53
หงส์ออกมาจากโรงแรมพร้อมกับอากรและคุณต้น เพื่อตรงไปยังบ้านตระกูลฝู่ วันนี้พวกเขาเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไป โดยมีคนของเจ็กลู่ขับรถตามอยู่ห่าง ๆ จำนวนหนึ่ง เจ็กลู่ไม่วางใจที่จะให้เราเข้าไปกันเพียงแค่ 3 คน เพราะตั้งแต่เธอพาน้อง ๆ ออกจากบ้านหลังนั้นมา ก็ไม่มีคนในตระกูลฝู่สามารถเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้อีกเลย คนเก่าคนแก่ที่เคยรับใช้พวกเธอก็โดนไล่ออกหรือไม่ก็ส่งไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นภายในบ้านหลังนี้ จึงมีแต่คนของจุ้ยอั้ยเต๋อเท่านั้น
พวกเด็กรับใช้ในบ้านก็เป็นคนที่จ้างมาใหม่ โดยจุ้ยอั้ยเต๋อ ดังนั้นก่อนที่จะออกจากโรงแรมเธอได้ตระเตรียมกับอากรและคุณต้นไว้แล้ว ว่าเธออาจจะสื่อสารทางจิตกับพวกเขา อากรไม่มีท่าทีตกใจเพราะรู้เรื่องความสามารถของเธออยู่แล้ว ผิดกับคุณต้นที่ยังดูเกร็ง ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร เธอสัมผัสได้ถึงความตกใจและตื่นกลัวของคุณต้น
“คุณต้นค่ะ หงส์ต้องขอโทษนะคะที่ตัดสินใจบอกเรื่องเมื่อสักครู่นี้กับคุณในสถานการณ์แบบนี้”
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมไม่ชินกับวิธีสื่อสารของคุณหงส์เท่าไร” คุณต้นที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันกลับมาตอบ
“ที่หงส์เขาตัดสินใจบอกนาย ก็เพื่อที่จะตัวนายเอง เข้าไปในนั้นมันอันตราย นายจะได้ระวังตัวหากเกิดอะไรขึ้น” อากรช่วยเธออธิบาย
“ครับบอส”
“คุณต้นเพียงจะได้ยินเสียงหงส์ในความคิดเท่านั้นค่ะ หงส์รับรองว่าจะสื่อสารกับคุณเท่าที่จะเป็นเท่านั้น”
“ครับ ผมจะพยายามทำใจ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอรู้ว่าคุณต้นยังไม่วางใจในสิ่งที่เธอกับอากรพูดเท่าไรนัก เธอเองก็โทษเขาไม่ได้ เพราะเธอรู้ดีว่าโดยธรรมชาติแล้ว คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้เอาไว้ก่อน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะจิตแข็งแค่ไหนก็ตาม
“เรามาถึงแล้ว ตั้งสติไว้นะนายต้น”
“ครับบอส”
รถแท็กซี่เข้ามาจอดอยู่ที่รั้วทางเข้าบ้าน เธอกับอากรลงจากรถมาก่อน ส่วนคุณต้นทำหน้าที่จ่ายเงินค่าโดยสารให้กับแท็กซี่คันที่พาพวกเธอมา อากรเดินตรงไปกดกริ่งที่ประตูบ้าน
“มาพบใครค่ะ” เสียงตอบรับจากคนในบ้านดังขึ้น
“ผมวรากร คนรักของหลิวลู่ ต้องการขอพบคุณจุ้ยอั้ยเต๋อ” อากรตอบพร้อมทั้งมองไปยังกล้องที่อยู่หน้ารั้วบ้าน
พวกเธอรอกันอยู่สักพักประตูบ้านก็เปิดออกมา อากรเดินนำเข้าบ้านไปก่อน บ้านของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก จุ้ยอั้ยเต๋อคงต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้านของเธอแน่นอน เมื่อเดินถึงประตูหน้าบ้าน เด็กรับใช้คนหนึ่งยืนรอพวกเธออยู่ และพาเธอเขาสู่ตัวบ้าน
จุ้ยอั้ยเต๋อนั่งรอพวกเธออยู่ห้องรับแขก บริเวณโถงกลางบ้าน เขามองที่เธอกับคุณต้นอย่างสำรวจ ซึ่งเธอก็เตรียมพร้อมมาอยู่แล้ว เธอรู้ว่าจุ้ยเถิงมีภาพของหยกและโบตั๋น ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจุ้ยอั้ยเต๋อคงจะเห็นรูปนั้นแล้วเช่นกัน วันนี้เธอจึงปลอมตัวเล็กน้อยเพื่ออำพรางใบหน้าของเธอ
“คุณหมอ ไม่ได้เจอกันหลายปี ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมได้ล่ะ?” จุ้ยอั้ยเต๋อทักทาย
“อยากเรียกผมว่าคุณหมอเลย ผมไม่ได้เป็นแพทย์อาสาอีกต่อไปแล้ว”
“ได้ๆ นั่งสิ ๆ แล้วไปยังไงมายังไงกันล่ะ?”
“หลาน ๆ ผมมาฮันนีมูนกันที่นี่ ผมเลยพามาเยี่ยมเยียน ตามประสาคนรู้จักกัน”
“หลาน ๆ ลูกพี่ชายคุณน่ะหรือ?” หงส์สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือ และหวาดระแวงของจุ้ยอั้ยเต๋อ
“ใช่ นี่ไอ้เสือหลานชายผม ส่วนที่ภรรยามัน นภา” อากรแนะนำพวกเธอ ก่อนจะหันมาพูดเป็นภาษาไทยกับพวกเรา “ทักทายคุณจุ้ยสิ”
“Nice to meet you” คุณต้นทักทาย
“Hi” และเธอก็แสร้งทักทายบ้าง
“สองคนนี้เขาฟังภาษาจีนไม่ออก ถนัดแต่ภาษาอังกฤษ คุณชายจุ้ยคงไม่ถือ”
“ไม่เป็นไร ๆ ว่าแต่คุณกรคงไม่ได้มาเพียงเพราะจะมาเยี่ยมเยียนผมหรอกใช่ไหม?”
“บอกตามตรงเลยนะ ผมอยากถามเรื่องอาหลิว หลิวลู่ คุณหาตัวเจอเขาบ้างรึป่าว?”
“จนป่านนี้แล้วคุณยังไม่ลืมหลิวลู่อีกอย่างนั้นหรอ?”
“ผมคงลืมคนที่ผมรักไม่ได้หรอก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน”
“ผมเข้าใจ” บอกจุ้ยอั้ยเต๋อบอกอากรอย่างนั้น แต่ใจกลับคิดไปในทางตรงกันข้าม
“ผมตามหาทั่วประเทศไทยแล้วก็ไม่พบ เกรงว่าข่าวที่ได้มาตอนนั้นจะไม่ใช่เรื่องจริง”
“เท่าที่ผมสืบรู้มา หลิวลู่หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว เป็นไปได้สูง ว่าเขาอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”
“อย่างนั้นหรอ?” อากรแสดงท่าทางสลด ต่อหน้าจุ้ยอั้ยเต๋อ แต่ทางนั้นไม่ได้มีท่าทีเห็นใจเลยแม้แต่น้อย กลับคิดสมเพชอากรเสียด้วยซ้ำ
“แล้วพวกคุณมีแผนที่จะไปฮันนีมูนกันที่ไหนอย่างนั้นเหรอ” จุ้ยอั้ยเต๋อหันมาให้ความสนใจคุณต้นกับเธอแทนโดยการชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษ
“อากรบอกผมกับภรรยาว่า คุณเป็นเจ้าของกาสิโนในมาเก๊า”
“อ่อ สนใจจะเข้าไปเที่ยวที่กาสิโนล่ะสินะ”
“ครับ ผมอยากพาภรรยาไปเที่ยวที่นั่นสักหน่อย”
“ได้ ยังไงก็คนกันเอง สหายเก่ามาเยี่ยมทั้งที ก็ต้องต้อนรับ ยังไงคืนนี้ก็ค้างกันที่นี่เลยสิ”
“คงจะไม่ได้หรอกครับ ผมจองร้านอาหารสำหรับดินเนอร์กับภรรยาไว้แล้ว ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แล้วอยากไปกาสิโน่เมื่อไรล่ะ ฉันจะให้คนไปรับ แล้วนี่รับไปสิ” จุ้ยอั้ยเต๋อยื่นการ์ดแข็งสีทองใบหนึ่งใหคุณต้น
“อะไรหรอครับ?”
