Only You :: จะรักนาย เท่าชีวิต (Y) – ตอนที่ 60 จบภาค 1 (UP:: 09/06/62) #หน้า 10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Only You :: จะรักนาย เท่าชีวิต (Y) – ตอนที่ 60 จบภาค 1 (UP:: 09/06/62) #หน้า 10  (อ่าน 69387 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุปว่า...แต้มสวยสินะ  มิน่าหล่ะ   อิอิ

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน


ตอนที่ 45. วันพ่อแห่งชาติ

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกลับมาจากรุงเทพคือ มีคนทักแต้มเยอะขึ้น นั่นเป็นเพราะรูปที่ทางอาจารย์และรุ่นพี่อัดไว้ติดที่บอร์ดกิจกรรมของโรงเรียน มิหนำซ้ำอาจารย์ใหญ่ยังประกาศรายชื่อนักแสดงทุกคนและให้ออกมายืนเรียงกันที่หน้าเสาธงเพื่อชื่นชมผลงานของคณะทำงานที่มีทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ชายหญิงถ้วนหน้าเนื่องจากงานนี้เป็นงานใหญ่ระดับประเทศ การแสดงของคณะทำงานชุดนี้เรียกว่าโดดเด่นจนมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐมาเชิญนักแสดงไปเปิดงานพ่อขุนเม็งรายที่จะมีในสิ้นปีอีกด้วย

เมื่อกลับจากกรุงเทพทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ทุกคนกลับเข้าสู่โหมดดำเนินตามกิจวัตรประจำวัน ชีวิตของนักเรียนชั้นม.ปลายเดินอย่างเชื่องช้าจนถึงเทศกาลสอบกลางภาค เมื่อคะแนนออกมาปรากฎว่ายิ่งใหญ่กินรวบตามคาด แต้มมีวิชาที่ทำได้เยอะที่สุดคือภาษาไทยแต่ก็ยังสู้เพื่อนสนิทไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มลงตัว ตื่นเช้าไปเรียน ตอนเที่ยงเล่นกีฬา ตอนบ่ายเรียน ตกเย็นก็กลับหอชีวิตในวัยเรียนดูเหมือนจะเป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อยและเงียบสงบราวกับชีวิตไม่มีสีสันอะไร เว้นเสียแต่ว่าต้นเดือนธันวาคม ยิ่งใหญ่ก็ยิ้มร่าและพูดกับแต้มอย่างรื่นเริงว่า

“พรุ่งนี้ย้ายหอนะ”

แต้มได้ฟังก็ตาลุก ไม่รู้มาก่อนว่ายิ่งใหญ่จะย้ายออกจากที่นี่ “ทำไมย้ายอะ นายไปติดต่อหอใหม่ตอนไหน”

“ก็ติดต่อไปสักพักละช่วงใกล้สอบ”

“แล้วทำไมถึงคิดจะย้าย แล้วมัดจำไปรึยัง แล้ว...”

“พอ” ยิ่งใหญ่ยกมือมาห้าม “เราจัดการทุกอย่างแล้ว หน้าที่ของเราก็คือเก็บของให้เสร็จก่อนรถมารับพรุ่งนี้”

“เดี๋ยวสิ” แต้มปรามเพื่อน “แล้วนายจะย้ายไปไหน ทำไมถึงอยากย้าย”

“เอาน่า ห้องนี้มันแคบไปสำหรับเราสองคนนายไม่รู้สึกเหรอ” แต้มกวาดตามองรอบห้องที่กำลังรกรุงรังได้ที่

“นายไม่ต้องห่วงนะ เราจ่ายเงินมัดจำแล้ว”

“นั่นแหละที่เราห่วง เพราะเรายังไม่ได้ออกเลยสักบาท”

“นายจะออกทำไมล่ะ” ยิ่งใหญ่ทำท่าครุ่นคิด “เราเป็นคนอยากให้นายมาอยู่ด้วยจะให้นายออกทำไม คิดมาก”

“มันก็ควรจะช่วยกันไม่ใช่เหรอ” แต้มแย้ง

“ถ้านายอยากจะช่วย” ยิ่งใหญ่มาโอบคอเพื่อนที่มีท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “นายก็แค่อย่าย้ายกลับบ้านก็พอ”

“หึ นายพูดเหมือนไม่ได้พูด”

“นี่” ยิ่งใหญ่ถอนหายใจ “นายจะคิดมากทำไม ที่ผ่านมาเราก็ไม่คิดค่าห้องนายอยู่แล้ว แค่นายช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ ทำความสะอาดห้อง ล้างห้องน้ำ นอนให้เรากอดทุกคืนมันก็โอเคแล้วไง”

“ใจคอนายจะให้เราเป็นหมอนข้างไปตลอดงั้นเหรอ” แต้มบ่นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

“ยังไงเราก็ไม่ให้นายจ่าย เราพอใจแบบนี้”

“พูดเองเออเองตลอด” แต้มบ่นไม่เลิก

“นายจะหยุดบ่นได้ยัง” ยิ่งใหญ่ถาม “ถ้าหยุดแล้วก็มาช่วยกันเก็บของ”

แต้มกลอกตา ไม่เคยเถียงเพื่อนคนนี้ชนะเลยถ้าเขายืนกรานอะไรมาแล้ว “ขอบใจนะ”

“หืม ขอบใจอะไร”

“ช่างมันเหอะ เก็บของๆ” แต้มรวบหนังสือที่กองระเกะระกะบนโต๊ะญี่ปุ่นให้เป็นระเบียบ ยิ่งใหญ่ง่วนกับการติดเทปกาวที่กล่องกระดาษ แต้มเพิ่งสังเกตว่ามันกองสุมอยู่ที่ระเบียงมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เคยเอะใจถาม

กว่าพวกเขาจะจัดของเสร็จก็เกือบค่ำ เดิมทีแต้มตั้งใจจะกลับบ้านเพราะพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่เมื่อมีกิจกรรมนี้เข้ามาแทรกจึงต้องเลื่อนความคิดออกไปก่อน ทั้งคู่นอนแผ่หราบนเตียงมองดูกล่องกระดาษเจ็ดกล่องใหญ่และกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าอย่างเหนื่อยล้า

“นายจะไปเยี่ยมแม่อีกทีเมื่อไหร่” แต้มถาม เมื่อตอนปิดเทอมยิ่งใหญ่ไปหาแม่อยู่เป็นสัปดาห์ก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าที่อิ่มเอมใจอย่างชัดเจน

“คงไปอีกทีช่วงวันหยุดรัฐธรรมนูญอะ พ่อก็จะไปด้วย นายจะไปด้วยกันไหม”

“ไม่อะ แม่บอกว่าใกล้จะเกี่ยวข้าวแล้ว เราคงกลับไปช่วยแม่”

“จริงดิ” ยิ่งใหญ่ตาลุกวาว “ให้เราไปเกี่ยวข้าวด้วยนะ”

“หึ นายจะไปทำไม นายเคยเกี่ยวข้าวเหรอ”

“ไม่เคยอะ แต่อยากลอง”

“คุณชายขอรับ คิดว่าการเกี่ยวข้าวมันง่ายเหรอ เกี่ยวไม่ดีเคียวบาดมือไม่รู้ด้วยนะ”

“ไม่ต้องมาขู่ แม่บอกมั้ยว่าจะเกี่ยววันไหน”

“อืม คงกลางๆเดือนแหละ รอให้ข้าวมันเหลืองกว่านี้หน่อย”

ยิ่งใหญ่ยิ้มแป้น “ดีเลย เราอยากเกี่ยวข้าว”

แต้มมองเพดานอย่างหมดคำพูด แล้วก็ยิ้มให้กับมันอย่างลืมตัว

***********************************************************************

วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ หลังจากที่จัดข้าวของเข้าห้องใหม่ลงตัวแล้ว แต้มก็ออกปากชวนยิ่งใหญ่กลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมพ่อเสียหน่อย ถึงแม้ระยะทางจากหอพักกับที่บ้านจะไม่ไกลมาก แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมที่บ้านเท่าใดนักเนื่องจากมุแต่การเรียน บางครั้งก็ทำกิจกรรมเสียมืดค่ำ ยิ่งช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ อาจารย์ฝ่ายนาฎศิลป์ก็รับงานแสดงในเทศกาลฤดูหนาวเชียงราย หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีว่า งานพ่อขุน และเพื่อให้การแสดงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด พวกเขาเลยถูกเคี่ยวเข็ญให้ซ้อมท่าทางท่วงท่าให้ดูสวยงามอ่อนช้อยราวกับว่าไม่เคยออกแสดงมาก่อนเสียอย่างนั้น

จบจากงานพ่อขุนก็จะเป็นงานกีฬาสีในช่วงเดือนมกราคม ที่โรงเรียนแบ่งออกเป็น 6 สี ตามเลขที่ห้อง พวกเขายังโชคดีที่ยังไม่ต้องทำอะไรมากเพราะยังใหม่สำหรับที่นี่ รุ่นพี่ม. 6 ก็ต้องเรียนหนักและเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ ภาระหนักจึงตกเป็นของรุ่นพี่ชั้นม. 5 ที่ต้องเป็นแกนนำในการจัดงาน ทั้งจัดหาเชียร์ลีดเดอร์ ซุ้มเชียร์ จัดหานักกีฬา และอื่นๆจนนับไม่หวาดไม่ไหว

“ฟุตบอลสี ลงชื่อใหญ่กับแต้มแล้ว”

“วอลเลย์บอลชายปีนี้ลงชื่อแต้มกับใหญ่แล้วนะ”

“ปีนี้ใหญ่เป็นคฑากรนะ”

“บาสปีนี้ใหญ่ลงชื่อให้แต้มแล้ว อย่าลืมไปซ้อมนะ”

ฯลฯ

“นายจะลงชื่อเราคู่กับนายทุกกีฬาเลยรึไง” แต้มถามเพื่อนสนิทที่กำลังร่าเริงในการวิ่งไปลงชื่อสมัครการแข่งขันกีฬาของสีตัวเอง แต้มที่เดินอยู่ด้วยกันก็พลอยโดนหางเลขไปด้วยอย่างโต้แย้งไม่ได้

“นายจะไม่ลงเล่นกับเราจริงดิ” ยิ่งใหญ่ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ

“นี่ ไม่ต้องลงชื่อเป็นหลีดนะ เราเต้นไม่เป็น” ยิ่งใหญ่ชะงักและถอยออกมาจากแถวผู้สมัครคัดเลือกเชียร์ลีดเดอร์

“นายไม่เคย จะรู้ได้ไงว่าทำไม่เป็น” ยิ่งใหญ่พยายามหาข้อโต้แย้ง

“นายลงชื่อแข่งไปกี่รายการแล้วล่ะ ถ้าคัดหลีดแล้วเกิดได้อีก นายจะเอาเวลาที่ไหนไปซ้อม”

“เออว่ะ มันก็จริง” ยิ่งใหญ่ฉุกคิดได้

“น้องใหญ่ น้องแต้ม มาลงชื่อเร้ววววว ปีนี้พี่จะให้น้องๆเป็นหลีด” รุ่นพี่ท่าทางตุ้งติ้งรีบฉุดแขนยิ่งใหญ่ไปที่หัวแถว ถึงแม้จะมีนักเรียนทุกระดับชั้นมายืนออ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครเทียบรัศมียิ่งใหญ่ได้เลยสักคน

“ขอโทษทีครับพี่ ต้องขอบาย พวกผมลงกีฬาไป 6 รายการแล้ว ถ้าลงหลีดอีกคงไม่ได้ซ้อมแน่ๆ” ยิ่งใหญ่ออกตัว

“แหม ทำไมรีบไปลงชื่อจังเลยล่ะ ยังไงก็ต้องคัดตัวนักกีฬาอยู่ดี มาลงชื่อไว้ก่อนมั้ย” รุ่นพี่คนเดิมยังไม่ละความพยายาม

“ปีนี้ผมถือคฑาด้วยนะครับพี่ จะเอาเวลาที่ไหนมาซ้อมล่ะ”

“อ้าว ตายจริง พี่ไม่รู้ งั้นโอเคค่ะ ใหญ่ไม่ต้องคัดหลีดแล้ว แต้มล่ะ” แต้มหันขวับ ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนด้วย

“คือ...”

“เอางี้มั้ย ใหญ่ถือคฑาแล้ว แต้มถือธงไง หน่วยก้านก็ไม่เลวนะ”

“...” แต้มจนปัญญาที่จะโต้แย้ง เพราะยิ่งใหญ่ลงชื่อให้เขาเรียบร้อยแล้ว

***********************************************************************

ยิ่งใหญ่สตาร์ทรถและออกตัวจากคอนโดใหม่ตอนเกือบเที่ยง พวกเขาหิวโซกันหนักหน่วงเพราะต้องรีบจัดของให้เสร็จ เพราะแต้มยืนยันว่าจะต้องกลับบ้านให้ได้ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ยิ่งใหญ่ก็ได้แต่อยู่บ้านหรือไม่ก็หอพัก ตอนเย็นก็แค่โทรไปหาพ่อที่ทำงานจนลืมวันลืมคืน ทั้งคู่แวะร้านบะหมี่เชียงรายตรงแยกหอนาฬิกาเพื่อจัดการตัวเองก่อนที่จะสั่งใส่ถุงกลับบ้านเอาไปฝากแม่และย่าโดยไม่ลืมกำชับให้แม่รอก่อน อย่าเพิ่งเตรียมมื้อเที่ยง

 เมื่อถึงบ้านก็บ่ายแล้ว อากาศร้อนระอุราวกับไม่ใช่เดือนธันวาคม แต่แม่กลับเดินออกมาเปิดประตูด้วยชุดเสื้อกันหนาวแบบเต็มยศ ยิ่งใหญ่ยกมือไหว้และเดินขึ้นเรือนอย่างคุ้นเคย แต้มแกะห่อบะหมี่จัดใส่ชามให้แม่กับย่าก่อนเข้าไปในห้องนอนของพ่อ

หลังจากแม่ย้ายพ่อมาอยู่บ้านย่าก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างไปได้ดี พ่อไม่มีอาการหอบเหนื่อยเนื่องจากเจอฝุ่นเกาะเหมือนบ้านหลังเก่าแล้ว ห้องนอนสะอาดเอี่ยมเพราะแม่มาปัดกวาดเช็ดถูไม่ได้ขาด ย่าทานมื้อเที่ยงเสร็จก็คุยจ้อกับยิ่งใหญ่ที่ห้องนั่งเล่น ย่าชอบดูมวยเป็นชีวิตจิตใจ แกชอบวันอาทิตย์เพราะมีรายการมวยให้แกดู วันนี้มีหลานชายคนโปรดกลับมาพ่วงด้วยยิ่งใหญ่ที่คุยเก่งอยู่แล้ว ทั้งคู่เลยดูเหมือนย่าหลานกันมากกว่าแต้มเสียอีก เพราะเมื่อนักมวยต่อยเข้าเป้า ทั้งย่าและยิ่งใหญ่ก็ร้องเฮลั่นบ้าน รอยยิ้มไม่เห็นฟันของย่าช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่งนัก

“พ่อครับ สุขสันต์วันพ่อนะครับ ขอให้พ่อแข็งแรงนะครับ” แต้มไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรให้สละสลวยไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เขามองสภาพพ่อที่นอนราบกับเตียง ดวงตากลมโตจับจ้องมาที่ลูกชายอย่างไม่อาจตีความหมายได้ทำให้แต้มยิ่งสะท้อนใจ ยิ่งมองนานเท่าไรก็ยิ่งรู้ว่า พ่อไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

"”เออจริงด้วย พี่ตาฝากของมาให้พ่อด้วยนะครับ นี่ไง” แต้มหยิบหมวกไหมพรมสีครีมมาสวมที่ศีรษะของพ่อ รอยบุบยุบเข้าไปเกือบครึ่งกะโหลกเย็นเฉียบ ความอุ่นของหมวกไหมพรมคงจะช่วยให้พ่อไม่ต้องทนหนาว ต้องตาตั้งใจถักทอหมวกใบนี้ในช่วงที่ตัวเองว่าง ถึงแม้จะมีหน้าที่รับผิดชอบมากเพียงใด แต่เธอก็ยังปลีกเวลามาทำให้ผู้เป็นพ่ออย่างเต็มใจ

“เดี๋ยวผมเอาโถไปทิ้งก่อนนะครับ พ่อนอนเถอะ” ผู้เป็นพ่อหลับตาอย่างว่าง่าย ลมหายใจแผ่วเบาโรยรินจนน่าใจหาย แต้มสะกดกลั้นความหวิวโหวงในใจก่อนหยิบโถใต้เตียงพ่อไปเทและล้างทำความสะอาด แม่นั่งร่วมวงดูมวยกับย่าโดยมียิ่งใหญ่อยู่ด้วยตลอดเวลา

“วันนี้จะกลับกันกี่โมงนิ” แม่ถามตอนที่แต้มลงไปนั่งร่วมวง

“คงไม่เกินห้าโมงเย็นอะแม่ ช่วงนี้มืดเร็วไม่อยากให้ใหญ่ขับรถมืดๆ”

“ดีแล้ว แม่ตัดกล้วยไว้ให้แล้ว อย่าลืมเอาไปด้วยนะ แล้วก็มีอ้อยที่แม่ตัดใส่ถุงไว้ เอาไปกินได้เลย”

“โหยแม่ ของโปรด” ยิ่งใหญ่ยิ้มอย่างร่าเริง เพราะเขาชอบกินอ้อยสดที่ควั่นเป็นชิ้นแล้วแช่ตู้เย็น หยิบมาเคี้ยวเล่นทีละชิ้นตอนอากาศร้อนๆ ความหวานและเย็นของมันช่วยให้สดชื่นเป็นอย่างมาก

“แล้วแม่อาการเป็นไงบ้างล่ะใหญ่”

“แม่เหรอครับ อาการดีขึ้นแล้วนะครับ ตอนนี้รอผลตรวจเลือดว่าดีหรือยัง คิดว่าเชื้อมะเร็งคงไม่ลุกลามแล้วล่ะครับ”

“ดีแล้ว อย่าลืมหมั่นไปเยี่ยมท่านนะ ยังไงก็แม่ลูกกัน”

“ครับแม่” ยิ่งใหญ่รับคำอย่างว่าง่าย แต้มคงเล่าเรื่องที่บ้านให้กับแม่ตัวเองไม่น้อย การที่แม่ของแต้มออกปากเช่นนี้ก็คงเพราะเป็นกังวลว่าเขาจะหมางเมินกับแม่อีก

“แล้วนี่หอใหม่เป็นไงบ้างล่ะ”

“หอใหม่กิ๊กเลยแม่ ห้องใหญ่กว่าเดิมด้วย” แต้มบรรยายแทนเพื่อน

“ดีแล้ว เดี๋ยวแม่ช่วยค่าห้องนะลูก”

“ไม่ได้ครับแม่ แค่แม่ให้แต้มไปอยู่เป็นเพื่อน ช่วยติวหนังสือก็มากพอแล้วครับ” ยิ่งใหญ่ออกตัว

“ได้ยังไงล่ะ ค่าห้องไม่ใช่ถูกๆ จะให้แต้มไปอยู่ฟรีได้ไง”

“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะครับ แต้มน่ะช่วยผมไว้เยอะ แค่นี้จิ๊บจ๊อยมากๆ”

“เอาน่าแม่ อย่าไปขัดมันเลย ตามใจเจ้าของห้องไป” แต้มห้ามทัพก่อนที่แม่จะพูดอะไรต่อ

“ที่ห้องมีหม้อหุงข้าวมั้ย แม่จะได้ไปตักข้าวสารให้ไปหุงกันด้วย”

“มีครับแม่ แต่ไม่ต้องหรอกครับ ที่เอาไปครั้งก่อนยังไม่พร่องเลย พวกผมไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกินกันอะครับ เลิกเรียนก็เย็นแล้ว แถมมีซ้อมนั่นซ้อมนี่อีก”

“แล้วนี่กินข้าวตรงเวลากันหรือเปล่าเนี่ย” แม่ถามทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง ยิ่งใหญ่รู้สึกตื้นตันกับความห่วงใยนี้เสียนัก บทสนทนาทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของการอยู่กินของพวกเขาแทบจะทั้งสิ้น ถึงแม้แม่จะถามแต้มเสียมากกว่า แต่ยิ่งใหญ่ก็รับรู้ถึงความเป็นห่วงที่แผ่วงกว้างมาล้อมรอบตัวเขาไว้ด้วย มันเป็นความอบอุ่นที่แสนบริสุทธิ์ ไม่ต่างจากความห่วงใยของแม่แท้ๆของตนเลยแม้แต่น้อย

“พูดถึงข้าว ใหญ่มันจะขอมาช่วยแม่เกี่ยวข้าวด้วยอะครับ”

“หืม จริงเหรอ เคยเกี่ยวมั้ยล่ะนั่น”

“ไม่เคยครับ แต่ผมอยากลองดู”

“มันร้อนนะลูก เหนื่อยด้วย ต้องคอยก้มๆเงยๆ ยิ่งเกี่ยวไม่เป็นยิ่งต้องระวังคมเคียวบาดมือด้วยนะ” ยิ่งใหญ่หันมามองหน้าแต้ม พลางคิดในใจว่า พวกนายนี่สมเป็นแม่ลูกกันจริงๆ พูดจาเหมือนกันเป๊ะ

“ผมไหวครับ ครั้งก่อนผมยังไปจับปลาได้เลย ตอนปลูกผมก็ไม่ได้มา ขอผมไปช่วยเกี่ยวด้วยนะครับ”

“แหม น้ำเสียงจะอ้อนไปไหน” แต้มแซว

“ถ้าใหญ่อยากทำ แม่ก็ไม่ขัดหรอก ไว้แม่จะเกี่ยวแล้วจะโทรบอกแต้มนะ”

“ครับแม่ ขอบคุณนะครับ” ยิ่งใหญ่ยิ้มร่า เข้าไปกอดผู้เป็นย่าที่กำลังเฮกับเชิงมวยในทีวีอย่างสนุกสนาน แต้มพิงหลังกับผนังบ้านมองเพื่อนที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วยความสุขใจ ไม่คิดเลยว่าผู้ชายอย่างยิ่งใหญ่จะเข้ามาในชีวิตของตนได้ไกลถึงเพียงนี้....

***********************************************************************


จบตอน...

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

ขอฝากผลงานเรื่องที่เพิ่งจบไปด้วยนะครับ
บังเอิญรัก โดยตั้งใจ (One More Night)
ทั้งหมด 53 ตอนจบ สามารถเข้าไปอ่านได้เลยตามลิงค์นี้นะครับ


https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอบนี้คู่น้องชายออกคู่เดียว

คู่พี่สาวไม่มา  สงสัยพี่สาวจะลืมเพราะหายไปนาน  อิอิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
+1
 :L2: :pig4:

ขอบคุณที่มาต่อแล้ว เย้

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao3: ใหญ่ก็เข้าทางผู้ใหญ่ตลอด

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ตอนที่ 46. ทางเดินที่ต่างกัน

   ภัทรเพิ่งเห็นข้อดีของข่าวของเขากับแพทย์ฝึกหัดคนนั้นในวันที่สื่อยักษ์ใหญ่รายหนึ่งเขียนสกู๊ปเกี่ยวกับตัวเขา เนื้อหาทั้งหมดล้วนลบภาพลักษณ์ที่ “ไม่แมน” ของตนในสายตาของคนอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ โฆษณาและละครที่หดหายไปเริ่มมีการติดต่อกลับมา การที่เขาอดทนและไม่พยายามแก้ต่างกับข่าวก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนเป็น “สุภาพบุรุษ” ที่ไม่พาดพิงถึงบุคคลที่สาม บั๊มพ์วางหนังสือพิมพ์ลงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเช่นเดียวกัน แต่แววตาของอีกฝ่ายเป็นกังวลมากกว่าจะมีความสุข แม้มันจะแสดงออกมาแค่เสี้ยววินาที แต่เขาก็สังเกตได้

“นายโอเคมั้ย”

“อืม โอเคสิ นี่คือโอกาสเหมาะที่นายจะกลับไปทำงานเลยนะ”

“นายโอเคจริงปะเนี่ย” ภัทรย่างสามขุมไปหาคนรักที่นั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร ไข่ดาว เบคอน และกาแฟหมดไปแล้วเหลือเพียงจานเปล่าวางอยู่ตรงหน้า น้ำส้มคั้นสดยังเหลือเกือบครึ่งแก้วและมีหยดน้ำเกาะรอบจากความเย็นที่ปะทะกับอากาศที่แตกต่างกันของยามเช้า เขายืนอยู่ข้างหลังของผู้ชายที่รักที่สุด บั๊มพ์ไม่หันหน้ามามองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มจึงนั่งบนโต๊ะไม้โดยโน้มตัวไปสบตาแทน

“โอเคสิ” บั๊มพ์ยืนยัน ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆของตัวเองก็ตาม แต่ในสถานะของทั้งคู่ บางทีการกลับไปทำงานของภัทรน่าจะดีกว่าตกมาหลบๆซ่อนๆแบบนี้ บางครั้งเขาก็อยากจะเห็นแก่ตัวและตะโกนบอกไปว่า ไม่โอเค เราไม่อยากให้นายไปเป็นดาราอีกแล้ว เราอยากอยู่กับนายแบบนี้ตลอดไป ไม่ต้องมีใครมาตามล้วงลับเรื่องของนาย แต่มันก็เป็นได้แค่ความต้องการที่แสนน่าเกลียด “แต่ว่าตอนนั้นนายยังไม่บอกเราเลยนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“หืม เรายังไม่ได้บอกเหรอ เราคิดว่าบอกแล้วนะ”

“ยัง หรือว่าบอกแล้วแต่เราลืมก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะ ถ้านายไม่อยากเล่า เราก็ไม่เซ้าซี้” บั๊มพ์ใช้นิ้วชี้เขี่ยปากแก้วน้ำส้มคั้นตามเข็มนาฬิกา สายตาหลุบมองขอบใสอย่างจงใจเลี่ยงสายตาของอีกฝ่าย

“เราจำได้ว่าชื่อนิชานะ”

“ทำไมนายจำได้ล่ะ ตอนนั้นนายบอกว่านายมึนยานอนหลับไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ แต่เราจำใบหน้านั้นได้ เธอเคยเข้ามาคุยกับเรากับอาจารย์และกลุ่มนักศึกษาคนอื่น”

“นิชา” บั๊มพ์ทวนคำ

“นายรู้จักเหรอ” ภัทรถามเมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของอีกฝ่าย บั๊มพ์ปฏิเสธอย่างรวดเร็วและเก็บจานเปล่าออกไปล้างเพื่อหวังจะสลัดความคิดในสมองตอนนี้ออกให้หมด แต่เมื่อฟังภัทรบอกชื่อและนามสกุลเต็มๆของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว

***********************************************************************

   ห้องผู้ป่วยสะอาดสะอ้านแต่ดูทึมเทาชวนให้หม่นหมอง ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ต้องตายังไม่เคยเห็นญาติคนไหนของคนป่วยมาเยี่ยมดูอาการอย่างจริงจังสักคน เธอเปลี่ยนน้ำและดอกไม้ในแจกันก่อนที่จะนั่งบนโซฟายาวที่ทั้งแข็งและเย็น ผู้ป่วยนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาแต่อีกไม่นานคงฟื้น อาการทางร่างกายปลอดภัยและฟื้นฟูไปเยอะแล้ว แต่อาการทางจิตใจดูเหมือนจะหนักหนากว่า

“คุณตาหิวหรือยังครับ” ยอดเยี่ยมถามแฟนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าปลดกระดุมสองเม็ดดูเซ็กซี่ ผมเผ้ายาวถูกหวีเรียบเป็นทรงแปลกตาแต่รับกับความหล่อเหลาบนใบหน้าจนไม่อยากละสายตา

“นิดหน่อยค่ะ แต่รอคุณยอดคุยธุระก่อนก็ได้” ชายหนุ่มดูนาฬิกาที่ข้อมือ พวกเขามีเวลาแค่สองชั่วโมงก่อนจะเข้าประชุมเรื่องการเลือกพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของโรงแรมกับทางผู้บริหาร เมื่อมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่เตียงผู้ป่วยจึงตัดสินใจชวนแฟนสาวออกไปหาอะไรทานเพื่อไม่ให้เสียเวลารอ

“เหนื่อยหน่อยนะคะคุณยอด” ต้องตาตักอาหารใส่จานคนรักอย่างเอาใจใส่ ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยว งานโรงแรมก็วุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาพัก ไหนจะเรื่องคุณแม่ที่ยังรักษาตัวอยู่ ยอดเยี่ยมยังต้องปลีกตัวมาจัดการธุระของเพื่อนรักในตอนนี้อีก

“ผมไม่เหนื่อยหรอก แต่คุณตาสิเหนื่อยแย่ ถูกผมลากไปนั่นมานี่จนแทบไม่ได้พัก”

“ตาชินเสียแล้วค่ะ หญิงเหล็กแบบต้องตาซะอย่าง สบายมาก” หญิงสาวตอบพลางอมยิ้มราวกับว่าเป็นเรื่องขบขันมากกว่า

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผม”

“ทำไมต้องเกรงใจด้วยล่ะคะ ตาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลซะที่ไหนล่ะ”

“ถึงยังไงผมก็เกรงใจอยู่ดี ไหนจะเรื่องงาน เรื่องแม่ นี่ยังเรื่องไอ้สันต์อีก”

“ตาไม่เหนื่อย” ต้องตาวางช้อนและจับมือใหญ่นั้นแทน “และตาเต็มใจช่วยค่ะ”

   ยอดเยี่ยมไม่ตอบ ยิ่งนับวันยิ่งรักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเสียเหลือเกิน ความรู้สึกมันวิ่งพล่านจนแทบทะลักล้นออกตามรูขุมขนแล้วตอนนี้ ความอิ่มเอมใจเฉิดฉายบนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด อาหารมื้อนี้อร่อยยิ่งกว่าอร่อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก

“คุณยอดอ่านเอกสารครบแล้วใช่มั้ยคะ”

“ใช่ครับ” ยอดเยี่ยมนึกถึงคำขอของพิสันต์เพื่อนสนิทที่ถูกยิงเมื่อสองเดือนก่อน* ถึงแม้อาการบาดเจ็บจะไม่หายดีแต่พิสันต์กลับมีเรี่ยวแรงไหว้วานเขาหลายอย่าง หลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เช่น การให้นายทหารของพ่อพิสันต์รับเด็กคนหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ทั้งเรื่องการใช้เงินเก็บส่วนตัวแทบจะเกลี้ยงบัญชีเพื่อบูรณะตึกแถวเก่าย่านปิ่นเกล้าให้เป็นเหมือนบ้าน พิสันต์เป็นคนพูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะไม่ออกปากขอร้องใครหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ

“คุณสันต์ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลยเหรอคะ”

“ใช่ครับ เป็นปกติของมันเลยแหละ ชอบเก็บงำทุกอย่างไว้ไม่ยอมบอกใคร ขนาดเรื่องของเสี่ยนิพนธ์ผมยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“แต่คุณสันต์ก็ไว้ใจคุณยอด” ต้องตาย้ำความจริงข้อนี้ ซึ่งเธอรู้ว่าอีกฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้ว

“ผมควรจะดีใจใช่ไหมครับ”

“มีอะไรที่น่าดีใจไปมากกว่านี้อีกล่ะคะ” หญิงสาวถามก่อนจะตักอาหารเข้าปาก

“ก็...การได้เป็นแฟนคุณตาไง” คำตอบที่ได้ทำให้ต้องตาแทบสำลัก ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเกี้ยวพาราสีกลางโรงอาหารของโรงพยาบาลเสียได้

***********************************************************************

   นิสัยที่แก้ไม่หายอย่างหนึ่งของยิ่งใหญ่คือต้องทาครีม ตามด้วยใช้เจลจัดแต่งทรงผมทั้งที่ตัดผมทรง รด. แต้มแต่งตัวและนอนรอเพื่อนจนแทบจะหลับไปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่คุณชายจะจัดแจงตัวเองจนเรียบร้อย

“นายจะ..”

“...จะเซ็ตผมทำไมทั้งที่ผมก็มีแค่นี้” ยิ่งใหญ่แย่งเพื่อนพูด “นายก็รู้ว่าเราชิน ทำทุกวัน นายก็รอทุกวันและถามทุกวัน ไม่เบื่อเหรอ บ่นไปเราก็ยังทำ”

“คือเราหน้าด้าน ที่ถามทุกวัน ว่างั้น”

“หรือไม่จริงล่ะ” ยิ่งใหญ่กวน

   แต้มที่นอนอยู่ผุดลุกขึ้นไปเตะก้นเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่ยิ่งใหญ่จะสวนกลับโดยการล็อคคอเขาไว้กับซอกแขน ทั้งคู่ดิ้นสู้กันไปมาจนชุดนักเรียนยับตั้งแต่เช้า ผ้าปูที่นอน หมอนและผ้าห่มกระเจิงไปคนละทิศเมื่อคนสองคนปล้ำกันไปมาราวกับนักมวยอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่ออีกฝ่ายเผลอก็ถูกกดหน้าเข้ากับที่นอน สองมือโดนจับไขว้หลังและใช้ข้อศอกตรึงท้ายทอยไว้ สองขาที่ดิ้นสู้ถูกตรึงไว้กับสองขาของอีกฝ่าย

คราวนี้ยิ่งใหญ่พลาดโดนกดในท่านี้

“ยอมแพ้ยัง”

“ไม่” คำตอบเสียงดังฟังชัดเล็ดลอดออกมา ใบหน้าของยิ่งใหญ่จมกับเตียง เขาพยายามดิ้นฮึดสู้แต่ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำมากขึ้นเมื่อแต้มเปลี่ยนมานั่งที่เอว สองขายาวพยายามดีดพับมาตีหลังคนที่นั่งทับแต่ก็ไม่ถึงเพราะแต้มนั่งสูงกว่าระยะกระทบ แต้มใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบที่หลังยิ่งใหญ่ อีกข้างหนึ่งยันที่เตียงก่อนดึงสองแขนเพื่อนที่นอนคว่ำอยู่ให้อยู่ในท่าฤาษีดัดตน

“โอ๊ยยยยยยยยยย ยอม ยอม ยอมแล้วค้าบ ยอมแล้ว” แต้มฉุดแขนยิ่งใหญ่ให้ทิ้งตัวลงและดึงกลับอีกสามสี่ครั้งก่อนจะปล่อยเป็นอิสระ ศึกในวันนี้เขาชนะอย่างใสสะอาด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเหงื่อที่ท่วมกาย เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่จนต้องเริ่มต้นอาบน้ำและแต่งตัวใหม่อีกครั้ง...

***********************************************************************

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวสวมแว่นตากรอบใหญ่ที่ขัดกับใบหน้าอันหล่อเหลานั่งสบตาอีกฝ่ายอยู่ราวกับส่องกระจก พวกเขาเป็นฝาแฝดแท้ที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แต่บุคลิกและนิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใบหน้ารูปไข่เรียวยาวรับกับสีผิวขาวราวหยวกกล้วย ตาชั้นเดียวคมกริบบ่งบอกว่ามีเชื้อสายคนจีนอย่างแน่แท้ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป คิ้วหนายาวเป็นแพขมวดเป็นปมเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากแฝดผู้น้อง

“ไร้สาระ” เขาพูดพลางขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้สบายตัวขึ้น เก้าอี้ขนาดย่อมไม่เหมาะกับผู้ชายที่สูง 185 เซนติเมตรอย่างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง สองหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและเหมือนกันขนาดนี้ย่อมเป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี สายตาคนในร้านกาแฟจับจ้องพวกเขาตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาจนกระทั่งตอนนี้ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความรู้สึกที่ได้ฟังเรื่องราวในตอนนี้

“นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอเบสต์”

“หรือไม่จริงล่ะ ที่นายเรียกเรามาเพื่อจะพูดเรื่องบ้าๆแค่นี้เหรอ” เขาขยับแว่นตา การเรียนเฉพาะทางหนักหนาแสนสาหัสอยู่แล้ว เมื่อคืนก็นอนไปได้แค่สี่ชั่วโมง ตอนนี้ต้องมานั่งฟังน้องชายฝาแฝดเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก

“ถ้านายไม่เชื่อ ก็ถือซะว่าไม่ได้ยินละกัน”

“เราคงเชื่อหรอก ถ้าไม่ติดว่าดาราคนนั้นเป็น...”

“มันไม่เกี่ยวว่าภัทรจะเป็นอะไรนะเบสต์ ประเด็นมันอยู่ที่แฟนของนายทำเรื่องอะไรมากกว่า”

“ฟังนะบั๊มพ์” แฝดผู้พี่ขยับใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกับกำลังส่องกระจก “นิดไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างพวกเราก็กำลังจะแต่งงานกันหลังเรียนจบ ไม่มีทางที่นิดจะทำแบบนั้นได้”

“แล้วทำไมนิดถึงจะย้ายไปเรียนที่อังกฤษกะทันหันแบบนี้ล่ะ อีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้วไม่ใช่เหรอ”

“นิดวางแผนจะไปที่โน่นตั้งนานแล้ว...”

“พอเถอะเบสต์ ถ้านายไม่เชื่อเรื่องที่เราพูด ก็ขอโทษด้วยละกันที่ลากนายมาฟัง”

“ไม่เอาน่าบั๊มพ์ นายไม่ชอบนิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะอะไรนายก็รู้”

“การที่เราไม่ชอบผู้หญิง ไม่ได้หมายความว่าเราจะเกลียดผู้หญิงทุกคนนะเบสต์ แต่กับนิดเราไม่ได้มีอคติอะไร แค่เราไม่ชอบคนแบบนั้น” บั๊มพ์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ เพราะคำว่าไม่มีอคตินั้นไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

“แบบนั้นของนายนี่แบบไหนเหรอ” บั๊มพ์หัวเสีย ยิ่งพูดก็ยิ่งหลงทาง นิชาหรือนิดเป็นแฟนของพี่ชายฝาแฝดเขามานานแล้ว ผู้ชายทั้งแท่งคงมองไม่ออก แต่สำหรับตน ท่าทางและคำพูดของผู้หญิงคนนั้นมันดูปลอมจนรู้สึกดีด้วยไม่ได้ เมื่อความชังบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็แปรเปลี่ยนเป็นอคติส่วนตัวต่อคนๆนี้ไปเสียแล้ว ยิ่งได้เห็นกิริยาของผู้หญิงคนนั้นตอนที่แอบมองพ่อของตนด้วยท่าทางยั่วยวนอยู่บ่อยครั้งก็ยิ่งชวนให้ขยะแขยง

“ช่างเหอะ เราไปดีกว่า”

“เดี๋ยวสิบั๊มพ์” แฝดผู้พี่รั้ง “นายไม่คิดว่าชีวิตนายจะ แบบว่า”

“กลับมาชอบผู้หญิงน่ะเหรอเบสต์” คนถามไม่ตอบ แต่พวกเขาก็ผ่านบทสนทนานี้มาหลายต่อหลายคราแล้ว “เราเป็นเกย์นะ ไม่ได้ป่วยทางจิต นายเรียนหมอ นายก็น่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยากนะ”

“...”

“พอเถอะ เราพอใจที่เป็นแบบนี้ ชีวิตเราก็มีความสุขดีแล้ว”

“แต่นายควรจะเรียนหมอ นายควรจะมีชีวิตที่ดีกว่าตอนนี้นะถ้านายเชื่อคำพูดของพ่อ”

“เราเป็นน้องนายนะไม่ใช่ลูก การที่เราไม่ต้องการอยู่ในกรอบของพ่อไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะถึงจุดจบซะเมื่อไหร่ ขอร้องล่ะเบสต์ ถ้านายไม่ยอมรับรสนิยมเรา ไม่ชอบภัทร อย่ายกเรื่องเก่าๆมาพูดอีกเลย เราไม่ได้อยากเป็นหมอ เราไม่ได้อยากสืบต่องานอะไรของพ่อ”

“นายไปเถอะ” เบสต์ไม่พูดอะไรต่อ มองแผ่นหลังของแฝดผู้น้องอย่างเสียดาย เส้นทางที่เขาไม่เข้าใจและไม่คิดจะทำความเข้าใจขีดให้เกิดเส้นขนานระหว่างทั้งคู่มาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่น้องชายที่หัวดีกว่าเขาเลือกจะไม่เรียนต่อและหันไปจับธุรกิจ ก่อนจะเปิดตัวกับที่บ้านว่าชอบผู้ชาย ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการเลือกทางเดินที่ผิด

***********************************************************************

*พิสันต์ ตัวละครหลักจากเรื่อง หากย้อนเวลาได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2018 10:08:48 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เริ่มมีรายละเอียดของนังนิชา ตัวร้ายจากเรื่องนู้น 

หมอเบสต์ในอดีตนี่โง่จริงเนอะ ดูไม่ออกว่าแฟนตัวเอง เน่าเฟะขนาดไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

เริ่มมีรายละเอียดของนังนิชา ตัวร้ายจากเรื่องนู้น 

หมอเบสต์ในอดีตนี่โง่จริงเนอะ ดูไม่ออกว่าแฟนตัวเอง เน่าเฟะขนาดไหน


อย่าว่าหมอเบสต์เลย ตอนนั้นยังเด็ก ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
มาต่อแล้วนะครับ แฟนๆจะได้ไม่รอนาน
อย่าลืมติดตามเพจของไรต์ด้วยนะครับ จะพยายามอัพเดตนิยายใหม่ๆในนั้นครับ
บางเรื่องก็ไม่ได้เอามาลงที่นี่นะครับ เลยขออนุญาตฝากด้วยเด้อ
ลิงค์ >> https://www.facebook.com/Begintillanend


​ตอนที่ 47. เกี่ยวข้าว



อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนถึงแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัวแล้วก็ตาม เหงื่อไหลท่วมตัวทันทีที่แต่งตัวเสร็จแม้เพิ่งจะแปดโมงเช้า แต้มขยับผ้าคลุมหน้าให้แน่นก่อนจะสำรวจดูเพื่อนสนิทที่กำลังสาละวนกับการโพกผ้า

“นายเป็นอะไรกับการโพกผ้ามากมั้ย”

“นายจะมาช่วยหรือจะยืนบ่นตรงนั้น” ยิ่งใหญ่ถาม แต้มมาช่วยเพื่อนทันทีที่พูดจบ การโพกผ้าทำได้ง่ายมากเพราะมันแค่เสื้อแขนสั้นผืนบางตัวหนึ่งที่สวมลงที่หน้าให้ส่วนที่จะสวมคอครอบใบหน้าเราแทนและใช้ผ้าส่วนที่เหลือมามัดให้แน่น ที่ต้องแต่งแบบนี้ก็เพื่อป้องกันแดดเผาในตอนที่ต้องลงนา เมื่อมัดผ้าเสร็จแต้มก็สวมหมวกสานใบใหญ่ให้เพื่อนเกี่ยวคางยาวเรียวนั้นไว้ด้วยเชือกฟางสีสดไม่ให้ปลิวตอนที่ลมหนาวพัดแรง

“เอาล่ะ เสร็จแล้ว อย่าลืมใส่นี่ด้วย” แต้มโยนถึงมือผ้าเนื้อหยาบสีขาวขอบเหลืองให้เพื่อน ยิ่งใหญ่สวมและลองขยับนิ้วไปมาราวกับยังไม่ชิน

“หนุ่มๆเสร็จยังลูก”

“เสร็จแล้วครับแม่” สองหนุ่มตอบก่อนจะลงเรือนไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่แต้มเป็นคนขับ ระยะทางจากบ้านไปที่นานั้นไม่ไกลแต่ด้วยทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ อีกทั้งยังต้องลัดเลาะไปมาข้ามแม่น้ำแคบๆกว่าพวกเขาจะมาถึงก็ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง

“โห สวยจัง” ยิ่งใหญ่ตาลุกวาวทันทีที่เห็นบรรยากาศ ทุ่งนาเวิ้งว้างติดกันเป็นแพผืนใหญ่เต็มไปด้วยต้นข้าวออกรวงสีเหลืองทองอร่ามสุดลูกตาตัดกับสันเขาสีเขียวทะมึนกระชากใจเขาได้ไม่ยาก

“เดี๋ยวก็รู้ว่านายจะยังชอบมันอยู่รึเปล่า” แต้มวางย่ามใส่ข้าวของบนกระท่อมกลางนาหลังคามุงสังกะสีสีสนิม แผ่นไม้บ่นกระท่อมสีน้ำตาลเข้มเก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกย่ำ ยิ่งใหญ่มองชาวนาข้างเคียงกำลังลงแรงเกี่ยวข้าวอย่างตั้งใจ แม่ของแต้มเพิ่งตามมาถึงและมีเหล่าญาติมาช่วยอีกหลายคน

“ใหญ่เคยเกี่ยวข้าวมั้ยลูก” ญาติคนหนึ่งของแต้มทักมา

“ไม่เคยครับน้า”

“ระวังคมเคียวดีๆล่ะ อย่าเกี่ยวเข้าตัว” ผู้ที่ยิ่งใหญ่เรียกว่าน้ามาสอน “กำต้นข้าวทั้งกอไว้ให้แน่นอย่าให้สูงหรือต่ำเกินไป กะระยะที่พอก้มแล้วไม่ปวดเอวแล้วใช้เคียวเกี่ยวกระหวัดคมออกด้านข้างแบบนี้” รวงเข้าทั้งกำหลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย ยิ่งใหญ่ทำหน้าทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็นก่อนจะลองทำอย่างเก้ๆกังๆ

“จะรอดมั้ยเนี่ย”

“ปล่อยไปเถอะแม่ อยากจะดื้อด้านตามมาทำไมล่ะ” แต้มปลอบใจแม่ แต่ยิ่งพูดแม่ก็ยิ่งกังวลใจมากกว่า

“เอาน่าเพื่อนอยากมาช่วยก็อย่าไปว่าเค้าเลย เราน่ะดูเพื่อนดีๆละกันไม่ต้องรีบตามพวกแม่ไป”

แต้มรับคำก่อนจะที่พาเพื่อนสนิทลงนาจริง ชาวนาจะเริ่มเกี่ยวข้าวกันเป็นไปแถว ระยะแถวหนึ่งพอดีกับระยะแขนของแต่ละคนเอื้อมถึง เมื่อเกี่ยวเสร็จก็เอาไปกองไว้ด้านหลังเป็นระยะ คนที่เกี่ยวเป็นจะรุดหน้าไปไวมาก แต่กับมือใหม่อย่างยิ่งใหญ่โดนญาติๆของแต้มน็อครอบไปหลายครั้ง เหงื่อเม็ดโตไหลเข้าตาจนแสบ กลิ่นดินระอุขึ้นมากระทบจมูกหอมกรุ่น แสงแดดแผดเผาพร้อมกับลมหนาวปะทะจนอยากจะบอกว่ามันหนาวหรือร้อนกันแน่ และเมื่อก้มๆเงยๆไปจนสุดแถว ยิ่งใหญ่ก็พบว่ามันยากและปวดเอวมากเพียงไหน

“ไง เหนื่อยละเหรอ” แต้มแซว

“ไม่เหนื่อย” ยิ่งใหญ่กัดฟันตอบ รู้สึกเกะกะไปหมดเนื่องจากต้องสวมเสื้อแขนสั้นก่อนคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว สวมกางเกงขายาวตัวโคร่งและรองเท้าบู๊ตสีดำที่ทำจากพลาสติก เมื่อโดนแดดไปสักพักก็ร้อนแนบกับหน้าแข้ง ยังดีที่แต้มยืนกรานให้เขาสวมถุงเท้าไม่อย่างนั้นคงต้องถอดมันทิ้ง

“เกี่ยวอีกสองแปลงก็คงพักแล้วล่ะ น้ำอยู่ในกระติกตรงโน้นนะ หิวน้ำก็ไปดื่มก่อน”

ยิ่งใหญ่พยักหน้าแทนคำตอบ รู้สึกอยากประหยัดพลังงานมากกว่าจะต่อปากต่อคำ และเมื่อเกี่ยวไปได้อีกหนึ่งแถวก็ได้เวลาพัก แม่ของแต้มและญาติๆนั่งบนคันนาล้อมวงที่กระติกน้ำพลางตักส่งให้แต่ละคนแก้วแล้วแก้วเล่า ยิ่งใหญ่มองภาพนี้อย่างมีความสุข ถึงแม้มันจะเหนื่อยแต่เมื่อเห็นความเอื้ออาทรของคนเบื้องหน้าก็ทำให้อิ่มเอมใจไม่น้อย เขาเผลอคิดไปถึงตอนที่ไปเยี่ยมแม่ที่กรุงเทพ แม่มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลเลือดของแม่เป็นปกติ พี่ยศบอกว่าการรักษาเป็นไปด้วยดี แม่ก็มีสีหน้าที่เป็นสุข

“หืม แต้มกับต้องตาเป็นพี่น้องกันจริงๆเหรอ”

“ใช่ครับแม่”

“โอย ดีจัง แม่ถูกชะตากับทั้งสองคนนี้มาก นี่ถ้าไม่ได้หนูตามาช่วยดูแลช่วงที่ตายอดยุ่งๆป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครมาดูแล มีลูกชายสามคนไม่ได้เรื่องสักคน” แม่พูดพลางสบตากับต้องตาที่นั่งอยู่บนโซฟา

“โหแม่ มาเป็นชุด ผมก็มาแล้วนี่ไง” ยิ่งใหญ่ประท้วง

“กว่าจะมาได้ ถ้าไม่ได้แต้มกับต้องตาช่วยเราจะมาหาแม่มั้ยล่ะ” แม่บ่นอย่างน้อยใจ

“โอ๋” ยิ่งใหญ่โผเข้ากอดแม่ที่นั่งบนเตียงคนไข้ “ผมขอโทษนะครับที่ทำตัวไม่ดีใส่แม่มาตลอด”

“จ้า” แม่รับคำอย่างอบอุ่น “แม่แค่ล้อเล่น แค่ลูกมาเยี่ยมแบบนี้แม่ก็ดีใจแล้ว” ยิ่งใหญ่รู้สึกดีและอบอุ่นใจที่สุดที่แม่ลูบผม รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่มีอ้อมกอดใครอุ่นเท่าแม่อีกแล้ว ถ้าไม่นับการกอดใครอีกคนที่ทำเป็นประจำ

“นี่จะกินมั้ยน้ำน่ะ ใจลอยไปไหนแล้ว” แต้มเขย่าตัวเพื่อนที่กำลังเหม่อ

“กินๆๆ” ยิ่งใหญ่รับแก้วน้ำพลาสติกขึ้นมาดื่มจนหมด “ขออีกแก้วสิ”

แต้มตักน้ำและส่งให้เพื่อนอีกครั้ง “เออ เดี๋ยวนายไม่ต้องเกี่ยวละนะ”

“อ้าวทำไมล่ะ เราเกี่ยวไม่ดีเหรอ”

“เปล่า มันเกี่ยวได้เยอะแล้ว วันนี้คนมาช่วยเยอะคงจะไวกว่าที่คิด แม่ให้เรากับนายไปช่วยน้าเอาข้าวที่เกี่ยวแล้วไปกองแบบนั้น” แต้มชี้ให้ยิ่งใหญ่ดูกองข้าวที่เอามากองพะเนินสุมกันไว้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะกองก็จะใช้ตอกมัดแทนเชือกและเอามากองสุมเรียงกันไว้ ตอกเป็นไม้ไผ่ที่เอามารีดเป็นเส้นคล้ายบะหมี่เส้นแบนยาวประมาณ 30-50 เซ็นติเมตร เอามาตากแดดและมัดรวมกันไว้เพื่อใช้ในการมัดข้าวหรือของใช้อื่น แต้มสอนวิธีมัดและเรียงข้าวบนกองอย่างละเอียดก่อนที่จะช่วยกันลงมือทำงาน ยิ่งใหญ่รู้แล้วว่าทำไมต้องให้เขามาช่วย เพราะในที่นี้เขาสูงที่สุดและกองข้าวที่กองเสร็จก็จะสูงกว่าคนอื่นๆเสียอีก

“วันนี้จะเกี่ยวเสร็จมั้ย” ยิ่งใหญ่ถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะมืดๆเลยแหละ ดีที่วันนี้คนมาช่วยหลายคนและนาเราก็ไม่เยอะ ถ้าเกี่ยวให้เสร็จก็คงทำได้”

“งั้นเราไปช่วยเค้าเกี่ยวกันต่อมั้ย”

“ไม่ต้อง นายน่ะมาช่วยเราตรงนี้” แต้มลากเพื่อนไปช่วยทำงานอย่างไม่สนใจคำโอดครวญที่อยากจะเกี่ยวข้าวเลยสักนิด

***********************************************************************

ช่วงพักเที่ยง ทุกคนจะมารวมกันที่กระท่อม บ้างก็ก่อไฟหุงหาอาหารที่เพิ่งขุดมาจากท้องนา ญาติแต่ละคนจะพกกับข้าวมาจากบ้าน ยิ่งใหญ่มองอาหารที่วางเรียงรายเต็มกระท่อมด้วยความตื่นตา วันนี้แม่ของแต้มทำยำหน่อไม้ใส่น้ำปูสีดำกลิ่นแรงมาพร้อมกับปลาดุกย่าง เดิมทียิ่งใหญ่ไม่เคยลองมาก่อนเพราะไม่ชอบกลิ่นของมัน แต่เมื่อปั้นข้าวเหนียวและจิ้มลงไปคำหนึ่ง ฉีกเนื้อปลาดุกย่างสีขาวเข้าปากกลับกลายเป็นว่าหยุดไม่ได้ เสน่ห์ของอาหารเหนือคือความกลมกล่อม มันอร่อยลิ้นและรับรู้ได้ถึงความเป็นกันเองของสมาชิกร่วมวง ญาติของแต้มเด็ดมะละกอจากไร่ที่อยู่ติดกันมาตำให้กินกันสดๆตรงนี้ ปูนาตัวโตที่ถูกขุดมาเอามาลวกแบ่งก้ามปูกันคนละหนึ่งหรือสอง อาหารที่ดูพื้นๆกลับทำให้ยิ่งใหญ่ไม่สามารถหยุดได้

หลังจากอิ่มหนำจากมื้อเที่ยง ก็ได้เวลาพักผ่อนเอาแรงโดยการนอน ลมหนาวพัดกรูมาจนตัวเย็นตัดกับแสงแดดที่แผดเผาจนผิวแทบไหม้ ยิ่งใหญ่เลือกที่จะไม่นอนกับญาติๆของแต้ม แต่ตามแม่ไปขุดหน่อไม้ในกอไผ่ริมแนวสันเขาในไร่ที่อยู่ติดกัน หน่อไม้ที่ปลายแหลมโผล่มาจากพื้นดูเหมือนจะเล็ก แต่พอขุดลงไปกลายขนาดเป็นเท่าฝ่ามือก็มี

“หน่อแบบนี้ต้มแล้วหวาน ใหญ่เคยกินมั้ย”

“เคยครับแม่ แต่กินแบบผัด” ยิ่งใหญ่ผู้เติบโตมาแบบคุณหนูตอบความจริง

“จะให้แม่เอาไปผัดให้มั้ยล่ะ”

“ไม่เอาดีกว่าครับแม่ ทำแบบที่แม่ทำปกติเถอะครับ ผมอยากลองอะไรใหม่ๆด้วย”

“แกงหน่อไม้ก็ได้ครับแม่ ใส่ปลาและน้ำปู อร่อยดี” แต้มเดินตามมาสมทบทีหลังออกความเห็น “หน่อมันหวานเอาไปผัดก็เสียดาย”

“ไอเดียดีนะครับแม่” ยิ่งใหญ่สนับสนุน

“ได้ๆ เดี๋ยวเย็นนี้แม่ทำแกงหน่อไม้ใส่ปลาย่างนะ” ทั้งสามคนใช้เวลาหาหน่อไม้อีกครู่ใหญ่ก็กลับไปเกี่ยวข้าวกันต่อ ยิ่งใหญ่สนุกกับวันนี้มากเพราะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหงื่อที่ไหลโทรมกายทำให้ยิ่งคึกคัก ความร้อนของไอแดดกระตุ้นความคะนอง จนเมื่อเย็นย่ำพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไอหนาวก็ทำงานทันทีอย่างรู้หน้าที่ แต่ละคนต่างก็เก็บข้าวของและเดินทางกลับบ้าน ข้าวเกี่ยวเสร็จพอดีในวันนี้ ยิ่งใหญ่ แต้มและญาติอีกสองคนสาละวนกับการกองข้าวจนเสร็จก็ตามไปสมทบแม่ที่นั่งรอในกระท่อม เมื่อกองข้าวเสร็จยังไม่ตีข้าวในทันทีต้องรอเวลาให้ข้าวแห้งก่อน ระหว่างนี้แม่ของแต้มก็จะไปช่วยญาติคนอื่นๆที่มาเกี่ยวข้าววันนี้ เป็นการลงแรงชดเชยที่ทุกคนมาช่วยกัน ยิ่งใหญ่เพิ่งรู้ว่ากว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ดมันแสนยากลำบาก ต้องใช้แรงก้มๆเงยๆเกี่ยว เอามากองรวมกันเป็นกองใหญ่ตากแดดไว้รอแห้งแล้วค่อยมาตีข้าวโดยใช้อุปกรณ์เฉพาะอีกทีหลัง จากที่เคยกินข้าวไม่หมด เขาสัญญากับตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่

ยิ่งใหญ่ปลดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นรอยแดดเผาสีแดงทั่วหน้า ผิวขาวเนียนที่เป็นที่น่าอิจฉาของใครหลายคนดูหมองไปเล็กน้อย แต้มไล่ให้เขาไปอาบน้ำแทบจะทันทีที่เหยียบขึ้นบนเรือน ย่าเอาหน่อไม้ที่ขุดมาได้ไปล้าง ดึงเปลือกออกและหั่นเป็นชิ้นบางก่อนเอาไปต้มในน้ำร้อน หลังจากมื้อเย็นที่แสนอร่อย แต้มไม่ยอมให้เขาช่วยล้างจาน แม่ก็ไปดูแลพ่อ ส่วนย่าก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ยิ่งใหญ่ที่เมื่อยขบไปทั้งตัวเนื่องจากไม่คุ้นกับการทำงานแบบนี้เลือกที่จะมานั่งเงียบบนระเบียงหน้าบ้าน มองดูความมืดที่ปกคลุมไปทั่ว หมอกลอยอ้อยอิ่งไปมา ท้องฟ้าเปิดมีดาวประดับระยิบระยับ

“มาทำอะไรตรงนี้ เสื้อแขนยาวก็ไม่ใส่ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” แต้มเดินออกมาด้วยชุดนอนเต็มยศ เสื้อแขนยาวสีดำตัวใหญ่โคร่ง กางเกงวอร์มตัวเก่งที่เป็นกางเกงพละของโรงเรียน สวมถุงเท้าสีขาวที่ใส่ไปโรงเรียนเช่นกัน

“มาสูดอากาศ ยังไม่ค่อยหนาวน่ะ” ยิ่งใหญ่ตอบเพื่อนที่กำลังหย่อนตัวลงมานั่งข้างกัน

“เหนื่อยมั้ย”

“ไม่” ยิ่งใหญ่ไม่ตอบความจริง ทั้งๆที่วันนี้เหนื่อยตัวแทบขาด แต้มไม่พูดอะไรแต่ใช้มือใหญ่กดที่แผ่นหลังของเพื่อนที่นั่งชิดกัน

“โอ๊ย” ยิ่งใหญ่สะดุ้งร้อง แรงกดพอดีกับจุดที่ปวด

“ไหนบอกไม่เป็นอะไรไง”

“เราบอกว่าไม่เหนื่อย ไม่ได้บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“ปากดี หันมา” แต้มปรับท่านั่งให้ขนานกับเพื่อนก่อนจะจับตัวอีกฝ่ายให้นั่งหันหลังมาให้สองมือกดนวดแผ่นหลังกว้างที่พยายามปัดออก “อยู่เฉยๆ เดี๋ยวนวดให้”

“ไม่เอา เราโอเค นายก็เหนื่อยเหมือนกัน”

“จะนวดดีๆหรือจะให้ทุบ” แต้มยกขาขึ้นมาขู่ ยิ่งใหญ่หัวเราะกับท่าทางของเพื่อนรักตอนนี้

“จะนวดก็นวด ตามใจนายละกัน” ยิ่งใหญ่ไม่อยากขัดจึงนั่งนึ่งให้อีกฝ่ายใช้มือกดนวดไปตามแผ่นหลัง แรงกดส่งผ่านความรู้สึกแปลกประหลาดมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่อนคลาย อบอุ่นและสงบในคราเดียวกัน ยิ่งใหญ่กอดสองแขนราบกับราวระเบียงเกยคางยาวเพื่อมองไปด้านนอก เสียงจิ้งหรีดร้องระงมในความมืด โชคดีที่วันนี้ยุงไม่เยอะ จึงไม่ถูกกัดมากนัก

แต้มลงแรงกดอย่างเบามือเพื่อแทนคำขอบคุณเพื่อนคนนี้ที่มาช่วยจนเมื่อยขบ เขามองศีรษะเพื่อนที่แนบกับระเบียงค่อยๆเอียงซบแขนล่ำ ลมหายใจแผ่วเบาราบเรียบบ่งบอกว่าเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ปกติยิ่งใหญ่จะเป็นคนหลับยาก แต่ถ้าได้นอนแล้วจะหลับลึก ความหนาวคลืบคลานมาเรื่อยๆ ไอเย็นปกคลุมไปทั่วชื้นจมูก แต้มลองปลุกเพื่อนที่นอนหลับสนิทแต่ไม่ได้ผล ท้ายที่สุดผู้ชายตัวสูงใหญ่ก็ถูกอุ้มไปวางบนที่นอนอย่างทุลักทุเล แต้มมองใบหน้าที่หลับไหลนั้นอย่างหมั่นไส้ เวลาปกติพวกเขาจะกวนกันไปมา แต่ในยามนี้ ใบหน้านั้นดูบริสุทธิ์ราวกับเป็นคนละคน

***********************************************************************

จบตอน...


ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนสองหนุ่มอยู่ด้วยกันมันช่างละมุนละไมเสียนี่กระไร

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

ตอนสองหนุ่มอยู่ด้วยกันมันช่างละมุนละไมเสียนี่กระไร

เคมีเข้ากั๊น เข้ากัน

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ตอนที่ 48. เรื่องที่ยังไม่เคยบอก



เป็นอีกคืนหนึ่งที่ต้องตาต้องกลับบ้านดึก หลังจากเคลียร์งานที่กองสุมให้เสร็จก่อนลากลับบ้านสิ้นปีฟ้าก็มืดแล้ว รถไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนส่งเสียงดังอื้ออึงไม่ชินหู แต่มันก็ทำให้ชีวิตของเธอสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องไปยืนรอรถเมล์หรือต้องเสียค่ารถแท็กซี่ในราคาแพงหูฉี่อีกต่อไป หลังโรงแรมไฟสว่างจากการปรับปรุงของส่วนกลาง ถนนสีลมยามนี้ยังไม่หลับไหล ผู้คนยังขวักไขว่ราวกับมดงานที่ต้องแข่งกันทำงานเพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด

หญิงสาวถอดรองเท้าส้นสูงเก็บในตู้ล็อกเกอร์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ยลำลอง อาการปวดฝ่าเท้าบรรเทาแทบจะทันทีที่ได้สวมคู่ใหม่ เธอเดินออกทางประตูหลังเช่นเคย

“ตา” เสียงทักนั้นแหบแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวหันขวับไปตามเสียงเรียก

“พี่อ๊อด” ต้องตาทักอย่างตกใจ สภาพของอดีตคนรักผ่ายผอมอย่างเห็นได้ชัด เค้าโครงความหล่อเหลาสมัยก่อนเลือนหายไปกับกาลเวลา “พี่มาทำอะไรที่นี่”

“ตาต้องช่วยพี่นะ พี่ไม่รู้จะบากหน้าไปหาใครแล้วจริงๆ”

“พี่จะให้ตาช่วยอะไร ครั้งล่าสุดที่พี่มาหา พี่ก็ทำร้ายตา”

“พี่ขอโทษ พี่รู้ว่าพี่ทำผิด แต่พี่ขอร้องล่ะตา ช่วยพี่ด้วย พี่ไม่มีที่ไป ไม่มีงานทำ” ต้องตามองเนื้อตัวมอมแมมของอีกฝ่ายอย่างสังเวชใจ เธอตัดขาดความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้จนลืมไปแล้วว่าเคยรู้จักกัน หากจำไม่ผิด พี่อ๊อดเคยโดนจับหลายครั้งในคดีค้ายาเสพติด รวมไปถึงการทำร้ายร่างกายผู้หญิงอีกหลายคดี

“ฉันเห็นใจพี่นะพี่อ๊อด” ต้องตาสงบจิตใจ เอื้อมมือไปกดโทรศัพท์ในกระเป๋า กดหมายเลข 2 บนปุ่มโทรศัพท์ที่ทำเป็นปุ่มลัดสำหรับโทรหาคนสนิท ก่อนจะทำใจเย็นตอบ “แต่เราเลิกกันไปนานแล้ว เกือบสิบแปดปีแล้ว พี่จะดิ้นรนกลับมาหาฉันทำไม”

“เพราะใครล่ะ” อ๊อดเค้นเสียง ความอ่อนเพลียทำให้แทบล้มคว่ำ “ไม่ใช่เพราะมึง ครอบครัวมึงเหรอที่ทำกูแบบนี้”

“พี่จะมาโทษชั้น โทษครอบครัวชั้นได้ยังไง” ต้องตาหมดความอดทน

“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พวกมึงแจ้งความจับ กูก็ไม่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้หรอก”

“พี่อ๊อดจะฟื้นฝอยเรื่องเก่าอีกทำไม” ต้องตาเสียงแข็ง “พี่ก็รู้ว่าที่บ้านตาต้องทำแบบนั้นเพราะพี่เอาแต่ทุบตีชั้น พี่ไม่เคยมองเห็นความผิดตัวเองเลย มองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น คนอย่างพี่มันก็สมควรแล้วที่จะต้องเป็นแบบนี้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของต้องตาสะกิดปมในใจของอีกฝ่ายอย่างจัง ท่าทีอ่อนแรงเลือนหายกลายเป็นไฟโกรธที่สุมทับ

“มึง นังผู้หญิงแพศยา” ร่างใหญ่ถลาหวังจะกระชากร่างบาง แต่กลับถูกผลักกระเด็นจนล้มคว่ำ

“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าอย่าให้กูเจอมึงอีก” ยอดเยี่ยมมีนัดมารับต้องตาหลังเลิกงานได้รับเบอร์โทรเข้าแต่ไม่มีคนพูด แต่บทสนทนาจากแฟนสาวกับใครอีกคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรนั้นทำให้เขารีบจอดรถและวิ่งตามหา จนมาพบว่าทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้

“หึ เรียกมาสิ เรียกพวกมึงมาเลย ไอ้พวกหมาหมู่ ทำร้ายคนไม่มีทางสู้”

“มึง”

“อย่าค่ะคุณยอด” ต้องตาฉุดแขนล่ำไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะหดขากลับมา “ไม่คุ้มหรอกค่ะ คนแบบนี้”

“แต่ถ้าเราปล่อยไป เขาจะกลับมาอีกเรื่อยๆนะครับ” ยอดเยี่ยมให้ความเห็น

“พี่อ๊อด พี่ต้องการอะไรจากฉัน” ต้องตาถามด้วยอาการข่มใจไม่ให้แสดงความโกรธขึ้ง “เงินเหรอ”

“หึหึ พอได้ผัวรวยก็จะเอามาฟาดหัว” ยอดเยี่ยมได้ยินก็แทบฉุนขาดแต่หญิงสาวก็คล้องแขนไว้เพื่อไม่ให้ทำร้ายกันไปมากกว่านี้

“หยุดประชดเถอะ พี่ต้องการอะไรจากฉันกันแน่”

“มึงรู้มั้ย ตอนที่กูโดนจับ แม่กูต้องตรอมใจแค่ไหน พ่อกูต้องขายที่ดินมาช่วยต่อสู้คดี” ชายหนุ่มรำพันถึงความหลังที่ตัวเองได้รับ “พอกูออกมาไม่นานแม่กูก็เสีย พ่อกูก็ล้มป่วย สมบัติทุกชิ้นโดนขายเรียบ กู ไอ้อ๊อด ต้องกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไร้ที่พึ่ง เพราะใครกันล่ะ”

“พี่อ๊อด” ต้องตาพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “พี่อย่าลืมสิว่าตอนที่จับเรื่องชั้น พ่อกับแม่ชั้นไม่เอาเรื่อง แต่เรื่องที่พี่โดนจับแล้วพ่อกับแม่พี่ต้องขายสมบัติพัสถานน่ะเพราะพี่ค้ายา” ต้องตาไม่อยากอดทนกับคนๆนี้อีกแล้ว

“พี่จะเหมารวมทุกอย่างที่พี่โดนมาที่ชั้นไม่ได้ ชั้นไม่เคยติดใจอะไรอีกแล้ว ที่ผ่านมาชั้นก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีชีวิตที่ดีขึ้น เราต่างคนต่างเดินคนละเส้นทางแล้ว พี่จะตามฉันมาอีกทำไม”

“ฮ่าๆๆๆ ทำไมน่ะเหรอ ถามมาได้ มึงยังไม่ได้บอกแฟนมึงใช่ไหม” อ๊อดหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนแนบชิดกับอดีตคนรัก

“บอกอะไร” ต้องตาถาม

“กูไม่ได้ตามมึง แต่ที่กูตามหา คือลูกของกู” ต้องตาหน้าซีด มือที่จับแขนยอดเยี่ยมอ่อนยวบในทันที

***********************************************************************

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับไหลให้สะดุ้งตื่น สายตากวาดไปดูเวลาที่นาฬิกาปลุกที่หัวเตียงบอกว่าเที่ยงคืนสิบห้านาทีแล้ว

“โหล”

“นอนแล้วเหรอ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“อืม นอนแล้ว”

“ขอโทษทีน้า พอดีวันนี้ต้องไปโน่นนี่หลายที่เลย เพิ่งว่างนี่แหละ”

“อืม หนาวมั้ยที่โน่น”

“หนาว แต่ทนได้ นายล่ะเป็นไงบ้าง”

“ก็” ชายหนุ่มเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ขยับหมอนให้สูงขึ้นและพิงหลังในท่าที่สบายกว่าเดิม “คิดถึงนาย”

“แน่ะปากหวาน เพิ่งแยกกันแค่สองวันเอง”

“จะกี่วันก็คิดถึง แปลกตรงไหน”

“จ้า คิดถึงเหมือนกัน วันนี้ถ่ายละครเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี นางเอกหน้าใหม่สวยเชียว แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง เรื่องที่บ้าน เรื่องน้องไบรต์อีก”

“ก็เหนื่อยหน่อยอะ พ่อเรายืนยันจะให้ไบรต์ย้ายมาเรียนที่นี่”

“แล้วไอ้ตัวเล็กว่าไงบ้าง”

“ก็งอแงใหญ่ แต่คงขัดพ่อไม่ได้หรอก แกคิดจะมาตั้งรกรากที่ลอนดอนตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีแล้วล่ะ”

“แล้วนายล่ะบั๊มพ์”

“เรา เราทำไมเหรอ” ปลายสายถามด้วยความเคลือบแคลง “เรามีบ้านอยู่เชียงใหม่ไง”

“และมีแฟนอยู่ที่ไทยด้วย”

“เรื่องนี้ต้องพูดด้วยเหรอ”

“นายคิดว่าพ่อนายจะยอมรับพวกเราไหม” ภัทรตัดสินใจถามคำถามที่ต่างก็รู้คำตอบ

“ไม่รู้สิ” บั๊มพ์เลี่ยงที่จะตอบความจริง ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบมันจะเป็นแบบไหน ยิ่งตอนที่พ่อได้ยินเรื่องของตนกับภัทรผ่านน้องชายคนสุดท้องที่มองพวกเขาราวกับฮีโร่ พ่อก็ยิ่งยืนกรานให้ย้ายน้องชายมาเรียนที่อังกฤษเสียโดยไว ทริปนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว ทั้งพี่ชายฝาแฝดและแฟนก็มาด้วย บั๊มพ์นึกถึงใบหน้าสวยหวานคมเข้มแต่ฉาบไปด้วยความปลิ้นปล้อนของนิชาแล้วก็อดขนลุกไม่ได้ เบสต์ยังยึดมั่นในความรักและไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น บั๊มพ์ถอนหายใจเบาๆ นิชาเป็นเหตุผลหลักที่เขาจะไม่ยอมบอกเรื่องที่มีพี่ชายฝาแฝดให้กับภัทรฟังอย่างเด็ดขาด

“แล้วนายจะกลับเมื่อไหร่ จะทันฉลองคืนข้ามปีด้วยกันไหม”

“นายอยากให้เราไปฉลองกับนายเหรอ” บั๊มพ์ถามกระเซ้า

“ถ้ามาได้ก็ดี อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทนเหงา”

“นายเปิดกระเป๋าตังค์ของนายดูสิ ช่องที่มีซิปน่ะ” ภัทรเอื้อมกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมาเปิดอย่างงุนงง นึกสงสัยว่าปลายสายจะเล่นอะไร

“เปิดแล้วทำไมเหรอ” เขาคลี่ดูอะไรบางอย่างในนั้น

“ไม่เจออะไรเลยเหรอ” บั๊มพ์ถามอย่างรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน

“นาย...” ภัทรไม่มีคำพูดอะไรหลุดออก

“เราแอบดูตารางงานนายแล้วนะ นายว่างช่วงสิ้นปีพอดี แถมเราก็เบื่อลอนดอนแล้วด้วย” ภัทรหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านช้าๆอย่างไม่เชื่อสายตา ตั๋วเครื่องบินไปกลับระบุชื่อตนเองและวันเดินทางพร้อมจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจน

“นายเคยบ่นว่าอยากไป เราก็อยากไปพอดี”

“นาย” ภัทรยังคิดคำพูดไม่ออก

“ขอโทษนะที่ไม่ได้ฉลองด้วยที่ไทย แต่มาเจอกันที่โน่นนะ”

“อืม” ภัทรไม่มีคำพูดใดจะสื่อถึงความดีใจอย่างท่วมท้นในตอนนี้ สองมือกระชับตั๋วใบนั้นไว้ราวกับกลัวมันจะลอยหายไป เขาอ่านมันช้าๆ จุดหมายปลายทางที่อยากไปมาแสนนาน

กรุงโรม อิตาลี

***********************************************************************

แต้มลืมตาโพลงในความมืดเพราะความอึดอัดจากแรงกอดรัดของเพื่อนสนิทที่หลับลึกไปแล้ว ยิ่งใหญ่ละเมอพร้อมกับรัดแขนแรงขึ้นจนแต้มสะดุ้ง พยายามจับคำพูดที่พ่นออกมาก็ไม่รู้เรื่อง ยิ่งใหญ่ดิ้นแรงขึ้นจนน่าตกใจ ถึงแม้แต้มจะชินกับการที่ยิ่งใหญ่ละเมอเพราะฝันร้าย แต่ครั้งนี้กลับดูรุนแรงกว่าที่ผ่านมา นั่นคงเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่ไปเกี่ยวข้าวมาก็เป็นได้

“ใหญ่ ตื่นสิ” แต้มขยับตัวให้หลุดจากอ้อมกอดแน่นนั้นและหันมาปลุกเพื่อนที่กำลังหอบหายใจแรง

“อ๊ะ แต้ม มีอะไรเหรอ” ยิ่งใหญ่ตื่นมาด้วยท่าทางงัวเงีย

“นายละเมอดังมาก แถมยังรัดจนเราสะดุ้ง ฝันร้ายเหรอ” ยิ่งใหญ่เปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายใช้มือลูบใบหน้าคิดถึงความฝันเมื่อครู่

“ใช่ ฝันร้าย ฝันเหมือนเดิม ฝันเห็นลูกบอลกลมๆลอยเด้งไปมา ฝันเห็นมันตกลงมาแตกต่อหน้าเราแล้วมีเลือดมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด”

“มันแค่ฝันน่า นายฝันแบบนี้มาตลอดนี่นา” แต้มพูดเพื่อให้กำลังใจ ยิ่งใหญ่ผุดลุกขึ้นมาใช้ข้อศอกดันตัวมองเพื่อนรักในความมืด

“ขอบใจนะ นอนเถอะ มันก็แค่ฝันร้าย” ยิ่งใหญ่ล้มตัวลงนอน ถึงแม้คำพูดจะดูสงบนิ่งแต่ภายในใจกำลังเต้นอย่างหนัก เด็กหนุ่มหลับตาลงและไม่หันไปกอดร่างที่นอนชิดกันเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงโครมครามในทรวงอก

***********************************************************************

จบตอน...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อา...อย่าบอกนะว่า  แต้มคือลูกต้องตา?

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ตอนที่ 49. ผู้หญิงคนที่เข้ามาทักยิ่งใหญ่



ต้องตามองร่างผ่ายผอมของอดีตสามีอย่างสังเวชใจ นึกโทษความเขลาในวัยเยาว์ยิ่งนักที่นำพาให้พบพานกับผู้ชายเช่นคนชื่ออ๊อด นอกจากจะไร้จิตสำนึกแล้ว เขายังเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ไม่ยอมให้ผู้ใดมีความมสุขสบายเหนือตน ไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้ในเรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นคนเจ้าอารมณ์ เจ้าคิดเจ้าแค้นจนเป็นสาเหตุให้ความรักของเธอผุกร่อนลงทุกขณะที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ครอบครัวของต้องตามีจิตใจที่ประเสริฐกว่านั้น พวกเขายอมให้อภัยกับคนที่ทำร้ายทุบตีลูกสาวภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามเข้ามาใกล้อีก หลังจากนั้นหญิงสาวก็หันไปทุ่มเทกับการเรียน ไม่นานนักก็ติดปีกทะยานสู่โลกกว้างและฝังความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ไปเสียสิ้น ไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกในช่วงเวลานี้

“ลูก... พี่อ๊อดพูดอะไรกัน”

“มึงอย่าตอแหล กูรู้ว่ามึงมีลูกกับกู” อ๊อดยังไม่ลดละ ถึงแม้อีกฝ่ายจะยืนกรานแล้วก็ตาม

“พี่อ๊อด” ต้องตาตวาดลั่น “ไหนล่ะลูกชั้น พี่เคยเห็นลูกชั้นเหรอ พี่เคยเห็นชั้นอุ้มท้องเหรอ พี่เข้ามาพูดให้คุณยอดเข้าใจผิดเรื่องชั้นไปแล้วทีนึง คราวนี้พี่กุเรื่องลูกเลยเหรอ คนอย่างพี่ไม่สมควรที่จะได้รับความสงสารสักนิด ไปให้พ้น ไป๊” เสียงหวีดสูงของหญิงสาวสร้างความตกใจให้ทั้งยอดเยี่ยมและอ๊อดเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอดเวลาที่ทั้งคู่รู้จัก เธอคือผู้หญิงที่อ่อนหวาน พูดน้อยและแฝงไปด้วยความฉลาด ไม่เคยสักครั้งที่จะตะเบ็งเสียงด้วยความเกรี้ยวกราดสุดกำลังเช่นตอนนี้

“คุณตาครับ ใจเย็นๆนะครับ” ต้องตาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม ความอัดอั้นระบายผ่านกระเป๋าถือใบเล็กที่ถูกบีบจนไม่เหลือเค้าเดิมในมือเล็ก ตัวสั่นงันงกด้วยความโกรธา

“ไปซะ ต่อไปนี้อย่ามาให้ตาเห็นหน้าอีก ที่ผ่านมาตายกโทษให้พี่ได้ แต่ครั้งนี้พี่ทำเกินไปแล้ว ถ้าพี่ไม่หยุด ตาสัญญาว่าตาไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”

“มึง มึงขู่กูเหรอ” อ๊อดที่ยืนอึ้งอยู่นานรวมสติเพื่อตอบโต้ กิริยาของหญิงสาวดุดันยิ่งกว่าเสือร้ายที่กำลังขาดสติ

“ไป๊!” ต้องตาตวาดซ้ำ อ๊อดขนลุกซู่ รับรู้ถึงความหวาดเกรงทั่วร่าง เขามองใบหน้าดุดันอีกครั้งก่อนจะเดินกระเผลกไปในความมืดมิด ทิ้งไว้แค่ร่างของสองชายหญิงที่กำลังปลอบประโลมกันอยู่ ณ จุดเดิม

 ต้องตาทรุดตัวลงนั่งที่ขอบฟุตบาทอย่างไม่สนใจความสกปรกหรือรถราที่กำลังวิ่งในตอนนี้ ความอัดอั้นตันใจที่มีกระตุ้นให้เธอต้องปกป้องตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกตามรังควานไปอีกอย่างไม่มีสิ้นสุด อ๊อดคิดว่าเขารู้จักตัวเธอดี แต่หญิงสาวมั่นใจว่าตนก็รู้จักผู้ชายคนนั้นดีไม่แพ้กัน ถึงแม้ภายนอกจะดุร้าย แต่เขาคือคนขี้ขลาดคนหนึ่ง ความรุนแรงที่แสดงออกมาก็เพื่อกลับเกลื่อนตัวตนที่อยู่ข้างใน ถ้าเรายังโอนอ่อนและหวาดกลัว ก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากเงามืดนั้น ต้องตาใช้สองมืดปิดหน้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินจนสาแก่ใจ

 ยอดเยี่ยมมองคนรักด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจหนึ่งก็ชื่นชมในความเด็ดขาด ยิ่งตอนที่ได้เห็นความดุดันของต้องตาแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้มีสิ่งที่น่าค้นหาอีกมายนัก ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่น่าจะฮึดสู้กับผู้ชายหรืออดีตที่โหยร้ายได้ถ้าไม่เข้มแข็งมากพอ คิดได้เช่นนั้นยอดเยี่ยมจึงเลือกที่จะเงียบและนั่งลงข้างๆโดยปราศจากคำพูด ปล่อยให้แสงไฟไหววิบกระทบกระจกรถราที่วิ่งขวักไขว่ ปล่อยให้รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวผ่านด้วยเสียงดังระงม ปล่อยให้สายลมพัดพาน้ำตาที่อาบใบหน้าให้เหือดแห้งพร้อมกับตัวตนใหม่ที่เขาต้องทำความรู้จัก

                ***********************************************************************

เวลามักจะผ่านไปไวราวกับโกหก พวกเขารู้สึกว่าเพิ่งก้าวเข้าปีพุทธศักราช 2542 มาไม่นานนี้ ยังรู้สึกถึงความสนุกสนานของช่วงเวลาต่างๆที่เดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย แต่อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว ฤดูหนาวของเชียงรายยามนี้เสียดแทงลึกถึงกระดูก แม้จะอยู่ในวัยหนุ่มสาวก็ยังต้องปากสั่น คณะนักเรียนเดินลงด้านหลังเวทีหลังจากจบการแสดง ในค่ำคืนนี้คนเข้าชมไม่มาก เพราะต่างสนุกกับคอนเสิร์ต หรือไม่ก็เดินเที่ยวงานพ่อขุน หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่างานฤดูหนาวเชียงรายที่มีสิ่งยั่วยวนอยู่ตลอดทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นขายอาหาร ของหวาน ร้านปาลูกโป่ง ปาเป้า บิงโก รวมไปถึงการแสดงหวาดเสียวของรถไต่ถัง

ยิ่งใหญ่ล้างหน้าเสร็จก่อนและเดินมาสมทบกับคณะนักแสดงที่หลังเวทีก่อนที่แต้มจะตามเข้ามา อาจารย์แบ่งเงินค่าแสดงให้นักเรียนทุกคนก่อนปล่อยให้แยกย้าย นักเรียนหญิงจะมีผู้ปกครองมารอรับ บ้างก็กลับพร้อมกับรถโรงเรียน แต่ยิ่งใหญ่นั้นขับรถยนต์มาเอง พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเล่นในงานก่อนเนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดและต่างก็ทำการบ้านเสร็จแล้ว

“พวกนายจะไปเล่นชิงช้าสวรรค์มั้ย” เพื่อนคนหนึ่งถาม กลุ่มเพื่อนสนิท(ของยิ่งใหญ่)ตามมาสมทบกันอีกหลายคน แต้มเริ่มชินกับการถูกรายล้อมด้วยผู้คนทีละน้อย ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะเห็นว่าทั้งเขาและยิ่งใหญ่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาก็ตาม แต่เวลาไปเรียน กินข้าว เล่นกีฬาตอนพักเที่ยง พวกเขาจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่มากกว่าตามประสาวัยรุ่นที่ไปไหนมาไหนหรือทำอะไรจะต้องเกาะกลุ่มกัน อาร์ทเริ่มแทรกซึมเข้ามาสนิทกับทั้งคู่อย่างมีชั้นเชิง จากคนที่ยิ่งใหญ่เคยไม่ชอบขี้หน้าก็กลายมาเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ร่วมหัวจมท้ายกันแทบจะทุกเรื่อง

“โหย ชิงช้าอันเท่ามด มึงดูตัวพวกเราสิจะยัดเข้าไปได้ไงวะ”

“ก็จริง มึงนี่พูดไม่คิด” อันที่จริงแล้วเด็กมัธยมไม่มีใครพูดจาเพราะพริ้งกันได้ตลอด การที่พวกเขาสุภาพภายในโรงเรียนหรือต่อหน้าอาจารย์ก็เพราะเกรงว่าจะถูกรายงานความประพฤติเสียมากกว่า แต่เมื่อรวมกลุ่มกันเองก็จะมีแต่คำหยาบโลนและมุขตลกที่ไม่น่าฟังดังเข้าหูเสมอ วัยนี้เปรียบเหมือนกิ้งก่า ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม ต่อหน้าพวกเขาอาจจะเป็นนักเรียนที่เรียบร้อย แท้จริงแล้วพวกเขาเก็บงำตัวตนไว้ภายใต้ข้อบังคับของโรงเรียนทั้งนั้น แต่กับแต้มและยิ่งใหญ่กลับเคยชินกับการแทนตัวเองว่า เรา และแทนอีกฝ่ายว่า นาย มากกว่าจะใช้ศัพท์สมัยพ่อขุนเฉกเช่นคุยกันในกลุ่มยามนี้

“นายอยากทำอะไรรึเปล่าแต้ม” ยิ่งใหญ่มักจะถามความเห็นของเพื่อนคนนี้เสมอ และส่วนใหญ่จะทำตามโดยไม่ลังเล

“หะ ไม่อะ อืม อยากดูรถไต่ถัง” แต้มฉุกคิดได้ว่าตนชื่นชอบการแสดงหวาดเสียวนี้ไม่น้อย เพื่อนๆในกลุ่มเห็นด้วยว่าควรไปดู วัยคะนองเช่นนี้ช่างเหมาะกับโชว์แนวนี้ที่สุด

การแสดงรถไต่ถังนั้นมีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ พื้นที่การแสดงจะมิดชิดและปลูกขึ้นจากไม้มีลักษณะเป็นวงกลมเหมือนถังเบียร์แต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า สามารถจุรถยนต์ได้มากกว่าสองคันและปิดสูงเกินระยะที่คนทั่วไปจะยื่นคอมองเห็น ผู้ชมจะต้องซื้อบัตรและเดินขึ้นที่นั่งด้านบนก่อนที่รถยนต์จะวิ่งช้าๆและทะยานความเร็วให้ได้ระดับเพื่อวิ่งวนบนถังในแนวนอน ต้องอาศัยความเร็วเป็นอย่างมากเพื่อให้มีแรงส่งและแรงเหวี่ยงให้รถวิ่งวนเป็นวงกลมในถังต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่อาจจะฉุดให้มันตกลงไปเบื้องล่างได้ตลอดเวลา

“เจ๋ง แม่งทำได้ไงวะ”

“มึงอยากทำบ้างเหรอไอ้เอก”

“เออสิ หรือมึงไม่อยากลองขับแบบนี้ดูวะไอ้ต้น”

“หึ ไม่อะ กูไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงหรอก แล้วไอ้อาร์ทไปไหนละวะ”

“ลงไปโน่น แฟนมันมา”

“อิจฉาชิบคนมีแฟน” ต้นมองตามหลังเพื่อนที่ไปหาผู้หญิงหน้าคุ้นตาคนหนึ่ง

“นั่นใช่คนที่นายเขียนจดหมายจีบให้ปะ” ยิ่งใหญ่กระทุ้งสีข้างแต้มและถามขึ้นมา คนถูกถามเพ่งไปด้านล่างพยายามปรับสายตาเพื่อให้เห็นชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้

“คิดว่าใช่นะ ไม่คิดเลยว่าจะจีบติดแล้ว”

“มิน่าล่ะ อาร์ทถึงไม่มาขอให้นายช่วยเขียนจดหมายรักให้อีก” ยิ่งใหญ่ตั้งข้อสังเกต

“ก็ดีแล้ว รู้มั้ยว่ากว่าจะเขียนแต่ละคำได้มันต้องใช้สมองหนักแค่ไหน”

“เอาน่า นายมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่แล้ว” ยิ่งใหญ่ชม

“ไอ้ใหญ่ ไอ้แต้ม พวกกูจะไปสูบบุหรี่ จะไปมั้ย” เพื่อนที่ชื่อเอกถามหลังจบการโชว์ในรอบนี้ ยิ่งใหญ่พยักหน้าแทนคำตอบและลากแต้มไปโดยไม่ต้องรอให้พูดอะไรทั้งนั้น ในกลุ่มนี้จะมีผู้ชายทั้งหมด เอก ต้น ยิ่งใหญ่ แต้มและอาร์ทต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ที่เหลืออีกสองสามคนต่างก็แยกย้ายไปดูคอนเสิร์ตที่ต้องเสียค่าเข้าหนึ่งร้อยบาท แต้มตัดสินใจไม่ดูเพราะไม่ต้องการใช้เงินที่เพิ่งได้มาจากค่าแสดงคืนนี้ไปกับเรื่องนี้จึงชวนเพื่อนๆที่เหลือเดินในงานซึมซับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด ให้สมกับที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

 สิงห์บุหรี่พ่นควันโขมงเป็นไอในความมืดมิด ความหนาวปกคลุมแผ่เป็นวงกว้างที่ลานด้านหนึ่งของงาน ภายในงานนั้นมีขนาดใหญ่หลายสิบไร่ จะมีประตูที่ปิดล้อมด้วยผ้าใบผืนใหญ่หลายผืนติดๆกันเพื่อกั้นไม่ให้คนแอบเข้างาน ใครก็ตามที่จะเข้ามาในนี้จะต้องซื้อตั๋วก่อน สนนราคาไม่แพง แต่กับพวกนักแสดงของโรงเรียนนั้นได้อภิสิทธิ์เข้าฟรี จึงไม่ต้องควักเงินมาจ่าย ผู้คนในงานขวักไขว่ บ้างก็เดินหิ้วขนม ของกิน ของใช้ที่หาซื้อติดมือไม่ขาดสาย ทุกคนจะสวมเสื้อกันหนาวหลากสีสันเพื่อป้องกันความหนาวของค่ำคืนนี้

“คืนนี้พวกนายไปไหนต่อปะ” แต้มเป็นคนตั้งคำถามกับคนในกลุ่ม

“ว่าจะไปต่อที่พีคลับ จะไปด้วยกันมั้ย” หนึ่งในกลุ่มเป็นคนตอบ พีคลับคือผับที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด มีเพลงและแอลกอฮอล์ขายตลอดคืน เพลงจะเป็นเพลงสำหรับนักเต้นโดยเฉพาะ ที่สำคัญกฎหมายในช่วงเวลานี้ยังไมเคร่งมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องอายุไม่ถึงเกณฑ์

“นายจะไปมั้ยใหญ่” แต้มเป็นคนเอ่ยปากถาม ในใจภาวนาให้ตอบว่าไม่

“อืม นายอยากไปปะ” อีกฝ่ายถามกลับ แต้มส่งสายตาแทนคำตอบ ยิ่งใหญ่สบตาและอ่านท่าทางของเพื่อนก็พอจะเดาออก “พวกนายไปเลย คืนนี้ขอตัวว่ะ พ่อยังไม่โอนเงินมาให้” ยิ่งใหญ่ตอบโดยอ้างเหตุผลสุดคลาสสิค ทุกคนเข้าใจและไม่เซ้าซี้ เพราะต่างก็มีงบจำกัดในช่วงก่อนสิ้นปีแบบนี้ ถ้าเป็นช่วงต้นเดือนคงจะมีคนออกปากว่า จะเลี้ยง เพื่อดึงทั้งคู่ให้ไปด้วย สำหรับเด็กมัธยม การไปเที่ยวเป็นกลุ่มย่อมดีกว่าการไปกันไม่กี่คน แต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้

เมื่อได้เวลา กลุ่มเพื่อนที่จะไปต่อก็แยกย้ายกันออกไป ยิ่งใหญ่กับแต้มยังเดินอยู่ในงานเพื่อเก็บตกบรรยากาศ ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในซุ้มการละเล่นทีละซุ้ม เริ่มตั้งแต่ซุ้มปาลูกโป่งที่ต้องปาลูกโป่งให้แตกหกลูกจะได้ของรางวัล สามดอกแรกแต้มปาแม่นราวกับจับวาง แต่พอถึงลูกดอกที่สี่ ความกดดันก็มีมากขึ้น ทำให้พลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย แถมยังพลาดอีกสองดอกที่เหลือด้วย เขาบ่นเสียดายตลอดทาง เพราะทั้งแต้มและยิ่งใหญ่ต่างก็ไม่มีใครปาลูกโป่งแตกหกดอกรวด

“นายแม่งอ่อน” แต้มแซวเพื่อนที่ปาเข้าไปแค่สามดอก

“หึ ไม่ต่างกันไหม ก็ปาได้เท่ากัน” ยิ่งใหญ่สวนกลับ

“ไปเล่นยิงเป้าต่อปะ” แต้มลากเพื่อนสนิทไปที่ซุ้มยิงเป้า ปืนทำจากไม้วางอยู่โดยมีเป้าเป็นกระป๋องนมข้นหวานที่ภายในไม่รู้ว่าบรรจุอะไรลงไป เพราะต่อให้ยิงโดนมันก็ไม่ค่อยจะล้ม

“แม่ม ยิงเท่าไหร่ก็ไม่ล้ม” ยิ่งใหญ่บ่นอย่างหัวเสีย วางปืนอย่างหงุดหงิดแล้วเดินออกไปที่ซุ้มอื่นแทน

ราวกับว่าคืนนี้เทพเจ้าแห่งโชคชะตาจะไม่เข้าข้างพวกเขาทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งบิงโก และสอยดาวต่างก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง ทั้งคู่ตัดสินใจจะเอาเงินที่มีไปหาซื้อของกินแทนที่จะเอาไปถลุงกับซุ้มพวกนั้น

เสียงเพลงในเวทีคอนเสิร์ตดังแว่วมา แต่ก็ปะปนมากับเสียงลำโพงภายในงาน ลำโพงและโทรโข่งของแต่ละซุ้มทำให้เป็นการยากที่จะแยกแยะได้ว่าเพลงไหนมาจากไหน มันกลายเป็นเสียงเซ็งแซ่มากกว่าจะไพเราะเพราะพริ้ง

“จะกลับเลยไหม หรือนายอยากจะไปต่อที่พีคลับกับพวกนั้น”

“หึ ไม่อะ คืนนี้ไม่อยากเมา พรุ่งนี้มีซ้อมอีก” ยิ่งใหญ่ตอบ นึกขี้เกียจที่ต้องไปซ้อมกีฬาเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งคู่เดินผ่านประตูเวทีคอนเสิร์ต ฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดกันเดินไปมาภายในงาน รู้สึกอึดอัดมากกว่าจะสนุก เมื่อหลุดจากกลุ่มฝูงชนก็เดินกันต่อจนใกล้จะถึงประตูทางออก

“ใหญ่ ใหญ่ ทางนี้” เสียงหนึ่งตะโกนเรียกดังขึ้นมา ยิ่งใหญ่ไม่ได้ยินในครั้งแรกเพราะเสียงเพลงรอบงานดังลั่น แต้มหันไปมองที่ต้นเสียง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมเสื้อไหมพรมสีขาว กางเกงขายาวธรรมดาแต่ดูดีไม่น้อย ผมยาวถึงกลางหลังมัดไว้และมีหมวกไหมพรมสวมทับ ใบหน้าจิ้มลิ้มเป็นเอกลักษณ์ของคนเหนือ ผิวขาวราวกับหยวกกล้วยแม้จะอยู่ในความมืด จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง

ยิ่งใหญ่หันกลับไปมองคนที่ส่งเสียงเรียกชื่อตนด้วยใบหน้าค่อนไปทางตกใจมากกว่าจะประหลาดใจ เขายืนทื่ออยู่จุดเดิมก่อนจะถูกเพื่อนสนิทดันตัวให้เดินเข้าไปหา ทั้งสามต่างเดินฝ่าฝูงชนเข้าหากัน เมื่ออยู่ระยะประชิด แต้มก็พบว่าผู้หญิงคนนี้สวยกว่าที่ตนมองเมื่อสักครู่เสียอีก คะเนความสูงทางสายตาไม่น่าเกิน 155 เซนติเมตร ใบหน้าขาวผ่องไร้เครื่องสำอางแต่กลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งใหญ่ยกมือทักทายคนที่เรียกชื่อตนเองอย่างเก้ๆกังๆ รอยยิ้มที่ปรากฏคล้ายกับเป็นรอยแสยะ แต่ก่อนเขาไม่เชื่อในความบังเอิญเท่าไรนัก แต่ทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้นเสมอ เฉกเช่นเหตุการณ์ในครานี้ แต้มมองรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นและมองใบหน้าที่กระอักกระอ่วนของเพื่อนสนิทแล้วก็พอจะเดาได้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน และคงไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดาเสียด้วย

“โอย ใหญ่จริงๆด้วย แต่งตัวแบบนี้เราแทบจำไม่ได้แน่ะ ทีแรกคิดว่าไม่น่าใช่ แต่พอลองเรียกแล้วก็ใช่จริงๆด้วย ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก เป็นไงบ้างสบายดีมั้ย”

ยิ่งใหญ่ดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าปกติในการพูดทักทายคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ แต้มยิ้มให้กับคนสวยและอยู่อย่างเงียบๆรอดูอาการของเพื่อนรักมากกว่า และในที่สุด คนที่นิ่งเงียบมาสักพักก็เอ่ยปากขึ้นจนได้

“ก็ดี แล้วนี่มาทำอะไรล่ะ เบล”

***********************************************************************

จบตอน...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

she is yai's ex-girlfriend กระมัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
เรื่องนี้อ่านแล้วนึกถึงสมัยมัธยม

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เรื่องนี้อ่านแล้วนึกถึงสมัยมัธยม


ขอบคุณครับ ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ไปเรื่อยๆด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
:pig4: :pig4: :pig4:

she is yai's ex-girlfriend กระมัง


ต้องตามอ่านกันต่อไปนะครับ อิอิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ตอนที่ 50. ก่อนสิ้นปี



สามเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีงานรื่นเริงไม่ขาดสาย เริ่มตั้งแต่การเดินทางไปแสดงครั้งแรกที่กรุงเทพ เดือนต่อมาก็เป็นเทศกาลลอยกระทง ซึ่งทั้งแต้มและยิ่งใหญ่ต่างก็จดจ่อกับรายงานจนลืมไปว่ามีงานนี้ มารู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ทั้งคู่ได้แต่พากันขี่รถจักรยานยนต์ไปแถวชุมชนเกาะลอย วนหาอยู่หลายรอบจนเจอร้านขายกระทงเล็กๆ สภาพกระทงเริ่มเหี่ยว ดอกไม้มีรอยช้ำและเหลือให้เลือกไม่มาก ทั้งคู่ตัดสินใจซื้อแค่ 1 อันและนำไปลอยแถวฝั่งแม่น้ำก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน

ส่วนเดือนนี้ นอกจากจะมีกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติ วันรัฐธรรมนูญ ทั้งยิ่งใหญ่และแต้มจะต้องลงซ้อมกีฬาเพื่อคัดตัวในการแข่งขันกีฬาสีประจำปีของโรงเรียน ไหนจะต้องไปซ้อมวอลเลย์บอลที่จะต้องไปแข่งกับโรงเรียนอื่นทำให้แต้มที่ไม่ได้แข่งด้วยต้องวุ่นวายเพราะเพื่อนรักหนีบตนไปเสียทุกที่เหมือนเงาตามตัว ยังไม่พอ ทั้งคู่ต้องหาเวลามาซ้อมการแสดงในงานพ่อขุนช่วงปลายเดือน ยิ่งใหญ่ยิ่งหัวหมุนเมื่อต้องไปซ้อมควงคฑา ทั้งหมดเป็นกิจกรรของทั้งคู่ ยังไม่รวมการบ้านและเตรียมอ่านหนังสือสำหรับการสอบกลางภาคกลางเดือนมกราคมอีก

“ใหญ่ นายว่ากิจกรรมเราเยอะไปมะ” แต้มถามตอนกำลังปั่นรายงานด้วยลายมือโย้เย้ เขาไม่มีเวลาพิถีพิถันมากนักกับรายงานที่ต้องเขียนแทนที่จะพิมพ์เหมือนวิชาอื่น อาจารย์ต้องการอ่านลายมือของแต่ละคนมากกว่าจะให้พิมพ์และเอาไปปริ๊นท์ให้เสียเงิน

“ไม่หรอก ปกติ” ยิ่งใหญ่ก็กำลังง่วนกับการบ้านที่กองสุม ส่วนใหญ่จะใช้วิธีลอกแต้มเหมือนเคย เด็กหนุ่มที่กิจกรรมรัดตัวแทบไม่มีเวลาทำการบ้าน วันหยุดทีไรก็ต้องมานั่งทำให้เสร็จ แต้มมองสีหน้าเพื่อนที่กำลังจดจ่ออย่างปลงตก ถึงแม้จะเหนื่อยเพียงไหน แต่ยิ่งใหญ่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำกิจกรรม ได้พบปะผู้คน

“ใหญ่ ทำไมนายไม่เรียนสายวิทย์”

“หืม อยู่ดีๆทำไมถาม” ยิ่งใหญ่ลอกการบ้านต่อและตอบโดยไม่มองอีกฝ่าย “เรากลัวเลือด”

“บ้าน่า เรียนวิทย์ไม่ได้มีแต่เลือดซะหน่อย”

“เลือดกบ เลือดสัตว์ทดลองไง” ยิ่งใหญ่เถียง

“บ้า กบมีเลือดด้วยเหรอ”

“ไม่มีได้ไงล่ะ อย่ากวนสิทำการบ้านก่อน” ยิ่งใหญ่ประท้วง

“ที่นายกลัวเลือด เพราะความฝันนั้นด้วยรึเปล่า” คนถูกถามหยุดมือกึก หันมาสบตาแต้มเป็นครั้งแรกตั้งแต่นั่งทำการบ้าน สายตาที่บ่งบอกถึงความทึ่งปิดไม่มิด

“อืม แล้วนายรู้ได้ไง” แต้มแทบจะหัวเราะเพราะถูกถามกลับ การที่อยู่ร่วมห้องกันมาหลายเดือนนั่นแหละคำตอบ และไม่ใช่ครั้งเดียวที่ยิ่งใหญ่นอนละเมอเพราะฝันร้าย

“ถ้าไม่รู้เราคงตาบอดแล้วล่ะ”

“แล้วทำไมนายไม่เรียนสายวิทย์ล่ะ” ยิ่งใหญ่ถามกลับบ้าง

“เอาจริงๆนะ เรากลัวว่ามันต้องเสียเงินเยอะ ค่าอุปกรณ์โน่นนี่ ถ้าจบม.ปลายก็ไปเรียนต่อคณะที่แพงๆทั้งนั้น”

“เรียนคณะอะไรก็แพงทั้งนั้นแหละ” ยิ่งใหญ่พูดสวน

“อืม นั่นสิ” แต้มนั่งนิ่ง นึกถึงตัวเองในครั้งที่หยุดเรียนไปหนึ่งปี ช่วงนั้นได้แต่ทำงานเพื่อหารายได้มาจุนเจือตัวเองแทบจะไม่ได้คิดถึงการกลับมาต่อชั้นม.ปลายอีกครั้ง การกลับมาเรียนอีกครั้งจึงเหมือนความฝันที่เป็นจริง แต่การไปต่อนั้นช่างเกินเอื้อมเหลือเกิน

“นายคิดจะเรียนต่อคณะอะไร” ยิ่งใหญ่ถามต่อ คนถูกถามอึกอักว่าจะต้องตอบความจริงหรืออย่างไร แต่เมื่อคิดไปคิดมา ถ้าตอบไม่จริง ไม่ช้ายิ่งใหญ่ก็ต้องรู้อยู่ดี สู้บอกความจริงไปเสียจะดีกว่า

“เราเหรอ เราคงไม่เรียนต่อแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะ” ยิ่งใหญ่วางปากกาและหันมาประจัญหน้ากับแต้ม สีหน้านั้นดูเจ็บปวดและตกใจไม่น้อย

“เรียนในมหาลัยมันแพง พี่ตาก็ภาระเยอะ ไหนจะค่าหมอค่ายาพ่ออีก” แต้มตอบในสิ่งที่เขามีตอนนี้อย่างไม่ปิดบัง “อีกอย่าง เราไม่รู้ด้วยว่าเราอยากเรียนอะไร”

“นายเก่งขนาดนี้” ยิ่งใหญ่คิดก่อนพูดนานพอสมควร “ยังไงเราก็จะต้องหาทางช่วยนายให้ได้”

“อีกตั้งสองปีแน่ะ อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ” แต้มกลายเป็นคนที่ต้องมาปลอบใจเพื่อนเสียได้

“เราพูดจริงๆนะ นายจะต้องได้เรียน นายจะต้องมีอนาคต จบมานายจะมีการงานมีเงินเอามาช่วยดูแลแบ่งเบาพี่ตาไง” แต้มฟังโดยไม่ตอบอะไร เพราะยิ่งใหญ่คงไม่ฟังตนแล้วในตอนนี้ ได้แต่นั่งนิ่งและใจลอยไปไกล สุดท้ายเขาก็คิดได้ว่าโอกาสที่จะได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นมันก็ยากดังเดิม

“แต้ม แต้ม” เสียงเรียกและเสียงอึกทึกรอบตัวปลุกแต้มจากภวังค์ เขาหันไปมองโดยรอบพบว่าตนเองอยู่ในงานพ่อขุน “ใจลอยไปไหนเนี่ย เรียกตั้งนานไม่ตอบ นี่เบลเพื่อนเรา เบลนี่แต้มเพื่อนสนิทเรา”

“สวัสดีเบล” แต้มดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน

“สวัสดีแต้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เบลหันมายิ้มทักทายอย่างจริงใจ “เราขอตัวก่อนนะใหญ่ แต้ม แม่เรียกแล้ว”

ทั้งคู่โบกมือลาสาวสวยที่เดินกึ่งวิ่งไปทางหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไกลๆ ยิ่งใหญ่ยกมือไหว้ทักทายอยู่ตรงนี้โดยอีกฝ่ายรับไหว้และยิ้มรับ แต้มมองแผ่นหลังบางจนเดินลับไปกับฝูงชน

“นายจะถามอะไรปะ” ยิ่งใหญ่เปิดทาง

“ถามอะไร” แต้มตอบซื่อๆตามประสา

“นายจะไม่ถามเลยเหรอว่าเบลเป็นใครมาจากไหน”

“หึ ไม่อะ นายก็รู้ว่าเราไม่ชอบถามอะไรแบบนี้ ถ้านายอยากเล่านายก็เล่าเองแหละ” แต้มตอบยาวยืด

“อืม ก็จริง กลับห้องกันเถอะ” ยิ่งใหญ่ดูร่าเริงน้อยลงแทบจะทันทีที่ได้พบผู้หญิงคนนั้น แต้มได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว ไม่อยากจะถามเพราะกลัวว่ายิ่งใหญ่จะอึดอัด ความเป็นเพื่อนบางทีก็ไม่ต้องรับรู้ทุกเรื่องก็ได้ เฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายอยากจะพูดก็พอแล้ว

“นายหิวมั้ย” แต้มเปลี่ยนเรื่อง

“อย่าบอกนะว่านายหิว” ยิ่งใหญ่ยิ้มออก

“นิดหน่อย”

“นายเพิ่งกินสายไหม ลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกย่าง ขนมครก ไส้กรอกอีสาน ผัดไทไปนะ”

“ก็ชั่วโมงกว่าแล้วนะ” แต้มแก้ตัว

“เห็นแก่กิน” ยิ่งใหญ่หัวเราะที่เห็นแต้มขมวดคิ้ว

“เออ ไม่กินก็ได้ กลับหอๆ”

“อะๆ ไปๆ หาอะไรกินกัน ป๋าจะพาไปเองอิหนู” ยิ่งใหญ่พูดจบ แต้มก็เตะก้นเพื่อนหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้

“อีหนูเหรอ” และประเคนศอกเข้าที่ชายโครงอีกครั้ง

“โห ทำร้ายป๋าเหรอ มันต้องเอาคืน” ยิ่งใหญ่ไม่พร้อมแพ้ ทั้งคู่ต่างไล่เตะกันราวกับเด็กประถม เสียงหัวเราะดังปะปนกับเสียงเพลงในยามค่ำคืนทำให้ทั้งคู่ลืมผู้หญิงที่ชื่อเบลไปสนิทใจ

***********************************************************************

ต้องตาง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของ หลังจากทะเลาะกับยอดเยี่ยมอยู่หลายวันเรื่องการย้ายที่อยู่ซึ่งหญิงสาวไม่ต้องการจะเปลี่ยนไปไหนเนื่องจากค่าใช้จ่ายของคอนโดนี้ค่อนข้างถูก อีกทั้งรถไฟฟ้าก็เพิ่งสร้างเสร็จสามารถเดินไปถึงในเวลาสิบนาที แต่ยอดเยี่ยมยืนกรานว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่เหมาะ ทั้งซอยที่มืดและคดเคี้ยว สภาพคอนโคเก่าเก็บผุผังที่ควรจะโดนรื้อถอนสักที

 “ขอร้องล่ะครับคุณตา อยู่ที่นี่ผมไม่สบายใจจริงๆ ผมเป็นห่วงคุณตานะครับ ไหนจะสภาพคอนโด ไหนจะไอ้อ๊อดนั่นอีก”

“ถ้าตาย้ายไปก็เท่ากับว่าตาหนีเค้านะคะ ตาจะต้องหนีไปเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ”

“คุณตาอย่าลืมสิครับว่าเขารู้จักที่ทำงานของคุณตา ผมขอแค่ให้คุณตาย้ายที่พักไม่ได้ขอให้คุณตาลาออกไปหางานใหม่เลยนะครับ มันไม่เกี่ยวกับว่าหนีไม่หนี แต่มันเกี่ยวที่ความปลอดภัยของคุณตาเองทั้งนั้น ผมจะยอมให้แฟนตัวเองอยู่ในห้องเก่าคอนโดโทรมแบบนี้ต่อไปได้ไงกัน” ยอดเยี่ยมพูดแทบจะไม่หายใจ

“แต่ว่า ค่าเช่าห้องสมัยนี้มันก็แพงอยู่นะคะ อีกอย่างคอนโดนี้ก็ไปไหนมาไหนสะดวก”

“ผมจะจ่ายค่าเช่าให้” ยอดเยี่ยมพูดแทรก

“ไม่ต้อง ตาจ่ายเองได้ คุณยอดอย่าทำให้ตารู้สึกว่าดูแลตัวเองไม่ได้เลยนะคะ” หญิงสาวเถียงในช่วงหนึ่งของบทสนทนา

“โอเค ผมไม่จ่ายก็ได้ ขอเพียงคุณตาย้าย เอางี้ ผมให้คุณตาเช่าคอนโดที่ผมมีราคาเท่ากับห้องนี้ ตกลงไหมครับ”

“ถ้าตาไปเช่าแล้วคุณยอดจะไปอยู่ไหนคะ”

“ผมก็มีบ้านนะครับคุณตา แม่ผมก็ยังป่วยอยู่ ถึงเวลาที่นายยอดเยี่ยมจะต้องทำตัวเป็นลูกกตัญญูเสียที”

“แหม พูดอย่างกับว่าที่ผ่านมาคุณยอดไม่ใช่งั้นแหละค่ะ”

“เอาเป็นว่าคุณตาตกลงแล้วนะครับ” ยอดเยี่ยมอาศัยทีเผลอ

“ห๊ะ คะ อะไรนะคะ” ต้องตางงเป็นไก่ตาแตก คร้านจะต่อความยาวสาวความยืด คอนโดนี้เก่าเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว ถึงแม้จะอยู่ในละแวกชุมชนแถวสะพานควายก็ตาม คอนโดของยอดเยี่ยมนั้นยังใหม่และใกล้ที่ทำงานกว่ามาก ต้องตารู้สึกเกรงใจไม่น้อยที่ต้องรับข้อเสนอนี้ แต่แฟนหนุ่มทั้งบังคับและกดดันแกมขอร้องจนเธอต้องใจอ่อน

“คุณตาเก็บของเสร็จรึยังครับ” เสียงปลายสายถามขึ้นมา

“ยังค่ะ คงเสร็จช่วงบ่าย คุณยอดคะตามีสายเข้าแค่นี้ก่อนนะคะ” หญิงสาวกดรับสายซ้อน เสียงที่คุ้นเคยทักทายมา “ค่ะแม่ ก็ยุ่งนิดหน่อย ตากำลังจะย้ายห้อง”

“อ๋อ ย้ายไปไหนล่ะ”

“ย้ายไปเช่าคอนโดคุณยอดค่ะ”

“หืม”

“ไม่ใช่แบบนั้นแม่ ไม่ได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน คุณยอดเค้ามีคอนโดว่างอยู่ให้ตาเช่าราคาไม่แพงค่ะ”

“อ๋อ แม่ก็นึกว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน”

“ไม่หรอกค่ะแม่ หนูไม่หลงกลผู้ชายหล่อๆง่ายๆหรอก” เสียงปลายสายหัวเราะร่วนดังเข้ามา “แม่โทรมามีอะไรคะ หรือว่าพ่อ”

“เปล่าๆ พ่อสบายดี ย่าสบายดี แม่ก็สบายดี” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “แม่ก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกเรามั้ยนะ แต่ไหนๆก็คนรู้จัก”

“คะแม่”

“วันก่อนตาอ๊อดกลับมาที่บ้าน หน้าตาทรุดโทรมแทบจำไม่ได้”

“เค้าไปหาแม่เหรอคะ” ต้องตาถามอย่างตกใจ

“เปล่าๆ แม่เจอโดยบังเอิญน่ะ หมู่บ้านเราก็ไม่ได้ไกลกันขนาดนั้น ใครไปใครมาก็รู้กันหมด” ต้องตาเห็นด้วยในใจ

“แล้วพี่อ๊อดทำไมเหรอคะ”

“อ๋อ เกือบลืม เมื่อเช้านี้มีคนไปพบตาอ๊อดผูกคอใต้ต้นมะขามใหญ่ท้ายหมู่บ้านน่ะ”

“ห๊ะ” ต้องตาหัวใจหล่นวูบ ความสงสาร ความตกใจปนเปจนแยกไม่ออก

“อโหสิกรรมให้พี่เค้าด้วยนะลูก เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว แม่โทรมาบอกแค่นี้แหละ”

“หนูควรกลับไปร่วมงานศพพี่อ๊อดมั้ยคะแม่”

“ไม่ต้องหรอก ทางญาติเก็บศพไว้แค่สองคืน มะรืนก็เผาแล้ว เทียวไปเทียวมาเสียเวลาเปล่าๆ”

“...”

“ไม่ต้องคิดมากนะตา แม่จะไปช่วยงานเอง”

“แต่ว่า หนู...”

“ทำใจให้สบายเถอะ ไม่ต้องคิดมาก พี่เขาคงทำบุญมาแค่นี้ อโหสิกรรมให้เขาไปก็พอ”

“ค่ะแม่ ขอบคุณมากนะคะที่บอกข่าว”

“แล้วจะให้แม่...”

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูโอนเงินใส่ซองไป อาจจะไม่มากแต่ก็คงช่วยสมทบได้บ้าง” สองแม่ลูกคุยกันอีกสักครู่ก่อนวางสาย ต้องตาทรุดตัวนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง รู้สึกหวิวโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเกลียดชังมากเพียงใด แต่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่พูดจาไม่ดีกับอดีตสามีของตนไปแบบนั้น

***********************************************************************

จบตอน...

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตัดสินใจตายง่ายนะ ตาอ๊อดเนี่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด