หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}  (อ่าน 45184 ครั้ง)

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
« เมื่อ12-09-2017 12:16:21 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************

Introduction

   ภายในห้องทำงานหรูหรา ที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือไม้สีเข้มปิดทับด้วยหน้าบานกระจกใสสูงจรดฝ้าเพดาน มุมด้านในหลังโต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่โทนสีเดียวกัน คนผู้หนึ่งยืนหันหลัง สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างบานสูง

        “อั๊วฝากลูก ๆ ด้วย” หนุ่มใหญ่พูดเหมือนตัดสินใจได้ในที่สุด พรางเดินอ้อมโต๊ะทำงานก่อนส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดส่งให้อีกฝ่าย

   “แต่นาย” ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันร้องค้าน แต่ก็รับตัวเด็กที่หลับอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่ายเอาไว้

   “ไม่มีแต่ พวกมันต้องการแค่อั๊ว” หนุ่มใหญ่จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม้ง ก่อนพูดเสียงเรียบ “หรือว่าลื้อต้องการให้ความตั้งใจของอาซ้อของลื้อต้องเสียเปล่า”

   “แต่...” ชายหนุ่มจะค้านแต่อีกฝ่ายกลับเสไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน จนเข้าต้องเก็บคำพูดกลืนลงคอไป

   “ลูกๆ อั๊ว หากไม่มีอั๊ว ชีวิตอาจจะดีกว่าทุกวันนี้ก็ได้ ถือว่าอั๊วของร้องในฐานะที่อั๊วเป็นเฮียของลื้อ ไม่ใช่คำสั่งในฐานะหัวหน้าแก๊งส์”

   “เฮีย...”

   “ไปซะ ไปจากที่นี่ ก่อนพวกมันจะบุกเข้ามาในนี้ได้” พูดจบหนุ่มใหญ่ก็หันหลังให้ แล้วมองออกไปยังหน้าต่างดังเดิม

   “เฮีย ต้องสัญญากับอั๊วก่อน ว่าเฮียจะรอดไปหาอั๊ว กับลูก ๆ” เขาขอคำมั่นสัญญา ทั้งๆ ที่ลึก ๆ แล้ว ตัวเขอเองก็รู้ว่าเป็นไปได้ยากแค่ไหน กับสถานะการณ์อย่างนี้

   “อั๊วจะพยายาม แต่หากว่าอั๊วไปหาลื้อไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ลื้อต้องเป็นตัวแทนอั๊ว ไปที่บ้านสกุลเหมิ๋น” หนุ่มใหญ่พูดจบก็เดินไปหยิบห่อผ้ากำมะหยี่สีแดงจากโต๊ะทำงานส่งให้

   เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้นพร้อมกับเด็กน้อย ในชุดทะมัดทะแมงสะพายเป้ไว้บนหลัง ในมือก็อุ้มเด็กทารกตัวแดง ๆ ห่อด้วยขนหนูทับด้วยผ้าไหมเนื้อดีอีกชั้นเดินเข้ามา

To Be Continue...

สวัสดีค่ะ Amo ตามอ่านนิยายของคนอื่นในเล้ามานาน

เพิ่งจะเขียนเอง

ลงเองเป็นเรื่องแรก

ฝากติดตาม แนะนำ ด้วยนะคะ

*********************


นิยายเรื่องอื่นของ Amo

น้ำตากิเลน : สถานะ ยังไม่จบ

ม่อนเคียงดาว : สถานะ ยังไม่จบ

กลรักหวงจื่อ : สถานะ ยังไม่จบ

จิตมาร : สถานะ ยังไม่จบ:
[/color][/center]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2020 15:48:20 โดย Amo »

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก
«ตอบ #1 เมื่อ12-09-2017 13:24:39 »

1


   
   เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามาในห้อง แต่ผมไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองว่าเป็นเสียงฝีเท้าของใคร ผมยังคงฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง สองมือสอดเกาะกุมมืออุ่นที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง ใช่!! มันยังอุ่นอยู่ คนบนเตียงยังมีชีวิตอยู่ เสียงฝีเท้าเหมือนจะมาหยุดยืนข้าง ๆ ตัวผม จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   เจ้าของเสียงฝีเท้าเมื่อครู่สินะ เธอยืนอยู่ใกล้ผมมาก จนผมเองที่นั่งอยู่ข้างเตียง ที่ถึงจะนั่งตัวตรงเต็มความสูง แต่ก็ยังคงต้องเงยหน้ามองเธออยู่ดี เธอมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อผสมกับความโกรธ ผมเองก็รู้สึกผิดได้แต่จ้องมองแววตานั้นอย่างรู้สึกขอโทษ เราจ้องกันอยู่นานจนมีเสียงฝีเท้าของใครเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เธอละสายตามามองอีกร่างที่นอนอยู่บนเตียง

   ญาติผู้ป่วยเตียงถัดไปเพิ่งจะเดินเข้ามา เขามองมาที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนสบตากับผมแล้วเดินผ่านไปยังเตียงด้านใน

   ผมหันกลับมามองหญิงสาวที่นอนหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียง แก้มขาวนวลแทบจะไร้สี ผมดำหยักศกเป็นลอนตัดกับใบหน้า ยิ่งทำให้คนบนเตียงยิ่งดูซีดเซียวจนน่ากลัว ผมขยับตัวไล่ความเมื่อยขบเพราะผมฟุบอยู่ข้างเตียงมาตั้งแต่บ่าย แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยมือคนที่นอนอยู่บนเตียง

   หญิงสาวบนเตียงผู้ป่วยเหมือนเริ่มรู้สึกตัว อาจจะเป็นเพราะผมขยับตัวทำให้เธอตื่น เธอลืมตามมองที่ผม ก่อนจะเลยไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างผม ก่อนส่งยิ้มอ่อน ๆ มาให้เราทั้งสองคน

   หญิงสาวข้าง ๆ ผมรีบวิ่งออกจากห้องไปแทบจะทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ซึ่งผมเองก็ได้แต่หันมองตามร่างสูงโปร่งที่เร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งหายลับไปกับบานประตู

   ผมหันมามองหญิงสาวตรงหน้า เธอบีบมือผมเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ มันเบามาก... เบาจนแทบไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงใดๆ เลย แต่ผมก็รับรู้ได้

   เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เร่งเดินเข้ามาอีกครั้งนอกจากสาวร่างสูงโปร่งแล้ว ที่ตามมาด้วยก็มีทั้งหมอ ทั้งพยาบาล หญิงสาวเดินมาหยุดลงที่ปลายเตียง ผมเองก็ต้องหลบให้ทั้งหมอทั้งพยาบาลเข้ามาตรวจอาการคนบนเตียง จึงเดินไปยืนข้าง ๆ ร่างโปร่งที่ปลายเตียง หลังมือเราสัมผัสกันเล็กน้อย ผมรู้สึกผิดกับเธอจึงใช้นิ้วเกี่ยวนิ้วคนข้างๆ เอาไว้ หญิงสาวเองเหมือนจะให้อภัยผมอยู่บ้างเลยสอดมือเข้ามากุมมือผมเอาไว้

   หมอและพยาบาลออกไปหมดแล้ว ผมกลับมานั่งที่เดิม หญิงสาวอีกคนก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฝั่งตรงข้ามกับผม สายตาที่เธอมองมาที่ผมยังคงเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ ความไม่พอใจ จนผมต้องหลบสายตาเธอ แล้วมองไปยังคนที่นอนยิ้มอยู่บนเตียงแทน

   “ทานอะไรกันรึยัง” คนบนเตียงถามเสียงเบา หลังจากเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังห้อง

   ผมเงียบไม่ตอบ หญิงสาวอีกคนก็เช่นกัน

   “ว้า... สงสัยจะทานกันเสร็จแล้วละสิ เจ่เจ้ว่าจะให้พวกเราซื้อผลไม้ขึ้นมาให้เจ่เจ้สักหน่อย”

   “เจ่เจ้ อยากทานผลไม้อะไร เดี๋ยวตั๋นลงไปซื้อให้” หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามรีบพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่คนบนเตียงจะพูดจบด้วยซ้ำ

   “ไม่เป็นไรจ้า ไหนๆ เราก็ทานกันเสร็จแล้วนี่ จะลงไปอีกทำไมให้เมื่อย”

   “ตั๋นยังไม่ได้ทานสักหน่อย...ใครจะไปทานลง” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวพูดงุบงิบในลำคอ

   “แล้วหยกล่ะ ทานรึยัง” หญิงสาวบนเตียงหันมาถามผมบ้าง

   “ยังครับเจ่เจ้” ผมตอบเสียงอ่อย

   “ถ้าอย่างนั้น ก็มีคนลงซื้อผลไม้ให้เจ่เจ้แล้วสินะ” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะพูดต่อไป เมื่อเห็นพวกผมนิ่ง ๆ ไม่ตอบ “หยก... ตั๋น... รึว่าเราสองคนอยากให้เจ่เจ้นอนเป็นห่วงอยู่บนเตียงแบบนี้ เพราะเราสองคนไม่ยอมไปทานข้าว?”

   “แต่หยกไม่อยากให้เจ่เจ้อยู่คนเดียว”

   “เจ่เจ้อยู่คนเดียวที่ไหน คนออกจะเต็มห้อง”

   ผมมองไปรอบๆ ก็ใช่อยู่ที่ห้องนี้เป็นห้องผู้ป่วยรวม ซึ่งสี่เตียงในห้องก็เต็มหมด แถมบรรดาญาติ ๆ ของแต่ละเตียงก็มานั่งกันเต็ม

.........................................................................

   “รู้ใช่ไหม ว่าตั๋นโกรธหยกอยู่” หญิงสาวหน้าหงิก แต่ยังไม่วายตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ

   “อือ” ผมตอบไปแค่นั้น แล้วค่อย ๆ ละเลียดทานข้าวต่อ

   “อือ แค่อือนี่นะ?” โบตั๋นหน้าหงิกกว่าเดิม พร้อมวางช้อนส้อมลงเสียงดัง จนผมต้องมองไปรอบ ๆ ศูนย์อาหารของโรงพยาบาล

   “เบา ๆ สิตั๋น เกรงใจคนอื่นเขา”

   “กะ...ก็หยกอะ เฮ่อ... ตั๋นโกรธจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!”

   “เฮียขอโทษแล้วกัน ที่ทำให้ตั๋นโกรธ”

   “หยกนี่น้า... จะพูดน้อยไปถึงไหน เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเชียว”

   “พูดอย่างกับตั๋นไม่ใช่น้องของเจ่เจ้ กับเฮีย”

   “เป็น!! แต่ตั๋นน่ะไม่เหมือนเจ่เจ้กับหยกหรอกนะ มีอะไรก็พูดออกมาสิ มาเล่นเกมจ้องตากันอยู่ได้”

   “แต่ตั๋นก็เข้าใจเจ่เจ้ กับเฮียนี่”

   “บางทีตั๋นก็อยากให้หยก กับเจ่เจ้พูดให้มันมากกว่านี้นี่ อีกหน่อยหยกมีแฟน แล้วหยกจะง้อแฟนยังไง ไม่มีใครเข้าใจด้วยการจ้องตากันเหมือนเราสามคนพี่น้องหรอกนะ เฮ้อ... ทำไมตั๋นต้องมานั่งบ่นหยกกับเจ่เจ้ด้วยนะ ทั้งที่ตั๋นเป็นน้องเล็กแท้ ๆ”

   ครับ เราสามคนพี่น้อง เจ่เจ้ หรือเจ๊หงส์ ที่เป็นทั้งพี่สาวคนโตของบ้าน อีกทั้งยังเหมือนเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เรา 2 คน ส่วนผมผู้ชายคนเดียวของบ้าน แล้วที่นั่งบ่นเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้าผมก็หม๋วยเล็ก หรือโบตั๋น ส่วนป๊ากับม้า ไม่รู้สิครับ ผมจำอะไรเกี่ยวกับท่านทั้งสองไม่ได้เลย รูปถ่ายครอบครัวสักใบก็ไม่เคยเห็น

   ผมไม่ได้ฟังโบตั๋นบ่นแล้วครับ กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ความคิดก็ต้องสะดุดเมื่อคุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามาหาพวกเราที่โต๊ะ

   “ขอโทษครับ หมออยากทราบว่าคุณหยก เจ้าของไข้ของคุณหงส์ เขาจะมาไหมครับ” หมอพูดพร้อมมองหน้าพวกเราทั้งสองคน โบตั๋นมองหน้ามาทางผมแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ

   “หมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับเฮียหยกหรือคะ? ใช่เรื่องเจ๊หงส์ไหม?” โบตั๋นถามคุณหมอเป็นชุด

   “ใช่ครับ ผมมีเรื่องปรึกษาคุณหยกนิดหน่อย”

   “ผมเองครับ ผมหยกครับ” ผมลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือขึ้นสวัสดีคุณหมอที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าผม เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าเจ่เจ้ด้วยซ้ำ

   “คุณ...คุณหยกหรือครับ” คุณหมอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว ก่อนหันไปมองทางโบตั๋น ซึ่งทางนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเคยชิน

   ผมกับโบตั๋นเราอายุห่างกันปีเดียวครับ แต่จะผิดก็ตรงที่โบตั๋นมีรูปร่างสูงโปร่งกว่ามาตรฐานหญิงไทยไปหน่อย ส่วนผมเองก็อยู่ในเกณฑ์ชายไทยทั่วไปครับ พอมายืนเทียบกับโบตั๋น ทำให้เรามีความสูงแทบจะเท่ากัน ผมสูง 178 โบตั๋นสูง 175 และที่สำคัญ ผมกับโบตั๋นเราหน้าคล้ายกันยิ่งกว่าฝาแฝดบางคู่อีกครับ

   “หมอขอโทษนะครับ ผมนึกว่าคุณหยกเป็นผู้ชาย” หมอจะพูดทำไมเนี่ย!!

   “ค่ะหมอ เฮียหยกเป็นผู้ชายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ เพียงแต่หน้าตารูปร่างเหมือนโบตั๋นมากไปหน่อย” โบตั๋นตอบซึ่งเป็นไดอะล็อกเดิม ๆ ที่เธอจำได้จนขึ้นใจ ผมเห็นสีหน้าของหมอแล้วต้องรีบแทรกขึ้น เพราะน้ำเสียงเธอติดจะเหน็บคุณหมออยู่นิด ๆ

   “เรื่องที่หมอจะคุยกับผม...”

   “ครับ ๆ ไม่ทราบว่าคุณหยกทานเสร็จรึยังครับ รึถ้ายังค่อยตามผมขึ้นไปพบที่ห้องก็ได้นะครับ”

   ผมพยักหน้ารับ พร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อย หลังจากนั้นคุณหมอก็หันหลังเดินจากไป

   “เดี๋ยวตั๋นไปซื้อผลไม้ให้เจ่เจ้นะ เฮียจะขึ้นไปคุยกับคุณหมอก่อน”

   “ไม่เอา ตั๋นจะไปด้วย ตั๋นรู้ทันหยกนะ!!” โบตั๋นบอกพร้อมจ้องตาผมเขม็ง เวลาอยู่กันเองในครอบครัว โบตั๋นมักจะเรียกชื่อผมตรง ๆ

   และนี่อาจจะเป็นความสามารถพิเศษหรือเป็นเซ้นของพวกเราสามคนพี่น้องก็ว่าได้ พวกเรารับรู้ความรู้สึก ความต้องการของพี่น้องด้วยกันเองได้โดยไม่ต้องออกปากพูดกันแม้แต่คำเดียว แค่มองตากันก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร

   “เฮ้อ...ก็ได้”

   “หยก... พวกเรามีกันอยู่แค่นี้นะ หยกอย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แล้วจะต้องมาค่อยดูแลเจ่เจ้กับตั๋นที่เป็นผู้หญิง นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ต้องเอาความรับผิดชอบมาแบกไว้บนบ่าคนเดียว หาความสุขใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ทำงาน แล้วเมื่อไรตั๋นจะได้อาซ้อสักที”

   “หน้าตาแบบเฮียไม่มีสาวไหนเขามาสนใจหรอก”

   “ทำไม หน้าตาเหมือนอย่างตั๋นไม่ดีตรงไหน!! แล้วที่วันนี้ปิดตั๋นเรื่องที่เจ่เจ้เข้าโรงพยาบาลก็อีกเรื่องนะ ตั๋นแยกแยะออกระหว่างเรื่องเจ่เจ้ กับเรื่องเรียนเป็นหรอกนะ”

   “เฮียเห็นว่าตั๋นต้องพรีเซ้นต์โปรเจ็ค เฮียเลยไม่อยากให้เราไม่สบายใจ”

   “เลยปิดบัง ให้ตั๋นมาโกรธหยกเอาทีหลังงั้นหรือ?”

   “เฮียก็ขอโทษแล้วไง เราดีกันนะ” ผมยื่นนิ้วก้อยส่งให้โบตั๋น

   “นี่ง้อตั๋นแล้วใช่ไหม? โถ่...หยก... แล้วเมื่อไรหยกจะได้มีแฟนกับเขากันเนี่ย!!”

   “ขี้บ่น” ผมบอกแล้วอมยิ้ม เพราะถ้าโบตั๋นร่ายยาวได้ขนาดนี้แสดงว่าเธอหายโกรธผมแล้วล่ะครับ ดีกว่าตอนที่เงียบ ๆ เหมือนตอนอยู่ข้างบนห้องเจ่เจ้เป็นกอง

.........................................................................

   ผมกับโบตั๋นเดินกลับมาที่ห้องของเจ่เจ้ หลังจากที่เราไปคุยกับคุณหมอกันแล้ว โบตั๋นเอาผลไม้ไปล้างในห้องน้ำ ส่วนผมลงไปนั่งข้าง ๆ เจ่เจ้ที่ยิ้มคุยกับคุณป้า ญาติของเตียงข้าง ๆ

   “ไปกันนานเชียว ไปคุยกับคุณหมอมาด้วยใช่ไหม?” เฮ้อ...ผมบอกแล้วว่าครอบครัวผมมีเซ้นแรงกันทุกคน ผมได้แต่พยักหน้ารับ

   “ยังไม่ต้องหรอก เจ่เจ้ยังไม่เป็นไร” เจ่เจ้พูดเหมือนรู้แล้วว่าคุณหมอคุยอะไรกับพวกเรา

   “เจ่เจ้ หยกขอ... เจ่เจ้เชื่อคุณหมอนะครับ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะถึงปฏิเสธไปเจ่เจ้ก็ไม่เชื่ออยู่ดี เลยอ้อนวอนเธอแทน

   “เจ่เจ้ขอเวลาอีกสัก 3-4 เดือนนะ” ไม่ใช่คำขอร้องครับ แต่เป็นประโยคคำสั่งของเจ่เจ้

   “ทำไมต้องรอให้ตั๋นเรียนจบก่อนหรือเจ่เจ้ ตอนนี้ตั๋นก็ช่วยหยก ช่วยเจ่เจ้ได้นะ เงินค่าผ่าตัดแค่นี้เอง เนอะหยกเนอะ” โบตั๋นที่เดินกลับมา ถึงได้ยินแค่นิดหน่อยก็รับรู้ได้ว่าเจ่เจ้ต้องการอะไร

   “เจ่เจ้ หยกขอนะ” ผมพูดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน เจ๊หงส์มองผมสลับกับโบตั๋นไปมา ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเจ่เจ้ถอนหายใจออกมา

   “เจ่เจ้ตกลงแล้วใช่ไหม?” โบตั๋นแทบจะกระโจนขึ้นไปนั่งบนเตียง เจ่เจ้พยักหน้ารับ โบตั๋นก็เข้าไปกอดเธอทันที ผมลุกจากเก้าอี้เข้าไปกอดทั้งสองคนไว้อีกชั้นหนึ่ง

.........................................................................

   “หยก พรุ่งนี้ตั๋นจะเข้าไปที่ห้องเสื้อของพี่ภานะ” โบตั๋นบอกหลังจากที่วางกระเป๋าถือลงบนโซฟา พร้อมกับทิ้งตัวลงไปนอนอย่างไม่เบานัก

   “ตั๋นแน่ใจนะ ว่าจะทำแบบนี้จริง ๆ” ผมถามเธอไม่ใช่เพราะไม่แน่ใจ แต่เพราะต้องการจะเตือนเธอเท่านั้น

   “อือ ไม่เป็นไรหรอก ถึงตั๋นจะไม่ชอบงานนั้นเท่าไร แต่มันก็เป็นบันไดให้ตั๋นได้ปีนขึ้นไปคว้าความฝันของตั๋นได้แหละ”

   “ตั๋น... ถ้าแค่อยากจะช่วยเฮียเรื่องค่าผ่าตัดเจ๊หงส์ ก็มาจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะ เฮียก็ไม่อยากให้ตั๋นไปเป็นนางแบบเท่าไรหรอก” ผมเดินไปนั่งลงโซฟาเดี่ยวตรงปลายเท้าเธอ

   “มันเป็นอาชีพสุจริตนะ อีกอย่างพี่ภาก็เพื่อนเจเจ้ด้วย ปฏิเสธพี่ภามาก็หลายครั้งแล้ว”

   “ถ้าไม่ไหวจริง ก็อย่าฝืนนะ” ผมรู้ครับว่าไม่สามารถคัดค้านเธอได้ โบตั๋นฝันอยากเป็นดีไซด์เนอร์ มีห้องเสื้อเป็นของตัวเอง แต่เรื่องเป็นนางแบบ เธอไม่ชอบเลยครับ โบตั๋นบอกว่าเธอไม่อยากเป็นตุ๊กตาให้ใครมาจับแต่งตัว

   “ว่าแต่หยกเถอะ วันนี้ไปเฝ้าเจ๊หงส์ทั้งวัน ที่ร้านเขาไม่ว่าอะไรหรือ?”

   “เฮียโทรบอกพี่กันต์แล้ว พี่เขาเข้าใจน่ะ”

   “ไม่ต้องมาทำท่าทางเสียดายเงินเลย ตั๋นว่าหยกไปพักเถอะ ไหน ๆ ก็ได้หยุดแล้ว พรุ่งนี้หยกก็มีสอนแต่เช้าด้วยนี่”

   “พรุ่งนี้พี่สอนเสร็จจะแวะไปหาเจ้หงส์ก่อน ค่อยไปที่ร้านแล้วกันนะ”

   “ไม่ต้องเลย ๆ เรื่องเจ้หงส์น่ะ เป็นหน้าที่ของตั๋นเอง หยกเอาเวลาไปพักบ้างเถอะ เดี๋ยวจะทรุดไปอีกคน”

   โบตั๋นก็พูดเกินไป ถึงผมจะรูปร่างบางโปร่งทรงเดียวกับโบตั๋น แต่ผมก็เป็นผู้ชายที่ทั้งถึก และอดทนนะครับ แล้วงานที่ผมทำก็ไม่ใช่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยอะไรมาก เจ็ดโมงเช้าจนถึงสิบโมงมีสอนเทควันโดเด็กในสถาบันสอนกีฬา พอบ่ายสองโมงจนถึงสี่ทุ่มผมรับหน้าที่เป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านของพี่กันต์ ส่วนเสาร์อาทิตย์ผมอยู่ร้านพี่กันต์ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น จากนั้นก็มาช่วยเจ้หงส์กับโบตั๋นขายขนมที่ตลาดแถวๆ บ้าน วันหยุดหรอครับ ผมเลือกที่จะไม่หยุดเองแหละครับ

To Be Continue

ไม่รู้ว่าสั้นไป หรือ ยาวไปรึป่าวสำหรับ 1 ตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2018 15:32:50 โดย Amo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก
«ตอบ #2 เมื่อ12-09-2017 14:31:35 »

รออ่านอีกค่ะ

ออฟไลน์ pacharapetch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: หยก
«ตอบ #3 เมื่อ12-09-2017 15:57:22 »

น่าสนใจมากค่ะ รออ่านนะคะ

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: หยก
«ตอบ #4 เมื่อ13-09-2017 08:12:57 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก - 13-09-17-
«ตอบ #5 เมื่อ13-09-2017 20:28:17 »

2


   ชายหนุ่มในชุดสูททันสมัยเดินออกจากลิฟต์มายังห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดิน หน้าห้องมีโต๊ะทำงานพร้อมสาวร่างเล็กเจ้าของโต๊ะนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงลุกขึ้นเดินไปยังหน้าประตูบานใหญ่ เตรียมจะเปิดประตูให้

   “คุณกรมีแขกอยู่ด้านในนะคะ” หญิงสาว มือข้างหนึ่งจับรออยู่มือจับประตูไว้แต่ยังไม่ผลักเข้าไป

   “ใคร” ชายหนุ่มถามสั้น ๆ นำเสียงมีแววสงสัยระคนหวาดระแวง

   “ไม่ใช่คุณลตาหรอกค่ะ เจ้าสัวเกลียวกับคุณเกรียงค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้าโล่งอกอย่างออกนอกหน้า จึงค่อยผลักประตูให้ชายหนุ่มก้าวเข้าไป พร้อมปิดประตูตามหลัง

   ชายต่างวัยกัน 3 คนนั่งอยู่ที่มุมโซฟารับรอง เขาจึงเดินเข้าไปกล่าวสวัสดีเจ้าสัวเซียง (象) และคุณอาของเขา แล้วจึงค่อยหันไปพยักหน้าเป็นการทักทายเกรียงที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขา

   “ไงเจ้าเสือ กว่าจะเข้ามาบริษัท ฯได้ ต้องให้คุณวรรณโทรตามแล้วตามอีกนะ” ผู้เป็นอาทักทายหลังจากที่ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวที่ว่างอยู่

   “อากรก็ทราบ ว่าผมไม่ถนัดงานเอกสาร แล้วจะให้ผมเข้ามาทำอะไรล่ะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับกวน ๆ อย่างไม่เกรงใจแขกของผู้เป็นอาสักนิดเดียว

   “เออๆ แล้วแต่แกเถอะ แล้วเป็นไง มีอะไรคืบหน้าบ้างรึยัง?”

   “เบาะแสล่าสุดที่ผมได้มา พอจะทราบว่าคุณหลิวย้ายออกมาจากเชียงรายมาหลายปีแล้ว คนละแวกนั้นบอกว่า คุณหลิวอยู่ตัวคนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก และไม่เคยติดต่อญาติพี่น้องที่ไหนเลย” ชายหนุ่มหันไปรายงานเจ้าสัวเซียงกับคุณเกรียง แทนที่จะตอบผู้เป็นอา

   “เฮ้อ... นี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว จนแล้วจนรอดยังหาอาหลิวไม่เจออีก คลาดกันทุกทีสิน่า” เจ้าสัวเซียงถอนหายใจอย่างผิดหวัง

   “เจ้าสัวอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยครับ ยังไงเจ้าพยัคฆ์มันก็ต้องหาคุณหลิวจนเจอ” ผู้เป็นอาปลอบใจเจ้าสัว

   “อั๊วว่าเตี่ยก็อย่าตั้งความหวังให้มากเลย นี่มันก็หลายปีแล้ว อย่าไปยึดติดกับอะไรเก่าๆ โบราณๆ เลย เชื่ออั๊วเถอะ ไปรู้ว่าตอนนี้อาหลิวของเตี่ยจะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า” เกรียงพูดกับเจ้าสัวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง

   “ซี้ซั้วต่า ลื้อจะมารู้อะไร เอาไว้ถึงเวลาลื้อจะรู้เอง ว่าคนอย่างอาหลิวมีความสำคัญต่ออั๊วยังไง”

   “ไอ้เสือ แล้วตอนนี้แกมีข่าวไหม ว่าคุณหลิวย้ายไปอยู่ที่ไหน?”

   “กำแพงเพชร”

.........................................................................

   หลังจากแขกกลับไปแล้ว สองอาหลานก็กลับมานั่งคุยกันต่อ โต๊ะกลางที่ก่อนหน้านี้มีเพียงแก้วกาแฟ แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยเอกสารและภาพถ่าย

   “ว่ามา แกได้อะไรมามั่ง?” ผู้เป็นอาพูดสีหน้าขรึม ผิดกับหน้าตาที่เป็นมิตรเมื่อสักครู่ที่อยู่ต่อหน้าแขก เขาก้มมองภาพถ่ายบนโต๊ะ

   “คุณหลิวย้ายออกจากกำแพงเพชร เมื่อ 2 ปีก่อน มาอยู่ที่นนทบุรี”

   “อาหลิวเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว” วรากรพึมพำมองภาพชายในภาพถ่าย ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

   “อากร รู้จักกับคุณหลิวด้วยหรือครับ”

   “...”

   “ตอนนี้ผมให้คนสะกดรอยตามคุณหลิวอยู่ อากรจะให้ผมทำยังต่อไป”

   “ว่ายังไงนะ แกสั่งให้คนสะกดรอยอาหลิวอย่างนั้นหรือ? ...ไม่น่าจะเป็นไปได้” ประโยคหลังเหมือนเขาจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า

   “อากรหมายความว่ายังไง”

   “คนของแกตามอาหลิวมานานเท่าไรแล้ว?”

   “สัปดาห์กว่า ๆ”

   “ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”

   “อาพูดเหมือนอารู้อะไรอย่างนั้นแหละ”

   “อืม... อาเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจก็คือ อาหลิวต้องการให้เราตามเขา”

   “ว่าไงนะ!!”

   “...”

   “เมื่อไรอาจะเล่าเรื่องคุณหลิวให้ผมฟังสักที ผมเป็นฝ่ายที่ต้องรับมือกับคุณหลิวนะ ไม่ใช่อา แล้วไหนจะเรื่องที่ต้องให้ผมรายงานเจ้าสัวเซียงช้ากว่าเราก้าวหนึ่งอีก”

   “...”

   “ถ้าอาไม่เล่า ผมจะขอถอนตัวจากงานนี้”

   “แกรู้ใช่ไหมว่าพวกเจ้าสัวเซียง...พวกมันเป็นคนประเภทไหน?”

   “ทำไมผมจะไม่รู้ ใจจริงผมไม่อยากจะทำงานให้พวกมันด้วยซ้ำ”

   “อืม...”

   “มันยังไงกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว อาทำเหมือนไม่อยากสืบเรื่องคุณหลิวให้เจ้าสัวเซียง แต่อาก็อยากรู้เรื่องคุณหลิว ถ้าจะสืบเรื่องคุณหลิวเองก็ไม่จำเป็นต้องรับงานเจ้าสัวก็ได้ แต่นี่อาก็ยังรับ”

   “อายอมรับ ตามที่แกพูดมา มันถูกต้องทุกอย่าง”

   “อากร อารู้จักกับคุณหลิวจริง ๆ ใช่ไหม? แล้วคุณหลิวเป็นใครกันแน่”

   “เฮ้อ...อาหลิวคือคนที่อารัก เขาชื่อจริงว่า หลิวลู่ (刘路) ”

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินออกจากห้องของผู้เป็นอา พร้อมกับอาการมึนงงกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มาเกี่ยวกับคุณหลิว คุณหลิวคนนี้ที่ทำให้อาของเขาครองตัวเป็นโสดจนถึงปัจจุบันนี้ เขาพอจะรับรู้จากพ่อมาว่าอามีคนรักอยู่ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนคนรักของอาก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อากรเที่ยวตามหาจนทั่วเกาะฮ่องกงก็ไปพบ ตอนนั้นพ่อเป็นห่วงอากรมาก เพราะวันๆ อากรไม่เป็นอันทำอะไร จนกระทั่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่อากรต้องเข้ามาดูแลบริษัทฯ แทนพ่อที่เสียชีวิตไป

   “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ค่ะคุณเสือ” วรรณาเห็นเจ้านายอีกคนเดินออกมาคิ้วแทบผูกกันเป็นปม

   “อ่อ ขอโทษครับคุณวรรณ เมื่อกี้ว่ายังไงนะครับ”

   “วรรณถามว่า คุณเสือจะกลับเลยไหมคะ?”

   “ครับ ให้คนเอารถผมมารอได้เลยครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมทั้งเดินไปยังลิฟต์

   ระหว่างอยู่ในลิฟต์ สมองของพยัคฆ์ก็คิดถึงแต่เรื่องของอากร ความรักของอาช่างมั่นคงซะจนเหลือเกิน กระทั่งสาวสวยอย่างคุณลตาเอง แม้ว่าเจ้าหล่อนจะตามคอยเอาอกเอาใจอาของเขามานานหลายปีก็ไม่อาจทำให้หวั่นไหวได้ หรือแม้แต่กลับคนอื่นๆ ก็ตาม

   พยัคฆ์เดินออกมาถึงหน้าประตูทางเข้าบริษัทฯ รถของเขายังมาไม่ถึง พนักงานหน้าประตูรีบ ว. ตามรถให้เจ้านายทันที ระหว่างยืนรอรถอยู่นั้น หางตาเขาไปสะดุดกับวัตถุเรืองแสงที่อยู่หน้าป้อมยามตรงประตูรั้วทางเข้า พอหันไปมองให้เต็มตาก็เห็นแต่แผ่นหลังโปร่งบางของใครบางคน กับเรือนผมสีดำขลับ ผมสั้นรากไทร ผิวขาวที่เหมือนจะเรืองแสงยามต้องแสงอาทิตย์เดินลับไปแล้ว เขารู้สึกขัดใจเมื่อรถสีดำคันใหญ่ มาจอดขวางคลองสายตาเขาจนมิด ประตูด้านคนขับถูกเปิดออก พร้อมชายในชุดซาฟารีดำเดินลงมา

   “รถมาแล้วครับคุณเสือ” ร่างที่ลงจากรถ เดินค้อมตัว มือกุมเป้ารายงานเขา พยัคฆ์ได้แต่พยักหน้าก่อนหยิบแว่นกันแดดมาสวมแล้วก้าวขึ้นรถไป

   อยากเห็นหน้า ความคิดของพยัคฆ์ในเวลานั้น

.........................................................................

   ผมมายืนอยู่ที่ป้อมยามหน้าตึกสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งผมคุ้น ๆ ว่าเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย ดูจากตัวตึกแล้วน่าจะเป็นบริษัทฯ ใหญ่โตอยู่ครับ ผมยืนอยู่หน้าป้อมพักใหญ่แล้วครับ ยามที่อยู่ในป้อมก็มองผมอย่างสงสัย ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนไปให้ ผมยืนได้อีกสักพัก โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็กดรับสายครับ

   “สวัสดีครับ”

   “อาหยกหรือ”

   “เจ็กลู่? (鹿) ” อาเจ็กเปลี่ยนเบอร์อีกแล้วครับ เจ็กเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ่อยจนผมไม่คิดจะเมม และต้องทำใจกับเรื่องการติดต่ออาเจ็กเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการที่พวกเรา 3 คนพี่น้องดูแลกันเองจนโตแบบไม่มีผู้ใหญ่ดูแลเสียอีก

   “อือ วันนี้อั๊วลงไปหาลื้อไม่ได้แล้ว เจ้านายอีกคนของที่นี่มา พวกอั๊วต้องอยู่คอยต้อนรับ” ลูกคุณหนูก็แบบนี้ล่ะมั้ง ต้องมีบริวารเยอะ ๆ คอยเรียกใช้ใกล้ไม้ใกล้มือ

   “ครับเจ็ก แล้วเจ็กจะอยู่ที่กรุงเทพฯ นานแค่ไหนครับ”

   “ก็ถ้างานดี เงินดี อาจจะได้อยู่ตลอดนะ” เจ็กลู่เปลี่ยนงานบ่อยครับ พอๆ กลับเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เลย อาเจ็กเป็นคนเบื่อง่าย ทำงานแต่ละที่ไม่เกิน 3-4 เดือน ก็เปลี่ยนไปทำงานอื่นแล้ว แกไปมาแทบทุกจังหวัดแล้วครับ

   “ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้หยกค่อยมาหาเจ็กลู่ใหม่อีกทีแล้วกันครับ” ผมเพิ่งรู้ว่าอาเจ็กกลับเข้ากรุงเทพฯ มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาเจ็กแวะไปหาพวกเราที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่ ยังดีที่อาเจ็กสอดจดหมายไว้ที่ตู้ไปรษณีย์ ผมถึงรู้ว่าอาเจ็กมาทำงานที่นี่ และที่จริง

   ผมเคยมาหาอาเจ็กครั้งหนึ่ง ก่อนที่เจ๊หงส์จะเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่เจอ ยังดีที่ประชาสัมพันธ์เขาให้ฝากข้อความไว้ได้ เลยนัดเจ็กลู่ได้ในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้เจออาเจ็กอยู่ดี

   “อาหยก ลื้อมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

   “ก็นิดหน่อยครับ แต่พรุ่งนี้ เวลานี้ ผมค่อยมาใหม่ก็ได้ เจ็กลู่ว่างรึเปล่าครับ” ผมบอกพร้อมก้าวเดินออกมาจากป้อมยามของบริษัทฯ นี้ เดินไปตามฟุตบาทมุ่งหน้าไปยังป้ายรถประจำทาง

   “น่าจะได้นะ”

   “อาเจ็กคงจะยังไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ในเร็ววันนี้ใช่ไหมครับ” ผมพูดเชิงหยอกล้อน่ะครับ

   “ฮ่า ๆ ๆ ไม่เปลี่ยนหรอก มีอะไรก็ส่งข้อความมาแล้วกัน”

   “ส่งข้อความ? ... เจ็กลู่ไม่สะดวกรับสายหรือครับ” ผมถามสงสัย

   “ก็งานน่ะ” อ่อ เวลางานคงคุยโทรศัพท์ไม่ได้สินะ ไม่รู้ว่าเจ็กลู่ทำงานตำแหน่งอะไร

   ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับเจ็กลู่อยู่ ที่กลางถนนผมเห็นลูกแมวตกลงมาจากจักรยานยนต์ที่เพิ่งแล่นผ่านผมไป และรถแกรนด์ เชอโรกี คันใหญ่สีดำราวกับมัจจุราชกำลังแล่นออกมาจากรั้วบริษัทฯ ที่เจ็กลู่ทำงานอยู่ รถคันนั้นพุ่งออกมาอย่างน่ากลัว ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายมันเป็นไปตามสัญชาตญาณครับ เสียงยางรถเบรกกับถนนดังแข่งกับเสียงหัวใจของผม ไหนจะเสียงคนในสายที่ตะโกนเรียกชื่อผม เมื่อผมมายืนอยู่ตรงฟุตบาทอีกฟากหนึ่งของถนนแล้ว ลูกแมวในมือที่กำลังตกใจอยู่ก็ข่วนแขนข้างที่ผมอุ้มมันอยู่จนต้องปล่อยมาลง เจ้าของแมวจอดรถจักรยานยนต์เลยไปไม่ไกลนัก วิ่งกลับมา ส่วนแมวตัวนั้นก็วิ่งกลับไปหาเจ้าของของมัน

   ผมเห็นว่าแมวน้อยปลอดภัยผมก็หันไปมองคนในรถคันใหญ่ที่ติดฟิล์มมืดจนแทบมองไม่เห็นด้านใน คนขับจะคงรู้ครับ จึงลดกระจกลง เมื่อเห็นใบหน้าชายที่ขับรถ ผมก็ก้มหัวเป็นเชิงขอโทษไป ผมไม่เห็นสายตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำปรอทนั่นหรอกครับ ได้หวังว่าเขาคงจะไม่โกรธ และหวังว่าเขาคงจะไม่โดดเจ้านายที่นั่งมาด้านหลังตำหนิเพราะผม

   “อาหยก...” เสียงในสายโทรศัพท์ครับ ผมลืมไปเลยว่ายังคุยค้างกับเจ็กลู่อยู่

   “ขอโทษครับเจ็กลู่”

   “เมื่อกี้เสียงอะไร ลื้อทำอะไรอยู่” เสียงเจ็กลู่ฟังดูเครียดนิด ๆ

   “ไม่มีอะไรครับ ผมเก็บลูกแมวหลงนะครับ” ผมตอบไปแค่นั้น ไม่อยากให้เจ็กลู่เป็นห่วงครับ ผมพูดไปพร้อมกับข้ามถนนมาฝั่งเดิมครับ อีกนิดก็เกือบถึงปากซอยถนนใหญ่แล้ว

   “....อือ ลื้อก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” อาเจ็กเตือนผมเหมือนทุกครั้งที่เจอหรือได้คุยกัน เจ็กลู่มักจะบอกเสมอให้พวกผมระวังตัว ระวังการใช้ชีวิต อาเจ็กเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่ของครอบครัวเรา ผมเห็นแกมาตั้งแต่จำความได้ แต่จำไม่ได้ครับว่าเจ็กลู่มีความเป็นมายังไง เกี่ยวข้องอะไรกับคนในครอบครัวผมรึเปล่า แม้กระทั่งเจ๊หงส์เองก็ไม่รู้

.........................................................................

   บนสวนหย่อมของอาคารสำนักงาน ชายในชุดซาฟารีมองเหตุการณ์บนถนนด้านล่างผ่านกล้องส่องทางไกลตัวจิ๋ว มองดูหนุ่มน้อยข้ามถนนกลับมาฝั่งเดิม ส่วนคนบนรถก็ไม่ได้ลงมาเอาเรื่องเอาราวอะไร และขับรถผ่านหนุ่มน้อยของเขาไป

   “...อือ ลื้อก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

To Be Continue

ขยี้มาส่งได้อีกตอน

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำทักทายนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2018 00:03:25 โดย Amo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 13-09-17 {{2}}
«ตอบ #6 เมื่อ13-09-2017 23:13:44 »

 :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 13-09-17 {{2}}
«ตอบ #7 เมื่อ14-09-2017 00:26:43 »

รับปากว่าจะดูแลลูกให้ แต่ไม่ได้เลี้ยงเอง (เหรอ)
ที่แท้แล้วคนรักที่หายไปอยู่ใกล้ ๆ ตัวเลยหรือเปล่า แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมจำไม่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 13-09-17 {{2}}
«ตอบ #8 เมื่อ15-09-2017 09:47:32 »

3

   ผมมาถึงร้านพี่กันต์ก่อนเวลาแค่ 10 นาทีเองครับ มาถึงก็รีบไปเปลี่ยนชุดหลังร้านแล้วมาทำหน้าที่ของตัวเอง

   “น้องหยก เหงื่อโทรมเชียว พี่เพิ่งเห็นเราเข้ามาเมื่อกี้นี้เอง อยู่กับพี่หงส์เพลินรึไงเรา” พี่แหม่มผู้จัดการร้าน เดินมาหาผมที่หลังเคาน์เตอร์พร้อมทั้งใช้ทิชชูในมือที่ช่วยซับเหงื่อให้ผม

   “วันนี้ผมยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเจ๊หงส์เลยครับ ไปธุระที่อื่นก่อนน่ะครับ” ผมตอบเสียงอ่อย

   “มิน่าล่ะ รีบมาเชียว ไหนพี่ดูหน้าหน่อยสิ” พี่แหม่มคว้าไหล่ผมทั้งสองข้าง จับผมหันซ้ายทีขวาที พี่แหม่มเธอสูงแค่คางผมเองครับ รูปร่างออกจะท้วม ๆ หน่อย เธอมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าไม่พอใจ

   “เออ...พี่แหม่มครับ” ผมเริ่มเขินแล้วครับ ก็มีผู้หญิงมาถึงเนื้อถึงตัวผมนี่ครับ ทั้งซับเหงื่อให้ตั้งแต่หน้าผาก เลยมาถึงลำคอ แล้วยังจะจ้องสำรวจผมอีก

   “โอ๊ย...ไม่ไหว” พี่แหม่มร้องเสียงไม่เบานัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นรบกวนลูกค้าในร้าน “คุณกันต์ค่ะ แหม่มขออนุญาตให้น้องหยกไปนั่งพักที่ด้านหลังร้านสัก 10 นาทีนะคะ แล้วจะพาออกมาส่ง”

   พี่กันต์ชะโงกหน้าออกมาจากระเบียงชั้นลอย ที่นั่งประจำของแก ซึ่งลูกค้าไม่ค่อยจะขึ้นไปนั่งเท่าไรในเวลานี้ แกมองหน้าพี่แหม่ม แล้วก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะพยักหน้าให้พี่แหม่ม ซึ่งเธอก็รุนหลังผมให้เดินไปยังห้องพักด้านหลังร้านทันที

   “พี่แหม่ม ทำไมให้หยกเข้ามาหลังร้านละครับ” ผมโวยวายเล็กน้อยทันทีที่เข้ามาถึงห้องพัก มันเวลางานแล้ว ผมไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น พี่แหม่มทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ผมทันที

   “น้องหยกไม่รู้ตัวอีกหรือคะ?” ผมมองหน้าพี่แหม่มงง ๆ เธอจึงรุนหลังผมไปหน้ากระจกบานใหญ่ ที่มีไว้สำหรับให้พนักงานร้านสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองก่อนออกไปทำงาน แล้วผมก็มองหน้าตัวเองในกระจก ก่อนส่งยิ้มอ่อนผ่านกระจกให้เธอ

   “พี่ยังไม่อยากเปลี่ยนจานชาม แก้วน้ำชุดใหม่หรอกนะคะ แล้วพี่ก็สงสารลูกค้าค่ะ ที่ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่เจ้าพวกนั้นมันทำจานหล่นแตกบางล่ะ แก้วหล่นบ้างล่ะ!!” พี่แหม่มเอ็ดผมไม่จริงจังนัก

   ต้องโทษผิวบาง ๆ ขาว ๆ ของผมเองครับ ที่ขึ้นสีง่ายเสียเหลือเกิน วิ่งนิด ๆ หน่อย ๆ แก้ม จมูกก็พานจะแดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วครับ ไม่ได้เขินนะครับ ถ้านึกไปไม่ออกล่ะก็ ให้นึกถึงลิงตามคณะละครครับ แล้วเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในร้านก็ชอบจ้องให้ผมได้อาย ก็ยิ่งทำให้ผมหน้าแดงเข้าไปใหญ่ นี่แหละครับสาเหตุที่ทำให้ของในร้านแตกกันบ่อย ๆ เขาคงกลั้นขำกันจนมือไม้อ่อนกันไปหมด

   ร้านพี่กันต์เป็นร้านอาคารกึ่งคาเฟ่ จะมีส่วนของร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ส่วนคาเฟ่มีเบเกอรี่สไตล์อิตาเลี่ยนเช่นกันครับ เบเกอรี่นี่ฝีมือพี่กันต์ครับ อาหารเชฟแก้ว ภรรยาพี่กันต์คุมอยู่ในครัว ผมทำงานกับพี่กันต์พี่แก้วตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ปี 3 จนตอนนี้ก็ 3 ปีแล้วครับ

   “อีก 10 นาที น้องหยกค่อยตามออกไปนะคะ พี่ไปดูแลหน้าร้านก่อนนะ” พี่แหม่ม พนักงานผู้หญิงคนเดียวของร้านยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป ผมนั่งอยู่จนถึงเวลาก็ออกไปทำงานต่อ เพื่อน ๆ ในร้านมองผมยิ้มๆ

.........................................................................

   พยัคฆ์ขับรถมาจอดที่หน้าโรงแรมหรูย่านกลางเมือง ก่อนเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรการกุศล ที่บรรดาคุณหญิงคุณนายพากันขนออกมาอวดแทบจะยกมาทั้งตู้เซฟกันเลยทีเดียว แม่งานคราวนี้ก็หนีไม่พ้นคุณเพ็ญนภา เจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ลูกค้าประจำ ที่จัดงานทีไร ต้องใช้บริการทีมรักษาความปลอดภัยจากบริษัทฯ เขาทุกครั้งไป

   ชายหนุ่มเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบ ๆ ห้องจัดงานก่อน ยังไม่ได้เดินเข้าไปในงาน เขาเห็นคนของเขาในชุดซาฟารียืนกระจายตัวกันอยู่รอบงาน เมื่อเดินดูจนพอใจแล้วเขาก็เดินเข้าไปในงาน เพื่อไปทักทายคุณเพ็ญนภาตามมารยาท

   ตอนนี้งานยังไม่เริ่ม พนักงานของโรงแรมจัดเตรียมสถานที่กันขวักไขว่ เขามองไปรอบ ๆ จนเห็นคุณเพ็ญนภายืนอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านข้างเวที เขาจึงเดินเข้าไปหา คุณเพ็ญนภาเหมือนจะเห็นเขาแล้ว เพราะเธอยืนหันหน้ามาทางเขาพอดี หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันยืนหันหลังอยู่

   ด้านหลังทำไมคุ้นตาแบบนี้

   คุณเพ็ญนภาคุยอะไรกับหญิงสาวนิดหน่อยก่อนเดินเข้ามาหาเขา หญิงสาวคนนั้นเดินเลี่ยงออกจากห้องจัดงานไป แต่เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เห็น เขาจำมันได้ดี และท่ากระโดดแมวนั่น

   ท่ากระโดดแมวอย่างนั้นหรือ? พยัคฆ์ขำในความคิดของตัวเอง

   “คุณพยัคฆ์มาดูแลเองอีกแล้วนะคะ” เพ็ญนภายิ้มแซว

   “ผมมันพวกชอบงานลงสนามมากกว่างานเอกสารอย่างอากรน่ะครับ”

   “ได้คุณพยัคฆ์มาดูแลเองทั้งคน ภาก็ยิ่งอุ่นใจค่ะ ภาไม่คิดว่าบรรดาคุณหญิงคุณนายจะจัดหนักจัดเต็มกันขนาดนี้ ทำเอาภากังวลตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเลยค่ะ”

   “ผมดูรอบ ๆ งานแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ ว่าแต่คุณภาติดงานอะไรรึเปล่าครับ เมื่อครู่ผมเห็นยังยุ่ง ๆ อยู่”

   “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ บรรดานางแบบกิตติมศักดิ์ก็ขนชุดขนเครื่องเพชรกันมาเอง ภาก็แค่ดูความเรียบร้อยดูคิวเท่านั้นเองค่ะ”

   “คุณภารับพนักงานใหม่มาเพิ่มหรือครับ คนเมื่อสักครู่ผมไม่เคยเห็น”

   “คุณพยัคฆ์ไม่ต้องห่วงค่ะ คนนั้นไม่ต้องสืบประวัติหรอกอะไรให้วุ่นวายเลยค่ะ ภารู้จักกับครอบครัวนี้ดี น้องโบตั๋นเขาเป็นน้องสาวเพื่อนของภาเอง”

   พยัคฆ์ยิ้มรับก่อนขอตัวไปเดินดูความเรียบร้อยรอบๆ งานอย่างอารมณ์ดี

   น้องโบตั๋นหรือ? เราเจอกันสองครั้งใน 1 วันเลยนะครับ

.........................................................................

   “แม่ ยังไม่เสร็จอีกหรือ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันงานหรอก” เกรียงไกรตะโกนเรียกมารดาอยู่ที่หน้าห้อง เจ้าสัวเซียงที่เดินขึ้นบันไดมามองท่าทีของลูกชายที่ดูจะหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง

   “อาเกรียง อะไรของลื้อ เอะอะโวยวายเสียงดังไปถึงข้างล่าง”

   “ก็จนป่านนี้แม่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ เดี๋ยวก็ไม่ทันงานโชว์เพชร โชว์พลอยอะไรนั่นกันพอดี”

   “แล้วลื้อจะรีบร้อนไปทำไม ได้ยินว่าแค่ขับรถไปให้แม่ลื้อเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”

   “ใช่ แต่อั๊วนัดคุณลตาเอาไว้ที่เลานจ์ในโรงแรมนั้นน่ะสิเตี่ย” เจ้าสัวเซียงได้ยินชื่อบุคคลที่สามก็ต้องขมวดคิ้วแทบจะผูกโบ

   “ทำไมลื้อถึงได้ประเจิดประเจ้อแบบนี้ งานนี้ลื้อก็รู้ว่ายังไง บริษัทฯ ของไอ้วรากรก็ต้องมารักษาความปลอดภัย เดี๋ยวพวกมันก็รู้ตัวกันพอดี” เจ้าสัวเซียงพูดเสียงเครียด และยิ่งเครียดขึ้นไปอีกเมื่อสุพรรณษา เปิดประตูออกมาจากห้องพร้อมสีหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียให้ได้

   “เฮีย เครื่องเพชรของฉันไปไหน เฮียเอาไปลงบ่อนอีกแล้วใช่ไหม?”

   “เตี่ย!!” เกรียงไกรที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ตกใจกับสี่งที่มารดาเอ่ยไม่แพ้กัน

   “ลื้อจะโวยวายทำไมให้อายเด็กมัน เข้าไปคุยกันในห้อง” แล้วทั้งหมดก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

.........................................................................

   ภายในงานแฟชั่นโชว์ เพ็ญนภาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้างาน จนพยัคฆ์ผิดสังเกต จนต้องเดินเข้าไปสอบถาม

   “มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ คุณภา”

   “เอ่อ...ค่ะ” เพ็ญนภาตอบทั้ง ๆ ที่มองไปรอบ ๆ อย่างกับจะหาใคร

   “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

   “เฮ้อ...พอดีคุณสุพรรณษา ภรรยาเจ้าสัวเซียงที่จะต้องขึ้นเวทีในอีก 10 นาทีนี้ เธอยังไม่มาเลยค่ะ ภาโทรไปก็ไม่รับสาย”

   เพ็ญนภาพูดยังไปทันขาดคำ ก็เห็นเกรียงไกรเดินเนิบนาบเข้ามาที่ทางเข้าหน้างาน จนเธอเองที่เป็นฝ่ายร้อนรนต้องรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา

   “คุณเกรียงค่ะ แล้วคุณสุพรรณษาล่ะค่ะ” เพ็ญนภามองไปทางด้านหลังของชายหนุ่ม แต่ไม่เห็นแม้เงาของคนที่พูดถึง

   “คุณแม่ล้มในห้องน้ำก่อนจะออกมานี่แหละครับ ผมกับเตี่ยเพิ่งพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่เป็นห่วงงานของคุณภามาก เลยให้ผมเดินทางมาบอกด้วยตัวเอง” เกรียงไกรพูดในประโยคที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า

   “แล้วคุณสุพรรณษาเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ถึงงานตรงหน้าจะสำคัญ แต่เพ็ญนภาก็อดเป็นห่วงลูกค้ารายใหญ่ไม่ได้

   “เห็นเตี่ยว่าต้องเข้าเฝือกอ่อนไว้ก่อนครับ” เมื่อเห็นว่าลูกค้าของเธอไม่เป็นอะไรมาก จึงเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เตรียมเดินกลับไปรันคิวใหม่หลังเวที

   “ว้าย!! ตายแล้วเหลืออีก 3 นาที ทำไงดีเนี่ย ภาวิ่งไปรันคิวใหม่ไม่ทันหลังเวลีแน่เลย โทรไปคงไม่มีใครด้านหลังเวทีได้ยินแน่เลย” เพ็ญนภาพูดอย่างร้อนรน

   “นายตรงนั้นมานี่หน่อยสิ” พยัคฆ์เรียกคนของเขาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา คงจะเด็กใหม่ “บอกคนของเราให้เอา ว. ไปให้คนของคุณภาที่หลังเวที แล้วเอา ว. ของนายมา” คนของพยัคฆ์พยักหน้าพูดใส่ไมค์ที่ปกเสื้อพร้อมยื่น ว. ให้พยัคฆ์

   “เชิญครับคุณภา” พยัคฆ์ยื่น ว. ส่งให้เพ็ญนภา

   ทุกการกระทำของเกรียงไกรและพยัคฆ์อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา โดยที่ทั้งสองหนุ่มไม่รู้ตัวเลย

.........................................................................

   ผมกำลังล้างอุปกรณ์ชงกาแฟในซิ้งค์ตรงเคาน์เตอร์ เพราะร้านปิดแล้ว เพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นก็กำลังเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดร้านกันอยู่ พี่แก้วที่ดูแลเก็บกวาดในครัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาหน้าร้าน มองดูความเรียบร้อยรอบ ๆ ก่อนเดินเข้ามาเช็กสต๊อกเมล็ดกาแฟที่เคาน์เตอร์

   “ตายแล้วหยก แขนไปโดนอะไรมาเนี่ย” พี่แก้วเหลือบมาเห็นท้องแขนของผมขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือขึ้นไปเก็บแก้วกาแฟที่เช็ดจนแห้ง

   “อ่อ เมื่อตอนบ่าย โดนแมวข่วนนิดหน่อยนะครับ” ผมบอกเธอ แต่เหมือนตอบคนทั้งร้าน เพราะทุกคนดูเหมือนจะละกิจกรรมที่ทำเพื่อฟังคำตอบจากผม

   “ไม่นิดแล้วค่ะ ดูสิบวมขึ้นเป็นริ้วแล้วเนี่ย” เพราะคำพูดของพี่แก้ว ทำให้ทุกคนเดินเข้ามามุงอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์กันหมด จนผมเริ่มเกร็ง

   “เอ่อ...เดี๋ยวผมเก็บของเสร็จแล้ว ตอนกลับไปหาเจ๊หงส์ ผมค่อยให้คุณหมอช่วยดูแผลให้ก็ได้ครับ” เซ้นส์ของผมบอกว่าทุกคนล้วนเป็นห่วง เรื่องที่ผมโดนแมวข่วนกัน จนต้องรีบตัดบทว่าจะไปหาหมอเอง ไม่อย่างนั้น ต้องมีคนแย่งกันอาสาทำแผลให้ผมแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่พี่แก้ว

   “คราวหน้าคราวหลังระวังตัวหน่อยนะหยก ผิวอย่างเราน่ะเห็นรอยง่าย พี่ไม่อยากเห็นนางฟ้าของร้านพี่มีแผลเป็นหรอกนะ” อีกแล้วครับ คำว่านางฟ้ามาอีกแล้ว และทุกคนก็ดูจะเห็นพ้องกับพี่แก้วด้วยครับ

   “นางฟ้าที่ไหนกันครับ พี่แก้วเลิกล้อผมเถอะครับ”

   “พี่ไม่ได้ล้อนะ พี่พูดจริง ๆ ถ้าจับเราใช่ชุดผู้หญิง แล้วไว้ผมยาวกว่านี้หน่อย เผลอ ๆ พี่ว่าสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีก”

   “นั่นพี่แก้วพูดถึงโบตั๋นรึเปล่าครับ”

   “ฮ่า ๆ นั่นสินะ หยกเหมือนโบตั๋นมากจริง ๆ” พูดถึงบุคคลที่สามยังไม่ทันขาดคำ โบตั๋นก็โทรเข้ามา ผมชี้ไปทางโทรศัพท์ให้พี่แก้วดู เป็นเชิงขออนุญาตรับสายด้วย พี่เขาก็ยิ้มพยักหน้าให้เล็กน้อย

   “ว่ายังไงตั๋น”

   “เจ่เจ้หลับแล้ว เลยโทรมาบอกหยกว่าไม่ต้องแวะมาที่นี่ ตั๋นเองก็กำลังจะกลับ ไปเจอกันที่บ้านเลยนะหยก”

   “อืม เอาอย่างนั้นก็ได้” ผมบอกตั๋นก่อนจะวางสายแล้วกลับไปทำงานที่ค้างต่อ

   “หยกรีบกลับไปทำแผลเถอะครับ งานตรงเคาน์เตอร์นี่เดี๋ยวก๊องช่วยทำต่อให้เอง”

   “ใช่ เหลืออีกนิดหน่อยเอง เรากับก๊องช่วยกันเดี๋ยวก็เสร็จ” เอ็มผู้ช่วยเชฟ อาสาช่วยก๊องอีกแรง

   “แต่...”

   “ไม่ต้องแต่ค่ะ มาค่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ” พี่แหม่มมาจากไหนไม่รู้ผมไม่ทันสังเกตครับ เธอมาถึงก็เหมือนเดิมครับ รุนหลังผมกลับไปยังห้องพักด้านหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

.........................................................................

   พยัคฆ์ทิ้งลูกน้องที่เหลือให้ทำงานตามหน้าที่ไป ส่วนเขาก็ลงมานั่งอยู่ที่เลานจ์ของโรงแรม ว่าจะหาอะไรจิบนิดหน่อยก่อนกลับไปพักผ่อน เขาเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง มุมที่เขานั่งอยู่สามารถมองออกไปบริเวณทางเข้าโรงแรมด้านหน้าได้อย่างชัดเจน

   เขาเห็นรถคุ้นตามาจอดเทียบด้านหน้า พนักงานของโรงแรมลงมายืนรอที่ประตูรถ ก่อนหญิงสาวจะเดินไปประจำที่นั่งด้านคนขับ พนักงานปิดประตูให้เธอ แล้วรถก็แล่นออกจากโรงแรมไป

   คุณลตา?

   พยัคฆ์ยิ่งแปลกใจ เมื่อรถคันถัดมา เจ้าของรถคือเกรียงไกร เขาไม่รู้หรอกว่านายเกรียงไกรขับรถแบบไหน ยี่ห้ออะไร มาเห็นอีกทีก็ตอนนายเกรียงไกรเดินมาจะขึ้นรถประจำที่นั่งคนขับนั่นแหละสัญชาตญาณบอกเขาว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พยัคฆ์มองตามรถของเกรียงไกรแล่นออกไปจนถึงถนนใหญ่ แล้วก็สะดุดกับร่างโปร่งบาง หัวทุยที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปยังสถานีรถไฟฟ้า ถึงมันจะค่อนข้างไกล จากจุดที่เขานั่งอยู่ แต่เขาจำไม่ผิดแน่ น้องโบตั๋น

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2018 22:30:04 โดย Amo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 15-09-17 {{3}}
«ตอบ #9 เมื่อ15-09-2017 13:00:58 »

จะเลือกทางหนดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: หยก 15-09-17 {{3}}
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-09-2017 13:00:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 15-09-17 {{3}}
«ตอบ #10 เมื่อ15-09-2017 23:01:04 »

ยังจับจุดไม่ถูก ต้องรอดูต่อไป
ที่แน่ ๆ เหมือนว่านายพยัคฆ์จะแยกหยกกับโบตั๋นไม่ออกนะ หึหึ

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
«ตอบ #11 เมื่อ16-09-2017 12:56:58 »

4

   ผมมารอเจ็กลู่ที่ป้อมยามเหมือนเดิม เวลาเดิมครับ เจ็กลู่ให้ผมรอข้างนอก ไม่อยากให้ผมเข้าไปหาข้างใน เพราะต้องวุ่นวายแลกบัตร ซึ่งผมก็พอจะจำได้ตั้งแต่มาครั้งแรกครับ สักพักเจ็กเบ้อเร่อก็เดินออกมาหาผมที่ป้อม เราพากันเดินออกไปปากซอยตรงถนนใหญ่ เลือกนั่งร้านก๋วยเตี๋ยวครับ อาเจ็กพักทานข้าวพอดี

   “เอ้า? ทำไมไม่กินล่ะอาหยก จ้องหน้าอั๊วอยู่ได้” อาเจ็กทักก่อนที่จะโกยเส้นเล็กเข้าปากต่อ

   “หยกเกือบจะจำหน้าเจ็กลู่ไม่ได้แล้วนี่” ครับผมจำหน้าเจ็กลู่ไม่ค่อยจะได้จริงๆ ครับ

   “หล่อละสิ เดี๋ยวชอบคนในเครื่องแบบเหรอเรา” เจ็กลู่แซวผมครับ ผมยิ้มไม่ตอบครับ แล้วก็เริ่มทานก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าที่เริ่มจะอืดแล้ว

   “ลื้อมาหาอั๊วมีเรื่องอะไรสำคัญใช่ไหม?” เจ็กลู่เปิดประเด็นก่อนครับ

   “ครับ เจ็กหางานเก่ง ช่วยแนะนำหยกสักงานสองงานได้ไหม?”

   “ลื้อจะหางานทำไม งานที่ร้านอาหารไม่ดีหรือไง?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ หยกอยากหางานเสริมช่วงเสาร์อาทิตย์น่ะครับ เพราะช่วงนี้เจ๊หงส์ไม่ได้ทำขนมให้พวกเราออกไปขาย”

   “อืม...เดี๋ยวอั๊วช่วยดูๆ ให้แล้วกัน”

   “ขอบคุณครับ”

   “ลื้อร้อนเงินใช่ไหม?” เจ็กลู่ตั้งคำถามที่ผมได้แต่อึ้ง ใจจริงไม่อยากให้เจ็กลู่เป็นห่วง “อาหงส์อาการหนักแล้วสิ” ผมได้แต่นิ่งไม่ตอบครับ ปิดบังอะไรเจ็กลู่ไม่ได้สักที เจ็กลู่เหมือนจะรู้ไปซะหมด “อั๊วไม่ได้มีเซ้นส์อย่างพวกลื้อสามคนหรอก แต่อั๊วพอจะเดาได้ ว่าอาหงส์อี ถ้าไม่ทำขนมออกมาส่งขายก็แสดงว่าอาการอีหนักอยู่”

   “ครับ เจ๊หงส์ต้องผ่าตัดอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า หยกกับโบตั๋นกำลังช่วยกันหาเงินอยู่ รวมเงินเก็บของเราสามคนก็ยังขาดอีกพอสมควรครับ”

   “อือ...แล้วทำไมลื้อไม่ไปช่วยงานอาโบตั๋นอีที่ห้องเสื้อล่ะ”

   “ผมจะไปทำงานอะไรที่ห้องเสื้อพี่ภาได้ล่ะครับ”

   “หึ อั๊วก็ไม่รู้หรอก แต่อั๊วเซ้นส์อั๊วบอกอั๊วว่าที่นั่นจะมีงานให้ลื้อทำแน่ๆ” เรื่องเซ้นส์เจ็กลู่ล้อผมไปอย่างนั้นเองครับ แต่เจ็กพูดเพราะประสบการณ์ล้วน ๆ

   “แล้วงานที่บริษัทฯ เจ็กลู่ล่ะ เขารับสมัครพนักงานเพิ่มไหม?”

   “ไม่ได้ ๆ งานมันไม่เหมาะกับลื้อ ที่สำคัญ มันอันตราย บางทีก็ไม่เป็นเวลาอีก ยกเว้นเสียแต่ว่า ลื้อจะยอมลาออกจากร้านอาหารนั่นมาทำกับอั๊วที่นี่ล่ะนะ”

   “ไม่เอาอะ ผมแค่อยากหางานเพิ่มช่วงวันหยุดเท่านั้น ไม่ได้อยากหางานใหม่หรอกครับ”

   “เอ่อ!! อั๊วว่าจะถามตั้งแต่อยู่หน้าป้อมแล้ว แขนลื้อไปโดนอะไรมา?”

   “โดนแมวข่วนเมื่อวานนี้น่ะครับ”

   “ไอ้ที่ว่าเก็บแมวเมื่อวานนี้อะนะ” เจ็กลู่ส่ายหน้าให้ผมน้อย ๆ ดีที่เจ็กลู่ไม่เห็นตอนผมเก็บแมว ไม่อย่างนั้นจากส่ายหน้าคงจะเป็นหัวเราะจนกรามค้าง ก็มีอย่างที่ไหนล่ะครับ อุตส่าห์กระโดดหลบรถคันเบ้อเร่อได้อย่างไร้รอยขีดข่วน แต่กลับมาได้แผลเพราะลูกแมวตัวเล็ก ๆ

.........................................................................

   ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมยังไม่สามารถหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากรายได้ประจำ ผิดกับโบตั๋น ที่พี่ภาช่วยหางานมาให้ไม่ขาด ถึงจะไม่ใช่งานเดินแบบ งานถ่ายแบบของห้องเสื้อตัวเอง ก็มีคนในวงการแฟชั่นอยากให้โบตั๋นไปถ่ายงานให้ ก็เธอน่ะสูงเพรียวมาตรฐานนางแบบระดับอินเตอร์เลยครับ หรือว่าจะจริงอย่างเจ็กลู่ว่า พี่ภาอาจจะมีงานให้ผมทำก็ได้

   “หยก หยก” โบตั๋นตะโกนเรียกผมจากชั้น 2

   “อืม” ผมขานรับพร้อมกับเดินไปที่ตีนบันได เธอชะโงกหน้าลงมามองผมจากช่องบันได

   “วันนี้หยกมีงานที่ไหนรึเปล่า” เธอถามพร้อมกับเอามือป้องโทรศัพท์ไม่ให้คนในสายได้ยิน ผมส่ายหน้าให้เธอเล็กน้อย เธอก็หลุบหน้าหายไปจากช่องบันได หายไปนานสองนานจนผมกลับลงมานั่งที่โซฟาตัวเดิม เธอก็เดินลงมา

   “วันนี้หยกไปช่วยงานตั๋นหน่อยสิ”

   “เฮียจะไปช่วยงานอะไรตั๋นได้”

   “ได้สิ ยิ่งถ้าโชคดี งานผ่านนะ จะได้เงินด้วย”

   “จะให้เฮียช่วยงานอะไร?”

   “เดี๋ยวก็รู้เอง หยกรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะได้รีบไปกัน”

.........................................................................

   โบตั๋นไม่ได้พาผมมาที่ห้องเสื้อของพี่ภาครับ แต่กลับพามาที่โรงแรมหรูย่านกลางเมือง ผมเดินตามเธอมายังห้องๆ หนึ่ง เธอเคาะประตูสักพักก็มีคนเปิดประตูให้พวกเรา คนที่เปิดประตูยิ้มรับโบตั๋นก่อนที่จะเลื่อนสายตามามองผม แล้วมองค้างอยู่อย่างนั้นครับ

   “ใครมาน่ะ” เสียงคนในห้องร้องถาม จนคนมาเปิดประตูสะดุ้ง แล้วหลบให้พวกเราเดินเข้าไป โบตั๋นเดินเข้าไปสวัสดีพี่ ๆ ข้างในห้อง ก่อนเธอจะแนะนำผม

   “นี่เฮียหยก พี่ชายของตั๋นค่ะ” ผมสวัสดีพี่ ๆ รอบ ๆ ห้อง ทุกคนมองผมสลับกับโบตั๋น แต่ละคนมีสีหน้าพอใจกันทุกคน

   “แขนน้องหยกไปโดนอะไรมาค่ะ” พี่ทีมงานคนหนึ่งถามผม

   “หยกไปโดนแมวข่วนมาค่ะ แต่แผลแห้งดีแล้ว เพียงแต่ยังเป็นรอยอยู่” โบตั๋นตอบแทนผมครับ

   “พี่ขอดูได้ไหมคะ?” ผมยื่นแขนไปให้หยกช่วยแกะผ้าพันแผลให้ เพราะผมทำเองไม่ถนัดด้วยมือข้างเดียวครับ ตั้งแต่วันที่โดนแมวข่วนโบตั๋นเป็นคนดูแลเรื่องแผลให้ผมตลอด

   “โอ๋ ๆ เธอมาดูนี่สิ พอจะใช้เมคอัพปิดรอยได้ไหม?” พี่เขาเรียกช่างแต่งหน้ามาดู

   “ไม่ไหวค่ะเจ๊ ผิวน้องขาวขนาดนี้ โบ๊ะไปก็หลอกเปล่าๆ ไม่เนียนค่ะเจ๊”

   “ถ้างั้นให้หยกใส่ปลอกแขนขนาดประมาณคืบ" โบตั๋นออกท่าทางประกอบ "แบบเก๋ ๆ สิคะ หยกใส่ข้างซ้าย ตั๋นใสข้างขวา” โบตั๋นเสนอทีมงาน แต่ละคนตาโต พร้อมพยักหน้ารับกันเป็นแถว

   สรุปคืองานวันนี้เราผ่านครับ ได้ถ่ายแบบเสื้อผ้ากัน มีชุดทั้งหมด 6 เซ็ท โดยเราที่เราจะแต่งตัวเหมือนกันในคอนเซ็ป Twin ครับ เสื้อผ้าจะเป็นสีคลุมโทน ขาว เทา ดำ เราสองคนจะใส่กันคนละสีแต่เสื้อผ้าแบบเดียวกันเป๊ะ สไตล์เสื้อผ้าเป็นชุดลำลองของห้องเสื้อแบรนด์หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักหรอกครับ พอเราแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จ เราก็ลงมาถ่ายรูปกันที่ข้างสระว่ายน้ำของโรงแรม ต้องขึ้น ๆ ลงๆ แบบนี้จนกว่างานจะเสร็จครับ แต่พอผมได้ยินค่าตอบแทนที่พวกเราจะได้แล้วก็หายเหนื่อยเลยครับ

.........................................................................

   พยัคฆ์กำลังนั่งรอวรากรที่กำลังคุยงานกับลูกค้าอยู่ที่ล๊อบบี้ของโรงแรม เพื่อจะมารายงานเรื่องของคุณหลิวที่เพิ่งได้ข่าวมากับเรื่องของลตาที่เขาแอบสืบเรื่องของเธออย่างลับ ๆ หลังจากที่เจอเธอเมื่อครั้งก่อนที่โรงแรมแห่งนี้ เขาไม่อยากเสียเวลาเข้าไปที่บริษัทฯ จึงมาดักรอพบอาของเขาที่นี่แทน ระหว่างเขาก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์รอเวลาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถึงชื่อบุคคลที่ 3 คนที่เรียกความสนใจจากเขาจนต้องลดหนังสือพิมพ์ลงเล็กน้อยเพื่อมองหาเจ้าของชื่อนั้น

   “น้องโบตั๋นเดินเร็วจัง พี่วิ่งตามเกือบไม่ทัน”

   “พี่โอ๋มีอะไรเหรอค่ะ? หรือว่าตั๋นแต่งตัวไม่เรียบร้อย” หญิงสาวพูดพลางก้มสำรวจตัวเอง

   “ไม่ใช่ค่ะ ๆ พอดีเจ๊เขาเปลี่ยนใจ อยากให้น้องโบตั๋นกับน้องหยกสลับสีปลอกแขนกันน่ะค่ะ”

   “ตั๋นก็ว่าอยู่ แต่ไม่กล้าทักเจ๊แก ตั๋นกลัวแกเคืองนะคะ” หญิงสาวพูดออกมาสีหน้าทะเล้น จนคนวิ่งตามยิ้มเอ็นดู

   “มาค่ะ พี่ซับหน้าให้ดีกว่าค่ะ”

   “เอ๊ะ พี่โอ๋ลงมาได้ แสดงว่าหยกแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหมคะ แล้วหยกไปไหนซะล่ะ”

   “น้องหยกเขาขอไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ คงตื่นเต้น เห็นว่าเป็นงานแรกของน้องหยกนี่ค่ะ”

   “นี่ตั๋นหลอกล่อมานะคะ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวไม่ยอมมาหรอกค่ะ”

   “หืม พี่ล่ะอิจฉาพี่น้องคู่นี้จริง รูปร่างก็ดี หน้าตาก็สวย ผิวเนี่ยละเอียดเชียว ยิ่งน้องหยกนะคะผิวสีน้ำนม ขาวจนพี่อิจฉา แต่เสียดายไม่น่ามีรอยแมวข่วนเลย”

   “สงสัยจะเป็นความผิดของตั๋นแน่ ๆ เลย ที่หยกแผลหายช้าอาจจะเป็นเพราะตั๋นทำแผลให้หยกไม่ดีก็ได้ แต่พี่โอ๋ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวก็หาย”

   “โอ๊ย... ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ผิวน้องเขาน่าจะเป็นรอยง่าย ลองมาเป็นพี่สิคะ สีคล้ำซะขนาดนี้ 3 วันก็ไม่เห็นรอยแล้วค่ะ อ๊ะๆ!! พูดถึงก็มาพอดี น้องหยกค่ะ ทางนี้ค่ะ มาทางนี้ก่อน” หญิงสาวโบกไม้โบกมือเรียกอีกคน

   “หยก เอาปลอกแขนของหยกมาให้ตั๋นใส่ เจ๊เขาให้เราสลับสีกัน”

   พยัคฆ์ตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า จนแทบหยุดหายใจตอนที่เห็นร่างโปร่งบางอีกร่างเดินออกมาจากมุมที่คาดว่าเป็นตำแหน่งของห้องน้ำส่วนของล๊อบบี้ เขาเห็นน้องกระโดดแมวใกล้ที่สุดก็วันที่เจอกันครั้งแรกด้วยระยะห่างของถนน 2 เลนส์ นอกจากนั้นน้องโบตั๋นที่เขาเข้าใจว่าคือคนเดียวกันกับน้องกระโดดแมวกลับเห็นเพียงระยะไกลๆ เท่านั้น เขามั่นใจว่าความจำที่เป็นเลิศของเขาไม่น่าจะถึงขั้นจำคนผิด แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ฝาแฝด จากภาพตรงหน้าและหลักฐานที่ท้องแขน น้องกระโดดแมวของเขาคือร่างโปร่งบางที่ตามหลังมา น้องหยก ใช่เขาจำแววตาสุขุมเยือกเย็น แต่มีเสน่ห์คู่นั้นได้ ผิดกับแววตาสดใสซุกซนของอีกคน

.........................................................................

   ผมเดินตามโบตั๋นกับพี่โอ๋มาตรงริมสระว่ายน้ำ ทีมงานกำลังจัดสถานที่กันวุ่นวาย มีพี่ ๆ เดินเข้ามากางร่มให้ผมกับโบตั๋น ผมมองไปรอบ ๆ บริเวณ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับสิ่งรอบข้างหรอกนะครับ แต่สิ่งที่เซ้นส์ของผมที่รับรู้ มันเตือนให้ผมต้องระวังตัว

   “น้องหยกร้อนมากเหรอคะ หรือว่าตื่นเต้น เหงื่อออกเยอะเชียว เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาพัดให้นะคะ” พี่โอ๋ซับหน้าให้ผมเสร็จก็วิ่งไปทางกลุ่มทีมงาน

   “หยก...” โบตั๋นเรียกผม ผมหันไปสบตาเธอแล้วพยักหน้าให้

   “ตั๋นเองก็รู้สึก แต่มันหายไปแล้วตั้งแต่ที่เราเดินออกมาจากล๊อบบี้น่ะ”

   “ตอนนั้นเฮียก็รู้สึก แต่จนถึงตอนนี้...”

   “ตั๋นไม่รู้สึกแล้วนะ หยกยัง...”

   “อืม แล้วเหมือนมันจะรุนแรงขึ้นมานิดหน่อยนะ” โบตั๋นตกใจจนสามารถสังเกตเห็นได้ทางสีหน้า พร้อมกับช่วยมองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างกังวล

   “ไม่เป็นไรหรอก อย่ากังวลเลย คนอยู่เยอะแยะ เดี๋ยวจะเสียงานเสียการเอานะ” ผมพูดปลอบโบตั๋นไป ทั้งที่ผมเองยังรู้สึกแปลก ๆ ความรู้สึกรุนแรงนี้ ผมไม่เคยเจอมาก่อน รู้แต่ว่ามันอันตราย เหมือนกับว่า มีเสือกำลังแอบซุ่มดูเหยื่อของมันอยู่มุมมืด เพื่อรอค่อยเวลาสำหรับออกล่าและตะครุบเหยื่อ ซึ่งผมนี่แหละคือเหยื่อของเสือร้ายตัวนั้น

   “มาแล้วค่ะ ๆ พี่พัดให้นะคะ” พี่โอ๋เข้ามาพร้อมพัดในมือ มาถึงก็โบกใส่หน้าผมอย่างเอาใจ จนโบตั๋นมองยิ้ม ๆ สักพักเราก็เริ่มถ่ายรูปกัน แรก ๆ ผมก็เกรง ๆ ครับ พอชินทุกอย่างก็เริ่มลื่นไหล อาจจะเป็นเพราะเหมือนผมกับโบตั๋นจะหยอกล้อกันไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะสนใจกล้องแล้วในตอนนี้ ช่างภาพได้แต่กดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ไม่ได้บอกให้เราทำโน่นทำนี่อย่างในช่วงแรก ๆ

   “ไปค่ะ 2 คน เตรียมขึ้นไปเปลี่ยนชุดกัน” พี่โอ๋เดินมาหาพวกผม “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่านี่เป็นงานแรกของน้องหยก แรก ๆ พี่กังวลเพราะดูเหมือนน้องหยกจะเกร็ง ๆ แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นธรรมชาติมากเลยค่ะ เหนื่อยไหมคะ?” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยครับ

   “ตั๋นชักแอบน้อยใจแล้วสิ พี่โอ๋ดูจะเอาอกเอาใจหยกจนออกนอกหน้า ทำเหมือนลืมว่าตั๋นก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้ารู้แบบนี้ไม่พาหยกมาเปิดตัวซะก็ดี”

   “โอ๋ ๆ ๆ ไม่น้อยใจนะคะ มาพี่ช่วยซับหน้าให้ค่ะ” พี่โอ๋ละจากผม แล้วเข้าไปคล้องแขนโบตั๋น พากลับเข้าตัวโรงแรม พร้อมกับซับหน้าให้ ส่วนผมก็ค่อย ๆ เดินตามหลังพวกเธอไปครับ เห็นเธอซุบซิบอะไรกับพี่โอ๋สักพัก ทั้งสองก็หันมาทางผม โบตั๋นต้องมีแผนอะไรสักอย่างแน่ ๆ

.........................................................................

   วรากรเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับพยัคฆ์ เขาเห็นเจ้าหลานชายจ้องมองออกไปทางสระว่ายน้ำตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในส่วนของล๊อบบี้แล้ว กระทั่งเขาหย่อนก้นลงที่โซฟาตัวตรงข้ามพยัคฆ์ก็ยังไม่มีทีท่าละสายตา ไม่ใช่ว่าหลานเขาจะไม่รับรู้ถึงการมาของเขา คนอย่างพยัคฆ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมีหรือจะจำเสียงฝีเท้าเขาไม่ได้ แต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่สนใจมากกว่า จนเขาต้องหันไปดูว่าหลานชายตัวดีของเขาติดใจอะไรอยู่กันแน่ แล้วเขาก็ได้คำตอบ

   “ปกติแกไม่ได้บ้าพวกนางแบบนี่? แล้วยิ่งดูใสๆ แบบนี้แล้วด้วย” วรากรรู้รสนิยมหลานชายตัวเองดี คู่ควงของพยัคฆ์ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อนข้างจะโลวโปรไฟล์แต่ก็เปรี้ยวเข็ดฟันไม่น้อย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นข่าวทางสังคมและหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะมีผลกับงานภาคสนามของพยัคฆ์ ผิดกับเขาที่ขึ้นแท่นผู้บริหาร ไม่จำเป็นต้องออกงานภาคสนามแต่อย่างใด

   “...”

   “แล้วไหนแกว่าแกรีบ ถึงต้องมาดักรออาที่นี่” ในที่สุดพยัคฆ์ก็หันมาสนใจเขาจนได้ แต่ไม่วายลอบถอนหายใจเล็กน้อย

   “อย่างนั้นผมเข้าเรื่องเลยนะ” พยัคฆ์หยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋า วรากรเองก็เช่นกัน “ตอนนี้คนในภาพทำงานอยู่ที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก” วรากรมองภาพถ่ายบนแท็บเล็ตของตัวเองที่พยัคฆ์เพิ่งส่งรูปมาให้ เขาเลื่อนรูปไปเรื่อย ๆ

   “แกจะบอกว่าเขาไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าโดนสะกดรอยอยู่” วรากรถามเพื่อความแน่ใจ

   “ผมว่าไม่” พยัคฆ์พูดทั้งที่สายตาไม่ได้เงยขึ้นมามองหน้าผู้เป็นอาเลย ยังคงจ้องมองในแท๊บเลตของตัวเอง “จากที่ไปสอบถามคนละแวกนั้น ได้ข้อมูลมาว่า คนในรูปทำงานเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับลูกชายของนักการเมืองคนหนึ่ง ผมกำลังจะส่งคนของเราเข้าไปในค่ายมวย แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”

   “นักการเมืองคนนั้นเป็นใคร”

   “ท่านครรลอง”

   “แล้วนี่ แกส่งรูปนี้มาทำไม” วรากรเลื่อนมาที่รูปต่อไป กับเป็นรูปของลตาที่กำลังเดินช๊อปปิ้งอยู่ในห้างดัง

   “ผมสงสัยเธอ”

   “เรื่อง?”

   “ตอนนี้ผมยังไม่มีเบาะแสอะไร แต่ลางสังหรณ์ของผมบอกว่า เธอเกี่ยวข้องกับนายเกรียงไกร เผลอ ๆ อาจจะรวมถึงเจ้าสัวเซียงด้วย ถ้าอาไม่ว่าอะไร ผมจะขอสืบต่อ” วรากรรู้ดีถึงเหตุผลที่พยัคฆ์ขออนุญาตเขาดี เพราะใคร ๆ ต่างก็พากันลือไปว่าลตา เป็นคู่หมั้นของเขา

   “แกก็รู้ว่าฉันมีคนรักอยู่คนเดียว”

   “คะ...ครับ” วรากรแปลกใจกับคำพูดติดขัดของพยัคฆ์จนต้องเงยหน้าจากแท็บเล็ต เขาเห็นหลานชายมองไปยังกลุ่มคนตรงโถงทางเข้าโรงแรมด้านหน้า ที่ดูเหมือนจะมีคนเป็นลมอยู่ในกลุ่มนั้น

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2018 22:38:16 โดย Amo »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
«ตอบ #12 เมื่อ16-09-2017 15:21:35 »

เจอกัน (ข้างเดียว) เสียที
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
«ตอบ #13 เมื่อ16-09-2017 18:29:15 »

ชอบเรื่องนี้

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
«ตอบ #14 เมื่อ17-09-2017 17:16:37 »

5

   โบตั๋นแกล้งผมจนได้เรื่องเลยครับ หลังจากที่เธอวางแผนกับพี่โอ๋มาฉกของสำคัญของผมไป ของที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ผมวิ่งไล่จับกับโบตั๋นจนมาถึงหน้าโถงทางเข้าโรงแรมเลยครับ พี่โอ๋ก็ได้แต่ยืนหัวเราะที่เห็นพวกเราหยอกเล่นกันอยู่ จนพี่ทีมงานคนที่บอกให้ผมกับโบตั๋นสลับสีปลอกแขนกัน ผมไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร เห็นเขาเรียกๆ กันว่าเจ๊ ๆ ลงมาตามพวกเรานั่นแหละ งานเข้าแล้วครับ


   “ว้าย เล่นอะไรกันค่ะเด็ก ๆ ไม่รีบขึ้นไปแต่งตัวค่ะ” เสียงมาก่อนตัวครับ แล้วเธอก็เดินมาหาพี่โอ๋ “ดูน้อง ๆ กันยังไงฮ่ะ ยัยโอ๋” พี่โอ๋ยิ้มแล้วชี้บอกให้ดูทางผมกับโบตั๋น ตอนนี้โบตั๋นหน้าสลดเชียวครับ ผมมองเธอด้วยสายตาคาดโทษ เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ให้เสียงาน หมดความน่าเชื่อถือกันพอดี

   “เจ้อย่าเพิ่งดุสิ น้องโบตั๋นเขาแค่อยากให้เห็นอะไรดี ๆ ก็แค่นั้น” ผมได้ยินพี่โอ๋คุยกับเจ้ครับ เรา 2 คนค่อย ๆ เดินไปสมทบกับพี่ ๆ เขาที่หน้าทางเข้าลิฟต์บบี้ เจ๊เขาจ้องมาที่ผม ดูจากสีหน้าของแกเหมือนจะตกใจมาก มองผมตาค้าง เหมือนแกช็อกครับ พอพวกผมเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าแก กำลังจะเอ่ยขอโทษเลยครับ เจ้ก็เป็นลมล้มพับไปเลย ดีที่พี่โอ๋ยืนคล้องแขนเธออยู่ก่อนแล้ว จึงพอประคองตัวเจ๊เขาไว้ได้

   “ว้าย/เฮ้ย” โบตั๋น,พี่โอ๋/ผม อุทานออกมาแทบประสานเสียงกัน

   “นะ..นะ.. น้องโบตั๋นค่ะ มาช่วยพี่หน่อยค่ะ” พี่โอ๋ใช้มือข้างที่ว่างกวักเรียก โบตั๋นละล้าละลังอยู่แป๊บหนึ่ง ก่อนจะยัดถุงผ้ากำมะหยี่คืนใส่มือผม แล้วไปช่วยประคองเจ๊เขาอีกด้าน

   ...



   ..



   .



   อยู่ๆ ความรู้สึกโหวงในโพรงอก เหมือนมีลูกศรปลายแหลมพุ่งเข้ามาปัก มันรุนแรงชนิดที่ผมตั้งรับมันไม่ทัน ขนอ่อนในร่างกายผมพร้อมใจกันตั้งขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ ผมยังคงยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น สั่นชนิดที่ผมไม่สามารถก้าวเท้าเดินตามโบตั๋นกับพี่โอ๋ที่เดินพยุงเจ๊ไปทางหน้าลิฟต์ได้ สัมผัสจากฝ่ามือหนา ที่ไหล่ผม มือของใครกัน

   “น้องหยกเป็นอะไรไปครับ” พี่ช่างภาพนี่เอง ผมจำเสียงพี่เขาได้ สมองผมสั่งให้หันไปบอกพี่เขาว่าไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายผมไม่ฟังคำสั่งผมเลยครับ

   “หยก ๆ” เสียงโบตั๋นครับ เธอวิ่งกลับมาหาผม ปล่อยให้พี่ช่างภาพไปช่วยพี่โอ๋แทน ฝ่ามือทั้งสองข้างของโบตั๋นทาบอยู่ที่แก้มของผม เธอตบเบาๆ พยายามเรียกสติผม

   “ตั๋น...” กว่าผมจะเค้นคำเรียกโบตั๋นได้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เสียงผมสั่นพอ ๆ กับร่างกาย โบตั๋นใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้ ซึ่งผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลออกมาตอนไหน ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่ง รั้งท้ายทอยผมให้ซุกหน้าซบลงบนไหล่ของเธอ พร้อมโอบกอดผมไว้

   “หยก...ไม่เป็นไรนะ ตั๋นอยู่นี่” ผมไม่รู้ว่าเซ้นส์ของเธอสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบเดียวกับผมไหม ความรู้สึกของเหยื่อที่กำลังถูกล่า มันทั้งชัดเจนและรุนแรง ผมกลัวครับ ไม่เคยกลัวขนาดนี้มาก่อน โบตั๋นพยายามปลอบผม แต่ความรู้สึกนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะเบาบางลงแล้วค่อย ๆ หายไป

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งถามพวกเราครับ ผมรู้สึกได้ว่าโบตั๋นจะส่ายหน้าบอกผู้ชายที่มายืนอยู่ใกล้ ๆ “แต่น้องเขาดูหน้าซีดมากเลยนะครับ” โบตั๋น ดันไหล่ผม ใช้สองมือลูบคราบน้ำตาออกจากใบหน้าผม

   “เราขึ้นไปพักข้างบนกันนะหยก” โบตั๋นคว้ามือผมไว้ข้างหนึ่ง บีบเบา ๆ ก่อนหันหน้าไปขอบคุณชายที่เข้ามาถามพวกเรา แล้วค่อย ๆ จูงผมไปยังโถงลิฟต์ ผมเงยหน้าจากมือของโบตั๋นที่กุมมือผมอยู่เพื่อจะมองทาง แต่...สายตาที่มองผม....ดวงตาดุคู่นี้...



   ...





   ..





   .





   ดวงตาที่บ่งบอกถึงความต้องการ...ที่จะล่าเหยื่อ...





   ...





   ..





   .





   คนคนนี้ .... ต้องการล่าผม...





   ...





   ..



   

   .



   แม้จะสบตากันแค่ครู่เดียว แต่ผมรู้สึกว่ามันนานแสนนาน นานจนอึดอัด นานจนหายใจไม่ออก ประสาทสัมผัสของผมเหมือนจะหยุดทำงานลงเสียดื้อ ๆ แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบ จนกลายเป็นความมืดมิด

   “หยก!!” แต่ผมยังพอจะได้ยินเสียงของโบตั๋น เธอเรียกผม น้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอกุมมือผมอยู่แท้ๆ

.........................................................................

   พยัคฆ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะตอบอากรของเขาไป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอาของเขากำลังพูดอะไรอยู่ เขามองร่างโปร่งตรงหน้าที่เดินเคียงคู่มากับฝาแฝด ตรงเข้าไปหาหญิงสาวอีก 2 คนที่เหมือนจะยืนรออยู่ ใบหน้าขาวนวล ตัดกับแก้มสีแดงระเรื่อ ไม่เพียงแต่แก้มเท่านั้น จมูกจิ้มลิ้มน่าขบนั่น ก็ขึ้นสีตามไปด้วย มันไม่ได้เกิดจากการแต่งหน้า เขารู้ดี ภาพที่เห็นมันช่างเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกกาย หากไม่เอามือมากุมไว้เสียก่อน

   “ไอ้เสือ...เฮ้ย...ไอ้เสือ” วรากรเรียกสติเขา “เป็นเอามากนะแก”

   “อามีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมขอตัว”

   “เฮ้ย!! ...ไอ้นี่... แกเป็นคนนัดอามาเองไม่ใช่เหรอว่ะ” พยัคฆ์ได้ยินอาของเขาบ่นไล่หลังมา แต่เขาไม่สนใจ เพราะตอนนี้ เขาสนใจแต่ร่างโปร่งตรงหน้า ความรู้สึกว่าอยากได้ อยากกอด อยากครอบครอง ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีให้กับใครมาก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มอยู่ ๆ ก็เป็นลม นี่อาจจะเป็นโอกาส ที่จะได้ทำความรู้จักกับน้องหยกของเขา

   พยัคฆ์สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ น้องโบตั๋นพยุงคนเป็นลมเดินไปจนเกือบถึงหน้าลิฟต์แล้ว ทิ้งให้น้องหยกของเขายื่นค้างอยู่ที่เดิม แล้วช่างภาพที่เขาเห็นตรงสระว่ายน้ำ อยู่ๆ ก็เดินมาจับไหล่คนของเขา ภาพที่เห็นเรียกความรู้สึกพลุ่งพล่านให้ตีขึ้นมาจากโพรงอกได้เป็นอย่างดี จนอยากจะเข้าไปกระชากฝ่ามือนั้นออกมาเสียจริง ดีที่น้องโบตั๋นวิ่งมาก่อน ไอ้ช่างภาพนั่นก็เลยไปช่วยหิ้วปีกคนเป็นลมแทน พยัคฆ์เดินเกือบถึงตัวสองพี่น้องตรงหน้า เขาผ่อนฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อคิดหาวิธีเข้าไปทำความรู้จัก แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นคนของเขาจากที่หน้าขึ้นสีเมื่อครู่ กลับกลายเป็นขาวซีดราวกับกระดาษ แล้วไหนจะน้ำใส ๆ ที่คลออยู่นี่หน่วยตานั่นอีก เกิดอะไรขึ้น

   “ตั๋น...” เสียงแผ่วหวานนั่น เอ่ยออกมาเสียงสั่น ก่อนน้ำตาจะไหลลงมา น้องโบตั๋นช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้เล็กน้อยก่อนจะสวมกอดเพื่อปลอบใจ

   “หยก...ไม่เป็นไรนะ ตั๋นอยู่นี่” เขาอยากกอด อยากเป็นคนปลอบ อยากจะแทนที่น้องโบตั๋นในตอนนี้

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พยัคฆ์ที่เดินเข้าไปใกล้คนทั้งคู่เอ่ยถาม น้องโบตั๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบ สีหน้าแสดงออกถึงความไม่ไว้ใจ “แต่น้องเขาดูหน้าซีดมากเลยนะครับ” ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากคนทั้งสอง จน...

   “เราขึ้นไปพักข้างบนกันนะหยก” โบตั๋นจูงคนของเขา เหลือบมองพยัคฆ์พร้อมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ...ตามมารยาท

   พยัคฆ์พยักหน้ารับอย่างเสียดาย แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขามองคนที่โดนจูงเงยหน้าขึ้นจากมือที่ถูกกุมไว้ สายตาของร่างโปร่งตรงหน้าสบตาเข้ากับเขา

   แววตาคู่นั้น...มันสั่นระริก...

   แววตาคู่นั้น...แสดงออกมาถึงความหวาดกลัว

   แววตาคู่นั้น...ยิ่งทำให้พยัคฆ์อยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคนตรงหน้า

   ร่างโปร่งตรงหน้าเริ่มโงนเงนคล้ายกับจะยืนไม่อยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะทิ้งน้ำหนักตามแรงโน้มถ่วง ด้วยสัญชาตญาณ พยัคฆ์พุ่งเข้าไปรับร่างนั้นได้ก่อนที่จะล้มลงไปกองกับพื้น ตามด้วยเสียงร้องตกใจของโบตั๋น

   “หยก!!”

   “เดี๋ยวผมช่วยอุ้มไปส่งครับ” พยัคฆ์อาสา โบตั๋นเองก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะคนอื่น ๆ ขึ้นห้องไปกันหมดแล้ว

   ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์พยัคฆ์รู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่ค่อยจะไว้ใจและเจือไปด้วยความสงสัยของโบตั๋น มันเป็นสายตาที่ชวนให้อึดอัด จนเขาไม่รู้จะชวนคุยอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เมื่อลิฟต์เปิดออกในชั้นที่เป็นจุดหมาย เขาเดินตามโบตั๋นไปยังห้องห้องหนึ่ง เมื่อคนข้างในเปิดประตูก็ร้องตกใจ

   “เฮ้ย...น้องหยกเป็นอะไรอะ?” ไอ้ช่างภาพคนนั้นเป็นคนมาเปิดประตู

   “หยกเป็นลมค่ะพี่เมฆ” โบตั๋นบอก ก่อนขอทางให้พยัคฆ์พาหยกเข้ามาในห้อง

   “ให้นอนบนเตียงกับเจ๊เปิ้ลคงไม่ดี โซฟาแล้วกัน” ช่างภาพที่ชื่อเมฆเป็นคนตัดใจ ก่อนคนในห้องจะกุลีกุจอเคลียร์พื้นที่บนโซฟายาว พยัคฆ์นึกในใจ อยากให้เวลาเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะเขายินดีที่อุ้มคนในอ้อมแขน ให้อุ้มตลอดทั้งคืนก็ยังได้

   “เพราะความพิเรนทร์ของโบตั๋นแท้ ๆ ที่ทำให้ทั้งเจ๊ ทั้งหยกต้องเป็นแบบนี้” โบตั๋นพูดเสียงอ่อยกับเมฆ

   “แล้วน้องหยกเป็นอะไรไปครับ ตอนถ่ายรูปพี่ยังเห็นดี ๆ อยู่เลย”

   “น้องหยกคงตกใจที่เจ๊เปิ้ลเป็นลมแน่ ๆ เลย” หญิงสาวที่น่าจะชื่อโอ๋ออกความเห็น ทำให้โบตั๋นยิ้มเจื่อน เพราะเธอก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนภายนอกเข้าใจได้ เลยปล่อยเลยตามเลย “สุดหล่อ ๆ มานี่ค่ะ วางน้องเขาลงตรงนี้นะคะ” พยัคฆ์จำต้องวางร่างในอ้อมกอดอย่างเสียดาย

   “ขอบคุณ คุณมากนะคะ ที่ช่วยอุ้มหยกมาส่ง ยังไงโบตั๋นเดินไปส่งนะคะ” พยัคฆ์ ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนมองไปที่ร่างที่หลับใหลอยู่บนโซฟายาว

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “เชิญค่ะ” พยัคฆ์มีหรือที่จะไม่ว่ารู้คำพูดและท่าทางที่โบตั๋นแสดงออกมานั้น ล้วนแสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบหน้าและไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรุ่มร่ามแต่อย่างใด พยัคฆ์เดินออกมาจากห้องพักพร้อมกับเดินไปที่หน้าลิฟต์ บ่ายนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะไปสืบเรื่องของลตากับเกรียงไกร แต่คงต้องเปลี่ยนไปเยี่ยมเยียนลูกค้าคนสำคัญของเขาสักหน่อยแล้ว

.........................................................................

   ผมเริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากที่ห่างไกล ก่อนจะค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นในหัวสมองอย่างช้า ๆ

   “พวกแกก็รู้ว่าเจ๊แพ้ความน่ารัก ยิ่งเจอแบบจัง ๆ เหมือนโดนพุ่งชนขนาดนี้ จะไม่ให้เจ๊สำลักความน่ารักไปได้ยังไง”

   “สำลักจนเป็นลมเป็นแล้งเลยนะเจ๊” พี่เมฆแซว

   “ตั๋นขอโทษนะคะ ที่ทำให้พี่ ๆ ต้องเสียงานเสียการวันนี้”

   “โอ๊ย...ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ดีซะอีก เจ๊จะได้เจอน้องหยกอีกหลาย ๆ วัน”

   “ตั๋นชักเริ่มอิจฉาหยกแล้วสิ มีแต่พี่โอ๋ก็รัก เจ๊เปิ้ลก็หลง ทั้ง ๆ ที่ตั๋นกับหยก หน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด”

   “พี่เองก็อธิบายไม่ถูกค่ะ ถึงหน้าตาของน้องทั้งสองคนเหมือนกันก็จริง แต่น้องหยก...ดูมีเสน่ห์...น่ามอง...จนมันละสายตาไม่ได้เลยค่ะ”

   “อ่าว แล้วอย่างตั๋นล่ะค่ะเจ๊”

   “ตรง ๆ เลยนะคะน้องโบตั๋น เสน่ห์ของหนู...เป็นแบบพื้น ๆ นะคะ”

   “น้องหยก ๆ” เสียงพี่โอ๋เรียกผมครับ คงเป็นเพราะผมเริ่มขยับตัว พอลืมตาขึ้นมา ผมเห็นโบตั๋นเป็นคนแรก เธอนั่งเบียดผมอยู่บนโซฟานอนตัวยาว และกุมมือผมไว้ ถัดออกไปเป็นเจ๊ กับพี่โอ๋

   “เป็นยังไงบ้างหยก ค่อย ๆ ลุกนะ เดี๋ยวหน้ามืด” โบตั๋นปล่อยมือผม คงจะกุมอยู่คลอดเวลาที่ผมหมดสติ เปลี่ยนมาเป็นประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง

   “เฮียไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”

   “น้องหยกเป็นผู้ชายจริง ๆ เหรอครับ” พี่เมฆถามผมขึ้นมาดื้อๆ เลยเจอฝ่ามือของเจ๊และพี่โอ๋ไปคนละหลายๆ ตุบ “อ่าว ก็น้องเขาเป็นลมง่าย ผมก็สงสัยนี่” พี่เมฆแก้ตัวกับทั้งสอง ผมมองไปรอบ ๆ ห้อง ไม่เห็นทีมงานคนอื่นเลย เหลือกันอยู่ในห้องแค่นี้ โบตั๋นสบตาผม

   “ไว้พรุ่งนี้ค่อยถ่ายกันใหม่น่ะ วันนี้เราเลิกกองกันก่อน” โบตั๋นตอบเสียงแผ่ว

   “ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้พี่ๆ ทุกคนเสียงานเสียการ” ผมยกมือขึ้นไหวพี่ ๆ รอบห้อง

   “ตั๋นก็ด้วยนะคะ” โบตั๋นทำตามผมครับ

   “เอาเป็นว่า ถ้าพี่ได้ยินน้องสองคนขอโทษพี่อีกครั้ง พี่จะโกรธจริง ๆ แล้วนะคะ” เจ๊เป็นบอก

   “ให้น้องหยกพักอีกสักหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งน้องทั้งสองคนเอง” พี่เมฆอาสา เราสองคนมองหน้ากับนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า ระหว่างที่ผมหมดสติไป โบตั๋นเก็บข้าวของทั้งของเธอและของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนคืนทีมงานเลย

   “เจ๊เปิ้ลค่ะ ชุดที่หยกใส่ เดี๋ยวตั๋นซักมาคืนทีหลังได้ไหมคะ?”

   “ไม่ต้องคืนค่ะ น้องโบตั๋นไม่ทราบเหรอคะว่าปกติ เจ้าของแบรนด์เขาจะให้เสื้อผ้าที่ใส่กับนายแบบนางแบบเลย”

   “ไม่ทราบค่ะ พี่ภาไม่เคยบอก”

   “เอ้...น้องโบตั๋นกับน้องหยก...ยังไม่สังกัดบริษัทฯ ไหนเหรอคะ?”

   “ไม่ค่ะ ตั๋นเพิ่งจะมารับงานพี่ภาได้สักอาทิตย์ ส่วนงานเจ๊เปิ้ล เพื่อนของพี่ภาแนะนำให้ตั๋นโทรหาเจ๊เปิ้ลค่ะ”

   “ดีนะที่พี่รู้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องไปเที่ยวหากัน ว่าต้องจ่ายเงินเข้าสังกัดใคร”

.........................................................................

   หงส์นั่งมองญาติคนไข้เตียงด้านในทยอยเก็บข้าวของของผู้ป่วย เพื่อเตรียมตัวจะกลับบ้านไปพักต่อ หลังจากอาการดีขึ้นจนคุณหมออนุญาตให้กลับได้ บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามาให้ญาติของผู้ป่วยเผื่อจะเรียกใช้ หงส์สบตาชายคนนั้นเล็กน้อย ก่อนจะกดปุ่มเรียกพยาบาลที่หัวเตียง

   “คุณหงส์รู้สึกไม่ดีตรงไหนคะ” พยาบาลตรงเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง

   “หงส์อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะคะ แต่วันนี้น้อง ๆ หงส์ติดงานกันทั้งคู่ คุณพยาบาลช่วยพาหงส์ไปหน่อยได้ไหมคะ?”

   “เดี๋ยวผมพาไปเองก็ได้ครับ” บุรุษพยาบาลที่อยู่ในห้องบอกพยาบาลที่เพิ่งเข้ามา

   “ถ้าอย่างนั้นก็ฝากคุณหงส์ด้วยนะคะ”

   “ผมขอตัวไปเอารถเข็นมาก่อนนะครับคุณหงส์”

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2018 21:03:37 โดย Amo »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
«ตอบ #15 เมื่อ17-09-2017 17:37:27 »

 :ling3:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
«ตอบ #16 เมื่อ17-09-2017 18:29:58 »

ถ้าหยกกลัวขนาดนี้ เขาจะรู้จักกันได้ยังไง  :a5:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
«ตอบ #17 เมื่อ18-09-2017 10:03:38 »

6

   บุรุษพยาบาลเข็นรถพาหงส์ออกมาบริเวณสวนหย่อมลอยฟ้าของโรงพยาบาล เข้าก้มลงล็อกล้อกันรถเข็นไหล ก่อนเดินไปสำรวจโดยรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่น่าสงสัย อีกทั้งไม่มีแม้แต่หมอหรือพยาบาลขึ้นมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ จึงค่อยเดินกลับไปมาหงส์

   “...”

   “ผมทราบจากนายน้อยมาว่า คุณหนูต้องผ่าตัด” เขาถามคนบนรถเข็น

   “หงส์อยากจะถ่วงเวลาไปอีกสักหน่อย อย่างน้อยให้โบตั๋นเรียนจบก่อนก็ยังดี จะได้ไม่ต้องมากังวล มาห่วงหงส์ แต่สองคนนั้นไม่ยอม”

   “คุณหนูเชื่อนายน้อยกับคุณหนูเล็กเถอะนะครับ อย่าประวิงเวลาไว้เลย”

   “ค่ะ หงส์ห่วงก็แต่น้องๆ ที่วิ่งวุ่นหาเงินกันอยู่”

   “คุณหนูไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ คุณหนูก็ทราบว่ามีผมจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ นายน้อยกับคุณหนูเล็กไม่ลำบากไปกว่านี้แน่นอนครับ”

   “ตอนนี้ที่เจ็กกลับมาอยู่ใกล้ๆ พวกเรา แสดงว่าทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้วใช่ไหมคะ?”

   “เกือบแล้วครับ ผมเจอคนคนนั้นแล้วครับ คนที่มีบารมีเพียงพอที่จะครอบครองของทั้งสามชิ้น เพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”

   “ถึงเขาจะอยู่ฝ่ายเรา ก็ใช่ว่าเขาจะยอมแต่งเข้าสกุลฝู่ เหมือนอย่างป๊านี่คะ”

   “คุณหนูอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ทำใจให้สบายดีกว่าครับ หลังผ่าตัดคุณหนูก็ต้องฟื้นฟูร่างกายอีกขนานใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า”

   “หงส์ขอบคุณนะคะ เจ็ก หลายปีมานี้เจ็กเสียสละเพื่อพวกเรามามากจริง”

   “ผมปิดความรู้สึกจากคุณหนูไม่ได้จริง ๆ ดูท่าทางคุณหนูจะควบคุมของสิ่งนั้นได้ดังใจเลยนะครับ”

   “หยกโชคดีมากกว่าค่ะ ที่หม่าม๊าสอนพื้นฐานมาให้ตั้งแต่จำความได้”

   “แล้วคุณหนูไม่คิดจะบอกนายน้อยกับคุณหนูเล็กเหรอครับ นายน้อยก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด...ปีนี้อายุน่าจะย่างเข้า 24 ปีแล้ว”

   “ใช่ค่ะ แต่หงส์คิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา”

   “ถ้าคุณหนูตัดสินใจอย่างนั้น ผมก็ไม่อาจจะขัดได้”

   “เจ็ก...ได้เจอคนคนนั้นรึยังค่ะ”

   “ผมคงต้องไปแล้วครับ อยู่นานไม่ได้”

   “คงเจอแล้วสินะ...ถ้ามีโอกาส ก็ไปหาเขาเถอะนะคะ”

   “...”

   “เฮ้อ...ตามใจเจ็กแล้วกันค่ะ หงส์แค่อยากให้เจ็กมีความสุข...กับคนที่เจ็กรัก”

   “มันคงยังไม่ถึงเวลาอย่างที่คุณหนูว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ...ผมพาคุณหนูลงไปส่งที่ห้องนะครับ”

   “ระวังตัวด้วยนะคะ เจ็กหลิว” ชื่อของคุณตรงหน้า หงส์ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป หลิวลู่พยักหน้ารับ ก่อนพาคุณหนูของเขาลงไปส่งที่ห้อง โดยตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดจาอะไรกันอีกเลย ประหนึ่งคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

.........................................................................

   ผมนั่งเล่นพิงหัวเตียงอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ในหัวก็คิดย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ภาพชายคนนั้นยังติดตาผมอยู่ แววตาดุคู่นั้น แล้วยังความรู้สึกที่แผ่กระจายออกมานั่นอีก มันรุนแรงอย่างน่ากลัว เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ความคิดของผมสะดุดลง

   “ตั๋นขอมานอนด้วยนะ” โบตั๋นเปิดประตูเขามาพร้อมกับหมอนใบใหญ่ในมือ

   “เฮียไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องมานอนเฝ้าหรอก”

   “ไม่เอาอะ นอนคนเดียวเหงาจะตาย เจ่เจ้ไม่อยู่ให้กอด” บ้านนี้มีแค่สองห้องนอนครับ ผมได้ห้องเล็ก ส่วนเจ๊หงส์กับโบตั๋นอยู่ด้วยกันที่ห้องใหญ่

   “ไม่ต้องมาเฉไฉเลย เฮียบอกแล้วว่าเฮียไม่เป็นไร”

   “หยกไม่เป็น แต่ตั๋นเป็น” โบตั๋นพูดจบก็กระโดดขึ้นเตียงผมทันที

   “อยากรู้?” ผมถามเธอ

   “อืม”

   “อยากรู้ไปทำไม เป็นลมต่อหน้าคนอื่น มันน่าอายจะตาย”

   “ตั๋นให้หยกทำใจก่อน ระหว่างนี้ก็ฟังตั๋น”

   “...” ผมพยักหน้ารับ

   “ตอนที่อยู่ในล็อบบี้ ตั๋นหมายถึงช่วงก่อนที่เราจะถ่ายแบบอะนะ ตั๋นรู้สึกเหมือนถูกคนมอง มองเหมือนสนใจเราน่ะ อย่างที่หนุ่ม ๆ ในมหาลัยตั๋นรู้สึกนั่นแหละ อยากเข้ามาจีบเราประมาณนี้นะ มันรู้สึกขึ้นมาวูบเดียว จนหยกเดินออกจากห้องน้ำมา จู่ๆ ความรู้สึกนั้นมันก็หายไป”

   “หายไป?”

   “ใช่ หายไปเฉยๆ เลย มันไม่ได้ค่อยๆ จางหายไปเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น”

   “แล้วยังไงต่อ”

   “อีกครั้งก็ตอนที่ตั๋น พยุงเจ๊เปิ้ลมาเกือบถึงหน้าลิฟต์ ความรู้สึกคล้ายๆ กัน มันกลับมาอีกครั้ง แค่คล้าย ๆ นะและครั้งนี้มันชัดมาก แต่จับความรู้สึกนั้นไม่ได้หรอกว่ามันสื่อถึงอะไร ที่ตั๋นแปลกใจก็คือความรู้สึกนี้มันไม่ได้ส่งมาหาตั๋น”

   “หมายความว่ายังไง ถ้าความรู้สึกนั้นไม่ได้ส่งถึงตั๋น แล้วเซ้นส์ของตั๋นสัมผัสถึงมันได้ยังไง”

   “ตั๋นเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไม่ได้พุ่งตรงมาที่ตั๋น”

   “...”

   “ตั๋นไม่บอก หยกก็รู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกนั้นพุ่งไปหาใคร” ผมพยักหน้า “ความรู้สึกของตานั่นรุนแรงขนาดตั๋นยังรับรู้ ไม่แปลกหรอกที่หยกจะเป็นลมน่ะ ตั้งแต่เกิดมาตั๋นยังไม่เคยเจอความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้จู่โจมเลย แล้วหยกที่รับไปเต็ม ๆ ล่ะ แต่...เขาต้องการอะไรจากหยก”

   “เฮียก็ไม่รู้...รู้แต่ว่าตอนนั้นมันอึดอัด ความรู้สึกมันเหมือนจะห่อหุ้มตัวเฮียไว้ จนหายใจไม่ออก แล้วก็...น่ากลัวมาก” ผมสารภาพกับโบตั๋นอย่างไม่อายเลยครับว่าผมกลัว

   “กลัว?”

   “ใช่...เฮียกลัว” ผมย้ำเสียงแผ่ว

   “หยกรู้สึกถึงอะไรถึงได้กลัว คือตั๋นเข้าใจนะถ้าจะอึดอัดจนหายใจไม่ออก เพราะความรู้สึกที่ส่งมามันรุนแรงมาก แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวนี่ เจ่เจ้ก็บอกว่าความรู้สึกพวกนี้มันทำร้ายเราไม่ได้”

   “เฮียรู้...แต่ตอนนั้นมันสั่นไปหมด ความรู้สึกเหมือน...ตัวเองกำลังตกเป็นเหยื่อของใครสักคนที่มองไม่เห็น รู้สึกว่าเรากำลังจะโดนล่า มันทำให้เฮียกลัว”

   “โดนล่า? ยังไง? เขาจะฆ่าหยกเหรอ?”

   “ก็ไม่เชิง...ไม่รู้สิ...มันเหมือนกับจะโดนขย้ำจับกิน...เหมือนจะโดนกลืนกินให้ไม่เหลือซาก...อะไรประมาณนี้ล่ะ” ผมไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เลยพูดออกมาได้เท่านี้

   “...” โบตั๋นเงียบเสียงจนผมต้องหันไปมอง โบตั๋นมองผมตาโต จ้องตาไม่กะพริบเลยครับ

   “เฮียพูดอะไรผิดเหรอ?”

   “ตอนสมัยที่หยกยังเรียนอยู่ ผู้ชายที่เคยเข้ามาจีบหยก เขาส่งความรู้สึกมาแบบนี้ไหม?”

   “ก็ไม่นะ ตั๋นถามทำไมเหรอ?”

   “ผู้ชายคนนั้น...ใช่ไหม?”

   “อือ”

   “ถ้าจำไม่ผิดเขารู้จักพี่ภาด้วย ตั๋นเคยเจอตอนไปคุยงานกับพี่ภาครั้งแรกที่โรงแรมนี้แหละ”

   “เฮียกับเขาคงไม่เจอกันแล้วแหละ แล้วขออย่าให้เจออีกเลย”

   “หยกกลัวเขามากเลยเหรอ?”

   “ไม่รู้สิ ไม่ได้รู้จัก ไม่เคยเจอกันมาก่อน รู้แต่ว่าควรจะเลี่ยงไม่เจอกับเขาเป็นดีที่สุด มันอันตรายยังไงไม่รู้”

   “เฮ้อ...หยก...สงสัยเรื่องนี้ตั๋นคงต้องลงมือซะแล้ว” โบตั๋นบ่นอะไรสักอย่างหลังจากถอนหายใจ ผมไม่ได้ยินหรอกครับ แล้วโบตั๋นมุดตัวเขามาในผ้าห่ม นอนข้าง ๆ ผม โบตั๋นเข้าใจความรู้สึกนั่น ผมรับรู้ได้

.........................................................................

   พยัคฆ์นั่งรอเพ็ญนภาอยู่ที่ห้องรับรองแขกด้านใน ที่แยกไว้สำหรับลูกค้า VIP เขาไม่รู้ว่าเพ็ญนภานัดเขามาพบด้วยเหตุใด ไม่น่าจะใช่เรื่องงานแน่ ๆ เพราะถ้าจะจ้างงานกันจริง ๆ เพ็ญนภาต้องคุยรายละเอียดกับวรากร เขาเป็นแค่ผู้ดูแลส่วนภาคสนาม วางแผนระบบ ไม่เคยที่จะต้องมาพบลูกค้าแบบนี้ หรือจะเป็นเรื่องเมื่อวันก่อน ที่เขามาถามเรื่องของโบตั๋น

   “ขอโทษนะคะคุณพยัคฆ์ ภาเป็นคนนัดมาแท้ ๆ กลับต้องให้คุณพยัคฆ์มานั่งรอ” เพ็ญนภาเปิดประตูห้องเข้ามาก็รีบปรี่เข้ามาขอโทษเขาทันที

   “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณภามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

   “อุ๊ย!! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ พอดีภาทราบจากน้องโบตั๋นว่า คุณพยัคฆ์เป็นคนช่วยน้องหยกไว้เมื่อวันก่อน”

   “คุณโบตั๋นรู้จักผมด้วยเหรอครับ” พยัคฆ์เอ่ยถามอย่างสงสัย

   “น้องโบตั๋นเคยเห็นคุณที่โรงแรมคืนนั้นนะคะ งานโชว์เพชรไงคะ”

   “ออ...ผมไม่ทราบว่าคุณโบตั๋นเห็นผมด้วย”

   “ค่ะ น้องเขาเป็นคนช่างสังเกตนะคะ น้องเขาอยากขอบคุณ คุณพยัคฆ์แต่ยังไม่มีโอกาส แล้วยิ่งวันก่อนคุณพยัคฆ์มาถามเรื่องน้องโบตั๋นด้วย ภาเลยนัดให้เจอกัน ผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิงก็สาว ภาไม่ได้ตั้งใจจะจับคู่ให้คุณนะคะ แค่อยากให้รู้จักกันไว้นะคะ” เพ็ญนภาหัวเราะเล็กน้อยกับคำสารภาพของตัวเอง แต่พยัคฆ์ไม่ได้ใส่ใจ เขาสงสัยว่าโบตั๋นต้องการอะไร คงไม่ใช่ว่าอยากจะขอบคุณเขาหรอก

   “หากได้รู้จักมักจี่กันแล้ว คุณเองได้ไม่ต้องกังวลเรื่องประวัติของน้องโบตั๋น หรือถ้าคุณจะลวงลึกกว่านั้น ภาก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ ความเห็นของภานะคะ ดูเหมือนน้องโบตั๋นจะสนใจคุณอยู่” พยัคฆ์ฟังแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจำได้ว่าโบตั๋นมีสีหน้าอย่างไรทั้งตอนอยู่ในลิฟต์และในห้องพักนั่น

   “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ที่นัดผมมา”

   “ใช่ค่ะ อีกสักครู่น้องเขาคงจะถึง น้องโบตั๋นกำลังมาจากมหาวิทยาลัยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพยัคฆ์มีธุระที่ไหนรึเปล่าคะ”

   “ไม่มีหรอกครับ”

   “ที่นัดคุณพยัคฆ์มาก่อนนี่ เพราะภาอยากจะเกริ่นให้คุณรู้ตัวก่อน จะได้ไม่ตกใจตอนเจอกัน”

   “ยอมรับว่าตกใจจริง ๆ ครับ”

   “ฮ่าๆ ดีนะคะที่เราได้คุยกันก่อน ภาไม่อยากให้น้องโบตั๋นเกร็งด้วย ยังไงตอนที่เจอกัน คุณก็อย่างทำหน้าดุนักนะคะ”

   “แล้วแบบนี้คุณโบตั๋นจะไม่ตกใจเหรอครับ”

   “รายนั้นน่ะ เขาทราบอยู่แล้วค่ะ ว่าภานัดคุณให้เธอวันนี้” รู้อยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ? หึ!! ท่าทางจะประมาทโบตั๋นดอกนี้ไม่ได้ซะแล้ว เสียงเคาะประตูพร้อมร่างของคนในความคิดของเขาก้าวเข้ามายกมือขึ้นไหว้เพ็ญนภา และเขา

   “พี่กำลังนินทาเราอยู่พอดีเลย” เพ็ญนภายิ้มแซวก่อนเรียกให้โบตั๋นมานั่ง พี่ขอแนะนำอย่างเป็นทางการเลยนะคะ “น้องโบตั๋นค่ะ นี่คุณพยัคฆ์ คุณคุณารักษ์จ๊ะ” โบตั๋นยกมือขึ้นไหว้พยัคฆ์อีกครั้ง “คุณพยัคฆ์ น้องโบตั๋น ชูวนาสุวรรณค่ะ”

   “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

   “เช่นกันค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ ที่คุณพยัคฆ์รู้จักพี่ภาด้วย”

   “คุณเพ็ญนภาเป็นลูกค้าของบริษัทฯ ผมน่ะครับ”

   “บริษัทฯ ที่เป็น บริษัทรักษาความปลอดภัยวันนั้นเหรอค่ะ?”

   “ใช่ครับ งานวันนั้น ทีมของบริษัทฯ ผมเป็นคนดูแล”

   “อ๋อ...”

   “พี่ปล่อยให้เราคุยกับคุณพยัคฆ์ไปก่อนแล้วกันนะ พี่ไปทำงานก่อน คุณพยัคฆ์ค่ะ ภาขอตัวนะคะ” เพ็ญนภากล่าวยิ้ม ๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป

   โบตั๋นนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องหน้าพยัคฆ์จนเขารู้สึกอึดอัด เป็นสายตาที่เขารู้สึกว่าคนมอง สามารถมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจเขาเลยทีเดียว ไม่มีความเกร็งสักนิดอย่างที่เพ็ญนภากังวล กลับกันนั้น...

.........................................................................

   โบตั๋นมองแววตาดุผู้ชายตรงหน้า เซ้นส์ที่สัมผัสได้ ทำให้รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ประมาทเธอเหมือนคราวก่อนที่เจอกันนั่นอีกแล้ว แต่การที่เขาจะระวังตัวขึ้นก็ไม่อาจจะปิดกั้นเธอได้ และเขาก็กำลังประเมินเธออยู่

   “คุณโบตั๋นมีอะไรกับผมรึเปล่าครับ” พยัคฆ์ถามเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนั้น แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ผล แววตาที่ดูซุกซนตรงหน้าเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

   “เรื่องหยก” พยัคฆ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ใช่ค่ะ ดิฉันคุยเรื่องหยก”

   “คุณหยกที่ว่า คือคนที่เป็นลมเมื่อคราวก่อน?” เขาถามแต่เธอกลับไม่สนใจจะตอบ

   “ดิฉันทราบ ว่าคุณรู้จักพวกเราสามพี่น้องแล้ว จากพี่ภา” โบตั๋นพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเธออยู่เหนือเขา แววตาที่เปรียบดั่งนางพญา คำนี้ผุดขึ้นในหัวของพยัคฆ์

   “คุณภาบอกคุณ?” เขาถามหญิงสาวตรงหน้า เหมือนเธอกำลังยิ้ม รอยยิ้มร้าย!!

   “พี่ภาไม่ได้บอกอะไรดิฉัน แต่คนที่บอกก็คือ...คุณ!!”

   “ผม? ...” พยัคฆ์งงกับคำกล่าวของโบตั๋น เขาไปบอกเธอตั้งแต่เมื่อไร เขาคงไม่ได้โดนวางยาให้คายความลับเหมือนอย่างในหนัง หรือโดนสะกดจิตแบบไม่รู้ตัวหรอกนะ หรือห้องนี้มีเครื่องดักฟังไม่สิ เธอบอกว่าเธอรู้จากเขา มันยังไงกันแน่

   “แล้วดิฉันก็ทราบด้วยว่าคุณ...มีจิตใจสิเนหากับหยก และถ้าคุณไม่ได้เบี่ยงเบน ฉันก็ขอเตือนคุณเอาไว้ตรงนี้เลยว่า...ให้ตัดใจจากพี่ชายของฉันซะ!!”

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2018 14:10:00 โดย Amo »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
«ตอบ #18 เมื่อ18-09-2017 23:02:36 »

พระเอกเขารู้หรือยังนะว่าอีกคน(ที่กำลังพูดถึงอยู่)เป็นผู้ชาย ถ้าไม่รู้ก็คงได้รู้เสียตอนนี้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
«ตอบ #19 เมื่อ19-09-2017 01:31:27 »

แฟนตาซี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
« ตอบ #19 เมื่อ: 19-09-2017 01:31:27 »





ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
«ตอบ #20 เมื่อ19-09-2017 08:35:54 »

7

   พยัคฆ์ออกจากห้องเสื้อของเพ็ญนภาอย่างมึนงง สับสน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าโบตั๋นออกไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งแม่บ้านของห้องเสื้อเข้ามาเก็บแก้วน้ำนั่นแหละ เขาถึงรู้ตัวว่าตัวเองอยู่เพียงลำพังภายในห้อง เขากลับขึ้นรถอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร คงต้องกลับไปตั้งหลักยังคอนโดของเขาก่อน

   เพียงแค่ได้พูดคุยกับโบตั๋นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทำให้เขาสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะเรื่องที่โบตั๋นเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก ไม่สิ ตอนนั้นหัวสมองเขาว่างเปล่า เขานึกถึงสามพี่น้องนั้นแค่เสี้ยววินาทีเดียวในตอนที่เพ็ญนภาเกริ่นในช่วงแรกเท่านั้น นอกจากนั้น...เขาอาจจะมีบ้างที่หวนนึกถึงใบหน้าขาวซีดในอ้อมแขน แก้มนวล ขนตายาวหนาเป็นแพ แล้วไหนเนื้อตัวที่นุ่มนิ่มนั่นอีก เขาไม่ได้พูดอะไรกับโบตั๋นเลย แต่เธอเหมือนจะดักทางความคิดเขาได้ทั้งหมด เขาปล่อยให้เธอพูดอยู่คนเดียว อย่างคนที่เหนือกว่า แล้วความจริงที่เขารู้อีกข้อ...คนที่เขาเคยอยากได้ เคยอยากครอบครอง น้องกระโดดแมวนั่น เป็นผู้ชาย...

   พยัคฆ์เหยียบเบรกชะลอรถรอสัญญาณไฟ เขาถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาออกนอกเส้นทางมามากขนาดไหน เขามองไปรอบ ๆ เพื่อจะหาเส้นทางกลับไปยังคอนโดของเขา ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก สายตาพยัคฆ์แลไปเห็นคนที่เขาเพิ่งนึกถึงเมื่อครู่ บทว่าจะเจอ ก็เจอกันง่ายดายเพียงนี้เลยหรือไง แต่กลับเป็นเขาที่ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีเฝ้าแต่คิดถึง อยากได้ยินเสียง อยากทำความรู้จัก แล้วแทนที่เขาจะเลยไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เขากลับเลือกที่จะกลับรถไปยังถนนฝั่งตรงข้ามแล้วติดตามร่างนั้นไป เพราะอะไรเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง

.........................................................................

   วันนี้ผมเลิกงาน 5 โมงเย็นครับ รับเงินเดือนเสร็จก็รีบออกจากร้าน กำลังจะไปหาเจ๊หงส์ที่โรงพยาบาล ผมไม่ได้เข้าไปหาเธอหลายวันแล้วครับ แต่ยังดีที่ได้โบตั๋นเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเวลาที่เธอไม่มีเรียน หรือไม่มีงาน ส่วนผมเหรอครับ ไหนงานประจำที่ร้านพี่พูดพลาง สองวันก่อนต้องงดสอนเทควันโดตอนเช้า เอาเวลาไปถ่ายแบบกับโบตั๋น เลยต้องลงเวลาสอนชดเชยให้ทางโรงเรียน งานแน่นมา 2-3 วันแล้วครับ

   ผมกำลังจะข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง ที่ส่งสัญญาณให้ผมเดินข้ามได้ ผมเดินไปเกือบจะถึงฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้วครับ แต่มันดันความรู้สึกหนึ่งวิ่งเข้ามากระแทกผมอย่างจัง มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยเจออีกแล้ว เพราะมัวแต่จะจับสัมผัส ทำให้ผมผ่อนฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติ

   “หยก!! เป็นอะไรรึเปล่า...ฮึย!! ไปเร็ว...ไฟเขียวแล้ว” เอ็มผู้ช่วยเชฟข้ามถนนตามหลังผมมา เอาแขนโอบรั้งไหล่ให้เดินไปเหยียบขึ้นบนฟุตบาท ได้สำเร็จครับ

   “อ่อ เราไม่เป็นไร”

   “แล้วอยู่ๆ ทำไมทำท่าจะหยุดเดินล่ะ เหม่ออะไรอยู่”

   “...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงครับ เลยเลือกที่จะเงียบ

   “ห่วงพี่หงส์เหรอ เอ็มได้ยินพี่แหม่มบอกว่ามะรืนนี้พี่หงส์ก็จะผ่าตัดแล้วนี่”

   “อืม” ผมรับคำแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง

   “มีอะไรให้เอ็มช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เอ็มเดินเคียงมาข้าง ๆ

   “ขอบใจนะเอ็ม แต่ไม่เป็นไร”

   “เราทำอาหารบำรุงให้พี่หงส์ไหม?” เอ็มยิ้มหน้าระรื่นเชียวครับพอพูดถึงเรื่องทำอาหาร คงมีความสุขกับสิ่งที่เขาชอบ ทำให้ผมคลายกังวลกับความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อครู่

   “ขอคิดเมนูก่อนนะ” ผมรู้สึกดีขึ้น จึงหยอกกลับไปครับ ทั้งที่ทุกครั้งผมมักจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ   “เอ็มเป็นอะไร อยู่ๆ ก็หน้าแดง ไม่สบายรึเปล่า” ผมเอามือข้างหนึ่งขึ้นแตะหน้าผากของเอ็มครับ แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกเมื่อครู่มันก็กลับมาอีกแล้วครับ

   ผมมองไปรอบ ๆ ทันที ความรู้สึกเหมือนลมหมุนนั่น ครั้งแรกที่สัมผัสได้ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้อันตรายอะไร แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วครับ เหมือนกับลมหมุนนั่นมันกำลังจะกลายเป็นพายุขนาดย่อม ที่รุนแรงพอที่จะพัดผมหายไปได้เลย

   “หยก ๆ” เอ็มเขย่าเรียกผมทั้งที่มือผมยังค้างอยู่ที่หน้าผากของเอ็ม ทำให้ผมหันกลับมามองหน้าเขา

   “มองหาอะไรรึเปล่า”

   “ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมลดมือลงอย่างรวดเร็ว

   “หยกกลับรถไฟฟ้าใช่ไหม เอ็มเดินไปเป็นเพื่อนนะ”

   “อืม” เรากลับทางเดียวกันครับ แต่เอ็มบ้านอยู่ในซอยถัดจากสถานีรถไฟฟ้าที่ผมจะขึ้นไปซอยหรือสองซอยนี่แหละครับ ผมดีใจที่วันนี้ผมไม่ได้เดินกลับคนเดียว ผมกับเอ็มกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อก็มีรถ แกรนด์ เชอโรกี สีดำมาจอดเทียบตรงฟุตบาทข้างพวกผม คุ้น ๆ นะผมคิด พอผมเห็นคนที่ลงมาจากรถเท่านั้นแหละครับ ตัวชาวาบขึ้นมาทันที คนคนนั้น?

   “น้องหยกครับ บังเอิญจังที่ได้เจอหยกแถวนี้” เขาเรียกผม ชายคนนั้นรู้จักชื่อผม!!

   “...”

   “เพื่อนของหยกเหรอ?” เอ็มถามผมครับ ผมกำลังจะหันไปตอบเอ็มว่าผมไม่รู้จักเขา ก็โดนชายคนนั้นแย่งผมพูดซะก่อน

   “พี่เป็นเพื่อนกับพี่ภา ห้องเสื้อที่น้องโบตั๋นทำงานอยู่ไงครับ อย่าบอกนะว่าน้องหยกจำพี่ไม่ได้” ห่ะ!! อะไรนะ เขารู้เรื่องพี่ภา รู้เรื่องตั๋นทำงานที่นั่นได้ยังไง “ไปครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่เพิ่งแยกจากน้องโบตั๋นเมื่อครู่นี้เองครับ” เขาพูดเรื่องอะไร ผมยังคงมองหน้าเขาครับ ความรู้สึกของพายุที่ก่อตัวขึ้น มาจากคนตรงหน้า มันโหมแรงขึ้น ๆ แต่น้ำเสียง และท่าทางที่เขาแสดงออกมาเหมือนผู้ชายที่แสนอบอุ่นและใจดีนี่มันอะไรกัน เขาแสดงออกมาได้แนบเนียนขนาดนี้เลยเหรอ ... น่ากลัว ... คนคนนี้...ทำให้ผมกลัว...อีกแล้ว

   “งั้นหยกก็กลับกับพี่เขาแล้วกันนะ เอ็มไปก่อนล่ะ” เอ็มบอกทั้ง ๆ ที่ยังลังเล ว่าจะปล่อยผมไปกับคนตรงหน้าดีไหม

   “ดะ...” ผมกำลังจะรั้งเอ็มไว้ ยังพูดออกมาไม่เป็นคำ คนคนนั้นก็แทรกขึ้น

   “ไปครับน้องหยก พี่ไปส่ง” ไม่บอกเปล่าครับ แต่เขามาแตะข้อศอกผมเบา อย่างสุภาพครับ แต่มันกลับน่ากลัวจับขั้วหัวใจผมเลยทีเดียว ผมเริ่มอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกแล้วครับ คนคนนั้นรุนหลังผมไปที่รถของเขา ฝ่ามือหน้าทั้งสองข้างเกาะอยู่ที่บ่าผม ผมเหลียวไปมองเอ็มนิดหนึ่ง อย่างจะขอความช่วยเหลือ เอ็มคงไม่เข้าใจภาษากายของผมกลับโบกมือลามาให้ผมซะอย่างนั้น

.........................................................................

   กว่าพยัคฆ์จะพาคนของเขาขึ้นรถมาด้วยกัน เขาต้องอาศัยความมึนบวกกับความหน้าด้านไม่ใช่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสับสนว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองอยู่เลย ตอนที่ตัดสินใจกลับรถเพียงเพื่อจะตามดู ก็ยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ร่างกายมันเป็นไปเอง พอขับรถกลับมาถึงสี่แยกเดิม เขากลับเห็นร่างโปร่งกอดคอกับไอ้หน้าฝรั่งนั่นอยู่ลิบ ๆ มันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็ตีเนียนอ้างชื่อเพ็ญนภาไปซะแล้ว

   พยัคฆ์จอดรถเข้าข้างทางก่อนมองคนที่นั่งข้างเขา ซึ่งเขาแอบเห็นมาสักพักแล้วว่าเห็นคนตรงหน้านั่งเบียดจนจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประตูรถเขา ขณะจอดรถคนตรงหน้ายังสะดุ้งเล็กน้อย

   “จะให้พี่ไปส่งที่ไหนดีครับ”

   “ตะ...ตรงนี้...ผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ” เสียงหวานนั้นเอ่ยออกมาเสียงสั่น

   “ให้พี่ไปส่งเถอะนะครับ พี่กลัวว่าเราจะไปเป็นลมที่ไหนอีก” ใช่ เขาคิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นลมไปเหมือนวันนั้น อาการหายใจขัด ๆ หน้าซีดราวกับกระดาษนั่นอีก เขาถึงรีบพาขึ้นรถมาด้วย เกิดไปเป็นลมตอนที่อยู่กับไอ้หน้าฝรั่งนั่น คงไม่วายโดนมันแต๊ะอั๋งแน่ ๆ แค่คิดเขาก็หงุดหงิดอยากหาอะไรกระแทกหน้าไอ้หน้าฝรั่งนั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

   “ผะ...ผม ไม่เป็นไรครับ” พยัคฆ์ส่ายหน้าน้อย ๆ กับอาการดื้อดึงของคนตรงหน้า เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ ร่างโปร่งนั่น

   “ถ้าไม่บอก พี่จะพาเราไปบ้านพี่นะ” พยัคฆ์แกล้งขู่ ทำให้ร่างนั้นชะงักทำตาโตใส่ เขาจึงเอื้อมมือไปจะคาดเบลล์ให้ เพราะตั้งแต่ออกรถมาร่างโปร่งได้แต่นั่งนิ่ง ตัวสั่นน้อย ๆ เหมือนไม่สบาย

   “อึก” เสียงที่มาพร้อมกับอาการสะดุ้งเล็กน้อย ทำให้พยัคฆ์ที่ก้มหน้าคาดเบลล์ให้กับคนข้าง ๆ อยู่นั้นต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   ...

   ..

   .

   ดวงตาที่สั่นระริก มีน้ำใสๆ คลออยู่นั่น สะท้อนเห็นใบหน้าของเขา...ใกล้...

   ..

   .

   ตึกๆ ... ตึกๆ ... เสียงอะไร?

   ..

   .

   แล้วยังจะ...สัมผัสนุ่ม ๆ ตรงริมฝีปากของเขาล่ะ?

   ..

   .

   นี่เขา...กำลัง...จุ๊บจมูก...ที่เคยคิดว่า...มันน่างับชะมัด

   ...

   ..

   .

   เวลาผ่านไปนานเท่าไรเขาก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนโดนคนตัวเล็กกว่าผลักเข้าที่อกของเขา แล้วท่าทางที่เอามือน้อย ๆ นั่นตะครุบจมูกตัวเองไว้ โคตรจะน่ารักในความคิดเขาเลยทีเดียว ไม่เสียเที่ยวที่ขับรถตามมาจริง ๆ และเป็นก็คุ้มค่ามาก ไม่ใช่เพราะเขาได้จุ๊บจมูกคนตรงหน้า แต่เพราะทันทำให้เขาตัดสินใจได้ต่างหาก เขายิ้มให้กับตัวเองก่อนถามคนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี

   “ตกลงให้พี่ไปส่งที่ไหนครับ”

   “ระ...โรงพยาบาล xyz”

.........................................................................

   ผมจะไม่ไหวอยู่แล้วครับ ผมยอมแพ้ เลยบอกที่หมายให้ไอ้บ้านั่นไป ผมรับความรู้สึกที่รุนแรงนั่นไม่ไหวแล้วครับ อีกทั้งมันยังเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จนผมปรับตามไม่ทัน ผมเคยเจอคนที่อารมณ์แปรปรวนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครอารมณ์รุนแรงได้เท่ากับคนตรงหน้า ความรู้สึกพุ่งเข้าใส่ผมแต่ละครั้ง ทำให้ผมหูอื้อ อึดอัด ผมพยายามอย่างหนักที่จะครองสติตัวเองให้อยู่ ไม่ให้เป็นลมไปอีก

   ผมคิดถึงเจ๊หงส์ครับ คิดถึงจนอยากจะร้องไห้ เจ่เจ้ต้องช่วยผมจัดการกับสถานการณ์อย่างนี้ได้ กำลังคิดถึงเจ่เจ้อยู่ ไอ้บ้านี่ก็ดันขยับเข้ามาหาผมจนผมตกใจ แล้วมันก็เอาปากมันมาแตะจมูกผม ผมเกือบหยุดหายใจ ทั้งตกใจ ทั้งอาย พยายามรวบรวมแรงที่มีผลักมันออกไป แล้วก็มีความรู้สึกพุ่งเข้ามาอีก

   “น้องหยกไม่สบายรึเปล่าครับ พี่เห็นเรามีอาการแบบนี้ 2 ครั้งแล้วนะครับ” มันพยายามชวนผมคุยครับ แต่ผมไม่ตอบ

   “...”

   “ไหน ๆ ก็ไปโรงพยาบาลแล้ว ให้หมอเขาตรวจหน่อยก็ดีนะครับ”

   “...” ไม่ตอบอีกแล้วครับ ไม่ได้หยิ่งนะครับ แต่...ผมไม่มีแรงแล้ว ที่พยายามจะครองสติให้อยู่นี่ก็เต็มกลืนแล้วครับ

   “พี่พอรู้จักกับหมอที่นี่อยู่บ้างนะ ให้พี่พาไปตรวจนะครับ”

   “มะ ไม่เป็น..ระ..ไร...ครับ” เสียงแหบแผ่วของผม แสดงถึงขีดจำกัดของร่างกายผม มันบอกว่าไม่ไหวแล้วจริง ๆ อยากให้ถึงโรงพยาบาลเร็ว ๆ ความรู้สึกของเขามันพุ่งเข้ามาราวกับปืนกล จนร่างผมแทบพรุนไปหมดแล้ว ผมที่เอามือทั้งสองกุมจมูกไว้เริ่มเอนศีรษะไปซบกับขอบประตูรถแล้วครับ ตาผมเริ่มปรือ แต่ยังคงฝืนไว้ครับ มันพูดอะไรออกมาบ้าง ผมไม่ได้ฟังแล้วครับ พูดมากชะมัด ผมได้แต่นั่งเงียบมาตลอดทาง พอรถจอดปุ๊บ ผมพยายามลุกเพื่อลงจากรถ เปิดประตูลงรถได้แล้ว ผมมีอาการเซน้อย ๆ จนคนอีกฝั่งรีบเดินอ้อมรถมาประคองแขนผมไว้

.........................................................................

   โบตั๋นกำลังเดินเลือกขนมขบเคี้ยวสำหรับตัวเองอยู่ในร้านมินิมาร์ทบริเวณชั้น 1 ของโรงพยาบาลอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่เธอจัดการนายพยัคฆ์อะไรนั่นที่ห้องเสื้อของพี่ภา จนได้แต่อ้าปากพะงาบพูดอะไรไม่ออก เธอไม่เคยใช้เซ้นส์ของเธอเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเลย แต่ครั้งนี้เธอใช้มันปกป้องพี่ชายของเธอเอง โบตั๋นยิ้มขำเมื่อนึกถึงหน้าตานั่นขึ้นมาอีก สะใจจนอารมณ์ดียิ่งกว่าได้รับเช็คค่าตัวเธอจากพี่ภาซะอีก

   โบตั๋นยังคงนั่งเล่นอยู่บริเวณโถงทางเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้ขึ้นไปหาเจ๊หงส์ทันทีหลังจากซื้อของเสร็จ เธอตั้งใจจะรอหยกแล้วขึ้นไปพร้อม ๆ กัน อีกอย่างเธออยากเล่าเรื่องตานั่นให้หยกฟังใจจะขาด โบตั๋นนึกไปพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลาง มองนาฬิกาของโรงพยาบาล เกือบหกโมงเย็นแสดงว่าใกล้เวลาที่หยกจะมาถึงแล้ว เธอจึงตัดสินใจเดินไปรอที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อประตูอัตโนมัติเป็นออกเธอแทบจะทิ้งถุงขนมในมือทิ้งทันที

   อีตาพยัคฆ์นั่น ไม่สิ!! ไอ้แมวหง่าวนั่น ทำไมมันถึงมาพร้อมกับหยกได้ โบตั๋นรีบวิ่งไปยังลานจอดรถด้านหน้าโรงพยาบาล ยิ่งเธอเห็นไอ้แมวหง่าวติดสัดนั่นคว้าแขนหยกไม่ยอมปล่อยอีก ยิ่งทำให้เธอโกรธเมื่อเธอเข้าไปใกล้ ความรู้สึกของไอ้แมวหง่าวก็ยิ่งชัดเจน จนเธอเป็นห่วงว่าหยกจะเป็นลมไปอีก

   “นี่คุณ!! ปล่อยมือจากพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” โบตั๋นแว้ดใส่ทันทีที่คิดว่าตนเองอยู่ในระยะที่อีกฝ่ายได้ยินเสียง ทำให้สองคนนั้นหันมามองเธอ

   “ตั๋น” เมื่อถึงตัวทั้งสอง โบตั๋นก็กระชากหยกเข้าหาตัว แล้วผลักไอ้แมวหง่าวนั่นออกไปให้ห่างพี่ชายเธอ นี่เธอผลักก้อนหินหรือยังไง ทำไมถึงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

   “ฉันเตือนคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่ามายุ่งกับพี่ชายของฉัน หรือว่าคุณเป็นพวกเบี่ยงเบนกันแน่”

   “ตั๋น” หยกที่ยืนข้างโบตั๋นเขย่าแขนเตือนเบา ๆ

   “ไม่รู้ล่ะ จะมีเรื่องก็มีไปหยกไม่ต้องมาห้ามตั๋น ตั๋นไม่กลัว” โบตั๋นหันไปบอกหยก

   “ผมไม่ได้เบี่ยงเบน ผมชอบผู้หญิง” พยัคฆ์คำถามของโบตั๋น แต่ผมก็ชอบพี่ชายคุณ เขาลองคิดประโยคนี้อยู่ในใจเพื่อทดสอบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่คิดว่าโบตั๋นจะรับรู้ได้ เธอมองเขาตาโตแทบถลนออกมา แล้วเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หันขวับไปทางพี่ชายของเธอทันที

   “หยก...เราไปจากตรงนี้กันนะ” อยู่ ๆ โบตั๋นก็เปลี่ยนน้ำเสียงจากที่แว้ดใส่เขาเมื่อครู่ กลายเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบโยน แล้วลากหยกเดินลิ่วเข้าโรงพยาบาลไป

   พยัคฆ์มองตามสองร่างนั้นเดินเข้าประตูไปแล้ว สรุปว่าโบตั๋นรับรู้ความคิดเขารึเปล่า? แต่อย่างไรก็ช่างเขาไม่สนใจที่จะพิสูจน์สิ่งที่เขาสงสัยในตอนนี้ นอกจากจะเดินตามเข้าไป ก็ในเมื่อเขาตัดสินใจได้แล้วเขาก็จะไม่ยอมปล่อยน้องกระโดดแมว หรือน้องหยกของเขาไปแน่ ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายด้วยกัน ดังนั้น วันนี้เขาต้องเคลียร์กับโบตั๋นให้รู้เรื่อง จากนั้นค่อยเดินหน้ารุกคนของเขา

   พยัคฆ์เดินตามโถงทางเดินในโรงพยาบาล มองหาสองคนพี่น้อง คลาดกันจนได้ เขาจึงต้องเดินย้อนมาด้านหน้าตรงฝ่ายประชาสัมพันธ์

   “ขอโทษนะครับ ผมมาเยี่ยมคุณหงส์ ชูวนาสุวรรณ ไม่ทราบว่าเธออยู่ห้องไหนครับ”

   “สักครู่นะคะ”

   “ผมเพิ่งทราบจากเพื่อนว่าเธอเข้าโรงพยาบาล ไม่ทราบว่าเธอป่วยเป็นอะไรเหรอครับ เพื่อนผมไม่ได้บอกไว้ ที่ถามเพราะผมจะได้ซื้อของเยี่ยมได้เหมาะกับผู้ป่วยน่ะครับ ยิ่งเห็นว่ากำลังจะผ่าตัดในวันมะรืนนี้ด้วย” เขาถามพร้อมทั้งหาข้ออ้างเมื่อประชาสัมพันธ์มองเขาอย่างสงสัย เขาพูดพลางชี้ไปทางร้านขายของเยี่ยมที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน

   “คุณหงส์ป่วยเป็นโรคหัวใจค่ะ เธอพักอยู่ห้อง 960 ค่ะ”

   “ขอบคุณครับ” พยัคฆ์แกล้งเดินไปทางร้านขายของเยี่ยมก่อน เมื่อพ้นสายตาประชาสัมพันธ์แล้ว เขาก็รีบเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์เพื่อกดเรียกไปยังชั้นที่ต้องการทันที

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2018 22:55:45 โดย Amo »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
«ตอบ #21 เมื่อ19-09-2017 08:49:00 »

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
«ตอบ #22 เมื่อ19-09-2017 10:34:04 »

หยกกับโบตั๋นมีความสามารถพิเศษเหรอ ทำไมถึงจับความรู้สึกคนรอบข้างได้

รอตอนต่อไปค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
«ตอบ #23 เมื่อ19-09-2017 11:18:48 »

 :pig4:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
«ตอบ #24 เมื่อ19-09-2017 18:26:05 »

คือนายเอกมีพลังพิเศษหรอ ลุ้นต่อไปปป :hao5:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
«ตอบ #25 เมื่อ20-09-2017 08:09:32 »

8

    ​

   หงส์กำลังอ่านหนังสือที่เพิ่งขอให้พยาบาลที่ดูแลเธอช่วยซื้อมาให้ หลังจากได้คุยกับเจ็กหลิว ทำให้เธอปรับแผนและเตรียมตัวศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมในระหว่างที่นอนว่างอยู่บนเตียงผู้ป่วยแบบนี้ เมื่อผ่าตัดเรียบร้อย คุณหมอบอกกับเธอว่าใช้เวลาพักฟื้นเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางการแพทย์ปัจจุบัน ทำให้เธอมีเวลาหลังจากออกจากโรงพยาบาลอีกราว 3 เดือน จนกว่าโบตั๋นจะเรียนจบ จากนั้นเธอจะต้องรวบรัดจัดการสิ่งที่คั่งค้างมาตั้งแต่อดีตให้มันจบโดยเร็ว

   “หยกมากับอีตาแมวหง่าวนั่นได้ยังไง” เสียงโบตั๋นโวยวายอยู่หน้าห้องเสียงดังทั้งที่เจ้าตัวยังไม่เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ เมื่อหงส์เห็นหน้าทั้งสองก็ส่งยิ้มให้

   “ทะเลาะอะไรกัน” หงส์รับรู้ถึงความไม่พอใจของโบตั๋น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหยก เธอก็วางหนังสือที่อ่านลง

   “เจ่เจ้” โบตั๋นพูดแค่นั้นก่อนมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีแต่ผู้ป่วยนอนพักอยู่ และเห็นว่าต่างก็หลับพักผ่อนกันอยู่เงียบ ๆ “ตั๋นไปเจอคนคนหนึ่ง เขามีความรู้สึกที่...ส่งออกมาแบบรุนแรงมากๆ” โบตั๋นพูดเสียงแทบกระซิบ หงส์มองหน้าหยก ก่อนเอ่ยถาม

   “แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้มีให้กับเราใช่ไหม” โบตั๋นพยักหน้าแรงๆ ทีหนึ่งก่อนมองไปทางหยก “หยกมานั่งข้างเจ่เจ้นี่” หงส์พูดพร้อมตบลงบนเตียงข้างๆ ตัวเธอ หยกก็ทำตามอย่างว่าง่าย หงส์ยกมือลูบแก้มไร้สีของน้องชาย อีกมือก็กอบกุมฝ่ามืออีกข้างบีบเบาๆ อย่างปลอบประโลม

   “เจ่เจ้ ตั๋นเป็นห่วงหยก เจ่เจ้เคยบอกว่าปกติแล้ว เราจะรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้เฉพาะคน ๆ คิดถึงเราต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกถึงเราเท่านั้น แต่ความรู้สึกของคนคนนี้ ความรู้สึกของเขามันแพร่กระจายไปทั่ว อย่างกับแจกฟรี” โบตั๋นไม่วายประชด

   “แล้วหยกล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” หงส์ถามด้วยความเป็นห่วง

   “หยกอธิบายไม่ถูก หยกไม่เคยเจอ” เธอเห็นน้องชายของเธอเริ่มน้ำคลอ รับรู้ได้ถึงความสับสน ความว้าวุ่นใจ และความกลัว

   “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะหยก แค่หยกต้องทำความเข้าใจกับมัน”

   “แต่...”

   “เจ่เจ้รู้ๆ” หงส์ดึงหยกเข้ามากอดไว้ “เจ่เจ้รู้ว่าหยกสับสนกับความแปรปรวนนั่น ไม่เป็นไรนะ” หงส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงใครคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ ความรู้สึกที่แพร่กระจายออกมาอย่างที่โบตั๋นว่า

   “เจ่เจ้ ไอ้แมวหง่าวนั่น” โบตั๋นร้องบอกตาโต เธอก็รู้สึกได้ แล้วหยกล่ะ?

   “อืม...เขาต้องการจะมาคุยกับตั๋นนะ”

   “อึก!!” หยกที่อยู่ในอ้อมกอดของหงส์ ร่างกระตุกเล็กน้อย

   “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตกใจ” หงส์ตบหลังปลอบ “ตั๋น อย่าเพิ่งให้เขาเข้ามา ไปคุยกับเขาที่หน้าหวอดก่อน ตอนนี้หยกไม่ไหวแล้ว” โบตั๋นพยักหน้าแล้วเดินออกไปทันที

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินผ่านหวอดกำลังมองหาห้อง 960 ยังไม่ทันจะเห็นว่าเป็นห้องไหน ก็พบกับคนที่ต้องการคุยเดินออกจากห้องมา แล้วเข้าต้องแปลกใจอีกครั้งกับหญิงสาวตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังมา เพราะทันทีที่หญิงสาวเดินถึงตัวเขา

   “ตามฉันมา” โบตั๋นเลยตัวเขากลับไปที่หวอด ไม่หันมองหน้าเขา

   “...”

   “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายต้องการคุยกับฉัน ดังนั้นก็คุยกันตรงนี้” โบตั๋นนั่งลงตรงโซฟาส่วนพักคอย เข้าจึงเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

   “คุณรู้ได้ยังไง” พยัคฆ์ถาม เริ่มเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า โบตั๋นวางมาดนางพญาอีกครั้ง เหมือนเมื่อช่วงบ่ายที่ห้องเสื้อของเพ็ญนภา

   “...” โบตั๋นไม่ตอบคำถาม เธอไม่สามารถอธิบายเรื่องเซ้นส์ของเธอให้คนนอกฟังได้ เธอกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการพูดในสมอง

   “ถ้าคุณไม่ตอบ...” พยัคฆ์ไม่คิดจะอ่อนข้อให้กับหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่เธอเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เห็นจะ...ต้องยอม... เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาจะสานสัมพันธ์กับหยกคงเป็นเรื่องยาก แล้วไหนจะพี่สาวคนโตของบ้านนี้อีก ที่เขาต้องรับมือ “เฮ้อ...เอาเป็นว่าผมอยากจะเคลียกับคุณให้รู้เรื่อง ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ชอบผม แต่ผม”

   “นายเป็นตัวอันตรายสำหรับพี่ชายฉัน” โบตั๋นแทรกขึ้น เธอรู้ว่าเขามีเจตนาดี มีความรู้สึกดี ๆ ให้พี่ชายเธอ

   “แต่ผมไม่ได้คิดทำร้ายพี่ของคุณเลยนะ”

   “ฉันรู้ว่าคุณชอบพี่ชายฉัน”

   “ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณ... ดูเหมือนจะรู้ทันผมไปซะทุกอย่าง คุณก็น่าจะเข้าใจผม”

   “ก็นายมันตัวอันตราย” แว้ดใส่

   “คำก็อันตราย สองคำก็อันตราย อันตรายยังไง?” พยัคฆ์เริ่มหมดความอดทน ขึ้นเสียงแข่งกับโบตั๋น จนพยาบาลที่หวอดมองพวกเขาด้วยสายตาดุๆ

   “ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะอธิบายได้” โบตั๋นพูดเสียงเบาลง แต่ยังคงแข็งกร้าวเอาไว้

   “ผมรู้ว่าครอบครัวคุณมีลูกชายคนเดียว แต่ผมอยากให้คุณ ให้โอกาสผมบ้าง ให้โอกาสหยก ให้โอกาสพวกเราได้ทำความรู้จักกัน”

   “ก็ที่คุณเป็นอยู่นี่แหละมัน...” โบตั๋นชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนขมวดดคิ้ว แล้วทำสีหน้าไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม

   “ผมเป็นยังไง?”

   “เจ่เจ้ต้องการคุยกับคุณ” อีกแล้วที่เธอไม่ตอบคำถามเขา

   “คุณหงส์?”

   “แต่คุณต้องรอจนกว่าฉันจะพาหยกลงไปข้างล่างก่อน คุณถึงจะเข้าไปหาเจ่เจ้ได้ นี่เป็นโอกาสหนเดียวที่ฉันจะให้คุณ”

.........................................................................


   หงส์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงของคนข้างนอก คนคนนั้นมีความมุ่งมั่นสูง มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และแน่วแน่ ถ้าเธอเดาไม่ผิด คนคนนี้อาจจะมีบารมีมากพอที่จะครอบครองของสามสิ่งนั้น เป็นตัวเลือกอีกคนหนึ่งนอกจากคนที่เจ็กหลิวเจอ

   “หยก กลับไปพักที่บ้านกับตั๋นก่อนไหม?”

   “แต่..”

   “ไม่เป็นไรนะ กลับไปพร้อมตั๋น เขาทำอะไรหยกไม่ได้ ไม่เชื่อเจ่เจ้แล้วเหรอ?”

   “ป่ะ...เปล่าครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นเชื่อฟังเจ่เจ้นะ แล้วหยกจะไม่เป็นไร”

   “หยกสงสัย”

   “จ๊ะ...เจ่เจ้รู้ เอาไว้ให้เจ่เจ้ผ่าตัดเสร็จก่อนได้ไหม แล้วเจ่เจ้จะช่วยให้หยกจัดการกับเรื่องนี้”

   “หยกขอโทษ อึก..อึก..หยก.. อึก..ทำให้เจ่เจ้ไม่สบายใจ”

   “ไม่เอา ไม่ร้อง แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเองด้วย” หงส์กอดปลอบใจหยกอีกครั้ง ก่อนหลับตาเพ่งจิตส่งไปหาโบตั๋น แล้วลืมตาขึ้น เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น “เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งตั๋นเขาก็จะเข้ามาแล้วล่ะ หยกกลับบ้านไปกับตั๋นก่อนนะ แล้วพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ หยุดงานสักวันนะ เจ่เจ้อยากให้เราพักบ้าง”

   “แต่...”

   “ไม่มีแต่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย”

   “อือ”

   ครืด...เสียงเปิดประตูห้อง พร้อมกับเสียงลงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามา ทำให้สองคนที่กอดกันกลมผละออกจากกันเพื่อหันมามองผู้ที่เพิ่งเข้ามา

   “หน้าตูมมาเชียว” หงส์ยิ้มแซว

   “เจ่เจ้ จะไปคุยกับไอ้หมอนั่นทำไม ตั๋นกำลังจะไล่เขาไปให้พ้น ๆ เราอยู่แล้วเชียว”

   “เจ่เจ้ก็สงสัยอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

   “คนคนนั้นก็รู้ว่าความรู้สึกหมอนั่นมันแรงแค่ไหน ถ้าไม่ไล่เขาไป หยกไม่ยิ่งแย่เหรอ”

   “ไม่หรอก อีกหน่อยหยกก็จะรับมือเขาได้ แล้วถ้าเขาเป็นอย่างที่เจ่เจ้คิด เขาจะยินดีทำทุกอย่างเพื่อหยก”

   “เจ่เจ้รู้ได้ยังไงคะ?”

   “เจ่เจ้ก็ยังไม่รู้หรอก ต้องให้ได้คุยกับเขาก่อน แล้วอีกอย่างหยกกับตั๋นคงต้องฝึกฝนเพิ่มแล้วแหละ”

   “ฝึกแบบที่...เจ่เจ้เรียกตั๋นเมื่อกี้ใช่ไหม?” ประโยคหลังโบตั๋นกระซิบเบาอย่างตื่นเต้น หงส์พยักหน้ายิ้มอ่อนให้

   “โอเคค่ะ ดีล ป่ะหยกกลับไปพักที่บ้าน ไม่ต้องไปสนใจนายนั่น”

.........................................................................

   พยัคฆ์เห็นโบตั๋นพาคนของเขาออกมาจากห้องพักของโรงพยาบาล ร่างโปร่งที่ค่อย ๆ เดินมาทางเขาดูเหมือนจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ จมูกแดงเป็นกวางรูดอล์ฟเชียว โบตั๋นมองเขาเขม็งเตือน ก่อนจะจูงมืออีกคนไปยืนรอลิฟต์ พยัคฆ์ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมรอจนกระทั่ง ทั้งสองเข้าลิฟต์ไป ถึงเวลาแล้วสินะ

   เขาลุกจากโซฟาก่อนเดินไปยังห้องพักเป้าหมาย พยาบาลที่หวอดทักเขาเล็กน้อย

   “อีก 15 นาทีจะหมดเวลาเยี่ยมนะคะ” เขาพยัคฆ์หน้ารับ กับ...โอกาสที่โบตั๋นให้เขาเพียง 15 นาที เขาเปิดประตูเขาไป เห็นเตียงผู้ป่วย 4 เตียง ตั้งเรียงด้านละ 2 เตียง ทุกคนบนเตียงมองเขาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่ เขาไม่รู้ว่าหงส์หน้าตาเป็นอย่างไรจึงกวาดตามองจากหน้าประตูห้อง จนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นั่งพิงหัวเตียงผายมือเชิญเขาให้นั่งเก้าอี้ข้างเตียง

   “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหงส์ ชูวนาสุวรรณ เป็นพี่สาวของหยก และโบตั๋น” หญิงสาวบนเตียงเอ่ยหลังจากเขานั่งลงแล้ว “ยัยตั๋นคงไม่ได้บอกสินะคะ ว่าฉันอยู่เตียงไหน”

   “ไม่ได้บอกครับ”

   “ยัยตั๋นคงหวงพี่ชาย อย่าไปถือสาแกเลยนะคะ แกยังเด็กอยู่” พยัคฆ์มองอากัปกิริยาของหญิงบนเตียง ถ้าเทียบว่าโบตั๋นเหมือนนางพญา แล้วคนตรงหน้านี้ล่ะ? จักรพรรดินี? ใช่สง่างามแม้ว่าจะป่วยอยู่ก็ตาม

   “คุณโบตั๋น บอกว่าคุณอยากพบผม”

   “ค่ะ ฉันอยากทำความรู้จักกับคนที่สนใจน้องชายฉัน” หงส์พูดจาฉะฉาน ไม่มีลังเลในคำพูดเลยสักนิด

   “โบตั๋นบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ก็ไม่เชิงสักทีเดียวหรอกค่ะ”

   “ผมสงสัย ทำไมคุณโบตั๋นถึงบอกว่าผมอันตรายกับ...พี่ชายเธอ” พยัคฆ์ไม่รู้จะเรียกบุคคลที่พาดพิงว่าอย่างไร ต่อหน้าพี่สาวของคนคนนั้น

   “หยกเขากลัวนะคะ”

   “กลัวผม?”

   “ค่ะกลัว คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ที่เขากลัว เพราะเขาไม่เข้าใจคุณ ไม่เข้าใจความรู้สึกที่คุณมีให้กับเขา และที่สำคัญเขารับมืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณไม่ทัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากลัว”

   “อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของผม”

   “ใช่ค่ะ อืม...คุณลองทบทวนดูสิคะ ว่าวันนี้ เฉพาะช่วงที่คุณพบกับหยก คุณมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรบ้าง” พยัคฆ์คิดตาม แล้วก็จริงอย่างที่ว่าไว้ ตั้งแต่ตอนที่เจอหยกตรงสี่แยกไฟแดงจนถึงหน้าโรงพยาบาล เขามีทั้งสับสน หึงหวง ดีใจ เป็นห่วง

   “เขากลัวผม เพราะผมเป็นผู้ชาย?”

   “นั่นก็มีส่วนค่ะ อย่างที่ดิฉันบอก เขาไม่เข้าใจ มันเลยทำให้เขากลัว เวลาคนเราไม่รู้จัก ไม่เข้าใจในสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ก็มักจะหวาดกลัวไปก่อนไม่ใช่เหรอค่ะ?”

   “ครับผมพอเข้าใจ แต่คุณกำลังจะบอกว่าน้องชายคุณไม่รู้จัก...” พยัคฆ์อยากจะเอ่ยคำว่าความรัก แต่คำนี้เขาเองก็ไม่สามารถเอ่ยอ้างออกมาได้ “ไม่เคยถูกจีบ?”

   “หยกไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกค่ะ” หงส์ตอบยิ้ม ๆ

   “แล้วถ้าผมอยากจะขอโอกาส”

   “ดิฉันเข้าใจคุณนะคะ แต่ดิฉันอยากให้คุณเข้าใจหยกด้วย”

   “ถ้าผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับน้องหยกมากกว่านี้ น้องเขาอาจจะไม่กลัว อย่างที่เขากลัวอยู่ตอนนี้”

   “ค่ะดิฉันเข้าใจ และดิฉันยินดีที่จะให้โอกาสคุณ เพียงแต่มีข้อตกลงนิดหน่อย?”

   “ข้อตกลง?”

   “ใช่ค่ะ ข้อตกลง”

   “ข้อตกลงเรื่องอะไรครับ”

   “ข้อแรก คุณห้ามเข้าใกล้หยกจนกว่า ดิฉันจะออกจากโรงพยาบาล”

   “ทำไมครับ”

   “ฉันยังไม่แข็งแรงพอที่จะดูแลหรือช่วยอธิบายให้อะไร ๆ ให้หยกเข้าใจได้ในช่วงนี้”

   “ขอโทษครับ ผมไม่ทันคิด”

   “ข้อสอง คุณต้องไปพบคนคนหนึ่ง เพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง?”

   “คนคนนั้นเป็นใคร แล้วต้องยืนยันอะไร?”

   “คุณยังไม่รู้จักครอบครัวของฉันดีพอ และถ้าคุณจะมีโอกาสได้ไปต่อไหม มันก็ขึ้นอยู่กับคนคนนี้”

   “ถามขอถามอะไรหน่อย ทุกคนที่เข้าหาหยก ต้องไปหาคนที่ว่านี้ทุกคนเลยรึเปล่า?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เฉพาะคุณ”

   “มีแต่ผม ทำไมครับ?”

   “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ตอบคำถามนี้ไม่ได้ ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไร ไว้ถึงเวลาเมื่อไรคุณก็จะรู้เอง”

   “แล้วคนที่ผมต้องไปพบ คนคนนั้นเป็นใครกัน”

   “เป็นแค่ซินแสคนหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ จะหาว่าฉันงมงายก็ได้นะคะ”

   “ข้อตกลงมีแค่ 2 ข้อนี้ใช่ไหมครับ?”

   “ยังค่ะ ยังมีข้อถัดไปอีก แต่คุณจะได้รับรู้ไหม ก็อย่างที่บอกว่าคุณต้องไปพบคนคนนั้นก่อน”

   “...”

   “คุณยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ค่ะ แต่หวังว่าระหว่างที่คุณยังไม่ได้ให้คำตอบดิฉัน คุณคงจะอยู่ห่าง ๆ กับหยกนะคะ”

   “ผมตกลง แล้วผมจะได้พบกับซินแสคนนั้นเมื่อไร”

   “ใจเย็นๆ ค่ะ ยังไงเดี๋ยวฉันนัดเขาให้ แล้วจะให้ยัยตั๋นแจ้งคุณไปอีกทีแล้วกันนะคะ”

   “ได้ครับ ขอบคุณครับ” ครืด...เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับพยาบาลที่เดินเข้ามาพร้อมเข็นรถเข็นถาดใส่ยาเข้ามา

   “หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ ขอให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนค่ะ” พยาบาลร้องบอกบรรดาญาติของผู้ป่วยในห้อง ก่อนเดินนำยาไปให้กับผู้  ป่วยเตียงแรกพร้อมตรวจอาการ พยัคฆ์ที่หมดคำถามกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้อง

   “ดิฉันรบกวนถามคุณสักข้อหนึ่งนะคะ”

   “ครับ?”

   “คุณเป็นอะไรกับคุณวรากร คุณคุณารักษ์?”

To Be Continue


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2018 22:46:26 โดย Amo »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
«ตอบ #26 เมื่อ20-09-2017 09:10:22 »

ให้ไปหาเจ็กหรือเปล่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
«ตอบ #27 เมื่อ20-09-2017 11:06:08 »

 :pig4:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
«ตอบ #28 เมื่อ20-09-2017 12:08:46 »

น่าติดตามมากๆ สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :3123: :3123: :pig4: :pig2:

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
«ตอบ #29 เมื่อ20-09-2017 17:43:05 »

สนุกมากกก ติดตามค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด