Bad Guy m y B o s s ✦ เจ้านาย ร้ายรัก ✦ CH27 [16|01|62] P13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bad Guy m y B o s s ✦ เจ้านาย ร้ายรัก ✦ CH27 [16|01|62] P13  (อ่าน 75407 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอรีส รับรู้อะไรบางอย่างแล้วซินะ  :hao3:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ้วววว เอรีสจะเริ่มแผนการแล้วสินะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เริ่มสงสัยแล้ว

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอรีสรู้อะไรมาแน่ๆ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ปลากินเหยื่อ  :katai3:

ออฟไลน์ joborcusier

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Game on  :hao6:

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จับให้ได้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มามะไหร่หนอ ข้ารออยู่นะ เอริส จร้าา

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
Chapter 17

   ธีรนัยยังคงจับจ้องลูกพี่ลูกน้องและอดีตผู้ช่วยคนสนิทอย่างปัถย์ด้วยความริษยาที่กัดกินอยู่ในใจของเขามาตลอดชั่วชีวิต
   ทำไมว่ะ! คนอย่างไอ้เอรีสถึงได้ทุกอย่างที่ดีไปจนหมด

   คนที่รายล้อมตัวมันล้วนแต่เป็นพวกหัวกะทิ พนักงานเกินครึ่งก็จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หลายคนก็เป็นตัวท็อปในรุ่น หรือไม่ก็พวกติดอันดับเกียรตินิยม

   ดูอย่างปัถย์สิ คนที่เก่งและทุ่มเท จนคนในวงการก่อสร้างไม่มีใครไม่รู้กิติศัพท์ของผู้ช่วยคนนี้

   ปัถย์ไม่ทำตัวอย่างพนักงานกินเงินเดือน แต่ผู้ชายคนนั้นทำเสมือนว่าเบอร์ตันกรุ๊ปเป็นครอบครัว เป็นบ้านที่ต้องรักษาและดูแลให้ดีที่สุด

   ปัถย์นับว่าฉลาดในการวางตัวเขาคอยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกบริษัทตั้งอต่คู่ค้าตลอดจนถึงบริษัทคู่แข่ง ถ้าเอรีสถนัดเล่นบทนักธุรกิจเคี้ยวลากดินมีชั้นเชิง ปัถย์ก็จะเล่นบนในด้านตรงกันข้ามเพื่อให้เกิดมิติหลากหลายในการเจรจา ผู้ช่วยคู่กายคนนั้นจะคอยลดทอนความหยาบกระด้างของเอรีสให้อ่อนดีกรีลง

   ยามเอรีสแข็งกร้าว ปัถย์จะเล่นบทคนหยอดน้ำผึ้งลงในยาขม เทียวแจกยาหอมทีละน้อยๆ จนอีกฝ่ายอาจคิดว่าตนได้ประโยชน์ทั้งที่จริงแล้วอาจไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย

   ว่ากันว่าเคยมีหลายบริษัททาบทามปัถย์และให้ข้อเสนอที่ดีกว่าแต่รายนั้นก็ไม่ไป ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเสมือนทาสผู้จงรักกับเบอร์ตันกรุ๊ปแบบถวายหัว กระทั่งเมื่อต้นเดือนที่ปัถย์บอกลาเอรีสแบบปุบปับ เขายังรู้สึกสะใจที่ปัถย์ทิ้งมันได้เสียที

   ฮึ! แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดีใจเก้อเสียแล้ว

   นอกจากปัถย์จะไม่ได้บินหนีไปจากเอรีสแล้ว มิหนำซ้ำอาจจะยิ่งแน่นแฟ้นกันยิ่งไปกกว่าเก่าเสียอีกก็ไม่รู้

   โธ่เว้ย!

   ยิ่งคิดความริษยาก็ยิ่งเพิ่มพูลจนอัดแน่นอยู่ในอก แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวปัถย์ขั้นหัวปักหัวปำ แต่เขาก็ยังอยากได้ผู้ชายคนนั้นมาไว้ใกล้ๆ ตัวอยู่ดี มันจะดีสักแค่ไหนถ้าคนสักคนจะตอบสนองเขาได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องบนเตียง แม้ปัถย์จะพยายามตีตัวออกห่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้เอรีสได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป

   ในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ โดยเฉพาะมัน

   “งานนี้กูจะเอาให้มึงล้มไม่เป็นท่า ถ้ากูทำไม่ได้ อย่าเรียกกูว่าธีรนัย” เจ้าตัวสบถสาบาน กัดฟันกรอดๆ ด้วยไม่อาจระงับความรู้สึกที่คั่งแค้นได้ ยอมแลกทุกอย่างต่อให้เลวทรามเพียงใดแต่ถ้าวิธีการนั้นทำให้เอรีสย่อยยับได้

   ธีรนัยกระดกแก้วสีอำพันในมือ อึกใหญ่ให้ความร้อนของสุราแรงๆ หมายดับไฟระอุในอก กระทั่งเสียงทักจากหนึ่งในผู้บริหารโครงการทำให้คนที่กำลังโกรธเกรี้ยวสลัดท่าทางนั้นทิ้ง แล้วหันมายิ้มแทนที่

   “คุณธีรนัย เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันนาน” ชายร่างท้วมอายุราวห้าสิบต้นๆ ตบบ่าหนุ่มรุ่นลูกแล้วเอ่ยทัก

   “สัวสดีครับ คุณวิเชียร” ธีรนัยยกมือขึ้นพุ่มไหว้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม ซ่อนเร้นดวงตาเจ้าเล่ห์แบบจิ้งจอกไว้อย่าง
มิดชิด “ก็... สบายดีครับ ได้ยินมาว่าช่วงนี้ไปลุยงานที่พม่า ว่าแต่ดีไหมครับ”

   “ก็มีติดขัดเรื่องคนในพื้นที่นิดหน่อยแต่ก็พอเคลียกันได้ จะว่าไปผมได้ข่าวเรื่องโครงการคอมเพล็กซ์บนเกาะXXX ว่าทางคุณธีร์ได้ไป ...ปาดหน้าเบอร์ตัน กรุ๊ปมาแบบนี้ไม่ธรรมดานะครับ” รายนั้นยิ่มกริ่มขณะพูออย่างมีนัย

   ธีรนัยยิ้มกว้าง สีหน้าภูมิใจกับผลสำเร็จที่ได้ทั้งเงิน ผลงาน และก็ความสะใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานหลายปี

   เอรีสมันจะได้สำเหนียกตัวเองไว้บ้างว่าไม่ใช่จะได้อะไรมาง่ายๆ ทุกอย่าง เมื่อก่อนเพราะเขาไม่ได้มีทุนมากพอที่จะประมูลงานโครงการใหญ่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างต่างไปเมื่อลอด์จเข้ามา อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็ง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ

   “ไม่เท่าไรหรอกครับ ผมแค่มีพาร์ทเนอร์ที่ดี กับจังหวะและเวลาที่เหมาะ”

   “ลอด์จ อินดัสทรีมาลงทุนในเมืองไทยทีเดียวสะท้านไปทั้งวงการเลยนะครับ ฮึๆ” คู่สนทนาหยิกแกมหยอก

   “ไม่ขนาดนั้นหรือกครับคุณวิเชียร เพิ่งได้งานมาชิ้นเดียว”

   “ชิ้นเดียวที่ว่าก็ไม่น้อยนะครับนั่น ได้ข่าวว่ารวมงานระบบต่างๆ ในคอมเพล็กด้วยนี่ครับ”

   “ครับ ก็ลอด์จถนัดเรื่องงานระบบ อีกอย่าง มิสเตอร์ลอด์จเก็ไม่ยอมให้ตัวเองน้อยหน้าเบอร์ตัน กรุ๊ปอยู่แล้วละครับ”

   “เบอร์ตัน กรุ๊ปคงร้อนๆ หนาวๆ มือดีไม่อยู่แล้วด้วย ไม่รู้ทางนั้นปล่อยไปได้ยังไงนะครับ เสียดายแทน อ้อ... ขอตัวก่อนนะครับพอดีมีเรื่องคุยค้างไว้กับคุณวิษณุ”

   “เชิญครับ”

   เมื่อร่างท้วมของวิเชียรเดินจากไป ธีรนัยก็เหมือนจะนึกอะไรออก เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์คู่กายและเริ่มส่งข้อความ ในใจก็รุ่มร้อนไปด้วยความริษยา

   ‘เรามีเรื่องต้องคุยกัน’

   ชั่วไม่กี่วินาทีก็มีข้องความตอบกลับมา

   ‘ได้’
   
   “ไปเดินเล่นกันไหม เปลี่ยนบรรยากาศ”

   เอรีสกระซิบเบาๆ น้ำเสียงอ่อน อาศัยจังหวะเดียวกันนั้นแอบสูดกลิ่นเฉพาะตัวฟอดใหญ่  ใจหนึ่งก็นึกอยากนั่งมองปัถย์ที่อมยิ้มอยู่อย่างนี้ไปตลอดชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า แต่อีกใจก็ยากจะพุ่งออกจากงานสาเหตุจากแขกไม่ได้รับเชิญวนเวียนมาหลายครั้งเกินไป

   นับตั้งแต่ช่วงหัวค่ำปัถย์ก็เนื้อหอมเป็นพิเศษ คนในแวดวงบริษัทคู่ค้าแม้กระทั่งคู่แข่ง พอรู้ข่าวว่าปัถย์ได้ลาออกจากเบอร์ตันกรุ๊ป ก็พากันดาหน้าเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ไถ่ถามอดีตผู้ช่วยคนเก่งหมายจะจีบเข้าไปทำงานในบริษัทของตัวเองเสียให้ได้ หลายคนที่ทิ้งนามบัตรไว้ให้ติดต่อกลับภายหลังหากต้องการเจรจาต่อรองค่าตัวกัน...