“บัตร VIP สำหรับเข้ากาสิโนของผม คุณจะเล่นอะไร เมื่อไรก็ได้ วงเงินในบัตรนี้ถือเป็นของขวัญแต่งงานสำหรับพวกคุณก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นอีก 2-3 วัน พวกผมคงต้องรบกวนด้วยนะครับ” คุณต้นตอบออกไปด้วยทีท่ายิ้มแย้ม
“ผมหมดธุระแล้วคงต้องขอตัวก่อน” อากรพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ยังคงหดหู่
“ถ้าคุณกรไม่ได้ไปไหนกับพวกเด็กๆ ก็แวะมาดื่มน้ำชาหรือสังสรรกับผมที่นี่ได้นะ” จุ้ยอั้ยเต๋อกล่าวออกมาอย่างมีน้ำใจ แต่ภายในกลับไม่ได้คิดอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“ผมคงไม่มีอะไรรบกวนคุณชายจุ้ยอีกแล้วล่ะ ขอตัว” อากรพูดจบก็ลุกขึ้น พวกเธอจึงลุกตาม ก่อนพากันเดินออกจากบ้านไป
ระหว่างทางที่เดินอยู่ภายในบ้าน เธอก็ค่อย ๆ สำรวจจิตของคนในบ้านไปเรื่อย ๆ ที่ละคน ส่วนใหญ่แล้วเด็กรับใช้ไม่รู้เรื่องเรื่องราวอะไร เพียงแต่ทำหน้าที่ของตนไปเท่านั้น จะมีก็เพียงคนบางกลุ่มที่ระแวดระวังตัวและคอยจับตาดูพวกเธออยู่ตลอดเวลา
เธอสัมผัสได้ถึงคนเหล่านั้น มีคนราว ๆ 15-20 คน ที่คาดว่าจะเป็นคนของจุ้ยอั้ยเต๋อ นอกจากนั้นก็เป็นแม่บ้าน เด็กรับใช้ คนรถ คนสวน แล้วคนอีกคนที่หลับไม่ได้สติ จิตใจที่สงบนิ่งแต่ก็เหนื่อยล้าเต็มที ใครกันนะ?
........................................................................
เมฆเข้ามาส่งงานที่บริษัทฯ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นงานสุดท้ายที่เขารับไว้แล้ว เขาแปลกใจที่อยู่ๆ บริษัทฯ ต่าง ๆ ก็พากันจ่ายงานให้ช่างภาพคนอื่นหมด บ้างให้เหตุผลว่ามาจากลูกค้า บ้างเข้าใจว่าเขาติดงานไม่มีคิวให้ บ้างว่าเป็นงานด่วนและติดต่อเขาไม่ได้
หลังจากที่เขาส่งงานเสร็จ เขาก็มาเตร็ดเตร่อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เขาเลือกที่จะนั่งในร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน ระหว่างที่เขายืนรอเครื่องดื่มอยู่นั้น เขาก็เห็นพี่อ้วนช่างภาพที่เคยทำงานร่วมกันนั่งอยู่กับเพื่อนในวงการช่างภาพอีกหลายคน เมื่อได้เครื่องดื่มแล้ว เขาจึงตรงเข้าไปทักทายคนกลุ่มนั้น
“ภาพเซ็ทนี้น่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของกูเลยก็ว่าได้” เขาได้ยินพี่อ้วนคุยกับเพื่อน ๆ
“กูว่าเพราะมึงได้นางแบบสวยมากกว่า” เพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้นมา
“พี่อ้วน มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย ประชุมช่างภาพกันรึไงพี่” เขาทักทายเมื่อเดินเข้าไปถึง
“อ่าวเมฆ มึงมาได้ไง?” พี่อ้วนทักเขาอย่างแปลกใจ
“บังเอิญนะพี่ ผมไปส่งงานมา ตอนนี้ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ เลยมาเดินเล่น ว่าแต่พวกพี่เถอะ มีแผนอะไรกันอยู่ ถึงมารวมตัวกันอยู่นี่”
“ก็ไม่มีอะไร พวกกูนัดแดกข้าว คุยเรื่องกล้อง เรื่องเลนส์กันตามประสา”
“โถ่ ผมนึกว่ามีโปรเจ็คอะไรใหญ่ๆ ซะอีก ถ้ามีงานฝากนึกถึงผมด้วยนะ”
“เอ่อ ๆ ถ้ามีงาน เดี๋ยวกูติดต่อไป” พี่อ้วนเริ่มเก็บของที่วางไว้บนโต๊ะเข้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้น เขาจึงลุกตาม “มึงนั่ง ๆ ไปเถอะ พวกกูจะกลับแล้ว ไปพวกมึง” พี่อ้วนบอกกับเขาก่อนเรียกพรรคพวก
“อ่าว คุยกันเสร็จแล้วหรอ”
“อืม กูจะไปซื้อของนิดหน่อยด้วย พรุ่งนี้กูต้องเดินทางไปถ่ายงานที่โอซาก้า”
“อ้าว แล้วไหนว่านัดกินข้าวกันไม่ใช่หรอ ผมไปด้วยดิ”
“พวกกูแดกกันเสร็จแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
“ครับ ๆ ” เมฆค่อนข้างแปลกใจกับท่าทางของพี่อ้วน ที่ดูเหมือนไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไร พรรคพวกของพี่อ้วนก็เช่นกัน ทั้งที่ทุกครั้งที่เจอกัน ต้องมีการหยอกล้อถามไถ่เรื่องงานกับเขาบ้าง แต่นี่กลับไม่ทีใครทักทายเขาสักคน
.........................................................................
หลังจากที่ทานอาหารร่วมกับคุณหญิงพรรณีและคุณสุพรรณษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พยัคม์และหยกก็กลับเข้ามานั่งคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสองอีกเล็กน้อยที่ห้องเอนกประสงค์ และดูเหมือนจะคุยกันเพลินเลยทีเดียว
เท่าที่เขาสังเกตดู หยกค่อนข้างเป็นที่ชอบพอของคนทั้งสองอยู่มาก หยกเองก็เข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี เรียกความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ได้ไม่น้อย เขาเห็นหยกเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง ซึ่งเขาไม่ได้รีบอะไร จึงปล่อยให้ทั้งสามคุยกันไปเรื่อย ๆ
“เห็นทีตาหยกคงจะเกรงใจคุณพยัคฆ์นะคะ” คุณสุพรรณษาคงจับสังเกตได้
“จริงสิ พยัคฆ์ต้องเข้าบริษัทฯ ไม่ใช่หรือ ไอ้ฉันมันก็คุยกับพ่อหยกจนเพลิน ทีหลังไม่ต้องเกรงใจฉัน ต้องไปทำงานก็บอกกล่าวกัน” คุณหญิงเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้
“ผมเห็นว่าคุยกันจนเพลิน เลยไม่อยากขัดครับ อีกอย่างงานของผมก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร”
“ไม่ได้ ๆ งานก็ต้องเป็นงาน ไปเถอะพ่อ ไปทำงานทำการได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมกับหยกขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อืม ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยมาทานข้าวด้วยกันอีกนะพ่อหยก”
“ครับ ไว้คราวหน้า ผมจะทำขนมมาฝากคุณหญิงกับคุณษานะครับ”
“เอาสิ ไว้ฉันจะรอชิมขนมของเธอก็แล้วกัน”
พยัคฆ์จึงลาคุณหญิงและคุณสุพรรณษา โดยมีคุณสุพรรณษาเดินตามออกมาส่งพวกเขา ส่วนคุณหญิงนั้นก็เตรียมเดิมกับขึ้นไปยังชั้นบน พยัคฆ์ซึ่งเดินนำหน้าคนทั้งสอง ได้ยินคุณสุพรรณษาชวนหยกคุยตลอดทาง
“ถ้าเป็นไปได้ หยกก็มาหาฉันกับคุณแม่บ่อย ๆ นะ”
“ครับ ถ้ามีโอกาส ผมจะมาเยี่ยมใหม่”
“ถ้าคราวหน้ามากันทั้งสามคน บ้านนี้คงจะครื้นเครงขึ้นเยอะเลย”
“คุณษาอาจจะต้องปวดหัวกับโบตั๋นก็ได้นะครับ”
“ฉันไม่กลัวเรื่องปวดหัวหรอกจ้า” พยัคฆ์ได้ยินเสียงคุณสุพรรณษาหัวเราะเล็กน้อย “เป็นอะไรไปรึป่าวจ๊ะ?” คำถามนั้นทำให้พยัคฆ์ต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง
หยกยืนเกร็งนิ่งอยู่หน้ากรอบรูปที่วางประดับข้าง ๆ แจกันบนคอนโซลตรงทางเดิน แววตาที่ดูตระหนกกับใบหน้าที่ซีดเซียวลง
“อ่อ นี่รูปสามีกับลูกชายของฉันเองล่ะ” หยกมองมายังเขา ทำให้เขาเดินเข้าไปหา หยกหันกลับไปมองรูปภาพตรงหน้าอีกครั้ง
“พี่เสือ...เขา...”
“มีอะไรกันรึป่าวค่ะ?” พยัคฆ์ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาไม่คิดว่าหยกจะจำเกรียงไกรได้หลังจากได้เห็นรูปนี้
“ผมและหยกเคยมีเรื่องกับคุณเกรียงไกรนิดหน่อยนะครับ” เขาเห็นสายตาตัดพ้อของหยกที่มองมา
“ตายจริง แล้วเรื่องราวเป็นยังไงบ้างค่ะ มีอะไรรุนแรงกันรึป่าว?”
“เรื่องนี้ผมขออธิบายภายหลังนะครับ ยังไงวันนี้ผมขอตัวก่อน และขอบคุณอีกครั้งสำหรับอาหารกลางวัน”
จากนั้นเขาก็จูงมือหยกเดินออกจากตัวบ้านมาโดยไม่แคร์สายตาของคุณสุพรรณษา แรก ๆ หยกมีอาการขืนตัวจากเขาเล็กน้อย แต่หยกคงนึกได้ว่าขณะนั้นพวกเขายังอยู่ต่อหน้าคุณสุพรรณษา ตลอดทางที่ขับรถไปยังบริษัทฯ หยกนิ่งเงียบจนเขากังวล
.........................................................................
ผมตกใจมากตอนที่เห็นภาพถ่ายของคุณษา คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านมันทำให้ผมสะดุดใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ความกลัวจะค่อยแผ่ซ่านเข้ามาจนผมต้องหันมองถามพี่เสือ และคำตอบที่เขาบอกกับคุณษานั้นมันทำให้ผมรู้ว่าเขารู้จักกับคน ๆ นี้ และพี่เสือยังรู้อีกด้วยว่าคนในรูปมีความเกี่ยวข้องกับคนในบ้านนี้ แต่ก็ยังจะพาผมเข้ามา
ผมโกรธที่พี่เสือปิดบังผม จนผมขืนตัวไม่อยากให้พี่เสือแตะต้องตัวผม แต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ผมรู้ว่าผมควรรักษามารยาท จึงเดินตามพี่เสือที่ลากผมออกมาจากบ้านหลังนั้น และตลอดทางผมเลือกที่จะนั่งเงียบจนมาถึงบริษัทฯ ของพี่เสือ บริษัทฯ ที่ผมเคยมาหาเจ็กลู่
เมื่อลงจากรถได้ แทนที่ผมจะเดินเข้าไปยังอาคาร ผมกลับเลือกที่จะเดินออกมาแทน ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถ และเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามผมมาพี่เสือคว้าข้อมือผมไว้ ผมสะบัดมือหนานั่นทิ้งทันทีแบบไม่ได้คิด ตอนนี้นอกจากผมจะโกรธแล้ว ความรู้สึกที่มีมากกว่าคือ...ความน้อยใจ
“หยกครับ...หยก” พี่เสือเรียกผม และเดินตามผมมาจนถึงหน้าป้อมยาม “หยกฟังพี่ก่อนสิครับ”
“...” ผมได้แต่เดินหนี ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่เสือตอนนี้ ผมสับสน ผมไม่เข้าใจ ผมรู้แค่ว่าผมโกรธ ผมน้อยใจ ให้ผมอธิบายหรือรับฟังอะไรตอนนี้ ผมทำไม่ได้
“หยกครับ เข้าไปที่ออฟฟิตพี่ก่อนนะ” พี่เสือยังคงเดินตามผมมา
“...”
“ขอโอกาสให้พี่อธิบายนะครับ” พี่เสือคว้าข้อมือผมไว้อีกครั้ง และครั้งนี้ผมคว้าข้อมือพี่เสือพร้อมกับหักข้อมือหงายกลับหลังทันที พี่เสือไม่ขัดขืนอะไร ผมจึงผลักให้พี่เสือออกไปให้พ้นทางของผม “หยก...”
“...” ผมเดินออกมาจนเกือบถึงถนนใหญ่ที่เคยมานั้งทานก๊วยเตี๋ยวกับเจ็กลู่ ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่เสือแล้ว มันทำให้ผมยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใจหนึ่งก็ไม่อยากเห็นหน้าพี่เสือตอนนี้ แต่พอคิดว่าพี่เสือไม้ได้ตามมาแล้ว ผมก็ยิ่งเสียใจ ผมไม่เข้าใจตัวผมเองจริง ๆ
.........................................................................
จุ้นเถิงได้รับรายงานจากคนของเขา ว่ารถเป้าหมายได้มายังบริษัทฯ แล้ว หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาเฝ้าจับตาอยู่หลายวัน และฝู่หยงก็อยู่บนรถคันนั้นด้วย เขาจึงสั่งให้ลูกน้องคอยติดตามอย่าให้เป้าหมายไหวตัวได้ทัน เขาเองก็รีบไปยังจุดหมายทันที เขาไม่อยากพลาดเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา
คนของเขาขับรถพาเขามาถึงปากซอยที่ตั้งของบริษัทฯ รักษาความปลอดภัยนั่น ระหว่างที่รถเลี้ยวเข้าซอย เขาก็เห็นร่างขาว ๆ ที่คุ้นตาเดินสวนออกมาที่ริมถนนใหญ่ จนเขาต้องเหลียวกับไปมองอีกครั้ง
“หยุดรถก่อน” เขาบอกคนขับด้านหน้า
“หยุดตอนนี้ไม่ได้ครับคุณจุ้ย มีรถตามหลังมา”
“งั้นก็หาที่ที่มันจอดได้สิ”
“ครับ ๆๆ”
เขามั่นใจว่าคนที่เขาเห็นน่าจะเป็นฝู่หยงไม่ผิดแน่ ระหว่างที่คนของเขาขับรถเข้ามาในซอย เขาก็เห็นบอร์ดี้การ์ดคนที่ควรจะอยู่กับฝู่หยงเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางตรงกันข้ามกับฝู่หยง และในมือก็ถือโทรศัพท์ไปด้วย
“ไม่ต้องหาที่จอดแล้ว หาที่กลับรถ”
“คุณจุ้ยไม่ไปที่บริษัทฯ รักษาความปลอดภัยนั่นแล้วหรอครับ”
“ฉันเจอคนที่ฉันต้องการแล้ว และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีด้วย”
To Be Continue