Chapter 15
เอรีสเดินตามหลังอินมาเพื่อคุยธุระกับเจซีที่โต๊ะรับรองที่เป็นส่วนตัวซึ่งจัดไว้อย่างเป็นส่วนตัว เมื่อใกล้เข้าเจซีกวักมือเรียกสำทับเป็นเชิงเร่งเร้า เอรีสพยักหน้ากลับพร้อมอมยิ้มบางเบาตามแบบฉบับคนหน้านิ่งที่ไม่ยอมหลุดมาดเคร่งขรึมอันเป็นเอกลักษณ์ ถึงตอนนี้จะอยากทุ่มเทความสนใจให้กับปัถย์มากเพียงใด แต่งานก็เป็นอะไรที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเขาจะพักเรื่องของหัวใจก่อน ไว้หาทำงานหาเงินเสร็จค่อยไปสะสางปัญหาหัวใจอีกที
“มีอะไรสำคัญงั้นเหรอ”
“ก็นิดหน่อย เห็นอินบอกว่าปัถย์มาด้วย แล้วนี้ไปไหนละ”
จีซีถามอย่างเคยชิน น้ำเสียงก็ดูเย้าแหย่อยู่บ้างด้วยอดไม่ได้ พอจะรู้อยู่ว่าสถานะของปัถย์ที่เอรีสวางไว้ นับได้ว่าเป็นคนที่พิเศษ แต่จะพิเศษขั้นไหนก็ยังไม่อาจเจาะจงไปได้ชัดๆ เอรีสที่รู้จักมักไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับใครเท่าไร เพื่อนเขาคนนี้กลัวการผูกมัด และหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์แบบลองเทอมเป็นที่สุด แต่ถ้าการคาดคะเนของเขาไม่ผิดพลาดปัถย์อาจมีอะไรมากกว่าผู้ช่วยคนสนิท
“ให้นั่งหาอะไรกินรออยู่”
เอรีสตอบโดยไม่สนใจท่าทางนั้น ทำแค่เพียงแสดงสีหน้านิ่งเฉยเดาอารมณ์ไม่ได้ เจ้าตัวนั่งลงตรงข้ามเพื่อนที่อยู่บนรถเข็น ด้วยคบค้าสมาคมกันมานานก็พอจะเดาได้ว่าเจซีคงมีเรื่องอยากคุยที่สำคัญจริงๆ ถึงได้ให้เมียรักอย่างอินรีบไปตามตัวขนาดนี้
เจซีที่มองเพื่อนรักที่รับแก้เครื่องดื่มไปจิบเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าเรื่องที่ต้องการ
“ได้ข่าวแว่วๆ มา... เรื่องธีรนัย แกรู้หรือยัง”
“เรื่องอะไร” เอรีสที่ชำเลืองมองปัถย์อยู่หันกลับมาทันที ดวงตาคมหรี่ลงขณะถาม
ด้วยที่เอรีสไม่ได้สนใจในตัวธีรนัยมานานแล้ว ยกเว้นก็แต่ว่าที่ปัถย์แอบกุ๊กกิ๊กกับมันอยู่ระยะหนึ่ง จนเขาเริ่มแน่ใจแล้วว่าปัถย์สลัดไอ้พญาปลวกนั่นออกจากเส้นทางเขาเลยเลิกสอดส่องมันไปพักใหญ่
“เรื่องที่เข้าไปมีบทบาทเล็กๆน้อยๆ ในบริษัทคู่แข่งตลอดกาลของแกไง... ลอด์จ อินดัสทรี”
หางคิ้วของเอรีสกระตุก แต่สีหน้ายังรักษาความสงบแม้ภายในใจของเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็ตาม คำว่า ‘ลอด์ท อินดัสทรี’ มันก็เหมือนเชื้อโรคร้ายที่น่าขยะแขยงพอๆ กับชื่อของธีรนัยนั่นล่ะ ความฉาวโฉ่ส่งกลิ่งคลุ้งมาไกลเสียจนอยากจะอาเจียนออกมาให้ได้
“เฟยหลง ลอด์จคงเข้าคู่กันดีกับธีรนัยได้ดี ฉันก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่คนเลวๆ สองคนจะมาฟอร์มวงกัน”
เอรีสพูดอย่างติดตลกยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ แต่รอยยิ้มที่ปรากฎออกมามันช่างดูเหยียดหยันสุดขีด
เขาไม่แยแสหรอกว่าไอ้ระยำสองตัวนั่นมันจะญาติดีกัน คนสารเลวกับไอ้หน้าตัวเมียอยู่ด้วยกันก็ค่อยดูเป็นคู่ซี้รวมทีมคนสุดระยำไร้ที่ติ ถ้ามีรางวัลชาติชั่วดีเด่น เขายังสงสัยอยู่เชียวว่าสองคนนี้ใครที่จะคว้าตำแหน่งนี้ไปครองได้
“ก็คงจะมีเรื่องในนายปวดหัวแน่ๆ เตรียมใจไว้เถอะนะ ธีรนัยเองไม่ชอบให้นายสงบอยู่แล้ว นี่ลงทุนไปดึงลอด์จมาเข้าพวก นายคงเจองานหนักหน่อย”
เจซีพูดด้วยกังวลแทนอยู่พอควร ถึงจะรู้ว่าเอรีสไม่ใช่คนที่ใครจะมาลบคมง่ายๆ แต่ชื่อเสียงทางด้านความร้ายกาจของเฟยหลง ลอด์จก็ใช่ว่าจะกระจอกเสียเมื่อไร อิทธิพลและกำลังเงินในสิงค์โปร์ก็ถือว่ามาก อีกทั้งช่วงหลังมานี้ยังแผ่อิทธิพลไปในจีนแผ่นดินใหญ่ และในไทยนี่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเป้าหมายใหม่อีกเช่นกัน
“ก็ไม่เคยกลัว ถ้าลอด์จ อินดัสทรีอยากจะเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย ตราบใดที่ไม่มาทับทางกัน เบอร์ตัน กรุ๊ปก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา”
“นายก็รู้ว่ามันทับทางเบอร์ตัน กรุ๊ปแน่ๆ เหมือนอย่างโครงการกาสิโนที่นายเข้าร่วมประมูลไง ลอด์จได้ไป ทั้งที่ตอนแรกยังคิดอยู่เชียวว่าเบอร์ตันจะได้”
“ที่จริงงานนั้นฉันไม่เอาแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าพวกมันอยากนัก ก็เชิญตามสบาย”
เอรีสตอบกลับอย่างไม่ยี่ระ เขาไม่ใช่พวกชอบริษยา ใครได้งานไปก็ไม่ถือว่าเป็นศัตรูนอกเสียจากว่ามันจะลูบคมด้วยการใช้วิธีสกปรก ปล้นเอาสิ่งที่สมควรเป็นของเขาไป
“แว่วว่ามูลค่าสูงมาก ทำเงินให้ไม่น้อย ปิดให้แซดว่าจ่ายให้คณะกรรมการตัดสินไปเยอะทั้งคนฝั่งโน้นกับคนฝั่งนี้ กินจนอิ่มแปล่กันทุกฝ่าย”
เจซีบอกยิ้มๆ ไอ้ที่รู้มาไม่ใช่ข่าวซุบซิบเสียด้วย แถมหลุดมาจากปากคนที่เชื่อถือได้อีกต่างหาก
“ก็ไม่แปลกใจ”
“…โครงการของฉัน มีลอด์จเข้าประมูลด้วย นายโอเคใช่ไหม”
เจซีบอกเพื่อนรักตรงๆ ด้วยบริษัทของเขามีผู้ถือหุ้นอีกหลายราย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธอะไรไปด้วยความรู้สึกส่วนตัว
“ไม่มีปัญหาอะไร นายไม่ต้องกังวลไปหรอก ตราบใดที่ทุกอย่างทำอย่างตรงไปตรงมา ฉันก็ไม่เอามาคิดให้มันเป็นเรื่อง”
“อืม ถ้าเรื่องนั้นก็สบายใจได้ ฉันไม่ยอมให้ใครมาโกงอะไรในงานที่ฉันดูแลอยู่แน่ ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้นบางคนในบริษัทของฉันจะโคตรแนบแน่นกับลอด์จจนออกนอกหน้านอกตา แต่ฉันก็คอยระวังไว้อยู่” เจซีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นขณะพูด
เพราะภายในบริษัทตัวเองก็ยังมีคนที่คอยจะแย่งการบริหารของอยู่ แถมไม่ใช่ใครที่ไหนก็เป็นพี่ชายต่างมารดาของเขาเองที่คอยจะเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาอยู่แทบทุกวัน ถ้าจะพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเอรีสกับธรนัยย่ำแย่แล้ว ของเจซีกับพี่ชายถือว่าเลวร้ายกว่ามาก
“เดฟยังป่วนนายไม่เลิก?” เอรีสกอดอกและครุ่นคิดไปด้วยคณะถาม
“ใช่”
{ปัถย์}
คำพูดจากฐิติผู้ช่วยคนใหม่ของเอรีสบอกทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจนัก
สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้คือความร้อนรุ่มภายในใจ สิ่งนั้นมีคำเรียกว่า ‘ความหึงหวง’
เมื่อก่อน สิ่งที่ผมรู้สึกต่อเอรีสคือการมองเขาอยู่ห่างๆ ไม่มีความคาดหวัง ไม่ได้ตั้งเป้าอยากได้หรือครอบครอง มีบางครั้งที่ผมอาจเสียใจ ยามที่เอรีสมีความสัมพันธ์เชิงลึกซึ้งกับใครก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยหึงหวง...
ผมเจียมตัวกับสถานะของตัวเองมาตลอด
แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวของเอรีสขึ้นมาหน่อยๆ รู้สึกไม่พอใจที่ได้รู้ว่ายินว่าคิมหันต์ยังคงวนเวียนอยู่รอบกายเอรีส ทั้งที่เขาบอกกับผมว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความสำคัญอะไร
อันที่จริงผมไม่ควรเก็บเอาคำพูดของฐิติมาคิดให้รกสมอง คงดูงี่เง่ามากที่มัวโมโหเรื่องที่หนึ่งในคู่ขาของเอรีสจะมาพบปะบ้างเป็นครั้งคราวที่ออฟฟิศ ก็ตลอดสามปีที่ผ่านมาเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมาเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ฉะนั้นผมควรปล่อยความหึงหวงนั้นไป และควรหนักแน่น ที่สำคัญที่สุดคือไม่ควรเอาคำพูดของคนอื่นไปตัดสินคนที่ผมตกลงจะให้โอกาส
พอคิดมาถึงตอนนี้ผมก็สบายใจขึ้นนิดหน่อยและเริ่มเอ็นจอยกับอาหารและเครื่องดื่มในมือกว่าเก่า เมื่อของว่างในจานหมดผมจึงลุกขึ้นและเดินไปที่บาร์ด้วยอารมณ์ที่เกือบเป็นปกติ อาหารนานาชาติตรงหน้ายั่วน้ำลายเสียจนท้องผมเริ่มส่งเสียงร้อง
ผมตักอาหารหลายอย่างไว้ในจานกระทั่งมือมือหนึ่งที่แตะแผ่นหลังเบาๆ ไม่ต้องหันไปมองผมก็พอจะรู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของฝ่ามือนั้น
“เมาหรือยัง”
เสียงทุ้มๆ ดังอยู่ใกล้ใบหู กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่คุ้นเคยลอยผ่านมาตามลมทะเลที่พัดมาทางนี้พอดียิ่งบอกชัดว่าเขาที่ผมเดาไว้ไม่ผิดตัวจริงๆ
“อาจจะ...” ผมแกล้งตอบเสียงเรียบ
จริงๆ แล้วไม่ได้รู้สึกเมาเลย กับแค่สองสามแก้วมันไม่ได้ทำให้ผมมึนด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าเอรีสไม่รู้ว่าผมคอแข็งกว่าที่เขาคิด
“บอกได้ไหมว่าใครทำให้ไม่พอใจ” เอรีสจริงจังมากจับได้จากน้ำเสียง
ถ้าเมื่อสิบนาทีก่อนผมคงจะประชดประชันเขาสักประโยคสองประโยค แต่ตอนนี้ผมไม่ได้หึงจนลมออกหูแล้ว ที่มีก็แค่อยากแกล้งเขาเล่นๆ เสียมากกว่า
“คุณ”
“ฉัน?”
เขาชะงักมือที่แตะบนแผ่นหลังผมเล็กน้อย ก่อนจะลูบเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร ปล่อยให้ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสผ่านเนื้อผ้า ยอมรับแบบไม่อายว่าผมรู้สึกอุ่นใจเวลาที่เขาแตะต้องเนื้อตัวผมอย่างแผ่วเบา
“ใช่ คุณนั่นล่ะ”
ผมยังแกล้งเขาต่อไป บางทีผมก็อยากเอาคืนเอรีสบ้าง สามปีที่ผ่านมาผมเป็นลูกไล่ให้เขามาตลอด พอมีโอกาสเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ แก้เผ็ดให้อีกฝ่ายร้อนรนบ้างก็ไม่น่าสนุกไม่หยอก
“ฉันทำอะไร”
“…” ผมเงียบ และสนใจกับบาร์อาหารแทน
“ปัถย์ คุยกัน อย่าเงียบสิ ฉันใจไม่ดี” น้ำเสียงเขาร้อนรน มองจากหางตาสีหน้าก็ดูกระวนกระวาย
“ฮึ...” ผมส่งเสียงในลำคอเบาๆ แต่ก็เงียบเหมือนเคย
“เฮ้ ถ้านายไม่บอกฉันก็เดาไม่ถูก ให้ตายสิไม่เอาแบบนี้นะ ขอเลยอย่าเมินใส่ฉัน สงสารกันบ้างเถอะ”
เอรีสพูดเสียงเว้าวอนเสียจนผมใจอ่อนยวบ แต่ก็แสร้งปั้นสีหน้าเรียบเฉยไว้อย่างสุดความสามารถ
“ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสารเลยครับ”
“นี่ล่ะน่าสงสารที่สุด โดนคนที่ฉันแคร์ที่สุดทิ้งแบบไร้เยื่อใย ปล่อยให้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังแบบนี้ไม่เรียกว่าน่าสงสารแล้วให้เรียกว่าอะไร” เอรีสก้มลงมาเพื่อสบตา ซึ่งผมเองก็ได้แค่มองเขาตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก มัวแต่ตะลึงกับดวงตาหวานฉ่ำแกมเจ็บปวดลึกๆ ของเขาที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัด
เป็นผมเองที่จงใจหลบสายตาคู่นั้น รู้ดีว่าตัวเองไม่เคยใจแข็งอะไรได้เลยกับมนุษย์ที่มีชื่อว่าเอรีส ต่อให้เขาคนนี้เคยเมินเฉยต่อผมแค่ไหน ผมก็ยังรัก แล้วตอนนี้ที่เขากลับมาออดอ้อนเว้าวอนแบบนี้มันจะใจแข็งไปได้ยังไง
“กรรมตามสนอง”
“อะไรนะ”
“เรียกว่า...กรรมตามสนองครับ โทษฐานที่คุณชอบเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้... แถมยังปากเสียเวลาที่โมโห”
“โอย... พูดซะไม่มีความดีเลย”
สีหน้าเอรีสดูน่าขัน ดวงตาที่เบิกกว้างกับปากที่เผยอน้อยๆ แบบเก็บอาการไม่อยู่ ถ้าลองลูกน้องคนอื่นในบริษัทมาให้สภาพหลุดฟอร์มแบบนี้คงพากันซุบซิบนินทาอย่างพออกพอใจเป็นแน่
“ความดีก็มีละ แต่ผมว่าด้านร้ายของคุณโดดเด่นกว่า” ผมยิ้มน้อยๆ ซึ่งเอรีสก็ยิ้มกลับมาให้เช่นกัน เขามองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ผมไม่กล้าเข้าข้างตัวเองมากเท่าไร ถึงแม้มันหวานฉ่ำจนน่าลุ่มหลงเพียงใดก็ตาม
“เจ็บจัง เวลาโดนนายด่าเนี่ย”
“คุณเคยด่าผมแรงกว่านี้ อย่างเช่น... ไปไกลๆ เลย อย่ามายืนเกะกะขวางทาง ถ้าช่วยอะไรไม่ได้ก็หลีกไปให้พ้นหน้า ฉันไม่ได้เสียเวลาจ้างเด็กประถมมาทำงานนะ แล้วก็ นี่อะไร! ฟังไม่เข้าหูหรือไงว่าไม่เอา อย่าเอามาให้เห็นอีกนะ ซื่อบื้อ แล้วก็....” นั่นคือประโยคที่เอรีสบอกกับผมเมื่อตอนที่ผมเข้ามาทำงานใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นผมนี่โมโหเสียจนแทบอยากจะเดินไปบีบคอเขาแต่ก็ทำได้เพียงเงียบ
“พอ พอ... ขอร้องล่ะ อย่าพูดอีก รู้แล้วว่าที่ฉันเคยพูดมันแย่มาก”
เอรีสโบกมือ เขากรอกตาทำท่าเหมือนรับฟังไม่ได้ ซึ่งที่จริงแล้วไอ้ที่เขาด่าผมมันมีอีกเยอะแต่ดูเหมือนเขาจะไม่กล้าฟังคำพูดของตัวเองเสียแล้ว
“คุยกับเจซีเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมถาม เมื่อเห็นเขาดูซีเรียสจริงๆ ก็เลยเลิกแกล้ง
“อืม เสร็จแล้ว” เอรีสรับคำแล้วเดินตามผมมาเงียบๆ
“หิวไหมครับ จะกินอะไรดี”
“หิว แล้วก็อยาก...กิน ถ้าได้ ก็จะดีมาก”
เสียงเขามันแปลกๆ ฟังดูติดจะเรทอาร์ในความคิดของผม แล้วไอ้ลมหายใจที่รดต้นคอนั่นมันคืออะไร
“เอรีส” ผมลากเสียง บอกว่ารู้ทันความหมายที่เขาต้องการสื่อ สายตาก็ปรามเขาอยู่ในที แต่ถึงอย่างนั้นเอรีสก็ยังลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก้มหน้าลงมาใกล้จงใจให้ลมหายใจร้อนๆ ปะทะแผ่วบนต้นคอ
“ครับ”
“ช่างเถอะครับ” ผมเบี่ยงหน้าหลบ ยั้งคำถามที่ก่อกวนในใจไว้ได้ทัน
ทั้งเรื่องที่สงสัยและอยากรู้
อยากถามเขาตรงๆ ว่ากับคิมหันต์ มันจริงอย่างที่ฐิติพูดไหม ทั้งคู่ยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปตรงๆ เอรีสอาจมองว่าผมก้าวก่าย ซึ่งผมคงรู้สึกหดหู่มากถ้าเขาจะมองผมไปในทางนั้น ในตอนนี้เอรีสเอียงคอน้อยๆ มองผมแบบไม่มีเก็บอาการ เป็นผมเองที่หลบตาก่อนเพราะความรู้สึกแปลกๆ เมื่อมาถึงโต๊ะ ฐิติก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ผมกับเอรีสนั่งลงข้างกันโดยที่เขาเลื่นเก้าอี้เข้ามาให้ใกล้อมยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้ ดูอารมณ์ดีมากกว่าทุกครั้ง
“เจซีถามถึงนายด้วย”
“เจซีเป็นยังไงบ้าง หายดีหรือยังครับ”
ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขาคือตอนที่ตามเอรีสไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเจซีเพิ่งผ่าตัดเสร็จ ภายหลังได้ยินมาว่าต้องนั่งรถเข็นเพราะอาการเขาไม่ค่อยดีเท่าไรเนื่องจากอุบัติเหตุกระทบกระเทือนการเคลื่อนไหวช่วงล่างของเขาหนักมาก ต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนานกว่าจะหายเป็นปกติ
“ยังนั่งรถเข็นเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” เอรีสตอบ มือหนาพาดมาบนพนักพิงด้านหลังผมดูท่าทางน่าสบาย
“โชคดีมากเลยนะครับที่ฟื้นจากโคม่าแล้วกลับมาทำงานต่อได้” เห็นจากสภาพในข่าวแล้วใครๆ ก็บอกว่าคนในซากรถคนนั้นไม่น่ารอด แต่ปาฏิหารก็พาเจซีกลับมาได้
“ปัถย์” เอรีสเรียกผม “นายเคยได้ยินชื่อลอด์จ อินดัสทรีไหม”
ผมนึกอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ
“เคยครับ บริษัทใหญ่ในสิงคโปร์ ทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ในแววดวงก่อสร้างชื่อเสียงของลอด์จ อินดัสทรีถือว่าเป็นที่รู้จักกันดีในวงกว้าง แม้จะไม่ได้ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย แต่ผมก็ได้ยินชื่อเสียงมาไม่น้อยทั้งในแง่ที่ดีและแง่ที่ไม่ดี
เอรีสนิ่งไปราวครึ่งนาที ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงยั่วเน้า
“คู่แข่งรายใหม่น่ะ จะมาประมูลแข่งในอีกหลายๆ โครงการ อ้อ อีกอย่าง บริษัทลูกในเมืองไทยมีธีรนัยถือหุ้นอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์”
น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้มีอารมณ์โมโหหรือจ้องจับผิดอะไรเจืออยู่ด้วย แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมโล่งอกเท่าไร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเอรีสเกลียดธีรนัยเข้ากระดูกดำ
“ผมก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน คุณธีร์ไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลยเรื่องงานหรือธุรกิจของเขา”
ผมบอกแบบไม่โกหก ได้การพยักหน้าแบบเข้าอกเข้าใจของเอรีสกลับมา ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เอรีสพูดถึงลูกพี่ลูกน้องของตัวเองโดยไม่ได้ใส่อารมณ์โกรธหรือท่าทีไม่พอใจให้เห็น
เอรีสดูใจเย็นและสุขุมเหมือนกับที่เป็นกับทุกๆ เรื่อง ซึ่งค่อนข้างแปลกในความคิดของผม
“ลอด์จเพิ่งเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ที่รู้มา ธีรนัยก็ร่วมอยู่ในบอร์ดบริหาร พอเศรฐกิจใจอาเซียนดี ใครๆ ก็อยากเข้ามาลงทุน เอาเป็นว่าตอนนี้ก็มีคู่แข่งที่น่ากลัวอีกรายแล้วละ”
“ลอด์จ อินดัสทรีจะเข้าร่วมประมูลในงานของเจซีด้วยหรือเปล่าครับ” ความอยากรู้อยากเห็นของผมเก็บเอาไว้ไม่อยู่ แม้ท่าทางของเอรีสจะดูสบายๆ ไม่ยี่หระ แต่นั่นก็ยังคงทำให้ผมห่วง
“อืม” เอรีสครางรับในลำคอ เมื่อผมหันไปมองที่เขาตรงๆ ก็เห็นสายตาคมกล้าที่มีบางอย่างอยู่ในใจ
“คุณคิดอะไรอยู่ครับ” ผมถามไปตรงๆ “หน้าคุณเหมือนรู้อะไรมา”
“ดูออก?”
“สีหน้าคุณดูมีอะไร” ผมคาดคะเน “ร้ายแรงแค่ไหนครับ”
“ที่จริงก็รู้ระแคะระคายอะไรมานิดหน่อย แต่ขอให้แน่ใจก่อนถึงตอนนั้นฉันคงต้องปรึกษานายอีกที” เอรีสหลับตาลงชั่วครู่ “ตอนนี้ก็แค่อยากรู็ว่า...จะกลับอยู่ใกล้ๆ กันไหม” เสียงนั้นออดอ้อน เปลี่ยนเรื่องจริงจังไปแบบพลิกฝ่ามือ พานให้ผมปรับอารมณ์ตามไม่ถูก
“…”
ผมไม่ได้ตอบ แล้วก็ไม่กล้าสู้ตาของเอรีสด้วย
“เงียบ คือปฏิเสธ?”
“อย่ากดดันผมครับ”
“แค่ถามดู ไม่ได้จะกดดันอะไรเสียหน่อย”
“เล่นถามตลอดที่มีโอกาส แบบนี้เขาเรียกกดดันครับ”
“โอเค ไม่ต้องทำเสียงแข็งใส่ก็ได้ ทำไมเดี๋ยวนี้ดุจัง กลัวไปหมดแล้วเนี่ย” เอรีสใช้ฝ่ามือรั้งต้นคอด้านหลังของผมไว้ บังคับให้หันไปสบตากันตรงๆ ความร้อนจากฝ่ามือทำให้ผมรู้สึกอ่อนไหวไปชั่วขณะ การแตะต้องเนื้อตัวเล็กๆ น้อยๆ ส่งผลกับร่างกายมากกว่าที่คิด
“อย่างคุณ เคยกลัวใครที่ไหนด้วยเหรอ”
“เมื่อก่อนไม่รู้ แต่รู้ว่าตอนนี้มีคนหนึ่ง ทั้งเกรงใจ ทั้งกลัว” เสียงนั้นนุ่มราวกำหยี่ “...กลัวว่าถ้าทำตัวไม่ดี พูดอะไรไม่เข้าหูก็จะหนีหายไปอีก”
“พูดเก่งจังนะครับเดี๋ยวนี้” ผมพูดไปด้วยความเก้อเขิน รู้สึกทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียวเมื่อเจออีกฝ่ายหยอดระยะประชิด
“ขอโทษที ขอนั่งด้วยคนได้ไหม” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นทำให้ผมและเอรีสที่มองตากันอยู่หันไปที่ต้นเสียงพร้อมๆ กัน
ผมชะงักค้าง คำพูดที่จะต่อปากต่อคำกับเอรีสมีอันกลืนหายเข้าไปในลำคอ ผมคงเก็บสีหน้าของความแปลกใจเอาไว้ได้ไม่มิด เอรีสขยับตัวเข้าใกล้ หางตาเขากระตุก สีหน้าเย้าหยอกเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างดุดัน
“…”
ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากเราทั้งคู่ ผมที่ประหลาดใจเกินกว่าจะพูดไรออกมาได้ ส่วนเอรีสก็คงเป็นความรังเกียจอันท้วมท้น
“ปัถย์ ...น่าแปลกใจนะที่เจอคุณที่นี่”