Chapter 21
เสียงข้อความแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือในเวลาเจ็ดโมงห้านาที ปัถย์ที่กำลังสะลึมสะลือเผลออมยิ้ม เมื่อเห็นชื่อของผู้ที่ส่งมาแบบชัดๆ
เอรีส
‘แดงหรือน้ำเงิน’
ข้อความพร้อมกับรูปรูปเนคไทสองสีส่งมาเปรียบเทียบ
เมื่อวานเขาไม่ได้ไปส่งเอรีสที่สนามบิน ด้วยว่าตัวเองมีนัดกับชลนทีและรุ่นพี่อย่างครรชิตไว้แล้วในช่วงบ่าย เป็นนัดที่ปฏิเสธไปก็คงจะน่าเกลียดเพราะได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งเอรีสก็ดูหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย แต่เพราะข้อแลกเปลี่ยนที่ปัถย์เป็นฝ่ายขาดทุนย่อยยับ เรื่องราวต่างๆ เลยจบลงแบบเหงื่อที่มีความวาบหวามปะปนอยู่ด้วย
ปัถย์ลุกจากเตียงโดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เขาเปิดตู้เย็น หยิบกาแฟกระป๋องราคาถูกที่หาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อขึ้นมาเปิดฝาแล้วยกกระดกแบบง่ายๆ ระหว่างนั้นก็นึกสองจิตสองกับตัวเลือกที่เอรีสส่งมา
‘น้ำเงิน’
ปัถย์พิมพ์ข้อความหลังจากใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย
เอรีสดูดีไม่ว่าจะผูกเนคไทสีไหน หรือกระทั่งใส่ชุดอะไร แต่เนคไทสีนี้เป็นหนึ่งในสีโปรดที่ปัถย์ชอบเป็นการส่วนตัว
เมื่อส่งข้อความกลับไปไม่นาน เอรีสก็ส่งข้อความกลับมาในประโยคคำถาม
‘นี่ล่ะ’
ตามมาด้วยรูปนาฬิกาสามเรือนโปรดที่ส่งมาอีกรอบ
ครั้งนี้ปัถย์เผลอกรอกตา กับวิธีการที่เอรีสงัดเอามาใช้มาเรียกร้องความสนใจ คนดุที่ติดจะอีโก้หน่อยๆ ก็มีมุมงอแงเป็นเด็กเหมือนกัน
แบบนี้ ก็น่ารักดี...
‘สายหนังครับ’
ปัถย์ตอบข้อความแล้วยิ้มอ่อน พลางเดินไปที่ระเบียงห้องพัก เพื่อสูดอากาศยามเช้าของท้องทะเล ปัถย์ทอดสายตาออกไปด้านนอกในมือที่ถือโทรศัพท์พร้อมๆ กับรอยยิ้มที่กว้างกว่าเก่า กับข้อความเข้ามาใหม่
‘วันนี้จันทร์’
‘แล้ว?’
‘เบื่อขับรถ’
เอรีสแคปหน้าจอเส้นทางจราจรที่แดงเถือกส่งมาให้ เป็นการยืนยันว่าเขากำลังเผชิญกับวิกฤติอันใหญ่หลวง ปัถย์พอจะนึกสีหน้าของเอรีสออกว่าจะเป็นแบบไหนยามที่ต้องติดแหงกตรงสี่แยกก่อนถึงตึกเบอร์ตันกรุ๊ป คงจะมีคำสบถอยู่หลายคำ หรือบางทีอาจมีการทุบพวงมาลัยตอนที่เอรีสพลาดไฟเขียวไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
‘ทำไมไม่ให้คุณฐิติขับให้ครับ’
ปัถย์แกล้งพิมพ์กลับไปแล้วดื่มกาแฟกระป๋องจนหมด ก่อนจะทิ้งลงถังขยะตรงระเบียง
ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วในทันที...แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ
ที่ผ่านมาในทุกๆ เช้าวันจันทร์ ปัถย์จะเป็นคนไปรับเอรีสที่เพนต์เฮาส์เสมอ เขาทั้งคู่จะคุยกันระหว่างทาง เรื่องงานส่วนใหญ่ก็สำเร็จตอนรถติดนี่ล่ะ งานมูลค่านับร้อยล้านก็ถูกจัดการ
“ครับ?”
“ตื่นนานหรือยัง”
“ก็สักพักครับ หาอะไรทานด้วยนะครับ เดี๋ยวปวดท้อง”
“ตอนนี้อยากกาแฟสักมากกว่า เอาแบบเข้มๆ”
“พอถึงออฟฟิศรีบให้คุณฐิติชงเลยครับ”
“ไม่อร่อย สู้ฝีมือนายไม่ได้”
“ผมเคยบอกสูตรไปแล้ว คุณคิดไปเองว่าไม่อร่อย”
“คนละคนชง จะเหมือนได้ยังไงครับ”
“งั้นคุณอาจต้องลองชงเองดูครับ จะได้ถูกใจ”
“ทุกวันนี้ก็ชงเองอยู่นะ แต่พอกินเข้านึกถึงรสชาติที่นายชงให้ทุกที ทำไงดีล่ะ” คนที่ช่างเอาแต่ใจกลายเป็นหนุ่มขี้อ้อนไปในทันตา
“นั่นสิครับ ทำยังไงดี” ปัตย์หลุดยิ้ม แต่แกล้งตอบกลับไปแบบไม่รู้ไม่ชี้
“กลับมาชงให้หน่อย นะ” เสียงนั้นหวานและอ้อนกว่าเก่า เล่นเอาหัวใจคนฟังใจอ่อนยวบไปเลยทีเดียว “บินกลับมาไฟลท์บ่ายเลย รอนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”
“วันพฤหัสเช้าครับ” ปัถย์ยังยืนยันคำเดิม จะมัวแต่สนใจการรบเร้าของเอรีสไม่ได้
“นานไป รอไม่ไหว” เอรีสที่กำลังเดินลงลิฟต์ยังคงบ่นไม่หยุด เพิ่งรู้ตัวว่ากลายเป็นหายใจเข้าออกก็มีแต่หน้าปัถย์ไปเสียแล้ว
“คุณนี่นะ...”
“ฉันทำไมเหรอ?”
“เอรีสครับ ถ้าไม่รีบออกจากบ้านตอนนี้ คุณจะไปไม่ทันประชุมเช้า”
“อือ...ก็ว่าอยู่ แต่ช่างเถอะไม่ทันก็ไม่ทัน ถึงจะอยากขับเร็วขนาดไหนไฟแดงก็เป็นอุปสรรคในการทำความเร็วอยู่ดี...”
ปัถย์ได้ยินเสียงปลดล็อครถผ่านโทรศัพท์ จึงรีบบอกกับปลายสายเพื่อเตือน
“ไปทำงานได้แล้วครับ ขับรถดีๆ ด้วย คุณขับเข้าซอยทางลัดนะครับอย่าออกถนนใหญ่ รถมันติด”
“อืม”
“จำทางได้ใช่ไหมครับ”
“จำได้ เอาไว้เที่ยงๆ จะโทรหา รับด้วยนะ แล้วก็เที่ยวให้สนุก กลับมาเมื่อไรจะใช้งานให้หนักไม่ให้เห็นเดือนเห็นจะวันเลย”
“ครับ”
••••••
เมื่อเอรีสมาถึงออฟฟิศ ฐิติก็รีบกุลีกุจอนำเอกสารต่างๆ เข้ามาให้ผู้เป็นเจ้านาย
“วันนี้มีอะไรด่วนไหม” เอรีสวางของลงแล้วเริ่มถามทันที
“มีครับ นี่เป็นเอกสารเบิกงวดงานงวดที่สองของโรงแรมตรงสาทร ยอดโดยรวมคือยี่สิบเปอร์เซ็นของมูลค่างานทั้งหมด” ฐิติเอาเอกสารวางลงตรงหน้าผู้เป็นเจ้านาย จำนวนเงินที่ตั้งเบิกร่วมๆ ร้อยล้าน แต่ก่อนที่จะส่งเอกสารออกไปได้ต้องให้ผู้เป็นเจ้านายตรวจ
“ทำไมถึงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็น งานมันคืบหน้ามากกว่านั้นเยอะนี่ ทำไมไม่เบิกตามโปรเกรส เท่าที่ผมจำได้มันต้องสามสิบเปอร์เซ็นของมูลค่างานไม่ใช่เหรอ”
เอรีสมองปราดเดียวก็เห็นความบกพร่องในเอกสาร ถ้าเป็นผู้บริหารคนอื่นอาจไม่ลงลึกเรื่องรายละเอียดอย่างเขา เมื่อก่อนตอนที่ปัถย์อยู่เขาก็เคยตัวไม่สนในเหมือนกัน เพราะผ่านตาปัถย์ก็เหมือนกับผ่านตาเขา แต่ตอนนี้เมื่อไม่มีปัถย์ที่คอยกลั่นกรองให้ เรื่องราวทั้งหมดเขาเลยต้องลงดีเทลเอง เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่งในการทำงาน
เขาไม่เคยไว้ใจใครนอกจากปัถย์... และก็ตัวเขาเอง
“งานของเราล่าช้าไปมากครับ ผู้รับเหมาที่ทำเรื่องงานโครงสร้างทำงานไม่ตรงตามสเป็ค บริษัทคอนเซาท์ต้องสั่งรื้อออกแล้วแก้ไขงานใหม่ ทำให้ไม่สามารถเบิกตามแผนงานที่ตั้งไว้”
ฐิติแจ้งตามที่ได้รับรายงานมา ซึ่งก็คงแก้ไขอะไรตอนนี้ไม่ได้แล้ว แต่เขาต้องการรู้ว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร หากเป็นการผิดพลาดในครั้งแรกย่อมให้อภัยได้ ทว่ามันต้องไม่มีครั้งที่สองอีกเด็ดขาด
“ปัญหาแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นนะ คุณรู้ไหมว่าการที่ทำงานผิดสเปคผิดแบบมันทำให้เกิดความเสียหายขนาดไหน เรื่องแบบนี้ทำไมไม่มีใครรายงานผม คุณไปตามกรวิทย์มาคุยกับผมเดี๋ยวนี้ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เอรีสรู้สึกไม่พอใจมากที่เรื่องสำคัญขนาดนี้แต่ไม่มีใครรายงาน
การทำงานที่ไม่เป็นไปตามแผนแม้งานนั้นจะเป็นส่วนย่อยๆ แต่จะส่งผลกระทบให้ลามไปส่วนต่างๆ แค่เบิกเงินไม่ได้ไม่เท่าไร แต่ถ้างานส่งช้าไม่ทันกำหนดนั่นหมายถึงค่าปรับที่อาจตามมา มันเป็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพที่บริษัทต้องรักษาไว้
“ครับ เดี๋ยวผมตามให้” ฐิติบอกคล้ายกับไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไร ทำท่าจะหยิบเอกสารอย่างอื่นให้เอรีสต่อ ถ้าเสียงทรงอำนาจไม่ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“เดี๋ยวนี้!” เอรีสเน้นคำ สีหน้าเขาบึ้งและเอาจริง
ฐิติชะงัก สีหน้าออกอาการตกอกตกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าเอรีสจะเสียงดังใส่ตน
“ได้ครับ”
เพียงไม่กี่นาที กรวิทย์เจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายโครงการก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเอรีส
สีหน้ากรวิทย์ไม่สู้ดีเมื่อรู้แล้วว่าคราวนี้เขาอาจโดนเล่นงานหนัก น้อยครั้งมากที่บรรดาลูกน้องจะได้เผชิญหน้ากับMDโดยตรงซึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องดีเลย หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่มีคุณปัถย์อยู่ เมื่อเรื่องร้อนๆ เกิดขึ้นก็จะต้องผ่านผู้ช่วยคนสำคัญก่อน
ปัถย์ที่จะเป็นตัวลดแรงปะทะระหว่างพนักงานกับเอรีสได้ แต่ตอนนี้ไม่มีคุณปัถย์อยู่แล้วเหล่าบรรดาลูกน้องก็ได้แต่เสียวสันหลังไปตามๆ กัน สิ่งที่คนเป็นลูกน้องทำได้คือการรายงานทุกอย่างตามความจริง หากจะต้องเจอกับอะไรก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามยะถากรรม เอรีสเป็นคนตรงและแรงซึ่งก็หวังแต่ว่าเขาจะไม่โดนเชิญออก
“สวัสดีครับคุณเอรีส”
กรวิทย์เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายประสานงานโครงการมีสีหน้าซีดสลด
“เกิดอะไรขึ้นคุณกร ทำไมงานถึงไม่เสร็จตามแผนงานที่กำหนด แล้วทำไมถึงมีปัญหาเรื่องงานผิดสเปค” เอรีสนั่งหน้านิ่ง กอดอกรอคำตอบ
น้ำเสียงที่นิ่ง กับใบหน้าเคร่งขรึมกำลังทำให้เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายโครงการถึงกับขาสั่นผับๆ
“เออ...” กรวิทย์อึกอัก ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อน
“พูดมาสิ อ่ำอึ้งทำไม”
เสียงเอรีสดังกังวานลั่นห้องทำงาน จนกรวิทย์ตัวลีบเล็กและใจตกไปที่ตาตุ่ม
“เออ... ผู้รับเหมาทำงานส่วนห้องประชุมของโรงแรมผิดแบบครับ คอนเซาท์ตรวจงานแล้วไม่ให้ผ่าน ให้รื้อทำใหม่ หน้างานเลยส่งพื้นที่ให้ไม่ทันตามกำหนดครับ”
“ผมรู้แล้วว่าไม่ทัน ที่ผมอยากรู้คือทำไมปล่อยให้ผู้รับเหมาพลาด พวกคุณไม่มีคนคุมงานเหรอ วิศวกรโครงการกับโฟร์แมนหายหัวไปไหน ไม่เช็คแบบหรือไง ปล่อยให้เขาทำงานเรื่อยเปื่อยไม่ตรวจสอบแบบนี้ นี่ไม่ใช่โครงการสร้างเล็กๆ นะ ไหนบอกผมสิว่าผมจะถามหาความรับผิดชอบได้จากใคร”
เอรีสพูดช้าๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ ความเด็กขาดในน้ำเสียงบอกได้ดีว่าเขาซีเรียสมากขนาดไหน
“เออ... น่าจะเป็นความผิดพลาดของคนคุมงานทางฝั่งเราด้วยครับ แบบที่ใช้ผู้รับเหมาไปมันไม่ใช่แบบล่าสุดที่ทางสถาปนิกของโรงแรมอนุมัติ มันเป็นแบบชุดเก่าที่ใช้ประมูลไม่ใช่แบบที่ใช้ในการก่อสร้างครับขนาดต่างๆ เลยคลาดเคลื่อนไปมาก”
“อะไรนะ! ทำงานแบบนี้ได้ยังไง แบบในมือยังผิด แบบนี้ไม่ใช่ผิดที่ผู้รับเหมา มันผิดจากฝ่ายคุมงาน ผิดจากฝ่ายแบบ ผิดตั้งแต่ต้น ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย”
“...”
“บ่ายนี้เรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โปรเจคเมเนเจอร์ หัวหน้าฝ่ายแบบ หัวหน้าฝ่ายคุมงาน ผมว่าเราต้องคุยกันยาว เตรียมหาคำแก้ตัวกันมาดีๆ ด้วย เพราะถ้าผมฟังแล้วมันไม่เข้าหู จะไม่มีใครได้ออกจากที่ประชุม เข้าใจนะ”
“ครับคุณเอรีส”
กรวิทย์ออกจากห้องของผู้เป็นเจ้านายด้วยปัญหาที่หนักอึ้ง เขาไม่แน่ใจว่างานนี้ใครกันที่จะเป็นฝ่ายถูกเชือด
แต่ที่แน่ๆ คนที่โดนเชือดอาจไม่ได้มีแค่คนเดียว
••••
ปัถย์ออกจากที่ห้องพักราวแปดโมงครึ่ง
ทริปที่เขาซื้อไว้เป็นบริการของรีสอร์ทที่เสริมมานอกเหนือจากห้องพัก โดยทริปนี้ถูกจัดเป็นแบบกลุ่มเล็กๆ มีจำนวนแค่ห้าคน ทั้งหมดเป็นผู้ที่พักกับทางรีสอร์ททั้งสิ้น ล้วนแต่เป็นมือใหม่ที่ไม่ได้ต้องการความตื่นเต้นหรือผาดโผน แค่ต้องการมาซึมซับบรรยากาศท้องทะเลอันดามันที่เลื่องชื่อก็เท่านั้น
เพียงยี่สิบนาทีก็มาถึงที่หมาย ซึ่งเกาะแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักท่องเที่ยวมือใหม่ที่เริ่มฝึกดำน้ำตื่น ประมาณด้วยสายตานักท่องเที่ยวที่มารวมตัวกันราวสามสิบถึงสี่สิบเห็นจะได้
ผู้ดูแลเริ่มสอนแนะนำขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด มีบางครั้งที่ปัถย์ต้องเผลออมยิ้มกับคู่รักที่คอยหยอกล้อกันอย่างหวานชื่น ก็คงมีแต่เขาที่มาตัวคนเดียวโดด ซึ่งก็ดูจะประหลาดอยู่ไม่น้อยเพราะปกติแล้วคงไม่ค่อยมีใครมาเที่ยวเพียงลำพัง
ผ่านไปหลายชั่วโมงกิจกรรมจึงสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเริ่มเช็คจำนวนผู้ร่วมทริป และเริ่มให้เก็บสัมภาระอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นเรือ เพื่อเตรียมเดินทางไปยังอีกเกาะ แต่การไปคราวนี้ไม่ใช่เพื่อดำน้ำ แต่เป็นเพื่อการชมวิวเพื่อเอาใจลูกทริปเป็นประการหลัก
“ทุกคนครับ เรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มนะครับ พอถึงเวลาบ่ายสามโมงตรง เรามาเจอกันตรงจุดนี้ จะเดินเล่น เก็บภาพทำได้ตามสบาย”
ผู้ดูแลกล่าวแล้วพวกเราก็ทยอยลงจากเรือ คู่รักสองคนที่มาด้วยกันต่างก็เดินจับมือกระหนุงกระหนิงกันไปถ่ายภาพในมุมส่วนตัวที่ต้องการ
ปัถย์ที่มาเพียงคนเดียวเดินแยกจากคู่รักแสนหวานสองคู่นั้น แล้วเดินเลียบชายหาดไปหามุมหนึ่งที่สงบหวังจะนั่งพักชมวิวทะเลสวยๆ ใจก็คิดว่าอาจจะถ่ายรูปไว้อวดเอรีสให้ฝ่ายนั้นหงุดหงิดเล่นก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี
คิดดังนั้นปัถย์จึงเดินไปยังมุมที่มีชิงช้าผูกไว้กับโคนต้นไม้แบบง่ายๆ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เปิดโหมดถ่ายภาพโดยโฟกัสที่ชิงช้ากับท้องทะเลสีเขียวมรกตที่อยู่เบื้องหน้าก่อนกดชัตเตอร์
“คุณปัถย์”
เสียงหนึ่งเอ่ยจากด้านหลัง รอยยิ้มพรายปรากฎขึ้นขณะเอ่ยทัก ปัถย์ที่ถือกล้องอยู่ชะงักมือค้าง ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
เฟยหลง ลอด์จ?
ถึงเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวปัถย์ก็จำเขาได้แม่นยำ เพราะเขาคนนี้โดดเด่นแล้วไม่ใช่ใครที่จะลืมได้ง่ายๆ เฟยหลองในชุดลำลองสีสด หล่อเหลาน่ามองในแบบแบบตี๋อินเตอร์ถูกอำพรางด้วยแว่นตากันแดดแฟชั่น ดูรีแรคสบายๆ ทิ้งคราบมาเฟียในคราบนักธุรกิจไปถนัดตา
“สวัสดีครับ” ปัถย์เอ่ยทักทายและยื่นมือไปจับอีกฝ่ายตามมารยาท “มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันเหรอครับ”
“ใช่ครับ เคยได้ยินมานานว่าที่นี่สวยติดอันดับต้นๆ ของทะเลแถบนี้ก็เลยอยากลองมาสัมผัสและเห็นกับตาสักครั้ง แล้วนี่คุณปัถย์มาคนเดียวหรือครับ”
ฝ่ายนั้นเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อสอดส่ายสายตาไปรอบ แล้วไม่เห็นใคร
“ผมมากับที่รีสอร์ท ซื้อทัวร์ไว้นะครับ”
“ตอนแรกยังไม่แน่ใจว่าใช่คุณหรือเปล่า เห็นตั้งแต่ตอนที่คุณลงจากเรือ”
“แล้ว...นี่คุณเฟยหลงมากับใครครับ”
“กับเพื่อนน่ะ ตอนนี้พากันไปดำน้ำดูประการัง ผมเลยโดนทิ้งให้รออยู่นี่” เฟยหลงเพ่งพินิจผู้ชายที่ดูสุขุมเยือกเย็นตรงหน้าอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกว่าปัถย์ตรงหน้านี้ช่างน่าสนใจ ยิ่งได้รู้ว่าเอรีสอาจไม่ได้รู้สึกกับปัถย์อย่างลูกจ้างธรรมดาด้วย... เขายิ่งอยากทำความรู้จักกับปัถย์
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”
” ถ้าตอบได้นะครับ” ปัถย์ตอบแบบกลางๆ
“ได้ยินมาว่าคุณทำงานกับเอรีส แล้ว...คุณก็ลาออกแล้ว”
“ก็ประมาณนั้นล่ะครับ”
ปัถย์ไม่บอกความจริงไปทั้งหมด เพราะต้องการรอดูท่าทีของอีกฝ่าย ว่าเข้ามาตีสนิทด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่
“คุณปัถย์สนใจอยากทำงานกับลอด์จ อินดัสทรีไหมครับ ผมได้ยินหลายคนพูดถึงอดีตเลขาคนเก่งของเอรีสมาก็มากเลยอยากได้คุณมาร่วมงานด้วย ถ้าไม่รังเกียจสะดวกหาวันเข้ามาคุยที่ออฟฟิศผมไหม ผมมีข้อเสนอดีๆ ที่คุณจะต้องพอใจรออยู่ นี่ครับนามบัตรผม”
เฟยหลงพูดแบบตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม สีหน้าท่าทางดูจริงจังและมั่นอกมั่นใจในตัวเอง เจ้าตัวเชื่อว่าข้อเสนอของเขาดีเยี่ยมเสียจนปัถย์ไม่กล้าปฏิเสธ
ตามจริงแล้วสิ่งที่ได้ยินมาคงไม่ดึงดูดความสนใจของเขาเท่าที่เอรีสแสดงออก... ก็ในเมื่อหมอนั่นแสดงทีท่าหวงผู้ช่วยหนุ่มมาดดีแบบออกหน้าออกตา แสดงว่าคนตรงหน้าที่มีดี
แต่จะดีขนาดไหนเขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอกครับ”
ปัถย์ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าได้ยินอะไรมา แต่เขาไม่ได้ดีเด่อะไรเลย สิ่งเดียวที่ปัถย์ระลึอยู่เสมอคือเขาต้องทำงานที่เอรีสวางใจมอบหมายให้ดีที่สุด เขาไม่ต้องการให้เอรีสผิดหวังในทุกสิ่งที่เขาทำ
“คุณปัถย์อย่าถ่อมตัวเลยครับ ขนาดธีรนัยยังพูดถึงคุณให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ จนผมอยากเจอตัวจริงของคุณจะแย่”
น้ำเสียงกับสีหน้าของเฟยหลงทำให้ปัถย์ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
“คุณธีร์พูดถึงผมว่าไงบ้างครับ” ชื่อของธีรนัยทำให้ปัถย์ชักสนอกสนใจ ข่าวการร่วมมือกันของคนทั้งคู่คือขวากหนามคมๆ ที่กำลังเป็นภัยกับเอรีส ดังนั้นเขาต้องรู้อะไรให้เยอะอีกสักหน่อย
ปัถย์กอดอกเริ่มครุ่นคิดและคาดการณ์สิ่งต่างๆ
“บอกว่าคุณเก่ง ทุ่มเท มีไฟ ที่สำคัญ...มีเซ้นต์ที่ดีในเรื่องการบริหารงานและบริหารคน ส่วนหนึ่งที่เบอร์ตันกรุ๊ป ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดในช่วงสองสามปีหลัง เพราะเอรีสมีผู้ช่วยที่เก่งอย่างคุณ”
“ผมไม่ได้เลิศเลอขนาดนั้นครับ แค่ทำตามที่เอรีสสั่ง การที่เบอร์ตันกรุ๊ปเติบโตมาได้เป็นเพราะเอรีสนั่งตำแหน่งงานบริหาร ผมก็แค่ทำตามนโยบายกับวิสัยทัศน์ของเจ้านายครับ สิ่งที่ผมทำไม่ได้เศษเสี้ยวที่เอรีสทำเลย”
ดวงตาของเฟยหลงหรี่ลง พลันเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจในคำพูดเยินยอนั้น ทุกคำพูดบวกกับภาษากายบอกชัดว่าปัถย์คือคนที่ภักดีต่อเจ้านายอย่างไม่เสแสร้ง คนแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ จนนึกอยากแย่งมาอยู่ใกล้ๆ ตัว จะพรากมาให้เอรีสแค้นใจจนอกแตกตายไปเลยยิ่งดี
คนที่ไม่เคยยอมใครอย่างเฟยหลงกระหายจะเอาชนะ แม้ริมฝีปากจะยิ้ม แต่เฟยหลงกลับดูมีแววตาที่ดุดันเย็นชาจนน่ากลัว
“จะรังเกียจไหมถ้าผมจะขอถาม” เสียงนิ่งๆ กล่าว
“ครับ”
“ฟังที่คุณพูดคุณดูพอใจในงานที่ทำดี ทำไมถึงลาออกล่ะครับ”
ปัถย์ตอบไม่ถูกแต่ก็แกล้งฝืนยิ้มไปก่อน
“ก็เป็นปัญหาของคนทำงานทั่วไปน่ะครับ ความคิดเห็นไม่ตรงกันในบางเรื่อง บางอย่างคุยกันไม่เข้าใจ ก็เลยขอลาออก”
“ถ้าคุณปัถย์อยากได้ความก้าวหน้ากับอนาคตที่ดี ลอด์จให้คุณได้ ผมจะรอการติดต่อจากคุณนะครับ”
“ครับ แล้วผมจะคิดดู ผมคงต้องขอตัวก่อน ได้เวลาที่นัดไว้กับเรือแล้ว”
ปัถย์ตัดบท และรีบเดินออกจากการสนทนา และรีบเดินไปสมทบกับกลุ่มของตนแม้ตอนแรกจะตั้งใจแยกตัวออกมาก็ตาม ปัถย์มองหันหลังกลับไปมองเหยหลงแวบหนึ่ง จึงเห็นว่าฝ่ายนั้นก็มีเพื่อนเดินมาสมทบเช่นกัน ปัถย์รีบสะบัดเรื่องเฟยหลงออกจากหัวเพราะว่าตอนนี้มีสายสำคัญกำลังรอการรับสายจากเขา
เฟยหลงมองร่างปัถย์ที่เดินห่างออกไป มองแวบเดียวก็พอจะรู้ว่าปัถย์ไม่อยากข้องแวะกับเขาสักเท่าไร ผิดกับคนทั่วไปที่รู้ว่าเขาเป็นใครก็มักจะตีสนิท หรือไม่ก็จงใจจะก้าวเข้ามาในความสนใจของเขา ด้วยเงิน อำนาจทำให้คนในตระกูลลอด์จคือกลุ่มคนที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสมอ ผิดกับคนที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่นี้
“คุยกัยใครน่ะ”
เสียงของใครคนหนึ่งเปล่งด้วยความไม่พอใจออกมา ต่อให้เฟยหลงไม่ได้หันไปดูเขาก็พอจะเดาสีหน้าออกว่าคนที่เอ่ยกำลังมีสีหน้าแบบไหน
เย็นชา และตำหนิ
ไม่มีรอยยิ้มจากใครคนนี้มานานแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่แคร์ ไม่แคร์มาหลายปีแล้ว
“คุณคงไม่อยากรู้จักหรอก เพราะถ้าคุณรู้ คุณอาจจะนอนไม่หลับนะรัน”
.........
ฝากติดตามกันต่อค่ะ
มีใครเอียน หรือเลี่ยนความหวานกันบ้างหรือเปล่าคะ
ถ้ามีจะเปลี่ยนเมนูให้ อยากกินเผ็ช อยากกินมามาแจ้งได้
เดี๋ยวอนินจะเสิร์ฟให้ถึงที
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