Bad Guy m y B o s s ✦ เจ้านาย ร้ายรัก ✦ CH27 [16|01|62] P13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bad Guy m y B o s s ✦ เจ้านาย ร้ายรัก ✦ CH27 [16|01|62] P13  (อ่าน 75204 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เอรีสเห็นแก่ตัวมากเลย จอมเอาแต่ใจ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เหอๆ  ทำยังไงก็ไม่ให้ออก  กั๊ก  ชิส์

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คุณบอสก็ทำตัวไม่ดีแต่ก็งอแงจังเลย

และทำไมเราเริ่มระแวงธีแล้วเนี่ย ดูเหมือนปัถย์ต้องรับศึกหลายด้านแล้วล่ะตอนนี้

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เรื่องเจ้านายงี่เง่าเอาแต่ใจนี่ยอมรับว่ามีอยู่ค่ะ แต่แบบเอรีสนี่เหมือนเด็กหวงของมากกว่า

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เขาให้พักร้อน ไม่ให้ออก หนูก็พักร้อนยาวไปเลยแล้วกัน  :hao3:

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มันก็จะหน่วงๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
Chapter 10

   ตกเย็นแผนการกลับบ้านแต่หัววันของเขาก็มีอันพังทลายลง เพราะปัถย์จำต้องมานั่งกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนเจ้านายที่ไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มง่ายๆ เสียที แถมยังทำชิลนั่งจิบเบียร์ทั้งที่บ่นนักบ่นหนาว่าเหนื่อยมาตลอดทาง

   “กินสิ เอาแต่มองมันก็ไม่หมดสักที”

   “ผมไม่ค่อยหิวครับ” ปัถย์เขี่ยจานสเตกไปมา

   “ไม่อร่อยเหรอ เห็นปกติก็ชอบกินร้านนี้ ทำไมล่ะ ลองพาสต้าไหม” เอรีสทำท่าจะหยิบเมนูเพื่อสั่งอาหารให้อีกรอบ แต่การที่เอรีสทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นยิ่งทำให้ปัถย์อารมณ์ไม่สู้ดีนัก

   “เอรีสครับ ผมว่าที่คุณทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะครับ”

   “การที่นายดื้อดึงก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเหมือนกัน”

   “คุณมีคุณคิมหันต์อยู่แล้วทั้งคน ไหนจะไปญี่ปุ่นมาด้วยกันมา อย่าทำให้อะไรๆ มันยากดีกว่า”

   “นายต้องแยกเรื่องนี้ออกจากกัน คิมเขาก็อยู่ส่วนเขา นายก็อยู่ส่วนนาย”

   “เห็นแก่ตัวนะครับ แบบนี้ไม่ดีกับใคร”

   “ฉันกับคิมไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากมาย เราทั้งคู่ต่างก็รู้สถานะของกันและกันดี ถ้านายนึกระแวง ก็จะบอกว่าอย่าไปคิดมาก ฉันกับคิมเคลียกันแล้ว เรื่องของนายคิมก็รู้”

   ปัถย์ตกใจ ไม่คิดว่าเอรีสจะเอาเรื่องของคนทั้งคู่ไปพูดให้คนที่ตัวเองคัวอยู่ฟัง ถึงจะไม่ได้ข้ามขุ้นไปเป็นคนรักแต่ถ้าเขาเป็นคิมหันต์ก็คงพูดไม่ออกไปเหมือนกัน

   “คุณไม่ควรทำแบบนี้”

   เอรีสยักไหล่ ท่าทางแบบไม่แคร์อะไรยิ่งทำให้ปัถย์ปวดหัว

   “ฉันบอกกับคิมไปแล้วว่าฉันขอห่าง คิมเองก็เข้าใจ ก็อย่างที่นายรู้ฉันไม่ได้คบกับใครจริงจังจนถึงขั้นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ กับคิมขีดเส้นสถานะเอาไว้ตั้งแต่แรกเราเข้าใจกันดีเขาก็ไม่ได้มารักหรือหวงฉันอย่างที่นายคิดหรอ ถ้านายห่วงเรื่องที่ฉันยังคิมอยู่ก็เลิกกังวลได้ ”

   “ผมก็ไม่ได้กังวลเสียหน่อย คุณเข้าใจผิดแล้วครับ”

   “ปากว่าเปล่า แต่หน้านายมันฟ้อง ทำไมล่ะ ฉันไม่ได้ห้ามนายหวงฉันสักหน่อย จะหึงก็ได้นะ อนุญาต”

   “ไม่ต้องมาอนุญาตผม ผมไม่ได้เรียกร้อง”

   “ไม่เรียกร้อง แต่ก็ยินดีจะให้”

   พูดกับเรีสก็เหมือนพายเรือในอ่าง วนไปวนมาไม่หยุด

   “จบเถอะครับ เราไม่ควรยือเยื้อ สิ้นเดือนนี้ผมก็ไปแล้ว ถึงตอนนั้นคุณอาจลืมว่ามีผมอยู่บนโลกนี้เสียด้วยซ้ำ

   “นายคิดว่าฉันลืมนายได้จริงเหรอ” เอรีสกอดอกแล้วขยับตัวกอดอกยื่นหน้ามาใกล้ปัถย์ยิ่งขึ้น แววตาระยิบระยับ
แพรวพราวโปรยเสน่ห์ที่มีอย่างเต็มที่ “ฉันไม่ลืมหรอกนะว่านายน่ารักขนาดไหนเวลาที่เรา...”

   “ผมนัดเวลาเรียกคนที่จะมาสัมภาษณ์งานมาแล้วคนหนึ่งพรุ่งนี้ จบจากมอ.ซี เกรียตินิยมอันดับหนึ่ง เคยทำงาน...” ปัถย์รีบขัดจังหวะ หาเรื่องงานขึ้นมาพูดเพื่อเบี่ยงประเด็น ใบหน้าขาวกลับแดงเรื่อเมื่ออีกฝ่ายจ้องจะพาดพิงถึงเรื่อง...

   “พอเลย ไม่คุยเรื่องงานตอนกินข้าว”

   เอรีสตัดบทฉับ ยกแก้วเบียร์เย็นเฉียบขึ้นจิบแบบสบายๆ

   “ปกติเราก็เราก็คุยเรื่องงานตลอด ทำไมเพิ่งมาคุยไม่ได้ตอนนี้ล่ะครับ”

   “แต่วันนี้ฉันเหนื่อย เรื่องงานไม่อยากคุย แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวคุยได้ เรื่องของนายกับฉัน...”

   ปัถย์ทำได้เพียงกรอกตา แล้วเงียบปากลงเมื่อเอรีสเฉไฉจนเขาไปต่อไม่ถูก

   “เอรีส” ปัถย์ลากเสียงด้วยความไม่พอใจ

   “ว่าไง หืม?” ดวงตาคมกล้ามองตรงๆ กลับมา “อยากพูดอะไรพูดเลย”

   เอาเข้าจริงปัถย์ก็ไม่กล้าพูดอะไร แม้ถ้อยคำมากมายมันติดอยู่เพียงแค่ริมฝีปาก เขาอยากบอกกับเอรีสไปตรงๆ ว่าเขารักอีกฝ่ายมากขนาดไหน อยากบอกว่าทั้งหวงและห่วงอีกฝ่ายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ พอได้รู้ว่าเอรีสไปญี่ปุ่นกับคิมหันต์หัวใจเขาก็เหมือนโดนเหยียบโดนย่ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเจ็บนะ แต่เขาก็ทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

   “เลิกคิดเรื่องคนอื่น ก็บอกไปแล้วไง ว่ากับคิมจบไปแล้วจะไม่มีความสัมพันธือะไรกับคิมอีกนอกจากรุ่นน้องที่รู้จัก จะไม่มีเซ็กส์หรือมินิเซ็กส์ให้นายต้องมาเป็นห่วงแน่ๆ แล้วเรื่องที่ต้องไปญี่ปุ่นด้วยก็เพราะมีธุระต้องไปจริงๆ ส่วนคิมก็ต้องไปถ่ายแบบไม่ใช่ว่านัดไปเที่ยวด้วยกันหรอกนะ พอถึงโน่นต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปทำงาน นี่รีบเคลียธุระแล้วก็รีบกลับมาเลย อ้อ...แล้วฉันไม่ได้พักกับคิมด้วย เรื่องที่จะไปมีอะไรกันลับหลังก็ลืมไปได้เลย นายก็รู้ใช่ไหมว่าคนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องโกหก”

   “…”

   ผมรับฟัง แต่ไม่กล้าสบตา กลัวว่าความอ่อนแอที่อัดแน่นอยู่ข้างในจะทะลักทลายออกมาเพียงคำพูดจี้ใจดำของเขา

   “ปัถย์” เอรีสเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนคนตรงหน้าจำต้องมองกลับไปเพื่อขานรับ “ลืมเรื่องคิมซะ ไม่มีอะไรที่นายต้องกังวล ตอนนี้ถ้าอยากจะคิดก็คิดแค่เรื่องฉันก็พอ แล้วก็กินจานให้หมด นายดูซูบๆ ไป เบียร์ด้วยไหมจะได้เจริญอาหาร” บอสหนุ่มพูดกึ่งสั่งกึ่งเอาใจ

   ปัถย์ทำตามง่ายๆ แต่ก็ใคร่ครวญอย่างหนักว่าควรเชื่อสิ่งที่เอรีสพูดดีไหม มันก็จริงว่าเอรีสไม่จำเป็นต้องโกหก

   “ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วไปส่งหน่อยนะ ขี้เกียจขับรถ เหนื่อยมากเลยวันนี้” มันเป็นคำสั่งแบบออดอ้อน ที่จริงแล้วปัถย์ก็ขับรถไปส่งเขาทุกครั้งไม่เห็นจะต้องพูดให้มากความ

   “ครับ”




   มันไม่ใช่แค่ขับรถไปส่ง

   เผลอแป๊บเดียวปัถย์ก็ตกบ่วงเจ้าเล่ห์ของผู้ชายที่มีประสบการ์เรื่องลากคนขึ้นเตียงเก่งฉกาจอย่างหาตัวจับยาก

   เสียงอื้ออึงของผิวเนื่อที่กระทบกันในจังหวะเร่งเร้าแข่งกับเสียงครางในลำคอ ปัถย์ที่คุกเข่าคว่ำหน้าอยู่โยกกายต้านสัมผัสดุดันที่ขวบขับอยู่เนื้อร่าง แก่นกายหนาแทรกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มร้อนระอุ ช่องทางรักตอดรัดตุบๆ ราวกับเชิญชวนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนให้ยิ่งลุกโชนกว่าครั้งไหนๆ

   แผ่นหลังขาวมีกล้ามเนื้อพอประมาณโก่งตัวตามธรรมชาติเมื่อความต้องการภายในกายพุ่งสูงจนอยากจะปิดกั้น มือของเอรีสจับสะโพกของปัถย์ไว้ยามถอนตัวออกเกือบสุด พร้อมกันก็เกร็งฝ่ามือรั้งบั้นท้ายของปัถย์เข้ามาพร้อมแทรกเสยเน้นๆ สุดความยาว อีกฝ่ายเปล่งเสียงในลำคอเป็นเชิงประท้วง เข่าที่วางลงบนเตียงนุ่มขยับล่นไปหลายคืบเมื่อคนด้านหลังออกแรงแบบไม่ยั้ง เพียงไม่นานคนทั่งคู่ที่ยืนอยู่ค่อนไปทางปลายเตียงร่นถอยไปจนหัวของคนใต้ร่างเกือบจะชนกับผนังอยู่รอมร่อ หากว่าฝ่ามือหนาไม่ยกมือขึ้นดันหัวเตียงไว้เสียก่อน

   “อ่ะ... อ่าห์”

   ปัถย์ครวญเสียงสั่น มือข้างหนึ่งเท้าไปที่หัวเตียงและขืนตัวออกน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายกระแทกแก่นกายตลอดความยาวจนเขาตัวสั่นตัวคลอน เอรีสทำราวกับว่าตายอดตายอยากมาแรมปี ในครั้งแรกเอรีสไม่ได้ส่งผ่านเรี่ยวแรงมาหนักหน่วงขนาดนี้ แม้จะเร่าร้อนดุเดือดแต่ก็ไม่ได้ดูหื่นกระกายอย่างที่กำลังเป็นอยู่

   “เบาหน่อย...เอรีส อะ อ่าห์ เดี่ยวครับ”

   ปัถย์ร้องเสียงหลงเมื่อเอรีสบบดสะโพกโดนจุดอ่อนไหวในกายของที่อยู่ใต้ร่าง แต่แทนที่เมื่อได้ยินเสียงร้องขอเอรีสกลับยิ่งทำเหมือนแกล้ง เขาถอนตัวเพียงครึ่ง และดันหนักๆ กลับเข้าไปในจังหวะถี่ระรัว เสียงผ้าปูที่ถูกเสียดสีและเสียงช่องทางรักที่ถึกเสือกกายซ้ำๆ ดังคละกันไป

   “อืม ดีมากเลยปัถย์” ใบหน้าหล่อกับผมที่ปรกลงมากระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู “ข้างในนี้ร้อนเป็นบ้าเลย อ่า รัดฉันจนแน่นเสียด้วย”

   เอรีสไม่พูดเปล่าเจ้าตัวเค้นฝ่ามือที่ก้นขาวมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกดแผ่นหลังลงจนสะโพกขยับยกขึ้นเพื่อรับแรงกระหน่ำซ้ำๆ อย่างยั่วใจ เอรีสรั้งใบหน้าแดงเรื่อของปัถย์เพื่อรับจุมพิตแผดเผาไปด้วยระหว่างผลักดัน รสชาติผ่านเรียวลิ้นหวานล้ำจนคนทั้งคู่ต่างครางพร่าในลำคอเพราะถูกอกถูกใจ

   นานเท่านานกว่าพายุอารมณ์จะสิ้นสุดลง ถึงตอนนั้นคนทั้งคู่ต่างหอบหายใจด้วยความอิ่มเอมและเหนื่อยอ่อนในคราเดียว


++++++++++


   “ค้างนี่นะ” เอรีสลูบหลังคนในอ้อมกอด กดใบหน้าซุกกับแก้มขาวไปมาเหมือนแมวขี้อ้อนต่างกันลิบลับกับเวลาที่ทำงาน

   ปัถย์ที่โดนนัวเนียอ่อนโยนแบบนั้นก็ถึงกับหลับตา หวังซึมซับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ไว้กับตัวให้นานที่สุด แต่ก็ต้องแข็งใจปฏิเสธแม้จะเพลียแสนเพลียก็ตาม

   “ผมต้องกลับครับ พรุ่งนี้มีประชุมเช้า” ปัถย์ตอบแม้จะรู้สึกง่วงงุนเกินกว่าจะขยับตัว

   “งั้นยิ่งต้องค้างจะได้ไปพร้อมกันไง ไม่สายหรอก” เอรีสไล้มือไปที่หน้าท้อง และหอมแก้มเบาๆ ดวงตาที่มองบอกได้ว่าหลงใหลคนๆ นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

   “เสื้อผ้าไม่มีเปลี่ยนครับ ยังไงก็ต้องกลับ” ปัถย์ดันหน้าที่ถูกไรเคราถูออก นึกจั๊กจี้จนต้องย่นคอ

   “อย่ากลับเลย” เอรีสรัดเอวสอบไว้แน่น และเล็มติ่งหูขาว จูบต้นคอไล่ไปจนถึงหัวไหล่แกร่ง ก้มลงแตะริมฝีปากหนักๆ “ดึกแล้ว ขับรถไปส่งไม่ไหว เหนื่อยจนหมดแรงแล้ว”

   ก็นะ... ไม่ให้หมดแรงได้ยังไง ในเมื่อโหมกระหน่ำเป็นวัวบ้าซะขนาดนั้น นี่เขาเองก็รู้สึกเคล็ดขัดยอกไปหมดแล้ว

   “ผมกลับเองได้ครับ ปกติก็ขับเอง คุณเหนื่อยก็พักเถอะครับ”

   “งั้นต่อไปจะขับให้ ดีไหม” เอรีสเสนอด้วยน้ำเสียงอ้อน ซุกต้นคออีกฝ่ายแล้วพึมพำบอกเสียงนุ่มหู

   “คุณขับรถใจร้อน ยิ่งตอนรถติดไม่ได้หรอกครับ ขับรถเองทีไรได้ใบสั่งมาตลอด ไม่ปาดเส้นทึบก็ฝ่าไฟแดง”

   “นั่งไปด้วยกันจะได้คอยปรามไง”

   “เคยปรามคุณได้เหรอครับ ใจร้อนอย่างกับอะไร”

   “ก็ไม่เคยมีใครเตือน บางทีก็เผลอๆ ไปบ้าง”

   “เผลอหรือเป็นนิสัยครับ”

   “นิสัยแบบเผลอๆ ไง” เอรีสพึมำพ เกยคางกับยบ่าอีกฝ่ายแล้วหลับตานิ่งๆ จนปัถย์ต้องหันไปมองจึงเห็นเขาทำท่าจะเคลิ้มหลับอยู่รอมล่อ

   “คุณพักผ่อนนะครับ ผมจะไปแล้ว” พูดไปก็พยายามจะขยับตัวออก แต่มือเจ้ากรรมก็แน่นเหนียวยิ่งกว่ามือตุ๊กแก “เอรีสครับ ปล่อยก่อนครับ”

   “อื้อ....” เสียงครางในลำคอขานรับแต่ดวงตากลับปิดสนิท

   “ปล่อยนะครับ” ปัถย์ดึงแขนเขาให้หยุดการควบคุมออก แต่จนแล้วจนรอดคนที่ตัวใหญ่กว่าก็ยังคงรัดเขาแน่นจนกระดิกกระเดี่ยไม่ได้

   “…”

   “เอรีส!”

   ปัถย์เรียกอย่างอ่อนใจ เพราะคนที่กอดเขาจากด้านหลังทำท่าว่าจะหลับไปเสียแล้ว เจ้าตัวเผลอถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก็เป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้และทำท่าว่าจะเคลิ้มหลับไปเช่นกัน

   เมื่อคนตัวบางในอ้อมกอดลดท่าทีต่อต้านลง เอรีสก็หรี่ตามองและรอยยิ้มแพรวพราวเจ้าเล่ห์แตะแต้มตรงมุมปาก บางทีปัถย์ก็ดื้อจนน่าตี แต่ถ้าเทียบชั้นกับเขาแล้วก็คงเรียกได้ว่าห่างกันอยู่อีกหลายขุม

   “โอ้ย ทำไมปิดเสียงนาฬิกาผมล่ะครับ สายขนาดนี้แล้ว”

   ปัถย์ที่ทั้งโวยเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นเวลลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว แถมตอนนี้คนที่ต้องเข้าประชุมตอนเก้าโมงทั้งคู้ยังนอนเปลือยอยู่บนเตียง ปกติเขาก็ปลุกนาฬิกาโทรศัพท์อยู่ที่เวลาหกโมงเช้า แต่นี่มันคงดังแล้วมีมือดีปิดเสียงจนทำให้ตื่นนอนสายโด่งเป็นประวัติการขนาดนี้

   “อืมมม ตื่นแล้วน่า อีกแป๊บเดียว” เอรีสนอนคว่ำหน้าหนีแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องรำไรเข้ามา

   “ไม่ทันแล้วครับ ตื่นเลยบอส นี่ปาเข้าไปมันเจ็ดโมงครึ่ง วันนี้เรามีประชุม สายไม่ได้นะครับ”

   “ห้านาที นายไปอาบน้ำก่อนเลย” เสียงงึมงำดังผ่านหมอนที่เขาซุกอยู่ออกมา

   ปัถย์ทำสีหน้าขัดใจเมื่อคนบนเตียงยังดูใจเย็นอยู่ได้








มีต่อด้านล่างค่ะ}}}}}}}
   
   
   

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ต่อค่ะ
>>>>>>>>>


“สวัสดีครับ ผมฐิติ นนทวานิชครับ”

   ภายในห้องประชุมเล็กที่ปัถย์เลือกเรียกผู้สัมภาษณ์งานเข้ามาพูดคุย เมื่อเห็นคนตรงหน้าสิ่งแรกที่ปัถย์รู้สึกคือผู้ชายคนนี้หน้าตาดี บุคคลิกการแต่งตัวถือได้ว่าสุภาพเรียบร้อยและมีรสนิยมแต่ไม่ถึงขั้นสำอางเกินพอดี จากประวัติบอกว่าผู้สมัครคนนี้อายุยี่สิบแปดแต่ดูๆ ไปแล้วกลับดูอ่อนกว่าวัยเหมือนเพิ่งเรียนจบใหม่

   “สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัวนะครับผมปัถย์ เป็นผู้ช่วยของประธานบริหาร หลังจากที่ได้อ่านเอกสารสมัครงานของคุณกับพอร์ตแล้วในเบื้องต้นก็ต้องยอมรับว่าน่าสนใจมากทีเดียว ผมขอสัมภาษณ์คุณในเบื้องต้นก่อนแล้วจะนัดวันสัมภาษณ์ผู้บริหารอีกครั้งนะครับ”

   “ยินดีครับ”

   “คุณฐิติช่วยเล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณให้ผมฟังหน่อยครับ”

   “ผมจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธส มหาวิทยาลัยซีครับ หลังเรียนจบก็ทำงานกับบริษัทขนาดกลางประมาณสองปี แล้วย้ายมาทำกับบริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่นในตำแหน่งผู้ช่าวผู้บริหารประจำภาคพื้นเอเชีย ทำอยู่อีกสามปีครับ ตอนหลังไปเรียตต่อปริญญาโทที่อเมริกาสาขาบริหารเพิ่งจบครับ”

   “เรียนจบแล้วไม่คิดกลับไปทำที่ บริษัทเอสพีคอนสตรัคชั่นเป็นบริษัทใหญ่มั่นคง จากโพรไฟร์ผลงานเขาน่าจะยินดีต้อนรับคุณกลับไปแน่ๆ”

   “ผมอยากหาประสบการณ์ใหม่ครับ ที่นั่นผมเรียนรู้งานมามากพอสมควร จังหวะดีผมได้ยินมาว่าที่นี่เปิดรับในตำแหน่งผู้ช่วยประธานกรรมการบริษัท ผมเลยสนใจมาก เคยได้ยินชื่อเสียงและโปรเจคน่าสนใจต่างๆ ของที่นี่เลยอยากเป็นส่วนหนึ่งในองกรครับ”

   ปัถย์อ่านเอกสารหน้าต่อไปเรื่อยๆ

   “คุณเคยทำงานภาคสนามด้วยเหรอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”

   “งานภาคสนามท้าทายดีครับ ผมเคยเป็นวิศวกรโครงการอยู่หนึ่งปี ตอนจบใหม่น่ะครับ แล้วก็โยกไปทำฝ่ายประสานงานโครงการ ก่อนที่ผมจะได้งานที่เอสพีคอนสตรัคชั่น”

   “คุณมีทัศนคติในการทำงานยังไงบ้างครับ”

   “งานที่ไม่มีปัญหาไม่ใช่งานครับ... เพราะเท่าที่ผ่านมาขนาดงานง่ายๆ ก็มักจะมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นตลอด บางทีอาจจากคน เครื่องจักร หรือแม้กระทั่งวัสดุที่ใช้ แต่สิ่งสำคัญคือเราจัดการกับปัญหาได้ตรงจุดหรือเปล่า ถ้าเราสู้กับมันได้ เราก็ประสบความสำเร็จในการทำงาน”

   “แล้วถ้าบริษัทขอให้คุณทำงานที่ไม่ใช่งานในหน้าที่หลักของคุณล่ะครับ คุณคิดเห็นว่ายังไง”

   “ถ้าเป็นงานบริษัทผมก็ต้องทำ ผมเองไม่เกี่ยงงานหรือเกี่ยงวิธีการทำงาน”

   “งานที่นี่ค่อนข้างโหลดนะครับ ยิ่งทำงานกับเจ้านายผมยิ่งมีความกดดันมากกว่าตำแหน่งอื่นๆ คุณทนแรงกดดันได้ไหม บางครั้งอาจมีเหตุผลที่คุณรับไม่ได้ มันค้านกับแนวทางการทำงานที่ีคุณมีคุณจะทำยังไง”

   “ผมไม่มีปัญหาเรื่องสภาวะแรงกดดัน ผมทำงานตามหน้าที่เรื่องเหตุผลเป็นส่วนหนึ่งแต่ถ้างานเสร็จบรรลุตามเป้าหมายอย่างที่บอกผมไม่เกี่ยงวิธีการ”

   ปัถย์ฟังในทุกๆ คำพูด บอกได้เลยว่าฐิติคนนี้น่าจะเหมาะกับเอรีส เพราะดูไม่ใช่คนกลัวคน แต่ก็ดูประนีประนอมและสุภาพ ในวงการธุรกิจก่อสร้างมีการแข่งขันสูง แม้โครงการหลายโครงการเบอร์ตันกรุ๊ปจะเป็นเจ้าของเอง แต่กว่าครึ่งก็ต้องประมูลแข่งสู้มาซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะทำให้บริษัทได้รับเลือกในการประมูล ดังนั้นคนที่จะทำงานให้เอรีสจะต้องจัดเจนและไม่หน้าบางที่จะทำงานให้ผู้เป็นเจ้านาย

   “ในตำแหน่งที่เราเปิดรับ สโคปงานรวมถึงเรื่องดูแลตารางชีวิตประจำวันของเจ้านายผมด้วยนะครับ ซึ่งบางครั้งก็กินเวลาส่วนตัว หรืออาจมีงานในวันหยุด แรกๆ คุณอาจพอทนได้แต่ถ้านานๆ ไปคุณอาจจะรู้สึกว่ามันเยอะก็ได้”

   “ผมไม่ติดขัดเรื่องนั้นครับ ผมชอบทำงานซึ่งก็แปลว่าเป็นงานทุกรูปแบบแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เกี่ยงงานหรือรักสบายถ้าที่นี่ให้โอกาสผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่ครับ”

   ปัถย์พูดคุยรายละเอียดต่างๆ มากมากับผู้เข้าสัมภาษณ์อยู่ราวสามสิบนาที และตัดสินใจว่าเอรีสควรได้คุยกับใครคนนี้ คนที่อาจได้มาทำงานแทนเขา



+++++++++

   ร่างชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งผละจากกันเนื้อตัวฉ่ำชื้นด้วยเงื่อระยับกำลังหายใจหอบหนักๆ ร่างกายส่วนล่างที่เคยแนบชิดขยับห่างและทิ้งกายลงบนที่นอน คนตัวเล็กหยัดกายขึ้นบนอกแกร่งใช้ริมฝีปากแตะลงบนยอดอกเบาๆ หยอกเย้าอีกฝ่ายที่กำลังอิ่มเอมในรสรักที่เพิ่งจบสิ้นไป

   “ผมได้ข้อมูลงานประมูลโครงคอมเพล็กบนเกาะส่วนตัวเรียบร้อยแล้วนะครับ จะรีบจัดการส่งทุกอย่างให้ได้อย่างช้าก็พรุ่งนี้ แต่ข้อมูลบางอย่างยังเป็นความลับอยู่ถ้าได้เพิ่มมาเมื่อไรผมจะรีบบอกคุณ” คนตัวเล็กลูลแผงอบที่ตนซบเบาๆ

   ผู้ที่สนทนากำลังพูดถึงโครงการกาสิโนสุดหรู รูปแบบคอมเพล็กซ์บนเกาะส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในน่านน้ำทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน หนึ่งในเจ้าของเป็นผู้มีอำนาจในประเทศและมหาเศรษฐีจากดินแดนผู้ดีและรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่จับมือกันก่อตั้งธุรกิจสีเทานี้ขึ้นมา ซึ่งโครงการนี้มูลค่างานนั้นระดับหมื่นล้านและหลายๆ บริษัทก็ต่างอยากจะได้งานกันทั้งนั้น

   “อืมดีเลย ผมไปคุยเรื่องร่วมทุนกับบริษัทหนึ่งไว้แล้ว ทางนั้นก็ยินดีจะให้ส่วนแบ่งสิบเปอร์ของมูลค่างาน คราวนี้ทั้งคุณกับผมเราจะได้คุยกันเรื่องอนาคตของเราสักที”

   “ผมไม่มีวันยอมให้พลาดแน่ๆ ครับ คุณวางใจได้ ถ้าผมรับปากแล้วไม่มีทางให้คุณผิดหวัง”

   “ผมฝากความหวังไว้ที่คุณนะ ฮึ! จะรอดูความฉิบหายของคนอย่างมัน อยากจะรู้ว่าเวลาที่มันไม่เหลืออะไรมันจะยังมีน้ำหน้าอวดเก่งอยู่ไหม ถึงวันนั้นผมจะกระทืบมันซ้ำให้แหลกคาเท้า จะรอสมน้ำหน้าเวลาที่มันล้มเหลวของมัน ให้เหมือนกับที่มันเคยทำกับผมไว้”

   “แต่ตอนนี้ตอนนี้ผู้ช่วยคนเก่าเขายังอยู่ รายนั้นเห็นนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดแต่หูตาเป็นสัปปะรด แถมเคี้ยวมากรู้ทุกอย่างรักษาผมประโยชน์ให้ทุกอย่าง จะทำอะไรก็ไม่ค่อยถนัด ทำอะไรก็ยากไปหมด” คนร่างเล็กถอนใจขณะบ่น

   “อีกไม่กี่วันก็จะออกแล้วนี่ ถึงตอนนั้นคุณก็คงทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก คนเล่ห์เหลี่ยมอย่างมันคงไม่ยอมให้เราล้วงลูกมาได้ง่ายๆ หรอก จะทำอะไรก็ต้องดูหน้าดูหลังให้ดี ผมไม่อยากพลาด ระวังตัวไว้หน่อยอย่าให้มันระแคะระคายเรื่องของเราเด็ดขาด”

   “ผมจะระวังตัว ไม่ให้ใครจับได้ง่ายๆ แน่ ว่าแต่คุณกับคนนั้นละ ไม่ได้คิดอะไรกันเกินเลยจริงๆ ใช่ไหมครับ”

   คนถามน้ำเสียงติดจะหงุดหงิด ไม่ชอบสักนิดที่อีกฝ่ายเอาตัวไปพัวพันกับคนอื่น แม้จะเป็นเรื่องของผลประโยชน์เขาก็ไม่ชอบ ไม่ชอบเอามากๆ ก็เขาทั้งรักทั้งหวง ทุ่มเททุกอย่างให้ผู้ชายคนนี้ ยอมทิ้งอนาคตส่วนตัวเพื่อทำให้อีกฝ่ายพอใจ ทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงผิดชอบชั่วดีแค่ให้อีกฝ่ายพอใจเป็นพอ

   “ผมมีคุณอยู่ทั้งคน จะให้ไปจริงจังกับคนอื่นได้ยังไง คุณก็รู้ว่าที่ผมต้องตีสนิทด้วยก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่ความรักเหมือนที่ผมมีกับคุณที่ทั้งรักทั้งห่วง นี่ก็หลงจะตายอยู่แล้ว ไม่เจอกันแค่สองวันผมก็คิดถึงจะเป็นบ้า” คนตัวสูงส่งเสียงอ้อนเอาใจ หอมแก้มฟอดใหญ่แล้วคลอเคลียไม่ห่าง