   คิดแล้วก็เดือดปุดๆ นึกหวั่นใจอยู่ครามครัน ถ้าปัถย์เกิดตกลงไปกับสักคนใดคนหนึ่งเขาจะทำยังไง ความหวังที่จะหว่านล้อมให้คนข้างๆ กลับมาทำงานด้วยกันเหมือนเก่าจะไม่ยิ่งริบหนี่ลงไปอีกหรือ

   ฮึ่ม! ไม่ได้เกรงใจที่เขานั่งหัวโด่อยู่สักนิด แต่สิ่งที่ทำได้ก็คงเป็นแค่การกัดฟันกรอด ส่งตาขวางไปให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน จนคนพวกนั้นก็ต่างพากันถอยกรูดกันไปทีละคนสองคน เมื่อเจอสายตาอำหิตจิตสังหารที่แสดงชัดแจ้งว่าอย่าได้แหยม...

   เอรีสแตะไหล่เบาๆ ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเพื่อเดินนำไปก่อน ก้มลงมองคนข้างตัวอย่างใส่ใจ ปัถย์ลุกขึ้นเงียบๆ ตอนนี้เขาก็อยากเดินไปยืดเส้นยืดสายอยู่เหมือนกัน

   “เมา? หน้าแดงแจ๋เลย ไหวไหม”

   คนหล่อหน้าเข้มสำทับความห่วงและหวงออกมาทางน้ำเสียง นึกคันไม้คันมืออยากลูบแก้มแดงซับเลือดขึ้นมาติดหมัด ด้วยกลัวว่าจะโดนงอนใส่อีกเลยยั้งมือไว้ก่อน มีก็เพียงแววตาล้ำลึกที่ส่งกลับไปอีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาลุ่มหลงอีกฝ่ายหนักข้อเข้าทุกวันๆ

   “แค่มึนครับ ไม่ถึงกับเมา”

   ที่จริงก็ไม่ถึงกับเมา แค่เวลาดื่มทีไรเลือดลมมันจะสูบฉีด หน้าก็เลยแดงกว่าปกติดเท่านั้น แต่ที่น่าจะแดงกว่าปกติเล็กน้อยก็คงเป็นเพราะ อาการเขินนิดๆ เหตุจากเอรีสเอาแต่คลอเคลียแนบชิดเสียจนหายใจหายคอไม่คล่องปอด

   “ไม่เมาก็ดีแล้ว เพราะมีที่ที่อยากชวนไปด้วยกัน” เอรีสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่มกริ่ม ดวงตากก็วาววับติดเจ้าชู้เล็กน้อยพอให้มีเสน่ห์ จนคนที่ถูกกระทำทารุณด้วยสายตาหลบวูบ เสเมยไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีด้วยไม่อยากตกหลุมกับแววตาหื่นที่ส่งมาให้แบบไม่เกรงใจคนรอบข้าง

   “อย่าเลยครับ ผมว่าเราเดินแค่ใกล้ๆ นี่ล่ะ อีกอย่างนี่ก็ค่ำไปไหยสุ่มสี่สุ่มห้ามันไม่ปลอดภัย”

   “แล้วไงล่ะ ไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร”

   ที่น่ากลัวก็คุณนี่ล่ะบอส ปัถย์คิดในใจและกรอกตา ส่ายศีรษะให้อีกฝ่ายได้รู้

   “ไม่ไกลหรอก แค่ไปในที่เงียบๆ จะได้คุยกัน”

   “แถวนี้ก็คุยได้” ปัถย์ชำเลืองหางตา แสร้งบอกด้วยเสียงเฉยเมย

   “อยากให้ใครต่อใครได้ยินเรื่องที่ฉันจะพูดไหมล่ะ ถ้านายไม่ติด ฉันก็ไม่...” น้ำเสียงลับคมคมในของเอรีสฟังแล้วสองสองง่าม มือไม้พาลจะลูบที่แขนบ้างที่เอวบ้าง ชวนให้วูบวาบคล้อยไปกับลมหายใจอุ่นๆ และน้ำเสียงกระเส่า

   “อย่ามาใช้ไม้นี้นะครับ แล้วก็ออกไปห่างๆ ผมด้วย คนอื่นมองอยู่” ปัถย์ยกมือห้าม และเบี่ยงตัวออก อีกมือก็ผลักอกอีกฝ่ายไว้ต้านไม่ให้เผด็จการอย่างเอรีสรุกไล่เขาไปมากกว่าคำพูด

   “สนใจคนอื่นทำ...” เอรีสยักไหล่ “แต่ฉันว่า ถ้าได้ที่เงียบๆ เราจะคุยกันรู้เรื่องกว่า แล้วก็... เข้าอกเข้าใจกันได้ดีกว่านะ” เจ้าตัวก้มลงกระซิบเสียงพร่า จงใจพ่นลมหายใจอุ่นบนต้นคอขาวที่ย่นคอหนีเพราะอาการขนลุกขนชัน มือก็ปะป่ายที่แผ่นหลังอย่างจงใจจนคนที่ถูกชวนจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

   “พอเลยครับ พอก่อน...ขอเว้นช่องไว้หายใจบ้างได้ไหม”

   “เปล่าสักหน่อย”

   “ผมรู้หรอกนะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าคุณชัดมาก เก็บอาการบ้างก็ดีนะครับ”

   ปัถย์ดักคอ สีหน้ารู้ทันทุกประโยค ทุกอากับกริยา ดูก็รู้ว่าเอรีสจ้องจะพาตัวเขาออกไปจากตรงนี้ นี่ก็คงเรื่องไม่ดี เรื่องคิดเอาเปรียบกันอยู่ทั้งนั้น นี่รุกหนักจนตั้งหลักแทบไม่ทัน

   “ใส่ความ ใช่ที่ไหน” เอรีสปฏิเสธแบบไม่จริงจังนัก แล้วหัวเราะลงลูกคอ

   ดวงตาสีอ่อนหวานเชื่อมมองริมฝีปากบางที่เถียงเขาคอเป็นเอ็นใจก็นึกว่าดูน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ปัถย์ในท่าทีสบายๆ ไม่เคร่งเครียดจริงจังเรื่องงาน สีหน้าที่ราบเรียบแต่ก็อ่อนโยนทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ แม้ในตอนนี้เบื้องลึกยังมีเรื่องให้คิดและตัดสิ้นใจที่บอกใครไม่ได้อยู่ก็ตาม

   คนอะไร... ยิ่งมอง ก็ยิ่งถอนสายตาไม่ได้ ยิ่งเวลาที่ปัถย์ไม่สวมแว่นด้วยแล้วเขาก็ยิ่งดูเด็ก และในเวลาเดียวกันอยากจะน่าฟัดให้จมเขี้ยว ยิ่งใบหน้าที่แดงระเรื่อ ดวงตาปรือฉ่ำด้วยแล้วบอกได้คำเดียวว่าขอกัดสักคำให้สาแก่ใจ...

   แต่ความรู้สึกอย่างอารมณ์ดีๆ ขอเอรีสมีอันต้องสลายหายวับไปสิ้นเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนที่ส่งรอยยิ้มโอหังมาให้ที่ตน ร่างของผู้ชายคนนั้นเดินใกล้เข้ามา ด้วยมาดจิ้งจอกน่ารังเกียจ วินาทีนั้นรอยยิ้มหยันเย็นชาชาประกฎขึ้นที่มุมปาก เป็นรอยกึ่งดูถูกกึ่งสมเพช

   “ดูสิว่าใคร...เอรีส เบอร์ตัน เพื่อนรักสมัยเด็กนี่เอง” อีกฝ่ายทักทายด้วยภาษาไทยที่แปร่งปร่า แต่สายตากลับกวาดไปทั่วและจงใจหยุดอยู่ที่ปัถย์นานเกินจำเป็น

   เหตุที่เป็นเช่นนั้นคงมาจากท่าเอรีสที่แสดงออกต่อผู้ชายที่อยู่ไม่ห่าง สายตาที่มีความหมายบอกว่าผู้ชายข้างตัวคนนั้นมีความพิเศษ...ใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกครึ่งประดับยิ้มปรายตามองไปที่เอรีส และลามไปถึงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันอีกครา ดวงตาสีอ่อนรีเล็กคู่นั้นหรี่ลงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าครั้งสองครั้งเหมือนเจ้าตกผลึกความคิดเพียงลำพังได้

   ฝ่ายเอรีสเปลี่ยนสีหน้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความหรรษาอารมณ์ดีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความแข็งกร้าวเย็นชา ดวงตาหยอกเย้ากลายสภาพเป็นลุกเรืองเหมือนกำลังมองศัตรูคู่อาฆาตมากกว่าเพื่อนเก่าสมัยเด็กดั่งที่อีกฝ่ายว่า

   “ระหว่างฉันกับนายคำว่าเพื่อน ฟังดูน่ากระดากหูไปหน่อย” ร่างสูงยกริมฝีปากหยันเสียงเข้ม

   “ฮ่า ฮ่า ผ่านมาเป็นสิบปี นายก็ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิก ไม่เอาน่า คนอื่นยังไงก็ยังเป็นคนอื่น ไม่เหมือนเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ต้องหัดลำดับความสัมพันธ์บ้าง”

   “งั้นฉันขอมีศัตรูเลวๆ สักร้อยสักพันคน แทนการมีเพื่อนอย่างนายดีกว่า”

   ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเอ่ยคำมากเท่าใด บรรยากาศตึงเครียดก็แผ่กระจายเป็นวงกว้างมากเท่านั้น ชายหนุ่มเลือดผสมที่ดูหล่อเหลาสองคน กำลังประหัตประหารกันด้วยสายตา ภาษากายบอกได้ว่าคนทั้งคู่เป็นอริต่อกันนั้นชัดเจน ไม่ใช่เพื่อนเก่าอะไรที่ว่าเลย

   ปัถย์ยืนฟังอยู่เงียบๆ ขยับตัวออกห่างเอรีสกว่าเก่าอีกหน่อยพอทิ้งระยะ เพื่อจะได้ลอบมองคู่ตรงข้ามของเอรีสชัดๆ เอรีสก็เหมือนจะเป็นใจ ร่างสูงบึกบึนขยับตัวไปข้างหน้าสองเก้า ประหนึ่งตั้งรับอีกฝ่ายที่ดูจะไม่เป็นมิตรอย่างเต็มที่

   ใครก็ตามที่เอรีสมองว่าเป็นอริ ปัถย์ก็ไม่ถือว่าบุคคลนั้นคืออริของปัถย์เช่นกัน

   ปัถย์เพ่งมอง คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน...

   ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็น เฟยหลง ลอด์จ ประธานบริหารลอด์จ อินทัสทรี

   ใช่เลยล่ะ ตัวจริงดูหนุ่มกว่าในรูป แต่ก็ดูอันตรายกว่าเช่นกัน ว่ากันวาเฟยหลง ลอด์จเป็นนักธุรกิจที่มีความเป็นมาเฟียอยู่ในดีเอ็นเอ มองเผินๆ เขาก็ดูเป็นคนหล่อและรวยมากในแบบอุดมคติ แต่ทำไมปัถย์ถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่ควรจะสุงสิงด้วยมองปราดเดียวก็รู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์แค่ไหน แม้ปากจะแย้มยิ้มจนแทบจะเห็นฟัน แต่ก็พร้อมจะเอามีดที่ซุกไว้จ้วงแทงในยามเผลอได้ทุกเมื่อ

   พอคิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกรับรู้ของปัถย์เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ทุกอริยาบทของเฟยหลง ลอดจ์ ถูกสังเกตด้วยคนช่างห่วงอย่างปัถย์

   “นายนี่แปลก ไม่ชอบมีมิตร แต่ชอบที่จะมีศัตรู”

   เสียงนั้นเหมือนคำขู่ เอรีสที่ยังดูสงบและไม่สะทกสะท้าน ผิดกับปัถย์ที่ฟังแล้วไม่เข้าหูสักเท่าไร

   “ศัตรูมันไม่น่ากลัว แต่มิตรจอมปลอมมันอันตราย” เอรีสกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง “ถ้าให้เลือก ฉันขอเลือกศัตรู”

   “โอเค... ก็แล้วแต่นาย แต่จะบอกไว้อย่าง เป็นศัตรูกับฉันมันไม่สนุก นายก็รู้ว่าฉันชอบทำลายคนอยู่ตรงข้าม บางทีนะการที่นายยอมลดความทะนงตัวลงบ้างอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”

   “ฮึ!” เอรีสแสยะยิ้ม เ“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ส่วนนายล่ะ ยังเลวเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”

   “แบบไหนที่ว่าเลว ใช่แบบที่ทำให้นายเสียสูญไปเป็นปีหรือเปล่า ถ้าเป็นในแบบที่ว่า...ก็ยังอาจจะยังใช่อยู่” เฟยหลงขยับกายเข้ามาใกล้ และกระซิบที่ข้างหูเอรีส “นี่รู้ไหมเอรีส ฉันยังนึกถึงตอนที่เคยสนุกกับรันอยู่เลย เวลาที่รันคราง... มันสุดยอด ตอนที่รันดิ้นพล่านใต้ร่าง นายก็คงรู้นะว่ามันดียังไง”

   เอรีสหน้าแดงก่ำ เขากำข้อมือแน่นควบคุมอารมณ์โกรธถึงขีดสุดไว้อย่างหมิ่นเหม่เต็มทน สันกรามแข็งเกร็งขึ้นในทันตา ฝ่ามือหนากำแน่นจนเส้นเลือกดปูดโปน

   อดีตที่ผ่านมากว่าสิบปีถูกขุดคุ้ยโดยไอ้ชั่วอีกคนที่ไม่คิดว่าในชาตินี้จะมีวันญาติดดีกันได้ ถึงจะเลิกใส่ใจไปนานแล้วแต่ความแค้นที่ฝังรากลึกที่ไม่มีวันสลัดออกจากใจได้ง่ายๆ อย่างที่ใจอยากให้เป็น

   “เอ่อ... ขอโทษนะครับที่ต้องขัดจังหวะ มันคงดูเสียมารยาททีเดียวแต่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องขอตัวคุณเอรีสสักครู่ มีธุระที่คุยค้างกันไว้อยู่น่ะครับ ถ้าคุณ... ไม่ว่าอะไร” ปัถย์ขัดจังวะเมื่อเห็นท่าว่าน่าจะไม่ดีแน่ และประโยคในตอนท้ายจงจหันไปพูดกับเอรีสคล้ายส่งสัญญาณบางอย่าง ขืนปล่อยให้สองคนนี้อยู่ใกล้กันนานๆ มีหวังเอรีสปรอทแตกจนรั้งไม่อยู่

   “ผมเฟยหลง ลอดจ์ครับ ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำตัว”

   “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมปัถย์ครับ”

   ปัถย์ตอบรับการทักทายสั้นๆ แต่ตอนที่กำลังยื่นมือไปจับโดยมารยาทสากล เอรีสกลับฉวยข้อมือของเขาไว้ แล้วรั้งร่างให้ห่างจากเฟยหลงแบบไม่แคร์ว่ามันจะเสียมารยาทมากเพียงใด

   ไม่เพียงเท่านั้น เอรีสยังปัดมือเฟยหลงออกแรงๆ  อีกฝ่ายถึงขึ้นนิ่วหน้าแต่ก็ยกยิ้มมุมปากในวินาทีต่อมา

   “นายไปรอฉันตรงหาดก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” เสียงเอรีสอ่อนลง ขณะหันไปพูดกับปัถย์

   “ผมขอรอคุณตรงนี้นะครับ” สายตาของปัถย์สื่อความหมายหลายประการ ทั้งห่วงและไม่ยอมผละจากไป

   ความหมายที่ว่าคือการพาเอรีสปลีกตัวออกมาจากการพูดคุย ที่อาจเปลี่ยนเป็นการทะเลาะวิวาทในเวลาอันใกล้ แม้เอรีสจะหัวร้อนอยู่เป็นนิจ ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกชอบใช้กำลัง ก็คงเป็นปัถย์เองนั่นล่ะที่ไม่อยากให้เอรีสเสียเวลาไปกับเรื่องที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ อะไรที่ทำให้เอรีสวุ่นวายใจ ปัถยืก็อดไม่ได้ที่จะเอาตัวเข้าไปสอด

   “งั้นรอแป๊บ” เอรีสแตะแผ่นหลังปัถย์ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ยอมตามใจอีกฝ่ายแบบไม่มีข้อโต้แย้ง

   “คุณปัถย์... เพื่อนายเหรอเอรีส”   

   “ผมเคยทำงานกับเอรีสน่ะครับ เคยเป็นผู้ช่วย” ปัถย์เป็นฝ่ายกล่าวเอง ด้วยตัดปัญหาจะได้รีบแยกย้าย

   “เคยหรือครับ แสดงว่าตอนนี้่ก็ไม่ได้เป็นแล้ว ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า”

    เฟยหลงถามเสียงพร่า แต่สีหน้าอ่านไม่ออกว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ แถมสิ่งที่น่ากังวลในสายตาของเอรีสก็คือรอยยิ้มชั่วร้ายที่

   “ไม่เกี่ยวกับแก” เอรีสเสียงห้วน ใบหน้าถมึงทึงอย่างคนโกรธจัด

   “ก็แค่ถามตามมารยาท อย่าหัวเสียไปหน่อยเลย เดี๋ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเน่จะลำบากใจ ดูสีหน้าคุณปัถย์ตอนนี้สิ อย่ากังวลไปเลยครับ ผมกับเอรีสเถียงกันตลอดนั่นล่ะ นี่ครับ นามบัตรผม”

   เฟยหลงยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆ ส่งให้ แต่ยังไม่ทันที่ปัถย์จะยื่นมือไปรับ เอรีสก็เอ่ยเสียงแข็ง ขัดจังหวะเข้าเสียก่อน


   “ไปเถอะ” เอรีสตัดบท แล้วลากปัถย์ออกมาจากการสนทนา

   จับบ่าปัถย์ให้หมุนตัวและโอบรอบบ่าเพื่อรุนให้อีกฝ่ายเดินตามตนไปด้วย

   และโดยที่เจ้าตัวไม่ยอมหันหลังกลับไปมองคู่อริตลอดกาลอีกเลย


   
มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ต่อค่ะ

ปัถย์เดินเคียงข้างเอรีสที่เดินจ้ำอ้าวอย่างคนที่มีอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างเต็มเปี่ยม

   เดินไปก็ลอบมองเสี้ยวหน้าบูดบึ้งที่พายุอารมณ์ยังไม่ยอมสงบลงง่ายๆ แม้จะไม่ปริปากแม้สักคำก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร

   ความไม่พอใจของเอรีสเกิดจากเฟยหลงลอดจ์ นั่นเป็นเรื่องที่เขาพอจะรู้ แต่เรื่องอะไรกันล่ะที่ทำให้คนทั้งคู่จ้องมองกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนั้น ความสงสัยใคร่รู้ของปัถย์ยังคงอยู่ในใจ แต่เพราะไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปซักถามในเมื่อเขาก็แค่เป็นเพียงอดีตลูกจ้างที่กำลังอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจน

   รัน ชื่อนั้นที่เฟยหลงเอ่ย

   ชื่อนั้น... ที่ทำให้สีหน้าของเอรีสเครียด ดวงตาวาววับโชนแสงด้วยความโกรธ

   ชื่อนั้น... คงมีความหมายและสำคัญไม่มากก็น้อย

   ซึ่งต่อให้สำคัญหรือไม่ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปตั้งคำถาม อดีตของเอรีสอาจทิ่มตำใจเขาได้เจ็บพอๆ กับปัจจุบันที่คลุมเครือกันอยู่ก็

   รู้มาก เจ็บมาก

   เอรีสเดินนำหน้าปัถย์ไปเรื่อยๆ เท้าของเขาก้าวเร็วขึ้น มีปัถย์ที่ยังจมจ่อมอยู่กับห้องอารมณ์ส่วนตัวก็ยังเดินทอดน่องตามหลังไปช้าๆ  กว่าสิบนาทีที่ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ เรียบกับชายหาด แต่เป็นการเดินที่เงียบกริบ มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งในยามดึกสงัด ยิ่งนานเข้าเสียงเพลงจากงานรื่นเริงเริ่มห่างออกไปทุกที

   ไม่มีคำพูด

   ไม่มีการสัมผัสร่างกาย

   ไม่มีแม้กระทั่งสายตาที่ส่งผ่านสื่อภาษาระหว่างกัน

   ทุกอย่าง ปัถย์ที่มองแผ่นหลังกว้าง เส้นผมสีอ่อนปลิวไปตามแรงลม พอใจที่จะมองจากทางด้านหลังอย่างเช่นที่เคยทำเสมอมา



   สุดท้าย ต่อให้หนีเอรีสมาไกลเท่าใด ก็เหมือนกับว่ามีปัจจัยบางอย่างเหวี่ยงเอรีสกลับเข้ามาสู่วงโคจรของเขาเช่นเดิม แม้จะเป็นรูปแบบที่ต่างไป แต่เอรีสก็ยังคงมีแรงดึงดูดให้เขาหาครั้งแล้วครั้งเล่า

   ปัถย์คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเอรีสพามาหยุดที่สะพานไม้ที่ทอดยาวพาดจากตัวชายหาดยื่นสู่ทะเลสีคราม

   จากจุดนี้สามารถมองเห็นบ้านพักขนาดกลางเหนือผิวน้ำโดดเด่นสะดุดตา แสงตะเกียงสว่างรำไร ส่องนำทางตั้งแต่หัวบันไดเรียบชายหาดพาดยาวขึ้นสู่ตัวระเบียงบ้านพักเหนือชายหาด ปัถย์นิ่วหน้ามองไปที่บ้านพักที่อยุ่ไม่ใกล้ไม่ไกล

   “ที่นี่หรือครับ” ปัถย์หลุดปากถามด้วยความอยากรู้

   ก็ในเมื่อเอรีสไม่พูดอะไร แถมไม่ขยับไปไหนจนนานเข้าก็ชักจะอึดอัด

   “อืม มาเถอะ” เอรีสตอบ ท่าทางกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ริมฝีปากหนายิ้มอ่อนโยน ครั้งนี้เจ้าตัวจับมือปัถย์ให้เดินใกล้ๆ กัน ผ่านไปได้ครึ่งทางก็โอบใหล่อีกฝ่ายอย่างถือสิทธิ์

   ทั้งคู่เดินผ่านบันไดไม้ จนได้เห็นโต๊ะอาหารภายใต้แสงเทียน บนนั้นมีขวดไวน์ แก้วทรงสูงวางอยู่สองใบ ปัถย์อมเผลอยิ้มเล็กน้อยเมื่อพบว่าเอรีสกำลังทำโรแมนติกใส่ตนอยู่ จะว่าแปลกก็ใช่ เอรีสอาจทำโรแมนติกกับคนอื่นบ้างเป็นบางครั้ง แต่กับเขาแล้วเรียกได้ว่าไม่เคยเลย

   “พามาดื่มไวน์เหรอครับ” ปัถย์ถามแก้เก้อ แต่ก็ยอมนั่งลงเมื่อเอรีสเลื่อนเก้าอี้ให้ “ที่งานก็มีนะครับ ไม่เห็นต้องยุ่งยากแบบนี้เลย”

   “ก็อยากพามาเปลี่ยนบรรยากาศ ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ” เขายักคิ้วให้ ไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่บึ้ง

   “ก็... ไม่เชิงครับ แค่ประหลาดใจนิดหน่อย”

   “ลองดู นุ่มนะ”

   เอรีสเชิญชวน เมื่อรินไวน์แดงเย็นเฉียบสีสวย จากนั้นก็ถือแก้วมาแตะที่แก้มปัถย์เบาๆ ความเย็นทำให้ปัถย์เผลอสะดุ้ง แต่ก็ยอมรับแก้นั้นไว้แต่โดยดี เอรีสจงใจแตะนิ้วอุ่นบนหลังมืออีกแผ่วเบาจนปัถย์สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก

   “นี่คิดจะมอมเหล้าผมหรือเปล่าครับ” ปัถย์แก้เขิน

   “อาจจะ...” เอรีสส่งเสียงแหบพร่า “ฉันไม่เคยเห็นนายเมามากก่อน เลยอยากรู้ว่าเวลาที่เมานายจะเป็นอย่างที่ฉันจินตนาการไว้หรือเปล่า”

   “เมื่อกี้คุณยังห้ามไม่ให้ผมดื่มอยู่เลย”

   “ก็ไม่อยากให้เมาต่อหน้าคนอื่นไง หวง... แต่ถ้าตอนนี้นายอยากดื่ม หรือว่าอยากเมาแค่ไหนก็ตามสบาย ถ้าไวน์มันไม่แรงพอ ข้างในก็ยังมีอะไรแรงๆ ไว้บริการ” เอรีสขยิบตาให้ ก่อนจะรินไวน์เพิ่มเมื่อปัถย์จิบจนเกือบหมด “เป็นไง รสชาติถูกลิ้นหรือเปล่า”

   “ก็...ดีครับ”

   “จริง?”

   ร่างสูงถาม มือข้างที่ถือแก้วของตัวเองอยู่กลับยกค้างไว้ แต่ใบหน้าคมก้มลงต่ำ เอียงหน้าให้สายตาสองคู่สบตากันพอดิบพอดี จมูกโด่งได้รูปห่างจากแก้มคนที่นั่งอยู่ไม่ถึงคืบ

   “ลองชิมดูสิครับ”

   “ปัถย์...”

   “…ครับ”

   “ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อน การที่มีนายอยู่ใกล้ๆ มันทำให้ฉันอุ่นใจ เวลาที่ฉันขาดสติก็มีนายที่ช่วยเรียกมันกลับมา” เอรีสยอมรับตรงๆ

   การพบเฟยหลงกวนอารมณ์เบื้องลึกของเขาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่มีปัถย์อยู่ตรงนั้น เขาอาจจะทำอะไรโดยไม่คิดด้วยการสาวหมัดใส่มันไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งดังไปทั่วว่านักธุรกิจสองคนต่อยตีหกันเป็นเด็กๆ ไม่รู้เป็นวันซวยอะไรที่เขาจะต้องมาเจอทั้งธีรนัยกับเฟยหลงในวันเดียวกัน

   ความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นเป็นฉากสีเทาอันเลือนลาง... ซึ่งความทรงจำนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขานึกอยากจดจำ

   ตอนนี้เขาไม่ได้เจ็บเจียนตายเพราะความรู้สึกนั้นอีกแล้ว แต่ความรู้สึกถูกทรยศก็ยังฝังรากลึกที่ไม่ว่ายังไงก็คือแผลเป็นที่ลบให้เหมือนเก่าไม่ได้

   “คุณ... มีอะไรอยากให้ผมช่วยไหม” ปัถย์ทนไม่ได้อีกเช่นเคย เพราะแววตาของเอรีสบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังมีอะไรบางอย่างรบกวนในจิตใจ “ถ้ามีอะไรที่ผม...”

   “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องที่นึกแล้วทำให้หงุดหงิดน่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบขี้หน้าธีรนัย แล้วต้องมาเจอมันในงานเดียวกับเฟยหลงมันทำให้ฉันอยากจะเตะปากใครสักคน ก็แค่ความงี่เง่าที่แก้ไม่หาย อย่าเก็บมาคิดเลย”

   “คุณไม่เคยบอกว่าเพราะอะไรที่ทำให้คุณเกลียดเขา”

   “ฉันรู้ว่านายเดาได้ ใช่ไหม”

   คนฉลาดๆ อย่างปัถย์แะติดปะต่อเรื่องได้อยู่แล้ว คนเราที่จะเกลียดกันจนไม่ยอมเผาผีมีเพียงสองเรื่อง ไม่เรื่องเงิน ก็เรื่องผู้หญิง... หรืออาจเป็นผู้ชาย

   “…”

   “สองคนนั้นรวมหัวกันทำเรื่องบางเรื่องที่ฉันให้อภัยไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่สองคนนี้... แล่ะนั่นมันทำให้ฉันไม่ศัทธาความรัก นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากบอก”

   คุณคงรัก... ใครคนนั้นมาก

   คำถามที่ปัถย์อยากเอ่ยใจจะขาด แต่เจ้าตัวก็ไม่กล้า ถ้าเอรีสตอบว่าใช่ เขาคงเจ็บ

   “เฟยหลงคนนั้นไม่เป็นมิตรกับคุณ เอรีสครับ คุณต้องระวัง”

   “ขอบใจนะที่เป็นห่วง ฉันรู้ลูกไม้มันดี ฉันไม่ยอมให้มันมาเล่นงานกันได้ง่ายๆ หรอก ต่อให้มันจะรวมหัวกันฉันก็มีทางรับมือ”

   “ผมได้ยินเรื่องที่เขาเป็นมาเฟีย มันจริงหรือเปล่าครับ”

   “ใช่ เฟยหลงมีอิทธิพล แต่อิทธิพลของมันไม่ได้ทำให้ฉันกังวลอะไร”

   “เอรีส... ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหากับคนแบบนั้น ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจผมไม่ห่วงคุณ แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีๆ เรื่องลอบกัด คุณเองก็ห้ามประมาทนะครับ”

   ชื่อเสียงเฟยหลงในด้านมืดไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด ถึงที่นี่จะเป็นเมืองไทยแต่อำนาจเงินและอำนาจมืดอาจคุกคามคนมือสะอาดได้อย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม

   “ดีใจที่นายห่วง”

   “ครับ ผมห่วง” ปัถย์ยอมรับตรงๆ

   “เอาน่า ฉันจะระวังตัว เลิกหน้านิ่วได้แล้ว ดื่มสิ”

   เอรีสคะยั้นคะยอ และพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่ต้องการให้ปัถย์เกิดความไม่สบายใจ

   ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ปัถย์ หยิบขวดไวน์ค่อยๆ รินให้อีกฝ่าย มือทำหน้าที่ไป ใบหน้าก็เลื่อนเข้ามาจนจมูกโด่งเป็นสันห่างจากสันกรามคนตัวบางไม่ถึงคืบ

   ร่างกายที่ใกล้ชิดกันส่งผลให้คนทั้งคู่ต่างสะบัดร้อนสะบัดหนาว ทั้งปัถย์และเอรีสต่างใช้ความอดทนในรูปแบบที่ต่างกัน ซึ่งไม่อาจเทียบได้เลยว่าใครที่ต้องใช้ความอดทนมากกว่า

   หลังจากที่ห่างเหินกันไปนาน ความโหยหาที่แสนทรมานกำลังกัดกินคนทั้งคู่
 
   ในฝั่งของปัถย์เองก็จำต้องบอกให้ตัวเองใจแข็งเข้าไว้ อย่ายอมความรู้สึกโหยหาฉุดกระชากตัวเองให้ตกลงสู่บ่วงความสัมพันธ์ที่ยังไม่แน่ชัด... ต่อให้เอรีสอยากจริงจัง เขาก็ไม่กล้าจะฝันไปไกล เอรีสเป็นตัวอันตราย แต่ความอันตรายก็กวักมือเรียกเขาอยู่ไหวๆ ให้เดินเข้าไปหา

   ในฝั่งของเอรีสก็ข่มกลั้นที่จะไม่ก้มลงไปจูบคนตรงหน้าให้หายอยาก คำว่าห่วงมันมีผลต่อจิตใจของเขา ไหนจะสีหน้าและแววตาเปิดเผยไร้การเสแสร้งนั้นอีก จะไม่ให้เขาหลงปัถย์อย่างหัวปักหัวปำได้ยังไง

   ดวงตาคู่คมจับจ้องใบหน้าของปัถย์ที่แดงระเรื่อ มองไปพลางนึกอยากจะกัดปากแดงๆ นั่นอยู่ไม่หยอก จินตนาการถึงความรู้สึกไล้เล็มลิ้นหวานฉ่ำ ที่เคยได้ลิ้มรสหอมหวานซ่านทรวงเสียจนแทบทนไม่ไหว ยิ่งในยามที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ปะปนมากับลมหายใจด้วยแล้วก็เหมือนจะเร่งเร้าให้ ‘อยาก’ แนบชิดคนตรงหน้ามากเป็นทบทวีคูณ

   ร่างสูงหลุบมองปัถย์อย่างเผลอไผล เลือดในกายพลันร้อนระอุเจียนเดือดพล่าน ความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจประกาศชัดว่าอยากครอบครองคนตรงหน้า ที่สุดของที่สุด

   ปัถย์ของเขา

   คนนี้... ของเขา


   หัวใจของเขาร่ำร้องแค่ประโยคนี้ซ้ำๆ ตอกย้ำว่าเขาเสียปัถย์ไปไม่ได้ เขาจะยอมเห็นแก่ตัว จะยอมเป็นคนฉวยโอกาสไม่ว่าอย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้จะต้องอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าจะรูปแบบใดเขาก็จะขอคว้าเอาไว้ก่อน

   “อะ...อะไรครับ” ปัถย์เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก

   ก็เอรีสเล่นจ้องตาไม่กะพริบ จะพูดอะไรก็ไม่พูดเอาแต่จ้อง จ้อง แล้วก็จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

   คนที่ถูกเพ่งมองกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ เพราะดวงตาของอดีตบอสเล่นโลมเลียมเขาอย่างโจ่งครึ่ม ไม่มีทีท่าว่าจะปกปิดอารมณ์หื่นกระหายของตัวเองเลยสักนิด

   แบบนี้เขาก็จะทำหน้าอย่างไร จะเอาความเงียบเข้าสู้ หรือจะโวยวายกันดีล่ะ

   “…”

   เอรีสขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ช้าๆ เมื่อปัถย์ขยับออกห่างหนึ่งก้าว เขาก็ขยับตัวเข้าหาอีกหนึ่งก้าว

   “นี่ก็ดึก...”

   ปัถย์พูดยังไม่ทันจบประโยคดีเอรีสก็ฉกริมฝีปากแดงระเรื่อด้วยความรวดเร็ว

   ริมฝีปากที่กำลังเอื้อนเอ่ยเท่ากับสบโอกาสให้เอรีสรุกล้ำเข้าไปเพื่อลิ้มรสความหวานได้ง่ายขึ้น เรียวลิ้นสากกวาดไล้โพรงปากอุ่นจนรสชาติแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่ปลายลิ้นแผ่ซ่านกลับมา เพิ่งรู้ว่าการที่เราดูดดึงเอารสชาติของแอลกอฮอล์ผ่านลิ้นคนอื่นนี่ให้ความรู้สึกมอมเมาได้รวดเร็วกว่าดื่มกินเองเป็นไหนๆ เอรีสครางฮึมฮัมในลำคออย่างพอใจ ตอนนี้มืออีกข้างขยับมารั้งต้นคอปัถย์แหงนเงยรับรสจูบในรูปแบบที่ตนต้องการ

   ปัถย์สะดุ้งในคราแรก แต่เมื่อโดนรุกหนักเข้า ก็ยินรอมรับรสจูบอย่างเต็มใจในนาทีต่อมา ด้วยความคิดถึง โหยหาถ่ายทอดออกมาเป็นจุมพิตสุดลึกล้ำ จังหวะการตวัดเรียวลิ้นหยอกเอิญเชื่องช้าสลับเรียกร้องให้อีกฝ่ายโต้ตอบอยู่ในที

   อ่า... จูบที่ชวนให้ใจอ่อนอย่างแท้จริง

   ปัถย์ที่กำลังปั่นป่วนในช่องท้องนึกได้อย่างไม่ปะติดปะต่อดีเท่าไร ทำได้แค่เพียงยืนนิ่งเป็นหุ่น ฝ่ามือที่ถูกเกาะกุมไว้กำแน่น สมองพลันอื้ออึงไร้สติโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนที่เอรีสดูดดึงเอากลิ่นแอลกอฮอล์จากโพลงปากของเขาสู่ปอดของตัวเอง

   เมื่อทั้งคู่ผละออกจากกันปัถย์ก็ผินหน้าหนี และหลบตาร่างสูงพร้อมเอ่ยเสียงพร่า การจ้องตาโต้ตอบกับคนตรงหน้าเริ่มเป็นเรื่องยากเข้าไปทุกทีๆ ไม่ใช่อารมณ์ในแบบของการขวยเขิน แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าหากเผลอจ้องตากลับไป บางทีอะไรๆ ก็คงจะยากขึ้นไปกว่าเก่า

   ยิ่งอารมณ์ที่คุกรุ่นข้างในมันก่อตัวด้วยแล้วก็พาให้เรื่องที่ยากกลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสไปยิ่งกว่าเก่า

   “เราจะค้างที่นี่”

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอริสมาเดือนละครั่งเอง. เป็นกำลังใจให้เอริสนะๆๆ มาเดือนล่ะสองครั่งได้ไหม คิดถึง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ค้างแล้วนอนห้องเดียวกันหรือเปล่านะ  :hao6:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เฟยหลงกับธีรนัย ต้องเล่นไม่ซื่อแน่ๆ

ออฟไลน์ SM_day

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
ไม่ชอบดราม่าพระเอกกะคู่แค้น ไปดราม่าพระเอกนายเอกเลยได้ม้ายยย

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
สองคนนั้นคือไม่น่าไว้ใจสุดๆ เฮ้ออออ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :katai1: :katai1: :katai1: ปวดหัวกับคู่แค้นทางธุรกิจ อยากอ่านแต่พ่อแง่แม่งอน ขี้เกียจลุ้น :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปัตถ์ยังคงคิดมากเหมือนเคย เอรีสไม่ขยายความอ่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
Chapter 18





{เอรีส}



“เราจะค้างที่นี่”

ผมกระซิบเสียงพร่าข้างหูปัถย์ คำพูดของผมที่ก่ำกึ่งระหว่างเรียกร้อง กับอ้อนวอนให้ปัถย์ยอมคล้อยตาม


ตอนนี้คนเก่งของผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองนัก


เห็นได้จากดวงตาคู่นั้นฉ่ำปรืออย่างคนที่ดื่มหนัก ผมไล่สายตาลงมาที่แก้มของปัถย์แดงก่ำไม่ต่างไปจากริมฝีปากเบ่งบวมจากรสจูบเมื่อสักครู่


มองจากมุมของผมให้ความรู้สึกเชิญชวนจนอยากจะห้ามใจ ผมจงใจขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ ปล่อยให้ลมหายใจของตัวเองเป่ารดที่กระหม่อมของอีกฝ่ายเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่าครั้งนี้ผมจะรุกจนกว่าปัถย์จะยอม...


เสียงลมหายใจของปัถย์หนักขึ้นตามลำดับ


เขาแหงนหน้องจ้องมองผม แต่ไม่มีท่าทีที่จะเบี่ยงหลบ ซึ่งผมเดาว่าประสาทสัมผัสของเขาคงช้าลง จะปัดป้องผมที่คอยเอาเปรียบก็เลยเสื่อมถอยไปด้วย นั่นถือว่าเป็นเรื่องดี


ผมเพิ่งรู้ว่าการหลงใครสักคนแบบหัวปักหัวปำมันเป็นแบบนี้นี่เอง ทุกหายใจเข้าออกล้วนมีแต่ใบหน้าของปัถย์กับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผมตลอดระยะเวลาที่ทำงานด้วยกัน เมื่อไม่เจอหน้ากันก็มีแต่คำว่าคิดถึง ขนาดหลับตาลงมโนภาพของปัถย์ก็ผุดขึ้นเป็นฉากๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนผมแทบคลั่ง


เอาเป็นว่าถ้าปัถย์หายหน้าแบบติดต่อไปได้ไปอีก ผมอาจกลายเป็นคนใกล้บ้าไปเลยก็ได้


ฝ่ามือผมไล้แก้มแดงแผ่วๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมภาวนาให้ปัถย์ใจตรงกับผม


“คุณตั้งใจพาผมมา ทำให้ผมเมาด้วยไวน์ แล้วก็จะลากผมขึ้นเตียงที่หลังหรือเปล่าครับ”


ปัถย์ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี


“อยากได้ยินคำตอบแบบไหนล่ะ”


“ผมอยากรู้ความคิดแวบแรกที่อยู่ในสมองคุณ” ดวงตาปรือดูจริงจังเกินกว่าที่ผมจะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ


“ถ้าความคิดแวบแรก?” ผมลังเลคิดอยู่ว่าควรพูดดีหรือไม่พูดดี “ความคิดแวบแรกก็คงเป็นแบบว่า... ฉันไม่สน ไม่สนว่านายจะเมา หรือไม่เมา สุดท้ายฉันก็อยากจูบนาย อยากนอนกอดนาย แล้วก็ทำให้นายครางเบาๆ อยู่ใต้ร่างฉัน”


“ถ้าอย่างนั้นของพวกนี้...”


“แค่สร้างบรรยากาศ แล้วฉันก็อยากให้มันได้ผล”


จบคำผมก็ประกบจูบลงอีกครั้งแบบไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ริมฝีปากผมกดลงอย่างแนบแน่น เอียงคอเล็กน้อยเพื่อปรับองศาให้เหมาะเจาะกับการตักตวงความหวานที่ชวนมึนเมานั้น จงใจรุกไล่ปลายลิ้นบนกลีบปากได้รูปอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือรั้งต้นคอขาวให้แหงนรับอย่างถนัดถนี่ ปัถย์แย้มริมฝีปากเมื่อถูกผมโจมตีหนักหน่วงขึ้น เสียงครางน้อยๆ ที่เหมือนจะประท้วงปนเปกับความเคลิบเคลิ้มพอใจ


ที่จริงการจูบไม่ใช่อะไรที่ผมชอบทำ กับคนอื่นจูบอาจเป็นเพียงกระบวนการเริ่มต้นที่มุ่งไปสู่เซ็กส์ฉาบฉวย ที่จะจบลงในเวลาไม่กี่สิบนาที ผมจะให้เวลากับการจูบน้อยมาก สิ่งที่ผมถนัดคือการขวบขับเหนือร่างของคู่นอน ตักตวงจากการสอดใส่ หรือไม่ให้อีกฝ่ายปรนเปรอผมด้วยออรัลเซ็กส์ ที่จะจบลงด้วยการสอดใส่แบบดิบเถื่อนซึ่งให้ความรู้สึกวูบวาบชั่วครั้งชั่วคราวไม่มีอะไรพิเศษให้ต้องจดจำ


แต่กับปัถย์มันต่างกันโดยสิ้นเชิง การที่เราประกบปากเข้าหากันมันช่างให้ความรู้สึกเกินคำบรรยาย ความอุ่นซ่านจากปลายลิ้นแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูความรู้สึก มันมีความจริงใจที่แฝงไปด้วยความเรียกร้อง มีความอ่อนหวานที่สอดสลับกับความเร่าร้อนหื่นกระหาย และบางครั้งความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็แสดงตัวขึ้นมาเสียจนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียศูนย์


บางครั้งผมก็งงใจว่าผมเป็นถึงขั้นนี้ไปแล้วหรือ การที่ผมหมดการควบคุมร่างกายและหัวใจไปโดยสิ้นเชิง แต่ผมก็ตระหนักได้ว่าไม่แคร์ ตราบใดที่ผมมีปัถย์อยู่ข้างๆ ผมไม่จำเป็นต้องความคุมอะไร ทุกอย่างผมจะขอให้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติและความรู้สึก


“เรา... จะจูบกันตรงนี้ไปเรื่อยๆ หรือว่าไปต่อข้างใน” นั่นคือสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากของคนตรงหน้า


“ข้างในสิ”


จบคำผมก็รั้งปัถย์เข้าสู้วงแขน กึ่งดึงกึ่งผลักร่างโปร่งให้ผ่านประตูสีขาวบานใหญ่เข้าไป แสงสว่างรำไรจากแสงเทียนข้างนอกผ่านเข้ามาเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ยังเห็นสีหน้ายอมจำนนของอีกฝ่ายที่ทำให้ใจของผมตื่นเต้นและดีใจจนคับอก

ผมจับแก้มของปัถย์ไว้ทั้งสองข้าง บรรจงมอบจูบอันเรียกร้อง ถ่ายเทความอัดอั้นจากส่วนลึกให้อีกฝ่ายได้สัมผัส และครั้งนี้มันเป็นโชคของผม เพราะว่าปัถย์จูบตอบผมกลับมาบ้าง ครานี้ผมปล่อยให้ปัถย์เป็นฝ่ายรุกไล่บ้าง และผมก็ถึงกับขาสั่นเมื่อมือข้างหนึ่งปัถย์ล้วงเข้าไปในเสื้อของผม และเริ่มสำรวจผมตั้งแต่หน้าท้องจนถึงแผ่นหลัง

“อืม”

นั้นคือเสียงครางหลังจากที่ตอนนี้ลิ้นอุ่นๆ ของปัถย์แทรกผ่านเข้าสู่โพลงปากของผม

เลือดร้อนๆ ฉีดขึ้นหน้า และไล่ผ่านไปทั้งตัวกระทั่งไปกระจุกตัวที่แก่นกาย แค่ปลายลิ้นเล็กๆ ที่ตวัดโต้ตอบได้ปลุกสัญชาตญาณแห่งเพศชายให้ลุกฮือ ให้ความรู้สึกที่แข็งขืนขึ้นจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดและเจ็บปวด...

พระเจ้า พระเจ้า!

การควบคุมของผมขาดสะบั้นลงก็ตอนนี้เอง จากที่คิดว่าจะค่อยเป็นค่อยไปกลายเป็นรีบเร่ง เกิดอาการกระวนกระวายอยากเดินหน้าไปให้สุด

ทั้งที่อยากอ่อนโยนและถนุถนอมคนๆ นี้ใจแทบขาด

อย่างน้อยก็ทำให้ปัถย์พึงพอใจ ไม่นึกหวาดระแวความสัมพันธ์ว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเซ็กส์ไร้ใจ

แต่ให้ตายเถอะ! ปัถย์ยั่วขนาดนี้ผมจะทนได้สักกี่น้ำ ปกติก็ไม่ใช่พวกที่ยอมขัดใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ก็มีแต่ปัถย์คนเดียวนั่นล่ะที่ผมยอม

ผมพาปัถย์เดินไปสู่เตียงโดยไม่ยอมถอนริมฝีปากออก เสียงจ๊วบจ๊าบดังขึ้นเข้าโสตประสาท แต่เราทั้งคู่ต่างก็พอใจ ยังคงจูบยั่วเย้ากันต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดผมไม่ยอมให้ปัถย์แตะต้องเพียงฝ่ายเดียว เลยใช้มือข้างหนึ่งดึงเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออกจากกางเกง ลงมือปลดกระดุมออกทีละเม็ดแบบไม่ยากเย็นอะไร

เสื้อถูกที่ถูกสลัดออกทำให้ผมลูบไล้แผ่นอกได้ถนัดถนี่ ผมจงใจร่ายนิ้วเพียงแผ่วๆ แต่ทำมันแบบทุกตารางนิ้ว

ผิวเนื้อของปัถย์ให้ความรู้สึกอุ่น เนียนลื่น กลิ่นน่าลุ่มหลงเฉพาะตัวที่ลอบสูดตลอดช่วงหัวค่ำติดอยู่ที่ปลายจมูกผม น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ชาย แต่ยามติดอยู่บนร่างปัถย์กลับให้ความรู้สึกเซ็กซี่ชวนกระหาย ส่งผลให้ผมปวดร้าวไปทั้งแก่นกายจนแทบปริแตกเป็นเสี่ยง

ในตอนนี้ผมจงใจสัมผัสคนเก่งอย่างช้าๆ ใช้มือหยาบลูบไล้ผิวเนื้อแดงระเรื่อตั้งแต่ช่วงเอวสอบ ไล่ไปตามสีข้างด้านซ้ายปัดผ่านแอ่งสะดือเล็กไปจนถึงด้านขวา ไต่ปลายนิ้วสูงขึ้นจนไปหยุดตรงแผ่นอกที่มีเมล็ดแสนสวยกำลังสุกงอม ส่งสัญญาณให้คนละโมบอย่างผมดูดกลืนเข้าปากซึ่งมันจะเป็นเป้าหมายต่อไป

นิ้วของผมสะกิดมันแรงพอให้รู้สึก ตั้งอกตั้งใจปลุกอารมณ์อีกฝ่ายให้ทุกข์ทรมานปนเสียวซ่าน ร่างกายของปัถย์เริ่มขานรับและตอบสนอง ด้วยการบิดกาย ส่งเสียงครางในลำคอให้พอได้ยิน

...เสียงนี้เซ็กซี่ที่สุด

ผมจะบ้าเพราะเสียงครางทุ้มๆ นี้

เราผละริมฝีปากออกจากกัน ต่างฝ่ายก็หอบหายใจหนักๆ จนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร สีหน้าของปัถย์ทำให้ผมอยากจะอ้อยอิ่งต่ออีกสักชัวโมงสองชั่วโมง แต่ถ้าเรามัวแต่จูบ... อะไรต่างๆ ก็คงไม่คืบหน้าไปไหน จริงไหม?

คิดดังนั้น ผมดันร่างปัถย์ให้นั่งหมิ่นๆ บนเตียง ใช้ขาข้างหนึ่งของตัวเองแทรกไว้ระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วเอื้อมมือไปยังข้างเตียงเปิดโคมไฟ ระหว่างนั้นปลายจมูกของปัถย์แตะโดนลำคอของผม ซึ่งจะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็แล้วแต่ ผมกลับรู้สึกซาบซ่านมวนท้องอย่างปุบปับ

แสงสว่างภายในห้องทำให้ผมเห็นเรือนร่างของปัถย์ชัดขึ้น ทั้งเนื้อทั้งตัวของปัถย์อวดโฉมให้เห็น ผมขยับกายเข้าหาจนเราห่างกันไม่กี่คืบ ผมเท้าแขนคร่อมปัถย์ที่เอียงกายทำองศากับที่นอนและขยับหัวเข่าให้สอดผ่านระหว่างขาทั้งสองของเจ้าตัว

ลำคอของผมอุ่นซ่านอีกครั้งเมื่อปัถย์จงใจฝังใบหน้าลงที่ตรงซอกคอ เป่ารดไออุ่นร้อนเฮือก

“ผมคงเมามาก... คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ผมร้อนไปทั้งตัว” เจ้าตัวพึมพำ จากนั้นก็ขยับใบหน้าออกมาแล้วเอียงคอมองผมบ้าง

ผมยิ้ม ขยับปลายนิ้วปัดริมฝีปากแดง ไปจนถึงแก้มนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอย่างสุขใจ

“นายดื่มหลายแก้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะเมา”

“ผมเกลียดคุณ...”

วาจาที่ปัถย์เอ่ยออกมาทำให้ผมชะงัก ตัวแข็งทื่อ

“...”

ใจผมปวดแปลบ แม้จะเข้มแข็งเป็นนิสัย คำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำก็ทำให้แกว่งได้เหมือนกัน

“เกลียด... ที่คุณหล่อกว่าผม ยิ่งเกลียดที่สุดตอนตัวเองชอบมองตอนคุณเผลอสงสัยก็หลายครั้งว่าทำไมคุณดูดีแม้แต่เวลานอนไม่พอ เคยมีสักวินาทีไหมที่คุณขี่เหร่ จะมีสักวันไหมที่สาวๆ ไม่อยากกระโจนใส่คุณ”

ผมถึงกับหุบยิ้มแทบไม่ทันกับประโยคถัดมา ใจพองมันคือแบบนี้สินะ

ขออีก... มันดีจริงๆ นะ

“นายอิจฉา หรือว่าหวง... เอาจริงๆ นายไม่เห็นต้องแอบเลย ฉันอยากให้นายมอง ถ้าตอนนั้นรู้ก็จะเรียกเข้ามานั่งมองทั้งวี่ทั่งวันไปเลยดีไหม”

“ผมไม่เคยมีสิทธิ์ในตัวคุณ แค่แอบมองก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ คนแบบคุณไม่เหมาะกับผมหรอก ผมธรรมดา น่าเบื่อ เป็นไอ้เนิร์ดในสายตาใครต่อใคร”

ปัถย์เอ่ยช้าๆ ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงสายตาเศร้าจนผมรู้สึกแย่ไปด้วย

“ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ไม่จำเป็นต้องแอบมองด้วย ต่อไปนี้ฉันจะเป็นของนายอยากมองหรืออย่างทำอะไรก็ทำได้เลย อีกอย่างนายไม่ใช่ไอ้เนิร์ดนะ... นายเป็นคนที่น่ามองแล้วก็ทำให้ฉันมีอารมณ์ออกบ่อยๆ”

พูดจบผมก็จับมือของอีกฝ่ายมาวางไว้ที่อก

ปัถย์ยอมแต่โดยดี และยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม

ผมบอกหรือยังว่าผมแพ้รอยยิ้มแบบนี้ของปัถย์...

ถ้ายัง ก็ของบอกเลยว่าเวลาเหนื่อยสายตัวแทนขาด แล้วได้เห็นยิ้มแบบตอนนี้ ผมก็แทบลืมความเหนื่อยไปจนหมด

“เรื่องของเราเป็นไปได้จริงหรือครับ”

“ได้สิ” ผมพูดอย่างหนักแน่น “ฉันอาจเลอะเทอะกับใครไปทั่ว แต่กับนายฉันไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเล่น”

“เอรีสครับ...”

“ฉันสุขใจที่มีนาย นายเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง”

“...”

“ฉันจะรั้งนายไว้ด้วยทุกอย่างที่ฉันมี ฉันอยากให้เรายังอยู่ใกล้ๆ กัน”

“ผมกลัวใจคุณ”

“อย่ากลัว ได้โปรด” ผมพึมพำข้างๆ แก้ม และกดใบหน้าลงที่ซอกคออีกฝ่าย สวมวิณญาณแมวคลอเคลียอีกฝ่ายไม่ห่าง

“มันจะนานแค่ไหน”

“ใครจะรู้ล่ะปัถย์ เราแค่ลองดู”

จบคำผมก็ประกบริมฝีปากกับปัถย์ลงอีกครั้ง

รสจูบนี้ไม่ได้หยอกล้ออ้อยอิ่งอีกแล้ว ผมจงใจถ่ายถอดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปกับจุมพิตที่ไร้การประดิษฐ์ประดอย

ฝ่ามือผมขยับไปปลดเข็มขัดอีกฝ่าย ตามด้วยตะขอกางเกงที่หลุดได้ง่ายๆ ผมรั้งสะโพกปัถย์ให้ยกขึ้น เพื่อรูดกางเกงผ้าเนื้อดีออกไปให้พ้นทาง

เราต่างให้เวลากับการเปลื้องผ้าเพียงไม่กี่วินาที

เอาจริงๆ นะ ขอบคุณที่ปัถย์เมา...

ผมผละออก เมื่อทั้งเนื้อทั้งตัวของปัถย์เหลือเพียงกางเกงบอกเซอร์สีขาว ขยับร่างตัวเองออก และบรรจงเปลื้องผ้าตัวเองออกบ้าง จะต่างก็ตรงที่ผมสลัดทุกอย่างออกจากตัวจนหมด ปล่อยให้ความต้องการที่ผงาดง้ำ อวดโฉมให้ปัถย์มองแบบตลึงหน่อยๆ

“ถ้าฉันใจร้อนไปก็อย่าถือสากันนะ” ผมบอกติดตลก แต่ไม่รู้ว่าคนที่นอนตาโตอยู่บนเตียงจะขำด้วยไหม

“เลิกพูดให้ผมเขินได้แล้วครับ”

ผมมองตามสายตาปัถย์ที่จับจ้องบนลูกชายผม จะด้วยปัถย์เผลอตัวหรืออะไรก็เหอะ

หมอนั้นเลียริมฝีปาก ลิ้นแดงๆ นั่นเริ่มปัดผ่านริมฝีปากล่าง และให้ฟ้าผ่าสิ! ผมอดใจไม่ไหวคิดไปว่า ถ้าปัถย์...ใช้ลิ้นเล็กสุดยั่วยวนและเล็มที่ปลายยอด ดูดดุนมันผ่านริมฝีปากที่ห่อเป็นตัวโอ ขยับจากส่วนหัวช้าๆ ไปจนตลอดความยาว

อ่า...

ผมซีดปาก ขนที่แขนตั้งชันแข่งกับลูกชายตรงสะโพก

อูย...

ออรัลเซ็กซ์จากปัถย์คงทำให้ผมหลั่งภายในชั่วไม่กี่วินาที...

“คุณคิดลามกกับผมอยู่สินะครับ” ปัถย์จ้องตาผม สลับกับแก่นกายที่ตั้งฉากขนานกับพื้นโลก ยิ่งเวลาที่ปัถย์มองผมก็ยิ่งแข็งขึงขึ้นจนแทบปริแตก

“อ่า... โดนจับได้เสียแล้ว”

ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอาย แต่ผมก็แกล้งทำหน้านิ่งเดินที่ละก้าวเข้าหาร่างเกือบเปลือยที่อยู่บนเตียง

“ถ้าไม่อยากโดนจับได้ ก็อย่าทำสายตาแบบนี้สิครับ เอาเป็นว่าผมรู้เลยว่าคุณอยากให้ผมทำอะไร... หน้าคุณอธิบายหมดว่าอยากให้ผมเริ่มอะไรตรงไหนก่อน”

ผมเผลอหัวเราะ แต่ก็ลูบผมอีกฝ่ายอย่างปลอบใจ

“ถึงอยากให้ทำ แต่ก็ไม่คิดอยากฝืดใจนายหรอก สบายใจได้นะ เราจะทำเฉพาะที่นายโอเค”

ถ้าเจ้าตัวไม่พอใจอยากที่จะทำ ผมคงไม่บังคับให้ปัถย์ใช้ปากให้ผมแน่ ต่อให้เป็นคู่รักที่เอาแต่ใจเพียงใดก็เหอะ ของแบบนี้ต้องอยากทำด้วยตัวเองฝืนใจกันไม่ได้

แล้วผมก็ต้องเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อปัถย์ดึงข้อมือผมให้เข้ามาใกล้ จนหน้าขาของผมชนกับของเตียง มีปัถย์ที่กางขาออกกว้างและรั้งเอวผมให้เข้าไปใกล้กว่าเก่า

“หืม?”

ปัถย์ออกแรงอีกหน่อยดันบั้นเอวด้านหลังของผมเข้าไปใกล้

ในระยะที่ลูกชายผู้ดุดันของผมชี้หน้าปัถย์อยู่มันใกล้มาก... อันตรายต่อความคาดหวังของผมมาก

โอย...

ยิ่งปัถย์ที่เหลือบตาขึ้นมองด้วยแล้ว โครตยั่วยวน ท่าทางกัดปากน้อยๆ นั่นด้วยแล้ว...

ฆ่าผมเถอะ...

ได้โปรด.... ถ้าปัถย์ไม่ทำต่อ ก็ฆ่าผมให้ตาย อย่าปล่อยให้ผมทรมานไปมากกว่านี้เลย

“...ทำไมครับ ไม่ชอบออรัลเซ็กส์เหรอ”

แม่เจ้าโว้ย!

ปัถย์เอาคำพูดของผมมายัดใส่หน้าผม

คำถามนี้เคยออกจากปากผมมาก่อน แล้วตอนนั้นมันก็ลงท้ายด้วยการที่ผมทำรักด้วยปากให้ปัถย์อย่างถึงอกถึงใจ รสสัมผัสของปัถย์ดีเกินกว่าที่ผมจะบรรยาย แต่เพราะผมไม่เคยใช้ปากให้ใครผมจึงขออนุมานเอาว่าปัถย์น้อยรสชาติดีที่สุดและหวานน่ากินที่สุดก็แล้วกัน

“ชอบเสียยิ่งกว่าชอบ แต่ถ้าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องฝืน”

พูดจบก็อยากเตะปากตัวเองที่ทำเป็นพูดแบบพระเอก บอกไปเลยไอ้เอรีสว่าแกอยากได้ปากของปัถย์ขนาดไหน จะมาวางมาดสุภาพบุรุษแล้วขัดกับกิเลสของตัวเองทำไม

ตอนนี้แม้ปากจะพูดให้ดูดี แต่เอวนี้แทบกระดกรัวๆ กระแทกหน้าอีกฝ่าย ย้อนแย้งไปหมดแล้วความคิดผม

“เงียบครับ” ปัถย์ตัดบท

แต่สิ่งที่ผมเรียกได้ว่าเกือบตกใจคือการคว้าแก่นกายของผมไว้แน่นในฝ่ามือ ฝ่ามือหนากอบกุมผมไว้อย่างถนัดถนี่ ขยับครั้งแรกในจังหวะสั้นๆ ถึงอย่างนั้นผมก็กัดฟันจนสันกรามปูดโปน

ผมมองเสี้ยวหน้าปัถย์จากมุมสูง มองจากมุมนี้ผมไม่อาจเห็นดวงตาของปัถย์ได้ ผมจึงเอื้อมมือไปรั้งต้นคออีกฝ่ายให้แหงนเพื่อสบตากัน ปัถย์ไม่ยิ้มสีหน้าที่เคยนิ่ง แสดงความรู้สึกต้องการไม่ต่างไปจากผม อารมณ์ร้อนๆ ของปัถย์ถูกเผยผ่านดวงตา ซึ่งชาตินี้ผมคงมองได้ไม่มีวันเบื่อ

ปัถย์ขยับมือเป็นจังหวะเร็วขึ้น ผมข่มใจที่จะผลักคนที่อยู่ตรงหน้าขาให้ล้มลงกับเตียง ยอมให้อีกฝ่ายเล่นสนุกกับแก่นกายแข็งๆ ของผมไปตามแต่ปรารถนา ผมกลั้นใจรอ...

และการรอคอยของผมก็สิ้นสุดลง

ปัถย์ก้มลง และแตะส่วนปลายของผมด้วยปลายลิ้น...

Fu.k ผมสบถในลำคอ

มันโคตรดี... แต่มันยังไม่พอ

ลิ้นของปัถย์สาก แต่ผมรักความสากที่อุ่นและชื้นนั้น

ปลายลิ้นลากผ่านส่วนปลายที่เบ่งบวม ปาดไล้อย่างลองเชิงครั้งสองครั้ง แล้วปากร้อน ก็เม้มเอาส่วนปลายยอดเข้าโพลงปากเพียงเล็กน้อย ก่อนถอยออก ผมนิ่วหน้าอย่างเสียดาย...

ผมอยากได้มากกว่านั้น...

แต่แต้มบุญผมคงสูง เพราะอึดใจต่อมาเรียวลิ้นของปัถย์ก็ลากไล้ไปตามความยาว ลากผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนสุดโคน สลับกับลากผ่านจากส่วนโคนจนถึงส่วนปลาย

“ปัถย์...” ผมครางเรียก หูอื้อตาลายไปหมด

“อืม...” แล้วก็ได้เสียงงึมงำในลำคอตอบกลับมาจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายครอบครองแก่นกายแข็งขึงของผมไปจนเกือบสุด

ขาผมสั่น เอวผมขยับตามด้วยปฏิกริยาตามธรรมชาติ ฝ่ามือวางลงบนผมของอีกฝ่ายแต่ไม่ใช่การกดผมแค่วางไว้นิ่งๆ อย่างไม่รู้จะช่วยตัวเองยังไงดี

ทุกจังหวะที่ปัถย์ขยับมือและลิ้น ผมแทบกระอักเลือด มันทั้งทรมานและสุขสม จังหวะที่ปัถย์ห่อปากช่างให้ความรู้สึกที่หวานล้ำ ถ้าผมปล่อยให้ปัถย์ทำต่อไปมีหวังผมคงหลั่งคาปากอีกฝ่ายเป็นแน่

ผมหลับตาบังคับให้อีกฝ่ายขยับออกห่างหน้าขาอย่างหักห้ามใจ

“พอก่อนคนเก่ง ผมจะไม่ไหวเอา”

ปัถย์ยอมคายผมออกอย่างว่าง่าย แต่สีหน้าเขามีความเสียดายไม่ต่างจากผมเลย

“ผมทำไม่ถูกใจคุณ?”

“เปล่า... เปล่าเลย มันดีที่สุด ดีจนฉันจะหัวใจวาย ฉันกลัวจะทำเลอะเทอะใส่ปากนายต่างหากล่ะ”

ผมกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบไขข้องข้องใจ

“ผมก็เคยเลอะเทอะใส่คุณ”

“ฉันอยากทำเลอะเทอะตรงอื่นมากกว่า...”

พูดจบผมก็ดันร่างเพรียวให้ล้มลงบนเตียง และเปลี่ยนสถานะจากผู้ถูกปรนเปรอกลายเป็นผู้ปรนเปรอแทนอีกฝ่าย

นาทีต่อมา ปัถย์เองเสียอีกที่ถูกผมกระทำทรมานด้วยปากและลิ้น เสียงของปัถย์ที่ครางเสียงพร่าทำให้ผมยิ่งฮึกเหิม

“นายหวานไปทั้งตัว... โดยเฉพาะตรงนี้”

“...อ่า เอรีส ตรงนั้น อือ...” ปัถย์ครวญเมื่อผมแตะปลายลิ้นต่ำลงไป หยอกเย้ากับเนื้อนิ่มๆ สองลูกที่ท้าทายสายตา

“ตรงนี้ก็...” ผมเม้มเบาๆ และขยับนิ้วมือให้ผ่านรอยจีบสีสดแบบหยั่งเชิง

ปัยถ์แอ่นเอวเมื่อผมรุกไล่ริมฝีปากกับลูกบอล และนิ้วมือกับร่องหลืบสุดหวงด้วยความถนุถนอม นิ้วชี้ของผมขยับช้าๆ เบิกทางด้วยความใจเย็น เมื่อพบว่ามันช่างแน่นและฝืดผมจึงหันไปหากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ที่ซ่อนเครื่องมือประกอบกิจเอาไว้ด้วยความเคยชิน

ซองสีเงินถูกฉีกออก เจลหล่อลื่นแบบพกพาถูกปาดไล้จนชุ่มทั้งนิ้วของผมและช่องทางยั่วยวน ผมกดลงเบาๆ ในคราแรก จนผ่านได้ครึ่งนิ้ว และเต็มนิ้วในที่สุด ผมจงใจขยับขยายปัถย์อย่างค่อยเป็นค่อย ไปดู ปากและลิ้นก็ยังคงโอ้โลมแก่นกายสลับกับเนื้อนิ่มทั้งสองเพื่ออย่างไม่เสียจังหวะ

“เอรีส... ครับ อ่า...”

ยิ่งปัถย์ส่งเสียง ผมก็เร่งความเร็วทีละนิด จากหนึ่งนิ้ว เพิ่มเป็นสอง และกลายเป็นสามในที่สุด จากจังหวะเนิบนาบให้ไว้ใจเปลี่ยนเป็นเร็วและเรียกร้องขึ้นจนปัถย์ครางลึกเมื่อการแตะต้องจากนิ้วของผมแตะโดนจุดกระสันด้านใน และเมื่อผมรู้ว่าตรงนี้... คือจุดอ่อนของปัถย์ผมก็ใจร้ายติดๆ ด้วยการบดขยี้ตรงนั้นซ้ำๆ จนอีกฝ่ายขยับเอวตามด้วยความซ่านสยิว...

ไม่กี่นาทีต่อมา... ลาวาร้อนสีหิมะก็รดรินเข้าโพลงปากของผม

กลิ่นคาวเฉพาะตัวผ่านลำคอของผมทุกหยาดหยด แก่นกายของปัถย์กระตุกในปาก ฝ่ามือก็กดหัวผมไว้แน่น

...ผมรักวินาทีนี้เป็นบ้าเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด