Only You :: จะรักนาย เท่าชีวิต (Y) – ตอนที่ 60 จบภาค 1 (UP:: 09/06/62) #หน้า 10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Only You :: จะรักนาย เท่าชีวิต (Y) – ตอนที่ 60 จบภาค 1 (UP:: 09/06/62) #หน้า 10  (อ่าน 69426 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


จะรักนาย เท่าชีวิต – Only You

ตอนที่ 29. ข่าวร้าย



ต้องตาหอบเอกสารชุดใหญ่มาให้เจ้านายของเธอลงนามก่อนกลับมานั่งที่โต๊ะ ระยะหลังมีโครงการใหม่มากเสียจนยอดเยี่ยมไม่ค่อยมีเวลาว่างมาวุ่นวายกับเธอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะต้องปวดหัวมากกว่านี้แน่ๆ หลังจากที่รู้สึกตัวในคอนโดของเขาวันก่อนก็ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อผู้เป็นนายเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ นอกจากจะดูแลอย่างดีแล้ว เขายังเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งการดูแลเธอที่ป่วยเพราะพิษบาดแผลก็ยิ่งทำให้กำแพงในใจของเธอพังทะลายอย่างยับเยิน

แต่เธอจะต้องหักห้ามใจ มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ต้องคิดแบบนี้ ประเด็นแรกคือความแตกต่างทางฐานะ ก่อนหน้านี้ต้องตาคิดว่ามันมีแต่ในละครเท่านั้น ทว่าตอนนี้เธอเองเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ การที่เรามาจากต่างสังคมกัน การปรับตัวเข้าหายิ่งยากกว่าเก่า ทั้งฐานะทางการเงิน หน้าที่การงานและฐานะทางสังคม เธอไม่มีอะไรที่เชิดหน้าชูตาเขาได้เลย ไม่มีเลย

“คิดอะไรอยู่เหรอครับ” ยอดเยี่ยมทัก ใช้มือใหญ่โบกผ่านใบหน้าหญิงสาว

“เปล่าค่ะ” ต้องตาตอบเรียบๆ “คุณยอดตามข่าวคุณภัทรอยู่รึเปล่าคะ”

“อืม ตามอยู่ครับ”

ต้องตาพยักหน้าหงึกๆ พระเอกหนุ่มถูกแอบถ่ายตอนที่แพทย์หญิงดอดเงียบกินกันในห้องผู้ป่วย เป็นข่าวใหญ่ทุกสื่อ เธอเคยเจอภัทรแค่ครั้งเดียว ความหล่อเหลาของเขายังตรึงใจเธอจนทุกวันนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนมากหน้าหลายตาเข้าหา แต่เรื่องที่สื่อกำลังเล่นข่าวอยู่นี้ออกจะเหลือเชื่อหน่อยๆ แต่กระนั้นก็ต้องเชื่อ เพราะโรงพยาบาลต้นสังกัดแถลงข่าวและถอดนศ.แพทย์คนดังกล่าวออกจากโปรแกรมอินเทิร์นและไม่มีใครเห็นเธออีกเลย

“น่าสงสารจังที่ตกเป็นข่าวแบบนี้”

“คุณตาดูเป็นห่วงเพื่อนผมมากกว่าผมเสียอีกนะครับ” ยอดเยี่ยมส่งเสียงไม่พอใจ ต้องตายิ้ม

“ก็เพราะเค้าเป็นเพื่อนคุณยอดไงคะ ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นตาคงไม่เป็นห่วงหรอก”

ยอดเยี่ยมยังคงขึงขัง “เดี๋ยวเรื่องมันก็ซา คนไทยลืมง่ายจะตาย อีกอย่างไอ้ภัทรมันก็ไปอยู่เชียงใหม่กับไอ้บั๊มพ์แล้ว พอทุกอย่างเงียบก็คงกลับมาเอง”

ต้องตาแอบขัน “เราควรไปเยี่ยมที่เชียงใหม่ดีมั้ยคะ”

“คุณตา” ยอดเยี่ยมพ้อ ก่อนจะนึกทวนประโยคก่อนหน้านี้ได้และทำหน้าแดง

“คุณนี่ความรู้สึกช้าจัง” ต้องตาพูด ก่อนรับสายที่โต๊ะทำงาน

“คะ...” หญิงสาวรับสาย ใบหน้าซีดเผือดก่อนน้ำตาจะหยดออกมาจากช่วยไม่ได้

“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณตา” ยอดเยี่ยมถามอย่างร้อนรน และตกใจที่จู่ๆคนเบื้องหน้าก็ปล่อยน้ำตาออกมา

“คุณปู่ค่ะ คุณปู่เสีย น้องชายตาเพิ่งโทรมาบอก” หญิงสาววางสายอย่างไร้พลัง รู้สึกถึงความเศร้าที่ถาโถม

“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ คุณตากลับตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”

“แต่ว่างาน...” ต้องตาสองจิตสองใจ

“ไม่ต้องห่วง ยังไงครอบครัวก็สำคัญกว่า เดี๋ยวผมไปส่งคุณตาเก็บของที่ห้องและเราไปซื้อตั๋วที่สนามบินกัน”

ต้องตารู้สึกมวนท้องกับคำว่าตั๋วเครื่องบิน เพราะมันราคาแพงมากเมื่อเทียบกับเงินเดือนของเธอ

“คุณตาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ถือว่าเป็นความช่วยเหลือของบริษัท”

หญิงสาวไม่ตอบ รู้สึกราววิญญาณออกจากร่าง เธอรู้สึกตัวเป็นพักๆเมื่อถึงห้อง เก็บของและรู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่สนามบินดอนเมืองแล้ว ตั๋วที่เร็วที่สุดคือเวลา 11.15 น. ด้วยราคาห้าพันหกร้อยบาท

“ขอบคุณคุณยอดมากนะคะที่ช่วยเหลือ”

“อย่าคิดมากเลยครับ ผมเต็มใจ แล้วถ้ารู้กำหนดการยังไงแล้วโทรบอกผมด้วยนะครับ”

“แต่ตา...” เธอไม่อยากให้เขาต้องลำบากไปร่วมงาน ไม่ใช่เพราะอายในฐานะทางบ้าน แต่เกรงใจที่เขาช่วยเหลือมากมายถึงเพียงนี้

“ไม่มีแต่ครับ ผมยินดีและเต็มใจ” ยอดเยี่ยมยิ้มมุมปาก เขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้นเมื่อแสดงความอบอุ่นแบบนี้ “เพื่อคุณ”

ต้องตาไม่สบตา รู้สึกแค่ว่าใบหน้าร้อนผ่าวราวกับว่านี่คือฤดูร้อนที่มีฝนตกโครมครามเท่านั้น



***********************************************************************

แต้มขนเก้าอี้ลงจากรถอีแต๋น ชายฉกรรจ์หลายต่อหลายคนต่างช่วยกันกางเต็นท์และโต๊ะสำรับสำหรับรองรับแขกเหรื่อ บ้านของปู่เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ชั้นเดียวยกสูง มีใต้ถุนบ้านเอาไว้นั่งพักหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น ปู่มีลูกห้าคนรวมพ่อของเขา ลุงๆป้าๆต่างก็มีครอบครับแยกไปอยู่บ้านใกล้เคียงรั้วติดกัน มีแต่ครอบครัวเขาที่อยู่ไกลที่สุด ปู่อยู่กับย่าแค่สองคน ด้วยวัยเกือบเก้าสิบปี อยู่ๆปู่ก็เป็นลมต่อหน้าย่าที่กำลังตำหมาก ท่านสิ้นใจไปง่ายดายราวกับเป็นผักปลา

 ตามประเพณีของคนเหนือ เวลามีงานศพจะเก็บศพไว้ที่บ้านสองหรือสามคืนแล้วแต่ฐานะ หรือแล้วแต่ฤกษ์เผาที่ต้องปรึกษาอาจารย์วัด(มัคทายก)อีกที โดยปกติจะไม่เผาวันศุกร์เพราะพ้องเสียงกับคำว่า สุก หมายถึงศพจะสุกเหมือนทำกับข้าวถือว่าเป็นวันไม่ดี ปู่ของเขาเสียวันอังคารตอนค่ำ คืนนั้นก็เตรียมงานสวดไม่ทัน ฤกษ์เผาที่ใกล้ที่สุดคือวันพฤหัสบดี แต่ญาติหลายคนอยากให้ประกอบพิธีวันเสาร์ เพราะถ้าเผาวันพฤหัสบดี ก็หมายความว่าเก็บร่างปู่ทำพิธีแค่คืนเดียว

  แต้มโทรไปบอกพี่สาวเมื่อตอนเช้า เมื่อคืนที่บ้านค่อนข้างวุ่นวายกับการเตรียมการ ลูกหลานทุกคนมารุมอยู่ที่บ้านปู่ย่า ทุกคนนอนเฝ้าร่างปู่เป็นครั้งสุดท้าย ยกเว้นแม่ของเขาที่ต้องเฝ้าผู้เป็นพ่อ ลุงป้าพากันวางแผนการจัดงาน ทั้งเรื่องอาหาร บัตรเชิญแขก นิมนต์พระ ดอกไม้สด ดอกไม้จันทน์ ปราสาทสำหรับบรรจุหีบศพสำหรับเคลื่อนขบวนไปสุสานและอื่นๆอีกจิปาถะ กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็บ่ายแก่ๆแล้ว แต้มเห็นพี่สาวเดินลงจากรถสองแถวหน้าบ้านปู่ หอบข้าวของหลายชิ้นรีบวิ่งข้ามฝั่งมาทางนี้

“แต้ม”

“พี่ตา สวัสดีครับ” หากเป็นเวลาอื่นเขาคงดีใจเป็นลิงโลด แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไร พี่ตาเดินขึ้นบ้านไปไหว้ศพ บนเรือนโล่งเพราะข้าวของเสื้อผ้าถูกย้ายไปซ่อนไว้มุมหนึ่งของใต้ถุนบ้าน เสื่อน้ำมันและเสื่อสานปูไว้สำหรับเป็นที่นั่ง ห้องนอนปู่อยู่ทางทิศเหนือของตัวบ้าน ภายในโล่ง หน้าต่างถูกเปิดกว้าง หีบไม้บรรจุศพตั้งตะหง่านพร้อมดอกไม้สดที่ปักประดับประดาราวกับเป็นพิธีสวยงาม ต้องตาจุดธูปหนึ่งดอกไหว้บอกลาผู้เป็นปู่

“มาแล้วเหรอตาเอ๊ย”

“ค่ะย่า” ต้องตากอดย่า ครอบครัวของเธอสนิทกันมาก ปู่เป็นคนใจดีที่เข้าใจเธอทุกอย่าง ครั้งหนึ่งปู่ก็เคยเป็นหลักให้ชีวิตที่เป๋ไปมาของเธอ แม้กระทั่งตอนที่พ่อล้ม ปู่ยังยืนกรานจะให้เอาพ่อมาไว้ที่นี่ แต่ตอนนั้นบ้านของปู่ยังแออัด เลยไม่สามารถทำอะไรได้

“ไปหาแม่มายัง” ย่าถาม

“ยังเลยค่ะ ลงรถมาตาก็มานี่เลย”

“ไปหาแม่ก่อนไป ฝากเอาข้าวไปให้ด้วย ไม่รู้ป่านนี้ได้กินอะไรรึยัง” ต้องตารับคำ ก่อนที่จะเดินลงเรือนไป

ยามบ่ายแขกเหรื่อยังไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาญาติมิตรที่สนิทกันเสียมากกว่า แต้มง่วนอยู่กับการติดไฟสำหรับส่องกลางคืน ข้างๆแต้มมีวัยรุ่นหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่ไม่ห่าง ต้องตาเดินไปที่ห้องแม่ครัวที่ใช้พื้นที่ของคนบ้านติดกัน กางเต็นท์และวางหม้อ กระทะและอุปกรณ์ทำกับข้าวเต็มไปหมด แม่ครัวทักต้องตาอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะปล่อยให้เจ้าตัวตักสำรับ

“พี่จะเอาข้าวไปให้แม่นะ” ต้องตาเดินมาหาน้องชายที่กำลังติดไฟง่วงอยู่หน้าประตูบ้าน

“ครับพี่ตา” แต้มตะโกนรับคำ ต้องตารับไหว้เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่เห็นไกลๆก่อนหน้านี้

“ผมใหญ่ครับ เป็นเพื่อนแต้ม”

“สวัสดีจ้ะใหญ่ ยังไงก็ตามสบายนะ แต้มอย่าใช้งานเพื่อนหนักเกินไปล่ะ”

“แหมพี่ไม่หรอกน่า” แต้มมองยังเพื่อนที่กำลังทำหน้ายียวน

“แล้วพี่ตาจะไปยังไงครับ” ยิ่งใหญ่ถามอย่างสุภาพ เพราะเพิ่งเคยเจอพี่สาวแต้มเป็นครั้งแรก พี่ตาเป็นคนสวยจัด ใบหน้าคมคายราวกับเป็นคนใต้มากกว่า ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวย ดวงตากลมโตฉายแววใจดีเป็นกันเอง การแต่งตัวและท่าทางผิดแผกจากคนในละแวกนี้อย่างชัดเจน แต้มกับพี่สาวมีสีผิวที่คล้ายกัน เพียงแต่แต้มจะคล้ำกว่าเพราะทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ ความสวยของพี่สาวเพื่อนทำให้แทบลืมหายใจ

“คงเดินไปแหละ”

“งั้นผมเอารถเครื่องไปส่ง ติดไฟเสร็จละ” แต้มกระโดดลงจากบันไดอลูมิเนียมแบบพับได้

“นายอยู่นี่รอแป๊บนะใหญ่” แต้มบอกเพื่อนที่ตอนนี้เข้ากับญาติทุกคนของเขาได้ดีราวกับว่าเป็นลูกอีกคนหนึ่งของแม่

“ไม่มีปัญหา”

“ปะพี่ตา” แต้มเดินนำโดยมีพี่สาวเดินไปติดๆ หากมองเผินๆด้วยวัยที่ห่างกันไม่มาก พี่น้องคู่นี้ยิ่งเหมือนแฟนกันมากกว่าด้วยซ้ำ

***********************************************************************





จบตอน....



#ขอโทษที่หายไปนานนะครับ พอดีช่วงนี้ไรต์ยุ่งมากๆ แต่ไม่ลืมกันนะครับ อิอิ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไง  ทายถูกด้วยว่า ครอบครัวตัว "ต." เป็นพี่น้องกัน

รอเฉลยครอบครัวตัว "ย."  อยู่นะ

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เรื่องนี้ให้5ดาวคาาาาาาาา

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไง  ทายถูกด้วยว่า ครอบครัวตัว "ต." เป็นพี่น้องกัน

รอเฉลยครอบครัวตัว "ย."  อยู่นะ

รออีกแป๊บนะครับ อิอิ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณที่มาต่อจ้า  ครอบครัวตัว ต มาพร้อมหน้ากันแล้ว

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เรื่องนี้ให้5ดาวคาาาาาาาา


อุ๊ย ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ไรต์มาอัพต่อแล้วจ้า....
ใครชื่นชอบนิยายไรต์ อย่าลืมนะ ไรต์มีเรื่อง บังเอิญรักโดยตั้งใจ อีกเรื่องนึง
ตามอ่านได้ที่ลิงค์เลยน้า

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0


***********************************************************************

ตอนที่ 30. กลับบ้าน

                พิธีสวดคืนแรกเริ่มประมาณทุ่มครึ่งและจบประมาณสามทุ่ม หลังจากนั้นจะมีการเสิร์ฟพวกของร้อนเช่น โกโก้ร้อน กาแฟร้อน ชาร้อน สำหรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ตามปกติแล้ว เจ้าภาพจะต้องจัดแจงมื้อเย็นด้วย มีสำรับถวายพระ วางหน้าโลงและเลี้ยงญาติหรือผู้มาร่วมงานตั้งแต่หัววัน แต่ละงานจะทำอาหารตามที่คนจากไปชอบ อย่างปู่ของแต้มชอบลาบเลือด แม่ครัวก็ทำเตรียมไว้ ยิ่งใหญ่ถึงขั้นเบือนหน้าหนีเมื่อแต้มจ้วงลาบเลือดเข้าปาก ตับไตเครื่องในสดๆถูกเคี้ยวกรุบๆ

“นายก็กินลาบคั่วเอาสิ” ยิ่งใหญ่รู้สึกโชคดีที่แม่ครัวยังมีเมตตาเอาลาบเลือดมาปรุงสุกโดยการคั่ว ลาบเลือดนี้เป็นหมูเอามาลาบ คลุกกับพริกที่ตำไว้ผสมเครื่องเทศน์หลายอย่างที่แต้มไม่รู้จัก แต่ที่พอจะคุ้นก็มีตะไคร้ซอยเอามาทอดกรอบ ไว้หมูหั่นเป็นแว่นทอดกรอบ แคบหมูชิ้นเล็กกว่านิ้วก้อยโรย สำหรับคนที่กินดิบๆ ก็แค่คลุกทุกอย่างลงไป พวกตับ เซี่ยงจี๊หั่นชิ้นหนาจัดใส่ถ้วยแยกโปะด้วยน้ำแข็งเป็นเหมือนเครื่องเคียง แต่ถ้าใครที่กินลาบคั่ว ก็แค่คลุกมันลงไป คั่วในน้ำเปล่า ผัดจนมันงวด เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำเข้ม ผัดให้แน่ใจว่าสุกแล้วก็เอามาเสิร์ฟ

“น้ำพริกข่าอร่อยดีจัง” ยิ่งใหญ่จิ้มน้ำพริกข่าคั่วแห้ง วันนี้มีลาบหมู จอผักกาดและน้ำพริกข่า

“เดี๋ยวกินเสร็จไปอาบน้ำที่บ้านกัน” แต้มชวน เพราะยิ่งใหญ่ขับรถยนต์มาจอดที่บ้านแต้มตามที่เจ้าบ้านแนะนำ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีรถจากที่อื่นมาจอดขวางจนไปไหนมาไหนไม่ได้ในชั่วโมงเร่งด่วนหรือเปล่า

“เอาดิ” ยิ่งใหญ่มีความสุขกับมื้ออาหารต่อไปเงียบๆ

“คืนนี้นอนที่นี่ได้ไหม” แต้มถาม

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ยิ่งใหญ่ตอบพลางจ้วงลาบคั่ว รสชาติมันก็อร่อยดีเหมือนกันแฮะ... ถึงแม้เขาจะเป็นคนเหนือ แต่ที่บ้านก็ไม่ยอมปล่อยให้กินของอะไรแบบนี้แน่ โดยเฉพาะพ่อที่แสนจะเจ้ากี้เจ้าการเรื่องอาหารการกินของลูก นายแพทย์ยิ่งยง ที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายเดือนแล้ว

  แต้มพายิ่งใหญ่กลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน จุดประสงค์หลักคือเอามื้อเย็นมาให้แม่ที่เฝ้าพ่ออยู่ โชคดีที่พ่อเหมือนจะทำใจได้กับการจากไปของปู่ อาการเลยไม่ทรุด แม่ให้พี่ตาไปช่วยงานตอนกลางคืนแทน เดิมแต้มอาสาจะดูพ่อเผื่อแม่อยากไปช่วยงาน แต่แม่บอกให้เขาไปจะดีกว่า ถ้าอาการพ่อไม่มีปัญหา แม่คงจะไปคืนถัดไปแทน

  สองหนุ่มเสิร์ฟเครื่องดื่มร้อน ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้อากาศค่อนข้างเย็น ยุงและแมลงบินวนเยอะจนน่ารำคาญ ยิ่งใหญ่ถูกคนที่มางานแซวเรื่องความหล่อยกใหญ่ หลายบ้านที่มีลูกสาวถึงขั้นทาบทามเป็นคู่หมั้นคู่หมาย ทุกคนต่างขำขันถึงแม้จะอยู่ในงานศพ แต่มันก็เป็นเหมือนเสียงหัวเราะน้อยๆในยามที่เรากำลังขมขื่น

“ยุงกัดเยอะมั้ยเนี่ย”

“พอไหว” ยิ่งใหญ่พูดปด เพราะท่าเกาของเขาแรงจนแต้มกลัวว่าผัวหนังจะถลอก

“ใส่เสื้อแขนยาวหน่อยไหม” แต้มยื่นเสื้อแขนยาวตัวเก่าให้ “อย่างน้อยมันก็ป้องกันได้บ้าง”

คืนนี้อากาศเย็น กลางเดือนตุลาคมอากาศเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ บางวันฝนตก กลางคืนร้อนอบอ้าว แต่วันนี้กลางวันฝนไม่มี ตอนเย็นหมอกลงและกลางคืนหนาว แขกเหรื่อหลายคนแต่งตัวเต็มยศ ทั้งเสื้อกันหนาว กางเกงขายาว สวมถุงเท้าคีบรองเท้าแตะ ใครที่ขี้หนาวมากๆก็จะมีหมวกไหมพรมและผ้าพันคอครบชุด

แต่แต้มคิดว่าคืนนี้มันก็ไม่ได้หนาวอะไรขนาดนั้นนะ...

“นี่อะไรอะ” ยิ่งใหญ่จบที่กระเป๋ากางเกงของแต้มที่มันตุงผิดปกติ

“อ๋อ มือถือน่ะ พี่ตาบอกว่าถูกหวยเลยซื้อมาให้”

“หืม นายมีเบอร์แล้วแต่นายไม่ยอมบอกเราเนี่ยนะ”

แต้มส่งเสียงฟึดฟัด “นายจะเอาไปทำอะไรในเมื่อนายตัวติดกับเราทั้งวัน”

“หึ” ยิ่งใหญ่กระฟัดกระเฟียด “ตามใจนายละกัน”

ยิ่งใหญ่เดินเก็บแก้วที่แขกเหรื่อวางไว้ ไม่สนใจเพื่อนที่เดินไปฝ่ายตรงข้ามและทำแบบเดียวกัน แก้วเปล่าถูกวางซ้อนในถาดพลาสติกสำหรับใส่แก้วจนเต็ม ยิ่งใหญ่เอาไปวางไว้ที่ห้องแม่ครัวแล้วมือถือของเขาก็ส่งเสียงดังลั่น

“ครับ” ยิ่งใหญ่รับสาย

“นี่เบอร์เรานะ”

“หืม ใคร” ยิ่งใหญ่แกล้งจำไม่ได้

“อย่างี่เง่าน่า นี่เบอร์เรา” ปลายสายตอบ

“ไหนบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ ตัวติดกันขนาดนี้” ยิ่งใหญ่ขยี้

แต้มถอนหายใจ แต่ใบหน้ากลับเปื้อนรอยยิ้ม “บอกนายคนแรกเลยนะเบอร์นี้อะ”

ยิ่งใหญ่ยิ้มกว้าง แต้มวางสายก่อนเขาจะได้ตอบอะไร

“งอแงเป็นเด็กไปได้” แต้มบ่นอุบหลังจากที่เดินเอาแก้วเปล่ามาสมทบ

ยิ่งใหญ่ไม่ตอบ แต่ลอยหน้าลอยตาไปมา

“ใหญ่ๆ มีแฟนยังอะ” หญิงสาวในห้องครัวทัก ท่าทางเอียงอาย ผู้คนตามชนบทบางทีก็แต่งงานไว คนที่ทักยิ่งใหญ่ก็เช่นกัน เธออายุเพียงสิบเก้าปี แต่ก็เป็นแม่ลูกสองแล้ว

“ยังครับพี่”

“โหย อายุเท่านี้ทำพันธุ์ได้แล้ว ยิ่งหล่อๆแบบนี้ด้วย ไม่นานหรอก เชื่อพี่ เดี๋ยวก็ไม่โสด” เสียงแม่ครัวพากันหัวเราะครืน ยิ่งใหญ่ได้แต่เกาหัวแก้เก้อ การถูกแซวซึ่งๆหน้าแบบนี้ทำให้ไปไม่เป็นเหมือนกัน เสน่ห์ของที่นี่ก็ดีแบบนี้แหละ คนพูดจากันซื่อๆ จนบางทีก็ทำให้เราอึ้งจนพูดไม่ออก

“พี่อ้ออย่าแซวเพื่อนผมเยอะ ดูสิเขินหมดละ”

“อุ๊ยละอ่อนสมัยนี้ แซวนิดแซวหน่อยทำเขิน” พี่อ้อแซวต่อ (ละอ่อน แปลว่าเด็ก)

“ไปเก็บแก้วต่อดีกว่า ขืนอยู่นานกว่านี้นายคงโดนแทะโลมไม่เลิก” แต้มลากตัวเพื่อนออกมาจากวงสนทนา

“ตลกดีนะ” ยิ่งใหญ่ว่า “เราอยากสูบบุหรี่อะ”

“หืม ไหนบอกว่าจะไม่สูบตอนอยู่บ้านเราไง”

“ก็ใช่ แต่ที่นี่ไม่มีพ่ออยู่อะ ขอเราสูบหน่อยนะ” แต้มกลอกตา อยากจะห้าม แต่ก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไร

“ไปหลบมุมตรงโน้นหน่อยดีกว่าปะ อย่างน้อยก็ลับสายตาคนอื่น”

ยิ่งใหญ่ตามไปอย่างว่าง่าย แต้มพาเดินเลาะมาหลังบ้านของป้า ยุ้งฉางข้าวปลูกยกสูงขนาดเท่าบ้านหลังย่อมบังทั้งคู่ไว้มิด ยิ่งใหญ่จุดบุหรี่มาสูบด้วยท่าทางสดชื่น แต้มยืนอยู่ห่างๆ

“ขอบใจนะที่ไม่ว่าอะไรเรา”

“ก็อยากว่าแหละ แต่ไม่รู้ว่าแล้วจะได้อะไร เลยไม่ว่าดีกว่า”

“นายเป็นคนแรกนะที่ไม่พยายามบอกให้เราเลิกสูบ”

“ทำไมเราต้องให้นายเลิกด้วยล่ะ”

“ก็” ยิ่งใหญ่คิดหาคำตอบ “ไม่รู้สิ ทำเหมือนคนอื่นทำมั้ง”

“ไม่หรอก” แต้มพูด “ถ้านายจะเลิกสูบ ก็เพราะนายเป็นห่วงและรักตัวเอง ไม่ใช่เพราะเลิกสูบเพราะเราบอกให้ทำ”   

“แล้วเราไม่รักตัวเองตรงไหน” ยิ่งใหญ่เถียงข้างๆคูๆ

“แล้วคนที่รักตัวเองคนไหนเค้าอัดควันเข้าปอดบ้าง” แต้มตอบช้าๆชัดๆ

“เรานี่ไง” ยิ่งใหญ่พ่นควันสีขาวขุ่นออกจากปาก แต้มรู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ที่จะพูดต่อจึงเงียบไป

ยิ่งใหญ่สูบบุหรี่จนหมดมวน เสียงจิ้งหรีดร้องระงมช่วงกลางคืนที่มืดมิด น้ำค้างเริ่มตกเป็นเม็ด ไอหนาวประพรมใบหน้า

“ถ้านายขอให้เราเลิก เราก็จะทำนะ” ยิ่งใหญ่พูด แต้มไม่ตอบอะไร แค่พยักหน้าให้และพากันเดินเข้าไปในงาน...

               

***********************************************************************


​โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ไปสูบบุหรี่ใกล้ยุ้งฉางข้าวเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ไปสูบบุหรี่ใกล้ยุ้งฉางข้าวเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก


ก็ยังเด็กกันอยู่น้อ อิอิ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


ตอนที่ 31. พิธีศพ



คืนนี้น้ำค้างลงหนัก แต่กลุ่มคนที่นั่งสุมไฟอยู่ลานหลังบ้านไม่มีใครสนใจว่าอากาศจะหนาวเย็นเพียงใด พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการทอยไฮโล เสียงเฮส่งมาเป็นระยะ แม้ในยามดึกป่านนี้ก็ตามที บนเรือนไฟสว่างพร้อมคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งนับเลขบนพลาสติกสีขาว วงไพ่มีมากกว่าหนึ่งวงเล่นทั้งเก้าเก ป๊อกเด้งและรัมมี่แต่เสียงกลับเงียบเชียบกว่าวงไฮโลด้านล่าง ห้องใหญ่มีย่าและพี่ตานอนเฝ้าโลงอยู่ แต้มกับใหญ่นอนที่ห้องเล็กที่เดิมเป็นห้องเก็บของ บ้านย่ามีสามห้อง เลยสามารถจุผู้คนได้พอสมควร

“นายโอเคมั้ย” ยิ่งใหญ่ถามแต้มในความมืด แม้เสียงรบกวนด้านนอกจะพอมีบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการนอนของพวกเขา

“เรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องที่ย่า พี่ตาคุยกับแม่นายเมื่อตอนเย็น”

แต้มไม่ตอบในทันที รู้สึกหงอยเหงา แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจอย่างน่าแปลก “ไม่รู้สิ ถ้าแม่กับพี่ตาคิดว่าดี ก็คงดีมั้ง”

“แล้วนายล่ะ”

“ทำไมนายต้องอยากรู้ว่าเราจะคิดยังไงด้วยล่ะ”

ยิ่งใหญ่พลิกตัว ตะแคงไปทางเพื่อนที่นอนหันหลังให้ ขยับตัวเข้าไปประชิด “อย่ามาใกล้ร้อน”

“ร้อนที่ไหน คืนนี้น้ำค้างลงหนาวจะตาย”

“หึ” แต้มทำเสียงฟึดฟัด ยิ่งใหญ่กวาดมือไปวางไว้ที่หน้าอกเพื่อนอย่างจงใจ “ไม่เอาไม่กอด”

“ที่เราถาม ก็เพราะเราเป็นนห่วงความรู้สึกของนายไง” ยิ่งใหญ่ตอบโดยไม่คลายอ้อมกอด

“แม่กับพี่นายอาจจะโอเค แต่เราไม่รู้ว่านายรู้สึกยังไง เราเป็นห่วง”

แต้มเงียบงัน การจากไปของคุณปู่นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ครอบครัวเขา เมื่อตอนเย็น ย่า แม่กับพี่ตานั่งปรึกษากันเรื่องจะย้ายพ่อมาอยู่ที่บ้านย่าถาวร ลูกหลานย่าคนอื่นเห็นด้วย ไม่มีใครอยากมาอยู่กับย่าเพราะว่าต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเองกันหมด แม่เขาเสียอีกที่ต้องดูแลคนป่วยในบ้านแทบจะเป็นกระต๊อบจนพี่น้องพ่อไม่มีใครกล้าค้านอะไรถ้าย่าจะยกบ้านหลังนี้ให้พ่อ แทนที่จะขายแบ่งเป็นเงินมรดกหลังจากย่าหมดบุญ

เด็กหนุ่มไม่ได้โต้แย้งอะไร ในเมื่อผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม เพราะพ่อจะได้อยู่ใกล้ชิดย่า แม่จะได้ย้ายมาใกล้บ้านญาติคนอื่นๆ เพราะบ้านของเขาค่อนข้างจะไกลจากบ้านหลักหลังนี้ไม่น้อย แต่ที่น่าใจหายคือ หลังจากที่ย้ายพ่อมาแล้ว บ้านของเขาจะถูกขายเพื่อใช้หนี้ พี่ตาทำหน้าเศร้าเมื่อต้องยอมรับความจริงว่าเธอก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ลำพังเงินเดือนพี่ตาก็แทบจะไม่พอกับค่ายารายเดือนของพ่อ แต่รายนั้นก็ไม่เคยบ่นให้ใครได้ยิน ในฐานะลูกชายคนเล็กแบบเขา ยิ่งต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะไม่สร้างปัญหาหรือภาระอื่นเพิ่มอีก

“เราไม่เป็นไรหรอก”

ยิ่งใหญ่กระชับอ้อมกอด “โกหก”

แต้มไม่ตอบ ปล่อยน้ำตาไหลรินอย่างเงียบเชียบในความมืดโดยมีอ้อมกอดอุ่นกระชับแน่นอยู่ข้างหลัง

***********************************************************************

“ไม่เป็นไรค่ะคุณยอด ตาเข้าใจ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือเป็นอย่างดี” ต้องตาวางสายเจ้านายก่อนที่จะเหไปช่วยรับแขกเหรื่อ ชายหนุ่มติดงานมาไม่ได้ แต่ส่งพวงหรีดขนาดใหญ่และเงินค่าทำศพมาก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้คนค่อนข้างเยอะ หลังจากที่เคลื่อนโลงมาใส่ปราสาทเมื่อวานตอนเย็น เตียงพ่อก็ถูกขนมาไว้ที่บ้านปู่ในเวลาไล่ๆกันโดยรถของโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ตัวเองไปทำเรื่องไว้ตั้งแต่วันก่อน การย้ายผู้ป่วยติดเตียงแบบพ่อทำเองไม่ได้ เพราะมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด

“พี่ตา”

“ครับใหญ่ ว่าไง”

“ญาติกลุ่มนี้มาจากเทิง ให้นั่งตรงไหนครับ” ต้องตาหันไปทางกลุ่มญาติ ต้นตระกูลของเธอมาจากเชียงของและร่นมาอยู่ที่อำเภอเทิงและบางส่วนก็มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ งานศพปู่จึงกลายเป็นงานรวมญาติอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เธอพาญาติไปไหว้ศพก่อนหาที่นั่งให้ แขกเหรื่อวันนี้น่าจะร่วมสามร้อยชีวิต ส่วนใหญ่สวมชุดดำและมาจากต่างถิ่น

“แต้มไปไหนละครับใหญ่”

“แต้มไปรับพระครับพี่”

“งั้นพี่วานใหญ่ไปอยู่หน้าโต๊ะรับซองทีนะครับ เดี๋ยวพี่ต้องไปดูในครัวอีก”

“ครับพี่” ยิ่งใหญ่รับคำก่อนมานั่งที่หน้าตู้ไม้สำหรับรับซองสมทบทุนงานศพ หากใครไม่มีซองก็สามารถหย่อนเงินสดและเขียนชื่อลงสมุดแยกต่างหากได้ วันนี้อากาศอบอ้าวเหมือนฝนจะตก เหงื่อไหลท่วมตัวจนคันยิบ แต่ยิ่งใหญ่ไม่บ่นสักนิด

แต้มกลับมาพร้อมกับพระที่บวชใหม่สองรูปที่น่าจะเป็นคุณลุงและอาของเขาเอง ยิ่งใหญ่ยิ้มให้กับเพื่อน ใบหน้านั้นยิ้มกลับก่อนจะแหวกฝูงชนพาพระขึ้นไปบนบ้าน การบวชหน้าไฟที่นี่ไม่ยาก แค่ไปปลงผมกับพระตอนเช้า นุ่งห่มผ้าเหลืองรอเวลาเดินนำขบวนจูงศพไปที่ป่าช้า นั่งทำพิธี ตกเย็นก็ไปสึกถือเป็นอันจบพิธี

ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปป่าช้า คนเหนือจะมีพิธีตัดความสัมพันธ์กันก่อน โดยที่ย่าจะต้องมาทำพิธีหน้าโลง เป็นความเชื่อว่าคนที่ตายไปจะไม่มาตามรบกวนหรือมาพาไปอยู่ด้วย มันดูเป็นความเชื่อที่ล้าหลังแต่สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่แบบย่าก็ยึดถืออย่างเคร่งครัด อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของญาติโกโหติกาที่มีอายุ หลังเสร็จพิธีย่าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และอยู่ที่บ้านห้ามไปที่ป่าช้า ลูกหลานจึงถ่ายรูปรวมญาติกับคุณย่าก่อนทำพิธีนี้ และหลังจากนั้นเวลาคล้อยบ่าย ขบวนจูงศพก็เริ่มเคลื่อนออกจากบ้าน โลงศพปู่ถูกบรรจุลงในปราสาทที่ทำจากไม้ ตกแต่งเหมือนปราสาทหรือวังในสรวงสวรรค์ ประดับประดาด้วยกระดาษสีสันสวยงาม มีดอกไม้สดวางบนโลงและมีพวงหรีดแขวนตกแต่งไว้ทั่ว ปราสาทถูกยกขึ้นรถลากเลื่อน มีเชือกเส้นใหญ่สองเส้นผูกหน้ารถ ด้านหน้าสุดมีสายสิญจน์ที่ให้พระใหม่เป็นคนจับนำขบวนโดยมีสัปเหร่อเดินนำหน้าสุด บรรดาแขกเหรื่อที่มางานต่างก็จับเชือกสองเส้นนั้นเดินเท้าจากบ้านออกไป เสียงคุยกันจอแจ เสียงรถโทรโข่งเปิดเพลงธรรณีกรรแสงตลอดทาง

“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง 

 โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี 

 นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ 

 สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”*

เสียงมัคทายกส่งผ่านไมโครโฟนชวนเศร้าสร้อย แดดในยามบ่ายร้อนแรง แต่ไม่มีใครบ่น ทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายเพื่อคุณปู่ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงกับการเดินร่วมสองกิโลเมตรขบวนก็มาถึงป่าช้าที่แสนเงียบเหงา มีเมรุเผาศพตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยว เมรุเผาศพของที่นี่ทำอย่างง่าย เป็นปูนทำเป็นบันไดสามขั้นความสูงไม่น่าเกินเมตรครึ่งยาวประมาณสองเมตร มีจำนวนสองอันวางขนานกันบนพื้น หลังจากเคลื่อนมาถึงต่างก็พากันถ่ายรูปคู่กับศพเป็นครั้งสุดท้ายโดยญาติคนหนึ่งที่เป็นตากล้องรับอาสาถ่ายรูปให้แบบไม่คิดเงิน แต้ม ยิ่งใหญ่และลูกหลานปู่ต่างก็ช่วยกันเสิร์ฟน้ำดื่มและน้ำหวานเพื่อดับร้อน พี่ตาง่วนอยู่กับพิธีอีกฝั่งหนึ่งในฐานะหลานคนโต

พิธีศพดำเนินไปด้วยดี หลังจากที่พระสวดส่งศพ เสียงพลุไฟก็ดังปึงปังไปทั่ว เสียงหวูดแหลมคล้ายเสียงช้างร้องดังกึกก้องก่อนที่ประทัดจะส่งเสียงสำทับ พลุไฟพุ่งจากศาลาไปจบที่โลงศพ ไฟลุกพรึ่บร้อนแรง แต้มน้ำตาซึมเมื่อร่างของปู่เริ่มมอดไหม้ แขกเหรื่อทะยอยเดินทางกลับ ลูกหลานปู่ต่างร้องไห้ระงมไม่เว้นแต่พี่ตา

“ปู่ไปดีแล้วนะครับพี่” แต้มกอดพี่สาว ทั้งคู่ไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น ก่อนที่จะพากันเดินไปที่รถยนต์ของยิ่งใหญ่ที่ฝากญาติคนหนึ่งขับมา ยิ่งใหญ่สตาร์ทรถและพุ่งทะยานออกจากป้าช้าโดยมีผู้โดยสารสี่คนนั่งซึมน้ำตาไหลกันตลอดทาง

พี่ตาดูเหมือนจะทำใจกับการจากไปของปู่ได้ช้าสุด เพราะความผูกพันที่มีมาตั้งแต่เด็ก พี่ตาเป็นหลานคนโปรด ไม่ว่าจะทำอะไรปู่ก็จะเข้าข้างพี่ตาเสมอ แม้กระทั่งการเรียนมหาวิทยาลัย ปู่เองนั่นแหละที่เป็นคนกัดฟันส่งเสียจนจบ แต่พอกลับมาถึงบ้าน พี่ตาก็ปาดน้ำตาและเดินเข้าไปช่วยงานหลังจากนี้ ที่แม่ครัวส่วนหนึ่งทำน้ำเงี้ยวไว้รอรับคนที่มาอยู่ต่อหลังพิธี ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่หมู่บ้านและญาติสนิท ส่วนญาติต่างอำเภอต่างพากันกลับบ้านไปแล้วบางส่วน แต่ก็พอมีบ้างที่มาร่ำลาย่าก่อนจะกลับ งานนี้แต้มดูเหมือนจะเป็นหลานที่ญาติโปรดปรานเรียกหามากที่สุด หลายคนยิบยื่นเงินให้บ้างก็ยี่สิบห้าสิบตามกำลังทรัพย์ เพราะลูกหลานย่าไม่ได้มีแต้มคนเดียว ลูกๆของพวกลุงป้าน้าอาต่างก็ได้รับอานิสงส์ตามๆกัน แต้มนับเงินในมือที่มีอยู่ร่วมห้าร้อยบาท นี่สินะข้อดีของการที่มีญาติเยอะ

***********************************************************************

*(สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส : กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


ตอนที่ 32. รอยยิ้มที่ไม่มีใครมองเห็น



                แต้มใช้เวลาทั้งวันในการทำความสะอาดบ้าน งานศพผ่านไปอาทิตย์นึงแล้ว แต่ยิ่งใหญ่ก็ยังตัวติดเป็นกาวอยู่ที่นี่ ย่านอนห้องเดิมที่เคยนอนกับปู่ แม่กับพ่อนอนอีกห้องที่อยู่ติดกัน สองหนุ่มก็นอนที่ห้องเก็บของดังเดิม การมาอยู่ของครอบครัวแต้ม ทำให้ต้องมีการจัดระเบียบบ้านใหม่ทั้งหมด ต้องตากลับไปทำงานต่อแล้วเมื่อสี่วันก่อน อัฐิของคุณปู่ก็ถูกเก็บและเอาไปฝากไว้ที่วัดตามความต้องการของย่า บ้านเงียบเหงา แต้มเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่กับพี่ตาถึงตกลงปลงใจมาอยู่กับย่า ความเหงามันเป็นความรู้สึกที่ร้ายกาจ การอยู่คนเดียวมันกรีดแทงความสุขจนแทบขาดวิ่นได้ การปล่อยให้ย่าต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่นี้โดยลำพังจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แล้วที่ผ่านมายิ่งใหญ่ทนได้อย่างไร แต้มได้แค่คิดว่าการเติบโตโดยลำพังมันจะเจ็บปวดแค่ไหนกันหนอ เขาได้แต่ขบคิดจนปวดสมอง

“บ้านนายจะขายเมื่อไหร่” ยิ่งใหญ่ถามแต้มช่วงหนึ่งของบทสนทาของทั้งคู่

“ไม่รู้ แม่บอกว่าพี่ตากับญาติๆช่วยประกาศขายไปแล้ว มีคนมาดูบ้างแต่ก็ยังไม่มีใครตกลง”

“นายโอเคจริงๆใช่มั้ย”

“อืม” แต้มตอบสั้นๆ แต่ในใจมันหวิวโหวง

“เออ เกรดออกแล้วนะ”

“หะ” แต้มเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน “รู้ได้ไง” ยิ่งใหญ่ตอบว่าเพื่อนในห้องคนหนึ่งโทรมาบอก

“นี่บอกเกรดหรือบอกว่าใครติดศูนย์” แต้มถามต่อ

“เกรดออกเลย” ยิ่งใหญ่ตอบ “อยากรู้มั้ยนายได้เท่าไหร่”

“อยากสิ ดูได้ที่ไหน”

“บอร์ดหน้าโรงเรียน”



ยิ่งใหญ่ขับรถออกจากบ้านย่าแทบจะทันทีที่แต้มได้ฟังว่าเกรดออกแล้ว การติดต่อแต้มลำบากมากสำหรับคนอื่น เพราะความที่เป็นคนค่อนข้างเก็บตัว มือถือใหม่ที่ได้ก็ไม่ได้บอกใคร ในนั้นมีแต่เบอร์ของแม่ พี่ตาและยิ่งใหญ่เท่านั้น

“เห้อ กว่าจะเจอตัวพวกนาย” อาร์ทเป็นคนพูด เพื่อนร่วมชั้นหลายคนต่างมองมาที่สองหนุ่มที่กำลังเดินมา

“ขอโทษที พอดีบ้านแต้มวุ่นๆน่ะ” ยิ่งใหญ่ตอบแทน

“หืม ทำไมเหรอ” อาร์ทถามซ้ำ

“ปู่เราเสียน่ะ” แต้มตอบเสียงเรียบ ไม่สนใจคนอื่นเพราะพุ่งความสนใจไปที่บอร์ด นักเรียนหลายระดับชั้นมาออกันอย่างคับคั่ง บอร์ดมีความสูงในระดับสายตาของแต้มแทบจะพอดี มีทั้งหมดหกบอร์ดไล่เรียงตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งถึงหก แต่ละระดับชั้นมีจำนวนห้องไม่เท่ากัน แต่ก็แยกออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน

“ชั้นได้ที่สิบหกว่ะแก” เด็กชั้นม.ต้นพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างผิดหวัง

“เราจะได้ที่โหล่มั้ยแต้ม” ยิ่งใหญ่ถาม

“ถ้านายได้ที่โหล่จริง เราจะไม่แย่ไปกว่านายเรอะ” ฟ้าใส เพื่อนในชั้นคนหนึ่งพูด

แต้มมองยิ่งใหญ่พลางส่ายหน้า

"พวกนายคุยอะไรกัน” อาร์ทถาม

“คุยเรื่องที่โหล่” ยิ่งใหญ่ตอบ

“อย่าพูดสิ เรายิ่งใจคอไม่ดีๆอยู่ด้วย” ฟ้าใสพูดอีกรอบ แต่ราวกับเป็นอากาศธาตุ

“นั่นสิใหญ่ พอเถอะ” แต้มบ่น

“พวนายอย่าปอดแหกสิ เอางี้ ในบรรดาเราสี่คน ใครได้เกรดน้อยที่สุดคือคนที่ได้ที่โหล่ และต้องเลี้ยงไอติม ตกลงมั้ย” ยิ่งใหญ่ท้า

“ทำไมนายดูมั่นใจจัง” แต้มถาม

“เอาปะล่ะ” ยิ่งใหญ่ย้ำ

“เราไม่เอาด้วยได้ปะ” ฟ้าใสออกตัว ก่อนที่จะเลี่ยงไปหาเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มแทน

“ได้ เอาสิ” อาร์ทรับคำท้าก่อน ยิ่งใหญ่ยิ้มมุมปาก แต้มมองด้วยความระแวง

“นายมีแผนอะไร” แต้มกระซิบ เขาคิดว่ายิ่งใหญ่ไม่ได้ท้าเพราะความสนุกแน่ๆ การที่เจ้าตัวมั่นใจขนาดนี้ต้องรู้อะไรมาก่อนแล้ว “นายรู้เกรดแล้วใช่มั้ย”

ยิ่งใหญ่ไม่ตอบ กลับแหวกฝูงชนเข้าไปข้างใน

การที่ชื่อของแต้มขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ เกรดของเขาเลยรู้ก่อนคนแรก

“แต้ม 3.96 ไม่เลว” ยิ่งใหญ่บอก

“เราล่ะๆๆๆ” อาร์ทถามด้วยความตื่นเต้น

“แป๊บ กำลังไล่ลงมา” ยิ่งใหญ่ยิ้มมุมปาก

“อาร์ท 3.64”

“แล้วนายล่ะใหญ่” อาร์ทลุ้น เพราะคิดว่ายังไงยิ่งใหญ่ก็ได้ไม่ถึง 3.50 แน่ๆ

“ไม่บอก”

“ทำไมล่ะ นายไม่อยากเลี้ยงไอติมใช่ไหม”

“เฮ้ใหญ่ เห็นเกรดยัง” เพื่อนร่วมชั้นที่แหวกฝูงชนมาตั้งคำถาม อาร์ทหน้ามุ่ย แต้มไม่พูดอะไรเพราะรู้อยู่แล้ว

“เห็นแล้ว” ยิ่งใหญ่ตอบเพื่อนคนนั้น

“ได้เท่าไหร่เหรอ”

“ไม่บอก”

“เออ ดูเองก็ได้” อาร์ทและเพื่อนคนเดิมไล่ชื่อจนเจอ

อาร์ทดูตกใจไม่น้อย

“ยิ่งใหญ่ เกรดนาย...” อาร์ทหน้าซีด แต้มไม่พูดอะไรเช่นเคย

“ปะ เราได้เจ้ามือล่ะนะ”

“นายทำได้ไงวะเนี่ย ลอกการบ้านแต้มทุกวัน ซ้อมกีฬาอีก กิจกรรมแน่นขนาดนี้” อาร์ทถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“คนหล่อก็งี้แหละ”

“จะอ๊วก” แต้มตอบ

“อะไร” ยิ่งใหญ่มองค้อน

แต้มไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มให้กับตัวเองอย่างเงียบเชียบในใจ

นี่สินะ เขาถึงเรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว... พ่อและพี่ชายเป็นหมอ นายก็คงรู้อยู่แล้วแน่ๆ

“แก ใครได้ที่หนึ่งของระดับชั้น” เสียงนักเรียนชั้นม.สี่พูดคุยและกระซิบกระซาบ ก่อนที่จะมองมาทางชายหนุ่มทั้งสามคน

“จะใครล่ะแก โน่นไงยิ่งใหญ่ห้องแปด”

“ห๊ะ ใหญ่คนที่หล่อๆนั่นน่ะนะ”

“ช่ายยยย”

“โอ๊ย คนอะไร หน้าตาก็หล่อ กีฬาก็เด่น เรียนก็เก่งอีกต่างหาก” นักเรียนหญิงต่างพากันชื่นชมคนที่กำลังเดินผ่านด้วยสายตาเทิดทูน

“นี่นายรู้อยู่แล้วใช่มั้ย” อาร์ทถามตอนที่นั่งกินไอติมอยู่ที่บิ๊กซี

“รู้อะไรเหรอ” ยิ่งใหญ่ทำหน้านิ่งและถามกลับ

“รู้ว่านายได้เกรดเท่าไหร่น่ะ” อาร์ทไม่ยอมแพ้

“เปล๊า”

แต้มกระทุ้งสีข้าง “นายพลาดแล้วล่ะอาร์ท”

“น้องครับ ขอเมนูหน่อย” ยิ่งใหญ่โบกมือยิ้มร่า อาร์ทมองถ้วยไอติมสองถ้วยที่หมดไปก่อนหน้านี้อย่างอ่อนล้า

“ใครจะไปคิดวะว่านายจะได้เกรดตั้ง 4.00” อาร์ทบ่นอุบ ยิ่งใหญ่ไม่พูดอะไร ยิ้มและสั่งไอติมถ้วยที่สาม

แต้มละเลียดไอติมถ้วยที่สองของตัวเองเงียบๆ เพราะกำลังใช้ความคิดว่าจะสั่งถ้วยที่สามตามใหญ่ดีหรือเปล่า ใจหนึ่งก็สงสารอาร์ท แต่ใจหนึ่งก็นึกขัน ความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิทของตนนี่พร้อมจะถูกใช้กับทุกคนจริงๆ

“ไอ้จิ้งจอกเอ๊ย” แต้มพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครมองเห็น



***********************************************************************





จบตอน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต้องเก่งสิ  เคยเผยออกมาแล้วรอบนึง 

ที่ทำให้คิดว่าอิมเมจของยิ่งใหญ่ไปค้ายคลึงกับกู้ไห่ 

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

ต้องเก่งสิ  เคยเผยออกมาแล้วรอบนึง 

ที่ทำให้คิดว่าอิมเมจของยิ่งใหญ่ไปค้ายคลึงกับกู้ไห่


นายยิ่งใหญ่ของเราไม่ร้ายแบบกู้ไห่หรอกครับ อิอิอิ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
มาแล้วครับตอนใหม่ อิอิ ไม่ได้หายไปไหนนะครับ
ถ้ามีเวลาก็มาอัพเดตให้กันเสมอ

อย่าลืมติดตามเรื่องอื่นของไรต์ด้วยนะครับ เรื่อง บังเอิญรักโดยตั้งใจ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0


และขอเชิญติดตามไรต์ทางเพจ facebook ตามลิงค์ที่ลายเซ็นนะครับ

ขอบคุณครับ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:






ตอนที่ 33. ที่เรามีให้นายคือความรัก

เชียงใหม่ในยามนี้ถนนค่อนข้างโล่ง ชายหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าขนาดหนึ่งร้อยสิบแรงม้าสีแดงคลุมด้วยผ้าคาดจมูกและทับด้วยหมวกกันน็อคขนาดครึ่งหัวที่ดูอย่างไรก็ไม่สามารถป้องกันคนขับได้ในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน รถเลี้ยวไปตามทางในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประตูหน้าลัดเลาะมาจนถึงวงเวียนนาฬิกาหน้าหอพักสี่ชายตรงข้ามกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ รถเลี้ยวซ้ายขับผ่านคณะศึกษาศาสตร์ สระว่ายน้ำ สนามกีฬา คณะเกษตรศาสตร์ และพุ่งตรงไปตามทางทะลุออกที่ถนนนิมมานเหมินทร์

เสียงรถดังราวกับคนไอก่อนที่จะดับเองทั้งที่ยังไม่ได้ดับเครื่อง สงสัยมันจะถูกใช้งานมาหลายปีเกินไปแล้ว นอกจากเสียงโซ่ที่ดังกึกกักแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง (ถ้าไม่นับว่ารถจะดับเองตอนไม่ได้เร่งเครื่องนะ)

“มาแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง” เสียงหนึ่งถามโดยที่ไม่มองมาทางนี้ เจ้าตัวกำลังรดน้ำต้นไม้และตกแต่งร้านก่อนจะเปิดในช่วงเย็น

“ก็ดี แต่ร้อนไปหน่อย”

“กินน้ำก่อนสิ” แล้วเขาก็สั่งพนักงานยกน้ำมาให้ “ใจคอจะไม่ถอดหน้ากากออกเลยเรอะ”

“แหะๆ ลืม” เจ้าตัวยิ้มเจื่อนพลางถอดผ้าคลุมหน้าออก เผยเห็นความหล่อเหลาที่เปล่งประกายชนิดที่ว่าใครเห็นจะต้องเหลียวมองตาเป็นมัน

“นายไปอาบน้ำก่อนปะ เดี๋ยวลงมากินข้าว”

“แล้วนายล่ะ”

“ขอรดน้ำต้นไม้เสร็จก่อน”

“งั้นมา เดี๋ยวช่วย”

“ใครจะกล้าใช้พระเอกหนุ่มรูปหล่อมารดน้ำต้นไม้ได้ล่ะ”

“ทำไมจะไม่ได้ เอามานี่” ชายหนุ่มแย่งสายฉีดน้ำมาปล่อยให้เพื่อนสนิทมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ทั้งคู่เล่นกันเหมือนเด็ก ยื้อแย่งสายฉีดน้ำไปมาจนตัวเปียกโชก เสียงหัวเราะสอดประสานกันราวกับทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง

“นายโอเคขึ้นแล้วใช่ไหมภัทร”

ภัทรหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ คำถามที่แฝงไปด้วยความจริงใจและสงสารทำให้เขารู้สึกอ่อนแอลงกระทันหัน จากที่ไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากใคร แต่ตอนนี้เขากลับหนีเรื่องราวบ้าๆและมาพักใจอยู่ที่เชียงใหม่อย่างเงียบเชียบ

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน เขาป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะได้สติก็กลายเป็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ข้างๆ จนสุดท้ายก็มีข่าวหลุดออกมาและกระทบหน้าที่การงาน ใบหน้าเขาออกข่าวทุกสำนัก หนังสือซุบซิบดาราขุดคุ้ยจนตัวเขาเองหวั่นใจว่าจะกระทบต่อคนอื่น ภัทรเป๋ไปเลยในตอนนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อโฆษณาหลายชิ้นได้โทรมาขอยกเลิก และละครที่ถ่ายทำไว้สองสามเรื่องก็ถูกดองไว้จนกว่าเรื่องจะซาลงไป

ภัทรตัดสินใจมาเชียงใหม่ เมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่ดีที่สุด เขาเกิดที่อ.สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี แต่ไม่รู้จะกลับไปทำไม เมื่อผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้เป็นเสาหลักให้ครอบครัว แม่ของเขาเป็นหนึ่งในบรรดาเมียน้อยที่สนองความเจ้าชู้ของพ่อก็เท่านั้น เขาคือผลผลิตของความมักมากนี้ และไม่อยากให้มันลุกลามไปไหนอีก เพราะเขารู้ดีกว่าไม่มีทางจะถ่ายทอดเชื้อร้ายไปให้ผู้หญิงคนไหนได้อีก

และที่เขามาที่นี่ เพราะมีใครคนนี้อยู่...

“เราโอเค” ภัทรยิ้มแบบที่คิดว่าจริงใจที่สุด อีกฝ่ายยิ้มกลับด้วยแววตาที่เจ็บปวด

“ไปอาบน้ำกันเถอะ วันนี้มีของโปรดนายด้วยนะ”

บนเรือนไม้แบบยกสูงตามแบบฉบับคนเหนือ สองหนุ่มทานอาหารกันแบบง่ายๆที่โต๊ะอาหารที่วางไว้ตรงศาลาขนาดย่อมบนเรือน ในถาดมีกับข้าวสองสามอย่าง แต่เมนูโปรดของภัทรคือน้ำพริกข่ากับจอผักกาดใส่หมูสามชั้นและมะขาม เป็นอาหารเหนือขนานแท้ที่เขาเรีกร้องหาทุกวันแบบไม่มีเบื่อ ภัทรตักหมูชิ้นหนึ่งวางที่จานของอีกฝ่าย

“กินเยอะๆ นายดูผอมไปนะ”

“ขอบคุณ” รอยยิ้มสดใสนั้นฉีกกว้าง

“นายอย่ายิ้มแบบนี้สิบั๊มพ์ เราเขิน”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ” สำหรับบั๊มพ์แล้ว ภัทรคือผู้ชายที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว อยู่ใกล้แล้วใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความหล่อเหลาของภัทรไม่ได้ส่งผลกับความรู้สึกนี้เท่ากับนิสัยใจคอและความจริงใจที่เคยมีให้ตลอดมา

“ไม่ซะที” ภัทรตอบด้วยความเขิน “แต่เราชอบรอยยิ้มนี้นะ”

“งั้นเรายิ้มให้ทุกวันเลยเป็นไงล่ะ” ภัทรไม่ตอบ เขาส่งยิ้มหวานกลับไปให้ เขี้ยวเสน่ห์เป็นประกายใต้แสงไฟ ฟันขาวเรียงระยับน่ามองพอๆกับใบหน้าที่ไร้ที่ตินั้น

“ขอบใจนายมากนะ”

“ขอบใจเรื่องอะไร” บั๊มพ์ถาม

“ทุกเรื่อง” ภัทรหมายความตามนั้น เขาคงไม่ก้าวผ่านเรื่องแย่ๆมาได้ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้

บั๊มพ์ยิ้ม ส่ายหน้า และตักอาหารให้อีกฝ่าย “นายจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้นะ ให้คิดว่ามันคือบ้านของนาย”

ภัทรไม่ตอบ ความตื้นตันบีบเค้นในจิตใจจนแทบคลั่ง

“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วนะ”

“ตั้งแต่มอปลาย ตอนนี้ก็เจ็ดแปดปีแล้วล่ะ”

“นายไม่คิดว่าเราเป็นคนแบบในข่าวมั้ยบั๊มพ์”

บั๊มพ์ตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่เลย”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม”

“ก็ที่ถามนายซ้ำๆทุกวันน่ะสิ นายคงเบื่อ”

“ไม่หรอก” บั๊มพ์สบตาคู่สวยนั้น “เราไม่เคยเบื่อนาย”

“บั๊มพ์”

“หืม”

“ดูดาวสิ คืนนี้ดาวสวยจังเลยเนาะ” ภัทรแหงนมองฟ้า พวกเขาอยู่ชั้นสองบนเรือนไม้ที่ด้านนอกเป็นชานวางโล่ง ทำให้สามารถมองเห็นความสวยงามยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี ตัวบ้านปลูกอยู่ด้านในของเนื้อที่ทั้งหมด โดยมีอีกฝั่งหนึ่งเป็นร้านอาหารเหนือที่บั๊มพ์หลงไหลและมาเปิดกิจการจนปักหลักอยู่ที่นี่

“อืม สวย” บั๊มพ์ตอบ

“เราอยากอยู่ที่นี่กับนายตลอดไปจัง” ภัทรเอ่ยขึ้น

บั๊มพ์ไม่ตอบ เสียงลมพัดกรูปะทะตัวผ่านไป ทั้งคู่ปล่อยให้ความสงบเข้ามาแทนที่บทสนทนา

“เรา...” บั๊มพ์มองไปที่ท้องฟ้าและหันมาสบตาผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ” มันเป็นแบบนี้มาตลอด ภัทรคิดในใจ บั๊มพ์ไม่เคยให้เขาเข้าใกล้เกินระยะของคำว่าเพื่อน ถึงแม้ว่าต่างก็รู้กันเต็มอกว่าทั้งคู่รู้สึกอย่างไรก็ตาม

“ไม่ นายไม่เข้าใจ”

“ยังไงล่ะ” ภัทรถาม

“ครอบครัวเรา พี่เรา น้องเรา” บั๊มพ์พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

“อย่ากลัวหรืออายที่จะบอกคนอื่นว่าเราเป็นหรืออยากเป็นอะไร เราต้องเคารพตัวเองให้มาก ถ้าวันนี้เรายังยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครจะมาทำให้เรา” ภัทรพูดแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ความคิดเงียบๆ

“แต่พวกเราเป็นผู้ชายนะ นายมองไปรอบๆสิ นี่มันปี 2542 นะ ไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้”

“มันไม่สำคัญว่าใครจะยอมรับหรอกบั๊มพ์” ภัทรพ่นควันสีขุ่นออกมาอย่างใจเย็น “มันอยู่ที่นายเองต่างหาก”

“แล้วถ้าวันหนึ่งพวกเราไปไม่รอดล่ะ” ภัทรเอื้อมมือมาจับมือใหญ่นั้น ส่งสายตาจริงจังมาประสาน ความอ่อนแอนั้นไม่ได้เกิดมาจากครอบครัวหรือคนอื่น แต่เป็นเพราะบั๊มพ์รู้สึกว่าตัวเองกลัวจะสูญเสียผู้ชายคนนี้ไปต่างหาก และนั่นก็มีเหตุผลมากพอที่จะทำให้เขาหวาดกลัวมาตลอด

“เราก็ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่เรารู้คือวันนี้เรารักนาย” ภัทรวางบุหรี่บนที่เขี่ยก่อนเดินมาโอบลำคอหนาของอีกฝ่ายโน้มใบหน้าชิดกับใบหูพ่นลมหายใจที่มีแต่กลิ่นนิโคตินวนเวียน บั๊มพ์หายใจขัด ความเร่าร้อนของภัทรไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่จะต้องรับมือ แต่เป็นชื่อเสียงของอีกฝ่ายต่างหาก

“แต่นายเป็นดารานะ...” ภัทรใช้นิ้วปิดปากฝ่ายนั้นไว้

“ชวู่... เราคือภัทร คนที่นายรู้จักมาตั้งแต่สมัยมอปลาย นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

บั๊มพ์พยักหน้า

“บั๊มพ์...” ภัทรหมุนเก้าอี้ของอีกฝ่ายให้มาประจัญหน้าและนั่งคุกเข่าให้ได้ระยะสายตา

“หืม”

“เป็นแฟนกันนะ เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีพร้อม แต่ที่เรามีให้นายคือความรัก และเราจะสัญญาว่ามันจะเป็นความจริงตลอดไป”

บั๊มพ์ไม่ตอบ ได้แต่จับจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเนิ่นนานจนไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว ทุกอย่างดูเงียบสงัดเมื่อภัทรโน้มใบหน้ามาหา ริมฝีปากได้รูปประกบความลึกเข้ากับปากของเขา ความอบอุ่นเนิบนาบเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อน บั๊มพ์ไม่รูตัวเลยว่าถูกอุ้มมาตอนไหน ถูกวางลงเตียงตอนไหน เมื่อสายตาที่ส่งผ่านมานั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความรักและหื่นกระหาย บั๊มพ์ยอมถูกกัดกินจนไม่เหลือซาก เมื่อความใหญ่แน่นส่งผ่านสุดทาง บั๊มพ์ถึงได้แน่ใจว่าชีวิตนี้คงจะไม่รักใครได้เท่านี้อีกแล้ว....

***********************************************************************




จบตอน....




วันนี้จะขอแนะนำตัวละครอีกตัวหนึ่ง ที่มีบทบาทในเรื่องนี้ไม่มาก
แต่จะเป็นปมไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง (ถ้าเป็นแฟนไรต์จริงจะรู้ว่าเรื่องไหนเนอะ)
คนนั้นก็คือ ดาราของเราครับ นายภัทร
ภัทรเป็นคนสุพรรณบุรี เป็นลูกจากเมียคนที่สามของพ่อ แม่เขาเสียนานแล้ว
เลยไม่ได้ติดต่อทางพ่อเลย
ภัทรรักกับบั๊มพ์ ตั้งแต่สมัยเรียน แต่พวกเขาก็ปกปิดไว้ แม้กระทั่งจบมาแล้ว
ภัทรเป็นดาราดัง บั๊มพ์หนีมาเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่ เรื่องราวของทั้งคู่เลยยากจะบรรจบกัน
แต่วันนี้ หลังจากที่รอมา 8 ปี นายภัทรของเราก็สมหวังเสียที
นี่คือ นายภัทรในจินตนาการของผมครับ
​หวังว่านายภัทรในความคิดของผมจะถูกใจแฟนๆนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2018 12:53:07 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เลือนลางเต็มที

บัมพ์  นี่น่าจะใช่พี่น้องตะกูล "บ."  บัมพ์  เบสต์  ไบรต์   สินะ
หรืออาจจะไม่ใช่  เพราะเหตุการณ์มันปี 2542 เลยนะนั่น
แต่...อยากรู้ว่า  คิง มีปูมหลังกับ ไบรต์ อย่างไรมากกว่า  อิอิ   อ้าว...คนละเรื่องนี่หว่า 555

ป.ล.  บัมพ์กับภัทร  นี่คุ้นมากแต่จำไม่ได้ว่าเคยโผล่ที่เรื่องไหน  555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2018 22:50:57 โดย DrSlump »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ขอบคุณ คนแต่ง ^^

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


ตอนที่ 34. คำถามเดียว



“อ่านอะไรอยู่เหรอ” ยิ่งใหญ่เดินมายืนข้างแต้มที่กำลังหยิบหนังสือพิมพ์ในร้านหนังสือมาอ่านอย่างใจจดจ่อ

“ข่าวใหญ่นี่ไง เสี่ยใหญ่ฆ่าตัวตายหนีความผิด” แต้มยื่นให้ยิ่งใหญ่อ่าน ตอนเช้าแบบนี้แต้มจะแต่งตัวเสร็จก่อนและลงมารอเพื่อนข้างล่างเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เขามักจะมาอ่านหนังสือพิมพ์ที่ร้านหนังสือแถวหอพักเป็นประจำ ลุงคนขายก็ใจดีไม่ว่าอะไร เพราะหลายครั้งแต้มก็มาช่วยขายและนับเงินทอนให้ เปิดเทอมสองมาได้ไม่กี่วัน แต้มก็ต้องมาพักที่หอยิ่งใหญ่ เพราะต้องมาซ้อมกิจกรรมที่เขาโดนหลอกล่อโดยฝีมือไอ้สุนัขจิ้งจอกตัวนี้

“หูย ข่าวใหญ่จริง หน้าหนึ่งทุกฉบับเลย”

“เห็นว่ามีตำรวจตายด้วยนะ เขาเลยประโคมข่าวขนาดนี้”

“ประโคมแปลว่าอะไรอะ” ยิ่งใหญ่ถาม แต้มได้แต่ทำหน้าอึ้งเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้จักคำนี้

“ก็เหมือนนายทาครีม ทากันแดด ใส่น้ำหอม ปะแป้งก่อนแต่งตัวนั่นแหละเขาเรียกประโคม”

“หึ” ยิ่งใหญ่ไม่พูดอะไร ได้แต่แค่นเสียงประชด

“ไปยัง ไม่ลืมอะไรแล้วใช่มั้ย”

“ไม่ลืม” ยิ่งใหญ่ตอบ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจมากนัก ครั้งที่แล้วเขาก็ลืมกุญแจห้อง “คิดว่านะ”

แต้มขมวดคิ้วด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่ก็ไม่บ่นอะไร “หิวแล้วอะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

แล้วสองหนุ่มก็เดินไปที่โรงเรียน ผ่านสายตาสาวๆที่มองมาเป็นระยะ แต้มทำใจให้ชินกับสายตาคนอื่นเสียแล้ว

ยกเว้นการเดินแล้วกอดคอไปด้วยของไอ้คนข้างๆ มันทำให้รู้สึกไม่ชินอยู่ดี

“นายเอาสมุดพกให้พ่อเซ็นหรือยัง” แต้มถาม ยิ่งใหญ่ทำหน้านึกขึ้นได้เป็นคำตอบให้แต้มแทนการส่งเสียง

***********************************************************************

ต้องตาสะดุ้งเฮือกเมื่อยอดเยี่ยมโผล่มาด้วยใบหน้าที่ดูตกใจสุดขีด น้ำเสียงสั่นเครือละล่ำละลักจนเธอจับใจความแทบไม่ได้ ตัวเขาสั่นแบบไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าซีดราวกับกระดาษ แต่เหงื่อกาฬไหลย้อยดูขัดกันเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นอะไรคะคุณยอด เกิดอะไรขึ้น ใจเย็นๆค่ะ” เธอพยายามระงับสติอารมณ์ของเขา นี่คงเป็นเรื่องร้ายแรงมาก มิเช่นนั้นเจ้านายคงไม่แสดงอาการตื่นตระหนกแบบนี้

“คุณได้ดูข่าวมั้ยครับช่วงนี้”

“คะ...” ต้องตาขานรับเสียงสูงด้วยความสงสัย “ก็ติดตามหลายข่าวอยู่ค่ะ”

“ดูข่าวนี้สิครับ” เธอแทบไม่สังเกตว่าในมือเขามีหนังสือพิมพ์อยู่ มันถูกกางหน้าแรกโดยมีเนื้อข่าวว่า...

เสี่ยใหญ่จ่อหัวดับหลังยิงชายหนุ่มนิรนามแน่นิ่ง ตำรวจคาดเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ***

“แล้ว...” ต้องตาอยากรู้สาเหตุว่าทำไมยอดเยี่ยมถึงตื่นตระหนกเช่นนี้

“เสี่ยนิพนธ์ เป็นเจ้าของธุรกิจค่ายเพลงที่โดนไฟไหม้ จำได้ไหมครับ”

ต้องตาพยักหน้า เธอจำภาพข่าวได้ เหตุการณ์เกิดบริเวณโกดังของเสี่ยนิพนธ์แถวหนองจอก นอกจากนั้นยังมีระเบิดที่บ้านหลังหนึ่งอีกด้วย “จำได้ค่ะ”

“คุณจะต้องตกใจแน่ถ้าผมบอกคุณ”

ต้องตาสูดหายใจเต็มปอดเพื่อแสดงออกว่าเธอพร้อมแล้ว

“คนที่ถูกเสี่ยนิพนธ์ยิงน่ะ คือพิสันต์เพื่อนสนิทผม”

“อะไรนะคะ” ต้องตาตกใจยิ่งกว่า เพราะเธอรู้จักเพื่อนคนนี้ในงานปาร์ตี้ครั้งก่อน หลังจากนั้นชายที่ชื่อพิสันต์มาเยี่ยมเจ้านายเธอไม่ขาด หลายครั้งที่ซื้อขนมมาฝากจนเธอยังเกรงใจ ต้องตายังจำได้ถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดและเคราที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับบุคลิกของยอดเยี่ยมเป็นที่สุด แต่ภายใต้ความรกรุงรังนั้น เธอคิดว่าพิสันต์เป็นคนดีคนหนึ่ง

“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้เจอมันเลยตั้งแต่งานปาร์ตี้ มันหายไปสามสี่เดือน พอรู้ข่าวก็โดนยิงเสียอย่างนั้น”

“ละ แล้ว อาการเป็นยังไงบ้างคะ”

“ผมโทรไปถามน้องชายมันละ อาการปลอดภัย แต่หมอยังให้อยู่ในห้องไอซียูดูอาการก่อน โชคดีที่วิถีกระสุนไม่โดนจุดสำคัญเห็นบอกว่าโดนจ่อยิงระยะเผาขนเชียว”

“คุณพระคุณเจ้าช่วย” ต้องตาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ของตน “แล้วคุณยอดจะไปเยี่ยมเมื่อไหร่คะ”

“ผมว่าจะไปเลย คุณตาว่างมั้ยครับ ผมอยากได้คนไปช่วยเลือกของฝากคนไข้”

“ได้ค่ะ” ต้องตาคว้ากระเป๋าถือก่อนเดินตามยอดเยี่ยมไปทันที่ที่เธอตอบตกลง

***********************************************************************

ทั้งคู่ต่างไม่พูดอะไรหลังกลับจากเยี่ยมพิสันต์ อาการของเขาค่อนข้างสาหัส แต่หมอบอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เหลือแต่แผลที่ต้องเฝ้าดูอาการว่าจะมีการติดเชื้อหรือไม่ พวกเขาไม่ได้เข้าไปเยี่ยมในห้อง เจอครอบครัวของพิสันต์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ผู้เป็นแม่ร้องไห้แทบจะตลอดเวลาโดยมีพิชิตผู้เป็นน้องชายคอยปลอบอยู่ไม่ห่าง

“หมอบอกว่าน่าจะเป็นแผลเป็น” ช่วงหนึ่งของการสนทนา พิชิตบอกพวกเขา “กระสุนมันเจาะไม่ลึก เพราะวิถีกระสุนไม่ได้ ถ้าเป็นปืนชนิดอื่นที่วิถีกระสุนระยะใกล้ พี่สันคงไม่รอดแล้ว”

ต้องตาใจหาย

“แล้วทำไมไอ้สันมันไปพัวพันเสี่ยคนนี้ได้ล่ะ”

“เรื่องมันยาวครับพี่ ตอนนี้ตำรวจกำลังหาหลักฐานเพิ่มเติมอยู่” ทั้งคู่หยุดชะงักเมื่อพยาบาลเดินมาทางนี้

“คุณตำรวจคะ เราติดต่อญาติผู้เสียชีวิตไม่ได้เลยค่ะ”

“ครับ เดี๋ยวผมแจ้งหน่วยผมให้ช่วยจัดการ”

“มีคนตายด้วยเหรอคะ”

“ใช่ครับ เป็นตำรวจชื่ออิทธิ เขาทำคดีหนึ่งเกี่ยวกับเสี่ยนิพนธ์อยู่ แต่เคราะห์ร้ายที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกับภรรยา”

ต้องตาหลับตา เธอเพิ่งสูญเสียคุณปู่ไปเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเห็นภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องดับจิตยิ่งทำให้จิตใจเธอห่อเหี่ยว ยอดเยี่ยมลอบมองหญิงสาวที่ใบหน้าสลดก่อนละมือหนึ่งจากพวงมาลัยไปกุมมือน้อยนั้นไว้ หญิงสาวลืมตาอย่างช้าๆหันมาส่งรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนให้

“ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ” ต้องตาพูดเหมือนคนปลงตก

“ใช่ครับ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเราจะจากโลกนี้ไปวันไหน”

“ตาจะไม่ยอมตายง่ายๆหรอกค่ะ ตาจะต้องรอให้น้องเรียนจบ แม่กับพ่อมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ให้ได้ก่อน”

ชายหนุ่มมองหญิงสาวสลับกับมองถนน เขารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมากที่ได้ฟังความคิดนี้ ต้องตาเป็นคนสวย แต่จิตใจนั้นกลับสวยงามมากกว่า มากเสียจนเขาไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้ว

“คุณตาครับ”

“คะ”

“เราก็รู้จักกันมานานแล้ว คุณตาคิดว่าผมเป็นคนยังไงครับ”

“ถามในฐานะเจ้านายหรือเพื่อนล่ะคะ”

“ทั้งสองอย่าง”

“คุณยอดเป็นเจ้านายที่เก่ง มีวิสัยทัศน์ ใจดี ที่สำคัญ หล่ออีกต่างหาก”

“ฮ่าๆๆๆ แล้วในฐานะเพื่อนล่ะครับ”

“ตา...” หญิงสาวหลบตามองที่ตักของตน “ตาไม่รู้จะตอบยังไงดี”

“งั้น คุณตาตอบคำถามผมอีกสักคำถามได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ถ้าตาตอบได้ตาจะตอบ”

“คำถามนี้คุณตาตอบได้แน่นอน” ยอดเยี่ยมยิ้ม

หญิงสาวสบตาชายหนุ่มพลางสงสัยว่าเขาจะถามอะไรที่ยากๆอีกหรือเปล่า

“คุณตาจะเป็นแฟนกับผมได้มั้ยครับ”

ต้องตาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ยอดเยี่ยมกระชับมือที่จับไว้พลางส่งสายตาหวานหยดมาให้จนต้องตารู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวราวกับถูกไฟไหม้

แล้วเสียงโทรศัพท์ของยอดเยี่ยมก็ดังขึ้น.....

***********************************************************************

ชายหนุ่มนั่งไม่ติดเมื่อเห็นข่าว เขาวิ่งเท้าเปล่าจากเรือนไม้จนถึงในร้าน กวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งโดยไม่สนใจว่าผู้คนจะจำได้ เมื่อพบเป้าหมาย เขาก็เดินไปอย่างรวดเร็ว

“อ่านข่าวนี่สิ” ภัทรยื่นหนังสือพิมพ์ที่เขาพับหน้าข่าวเตรียมไว้แล้วให้บั๊มพ์ได้อ่าน

“นี่มันอะไรกัน” บั๊มพ์ตกใจหลังจากอ่านข่าว เขากดมือถือโทรออกทันที เสียงดังอยู่สองจังหวะก็มีคนรับสาย

“เห้ยยอด รู้ข่าวไอ้สันยัง”

“รู้แล้ว” ปลายสายตอบ “เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อกี้เอง”

“อยู่โรงบาลไหนรู้ปะ”

“อยู่ xxx ที่พระรามเก้าน่ะ นายรู้จักไหม”

“รู้ แล้วอาการเป็นไงบ้าง”

“ปลอดภัยแล้ว แต่หมอยังดูอาการอย่างใกล้ชิดอยู่”

“ขอบใจมาก เดี๋ยวเรากระจายข่าวต่อเอง ถ้าเคลียร์ทางนี้เสร็จจะลงไป”

“ได้ เออแล้วได้ข่าวไอ้ภัทร...” โทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งก่อนที่ยอดเยี่ยมจะถามจบ เขาหันมามองหญิงสาวที่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

“ผมยังรอคำตอบอยู่นะครับคุณตา”

“เอ่อ คือ” เธออึกอัก ต้องตาไม่ใช่คนดีอะไรแบบที่เขาคิด เธอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังหวาดกลัวกับความคาดหวังของผู้ชายที่ขับรถอยู่

“ตาขอบคุณนะคะที่คุณยอดชอบตา” หญิงสาวกล่าวความจริง “แต่คุณยอดไม่อายเหรอคะที่ตาฐานะยากจน แถมยังแก่กว่าคุณยอดตั้งหกปี”

ยอดเยี่ยมอมยิ้ม เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอจะถามแบบนี้

“คุณตาคิดว่าผมไม่รู้เรื่องนี้อย่างนั้นเหรอครับ”

ต้องตาไม่ตอบ รู้เต็มอกว่ายอดเยี่ยมรู้เรื่องของเธอพอสมควรจากการเล่นเกมยี่สิบคำถามครั้งก่อน

“ถ้าคุณตากังวลสองเรื่องนี้ ผมยืนยันได้เลยนะครับว่าไม่มีผลใดๆกับความรู้สึกผมแน่นอน”

หญิงสาวอมยิ้ม นั่นสินะ

“ถ้าคุณยอดไม่รังเกียจ...” ต้องตาเว้นช่องว่าง ลมหายใจหอบถี่ด้วยความเขินอายราวกับว่าตัวเองเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่น

“ตกลงค่ะ”

ยอดเยี่ยมตะโกนวู้เสียงดังด้วยความดีใจ เขาอยากจะจอดรถตรงนี้แล้วอุ้มหญิงสาววิ่งโชว์และตะโกนบอกใครต่อใครว่าผู้หญิงคนนี้แฟนผมเอง....

***********************************************************************


จบตอน...

***เหตุการณ์จากเรื่องหากย้อนเวลาได้ (If I could Turn Back Time)
สามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊คของไรต์ตามลายเซ็นนะครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอิ่ม...เริ่มสับสนกับ timeline จากตัวละครสองเรื่อง

เด๋วกลับไปอ่านแล้วทำ timeline ประกอบก่อน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน




ตอนที่ 35. กินหมูกระทะ



เปิดเทอมมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ ยิ่งใหญ่กับแต้มต่างต้องไปซ้อมงานแสดงหลังเลิกเรียนทุกวันจนถึงดึก อาจารย์แจ้งว่าจะมีการ “ซ้อมจริง” ที่งานฤดูหนาวเชียงรายก่อน เผื่อวันจริงที่ไปแสดงที่กรุงเทพจะไม่ตื่นเวที

แค่ได้ยินคำว่ากรุงเทพ แต้มก็ตาเป็นประกาย ส่วนยิ่งใหญ่ยังคงสับสนกับท่าทางอยู่ไม่น้อย

“ใหญ่อย่าเร่งจังหวะ ฟังเสียงดนตรีด้วย” อาจารย์บ่น เสียงบรรเลงของเครื่องดนตรีจังหวะล้านนาดังราวกับเสียงโหยหวน จังหวะก้าวขาต้องสัมพันธ์กับทำนองที่ดังมาด้วย เมื่อเสียงฉิ่งดังกริ๊ง ก็ต้องเปลี่ยนจังหวะอีก

ไม่เข้าใจกันล่ะสิ

นี่แหละเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ยังเก้ๆกังๆและทำผลงานออกมาไม่ค่อยดี

 งานแสดงจะต้องมีของประกอบ ได้แก่ซออู้ขนาดใหญ่และมีชุดไทยล้านนาประยุกต์ที่ต้องถอดเสื้อ ใส่ผ้าคล้ายผ้าถุงแต่นุ่งแบบโจงกระเบนรั้งเลยหัวเข่าขึ้นมาอวดเรียวขา ตอนที่ได้ลองชุดสาวๆแอบกรี๊ดกันใหญ่เมื่อเห็นต้นขาแน่นๆขาวเนียนของยิ่งใหญ่ แต่เจ้าตัวนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะแค่จังหวะซ้อมยังไม่เข้าใจเลย

ยิ่งใหญ่ถือซอไว้ที่มือ พวกเขาต้องแนบซอไว้กับตัวและทำท่าสีซอไปด้วยท่าทางเก้ๆกังๆไปจนหมดเวลาซ้อม

“สีให้นายฟังคงจะดี” แต้มแซวระหว่างเดินกลับหอ

“อะไร เราไม่ใช่ควายนะ มอออออ...”

“หึ ร้องซะเหมือนเชียว” แต้มเดินนำ พวกเขาเดินกลับหอยิ่งใหญ่หลังจากซ้อมเสร็จ

“ระวังนะ ควายจะขวิดแล้ว” ไม่พูดเปล่า ยิ่งใหญ่วิ่งก้มตัวใช้หัวโขกแผ่นหลังแต้มดังลั่น

“โอ๊ย ไอ้บ้า เล่นไรเนี่ย”

“มอ มอ”

“ไม่เอาไม่เล่น นี่มันเสียงวัวไม่ใช่เหรอ” แล้วแต้มก็เริ่มวิ่ง

“มอ มอ” ยิ่งใหญ่วิ่งตาม ทั้งสองคนวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนานจนลืมไปว่า

“เห้ย รอเราด้วยสิ” อาร์ทวิ่งตาม วันนี้เขาไม่กลับบ้านเพราะจะไปกินหมูกระทะด้วยกัน

 สองหนุ่มวิ่งไล่กันไปมาโดยมีอาร์ทวิ่งตามมาติดๆ จนกระทั่งหยุดที่หน้าหอพักยิ่งใหญ่พาเพื่อนขึ้นไปเก็บของก่อนที่จะลงมาที่รถมอเตอร์ไซค์

“ซ้อนสามเคปะ” ยิ่งใหญ่ถาม

“ไม่โอเค” แต้มตอบ

“ก็ขี้เกียจขับรถยนต์อะ” ยิ่งใหญ่โยเย “มันไม่ค่อยมีที่จอด”

“แต่มันอันตรายนะ ยิ่งเวลากลางคืนแบบนี้ด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก” อาร์ทตอบแทน “สบายๆ”

“ใช่ ดีกว่าเดินไปนะ” ยิ่งใหญ่ตอบ ก่อนจะพาเพื่อนทั้งสองไปร้านหมูกระทะ

“ทำไมช่วงนี้นายดูตัวติดกะแต้มจัง” ยิ่งใหญ่ถามอาร์ทที่กำลังตักหมูเข้าปาก

“หืม อะไร” อาร์ทถามกลับด้วยสีหน้างุนงง แต้มย่างหมูโดยไม่สนใจอากัปกริยาของเพื่อนทั้งคู่

“เราถามว่าทำไมช่วงนี้นายตวติดกับแต้มจัง”

“โอย นายจะถามเอาอะไรเนี่ยใหญ่” แต้มห้ามทัพ ยิ่งใหญ่นั่งเงียบหน้าบูด อาร์ทกลั้นขำแทบไม่ไหว

“นายรู้ตัวมั้ยใหญ่ ว่านายเหมือนลูกหมาเลยเวลาอยู่กะแต้ม”

“หึ เราไม่ใช่หมา”

“ลูกหมา ตัวเล็กๆน่ารักทำตัวหงอๆเวลาอยู่กับแต้มน่ะ”

แต้มแอบยิ้มมุมปาก

“เรา ไม่ ใช่ หมา” ยิ่งใหญ่พูดเน้นทีละคำพลางกรอกตา หยิบหมูขึ้นมาใส่ปาก

“พอๆกินๆ” เพื่อนคนอื่นเห็นท่าไม่ดีรีบห้ามศึก

“ดีจังที่แต้มมาด้วย ปกติเราไม่กล้าคุยกับแต้มเลยนะ” เพื่อนคนหนึ่งทัก แต้มได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้

วันนี้เพื่อนในชั้นนัดกันมากินหมูกระทะเพื่อเป็นการฉลองอะไรสักอย่างที่แต้มไม่ได้ใส่ใจ ปกติเขาไม่เคยได้ทานอะไรแบบนี้เพราะราคามันค่อนข้างแพง ก่อนที่จะมาเขาก็อิดออดอยู่นานจนกระทั่งยิ่งใหญ่บอกว่าจะเลี้ยงนั่นแหละ แต้มถึงตัดสินใจมา

และไม่คิดว่าเพื่อนๆจะมายกห้องขนาดนี้...

“กินเสร็จไปเที่ยวกันต่อไหม” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งชวน แต้มจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ดูภายนอกแล้วเป็นคนที่ท่าทางเอาเรื่องไม่เบา เสียงดังฟังชัด ตัวใหญ่เหมือนนักกีฬาซูโม่ หน้าตาแดงก่ำคงเพราะความร้อนจากเตาย่าง เหงื่อไหลผุดเม็ดใหญ่ย้อยหยด

“ไปไหน” ยิ่งใหญ่ถาม

“พาคลับ”

แต้มทำหน้ามุ่ย เขาไม่เคยไปอีกเช่นกัน พาคลับคือผับที่ใหญ่ที่สุดของเชียงราย เปิดยันเช้า

ยิ่งใหญ่หันหน้ามาเหมือนขอความเห็น แต้มส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

“เราไม่ไปนะ พรุ่งนี้มีเรียน การบ้านยังไม่ได้ทำ” ยิ่งใหญ่ตอบเพื่อนคนนั้นไป แต่หลายเสียงคะยั้นคะยอเสียงเซ็งแซ่

“แต้ม ไปนะ ถ้านายไป ใหญ่ไปแน่” นั่นไง...งานเข้าซะแล้ว

“เรา เอ่อ...” แต้มอึกอัก

“แต้มไปไม่ได้หรอก การบ้านยังไม่ได้ทำ เดี๋ยวไม่มีให้ลอกนะ” ยิ่งใหญ่ตอบแทนอีกครั้ง

“เออ ก็จริงนะ” อาร์ทสมทบ “ถ้าแต้มไม่ได้ทำการบ้านพวกเราก็ไม่มีอะไรให้ลอกนะ”

แต้มแอบยิ้มที่อาร์ทเข้ามาช่วยอีกเสียง

“เออ เหตุผลฟังขึ้น งั้นใหญ่พาแต้มกลับเลยนะ ส่วนนาย..” เพื่อนคนเดิมหันมาทาอาร์ท “นายต้องไป ไม่ไปเราจะบอกก้อยห้องสี่ว่านายคุยกับสาวอื่น”

“อ้าว เห้ย ไหงงั้น” อาร์ทบ่น ก้อยเป็นผู้หญิงที่อาร์ทกำลังจีบอยู่

“ไม่รู้แหละ ใหญ่ไมได้ไป แต่นายต้องไป ใครไปอีกบ้าง” เพื่อนผู้ชายอีกหลายคนยกมือว่าไป ยิ่งใหญ่มองแต้มที่กำลังง่วนอยู่กับการกิน และหันมากระซิบ

“อึดอัดเหรอ กลับเลยมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก โอเค”

อาร์ทมองเพื่อนทั้งคู่ที่กระซิบกระซาบกันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันมากจนไม่มีช่องว่างให้ใครเข้าไปแทรกได้

“เออนี่ ใครส่งสมุดพกแล้วบ้าง” หัวหน้าห้องส่งเสียงถาม

เสียงเซ็งแซ่เงียบกริบ หลายคนบอกว่าส่งแล้ว หลายคนบอกว่ายัง “อาจารย์ให้ส่งวันไหน”

“พรุ่งนี้วันสุดท้าย”

“ตายล่ะ” ยิ่งใหญ่หันมาคุยกับแต้ม

“ทำไม อย่าบอกว่านายลืม”

ยิ่งใหญ่พยักหน้าแทนคำตอบ

“นายนี่น้า” แต้มทำท่าจะบ่น

“ส่งอาทิตย์หน้าได้มั้ย” ยิ่งใหญ่ถามเพื่อนคนอื่นๆ

“ได้มั้ง แต่อาจจะโดนบ่นหน่อย”

“ก็ยังดี” ยิ่งใหญ่พูดกับตัวเอง

“ทำไมนายไม่เอาให้พ่อเซ็นซะทีล่ะ” อาร์ทถาม แต้มมองหน้ายิ่งใหญ่อย่างเข้าใจ เพราะรายนั้นขลุกอยู่บ้านเขาตลอดปิดเทอม

“พ่ออยู่เชียงใหม่ว่ะ” แต้มหันหน้ามามองเพื่อน ประเด็นนี้เขาลืมไปจริงๆว่าบ้านของยิ่งใหญ่ไม่มีคนอยู่ พ่อของยิ่งใหญ่เป็นหมอแต่ไม่ได้ประจำที่เชียงราย ตอนนี้แต้มเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมบ้านหลังนั้นมันถึงดูร้างผู้คน

“งั้น” ยิ่งใหญ่ยิ้มหน้าตาเจ้าเล่ห์หันมาทางแต้ม “พรุ่งนี้ไปเชียงใหม่กัน”

นั่นไง...ซื้อหวยคงจะถูกละงวดนี้

แต้มย่างหมูและตักเข้าปากไปเงียบๆหลังจากนั้น เพื่อนในห้องคุยกันเสียงดังลั่นร้าน ยิ่งใหญ่คีบหมูสามชั้นมาให้เขาเป็นระยะ อาร์ทมองทั้งคู่ด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ ไม่คิดว่าคนแบบยิ่งใหญ่จะดูแลหรือเอาใจใส่ใครได้ขนาดนี้ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่หน้าตาเย่อหยิ่ง ยิ่งท่าทางไม่สนใจคนอื่นแบบแต้ม เหมือนสองคนนี้เป็นผ้าขาวดำอย่างละผืนที่กำลังผสมผสานกันด้วยความเป็นเพื่อน ให้ความใกล้ชิดหล่อหลอมให้ความต่างอยู่ด้วยกันอย่างไม่เคอะเขิน

“อาร์ท นายโดนพ่อบ่นมั้ย” ยิ่งใหญ่ถาม

“อืม นิดหน่อย” อาร์ทตอบหน้าเจื่อน “พ่อบอกว่าไปเรียนพิเศษแล้วทำไมได้แค่นี้”

“ไม่เป็นไรนะอาร์ท เทอมหน้าเอาใหม่ เดี๋ยวให้ใหญ่ช่วยติวให้” แต้มเป็นคนบอก อาร์ทรู้สึกแปลกๆที่ได้ยินประโยคยาวๆจากแต้ม แต่มันกลับแฝงไปด้วยความหนักแน่นและน่าเชื่อถือ

“นายนั่นแหละต้องติว” ใหญ่แย้ง

“ใช่ๆ นายสองคนนั่นแหละต้องติว” เพื่อนคนอื่นเข้ามารุม “ใครจะคิดวะว่าคนลอกการบ้านแต้มทุกวันจะได้สี่จุดศูนย์ศูนย์”

“ฟลุ๊กน่า” ยิ่งใหญ่ตอบพลางยัดหมูเข้าปาก

“ฟลุ๊กอะไรได้ขนาดนี้ นายอย่ามาถ่อมตัว”

“เดี๋ยวรอดูเทอมหน้า ถ้ายังได้เท่าเดิมนะ พวกเราจะแบนนาย”

“อ้าว ไหงงั้น” ยิ่งใหญ่ทำเสียงอ่อย

“ก็นายมันน่าหมั่นไส้อะ” เพื่อนๆตอบ หลายคนผสมโรง

“แต้ม ช่วยเราด้วย” ยิ่งใหญ่หันไปขอความช่วยเหลือ แต้มเหลือบมองเพื่อนก่อนเมินอย่างไม่ใยดี

“ไม่มีใครช่วยนายได้แล้วล่ะใหญ่ หึ” เสียงประชดดังลั่น แต่ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริงจังเพราะหลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะตามมา

“พรุ่งนี้ไปเชียงใหม่กันนะ” ยิ่งใหญ่หันมากระซิบกำชับแต้ม ที่ตอนนี้มีท่าทางที่ผ่อนคลายมากขึ้นท่ามกลางคนหมู่มาก

แต้มยิ้ม แต่ก็ไม่ตอบอะไร เพราะไม่ว่าจะตอบอะไร สิ่งที่ต้องทำคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่บอกมาแล้ว....


โปรดติดตามตอนต่อไป....


FB:: https://www.facebook.com/Begintillanend
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2018 09:52:48 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อาร์ท.....โผล่มาทำไรหว่า  จำไม่ได้แระ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

อาร์ท.....โผล่มาทำไรหว่า  จำไม่ได้แระ



อาร์ทมาตั้งแต่ตอนที่ 3 ครับ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:
กดบวกไม่ได้ :ling1:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
​ตอนใหม่มาแล้วครับ ก่อนอ่านกัน ขอฝากนิยายอีกเรื่องของไรต์ด้วยนะครับ
บังเอิญรักโดยตั้งใจ >>> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0
เรื่องนี้สนุกมาก ไรต์รับประกัน



ตอนที่ 36. เรื่องบังเอิญที่น่าเหลือเชื่อ



เช้านี้แต้มตื่นก่อนเหมือนทุกครั้งเพราะรู้สึกหนักบริเวณลำตัว เขาพลิกตัวและยกแขนขนาดใหญ่ของเพื่อนที่พาดมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ออกช้าๆ ทั้งที่เมื่อคืนเอาหมอนข้างคั่นไว้แล้ว แต่กลายเป็นว่าเช้ามาต้องโดนกอดอีกจนได้ ยิ่งใหญ่นอนอุตุขดตัวอย่างอัตโนมัติเมื่อแต้มยกแขนออก หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแต้มก็ปลุกยิ่งใหญ่ราวกับเป็นกิจวัตร

“เช้าแล้วเหรอ ยังไม่อยากตื่นเลย” ยิ่งใหญ่เสียงงัวเงีย

“ไม่ได้ เดี๋ยวสาย ไป๊” แต้มดึงผ้าห่มออก ยิ่งใหญ่ยื้อแย่งเอามารัดตัวเอง

มันเป็นแบบนี้ทุกเช้า

“ถ้านายช้า หรือเข้าเรียนสายเราไม่ไปเชียงใหม่ด้วยนะ” แต้มยื่นคำขาด

“ไม่สายหรอก โรงเรียนอยู่แค่นี้เอง” ยิ่งใหญ่งอแง

“ตามใจ งั้นไปเจอกันตอนเข้าแถวนะ”

แค่นั้นเอง ยิ่งใหญ่ก็เด้งตัวทันทีส่งสายตางัวเงียมาที่เพื่อนด้วยอาการค้อนขึ้ง ขยี้ตาเบาๆไปมา ผมสั้นเกรียนเป๋ไปตามทิศทางที่นอนทับ แต้มนึกขันในสภาพยิ่งใหญ่ยามเช้า ปลายกางเกงบ็อกเซอร์สั้นเต่อม้วนจนแทบติดขอบขาอ่อน ยิ่งใหญ่บิดตัวด้วยความขี้เกียจก่อนลากสังขารไปเข้าห้องน้ำ

“ไม่ต้องไปอ่านหนังสือพิมพ์นะ รอตรงนี้เลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

ยิ่งใหญ่ไม่ตอบ เดินไปเปิดประตูและหยิบบางอย่างมาให้ “เราสั่งให้ลุงเอามาให้แล้วทุกเช้า ตอนนี้นายไม่ต้องลงไปอ่านหน้าร้านแกอีก”

“โหย ได้ไงเนี่ย” แต้มบ่น “เปลืองเงินนาย แถมนายจะมาบังคับเราแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ไม่ได้บังคับ แต่เวลานายไปอ่านหนังสือพิมพ์ร้านแกทีไร เราก็สงสารแกไง นายอ่านฟรีทุกวันแกก็ไม่ได้ขายพอดี”

“เออ” แต้มคิดขึ้นได้ “ก็จริงนะ” แล้วก็รับหนังสือพิมพ์ในมือยิ่งใหญ่มานั่งอ่านบนเตียง

“จะไปกี่โมงวันนี้”

“เลิกเรียนรด.เสร็จก็ไปเลย” ยิ่งใหญ่ตอบทั้งๆที่ฟองยาสีฟันเต็มปาก

“โหย จะไปถึงกี่โมงเนี่ย กว่าจะซื้อตั๋ว กว่ารถจะออก”

“ใครบอกจะนั่งรถเมล์ไป” ยิ่งใหญ่มาเซ็ตผมหน้ากระจก แต้มกรอกตาเพราะว่าผมสั้นเหมือนทหารเกณฑ์กันทั้งคู่

“อย่าบอกนะว่าจะขับรถไป นายมีใบขับขี่เหรอ”

“อย่าบ่นน่า” ยิ่งใหญ่ใส่เสื้อ แต้มมองเพื่อนแต่งตัวอย่างใจเย็น

“ไม่บ่นได้ไง ใบขับขี่ก็ไม่มี ระยะทางก็ไกล ถ้าโดนตรวจขึ้นมาจะเป็นยังไง...”

แต้มดูเหมือนจะบ่นเยอะ แต่สุดท้ายคืนนั้นพวกเขาก็ถึงเชียงใหม่อย่างปลอดภัย

“บ้านพักพ่อนายอยู่แถวไหนเนี่ย” แต้มมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยแสงไฟ เชียงใหม่เป็นเมืองที่ดูเจริญหูเจริญตา แต่ในขณะเดียวกันก็มีธรรมชาติรายล้อม สองสิ่งนี้ผสมผสานกันอย่างลงตัว

"อยู่หลังโรงพยาบาล แต่เดี๋ยวไปกินข้าวก่อน พ่อรอที่ร้านละ”

“หะ อะไรนะ” แต้มเหมือนโดนหมัดชกที่เบ้าตาอย่างแรงเพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะพบพ่อของยิ่งใหญ่ที่อื่นนอกเหนือจากบ้านพัก

“พ่อจะพาไปเลี้ยงข้าว เราบอกว่านายชอบอาหารเหนือ พ่อก็เลยบอกพิกัดมาละ”

“ทำไมนายชอบมัดมือชกจัง”

“อย่าบอกนะว่านายไม่ชอบ”

แต้มไม่ตอบ คนๆนี้รู้ใจเขาเกินไปละ

ยิ่งใหญ่ขับรถเลียบไปตามทางจนถึงแยกรินคำ การจราจรขวักไขว่และรถค่อนข้างเยอะเนื่องจากเป็นแยกที่มีตลาดขายของตอนกลางคืน แต้มมองไปนอกหน้าต่างด้วยความสนใจ วัยรุ่นเชียงใหม่ต่างพากันขี่รถจักรยานยนต์กันเป็นส่วนมาก บ้างก็ซ้อนสอง บ้างก็ซ้อนสาม บางคันนั่งกันถึงสี่คนก็มี

“กาดรินคำ” ยิ่งใหญ่บอก “นายอยากมาเดินไหม”

“ไม่ดีกว่า นายขับรถมาไกล คืนนี้พักผ่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“นี่นายอยากมาเองหรือเปล่าเนี่ย” แต้มถามกลับ

“ชิ” ยิ่งใหญ่ส่งเสียงออกมาอย่างขัดใจ รถยนต์เคลื่อนตัวข้ามแยกรินคำไปสักพักก็เลี้ยวเข้าซอยหนึ่งและหยุดที่หน้าร้านอาหาร แต้มมองการตกแต่งร้านที่ทำออกมาดูทันสมัย แต่มองเข้าไปด้านในมีเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่ คนในร้านมีมากพอสมควร แต่ก็ยังมีโต๊ะว่าง ยิ่งใหญ่ลากแขนเขาเข้าไปในร้านทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ ภาพของเด็กหนุ่มในชุดรด.สองคนจูงแขนกันเข้าไปพอจะเรียกความสนใจจากคนอื่นได้พอสมควร

“สวัสดีครับพ่อ” ยิ่งใหญ่ไหว้ผู้เป็นพ่อที่มีรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาถึงแม้จะดูแก่มากก็ตามที แต่รูปร่างยังดูดีอยู่ แต้มยกมือไหว้ทันทีก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นกลับมา

“นั่งสิลูก” พ่อของยิ่งใหญ่บอก บนโต๊ะมีเบียร์หนึ่งขวดพร้อมกับแกล้ม “จะกินอะไรสั่งได้เลยนะ”

“ครับ ขอบคุณครับคุณลุง”

“เรียกพ่อก็ได้” ปกติคนเหนือจะเรียกพ่อแม่เพื่อนว่าพ่อหรือแม่ ไม่เรียกว่าลุงหรือป้า เนื่องจากเป็นการให้ความคุ้นเคยในเวลาที่รวดเร็ว

“ครับพ่อ”

“ใหญ่ขับรถเร็วมั้ยแต้ม”

“อ๋อ ไม่ครับ ค่อยขับมา” แต้มโกหก พ่อเหมือนจะรู้แต่ก็ไม่พูดอะไร

“ขอบใจนะที่ดูแลใหญ่”

“ไม่ได้ดูแลอะไรเลยครับ ก็แค่..”

“นั่นแหละ พ่อไม่ค่อยมีเวลาไปหาเจ้านี่เลย ยังดีที่มันมีเราเป็นเพื่อน ถ้ามันทำตัวไม่ดีแต้มก็ว่ามันได้เลยนะ”

“โหพ่ออะ” ยิ่งใหญ่ส่งเสียงก่อนหยิบเมนูขึ้นมา

“ไหนสมุดพก เอามาก่อนเดี๋ยวพ่อลืม”

แต้มมองนายแพทย์ยิ่งยงอย่างประหม่า ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกับผู้เป็นพ่อของตนแล้ว พ่อของยิ่งใหญ่ยังดูเป็นคนที่มีราศี การแต่งกายและบุคลิกชวนมอง ใบหน้าดูมีอำนาจแต่แฝงไว้ด้วยความใจดี เสี้ยวหนึ่งแต้มคิดว่ายิ่งใหญ่มีโครงหน้าคล้ายพ่อมากกว่าผู้เป็นแม่เสียอีก

“ขอบใจมากนะแต้ม ถ้าไม่ได้เราเจ้านี่คงไม่ได้เกรดดีแบบนี้”

“อ้าวพ่อ ฝีมือผมล้วนๆเลย ทำไมไม่ชมผมบ้าง”

ยิ่งยงใช้สมุดพกตีหัวบุตรชายเบาๆอย่างรักใคร่ “ก็ใครกันล่ะโทรมาเล่าให้ฟังว่า วันนี้แต้มติวให้ วันนี้แต้มให้ลอกการบ้าน วันนี้อยู่บ้านแต้ม”

แต้มหันขวับไปทางเพื่อนด้วยสายตาเป็นคำถามว่า นี่ นาย เล่า ให้ พ่อ นาย ฟัง หมด เลย เหรอ

“สั่งอาหารก่อนลูก เดี๋ยวจะหิวแย่” ผู้เป็นพ่อกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ ชายหนุ่มหน้าตาดีร่างสูงใหญ่เดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีครับคุณพ่อ ขอโทษทีนะครับเมื่อกี้ผมยุ่งๆ”

“อ้าว สวัสดีบั๊มพ์ ไม่เป็นไร เห็นมีลูกค้าเยอะขนาดนี้พ่อก็ดีใจด้วย”

“วันนี้ผมขอบริการคุณพ่อเป็นพิเศษเลยนะครับ”

ยิ่งยงหัวเราะ ดูแลเป็นพิเศษหมายถึงได้กินเบียร์เรื่อยๆในราคากันเอง “นี่เจ้าใหญ่ลูกชายคนสุดท้อง นี่แต้มเพื่อนใหญ่”

ยิ่งใหญ่เงยหน้ามาไหว้ แต้มไหว้ตาม “ดีครับ โห ไม่เคยเจอใหญ่เลย รู้แค่ว่าไอ้ยอดมีน้องชาย ไม่น่าเชื่อว่าจะหล่อผิดพี่ชายขนาดนี้”

ยิ่งใหญ่ยืดตัวอย่างเสียไม่ได้ แต้มเห็นแล้วก็นึกขำไม่หยุด

“มีแฟนยังเนี่ยเรา หล่อขนาดนี้ไม่น่ารอด”

“ยังครับพี่ พ่อบอกให้ตั้งใจเรียนก่อน”

แต้มแทบสำลักน้ำหลังได้ยินคำตอบจากยิ่งใหญ่

“ช่วงนี้ได้เจอเจ้ายอดบ้างรึเปล่าบั๊มพ์” ยิ่งยงถาม

“เจอครั้งล่าสุดเมื่อสามสี่เดือนก่อนครับ รายนั้นพาแฟนมาเปิดตัว”

“อะไรกัน มีแฟนแล้วไม่บอกพ่อบ้างเลย” น้ำเสียงนั้นดูน้อยใจ

“เดี๋ยวคงพามาหาพ่อที่เชียงใหม่แหละครับ แฟนไอ้ยอดสวยมากเลยนะครับ ชื่อต้องตา”

แต้มหันขวับ “ต้องตาเหรอครับ”

บั๊มพ์หันไปมองเด็กหนุ่มที่ตั้งคำถาม ใบหน้านั้นรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา “ใช่ครับ ชื่อน่ารักดี แถมสวยอีกต่างหาก”

“อย่าบอกนะว่านายก็คิดเหมือนเรา” ยิ่งใหญ่หันมาคุยกับแต้ม

“คิดอะไรเหรอ” ผู้เป็นพ่อถาม

“คือ” ยิ่งใหญ่ตอบ “พี่สาวแต้มก็ชื่อต้องตาครับ แต้มนายมีรูปไหม”

แต้มเปิดกระเป๋าสตางค์สีดำเก่าเก็บ ควานตามซอกก่อนจะควักรูปขนาดสี่พีออกมาหนึ่งใบยื่นให้ยิ่งใหญ่

“คนนี้หรือเปล่าครับพี่บั๊มพ์” ผู้ถูกถามรับรูปมาดูและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ใช่ คนนี้แหละ โหย ทำไมโลกกลมขนาดนี้” ชายหนุ่มส่งรูปให้กับนายพทย์ยิ่งยงดู

“สวยจริงๆ” เขาพึมพำ “เป็นพี่สาวเราเองเหรอไอ้ลูกชาย”

แต้มหันไปสบตาด้วยความรู้สึกงุนงง “ชะ ใช่ครับพ่อ”

“เออ ดีเลย” ยิ่งยงหัวเราะร่วน “คนพี่ก็แฟนลูกคนรอง คนน้องก็เพื่อนลูกคนเล็ก”

บั๊มพ์หัวเราะด้วย พลางคิดว่านี่มันเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ต้องตา สืบใจ...นายแพทย์ยิ่งยงอ่านชื่อและนามสกุลแต้มจากชุดรด. คิดว่าพี่สาวก็ต้องนามสกุลนี้และพึมพำในใจ

เขารู้สึกคุ้นกับคนในครอบครัวนี้อย่างน่าประหลาด เมื่อพิจารณาจากเพื่อนลูกชายคนเล็กยิ่งรู้สึกถูกชะตา คงเป็นเพราะได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากยิ่งใหญ่มาบ้างแล้ว พอมาเจอตัวจริงก็พอจะรู้ได้ ว่าทำไมลูกชายตนถึงได้ถูกใจเพื่อนคนนี้มากนัก แต้มไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไร ออกจะค่อนไปทางธรรมดาด้วยซ้ำ แต่บุคลิกที่ดูนิ่งและท่าทางที่ดูน่าไว้ใจต่างหากที่ทำให้เด็กคนนี้น่าคบหาน

“ฮัดเช้ย”

“คุณยอดไม่สบายหรือเปล่าคะ” ต้องตาถาม เมื่อคนข้างๆจามไม่หยุดสามครั้งติด

“ไม่เป็นไรครับ สงสัยจะมีคนคิดถึง”

“นั่นสินะคะ คงมีแต่คนคิดถึงคุณยอดเต็มบ้านเต็มเมืองแน่ๆ”

“โอ๋ คุณตา ผมล้อเล่น ใครจะมาคิดถึงผมกันล่ะ ผมมีแฟนอยู่แล้วทั้งคน”

“ไม่ต้องเลย” ต้องตาก้มหน้า หลบสายตาเจ้าชู้ที่ส่งมาออดอ้อน

“ใกล้ถึงแล้วนะครับ คุณตาจะแวะซื้ออะไรก่อนเข้าห้องมั้ยครับ”

“ไม่แล้วค่ะ แค่เย็นนี้ก็กินไปเยอะแล้ว ดูพุงตาสิ” หญิงสาวลูบท้องน้อยราวกับว่ามันปูดโปนดั่งคนท้อง ทั้งๆที่เธอเป็นคนผอมมากก็ตาม

“โหย คุณตาไม่อ้วนหรอก ผมต่างหาก” ต้องตายิ้ม เธอสังเกตว่ายอดเยี่ยมตัวใหญ่ขึ้นหลังจากที่พวกเขาประกาศตัวคบกันและพากันไปกินข้าวแทบทุกเย็น

“ไม่หรอกค่ะ อ้วนนิดอ้วนหน่อย ตาว่าน่ารัก”

ยอดเยี่ยมยิ้มจนตาหยี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้านทานความน่ารักของแฟนตัวเองได้อย่างไร

ยิ่งใหญ่ดันตัวแต้มเข้าบ้าน พ่อของเขาไม่ได้กลับมาด้วยเนื่องจากมีงานเลี้ยงต่อ ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่ม บ้านไม้สองชั้นสีฟ้าขุ่นทะมึนในความมืดดูน่ากลัว บรรยากาศยิ่งวังเวงเมื่อมันตั้งอยู่หลังโรงพยาบาลอีก

“นี่นายกลัวผีใช่มั้ย ถึงดันเราขนาดนี้”

“เปล่า ไม่ได้กลัว”

ไอ้หมาจิ้งจอก...แต้มคิดในใจ ก่อนเดินนำเข้าไปในบ้านที่มืดมิด

***********************************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป....



*** อ่านแล้วชอบ ถูกใจ กด + และคอมเม้นต์ให้กำลังใจไรต์ด้วยนะครับ

อย่าลืมกดติดตามที่เฟซบุ๊คแฟนเพจที่ https://www.facebook.com/Begintillanend/ กันด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2018 11:09:28 โดย จากต้นจนอวสาน »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด