ไม่ใช่เวรในการเฝ้าห้อง และความจริงแล้วมันยังมีรายงานวิชาประวัติศาสตร์รอให้เขากลับไปจัดการ ภาระงานทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความสำคัญกับเขาเลยเมื่อเทียบกับการประกาศผลในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้า

   ต่อให้ไม่อยากสนใจแต่คนที่ถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปแล้วอย่างเขาน่ะไม่สามารถทำใจเมินเฉยกับมันได้ตลอดรอดฝั่ง ผิดกับตุลาการปีสี่เอกเยอรมันที่ไม่แม้จะเฉียดเข้ามาย่างกรายบริเวณนี้ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวาน

   “แล้วธรรมล่ะ”

   เขาล่ะท้อแท้กับคำถามพวกนี้เหลือเกิน คือถ้ามาด้วยกันก็ต้องเห็นไหม

   “ไม่รู้ครับ”

   เคยเป็นเด็กปีหนึ่งที่ไม่ประสีประสากับการเลือกตั้งเหล่านี้ จากนั้นก็เป็นเด็กปีหนึ่งอีกครั้งที่ได้เห็นว่าการล้างอำนาจเก่าเป็นเช่นไร ส่วนครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สาม...ที่เขากำลังตั้งตารอว่ามันจะเป็นชัยชนะที่ถล่มทลายอย่างที่ประเมินเอาไว้หรือไม่

   อันที่จริงแล้วพี่ฟีนก็สอนเขาว่าถ้าจะให้พูดเต็มปากว่าชนะมันไม่ใช่เพียงแค่การได้เป็นเสียงข้างมากหรือว่าประธานเสมอไป แต่เป็นการสร้างความยำเกรงเหนือทุกคนต่างหาก

   มันก็เป็นเรื่องที่ยากกว่ากันเยอะเลยนะ

   “เหรอ แล้วต้นหลิวเป็นไงบ้าง ประชุมเรียบร้อยดี”

   “ไม่มาครับ เลยต้องเลื่อนการประชุมไปก่อน” พูดแล้วก็หัวเสียขึ้นมาอีกเลย ไม่อยากจะคุยเรื่องเกี่ยวกับท่านสัทธาก็เลยหาหัวข้ออื่นมาทดแทน “แล้วนี่คิดว่าเพิ่มจากปีที่แล้วกี่ที่นั่งดีครับ”

   ถ้าให้เทียบด้วยสายตา ปีที่แล้วมีความตึงเครียดกว่าเพราะชื่อของสัทธาที่อยู่ต่อจากทิชากรในบัญชีรายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เล่นเอาสองของแรงจากคณะนิติศาสตร์มาอยู่ด้วยกันเด็กในคณะให้ความสนใจเยอะนะ

   “น้อยกว่าอยู่แล้ว แต่น้อยกว่าแค่ไหนต้องรอดู”

   “อ้าว”

   “พี่ต้องได้คืนเท่าที่พี่เหนื่อย ใครไม่ช่วยพี่ก็ไม่สมควรได้อะไรไป”

   นี่ก็เดจาวูเหมือนกัน

   เด็ดขาดไม่ต่างอะไรกับคนที่บอกว่าเข้ามาอยู่องค์คณะตุลาการเพราะว่าอยากเล่นสนุก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ฟีนเปรยเรื่องทำนองนี้ให้เขาฟัง คือบางทีคำพูดคำจากของพี่เขาให้ความรู้สึกว่าเรียนสายบัญชีมากกว่าอีก

   ในฐานะคนที่เห็นการทำงานของพี่ฟีนมาตลอดเขากล้าพูดว่าผู้ชายคนนี้จริงจังกับการทำงานในระดับสูงมาก แต่ละนโยบายที่ออกมาประชาสัมพันธ์ต้องผ่านการสอบถามความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจการจากผู้เกี่ยวข้องมาก่อนแล้ว มันจะไม่มีการมานั่งเทียนบนอากาศเป็นอันขาด

   ข้อเสียของมันคือการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการได้จริง อีกมุมหนึ่งมันก็กลายเป็นข้อจำกัดในการทำงานไปโดยปริยาย อย่างบางโครงการที่เห็นผ่านตาของพรรคอื่นคือเขาแทบจะหลุดคำด่าออกมาตรงนั้น คือมันไม่ได้อยู่ในขอบอำนาจที่สภาจะทำได้ แล้วจะไปเสกมาจากไหนกัน

   ก็อย่างว่าล่ะนะ

   ใครใส่ใจบ้างว่านโยบายเป็นแบบไหน

   ใครใส่ใจบ้างว่านโยบายนั้นทำได้จริงหรือไม่

   ใครใส่ใจบ้างว่าคนเหล่านั้นเป็น ‘ผู้แทน’ เราได้จริงหรือเปล่า

   ทั้งหมดนั้นเดือนตุลาไม่เคยฉุกคิดขึ้นมาก่อน เรียนรู้และลองผิดลองถูกจนถึงวันที่กล้าบอกว่ามีประสบการณ์มากพอสมควร ก็เลยบอกตัวเองว่าก็เหมือนกับที่ไม่เคยมีใครสนใจการมีอยู่ของตุลาการไง

   ไม่เคยมีความคิดที่จะสนใจว่ามีใครอยู่ในพรรคบ้าง คิดไม่ออกด้วยว่าสภาพข้างในภายหลังจากที่พี่ฟีนจบไปแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน นั่นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอาการลอยตัวไม่ยี่หระกับผลของคะแนนที่กำลังออกมา สี่ปีของพี่เขาก็น่าจะกอบโกยและสร้างบารมีมามากอยู่

   “แล้วถ้าได้น้อยกว่าเดิมจะไม่เป็นปัญหาอะไรเหรอครับ”

   “ไม่นะ ก็เป็นฝ่านค้านไปสิ” ถ้ายังหัวเราะร่าอย่างนั้นได้ก็น่าจะไม่เครียดจริง “ถ้าจับทางได้หน่อย ขยี้พวกนั้นในที่ประชุมโคตรสนุกอะ”

   รู้สึกดีขึ้นมาเฉยเลยที่ไม่ต้องทำงานฝ่ายเดียวกัน แค่เอาตอนที่ถามคำถามอาจารย์ระหว่างการแข่งไปลองเทียบกับสถานการณ์ในห้องประชุมแล้วเขาก็ไม่อยากจะจินตนาการต่อแล้ว นี่ยังไม่รวมว่าปีที่แล้วพี่ฟีนมีพี่ธรรมเข้าไปช่วยเสริมทัพอีกแรงนะ

   “แต่ทำอย่างนั้นงานจะไม่เดินเหรอครับ”

   “พี่ก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะพาลไปทุกเรื่องไหมล่ะ” ขอค้านได้ไหมว่าพี่เขาน่ะเป็นเด็กน้อยของแท้เลยล่ะ “เรื่องไหนที่ควรสนับสนุนก็ทำ แต่อันไหนที่เห็นแล้วไม่ถูกตามหลักเราก็ต้องค้าน”

   “แล้วอย่างร่างระเบียบตัวนั้นอยู่ในหมวดไหนเหรอครับ”

   มันพาให้นึกย้อนไปถึงเรื่องที่ปลายเจตน์เคยเล่าว่าส่วนหนึ่งที่พี่ธรรมกลับมารับตำแหน่งประธานตุลาการเพราะว่าต้องการจะช่วยเพื่อนของตน ความร้ายของคนตรงหน้าน่ะมีมากจนเขาสะบัดความกังวลใจนั้นออกไปไม่ได้เลย

   “อันนั้นพี่ค้านสุดใจเลย”

   เราทั้งคู่พร้อมใจกันปิดปากเมื่อได้ยินเสียงซาวน์เช็กจากลำโพงติดตั้งที่กระจายตัวอยู่ตามมุมห้อง หน้าจอฉายโปรเจคเตอร์ขนาดพกพาด้านหน้าสุดของห้องฉายตราสัญลักษณ์ของสภานักศึกษาเคียงคู่กับตราของคณะกรรมการการเลือกตั้งแทนการบอกว่าเนื้อหาของการแถลงจะเกี่ยวข้องกับใคร

   แอบไม่พอใจกลุ่มกิจกรรมที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนักตรงที่พอเริ่มงานแล้วก็ไม่สนใจว่าการใช้เสียงมันจะรบกวนคนอื่นหรือไม่ เดือนตุลาขยับตัวเล็กน้อยไปทางที่พี่ฟีนยืนพิงกำแพงเอามือล้วงกระเป๋าสบายอารมณ์

   ชักอยากจะขอเคล็ดลับวิธีที่ทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นบ้าไปก่อน

   มันเป็นช่วงเวลาเกริ่นก่อนเปิดคะแนนที่แสนเยิ่นเย้อเกินความจำเป็น ยังทำใจให้ชินกับพิธีการล้านแปดพวกนี้ไม่ได้สักที จนแทบจะกลายเป็นว่าพอต้องอยู่กับอะไรพวกนี้นานเข้าระดับความอดทนข้างในก็ยิ่งน้อยลงไปทุกวัน เกือบจะหลุดทำหน้าหน่ายใส่ก็หลายรอบ

   ความตึงเครียดปกคลุมพื้นที่โดยพลันเมื่อเข้าช่วงของการประกาศผลคะแนน จากที่แต่ละพรรคยืนแยกกันเป็นกลุ่มก้อนตอนนี้มันเริ่มผสมกันจนไม่เห็นเส้นแบ่ง เดือนตุลาสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เพิ่มระดับความเร็วขึ้นโดยไม่ได้ร้องขอ มันบอกเขาว่าตอนนี้ทั้งร่างกายกำลังตื่นเต้นกับมันแค่ไหน

   ปีที่แล้วเขาเลือกที่จะหนีกลับห้องตั้งแต่บ่าย ปากบอกปลายเจตน์ว่ามันไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรอกแต่ว่ามือไม่ยอมหยุดอัปเดตผลคะแนนจากเพื่อนคนหนึ่งในเฟซบุ๊กเลย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งพี่ฟีนและพี่ธรรมต้องได้เก้าอี้อยู่แล้วมันก็ยังมีความขุ่นเคืองอยู่ข้างใน

   ตารางคะแนนที่รายงานทั้งคะแนนดิบและตัวเลขของเก้าอี้ที่ได้ภายหลังจากการเข้าสูตรคำนวณฉายขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของพรรคที่ได้เก้าอี้มากที่สุด เสียงเซ็งแซ่ของผู้เฝ้าสังเกตการณ์ และเสียงของคนข้างตัวที่ยังคงโทนปกติไม่แสดงออกถึงสิ่งใด

   “ก็ไม่แย่” สิ่งที่พี่ฟีนทำมีเพียงแค่การหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปที่ฉายอยู่บนโปรเจคเตอร์จากที่ไกลๆ เท่านั้นเอง “น่าจะคุยไม่ยาก”

   สิบห้าที่นั่งเป็นตัวเลขที่เรียกว่าเยอะก็ใช่ น้อยก็ไม่เชิง เพราะการที่จะได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภามันจะต้องได้ยี่สิบสามเสียงขึ้นไป ก็เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่งประธานขนาดนั้นก็รอเล่นตัวกับคนที่จะเข้ามาจีบ หรือไม่ก็เตรียมเป็นฝ่ายค้าน

   ส่วนปีที่แล้วพวกพี่เขาได้มาสิบเก้าที่นั่ง ไปดีลกับพรรคอื่นมายังไงก็ไม่รู้สุดท้ายแล้วได้เกินครึ่งหนึ่งก็เลยได้เป็นเสียงส่วนมากที่คุมทั้งตำแหน่งประธานสภาและประธานกรรมาธิการที่ใหญ่ที่สุด ที่เหลือก็เป็นการแบ่งกันแล้วแต่ตามตกลง

   จนตอนนี้ก็ยังไม่เคยเข้าใจว่าการมีตำแหน่งมันมีผลกับชีวิตแค่ไหน เหมือนการที่แต่งตั้งรองตำแหน่งประธานสภาเป็นจำนวนมากเพื่อให้หัวหน้าแต่ละพรรคไม่น้อยใจ ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดในเอกสารแต่งตั้งปีที่แล้วมีตำแหน่งรองประธานถึงคนที่สี่ มีแต่ทำอะไรไม่ได้น่ะสู้ไม่เอาเลยไม่ดีกว่าเหรอ

   “ถือว่าหายไปเยอะนะ ยังดีที่รู้ก่อน ช่วงท้ายเลยมีเวลาเร่งหาคะแนน”

   “...”

   เดือนตุลาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเรื่องเล่าที่เหมือนการรำพันกึ่งสารภาพอย่างนั้นจากปากของทิชากร

   แสร้งเก็บความตกใจนั้นเอาไว้ข้างในให้แนบเนียนที่สุด ไร้ประโยชน์ที่จะประดิษฐ์คำเพื่อตะล่อมถามในสิ่งที่ตัวเองอยากได้เลยโพล่งออกไปตามที่ใจคิด

   “มันเป็นระบบออนไลน์ไม่ใช่เหรอครับ แล้วก็ห้ามให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป”

   ถ้าเป็นอย่างที่ผ่านมาก็จะใช้วิธีการส่งคนไปประจำทุกหน่วยการเลือกตั้งแล้วจดคะแนนเอาไว้ พวกนี้มักจะรู้กันอยู่แล้วว่าใครจะเลือกพรรคไหน เพราะคนที่ไม่ใส่ใจก็จะไม่มาตั้งแต่แรก หลังประเมินสถานการณ์ถ้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายคือเวลาในการเกณฑ์คนมาเพิ่ม

   ก็คิดว่าปัญหาพวกนั้นจะหายไปหลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ระบบที่ต้องส่งคะแนนเข้าระบบทั้งหมด ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อีก

   หัวเราะสั้นคล้ายกับที่เขาเคยได้รับจากรุ่นพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ “ก็ยังเข้าไปได้นะ ได้ตัวเลขออกมาด้วย”

   “...”

   ไปต่อไม่ถูกเลย

   “อีกกลุ่มก็ทำนะ คิดมากทำไม”

   น่าขยะแขยง

   เขารังเกียจตรงนี้ ตรงที่เขาได้แต่รับรู้ว่าในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงการตกลงกันข้างในเพื่อตำแหน่งโดยไม่มีใครเคารพหรือเห็นหัวคนที่เลือกมาเลยสักนิด

   “เอาล่ะ...”

   ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินหน้าเครียดตรงเข้ามาเป็นสัญญาณว่าวงเวียนน่ารังเกียจกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง

   “ได้เวลาเล่นเกมกันอีกแล้วสินะ”


***
   นี่มีพระเอกไว้ทำอะไรนะคะ แต่มาทีไรก็ใจร้ายกับน้องทุกทีเลย ไม่ดีเลยเนอะคะ (หัวเราะ)
   รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ถ้าต้องออกไปข้างนอกก็ใส่หน้ากากป้องกันเอาไว้เนอะ
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พี่ธรรมช่วยใจดีกับน้องเดือนสิบบ้างนะคะดุตลอดเลยแต่ก็สอนน้องด้วยความรักเนาะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบห้า


   เรื่องพี่ต้นหลิวถูกเลื่อน หมดการเลือกตั้งของพี่ฟีน

   สถานีต่อไปคือการแข่งขันตอบปัญหารอบสุดท้าย

   เดือนตุลามองปฏิทินแผ่นใหญ่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองว่าอีกแค่สองวันเขาก็จะหลุดพ้นจากความทรมานทั้งหมดทั้งปวงแล้ว

   เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องไปช่วยปลายเจตน์เช็กความเรียบร้อยของสถานที่ที่จะใช้แข่งขันอีก ชักอยากจะตัดเพื่อนแต่ถ้าทำอย่างนั้นคงหัวเดียวกระเทียมลีบของจริง

   วันนี้ว่างทั้งช่วงเช้าก็เลยว่าจะออกไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสียหน่อย รู้สึกว่าในช่วงที่ผ่านมาใช้เวลากับการทบทวนน้อยลงจนน่าโมโห เพื่อนในคณะบางคนเริ่มเก็บตัวเตรียมสอบปลายภาคกันแล้วแต่เขายังต้องมาวุ่นวายกับสารพัดเรื่อง

   โอเค เขาน่ะไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยใจรักเต็มร้อยตั้งแต่แรก เรียกว่าเป็นการทำงานแบบมีผลประโยชน์แฝงเลยล่ะ คิดว่าทำปีเดียวแล้วก็จบๆ กันไป พอถูกล้างสมองมากเข้าก็สมยอมที่จะทำต่อในปีที่สอง แล้วก็มาเจอคนใจร้ายหักหลังจนเสียศูนย์ จากนั้นก็ปลงโลกคิดว่าถึงขั้นนี้แล้วจะทำต่อไปจนจบเลยก็ไม่แย่

   แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงนะเรื่องที่ปีหน้าจะไม่ทำงานแล้ว

   เตรียมหนังสือเรียนและประมวลที่กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามและสามสิบสี่ไปแล้ว กระเป๋าปากกาและขวดน้ำแบบเก็บอุณหภูมิทุกอย่างถูกยัดรวมกันในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ เหลือแค่ว่าปลุกใจให้ลุกออกจากเตียงได้ก็จะสำเร็จไปด้วยดี

   ผุดลุกจากการกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงโดยพลันยามได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ แวบแรกคือนึกว่าจะมีใครเคยมารบกวนถึงห้องบ้าง มันมีแค่ชื่อหรือสองชื่อที่โผล่ขึ้นมา แล้วไม่ว่าชื่อไหนก็ไม่น่าจะมาหาเขาในเวลานี้ได้เลย

   ไม่ระวังตัวด้วยการปลดล็อกประตูโดยไม่มองจากช่องตาแมวก่อน และแค่เห็นการแต่งกายก็ชะงักไปครู่ใหญ่

   “มีหนังสือสัญญาให้ยืมไหม?”

   เข้าประเด็นไม่มีการทักทายอะไรก่อนทั้งสิ้น ตุลกะพริบตาซ้ำอีกสองสามครั้งระหว่างที่ข้างในสมองก็ประมวลผลว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่

   พี่ธรรมในชุดอยู่บ้านอันได้แก่เสื้อยืดตัวโคร่งจากกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยสักงาน กางเกงผ้าฝ้ายขายาวกรอมเท้า ผมยาวถูกมัดเอาไว้ไม่เรียบร้อยจนเห็นปอยร่วงข้างแก้ม อ้อ แน่นอนว่าเสื้อนั้นน่ะไม่ได้ซื้อเองแต่ไปขโมยจากห้องเก็บของส่วนกลางหลังจบงานแหง

   “สัญญา?”

   “อือ หาของตัวเองไม่เจอ”

   “อ่า...คิดว่ามีนะครับ”

   คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรต่อก็เลยเกิดเดทแอร์ขึ้นเสียอย่างนั้น ผู้มาเยือนเลิกคิ้วขึ้นสูงแบบที่เขาเดาความหมายเองว่ามันน่าจะหมายถึงทำไมไม่ไปหยิบหนังสือให้ล่ะ

   “เดี๋ยวรอ”

   “รอข้างในได้นะครับ มันต้องรื้อหน่อย” เพราะว่าเป็นหนังสือที่ใช้ตั้งแต่ปีก่อนเขาเลยเก็บลงลังไปแล้ว “หรือพี่ธรรมกลับห้องไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้”

   มันไม่ใช่ข้ออ้าง ทั้งหมดคือเหตุผลที่ไม่มีอะไรแฝง ก็แค่ไม่อยากให้พี่ปีสี่ต้องมายืนแกร่วอยู่หน้าประตูห้องระหว่างรอเขารื้อกล่องลังกระดาษที่ถูกปิดตายภายหลังจากหมดเทอม

   คณะนิติศาสตร์คือคณะที่ทำลายโลกอย่างรุนแรงในความคิด นอกจากหนังสือเล่มหนาที่อาจจะไม่ได้จบแค่หนึ่งเล่มต่อหนึ่งวิชาแล้วยังมีเหล่าชีตประกอบการสอนที่อาจารย์แจกเพิ่มเติมในห้อง ไม่รวมกับสรุปที่ไม่ได้มีแค่แหล่งเดียวอีกต่างหาก

   ก็ตั้งคำถามอยู่เสมอแหละว่าการเรียนกฎหมายมันควรจะเป็นแบบไหน ใช่แบบที่เขากำลังศึกษาอยู่หรือเปล่า ไอ้การเรียนที่เน้นหนักไปทางการท่องจำแล้วปรับใช้แค่เท่าที่เคยอ่านในหนังสือ ไม่ได้มีการวิเคราะห์ถึงเบื้องหลังของกฎหมายสักเท่าไหร่ พอมีปัญหาอะไรขึ้นมาก็เอาแต่อ้างฎีกาจนน่าหัวเสีย

   “ยืนรอข้างนอกนี่แหละ พักสมอง”

   สงสัยอ่านหนังสือแล้วเจอส่วนที่ไม่แน่ใจล่ะมั้ง “งั้นรอข้างในได้นะครับ น่าจะสะดวกกว่า”

   “ไม่กลัว?”

   ไอ้การกระตุกยิ้มแล้วทวนคำของเขาด้วยเสียงยียวนนี่มันสมกับเป็นพี่ธรรมดีชะมัด

   “ครับ”

   ผ่านมาสามปีจะให้ไม่ชินชาก็คงไม่ได้ ถึงจะยังไม่นับว่าตัวเองเข้าขั้นผู้เชี่ยวชาญแต่เดือนตุลาน่ะมั่นหน้ามากเลยว่าคนที่สามารถต้านทานการปั่นประสาทจากพี่ธรรมกับพี่มัจได้เท่าเขาน่ะแทบไม่มีอยู่เลย

   ขี้เกียจยื้อแย่งกับคนที่ไม่เคยอ่านความคิดออก ก็เลยเปิดประตูค้างเอาไว้อย่างนั้นแทนการบอกว่าอยากจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็เชิญ หรืออยากจะยืนอยู่ข้างนอกก็ไม่ว่า เขาเดินกลับเข้ามาข้างในห้องพักโดยมีปลายทางอยู่ตรงกล่องลังไม่ใช้แล้วที่ไปหยิบมาจากข้างร้านสะดวกซื้อสามกล่องที่วางเรียงต่อกันบริเวณริมหนึ่งของห้อง

   ไล่ดูว่ากล่องไหนที่เขียนเอาไว้ว่านิติปีหนึ่งเทอมหนึ่ง พอเจอแล้วก็นั่งขัดสมาธิเตรียมหาหนังสือเล่มที่ต้องการ น่าเบื่อหน่อยตรงที่ว่าชอบวางเอาไว้ลึกสุดแล้วค่อยเอาพวกชีตกับเลคเชอร์ทับ เท่ากับว่าต้องรื้อออกมาเกือบทั้งหมดนั่นแหละถึงจะเจอที่ต้องการ

   หยิบจับออกมาทีละกองไม่ให้ปนกัน ได้ยินเสียงบานประตูปิดลงเบามือเลยลดระดับความเร็วในการรื้อลงหน่อย เห็นจากหางตาว่าพี่คนนั้นเดินมาพิงตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งขวามือหากทำเป็นไม่สนใจ

   พอได้เห็นซากอารยธรรมของตัวเองเมื่อปีหนึ่งแล้วก็อดทึ่งความขยันในตอนนั้นไม่ได้ คือตอนนี้ขี้เกียจเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยล่ะ ไอ้การจะมาสรุปทีละเรื่องหลังจากหมดคาบเรียนแล้วนี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกวันนี้ทำแค่ก่อนสอบก็พอ

   “จะเอาเล่มบุคคลด้วยไหมครับ จะได้หยิบทีเดียว”

   “เอาแค่นั้นพอ”

   “โอเคครับ” เจอสิ่งที่ต้องการแล้ว เขากรีดตัวเล่มเช็กดูว่ามีกระดาษเขียนเพ้ออะไรสอดแทรกเอาไว้หรือไม่ เมื่อมันไม่มีอะไรที่น่าห่วงแล้วจึงลุกยืนขึ้นมามอบให้อีกคน “นี่ครับ ไว้ค่อยคืนหลังจากแข่งเสร็จเลยก็ได้”

   “ไม่เกินสามวันคืนแหละ”

   “ผมหมายถึงแข่งรอบทั่วประเทศ” พอจบจากรอบนี้แล้วใช่ว่าจะเสร็จสิ้น มันยังมีการแข่งขันรอบทั่วประเทศที่มหาวิทยาลัยของเขาเป็นเจ้าภาพจัดรออยู่ในปีหน้า แต่ตรงนั้นเหมือนว่าปลายเจตน์จะไม่ใช่คนดูแลแล้ว “เทอมหน้าเลยนี่ครับ”

   “มั่นใจว่าจะชนะ?”

   “ก็ถ้าพี่ธรรมบอกว่ามีเด็กเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ด้วยก็ต้องชนะแล้วล่ะครับ”

   ถึงไม่มีเรื่องนี้เขาก็ปักใจเชื่อว่าทีม ‘มิอาจก้าวล่วง’ จะต้องชนะอยู่แล้ว

   “ยังใช้อยู่เหรอ”

   “ใช้?”

   ใจยังจดจ่ออยู่กับเรื่องพี่ฟีนจะตามไม่ทันว่ามันหมายถึงอะไร ตุลมองตามทิศทางที่ปลายนิ้วของพี่ธรรมชี้ไปยังชั้นวางข้างตัว

   อ้อ...

   “แน่นอนสิครับ”

   มันเป็นชั้นวางของใช้ทั่วไปสี่ชั้นที่ทำจากเหล็กฉากเจาะรูสีเทาเอามาประกบกันแล้วเอาไม้อัดแผ่นมารองเป็นฐาน ไม่ได้เป็นงานไม้หรือว่าของสำเร็จรูแบบที่หาได้ในอิเกีย

   “ก็พี่เป็นคนบอกว่าให้ใช้ไปจนจบนี่นา”

   ...

   ‘ต้องใช้ไปจบเรียนจบเลยนะ รู้ไหม’

   ภาพอดีตทาบทับไม่ทันได้ตั้งตัว เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงมองคนแก่กว่าหนึ่งปีไม่วางตาในการตั้งโครงทั้งสี่มุมขึ้นมาจนมองเห็นว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน แว่นสายตากับท่าการหยิบจับอุปกรณ์ช่างคล่องแคล่วดูไม่เข้ากันเลยสักนิด

   มันเกิดจากการที่เขาไปบ่นให้รุ่นพี่ที่ห้องตุลาการฟังว่าอยากได้ชั้นวางของใหม่ในห้องแต่ก็ไม่อยากซื้อแบบที่สำเร็จรูปแล้วเพราะไม่เจอแบบที่ถูกใจ ที่ชอบก็แพงจนเสียดายเงิน ถึงจะได้ใช้ไปหกปีเลยก็เถอะ ตอนที่พี่ธรรมถามเรื่องรูปแบบการใช้งานคร่าวๆ ก็ตอบไปตามจริงเพราะนึกว่าจะช่วยเสาะหาให้

   ไม่คิดว่าจะได้ข้อเสนอว่าถ้าไม่คิดมากเรื่องความสวยงามก็พอจะช่วยได้ จากนั้นก็ลากเขาไปร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วก็ซื้อของที่จำเป็นมาวางกองไว้ในห้องนี้ จัดการทำให้เสร็จสรรพแบบที่ตุลทำอย่างเดียวก็คือเอาของมาวางไว้

   ขนาดจะเลี้ยงข้าวตอบแทนยังบอกว่าออกแค่ค่าน้ำก็พอแล้วเลย

   เป็นสัทธาที่แสนใจดี จนเขาไม่อยากจะยอมรับว่าในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นจะกลายเป็นคนที่ใจร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา

   “แล้วทำไมที่พี่ให้ทำอีกอย่างถึงไม่ทำ”

   “พี่ควรหยุดถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วนะครับ” เดือนตุลาไม่ลังเลสักนิดที่จะยอกย้อนกลับไป “เพราะพี่ ‘ต้อง’ ได้เป็นประธานตุลาการนักศึกษาไง”


   พอเป็นรอบชิงชนะเลิศแล้วระดับความตึงเครียดแตกต่างกันลิบลับ

   เดือนตุลากวาดตามองรอบห้องเรียนที่แปรสภาพกลายเป็นสนามแข่งขันขนาดย่อมแล้วลอบกลืนน้ำลายเงียบๆ ความกดดันที่แผ่ออกมาจากสีหน้าและท่าทางของทุกทีมเป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ว่าในครั้งนี้จะไม่มีการออมมือให้เหมือนรอบที่แล้วแน่

   ที่บอกว่าทุกทีมคือทุกทีมจริง แม้แต่ทีมของผู้ชายสองคนที่เขาบอกว่ามีอำนาจรวมกันมากกว่าใครก็ยังไม่เข้ามาทักทายหรือว่าหยอกล้อกับเขาที่โต๊ะลงทะเบียนเลย ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยพี่ฟีนก็ต้องเข้ามาเกาะแกะพอเป็นกระสายแล้ว

   คือในภาพรวมแล้วพี่ฟีนก็ยังร่าเริงแหละ แค่ไม่ใช่ในระดับปกติเท่านั้นเอง

   “พอเห็นอย่างนี้แล้วกูไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่มัจเคยชนะพี่ฟีนมาก่อน”

   อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับระดับชาติก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นการแถลงข้อข้องใจว่าเพราะอะไรการแข่งครั้งนี้ถึงมีความหมายกับทิชากรเหลือเกิน พอเพื่อนเขารับรู้เรื่องราวโดยสังเขปแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเปิดกูเกิลขึ้นมาค้นหาภาพหลักฐาน พอมันปรากฏต่อสายตาแล้วก็สบถคำหยาบไม่มีหยุด

   จากที่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลอื่นที่น่าสนกลายเป็นว่าสติแตกแบบที่ว่าเขาต้องกล่อมให้ใจเย็นลงหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าปลายเจตน์เคยไปทำงานให้พี่ฟีนมาก่อนด้วยมีความสนิทชิดเชื้อกันในระดับหนึ่ง แล้วก็รู้จักพี่มัจจากการที่เขาเอาเรื่องความวุ่นวายข้างในออกมาเล่าให้ฟังบ้าง

   “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”

   “แล้วพี่ฟีนนี่จะเก็บกดอะไรขนาดนั้นวะ สี่ปียังไม่สายอย่างนี้เหรอ”

   “นี่ก็สงสัยเหมือนกัน”

   “แต่เป็นกูก็คงแค้นอยู่อะ แพ้คนอย่างพี่มัจ”

   จำไม่ได้ว่าปลายเจตน์เคยมีเรื่องอะไรกับพี่มัจหรือเปล่าถึงเน้นชื่อเสียจนผิดปกติ อาจจะเคยถูกคนนั้นยียวนกวนประสาทเหมือนอย่างที่คนในตุลาการมากกว่าครึ่งเจอมาล่ะมั้ง

   พอเป็นรอบชิงแล้วคนเดินข้อสอบก็ใช้น้องปีหนึ่งแค่สองคนเป็นอันเสร็จสิ้น รวมถึงภาระงานในการลงทะเบียนของเขาก็หมดลงไปแล้ว ตอนนี้มันก็เลยว่างพอที่จะยืนคุยกระซิบกระซาบกันบริเวณมุมลึกสุดข้างเวทีรอจนกว่าการแข่งขันจะจบ

   “พอรู้อย่างนี้อยากรู้เลยว่าพวกพี่เขาจบไปจะทำอะไรกันต่อบ้าง” รู้สึกดีที่ไม่ใช่คนเดียวที่สนใจความเป็นไปของรุ่นพี่เหล่านี้ “พี่ฟีนสายการเมืองแหละ อย่างเรื่องระเบียบที่อยากให้ผ่านให้ได้ก็เพราะจะเอาไปเป็นโปรไฟล์นี่”

   “มั้ง พี่มัจอาจจะเป็นบริษัทที่ได้ใช้ภาษา แต่พี่ธรรมนี่ไม่รู้เลยแฮะ”

   “กูว่าไปเป็น ‘ท่าน’ ต่ออีกรอบ”

   “แต่กูว่าไม่”

   “ทำไม?”

   ยกไหล่ขึ้นประกอบคำตอบ “เซ้นส์มันบอก คนอย่างพี่ธรรมไม่เข้าไปอยู่ในระบบเฮงซวยตั้งแต่วิธีการคัดเลือกอย่างนั้นหรอก”

   การสอบคัดเลือกผู้พิพากษาในประเทศนี้เป็นอะไรที่เขาไม่เคยเข้าใจ มันแบ่งออกเป็นสามสนามสอบที่เรียกกันว่าสนามใหญ่ เล็ก และจิ๋ว ถ้าจะสอบสนามใหญ่ก็ใช่ว่าจบนิติศาสตร์มาจะสอบได้เลย หลังจากที่ทรมานอยู่ในระบบการศึกษามาตลอดสี่ปีแล้วยังต้องผ่านการสอบเนติบัณฑิตที่เขาเคยอ่านธงคำตอบแล้วไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากไปกว่าการท่องฎีกาแล้วนำไปตอบในข้อสอบ ไม่เคยมีการคิดวิเคราะห์ที่พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนเลยสักนิด

   แล้วกว่าจะผ่านครบทั้งสี่วิชาที่กำหนดเอาไว้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ถ้าอยากจะทำงานไปด้วยสอบไปด้วยก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่ผ่านได้ในหนึ่งปีก็เป็นพวกที่เลือกเรียนอย่างเดียวไม่เริ่มทำงานทั้งนั้นแหละ ประเภทที่ว่าทำงานไปด้วยอ่านไปด้วยแล้วผ่านนี่มีน้อยพอควร

   ก็คือถ้าจะสอบสนามใหญ่จะต้องมีวุฒินิติศาสตรบัณฑิตจากสถาบันที่ได้รับการรับรองและมีวุฒิเนติบัณฑิต พอเงื่อนไขน้อยก็มีคนสมัครเยอะ ต้องแข่งขันกันสูงไปอีก ซึ่งถ้าทุกคนสามารถแข่งขันกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้จะไม่คิดมากเลย (ต่อให้เขาไม่เห็นด้วยกับวุฒิเนติเท่าไหร่ก็เถอะ)

   มันกลับกลายเป็นว่าระบบนี้ได้เปิดช่องทางอื่นสำหรับคนที่มีได้รับโอกาสทางการศึกษามากกว่า เอื้อให้ความไม่เท่าเทียมขยายตัวออกกว้างขึ้นจนไม่อยากทำใจรับ

   ที่จำกัดคุณสมบัติลงมาอีกขั้นหนึ่งคือสนามเล็ก ซึ่งจะต้องมีวุฒิเนติและจบชั้นปริญญาโทจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง อันนี้คู่แข่งก็จะน้อยลงมาหน่อยตามข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติที่มีมากขึ้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะเรียนต่อชั้นปริญญาโทใช่ไหมล่ะ

   ถ้าคิดว่าสนามสอบมีแค่นั้นจบแล้วเขาจะขอแนะนำสิ่งที่เรียกว่าสนามจิ๋ว ซึ่งผู้สมัครนอกจากจะจบเนติแล้วยังจะต้องจบชั้นปริญญาโทจากต่างประเทศที่มีระยะเวลาสองปี

   ใช่

   ต้องจบนอกและเรียนสองปี [1]

   เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่เรียนนิติศาสตร์ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกสองปีทุกคน อย่างเขาเองถ้าให้ไปถามที่บ้านเองก็อาจจะได้คำตอบกลับมาว่าส่งได้แต่ต้องประหยัดหน่อย ฐานะทางบ้านกลายเป็นการปิดโอกาสในการสอบ มันคือความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

   ยังไม่รวมกับรูปแบบการสอบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละสนาม ในขณะที่สนามใหญ่ต้องใช้เวลามากกว่าสิบสองชั่วโมง [2] ในการสอบตามรายวิชาที่กำหนดไว้ [3] สนามจิ๋วกลับใช้เวลาเพียงประมาณแปดชั่วโมงเท่านั้น [4]

   นอกจากนั้นสัดส่วนคะแนนในรายวิชาก็เช่นกัน ในวิชาภาษาอังกฤษของสนามใหญ่นั้นจัดสรรให้ยี่สิบคะแนน ในการสอบของสนามจิ๋วกลับเทไปทางคะแนนภาษาอังกฤษถึงหกสิบคะแนนจากร้อยเจ็ดสิบคะแนน [5]

   ซึ่งถ้าบอกว่ามันคือการคัดเลือกผู้พิพากษา สัดส่วนของคะแนนควรจะให้น้ำหนักกับกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ภาษาเสียหน่อย ตอนที่เห็นวิชาที่ต้องสอบคราวแรกถึงกับต้องวนไปอ่านซ้ำว่าสนามจิ๋วสอบแค่นี้จริงหรือ

   นี่เคยได้ยินรุ่นพี่ตุลาการที่จบไปปีที่แล้วบ่นเรื่องเอเจนซีเรียนต่อนอก พอบอกว่าอยากไปเรียนทางกฎหมายสิ่งแรกที่นางนั้นจะแนะนำมาคือการบอกว่ามหาวิทยาลัยไหนได้รับการรับรองบ้าง ไม่ใช่ว่าที่ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์หรือสายการเรียนที่สนใจ

   ซึ่งเรื่องที่ชวนหัวเสียที่สุดคือสัดส่วนของผู้ผ่านการสอบจากสนามใหญ่อยู่ที่น้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และสนามจิ๋วอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ [6]

   เป็นขั้นตอนการหาผู้ตัดสินความยุติธรรม

   ที่ไม่ยุติธรรม

   “ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ไหม”

   “กูเคยคิดว่าอาจจะเป็นครู”

   “พอมึงบอกกูนี่เห็นภาพพี่ธรรมพ่นบุหรี่ปุ๋ยหน้าห้องระหว่างสอนเด็กเลย”

   “ไม่ได้ไหมปลาย” ขืนทำนี่ได้โดนทั้งสอบวินัยแล้วก็หยุดการสอน

   “ขอเปลี่ยนเรื่องหน่อย อันนี้คิดนานล่ะ แต่กูยังไม่เคยถามใคร”

   “ว่า”

   “มึงว่าพี่ธรรมกับพี่ฟีนเคยกิ๊กกันป่ะ”

   “...”

   น้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มเกือบพุ่งออกมาดีที่ปิดปากทัน เดือนตุลารีบกลืนลงคอก่อนที่จะหันมาจ้องเพื่อนตาเขม็ง

   “มันน่าสงสัยนะมึง คือพวกพี่เขาสนิทกันโคตรๆ อะ ในเฟซพี่ฟีนกูว่าเห็นรูปพี่ธรรมมากกว่าอีก” ไอ้เรื่องรูปนี่เห็นด้วย คือพี่ฟีนน่ะชอบลงรูปพี่ธรรมทุกอิริยาบถอย่างกับว่าเป็นบันทึกคุณแม่น้องธรรม บางรูปก็ถ่ายดีแต่ส่วนมากคือเป็นตอนทีเผลอทั้งนั้น “แล้วมึงดูดิ เพื่อนมองกันอย่างนั้นเหรอวะ”

   ที่เขาเห็นคือภาพผู้ชายสองคนที่มีกระดาษเอสี่พับเป็นสามเหลี่ยมพิมพ์ชื่อทีมวางเอาไว้ตรงริมขอบด้านนอกสุดของโต๊ะกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดโดยที่พี่ธรรมกำลังกดปากกาลงไปย้ำๆ ตรงจุดหนึ่งในนั้น ส่วนพี่ฟีนก็พยายามชี้ไปอีกจุดแทน

   “กูเห็นเพื่อนสองคนกำลังจะฆ่ากันตาย”

   ตอบตามที่คิด มองไม่ออกเลยว่าที่บอกว่าเพื่อนไม่มองกันอย่างนั้นมันเป็นแบบไหน คือที่เขาคิดน่ะถ้าลุกขึ้นมาต่อยกันได้คงทำไปแล้ว

   ไม่ได้เห็นมุมนี้ของสัทธาบ่อยนัก ภาพในความทรงจำของเขามันจะไม่พ้นพี่ธรรมแสนเอื่อยเชื่อยที่มักจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด ในมือจะต้องมีหนังสือนอกเวลาสักเล่มติดตัวเอาไว้เสมอ ถ้าตัดตำแหน่งประธานตุลาการนักศึกษาไปก็เป็นแค่คนมีอุดมการณ์ที่ลอยไปเรื่อยแค่นั้นเอง

   อาการโกรธหรือว่าโมโหนี่เห็นนับนิ้วได้ ต่อให้พี่มัจจะปั่นประสาทสักแค่ไหนวิธีการรับมือที่ได้ผลเสมอสำหรับพี่เขาคือปล่อยให้มันเริ่มต้นและหยุดไปเองตามธรรมชาติ พอคนหนึ่งเริ่มแล้วอีกคนไม่ตามมันก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว

   จะมีอารมณ์ร่วมในบทสนทนาขึ้นมาหน่อยก็ต้องที่คุยเรื่องการเมืองหรือไม่ก็วิจารณ์อะไรสักอย่างที่อยู่รอบกาย เท่าที่เขาเคยเห็นมากับตาอันที่มีผลกระทบมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องการไม่มีส่วนร่วมของนักศึกษาในกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย

   “มึงมองคนละแบบกับกูอะ”

   แล้วจะให้เดือนตุลาทำยังไงถึงมองแบบเดียวกันล่ะ ตั้งแต่วันแรกมาจนวันนี้สัทธากับทิชากรก็ยังเป็นเพื่อนสนิทแบบที่เขายังย้ำเสมอว่าอยากมีแบบนี้บ้างในมหาวิทยาลัย คนที่พร้อมจะบ้าดีเดือดไปกับเราในทุกก้าวจังหวะของชีวิตน่ะนะ สุดยอดจะตายไป

   “พวกพี่เขาสนิทกัน”

   “เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไงมึง”

   “มึงติดซีรีส์เรื่องอะไรอยู่ปลาย สารภาพมา” หรี่ตาชี้หน้า แล้วอย่าหวังว่าเขาจะยอมรามือง่ายๆ จนกว่าเพื่อนจะสารภาพ

   ”ไม่ได้ติด แค่อ่านหนังสือก็จะตายแล้วไอ้เหี้ย”

   “งั้นนิยาย”

   “ไม่มีเหมือนกัน!”

   ถ้าอย่างนั้นทางที่เป็นไปได้คือปลายเจตน์น่าจะจัดงานมากจนเพี้ยน “ไม่น่าหรอกมึง ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมีจุดสังเกตแล้วไหม”

   พอพูดเรื่องนี้ถึงสะกิดใจขึ้นมา จะว่าไปทั้งพี่ธรรมแล้วก็พี่ฟีนไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับคนรักเลยทั้งคู่ ก็ถ้าเทียบจากโปรไฟล์ในห้องเรียนและกิจกรรมข้างนอกมันไม่น่าจะหลุดรอดมาจนถึงตอนนี้ได้เลย โดยเฉพาะกับพี่ฟีน ยอมรับเลยก็ได้ว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ

   ถ้าจำไม่ผิดต่อให้ย้อนกลับไปตั้งแต่รู้จักกันวันแรกเขาก็ยังไม่เคยเห็นแฟนของทิชากรเลยสักคน

   ประหลาด

   “กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไง”

   “มึงติดนิยายก็ยอมรับมาปลาย”

   แสร้งทำเป็นพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ มือตบบ่าแปะแทนการบอกว่าต่อให้ติดนิยายแค่ไม่ทำให้เสียการเรียนก็พอแล้ว

   “ก็บอกว่าไม่ได้ติดไง”

   ว่าแต่คนอื่นเขา ตัวเองก็ติดนิสัยชอบแกล้งมาเหมือนกันนั่นแหละนะ เดือนตุลากลั้นยิ้มไม่ให้เสียงหัวเราะมันออกมารบกวนการแข่งขัน เอื้อมมือไปแตะตัวเพื่อนให้เข้ามาอยู่ข้างในหลืบก่อนที่จะจะมีอาจารย์เดินมาพ่นไฟใส่

   เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่ออีกสักพักก่อนที่จะกลับมามองตารางคะแนนในช่วงกลางการแข่งขัน ถ้าเป็นรอบแรกเขาอาจจะคิดว่ามันยังคาดคะเนอะไรไม่ได้ ส่วนในรอบนี้ก็คงต้องบอกว่ามันอาจจะระบุตัวผู้ชนะได้ในอีกไม่ช้า

   สายตาของเดือนตุลาเคลื่อนไปจับจ้องอยู่กับผู้ชายผมประบ่าคนนั้น

   “...แต่มันเปลี่ยนจริงนะ”

   “เปลี่ยน?”

   “อืม พอบอกออกไปแล้ว”

   “...”

   “ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลย”



   (ทีมของพี่ธรรมกับพี่ฟีนชนะครับ)

   “ก็ไม่แปลก”

   (วางสายได้แล้วใช่ไหมครับ)

   “เดี๋ยวสิ แล้วนี่ไปไหนกับสองคนนั้นต่อหรือเปล่า”

   (คิดว่าผมอยากจะอยู่กับพวกพี่เขานานเหรอครับ) ท่ากลอกตาที่อีกฝั่งคงไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงออกมาน่ารักจนต้องรีบแคปหน้าจอเก็บไว้ (แต่คิดว่ามีธุระกันต่อ พอประกาศผลเสร็จพี่ฟีนรีบออกไปเลย)

   “เหรอ โอเค บายบายน้องตุล”

   มัจฉ์โบกมือให้รุ่นน้องอีกฝั่งของหน้าจอโทรศัพท์ที่ทำหน้าไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแต่ก็ยอมยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์บอกลาเช่นเดียวกับเขา หัวเราะคิกคักมีความสุขที่วันนี้ได้แกล้งเดือนตุลาจนพอใจแล้ว คืนนี้ได้นอนหลับฝันดีแน่เลย

   วางสมาร์ตโฟนเครื่องสี่เหลี่ยมลงข้างตัว มองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดบานกระจกเอาไว้ตามแบบคนชอบอากาศถ่ายเทเพื่อพบกับความมืดมิดในยามราตรี เขาปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพอสมควรจึงสะบัดหัวไล่อาการล้าสะสมจากการอ่านหนังสือตั้งแต่ช่วงบ่าย

   ลุกออกจากเตียงขนาดสองคนนอนมายังกระจกบานใหญ่ ตารางงานที่ยังมีต่อจากนี้บอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ จัดแต่งผมด้านหน้าที่ยาวเกือบถึงตาให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นจากนั้นจึงเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเป็นสิ่งถัดไป

   ครบหมดแล้วก็รอแค่เวลา นาฬิกาดิจิทัลขนาดใหญ่เหนือกระจกบอกว่าอีกสามนาทีจะเป็นเวลาสองทุ่มตรงที่เขากำลังรอคอย

   ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นระหว่างรอคอยให้เลขตำแหน่งสุดท้ายเปลี่ยนไป เริ่มนับหนึ่งไปเรื่อยเป็นภาษาเยอรมันอย่างที่ถนัดจนได้ยินเสียงสั่นครืดของเครื่องมือสื่อสารบนเตียง ปรายตามองมองหากไม่คิดที่จะเดินไปหยิบเพราะมันมีเพียงแค่คนเดียวที่จะโทรมาในเวลานี้

   สวมรองเท้าแตะแบรนด์ดังไม่เร่งรีบ ออกจากห้องแบบที่ไม่ได้ล็อกประตูหรือว่าปิดไฟก่อน เลือกที่ใช้บันไดหนีไฟในการลงจากชั้นสี่ลงไปชั้นหนึ่งเพื่อซื้อเวลา

   ล็อบบี้ของที่พักมีเด็กในวัยเดียวกับเขานั่งประปราย หากมองปราดเดียวก็รู้ว่าสายตาเกือบทุกคู่จับจ้องไปที่ใด

   ที่เห็นโดดเด่นมาแต่ไกลคือดอกไฮเดรนเยียหลากสีช่อใหญ่ที่บังช่วงแขนของคนตรงนั้นไปเกือบหมด มัจไม่ปิดบังความรู้สึกด้วยการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความสม่ำเสมอที่ไม่ควรจะเป็น

   มันเป็นจังหวะการเดินที่ปกติ

   จังหวะการเต้นของหัวใจที่ปกติ

   จังหวะการยิ้มทักที่ปกติ

   “สุขสันต์ครบรอบวันเลิกกันครับมัจฉ์”

   “สุขสันต์วันเลิกกันครับทิชา”

   และคำอวยพรที่ให้กันเป็นปกติ


***

   [1] ตามระเบียบการแล้วใช้คำว่าเรียนต่อต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี หรือสามารถเรียนหลักสูตรปริญญาโทที่ใช้ระยะเวลา 1 ปี แต่เรียน 2 หลักสูตร (2 ใบ) ได้เช่นกัน
   [2] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/176130
   [3] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362
   [4] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/24/cid/1207/iid/122603
   [5] https://ojc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/53/cid/13/iid/123362
   [6] https://www.bbc.com/thai/thailand-45397244 , สถิติปี 61 อยู่ที่ 22.1% ปี 60 อยู่ที่ 33.33%

   ใส่อ้างอิงจนนึกว่ากำลังเขียนเปเปอร์เลยค่ะ (หัวเราะ) เอาจากใจจริงเองก็รู้สึกกังวลเหมือนกันนะคะว่าจะได้รับ reaction ยังไงจากการเขียนตอนนี้ แต่ก็นะคะ ถ้าไม่ได้เขียนคงจะเสียใจไปอีกนานค่ะ (ยิ้ม)
   เจ้าไม่เขียนเพื่อที่จะ blame คนที่มีโอกาสมากกว่า (เพราะถ้าพูดตามความจริงแล้วเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสนั้นมากกว่าเช่นกัน) แต่เจ้าก็แค่อยากเขียนว่าในมุมของเจ้ามันมีปัญหาที่เกิดในเชิงโครงสร้าง การสร้างเงื่อนไขทางการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมอย่างชัดเจน ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้มีอำนาจออกระเบียบไม่แยแสผลกระทบที่เกิดขึ้น และปัญหาที่สำคัญคือการที่พวกเขาไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาค่ะ
   มีอะไรที่อยากเล่าเกี่ยวกับเหตุผลในการการเขียนเรื่องนี้เยอะแยะ แต่เอาเป็นว่าไว้จบก่อนแล้วค่อยเขียนยาวๆ ทีเดียวเนอะคะ เป็นการสร้างแรงใจให้เขียนจนจบด้วย ตอนหน้าเจ้าสัญญาว่าจะเป็นการพักเบรคเล็กน้อยนะคะ (ฮา)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ขอบคุณคุณเจ้านะคะที่แย่งเวลามาแต่งเรื่องดีๆให้อ่านเป็นกำลังใจให้ผ่านการเรียนที่หนักหน่วงไปได้นะคะเราเคยผ่านมาแล้วชนิดต้องอ่านเรฟถึงตีสามทุกวันพร้อมอาหารอ่านไปทานได้จบมาพร้อมนน.ที่เพิ่มพร้อมคุณวุฒิ5555..ตอนนี้ขออนุญาตไปฟินกับพี่มัจกับพี่ฟีนก่อนนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบหก


   สองสัปดาห์กับอีกสามวัน

   คนเรานี่สามารถหายตัวไปเฉยๆ อย่างนี้ก็ได้เหรอ

   เดือนตุลาตั้งข้อสงสัยกับตัวเองยามเปิดดูหน้าหลักของเฟซบุ๊กพี่ฟีนเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ โพสต์ล่าสุดที่ปรากฏต่อสายตาเขายังคงเป็นการแชร์ภาพน้องแมวน่ารักจากทั่วโลกที่กำลังนอนหลับสนิทโชว์พุงไม่สนใจใครแม้แต่เจ้าของที่พยายามจะก่อกวนการนิทรา

   ไล่ลงมาก็จะเจอการผสมที่หาความเข้ากันไม่ได้ของโพสต์หลากหลายหัวข้อ มีตั้งแต่วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองล่าสุดไปจนถึงแชร์เพลงใหม่ของวงดนตรีอินดี้ทางยุโรปที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

   มาหยุดอยู่ตรงที่รูปถ่ายที่อัปโหลดเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นภาพที่จะเรียกว่าตั้งใจถ่ายก็ไม่ใช่แอบถ่ายก็ไม่เชิง อารมณ์ประมาณว่าพี่ธรรมกำลังชี้หน้ามาทางกล้องพร้อมแคปชันว่าท่านประธานที่เคารพ

   แย่ล่ะ...

   ไล่อ่านคอมเมนต์ระหว่างกลุ่มเพื่อนที่แซวกันเกือบเลือดตกยางออกเพลิน พอจะย้อนกลับไปดูรูปอีกครั้งก็กลายเป็นว่าเผลอไปกดโดนปุ่มไลก์เสียอย่างนั้น แต่ว่าเขากดอีกครั้งเพื่อยกเลิกแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง

   เมื่อกี้พี่ทันนะ

   เสียเมื่อไหร่

   พี่ฟีนจะพิมพ์เร็วเกินไปไหมนะ เขายังไม่ทันหายตกใจจากความผิดพลาดเมื่อกี้เลย

   กดโดนครับ

   จะมีมาดให้อีกฝ่ายไล่บี้ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ยอมรับความจริงไปเลยดีกว่า กดส่งแล้วก็ออกจากหน้าจอการสนทนาเลยตามแบบฉบับคนที่ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ถึงยังไงเดี๋ยวอีกฝ่ายก็หาเรื่องมาคุยต่อได้เองตามประสา

   ปิดเทอมเลยว่างเหรอ

   มาส่องเฟซพี่อย่างนี้เขินนะ

   เอาไปอวดธรรมดีกว่า


   ข้อความแรกที่แจ้งเตือนตรงด้านบนของจอไม่น่าสนใจ ข้อความที่สองก็เช่นเดียวกัน หากข้อความที่ส่งมาเป็นครั้งสุดท้ายก็พาให้มือของเขากดเข้าไปอ่านไวกว่าความคิด ตามมาด้วยการพิมพ์ข้อความที่ดูแล้วไม่ได้เป็นดูอยากรู้อยากเห็นจนเกินไป

   ไม่ใช่ว่าเข้าป่าหายสาบสูญไปแล้วเหรอครับ

   พอเห็นว่าอีกฝ่ายอ่านทันทีที่ข้อความส่งไปถึงก็เลยเปลี่ยนใจรอคำตอบ

   ไม่ๆ มันออกจากป่ามาสามสี่วันแล้ว ไปแค่สัปดาห์เดียว

   “...”

   นอกเหนือจากความคาดหมายมากเหมือนกันที่เห็นข้อความสุดท้าย ที่เขาพิมพ์ไปก่อนหน้ามันเป็นแค่การประชดน่ะเข้าใจใช่ไหม แล้วอะไรคือการที่ได้รับการตอบรับว่า ใช่ ไปเดินป่ามาจริงแต่ว่าตอนนี้ออกมาแล้ว

   คือพี่ธรรมไปเข้าป่ามาจริงเหรอครับ?

   ใช่ คราวนี้ไปที่ไหนไม่รู้ ชื่อแปลกๆ


   “...”

   คิดถึงมันเหรอ

   ไปหาที่บ้านไหมล่ะ

   เยาวราชเอง



   ความวุ่นวายจากทั้งการจราจรและนักท่องเที่ยวมหาศาลตรงหน้าเป็นสิ่งที่ทำใจเอาไว้แล้วแต่ก็ยังยอมรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เดือนตุลาสูดลมหายใจเข้าลึกระหว่างมองซ้ายขวารอจังหวะที่สามารถเดินข้ามไปยังถนนอีกฝั่งได้ แต่เท่าที่เห็นแล้วมันไม่เห็นจะมีโอกาสเลย

   “น้องตุลรีบเดินเร็ว”

   ไม่พูดเปล่ายังออกแรงผลักให้ออกเดินอีก ไม่พอใจนิสัยอย่างนั้นแต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินแทรกตามฝูงชนไปตามประสา หน้ามุ่ยแบบไม่คิดจะปกปิดจากทั้งความร้อนแล้วก็ไม่อยากจะทนกับนิสัยเอาแต่ใจของพี่ปีสี่ที่มาด้วยกัน

   ถ้าไม่ติดว่าต้องอาศัยพี่ฟีนนะ เขาไม่ยอมมาด้วยหรอก

   “เดินเร็วกว่านี้ผมได้โดนรถชนสิครับ”

   ซอยขนาดเล็กที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่ามันเป็นทางเดินยาวจนสุดสายตา พี่ฟีนเปลี่ยนมาเดินนำโดยไม่สนใจว่าคนด้านหลังอย่างเขาจะตามทันหรือไม่ บรรยากาศของร้านค้าที่ขายสินค้าจากแดนไกลพาเขาเข้าไปยังอีกโลกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

   มันเหมือนกันว่าเขาวาร์ปข้ามมายังอีกประเทศ ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือขวามันเรียงรายไปด้วยสินค้าที่ดูแล้วก็รู้ว่านำเข้ามาจากประเทศจีนละลานตา มีทั้งแบบของสดแล้วก็ของแห้ง รวมถึงมีร้านขายขนมแบบค้าส่งอีกต่างหาก

   คนข้างหน้าก็ต้องจับตาดูไว้ไม่ให้คลาดสายตา แต่ว่าของสองข้างทางก็น่าสนใจ เขาผู้เติบโตมมากับวัฒนธรรมคนไทยที่ทำได้แต่อิจฉาเพื่อนต่างเชื้อชาติที่ได้รับอังเป่าในวันตรุษจีนแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรอย่างนี้บ่อยนัก

   เข้าร้านอาหารจีนยังนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ

   “นี่เรากำลังเดินไปที่ไหนเหรอครับ”

   “บ้านธรรมไง”

   “ในซอยนี้?”

   “ใช่ เนี่ยอีกไม่กี่ห้องก็ถึงแล้ว”

   เขาถามด้วยความสงสัย “พี่ฟีนมาบ่อยเหรอครับ”

   “ก็หลายครั้งนะ มาแล้วอิ่มท้องตลอดเลยชอบมา”

   แล้วพออยากจะเลี้ยวตรงไหนก็ทำ เดือนตุลาเกือบจะเบรกหน้าทิ่มตอนที่คนนำทางหักหัวเลี้ยวไปทางขวาแล้วเดินอาดเข้าไปในร้านขายอาหารแห้งแถมยังตะโกนเสียงดังหน้าตาเฉย

   “ม๊า ลูกชายตัวจริงกลับมาทวงความยุติธรรมแล้ว!”

   “ยุติธรรมเหี้ยอะไรของมึง”

   ยังไม่ทันได้สำรวจรอบข้างก็ต้องรีบหันหน้าตรงมาหาต้นเสียง และภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาเผลอทำตาโตใส่สิ่งที่เห็น

   ผิดคาด

   ใช้คำนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว

   ก็ใครมันจะไปคิดว่าเขาจะได้เห็นท่านประธานตุลาการนักศึกษาในสภาพผมมัดลวกๆ เอาไว้ข้างหลัง ชุดเสื้อผ้าโปร่งสไตล์จีนจ๋านั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ตรงเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ข้างตัวก็มีหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษเปิดทิ้งค้างเอาไว้อยู่ล่ะ

   ถ้าเหล่าเพื่อนคนป่าของพี่เขามาเห็นบอกได้เลยว่าล้อไปอีกสิบชาติ

   “มาทำอะไร”

   “คิดถึง”

   ต่อให้ในร้านจะมีลูกค้าเดินไปมาเป็นระยะพี่ฟีนก็ดูไม่สะทกสะท้านสักนิด พี่เขายืนเท้าโต๊ะประจันหน้าลูกชายเจ้าของร้านจากอีกฝั่งไม่คิดว่ามันลำบากคนที่จะเอาสินค้ามาจ่ายเลยสักนิด

   เนี่ย ถ้าปลายเจตน์ได้ยินประโยคเมื่อกี้นะมันจะต้องเอาไปตีความเองอีกแน่

   “เรื่องของมึง”

   “โห นี่เพื่อนถ่อมาหาถึงบ้านเลยนะ”

   “ไม่ได้เชิญ” ท่าทางไม่รับแขกจนเขาสงสัยว่ามานั่งเป็นฝ่ายเก็บเงินได้ยังไง” พี่ส้มไปเรียกม๊าให้หน่อย บอกว่าลูกชายตัวจริงมาหา”

   ช่วงหลังพี่ธรรมหันไปคุยกับผู้หญิงอายุราวสามสิบกลางๆ ที่ยืนเติมสินค้าอยู่ไม่ไกล เธอพยักหน้ารับแล้วก็หายยังส่วนหลังของบ้านปล่อยให้ผู้มาเยือนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แล้วไอ้ชื่อที่ใช้เรียกนั่นมันเต็มไปด้วยคำประชดเต็มที่เลยน่ะนั่น

   “ม๊าอยู่ไหนอะ”

   “ดูละครอยู่ชั้นสอง โคตรติดอะเรื่องนี้”

   “แนวชอบล่ะสิ”

   “เออ กูนั่งฟังด้วยแค่ไม่กี่นาทียังโคตรรำคาญ แต่ความสุขของเขาไม่อยากไปขัด”

   “งั้นกูขึ้นไปหาข้างบนเลยดีกว่า เผื่อว่าจะนั่งดูด้วย”

   มองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ที่พาเขามาเดินหายไปยังมุมหนึ่งที่น่าจะเป็นบันไดทางขึ้น พอไม่เห็นทั้งร่างแล้วจึงหันกลับมามองคนที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้นวมเช่นเดิม เดือนตุลาไม่รู้ว่าควรจะสงสัยอะไรก่อนแล้ว เอาเป็นว่าข้อสรุปคือที่ได้ให้กับตัวเองคือว่าพี่ฟีนไม่ได้สนิทกับแค่พี่ธรรมแต่ว่ารวมถึงคนอื่นในครอบครัวด้วย

   “ไปเอาเก้าอี้ตัวนั้นมานั่งก็ได้”

   “อ่า...ครับ”

   ทำตามโดยไม่คิดจะสงสัยอะไรทั้งสิ้น เดินไปหยิบเก้าอี้ไม้แท่นกลมงานเก่าที่มีลวดลายแบบจีนทาเคลือบเอาไว้มาวางบริเวณมุมหนึ่งของโต๊ะที่เล็งแล้วไม่น่าจะรบกวนการซื้อขาย เกร็งจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก็เลยหันไปมองรอบร้านหนึ่งรอบจากนั้นจึงวนกลับมายังคนที่เริ่มอ่านหนังสือไม่สนใจโลกอีกครั้ง

   ช่วยสนใจกันมากกว่านี้หน่อยได้ไหมสัทธา

   คิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรเลยถามในเรื่องที่โผล่ขึ้นมาเป็นอย่างแรก “พี่ฟีนมาหาบ่อยเหรอครับ”

   “ไม่บ่อย แต่แทรกซึมเก่งฉิบหาย”

   “อ๋อ แล้วไปเดินป่าเป็นไงบ้างครับ”

   “ก็ดี ฝนตกเยอะกว่าที่คิดนิดหน่อย แต่ภาพรวมโอเค”

   “อ้อ...”

   มันก็ทั้งเขาคิดเรื่องคุยต่อไม่ออกแล้วอีกฝ่ายก็ออกตัวชัดว่าไม่อยากจะคุยนั่นแหละ เดือนตุลาย่นจมูกให้กับกลิ่นของแห้งที่ไม่คุ้นเคย หันมองไปเกือบทุกทิศเป็นการสำรวจว่าในร้านขนาดหนึ่งห้องนี้มีอะไรขายบ้าง มันมีทั้งของที่เขารู้จักดีอยู่แล้วอย่างพวกเห็ดหอมแห้ง ของที่เขารู้แค่ว่ามันใช้ประกอบการทำอาหารจีน แล้วที่อยู่ข้างหลังเขาตอนนี้ก็เป็นพวกเครื่องปรุงรสแบบจีนแพกเกจไม่คุ้น

   เสียงพนักงานหน้าร้านแนะนำสินค้าสลับกับบอกราคาดังมาเป็นระยะ เขามองลูกค้ารายล่าสุดหยิบจับถุงพลาสติกที่บรรจุกระเพาะปลาแห้งไว้เพื่อเทียบคุณภาพสินค้าพลางคุยเป็นภาษาจีนกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พอได้ที่ต้องการแล้วก็จ่ายเงิน

   “สี่ร้อยยี่สิบนะ”

   “ใช่”

   หันกลับมาสำรวจคนเก็บเงินบ้าง พี่ธรรมรับแบงก์สีเทาจากมือของอีกคนมาถือไว้เอง จากนั้นก็เปิดเก๊ะด้านข้างจนได้ยินเสียงไม้เก่าครูดไปกับล้อเลื่อนที่เสื่อมสภาพแล้ว อากัปกิริยาหยิบจับเงินทอนแล้วนับซ้ำเพื่อความแน่ใจไม่มีเงอะงะติดขัดบอกว่ามันเป็นเรื่องคุ้นเคย

   นี่ก็ผิดคาดอีกเรื่อง

   “คอมนี่ไม่ได้เอาไว้เก็บเงินเหรอครับ”

   “เปล่า ไว้ให้แม่พี่ดูซีรีส์”

   “...”

   “แต่พอระบบจ่ายเงินเข้าที่คงได้ใช้มากกว่านี้แหละ”
   
   รู้ได้ยังไงนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ คือตอนแรกน่ะเขาคิดว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ใช้สำหรับคำนวณรายการการสั่งซื้อทั้งหมดเพื่อลดข้อผิดพลาด ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นการใช้เพื่อความบันเทิงเลยสักนิด

   จากคนนั่งเก็บเงินก็ลุกขึ้นเปลี่ยนหน้าที่ไปจัดของขึ้นชั้น ตอนแรกเขาก็ว่าจะอาสาช่วยอีกฝ่ายก็ดักเอาไว้ก่อนว่านั่งเล่นต่อไป ดูแค่นี้ก็บอกได้เลยว่าพี่เขาทำเรื่องพวกนี้จนชิน

   “แล้วฟีนมันไปหลอกอะไรถึงมาด้วยกัน”

   “ไม่ได้หลอกครับ ชวนธรรมดาเลย”

   “เหรอ”

   ตามมารยาทที่พึงมีแล้วพี่ธรรมควรรู้ไหมว่าถ้าเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็ควรจะสานต่อน่ะ ไม่ใช่ว่าพอได้ที่ต้องการแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือต่อหน้าตาเฉย

   ต่อให้ในร้านมีพัดลมเครื่องใหญ่เปิดส่ายไปมาจนรู้สึกว่าอากาศมันมีการถ่ายเทตลอดเวลา เขาก็ยังอึดอัดเล็กน้อยกับความเงียบที่ก่อตัวขึ้นรอบตัว ชักอยากจะขึ้นไปบอกพี่ฟีนว่าหยุดดูละครแล้วลงมาให้ช่วยเชียร์อัปบรรยากาศให้ดีกว่านี้หน่อย

   หรือว่ากลับเลยดีนะ เพราะยังไงเขาก็แค่อยากมั่นใจว่าพี่ธรรมยังมีชีวิตอยู่แค่นั้นเองนี่นา

   (ธรรม!!!)

   สะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงดังทะลุออกมาจากลำโพงขนาดพกพาข้างตัว เลิ่กลั่กกับสถานการณ์ที่ทำนายแนวโน้มไม่ได้ว่าดีหรือร้าย นั่นคือเสียงของคุณแม่พี่ธรรมหรือเปล่า แล้วทำไมต้องเรียกลูกชายเสียงดังอย่างนั้นด้วยล่ะ

   เจ้าของชื่อคั่นหนังสือหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ด้วยนิ้ว เอื้อมตัวไปหยิบเอาเครื่องกระจายเสียงขนาดเล็กมาถือไว้

   “อะไรม๊า”

   (ฟีนบอกว่ามีน้องอีกคนมาด้วย)

   “ม๊าก็เห็นจากกล้องแล้วปะว่ามีอะ”

   (เออ ก็เห็นไง) ขิงก็ราข่าก็แรง ไม่แปลกใจแล้วว่านิสัยที่ดูเงียบแต่ถึงเวลาก็ฆ่าเรียบไม่ยอมคนนี่มาจากไหน (พาน้องออกไปเที่ยวเลย มาถึงเยาวราชทั้งที)

   “เฝ้าร้าน ให้ฟีนพาไปดิ”

   (ให้ส้มเฝ้า แล้วหยิบไปเลยพันนึง เลี้ยงน้องด้วย)

   เก็บไว้เป็นเกียรติประวัติว่าวันนี้เขาได้เห็นคนที่สัทธาปราชัยด้วยแล้ว คือพอออกคำสั่งทั้งหมดเสร็จคุณแม่ของพี่ธรรมที่เขายังไม่เห็นหน้าก็ปิดการเชื่อมต่อทันที ปล่อยให้ลูกชายเรียกชื่อทวนอีกสองสามครั้งจนแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถอุทธรณ์คำสั่งได้จึงกันมามองหน้าเขานิ่งๆ

   ปลายนิ้วของสัทธาชี้ไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีจุดไฟสีแดงกับกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ “ไหว้ผ่านจอไปก่อน แม่พี่ดูอยู่แหละ”

   ไม่เต็มใจที่จะทำเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากขัด เดือนตุลาโบกมือให้กับกล้องบนเพดานตัวนั้นสองสามครั้งก่อนที่จะได้ยินเสียงเชื่อมต่อสัญญาณผ่านลำโพงอีกรอบ แล้วพอเขายกมือขึ้นมาไหว้ก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาด้วย

   นี่ดูละครหรือว่านั่งจับตาดูลูกชายเฝ้าร้านกันแน่ ระแวงไปก่อนแล้วร้อยแปดว่า ‘ลูกชายตัวจริง’ ข้างบนนั้นจะใส่สีตีไข่อะไรไปบ้าง จะบอกว่าเขาเป็นใคร รุ่นน้องที่คณะ รุ่นน้องที่ตุลาการ หรือว่าจะเรียกด้วยฐานะอื่นที่ชวนให้เข้าใจผิด

   ตัดสินใจผิดของแท้ที่มากับพี่ฟีน


   จากนั้นแล้วคนที่โดนคำสั่งให้เป็นคนนำเที่ยวก็แค่วางหนังสือลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ หยิบกระเป๋าเงินใบโทรมกับโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้แตะต้องลิ้นชักเก็บเงินอย่างที่คนเป็นแม่บอก จากนั้นก็พูดกับเขาสั้นๆ ว่าให้ลุกขึ้นเท่านั้นเอง

   พี่ธรรมเดินไปฝากงานกับพนักงานหน้าร้านคนเดิมสองสามประโยคจากนั้นก็หันมาทำพยักพเยิดให้เขาเป็นเชิงว่าจะไม่ไปเหรอ จากที่คิดว่าตอนแรกจะกลับบ้านเลยในเมื่อมันมีโอกาสที่ดีกว่านั้นเขาก็เลยตามเลย คิดเสียว่าได้มาเที่ยวในแหล่งที่ไม่ค่อยได้มาสัมผัสมากนัก

   คือปลายเจตน์ก็เคยชวนมาเดินหาของกินยามวิกาล หากว่าระยะทางจากตรงนี้ถึงบ้านของเขาเรียกได้ว่าคนละมุมเมือง กว่าจะมาถึงแล้วกว่าจะได้กลับคงมืดค่ำ แถมพวกขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้สะดวกในการต่อรถเลยสักนิดเดียว ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้เขาเฉียดมาละแวกนี้นับครั้งได้

   “เดี๋ยวพาไปไหว้พระก่อน แล้วค่อยเดินวนออกไปข้างนอก”

   “ได้ครับ”

   ตอนนี้จะนำทางไปที่ไหนเขาก็ไม่มีขัดทั้งนั้น ผู้คนจำนวนมากที่เดินสวนไปมาตลอดเวลาบีบช่องการเดินให้สะดวกต่อการเดินแบบแถวเรียงเดี่ยวมากกว่าหน้ากระดาน มันก็เลยต้องให้พี่ธรรมเดินนำไปก่อนแล้วเขาก็รีบสาวเท้าตามให้ทัน

   ยังตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยสินค้าเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านขายกระดาษไหว้เจ้าที่เดินผ่านไม่กี่วินาทียังเห็นถึงความหลากหลายและล้ำลึกที่น่าประทับใจ มีทั้งโมเดลบ้าน รถ แล้วยังมีพวกแท็บเล็ตอีก อีกหน่อยต้องมีส่งกระดานหุ้นไปให้แน่

   “อะ ไหว้ตามสบาย ไม่ต้องรีบ”

   จุดแรกของการเดินทางคือศาลเจ้าแบบจีนที่เขาอ่านชื่อแล้วไม่กล้าออกเสียงเองเพราะกลัวผิดโทน บรรยากาศแบบจีนจ๋าทำเอาเขาเงอะงะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็เลยแอบเหล่มองคุณยายด้านข้างแล้วทำตาม ระหว่างที่พนมมือขึ้นมาตรงอกก็คิดไปก่อนแล้วว่าถ้าสวดเป็นภาษาไทยแล้วองค์พระจะเข้าใจไหม

   ตั้งสมาธิอยู่กับตัวเองสักพักจนสบายใจที่จะออกมาเจอพี่ธรรมยังยืนล้วงกระเป๋ารออยู่ตรงส่วนนอกของศาลไม่ขยับไปไหน ขอบอกเลยว่าการแต่งกายอย่างนี้สุดแสนจะเข้ากันกับสถานที่

   “ปกติพี่ธรรมสวดเป็นภาษาอะไรครับ” ยังสงสัยอยู่เลยถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่า “คือเมื่อกี้ผมคิดขึ้นมาว่าถ้าผมภาวนาเป็นภาษาไทยแล้วเทพเจ้าจะเข้าใจไหม”

   “พี่พูดตามแม่ แม่ให้พูดอะไรก็พูดตาม ไม่เข้าใจความหมายหรอก” เยี่ยมมากเลยสัทธา เขารู้สึกดีขึ้นมาเลยทีเดียว “ขนมจีบไหม ร้านนี้อร่อยดี ฟีนมันก็ชอบ”

   อยากจะหยุดตรงไหนก็หยุดไม่เกรงใจคนเดินตามหลังมาสักนิด เดือนตุลาพยายามทำตัวลีบให้เกะกะคนสัญจรไปมาน้อยที่สุดระหว่างมองเข้าไปในร้านติ่มซำที่บอกว่าอร่อย เมื่อนึกย้อนไปว่าเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ทานแค่นิดเดียวเลยตอบตกลงไป

   “ฮะเก๋า ซาลาเปา หมั่นโถว?” คือไม่อยากจะเหมารวมหรอกนะ แต่ความคล่องแคล่วในการไล่ชื่ออาหารแต่ละชนิดนี่น่าประทับใจชะมัด “หรือว่าเอาพวกพาย ทาร์ตไข่ก็ดี”

   “เอาที่พี่ธรรมคิดว่าอยากลองแล้วกันครับ”

   ต่อให้ไม่ได้หยิบเงินมาตามที่คุณแม่บอกพี่ธรรมก็ยังเป็นคนจ่ายทั้งหมดอยู่ดี เขาเลยไม่อยากเรื่องมากสักเท่าไหร่เลยปล่อยตามเลย เข้าใจเลยที่พี่ฟีนบอกว่าชอบมาหาพี่ธรรมเพราะจะไม่มีเวลาให้ท้องว่าง นี่ขนาดว่าเพิ่งมาไม่เท่าไหร่ก็ได้ของกินจำนวนไม่น้อยแล้ว

   ฟังรายการอาหารที่สั่งไปไม่มีการหยุดคิดเพื่อตัดสินใจอย่างกับว่าเป็นอาหารมื้อเช้าในทุกวันอยู่แล้ว แถมยังมีการเอ่ยขำขันขอของแถมจากพนักงานอีกต่างหาก ถึงว่าทำไมถึงตีสนิทกับเจ้าของร้านกาแฟตรงใต้ตึกของคณะได้รวดเร็วปานนั้น มีประสบการณ์ตรงนี่เอง

   ได้ของที่ต้องการแล้วโดยที่มีผู้ชายสูงวัยคล้ายกับเหล่าเจ้าของร้านหรือไม่ก็คนดูแลร้านเตือนความจำมาว่าอย่าลืมกลับไปบอกให้แม่พี่ธรรมส่งรายการอาหารที่จะสั่งมาด้วย

   สินค้าที่ขายสองข้างทางไม่ใช่อะไรที่เขาจะซื้อกลับไปทำอาหารทานเองหรือว่าฝากคนที่บ้าน มันก็เลยเป็นการเดินทอดน่องสำรวจเสียมากกว่า เขาเพิ่งรู้ว่ามันมีวัตถุดิบสำหรับการปรุงที่หลากหลายขนาดนี้ รวมถึงขนมสำหรับไหว้ในเทศกาลต่างๆ ของชาวจีนด้วย

   เพิ่งเดินผ่านร้านที่ขายชาแห้งใส่ถุงกระสอบใสวางเรียงกันจนเต็มหน้าร้านแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ คือมันมีตั้งแต่แบบที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านไปจนถึงแบบชาดอกไม้ที่มัดมาเป็นก้อน แล้วมันก็ยังมีแบ่งยิบย่อยจนเขาต้องหยุดเพื่ออ่านรายละเอียดที่เขียนเอาไว้
   
   “อย่างนี้จะรู้ได้ยังไงครับว่าใครชอบแบบไหน”

   “ก็ลองไปเรื่อย พี่อยากกินแบบไหนก็เดินไปบอกอาแปะร้านข้างๆ แล้วก็ตักมาลอง”

   “แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”

   คิดภาพออกเลยที่บอกว่าเดินไปหยิบมาหน้าตายน่ะ คือบอกเลยว่าหมดมาดความเป็นประธานที่องค์การสุดแสนจะเกรงใจ

   “ได้ ฟีนแม่งขโมยกลับไปตลอดอะ ไม่ต้องคิดมาก”

   อยากจะบ้าตายเหลือเกิน เรื่องอย่างนี้นี่สามารถพูดออกมาได้หน้าตาเฉยเลยเหรอ แล้วพี่ฟีนนี่สรุปแล้วมาเพื่อของฟรีจริงๆ ใช่ไหมนะ ไม่เห็นจะมีตอนไหนที่พี่ธรรมหยุดพูดเรื่องของกินเลย

   “เขยิบไปอีกฝั่ง ร้านนั้นไม่ถูกกับแม่พี่”

   “อันนี้ลูกเขาเคยได้เกรดน้อยกว่าพี่ตอนเรียนม. สี่ จากนั้นคือไม่คุยกันอีกเลย”

   “เออ เดี๋ยวบอกม๊าให้โกว ไม่ลืมๆ”

   ถึงจะไม่ใช่การเล่าที่ต่อเนื่องจนเป็นเนื้อเดียวกันแต่มันก็ยังดีกว่าช่วงแรกที่แทบจะไม่มีเสียงใดหลุดออกจากบ้าน ตุลเป็นฝ่ายเงียบแล้วรอถามในบางส่วนที่เขาอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าไม่มีตรงไหนที่สนใจถึงขั้นอยากจะรู้ให้ได้ก็ปล่อยให้พี่ธรรมเล่าตามใจไปเรื่อยเปื่อย

   สัทธาโตมากับสถานที่แห่งนี้สินะ

   เดินมาจนถึงหน้าซอยที่ออกมากับพี่ฟีนตั้งแต่ทีแรก ปริมาณของรถราและผู้คนที่เขากะด้วยสายตาแล้วนอกจากจะไม่น้อยลงมันเหมือนจะเพิ่มเติมตามช่วงเวลาที่คล้อยเย็นลงไปเรื่อยๆ ถ้าเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในถนนเส้นนี้รับรองว่าต้องบอกที่บ้านว่าย้ายสถานเดียว

   “อยากกินขนมปังที่ต่อคิวยาวๆ ไหม แต่พี่เฉยๆ นะ”

   “ผมไม่มีความอดทนที่จะรอคิวขนาดนั้นหรอกครับ”

   “งั้นอยากกินอะไร จะได้พาไปถูก”

   บทจะโยนมาให้ตัดสินใจทันทีนี่เมื่อไหร่จะเลิกทำ เขาไม่ได้เป็นคนที่มีปฏิกิริยาตอบรับฉบับพลันแบบที่ถามอะไรมาก็ตอบได้เลยสักหน่อย มันก็ต้องขอเวลาในการคิดและตัดสินใจบ้างสิ

   “เอาที่พี่ธรรมคิดว่าโอเคแล้วกันครับ ผมได้หมดล่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวแวะซื้อน้ำปั่นแล้วไปกินบะหมี่ปูกัน”

   ร้านน้ำปั่นของพี่ธรรมอยู่ไม่ไกลจากจุดข้ามทางม้าลายหน้าถนน หลังจากที่เขาต้องใช้สกิลในการเดินผ่าฝูงจนโดยไม่หลงกับคนนำทางมาได้แล้วก็ต้องมาหาที่ยืนที่ดูแล้วไม่รบกวนทางเดินอีก ย้ำอีกครั้งว่าเขาพูดจริงนะที่บอกว่าไม่มีทางอาศัยอยู่ละแวกนี้ได้แน่นอน

   ทุกอย่างเป็นธรรมชาติจนสัมผัสได้ว่ามันคือกิจวัตรปกติของสัทธา ตั้งแต่การหยิบเอากระดาษมาเขียนรายการที่สั่งแล้วก็มีการย้ำกับคนรับออเดอร์ว่าขอแบบไม่หวานจนเกินไป

   “ลองอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าบ้าง เผือกปั่นนี่เมนูเด็ดเลยนะ”

   ระมัดระวังไม่ให้หลุดมาดรุ่นน้องที่ไม่กล้าหืออือ ก็คือเจ้าตัวน่ะสั่งน้ำที่บอกว่าเป็นเมนูเด็ดให้เขาแต่ตัวเองน่ะเลือกยาคูลย์ปีโป้ปั่นที่มีการเน้นว่าขอเพิ่มพิเศษปีโป้

   รับเอาน้ำปั่นในถุงพลาสติกที่ใช้เชือกฟางมัดแทนหูหิ้วมาถือเอาไว้เก้กัง ยกมันขึ้นในระดับสายตาเพื่อวิเคราะห์ความแน่นหนาสำหรับรองรับน้ำหนัก ก็ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าไหร่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยปล่อยเลยตามเลย รสชาติแรกรับสัมผัสคือความหวานจากธรรมชาติของเผือกที่ไม่คุ้นเคย

   “ที่จริงในซอยนั้นก็สำเพ็ง เคยมาเดินไหม”

   “เหมือนจะเคยมาซื้อของทำงานกีฬาสีกับเพื่อนนะครับ แต่ว่าก็นานล่ะ”

   “ก็ยังวุ่นวายแบบเดิมแหละ แต่เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน”

   “แล้วที่ร้านบะหมี่อยู่ตรงไหนเหรอครับ”

   “เดี๋ยวเดินจนถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปล็อกนึงก็เจอแล้ว”

   รับฟังเรื่องราวครั้งยังเยาว์วัยไม่ขัดจังหวะ ซูฮกคนที่ต้องนั่งรถเมลกลับบ้านทุกวันหลังเลิกเรียนสมัยมัธยม ยิ่งช่วงเทศกาลคือแทบจะเป็นบ้าตาย มีการบอกด้วยนะว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยได้หยุดเรียนในวันตรุษจีนเลยเพราะแม่บอกว่ามันไม่จำเป็น ตั้งใจเรียนไปเถอะ

   แม้กระทั่งตอนที่เดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวพี่ธรรมก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจได้เช่นเดิม มีอย่างที่ไหนพอสั่งแล้วต้องบอกคนขายว่าไม่ต้องแถมเกี๊ยวพิเศษมาให้ ถึงจะกำชับเอาไว้เสียดิบดีปริมาณอาหารในชามตรงหน้าเขามันก็ยังเยอะจนเกือบทานไม่หมดอยู่ดี

   แน่นอนว่าในมื้อนี้เขาก็ยังไม่ต้องหยิบกระเป๋าเงินตัวเอง เจ้าถิ่นได้ทำการจ่ายเงินในราคาสั่งแบบพิเศษแล้วจบลงด้วยการถูกเจ้าของร้านยื่นเงินกลับมาพร้อมคำขู่ว่าจะรับกลับไปโดยดีหรือว่าให้เอากลับไปให้แม่ถึงบ้าน พอมาถึงบ้านแล้วนอกจากของทานเล่นที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วแม่ของพี่ธรรมยังมีเตรียมของฝากเอาไว้แล้วอีกต่างหาก

   แย่ที่สุด

   เจออย่างนี้เข้าไปใครมันจะไปหยุดชอบได้ล่ะ


***

   กลับมาจากหนีเที่ยวแล้วค่ะ (ยิ้ม) ให้เป็นตอนพักเบรกก่อนที่จะหนักไปยาวๆ เลยแล้วกันนะคะ
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบเจ็ด


   ช่องแรกกรอกอีเมลนักศึกษา

   ช่องที่สองเป็นรหัสผ่านแปดหลัก

   แต่ก็ยังล็อกอินไม่ได้อยู่ดี

   “พี่ธรรมแน่ใจนะครับว่าให้พาสเวิร์ดผมมาไม่ผิด”

   “ไม่ ก็จดเอาไว้อย่างนี้” ยืนยันเสียงหนักแน่นพลางเปิดโน้ตในโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ ไฟล์ขนาดเล็กรวบรวมชื่อบัญชีและพาสเวิร์ดใต้การใช้งานของนายสัทธาเอาไว้จนครบถ้วน “หรือว่าต้องใส่ตัวแรกตัวใหญ่”

   “ลองทั้งสองแบบแล้วครับ”

   “อีกรอบหน่อย”

   ทิ้งทั้งตัวพิงพนักนวมไม่คิดจะปิดความไม่พอใจข้างใน “พี่ลองใส่เองไหมครับ ผมยอมแพ้แล้ว”

   “ก็ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วมันไม่ได้ไง”

   “แล้วทำไมไม่ติดต่อฝ่ายไอทีครับ”

   “ส่งอีเมลไปแล้วได้รีพลายมาว่าให้เดินไปถามที่ตึกเอง กลัวไปแล้วจะตีเจ้าหน้าที่”

   พอเข้าใจว่าตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเลยยอมกลับมานั่งตัวตรงตาจ้องไปยังโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าบนโต๊ะต่อ คราวนี้ใช้วิธีการพิมพ์ลงในโน้ตทีละตัวเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีการพิมพ์ตัวอักษรหรือว่าตัวเลขไหนผิดพลาด จากนั้นถึงค่อยคัดลอกมันไปวางไว้ในช่องที่กำหนดไว้

   หากมันก็ยังขึ้นข้อความว่ามีความผิดพลาดในการเข้าสู่บัญชีอยู่ดี

   “ไม่ได้เหมือนเดิมเลยครับ”

   “เหรอ”

   “พี่ธรรมได้ลงทะเบียนอีเมลแน่ใช่ไหมครับ”

   “ฟีนบอกทำให้แล้วตอนปีหนึ่ง”

   ชักจะปวดข้างขมับกับคนที่ยังไม่รู้สึกรู้สาแล้วกลับไปนั่งไล่อ่านเอกสารเกี่ยวกับข้อร้องเรียนชุดใหม่ที่เพิ่งมีการยื่นเอกสารเข้ามาเมื่อสามวันก่อน โน้ตบุ๊กก็ไม่ใช่ของเขา อีเมลก็ไม่ใช่ของเขา แล้วทำไมเดือนตุลาถึงต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ไม่รู้ว่าต้นตออยู่ตรงไหนให้ด้วย

   ตามจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่เวรการเฝ้าของทั้งเขาและพี่ธรรม ที่ต้องหอบร่างที่ผ่านการเรียนมายาวนานมากกว่าหกชั่วโมงมาทำงานต่อก็เพราะข้อร้องเรียนที่จู่ๆ ก็พร้อมใจกันส่งเข้ามา เมื่อก่อนนี่เดือนหนึ่งมีสามเคสก็แทบจะตื่นตระหนกกันหมดแล้ว นี่สองเคสในสัปดาห์เดียว

   นี่กลายเป็นว่ามาห้องนี้ทีไรถ้าไม่เจอพี่ธรรมก็เจอพี่มัจตลอดเลย

   แปลก

   “งั้นก็ให้พี่ฟีนทำให้สิครับ” ยิ่งพอรู้ว่าต้องมารับผิดชอบแทนพี่ที่เขาไม่อยากจะเสวนาด้วยก็อยากจะผลักภาระกลับไป “วันนี้สภาประชุมนี่”

   “ใช่ ตอนแรกก็รอมันมาทำให้นี่แหละ แต่ว่าน่าจะยังประชุมไม่เสร็จมั้ง”

   ถึงว่าพอเปิดประตูห้องตุลาการแล้วเขาถึงเห็นท่านประธานของกลุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงโซฟา มีคอมพิวเตอร์พกพาตัวเก่าที่เห็นนับครั้งได้วางเอาไว้บนตัก ทีแรกเขาก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายหรอก เป็นพี่ธรรมแหละที่เปิดหัวข้อขึ้นมาว่าเคยใช้อีเมลของมหาวิทยาลัยหรือเปล่า

   คำนวณอยู่ในหัวสักครู่จึงตอบกลับไปว่ามี เพราะว่าใช้มันในการโหลดโปรแกรมออฟฟิซที่เพิ่งให้บริการกับนักศึกษาทั้งที่มหาวิทยาลัยอื่นทำไปก่อนแล้วหลายปี นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่ใช้ได้มันทำอะไรเท่าไหร่

   “แล้วพี่ต้องใช้ทำอะไรนะครับ ส่งอีเมลหาใคร?”

   “ส่งเอกสารให้สภามหาวิทยาลัย เขาบอกว่าไม่ให้ใช้เมลส่วนตัวส่ง กำชับพี่มาประมาณสามล้านรอบได้”

   ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเพราะว่าไม่เคยเป็นประธานอย่างใครเขา ตั้งแต่วันแรกที่เคยไม่เข้าใจความไม่เมกเซ้นส์ในขั้นตอนการทำงานอย่างไรวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม

   “จะว่าไปตอนเลือกประธานปีที่แล้วเป็นยังครับ”

   รู้เพราะว่าความคึกคักที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักของชั้นสาม ปลายเจตน์เคยบอกว่ามันเป็นการประชุมครั้งเดียวที่มีคนเข้าร่วมครบเพราะว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนพวกนี้คือตำแหน่งไม่ใช่ความรับผิดชอบต่อนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยที่เลือกมา

   คุ้นเคยแต่บรรยากาศที่มีคนเข้าร่วมประชุมมากที่สุดแค่เก้าคน ก็เลยไม่รู้ว่าในห้องที่บรรจุสมาชิกสภามากกว่าห้าเท่าจะมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด จะตึงเครียดหรือว่าผ่อนคลาย จะมีใครลุกขึ้นมาประท้วงการเสนอชื่อด้วยเรื่องคุณสมบัติอย่างที่เขาเคยเจอหรือไม่

   ก็ตอนนั้นเป็นแค่เด็กปีหนึ่งล่ะนะ

   เป็นการรับน้องที่จำได้ไม่มีลืมเลยล่ะ พอมาถึงแล้วก็โดนพี่มัจลากให้ไปนั่งอยู่ข้างกันโดยที่ไม่มีการบรีฟล่วงหน้าว่าเนื้อหาในการประชุมมีอะไรบ้าง นั่งหน้าเหลอหลาตั้งแต่ตอนเริ่มประชุมแล้วเกือบจะสติแตกตอนที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งคัดค้านว่าเด็กปีหนึ่งไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการทำงาน

   โชคยังเข้าข้างเขาอยู่ก็ตรงที่พี่มัจกับพี่ธรรมช่วยกันดีเฟนส์ว่าทั้งคู่ก็ทำงานมาตั้งแต่ปีที่แล้วเหมือนกัน มันก็เลยถูกปัดตกไป ประชุมเสร็จแล้วพี่มัจก็บ่นเสียยกใหญ่เรื่องที่ตัดสินคนจากอายุ

   “น่าเบื่อ”

   “อ้าว ไม่ได้สนุกหรอกครับ”

   “มันจะเป็นแนวลุ้นว่าจะมีใครหักหลังหรือเปล่ามากกว่า” สัทธาปิดเอกสารปึกใหญ่ลง ถอดแว่นออกมาลดอาการล้าจากการอ่านใต้หลอดไฟที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพสายตา “มันสนุกตอนที่ดีลหลังประกาศผลการเลือกตั้ง แต่เราก็ต้องมั่นใจว่าคนที่บอกว่าจะลงคะแนนเสียงให้เราจะยังรักษาคำพูดในวันจริง”

   “อ้อ...”

   “แล้วพอตกลงกันหมดแล้ว วันจริงก็น่าเบื่อเพราะว่ามันจะผ่านการเสนอไปเร็วมาก ทุกคนยกมือลงคะแนนเสียงไม่แตกแถว ไม่มีการคัดค้านเพราะว่ามันถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว”

   “ไม่มีหักหลัง?”

   “มีแต่แบบว่ารู้ว่าใครเป็นพวกนกสองหัว จำพวกที่ว่าคนจากพรรคหนึ่งเสนอชื่อคนจากพรรคตรงข้ามให้ คือมันก็เห็นชัดอยู่แล้วอะนะว่ามีเบื้องหลัง”

   “ไม่มีความเกรงใจคนที่เลือกเข้ามาเลยเนอะครับ”

   “หมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ปกติ”

   “ผมนึกว่าพี่จะไม่ชอบอะไรอย่างนี้เสียอีก”

   “ทำไงได้ นี่ไงผลของการไม่ใส่ใจ สิทธิก็น้อยอยู่แล้วยังปล่อยมันไปอีก” ท่าขยับไหล่ไม่ยี่หระราวกับคนละได้แล้วซึ่งทางโลก  “ก็งดออกเสียงทุกตำแหน่งไปนั่นแหละ สบายใจ”

   “แล้วไม่รู้สึกแย่บ้างเหรอครับ”

   “นี่มันการเมือง”

   ครั้งแล้วครั้งเล่า

   ที่คำนี้มันตอกย้ำว่าสิ่งที่เดือนตุลาเชื่อว่ามันไม่มีอยู่จริง

   “แล้ว...”

   ทำไมถึงเลือกที่จะไป

   “แล้ว?”

   แล้วกลับมาเพราะอะไร

   การทวนบอกให้เขาเก็บความคิดนั้นเอาไว้ข้างในเช่นเดิม กลัวว่าจะได้คำตอบบ่ายเบี่ยงแบบเดิมหรือไม่ก็ทำให้บรรยากาศเสียไปหมดเลยปิดปาก กับคนที่ไม่เคยเดาใจได้อย่างนั้นน่ะไม่พยายามเข้าข้างตัวเองดีที่สุด ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าทุกเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร

   ในเสี้ยววินาทีมันมีเพียงหนึ่งตัวเลือก “อยู่ที่นู่นได้ทำงานอะไรบ้างครับ”

   “ก็มีร่างระเบียบนักศึกษา น่าจะได้อ่านแล้วมั้ง ก็คงใช้เวลาร่างนานด้วยแล้วก็ไม่ถูกใจพวกนั้นด้วย ที่ฟีนมันบ่นอยู่ทุกวันนี้เป็นเวอร์ชันของพวกผู้ใหญ่”

   ดูท่าว่าจะเป็นร่างที่สำคัญจริงถึงลากยาวมาจนถึงตอนนี้ อดคิดถึงเหล่า ‘เรื่องเล่า’ ทั้งหมดที่ได้ยินมาไม่ได้เลยแฮะ

   “นานจังนะครับ”

   “ก็อย่างนั้นแหละ ฟีนมันอยากให้นักศึกษาเขียนเยอะกว่าเพราะว่ายังไงคนที่ต้องปฏิบัติตามก็เป็นพวกเรา”

   “อยากฟ้องฝ่ายการ กูทำได้ปะ”

   ยังไม่ทันจะฟังเรื่องเล่าต่อก็ต้องหันไปทางหน้าประตูกระจก แล้วคนนี้ไปกินรังแตนมาจากไหน เปิดปิดประตูก็เสียงดังแถมยังโยนกระเป๋าคลัชไปบนโซฟาส่งๆ แบบไม่สนใจว่ามันจะมีรอยหรือไม่

   “ตัวมึงไม่ได้ แต่ไปหาคนอื่นมาฟ้องแล้วมึงช่วยได้” คนนี้ก็ไม่เคยที่จะไม่เข้าข้างเพื่อนเลย “มีเรื่องอะไรอะ”

   “เรื่องทุนเยอรมันนั่นแหละ แม่งมาบอกว่าเอกสารที่กูส่งไปแล้วมันไม่ครบ แล้วตอนที่ให้เช็กให้บอกครบแล้วๆ”

   “อ้าว แล้วยังไง”

   “กูให้ไปรับผิดชอบเอง แต่ไม่ได้ก็ช่างแม่ง ไปเองก็ได้”

   ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เหมือนว่าที่เดาเรื่องอนาคตกันเอาไว้จะผิดจากที่คาดแฮะ

   ตอนนี้กำลังอ่านคู่มือการลงทะเบียนอีเมลนักศึกษาอยู่ก็เลยไม่เข้าไปแทรก แล้วถ้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่อย่างนี้ก็ไม่อยากจะเข้าไปเสี่ยงเท่าไหร่ ไว้ให้กลับมาร่าเริงก่อนค่อยว่ากัน

   “แล้วของมึงอะ”

   “เขายังไม่ได้บอกอะไร ก็รอไป”

   “...”

   นั่นมันหมายถึงอะไรกันนะ ใช่อย่างที่เขาเข้าใจหรือเปล่า

   “แล้วนี่น้องตุลทำไมใช้คอมธรรมอะ”

   ช่างสังเกตเหลือเกิน “กำลังพยายามแก้เรื่องเมลมหา’ ลัยให้พี่ธรรมอยู่ครับ”

   พูดแล้วก็อ่านต่อดีกว่า เผื่อว่ามันจะช่วยให้ลืมเรื่องล่าสุดที่ทำให้ฟุ้งซ่านไปด้วย ตอนนี้เขาว่าจะลองเช็กดูว่ามันสามารถเปลี่ยนพาสเวิร์ดจากตรงนี้ได้เลยหรือไม่ แล้วมันจะได้เป็นการพิสูจน์ด้วยเลยว่าที่บอกให้พี่ฟีนช่วยสมัครให้มันเคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

   “มีปัญหาอะไรเหรอ”

   “ล็อกอินแล้วมันบอกว่าพาสเวิร์ดผิดตลอดเลยครับ” ปากเล่าส่วนมือก็พิมพ์ชื่ออีเมลเดิมอีกครั้ง กดเข้าไปยังส่วนของการแก้ไขในกรณีลืมรหัสผ่านเพื่อปฏิบัติตามขึ้นตอน “พี่ธรรม ระบบบอกว่าไม่มีชื่ออีเมลนี้”

   ไม่ต่างจากที่คิดเลยสักนิด ทิชากรน่ะเชื่อถือได้ที่ไหน

   “เหรอ งั้นสมัครใหม่ไปเลย”

   “ทำไมไม่สมัครเองครับ”

   “อยากอ่านคำฟ้องอีกรอบ คิดว่าไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณา”

   ทำอย่างกับเขาเองไม่ต้องอ่านอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ไฟล์ทั้งหมดนั้นยังนอนนิ่งอยู่ในคลาวด์ส่วนกลางของตุลาการอยู่เลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการพัฒนาเพื่อให้ทันเทคโนโลยี คือนอกจากจะมาส่งที่นี่เองแล้วก็สามารถส่งผ่านระบบออนไลน์ได้เหมือนกัน

   ก็ลดการใช้กระดาษด้วยแล้วก็เป็นการเช็กคนที่เข้ามาดาวน์โหลดไฟล์ด้วย มันจะมีการเก็บข้อมูลของคนที่เข้ามาใช้งานตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าใครที่ยังไม่เข้ามารับผิดชอบก็ค่อยไปตามจิกต่อ

   คราวนี้เลยกลับไปไล่เปิดดูช่วงแรกของคู่มือการสมัคร ทำตามทีละขั้นตอนช้าๆ ไม่เร่งรีบ พอตรงไหนที่ต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครก็เรียกให้เดินมากรอกให้หน่อย

   ไม่เดินไปเองหรอกนะบอกเลย ไม่ใช่วันสต็อปเซอร์วิสขนาดนั้น

   “จะว่าไปแล้วคิดยังไงกับสวัสดิการที่มหาวิทยาลัยให้เราบ้าง”

   “ตอนนี้กูรู้สึกว่าตัวเองเสียดายเงินค่าเทอมมาก ถ้าได้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานแค่นี้อะ”

   “ข้างในมันก็ไม่ได้ทำงานง่ายอย่างนั้นน่ามัจ เราก็รู้กัน”

   “แต่มันก็ควรจะดีกว่านี้” อันนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เห็นบ่นนั่นนี่ว่าไม่ถูกใจบางครั้งคือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวนักศึกษาที่เป็นผู้แทนหรอก เหล่าเจ้าพนักงานที่ต้องไปประสานงานด้วยแหละตัวดี พอไปคุยด้วยก็ให้สัญญาว่าจะช่วยเต็มที่เสียดิบดี จากนั้นก็ลืมไปเสียสนิท “เสียค่าเทอมไปแล้วนะ ได้แค่นี้คือไม่โอเค”

   “ไม่โอเคแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่าคิดมากเลย”

   ถ้ามาอีหรอบนี้เมื่อไหร่บอกเลยว่ายาว เดือนตุลาผู้สมัครอีเมลนักศึกษาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเลื่อนตัวโน้ตบุ๊กแสนหนักออกไปวางเยื้องทางขวาเอาไว้แทนการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่านอกจากที่ให้ช่วยแล้วเขาไม่ได้ทำการรื้อค้นข้อมูลส่วนตัวอย่างอื่นอีก และตอนนี้น่ะเรื่องที่พี่เขากำลังคุยกันมันน่าสนใจกว่า

   ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าอายุของเขาห่างกับสองคนนั้นแค่ปีเดียวแน่เหรอ ทั้งความคิดความอ่านน่ะดูมีสาระกว่ากันตั้งเยอะ อีกทั้งยังยึดมั่นในหลักการหนักแน่นไม่เคยสั่นคลอน สภาพแวดล้อมที่พวกพี่เขาโตมาเป็นแบบไหน ครอบครัว โรงเรียน หรือเพื่อนฝูง 

   สักวันหนึ่งเดือนตุลาจะเป็นเช่นนั้นได้ไหมนะ

   “พวกผู้บริหารไม่เห็นจะใส่ใจสักอย่าง อาหารแพงอยู่แล้วยังจะให้สัมปทานนั่นนี่เข้ามาอีก รถโดยสารก็อันตรายกับชีวิต หอพักก็โคตรแพง สถานที่สำหรับเล่นกีฬาก็น้อย ใช้สถานที่ข้างในมหา’ ลัยก็ยังต้องจ่ายค่าเช่า อะไรอีก อ้อ! แค่ทำให้ในมหาวิทยาลัยมีแสงสว่างเพียงพอเพื่อความปลอดภัยยังทำไม่ได้เลย”

   ไล่ลิสต์มาเสียจนเขามีคำถามว่าสรุปแล้วมีอะไรที่น่าพอใจบ้างในสายตาของพี่มัจฉ์

   “แค่เรื่องสวัสดิการพื้นฐานที่เท่าเทียมยังไม่มี โคตรห่วยแตก”

   “ไม่ชินอีกเหรอ”

   “มันไม่ควรชินไง”

   “มัจ เราอยู่ในโลกทุนนิยม”

   “แล้วมันทำให้รัฐไม่ต้องดูแลชีวิตประชาชนเหรอ”

   ให้พี่มัจฉ์เป็นฝ่ายชนะในแมตช์นี้โดยคะแนนเอกฉันท์

   ด้วยนิสัยที่ชอบฟังมากกว่าอยู่แล้วเลยไม่รู้สึกน้อยใจหรือว่าลดความสำคัญ บางครั้งก็คิดว่าตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องที่กำลังวิพากษ์ด้วยแหละเลยไม่อยากจะหน้าแตก

   แต่อย่าให้พี่มัจรู้เชียวนะ รายนั้นน่ะจะโกรธตลอดเลยว่าเขาที่เขาบอกว่าตัวเองเด็กกว่าเลยไม่อยากจะออกความเห็นมาก มันไม่ควรจะเอาอายุมาแบ่งเรื่องความเข้าใจโลกเสียหน่อย หรือเวลาที่อยากค้านอะไรในที่ประชุมก็ให้ยกมือไปเลย ในห้องประชุมทุกคนมีฐานะเป็นตุลาการนักศึกษาเท่ากัน อย่าให้ใครมาลิดรอนเสรีภาพในการพูดของเรา

   พอได้รับการสนับสนุนมากเข้าจากเด็กปีหนึ่งที่ไม่พูดอะไรในการประชุมครั้งแรกๆ ก็ปีกกล้าขาแข็ง ยิ่งมีแบกอัปดีทั้งพี่ธรรมแล้วก็พี่มัจช่วงหนึ่งนี่เขาสนุกกับการยกมือถามจะตายไป

   ต้องย้ำก่อนนะว่ามันต้องเป็นคำถามที่สร้างสรรค์ ไอ้ประเภทที่ว่าไม่สนใจศึกษาข้อมูลมาก่อนแล้วก็พูดมั่วๆ นี่ไม่เอานะ ความใส่ใจในหน้าที่ยังต้องมี

   มองไปมองมามันก็เป็นปัญหาฝังรากลึกในการศึกษาที่เราไม่ปลูกฝังให้กล้าแสดงความคิดเห็น

   “ถ้ากูทำได้นะธรรม กูจะให้มหาวิทยาลัยแจกแจงออกมาเลยว่าเงินค่าเทอมทั้งหมดมันถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง อะไรที่เป็นสวัสดิการของเรา ให้คนจ่ายได้รู้ว่าอะไรที่เป็นสิทธิพึงมี”

   “มึงก็ไปบอกฟีนให้ออกกฎสิ”

   “ระเบียบนั่นค้างมาตั้งแต่ปีที่แล้วยังไม่ได้ออก ให้กูหวังอะไรเหรอ” มันกลายเป็นว่าเอกสารที่เพื่อนตัวดีย้ำหนักหนาว่าไม่ให้บอกคนอื่นว่ามาจากไหนกลับมีคนได้อ่านมันแล้วพอสมควร  “เนี่ย แล้วมึงกับกูก็ไม่เปิดช่องให้น้องตุลแจมอีกล่ะ”

   ยกมือขึ้นมาโบกให้ไม่ต้องคิดมาก “ผมชอบฟังพวกพี่คุยกันครับ”

   “แต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดนะ”

   “ครับ?”

   “ฟังได้ แต่ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่พวกพี่พูดหรอก อยากเชื่ออะไรให้หาข้อมูลให้รอบด้านก่อน”

   “พี่บอกผมมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะครับ” อันนี้เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายจริงจังระดับสิบ พี่มัจฉ์มักจะเน้นเสมอว่าสำหรับทุกความคิดเห็นมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่อย่าไปคิดว่าหากเห็นต่างแล้วจะเป็นเรื่องผิด ขอแค่มีเหตุผลรองรับเพียงพอก็พอแล้ว “แล้วก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้นอยู่แล้ว”

   “ดีมาก”

   ความพึงพอใจแสดงออกด้วยการพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรอยยิ้ม “เดี๋ยวกลับก่อนดีกว่า อยู่ต่อกลัวจะเดินกลับไปหาฝ่ายการอีกรอบ”

   เป็นเพื่อนสนิทกันได้เพราะหัวรุนแรงพอกันแน่นอน

   “เออ กลับไปนอนให้หายหัวร้อนก่อนเถอะ”

   “ได้ ฝันดีนะน้องตุล”

   ทำหน้าปั้นยากให้กับคนที่โบกไม้โบกมือแล้วเกือบจะส่งจูบเป็นการปิดท้าย รอจนมั่นใจว่ารุ่นพี่ปีสี่ลับหายไปตรงทางลงบันไดแล้วจึงกลับมารายงานผลในฐานะช่างไอทีชั่วคราว

   “เรียบร้อยแล้วนะครับ ชื่ออีเมลกับพาสผมพิมพ์เก็บเอาไว้ตรงโน้ต”

   “ขอบใจ”

   พูดไปตั้งเยอะ ลงมือไปก็มาก ได้กลับมาแค่หนึ่งประโยคนั่นแหละ เดือนตุลาผู้ชินกับการตอบรับแสนเย็นชาแล้วก็คิดว่ากลับบ้างดีกว่า หมดตารางเวรการเฝ้าแล้วด้วย ไม่รู้ข้างล่างจะเลือกกันเสร็จเมื่อไหร่ด้วยเลยไม่อยากเสี่ยงเจอหน้าพี่ฟีน

   เก็บสัมภาระของตัวเองไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ถึงกับเสียงดังโครมครามรบกวนคนอื่น ตรวจสอบความเรียบร้อยในภาพรวมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่เผลอหลงลืมวางเอกสารที่สำคัญเอาไว้ด้านนอก เดี๋ยวมันจะมีคนที่ไม่น่าพึงประสงค์ที่เจาะจงว่าชื่อทิชากรเข้ามาป่วนจะยุ่งแน่

   ขนาดเดินถือกระเป๋าใบใหญ่อย่างนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจับสังเกตได้ เขาเลยเลิกหวังลมแล้งว่าคงได้รับความสนใจแล้วอย่างน้อยก็จะมีคำบอกลา

   “พี่ธรรม”

   แล้วเป็นฝ่ายเรียกเองเสียเลย

   “หืม”

   “ถ้าผมอยากฝันดี ผมฝันถึงพี่ได้หรือเปล่า”

   “ไม่ได้”

   แอบหงุดหงิดแว่นตากรอบเหลี่ยมปิดบังทุกอย่างเอาไว้ได้มิดชิด หรือว่าก็ควรต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าต่อให้มันมีหรือไม่มีเขาก็ไม่เคยอ่านความคิดของสัทธาออกสักครั้งอยู่แล้ว

   “เพราะมันจะเป็นฝันร้ายที่สุดเลยล่ะ”
 


   ไม่ได้เตรียมใจเลยว่าจะต้องมาเผชิญกับความโหดร้ายในระดับนี้

   เดือนตุลาทำหน้ายุ่งใส่สมุดจดที่เต็มไปด้วยร่องรอยการขีดเขียนไม่เป็นระเบียบตามแบบฉบับของคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งมั่นเอาไว้เลยว่าต้องทานข้าวเย็นให้เร็วกว่าเดิมหน่อยจะได้กลับไปทวนเนื้อหาวันนี้ก่อนที่คาบหน้าจะต่อไม่ติดยิ่งกว่าเดิม

   เป็นแค่เด็กปีหนึ่งต้องเรียนอะไรขนาดนี้เลยเหรอ

   ลาออกจากคณะทันตแพทยศาสตร์ตอนนี้ทันไหมนะ

   เก็บอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างใส่กระเป๋าผ้าดิบที่ได้จากงานปฐมนิเทศเตรียมกลับบ้าน ไม่ต้องบอกลาใครทั้งนั้นตามประสาคนที่ยังไม่มีเพื่อนสักคน กำลังคิดอยู่ว่าสามารถอยู่อย่างนี้ไปจนเรียนจบได้หรือไม่ ความเงียบอย่างนี้มันก็ไม่ได้แย่

   “พี่สัทธา?”

   ด้านนอกของห้องเรียนริมสุดของตึกในเวลาหกโมงเย็นไม่ควรจะมีใครมารอใช้ต่อ หากในเวลานี้มันมีผู้ชายสองคนที่เขาคุ้นหน้าเพียงหนึ่งกำลังยืนพิงราวระเบียงอยู่ไม่ยอมไปไหนคล้ายกำลังรอคอยการออกมาของใครบางคนอยู่

   “จำชื่อได้ด้วย”

   คนตรงหน้าคือรุ่นพี่ที่จะเรียกว่ามีพระคุณกับเขาก็ได้ ซึ่งดูจากการแต่งกายแล้วหยุดคิดแวบหนึ่งเลยว่านี่คือการแต่งตัวของเด็กมหาวิทยาลัยไม่ใช่คุณลุงแถวบ้านเหรอ ไม่สิ คุณลุงข้างบ้านเขายังแต่งตัวดีกว่านี้อีก

   “ชื่อพี่แปลก”

   “นี่เพื่อนพี่ชื่อมัจ ปีสองเหมือนกัน” ช่วงท้ายมีการยกนิ้วโป้งขึ้นมาชี้ไปทางคนข้างตัว ผู้ชายตัวเล็กที่เอาแต่ยิ้มน่ารักดูไม่เข้ากับบุคลิกของเพื่อนอีกคนเลย “แล้วน้องชื่ออะไร”

   “ตุลครับ”

   “น้องเรียนทันตะใช่ปะ ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”

   คือตอนแรกเกือบจะสวนไปแล้วว่ามาหาถึงตึกทันตะคงจะเรียนเอกปรัชญาหรอก

   “ช่วย?”

   “จำได้ใช่ไหมว่าพี่เป็นตุลาการนักศึกษา”

   พยักหน้ารับไปอย่างนั้น คือมันเป็นชื่อจะว่าเห่ยก็ใช่อยู่เลยจำได้ “ได้ครับ”

   “ปีหนึ่งยังเรียนไม่หนักหรอกเนอะ มาช่วยพี่ทำงานได้หรือเปล่า”

   “ธรรม มึงช่วยอธิบายให้น้องเข้าใจก่อนที่จะชวนได้ไหม”

   “เวลามีไม่เยอะ รีบ ส่งเอกสารได้ถึงแค่พรุ่งนี้”

   “งั้นก็รีบอธิบายมาครับ”

   สาบานเลยก็ได้ว่าไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะ ก็ถ้าปล่อยให้พวกพี่เขาเถียงกันต่อบอกเลยว่าเดี๋ยวคงโดนพี่ยามขึ้นมาไล่ แล้วถ้าจริงเถอะว่ามันไม่มีที่อื่นที่เหมาะสำหรับการคุยมากกว่าหรือยังไงกัน ทั้งมืดทั้งเงียบ คือคุยกันตรงนี้แต่เสียงสะท้อนน่าจะดังไปถึงโถงกลาง

   “จะให้ช่วยทำงานของตุลาการหน่อย นี่เอาเอกสารที่ต้องกรอกมาให้หมดล่ะ ขอแค่ชื่อนามสกุลรหัสนักศึกษาก็พอ อ้อ แล้วก็สำเนาบัตรนักศึกษาด้วย”

   ไม่เคยเฉียดเข้าไปทำงานจำพวกนี้ เข้าใจไปเองคำว่าช่วยคืองานเล็กน้อยประเภทงานเอกสารหรือไม่ก็ฝ่ายใช้แรงงาน ชั่งใจอยู่หน่อยระหว่างความสันโดษที่ตั้งใจเอาไว้กับการตอบแทนความช่วยเหลือที่พี่เขาเคยให้หยิบยื่นให้ในวันนั้น

   ไม่น่าเป็นอะไรหรอกมั้ง

   “โอเคครับ”

   เพื่อให้สะดวกต่อการลงรายละเอียดอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเดือนตุลาในฐานะเจ้าถิ่นเลยเดินนำมาทางโถงส่วนกลางที่มีบริการโต๊ะและเก้าอี้ตัวยาวเอาไว้ นั่งลงฝั่งหนึ่งแล้วให้คนที่เหลือประจันหน้าจากอีกฝั่งเอา

   อยากรู้ขึ้นมาเล็กน้อยว่าช่วยงานแค่นั้นทำไมต้องกรอกอะไรมากมายดูเป็นพิธีการ ที่บอกว่าให้เขียนแค่ชื่อนามสกุลคือเป็นเช่นนั้นจริง เขาไม่ได้สนใจที่จะอ่านรายละเอียดทั้งหมดของแบบฟอร์ม เอาเป็นว่าถ้าช่วยได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณกันด้วย 

   ให้ข้อมูลที่พี่เขาชี้จนครบแล้วส่งกลับไป พี่สัทธาไล่อ่านมันทีละบรรทัดจนเขาระแวงว่าเด็กนิตินี่ต้องสนใจภาษาขนาดนั้นเลยเหรอ

   “เดือนตุลาเหรอ งั้นพี่เรียกว่าเดือนสิบนะ”

   คลับคล้ายว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเขามันเหวี่ยงวูบยามได้ยินชื่อเรียกตัวเองจากปากของพี่คนเดิม

   เดือนสิบ

   “ชื่อเท่จัง ทำไมถึงชื่อนี้อะ”

   “เกิดเดือนนี้ครับ แม่บอกว่าคิดเอาไว้ว่าถ้าไม่ใช่เดือนตุลาก็เป็นคมตุลา” ต่อให้ยังไม่รู้ว่ามันเขียนแบบไหนก็ชมเอาไว้ก่อน “แต่ปู่กลัวว่าถ้ามีคำว่าคมในชื่อแล้วชีวิตจะมีแต่ของแหลมเข้ามาทิ่มแทง เลยได้ชื่อนี้”

   อธิบายแบบเป็นแพทเทิร์นไม่มีกั๊ก ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมาย้อนความหลังล่ะนะ

   “ชอบอะ พี่ชื่อมัจฉ์นะ เขียนอย่างนี้” พี่ตัวเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดบนหน้าจอสองสามจังหวะตามด้วยการพิมพ์ตัวอักษรที่ผสมกันแล้วเป็นชื่อจริงออกมา นี่ก็ชื่อแปลกพอกัน “ชื่อเล่นก็แค่ตัดตัวสุดท้ายออกเลย”

   “โอเค ครบแล้ว ไม่น่าจะมีอะไร ถ้าเรียบร้อยแล้วจะติดต่อไปอีกทีนะ”

   “เอาเบอร์ไหมครับ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาดักรออย่างนี้”

   ไม่อยากจะคิดเลยว่าเหล่าคนร่วมคณะที่ออกจากห้องเรียนมาก่อนเขาจะตกใจแค่ไหนที่มีคนท่าทางไม่น่าไว้วางใจมายืนทอดน่องอยู่อย่างนี้ แลกคอนแทกกันเอาไว้เลยน่าจะช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปโดยสะดวกขึ้น

   “โอเค เดือนสิบ ไว้เจอกันนะ”

   เดือนตุลาส่งยิ้มกว้างให้ทั้งสองคน

   “ฝากตัวด้วยนะครับ”

   ...

   .

   พลันภาพทั้งหมดกลับกลายเป็นความมืดมิดของรัตติกาล

   เดือนตุลารับรู้ถึงจังหวะการสูบฉีดเลือกเข้าไปข้างในหัวใจที่เร่งจังหวะขึ้นจนน่ากลัว ต่อให้อยากจะยกมือขึ้นปัดป่ายขอความช่วยเหลืออย่างไรมันก็ทำได้เพียงหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น

   ราวกับร่างกายไม่ใช่ของเขา

   หายใจไม่ออก

   ขยับไม่ได้

   กลัว

   หวาดกลัวเหลือเกิน

   “...!”

   เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้สำหรับการพักสายตาปลุกเขาให้ออกจากห้วงภวังค์แสนพรั่นพรึง

   ร่างกายผุดนั่งขึ้นโดยอัตโนมัติ ลมหายใจดังหอบถี่แข่งกับบทเพลงบรรเลงที่ยังเล่นซ้ำตามการตั้งค่า ตุลพยายามฝืนจังหวะการหายใจให้กลับมาเป็นระดับปกติ หนังสือวิชากฎหมายอาญาภาคความผิดเป็นหมอนหนุนช่วยบอกเขาว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้าบ้าง

   ฝันร้ายจริงด้วย


***
   คนใจร้ายน่ะก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คนใจร้าย! อยากรู้จริงๆอะไรทำไมถึงทิ้งน้องไป  :ling2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทสิบแปด


   ตุลาการไม่ควรเข้าไปยุ่งกับการเมือง

   แต่ดูเหมือนว่าบางคนกำลังพยายามลากมันเข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้เลย

   เอกสารที่อ่านมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ไม่น่าอภิรมย์จนต้องวางมันลง เรื่องเดิมที่ยังคาราคาซังไม่ยอมจบสิ้นพาให้เขาหัวเสียทุกครั้งที่ได้ยินไม่ว่าจากใครก็ตาม

   สัปดาห์หน้าจะเป็นการเรียกพี่ต้นหลิวเข้ามาสู่กระบวนการพิจารณาแล้วจะได้ตัดสินเรื่องความผิดและโทษ หลังจากที่คราวที่เจ้าตัวนั้นไม่ปรากฏตัวต่อที่ประชุม ปล่อยองค์คณะทั้งหมดต้องมาเสียเวลาเปล่า คราวนี้เลยต้องใช้ความสามารถพิเศษในการกดดันทั้งจากฝั่งของเพื่อนแล้วก็ฝ่ายการนักศึกษา เปรยไปว่าหากยังปฏิเสธการเข้าสู่การตรวจสอบภายในอีกก็จะระงับการขึ้นทะเบียนจบ

   คนที่มีอำนาจเหนือกว่านี่น่ากลัวเนอะ

   ละสายตาจากกองกระดาษแล้วเปลี่ยนไปต่อสายไปยังเพื่อนสนิทที่สุดในคณะ คิดว่าอย่างน้อยการที่ไม่ต้องอยู่คนเดียวมันก็น่าจะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าการจมอยู่กับเอกสารชุดเดิมๆ ประโยคซ้ำๆ ที่ไม่อยากจะอ่านอีกแล้ว เรื่องทั้งหมดมันก็รู้อยู่แล้วจะตอกย้ำเข้าไปอีกเพื่ออะไร

   ปลายเจตน์ทำให้เขาผิดหวังด้วยการบอกว่ากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กับครอบครัว นั่นแสดงว่าเขาเองต้องแกร่วอยู่รอบมหาวิทยาลัยในเย็นวันศุกร์คนเดียว

   การนัดประชุมในวันเสาร์เป็นอะไรที่โคตรจะโหดร้ายในความคิด หากทุกคนก็น่าจะทำใจกึ่งยอมจำนนไปแล้วว่าถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ไม่มีวันไหนที่ทุกคนจะว่างพร้อมกันอีกบวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้มันควรจะจบลงสักทีมันก็เลยออกมาอีหรอบนี้

   ยังไม่กล้าผ่อนความระแวงที่ยังคงเกาะติดอยู่ในทุกก้าว โดยเฉพาะกับการทำหน้าที่ขององค์คณะที่เหลือ เรื่องที่เคยเอามาคุยกันว่ามันอาจจะมีการล็อบบี้ยังคงไว้วางใจไม่ได้ เขาจะโล่งใจได้ก็ต่อเมื่อมีคนเข้าร่วมประชุมครบทั้งหมดเจ็ดคนนั่นแหละ

   เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันแชตของเฟซบุ๊กดังขึ้นแทรกเสียงเพลงที่เปิดเอาไว้อยู่แล้ว เดือนตุลาผู้ไม่ชัวร์ว่าเผลอไปกดโดนปุ่มโหมดปกติตั้งแต่เมื่อไหร่หยิบขึ้นมาตรวจสอบว่าระหว่างพี่มัจกับปลายเจตน์ใครจะเป็นคนส่งข้อความมาหา

   แชร์ไม่ได้

   ถูกบล็อกไปแล้ว

   น้องตุลก็น่าจะโดนเหมือนกันมั้ง


   ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ เขาเปิดดูรูปสามรูปที่ถูกส่งมาเป็นอันดับแรกแบบไร้คำใบ้ พอภาพที่ตอนแรกเป็นพิกเซลไม่ชัดโหลดครบแล้วเขาถึงกับเผลอหลุดร้องออกมาด้วยความสงสัย มันเป็นชื่อเฟซบุ๊กของคนเจ้าปัญหาที่เขาภาวนาให้มาปรากฏตัวในการพิจารณาสักที

   คลื่นใต้น้ำไม่เคยมีสัญญาณเตือนให้ระวังภัย หลังจากเรียนนิติมาเข้าปีที่สองนิสัยการอ่านเปลี่ยนไปจากเดิมจนสัมผัสได้ การอ่านทีละบรรทัดเชื่องช้าไม่เร่งรีบให้ข้อสรุปกับเขาว่าพี่ต้นหลิวอัปสเตตัสเรียกคะแนนสงสาร ฝืนใจอ่านตั้งนานกว่าจะครบทั้งหมดตามประสาของคนที่รำคาญความเยิ่นเย้อของภาษาที่ไม่ได้ช่วยให้การสื่อความหมายเข้าใจมากขึ้น

   โดยสรุปก็คือบอกว่าตลอดการทำงานมาเข้าปีที่สี่ในองค์คณะเขาได้รับความทุกข์ทนจากการใช้อำนาจเหนือของท่านประธานคนปัจจุบันและเพื่อน (ซึ่งมีอยู่คนเดียวก็คือพี่มัจ) มีการขัดแข้งขัดขาบ่อยครั้งเพราะว่าอิจฉา แล้วยังมีการเมนชันถึงเขาว่าเอาเด็กเส้นเข้ามาด้วย

   ในช่วงท้ายเป็นการเขียนเพื่อเรียกคะแนนสงสารว่าต่อให้ไม่อยากจะยอมรับความอยุติธรรมนี้สักนิดเดียว แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์เขาจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสัปดาห์หน้าอย่างแน่นอน

   จะว่ายังไงดีล่ะ

   ในทางทฤษฎีแล้วมันก็ไม่ใช่แต่ว่าจะปฏิเสธก็ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่ามันเป็นการใช้จังหวะที่พอดีทั้งตำแหน่งแล้วก็ตัวบุคคลดีกว่า ใครมันจะไปรู้ว่าปีที่เขาเข้ามาครั้งแรกมันจะไม่มีใครจากสายการแพทย์ส่งใบสมัครเลยสักคน คู่เพื่อนที่เห็นช่องตรงนั้นก็เลยคิดถึงเขาขึ้นมา

   น่าเสียดายที่แคปเจอร์หน้าจอมาเพียงแค่ส่วนของสเตตัสไม่มีในส่วนของคอมเมนต์ คือเขาก็อยากจะรู้แหละว่าคนอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อความทั้งหมดนั้นบ้าง จะเห็นด้วยแบบสุดลิ่มทิ่มประตูไหมนะ แล้วคนทั้งหมดมีสักกี่คนที่เคยเข้ามาสัมผัสการทำงานของตุลาการ

   ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันครับ

   ช่างจริงใจไม่เจือการประชดเลยสักนิดเดียว จากนั้นเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตในช่วงดึกของวันศุกร์ไปกับซีรีส์ทางกฎหมายบนเน็ตฟลิกซ์ ผ่านไปแล้วสองตอนก็คิดว่าจะพักสายตาเสียหน่อย ตัวเลขในวงกลมสีแดงตรงแอปแชตสีเขียวเชิญชวนให้เขาเข้าไปตรวจสอบว่ามันมีเรื่องอะไรที่ต้องอัปเดตหรือไม่

   ห้องสนทนาด้านบนสุดคือกรุปของตุลาการที่มีการเขียนเตือนว่าการประชุมในวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นเวลาเก้าโมงครึ่ง ต่อจากนั้นเป็นข้อความจากปลายเจตน์

   เห็นยัง

   กดเข้าไปอ่านไม่เร่งรีบ แพทเทิร์นของรูปภาพที่ส่งมาก่อนหน้าคือสเตตัสเดียวกับที่ได้รับจากอีกคนก่อนแล้ว เดือนตุลากดไปตามตำแหน่งต่างๆ บนหน้าจอจนได้คำที่ต้องการ

   เห็นแล้ว

   ช้าไปนะ


   ทันใดคำว่า READ ก็ปรากฏขึ้นด้านบนของตัวเลขบอกเวลาส่ง เขาที่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลเท่าไหร่นักเลยเตรียมแซวต่อว่าทำไมไม่โดนบล็อกแบบคนอื่นบ้าง

   แล้วอันนี้เห็นหรือยัง?

   “...?”

   ดูจากรูปเล็กก็รู้ว่ามันเป็นการถ่ายหน้าจอจากส่วนของคอมเมนต์ใต้โพสต์ เขาเปิดมันขึ้นเป็นภาพใหญ่พลางบ่นความด้อยประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อในใจ นี่ขนาดซื้อเน็ตแยกต่างหากแล้วยังช้าขนาดนี้เลยเหรอ

   ไล่อ่านมันจากบนลงล่าง เท่าที่เห็นก็เป็นการให้กำลังใจจากเพื่อนสู่เพื่อน ดูไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจสักอย่าง

   “...”

   คอมเมนต์รองสุดท้ายที่มาจากอดีตตุลาการนักศึกษาอีกคนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ บอกว่าตนเองเข้าใจการเลือกปฏิบัตินั้นดี มีการวิจารณ์ต่อไปว่าระบบการตรวจสอบภายในนี่มันไม่มีความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาเลยสักนิด

   ทำงานมาตั้งนานต้องออกไปก่อนถึงเพิ่งจะคิดได้หรือยังไง

   ในทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจ เพื่อให้ตุลาการไม่ถูกแทรกแซงทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติจึงไม่มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงาน ซึ่งหลักนี้ก็ถูกนำมาปรับใช้ในการทำงานของตุลาการนักศึกษาเช่นเดียวกัน เรื่องของพี่ต้นหลิวก็จะถูกตัดสินด้วยองค์คณะที่เหลือไม่ใช่ฝ่ายอื่นหรือว่าคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ

   เขาน่ะถามพี่ธรรมไปตั้งแต่ครั้งแรกที่อธิบายระบบการคานอำนาจของทั้งสามเสาแล้วว่าอย่างนี้ใครจะเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบที่พูดกันปาวๆ ว่าเป็นเรื่องภายใน ในวันนั้นนอกจากเขาจะไม่ได้คำตอบแล้วยังได้โจทย์มาเพิ่มอีกว่าให้ไปลองคิดมาว่าทำอย่างไรมันถึงจะเชื่อมั่น

   จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถแก้โจทย์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความซับซ้อนนั่นได้สักที เท่าที่อ่านตามหนังสือวิธีการอธิบายสุดแสนคลาสสิกคือการที่บอกว่าตุลาการก็ต้องยึดมั่นในกฎหมายและยืนข้างความถูกต้อง มันก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ตามมาแน่นอน

   ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันยังไม่ใช่คำตอบที่ฟังขึ้นสักเท่าไหร่

   ซึ่งในอีกไม่ถึงสัปดาห์เดือนตุลาอาจให้คำตอบนั้นกับตัวเองก็ได้ ใครจะรู้ เขาทิ้งเรื่องติดค้างเอาไว้ตรงนั้นเพื่อให้สายตาได้จับจ้องการตอบกลับจากเจ้าของโพสต์ในประเด็นที่ดูแล้วเป็นการสุมไฟกองใหม่ขึ้นมา

   “...”

   และทำได้เพียงว่าขอให้ไม่มีลมพัดโหมให้มันลุกลามไปมากกว่านี้เลย



   โทษว่าเป็นผลมาจากประโยคนั้นของพี่ต้นหลิวเลยพาให้นอนไม่เต็มอิ่มตลอดทั้งคืน เดือนตุลาลากร่างที่วิญญาณยังกลับเข้าร่างไม่ครบสะโหลสะเหลขึ้นชั้นสี่ของตึกกิจกรรมนักศึกษาในเวลาแปดโมงห้าสิบกว่านาที จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้อะไรเท่านี้

   ปลายเจตน์เคยถามเขาว่าไม่เบื่อเหรอที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเขาก็ตอบไปตามตรงว่ามันชินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว ถ้าไม่ต้องทำงานนี้ก็คงสิงอยู่แต่ในห้องอยู่ดี

   ...แต่ถ้ามาคนแรกห้องก็ยังไม่เปิดน่ะสิ

   รองเท้าผ้าใบที่แตะบันไดขั้นสุดท้ายของชั้นสี่หยุดกึก ห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดว่าต้องเดินลงไปขอกุญแจจากยามมาเปิดประตูห้องอีกรอบ ตอนแรกก็ว่าจะกลับหลังหันแล้วแต่มันดันได้ยินเสียงพูดคุยดังก้องตามทางเดินเสียก่อน

   “อืม ถึงแล้ว ...ก็อย่างที่บอกนะ อย่าคิดว่าไม่รู้”

   “...”

   “อย่ามาทวงบุญคุณ ...จะทำอะไรก็ทำไป แต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่มัจไม่ยอมแน่”

   ไม่มีทางจำเสียงนั้นไม่ได้แน่ ตุลชะโงกหน้าให้พ้นจากมุมกำแพงไปเพื่อความแน่ใจว่าตรงนั้นมีรุ่นพี่ปีสี่คณะศิลปศาสตร์ยืนอยู่ใช่หรือไม่ พอเห็นว่าเป็นพี่มัจในชุดไปรเวทสบายๆ แล้วก็ต้องมาใช้สมองในยามเช้าอีกว่าจะเดินเข้าไปเลยดีไหม ไม่อยากจะรบกวนเวลาคุยโทรศัพท์น่ะ

   หากจะยืนอยู่ตรงนี้คงได้มีสิทธิล้มลงไปแหง เขาเลยให้กำลังใจตัวเองว่าข้างในมันเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ไม่มีใครสามารถยึดครองได้ อย่าทำเหมือนบางคนที่คิดว่ามีอำนาจเหนือทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีสิทธิมาตั้งแต่แรก เดินเข้าไปเปิดประตูห้องแบบที่จงใจเว้นจังหวะให้อีกฝ่ายทันสังเกต

   “มัจทำได้ครับทิ ...ไงน้องตุล”

   “สวัสดีครับพี่มัจ”

   คนมาก่อนการวางสายทันทีโดยไม่มีแม้สักประโยคบอกลา ยังคงมารยาทดีพอที่จะไม่แอบเหลือบมองว่ามันเป็นการโทรเข้าจากใครทั้งที่ในใจนั้นอยากรู้เสียเต็มประดา

   “มาเช้าจัง”

   “พี่มัจเช้ากว่าอีกครับ”

   “จำผิดว่าเก้าโมงอะ เอาขนมปังไหม”

   ส่ายหัวไม่รับน้ำใจ “กินข้าวมาแล้วครับ”

   “เมื่อคืนนอนดึกเหรอ ทำไมดูยังไม่ตื่น”

   “ครับ ดึกไปหน่อย”

   เออออตามไปตามประสาคนไม่อยากจะคุยเยอะ เดือนตุลาวางกระเป๋าใบประจำลงบนโต๊ะส่วนกลางตัวที่ดูรกน้อยที่สุด ตั้งใจเอาไว้ว่าสักเก้าโมงสิบห้าจะเดินไปเช็กความเรียบร้อยในห้องประชุมใหญ่เสียหน่อย สงสัยต้องเปิดแอร์ให้เย็นกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อเป็นการดับคนหัวร้อนทั้งหลาย

   ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะไม่มีการเล่าเรื่องคอมเมนต์นั้นเด็ดขาด จะยอมออกความเห็นก็ต่อเมื่อพี่มัจเป็นคนเปิดประเด็นเท่านั้น

   “อ่านเอกสารเรื่องนี้เหรอ จริงๆ ไม่ต้องเครียดมากก็ได้นะ ยังไงมันก็มีความผิดอยู่แล้ว”

   ไอ้เรื่องนี้น่ะหลักฐานมัดตัวอยู่แล้ว ทั้งแชตทั้งคำสารภาพจากบุคคลที่สาม เขากำลังกลัวเรื่องอื่นต่างหาก

   “ผมกลัวเรื่องที่มีคนบอกว่าพี่ต้นหลิวพยายามจะล้มงานต่างหากครับ”

   “ถ้ามันทำอย่างนั้นคือมันโง่เต็มทน ไม่มาพวกเราก็ส่งเรื่องไม่ให้จบไปนะ” พี่เขาสามารถแสดงออกถึงท่าทีไร้กังวลทั้งที่กำลังคุยเรื่องที่เกี่ยวพันอนาคตของอีกคนหนึ่งได้อย่างไรกันนะ “สู้มารับความผิดแล้วจบดีกว่า”

   “แต่มันก็เป็นตราบาปนะครับ”

   “ทำตัวเองทั้งนั้น”

   สมาชิกคนที่สามและสี่มาถึงแล้ว หลังจากการทักทายพอเป็นพิธีทั้งคู่ก็ขอตัวไปรออยู่ในห้องประชุมเลย เขาก็เลยได้โอกาสฝากเช็กเรื่องความเรียบร้อยในภาพรวมของห้องด้วย

   “ก็จริงแหละครับ”

   “ทั้งที่ก็รู้ว่าต้องตัดสินให้เป็นกลาง ตัดสินให้ยุติธรรม ก็ยังไปหาเรื่องใส่ตัวเอียงข้างอีก”

   กลับมาบ่นเรื่องนี้อีกจนได้ ในเคสนั้นผู้ตัดสินสามคนมีพี่ต้นหลิว ตุลาการที่ถูกถอดไปล่าสุด แล้วคนสุดท้ายเป็นปีสามอีกคนที่เพิ่งเคยเข้ามาทำงานปีแรก พอมีคะแนนสองต่อหนึ่งยังไงมันก็สามารถตัดสินในแบบที่ต้องการได้ คงไม่คิดว่าหลังจากนั้นฝ่ายที่แพ้จะไปเอาข้อมูลการดีลมาได้ จากนั้นก็ระเบิดตูม วุ่นวายกันไปหมด

   แต่พูดก็พูดเถอะ เขาว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง

   ดีไม่ดีอาจจะเป็นอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้นี่แหละ

   “แล้วเป็นยังไง อีกหน่อยใครจะเชื่อคำตัดสิน?”

   “ก็นั่นน่ะสิครับ”

   “ทำอย่างกับไม่เคยเรียนตามทฤษฎีว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของฝ่ายอื่น จริงๆ ในใจพี่คิดว่าต่อให้ไม่เคยเรียนมันก็ควรจะรู้ได้จากสามัญสำนึกไหม”

   “ขี้บ่น”

   “แล้วจะทำไมล่ะธรรม”

   หันไปมองทางท่านประธานที่เดินเข้ามาในสภาพเหมือนกับว่าตื่นแล้วก็ออกจากห้องมาเลย ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าประชุมในหัวข้อที่มีความสำคัญระดับหนึ่งสักนิด

   “รำคาญหู แล้วไหนข้าวเช้ากู”

   “ไม่มี”

   “ในถุงใช่ปะ” เพื่อนรักเพื่อนร้ายที่สุดแล้วสองคนนี้ พี่มัจน่ะทำหน้าไม่เต็มใจเสียเต็มประดาแต่ก็โยนทั้งถุงขนมปังที่ชวนเขาทานก่อนหน้าไปให้อยู่ดี หรือว่าที่จริงแล้วพี่เขาแอบใส่ยาพิษเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนะ “แล้วเมื่อกี้คุยเรื่องอะไรกันอยู่”

   “คุยว่าถ้าคำตัดสินมันไม่ยุติธรรมแล้วจะแย่แค่ไหน”

   “ก็ทำให้เราต้องมาทำงานในเช้าวันเสาร์อย่างนี้ไง” มือข้างหนึ่งถือถุงบรรจุขนมปังอันใหญ่ อีกข้างคือกาแฟกระป๋องที่ถือมาตั้งแต่แรก “โคตรแย่เลย”

   “ถ้ามึงใจร้ายตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่มีอะไรแล้วธรรม”

   “กูแค่ทำตามระเบียบไหมล่ะ”

   “แล้วก็ต้องมาลำบากกู”

   “คิดว่ากูไม่ลำบากหรือไง”

   ทำตาหลุกหลิกมองซ้ายขวาอยู่คนเดียวยามจับความผิดปกติในโทนเสียงของการพูดคุยได้ ถึงพี่ทั้งสองคนจะตีกันบ่อยแต่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เคยโกรธกันจริงจัง แล้วทำไมครั้งนี้พี่มัจถึงดูใส่อารมณ์กับมัน

   “หงุดหงิดได้ แต่อย่าลงกับงาน”

   “คนอย่างกูอะธรรม”

   “มึงอะตัวดี”

   อันนี้ขอเป็นฝั่งพี่ธรรมเต็มที่ ต่อให้เคยบอกแล้วหลายครั้งเขาก็ยังจะย้ำอีกว่าพี่มัจเป็นบุคคลที่เดือนตุลาเคยสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยอมทำให้พี่เขาหัวเสียหรือว่านอตหลุดเป็นอันขาด คือถ้าเห็นว่าโวยวายน่ะคือเรื่องมันยังไม่ได้ใหญ่โต ต้องลองเงียบแล้วก็ยิ้มรับทุกอย่างสิ ขอหนีไปก่อนใครเพื่อน

   “แล้วเรื่องที่คุยเมื่อกี้ถึงไหน”

   “พูดว่าอีกหน่อยคงไม่มีใครเชื่อมั่นในคำตัดสิน”

   “แต่กูว่าแค่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อแล้ว”

   หากหนึ่งคนเป็นไฟ อีกคนก็ต้องยอมแสร้งเป็นน้ำ มันเป็นเรื่องของภาวะผู้นำและการรับมือเฉพาะหน้าที่ต่อให้เขาผ่านการฝึกฝนมามากแค่ไหนมันก็ยังทำให้เป็นธรรมชาติอย่างพี่ธรรมไม่ได้ เรื่องพวกนี้น่ะเป็นของเฉพาะตัวอย่างแท้จริง

   ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่ามันจะเอาเรื่องนี้มาอ้างได้ สำหรับเขาแล้วถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีศักยภาพเพียงพอก็ควรจะลดบทบาทลงหรือว่าหาตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ทะยานอยากไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง

   “แต่ก็อย่างว่า ตัวกฎหมายเองก็พอกันนั่นแหละ บอกว่ากฎหมายที่ให้อำนาจครอบทั้งจักรวาลชอบด้วยกฎหมายเสมอที่คือคิดอะไรอยู่ การควบคุมด้วยความกลัวมันใช่เหรอ”

   “มัจฉ์”

   “อ้อ ยังไม่รวมอันนั้นด้วยเนอะ ตีความกว้างได้สุดยอดไปเลย”

   “...”

   “ก็รู้ใช่ไหมว่ากูพูดถึงอะไรอยู่”

   “...”

   “แม่งโคตรเหมาะกับชื่อทีมของมึงเลยธรรม”

   แย้มยิ้มหยันเยาะเย้ยให้กับสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แก่ใจว่ามันหมายถึงสิ่งใด หากมันไม่เคยมีใครเอ่ยออกมาได้โดยไม่ต้องกริ่งเกรงอำนาจอื่น

   “ตรวจสอบไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้”

   “...”

   “เฮงซวยทั้งหมดนั่นแหละ จะกฎหมายหรือว่าตัวผู้ใช้กฎหมาย อ้างเข้าไปสิเคารพกฎหมายน่ะ”

   “...”

   “ทั้งที่บอกว่าเท่าเทียม แต่สุดท้ายก็ยังยกไว้ให้สูงกว่า”

   “...”

   “แล้วกดหัวประชาให้จมใต้บัลลังก์อยู่ดี”



   เดือนตุลาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่จบการประชุมอันแสนยาวนานแล้วเขาจะแวะไปห้างที่อยู่ใกล้ที่สุด หาอะไรกินเพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นก็จะไปซื้อพวกขนมหวานมาตุนเอาไว้เตรียมพร้อมสำหรับช่วงการสอบ

   ไหงถึงต้องมาใช้สมองอยู่ในร้านบอร์ดเกมต่อล่ะ

   “เหมือนพวกพี่แค่อยากได้คนแพ้เลยครับ” บ่นเสียงอ่อน มองการ์ดบนโต๊ะทั้งหมดที่กำลังโชว์ว่าเขาเป็นผู้แพ้พ่ายในเกมนี้ “ปวดหัวจัง”

   เกมแนวบลัฟไม่ใช่ที่เขาถนัด หากสำหรับสามคนที่เหลือแล้วมันคงเป็นความโปรดปรานที่ได้ใช้ความแพรวพราวเพื่อช่วงชิงตำแหน่งที่เหนือกว่า เดือนตุลาน่ะตอนที่ฟังพวกพี่เขาเล่าวิธีการเล่นคร่าวๆ ยังต้องขอให้อธิบายอีกรอบ พวกเขาก็ดูใจดีค่อยๆ ให้ความรู้ไปทีละน้อย

   ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาขย้ำเขาจนสิ้นลมหายใจหลังสัญญาณเริ่ม

   “เล่นกันสามคนไม่สนุกอะ มันจะไม่จบสักที”

   “แล้วที่พี่สามคนเปลี่ยนมาเล็งผมนี่มันสนุกเหรอครับ”

   อุตส่าห์ใจแข็งบอกปัดคำชวนของพี่มัจตั้งสามสี่ครั้ง พอไม่มีครั้งที่ห้าก็โล่งใจที่ไม่ต้องมารับมือกับการถูกตามตื๊อ ที่ไหนได้พอเดินลงมาจากตึกพร้อมพี่ทั้งสองคนก็มีรถยนต์คันคุ้นตาของพี่ฟีนจอดรอพร้อมรับ ถูกดันหลังให้ขึ้นรถมาแบบไม่ถามความสมัครใจสักคำ

   พอบ่นว่าตั้งใจจะไปซื้อของก็ได้รับคำปลอบว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปรับถึงใต้หอแล้วค่อยไปด้วยกันอีกที เท่านั้นยังไม่พอมีการเสนอว่าถ้าอย่างนั้นก็หาเรื่องไปดูหนังด้วยเลย

   สำหรับคนที่รู้จักกันดีอยู่แล้วการเล่นเกมพวกนี้น่าจะปลุกความอยากเอาชนะได้ไม่ยาก เขาน่ะอึ้งไปตั้งหลายครั้งระหว่างการเล่นเพราะว่ารายละเอียดเล็กน้อยที่เขาเชื่อว่าต่อให้รู้จักกับปลายเจตน์จนวันรับปริญญาก็ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น

   ‘ถ้ามัจหยุดคิดอย่างนี้แสดงว่าน่ากลัว’

   ‘ธรรมมันชอบโยนตัวเบ้งลงมาก่อน เอามาล่อ’

   ‘ได้ยินเสียงอืมเมื่อกี้ปะ แสดงว่าฟีนกำลังไม่พอใจกับสถานการณ์แหละ’


   มองว่ามันเป็นการหยุดคิดที่ปกติไม่มีอะไรแปลก มองว่าการลงอย่างนั้นมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่รู้สึกว่าตัวนั้นไร้ประโยชน์แล้ว และแค่คำเดียวมันไม่เห็นจะบอกอารมณ์ได้ตรงไหน

   เขากลายเป็นคนที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดรอบตัวไปเฉยเลยล่ะ

   “เราก็ต้องเล็งคนที่อ่อนแอที่สุดแหละ”

   โหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน แล้วจำเป็นแค่ไหนที่พยักหน้าเห็นด้วยกันเกือบรอบวงอย่างนั้น

   สรุปแล้วเดือนตุลามาทำอะไรที่นี่นะ

   ต่อจากนั้นพี่มัจฉ์เสนอให้เปลี่ยนไปเล่นเกมแนวอื่นที่อ่านจากวิธีการเล่นแล้วน่าสนใจดี มันไม่ใช่แค่เกมที่ต้องบริหารทรัพยากรอย่างเดียวแต่ยังต้องรู้จักวิธีการปกครองที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกด้านดำเนินไปพร้อมกัน คือเรียกได้ว่าต้องบูรณาการความรู้ทุกแขวงมารวมกัน

   ดูจากความเคยชินแล้วพวกพี่เขาคงมาเล่นด้วยกันบ่อยแหละ ถ้าจะรู้เช่นเห็นชาติแล้วเอาอีกฝ่ายมาแฉให้เขาฟังได้ตลอดเวลาอย่างนี้ พี่ธรรมจะเป็นแนวไม่พูดอะไรมากแล้วรอจัดการตอนที่จังหวะเหมาะทีเดียว พี่มัจนี่คือเหมือนว่าจะอ่านได้ง่ายสุดแต่สุดท้ายเขาก็โดนตลบหลังตลอด พี่ฟีนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยเดาการเล่นไม่ออกสักเกม

   อยากจะถามพระเจ้าว่าคิดอะไรอยู่ถึงส่งผู้ชายสามคนนี้มาเจอกัน

   “เย้ ชนะ”

   เป็นชัยชนะที่ไม่ค้านสายตาใครทั้งนั้น พี่ธรรมกับพี่ฟีนต่างปรบมือเปาะแปะให้กับสมาชิกอีกคนที่ยกมือขึ้นสูงเหนือหัวยินดีกับตำแหน่งที่ตัวเองเพิ่งได้ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจจริงจังว่าจะเรียนภาษาไปเพื่ออะไรถ้าจะมีความสามารถรอบด้านเท่านี้่

   “ทำไมมันถึงไม่มีบอร์ดเกมเกี่ยวกับกฎหมายบ้างนะครับ”

   “เพราะว่ามันคือความฉิบหายไงน้องตุล” พี่ฟีนตอบคนแรกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   “สร้างความสงบที่ได้ความแตกแยกมาแทน” ตามมาด้วยคุณสัทธาที่ไม่เคยปิดปากได้สนิทเมื่อหัวข้อที่สนทนามันเกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียนรู้มาตลอดสี่ปี “ดีจริงๆ”

   “แต่คนที่มีอำนาจในการออกกฎหมายนี่น่ากลัวจริงนะมึง” จบที่คำรำพันพลางถอนหายใจเหนื่อล้าของพี่มัจ “เพราะเมื่อไหร่ที่พวกเขาสามารถอ้างว่าตัวเองเป็นผู้มีสิทธิออกกฎหมายเพื่อสร้างความชอบธรรมของมันได้ ทุกอย่างคือดูไร้ค่าไปเลย”

   “บอกแล้วให้ปลงแบบกู”

   “ก็อยากจะทำให้ได้อยู่ไหมล่ะธรรม”

   “เริ่มเวิ่นล่ะ ออกไปสูบบุหรี่กับกูไป”

   “กูไม่สูบ”

   “เออน่า เดือนสิบดูแลฟีนด้วย”

   แล้วก็ลากคอเอาคนตัวเล็กสุดในวงออกไปด้วยเสียอย่างนั้น พี่มัจขัดขืนอยู่ในจังหวะแรกแล้วเปลี่ยนไปเป็นเดินไปบ่นไปไม่มีหยุด เขาหันกลับมาเก็บอุปกรณ์ประกอบการเล่นให้มันกลับไปอยู่ในกล่องเช่นเดิม เมินคำสั่งที่บอกว่าให้ดูแลพี่ปีสี่อีกคนไปเสีย

   คนอย่างนี้ดูแลไปก็กลับมาแว้งกลับอย่างเดียว

   “คิดไว้แล้วหรือยังว่าปีหน้าจะทำอะไรต่อ”

   “ก็ลงเรียนในรายวิชาบังคับแหละครับ คงไปลงวิชาออกแบบไม่ได้”

   เล่าออกไปโดยลงรายละเอียดน้อยที่สุด นับตั้งแต่วันนั้นมาแล้วตุลสงบปากสงบคำให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้เวลาอยู่กับรุ่นพี่คนนี้ จะว่าไม่ถูกจริตกับแครักเตอร์อย่างนั้นก็ใช่อยู่ เขาน่ะไม่ชอบคนที่ให้ความรู้สึกเป็นนักการเมืองแต่กำเนิดอย่างนี้เลยให้ตาย เหมือนมีภาพจำไปแล้วว่าคนพวกนี้น่ะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้ประโยชน์ทั้งหมดมันเข้าตัว

   วิเคราะห์เอาเองว่าที่พี่เขาเลือกไปทำงานฝั่งสภาแทนที่จะอยู่กับตุลาการเพราะว่าไม่อยากจะต้องมาแข่งกับเพื่อนตัวเอง แถมยังมีอัตราส่วนของการแข่งสูงอีกต่างหาก แล้วที่ไม่ไปอยู่ฝั่งองค์การนักศึกษาก็เพราะว่ามันต้องลงมือลงแรงมากจนไม่คุ้ม

   ไม่เคยปฏิเสธว่าทิชากรเป็นคนเก่งแบบหาตัวจับยากสำหรับเด็กในวัยเดียวกัน ทั้งเรื่องบุคลิก คอนเนชัน แล้วยังมีหน้าตาเข้าไปประกอบอีก

   ส่วนเรื่องนิสัยขอละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน

   “เหรอ แล้วเรื่องกิจกรรมล่ะ จะอยู่ตุลาการต่อหรือว่าคิดจะย้ายไปไหนไหม”

   “พี่ฟีนจะคุยอะไรก็บอกมาเถอะครับ”

   ถ้าต้องการยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งการเมืองจะทำตัวเป็นมนุษย์จำพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวคงไม่ได้ เดือนตุลายังจำได้ดีว่าในวันก่อนนั้นพี่ฟีนเคยเปรยเอาไว้แล้วว่าอยากจะคุยกับเขาเกี่ยวกับบางเรื่อง ตอนที่ไปเยี่ยมพี่ธรรมก็เหมือนจะหาโอกาสคุยแต่ว่าก็ไม่สบช่อง

   มุมปากคนฝั่งตรงข้ามขยับขึ้นเล็กน้อย

   “รู้ใช่ไหมว่าสภากำลังทำร่างระเบียบนักศึกษาอยู่”

   จะทวนในสิ่งที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วทำไม “ครับ”

   “ตอนนี้มันมีสองเวอร์ชัน คือแบบที่พวกพี่ร่างกันมาตั้งแต่ปีที่แล้วกับแบบที่พวกผู้ใหญ่เขาเขียนมาให้”

   อันนี้ก็ทราบเป็นอย่างดีเช่นกัน

   “แล้วยังไงครับ”

   “มันค้างยังไม่ประกาศใช้สักทีเพราะว่าพี่อยากได้แบบแรก แต่ตอนนี้เหมือนพวกนั้นอยากได้แบบสอง แล้วพี่อยากให้ร่างมันเสร็จในปีหน้า”

   เข้าใจได้ว่ามันผ่านมานานเกินไปแล้ว จะเรียกว่าช่างยึดติดหรือว่ามีความรับผิดชอบดีนะ ทั้งที่อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้วแท้ๆ

   “ผมก็ภาวนาให้มันจบนะครับ”

   “คือเรื่องในสภาพี่จัดการเองได้ แค่อยากมั่นใจว่ามันจะไม่ไปมีปัญหากับฝ่ายอื่นเหมือนกัน” ควบคุมสีหน้าที่ชักจะตึงมากขึ้นทุกคำบอกเล่า “มันมีโอกาสที่ถ้าพี่ยืนยันจะเอาร่างแบบของพี่ พวกเขาจะฟ้องเข้าตุลาการให้พิจารณาหยุดการอนุมัติ”

   หัวข้อที่เคยปรามาสว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือโคมลอยไม่น่าใส่ใจวันนี้กลับกลายเป็นว่ามันเกิดขึ้นจริง

   “แล้วถ้าไม่นับธรรมกับมัจตอนนี้คนที่มีอายุการทำงานมากที่สุดคือน้องตุล ต่อให้อยู่ปีสามก็เถอะ”

   “ขอแบบเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับพี่ฟีน” เหนื่อยเต็มทนแล้วกับการที่ต้องมาฟังเรื่องอ้อมโลกทั้งที่จุดประสงค์มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรก “ไม่ต้องอ้อมแล้ว”

  “น้องตุลเป็นประธานตุลาการปีหน้าให้พี่ได้ไหม”

   เดือนตุลามั่นใจว่าตนเองได้ยินทุกคำชัดเจนไม่มีผิดพลาดหรือคำเพี้ยน

   “พี่จัดการที่เหลือทั้งหมดให้เอง เหลือแค่น้องตุลตกลงก็พอ”

   ตามองตรงไม่ละหรือหลบสายตาไปทางอื่น แย้มยิ้มที่ยังเป็นเครื่องประดับประจำตัวของทิชากรยังคงประทับอยู่เช่นนั้นแม้ว่าเนื้อหาในการพูดคุยของเรามันจะไม่ได้เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย ในหัวเต็มไปด้วยข้อสงสัยร้อยแปดพันเก้า มันเป็นคำถามที่เขาไม่กล้าคาดเดาเลยว่ามันมีเบื้องหลังแค่นั้นจริงหรือไม่

   “ไม่ครับ”

   ยืนกรานในอุดมการณ์ที่ยึดถือ เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นทั้งที่เขาเพิ่งดิสคัสกับพี่ที่เหลืออีกสองคนไปเองเรื่องเกี่ยวกับคำพิพากษา ถ้าการได้มาของตุลาการไม่โปร่งใสแล้วใครจะไปเชื่อล่ะ

   “ยังไม่ต้องรีบตอบขนาดนี้ก็ได้ ยังเหลือเวลาเยอะแยะ”

   “พี่...”

   “แต่อยากให้ตกลงนะ” เสียงที่ล่อลวงอยู่มันน่าระแวงจนเขาไม่กล้ากลืนน้ำลายลงคอ “เพราะสุดท้ายน้องตุลจะขอบคุณพี่ เชื่อสิ”


***

   ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนก็ต้องได้เขียนแหละเนอะคะ (ยิ้ม) เจ้าอยากให้เรื่องนี้ได้เปลี่ยนโลเคชันบ้างนะคะ แต่ว่าคนพวกนี้เขาก็ทำงานนี่นา จะให้ไปที่ไหนได้ล่ะ
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
*Warning: Drug and abuse*


บทสิบเก้า


   จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนแรกที่แนะนำวิธีนี้ให้ แต่เขาก็คิดถูกที่ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเอาไว้ให้ต่ำกว่าปกติสองระดับเพื่อรับมือกับความแปรปรวนด้านอารมณ์ของทุกคน ขยับช่วงไหล่เล็กน้อยพอให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวก่อนที่ไม่รู้ว่าจังหวะไหนจะต้องนั่งตัวตรงห้ามหลุกหลิกไปทางอื่น

   ความอึมครึมภายหลังจากการแจ้งเริ่มต้นการพิจารณาไม่เคยเป็นบรรยากาศที่รับมือได้ง่ายเลยสักครั้ง เขาลอบมองความคุ้นเคยที่ไม่เคยคุ้นรอบห้องแทนการสนใจบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหน้าสุดตรงกลางที่ยังคงไม่เปิดปากสักครั้ง

   สัทธานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ที่เขายังคงยืนยันเสมอว่ามันเหมาะกับผู้ชายคนนี้ที่สุดแล้ว คาดคะเนไม่ได้เลยว่าระดับอารมณ์มันคงที่หรือว่าปั่นป่วนแค่ไหน ตั้งแต่เจอหน้าในห้องทำงานก็ทำหน้านิ่งจนไม่กล้าเข้าไปทักทายสักคำ เห็นอย่างนี้ถ้าเป็นเรื่องงานแล้วต้องทำเต็มที่เสมอล่ะนะ

   “รบกวนช่วยให้ความร่วมมือด้วยครับ”

   ช่างเป็นภาพแสนพิกล ในเวลาไม่ถึงครึ่งปีที่แล้วอดีตคนที่ได้นั่งบนโต๊ะตัวใหญ่สุดตรงกลางกลับกลายเป็นต้องมาอยู่ฝั่งตรงข้าม จากผู้ตัดสินแปรเปลี่ยนเป็นผู้ที่ต้องดุษณีต่อมัน

   เดือนตุลาเชื่อที่พี่มัจบอกว่ายังไงงานนี้พี่ต้นหลิวก็ไม่ยอมเลี่ยงการเข้าร่วมพิจารณาคดีแน่นอน ผู้ถูกกล่าวหาแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ด้วยการโพสต์สเตตัสต่อเนื่องจนถึงเช้าวันนี้ หากทั้งหมดมันก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ที่สามารถเอามาหักลบข้อกล่าวหาได้เลย

   พยายามไม่คิดมากเรื่องที่สเตตัสทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เขียนว่ามันมีเบื้องหลังเรื่องผลประโยชน์ในการเข้ารับตำแหน่ง ช่วงหลังนี่เหมือนว่าเป็นการลากเรื่องอะไรออกมาเขียนก็ได้ทั้งที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

   ปลายเจตน์ถึงกับส่งมาบอกว่าตั้งค่าให้ไม่เห็นโพสต์ไปแล้ว ถ้าอยากจะให้อัปเดตอะไรก็บอกเดี๋ยวจะเข้าไปส่องให้

   เริ่มประชุมห้าโมงครึ่งก็มาห้าโมงยี่สิบเก้า ทำคอตั้งหลังตรงเดินอาดไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวกลางแถวหน้าสุดที่คนทำงานรู้กันดีว่ามันคือที่ตำแหน่งสำหรับผู้ถูกกล่าวหา ไม่มีการทักทายอื่นคนร่วมงานสักคนเดียว

   ข้อดีของมันก็คือเราสามารถเริ่มการพิจารณาได้ตรงตามตารางเวลาที่วางเอาไว้ ส่วนข้อเสียของมันคือไม่รู้ว่าจะต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน

   คนอื่นก็ทำได้แค่รอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสแก้ต่าง เป็นได้แค่ตัวประดับในห้องนี้กันทั้งนั้น เริ่มคิดว่าที่มันทำให้คนอื่นเสียเวลาโดยไม่ใช่เรื่องแล้วนะ เขาอยากจะกลับห้องไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกลางภาคมากกว่าที่จะต้องมานั่งหายใจเข้าออกในห้องนี้

   “ด้วยความเคารพครับท่านสัทธา ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา”

   พออ่านรายละเอียดของการพิจารณาในแต่ละส่วนก็เข้าอีหรอบนี้ มันมีสองสามเรื่องที่ต้องพิจารณาโดยมีเรื่องใหญ่คือการใช้อำนาจในทางมิชอบ แค่นั้นก็หนักแล้ว ยังไม่รวมกับเรื่องที่ว่าไปเอี่ยวกับฝั่งสภาอีก

   “คือพูดกันตามตรงนะเลิกเรียกผมว่าท่านสักที ผมไม่ได้สูงส่งกว่าใคร”

   “มันคือการให้เกียรติท่านประธานครับ”

   “...แต่ไม่ให้เกียรติตัวเองเลยสักนิด”

   เสียงกระซิบกระซาบที่ตุลได้ยินชัดเจนหากไม่มั่นใจว่ามันจะส่งไปถึงคนที่นั่งอยู่ถัดออกไปสองแถวได้หรือไม่ พี่มัจนี่ก็ไม่เคยคิดจะลดราวาศอกกันเลยสักครั้ง

   “หยุดลดทอนความเป็นมนุษย์ เลิกคิดว่าตัวเองสูงกว่าได้แล้ว เราไม่ได้สูงกว่าใคร”

   ใช่ เราไม่ได้สูงกว่าใคร

   หลังจากนั้นมันก็ไม่มีคำให้การที่เป็นประโยชน์ เลยต้องสั่งพักครึ่งที่ไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ เดือนตุลาวางปากกาหมึกซึมในมือลงกับโต๊ะพลางนึกว่าพรุ่งนี้เขามีเรียนคลาสกี่โมงบ้าง ถ้าได้นอนคืนนี้เต็มที่มันจะเยี่ยมยอดมากเลยล่ะ

   “เป็นไง เหนื่อยไหม”

   “ง่วงมากกว่าครับ” วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้คนที่รู้จักกันมานานเป็นคนฆ่ากันเองดีกว่า “พี่มัจว่ามีอะไรที่ช่วยให้ตาสว่างได้บ้าง”

   “เจอธรรมสอนไปอย่างนั้นยังไม่สว่างบ้างเหรอ” คนเราสามารถหัวเราะถูกใจให้กับเรื่องพวกนี้ได้คงมีแต่พี่มัจ ตัวเขาเองน่าจะสยองขวัญไม่ต่างกับคนอื่น “แต่มันเกือบหลุดอยู่นะวันนี้อะ”

   “เหรอครับ”

   ถึงจะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้อยู่ในการพิจารณาภายใน พี่ธรรมก็ไม่เคยมีอากาศ ‘คุมไม่ได้’ เลย

   “อืม ไปสะกิดโดนตรงที่มันไม่ชอบแล้วแหละมั้ง เรื่องคำพูดที่มันบ่นมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว”

   “ที่ชอบทำเหมือนกับว่าตุลาการเป็นพวกที่มีศักดิ์สูงกว่าใช่ไหมครับ”

   “อือ เอาจริงแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หลายคนจะยกตนให้เป็นอย่างนั้น”

   “ครับ?”

   “ได้โปรดอนุญาต...ขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง...ควรไม่ควรแล้วแต่ละโปรด”

   รำพันในถ้อยคำที่เขาเคยได้ยินผ่านหูและเห็นผ่านตา แต่ละคำคือสิ่งที่ถูกกำหนดว่า ‘ต้อง’ ระบุลงในคำร้อง

   “ยิ่งใหญ่จังเนอะ สูงส่งจนไม่เห็นรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของคนที่เท่ากันเลย” นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้จับจ้องไปที่ใครหรือสิ่งใด ราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดที่เขาไม่เคยนิยามความล้ำลึกได้ “ไม่เห็นเลยสักนิด...”

   พี่มัจในโหมดคนปลงโลกเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขาว่าคนๆ นี้คนเคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง ทำไมคนที่อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าถึงได้หมดศรัทธากับสิ่งที่เรียกว่าการเมืองและสังคมได้เท่านี้ รวมถึงความย้อนแย้งที่ว่าหากไม่มีความเชื่อมั่นในระบบแล้วจะมาทำงานตรงนี้เพื่ออะไร

   เพื่อความสนุกอย่างนั้นจริงเหรอ

   ต่อให้ไม่ได้สืบทราบไปถึงขั้นว่าฐานะครอบครัวเป็นอย่างไร ผ่านการศึกษาแบบไหนมา ไลฟ์สไตล์ของพี่มัจมันก็แสดงออกให้เห็นอยู่แล้วว่าพี่เขาน่ะไม่ใช่พวกที่ถูกคนรอบข้างฝังหัวมาว่าต้องเรียนให้ดีแล้วชีวิตจะสบายอย่างแน่นอน ก็เลยสะกิดใจอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมพี่เขาถึงชอบพูดเรื่องความเท่าเทียมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “มันมีปัญหาขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ก็รู้สึกว่าประเทศอื่นยังใช้คำว่า Dear Honor ได้เลย

   “คนอื่นไม่รู้แต่สำหรับพี่มันมีนะ ตัวอักษรพวกนั้นสะท้อนว่าคนพวกนั้นมองตัวเองแบบไหน มองว่าตัวเองสัมพันธ์กับใคร”

   ส่วนท้ายของการเล่ามีการยกมือขึ้นมาทำเป็นตัววีที่หักงอลง ความรังเกียจเผยชัดผ่านทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

   “บางคนน่ะ ถึงกับให้คำพิพากษามันแตะต้องไม่ได้ด้วยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ ไปดูสิ ว่ามันเป็นการเขียนว่าตัดสิน ‘ใน’ อะไร”

   ใช้มันเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ตัวกฎหมาย...หรืออาจจะถึงกับเป็นการลามไปถึงการสร้างความชอบธรรมให้ตัวผู้ตัดสินในแบบที่ไม่ถูกต้อง

   “กฎหมายไม่ควรผูกกับบางอย่างเอาไว้”

   “มันก็แค่คำไม่ใช่เหรอครับ”

   “ก็ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เอาออกไปเลยล่ะ การที่ยังยึดมันเอาไว้อยู่ก็หมายความว่ายังต้องการใช้ประโยชน์จากมันใช่หรือเปล่า แล้วที่ผ่านมาพี่ว่าพวกเขาก็ยังทำอย่างนั้นกันอยู่นะ”

   ความคิดเห็นของเขาในเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกับพี่มัจฉ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เริ่มเรียนกฎหมายมาเขาไม่ได้รู้สึกว่าการปกครองด้วยกฎหมายเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมารองรับขนาดนั้น อย่างพวกนักคิดเองก็มีตั้งแต่ที่ให้ความเห็นว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีจริง บางส่วนก็บอกว่ามีจริง

   ยังไม่รวมกับที่ทฤษฎีของแต่ละคนก็มีความเห็นเกี่ยวกับมนุษย์แตกต่างกันไปอีกนะ บางคนก็บอกว่ามนุษย์เป็นสีขาว แต่บางคนก็บอกว่าเป็นสีดำ สรุปแล้วก็คือว่าในโลกนี้มีทฤษฎีเกี่ยวกับกฎหมายและความยุติธรรมที่แตกต่างจนบอกไม่ได้ว่าของใครที่ดีที่สุด

   “เกลียด เกลียดไปหมดแหละ เหมือนอย่างที่ต้นหลิวมันเอาแต่เรียกว่า ‘ท่าน’ ก็เหมือนกัน ถามจริงเถอะว่าจะเรียกอย่างนั้นไปทำไม แบ่งแยกชนชั้นเหรอ อาชีพอื่นเขาไม่เห็นจะต้องทำอะไรอย่างนี้เลย”

   “อันนี้ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

   “ใช่ไหมล่ะ คือแล้วคนอื่นไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอเวลาที่ได้ยินอะ”

   ทีละเล็ก อย่างละน้อย เดือนตุลาก็ได้ซึมซับและรับรู้ว่าเพราะอะไรคนข้างกายของเขาจึงเลิกที่จะเรียนในสาขาอื่น คงเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถอยู่กับสภาวะที่แสนจะบิดเบี้ยวนี้ได้ น่านับถือจังนะคนที่มีความเชื่อมั่นแรงกล้าอย่างนี้

   “เมื่อวันก่อน...”

   วูบหนึ่งใบหน้าของพี่มัจฉ์ถูกทาบทับด้วยอีกคน นั่นเลยทำให้จากที่ว่าจะเล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อวันก่อนให้ฟังก็ตัดสินใจที่จะปิดปากเอาไว้ให้สนิทตามเดิม

   “วันก่อน?”

   “ที่บอกว่าจะพาผมไปซื้อของยังไม่ได้ไปเลยนะครับ”

   คิดอะไรไม่ออกแล้ว ณ จุดนั้น ใจของเขาน่ะมีอย่างเดียวก็คือต้องเก็บข้อเสนอในเรื่องนั้นลงไปไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด ยิ่งกับพี่มัจแล้วก็พี่ธรรมด้วย

   ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยคิดเกี่ยวกับตำแหน่งมาก่อน ก็เอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับรุ่นพี่คนนั้นเสมอล่ะนะ เขาเลยคิดแค่ว่าพี่ธรรมจะต้องได้เป็นประธานเท่านั้น ไม่เคยมองภาพอนาคตหลังจากการจบการศึกษาไปแล้วเลย

   จะว่าน่ากลัวมันก็ไม่ได้ขั้นนั้น เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าพี่ฟีนจะรู้เรื่องภายในองค์คณะราวกับว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิก ถ้าจะเล่นมีเพื่อนเป็นคนกุมอำนาจหลักข้างในสองคนอย่างนี้ ยังไม่รวมว่าเขาไปตีซี้เบื้องหลังอีกไม่รู้กี่คนด้วยนะนั่น

   แค่ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเจาะจงเป็นเขาเท่านั้น

   ไม่เชื่อว่ามันเป็นแค่เรื่องของระเบียบการร้อยเปอร์เซ็นต์ คนทำงานอย่างเขาน่ะรู้ว่าต่อให้เป็นประธานแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดเสียหน่อย ทุกอย่างยังต้องผ่านการยินยอมจากที่ประชุมอยู่ดี

   มันคือความเคลือบแคลงใจที่ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมไหนมันก็ไม่มีความกระจ่างสักทาง จะบอกว่าเพราะว่าเขาเป็นคนที่ทำงานมานานที่สุดมันก็ใช่อยู่เมื่อเทียบจากอายุการทำงาน หากมันจะต้องมีคนมาแย้งในเรื่องของระดับชั้นปีอยู่แล้ว

   ด้วยตัวระบบของมันแล้วเท่าที่รู้มายังไม่เคยมีเด็กปีสามคนไหนได้รับตำแหน่งนี้สักราย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อมองจากสายตาของคนข้างนอก มันก็ต้องคิดว่าคนที่มีอายุมากกว่าจะมีวุฒิภาวะมากเพียงพอในการจัดการงานทั้งหมดได้

   แม้ว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

   ยังไม่รวมกับสภาพการทำงานที่ต้องยอมรับว่าถ้าพี่ธรรมกับพี่มัจจบไปแล้วเขาจะกลายเป็นมนุษย์หัวเดียวกระเทียมลีบที่ไม่มีผู้สนับสนุนอย่างแท้จริง ก็ตั้งแต่อยู่มาเขาก็ไม่เคยทำความรู้จักมักจี่กับใครเลยล่ะนะ มาทำงานแล้วก็จบกันไป

   สรุปให้ตัวเองได้ว่าการที่ทำอย่างนั้นไปมันจะไม่มีผลดีอะไรกับชีวิต

   “โหย ไปหลังจากนี้เลยก็ยังได้”
   
   มันไม่ต่างจากเกมบอร์ดที่พวกเราได้เล่นกันเมื่อวันก่อน ในท้ายที่สุดแล้วเดือนตุลาก็เป็นคนอ่อนแอที่ทุกฝ่ายต่างพร้อมใจกันร่วมมือกำจัดอยู่ดี

   “ได้เวลาประชุมต่อแล้วครับ”

   เหลือบมองตัวเลขดิจิทัลหกหลักบนจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ ช่วงพักเบรกของเราใช้เวลาเท่าที่ประกาศเอาไว้ไม่มีการล่วงหรือเกินเวลา นี่สมาชิกคนอื่นคงเข็ดกันแล้วเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาสาย เรื่องเวลานี่ไม่มีใครเป๊ะเกินสัทธาแล้วล่ะ

   เบื่อที่ต้องกลับมานั่งเงียบๆ แบบเดิมอยู่เหมือนกัน พี่ต้นหลิวก็เอาแต่พูดจาวกไปวนมาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเจ้าของคำพูดในแชตทั้งหมด ทั้งที่มีทั้งพยานบุคคลแล้วก็สิ่งแวดล้อมก็ยังดึงดันว่าตัวเองบริสุทธิ์

   ทำไปเพื่ออะไรกันนะ

   มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งเลื่อนลอยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน พี่เขาเองก็เรียนคณะกฎหมายจนจะจบอยู่แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าการทำอย่างนี้มันไม่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

   ไร้ความสนใจในบทสนทนาที่วกไปวนมาไม่ยอมออกจากวงกลมสักที เลยละสายตามาอ่านเอกสารตรงหน้าดีกว่า มันเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณาทั้งหมดที่เขาก็ยอมใจคนที่รวบรวมเหมือนกันว่าไปเอาทั้งหมดนี่มาได้ยังไงโดยที่ไม่โดนดักทำร้ายไปก่อน

   ในแชตเจ้าปัญหามันไม่ใช่แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันมีข้อโต้แย้งที่ดีเพียงพอว่ามันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด แต่ว่าที่ไม่รอดของแท้น่ะเป็นประเด็นที่พี่เขาไปเอี่ยวกับฝั่งของสภาต่างหาก อันนั้นน่ะหลักฐานทั้งหมดรัดแน่นจนขยับไม่ได้เลยล่ะ

   ทุกอย่างมันลงตัวเกินไปราวกับถูกจัดฉากเอาไว้แล้ว

   และพอเดือนตุลาเหล่มองพี่ปีสี่ข้างตัวที่ยังกดโทรศัพท์สบายใจแล้วมันบอกให้เขายอมรับเถอะว่ามันมีความเป็นไปได้สูงจนเกือบมั่นใจได้

   เจออย่างนี้ใครอยากจะเข้าไปยุ่งกับการเมือง ไม่ใช่เขาล่ะหนึ่ง

   ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการจบการพิจารณาได้ด้วยดี พี่ต้นหลิวก็เอาแต่ปฏิเสธจนจนใจที่จะจี้ต่อ คือถ้าอย่างจะยืนกรานเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยไป

   “ก็อย่างที่บอก ผมไม่ยอมรับคำตัดสินของคนที่เล่นยาหรอกครับ”

   ...

   .

   เอาจนได้

   คิดเอาไว้อยู่แล้วว่ามันมีความน่าจะเป็นที่จะออกมาในอีหรอบนี้

   พอหมดช่วงของการพิจารณาแล้วมันก็ควรจะแยกย้าย หากคำเอ่ยทิ้งท้ายของอดีตประธานตุลาการพาให้จังหวะการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนข้างในหัวใจเร็วขึ้นจนสัมผัสได้ เขาลอบกลืนน้ำลายลงในขณะที่ตาก็ยังมองตรงไปยังเก้าอี้ประธานตาไม่กะพริบ ลุ้นระทึกยิ่งกว่าอะไรดีว่าปฏิกิริยาตอบรับจะเป็นเช่นไร

   มันเป็นหนึ่งในหัวข้อที่พี่ต้นหลิวเขียนเปรยลงไปในสเตตัสหลังๆ ประมาณว่าจะเอาอะไรกับคนที่อยู่ในกลุ่มของเพื่อนที่มีการเล่นของผิดกฎหมาย คือถึงจะเป็นกลุ่มคนป่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหลวแหลกไหม

   สีหน้าของสัทธายังคงราบเรียบไม่มีแววขุ่นเคืองกับคำสบประมาท เมินคำเอ่ยพวกนั้นด้วยการจัดเก็บเอกสารกองสูงบนโต๊ะให้กลับไปอยู่ในแฟ้มพลาสติกซองใหญ่ เหน็บลามี่แท่งประจำเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยมือซ้าย

   จากนั้นก็ยืนขึ้นเต็มความสูงตามด้วยการเก็บเก้าอี้นวมตัวใหญ่ไว้ติดกับโต๊ะตามเดิม ตากวาดมองความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะจบลงด้วยการยื่นปลายนิ้วไปแตะลงตรงมุมขอบของป้ายไม้ระบุตำแหน่งขยับมันให้ได้ระดับเท่ากันทั้งสองข้าง

   ไม่ต้องร้องแรกแหกกระเชอหรือว่าป่าวประกาศความยิ่งใหญ่ของตำแหน่ง พี่ธรรมสร้างสัญลักษณ์เพื่อให้ตระหนักถึงความแตกต่างของหน้าที่ด้วยการกระทำเดียว

   ความยำเยงที่ใครอื่นทำไม่ได้

   ต้องขอบคุณพี่มัจฉ์ที่เปิดทางให้คนอื่นสามารถเลี่ยงตัวออกจากห้องได้โดยสะดวกด้วยการเดินไม่สนใจโลกออกไปทางประตู ราวกับว่าเมื่อสักครู่มันไม่ได้มีสงครามประสาทเกิดขึ้นสักนิดเดียว เมื่อมีคนแรกเปิดคนที่สองและสามก็ตามไปเป็นขบวนจนตอนนี้ทั้งห้องมันเหลือเพียงแค่พี่ธรรม พี่ต้นหลิว แล้วก็เขาเท่านั้น

   ไม่มีตัวตนในสายตาของคนทั้งคู่อยู่แล้ว ต่อให้เขายืนเด่นอยู่คนเดียวท่ามกลางโต๊ะว่างเปล่ามันก้ไม่มีใครคิดจะสนใจหรอก ก็เลยหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปอย่างนี้แหละ

   อยากรู้ใจจะขาดว่าฉากการแสดงองก์ต่อไปจะเป็นอย่างไร

   ต่างฝ่ายต่างปิดปากสนิท ฝ่ายประธานคือยืนเอามือข้างที่ว่างล้วงกระเป๋าในท่าแสนผ่อนคลาย สำหรับผู้รับการพิจารณายังคงนั่งเอาหลังพิงพนักไว้ สายตาขึ้งเคียดมาพร้อมกับขบเขี้ยวฟันเอาไว้แน่น

   ราวกับเป็นโลกต่างมิติ

   เดือนตุลาลองเอาตัวเองทาบทับกับรุ่นพี่ปีสี่ที่เพิ่งสูญสิ้นทุกเกียรติยศลงอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนที่หยิ่งผยองอย่างนั้นนี่มันเทียบได้กับการที่ทั้งโลกล่มสลายลงไหม

   มันสำคัญแค่ไหนกันนะกับ ‘ชื่อ’ พวกนั้น

   สัทธาหันทั้งตัวไปทางประตูออก ทุกย่างก้าวเนิบนาบเต็มไปด้วยความเรื่อยเฉื่อยไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งออกคำพิพากษาตัดสินความผิด

   ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไปก็อยากจะออกไปอีกคนแหละ หากว่านิสัยของคนที่ชอบรักษาความสะอาดของห้องเอาไว้ตลอดก็รั้งเขาเอาไว้ อยากจะให้พี่ต้นหลิวออกจากห้องนี้ไปให้ไวเขาจะได้เคลียร์ห้องให้เรียบร้อย

   ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่าเกลียดรุ่นพี่คนนี้อยู่ดี มันก็เลยไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมเท่าไหร่ตอนที่ได้ฟังการพิจารณาทั้งหมด จะเป็นอารมณ์ว่าก็ทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าทำหน้าที่ให้ดีตั้งแต่แรกมันก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว

   บอกตามตรงเลยว่าไม่มีความกลัวเลยสักนิด ในสายตาของเขามันมีแต่ความสมน้ำหน้าไปจนถึงขั้นสมเพชคนที่ไม่รู้จักการวางตัวให้ถูกต้อง ไม่รวมกับการกระทำที่ผ่านมาร้อยแปดพันเก้าด้วย เขาน่ะจะไม่โกรธเลยนะถ้ามันเป็นการวิจารณ์ในเรื่องการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทุกงานที่ผ่านมามันพิสูจน์อยู่แล้วว่าเขารับผิดชอบงานได้ดีแค่ไหน

   ก็มีแต่พี่เขานั่นแหละที่เอาแต่ตินู่นติงนี่ ให้ลากเรื่องเก่าออกมาพูดก็บอกได้ถึงขั้นที่ว่าปัจจัยหลักที่ได้เป็นประธานเพราะว่าโชคดีที่พี่ธรรมออกไปแล้ว พี่มัจก็ไม่เคยอยากเป็น มันก็เลยตกเป็นของคนที่อยู่ในองค์คณะมานานที่สุดเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผลงานที่ผ่านมาเลย

   นี่แหละนะที่บอกว่าการทำงานน่ะมีคนที่รักดีกว่ามีคนที่เกลียด

   พี่ต้นหลิวไม่สงสัยหรือว่าประหลาดใจเลยที่เขายังปักหลักอยู่ตรงนี้ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องเขม็งจนเขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาต

   “อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้เรื่อง สักวันหนึ่งมันก็ต้องแดงอยู่ดี”

   ส่ายหัวระอาให้คำกึ่งขู่กึ่งจนตรอก ให้ตายเถอะ จนจังหวะสุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่พ้นเรื่องนี้

   เดือนตุลาประชันหน้ากับคนที่เขาสามารถยกคางสูงได้โดยไม่ลังเล “เสียใจด้วยนะครับ”

   ยิ้มแสยะให้กับคนที่บอกว่ารู้อะไรหลายอย่าง

   “มันจะไม่มีวันนั้น”



***
ต่อโพสต์ถัดไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด