Chapter 23
เป็นอีกหนึ่งวันที่เอรีสยุ่งวุ่นวายกับการประชุมเพื่อเตรียมตัวในการยื่นประมูลงานก่อสร้างของอาคารหรูใจกลางเมืองที่มีเจซีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เอรีสที่คาดหวังโครงการนี้ไว้สูงมาก ดังนั้นจึงต้องลงมาดูงานเองไม่ว่ารายละเอียดเล็กน้อยก็ปล่อยทิ้งไปไม่ได้ ยิ่งเป็นยามที่ไม่มีคนรู้ใจอย่างปัถย์อยู่เป็นหูเป็นตา งานที่เคยราบรื่นก็เหมือนจะคืบหน้าไปไม่รวดเร็วอย่างใจ เมื่อครู่ก็จงปล่อยระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้บรรดาหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ได้เอาไปแก้ไขต่อ
กว่าที่เอรีสจะออกจากห้องประชุมลงลิฟต์กลับลงมาที่ชั้นของตัวเองก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ตอนนี้พนักงานของฝ่ายบริหารเริ่มทยอยกันไปพักกลางวัน หลายคนที่เดินสวนไปเอ่ยทักเขาอย่างนอบน้อมเป็นพิธีการ
ชายหนุ่มแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วเดินล้วงกระเป๋าผ่านขบวนลูกน้องที่หลบทางให้ ตลอดทางเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่จับใจความไม่ได้ พอหันไปมองบรรดาเหล่าพนักงานก็รีบเดินจ้ำอ้าวหลบไปเสียดื้อๆ บอกได้ว่าเกรงเจ้านายอย่างเขาขนาดไหน
ไม่แปลกที่พนักงานเห็นเอรีสจะตัวลีบขาสั่น ก็ถนัดนักเรื่องทำหน้าดุเป็นนิจ พูดก็น้อยคำแทบนับประโยคได้ รั้งตำแหน่งเป็นเสื้อยิ้มยาก ถ้าลองว่าได้ไล่บี้งานใครละก็ มีอันให้น้ำตารื่นหรือปล่อยโฮกันเป็นแถบๆ
แม้จะเป็นแบบนั้น แต่ทุกคนก็ยังพอใจที่จะทำงานอยู่กับเบอร์ตันกรุ๊ป สวัสดิการและเงินเดือนที่เทียบกับหลายๆ บริษัทแล้ว ที่นี่ให้ผลประโยชน์และค่าตอบแทนกับพนักงานที่มีความสามารถในแบบจุใจ โบนัสขั้นต่ำก็ห้าถึงเจ็ดเดือน ยังไม่รวมสวัสดิการต่างๆ ที่บริษัทจัดให้อีก เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้านายจะโหดหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสปานใด แต่ถ้าเงินเป็นฟ่อนๆ ใครๆ ก็พร้อมจะอยู่
เอรีสที่เดินมาถึงหน้าห้องจึงได้ยินเสียงของบางอย่างหล่นกระทบพื้น มือที่กำลูกบิดประตูอยู่ชะงักค้างนิดหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดกันแน่น เสียงแบบนี้แสดงว่ามีคนอยู่ในห้อง เอรีสเปิดประตูเข้าไปในทันที ไม่ได้ลองเชิงอย่างครั้งก่อน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครที่ช่างอาจหาญเข้ามารื้อข้าวของในห้องของเขา แล้วเมื่อเจ้าของห้องโผล่มาแบบไม่ให้สุ่มเสียง แขกไม่ได้รับเชิญจะทำหน้ายังไง จะยังตีหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีกได้ไหม
เอรีสย่างเท้าบนพื้นที่เป็นพรมอย่างเงียบกริบ กวาดสายตารอบห้องแต่ก็ไม่เห็นใคร กระทั่งร่างสูงเดินเงียบเชียบมาถึงโต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้อง จึงได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่หลังโต๊ะทำงาน กำลังวุ่นวายกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ตรงนั้น ไม่รับรู้ถึงการกลับมาของเจ้าของห้องอย่างเขาเลย
“ทำอะไรน่ะ ย่องเข้ามาในห้องคนอื่นเงียบๆ แบบนี้ อยากเจอดีหรือยังไง”
น้ำเสียงห้าวกระซิบดุๆ แต่ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้ม ดวงตาสีสนิมเปล่งประกายแวววาวด้วยความพอใจ เขาล้วงกระเป๋ากางเกง ใช้ความสูงข่มให้คนด้านล่างเป็นรองด้วยตำแหน่งที่ปักหลักอยู่
คนที่คุกเข่าสะดุ้งน้อยๆ เขาไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเลย ก็มัวแต่จดจ่อกับสิ่งที่ทำตรงหน้าจนไม่รู้ตัว
“ชาร์ตโน๊ตบุ๊คให้ไงครับ เนี่ยแบตเหลือยี่สิบเปอร์เซ็น”
ผู้บุกรุกลุกขึ้นแล้วหันมาโต้ตอบด้วยสีหน้าวางเฉย ชี้หน้าจอที่ปรากฏสถานะแบตเตอร์รีโน๊ตบุคเครื่องบางให้ดู เอรีสก้าวยาวๆ จนถึงตัว คว้าร่างผู้บุกรุกให้เข้ามาใกล้ ก่อนก้มลงเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
“มาตอนไหน ทำไมไม่ให้ไปรับ”
เสียงนั้นแหบพร่า สีหน้าดูโล่งใจ เมื่อคนที่คิดถึงมาปรากฎตัวเป็นๆ ก่อนเวลาที่นัดไว้วันนึงเต็ม เรื่องแค่นี้ก็พาให้ใจเต้นเร็ว ปากก็แทบหุบยิ้มไม่ได้แล้ว
“ลงเครื่องเสร็จก็เข้าออฟฟิศนี่ล่ะครับ”
อีกฝ่ายตอบนิ่งๆ เก็บความตื่นเต้นไว้อย่างแนบเนียนเช่นกัน ใจก็ขัดเขินอยู่นิดหน่อยที่ตัวเองกลับมายืนตรงหน้าเจ้านายผู้ที่ไม่ว่าจะอยู่ในมาดไหนก็มัดใจเขาได้อยู่หมัดเสมอ
เอรีสยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน พอมองไปที่พื้นยังเห็นกระเป๋าเดินทางสองใบที่วางอยู่
“แต่งตัวเตรียมพร้อมแบบนี้ จะไปไหน?”
