61
จุ้ยเถิงรอเกรียงไกรอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบิน แทนที่เขาจะได้เดินทางเลย กลับกลายเป็นว่าต้องมารอคนไม่เอาไหนอย่างเกรียงไกร กู๋เซียงต้องการให้มันไปกับเขาด้วย ลุงของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรบอกเพียงแต่ให้เขาตามใจกู๋เซียง แล้วให้รีบพาลตาไปหาเขาให้เร็วที่สุด
ก่อนที่เขาจะออกจากคอนโด เขาได้ให้คนรายงานกับลุงของเขาแล้วว่าจะไปกลับไปที่เยี่ยนหว๋อ แต่ลุงของเขากลับสั่งให้เขาพาฝู่หยงไปที่มาเก๊าพร้อมลตา เพราะต้องการใช้งานลตาด่วน และที่สำคัญลุงต้องการให้เขาเล่นกับใครบางคนที่เป็นเพียงมือสมัครเล่น แต่ก็สามารถโกยเงินจากกาสิโนไปได้หลายสิบล้าน
“คุณชายจุ้ย คุณเกรียงกำลังเดินทางมา น่าจะถึงที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมง” ลตาบอกกับเขาหลังจากวางหูสาย
“อืม พอมันมาถึงคุณก็คอยดูมัน อย่าให้มันมายุ่มย่ามกับฝู่หยงล่ะ?”
“คนของคุณอยู่ที่นี่เต็มไปหมด เขาคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามหรอกมั้ง”
“หึ ขนาดฝู่หยงเป็นผู้ชาย มันยังฉุดได้เลย แล้วจะให้ผมไว้ใจมันได้ยังไง?” เขาเห็นลตาส่ายหน้า ก่อนเดินไปหาฝู่หยง ที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรตั้งแต่ออกจากคอนโดมา
ฝู่หยงนิ่งมาก ไม่ถาม ไม่เอะอะโวยวาย แต่เขาก็เห็นแววตาที่ลอบสังเกตรอบ ๆ ตัวอย่างเงียบ ๆ คงจะหาจังหวะหนีจากเขาอีกแน่ ระหว่างที่การหนีเอาตัวรอดกับหยกวิเศษ ฝู่หยงจะตัดสินใจเลือกอย่างไหน ในเมื่อปากก็บอกว่าหยกนั่นมีความสำคัญต่อเขามาก
เขาเดินขึ้นไปบนเครื่องก่อนหยิบเอาหยกวิเศษออกมาดูอีกครั้ง หยกนี่อยู่ในมือของเขามาหลายวัน ลองใช้มันกับคนของเขา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ลองเอาหยกไปประทับตราบนกระดาษ ถึงจะเกิดรอยคล้ายกับเอกสารในพินัยกรรม แต่สีของหมึกนั่น มันเป็นหมึกแบบไหนกันแน่
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าหยกนี่มันจะดลบันดาลให้ได้ดั่งใจผู้ถือครองมันได้ยังไง แต่เขาเชื่อว่าหยกนี่ต้องมีความสำคัญหรือมีความลับอะไรบางอย่างต่อตระกูลฝู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตกทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังมีการแต่งเขยเข้าตระกูลอีกต่างหาก
จุ้ยเถิงนั่งพิจารณาหยกในมือจนลืมเวลา เขามารู้ตัวอีกที เมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก เขาจึงเดินออกไปดู แล้วเขาก็เห็นฝู่หยงกับเกรียงไกรมีปัญหากันอยู่ โดยมีลตากับคนของเขาห้ามปรามแยกทั้งคู่ออกจากกัน
........................................................................
