Chapter 25
{ ปั ถ ย์ }
แม้จะผ่านไปนับชั่วโมง ความรู้สึกจากการสัมผัสอบอุ่น ชิดเชื้อ ยังคงอบอวลอยู่ในบรรยากาศ
ผมอยากรักษาความสุขนั้นไว้ให้เนิ่นนานเท่าที่จะทำได้ แต่มันจะนานแค่ไหน ก็สุดปัญญาที่ผมจะหาคำตอบ
การบังเอิญได้ยินเอรีสคุยโทรศัพท์กับอดีตคนรักเก่า ทำให้ผมเหมือนถูกก้อนหินก้อนมหึมาทับลงมาใจกลางหัวใจ
ทั้งที่โดยนิสัยผมไม่ใช่คนประเภทขี้หึงขี้ระแวง แต่ในตอนนี้ผมกลับรู้สึกหวงเขาจนแทบบ้า ถึงขั้นอยากเดินไปกระชากโทรศัพท์จากมือเขา ปาทิ้งลงพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ความรักกำลังทำให้ผมเป็นคนไร้สติใช่ไหม...
ความรักกำลังทำให้ผมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่ประมาณขีดความสามารถของตังเอง
ผมนั่งมองฝ่ามือตัวเอง หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อให้รู้สึกใจเย็นลง คิดไปคิดมาก็อยากรู้ว่าในใจเอรีสตอนนี้ รัน... ยังเป็นที่หนึ่งอยู่หรือเปล่า หัวใจทั้งสี่ห้องของเขาจะพอมีซอกเล็กๆ ให้ผมขยับเข้าไปได้หรือไม่ หรือผมจะเป็นได้แค่แขกแปลกหน้า มีสิทธิ์แค่ขอบประตู ที่ไม่มีทางย่างกลายเข้าไป
ทำได้แต่ถอนใจ ประเมินสถานะที่มีตอนนี้ของตัวเอง ว่ามีค่าสูงพอที่จะแสดงความหึงหวงออกมาหรือเปล่า
ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวอยู่ครู่ใหญ่ จนประตูห้องถูกเปิด และเอรีสก็เดินเข้ามา
เขาดูตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมยังตื่น ผมจ้องไปที่ดวงตาสีอ่อนคู่นั้นผ่านความมืด อยากรู้สิ่งซุกซ่อนอยู่ในใจของผู้ชายคนนี้ ความสงสัยกัดกินผมจนแทบสติเสีย
“ฉันทำนายตื่นเหรอ”
เอรีสที่สวมเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์เดินผมยุ่งแต่ก็ยังหล่อยั่วใจ ลอนหน้าท้องหกแพคขยับน้อยๆ ยามก้มลงเก็บหมอนที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้น แล้วเดินส่งยิ้มเล็กน้อยขณะกลับมาที่เตียง
“ไปไหนมาครับ”
ผมถามไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบอันแท้จริงอยู่แล้ว
“หิวน้ำน่ะ” เอรีสหลบตาตอนที่ตอบคำถาม ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน
เขากำลังโกหก... คำโกหกง่ายๆ แต่ก็สามารถสร้างรอยแตกขนาดใหญ่ให้กับหัวใจเล็กๆ ของผม การต้องสานความสัมพันธ์กับผู้ชายที่เต็มไปด้วยภาพจำจากคนในอดีต มันช่างเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึง ต่อให้ผมจะแข็งแกร่งและมั่นคงในความรู้สึกเพียงใด แต่การต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ก็ทำให้ผมถึงกับใจบาง
ในชีวิตผม ไม่เคยร้องไห้ให้กับความรัก
ถ้าจะมีครั้งแรก มันก็อาจจะเป็นครั้งนี้ ถึงน้ำตาของผมจะไม่ได้ไหลผ่านสองตา แต่ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่า หัวใจดวงเล็กๆ นี้กำลังร่ำไห้
ผมตื่นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกของคนที่กำเดินเข้าสู่หายนะทางอารมณ์ ใจก็ขุ่นมัว แม้แต่เสียงนาฬิกาก็ยังทำให้ผมรำคาญจนแทบอยากปาโทรศัพท์มือถือทิ้ง ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงตั้งสติได้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียง
เมื่อหันไปข้างตัว ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นแนบชิดที่โอบกอดไว้ตลอดคืน ไม่มีถ้อยคำอรุณสวัสดิ์ยามเช้า นั่นยิ่งทำให้ผมจิตใจวูบโหวงห่อเหี่ยว
เมื่อคืนผมนอนหันหลังเอรีส เพราะมัวจมอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แต่เขากลับขยับเข้าหาโอบผมไว้จากด้านหลัง เนื้อแนบเนื้อ ลมหายใจเป่ารดลมหายใจ แต่ความใกล้ชิดนั้นกลับทำให้หลับไม่ลง สมองพาลแต่จะคิดเตลิดไปในทางร้ายกาจ จนกระทั่งเกือบรุ่งสางถึงเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ผมสลัดอาการสลึมสะลือออกไป ลุกขึ้นนั่งห้อยขากับเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะกดเช็คข้อมูลแจ้งเตือนแต่แอพลิเคชันต่างๆ อีกเล็กน้อย
เมื่อเดินไปที่ยังห้องน้ำ ด้านในว่างเปล่า ผมเลยเดินเข้าไปจัดการกับกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ผ่านไปราวสิบห้านาทีจึงออกมายังด้านนอก
ในตอนนี้เอรีสที่แต่งตัวเรียบร้อย ผมของเขาเรียบแปร่ จะเหลือก็แค่ยังไม่ได้ผูกเนคไท ซึ่งเขาก็วางพาดไว้กับเก้าอี้ใกล้ๆตัว เท้าผมชะงักเมื่อตอนที่เขาหันมายิ้มให้ ชูกาแฟแก้วนั้นให้ดู
“กาแฟของนาย”
เอรีสเดินมาหา ยื่นแก้วกาแฟหอมกรุ่น ส่งรอยยิ้มอันเป็นแบบฉบับเฉพาะตัว ที่มองยังไงก็ไม่มีวันเบื่อ
ผมรับกาแฟแก้วมาโดยไม่อิดออด พึมพำขอบคุณเบาๆ แต่ความรู้สึกก็ยังเฉื่อยชาซึมเซา
“นอนไม่หลับเหรอ ตานายคล้ำๆ อยากหยุดพักอีกวันไหม”
เอรีสเดินมาจับหน้าผม ใช้นิ้วก้อยเกลี่ยใต้ตาอย่างอ่อนโยน ก่อนไล่ปลายนิวมาลูบสันจมูกผมอย่างเพลินมือ ใบหน้าหล่อบาดใจก้มลงมาและแตะริมฝีปากที่แก้มผมทีหนึ่ง ถ้าเป็นในเวลาปกติผมคงแก้เขินด้วยการหัวเราะ แต่ตอนนี้สมองของผมมีแต่การตั้งคำถาม
นี่ใช่การกลบเกลื่อนตอนที่เขาทำอะไรผิดไว้หรือเปล่า?
“ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี”
“ดื่มกาแฟก่อน แล้วบอกทีนะ ว่ารสชาติผ่านไหม ตั้งใจชงให้นายชิมเลยนะเนี่ย พอนายบอกให้หัดชงเองฉันเลยลองดู จะได้ไว้ชงให้นายด้วยไง”
ผมจิบตามคำขอ แต่ลิ้นกลับฝือเฝื่อนไม่รับรู้รสชาติ ต่อให้กาแฟแก้วนี้ขมเหมือนบรเพ็ช ปลายลิ้นก็ไม่รับรสไปแล้ว
“รสชาติดีครับ”
ตอบไปแกนๆ เบี่ยงตัวออกห่างเพราะความใกล้ชิดนี้ยิ่งทำให้ผมอยากร้องถามสิ่งที่ค้างคาในใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อคืน ฉันรังแกนายหนักไปเหรอ?”
“...”
“ก็นายน่ารัก ฉันเลยอดใจไม่ไหว”
“...”
ผมไม่โต้ตอบ จนเอรีสรับรู้ได้ว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นด้วย เขาเลยยักไหล่น้อยๆ แล้วทำหน้าขออภัย
“วันนี้ฉันขับรถให้นะ นายดูเหนื่อยไม่ต้องขับหรอก จะงีบหลับก็ได้ พอถึงแล้วจะปลุก”
เอรีสเอาใจ สีหน้าที่แสดงออกถึงความตั้งใจทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธ
“ก็ได้ครับ”
ผมพยักหน้า ไม่อยากต่อปากต่อคำให้มากเรื่องมากความ ก่อนจะกระดกกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว แล้วเดินไปที่ซิงค์เพื่อล้างแก้วกาแฟของตัวเอง ระหว่างนั้นผมมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปยังด้านนอก รถราเริ่มจอแจแล้ว แต่ถ้าโชคดีวันนี้อาจจะรถไม่ติดก็ได้...
“ผูกให้หน่อย”
เอรีสยื่นเนคไทผ้าไหมสีน้ำเงินมาให้
ผมลังเล ด้วยเพิ่งล้างแก้วเสร็จ มือทั้งสองข้างก็ยังเปียกซกอยู่ สายตาพลันเห็นผ้าเช็ดมือใกล้พับไว้อยู่ เลยจงใจเช็ดมือช้าๆ รอดูท่าทีว่าเอรีสจะยังรออยู่หรือเปล่า
ซึ่งเอรีสก็แสดงสีหน้ารอคอยอย่างมีความหวัง เมื่อทนการรบเร้าจากสายตาคมไม่ไหว ผมจำใจรับมาตวัดรอบคอ เขาก้มลงเล็กน้อยเพื่อให้ผมทำงานได้สะดวก คางของเอรีสอยู่ในระดับสายตาของผม ซึ่งผมก็ตัดใจไม่เงยขึ้นไปมองเพราะไม่อยากจะให้ตัวเองใจสั่น... ต่อให้ใกล้ชิดกันมาหลายครั้งเพียงใด ผมก็ยังหวั่นไหวกับอะไรพวกนี้อยู่ดี
มันอยากที่จะรักเอรีสโดยไม่เจ็บ แต่คนส่วนใหญ่มักชอบทำในสิ่งที่รู้ว่าอันตราย ต่อให้รู้ว่าเล่นกับไฟก็พร้อมกระโจนลงไป ไม่คำนึงถึงผลลัพท์ที่จะเกิด
“เสร็จแล้วครับ”
เอรีสจับมือผมที่ขยับเนคไทให้ค้างไว้ ก่อนจูบกลางหลังมือเบาๆ ริมฝีปากอุ่นทำให้ผมขนลุกซู่
ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ เอรีสกลายเป็นคนขี้อ้อนที่อันตรายต่อหัวใจสุดๆ จากคนที่ดูเฉยชาไม่แสดงออกปากร้าย พอได้เข้าโหมดหว่านเสน่ห์ ก็เรียกอาการเขินจากผมได้ตลอด
ผมชะงัก จะพูดก็พูดไม่ออก ต้องแก้เก้อด้วยการใช้มือข้างที่เหลือขยับปกคอเสื้อของเขาอีกครั้ง และถอนใจ
“เรารีบออกเถอะครับ เดี๋ยวรถติด”
เอรีสก้มลงอีกนิด กดริมฝีปากอุ่นหนาประทับบนปากเย็นชืดของผมช้าๆ หัวใจผมเต้นเร็ว ลมหายใจติดขัดจากความคาดหวังรอคอย ถ้าได้รอยจูบปลอบประโลมอาการของผมคงดีขึ้น...
ถ้าเอรีสแสดงออกซ้ำๆ ว่าเขายังต้องการผม ผมอาจมีความมั่นใจ
จูบของเอรีสอบอุ่น เรียกร้อง ลิ้นเกี้ยวกระหวัดกระตุ้นการสนองตอบ ผ่านไปครู่ใหญ่ที่ผมเป็นฝ่ายผลักเอรีสออก หากไม่รีบหยุดเราทั้งคู่คงได้ไปทำงานสายกันแน่ๆ เอรีสผละออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเสียดาย เราต่างจ้องตากัน และเอรีสใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากล่าง และมุมปากของผม เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายวาววับ
“...”
“งั้น...ไปกันเลยนะ ก่อนที่เราจะต้องลางานกันทั้งคู่”
เอรีสเป็นคนอาสาขับรถโดยผมไม่มีทางปฏิเสธความต้องการอะไรของเขาได้
ระหว่างทางเขาคอยกุมมือผมไว้ ยิ่งเวลารถติดเอรีสหันมาจ้องมองผมตรงๆ ก่อนจะสรรหาเรื่องร้อยแปดมาชวนพูดชวนคุยสารพัด ราวกับว่าเราไม่ได้คุยกันมาทั้งปี
อารมณ์ของผมดีขึ้นตามลำดับ ผมเช็คอีเมล์ ดูตารางการทำงานของเอรีสของสัปดาห์หน้าด้วยความเคยชิน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขที่ได้จัดการธุระต่างๆ จะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ผมจัดการให้หมด ผมบอกตารางนัดหมายตลอดช่วงเช้าให้เอรีสฟังอย่างคร่าวๆ แล้วคุยเรื่องหน้างานอีกหลายเรื่องที่ผมคิดแผนงานไว้
เอรีสงึมงำรับคำ แล้วจุ๊บลงเบาๆ ที่สันกรามผมทีหนึ่ง เขาก็เหมือนเดิม อะไรที่เป็นเรื่องงานเขาจะค่อนข้างเชื่อในเซ็นซ์ของผม
“เย็นนี้คุณจะให้มานพขับรถไปส่งบ้าน หรือว่าจะขับกลับเองครับ”
“กลับเอง เย็นนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงต้อนรับ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี
“เย็นนี้ผมต้องไปรับแมวที่คลินิค คงไม่ไปครับ”
“ไปรับแมวนก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยไปกันต่อ” เขาเสนอความคิด ผมคิดเล็กน้อยก่อนตอบรับ
“ครับ”
ผ่านไปราวสามสิบนาที เราทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงออฟฟิศ เมื่อผมเดินคู่มากับเอรีส เหล่าขาเมาท์ประจำแผนก ต่างก็อ้าปากค้าง เงียบกริบ บ้างก็แอบเมียงมองมาด้วยความสงสัย จากนั้นต่างก็ล่าถอยกลับโต๊ะตัวเองไป ไม่มีใครกล้าแหยมกับบอสใหญ่
“ไปนั่งในห้องด้วยกัน”
“ครับ”
เพราะตำแหน่งและโต๊ะทำงานถูกฐิติครอบครองไปแล้ว เลยต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนเจ้าไม่มีศาล เอรีสเลยถือโอกาสให้ผมไปนั่งในห้องเป็นการชั่วคราว ใช้เวลาในช่วงเช้าดึงข้อมูลต่างๆ กลับมาจากฐิติ การที่ผมทำแบบนี้ เท่ากับเป็นการแย่งหน้าที่ แสดงตัวว่ามีอำนาจเหนืออีกฝ่าย
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าฝ่ายนั้นจะเกิดอาการไม่พอใจ แต่ผมไม่แคร์ งานย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกของคนไม่ซื่ออยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเอรีสขอไว้ ผมคงเดินไปบอกเขาให้เก็บของ จะไม่ปล่อยให้มีโอกาสมาเดินลอยหน้าอยู่แบบนี้แน่
เราทั้งคู่ต่างหมดเวลาไปกับตัวเลขและเอกสารกองพะเนิน เอรีสเลิกวอแวผมได้ร่วมชั่วโมงกว่า ตอนนี้เขากำลังขมักเขม้นกับงานที่กำลังสุมหัวอยู่
ก่อนหน้านี้ เอรีสเทียวเดินมาถามว่า หิวไหม เหนื่อยหรือเปล่า ทุกๆ สิบนาที ผมก็ปฏิเสธไปในทุกครั้ง และพยายามเรียกสมาธิให้จดจ่อกับงาน ไม่วอกแวกไปกับลูกงอแง ทั้งที่หลายครั้ง เกือบจะใจอ่อนไปกับเขาเสียให้ได้
“คุณเอรีสครับ มีแขกมาขอพบครับ”
ฐิติรายงานด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ในหน้ากลับให้ความรู้สึกเหมือนว่าสาแก่ใจกับอะไรสักอย่าง
“มีนัดเหรอ” เอรีสหันมาส่งเสียงถามผม ซึ่งผมก็ไม่เห็นตารางนัดหมายนั้นมาก่อน
“ไม่มีครับ” ผมตอบเอรีส ก่อนมองฐิติอย่างสงสัย
“เขาแจ้งว่าชื่อคุณรัน”
ไส้ดินสอกดผมหักคากระดาษ ห้องทั้งห้องพลันเงียบกริบ ความรู้สึกที่ว่าแย่เมื่อคืนกลับมากระหน่ำซ้ำเหมือนพายุเข้าอีกระรอก
เป็นเรื่องบังเอิญ หรือความจงใจ...
“เขาอยู่ไหน”
เอรีสหันมามองผมแวบหนึ่ง สีหน้านิ่งก็จริง แต่ดวงตามีความหวั่นไหว
“รออยู่ด้านนอกครับ คุณเอรีสจะให้เตรียมห้องรับรอง หรือว่าเชิญที่ห้องนี้ดีครับ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของฐิติดี ผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินออกจากห้องไปเงียบๆ หาเหตุผลให้ตัวเองว่าจะไปหากาแฟดื่ม ไม่ต้องอยากได้ยินสิ่งที่เอรีสจะตอบกลับไปแบบไหน
จะพบที่ไหน ยังไงก็พบกันอยู่ดี... ถูกไหม
“ปัถย์ เดี่ยวสิ ปัถย์ เฮ้!”
เอรีสเดินตามผมที่เดินออกจากห้องมาติดๆ เขาจับข้อมือผมไว้แน่น ก่อนที่ผมจะเดินหายไปจากมุมของผู้บริหารนั้น
“ผมขอไปหากาแฟดื่ม คุณอยากได้อะไรเหรอครับ”
ผมถามกลับ แต่ไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ จงใจเดินให้เร็วขึ้นเพื่อหนี แต่เขาก็เดินตาม
“ปัถย์...”
“ว่าไงครับ คุณมีอะไร”
“เดี๋ยวก่อนสิ หันมาคุยกันก่อน” เสียงของเอรีสดูลำบากใจ “ฉัน...”
เขาดูลังเล ท่าทางกระวนกระวายเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า
“ถ้าคุณมีแขก ก็รีบไปเถอะครับ”
“นายอย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฟังฉัน...”
“ตริน”
เสียงของใครสักคนดังขึ้น เราทั้งคู่หันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน
ตรงโถงทางเดินปรากฎร่างของผู้ชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง กำลังเดินตรงแหน่วเข้ามาหา เอรีสขยับเข้ามาหาผมในทันที เขากุมมือของผมไว้แน่น ซึ่งมันทำให้ผมไม่สติแตก
“ตริน ฉันขอคุยกับนายหน่อย”
“คุณมีอะไรหรือเปล่า ทำไม...”
บนใบหน้าของผู้ชายคนนั้นมีรอยฟกช้ำ ทั้งที่ดวงตาและโหนกแก้มคล้ายมีร่องรอยของการต่อสู้
แต่ร่องรอยพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ชายคนนั้นหล่อเหลาน้อยลงเลย ดูรวมๆ ก็มีส่วนคล้ายคิมหันต์อยู่เหมือนกัน ขาว สูง และมีรูปเป็นทรัพย์ เอาเป็นว่ารสนิยมของเอรีสเลอเลิศเสมอ
“ฉันจะรบกวนเวลานายไม่นานหรอก”
ผู้ชายคนนั้นมองมาที่ผม ก่อนจะก้มลงมองมือของเอรีสที่จับมือผมเอาไว้มั่น เอรีสขยับตัวเข้าใกล้ผมพยายามแสดงให้รู้ว่าผมยังสำคัญอยู่...
“ฉันจะรีบพูด รีบไป”
ใช้เวลาอยู่ครึ่งนาทีกว่าที่ผมจะรู้ตัว ผมค่อยๆ ดึงมือออกจากมือเขาช้าๆ เอรีสหันมามองหน้าผม โดยไม่สนใจแขกของตัวเอง
“แล้วแต่นาย นายตัดสินใจ” พูดเสียงนุ่มที่ฝ่ายนั้นก็คงได้ยินเช่นกัน
เอรีสให้สิทธิ์ขาดกับผม สิ่งที่เคยกลัวไปต่างๆ นาๆ ลดไปกว่าครึ่ง
“ผมให้เด็กเตรียมห้องรับรองนะครับ หรือคุณอยากคุยในห้องทำงาน”
ถามไปด้วยความเคยชิน แม้จะนิ่งตะลึงกับสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนอยู่ก็ยังเรียกสติกลับคืนมาได้ เอรีสก้มลงพูดกับผมเบาๆ ให้พอได้ยินกันสองคน
“ห้องรับรองก็แล้วกันครับ รบกวนหน่อยนะ ไม่นานหรอก... โอเคไหม” เอรีสพูดจาค่อนข้างติดเกรงใจ ซึ่งผมก็พยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินผละออกมา
“เข้ามาคุยก่อนก็ได้ แต่ผมมีเวลาไม่นาน”
พอจบคำพูดของผม เอรีสจึงหันไปบอกอดีตคนรักด้วยสีหน้าเรียบเฉย
{ เ อ รี ส }
ผมเกรงใจปัถย์มาก
ทั้งเกรงใจ และกลัวใจ ที่โกหกไปเมื่อคืนก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว พอเช้าของอีกวันรันบุกมาถึงออฟฟิศ ยิ่งทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ความรู้สึกไม่ต่างจากถูกเมียเข้าใจผิด ว่ากำลังมีจะเมียน้อย แต่ด้วยสภาพของรันที่ฟกช้ำไปทั้งหน้า ทำให้ผมไม่กล้าบอกปัดไปตรงๆ บางทีรันอาจมีเรื่องลำบากที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ผมก็ต้องถามความยินยอมของปัถย์ก่อน
ความรู้สึกของปัถย์เป็นสิ่งที่ผมโคตรแคร์ เรากำลังไปได้ด้วยดี ผมไม่อยากให้ใครก็ตามเป็นต้นเหตุให้คนสำคัญของผมรู้สึกไม่มั่นใจตัวผม
“คุณมีอะไร” ผมรีบเข้าเรื่อง
“ฉันมาเตือนเรื่องลอด์จ... อยากให้นายระวังเพราะเขามีบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อธุรกิจของนาย”
“เขาเป็นแฟนคุณ คุณควรเข้าข้างเขาสิ” ผมไม่ได้รู้สึกยินดีสักนิดในสิ่งที่ได้ยิน สุดท้ายแล้วรันเคยรักใครจริงบ้างไหม...
“แต่นายเป็นเพื่อนฉัน อย่างน้อยเราก็เคย...”
“ขอบใจ แต่คุณไม่ต้องสนเรื่องของผมหรอก ว่าแต่...หน้าของคุณใช่ฝีมือลอด์จหรือเปล่า” ผมถามออกไปเพื่อเบี่ยงประเด็น ไม่ต้องการให้รับรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ ให้มากความ
ผมไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนเป็นยังไง แต่ลอด์จไม่ใช่คนใจเย็นนัก
“ไม่ใช่หรอก ฉันมีเรื่องกับวัยรุ่นแถวร้านเหล้านิดหน่อย เลยได้แผลมา” รันยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรก ในรอบหลายปีที่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ผมเคยรัก รอยยิ้มนี้เคยเป็นสิ่งที่ผมหลงใหล แต่นั่นก็เป็นนอดีตไปแล้ว
“…”
“มีคนของลอด์จแฝงตัวอยู่ในบริษัทนาย” จู่ๆ รันก็โพล่งขึ้น “ฉันเพิ่งรู้ก่อนหน้านี้ไม่นาน ได้ยินมาว่าเป็นคนที่ใกล้ตัวนายมาก ต้องระวังนะตริน”
“คุณรู้ได้ยังไง เขาบอกคุณหรอ”
“เปล่า ฉันได้ยินลอด์จคุยกับลูกพี่ลูกน้องนายน่ะ คนที่ถูกส่งมาเป็นคู่นอนของมัน ชื่อฐิติ...”
ผมวางสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว บางทีรันอาจเป็นอีกคนที่ลอด์จส่งมาป่วนผมอีกคนก็ได้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แม้จะเคยนอนร่วมเตียงกันก็ใช่ว่าจะดีต่อกันเสมอไป
“คุณไม่ควรทรยศแฟนตัวเอง ถึงยังไงผมก็เป็นคนอื่น คุณเอาเรื่องนี้มาบอกผม มันจะเสียผลประโยชน์ของแฟนคุณนะ”
“ฉันไม่เคยมองว่านายเป็นคนอื่น... แล้วฉันก็แยกแยะได้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ฉันไม่ได้ทรยศลอด์จ แต่แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉันรู้ว่าทั้งหมดที่เขาทำ มันมาจากความโกรธ เรื่องที่เราสองคนเจอกันที่โตเกียวครั้งก่อน...”
ผมไม่ได้สนใจคำพูดของรันมากนัก เพราะตอนนี้ผมเห็นปัถย์อยู่แวบๆ ตรงหน้าประตู ผมไม่แน่ใจว่าปัถย์ได้ยินอะไรบ้าง รู้แค่ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลย
“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะนะ เรื่องมันจบไปแล้ว ที่คุณมาบอกวันนี้ผมซาบซึ้งใจมาก”
ผมคุยแบบเหินห่างกับรันอีกไม่ถึงสิบนาที
รันเตือนผมหลายอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เฟยหลงจะทำ แต่ผมไม่ได้สนใจ คนอย่างเอรีส ตริน เบอร์ตันไม่ได้ต้องการเศษเสี้ยวความห่วงใยจากใคร เขามันเป็นไอ้คนโลภ ถ้าจะเอาก็ต้องเอาให้หมด
{รัน}
ทันทีที่ผมก้าวเท้าพ้นประตูของเพนต์เฮาส์สุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ เสียงเหน็บแนมก็ทะลุผ่านหูเข้ามาโดยไม่มีคำเกริ่นนำ
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ไปไหน คำพูดของฉันนี่มันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหมรัน”
“...”
“ถึงใจไหม ทักทายกันไปกี่น้ำ?”
ผมเกลียดน้ำเสียงนี้ของเขา
เกลียดคำพูดเย็นชาที่กัดเจ็บเข้าไปถึงกระดูก คำค่อนแคะที่คอยแต่จะพ่นใส่หน้าของผมทุกครั้งที่เขานึกได้...
มีสักวันไหมที่ลอด์จจะไม่รื้อฟื้นความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในชีวิต แล้วเอากลับมาทิ่มแทงผมให้รู้สึกผิดและละอาย
“…” ผมไม่เลี่ยงที่จะไม่พูดอะไร
วันหนีผมเหนื่อยมาก กำลังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะไข้ขึ้น ความรู้สึกร้อนผะผ่าวเริ่มลามไปทั้งตัว
ผมจงใจเดินผ่านหน้าโดยแลตามอง เพราะรู้สายตาคู่นั้นมีเพียงความว่างเปล่าที่ไม่อาจเข้าถึง
ทุกครั้งที่ผมมองดวงตาสีอ่อน มันมักจะทำให้ผมรู้สึกด้อยค่า และไร้ราคาลงไปทุกทีๆ ความรู้สึกเป็นที่รักควรค่าให้ปกป้องดูแลคือความรู้สึกแบบไหน... ผมจำมันไม่ได้แล้ว
คำพูดดีๆ ฟังรื่นหูก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“ไม่ตอบ? แปลกนะ ปกติเห็นพูดไม่หยุด แล้ววันนี้เป็นอะไร เหนื่อยเพราะใช้แรงไปเยอะ หรือว่าปากนายไปทำงานหนักอะไรมา”
“…”
“พูดสิ ฉันบอกให้พูด!” เขากำลังโกรธ มากด้วย
ลอด์จกระชากแขนจนผมเซ กริยาแบบนี้คือแสดงว่าเขากำลังอยากอาละวาด
ในเวลาปกติ เฟยหลงจะโดนตัวผมน้อยมาก ถ้าไม่ใช่ตอนที่เขามีอารมณ์หรือต้องการเรื่องอย่างว่า เขาไม่เคยแตะต้องตัวผมเลย ผมเคยคิดว่าเขาขยะแขยง เกลียดสัมผัสของผม แต่ผมโหยหาการกอดจากเขาจนใจแทบขาด ทว่ายิ่งเรียกร้อง ผู้ชายตรงหน้าก็ยิ่งถอยห่างออกไป
ผมพอใจที่เขาแสดงอารมณ์บางอย่างกับผมบ้าง ไม่ใช่แค่เพียงการอยู่ด้วยกันไปวันๆ แบบเย็นชา ไม่มีการสัมผัสตัวที่นอกเหนือไปจากเวลาที่มีเซ็กส์
เฟยหลงบีบปากผมเสียจนเจ็บ บังคับให้ผมมองสบตาตรงๆ ทุกครั้งมันคือความทรมานที่ผมมองไปยังดวงตาคู่นี้ แบะได้รู้ว่าเขาได้หมดรักผมไปแล้ว ผมสูญเสียคนที่รักไป และได้ผู้ชายแข็งกระด้างที่มองผมเหมือนวัตถุทางเพศมาแทน
“ที่อยากมาเมืองไทยนักหนา เพราะอยากตามมาเพื่อหาจังหวะไปเจอกับมันไม่ใช่เหรอ ห่วงมันนักนี่! คงคาบข่าวไปบอกมันแล้วสิ ว่าฉันกำลังจะทำอะไรกับบริษัทระยำของมัน ได้บอกมันหรือเปล่าว่าฉันจะทำให้มันพินาศ”
“…” ผมได้แต่ถอนใจ คำข่มขู่และเสียงตะคอกของลอด์จกำลังทำให้ผมปวดหัว
ตอนนี้ผมไม่อยากต่อปากต่อคำ ผมอยากอาบน้ำ แล้วก็นอนหลับยาวๆ ตื่นมาผมอาจมีแรงพอให้คิดเรื่องยากๆ พวกนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมขอยกธงขาว
“ถ้ามันเหลือแต่ตัว นายจะยังสนใจใยดีมันอยู่หรือเปล่า”
“ฉันปวดหัว วันนี้ไม่อยากทะเลาะกับนาย”
ผมสะบัดหน้าหนีฝ่ามือหนาที่บีบแก้มไม่ปล่อย ความเจ็บที่แทบจะร้าวไปทั้งสันกราม
เวลาที่ลอด์จโกรธ เขาไม่เคยปราณีใคร ผมยังสงสัยจนทุกวันนี้ว่าทำไมเขาถึงไม่ฆ่าผมไปตั้งแต่ตอนนั้น คำถามนี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมตลอด จนกระทั่งผมได้คำตอบว่าลอด์จต้องการให้ผมจนตรอก ไร้ทางไป เขาบีบผมในทุกๆ ทางเพื่อให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจบารมี และอำนาจเงินของเขา จนทุกวันนี้แม้แต่ลมหายใจของผมเขาก็เป็นเจ้าของ
ถ้าเขาสั่งให้ผมไปตาย ผผมก็คงต้องตาย
“ฉันจะทำยังไงกับนายดี... จะทำยังไงให้คนแบบนายรู้จักคำว่าซื่อสัตย์ การที่ทำตัวร่านไปทั่วมันทำให้ฉันสะอิดสะเอียด”
เขาผลักหน้าผมเสียจนกระเด็น ความเจ็บปวดจากร่างกายเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดทางจิตใจ
ผมไม่ไหวกับตัวตนของผมในตอนนี้แล้ว...
ผมคิดว่าผมควรจะพอ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็พอเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว เหนื่อยว่ะ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือที่สั่นเทาของตัวเองลูบหน้าแรง “เหนื่อยที่ต้องโดนนายแดกดันอยู่ทุกวันเรื่อเอรีส เรื่องที่ฉันนอกใจ ใช่ ฉันมันเลวเองตั้งแต่ตอนนั้น แต่ฉันก็บอกนายแล้วว่าจะไม่ทำอีก ฉันทั้งสัญญา ทั้งสาบาญว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น แต่นายก็ไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่ฉันทำมาตลอดเกือบสิบปี ไม่เคยสนใจว่าฉันกำลังไถ่โทษในสิ่งที่ฉันทำพลาดไป”
“เพราะฉันไม่เชื่อไง สุนัขชอบกินอาจม... เหมือนนายไง”
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกหน้าชา ผมจะต้องทนให้เขาดูถูกผมไปทำไม...
“ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว”
“งั้นก็รอรับศพพี่นายที่อยู่ในคุกได้เลย การตายของไอ้เดนคุกสักคน มันไม่ใช่เรื่องที่ทำยาก ไม่ต้องตอบคำถามสังคม ว่ามันจะตายยังไง อาจจะสะดุดเท้าขาใหญ่แล้วโดนซ่อมในคุกจนตาย... หรืออาจตายเงียบๆ ด้วยโรคประจำตัว”
ใจผมเริ่มสั่นทุกครั้งที่ลอด์จขู่ทำนองนี้ สามปีแล้วสินะที่พี่เรนติดคุกด้วยข้อหายักยอกทรัพย์ที่ฮ่องกง แล้วบริษัทที่พี่ชายของผมยักยอกไปก็เป็นหนึ่งในบริษัทลูกของลอด์จ
ถึงผมจะอยากเห็นแก่ตัวขนาดไหน ผมก็ไม่ทางทำให้พี่ชายของผมต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ ถึงพี่เรนจะทำผิดจนต้องได้รับโทษ แต่การที่เขาติดคุก ก็เหมือนเป็นการชดใช้ในความผิดของตัวเองไปแล้ว พี่เรนไม่ควรถูกเป็นเครื่องต่อรองที่ลอด์จงัดเอามาใช้ทุกครั้งที่ผมทำให้เขาไม่พอใจ
“นายจะเอาเรื่องนี้มาขู่ฉันทุกครั้งไม่ได้หรอกนะ ถ้าถึงจุดหนึ่งฉันอาจจะยอมเห็นแก่ตัว”
“ลองดู” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่เขาชอบใช้กับลูกน้อง หรือใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม “ฉันก็กำลังว่างๆ อยู่พอดี” พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อต่อสาย
หน้าผมเริ่มเปลี่ยนสี มือของผมเย็นเฉียบ ตัวแข็งจนแทบขยับไม่ได้
“เฟย!”
ดวงตาคู่นั้นเย้ยหยัน รอยยิ้มมุมปากแสยะจนน่าขนลุก
“ไอ้หยุ่นนั่น... ฉันอยากให้แกจัดการมันให้ฉันหน่อย ใช่ ขอแบบเละเทะก็ได้”
ผมรีบปรี่ไปดึงข้อมือเขาไว้ ไม่รอให้เขาออกคำสั่งลูกน้องจนจบ
“นายจะเอายังไง”
“… เราก็รู้ๆ กันดี ว่าฉัน...ต้องการอะไร”
สวัสดีค่ะ
หลังจากหายไปนานก็กลับมา UP อีกครั้งนะคะ
มาพร้อมกับข่าวการตีพิมพ์รวมเล่มกับ สนพ. DEEP ด้วยค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อด้วย
แล้วก็ฝากเพจด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/anin19story/