เมื่อเห็นว่าปัถย์อยู่ในชุดทะมัดทะแมง ด้วยกางเกงยีนสีเข้มกระชับตัว เสื้อเชิ้ตยีนสีอ่อนไหนจะรองเท้าบูทหุ้มข้ออีก ทำให้ตอนนี้ปัถย์มีมาดนายช่างผู้คุมงานมากกว่าผู้ช่วยประธานบริหาร ก็อดถามไม่ได้ ลุ๊คนี้ก็ดูเท่น่ามองไม่หยอก ก็คงต้องมีคนหันมองจนเหลียวหลัง คิดไปก็มีไอ้ความรู้สึกที่เรียกว่าหวงผุดขึ้นมาดื้อๆ
“ว่าจะเข้าไปที่ไซด์ที่สาทรครับ แต่ผมต้องใช้เอกสารกับแบบ เลยแวะเข้ามาก่อน” ปัถย์อธิบายตามที่คิด แล้วก็ได้น้ำเสียงแข็งๆ สวนกลับมา
“จะไปตอนไหน แล้วทำไมต้องรีบเข้าไปที่ไซด์ขนาดนั้น”
เอรีสนึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่พอปัถย์มาถึง ก็จะไปตรงอื่นก่อนที่จะเจอเขาเสียอีก ถ้าเขาไม่บังเอิญมาเจอ คงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว ใจคอจะโทรบอกกันก่อนก็ไม่ได้ มันน่านักเชียว
เอรีสนึกไปก็ดึงแขนคนตรงหาเข้ามาหาตัว โอบไว้อย่างคนช่างหวง
“ปัญหาด่วนเรื่องงานไม่ตรงสเปคนี่ครับ ผมว่าจะเข้าไปดูสักหน่อย” ปัถย์อธิบาย ยอมให้เอรีสดึงตัวเองเข้าหาตัวโดยไม่โต้แย้ง
“รู้เรื่องแล้วเหรอ?”
เอรีสจ้องลงไปในดวงตาคู่เดิมที่เขาหลงใหล แม้ตอนนี้ปัถย์จะกลับมาสวมแว่นสีดำทรงเดิม ก็ยังดูน่ารักน่าจูบอยู่ดี ทำไหมนะ ผู้ชายเฉยๆ คนนี้ถึงได้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจได้แค่เห็นหน้าก็ไม่รู้ จากเมื่อกี้ที่กำลังหัวเสียหัวร้อนเรื่องสั่งอะไรไปไม่ได้ดั่งใจ พอได้เห็นหน้าปัถย์เขาก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด ฝ่ามือหนาเอื้อมไปกุมหลังคออีกฝ่ายไว้แล้วดันศีรษะทุยให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมองให้หายคิดถึง
“รู้แล้วครับ” ปัถย์เงยหน้าขึ้นมองสบตา แล้วยิ้มอ่อนๆ “เมื่อวานผมเช็คเมล์ถึงได้เห็นเมมโมภายในของฝ่ายโครงการ เลยคิดว่า...ต้องรีบกลับมาดูสักหน่อย”
การตัดสินใจของปัถย์เป็นไปแบบปุบปับ คิดได้ก็จองตัวออนไลน์ เช้ามาก็ขึ้นเครื่องเที่ยวแรกกลับกรุงเทพฯ ในทันที
“หลงดีใจนึกว่ารีบกลับมาหาเรา”
เอรีสแกล้งทำหน้างอนิดพร้อมกับเสียงกระเง้ากระงอด หลงดีใจเก้อ ทีเราตื้อแทบตายไม่ยอมกลับ กับแค่เมมโมภายในฉบับเดียวลากเอาปัถย์กลับมาได้ เขาควรจะดีใจหรือเสียใจกันดีนะ ที่ปัถย์ให้ความสำคัญกับงานมากขนาดนี้
“หรือจะให้ผมกลับบ้านก่อน แล้วค่อยมาอีกทีพรุ่งนี้เช้า เอาแบบนั้นไหมล่ะครับ”
“…”
พอปัถย์ย้อนให้บ้างเอรีสก็ถึงกับเงียบกริบ ดึงปัถย์จนเข้ามาอยู่ในวงแขนแล้วกระชับไว้แน่น ก้มลงหอมแรงๆ ฟอดใหญ่ โดยไม่พูดอะไร เพราะเขาถนัดใช้การกระทำเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกมากกว่า
“ปล่อยก่อนครับ”
วงแขนแกร่งรั้งเอวปัถย์ให้ใกล้เข้ามาอีก จงใจแตะริมฝีปากกับแก้มขาวซ้ายที ขวาทีจนปัถย์ต้องใช้มือดันหน้าหล่อออกจากตนเมื่อถูกรุกหนักไม่ให้ตั้งตัว
“ผมนัดพีเอ็มโครงการไว้ตอนเที่ยงครึ่งที่หน้าตึก จะเข้าไปคุยกันให้เข้าใจกับทางฝ่ายคุมงานจะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก” ปัถย์อธิบายเหตุผลอย่างพยายามให้เป็นการเป็นงาน ใจเต้นตึกตักแต่ก็ฝืนหน้าเคร่ง พูดเป็นการเป็นงาน
“ไม่ต้องไปหรอก ฉันจัดการไปแล้ว นายเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ฉันว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่า” เอรีสยื่นข้อเสนอ แถมยังคลอเคลียนัวเนียไม่ห่าง
“ถ้าอย่างนั้นผมกินข้าวเป็นเพื่อนคุณก่อนแล้วค่อยไป ขอโทรเลื่อนนัดก่อนนะครับ”
ปัถย์ควานหาโทรศัพท์ตั้งใจโทรเลื่อนนัดไปอีกสักชั่วโมง ซึ่งก็ไม่น่าจะกระทบกับแผนที่วางไว้เท่าไร
“ขับรถไปด้วยกันเลยไหม กินข้าวเสร็จแล้วแวะไป”
“ไม่ได้ครับ คุณมีนัดตอนบ่ายสองกับลูกค้าสำคัญ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด เงินมากองอยู่ตรงหน้าแล้ว เซ็นแกร๊กเดียวเงินล้านก็เข้ากระเป๋า เพราะฉะนั้นอยู่ออฟฟิศนะครับ เดี๋ยวผมไปเอง”
ทันทีที่ตัดสินใจจะกลับมาทำงาน ปัถย์ก็เข้าถึงตารางนัดต่างๆ ของเอรีส อย่างที่จัดการมาตลอดหลายปี ถึงได้รู้ว่าตอนบ่ายเอรีสมีนัดสำคัญเพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทท่าเรือที่ต้องการขยายอาคารขนส่งสินค้า สงสัยเอรีสจะลืมสนิทแน่ๆ เลย
เอรีสย่นจมูก บีบแก้มปัถย์เบาๆ สองสามทีเหมือนหยอกเย้า
“นายก็ชอบทำให้ฉันเคยตัว รู้ไหมพอไม่มีนายฉันก็เหมือนคนไร้แขนไร้ขา ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด หันซ้ายก็ปัญหา หันขวาก็มีประเด็น เฮ้อ! แค่ไม่ถึงเดือนฉันแทบจะเส้นสมองแตก มองอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด”
“ก็กลับมาแล้วนี่ไงครับ” ปัถย์จับมือที่ลูบแก้มตนไว้ “คุณน่าจะบอกผม ทนปวดหัวคนเดียวอยู่ทำไม งานอื่นก็เยอะพอแล้ว เรื่องแบบนี้ให้ผมจัดการให้จะง่ายกว่า”
คนช่างห่วงบ่น ถึงจะรู้ว่าเอรีสแก้ปัญหาได้ แต่คนที่คอยเจ้ากี้เจ้าการเรื่องต่างๆ อย่างเขา จะทำใจไม่สนเลยก็คงไม่ไหว
“ห่วงฉันเหรอ?”
เอรีสส่งสายตาเจ้าเล่ห์ออกมาทันที ดันปัถย์จนสะโพกอีกฝ่ายติดกับโต๊ะทำงาน กักร่างเพรียวไว้ในวงแขน ยื่นหน้าไปใกล้จนจมูกชนกัน พอเอรีสรุกก็จงใจรุกให้หนัก ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไรเขาก็พร้อมปฏิบัติการหื่นได้เสมอ
“ผมห่วงคนที่ต้องอยู่รับอารมณ์จากคุณมากกว่า” ปัถย์เบี่ยงหน้าหนี หลบริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นพัลวัล น้ำเสียงก็กดต่ำเพื่อปรามคนชอบเอาเปรียบ
เอรีสยิ้มกว้างให้กับคนที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่พอให้สีหน้าบึ้งๆ ก็เลยไม่แกล้งต่อ
“ฉันเกือบไล่ออกไปหลายคน ดีนะนึกคำพูดที่นายเคยพูดขึ้นมาได้”
คำพูดที่บอกว่าคนทำงานมันต้องมีผิดพลาด ยิ่งทำงานเยอะความผิดพลาดมันก็เยอะ เราในฐานะหัวหน้าก็แค่คอยแก้ปัญหาไป อย่าไล่บี้หาความผิดจากลูกน้องเพราะเราทำงานกันเป็นทีม ถ้าจะผิดก็ผิดทั้งทีม คนที่อยู่บนสุดนั่นล่ะผิดมากที่สุด
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวผมต้องไปไซด์ต่ออีก”
“โอเค แต่ขอจูบให้หายคิดถึงก่อนนะ แล้วค่อยไป”
.......
ปัถย์เดินตรวจงานพร้อมวิศวกรภาคสนามกับทีมหัวหน้าโฟร์แมนที่ควบคุมงานก่อสร้างทั้งหมด ใช้เวลาราวสองชั่วโมงภารกิจจึงเสร็จสิ้น ภาพรวมของงานไม่มีปัญญหาอะไรน่าห่วง แต่ก็ยังกำชับกับทุกฝ่ายห้ามเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ทุกฝ่ายก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะระวังการทำงานในส่วนของตัวเองเพื่อที่จะลดข้อผิดพลาดที่ไม่ควรเกิด
“ยังไงผมต้องฝากพวกคุณเร่งงานในส่วนของห้องบอลลูมให้ทันตามกำหนดส่งมอบด้วยนะครับ ส่วนเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่เดี๋ยวผมจะช่วยคุยกับคุณเอรีสให้เอง”
“ได้ครับคุณปัถย์ ผมรับปากครับว่าจะไม่ให้ล่าช้าหรือผิดพลาดอีกแน่ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อน เรื่องแผนงานที่ผมขอให้ปรับ ยังไงช่วยอัพเดตให้ผมพรุ่งนี้ก่อนสิบเอ็ดโมงนะครับ”
“ผมส่งเมล์โดยตรงได้ที่คุณเลยใช่ไหมครับ”
“ส่งถึงผมครับ แล้วก็ซีซีถึงทุกฝ่ายด้วยจะได้รับทราบพร้อมกัน”
“ครับ”
“ผมมีเรื่องรบกวนแค่นี้ พวกคุณไปทำงานต่อเถอะครับ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการกับโฟร์แมนอีกสองคนกลับยกมือไหว้ตามมารยาทและขอตัวไปทำงานของต่อ เหลือเพียงแค่ศรันย์วิศวกรประจำโครงการที่อาสาเดินมาส่งปัถย์ถึงไซท์ออฟฟิศ
“ดีใจนะครับที่คุณปัถย์กลับมา ตอนคุณปัถย์ไม่อยู่พวกเราทำงานกันยากมาก ขออนุมัติอะไรไปก็ไม่คืบหน้าสักอย่าง พูดไปก็เหมือนขี้ฟ้อง” ศรันย์พูดระหว่างที่เดินคู่กัน
ด้วยที่ศรันย์จบมาจากสถาบันเดียวกัน ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องทำให้คุยกันง่าย ไม่ต้องอรัมภบทให้มากความ
“มีอะไรที่ค้างอยู่เดี๋ยวผมจะไปจัดการต่อให้ แต่ผมขอลำดับความสำคัญก่อนนะครับ”
“ครับ แล้วนี่ปัถย์กลับยังไงครับ”
ศรันย์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมากับโปรเจคเมเนเจอร์ประจำโครงการ แต่ตอนนี้ฝ่ายนั้นต้องปลีกตัวไปประชุมกับทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรม
“คงรถไฟฟ้าครับ”
“เข้าไปตรวจงานในออฟฟิศหน่อยไหมครับ” ศรันย์เชื้อเชิญ เวลาที่ฝ่ายบริหารมาดูงานบ่อยๆ เจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อยจะได้กระตือรือร้น เร่งสร้างผลงานให้ปรากฎ
“โอเคครับ เดี๋ยวเข้าไปดูก่อนก็ได้ เผื่อฝ่ายไหนมีอะไรด่วน”
หว่างนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยประเด็นปลีกย่อยอีกหลายเรื่อง ข้อมูลที่ปัถย์อยากรู้ได้ถูกถ่ายทอดทีละเด็น พอมาถึงออฟฟิศสนามหัวหน้าที่อาวุโสผู้ที่คอยประสานงานรีบปรี่มาบอกชายหนุ่มทันทีที่เห็นหน้า
“คุณปัถย์คะ คุณเอรีสมารอคุณอยู่ที่ห้องประชุมด้านในค่ะ” ใบหน้าสวยที่ดูแตกตื่นเหมือนกับว่ากำลังเผชิญกับเรื่องใหญ่เรื่องโต
“คุณเอรีสมาเหรอ?”
ศรันย์ที่กำลังถอดหมวกนิรภัยสีขาวออกถามอย่างสนอกสนใจ ทั้งประหลาดใจและกังวลอยู่ลึกๆ ตามประสาพนักงานชั้นผู้น้อยที่เมื่อนายมาก็กังวลโน่นกังวลนี่เป็นธรรมดา
ไม่บ่อยครั้งนักที่เจ้านายใหญ่จะปรากฎกายที่ไซด์งานแบบปัจจุบันทันด่วน ทุกทีก็จะมีตารางตรวจงานที่แน่นอนว่าวันไหน และเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายต่างๆ จะเตรียมข้อมูลความพร้อมกันล่วงหน้ากันเป็นสัปดาห์ ให้พร้อมหากผู้เป็นเจ้านายต้องการทราบอะไร แต่การที่จะมาแบบไม่บอกนั้นไม่เคยมีเลย
“มานานหรือยังครับ”
“สักสิบนาทีได้ค่ะ เชิญคุณปัถย์ด้านในเลยดีกว่า เชิญค่ะ เชิญ”
ปัถย์ผ่านพนักงานฝ่ายต่างๆ ที่ถึงแม้จะจดจ่อกับงานที่เร่งมืออยู่เพียงใด ก็ยังแบ่งความสนใจลอบมองเขาไปตลอดทาง
ปัถย์เปิดประตูห้องรับรองจึงได้พบกับเอรีสที่จงใจเปลี่ยนห้องนี้เป็นออฟฟิศเคลื่อนที่ เขาเหลือบตามองเขาที่ผ่านประตูเข้ามาเล็กน้อย ก่อนกดแป้นคีย์บอร์ดแลปท็อปเครื่องบางตรงหน้ารัวๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
“รอแป๊บนะ ขอตอบเมล์นี่ก่อน”
ปัถย์เดินยืนอยุ่ฝั่งตรงข้าม เขาวางหมวกนิรภัยสีขาวช้าๆ แล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งมองเจ้านายที่โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผ่านไปครู่หนึ่งเอรีสจึงเงยหน้าจากหน้าจอ แล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วมองปัถย์ด้วยหางตา
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ก็มารับกลับไง” เอรีสขยับแก้วน้ำเย็นของตัวเองให้ปัถย์ อีกฝ่ายรับมาอย่างไม่อิดออด แล้วกระดกอึกใหญ่จนหมด
“คุณขับรถมาเองหรือครับ” ปัถย์ถามหลังจากนั้น
“อืม...” เอรีสพยักหน้า “นายเสร็จแล้วใช่ไหม จะได้กลับ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“กลับเลยไหม นี่ก็จะห้าโมงแล้ว”
“ขอสักสิบนาทีได้ไหมครับ ผมอยากเดินไปคุยกับวิศวกรงานระบบ กับฝ่ายโครงการอีกสักหน่อย”
“โอเค เดี๋ยวนั่งทำงานรออยู่ในนี้แล้วกัน
หลังจากนั้นสามสิบนาที เอรีสก็นั่งหน้าบึ้งอยู่บนรถคันโปรด มีปัถย์รั้งตำแหน่งสารถีเช่นเคยเพราะรู้ว่าเอรีสคงไม่อยู่ในโหมดที่จะพาเขาทั้งคู่กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รังสีอำหิตกระจายไปทั่วระยะสิบเมตร
“ต่อไปไม่ต้องมาคนเดียวแล้วนะ คิดแล้วน่าโมโห” เอรีสกระแทกเสียง แต่จะอาละวาดแรงๆ ก็ไม่กล้า
“...” ปัถย์นิ่งฟัง รออยู่ว่าอีกฝ่ายจะโวยวายอะไรต่อ
“เพิ่งรู้นะว่าไซด์นี่มีพวกลิ้นไรมันเยอะขนาดนี้”
“ครับ?”
“ก็ไอ้พวกที่มองนายน้ำลายยืดนั่นไงล่ะ เห็นแล้วรำคาญชะมัด”
“คุณก็พูดไปเรื่อย ที่นั่งหน้าบึ้งหน้าตึงเพราะเรื่องนี้เหรอครับ” ปัถย์เอียงคอถาม แล้วหันกลับไปสนใจถนนเมื่อไฟเขียวปรากฎ “เขาแค่อัธยาศัยดี”
“อัธยาศัยดีกับผีน่ะสิ แลกไลน์เหรอ? ฮึ! นึกว่ารู้ไม่ทันหรือไง จะมาอ่อยคนของฉันเหรอ ห่างชั้นไปสิบปี”
ปัถย์เผลอหัวเราะกับคำว่าอ่อยที่เอรีสพูด นี่คิดจริงคิดจังไปถึงไหน บทจะเป็นคนขี้หึง ก็หึงเก่งหึงถี่เสียเหลือเกิน
“เขาไม่ได้อ่อยผมหรอกครับ แต่ถึงอ่อยจริงผมก็ไม่ได้ชอบ แบบนั้นไม่ใช่สเปคผม”
วิศวกรผิวเข้มคนนั้นเหมาะจะเป็นเพื่อนกินเหล้ามากกว่าจะเป็นแฟน... อีกอย่างถ้าไม่ใช่เอรีสปัถย์ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะพัฒนาความสำพันธ์อะไรกับใครอีกได้ ดูอย่างธีรนัยเป็นตัวอย่าง สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าไปไม่รอด ไม่มีความรู้สึกว่าใจพองโตฟูฟ่องเหมือนเวลาที่อยู่กับคนข้างๆ ที่นั่งหน้าบูดตอนนี้
“ก็ไม่พอใจไง ถึงนายไม่สนใจแต่ฉันก็ขวางหูขวางตาอยู่ดี ไม่ติดว่าทำงานดีนะ ไล่ไปอยู่ไซด์ไกลๆ แล้ว”
พูดไปบ่นไป แต่ปัถย์ก็ไม่ได้เก็บมาเป็นสาระจริงจัง เอรีสก็แค่พูดแต่เขาเป็นคนมีเหตุผล แยกแยะได้ คงไม่ทำแบบนั้นจริงๆ หรอก
“คุณไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลแบบนั้นสักหน่อย อีกอย่างถ้าเขาอ่อยผมจริงก็ไม่น่าจะเป็นไรนะครับ ผมยังโสดทั้งแท่ง” ปัถย์แกล้งพูดให้เอรีสโมโหเล่น ซึ่งคนถูกหยอกก็ค้อนขวับและโวยวายทันที
“เดี๋ยวเถอะ พูดแบบนี้ระวังจะโดนนะ”
เสียงแข็งดวงตาคมกริบเอาเรื่อง แม้จะรู้ว่าปัถย์แกล้งพูด แต่ใจก็พาลรู้สึกหงุดหงิดจนแทบลมออกหู
“ดุจังนะครับ”
” ดุสิ ถ้าใครมาวอแว ฉันรู้เมื่อไร เอาตาย”
ปัถย์หัวเราะในคอ ใช้มือข้างซ้ายไปลูบหัวเข่าของคนหัวร้อน
“ใจเย็นครับ ใจเย็น นี่คุณโมโหหิวหรือเปล่า”
“ไม่ใช่” เอรีสบอกเย็นไม่ได้โกรธเป็นจริงเป็นจัง พอใจที่ปัถย์ยอมง้อเขาบ้างเสียด้วยซ้ำ “ว่าแต่สเปคนายเป็นยังไง แบบฉันนี่เรียกว่าใกล้เคียงไหม”
“คุณเหรอครับ...” ปัถย์กลั้นยิ้ม ยิ่งเห็นเอรีสกระตือรือร้นก็ยิ่งนึกสนุก “ก็ไม่ใกล้เหมือนกัน ผมชอบผมยาว ตัวเล็ก ตาโต ยิ่งพูดอ้อนๆ คะๆ ขาๆ นี่แพ้ทางเลย”
เอรีสอ้าปากค้าง สีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“...”
“ถ้าได้คนที่ทำกับข้าวเก่งๆ นี่ยอมเลยครับ”
เอรีสที่กำลังจะโวย พอเห็นท่าทางกลั้นหัวเราะก็เลยรู้ว่าตัวเองกำลังถูกปั่นหัว ปัถย์ที่กำลังอารมณ์ดี ต่อปากต่อคำอย่างที่ทำมาตลอดหลายปี มันทำให้เอรีสยิ้มออกและพอใจกับสถานะอันคุ้นเคยที่กำลังกลับมา
“แกล้งใช่ไหมเนี่ย”
“คุยกันมาตั้งนานสองนาน เพิ่งรู้หรือครับ ความรู้สึกช้าไปเยอะเลยนะครับ”
“นายนี่นะ... ร้ายมาก เดี๋ยวเถอะอย่าให้ฉันได้โอกาส จะเอาคืนให้หนักเลย คอยดู”
“ก็อย่าเป็นคนขี้โมโหสิครับ” พูดจบปัถย์ก็จอดรถที่คอนโดหรูของเอรีสพอดิบพอดี
“ขึ้นไปข้างบนก่อน เดี๋ยวมีอะไรให้ดู” เห็นปัถย์นิ่งค้าง เอรีสจึงรีบพูดต่อ “เรื่องงาน ทำหน้าแบบนั้น คิดอะไรอยู่เหรอ...อ่ะๆ” เอรีสแกล้งชี้หน้าแล้วจุ๊ปาก จนปัถย์ได้แต่ส่ายหัวกับท่าทางทะเล้นๆ ของเขา
ชายหนุ่มทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ โดยหยอกเย้ากันมาตลอดเวลา แต่เมื่อมาถึงห้องชุดสุดหรู ปัถย์ก็เข้าเรื่องงานทันที
“เอรีสครับ เรื่องการประมูลของคุณเจซี คุณได้ข้อมูลประกอบครบหรือยัง”
ปัถย์เดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วให้ทั้งตัวเองกับเจ้านาย ความคุ้นเคยในทุกตารางนิ้วกลับมาในทันที ไม่ว่าจะตรงในในห้องชุดสุดหรูแห่งนี้อยู่ในความทรงจำของเขา
“อืม ครบ ฉันว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่พอดี” เอรีสปลดเนคไทออกช้าๆ แล้วนั่งแผ่ลงบนโซฟา เขาหมุนคอสองรอบก่อนหยิบไอแพทส่วนตัวขึ้นมาเปิด
“ว่าไงครับ”
“นายช่วยลงดีเทลเรื่องนี้ให้หน่อยสิ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานนี้ พูดตรงๆ ไม่ไว้ใจใครจริงๆ”
“ผมจัดการให้ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเอาข้อมูลที่คุณฐิติมาต่องานให้เอง”
“อีกอย่าง...อย่าให้ฐิติยุ่งกับงานนี้ รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น” เอรีสกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาของเขาบอกเล่าความคิดได้ว่าเจ้าตัวกำลังระแวงแคลงใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“...” เอรีสเงียบ
“อย่าเงียบสิครับ”
“ฉันกลัวว่าถ้าเล่าความจริงให้นายฟัง แล้วนายจะช็อคน่ะสิ”
เอรีสพูดติดตลก ทั้งที่เรื่องนี้ซีเรียสแบบละเลยไม่ได้ ถ้าเขารู้ช้ากว่านิดสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ก็คงจะพังครืน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมูลค่าสูงมาก
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ปัถย์ถาม ทั้งที่สงสัยแต่ก็ไม่กล้าเดาไปในทางร้าย ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาสังหรณ์ ความผิดส่วนหนึ่งก็คงมาจากที่เขารับคนที่ไม่น่าไว้ใจเข้ามาข้างกายเอรีส
เอรีสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนส่งไอแพทในมือให้คนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ปัถย์เห็นดังนั้นเลยวางแก้วน้ำลง แล้วรับหน้าจอที่เปิดค้างไว้ แค่แวบแรกที่เห็นปัถย์ก็กะพริบตาอยู่หลายครั้ง คล้ายไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
“นี่มัน... คุณได้รูปพวกนี้มายังไงครับ”
ไม่ใช่รูปตัดต่อ ไม่ใช่รูปคนหน้าเหมือน นี่มัน...ฐิติกับธีรนัยที่กำลังบดบดจูบกันอย่างถึงพริกถึงขิง เมื่อเลื่อนแหเรื่อยๆ ภาพลับสิบแปดบวกก็ยิ่งตอกย้ำความจริงว่าผู้ช่วยที่เขาหามาเพื่อแทนตัวเอง กับอดีตคนเคยคุยช่างลึกซึ้งกันแบบถึงเนื้อถึงตัวยังไง
“นักสืบเอกชน”
“ผมอยากจะบ้า ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ขอโทษนะครับเอรีส ผม... ผมผิดเอง”
ปัถย์ยกมือกุมขมับ ให้ตายสิ! บ้าที่สุด บ้ามากๆ
” โทษตัวเองทำไม ไม่เกี่ยวกับนายเสียหน่อย”
“ก็ผมรับคุณฐิติเข้ามา ผม...”
เอรีสดึงมือปัถย์ให้ลงมานั่งข้างๆ ฉวยเอาไอแพทในมือโยนทิ้งไปอย่างไม่สน ตอนนี้เขาห่วงความรู้สึกของคนตรงหน้ามากกว่า
“ก่อนหน้านี้ธีรนัยเข้าหานายก็เพราะจุดประสงค์แบบนี้ไง แต่เพราะนายไม่ใช่คนที่จะโน้มน้าวให้ทำเรื่องพวกนี้ง่ายๆ ฉันก็เลยไม่เสียนายไป มันคอยทำทุกอย่างให้ฉันล่มจม แต่ฉันก็รู้เหลี่ยมของมัน”
“ที่คุณธีรนัยเข้ามาตีสนิทกับผมเพราะว่าอยากหลอกใช้ผมหรือครับ ทุเรศมาก”
ปัถย์รู้สึกโกรธมาก มันช่างเป็นวิธีการที่โคตรจะสกปรก ต่ำและไร้ศักดิ์ศรีมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูดีจะมีความคิดในด้านมืดเลวร้ายถึงขั้นนี้
“ธีรนัยทำได้ทุกอย่าง จะเลวหรือชั่วกว่านี้ก็ทำมาแล้ว”
“ผมนี่โง่จริงๆ เลย” ปัถย์ต่อว่าตัวเอง กำลังคิดอยู่ว่าถ้าเจอธีรนัยตอนนี้ เขาอาจปล่อยหมัดใส่หน้าหล่อๆ สักหมัด
“สองคนนี้คบกันมาเงียบๆ หลายปีแล้ว แต่เพราะฐิติทำงานอยู่สิงคโปร์เลยไม่มีใครรู้กันมากนัก แต่นายไม่ต้องไปคิดมากหรอก คนมันจะเลวมันก็หาวิธีทุกรูปแบบที่จะมาเล่นงานฉันนั่นล่ะ ต่ำช้ายังไงมันก็ทำ” เอรีสลูบหลังคนข้างกาย โอบบ่ารั้งร่างเพรียวเข้าหาตัวแล้วลูบหัวเบาๆ เพื่อปลอดใจ “นายแค่มองไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนเลว เพราะนายเป็นคนดีไง”
“ผมโง่งี่เง่าต่างหากครับ” ปัถย์ยังต่อว่าตัวเอง “ดูสิ แถมเอาศัตรูมาไว้ข้างตัวคุณ ถ้ารู้ไม่ทันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ผมผิดเต็มๆ”
แน่นอนว่าปัถย์กำลังนึกโทษตัวเอง คนที่ทำอะไรรอบคอบเสมอแบบปัถย์ต้องมาเจอกลลวงของคนเลวก็มีอาการเสียเซลฟ์เป็นธรรมดา
“ไม่เอานะ ไม่ทำหน้างอด้วย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป แค่นายกลับมากำลังใจก็มาเป็นกอง ร้อยธีรนัย ร้อยเฟยหลงฉันก็ไม่แคร์”
“ศัตรูคุณเยอะจัง” ปัถย์พึมพำพลางย่นจมูก ไซ้หัวกับฝ่ามือหนาที่วางนิ่งอยู่บนหัว
“... แล้วจะทิ้งกันไปไหมล่ะ” เอรีสแกล้งถามคนที่นั่งคอตกอยู่ข้างๆ ดูสิ หน้าเหี่ยวเศร้าสร้อยจนน่าสงสาร “อยู่ด้วยกันก่อนะครับ” เอรีสอ้อนใส่เพื่องเบนความสนใจ ไม่อยากให้คนสำคัญคนนี้รู้สึกเฟลล์กับคนเลวๆ พันธุ์นั้น มันไม่มีค่าพอให้นึกถึงเสียด้วยซ้ำ
“บอสรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“สงสัยตั้งแต่ก่อนไปกระบี่ ฐิติทำตัวแปลกๆ เคยเห็นครั้งหนึ่งว่าเดินมาค้นเอกสารในลิ้นชักของฉัน แล้วที่ชัดๆ ก็คงเป็นตอนไปกระบี่ เขาก็แอบไปที่ล๊อบบีขอคีย์การ์ดสำรองตอนฉันไปหานาย เดาว่าคงไปหาอยากไปหาข้อมูลคาบไปบอกผัว ฉันเลยแกล้งจดอะไรขยุกขยิกลงไปมั่วๆ ซั่วๆ แกล้งคน” เอรีสยักไหล่ สีหน้ากวนๆ พาให้บรรยากาศเครียดๆ เมื่อครู่คลายตัวลงไปกว่าครึ่ง
ปัถย์แทบปล่อยก๊ากกับคำว่าผัวที่เอรีสว่า... ปากร้ายชะมัด
บทจะพูดจาก็
“จะปล่อยเขาไว้แบบนี้เหรอ ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือครับ”
“อีกไม่นานหรอก ฉันแค่รอเวลาเหมาะๆ ระหว่างนี้นายก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คิดเสียว่าดูละครลิงขำๆ แก้เบื่อไปก่อนนะ ทำใจให้สบาย” เอรีสไม่พูดเปล่า ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบแก้มบึ้งๆ ของปัถย์ให้คลายความเครียดลง
ปัถย์เอนตัวซบเอรีส ปล่อยให้อ้อมกอดแกร่งโอบล้อมตัวเองไว้ แล้วครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าตัวเองเดินดูงานเสียจนเหงื่อชุ่ม เนื้อตัวก็มีแต่ฝุ่น คิดดังนั้นก็ดันตัวออกห่าง
“หืม...” เอรีสส่งเสียงในคอด้วยความงุนงง ยิ่งเห็นปัถย์ขืนตัวอาการเปลี่ยนไปเร็วก็เลยงง
“ตัวเหม็นครับ”
“ไหนดูสิ เหม็นยังไง อือ... ไม่นะ” เอรีสแย้ง สองมือก็ดึงปัถย์เข้าหาตัว ยังใช้จมูกสูดกลิ่นตัวที่ดมยังไงก็ไม่เบื่อไปอีกหลายต่อหลายครั้ง “ดมอยู่เนี่ย... ก็หอมดีนะ ตรงนี้ก็หอม ตรงนี้ก็หอม”
เอรีสผละจากแก้มไปที่ซอกคอ จากซอกคอก็เป็นหัวไหล่และแผ่นหลัง ไล่ไปเรื่อยเพื่อพิสูจน์คำพูดตัวเอง กลิ่นของปัถย์ผสมระหว่างความเป็นบุรุษเพศกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้สบายใจ กลิ่นเหงื่อที่ปัถย์กังวลว่าเหม็น กลับเป็นกลิ่นที่เมื่อสูดเข้าไปแล้วปลุกอารมณ์ดิบให้โชนพลังขึ้น ความวาบหวามเร้นลับแล่นพล่านไปทั้งร่าง จะบอกว่าใกล้เคียงกับคำว่ากลัดมันก็คงได้
ที่คิดว่าจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นๆ กลายเป็นว่าความทรมานนั้นกลับมาตกอยู่ที่เขาเสียเอง จะเร่งรัดไปก็จะดูวู่วามเอาเปรียบ แต่จะใจเย็นนั่งมองเป็นฤาษีก็คงไม่ใช่วิถีของเขา
“อือ... เดี๋ยวครับ”
ปัถย์สะท้านเพราะปากของเอรีสที่ปะปายที่ต้นคอ ซ้ายบ้างขวาบ้าง ทั้งขบทั้งเม้มจมูกก็ดม ปากก็งับ นี่ไม่น่าใช่สัญญาณที่ดี เสี่ยงมากที่จะโดนเอารัดเอาเปรียบถูกจับกินจนเหลือแต่กระดูก
^^^^
งือออ
จะรอดไหมหนอ...