ผมเห็นรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในโกดังจอดเครื่องบิน เมื่อผมเห็นคนที่ลงจากรถมาผมก็มีความคิดดี ๆ เกิดขึ้น หวังว่าผมพอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ครั้งก่อนที่ผมเห็นรูปไอ้หมอนี่ที่บ้านคุณษา ผมอาจจะกลัวเขา นั่นเป็นเพราะความทรงจำของผม จำเขาไม่ได้ แต่ร่างกายผมกลับจำได้ดี ในตอนนี้ผมไม่กลัวเขาอีกต่อไป เมื่อเขาลงมา ผมจึงสลัดตัวออกจากคนของจุ้ยเถิง พุ่งไปชกหน้ามันทันที
คุณลตาดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นผมพุ่งเข้าใส่นายเกรียงไกรแบบนั้น เธอตรงเข้ามารั้งผมไว้ ก่อนที่คนของจุ้ยเถิงจะถึงตัวผม ส่วนไอ้หมอนั่นลงไปนั่งกองกับพื้น เอาแขนป้องหน้าตัวเองไว้ เหมือนคนหมดทางสู้
“หยก ใจเย็น”
“ผมไม่ทำอะไรคนที่ไม่มีทางสู้เหมือนอย่างมันหรอกน่า” ผมโวยวายออกมา ซึ่งดูเหมือนคุณลตาจะรู้ว่าผมแกล้งทำเป็นเอะอะเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง
“นะ...น้องหยก มะ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนที่นั่งอยู่ที่พื้นเอ่ยถามเมื่อแน่ใจว่าผมจะไม่เข้าไปทำร้ายเขาอีก ไม่มีใครตอบคำถามไอ้หมอนั่น
คนของจุ้ยเถิงเดินมาลากตัวผมออกไป แต่ผมทำสะบัดตัวหนีพวกเขา และพุ่งเข้าใส่คนถามอีกครั้ง จนเป็นคุณลตาที่ทำทีเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมผม รั้งผมเอาไว้ มันทำให้ผมมีโอกาสได้ปลีกตัวออกมาอยู่กับคุณลตาเพียงสองคน จุ้ยเถิงเองก็เดินลงมาจนถึงกลุ่มที่กำลังมีเรื่องมีราวกันอยู่ ในมือของเขากำเมฆาขาวเอาไว้ คงเป็นเพราะผมทำเสียงเอะอะ ทำให้เขาไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อยก่อนจะรีบลงมาข้างล่างนี่แทน
จุ้ยเถิงพูดอะไรกับไอ้หมอนั่นเป็นภาษาจีน ซึ่งผมไม่เข้าใจ คุณลตาก็พูดคุณกับพวกนั้นด้วย และยังรั้งผมให้เข้าไปหาเธอ ผมจึงแกล้งสะบัดข้อมือหนีเธอเล็กน้อย
“หยก นายมากับฉัน” คุณลตาพูดขึ้นก่อนนำผมขึ้นไปบนเครื่องบิน ผมยังคงทำเป็นยึกยักก่อนเดินตามเธอไป
“เห็นเมฆาขาวไหมครับ” ผมกระซิบถามเมื่อเราเดินออกมาจากระยะการได้ยินของคนพวกนั้น
“อืม” คุณลตาตอบและเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนะกระทั่งถึงบนเครื่อง
“เราจะเอาเมฆาขาวกลับมาได้ยังไงกันครับ ผมยังหาโอกาสไม่ได้เลย”
“เราคงจะเอามันคืนมาตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องรอให้ถึงมาเก๊าก่อน”
“มาเก๊า? แล้วผมจะไปได้ยังไง ผมไม่มีเอกสารอะไรเลยนะ เขาจะพาผมข้ามประเทศกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
“เรื่องแค่นั้น จุ้ยเถิงปลอมเอกสารให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ถึงได้เตรียมเอาไว้ แล้วไหนจะเครื่องบินของเยี่ยนหว๋อลำนี้อีก”
“คุณลตารู้เรื่องเยี่ยนหว๋อด้วยเหรอครับ”
“ฉันรู้อะไรไม่มากหรอก และก็ไม่มีเวลาจะอธิบายให้เธอฟังด้วย” คุณลตาพูดพร้อมทั้งมองไปนอกหน้าต่างเพื่อดูเหตุการณ์ด้านล่าง
“ไอ้หมอนั่นมันมาที่นี่ทำไม แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้?”
“เท่าที่ฉันรู้ เจ้าสัวเซียงต้องการให้เกรียงไกรแต่งงานกับหงส์ เพื่อจะได้เข้ามามีบทบาทในเยี่ยนหว๋อ และโกหกพวกนั้นกับว่าตามหาตัวเธอไม่พบ”
“ถ้าอย่างนั้น จุ้ยเถิงก็รู้สิครับว่าโดนหลอกอยู่”
“ใช่”
“แล้วยังมีหน้ามาที่นี่อีกน่ะเหรอ?”
“เขายังไม่รู้ตัวนะสิ ว่าทางนี้รู้เรื่องหมดแล้ว อีกอย่าง ที่เขาต้องมาที่นี่เป็นเพราะเรื่องที่เกรียงไกรฉุดเธอ มันเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาโดยมีคุณเพ็ญนภาเป็นคนจัดการ หมอนั่นไม่อยากถูกส่งตัวเข้าคุกเลยมาขอความช่วยเหลือจากจุ้ยเถิง”
“พี่ภาก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่า คุณเพ็ญนภารู้เรื่องเกี่ยวกับเมฆาขาว หรือเยี่ยนหว่อมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนายเกรียงไกร เธอน่าจะรู้ดีทีเดียว”
“ขนาดคุณลตายังรู้เรื่องนายเกรียงไกรอะไรนั่น คงมีแต่ผมสินะครับ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย?”
“ที่ฉันรู้เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยังไงฉันก็ต้องสืบเรื่องราวของพวกเธอ รวมไม่ถึงคนที่เกี่ยวข้อง การที่เธอไม่รู้เรื่องอะไร นั่นก็เพราะเธอใช้ชีวิตในแบบของเธอไม่ใช่เหรอ?”
“มันทำให้ผม...รู้สึก...เหมือนผมเป็นตัวถ่วง หรือดูแลตัวเองไม่ได้ จนต้องให้ใครต่อใครคอยมาปกป้องผม”
“ไม่ใช่หรอก เรื่องของฝู่ มันอันตรายกว่าที่เธอคิดนะ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูนั่นสิ” คุณลตาให้ผมมองออกไปดูเหตุการณ์ด้านล่าง ผมเห็นคนของจุ้ยเถิงกำลังซ้อมเกรียงไกรอยู่ “นี่แค่เบาะ ๆ นะ ถ้าไปถึงมาเก๊าเมื่อไร สองพ่อลูกคู่นี้คงจะรอดได้ยาก”
“แล้วที่เยี่ยนหว๋อ...”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นเป็นยังไงบ้าง รู้เพียงแต่ว่า จุ้ยอั้ยเต๋อสั่งให้จุ้ยเถิงและฉันไปรับมือคุณเสือและภรรยา”
“พี่เสือเหรอครับ แต่...”
“ใช่ นั่นคงจะเป็นคนของคุณกรมากกว่า”
เรื่องราวที่ผมรับรู้ยังไม่กระจ่างดี ผมยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถาม แต่ดูจากจังหวะและโอกาสที่มีน้อยนิด มันคงไม่เหมาะเท่าไร อย่างน้อยตอนนี้ผมก็พอรู้เรื่องราวของคนข้างล่างบ้างแล้ว ผมเห็นคนของจุ้ยเถิงหิ้วปีกนายเกรียงไกรไปยังรถตู้ที่เรานั่งมา ก่อนเขาจะเดินมาทางพวกผม
“ถ้าทางจุ้ยเถิงจะไม่ยอมช่วยเกรียงไกรซะแล้ว” คุณลตาเปรยขึ้นก่อนหันมาสบตาผม จนผมสังหรณ์ใจไม่ดียังไงชอบกล
........................................................................
หงส์กับคุณต้นเดินลงจากห้องพักมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ซึ่งพวกเธอกำลังเตรียมจะไปเช็คเอ้าท์ที่ล้อบบี้ เธอกับคุณต้นตรวจดูสัมภาระเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อรอคิว
“เฮ้ย!! ไอ้เสือ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีไหมว่ะ” ชายคนที่ยืนอยู่ที่เคานเตอร์หันมาแล้วทักกับคุณต้น
“อืม สบายดี แล้วนายล่ะ ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้” คุณต้นตอบอย่างแปลกใจ แต่ก็เล่นไปตามบทที่ได้รับอย่างแนบเนียน
“นี่คงเป็นเมียมึงล่ะสิ” ชายคนนั้นกล่าวก่อนหันมาทักทายเธอ “ยินดีด้วยนะครับคุณนภา แล้วต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...คุณ...”
“อ่อ ขอโทษครับผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อศักดิ์ครับ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของไอ้เสือมัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“พอ ๆ เมียกู กูหวงไม่ต้องมองนาน แล้วมึงจะตอบกูได้ยัง ว่ามาทำอะไรที่นี่”
“กูมาทำงานสิครับ ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ เหมือนอย่างมึงนี่ ว่าแต่มึงจะอยู่ที่นี่อีกนานไหมว่ะ?”
“กูกำลังจะพานภาไปดิสนี่แลนด์ว่ะ”
“เฮ้ย...อยู่คุยกันก่อนสิวะ” ศักดิ์พูดกับคุณต้นก่อนหันมาทางเธอ “นะครับคุณนภา อย่าเพิ่งไปเลยครับ”
“ก็ได้ค่ะ เห็นว่าคุณศักดิ์กับคุณเสือไม่ค่อยได้เจอกันนะคะ ไม่งั้นนภาไม่ยอมจริง ๆ”
“ขอบคุณครับ งั้นคืนนี้เราทานข้าวด้วยกันนะครับ ไอ้เสือคืนนี้แดกข้าวกัน ห้ามเบี้ยวกูนะโว้ย กูขอเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อน”
หงส์เห็นคุณต้นมองไปยังคุณศักดิ์ที่เดินนำหน้าเจ็กลู่ที่คอยลากกระเป๋าเดินตามหลังไปให้ ด้วยท่าทางที่ยังแปลกใจไม่หาย
‘คุณหงส์ครับ ได้ยินที่ผมคิดใช่ไหมครับ’ เธอยิ้มให้คุณต้น ‘ครูศักดิ์มาได้ยังไงครับ? ’
“ไปกันเถอะค่ะที่รัก นภาว่าเราคงต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนคุณจะกลับแน่ ๆ เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ดูท่าทางคุณต้นยังงงไม่หาย จึงตอบกลับเธอมาได้เท่านี้ จากนั้นทั้งสองก็พากันลากกระเป๋ากลับขึ้นห้องมาดังเดิม และที่คนทั้งสามคุยกันก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของจุ้ยอั้ยเต๋อไปได้
........................................................................
อากรเดินทางมาถึงบ้านของอาชาติก็ดึกมากแล้ว เนื่องจากมีคนของจุ้ยอั้ยเต๋อคอยตามอากรอยู่ เขาจึงเลือกที่จะออกจากโรงแรมในช่วงดึก เพื่อใช้ความมืดในเวลากลางคืนคอยอำพรางตัว
พยัคฆ์เพิ่งรู้ว่าอากรย้ายออกจากโรงแรมเดิมมาอยู่ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พักเมื่อสมัยที่มาเป็นแพทย์อาสา อากรใช้เวลาระหว่างวันไปเยี่ยมเพื่อนหมอที่รู้จักกันบ้าง เหมือนเป็นการหาอะไรทำฆ่าเวลารอหงส์กับต้น
“อาทราบเรื่องครูศักดิ์ไหมครับ” พยัคฆ์ถามในสิ่งที่คาใจออกมา ตอนมาถึงอาชาติเพียงแต่คุยอะไรกันฝู่ไฉ๋เล็กน้อย เขาเองก็ได้แต่ทักทายครูศักดิ์ตามมารยาท แต่ยังไม่ได้ถามไถ่อะไร อาชาติกับครูศักดิ์ก็รีบออกไป
“ครูศักดิ์?”
“แสดงว่าอากรเองก็ไม่รู้”
“อารู้แค่ว่า อาหลิวขอให้เพื่อนมาช่วย แต่ไม่รู้ว่าใคร”
“ครูศักดิ์นี่มันรุ่น ๆ ผม จะเป็นเพื่อนกับอาชาติได้ยังไงกัน”
“...”
“ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้อากรระแวงอาชาตินะครับ ผมแค่แปลกใจ”
“อืม อารู้ แต่อาไว้ใจอาหลิว ไม่ต้องกังวลไป”
“แล้วเรื่องทางนี้ จะเริ่มเมื่อไรครับ?”
“คนอย่างจุ้ยอั้ยเต๋อ มันไม่เล่นในเกมอย่างเดียวแน่ วันที่จุ้ยเถิงเล่นกับต้น มันคงจะเกณฑ์คนของมันที่นี่ไปมาเก๊า และวันนั้นเราจะมีโอกาสลงมือ”
“สถานการณ์ทางหงส์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถ้ามันคิดเล่นนอกเกม”
“อาวางแผนตัดกำลังเสริมพวกมันไว้แล้ว เรื่องนี้คงต้องให้คุณวรรณช่วยจัดการ”
“ได้เลยค่ะเจ้านาย”
“คุณวรรณคนเดียว ไหวเหรอครับ?”
“วรรณคนเดียวที่ไหนคะ ฝู่ไฉ๋กับคนของเธอด้วยต่างหาก”
“ส่วนแก เอ ต้า พวกแกสามคนเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าช่วยเก๋อหมิงออกมาได้แล้ว จะมีเพื่อนหมอของอามาดักรอรับระหว่างทาง”
“ที่อาตระเวนไปเยี่ยมเพื่อน เพราะแบบนี้นี่เองสินะครับ”
“จะให้เก๋อหมิงมาเสี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเราไม่รู้อาการของเก๋อหมิง ดังนั้นอาจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”
“ครับ ผมเข้าใจ”
“เอาล่ะ ไปพักกันได้แล้ว ฉันเองก็ต้องกลับแล้ว ก่อนคนพวกนั้นจะสงสัย”
“เจ้านายค่ะ ตอนนี้คุณหลิวก็ไม่อยู่ ให้ใครไปคอยอารักขาไหมคะ ยังไงวรรณก็เป็นห่วง”
“นั่นสิครับบอส ให้ผมหรือเอตามไปคอยดูแล ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
“ตอนนี้พวกมันไม่สนใจฉันหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงไป อย่าทำอะไรให้พวกมันจับพิรุจได้เป็นดีที่สุด”
อากรกำลังเสี่ยงอยู่ ถึงพยัคฆ์จะรับรู้อย่างนั้นก็ตามที แต่เขาก็อดเป็นห่วงอาของเขาไม่ได้ เขาได้แต่หวังว่าคนของฝู่ไฉ๋จะดูแลอาของเขาได้
........................................................................
เช้านี้เพ็ญนภาได้รับโทรศัพท์จากทั้งคุณโอ๋ และคุณเปิ้ล ทั้งสองต่างวิตกกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนเธอที่ไม่ทันได้ดูข่าวรอบเช้าจึงต้องไปหาอ่านตามเว็บข่าวต่าง ๆ ข่าวของเกรียงไกร
เธอเปิดลิงค์เข้าไปอ่านด้วยความสงสัย ว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เมื่อคืนเธอคุยกับคุณษาอยู่เลย ว่าเกรียงไกรอาจจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ปางไม้ แต่ข่าวที่ออกมาตามสื่อต่าง ๆ กลายเป็นว่า
‘ไฮโซก่อศึกชิงนาง ถูกโจ๋เจ้าถิ่นแทงดับ คาผับดัง’
‘วิวาทเดือด ไฮโซดับ เหตุแย่งนางแบบสาว’
‘โจ๋เดือดรุมกระทืบไฮโซหนุ่ม ก่อนพลั้งมือแทงคู่อริดับ’
พาดหัวข่าวที่เธอพบ ล้วนไปในทิศทางเดียวกัน เธอไล่อ่านแต่ละข่าว คนไม่เอาไหนอย่างเกรียงไกร ไม่น่าจะไปทะเลาะวิวาทอะไรกับใครได้ ยิ่งตัวเองมีเรื่องอยู่แบบนี้แล้ว น่าจะหาทางหนีมากกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง
ในข่าวไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก นอกจากการเสียชีวิตของเกรียงไกร เรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องรอการขยายผลจากทางตำรวจ เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ เธอต้องรีบส่งข่าวให้กับคนที่อยู่ทางโน้นรับรู้ และระวังตัวเอาไว้
........................................................................
พี่เก่งกับพี่คีเก็บของเตรียมจะไปมาเก๊าเสร็จตั้งแต่เช้า แต่เพราะมีเหตุบังเอิญ คนงานขุดโบราณสถานเกิดอุบัติเหตุขึ้นซะก่อน พี่ ๆ เขาเลยออกไปช่วยพาคนเจ็บเข้ามาในกระโจม
เป็นความโชคร้ายของชายคนนั้นที่ไปเหยียบเขากับวัตถุบางอย่างที่เหมือนเป็นกลไก ทำให้คานด้านบนหล่นลงมาทับ คงจะเป็นเพราะเวลาผ่านมายาวนาน กลไกเสียหายและใช้การไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นความโชคดีของพวกเธอ ที่พี่คีจำข้อมูลเกี่ยวกับทางเข้าแท่นพิธีได้
หลังจากกงเหมิ๋นให้คนพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว พี่คีจึงลงมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมแทบเล็ตที่เคยให้ไว้กับเธอ
“แท่นพิธีน่าจะอยู่หลังผนังนี่” พี่คีเอ่ยออกมาหลังจากสำรวจไปรอบ ๆ ห้องสลับกับมองแผนที่โบราณในแทบเล็ต
“แสดงว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในสุสานที่กุบไลข่านสร้างไว้จริง ๆ สินะ” พี่เก่งถาม
“มันก็ยังไม่แน่หรอกว่ะ สุสานมันก็คงคล้าย ๆ กับวัดบ้านเราแหละ ที่มีแบบแผนการสร้างเหมือน ๆ กัน” พี่คีตอบ
“เราต้องเห็นตัวแท่นพิธีก่อน เราถึงจะบอกได้ค่ะ ว่าสุสานนี้เป็นของใคร” คุณลลินทร์อธิบาย
“เอายังไงกันดีว่ะ จะช่วยคุณโบตั๋นก่อน หรือว่าจะเดินทางเลยดีว่ะ” พี่เก่งพูดขึ้นกับพี่คี
“คุณเก่งกับคุณคีเดินทางไปช่วยทางโน้นเถอะค่ะ ทางนี้ลินทร์จัดการได้ อีกอย่าง เราก็ยังไม่รู้เลยว่าทางเข้าอยู่ตรงไหน?”
“ตั๋นว่าน่าจะเป็นตรงนี้นะคะ” ทุกคนที่กำลังปรึกษากันอยู่ ต่างหันมามองเธอ ที่กำลังจ้องมองตรงผนังมุมหนึ่งของห้อง จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินเข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งส่องไฟฉายไปยังจุดที่เธอชี้
กำแพงตรงหน้าเธอเป็นลายแกะสลักกิเลน มังกร เตามังกร และหงส์ สัตว์ทั้งสี่ยืนอยู่บนก้อนเมฆที่เหมือนเมฆาขาว
“ที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสุสานที่อาหนีเกอสร้างแน่ ๆ” คุณลลินทร์ออกมาแต่ไม่ได้ให้ความหวังเธอมากนัก
“แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงกัน” พี่เก่งเอามือลูบผนังตรงที่เป็นลายแกะสลักก้อนเมฆ มันขยับเล็กน้อย “เฮ้ย!! ” พี่เก่งชักมือกลับทันที
“มันขยับได้” โบตั๋นอุทาน
“มันอาจจะเป็นกลไกในการเปิดประตูก็ได้นะ” คุณลลินทร์ว่าก่อนลงมือทั้งขยับและดันส่วนต่าง ๆ ของลายแกะสลัก โดยมีพวกเราสามคนยืนดูอยู่
พี่คีค่อย ๆ เดินถอยหลังออกจากกลุ่มพวกเธอ ทำให้เธอกับพี่เก่งให้ไปมองอย่างแปลกใจ พี่คีปรับแสงไฟฉายของเขาให้ขยายแสงในวงกว้างขึ้น สายตายังจับจ้องไปบนผนังอย่างไม่วางตา
“เฮ้ย!! คี มีอะไรวะ”
“...”
“พี่คี”
“คุณคี” เราเรียกชื่อพี่คีกันจนคุณลลินทร์หันมามอง ก่อนเดินไปสมทบกับพี่คี “อย่างนี้นี่เอง คุณคีมองออกตั้งแต่แรกเลยสินะคะ”
“ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกครับ” คุณลินทร์กับพี่คียืนมองผนังนั้นอยู่นาน จนเธอและพี่เก่งต้องเดินไปสมทบ แต่เขาและเธอกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกสองคนเห็นเลยสักนิด จนโบตั๋นทนความเงียบของพี่คีไม่ไหว จึงเข้าไปสัมผัสความคิดของพี่คี
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง”
“อะไรครับคุณโบตั๋น” พี่เก่งหันมากระซิบกับเธอ
“มันเหมือนเกมอะไรสักอย่างค่ะพี่เก่ง พี่คีกับคุณลลินทร์กำลังหาทางเลื่อนหินสลักลายก้อนเมฆนั่นอยู่ พี่เก่งดูสิคะ ด้านบนสุดของประตู มีรอยบุ๋มอยู่ 4 รอย เราต้องพาเอาก้อนเมฆนั่นไปข้างบนนั้นค่ะ” เธอชี้ให้พี่เก่งดู
“อ๋อ... เข้าใจแล้วครับ”
เราทั้งสี่คนมองดูลวดลายบนผนัง เพื่อดูเส้นทางที่จะพาก้อนเมฆทั้งสี่ก้อนขึ้นไปบนฟ้า จนในที่สุดพี่คีก็มองออก จึงเดินเข้าไปขยับก้อนเมฆ แต่พอขยับก้อนหนึ่ง ก้อนที่เหลือก็เหมือนจะขยับตามไปให้ทิศทางที่พี่คีไม่ต้องการ
“สงสัยเราคงต้องขยับพร้อม ๆ กันแล้วล่ะค่ะ” คุณลลินทร์บอกกับพี่คี
“ถ้าอย่างนั้นคุณลลินทร์ขยับแบบนี้ ไปทางนี้แล้วก็นี่ ก่อนค่อยขึ้นไปนั่นนะครับ” พี่คีชี้บอกคุณลลินทร์ จากนั้นก็มากำกับเธอกับพี่เก่ง ให้ไปในทิศทางที่พี่คีกำหนด “เอาล่ะ เราขยับมันพร้อม ๆ กันนะครับ” พี่คีให้สัญญาณแล้วเราก็เริ่มขยับ เลื่อนก้อนเมฆตามที่พี่คีบอก
“เปิดได้แล้ว ไชโย” เธอดีใจกระโดดจนตัวลอย
พี่เก่งค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อน ส่วนคุณลลินทร์ก็เดินกลับขึ้นไปตามคนของเธอ ข้างในมืดกว่าข้างนอกนี้มาก อีกทั้งกลิ่นอับชื้น ที่ลอยออกมาทำให้เธอต้องกลั้นหายใจไปชั่วระยะหนึ่ง บันไดที่ทอดตัวลงไปข้างล่างนั่น มันทำให้เธอขนลุก แต่ก็เดินตามหลังพี่เก่งไป โดยมีพี่คีเดินรั้งท้าย และเมื่อสุดทางเดิน พวกเราก็เจอกับห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางมีแท่นสำหรับทำพิธีอยู่
แท่นทั้งแท่นเป็นหยกขนาดใหญ่ ริมสุดของแท่นมีหยกสองชิ้นฝังตัวอยู่จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับแท่นพิธีนี้ หยกคู่กิเลน
“เจอแล้ว...” โบตั๋นอุทานออกมาเสียงแผ่ว มองหยกสีมรกตนั่นไม่วางตา
To Be Continue