   “อย่ามาปากหวาน ผมไม่อยากโดนคุณหลอกซ้ำซาก พูดแบบนี้มากี่ครั้งแต่คุณก็หาเศษหาเลยกับคนโน้นคนนี้ตลอด อย่าให้ผมรู้นะว่าคุณนอกใจผมอีก ครั้งนี้ผมไม่ใจดีนะ ผมจะจัดการทั้งคุณกับชู้รักของคุณให้สาสม ถึงผมจะดีกับคุณให้อภัยคุณแต่กับคนอื่นผมเอาตาย” เสียงที่แน่วแน่ข่มขู่มาอีกระรอก ซึ่งหากฟังดีๆ มันไม่ใช่คำพูดขู่เล่นๆ

   “โอ๋ๆๆๆ มามะคนดี อย่างอนนะครับ ผมรักคุณคนเดียวไม่ว่าใครก็เทียบกับคุณไม่ได้หรอก อย่าอารมณ์เสียด้วยเรื่องไร้สาระพวกนั้นเลย ผมกอดคุณอยู่นี่ไง น่านะไม่งอน ดูสิหน้าบึ้งคิ้วขมวดหมดแล้ว แก้มก็ป่องอีก ดูปากนี่สิ โหยขี้เหร่นะเวลาโกรธเนี่ย”

   “ยังจะมาว่ากันอีก คุณนี่! เดี๋ยวเหอะ ผมไม่งอน แต่ผมไม่ชอบใจ กับคนนั้นผมรู้หรอกว่าคุณก็อยากลากขึ้นเตียงด้วยใจจะขาด อยากลองของใหม่ล่ะสิ ฮึ! ติดว่าเขาเล่นตัวใช่ไหมล่ะ คุณถึงยังไม่ได้แอ้มน่ะ”

   “ต่อให้อ่อยผมก็ไม่สน ผมมีคนที่ถูกใจอยู่ ดูสิแฟนผมคนนี้ทั้งน่ารักทั้งแสนดี คนอื่นก็แค่ของข้างทาง เทียบกันไม่ได้หรอก” คนร่างสูงยิ้มยั่วแล้วจูบหนักๆ ลงไปเพื่อยืนยันคำพูดทำให้คนที่กำลังแง่งอนถึงกับตัวอ่อนเพราะคารมหวานๆ

   “ให้มันจริงเถอะ”

   “จริงสิคนดี ไว้อะไรๆ ลงตัวแล้วคุณย้ายมาอยู่กับผมนะ จะได้ไม่ต้องคิดถึงคุณขนาดนี้”

   “อย่าหลอกนะครับ เดี๋ยวก็ผลัดวันไปอีก หลอกไปเรื่อยๆ ผมก็น้อยใจเป็นนะ” คนตัวเล็กเงยหน้าไปมองน้ำเสียงกระเง้ากระงอดใส่อีกฝ่าย

   “งานสำเร็จเมื่อไรเราก็ได้อยู่ด้วยกันครับ อดทนหน่อยนะคนดี ผมรักคุณนะครับ”
   









{เอรีส}

   เมื่อเห็นปัถย์พาผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งเข้ามาในห้องแถมยังแนะนำให้เป็นตุเป็นตะว่านี่คือผู้ช่วยคนใหม่ที่รับเข้ามาทำหน้าที่แทน ผมก็ถึงกับพูดไม่ออก

   ไอ้ที่ว่าโกรธมันก็แสดงออกมาไม่ได้ เพราะช่วงหลังมานี้ทั้งผมกับปัถย์ต่างก็มีเรื่องต้องโมโหโต้เถียงกันแทบจะตลอดเวลา หาเวลาที่จะคุยเล่ยหยอกล้อกันเหมือนวันเก่าๆ ก็แทบจะไม่มี สิ่งที่ผมทำได้คือนิ่งเงียบ และปล่อยให้ปัถย์เล่นบทบาทคนเจ้ากี้เจ้าการไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ทั้งที่อยากโวยใส่อีกฝ่ายแทบใจจะขาดแต่ก็ไม่อยากทำต่อหน้าบุคคลที่สาม เพราะผมไม่อยากให้ปัถย์รู้สึกเสียหน้า

   ในเมื่อผมให้สิทธิ์ขาดในเรื่องงานกับปัถย์ และผมก็เชื่อว่าถ้าปัถย์บอกว่าคนนี้มีคุณสมบัติเพียงพอแสดงว่าคนนี้ก็ดีพอจริงๆ ผมเชื่อมั่นในตัวผู้ช่วยของผมอย่างไร้ข้อกังขา สามสี่วันมานี้ผมเห็นปัถย์พยายามส่งมอบงานของตัวเองให้คนใหม่ พาเข้ามาใกล้ผม ทำความรู้จักกับผม ซึ่งหากเป็นด้วยเรื่องงานผมก็ยอมปล่อยไป เพียงแต่ผมไม่พอใจเท่าไรที่ดูเหมือนเจ้าตัวจงใจอยากจะหาคนมาแทนที่ของตัวเอง ซึ่งสำหรับผมแล้วไม่มีใครแทนที่ปัถย์ได้

   เพราะกับปัถย์แล้วเขาไม่ใช่แค่ผู้ช่วยหรือลูกน้องอีกต่อไป

   “นี่ครับบอส ราคาต้นทุนทั้งหมดที่ผมรวบรวมจากฝ่ายคอสมาให้ วัสดุ แรงงานและก็ค่าดำเนินการในทุกส่วน บอสลองดูก่อน”

   ปัถย์ยื่นแฟ้มเอกสารสำคัญให้ผม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ผู้ช่วยคนเก่่งของผมจะทำการบ้านของงานประมูลมาให้ ผมแค่ดูตัวเลขและคิดกำไรไว้ในใจว่าต้องการกี่เปอร์เซ็น ที่เหลือปัถย์จะจัดการเอาไว้ให้หมด

   “ขอบใจมาก นายว่า... งานนี้เป็นยังไง น่าสนใจหรือเปล่า”

   ผมถามเขาอย่างเคย ทุกงานที่ผมเข้าร่วมประมูลผมจะลองซาวด์เสียงเอาจากคนข้างๆ ตัวนี่ล่ะ ที่ถามก็เพราะปัถย์มีวิสัยทัศน์การทำงานที่ดี บางครั้งผู้บริหารอย่างผมอาจดูแค่เรื่องตัวเลขแล้วก็เม็ดเงินที่จะได้ แต่บางทีก็หลงลืมอะไรไปในหลายๆ อย่างก็มีเขาคนนี้นี่ล่ะที่กระตุ้นบางอย่างให้ผมได้ดีทีเดียว

   “เป็นโปรเจคน่าสนใจครับ เงินถึง ไม่น่าจะเบิกโปรเกสยากเพราะโอนเนอร์เป็นเศษรฐีน้ำมัน แถมมีแบคเป็นถึงรัฐบาลท้องถิ่นไหนจะทางฝั่งเราด้วย” ปัถย์บอกนิ่งๆ แต่สายตาดูมีบางอย่าง

   “แล้วอย่างอื่นล่ะ”

   “ธุรกิจสีเทาครับ...”

   “อือฮึ” ผมครางรับในลำคอ แล้วรอว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อไป

   “เงินที่ได้มามันไม่สะอาดร้อยเปอร์เซ็น แม้เงินที่มาลงทุนอาจจะเป็นเงินบริสุทธิ์ แต่พอมันเสร็จก็จะกลายเป็นดึงเอาเงินสกปรกมาต่อยอดให้ยิ่งสกปรกมากขึ้น แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวผมนะครับ บอสไม่ต้องฟังผมก็ได้”

   “ต้องฟังสิ พูดต่อ”

   “ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ บอสอยากฟังอะไร?” ปัถย์ถามเสียงเอื่อย ขยับแว่นตาให้เข้าที่เล็กน้อย ดูแล้วน่ามัรเขี้ยวพิลึกอยากจะเดินไปดึงตัวแล้วหอมสักฟอดใหญ่ก็กลับเจ้าตัวจะโกธรกลับมาให้อีก ช่วงนี้ยิ่งอะไรๆ ก็ดูไม่ลงรอยกันสักเท่าไรด้วย คุยอะไรกันมีอันต้องมีปากเสียง เฮ้อ!

   “อยากรู้ว่าจะรับงานนี้ดีไหม นายว่าไง”

   “ผมตัดสินใจแทนบอสไม่ได้หรอก ผมแค่พูดในส่วนของผม”

   “อืม ก็อยากฟังส่วนของนายไง”

   “ถ้าเลือกได้ผมจะไม่ทำครับ ก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้นแต่มันก็รู้สึกว่าเราสนับสนุนให้คนถูกมอมเมา แต่ก็นะครับไม่มีใครไปบังคับนี่อยากไปกันเองทั้งนั้น ที่ผมพูดนี่อารมณ์ล้วนๆ”

   “ก็ถ้านายบอกว่าไม่ควรรับ ฉันก็ไม่รับนะงานนี้”

   “อย่าครับอย่า แบบนั้นไม่ดีหรอก ผมแค่พูดด้วยความรู้สึก บอสอย่ามาคล้อยตามง่ายๆ สิครับ การตัดสินใจเด็ดขาดมันขึ้นอยู่กับบอส ต้องเอาผลประโยชน์บริษัทเป็นที่ตั้งไม่ใช่คำพูดลูกน้องอย่างผม”

   “นายพูดอะไรฉันก็คล้อยตามทั้งนั้นล่ะ แล้วนายก็ไม่ใช่แค่ลูกน้อง”

   ผมพูดออกไปแล้วก็ได้รับสีหน้าแดงๆ ที่ดูสัยสนกลับมาแทน บางครั้งการที่ผมพูดอะไรไปตรงๆ แบบไม่ผ่านสมองมันก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกัน

   “ไม่คุยแล้วครับ”

   “รีบไปไหนล่ะ คุยก่อน” ผมรั้งมือปัถย์ไว้ เผลอยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายดูเขินๆ

   “เรื่องงานนะครับ” คนตรงหน้าแย้งออกมา แล้วพูดเสียงเข้มงวด

   “ถ้าอยากคุยเรื่องงานก็จะคุยเรื่องงาน ดีไหม”

   “ครับ?” ปัถย์มองผมแล้วรอว่าผมจะพูดอะไร

   “ฐิติน่ะ ช่วยงานนายได้ดีไหม”

   “ดีครับ กำลังเรียนรู้งานอยู่” รายนั้นพยักหน้า “ค่อนข้างเชี่ยวครับ ทันคนแล้วก็มีลูกล่อลูกชน คงช่วงงานบอสได้มากทีเดียว”

   “นายดูชอบเขา” ผมสังเกตมาหลายวันก็เห็นว่าปัถย์ดูจะพอใจกับการทำงานของคนมาใหม่ เห็นให้งานหลายอย่างขนคล้ายๆ กับว่ากำลังส่งต่องานให้ก็ไม่ผิด

   “เขาทำงานเก่ง”

   “อืม แต่ก็ไม่มีทางสู้นายได้หรอก” ผมพูดอย่างใจคิด และก็ดึงปกคอเสื้อของอีกฝ่ายให้เข้าที่เพราะเห็นว่ามันเบี้ยวอยู่หน่อยๆ

   “เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันทำได้ขั้นนี้น่านับถือแล้วครับ ตอนผมมาใหม่ๆ จำได้ว่าหัวหมุนไปหมด เจอคุณต้อนจนมุมด้วยคำถามที่ไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนั้นเกือบจะท้อใจอยู่หลายครั้ง แต่คุณฐิตินี่ก็ดูจะเป็นงานเร็วกว่าผมหลายเท่า”

   “แต่เผลอแป๊บๆ ก็จะสามปีแล้ว”

   “ครับ จะสามปีแล้ว” เสียงของปัถย์ดูหงอยลง สีหน้าก็ดูหม่นลงไปด้วยซึ่งมันทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร

   “ไม่ให้ออกนะ ไม่อยากให้ออก” ผมพูดอีกครั้ง ย้ำว่าเจตนาของผมอยู่ ณ จุดไหนกันแน่

   ถ้าปัถย์ดื้อ ผมก็จะดื้อกว่า

   “…” ปัถย์ไม่พูดอะไรเลย ทำแค่เพียงหลบตาผมและดึงมือกลับไปเงียบๆ

   “มีนายอยู่ข้างๆ ฉันก็อุ่นใจ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถามจริงๆ นะ จะทิ้งกันได้ลงคอเลยเหรอ หมดนายไปฉันก็ไม่มีใครแล้ว... ”

   “…”

   “อย่าไปนะ” ผมย้ำอีกครั้ง และรอคอยคำตอบต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

   แต่ความเงียบคือคำตอบที่น่ากลัว จากสีหน้าและแววตาผมรู้ดีว่าคนดื้อเงียบของผมไม่ยอมตามใจผมในครั้งนี้    แต่ไม่เป็นไร... ผมไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรอยู่แล้ว






   แต่ผมก็พ่ายแพ้
   วันนี้คือวันจันทร์เป็นวันที่ปัถย์จะต้องมาขับรถให้ผมเพื่อไปทำงานซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำมาแล้วกว่าสองปี แต่รอจนถึงแปดโมงแล้วก็ยังไร้วี่แววของคนที่ผมกำลังเฝ้ารออยู่ ผมก็ก้มลงมองปฏิทินในโทรศัพท์ก็พบว่าวันนี้คือสัปดาห์แรกของเดือนใหม่...

   ไอ้ความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งขว้างมันเป็นแบบนี้สินะ ทั้งที่หลงลืมมันไปกว้าสิบปี หนีมันได้มากว่าสิบปีความรู้สึกนี้ก็หวนกลับมาอีกจนได้

   หัวใจของผมมันวูบโหวงเมื่อไม่มีเสียงทักทายจากคนที่เจอกันทุกวันตลอดสามปี ไม่มีอาหารเช้าง่ายๆ จำพวกแซนวิชในวันจันทร์ ไม่มีกลิ่นกาแฟหอมๆ จากร้านประจำที่ผมชอบ ท้ายที่สุดไม่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนใจเวลาผมบ่นพึมพำเรื่องรถติดไม่ขาดปากตลอดทางที่ขับฝ่าย่านการค้าที่รถติดมหาหฤโหด

   จ้องมองนาฬิกาดิจิตอลติดผนังเงียบๆ กลั้นใจรออีกคน คาดหวังเอาไว้ว่าเพราะการจราจรหนาแน่นทำให้ใครอีกคนมาสาย ผมรออีกห้านาทีและตัดสินใจกดโทรออกหาใครคนนั้น


   เลขหมายที่ท่าเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
   The Number…


   ปิดเครื่อง...

   ใครคนนั้นไม่เคยปิดเครื่อง ซึ่งผมรู้แล้วว่าเจ้าตัวตั้งใจเงียบหายไปและจงใจไม่อยากรับสาย
   ผมจึงตัดสินใจในชั่ววินาทีหยิบกุญแจรถคันโปรดและออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว ภายในรถคันเก่าที่คุ้นเคยจากที่มีคนเคยเปิดเพลงคลอเบาๆ ตอนนี้มีเพียงความเงียบมีเพียงเสียงจอแจที่ดังลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอก
   ผมไม่ลังเลที่จะเลี้ยวรถขึ้นทางด่วนและมุ่งหน้าไปในที่ๆ หนึ่ง อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น


คอนโดL

   ผมใช้เส้นสายนิดหน่อยเลยได้ขึ้นมาถึงห้องใครคนนั้นอีกครั้ง กดกริ่งหน้าประตูอยู่หลายครั้งก็มีเพียงความว่างเปล่า ห้องข้างๆ หลายคนเดินสวนไป แต่คนในห้องที่ผมรออยู่ยังเงียบสนิท

   โทรศัพท์เครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบออกมาและกดหาเขาอีกครั้ง


   เลขหมายที่ท่าเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
   Sorry, the number that you've dialed cannot be connected at this time,  Please try again later…



   ผมยืนอยู่อย่างนั้นอีกสิบนาที กดกริ่งซ้ำๆ แต่ไม่มีเงาของปัถย์เดินออกมาเปิดประตู ผมมองประตูบานเดิมด้วยขั้วอารมณ์ที่หลากหลาย โกรธ โมโห หงุดหงิด กังวล และคิดถึง

   แค่วันเดียวเองผมยังเป็นขนาดนี้...

   แล้ววันที่เหลือต่อจากนี้ล่ะ

   เพราะปัถย์ไม่เคยหายไปจากทุกกิจกรรมของผมทั้งวันทำงาน วันพักผ่านถ้าไม่มีตัวก็ยังมีเสียงปัถย์ให้ได้ยินเสมอ ถ้าเขาหายไปในวันนี้ผมจะปรับตัวได้ไหม ผมจะบอกตัวเองให้ชินได้ไหม

   ในตอนนี้ตรงหน้าผมคือผู้ช่วยคนใหม่ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้มากนัก รู้แค่ว่าเขาจะมาทำหน้าที่แทนปัถย์ และวันนี้คือวันแรกที่เข้ามารับหน้าที่เต็มตัวเป็นวันแรก ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาทำงานได้เทียบเท่าปัถย์ เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าที่ตรงนี้ไม่ว่าใครก็แทนไม่ได้

   “คุณเอรีสครับ นี่เอกสารสัญญาจากทางโครงการที่ภูเก็ต กรุณาเซ็นทุกหน้านะครับ”

   ใบหน้ากระตือรือร้นของคนตรงหน้าทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับปัถย์ตอนเข้ามาใหม่ๆ แต่กับปัถย์เขารู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่ายกว่าเพราะปัถย์แสดงอารมณ์ออกทางแววตาและใบหน้า ผิดกับฐิติที่ดูปั้นยิ้มเสียจนคล้ายกับเป็นหน้ากากที่ฉาบทับไว้มากกว่าที่เจ้าตัวอยากจะยิ้มมันจริงๆ

   “เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกแล้วนะ”

   “แต่ตอนบ่ายสามคุณวิชัยพีเอ็มของรีจีสคอนโดที่เอกมัยจะเข้ามารายงานเรื่องความคืบหน้าของโครงการ สี่โมงเย็นพีเอ็มของเอ็มเอสทาวเวอร์ก็ขอคุยเรื่องงานเพิ่มเติมจากสัญญาครับ ส่วนตอนห้าโมงเย็นก็...”

   “คุณควรบอกผมตั้งแต่เช้านะ ไม่ใช่รอให้ถามก่อน”

   ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ เมื่อมารู้ว่าตอนบ่ายมีนัดอัดเข้ามาแน่นขนาดนี้ ผมมีนัดเยอะก็จริงแต่ไม่ใช่ยัดเข้ามาจนเต็มตาราง ปัถย์มักจะมีเวลาให้ผมเบรคพักเพื่อเคลียงานก่อนหมดวัน โดยปกติหลังบ่ายสามไปผมจะไม่รับนัดที่ไหนอีก

   “ขอโทษครับ”

   “เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องให้สอน ทำงานให้เป็นมืออาชีพหน่อย เงินเดือนคุณไม่ใช่เรทเด็กจบใหม่ หวังว่าที่จ้างมาคงจะคุ้ม” ผมต่อว่าอีกฝ่ายออกไป แล้วก็ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะรับได้หรือเปล่า

   “ผมจะทำงานให้ดีกว่านี้ครับ”

   “ถ้างานตรงนี้มันง่าย ผมจ้างเด็กจบใหม่มาทำแล้ว เงินเดือนแค่หมื่นห้า จบปริญญาโทมาแล้วได้แค่นี้ผมว่าคุณควรพิจารณาตัวเองด้วย”

   อีกฝ่ายนิ่งสนิท ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยแต่ยังฝืนจ้องมองมาทางผม

   “ขอโทษครับบอส ผมจะปรับปรุงตัว”

   “ห้ามเรียกว่าบอส เรียกผมว่าเอรีส” เสียงผมห้วนกว่าเก่า ดุดันกว่าเก่าตามแรงอารมณ์

   คนเดียวที่จะเรียกผมว่าบอสคือปัถย์ และผมจะยอมให้เรียกแบบนี้แค่คนเดียวเท่านั้น

   “ครับคุณเอรีส”

   “ตำแหน่งนี้ทดลองงานแค่เดือนเดียว ทำได้ก็อยู่ต่อ ไม่ได้ก็ออกไป ไม่มีเวลามาเสียกับคนเรียนรู้ช้า คนโปรไฟล์ดีมีเยอะ แต่ทำงานได้จริงๆ ไม่ถึงครึ่ง คุณเป็นครึ่งไหนผมไม่สน แต่โอกาสของคุณเหลือแค่ยี่สิบเก้าวัน”

   “เดือนเดียว?”

   “ใช่”

   “อ่า ครับ” ผู้ช่วยคนใหม่พยักหน้ารับ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร

   “ผมจะรีบเคลียงาน ไปจัดการเรื่องนัดให้เรียบร้อย ผมจะอยู่ถึงแค่สี่โมง”

   ทันทีที่ฐิติออกจากห้องไปผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกครั้ง ครั้งนี้ผมโทรติด

   ทว่าไม่ว่าจะกี่ครั้ง... เขาก็ไม่รับสาย

   ผมชะล่าใจเป็นความโง่มากที่คิดว่าปัถย์จะเปลี่ยนใจที่จะทิ้งผมไปอีกคน...

   คนส่วนใหญ่รู้จักผมในฐานะเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หลายคนชอบผม มองว่าผมเป็นไอดอล นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ผมไม่ใช่

   ผมก็แค่...ผู้ชายอีกคนที่ล้มเหลวในเรื่องของความสัมพันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า

   ผมพลาดที่รู้ตัวช้า

   พลาดที่ปล่อยใจให้รัก และรักษามันไว้ไม่ได้อีกครั้ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ masochism2018

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
ขอสมน้ำหน้าบอสก่อนน :hao3:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เรื่องของเอ็งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


ฉลาดแต่เรื่องงานก็จงแห้วไปตลอดชีวิต

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ถ้าไม่ตามง้อปัตถ์ดีดีจะแช่งให้นกเขาไม่ขันค่ะบอส55555
ยังดีที่รู้ตัวว่าโง่

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จะสมน้ำหน้าดีมั้ยนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สมควร แต่ตอนนี้เกลียดฐิติอ่ะ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เราทีมปัถย์นะ ก่อนหน้านี้บอสไม่ชัดเจนเองอ่ะ ไม่ชัดเจนมากๆๆๆๆ ทำตัวไม่น่ารักเอง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ซะจายดีจังเลย  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เมื่อรู้ตัวแล้วก็อย่าปล่อยไปง่ายๆนะ

ออฟไลน์ 30267

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอจ้าาา

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำตัวเองนะบอส 

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ปัถย์ไปแล้ววว รู้ตัวเมื่อสายนะบอส ส่วนตัวละครลับสองตัวที่โผล่มานี่เดาว่าน่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องเอรีสที่เข้ามาจีบปัถย์กับเลขาคนใหม่นะ วางแผนกันไว้สินะแล้วแบบนี้เอรีสจะโดนอะไรบ้างมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ joborcusier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปัถต์หนีไปอยู่ต่างประเทศเล้ยยยย เอาให้เอริสลงแดงตายไป555 :z1:

ออฟไลน์ anin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
Chapter 11

   ปัถย์รู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่กลายเป็นคนที่ตกงานอย่างเต็มรูปแบบ จะว่าโล่งอกก็ใช่ จะว่าใจหายก็ใช่อีก เจ้าตัวเลยตัดสินใจแบบฉุกละหุกตอนสามทุ่มว่าจะไปเที่ยวหาชลนทีที่กระบี่สักอาทิตย์ กะให้หายเบื่อค่อยกลับมาเริ่มหางานใหม่อย่างจริงจังอีกที พอนึกได้ก็โทรหาเพื่อนรัก จัดการจองตั๋วเครื่องบินเป็นอันดับแรกแล้วเก็บกระเป๋า แถมยังเอาเจ้าสโนว์ไปฝากกับโรงแรมสัตว์เลี้ยงใกล้ๆ คอนโดเสร็จสรรพพิธีการ

   วันรุ่งขึ้น

   ปัถย์ลงเครื่องประมาณบ่ายโมง รอกระเป๋าที่โหลดราวสิบห้านาที พอเดินออกมาก็ได้เห็นชลนทีส่งยิ้มให้โบกมือเย้วๆ อยู่ไม่ไกล

   “ไงมึง” ชลนทีตบบ่าทัก สีหน้าดูดีใจที่เพื่อนรักแวะมาหา

   “รอนานไหม”

   “เพิ่งมาเอง มึงหิวไหม กูจะพาไปกินข้าวร้านอร่อย” เจ้าถิ่นเอ่ยชวนแล้วแกล้งทำเป็นควงกุญแจรถในมือเล่นๆ แบบนิสัยของคนอารมณ์ดี

   “นิดหน่อย แล้วมึงไม่ต้องรีบกลับไปทำงานหรือไง  ถ้ามีงานก็ไปทำก่อนเลยนะกูจัดการตัวเองได้”

   “งานกูตอนนี้ไม่พีคสบายมาก นี่ก็ฝากเด็กที่ไซด์ไว้แล้วแค่ดูผู้รับเหมาทำงานให้ตรงสเปค ไปๆ กินข้าวก่อน บ่ายแล้วเนี่ย นี่ก็รอกินพร้อมมึงเลยนะ”

   “ไปดิ”

   พูดจบปัถย์ก็จัดการลากกระเป๋าขึ้นรถกระบะของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งข้างคนขับเพื่อเดินทางไปกินข้าวร้านอร่อยตามที่เพื่อนบอก พอขึ้นบนรถก็บอกกับเพื่อนว่าขอเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้แรงลมปะทะหน้าขณะมองออกไปด้านนอกเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ

   “เป็นไงกลิ่นทะเล หอมไหมวะปัถย์”

   ชลนทีถามยิ้มๆ เพราะเพื่อนรักเล่นเปิดกระจกรับลมร้อนมาตลอดทาง แถมยังทอดสายตาไปไกลอย่างกับพระเอกมิวสิคยุค 90 เห็นแล้วมันชวนขำ

   “ไม่แขวะกูสักแป๊บจะตายไหม”

   “แซวเล่น ทำเป็นน้อยใจ”

   เกือบครึ่งชั่วโมงจึงถึงร้านอาหารขนาดกลางที่ติดกับชายหาด บรรยากาศแบบธรรมชาติตกแต่งแบบง่ายๆ แต่ลงตัว มีผู้คนเข้ามารับประทานหนาตาทั้งคนไทยหรือต่างชาติ บอกได้ว่าร้านนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ทั้งคู่เลือกโต๊ะหนึ่งที่สามารถมองวิวทะเลได้ชัดเจน จากนั้นก็เริ่มสั่งอาหารจากพนักงานเสริฟที่เดินถือเมนูมาให้

   “จะมาอยู่กี่วัน”

   “ไม่รู้ว่ะ สักอาทิตย์มั้ง หรือไม่ก็สิบวัน”

   “ดีเลยมึง จะได้มีเพื่อนกินข้าว ที่จริงพักกับกูก็ได้นะ บริษัทเขาเปิดห้องที่โรงแรมสองดาวไว้ให้พัก ไม่หรูแต่ก็สะอาด มีวิวทะเลไกลลิบๆ ให้ดูด้วย”

   “ที่บริษัทเขาจะได้ไม่ด่าเรื่องเอาคนนอกมาอยู่หรือไง”

   “พี่คิวใจดี แค่พาเพื่อนมาค้าง ยิ่งรู้ว่าเป็นมึงพี่มันไม่ด่าชัวร์”

   “ก็พูดไปเรื่อย ยิ่งไม่ด่ายิ่งต้องเกรงใจ เปิดห้องเองดีกว่า ออฟฟิศเก่ากูยังห้ามเอาเพื่อนเอาแฟนเอาญาติไปนอนที่ไซด์เลย”

   “ไม่เหมือนกัน ที่นี่สบายๆ อยู่กันเหมือนพี่น้อง ใครจะมาด่า”

   ชลนทียิ้มอวด แล้วตักต้มยำทะเลซดโฮกๆ ท่าทางน่าอร่อย

   ปัถย์มองออกไปนอกชายหาด สูดหายใจลึกๆ เข้าจมูกเพื่อรับออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับมานาน ท้องทะเลสีฟ้าครามกับลมโชยร่มรื่นทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสมอง เรื่องที่กลัดกลุ่มอยู่ในใจถูกสลัดไปได้ง่ายดายมากคิดไม่ผิดที่ทิ้งกรุงเทพฯมาแบบนี้

   “ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยว แนะนำสิไอ้เจ้าถิ่น”

   ปัถย์ถือโอกาสสั่งเบียร์เย็นๆ มาจิบ แต่ชลนทีไม่ร่วมด้วยเพราะต้องไปทำงานต่อแล้วถามเพื่อนรักเพราะรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

   “เยอะแยะ อยากไปแบบไหนล่ะ แบบใสๆ หรือสายโหด เลือกมาสักอย่าง”

   สายโหดที่ว่าก็คงเป็นการเที่ยวสถานที่อโคจร ซึ่งถ้าเป็นสมัยเรียนก็มีไปกันบ้าง แต่พอได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวปัถย์ก็เลิก ด้วยงานที่หนักและเอาเวลาส่วนตัวไปจนหมด บวกกับเนื้อแท้ไม่ได้ชอบทำตัวเสเพลอะไร ถ้าเป็นบางครั้งบางคราวแก้เบื่อก็พอได้อยู่

   “จัดให้สักทริปสิ แบบไหนก็ได้” 

   “ปาร์ตี้ไหม... เขาว่าเด็ด หรือถ้ามึงอยากเที่ยวแบบฟูลออฟชั่นก็มี”

   “ยังก่อนมึง เพิ่งมาถึงจะจัดเบอร์แรงให้กูเลยเหรอวะ”

   “อันนี้ความอยากส่วนตัวของกูล้วนๆ”

   “เมียมึงรู้ไส้แตกนะ”

   “ควาย! ก็อย่าให้มันรู้สิวะ ไปคนเดียวไม่สนุก พอมึงบอกจะมาหา กูงี้อยากเลย ไอ้ฟูลมูนอะไรเนี่ย”

   “กูนี่แหละจะฟ้อง แหมๆ ฟูลมูน”

   “ก็อยากอ่ะมึง ไปเป็นเพื่อนหน่อย”

   “ดูก่อน เดี๋ยวให้คำตอบอีกที”

   เราคุยเรื่องสัพเพเหระกันระหว่างทานอาหาร ทั้งเรื่องเพื่อนเรื่องงานแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว มีหยอกบ้างด่าบ้างตามประสาเพื่อนสนิท

   "กูเข้าไปเคลียงานแป๊บ มึงรอที่ไซด์ออฟฟิศนะ ไม่เกินชั่วโมงก็เสร็จ"

   "อืม แต่ถ้างานมึงเยอะก็เอาตามสะดวกเลยนะ ไม่ต้องรีบ ไม่อยากให้เพื่อนเสียงาน"

   "เออๆ เดี๋ยวมานั่งรอตรงนี้นะจะให้น้องเอาน้ำเอากาแฟกับน้ำเย็นมาให้"

   เมื่อว่าจบชลนทีก็เหน็บหมวกนิรภัยสีขาวแล้วเดินผละไป เปลี่ยนลุคจากเพื่อนจอมขี้เล่นกลายสภาพเป็นวิศกรหนุ่มสุดเท่ไปในทันที ปัถย์มองรอบสำนักงานขนาดเล็กอย่างสนใจ มีเครื่องใช้สำนักงานธรรมดา พนักงานราวสี่ห้าคนกำลังวุ่นจนไม่มีใครเงยหน้ามาสนใจแขกผู้มาใหม่อย่างจริงจัง จะมีบ้างก็แค่ปลายผ่านๆ แล้วกลับไปสนใจงานของตัวเองสักครู่น้องแอดมินคนหนึ่งก็นำแก้วกาแฟร้อนกับน้ำเย็นมาเสริฟ

   ปัถย์กล่าวขอบคุณเบาๆ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นเช็คอย่างเคยชิน บนหน้าจอโทรศัพท์แจ้งเตือนสายเรียกเข้าแต่ตอนนี้ได้ถูกปิดเสียงไว้

   ‘Boss’

   ชื่อที่คุ้นเคยว่าโทรเข้ากว่าสิบครั้ง

   ปัถย์หลับตา ยกมือขึ้นเกาคิ้วนวดขมับ ความรู้สึกมากมายตีกันภายในความนึกคิด แต่ก็เลือกที่จะปิดสวิตส์ความรู้สึกโหยหาไว้ มือของปัถย์กดไปที่การแก้ไขรายการ กดหน้าจอด้วยปลายนิ้ว จาก Boss เป็น Mr. Burton สถานะถูกลดลงจากเจ้านายลูกน้องให้เป็นเพียงคนรู้จัก

   กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยเรียก ทำให้ปัถย์ต้องละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันไปมอง

   “ปัถย์”

   เจ้าตัวขมวดคิ้วนิ่งคิดเพียงชั่ววินาทีก่อนยิ้มกว้าง เพราะคนตรงหน้าคือรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมานายแต่หลังๆ ด้วยหน้าที่การงานรัดตัวเลยห่างหายกันไปนานหลายปี

   “พี่คิว”

   “อืม ว่าไง” น้ำเสียงยินดีขานรับ ร้อยยิ้มกว้างส่งผ่านมาให้ด้วย

   “สวัสดีครับ”

   พี่คิวในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกางเกงยีนสีดำสนิทบวกกับรองเท้าบูทส้นหนา ในอ้อมแขนยังมีกระดาษพิมพ์เขียวม้วนใหญ่แนบมากับหวกนิรภัยด้วย ในมาดแบบนี้บอกยี่ห้อนายช่างใหญ่ของโครงการชัดๆ ไม่ผิดตัวแน่

   “หวัดดี ไปไงมาไง”

   “ผมมาหาไอ้ทีน่ะพี่ มันชวนมาเที่ยว ขอโทษที่มารบกวนเวลางานนะครับ”

   “เมื่อกี้พี่เจอมันที่ไซด์ไม่เห็นมันบอกเลยว่าปัถย์มา ถ้าพี่รู้ก่อนก็จะชวนให้บินลงมาพร้อมกัน มามา...เข้ามานั่งในห้องพี่ก่อน อยากคุยด้วยไม่เจอกันนาน”

   “หลายปีเหมือนกันพี่ โหยดูพี่สิเผลอแป๊บเดียวบริษัทใหญ่โต”

   “ที่ไหนกันล่ะ บริษัทเล็กๆ รับงานพอเอาที่ทำไหว ว่าแต่เราเถอะ พี่มองตั้งนานไม่แน่ใจว่าใช่ปัถย์ไหม สูงขึ้นนะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย” ครรชิตพินิจมองปัถย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาเป็นประกายชื่นชมและพอใจ

   “แหม่อายุก็ป่านนี้แล้วนี่ครับ”

   เมื่อนายช่างใหญ่ของโครงการเดินผ่านเข้ามา ทุกคนในออฟฟิศต่างสวัสดีทักทายโดยอีกฝ่ายทำแค่เพียงยกมือขึ้นเพื่อรับเป็นพิธี มือคร้ามแดดเปิดประตูห้องกระจกที่ถูกกั้นไว้ง่ายๆ ออก ผายมือเชิญแขกให้เดินเข้ามา

   “รกหน่อยนะ พี่ยังไม่ได้เคลียอะไรเลย ตอนนี้งานเอกสารทำเอาพี่ปวดหัวมาก”

   ปัถย์มองแฟ้มเอกสารตั้งใหญ่กับพิมพ์เขียวขนาดA1 ปึกหนาที่กองสุมๆ กันไว้แล้วยิ้มให้เหมือนเข้าอกเข้าใจ

   “พี่ควรพูดว่ามันรกมากจะดีกว่า” ปัถย์แซะรุ่นพี่เบาๆ เมื่อเห็นข้าวของกองพะเนินรายรอบตัว

   “ก็นะ ตอนนี้วุ่นกับคุมงานผู้รับเหมา เอกสารเบิกงวดงานมาอีกตรึม มีสิบมือก็ไม่ไหวจะเคลีย เอ้า...นั่งก่อนๆ”

   “ไม่หาคนช่วยล่ะพี่ หาคนดูเรื่องพวกนี้ให้งานพี่จะเบาไปเยอะ”

   ปัถย์เสนอ เพราะรู้เนื้องานลักษณะนี้ดี ถ้าไม่มีใครเป็นไม้เป็นมือช่วยทำให้ตายคนเดียวก็ทำไม่ไหว

   “ก็งานเอกสารมันไม่มีใครอยากทำ จะให้แอดมินธรรมดาๆ ดู ก็มีปัญหาเรื่องไม่เข้าใจสโคปงาน ก่อนหน้านี้มีน้องคนหนึ่งช่วยแต่ก็หนีไปแต่งงานมีลูกอีก พอจะให้ไอ้ทีช่วยมันก็บอกไม่เอา ขอลุยกับผู้รับเหมาแบบบู้ๆ ดีกว่า แล้วยังไงล่ะ พี่ก็ต้องมานั่งดูเอง นี่ก็พากันเบิกงวดงานทุกเจ้าก็ต้องเช็คอีกรอบว่าเปอร์เซ็นงานได้ไปถึงไหน มันมีพวกชอบเบิกเกินโปรเกสเจอบ่อยทุกงวดดีลเลย ผู้รับเหมาเดี๋ยวนี้ต้องตรวจกันละเอียดๆ หน่อยไม่งั้นลักไก่กันน่าดู”

   “งานใกล้เสร็จหรือยังพี่ ได้กี่เปอร์เซ็นแล้วครับ”

   “จบงานโครงสร้างไปแล้วนะ ตอนนี้เป็นงานสถาปัถย์ล่ะ หนักๆ ก็พวกแลนสเคปกับอินทีเรีย เหลือแต่งานฝีมืองานละเอียด”

   “พี่คิวไม่ได้อยู่กรุงเทพเหรอครับ นึกว่าอยู่ประจำที่โน่นเสียอีก”

   “พี่ไปๆ มาๆ พี่จะอยู่ที่นี่จันทร์ถึงพุธ บริษัทนี้มันแค่เล็กๆ ให้ไอ้ทีมันมาดูคนเดียวมันก็ไม่ไหว นี่ก็เพิ่งมาเมื่อเช้าเหมือนกัน แล้วปัถย์ล่ะมาเที่ยวกี่วัน”

   “น่าจะสักอาทิตย์ หรือาจจะสักสิบวันครับ ยังไม่แน่”

   “ปัถย์พักร้อนเหรอ”

   “ผมตกงาน”

   “หืม? นี่จริงดิ”

   ครรชิตเลิกคิ้วอย่างสงสัย ได้ข่าวว่าปัถย์ทำงานบริษัทยักษ์ใหญ่แถมพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารอีกไม่คิดว่าจะตกงานอะไรง่ายๆ แบบนั้น เพราะปัถย์เป็นคนจริงจังและมีความสามารถรอบด้าน

   “จริงครับ ตกงานอยู่ ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น” ปัถย์ร้องถามแล้วหัวเราะกับสีหน้าที่ดูไม่เชื่อของรุ่นพี่

   “ไม่ได้ล้อเล่น?”

   “ไม่ล้อครับ” เจ้าตัวย้ำแล้วพยักหน้า ส่งรอยยิ้มขำๆ ให้ด้วย

   “มาทำด้วยกันไหมเล่า เรียกเงินเดือนมาสิ พี่สู้ขาดใจ”

   คำพูดของครรชิตแอบแฝงนัยเสมอ เมื่อก่อนปัถย์ก็แอบลำบากใจอยู่หลายครั้งหลายครายามที่ครรชิตเทียวแจกขนมจีบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พอมาถึงตอนนี้เขากลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้กระอักกระอ่วนใจแบบครั้งก่อนๆ อาจเพราะว่าโตขึ้น เริ่มเปิดรับความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันแล้ว อีกอย่างเขาก็คิดว่าครรชิตคงล้อเขาเล่น ป่านนี้คงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว ไม่น่าจะมารอเขาหรอกจริงไหม

   “ยังไม่ยากทำงานตอนนี้ครับ อยากเที่ยวสักเดือน ไว้เบื่ออาชีพตกงานแล้วผมบอกพี่เอง” ปัถย์ปฏิเสธกลายๆ

   “โอเค... งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าวตอนเย็น ปลอบใจคนตกงานสักหน่อย ปัถย์ชอบกินปูนี่นะ ที่นี่มีปูไข่ที่อร่อยมาก”

   “นี่ถ้าผมไม่ตกงานพี่จะไม่เลี้ยงใช่ไหม” ว่าแล้วก็แกล้งถาม

   “เลี้ยงสิ แต่ถ้าตกงานต้องเลี้ยงเยอะหน่อย เลี้ยงเด็กน้อยที่น่าสงสาร”

   “กระเป๋าฉีกแน่ พี่พลาดมากที่คิดจะเลี้ยงคนกินจุอย่างผม”

   “อืม เอาสิพี่เลี้ยงปัถย์ได้อยู่แล้วล่ะ”

   ครรชิตมองปัถย์แล้วยิ้มอ่อนโยน ไม่ว่าจะตอนไหนๆ คนตรงหน้าก็ดูน่าสนใจสำหรับเขาเสมอ




   ฐิติจัดการเคลียตารางนัดของเอรีสจนเป็นที่พอใจของผู้เป็นเจ้านาย เมื่อนัดต่างๆ เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยเขาจึงเบาใจและนั่งลงนิ่งๆ ได้สักที นี่ก็เป็นเวลาใกล้าเลิกงานแล้ว แต่งานของเขาก็ยังวุ่นวายไม่หยุด ทั้งงานเอกสารจากภายนอกและภายในที่เยอะจนสะสางแทบไม่หวาดไม่ไหว คนก่อนหน้านี้แบ่งแยกร่างยังไงถึงได้จัดสรรปันส่วนงานได้โดยไม่มีปัญหา

   เจ้านายอะไรเรื่องมากเอาแต่ใจก็เข้าขั้นระอา งี่เง่า ขี้โวยขี้เหวี่ยง ปวดหัวเหลือรับ เอรีสนี่ไม่เคยทำอะไรให้ง่ายเลยพับผ่าสิ!

   “คุณฐิติครับ เอกสารตัวเลขงานประมูลของXXX คอมเพล็กซ์ครับ คุณปัถย์เคยให้ผมทำตัวเลขมาใหม่ให้คุณเอรีสครับ”

   สีหน้าฐิติกระตือรือร้นขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว

   “ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมเสนอให้คุณเอรีสเอง”

   “ฝากด้วยนะครับ”

   ฐิติจัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติมอีกพักใหญ่จึงหอบแฟ้มต่างๆ เข้าสู่ห้องของเอรีสอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เจ้านายยังคงทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะผูกโบว์อยู่เช่นเดิม บรรยากาศการทำงานมันช่างเลวร้ายเกินบรรยาย แค่ตัวเนื้องานก็เครียดพอแล้ว ไหนจะต้องระวังอารมณ์กับความปรวนแปรของผู้เป็นเจ้านายอีก บอกได้คำเดียวว่ายากเย็นแสนเข็ญนัก

   “หัดเคาะเสียบ้างนะ ประตูน่ะ”

   เอรีสบอกเสียงต่ำ แต่ไม่ยอมมองหน้าลูกน้องคนใหม่แต่อย่างใด เขายังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงกร้าวก็ทำให้ชวนขวัญหนีดีฝ่อถ้าฐิติจะเป็นคนขวัญอ่อนสักนิด ดีแต่ว่าเจ้าตัวมีเป้าหมายบางอย่างอยู่แล้วเลยจำใจต้องอดทน

   “ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”

   “มีอะไร”

   “เอกสารงานประมูลของXXX คอมเพล็กซ์ครับ ทางฝ่ายคอสจัดทำตัวเลขมาใหม่แล้ว รบกวนให้คุณเอรีสดูราคารวมอีกครั้งก่อนปิดซองส่งประมูล”

   “เอาวางไว้ตรงนั้น ยังไม่ว่างดู”

   “ส่งซองประมูลพรุ่งนี้สิบโมงเช้านะครับ”

   “เดี๋ยวดูให้ วางไว้”

   ฐิติวางแฟ้มต่างๆ ลงตรงฟากหนึ่งของโต๊ะ สายตาเริ่มสังเกตผู้เป็นเจ้านายที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำอะไรบางอย่าง ดูแล้วคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะเมื่อเจ้าตัวรู้สึกว่าถูกมองก็มีทีท่าระแวดระวังมากขึ้น

   ฐิติเห็นดังนั้นจึงแสร้งยิ้ม ทำเป็นหยิบแก้วกาแฟที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะทำทีว่าจะเอาไปเก็บให้

   “มีอะไรอีกหรือเปล่า” เอรีสหรี่ตา เอาแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะวางทับเอกสารที่ตนอ่านก่อนหน้าเพื่อหลบสายตาของผู้ช่วยคนใหม่แบบแนบเนียน

   “ตารางงานของคุณเอรีสบอกไว้ว่ามีต้องไปคุยกับมิสเตอร์เจซี เคนท์ที่กระบี่ในวันพฤหัสนี้คุณให้ผมจองตั๋ววันกลับวันไหนครับ”

   กระบี่?

   จริงสิ ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดไว้กับปัถย์ว่าอยากให้เจ้าตัวไปคุยด้วย ส่วนหนึ่งก็อยากหาเวลาไปพักผ่อนกะว่าเสร็จธุระวันศุกร์ก็อยากจะอยู่ต่อเสาร์อาทิตย์กันเงียบๆ แต่ก็มีอันต้องทะเลาะกันใหญ่โตจนถึงขั้นที่ปัถย์คิดลาออก

   “กลับบ่ายวันศุกร์เลย”

   “คุณปัถย์เคยบอกไว้ว่าผมต้องไปด้วย” ฐิติหยั่งเชิงถามดูตามที่ได้รู้มา

   “ถ้าติดธุระก็ไม่ต้อง ผมไปคนเดียวได้”

   “ไปได้ครับ ผมไม่ได้ติดขัดอะไร”

   เอรีสได้ยินแต่ไม่ใคร่สนใจนัก

   เมื่ออีกฝ่ายเห็นท่าทีเฉยเมยของเจ้านายจึงขอตัวออกไปเงียบๆ และมีท่าทีหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเจอเจ้านายที่อยู่ด้วยยากอย่างนี้มาก่อน

   ฐิติหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาคนสำคัญของตัวเองหลังจากสบโอกาสที่พนักงานต่างๆ ทยอยกลับกันจนหมดแล้ว

   “… ครับ ได้มาแล้วนะครับเอกสาร เดี๋ยวผมลายละเอียดไปให้คืนนี้เลย แค่นี้นะครับ”

   เจ้าตัวมองซ้ายมองขวา แล้วค่อยๆ แกะซองเอกสารออกอย่างระวัง

   เขาจัดการถ่ายภาพเอกสารแต่ละใบด้วยความรวดเร็วและเก็บเอกสารลงซองใหม่เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองเปิดออก เสร็จแล้วก็จัดการเอาซองเก่ายัดใส่กระเป๋าเพื่อไม่ให้หลงเหลือหลักฐานไว้ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง












   00.12 น.

   เมื่อตอนเย็นเขาขับรถไปหาปัถย์ที่ห้องอีกครั้ง รออยู่กว่าชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายให้ได้เห็น เขาจำต้องขับรถกลับมาที่ห้องของตัวเองด้วยความผิดหวังที่ไม่คุ้นเคย จวบล่วงสู่วันใหม่เขายังไม่ละความพยายามที่จะพยายามติดต่อปัถย์ วันทั้งวันเฝ้าเทียวโทรหาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ

   ในตอนนี้เอรีสกัดฟันจนกรามแกร่งบดเป็นสันนูน ข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บร้าวจี๊ดๆ ในหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะของความคิดถึง ดวงตาคู่คมสีควันบุหรี่แดงก่ำฉ่ำปรือด้วยผลพวงมาจากฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่แล่นพล่านในกระแสเลือด เอรีสไม่ใช่คนติดดื่มแต่ครั้งนี้เขากลับดื่มมากกว่าทุกครั้ง

   จากที่โทรไปไม่รับ... เอรีสเริ่มเปลี่ยนเป็นการส่งข้อความ

   ส่งไปทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่ใจแข็งปานนั้น จะแยแสกับข้อความที่เขาส่งไปบ้างหรือเปล่า

   ‘ปัถย์... อย่าทำแบบนี้ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง’

   นั่นคือข้อความแรกที่เอรีสส่งหาอีกฝ่าย จากความโมโหตลอดวันเริ่มกลายเป็นความกังวล กลัวเหลือเกินว่าคนที่มีความสำคัญกำลังจะตีปีกบินหายไปไกลแสนไกล

   ‘ฉันบอกว่าไม่ให้นายออกไง!!!’

   ข้อความที่ถูกส่งไปมันอ่านแล้วเหมือนการข่มขู่ แต่ในฟากของเอรีสนั้นมันไม่ใช่เลย เขากำลังจนตรอกและกลัวสุดใจ
   เอรีสส่งข้อความไปขณะตัวเองกระดกแก้วออนเดอะร็อคในมือไปด้วย ผมที่เคยเรียบแปร่ยุ่งเหยิงน้อยๆ จากฝ่ามือที่ขยี้แรงๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง 

   ‘ปัถย์ นายอยู่ไหน’

   เขาหลับตานึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขามีกับปัถย์

   ปัถย์ที่คอยนอนเฝ้า ยามที่ป่วย...

   จำได้ว่าตอนนั้นอาการโรคกระเพาะของเขากำเริบหนักจนถึงขึ้นอาเจียนไม่หยุดก็มีปัถย์ที่ขอเฝ้าไข้และอยู่ดูอาการจนหายดี คนที่เตือนให้เขานอน คนที่บอกให้เขากิน

   อาหารเช้าที่ปัถย์เตรียมให้...
   แก้วกาแฟที่ปัถย์ซื้อ
   กาแฟที่ปัถย์ชง
   นมในตู้เย็นที่ปัถย์ซื้อมาเติม
   เสื้อที่ปัถย์ส่งร้านซักรีด
   เนคไทที่ปัถย์เลือก...
   นาฬิกาข้อมือที่ปัถย์เอาไปใส่ถ่าน
   โซฟาที่ปัถย์ออกแบบและสั่งทำให้เขา
   น้ำหอมปรับอากาศกลิ่นที่ปัถย์บอกว่าหอม
   สบู่ แชมพู...


   เขาโทรหาปลายสายอีก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า ยิ่งตกดึกความคิดถึงก็ยิ่งมากขึ้นๆ ทุกที มือหนาที่กุมโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาสั่นไหวน้อยๆ เฝ้ารอทุกวินาทีให้อีกฝ่ายโทรกลับ เฝ้ารอให้อีกฝ่ายตอบข้อความ ทุกวินาทีที่ทรมาน

   ‘อยากคุยด้วย รับสายที’

   ‘ได้โปรด...talk to me’

   ‘ถ้ายังไม่ยากคุยกัน ก็ตอบข้อความหน่อย’

   ‘คนดี... ฉันขอโทษ ขอร้องล่ะ คุยกันหน่อย’

   ‘ไม่อยากทำงานด้วยกันก็ได้ จะไม่บังคับ แต่ขอเถอะ อย่างเงียบไปแบบนี้ อย่าหายไป I can’t bear to be apart from you.’

   ฉันทนไม่ได้เมื่อไม่มีนายมาอยู่ข้างๆ

   ‘You can’t deny what’s between us.’
   นายจะปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างเรามันมีอะไรมากกว่านั้น…

   ‘You mean so much to me.’
   เธอมีความหมายกับฉันมาก      

   ‘Come back to me’
   กลับมาหาฉัน

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
หมั่นไส้บอสอ่ะ

แต่เอ๊ะ...หรือจะไปเจอกันที่กระบี่

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เป็นเรื่องแน่งานนี้

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ฮืออ ทั้งอึมครึมทั้งฟินความในใจบอส กลับมาคราวนี้ยุ่งวุ่นวายแน่ :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด