พิมพ์หน้านี้ - หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Amo ที่ 12-09-2017 12:16:21

หัวข้อ: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-09-2017 12:16:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************

Introduction

   ภายในห้องทำงานหรูหรา ที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือไม้สีเข้มปิดทับด้วยหน้าบานกระจกใสสูงจรดฝ้าเพดาน มุมด้านในหลังโต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่โทนสีเดียวกัน คนผู้หนึ่งยืนหันหลัง สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างบานสูง

        “อั๊วฝากลูก ๆ ด้วย” หนุ่มใหญ่พูดเหมือนตัดสินใจได้ในที่สุด พรางเดินอ้อมโต๊ะทำงานก่อนส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดส่งให้อีกฝ่าย

   “แต่นาย” ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันร้องค้าน แต่ก็รับตัวเด็กที่หลับอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่ายเอาไว้

   “ไม่มีแต่ พวกมันต้องการแค่อั๊ว” หนุ่มใหญ่จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม้ง ก่อนพูดเสียงเรียบ “หรือว่าลื้อต้องการให้ความตั้งใจของอาซ้อของลื้อต้องเสียเปล่า”

   “แต่...” ชายหนุ่มจะค้านแต่อีกฝ่ายกลับเสไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน จนเข้าต้องเก็บคำพูดกลืนลงคอไป

   “ลูกๆ อั๊ว หากไม่มีอั๊ว ชีวิตอาจจะดีกว่าทุกวันนี้ก็ได้ ถือว่าอั๊วของร้องในฐานะที่อั๊วเป็นเฮียของลื้อ ไม่ใช่คำสั่งในฐานะหัวหน้าแก๊งส์”

   “เฮีย...”

   “ไปซะ ไปจากที่นี่ ก่อนพวกมันจะบุกเข้ามาในนี้ได้” พูดจบหนุ่มใหญ่ก็หันหลังให้ แล้วมองออกไปยังหน้าต่างดังเดิม

   “เฮีย ต้องสัญญากับอั๊วก่อน ว่าเฮียจะรอดไปหาอั๊ว กับลูก ๆ” เขาขอคำมั่นสัญญา ทั้งๆ ที่ลึก ๆ แล้ว ตัวเขอเองก็รู้ว่าเป็นไปได้ยากแค่ไหน กับสถานะการณ์อย่างนี้

   “อั๊วจะพยายาม แต่หากว่าอั๊วไปหาลื้อไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ลื้อต้องเป็นตัวแทนอั๊ว ไปที่บ้านสกุลเหมิ๋น” หนุ่มใหญ่พูดจบก็เดินไปหยิบห่อผ้ากำมะหยี่สีแดงจากโต๊ะทำงานส่งให้

   เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้นพร้อมกับเด็กน้อย ในชุดทะมัดทะแมงสะพายเป้ไว้บนหลัง ในมือก็อุ้มเด็กทารกตัวแดง ๆ ห่อด้วยขนหนูทับด้วยผ้าไหมเนื้อดีอีกชั้นเดินเข้ามา

To Be Continue...

สวัสดีค่ะ Amo ตามอ่านนิยายของคนอื่นในเล้ามานาน

เพิ่งจะเขียนเอง

ลงเองเป็นเรื่องแรก

ฝากติดตาม แนะนำ ด้วยนะคะ

*********************


นิยายเรื่องอื่นของ Amo

น้ำตากิเลน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69079.msg3918866#msg3918866) : สถานะ ยังไม่จบ

ม่อนเคียงดาว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70159.msg3968088#msg3968088) : สถานะ ยังไม่จบ

กลรักหวงจื่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71636.0) : สถานะ ยังไม่จบ

จิตมาร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72302.0) : สถานะ ยังไม่จบ:
[/color][/center]
หัวข้อ: Re: หยก
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-09-2017 13:24:39
1


   
   เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามาในห้อง แต่ผมไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองว่าเป็นเสียงฝีเท้าของใคร ผมยังคงฟุบหน้าอยู่ข้างเตียง สองมือสอดเกาะกุมมืออุ่นที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง ใช่!! มันยังอุ่นอยู่ คนบนเตียงยังมีชีวิตอยู่ เสียงฝีเท้าเหมือนจะมาหยุดยืนข้าง ๆ ตัวผม จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   เจ้าของเสียงฝีเท้าเมื่อครู่สินะ เธอยืนอยู่ใกล้ผมมาก จนผมเองที่นั่งอยู่ข้างเตียง ที่ถึงจะนั่งตัวตรงเต็มความสูง แต่ก็ยังคงต้องเงยหน้ามองเธออยู่ดี เธอมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อผสมกับความโกรธ ผมเองก็รู้สึกผิดได้แต่จ้องมองแววตานั้นอย่างรู้สึกขอโทษ เราจ้องกันอยู่นานจนมีเสียงฝีเท้าของใครเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เธอละสายตามามองอีกร่างที่นอนอยู่บนเตียง

   ญาติผู้ป่วยเตียงถัดไปเพิ่งจะเดินเข้ามา เขามองมาที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนสบตากับผมแล้วเดินผ่านไปยังเตียงด้านใน

   ผมหันกลับมามองหญิงสาวที่นอนหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียง แก้มขาวนวลแทบจะไร้สี ผมดำหยักศกเป็นลอนตัดกับใบหน้า ยิ่งทำให้คนบนเตียงยิ่งดูซีดเซียวจนน่ากลัว ผมขยับตัวไล่ความเมื่อยขบเพราะผมฟุบอยู่ข้างเตียงมาตั้งแต่บ่าย แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยมือคนที่นอนอยู่บนเตียง

   หญิงสาวบนเตียงผู้ป่วยเหมือนเริ่มรู้สึกตัว อาจจะเป็นเพราะผมขยับตัวทำให้เธอตื่น เธอลืมตามมองที่ผม ก่อนจะเลยไปมองหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างผม ก่อนส่งยิ้มอ่อน ๆ มาให้เราทั้งสองคน

   หญิงสาวข้าง ๆ ผมรีบวิ่งออกจากห้องไปแทบจะทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ซึ่งผมเองก็ได้แต่หันมองตามร่างสูงโปร่งที่เร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งหายลับไปกับบานประตู

   ผมหันมามองหญิงสาวตรงหน้า เธอบีบมือผมเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ มันเบามาก... เบาจนแทบไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงใดๆ เลย แต่ผมก็รับรู้ได้

   เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เร่งเดินเข้ามาอีกครั้งนอกจากสาวร่างสูงโปร่งแล้ว ที่ตามมาด้วยก็มีทั้งหมอ ทั้งพยาบาล หญิงสาวเดินมาหยุดลงที่ปลายเตียง ผมเองก็ต้องหลบให้ทั้งหมอทั้งพยาบาลเข้ามาตรวจอาการคนบนเตียง จึงเดินไปยืนข้าง ๆ ร่างโปร่งที่ปลายเตียง หลังมือเราสัมผัสกันเล็กน้อย ผมรู้สึกผิดกับเธอจึงใช้นิ้วเกี่ยวนิ้วคนข้างๆ เอาไว้ หญิงสาวเองเหมือนจะให้อภัยผมอยู่บ้างเลยสอดมือเข้ามากุมมือผมเอาไว้

   หมอและพยาบาลออกไปหมดแล้ว ผมกลับมานั่งที่เดิม หญิงสาวอีกคนก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฝั่งตรงข้ามกับผม สายตาที่เธอมองมาที่ผมยังคงเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ ความไม่พอใจ จนผมต้องหลบสายตาเธอ แล้วมองไปยังคนที่นอนยิ้มอยู่บนเตียงแทน

   “ทานอะไรกันรึยัง” คนบนเตียงถามเสียงเบา หลังจากเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังห้อง

   ผมเงียบไม่ตอบ หญิงสาวอีกคนก็เช่นกัน

   “ว้า... สงสัยจะทานกันเสร็จแล้วละสิ เจ่เจ้ว่าจะให้พวกเราซื้อผลไม้ขึ้นมาให้เจ่เจ้สักหน่อย”

   “เจ่เจ้ อยากทานผลไม้อะไร เดี๋ยวตั๋นลงไปซื้อให้” หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามรีบพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่คนบนเตียงจะพูดจบด้วยซ้ำ

   “ไม่เป็นไรจ้า ไหนๆ เราก็ทานกันเสร็จแล้วนี่ จะลงไปอีกทำไมให้เมื่อย”

   “ตั๋นยังไม่ได้ทานสักหน่อย...ใครจะไปทานลง” ประโยคสุดท้ายหญิงสาวพูดงุบงิบในลำคอ

   “แล้วหยกล่ะ ทานรึยัง” หญิงสาวบนเตียงหันมาถามผมบ้าง

   “ยังครับเจ่เจ้” ผมตอบเสียงอ่อย

   “ถ้าอย่างนั้น ก็มีคนลงซื้อผลไม้ให้เจ่เจ้แล้วสินะ” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะพูดต่อไป เมื่อเห็นพวกผมนิ่ง ๆ ไม่ตอบ “หยก... ตั๋น... รึว่าเราสองคนอยากให้เจ่เจ้นอนเป็นห่วงอยู่บนเตียงแบบนี้ เพราะเราสองคนไม่ยอมไปทานข้าว?”

   “แต่หยกไม่อยากให้เจ่เจ้อยู่คนเดียว”

   “เจ่เจ้อยู่คนเดียวที่ไหน คนออกจะเต็มห้อง”

   ผมมองไปรอบๆ ก็ใช่อยู่ที่ห้องนี้เป็นห้องผู้ป่วยรวม ซึ่งสี่เตียงในห้องก็เต็มหมด แถมบรรดาญาติ ๆ ของแต่ละเตียงก็มานั่งกันเต็ม

.........................................................................

   “รู้ใช่ไหม ว่าตั๋นโกรธหยกอยู่” หญิงสาวหน้าหงิก แต่ยังไม่วายตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ

   “อือ” ผมตอบไปแค่นั้น แล้วค่อย ๆ ละเลียดทานข้าวต่อ

   “อือ แค่อือนี่นะ?” โบตั๋นหน้าหงิกกว่าเดิม พร้อมวางช้อนส้อมลงเสียงดัง จนผมต้องมองไปรอบ ๆ ศูนย์อาหารของโรงพยาบาล

   “เบา ๆ สิตั๋น เกรงใจคนอื่นเขา”

   “กะ...ก็หยกอะ เฮ่อ... ตั๋นโกรธจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!”

   “เฮียขอโทษแล้วกัน ที่ทำให้ตั๋นโกรธ”

   “หยกนี่น้า... จะพูดน้อยไปถึงไหน เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเชียว”

   “พูดอย่างกับตั๋นไม่ใช่น้องของเจ่เจ้ กับเฮีย”

   “เป็น!! แต่ตั๋นน่ะไม่เหมือนเจ่เจ้กับหยกหรอกนะ มีอะไรก็พูดออกมาสิ มาเล่นเกมจ้องตากันอยู่ได้”

   “แต่ตั๋นก็เข้าใจเจ่เจ้ กับเฮียนี่”

   “บางทีตั๋นก็อยากให้หยก กับเจ่เจ้พูดให้มันมากกว่านี้นี่ อีกหน่อยหยกมีแฟน แล้วหยกจะง้อแฟนยังไง ไม่มีใครเข้าใจด้วยการจ้องตากันเหมือนเราสามคนพี่น้องหรอกนะ เฮ้อ... ทำไมตั๋นต้องมานั่งบ่นหยกกับเจ่เจ้ด้วยนะ ทั้งที่ตั๋นเป็นน้องเล็กแท้ ๆ”

   ครับ เราสามคนพี่น้อง เจ่เจ้ หรือเจ๊หงส์ ที่เป็นทั้งพี่สาวคนโตของบ้าน อีกทั้งยังเหมือนเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เรา 2 คน ส่วนผมผู้ชายคนเดียวของบ้าน แล้วที่นั่งบ่นเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้าผมก็หม๋วยเล็ก หรือโบตั๋น ส่วนป๊ากับม้า ไม่รู้สิครับ ผมจำอะไรเกี่ยวกับท่านทั้งสองไม่ได้เลย รูปถ่ายครอบครัวสักใบก็ไม่เคยเห็น

   ผมไม่ได้ฟังโบตั๋นบ่นแล้วครับ กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ความคิดก็ต้องสะดุดเมื่อคุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามาหาพวกเราที่โต๊ะ

   “ขอโทษครับ หมออยากทราบว่าคุณหยก เจ้าของไข้ของคุณหงส์ เขาจะมาไหมครับ” หมอพูดพร้อมมองหน้าพวกเราทั้งสองคน โบตั๋นมองหน้ามาทางผมแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ

   “หมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับเฮียหยกหรือคะ? ใช่เรื่องเจ๊หงส์ไหม?” โบตั๋นถามคุณหมอเป็นชุด

   “ใช่ครับ ผมมีเรื่องปรึกษาคุณหยกนิดหน่อย”

   “ผมเองครับ ผมหยกครับ” ผมลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือขึ้นสวัสดีคุณหมอที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าผม เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าเจ่เจ้ด้วยซ้ำ

   “คุณ...คุณหยกหรือครับ” คุณหมอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว ก่อนหันไปมองทางโบตั๋น ซึ่งทางนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเคยชิน

   ผมกับโบตั๋นเราอายุห่างกันปีเดียวครับ แต่จะผิดก็ตรงที่โบตั๋นมีรูปร่างสูงโปร่งกว่ามาตรฐานหญิงไทยไปหน่อย ส่วนผมเองก็อยู่ในเกณฑ์ชายไทยทั่วไปครับ พอมายืนเทียบกับโบตั๋น ทำให้เรามีความสูงแทบจะเท่ากัน ผมสูง 178 โบตั๋นสูง 175 และที่สำคัญ ผมกับโบตั๋นเราหน้าคล้ายกันยิ่งกว่าฝาแฝดบางคู่อีกครับ

   “หมอขอโทษนะครับ ผมนึกว่าคุณหยกเป็นผู้ชาย” หมอจะพูดทำไมเนี่ย!!

   “ค่ะหมอ เฮียหยกเป็นผู้ชายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ เพียงแต่หน้าตารูปร่างเหมือนโบตั๋นมากไปหน่อย” โบตั๋นตอบซึ่งเป็นไดอะล็อกเดิม ๆ ที่เธอจำได้จนขึ้นใจ ผมเห็นสีหน้าของหมอแล้วต้องรีบแทรกขึ้น เพราะน้ำเสียงเธอติดจะเหน็บคุณหมออยู่นิด ๆ

   “เรื่องที่หมอจะคุยกับผม...”

   “ครับ ๆ ไม่ทราบว่าคุณหยกทานเสร็จรึยังครับ รึถ้ายังค่อยตามผมขึ้นไปพบที่ห้องก็ได้นะครับ”

   ผมพยักหน้ารับ พร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อย หลังจากนั้นคุณหมอก็หันหลังเดินจากไป

   “เดี๋ยวตั๋นไปซื้อผลไม้ให้เจ่เจ้นะ เฮียจะขึ้นไปคุยกับคุณหมอก่อน”

   “ไม่เอา ตั๋นจะไปด้วย ตั๋นรู้ทันหยกนะ!!” โบตั๋นบอกพร้อมจ้องตาผมเขม็ง เวลาอยู่กันเองในครอบครัว โบตั๋นมักจะเรียกชื่อผมตรง ๆ

   และนี่อาจจะเป็นความสามารถพิเศษหรือเป็นเซ้นของพวกเราสามคนพี่น้องก็ว่าได้ พวกเรารับรู้ความรู้สึก ความต้องการของพี่น้องด้วยกันเองได้โดยไม่ต้องออกปากพูดกันแม้แต่คำเดียว แค่มองตากันก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร

   “เฮ้อ...ก็ได้”

   “หยก... พวกเรามีกันอยู่แค่นี้นะ หยกอย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แล้วจะต้องมาค่อยดูแลเจ่เจ้กับตั๋นที่เป็นผู้หญิง นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ต้องเอาความรับผิดชอบมาแบกไว้บนบ่าคนเดียว หาความสุขใส่ตัวบ้าง ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ทำงาน แล้วเมื่อไรตั๋นจะได้อาซ้อสักที”

   “หน้าตาแบบเฮียไม่มีสาวไหนเขามาสนใจหรอก”

   “ทำไม หน้าตาเหมือนอย่างตั๋นไม่ดีตรงไหน!! แล้วที่วันนี้ปิดตั๋นเรื่องที่เจ่เจ้เข้าโรงพยาบาลก็อีกเรื่องนะ ตั๋นแยกแยะออกระหว่างเรื่องเจ่เจ้ กับเรื่องเรียนเป็นหรอกนะ”

   “เฮียเห็นว่าตั๋นต้องพรีเซ้นต์โปรเจ็ค เฮียเลยไม่อยากให้เราไม่สบายใจ”

   “เลยปิดบัง ให้ตั๋นมาโกรธหยกเอาทีหลังงั้นหรือ?”

   “เฮียก็ขอโทษแล้วไง เราดีกันนะ” ผมยื่นนิ้วก้อยส่งให้โบตั๋น

   “นี่ง้อตั๋นแล้วใช่ไหม? โถ่...หยก... แล้วเมื่อไรหยกจะได้มีแฟนกับเขากันเนี่ย!!”

   “ขี้บ่น” ผมบอกแล้วอมยิ้ม เพราะถ้าโบตั๋นร่ายยาวได้ขนาดนี้แสดงว่าเธอหายโกรธผมแล้วล่ะครับ ดีกว่าตอนที่เงียบ ๆ เหมือนตอนอยู่ข้างบนห้องเจ่เจ้เป็นกอง

.........................................................................

   ผมกับโบตั๋นเดินกลับมาที่ห้องของเจ่เจ้ หลังจากที่เราไปคุยกับคุณหมอกันแล้ว โบตั๋นเอาผลไม้ไปล้างในห้องน้ำ ส่วนผมลงไปนั่งข้าง ๆ เจ่เจ้ที่ยิ้มคุยกับคุณป้า ญาติของเตียงข้าง ๆ

   “ไปกันนานเชียว ไปคุยกับคุณหมอมาด้วยใช่ไหม?” เฮ้อ...ผมบอกแล้วว่าครอบครัวผมมีเซ้นแรงกันทุกคน ผมได้แต่พยักหน้ารับ

   “ยังไม่ต้องหรอก เจ่เจ้ยังไม่เป็นไร” เจ่เจ้พูดเหมือนรู้แล้วว่าคุณหมอคุยอะไรกับพวกเรา

   “เจ่เจ้ หยกขอ... เจ่เจ้เชื่อคุณหมอนะครับ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะถึงปฏิเสธไปเจ่เจ้ก็ไม่เชื่ออยู่ดี เลยอ้อนวอนเธอแทน

   “เจ่เจ้ขอเวลาอีกสัก 3-4 เดือนนะ” ไม่ใช่คำขอร้องครับ แต่เป็นประโยคคำสั่งของเจ่เจ้

   “ทำไมต้องรอให้ตั๋นเรียนจบก่อนหรือเจ่เจ้ ตอนนี้ตั๋นก็ช่วยหยก ช่วยเจ่เจ้ได้นะ เงินค่าผ่าตัดแค่นี้เอง เนอะหยกเนอะ” โบตั๋นที่เดินกลับมา ถึงได้ยินแค่นิดหน่อยก็รับรู้ได้ว่าเจ่เจ้ต้องการอะไร

   “เจ่เจ้ หยกขอนะ” ผมพูดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน เจ๊หงส์มองผมสลับกับโบตั๋นไปมา ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเจ่เจ้ถอนหายใจออกมา

   “เจ่เจ้ตกลงแล้วใช่ไหม?” โบตั๋นแทบจะกระโจนขึ้นไปนั่งบนเตียง เจ่เจ้พยักหน้ารับ โบตั๋นก็เข้าไปกอดเธอทันที ผมลุกจากเก้าอี้เข้าไปกอดทั้งสองคนไว้อีกชั้นหนึ่ง

.........................................................................

   “หยก พรุ่งนี้ตั๋นจะเข้าไปที่ห้องเสื้อของพี่ภานะ” โบตั๋นบอกหลังจากที่วางกระเป๋าถือลงบนโซฟา พร้อมกับทิ้งตัวลงไปนอนอย่างไม่เบานัก

   “ตั๋นแน่ใจนะ ว่าจะทำแบบนี้จริง ๆ” ผมถามเธอไม่ใช่เพราะไม่แน่ใจ แต่เพราะต้องการจะเตือนเธอเท่านั้น

   “อือ ไม่เป็นไรหรอก ถึงตั๋นจะไม่ชอบงานนั้นเท่าไร แต่มันก็เป็นบันไดให้ตั๋นได้ปีนขึ้นไปคว้าความฝันของตั๋นได้แหละ”

   “ตั๋น... ถ้าแค่อยากจะช่วยเฮียเรื่องค่าผ่าตัดเจ๊หงส์ ก็มาจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะ เฮียก็ไม่อยากให้ตั๋นไปเป็นนางแบบเท่าไรหรอก” ผมเดินไปนั่งลงโซฟาเดี่ยวตรงปลายเท้าเธอ

   “มันเป็นอาชีพสุจริตนะ อีกอย่างพี่ภาก็เพื่อนเจเจ้ด้วย ปฏิเสธพี่ภามาก็หลายครั้งแล้ว”

   “ถ้าไม่ไหวจริง ก็อย่าฝืนนะ” ผมรู้ครับว่าไม่สามารถคัดค้านเธอได้ โบตั๋นฝันอยากเป็นดีไซด์เนอร์ มีห้องเสื้อเป็นของตัวเอง แต่เรื่องเป็นนางแบบ เธอไม่ชอบเลยครับ โบตั๋นบอกว่าเธอไม่อยากเป็นตุ๊กตาให้ใครมาจับแต่งตัว

   “ว่าแต่หยกเถอะ วันนี้ไปเฝ้าเจ๊หงส์ทั้งวัน ที่ร้านเขาไม่ว่าอะไรหรือ?”

   “เฮียโทรบอกพี่กันต์แล้ว พี่เขาเข้าใจน่ะ”

   “ไม่ต้องมาทำท่าทางเสียดายเงินเลย ตั๋นว่าหยกไปพักเถอะ ไหน ๆ ก็ได้หยุดแล้ว พรุ่งนี้หยกก็มีสอนแต่เช้าด้วยนี่”

   “พรุ่งนี้พี่สอนเสร็จจะแวะไปหาเจ้หงส์ก่อน ค่อยไปที่ร้านแล้วกันนะ”

   “ไม่ต้องเลย ๆ เรื่องเจ้หงส์น่ะ เป็นหน้าที่ของตั๋นเอง หยกเอาเวลาไปพักบ้างเถอะ เดี๋ยวจะทรุดไปอีกคน”

   โบตั๋นก็พูดเกินไป ถึงผมจะรูปร่างบางโปร่งทรงเดียวกับโบตั๋น แต่ผมก็เป็นผู้ชายที่ทั้งถึก และอดทนนะครับ แล้วงานที่ผมทำก็ไม่ใช่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยอะไรมาก เจ็ดโมงเช้าจนถึงสิบโมงมีสอนเทควันโดเด็กในสถาบันสอนกีฬา พอบ่ายสองโมงจนถึงสี่ทุ่มผมรับหน้าที่เป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านของพี่กันต์ ส่วนเสาร์อาทิตย์ผมอยู่ร้านพี่กันต์ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น จากนั้นก็มาช่วยเจ้หงส์กับโบตั๋นขายขนมที่ตลาดแถวๆ บ้าน วันหยุดหรอครับ ผมเลือกที่จะไม่หยุดเองแหละครับ

To Be Continue

ไม่รู้ว่าสั้นไป หรือ ยาวไปรึป่าวสำหรับ 1 ตอน
หัวข้อ: Re: หยก
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-09-2017 14:31:35
รออ่านอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก
เริ่มหัวข้อโดย: pacharapetch ที่ 12-09-2017 15:57:22
น่าสนใจมากค่ะ รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: หยก
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 13-09-2017 08:12:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก - 13-09-17-
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 13-09-2017 20:28:17
2


   ชายหนุ่มในชุดสูททันสมัยเดินออกจากลิฟต์มายังห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดิน หน้าห้องมีโต๊ะทำงานพร้อมสาวร่างเล็กเจ้าของโต๊ะนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงลุกขึ้นเดินไปยังหน้าประตูบานใหญ่ เตรียมจะเปิดประตูให้

   “คุณกรมีแขกอยู่ด้านในนะคะ” หญิงสาว มือข้างหนึ่งจับรออยู่มือจับประตูไว้แต่ยังไม่ผลักเข้าไป

   “ใคร” ชายหนุ่มถามสั้น ๆ นำเสียงมีแววสงสัยระคนหวาดระแวง

   “ไม่ใช่คุณลตาหรอกค่ะ เจ้าสัวเกลียวกับคุณเกรียงค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้าโล่งอกอย่างออกนอกหน้า จึงค่อยผลักประตูให้ชายหนุ่มก้าวเข้าไป พร้อมปิดประตูตามหลัง

   ชายต่างวัยกัน 3 คนนั่งอยู่ที่มุมโซฟารับรอง เขาจึงเดินเข้าไปกล่าวสวัสดีเจ้าสัวเซียง (象) และคุณอาของเขา แล้วจึงค่อยหันไปพยักหน้าเป็นการทักทายเกรียงที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขา

   “ไงเจ้าเสือ กว่าจะเข้ามาบริษัท ฯได้ ต้องให้คุณวรรณโทรตามแล้วตามอีกนะ” ผู้เป็นอาทักทายหลังจากที่ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวที่ว่างอยู่

   “อากรก็ทราบ ว่าผมไม่ถนัดงานเอกสาร แล้วจะให้ผมเข้ามาทำอะไรล่ะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับกวน ๆ อย่างไม่เกรงใจแขกของผู้เป็นอาสักนิดเดียว

   “เออๆ แล้วแต่แกเถอะ แล้วเป็นไง มีอะไรคืบหน้าบ้างรึยัง?”

   “เบาะแสล่าสุดที่ผมได้มา พอจะทราบว่าคุณหลิวย้ายออกมาจากเชียงรายมาหลายปีแล้ว คนละแวกนั้นบอกว่า คุณหลิวอยู่ตัวคนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก และไม่เคยติดต่อญาติพี่น้องที่ไหนเลย” ชายหนุ่มหันไปรายงานเจ้าสัวเซียงกับคุณเกรียง แทนที่จะตอบผู้เป็นอา

   “เฮ้อ... นี่ก็ 20 กว่าปีแล้ว จนแล้วจนรอดยังหาอาหลิวไม่เจออีก คลาดกันทุกทีสิน่า” เจ้าสัวเซียงถอนหายใจอย่างผิดหวัง

   “เจ้าสัวอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยครับ ยังไงเจ้าพยัคฆ์มันก็ต้องหาคุณหลิวจนเจอ” ผู้เป็นอาปลอบใจเจ้าสัว

   “อั๊วว่าเตี่ยก็อย่าตั้งความหวังให้มากเลย นี่มันก็หลายปีแล้ว อย่าไปยึดติดกับอะไรเก่าๆ โบราณๆ เลย เชื่ออั๊วเถอะ ไปรู้ว่าตอนนี้อาหลิวของเตี่ยจะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า” เกรียงพูดกับเจ้าสัวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง

   “ซี้ซั้วต่า ลื้อจะมารู้อะไร เอาไว้ถึงเวลาลื้อจะรู้เอง ว่าคนอย่างอาหลิวมีความสำคัญต่ออั๊วยังไง”

   “ไอ้เสือ แล้วตอนนี้แกมีข่าวไหม ว่าคุณหลิวย้ายไปอยู่ที่ไหน?”

   “กำแพงเพชร”

.........................................................................

   หลังจากแขกกลับไปแล้ว สองอาหลานก็กลับมานั่งคุยกันต่อ โต๊ะกลางที่ก่อนหน้านี้มีเพียงแก้วกาแฟ แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยเอกสารและภาพถ่าย

   “ว่ามา แกได้อะไรมามั่ง?” ผู้เป็นอาพูดสีหน้าขรึม ผิดกับหน้าตาที่เป็นมิตรเมื่อสักครู่ที่อยู่ต่อหน้าแขก เขาก้มมองภาพถ่ายบนโต๊ะ

   “คุณหลิวย้ายออกจากกำแพงเพชร เมื่อ 2 ปีก่อน มาอยู่ที่นนทบุรี”

   “อาหลิวเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว” วรากรพึมพำมองภาพชายในภาพถ่าย ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

   “อากร รู้จักกับคุณหลิวด้วยหรือครับ”

   “...”

   “ตอนนี้ผมให้คนสะกดรอยตามคุณหลิวอยู่ อากรจะให้ผมทำยังต่อไป”

   “ว่ายังไงนะ แกสั่งให้คนสะกดรอยอาหลิวอย่างนั้นหรือ? ...ไม่น่าจะเป็นไปได้” ประโยคหลังเหมือนเขาจะพึมพำกับตัวเองมากกว่า

   “อากรหมายความว่ายังไง”

   “คนของแกตามอาหลิวมานานเท่าไรแล้ว?”

   “สัปดาห์กว่า ๆ”

   “ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”

   “อาพูดเหมือนอารู้อะไรอย่างนั้นแหละ”

   “อืม... อาเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจก็คือ อาหลิวต้องการให้เราตามเขา”

   “ว่าไงนะ!!”

   “...”

   “เมื่อไรอาจะเล่าเรื่องคุณหลิวให้ผมฟังสักที ผมเป็นฝ่ายที่ต้องรับมือกับคุณหลิวนะ ไม่ใช่อา แล้วไหนจะเรื่องที่ต้องให้ผมรายงานเจ้าสัวเซียงช้ากว่าเราก้าวหนึ่งอีก”

   “...”

   “ถ้าอาไม่เล่า ผมจะขอถอนตัวจากงานนี้”

   “แกรู้ใช่ไหมว่าพวกเจ้าสัวเซียง...พวกมันเป็นคนประเภทไหน?”

   “ทำไมผมจะไม่รู้ ใจจริงผมไม่อยากจะทำงานให้พวกมันด้วยซ้ำ”

   “อืม...”

   “มันยังไงกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว อาทำเหมือนไม่อยากสืบเรื่องคุณหลิวให้เจ้าสัวเซียง แต่อาก็อยากรู้เรื่องคุณหลิว ถ้าจะสืบเรื่องคุณหลิวเองก็ไม่จำเป็นต้องรับงานเจ้าสัวก็ได้ แต่นี่อาก็ยังรับ”

   “อายอมรับ ตามที่แกพูดมา มันถูกต้องทุกอย่าง”

   “อากร อารู้จักกับคุณหลิวจริง ๆ ใช่ไหม? แล้วคุณหลิวเป็นใครกันแน่”

   “เฮ้อ...อาหลิวคือคนที่อารัก เขาชื่อจริงว่า หลิวลู่ (刘路) ”

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินออกจากห้องของผู้เป็นอา พร้อมกับอาการมึนงงกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มาเกี่ยวกับคุณหลิว คุณหลิวคนนี้ที่ทำให้อาของเขาครองตัวเป็นโสดจนถึงปัจจุบันนี้ เขาพอจะรับรู้จากพ่อมาว่าอามีคนรักอยู่ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนคนรักของอาก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อากรเที่ยวตามหาจนทั่วเกาะฮ่องกงก็ไปพบ ตอนนั้นพ่อเป็นห่วงอากรมาก เพราะวันๆ อากรไม่เป็นอันทำอะไร จนกระทั่งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่อากรต้องเข้ามาดูแลบริษัทฯ แทนพ่อที่เสียชีวิตไป

   “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ค่ะคุณเสือ” วรรณาเห็นเจ้านายอีกคนเดินออกมาคิ้วแทบผูกกันเป็นปม

   “อ่อ ขอโทษครับคุณวรรณ เมื่อกี้ว่ายังไงนะครับ”

   “วรรณถามว่า คุณเสือจะกลับเลยไหมคะ?”

   “ครับ ให้คนเอารถผมมารอได้เลยครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมทั้งเดินไปยังลิฟต์

   ระหว่างอยู่ในลิฟต์ สมองของพยัคฆ์ก็คิดถึงแต่เรื่องของอากร ความรักของอาช่างมั่นคงซะจนเหลือเกิน กระทั่งสาวสวยอย่างคุณลตาเอง แม้ว่าเจ้าหล่อนจะตามคอยเอาอกเอาใจอาของเขามานานหลายปีก็ไม่อาจทำให้หวั่นไหวได้ หรือแม้แต่กลับคนอื่นๆ ก็ตาม

   พยัคฆ์เดินออกมาถึงหน้าประตูทางเข้าบริษัทฯ รถของเขายังมาไม่ถึง พนักงานหน้าประตูรีบ ว. ตามรถให้เจ้านายทันที ระหว่างยืนรอรถอยู่นั้น หางตาเขาไปสะดุดกับวัตถุเรืองแสงที่อยู่หน้าป้อมยามตรงประตูรั้วทางเข้า พอหันไปมองให้เต็มตาก็เห็นแต่แผ่นหลังโปร่งบางของใครบางคน กับเรือนผมสีดำขลับ ผมสั้นรากไทร ผิวขาวที่เหมือนจะเรืองแสงยามต้องแสงอาทิตย์เดินลับไปแล้ว เขารู้สึกขัดใจเมื่อรถสีดำคันใหญ่ มาจอดขวางคลองสายตาเขาจนมิด ประตูด้านคนขับถูกเปิดออก พร้อมชายในชุดซาฟารีดำเดินลงมา

   “รถมาแล้วครับคุณเสือ” ร่างที่ลงจากรถ เดินค้อมตัว มือกุมเป้ารายงานเขา พยัคฆ์ได้แต่พยักหน้าก่อนหยิบแว่นกันแดดมาสวมแล้วก้าวขึ้นรถไป

   อยากเห็นหน้า ความคิดของพยัคฆ์ในเวลานั้น

.........................................................................

   ผมมายืนอยู่ที่ป้อมยามหน้าตึกสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งผมคุ้น ๆ ว่าเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย ดูจากตัวตึกแล้วน่าจะเป็นบริษัทฯ ใหญ่โตอยู่ครับ ผมยืนอยู่หน้าป้อมพักใหญ่แล้วครับ ยามที่อยู่ในป้อมก็มองผมอย่างสงสัย ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนไปให้ ผมยืนได้อีกสักพัก โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็กดรับสายครับ

   “สวัสดีครับ”

   “อาหยกหรือ”

   “เจ็กลู่? (鹿) ” อาเจ็กเปลี่ยนเบอร์อีกแล้วครับ เจ็กเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ่อยจนผมไม่คิดจะเมม และต้องทำใจกับเรื่องการติดต่ออาเจ็กเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการที่พวกเรา 3 คนพี่น้องดูแลกันเองจนโตแบบไม่มีผู้ใหญ่ดูแลเสียอีก

   “อือ วันนี้อั๊วลงไปหาลื้อไม่ได้แล้ว เจ้านายอีกคนของที่นี่มา พวกอั๊วต้องอยู่คอยต้อนรับ” ลูกคุณหนูก็แบบนี้ล่ะมั้ง ต้องมีบริวารเยอะ ๆ คอยเรียกใช้ใกล้ไม้ใกล้มือ

   “ครับเจ็ก แล้วเจ็กจะอยู่ที่กรุงเทพฯ นานแค่ไหนครับ”

   “ก็ถ้างานดี เงินดี อาจจะได้อยู่ตลอดนะ” เจ็กลู่เปลี่ยนงานบ่อยครับ พอๆ กลับเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เลย อาเจ็กเป็นคนเบื่อง่าย ทำงานแต่ละที่ไม่เกิน 3-4 เดือน ก็เปลี่ยนไปทำงานอื่นแล้ว แกไปมาแทบทุกจังหวัดแล้วครับ

   “ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้หยกค่อยมาหาเจ็กลู่ใหม่อีกทีแล้วกันครับ” ผมเพิ่งรู้ว่าอาเจ็กกลับเข้ากรุงเทพฯ มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาเจ็กแวะไปหาพวกเราที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่ ยังดีที่อาเจ็กสอดจดหมายไว้ที่ตู้ไปรษณีย์ ผมถึงรู้ว่าอาเจ็กมาทำงานที่นี่ และที่จริง

   ผมเคยมาหาอาเจ็กครั้งหนึ่ง ก่อนที่เจ๊หงส์จะเข้าโรงพยาบาล แต่ไม่เจอ ยังดีที่ประชาสัมพันธ์เขาให้ฝากข้อความไว้ได้ เลยนัดเจ็กลู่ได้ในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้เจออาเจ็กอยู่ดี

   “อาหยก ลื้อมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

   “ก็นิดหน่อยครับ แต่พรุ่งนี้ เวลานี้ ผมค่อยมาใหม่ก็ได้ เจ็กลู่ว่างรึเปล่าครับ” ผมบอกพร้อมก้าวเดินออกมาจากป้อมยามของบริษัทฯ นี้ เดินไปตามฟุตบาทมุ่งหน้าไปยังป้ายรถประจำทาง

   “น่าจะได้นะ”

   “อาเจ็กคงจะยังไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ในเร็ววันนี้ใช่ไหมครับ” ผมพูดเชิงหยอกล้อน่ะครับ

   “ฮ่า ๆ ๆ ไม่เปลี่ยนหรอก มีอะไรก็ส่งข้อความมาแล้วกัน”

   “ส่งข้อความ? ... เจ็กลู่ไม่สะดวกรับสายหรือครับ” ผมถามสงสัย

   “ก็งานน่ะ” อ่อ เวลางานคงคุยโทรศัพท์ไม่ได้สินะ ไม่รู้ว่าเจ็กลู่ทำงานตำแหน่งอะไร

   ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับเจ็กลู่อยู่ ที่กลางถนนผมเห็นลูกแมวตกลงมาจากจักรยานยนต์ที่เพิ่งแล่นผ่านผมไป และรถแกรนด์ เชอโรกี คันใหญ่สีดำราวกับมัจจุราชกำลังแล่นออกมาจากรั้วบริษัทฯ ที่เจ็กลู่ทำงานอยู่ รถคันนั้นพุ่งออกมาอย่างน่ากลัว ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายมันเป็นไปตามสัญชาตญาณครับ เสียงยางรถเบรกกับถนนดังแข่งกับเสียงหัวใจของผม ไหนจะเสียงคนในสายที่ตะโกนเรียกชื่อผม เมื่อผมมายืนอยู่ตรงฟุตบาทอีกฟากหนึ่งของถนนแล้ว ลูกแมวในมือที่กำลังตกใจอยู่ก็ข่วนแขนข้างที่ผมอุ้มมันอยู่จนต้องปล่อยมาลง เจ้าของแมวจอดรถจักรยานยนต์เลยไปไม่ไกลนัก วิ่งกลับมา ส่วนแมวตัวนั้นก็วิ่งกลับไปหาเจ้าของของมัน

   ผมเห็นว่าแมวน้อยปลอดภัยผมก็หันไปมองคนในรถคันใหญ่ที่ติดฟิล์มมืดจนแทบมองไม่เห็นด้านใน คนขับจะคงรู้ครับ จึงลดกระจกลง เมื่อเห็นใบหน้าชายที่ขับรถ ผมก็ก้มหัวเป็นเชิงขอโทษไป ผมไม่เห็นสายตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำปรอทนั่นหรอกครับ ได้หวังว่าเขาคงจะไม่โกรธ และหวังว่าเขาคงจะไม่โดดเจ้านายที่นั่งมาด้านหลังตำหนิเพราะผม

   “อาหยก...” เสียงในสายโทรศัพท์ครับ ผมลืมไปเลยว่ายังคุยค้างกับเจ็กลู่อยู่

   “ขอโทษครับเจ็กลู่”

   “เมื่อกี้เสียงอะไร ลื้อทำอะไรอยู่” เสียงเจ็กลู่ฟังดูเครียดนิด ๆ

   “ไม่มีอะไรครับ ผมเก็บลูกแมวหลงนะครับ” ผมตอบไปแค่นั้น ไม่อยากให้เจ็กลู่เป็นห่วงครับ ผมพูดไปพร้อมกับข้ามถนนมาฝั่งเดิมครับ อีกนิดก็เกือบถึงปากซอยถนนใหญ่แล้ว

   “....อือ ลื้อก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” อาเจ็กเตือนผมเหมือนทุกครั้งที่เจอหรือได้คุยกัน เจ็กลู่มักจะบอกเสมอให้พวกผมระวังตัว ระวังการใช้ชีวิต อาเจ็กเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่ของครอบครัวเรา ผมเห็นแกมาตั้งแต่จำความได้ แต่จำไม่ได้ครับว่าเจ็กลู่มีความเป็นมายังไง เกี่ยวข้องอะไรกับคนในครอบครัวผมรึเปล่า แม้กระทั่งเจ๊หงส์เองก็ไม่รู้

.........................................................................

   บนสวนหย่อมของอาคารสำนักงาน ชายในชุดซาฟารีมองเหตุการณ์บนถนนด้านล่างผ่านกล้องส่องทางไกลตัวจิ๋ว มองดูหนุ่มน้อยข้ามถนนกลับมาฝั่งเดิม ส่วนคนบนรถก็ไม่ได้ลงมาเอาเรื่องเอาราวอะไร และขับรถผ่านหนุ่มน้อยของเขาไป

   “...อือ ลื้อก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

To Be Continue

ขยี้มาส่งได้อีกตอน

ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคำทักทายนะคะ

หัวข้อ: Re: หยก 13-09-17 {{2}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-09-2017 23:13:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 13-09-17 {{2}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-09-2017 00:26:43
รับปากว่าจะดูแลลูกให้ แต่ไม่ได้เลี้ยงเอง (เหรอ)
ที่แท้แล้วคนรักที่หายไปอยู่ใกล้ ๆ ตัวเลยหรือเปล่า แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมจำไม่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 13-09-17 {{2}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-09-2017 09:47:32
3

   ผมมาถึงร้านพี่กันต์ก่อนเวลาแค่ 10 นาทีเองครับ มาถึงก็รีบไปเปลี่ยนชุดหลังร้านแล้วมาทำหน้าที่ของตัวเอง

   “น้องหยก เหงื่อโทรมเชียว พี่เพิ่งเห็นเราเข้ามาเมื่อกี้นี้เอง อยู่กับพี่หงส์เพลินรึไงเรา” พี่แหม่มผู้จัดการร้าน เดินมาหาผมที่หลังเคาน์เตอร์พร้อมทั้งใช้ทิชชูในมือที่ช่วยซับเหงื่อให้ผม

   “วันนี้ผมยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเจ๊หงส์เลยครับ ไปธุระที่อื่นก่อนน่ะครับ” ผมตอบเสียงอ่อย

   “มิน่าล่ะ รีบมาเชียว ไหนพี่ดูหน้าหน่อยสิ” พี่แหม่มคว้าไหล่ผมทั้งสองข้าง จับผมหันซ้ายทีขวาที พี่แหม่มเธอสูงแค่คางผมเองครับ รูปร่างออกจะท้วม ๆ หน่อย เธอมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าไม่พอใจ

   “เออ...พี่แหม่มครับ” ผมเริ่มเขินแล้วครับ ก็มีผู้หญิงมาถึงเนื้อถึงตัวผมนี่ครับ ทั้งซับเหงื่อให้ตั้งแต่หน้าผาก เลยมาถึงลำคอ แล้วยังจะจ้องสำรวจผมอีก

   “โอ๊ย...ไม่ไหว” พี่แหม่มร้องเสียงไม่เบานัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นรบกวนลูกค้าในร้าน “คุณกันต์ค่ะ แหม่มขออนุญาตให้น้องหยกไปนั่งพักที่ด้านหลังร้านสัก 10 นาทีนะคะ แล้วจะพาออกมาส่ง”

   พี่กันต์ชะโงกหน้าออกมาจากระเบียงชั้นลอย ที่นั่งประจำของแก ซึ่งลูกค้าไม่ค่อยจะขึ้นไปนั่งเท่าไรในเวลานี้ แกมองหน้าพี่แหม่ม แล้วก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะพยักหน้าให้พี่แหม่ม ซึ่งเธอก็รุนหลังผมให้เดินไปยังห้องพักด้านหลังร้านทันที

   “พี่แหม่ม ทำไมให้หยกเข้ามาหลังร้านละครับ” ผมโวยวายเล็กน้อยทันทีที่เข้ามาถึงห้องพัก มันเวลางานแล้ว ผมไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น พี่แหม่มทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ผมทันที

   “น้องหยกไม่รู้ตัวอีกหรือคะ?” ผมมองหน้าพี่แหม่มงง ๆ เธอจึงรุนหลังผมไปหน้ากระจกบานใหญ่ ที่มีไว้สำหรับให้พนักงานร้านสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองก่อนออกไปทำงาน แล้วผมก็มองหน้าตัวเองในกระจก ก่อนส่งยิ้มอ่อนผ่านกระจกให้เธอ

   “พี่ยังไม่อยากเปลี่ยนจานชาม แก้วน้ำชุดใหม่หรอกนะคะ แล้วพี่ก็สงสารลูกค้าค่ะ ที่ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่เจ้าพวกนั้นมันทำจานหล่นแตกบางล่ะ แก้วหล่นบ้างล่ะ!!” พี่แหม่มเอ็ดผมไม่จริงจังนัก

   ต้องโทษผิวบาง ๆ ขาว ๆ ของผมเองครับ ที่ขึ้นสีง่ายเสียเหลือเกิน วิ่งนิด ๆ หน่อย ๆ แก้ม จมูกก็พานจะแดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วครับ ไม่ได้เขินนะครับ ถ้านึกไปไม่ออกล่ะก็ ให้นึกถึงลิงตามคณะละครครับ แล้วเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในร้านก็ชอบจ้องให้ผมได้อาย ก็ยิ่งทำให้ผมหน้าแดงเข้าไปใหญ่ นี่แหละครับสาเหตุที่ทำให้ของในร้านแตกกันบ่อย ๆ เขาคงกลั้นขำกันจนมือไม้อ่อนกันไปหมด

   ร้านพี่กันต์เป็นร้านอาคารกึ่งคาเฟ่ จะมีส่วนของร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ส่วนคาเฟ่มีเบเกอรี่สไตล์อิตาเลี่ยนเช่นกันครับ เบเกอรี่นี่ฝีมือพี่กันต์ครับ อาหารเชฟแก้ว ภรรยาพี่กันต์คุมอยู่ในครัว ผมทำงานกับพี่กันต์พี่แก้วตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ปี 3 จนตอนนี้ก็ 3 ปีแล้วครับ

   “อีก 10 นาที น้องหยกค่อยตามออกไปนะคะ พี่ไปดูแลหน้าร้านก่อนนะ” พี่แหม่ม พนักงานผู้หญิงคนเดียวของร้านยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป ผมนั่งอยู่จนถึงเวลาก็ออกไปทำงานต่อ เพื่อน ๆ ในร้านมองผมยิ้มๆ

.........................................................................

   พยัคฆ์ขับรถมาจอดที่หน้าโรงแรมหรูย่านกลางเมือง ก่อนเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรการกุศล ที่บรรดาคุณหญิงคุณนายพากันขนออกมาอวดแทบจะยกมาทั้งตู้เซฟกันเลยทีเดียว แม่งานคราวนี้ก็หนีไม่พ้นคุณเพ็ญนภา เจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง ลูกค้าประจำ ที่จัดงานทีไร ต้องใช้บริการทีมรักษาความปลอดภัยจากบริษัทฯ เขาทุกครั้งไป

   ชายหนุ่มเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบ ๆ ห้องจัดงานก่อน ยังไม่ได้เดินเข้าไปในงาน เขาเห็นคนของเขาในชุดซาฟารียืนกระจายตัวกันอยู่รอบงาน เมื่อเดินดูจนพอใจแล้วเขาก็เดินเข้าไปในงาน เพื่อไปทักทายคุณเพ็ญนภาตามมารยาท

   ตอนนี้งานยังไม่เริ่ม พนักงานของโรงแรมจัดเตรียมสถานที่กันขวักไขว่ เขามองไปรอบ ๆ จนเห็นคุณเพ็ญนภายืนอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านข้างเวที เขาจึงเดินเข้าไปหา คุณเพ็ญนภาเหมือนจะเห็นเขาแล้ว เพราะเธอยืนหันหน้ามาทางเขาพอดี หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันยืนหันหลังอยู่

   ด้านหลังทำไมคุ้นตาแบบนี้

   คุณเพ็ญนภาคุยอะไรกับหญิงสาวนิดหน่อยก่อนเดินเข้ามาหาเขา หญิงสาวคนนั้นเดินเลี่ยงออกจากห้องจัดงานไป แต่เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เห็น เขาจำมันได้ดี และท่ากระโดดแมวนั่น

   ท่ากระโดดแมวอย่างนั้นหรือ? พยัคฆ์ขำในความคิดของตัวเอง

   “คุณพยัคฆ์มาดูแลเองอีกแล้วนะคะ” เพ็ญนภายิ้มแซว

   “ผมมันพวกชอบงานลงสนามมากกว่างานเอกสารอย่างอากรน่ะครับ”

   “ได้คุณพยัคฆ์มาดูแลเองทั้งคน ภาก็ยิ่งอุ่นใจค่ะ ภาไม่คิดว่าบรรดาคุณหญิงคุณนายจะจัดหนักจัดเต็มกันขนาดนี้ ทำเอาภากังวลตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานเลยค่ะ”

   “ผมดูรอบ ๆ งานแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ ว่าแต่คุณภาติดงานอะไรรึเปล่าครับ เมื่อครู่ผมเห็นยังยุ่ง ๆ อยู่”

   “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ บรรดานางแบบกิตติมศักดิ์ก็ขนชุดขนเครื่องเพชรกันมาเอง ภาก็แค่ดูความเรียบร้อยดูคิวเท่านั้นเองค่ะ”

   “คุณภารับพนักงานใหม่มาเพิ่มหรือครับ คนเมื่อสักครู่ผมไม่เคยเห็น”

   “คุณพยัคฆ์ไม่ต้องห่วงค่ะ คนนั้นไม่ต้องสืบประวัติหรอกอะไรให้วุ่นวายเลยค่ะ ภารู้จักกับครอบครัวนี้ดี น้องโบตั๋นเขาเป็นน้องสาวเพื่อนของภาเอง”

   พยัคฆ์ยิ้มรับก่อนขอตัวไปเดินดูความเรียบร้อยรอบๆ งานอย่างอารมณ์ดี

   น้องโบตั๋นหรือ? เราเจอกันสองครั้งใน 1 วันเลยนะครับ

.........................................................................

   “แม่ ยังไม่เสร็จอีกหรือ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันงานหรอก” เกรียงไกรตะโกนเรียกมารดาอยู่ที่หน้าห้อง เจ้าสัวเซียงที่เดินขึ้นบันไดมามองท่าทีของลูกชายที่ดูจะหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง

   “อาเกรียง อะไรของลื้อ เอะอะโวยวายเสียงดังไปถึงข้างล่าง”

   “ก็จนป่านนี้แม่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ เดี๋ยวก็ไม่ทันงานโชว์เพชร โชว์พลอยอะไรนั่นกันพอดี”

   “แล้วลื้อจะรีบร้อนไปทำไม ได้ยินว่าแค่ขับรถไปให้แม่ลื้อเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”

   “ใช่ แต่อั๊วนัดคุณลตาเอาไว้ที่เลานจ์ในโรงแรมนั้นน่ะสิเตี่ย” เจ้าสัวเซียงได้ยินชื่อบุคคลที่สามก็ต้องขมวดคิ้วแทบจะผูกโบ

   “ทำไมลื้อถึงได้ประเจิดประเจ้อแบบนี้ งานนี้ลื้อก็รู้ว่ายังไง บริษัทฯ ของไอ้วรากรก็ต้องมารักษาความปลอดภัย เดี๋ยวพวกมันก็รู้ตัวกันพอดี” เจ้าสัวเซียงพูดเสียงเครียด และยิ่งเครียดขึ้นไปอีกเมื่อสุพรรณษา เปิดประตูออกมาจากห้องพร้อมสีหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียให้ได้

   “เฮีย เครื่องเพชรของฉันไปไหน เฮียเอาไปลงบ่อนอีกแล้วใช่ไหม?”

   “เตี่ย!!” เกรียงไกรที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ตกใจกับสี่งที่มารดาเอ่ยไม่แพ้กัน

   “ลื้อจะโวยวายทำไมให้อายเด็กมัน เข้าไปคุยกันในห้อง” แล้วทั้งหมดก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

.........................................................................

   ภายในงานแฟชั่นโชว์ เพ็ญนภาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้างาน จนพยัคฆ์ผิดสังเกต จนต้องเดินเข้าไปสอบถาม

   “มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ คุณภา”

   “เอ่อ...ค่ะ” เพ็ญนภาตอบทั้ง ๆ ที่มองไปรอบ ๆ อย่างกับจะหาใคร

   “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

   “เฮ้อ...พอดีคุณสุพรรณษา ภรรยาเจ้าสัวเซียงที่จะต้องขึ้นเวทีในอีก 10 นาทีนี้ เธอยังไม่มาเลยค่ะ ภาโทรไปก็ไม่รับสาย”

   เพ็ญนภาพูดยังไปทันขาดคำ ก็เห็นเกรียงไกรเดินเนิบนาบเข้ามาที่ทางเข้าหน้างาน จนเธอเองที่เป็นฝ่ายร้อนรนต้องรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา

   “คุณเกรียงค่ะ แล้วคุณสุพรรณษาล่ะค่ะ” เพ็ญนภามองไปทางด้านหลังของชายหนุ่ม แต่ไม่เห็นแม้เงาของคนที่พูดถึง

   “คุณแม่ล้มในห้องน้ำก่อนจะออกมานี่แหละครับ ผมกับเตี่ยเพิ่งพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่เป็นห่วงงานของคุณภามาก เลยให้ผมเดินทางมาบอกด้วยตัวเอง” เกรียงไกรพูดในประโยคที่เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า

   “แล้วคุณสุพรรณษาเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ถึงงานตรงหน้าจะสำคัญ แต่เพ็ญนภาก็อดเป็นห่วงลูกค้ารายใหญ่ไม่ได้

   “เห็นเตี่ยว่าต้องเข้าเฝือกอ่อนไว้ก่อนครับ” เมื่อเห็นว่าลูกค้าของเธอไม่เป็นอะไรมาก จึงเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เตรียมเดินกลับไปรันคิวใหม่หลังเวที

   “ว้าย!! ตายแล้วเหลืออีก 3 นาที ทำไงดีเนี่ย ภาวิ่งไปรันคิวใหม่ไม่ทันหลังเวลีแน่เลย โทรไปคงไม่มีใครด้านหลังเวทีได้ยินแน่เลย” เพ็ญนภาพูดอย่างร้อนรน

   “นายตรงนั้นมานี่หน่อยสิ” พยัคฆ์เรียกคนของเขาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา คงจะเด็กใหม่ “บอกคนของเราให้เอา ว. ไปให้คนของคุณภาที่หลังเวที แล้วเอา ว. ของนายมา” คนของพยัคฆ์พยักหน้าพูดใส่ไมค์ที่ปกเสื้อพร้อมยื่น ว. ให้พยัคฆ์

   “เชิญครับคุณภา” พยัคฆ์ยื่น ว. ส่งให้เพ็ญนภา

   ทุกการกระทำของเกรียงไกรและพยัคฆ์อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา โดยที่ทั้งสองหนุ่มไม่รู้ตัวเลย

.........................................................................

   ผมกำลังล้างอุปกรณ์ชงกาแฟในซิ้งค์ตรงเคาน์เตอร์ เพราะร้านปิดแล้ว เพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นก็กำลังเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดร้านกันอยู่ พี่แก้วที่ดูแลเก็บกวาดในครัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาหน้าร้าน มองดูความเรียบร้อยรอบ ๆ ก่อนเดินเข้ามาเช็กสต๊อกเมล็ดกาแฟที่เคาน์เตอร์

   “ตายแล้วหยก แขนไปโดนอะไรมาเนี่ย” พี่แก้วเหลือบมาเห็นท้องแขนของผมขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือขึ้นไปเก็บแก้วกาแฟที่เช็ดจนแห้ง

   “อ่อ เมื่อตอนบ่าย โดนแมวข่วนนิดหน่อยนะครับ” ผมบอกเธอ แต่เหมือนตอบคนทั้งร้าน เพราะทุกคนดูเหมือนจะละกิจกรรมที่ทำเพื่อฟังคำตอบจากผม

   “ไม่นิดแล้วค่ะ ดูสิบวมขึ้นเป็นริ้วแล้วเนี่ย” เพราะคำพูดของพี่แก้ว ทำให้ทุกคนเดินเข้ามามุงอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์กันหมด จนผมเริ่มเกร็ง

   “เอ่อ...เดี๋ยวผมเก็บของเสร็จแล้ว ตอนกลับไปหาเจ๊หงส์ ผมค่อยให้คุณหมอช่วยดูแผลให้ก็ได้ครับ” เซ้นส์ของผมบอกว่าทุกคนล้วนเป็นห่วง เรื่องที่ผมโดนแมวข่วนกัน จนต้องรีบตัดบทว่าจะไปหาหมอเอง ไม่อย่างนั้น ต้องมีคนแย่งกันอาสาทำแผลให้ผมแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่พี่แก้ว

   “คราวหน้าคราวหลังระวังตัวหน่อยนะหยก ผิวอย่างเราน่ะเห็นรอยง่าย พี่ไม่อยากเห็นนางฟ้าของร้านพี่มีแผลเป็นหรอกนะ” อีกแล้วครับ คำว่านางฟ้ามาอีกแล้ว และทุกคนก็ดูจะเห็นพ้องกับพี่แก้วด้วยครับ

   “นางฟ้าที่ไหนกันครับ พี่แก้วเลิกล้อผมเถอะครับ”

   “พี่ไม่ได้ล้อนะ พี่พูดจริง ๆ ถ้าจับเราใช่ชุดผู้หญิง แล้วไว้ผมยาวกว่านี้หน่อย เผลอ ๆ พี่ว่าสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีก”

   “นั่นพี่แก้วพูดถึงโบตั๋นรึเปล่าครับ”

   “ฮ่า ๆ นั่นสินะ หยกเหมือนโบตั๋นมากจริง ๆ” พูดถึงบุคคลที่สามยังไม่ทันขาดคำ โบตั๋นก็โทรเข้ามา ผมชี้ไปทางโทรศัพท์ให้พี่แก้วดู เป็นเชิงขออนุญาตรับสายด้วย พี่เขาก็ยิ้มพยักหน้าให้เล็กน้อย

   “ว่ายังไงตั๋น”

   “เจ่เจ้หลับแล้ว เลยโทรมาบอกหยกว่าไม่ต้องแวะมาที่นี่ ตั๋นเองก็กำลังจะกลับ ไปเจอกันที่บ้านเลยนะหยก”

   “อืม เอาอย่างนั้นก็ได้” ผมบอกตั๋นก่อนจะวางสายแล้วกลับไปทำงานที่ค้างต่อ

   “หยกรีบกลับไปทำแผลเถอะครับ งานตรงเคาน์เตอร์นี่เดี๋ยวก๊องช่วยทำต่อให้เอง”

   “ใช่ เหลืออีกนิดหน่อยเอง เรากับก๊องช่วยกันเดี๋ยวก็เสร็จ” เอ็มผู้ช่วยเชฟ อาสาช่วยก๊องอีกแรง

   “แต่...”

   “ไม่ต้องแต่ค่ะ มาค่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ” พี่แหม่มมาจากไหนไม่รู้ผมไม่ทันสังเกตครับ เธอมาถึงก็เหมือนเดิมครับ รุนหลังผมกลับไปยังห้องพักด้านหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

.........................................................................

   พยัคฆ์ทิ้งลูกน้องที่เหลือให้ทำงานตามหน้าที่ไป ส่วนเขาก็ลงมานั่งอยู่ที่เลานจ์ของโรงแรม ว่าจะหาอะไรจิบนิดหน่อยก่อนกลับไปพักผ่อน เขาเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง มุมที่เขานั่งอยู่สามารถมองออกไปบริเวณทางเข้าโรงแรมด้านหน้าได้อย่างชัดเจน

   เขาเห็นรถคุ้นตามาจอดเทียบด้านหน้า พนักงานของโรงแรมลงมายืนรอที่ประตูรถ ก่อนหญิงสาวจะเดินไปประจำที่นั่งด้านคนขับ พนักงานปิดประตูให้เธอ แล้วรถก็แล่นออกจากโรงแรมไป

   คุณลตา?

   พยัคฆ์ยิ่งแปลกใจ เมื่อรถคันถัดมา เจ้าของรถคือเกรียงไกร เขาไม่รู้หรอกว่านายเกรียงไกรขับรถแบบไหน ยี่ห้ออะไร มาเห็นอีกทีก็ตอนนายเกรียงไกรเดินมาจะขึ้นรถประจำที่นั่งคนขับนั่นแหละสัญชาตญาณบอกเขาว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พยัคฆ์มองตามรถของเกรียงไกรแล่นออกไปจนถึงถนนใหญ่ แล้วก็สะดุดกับร่างโปร่งบาง หัวทุยที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปยังสถานีรถไฟฟ้า ถึงมันจะค่อนข้างไกล จากจุดที่เขานั่งอยู่ แต่เขาจำไม่ผิดแน่ น้องโบตั๋น

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 15-09-17 {{3}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-09-2017 13:00:58
จะเลือกทางหนดี
หัวข้อ: Re: หยก 15-09-17 {{3}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-09-2017 23:01:04
ยังจับจุดไม่ถูก ต้องรอดูต่อไป
ที่แน่ ๆ เหมือนว่านายพยัคฆ์จะแยกหยกกับโบตั๋นไม่ออกนะ หึหึ
หัวข้อ: Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-09-2017 12:56:58
4

   ผมมารอเจ็กลู่ที่ป้อมยามเหมือนเดิม เวลาเดิมครับ เจ็กลู่ให้ผมรอข้างนอก ไม่อยากให้ผมเข้าไปหาข้างใน เพราะต้องวุ่นวายแลกบัตร ซึ่งผมก็พอจะจำได้ตั้งแต่มาครั้งแรกครับ สักพักเจ็กเบ้อเร่อก็เดินออกมาหาผมที่ป้อม เราพากันเดินออกไปปากซอยตรงถนนใหญ่ เลือกนั่งร้านก๋วยเตี๋ยวครับ อาเจ็กพักทานข้าวพอดี

   “เอ้า? ทำไมไม่กินล่ะอาหยก จ้องหน้าอั๊วอยู่ได้” อาเจ็กทักก่อนที่จะโกยเส้นเล็กเข้าปากต่อ

   “หยกเกือบจะจำหน้าเจ็กลู่ไม่ได้แล้วนี่” ครับผมจำหน้าเจ็กลู่ไม่ค่อยจะได้จริงๆ ครับ

   “หล่อละสิ เดี๋ยวชอบคนในเครื่องแบบเหรอเรา” เจ็กลู่แซวผมครับ ผมยิ้มไม่ตอบครับ แล้วก็เริ่มทานก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าที่เริ่มจะอืดแล้ว

   “ลื้อมาหาอั๊วมีเรื่องอะไรสำคัญใช่ไหม?” เจ็กลู่เปิดประเด็นก่อนครับ

   “ครับ เจ็กหางานเก่ง ช่วยแนะนำหยกสักงานสองงานได้ไหม?”

   “ลื้อจะหางานทำไม งานที่ร้านอาหารไม่ดีหรือไง?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ หยกอยากหางานเสริมช่วงเสาร์อาทิตย์น่ะครับ เพราะช่วงนี้เจ๊หงส์ไม่ได้ทำขนมให้พวกเราออกไปขาย”

   “อืม...เดี๋ยวอั๊วช่วยดูๆ ให้แล้วกัน”

   “ขอบคุณครับ”

   “ลื้อร้อนเงินใช่ไหม?” เจ็กลู่ตั้งคำถามที่ผมได้แต่อึ้ง ใจจริงไม่อยากให้เจ็กลู่เป็นห่วง “อาหงส์อาการหนักแล้วสิ” ผมได้แต่นิ่งไม่ตอบครับ ปิดบังอะไรเจ็กลู่ไม่ได้สักที เจ็กลู่เหมือนจะรู้ไปซะหมด “อั๊วไม่ได้มีเซ้นส์อย่างพวกลื้อสามคนหรอก แต่อั๊วพอจะเดาได้ ว่าอาหงส์อี ถ้าไม่ทำขนมออกมาส่งขายก็แสดงว่าอาการอีหนักอยู่”

   “ครับ เจ๊หงส์ต้องผ่าตัดอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า หยกกับโบตั๋นกำลังช่วยกันหาเงินอยู่ รวมเงินเก็บของเราสามคนก็ยังขาดอีกพอสมควรครับ”

   “อือ...แล้วทำไมลื้อไม่ไปช่วยงานอาโบตั๋นอีที่ห้องเสื้อล่ะ”

   “ผมจะไปทำงานอะไรที่ห้องเสื้อพี่ภาได้ล่ะครับ”

   “หึ อั๊วก็ไม่รู้หรอก แต่อั๊วเซ้นส์อั๊วบอกอั๊วว่าที่นั่นจะมีงานให้ลื้อทำแน่ๆ” เรื่องเซ้นส์เจ็กลู่ล้อผมไปอย่างนั้นเองครับ แต่เจ็กพูดเพราะประสบการณ์ล้วน ๆ

   “แล้วงานที่บริษัทฯ เจ็กลู่ล่ะ เขารับสมัครพนักงานเพิ่มไหม?”

   “ไม่ได้ ๆ งานมันไม่เหมาะกับลื้อ ที่สำคัญ มันอันตราย บางทีก็ไม่เป็นเวลาอีก ยกเว้นเสียแต่ว่า ลื้อจะยอมลาออกจากร้านอาหารนั่นมาทำกับอั๊วที่นี่ล่ะนะ”

   “ไม่เอาอะ ผมแค่อยากหางานเพิ่มช่วงวันหยุดเท่านั้น ไม่ได้อยากหางานใหม่หรอกครับ”

   “เอ่อ!! อั๊วว่าจะถามตั้งแต่อยู่หน้าป้อมแล้ว แขนลื้อไปโดนอะไรมา?”

   “โดนแมวข่วนเมื่อวานนี้น่ะครับ”

   “ไอ้ที่ว่าเก็บแมวเมื่อวานนี้อะนะ” เจ็กลู่ส่ายหน้าให้ผมน้อย ๆ ดีที่เจ็กลู่ไม่เห็นตอนผมเก็บแมว ไม่อย่างนั้นจากส่ายหน้าคงจะเป็นหัวเราะจนกรามค้าง ก็มีอย่างที่ไหนล่ะครับ อุตส่าห์กระโดดหลบรถคันเบ้อเร่อได้อย่างไร้รอยขีดข่วน แต่กลับมาได้แผลเพราะลูกแมวตัวเล็ก ๆ

.........................................................................

   ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมยังไม่สามารถหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากรายได้ประจำ ผิดกับโบตั๋น ที่พี่ภาช่วยหางานมาให้ไม่ขาด ถึงจะไม่ใช่งานเดินแบบ งานถ่ายแบบของห้องเสื้อตัวเอง ก็มีคนในวงการแฟชั่นอยากให้โบตั๋นไปถ่ายงานให้ ก็เธอน่ะสูงเพรียวมาตรฐานนางแบบระดับอินเตอร์เลยครับ หรือว่าจะจริงอย่างเจ็กลู่ว่า พี่ภาอาจจะมีงานให้ผมทำก็ได้

   “หยก หยก” โบตั๋นตะโกนเรียกผมจากชั้น 2

   “อืม” ผมขานรับพร้อมกับเดินไปที่ตีนบันได เธอชะโงกหน้าลงมามองผมจากช่องบันได

   “วันนี้หยกมีงานที่ไหนรึเปล่า” เธอถามพร้อมกับเอามือป้องโทรศัพท์ไม่ให้คนในสายได้ยิน ผมส่ายหน้าให้เธอเล็กน้อย เธอก็หลุบหน้าหายไปจากช่องบันได หายไปนานสองนานจนผมกลับลงมานั่งที่โซฟาตัวเดิม เธอก็เดินลงมา

   “วันนี้หยกไปช่วยงานตั๋นหน่อยสิ”

   “เฮียจะไปช่วยงานอะไรตั๋นได้”

   “ได้สิ ยิ่งถ้าโชคดี งานผ่านนะ จะได้เงินด้วย”

   “จะให้เฮียช่วยงานอะไร?”

   “เดี๋ยวก็รู้เอง หยกรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะได้รีบไปกัน”

.........................................................................

   โบตั๋นไม่ได้พาผมมาที่ห้องเสื้อของพี่ภาครับ แต่กลับพามาที่โรงแรมหรูย่านกลางเมือง ผมเดินตามเธอมายังห้องๆ หนึ่ง เธอเคาะประตูสักพักก็มีคนเปิดประตูให้พวกเรา คนที่เปิดประตูยิ้มรับโบตั๋นก่อนที่จะเลื่อนสายตามามองผม แล้วมองค้างอยู่อย่างนั้นครับ

   “ใครมาน่ะ” เสียงคนในห้องร้องถาม จนคนมาเปิดประตูสะดุ้ง แล้วหลบให้พวกเราเดินเข้าไป โบตั๋นเดินเข้าไปสวัสดีพี่ ๆ ข้างในห้อง ก่อนเธอจะแนะนำผม

   “นี่เฮียหยก พี่ชายของตั๋นค่ะ” ผมสวัสดีพี่ ๆ รอบ ๆ ห้อง ทุกคนมองผมสลับกับโบตั๋น แต่ละคนมีสีหน้าพอใจกันทุกคน

   “แขนน้องหยกไปโดนอะไรมาค่ะ” พี่ทีมงานคนหนึ่งถามผม

   “หยกไปโดนแมวข่วนมาค่ะ แต่แผลแห้งดีแล้ว เพียงแต่ยังเป็นรอยอยู่” โบตั๋นตอบแทนผมครับ

   “พี่ขอดูได้ไหมคะ?” ผมยื่นแขนไปให้หยกช่วยแกะผ้าพันแผลให้ เพราะผมทำเองไม่ถนัดด้วยมือข้างเดียวครับ ตั้งแต่วันที่โดนแมวข่วนโบตั๋นเป็นคนดูแลเรื่องแผลให้ผมตลอด

   “โอ๋ ๆ เธอมาดูนี่สิ พอจะใช้เมคอัพปิดรอยได้ไหม?” พี่เขาเรียกช่างแต่งหน้ามาดู

   “ไม่ไหวค่ะเจ๊ ผิวน้องขาวขนาดนี้ โบ๊ะไปก็หลอกเปล่าๆ ไม่เนียนค่ะเจ๊”

   “ถ้างั้นให้หยกใส่ปลอกแขนขนาดประมาณคืบ" โบตั๋นออกท่าทางประกอบ "แบบเก๋ ๆ สิคะ หยกใส่ข้างซ้าย ตั๋นใสข้างขวา” โบตั๋นเสนอทีมงาน แต่ละคนตาโต พร้อมพยักหน้ารับกันเป็นแถว

   สรุปคืองานวันนี้เราผ่านครับ ได้ถ่ายแบบเสื้อผ้ากัน มีชุดทั้งหมด 6 เซ็ท โดยเราที่เราจะแต่งตัวเหมือนกันในคอนเซ็ป Twin ครับ เสื้อผ้าจะเป็นสีคลุมโทน ขาว เทา ดำ เราสองคนจะใส่กันคนละสีแต่เสื้อผ้าแบบเดียวกันเป๊ะ สไตล์เสื้อผ้าเป็นชุดลำลองของห้องเสื้อแบรนด์หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักหรอกครับ พอเราแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จ เราก็ลงมาถ่ายรูปกันที่ข้างสระว่ายน้ำของโรงแรม ต้องขึ้น ๆ ลงๆ แบบนี้จนกว่างานจะเสร็จครับ แต่พอผมได้ยินค่าตอบแทนที่พวกเราจะได้แล้วก็หายเหนื่อยเลยครับ

.........................................................................

   พยัคฆ์กำลังนั่งรอวรากรที่กำลังคุยงานกับลูกค้าอยู่ที่ล๊อบบี้ของโรงแรม เพื่อจะมารายงานเรื่องของคุณหลิวที่เพิ่งได้ข่าวมากับเรื่องของลตาที่เขาแอบสืบเรื่องของเธออย่างลับ ๆ หลังจากที่เจอเธอเมื่อครั้งก่อนที่โรงแรมแห่งนี้ เขาไม่อยากเสียเวลาเข้าไปที่บริษัทฯ จึงมาดักรอพบอาของเขาที่นี่แทน ระหว่างเขาก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์รอเวลาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถึงชื่อบุคคลที่ 3 คนที่เรียกความสนใจจากเขาจนต้องลดหนังสือพิมพ์ลงเล็กน้อยเพื่อมองหาเจ้าของชื่อนั้น

   “น้องโบตั๋นเดินเร็วจัง พี่วิ่งตามเกือบไม่ทัน”

   “พี่โอ๋มีอะไรเหรอค่ะ? หรือว่าตั๋นแต่งตัวไม่เรียบร้อย” หญิงสาวพูดพลางก้มสำรวจตัวเอง

   “ไม่ใช่ค่ะ ๆ พอดีเจ๊เขาเปลี่ยนใจ อยากให้น้องโบตั๋นกับน้องหยกสลับสีปลอกแขนกันน่ะค่ะ”

   “ตั๋นก็ว่าอยู่ แต่ไม่กล้าทักเจ๊แก ตั๋นกลัวแกเคืองนะคะ” หญิงสาวพูดออกมาสีหน้าทะเล้น จนคนวิ่งตามยิ้มเอ็นดู

   “มาค่ะ พี่ซับหน้าให้ดีกว่าค่ะ”

   “เอ๊ะ พี่โอ๋ลงมาได้ แสดงว่าหยกแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหมคะ แล้วหยกไปไหนซะล่ะ”

   “น้องหยกเขาขอไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ คงตื่นเต้น เห็นว่าเป็นงานแรกของน้องหยกนี่ค่ะ”

   “นี่ตั๋นหลอกล่อมานะคะ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวไม่ยอมมาหรอกค่ะ”

   “หืม พี่ล่ะอิจฉาพี่น้องคู่นี้จริง รูปร่างก็ดี หน้าตาก็สวย ผิวเนี่ยละเอียดเชียว ยิ่งน้องหยกนะคะผิวสีน้ำนม ขาวจนพี่อิจฉา แต่เสียดายไม่น่ามีรอยแมวข่วนเลย”

   “สงสัยจะเป็นความผิดของตั๋นแน่ ๆ เลย ที่หยกแผลหายช้าอาจจะเป็นเพราะตั๋นทำแผลให้หยกไม่ดีก็ได้ แต่พี่โอ๋ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวก็หาย”

   “โอ๊ย... ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ผิวน้องเขาน่าจะเป็นรอยง่าย ลองมาเป็นพี่สิคะ สีคล้ำซะขนาดนี้ 3 วันก็ไม่เห็นรอยแล้วค่ะ อ๊ะๆ!! พูดถึงก็มาพอดี น้องหยกค่ะ ทางนี้ค่ะ มาทางนี้ก่อน” หญิงสาวโบกไม้โบกมือเรียกอีกคน

   “หยก เอาปลอกแขนของหยกมาให้ตั๋นใส่ เจ๊เขาให้เราสลับสีกัน”

   พยัคฆ์ตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า จนแทบหยุดหายใจตอนที่เห็นร่างโปร่งบางอีกร่างเดินออกมาจากมุมที่คาดว่าเป็นตำแหน่งของห้องน้ำส่วนของล๊อบบี้ เขาเห็นน้องกระโดดแมวใกล้ที่สุดก็วันที่เจอกันครั้งแรกด้วยระยะห่างของถนน 2 เลนส์ นอกจากนั้นน้องโบตั๋นที่เขาเข้าใจว่าคือคนเดียวกันกับน้องกระโดดแมวกลับเห็นเพียงระยะไกลๆ เท่านั้น เขามั่นใจว่าความจำที่เป็นเลิศของเขาไม่น่าจะถึงขั้นจำคนผิด แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ฝาแฝด จากภาพตรงหน้าและหลักฐานที่ท้องแขน น้องกระโดดแมวของเขาคือร่างโปร่งบางที่ตามหลังมา น้องหยก ใช่เขาจำแววตาสุขุมเยือกเย็น แต่มีเสน่ห์คู่นั้นได้ ผิดกับแววตาสดใสซุกซนของอีกคน

.........................................................................

   ผมเดินตามโบตั๋นกับพี่โอ๋มาตรงริมสระว่ายน้ำ ทีมงานกำลังจัดสถานที่กันวุ่นวาย มีพี่ ๆ เดินเข้ามากางร่มให้ผมกับโบตั๋น ผมมองไปรอบ ๆ บริเวณ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับสิ่งรอบข้างหรอกนะครับ แต่สิ่งที่เซ้นส์ของผมที่รับรู้ มันเตือนให้ผมต้องระวังตัว

   “น้องหยกร้อนมากเหรอคะ หรือว่าตื่นเต้น เหงื่อออกเยอะเชียว เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาพัดให้นะคะ” พี่โอ๋ซับหน้าให้ผมเสร็จก็วิ่งไปทางกลุ่มทีมงาน

   “หยก...” โบตั๋นเรียกผม ผมหันไปสบตาเธอแล้วพยักหน้าให้

   “ตั๋นเองก็รู้สึก แต่มันหายไปแล้วตั้งแต่ที่เราเดินออกมาจากล๊อบบี้น่ะ”

   “ตอนนั้นเฮียก็รู้สึก แต่จนถึงตอนนี้...”

   “ตั๋นไม่รู้สึกแล้วนะ หยกยัง...”

   “อืม แล้วเหมือนมันจะรุนแรงขึ้นมานิดหน่อยนะ” โบตั๋นตกใจจนสามารถสังเกตเห็นได้ทางสีหน้า พร้อมกับช่วยมองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างกังวล

   “ไม่เป็นไรหรอก อย่ากังวลเลย คนอยู่เยอะแยะ เดี๋ยวจะเสียงานเสียการเอานะ” ผมพูดปลอบโบตั๋นไป ทั้งที่ผมเองยังรู้สึกแปลก ๆ ความรู้สึกรุนแรงนี้ ผมไม่เคยเจอมาก่อน รู้แต่ว่ามันอันตราย เหมือนกับว่า มีเสือกำลังแอบซุ่มดูเหยื่อของมันอยู่มุมมืด เพื่อรอค่อยเวลาสำหรับออกล่าและตะครุบเหยื่อ ซึ่งผมนี่แหละคือเหยื่อของเสือร้ายตัวนั้น

   “มาแล้วค่ะ ๆ พี่พัดให้นะคะ” พี่โอ๋เข้ามาพร้อมพัดในมือ มาถึงก็โบกใส่หน้าผมอย่างเอาใจ จนโบตั๋นมองยิ้ม ๆ สักพักเราก็เริ่มถ่ายรูปกัน แรก ๆ ผมก็เกรง ๆ ครับ พอชินทุกอย่างก็เริ่มลื่นไหล อาจจะเป็นเพราะเหมือนผมกับโบตั๋นจะหยอกล้อกันไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะสนใจกล้องแล้วในตอนนี้ ช่างภาพได้แต่กดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ไม่ได้บอกให้เราทำโน่นทำนี่อย่างในช่วงแรก ๆ

   “ไปค่ะ 2 คน เตรียมขึ้นไปเปลี่ยนชุดกัน” พี่โอ๋เดินมาหาพวกผม “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่านี่เป็นงานแรกของน้องหยก แรก ๆ พี่กังวลเพราะดูเหมือนน้องหยกจะเกร็ง ๆ แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นธรรมชาติมากเลยค่ะ เหนื่อยไหมคะ?” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยครับ

   “ตั๋นชักแอบน้อยใจแล้วสิ พี่โอ๋ดูจะเอาอกเอาใจหยกจนออกนอกหน้า ทำเหมือนลืมว่าตั๋นก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้ารู้แบบนี้ไม่พาหยกมาเปิดตัวซะก็ดี”

   “โอ๋ ๆ ๆ ไม่น้อยใจนะคะ มาพี่ช่วยซับหน้าให้ค่ะ” พี่โอ๋ละจากผม แล้วเข้าไปคล้องแขนโบตั๋น พากลับเข้าตัวโรงแรม พร้อมกับซับหน้าให้ ส่วนผมก็ค่อย ๆ เดินตามหลังพวกเธอไปครับ เห็นเธอซุบซิบอะไรกับพี่โอ๋สักพัก ทั้งสองก็หันมาทางผม โบตั๋นต้องมีแผนอะไรสักอย่างแน่ ๆ

.........................................................................

   วรากรเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับพยัคฆ์ เขาเห็นเจ้าหลานชายจ้องมองออกไปทางสระว่ายน้ำตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในส่วนของล๊อบบี้แล้ว กระทั่งเขาหย่อนก้นลงที่โซฟาตัวตรงข้ามพยัคฆ์ก็ยังไม่มีทีท่าละสายตา ไม่ใช่ว่าหลานเขาจะไม่รับรู้ถึงการมาของเขา คนอย่างพยัคฆ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมีหรือจะจำเสียงฝีเท้าเขาไม่ได้ แต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่สนใจมากกว่า จนเขาต้องหันไปดูว่าหลานชายตัวดีของเขาติดใจอะไรอยู่กันแน่ แล้วเขาก็ได้คำตอบ

   “ปกติแกไม่ได้บ้าพวกนางแบบนี่? แล้วยิ่งดูใสๆ แบบนี้แล้วด้วย” วรากรรู้รสนิยมหลานชายตัวเองดี คู่ควงของพยัคฆ์ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อนข้างจะโลวโปรไฟล์แต่ก็เปรี้ยวเข็ดฟันไม่น้อย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นข่าวทางสังคมและหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะมีผลกับงานภาคสนามของพยัคฆ์ ผิดกับเขาที่ขึ้นแท่นผู้บริหาร ไม่จำเป็นต้องออกงานภาคสนามแต่อย่างใด

   “...”

   “แล้วไหนแกว่าแกรีบ ถึงต้องมาดักรออาที่นี่” ในที่สุดพยัคฆ์ก็หันมาสนใจเขาจนได้ แต่ไม่วายลอบถอนหายใจเล็กน้อย

   “อย่างนั้นผมเข้าเรื่องเลยนะ” พยัคฆ์หยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋า วรากรเองก็เช่นกัน “ตอนนี้คนในภาพทำงานอยู่ที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก” วรากรมองภาพถ่ายบนแท็บเล็ตของตัวเองที่พยัคฆ์เพิ่งส่งรูปมาให้ เขาเลื่อนรูปไปเรื่อย ๆ

   “แกจะบอกว่าเขาไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าโดนสะกดรอยอยู่” วรากรถามเพื่อความแน่ใจ

   “ผมว่าไม่” พยัคฆ์พูดทั้งที่สายตาไม่ได้เงยขึ้นมามองหน้าผู้เป็นอาเลย ยังคงจ้องมองในแท๊บเลตของตัวเอง “จากที่ไปสอบถามคนละแวกนั้น ได้ข้อมูลมาว่า คนในรูปทำงานเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับลูกชายของนักการเมืองคนหนึ่ง ผมกำลังจะส่งคนของเราเข้าไปในค่ายมวย แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”

   “นักการเมืองคนนั้นเป็นใคร”

   “ท่านครรลอง”

   “แล้วนี่ แกส่งรูปนี้มาทำไม” วรากรเลื่อนมาที่รูปต่อไป กับเป็นรูปของลตาที่กำลังเดินช๊อปปิ้งอยู่ในห้างดัง

   “ผมสงสัยเธอ”

   “เรื่อง?”

   “ตอนนี้ผมยังไม่มีเบาะแสอะไร แต่ลางสังหรณ์ของผมบอกว่า เธอเกี่ยวข้องกับนายเกรียงไกร เผลอ ๆ อาจจะรวมถึงเจ้าสัวเซียงด้วย ถ้าอาไม่ว่าอะไร ผมจะขอสืบต่อ” วรากรรู้ดีถึงเหตุผลที่พยัคฆ์ขออนุญาตเขาดี เพราะใคร ๆ ต่างก็พากันลือไปว่าลตา เป็นคู่หมั้นของเขา

   “แกก็รู้ว่าฉันมีคนรักอยู่คนเดียว”

   “คะ...ครับ” วรากรแปลกใจกับคำพูดติดขัดของพยัคฆ์จนต้องเงยหน้าจากแท็บเล็ต เขาเห็นหลานชายมองไปยังกลุ่มคนตรงโถงทางเข้าโรงแรมด้านหน้า ที่ดูเหมือนจะมีคนเป็นลมอยู่ในกลุ่มนั้น

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-09-2017 15:21:35
เจอกัน (ข้างเดียว) เสียที
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 16-09-17 {{:::4:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-09-2017 18:29:15
ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-09-2017 17:16:37
5

   โบตั๋นแกล้งผมจนได้เรื่องเลยครับ หลังจากที่เธอวางแผนกับพี่โอ๋มาฉกของสำคัญของผมไป ของที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ผมวิ่งไล่จับกับโบตั๋นจนมาถึงหน้าโถงทางเข้าโรงแรมเลยครับ พี่โอ๋ก็ได้แต่ยืนหัวเราะที่เห็นพวกเราหยอกเล่นกันอยู่ จนพี่ทีมงานคนที่บอกให้ผมกับโบตั๋นสลับสีปลอกแขนกัน ผมไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร เห็นเขาเรียกๆ กันว่าเจ๊ ๆ ลงมาตามพวกเรานั่นแหละ งานเข้าแล้วครับ


   “ว้าย เล่นอะไรกันค่ะเด็ก ๆ ไม่รีบขึ้นไปแต่งตัวค่ะ” เสียงมาก่อนตัวครับ แล้วเธอก็เดินมาหาพี่โอ๋ “ดูน้อง ๆ กันยังไงฮ่ะ ยัยโอ๋” พี่โอ๋ยิ้มแล้วชี้บอกให้ดูทางผมกับโบตั๋น ตอนนี้โบตั๋นหน้าสลดเชียวครับ ผมมองเธอด้วยสายตาคาดโทษ เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ให้เสียงาน หมดความน่าเชื่อถือกันพอดี

   “เจ้อย่าเพิ่งดุสิ น้องโบตั๋นเขาแค่อยากให้เห็นอะไรดี ๆ ก็แค่นั้น” ผมได้ยินพี่โอ๋คุยกับเจ้ครับ เรา 2 คนค่อย ๆ เดินไปสมทบกับพี่ ๆ เขาที่หน้าทางเข้าลิฟต์บบี้ เจ๊เขาจ้องมาที่ผม ดูจากสีหน้าของแกเหมือนจะตกใจมาก มองผมตาค้าง เหมือนแกช็อกครับ พอพวกผมเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าแก กำลังจะเอ่ยขอโทษเลยครับ เจ้ก็เป็นลมล้มพับไปเลย ดีที่พี่โอ๋ยืนคล้องแขนเธออยู่ก่อนแล้ว จึงพอประคองตัวเจ๊เขาไว้ได้

   “ว้าย/เฮ้ย” โบตั๋น,พี่โอ๋/ผม อุทานออกมาแทบประสานเสียงกัน

   “นะ..นะ.. น้องโบตั๋นค่ะ มาช่วยพี่หน่อยค่ะ” พี่โอ๋ใช้มือข้างที่ว่างกวักเรียก โบตั๋นละล้าละลังอยู่แป๊บหนึ่ง ก่อนจะยัดถุงผ้ากำมะหยี่คืนใส่มือผม แล้วไปช่วยประคองเจ๊เขาอีกด้าน

   ...



   ..



   .



   อยู่ๆ ความรู้สึกโหวงในโพรงอก เหมือนมีลูกศรปลายแหลมพุ่งเข้ามาปัก มันรุนแรงชนิดที่ผมตั้งรับมันไม่ทัน ขนอ่อนในร่างกายผมพร้อมใจกันตั้งขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ ผมยังคงยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น สั่นชนิดที่ผมไม่สามารถก้าวเท้าเดินตามโบตั๋นกับพี่โอ๋ที่เดินพยุงเจ๊ไปทางหน้าลิฟต์ได้ สัมผัสจากฝ่ามือหนา ที่ไหล่ผม มือของใครกัน

   “น้องหยกเป็นอะไรไปครับ” พี่ช่างภาพนี่เอง ผมจำเสียงพี่เขาได้ สมองผมสั่งให้หันไปบอกพี่เขาว่าไม่เป็นอะไร แต่ร่างกายผมไม่ฟังคำสั่งผมเลยครับ

   “หยก ๆ” เสียงโบตั๋นครับ เธอวิ่งกลับมาหาผม ปล่อยให้พี่ช่างภาพไปช่วยพี่โอ๋แทน ฝ่ามือทั้งสองข้างของโบตั๋นทาบอยู่ที่แก้มของผม เธอตบเบาๆ พยายามเรียกสติผม

   “ตั๋น...” กว่าผมจะเค้นคำเรียกโบตั๋นได้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เสียงผมสั่นพอ ๆ กับร่างกาย โบตั๋นใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้ ซึ่งผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลออกมาตอนไหน ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่ง รั้งท้ายทอยผมให้ซุกหน้าซบลงบนไหล่ของเธอ พร้อมโอบกอดผมไว้

   “หยก...ไม่เป็นไรนะ ตั๋นอยู่นี่” ผมไม่รู้ว่าเซ้นส์ของเธอสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบเดียวกับผมไหม ความรู้สึกของเหยื่อที่กำลังถูกล่า มันทั้งชัดเจนและรุนแรง ผมกลัวครับ ไม่เคยกลัวขนาดนี้มาก่อน โบตั๋นพยายามปลอบผม แต่ความรู้สึกนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะเบาบางลงแล้วค่อย ๆ หายไป

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งถามพวกเราครับ ผมรู้สึกได้ว่าโบตั๋นจะส่ายหน้าบอกผู้ชายที่มายืนอยู่ใกล้ ๆ “แต่น้องเขาดูหน้าซีดมากเลยนะครับ” โบตั๋น ดันไหล่ผม ใช้สองมือลูบคราบน้ำตาออกจากใบหน้าผม

   “เราขึ้นไปพักข้างบนกันนะหยก” โบตั๋นคว้ามือผมไว้ข้างหนึ่ง บีบเบา ๆ ก่อนหันหน้าไปขอบคุณชายที่เข้ามาถามพวกเรา แล้วค่อย ๆ จูงผมไปยังโถงลิฟต์ ผมเงยหน้าจากมือของโบตั๋นที่กุมมือผมอยู่เพื่อจะมองทาง แต่...สายตาที่มองผม....ดวงตาดุคู่นี้...



   ...





   ..





   .





   ดวงตาที่บ่งบอกถึงความต้องการ...ที่จะล่าเหยื่อ...





   ...





   ..





   .





   คนคนนี้ .... ต้องการล่าผม...





   ...





   ..



   

   .



   แม้จะสบตากันแค่ครู่เดียว แต่ผมรู้สึกว่ามันนานแสนนาน นานจนอึดอัด นานจนหายใจไม่ออก ประสาทสัมผัสของผมเหมือนจะหยุดทำงานลงเสียดื้อ ๆ แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบ จนกลายเป็นความมืดมิด

   “หยก!!” แต่ผมยังพอจะได้ยินเสียงของโบตั๋น เธอเรียกผม น้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอกุมมือผมอยู่แท้ๆ

.........................................................................

   พยัคฆ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะตอบอากรของเขาไป ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอาของเขากำลังพูดอะไรอยู่ เขามองร่างโปร่งตรงหน้าที่เดินเคียงคู่มากับฝาแฝด ตรงเข้าไปหาหญิงสาวอีก 2 คนที่เหมือนจะยืนรออยู่ ใบหน้าขาวนวล ตัดกับแก้มสีแดงระเรื่อ ไม่เพียงแต่แก้มเท่านั้น จมูกจิ้มลิ้มน่าขบนั่น ก็ขึ้นสีตามไปด้วย มันไม่ได้เกิดจากการแต่งหน้า เขารู้ดี ภาพที่เห็นมันช่างเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกกาย หากไม่เอามือมากุมไว้เสียก่อน

   “ไอ้เสือ...เฮ้ย...ไอ้เสือ” วรากรเรียกสติเขา “เป็นเอามากนะแก”

   “อามีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมขอตัว”

   “เฮ้ย!! ...ไอ้นี่... แกเป็นคนนัดอามาเองไม่ใช่เหรอว่ะ” พยัคฆ์ได้ยินอาของเขาบ่นไล่หลังมา แต่เขาไม่สนใจ เพราะตอนนี้ เขาสนใจแต่ร่างโปร่งตรงหน้า ความรู้สึกว่าอยากได้ อยากกอด อยากครอบครอง ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีให้กับใครมาก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มอยู่ ๆ ก็เป็นลม นี่อาจจะเป็นโอกาส ที่จะได้ทำความรู้จักกับน้องหยกของเขา

   พยัคฆ์สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ น้องโบตั๋นพยุงคนเป็นลมเดินไปจนเกือบถึงหน้าลิฟต์แล้ว ทิ้งให้น้องหยกของเขายื่นค้างอยู่ที่เดิม แล้วช่างภาพที่เขาเห็นตรงสระว่ายน้ำ อยู่ๆ ก็เดินมาจับไหล่คนของเขา ภาพที่เห็นเรียกความรู้สึกพลุ่งพล่านให้ตีขึ้นมาจากโพรงอกได้เป็นอย่างดี จนอยากจะเข้าไปกระชากฝ่ามือนั้นออกมาเสียจริง ดีที่น้องโบตั๋นวิ่งมาก่อน ไอ้ช่างภาพนั่นก็เลยไปช่วยหิ้วปีกคนเป็นลมแทน พยัคฆ์เดินเกือบถึงตัวสองพี่น้องตรงหน้า เขาผ่อนฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อคิดหาวิธีเข้าไปทำความรู้จัก แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นคนของเขาจากที่หน้าขึ้นสีเมื่อครู่ กลับกลายเป็นขาวซีดราวกับกระดาษ แล้วไหนจะน้ำใส ๆ ที่คลออยู่นี่หน่วยตานั่นอีก เกิดอะไรขึ้น

   “ตั๋น...” เสียงแผ่วหวานนั่น เอ่ยออกมาเสียงสั่น ก่อนน้ำตาจะไหลลงมา น้องโบตั๋นช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้เล็กน้อยก่อนจะสวมกอดเพื่อปลอบใจ

   “หยก...ไม่เป็นไรนะ ตั๋นอยู่นี่” เขาอยากกอด อยากเป็นคนปลอบ อยากจะแทนที่น้องโบตั๋นในตอนนี้

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พยัคฆ์ที่เดินเข้าไปใกล้คนทั้งคู่เอ่ยถาม น้องโบตั๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบ สีหน้าแสดงออกถึงความไม่ไว้ใจ “แต่น้องเขาดูหน้าซีดมากเลยนะครับ” ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากคนทั้งสอง จน...

   “เราขึ้นไปพักข้างบนกันนะหยก” โบตั๋นจูงคนของเขา เหลือบมองพยัคฆ์พร้อมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ...ตามมารยาท

   พยัคฆ์พยักหน้ารับอย่างเสียดาย แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขามองคนที่โดนจูงเงยหน้าขึ้นจากมือที่ถูกกุมไว้ สายตาของร่างโปร่งตรงหน้าสบตาเข้ากับเขา

   แววตาคู่นั้น...มันสั่นระริก...

   แววตาคู่นั้น...แสดงออกมาถึงความหวาดกลัว

   แววตาคู่นั้น...ยิ่งทำให้พยัคฆ์อยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคนตรงหน้า

   ร่างโปร่งตรงหน้าเริ่มโงนเงนคล้ายกับจะยืนไม่อยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะทิ้งน้ำหนักตามแรงโน้มถ่วง ด้วยสัญชาตญาณ พยัคฆ์พุ่งเข้าไปรับร่างนั้นได้ก่อนที่จะล้มลงไปกองกับพื้น ตามด้วยเสียงร้องตกใจของโบตั๋น

   “หยก!!”

   “เดี๋ยวผมช่วยอุ้มไปส่งครับ” พยัคฆ์อาสา โบตั๋นเองก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะคนอื่น ๆ ขึ้นห้องไปกันหมดแล้ว

   ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์พยัคฆ์รู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่ค่อยจะไว้ใจและเจือไปด้วยความสงสัยของโบตั๋น มันเป็นสายตาที่ชวนให้อึดอัด จนเขาไม่รู้จะชวนคุยอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เมื่อลิฟต์เปิดออกในชั้นที่เป็นจุดหมาย เขาเดินตามโบตั๋นไปยังห้องห้องหนึ่ง เมื่อคนข้างในเปิดประตูก็ร้องตกใจ

   “เฮ้ย...น้องหยกเป็นอะไรอะ?” ไอ้ช่างภาพคนนั้นเป็นคนมาเปิดประตู

   “หยกเป็นลมค่ะพี่เมฆ” โบตั๋นบอก ก่อนขอทางให้พยัคฆ์พาหยกเข้ามาในห้อง

   “ให้นอนบนเตียงกับเจ๊เปิ้ลคงไม่ดี โซฟาแล้วกัน” ช่างภาพที่ชื่อเมฆเป็นคนตัดใจ ก่อนคนในห้องจะกุลีกุจอเคลียร์พื้นที่บนโซฟายาว พยัคฆ์นึกในใจ อยากให้เวลาเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะเขายินดีที่อุ้มคนในอ้อมแขน ให้อุ้มตลอดทั้งคืนก็ยังได้

   “เพราะความพิเรนทร์ของโบตั๋นแท้ ๆ ที่ทำให้ทั้งเจ๊ ทั้งหยกต้องเป็นแบบนี้” โบตั๋นพูดเสียงอ่อยกับเมฆ

   “แล้วน้องหยกเป็นอะไรไปครับ ตอนถ่ายรูปพี่ยังเห็นดี ๆ อยู่เลย”

   “น้องหยกคงตกใจที่เจ๊เปิ้ลเป็นลมแน่ ๆ เลย” หญิงสาวที่น่าจะชื่อโอ๋ออกความเห็น ทำให้โบตั๋นยิ้มเจื่อน เพราะเธอก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับคนภายนอกเข้าใจได้ เลยปล่อยเลยตามเลย “สุดหล่อ ๆ มานี่ค่ะ วางน้องเขาลงตรงนี้นะคะ” พยัคฆ์จำต้องวางร่างในอ้อมกอดอย่างเสียดาย

   “ขอบคุณ คุณมากนะคะ ที่ช่วยอุ้มหยกมาส่ง ยังไงโบตั๋นเดินไปส่งนะคะ” พยัคฆ์ ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนมองไปที่ร่างที่หลับใหลอยู่บนโซฟายาว

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “เชิญค่ะ” พยัคฆ์มีหรือที่จะไม่ว่ารู้คำพูดและท่าทางที่โบตั๋นแสดงออกมานั้น ล้วนแสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบหน้าและไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรุ่มร่ามแต่อย่างใด พยัคฆ์เดินออกมาจากห้องพักพร้อมกับเดินไปที่หน้าลิฟต์ บ่ายนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะไปสืบเรื่องของลตากับเกรียงไกร แต่คงต้องเปลี่ยนไปเยี่ยมเยียนลูกค้าคนสำคัญของเขาสักหน่อยแล้ว

.........................................................................

   ผมเริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากที่ห่างไกล ก่อนจะค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นในหัวสมองอย่างช้า ๆ

   “พวกแกก็รู้ว่าเจ๊แพ้ความน่ารัก ยิ่งเจอแบบจัง ๆ เหมือนโดนพุ่งชนขนาดนี้ จะไม่ให้เจ๊สำลักความน่ารักไปได้ยังไง”

   “สำลักจนเป็นลมเป็นแล้งเลยนะเจ๊” พี่เมฆแซว

   “ตั๋นขอโทษนะคะ ที่ทำให้พี่ ๆ ต้องเสียงานเสียการวันนี้”

   “โอ๊ย...ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ดีซะอีก เจ๊จะได้เจอน้องหยกอีกหลาย ๆ วัน”

   “ตั๋นชักเริ่มอิจฉาหยกแล้วสิ มีแต่พี่โอ๋ก็รัก เจ๊เปิ้ลก็หลง ทั้ง ๆ ที่ตั๋นกับหยก หน้าตาเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด”

   “พี่เองก็อธิบายไม่ถูกค่ะ ถึงหน้าตาของน้องทั้งสองคนเหมือนกันก็จริง แต่น้องหยก...ดูมีเสน่ห์...น่ามอง...จนมันละสายตาไม่ได้เลยค่ะ”

   “อ่าว แล้วอย่างตั๋นล่ะค่ะเจ๊”

   “ตรง ๆ เลยนะคะน้องโบตั๋น เสน่ห์ของหนู...เป็นแบบพื้น ๆ นะคะ”

   “น้องหยก ๆ” เสียงพี่โอ๋เรียกผมครับ คงเป็นเพราะผมเริ่มขยับตัว พอลืมตาขึ้นมา ผมเห็นโบตั๋นเป็นคนแรก เธอนั่งเบียดผมอยู่บนโซฟานอนตัวยาว และกุมมือผมไว้ ถัดออกไปเป็นเจ๊ กับพี่โอ๋

   “เป็นยังไงบ้างหยก ค่อย ๆ ลุกนะ เดี๋ยวหน้ามืด” โบตั๋นปล่อยมือผม คงจะกุมอยู่คลอดเวลาที่ผมหมดสติ เปลี่ยนมาเป็นประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง

   “เฮียไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”

   “น้องหยกเป็นผู้ชายจริง ๆ เหรอครับ” พี่เมฆถามผมขึ้นมาดื้อๆ เลยเจอฝ่ามือของเจ๊และพี่โอ๋ไปคนละหลายๆ ตุบ “อ่าว ก็น้องเขาเป็นลมง่าย ผมก็สงสัยนี่” พี่เมฆแก้ตัวกับทั้งสอง ผมมองไปรอบ ๆ ห้อง ไม่เห็นทีมงานคนอื่นเลย เหลือกันอยู่ในห้องแค่นี้ โบตั๋นสบตาผม

   “ไว้พรุ่งนี้ค่อยถ่ายกันใหม่น่ะ วันนี้เราเลิกกองกันก่อน” โบตั๋นตอบเสียงแผ่ว

   “ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้พี่ๆ ทุกคนเสียงานเสียการ” ผมยกมือขึ้นไหวพี่ ๆ รอบห้อง

   “ตั๋นก็ด้วยนะคะ” โบตั๋นทำตามผมครับ

   “เอาเป็นว่า ถ้าพี่ได้ยินน้องสองคนขอโทษพี่อีกครั้ง พี่จะโกรธจริง ๆ แล้วนะคะ” เจ๊เป็นบอก

   “ให้น้องหยกพักอีกสักหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งน้องทั้งสองคนเอง” พี่เมฆอาสา เราสองคนมองหน้ากับนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า ระหว่างที่ผมหมดสติไป โบตั๋นเก็บข้าวของทั้งของเธอและของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนคืนทีมงานเลย

   “เจ๊เปิ้ลค่ะ ชุดที่หยกใส่ เดี๋ยวตั๋นซักมาคืนทีหลังได้ไหมคะ?”

   “ไม่ต้องคืนค่ะ น้องโบตั๋นไม่ทราบเหรอคะว่าปกติ เจ้าของแบรนด์เขาจะให้เสื้อผ้าที่ใส่กับนายแบบนางแบบเลย”

   “ไม่ทราบค่ะ พี่ภาไม่เคยบอก”

   “เอ้...น้องโบตั๋นกับน้องหยก...ยังไม่สังกัดบริษัทฯ ไหนเหรอคะ?”

   “ไม่ค่ะ ตั๋นเพิ่งจะมารับงานพี่ภาได้สักอาทิตย์ ส่วนงานเจ๊เปิ้ล เพื่อนของพี่ภาแนะนำให้ตั๋นโทรหาเจ๊เปิ้ลค่ะ”

   “ดีนะที่พี่รู้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องไปเที่ยวหากัน ว่าต้องจ่ายเงินเข้าสังกัดใคร”

.........................................................................

   หงส์นั่งมองญาติคนไข้เตียงด้านในทยอยเก็บข้าวของของผู้ป่วย เพื่อเตรียมตัวจะกลับบ้านไปพักต่อ หลังจากอาการดีขึ้นจนคุณหมออนุญาตให้กลับได้ บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามาให้ญาติของผู้ป่วยเผื่อจะเรียกใช้ หงส์สบตาชายคนนั้นเล็กน้อย ก่อนจะกดปุ่มเรียกพยาบาลที่หัวเตียง

   “คุณหงส์รู้สึกไม่ดีตรงไหนคะ” พยาบาลตรงเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง

   “หงส์อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะคะ แต่วันนี้น้อง ๆ หงส์ติดงานกันทั้งคู่ คุณพยาบาลช่วยพาหงส์ไปหน่อยได้ไหมคะ?”

   “เดี๋ยวผมพาไปเองก็ได้ครับ” บุรุษพยาบาลที่อยู่ในห้องบอกพยาบาลที่เพิ่งเข้ามา

   “ถ้าอย่างนั้นก็ฝากคุณหงส์ด้วยนะคะ”

   “ผมขอตัวไปเอารถเข็นมาก่อนนะครับคุณหงส์”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2017 17:37:27
 :ling3:
หัวข้อ: Re: หยก 17-09-17 {{:::5:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-09-2017 18:29:58
ถ้าหยกกลัวขนาดนี้ เขาจะรู้จักกันได้ยังไง  :a5:
หัวข้อ: Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-09-2017 10:03:38
6

   บุรุษพยาบาลเข็นรถพาหงส์ออกมาบริเวณสวนหย่อมลอยฟ้าของโรงพยาบาล เข้าก้มลงล็อกล้อกันรถเข็นไหล ก่อนเดินไปสำรวจโดยรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่น่าสงสัย อีกทั้งไม่มีแม้แต่หมอหรือพยาบาลขึ้นมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ จึงค่อยเดินกลับไปมาหงส์

   “...”

   “ผมทราบจากนายน้อยมาว่า คุณหนูต้องผ่าตัด” เขาถามคนบนรถเข็น

   “หงส์อยากจะถ่วงเวลาไปอีกสักหน่อย อย่างน้อยให้โบตั๋นเรียนจบก่อนก็ยังดี จะได้ไม่ต้องมากังวล มาห่วงหงส์ แต่สองคนนั้นไม่ยอม”

   “คุณหนูเชื่อนายน้อยกับคุณหนูเล็กเถอะนะครับ อย่าประวิงเวลาไว้เลย”

   “ค่ะ หงส์ห่วงก็แต่น้องๆ ที่วิ่งวุ่นหาเงินกันอยู่”

   “คุณหนูไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ คุณหนูก็ทราบว่ามีผมจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ นายน้อยกับคุณหนูเล็กไม่ลำบากไปกว่านี้แน่นอนครับ”

   “ตอนนี้ที่เจ็กกลับมาอยู่ใกล้ๆ พวกเรา แสดงว่าทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้วใช่ไหมคะ?”

   “เกือบแล้วครับ ผมเจอคนคนนั้นแล้วครับ คนที่มีบารมีเพียงพอที่จะครอบครองของทั้งสามชิ้น เพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”

   “ถึงเขาจะอยู่ฝ่ายเรา ก็ใช่ว่าเขาจะยอมแต่งเข้าสกุลฝู่ เหมือนอย่างป๊านี่คะ”

   “คุณหนูอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ทำใจให้สบายดีกว่าครับ หลังผ่าตัดคุณหนูก็ต้องฟื้นฟูร่างกายอีกขนานใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า”

   “หงส์ขอบคุณนะคะ เจ็ก หลายปีมานี้เจ็กเสียสละเพื่อพวกเรามามากจริง”

   “ผมปิดความรู้สึกจากคุณหนูไม่ได้จริง ๆ ดูท่าทางคุณหนูจะควบคุมของสิ่งนั้นได้ดังใจเลยนะครับ”

   “หยกโชคดีมากกว่าค่ะ ที่หม่าม๊าสอนพื้นฐานมาให้ตั้งแต่จำความได้”

   “แล้วคุณหนูไม่คิดจะบอกนายน้อยกับคุณหนูเล็กเหรอครับ นายน้อยก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด...ปีนี้อายุน่าจะย่างเข้า 24 ปีแล้ว”

   “ใช่ค่ะ แต่หงส์คิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา”

   “ถ้าคุณหนูตัดสินใจอย่างนั้น ผมก็ไม่อาจจะขัดได้”

   “เจ็ก...ได้เจอคนคนนั้นรึยังค่ะ”

   “ผมคงต้องไปแล้วครับ อยู่นานไม่ได้”

   “คงเจอแล้วสินะ...ถ้ามีโอกาส ก็ไปหาเขาเถอะนะคะ”

   “...”

   “เฮ้อ...ตามใจเจ็กแล้วกันค่ะ หงส์แค่อยากให้เจ็กมีความสุข...กับคนที่เจ็กรัก”

   “มันคงยังไม่ถึงเวลาอย่างที่คุณหนูว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ...ผมพาคุณหนูลงไปส่งที่ห้องนะครับ”

   “ระวังตัวด้วยนะคะ เจ็กหลิว” ชื่อของคุณตรงหน้า หงส์ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป หลิวลู่พยักหน้ารับ ก่อนพาคุณหนูของเขาลงไปส่งที่ห้อง โดยตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดจาอะไรกันอีกเลย ประหนึ่งคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

.........................................................................

   ผมนั่งเล่นพิงหัวเตียงอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ในหัวก็คิดย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ภาพชายคนนั้นยังติดตาผมอยู่ แววตาดุคู่นั้น แล้วยังความรู้สึกที่แผ่กระจายออกมานั่นอีก มันรุนแรงอย่างน่ากลัว เขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ความคิดของผมสะดุดลง

   “ตั๋นขอมานอนด้วยนะ” โบตั๋นเปิดประตูเขามาพร้อมกับหมอนใบใหญ่ในมือ

   “เฮียไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องมานอนเฝ้าหรอก”

   “ไม่เอาอะ นอนคนเดียวเหงาจะตาย เจ่เจ้ไม่อยู่ให้กอด” บ้านนี้มีแค่สองห้องนอนครับ ผมได้ห้องเล็ก ส่วนเจ๊หงส์กับโบตั๋นอยู่ด้วยกันที่ห้องใหญ่

   “ไม่ต้องมาเฉไฉเลย เฮียบอกแล้วว่าเฮียไม่เป็นไร”

   “หยกไม่เป็น แต่ตั๋นเป็น” โบตั๋นพูดจบก็กระโดดขึ้นเตียงผมทันที

   “อยากรู้?” ผมถามเธอ

   “อืม”

   “อยากรู้ไปทำไม เป็นลมต่อหน้าคนอื่น มันน่าอายจะตาย”

   “ตั๋นให้หยกทำใจก่อน ระหว่างนี้ก็ฟังตั๋น”

   “...” ผมพยักหน้ารับ

   “ตอนที่อยู่ในล็อบบี้ ตั๋นหมายถึงช่วงก่อนที่เราจะถ่ายแบบอะนะ ตั๋นรู้สึกเหมือนถูกคนมอง มองเหมือนสนใจเราน่ะ อย่างที่หนุ่ม ๆ ในมหาลัยตั๋นรู้สึกนั่นแหละ อยากเข้ามาจีบเราประมาณนี้นะ มันรู้สึกขึ้นมาวูบเดียว จนหยกเดินออกจากห้องน้ำมา จู่ๆ ความรู้สึกนั้นมันก็หายไป”

   “หายไป?”

   “ใช่ หายไปเฉยๆ เลย มันไม่ได้ค่อยๆ จางหายไปเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น”

   “แล้วยังไงต่อ”

   “อีกครั้งก็ตอนที่ตั๋น พยุงเจ๊เปิ้ลมาเกือบถึงหน้าลิฟต์ ความรู้สึกคล้ายๆ กัน มันกลับมาอีกครั้ง แค่คล้าย ๆ นะและครั้งนี้มันชัดมาก แต่จับความรู้สึกนั้นไม่ได้หรอกว่ามันสื่อถึงอะไร ที่ตั๋นแปลกใจก็คือความรู้สึกนี้มันไม่ได้ส่งมาหาตั๋น”

   “หมายความว่ายังไง ถ้าความรู้สึกนั้นไม่ได้ส่งถึงตั๋น แล้วเซ้นส์ของตั๋นสัมผัสถึงมันได้ยังไง”

   “ตั๋นเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไม่ได้พุ่งตรงมาที่ตั๋น”

   “...”

   “ตั๋นไม่บอก หยกก็รู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกนั้นพุ่งไปหาใคร” ผมพยักหน้า “ความรู้สึกของตานั่นรุนแรงขนาดตั๋นยังรับรู้ ไม่แปลกหรอกที่หยกจะเป็นลมน่ะ ตั้งแต่เกิดมาตั๋นยังไม่เคยเจอความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้จู่โจมเลย แล้วหยกที่รับไปเต็ม ๆ ล่ะ แต่...เขาต้องการอะไรจากหยก”

   “เฮียก็ไม่รู้...รู้แต่ว่าตอนนั้นมันอึดอัด ความรู้สึกมันเหมือนจะห่อหุ้มตัวเฮียไว้ จนหายใจไม่ออก แล้วก็...น่ากลัวมาก” ผมสารภาพกับโบตั๋นอย่างไม่อายเลยครับว่าผมกลัว

   “กลัว?”

   “ใช่...เฮียกลัว” ผมย้ำเสียงแผ่ว

   “หยกรู้สึกถึงอะไรถึงได้กลัว คือตั๋นเข้าใจนะถ้าจะอึดอัดจนหายใจไม่ออก เพราะความรู้สึกที่ส่งมามันรุนแรงมาก แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวนี่ เจ่เจ้ก็บอกว่าความรู้สึกพวกนี้มันทำร้ายเราไม่ได้”

   “เฮียรู้...แต่ตอนนั้นมันสั่นไปหมด ความรู้สึกเหมือน...ตัวเองกำลังตกเป็นเหยื่อของใครสักคนที่มองไม่เห็น รู้สึกว่าเรากำลังจะโดนล่า มันทำให้เฮียกลัว”

   “โดนล่า? ยังไง? เขาจะฆ่าหยกเหรอ?”

   “ก็ไม่เชิง...ไม่รู้สิ...มันเหมือนกับจะโดนขย้ำจับกิน...เหมือนจะโดนกลืนกินให้ไม่เหลือซาก...อะไรประมาณนี้ล่ะ” ผมไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เลยพูดออกมาได้เท่านี้

   “...” โบตั๋นเงียบเสียงจนผมต้องหันไปมอง โบตั๋นมองผมตาโต จ้องตาไม่กะพริบเลยครับ

   “เฮียพูดอะไรผิดเหรอ?”

   “ตอนสมัยที่หยกยังเรียนอยู่ ผู้ชายที่เคยเข้ามาจีบหยก เขาส่งความรู้สึกมาแบบนี้ไหม?”

   “ก็ไม่นะ ตั๋นถามทำไมเหรอ?”

   “ผู้ชายคนนั้น...ใช่ไหม?”

   “อือ”

   “ถ้าจำไม่ผิดเขารู้จักพี่ภาด้วย ตั๋นเคยเจอตอนไปคุยงานกับพี่ภาครั้งแรกที่โรงแรมนี้แหละ”

   “เฮียกับเขาคงไม่เจอกันแล้วแหละ แล้วขออย่าให้เจออีกเลย”

   “หยกกลัวเขามากเลยเหรอ?”

   “ไม่รู้สิ ไม่ได้รู้จัก ไม่เคยเจอกันมาก่อน รู้แต่ว่าควรจะเลี่ยงไม่เจอกับเขาเป็นดีที่สุด มันอันตรายยังไงไม่รู้”

   “เฮ้อ...หยก...สงสัยเรื่องนี้ตั๋นคงต้องลงมือซะแล้ว” โบตั๋นบ่นอะไรสักอย่างหลังจากถอนหายใจ ผมไม่ได้ยินหรอกครับ แล้วโบตั๋นมุดตัวเขามาในผ้าห่ม นอนข้าง ๆ ผม โบตั๋นเข้าใจความรู้สึกนั่น ผมรับรู้ได้

.........................................................................

   พยัคฆ์นั่งรอเพ็ญนภาอยู่ที่ห้องรับรองแขกด้านใน ที่แยกไว้สำหรับลูกค้า VIP เขาไม่รู้ว่าเพ็ญนภานัดเขามาพบด้วยเหตุใด ไม่น่าจะใช่เรื่องงานแน่ ๆ เพราะถ้าจะจ้างงานกันจริง ๆ เพ็ญนภาต้องคุยรายละเอียดกับวรากร เขาเป็นแค่ผู้ดูแลส่วนภาคสนาม วางแผนระบบ ไม่เคยที่จะต้องมาพบลูกค้าแบบนี้ หรือจะเป็นเรื่องเมื่อวันก่อน ที่เขามาถามเรื่องของโบตั๋น

   “ขอโทษนะคะคุณพยัคฆ์ ภาเป็นคนนัดมาแท้ ๆ กลับต้องให้คุณพยัคฆ์มานั่งรอ” เพ็ญนภาเปิดประตูห้องเข้ามาก็รีบปรี่เข้ามาขอโทษเขาทันที

   “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณภามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

   “อุ๊ย!! ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ พอดีภาทราบจากน้องโบตั๋นว่า คุณพยัคฆ์เป็นคนช่วยน้องหยกไว้เมื่อวันก่อน”

   “คุณโบตั๋นรู้จักผมด้วยเหรอครับ” พยัคฆ์เอ่ยถามอย่างสงสัย

   “น้องโบตั๋นเคยเห็นคุณที่โรงแรมคืนนั้นนะคะ งานโชว์เพชรไงคะ”

   “ออ...ผมไม่ทราบว่าคุณโบตั๋นเห็นผมด้วย”

   “ค่ะ น้องเขาเป็นคนช่างสังเกตนะคะ น้องเขาอยากขอบคุณ คุณพยัคฆ์แต่ยังไม่มีโอกาส แล้วยิ่งวันก่อนคุณพยัคฆ์มาถามเรื่องน้องโบตั๋นด้วย ภาเลยนัดให้เจอกัน ผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิงก็สาว ภาไม่ได้ตั้งใจจะจับคู่ให้คุณนะคะ แค่อยากให้รู้จักกันไว้นะคะ” เพ็ญนภาหัวเราะเล็กน้อยกับคำสารภาพของตัวเอง แต่พยัคฆ์ไม่ได้ใส่ใจ เขาสงสัยว่าโบตั๋นต้องการอะไร คงไม่ใช่ว่าอยากจะขอบคุณเขาหรอก

   “หากได้รู้จักมักจี่กันแล้ว คุณเองได้ไม่ต้องกังวลเรื่องประวัติของน้องโบตั๋น หรือถ้าคุณจะลวงลึกกว่านั้น ภาก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ ความเห็นของภานะคะ ดูเหมือนน้องโบตั๋นจะสนใจคุณอยู่” พยัคฆ์ฟังแล้วต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจำได้ว่าโบตั๋นมีสีหน้าอย่างไรทั้งตอนอยู่ในลิฟต์และในห้องพักนั่น

   “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ที่นัดผมมา”

   “ใช่ค่ะ อีกสักครู่น้องเขาคงจะถึง น้องโบตั๋นกำลังมาจากมหาวิทยาลัยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพยัคฆ์มีธุระที่ไหนรึเปล่าคะ”

   “ไม่มีหรอกครับ”

   “ที่นัดคุณพยัคฆ์มาก่อนนี่ เพราะภาอยากจะเกริ่นให้คุณรู้ตัวก่อน จะได้ไม่ตกใจตอนเจอกัน”

   “ยอมรับว่าตกใจจริง ๆ ครับ”

   “ฮ่าๆ ดีนะคะที่เราได้คุยกันก่อน ภาไม่อยากให้น้องโบตั๋นเกร็งด้วย ยังไงตอนที่เจอกัน คุณก็อย่างทำหน้าดุนักนะคะ”

   “แล้วแบบนี้คุณโบตั๋นจะไม่ตกใจเหรอครับ”

   “รายนั้นน่ะ เขาทราบอยู่แล้วค่ะ ว่าภานัดคุณให้เธอวันนี้” รู้อยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ? หึ!! ท่าทางจะประมาทโบตั๋นดอกนี้ไม่ได้ซะแล้ว เสียงเคาะประตูพร้อมร่างของคนในความคิดของเขาก้าวเข้ามายกมือขึ้นไหว้เพ็ญนภา และเขา

   “พี่กำลังนินทาเราอยู่พอดีเลย” เพ็ญนภายิ้มแซวก่อนเรียกให้โบตั๋นมานั่ง พี่ขอแนะนำอย่างเป็นทางการเลยนะคะ “น้องโบตั๋นค่ะ นี่คุณพยัคฆ์ คุณคุณารักษ์จ๊ะ” โบตั๋นยกมือขึ้นไหว้พยัคฆ์อีกครั้ง “คุณพยัคฆ์ น้องโบตั๋น ชูวนาสุวรรณค่ะ”

   “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

   “เช่นกันค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ ที่คุณพยัคฆ์รู้จักพี่ภาด้วย”

   “คุณเพ็ญนภาเป็นลูกค้าของบริษัทฯ ผมน่ะครับ”

   “บริษัทฯ ที่เป็น บริษัทรักษาความปลอดภัยวันนั้นเหรอค่ะ?”

   “ใช่ครับ งานวันนั้น ทีมของบริษัทฯ ผมเป็นคนดูแล”

   “อ๋อ...”

   “พี่ปล่อยให้เราคุยกับคุณพยัคฆ์ไปก่อนแล้วกันนะ พี่ไปทำงานก่อน คุณพยัคฆ์ค่ะ ภาขอตัวนะคะ” เพ็ญนภากล่าวยิ้ม ๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป

   โบตั๋นนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องหน้าพยัคฆ์จนเขารู้สึกอึดอัด เป็นสายตาที่เขารู้สึกว่าคนมอง สามารถมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจเขาเลยทีเดียว ไม่มีความเกร็งสักนิดอย่างที่เพ็ญนภากังวล กลับกันนั้น...

.........................................................................

   โบตั๋นมองแววตาดุผู้ชายตรงหน้า เซ้นส์ที่สัมผัสได้ ทำให้รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ประมาทเธอเหมือนคราวก่อนที่เจอกันนั่นอีกแล้ว แต่การที่เขาจะระวังตัวขึ้นก็ไม่อาจจะปิดกั้นเธอได้ และเขาก็กำลังประเมินเธออยู่

   “คุณโบตั๋นมีอะไรกับผมรึเปล่าครับ” พยัคฆ์ถามเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนั้น แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ผล แววตาที่ดูซุกซนตรงหน้าเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

   “เรื่องหยก” พยัคฆ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ใช่ค่ะ ดิฉันคุยเรื่องหยก”

   “คุณหยกที่ว่า คือคนที่เป็นลมเมื่อคราวก่อน?” เขาถามแต่เธอกลับไม่สนใจจะตอบ

   “ดิฉันทราบ ว่าคุณรู้จักพวกเราสามพี่น้องแล้ว จากพี่ภา” โบตั๋นพูดด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเธออยู่เหนือเขา แววตาที่เปรียบดั่งนางพญา คำนี้ผุดขึ้นในหัวของพยัคฆ์

   “คุณภาบอกคุณ?” เขาถามหญิงสาวตรงหน้า เหมือนเธอกำลังยิ้ม รอยยิ้มร้าย!!

   “พี่ภาไม่ได้บอกอะไรดิฉัน แต่คนที่บอกก็คือ...คุณ!!”

   “ผม? ...” พยัคฆ์งงกับคำกล่าวของโบตั๋น เขาไปบอกเธอตั้งแต่เมื่อไร เขาคงไม่ได้โดนวางยาให้คายความลับเหมือนอย่างในหนัง หรือโดนสะกดจิตแบบไม่รู้ตัวหรอกนะ หรือห้องนี้มีเครื่องดักฟังไม่สิ เธอบอกว่าเธอรู้จากเขา มันยังไงกันแน่

   “แล้วดิฉันก็ทราบด้วยว่าคุณ...มีจิตใจสิเนหากับหยก และถ้าคุณไม่ได้เบี่ยงเบน ฉันก็ขอเตือนคุณเอาไว้ตรงนี้เลยว่า...ให้ตัดใจจากพี่ชายของฉันซะ!!”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2017 23:02:36
พระเอกเขารู้หรือยังนะว่าอีกคน(ที่กำลังพูดถึงอยู่)เป็นผู้ชาย ถ้าไม่รู้ก็คงได้รู้เสียตอนนี้
หัวข้อ: Re: หยก 18-09-17 {{:::6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2017 01:31:27
แฟนตาซี
หัวข้อ: Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-09-2017 08:35:54
7

   พยัคฆ์ออกจากห้องเสื้อของเพ็ญนภาอย่างมึนงง สับสน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าโบตั๋นออกไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งแม่บ้านของห้องเสื้อเข้ามาเก็บแก้วน้ำนั่นแหละ เขาถึงรู้ตัวว่าตัวเองอยู่เพียงลำพังภายในห้อง เขากลับขึ้นรถอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร คงต้องกลับไปตั้งหลักยังคอนโดของเขาก่อน

   เพียงแค่ได้พูดคุยกับโบตั๋นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทำให้เขาสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะเรื่องที่โบตั๋นเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก ไม่สิ ตอนนั้นหัวสมองเขาว่างเปล่า เขานึกถึงสามพี่น้องนั้นแค่เสี้ยววินาทีเดียวในตอนที่เพ็ญนภาเกริ่นในช่วงแรกเท่านั้น นอกจากนั้น...เขาอาจจะมีบ้างที่หวนนึกถึงใบหน้าขาวซีดในอ้อมแขน แก้มนวล ขนตายาวหนาเป็นแพ แล้วไหนเนื้อตัวที่นุ่มนิ่มนั่นอีก เขาไม่ได้พูดอะไรกับโบตั๋นเลย แต่เธอเหมือนจะดักทางความคิดเขาได้ทั้งหมด เขาปล่อยให้เธอพูดอยู่คนเดียว อย่างคนที่เหนือกว่า แล้วความจริงที่เขารู้อีกข้อ...คนที่เขาเคยอยากได้ เคยอยากครอบครอง น้องกระโดดแมวนั่น เป็นผู้ชาย...

   พยัคฆ์เหยียบเบรกชะลอรถรอสัญญาณไฟ เขาถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาออกนอกเส้นทางมามากขนาดไหน เขามองไปรอบ ๆ เพื่อจะหาเส้นทางกลับไปยังคอนโดของเขา ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก สายตาพยัคฆ์แลไปเห็นคนที่เขาเพิ่งนึกถึงเมื่อครู่ บทว่าจะเจอ ก็เจอกันง่ายดายเพียงนี้เลยหรือไง แต่กลับเป็นเขาที่ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีเฝ้าแต่คิดถึง อยากได้ยินเสียง อยากทำความรู้จัก แล้วแทนที่เขาจะเลยไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เขากลับเลือกที่จะกลับรถไปยังถนนฝั่งตรงข้ามแล้วติดตามร่างนั้นไป เพราะอะไรเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง

.........................................................................

   วันนี้ผมเลิกงาน 5 โมงเย็นครับ รับเงินเดือนเสร็จก็รีบออกจากร้าน กำลังจะไปหาเจ๊หงส์ที่โรงพยาบาล ผมไม่ได้เข้าไปหาเธอหลายวันแล้วครับ แต่ยังดีที่ได้โบตั๋นเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเวลาที่เธอไม่มีเรียน หรือไม่มีงาน ส่วนผมเหรอครับ ไหนงานประจำที่ร้านพี่พูดพลาง สองวันก่อนต้องงดสอนเทควันโดตอนเช้า เอาเวลาไปถ่ายแบบกับโบตั๋น เลยต้องลงเวลาสอนชดเชยให้ทางโรงเรียน งานแน่นมา 2-3 วันแล้วครับ

   ผมกำลังจะข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง ที่ส่งสัญญาณให้ผมเดินข้ามได้ ผมเดินไปเกือบจะถึงฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้วครับ แต่มันดันความรู้สึกหนึ่งวิ่งเข้ามากระแทกผมอย่างจัง มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยเจออีกแล้ว เพราะมัวแต่จะจับสัมผัส ทำให้ผมผ่อนฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติ

   “หยก!! เป็นอะไรรึเปล่า...ฮึย!! ไปเร็ว...ไฟเขียวแล้ว” เอ็มผู้ช่วยเชฟข้ามถนนตามหลังผมมา เอาแขนโอบรั้งไหล่ให้เดินไปเหยียบขึ้นบนฟุตบาท ได้สำเร็จครับ

   “อ่อ เราไม่เป็นไร”

   “แล้วอยู่ๆ ทำไมทำท่าจะหยุดเดินล่ะ เหม่ออะไรอยู่”

   “...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงครับ เลยเลือกที่จะเงียบ

   “ห่วงพี่หงส์เหรอ เอ็มได้ยินพี่แหม่มบอกว่ามะรืนนี้พี่หงส์ก็จะผ่าตัดแล้วนี่”

   “อืม” ผมรับคำแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง

   “มีอะไรให้เอ็มช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เอ็มเดินเคียงมาข้าง ๆ

   “ขอบใจนะเอ็ม แต่ไม่เป็นไร”

   “เราทำอาหารบำรุงให้พี่หงส์ไหม?” เอ็มยิ้มหน้าระรื่นเชียวครับพอพูดถึงเรื่องทำอาหาร คงมีความสุขกับสิ่งที่เขาชอบ ทำให้ผมคลายกังวลกับความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อครู่

   “ขอคิดเมนูก่อนนะ” ผมรู้สึกดีขึ้น จึงหยอกกลับไปครับ ทั้งที่ทุกครั้งผมมักจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ   “เอ็มเป็นอะไร อยู่ๆ ก็หน้าแดง ไม่สบายรึเปล่า” ผมเอามือข้างหนึ่งขึ้นแตะหน้าผากของเอ็มครับ แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกเมื่อครู่มันก็กลับมาอีกแล้วครับ

   ผมมองไปรอบ ๆ ทันที ความรู้สึกเหมือนลมหมุนนั่น ครั้งแรกที่สัมผัสได้ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้อันตรายอะไร แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วครับ เหมือนกับลมหมุนนั่นมันกำลังจะกลายเป็นพายุขนาดย่อม ที่รุนแรงพอที่จะพัดผมหายไปได้เลย

   “หยก ๆ” เอ็มเขย่าเรียกผมทั้งที่มือผมยังค้างอยู่ที่หน้าผากของเอ็ม ทำให้ผมหันกลับมามองหน้าเขา

   “มองหาอะไรรึเปล่า”

   “ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมลดมือลงอย่างรวดเร็ว

   “หยกกลับรถไฟฟ้าใช่ไหม เอ็มเดินไปเป็นเพื่อนนะ”

   “อืม” เรากลับทางเดียวกันครับ แต่เอ็มบ้านอยู่ในซอยถัดจากสถานีรถไฟฟ้าที่ผมจะขึ้นไปซอยหรือสองซอยนี่แหละครับ ผมดีใจที่วันนี้ผมไม่ได้เดินกลับคนเดียว ผมกับเอ็มกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อก็มีรถ แกรนด์ เชอโรกี สีดำมาจอดเทียบตรงฟุตบาทข้างพวกผม คุ้น ๆ นะผมคิด พอผมเห็นคนที่ลงมาจากรถเท่านั้นแหละครับ ตัวชาวาบขึ้นมาทันที คนคนนั้น?

   “น้องหยกครับ บังเอิญจังที่ได้เจอหยกแถวนี้” เขาเรียกผม ชายคนนั้นรู้จักชื่อผม!!

   “...”

   “เพื่อนของหยกเหรอ?” เอ็มถามผมครับ ผมกำลังจะหันไปตอบเอ็มว่าผมไม่รู้จักเขา ก็โดนชายคนนั้นแย่งผมพูดซะก่อน

   “พี่เป็นเพื่อนกับพี่ภา ห้องเสื้อที่น้องโบตั๋นทำงานอยู่ไงครับ อย่าบอกนะว่าน้องหยกจำพี่ไม่ได้” ห่ะ!! อะไรนะ เขารู้เรื่องพี่ภา รู้เรื่องตั๋นทำงานที่นั่นได้ยังไง “ไปครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่เพิ่งแยกจากน้องโบตั๋นเมื่อครู่นี้เองครับ” เขาพูดเรื่องอะไร ผมยังคงมองหน้าเขาครับ ความรู้สึกของพายุที่ก่อตัวขึ้น มาจากคนตรงหน้า มันโหมแรงขึ้น ๆ แต่น้ำเสียง และท่าทางที่เขาแสดงออกมาเหมือนผู้ชายที่แสนอบอุ่นและใจดีนี่มันอะไรกัน เขาแสดงออกมาได้แนบเนียนขนาดนี้เลยเหรอ ... น่ากลัว ... คนคนนี้...ทำให้ผมกลัว...อีกแล้ว

   “งั้นหยกก็กลับกับพี่เขาแล้วกันนะ เอ็มไปก่อนล่ะ” เอ็มบอกทั้ง ๆ ที่ยังลังเล ว่าจะปล่อยผมไปกับคนตรงหน้าดีไหม

   “ดะ...” ผมกำลังจะรั้งเอ็มไว้ ยังพูดออกมาไม่เป็นคำ คนคนนั้นก็แทรกขึ้น

   “ไปครับน้องหยก พี่ไปส่ง” ไม่บอกเปล่าครับ แต่เขามาแตะข้อศอกผมเบา อย่างสุภาพครับ แต่มันกลับน่ากลัวจับขั้วหัวใจผมเลยทีเดียว ผมเริ่มอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกแล้วครับ คนคนนั้นรุนหลังผมไปที่รถของเขา ฝ่ามือหน้าทั้งสองข้างเกาะอยู่ที่บ่าผม ผมเหลียวไปมองเอ็มนิดหนึ่ง อย่างจะขอความช่วยเหลือ เอ็มคงไม่เข้าใจภาษากายของผมกลับโบกมือลามาให้ผมซะอย่างนั้น

.........................................................................

   กว่าพยัคฆ์จะพาคนของเขาขึ้นรถมาด้วยกัน เขาต้องอาศัยความมึนบวกกับความหน้าด้านไม่ใช่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสับสนว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองอยู่เลย ตอนที่ตัดสินใจกลับรถเพียงเพื่อจะตามดู ก็ยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ร่างกายมันเป็นไปเอง พอขับรถกลับมาถึงสี่แยกเดิม เขากลับเห็นร่างโปร่งกอดคอกับไอ้หน้าฝรั่งนั่นอยู่ลิบ ๆ มันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็ตีเนียนอ้างชื่อเพ็ญนภาไปซะแล้ว

   พยัคฆ์จอดรถเข้าข้างทางก่อนมองคนที่นั่งข้างเขา ซึ่งเขาแอบเห็นมาสักพักแล้วว่าเห็นคนตรงหน้านั่งเบียดจนจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประตูรถเขา ขณะจอดรถคนตรงหน้ายังสะดุ้งเล็กน้อย

   “จะให้พี่ไปส่งที่ไหนดีครับ”

   “ตะ...ตรงนี้...ผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ” เสียงหวานนั้นเอ่ยออกมาเสียงสั่น

   “ให้พี่ไปส่งเถอะนะครับ พี่กลัวว่าเราจะไปเป็นลมที่ไหนอีก” ใช่ เขาคิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นลมไปเหมือนวันนั้น อาการหายใจขัด ๆ หน้าซีดราวกับกระดาษนั่นอีก เขาถึงรีบพาขึ้นรถมาด้วย เกิดไปเป็นลมตอนที่อยู่กับไอ้หน้าฝรั่งนั่น คงไม่วายโดนมันแต๊ะอั๋งแน่ ๆ แค่คิดเขาก็หงุดหงิดอยากหาอะไรกระแทกหน้าไอ้หน้าฝรั่งนั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

   “ผะ...ผม ไม่เป็นไรครับ” พยัคฆ์ส่ายหน้าน้อย ๆ กับอาการดื้อดึงของคนตรงหน้า เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ ร่างโปร่งนั่น

   “ถ้าไม่บอก พี่จะพาเราไปบ้านพี่นะ” พยัคฆ์แกล้งขู่ ทำให้ร่างนั้นชะงักทำตาโตใส่ เขาจึงเอื้อมมือไปจะคาดเบลล์ให้ เพราะตั้งแต่ออกรถมาร่างโปร่งได้แต่นั่งนิ่ง ตัวสั่นน้อย ๆ เหมือนไม่สบาย

   “อึก” เสียงที่มาพร้อมกับอาการสะดุ้งเล็กน้อย ทำให้พยัคฆ์ที่ก้มหน้าคาดเบลล์ให้กับคนข้าง ๆ อยู่นั้นต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   ...

   ..

   .

   ดวงตาที่สั่นระริก มีน้ำใสๆ คลออยู่นั่น สะท้อนเห็นใบหน้าของเขา...ใกล้...

   ..

   .

   ตึกๆ ... ตึกๆ ... เสียงอะไร?

   ..

   .

   แล้วยังจะ...สัมผัสนุ่ม ๆ ตรงริมฝีปากของเขาล่ะ?

   ..

   .

   นี่เขา...กำลัง...จุ๊บจมูก...ที่เคยคิดว่า...มันน่างับชะมัด

   ...

   ..

   .

   เวลาผ่านไปนานเท่าไรเขาก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนโดนคนตัวเล็กกว่าผลักเข้าที่อกของเขา แล้วท่าทางที่เอามือน้อย ๆ นั่นตะครุบจมูกตัวเองไว้ โคตรจะน่ารักในความคิดเขาเลยทีเดียว ไม่เสียเที่ยวที่ขับรถตามมาจริง ๆ และเป็นก็คุ้มค่ามาก ไม่ใช่เพราะเขาได้จุ๊บจมูกคนตรงหน้า แต่เพราะทันทำให้เขาตัดสินใจได้ต่างหาก เขายิ้มให้กับตัวเองก่อนถามคนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี

   “ตกลงให้พี่ไปส่งที่ไหนครับ”

   “ระ...โรงพยาบาล xyz”

.........................................................................

   ผมจะไม่ไหวอยู่แล้วครับ ผมยอมแพ้ เลยบอกที่หมายให้ไอ้บ้านั่นไป ผมรับความรู้สึกที่รุนแรงนั่นไม่ไหวแล้วครับ อีกทั้งมันยังเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จนผมปรับตามไม่ทัน ผมเคยเจอคนที่อารมณ์แปรปรวนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครอารมณ์รุนแรงได้เท่ากับคนตรงหน้า ความรู้สึกพุ่งเข้าใส่ผมแต่ละครั้ง ทำให้ผมหูอื้อ อึดอัด ผมพยายามอย่างหนักที่จะครองสติตัวเองให้อยู่ ไม่ให้เป็นลมไปอีก

   ผมคิดถึงเจ๊หงส์ครับ คิดถึงจนอยากจะร้องไห้ เจ่เจ้ต้องช่วยผมจัดการกับสถานการณ์อย่างนี้ได้ กำลังคิดถึงเจ่เจ้อยู่ ไอ้บ้านี่ก็ดันขยับเข้ามาหาผมจนผมตกใจ แล้วมันก็เอาปากมันมาแตะจมูกผม ผมเกือบหยุดหายใจ ทั้งตกใจ ทั้งอาย พยายามรวบรวมแรงที่มีผลักมันออกไป แล้วก็มีความรู้สึกพุ่งเข้ามาอีก

   “น้องหยกไม่สบายรึเปล่าครับ พี่เห็นเรามีอาการแบบนี้ 2 ครั้งแล้วนะครับ” มันพยายามชวนผมคุยครับ แต่ผมไม่ตอบ

   “...”

   “ไหน ๆ ก็ไปโรงพยาบาลแล้ว ให้หมอเขาตรวจหน่อยก็ดีนะครับ”

   “...” ไม่ตอบอีกแล้วครับ ไม่ได้หยิ่งนะครับ แต่...ผมไม่มีแรงแล้ว ที่พยายามจะครองสติให้อยู่นี่ก็เต็มกลืนแล้วครับ

   “พี่พอรู้จักกับหมอที่นี่อยู่บ้างนะ ให้พี่พาไปตรวจนะครับ”

   “มะ ไม่เป็น..ระ..ไร...ครับ” เสียงแหบแผ่วของผม แสดงถึงขีดจำกัดของร่างกายผม มันบอกว่าไม่ไหวแล้วจริง ๆ อยากให้ถึงโรงพยาบาลเร็ว ๆ ความรู้สึกของเขามันพุ่งเข้ามาราวกับปืนกล จนร่างผมแทบพรุนไปหมดแล้ว ผมที่เอามือทั้งสองกุมจมูกไว้เริ่มเอนศีรษะไปซบกับขอบประตูรถแล้วครับ ตาผมเริ่มปรือ แต่ยังคงฝืนไว้ครับ มันพูดอะไรออกมาบ้าง ผมไม่ได้ฟังแล้วครับ พูดมากชะมัด ผมได้แต่นั่งเงียบมาตลอดทาง พอรถจอดปุ๊บ ผมพยายามลุกเพื่อลงจากรถ เปิดประตูลงรถได้แล้ว ผมมีอาการเซน้อย ๆ จนคนอีกฝั่งรีบเดินอ้อมรถมาประคองแขนผมไว้

.........................................................................

   โบตั๋นกำลังเดินเลือกขนมขบเคี้ยวสำหรับตัวเองอยู่ในร้านมินิมาร์ทบริเวณชั้น 1 ของโรงพยาบาลอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่เธอจัดการนายพยัคฆ์อะไรนั่นที่ห้องเสื้อของพี่ภา จนได้แต่อ้าปากพะงาบพูดอะไรไม่ออก เธอไม่เคยใช้เซ้นส์ของเธอเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเลย แต่ครั้งนี้เธอใช้มันปกป้องพี่ชายของเธอเอง โบตั๋นยิ้มขำเมื่อนึกถึงหน้าตานั่นขึ้นมาอีก สะใจจนอารมณ์ดียิ่งกว่าได้รับเช็คค่าตัวเธอจากพี่ภาซะอีก

   โบตั๋นยังคงนั่งเล่นอยู่บริเวณโถงทางเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้ขึ้นไปหาเจ๊หงส์ทันทีหลังจากซื้อของเสร็จ เธอตั้งใจจะรอหยกแล้วขึ้นไปพร้อม ๆ กัน อีกอย่างเธออยากเล่าเรื่องตานั่นให้หยกฟังใจจะขาด โบตั๋นนึกไปพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลาง มองนาฬิกาของโรงพยาบาล เกือบหกโมงเย็นแสดงว่าใกล้เวลาที่หยกจะมาถึงแล้ว เธอจึงตัดสินใจเดินไปรอที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อประตูอัตโนมัติเป็นออกเธอแทบจะทิ้งถุงขนมในมือทิ้งทันที

   อีตาพยัคฆ์นั่น ไม่สิ!! ไอ้แมวหง่าวนั่น ทำไมมันถึงมาพร้อมกับหยกได้ โบตั๋นรีบวิ่งไปยังลานจอดรถด้านหน้าโรงพยาบาล ยิ่งเธอเห็นไอ้แมวหง่าวติดสัดนั่นคว้าแขนหยกไม่ยอมปล่อยอีก ยิ่งทำให้เธอโกรธเมื่อเธอเข้าไปใกล้ ความรู้สึกของไอ้แมวหง่าวก็ยิ่งชัดเจน จนเธอเป็นห่วงว่าหยกจะเป็นลมไปอีก

   “นี่คุณ!! ปล่อยมือจากพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” โบตั๋นแว้ดใส่ทันทีที่คิดว่าตนเองอยู่ในระยะที่อีกฝ่ายได้ยินเสียง ทำให้สองคนนั้นหันมามองเธอ

   “ตั๋น” เมื่อถึงตัวทั้งสอง โบตั๋นก็กระชากหยกเข้าหาตัว แล้วผลักไอ้แมวหง่าวนั่นออกไปให้ห่างพี่ชายเธอ นี่เธอผลักก้อนหินหรือยังไง ทำไมถึงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

   “ฉันเตือนคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่ามายุ่งกับพี่ชายของฉัน หรือว่าคุณเป็นพวกเบี่ยงเบนกันแน่”

   “ตั๋น” หยกที่ยืนข้างโบตั๋นเขย่าแขนเตือนเบา ๆ

   “ไม่รู้ล่ะ จะมีเรื่องก็มีไปหยกไม่ต้องมาห้ามตั๋น ตั๋นไม่กลัว” โบตั๋นหันไปบอกหยก

   “ผมไม่ได้เบี่ยงเบน ผมชอบผู้หญิง” พยัคฆ์คำถามของโบตั๋น แต่ผมก็ชอบพี่ชายคุณ เขาลองคิดประโยคนี้อยู่ในใจเพื่อทดสอบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่คิดว่าโบตั๋นจะรับรู้ได้ เธอมองเขาตาโตแทบถลนออกมา แล้วเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หันขวับไปทางพี่ชายของเธอทันที

   “หยก...เราไปจากตรงนี้กันนะ” อยู่ ๆ โบตั๋นก็เปลี่ยนน้ำเสียงจากที่แว้ดใส่เขาเมื่อครู่ กลายเป็นน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบโยน แล้วลากหยกเดินลิ่วเข้าโรงพยาบาลไป

   พยัคฆ์มองตามสองร่างนั้นเดินเข้าประตูไปแล้ว สรุปว่าโบตั๋นรับรู้ความคิดเขารึเปล่า? แต่อย่างไรก็ช่างเขาไม่สนใจที่จะพิสูจน์สิ่งที่เขาสงสัยในตอนนี้ นอกจากจะเดินตามเข้าไป ก็ในเมื่อเขาตัดสินใจได้แล้วเขาก็จะไม่ยอมปล่อยน้องกระโดดแมว หรือน้องหยกของเขาไปแน่ ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายด้วยกัน ดังนั้น วันนี้เขาต้องเคลียร์กับโบตั๋นให้รู้เรื่อง จากนั้นค่อยเดินหน้ารุกคนของเขา

   พยัคฆ์เดินตามโถงทางเดินในโรงพยาบาล มองหาสองคนพี่น้อง คลาดกันจนได้ เขาจึงต้องเดินย้อนมาด้านหน้าตรงฝ่ายประชาสัมพันธ์

   “ขอโทษนะครับ ผมมาเยี่ยมคุณหงส์ ชูวนาสุวรรณ ไม่ทราบว่าเธออยู่ห้องไหนครับ”

   “สักครู่นะคะ”

   “ผมเพิ่งทราบจากเพื่อนว่าเธอเข้าโรงพยาบาล ไม่ทราบว่าเธอป่วยเป็นอะไรเหรอครับ เพื่อนผมไม่ได้บอกไว้ ที่ถามเพราะผมจะได้ซื้อของเยี่ยมได้เหมาะกับผู้ป่วยน่ะครับ ยิ่งเห็นว่ากำลังจะผ่าตัดในวันมะรืนนี้ด้วย” เขาถามพร้อมทั้งหาข้ออ้างเมื่อประชาสัมพันธ์มองเขาอย่างสงสัย เขาพูดพลางชี้ไปทางร้านขายของเยี่ยมที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน

   “คุณหงส์ป่วยเป็นโรคหัวใจค่ะ เธอพักอยู่ห้อง 960 ค่ะ”

   “ขอบคุณครับ” พยัคฆ์แกล้งเดินไปทางร้านขายของเยี่ยมก่อน เมื่อพ้นสายตาประชาสัมพันธ์แล้ว เขาก็รีบเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์เพื่อกดเรียกไปยังชั้นที่ต้องการทันที

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-09-2017 08:49:00
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 19-09-2017 10:34:04
หยกกับโบตั๋นมีความสามารถพิเศษเหรอ ทำไมถึงจับความรู้สึกคนรอบข้างได้

รอตอนต่อไปค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2017 11:18:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 19-09-17 {{:::7:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 19-09-2017 18:26:05
คือนายเอกมีพลังพิเศษหรอ ลุ้นต่อไปปป :hao5:
หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-09-2017 08:09:32
8

    ​

   หงส์กำลังอ่านหนังสือที่เพิ่งขอให้พยาบาลที่ดูแลเธอช่วยซื้อมาให้ หลังจากได้คุยกับเจ็กหลิว ทำให้เธอปรับแผนและเตรียมตัวศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมในระหว่างที่นอนว่างอยู่บนเตียงผู้ป่วยแบบนี้ เมื่อผ่าตัดเรียบร้อย คุณหมอบอกกับเธอว่าใช้เวลาพักฟื้นเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางการแพทย์ปัจจุบัน ทำให้เธอมีเวลาหลังจากออกจากโรงพยาบาลอีกราว 3 เดือน จนกว่าโบตั๋นจะเรียนจบ จากนั้นเธอจะต้องรวบรัดจัดการสิ่งที่คั่งค้างมาตั้งแต่อดีตให้มันจบโดยเร็ว

   “หยกมากับอีตาแมวหง่าวนั่นได้ยังไง” เสียงโบตั๋นโวยวายอยู่หน้าห้องเสียงดังทั้งที่เจ้าตัวยังไม่เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ เมื่อหงส์เห็นหน้าทั้งสองก็ส่งยิ้มให้

   “ทะเลาะอะไรกัน” หงส์รับรู้ถึงความไม่พอใจของโบตั๋น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหยก เธอก็วางหนังสือที่อ่านลง

   “เจ่เจ้” โบตั๋นพูดแค่นั้นก่อนมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีแต่ผู้ป่วยนอนพักอยู่ และเห็นว่าต่างก็หลับพักผ่อนกันอยู่เงียบ ๆ “ตั๋นไปเจอคนคนหนึ่ง เขามีความรู้สึกที่...ส่งออกมาแบบรุนแรงมากๆ” โบตั๋นพูดเสียงแทบกระซิบ หงส์มองหน้าหยก ก่อนเอ่ยถาม

   “แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้มีให้กับเราใช่ไหม” โบตั๋นพยักหน้าแรงๆ ทีหนึ่งก่อนมองไปทางหยก “หยกมานั่งข้างเจ่เจ้นี่” หงส์พูดพร้อมตบลงบนเตียงข้างๆ ตัวเธอ หยกก็ทำตามอย่างว่าง่าย หงส์ยกมือลูบแก้มไร้สีของน้องชาย อีกมือก็กอบกุมฝ่ามืออีกข้างบีบเบาๆ อย่างปลอบประโลม

   “เจ่เจ้ ตั๋นเป็นห่วงหยก เจ่เจ้เคยบอกว่าปกติแล้ว เราจะรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้เฉพาะคน ๆ คิดถึงเราต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกถึงเราเท่านั้น แต่ความรู้สึกของคนคนนี้ ความรู้สึกของเขามันแพร่กระจายไปทั่ว อย่างกับแจกฟรี” โบตั๋นไม่วายประชด

   “แล้วหยกล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” หงส์ถามด้วยความเป็นห่วง

   “หยกอธิบายไม่ถูก หยกไม่เคยเจอ” เธอเห็นน้องชายของเธอเริ่มน้ำคลอ รับรู้ได้ถึงความสับสน ความว้าวุ่นใจ และความกลัว

   “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะหยก แค่หยกต้องทำความเข้าใจกับมัน”

   “แต่...”

   “เจ่เจ้รู้ๆ” หงส์ดึงหยกเข้ามากอดไว้ “เจ่เจ้รู้ว่าหยกสับสนกับความแปรปรวนนั่น ไม่เป็นไรนะ” หงส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงใครคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ ความรู้สึกที่แพร่กระจายออกมาอย่างที่โบตั๋นว่า

   “เจ่เจ้ ไอ้แมวหง่าวนั่น” โบตั๋นร้องบอกตาโต เธอก็รู้สึกได้ แล้วหยกล่ะ?

   “อืม...เขาต้องการจะมาคุยกับตั๋นนะ”

   “อึก!!” หยกที่อยู่ในอ้อมกอดของหงส์ ร่างกระตุกเล็กน้อย

   “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตกใจ” หงส์ตบหลังปลอบ “ตั๋น อย่าเพิ่งให้เขาเข้ามา ไปคุยกับเขาที่หน้าหวอดก่อน ตอนนี้หยกไม่ไหวแล้ว” โบตั๋นพยักหน้าแล้วเดินออกไปทันที

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินผ่านหวอดกำลังมองหาห้อง 960 ยังไม่ทันจะเห็นว่าเป็นห้องไหน ก็พบกับคนที่ต้องการคุยเดินออกจากห้องมา แล้วเข้าต้องแปลกใจอีกครั้งกับหญิงสาวตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังมา เพราะทันทีที่หญิงสาวเดินถึงตัวเขา

   “ตามฉันมา” โบตั๋นเลยตัวเขากลับไปที่หวอด ไม่หันมองหน้าเขา

   “...”

   “ฉันรู้ว่าตอนนี้นายต้องการคุยกับฉัน ดังนั้นก็คุยกันตรงนี้” โบตั๋นนั่งลงตรงโซฟาส่วนพักคอย เข้าจึงเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

   “คุณรู้ได้ยังไง” พยัคฆ์ถาม เริ่มเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า โบตั๋นวางมาดนางพญาอีกครั้ง เหมือนเมื่อช่วงบ่ายที่ห้องเสื้อของเพ็ญนภา

   “...” โบตั๋นไม่ตอบคำถาม เธอไม่สามารถอธิบายเรื่องเซ้นส์ของเธอให้คนนอกฟังได้ เธอกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการพูดในสมอง

   “ถ้าคุณไม่ตอบ...” พยัคฆ์ไม่คิดจะอ่อนข้อให้กับหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่เธอเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เห็นจะ...ต้องยอม... เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาจะสานสัมพันธ์กับหยกคงเป็นเรื่องยาก แล้วไหนจะพี่สาวคนโตของบ้านนี้อีก ที่เขาต้องรับมือ “เฮ้อ...เอาเป็นว่าผมอยากจะเคลียกับคุณให้รู้เรื่อง ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ชอบผม แต่ผม”

   “นายเป็นตัวอันตรายสำหรับพี่ชายฉัน” โบตั๋นแทรกขึ้น เธอรู้ว่าเขามีเจตนาดี มีความรู้สึกดี ๆ ให้พี่ชายเธอ

   “แต่ผมไม่ได้คิดทำร้ายพี่ของคุณเลยนะ”

   “ฉันรู้ว่าคุณชอบพี่ชายฉัน”

   “ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณ... ดูเหมือนจะรู้ทันผมไปซะทุกอย่าง คุณก็น่าจะเข้าใจผม”

   “ก็นายมันตัวอันตราย” แว้ดใส่

   “คำก็อันตราย สองคำก็อันตราย อันตรายยังไง?” พยัคฆ์เริ่มหมดความอดทน ขึ้นเสียงแข่งกับโบตั๋น จนพยาบาลที่หวอดมองพวกเขาด้วยสายตาดุๆ

   “ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะอธิบายได้” โบตั๋นพูดเสียงเบาลง แต่ยังคงแข็งกร้าวเอาไว้

   “ผมรู้ว่าครอบครัวคุณมีลูกชายคนเดียว แต่ผมอยากให้คุณ ให้โอกาสผมบ้าง ให้โอกาสหยก ให้โอกาสพวกเราได้ทำความรู้จักกัน”

   “ก็ที่คุณเป็นอยู่นี่แหละมัน...” โบตั๋นชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนขมวดดคิ้ว แล้วทำสีหน้าไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม

   “ผมเป็นยังไง?”

   “เจ่เจ้ต้องการคุยกับคุณ” อีกแล้วที่เธอไม่ตอบคำถามเขา

   “คุณหงส์?”

   “แต่คุณต้องรอจนกว่าฉันจะพาหยกลงไปข้างล่างก่อน คุณถึงจะเข้าไปหาเจ่เจ้ได้ นี่เป็นโอกาสหนเดียวที่ฉันจะให้คุณ”

.........................................................................


   หงส์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงของคนข้างนอก คนคนนั้นมีความมุ่งมั่นสูง มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และแน่วแน่ ถ้าเธอเดาไม่ผิด คนคนนี้อาจจะมีบารมีมากพอที่จะครอบครองของสามสิ่งนั้น เป็นตัวเลือกอีกคนหนึ่งนอกจากคนที่เจ็กหลิวเจอ

   “หยก กลับไปพักที่บ้านกับตั๋นก่อนไหม?”

   “แต่..”

   “ไม่เป็นไรนะ กลับไปพร้อมตั๋น เขาทำอะไรหยกไม่ได้ ไม่เชื่อเจ่เจ้แล้วเหรอ?”

   “ป่ะ...เปล่าครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นเชื่อฟังเจ่เจ้นะ แล้วหยกจะไม่เป็นไร”

   “หยกสงสัย”

   “จ๊ะ...เจ่เจ้รู้ เอาไว้ให้เจ่เจ้ผ่าตัดเสร็จก่อนได้ไหม แล้วเจ่เจ้จะช่วยให้หยกจัดการกับเรื่องนี้”

   “หยกขอโทษ อึก..อึก..หยก.. อึก..ทำให้เจ่เจ้ไม่สบายใจ”

   “ไม่เอา ไม่ร้อง แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเองด้วย” หงส์กอดปลอบใจหยกอีกครั้ง ก่อนหลับตาเพ่งจิตส่งไปหาโบตั๋น แล้วลืมตาขึ้น เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น “เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งตั๋นเขาก็จะเข้ามาแล้วล่ะ หยกกลับบ้านไปกับตั๋นก่อนนะ แล้วพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ หยุดงานสักวันนะ เจ่เจ้อยากให้เราพักบ้าง”

   “แต่...”

   “ไม่มีแต่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย”

   “อือ”

   ครืด...เสียงเปิดประตูห้อง พร้อมกับเสียงลงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามา ทำให้สองคนที่กอดกันกลมผละออกจากกันเพื่อหันมามองผู้ที่เพิ่งเข้ามา

   “หน้าตูมมาเชียว” หงส์ยิ้มแซว

   “เจ่เจ้ จะไปคุยกับไอ้หมอนั่นทำไม ตั๋นกำลังจะไล่เขาไปให้พ้น ๆ เราอยู่แล้วเชียว”

   “เจ่เจ้ก็สงสัยอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

   “คนคนนั้นก็รู้ว่าความรู้สึกหมอนั่นมันแรงแค่ไหน ถ้าไม่ไล่เขาไป หยกไม่ยิ่งแย่เหรอ”

   “ไม่หรอก อีกหน่อยหยกก็จะรับมือเขาได้ แล้วถ้าเขาเป็นอย่างที่เจ่เจ้คิด เขาจะยินดีทำทุกอย่างเพื่อหยก”

   “เจ่เจ้รู้ได้ยังไงคะ?”

   “เจ่เจ้ก็ยังไม่รู้หรอก ต้องให้ได้คุยกับเขาก่อน แล้วอีกอย่างหยกกับตั๋นคงต้องฝึกฝนเพิ่มแล้วแหละ”

   “ฝึกแบบที่...เจ่เจ้เรียกตั๋นเมื่อกี้ใช่ไหม?” ประโยคหลังโบตั๋นกระซิบเบาอย่างตื่นเต้น หงส์พยักหน้ายิ้มอ่อนให้

   “โอเคค่ะ ดีล ป่ะหยกกลับไปพักที่บ้าน ไม่ต้องไปสนใจนายนั่น”

.........................................................................

   พยัคฆ์เห็นโบตั๋นพาคนของเขาออกมาจากห้องพักของโรงพยาบาล ร่างโปร่งที่ค่อย ๆ เดินมาทางเขาดูเหมือนจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ จมูกแดงเป็นกวางรูดอล์ฟเชียว โบตั๋นมองเขาเขม็งเตือน ก่อนจะจูงมืออีกคนไปยืนรอลิฟต์ พยัคฆ์ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมรอจนกระทั่ง ทั้งสองเข้าลิฟต์ไป ถึงเวลาแล้วสินะ

   เขาลุกจากโซฟาก่อนเดินไปยังห้องพักเป้าหมาย พยาบาลที่หวอดทักเขาเล็กน้อย

   “อีก 15 นาทีจะหมดเวลาเยี่ยมนะคะ” เขาพยัคฆ์หน้ารับ กับ...โอกาสที่โบตั๋นให้เขาเพียง 15 นาที เขาเปิดประตูเขาไป เห็นเตียงผู้ป่วย 4 เตียง ตั้งเรียงด้านละ 2 เตียง ทุกคนบนเตียงมองเขาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่ เขาไม่รู้ว่าหงส์หน้าตาเป็นอย่างไรจึงกวาดตามองจากหน้าประตูห้อง จนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นั่งพิงหัวเตียงผายมือเชิญเขาให้นั่งเก้าอี้ข้างเตียง

   “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหงส์ ชูวนาสุวรรณ เป็นพี่สาวของหยก และโบตั๋น” หญิงสาวบนเตียงเอ่ยหลังจากเขานั่งลงแล้ว “ยัยตั๋นคงไม่ได้บอกสินะคะ ว่าฉันอยู่เตียงไหน”

   “ไม่ได้บอกครับ”

   “ยัยตั๋นคงหวงพี่ชาย อย่าไปถือสาแกเลยนะคะ แกยังเด็กอยู่” พยัคฆ์มองอากัปกิริยาของหญิงบนเตียง ถ้าเทียบว่าโบตั๋นเหมือนนางพญา แล้วคนตรงหน้านี้ล่ะ? จักรพรรดินี? ใช่สง่างามแม้ว่าจะป่วยอยู่ก็ตาม

   “คุณโบตั๋น บอกว่าคุณอยากพบผม”

   “ค่ะ ฉันอยากทำความรู้จักกับคนที่สนใจน้องชายฉัน” หงส์พูดจาฉะฉาน ไม่มีลังเลในคำพูดเลยสักนิด

   “โบตั๋นบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ก็ไม่เชิงสักทีเดียวหรอกค่ะ”

   “ผมสงสัย ทำไมคุณโบตั๋นถึงบอกว่าผมอันตรายกับ...พี่ชายเธอ” พยัคฆ์ไม่รู้จะเรียกบุคคลที่พาดพิงว่าอย่างไร ต่อหน้าพี่สาวของคนคนนั้น

   “หยกเขากลัวนะคะ”

   “กลัวผม?”

   “ค่ะกลัว คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ที่เขากลัว เพราะเขาไม่เข้าใจคุณ ไม่เข้าใจความรู้สึกที่คุณมีให้กับเขา และที่สำคัญเขารับมืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณไม่ทัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากลัว”

   “อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของผม”

   “ใช่ค่ะ อืม...คุณลองทบทวนดูสิคะ ว่าวันนี้ เฉพาะช่วงที่คุณพบกับหยก คุณมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรบ้าง” พยัคฆ์คิดตาม แล้วก็จริงอย่างที่ว่าไว้ ตั้งแต่ตอนที่เจอหยกตรงสี่แยกไฟแดงจนถึงหน้าโรงพยาบาล เขามีทั้งสับสน หึงหวง ดีใจ เป็นห่วง

   “เขากลัวผม เพราะผมเป็นผู้ชาย?”

   “นั่นก็มีส่วนค่ะ อย่างที่ดิฉันบอก เขาไม่เข้าใจ มันเลยทำให้เขากลัว เวลาคนเราไม่รู้จัก ไม่เข้าใจในสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ก็มักจะหวาดกลัวไปก่อนไม่ใช่เหรอค่ะ?”

   “ครับผมพอเข้าใจ แต่คุณกำลังจะบอกว่าน้องชายคุณไม่รู้จัก...” พยัคฆ์อยากจะเอ่ยคำว่าความรัก แต่คำนี้เขาเองก็ไม่สามารถเอ่ยอ้างออกมาได้ “ไม่เคยถูกจีบ?”

   “หยกไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกค่ะ” หงส์ตอบยิ้ม ๆ

   “แล้วถ้าผมอยากจะขอโอกาส”

   “ดิฉันเข้าใจคุณนะคะ แต่ดิฉันอยากให้คุณเข้าใจหยกด้วย”

   “ถ้าผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับน้องหยกมากกว่านี้ น้องเขาอาจจะไม่กลัว อย่างที่เขากลัวอยู่ตอนนี้”

   “ค่ะดิฉันเข้าใจ และดิฉันยินดีที่จะให้โอกาสคุณ เพียงแต่มีข้อตกลงนิดหน่อย?”

   “ข้อตกลง?”

   “ใช่ค่ะ ข้อตกลง”

   “ข้อตกลงเรื่องอะไรครับ”

   “ข้อแรก คุณห้ามเข้าใกล้หยกจนกว่า ดิฉันจะออกจากโรงพยาบาล”

   “ทำไมครับ”

   “ฉันยังไม่แข็งแรงพอที่จะดูแลหรือช่วยอธิบายให้อะไร ๆ ให้หยกเข้าใจได้ในช่วงนี้”

   “ขอโทษครับ ผมไม่ทันคิด”

   “ข้อสอง คุณต้องไปพบคนคนหนึ่ง เพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง?”

   “คนคนนั้นเป็นใคร แล้วต้องยืนยันอะไร?”

   “คุณยังไม่รู้จักครอบครัวของฉันดีพอ และถ้าคุณจะมีโอกาสได้ไปต่อไหม มันก็ขึ้นอยู่กับคนคนนี้”

   “ถามขอถามอะไรหน่อย ทุกคนที่เข้าหาหยก ต้องไปหาคนที่ว่านี้ทุกคนเลยรึเปล่า?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เฉพาะคุณ”

   “มีแต่ผม ทำไมครับ?”

   “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ตอบคำถามนี้ไม่ได้ ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไร ไว้ถึงเวลาเมื่อไรคุณก็จะรู้เอง”

   “แล้วคนที่ผมต้องไปพบ คนคนนั้นเป็นใครกัน”

   “เป็นแค่ซินแสคนหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ จะหาว่าฉันงมงายก็ได้นะคะ”

   “ข้อตกลงมีแค่ 2 ข้อนี้ใช่ไหมครับ?”

   “ยังค่ะ ยังมีข้อถัดไปอีก แต่คุณจะได้รับรู้ไหม ก็อย่างที่บอกว่าคุณต้องไปพบคนคนนั้นก่อน”

   “...”

   “คุณยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ค่ะ แต่หวังว่าระหว่างที่คุณยังไม่ได้ให้คำตอบดิฉัน คุณคงจะอยู่ห่าง ๆ กับหยกนะคะ”

   “ผมตกลง แล้วผมจะได้พบกับซินแสคนนั้นเมื่อไร”

   “ใจเย็นๆ ค่ะ ยังไงเดี๋ยวฉันนัดเขาให้ แล้วจะให้ยัยตั๋นแจ้งคุณไปอีกทีแล้วกันนะคะ”

   “ได้ครับ ขอบคุณครับ” ครืด...เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับพยาบาลที่เดินเข้ามาพร้อมเข็นรถเข็นถาดใส่ยาเข้ามา

   “หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ ขอให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนค่ะ” พยาบาลร้องบอกบรรดาญาติของผู้ป่วยในห้อง ก่อนเดินนำยาไปให้กับผู้  ป่วยเตียงแรกพร้อมตรวจอาการ พยัคฆ์ที่หมดคำถามกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้อง

   “ดิฉันรบกวนถามคุณสักข้อหนึ่งนะคะ”

   “ครับ?”

   “คุณเป็นอะไรกับคุณวรากร คุณคุณารักษ์?”

To Be Continue


หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-09-2017 09:10:22
ให้ไปหาเจ็กหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2017 11:06:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 20-09-2017 12:08:46
น่าติดตามมากๆ สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :3123: :3123: :pig4: :pig2:
หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 20-09-2017 17:43:05
สนุกมากกก ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 20-09-17 {{:::8:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 20-09-2017 18:40:11
สนุกมาก เนื้อเรื่องน่าสนใจ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 21-09-2017 21:20:01
9

   
   ผมกำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับเราสองคนพี่น้องอยู่ในครัว โบตั๋นขึ้นไปอาบน้ำข้างบน ตั้งแต่เธอออกจากโรงพยาบาลมาเธอดูอารมณ์ดีมากครับ ผมสัมผัสได้ถึงอาการตื่นเต้นเป็นเด็ก ๆ ของเธอ ก็ตั้งแต่ที่เจ๊หงส์บอกว่าจะสอนพวกเราให้สามารถสื่อสารทางจิตได้นั่นไงละครับ ที่ทำให้เธอตื่นเต้น ผมพอจะรู้ว่ามีหลายอย่างที่พวกเราสามารถใช้เซ้นส์หรือสัมผัสพิเศษของเราทำได้ แต่เจ๊หงส์ไม่เคยสอนพวกเรา นอกเสียจากการจับความรู้สึกของคนรอบข้างเท่านั้น เจ๊หงส์ให้เหตุผลว่า เราจะได้รับรู้ว่าใครคิดดีหรือไม่ดีกับเรายังไง แค่ไหน พวกเราจะได้ระมัดระวังตัวกันไว้ก่อน ส่วนเจ๊หงส์...ผมไม่รู้หรอกครับว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน


   “หยก ทำอะไรกินน่ะ”


   “มียำวุ้นเส้น ต้มผักกาดดองซี่โครงหมู แกงส้มกุ้ง ตั๋นอยากได้อะไรเพิ่มไหม?”


   “ไม่เอาแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เพิ่มไข่เจียวก็ดีนะ”


   “ไหนว่าแค่นี้ไง” ผมยิ้ม “ตั๋นยกกับข้าวไปที่โต๊ะก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเฮียเจียวไข่ให้”


   “อืม” พอผมเจียวไข่เสร็จ รวบเก็บเครื่องครัวไว้ที่อ่างล้างจานก่อน จากนั้นค่อยยกไข่เจียวออกไป มาถึงโต๊ะทานอาหาร โบตั๋นก็ตักข้าวรอไว้แล้ว


   “หืม...หอมน่ากินจัง”


   “น่ากินรีบกินตอนที่ยังร้อน ๆ สิ”


   “หยกทำกับข้าวเก่งจัง ทำไมหยกไม่เข้าไปเป็นผู้ช่วยพี่แก้วล่ะ?”


   “ไม่เอาอะ เฮียชอบชงเครื่องดื่มมากกว่า” ผมทานข้าวอยู่ก็ต้องชะงัก เพราะอยู่ ๆ โบตั๋นก็เอาแต่จ้องหน้าผม


   “พรุ่งนี้หยุดงานนะ แล้วไปเที่ยวกับตั๋นกัน”


   “เจ่เจ้บอกอะไรตั๋นเหรอ?”


   “อืม...เจ่เจ้บอกแค่ว่าอยากคุยกับอีตาแมวหง่าว”


   “แค่นั้น?” โบตั๋นพยักหน้า แล้วเริ่มทานข้าวต่อ “แล้วเรื่องไปเที่ยว...”


   “ตั๋นเห็นสีหน้าหยกไม่ดี ไม่ชอบเลยอะ เลยคิดว่าหยกน่าจะพักบ้าง ไปเที่ยวบ้าง”


   “สีหน้าเฮียดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ตั๋นว่าหยกควรตามคำขอของเจ่เจ้นะ แต่ไม่รู้จะไปไหนใช่ไหมล่ะ ตั๋นเลยชวนไปเที่ยวไง ฉะนั้น ทานข้าวเสร็จแล้วหยกขึ้นไปโทรบอกพี่กันต์นะ ส่วนในครัวเดี๋ยวตั๋นจัดการเอง”


   “แต่เฮีย”


   “ไม่มีแต่”

   
   “ไม่ใช่ เฮ้อ...เฮียไม่มาเก็บกวาดของพวกนี้อีกรอบน่ะ” ผมบอกพร้อมบุ้ยใบ้ไปบนโต๊ะอาหาร โบตั๋นหน้าง้ำทันทีเลยครับ ก็เธอเข้าครัวทีไรต้องมีของแตกทุกทีนะสิครับ


   “รู้แล้ว ๆ ครัวของหยกกับเจ่เจ้ ตั๋นไม่ยุ่งก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย”


.........................................................................

   พยัคฆ์ขับรถกลับถึงคอนโดก็เกือบ 3 ทุ่ม ตอนแรกเขาต้องการจะไปหาวรากรที่บ้าน แต่อาของเขาไปทำธุระกับคุณวรรณเลขาคู่ใจ และยังไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร เขาจึงได้แต่เก็บคำถามที่คาใจเอาไว้ก่อน รอจนกว่าพรุ่งนี้...หงส์รู้จักกับอาของเขาอย่างนั้นเหรอ? ครอบครัวชูวนาสุวรรณ... ครอบครัวนี้มีเรื่องมาทำให้เขาแปลกใจได้ตลอด แต่ละคนมองผิวเผินหน้าตาคล้ายกัน แต่นิสัยใจคอต่างกัน ใครนะที่ช่างตั้งชื่อได้สมตัวคนทั้ง 3 นัก


   หงส์ (天鹅) สง่างาม สะโอดสะอง มีความอ่อนหวาน ราวกับหงส์สัตว์มงคลของจีน


   หยก (玉) สงบ บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับหยกสีขาว มีจิตใจที่ใสสะอาด แต่กลับดูปราดเปรียว


   โบตั๋น (牡丹) ความรัก ที่มีให้กับคนในครอบครัว พร้อมจะปกป้องคนที่ตนรัก เหมือนราชาแห่งบุปผาตัวแทนของความรัก


   พยัคฆ์นั่งดื่มบรั่นดีไปเรื่อย ๆ อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เขาคิดถึงสามพี่น้องเพลินจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน? และที่สำคัญข้อตกลงระหว่างเขากับหงส์ ไอ้ข้อที่ต้องไปเจอซินแสอะไรนั่น เขาไม่กังวลหรอก ท้ายที่สุดแล้วถึงซินแสจะไม่ยอมรับเขา เขาก็ไม่สนใจ ในเมื่อเขาตัดสินใจเรื่องน้องหยกแล้วดังนั้นจะให้เข้าเปลี่ยนเพราะซินแสคนเดียว...ไม่มีทาง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหน้าจอแสดงชื่อวรากร


   “นี่อากลับถึงบ้านแล้วเหรอ”


   “ยัง เพิ่งออกจากนนฯ”


   “อาไปทำอะไรที่นนฯ”


   “ถ้าอยากรู้ พรุ่งนี้แกมาหาฉันที่ออฟฟิศ ว่าแต่ที่แกโทรหาฉันมีเรื่องอะไร”

   
   “ไว้พรุ่งนี่คอยคุยทีเดียวก็ได้ครับ” เขาวางสายจากผู้เป็นอา


   ตอนนี้พยัคฆ์ละความสนใจเรื่องหงส์แล้ว เขากังวลเรื่องคนของเขามากกว่า เขาอาจจะหน้าตาโหดจนทำให้น้องหยกกลัว อีกทั้งยังเป็นผู้ชาย เป็นเพศเดียวกันอีก คงไม่แปลกที่น้องกระโดดแมวจะกลัวเขา ไหนจะเมื่อตอนเย็นที่หลอกล่อพาน้องขึ้นรถมาด้วย น้องหยกยังไม่รู้จักพี่เสือคนนี้ด้วยซ้ำ เฮ้อ...ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม อยากจะปรับความเข้าใจ แต่ข้อตกลงที่ว่าห้ามเจอน้องหยกจนกว่าคนพี่จะออกจากโรงพยาบาลนี่น่ะ มันคือเมื่อไรกัน แล้วนอกจากไอ้หน้าฝรั่งที่เจอนั่น ยังมีใครมาเกาะแกะคนของเขาอีกไหม? นี่เขา...กำลังเพ้อ...ถึงผู้ชาย...หน้าหวาน...จมูกที่เขาเกือบจะได้งับแล้ว


.........................................................................



   ผมอยู่ที่ไหน?


   ผมควรจะอยู่บนเตียงกับโบตั๋นไม่ใช่เหรอ?


   ...


   ..

   
   .


   ทำไมรอบ ๆ ตัวผมถึงได้มืดสนิท แม้กระทั่งฝ่ามือตัวเอง...ผมก็ยังมองไม่เห็น


   ...


   ..


   .


   เสียงฝีเท้าของใครกันที่กำลังเดินเข้ามาหาผม?


   ทำไมผมถึงสัมผัสความรู้สึกอะไรไม่ได้เลย


   ...


   ..


   .


   ความรู้สึก...มันว่างเปล่า จนผมเริ่มกลัว


   ...


   ..


   .


   เสียงฝีเท้าดังขึ้น มันดังขึ้นเรื่อยๆ


   มันเข้ามาใกล้ทุกที ทุกที ทุกที


   ผมเริ่มเห็นเงาของใครบางคนราง ๆ ที่มาพร้อมแสงสว่าง มัน...อบอุ่น...


   ...


   ..


   .


   ผมรอคอยร่างตรงหน้าอย่างจดจ่อ เขาเป็นใคร?


   ...


   ..


   .


   นายแมวหง่าว? เป็นเขาได้ยังไง ผมที่กำลังตกใจจะขยับถอยหนี เขาก็รั้งแขนผมไว้ แล้วพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน ใช่ครับผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด มือหนึ่งยังคงกุมมือผมไว้ มือที่โอบกอดผมก็ลูบหลังอย่างปลอบโยน


   ...


   ..


   .


   ผมสงบลงแล้วครับ เราผละออกจากกัน เขาจ้องตาผม ผมอ่านปากได้แค่ว่า ไม่ต้องกลัว ผมไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกของคนตรงหน้าได้ เซ้นส์ของผมสัมผัสความรู้สึกรุนแรงของเขาเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ ได้แต่มองการกระทำของเขาไปเรื่อย ๆ


   ...


   ..


   .


   หลังจากที่เขาแน่ใจว่าผมเข้าใจเขาแล้ว เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของผม ทาบอยู่ที่แก้ม น้องหยก ดูเหมือนเขาจะเรียกชื่อผม


   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง อยู่ๆ มันก็ดังขึ้นมา จากที่ก่อนหน้านี้ผมไม่รับรู้ถึงการมีมันอยู่ในร่างกาย คนตรงหน้าเขาจะได้ยินอย่างที่ผมได้ยินไหม?


   ผมมองเข้าไปแววตาดุของเขา ในนั้นในสะท้อนภาพผม เขายิ้มออกมาเหมือนพอใจอะไรสักอย่างเขาเกลี่ยไล้นิ้วโป้งบนแก้มผม รู้สึกได้ถึงแรงที่รั้งใบหน้าเข้าหาคนตรงหน้า ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแตะลงบนปลายจมูกของผม...อีกแล้ว เหมือนตอนอยู่บนรถ


   จากแตะเป็นขบเบา ๆ ผมตกใจกำลังจะผลักเขาออก มือข้างที่เขากุมมือผมอยู่ฉุดรั้งผมเข้าหาตัว แล้ววางฝ่ามือผมไว้กับสะโพกของเขา มือเขาก็รั้งอยู่ที่แผ่นหลังของผม ฝ่ามือที่ทาบอยู่ที่แก้มก่อนหน้านี้เลื่อนไปอยู่ที่ท้ายทอยของผม ผมยันหน้าอกเขาไว้แต่เหมือนจะไม่มีผลอะไร เรากลับใกล้ชิดกันมากขึ้น ร่างกายของผมสอดรับกับร่างกายของเขา จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง และเมื่อเขาก้มลงจูบผม


   ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจของผมมันดังขึ้นเรื่อย ๆ


   สัมผัสจากริมฝีปากที่ขบเม้มอยู่ที่ริมฝีปากของผม...มันไม่ได้กลัว แต่ผมร่างกายมันเริ่มสั่นไปเอง


   ลิ้นร้อนเริ่มไล้เลียริมฝีปากผม ผมได้แต่เม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


   ฝ่ามือหนาที่โอบเอวผม เริ่มซุกเข้ามาใต้เสื้อนอนของผม


   ...


   ..


   .


   เดี๋ยวนะ...เสื้อนอน? ผมอยู่ในห้องนอนของผมเองอย่างนั้นเหรอ? แล้วเขามาได้ยังไง?


   เพราะมัวแต่ตกใจเลยเป็นโอกาสให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามากวาดล้วงในโพรงปากของผม อยู่ๆ ผมรู้สึกเบาโหวง เหมือนกำลังจะลอยได้ ถ้าคนตรงหน้าไม่ได้โอบกอดผมไว้ มือที่อยู่ใต้เสื้อนอนผมก็ไล้ไปทั่วแผ่นหลัง


   ผม...กำลัง...หายใจไม่ออก


   คนตรงหน้า ถอนริมฝีปากร้ายนั่นออก ให้ผมได้โอกาสโกยอากาศเข้าปาก แต่ริมฝีปากนั่นยังไม่วายแทะเล็มไปตามติ่งหู ซอกคอ ไหลปลาร้า แม้จะเป็นสัมผัสผ่านเสื้อนอนเนื้อนุ่มก็ตาม แต่ผมก็ยังรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวอยู่ดี แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าเลย ได้แต่สั่นสะท้านไปหมด


   เขาวนกลับมาครอบครองริมฝีปากผมอีกครั้ง ครั้งนี้เขาดูดดุนลิ้นผมไปด้วย เขาทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น มันให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือหนานั่น ไล้นิ้วเกลี่ยไปมาอยู่ที่ยอดอกของผม


   “หยก ๆ ๆ” ผมได้ยินโบตั๋นเรียกผมมาจากที่ไกล ๆ ผมพยายามจะลืมตาขึ้นแต่สัมผัสจากริมฝีปาก กับฝ่ามือหนาฉุดรั้งผมไว้


   “หยก ๆ หยกทำให้ตั๋นกลัวแล้วนะ” เสียงโบตั๋นก้องอยู่ในสมองผม คนตรงหน้ายังคงจูบผมอยู่ ทุกสัมผัสมันช่างชัดเจน จนเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก


   “เฮือก!!”


   “หยกเป็นอะไร? ฝันอะไร?”


   “ฝัน?” ผมทวนเสียงแผ่ว


   “หยกทำตั๋นกลัว ตั๋นเรียกหยกตั้งนาน แต่หยกไม่ยอมตื่น ได้แต่นอนดิ้นขลุกขลักๆ ” ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มองไปรอบ ๆ นี่ห้องผม โบตั๋นเปิดไฟสว่างทั่วทั้งห้อง คงเพราะเพื่อจะปลุกผม


   “เฮีย...” ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ความรู้สึกที่ส่งออกมาโบตั๋นคงรับรู้อยู่บ้าง


   “สีหน้าหยก...เหมือนทรมานมาก มันน่ากลัวมากเลยเหรอ หยกถึงได้กระสับกระส่ายขนาดนี้ ดูสิ เหงื่อออกเติมตัวไปหมดเลย” ผมมองสภาพเนื้อตัวผม เหงื่อออกเยอะจริงๆ ครับ


   “...”


   “ความรู้สึกของหยกเหมือนตอนที่เจอไอ้แมวหง่าวนั่นเลย สับสน งุนงง หยกฝันว่าอะไรกันแน่ เล่าให้ตั๋นฟังได้ไหม”


   “ช่างมันเถอะ เฮียว่า เฮียไปอาบน้ำสักหน่อยดีกว่า” ผมลุกออกจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะถ้าไม่ได้อาบน้ำ คืนนี้ผมคงข่มตานอนไม่ได้แน่ๆ และผมก็ไม่กล้าเล่าฝันติดเรตให้ตั๋นฟัง กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ


   “หยกไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ตั๋นว่าหยกเครียดเกินไปแล้วนะ”


   “อืม เฮียไม่เป็นไรหรอก” ผมกำลังจะผ่านเข้าประตูห้องน้ำไปแต่ผมเริ่มอยากรู้เรื่องของเขา “ตั๋น แมวหง่าวของตั๋นเขาชื่ออะไรเหรอ”


   “ของตั๋นที่ไหน พูดให้มันดี ๆ นะ แล้วหยกจะรู้ไปทำไม เรียกแมวหง่าวน่ะดีแล้ว”


   “เฮียก็แค่...อยากรู้น่ะ” แล้วทำไมผมถึงต้องอยากรู้ล่ะ?


   “อือๆ ๆ อยากรู้ก็อยากรู้ หมอนั่นชื่อนายพยัคฆ์”


To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2017 22:09:50
 :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 21-09-2017 22:34:00
น้องหยกมาแว้ววว  :-[ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 21-09-2017 22:43:23
ติดตามต่อไปป :z3:
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Ryu7801 ที่ 22-09-2017 10:39:53
มาต่อทุกวันนะ ชอบชื่อที่หยกตั้งให้พยัคฆ์  :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: หยก 21-09-17 {{:::9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 22-09-2017 22:14:19
ชอบมว้ากกกกกกกกกกกกกกกกก
รออ่านหยก
หัวข้อ: Re: หยก 22-09-17 {{:::10:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-09-2017 23:24:14
10

   
   วันนี้พยัคฆ์มาที่ออฟฟิศก่อนเวลาที่นัดกับวรากรไว้ คงเป็นเพราะเมื่อคืนตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนโซฟาแล้วทำให้นอนไม่หลับอีกเลย เขาไม่แน่ใจนักว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน และที่สำคัญ...เขาไม่อยากตื่นด้วยซ้ำ...เขากำลังฝันดี แต่ร่างกายเจ้ากรรมนี่สิ แค่ความฝันกลางกายของเขาก็ยังปวดหนึบขนาดนี้ และมันก็ไม่ได้โดนสัมผัสอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่กลับปลดปล่อยออกมาซะได้ น่าอับอายจริง ๆ อายุจะเข้าเลขสามอยู่แล้ว ยังจะมาฝันเปียกเป็นเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มไปได้

   พยัคฆ์เดินผ่านหน้าโต๊ะของคุณวรรณ ซึ่งตอนนี้เจ้าของโต๊ะไม่อยู่ เขาเคาะประตูห้องของผู้เป็นอาก่อนเดินเข้าไปเอง ไม่มีเลขาหน้าห้องเดินเข้ามาส่งเหมือนทุกครั้ง

   “วรรณคอนเฟิร์มนัดท่านครรลองให้คุณกรบ่ายนี้แล้วค่ะ” ที่แท้เลขามาอยู่กับเจ้านายในห้องนี่เอง

   “แล้วลตาล่ะ?” อากรถามก่อนพยักหน้าทักทายผม

   “วรรณไม่ได้ยกเลิกนัดเธอค่ะ ตามที่คุณกรสั่งต้องการเลย”

   “อืม วันนี้คงต้องขอร้องให้คุณวรรณทำตัวเป็นเลขาขี้ลืมสักวันแล้วล่ะ”

   “ด้วยความยินดีค่ะเจ้านาย” คุณวรรณพูดจบก็เดินออกจากห้องไป มีหันมายิ้มทักทายพยัคฆ์เล็กน้อย

   “มาเร็วดีนี่ไอ้เสือ”

   “อากรให้ผมมาพบ นี่มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”

   “เรื่องลตา”

   “ตอนนี้ผมยังไม่มีหลักฐาน แต่ผมว่าต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ครับ ที่คุณลตากับนายเกรียงไกรจะชอบไปยังสถานที่เดียวกันถึงแม้จะคนละเวลากันก็เถอะ ล่าสุดที่ผมได้ข้อมูลมา นายเกรียงไกรมีห้องชุดอยู่ที่คอนโดโครงการเดียวกับคุณลตา เพียงแต่อยู่กันคนละตึก”

   “นอกจากคอนโดแล้ว ยังมีที่ไหนอีก”

   “ก็มีฟิตเนต สนามกอล์ฟ สปาของโรงแรม XYZ ร้านอาหารญี่ปุ่นแถวทองหล่อ อ่อแล้วร้านนั้น เป็นร้านที่คุณลตาชอบชวนอาไปกินน่ะครับ”

   “ร้านนั้นมีห้องส่วนตัวดี ห้องหับปิดมิดชิดสำหรับลูกค้า VIP ที่อยากเข้าไปคุยธุรกิจหรือเรื่องส่วนตัว”

   “ใช่ครับ”

   “ส่วนที่อื่น ๆ มีอย่างหนึ่งที่มีเหมือนกัน” พยัคฆ์เริ่มตามความคิดของอากรทัน ทุกที่มีล็อกเกอร์สำหรับฝากอุปกรณ์กีฬาอยู่ด้านนอก ที่ไม่ใช่ล็อกเกอร์เก็บของส่วนตัวแยกชายหญิงในห้องแต่งตัว

   “ไม่ใช่อย่างเดียวครับ มีอีกอย่าง” พยัคฆ์เหมือนจะนึกขึ้นได้

   “อะไร?”

   “สถานที่ทั้งหมดที่สองคนนั้นไป ไม่มีที่ไหนที่เป็นลูกค้าเราเลยสักรายครับ”

   “อืม...” วรากรครุ่นคิดอยู่สักพัก

   “แกลองไปสืบมานะไอ้เสือ ว่าสถานที่พวกนั้น ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยของที่ไหนบ้าง”

   “ได้ครับ”

   “ว่าแต่ เมื่อวานที่แกโทรจิกฉันแทบเป็นแทบตาย พอฉันโทรกลับดันไม่บอกตัดสายไปซะดื้อ ๆ ตกลงแกเป็นอะไรกันแน่”

   “พอดีผมรู้จักคนคนหนึ่ง เขาดูเหมือนจะรู้จักกับอา”

   “คนที่รู้จักฉัน ก็ใช่ว่าฉันจะรู้จักกับเขานี่”

   “ก็จริง แต่คนรุ่นอาก็ไม่ควรจะมีสาวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับผม มารู้จักใช่ไหมครับ?”

   “ไม่รู้เหรอว่าอาแกคนนี้เสน่ห์แรง สาวน้อยสาวใหญ่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่”

   “ผมเห็นก็จะมีแต่คุณลตา กับคุณวรรณเท่านั้นแหละครับ”

   “เออๆ แล้วยังไง”

   “อารู้จักหงส์ ชูวณาสุวรรณไหมครับ”

   “หงส์? ไม่รู้จักนี่ แกสงสัยอะไร”

   “เธอถามผมว่า ผมเป็นอะไรกับอา?”

   “ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ แล้วอะไรที่แกคิดว่าเขาจะรู้จักฉันล่ะ?”

   “ถ้าเขาไม่ถามว่าอาสบายดีไหม แล้วอาเป็นอะไรกับสาวสวยที่เป็นข่าวด้วยกันบ่อย ๆ ผมคงไม่สงสัย”

   “หืม...ฉันชักจะอยากเจอเด็กคนนั้นแล้วสิ แล้วเขาอายุประมาณเท่าไรล่ะ?”

   “ผมเดาว่าน่าจะ ประมาณ 26-27 นี่แหละครับ”

   “อืม...รุ่นราวคราวเดียวกับแก...หรือว่า...”

   ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูแทรกขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญ จนพยัคฆ์หงุดหงิด ส่วนวรากรนั้นก็ตีสีหน้าเรียบสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณวรรณเปิดประตูเข้ามา พร้อมร่างสาวใหญ่ที่เคยเป็นประเด็นสนทนาก่อนหน้านี้

   “คุณลตามาขอพบค่ะ” คุณวรรณบอกเสียงอ่อย ที่ดูผิดปกติสำหรับสาวมั่นอย่างเธอ

   “เห็นคุณวรรณบอกว่าคุณกรกำลังจะออกไปข้างนอก แล้วนัดตาละค่ะ?”

   “เอ่อ..เป็นความผิดของวรรณเองค่ะ วรรณเช็กตารางงานคุณกรไม่ดีเองเลย...” เลขาคู่ใจแทรกขึ้น

   “ไม่เป็นไร คุณลตาก็อย่าไปโกรธคุณวรรณเลยแล้วกัน พอดีผมร้อนใจอยากรีบนัดคนสำคัญน่ะ”

   “ถ้าสำคัญขนาดนี้ ตากลับก็ได้นะคะ” เธอทำท่าทางงอนได้อย่างมีจริตจะก้าน ถ้าไม่ติดว่าเธอออกจะ...สร้างภาพไปหน่อยและก็น่าสงสัย เขาคงจะเชียร์เธอให้อาของเขาไปแล้ว

   “ไม่เอาน่าครับ เอาแบบนี้ไหม พอดีผมนัดท่านครรลองไว้ที่ค่ายมวยบ่ายนี้ ถ้าคุณลตาไม่เบื่อไปซะก่อนก็ไปด้วยกันกับผม จะได้ร่วมทานมื้อเย็นกับท่านครรลองด้วยกัน” อากรส่งยิ้มหวานให้เจ้าหล่อน จนสาวใหญ่หน้าขึ้นสีทีเดียว บทว่าอาเขาจะหว่านเสน่ห์ก็ทำให้สาว ๆ ในห้องอายม้วนไม้เว้นแม้กระทั่งคุณวรรณเลขาคู่ใจ

   “ก็ได้ค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณวรรณพาลตาไปรอที่ห้องรับรองก่อนแล้วกันนะ” อากรบอกคุณวรรณก่อนหันหน้าไปหาสาวใหญ่

   “คุณลตาคงจะไม่ว่าอะไรนะครับ ถ้าผมจะขอเคลียร์งานกับเจ้าเสือมันสัก 15 นาที ผมขี้เกียจนะคะมันไปด้วย”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ตาไปก่อนนะคะคุณเสือ” เธอหันมาหาผมยิ้มหวาน แล้วเดินตามคุณวรรณไป รอจนประตูห้องปิดลง

   “ค่ายมวยที่จะไปนี่ ที่คุณหลิวเป็นเทนเนอร์อยู่น่ะเหรอครับ”

   “อืม”

   “แล้วถ้าคุณลตาเป็นสายให้กับเจ้าสัวเซียงจริง ๆล่ะครับ”

   “นี่แหละจะเป็นวิธีที่จะทำให้นางจิ้งจอกโผล่หางของมันออกมา”

   “อ่อ อย่างนั้นที่ผมเข้ามาแล้วได้ยินอากรคุณกับคุณวรรณ...”

   “ใช่ และแกคงรู้แล้วนะ ว่าต่อไปแกต้องทำยังไง”

   “ครับ แต่อาไม่ห่วงคุณหลิวเหรอครับ”

   “ห่วงสิ แต่ไม่ใช่คุณหลิวคนนี้นะ”

.........................................................................

   ผมกับโบตั๋นมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าครับ ตื่นเต้นกับการผ่าตัดของเจ๊หงส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้มาก เราเดินเข้าไปในห้องพักของเจ๊หงส์ ก็พบกับพี่ภา พี่กันต์ แล้วก็พี่แก้วมานั่งเป็นกำลังใจด้วยครับ พวกเราคุยกันสนุกสนานอยู่ในห้องจนกระทั่งพยาบาลมาเตรียมความพร้อมให้กับเจ๊หงส์ ระหว่างจะเข็นเตียงเจ๊หงส์ออกไป ผมก็เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอเข้ามา โบตั๋นดีใจกระโดดตัวลอยพุ่งไปเกาะคนที่เข้ามาใหม่หนึบเลยครับ จนร่างร่างนั้นต้องพยายามแกะมือขอโบตั๋นที่คล้องคอเขาอยู่

   “อาตั๋นอ่า...ลื้อโตเป็นสาวแล้ว อย่ามากระโดดเกาะเจ็กเป็นเด็ก ๆ ได้ไหม ออกไปๆ อั๊วจะไปหาเจ่เจ้ของลื้อ” เจ็กลู่บอกกึ่งเอ็นดูกึ่งรำคาญ

   “ใครนะคะน้องหยก” พี่ภาสะกิดถามผมครับ เจ็กเดินไปให้กำลังใจเจ๊หงส์

   “เจ็กลู่น่ะครับ จะว่ายังไงดี...เจ็กแกเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของพวกเรานะครับ”

   “ต๊าย หล่อเชียวนะคะ ตาส๊วยสวย” ผมหัวเราะเล็กน้อยครับ พี่ภาแกชอบคนหน้าตาดี คงจะเหมือนเจ๊...เจ๊อะไรนะที่เจอผมแล้วเป็นลมคนนั่นแหละครับ

   “ไง ลื้อสองคนนี่เก่งนะ หาเงินมาผ่าตัดเจ๊ของพวกลื้อจนได้” เจ็กลู่เดินมาสมทบกับผมโดยมีโบตั๋นเกาะเป็นลิงอยู่ที่แขน

   “เจ็กจ๋าเจ็ก เจ็กอยู่กับตั๋นจนเจ๊ออกมาได้ไหม น้า...เจ็กนะ” โบตั๋นอ้อนเจ็กลู่ครับ เธออยากพบกลู่มาก สมัยเด็ก ๆ โบตั๋นชอบเรียกเจ็กว่าคุณกวางของโบตั๋น เห็นแบบหน้าตาแบบนี้ เจ็กแกเป็นพี่เลี้ยงให้ทั้งผมและโบตั๋นเลยนะครับ และเหรอคะก็แปลว่ากวางจริง ๆ

   “เสียมารยาทอ่ะตั๋น พี่กันต์ พี่แก้ว พี่ภาครับ นี่เจ็กลู่ ญาติผู้ใหญ่ของพวกเราครับ” พี่กันต์ พี่แก้ว พี่ภายกมือขึ้นไหว้เจ็กลู่ แต่ผมรู้สึกเหมือนพี่กันต์จะหลบตามเจ็กลู่นิด ๆ นะ

   “เจ็กครับ ที่พี่ภา เจ้าของห้องเสื้อที่โบตั๋นทำงานด้วย ส่วนนี่พี่กันต์กับพี่แก้ว เจ้าของร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ครับ”

.........................................................................

   ผม โบตั๋น แล้วก็เจ็กลู่มานั่งคุยกันอยู่บนสวนหย่อมของโรงพยาบาลครับ ผมกับโบตั๋นมาเฝ้าเจ๊หงส์ตั้งหลายอาทิตย์ยังไม่เคยขึ้นมาเลย ที่นี่บรรยากาศดีมากครับ ร่มรื่น แถมอยู่สูงควันพิษบนท้องถนนด้านล่างคงลอยขึ้นมาไม่ถึง

   “อาหงส์อีว่าอย่างนั้นเหรอ?” ตั้งแต่ขึ้นมา โบตั๋นก็จองตัวเจ็กไว้ คุยกันอยู่สองคน ส่วนผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างครับ

   “ใช่ค่ะ เจ๊หงส์บอกว่าเรื่องซินแส เจ็กจะเป็นคนจัดการต่อเอง”

   “อือ อั๊วเข้าใจแล้ว”

   “แต่เจ็กจ๋า ทำไมต้องเป็นไอ้แมวหง่าวนั่นด้วยล่ะ ทีตั๋นอยากพบซินแสใจแทบขาด ยังไม่เคยได้พบเลย”

   “แล้วลื้อจะเจออีไปทำไมล่ะ”

   “ก็เผื่อซินแสท่านจะช่วยหาเนื้อคู่ของตั๋นไง” โบตั๋นหัวเราะคิกคัก ไม่ได้อายนะครับ ติดจะเล่นมากกว่า

   “เออ แล้วนายมง นายแมวนั่น ตกลงอีเป็นใครกัน” เจ็กลู่ไม่สนใจ เพราะรู้นิสัยโบตั๋นดี เรื่องอยากให้หาเนื้อคู่นั้นไม่แคล้วเป็นเรื่องไร้สาระที่โบตั๋นหยิบยกขึ้นมาคุยเล่นเท่านั้น

   “เขาเป็นคนที่จะมาจีบหยก” โบตั๋นพูดออกมาเต็มปากเต็มคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าเอ่ยอะไรทำนองนี้ให้ผมไม่สบายใจเลย

   “ลื้อก็อย่าแหย่อาเฮียลื้อให้มากนักสิ” เจ็กปราม

   “จริง ๆ น้า...อีตานั่นสารภาพกับตั๋นเอง เขาขอโอกาส ตั๋นว่าตั๋นจะไม่ให้ แต่เจ่เจ้นี่สิ ไม่รู้คิดอะไร ให้เขาไปพบซินแสซะงั้น อย่างจะผูกดวงหาฤกษ์หมั่น ฤกษ์แต่ง”

   “ตั๋น เฮียกับเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นะ จะแต่งกันได้ไง”

   “ใช่ไหมล่ะ ตั๋นถึงไม่เข้าใจเจ่เจ้ไง”

   “เอาน่า...โอกาสน่ะถ้ายิ่งมีมากมันก็ยิ่งดีน่า...”

   “โอกาสอะไรเหรอครับ?” ผมสงสัย

   “อีกไม่นานลื้อก็จะเข้าใจเองแหละ” เจ็กหันมาตอบผม ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยครับ

   “แล้วอาแมวของลื้อนี่ชื่อแซ่อะไรล่ะอาตั๋น แล้วลื้อจะนัดให้อั๊วได้เมื่อไร?”

   “ไม่ใช่ของตั๋นนะ ของหยกต่างหาก” โบตั๋นทำปากยื่น

   “อ่าว ก็ลื้อเรียกแต่มงแต่แมวของลื้ออยู่คนเดียว ไหนอาหยก อีชื่อแซ่อะไร”

   “หยกรู้แต่ว่าเขาชื่อพยัคฆ์ครับ”

   “หืม...พยัคฆ์” เจ็กทวนชื่อเสียเบา น้ำเสียงติดจะเครียดนิด ๆ

   “อืม ตาแมวหง่าวนั่นชื่อพยัคฆ์ คุณคุณารักษ์” เจ็กล่ะค่ะเงียบไปพักหนึ่งครับ ก่อนจะถอนหายใจ

   “เฮ้อ...โลกกลมจริง ๆ สงสัยอั๊วจะต้องไปก่อนละ คงอยู่รออาหงส์อีผ่าตัดเสร็จไม่ได้”

   “อ้าว ไหนเจ็กบอกจะอยู่เป็นเพื่อนตั๋นไงล่ะค่ะ”

   “อั๊วมีงานสำคัญต้องไปทำนี่ อยู่เล่นเป็นเด็กกับลื้อไม่ได้หรอก”

   “ตั๋นโตเป็นสาวแล้วนะ!! ไม่ใช้เด็ก ๆ สักหน่อย”

   “โตแต่ตัวน่ะสิไม่ว่า อ่อ!! ฝากบอกเจ๊ของลื้อด้วยแล้วกันนะว่า สิ่งที่อีอยากได้ไม่ได้หากันเจอง่าย ๆ”

   “เอ๋...เจ่เจ้ตามหาอะไรอยู่เหรอคะ ทำไมตั๋นไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

   “ก็อะไร เต็ดๆ ชั่นๆ นั่นแหละ”

   “ห๊า? ...” โบตั๋นถึงกับงงกับภาษาอังกฤษขาด ๆ ของเจ็กลู่

   “เจ็กลู่คงหมายถึง ลิมิเต็ดอิดิชั่น น่ะ”

   “อ๋อ...” ผมกับเจ็กลู่ได้แต่หัวเราะท่าทางของโบตั๋น

   “งั้นอั๊วไปก่อนล่ะ”

   “เดี๋ยวๆ ๆ เจ็กแล้วเรื่องอีตาแมวหง่าวล่ะจะว่ายังไง”

   “ลื้อไม่อยากเสวนากับอีงั้นก็ไม่ต้องนงต้องนัดอะไร ดีไหม?”

   “โหย...ตั๋นรักเจ็กที่สุดในโลกเลย หึ!! สมน้ำหน้าอีตาแมวหง่าวนั่นจริงๆ เชียว”

   “แล้วเจ่เจ้ จะไม่ว่าอะไรเหรอครับ ที่เราพร้อมใจกันขัดคำสั่งกันแบบนี้”

   “ถ้าเจ๊ของพวกลื้ออีจะว่า ก็ให้มาว่าอั๊วก็แล้วกัน”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 22-09-17 {{:::10:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-09-2017 00:05:38
 :ruready
หัวข้อ: Re: หยก 22-09-17 {{:::10:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 23-09-2017 00:37:29
เอิ่มมม ไม่น่าจะลงเอยกันได้ง่ายๆ  :hao5: :hao4:
หัวข้อ: Re: หยก 22-09-17 {{:::10:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-09-2017 00:56:47
 :katai1:ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: หยก 22-09-17 {{:::10:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-09-2017 20:44:32
อ้าวเจ็ก ได้ข่าวว่า(อดีต)แฟนเจ๊กก็ผู้ชายไม่ใช่เรอะ
อย่ากีดกันหลานไปหน่อยเลยน่า
หัวข้อ: Re: หยก 25-09-17 {{:::11:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-09-2017 11:53:30
11

   พยัคฆ์ตื่นลงมาจากห้องก็ 11 โมงเกือบเที่ยง เมื่อวานเขากลับมานอนที่บ้าน พบว่าอาของเขายังคงนั่งรออยู่แม้เวลาจะล่วงเลยไปเกือบตี 2 แล้ว และกว่าสองคนอาหลานจะคุยเรื่องคุณลตากันเสร็จก็เกือบเช้าของอีกวัน

   “คุณเสือจะรับกาแฟไหมคะ หรือจะรอรับมื้อเที่ยงทีเดียวเลย” ป้าลัยเห็นเขาเดินลงมาถึงตีนบันได จึงเดินเข้ามาสอบถาม

   “ผมเอากาแฟก่อนดีกว่าครับ ช่วยยกไปให้ผมที่ศาลาด้านหลังบ้านนะครับ อ่อ! ขอหนังสือพิมพ์ด้วยนะครับ”

   “ค่ะ”

   “เออ แล้วอากรล่ะครับ”

   “คุณกรออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” ป้าลัยบอกกับเขาก่อนพาร่างอุ้ยอ้ายเดินจากไปเขาเดินออกจากประตูด้านข้างบ้าน ฝั่งโรงจอดรถ เดินเรียบหลบแดดตามเงาร่มไม้ไปยังหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่โรงรถ จึงเหลียวมอง

   “อ้าว ไอ้กล้า วันนี้ไม่มีเรียนเหรอไงว่ะ?” พยัคฆ์ตะโกนถามคนที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซด์

   “มีครับ แต่เป็นตอนบ่ายครับ” ต้นกล้าลูกของป้าลัยที่พักอาศัยพร้อมช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านของเขาเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม “คุณเสือมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ ถ้าจะให้ล้างรถให้ วันนี้ผมทำให้ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”

   “ไอ้นี่ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

   “อ่าว ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ”

   “มีย้อนนะเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยู่หน่อยเดียว ปากดีขึ้นเป็นกอง”

   “โอ๊ย!! ไม่มี๊..ใครจะกล้า”

   “แล้วนี่หอบหิ้วอะไรมาเต็มมือเลย”

   “ขนมร้านหน้าปากซอยนะครับ ซื้อไปฝากเพื่อน” ต้นกล้าตอบเขิน ๆ

   “เพื่อนผู้หญิง?” พยัคฆ์แซว

   “ก็ด้วยแหละครับ ขนมร้านนี้เขาอร่อยนะครับ คุณเสือลองสักชิ้นไหมครับ เดี๋ยวผมให้แม่จัดไว้ให้”

   “ไม่เอาล่ะ ขอบใจ”

   “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พยัคฆ์เดินนำต้นกล้าไปยังศาลาหลังบ้าน ส่วนต้นกล้าค่อย ๆ เดินเลี่ยงออกไปทางเรือนพักของแม่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไป

   “อ้าวกล้า กลับมาเร็วเชียว แห้วอีกแล้วล่ะสิแก” พยัคฆ์ได้ยินเสียงคนในปกครองคุยกัน

   “โถ่แม่ อย่าซ้ำเติมกล้าดิ”

   “แกก็ไม่รู้อะไรนักหนา ไปเฝ้าเขาได้ทุกวัน”

   “แม่...กล้าไม่เจอนางฟ้าบาริสต้ามาสองวันแล้วนะ”

   “แล้วแกไม่ลองถามคนที่ร้านดูล่ะ?”

   “ใครจะกล้า?”

   “เฮ้อ...แกก็ได้แต่มองเขาเน๊อะ แล้วจะได้คุยกับเขาไหมล่ะชาตินี้”

   “เฮ้ย!! เคยคุยแล้วดิแม่!!”

   “จริงอ่ะ คุยเรื่องอะไร”

   “ก็... เอาชิ้นนี้ครับ...เท่าไรครับ และก็ขอบคุณครับ”

   “ห๊า? ...นั่นเขาไม่เรียกว่าคุยโว้ยเจ้ากล้า เฮ้อ...อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นลูกชายฉัน ฉันอายเขา” ป้าไหมคะเดินไปบ่นไป แล้วเดินตรงมาทางพยัคฆ์ ไม่คิดจะสนใจคนเป็นลูก

   “หนังสือพิมพ์ค่ะ พอดีว่าป้าเอาไปตรวจหวยที่ห้องนะคะ ส่วนกาแฟเด็กกำลังชงมาให้นะคะ”

   “ขอบคุณครับ แล้วถูกไหมครับ”

   “แหมะ งวดนี้ถ้าประตูดวงจะไม่เปิดให้ป้านะคะ”

   “ฮ่าๆ ๆ แล้วเจ้ากล้านี่มันขยันซื้อขนมนมเนยนะครับ ตอนแรกไอ้ผมก็นึกว่าเจ้ากล้ามันซื้อขนมไปจีบสาวที่มหา'ลัย ที่ไหนได้จีบคนขายนี่เอง แล้วเงินมันจะพอใช้ไหม”
   
   “โอ๊ย... ไม่ได้จีบหรอกค่ะ แค่หลงรูปชื่นชมไปอย่างนั้นเอง ส่วนเรื่องซื้อขนมน่ะมันเป็นฝ่ายขายของร้านนี้เขาค่ะ อาสาซื้อให้เพื่อน ไม่ค่อยได้เสียตังค์เองหรอกค่ะ”

   “นี่ขนาดแค่หลงรูปนะครับ” พยัคฆ์ชวนคุยฆ่าเวลา

   “ค่ะ ก็จะไปจีบได้ยังไงกันค่ะ ทางโน้นเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

   “อ่าว อย่างนั้นเหรอครับ” ช่วงนี้รอบตัวเขาเริ่มจะมีแต่...ผู้ชายชอบผู้ชาย

   “ค่ะ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกค่ะเด็กนั่นน่ารักจริงๆ คะ คุณเสือ ยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่ว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็แวะเวียนไปอุดหนุนร้านคุณแก้วกันทั้งนั้น ทั้งที่ตอนที่เธอจะเปิดร้านนะคะ เธอรับแต่พนักงานผู้ชาย ทำเหมือนซีรี่ย์เกาหลีเรื่องรักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟไงคะ คุณเสือเคยดูไหมคะ ที่พระเอกหล่อๆ อ่ะคะ เธอว่าจะเรียกลูกค้าสาว ๆ แต่ทำไปทำมาทั้งหนุ่มทั้งสาว พอๆ กันเลยค่ะ นี่ถ้าจะทานอาหารบางทีต้องโทรจองที่นั่งกันเลยเชียวนะคะ” ได้ทีคุณป้าลัยของเขาเม้าท์ซะยืดยาว

   “สงสัยผมต้องลองแวะไปดูนางฟ้านำโชคของที่ร้านนี้เขาบ้างแล้วสิ” เขาได้ยินต้นกล้าเรียกว่านางฟ้าอะไรสักอย่าง นึกครึ้มใจเลยเรียกตามบ้าง

   “ร้านคุณแก้วตรงปากซอยบ้านเรานี่เองค่ะ หาไม่ยาก”

   “นี่ป้าได้ค่าโฆษณารึเปล่าครับเนี๊ยะ”

   “คุณเสือก็หยอกคนแก่ อ่ะ..กาแฟมาพอดีเลย ป้าไม่กวนเวลาพักผ่อนของคุณเสือแล้วค่ะ”

.........................................................................

   วรากรกลับจากไปพบลูกค้าข้างนอกพร้อมกับวรรณา ถ้าไม่ติดที่เขามีนัดกับลูกค้าไว้ตั้งแต่เช้า เขาก็อยากจะนอนพักอย่างเจ้าหลานตัวดีของเขาเหมือนกัน วรรณรึเปล่าเดินนำออกจากลิฟต์ไปก่อนเธอเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเธอเพื่อวางกระเป๋าสะพายและแฟ้มเอกสาร ก่อนทำหน้าที่เปิดประตูให้ผู้เป็นนาย เมื่อวรึเปล่ารึเปล่าผ่านตัวเธอไป เธอจึงปิดประตูตามหลัง

   “คุณกรจะรับอะไรไหมคะ เดี๋ยววรรณโทรสั่งเด็กมาให้”

   “เอาอะไรง่าย ๆ รองท้องหน่อยแล้วกันครับ ว่าแต่วันนี้มีงานที่ไหนอีกไหม?”

   “ไม่มีแล้วค่ะ จะมีก็แต่เอกสารที่คุณกรต้องเซ็นต์ เดี๋ยวรรณให้เด็กเอาไปให้คุณเซ็นต์ที่บ้านไหมคะ?”

   “ก็ดีเหมือนครับ ผมจะได้กลับไปพักสักหน่อย วันนี้ได้นอนไปสองสามชั่วโมงเอง”

   “รับทราบค่ะเจ้านาย” ถึงวรรณาจะอยากรู้เรื่องยัยลตานั่น แต่เมื่อนายไม่พูด เธอก็ไม่ควรถามแล้วเดินออกจากห้องไป

   วรากรเอนหลังลงบนเก้าอี้ทำงาน แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตาสักเล็กน้อย เขายกมือขึ้นคลึงบริเวณหว่างคิ้วเพื่อบรรเทาความเหมื่อยล้า เสียงรินน้ำจากเหยือกลงในแก้วเปล่าทำให้เขายิ่งขมวดคิ้ว เขายังไม่ได้ยินเสียงใครเปิดประตูตั้งแต่วรรณาเดินออกไป เขาลืมตาขึ้นมองไปทางมินิบาร์ข้างๆ ชุดโซฟาพักค่อย ร่างนั้นสวมชุดซาฟารีสีเดียวกับพนักงานในบริษัทฯ ของเขา ร่างตรงหน้าเขามาตอนไหน ก่อนหรือหลังที่เขาจะเข้ามาในห้องนี้กัน แต่ไม่ว่าจะเข้ามาตอนไหนวรรณาก็ต้องรับรู้ได้ในเมื่อเธอเดินนำเขาตั้งแต่ออกมาจากลิฟต์จนถึงห้องนี้ ยกเว้นว่าร่างตรงหน้าเขานั้น

   “หลิว” ไวเท่าความคิด ชื่อคนในความคำนึงก็หลุดออกมาจากปากเสียงแผ่ว

   ร่างนั้นหันมาพร้อมแก้วน้ำในมือ ก่อนเดินมาวางลงตรงโต๊ะหน้าคนที่เอ่ยชื่อของตนเอง วรากรไม่สนใจแก้วน้ำตรงหน้า ลืมความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ ลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงเข้ามาสวมกอดคนที่เขาคิดถึง คนที่เขาตามหามาตลอด 20 กว่าปี หลิวลู่...กวางน้อยของเขา

.........................................................................

   ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่เจอนายแมวหง่าวนั่นเลยครับ เหมือนโลกใบเดิมของผมกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนเดิมสักทีเดียวเพราะบางทีผมก็ยังฝันประหลาดเหมือนคืนนั้นอยู่บ้าง จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ มันน่าอายนี่ครับ อีก 2 สัปดาห์เจ๊หงส์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แถมผมได้ข้อเสนอสำหรับงานพิเศษจากพี่ที่สถาบันเทควันโดเพิ่มด้วย อะไรๆ เหมือนจะดีขึ้น แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกครับ ผมไม่ค่อยชอบการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวของใครสักเท่าไร ถ้าสอนรวม ๆ นะพอได้อยู่ครับ ผมกำลังเช็ดแก้วกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ ก็มาโทรศัพท์เข้ามา ผมเลยขออนุญาตพี่แหม่มออกไปรับโทรศัพท์ด้านหลังร้าน

   “ครับพี่ศักดิ์” ผมกรอกเสียงไปตามสาย

   “หยก วันนี้หยกเลิกงานจากร้านนั่น 5 โมงใช่ไหม?” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามแบบนี้คงมีเรื่องแน่นอนครับ อ่อ! เซ้นส์ของพวกเรารับรู้ผ่านโทรศัพท์ไม่ได้หรอกนะครับ

   “ครับ พี่ศักดิ์มีอะไรรึเปล่าครับ หรือมีปัญหาที่สถาบัน”

   “ที่สถาบันนะไม่เป็นมีอะไรหรอก แต่พี่โอ๊ตน่ะสิ ดันมอเตอร์ไซด์ล้ม ตอนกำลังไปค่ายมวย นี่พี่อยู่โรงพยาบาลกับมัน”

   “แล้วพี่โอ๊ตเป็นอะไรมากไหมครับ” พี่โอ๊ตคนที่ชวนผมไปช่วงงานเทรนเนอร์ส่วนตัวนั่นแหละครับ

   “ขาหักน่ะสิ งดสอนเทควันโดไปหลายเดือนเชียวล่ะ”

   “แล้ว พี่ศักดิ์จะให้ผมลงชั่วโมงแทนพี่โอ๊ตเหรอครับ” พี่ศักดิ์เป็นเจ้าของสถาบันเทควันโดแถมดีกรีลูกครึ่งเกาหลีครับ แต่ดันชื่อไทยจ๋ามาก สมศักดิ์

   “เรื่องนั้นก็ด้วย แต่ที่สำคัญกว่าก็เรื่องเทรนหนึ่งร์มวยนี่แหละ นัดของมันวันนี้ดันเป็นถึงลูกชายนักการเมือง ไอ้พี่โอ๊ตมันหาคนแทนไม่ได้ ครั้นพี่จะไปแทนก็ต้องเอามันไปส่งบ้านก่อน ย้อนไปย้อนมา ไปไม่ทันน่ะ เลยว่าจะวานหยกไปแทนพี่หน่อย เฉพาะวันนี้เท่านั้นแหละ” พี่ศักดิ์บ่นยาวเลยครับ

   “เออ...” ผมไม่อยากไปเลยครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงยังไงดี คราวก่อนที่พี่โอ๊ตชวน ผมก็อ้างว่ายังไม่ได้คุยกับเจ๊หงส์

   “พี่รู้ว่าหยกไม่ชอบ พี่ก็ไม่ค่อยอยากให้หยกไปหรอก ไอ้ลูกนักการเมืองนั่นไม่รู้จะไว้ใจได้รึเปล่า ว่าไงห๊ะไอ้ต้นเรื่อง” ประโยคสุดท้ายเหมือนพี่ศักดิ์แกจะบ่นพี่โอ๊ตที่คงจะนั่นอยู่ข้าง ๆ กัน

   “หยก พี่โอ๊ตเองนะ พี่วานหน่อยนะๆ ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกค้าเป็นลูกนักการเมือง พี่เบี้ยวงานไปแล้ว ไม่หาคนแทนแบบนี้หรอก” พี่โอ๊ตคงคว้าโทรศัพท์มาคุยขอร้องผม

   “พี่เองยังไม่เคยเจอลูกค้าเลย เพิ่งรับงานมาเมื่อวานนี้เอง ผิดนัดตั้งแต่วันแรกมันก็คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ”

   “พี่โอ๊ตมีนัดกำลูกค้าตอนกี่โมงครับ” ผมถาม เริ่มใจอ่อนแล้วครับ

   “ทุ่มหนึ่ง เดี๋ยวพี่ใช้เครื่องพี่แชร์โลเคชั่นไปให้นะ ขอบใจมาก” วางหูไปแล้วครับ ผมแค่ใจอ่อนแต่ยังไม่ได้รับงานนะครับ สุดท้ายผมก็ได้แต่เดินคอตกเข้าร้าน

.........................................................................

   พยัคฆ์ขับรถออกมาจากบ้านอย่างหงุดหงิด เขาเคยแต่ทำงานคนเดียว อยากไปไหนก็ไป จะทำอะไรก็ทำ แต่นี่อยู่ ๆ อากรก็ให้ไอ้คนตาคมนี่ตามผมออกมาด้วย แล้วช่วงนี้นายนี่ก็อยู่ติดหนึบกับอากรยิ่งกว่าเลขาอย่างคุณวรรณจนเขาแปลกใจ เป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์ พอเขามาที่บ้านทีไร ก็เห็นนายนี่อยู่ที่บ้านกับอากรเรียบร้อยแล้ว แถมดูอาปรากฏชอบให้นายนี่ติดหนึบซะด้วย

   พยัคฆ์พยายามถามเรื่องประวัติของนายตาคมคนนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องรู้ว่าคนที่มาทำงานกับเขามีเบื้องหน้าเบื้องหลังยังไงบ้าง ยิ่งไว้ใจให้เข้ามาถึงที่บ้านนี่แล้วล่ะก็ แต่อาของเขาก็แปลก ได้แต่บอกว่าไม่ต้องเช็ก นายนี่หรือนายชาติชายเป็นเพื่อนสนิทของอา แต่ไม่รู้ทำไมบางทีพยัคฆ์ดูเหมือนว่าอากรของเขาออกจะเชื่อฟังนายตาคมนี่ ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้านายแท้ ๆ

   “คุณเสือมีอะไรจะถามผมรึเปล่าครับ” คงเพราะเขาจ้องมองคนข้าง ๆ บ่อยครั้ง

   “นายขับรถได้ไหม?”

   “ได้ครับ”

   “อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันต้องขับให้นายนั่งว่ะ?”

   “ก็ผมตามหลังคุณมา คุณขึ้นรถก่อน รถคุณ คุณขับ มันก็ถูกแล้วนี่ครับ อีกอย่างคุณไม่ได้สั่งให้ผมขับ”

   “...” กวนตีน เขาคิด

   “แล้วนายรู้จักอากรตั้งแต่เมื่อไร?”

   “ก็รู้จักมานานแล้วครับ จะว่าเป็นเพื่อนเก่าก็ได้ ถ้าจะเช็กประวัติผมก็ไม่ต้องหรอกนะครับ อาคุณรู้จักผมดี”

   “อากรรู้ แต่ฉันไม่รู้นี่ ทำไม ถามไม่ได้รึไง”

   “ไว้ถึงเวลา อาคุณคงเล่าให้คุณฟังเองล่ะครับ” ทำไมช่วงนี้เขาได้ยินแต่ว่าไม่ถึงเวลา ไม่ถึงเวลา จากคนนั้นที คนนี้ทีนะ

   “แล้วนายเข้าไปทำอะไรที่บ้านฉันทุกวัน งานอื่นในออฟฟิศไม่มีให้ทำแล้วหรือไง”

   “ผมคงได้เลื่อนตำแหน่งมั้งครับ ได้เป็นผู้ติดตามอาของคุณ หรือบางครั้งก็คุณ”

   “ฉันไม่ต้องการผู้ติดตาม”

   “คุณคงไม่รู้ตัวสินะว่า คุณและอาคุณกำลังเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อันตรายแค่ไหน?”

   “นายรู้หรือไง?”

   “...” คนนั่งข้างเขาไม่ตอบคำถาม เขาก็ขี้เกียจจะซักไซ้ เพราะดูท่าคงไม่ได้คำตอบง่ายๆ

   “แล้ววันนี้อากรให้นายตามฉันทำไม”

   “ไม่ได้ตาม แต่มาช่วยงาน”

   “ช่วย ช่วยอะไร กับแค่มาจับตาดูเป้าหมาย”

   “ก็ถ้าเป้าหมายไม่รู้จักคุณ อาคุณคงไม่ให้ผมมากับคุณด้วยหรอก”

   มันก็จริงอย่างที่นายชาติว่า ลตารู้จักเขาเป็นอย่างดี ทำให้เขาได้แต่เฝ้าอยู่แต่ด้านนอกเท่านั้น ส่วนนายชาติ นอกจากจะออกงานภาคสนามกับเขาครั้งหนึ่งที่งานเพชรของคุณเพ็ญนภาแล้ว ก็มีแต่เจอที่บ้านเขานั่นแหละ หรือถึงลตาเคยเจอนายชาติ ก็ใช่ว่าจะจำได้

   “แล้วอากรให้นายมาช่วยฉันยังไง นั่งเฝ้าอยู่ในรถเป็นเพื่อนฉันรึไง”

   “หึ!!” ไอ้นี่ พยัคฆ์หงุดหงิดกับท่าทีของนายชาติ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...

   “เอา นายลงตรงนี้แล้วเดินต่อไปเองแล้วกัน ฉันจะไปจอดรถเลยค่ายมวยไปหน่อย จะได้ไม่มีใครสงสัย” เขาหมั่นไส้จึงจอดรถให้นายชาติลง

   “ผมว่าคุณไปจอดหลบในโรงแรมจิ้งหรีดข้างหน้านี้ดีกว่า รถคุณมันเด่น เยื้อง ๆ ค่ายมวยมีร้านกาแฟอยู่ คุยก็ไปนั่งที่นั่นแล้วกัน”

   นายชาติบอกก่อนเดินลงจากรถไป ทิ้งให้พยัคฆ์ได้แต่กัดฟันเข่นเขี้ยวอยู่คนเดียว

   
.........................................................................

   หลิวลู่ลงจากรถของคนที่เปรียบเสมือนหลานชายของเขาเองคนหนึ่ง เขาพอจะรับรู้ถึงความไม่พอใจของพยัคฆ์ที่มีต่อเขาได้ ก็ตั้งแต่เขาตัดสินใจเสี่ยงเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าวรากรวันนั้น เฮียกรของเขาก็ไม่ยอมปล่อยเขาคลาดสายตาเลยทีเดียว สั่งเด็ดขาดให้เขาย้ายเข้าไปอยู่บ้านของหลานชาย ยังดีที่ตกลงกันได้ว่าวรากรจะยังไม่บอกพยัคฆ์เรื่องของเขาจนกว่าจะถึงเวลา

   ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแน่ใจแล้วว่า วราการและพยัคฆ์จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าสัวเซียงและลูกชาย วรากรเพียงแต่ต้องการจะตีสนิทเจ้าสัวเซียงเพื่อสืบความเคลื่อนไหวจากทางนั้นเพราะระแคะระคายบางอย่าง และงานแรกที่เจ้าสัวให้แก่วรากรคือการตามหาเขา จงเก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า วรากรบอกเขาอย่างนั้น ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับวรากร

   หลิวลู่เดินเข้าไปในค่ายมวย แกล้งทำทีเป็นเข้ามาติดต่อขอใช้บริการ และมีพนักงานพาเขาเดินดูรอบ ๆ ค่ายมวย เขาเป็นเป้าหมายกำลังซ้อมมวยอยู่ ดูท่าทางที่ค่ายนี้จะมีการผสมผสานมวยเข้ากับโยคะเพื่อเหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะเห็นลูกค้าผู้หญิงหลายคนอยู่ เขาแกล้งมองนั่นมองนี่ไปรอบ ๆ พนักงานก็พูดบรรยายสรรพคุณของค่ายไปเรื่อย จนเขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง

   “เจ็กลู่” เขาหันไปมองก็ต้องตกใจ นายน้อยของเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ร่างนั่นสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า “เจ็กลู่จริง ๆ ด้วย เจ็กมาทำอะไรที่นี่ครับ”

   “ก็ว่าจะมาใช่บริการที่นี่น่ะ ว่าแต่ลื้อเถอะ มาทำอะไรที่นี่”

   “มาสอนมวยแทนพี่ที่สถาบันน่ะครับ”

   “สอนใคร?”

   “ผมก็ไม่แน่ใจน่ะครับ รู้แต่ว่าเป็นลูกนักการเมือง”

   “ขอโทษครับ น้องมาสอนแทนคุณโอ๊ตเหรอครับ” พนักงานที่พาหลิวลู่เดินดูรอบ ๆ แทรกขึ้น

   “ครับ แล้วผมต้องสอนใครครับ”

   “คุณกั๊มครับ”

   “อั๊วไม่ให้ลื้อสอน ลื้อกลับไปกับอั๊วเดี๋ยวนี้” พยัคฆ์อยู่แถวนี้ด้วย ถ้าหยกสัมผัสความรู้สึกทางนั้นได้จนขาดความระวังตัวขึ้นมาจะทำยังไง เขาเสี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่านอกจากลตาแล้ว ยังจะมีคนของเจ้าสัวเซียงอยู่แถวนี้อีกไหม?

   “ได้ยังไงครับเจ็ก หยกรับปากพี่เขาไว้แล้วนะ จะให้ผิดคำพูดได้ยังไง”

   “เอ่อ คุณลูกค้าครับ ให้น้องเขาสอนเถอะนะครับ แค่ชั่วโมงเดียวเอง”

   “นะ เจ็กนะ”

   “คุณกั๊มเขาสอนไม่อยากหรอกครับ แต่อย่าขัดใจแกเลยครับ เดี๋ยวเป็นเรื่อง”

   “เห็นไหมเจ็ก ลูกนักการเมืองเลยนะ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นครับไม่ใช่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ท่านลองน่ะใจดี แต่คุณกั๊มแกยังเด็กน่ะครับ ถูกตามใจจนเคย ขัดใจขึ้นมาที่มีสิทธิ์ค่ายแตกได้ครับ”

   “คุณกั๊มนี่อายุเท่าไรครับ”

   “10 ขวบครับ”

   “เจ็ก เด็ก 10 ขวบเอง หยกรับมือได้น่า...”

   “เออ เรื่องของลื้อ อั๊วกลับล่ะ” หลิวลู่รีบเดินออกมาก่อนที่ลตาจะสังเกตเห็นเขา หรือจำเขาได้

   
To Be Continue

หัวข้อ: Re: หยก 25-09-17 {{:::11:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 25-09-2017 14:44:04
ยังไงน้ออ รออ่านต่อแบบใจจดใจจ่อ  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หยก 27-09-17 {{:::12:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-09-2017 11:18:50
12

    พยัคฆ์มานั่งที่ร้านกาแฟเยื้อง ๆ กับค่ายมวย เขาไม่ได้อยากจะเชื่อคำแนะนำของนายชาติสักเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความคิดที่เข้าท่า ตอนเขาเดินเข้ามาในร้านกาแฟ ก็เห็นนายชาติกำลังเดินเข้าไปในค่ายมวย เขาไม่รู้ว่านายนั่นจะทำอะไร หลังจากเขาสั่งเครื่องดื่มกับของว่างนิดหน่อย เขาก็ทำทีเป็นนั่งเล่นแท็บเล็ตไปเรื่อย ทั้งที่คอยสอดส่ายสายตามมองไปยังค่ายมวย

    พยัคฆ์เห็นนายชาติ ออกจากค่ายมวย เดินตรงมายังร้านกาแฟที่เขานั่งอยู่ เมื่อเปิดประตูเขามาแล้วนายชาติก็เดินไปสั่งเครื่องดื่ม ก่อนเหลือบมองเขานิดหน่อยแล้วเดินเลี่ยงไปยังโต๊ะด้านใน

    [Chartchai: คุณลตากำลังจะออกมา]

    [Chartchai: ผมว่าคุณควรหลบไปก่อน]

    หลิวลู่พยายามหาทางไล่พยัคฆ์ให้ไปห่างๆ นายน้อยของเขา ในเมื่อจัดการกับคนข้างในไม่ได้ ก็ต้องไล่คนที่อยู่ข้างนอก

แอปพลิเคชันสีเขียวเด้งขึ้นมาบนแท็บเล็ตของเขา

    [Payak : นายเข้าไปทำอะไรในค่าย]

    [Chartchai: ไปติดต่อขอใช้บริการ]

    [Payak : เนียนดีนี่]

    [Chartchai: คุณลตากำลังเดินมาทางนี้]

    [Chartchai: คุณน่าจะหลบเธอไม่ทันแล้ว]

    พยัคฆ์อ่านข้อความล่าสุดแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองตามไปทางค่ายมวย

    [Chartchai: คุณอยู่ก่อนไม่ต้องลุก]

    [Chartchai: ถ้าคุณลตาเห็นคุณ]

    [Chartchai: ก็อย่าแสดงพิรุธ]

    [Chartchai: แค่บอกว่ามาตามเป้าหมายแถวนี้]

    [Chartchai: หรือถ้าคุณจะเลี่ยงทำเป็นกลับไปก่อนก็แล้วแต่คุณ]

    ข้อความที่พิมพ์มารัวเร็วเหมือนสั่งเขา นายชาติคิดว่าเขาเป็นใครกัน สั่งเอา ๆ แล้วเสียงประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของสาวใหญ่ที่ก้าวเข้ามา

    [Chartchai: จากนี้คุณกับผมแยกกันกลับ]

    [Chartchai: ทำเป็นไม่รู้จักกัน]

    “อ้าว คุณเสือมาทำอะไรแถวนี้ค่ะ” ยังไม่ทันจะเก็บแท็บเล็ตดี เสียงลตาก็ดังขึ้น “ตาก็ว่าอยู่ว่าคุ้น ๆ ตาเห็นคุณตั้งแต่ข้ามถนนมาแล้วล่ะค่ะ ตาขอนั่งด้วยนะคะ”

    “เชิญครับ” พยัคฆ์ผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ว่าแต่คุณลตามาทำอะไรแถวนี้ครับ?”

    “ลตาติดใจคอร์สมวยที่นี่ตั้งแต่วันที่ตามคุณกรมานะคะ”

    “อ๋อ...มาออกกำลังกายไกลจังน่ะครับ”

    “ของเขาดี ก็ต้องตามมาถึงที่สิคะ” หญิงตรงหน้าหัวเราะอย่างมีจริต “คุณเสือยังไม่ได้ตอบตาเลย ว่ามาทำอะไรที่นี่ค่ะ” เขาอุตส่าห์เลี่ยงไม่ตอบ คนตรงหน้าก็ยังกัดไม่ปล่อย

    "คนของผมรายงานว่า เป้าหมายที่ผมตามอยู่อาจจะอยู่ละแวกนี้น่ะครับ”

    “มิน่าล่ะ วันนี้คุณเสือแต่งตัวดูแปลกตาเชียว ปกติเห็นแต่คุณใส่สูท ว่าแต่ใครเหรอคะที่คุณเสือตามอยู่”

    “หึ!! เพิ่งจะทราบว่าคุณลตาสนใจงานของผมด้วยเหมือนกัน”

    “แหม๋...ตาก็ถามชวนคุณคุยไปอย่างนั้นแหละค่ะ แล้วเจอเป้าหมายของคุณเสือไหมคะ”

    “ยังไม่เจอเลยครับ”

    “ว้า...เสียดายจังนะคะ คุณเสือเลยมาเก้อ” เสียดาย? ลตารู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอ?

    “นี่เพิ่งจะทุ่มกว่าเองครับ ยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกครับ แล้วนี่คุณลตากลับยังไงครับ ผมไม่สะดวกไปส่งนะครับ”

    “ตามาเองได้ก็กลับเองได้ค่ะ ไม่รบกวนคุณเสือทำงานหรอกค่ะ ตาเอารถมา จอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังของค่ายมวยนะคะ”

    “ถ้าอากรรู้ว่าคุณตาติดใจค่ายมวยนี้ อาผมคงปลื้มน่าดูเลยนะครับ”

    “จริงเหรอคะ นี่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คราวหน้าตาจะชวนคุณกรมาด้วย คุณเสือว่าดีไหมคะ?”

    “ไม่รู้สิครับ คุณลตาคงต้องลองถามอากรดูเอง” พยัคฆ์ต้องจำใจนั่งกับลตาไปเกือบร่วมชั่วโมง เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน มีบ้างที่มองไปยังค่ายมวย เขาทำทีเป็นมองไปรอบ ๆ อย่างสังเกตบ้าง นั่งเล่นแท็บเล็ตบ้าง จนกระทั่งได้ยินเสียงลากเก้าอี้จากคนที่นั่งด้านในลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไป แต่แทนที่จะกลับอย่างที่เขาเข้าใจ นายชาติกลับข้ามถนนไปหน้าค่ายมวย

    “ตาคงต้องกลับแล้วค่ะ นั่งพักมานานแล้ว” อยู่ๆ คนที่นั่งตรงข้ามผมพูดขึ้น

    “ให้ผมเดินไปส่งที่รถไหมครับ” พยัคฆ์สงสัยว่าที่เธอนั่งอยู่เป็นนานสองนานนี่ แอบนัดใครไว้รึเปล่า? ถ้าเดินไปส่งเธอที่ลานจอดของค่ายมวย น่าจะพอเห็นอะไรบ้าง

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเสือทำงานต่อเถอะค่ะ” เธอพูดเสร็จก็เดินออกจากร้านไปทันที พยัคฆ์มองตามร่างสาวใหญ่ที่กำลังข้ามถนนไป มองเลยไปยังชาติและคนที่ยืนอยู่กับชาติ

    หยก!!

    ชาติรู้จักกับน้องหยกของเขา

.........................................................................

    ผมสอนน้องกั๊มเสร็จ พี่เจ้าของค่ายใจดี จ่ายค่าแรงให้ผมทันทีเลยครับ ส่วนน้องกั๊มก็ไม่ได้ดื้ออย่างที่พี่พนักงานว่าไว้จริงๆ แต่อย่าขัดใจแก ไม่งั้นเป็นเรื่องครับ ขนาดผมบอกน้องเขาว่าผมแค่มาแทนเทรนเนอร์ตัวจริงของเขาเท่านั้น น้องก็จะไม่ยอมท่าเดียว จะให้ผมสอนต่อให้ได้ กว่าจะตะล่อมจนยอม ค่ายแทบแตกจริง ๆ ครับ

    ผมเดินออกมาก็เจอเจ็กลู่วิ่งข้ามถนนมาหาผม ดูเจ็กรีบร้อนยังไงชอบกลครับ ยิ่งตอนที่จะไม่ยอมให้ผมสอนมวยน้องกั๊มผมว่าจะถามเหตุผลแก่สักหน่อย แกก็เดินออกไปแล้ว สัมผัสได้แค่ความรู้สึกกังวล

    “ทำไมลื้อแต่งตัวอย่างนี้ห๊ะอาหยก” ผมก้มมองตัวเองก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ดูจะมากเกินไปของอาเจ็กจนผิดวิสัย

    “มีอะไรผิดปกติเหรอครับ”

    “เสื้อเชิ้ตตัวที่ลื้อใส่มาอยู่ไหน เอามาสวมทับซะ”

    “อยู่ในกระเป๋าครับ เห็นว่าเหงื่อออกเยอะ ผมเลยตั้งใจรอเหงื่อแห้งก่อนค่อยสวมน่ะครับ”

    “ในค่ายเขาก็มีห้องอาบน้ำ ทำไมไม่รู้จักแต่งตัวให้มันเรียบร้อย ดูสิเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

    ผมก้มลงมองตัวเองอีกครั้ง เสื้อยืดเนื้อบางสีฟ้าอ่อนของผมชื้นเล็กน้อย ก็พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ ในค่าย บางคนยังเปลือยท่อนบนกันเลย

    “มันก็ไม่ได้โป๊อะไรมากมายนี่ครับเจ็ก”

    “อั๊วไม่ได้ว่าลื้อโป๊ แต่ที่ว่าเห็นอะไรต่อมิอะไรน่ะ อั๊วหมายถึง เมฆาขาว ของลื้อต่างหาก” ผมมองอีกครั้ง จริงด้วยครับ เสื้อชื้นเหงื่อลู่แนบลำตัวทำให้เห็นลอยนูนของเมฆาขาวชัดมากยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายหนังสีเข้มที่ร้อยคล้องคอผมอยู่ ผมได้แต่ยิ้มแหย๋ส่งไป “ไปๆ กลับบ้าน อั๊วจะไปส่ง”

    “คะ...ครับ” ผมสัมผัสได้ถึงนายแมวหง่าว ความรู้สึกรุนแรงแบบนี้มีคนเดียว

    “อาหยก ลื้อเป็นอะไร ทำไมถึงตัวสั่นขนาดนี้”

    “มะ...ไม่รู้คะ...ครับ” ตอนนี้ผมไม่สามารถพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้ ผมรู้สึกอึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกแล้ว ได้แต่หันมองไปรอบ ๆ เขาอยู่ไหน?

    “ไป อั๊วพาลื้อกลับบ้านก่อน”

    “มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ ดูเหมือนน้องเขาไม่ค่อยสบาย” ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาถาม ผมได้แต่ยืนนิ่ง ต้องบอกว่าพยายามยืนให้นิ่งที่สุดมากกว่า ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมตัวสั่นขนาดไหน

    “ไม่เป็นไรครับ” เจ็กลู่ตอบสำเนียงไทยเป๊ะ สำเนียงจีนเมื่อครู่หายไปอย่างสิ้นเชิง

    “ให้ดิฉันไปส่งที่โรงพยาบาลหรือคลินิกแถวนี้ไหมคะ”

    ผู้หญิงคนนั้นอาสา อ่อ...ผมจำเป็นได้แล้ว เธอเรียนมวยอยู่ที่ค่ายนี้ แล้วผมชนกับเธอเข้าตอนที่จะเข้าไปสอนน้องกั๊ม ผมนึกว่าเธอกลับไปนานแล้ว ผมพยายามจะจับความรู้สึกของเธอ แต่ความรู้สึกที่รุนแรงของอีกคน มันรุนแรงจนผมจับความรู้สึกอื่นไม่ได้เลย

    “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมกับหลานนั่งแท็กซี่กลับกันเองได้ ไม่รบกวนคุณผู้หญิงดีกว่า”

    เจ็กลู่เดินจูงมือผม พาข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม รออยู่ไม่นานรถแท็กซี่ก็มาครับ ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นยืมมองพวกเราจนขึ้นแท็กซี่กัน รถแล่นตามถนนมาได้สักพัก ความรู้สึกรุนแรงนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปตามระยะที่รถวิ่งห่างออกมาจากบริเวณนั้น แต่มันก็ทำให้ผมเหนื่อยมากอยู่ดี กับทุกครั้งที่ต้องรับมือกับความรู้สึกแบบนี้

    “เจ็ก ผู้หญิงคนนั้น”

    “ทำไม ลื้อเคยเจออีมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”

    “เปล่าครับ เพิ่งเจอกันวันนี้ แต่เจอหลังจากที่เจ็กออกไปครั้งหนึ่ง แล้วก็เมื่อกี้” ผมเห็นเจ็กลู่ขมวดคิ้ว “เจ็ก ผมจับความรู้สึก”

    “ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน ลื้องีบไปก่อนก็ได้ ดูลื้อเหนื่อย ๆ นะ ถึงแล้วอั๊วจะปลุกแล้วกัน”

.........................................................................

    พยัคฆ์อยากเข้าไปหาน้องหยกของเขา แต่ติดที่ข้อตกลงของหงส์ที่ยังค้ำคอเขาอยู่ ทำให้จากที่ลุกขึ้นมาแล้วก็ต้องกลับไปนั่งลงตามเดิม ถ้าชาติรู้จักกับน้องหยกจริงการที่เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าน้องหยก เรื่องต้องรู้ถึงหูหงส์แน่นอน

    เขาเห็นลตาเดินเข้าไปคุยกับสองคนนั้น ลตาคงไม่สงสัยนายชาติแน่ เพราะนายนั่นนั่งอยู่ในร้านเป็นนานสองนาน เป็นไปไม่ได้แน่ที่เธอจะไม่เห็น แต่เขาก็ไม่ควรประมาท จะเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าเขาก็ไม่แน่ใจ ลตาลุกแทบจะทันที ที่นายชาติออกจากร้านไป

    ชาติพาน้องหยกของเขาข้ามถนนกลับมาฝั่งเขา ดูท่าทางน้องหยกคงจะไม่สบายอีกแล้วมันยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง เขาอยากเป็นคนเข้าไปดูแล อยากเอาใจใส่น้องหยก จะไม่ยอมให้เจ็บป่วยหรือเป็นอันตรายใดๆ ทั้งนั้น เขาจับตามองลตาที่มองชาติกับหยกจนกระทั่งสองคนนั้นขึ้นรถแท็กซี่ไปอย่างสงสัย เธอเหลือบมองมาทางเขานิดหน่อย ยังดีที่เขายังคงแกล้งเล่นแท็บเล็ตอยู่ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีลตาก็เดินหายเข้าไปในค่ายมวยอีกครั้ง ก่อนเขาจะเห็นรถคุ้นตาขับออกมา

    เขาควรจะตามลตาต่อไหม หรือ กลับไปสมทบกับนายชาติ ระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจอยู่นั้นเสียงเตือนแอปพลิเคชันก็ดังขึ้นมาจากแท็บเล็ต

    [Chartchai: คุณลตาขับรถรุ่นไหน]

    [Chartchai: สี ทะเบียนอะไร]

    [Payak : เลกซัส สปอต สีขาว]

    [Payak : ทะเบียน ลต xyz]

    [Chartchai: ดูเหมือนเธอจะตามผมอยู่]

    [Chartchai: แท็กซี่ไม่น่าจะสลัดเธอหลุดแน่]

    [Payak : ทำไมลตาถึงตามนาย]

    [Payak : เธอสงสัยนาย?]

    ชาติหายไปนานหลายนาที จนผมอดสงสัยไม่ได้ ว่าควรจะไว้ใจนายนั่นเหมือนที่อากรไว้ใจดีไหม?

    [Chartchai: คุณลตาไม่ได้ตามผม]

    [Chartchai: แต่ตามหยก]

    [Chartchai: หลานของผม]

    สองคนนี้รู้จักจริง ๆ ด้วย และไม่คิดว่าหยกจะเป็นหลานนายชาติ แล้วลตาตามหยกทำไม

    [Payak : ทำไม]

    [Chartchai: คุณต้องช่วยพาหยกหลบไปก่อน]

    [Chartchai: ผมจะล่อคุณลตาเอง]

    พยัคฆ์กำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ว่าเขาไม่สามารถทำได้ หยกกลัวเขา และเพราะข้อตกลงระหว่างหงส์ ยังพิมพ์ไม่เสร็จเรียบร้อยดี

    [Chartchai: ผมรู้เรื่องข้อตกลงระหว่างคุณกับหงส์]

    [Chartchai: ในเมื่อผมขอให้คุณช่วยหยก]

    [Chartchai: ดังนั้นไม่ถือว่าคุณผิดข้อตกลงกับเธอ]

    [Chartchai: เรื่องนี้ผมจะคุยกับหงส์เอง]

    [Payak : ผมไม่แน่ใจว่าหลานคุณจะยอมมากับผม]

    [Chartchai: คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น]

    [Payak : จะให้ผมช่วยยังไงว่ามา]

    หลังจากนายชาติบอกเล่าแผนการสลัดลตาคร่าว ๆ ผ่านตัวอักษรเรียบร้อย นัดแนะจังหวะเวลาอีกเล็กน้อย เขาก็เดินออกจากร้านเพื่อไปเอารถของเขาที่โรงแรมจิ้งหรีด ชาติให้เขาหาที่พาหยกไปหลบเฉพาะคืนนี้เท่านั้น เพราะยังไม่ไว้ใจให้พาหยกไปส่งที่บ้านหรือไปโรงพยาบาลเพื่อหาหงส์ แล้วเขาจะพาหยกไปหลบที่ไหนดี

.........................................................................

    หลิวลู่ให้แท็กซี่มาจอดหน้าร้านขายยาจีนแผนโบราณแห่งหนึ่ง นายน้อยมองอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร คงพอจะสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ การที่เขาอยู่ในตระกูลฝู่ (福) มาเป็นเวลาหลายปี เขาเรียนรู้ที่จะปกปิดความรู้สึกนึกคิดในจิตใจเพื่อความเป็นส่วนตัวของเขาเอง ยังดีที่นายน้อยไม่ได้เรียนรู้และฝึกฝนการสัมผัสจิตมาอย่างคุณหนูใหญ่ จึงสัมผัสได้เพียงผิวเผินเท่านั้น

    เขาเดินนำเข้าไปในร้าน สายตาก็คอยสอดส่องรถของลตาอยู่ เธอยังคงตามเขากับนายน้อยอยู่ หลังจากนี้คงต้องคุยกับเฮียกรสักที ลตาต้องเป็นคนของเจ้าสัวเซียงอย่างไม่ต้องสงสัย และเธอไม่ได้ตามหาแค่เขาแน่นอน

    “เหล่าฝู่อยู่ไหม” เขาถามเด็กหนุ่มที่กุลีกุจอกำลังจะปิดร้าน

    “อือ กงฝู่อยู่ข้างใน จะบอกว่าใครมาหา”

    “เผ่งอิ้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนเดินเข้าไปหลังร้าน

    “เจ็กหลิวแวะ มาทำอะไรที่นี่ ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะ”

    “อั๊วแวะมาดื่มชากับเพื่อนอั๊วแป๊บหนึ่ง นาน ๆ ผ่านมาสักที อยู่ไม่นานหรอก”

    “กงฝู่ให้พวกคุณเข้าไปข้างใน เชิญ” เด็กหนุ่มเดินออกมาจากประตู แล้วผายมือให้หลิวลู่และหยกเข้าไปหลังร้าน

    “อั๊วนึกว่าจะไม่เห็นลื้ออีกแล้วในชีวิตนี้” เหล่าฝู่เดินกระย่องกระแย่งเข้ามาจับไหล่เขา มือที่เหี่ยวย่นนั้นตบลงเบาๆ เป็นการทักทาย ก่อนมองเลยไปยังคนที่ตามหลังมา “นี่คงจะเป็น...”

    “อือ อั๊วมีเวลาไม่มาก อยากจะมาดื่มชา อาหยกลื้อก็มาดื่มด้วยกัน”

    “ได้ ๆ ๆ อั๊วเตรียมให้ ไล้ๆ ๆ” เหล่าฝู่จัดแจงหยิบใบยาในโหลกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งใส่กาน้ำชาใบเล็ก ก่อนเทน้ำร้อนลงไป

    “อาหยก นี่เหล่าฝู่ อีเป็นเพื่อนกับอั๊ว” หลิวลู่แนะนำให้นายน้อยรู้จักพอเป็นพิธี

    “เอานี่ อาตี๋ ดื่มตอนร้อนๆ จะได้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า” เหล่าฝู่รินน้ำชาใส่จอกแก้วกระเบื้องเคลือบเนื้อดีส่งให้นายน้อย ท่าทางเอ็นดู เอ่ยน้ำตาคลอ

    “ขอบคุณครับกงฝู่”

    “ลื้อรินชาเอาเองนะ” เหล่าฝู่หันมาบอกเขา เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มชาจริง ๆ และชานี้ไม่ได้มีไว้สำหรับเขา

    “กงฝู่คิดถึงลูกหลานเหรอครับ” นายน้อยคงจับความรู้สึกเหลาฝู่ได้ หลิวลู่พยักหน้าให้เหล่าฝู่เล็กน้อย

    “อืม ไม่ใช่หรอก เพื่อนฝูงอั๊วน่ะก็ตาย ๆ กันไปหมดแล้ว พอมีคนมาหามาเยี่ยม อั๊วก็คิดถึงคนเก่า ๆ เป็นธรรมดา อาตี๋ไม่ต้องตกใจไป คนแก่ก็อย่างนี้แหละ”

    นั่งคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปสักพัก นายน้อยของเขาก็หลับไป เหล่าฝู่เดินออกไปบอกให้เด็กปิดหน้าร้าน เพื่อนของเขาจะออกด้านหลัง หลิวลู่เองก็เดินไปทางประตูด้านหลัง เดินทะลุตรอกเล็ก ๆ ออกไป จนเจอรถสีดำคันใหญ่ที่จอดรอเขาอยู่แล้ว

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 27-09-17 {{:::12:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 27-09-2017 11:43:53
ค้างมากกก สนุกมากค่ะ  :pig4:
หมั่นใส้นังลตา  :m31:
หัวข้อ: Re: หยก 27-09-17 {{:::12:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-09-2017 11:54:19
 o13
หัวข้อ: Re: หยก 27-09-17 {{:::12:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 27-09-2017 18:39:50
แหม่..น้องหยกของเขา :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-17 {{:::13:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 29-09-2017 08:38:07
13

   
   พยัคฆ์ขับรถวนมาจอดตามสถานที่ที่นายชาตินัดเขาไว้ ระหว่างทางเขาก็สอดส่ายสายตามมองดูรถของลตาไปด้วย เขานั่งรอในรถได้สักพักก็เห็นนายชาติเดินออกมาจากตรอกเล็ก ๆ ตรอกหนึ่ง เขาจึงลงจากรถแล้วเดินตามนายชาติเข้าตรอกนั้นไปเขาเดินตามหลังนายชาติเข้ามาลึกพอสมควรแล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูเล็ก ๆ ของตึกแถวหลังหนึ่ง นายชาติเคาะประตูก่อนเปิดนำเขาเข้าไป ภายในไม่มีช่องแสง อาศัยแค่ไฟนีออนดวงเล็กเท่านั้นทำให้บรรยากาศค่อนข้างมืด กว่าสายตาเขาจะชินกับแสงสลัวนี้ก็เมื่อเดินผ่านครัวเล็กๆ ไปจนจะถึงห้องกินข้าวแล้ว ห้องนี้มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กตั้งอยู่ มีชายชรานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เลยไปเป็นตั่งนอนไม้สีเดียวกัน บนตั่งร่างขาวเรืองแสงนอนหายใจสม่ำเสมออยู่

   “คุณไม่ควรพาหลานผมไปที่บ้านของคุณ” นายชาติบอกเขา “และคืนนี้ผมก็คงยังไม่ได้เข้าไปบ้านคุณ ผมจะโทรบอกคุณกรเอง”

   พยัคฆ์พยักหน้ารับ ยังไม่ละสายตาจากร่างที่นอนอยู่ตรงหน้า เสียงตึกตัก เหมือนคนลงบันไดมาทำให้เขาหันไปมอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งลงบันไดมาหาพวกเขา

   “กงฝู่ ผมขึ้นไปดูมาแล้วนะ ปีนดาดฟ้าไปตึกข้าง ๆ 2 – 3 ช่วงตึกก็เห็น รถคันนั้นยังจอดอยู่”

   “รถคันนั้น” เขาทวนคำ

   “รถคุณลตา” นายชาติตอบเขา

   “ลื้อจะให้อาตี๋ไปกับอีอย่างนั้นหรอ แล้วอีเป็นใคร” แปะแก่ๆ คงจะเป็นกงฝู่ของเด็กหนุ่มถามนายชาติ

   “อืม” นายชาติเดินไปยังร่างที่หลับอยู่ ลวงมือลงไปยังคอเสื้อ ดึงเชือกหนังสีเข้มเส้นหนึ่งออกมาก่อนจะถอดมันส่งให้กับเขา

   “นี่ลื้อ!!” กงฝู่เหมือนมีท่าทีตกใจอะไรสักอย่าง “หรือว่าอี?” เขาเห็นเข้าใจว่าพยักหน้าเล็กน้อย

   “ระหว่างที่คุณอยู่กับหลานผม คุณต้องเก็บสร้อยนี่ไว้กับตัว ห้ามคืนหยกเด็ดขาด จนกว่าคุณจะเจอผมพรุ่งนี้”

   “ทำไม” พยัคฆ์ยื่นมือไปรับแต่ก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้

   “ผมไม่มีเวลาอธิบาย แล้วอีกอย่างอย่าให้หยกรู้ว่าสร้อยอยู่กับคุณ ให้แกเข้าใจว่าอยู่กับผม ถ้าเกิดหลานผมถามหามันขึ้นมา”

   “แล้วทำไมหยกถึงหลับไม่รู้เรื่อง ขนาดคนลงบันไดมาเสียงดังยังไม่ตื่นเลย คุณทำอะไรหยก”

   “เหล่าฝู่ให้ดื่มชานิดหน่อย ชาสมุนไพรน่ะ มันช่วยให้หยกผ่อนคลาย” นายชาติบุ้ยใบไปทางประตูอีกด้านที่เปิดค้างไว้ เขาจึงเห็นว่าหน้าบ้านของตึกหลังนี้คงเป็นร้านขายสมุนไพรจีน หรือยาจีนแผนโบราณอะไรสักอย่าง “ยิ่งเหนื่อยมาทั้งวัน เลยหลับง่ายเป็นพิเศษ” เขาพยักหน้าเข้าใจ

   “แล้วพรุ่งนี้จะให้ผมไปส่งหยกที่ไหน ผมไม่รู้จักบ้านหยก หรือแม้แต่บ้านนาย”

   “พาไปหาหงส์ ที่โรงพยาบาล ผมขอให้คุณช่วยย้ายหงส์ไปอยู่ห้องพิเศษ ที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ แล้วคุณจะได้รู้ทุกอย่างที่คุณอยากรู้”

.........................................................................

   ผม...อยู่ที่ไหน?

   ...

   ..

   .

   อีกแล้วเหรอ?

   ...

   ..

   .

   ผมไม่แน่ใจว่าผมฝันอยู่รึเปล่า เพราะคราวนี้รอบ ๆ ไม่ได้มืดสนิทเหมือนทุกครั้ง ที่สำคัญผมได้ยินเสียงสิ่งแวดล้อมรอบด้านเสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงน้ำไหล ผมหันไปมองรอบ ๆ เพดานห้องสี่เหลี่ยมนี้ ก่อนยันตัวลุกขึ้น ผมนอนอยู่บนโซฟาตัวยาว ตรงหน้ามีทีวีจอยักษ์แขวนอยู่บนผนัง ข้าง ๆ เป็นประตูกระจกขนาดใหญ่มองออกไปเห็นระเบียงด้านนอก ผมอยู่ที่ไหนกันแน่

   ผมได้ยินเสียงย่ำเท้าลงบนพรมนุ่มมาจากด้านหลัง เงาสะท้อนบนทีวีจอยักษ์นั่นเห็นเป็นแค่รึเปล่าตะคุ่ม ๆ เท่านั้น จึงหันไปมอง เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นใคร ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย คนตรงหน้าชะงักเท้าทันที

   ...

   ..

   .

   ผมสัมผัสความรู้สึกอะไรกับคนตรงหน้าไม่ได้ ผมคงฝันอีกตามเคย ก้มมองตัวก็ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ออกมาจากค่ายมวย ผมคงยังนอนอยู่ที่บ้านกงฝู่ แล้วเมื่อไรผมถึงจะตื่น หรือว่าผมกับเขาต้อง...

   “ปวดหัว หรือไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” นายแมวหง่าวถามผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงเขาในความฝันแบบนี้ ผมส่ายหน้า เขาจึงเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผาเหมือนจะวัดไข้

   “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาจึงได้แต่เงียบ

   “น้องหยกครับ” เขาเรียกชื่อพร้อมจองหน้าผม หรือว่ามันจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ในฝันเขามักจะเรียกชื่อผมก่อน เหมือนจะขออนุญาตรึเปล่า? ก่อนจะทั้งหอมทั้งจูบ ผมคิดอะไรของผมอยู่กันแน่?

   “...”

   “เฮ้อ...ไปอาบน้ำเถอะครับ จะได้มาพักผ่อน พี่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เปลี่ยน อยู่ในห้องน้ำนะครับ” หืม..พูดอะไรยาว ๆ ได้ด้วย

   “คะ...ครับ” ผมเดินตามที่มือนายแมวหง่าวชี้ไปยังห้องน้ำ

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินจากห้องน้ำออกมาก็เห็นน้องหยกของเขาตื่นแล้ว แต่ยังมีทีท่างุงงงอยู่ เป็นเขาก็คงไม่ต่างกัน ชาสมุนไพรของกงฝู่คงมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ ตั้งแต่เขาอุ้มน้องหยกออกมาผ่านตรอกเล็ก ๆ นั่น จนมาถึงที่คอนโด ร่างโปร่งตรงหน้ายังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

   เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาช้า ๆ จนน้องหยกหันมามองแล้วสะดุ้งตกใจ เขาทำอะไรไม่ถูก คำพูดของหงส์ผุดขึ้นมา “เขาไม่เข้าใจ มันเลยทำให้เขากลัว เวลาคนเราไม่รู้จัก ไม่เข้าใจในสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ก็มักจะหวาดกลัวไปก่อนไม่ใช่เหรอคะ?”

   พยัคฆ์เฝ้ามองท่าทีของคนบนโซฟา จากที่ตอนแรกมีท่าทีตกใจ จนกระทั่งค่อยๆ ผ่อนคลายลง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเล็กน้อยอีก ก่อนจะแก้มแดงลามไปทั้งจมูกทั้งหู จนเขากลัวว่าจะไปสบายขึ้นมาต้องเขาไปถาม ส่วนคนตรงหน้าได้แต่มองเขาตาแป๋ว จนอยากดึงตัวเข้ามากอดมาฟัดมาทำอะไรๆ อย่างที่เก็บเอาไปฝันแทบทุกคืน ก่อนความคิดเขาจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

   “เฮ้อ...ไปอาบน้ำเถอะครับ จะได้มาพักผ่อน พี่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เปลี่ยน อยู่ในห้องน้ำนะครับ”

   “คะ...ครับ”

   พยัคฆ์มองตามร่างโปร่งเดินไปยังห้องน้ำ ตามที่เขาชี้บอกไปทีแรก เมื่อประตูห้องน้ำปิดลงเขาก็แทบทิ้งตัวลงให้จมหายไปกับโซฟา เขาต้องบังคับตัวเองมากแค่ไหนกันนะ นี่สินะที่โบตั๋นบอกว่าเขาอันตรายสำหรับพี่ชายของเธอ เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเขาจึงลุกขึ้นนั่ง

   “น้องหยกหะ...หิวไหม” เสียงของเขาเหมือนมันจะหายกลับเข้าไปในลำคอกับภาพตรงหน้า ชุดนอนผ้าแพรของเขา ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันคงตัวใหญ่ไปสำหรับคงตรงหน้า แต่เขาไม่คิดว่ากระดุมเม็ดแรก...มันจะลึก...มาจนเกือบเห็นอกขาว ๆ ของคนใส่

   “ไม่ครับ” เสียงเจ้าของร่างทำให้เขาต้องเสหน้าไปทางแพนทรีแทน

   “อย่างนั้นดื่มนมสักหน่อยนะครับ” เขาพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ก่อนเดินไปยังตู้เย็นเพื่อริมนมให้ คืนนี้เขาคงต้องนอนที่โซฟานอกห้องแน่ๆ

   “นายแมวหง่าว” หยกเดินตามมาหยุดตรงโต๊ะทานข้าวชุดเล็ก แมวหง่าว? เขาเหรอ?

   “น้องหยกเรียกพี่ว่ายังไงนะครับ” เขาถามพร้อมวางแก้วนมลงตรงหน้า

   “ก็...มันไม่ชิน...พยัคฆ์” น้องหยกพูดตะกุกตะกัก แสดงว่าน้องหยกเรียกเขาว่านายแมวหง่าวตลอดเลยสิ?

   “ครับ พี่ชื่อพยัคฆ์ แต่เรียกพี่ว่าพี่เสือก็ได้ครับ”

   “เสือ?”

   “ใช่ครับ พี่เสือ” หยกพยักหน้ารับก่อนยกนมขึ้นมาดื่ม พยัคฆ์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม อีกคนก็นั่งลงตาม เขาพยายามไม่มองส่วนอื่นนอกจากใบหน้า

   “นาย...ไม่คิดจะทำอะไรเหรอ?”

   “เรียกพี่เสือสิครับ” อยู่ๆ เขาก็อยากเรียกร้องให้คนตรงหน้าเรียกชื่อเขาขึ้นมา เขาเห็นน้องหยกลังเลอยู่สักพัก

   “เอ่อ...พี่เสือ..ไม่...”

   “ไม่อะไรครับ”

   “แล้วเมื่อไรจะตื่นล่ะเนี่ย” น้องหยกบ่นอะไรที่พยัคฆ์ไม่เข้าใจ แต่ดูท่าทางคนตรงหน้าคงจะหงุดหงิดไม่น้อย

   “น้องหยกครับ บอกพี่ได้ไหม ว่าหยกหงุดหงิดอะไรครับ”

   “ก็...ไม่ทำอย่างที่เคยเหรอ?” น้องหยกมองเขาตาแป๋ว

   “ทำอะไรครับ” พยัคฆ์เริ่มงุนงงกับคำพูดแปลกของคนแก้มแดงตรงหน้า หน้าขึ้นสีง่ายจริง ๆ

   “แล้วทุกทีชอบทำอะไรล่ะ?”

   “พี่น่ะเหรอ บางทีนั่งดูหนัง บางทีก็นั่งดื่มบรั่นดีไปเรื่อย”

   “อืม” น้องหยกตอบพร้อมกับยกแก้วนมขึ้นดื่มจนหมด แล้วก็นั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่

   “เข้านอนเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” พยัคฆ์เอ่ยอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบระหว่างพวกเขา “พี่พาไปที่ห้อง” เขาลุกขึ้นเดินนำไป หยกเองก็ลุกเดินตามเขาไปจนถึงหน้าประตูห้องนอน พยัคฆ์เปิดประตูให้แล้วเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้หยกได้เข้าไปก่อน ส่วนเขายืนอยู่หน้าห้องตามเดิม

   “ฝันดีนะครับ” เขาพูดก่อนเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูดึงปิด แต่ติดที่ร่างโปร่งตรงหน้ายืนขวางอยู่ “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาเห็นสีหน้าลังเลของอีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวลนะ พี่จะนอนตรงโซฟาด้านนอก น้องหยก” เขาพูดยังไม่จบประโยคคนตรงหน้าก็ก้าวเข้ามาเขย่งปลายเท้า ปากเล็กของน้องหยกแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนกลับไปยืนยังจุดเดิม

   ตึกๆ ตึกๆ

   “น้องหยกอ่อยพี่เหรอครับ”

   “เฮ้ย...ผมไม่ได้อ่อยนะ” หยกเสหน้าหนี แก้มแดงหูแดงไปหมด “ก็ทุกที ชอบทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” เขาน่ะเหรอ? พยัคฆ์ได้แต่งงกับคำกล่าวหานั้น จนต้องคว้าข้อมือเล็ก จูงเดินมานั่งลงบนโซฟา ต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว แต่จะคุยในห้องนอนคงไม่ดีแน่ก็มันอันตรายเกินไปต่อใจเขานะสิ

   “พี่ชอบทำแบบนี้ น้องหยกหมายความว่ายังไงครับ”

   “ก็ไม่ได้หมายความว่าไง ก็ชอบทำแบบนี้ทุกทีจริง ๆ” เขาคงต้องเปลี่ยนคำถาม ไม่อย่างนั้นน้องหยกคงได้แต่ย้ำคำเดิม ๆ

   “พี่ทำแบบนี้กับใคร” น้องหยกก้มหน้างุด หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “กับน้องหยก?” คนตรงหน้าพยักหน้าน้อย ๆ

   เขาไปลวนลามน้องหยกตอนไหนกัน เจอกันที่ไหนไม่เป็นลม ก็หนีหน้ากัน จะมีก็แต่ตอนอยู่บนรถ แต่นั่นมันอุบัติเหตุชัดๆ ไม่ได้ลวนลามสักหน่อย แล้วเขาจุ๊บที่จมูกไม่ใช่ริมฝีปากนุ่ม ถึงจะอยากทำแค่ไหน ก็เก็บเอาไปทำได้แต่ในฝันเท่านั้นแหละ ฝัน อยู่ดีๆ ความคิดบ้าๆ ก็ผุดขึ้นในสมองของเขา

   “แล้วหยกโกรธพี่ไหม ที่พี่ทำแบบนั้น”

   “ทำไมเพิ่งมาถามล่ะ?”

   “ไม่รู้สิ”

   “...”

   “พี่ทำแบบนี้ใช่ไหม?” พยัคฆ์ถามพร้อมกับรั้งร่างบางเขามากอด เขามักจะอยากกอดคนตรงหน้าก่อนเสมอ เขาผละออกจากร่างโปร่งมองดูใบหน้าที่ขึ้นสี “แล้วก็แบบนี้” เขาเอามือลูบแก้มเนียนใสอย่างแผ่วเบา ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนจมูกเล็กน่ารักนั่น ที่เขาคิดเสมอว่ามันน่างับ “แล้วก็...” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่าก่อนจะประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากสีกุหลาบนั่น ร่างในอ้อมแขนเขาสั่นเล็กน้อย เขาจึงค่อย ๆ สัมผัสริมฝีปากนุ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไล้ลิ้นไปชิมริมฝีปากรสนม มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อนอนเพื่อสัมผัสแผ่นหลังเนียน ก่อนค่อยส่งลิ้นร้อนไปในโพรงปากเล็กกวาดชิมรสหวานภายใน น้องหยกดื่มนมจืดไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้กลายเป็นนมหวานไปได้ ก่อนอะไรจะเลยเถิดไปกว่านี้ ถึงแม้จะยังเสียดายก็ตาม เขาต้องหยุดตัวเองไว้ก่อน ไม่อยากให้คนตรงน่ากลัวเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่

   น้องหยกของเขาหายใจหอบราวกับไปวิ่งระยะไกลมา เขารั้งร่างโปร่งเข้ามากอดไว้แนบอก ลูบปลอบที่แผ่นหลังเบาๆ เขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของน้องหยก มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับของเขา

   “น้องหยกยังไม่ตอบพี่เลยนะครับว่า ใช่ไหม?” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดหายใจเป็นปกติแล้ว

   “ยังจะถามอีก” น้องหยกตอบทั้งที่ไม่ยอมเงยหน้าสบตาเขา

   “ตั้งแต่เมื่อไรครับ”

   “วันที่เจอพี่เสือแถวหน้าร้านพี่กันต์...” ร้านใครนะ? “ก็วันที่นาย เอ๊ยพี่เสือลากผมขึ้นรถมาด้วยไง” เป็นไปได้ยังไงกัน มันจะเป็นวันเดียวกันกับที่ฝันถึงน้องหยกเป็นครั้งแรกอย่างนั้นเหรอ? “พี่เสือคงจำไม่ได้หรอก ก็ที่นี่มันมีแต่เรื่องแบบเมื่อกี้อย่างเดียวนี่” นี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง ที่เขาฝันว่าได้กอด จูบ และทำอะไร ๆ ที่มากกว่านี้มาหลายคืน ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะฝันแบบเดียวกับเขา วันเดียวกับเขา หรืออาจจะเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ จิตใจเราสื่อถึงกันขนาดนี้เลยเหรอ? หรือที่น้องหยกดูเหมือนจะไม่กลัวเขาในตอนนี้ เพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ หึ!! เด็กน้อย แล้วถ้าเขาอยากจะทำอะไรที่มากกว่านั้นล่ะ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-17 {{:::13:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2017 11:31:41
 :hao7:จะทำอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-17 {{:::13:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-09-2017 16:06:32
อย่าเชียวนะเสือ ขืนทำล่ะก็ไม่ได้น้องไปนอนกอดตลอดชีวิตแน่
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-17 {{:::13:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 30-09-2017 21:15:27
สนุก!! เขียนได้ลื่นไหล พล็อตเรื่องแปลก ไม่จำเจ ภาษาที่ใช้ดี แต่มีคำผิดประปราย (ทะมัดทะแมง, รุนหลัง ฯ) อ่านแล้วให้อารมณ์เหมือนนวนิยายขายดีเลยทีเดียว รีบมาต่อเร็วๆ นะ รออ่ะ

แต่มีเรื่องติดใจ ขอถามถึงเรื่องเรียนกับอายุของหยกกะตั๋นอีกทีได้ไหมคะ คือมีตอนนึงบอกว่า หยกทำงานร้านพี่กันต์ตั้งกะปีสาม ทำมาสามปีแล้ว ถ้าปีหนึ่ง=อายุ18 ปัจจุบันก็=23 จบมาแล้ว 2 ปี ดังนั้น ตั๋นอายุ22 เรียนปีห้า ใช่ไหมคะ?? เราเข้าใจถูกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-17 {{:::13:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 30-09-2017 22:56:11
สนุก!! เขียนได้ลื่นไหล พล็อตเรื่องแปลก ไม่จำเจ ภาษาที่ใช้ดี แต่มีคำผิดประปราย (ทะมัดทะแมง, รุนหลัง ฯ) อ่านแล้วให้อารมณ์เหมือนนวนิยายขายดีเลยทีเดียว รีบมาต่อเร็วๆ นะ รออ่ะ

แต่มีเรื่องติดใจ ขอถามถึงเรื่องเรียนกับอายุของหยกกะตั๋นอีกทีได้ไหมคะ คือมีตอนนึงบอกว่า หยกทำงานร้านพี่กันต์ตั้งกะปีสาม ทำมาสามปีแล้ว ถ้าปีหนึ่ง=อายุ18 ปัจจุบันก็=23 จบมาแล้ว 2 ปี ดังนั้น ตั๋นอายุ22 เรียนปีห้า ใช่ไหมคะ?? เราเข้าใจถูกใช่ไหม

ก่อนอื่น เราต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับคำชม, คำวิจารณ์นะคะ :pig4: :pig4:

บอกตามตรงเลยว่า เราแอบตกใจกับคำวิจารณ์เล็กน้อย ตรงที่เปรียบเทียบเรื่องของเรา กับนวนิยายขายดี :o8: :o8:

ดีใจมาก ๆ ค่ะ (แต่ก็แอบเกร็งนะ เวลาจะเขียนตอนต่อไปอ่ะ)

เรื่องคำผิด ขอน้อมรับ และจะตรวจทานให้ละเอียดอีกครั้งก่อนอัพนะคะ

ส่วนเรื่องอายุตัวละคร คุณ pktherabbit เข้าใจไม่ผิดค่ะ

หยกอายุ 23 ทำงานระหว่างเรียน 2 ปี (ปี 3-4) จบมาปีเดียว (รวมทำงานร้านพี่กันต์ 3 ปีค่ะ)

ตั๋นอายุ 22 เรียน 4 ปี

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 30-09-17 {{:::14:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 30-09-2017 23:24:14
14

   
   หลิวลู่ยังคงนั่งอยู่ในบ้านของเหล่าฝู่ หลังจากเดินไปส่งพยัคฆ์และนายน้อยขึ้นรถ ตอนที่เขาเข้ามาในบ้านเด็กของเหล่าฝู่รายงานว่าลตายังคงจอดรถเฝ้าเขาอยู่ที่ซอยถัดไป

   “อาหลิว ทำไมลื้อถอดเมฆาขาวของนายน้อยออก ของสำคัญขนาดนั้น”

   “ถ้าไม่ถอดออก คุณเสือจะเข้าใกล้นายน้อยไม่ได้เลย”

   “ทำไม”

   “คุณเสืออี...มีความรู้สึกที่ออกจะรุนแรง ทุกครั้งที่เข้าใกล้คุณหนูทุกคน...พวกอีจะสัมผัสความรู้สึกคุณเสือได้”

   “อ่อ อั๊วเข้าใจแล้ว นาน ๆ จะเจอคนอย่างนี้สักที”

   “เหล่าฝู่ อั๊วก็มาอยู่บ้านสกุลฝู่ได้ไม่กี่ปี...ก่อนที่จะเกิดเรื่อง อั๊วกับคุณหนูใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหยกเมฆาขาวทั้งสามชิ้นมากนัก เหล่าฝู่เป็นคนเก่าคนแก่ พอจะบอกเล่าให้อั๊วฟังหน่อยได้ไหม?”

   “ได้สิ ไหน ๆ ก็มีเวลา ให้อั๊วเล่าทั้งคืนยังได้”

   “ไม่ถึงกับต้องเล่านิทานนะเหล่าฝู่ อั๊วไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”

   “ฮ่าๆ ๆ เอาๆ ๆ หยกเมฆาขาวมันก็เป็นเพียงแค่หยกสีขาวธรรมดานี่แหละ ถ้ามันไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่ได้มีสายเลือดของสกุลฝู่ แล้วอีกอย่างหยกมันเลือกคนที่ครอบครอง ตอนที่คุณหนูหงส์เกิด นายหญิงได้หยดเลือกคุณหนูลงบนเนื้อหยกเมฆาขาว เลือดมันซึมหายไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น มันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง อั๊วเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ตอนนั้น”

   “ครั้งแรก? แล้วคราวของอาหลินละ?” หลิวลู่ถามเหลาฝู่อย่างสงสัย

   “ลื้อคงสงสัย อั๊วเลี้ยงนายหญิงมาทำไมถึงไม่เคยเห็นพิธีน่าอัศจรรย์นี้มาก่อนละสิ ฮ่าๆ อั๊วว่าลื้อเดาไม่ผิดหรอก หยกเมฆาขาวไม่เลือกนายหญิง เลือดที่หยดลงไป มันก็แค่ทิ้งรอยคราบไว้ ไม่ซึมเข้าไปในเนื้อหยกเหมือนของคุณหนูทั้งสาม”

   “แล้วอาหลินสอนการสัมผัสจิตกับคุณหนูใหญ่ได้ยังไง ถ้าอีทำไม่ได้”

   “อีกก็อาศัยหลักการที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษน่ะแหละ”

   “เฮ้อ...นี่สินะที่ทำให้อาหลินกับเฮียของอั๊วต้องจบชีวิตลง”

   “ถ้าไม่มีคนแพร่งพรายเรื่องสัมผัสพิเศษของนายหญิง ก็ไม่มีคนสงสัยหรอก”

   “อืม เล่าต่อเถอะเหล่าฝู่”

   “คนที่ได้ครอบครองหยกเมฆาขาว ก็อย่างที่ลื้อพอรู้มาอย่างนั้นแหละ ว่ามันจะช่วยให้คนๆ สามารถสัมผัสจิตของคนรอบข้างได้ หรือแท้จะสื่อสารให้อีกฝ่ายรู้ก็ยังได้ มันเหนือนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สกุลฝู่รอดพ้นจากกลโกงต่าง ๆ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว”

   “แล้วมีไหม ที่จะมีคนที่ไม่ใช่คนในสกุลฝู่ สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้”

   “ก็อาจจะมี แต่ในชั่วอายุอั๊ว อั๊วยังไม่เคยเจอ นอกจากสกุลฝู่กับเหมิ๋น”

   “เหมิ๋น?”

   “อืม เมฆาขาวไม่ได้มีเพียง 3 ชิ้นอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจหรอกนะ มันมีทั้งหมด 6 ชิ้น เข้าคู่กัน 3 ชิ้นอยู่กับฝู่ อีก 3 ชิ้นอยู่กับเหมิ๋น”

   “แล้วที่เฮียสั่งเสียอั๊วไว้ ที่ให้ไปหาสกุลเหมิ๋นนี่มันหมายความว่ายังไงกัน”

   “อั๊วก็ไม่รู้ความตั้งใจของอีหรอก ฝู่กับเหมิ๋นไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว เรื่องของเมฆาขาวรู้กับเฉพาะทายาท แล้วก็พ่อบ้านอย่างอั๊วเท่านั้น และเมื่อเฮียของลื้อแต่งเข้าสกุลฝู่ อีจะรู้เรื่องเมฆาขาวก็เป็นเรื่องธรรมดา”

   “ตอนที่เฮียอั๊วให้เมฆาขาวอีก 2 ชิ้นที่เหลือมา อั๊วรู้แค่ว่าเป็นของนายน้อยกับคุณหนูเล็ก เรื่องราวของมันอั๊วมารู้อีกที ก็จากคุณหนูใหญ่”

   “อืม ตอนนั้น อีเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แค่ 5-6 ขวบ แต่ต้องมารับรู้ความระส่ำระสายของครอบครัว ถึงทุกคนไม่อยากให้อีรู้ แต่ก็ปิดบังอีไม่ได้”

   “คุณหนูใหญ่เพิ่งมาบอกอั๊วก็หลังจากหลบมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว”

   “อืม คนนอกน่ะไม่มีใครรู้เรื่องความวิเศษของเมฆาขาวหรอก”

   “แล้วทำไมถึงมีคนอยากแย่งชิงมันจากอาซ้อกับเฮียอั๊วล่ะ”

   “ข่าวลือไง ข่าวลือมักจะเกินจริงเสมอ ยิ่งประกอบอิทธิพลของสกุลฝู่ที่รุ่งเรืองมาหลายชั่วอายุคน มันยิ่งทำให้ข่าวลือน่าเชื่อถือ”

   “ข่าวลืออะไร”

   “มันมีข่าวลือออกมาว่า ใครได้ครอบครองเมฆาขาว จะสามารถดลใจให้ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู ยอมสยบให้ผู้ที่เป็นเจ้าของมัน”

   “แล้วคนสกุลเหมิ๋นอยู่ที่ไหนกัน”

   “เท่าที่อั๊วพอรู้มา เห็นว่าย้ายไปอยู่ที่เกาลูน (九龍) ”

   “แล้วที่คุณหนูใหญ่ให้อั๊วตามหา คนที่จะครอบครองเมฆาขาวทั้ง 3 ชิ้นนี้ล่ะ? ใช่คนสกุลเหมิ๋นไหม”

   “เท่าที่อั๊วพอรู้มา เหมิ๋นกับฝู่มีเลือดที่หยกเมฆาขาวยอมรับ ดังนั้นพวกเหมิ๋นคงมีความสามารถไม่ต่างกัน แต่คนที่จะครอบครองเมฆาขาวทั้ง 3 ชิ้น ต้องดูจากวัน เดือน ปีที่เกิด คนคนนั้นจะมาล้างเลือดในเมฆาขาว”

   “หมายความว่ายังไง อั๊วไม่เข้าใจ”

   “อั๋วเองก็ไม่รู้ ว่ามันหมายถึงอะไร ได้ยินคนเก่าคนแก่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า เมฆาขาวซึมซับเลือดของคนในสกุลฝู่มาหลายชั่วอายุคน ไม่เคยได้รับการชำระล้างเลยสักครั้ง”

   “หมายความว่า คนนี้จะมาชำระล้างเมฆาขาวอย่างนั้นเหรอ แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” เหล่าฝู่ส่ายหน้า อย่างจนคำตอบ

   “กงฝู่ รถคันนั้นไปแล้ว” เด็กในร้านวิ่งลงมาบอก

   “อือ ต่อไปนี้ลื้อคงรับลูกค้าไม่หวาดไม่ไหวแล้วล่ะ อย่าลืมที่อั๊วกำชับนะ ถ้ามีคนมาถามถึงพวกอี” เหล่าฝู่หยอกเย้าเด็กหนุ่ม แต่ไม่วายกำชับเรื่องที่หลิวลู่เข้ามา

   “อือ ผมจะจำไว้”

   “งั้นอั๊วไปก่อนนะเหล่าฝู่”

   “อั๊วว่า ลื้อออกทางหลังร้านเหมือนนายน้อยกับอาเสือเถอะ ว่าแต่ลื้อแน่ใจนะว่าอาเสืออี”

   “ใช่อั๊วตรวจสอบแล้ว แต่อั๊วไม่รู้ว่าอีจะชำระล้างอะไรนั่นได้ไหม ยังไง และอั๊วก็ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่รู้รึเปล่า”

   “อืม ระวังตัวด้วย”

   “ลื้อก็เช่นกัน”

.........................................................................

   ลตามองดูเด็กในร้านปิดประตูม้วนหน้าร้านลง เธอจึงเฝ้าสังเกตอยู่ราวชั่วโมง เห็นไฟในตึกเริ่มทยอยปิดลงทีละห้อง รออีกสักพักจนแน่ใจ ว่าเด็กที่เธอเฝ้ามองนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะกลับออกมาแน่ ๆ เธอจึงสตาร์ทรถและขับมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เจ้าสัวเซียง

   หลังจากที่เธอตามวรากรไปพบท่านครรลองที่ค่ายมวยคราวในวันนั้น เธอก็ได้พบกับหลิวลู่ วรากรเองก็มีทีท่าจะจำได้ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าลูกค้ารายใหม่ เธอจึงเห็นเขายังสงวนท่าทีอยู่ โชคดีที่เธอเป็นคนนอกจึงเลี่ยงออกจากวงสนทนาน่าเบื่อนั่น โดยอ้างว่าอยากเดินดูรอบ ๆ ได้โดยไม่มีใครสงสัย และวันนั้นเธอก็จองคอร์สเรียนมวยที่นี่ เพื่อคอยจับตาดูหลิวลู่

   หลิวลู่ดูเหมือนจะไหวตัวทัน เพราะนอกจากวันนั้นแล้วเธอก็ไม่เคยเจอหลิวลู่ที่ค่ายมวยอีกเลย แม้แต่พยัคฆ์ก็ยังต้องมาเฝ้าดูด้วยตัวเอง แสดงว่าวรากรก็ให้คนตามหลิวลู่อยู่เช่นกัน และคงจะไม่ได้อะไรเช่นเดียวกับเธอ

   รถของเธอมาจอดอยู่หน้ารั้วคฤหาสน์หลังงามย่านชานเมือง บีบแตรสักพักประตูก็เปิดออก เธอขับรถเข้าไปจอดเทียบที่ด้านในตัวบ้าน เด็กรับใช้ยื่นรออยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าอยู่แล้ว

   “เจ้าสัวให้เชิญคุณไปที่ห้องทำงานค่ะ” เด็กรับใช้บอกอย่างสุภาพ

   “อืม มีใครอยู่บ้างล่ะ?”

   “คุณนายกลับไปนอนบ้านโน้นค่ะ ส่วนคุณเกรียงยังไม่กลับค่ะ”

   เธอรู้มาว่าระหว่างเจ้าสัวเซียงมีเรื่องระหองระแหงกับเมียมานานแล้ว แต่ด้วยหน้าตาทางสังคมของทั้งสองคน ทำให้ต้องทนอยู่ด้วยกันต่อไป ลูกชายคนเดียวก็สำมะเลเทเมา เอาแต่ผลาญเงินไปวัน ๆ ยังดีที่เจ้าสัวจ่ายเงินให้เธอครบและตรงเวลาเสมอ ทั้งที่เธอพอจะระแคะระคายคายมาบ้างว่าเจ้าสัวเป็นหนี้บ่อนอยู่ก้อนใหญ่ไม่ใช่น้อย

   “ลื้อมาทำอะไรที่นี่ อั๊วลื้อบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมา” เจ้าสัวเซียงตวาดใส่เธอทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในห้องทำงาน

   “หึ!! แล้วไอ้หยกสีขาวลวดลายก้อนเมฆนี่มันสำคัญพอไหมล่ะ” เธอตอบเสียงแข็งไม่พอใจ

   “ลื้อหมายความว่ายังไง ลื้อเจอหยกนั่นแล้วเหรอ?”

   “มันอยู่บนคอเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ค่ายมวยนั่น”

   “แล้วรู้ไหมว่าอีอยู่ไหน?”

   “มันก็อยู่แถว ๆ ค่ายมวยนั่นแหละ”

   “แล้วไอ้วรากรล่ะ”

   “เจ้าสัวให้มันตามคน ไม่ได้ให้ตามของด้วยอย่างฉันนี่ แล้วนี่เจ้าสัวจะเอายังไง”

   “ตามของ ไม่ต้องสนคน”

.........................................................................

   “วันที่เจอพี่เสือแถวหน้าร้านพี่กันต์...” นายแมวหง่าวท่าทางจะนึกไม่ออก “ก็วันที่นาย เอ๊ยพี่เสือลากผมขึ้นรถมาด้วยไง” ผมเกือบหลุดเรียกแมวหง่าวอีกแล้ว “พี่เสือคงจำไม่ได้หรอก ก็ที่นี่มันมีแต่เรื่องแบบเมื่อกี้อย่างเดียวนี่”

   ผมพูดยังไม่ทันขาดคำไอ้แมวหง่าวก็อุ้มผมตัวลอย พาเดินเข้ามายังห้องนอน ผมตกใจพยายามดิ้น แต่คนที่อุ้มกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ดิ้นไปดิ้นมาจนรู้สึกว่าแผ่นหลังผมสัมผัสกับเตียงนุ่ม ตกใจจะขยับตัวหนี ร่างนั้นผละออกไปปิดไฟ ก่อนขึ้นมาบนเตียงอีกฝั่งแล้วนอนลงข้างๆ ผม

   “ไม่ได้มีแต่เรื่องแบบนั้นอย่างเดียวสักหน่อย” ไม่พูดเปล่า มือไอ้แมวนั้นรั้งผมเข้าไปกอด ผมใช้มือยันอกเขาไว้

   “อื้ม...ไม่เอาผมอึดอัด”

   “หยก เรียกแทนตัวเองว่าหยกไม่ได้เหรอครับ?” บังคับให้เรียกว่าพี่เสือแล้ว นี่ก็จะบังคับอีกหรือไง

   “ก็...เรายังไม่สนิทกัน”

   “ถ้าอย่างนั้นก็มาทำให้สนิทกันก่อนก็ได้” นายแมวหง่าวยันข้อศอกขึ้น แล้วก้มหน้าลงมางับจมูกผมอย่างไม่ทันตั้งตัวเลย

   “ทะ...ทำอะไรน่ะ?” ผมตกใจจนขยับตัวหนี แต่ติดลำแขนใหญ่ที่รั้งเอวผมอยู่

   “ทำให้หยกกับพี่สนิทกันไง”

   “ไม่เอา” ไอ้แมวหง่าวจะทำอะไร จินตนาการผมเริ่มเตลิดแล้วครับ

   “ทำไมล่ะครับ น้องหยกกลัวพี่เหรอ?” ผมจะตอบยังไงดีล่ะ ถ้าเป็นที่นี่ผมไม่กลัวนะ แต่ถ้าตอนตื่น...ผมกลัวเขาครับ

   “...”

   “ไม่เห็นต้องคิดเยอะเลย อยากตอบอะไรก็ตอบ ที่นี่มีแค่เราสองคนไม่ใช่เหรอครับ”

   “ก็...” มันไม่รู้จะเริ่มยังไงนี่ครับ

   “คิดคำตอบเพื่อเอารางวัลเหรอครับ คิดนานจัง”

   “บางครั้งก็กลัว บางครั้งก็ไม่กลัว”

   “งั้นเอาตอนที่ไม่กลัวก่อน ตอนไหน?”

   “ตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะกลัวนะ”

   “สรุปว่าตอนนี้กลัวหรือไม่กลัวกันแน่ครับ” ไอ้แมวมันยิ้มครับ จะยิ้มทำไม?

   “...”

   “ถ้าพี่สัญญาว่าจะไม่ลวนลามเรา จะยังกลัวอีกไหม” ถ้าทำได้จริงอย่างที่พูดจะกลัวทำไม ผมเลยส่ายหน้า “แล้วตอนที่กลัวละครับ ตอนไหน?”

   “ทุกตอนเลย”

   “พี่ไม่รู้ว่าทุกตอนของหยกคือตอนไหนนี่ บอกได้ไหมครับ”

   “บอกไปแล้วจะรู้เหรอ?”

   “ไม่บอกแล้วพี่จะรู้เหรอ?” ไอ้แมวมันย้อนผม

   “ที่โรงแรม ที่หน้าร้านพี่กันต์ ตอนอยู่บนรถ ที่โรงพยาบาลก็ด้วย”

   “ทำไมถึงกลัวพี่ล่ะครับ หรือพี่ไปทำอะไรเรา?”

   “เปล่า ไม่ได้ทำอะไร?”

   “อ่าว!! แล้วทำไมถึงกลัวล่ะ?” ถ้าผมเล่าเรื่องเซ้นส์ในฝัน มันก็จะอยู่แต่ในนี้ใช่ไหมครับ เป็นไงเป็นกัน ขี้เกียจมานั่งเล่น 20 คำถามแล้ว

   “ผม...มีสัมผัสพิเศษ มันจะรับรู้ความรู้สึกของคนที่คิดถึงเราอยู่ได้น่ะ แล้วความรู้สึกของพี่เสือ...เหมือนอยากจะกินผม”

   “กินหยก?”

   “บางครั้งก็อยากจะขังไว้อะไรทำนองนี้ มันรุนแรงจนผมตั้งตัวไม่ติด มันน่ากลัวนี่” พอได้พูดถึงความรู้สึกเหล่านั้น ผมก็ขนลุกขึ้นมา

   “พี่รักษาให้ไหมครับ?” อยู่ๆ ไอ้แมวมันก็ถามขึ้นมา

   “ได้จริงเหรอครับ ยังไง?”

   “แต่เราไม่สนิทกันนี่” ก็จริงครับ ผมยังไม่เคยคุยกับนายแมวหง่าวเลย อ่อ ตอนนี้ไม่นับนะครับ พอตื่นขึ้นมาที่คุย ๆ อยู่นี่มันก็หายไปแล้ว แต่ผมก็อยากรู้นะ เผื่อมันจะใช้ได้ผลจริง ๆ

   “แล้วต้องทำยังไงถึงจะสนิทกัน”

   “พี่อ่ะ สนิทกับน้องหยกแล้วครับ มีแต่น้องหยกน่ะสิไม่ยอมสนิทกับพี่” หมายความว่ายังไง?

   “ก็ได้ หยกสนิทด้วยก็ได้” ผมโดนแมวหง่าวย้อนอีกแล้วครับ

   “ก่อนอื่นพี่ต้องอธิบายให้น้องหยกเข้าใจก่อน ว่าความรู้โดนกินน่ะมันไม่ได้น่ากลัวอะไร”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 02-10-17 {{:::15:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 02-10-2017 22:02:52
ลุ้นต่อๆๆ เฉลยปมทีละนิด  :ling3: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: หยก 02-10-17 {{:::15:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-10-2017 22:07:27
15

   พยัคฆ์แปลกใจมากเมื่อรู้ว่าคนที่เขานอนโอบอยู่นี่มีสัมผัสพิเศษ แล้วการอธิบายความรู้สึกออกมาได้อย่างไร้เดียงสานั่นอีก ความรู้สึกที่ต้องการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคนตรงหน้า หยกกลับตีความไปว่าจะโดนกินบ้างล่ะ โดนขังบ้างล่ะ

   “จะโดนกินนะ ไม่น่ากลัว พี่เสือรู้ได้ยังไง เคยโดนกินหรือไง”

   “แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ”

   “อยู่ที่นี่ไม่รู้สึกอะไรเลย” หมายความว่ายังไง หรือที่น้องหยกแยกไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน เพราะเขาใช้สัมผัสพิเศษเป็นตัววัด

   “พี่คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้เหรอ?” น้องหยกส่ายหน้ายืนยัน อะไรที่ทำให้ความสามารถพิเศษนั้นหายไป

   “น้องหยกรู้ตัวว่ามีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนครับ”

   “ตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะครับ” หรือเป็นเพราะชาสมุนไพรนั่น ที่กงฝู่ให้หยกดื่ม แต่เขาคิดว่าทำให้หยกชินกับเขาน่าจะดีกว่าพึ่งชาพวกนั้น

   “หยกกลัวว่าพี่จะกินหยก...แบบไหนครับ” น้องหยกส่ายหน้า “ถ้าเป็นคนด้วยกัน..” พยัคฆ์เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้า “กิน...แบบนี้” พูดจบเขาก็ประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากนุ่ม

   “อื้มม...” หยกเหมือนจะตกใจ เกร็งตัวเล็กน้อย ก่อนถอนจูบขึ้นมา “เดี๋ยวพี่ทำให้หยกชินเองนะครับ” เขาพูดพร้อมไล้ริมฝีปากไปขบเบา ๆ ที่ติ่งหู กระซิบแผ่วเบา “หยกจะได้ไม่กลัวพี่อีก”

   เขารู้สึกถึงอาการขนลุกของคนข้าง ๆ เขายันกายขึ้นไปคร่อมร่างโปร่งแล้วประกบจูบลงอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เนิ่นนานกว่าครั้งที่ผ่านมา เขาค่อยเริ่มอย่างเชื่องช้า ให้คนใต้ร่างค่อย ๆ ปรับตัว

   “อื้มม...”

   เสียงครางประท้วงเล็กน้อย ทำให้เขาขบเม้มริมฝีปากเล็กนั้น ไล้ลิ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนรุกล้ำเข้าไปภายใน ลิ้นเล็ก ๆ นั่นขยับหนีลิ้นของเขา จนเขาต้องดูดลิ้นน้อย ๆ นั่นไว้มือข้างหนึ่งสอดไปยังท้ายทอยเผื่อขยับศีรษะเล็กให้รับจูบเขาได้อย่างเต็มที่ มือน้อย ๆ ของคนใต้ร่างพยายามยันหน้าอกเขาออก แต่ก็แค่ยัน เขาจึงไม่สนใจ มือที่ว่างอีกค่อยปลดกระดุมเสื้อนอนผ้าแพรไปทีละเม็ดอย่างใจเย็นเขาละจากริมฝีปากนุ่มลงมายังแก้มนวลสีระเรื่อ

   “พี่กำลังจะกินน้องหยกแล้วนะครับ” เขากระซิบเสียงแผ่วก่อนไล้ริมฝีปากไปยังซอกคอ ไหปลาร้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงยอดอก

   “อ่ะ! ...อ้า...”

   เสียงหวานหลุดออกมาจากริมฝีปากเล็ก เมื่อเม็ดทับทิมเล็กน่ารักถูกเขาดูดกลืนเขาไปในปาก อีกข้างก็ไม่น้อยหน้ากัน เขาส่งนิ้วไปไล้วนเบาๆ จนร่างโปร่งแอ่นกายขึ้นมารับสัมผัสนั้น

   “อ่า...อาห์....”

   เสียงใสครางแผ่วเบาเป็นระยะตามแรงสัมผัสที่เขามอบให้พยัคฆ์ยันกายขึ้น เพื่อให้คนตรงหน้าได้พักหายใจ เขาทรงตัวด้วยลำแขนของตัวเองมองคนใต้ร่างนิ่ง น้องหยกหน้าแดงใบหน้าชื้นเหงื่อ ดวงตาหวานเยิ้มที่มองมาที่เขา ตัวแดงไปหมด ยอดอกทั้งสองข้างบนร่างขาว ๆ ที่เปียกชื้นเพราะฝีมือเขานั่นอีก เขามองภาพตรงหน้าที่แสนจะเย้ายวนเกินกว่าจะหักห้ามใจได้ เขาค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากเล็กนั้นอีกครั้ง

   “อ๊ะ...อื้มม....”

   มือหนึ่งก็ลวงลงไปใต้กางเกงนอน น้องหยกสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเขาลูบไล้แก่นกายอย่างเบามือ เมื่อส่วนนั้นพร้อม เขาก็ย้ายริมฝีปากไปครอบครองหยกน้อยแทน เขากำลังกินน้องหยกจริง ๆ

   “มะ...มะ...ไม่...ตรงนั้น....อื้มม....อาห์...”

   น้องหยกครางออกมาไม่เป็นภาษา ร่างกระตุกเกร็งตามแรงสัมผัสของเขา มือน้อยจิกผ้าปูที่นอนแน่น จนแทบยับคามือ พยัคฆ์จับขาทั้งสองข้างของคนตรงหน้าให้อ้าออก เพื่อที่เขาจะได้ดูดกินได้อย่างถนัดถนี่ ไม่นานนักร่างโปร่งก็กระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา เขาดูดกลืนมันจนหมด และทำความสะอาดน้ำหวานที่เล็ดลอดออกมาด้วยลิ้นของเขาจนสะอาดน้องหยกนอนหอบหายใจแรง เขายันกายขึ้นไปกอดปลอบ

   “พี่กินเราแบบนี้ กลัวพี่ไหมครับ”

   เขาถามพร้อมกับก้มลงจูบบริเวณหน้าผากมน น้องหยกมองเขาตาปรือ เขากอดน้องหยกอยู่นาน จนกระทั่งน้องหยกหลับลงไปในที่สุดพยัคฆ์ลุกไปห้องน้ำและกลับพร้อมกลับผ้าขนหนูชุบน้ำในมือ เขาบรรจงเช็ดใบหน้า ลำคอ ลำตัวที่ชื้นเหงื่อ เมื่อทำความสะอาดและจัดการเสื้อผ้าให้กับร่างที่หลับใหลเรียบร้อยแล้ว เขาก็เข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเองบ้าง เพราะเจ้าเสือน้อยของเขาเองก็งอแงอยากให้เขาปลดปล่อยมันเช่นกัน

.........................................................................

   ผมลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ถึงอะไรหนัก ๆ ที่ทับอยู่บนร่างของผม พอมองไปก็เห็นไอ้แมวหง่าวมันนอนกอดผมอยู่ นี่ผมยังหลับอยู่เหรอ? ไม่น่าจะใช่ ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง มันต่างกับครั้งก่อนๆ มาก แล้วเมื่อคืนนี้ ก่อนที่ผมจะหลับไป...ไอ้แมวนั่น...

   “อืม...ตื่นแล้วเหรอครับ”

   ไอ้แมวหง่าวถามทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่ ผมพยายามยันตัวลุกขึ้น ก็โดนแขนใหญ่นั่นรั้งผมเข้าไปกอด แล้วเขาก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผม

   “อรุณสวัสดิ์ครับ” ไอ้แมวพูดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลืมตาสักนิด

   “ปะ...ปล่อย” อยู่ ๆ ผมก็เสียงสั่น คนที่นอนข้าง ๆ ลืมตาขึ้นมาทันทีเลยครับ

   “น้องหยก...กลัวพี่รึเปล่าครับ?” เสียงที่ถามอ่อนโยนมากครับ

   “เปล่าครับ”

   “แล้วทำไมเสียงถึงสั่นล่ะ ไม่โกหกพี่นะครับ กลัวก็บอกว่ากลัว”

   “หยก...แค่...สับสน”

   “เรื่องอะไรครับ”

   “หยก...” ผมพูดไม่ออก ผมสับสนไปหมด ผมสัมผัสอะไรจากคนตรงหน้าไม่ได้ ยังไงๆ ผมว่านี่ไม่น่าจะใช่ความฝัน เพราะเมื่อคืนนี้...มันเหมือนจริงมาก แต่ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับผม

   “โอ๋...ไม่เป็นไรนะครับ” ไอ้แมวนั่นกอดผมไว้แน่น มือหนึ่งก็ลูบหลังปลอบผม “น้องหยกสัมผัสอะไรได้บ้างรึยังครับ”

   “ไม่มีเลย” ผมตอบเสียงเครือ ผมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าอยู่ ๆ เซ้นส์ที่ผมมีมาตั้งแต่เกิดมันจะหายไปเสียดื้อ ๆ

   “หยกไม่ต้องสับสนนะครับ ฤทธิ์ของชาที่กงฝู่ให้ดื่มอาจจะยังไม่หมด เมื่อคืนนี้หยกไม่ได้ฝันไปหรอกนะครับ” ผมดันตัวเองออกจากไอ้แมวหง่าว มันรู้?

   “นายรู้เรื่องตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ?” จากที่กลัวๆ อยู่กลับเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้นมาแทน ผมโดนหลอกอย่างนั้นเหรอ ที่สำคัญผมโดนมันทำ... ฮึ้ย!!!

   “ไม่เอาครับไม่โกรธนะ ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้พี่จะรู้เหรอว่าเราเป็นอะไร ทำไมถึงเอาแต่หนีพี่ กลัวพี่”

   “นะ...” ผมโดนนายแมวหง่าวจูบอีกแล้วครับ เหมือนเขาสามารถดูดเอาความโกรธออกจากตัวผมไป เหลือไว้แค่สัมผัสนุ่มนวล จนผมใจสั่นไปหมด มันอธิบายไม่ถูก แต่มันรู้สึกดียังไงไม่รู้

   “หายโกรธนะครับ” ผมพยักหน้าไม่กล้าสบตาหรอกครับ อายครับ ก็ทั้งเมื่อคืน ทั้งเมื่อกี้อีก ผมปล่อยให้เขาทำอะไร ๆ ตามใจชอบได้ยังไง ทั้งเขาและผมก็เป็นผู้ชายทั้งคู่นะ “สัญญาได้ไหมครับ ถ้าสัมผัสพิเศษของหยกกลับมาแล้ว หยกจะไม่กลัว ไม่หนีพี่อีก”

   “หยก...ไม่รู้” ผมไม่แน่ใจครับ มันยังไม่ได้เกิดขึ้น เลยไม่อยากจะสัญญาอะไร

   “ถ้าหยกรู้สึกว่ากำลังจะถูกพี่กิน ก็ให้นึกถึงวิธีกินของพี่เมื่อคืนนี้นะครับ”

   “บ้า!!” พูดมาได้ ผมอายจะแย่แล้ว

   “ถ้ายังไม่ชิน พี่กินน้องหยกอีกรอบก็ได้นะครับ”

   “ไม่เอานะ” ผมรีบเอามือยันอกของไอ้แมวนั่นไว้ แมวหง่าวสมชื่ออย่างที่โบตั๋นตั้งให้เชียว หื่นซะไม่มี

   “ไม่ก็ไม่ครับ ไปอาบเถอะครับ เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรทานตอนเช้า ก่อนจะพาไปหาคุณหงส์”

   “ทำไมต้องพาไปหาเจ๊หงส์ หยกกลับบ้านเองก็ได้นะ”

   “พี่สัญญากับนายชาติไว้แล้ว ว่าจะพาหยกไปส่ง”

   “นายชาติ?” ใครกัน ผมไม่รู้จักคนชื่อนี้สักหน่อย

   “ก็หยกเป็นหลานนายชาติไม่ใช่เหรอ”

   “เจ็กลู่น่ะเหรอครับ”

   “ก็คงใช่ ถ้าน้องหยกเรียกเขาอย่างนั้น”

   “พี่เสือครับ...”

   “ว่าไงครับ” แค่เรียกไอ้แมวนั่นจะหอมแก้มผมทำไม

   “แล้ว...ที่จะโดนพี่เสือขัง...มันหมายความว่ายังไงครับ”

   “อืม...พี่ก็ไม่แน่ใจนะ แต่พี่ว่ามันคงเป็นเพราะพี่หึงน้องหยกน่ะครับ” ไอ้แมวมันพูดพร้อมส่งสายตาวิบวับมาให้

.........................................................................

   พยัคฆ์พาหยกมายังโรงพยาบาลที่หงส์พักฟื้นอยู่ เขาส่งหยกที่หน้าห้องโบตั๋นเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปจัดการเรื่องการย้ายห้องพัก เขาขอย้ายหงส์โดยเปลี่ยนจากห้องผู้ป่วยรวมมาเป็นห้องพิเศษ ซึ่งต้องย้ายไปอีกตึกหนึ่ง เมื่อเขาจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็กลับไปยังห้องพักของหงส์ เมื่อเขาเปิดประตูเข้าห้องไปก็ได้ยินคำทักทายจากโบตั๋นทันที

   “นายมาที่นี่อีกทำไม เจ่เจ้ไม่ให้คุณเจอหยกไม่ใช่เหรอ?”

   “ที่คุณมานี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรด่วนรึเปล่า?” หงส์ถามเขาบ้าง

   “เอ่อ...พี่เสือเขาเป็นคนมาส่งหยกที่นี่น่ะครับ”

   “พี่เสือ!! หยกไปรู้จักมักจี่กับนายนี่ตั้งแต่เมื่อไร?”

   “เมื่อวานนี้...” พยัคฆ์เห็นน้องหยกของเขาแก้มแดงขึ้นสีลามไปถึงหูอีกครั้ง ทั้งโบตั๋น ทั้งหงส์หันขวับไปมองหยกทันที โบตั๋นจับไหล่ของหยกหมุนซ้าย หมุนขาว สำรวจตามใบหน้า จนไปถึงซอกคอ จนเขาต้องอมยิ้ม ดีนะที่เขาไม่ได้ทำรอยอะไรไว้

   “มีตรงไหนบุบสลายไหมเนี๊ยะ” โบตั๋นบ่นกับหยกก่อนหันมาแว้ดใส่เขา “นายทำอะไรพี่ชายฉัน”

   “ก็แค่ทำความรู้จัก สร้างคุ้นเคยกันเท่านั้น”

   “สร้างความคุ้นเคยยังไงกัน หยกถึงได้...แล้วที่เมื่อคืนหยกไม่ได้กลับบ้าน คงไม่ได้...”

   “ตั๋น...พอแล้ว แค่นี้หยกก็อายจะแย่แล้ว” หงส์ที่อยู่บนเตียงปราม “คุณพยัคฆ์ คุณคงรู้เรื่องสัมผัสพิเศษของพวกเราแล้วสินะคะ”

   “ครับ หยกเล่าให้ฟังคร่าวๆ”

   “หยก ไม่กลัวนายนี่แล้วหรือ” โบตั๋นถามหยก หยกส่ายหน้าเล็กน้อย เขาดีใจที่เห็นหยกไม่กลัวเขา

   “คงเป็นเพราะชาสมุนไพรที่หยกดื่มไปเมื่อคืนนี้ มันอาจจะยังไม่หมดฤทธิ์มั้งครับ”

   “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ นอกซะจาก...” เขาเห็นหงส์หยุดคำพูดไว้แค่นั้น แล้วหันไปมองโบตั๋น โบตั๋นเองเข้าไปสำรวจที่คอของหยกทันที หรือเพราะสร้อยคอที่นายชาติถอดให้เขาเก็บเอาไว้? “คุณทำแบบนี้ทำไม” หงส์ถามผมหลังจากแน่ใจแล้วว่าสร้อยคอไม่อยู่

   “ผมแค่ทำตามที่นายชาติ ไม่สิ เจ็กลู่บอก”

   ครืด เสียงเปิดประตูดังขึ้นมา พยาบาลหลายคนเดินเข้ามาที่เตียงของหงส์เพื่อเตรียมโยกย้าย “เดี๋ยวย้ายห้องตอนนี้เลยนะคะคุณหงส์ ห้องทางโน้นเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนญาติๆ จะไปรอที่ห้องก่อนหรือจะรอตามไปพร้อมกันดีค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้น

   “เดี๋ยวพวกเรารอแล้วตามไปพร้อมกันดีกว่าครับ” พยัคฆ์ตอบพยาบาลก่อนเดินเข้าไปจูงมือหยก “เราออกไปรอด้านนอกกันก่อนนะครับ ส่วนเรื่องอื่น ๆ คงต้องรอเจ็กลู่มาอธิบาย” เขาพูดประโยคสุดท้ายกับหงส์ก่อนเดินออกมาจากห้อง

.........................................................................

   โบตั๋นเดินออกจากห้อง ตามหลังหยกและนายแมวหง่าวนั่น เมื่อเดินถึงตัวทั้งสองเธอก็เข้าไปแทรกระหว่างกลางทันที ก่อนจะแยกทั้งสองออกจากกัน

   “นายห้ามอยู่ใกล้พี่ชายฉันจนกว่าฉันจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร หยกตามตั๋นมานี่” เธอพาหยกเดินเลี่ยงออกจากนายแมวหง่าวนั่นทันที

   “เฮียขอโทษนะ ที่ทำให้ตั๋นเป็นห่วง”

   “เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว แต่ตั๋นอยากรู้ ว่าหยกสัมผัสความรู้สึกของไอ้แมวนั่นไม่ได้แล้วจริง ๆ เหรอ”

   “อืม ของคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ด้วย”

   “หมายความว่าไง ทั้งของเจ่เจ้ กับตั๋นก็ไม่ได้ด้วยเหรอ?”

   “อืม”

   “แล้วเมฆาขาวของหยกไปไหน?” หยกยกมือคลำที่ลำคอโดยอัตโนมัติ ก่อนส่ายหน้า

   “เฮียจำได้ว่า ตอนที่ออกจากค่ายมวยมันยังอยู่”

   “แล้วเมื่อคืนหยก...ไปอยู่กับไอ้แมวนั่นได้ยังไง” โบตั๋นเห็นหยกหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอถามจบ

   “ไม่รู้สิ เฮียตื่นขึ้นมาก็อยู่กับเขาแล้ว”

   “แล้วก่อนหน้าที่หยกจะหลับล่ะ?”

   “ตอนนั้นเฮียนั่งอยู่กับเจ็กลู่ แล้วก็กงฝู่เพื่อนของเจ็กน่ะ”

   “มันเกิดอะไรขึ้นกับหยก อยู่ๆ เซ้นส์ของหยกมันจะหายไปได้ยังไง แล้วเมฆาขาวของหยกอยู่ไหน?”

   “เฮียจำอะไรนอกจากนี้ไม่ได้จริงๆ คงต้องรอให้เจ็กลู่เป็นคนมาอธิบายให้พวกเราฟังอย่างที่พี่เสือว่านั่นแหละ”

   “พี่เสือ เรียกซะสนิทเชียวนะ ตกลงนายนั่น...กับหยก...ไปถึงขั้นไหนกันแน่ห่ะ!!” โบตั๋นเห็นหยกหน้าแดงอีกครั้งก็ได้แต่ตวัดสายตาไม่พอใจส่งไปให้ไอ้แมวหง่าวนั้นแทน

   
.........................................................................

   หลิวลู่และวรากรเดินเข้ามาในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลที่พยัคฆ์จัดการย้ายให้เมื่อเช้า เขาเห็นหงส์นั่งพิงหัวเตียงอยู่บนเตียงคนไข้ โบตั๋นนั่งอยู่ข้าง ๆ หยกบนโซฟายาวทำท่าทำทางแยกเขี้ยวใส่พยัคฆ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวตัวถัดไป เสียงเปิดประตูเรียกให้คนในห้องหันมามองทางพวกเขา

   “อากร อามาได้ยังไงครับ” พยัคฆ์ถามพร้อมทั้งลุกจากโซฟาก้าวมาหาพวกเรา หลิวลู่เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงที่หงส์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่

   “เจ็ก...เขาคง” หลิวลู่พยักหน้าเล็กน้อย หงส์ก็ยิ้มส่งมาให้เขา

   “เจ็กกกกก....เจ็กๆ ๆ นายแมวหง่าวนั่นมันบอกว่าที่มันทำกับหยกเพราะเจ็กสั่ง” โบตั๋นเข้ามาเกาะแขนเขาทันที

   “นี่ ๆ ๆ คุณโบตั๋นครับ พูดให้ดี ๆ นะครับ อย่าเพิ่งเหมาสิครับ เดี๋ยวน้องหยกก็เข้าใจผมผิดกันพอดี”

   “เข้าใจผิดยังไง นายเป็นคนบอกพวกฉันเองว่านายทำที่เจ็กลู่สั่ง”

   “โบตั๋น...เรามีแขกนะ” หงส์ปราบพร้อมทั้งมองไปที่วรากร

   “แววตาแบบนี้ แสดงว่าจำอาได้ใช่ไหม” วรากรพูดพร้อมอ้อมไปที่เตียงอีกฝั่ง หงส์พยักหน้ายิ้มให้ “โตเป็นสาวแล้วนะเรา” วรากรยกมือขึ้นลูบศีรษะหงส์เล็กน้อยก่อนยิ้มพอใจเช่นกัน

   “เจ็กลู่...นั่นใครคะ เจ่เจ้รู้จักเขาด้วยเหรอ?” โบตั๋นเขย่าแขนเขา เขามองไล่ไปละคน เริ่มที่พยัคฆ์ที่เดินไปนั่งข้าง ๆ หยก ก่อนมองไปที่หงส์ และโบตั๋นที่เกาะแขนเขาอยู่

   “พวกลื้อคงต้องฟังเรื่องที่อั๊วจะเล่ากันนานหน่อยล่ะ ไปนั่งกันตรงโน้นเถอะ อย่ายืนคุยกันแบบนี้เลย”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 04-10-17 {{:::16:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 04-10-2017 21:46:02
16

   ผมได้ยินเรื่องราวมากมายที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อนเกี่ยวกับครอบครัวผมจากเจ็กลู่ ครอบครัวผมเป็นเหมือนแก๊งผู้มีอิทธิพลในเกาะฮ่องกงมาหลายชั่วอายุคน จนมาถึงสมัยพ่อกับแม่ผม ที่มีคนบางกลุ่มเริ่มแข็งข้อแอบค้าอาวุธเถื่อน โดยใช้ชื่อเสียงและเส้นสายของครอบครัวเรา

   ครอบครัวฝู่ค้าขายยาสมุนไพร โสม และรังนกเป็นหลักมาตั้งแต่สมัยสงครามฝิ่น มีเส้นสายอยู่ทั้งในวงการแพทย์และนักการเมือง แต่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายจนกระทั่งมีข่าวลือว่าแม่ผมอ่อนแอ ไม่มีความสามารถพอที่จะบริหารธุรกิจของครอบครัวได้แม้ว่าพ่อของผมจะแต่งงานเข้ามายังตระกูลก็ตาม

   จนกระทั่งผมอายุขวบกว่าๆ พวกที่แอบค้าอาวุธบางกลุ่มถูกทางการจับได้ ซัดทอดมาที่พ่อกับแม่ของพวกผม พ่อให้เจ็กลู่พาพวกเราสามคนหนี ตอนนั้นแม่ยอมให้ตัวเองถูกจับไปสอบสวนแล้ว สุดท้ายแม่ของผมก็เสียชีวิตในห้องขังเนื่องจากเพิ่งคลอดโบตั๋นได้ไม่นาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี

   ผมรับรู้ถึงแรงบีบเบา ๆ ตรงฝ่ามือ คนข้างตัวผมกระชับมือผมแน่นขึ้นเหมือนจะบอกว่าเขานั่งอยู่ข้าง ๆ ผมตรงนี้ ผมหันไปสบตาเขาเล็กน้อยเพื่อจะบอกว่าผมไม่เป็นอะไร ถ้าสัมผัสพิเศษของผมกลับมา ผมอาจจะกลัวจนละเลยการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็เป็นได้

   “แล้วป๊าล่ะค่ะเจ็ก ป๊าโดนจับไปไหมคะ?” โบตั๋นเริ่มตั้งคำถาม เป็นคำถามที่ผมเองก็อยากรู้ หลังจากพวกเรานิ่งเงียบกันไปได้สักพักเพื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลใหม่

   “ไม่มีใครรู้ อั๊วเองก็พยายามจะสืบหา เท่าที่จะพอทำได้ในตอนนี้”

   “แล้วตอนนี้คนพวกนั้น คนที่ทำให้ม๊าถูกจับ มันยังอยู่ไหม?” ผมถามบ้าง

   “นี่แหละเป็นเหตุผลให้อั๊วฝากให้คุณเสือดูแลลื้อเมื่อคืนนี้ คนพวกนั้นยังตามหาพวกลื้อกันอยู่”

   “แต่ไม่น่าจะมีใครจำหยกได้นะ ตอนนั้นหยกยังเด็กมาก แทบไม่ได้ออกไปไหนให้ใครได้เห็นเลยด้วยซ้ำ”

   “มันไม่ได้จำคนหรอกอาหงส์มันเห็นเมฆาขาว”

   “นายชาติ ไม่สิ เจ็กลู่กำลังจะบอกผมว่าที่คุณลตาไม่ได้ตามหยก แต่ตามสร้อยคอที่คุณถอดออกมานั่นเหรอครับ”

   “อืม และต่อไปก็เป็นนิทานอีกเรื่องหนึ่งที่พวกลื้อต้องรับรู้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าอั๊วไม่ใช่คนในตระกูลฝู่ ดังนั้นถ้าขาดตรงไหน อาหงส์ก็เสริมอั๊วแล้วกัน อั๊วเล่าได้เท่าที่อั๊วรู้มา”

   เจ็กลู่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนในตระกูลฝู่กับหยกเมฆาขาวที่พวกเรามีอยู่คนละชิ้น สัมผัสพิเศษของผมไม่ได้มีมาแต่เกิด แต่เพราะผมพกเมฆาขาวติดตัวตลอดมากกว่า

.........................................................................

   พยัคฆ์วางหยกเมฆาขาวซึ่งชิ้นที่อยู่กับเขาเป็นของหยกลงบนโต๊ะกลาง โบตั๋นวางชิ้นของเธอตามลงไป ก่อนที่ชิ้นสุดท้ายเจ็กลู่จะเป็นคนนำมาวางแทนหงส์ที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง หยกทั้งสามชิ้นเมื่อนำมาวางรวมกัน ถึงแม้จะมีขนาด รูปร่าง ลวดลายที่เหมือนกัน แม้ว่ามันจะเป็นสีขาว แต่ก็ไม่ได้ขาวเหมือนกันสักทีเดียว

   เมฆาขาวของหงส์ สีออกไปทางฟ้าอ่อนๆ

   เมฆาขาวของหยก สีออกขาวน้ำนม

   เมฆาขาวของโบตั๋น สีออกไปทางชมพูจาง ๆ

   “หงส์ก็รู้มาเท่าที่เจ็กเล่านั่นแหละค่ะ ที่มากกว่านั้นก็คงจะเป็นวิธีใช้และควบคุมเมฆาขาว”

   “ตอนนี้ตั๋น...สัมผัสความรู้สึกอะไรไม่ได้เลย มันสงบมาก...อย่างที่ตั๋นไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน” คงเป็นเพราะเธอถอดวางทิ้งไว้บนโต๊ะ

   “ทำไมหงส์ถึงให้น้อง ๆ พกเมฆาขาวติดตัวไว้ตลอดเวลาล่ะ อาว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าถ้าหงส์เอามันเก็บไว้ที่เซฟ หรือฝากไว้กับธนาคาร”

   “หงส์บอกตามตรงนะคะอากร ว่าหงส์ไม่ไว้ใจใครเลย เพราะทุกคนที่อยู่ใกล้ในตอนนั้นคิดแต่จะตีตัวออกห่างหรือไม่ก็หาผลประโยชน์จากพวกเราที่เป็นทายาทตระกูลฝู่ ทุกคนที่เชื่อข่าวลือต่างๆ และต้องการเมฆาขาวกันทั้งนั้น หงส์เลยคิดว่าการที่น้องๆ มีเมฆาขาวติดตัวไว้ ก็จะได้หลีกเลี่ยงและระวังคนที่ไม่หวังดีกับพวกเราได้”

   “เหมือนสมัยสงครามฝิ่นที่บรรพบุรุษคุณใช้มันช่วยตัดสินใจ เลือกขายสินค้าให้กับคนกลุ่มไหน” พยัคฆ์วิเคราะห์

   “ฉันเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น” หงส์พยักหน้าน้อยๆ

   “ในตอนนั้นทางเดียวที่หงส์คิดได้ว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดก็คือ การกันทุกคนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเราออกไปให้ห่างที่สุด เหลือแค่เราสามคนพี่น้อง หงส์ขอให้เหล่าฝู่หาบ้านให้หลังหนึ่ง หาคนที่จะรับเป็นผู้ปกครองพวกเรา ให้เหล่าฝู่ออกไปเปิดร้านสมุนไพรจีนที่ชานเมือง แต่มีคนหนึ่งที่ไม่ยอมจากไป” พูดมาถึงตรงนี้หงส์ที่เข้มแข็งมาตลอดกลับน้ำตาคลอ เสียงที่พูดเริ่มสั่น “คนคนนั้นรู้ว่าใบหน้าของเขา...” หงส์สะอื้นมองไปทางเจ็กลู่ “จะทำให้พวกนั้นจำได้”

   หยกและโบตั๋นเดินเข้าไปหงส์ที่ข้างเตียง เจ็กลู่เดินเข้าไปกอด ลูบหลังปลอบ

   “ไม่เป็นไรนะหงส์นะ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว”

   “แต่ถ้าไม่เพราะหงส์ ไล่เจ็กไปในตอนนั้น เจ็กก็คงไม่ต้องไปศัลยกรรมใบหน้าใหม่ หงส์ขอโทษ”

   ความจริงอีกเรื่องที่พยัคฆ์ได้ยินจากปากหงส์ ทำให้เขา หยก และโบตั๋นตกใจไม่น้อย จนต้องหันไปมองอาของเขา ที่เหมือนจะพอรู้อยู่แล้ว เขาหยิบเมฆาขาวทั้งสามชิ้นมาแล้วเดินไปสมทบกับกลุ่มคนที่ข้างเตียง เดินไปยืนอยู่ทางด้านเดียวกับอาของเขา ก่อนส่งเมฆาขาวคืนทุกคน โบตั๋นหยิบชิ้นของเธอไปเป็นคนแรก

   “อาหยกลื้ออย่าเพิ่งหยิบ ให้คุณเสือเขาออกจากห้องไปก่อน ลื้อคงรู้แล้วนะว่าเพราะอะไร” จากนั้นเจ็กลู่ก็หยิบเมฆาขาวสองชิ้นที่เหลือไป

   “อาว่า ให้ครอบครัวเขาได้คุยกันก่อนเถอะ”

   “หยก...พี่อยากให้เรารู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหยกจะสัมผัสอะไรได้จากพี่ พี่จะไม่มีทางทำร้ายเรา” เขามองหน้าหยกจริงจังก่อนเดินตามหลังอาของเขาออกจากห้องไป

   “เฮียกร พวกคุณไปรอผมที่สวนของโรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวอีกสักพักผมจะตามไป” เจ็กลู่บอกอาของเขา

.........................................................................

   พยัคฆ์และวรากรเดินออกมายังสวนลอยฟ้าของทางโรงพยาบาล ทั้งสองมองหามุมเหมาะที่พอจะคุยกันได้โดยไม่เป็นจุดสนใจจนเกินไป

   “อากร นายชาติหรือเจ็กลู่ เขาเป็นใครกันแน่” พยัคฆ์ตั้งคำถามทันทีที่เขาสองคนได้ที่เหมาะและไม่มีคนไข้เดินมาเพ่นพ่านแถวที่พวกเขานั่งกันอยู่

   “เขาก็คือหลิวลู่”

   “หลิวลู่ คุณหลิวที่พวกเราตามหามาเกือบ 8 ปีนั่นนะครับ” อากรเริ่มตามหาคุณหลิวตั้งแต่เข้ามาดูแลบริษัทฯ แทนพ่อของเขาใหม่ ๆ ก่อนที่เจ้าสัวเซียงจะมาจากพวกเขาซะอีก

   “อืม”

   “อารู้ได้ยังไงว่าเขาคือหลิวลู่ตัวจริง แล้วตั้งแต่เมื่อไร”

   “ถ้าแกรักใครสักคนมากๆ บางทีหน้าตาอาจจะไม่ใช่ส่วนสำคัญ”

   “นายชาติ... อาหลิวเขาเข้ามาทำงานที่บริษัทฯ เราเดือนกว่าๆ แล้ว อาจำเขาได้ตั้งแต่แรกเลยหรอครับ”

   “อาเพิ่งเจอเขาเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาแอบเข้ามาหาอาที่ห้องทำงาน”

   “อาจะบอกว่า ตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานในบริษัทฯ เรา อาไม่เคยเจอเขามาก่อนเลยเหรอครับ”

   “อืม อาเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าคนอย่างอาหลิว ถ้าเขาให้เราเจอ นั่นหมายความว่าเขาอยากให้เจอ แต่ถ้าไม่อยากหาให้ตายยังไงก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร” ใช่...อย่างที่อาเขาว่าจริง ๆ อาของเขาตามหามาเป็นสิบ ๆ ปี บทจะเจอกันก็เดินเข้ามาหากันเสียดื้อ ๆ

   “อาไม่เสียใจเหรอครับ ที่อาหลิวไปศัลยกรรมมา”

   “แค่อารู้ว่าอาหลิวยังมีชีวิตอยู่อาก็ดีใจแล้ว”

   “แล้วหลิวลู่ คนที่อยู่ที่ค่ายมวยนั่นล่ะครับ”

   “จำวันที่อาไปธุระกับคุณวรรณได้ไหม ที่แกโทรมาจิกอานั่นแหละ วันนั้นอาเข้าไปทำทีจะไปใช้บริการ แล้วหาเรื่องตีสนิทกับท่านครรลอง เข้าไปดูเขาเฝ้าลูกชายเรียนมวย ขนาดเจอหลิวลู่คนนั้นตรง ๆ อายังไม่เห็นท่าทีอะไร ไม่ใช่ว่าเขาทำเหมือนไม่รู้จักอานะ แต่หลิวสถานการณ์คนนั้นไม่รู้จักอาจริง ๆ แววตาเขามันบอกอาอย่างนั้น”

   “วันถัดมาอาเลยใช้หลิวลู่คนนั้นเป็นเหยื่อล่อคุณลตา”

   “ใช่ และปลาก็งับเหยื่อเสียด้วย”

   “ว่าแต่ หลิวลู่คนนั้นเป็นใคร แล้วตอนนี้เขาหายไปไหน”

   “อามารู้ทีหลังจากอาหลิว ว่าคนคนนั้นอาหลิวให้ไปทำศัลยกรรมปรับใบหน้าให้คล้ายกับเขา แล้วส่งไปที่ค่ายมวยนั่น หลังจากที่อาหลิวมาพบกับอา เขาก็สั่งให้คนของเขาย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมไปเรียบร้อยแล้ว”

   “อาหลิวคนนี้ ฉลาดจนน่ากลัว นี่ผมไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยเลยนะเนี่ย”

   “จะจีบหลานเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง ก็ทำตัวดีๆ กับเขาไว้แล้วกัน ยังไงเขาก็เป็นอาสะใภ้แกนะ”

   “ผมก็กลุ้มใจอยู่ครับ แต่ไม่ใช่เรื่องอาหลิวหรอกนะ”

   “ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ พ่อแง่แม่งอนไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวสนิท ๆ กันไปก็ดีเอง”

   “ผู้หญิง? อาคิดว่าผมชอบโบตั๋นเหรอครับ?”

   “อ่าว ก็คราวก่อนที่น้องเขาไปถ่ายแบบที่โรงแรม อาเห็นแกจ้องเขาตาไม่กะพริบ”

   “แล้วถ้าผมจะบอกว่าคนที่ผมสนใจ...ไม่ใช่โบตั๋นล่ะครับ”

   “หยก?”

   “ครับ ผมชอบ...หยก”

   “เฮ้อ...อาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ขอเตือนแกไว้ แกจะมาทำเป็นหมาหยอกไก่เหมือนคนก่อน ๆ ไม่ได้แล้วนะ ถ้าขืนแกยังทำนิสัยเหมือนเดิมอยู่แกเตรียมรับมือกับอดีตหัวหน้าหน่วยซีลของเกาะฮ่องกงไว้เลย”

   “ใครครับ”

   “หึ!! อาหลิว”

.........................................................................

   ผมรับเมฆาขาวกลับมาสวมเหมือนเดิมแล้วครับ เจ็กลู่บอกให้ผมรออยู่ที่ห้องเจ๊หงส์ก่อน แล้วยังสั่งให้โทรไปลางานกับพี่กันต์ ตอนนี้สถานการณ์ของผมยังไม่น่าไว้ใจ ผู้หญิงคนที่เจอผมเมื่อวาน เจ็กลู่บอกว่าเธอรู้จักเมฆาขาว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนไทยคนไหนรู้จักมัน

   ส่วนโบตั๋นเธอกลับไปทำงานของเธอแล้วหลังจากที่ฟังเรื่องของเจ็กลู่จบ แต่เจ็กลู่ยังไม่วายกำชับให้โบตั๋นระวังตัว เพราะโบตั๋นกับผมหน้าตาคล้ายกันมาก ที่สำคัญโบตันมีเมฆาขาวอีกชิ้นติดตัวเหมือนผม เจ็กลู่รอบคอบมาก ส่งรูปผู้หญิงคนนั้นเข้ามือถือโบตั๋นไว้ ถ้าเจอที่ไหนจะได้หลบเลี่ยงได้ทัน

   เจ็กลู่เสียสละให้กับครอบครัวของเรามาก ทั้งๆ เจ็กจะทิ้งพวกเราไปอยู่กับคนรักก็ได้ แต่เจ็กเลือกที่จะไม่ไปไหน ถึงจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา แต่ก็คอยแวะเวียนมาหาเราบ่อยครั้ง จนเราโต ๆ กันแล้ว ระยะเวลาจึงค่อยทิ้งช่วงห่างออกไป

   “หยก”

   “ครับ เจ่เจ้จะเอาอะไร หรือจะเข้าห้องน้ำไหมครับ”

   “ไม่ใช่หรอก หยกกำลังคิดเรื่องเจ็กลู่อยู่ใช่ไหม?”

   “ครับ เจ็กศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าแบบนี้ แล้วถ้าได้กลับไปเจอกับคนรัก...เขาจะรักเจ็กลู่เหมือนเดิมไหม?”

   “อืม...เท่าที่เจ่เจ้สัมผัสได้ เขาก็ยังรักกันอยู่นะ”

   “เจ่เจ้ เคยเจอคนรักของเจ็กลู่เหรอครับ? เขาจำเจ็กลู่ได้เหรอครับ?”

   “เรื่องรายละเอียดว่าจำกันได้ยังไง เจ่เจ้ไม่รู้หรอก แต่เท่าที่เห็นวันนี้...”

   “วันนี้?”

   “อืม พวกเขาก็รักกันดีอยู่นะ และดูเหมือนอากรเองก็จะห่วงเจ็กมากกว่าเมื่อก่อนนี้อีก”

   “อากร? คุณวรากร อาของพี่เสือน่ะเหรอครับ”

   “ใช่จ้า คนนั้นแหละคนรักของเจ็กลู่ เขารักกันมานาน ก่อนโบตั๋นจะเกิดอีกนะ แล้วถ้าเจ่เจ้จำไม่ผิด อากรเคยอุ้มเราด้วย”

   “ที่ไหนครับ ที่นี่ หรือที่ฮ่องกง”

   “ที่ฮ่องกงจ้า”

   “เจ่เจ้ จำอากรได้แต่แรกเลยสินะครับ เขาเองก็คงจำเจ่เจ้ได้ ตอนเข้ามาถึงได้...”

   “ใช่จ้า เจ่เจ้รู้สึกผิดกับอากรมาก ยิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกที่อากรมีให้กับเจ็กลู่ ทั้งห่วง และหวงมาตลอด 20 กว่าปี มันไม่เคยน้อยลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้น เจ่เจ้รู้สึกได้ว่า คราวนี้อากรจะไม่ยอมปล่อยเจ็กลู่ของเราไปไหนอีกแล้ว เหมือนกับคุณเสือที่รู้สึกกับหยก”

   “เจ่เจ้รู้อะไร ตอนนั้นหยกไม่ได้สวมเมฆาขาว หยกรับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย บอกหยกหน่อยได้ไหม?”

   “เจ๊บอกได้แค่ว่าคุณเสือเขาเป็นห่วง กังวลเรื่องของหยกมาก ยิ่งเรื่องที่เขารู้มามันยิ่งทำให้เขากลัว”

   “กลัวเรื่องที่หยกกลัวเขาเหรอ?”

   “ไม่ใช่หรอก เขากลัวว่าจะปกป้องหยกไม่ได้”

   “หยก...” ผมสับสนกับคำพูดของเจ่เจ้ ทำไมเขาต้องมาปกป้องผม ถึงผมพอจะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของผมไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไร แต่ผมก็ดูแลตัวเองได้นะ

   “หยก สิ่งที่หยกต้องพยายามฝึกให้มากหลังจากนี้ คือการควบคุมเมฆาขาว ให้มันค่อย ๆ สัมผัสจิตของคนอื่นช้า ๆ เหมือนหยกค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสมัน อย่าให้มันเป็นผ่านเข้ามาหาเราแต่ฝ่ายเดียวเหมือนที่แล้ว ๆ มา”

   “หยกต้องทำยังไง”

   “ตอนนี้หยกสัมผัสได้ถึงจิตของเจ่เจ้ ที่เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปหาหยกถูกไหม? หยกค่อยหลับตาแล้ว สร้างเกราะให้ตัวเอง จากนั้นใช้จิตของหยกค่อย ๆ ปล่อยมันออกมาสัมผัสเจ่เจ้นะ” ผมหลับตามแล้วค่อยสร้างกำแพงในใจเพื่อปิดกั้นจิตของเจ้ เมื่อผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว ผมนึกถึงเจ่เจ้จิตผมก็ค่อย ๆ ออกไปหาเธอ

   “ดีมาก ลองค่อย ๆ นึกถึงคนที่อยู่ใกล้อย่างพยาบาลคนเมื่อครู่นะ แต่หยกห้ามไปแตะจิตเขานะ ค่อย ๆ ส่งจิตไป แค่พอรับรู้ว่าเขารู้สึกยังไงก็พอ”

   “มันยากเกินไป หยกทำไม่ได้” ผมบอกหลังจากลืมตาขึ้น

   “ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกกับเจ่เจ้ก่อน”

   “ที่เจ่เจ้ให้ผมฝึกนี่ ใช่แบบเดียวกับที่เจ่เจ้สื่อสารกับหยกหรือตั๋นผ่านจิตใช่ไหมครับ”

   “ใช่จ้ะ หยกต้องฝึกฝนให้คล่อง อย่างน้อยแค่ปิดกั้นจิตได้ระดับหนึ่ง ไม่ต้องรับความรู้สึกใครเข้ามาทั้งหมด มันก็เพียงพอที่จะให้หยกสามารถเข้าใกล้คุณเสือได้โดยไม่กลัวอีก และอีกอย่าง ถ้าหยกชำนาญพอ หยกจะสัมผัสจิตได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน และระยะไกลขึ้น”

   “ของเจ่เจ้ ถึงขั้นไหนแล้วครับ”

   “ขั้นไหนหรอ? ไม่รูสิ แต่ตอนนี้เจ่เจ้ได้ยินคุณเสือสารภาพกับอากรว่าเขาชอบเรา”

   “ห๊ะ!!”

   “แต่เขายังต้องผ่านด่านของเจ็กลู่ให้ได้ก่อน อากรขู่เขาแบบนั้น”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 04-10-17 {{:::16:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-10-2017 11:41:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 04-10-17 {{:::16:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-10-2017 12:58:40
 o13
หัวข้อ: Re: หยก 04-10-17 {{:::16:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-10-2017 14:13:01
ดีจัง พี่เสือเข้าใกล้น้องได้แล้ว
หัวข้อ: Re: หยก 05-10-17 {{:::17:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 05-10-2017 20:47:19
17

    หลิวลู่เดินไปสมทบกับสองอาหลานที่กำลังสนทนากันเกี่ยวกับเขาอยู่ วรากรคงจะเล่าเรื่องราวของเขาให้หลานชายคนเดียวฟังไปบ้างแล้ว เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินเข้าไปใกล้ก็หยุดบทสนทนาลง

   “อาหลิว หากก่อนหน้านี้ผมทำอะไรให้อาไม่พอใจ ผมก็ขอโทษอาด้วยนะครับ” พยัคฆ์กล่าวขอโทษเขาทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเดินเข้าไป

   “ไม่เป็นไร อาไม่ถือ แต่อย่าเรียกอาว่าอาหลิวเลย จะเรียกตามหลาน ๆ อาก็ได้”

   “แล้วอากร เรียกอาหลิวว่าอะไรครับ อย่างน้อยถ้าเจอกันที่ที่ออฟฟิต เราจะได้เรียกเหมือนกัน”

   “อาเรียก...กวางน้อย” วรากรส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้จนเขาต้องเสหน้าหนี

   “เฮีย!! เอาดีๆ นี่มันใช่เวลาไหม?”

   “ฮ่าๆๆ ขอโทษๆ อาก็เรียกชาติอย่างที่แกเรียกนั่นแหละไอ้เสือ”

   “ครับ งั้นผมเรียกอาชาติแล้วกันนะครับ”

   “ที่ให้เฮียมารอ คงจะอยากคุยเรื่องลตาสินะ” วรากรเข้าเรื่อง

   “อืม เฮียรู้เรื่องเจ้าสัวเซียงแค่ไหน?”

   “เท่าที่พวกเราพอจะรู้ เจ้าสัวเซียง ค้าไม้อยู่ทางเหนือครับ แล้วมีหนี้ก้อนใหญ่ตามบ่อนต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ที่สองที่ บ้านนี้มีหนี้สินพอสมควร” พยัคฆ์รายงานเขา

   “เรื่องนั้น อารู้อยู่แล้ว แล้วเรื่องคุณลตานั่นล่ะ”

   “เรื่องนี้ผมเพิ่งเริ่มสืบได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไรครับ”

   “อืม...”

   “หลิว เฮียขอหลิวแล้วนะ” วรากรย้ำคำมั่นสัญญาระหว่างเรา ตั้งแต่วันที่เขาเข้าไปหาวรากรที่ห้องทำงาน

   “ผมรู้ ผมจะไม่ปิดบังอะไรเฮียแล้ว แค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี”

   “งั้นก็เริ่มที่เจ้าสัวเซียงสิ มันตามหาหลิวทำไม”

   “ตระกลูไบ่เคยเป็นคนที่ค้าขายกับตระกูลฝู่มาก่อน พวกนั้นไปมาหาสู่กับครอบครัวฝู่มานาน สนิทสนมกันจนกระทั่ง เจ้าสัวเซียง หรือ ไบ่เซียง(白象) ถูกทาบทามให้แต่งงานเข้าตระกูลฝู่ ตระกลูไบ่ที่มีลูกชายเพียงคนเดียวมีหรือจะยอม ยิ่งมีข่าวลือเรื่องอาซ้อแล้วด้วย พวกนั้นค่อย ๆ ตีตัวออกห่าง โดยอ้างว่าได้ส่งเจ้าสัวเซียงมาดูแลปางไม้ที่นี่ และเมื่ออาหงส์เกิด ทางตระกูลไบ่ก็กลับมาทาบทามให้อาหงส์ไปเป็นคู่หมายของลูกชายเจ้าสัวเซียง เพราะรู้ว่าอาหงส์มีเมฆาขาวอยู่”

   “นายเกรียงไกรนี่นะ ใครได้ไปนี่ตกนรกทั้งเป็น” พยัคฆ์วิจารณ์

   “ตระกูลไบ่ตอนนั้นก็หากินกับพวกค้าอาวุธเถื่อน โดยให้ใช้เส้นทางที่พวกมันได้สัมทานป่าไม้มา ให้พวกค้าอาวุธนั่นใช้ในขนของ แล้วพวกที่ถูกจับได้ส่วนหนึ่งก็ใช้เส้นทางของเจ้าสัวเซียง”

   “ครั้งล่าสุด ที่ไปหาหลิวที่บ้านใหญ่ ก่อนจะเกิดเรื่องกับตระกูลฝู่ น่าจะเป็นวันเดียวกับที่มันเข้าไปทาบทามหงส์ เฮียได้มีโอกาสเห็นไบ่เซียงในตอนนั้น”

   “อืม...ตอนนี้ตระกลูฝู่ที่ฮ่องกงก็เหมือนมังกรไร้หัว หางก็กัดกันเอง เท่าที่ผมรู้  พวกธุรกิจถูกกฎหมายน่ะยังอยู่ แต่ไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน เหมือนแค่เป็นฉากหน้าของการขายของผิดกฎหมายเท่านั้น ภายในตระกูลก็แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นกุมอำนาจมาตลอด 20 ปี”

   “นี่แสดงว่า หยกก็ยังมีพี่น้องหรือญาติอยู่ที่ฮ่องกงอีกหรอครับ”

   “ถึงใช่ ก็ไม่ได้เป็นสายตรงเหมือนอย่าอานั่นแหละ เป็นคนนอกทั้งนั้น”

   “หลิวไม่ควรคิดแบบนี้นะ หลาน ๆ เขามีแต่หลิว เป็นอา เป็นน้องของพ่อแท้ ๆ เป็นญาติเพียงคนเดียวที่หลาน ๆ ไว้ใจ อยากคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกแบบนี้อีก เข้าใจไหม? การคิดแบบนั้นมันอาจจะทำร้ายจิตใจหลานโดยไม่รู้ตัว” วรากรพยายามเตือนเขา

   “อาชาติ เป็นน้องแท้ ๆ ของพ่อน้องหยกหรอครับ”

   “อืม”

   “พ่อของหยกคงไม่ได้เป็นอดีตหน่วยซีลด้วยอีกคนหรอกนะครับ”

   “ไม่ใช่หรอก พี่ชายอาก็แค่อดีตตำรวจธรรมดาๆ น่ะ”

   “ถ้าผมเดาไม่ผิด เจ้าสัวเซียงต้องการให้นายเกรียงไกรแต่งงานกับหงส์ เมื่อหงส์ที่เป็นทายาทสายตรงก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปจัดการธุรกิจของครอบครัวฝู่ได้ ใช่ไหมครับ แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าหงส์อยู่กับอา?”

   “อาสงสัยว่าตระกูลไบ่เป็นคนแพร่ข่าวลือทั้งหมด เพราะไม่อยากให้ไบ่เซียงมันมาแต่งเข้าตระกูลฝู่ หลังจากหงส์เกิดได้ไม่กี่ปี อาก็ออกจากงานมาเป็นบอดี้การ์ดให้อาซ้อ ไม่แปลกหรอกที่ไบ่เซียงมันจะสงสัยอา และตอนนั้นหงส์ก็ติดอากับเฮียกรมาก”

   “แล้วถ้าหงส์ไม่ยอมแต่งงานกับนายเกรียงไกรล่ะครับ”

   “หงส์ไม่ยอมแต่งงานกับนายเกรียงไกรแน่นอน และไม่คิดจะดองกับตระกูลไบ่ด้วย อย่าลืมสิ ถึงตอนนั้นหงส์จะยังเด็ก แต่ก็มีเมฆาขาวห้อยติดตัวตลอด”

   “หงส์รู้ว่าคนพวกนั้นคิดและต้องการอะไร แล้วแบบนี้พวกมันจะมีแผนอะไรต่อไป”

   “ถ้าเลวร้ายจริง ๆ  พวกมันก็คงชิงเมฆาขาวไป แล้วอ้างสิทธิ์ในการถือครองหยกเข้าไปคุมกิจการของตระกูลฝู่”

   “อาชาติหมายความว่า หยกสามชิ้นนั่น เปรียบเหมือนตราประจำตระกูล หรือป้ายประกาศิตอะไรเทือก ๆ นั้นหรอครับ”

   “ใช่”

   “ธุรกิจของตระกูลฝู่นี่ใหญ่แค่ไหนกัน ถึงได้ต้องแย่งกันขนาดนี้”

   “หึ!! ไอ้เสือ แกรู้จัก เยี่ยนหวอ กรุ๊ป (燕窝) ไหมล่ะ?”

.........................................................................

   ผมกำลังฝึกจับสัมผัสที่เจ่เจ้สอนผมอยู่ในห้อง เจ่เจ้คอยบอกผมว่าผมต้องทำยังไงตลอด เพราะเธอสัมผัสความรู้สึกของผมได้ มันเลยค่อยข้างง่ายและพัฒนาไปได้เร็ว

   “หยก”

   “ครับ” ผมลืมตาขึ้น มองหน้าเจ่เจ้

   “คุณเสือกำลังขึ้นมาแล้วนะ”

   “...” ผมไม่รู้ว่าผมพร้อมจะเจอเขาตอนนี้ไหม ผมได้แต่หลับตาลงอีกครั้ง พยายามปิดรับทุกสัมผัสเข้ามาหาผม

   “ใจเย็น ๆ หยก ไม่ต้องตื่นกลัวไป ค่อยๆ ทำไปอย่าที่เจ่เจ้สอน”

   ผมยังคงหลับตามฟังเสียงเจ่เจ้ไปเรื่อย ๆ เสียงเจ้หงส์เหมือนจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผมในขณะนี้ เพราะผมปิดกั้นสัมผัสทั้งหมดแม้กระทั่งสัมผัสของของเจ่เจ้เอง ความรู้สึกของพี่เสือที่ส่งหาตอนนี้ ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงตอนนี้มันจะบางเบา แต่มันก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย นี่ขนาดเจ้าตัวยังมาไม่ถึงห้องเลยด้วยซ้ำ มันค่อย ๆ รุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ ผมต้องพยายามอยางหนักเพื่อจะปิดกั้นความีรู้สึกนั้น จนได้ยินเสียงประประตูเข้ามา เสียงฝีเท้า

   “อาหยกเป็นอะไรไป”

   “หงส์สอนหยกจัดการเรื่องความรู้สึกอยู่น่ะคะ อ่าวแล้วคุณเสือล่ะคะ”

   “ไอ้เสือมันไม่ยอมเข้ามาน่ะ มันว่าหยกน่าจะยังกลัวมันอยู่” คำพูดคำนี้ของอากร ทำให้ผมนึกถึงคำสัญญาที่พี่เสือขอผมไว้ พี่เสือหรอ? นี่ผมเริ่มชินกับชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาเป็นห่วงผมจริง ๆ ผมรู้สึกได้ ความรู้สึกของมันก็ยังรุนแรงสำหรับผมอยู่ดี ผมควรจะทำยังไงดี ผมไม่ได้กลัวว่าเขาจะกินหรือจะขังผมแล้ว แต่ความรู้สึกกดทับพวกนี้ มันทำให้ผมหายใจไม่ออก

   “หยก ใจเย็น ๆ นะ อย่าสับสนสิ มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” เสียงของเจ่เจ้ช่วยเรียกสติของผม มันมาพร้อมความรู้สึกของพี่เสือที่ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ไกลออกไป นี่มันอะไรกัน เขาจะหันหลังให้ผมอย่างนั้นหรอ ทำไม? ผมถึงรู้สึกใจหายกับความคิดนี้
   ผมลืมตาขึ้น สัญชาตญาณมันนำไปก่อนความคิด ผมก้าวออกไปจากห้องทันที เมื่อความคิดได้อย่างนั้น ผมเห็นแผ่นหลังนั้นกำลังเดินไปยังโถงลิฟท์ เขาจะหันหลังให้ผมจริง ๆ หรอ?

   ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาเขา ผมพยายามจะเรียกเขา แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ เสียงฝีเท้าของผมทำให้เขาหันมา สีหน้าเขาตกใจไม่น้อย ผมเองก็เริ่มรู้สึกกว่าเท้าไปข้างหน้าได้ยากขึ้น ความรู้สึกเหมือนเดินลุยน้ำ มันเดินไปข้างหน้าไม่ได้อย่างใจ
   
   ความรูสึกกดทับที่มีมากขึ้น กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไร มันทำให้ต้องรับความรู้สึกคนตรงหน้าเขามาเต็ม ๆ

   “อย่า...ปะ...ไป...”

   ความรู้สึกสุดท้ายของผม คืออ้อมกอดที่กอดผมอยู่เมื่อคืน...เขา...ไม่ได้ทิ้งผม...ใช่ไหม...

   แล้วทำไม...ผมถึงกลัวว่าเขา...จะทิ้งผมไป...มากขนาดนี้...

.........................................................................

   พยัคฆ์ลงจากสวนชั้นลอยพร้อมกับวรากร อาชาติ เรื่องที่พวกเขาคุยกันข้างบน ทำให้เขาเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้น เข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนอาชาติต้องให้เขาพาหยกหลบคุณลตา พาไปทีบ้านก็ไม่ได้ มาโรงพยาบาลก็ไม่ได้ เพราะทั้ง 2 ที่ ล้วนจะนำมาพบเมฆาขาวชิ้นอื่น ๆ ได้ทั้งสิ้น อันตรายต่อทุกคนที่สวมมันอยู่ ตอนนี้พวกเข้ายังไม่สามารถเดาไม่ได้ว่าพวกเจ้าสัวเซียงต้องการแค่ไหน ต้องการทั้งคนทั้งของ หรือแค่ของ ไม่ว่าทางไหนก็อันตรายทั้งนั้น

   หยกเป็นคนที่เขาห่วงมากกว่าใคร ลูกชายคนเดียวที่เป็นทายาทของตระกูล ให้เขาคิดในทางเลวร้ายที่สุด เจ้าสัวเซียงอาจจะต้องการกำจัดหยกทิ้งไปเลยก็เป็นได้
   
   ตอนนี้หยกน่าจะสวมเมฆาขาวอยู่ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เขาจึงเลือกที่จะเดินรั้งท้าย อาชาติหันมามองเขาเล็กน้อย เมื่อมาถึงหน้าห้องพักของหงส์ เขาจึงเลือกที่จะยืนรออยู่ข้างนอก

   “อาหยกเป็นอะไรไป”

   “หงส์สอนหยกจัดการเรื่องความรู้สึกอยู่น่ะคะ อ่าวแล้วคุณเสือล่ะคะ”

   “ไอ้เสือมันไม่ยอมเข้ามาน่ะ มันว่าหยกน่าจะยังกลัวมันอยู่”

   เขาได้ยินเสียงที่คุยกันดังมาจากในห้อง จึงยืนฟังอยู่ข้างนอก เขาคงต้องให้เวลากับหยกสักพัก

   “ตอนนี้ยังโชคดี ที่คุณลตาไม่รู้ว่าพวกเรารู้จักกับหยก ดังนั้นทุกคนก็ทำตัวให้เป็นปกติ หยกสามารถไปทำงานได้ แต่ห้ามไปที่ค่ายมวยนั่นอีกเด็ดขาด รวมทั้งที่ทำงานของเจ็กด้วย”

   “ลตาน่าจะตามสืบเรื่องเฮียอีกสักพัก ดังนั้นเฮียจะให้ไอ้เสือไปเฝ้าที่ค่ายมวยสัก 2-3 วันให้ลตาตายใจ ว่าพวกเราไม่ได้อะไรจากที่นั่น”

   “ผมจะรบกวนให้เฮียส่งคน คอยตามดูโบตั๋น แต่ไม่ถึงกับต้องคุ้มครองอะไร แค่ตามดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอ”

   “ได้ แล้วหยกล่ะ?”

   “ผมว่าหลานเฮียคงอยากจะอาสา แค่ตามห่าง ๆ จะเป็นอะไรไหมหงส์”

   “ขึ้นอยู่กับการฝึกของหยกค่ะเจ็ก หยก หยก” อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหงส์เหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง “หยก ใจเย็น ๆ นะ อย่าสับสนสิ มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” หรือเขาจะอยู่ใกล้หยกเกินไป จำได้ว่าแถว ๆ หน้าลิฟท์มักจะมีพื้นที่ให้ญาติผู้ป่วยออกมายืดเส้นยืดสาย เขาไปรอไกลหน่อยคงไม่เป็นไร

   เมื่อเขาเดินห่างออกมา กลับได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพร้อมเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กึ่งเดินกึงวิ่งมาจากด้านหลัง เขาแปลกใจจนต้องหันไปมองดู หยกกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา สีหน้าหวาดกลัวนั่น น้องหยกกลัวเขาอีกแล้ว แต่ทำไมถึงยังวิ่งเข้ามาหา ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำใส ๆ นั่น มันทำให้พยัคฆ์ใจแทบขาด แววตาแห่งความเจ็บปวด หรือเขาจะทำให้คนตรงหน้าต้องเจ็บปวดขนาดนี้

   หยกเดินมาได้อีกไม่กี่ก้าว ร่างกายที่เริ่มโงนเงน ดีที่เขาพุ่งตัวเข้าไปรับร่างนั้นไว้ได้ทัน ก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงกระแทกพื้น มือน้อย ๆ เกาะแขนเขาอย่างอ่อนแรง

   “อย่า...ปะ...ไป...” เสียงน้องหยกบอกเขาเสียงแผ่ว แต่มันกลับดังก้องอยู่ในความรู้สึกเขา มันสะท้อนไปสะท้อนมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น้องหยกออกมาตามเขา? เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้เข้าต้องละจากใบหวาน

   “เฮ้อ...ตกใจแทบแย่ อยู่ ๆ ก็วิ่งออกมา ดีนะที่คุณเสืออยู่ตรงนี้”

   “น้องหยกเป็นอะไรไปครับอาชาติ” เขาถามพร้อมกับสอดแขนไปที่ใต้ร่างโปร่งก่อนอุ้มขึ้นแนบอก

   “คงต้องไปถามหงส์แล้ว อาก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาอุ้มหยกตามอาชาติไปที่ห้อง อากรยืนรออยู่หน้าประตูอยู่แล้ว เขาวางหยกลงบนโซฟายาว จัดท่าให้นอนในท่าที่สบายก่อนใช้เกลี่ยนิ้วซับน้ำตาให้อย่างเบามือ เขาไม่อยากเห็นสีหน้าที่หยกหวาดกลัวเขาและแววตาที่เจ็บปวดแบบนั้นอีก ไม่อยากเห็นอีกเลย

   “หยกเป็นอะไรไปครับ?” เขาถามขึ้นเหมือนละเมอ 

   “เฮ้อ...หงส์น่าจะเป็นฝ่ายต้องถามคุณมากกว่าค่ะ?”

   “ถามผม?” เขาละสายตามจากคนตรงหน้าไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียงทันที

   “คุณกับหยกเพิ่งจะเจอกัน ได้ใกล้ชิดกันก็เมื่อวานนี้เอง ซึ่งก่อนหน้านี้คุณแทบเข้าใกล้หยกไม่ได้เลย แล้วพวกคุณ..." หงส์มีสีหน้าหนักใจ ฉันสัมผัสได้ถึง สายใยแห่งความผูกพันธ์ ที่หยกมีต่อคุณ มันเป็นไปได้ยังไง?”

   “คุณหมายความว่ายังไง ความผูกพันธ์อะไรกัน”

   “ฉันเข้าใจว่าหยกคงยังไม่รู้ตัว ว่าเขาผูกพันธ์กับคุณแค่ไหน เมื่อครู่ที่เขารู้สึกได้ว่าคุณเป็นห่วงเขา แต่คุณกลับหันหลังเดินหนีเขาไป”

   “ผมแค่จะไปหาที่นั่ง หน้า...ลิฟท์...”เขาหันกลับไปมองหน้าที่หลับใหล จริงหรือที่หยกความผูกพันธ์กับเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเราเองยังไม่ค่อยได้ทำความรู้จักกันสักเท่าไร

   “หยกเข้าใจว่าคุณจะไปจากเขา”

   “...” เขาเองก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายในวันสองวันนี้ ถ้าเขาไม่เจอกับตัวมาบ้าง เขาคงคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว

   “ไอ้เสือ ไอ้เสือ” เขาหันมองวรากรที่เรียกเขา “ให้พวกอาเรียกตั้งนาน หงส์เขาถามแกไม่ได้ยินเหรอ?”

   “ถาม? ถามว่าอะไรนะครับ? อ่อ อืม...ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้รึป่าวนะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้จากหยกเมื่อคืน”

   เขาเล่าเรื่องที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งเขาและหยกต่างฝันถึงกันและกัน อาจจะเป็นวันและเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ในความฝันหยกอาจจะตกใจที่เจอเขา แต่ไม่ได้กลัว

   “ในความฝันเราไม่สามารถพูดหรือคุยกันได้ ส่วนใหญ่จะสื่อสารกันทางภาษากายมากกว่า ผมไม่ได้หวังจะให้คุณหรืออา ๆ เชื่อผมนะ เพราะผมเองก็ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้”

   “มันก็เป็นไปได้อยู่ค่ะ เพราะความรู้สึกของคุณที่มีต่อหยกมันค่อนข้างแรง ยามที่คุณหลับจิตของคุณอาจจะล่องลอยไปสัมผัสจิตของหยกได้ มันคงค่อย ๆ สร้างความผูกพันธ์ระหว่างคุณกับหยกขึ้นมา”

   “ผม...ไม่อยากเห็นหยกเป็นแบบนี้เพราะผม”

   “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ให้เวลาหยกเขาหน่อย วันนี้เขาทำได้เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว อากรค่ะ ระหว่างนี้ให้คุณเสือคอยตามหยกก็ดีนะคะ จะได้ให้หยกค่อย ๆ ฝึกกับคุณเสือไปด้วย เริ่มจากระยะห่างก่อน แล้วค่อย ๆ เข้าใกล้ทีละนิด ไม่นานหยกก็ชินไปเอง”

   “แล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าระยะประมาณไหน ความรู้สึกของผมถึงจะไม่รุ่นแรงเกินไปสำหรับหยก ในเมื่อคุณไม่ได้อยู่บอกกับผม”

   “คุณมีโทรศัทพ์ คุณก็โทรถามหยกเอาสิค่ะ ไม่เห็นต้องรอให้หงส์คอยบอกเลย” สิ้นคำพูดของหงส์ ทั้งวรากรและหลิวลู่ก็ได้แต่ปล่อยหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่   

.........................................................................

   โบตั๋นกำลังนั่งวาดแพทเทิร์นสำหรับตัดผ้า ตามดีไซด์ของเพ็ญนภาในสตูดิโอ นอกจากเธอจะเป็นนางแบบไร้สังกัดตามคำชวนของเพ็ญภาพแล้ว เธอยังขอทำงานในส่วนของห้องเสื้อด้วย ซึ่งคอลเล็คชั่นหน้า เพ็ญนภารับปากเธอว่าจะให้เธอออกแบบเสื้อผ้า 1 ชุด นั่นก็เท่ากับว่าเธอก้าวเข้าใกล้ความฝันไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

   “น้องตั๋น น้องตั๋นขา เห็นรึยังค่ะ” เสียงเพ็ญนภาเขามาทำลายฝันกลางวันของเธอให้หายไปในอากาศทันที

   “อะไรกันค่ะพี่ภา ตั๋นตกใจหมด”

   “แหม๋ น้องตั๋นก็มัวแต่เหม่อน่ะสิ คิดถึงใครอยู่ค่ะ ใช่คุณพยัคฆ์หรือเปล่าเอ่ย” โบตั๋นแอบเบะปากเล็กน้อยเมื่อเพ็ญนภาเอ่ยชื่อคนที่เธอไม่ค่อยอยากได้ยิน

   “แล้วพี่ภามีอะไรรึป่าวค่ะ”

   “มีสิ นีไงค่ะนี่ไง ดูสิ”

   โบตั๋นมองสมาร์ทโฟนในมือเพ็ญนภา ปรากฎแบนเนอร์โฆษณากินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหน้าจอของสมาร์ทโฟน ภาพเธอกับหยกถ่ายเซ็ทแฟชั่น ในคอนเซ็ป Twin มันทำให้เธอถึงกับตะลึง หยก...สวยมาก สวยจนเธอตกใจ

   “ตะลึงเลยใช่ไหมค่ะ นี่ถ้าพี่ไม่รู้มาก่อนว่าน้องหยกเป็นผู้ชายนะ พี่คงชวนมาเป็นนางแบบให้ห้องเสื้อพี่แล้วล่ะค่ะ นี่ต้องให้เครดิตช่างภาพเขานะคะ เอ้...ช่างภาพคนนั้นชื่ออะไรนะคะ... คุณเมฆใช่ไหม? เขาถ่ายภาพน้องทั้งสองของพี่ได้ออกมาสวยกันทั้งคู่ เหมือนเป็นฝาแฝดกันเลยค่ะ”

   โบตั๋นยังคงตะลึงกับภาพตรงหน้า ใช่พี่ชายของเธอสวยมาก ถึงทั้งคู่จะเหมือนกับเป็นคู่แฝดกัน แต่ถ้ามองภาพๆ นี้กันจริง
 ๆ กลับแยกหยกกับเธอได้อย่างชัดเจน เธอที่ดูร่างเริง สดใส แววตาที่สื่อออกมาในแนวซุกซน แต่หยกกลับดูสวย หวาน มีเสน่ห์หน้าดึงดูด ละสายตามไปจากแววตาหวานซึ้งนั้นไม่ได้จริง ๆ อย่างที่เจ้เปิ้ลพูดไว้ไม่มีผิด ขนาดเธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ ยังถอนสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้เลย

   “ภาพเซ็ทนี้ทางห้องเสื้อโน้นเขาพอใจมาก นี่เค้าถึงกับซื้อพื้นที่บิลบอร์ดยาว 3 เดือนเลยนะคะน้องตั๋น น้องพี่ดังกันใหญ่แล้ว”

   “ว่าอะไรนะคะ? 3 เดือนเลยหรอค่ะ?” เธอไม่ได้ตกใจเรื่องความเด่นดังที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของหยกมากกว่า ถ้าคนพวกนั้นจำหยกได้ล่ะ?

   “ใช่จ้า 3 เดือนเลย ไม่รู้ว่าทางนั้นจะลงดิจิทัล บิลบอร์ดแถวบีทีเอสด้วยรึป่าวนะ พี่ยังไม่ได้ไปสืบ หูย...แค่คิดพี่ก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 05-10-17 {{:::17:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-10-2017 21:09:11
งานเข้าแน่เลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 05-10-17 {{:::17:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 05-10-2017 21:22:29
น่าติดตามๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หยก 05-10-17 {{:::17:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 05-10-2017 22:46:27
สับสนกันเบาๆน้องหยกค่อยๆปรับนะคะคนดี พี่เสือมาดีค่ะ5555
แลดูว่างานจะเข้า ลุ้นๆๆ
ขอบคุณคนเขียนนะคะมาทุกวันเลย ชอบมากๆ  :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 09-10-17 {{:::18:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-10-2017 08:11:07
18

    เกรียงไกรนั่งอยู่บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ในผับหรูแห่งหนึ่ง วันนี้เขาเลือกที่จะมาคนเดียว ไม่ชวนเพื่อนฝูงมาด้วยให้เปลืองเงิน มีเพื่อนมาด้วยทีไร ลูกชายคนเดียวของเจ้าสัวเซียงอย่างเขาต้องเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายทุกที ไม่รู้ว่ากฎนี้ใครเป็นคนตั้งขึ้นมากัน

   เขาพอรู้ว่าสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวเขาว่ามันไม่ดีเท่ากับเมื่อก่อน เพราะเตี่ยของเขาเอาเงินที่ได้มาไปลงที่บ่อนหมด อย่างเมื่อเดือนที่แล้วยังแอบเอาเครื่องเพชรของแม่ไปจ่ายหนี้ที่บ่อนอีก จนแม่ของเขาต้องแยกกลับไปนอนบ้านเดิมของตัวเอง ยังดีที่แม่ยังคงใจดีให้เงินเขาใช้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ย

   เตี่ยของเขาก็แปลกดันไปทุ่มเงินกับการตามหาใครที่ไหนก็ไม่รู้ จ้างทั้งบริษัทฯ ไอ้พยัคฆ์ และยังยัยลตานั่นอีก ไม่รู้ว่าถ้าตามไอ้หลิวลู่เจอแล้วบ้านเขามันจะรวยขึ้นมาได้ยังไงกัน

   “อ่าวคุณเกรียง มานั่งทำอะไรคนเดียวครับนี่” เขาหันไปตามเสียงที่ทักทายมา “จำผมไม้ได้หรอครับ?”

   “ใคร?”

   “แหม๋ แค่ไม่ได้ใช้บริการเด็กในสังกัดผมไม่กี่เดือน ถึงกับลืมผมเลยหรอครับ”

   “อ๋อ...เมฆสินะ”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะจำกันไม่ได้ซะแล้ว มาคนเดียวแบบนี้ สนใจให้ผมส่งเด็กมานั่งเป็นเพื่อนแก้เหงาไหมครับ”

   “มีเด็กใหม่ ๆ ไหมล่ะ หน้าเก่าลีลาเดิมอั๊วไม่เอานะ”

   “แน่ะ ดูถูก... นี่เลยดูนี่ ๆ สวยๆ แจ่มๆ ทั้งนั้น” อีกฝ่ายเลื่อนแท็บเล็ตมาไว้ตรงหน้าเกรียงไกร ก่อนจะสไลด์นำให้ลูกค้ารายใหญ่ได้เห็นเด็กใหม่ ๆ ในสังกัด เกรียงไกรสไลด์หน้าภาพไปเลื่อย จนเจอคนที่ถูกใจ แววตาหวานซึ้ง ใบหน้าสวยได้รูป ยิ่งเทียบกับแฝดอีกคนแล้ว ผู้หญิงคนนี้ดู...หน้าค้นหาจน...ไม่อาจจะละสายตาไปได้เลย

   “อั๊วเอาคนนี้”

   “เฮ้ย ไม่ได้ คู่นี้เป็นเด็กไม่มีสังกัด จะให้ผมไปพามาได้ยังไง”

   “ถ้าไม่ใช่แล้วเซฟรูปมาทำไม”

   “นั่นมันงานถ่ายของผม ผมก็ต้องเก็บไว้สิ คงหลงมาอยูโฟลเดอร์นี้น่ะ”

   “ยิ่งไม่มีสังกัดก็ยิ่งดีสิ นายจะทำยังไงก็ได้ไม่ใช่หรอ?”

   “มันก็ใช่...แต่...”

   “เอาน่า อั๊วจะจ่ายให้อย่างาม”

   “ก็ได้ๆ แต่...ใสๆ อย่างโบตั๋นไม่น่าจะใช่แนวคุณเลยนะ”

   “ใครบอก อั๊วจะเอาคนที่นัยน์ตาชวนฝันคนนี้ต่างหาก”

   “เฮ้ย...คนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งไม่ใช่สเป็คอย่างคุณเกรียงแน่ๆ”

   “ทำไมว่ะ นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่”

   “ก็หยกเขาเป็นผู้ชายนี่”

   “หืม...ผู้ชายงั้นหรอ?” เกรียงไกรมองอย่างชั่งใจ เขาไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน แต่มันก็คงจะไม่ต่างกับผู้หญิงหรอก หน้าสวยขนาดนี้ “ลองสักหน่อยจะเป็นไรไป”

   “คุณเกรียงเอาจริงอ่ะ”

   “เออสิว่ะ เห็นอั๊วล้อเล่นหรือไง”

   “อืม...หยกดูจะอ่อนแอกว่าคนน้อง เป็นลมก็ง่าย งานนี้คงไม่ยาก หมื่นนึง”

   “ถ้าถูกใจอั๊ว อั๊วให้มากกว่านั้นยังได้”

   “แต่ไม่ใช่คืนนี้นะ”

   “อ่าว!! ไอ้นี่”

   “เดี๋ยว ๆ ใจเย็นดิคุณ ก็ผมบอกแล้วว่าเด็กมันไร้สังกัด ให้ผมสืบก่อนสิว่า น้องทำงานที่ไหนยังไง ให้ไปพามาให้ตอนนี้ แล้วไอ้เมฆคนนี้มันจะไปหาจากที่ไหนมาให้”

   “เออ อั๊วให้เวลาลื้อ 3 วัน ช้ากว่านั้นถือว่าเป็นโมฆะ”

   “เฮ้ย 3 วัน น้อยไปป่าวเฮีย สักอาทิตย์ไม่ได้หรอคุณเกรียง...”

   “ไม่!! อั๊วพูดคำไหนคำนั้น”

.........................................................................

   “สวัสดีค่ะคุณวรรณ ตาซื้อขนมเจ้าอร่อยมาฝากค่ะ” ลตาเดินนวยนาดมาดนางพญาเข้ามาเช่นเดิมทุกครั้ง ซึ่งวรรณามองภาพนี้จนเบื่อ

   “สวัสดีค่ะ และก็ขอบคุณนะคะคุณลตา คุณกรไม่เห็นแจ้งวรรณไว้เลย ว่านัดคุณลตาไว้”

   “ตาไม่ได้นัดหรอกค่ะ มาเซอร์ไพรส์น่ะคะ ว่าแต่มีแขกไหมค่ะ” ลตาถามพร้อมกับชี้เข้าไปในห้อง

   “ไม่มีค่ะ คุณกรนั่งเคลียร์เอกสารอยู่”

   “ถ้าอย่างนั้นลตาเข้าไปก่อนนะคะ อ่อ!! คุณวรรณไม่ต้องรายงานค่ะ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์นะคะ” วรรณายิ้มให้เล็กน้อย คุณกรของเธอไม่มีทางเซอร์ไพรส์แน่นอน

   ลตาค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป สายตากสอดส่องภายในห้องไปด้วยก่อนทำเสียงมีจริตจะก้าน

   “เซอร์ไพรส์.....”

   “อ่าวคุณลตา มาได้ยังไงครับ ผมจำได้ว่าวันนี้เราไม่ได้มีนัดกัน”

   “แหม๋...ก็ตามาเซอร์ไพรส์คุณกรยังไงค่ะ แล้วนี้งานยุ่งหรอค่ะ?”

   “ไม่เท่าไรหรอกครับ”

   “หน้าเครียดเชียว ตาช่วยนวดให้คุณนะคะ แล้วนี่อ่านอะไรอยู่ค่ะ ตามากวนคุณรึป่าว?”

   “เฮ้อ...รายงานเจ้าเสือมันน่ะครับ”

   “แค่รายงานของคุณเสือ ทำไมต้องถอนหายใจแบบนั้นด้วยละค่ะ”

   “คนที่เสือตามอยู่ เขาไหวตัวทัน หายเข้ากลีบเมฆไปอีกแล้วน่ะครับ”

   “ใครล่ะคะ อุ้ยขอโทษค่ะ ตาลืมไป...ว่าเรื่องงานของคุณ...”

   “ขอบคุณนะครับ ที่คุณลตาเข้าใจผม” วรากรจงใจปิดแฟ้มเอกสารโดยให้รูปของหลิวลู่อีกคนแลบออกมาเล็กน้อย ถึงจะไม่เห็นเต็ม ๆ แต่เขารู้ว่าลตาพอจะเดาได้ “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราไปทานข้าวกันไหมครับ”

   “อุ๊ย...ไปสิค่ะ...อืม...ลตาขอเลือกร้านนะคะ”

   “ได้สิครับ”

   “งั้นร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิมนะคะ”

   “ด้วยความยินดีครับ” เขาว่าก่อนจะเดินออกมาโดยมีลตาตวงแขนเขาเช่นเคย

.........................................................................

    หยกและโบตั๋นแวะมาหาหงส์ที่โรงพยาบาลกันแต่เช้า ติดๆ กันหลายวัน ซึ่งแทบจะเป็นกิจวัตรสำหรับสองพี่น้องที่ต้องเขามาหาหงส์ทุกวัน เป็นภาพชินตาของเหล่าหมอและพยาบาล ยิ่งตอนนี้หยกมีหมอทั้งพยาบาลหลงใหลได้ปลื้มเพราะภาพบนแบรนด์เนอร์นั่นอีก จนบางวันเหล่าแฟนคลับแทบจะมาตั้งขบวนรออย่างกับจะเตรียมใส่บาตรพระตอนเช้า

   “ตั๋น เป็นอะไรหน้ามุ้ยแต่เช้าเลย” หงส์ทักเมื่อเห็นหน้าน้องสาวของตนตั้งแต่เดินเข้าห้องมา

   “งอนหยก”

   “งอนเฮีย งอนเรื่องอะไร”

   “เมื่อเช้าพยาบาลตั้งขบวนรอรับหยกอีกแล้วอ่ะเจ่เจ้”

   “เจ่เจ้ก็นึกว่าเรื่องอะไร ขี้อิจฉานะเรา”หงส์แซวโบตั๋นเล็กน้อย ก่อนจะหันมาถามเอาสาเหตุจากตัวต้นเรื่อง “แล้วหยกล่ะช่วงนี้มาแต่เช้าจนพยาบาลจำเวลามาของหยกได้”

   “หยกเลื่อนสอนที่สถาบันมาเป็น 9 โมงเช้า แล้วต้องเพิ่มชั่วโมงสอนแทนพี่โอ๊ตที่ขาหักด้วยครับ สอนเสร็จก็ต้องรีบเข้าร้านเลย ถ้าไม่มาตอนนี้ก็ดึกดื่นเที่ยงคืนนั่นเลย ถึงจะแวะมาหาเจ่เจ้ได้”

   “อืม ดึกแบบนั้นก็ไม่ต้องมาหรอก เอาเวลาไปพักผ่อนเถอะ อีกอย่างอาทิตย์หน้าหมอก็ให้เจ่เจ้กลับไปพักที่บ้านได้แล้ว”

   “เย้...ตั๋นจะได้ไม่ต้องนอนคนเดียวอีกแล้ว”

   “แล้วตั๋นล่ะ ออกมาแต่เช้าเหมือนกัน ยัยภาใช้งานเราหนักหรอไง”

   “ป่าวนะ พี่ภาไม่ได้ใช้งานอะไรตั๋นหนักหรอก ตั๋นแค่...”

   “ตั๋นก็รู้ ว่าช่วงนี้เจ็กลู่คอยตามหยกอยู่ห่างๆ ตั๋นเองก็มีคนของอากรคอยดูแลอยู่ เจ่เจ้อากรก็คอยมาด้วยตัวเอง ไม่เห็นต้องมีอะไรน่าห่วง”

   “ตั๋นเคยได้ยินมาว่าพวกผู้ร้ายน่ะ ชอบแอบเนียนเข้ามากับพวกแฟนคลับนี่”

   “ที่ตั๋นไม่ชอบใจพวกพยาบาลที่มาปลื้มหยกก็เพราะแบบนี้เองหรอ” หงส์แกล้งเขกหัวโบตั๋นเบา ๆ ทีหนึง “แล้วแบบนี้เจ่เจ้จะให้สวมเมฆาขาวไว้ทำไม” หงส์เอ็ดไม่จริงจังนัก

   “ก็มันอดไม่ได้นี่ ยิ่งเดียวนี้หยกน่ะดังจะตาย นี่เจ่เจ้ดู มีคนตั้งไอจีชื่อนางฟ้าบาริสต้าให้หยกด้วยนะ นี่ๆ ลงรูปที่ร้านพี่กันต์ด้วย” โบตั๋นส่งโทรศัพท์ให้หงส์ดู

   “หยกก็ระวังตัวหน่อยนะ สัมผัสอะไรได้ ที่รู้สึกไม่ชอบมาพากลก็หลีกเลี่ยงไว้”

   “ครับ”

   “ตั๋นต้องไปแล้วค่ะ วันนี้มีนัดคุยงานกับเจ้เปิ้ล ที่จริงเจ้เขาอยากให้หยกไปด้วย แต่ตั๋นไม่อนุญาตนะ แค่นี้หยกก็ดังจะแย่แล้ว”

   “ทำไมเฮียต้องรอให้ตั๋นอนุญาตด้วย เฮียไม่ชอบงานแบบนั้นอยู่แล้ว”   

   “ระวังตัวดี ๆ นะตั๋น”

   “ค่ะเจ่เจ้ ไปก่อนนะหยก ระวังตัวด้วยล่ะ”

   “อืม”

   “วันนี้คุณเสือเขาจะมาแทนเจ็กลู่แล้วนะ เจ็กเขาจะได้มาค่อยดูเจ่เจ้ เกรงใจอากรที่ต้องทำเป็นมาคุยงานที่นี่ทุกวัน”

   “ครับ แล้วเรื่องคุณลตาล่ะครับ”

   “วันนี้คงมีความคืบหน้าอะไรบ้างล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณเสือคงจะยังไม่เข้ามาหาเราน่ะ”

   “เราต้องระวังกันแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรครับเจ่เจ้”

   “ทนอีกนิดนะ หลังจากตั๋นจบ เจ่เจ้จะเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย”

   “เจ่เจ้มีอะไรให้หยกหรือตั๋นช่วยก็บอกพวกเรานะครับ”

   “จ้า ก็เรามีกันอยู่แค่นี้ใช่ไหม? เอาเป็นว่า หยกค่อย ๆ ฝึกสิ่งที่เจ่เจ้สอนไป อย่าตระหนก แล้วตอนปิดกั้นความรู้สึก หยกรู้ใช่ไหมว่าเราเลือกที่จะกันใคร หรือไม่กันใครก็ได้ ดังนั้นหยกอย่าปิดกั้นสัมผัสของหยกทั้งหมด ไม่อย่างนั้นหยกอาจจไม่รับรู้ถึงอันตรายใกล้ตัวเพราะมัวแต่ไประวังสิ่งที่อยู่ไกล”

   “ครับ หยกจะจำไว้ เจ่เจ้ถ้าหยกสัมผัสจิตคนอื่นมันจะเป็นยังไงหรอครับ”

   “ถ้าเราเข้าหาเขาเร็วเกินไป ก็จะเหมือนกับที่หยกกลัวคุณเสือในช่วงแรก ๆ ที่พบกัน”

   “พี่เสือ...มาแล้ว?”

   “อืม...ใช่จ้า คุยกับเจ็กลู่อยู่ถัดลงไปจาก 2 ชั้น แสดงว่าระยะแระมาณนี้เราไม่อึดอัดใช่ไหม?”

   “ครับ”

   “อยากให้พี่เขาอยู่ห่างประมาณไหนก็บอกเขาไป พี่เขาน่ะยินดีที่จะทำเพื่อหยกทุกอย่างเลยนะ รู้ใช่ไหม?”

   “ครับ...ผมรู้”

   “หน้าแดงหมดแล้วหยก หน้าขึ้นสีง่ายจังนะช่วงนี้ เดี๋ยวหมอกับพยาบาลก็ยิ่งหลงกันเข้าไปใหญ่”

   “เจ่เจ้อย่าล้อหยกสิครับ”

.........................................................................

   ผมยังคงงงอยู่ว่าพี่เสือก้าวเข้ามาชีวิตผมตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่ผมคุยกับเขาน้อยมาก ถึงผมจะรับรู้ความรู้สึกที่พี่เขามาต่อผมทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเขารู้สึกอย่างไร วันที่เขาบอกชอบผมกับตั๋นที่หน้าโรงพยาบาล และที่เขาพยายามไม่เข้าใกล้ผมทั้งที่ผมรู้ว่าเขาอยากเข้ามาผมมากไหน พี่เสือทำให้ผมได้ทุกอย่างจริง ๆ อยากที่เจ่เจ้บอก

   ผมรู้ว่าพี่เสือมาแล้ว เจ่เจ้ว่าเขาคุยกับเจ็กลู่อยู่และผมคงเดาว่าเขาคงจะอยู่ตรงนั้นไม่ขึ้นมาหาผมที่ห้องเจ่เจ้แน่นอน เพราะตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมเริ่มหัดปิดกั้นสัมผัสครั้งแรก ผมก็ไม่ได้เจอพี่เสืออีกเลย

   ครืด...

   “เจ็ก เหนื่อยหน่อยนะคะ”

   “ไม่หรอก แค่นี้เอง”

   “เรื่องคุณลตาเป็นยังไงบ้างค่ะ”

   “แผนเฮียกรน่าจะได้ผล ตอนนี้คุณเสือก็เลิกไปเฝ้าที่ค่ายมวยได้แล้ว คุณลตาเองตั้งแต่วันที่เจอหยก ก็ไม่ได้ไปเรียนมวยอีกเลย ทางเหล่าฝู่ก็มีคนแปลกหน้าเวียนเข้าไปที่ร้านเยอะผิดปกติ”

   “บอกให้เหล่าฝู่ระวังตัวด้วยนะคะ”

   “ปัญหาใหญ่คงเป็นไอ้แบนเนอร์ตามถนนนั่นแหละ ป่านนี้เจ้าสัวเซียงคงจะเดาได้แล้วว่าหยกกับโบตั๋นเป็นใคร”

   “ไวถึงขนาดนั้นเลยหรอค่ะ”

   “เจ็กก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ไอ้แบนเนอร์มันมีติดไปทั่ว”

   “หยกกับตั๋นไม่น่าจะรับงานนั้นเลย ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนกันไปทั่ว” ผมแทรกขึ้นระหว่างที่เจ็กลูกับเจ่เจ้คุยกัน

   “แต่หงส์ว่าดีนะคะ”

   “อืม คิดอีกทาง ก็จริงอย่างที่หงส์ว่านะ”

   “ยังไงกันครับ หยกตามเจ่เจ้กับเจ็กไมทัน”

   “ก็ถ้าหยกกับตั๋นดัง เจ้าสัวก็ทำอะไรเราไม่ได้ง่าย ๆ ยังไงล่ะ เพราะมีคนคอยติดตามชื่นชมเราอยู่”

   “อ่อ...ครับ”

   ติ๊ ง งง เสียงจากแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ทำให้ผมก้มมอง

   Payak : สวัสดีครับน้องหยก

   Payak : พี่เสือรอหยกอยู่แถว ๆ ร้านกาแฟในโรงพยาบาลนะครับ

   Payak : ถ้าน้องหยกลงมาจากห้องของหงส์แล้ว

   Payak : บอกพี่นิดนึงนะครับ

   ผมอ่านจบก็เงยหน้ามองไปทางเจ็กลู่

   “อืม เจ็กให้เบอร์เรากับคุณเสือไปเองแหละ แล้วนี่จะต้องไปสอนแล้วไม่ใช้หรอ?”

   “ครับ”

   “ยังไงก็ระวังตัว อย่าประมาทนะ”

   “ครับผมไปก่อนนะครับ เจ่เจ้ เจ็กลู่”

   “ตอบพี่เขาด้วยล่ะ พี่เขาจะได้รู้ว่าเรากำลังลงไป” ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนก้มลงพิมพ์ขอ้ความอย่างว่าง่าย

   Yok : หยกกำลังลงไปครับ

   Payak : สติกเกอร์เจมส์ส่งจูบรูปหัวใจมาให้

To Be Continue

   อาทิตย์นี้ amo ขอหนีเที่ยวต่างจังหวัด 3-4 วัน

   ถ้าก่อนไปขยี้ทันอีกสักตอน ก็จะมาอัพให้นะคะ

   ไปลั้ลล้าแพร๊บน้า......
หัวข้อ: Re: หยก 09-10-17 {{:::18:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-10-2017 08:53:20
ฝาแฝดอย่างโบตั๋นยังเสน่ห์แรงไม่เท่าหยกเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 09-10-17 {{:::18:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-10-2017 09:11:53
หยกจะรู้เท่าทันเมฆไหมนะ
หัวข้อ: Re: หยก 09-10-17 {{:::18:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-10-2017 11:46:37
สงสัยไม่อยากหายใจนะนายเมฆ
หัวข้อ: Re: หยก 15-10-17 {{:::19:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-10-2017 00:49:33
ตอนที่ 19

    หลังจากที่หยกออกจากห้องไปแล้วหงส์ก็เริ่มหารือสิ่งที่ตัวเองวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก หากเจ้าสัวเซียงรู้เรื่องหยกและโบตั๋น ก็มีความเป็นไปได้มากที่ทางโน้นจะรู้ว่าพวกเธอยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน

   “เจ็กลู่ หงส์ตัดสินใจแล้ว ว่าหลังจากที่หงส์แข็งแรงดี และพอจะเดินทางได้ หงส์จะไปตระกูลฝู่”

   “คุณหนู...”

   “หงส์บอกเจ็กแล้วไงค่ะ เจ็กเป็นญาติคนเดียวของหงส์ ถือว่าหงส์ขอร้อง อย่าเรียกหงส์ว่าคุณหนูใหญ่อีกเลยนะคะ หรือว่าเจ็กไม่เห็นว่าหงส์กับน้อง ๆ เป็นหลาน”

   “อาหงส์...” หงส์ยิ้มออกมาได้ในที่สุด

   “ระหว่างนี้หงส์อยากรู้เรื่องทางโน้นเพิ่ม เจ็กพอจะสืบให้หงส์ได้ไหมค่ะ?”

   “หงส์ต้องการจะทำอะไรกันแน่ บอกให้เจ็กสบายใจก่อนได้ไหม ว่าหงส์จะทำอะไร อันตรายแค่ไหน”

   “หงส์จะขายเยี้ยนหวอค่ะ”

   “นั่นมัน...”

   “หงส์รู้ค่ะ ว่ามันยากและตระกูลฝู่ก็อยู่มานาน แต่ก็มันจบสิ้นไปแล้วนะคะ ตั้งแต่วันที่หม่าม๊าตายในห้องขัง และตอนนี้มันจะมีแค่ชูวนาสุวรรณเท่านั้น”

   “ถ้าหงส์ติดสินใจอย่างนั้น เจ็กก็จะช่วย แล้วที่หงส์จะไปตระกูลฝู่นี่ แสดงว่าวางแผนไว้แล้วใช่ไหม?”

   “ค่ะ หงส์อยากขอความเห็นจากอากรและคุณเสือเพิ่มเติม ในฐานะที่พวกเขาเป็นคนนอก อาจจะมองมุมที่ต่างจากหงส์หรือเจ็กลู่”

   “อืม...”

   “อากรเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ เจ็กไม่ต้องห่วงเขาหรอก อากรเอาตัวรอดได้ ไม่ใช่หนุ่มแหน่มแน้มเจ้าสำอางค์เหมือนสมัยก่อน เจ็กกู้รู้ข้อนี้ดี”

.........................................................................

   โบตั๋นมาถึงห้องเสื้อของเพ็ญนภา เจ้เปิ้ลที่มารออยู่นานแล้ว ทั้งสองคนดูจะคุยกันอย่างสนุกสนานจนไม่ได้ยินเสียงเธอก้าวเข้ามาในห้องเลยด้วยซ้ำ

   “อะแฮ่ม!! นินทาอะไรตั๋นอยู่รึป่าวค่ะ”

   “แหม๋น้องโบตั๋น ใครจะกล้าไปนินทาอะไรเราล่ะคะ ชื่นชมสิไม่ว่า ไหนค่ะไหน น้องหยกล่ะคะ?” เจ้เปิ้ลชะเง้อมองเหมือนหาใครสักคนทางด้านหลังของโบตั๋น

   “ตั๋นบอกเจ้ไปแล้ว...หยกเขาไม่ชอบงานแบบนี้ เขาไม่รับหรอกค่ะ”

   “แต่ลูกค้าอยากได้น้องหยกจริง ๆ นะคะ น้องเขาเข้าคอนเซ็ปยูนิเซ็กซ์มาก ที่สำคัญไม่มีใครมาแรงเท่าน้องหยกเลยนะในตอนนี้”

   “สวัสดีคร้าบ สาว ๆ คุยกันถึงไหนแล้วครับ”

   “นี่แกมาอะไรเอาป่านนี้ สายตลอด” เจ้เปิ้ลแว้ดใส่คนที่มาใหม่

   “อ่าว พี่เมฆก็มาด้วยหรอค่ะ”

   “พี่ก็ต้องมาสิ ตื่นเต้นจะตายที่จะได้ถ่ายน้องหยกอีก ครั้งที่แล้วน่ะ งานชิ้นโบว์แดงพี่เลยนะ อ่าว!! แล้วไหนล่ะน้องหยก” ช่างภาพหนุ่มถามเมื่อมองไม่พบเป้าหมายที่ตัวเองต้องการเจอ

   “ตั๋นเริ่มน้อยใจแล้วนะ แหม๋ๆ คำก็น้องหยก สองคำก็น้องหยก”

   “น้องโบตั๋นอย่าพึ่งน้อยใจไปค่ะ ดูนี่สิค่ะ มีแฟนคลับตั้งไอจีให้เราสองคนด้วยนะคะ” เพ็ญนภาส่งสมาร์ทโฟนส่งให้กับเธอ

   “ใช่ค่ะ นี่เจ้กับน้องภาเพิ่งกดฟอลโล่กันเมื่อกี้เลยนะคะ เสียดายมีรูปน้องโบตั๋นซะเยอะ มีรูปน้องหยกนิดเดียวเอง”

   “อุ๊ย!! คุณเปิ้ลไม่รู้อะไร ถ้าน้องหยกต้องนี่คะ ไอจีนางฟ้าบาริสต้าค่ะ เสิร์ชเลยๆ”

   “กรี๊ดดด...น้องภาขา น้องหยกใส่ชุดบาริสต้าแล้วน่ารักมากกกก อย่างกับนางเอกคอฟฟี่ปริ้นเลยค่ะ”

   “ไหนครับ ๆ โห...แฟนคลับน้องหยกเยอะจริง ๆ รูปเพียบเลย”

   “ใช่ไหมล่ะค่ะคุณเมฆ ดูสิค่ะแค่ไม่กี่วันมีคนฟอลโล่เกือบ 400K แล้ว”

   “ห๊ะ!! เยอะขนาดนั้นเลยหรอค่ะ”

   “ใช่สิจ๊ะน้องโบตั๋น”

   “โอ๊ย...ดังเกินไปรึป่าวค่ะเนี๊ยะ”

   “ว่าแต่ แฟนคลับน้องหยกเขาไปตามถ่ายกันที่ไหนครับ เผื่อผมจะไปเป็นปาปารัสซี่กับเขาบ้าง”

   “นี่ ก่อนแกจะไปรับจ๊อบเป็นปาปารัสซี่นะ ส่งงานคราวที่แล้วให้ทันก่อนเห๊อะ”

   “พอแล้วค่ะ ทั้งคุณเปิ้ล คุณเมฆ มาคุยเรื่องงานของแบรนด์ก่อนดีกว่าค่ะ” เพ็ญนภาห้ามทัพไว้ได้ทันก่อนที่ทั้ง 2 จะทะเลาะไปกันใหญ่

   “คราวนี้งานแบรนด์เลยหรอค่ะพี่ภา”

   “ก็ใช่นะสิ แต่ถ่ายเป็นกลุ่ม 7 คนนะ หญิง 3 ชาย 3 แล้วให้น้องหยกเป็นตัวเมน น้องโบตั๋นเองก็เป็น 1ใน 3 นะคะ” เจ้เปิ้ลเริ่มเกริ่นเป็นงานเป็นการ “น้องโบตั๋นขา...ช่วยเจ้หน่อยนะคะ ช่วยพูดกับน้องหยกให้พี่หน่อยยนะคะ”

   “น้องโบตั๋นค่ะ โอกาสมันไม่ใช่จะมีมากันง่าย ๆ นะคะ แล้วถ้าน้องโบตั๋นได้ทำงานกับแบรนด์ดัง ๆ มันก็จะเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำความฝันของหนูนะคะ”

   “ตั๋นก็สงสัย ว่าทำไมเจ้ถึงนัดตั๋นมาคุยงานที่ห้องเสื้อพี่ภา ที่แท้จะมารุมกินโต๊ะตั๋นนี่เอง”

   “แหม๋...น้องโบตั๋นอย่าพูดแบบนี้สิค่ะ พวกพี่หวังดีกับหนูจริง ๆ นะคะ น้า....นะคะถือว่าช่วย ๆ กัน” เจ้เปิ้ลคะยั้นคะยอเต็มที่

   “เฮ้อ...ตั๋นของถามเจ้หงส์ก่อนนะคะ”

   “เรื่องยัยหงส์เดี๋ยวพี่ช่วยพูดอีกแรงค่ะ” โบตั๋นได้แต่ทำหน้าหนักใจ พี่ภาช่างไม่รู้สถานการณ์ของครอบครัวเธอเล๊ย..

.........................................................................

   วันนี้ผมรู้สึกว่าเพลินกับการทำงานมากครับ อาจเป็นเพราะว่าชินกับการทำงานเต็มเวลา หรืออาจจะเรียกว่าเกินเวลามากกว่าก็ได้ครับ เวลามันเหมือนเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะเลิกงานแล้วครับ

   “หยก เหนื่อยไหมเรา?” พี่แหม่มเดินเข้ามาถามผมหลังเคาน์เตอร์ครับ ที่จริงแกก็ถามทุกคนล่ะแหละครับช่วงนี้ ไม่ใช่อะไรครับ สองสามวันมานี้ลูกค้าที่ร้านคนแน่นมาก โต๊ะเต็มไม่มีที่นั่งก็สั่งกลับบ้าน เบเกอรี่พี่กันต์หมดตั้งแต่ยังไม่บ่าย แกต้องเขาทำเพิ่มบางรายการที่มีวัตถุดิบพอจะทำได้

   “ไม่ครับ ผมแค่ชงกาแฟ ไม่ได้งานหนักเหมือนอย่างในครัวหรืองานเสิร์ฟ”

   “นั่นสิ ลูกค้ามาจากไหนกันเยอะแยะนะช่วงนี้”

   “หยก สตอเบอรี่ เฟรปเป้ 2 กีวี่ เฟรปเป้ 1 ครับ” ก๊องเดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มให้ลูกค้า

   “นี่ก็อีก ทานอาหารอิตาเลียนแต่มาสั่งเครื่องดื่มส่วนของคาเฟ่” พี่แหม่มไม่วายบ่น

   “เขาคงอยากดื่มน่ะครับ”

   “เขาอยากชิมฝีมือนางบาริสต้าของเรานะครับพี่แหม่ม” ก๊องพูดแทรกขึ้นมา

   “ตาก๊อง อย่ามายืนอู้แถวนี้เลย ไปทำงาน”

   “พี่แหม่ม เดินทั้งวันเลยนะครับ ให้พักเท้าบ้างเถอะ”

   “สงสัยต้องให้คุณกันต์รับคนเพิ่มแล้วมั้ง ถ้าอีก 2-3 วันยังเป็นแบบนี้อีก”

   “ไม่ต้องรออีก 2-3 วันหรอกครับ เตรียมรับคนเพิ่มได้เลย”

   “ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้นห๊ะตาก๊อง”

   “อ้าว นี้พี่แหม่มยังไม่รู้หรอครับว่าร้านเราลูกค้าเยอะขึ้นเพราะอะไร”

   “เพราะอะไรล่ะ?”

   “ก็เพราะนางฟ้าบาริสต้าของร้านเราไงครับ พี่แหม่มไม่รู้หรอว่าพวกผมเหนื่อยกันขนาดไหน ที่ต้องแกล้งเดินผ่านกล้องถ่ายรูปบ้าง กล้องมือถือบ้าง เวลาลูกค้าจะแอบถ่ายรูปนางฟ้าของเราน่ะ”

   “แล้วทำไม่ต้องทำกันขนาดนั้นด้วย”

   “พี่เล่นไอจีไหมครับ”

   “ไม่ได้เล่นอ่ะ ฉันเล่นไม่เป็น”

   “มิน่าล่ะ คืองี้...”

   “สตอเบอรี่ เฟรปเป้ 2 กีวี่ เฟรปเป้ ได้แล้วครับ” ผมขัดขึ้น ผมไม่ค่อยชอบนักหรอกครับที่ใคร ๆ เรียกผมว่านางฟ้าบาริสต้าน่ะ

   “ก๊อง เดี๋ยวแกกลับมาเล่าต่อเลยนะ”

   “คร้าบ..พี่แหม่ม”

   “เฮ้อ...สงสัยพี่ต้องเรียนรู้ไอ้พวกโซเชียลมีเดีย โซเชียลเนตเวิร์ค อะไรพวกนี้ไว้บ้างแล้ว”

   “พี่แหม่มครับ ลูกค้าเรียกเก็บเงินครับ” ผมสะกิดเมื่อเห็นลูกค้าโต๊ะด้านโน้นโบกมือมาทางนี้

   เอ้...หรือที่ผมทำงานเพลินเพราะลูกค้าที่เข้าร้านมากผิดปกติ ทำให้ไม่มีเวลาคิดอะไรฟุ้งซ่าน ผมมองดูหน้าฬิกาแขวนผนังอีกครั้ง เวลาค่ำขนาดนี้แล้วพี่เสือจะทานอะไรรึยัง?

   ผมไม่เห็นเขาหรอกครับ ก็ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลวันนั้นนั่นแหละ ผมไม่รู้ว่าพี่เสือเห็นผมจากจุดที่เขาเฝ้าดูผมอยู่รึป่าว เขาไม่ได้รับส่งผม แค่ตามอยู่ห่าง ๆ ส่วนผมก็เดินทางมาทำงานเองปกติ แต่ผมสัมผัสถึงเขาได้ว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดเวลา มันไม่ทำให้ผมอึดอัดแต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

   “น้องหยกค่ะ ทำเอาพี่หน้าแตกเชียว” พี่แหม่มเดินมาโวยกับผม มีก๊องเดินหัวเราะตามหลังมา

   “ทำไมหรอครับ”

   “เขาเรียกพี่เก็บเงินซะที่ไหนล่ะคะ เขาโบกมือให้น้องหยกต่างหากล่ะคะ”

   “อ่าว?”

   “ไม่ต้องอ่าวหรอกหยก หยกคงไม่รู้ว่าตัวเองดังขนาดไหน มีคนตั้งไอจีให้หยกด้วยนะ นี่ไงนางฟ้าบาริสต้า มีคนตามไอจีนี้เป็นแสนเลยนะ”

   “ตายแล้ว ไหนขอพี่ดูหน่อยสิค่ะ” พี่แหม่มคว้าจากมือผมไปดู แกท่าทางตื่นเต้นมาก “เออก๊อง มันกดดูต่อยังไง”

   “โถ่...พี่แหม่ม...มานี่เดี๋ยวผมสอน...”

   ที่ร้านลูกค้าเยอะแบบนี้เพราะผมอย่างนั้นหรอ? อย่าบอกน่ะว่ามาจากแบนเนอร์ที่เจ็กลู่พูดถึงเมื่อเช้า   

.........................................................................

   พยัคฆ์ย้ายสถานที่เพื่อจะเฝ้าหยกมาเป็นที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่คิดเลยว่าร้านอาหารที่น้องหยกทำงานอยู่จะอยู่ย่านธุรกิจกลางเมือง แถมเป็นเส้นที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่าน ครั้งที่แล้วที่เจอน้องหยกตรงสี่แยกไฟแดงก็ไม่ได้นึกเอะใจ แล้วถ้าจำไม่ผิด ร้านนี้ก็น่าจะเป็นร้านที่ต้นกล้า เด็กในบ้านของเขามาตามเฝ้าคนขายขนมอยู่

   ย่านนี้พื้นที่ทุกตารางนิ้วเป็นเงินเป็นทาง จอดรถนานก็ไม่ได้ ร้านอาหารก็นั่งนานมากไม่ได้ รอบ ๆ ร้านก็มีแต่อาคารสำนักงานเต็มไปหมด เมื่อไรเขาจะเข้าไปใกล้น้องหยกได้มากกว่านี้ แต่อาจจะเป็นเพราะความเรื่องมากของเขาด้วยละมั้ง ที่เลือกอยู่ในสถานที่สามารถมองเห็นน้องเขาได้

   โทรศัพท์ของเขาสั่นเตือนว่ามีข้อความเข้า

   Yok : กำลังจะเก็บร้านแล้วครับ

   Payak : เหนื่อยไหมครับ

   Payak : พี่อยากไปส่งเราจัง

   Yok : หยกกลับเองได้ครับ

   Yok : พี่เสือทานอะไรรึยังครับ

   นี่เขาคงไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองใช่ไหม ว่าน้องหยกเป็นห่วงเขา

   Payak : ถ้ายังไม่ทาน น้องหยกจะไปทานกับพี่ไหมครับ

   น้องหยกหายไปนาน อ่านข้อความแล้วแต่ไม่ตอบ น้องคงลำบากใจ

   Payak : พี่ล้อเล่นน่ะครับ

   Payak : ทานเรียบร้อยตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะครับ

   Payak : ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ

   เขาเห็นว่าน้องหยกอ่านข้อความแล้วแต่ไม่ตอบ เขาคงต้องให้เวลากับน้องเขาอีกสักพัก

   ขณะนี้พยัคฆ์ยืนอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่น้องหยกต้องขึ้นมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน เขาใช้กล้องส่องทางไกลตัวจิ๋วมองไปยังหน้าร้าน ขนาดร้านสี่ทุ่มกว่าแล้วยังมีคนมายืนออกกันเต็มหน้าร้าน เขาได้ยินเสียงคนวิ่งลงมาจากบันไดสถานนีรถไฟฟ้าฟ้าข้างบน กลุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูมาเกาะราวกันตกข้าง ๆ เขา ทำให้ต้องรีบซ่อนกล้องส่องทางไกลทันที

   “แก๊...เห็นไหม ร้านปิดแล้ว” เด็กสาวคนที่วิ่งมาถึงเป็นคนแรกตะโกนเสียงดัง

   “ไปยืนรอหน้าร้านเหมือนพวกนั้นไหม พี่นางฟ้าน่าจะยังไม่ออกมา” น้องคนที่สอง

   “เอางั้นหรอแก แต่แกดูสิ จะฝ่าคนพวกนั้นเข้าไปได้ไง ฉันว่าเรารออยู่ตรงนี้ดีไหม รอดูว่าพี่เขาเดินไปทางไหนค่อยไปดักรอ” และน้องคนที่สาม

   “เออ จริงแก...พวกเราอยู่มุมสูง ได้เปรียบเห็นๆ” เด็กสาวคนแรก

   “นี่ๆๆ ดูรูปไอจีวันก่อน พี่เขาอยู่ในขบวนรถไฟฟ้านะแก” น้องคนที่สาม

   “จริงดิ...ไหนดูสิ” เด็กสาวคนแรก

   “เฮ้ย...จริงด้วย พี่เขาต้องขึ้นสถานนีนี้แน่ ๆ เลย” น้องคนที่สอง

   “กรี๊ดดดดด” ทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน จนเขาต้องผละออกมา

   โทรศัพท์ของเขาสั่นอีกครั้ง แค่มันสั่นเขาก็รู้ว่าเป็นข้อความของใคร พอคิดถึงเจ้าของข้อความ หน้าของเขาก็ระบายไปด้วยรอยยิ้ม

   Yok : หยกออกหน้าร้านไม่ได้

   Yok : ต้องออกหลังร้าน

   Yok : พี่แหม่มจะไปส่งที่สถานนีถัดไป

   Payak : ครับ

   Payak : ระวังตัวด้วยนะครับ

   Payak : พี่เป็นห่วง

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 15-10-17 {{:::19:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-10-2017 01:35:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 15-10-17 {{:::19:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-10-2017 10:56:29
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 15-10-17 {{:::19:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-10-2017 13:49:23
บางทีก็คิดว่ามันเกินไปไหม ดูจะก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวเขาเหลือเกิน ถึงจะเป็นเพราะชอบก็เถอะ
หัวข้อ: Re: หยก 15-10-17 {{:::19:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 15-10-2017 21:15:42
เมื่อไหร่พี่เสือจะได้อยู่ใกล้ๆน้องหยก
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-10-2017 19:28:50
20

    ผมเก็บเคาน์เตอร์เสร็จก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะกลับบ้าน แต่ก๊องกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในร้านไม่ยอมให้ผมกลับ จนกระทั่งคนในครัวออกมาสมทบ

   “อ่าว ทำไมยังไม่กลับกันอีกล่ะ” เอ็มผู้ช่วยเชฟถามพวกผม

   “กำลังหาวิธีกลับอยู่” ก๊องตอบพรางมองออกไปนอกหน้าต่าง

   “มีอะไรว่ะก๊อง” เอ็มเดินไปมองดูที่ประตูร้าน

   “มึงดูเองดิ ลำพังพวกกูอ่ะกลับกันได้อยู่แล้ว แต่หยกนี่สิ ถ้าจะงานเข้าหนัก”

   “โห... นี่ขนาดปิดร้านแล้วนะ ยังมายืนรอกันอยู่อีกหรอ?”

   “เออดิ ดีนะพวกกูห้ามหยกไว้ทัน ขืนออกไปเลยมีหวังเละ”

   ผมปล่อยให้เพื่อนร่วมงานคุยกันไป ส่วนผมก็อ่านข้อความของพี่เสือ ที่อ่านค้างไว้ตอนเปลี่ยนเสื้อ

   Payak : พี่ล้อเล่นน่ะครับ

   Payak : ทานเรียบร้อยตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะครับ

   Payak : ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ

   “ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อะไรจ๊ะน้องหยก” พี่แหม่มเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมพี่กันต์พี่แก้ว คงจะเคลียบัญชีกันเสร็จแล้ว ว่าแต่...ผมยิ้มอยู่หรอ?

   “สงสัยดูไอจีของตัวเองอยู่ เป็นพี่ พี่ก็ปลื้มค่ะ มีคนฟอโล่เราขนาดนั้น” พี่แก้วยิ้มแซว

   “มะ...ไม่ใช่ครับ อ่านข้อความของ...” นั่นสิ ของใครดีล่ะ “เพื่อนน่ะครับ”

   “เพื่อนหรือว่าแฟน ยิ้มแบบนั้นพี่ว่าน่าจะเป็นแฟนมากกว่า” พี่แหม่มแซว ทำให้เพื่อน ๆ คนอื่นที่ยืนอออยู่ตรงทางออกประตูหน้าร้านต่างหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน มันอึดอัดพอ ๆ กับความรู้สึกของพี่เสือเลยครับ

   “มะ...ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่”

   “พี่แซวเล่นนิดหน่อย หน้าแดงเชียว ดูพวกไอ้ก๊องสิ เคลิ้มกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” พี่แหม่มบุ้ยใบให้ผมไปมองพวกที่ยืนหน้าประตู

   “...”

   “แล้วนี่พวกนายทำยังไม่กลับกัน” พี่กันต์ถามขึ้น เพราะคืนนี้พวกเรายังอยู่กันครบทุกคน

   “พวกเรากำลังคิดกันอยู่ว่าจะพาหยกออกไปยังไง ไม่ให้พวกนั้นรุมทึ้งเอา”เอ็มหันมาบอกพี่กันต์

   “แกก็พูดน่าเกลียด รุมทึ้งที่ไหน”

   “น้อยไปสิพี่แหม่ม วันนี้พี่ก็เห็น ใครมาสั่งเครื่องดื่มหรือขนมตรงเคาน์เตอร์นี่ ต้องมีได้แตะนิด แตะหน่อย หยกไม่ช้ำก็ดีเท่าไรแล้ว” ก๊องพูดเหมือนฟ้อง พนักงานเสิร์ฟด้านนอกพอรู้กันบ้าง แต่คนในครัวนี่สิ

   “เฮ้ย จริงดิ” เอ็มหงุดหงิดขึ้นมาเป็นคนแรกเลยครับ คนอื่น ๆ ในครัวก็ดูท่าจะหงุดหงิดไม่น้อย ก็มีบ้างครับที่โดนลูกค้าจับไม้จับมือตอนส่งเครื่องดื่มหรือกล่องขนม ใช่ว่าจะเป็นเรื่องคอขากบาดตายสักหน่อย

   “แหม๋ๆๆ หวงกันเข้าไป อีกหน่อยน้องหยกของพวกเรามีแฟนเป็นตัวเป็นตน ยังจะมาหวงกันแบบนี้อีกไหม” พี่แก้วแซว

   “มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าหยกจะมีแฟนหรือยังไม่มี ถึงยังไงหยกก็เป็นนางฟ้าของพวกเราอยู่ดี” ก๊องพูดทุกคนพรางพยักหน้ารับตาม ๆ กัน ผมก็ดีใจอยู่หรอกครับที่เพื่อนร่วมงานรักผมน่ะ แต่ไอ้ตำแหน่งนางฟ้าเนี๊ยะ ไม่เอาได้ไหมครับ

   “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวหยกกลับรถพี่ พี่ไปส่งหยกขึ้นสถานีรถไฟฟ้า สถานีถัดไปก็แล้วกันนะ”

   “พี่แหม่ม ผมติดรถไปด้วยดิ”

   “แกเดินกลับไม่ใกล้กว่าหรอเอ็ม บ้านก็อยู่แค่นี้ จะนั่งรถย้อนไปย้อนมาทำไม”

   “ผมจะไปส่งหยกขึ้นรถไฟฟ้า”

   “เฮ้ย!! งั้นกูไปด้วยดิ พี่แหม่มก๊องไปด้วยครับ”

   “เออ เอากันเข้าไป ตามใจ ๆ ป่ะหยก เรากลับกัน” พี่แหม่มรุนหลังผมให้เดินกลับไปทางหลังร้าน ลานจอดรถของร้านเราต้องเข้าจากซอยข้าง ๆ ครับ

   “เฮ้ย พวกมึงอ่ะ รอให้เห็นรถพี่แหม่มออกไปก่อนนะ แล้วพวกมึงค่อยกลับ” คนที่เหลือพยักหน้ารับกันเป็นแถว ผมเห็นพี่กันต์พี่แก้วแกยิ้มขำกับท่าที่ของพวกเพื่อน ๆ ผม ก่อนที่แกจะแยกตัวขึ้นไปพักผ่อนข้างบน ผมขึ้นรถได้ก็พิมพ์ข้อความบอกพี่เสือ

   Payak : ครับ   

   Payak : ระวังตัวด้วยนะครับ

   Payak : พี่เป็นห่วง

.........................................................................

   เมฆขับรถมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านที่หยกทำงานอยู่ กว่าเขาจะแกะรอยตามหาร้านจากหน้าไอจีได้ก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมง เมื่อมาถึงร้านก็ปิดไปเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นหน้าร้านมีคนมายืนออกันอยู่เต็มไปหมด ถ้าเขาเดาไม่ผิด น่าจะเป็นแฟน ๆ ที่ติดตามไอจีนางฟ้าบาริสต้าแน่นอน งานที่ว่าง่าย ท่าทางจะไม่ง่ายอีกต่อไป

   “อัลโหล คุณเกรียง ผมเมฆนะ”

   “ไง จะให้อั๊วไปรอรับคนที่ไหน”

   “มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ”

   “เฮ้ย คิดจะเบี้ยวอั๊วหรอว่ะ?”

   “คุณเกรียงไม่รู้อะไร น้องหยกของคุณน่ะดังจะตาย มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง น้องโบตั่นทำงานมาก่อนตั้งนาน ยังไม่ดังขนาดนี้เลย ผมนี่ยังหาทางเข้าไม่ถึงตัวน้องหยกเขาเลยนะ”

   “อะไรกันว่ะ?”

   “เอาเป็นว่าผมจะหาทางให้แล้วกัน แต่จะไม่ใช่ราคาที่ตกลงกันแล้วนะ”

   “แล้วอั๊วจะเชื่อได้แค่ไหน?”

   “เอาไว้ผมได้ตัวน้องหยกมาเมื่อไรค่อยตกลงราคากันทีหลังก็ได้ ผมแฟร์พอ”

   ก๊อก ๆๆ เสียงเคาะกระจกตรงประตูข้างคนขับดังขึ้น เขาจึงลดกระจกลงก่อนกดวางสาย

     “สวัสดีครับ” ตำรวจจราจรตะเบ๊ะให้เขา “ตรงนี้มันเป็นที่ห้ามจอดนะครับ”

   “ครับ ๆ ผมทราบ พอดีรับโทรศัพท์ครู่นึงน่ะครับ สอดคล้องกับโครงการ โทร.ไม่ถือ เลี่ยงไม่ได้ ให้ใช้อุปกรณ์เสริม ยังไงล่ะครับ พอดีผมไม่มีอุกรณ์เสริม จอดคุยจะได้ปลอดภัยครับ นี่ก็เสร็จแล้วครับ จะไปพอดี”

   “ยังไงครั้งหน้าก็เก็บอุปกรณ์เสริมติดรถไว้ก็ดีนะครับ หรือควรจะจอดในที่ที่สามารถจอดได้ครับ”

   “ครับคุณตำรวจ ขอบคุณครับ”

.........................................................................

    โบตั๋นออกจากบ้านพร้อมหยกเช่นเคย ถึงหงส์จะบอกกับเธอว่ามีคนคอยดูแลพวกเธออยู่ก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงเป็นเช่นนี้ จะว่าเป็นลางสังหรณ์ก็อาจจะเป็นไปได้

   เมื่อคืนเธอรู้ว่าไอ้แมวหง่าวนั้นตามมาส่งหยกจนถึงบ้าน เธอจำรถคันใหญ่สีดำนั่นได้ ถึงแม้มันจะแค่ขับผ่านหน้าบ้านของเธอไปก็ตาม นายนั่นน่ามันจะจริงใจกับพี่ชายเธอจริง ๆ หรอ ผู้ชายด้วยกันเนี๊ยะนะ ยังไงความไม่ไว้ใจอีตาแมวนั่นมันก็ยังคงมีอยู่

   แค่ไม่กี่วันหยกก็ดังมาก แค่ถ่ายแฟชั่นงานเดียวก็ดังเปรี้ยงปร้าง ไม่ใช่ว่าจะมีแค่งานของพี่เปิ้ลงานเดียวที่ติดต่อเข้ามาช่วงนี้ พี่ภาบอกเธอว่า มีเอเจนซี่อื่น ๆ ติดต่อพี่ภามาเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นหยก หรือไม่ก็ขอให้เธอติดต่อหยกให้ น่าปวดหัวจริง ไม่รู้ป่านนี้ผู้หญิงที่ตามหยกเมื่อคราวก่อนจะเห็นหยกตามแบนเนอร์นั่นรึยัง

   “ตั๋นมีเรื่องอะไรในใจก็พูดมาเถอะ” หงส์เป็นคนเปิดประเด็นก่อน เธอรู้ว่าทั้งเจ่เจ้และหยกรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังกังวลอะไรในตอนนี้

   “เจ่เจ้รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก ตัดสินมาเลยไม่ได้หรอ?”

   “หยกล่ะ เราว่ายังไง”

   “โอ๊ย...ไม่ต้องถามหยกหรอก ใจอ่อนอย่างหยกเจอพี่ภาพูดเข้าหน่อยก็ตามใจเขาซะหมด”

   “ตั๋นไม่อยากให้หยกไปถ่ายแบบเสื้อผ้านั่นไม่ใช่หรอ ก็ตามใจตั๋นสิ”

   “จริงหรอค่ะ เจ่เจ้โอเคใช่ไหมค่ะ ถ้าตั๋นไม่ให้หยกรับงานนี้”

   “อืม...แต่น่าเสียดายนะ เห็นยัยภาบอกว่าเขาจะไปถ่ายกันที่พังงา”

   “ไม่เห็นน่าเสียดายตรงไหนเลย”

   “หยกว่าไหม ว่าเราสามพี่น้องไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันตั้งนานแล้วเน๊อะ เจ่เจ้ว่าไปเที่ยวพังงากันก็ดี เจ่เจ้จะได้พักฟื้น สูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย”

   “เจ่เจ้รู้หรอครับ ว่าเขาเดินทางกันช่วงไหน?”

   “จ๊ะ ยัยภาบอกเจ่เจ้แล้ว นี่เดี๋ยวถ้าเจ็กลู่มา ก็ว่าจะชวนไปด้วยกัน”

   “โหยยย...เจ่เจ้อ่ะ ถ้าจะพูดถึงขนาดนี้ก็บอกให้หยกรับงานไปเลยเห๊อะ ทำมาเป็นพูดอ้อมอยู่ได้”

   “เจ่เจ้รู้ว่าตั๋นกังวลอะไร แต่ตั๋นก็ต้องไว้ใจหยกนะ หยกเขาดูแลตัวเองได้ เหมือนที่เจ่เจ้ไว้ใจตั๋น ว่าตั๋นก็สามารถดูแลตัวเองได้”

   “ตั๋นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมตั๋นถึงได้กระวนกระวายเรื่องหยกขนาดนี้”

   “ทำใจให้สบายเถอะ เฮียไม่เป็นอะไรจริง ๆ”

   “ถ้าไม่มีนายแมวหง่าวนั่นอยู่ใกล้ ๆ ตั๋นจะสบายใจกว่านี้”

   “เมื่อไรตั๋นจะญาติดีกับคุณเสือเขาสักที เราก็คนกันเองทั้งนั้น”

   “ไว้นายนั่นพิสูจน์ตัวเองให้ตั๋นเห็นก่อนเถอะ”

   “แล้วต้องให้เขาพิสูจน์แบบไหนล่ะ เราถึงจะพอใจ”

   “ไม่รู้ล่ะ เท่าที่ทำอยู่ตอนนี้ ยังไม่พอสำหรับตั่นก็แล้วกัน” เธอมองหน้าหยกที่เอาแต่ปิดปากเงียบเมื่อพูดถึงตาแมวนั่น เดิมทีหยกก็เงียบอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเงียบหนักเขาไปอีก

   “เอา ๆ ตามใจเรา”

.........................................................................

   ผมลงมาจากห้องของเจ่เจ้ เตรียมจะไปสอนที่โรงเรียน ตามปกติครับ เดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ยังมีพี่ ๆ เจ้าหน้าที่คอยส่งยิ้มให้ผมเป็นระยะ ๆ กำลังจะก้าวออกจากประตูโรงพยาบาล พี่พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาผม

   “น้องหยกค่ะ” ผมหันมองตามเสียงเรียก เขารู้จักชื่อของผมได้ยังไง?

   “ครับ”

   “อุ๊ย...มองใกล้ ๆ อย่างนี้ น้องหยกหน้าใส๊ใส”

   “เออ...”

   “อ่อ... นี่ค่ะ” พี่เขายื่นถุงใส่แซนวิชของร้านกาแฟในโรงพยาบาลให้ผม “ไม่ใช่ของพี่หรอกค่ะ เจ้าของเค้าโน๊ตไว้ในถุงแล้ว ทานให้อร่อยนะคะ”

   “อ่อ...ขอบคุณครับ”

   “ว่าแต่พี่ขอถ่ายรูปกับน้องหยกหน่อยได้ไหมค่ะ?”

   “เออ...ก็ได้ครับ”

   “ว๊าย...ขอบคุณค่ะ มาค่ะ 1 2 3” พี่เขาดูรูปที่ถ่ายกับโทรศัพท์เรียบร้อย ก็เอ่ยขอบคุณก่อนเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ รวมกลุ่มกับคนอื่น ส่วนผมก็รีบเดินออกมาเลยครับ ก่อนจะมาใครมาขอถ่ายรูปอีก

   ระหว่างจะเดินไปขึ้นรถ ผมลวงลงไปหยิบกระดาษโน๊ตในถุงขึ้นมาอ่าน อยากรู้ว่าใครฝากขนมมาให้

               พี่ไม่แน่ใจว่าน้องหยกทานอะไรตอนเช้าแล้วรึยัง

            พี่เห็นแซนวิชที่ร้านเขาน่าทานเลยซื้อมาฝาก ทานให้อร่อยนะครับ

            พี่ล่วงหน้าไปรอแถว ๆ โรงเรียนก่อนนะ

                           คิดถึง....พี่เสือ


   ผมอ่านข้อความจบ ในอกผม มันเหมือนมีลูกโป่งที่พองลมจนแทบจะแตกออกมาเสียให้ได้ มันไม่ได้รู้สึกอัดอัดแต่มันกลับรู้สึกดีจนผมอธิบายไม่ถูก อาการแบบนี้เขาเรียกว่า ปลื้มใจ รึป่าวครับ?

.........................................................................

   พยัคฆ์นั่งอยู่ส่วนพักคอยของทางสถาบันจัดไว้ให้ผู้ปกครองนักเรียนนั่งรอ สถาบันนี้นอกจะเปิดรับสอนเทควันโด และฮับกีโด ของเกาหลีแล้ว ยังมีคอร์สอื่น ๆ อีก เช่น ไอกิโด้ คาราเต้ ยูโด ของญี่ปุ่น น้องหยกสอนเทคควันโดอยู่ในยิมด้านใน ครั้งก่อนที่เจอกัน ก็เหมือนจะได้ยินว่าไปเป็นเทรนเนอร์มวย น้องหยกของเขามีความสามารถด้านศิลปะการป้องกันตัวแค่ไหนกันนะ?

   วันนี้เขาลองส่งข้อความไปถาม หลังจากก้าวเข้าประตูมาแล้ว ว่าระยะที่เขายืนอยู่นี่ น้องหยกอึดอัดไหม แล้วข้อความที่ได้รับตอบกลับมานั้นก็ทำให้เขาอมยิ้มอารมณ์ดีจนถึงตอนนี้

   เขาเข้าใกล้น้องหยกมาได้อีกนิดแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อวานที่เขาต้องทนร้อน นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในรถของตัวเองที่ลานจอดหน้าสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าการมาเฝ้าที่สถาบันนี้ เขาแทบจะไม่ได้เห็นหน้าน้องหยกเลยก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับที่ร้านอาหารนั่นแล้ว ที่นี่ก็ถือว่าเขาได้ใกล้ชิดกับน้องหยกมากกว่า

   “ดูรูปนี้สิค่ะแม่น้องพราว”

   “อุ๊ย นี่ครูหยกนี่ค่ะ?”

   “ใช่ค่ะ เมื่อวานน้องฮีโร่เอามาอวดให้พี่ดู เขาว่าครูของเขาน่ะดังใหญ่แล้ว”

   “รูปนี้ครูหยกดูสวยเหมือนผู้หญิงเลยนะคะ”

   “นั่นสิค่ะ”

   “อ๊ะใต้รูปแฮชแท็กด้วยค่ะ พี่เพิ่งเห็น ดูสิค่ะ”

   “นางฟ้าบาริสต้า?”

   เสียงผู้ปกครองนักเรียนที่คุยกันเรียกความสนใจของพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดี ที่สะดุดหูน่าจะเป็น นางฟ้าบาริสต้า ชื่อนี้คุ้น ๆ เหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

   “อ๊ะ เด็ก ๆ เลิกคลาสกันแล้ว น้องพราวทางนี้ลูก”

   “สวัสดีค่ะ คุณแม่ฮีโร่”

   “สวัสดีค่ะน้องพราว แล้วน้องฮีโร่ละค่ะ?”

   “ฮีโร่อยู่กับครูหยกค่ะ ตอนเรียนฮีโร่ข้อเท้าพลิก”

   “ตายแล้ว!!” คุณแม่ทำท่าจะเดินไปทางโรงยิม ก็เห็นหนุ่มหน้าตี๋อุ้มเด็กผู้ชายออกมา “อ่าวครูศักดิ์ แล้วครูหยกล่ะค่ะ”

   “ครูหยก โดนครูศักดิ์ทำโทษ กักบริเวณให้อยู่แต่ในโรงยิม เพราะไม่ระวัง ทำฮีโร่เจ็บ” เด็กน้อยบอกพร้อมย้ายวงแขนจากคุณครูหน้าตี๋ไปโอบรอบคอคุณแม่แทน

   “ครูหยกโดนกักบริเวณจริง ๆ หรอค่ะ?” คุณแม่กระซิบถามครูศักดิ์

   “ไม่ใช่หรอกครับ น้องฮีโร่ร้องไห้ตอนข้อเท้าพลิก ปลอบยังไงก็ไม่ยอมหยุด ผมขู่ว่าจะทำโทษครูของแก เลยหยุดร้องน่ะครับ”

   “ครูหยกเลยต้องอยู่แต่ในโรงยิมจริง ๆ”

   “ครูหยกเขาเต็มใจนะครับ”

   พยัคฆ์ฟังผู้ปกครองกับครูเขาคุยกันแล้ว ถ้าทางน้องหยกคงเป็นที่รักของเด็ก ๆ ทำให้เขานึกถึงข้อมูลที่อ่านเจอเมื่อวันสองสามวันก่อน จะว่าเป็นข้อมูลก็ไม่เชิง เขาแค่ค้นข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพัน์ระหว่างความรักของคนเพศเดียวกัน แล้วไปเจอนิยายแนวชายรักชายที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถท้องได้ แต่มันก็เป็นเพียงนิยาย...ถ้าน้องหยกมีลูกกับเขาได้จริงล่ะ ลูกของเขาคงหน้าตาน่ารักเหมือนน้องหยกแน่ ๆ  คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง

   ติ้งง ง ง ง

   Yok : พี่เสือหยุดคิดเลยนะ

   เขาอ่านข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เค้ารู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ น้องหนกคงรับรู้แล้ว

   Payak : หยุดคิดอะไรครับ

   Payak : ให้พี่หยุดคิดถึงน้องหยกนะหรอ?

   Yok : พี่เสือลามก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

   เขาหัวเราะขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นข้อความสุดท้ายที่กดไม้ยมกค้างยาวมาหลายบรรทัด   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-10-2017 19:35:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-10-2017 19:59:16
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-10-2017 20:12:50
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-10-2017 20:23:17
 :mew1: เข้าใกล้หยกอีกนิดแล้ว
หัวข้อ: Re: หยก 17-10-17 {{:::20:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 18-10-2017 22:38:40
สนุกมากกกกกก
หัวข้อ: Re: หยก 21-10-17 {{:::21:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 21-10-2017 10:24:34
21

    ผมกำลังเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เข้าที่ เพราะเพิ่งพันข้อเท้าให้น้องฮีโร่เสร็จเรียบร้อย ความรู้สึกของพี่เสืออยู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่คอยเป็นห่วงเป็นใยจนบ่อยครั้งมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ เวลานี้มันกลับกลายเป็นความรู้สึกอยากจะกลืนกิน แล้วคำพูดของพี่เสือก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม พี่กินเราแบบนี้ กลัวพี่ไหมครับ พร้อมกับภาพต่างๆ ฉายขึ้นมาในสมองราวกับว่าผมกำลังดูภาพยนต์อยู่ ความรู้สึกนี้ทำให้ขนอ่อนตามร่างกายของผมลุกตั้งอย่างห้ามไม่อยู่

   ผมรีบเดินไปยังกระเป๋าสัมภาระของตัวเองค้นเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ส่งข้อความไปหาพี่เสือด้วยมือที่ค่อนข้างสั่น

   Yok : พี่เสือหยุดคิดเลยนะ

   Payak : หยุดคิดอะไรครับ

   Payak : ให้พี่หยุดคิดถึงน้องหยกนะหรอ?

   พี่เสือทำเป็นเฉไฉ ผมรู้ว่าเขารู้ ว่าผมกำลังบอกให้เขาหยุดคิดเรื่องอะไร ไอ้บ้าแมวหง่าวบ้า เขาจะรู้ไหมว่าถึงแม้ความรู้สึกของเขาเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ผมนี่สิ มโนสำนึกยังคงฉายภาพเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา จนผมรู้สึกถึงความร้อนที่เห่อขึ้นมาบนใบหน้า

   Yok : พี่เสือลามก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

   “หยกเป็นอะไรไป ไม่สบายรึป่าว ทำไมหน้าแดงขนาดนี้” พี่ศักดิ์เดินเข้ามาในยิมตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่ทันรู้ตัว ในมือก็รีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

   “มะ...มะ...ไม่เป็นไรครับ”

   “หรือว่าในนี้มันร้อนเกินไป ไม่ต้องอยู่ในยิมก็ได้ พี่แค่ขู่ฮีโร่เท่านั้นเอง”

   “ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับพี่ศักดิ์”

   “แต่หน้าเราแดงมากเลยนะ ทุกทีออกกำลังก็แค่หน้าขึ้นสีนิดหน่อย”

   “เดี๋ยวผมไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย น่าจะดีขึ้นครับ”

   “ตามใจ ระวังเป็นลมเป็นแล้งไปล่ะ”

   “ครับ” เพราะไอ้แมวบ้านั่นคนเดียว ทำผมให้ต้องขายหน้าต่อหน้าพี่ศักดิ์เอาได้

.........................................................................

   วรากรเดินลงมาจากชั้นบนอย่างอารมณ์ดีเหมือนทุกวัน ขณะเดินผ่านห้องนั่งเล่นเพื่อเลยไปยังห้องครัว เขาเห็นหลานชายตัวดีนั่งหันหลังให้ อยู่บนโซฟาเดี่ยว

   “ไปไง มาไง เมื่อคืนแกกลับมานอนบ้านได้ล่ะ?” เขาถาม หลายชายเขาหันมา

   “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ ว่าแต่อากรดูอารมณ์ดีผิดปกตินะครับ”

   “ฉันก็เป็นแบบนี้ของฉันทุกวันนั่นแหละ”

   “จริงอ่ะ” เขามองหน้าอาของตัวเองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ จนป้าแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น

   “คุณกรจะรับกาแฟในห้องนี้ไหมค่ะ ป้าจะได้ไปยกมาให้”

   “เอามาห้องนี้เลยก็ได้ครับ”

   “แล้วคุณหลิวล่ะค่ะ จะรับพร้อมกันเลยไหมค่ะ” สิ้นคำถามขอแม่บ้าน พยัคฆ์ก็เลิกคิ้วยียวนส่งให้ผู้เป็นอา เขารู้ถึงสาเหตุที่ทำให้อาของเขาอารมณ์ดีในช่วงนี้แล้ว

   “ยังครับ ไว้รอถามเจ้าตัวเขาก่อนดีกว่า” อากรตอบก่อนเหลือบตามองเขาเล็กน้อย

   “ป้าให้ไอ้กล้า มันเข้ามาหาผมหน่อยสิครับ” พยัคฆ์รั้งป้าไว้เล็กน้อย

   “คุณเสือมีอะไรจะใช้มันหรอค่ะ”

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าจะถามมันถึงเรื่องร้านขนมที่มันไปติดเจ้าของร้านน่ะ”

   “โอ้ย...นางฟ้าหน้าหยกเข้าไม่ใช้เจ้าของร้านหรอกค่ะ แต่เดี๋ยวป้าไปตามมาให้นะคะ”

   “อะไรของแกว่ะไอ้เสือ”

   “ผมสังหรณ์ใจอะไรนิดหน่อยนะครับ”

   “สังหรณ์เรื่องอะไรของแก”

   “...”

   ต้นกล้าเดินมาพร้อมกับถาดใส่แก้วกาแฟพร้อมขนมปังปิ้ง อาหารเช้าง่าย ๆ เมนูประจำของอากร เด็กหนุ่มค่อย ๆ ว่างถ้วยจานต่าง ๆ ลงบนโต๊ะกลาง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยถามพยัคฆ์

   “แม่บอกว่าคุณเสือต้องการพบผม”

   “อืม ฉันว่าจะถามเรื่องร้านขนมเมื่อคราวก่อนที่นายไปซื้อมาน่ะ มันอยู่ที่ไหน?”

   “อ่อ อยู่ตรงปากซอยทางเข้าบ้านเรานี่แหละครับ คุณเสือถามทำไมครับ หรืออยากทานขนมร้านนี้ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้ก็ได้นะครับ” ต้นกล้ารีบอาสา   

   “ป่าว ๆ แค่สงสัย แล้วทำไมนายต้องกระตือรือร้นขนาดนั้นว่ะ”

   “โหย...ไม่ได้หรอกคุณเสือ ช่วงนี้ร้านกำลังดัง บางวันขนมหมดตั้งแต่เปิดร้านได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยนะ”

   “อะไรจะขนาดนั้นห๊ะ เจ้ากล้า” อากรเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ส่วนต้นกล้าจากที่นั่งคุกเข่าอยู่ตอนนี้มันเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเรียบร้อยแล้ว

   “คุณกรไม่รู้อะไร ก็ตั้งแต่นางฟ้าของผมเขาไปถ่ายโฆษณานะ มีแต่คนแกะรอยตามเขามาถึงที่ร้านเลย ผมยังเสียดายไม่หาย ไม่น่าไปบ้าจี้ ตั้งไอจีให้นางฟ้าของผมตามแรงยุจากไอ้เพื่อน ๆ ที่มหา’ลัยเล๊ย...จากเมื่อก่อนยอดฟอลโล่แค่หลักพัน ตอนนี้ขึ้นเป็นแสน”

   “เฮ้อ...นายนี่เอง แล้วถ้าฉันเดาไม่ผิด ไอ้ชื่อนางฟ้าบาริสต้า ก็มาจากนายด้วยใช่ไหม?”

   “เฮ้ย...ไม่ใช่ พี่ ๆ พนักงานในร้านนั่นเขาเป็นคนตั้งให้ตะหากล่ะ ผมได้ยินเข้า เห็นว่าชื่อนี้เหมาะกับนางฟ้าของผมดี เลยเอามาใช้”

   “เอ่อ ๆ นายไปได้แล้ว” พอร่างเด็กหนุ่มลับหายไป วรากรก็เอ่ยถามอย่างพอจะเดาได้

   “นางฟ้า เพิ่งถ่ายโฆษณา ทำงานร้านอาหาร ถ้าอาเดาไม่ผิด คงเป็นหยกล่ะสิ”

   “ก็ใครซะอีกล่ะครับ ผมก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว ตั้งแต่ผมตามน้องหยกไปที่ร้านมา 2-3 วัน มีคนเข้าร้านเยอะมาก ออหน้าร้านก็มี จนบางครั้งผมมองไม่เห็นข้างในร้านเลยด้วยซ้ำ”

   “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า หยกเขามีเมฆาขาวห้อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา”

   “...”

   “ฮ่าๆๆ แกอย่าบอกนะ ว่าแกอิจฉา?”

   “...”   

.........................................................................

   หลิวลู่กำลังเดินลงมาจากชั้นบน ก็ได้ยินเสียงวรากรหัวเราะเสียงดังลั่นมาจากชั้นล่าง ทำให้เขาสงสัยว่าใครมาหาตั้งแต่เช้า เมื่อเดินลงมาแล้วเขาเลี่ยงเดินไปที่ห้องครัวอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้คนในห้องถัดไปเห็นเขา

   “อ่าวคุณหลิว ทำไมเดินเข้ามาถึงในนี้ได้ล่ะคะ ไปรอป้าที่ห้องนั่งเล่นกับคุณกรก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวป้ายกกาแฟไปให้”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นว่าคุณกรมีแขก”

   “แขกที่ไหนกันค่ะ คุณเสือตะหาก เมื่อคืนคงกลับเข้ามาดึก คุณหลิวเลยไม่ได้ยินเสียงรถของแก”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมไปรอที่ห้องนั่งเล่นก็แล้วกันครับ”

   ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาคงได้ยินเสียงอยู่หรอกเพราะคนที่ทำงานแบบเขานั้นต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เป็นเพราะเฮียกรคอยก่อกวนเขาตลอดคืน พอได้หลับก็หลับลึกจนไม่รู้เรื่องรู้ราว ว่าพยัคฆ์กลับเข้ามานอนที่บ้านเมื่อคืนนี้ เขาเดินเข้าไปสมทบอาหลานภายในห้องนั่งเล่น เฮียกรส่งยิ้มให้จนเขารู้สึกหมั่นไส้ยังไงชอบกล

   “ผมเพิ่งทราบว่าอามาพักที่บ้าน ตั้งแต่เมื่อไรครับ” เหมือนพยัคฆ์จะถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่ใบหน้าติดจะล้อเลียนเขาอยู่เล็กน้อย

   “หึ!! อาหลิวเขามาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว แกนั่นแหละที่ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง”

   “เดี๋ยวอาชาติออกไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับผมเลยไหมครับ” พยัคฆ์ไม่สนใจคำแหน็บแนบของผู้เป็นอา

   “ไม่เป็นไร วันนี้หงส์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เห็นว่าเพื่อนเขาอาสาไปรับน่ะ อาว่าจะไปรอหงส์ที่บ้านเลย”

   “อืม แล้วเรื่องที่หงส์อนุญาตให้หยกกับโบตั๋นรับงานถ่ายแบบอีกตัว แกรู้เรื่องนี้แล้วรึยัง?” วรากรเอนหลังพิงผนัก ก่อนเอามือพาดไว้ ทำเหมือนกำลังจะโอบไหล่ของเขาที่นั่งข้าง ๆ กันอยู่

   “งานอะไรครับ” พยัคฆ์ถามยิ้ม ๆ ในท่าทีหวงคนรักของวรากร

   “อากับหงส์คิดว่า การที่ให้ทั้งสองคนรับงานถ่ายแบบอีกงาน เพื่อให้คนรู้จักมากกว่านี้ พวกเจ้าสัวจะได้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม” เขาตอบอย่างไม่สนใจมือไม้ของเฮียกร แต่เขากลับสังเกตเห็นหน้าพยัคฆ์ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ

   “ไอ้เสือมันอิจฉาเหล่าแฟนคลับที่ตามติดหยกน่ะ ตัวเองเข้าใกล้เขายังไม่ได้” ว่าจบวรากรก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

   “พวกอาทนกันได้ยังไง ห่างกันไปเป็นสิบ ยี่สิบปี”

   “เอาน่า อย่างเพิ่งโอดครวญไป ดีซะอีกแกจะได้พิสูจน์ให้ทั้งหยก อาหลิว ที่สำคัญก็โบตั๋น เห็นความจริงใจของแก”

   “ครับ ๆๆ แล้วเรื่องถ่ายแบบนั่น มันยังไงกันครับ?”

   “อาก็ยังไม่รู้รายละเอียดนะ คงต้องให้อาหลิวเล่าแหละ”

   “ก็ไม่มีอะไรมาก หงส์เขาก็แค่จะไปพักผ่อนด้วย เท่าที่อารู้นอกจากทีมงานแล้ว ก็จะมีหงส์แล้วก็เพื่อนของเขาตามไปด้วย แต่พักกันคนละส่วนนะ อาเองก็จะตามไปเหมือนกัน”

   “เฮียคงไปไม่ได้นะ เดี๋ยวคุณลตาจะสงสัย” วรากรบอกเขาก่อนหันไปสั่งหลานชาย “ไอ้เสือแกก็ไปกับอาหลิว แล้วเอาคนของเราไปด้วยสัก 3-4 คน”

   “ครับ แล้วเขาไปกันวันไหนครับ ผมจะได้จัดคน”

   “สิ้นเดือนนี้”

   “อาชาติ เพื่อนหงส์ที่ไปด้วยนี่คงไม่ใช่...”

   “บังเอิญว่าใช่นะ คุณเพ็ญนภา”

   “นี่ผมต้องระวังไม่ให้คุณเพ็ญนภาเจอรึป่าวครับเนี๊ยะ”

   “เอาไว้ดูสถานะการก่อนแล้วกัน เท่าที่อารู้ คุณสุพรรษาภรรยาของเจ้าสัวเขาก็เป็นลูกค้ารายสำคัญของคุณเพ็ญ”

   เพราะหมั่นไส้สองอาหลานทำให้หลิวลู่เลือกที่จะปิดปากเงียบเกี่ยวกับความจริงเรื่องเพ็ญนภา ไม่ได้ปิดบัง แต่...ก็แค่ยังไม่ได้บอกเฮียกรตอนนี้เท่านั้นเอง

.........................................................................

   กลายเป็นว่าทุกวันนี้นอกจากผมจะมีพี่เสือคอยประกบตามอยู่ห่าง ๆ แล้ว เวลาเลิกงานที่ร้านพี่กันต์ก็จะมีเอ็มกับก๊องตามมาส่งจนผมขึ้นรถไฟฟ้าสถานีถัดไป โดยพวกเราทั้งหมดติดรถพี่แหม่มกันมา และถ้าวันไหนที่เป็นวันหยุดของเอ็มหรือก๊อง ก็จะมีเพื่อนคนอื่น ๆ ในร้านสลับตามมาส่งแทน

   ส่วนวันไหนที่พี่แหม่มหยุดหรือเลิกก่อนผม พี่แก้วก็จะให้พี่กันต์เป็นคนมาส่งผมด้วยตัวเองจนบางครั้งผมก็เกรงใจ ให้พี่กันต์ไปส่งน่ะดีแล้ว ก็ถือซะว่าเป็นบริการเล็กๆ น้อย ๆ จากทางร้านแล้วกันนะ พี่แก้วชอบแซว เพราะช่วงสองสามสัปดาห์นี้ยอดขายที่ร้านพุ่งขึ้นมาเกือบ 3 เท่าเลยครับ พี่แก้วว่าเพราะมีพีอาร์ดีอย่างผม

   “หยก พี่คนนั้นเขามาจอดรถหลังร้านอีกแล้วล่ะ ทำไมมาที่ร้านเราแล้วไม่เคยเข้าร้านล่ะ?” เอ็มถามผมหลังจากที่เดินออกไปทิ้งขยะที่หลังด้านกลังร้าน

   “เราไม่ให้พี่เขาเข้ามาเองล่ะ” ก็ตอนนี้พี่เสือเข้าใกล้ผมได้ที่สุดเท่านี้นี่ครับ ถ้ามาใกล้กว่านี้ผมคงทำคอฟฟี่อาร์ตไม่ได้แน่ ๆ ครับ

   “ทำไมล่ะ ทะเลาะกันหรอ?”

   “ป่าว แค่เห็นว่าช่วงนี้ร้านคนเยอะอ่ะ”

   “แล้วเขาเป็นอะไรกับหยกหรอ เห็นเขามาเฝ้าหยกหลายวันแล้ว”

   “เออ..เขาเป็นเพื่อนเจ้หงส์อ่ะ แล้วช่วงนี้โบตั๋นชอบพูดให้เจ้หงส์ไม่สบายใจว่ามีสตอล์กเกอร์ตามหยก พี่เขาเลยมาคอยดูแลน่ะ”

   “เฮ้ย!! จริงดิ แต่ที่เจ้หงส์ให้เพื่อนมาคอยตามดูแบบนี้ เราก็ว่าดีเหมือนกัน เราจะได้หายห่วง หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้นะ พี่เขาก็น่าจะไปส่งหยกสิ แต่นี่เห็นกลับไปก่อนทุกที” ใช่ครับ พี่เสือเหมือนจะรู้เวลา เขาจะถอยห่างผมออกไปก่อนทุกครั้ง จนบางครั้งผมก็รู้สึกโหวง ๆ ในอกยังไงชอบกล

   “เอ็ม เราวานอะไรเอ็มหน่อยได้ไหม?”

   “อะไรล่ะ บอกมาเลย ถ้าอะไรที่ช่วยหยกได้เอ็มจัดการให้ทุกอย่าง”

.........................................................................

   พยัคฆ์เอนนอนอยูที่เบาะด้านหลัง เปิดกระจกหน้าต่างไว้ให้ลมพอเข้ามาได้ เขายอมทนร้อนแบบนี้มาหลายวันแล้ว เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับน้องหยกมาขึ้น เขาเปิดดูข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้ผ่านแทบเล็ตเรื่องของลตาและเกรียงไกร ซึ่งเป็นไปอย่างที่เขากับวรากรคิดจริง ๆ

   ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อากรกับลตาไปครั้งล่าสุดนั้น ลตาเลือกจองห้องเดิม หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาให้คนเข้าไปทำทีว่าอาของเขาลืมของ พอค้นไปค้นมาก็เจอข้อความที่ลตาแอบซ่อนเอาไว้ในปลอกเบาะรองนั่ง คนของเขาแค่ถ่ายรูปกลับมาให้เขา อากร และอาหลิวดูเท่านั้น ก่อนสอดข้อความเก็บไว้ตามเดิม ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น

   “เออ..พี่เสือใช่ไหมครับ” พยัคฆ์ขมวดคิ้ว เมื่อไอ้ฝรั่งที่คอยตามส่งหยกมายื่นด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างรถของเขา ทำให้เขาลุกขึ้นมานั่ง “หยกฝากนี่มาให้ครับ” มันยื่นกล่องคราฟมาให้เขา

   “หยกฝากมา?”

   “ครับ หยกออกมาเองไม่ได้ หน้าร้านคนเยอะ ทิ้งเคาน์เตอร์ออกมาคงไม่ดี เลยวานผมให้เอามาให้ครับ”

   “ขอบใจนะ”

   “ทานให้อร่อยนะครับ เฮ้อ...ผมล่ะอิจฉาพี่จริง ๆ ผมทำงานกับหยกมา 3 ปี หยกยังไม่เคยทำอะไรให้พวกผมกินกันสักครั้งเลย”

   “นี่...หยกทำเองหรอ?”

   “ครับ ถึงจะเป็นอาหารง่าย ๆ ก็เถอะ แต่อย่ามาดูถูกหยกของพวกเรานะครับ” ไอ้ฝรั่งพูดเสร็จมันก็เดินกลับเขาร้านไป พยัคฆ์มองกล่องคราฟในมือก่อนค่อย ๆ เปิดออก ข้างในเป็นแซนวิชคลับน่าตาหน้าทานพร้อมกาแฟร้อน แซนวิชยังคงอุ่น ๆ อยู่ แสดงว่าน้องหยกของเขาคงเพิ่งทำเสร็จสินะ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 21-10-17 {{:::21:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2017 15:10:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 21-10-17 {{:::21:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-10-2017 15:43:58
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 21-10-17 {{:::21:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-10-2017 20:15:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 21-10-17 {{:::21:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 21-10-2017 23:47:39
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 22-10-17 {{:::22:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-10-2017 11:24:12
22

    คืนนี้เจ็กลู่มาค้างที่บ้านเรา ซึ่งนานๆ จะมีสักครั้ง คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นโบตั๋น ที่ขอแลกห้องนอนกับผม เพื่อที่จะได้นอนกับเจ็กลู่

   “ไม่เอาน่า อาตั๋น ลื้อโตเป็นสาวแล้วจะมานอนกับอั๊วได้ยังไง”

   “ก็ตั๋นอยากนอนกับเจ็กนี่ น้า... ขอตั๋นนอนด้วคนนะ”

   “ไม่เอา ๆ”

   “เจ็กอ่า...น้า...”

   “งั้นคืนนี้อั๊วกลับ ไม่คงไม่ค้างมันแล้ว”

   “โหย...เจ็กอ่ะมาไม้นี้อีกแล้ว”

   “ตั๋นก็อย่าไปเซ้าซี้เจ็กสิ ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้” โดนเจ่เจ้เอ็ดเข้าอีก หน้าง้ำเลยครับ

   “ก็ได้ ๆ”

   “ตั๋น แล้วค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มล่ะ ทางเจ้เปิ้ลเขาบอกมารึยังว่าเท่าไร เฮียจะได้เตรียมจ่าย” ผมถามเพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกันแล้วครับ หลังจากจ่ายค่าผ่าตัดของเจ่เจ้ พวกเรายังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง

   “ต่อไปนี้เรื่องเงิน ลื้อไม่ต้องจัดการแล้ว มีค่าใช้จ่ายอะไรก็ให้บอกเหล่าฝู่”

   “ได้ยังไงล่ะครับ แล้วกงฝู่มาเกี่ยวอะไรด้วย” ผมถามอย่างตกใจ และไม่เข้าใจ

   “ที่จริงแล้วร้านยาที่เหล่าฝู่ดูแลอยู่ มันเป็นร้านของพวกเราน่ะ เหล่าฝู่เป็นคนดูแลให้” นี่เจ่เจ้ ๆ รู้เรื่องร้านยาด้วยหรอครับ แล้วโบตั๋นก็ถามแทนผม

   “ร้านนั้นเป็นของพวกเรา ได้ยังไงค่ะเจ่เจ้”

   “ก็มันเป็นเงินของอาหงส์ที่มีติดตัวมานั่นแหละ เจ็กไม่อยากให้ใครแกะรอยได้ เลยเอาออกมาเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”

   “โห...ตึกนั่นไม่ใช่ล้านสองล้าน เจ่เจ้แอบรวยนี่นา แหม๋...แล้วให้พวกเราทำงานหาเงินเรียนกันดอง เหนื่อยแทบตาย” โบตั๋นบ่น เพราะพวกเราต้องหางานพิเศษต่าง ๆ เพื่อส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ได้จากเงินที่เจ่เจ้ส่งขนมขายตามร้านต่าง ๆ

   “แล้วตายไหมจ๊ะ” เจ่เจ้แซวขำ ๆ กับท่าทางงอน ๆ ของโบตั๋น

   “ของลื้อก็มีอาตั๋น พวกลื้อมีสมบัติติดตัวมากันบ้าง ไว้อั๋วจะค่อย ๆ พาไปดู ให้อะไรๆ ลงตัวกว่านี้ก่อน”

   “คราวก่อนเจ็กเล่าว่า เจ็กพาพวกผมหนี เพราะมีคนจะมาบุกที่บ้าน เจ็กบอกได้ไหมครับว่าคนพวกนั้นเป็นใคร?” ผมเห็นเจ็กสบตาเจ่เจ้นิดนึงก่อนจะเล่า

   “ก็พวกที่แอบค้าอาวุธ บางส่วนก็เป็นคนของตระกูลฝู่เองที่ไปเข้ากับพวกนั้น เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ อีกส่วนก็เป็นพวกที่เข้ามาทำงานใหม่กับตระกูลฝู่ ซึ่งบางคนเตี่ยพวกลื้อก็เคยจับมันเข้าไปนอนในคุกอยู่หลายปี”

   “เขามาแก้แค้นป๊าของตั๋นหรอ?”

   “อั๊วสงสัยว่า คนกลุ่มนั้นมันจงใจให้ถูกจับได้ เพื่อจะได้เล่นงานเตี่ยลื้อกับตระกูลฝู่ แต่อั๊วยังไม่มีหลักฐาน”

   “แล้วทำไมเราต้องหลบพวกนั้นด้วยละคะเจ็กลู่ พวกนั้นก็ได้เยี้ยนวอไปแล้วนี่ ถึงจะไม่มีเมฆาขาวก็เถอะ ตั๋นว่าต่างคนต่างอยู่ก็จบ”

   “มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิอาตั๋น ตามกฎหมายกรรมสิทธิ์ของบ้าน และหุ้นของเยี้ยนวอจะตกเป็นของทายาทโดยชอบธรรม และยังมีคนของตระกูลฝู่อีกไม่น้อย ที่ยังรอทายาทอย่างพวกลื้ออยู่”

   “งั้นที่เจ่เจ้บอกว่าหลังจากหายดี เจ่เจ้จะจัดการให้เรียบร้อย ก็คือเรื่องนี้หรอครับ”

   “ก็ส่วนหนึ่ง เจ่เจ้ลื้อจัดการได้แค่เรื่องบ้าน แต่เรื่องหุ้นเยี้ยนวอ ลื้อต้องจัดการ”

   “ผม?”

   “ลูกคนโต แต่เพราะเป็นลูกสาว เลยได้แต่ดูแลเรื่องภายในบ้าน ส่วนลูกชาย ถึงจะเป็นคนรองยังไงก็ต้องสืบทอดกิจการของตระกูล”

   “อ่าว แล้วตั๋นล่ะ”

   “ตอนนั้นลื้อเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เหล่าฝู่ยังไมได้จัดการอะไรให้ลื้อ”

   “ว้า...” โบตั๋นทำหน้าทำตาเสียดายเต็มที่ ทำให้เจ่เจ้กับผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

   “เจ่เจ้ ยกหุ้นของเจ่เจ้ให้เอาไหม?”

   “จะเท่าไรกันเชียว อีกอย่าง ตั๋นไม่อยากได้สักหน่อย เห็น ๆ อยู่ว่าเหยียดเพศแม่กันแค่ไหน?”

   “ลื้อก็ จะพูดเล่นอะไรก็อย่าลามปามถึงบรรพบุรุษสิ บาปกรรม” โบตั๋นแลบลิ้นทะเล้นออกมา

   “ถ้าอย่างนั้น ที่พวกเขายังตามหาพวกเรา เพราะอยากได้หุ้นหรอครับ”

   “ใช่ และพวกเจ้าสัวเซียง ที่พวกมันอยากจะดองกับพวกลื้อเพราะถ้ามันแต่งเข้ามา ก็จะได้หุ้นจากเยี้ยนวอไปด้วย”

   “มันจะสักกี่ตังค์กันเชียว แย่งกันอยู่ได้”

   “เมื่อกี้ เฮียยังเห็นเราเสียดายอยู่เลย”

   “ก็พอพูดถึงพ่อลูกคู่นั้นแล้วมันหงุดหงิดนี่”

   “แล้วเจ่เจ้กับผมมีหุ้นอยู่เท่าไรหรอครับ ถ้าเขาอยากได้กันก็ยกให้พวกเขาไปก็ได้นะครับ ปัญหาจะได้จบ”

   “คงยกให้กันง่ายๆ ไม่ได้หรอกหยก ของเจ่เจ้แค่นิดหน่อย แต่ก็หยกน่ะไม่เหมือนกัน”

   “แล้วมันเท่าไรกันละค่ะ ตั๋นอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว”

   “ของอาหงส์มีอยู่ 6% ส่วนของหาหยกมีอยู่ 54%”

   “ก็เท่ากับว่าเจ่เจ้กับหยกเป็นเจ้าของบริษัทฯ”

   “ใช่ แล้วที่เจ่เจ้ลื้อบอกว่าให้กันไม่ได้เพราะมูลค่าหุ้นที่ลื้อถืออยู่มันมูลค่ามากกว่าพันล้านดอลล่าฮ่งกง”

   “ห๊ะ!!” ผมกับโบตั๋นอุทานออกมาพร้อมกัน ก็คิดดูสิครับ พันล้านก็น่าตกใจแล้ว แต่มันไม่ใช่บาทไทยนี่สิครับที่ทำให้ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ 

.........................................................................

   เกรียงไกรเดินตามหาเจ้าสัวเซียงทั่วบ้าน หายังไงก็ไม่เจอ เขาเพิ่งจะเห็นจดหมายจากทนายความ ที่เป็นตัวแทนของสุพรรษา ส่งมาเพื่อขอหย่า เตี่ยกับแม่เขาจะหย่ากัน มาหย่าอะไรกันตอนนี้ เขาเดินหามาจนถึงหน้าห้องทำงาน ก็เปิดประตูเข้าไป เห็นเจ้าสัวเซียงคุยอยู่กับลตา ทั้งคู่หยุดคุยแล้วหันมามองที่เขา

   “นี่เธอมาได้ยังไง ไหนเตี่ยบอกไม่ให้คุณเข้ามาที่นี่ไง”

   “ฉันจะมาไม่มามันก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน”

   “นี่!! เธอ”

   “พอ ๆ อาเกรียง ลื้อมีอะไร เข้ามาทำไมไม่รู้จักเคาะประตู”

   “เตี่ยเห็นจดหมายของทนายบ้านโน้นรึยัง”

   “เห็นแล้ว”

   “แล้วเตี่ยยังจะใจเย็นอยู่เนี่ยะนะ”

   “แล้วลื้อจะให้อั๊วทำยังไง หย่าๆ ไปก็ดี จะได้จบๆ”

   “แล้วอั๊วล่ะ?”

   “ต๊าย...โตแต่ตัวจริง ๆ แค่นี้ทำเป็นคิดไม่ได้” ลตาไม่วายเหน็บแนม

   “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

   “เฮ้อ...อาเกรียง งานที่ปางไม้ก็มีลื้อก็ไม่ไปทำ บ้านนี้ก็มีให้ลื้อซุกหัวนอน บ้านแม่ลื้อ ลื้อก็จะไปอยู่เมื่อไรก็ได้ ทางเลือกลื้อก็ยังมีเยอะแยะ ลื้อก็เลือกเอาสักทางสิ”

   “เจ้าสัว ฉันกลับเลยแล้วกันนะ” ลตาขัดขึ้น ไม่อยากอยู่เป็นกรรมการห้ามมวยระหว่างพ่อลูก

   “อืม ลื้อก็เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน” ลตาพยักหน้าให้เจ้าสัวก่อนเดินออกจากห้องทำงานไป

   “เตี่ยมีเรื่องสำคัญอะไร ถึงให้ยัยลตามาหาถึงที่นี่ แล้วไม่กลัวว่าพวกไอ้พยัคฆ์นั่นมันจะรู้เรื่องยัยนั่นแล้วหรือไง”

   “ช่างคนพวกนั้น อั๊วไม่ต้องการใช้พวกมันแล้ว ตอนนี้ทั้งคน ทั้งของที่อั๊วต้องการ อั๊วก็เจอหมดแล้ว”

   “เตี่ยเจออาหลิวอะไรนั่นแล้วหรอ?”

   “อาหลิวน่ะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ส่วนลื้อ ก็เตรียมตัวไว้”

   “แล้วเตี่ยไปเจอใคร แล้วอั๊วต้องทำอะไร”

   “อั๊วจะให้ลื้อแต่งงาน”

   “ห๊ะ!! แต่งกับใคร? แล้วทำไมอั๊วต้องแต่ง”

   “ถ้าลื้อได้แต่กับอี ลื้อจะสบายไปทั้งชาติ”

   “ใครกัน”

   “ฝู่หงส์”

.........................................................................

   ผมกำลังอยู่หน้าเกตเตรียมขึ้นเครื่องไปภูเก็ต นี่ถือว่าเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของผมกับโบตั๋นเลยครับ โบตั๋นเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เดินไปคุยกับพี่ภาที เจ่เจ้ที เจ็กลู่นั่งรออยู่ข้าง ๆ ผมได้แต่หัวเราะชอบใจ เที่ยวบินนี้มีแค่พวกเรา 5 คนเท่านั้นครับ ส่วนทีมงานคนอื่น ๆ เดินทางไปก่อนหน้านี้ประมาณ 2 ชั่วโมง พวกผมตามไปทีหลัง

   “หยก ลื้อไม่ตื่นเต้นอย่างอาตั๋นอีกรึไง”

   “ตื่นเต้นสิครับ เกิดมาเพิ่งจะเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก”

   “กลัวไหมล่ะ”

   “ไม่ครับ เออ...เจ็กครับ แล้วอากรไม่ไปเที่ยวกับเราด้วยหรอครับ”

   “อีต้องทำงาน ให้หยุดไปเที่ยวหลาย ๆ วันได้ยังไง” ใช่ครับ เราไปกันอาทิตย์นึงเลย ที่จริงทีมงานเขาใช้เวลาเตรียมงาน 1 วัน และถ่ายทำกันแค่ 2 วัน แล้ววันสุดท้านทางทีมงานมีปาร์ตี้เล็ก ก่อนเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนพวกผม 5 คนอยู่เที่ยวกันต่อ พี่ภาเป็นตัวตั้งตัวตีครับ

   “แล้วพี่เสือ...เขา...จะตามมาไหมครับ” ผมถามเสียงเบา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องถามถึงเขาด้วย ในเมื่อผมก็ได้เที่ยวกันพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัว

   “อีล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

   “ล่วงหน้าไปแล้ว” ผมไม่อยากจะเชื่อ เมื่อคืนพี่เสือยังขับรถตามไปส่งผมอยู่เลย แล้วพี่เขาเอาเวลาไหนไปเตรียมตัว

   “อืม”

   “เจ็กๆ มาถ่ายรูปกัน หยกก็มาด้วยกันเร็ว” โบตั๋นโพล่เข้ามาคว้าแขนของเจ็กลูกก่อนเรียกผมตามไปเพื่อถ่ายรูป โดยที่มีฉากด้านหลังเป็นรูปเครื่องบินลำโต

   เมื่อพวกเราลงจากเครื่องบิน ก็มีรถอัลพาร์ดมารับเราเพื่อเดินทางต่อไปยังพังงา ผมมารู้ทีหลังว่าคนที่ขับรถให้เป็นคนของอาการส่งมาพร้อมกับพี่เสือ เขามาช่วยดูแลพวกเรา แล้วไม่ใช่มีแค่นี้ครับ พอถึงโรงแรมก็มีพี่อีก 2 คนมาคอยรอเราที่ล็อบบี้ พาเราไปยังบ้านพัก ซึ่งพี่ ๆ เขาเช็คอินให้เราเรียบร้อย

   อากรให้เลขาจองที่พักในส่วนของรีสอร์ตให้พวกเราทั้งหมด บ้านพักของเรามี 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ พี่ภากับเจ่เจ้พักห้องนึง อีกห้องเป็นของผมกับโบตั๋น ส่วนเจ็กลู่ไปพักกับพี่เสือที่บ้านหลังถัดไป ส่วนทีมงานพักอยู่ในห้องพักบนตึกสูงของโรงแรม

   ผมเก็บของเข้าที่เรียบร้อย โบตั๋นก็ชวนผมเดินออกไปเดินดูรอบ ๆ ที่พัก เราสองคนเดินมาด้วยกัน ก็มีพี่ ๆ ที่เดินมารับพวกเราคนหนึ่งเดินตามอยู่ห่าง ๆ ผมรู้สึกแปลก ๆ ไม่ชินกับการที่มีใครคอยมาเดินตามแบบนี้ โบตั๋นเหลือบมองผมนิดนึง

   “เดี๋ยวหยกก็ชินเองแหละ”

   “ตั๋นรู้จักพี่เขาหรอ?”

   “อืม รู้จัก 2 ใน 3 นะ คนที่มารับเราที่หน้าล็อบบี้อีกคนตั๋นไม่เคยเห็นหน้า ส่วนที่เหลือก็คอยดูแลตั๋นอยู่ห่าง ๆ”

   “อ่อ...อากรให้คนตามมาซะเยอะเชียว”

   “ไม่เยอะหรอก ตั๋นว่านะ เพราะเราอาจจะต้องทำงานแยกกัน อีตาแมวหง่าวนั่นก็ตามหยกไปไม่ได้ทุกที่ด้วย ไหนเจ่เจ้อีกล่ะ ใช่ม่ะ?”

   “อืม จริงนะ”

   พวกเราเดินผ่านโซนรีสอร์ตเข้ามาในส่วนของตัวโรงแรม ส่วนนี้มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสปาให้บริการแขกที่มาพัก บรรยากาศในโรงแรมดีมาก รอบ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวพักผ่อนกัน

   “ไม่เห็นพวกเจ้เลย สงสัยพักกันอยู่ในห้อง” โบตั๋นเปรย

   “แล้ววันนี้พวกเราต้องทำอะไรกันบ้างล่ะ?”

   “ก็มีบรีฟคอนเซ็ปนิดหน่อย เจ้นัดตั๋นไว้ตอน 4 โมงเย็นอ่ะ ใช้เวลา 1 ชัวโมงก่อนที่ทีมงานจะพาไปเลี้ยงข้าวเย็น”

   “อืม”

   “หยกเป็นอะไรรึป่าว มองหาใครหรอ?”

   “ป่าว ไม่มีอะไรหรอก เฮียแค่มองดูอะไรรอบ ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หาใครสักหน่อย” โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมสั่น จึงหยิบมาดูก่อนเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม “ว่าแต่...เราไปหาอะไรรองท้องกันไหม”   

   “เอาสิ ตั๋นอยากดื่มน้ำมะพร้าวลูกโต ๆ” โบตั๋นพูดเสร็จก็เดินนำผมเข้าไปในโรงแรม ผมรีบเดินตามเขาไปติด ๆ

   ...


   ..


   .


   Payak : กาแฟที่นี่

   Payak : สู้รสมือน้องหยกไม่ได้เลย

   พี่เสือคงนั่งมองผมจากคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม ถึงแม้ผมจะไม่เห็นเขา ถึงแม้ผมจะไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของเขาได้ในตอนนี้ แต่ผมแน่ใจว่าเขาจะอยู่ตรงนั้น...เพื่อผม

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 22-10-17 {{:::22:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-10-2017 11:55:15
ขอบคุณค่ะ  ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: หยก 22-10-17 {{:::22:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-10-2017 11:55:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 22-10-17 {{:::22:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 23-10-2017 20:59:51
เริ่มเปิดใจทีละนิด พี่เสือสู้ๆ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หยก 29-10-17 {{:::23:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 28-10-2017 10:34:28
23

    พยัคฆ์นั่งดื่มกาแฟอยู่ในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม เขาอยากจะไปรับน้องหยกของเขาที่สนามบิน แต่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อไม่นานมานี้มักจะมีคนคอยบอกเขาว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ได้ยินบ่อยจนเขารำคาญ ไม่คิดว่ามาวันนี้เขาจะเป็นคนใช้ประโยคนี้ซะเอง

   เขากำลังนึกถึงหน้าสวย ๆ ตาซึ้ง ๆ จมูกน่างับของใครบางคน... แล้วอยู่ๆ คนที่เขากำลังนึกถึงก็ปรากฎตัวอยู่บริเวณทางเข้าคอฟฟี่ช็อป จะให้เขาลุกจากโต๊ะ เพื่อเลี่ยงออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ที่นี่มีประตูเข้าออกอยู่ทางเดียว คงต้องรอให้น้องหยกของเขาหาที่นั่งก่อน เขาถึงค่อยเลี่ยงออกไปได้

   พยัคฆ์มองตามร่างโปร่งจนเพลินมารู้ตัวอีกที น้องหยกก็เลือกที่นั่ง ที่ค่อนข้างใกล้เขาพอสมควร โบตั๋นเดินตามมาหันมองเขาเล็กน้อยก่อนนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับหยก น้องหยกอมยิ้มก่อนหลบสายตาเขา น้องหยกยังกลัวเขารึป่าว? เห็นทีเขาคงต้องออกไปเสียแล้ว

.........................................................................

   ผมเดินเข้ามาถึงคอฟฟี่ช็อปก็เห็นพี่เสือนั่งอยู่ด้านใน ผมเดินนำโบตั๋นเข้ามาก่อน เพราะเธอมัวแต่เมียงมองเพื่อเลือกที่นั่งอยู่ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาพี่เสือทีละนิด คอยจับความรู้สึกของเขา จนผมสัมผัสได้ถึงความรุนแรงจนผมเริ่มใจสั่น จึงเลือกนั่งบริเวณที่ผมคิดว่าผมทนรับความความรู้สึกนั้นได้

   ผมนั่งลงถัดจากโต๊ะที่พี่เสือนั่งไปแค่ 3 โต๊ะ โบตั๋นที่เดินตามมา เหลือบมองพี่เสืออย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะนั่งตรงข้ามผม พี่เสือเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกใจสั่น แต่มันไม่ได้เหนื่อยกับการรับมือกับความรู้สึกของพี่เสืออย่างที่ผ่าน ๆ มา ผมเริ่มรู้สึกชินกับความรู้สึกแบบนี้ พอนึกมาถึงตรงนี้ผมก็เกือบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ บังเอิญผมสบสายตากับพี่เสือเข้า อยู่ ๆ ผมก็ไม่กล้าที่จะมองสายตาดุ ๆ คู่นั้น จนต้องเสสายตาไปมองทางอื่น

   “นี่หยกกลัวเขา แล้วมาเลือกนั่งใกล้เขาขนาดนี้ทำไม ตั๋นรู้สึกได้นะว่าหยกยังหวาด ๆ อีตาแมวหง่าวนั่นอยู่”

   “ก็...ไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นแล้วนะ คงเพราะฝึกตามที่เจ่เจ้สอนแหละ ว่าแต่ตั๋นล่ะ ฝึกไปถึงไหนแล้ว” ผมแล้วก็ก้มลงดูเมนูเค้กของที่นี่ น่าทานทั้งนั่นเลยครับ

   “ตั๋นว่ามันก็ไม่ได้ยาก สงบดีด้วย เวลาที่ไม่ต้องสัมผัสกับความรู้สึกของใครต่อใครน่ะ”

   “เฮียยังทำอย่างนั้นไม่ไดเลย ตั๋นเก่งกว่าเฮียนะเนี๊ยะ” ผมยังคงก้มหน้าก้มตาดูเมนูไปเรื่อย

   “เพราะหยกมีไอ้แมวนั่นคอยป้วนเปี้ยนอยู่นะสิ” ผมเงยหน้าขึ้นกำลังจะตอบ เห็นตั๋นมองไปทางพี่เสือ ที่เขาเดินเลี่ยงออกจากคอฟฟี่ช็อปไป มันทำให้ผมรู้สึกโหวงในอกอีกแล้ว มันเป็นผลข้างเคียงอะไรจากการฝึกรึป่าวนะ มีโอกาสคงต้องถามเจ่เจ้

   “ยังดีนะที่นายนั่นรู้จักที่จะอยู่ห่าง ๆ หยกไว้น่ะ”

   “อือ” ผมตอบแค่นี้ เพราะอยู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่อยากจะทานขนมเค้กแล้ว ถึงมันจะดูสวย ดูน่าทานขนาดไหน

.........................................................................

   หลิวลู่ หงส์ และเพ็ญนภาเดินออกจากบ้านพักเข้ามาที่ตัวโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเย็น หยกและโบตั๋นทางทีมงานพาไปทานที่ร้านชื่อดังของเขาหลัก ส่วนพยัคฆ์แยกออกไปทานกับลูกน้องข้างนอกใกล้ ๆ กันกับโรงแรมเพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้เพ็ญนภาพบเห็น

   พวกของพยัคฆ์ขับรถมาจอดอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง ที่แบ่งออกเป็นสองโซน พวกเขาเลือกนั่งโซนริมทางเท้าติดถนน เพราะเวลานี้นักท่องเที่ยวยังมาทานกันไม่เยอะมาก เหมาะสมหรับคุยงานกันโดยไม่ต้องระวังตัวมากนัก ส่วนด้านในร้านเป็นห้องปรับอากาศ ซึ่งมีลูกค้านั่งอยู่หลายโต๊ะ

   เมื่อสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็คุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไปจนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ จึงเริ่มเข้าเรื่องงานขณะที่รับประทานอาหารไปด้วย

   “พรุ่งนี้คุณภาจะตามทีมงาน เพื่อไปดูคุณหงส์กับคุณหยกถ่ายแบบกัน คุณภาน่าจะจำพวกเราได้บ้าง” นายเอพลขับประจำทริปนี้เอ่ยขึ้นคนแรก

   “ผมว่าคงต้องให้พี่ชาติเป็นคนตามคุณๆ ทั้งสองคนแทน คุณเพ็ญคงไม่สงสัยอะไร” นายต้าออกความเห็นก่อนมองไปยังเจ้านายกึ่งเพื่อนร่วมงาน

   “แล้วพรุ่งนี้เขาจะไปถ่ายทำที่ไหนกัน” พยัคฆ์หันไปถามลูกน้องอีกคนที่คอยตามเช็คประวัติของทีมงานที่เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้

   “เท่าที่ทราบมา ทางทีมเช่าเรือยอร์ชไว้ 2 วัน และเหมาเรืออีกลำเพื่อไปยังหมู่เกาะสิมิลัน”

   “อืม ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราก็เช่าเรือไปที่สิมิลัน คี นายไปสืบมาว่าพวกทีมงานจะไปส่วนไหนของสิมิลันบ้าง เอ เก่ง นายไปกับฉัน ช่วยดูแลคุณโบตั๋นเหมือนเดิม ส่วนต้น ต้า พวกนายอยู่ที่นี่คอยดูแลคุณหงส์ แล้วคี ถ้าเสร็จงานของนายแล้ว ก็ตามไปช่วยต้นกับต้า” ทุกคนพยักหน้ารับรู้

   “ตอนผมเจอคุณโบตั๋นกับคุณหยกที่หน้าล็อบบี้เมื่อตอนบ่าย ผมแทบแยกทั้งคู่ไม่ออก นี่ถ้าคุณกรไม่ให้ผมดูข้อมูลของคนทั้งคู่ก่อน ผมคงนึกว่าฝาแฝดกัน” นายต้นเริ่มชวนคุย

   “ผมก็เหมือนกัน ถึงจะคอยตามคุณโบตั๋นมาระยะหนึ่ง พอตอนไปรับที่สนามบิน ผมยังตกใจที่คุณหยกกับคุณโบตั๋นหน้าตาคล้ายกันมาก” พลขับประจำทริปเสริม

   “อย่าว่าแต่พวกนายเลย ตอนฉันเจอ 2 คนนี้แรก ๆ ยังคิดว่าเป็นคน ๆ เดียวกันเลย พอมาเจอพร้อมกันถึงได้รู้ว่าคนละคน” พยัคฆ์เองก็ไม่ต่างจากลูกน้องคนอื่น ๆ

   “แล้วคุณพยัคฆ์มองออกได้ยังไงครับว่าใครเป็นใคร แนะนำผมหน่อย เดี๋ยวผมจะตามผิดคน” นายเก่งสารภาพ

   “ไอ้เก่ง มึงก็ดูดี ๆ สิว่ะ คุณโบตั๋นเธอนะ ผมยาวกว่าคุณหยกนิดนึงนะ แล้วเธอก็ชอบเอาผมทัดหูไว้” นายเอแนะนำ

   “ฉันไม่เคยสังเกตุนะ อาจจะเป็นเพราะตามแต่หยก ส่วนโบตั๋นเจอกันทีไร เธอมักจะแยกเขี้ยวใส่ฉันทุกที”

   “คุณพยัคฆ์ไปทำอะไรให้คุณโบตั๋นไม่พอใจล่ะครับ เธอถึงดูจะไม่พอใจคุณตลอดเวลา” คีที่นั่งฟังอยู่ถามบ้าง งานของเขาไม่ต้องติดตามใคร เพียงแต่ค่อยหาข้อมูล หาแหล่งข่าว จะมีก็แค่งานอารักขานิด ๆ หน่อย ๆ

   “คงเป็นเพราะฉันไปจีบพี่เขามั้ง”

   “ห๊า...คุณหงส์น่ะหรอครับ” ต้าถามบ้าง

   “หยก” พยัคฆ์ตอบหน้าตายเหมือนพูดถึงเรื่องลมฟ้าอากาศทั่ว ๆ ไป แต่กลับทำให้คนทั้งโต๊ะแทบสำลักอาหารที่ทานกันอยู่

.........................................................................

   ผมอยู่บนเรือยอร์ชกับนายแบบอีก 3 คน เข้ม หล่อ ล่ำ กล้ามปู ผมยืนกับพวกเขา ถึงความสูงจะไล่เลี่ยกันแต่ผมก็ดูตัวบางไปถนัดตาเลยครับ บนเรือมีทีมงานอีกส่วนหนึ่ง เรือลำนี้มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ บรรทุกคนได้ 30 คนเชียวครับ ห้องหนึ่งไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกนั้นทางทีมงานก็กระจายตัวกันอยู่ ทำงานตามหน้าที่ของตัวเองไป ระหว่างที่เรือแล่นไปยังหมู่เกาะสิมิลัน พี่ ๆ ทีมงานก็จับพวกเราแต่งหน้ากัน พี่โอ๋รีเควส ขอเจ้เปิ้ลมาดูแลผมโดยเฉพาะ แต่ช่างภาพที่มาถ่ายผมบนเรือวันนี้ไม่ใช่พี่เมฆที่เคยถ่ายผมเมื่อครั้งก่อน

   โบตั๋น กับนางแบบอีก 2 คน ไปเรืออีกลำหนึ่งพร้อม ๆ กับทีมงานที่เหลือ ตรงไปที่หมู่เกาะสิมิลันก่อน ทางทีมงานแบ่งกลุ่มกันทำงาน วันนี้ผมอยู่แต่บนเรือยอร์ช ส่วนพรุ่งนี้ผมถึงจะมีคิวถ่ายบนเกาะ และภาพ 2 เซตสุดท้ายจะถ่ายรวมเราทั้งหมดในสถานที่เที่ยวมีชื่อของเขาหลัก

   เสื้อผ้าที่ผมต้องถ่ายจะเป็นสีขาวทั้งหมด ส่วนนายแบบคนอื่น ๆ จะเป็นสีเข้มอย่างดำ กรม และน้ำตาล ซึ่งจะใส่เข้าคู่กับสาว ๆ ในเซตที่ถ่ายรวมกัน

   “น้องหยกมาหลบแดดตรงนี้ก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนอื่นแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปประจำที่” พี่โอ๋ลากผมเข้ามาในร่ม “อุ๊ย น้องหยกต้องถอดสร้อยคอออกก่อนนะคะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันเห็น”

   “อ่อ ผมก็ลืมครับ” ผมถอดเมฆาขาวออกมาใส่ไว้ในถุงกำมะหยี่ที่เตรียมมาก่อนยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงเหมือนตอนถ่ายงานคราวที่แล้ว

   “ครั้งก่อนพี่เห็นน้องตั๋นฉกเจ้าถุงใบนี้ ที่แท้ก็สร้อยคอนี่เอง ถ้าทางจะหวงมากเลยนะคะ”

   “ครับ ของดูต่างหน้าพ่อกับแม่น่ะครับ”

   “อุ๊ย พี่ขอโทษนะคะ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

   “ว่าแต่แดดนี่แรงจริง ๆ มาค่ะ พี่ทาครีมกันแดดให้ดีกว่า เดี๋ยวผิวสวย ๆ ของน้องหยกจะเสียหมด”
   
   “ไม่ต้องแล้วครับ เมื่อครู่พี่โอ๋ก็ทาให้ผมแล้วนะครับ”

   “ไม่ได้ค่ะ ทาซ้ำๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เสียดายผิวขาว ๆ นวล ๆ แบบนี้”

   “ไม่ต้องเอาใจหยกขนาดนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวจะเคยตัว” เจ็กลู่เดินออกมาหลังจากที่นั่งฟังพี่โอ๋กับผมคุยกันอยู่นาน”

   “แหม๋ คุณอาขา โอ๋ก็ไม่ได้เอาใจน้องเขาขนาดนั้นซะหน่อย” ผมมองหน้าพี่โอ๋ แล้วพยักหน้าให้แกนิดนึง “พี่เอาใจหยกขนาดนั้นเลยหรอค่ะ หว๋าย...พี่ไม่รู้ตัวเลยนะคะเนี๊ยะ”

   “เดี๋ยวตั๋นมารู้ทีหลังจะโดนงอนเหมือนคราวที่แล้วอีกนะครับ”

   “จ้า ๆ แหม๋ ก็มันรักน้องเสียดายพี่นี่น้า...อ๊ะ!! พี่อ้วนเรียกไปถ่ายรูปแล้ว น้องหยกสู้ ๆ นะคะ” พี่โอ๋เดินกางร่มมาส่งผมจนถึงหัวเรือ จุดแรกที่เราจะถ่ายกัน วันนี้เราต้องถ่ายกัน คนหนึ่ง 8 เซทรวมทั้งเดี่ยวทั้งกลุ่ม

   ผมตามมาสมทบกับโบตั๋นที่ชายหาดก็บ่ายคล้อยแล้ว แต่ยังพอมีแสงอยู่ พี่เมฆที่ถ่ายทีมสาว ๆ ปรึกษากับพี่อ้วนเล็กน้อยจึงได้ข้อสรุปว่าเราจะถ่ายรวมกลุ่มกันต่อเท่าที่จะถ่ายได้ ก่อนจะเก็บของกลับกัน

   ระหว่างที่ซับหน้า เติมหน้ากันอยู่ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคย พอพี่โอ๋เติมแป้งให้ผมเรียบร้อย ผมก็มองไปรอบ ๆ เพื่อหาเจ้าของความรู้สึกนั้น ถึงผมจะไม่เห็นตัวแต่มันก็ทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างบอกไปไม่ถูก

   “โห...น้องหยก ตอนอยู่บนเรือไม่เห็นจะยิ้มได้แบบนี้เลย” พี่อ้วนแซวผม

   “แหม๋ๆ ก็เพราะบนเรือมีแต่ถ่ายกับหนุ่ม ๆ นี่มีสาว ๆ มาถ่ายด้วยก็ต้องอารมณ์ดีเป็นธรรมดาสิค่ะคุณช่างภาพ” พี่ภาตะโกนแซวมาจากกลุ่มทีมงาน จนพี่อ้วนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนที่เราจะเริ่มทำงานกันต่อ

   “หยก” โบตั๋นเขามาสะกิดผมก่อนกระซิบ “อารมณ์ดีเพราะนายแมวหง่าวหรอ?”

   “ห๊ะ...”

   “แล้วไม่ใช่หรือไง เหยียบผืนทรายได้ ตั๋นก็เห็นหยกยิ้มไม่หุบเลย”

   “...”

.........................................................................

   หลังจากนั่งเรือกลับมาฝั่งเขาหลักเรียบร้อย หยกก็พาโบตั๋นกลับมานอนพักที่ห้อง เนื่องจากโบตั๋นเมาเรือจนกระทั่งเวลา 2 ทุ่ม ทั้งสองคนจึงเดินไปหาอะไรทานในโรงแรม โดยไม่ลืมที่จะบอกหงส์และเพ็ญนภาไว้

   เมื่อทั้งสองก้าวออกมาจากบ้านพัก ก็เห็นคนของวรากรคอยสแตนบายรออยู่ที่หน้าบ้านพักหลังถัดไป ทั้งสองเดินมาออกมาจนเกือบถึงตัวโรงแรม คนของวรากรจึงค่อยเดินตามมาโดยเว้นระยะห่างให้สามารถมองเห็นได้ แต่ไม่ใกล้จนเกินไป

   “อากรให้คนตามเรามากี่กัน เมื่อกลางวันเฮียเห็นอยู่สองคน ตอนนี้ก็มีอีกสอง”

   “ใจคอหยกจะไม่ให้เขาพักหรือไง มันก็ต้องสลับกันบ้างสิ”

   “ไม่ใช่ เฮียไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮียแค่คิดว่าพวกเราน่ะ ดูแลตัวเองได้ อีกอย่างเรามาทำงาน ไม่ต้องมาตามดูแลกันขนาดนี้ก็ได้”

   “มันก็จริง แต่ตั๋นว่า เป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว หยกก็รู้ใช่ไหมว่าตั๋นไม่สบายใจ”

   “อืม เฮียรู้สึกได้”

   “ตั๋นบอกไม่ถูกอ่ะ รู้แต่ตั๋นห่วงหยกมาก เจ่เจ้ที่ว่าป่วย เพิ่งผ่าตัดเสร็จตั๋นก็ห่วง แต่มันไม่เหมือนกับที่ตั๋นกังวลเรื่องหยก”

   “อาจจะเป็นเพราะเฮียเคยโดนผู้หญิงที่ชื่อลตาตามละมั้ง ตั๋นถึงได้กังวล”

   “ไม่รู้สิ ตั๋นเองก็อธิบายไม่ถูก แล้วยิ่งเรื่องที่เจเจ้ให้นายแมวหง่าวตามหยกนั่นอีก หากเกิดอะไรขึ้นมา เขายังเข้าใกล้หยกไม่ค่อยได้เล๊ย แล้วจะไปช่วยหยกได้ยังไง มีแต่จะซ้ำเติมทางความรู้สึกสิไม่ว่า ตั๋นล่ะไม่เข้าใจเจ่เจ้จริง ๆ”

   “เอาเป็นว่า เฮียจะระวังตัวแล้วกัน”

   “ว่าแต่ ทานอะไรกันดี ตั๋นไม่อยากทานอะไรเลี่ยน ๆ ในโรงแรมเลย ออกไปหาอย่างอื่นข้างๆ โรงแรมกันไหม?”

   “ตามใจสิ เฮียให้คนป่วยตัดสินใจ”

   “ตั๋นแค่เมาเรือเอง ไม่ได้ป่วยสักหน่อย”

   “แล้วพรุ่งนี้ตั๋นต้องถ่ายงานบนเรือทั้งวัน จะไหวหรอ?”

   “หยกอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องชวนอ้วกสิ เดี๋ยวทานอะไรไม่ลงกันพอดี”

   โบตั๋นเลือกร้านอาหารอีสานร้านหนึ่งใกล้ๆ กับโรงแรม ซึ่งตอนกลับสามารถเดินเลียบชายหาดกลับไปยังบ้านพักได้ ไม่ต้องเดินอ้อมเข้าทางด้านหน้าของโรงแรมอย่างตอนขามา

.........................................................................

   นายคีลงลิฟท์มาจากชั้นที่ตัวเองพักอยู่ ขณะที่กำลังเดินไปยังโซนของรีสอร์ทก็พบคุณหยกและคุณโบตั๋นเดินออกไปทางหน้าโรงแรม เขาเห็นเพื่อนร่วมงานสองคนเดินตามประกบคุณ ๆ ทั้งสองอยู่ไม่ห่าง ต้นกับต้าพยักหน้าทักทายเขาเล็กน้อย

   เขาเดินมาถึงส่วนรีสอร์ต กำลังจะเดินไปยังบ้านของพยัคห์ก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะพบที่นี่ เขาจึงค่อยๆ สะกดรอยตามไปเงียบ ๆ ทำทีเป็นเดินชมบบรยากาศภายในโรงแรมไปเรื่อย จนถึงบ้านพักส่วนในสุด ที่บ้านแต่ละหลังปลูกแยกห่างกัน และมีสวนเล็ก ๆ กั้นระหว่างบ้านแต่ละหลังเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น บ้านแต่ละหลังสามารถจอดรถได้ 1 คัน

   เมื่อเห็นเป้าหมายที่เขาติดตามอยู่เดินเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง คีจึงเดินวนดูรอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่เห็นว่าคนในบ้านจะออกมาอีก เขาจึงรีบเดินไปยังบ้านพักของพยัคฆ์ทันที โดยไม่ลืมที่จะถ่ายภาพบ้านพัก พร้อมทะเบียนของรถเช่าที่จอดอยู่ในบ้านพักหลังนั้นไว้ด้วย

.........................................................................

   ผมกับโบตั๋นทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินเล่นกันริมหาดไปเรื่อยๆ เป็นการย่อยไปในตัว พวกเราเดินกันมาจนเกือบถึงบริเวณที่ไม่มีร้านรวงริมหาด จึงพากันเดินย้อนกลับทางเดิม

   พี่ๆ สองคนที่เดินตามพวกเรามา เห็นว่าพวกเรากำลังจะกลับ เขาก็ยืนรออยู่ที่เดิม ผมเห็นพี่คนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายของชำบริเวณใกล้ ๆ กับที่พวกเขายืนอยู่กัน

   “เฮียว่าเราไม่น่าเดินไปไกลเลย สงสารพี่ ๆ เขานะ ต้องมาคอยเดินตามเรา”

   “ก็อากาศมันดีนี่นา ลมก็เย็นสบาย ตั๋นเดินเพลินเลย ไม่คิดว่าเราจะเดินกันมาไกลขนาดนี้”

   “นั่นสิ ตึกโรงแรมอยู่ซะไกลลิบเชียว”

   “ตอนเราเดินผ่านมา ตั๋นไม่เห็นมีร้านขายยาเลยเน๊อะ ว่าจะซื้อยาแก้เมาเรือสักหน่อย”

   “ใครเขาจะมาเปิดร้านขายยาริมหาดกันล่ะ”

   “ก็แหม๋... เผื่อจะมีไง” เราสองคนหัวเราะกับความคิดแปลก ๆ ของโบตั๋น ที่เศรษฐกิจแบบนี้ เหมาะกับการเปิดร้านอาหาร ร้านเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับเล่นน้ำมากกว่าจะมาเปิดร้านขายยาซะอีก

   ผมเห็นพี่ที่เข้าไปในร้านของชำเดินออกมาพร้อมกับถุงใส่เบียร์กระป๋องมาจำนวนหนึ่ง เหมือนพี่ ๆ เขาจะรู้ว่าหลังจากนี้พวกผมคงจะไม่ออกไปไหนกันแล้ว ถึงได้เตรียมดื่มกัน แต่ดูจากจำนวนกระป๋องในถุง ผมเดาว่าคงจะซื้อไปเผื่อพี่เสือด้วยแน่ ๆ นี่

   ผม...นึกถึงเขาอีกแล้ว...

   พวกเราเดินเลยพี่ ๆ เขามาแล้ว และอาจจะเป็นเพราะผมเริ่มชิน อีกทั้งพี่พวกนั้นเขาก็ไม่ได้ตามติดจนกระทั่งผมอึดอัด จึงไม่ได้เหลียวหลังหันไปมองอย่างช่วงแรก ๆ ที่โดนตาม

   เวลานี้คงดึกมากแล้ว เพราะร้านอาหารหลายร้านเริ่มปิดให้บริการ นักท่องเที่ยวตามริมหาดเริ่มบางตา ผมกับโบตั๋นเดินกันมาจนเกือบจะถึงร้านอาหารที่เรามาทานกันเมื่อคู่ โบตั๋นก็เหลือบเห็นป้ายร้านขายยาที่อยู่ในซอยก่อนถึงร้านอาหารนั่น

   “หยกร้านยา ยังไม่ปิดด้วย แวะไปซื้อกันแป๊บนึงนะ”

   “เอาสิ เรารีบกันดีกว่า ก่อนที่ร้านจะปิด”

   ผมกับโบตั๋นจึงรีบวิ่งเข้าไปในซอย เห็นป้ายร้านยาอยู่ไม่ไกล แต่ตัวร้านเข้าซอยไปลึกพอสมควร โชคดีที่ไปถึงแล้วร้านยังไม่ปิด โบตั๋นเลยได้ยาแก้เมาเรื่อมาตามที่ตั้งใจไว้ พวกเราเตรียมจะย้อนกลับไปยังหน้าปากซอยก็พบกลุ่มคนเมามาจากไหนไม่รู้ 3-4 เดินตรงเขามา ผมจึงพยายามเดินเลี่ยงและดึงแขนโบตั๋นให้เธอเลี่ยงมาอยู่ข้างหลังผม ขณะที่เดินผ่านพวกเขา กลิ่นเหล้าฉุนจมูกโชยเข้าจมูกกลบกลิ่นอายของน้ำทะเลจนหมด พวกนี้เขากินหรืออาบกันแน่

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 29-10-17 {{:::23:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-10-2017 11:14:07
เป็นเรื่องแน่ๆ
หัวข้อ: Re: หยก 28-10-17 {{:::23:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: →Yakuza★ ที่ 29-10-2017 12:21:20
เรื่องสนุกมาก มาให้กำลังใจคะนานๆเม้นที สู้ๆนะคะ พี่น้องหยกน่ารักมาก
จะรออ่านทุกวันเลยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: หยก 28-10-17 {{:::23:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 31-10-2017 00:20:46
สนุกมากกกกกกกค่ะ ลุ้นตามเลย

รอวันที่พี่เสือเข้าใกล้หยกได้เร็วๆ
หัวข้อ: Re: หยก 28-10-17 {{:::23:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 31-10-2017 16:04:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 2-11-17 {{:::24:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-11-2017 08:32:38
24
    พยัคฆ์อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะพักผ่อน พรุ่งนี้เขาต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางล่วงหน้าไปยังหมู่เกาะสิมิลัน เพราะน้องหยกของเขามีคิวถ่ายที่หาดเจ้าหญิง

   เขาตามน้องหยกมาเกือบเดือน ได้เห็นหน้าทุกวัน ถึงจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันก็เถอะ อย่างมากที่สุดก็คุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งเวลาคุยกันนั้นน้องหยกจะนิ่งมาก น้องพูดน้อยเหมือนไม่กล้าคุยกับเขา แต่ถ้าเป็นคุยผ่านตัวอักษร เขารู้สึกว่าน้องหยกจะคุยได้มากกว่า บางครั้งไม่มีตัวอักษรก็มีเจ้ากระต่ายโคนี่ส่งมาแทน

   วันนี้เขานึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหวาน ๆ ดวงตาซึ้ง ๆ นั่นซะแล้ว ยังดีที่เรือยอร์ชตามมาสมทบเร็วกว่ากำหนดการที่นายเคบอกเขาไว้ ทำให้ช่วงเย็นยังพอได้เห็นหน้าเห็นตาน้องหยกให้หายคิดถึงบ้าง ใช่เขาคิดถึงน้องหยกมาก ไม่ได้เจอเพียงค่อนวันมันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

   พยัคฆ์เดินออกมาบริเวณโถงกลาง ก็เห็นอาชาติเพิ่งเดินกลับเข้ามาในบ้านพัก บ้านหลังนี้เขาอยู่กับอาชาติเพียงแค่ 2 คน เลยได้พักกันคนละห้อง อีกหลังที่กั้นระหว่างบ้านพักของเขาและน้องหยกจะเป็นบ้านพักของลูกน้องทั้ง 4 คน ส่วนนายเค เขาให้พักบนตึกใหญ่ของโรงแรมโซนเดียวกับพวกทีมงาน

   “อาชาติไปหาหงส์ไม่ใช่หรอครับ ทำไมกลับมาเร็วจัง”

   “พอดีอาคุยไม่สะดวกน่ะ คุณเพ็ญเธออยู่ด้วย”

   “อ่าว ไหนได้ยินว่าจะไปนวดอโรม่าไม่ใช่หรอครับ”

   “ก็เธอเกิดเปลี่ยนใจนะสิ เห็นว่าเหนื่อยมาก เลยจะพักเอาแรงก่อนพรุ่งนี้ค่อยไปนวด”

   “ก็น่าจะเหนื่อยอยู่แหละครับ มาเที่ยวแท้ ๆ กลับไปวุ่นวายอยู่กับทีมงาน อย่างกับเป็นงานของห้องเสื้อตัวเอง” อยู่ ๆ ตาขวาของเขาก็กระตุก ทำให้ต้องยกมือขึ้นขยี้

   “ยังดีที่พรุ่งนี้คุณภาเธอไม่ตามไปที่กองแล้ว อาจะได้เปลี่ยนไปดูตั๋นบนเรือยอร์ชแทน ให้เอกับเก่งขึ้นเรือยอร์ชก็คงไม่ได้”

   “ดีเลยครับ พวกผมจะได้ไม่ต้องหลบคุณภาเหมือนอย่างวันนี้อีก”

   “คุณเป็นอะไรรึป่าว อาเห็นคุณขยี้ตามาสักพักแล้ว”

   “ไม่รู้สิครับ อยู่ ๆ ตาขวาผมก็กระตุกขึ้นมาเฉย ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงนายคี

   “คุณพยัคฆ์ พี่ชาติ ผมคีครับ” อาชาติที่อยู่ใกล้กว่าเขาเดินไปเปิดประตูให้นายคี

   “นายมาช้านะ มีปัญหาอะไรรึป่าว” พยัคฆ์ถามเพราะลูกน้องของเขามาผิดเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง

   “ไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับทีมงานครับ ทางทีมส่วนใหญ่จะพักผ่อนกันอยู่ในห้อง มีบางส่วนที่ตั้งวงเล่นไพ่กันอยู่ ไม่ก็ตั้งวงดื่มเหล้าดื่มเบียร์กัน แต่ที่ผมมาช้าเพราะผมเจอคุณเกรียงไกร”

   “นายเกรียงไกร ลูกเจ้าสัวเซียงอ่ะนะ” พยัคฆ์ย้อนถามก่อนหันไปมองหน้าอาชาติ

   “แล้วคุณเกรียงไกรเขามากับใคร มากับเจ้าสัวอย่างนั้นหรอ?” อาชาติตั้งคำ

   “ผมเดินตามคุณไกรไปจนถึงบ้านพักส่วนในสุด ผมเห็นแค่คุณเกรียง แต่ไม่เห็นเจ้าสัว รออยู่แถว ๆ บ้านพักสัก 15 นาทีเห็นจะได้ ผมไม่เห็นคนข้างในเคลื่อนไหวอะไร เลยมารายงานคุณพยัคฆ์ก่อน”

   “อืม ถ้าอย่างนั้น นายไปสืบมาว่านายเกรียงไกรมากับใคร มาทำอะไร ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ที่อยู่ ๆ นายเกรียงไกรจะมาเที่ยวที่นี่ แถมพักที่เดียวกับเราอีก”

   “ครับ เดี๋ยวผมจะไปสืบให้ แล้วพรุ่งนี้จะรีบมารายงานก่อนคุณเดินทาง”

   “เดี๋ยวก่อนคี” อาชาติเรียกไว้ “ลองสืบดูด้วยว่าที่บนตึกโรงแรม มีรายชื่อคุณลตามาพักด้วยรึป่าว? หรือนายอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย สืบดูโรงแรมใกล้เคียงระแวกนี้ด้วย”

   “ครับ” นายคีรับคำก่อนเดินออกจากบ้านพักไป

   “อาชาติว่า พวกนั้นจะตามหยกมารึป่าวครับ?”

   “อาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าเจ้าสัวเซียงไม่น่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนั้น”

   “ผมสังหรณ์ใจแปลก ๆ หวังว่าคงจะไม่เกิดอะไรขึ้น”

.........................................................................

   โบตั๋นกระตุกข้อมือผมเล็กน้อย ระหว่างที่พวกเราเดินสวนกับคนเมากลุ่มนั้น ผมพยักหน้ารับรู้ เพราะความรู้สึกของคนพวกนั้นที่พวกเราสัมผัสได้มันอันตรายและไม่น่าไว้ใจ และชายคนสุดท้ายที่เดินผ่านผมเหมือนจะจงใจเดินกระแทกไหล่ผม

   “เฮ้ย!! ไอ้น้อง มึงเดินยังไงของมึงแว๊...”

   “...”

   ผมไม่ตอบ โบตั๋นก็เช่นกัน พวกเราไม่อยากมีเรื่อง จึงค่อย ๆ เดินเลี่ยงออกมา ผมดันให้โบตั๋นเดินนำผมออกไปก่อน ส่วนผมเดินตามหลังเธอไป ยังก้าวได้ไม่ถึงก้าว ผมก็โดนกระชากไหล่อย่างแรง และปฏิกิริยาของร่างกายก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
ผมคว้าข้อมือหนานั่นออกจากไหล่ผมพร้อมกับหักข้อมือหงายกลับหลังร่างใหญ่นั่นทันที พอร่างนั้นอยู่ในท่าทางที่ฝืนสรีระของร่างกาย ก็ร้องโอดโอย ทำให้พรรคพวกที่มาด้วยอีก 3 คนกระโจนเข้าใส่ผม

   คนแรกที่มาถึงตัวผม แต่ยังไม่ทันคว้าตัวผมได้ก็โดนเท้าเล็ก ๆ ของโบตั๋นยันเข้าให้กลางลำตัว ด้วยแรงที่ร่างนั่นพุงเข้ามาหมายจะคว้าตัวผมกลับโดนฝ่าเท้าของโบตั๋นยันเข้าให้ ทำให้ถึงกับจุกลงไปนั่งกองกับพื้น อีกสองคนที่เหลือกำลังจะเข้ามา จึงชะงักค้างและระวังตัวมากขึ้นทันที ผมบิดหัวไหล่คนที่อยู่ในมือก่อนดันร่างนั้นลงไปนอนกองกับเพื่อนที่นั่งจุกอยู่กับพื้น

   ผมเห็นสองคนที่เหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาผมและโบตั๋นพร้อมกัน ผมตั้งรับคนที่ตัวโตกว่า ส่วนโบตั๋น เธอสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยอยู่แล้วแถมความมั่นใจที่มีเกินร้อย เธอจึงเป็นฝ่ายบุกเข้าหาชายคนนั้นแทนที่จะตั้งรับเหมือนอย่างผม

   ระหว่างที่พวกเราชุลมุนกันอยู่ สองคนที่นั่งจุกกับพื้นเริ่มฟื้นตัว เขาทั้งสองคนพากันพุ่งเขามาหาผม 3 รุม 1 โบตั๋นพยายามจะสลัดเจ้าคนตรงหน้าให้หลุด เพื่อที่จะมาช่วยผม จังหวะที่ผมกำลังจะพลาดท่าให้คนพวกนั้น ก็มีกระป๋องเบียร์ขว้างเข้ามาที่ใบหน้า 1 ใน 3 ของพวกนั้น ผมได้ยินฝีเท้าที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้

   พี่คนหนึ่งเข้าไปช่วยโบตั๋น ส่วนอีกคนก็ช่วยผม หลังจากที่ชุลมุนกันสักพัก ด้วยพี่ ๆ เขาเป็นมืออาชีพ ไม่นานก็จัดการพวกนั้นได้อยู่หมัด ทั้ง 4 คนลงไปนอนกองกับพื้น หมดสภาพกันไปเป็นแถว

   “คุณหยก คุณโบตั๋นบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ” พี่คนหนึ่งถามพวกเรา

   “ไม่เป็นไรครับ ผมกับโบตั๋นปลอดภัยดี ขอบคุณพี่ ๆ ที่เข้ามาช่วยไว้ทัน”

   “พวกผมเองก็ต้องขอโทษ ที่ชะล่าใจไปหน่อย”

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นาน ๆ ได้ยืดเส้นยืดสายสักทีก็ดีเหมือนกัน” โบตั๋นพูดหน้าตาย “แต่ตั๋นสงสัย ว่าทำไมพวกมันถึงรุมเล่นงานเอาแต่หยกคนเดียว ทั้งๆ ที่ปกติคนที่เล่นงานได้ง่ายที่สุดน่าจะเป็นผู้หญิงอย่างตั๋น”

   “ผมก็ว่าแปลก ต้น มึงไปส่งคุณหยกกับคุณโบตั๋นที่โรงแรม พวกนี้กูว่าแมร่งแกล้งเมา เดี๋ยวพ่อจับส่งตำรวจ รีดเอาความจริงมันออกมาให้หมดไส้หมดพุงเลย” ผมมองดูทั้ง 4 ถูกสายรัดพลาสติกมัดเอามือไพล่หลัง นั่งกองรวมกันอยู่อย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ

   “ผมกับตั๋นเดินกลับเองก็ได้ครับ พี่ ๆ สองคนช่วยกับดูคนพวกนี้ดีกว่า”

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหยกรอเดี๋ยวนะครับ ผมเองก็ไม่ไว้ใจให้คุณ ๆ เดินกลับไปกันเอง” พูดจบพี่ที่ชื่อต้นก็หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาโทรตามพี่ ๆ เมื่อกลางวันให้เดินมารับพวกผม

   รออยู่ไม่นาน พี่ ๆ เมื่อกลางวันก็เดินมาสมทบกับพวกเรา พี่ที่ชื่อต้นกับพี่อีกคนก็ลากคนทั้ง 4 ไปส่งตำรวจ และคราวนี้ พี่ ๆ ชุดเมื่อกลางวันไม่เดินเว้นระยะจากพวกเราอีกแล้วครับ เดินตามประกบไปส่งจนถึงบ้านพักเลย

.........................................................................

   ในมุมมืดข้างร้านค้าที่ปิดบริการลงไปแล้ว เมฆยืนสังเกตการณ์อยู่ ตอนแรกที่คุณเกรียงไกรจะส่งคนทั้ง 4 มา เขาคิดว่ามันออกจะเอิกเกริกไปหน่อยสำหรับการจับตัวน้องหยกเพียงแค่คนเดียว และยิ่งน้องหยกเป็นลมง่ายด้วย อีกทั้งโบตั๋นก็เป็นผู้หญิง ซึ่งจัดการได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว

   เขาเห็นว่าน้องโบตั๋นเมาเรือตั้งแต่ก่อนถ่ายงานเซตแรก ตอนเย็นหลังจากกลับจากสิมิลัน น้อง ๆ ทั้งสองก็ไม่ไปทานข้าวกับทีมงาน เพราะน้องโบตั๋นเมาเรืออีก เขาเดาได้ว่าน้องโบตั๋นต้องออกมาหาซื้อยาไว้สำหรับพรุ่งนี้แน่นอน และร้านขายยาใกล้โรงแรมก็มีแค่ร้านเดียว เขาลงทุนจ้างให้เด็กในร้านให้ปิดเกินเวลาเพื่อรอน้องโบตั๋น แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน

   ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาไม่คิดว่าน้องทั้ง 2 คน จะเป็นศิลปะการป้องกันตัวกัน ที่สำคัญน้องหยกสามารถรับมือผู้ชายตัวโต ๆ 3 คนพร้อมกันได้ ถึงแม้ว่าบางจังหวะน้องโบตั๋นจะยืนมือเข้ามาช่วยบ้าง เขาเหมือนยืนดูหนังแอคชั่นอยู่ก็ไม่ปาน ทั้งระทึกทั้งลุ้น จนกระทั่งมีพลเมืองดี 2 คนสอดมือเข้ามาช่วยทั้ง 2 เมื่อเห็นว่าคนของเกรียงไกรพลาด เขาก็รีบเดินหลบ ย้อนกลับไปยังถนนด้านหน้าโรงแรม

   เขาเดินไปยังส่วนบ้านพักโซนไพรเวท เดินตรงไปยังบ้านพักของเกรียงไกร เมื่อไปถึงเกรียงไกรก็รออยู่แล้ว

   “อ่าว ทำไมลื้อกลับมาคนเดียว แล้วน้องหยกของอั๊วล่ะ?”

   “คนของคุณเกรียทำงานพลาด โดนซิวไปหมดแล้ว”

   “เฮ้ย!! ได้ยังไงว่ะ พวกมันไปกันต้อง 4 คน กับแค่จับเด็กหนุ่มคนเดียว ทำไมถึงพลาดได้” เกรียงไกรบ่นอย่างหัวเสีย

   “ก็น้องหยกกับโบตั๋นดันบู้กันซะเก่ง แล้วยังมีไอ้พลเมืองดีที่ไหนสอดมือมาช่วยอีก ผมเห็นท่าไม่ดี เลยเพ่นมาก่อน”

   “โถ่เว้ย!! ไหนลื้อบอกว่า 4 คนมันเยอะไป แถมน้องหยกของอั๊วยังอ่อนแออย่างกับผู้หญิง เดี๋ยวก็เป็นลม แล้วทีนี้จะทำไง”

   “แล้วคุณเกรียงจะเอายังไง ยังจะอยากได้น้องหยกอยู่ไหม หรือว่าจะถอย”

   “คนอย่างอั๊วไม่มีถอยโว้ย อยากได้อะไรอั๊วก็ต้องได้ คนของอั๊ว อั๊วไม่ห่วง พวกมันปากหนักกันอยู่แล้ว แต่น้องหยกน่ะสิ ถ้าลื้อว่าน้องหยกเก่งขนาดนี้ แล้วน้องเขาจะมาเป็นของอั๊วได้ยังไง”

   “ถ้าคุณเกรียงยืนยันว่าอยากได้ตัวน้องหยก ผมก็มีวิธี”

   “วิธีอะไรของลื้อ”

   “พรุ่งนี้คุณเกรียงเตรียมมีความสุขกับน้องหยกได้เลย”

   “อั๊วจะเชื่อลื้อได้แค่ไหนกัน นี่ก็พลาดมาแล้วตั้ง 2 ครั้ง”

   “พรุ่งนี้ไม่มีพลาดแน่นอน ผมรับรอง”

.........................................................................

   ขณะนี้ในโถงกลางภายในบ้านพักของพยัคฆ์คับแคบไปถนัดตา เมื่อชายหนุ่ม 6 คนมารวมตัวกัน นายต้นและนายเอนั่งขัดตะหมาดอยู่กับพื้น อาชาตินั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวหนึ่ง เต้กับเก่งนั่งบนโซฟายาว ส่วนพยัคฆ์ยืนพิงกรอบประตูห้องของตัวเองทำหน้าเครียดอยู่

   “แล้วพวกมันว่ายังไงอีก” พยัคฆ์ถามหลังจากได้ฟังนายต้นกับเต้เล่าเหตุการณ์ในซอยร้านขายยาให้ฟัง เขาตั้งใจว่าจะนอนแต่หัวค่ำ แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นกับน้องหยกและโบตั๋น มันทำให้เขาหลับไม่ลงจนต้องเรียกลูกน้องมานั่งคุยกันอยู่อย่างนี้

   “มันยืนยันว่าพวกมันเมาครับคุณพยัคฆ์” นายเต้เป็นคนตอบ “พวกมันเป็นนักท่องเที่ยว มันว่ามันดื่มหนักไปหน่อย แล้วอ้างว่าคุณหยกไปเดินชนมันก่อน”

   “แล้วจริงอย่างที่มันว่ารึป่าว?” อาชาติถามนายเต้

   “ตอนนั้นพวกผมอยู่ห่างจากคุณ ๆ มากครับ ผมไม่เห็น อีกอย่างในซอยก็ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย” นายเต้ตอบ

   “หลังจากที่ผมช่วยเต้พาพวกมันไปที่โรงพัก ผมก็กลับไปที่ร้านขายยาอีกครั้งเพราะจ่าที่โรงพักบอกพวกเราว่า ปกติร้านขายยาตรงนี้จะปิดตั้งแต่ทุ่มนึ่ง ตอนคุณโบตั๋นเดินเข้าไปซื้อยา นั่นมันก็สี่ทุ่มกว่าแล้วครับ เกินเวลาไปมาก พอผมไปถึงร้านขายยา มันก็ปิดไปแล้ว”

   “พวกนายก็คอยระวังกันหน่อยแล้วกัน นายคีมันเจอนายเกรียงไกรพักอยู่ที่นี่ ฉันยังไม่รู้ว่ามันมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม หรือเป็นพวกขี้เหล้าธรรมดา ยังไงก็อย่าประมาทเป็นอันขาด” พยัคฆ์เอ่ยเสียงเครียด

   “เอ พรุ่งนี้นายไม่ต้องข้ามไปที่เกาะ อยู่ช่วยนายคีสืบหาข้อมูลที่นี่” อาชาติสั่ง นายเอพยักหน้ารับคำ “ส่วนที่เหลือ ทำหน้าที่ปกติ”

   “เฮ้อ...ผมน่ะใจหายใจคว่ำหมดตอนที่เห็นคุณหยกโดนกระชากไหล่ คิดว่ายังไงพวกผมสองคนคงวิ่งไปช่วยไม่ทัน ที่ไหนได้...” นายเต้เปรยขึ้นพร้อมส่ายหน้า

   “หลานพี่ชาตินะโว้ยมึง มันก็ต้องมีดีกันบ้างสิว่ะ แล้วคุณหยกเขาก็เป็นครูสอนเทควันโด้อีกต่างหาก” เอสำทับ

   “มึงต้องเห็นตอนที่คุณโบตั๋นกระโดดถีบไอ้พวกนั้นก่อน แล้วไหนจะตอนที่คุณหยกโดนรุมอีก 3 รุม 1 เลยนะมึง” นายต้นว่าบ้าง “พี่ชาติสอนยังไง คุณ ๆ เขาถึงได้เก่งกันขนาดนี้ ถ้าผมเจอรุมแบบนี้ คงมีเจ็บตัวกันบ้าง แต่คุณหยกแกรับได้หมด”

   “หยกน่ะ เขาถนัดตั้งรับมากกว่าบุก ผิดกับยัยตั๋นคนนั้นเขาชอบลุย” อาชาติอธิบาย

   “แต่ที่คุณโบตั๋นพูดก็มีเหตุผล จนตอนนี้ผมก็ยังคิดไม่ตก” นายต้นเล่าต่อ

   “อะไรของแกว่ะ เล่าทีก็เล่ามาให้หมด ๆ สิว่ะ” เก่งเริ่มโวย

   “คุณโบตั๋นเธอสงสัยว่า ทำไมพวกนั้นถึงจ้องทำร้ายแต่คุณหยก ทั้งที่เธอน่าจะโดนจัดการได้ง่ายกว่าเพราะเธอเป็นผู้หญิง”

   “เอ่อ จริงว่ะ คนเมาแมร่งก็ต้องฉุดผู้หญิงสิว่ะ ใครแมร่งจะสนใจตัวผู้ด้วยกัน” นายเอคิดตาม

   “อ่ะแฮ่ม!” พยัคฆ์กระแอมออกมาทีหนึ่ง นายเอหุบปากแทบไม่ทัน

   “มันก็ยังไม่แน่หรอกว่าเป้าหมายมันจะอยู่ที่ใคร หรือว่าอยู่ที่ทั้งสองคน คงต้องให้คีช่วยสืบเพิ่ม เอาเป็นว่าพวกนายก็อย่าประมาท ตอนที่หยกกับโบตั๋นถ่ายงานกันมันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร เพราะอยู่กับคนเยอะ แต่ตอนกลับมาถึงที่เขาหลักนี่ ก็ระวังกันให้มากหน่อย ยิ่งพรุ่งนี้โบตั๋นอาจจะไม่ช่วยตัวเองได้แบบนี้แล้วด้วย” อาชาติเตือนทุกคนก่อนจะไล่ให้แยกย้ายกัไปพักผ่อน

   “อาชาติว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเมฆาขาว หรือนายเกรียงไกรรึป่าวครับ” พยัคฆ์ถามหลังจากทึ่ทุกคนออกไปจากห้องกันหมดแล้ว

   “อาเองก็ยังตอบไม่ได้ เท่าที่อาเช็คไปทางกรุงเทพฯ เจ้าสัวเซียงมันเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าเดาไม่ผิด คงจะเข้าบ่อนอีกตามเคย”

   “เป็นไปได้ไหมครับที่เกรียงไกรจะทำงานกับคุณลตา?”

   “ก็อาจะเป็นไปได้ อาก็ให้อากรลองเช็คดูอยู่ ว่าลตามาที่นี่ด้วยไหม? เพราะอาว่าคนอย่างนายเกรียงไกร ไม่น่าจะทำงานคนเดียวได้”

.........................................................................

   เรื่องที่พวกเราโดนพวกที่เมามาหาเรื่องเมื่อคืนนี้รู้ถึงหูเจ่เจ้จนได้ พี่ ๆ คนของอากรไม่ได้บอกเจ่เจ้หรอกครับ แต่เป็นเจ็กลู่ต่างหาก เจ็กให้เหตุผลว่า เจ่เจ้รู้จะได้เป็นการระวังและคอยดูตัวเอง ไม่ประมาท เจเจ้ไม่ได้ตำหนิพวกเราที่ปิดบังไม่ได้บอกเจ่เจ้ตั้งแต่เมื่อคืน มันยิ่งทำให้ทั้งผมและโบตั๋นจ๋อยสนิท

   ผมไปส่งโบตั๋นขึ้นเรือยอร์ช แค่เธอเห็นเรือก็หน้าซีดแล้วครับ ผมสัมผัสได้ว่าเธอกลัวแค่ไหน ทีเมื่อคืนฟัดกับคนที่ตัวโตกว่ายังไม่เห็นกลัวแบบนี้เลย ผมไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี ผมเห็นโบตั๋นเกาะแขนเจ็กลู่เป็นลูกลิงเลยครับ

   หลังจากส่งโบตั๋นขึ้นเรือแล้วผมก็มาสมทบกับทีมงานอีกทีมเพื่อเดินทางไปยังเกาะสิมิลัน วันนี้ผมมีคิวถ่ายที่หาดเจ้าหญิง ซึ่งเป็นคนละที่กับเมื่อวานที่โบตั๋นถ่ายกันที่อ่าวงวงช้าง พี่โอ๋ยังคงเกาะติดผมเหมือนเมื่อวาน แต่ช่างภาพสลับมาเป็นพี่เมฆแทน ดูแกดีใจมากที่จะได้ถ่ายภาพผมวันนี้ ระหว่างอยู่บนเรือมาชวนผมคุยตลอด จนพี่โอ๋เริ่มแซว บรรยากาศบนเรือสนุกสนานกว่าเมื่อวาน ที่เอาแต่ทำงานอย่างเดียว

   เมื่อมาถึงที่ชายหาด ผมเห็นพี่เสือกับพี่อีกคนนอนเล่นบนเตียงผ้าใบอยู่ก่อนแล้ว พี่เสือมารอผมแสดงว่าเขาต้องออกมากับเรือเที่ยวแปดโมงแน่ ๆ

   “น้องหยกร้อนหรอค่ะ แก้มแดงเชียว” พี่โอ๋ทักผมระหว่างที่แต่งหน้าให้ผม

   “ก็นิดหน่อยครับ” ที่จริงผมไม่ได้รู้สึกร้อนอะไร แต่ผมไม่รู้ว่าจะตอบพี่โอ๋เขายังไง ผมไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ผมถึงหน้าแดงทั้งที่ไม่ได้ออกแรงหรือออกกำลังกายอะไร

   “ถ้ารู้สึกไม่สบายต้องรีบบอกพี่รู้ไหมค่ะ พี่จะได้หาหยูกหายาให้ทาน วันนี้คุณอาน้องหยกไม่ได้มาเฝ้า ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแลน้องหยกแทน” พี่โอ๋ปวารณาตัวเป็นผู้ปกครองผมแทนเจ็กลู่ครับ

   “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”

   “ไม่ค่ะ ไม่ต้องปฏิเสธความหวังดีของพี่นะคะ แล้วถ้าอีเมฆมาเกาะแกะน้องหยกให้รำคาญใจก็บอกพี่ได้นะคะ เดี๋ยวพี่โอ๋คนนี้จะช่วยจัดการให้เองค่ะ” พี่โอ๋กับพี่เมฆเถียงกันมาตั้งแต่บนเรือจนกระทั่งเริ่มงานเลยครับ ผมพอรู้สึกได้ว่าพี่ ๆ เขาแค่หยอกกันเล่นตามประสาคนทำงานด้วยกันเท่านั้น เหมือนเป็นสร้างสีสันในการทำงาน ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าพี่เมฆเขาจะตีสนิทผมมากไปหน่อย เหมือนใช้ผมเป็นเครื่องมือสร้างความเฮฮาให้กับกองถ่ายยังไงก็ไม่รู้

   ยิ่งพอ ๆ ทำงานไปผมเริ่มรับรู้ถึงความไม่พอใจของพี่เสือทื่ส่งผ่านมา เพราะบรรดานายแบบคนอื่นเริ่มเล่นตีสนิทกับผมแบบเดียวกันกับพี่เมฆ ทำเอาพี่โอ๋หัวหมุน สร้างความเฮฮาให้กับกองถ่ายไม่น้อย

   แต่ผมว่ามันคงเป็นสไตล์การถ่ายภาพของพี่เมฆนะ พอพวกนายแบบเล่นกับผม พี่เมฆก็หยุดกำกับว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ได้แต่กดชัตเตอร์ไม่ยั้งเหมือนคราวที่ผมถ่ายงานกับโบตั๋นไม่มีผิด

To Be Continue

ช่วงนี้อัพช้าหน่อยน้า.....

หนีเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยไปหน่อยจร้า....

อาทิตย์หน้าทริปสุดท้ายแว๊ว (หายไปอีกหนึ่งอาทิตย์นะคะ)

หลังจากนี้น่าจะเข้ามาอัพได้บ่อยขึ้นคร้า
หัวข้อ: Re: หยก 2-11-17 {{:::24:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-11-2017 09:13:38
เมื่อไหร่พี่เสือจะได้ใกล้ชิดน้องหยกซะทีหนอ สงสารคนขี้หวงที่ทำได้แค่คอยหึงอยู่ห่างๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 2-11-17 {{:::24:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 05-11-2017 15:09:23
อยากรู้แล้วว่าจะจัดการกับพวกเมฆกับเกรียงไกรยังไง
นี้หวังอย่างเดียวอย่าให้น้องอยู่กับเมฆแบบไม่ใส่เมฆาขาวนะ ไม่งั้นน้องจะไม่รู้ตัวเลยว่าเมฆมันมุ่งร้าย
หัวข้อ: Re: หยก 13-11-17 {{:::25:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 13-11-2017 11:42:39
25

    พยัคฆ์พยายามข่มความหงุดหงิดไว้ให้ได้มากที่สุด เขารู้ว่าอารมณ์ของเขาแบบนี้อาจจะทำให้น้องหยกยิ่งหวาดกลัวเขา น้องหยกกับเขากว่าจะเข้ามาใกล้กันได้ขนาดนี้ หยกต้องใช้เวลาฝึกไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นเขาต้องข่มอารมณ์หึงหวงของตัวเองลงให้ได้ แม้ว่ามันจะทรมานสักแค่ไหน

   “คุณพยัคฆ์เป็นอะไรรึป่าวครับ ดูคุณสีหน้าไม่ค่อยดี” นายเก่งถามขึ้น

   “ป่าว” พยัคฆ์พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนจนเกินไป

   “หึงคุณหยกหรอครับ?”

   “ฉันดูง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”

   “ไม่หรอกครับ แต่ผมพอจะเดาได้ และสงสัยมากกว่า ว่าคุณพยายามเก็บอาการไว้ทำไม ถ้าหึงก็แสดงออกไปสิครับว่าหึง คุณหยกเขาจะได้รู้ว่าคุณพยัคฆ์หวง และห่วงเขาแค่ไหน”

   “นายไม่เข้าใจหรอก”

   “สังคมสมัยนี้เขาเปิดกว้างแล้วนะครับ คุณพยัคฆ์จะกังวลไปทำไม หรือว่าคุณหยกยังไม่รู้ตัว ว่าคุณพยัคฆ์ชอบเขาอยู่”

   “ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่าหยกรู้รึป่าว”

   “อ่าว แล้วที่ไปเฝ้าคุณหยกทุกวันล่ะครับ คุณพยัคฆ์ไม่เคยแสดงออกเลยหรอครับ”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

   “เฮ้ย!! จริงสิครับ”

   “...”

   “งั้นก็เอาอย่างนี้สิครับ ไหน ๆ เดี๋ยวจบงานนี้ คุณๆ เขาก็อยู่เที่ยวกันต่อ คุณพยัคฆ์ก็ชวนคุณหยกเที่ยวสิครับ จะเลือกไปเที่ยวอ่าว เที่ยวเกาะไหนสักเกาะ หรือไปดำน้ำดูปะการังก็ได้นี่ครับ แล้วหาโอกาสเหมาะ ๆ บอกเขาก็ได้”

   “นายนี่ก็พูดง่ายนะ”

   “ผมว่ามันก็ไม่ได้ยาก โอกาสมันมีอยู่ตลอดเวลานั่นแหละครับ เพียงแต่คุณจะฉวยโอกาสนั้นไว้ไหม?"

   "..."

   "ผมเข้าใจว่าคุณพยัคฆ์ไม่กล้ามากกว่า เพราะคุณหยกก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”

   “นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง”

   “หรือว่าเพราะคุณโบตั๋น”

   “โบตั๋นทำไม”

   “อ่าว ก็ที่คุณเคยบอกว่าโบตั๋นไม่ค่อยชอบหน้าคุณเพราะไปจีบพี่ชายเขา”

   “ฉันไม่สนใจโบตั๋นหรอก ไม่สนใจใครทั้งนั้น ฉันก็แค่...แคร์ความรู้สึกของหยกเท่านั้น”

   “ผมไม่เคยเห็นคุณพยัคฆ์เป็นแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่กับผู้หญิงที่คุณเคยคบด้วย”

   “ฉันก็พอรู้ตัวอยู่ จนบางทีฉันเองก็คิดว่าฉันคงบ้าไปแล้ว”

   “ไม่หรอกครับ ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะคุณอาจจะรักคุณหยกมากจริง ๆ มากกว่าใคร ๆ ที่คุณเคยคบมา”

.........................................................................

    เราถ่ายงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทีมของสาวๆ ที่อยู่บนเรือยอร์ชยังไม่มาสมทบที่หาดเลย ผมนึกเป็นห่วงโบตั๋น จนต้องโทรไปหาเจ็กลู่ ยังดีที่พอมีสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ติดต่อกันได้ และโบตั๋นก็เมาเรือจริง ๆ ถ่ายงานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนทีมงานบนเรือตัดสินใจเปลี่ยนคอนเซ็ปในตอนท้าย

   เรื่องคอนเซ็ปการถ่ายที่ผมทราบอย่างไม่เป็นทางการ เพราะเห็นว่าพี่อ้วนต้องปรึกษากับเจ้เปิ้ลและพี่เมฆก่อน ตอนที่ผมโทรไป พี่อ้วนถ่ายสาว ๆ คนอื่นก่อน ส่วนโบตั๋นนอนพักอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่ง

   แล้วพี่โอ๋ก็เดินมาแจ้งข่าวผม ว่าทีมที่อยู่บนเรื่อยอร์ชจะไม่มาสมบทกับพวกเราที่นี่แล้ว ให้พวกเราเตรียมเก็บของกลับกันเลย ระหว่างที่ผมนั่งรอทีมงานเก็บของกลับกัน ผมก็ส่งข้อความไปบอกพี่เสือ

   Yok : หยกกับทีมงานกำลังจะกลับเขาหลักแล้วนะครับ

   Payak : ไม่รอโบตั๋นแล้วหรอ?

   Yok : หยกว่าโบตั๋นคงเมาเรือหนัก

   Yok : ถ่ายงานต่อไม่ได้

   Yok : ทีมโน้นเขาเลยกลับไปที่เขาหลักกันไปแล้ว

   Payak : พี่นัดเรือมารับตอน 15.00 น.

   Payak : พี่คงต้องตามหยกไปทีหลัง

   Yok : ครับ

   ผมคุยกับพี่เสือได้อีกสักพัก พวกทีมงานก็มาตามผมกับนายแบบคนอื่นให้ไปขึ้นเรือพร้อมออกเดินทางกลับกัน

   เมื่อผมมาถึงที่บ้านพักก็เห็นโบตั๋นนอนหมดสภาพอยู่ในห้องพักโดยมีเจ็กลู่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ส่วนพี่ภาพาเจ่เจ้ไปเที่ยวไหนก็ไม่รู้ครับ เย็นนื้ทางทีมงานจะจัดปาร์ตี้กันตามแผนเดิม พรุ่งนี้เช้าทีมงานเช็คเอ้าท์เรียบร้อย ก็จะไปถ่ายเก็บงานที่เหลือกันต่อ

   ส่วนใหญ่จะซ่อมงานเซตของสาว ๆ ที่ขาดโบตั๋นไป ตอนอยู่บนเรื่อ กับเพิ่มงานเซตรวมที่เพิ่งถ่ายไปได้ครึ่งเซตเมื่อวานนี้ เนื่องจากวันนี้โบตั๋นไม่สามารถถ่ายงานต่อได้เพราะเมาเรือ

   เจ้เปิ้ลกับพี่โอ๋แวะมาหาโบตั๋นที่ห้องพัก โบตั๋นยังคงเพลียจากอาการเมาเรืออยู่ และระหว่างวันก็ทานอะไรไม่ได้เลย จนตอนนี้ก็แทบจะไม่มีแรงขึ้นมาพูดคุยกับพี่ ๆ เขา

   “ถ้างั้นเราไปกันเถอะ ให้น้องโบตั๋นได้พักผ่อน” เจ้เปิ้ลชวนพี่โอ๋กลับ

   “น้องโบตั๋นพักผ่อนมาก ๆ นะ ค่ำนี้ถ้าไปปาร์ตี้กับพวกพี่ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร พักเยอะ ๆ นะจ๊ะ”

   “ตั๋นต้องขอโทษพี่ ๆ ด้วยนะคะ ที่ทำให้เสียงานเสียการ”

   “ไม่เป็นไรหรอกน่า งานพรุ่งนี้ค่อยทำต่อก็ได้ น้องโบตั๋นก็พักเอาแรงไว้ลุยงานพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เจ้เปิ้ลปลอบใจ

   “น้องหยกจะไปพร้อมพี่เลยไหมค่ะ นี่งานก็จะเริ่มแล้ว” พี่โอ๋ชวน ผมมองหน้าเจ็กลู่กับโบตั๋น ลังเลเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณอา เดี๋ยวโอ๋ดูแลน้องหยกเอง ชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว” พี่โอ๋รีบบอก

   “ลื้อไปเถอะ อาตั๋นเดี๋ยวอั๊วดูแลเอง” เมื่อเจ็กลู่พูดแบบนี้ สองสาวใหญ่ก็ไม่รอช้า เข้าคล้องแขนผมคนละข้างก่อนค่อยพาผมออกจากห้องไปยังปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่ทีมงานจัดขึ้น

.........................................................................

   พยัคฆ์นั่งอยู่บนเรือมาราวชั่วโมง ยังอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเขาหลัก ทุกอย่างผิดแผนจากที่วางไว้ เพราะเรือยอร์ชกลับเข้าเขาหลักไปก่อน ไม่แวะมาสมทบกับอีกทีมที่หาดเจ้าหญิง ทำให้แทนที่เขาจะล่วงหน้าไปก่อน กลับเป็นฝ่ายต้องไล่ตามหยกแทน ยิ่งเมื่อคืนเกิดเรื่องกับน้องหยก เขาก็ยิ่งเป็นห่วง

   ยังดีที่วันนี้นายเอไม่ได้มาด้วย อยู่ช่วยงานคีสืบข้อมูลอยู่ที่เขาหลัก ทำให้เขาส่งข้อความไปบอกให้เอมาคอยดูแลแทนเขากับเก่งได้ ต้นกับเต้ตามหงส์ไปที่น้ำตกโตนช่องฟ้า คงจะไปเที่ยวกับเพ็ญนภา ส่วนโบตั๋นมีอาชาติคอยดูแลอยู่แล้ว

   “ไม่รู้ป่านนี้ไอ้เอมันจะเจอกับคุณหยกรึยังนะครับ”

   “อืม ฉันก็เป็นห่วงอยู่”

   “ถ้าไงให้ผมส่งข้อความไปบอกคีมันไหมครับ ยังไงมันก็สแตนบายอยู่แถวโรงแรมอยู่แล้ว ไม่ได้ขับรถตะเวนสืบอย่างไอ้เอมัน”

   “ก็ดีเหมือนกัน ยังไงก็บอกให้คีมันระวังตัวด้วยแล้วกัน”

   “ครับ”

.........................................................................

   หลังจากพยายามสร้างความสนิทสนมกับน้องหยกระหว่างการถ่ายงาน ทำให้น้องหยกสนิทใจและพูดคุยกับเขามากขึ้น กับนายแบบคนอื่น ๆ ก็คุยกันอย่างถูกคอ ตอนนี้เมฆก็แค่หาจังหวะและโอกาสที่จะทำตามแผนเท่านั้น ยิ่งโบตั๋นนอนพักอยู่ที่บ้านพักไม่มีคนมาคอยขัดจังหวะแบบนี้มันก็ยิ่งง่าย

   ถึงแม้ว่าจะมีเจ้เปิ้ลกับยัยโอ๋คอยป้วนเปี้ยนแต่ 2 คนนี้เขารู้นิสัยดีเพราะทำงานมาด้วยกันนาน จัดการได้ไม่ยาก ตอนนี้เขาก็เฮฮาไปตามเรื่องตามราว สนุกกับทีมงานคนอื่นไปเรื่อย ๆ

   ทีมงานจัดปาร์ตี้บาบีคิวขึ้น โดยใช้สถานที่ริมหาดของทางโรงแรมจัด แต่ละคนปิ้งย่าง คุยเฮาฮากันอย่างสนุกสนาน เจ้เปิ้ลกับยัยโอ๋แทบจะไม่ให้น้องหยกเข้าใกล้เตาปิ้งเลย คอยเอาอกเอาใจเทคแคร์เป็นการใหญ่ แล้วยังมีนายแบบหลายคนอาสา คอยปิ้งย่างให้อีก เขาแวะเวียนเข้าไปแซวเล่นบ้าง พอเป็นสีสันแต่ไม่ให้ผิดสังเกต

   เขาสังเกตเห็นว่าน้องหยกมีความสามารถในการชงเครื่องดื่ม คงเป็นเพราะน้องเขาเป็นบาริสต้าที่ร้านอาหารแน่นอน ทำให้เขาพอจะนึกแผนการอะไรบ้างอย่างออกมาได้

.........................................................................

   นายเอตามมาสมทบกับคีที่ริมชายหาด คอยเฝ้ามองทีมงานเฮฮาปาร์ตี้กัน โดยมากจะจับกลุ่มเล่นเกมส์กัน แต่ก็จะมีกลุ่มย่อยที่แยกออกไปอย่างกลุ่มของคุณหยก ที่มีสาว ๆ คอยรุมล้อมอยู่ นาน ๆ จะมีหนุ่ม ๆ นายแบบแวะเวียนมาหยอกเย้าบ้าง

   “คุณหยกนี่เสน่ห์แรงน่าดูว่ะ ทั้งสาว ๆ หนุ่ม ๆ แวะเวียนกันเข้าหาไม่ขาด” เอที่ตามมาสมทบเอ่ยขึ้น

   “คุณโบตั๋นกับพี่ชาติเค้าถึงได้หวงไง”

   “ใครว่าแค่นั้นล่ะ คุณพยัคฆ์ด้วยอีกคน ไม่งั้นคงไม่ให้มึงกับกูมาเฝ้าด้วยกันทั้งคู่แบบนี้หรอก”

   “กูได้ยินว่าเมื่อคืนคุณหยกโดนรุม แต่ยังรับมือได้ เก่งขนาดนั้นเลยหรอว่ะ” คีสงสัย

   “กูก็ไม่เห็นกับตาหรอก ต้องถามไอ้เต้กับไอ้ต้นมัน กูตามไปรับคุณ ๆ เข้ามาส่งที่บ้านพักเท่านั้น”

   “ไม่รู้ว่าคุณ ๆ บ้านนี้เขาไปทำอะไรใครไว้นะ ถึงมีคนจ้องจะทำร้าย”

   “คุณพยัคฆ์กับพี่ชาติก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรกับกูเท่าไร เขาให้กูมาอารักขาคุณ ๆ เขา กูก็มา”

   “แล้วมึงสืบเรื่องคุณลตาไปถึงไหนแล้ว” คีถามเรื่องงานที่แยกย้ายกันไปทำ

   “กูสืบตั้งแต่โรงแรมยันโฮมสเตย์ ไม่มีแขกชื่อคุณลตาหรือคนที่หน้าตาเหมือนคุณละตามาพักนะ แล้วทางมึงอ่ะคุณเกรียงไกรเป็นยังไงบ้าง”

   “รายนั้นก็เอาแต่เที่ยวไปเรื่อย ๆ แล้วดูเหมือนจะมาคนเดียวนะ เจ้าสัวไม่ได้มาด้วย”

   “มาคนเดียวทำไมเช่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นว่ะ แทนที่จะพักบนห้องสูทของโรงแรม”

   “คนรวยอยากพักตรงไหนก็พัก มีเงินซะอย่าง”

   “หรือว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญว่ะ ที่คุณเกรียงไกรมาเที่ยวที่นี่”

   “กูก็ยังไม่แน่ใจ คุณเพ็ญนภาเองก็รู้จักคุณเกรียงไกรไม่ใช่หรอว่ะ บางทีการที่คุณพยัคฆ์ให้พวกเราระวังคุณเพ็ญนภาไว้มันอาจจะมีเหตุผลก็ได้”

   “มึงลองสืบเรื่องคุณเพ็ญนภารึยัง?” เอออกความเห็น

   “คุณพยัคฆ์ไม่ได้สั่ง กูจะไปสืบได้ยังไง อีกอย่างคุณเพ็ญเธอก็เป็นเพื่อนกับคุณหงส์”

   “กูว่า น่าจะลองถามคุณพยัคฆ์ดู เพื่อนเราเผาเรือนแมร่งก็มีออกจะเยอะแยะไป ครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ขึ้นมา ก็ว่าไม่น่าจะบังเอิญแล้วว่ะ ”

.........................................................................

   ผมมัวแต่สนุกกับการผสมค็อกเทลต่างๆ ให้พี่ ๆ ทีมงาน จนลืมเวลาเลยครับ ว่ามันดึกแค่ไหนแล้ว ผมเริ่มมาผสมค็อกเทลเพราะว่าพี่ ๆ แต่ละคนคอยเอาอาหาร เครื่องดื่ม ขนมมาให้ผมที่โต๊ะ จนผมแทบจะไปได้ลุกไปไหนเลยนอกจากจะไปห้องน้ำเท่านั้น พอสบโอกาสได้มาชงเครื่องดื่มสีสันสดสวย ก็ยังมีเจ้เปิ้ลมาเป็นลูกมือครับ

   ผมมองไปรอบ ๆ เห็นพี่คนที่มารับผมกลับห้องพักเมื่อวานนี้ยืนมองผมอยู่ไกล ๆ กับผู้ชายอีกคน คนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน สักพักผมก็เห็นพี่เสือกับพี่ที่ตามผมไปที่หาดวันนี้เข้ามาคุยกับพี่สองคนนั่น

   “น้องหยกชงน้ำพั้นซ์อร่อยมาก ไปเรียนมาจากไหนจ๊ะ” เจ้เปิ้ลเดินเข้ามาหาผม ทำให้ผมละสายตามามองที่เจ้เขา เสียงเริ่มอ้อแอ้แล้วครับ

   “ไม่ได้เรียนจากที่ไหนหรอกครับ ลองผิดลองถูกเอาเองมากกว่า”

   “เก่งนะเรา ไหนพี่ขอถ่ายรูปคู่กับบาร์เทนเดอร์กิตติมศักดิ์หน่อยสิ” พี่เมฆเดินเข้ามาขอถ่ายรูปกับผม “พี่เอารูปหยกลงไอจีได้ไหม ต้องขออนุญาตก่อน อีกหน่อยเราดังขึ้นมาเดี๋ยวจะมาเก็บค่ารูปตามหลังพี่ไม่ได้นะ”

   “ได้สิครับ ส่วนเรื่องค่ารงค่ารูปน่ะ ไม่มีหรอกครับ”

   “ว๊าย...น้องหยกพี่ถ่ายด้วยสิ” พี่โอ๋ที่ยืนเฝ้าผมไม่ไปไหนพูดขึ้น แล้วเราสามคนก็ถ่ายรูปด้วยกัน

   “หยก ๆ เราอยากได้เครื่องดื่มแบบพี่อ้วนนะ ทำให้เราแก้วนึงสิ” นายแบบคนหนึ่งเดินมาถามผม ผมจึงมองไปทางพี่อ้วนช่างภาพ ว่าเขาดื่มอะไรอยู่

   “ได้ครับ ดีนะที่ยังพอมีเหลือคาแก้วอยู่ ไม่งั้นผมคงจำไม่ได้แน่ว่าชงอะไรให้ใครบ้าง” คนรอบข้างพากันหัวเราะคำพูดของผม แต่ผมไม่อายหรอกครับ ก็ผมจำไม่ได้จริง ๆ นี่ครับ

   “พี่เห็นหยกชงนู่นผสมนี่ให้แต่คนอื่นดื่ม แล้วหยกล่ะ ได้ทานอะไรบ้างรึยัง?” พี่เมฆถามผม

   “โอ๊ย...เรื่องนั้นแกไม่ต้องห่วงหรอกย่ะ ฉันดูแลน้องหยกของฉันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอาหารการกิน เครื่องดงเครื่องดื่ม”

   “นี่กะว่าจบงานนี้จะเลิกเป็นช่างแต่งหน้ามาเป็นผู้จัดการให้น้องหยกเลยว่างั้น”

   “ก็ถ้าน้องหยกอยากให้พี่โอ๋คนนี้ช่วยเป็นผู้จัดการให้ พี่โอ๋ก็ยินดีนะคะ”

   “แหวะ หมั่นไส้” พี่เมฆทำหน้าเหม็นเบื่อใส่พี่โอ๋ ก่อนเดินไปยังกลุ่มที่เขาเล่นเกมส์กัน

   ผมส่งเครื่องดื่มให้กับนายแบบเรียบร้อย ข้าง ๆ ผมก็ยังมีพี่โอ๋นั่งเฝ้าอยู่เหมือนเดิม ส่วนเจ้เปิ้ลที่เมาได้ที่เริ่มเดินไปกลุ่มนั้นที กลุ่มนี้ที โดยเฉพาะกลุ่มนายแบบเจ้แกจะอยู่นานเป็นพิเศษ ผมละสายตาจากกลุ่มคนในงานปาร์ตี้มองขึ้นไปตรงที่พี่เสือยืนอยู่ แต่กลับเป็นว่า ผมเห็นแต่พี่ 2 คนก่อนหน้านี้แทน พี่เสือหายไปแล้ว

   “น้องหยกเป็นอะไรไปค่ะ ทำหน้าเซ็งเชียว หรือว่างานไม่สนุก” พี่โอ๋ที่ยังคอยอยู่เป็นเพื่อนผมถามขึ้น

   “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ ว่าแต่พี่โอ๋คอแข็งจังนะครับ ผมเห็นดื่มไปตั้งเยอะ”

   “พี่น่ะ นักดื่มตัวแม่นะขอบอก ไม่เมาง่าย ๆ หรอกจ๊ะ ว่าแต่หยกเถอะ อย่าดื่มเยอะนะ พรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่ เดี๋ยวผิวจะเสียหมด”

   “ผมก็ไม่ค่อยชอบดื่มหรอกครับ ดื่มแค่นิดหน่อย ๆ เป็นเพื่อนเจ้เปิ้ลแค่นั้น นอกนั้นผมก็ไม่ได้แตะแล้วล่ะครับ”

   “ตรงนี้ก็มีแต่พวกเบียร์กับเหล้า น้องหยกเอาน้ำอะไรไหม เดี๋ยวพี่ไปเอาให้ ชงให้คนอื่นดื่ม แต่ตัวเองมายืนคอแห้งอยู่ตรงนี้”

   “ไม่ต้องหรอกครับพี่โอ๋ น้ำพั้นซ์ของผมยังไม่หมดเลย ดื่มนี่เอาก็ได้ครับ”

   “ต๊าย...ป่านนี้ไม่จืดซะหมดหรอ?”

   “ผมปรุงเพิ่มนิดหน่อยรับรองว่าอร่อยเหมือนเดิมครับ”

   “จ้า...เรานี่ขี้เกรงใจจังเลยนะ”

   ผมจัดการปรุงน้ำพั้นซ์ของผมใหม่ ใส่เพิ่มเฉพาะน้ำผลไม้ ไม่ใส่พวกเหล้าเพิ่ม ก่อนเติมน้ำแข็ง จากนั้นก็ยกขึ้นมาจิบเล็กน้อยให้พอชื่นใจ

   “หืม...สีน่าทานจัง ทำให้พี่สักแก้วได้ไหม?” พี่โอ๋เห็นผมผสมสูตรใหม่ สีเปลี่ยนจากเดิมเลยอยากจะชิมบ้าง ผมก็ทำให้เธอแก้วนึง “โอ้ย...น้องหยก อร่อยมาก นี่น้องหยกไปเปิดร้านได้เลยนะเนี๊ยะ” พี่โอ๋ชม ผมก็ได้แต่ยิ้มๆ แถมโฆษณาให้อีก คนที่อยู่ใกล้ ๆ จึงเข้ามาให้ผมชงน้ำพั้นซ์สูตรนี้ให้ดื่มบ้าง ผมชงไปได้ 2-3 แก้วแล้วรู้สึกมึน ๆ มือไม้อ่อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ จึงขอตัวพี่ ๆ เขาไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาสักหน่อย

To Be Continue

กลับมาแล้วคร้า......

หนีเที่ยวไปซะหลายวัน

กระเป๋าแฟบกลับมาแบบนี้ คงได้อยู่บ้านเขียนนิยายต่อแบบยาว ๆ กันไป

ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคนที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: หยก 13-11-17 {{:::25:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 13-11-2017 16:57:28
นายเมฆนี่น่าโดนจริงๆ  ระวังน้องหยกก้านคอเข้าให้
หัวข้อ: Re: หยก 20-11-17 {{:::26:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-11-2017 12:13:22
26

    พยัคฆ์เดินกลับมาหาพวกเอและคีอีกครั้ง หลังจากไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวให้สดชื่น ที่จริงสองคนนั่นไล่เขาให้ไปทานข้าวก่อนด้วยซ้ำ แต่เขายังไม่หิว ที่สำคัญความรู้สึกที่เป็นห่วงน้องหยก ลางสังหรณ์แปลกๆ อย่างที่ตาข้างขวาที่กระตุกมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน มันทำให้เขาไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

   “เป็นยังไงบ้าง” พยัคฆ์ทักนายเอ “แล้วคีมันไปไหนของมัน”

   “คีมันตามคุณหยกไปน่ะครับ”

   “แล้วหยกไปไหน?” ทำไมเขาถึงได้รู้สึกระส่ำระส่ายอย่างนี้

   “ผมเห็นคุณหยกเดินไปทางห้องน้ำ หายไปได้สักพักผมเลยให้คีตามไปดู”

   “ปกติห้องน้ำของโรงแรม คนไม่น่าจะเยอะ ทำไมถึงได้ไปนานกันนะ” พยัคฆ์พูดอย่างเป็นกังวล

   “ถ้าผมเป็นคุณหยก ผมคงอยากจะหายไปนานๆ เหมือนกันครับ อยู่ในงานมีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง ผมเห็นแล้วก็อึดอัดแทน คุณหยกแกเป็นคนใจเย็นนะครับ ไม่บ่นไม่แสดงท่าทีรำคาญออกมาให้เห็นเลย”

   “อืม...งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปดูหยกกับนายคีมันหน่อย” เขาไม่สามารถทนยืนรอเฉย ๆ ไม่ได้

   “ครับ ถ้าเจอคุณหยกแล้ว ผมว่าให้แกกลับไปพักเถอะครับ งานที่นี่ก็ใกล้จะเลิกแล้ว”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

.........................................................................

   เมฆคอยสังเกตน้องหยกอยู่ห่าง ๆ หลังจากที่เขาเข้าไปคุยกับหยกครั้งล่าสุด ระหว่างที่เซลฟี่กัน 3 คนเขาแอบหย่อนยาชนิดละลายทันทีลงในแก้วน้ำพั้นซ์ของน้องหยก บ่อยครั้งที่เขาเดินวนไปเวียนมาใกล้ๆ จนรู้ว่าต้องจัดการกับแก้วใบไหน และเท่าที่ดูน้องหยกดื่มน้อยมาก ถ้าเขาจะใส่ยาอะไรลงไป กว่าน้องหยกจะยกขึ้นดื่มอีกครั้งยาคงละลายไปหมดแล้ว แต่ก็เสี่ยงอีกเช่นกันหากน้องหยกจะไม่ดื่มน้ำแก้วอีกเลย

   และดูเหมือนโชคเหมือนจะเข้าข้างเขาอยู่ เพราะแทนที่น้องหยกจะยกดื่มทันที กลับกลายเป็นว่าน้องหยกผสมเครื่องดื่มเพิ่ม ยิ่งน้องหยกคนน้ำในแก้วมากเท่าไร ตัวยาที่กระจายอยู่ในเครื่องดื่มนั่นก็ยิ่งออกฤทธิ์เร็วเท่านั้น

   เขาเห็นน้องหยกเดินออกจากซุ้มเครื่องดื่ม ตรงไปยังห้องน้ำของโรงแรม ถ้าเขาเดาไม่ผิดยาที่เขาใส่ไว้น่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว เขาจึงรีบโทรไปหาเกรียงไกรที่ดักรออยู่ภายในโรงแรมทันที

   “น้องหยกของคุณกำลังเดินไปห้องน้ำ ใกล้ที่สุดน่าจะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำ คุณเดินไปรอได้เลย”

   “ลื้อแน่ใจนะว่าคราวนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก”

   “ผมรับรอง เดี๋ยวผมเดินประกบหลังตามไปส่งให้ถึงห้องหอรอรักเลยแล้วกัน” พูดจบเขาก็วางสายก่อนเดินตามน้องหยกไปยังห้องน้ำ

   และก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด น้องหยกค่อยๆ ก้าวไปห้องน้ำอย่างช้า ๆ พยายามทรงตัวให้อยู่ แต่จะฝืนไปได้สักเท่าไรกันเชียว เขายิ้มกริ่มอยู่ในใจ พร้อมกวาดตามมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครในระแวกนี้เลย นอกจากเกรียงไกรที่กำลังเดินออกมาจากตัวโรงแรม เดินตรงเขามาหาเป้าหมายอย่างน้องหยก

   น้องหยกกับเกรียงไกรเดินมาเจอกันบริเวณหน้าทางเข้าห้องน้ำพอดี ซึ่งตอนนั้นเขาเห็นว่าน้องหยกเริ่มหมดแรงแล้ว หน้าแดงตัวแดงไปหมด ดูมีเสน่ห์ น่าหลงใหลไม่เบา หลังจากนี้เขาอาจจะลองบ้างก็ได้

   “คุณเป็นอะไรรึป่าวครับ” เกรียงไกรถามพร้อมกับสอดแขนเข้าไปใต้รักแร้ของน้องหยก แถมรั้งกระชับเข้าหาตัวอีกต่างหาก เขาเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ ให้เกรียงไกรเป็นคนจัดการต่อเอาเอง

   “มะ...ไม่เป็นไรครับ” น้องหยกตอบ พยายามจะดันร่างของตัวเองออกจากเกรียงไกร ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีแรงแม้กระทั่งจะทรงตัวอยู่แล้ว

   “ดูท่าทางคุณจะเมามาก ผมช่วยพาไปส่งที่ห้องดีกว่าครับ”

   “มะ...ไม่...เมา” น้องหยกเริ่มพูดไม่เป็นคำ
   “คุณอยู่ห้องไหน ผมไปส่งดีกว่า” เกรียงไกรไม่พูดเปล่า เขาพยุงร่างอ่อนปวกเปียกนั่นเดินมุ่งตรงไปยังบ้านพักของเขาทันที

   “คุณหยก!! เป็นอะไรไปครับ” เมฆเห็นผู้ชายหน้าตี๋ใส่แว่นเดินมาจากทางไหนก็ไม่รู้ เข้ามาขัดจังหวะและดูท่าทางเหมือนจะรู้จักน้องหยกมันเสียด้วย

   “คุณรู้จักกับคุณคนนี้ด้วยหรอครับ” เกรียงไกรถามหนุ่มตี๋นั่น

   “ครับ เดี๋ยวผมพาคุณหยกกลับไปพักเองนะครับ” เมฆเห็นน้องหยกเองก็เหมือนจะรู้จักหนุ่มหน้าตี๋คนนี้ จากอาการที่น้องหยกเอื้อมมือเข้าไปหามัน หมายจะให้หนุ่มหน้าตี๋นั่นพยุงแทนเกรียงไกร

   เท่าที่ความคิดตอนนี้เของเขาจะคิดออกมาได้ เมฆไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปหากลุ่มคนตรงหน้า ระหว่างที่หนุ่มตี๋กำลังจะเข้าไปพยุงน้องหยกจากเกรียงไกร ทำให้ไม่ทันระวังตัว เมฆใช้ขวดเบียร์ที่ถือติดมาด้วยฟาดเข้าที่ศีรษะไอ้ตี๋นั่นเต็มแรง เป็นผลให้หนุ่มตี๋ลงไปนอนกองกับพื้นทันที และก่อนที่น้องหยกจะไหวตัวทันหันมาเห็นเขาเข้า จึงจัดการชกไปที่ท้องหนึ่งทีและด้วยฤทธิ์ยาทำให้น้องหยกไม่สามารถขัดขืนได้อีก

   ทั้งเขาและเกรียงไกรจึงรีบพยุงน้องหยกไปยังบ้านพักของเกรียงไกร โดยอาศัยเส้นทางเดินเลียบชายหาดของโรงแรม ที่เวลานี้แทบจะไม่มีใครเดินผ่านแล้ว

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินตามคีมาจนถึงริมสระว่ายน้ำ ที่ตอนนี้ร้างผู้คนแล้ว เขาเดินเลียบขอบสระไปทางห้องน้ำก็เห็นร่าง ๆ หนึ่งนอนฟุบอยู่ตรงทางเดินก่อนถึงห้องน้ำเล็กน้อยจึงรีบวิ่งเข้าไปดู

   “เฮ้ย!! คีๆ”

   เขาเขย่าร่างนั้น เพื่อพยายามจะเรียกสติคนที่นอนสลบอยู่ สำรวจจากภายนอกไม่พบแผลอะไร แต่รอบ ๆ กลับมีเศษขวดเบียร์แตกกระจายอยู่ เขารีบกดโทรศัพท์หานายเอที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที “เอ มาที่ห้องน้ำด่วน ไอ้คีโดนทำร้าย” เขาพูดจบก็ว่างร่างที่ไม่ได้สติลงก่อนวิ่งเข้าไปดูในห้องน้ำ

   ภายในห้องน้ำว่างเปล่า ไม่พบคนที่ควรจะพบ ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นเข้าสู่หัวใจเขาทันที หยก เข้าวิ่งออกมาหน้าห้องน้ำอีกครั้ง นายเอก็มาถึงแล้ว เขาเห็นนายเอเขย่าเรียกสตินายคีอีกครั้ง และดูเหมือนครั้งนี้จะได้ผล

   “คี มึงเป็นไรมากป่าวว่ะ” นายเอยังคงเรียกคีไปเรื่อย ๆ

   “คุ...คุณหยก” นายคีเอามือกุมที่ท้ายทอยของตัวเอง ทำให้นายเอกดหัวนายคีลงเพื่อสำรวจหาบาดแผล

   “หัวไม่แตก ค่อยยังชั่วหน่อย” นายเอเอ่ยอย่างโล่งใจ

   “คี หยกล่ะ” นายคีเริ่มได้สติ สั่นศีรษะอีกทีก่อนตอบคำถามพยัคฆ์

   “ผมเห็น...นายเกรียงไกร มัน...พยุงคุณหยก พอผม...จะพาคุณหยก...ออกมา ผมก็โดน...ตีหัว” นายคีเล่ากระท่อนกระแท่นแต่คนฟังก็ยังจับใจความได้

   “แล้วหยกเป็นอะไร ทำไมไอ้เกรียงไกรต้องพยุง”

   “คุณหยก...โดน...วางยา” นายคีพยายามตอบ ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังคงกุมที่ท้ายทอย

   “เป็นไปไม่ได้” นายเอเปรยออกมาเหมือนคนละเมอ เขาพลาด...

   “บ้านพักไอ้เกรียงไกรอยู่ไหน” พยัคฆ์พยายามข่มความโกรธที่ประทุขึ้นมา มือกำหมัดแน่น

   “โซนไพรเวท...P19”

   “เอดูแลคีด้วย พาไปหาหมอซะ” เขาพูดจบก็วิ่งไปยังบ้านพักของนายเกรียงไกรทันที

.........................................................................

   ผมโดนใครชกเข้าที่ท้องก็ไม่รู้ มันทำให้ผมจุกจนแทบทำอะไรไม่ได้ แล้วไอ้อาการตัวหนัก ๆ หมดเรี่ยวหมดแรงนี่อีก ที่สำคัญ ความรู้สึกพลุ่งพล่านภายในร่างกายของผม มันคืออะไร? ผมพยายามจะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองคนนข้าง ๆ ที่พยุงผมอยู่ พวกเขาจะพาผมไปไหน แล้วพี่คนนั้น คนของอากรที่โดนทำร้ายล่ะ จะเป็นยังไงบ้าง

   ตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย มันทั้งอึดอัด ทั้งร้อนไปหมด แล้วผมก็รับได้ถึงความรู้สึกที่พวยพุ่งเข้ามาหาผม สองความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ ถึงมันจะแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเขาไม่ปรารถนาดีกับผมแน่ ๆ

   คนแรก ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก...สะใจ พอใจ... เขา...ดูจะดีใจและมีความสุขกับการที่เห็นผมตกอยู่ในสภาพนี้ และอีกคน... ผมสัมผัสได้ถึง...ตันหา....ความอยากได้...ความต้องการทางเพศที่รุนแรงมาก ทั้งสองความรู้สึกนี้ทำให้ผมกลัว มันน่ากลัวกว่าตอนที่เจอกับพี่เสือครั้งแรกซะอีก

   “พี่...สะ...เสือ” ผมเอ่ยชื่อพี่เสือ มันทำให้ผมตกใจ เพราะเสียงที่ออกมานั้นมันแผ่วเบาจนน่าใจหาย ผมคิดถึงพี่เขาขึ้นมา ภาพต่าง ๆ ในหัวของผมมีแต่พี่เสือที่คอยตามผมอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก็อยู่ในสายตาของผม ผมอยากเห็นหน้าพี่เขา ผมกำลังกลัว!!

   “มันพูดว่าอะไรนะ” ผมได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้น ส่วนอีกคนผมไม่รู้ว่าเขาตอบรึป่าว เพราะผมไม้ได้ยินเสียงของเขาเลย

   “...” เมฆส่ายหน้า เพื่อเป็นคำตอบให้เกรียงไกร

   ผมถูกสองคนนี้ลากมาไกลแค่ไหน... ผมรู้สึกว่ามันนานมาก ยิ่งอาการที่เกิดกับผม มันทำให้ร่างกายผมทรมาน ผมรู้สึกได้ว่าพวกเข้าทิ้งร่างของผมไว้บนพื้นเย็นๆ นุ่ม ๆ สัมผัสเย็นๆ นั้นทำให้ร่างผมสะท้านขนลุกทันที

   “นายไปได้แล้ว พรุ่งนี้นายเตรียมมารับรางวัลให้สมกับค่าเหนื่อยได้เลย” ผมได้ยินแต่เสียงของผู้ชายคนนี้ เขาเป็นใครกัน ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม แต่ทำไม และเพื่ออะไร ผมรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงข้าง ๆ ตัวผม ทำให้พื้นที่ผมนอนอยู่ยวบลงไป

   ผม...อยู่บนเตียง พอคิดได้ถึงตรงนี้ ความกลัวก็เข้าเกาะกุมหัวใจของผมยิ่งกว่าเดิม ผมพยายามจะขยับตัวหนีคนที่คืบคลานเข้ามาใกล้ แต่ร่างกายของผมมันไม่ยอมทำตามคำสั่งเลย แค่จะพลิกตัว ผมก็ยังทำไม่ได้...พี่เสือ

   “ใจเย็น ๆ ครับ ไม่ต้องกลัวนะคนดี” ชายคนนั้นกระซิบข้างหูผม ก่อนที่ลิ้นสาก ๆ จะเลียบริเวณหางตาของผม “ไม่ร้องไห้นะครับ เฮียกำลังจะพาน้องหยกขึ้นสวรรค์ เรามามีความสุขด้วยกันนะครับ”

   ผมรังเกียจลิ้นนั่น แต่สัมผัสนั่นกลับทำให้ร่างกายของผมตื่นตัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ชายคนนั้นไล้ลิ้นไปตามใบหน้า ซอกคอ ก่อนเขาจะจัดการถอดเสื้อยืดที่ผมใส่อยู่ออกไป ร่างกายที่ปราศจากสิ่งปกปิดทำให้ผมหนาวสะท้าน แต่กลับกัน ไม่ว่ามือหรือลิ้นของชายคนนนั้นสัมผัสส่วนไหนของร่างกายผม ผิวส่วนที่โดนสัมผัสเหมือนกับจะไหม้เป็นจุณ

   “พะ...พี่” ผมพยายามจะตะโกนเรียกให้คนช่วย หรือที่จริงผมหวังให้พี่เสือมาช่วยผม “....อาห์...” ผมกลั้นเสียงร้องไม่อยู่เมื่อชายคนนั้นสัมผัสเข้าที่ยอดอกของผม

   “มะ...ไม่” ผมพยายามตะโกน แต่เหมือนกับไร้ผล ผมแทบไม่ได้ยินเสียงตัวผมเองเลย “พะ..สะ...”

   “จุ๊ๆ...ไม่เอานะครับเด็กดี” ชายคนนั้นพูดก่อนประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผม ผมพยายามยามสะบัดหน้าหนี เม้มปากตัวเองแน่น แต่เขาล็อกศีรษะของผมไว้ ผมเริ่มรู้สึกหมดหวัง พี่เสือ สติผมเริ่มเลือนลางลงทีละน้อย ขณะที่ผมสิ้นหวังอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกโกรธที่รุนแรงมาก มันไม่ได้ส่งมาที่ผม แต่เป็นคนที่คร่อมร่างผมอยู่ ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้

   “อื้มม....” ริมฝีปากของผมหลุดจากคนที่คร่อมร่างผมได้ ผมรู้ว่าพี่เสืออยู่แถวนี้ แต่พี่เสือละจะรู้ไหมว่าผมอยู่ที่นี่ “พี่...สะ...”ผมพยายามที่จะตะโกนอีกครั้ง และหวังจริง ๆ ว่าพี่เสือจะได้ยินผม

   “เพล้งงงงง....” เสียงอะไรสักอย่างแตก ทำให้คนที่คร่อมร่างผมอยู่หยุดชะงัก พี่เสือ...ผมรู้ว่าเป็นเขา

.........................................................................

   พยัคฆ์วิ่งมาถึงบ้านพัก P19 ตามที่นายคีบอก เขาพุ่งตรงไปที่ประตูหน้าบ้านพักทันที บ้านหลังนี้เป็นประตูกระจกบานเลื่อน

   เขาเดินย้อนกลับมายังทางเดินเข้าบ้าน งัดเอาก้อนอิฐที่ปูทางเดินออกมาก้อนหนึ่ง ก่อนขว้างเข้าใส่บานประตูนั้น กระจกแตกเป็นช่องกว้างพอให้เขาล้วงมือไปปลดล็อกประตูได้ ทันทีที่เขาสอดมือเพื่อเข้าไปคลายกลอนประตูของบ้านหลังนั้น

   พี่เสือ เสียงน้องหยก ทำให้เขาสะดุ้ง ตกใจในน้ำเสียงนั่น

   เสียงของน้องหยก มันก้องอยู่ในหัวของเขา ทั้งที่รอบข้างไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงคลื่นในทะเลเท่านั้น และเขายังรับรู้ได้ว่า น้องหยกหวาดกลัวมากขนาดไหน

   เขาเดินเขามายังโถงกลางของบ้านพักแล้วเปิดประตูห้องไล่ไปทีละห้องอย่างกับคนบ้า จนมาถึงห้องสุดท้ายพบว่ามันล็อกอยู่

   “ใครมาเล่นอะไรแถวนี้ว่ะ แมร่งขัดจังหวะหว่ะ กูไม่ว่าง ไปเล่นกันที่อื่นไป๊” เขาได้ยินเสียงเกรียงไกรตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

   ไม่ผิดแน่ มันอยู่ในห้องนี้จริง ๆ เขาไม่ตอบอะไรคนในห้องทั้งสิ้น เขาถอยออกไปก้าวสองก้าว เพื่อตั้งหลักก่อนใช้ไหล่หนา ๆ ของตัวเองกระแทกประตู เขากระแทกอยู่ 2-3 ครั้ง ก็เข้าไปในห้องได้

   ภาพที่พยัคฆ์เห็นตรงหน้าแทบทำให้เขาสติแตกขึ้นมาทีเดียว ไอ้เกรียงไกรมันนอนคร่อมร่างของน้องหยกอยู่ มันหันมามองเขาที่พังประตูเข้ามา แววตาสงสัยของมันที่มองมายิ่งเรียกอารมณ์คุกรุ่นให้เขาได้เป็นเท่าทวีคูณ

   พยัคฆ์ตรงเข้าไปกระชากร่างไอ้เกรียงไกรออกมาจากคนที่นอนกึ่งเปลือยอยู่บนเตียง แล้วส่งกำปั้นหนัก ๆ เข้าไปกระแทกตามใบหน้าและลำตัวของมันไม่ยั้ง จนคนที่หมอบอยู่ใต้ร่างของเขาไม่มีทางจะขัดขืนได้แม้แต่น้อย เขารัวกำปั้นใส่ไอ้เกรียงไกรจนมันหมดสภาพ สลบเหมือดอยู่บนพื้นไม่ขยับ เขาจึงลุกไปดูคนบนเตียง

   สภาพน้องหยกที่เปลือยท่อนบน ตามซอกคอและหน้าอกโดนไอ้ชาติชั่วนั่น ทำรอยคิสมาร์กเอาไว้ มันทำให้เขาต้องหันไปเตะร่างไร้สติอีกครั้งเป็นการระบายอารมณ์ครุกรุ่นที่ไม่อาจจะดับลงง่าย ๆ บังอาจมาทำน้องหยกของเขา เขาเดินเข้าไปใกล้น้องหยกจัดการสวมกางเกงที่ถูกถอดออกมากองอยู่ตรงบริเวณข้อเท้าให้เข้าที่ น้องหยกสะดุ้งทุกครั้งที่นิ้วมือของเขาสัมผัสถูกเนื้อนวลสีน้ำนมนั่น ยังไม่ทันจะคว้าเสื้อของน้องหยกกลับมาสวมให้

   “พะ...สะ...พี่...” เสียงของน้องหยกสั่นจนน่าตกใจ พูดราวกับคนเพ้อด้วยพิษไข้

   “น้องหยกครับ พี่เสืออยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ” พยัคฆ์ประคองร่างโปร่งให้ลุกจากเตียงขึ้นมากอดปลอบ ร่างของน้องหยกสั่นมาก เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวเขา กลัวไอ้เกรียงไกร หรือเป็นเพราะยานั่น

   เขาจัดการถอดเมฆาขาวออกจากคอของน้องหยก อย่างน้อยช่วงเวลาแบบนี้ อย่าให้น้องหยกต้องมากลัวเขาเลย พยัคฆ์เก็บเมฆาขาวเรียบร้อยก็ถอดเสื้อเชิ้ตคลุมร่างท่อนบนของน้องหยก ก่อนจะอุ้มพาเดินออกจากบ้านพักมา

   “พี่...เสือ”

   “พี่อยู่นี่แล้วครับ”

   “ชะ...ช่วย...”

   “ไม่เป็นไรนะครับ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”

   “ยะ..หยก...ระ...ร้อน...”

   “...” เขาสงสารน้องหยกจับใจ ใบหน้าแดงกล่ำ ดวงตาปรือ คราบน้ำตาที่เกาะพราวอยู่ที่แพขนตานั่นอีก

   “ทะ...ทรมะ...มาน”

   “เดี๋ยวพี่ช่วยหยกเองนะครับ ทนอีกนิดนะครับคนดี จะถึงแล้ว” พยัคฆ์เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ระหว่างทางนายเก่งกับเต้ก็วิ่งมาสมทบ

   “คุณหยก!!” นายเต้กับเก่ง อุทานพร้อมกัน ตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า

   “ไปเปิดน้ำลงอ่าง” พยัคฆ์สั่งเสียงห้วน เป็นนายเก่งที่ได้สติก่อนเพื่อน วิ่งล่วงหน้าเพื่อกลับไปยังบ้านพัก

   “ฝีมือนายเกรียงไกร?” นายเต้ถามเมื่อเริ่มตั้งสติได้

   “อืม”

   “งั้นผมไปจัดการเก็บกวาดให้”

   “ไม่ต้อง มันเห็นหน้าฉัน ยังไงก็รู้ว่าเป็นฉัน ปล่อยมันไปอย่างนั้นแหละ คนอย่างมันไม่กล้าทำอะไรหรอก”

   “ครับ” เต้พยายามจะช่วยประคองคุณหยก แต่ดูจากท่าทางที่หวงคุณหยกของพยัคฆ์แล้ว ก็ได้แต่เดินตามเท่านั้น

   พวกเขาเข้าไปที่บ้านพักก็พบกับความวุ่นวายทันที นายเก่งที่มาถึงก่อนแล้วเปิดน้ำลงอ่างอาบน้ำให้ได้ยังไม่ถึงครึ่ง พยัคฆ์ก็อุ้มน้องหยกตรงไปยังห้องน้ำ แล้วค่อย ๆ หย่อนร่างโปร่งลงไปอย่างช้าๆ  เมื่อร่างหยกสัมผัสกับน้ำก็ถึงกระสะดุ้งเฮือกขึ้นมา และเริ่มดิ้นทุรนทุราย

   “ใครหยิบผ้าขนหนูมาที” พยัคฆ์ตะโกนลั่น เป็นนายเต้ที่อยู่ใกล้ที่สุดหยิบผ้าขนหนูมา พยัคฆ์ที่มือข้างหนึ่งประคองร่างน้องหยกอยู่ อีกข้างหนึ่งรวบมือน้อยทั้งสองข้างยื่นให้เต้ เต้พอรับรู้ได้จึงใช้ผ้าขนหนูมัดข้อมือทั้งสองไว้ทันที

   “ไอ้เกรียงไกรทำไมมันเลวได้ขนาดนี้ว่ะ?” นายเอที่ยืนอยู่กับคีที่หน้าห้องน้ำเอ่ยขึ้น

   “คุณหยกต้องทรมานอย่างนี้ไปถึงเมื่อไรกัน” คีเปรยออกมาอย่างสงสาร ใช่ น้องหยกของเขาต้องทรมานอีกนานแค่ไหน เขาเองก็ทนไม่ไหวที่ต้องเห็นน้องหยกทรมานแบบนี้

   “พวกนายไปหาน้ำแข็งมา”

   “คุณพยัคฆ์ มันมากไปนะครับ เดี๋ยวคุณหยกแกจะช็อคเอา”

   “ฉันสั่งให้ไปหา ก็ไปหามา”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 20-11-17 {{:::26:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-11-2017 12:41:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 20-11-17 {{:::26:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2017 15:31:35
 :katai1:
หัวข้อ: Re: หยก 22-11-17 {{:::27:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-11-2017 14:46:15
27

    โบตั๋นตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงวุ่นวายข้างนอก เมื่อมองไปยังเตียงข้าง ๆ ก็ไม่พบร่องรอยของเจ้าของเตียงกลับเข้ามานอน แสดงว่าหยกคงยังไม่กลับจากปาร์ตี้ของทีมงาน เธอพอจะรู้มาบ้างว่า มีทีมงานบางทีมเวลามีการจัดปาร์ตี้กัน ก็มักจะสนุกกันยันเช้า หรือว่าทีมนี้ก็จะเป็นแบบนั้น

   เธอลุกจากเตียงออกมาที่โถงของบ้านพัก เกือบจะตี 2  แล้ว แต่เจ่เจ้ยังคงนั่งอยู่ ส่วนเจ็กลู่เพิ่งเดินออกไปจากบ้านพัก ตามพี่คนหนึ่งของอากรไป ทันทำให้เธอสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

   “เจ่เจ้ ยังไม่นอนอีกหรอ?”

   “ตั๋นล่ะ เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นแล้วรึยัง?”

   “ดีขึ้นแล้วค่ะ พอดีตั๋นได้ยินเสียงเหมือนมีคนเข้า ๆ ออก ๆ กันเลยเดินออกมาดู”

   “อืม...คงจะเสียงดังไปหน่อย เลยทำให้ตั๋นตื่น” เธอส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร

   “แล้วพี่ภาล่ะคะ”

   “รายนั้นไปคลุกอยู่กับคุณเปิ้ลที่ห้องน่ะ”

   “เจ่เจ้กังวลเรื่องอะไรค่ะ?” โบตั๋นสัมผัสได้ แม้จะบางเบา แต่ก็พอรับรู้และเดาจากสีหน้าเจ่เจ้ได้

   “หยกมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

   “หยกเป็นอะไรไปค่ะ แล้วนี่หยกไม่ได้อยู่ในงานปาร์ตี้ของทีมงานหรอค่ะ?”

   “งานจบไปตั้งแต่ 5 ทุ่มแล้วจ๊ะ ตอนนี้...อยู่บ้านโน้นน่ะ เจ็กลู่กำลังไปดู”

   “บ้านโน้น บ้านไหน... หรือว่าไอ้แมวหง่าวมันฉวยโอกาส ทำอะไรกับหยก” โบตั๋นพูดได้แค่นั้นก็ไม่สนใจที่จะฟังหงส์ตอบคำถาม เธอรีบเดินออกจากบ้านพัก ไปยังบ้านหลังที่นายแมวหง่าวพักอยู่ทันที่

    เธอเดินมาถึงเฉลียงเล็ก ๆ ก่อนเข้าบ้าน ก็เห็นพี่คนหนึ่งยืนอยู่

   “คุณโบตั๋นมาดูคุณหยกหรอครับ?”

   “ค่ะ...พี่?”

   “ผมต้นครับ”

   “พี่ต้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ค่ะ แล้วทำไม...ทุกคนถึงมารวมกันอยู่ที่นี่กันหมด” เธอมองเข้าไปที่โถงของบ้านพัก เห็นทุกคนมารวมกันอยู่ที่นี่ไม่หลับไม่นอน เดินวนไปเวียนมากันอยู่

   “เอ่อ...คือ” ต้นไม่รู้ว่าควรจะบอกโบตั๋นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไหม เขารู้ว่ายังไงโบตั๋นก็ต้องรู้อยู่ดี แต่มันไม่ควรจะรู้จากเขารึป่าว?

   “บอกตั๋นมาเถอะ ไม่ว่าใครจะบอกมันก็เหมือนๆ กันหมดแหละ หรือว่านายแมวหง่าวนั้นไม่ให้พี่ต้นบอกตั๋น”

   “ห๊า!! นะ...นายแมวหง่าว?” ต้นกำลังงง ว่าโบตั๋นพูดถึงใคร นายเอก็เดินออกมา

   “อ่าว!! คุณโบตั๋น มายืนตากยุงอยู่ตรงนี้ทำไมครับ เข้าไปข้างในเถอะครับ”

   “หยกล่ะ?” โบตั๋นถามอีกคนที่มาใหม่

   “คุณหยกปลอดภัยแล้วครับ พี่ชาติกำลังเกลี่ยกล่อม ให้คุณพยัคฆ์พาคุณหยกขึ้นมาจากน้ำ”

   “ขึ้นจากน้ำ?”

   “ไม่ต้องตกใจครับคุณโบตั๋น ไม่ใช่น้ำทะเลข้างนอกนั่น แต่เป็นน้ำในอ่างครับ”

   โบตั๋นฟังดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในตัวบ้านพัก หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะไปทางไหน พี่ ๆ ในห้องต่างพร้อมใจชี้ไปทางห้อง ๆ หนึ่งให้เธอ เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นเจ็กลู่กับพี่คนที่ไปตามยืนอออยู่หน้าห้องน้ำ

   “เจ็ก”

   “อ่าว อาตั๋น ลื้อตามมาทำไม?”

   “เกิดอะไรขึ้นกับหยกคะ?” พี่คนที่เดินมาตามเจ็กลู่เบี่ยงตัวออกจากกรอบประตู ให้เธอเป็นฝ่ายเดินเข้าไปแทนที่

   โบตั๋นมองเข้าไปในห้องน้ำ เห็นหยกนอนตะแคงซ้อนทับอยู่บนตักนายแมวหง่าว ศีรษะซบลงบนไหล่ของหมอนั่น มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้วยผ้าขนหนู ใบหน้าแดงระเรื่อ นอนหายใจสม่ำเสมอแต่ก็ดูผ่อนคลาย เหมือนคนกำลังหลับ ส่วนนายแมวหง่าวที่โอบร่างหยกไว้กลับสั่นเทิ้ม ริมฝีปากติดจะเป็นสีม่วง ทั้งที่ทั้งสองอยู่ในอ่างน้ำเหมือนกัน แต่อาการกลับต่างกันลิบลับ

   “คุณหยกโดยวางยาครับ” คนที่ถอยออกจากประตูเป็นคนบอก

   “โดนวางยา?”

   “ครับ ที่ผมไปตามพี่ชาติเพราะคุณพยัคฆ์ไม่ยอมขึ้นจากอ่างน้ำ ทั้ง ๆ ที่คุณหยกอากรดีขึ้นแล้ว”

   “แล้วนาย...พยัคฆ์เป็นอะไร ทำไมถึงตัวสั่นอย่างนั้น”

   “คุณพยัคฆ์ให้พวกผมใส่น้ำแข็งลงในอ่างน้ำ เพื่อช่วยบรรเทาเอ่อ...อาการของคุณหยก แต่พวกเรากลัวว่าคุณหยกจะช็อก คุณพยัคฆ์ก็เลย...ลงไปในอ่าง...แล้วก็อย่างที่คุณโบตั๋นเห็น”

   นายแมวหง่าว...ทำเพื่อพี่ชายของเธอ...ขนาดนี้เลยหรอ...ถ้าเป็นคนอื่นล่ะ...ใช่...คนอื่นมักจะฉวยโอกาส...ในขณะที่พี่ชายของเธออยู่ในสภาวะอ่อนแอไม่ใช่หรอ? โบตั๋นค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องน้ำ

   “อาตั๋น” เจ็กลู่รั้งเธอไว้ แต่เธอกลับส่ายหน้า แล้วเดินตรงไปยังอ่างน้ำ ย่อตัวลงไปอยู่ข้าง ๆ หยก

   “มะ...เมฆา...ขะ...ขาว...” พยัคห์เว้นช่วงหายใจเล็กน้อย “ยะ...อยู่...” พยัคฆ์พูดเสียงสั่นเพราะแช่อยู่ในน้ำเย็นจัดเป็นเวลานาน

   “พี่เสือไม่ต้องพูดแล้ว พอเถอะนะคะ ขึ้นมาเถอะ หยกไม่เป็นอะไรแล้ว ตั๋นรู้สึกได้ เชื่อตั๋นนะคะ”

   พยัคห์ต้องแปลกใจกับท่าทีอ่อนโยนที่เธอมีให้กับเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคอยแยกเขี้ยวใส่เขาอยู่เลย เขายิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้า เตรียมจะลุกจากอ่าง แต่ร่างกายเขากลับชาไปหมด เจ็กลู่กับเก่งที่อยู่ใกล้ ๆ จึงเข้ามาช่วยเขาขึ้นจากอ่าง เจ็กลู่กับโบตั๋นช่วยกันประคองร่างของน้องหยกขึ้นไปก่อน

   “เฮ้ยพวกมึง ใครก็ได้ไปเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ ๆ มาหลายๆ ผืนเร็ว” นายเก่งตะโกนบอกพวกที่อยู่ข้างนอก ขณะที่ช่วยพยุงพยัคฆ์ขึ้นจากอ่าง นายเต้ที่เข้ามาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่ง ส่งผ้าให้เจ็กลู่ก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงพยัคฆ์อีกแรง

   “พี่ต้น ช่วยพยุงหยกก่อน เดี๋ยวตั๋นจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้หยก แล้วเสื้อผ้าของพี่เสือล่ะคะ ใครช่วยไปเอาให้พี่เสือที”

   “เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ หนุ่มหน้าตี๋ที่มีผ้าพันแผลรอบศีรษะอาสา เธอไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ได้แต่พยักหน้าก่อนวิ่งกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง

.........................................................................

   ผมตื่นขึ้นมาบนเตียง พร้อมกับอาการปวดหัว ผมมองไปรอบ ๆ ห้อง นี่มันไม่ใช่ห้องที่ผมพักกับโบตั๋น ความทรงจำของผมค่อย ๆ กลับมา พี่เสือเข้าไปช่วยผมออกมาจากชายคนนั้น แล้วตอนอยู่ในอ่างน้ำนั่น น้ำแข็ง!!

   “พี่เสือ” ผมลุกพรวดขึ้นมาทันที มันทำให้ผมหน้ามืด จนต้องเอามือข้างหนึ่งยันกับผืนเตียงไว้ไม่ให้หน้าคว่ำลงไป

   “คุณหยกฟื้นแล้วหรอครับ” พี่คนที่คอยตามพี่เมื่อวานนี้เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ

   “เอ่อ...ครับ”

   “เรียกผมว่าเก่งก็ได้ครับ คุณหยกทานยาลดไข้สักหน่อยนะครับ” พี่เก่งยื่นถาดมาให้ผม

   “ครับ” ผมทานยาเรียบร้อยก็ส่งแก้วน้ำคืนให้พี่เขา “แล้ว...พี่เสือละครับ”

   “คุณพยัคฆ์นอนพักอยู่ห้องโน้นครับ ส่วนคุณโบตั๋นก็เพิ่งกลับไปพักผ่อนเมื่อสักครู่นี้เอง”

   “แล้ว...เอ่อ...คนที่โดนตีหัว เขาเป็นยังไงบ้างครับ”

   “อ่อ...ไอ้คีมันไม่เป็นอะไรมากแล้วครับ มันนอนอยู่ข้างนอกนี่เอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”

   “ผม...ขอออกไปดูพี่เสือกับพี่คีหน่อยได้ไหมครับ”

   “อย่าเพิ่งดีกว่าครับ คุณหยกมีเวลานอนอีกแค่ 2-3 ชั่วโมงก่อนเริ่มงานนะครับ พักรักษาตัวให้หายก่อนจะดีกว่าครับ”

   พี่เก่งพูดมาก็ถูกครับ ผมยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบ จะมาเอาแต่ใจตอนนี้คงไม่ดีแม่ ผมจึงได้แต่พยักหน้า ก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พี่เก่งเห็นผมกำลังจะนอนก็เดินออกจากห้องไป

.........................................................................

   เมฆอาศัยจังหวะที่ทุกกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ เดินมายังบ้านพักของเกรียงไกร เพื่อรับค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ แล้วเขาก็อยากไปแอบดูน้องหยก ไม่รู้ว่าวันนี้น้องจะมีแรงทำงานให้เขาไหม

   เขาเดินมาถึงทางเดินเข้าบ้านก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นกระจกประตูแตกเป็นรูกว้าง ตอนที่เขาออกมายังดี ๆ อยู่เลย หรือน้องหยกเกิดมีแรงฮึดสู้คุณเกรียงไกรขึ้นมา คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แล้วตรงไปที่ห้องนอนของเกรียงไกร

   เมื่อเข้าไปถึงห้องนอน เห็นเกรียงไกรก้ม ๆ เงยๆ กำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปในห้อง และนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะแต่งตัว

   “ทำไมรีบกลับจังครับคุณเกรียงไกร ไหนว่าจะอยู่สักอาทิตย์ไม่ใช่หรอครับ” เขาพูดแซว แต่พอเกรียงไกรหันหน้ามาเท่านั้นแหละเขาถึงกับผงะทันที “เฮ้ย คุณเกรียง เกิดอะไรขึ้น หน้าคุณไปโดนอะไรมา”

   “หึ!! อ้อโอนอ๊อมอะอิ (ก็โดนซ้อมน่ะสิ)”

   “เฮ้ย ใครครับ น้องหยกน่ะหรอ?”

   “ใอ้อี้ไอ๋ (ใช่ที่ไหน) ไอ้อะอักอะอาก (ไอ้พยัคฆ์ตะหาก)” พูดก็ไม่ถนัด ระหว่างพูดก็ซี๊ดปากไป

   “ใครนะครับ?”

   “เออ อึงไอ้อู้อักออก (เออ มึงไม่รู้จักหรอก) แอ่อี้แอ้ๆ อั๊วอู่ไอ้อ้ายแอ้ว (แต่ที่แน่ ๆ อั๊วอยู่ไม่ได้แล้ว)” เกรียงไกรทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห

   “แล้วเรื่องค่าจ้างผมล่ะครับ ก่อนไปคุณเกรียงก็น่าจะจ่ายให้ผมก่อน”

   “อ่ายอ่ออึงอ่ะอิ (จ่ายพ่อมึงน่ะสิ) อั๊วอังไอ่อ้ายอำอะไอเอย (อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรเลย)” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งเจ็บใจไอ้พยัคฆ์

   “เพราะไอ้อะอัก อะไรของคุณเกรียงนะหรอ”

   “อึง อ้อเอียนอูออ (มึงล้อเลียนกูหรอ?)”

   “เฮ้ย ป่าว ก็ผมฟังไม่ออกนี่ครับ ว่าคนที่เข้ามาสอดมันเป็นใคร” เกรียงไกรเก็บของเสร็จก็เตรียมเดินออกไปจากห้อง แต่โดนเมฆดักไว้ก่อน “เฮ้ย คุณเกรียง คิดจะเบี้ยวผมหรอ”

   “อูไอ้อ่าย (กูไม่จ่าย) อึงอำอานไอ้อ๋ำเอ็ด (มึงทำงานไม่สำเร็จ) อำใอ้อูเอียอนไออี่อน (ทำให้กูเสียคนไปสี่คน) แอ้วอังอาเอ็บอัวอีก (แล้วยังมาเจ็บตัวอีก) แอ้วอึงอ่า อั๊วอวนอะเอียเอินใอ้อึงอั้ย (แล้วมึงว่า อั๊วควรจะเสียเงินให้มึงไหม?)” เกรียงไกรพูดจบก็สะบัดแขน เดินออกจากบ้านพักไป เขาต้องรีบกลับไปตั้งหลักที่กรุงเทพก่อน ถ้าพยัคฆ์รู้จักนายแบบหน้าหวาน แล้วเกิดถูกเอาเรื่องขึ้นมา เขาตัวคนเดียวอยู่ที่นี่ ต้องโดนพวกมันจับส่งตำรวจแน่ ๆ

   เมฆได้แต่ยืนงงอยู่ในห้อง ใครกันที่มาขัดคุณเกรียงจนทำให้เขาต้องเสียงแรงป่าว แล้วป่านนี้น้องหยกจะเป็นยังไงมั่ง จะสงสัยเขารึป่าว ส่วนคนที่เขาฟาดหัวมันไปเมื่อคืน เขาแน่ใจว่ามันไม่เห็นหน้าเขาแน่ ๆ

.........................................................................

   เมื่อคืนนี้โบตั๋นนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหยก ทั้ง ๆ ที่หยกสวมเมฆาขาวอยู่แท้ ๆ แต่กลับโดนคนวางยาลงในเครื่องดื่มได้ หรือจะเป็นเพราะหยกปิดกั้นที่จะสัมผัสจิตของคนอื่นมากเกินไปจนขาดความระวังตัว

   วันนี้เธอกับพี่คีและพี่ต้นมาที่กองถ่ายแต่เช้า หลังจากที่เมื่อคืนต่างแยกย้ายกันช่วยจัดการหยกกับพี่เสือเรียบร้อยแล้ว เจ็กลู่แนะนำให้พี่คีสวมรอยเป็นรุ่นพี่ของเธอที่มหาวิทยาลัยที่บังเอิญมาเจอเธอที่โรงแรมแห่งนี้ พร้อมเพื่อนอีกคน

   เจ็กลู่สั่งให้พี่คีกับพี่ต้นดูท่าทีของทีมงานเมื่อเจอคีที่โพกผ้าพันแผลที่ศีรษะ ซึ่งพี่ต้นออกจะทำแผลให้ดูร้ายแรงเกินจริงไปหน่อย และให้เธอค่อยจับความรู้สึกของคนในกองถ่ายทั้งหมด ถึงจะเป็นงานที่ยาก เพราะเธอเองไม่เคยเข้าไปสัมผัสจิตของใครมาก่อน แต่เพื่อหยก ยากแค่ไหนเธอก็จะทำ

   “คุณโบตั๋นไม่ต้องเครียดไปหรอกครับ ผมกับคีคอยสังเกตอยู่ตรงนี้กับคุณด้วย อีกอย่าง จากห้องพักนายคี เอมันก็ส่องกล้องดูคอยระวังให้เราอีกทีหนึ่ง” พี่ต้นคงจะเห็นท่าทางตึงเครียดของเธอตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่กองถ่าย

   “ทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกครั้งแหละครับ ส่วนเรื่องจับพิรุธ เดี๋ยวพวกผมจัดการเอง” พี่คีเอ่อออกมาอีกคน ทำให้เธอพยักหน้ารับ

   “น้องโบตั๋นค่ะ...เป็นยังไงบ้างค่ะ? ดีขึ้นบ้างรึยัง?” พี่โอ๋ที่เห็นเธอเดินปรี่เข้ามาหาทันที

   “หายดีแล้วค่ะ”

   “แล้วทำไมยังทำหน้าเครียดอีกละค่ะ? ถ้าเรื่องงานน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เจ้เปิ้ลแกเอาอยู่ค่ะ”

   “เรื่องนั้นก็ส่วนนึงค่ะ แต่อีกเรื่องเห็นจะเป็น...” โบตั๋นไม่ตอบ แต่เสสายตามองไปยังพี่คี

   “อุ๊ยต๊าย!...นี่ใครกันค่ะ แล้วที่หัวไปโดนอะไรมา”

   “รุ่นพี่ของตั๋นที่มหาลัยค่ะ บังเอิญเจอกันที่โรงแรม เมื่อคืนพี่เขาไปช่วยหยกที่โดนดักทำร้าย พี่คีเลยเจ็บตัวไปด้วย” เธอ
ตอบตามที่เจ็กลู่แนะนำ

   “อะไรนะคะ น้องหยกโดนทำร้าย!! แล้วเป็นอะไรไหมค่ะ? ไหน ๆๆ น้องหยกอยู่ไหนค่ะ” เธอสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่พี่โอ๋มีต่อหยก จนเลยไปกระทั่งโทษตัวของเธอเอง

   “หยกตกใจนิดหน่อยค่ะ เมื่อคืนเลยเป็นไข้ เจ็กลู่ดูแลอยู่ เดี๋ยวสาย ๆ คงจะตามมา”

   “เมื่อวานพี่ว่าพี่ดูแลไม่ให้คาดสายตาแล้วนะ จะมีก็ตอนที่หยกไปเข้าห้องน้ำนั่นแหละ พี่เห็นน้องหยกหายไปนาน...เลยนึกว่า...กลับไปพักที่บ้านพักแล้ว” พี่โอ๋เอ่ยเสียงแผ่วในตอนท้าย

   “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกอย่างคนในกองคงจะเริ่มเมากันแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกกันไปพักผ่อน มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะครับ” พี่คีออกตัว

   “สุดวิสัยยังไงคุณ แบบนี้มันจ้องจะทำร้ายกันชัด ๆ อีกอย่างเมื่อคืนนี้มีคนที่เมาไม่กี่คนหรอกนะ วันนี้ต้องทำงานกัน ไม่มีใครเขาคิดจะเมากันหัวราน้ำหรอกคุณ” พี่โอ๋อารมณ์ขึ้นเมื่อได้ยินพี่คีพูดออกมาแบบนั้น

   “ขอโทษครับ ผมไม่มีเจตนาจะว่าทางทีมงานอย่างนั้น เมื่อคืนตอนเจอหยก ก็เห็นน้องเขามึน ๆ แล้วนะครับ”

   “หยกน่ะหรอ? ไม่มีทาง หยกแทบไม่ได้ดื่มเลย มีดื่มน้ำพั้นซ์ที่ผสมเองไปแก้ว 2 แก้วเท่านั้น”

   ความจริงที่พี่โอ๋พูดออกมา ทำให้เธอและพี่คี พี่ต้นต่างมองหน้ากัน คนที่ไม่เมาทุกคนมีโอกาสวางยาหยกได้ทั้งหมด และที่สำคัญ โอกาสของคนที่วางยามีเพียงแค่ แก้ว 2 แก้วเท่านั้น

.........................................................................

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายมากแล้ว เจ่เจ้กับพี่ภามานั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านนอก วันนี้พี่ ๆ จะไปที่กองกับผมด้วย ผมทานข้าวต้มที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เล็กน้อย ก่อนพากันดินออกไปยังหาดของโรงแรมเพื่อทำงานกันต่อ

   ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกของพี่เสือเลย ผมมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็น ก่อนออกมาผมก็สวมเมเฆาขาวไว้แล้ว หรือว่าพี่เสือจะไม่อยู่ระแวกนี้

   “น้องหยกเป็นอะไรไปค่ะ? หรือว่ายังมึนหัวอยู่” พี่ภาถามผม

   “ไม่แล้วครับ” พี่เก่งบอกให้ผมระวังตัวกับพี่ภาไว้สักหน่อย ผมที่ไม่ได้สติตั้งแต่เมื่อคืนเลยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ผมก็เจอแต่พี่เก่ง ที่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ จะมีอีกทีก็สองสาวที่เดินนำหน้าผมอยู่นี่

   “หยกคงมองหาเพื่อนรุ่นพี่ของโบตั๋นน่ะ?” เจ่เจ้บอก ทำให้ผมรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรมากนอกจากเออออไปกับเจ่เจ้ก่อน

   “เอ๊ะ น้องหยกเจอคนรู้จักด้วยหรอจ๊ะ?”

   “ครับ”

   “บังเอิญจังเลยนะ แต่ที่นี่เขาดังจะตาย ใคร ๆ ก็แห่กันมาเที่ยว เมื่อเช้านะหงส์ ภายังบังเอิญเจอคุณเกรียงไกร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุพรรณษาเลย"

   “คนที่ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของห้องเสื้อตัวอ่ะนะ”

   “ใช่ๆ คนนั้นแหละ แต่ไม่ได้ทักทายกันหรอกนะ เห็นเขารีบๆ ก้มหน้าก้มตาเดิน มีพิรุธยังไงชอบกล”

   “มีพิรุธ?”

   “ถ้าภาเดาไม่ผิดนะ น่าจะเจอเจ้าหนี้ของพ่อเขานั่นแหละ ถึงได้ใส่แว่นดำ สวมหน้ากากปิดหน้าปิดตา ตั้งแต่ไก่โห่ซะขนาดนั้น”

   “เจ้าหนี้อย่างนั้นหรอ ถ้าเขามีหนี้มีสิน แล้วเขาจะมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของตัวได้ยังไงล่ะ?”

   “แหม๋...หงส์ ตัวไม่รู้อะไร บ้านนี้เขาแยกกระเป๋าเงินกันจ๊ะ คุณหญิงคุณนายเขาเม้าท์กันให้แซดเลยนะว่า งานโชว์เพรชคราวที่แล้วน่ะ คุณสุพรรณษาไม่มีเพรชมาแสดง เพราะเจ้าสัวแอบเอาเพรชของเธอไปปล่อยตลาดมืด”

   “พี่ภาครับ เดี๋ยวไว้ค่อยคุยดีไหมครับ ถึงกองถ่ายแล้ว” ผมรีบเตือน เพราะเราเดินใกล้กองถ่ายกันมาก แล้วคนอย่างพี่ภา ยิ่งได้เม้าท์เสียงแกยิ่งดังครับ

   “อุ๊ย...ไว้ค่อยเม้าท์กันใหม่นะตัว” พี่ภายิ้มให้ผมก่อนบอกเจ่เจ้ แล้วเดินเลี่ยงไปหาเจ้เปิ้ล

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 22-11-17 {{:::27:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-11-2017 16:26:26
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 22-11-17 {{:::27:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-11-2017 20:18:22
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 25-11-17 {{:::28:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-11-2017 12:30:57
28

    โบตั๋นเดินเข้าไปหาหยกที่เดินตามหลังเจ่เจ้และพี่ภามายังกองถ่าย พร้อมกับเจ้เปิ้ลและพี่โอ๋ พี่ภาเดินมายังเจ้เปิ้ล แต่เจ้เปิ้ลกลับเดินมาสมทบเธอกับหยก

   “น้องหยก พี่ได้ยินว่า...”

   “เบา ๆ ค่ะเจ๊...จำที่เราคุยกันเมื่อกี้ไม่ได้หรือไง” พี่โอ๋ตามมาทีหลังรีบสะกิด

   “อ่อๆ ก็เจ้เป็นห่วงน้องหยกนี่”

   “อะไรกัน ๆ แหม๋...แค่น้องหยกเมาแฮงค์แค่นี้ ทำมาห่วงกันออกนอกหน้า” พี่ภาเดินมาเหน็บแก้เก้อที่เมื่อครู่เจ้เปิ้ลไม่สนใจเธอ เจ้เปิ้ลกับพี่โอ๋มองหน้ากันเล็กน้อย

   “แหม๋คุณภาขา ก็ต้องประคบประหงมกันหน่อยสิค่ะ อีกหน่อยน้องหยกเขาดังขึ้นมา ไม่รับงานเจ้จะว่ายังไง”

   “ใช่ค่ะ รู้ไหมค่ะคุณภา เวลามีน้องหยกอยู่ในกองถ่ายเนี๊ยะ โลกของโอ๋มันช่าง....สดใส...มีกำลังใจทำงานขึ้นเป็นกอง” พี่โอ๋ผสมโรงด้วยอีกคน ออกแอคติ้งกวาดมือไม้ชนิดที่ว่าอินเนอร์มาเต็ม

   “จ้า ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง ซ่อมเซ็ทของสาว ๆ กันไปถึงไหนล่ะ?

   “อีกช็อต 2 ช็อต ก็เสร็จแล้วค่ะ จากนั้นก็ถ่ายรวม ไม่เกินชั่วโมงก็แยกย้ายกลับบ้านได้แล้วจ้า” เจ้เปิ้ลบอกพี่ภา

   “พี่โอ๋ เราพาหยกไปแต่งหน้ากันเถอะค่ะ” โบตั๋นหันไปบอกพี่โอ๋ก่อนจูงมือหยกไปที่เต้นท์ ภายในเต้นท์มีพี่คีและพี่ต้นยืนคุยกันอยู่ข้าง ๆ

   “น้องหยกดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ” พี่คีเปลี่ยนสรรพนายเรียกหยกใหม่ให้สมบทบาทที่ได้รับ

   “ครับ”

   “พี่รู้เรื่องจากน้องโบตั๋นกับคุณคี คุณต้นแล้วนะ ว่าแต่น้องหยกสงสัยใครบ้างค่ะ?”

   “...” หยกส่ายหน้า

   “ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิดไปก็ได้ครับ ว่าช่วงที่น้องหยกชงค็อกเทลอยู่มีใครเข้ามายืนข้าง ๆ น้องหยกได้บ้าง”

   “ทำไมถึงให้ดูแต่คนข้าง ๆ ล่ะคะคุณคี พี่ก็บอกแล้วนะคะว่าพี่ไม่ได้ทำ”

   “ป่าว ๆ ผมไม่ได้ว่าพี่โอ๋ครับ เพียงแต่ช่วงนั้นผมผ่านมาบังเอิญเห็นน้องหยกกำลังชงค็อกเทลอยู่ ตอนแรกยังคุยกับไอ้ต้นอยู่เลยว่าใช่น้องหยกรึป่าว?”

   “ใช่ครับ ตอนนั้นคนที่มาให้น้องหยกชงค็อกเทลให้มักจะยืนอยู่หน้าโต๊ะ ตรงข้ามกับน้องหยกเขา จะมีก็แต่พี่โอ๋กับคุณเปิ้ลเท่านั้นแหละครับที่ยืนกับน้องหยกข้างหลังโต๊ะ” พี่ต้นนี่ก็ตีบทแตกเสียจริง โบตั๋นได้ยินมาว่าคนที่อยู่แถว ๆ งานมีแต่พี่เก่ง พี่คี แล้วก็พี่เสือนี่

   “จะว่าไป ก็มีอีกคนนะคะ” พี่โอ๋เหมือนจะนึกขึ้นมาได้

   “ใคร/ใครครับ/ใครค่ะ” พี่คี /พี่ต้น/ และเธอถามออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน

   “พี่เมฆ” หยกตอบพร้อมมองไปที่ช่างภาพที่กำลังทำงานอยู่หลังกล้อง

   “ใช่ค่ะ เมฆมันมาขอเซลฟี่กับพี่และน้องหยก”

   “พี่โอ๋อย่างเพิ่งกระโตกกระตากไปนะคะ เรายังไม่มีหลักฐาน” โบตั๋นรีบเตือน

   “ค่ะ แต่...พี่เคยได้ยินข่าวลือมานะคะ” พี่โอ๋กระซิบ ก่อนทำทีเป็นเริ่มแต่งหน้าให้หยก

   “ข่าวลืออะไรค่ะ?”

   “เขาว่ากันว่า นายเมฆเป็นเอเจ้นท์ส่งเด็กให้เสี่ยค่ะ แต่พี่ก็ไม่มีหลักฐานนะคะ ได้ยินเขาลือ ๆ กันมา”

   “แค่นี้พวกผมก็จำกัดวงให้แคบลงได้แล้วล่ะครับ เอ่อ...ผมรู้สึกมึน ๆ หัว ยังไงฝากต้นอยู่เป็นเพื่อนน้องหยก น้องโบตั๋นหน่อยนะ กูขอขึ้นไปพักสักหน่อย” พี่คีพูดเนียนๆ คงจะเพื่อปลีกตัวไปสืบเรื่องราวต่อ

   “อืม นายไปพักเถอะ นี่พี่หงส์ คุณภาก็อยู่ คงไม่มีอะไรหรอก”

   “พี่กับเจ้เปิ้ลก็อยู่ค่ะ พี่จะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่ ๆ ค่ะ เอาเกียรติของช่างต่างหน้าเป็นประกันเลยค่ะ” พี่คียิ้มก่อนเดินออกจากเต้นท์ไป

   “พี่ไปเดินดูรอบ ๆ นะ จะได้ไม่กวนเราสองคนทำงาน” แล้วพี่ต้นก็เดินออกจากเต้นท์ไปอีกคน

   “ตั๋นเหนื่อยไหม? ออกมาแต่เช้า”

   “ไม่เหนื่อยหรอก ไม่ได้ถ่ายอะไรเยอะสักหน่อย ว่าแต่หยกเถอะหายดีแล้วใช่ไหม?”

   “อืม”

   “ไม่จริงค่ะ น้องโบตั๋นนะ ค่อยดูคนนั้นที คนนี้ที จับพิรุธคนอื่นเขาไปทั่ว จนตัวเองมีพิรุธซะเอง ให้พี่กับเจ้เปิ้ลจับได้”

   “โหย...พอหยกมา ตั๋นก็กลายเป็นหมาหัวเน่า ฟ้องได้ฟ้องเอาเลยนะ”

   “พี่ฟ้องเพราะเป็นห่วงหรอกค่ะ เห็นพี่น้องรักกันดีแบบนี้พี่ก็ชื่นใจ”

   “แต่เมี่อกี้พี่โอ๋กับเจ้เปิ้ลตีบทแตกมาเลยนะคะ ตอนอยู่ต่อหน้าพี่ภาน่ะ”

   “ไม่ได้หรอกค่ะ รู้หน้าไม่รู้ใจพี่ก็ต้องระวังกันไว้ก่อน ตอนแรกพี่นึกว่าคุณภารู้เรื่อง แต่พอนางบอกว่าน้องหยกเมา ก็พอจะเดาได้ค่ะ ว่านางน่ะ คนนอก ไม่ใช่คนในชิดติดตัวอย่างพี่กับเจ้เปิ้ล”

   ทั้งคำพูดและการกระทำของพี่โอ๋และเจ้เปิ้ลตลอดช่วงเช้า ล้วนแสดงออกถึงความเป็นห่วงและอยากจะชดเชยความผิดพลาดของตัวเอง ทั้งที่จริง ๆ แล้วพี่ ๆ เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย โบตั๋นสัมผัสถึงมันได้ ในขณะที่แต่งหน้าให้หยกตอนนี้ ยังพยายามสร้างบรรกาศให้เธอและหยกผ่อนคลายอีก

.........................................................................

   จากที่ฟัง ๆ พี่ ๆ ในกองคุยกัน ผมก็พอเดาได้ว่าเรื่องเมื่อคืนนี้มีคนรู้กันเพียงวงแคบ ๆ เท่านั้น แต่ผมก็อดตกใจไม่ได้ ว่าคนคิดวางยาผมคือพี่เมฆ ระหว่างแต่งหน้าผมก็พยายามนึกกลับไปถึงเมื่อคืนนี้ ความรู้สึกที่พี่เมฆมีให้กับผมมันเป็นความรู้สึกยังไงบ้าง

   “ไม่เอาค่ะ ไม่คิดมากนะคะ” พี่โอ๋เรียกสติผม

   “ใช่ อีกนิดเดียวงานก็เสร็จแล้ว หยกอดทนหน่อยนะ”

   “เฮียไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ แค่ไม่คิดว่า...”

   “ก็อย่างที่พี่ว่า คนเราน่ะ รู้หน้าไม่รู้ใจ เดี๋ยวกรรมก็ตามสนองเองแหละค่ะ”

   “ใช่ ตั๋นเห็นด้วย อีกอย่างคนมันจะเลว ก็เลวที่ตัวเขาเอง ไม่ได้มีใครบังคับให้เขาเลวสักหน่อย”

   “อุ๊ย...น้องโบตั๋นพูดถูกใจพี่มากค่ะ”

   “แล้วเรื่อง...ผู้ชายคนนั้นล่ะ” ผมไม่รู้ว่าควรถามต่อหน้าพี่โอ๋ได้ไหม เพราะไม่เห็นมีใครพูดถึง

   “เรื่องนั้นพี่เสือเขาจะเป็นคนจัดการเอง หยกสบายใจได้”

   “พี่เสือหรอ?” ผมแปลกใจที่โบตั๋นเรียกแบบนี้ ทั้งที่ทุกครั้งจะเรียกพี่เสือว่านายแมวหง่าวบ้างล่ะ ไอ้แมวนั่นบ้างล่ะ

   “ไม่ต้องคิดมากหรอก หยกก็รู้ว่าตั๋นมีเหตุผล ใช่ไหม?”

   “อืม”

   “ถ้าอย่างนั้น สองพี่น้องก็ตั้งใจทำงานกันนะคะ ไม่ต้องคิดมาก จะได้ไม่ต้องปลอบกันไปปลอบกันมาอยู่แบบนี้ มาค่ะ สู้ๆ นะคะ” พี่โอ๋ช่วยเรียกกำลังใจจากพวกเราครับ มันทำให้ทั้งผมและโบตั๋นยิ้มกันขึ้นมาได้     

.........................................................................

    หลิวลู่เดินมาพร้อมกับเก่ง มายังหน้าห้องพักของคี ที่นายเอใช้สังเกตการณ์อยู่ เขาเคาะประตูครู่หนึ่งนายเอก็เดินมาเปิดประตูให้

   “พี่ชาติ มาแล้วหรอครับ แล้วคุณพยัคฆ์เป็นยังไงบ้างครับ”

   “ก็ดีขึ้นมากแล้วนะ” หลิ่วลู่เดินเข้าไปเข้าไปในห้องโดยมีนายเก่งเดินตามเข้ามา

   “แล้วที่โรงพักเป็นยังไงบ้างครับ” นายเอถามต่อหลังจากปิดประตูเดินตามหลังเข้ามา

   “พี่ชาติแมร่งโคตรเจ๋ง คุยกับไอ้พวกนั้นไม่กี่ที แม่งบอกมาหมดไส้หมดพพุงเลยว่ะ”

   “เฮ้ย...”

   “จริง!!” เก่งตอบจริงจัง พร้อมพยักหน้าสำทับให้อีก

   “แล้วเรื่องเป็นมายังไงครับ”

   “พวกนั้นเป็นคนของนายเกรียงไกร เขาให้มันดักรอเพื่อจับหยกที่ซอยร้านขายยา” หลิ่วลู่บอกเสียงเรียบ

   “แสดงว่าเป็นพวกมันที่จ้างให้เด็กในร้าน เปิดร้านรอคุณ ๆ เข้ามาในซอยก่อนลงมือ” เอเอ่ยขณะวิเคราะห์ตามเหตุความน่าจะเป็น

   “กูว่าต้องมีคนในส่งข่าวบอกพวกมันแน่ ๆ ว่าคุณโบตั๋นต้องการซื้อยาแก้เมาเรือ แล้วไอ้นี่มันน่าจะเป็นคนที่วางยาคุณหยกเมื่อคืนด้วย”

   เสียงเปิดปราะตูทำให้ทุกคนในห้องชะงัก แต่เตรียมพร้อมตั้งรับคนที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นคี ทุกคนจึงผ่อนคลายท่าทีลง

   “ขึ้นมานี่ แสดงว่าได้ข้อมูลเพิ่มมาแล้วสิ” หลิ่วลู่ถาม

   “ครับพี่ชาติ เพื่อน ๆ คุณหยกและโบตั๋นช่วยได้เยอะเลยครับ”

   “แล้วเป็นไงบ้างว่ะมึง ในกองนั้นมีใครน่าสงสัยบ้าง” เก่งถามขึ้น

   “ยิ่งกว่าน่าสงสัยอีก คุณโอ๋บอกว่าช่างกล้องคนนึงเป็นเอเจ้นท์ส่งเด็กให้กับเสี่ย”

   “ช่างกล้องคนไหนว่ะ”

   “นายเมฆ”

   “เก่ง นายไปคอยประกบหยก แล้วจับตาดูนายเมฆไว้ คี แกไปหาข้อมูลนายเมฆคนนี้มา เออยู่ที่นี่เหมือนเดิม ส่วนฉันจะไปดูคุณเสือสักหน่อย”   

   “พี่ชาติ แล้วเราไม่ต้องสืบเรื่องคุณภาหรอครับ” นายเอถามหลังจากเงียบมาสักพัก

   “ไม่ต้องหรอก”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “เพราะว่าพ่อแม่ของเพ็ญนภาเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ของคุณ ๆ ทั้งสามน่ะสิ คุณภากับหงส์นอกจากจะเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว ยังรักกันเสมือนเป็นพี่น้องกันอีก ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องเพ็ญนภาหรอก”

.........................................................................

   ทำไมผมไม่เจอ สัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกของพี่เสือเลย จนผมกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากจะถามพี่ ๆ ที่คอยตามผม แต่ก็ไม่มีจังหวะเลยแม้แต่น้อย กับโบตั๋นเองผมก็ไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะพี่โอ๋เล่นตามประกบผมเป็นเงาตามตัว เวลาที่พี่เมฆจะเข้ามาใกล้ผม พี่โอ๋ก็จะตีเนียนพาผมออกมาห่าง ๆ ตลอด จนกระทั่งนายแบบนางแบบแซวกันว่าผมเป็นลูกรักพี่โอ๋ พี่โอ๋เองก็รับสมอ้างเรียกตัวเองว่า ขุ่นแม่ ไปซะแล้ว

   ช่วงเตรียมถ่ายช็อตสุดท้ายของวัน ผมถึงมีโอกาสได้ถามโบตั๋นครับ ผมสงสัยว่าที่เธอบอกว่าพี่เสือจะจัดการกับผู้ชายคนนั้นเอง คือจัดการยังไง แล้วพี่สืออยู่ไหน กลับกรุงเทพฯ ไปแล้วหรือยัง?

   “คิดถึง?” พอผมถามกลับได้คำถามอีกคำจากโบตั๋น

   “ป่าว..ว...เฮียแค่สงสัย”

   “ตั๋นถามหยกหน่อยสิ หยกคิดยังไงกับพี่เสือเขาหรอ?”

   “...” นั่นสิ ผมคิดยังไงกับพี่เสือ

   “เดี๋ยวถ่ายช็อตสุดท้ายเสร็จ เราไปหาพี่เสือกัน”  โบตั๋นบอกผมแค่นี้แล้วก็เดินนำผมไปเตรียมถ่ายงาน

.........................................................................

   หงส์มองสังเกตดูรอบ ๆ กองถ่ายมาตั้งแต่ช่วงสาย ๆ จนกระทั่งพักเบรคกอง ทำให้พอรู้ได้ว่าใครคิดอย่างไรกับน้อง ๆ ของเธอบ้าง หลาย ๆ ความรู้สึกล้วนชื่นชมทั้งสอง แม้ว่าจะเป็นคนละความรู้สึกกันก็ตาม ส่วนมากจะนิยมไปทางโบตั๋นมากกว่า เพราะเธอนั้นเข้ากับคนง่าย ผิดกับหยกที่ได้รับความชื่นชมเพราะรูปลักษณ์ แต่นิสัยพูดน้อยจนแลดูจะเย็นชา ทำให้หลาย ๆ คนคิดว่าหยกเข้ากับคนยาก

   และเธอเองก็สังเกตถึงควมผิดปกติของคน ๆ หนึ่ง พอค่อย ๆ เข้าไปสัมผัสจิตของคน ๆ นั้นดูก็ทำให้รู้ว่าคนนี้เป็นคนที่วางยาหยกแน่นอน เมื่อเธอมองไปยังต้น คนที่อากรส่งมา ก็ดูเหมือนว่าต้นจะรู้ตัวแล้วว่าเป้าหมายในวันนี้ที่เขาควรจะต้องจับตามองคือใคร

   ช่างแต่งหน้ากับคุณเปิ้ลก็คอยระแวดระวังกันท่าไม่ให้นายเมฆเข้าใกล้ได้อีก ที่สำคัญขุ่นแม่โอ๋ไม่ยอมให้หยกกับโบตั๋นดื่มน้ำจากแก้วไหนเลย นอกจากขวดน้ำที่เธอพกไว้ติดตัวไว้ตลอดเวลา ตอนพักทานอาหารก็ยังมีแก่ใจส่งน้อง ๆ ของเธอมาทานอาหารกับเธอและยัยภาที่เต้นท์นี่อีก ทำให้เธอเบาใจไปได้มาก

   เมื่อถ่ายทำกันเสร็จ เธอเห็นนายเมฆพยายามจะเข้ามาขอเบอร์โบตั๋น ขุ่นแม่โอ๋ก็จัดการซะอยู่หมัด บอกให้นายเมฆติดต่อผ่านขุ่นแม่อย่างเธอ โบตั๋นก็เออออไปกับคุณโอ๋ด้วย เพ็ญนภาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่หัวเราะตลอดเวลา

   “สงสัยคุณโอ๋จะเอาดีทางการเป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้องหยกและน้องโบตั๋นซะแล้ว”

   “ดูเขาเอ็นดูสองคนนี้มากเลยนะ”

   “ตัวไม่รู้อะไร น้องตัวน่ะน่ารักจะตาย ใครได้อยู่ใกล้ก็รัก ก็เอ็นดูทั้งนั้น”

   “หงส์ดีใจนะ ที่น้อง ๆ มีคนเอ็นดูแบบนี้ ค่อยหมดห่วงหน่อย”

   “ตัวอย่างมาดราม่าเอาตอนมาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้นะ ช่วงเวลาร้าย ๆ ของตัวมันก็ผ่านมาแล้วนะ ต่อไปนี้ตัวก็จะได้มีความสุขกับน้อง ๆ ได้แล้ว”


   “มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ”

   “ตัวยังเป็นห่วงเรื่องญาติทางแม่อยู่หรอ?”

   “อืม...ถ้าหงส์ไม่อยู่สักระยะ หงส์ฝากน้อง ๆ กับตัวไว้ได้ไหม?”

   “ภาไม่รับฝากหรอก นอกจากตัวจะบอกมาก่อนว่าตัวจะไปทำอะไร ที่ไหน กับใคร”

   “...”

   “หงส์...ภาก็พอจะรู้นะว่าตัวกับน้อง ๆ มีความสามารถพิเศษอะไรบางอย่าง ถึงแม้ตัวจะไม่บอกภาเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ภาก็อยากจะรู้ว่าตัวจะไปทำอะไรที่มันอันตรายรึป่าว เราก็เหมือนเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรอ?”

   “หงส์จะไปฮ่องกงกับเจ็กลู่นะ”

   “ไปจัดการเรื่องญาติทางแม่ใช่ไหม?”

   “อืม...แต่หงส์รู้ว่ามันไม่ง่าย”

   “มันอันตรายรึป่าว?”

   “ไม่หรอก แต่มันยากตรงที่เขาจะยอมปล่อยหยกไหม” เธอมองไปที่น้องชายที่กำลังหยอกล้อ และล่ำลาทีมงานกันอยู่

   “ลูกชายคนเดียวของตระกูลก็อย่างนี้แหละ เอาเป็นว่าภารับปาก จะดูแลน้อง ๆ ของตัวให้ดีที่สุด โอเคไหม”

   “ขอบใจนะ”

   “จะให้ดีช่วงที่อยู่ที่นี่ก็เที่ยวให้สนุก ถือว่าเป็นการตอบแทนภาก็แล้วกัน”      

.........................................................................

   ผมตามโบตั๋นเข้ามาในบ้านพักของเจ็กลู่และพี่เสือ บ้านหลังที่เมื่อคืนนี้ผมมานอนกับโบตั๋น เจ็กลู่เพิ่งเดินมาจากอีกห้องหนึ่งที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นห้องของพี่เสือ

   “เสร็จงานกันแล้วหรอ?”

   “เสร็จแล้วค่ะเจ็ก”

   “อืม”

   “หยกเข้าไปสิ พี่เสือพักอยู่ข้างในน่ะ เมื่อคืนพี่เสือเป็นไข้...เพราะช่วยหยก ที่ตั๋นไม่ได้บอกเพราะกลัวว่าหยกจะไม่มีสมาธิทำงานน่ะ”

   “อือ ไม่เป็นไร เฮียไม่โกรธหรอก เฮียเข้าใจความหวังดีของทุกคนดี”

   ผมบอกโบตั๋นให้เธอสบายใจก่อนค่อย ๆ เดินไปยังห้องของพี่เสือ ผมรู้ว่าพี่เสือตื่นแล้ว และเขาเองก็ได้ยินเสียผมด้วย ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของพี่เสือ แปลก!!...ครั้งนี้ผมกลับไม่กล้วเหมือนที่แล้ว ๆ มา แรงกดดันต่าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะยังมีอยู่ แต่มันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว

   ผมเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นพี่เสือนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ผมเดาว่าพี่เสือน่าจะเพิ่งทานข้าวและทานยาเสร็จ สังเกตจากถาดอาหารที่วางอยู่ข้าง ๆ โต๊ะตรงหัวเตียง

   พี่เสือทำทีโบกโทรศัพท์มือถือในมือ เหมือนจะบอกว่าผมกับเขาคุยกันผ่ายแอพพลิเคชั่นเหมือนเดิมก็ได้ แต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธก่อนเดินไปนั่งบนเตียง ข้าง ๆ พี่เสือ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 25-11-17 {{:::28:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 25-11-2017 13:06:47
อยากได้พี่เสือ :-[
หัวข้อ: Re: หยก 25-11-17 {{:::28:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-11-2017 14:49:21
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 25-11-17 {{:::28:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-11-2017 21:37:49
เพิ่งได้มาอ่าน ไม่ทำการทำงานหลายชั่วโมงกว่าจะจบ
ตื่นเต้นมาก  :เฮ้อ: แอบสงสารพี่เสือ รีบมาต่อเร็วๆ น้าา
 :z2:
หัวข้อ: Re: หยก 27-11-17 {{:::29:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-11-2017 22:58:07
29

   พยัคฆ์แปลกใจที่เห็นน้องหยกเดินเข้ามาหาเขาในห้องนอน เขาย้ำทุกคนแม้กระทั่งหงส์และโบตั๋น ไม่ให้บอกเรื่องที่เขาป่วยกับหยก เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนนี้หยกมีสติและจดจำเรื่องราวได้มากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากให้หยกจำอะไรได้เลย

   เขาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ถาดอาหารที่เขาเพิ่งทานเสร็จเรียบร้อย  ก่อนจะโบกมันไปมาเบา ๆ เพื่อบอกหยก ว่าเราสื่อสารกันเหมือนเดิมก็ได้ แต่น้องหยกกลับส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ เขา

   น้องหยกแตะเบา ๆ ลงที่ผ้าพันแผลบนแขนของเขา ที่โดนกระจกประตูบาดเมื่อวาน เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าโดนบาดเอาตอนไหน ยังดีที่แผลไม่ลึกมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต่างอะไรจากคนที่คิดฆ่าตัวตายโดยการไปนอนแช่ในอ่างอย่างนั้น

   “น้องหยกยังไม่ได้รับเมฆาขาวคืนจากโบตั๋นหรอครับ” พยัคฆ์ถามในสิ่งที่สงสัย

   “...” น้องหยกที่ยังคงก้มหน้ามองแขนของเขาอยู่ ส่ายหน้าน้อย ๆ

   “เป็นอะไรรึป่าวครับ” น้องหยกเงียบเหมือนตอนที่เขาโทรไปคุยด้วยไม่มีผิด

   น้องหยกเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา น้ำตาหยดลงมาที่แก้มข้างหนึ่ง ทำให้ตัวน้องเองตกใจไม่น้อย จนต้องเบือนหน้าหนีเขา มันเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของพยัคฆ์กระตุกอย่างแรง เขาไม่อยากเห็นน้องหยกเป็นแบบนี้ น้องหยกกลัวเขาแต่ยังคงพยายามฝืนมันไว้เพื่อที่จะเข้ามาเยี่ยมเขา...

   “ถ้าหยกยังกลัวพี่อยู่ ก็ออกไปพักก่อนเถอะครับ พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” พยัคฆ์กัดฟันพูดออกมาในที่สุด เมื่อน้องหยกเช็ดน้ำตาเสร็จก็หันมาสบตาเขาอีกครั้ง สายตานั้นถ่ายถอดออกมาถึงความมุ่งมั่น

   “หยก...ไม่กลัวพี่เสือแล้ว”

   “โกหกไม่ดีนะครับ ผิดศีล แล้วก็บาปนะ” เขาหยอกเล็กน้อย หวังว่าน้องจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

   “หยกไม่ได้โกหกนะ หยกไม่กลัวพี่เสือแล้วจริง ๆ”

   “แล้วน้องหยกร้องไห้ทำไมครับ...ถ้าไม่ได้กลัวพี่”

   “หยก...สงสารพี่เสือ แล้วก็...โล่งใจ...ที่พี่เสือไม่ได้เป็นอะไรมาก” คำพูดที่เหมือนจะเขินๆ ของน้องหยก ทำให้เขายิ้มออกมา

   “พี่ดีใจ ที่หยกเป็นห่วงพี่”

   “...” เขาเห็นน้องหยกแก้มแดงจมูกแดงแบบนี้ มันยิ่ง...เฮ้อ...น้องหยกคงรู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ เผลอตัวอีกแล้ว

   “พี่ขอโทษ ที่คิดลามกกับน้องหยก”

   “พี่เสือไม่ต้องพูดออกมาก็ได้” น้องหลบตาเขาตอนนี้แดงถึงหูไปแล้ว เขารู้สึกว่าน้องหยกน่ารักมาก ๆ เวลาที่เขินแบบนี้

   “พี่ไม่พูดแล้วครับ แล้วน้องหยกไม่เหนื่อยหรอครับ ไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” พยัคฆ์พยายามเปลี่ยนเรื่อง เพื่อลดความขัดเขินของน้องหยก

   “หยกไม่เหนื่อยหรอกครับ งานไม่ได้หนักอะไร สอนเทควันโดยังเหนื่อยกว่าอีก”

   “พี่ถามหยกหน่อยได้ไหมครับ” น้องหยกจ้องเขาตาแป๋ว นี่เป็นการคุยกันตัวต่อตัวที่เขาต้องข่มความรู้สึกตัวเองมากที่สุดตั้งแต่รู้จักกับน้องหยกมา เขาคงต้องยอมรับว่าเขาคงจะอันตรายสำหรับน้องหยกจริง ๆ อย่างที่โบตั๋นว่า

   “อะไรครับ” น้องหยกถามเรียกสติเขา

   “นอกจากเทควันโด มวยไทย น้องหยกยังเป็นศิลปะป้องกันตัวอย่างอื่นอีกไหมครับ” เขาแค่อยากรู้ว่าหยกมีความสามารถมากขนาดไหน แล้วเขาคู่ควรกับน้องหยกรึป่าว?

   “ก็เป็นทุกอย่าง ที่สถาบันของพี่ศักดิ์มีสอนน่ะครับ พี่เสือถามทำไมหรอครับ”

   “ไม่มีอะไรหรอก แล้วก็ไม่ต้องสุภาพกับพี่ขนาดนี้ก็ได้ครับ”

   “ทีพี่เสือยังสุภาพกับหยกเลยนี่” ดูปากกระจุ๋มกระจิ๋มนั่นเฉิดนิด ๆ ราวกับน้องหยกกำลังงอนเขาอยู่ จะน่ารักไปไหนนะ

   “งั้นถ้าพี่ลดความสุภาพลง...ก็ได้ใช่ไหม?” พยัคฆ์พูดพร้อมทั้งเอื้อมมืออีกข้าง ที่ไม่มีผ้าพันแผลไปกุมมือน้องหยกไว้ มือเล็กนิดเดียวแต่รับมือผู้ชายตัวโต ๆ ได้พร้อมกัน 3 คนเลยหรอ

   “พี่เสือ...” น้องหยกไม่ได้สลัดมือจากเขา แต่กลับใช้สองมือสอดประคองมือของเขาไว้ “ยังมีไข้อยู่เลย” น้องหยกพูดพร้อมมองไปยังถาดอาหารข้าง ๆ หัวเตียง “นอนพักก่อนนะครับ จะได้หายไวไว”

   “พี่เพิ่งจะได้เห็นหน้าน้องหยกใกล้ ๆ เพิ่งจะได้คุยกันยาว ๆ แบบนี้ พี่ยังไม่อยากนอนเลย”

   “นอนพักเถอะครับ หยกจะเฝ้าจนกว่าพี่เสือจะหลับแล้วกันนะครับ”

   “อืม  ก็ได้ครับ” พยักฆ์ตกลงอย่างว่าง่ายก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวลงนอน โดยมีน้องหยกกุลีกุจอเข้ามาช่วยเขาขยับหมอนให้ จังหวะที่น้องปรับวางหมอนให้เข้าที่นั้น เขายันข้อศอกค้างไว้ ก่อนยื่นหน้าไปหอมแก้มคนที่ไม้ทันระวังตัว น้องหยกมองเขาตาโต หน้าแดงก่ำ “ก็หยกอยากให้พี่ลดความสุภาพลงไม่ใช่หรอ?”

   “พี่เสือ!!...” พยัคฆ์ลดตัวลงนอน เขาหลับตาลงพร้อมกับคว้ามือบางมากุมไว้    

.........................................................................

   ขณะนี้ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันภายในบ้านพักของหงส์ เจ็กลู่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายเดี่ยว แบบเดียวกันกับที่บ้านพักของเขา หงส์ โบตั๋น เพ็ญนภา นั่งรวมกันอยู่ที่โซฟายาว คีนั่งเก้าอี้หวายอีกตัวโดยมีเก่งนั่งอยู่บนท้าวแขนข้างหนึ่ง เต้และต้น ยกเก้าอี้แต่งตัวในห้องนอนออกมานั่ง ส่วนเอยืนพิงผนังอยู่ด้านหนึ่ง

   “โหย...พี่ชาติจะแกล้งบอสกับคุณพยัคฆ์ก็น่าจะกระซิบบอกพวกเราหน่อยสิครับ ผมนี่คอยหลบคุณภาเธอแทบแย่” ต้นร้องโอดครวญ

   “นี่พวกเธอแอบสงสัยฉันอย่างนั้นเร๊อะ” เพ็ญนภาแว๊ดใส่อย่างไม่จริงจังนัก

   “ขอโทษครับคุณภา คุณพยัคฆ์สั่งมา พวกผมก็ต้องคอยระวัง” เก่งรีบขอโทษ

   “แล้วเรื่องนี้คุณพยัคฆ์รู้รึยังครับ” เอถามขึ้นมาบ้าง

   “จะรู้ได้ไง คุณพยัคฆ์ยังนอนอยู่บ้านโน้นเลย แต่ป่านนี้คงฝันดีเพราะมีคุณหยกดูแลอยู่” เต้พูดแซวขึ้นบ้าง

   “โบตั๋นไม่รังเกียจรังงอนคุณเสือเขาแล้วใช่ไหม?” หงส์หันมาถามโบตั๋นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน

   “พี่เสือเขาพิสูจน์ตัวเขาเองแล้วค่ะเจ่เจ้ ตั๋นเชื่อว่าเขาจริงใจกับหยกจริง ๆ”

   “หมายความว่ายังไงค่ะ” เพ็ญนภาร้องถามเสียงหลง มองหน้าหงส์กับโบตั๋น ก่อนกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง เหมือนทุกคนจะรู้เรื่องระหว่างพยัคฆ์กับหยก ยกเว้นเธอ “ต๊าย...ฉันตกข่าวอยู่คนเดียวหรอเนี๊ยะ!”

   “ไม่เป็นไรหรอกน่ายัยภา ตัวแค่เข้าใจผิดเท่านั้นเอง” หงส์ปลอบใจ เพ็ญนภาได้แต่พยักหน้ารับอย่างเหว๋อๆ

   “ถ้าอย่างงั้นเรามาเข้าเรื่องกันต่อ” หลิ่วลู่เปรยขึ้น

   “พี่ภาได้ฟังแล้วอย่างเพิ่งเป็นลมนะคะ” โบตั๋นรีบบอกให้เพ็ญนภาทำใจ เธอก็ได้แต่พยักหน้ารับ

   “นายเกรียงไกรเช็คเอ้าท์ออกไปเมื่อเช้านี้ครับ ทั้งที่จริงแล้วจองบ้านพักไว้ 5 วัน แต่พักได้แค่ 2 คืนเท่านั้น ส่วนนายเมฆกลับออกไปพร้อมกับทีมงานทางรถบัสเมื่อตอน 4 โมงเย็นวันนี้” คีรายงาน

   “ส่วนไอ้ 4 คนที่โรงพักถูกปล่อยตัวไปเมื่อตอนเที่ยงแล้วครับ มันพักอยู่โรงแรม 3 ดาวแระแวกนี้ พอผมตามมันไป มันก็เช็คเอ้าท์หนีไปเรียบร้อยแล้ว” เอรายงาน

   “ อืม...ตอนนี้เรายังหาความเชื่อมโยงระหว่างนายเกรียงไกรกับนายเมฆไม่ได้ ก็เท่ากับไม่มีหลักฐาน”

   “คุณเกรียงไกร กับคุณเมฆทำไมหรอค่ะ?” เพ็ญนภาถามขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังจับใจความอะไรไม่ค่อยจะได้”

   “เมื่อคืนก่อน ตั๋นกับหยกโดนดักทำร้านแถว ๆ ร้านอาหารค่ะ คนที่ทำร้ายก็คือ 4  คนที่พี่เอตามไปที่โรงพักกับโรงแรม คนพวกนั้นเป็นคนของนายเกรียงไกร แล้วเมื่อคืนนี้หยกถูกพี่เมฆวางยา พี่คีเห็นเข้าตอนที่นายเกรียงไกรกำลังจะลากหยกไปที่ห้องของตัวเอง ก็โดนใครไม่รู้ตีหัวสลบไปซะก่อน ยังดีที่พี่เสือไปช่วยหยกไว้ทัน”

   “คุณพระ!!” เพ็ญนภาตกใจจนหน้าซีด

   “ครับ ที่เหลือคงต้องไปสืบเรื่องของนายเมฆต่อที่กรุงเทพ ที่นี่มีข้อมูลไม่มาก แหล่งข้อมูลที่มีก็เดินทางกลับไปกันหมดแล้ว” คีสารภาพออกมา

   “ใครว่า ฉันนี่แหละแหล่งข้อมูลชั้นดีที่พวกเธอมองข้าม” เพ็ญนภาว่าพร้อมชี้หน้ารายตัว

   “พี่ภามีข้อมูลอะไรหรอค่ะ?” โบตั๋นถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

   “ฉันขอถามพวกเธอคำนึง นายเกรียงไกรมันต้องการอะไรจากน้องชายของฉัน” เพ็ญนภาพูดเสียงเย็น แววตาแข็งกร้าวอย่างที่โบตั๋น หรือคนของวรากรไม่เคยเห็นมาก่อน

   “ยัยภา ตัวใจเย็น ๆ ยังไงๆ หยกก็ปลอดภัยแล้ว” หงส์พูดพร้อมเอามือลูบต้นแขนเพื่อนเบา ๆ

   “งั้นตัวก็ตอบภามา นายนั่นมันจะทำอะไรหยก” หงส์มีสีหน้าหนักใจก่อนจะตอบ

   “ข่มขืน...” พอสิ้นคำพูดของหงส์เพ็ญนภาก็ลุกพรวดขึ้น เดินเข้าห้องไปก่อนเดินออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือของตนที่ยังคงแนบหูอยู่

   “ยัยจิ๊ก ฉันจะไปทนกันไอ้แมงดานั่นแล้ว ถ้าเธอพร้อม คนอื่น ๆ พร้อม ฉันจะจัดการมันขั้นเด็ดขาด” เพ็ญนภาเงียบเพื่อฟังบทสนทนาของปลายสายสักครู่ “ดี ถ้าอย่างนั้น เธอรวบรวมข้อมูลไว้ แล้วส่งเมลมาให้ฉันเร็วที่สุด ฉันถึงกรุงเทพเมื่อไร ฉันจะลงมือทันที”

   “พี่ภา” โบตั๋นเรียกเพ็ญนภาเสียงอ่อย เธอไม่เคยเห็นเพ็ญนภาโกรธจนตัวสั่นขนาดนี้

   “นายเกรียงไกร...” เพ็ญนภาพยายามระงับอารมณ์โกรธของเธอ ก่อนจะเล่าต่อ “เป็นหนี่งในลูกค้าของนายเมฆ และนายเมฆมันจะใช้ความที่มันเป็นช่างกล้องมืออาชีพ หลอกเด็กหน้าใหม่ ๆ ที่เพิ่งเข้าวงการไปปู้ยี่ปู้ยำก่อนที่จะเอามาแบล็คเมล์ ให้เด็กรับแขกให้มัน”

   “คุณภาทราบเรื่องนี้ได้ยังไงครับ” คีถามอย่างสงสัย

   “ฉันทำห้องเสื้อ นางแบบหลายคนที่ฉันจ้างมา เป็นเด็กในสังกัดนายเมฆหลายคน ทั้งที่สมัครใจและไม่สมัครใจ อย่างยัยจิ๊กก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ไม่สมัครใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ คนที่ยอมทน ก็จะอยู่ในวงการได้ คนที่รับไม่ไว้ก็ต้องออกจากวงการไปอย่างยัยจิ๊ก แต่มันไม่จบเท่านั้น มันยังตามไปรีดไถ่เงินยัยจิ๊กอยู่เป็นประจำ”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็จัดการนายเมฆได้ไม่ยาก ถ้ามีพยานยืนยัน” ต้าเอ่ยขึ้น “แล้วเรื่องนายเกรียงไกรล่ะครับ พี่ชาติ จะจัดการไปพร้อมกันเลยไหม?”

   “ไม่ รอไปก่อน คนไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างนายเกรียงไกรจัดการง่าย แต่เส้นสายของคุณสุพรรณษาก็ใช่ว่าจะน้อย เรื่องนายเกรียงไกรค่อยคุยกันทีหลัง พวกนายไปพักเถอะ”

   “ครับพี่ชาติ” ทุกคนค่อย ๆ ทยอยออกไปกันจนหมด

   “ที่เจ็กยังไม่จัดการเกรียงไกรเพราะเจ้าสัวเซียงใช่ไหมค่ะ?” หงส์หันมาถามเมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว

   “อืม”

   “เจ้าสัวเซียง ผีพนันนั่นน่ะหรอ?” เพ้ญนภาถามขึ้น “เขามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

   “ตระกูลเจ้าสัวมาจากฮ่องกงน่ะ” หงส์ตอบ

   “ตัวอย่างบอกนะว่า...”หงส์พยักหน้า “โอเค ถ้าตัวจะให้ภาช่วยอะไรก็บอกนะ ตัวก็รู้ว่าห้องเสื้อน่ะ เป็นแหล่งรวมผู้หญิงขาเม้าท์ชั้นดีเชียวล่ะ”

   “อืม หงส์จะบอกนะถ้าจะให้ตัวช่วยน่ะ แต่ตอนนี้หงส์ยังคิดไม่ออกว่าจะให้ตัวช่วยอะไร”

   “ภาว่าภารู้ ภาจะช่วยสืบเรื่องเส้นสายของคุณสุพรรณษาให้”

   “อืม ก็ดี แต่ผมมีเรื่องจะขอคุณภาสักเรื่อง” หลิ่วลู่พูดขึ้น

   “อะไรค่ะเจ็ก”

   “เรื่องนายเมฆ ผมอยากให้คุณภาชะลอไว้ก่อน ผมไม่ได้จะปล่อยมันไป แต่ผมอยากจะจัดการถอนรากถอนโคนมัน ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องวางแผนให้รัดกุม ให้มันดิ้นไม่หลุด”

   “เจ็กมีแผนอะไรหรอค่ะ?” เพ็ญนภาถาม

   “เอาไว้ถ้าคุณภาได้ข้อมูลมา ผมรบกวนขอดูหน่อยแล้วกันครับ จะได้ดูว่าแผนการของผมใช้ได้ไหม?”

   “เจ็กยังเจ้าแผนการเหมือนเดิมเลยนะคะ” หงส์เย้า เจ็กลู่ได้แต่ยิ้ม

   “ฉันไม่เคยเห็นเจ็กคนนี้ของตัวเลย เจ็กเขาไปอยู่ไหนมาหรอ?” เพ็ญนภากระซิบถาม
   “ถ้าหน้าตาตัวอาจจะไม่เคยเห็น แต่ถ้าจิตใจน่ะ ตัวน่าจะคุ้นเคยดีนะ”

   “ถ้าใจ ภาน่าจะคุ้นเคยดี” เพ็ญนภาทวนคำ พร้อมกับนึกภาพอากัปกิริยาที่ผ่านมาของคนตรงหน้า ถึงแม้จะคุ้น แต่เธอก็นึกไม่ออก

   “ไม่แปลกหรอกที่หนูภาจะนึกไม่ออก”

   หลิวลู่เปรยยิ้ม ๆ แต่ก็เป็นเหมือนกุญแจปลดล็อคความทรงจำของเธอได้อย่างดี เพ็ญนภาลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปใกล้ ๆ หลิวลู่ ก่อนก้มลงกราบบนตัก เป็นภาพที่โบตั๋นต้องตกตะลึงเป็นครั้งที่ 2 จากการกระทำของเพ็ญนภาในวันนี้

   “ลุงหลิวของหนูภา มีลุงหลิวคนเดียวเท่านั้นที่เรียกภาแบบนี้” เพ็ญนภาพูดไปก็ร้องไห้ไป

   “ไม่เอา หนูภาของลุงโตเป็นสาวแล้ว ไม่ร้องไห้นะ”

   “ภาคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอลุงหลิวแล้ว ภายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณลุงหลิวเลย”

   “ไม่เอา ไม่ร้องนะ แล้วตอนนี้ไม่มีลุงหลิวแล้วนะ มีแต่เจ็กลู่” หลิวลู่พูดพร้อมบีบไหล่เพ็ญนภาเบา ๆ ปลอบใจ

   “ค่ะ ภาเข้าใจ ภาจะช่วยหงส์ จะช่วยเจ็กลู่เอง เจ็กลู่ยอมให้ภาช่วยนะคะ”

   “อืม เจ็กยอมก็ได้ ถ้าหนูภาหยุดร้องไห้”

   “ตั๋นงงไปหมดแล้ว เจ็กลู่กับพี่ภารู้จักกันมาก่อนหรอค่ะ?” เพ็ญนภาเช็คน้ำตาก่อนเล่าสั้นๆ

   “เจ็กลู่เคยช่วยชีวิตพี่ไว้ ตอนพี่ยังเป็นเด็กน่ะ ตอนนั้นพี่เลยติดเจ็กลู่มาก”

   “โบตั๋นยังเด็กมากน่ะตอนนั้น คงจำไม่ได้ว่ายัยภาเคยช่วยเจ็กเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ด้วยเรานะ” หงส์ตอบยิ้ม ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต

.........................................................................

   พยัคฆ์หายไข้กลับมาเป็นปกติแล้ว เหลือเพียงบาดแผลที่แขนที่ยังต้องคอยล้างและเปลี่ยนผ้าพันแผลอีกหลายวัน เรื่องเพ็ญนภา เก่งมาเล่าให้ฟังแล้ว ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป จนตอนนี้พวกเขาเองเหมือนจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดย่อม ๆ เวลาจะไปเที่ยวไหนกันแต่ละที

   จะมีที่ผิดสังเกตไปบ้างก็ตรงที่ เพ็ญนภาดูเหมือนจะเกาะติดอาชาติ คอยตามเทคแคร์จนเขานึกห่วงว่าอากรของเขาจะมีคู่แข่งที่เป็นผู้หญิงซะแล้ว

   “พี่เสือเป็นอะไรไปค่ะ?” โบตั๋นเข้ามาชวนคุย ขณะที่ทุกคนกำลังเล่นน้ำทะเลกันอยู่ มีเพียงเขา โบตั๋น หงส์ เจ็กลู่ และเพ็ญนภาที่นั่งเล่นอยู่ริมหาด

   “ไม่มีอะไรครับ พี่ว่าจะถามตั๋นสักหน่อย”

   “เรื่องที่ตั๋นยอมรับพี่เสือนะหรอค่ะ” เขาไม่เคยชินกับโบตั๋นสักที ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพราะเมฆาขาว เธอคงถนัดเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจริง ๆ

   “ครับ”

   “เฮ้อ...ตั๋นน่ะ ห่วงหยกเพราะเราโตมาด้วยวัยใกล้เคียงกัน เป็นทั้งพี่น้อง เป็นทั้งเพื่อน ตั๋นเคยวาดฝันไว้ว่าอาซ้อของตั๋นจะเป็นคนยังไง จะทำให้หยกมีความสุขได้ไหม พอพี่เสือเข้าหาหยก ตั๋นรู้ว่าตอนนั้นพี่เสือเข้าใจผิด คิดว่าหยกเป็นผู้หญิง ตั๋นพยายามจะไล่พี่ไปแต่โดนเจ่เจ้ห้ามไว้ซะก่อน ตั๋นไม่เคยเชื่อมั่นในตัวพี่เสือเลย...จนกระทั้งคืนนั้น”

   “ตั๋นกังวล เพราะทั้งพี่กับหยก ต่างก็เป็นผู้ชาย”

   “อืม...ตอนนั้น ความรู้สึกพี่เสือที่มีต่อหยกมันรุ่นแรงมากเลย จนขนาดตั๋นเองก็ยังรับรู้ถึงมันได้เลยนะ”

   “ทำไม ปกติตั๋นควรจะรับความรู้สึกพี่ไม่ได้อย่างนั้นหรอ?”

   “ใช่ ก็พี่เสือคิดถึงหยก หยกก็จะรับรู้ได้คนเดียว ตั๋นกับพี่หงส์ไม่รู้หรอก แต่ตอนนั้นพวกเรารับรู้ได้หมดเลย”

   “แล้วตอนนี้ล่ะ”

   “ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว มันเลยทำให้ตั๋นยิ่งระแวง”

   “พี่ไม่รู้ตัวเลย”

   “ความรู้สึกของพี่เสือที่มีต่อหยกมันเปลี่ยนไปน่ะ”

   “เปลี่ยนไป เปลี่ยนยังไง พี่รู้สึกกับหยกเหมือนเดิมนะ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น ตั๋นไม่ได้ว่าพี่เสือ เออ...จะอธิบายยังไงดีล่ะ”

   “หืม...มันอธิบายยากขนาดนั้นเลยหรอ ไม่สมกับเป็นโบตั๋นเลย ถ้าเป็นหยกก็ว่าไปอย่าง”

   “งั้นตั๋นพูดตรง ๆ แล้วกันนะ ตอนแรกความรู้สึกพี่เสือมันมีแต่ความอยากได้ อยากเป็นเจ้าของ ต้องได้อะไรแบบนั้นจนตั๋นเรียกพี่เสือลับหลังว่าแมวหง่าว เหมือนแมวตัวผู้ที่ติดสัสร้องหาตัวเมียอยู่ตลอดเวลาน่ะ”

   “ฮ่า ๆๆๆ พี่เป็นอย่างนั้นหรอ”

   “ใช่ แต่ตอนนี้ที่ตั๋นว่ามันเปลี่ยนไปก็คือ มันมีแต่ความเสียสละ ความปรารถนาดี อยากปกป้อง ไม่ได้เรียกร้องเอาแต่ได้อย่างแต่ก่อน”

     “...” ใช่ เขาไม่อยากเห็นสายตาหวาดกลัว หรือแม้กระทั่งน้ำตาของหยก เขาไม่อยากให้หยกเสียใจ เขายอมทำทุกอย่างถ้าจะได้เห็นแต่รอยยิ้มของหยก

   “พี่เสือรู้ไหม ว่าความรู้สึกแบบนี้นั่นแหละ ที่ทำให้หยกสามารถเข้าใกล้พี่เสือได้ เพราะมันไม่ได้น่ากลัวไง”

   “แล้วตอนนี้ พี่ได้ได้นึกถึงตั๋น แล้วตั๋นรู้ได้ยังไงว่าพี่กำลังนึกคิดอะไรอยู่”

   “ตั๋นก็แอบสัมผัสจิตพี่เสือไง ตั๋นก็แค่อยากรู้ว่าพี่เสือคิดยังไงกับหยก”

   “หืม...อันตรายเหมือนกันนะเรา”

   “ตั๋นพอจะรู้ว่าพี่เสือกังวลเรื่องความรู้สึกหยก หยกแสดงออกไม่เก่งกับคนอื่น เพราะชินกับการสื่อสารผ่านเมฆาขาวกับตั๋นและเจ่เจ้ ถ้าสักวันหนึ่งหยกเปิดใจกับพี่เสือแล้ว หยกเขาก็จะแสดงออกมาให้พี่เสือเห็นเองแหละ”

   “ตั๋นไม่รังเกียจพี่หรอ ที่พี่ชอบพี่ชายตั๋น”

   “เรื่องความรัก ไม่มีคำว่าน่ารังเกีบจหรอกค่ะ และตั๋นก็เชื่อแล้ว ว่าพี่เสือจริงใจกับหยกแค่ไหน ตั๋นพอจะรู้นะ ว่าพี่เสือไม่ได้แค่ชอบหยก”

   “...” เขายังไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขากลัวว่า หากหยกคิดกับเขาแค่พี่ชายคนนึง ถึงตอนนั้น เขาจะสามารถดึงหัวใจตัวเองกลับมาได้ไหม ในเมื่อเขารักหยกไปแล้วหมดหัวใจ

   “หยกรู้จักความรัก รักพี่ รักน้อง รักเพื่อนๆ แต่หยกไม่เคยมีแฟนที่เป็นผู้หญิง หรือแม้แต่ผู้ชาย พี่เสือต้องให้เวลาหยกเขาหน่อย เห็นหยกเป็นแบบนี้ แต่จริง ๆ หยกเขาขี้อายมากเลยนะ พี่เสือรู้ไหม?”

   “ขี้อายหรอ?”

   “ใช่ค่ะ สังเกตง่ายจะตาย ถ้าหน้าแดงถึงจมูกถึงหูนั่นแหละ”

   พยัคฆ์ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงแก้มนุ่มๆ ที่เขาได้หอมไปเมื่อวาน    

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 3-12-17 {{:::30:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-12-2017 16:46:42
30

   โบตั๋นเดินมาสมทบกับหงส์และเพ็ญนภาที่ใต้ร่มไม้ หลังจากที่คุยกับพยัคฆ์เรียบร้อย เธอรู้ว่าหยกเริ่มคิดยังไงกับพี่เสือ เพียงแต่มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องเรียนรู้กันและกัน เธอเป็นเพียงคนนอก ไม่ควรเขาไปยุ่งเกี่ยวด้วย เรื่องที่พอจะแนะนำได้ก็แนะนำไปแล้ว

   “ไปคุยอะไรกับคุณเสือเขาน่ะ คงไม่ได้คิดจะแกล้งอะไรพี่เขานะ” หงส์ถามเธอเมือเธอนั่งลงข้าง ๆ

   “ไม่ได้แกล้งสักหน่อย แค่ไปแนะแนวเรื่องของหยกให้กับพี่เสือเท่านั้นเอง”

   “พี่รู้จักคุณพยัคฆ์มานาน พี่ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนแรกพี่นึกว่าเขาจะจีบน้องโบตั๋นซะอีก”

   “ในตอนนั้น พี่เสือเขาเข้าใจผิดคิดว่าตั๋นเป็นหยกน่ะคะ”

   “จริงสินะ พวกตัวสามพี่น้องหน้าตาเหมือนกันหมด ภาว่าถ้าตัวแข็งแรงกว่านี้ มีน้ำมีนวลขึ้นกว่านี้ ตัวคงเป็นแฝดน้องโบตั๋นได้อีกคนเลยล่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้น หงส์ก็ต้องรีบแข็งแรงขึ้นไวไวใช่ไหม จะได้เป็นแฝด 3 ไปเลย” หงส์พูดเรียกเสียงหัวเราะให้สาว ๆ ที่เหลือได้เป็นอย่างดี

   “ตัวดูคุณพยัคฆ์สิ” เพ็ญนภาชี้ชวนให้เจ่เจ้และเธอดูพี่เสือที่รีบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ไปยืนรับหยกที่ขึ้นจากทะเลมา โดยมี 2 หนุ่มอย่างต้ากับเก่งที่โดนกำชับให้ค่อยดูแลหยก ตามขึ้นจากน้ำมาไม่ห่าง

   “นี่ถ้าพี่เสือไม่ต้องระวังเรื่องแผลที่แขน พี่เสือคงลงไปประกบหยกเองแล้วมั้ง”

   “แล้วน้องหยกล่ะ มีท่าทียังไงกับคุณพยัคฆ์บ้าง”

   “...” หงส์ยิ้มให้เพ็ญนภาเล็กน้อย

   “ภาว่าเรื่องที่ตัวต้องไปจัดการ คงยิ่งยากขึ้นแล้วล่ะ”

   “ไม่หรอกภา เพื่อความสุขของน้อง ๆ หงส์จะพยายามจนถึงที่สุด”

   “เจ่เจ้กังวลเรื่องคนที่ฮ่องกงหรอ?”

   “ก็นิดหน่อย”

   “เราไม่เกี่ยวกับเขามาตั้งนานแล้ว หยกเองถึงจะเป็นทายาทคนเดียว แต่ตอนนี้พวกนั้นเข้าก็อยู่กันได้โดยไม่มีหยกนี่”

   “ใช่ ภาเห็นด้วยกับน้องโบตั๋นนะ ถึงภาจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทางโน้นมากนัก แต่ภาพร้อมจะช่วยเหลือตัวและน้อง ๆ นะ”

   “ตั๋นก็จะช่วยด้วยอีกคน เจ่เจ้ไม่ต้องกังวลนะ ตั๋นอยากเห็นหยกมีความสุข” โบตั๋นพูดพร้อมมองไปยังพยัคฆ์ที่ยืนเช็ดผมให้หยกอยู่ บนร่างของหยกก็มีเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของเขาคลุมทับไว้เพื่อกันแดดกันลม

   “ดูน้องหยกมีความสุขขึ้นนะ” เพ็ญนภาเปรยขึ้นเมื่อมองตามไปในทิศทางเดียวกัน

   “เมื่อไรหยกถึงจะรู้ ความรู้สึกตัวเองนะ?”

   “นี่น้องตั๋นหมายความว่า น้องหยกก็ชอบคุณพยัคฆ์หรอค่ะ?”

   “ตั๋นคิดว่าใช่นะคะพี่ภา แต่ก็แปลกที่สองคนนี้เขารักกันได้รวดเร็ว ขนาดไม่ค่อยได้เจอกันะคะ”

   “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาหรอกค่ะ”

   “คนนึงก็ไม่รู้ความรู้สึกตัวเอง คนนึงก็กังวลว่าเขาจะรังเกียจ”

   “คุณพยัคฆ์นี่น่ะ กังวลเรื่องน้องหยก”

   “ค่ะพี่ภา พี่เสือเขาระวังตัวมาก เขากลัวว่าจะทำให้หยกกลัวเขาถ้าเขารุกมากเกินไป”

   “ต๊ายๆๆๆ แล้วเมื่อไรจะลงเอ่ยกันสักทีล่ะคะ”

   “ตั๋นถึงต้องไปแนะแนวพี่เสือไงค่ะ”

   “พรุ่งนี้พี่จัดโปรแกรมเที่ยวใหม่ดีกว่า ให้สองคนนี้เขาอยู่ด้วยกันมาก ๆ หน่อย” เพ็ญนภาคว้าแท็บเลตขึ้นมาดูสถานที่ท่องเที่ยว สีหน้าท่าทางจริงจังจนหงส์และโบตั๋นอดหัวเราะออกมาไม่ได้   

.........................................................................

    ผมไม่ชินกับการที่พี่ต้ากับพี่เก่งคอยระวังโน่นนี่ให้ผมตลอดเวลาที่อยู่ในน้ำ ผมไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองไม่ได้สักหน่อย ยังดีที่พี่ ๆ เขาเข้าใจเมื่อผมบอกว่าผมดูแลตัวเองได้ แต่ก็เฝ้าระวังให้ในระยะสายตามองเห็น จนผมขึ้นจากน้ำพี่เขาก็ตามมาส่งที่ชายหาดด้วย พี่เสือมายืนรอรับผมอยู่อยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ในมือ พี่เสือเอามันมาห่มคลุมตัวผมไว้

   “หนาวไหมครับ ปากซีดเชียว”

   “ไม่ครับ แค่เย็นๆ” พี่เสือถอดเสือเชิ้ตที่สวมอยู่ออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียว จากนั้นก็เอามันมาคลุมไหล่ให้ผมแทนผ้าขนหนู ก่อนที่จะช่วยเช็ดผมให้ “หยกทำเองได้ครับ” ผมพยายามยื้อผ้าขนหนูจากมือพี่เสือ

   “ก็พี่อยากเช็ดให้นี่ครับ น้องหยกจะลงไปอีกไหม?” พี่เสือเช็ดผมให้ผมอย่างเบามือมาก

   “ไม่แล้วครับ หยกเลิกแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นพี่พาเรากลับไปล้างตัวก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกมานั่งทานอะไรกับคุณภาและหงส์นะ อยู่แบบนี้เหนียวตัวแย่” ผมมองระยะทางจากหาดไปถึงบ้านพัก ระยะทางไม่ได้ไกลและใช้เวลาเดินไม่นานจึงพยักหน้าตกลง พี่เสือเอาผ้าขนหนูคลุมตัวผมอีกชั้นก่อนจูงมือเดินนำผมไป

   “พี่เสือ”

   “ครับ” พี่เสือหันมามองผมแต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน

   “ปล่อยมือหยกได้ไหมครับ” ผมสบตากับพี่เสือแป๊บนึงก็ต้องเสสายตาไปมองทางอื่น พี่เสือปล่อยมืออย่างที่ผมขอแล้วเดินนำไปที่บ้านพัก

   “พี่รอเราอยู่ตรงนี้นะครับ”

   “เสื้อพี่เสือเปียกแล้ว” ผมดึงเสื้อของพี่เสือออกจากไหล่

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่แวะไปเอาตัวใหม่ที่ห้องได้”

   “ครับ งั้นหยกไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

   ผมอาบน้ำล้างตัวเรียบร้อยก็เป่าผมให้แห้งก่อนเดินออกไปนอกห้อง เห็นพี่เสือนั่งรอผมอยู่ที่โซฟายาว พี่เสือหันมาเมื่อได้ยินเสียงผมเปิดประตูห้อง อยู่ๆ พี่เขาก็ขมวดคิ้ว ผมสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่ส่งมาถึงผม

   “พี่เสือไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ”

   “...” พี่เสือไม่ตอบแต่กลับลุกเดินมาหาผม “ถ้าพี่ขอให้หยกเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวอื่นได้ไหม?” ผมก้มมองดูเสื้อยืดสีฟ้าซีด ๆ ที่ใส่อยู่

   “มันไม่ดีตรงไหนหรอครับ?”

   “สีมันอ่อนไปหน่อยน่ะ”

   “ก็หยกชอบสีนี้” พี่เสือที่ยืนมองเสื้อผมตั้งแต่ลุกมาจากโซฟา เอื้อมมือมาจะแตะที่หน้าอกผม บริเวณเหนือยอดอกขึ้นไป สัญชาตญาณของผมมันทำให้ผมถอยหนีมือของพี่เสือ

   “พี่ขอโทษ” พี่เสือชะงักค้างเล็กน้อยก่อนที่จะค่อย ๆ ยื่นมือมาแตะอีกครั้ง พี่เสือไม่ได้ลวนลามผม เขาแตะตรงรอยจ้ำสีคล้ำที่เห็นรางๆ ผ่านเนื้อผ้า “พี่ขอโทษ” พี่เสือพูดเหมือนคนละเมอ

   “พี่เสือ...หยกไม่เป็นไร หยกปลอดภัยแล้วนะ เพราะพี่เสือมาช่วยหยกไว้” ผมยกมือไปกุมมือพี่เสือที่แตะค้างอยู่ที่หน้าอกของผมไว้ พี่เสือเงยหน้ามาสบตาผม

   “แต่ก็ยังช้าอยู่ดี พี่ขอโทษ”

   “พี่เสืออย่าพูดคำนี้อีกนะ พี่เสือไม่ผิดสักหน่อย นายนั่นมันเลวเอง พี่เสือไม่ได้ไปสั่งให้มันเลวสักหน่อย” ผมนึกคำพูดของโบตั๋นขึ้นมาได้ พี่เสือดึงผมเข้าไปกอดไว้

   “พี่ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”

   พี่เสือซบหน้าผากซบลงบนไหล่ของผม ผมโอบเอวของพี่เสือไว้หลวม ๆ เราอยู่กันอย่างนี้สักนาทีได้ พี่เสือก็ผละออกแต่มือที่สองข้างของพี่เสือยังคงโอบเอวผมอยู่ แล้วย้ายหน้าผากเขามาแตะหน้าผากผม หน้าผากและปลายจมูกของเราชนกัน ผมหลับตาลง ได้กลิ่นลมหายใจของพี่เสือ มันทำให้ผมใจสั่น แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไร

   “พี่อยากจะถามหยก ว่ามันทำอะไรหยกบ้าง แต่พี่ก็กลัวคำตอบที่จะได้ยิน แค่เห็นรอยนั่น...ใจพี่ก็แทบจะขาดแล้ว” พี่เสือพูดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขยับใบหน้าไปไหน

   “ถ้าอย่างนั้นพี่เสือก็ไม่ต้องถามหรอกครับ แค่รู้ว่าหยกปลอดภัยก็พอ”

   ผมตอบทั้ง ๆ ยังหลับตาอยู่ เราอยู่ในสภาพนี้อีกสักพัก ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนริมฝีปากอุ่น ๆ ของพี่เสือประกบลงบนปลายจมูกของผม ก่อนจะไล้ลงมาที่ริมฝีปาก ผมเงยหน้ารับจูบของพี่เสืออย่างไม่รู้ตัว ผม...โหยหาสัมผัสนี้...ของคนๆ นี้... มันไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนไอ้หมอนั่น พี่เสือกระชับวงแขนเข้าหาตัว พี่เสือจูบจนผมแทบหายใจไม่ทัน พี่เสือเว้นจังหวะให้ผมพักหายใจบ้าง ริมฝีปากพี่เสือขบเม้นริมฝีปากผมเบา ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแนบอก ผมได้ยินเสียงหัวใจของพี่เสือ มันเต้นเสียงดังพอๆ กับหัวใจของผม

   “พี่ขอโทษ ที่ฉวยโอกาสกับหยก” พี่เสือพูดเสียงเบาขณะกอดผมอยู่ ผมได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ “พี่แค่คิดว่ามันคง...” พี่เสือดันร่างผมออกห่างเล็กน้อยก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแนบแก้มของผม หัวแม่โป้งก็ไล้ไปตามริมฝีปากชื้นเพราะพี่เสือ “พี่ทนไม่ได้” ผมสบตาพี่เสือก่อนจะเป็นคนเข้าไปสวมกอดพี่เสือไว้ซะเอง

   เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันหลังจากนั้น ผมเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อสีเข้มขึ้นเพื่อความสบายใจของพี่เสือ ผมยอมให้พี่เสือจูงมือ เดินนำออกไปยังชายหาดเพื่อสมทบกับคนอื่น ๆ เมื่อมาถึงกลุ่มของพี่ที่นั่งกันอยู่ใต้ร่มไม้ริมหาด ทุกคนที่กำลังนั่งทานของว่างกัน ต่างหันมามองพวกเรา ผมอายสายตาของพวกเขาที่มองมาที่มือของผม มือของพวกเรา... แต่มันกลับทำให้พี่เสือกระชับมือของผมแน่นขึ้น พี่เสือมาส่งผมให้นั่งข้าง ๆ โบตั๋นกับเจ็กลู่ ส่วนพี่เสือเองก็แยกไปนั่งรวมกลุ่มกับคนของเขา

   “พรุ่งนี้เราไปเที่ยวที่เกาะเมี่ยงกันนะคะน้องหยก แล้วค้างที่นั่นสักคืน” พี่ภาบอกเมื่อผมนั่งเรียบร้อยดีแล้ว

   “ตั๋นไม่ไปเกาะด้วยนะคะ ไม่อยากเมาเรือแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้น พี่จัดให้คนอยู่เป็นเพื่อนตั๋นที่นี่ก็แล้วกันนะ” พี่เสือว่า โบตั๋นก็พยักหน้ารับยิ้ม ๆ

   “ทำไมพี่ภาถึงเปลี่ยนเป็นไปเที่ยวเกาะพรุ่งนี้ล่ะครับ” ผมถามขึ้น เพราะผมจำได้ว่าพี่ภาว่าจะไปล่องแก่ง

   “พี่คิดไปคิดมา มันไม่น่าจะเหมาะกับหงส์ที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ก็เลยเปลี่ยนน่ะ” ก็จริงของพี่ภาครับ เผลอ ๆ พี่เสือก็อาจจะไม่ได้เล่นเพราะแผลยังไม่แห้งดี

   “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้นะ” โบตั๋นสรุปหน้าระรื่น เหมือนเด็กได้หนีผู้ปกครองเที่ยวยังไงอย่างนั้น

.........................................................................

   เมื่อวานนี้พยัคฆ์เผลอตัวจูบน้องหยกไป เขาทนไม่ได้จริง ๆ เมื่อนึกขึ้นมาว่าไอ้เกรียงไกรมันสัมผัสส่วนไหนบนร่างกายของน้องหยกบ้าง เขาอยากจะลบรอยพวกนั้นออกไปจากใจน้องหยก แต่เขาก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา เขากับน้องหยกเริ่มต้นด้วยกันไม่ค่อยดีเท่าไร กว่าน้องหยกจะเข้าใกล้เขาได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ดังนั้นถึงแม้เขาอยากจะลบรอยต่าง ๆ บนร่างน้องหยกแค่ไหน เขาก็ต้องอดทนและค่อยเป็นค่อยไป เขาจะรอ...จนกว่าน้องหยกจะเปิดใจให้กับเขาได้มากกว่านี้

   “เอาของไปแค่นี้เองหรอ” อาชาติเดินตามมาสมทบเขาที่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของน้องหยก

   “ครับ ก็ค้างแค่คืนเดียวเอง เลยเอาของไปไม่มาก”

   “อืม งั้นอาไปหาหงส์กับคุณภาก่อนนะ ป่านนี้คงไปรอที่รถแล้ว”

   “ครับ เดี๋ยวผมรอไปพร้อมน้องหยก” อาชาติพยักหน้ารับก่อนเดินไปยังบ้านหลังถัดไป

   เขายืนรออยู่สักพักก็เห็นน้องหยกออกมาจากบ้านโดยมีโบตั๋นเดินออกมาส่ง น้องหยกใส่เสื้อสีฟ้าซีดตัวเมื่อวาน แต่วันนี้มีเสื้อเชิ้ตสีเข้มสวมทับไว้ ทำให้ไม่เห็นรอยคิสมาร์คนั่น   

   “พี่เสือรอนานไหมค่ะ?” โบตั๋นทัก เขาส่ายหน้าเล็กน้อย “หยกมัวแต่เลือกเสื้อผ้าอยู่นั่นแหละ”

   “ตั๋น!!”

   “อ่าว!!... ก็จริงนี่นา ตั๋นเห็นหยกหยิบแต่เสื้อสีเดิม ๆ เอาเข้าๆ ออกๆ จากกระเป๋าอยู่นั่นแหละ”

   “ก็เฮียเพิ่งรู้ตัวนี่ ว่าหยิบมาแต่สีนี้”

   “ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากใส่สีอื่นล่ะ หยกชอบสีนี้ไม่ใช่หรอ?” เขาเห็นน้องหยกหน้าแดง คงจะอายรอยคิสมาร์คนั่นสินะ

   “ไว้ค่อยไปซื้อเพิ่มในเมืองพรุ่งนี้ก็ไหมครับ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อ” เขาพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือปคว้ากระเป๋าใบเล็กของน้องหยกมาถือไว้ “ไปกันเถอะครับ คนอื่นน่าจะไปรอเราที่รถแล้ว”

   “ครับ”

   “เที่ยวให้สนุกนะหยก พี่เสือ” โบตั๋นตะโกนบอกไล่หลัง เขาหันไปมองเล็กน้อยจึงเห็นว่าน้องหยกเดินก้มซ่อนใบหน้าที่แดงจนถึงใบหูอยู่

   “หยก”

   “ครับ”

   “อยากไปซื้อเสื้อก่อนไหม?”

   “มะ...ไม่เป็นไรครับ หยกแค่...พี่เสือไม่สบายใจ” น้องหยกพูดเสียงเบา เขาจึงชะลอฝีเท้าลง จนมาเดินอยู่ข้าง ๆ น้องหยก เขากุมมือน้องหยกไว้

   “พี่ดีใจจัง ที่น้องหยกเป็นห่วง” น้องหยกยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ เขาจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าน้องหยกเขินเขาแทนที่จะเขินรอยคิสมาร์คนั่น

.........................................................................

   นายเอที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ มองผ่านกระจกมองหลัง พร้อมกับฟังแผนการของเพ็ญนภาไปด้วย เขาสังเกตสีหน้าของพี่ชาติและคุณหงส์ ทั้งสองกลับไม่มีที่ท่าประหลาดใจอะไรเลย ผิดกับเขาและเก่ง ที่หน้าเหว๋อไปตาม ๆ กัน

   “คุณภาเอาจริงหรอครับ?” เก่งถามออกมาด้วยท่าทีที่เหมือนจะกลืนน้ำลายลงคอได้ยากเย็นนัก

   “จริงสิ พวกเธอจะกลัวอะไร ในเมื่อผู้ปกครองเขาอนุญาตแล้ว” เพ็ญนภาตอบสีหน้ามั่นใจ

   “ถ้าคุณพยัคฆ์รู้เข้า จะไม่จัดการพวกผมแย่หรอครับ” เอหันมาถามพร้อมมองไปยังพี่ชาติเพื่อขอความช่วยเหลือ

   “นายก็รู้ว่าคุณเสือเขาคิดยังไงกับหยก” พี่ชาติย้อนถามเขา

   “เอาก็เอาครับ” เก่งยอมจำนนเป็นคนแรก ทำให้เขาต้องพยักหน้าตาม

.........................................................................

   เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงท่าเรือ พี่เอก็ขอขับรถกลับ เปลี่ยนใจไม่ไปเกาะเมี่ยง ปล่อยให้พี่เก่งตามพวกเราไป เจ็กลู่ก็ตามใจพี่เอเพราะเห็นว่าทางนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การเดินทางที่มีผู้หญิง 2 ชาย 4 น่าห่วงน้อยกว่าทางด้านโบตั๋นมาก เจ็กลู่ว่า พี่ๆ เขาคงจะเอาโบตั๋นไม่อยู่ ผมเองก็เห็นด้วยอย่างที่เจ็กว่าครับ บทโบตั๋นจะดื้อขึ้นมาก็มีเจ่เจ้คนเดียวเท่านั้นแหละครับที่เอาอยู่

   พวกเราจ้างสปีดโบ๊ทมาส่งที่เกาะเมี่ยง และให้เขามารับกลับในวันพรุ่งนี้ พี่ภาเช่นเคยครับที่เป็นคนจัดการทุกอย่าง รวมถึงเรื่องที่พักด้วย ดูแกจะคล่องไปหมด เจ่เจ้กับพี่ภาแกขอเข้าไปเช็คอินและพักในบ้านพักก่อน ส่วนผมกับคนอื่น ๆ เดินสำรวจรอบ ๆ ว่ามีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้างนอกจากเล่นน้ำทะเล

   ที่นี่กิจกรรมส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เช่นการเดินชมธรรมชาติบนเกาะ ขึ้นไปยังจุดชมวิว การดำน้ำดูปะการัง ซึ่งดูๆ แล้วพวกเราคงได้แต่อยู่บนเกาะ ไม่ได้ไปดำน้ำแน่ ๆ เพราะเจ่เจ้กับพี่เสือไม่น่าจะลงน้ำได้

   “หยกอยากไปดูปะการังไหม?” พี่เสือถามผมเมือเราสำรวจรอบๆ เรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินกลับไปยังบ้านพัก

   “ตอนแรกก็อยากอยู่ครับ แต่ไปได้ไม่กี่คนเอง หยกเลยคิดว่าไม่ไปจะดีกว่า”

   “ไม่เห็นเป็นไรเลย เวลาลงน้ำก็ต่างคนต่างดำดูปะการัง ไม่ได้ดูด้วยกันสักหน่อย หรือว่าเป็นห่วงแผลพี่”

   “นั่นก็ด้วยครับ” ผมไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ผมก็คิดถึงแผลพี่เสือจริง ๆ

   “งั้นเอาแค่ดำน้ำสน็อกเกิ้ลก็ได้นี่ พี่จะได้ลงด้วย”

   “แต่แผลพี่เสือ”

   “ไปเถอะ นานๆ ลื้อจะได้เที่ยวทั้งที จะมามัวรีรออะไร” เจ็กลู่คะยั้ยคะยอ

   “พวกพี่ชาติไปดูเรื่องดำน้ำกันก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาสัมภาระไปเก็บให้” พี่เก่งอาสา ก่อนเอากระเป๋าของพวกเราแล้วเดินไปยังบ้านพัก

   ผมเดินผ่านจุดขายของที่ระลึกเห็นมีร้านขายเสื้ออยู่บ้าง เลยเดินเข้าไปดู เสื้อของผมมีแต่สีอ่อน ๆ ยิ่งรอยนั่นตอนนี้เข้มขึ้นจนจะเป็นสีม่วงๆ แล้วมันยิ่งเห็นชัดขึ้น พี่เสือเดินตามผมมา ส่วนเจ็กลู่เดินต่อไปเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อถามเรื่องดำน้ำ

   “กังวลเรื่องจะลงดำน้ำสน็อกเกิ้ลรึป่าว” ผมพยักหน้าเล็กน้อยครับ ผมหยิบเสื้อสีน้ำทะเลออกมาตัวหนึ่ง คิดว่าน่าจะเข็มพอแล้ว ก่อนเดินเอาไปจ่ายเงิน

   “ราคาเท่าไรครับ”

   “190 บาทค่ะ”

   “ตัวนี้ด้วยครับ” พี่เสือหยิบเสื้อมาอีกตัวว่างทับเสื้อของผม สีและลายที่พี่เสือหยิบมา มันเหมือนกันกับของผมไม่มีผิด ผมมองหน้าด้านข้างของพี่เสือ เห็นเขายิ้มอยู่

   “จ่ายรวมหรือแยกกันค่ะ”

   “รวมกันไปเลยครับ” พี่เสือบอกพร้อมกับยื่นแบงค์ 500 ร้อยให้พนักงาน

   “จ้องหน้าพี่แบบนี้พี่ก็เขินแย่สิครับ” คำพูดพี่เสือทำให้ผมรีบหันไปมองพนักงานของร้าน ที่ก้มหน้าก้มตาพับเสื้อใส่ถุงให้พวกเรา แต่ก็ไม่วายยิ้มออกมา ผมอายจนต้องเดินหนีออกมาจากร้านก่อน

   “อายพี่หรอครับ หน้าแดงเชียว” พี่เสือที่เดินตามมาทันถามผม

   “ป่าวสักหน่อย”

   “แล้วทำไมหน้าแดงแบบนี้ ไม่สบายรึป่าว?”

   “ป่าว หยกก็แค่...อายพนักงานในร้าน”

   “อายเรื่องอะไร พี่ไม่เห็นว่าหยกจะทำเรื่องน่าอายอะไรสักหน่อย”

   “หยกไม่ได้ทำ แต่เป็นพี่เสือต่างหาก”

   “พี่?”

   “ก็...เรื่องเสื้อ...แล้วยัง...”

   “แล้วอะไรครับ”

   “ที่พี่เสือพูด...”

   “พี่พูดจริงนี่นา ก็น้องหยกเล่นจ้องพี่แบบนั้น”

   “พนักงานเขาจะไม่คิดว่าเราเป็นแฟนกันหรอครับ”

   “แล้วถ้าพี่อยากให้เป็นแบบนั้นล่ะ?” ผมชะงักกับคำพูดของพี่เสือ จนหยุดเดิน พี่เสือก็หยุดมองหน้าผม

   ตั้งแต่ผมจำความได้ ผู้ชายที่รักผมก็มีแต่เจ็กลู่ ที่มีศักดิ์เป็นอา ผมรู้ว่าพี่เสือมีความปรารถนาดีกับผม ห่วงใย คอยเอาใจใส่ผมตลอดเวลา บางการกระทำก็เหมือนกับเจ่เจ้หรือโบตั๋นที่ค่อยดูแลผม เหมือนที่เราดูแลซึ่งกันและกันพี่น้อง แต่บางครั้งที่มากกว่านั้น...

   ผมไม่ได้รังเกียจ แต่มันใช่ความรักแบบคู่รักหรอ? ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่เสือดี แต่ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกแบบเดียวกันกับพี่เสือด้วยรึป่าว เขากับผม เราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ พี่จะไม่คาดคั้นอะไรเรา พี่อยากจะแสดงออกถึงความรู้สึกที่พี่มีต่อหยกเท่านั้น”

   “หยก...”

   “ไม่เป็นไรครับ พี่รอได้” พี่เสือคว้ามือผมไปกุมไว้ เดินจูงผมเหมือนที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง จนผมเริ่มจะชินกับฝ่ามือหนาคู่นี้ มันให้ความรู้สึก...อบอุ่น   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 3-12-17 {{:::30:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-12-2017 17:41:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 3-12-17 {{:::30:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 03-12-2017 20:39:33
พี่เสื่อแฮปปี้เลยยยยย
หัวข้อ: Re: หยก 5-12-17 {{:::31:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 05-12-2017 14:24:14
31

   พยัคฆ์รู้สึกว่าน้องหยกเริ่มคุ้นเคยกับการโดนเขาจูงแบบนี้แล้ว สังเกตจากที่มือของน้องหยกเริ่มเกาะเกี่ยวกับฝ่ามือของเขา ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็ยังดีใจ

   เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปเพื่อน้องหยกได้ขนาดนี้ จากที่เคยใจร้อน อยากใกล้ชิด กลับกลายเป็นคนใจเย็น ยินดีที่จะรอคอย แม้ว่าอนาคตเขาอาจจะเป็นได้เพียงพี่ชายของน้องหยกก็ตาม เขารู้ว่าการที่จะเปลี่ยนใจผู้ชายคนนึงให้มารักมาชอบผู้ชายด้วยกันนั้นมันเป็นเรื่องยาก ตอนเขารู้ว่าน้องเป็นผู้ชายเขายังเขวไปพักหนึ่งทีเดียว

   “อั๊วจองรอบดำน้ำไว้ให้แล้วนะ ทันรอบสุดท้ายพอดี” อาชาติเดินเข้ามาเมื่อเห็นเราสองคน

   “ครับ แล้วเจ็กลู่จะไปไหนครับ ไม่ไปกับพวกเราหรอ?”

   “อั๊วจะกลับไปเอาของนิดหน่อย เพราะอั๊วก็ไม่ได้ดำสน็อกเกิ้ลเหมือนอย่างพวกลื้อหรอก”

   “อาชาติคงคิดถึงการดำน้ำลึกสินะครับ”

   “อืม” อาชาติตอบก่อนเดินไปยังบ้านพัก

   “พี่เสือรู้ได้ยังไงว่าเจ็กลู่ดำน้ำเป็น”

   “อากรบอกว่าอาชาติเคยเป็นหัวหน้าหน่วยซีล”

   “หยกไม่เห็นเคยรู้เลย” น้องหยกทำสีหน้าแปลกใจได้น่ารักมาก เขาจะอดทนกับความน่ารักแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนกันนะ

   พยัคฆ์ยืนรออาชาติอยู่สักพักหนึ่ง อาชาติก็มาพร้อมนายเก่งที่หิ้วกระเป๋าใบเล็กเดินตามมา อาชาติแยกไปเปลี่ยนชุดประดำน้ำ ส่วนเก่งเอากระเป๋าของใช้จำเป็นมาให้พวกเขา แล้วก็กลับไปยังบ้านพัก

   พวกเขาขึ้นเรือกันมาได้สักพัก เพื่อเดินทางไปยังหัวเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำลึก แต่ก็สามารถดำน้ำสน็อกเกิ้ลได้ นอกจากบริเวณนี้จะมีปะการังให้ดูแล้ว ยังมีปลาหลายสายพันธุ์ได้ชมอีกด้วย พยัคฆ์เห็นอาชาติไปคุยอะไรสักอย่างกับเจ้าหน้าที่บนเรือ ก่อนจะถึงจุดที่พวกเขาจะลงน้ำ 

   “เจ็กไปคุยอะไรกับเขาหรอครับ” หยกถามเมื่ออาชาติเดินมาสมทบกับพวกเขา

   “ก็แค่ไปถามว่าตรงหัวเกาะ ห่างจากจุดที่เราออกเรือกันแค่ไหน”

   “อ๋อ...”

   “คุณเสือ ผมฝากดูแลหยกหน่อยแล้วกันนะ ช่วงที่ผมลงน้ำ”

   “ครับ”

   “หยก ลื้อก็ดูแลคุณเสือดี ๆ ล่ะ”

   “ดำสน็อกเกิ้ลไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่เหมือนดำน้ำลึกอย่างเจ็กสักหน่อย ไม่มีบัดดี้แบบนี้จะดีหรอครับ”

   “เจ็กดำคนเดียวได้ ระยะทางแค่นี้ก็สบาย ๆ”

.........................................................................

    ผมไม่เคยรู้เลยจริง ๆ ครับเรื่องที่เจ็กลู่เคยเป็นหัวหน้าหน่วยซีลมาก่อน เจ็กลู่ทำให้ผมแปลกใจหลายอย่าง เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเจ็กมักจะชอบเปลี่ยนงานบ่อย ๆ จนผมคิดว่าความสามารถที่เจ็กมีนั้นอาจจะเรียนรู้มาจากงานใหม่ๆ ที่เจ็กได้ทำ

   สมัยเป็นเด็ก เจ็กจะเป็นคนสอนศิลปะการป้องกันตัวให้พวกเราทุกคน สอนกันตั้งแต่พื้นฐาน แล้วให้พวกเราไปต่อยอดกันเองตามที่แต่ละคนถนัด ถึงแม้เจ็กลู่จะมีเวลาให้พวกเราน้อยมาก แต่ก็สอนพวกเราหลายอย่าง ตั้งแต่สอนขี่จักรยาน ขับรถ ขับสปีดโบ๊ท ขี่ม้า ว่ายน้ำ ดำน้ำ และอะไรต่อมิอะไรอีก ผมก็จำไม่ได้

   เจ็กลู่เปรียบเสมือนเป็นพ่อของผม ถึงผมจะเพิ่งรับรู้เรื่องราวของพ่อแม่เมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ยังรู้สึกว่า พ่อแม่จริง ๆ ของผมแทนที่พ่อคนนี้ไม่ได้เลย

   “คิดอะไรอยู่ครับ”

   “คิดเรื่องเจ็กลู่ แล้วก็เรื่องของพ่อกับแม่”

   “ไม่สบายใจอะไรรึป่าวครับ?”

   “หยกแค่...ไม่แน่ใจ”

   “ไม่แน่ใจ เรื่องอะไรครับ?”

   “ถ้าป๊าของหยกยังมีชีวิตอยู่ หยกจะเรียกเขาได้เต็มปากเต็มคำไหม?”

   “คนเป็นพ่อ ยังไงก็เป็นพ่อ อีกอย่างพ่อทุกคนเขาก็รักลูกของเขานะครับ ไม่อย่างนั้นป๊าของหยกจะให้อาชาติพาหยกหนีมาทำไม”

   “หยกมีเจ็กลู่เป็นเหมือนพ่อมาตลอดชีวิต หยกเลย...”

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ หยกก็จะได้คำตอบเอง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดไปก่อนหรอกนะครับ”

   ผมเพิ่งจะได้พิจารณาพี่เสือใกล้ๆ เอาก็ตอนนี้ ก่อนหน้านั้นผมมักจะแคร์สายตาและความรู้สึกคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ่เจ้ โบตั๋น เจ็กลู่ พี่ภา หรือแม้แต่กับพวกพี่ ๆ คนของอากรเองก็ตาม ว่าเขาจะคิดเรื่องผมกับพี่เสือยังไง แต่ตอนนี้ รอบ ๆ ตัวเรามีแต่คนที่ผมไม่รู้จัก เจ็กลู่ก็ไปเตรียมตรวจเช็คอุปกรณ์ดำนำรอบสุดท้ายก่อนจะลงน้ำ มันเหมือนตอนนี้มีแค่ผมกับพี่เสือ มีเราอยู่กันแค่สองคน

   พี่เสือเป็นคนที่หน้าตาดี ถ้าสำหรับผู้หญิงเขาคงจะเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาทีเดียวครับ ไหล่กว้างและหนากว่าผมเกือบเท่าตัว แผงกล้ามหน้าอกที่ฟิตไปกับเสื้อยืด เหมือนคนที่คอยดูแลร่างกายสม่ำเสมอ พี่เสือสูงกว่าผมไม่น่าจะเกินคืบ ผมที่ไม่ได้จัดทรงแต่ปล่อยตามธรรมชาติมันทำให้พี่เสือดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมว่าผมชอบพี่เสือในแบบนี้มากกว่าพี่เสือที่ใส่เชิ๊ตจัดทรงผมแข็งโป๊กอย่างที่เห็นเป็นประจำ

   “หน้าพี่มีอะไรติดอยู่รึป่าวครับ” พี่เสือถามพร้อมลูบหน้าตัวเอง

   “ป่าวครับ หยก...”ผมควรจะตอบพี่เสือยังไงดี พี่เสือยิ้มให้ผมเล็กน้อย

   “ท่าทางจะจริงอย่างที่ตั๋นบอกพี่”

   “ตั๋น?... ตั๋นบอกอะไรพี่เสือ”

   “ก็แค่บอกว่าหยกพูดน้อย ติดจะเงียบ”

   “...” ผมต้องปรับตัวเพื่อพี่เสือไหม? คนรอบข้างผมส่วนมากจะเข้าใจผมได้แม้ว่าผมจะไม่พูดอะไร แล้วพี่เสือล่ะ?

   “ไม่ต้องคิดมานะครับ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”

   “หยก...” ทำไมเหมือนพี่เสือจะเข้าใจผม เขาเข้าใจจริง ๆ ใช่ไหม?

   “เราเตรียมลงน้ำดีกว่าครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ” ผมพยักหน้าให้พี่เสือ

   เมื่อถึงจุดที่ลงน้ำ นักท่องเที่ยวต่างทยอยลงน้ำกันจากทางท้ายเรือ ที่มีบันไดให้ไต่ลงไป ผมกับพี่เสือก็ไปรอคิวเพื่อลงน้ำกัน ส่วนเจ็กลู่น่าจะลงเป็นคนสุดท้าย

   เมื่อเท้าผมสัมผัสกับน้ำทะเล ถึงแม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ แบบนี้ก็ตาม แดดยังคงแรงอยู่ แต่น้ำทะเลกลับเย็นเฉียบ กว่าผมจะปรับสภาพได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยครับ

   “หนาวมากไหมครับ ปากสั่นเชียว” พี่เสือที่ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ผม ถามขึ้น เพราะผมยังคงสั่นอยู่

   “ไม่แล้วครับ” ผมลอยตัวอยู่ด้วยเสื้อชูชีพสีส้มไม่ต่างจากของคนอื่น ๆ

   “ไว้หยกพร้อมแล้วเราค่อยไปดูปะการังกัน หรือหยกอยากจะไปเกาะโฟมกับกลุ่มนักท่องเที่ยว”

   “ไม่ดีกว่าครับ เราดูของเราเองดีกว่า”

   ถึงแม้ว่าการไปรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวที่มีเจ้าหน้าที่นำ จะช่วยให้เราได้ความรู้เกี่ยวกับชื่อปลาหรือปะการังก็ตาม แต่เขาจะย้ายไปนั่น ไปนี่กันเร็ว ผมไม่อยากจะเร่งรีบแบบนั้น

   ผมเห็นเจ็กลู่ลงจากเรือแล้วดำลงไปในน้ำทันที ไม่ได้แวะมาหาพวกผมตรงนี้ พี่เสือก็เห็นเช่นกัน ผมมองหน้าพี่เสือ สายตาของเขายังคงมองไปยังเจ็กลู่อย่างทึ่ง ๆ  มันทำให้ผมภูมิใจในตัวเจ็กลู่มากขึ้น

   “พ่อของพี่เคยเป็นอดีตนายตำรวจ ก่อนที่จะมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย” อยู่ๆ พี่เสือก็เปรยขึ้นมา “พี่เห็นอาชาติห่วงใยเราแบบนี้ มันทำให้พี่คิดถึงพ่อขึ้นมาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

   “...” ผมทราบจากอากร ว่าพ่อของพี่เสือ เสียไปหลายปีแล้ว ผมเอื้อมมือไปกุมมือพี่เสือไว้ ผมอยากให้กำลังใจพี่เขา

.........................................................................

   พยัคฆ์รู้ว่าน้องหยกเป็นคนขี้อาย พูดน้อย เพราะโบตั๋นบอกเขาแบบนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้เองเมื่อได้มาอยู่ใกล้ ๆ น้องหยกแบบนี้ น้องมักจะแสดงออกด้วยการสัมผัส การปฏิบัติมากกว่าคำพูด อย่างตอนที่เขารู้สึกเสียใจที่ปกป้องน้องไม่ได้จนทำให้โดนไอ้เกรียงไกรมันลวนลาม น้องเขาก็เข้ามากอดปลอบแทนคำพูด หรืออย่างตอนนี้ที่เขาคิดถึงพ่อขึ้นมา มือน้อย ๆ นั้นก็จะมาเกาะเกี่ยวเขาเอาไว้เอง

   เท่าที่เขาสังเกตน้องหยกไม่ค่อยได้แสดงออกทางภาษากายกับชายคนไหนนอกจากเขา นั่นทำให้เขาดีใจมาก และอยากรู้ว่าน้องออกจะแสดงออกมาด้วยวิธีการอย่างไรอีก

   พวกเขาเพลินกับการดูปะการังและปลาเล็กปลาน้อยที่แหวกว่ายไม่กลัวนักท่องเที่ยวเช่นเขาเลย น้องหยกของเขาเองก็ดูจะลืมเวลาไปเลยเมื่อได้มาเห็นในโลกใต้น้ำแบบนี้ แววตาที่ฉายแววสุขุมที่มักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งบัดนี้กลับเป็นแววตาที่ดูซุกซนคล้าย ๆ กับแววตาของโบตั๋น มันช่างน่ารักในสายตาของเขา แล้วยังใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มนั่นอีก เขาอยากจะเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของน้องหยกไปนาน ๆ

   เวลาแห่งความสุขของเขาหมดลงเมื่อเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณว่าต้องกลับเข้าฝั่งแล้ว พยัคฆ์ช่วยส่งให้น้องหยกขึ้นไปก่อน ส่วนเขาค่อยตามขึ้นไป พวกเขารอกันเกือบ 10 นาทีกว่านักท่องเที่ยวจะขึ้นมาบนเรือจนครบ ระหว่างรอพวกเขาก็ไปล้างตัวด้านท้ายเรือด้วยน้ำจืด แต่น้ำมีจำนวนจำกัด จึงได้แค่ล้างแบบผ่าน ๆ พอให้ไม่เหนียวตัวเท่านั้น

   “หยกยังไม่เห็นเจ็กลู่เลย” น้องหยกที่ล้างตัวเสร็จก่อนเขา ยังคงมองไปรอบ ๆ เรือเมื่อเขาเข้าเดินเข้าไปหา

   “เรือก็จะออกอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่ไปเช็คเจ้าหน้าที่ให้”

   “หยกไปด้วย” เขาพยักหน้าให้ก่อนเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ด้านหน้าลำเรือ แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้พวกผมถึงกับทึ่ง

   “อ่อ คุณคนนั้นเขาบอกว่าจะว่ายน้ำขึ้นฝั่งเอง มาถามผมเรื่องระยะทาง พอคำนวณอากาศในแท้งค์แล้ว สามารถดำได้ 3 ใน 4 ส่วนของระยะทางจากที่นี่ถึงตัวเกาะ ส่วนระยะทางที่เหลือเขาว่าเข้าว่ายขึ้นฝั่งได้สบายมาก ไอ้ผมก็ท้วงไปแล้วนะว่ามันไม่ปลอดภัย เขาว่าไม่เป็นไร เขาจะล่วงหน้ากลับฝั่งไปก่อน นี่ผมก็เช็คข่าวทางฝั่งอยู่ตลอดว่าลูกค้าเข้าฝั่งไปรึยัง”

   “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ เจ็กลู่ขึ้นฝั่งไปรึยัง” น้องหยกถามอย่างกังวล

   “ผมยังไม่ได้รับรายงานจากทางฝั่งเลย เดี๋ยวผมแจ้งพวกคุณอีกทีแล้วกันนะครับ ถ้ามีคนวิทยุมาบอก”

   พวกเขานั่งพักกันอยู่ที่ชั้นล่างข้างห้องควบคุมเรือ รอจนกระทั่งมีวิทยุเข้ามาว่าอาชาติถึงฝั่งแล้ว แสดงว่าตั้งแต่ลงน้ำได้ อาชาติก็ดำน้ำตรงกลับไปยังเกาะเลย พอรู้ว่าอาชาติปลอดภัยแล้วพวกเขาพากันจึงย้ายขึ้นมาที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่จัดให้สำหรับนักท่องเที่ยวนั่งชมวิวโดยรอบ พวกเขาเลือกนั่งที่เก้าอีกยาวมุมหนึ่งด้านกลางลำเรือ ที่ไม่มีคนมาวนเวียนมากนัก เพราะด้านหัวเรือและท้ายเรือมีคนสลับสับเปลี่ยนกันไปถ่ายรูปตลอดเวลา

   “หนาวหรอครับ” พยัคฆ์เห็นน้องหยกนั่งตัวสั่นน้อย ๆ เนื่องจากตัวที่ยังชื้น ทั้งยังโดนลมทะเลพัดเข้าใส่แบบนี้

   “ครับ” พยัคฆ์จึงขยับกายเข้าไปนั่งเบียดก่อนโอบแขนข้างหนึ่งพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมตัวน้องหยกทับอีกที น้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

   “จะได้อุ่นขึ้นไงครับ” น้องหยกยิ้มหน้าแดง หูแดงไปหมด

   “ครับ” เขากระชับวงแขนมากขึ้น จนศีรษะน้องหยกมาอิงแนบที่ไหล่ของเขา

   “หลับไปก่อนก็ได้นะครับ อีกตั้งชัวโมงกว่าเราจะถึงฝั่ง” เขามองดูน้องหยกฝืนสายตาอยู่สักพัก ก่อนจะหลับลงในที่สุด เข้าจึงขยับเพื่อจัดท่าทางให้น้องหยกหลับให้สบายที่สุด

   เขาขยับผ้าขนหนูของน้องหยกขึ้นมาพาดศีรษะน้องไว้ก่อนจับศีรษะน้อย ๆ นั่นหนุนบนไหล่ของเขา พร้อมทั้งสวบกอดน้องไว้หลวมๆ แล้วคลุมทับด้วยผ้าขนหนูของเขาเพื่อสร้างความอบอุ่น และเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปคอยปรามสายตานักท่องเที่ยวคนอื่นที่คอยจ้องมองแต่น้องหยกของเขา

   “อุ๊ย!! เธอดูสิ น่ารักจัง เห็นแล้วอิจฉาเลย”

   “ว๊าย...น่ารักอ่ะ ผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิง...เห็นแค่ด้านข้างยังน่ารักขนาดนี้ ว๊าย!!  ฉันอยากมีแฟนที่ดูแลฉันดี ๆ แบบนี้จัง”

   “นั่นสิ น่าอิจฉาเน๊อะ”

   พยัคฆ์ได้ยินนักท่องเที่ยวคุยกันอยู่ด้านท้ายเรือ เขาเองก็อยากจะเปลี่ยนสถานะเป็นแฟนน้องหยกเร็วๆ เหมือนกัน เขาก้มลงมองเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นผ้าขนหนูออกมา ก่อนก้มลงไปจูบที่หน้าผากชื้นนั่นอย่างทะนุถนอม

.........................................................................
   

   ลุงหลิวกลับมาถึงที่พักเรียบร้อย เพ็ญนภา หงส์ และเก่งก็เตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างรีบพากันเดินไปยังท่าเรือตามแผนที่วางไว้

   “คุณภาว่ามันจะได้ผลหรอครับ” เก่งถามขึ้น

   “ได้สิ ยิ่งถ้ามีคนอยู่เยอะแบบนี้ น้องหยกเขาก็มั่วแต่จะมาดูแลหงส์ แล้วจะเอาเวลาไหนไปทำความรู้จักกับคุณพยัคฆ์ล่ะค่ะ?”

   “แบบนี้คุณหยกกับคุณพยัคฆ์จะไม่โกรธเราจริง ๆ หรอครับ”

   “ไม่หรอกค่ะ ภาว่าคุณพยัคฆ์น่ะ จะขอบคุณเราด้วยซ้ำไป”

   “เออ...แล้วพี่ชาติกับคุณหงส์ ไม่ว่าอะไร...หรอครับ”

   “ขอเพียงแค่หยกมีความสุข หงส์ก็ดีใจแล้วค่ะ”

   “นายนี่ทำเป็นขี้กังวลไปได้ เอาเป็นว่าถ้าไม่คิดจะช่วยกันก็เงียบ ๆ ไว้นะคะ อย่าก่อกวน” เพ็ญนภาเอ็ดอย่างรำคาญ

   “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณภา ผมก็แค่...ไม่รู้ว่าพี่ชาติกับคุณหงส์คิดยังไง ก็เล่นเอาแต่เงียบกันหมด”

   “บ้านนี้เขาก็เป็นแบบนี้แหละคุณ อยู่ด้วยกันไปนานเดี๋ยวก็ชินไปเอง ลุงหลิว..ไปกันเถอะค่ะ” เพ็ญนภาพูดเสร็จก็เดินไปคล้องแขนลุงหลิวของเธอไว้ แล้วเดินนำไปขึ้นเรือ โดยมีหงส์เดินตาม เก่งได้แต่ส่ายหน้าเดินรั้งท้าย

.........................................................................

   ผมเล่นน้ำจนเหนื่อย พยายามจะฝืนไม่ให้หลับแล้ว แต่ก็ไม่วายหลับไปจนได้ครับ ที่สำคัญตอนที่ตื่นขึ้นมาพี่เสืออุ้มผมลงจากเรือแล้ว อุ้มมาได้ยังไงก็ไม่รู้ เขาเดินพาผมมาจนเกือบถึงบ้านพักอยู่แล้วเชียว ตัวผมก็ไม่ใช่เบา ๆ

   พี่เสือยอมปล่อยให้ผมเดินเอง แต่จากที่เย็น ๆ เพราะชื้นไปด้วยน้ำอยู่กลายเป็นว่าผมหน้าร้อนขึ้นมาเหมือนจะเป็นไข้ เพราะสายตาของพี่เสือที่มองมานั่นแหละครับ ไหนจะสายตาของนักท่องเที่ยวคนอื่นที่มองมาที่ผมอีก

   “ไปครับ รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นหวัดจนเที่ยวไม่สนุกนะครับ” พี่เสือคว้ามือผมไปจูงไว้เหมือนเคย ผมเห็นผ้าพันแผลพี่เขาชื้น มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

   “พี่เสือ”

   “ครับ” ผมเอื้อมมืออีกข้างที่ไม่ได้โดนมือใหญ่นั้นเกาะกุมอยู่ แตะลงที่ผ้าพันแผลอย่างแผวเบา “พี่ไม่เป็นไรครับ แค่คัน ๆ เพราะชื้นนิดหน่อย”

   “ให้หยกทำแผลให้นะครับ”

   “ได้ครับ แต่หยกต้องอาบน้ำเช็ดผมให้แห้งก่อนนะครับ” ผมพยักหน้า แต่สายตายังคงมองไปยังแผลที่โดนกระจกบาดนั่น เกือบ 3 ชั่วโมงเห็นจะได้ที่แผลของพี่เสือชื้นอยู่กับทั้งน้ำทะเลและน้ำจืด อย่างนี้เมื่อไรแผลพี่เสือจะหายสักที

   เมื่อพวกเราเดินถึงบ้านพัก ก็เข้าไปเอากุญแจห้องที่เคาน์เตอร์ ที่นี่เป็นบ้านพักของอุทยาน มี 2 ส่วน ส่วนที่เป็นบ้านแถวติด ๆ กันใกล้กับโรงอาหาร กับบ้านพักเป็นหลัง ๆ หลังละ 1 ห้องปลูกหลบ ๆ ให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติไม่กี่หลัง

   พี่ภาจัดให้พวกเราพักที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่ให้กุญแจเราแค่พวงเดียว คงจะเป็นห้องของพี่เสือกับพี่เก่ง ผมน่าจะได้นอนกับเจ็กลู่ พี่เสือเดินนำผมไปยังบ้านพักที่เดินลึกเข้าไปในร่มไม้ ผมพยายามมองหาเจ่เจ้ กับคนอื่น ๆ จนพี่เสือเปิดประตูเขาไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง ผมซึ่งยังอยู่ที่หน้าประตูก็คาดเดาเอาว่าเจ็กลู่ กับเจ่เจ้จะพักหลังไหน

   “น้องหยกครับ” พี่เสือเรียกผมจากในห้อง ผมจึงเดินเข้าไป

   “ครับ”

   “นี่กระเป๋าของน้องหยกรึป่าวครับ” พี่เสือถามผมยิ้ม ๆ กระเป๋าของผมวางอยู่บริเวณปลายเตียงจริง ๆ

   “ครับ แล้วกระเป๋าหยกมาอยู่นี่ได้ยังไง ไม่ได้อยู่ห้องเจ็กลู่หรอครับ”

   “หยกคงต้องอ่านโน๊ตนี่เอาเองแล้วละ” พี่เสือตอบพร้อมยื่นกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ ให้ผมแผ่นหนึ่ง



                  พื่ๆ กลับกันก่อนนะคะ เป็นห่วงว่าโบตั๋นจะไปซนที่ไหนจนเกิดเรื่อง

               วันมะรืนนี้พี่ให้เรือมารับน้องหยกกับคุณพยัคฆ์เข้าฝั่งช่วง 10 โมงเช้านะคะ

               เวลานี้ก็ค่อยทำความรู้จักและเรียนรู้กันไปนะคะ

                                    พี่สาวที่แสนดี....พี่ภา


To Be Continue

หัวข้อ: Re: หยก 5-12-17 {{:::31:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 05-12-2017 18:31:42
พี่ภาทำดีมากค่ะ :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 5-12-17 {{:::31:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-12-2017 18:45:11
ซีนนี้ ยกให้พี่ภาไปเลย 10 10 10 ดีมากจ๊ะ พี่ภา  :hao6:
หัวข้อ: Re: หยก 5-12-17 {{:::31:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-12-2017 10:56:26
 o13 o13 o13 o13

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 6-12-17 {{:::32:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-12-2017 23:28:27
32

   หลังจากที่เพ็ญนภากลับจากเกาะเมี่ยงมาแล้ว เธอก็ปรึกษากับลุงหลิวและหงส์ เรื่องนายเกรียงไกร ทั้งสามวางแผนเพื่อเตรียมจัดการเกรียงไกรและกันไม่ให้ครอบครัวของสุพรรณษาเข้ามายุ่ง

   “แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” เพ็ญนภาเป่าปากโล่งอก

   “ค่อยยังชั่วยังไง ภาระหนักอยู่ที่ตัวเลยนะ”

   “แหม๋...แค่คอยสืบกับกันคุณสุพรรณษาออกไปไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ตัวไม่รู้อะไร บ้านนั้นน่ะ หน้าบางจะตาย”

   “อย่างเพิ่งวางใจไป ยังไง นายเกรียงไกรก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ทายาทคนเดียวของคุณสุพรรณษา”

   “ลุงหลิวไม่ต้องกังวลหรอค่ะ หนูภารู้จักกับคุณหญิงพรรณีเธอดี ว่าเธอหน้าบางขนาดไหน รับรองว่าหนูจัดการบ้านนี้ได้อยู่หมัดแน่ๆ”

   “ถ้าคุณหญิงพรรณีเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจะไม่สามารถเอาผิดกับนายเกรียงไกรเรื่องหยกได้เลยนะ”

   “หนูรู้ค่ะลุงหลิว ว่าคุณหญิงท่านมีอิทธิพลขนาดไหน เธอน่ากลัวกว่าตำรวจอีกนะคะ เพราะคนพวกนั้นล้วนเกรงใจคุณหญิงท่าน”

   “ตัวยอมได้หรอ ถ้านายเกรียงไกรรอดจากเรื่องนี้ไปได้”

   “ถ้าคุณหญิงจัดการให้ ภายอมนะ ว่าแต่ตัวเถอะ ตัวเป็นพี่ ตัวยอมได้ไหมล่ะ?”

   “หงส์บอกตรง ๆ นะ หงส์ไม่เคยรู้จักคุณหญิงท่าน ไม่รู้ว่านิสัยใจคอท่านเป็นยังไง ถ้าเป็นตอนนี้ หงส์อยากให้ตำรวจจัดการมากกว่า”

   “ถ้าอย่างนั้น ไว้กลับกรุงเทพฯ เมื่อไร ภาจะพาตัวไปแนะนำกับคุณหญิงเอง รับรองว่าคุณหญิงต้องเอ็นดูตัวแน่นอน เพราะคุณหญิงเธอรักการทำขนมเหมือนตัวไง แล้วที่สำคัญภานึกแผนจัดการคนบ้านนี้ได้แล้วด้วย”

.........................................................................

    บรรยากาศบนเกาะมันเงียบจนน่าใจหาย ผมไม่คุ้นชินกับความเงียบแบบนี้เลย ผมนั่งอยู่ตรงเฉลียงเล็กๆ หน้าบ้านพัก ขณะนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ก็มีดาวอยู่เต็มท้องฟ้า ผมมองไปข้างหน้าไม่เห็นทะเลเลย ทุกอย่าง...มืดสนิทไปหมด ได้ยินเพียงเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง

   รอบ ๆ ตัวผมได้ยินเสียงแมลงร้องเป็นพัก ๆ บ้านพักหลังที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ที่สามารถมองเห็นได้เมื่อช่วงเย็น แต่ตอนนี้ผมแทบไม่เห็นมันเลย ถ้า...ผมไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกของพี่เสือ ผมคงคิดว่า ผมอยู่ที่นี่คนเดียวแน่ ๆ

   “ผมยังไม่แห้งเลย ออกมาตากลมทะเลแบบนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกครับ” พี่เสือมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตอนนี้วางพาดอยู่บนศีรษะผม พี่เสือเช็ดผมให้เบา ๆ จากทางด้านหลัง

   “...”

   “เป็นอะไรไปครับ” พี่เสือวางมือบนไหล่ผม จับให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา “เหงา?”

   “หน้าหยกฟ้องขนาดนั้นเลยหรอครับ”

   “น้อยใจที่หงส์ กับอาชาติทิ้งเราไว้กับพี่หรอ?”

   “ป่าวครับ ไม่ใช่อย่างนั้น หยกแค่...ไม่ชิน”

   “ยังเห็นพี่เป็นคนอื่นอยู่สินะ”

   “ไม่ใช่สักหน่อย หยก...ไม่เคยอยู่ในที่เงียบ ๆ แบบนี้...ก็เท่านั้นเอง”

   “หยกจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ไงครับ” ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เสือที่ประคองใบหน้าผม สัมผัสของฝ่ามือที่แม้จะสัมผัสผ่านผ้าขนหนูที่ยังคงพาดอยู่บนศีรษะของผมก็ตาม มันทำให้ผมใจสั่นจนไปกล้าจะสบตาพี่เสือ ผมเสไปมองที่แขน...

   “หยกทำแผลให้พี่เสือนะ” พี่เสือมองตามสายตาของผม

   “เฮ้อ...ทำตัวน่ารักจัง” พี่เสือก้มลงมาจูบที่ปลายจมูกผมเบา ๆ ทีหนึ่ง “พี่ชอบจมูกเราจังเลย” พี่เสือพูดจบก็เดินเข้าบ้านพักไปก่อนผม ปล่อยให้ผมยืนใจเต้นแรงอยู่คนเดียว   

.........................................................................

   พยัคฆ์หักห้ามใจตัวเองไม่ให้ล่วงเกินน้องหยกของเขาไปมากกว่านี้ จากที่ตั้งใจว่าจะเช็ดผมให้น้องหยกเท่านั้น แต่เพราะสายตาของหยก ที่มันระยิบระยับยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้าด้านบนนั่น แล้วยังใบหน้าที่ขึ้นสีนิด ๆ หลังจากที่เขาประคองใบหน้านั้นให้หันมาสบตาเขา ทั้งที่เขาพยายามไม่แตะตัวน้องหยกแล้วเชียว สุดท้ายเขาก็ทนไม่ได้ ยังดีทีเป็นแค่ปลายจมูกเท่านั้น

   เขาเห็นน้องหยกเดินก้าวกลับเข้ามาในห้อง แต่เลี่ยงที่จะไม่สบตาเขา ใบหน้าน้องยังคงแดงไปถึงหู ใบหน้าแบบนั้นมันช่างมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด แล้วคืนนี้เขาจะนอนร่วมห้องกับน้องหยกได้ยังไง คุณเพ็ญนภาจงใจจะแกล้งเขาเล่นรึป่าว

   หยกเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขาพร้อมกับอุปกรณ์ที่เพิ่งซื้อมา น้องค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลเดิมของเขาออก เช็ดทำความสะอาดปากแผล ใส่ยา และบรรจงพันแผลให้เขาอย่างเบามือ

   “หยกโกรธพี่ไหมครับ” น้องหยกเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “พี่รู้ตัว ว่าพี่ฉวยโอกาสกับหยกหลายครั้ง”

   “...”

   “พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่พูดไม่ได้หรอกนะ ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพี่...ตั้งใจทุกครั้ง” เขาหยุดเพื่อดูสีหน้าน้องหยก น้องยังคงก้มหน้าก้มตาพันแผลให้เขาอยู่อย่างนั้น “บางที พี่ก็เก็บความรู้สึกของพี่...เอาไว้ไม่อยู่”

   “หยก...เข้าใจ หยกรู้...ว่ามันยาก”

   “น้องหยกครับ” เขาเอื้อมมือข้างที่ว่างจากการพันแผลขึ้นมาเชยคางน้องหยกไว้ เขาและน้องหยกสบตากัน “พี่รักน้องหยกนะครับ” เขาเห็นความวูบไหวในดวงตาคู่นั้น “พี่อาจจะเห็นแก่ตัว ที่อยู่ ๆ ก็สารภาพรักกับน้องหยกแบบนี้ เพียงเพื่อความสบายใจของตัวเอง พี่รู้ว่าน้องหยกยังไม่พร้อม แต่พี่เสือคนนี้รอน้องหยกได้เสมอนะ”

   “พี่เสือ” น้องหยกเรียกเขาเสียงแผ่ว

   “ครับ”

   “...” เขาดึงตัวน้องหยกเข้ามากอดไว้

   “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องกดดันตัวเองนะ” เขาคงสารภาพกับน้องหยกเร็วเกินไป

   น้องหยกไม่ได้ผลักไสเขา แต่กอดกระชับเอวเขาแน่นขึ้น ใบหน้าซุกอยู่บนแผงอกของเขา มันทำให้เข้าไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้ เขากดจมูกหนัก ๆ ลงบนเรือนผมนุ่มของน้องหยกไปหนึ่งที เขาและน้องหยกกอดกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานกว่าน้องหยกจะผละออกไปเก็บอุปกรณ์พันแผล

.........................................................................

    ผมตื่นเช้ากว่าปกติ คงเป็นเพราะเมื่อคืนนี้ผมพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ผมเดินอยู่บริเวณชายหาดขาวสะอาด ตอนนี้น้ำลงไปมากแล้ว ผมพบเปลือกหอยสวย ๆ ที่ไม่ค่อยได้พบเห็นมากนักอยู่ตามชายหาด ผมได้แต่หยิบขึ้นมาดูเล็กน้อยก่อนวางลงที่เดิม เปลือกหอยพวกนี้มันสวยที่สุดก็ตอนอยู่บนหากทรายนี่แหละครับ

   ผมเดินเล่นไปเรื่อย ๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ผมไม่ได้รู้สึกสดชื่น สุขใจแบบนี้มานานแล้วครับ ผมว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพี่เสือ ถึงแม้ว่าผมกับเขาจะเจอกันไม่นาน และเพิ่งเริ่มทำความรู้จักกันได้จริง ๆ จัง ๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พอมาอยู่ใกล้ชิดกัน...พี่เสือดูจะเข้าใจผม เราดูเหมือนจะเข้าใจกันในหลาย ๆ เรื่อง

   ที่ผมเข้าใจพี่เสือ คงเป็นเพราะเมฆาขาวที่ผมสวมอยู่ แล้วถ้าผมไม่มีมันล่ะ ผมจะเข้าใจความรู้สึกพี่เสือเหมือนกับที่พี่เขาเข้าใจผมไหม ผมชอบพี่เสือนะ ผมยอมรับในข้อนี้ แต่ถึงกับรัก...อย่างที่พี่เสือบอกรักผมเมื่อคืนรึป่าว... ผมก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ว่า ผมจะตอบแทนความรู้สึกพี่เสืออย่างไรได้บ้าง

   “หยก...ก...ก...” ผมได้ยินเสียงของพี่เสือแว่ว ๆ มาแต่ไกล แต่ผมยังไม่เห็นพี่เสือเลย หรือว่าผมหูแว่ว ผมจึงเดินของผมต่อไปเรื่อย ๆ “หยกครับ” ผมได้ยินเสียงพี่เสือชัดขึ้น จึงพยายามมองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นพี่เสืออยู่ไกล ๆ เขาเห็นผมแล้ว และกำลังวิ่งตรงมาหาผม

   สีหน้าพี่เสือดูตระหนกตกใจมาก ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เสือ ความรู้สึกที่สัมผัสได้มีแต่ความตกใจและเป็นห่วง ผมจึงสาวเท้าเดินย้อยไปหาพี่เสือ เมื่อถึงตัวผม พี่เสือก็คว้าผมเข้าไปกอดไว้ซะแน่น ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงถอนหายใจ แต่เสียงหัวใจที่ผมได้ยิน มันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากตัว

   “พี่เสือเป็นอะไรไปครับ”

   “พี่แค่ห่วงเรามากไปหน่อย” พี่เสือบอกเมื่อคลายอ้อมกอดลง “ตื่นมาก็ไม่เห็นหยกแล้ว เดินไปตามที่โรงอาหารก็ไม่มี พี่ตกใจแทบแย่”

   “หยกแค่มาเดินเล่น”

   “เดินเพลินล่ะสิ มาไกลจนเกือบถึงท้ายเกาะเลยรู้ตัวไหม?” พี่เสือเอามือหนาๆ ของเขามาโคลงศีรษะผมเล่น ผมทำให้พี่เสือตกใจแต่เขากลับไม่โกรธผมเลย

   “พี่เสือไม่โกรธหยกหรอครับ ที่ออกมาแบบไม่ได้บอกแบบนี้”

   “หยกโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ขนาดโดนคนตัว ๆ รุมตั้ง 3 คน ยังรับมือได้เลย จริงไหม?...พี่อาจจะกังวลเกินเหตุไปเอง”

   “พี่เสือ”

   “ครับ”

   “ขอบคุณนะครับ” พี่เสือยิ้มให้ผม พี่เสือมักจะมีรอยยิ้มให้ผมตลอดเวลา ผมสอดมือเข้ากับมือพี่เสือ แล้วก็จูง ไม่สิคนตัวโตอย่างพี่เสือคงต้องลากมากกว่า “ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่าครับ หยกหิวแล้ว”

   พวกเรานั่งทานข้าวเช้ากันเสร็จ ก็เดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเกาะกัน สาย ๆ แบบนี้นักท่องเที่ยวยังมากันไม่มากนัก พวกเราเลยนั่งเล่นกันได้นานหน่อย

   “หยกอยากกลับเขาหลักไหม?” พี่เสือถามผม “ถ้าอยากกลับไปหาหงส์กับโบตั๋น เดี๋ยวพี่ลองติดต่อหาเรือให้”

   “ไม่ครับ หยกยังอยากอยู่ที่นี่...อยู่กับพี่เสือ” ผมเห็นพี่เสือตกใจกับคำพูดของผม “หยก...อยากรู้จักพี่เสือให้มากกว่านี้ อยาก...ทำอะไรเพื่อพี่เสือบ้าง”

   “พี่ไม่อยากให้หยกฝืนตัวเอง พี่ไม่รู้หรอกว่าพี่ปล่อยความรู้สึกออกไปมากแค่ไหน ถ้าเพียงแค่ความรู้สึกของพี่ ไม่ทำร้ายหยก ไม่ทำให้หยกกลัว แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”

   “หยกว่า...หยกไม่ได้กลัวพี่เสือมานานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้น หยกไม่รู้ว่ามัน...ไม่ใช่ความกลัว”

   “ทำไมครับ?”

   “แรก ๆ หยกอาจจะกลัวจนมือไม้สั่น แต่หลังๆ มันกลายเป็น...อย่างอื่นแทน” เสียงผมแทบหายไปในลำคอ อยู่ๆ ผมก็ไม่กล้าจะบอกว่าผมเริ่มใจสั่นเมื่ออยู่ใกล้พี่เสือ

   “เป็นอะไร บอกพี่ได้ไหมครับ และตั้งแต่เมื่อไร”

   “หยกก็ไม่รู้ แต่หยกพยายามจะเข้าใกล้พี่เสือ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง แต่...พี่เสือก็...หนีหยกไปก่อนทุกที จนวันนั้น วันที่หยกเข้าไปเยี่ยมพี่เสือที่ห้อง หยกถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ความกลัว”

   “หยกรู้ไหม ว่าหยกพูดแบบนี้ มันทำให้พี่ดีใจแค่ไหน”

   “หยก...”

   “ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่า พี่เข้าใจหยกนะครับ แดดเริ่มแรงแล้ว เราลงไปข้างล่างกันดีกว่า”

   “ครับ”

   “วันนี้หยกอยากไปเที่ยวไหนครับ เดี๋ยวพี่พาไป”

   “วันนี้เรานั่งเล่นกันที่หาดหน้าไหมครับ หยกลงน้ำมาหลายวันแล้ว อยู่บนหาดมั่งดีกว่า”

   พวกเราอยู่กันที่เกาะหน้า นั่งเล่นนั่งคุยกันไปเรื่อย สั่งอาหารทะเลมาทานกันช่วงเที่ยง ไม่ได้ไปไหนเลยตลอดทั้งวัน ผมได้รู้เรื่องพี่เสือมากมาย ผมก็เล่าเรื่องของผมบ้าง อันที่จริงพี่เสือเป็นคนตั้งคำถามผมมากว่าครับ เราคุยกันเพลินจนเกือบค่ำ พี่เสือก็พาผมไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งตอนนี้มีนักท่องเที่ยวมารอดูพระอาทิตย์ตกกันเป็นจำนวนมาก

   พี่เสือพาผมไปยืนอยู่จุดหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นมุมที่ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ไปเบียดเสียดกับคนอื่น อากาศที่นี่ดีมากครับ ลมทะเลพัดเข้ามาเย็นสบาย พระอาทิตย์กำลังจะตกลงไปในทะเลแล้ว ท้องฟ้าตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมส้ม สวยมากเลยครับ

   พี่เสือยืนซ้อนหลังผมอยู่ พี่เขากอดผมไว้หลวม ๆ มือของเราประสานกันอยู่ข้างหน้าผม พี่เสือกดจมูกลงบนศีรษะผม ทำให้ผมต้องเหลียวไปมอง แต่พี่พูดไม่ได้หรอกนะ ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพี่...ตั้งใจทุกครั้ง คำพูดของพี่เสือที่พูดเมือคืนนี้ ความรู้สึกที่แสดงออกมาด้วยการกระทำ ผมเขย่าปลายเท้าเล็กน้อยเพื่อจะได้หอมแก้มพี่เสือได้ถนัด พี่เสือมองผมด้วยความแปลกใจ

   “หยกแค่...ทำตามที่ใจคิด” พี่เสือยิ้มให้ผม ไม่มีคำพูดอะไร  พี่เสือกอดผมไว้ วางคางเกยไว้บนไหล่ของผม มีคนอื่นมองมาทางพวกเราบ้าง แต่ผมกลับไม่แคร์สายตาใคร ตอนนี้ผมแคร์แค่คนที่กอดผมอยู่ตอนนี้ คนเดียวเท่านั้น

.........................................................................

    หลังจากเกรียงไกรกลับมาจากพังงา เขาก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนหน้าตาหายบวม แต่บาดแผลยังคงมีสีคล้ำอยู่บ้าง เขาบินไปพังงาหลังจากที่เตี่ยของเขาบินไปมาเก๊าพร้อมกับยัยลตา จนกระทั่งวันนี้ ทั้งสองก็ยังไม่กลับมา

   เขาไม่แปลกใจเลยที่รู้ว่าเตี่ยเขาพายัยลตาไปด้วย เพราะการเจอกันครั้งแรกระหว่างพวกเขานั้น ก็ไม่พ้นกาสิโน ครั้งนั้นลตามือขึ้นกับการเล่นไพ่แบล็คแจ็ค จนถึงขั้นดึงดูดความสนใจให้เตี่ยเข้าไปร่วมชม ด้วยความที่เธอเป็นคนสวย น่าตาดี คารมดี ยิ่งเธอชอบเสี่ยงโชคเหมือนกัน ก็ยิ่งคุยกับเตี่ยง่ายขึ้น

   เตี่ยชวนเธอมาอยู่ที่ไทย แถมยังซื้อคอนโดในโครงการเดียวกับเขาให้เธออีกด้วย ถึงลตาจะช่วยทำเงินและทำประโยชน์ให้เตี่ยของเขาได้ แต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของลตา ระยะหลัง ๆ มานี้เขาถึงเห็นความไม่ลงรอยกันระหว่างคนทั้งสอง

    เกรียงไกรจอดรถไว้ที่หน้าบ้านของญาติทางฝ่ายแม่ เด็กในบ้านก็มาเอารถไปจอดให้ในโรงรถด้านหลัง เขาก้าวเข้าบ้านไป พบเด็กในบ้านมากมาย บ้านหลังนี้มีคนรับใช้มากกว่าบ้านเขาถึง 3 เท่าตัว เพราะยายของเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบ ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากจะมาเหยียบที่นี่สักเท่าไร

   “คุณเกรียงนั่งรอที่ห้องรับแขกสักครู่นะคะ คุณษากำลังลงมาค่ะ”

   เด็กรับใช้ในบ้านคนหนึ่งบอกเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นหลานแท้ ๆ แต่คนที่นี่ก็ยังเห็นเขาเป็นคนนอก ให้เขาไปรอที่ห้องรับแขก แทนที่เขาจะขึ้นไปหาแม่ หายายของตัวเอง เหมือนคนในครอบครัวทั่ว ๆ ไปก็ยังทำไม่ได้

   เขาเดินตามเด็กรับใช้เข้ามานั่งรออยู่ที่โซฟารับแขก ภายในห้องรับแขกทางการ ยิ่งได้เข้ามานั่งในห้องนี้ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นยาย ที่ทำกับเขาเหมือนไม่ใช่หลาน

   “คิดยังไงถึงมาหาแม่ที่นี่ได้ล่ะลูก” ผู้เป็นแม่ทักทายมือนั่งลงที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว

   “เตี่ยไม่อยู่บ้าน” เขาตอบเสียงห้วน

   “อ่อ เลยมาหาแม่ได้ แล้วหน้าตาไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงแม่ของเขาเจือไปด้วยความน้อยใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง

   “...โดนลูกหลง ตอนที่ไปเที่ยวน่ะแม่” เกรียงไกรเลี่ยงที่จะพูดความจริง “ผมเห็นเอกสารของทนาย”

   “เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ลูกไม่ต้องเขามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

   “ไม่เกี่ยวได้ยังไง ผมเป็นลูกของแม่และเตี่ยนะ” เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่ไม่ยอมคุยกับเขาเรื่องหย่า

   “ใช่ แต่ลูกโตแล้ว ลูกแค่เลือก ว่าจะอยู่กับแม่หรือกับเตี่ย แม่เชื่อว่าลูกสามารถตัดสินใจเองได้ เพราะหลังจากทุกอย่างจบลง ลูกก็ยังคงไปมาหาสู่กับเตี่ยของลูกได้อยู่นะ ถ้าลูกเลือกจะอยู่กับแม่”

   “ผมขอคิดดูก่อน” เขาไม่มีทางที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านนี้แน่นอน แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบอะไรออกไป

   “เฮ้อ...ว่าแต่ลูกเถอะ เข้ามาหาแม่ถึงที่นี่ คงไม่ใช่จะมาคุยเรื่องเตี่ยกับแม่ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวใช่ไหม?”

   “ผมมาขอให้แม่ช่วย”

   “อืม มีอะไรก็ว่ามาเถอะ” แม่มักจะให้ความช่วยเหลือเขาทุกครั้ง โดยไม่ถามถึงสาเหตุเลยสักครั้ง

   “ที่ผมโดนลูกหลง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมกลัวว่าเรื่องมันจะยังไม่จบแค่นี้”

   “เดี๋ยวแม่ให้ทนายไปช่วยเคลียร์กับคู่กรณีให้แล้วกัน”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 6-12-17 {{:::32:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 07-12-2017 06:49:52
หยกมีพี่ดีนี้นา อิออ
หัวข้อ: Re: หยก 6-12-17 {{:::32:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-12-2017 08:07:51
หยกไม่กลัวแล้วหรือครับ เสือนะนั้น ขย้ำแล้วช้ำนะหยก อิอิอิ
เริ่มเข้าเรื่องเข้มข้นแล้วสินะ นายเกรียงไกร จะรอดูนะ
หัวข้อ: Re: หยก 6-12-17 {{:::32:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-12-2017 08:56:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 12-12-17 {{:::33:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-12-2017 21:37:26
33

   ผมเก็บของเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ออกจากบ้านพัก พี่เสือเก็บของเสร็จก่อนผม และกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านพัก ผมเดาจากการสนทนาบางส่วนที่พอจะจับใจความได้ พี่เสือน่าจะคุยกับอากร ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่ก็อดไม่ได้ แค่อยากรู้ว่าพี่เสือคุยกับใคร...

   ผมเดินออกมาจากห้อง พี่เสือก็ยังคงคุยอยู่กับอากร ผมเลยเดินนำออกมาก่อน โดยมีพี่เสือเดินตามหลังไม่ห่าง หลังจากที่เราเช็คเอ้าท์กันเสร็จเรียบร้อย ผมกับพี่เสือก็ไปนั่งริมหาดเพื่อรอเวลาขึ้นเรือกลับเขาหลักกัน

   สองคืนที่เราค้างด้วยกันผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัดจากพี่เสือ พี่เขาพยายามควบคุมตัวเองอย่างมาก ซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร เช้าแรกที่ตื่นขึ้นมาผมยังตกใจที่ตัวเองเข้าไปนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของพี่เสือ ทั้ง ๆ ที่พยายามทิ้งระยะห่างแล้วก็ตาม ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง จึงต้องเดินออกไปริมหาดคนเดียว

   “พี่ไม่ยังไม่อยากกลับเลย” พี่เสือเปรยขึ้น สายตามองออกไปยังทะเลข้างหน้า

   “พี่เสือก็อยู่ต่อได้นี่ครับ”

   “พี่อยู่ต่อ แล้วใครจะคอยดูแลหยกล่ะ?”

   “หยกดูแลตัวเองได้นะ ทั้งเจ็กลู่ เจ่เจ้ พี่เสือ และโบตั๋นเป็นห่วงหยกมากเกินไปต่างหาก”

   “พี่รู้ครับว่าหยกเก่ง แต่มันห้ามให้พี่ไม่เป็นห่วงเราไม่ได้นี่”

   “ที่จริงแล้ว เมื่อถึงกรุงเทพฯ พี่เสือไม่ต้องตามดูแลหยกแล้วก็ได้นะครับ”

   “ไม่ได้หรอก มันเป็นหน้าที่ที่พี่ต้องดูแลหยกน่ะ” ทำไมผมถึงรู้สึกโหวง ๆ ในอกอีกแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้จากพี่เสือ

   “ผู้หญิงคนนั้น เขาคงไม่กล้าทำร้ายหยกหรอก เขาอยากได้แค่เมฆาขาวเท่านั้นเอง”

   “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะหยก เรายังไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการอะไรบ้าง”

   “ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี อยู่ ๆ ผมก็หมดคำพูดไปเสียดื้อ ๆ

   “หยก...”

   “ครับ” ผมรู้สึกถึงความร้อนที่เห่อขึ้นบนใบหน้า จมูก ลามไปจนถึงหัวตา จนต้องกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนที่จะหันไปสบตากับพี่เสือ

   “หน้าที่ของพี่ ที่ต้องคอยดูแลหยก มันเป็นเพราะอาชาติ และหงส์เป็นคนกำหนดบทบาทให้กับพี่” พี่เสือพูดพร้อมคว้ามือผมไปกุมไว้ นิ้วหัวแม่โป้งของพี่เสือไล้บนหลังมือของผมเบา ๆ “สำหรับหยก มันก็ขึ้นอยู่กับหยกนะ ว่าอยากกำหนดบทบาทให้พี่เป็นอะไร”

   “พี่เสือ...” บทบาทไหนหรอ? ผมไม่เคยคิด แต่คำถามของพี่เสือ มันกลับทำให้ความรู้สึกโหวง ๆ เมื่อครู่นี้...หายไป...

   “ไม่เป็นไรครับ พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ต้องกดดันตัวเอง พี่แค่ไม่อยากให้หยกน้อยใจกับคำว่าหน้าที่ ที่พี่พูดออกไป” ผมน้อยใจ...พี่เสืออย่างนั้นหรอ? 

   “...”

   “หยกรู้ใช่ไหม ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง?”

   “...” ผมพยักหน้า

   “บอกพี่ได้ไหม ว่าพี่รู้สึกยังไง”

   “อืม...อึดอัด แล้วก็...กังวล”

   “รู้ไหมว่าเพราะอะไร” ตัวเองรู้ดีที่สุด ทำไมพี่เสือยังจะมาถามผมอีกล่ะ?

   “คงเป็นเพราะต้องคอยตามดูแลหยก แล้วก็ต้องคอยควบคุมความรู้สึก...ไม่ให้หยกกลัว”

   “พี่อึดอัด เพราะอยู่กับหยกแล้วพี่ควบคุมตัวเองได้ยากก็จริง แต่ที่พี่ต้องระวัง เพราะไม่อยากจะเผลอตัวทำอะไร ๆ ลงไปตามใจคิด หากพี่ทำอะไรลงไปแล้ว หยกอาจจะโกรธพี่ เกลียดพี่ สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้พี่กังวล”

   “หยกไม่เคยคิดแบบนั้นนะ”

   “หยกรู้หรอว่าพี่จะทำอะไร” ผมว่าผมพอรู้นะ และที่ผมพูดก็เป็นความจริง ผม...ไม่เคยรังเกียจสัมผัสของพี่เสือเลย แต่จะให้พูดออกไปตรง ๆ ได้ยังไง “พี่กำลังจะบอกหยกว่าสิ่งที่หยกสัมผัสได้ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หยกคิดเสมอไป ถ้าเป็นไปได้ พี่อยากให้หยกถามพี่ตรง ๆ หยกทำได้ไหมครับ”

   “หยก...จะพยายามครับ”

   “การที่เราคุยกันมากขึ้น มันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นนะครับ” พี่เสือยกมือขึ้น ก่อนจูบบนหลังมือผมเบา ๆ ผมได้แต่มองการกระทำของพี่เสือ ที่แสดงออกถึงความรัก ความเข้าใจ ที่พี่เสือมีให้กับผม

   ตั้งแต่ที่พยัคฆ์ได้ใกล้ชิดกับน้องหยกเพียงไม่กี่วัน เขาก็พอจะมองออกว่าน้องหยกเป็นคนเช่นไร ถึงน้องหยกจะไม่ค่อยพูด แต่ก็เป็นคนที่อ่านความรู้สึกออกง่ายมาก เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยเมฆาขาวอย่างหยก เพราะทุกอารมณ์จะถูกถ่ายทอดออกทางสีหน้าทั้งหมด และ ากการกระทำของน้องหยกในหลาย ๆ ครั้ง การแสดงออกทางสีหน้า มันทำให้เขามั่นใจว่าน้องหยกเองก็มีใจให้กับเขา เพียงแต่น้องหยกอาจจะยังไม่ยอมรับความรู้สึกนี้ของตัวเอง ซึ่งเขารอได้ รอจนกว่าน้องหยกจะพร้อม
   
.........................................................................

   โบตั๋นตามพี่เอมาที่ท่าเรือ เพื่อมารอรับหยกกับพี่เสือ เธออยากรู้ว่าสองคนนั้นจะมีความคืบหน้ากันไปถึงไหนแล้ว เธอทั้งอยากรู้ ทั้งลุ้น และยังหวังว่าพี่เสือคงจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับหยก นี่เป็นบททดสอบสุดท้ายที่เธอจะทดสอบพี่เสือแล้ว

   ถึงแม้ครั้งที่แล้วพี่เสือจะพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็นแล้วก็ตาม แต่การที่เขาไม่ฉวยโอกาสกับหยกอาจจะเป็นเพราะมีหลายคนอยู่ตรงนั้นด้วย ซึ่งครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้...พี่เสืออยู่กับหยก เพียงสองต่อสองเท่านั้น

   “เรือเทียบท่าแล้วครับคุณโบตั๋น” พี่เอที่นั่งกุมพวงมาลัยอยู่บอกก่อนที่จะเตรียมลงจากรถ เธอจึงตามลงไป “รออยู่ตรงนี้ไหมครับ หรือว่าจะเข้าไปรอข้างใน”

   “รอตรงนี้ดีกว่าค่ะพี่เอ ตั๋นขี้เกียจเขาไปเบียดกับคนที่เพิ่งลงเรือมา อีกอย่าง เราเขาไปคงจะเกะกะเขาเปล่า ๆ”

   “ท่าเรือตรงนั้นไม่โคลงหรอกครับ รับรองว่าคุณโบตั๋นไม่เมาเรือแน่ ๆ ”

   “พี่เอ!!” พี่เอยิ้มให้เธอเล็กน้อย เหมือนจงใจจะยิ้มแซวเธอ

   “คุณพยัคฆ์มาแล้วครับ”

   เธอกำลังจะโวยพี่เอที่ล้อเธอ แต่พี่เอก็เห็นพี่เสือกับหยกซะก่อน เธอจึงมองไปในทิศทางเดียวกับพี่เอ เพื่อมองหาคนทั้งสอง

   เธอเห็นหยกกับพี่เสือเดินมาด้วยกัน พี่เสือเดินซ้อนอยู่ทางด้านหลังของหยก มือหนึ่งเหมือนจะคอยประคองอยู่ที่เอวแต่ก็ไม่ได้สัมผัสตัวหยก มืออีกข้างถือกระเป๋าอยู่ 2 ใบ ภาพที่เห็นมันทำให้เธอยิ้มออกมา พี่เสือสอบผ่าน!!

   “หยก ทางนี้” เธอร้องเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือเพื่อบอกตำแหน่งของเธอ ซึ่งหยกเห็นและพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองพี่เสือ พี่เสือก็พยักหน้าพร้อมยิ้มให้กับหยก ก่อนพากันเดินตรงมาหาเธอ

   “ตั๋นตามมารับเฮียด้วยหรอ?”

   “ใช่ หยกมานี่หน่อยสิ” เธอลากหยกให้เดินห่างออกมาจากพี่เสือและพี่เอเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ทั้งสองได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับหยก “พี่เสือเขาทำอะไรหยกมั่ง” เธอถามทั้งที่พอจะรู้แล้วว่าพี่เสือน่าจะเป็นสุภาพบุรุษแค่ไหน

   “ห๋า?...”

   “ตอบมาเร็ว ๆ สิ ตั๋นอยากรู้” เธอถามทั้ง ๆ ที่เธอรู้แล้วจากการที่หยกนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ 

   “ไม่มีอะไร ไม่ได้ทำอะไรด้วย”

   “นี่หยกรู้ใช่ไหม ว่าเวลาที่คนเราจูบหลังมือของใคร เขามักจะทำแบบนั้นตอนที่บอกรัก หรือไม่ก็ขอแต่งงานนะ” เธอเปรยขึ้น เพราะเธอเห็นภาพพี่เสือจูบหลังมือหยกจากการสัมผัสจิตเมื่อครู่

   “บ้า!!” หยกพูดพร้อมอายหน้าแดง หลบหน้าเธอพัลวัน แต่ก็ดันไปสบตากับพี่เสือเข้าให้ กลับยิ่งทำให้หยกอายเข้าไปใหญ่ จึงรีบเดินขึ้นรถไป โดยไม่รอใครเลย

   “คุณโบตั๋นต้องแกล้งอะไรคุณหยกแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ” พี่เอถามหลังเดินมาสมทบพร้อมพี่เสือ

   “ป่าวสักหน่อย พี่เอ๋เห็นตั๋นเป็นคนยังไงกันนะ” พี่เอส่ายหน้าเหมือนจะระอาเธอเล็กน้อย ก่อนเดินกลับไปที่รถและประจำในที่นั่งคนขับตามเดิม

   “ตั๋นไปพูดอะไรกับหยก เขาถึงได้อายหลบหน้าพี่แบบนั้น” พี่เสือถามสีหน้าเป็นกังวลน่าดู

   “อุ๊ย ๆๆ อยู่ด้วยกันแค่ 2 คืน เริ่มเข้าอกเข้าใจหยกแล้วหรอค่ะ?”

   “ไม่ต้องมาล้อพี่เลยนะแม่ตัวดี บอกมาเลยว่าไปพูดอะไรกับหยก”

   “แหม๋ๆ ทำเป็นโกรธไปได้ กังวลล่ะสิ ไม่มีอะไรมากสักหน่อย ตั๋นแค่รู้ว่าพี่เสือจูบหลังมือหยก เลยถามไปว่า พี่เสือทำเพราะว่าขอหยกแต่งงานรึป่าวเท่านั้นเอง”

   “หืม...ทำไมถึงรู้ล่ะ?”

   “ห๋า... พี่เสือขอหยกแต่งงานจริง ๆ หรอ?”

   “ไม่ใช่ พี่หมายถึงเรื่องที่พี่จูบมือน่ะ”

   “เฮ่อ...ตกใจหมดเลย...ตั๋นก็แอบสัมผัสจิตของหยก แต่ก็แปลกนะ ที่ครั้งนี้เห็นเป็นภาพเลย”

   “เพราะหยกมีเมฆาขาวเหมือนกับตั๋นละมั้ง”

   “อืม...ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะ”

   “เมฆาขาวนี่มีความลับอีกมากมายเลยนะ ที่เรายังไม่รู้”

   “ตั๋นว่า ตั๋นจะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับเมฆาขาวเพิ่มสักหน่อย”

   “ให้คีช่วยสิ รายนั้นเขาถนัดเรื่องหาข้อมูล”

   “จริงหรอค่ะ?” พี่เสือพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นตั๋นก็ต้องไปขออนุญาตอากรก่อนสิ”

   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ช่วยเกริ่นกับคีให้ก็ได้ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงอากรหรอก”

   “โอเคค่ะ”

   “ว่าแต่...”

   “หืม...อะไรค่ะ?”

   “ตั๋นไม่สบายใจรึป่าว?”

   “เรื่องอะไรค่ะ?” อยู่ ๆ พี่เสือก็กังวลขึ้นมาซะอย่างนั้น เธอสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ เพราะมันสื่อถึงเธอโดยตรง และเธอก็ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปสัมผัสจิตของใครสุ่มสี่สุ่มห้า

   “พี่เห็นเราโล่งใจ ที่พี่ไม่ได้ขอหยกแต่งงาน”

   “โถ่...พี่เสือ!!”

   “...”

   “ตั๋นแค่ตกใจ ก็มันเร็วไปนี่ค่ะ ถ้าเกิดว่าพี่เสือขอหยกแต่งงานตอนนี้น่ะ แต่ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้ว ในอนาคตพี่เสือจะขอหยกแต่งงาน ก็ให้อากรเป็นเถ่าแก่มาสู่ขอกับเจ็กลู่เอาล่ะกันค่ะ” เธอพูดจบก็เดินตรงไปที่รถ เธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกลิงโลดที่อยู่ในใจของพี่เสือ

.........................................................................

   ผมตกใจมาก ที่อยู่ ๆ โบตั๋นก็พูดถึงเรื่องการจูบหลังมือนั่น แค่นั้นผมก็เผลอหลบมือข้างที่ถูกจูบไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ราวกับกลัวว่าโบตั๋นจะเห็นรอยจูบนั่นจริง ๆ แล้วไหนจะเรื่องบอกรักและเรื่องแต่งงานนั่นอีก มันทำให้ผมอาย จนไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

   ผม...อายพี่เสือ ตอนสบตากับพี่เสืออยู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงพี่เสือบอกรักผม มันก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว จนผมต้องเดินหนีมาที่รถก่อน ดีที่พี่เอเดินตามมาเปิดรถให้ กระทั่งตอนนี้ผมยังคงนั่งอึดอัดอยู่บนรถ เพราะทำตัวไม่ถูก แล้วยังอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของโบตั๋นและพี่เสืออีก ผมสัมผัสได้ว่าทั้งสองกำลังมีความสุข ถึงจะรับรู้อย่างนั้น แต่ผมก็ยังคงอายมากอยู่ดี

   “หยก...” โบตั๋นที่นั่งข้าง ๆ ผมเรียกผมเบา ๆ ราวกับกระซิบ มันทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย

   “...” ผมแค่หันมองเธอ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

   “ก็ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไรหรอก ตั๋นแค่อยากให้หยกสบายใจ ไม่ต้องเกร็ง”

   “เออ..” ผมควรตอบโบตั๋นไหม?

   “ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องเกร็ง ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ”

   “ตั๋นก็พูดง่าย” ผมเริ่มรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับคำพูดของโบตั๋น

   “อย่างอนน่า ตั๋นรู้ ๆ ก็แค่หยอกเล่นเอง หยกอย่าโกรธเลยน้า...”

   “คราวหลังอย่าล้อเล่นอย่างนี้อีกนะ”

   “อืมๆๆ ไม่แกล้งแล้ว แต่ตั๋นถามอะไรหน่อยสิ”

   “หืม?”

   “แล้วทำไมในหัวของหยกมีแต่เรื่องที่พี่เสือบอกรักหยกล่ะ?”

   “ตั๋น!!”

   “เบา ๆ สิ หยกอยากให้พี่เสือได้ยินหรอ?” ผมเหลือบมองพี่เสือ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่เอแว๊บหนึ่ง เหมือนพี่เสือจะหลับอยู่ “แล้วตั๋นก็จริงจังนะ สาบาน!! ว่าที่ถามนี่ไม่ได้แกล้งหยกเลยนะ”

   “...” ผมเองก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มานั่งอึดอัดแบบนี้หรอก

   “หยกนะหยก”

   “ตั๋นรู้ตัวไหม ว่าเราน่ะเริ่มจะเหมือนเจ่เจ้เข้าไปทุกวันแล้วนะ”

   “เหมือนยังไงล่ะ?”

   “เรื่องที่อ่านความคิดได้ชัดเจนแบบที่เป็นอยู่นี่ไง เฮียยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ตั๋นตอบเหมือนตั๋นรู้... เหมือนที่เจ่เจ้รู้...”

   “หยก...”

   “ใช่ เฮียแค่...รู้สึกแย่” รู้สึกแย่ที่ความสามารถของผม พัฒนาไปช้ามาก มันทำให้รู้สึกว่าผมเป็นตัวถ่วง...

   “อย่าคิดมากนะ ตั๋นอาจจะแค่ถนัดเรื่องนี้ ก็เลยเรียนรู้เร็ว เหมือนที่หยกถนัดเรื่องอาหาร เรื่องกีฬา หรือแม้แต่เรื่องศิลปะการป้องกันตัวไง สัญชาตญาณหยกก็ดีกว่าตั๋นเป็นไหน ๆ คนเราไม่ได้เก่งไปได้ทุกอย่างหรอกนะ”

   “...”

   “มันไม่ใช่ความผิดหยกหรอกนะ เรื่องพี่เมฆน่ะ เขาก็แค่อำพรางความรู้สึกได้เก่งต่างหาก หยกถึงไม่รู้ตัว มันไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถของหยกเลยนะ”

   “เกี่ยวสิ พี่เสือยังบอกเลยว่า...สิ่งที่เฮียสัมผัสได้น่ะ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เฮียคิดเสมอไป...”

   “หยก...”

   ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขึ้นมาเฉย ๆ น้ำตาพาลจะไหลออกมา จนผมต้องเบื้อนหน้าหนีออกไปมองนอกรถ ทุกอย่างที่โบตั๋นพูดปลอบผมนั้น มันแสดงให้เห็นว่าโบตั๋นพัฒนาไปมากแค่ไหน มากจนผมตกใจ โบตั๋นอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งเห็นถึงความกลัวในจิตใจของผม

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 12-12-17 {{:::33:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-12-2017 22:12:50
 :-[ :-[
หยกเขิน น่ารักจัง ยังไงก็ไม่รอดพี่เสือหรอกนะ ทำใจไว้เหอะ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: หยก 12-12-17 {{:::33:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-12-2017 09:33:14
คิดมากอีกแล้วนะหยก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 12-12-17 {{:::33:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 13-12-2017 13:39:17
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 12-12-17 {{:::33:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 13-12-2017 13:54:10
ปลอบใจน้องหยกกก
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-17 {{:::34:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-12-2017 10:16:58
34

   พยัคฆ์เดินมาส่งหยกและโบตั๋นถึงหน้าบ้านพัก ตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน หยกเงียบมาก ดูจากสีหน้าเหมือนคนมีอะไรในใจ โบตั๋นเองก็ดูท่าทางไม่สบายใจกับท่าทีของหยกเช่นกัน เขาเผลอหลับไปแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   “พี่เสือไปพักอีกสักหน่อยเถอะค่ะ พี่ภาเธอเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินของทุกคน ให้กลับเที่ยวเดียวกันหมด เลยได้กลับเที่ยว 2 ทุ่มค่ะ”

   เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนส่งกระเป๋าคืนหยก รอจนหยกเข้าไปในบ้านพักแล้ว เขาจึงรั้งโบตั๋นไว้ เพื่อถามถึงสาเหตุ

   “หยกเป็นอะไรไปรึป่าว?”

   “พี่เสือกับไปที่บ้านพักก่อนนะคะ เดี๋ยวตั๋นกับเจ่เจ้ตามไป ท่าทางตั๋นจะก่อเรื่องซะแล้วล่ะ” โบตั๋นว่าก่อนจะเดินหน้าสลดเข้าบ้านพัก ถึงเขาจะรู้สึกกระวนกระวายใจเพียงใด ในตอนนี้ที่เขาทำได้คงมีแต่รอให้หงส์และโบตั๋นเท่านั้น

   เมื่อเขาเดินเข้ามาถึงหน้าบ้านพักของเขา ก็ได้ยินเสียงอาขาติกับคีคุยกันอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปข้างใน

   “พี่ชาติไม่เคยหลุดเลยหรอครับ สุดยอด...” น้ำเสียงของคีที่ดูจะชื่นชมอาชาติอย่างไม่มีปิดบัง

   “ก็เคยนะ แต่ก็นานมาแล้วล่ะ จำไม่ได้แล้วเมื่อไร?”

   “โอ้โห...ผมล่ะทึ่งจริง ๆ นี่ถ้าผมไม่รู้จากพี่ชาติเอง ผมคงไม่มีทางสืบรู้ได้ด้วยตัวเองแน่ ๆ ครับ”

   “คุยอะไรกันอยู่ ดูนายจะตื่นเต้นเกินไปนะคี เก็บอาการบ้าง” พยัคฆ์ทักทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องโถงภายในบ้านพัก

   “กลับมาแล้วหรอ เป็นไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหมเราน่ะ” อาชาติทักทายเขาแปลก ๆ

    “ใช่ ๆ กับคุณหยก เป็นยังไงบ้างครับ” คีเป็นคนไขความกระจ่างให้กับเขา ที่แท้อาชาติก็ถามเรื่องนี้นี่เอง

   “ราบรื่นดีครับ ว่าแต่เมื่อครู่คุยอะไรกันหรอครับ?”

   “ที่จริงเริ่มมาจากที่ผมสงสัย ว่าทำไมคุณภาถึงเรียกพี่ชาติว่าลุงหลิว ทั้ง ๆ ที่คุณ ๆ เรียกแกว่าเจ็กลู่น่ะครับ”

   “อ่อ”

   “ครับ ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ชาติมีหลายตัวตน ตอนแรกผมนึกว่าที่คุณ ๆ เรียกเจ็กลู่ เพราะเป็นชื่อจีนของแก ที่น่าตื่นเต้นอีกอย่าง คือแกไม่เคยหลุดตัวตนของแกเลย”

   “พอ ๆ เลิกอวยได้แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นสักหน่อย” อาชาติพูดเบรคนายคี

   “เรื่องอาชาติที่พวกนายไม่รู้ยังมีอีกเยอะ” พยัคฆ์พูดสำทับเล็กน้อย “กลับไปห้องของตัวเองได้แล้ว”

   “ผมคืนห้องไปแล้วครับ”

   “อ่าว แล้วนายนอนที่ไหน บ้านนั้นก็พักกันเต็ม 4 คนแล้ว”

   “ก็ตรงนี้แหละครับห้องผม”

   “ฉันไม่อยู่ 2 คืน ก็น่าจะเข้าไปพักห้องฉันได้ มานอนตรงโถงกลางนี่ทำไม”

   “ใครจะกล้า ถึงยังไงคุณพยัคฆ์ก็เป็นเจ้านายผมนะครับ”

   “นายนี่น้า...”

   “อาให้มันมานอนห้องอา มันก็ไม่นอน”

   น่าสงสารนายคี ยิ่งเป็นอาชาติ ใครจะกล้าไปนอนร่วมห้องด้วย ก็อากรเล่นกำชับนักหนา ห้ามใครนอนห้องเดียวกับกวางน้อยของอากรเด็ดขาด แม้แต่เขาอากรยังไม่อนุญาตเลย...    

.........................................................................

    หลังจากหงส์ได้ฟังเรื่องราวจากโบตั๋น ก็ได้แต่ถอนหายใจกับความบุ่มบ่ามของเธอ นิสัยของโบตั๋นนี่คงไม่มีทางแก้ได้เลยจริง ๆ เห็นทีต้องกันให้หยกอยู่ห่างโบตั๋นสักพัก

   “เจ่เจ้!! จะให้หยกไปไหน?”

   “เรานี่น้า...เจ่เจ้เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปสัมผัสจิตใครสุ่มสี่สุ่มห้า เพิ่งจะก่อเรื่องอยู่หยก ๆ ยังมาสัมผัสจิตเจ่เจ้อีกนะ”

   “ก็มันเผลอนี่ค่ะ?”

   “นี่ถ้าไปพูดคุยแบบนี้กับเพื่อนที่มหา’ลัย หรือยัยภา เขาจะไม่ตกใจแย่หรอ?”

   “กับคนอื่นตั๋นไม่เป็นสักหน่อย ก็มันชินนี่นาเวลาอยู่กับหยกหรือเจ่เจ้น่ะ” โบตั๋นยังคงเถียง

   “เฮ้อ...เรานี่น้า”

   “ว่าแต่ เจ่เจ้จะส่งหยกไปไหนคะ? คงไม่ส่งไปฮ่องกงนะ”

   “ใครว่าล่ะ เจ่เจ้ว่าเราไปหาเจ็กลู่กับคุณเสือกันก่อนดีกว่า จะได้คุยเรื่องที่เราคุยค้างกันอยู่กับคุณเสือด้วย”

   “เราปิดเรื่องนี้กับหยกจะดีหรอค่ะ?”

   “ตั๋นก็รู้นิสัยหยก นี่ขนาดรู้ว่าใช้เมฆาได้ไม่ชำนาญเท่าตั๋น ยังเป็นขนาดนี้เลย ถ้ารู้เรื่องนั้นด้วย เจ่เจ้ว่าหยกต้องไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้เราจัดการกันเองแน่ ๆ”

   “จริงด้วย... แต่...ตั๋นรู้สึกแย่ที่ต้องปิดบังหยก”

   “เราทำก็เพื่อตัวหยกเองนะ อย่าลืมสิ”

   “จริงสิ!! พี่เสือบอกตั๋นว่า พี่คีสามารถช่วยตั๋นสืบเรื่องเมฆาขาวได้ค่ะ”

   “ถ้าตั๋นมีคนช่วย เจ่เจ้ก็เบาใจขึ้น”

.........................................................................

   พยัคฆ์ไม่คิดว่าการที่เขาให้คีช่วยโบตั๋นสืบความเป็นมาของเมฆาขาวจะกลายเป็นงานใหญ่ขนาดนี้ ดังนั้นตอนที่พวกเขาคุยกันจึงให้คีออกจากบ้านพักไปก่อน กลายเป็นว่าตอนนี้ พวกเขาทั้ง 4 คนต้องรอให้คีกลับเข้ามาอีกครั้ง

   “หงส์จะให้ตั๋นเดินทางเมื่อไร?” เขาถามขึ้นระหว่างรอนายคี

   “ก็คงต้องแล้วแต่ตั๋นน่ะ”

   “ตั๋นอยากให้เรื่องนี้มันจบเร็ว ๆ ค่ะพี่เสือ ถ้าเป็นไปได้ ตั๋นอาจจะเดินทางพร้อมกับเจ่เจ้”

   “อาชาติจะไปพร้อมหงส์ แล้วอากรทราบเรื่องนี้รึยังครับ?”

   “อายังไม่ได้บอก ตั้งใจว่ากลับไปค่อยบอกน่ะ”

   “เจ็กจำได้ใช่ไหมค่ะ ว่าสัญญาอะไรไว้กับอากร เจ็กอย่าผิดสัญญานะคะ”

   “อั๊วไม่ผิดสัญญาหรอกน่าอาหงส์ แค่ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงเท่านั้น”

   “อาชาติกลัวว่าอากรจะห้ามไม่ให้อาไปหรอครับ?”

   “ใครว่าล่ะพี่เสือ เจ็กลู่กลัวอากรจะตามไปด้วยต่างหาก ใช่ไหมค่ะเจ็ก”

   “โบตั๋น เอาอีกแล้วนะ”

   “ก็...ตั๋นเผลออีกแล้วนี่นา” หงส์ได้แต่ส่ายหน้าระอา

   “อั๊วไม่ได้ขวัญอ่อนหรือขี้ตกใจนะอาหงส์ ไม่ต้องไปว่าอีหรอก”

   “ค่ะ หงส์รู้ แต่นี่ตั๋นดันไปก่อเรื่องกับหยกเข้าน่ะสิ”

   “เรื่องที่หยกซึม ๆ ไปใช่ไหม?” พยัคฆ์แทรกเข้ามา

   “ใช่ค่ะคุณเสือ ตั๋นเผลอเข้าไปสัมผัสจิตของหยกมากไปหน่อย”

   “แค่นั้นเอง ไม่น่าจะเป็นเรื่องได้นะ ยิ่งหยกรู้เรื่องเมฆาขาวแล้วด้วย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่น่าตกใจเลย”

   “คุณเสือคงยังไม่รู้ หงส์หัวใจไม่แข็งแรงตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่มาอยู่ไทย แล้วเริ่มอาการแย่ลงตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ยังดีที่มีคุณภาเธอคอยช่วยดูแลอยู่ ภาพที่หงส์พี่สาวเป็นคนเดียวที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องป่วยและเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ นั้น มันทำให้หยก คิดว่าตัวเขาที่เป็นลูกผู้ชาย ต้องขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนหงส์ให้ได้” อาชาติเล่าเรื่องราวสั้นๆ

   “ใช่ค่ะ หยกคอยดูแลทั้งเจ่เจ้ ดูแลตั๋นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หยกไม่เคยได้เที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทุกอย่างในหัวสมองหยกมีแค่เจ่เจ้กับตั๋น”

   “ถ้าตอนนี้หยกมารู้ว่าเราทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา เขาก็อาจจะรับไม่ได้ เขาไม่อยากให้พวกเรากังวล หรือเห็นด้านที่อ่อนแอของเขา” หงส์อธิบายเพิ่ม

   “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมหยกถึงต้องกังวลเรื่องที่ตั๋นเข้าไปสัมผัสจิตหยกด้วย”

   “โหย...พี่เสืออ่ะ เจ่เจ้ก็บอกอยู่นี่ไงค่ะ ว่าหยกน่ะไม่อยากให้ตั๋นสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอ หรือพูดง่าย ๆ ว่าหยกกลัวว่าตั๋นจะรู้ว่าเขากลัวอะไร ยังไงล่ะคะ”

   “ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะมีใครมารับรู้ความกลัวของเรานี่”

   “ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพียงแต่สิ่งที่หยกเป็นคนที่คิดมาก เขาถึงไม่อยากให้เรารู้ เขากลัวว่าเราจะกังวลไปกับเขาด้วย”

   “เจ่เจ้รู้ไหมค่ะ ว่าหยกกลัวอะไร?”

   “จ๊ะ เจ่เจ้รู้”

   “บอกตั๋นได้ไหมค่ะ เพราะที่จริงตั๋นก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ว่าทำไมหยกต้องกังวลขนาดนี้”

   “หยกเขากลัวว่าเขาจะดูแล และปกป้องเราไม่ได้ และไม่อยากเป็นภาระให้กับเรา”

   พยัคฆ์เข้าใจในทันที ความกลัวนั้น กลัวว่าจะปกป้องคนที่เรารักไม่ให้เผชิญความเจ็บปวดไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะเขาเองก็เคยกลัว และก็ยังคงกลัวอยู่ ภาพไอ้เกรียงไกรที่คร่อมร่างของหยกยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา จนเขาต้องกำหมัดตัวเองแน่

   “พี่เสือ...”  โบตั๋นเรียกเขาเบา ๆ

.........................................................................

    ผมออกมายังโถงกลางของบ้านพักเห็นพี่ภานั่งเล่นอยู่ ที่หน้าห้องมีกระเป๋าเดินทางของทั้งเจ่เจ้และพี่ภาวางรออยู่ คงจะเตรียมตัวกลับกันแล้ว สัมภาระผมกไม่มีอะไรมาก โบตั๋นจัดการเก็บไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว ผมมองหาทั้งเจ่เจ้และโบตั๋นก็ไม่พบคนทั้งสอง

   “หยก มานั่งนี่กับพี่มา” พี่ภาตบลงบนเบาะโซฟาเบา ๆ เพื่อให้ผมไปนั่งข้างเธอ “ไปเที่ยวไม่สนุกหรอจ๊ะ กลับมาพี่เห็นเราเอาแต่ซึม”

   “ไม่ใช่อย่างนนั้นครับ”

   “อืม...หรือว่า...คุณพยัคฆ์รังแกอะไรเรารึป่าว?”

   “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่” ผมตกใจที่พี่ภาคิดแบบนั้น นี่ทุกคนรู้ความรู้สึกของพี่เสือกันหมดเลยหรือยังไงกันนะ

   “แล้วเป็นอะไรไปจ๊ะ หรือว่ายังไม่อยากกลับ อยากอยู่ที่เที่ยวต่อรึป่า?”

   “ไม่ใช่ครับพี่ภา ผมแค่...”

   “หยก มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็คุยกับพี่ได้นะ”

   “ผม...” ผมคงเผลอแสดงออกมากไป เลยทำให้พี่ภาเป็นห่วง

   “หรือหยกเห็นพี่เป็นคนอื่น?”

   “ไม่ใช่ครับ ผมแค่ไม่รู้จะเล่ายังไง”

   “อืม...ถ้าพี่เดาไม่ผิดคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปรึกษาพี่ได้ใช่ไหม?”

   “พี่ภา โกรธผมไหมครับ”

   “ไม่นี่ พี่เข้าใจ พี่รู้เรื่องอะไร ๆ มากกว่าที่หยกคิดนะจ๊ะ”

   “พี่ภา...” หรือว่าพี่ภารู้เรื่องเมฆาขาว แต่...ผมสัมผัสความรู้สึกอะไรจากเธอไม่ได้เลย นอกจากความห่วงใยที่มีให้กับผม

   “การที่พี่ไม่พูดออกไป ไม่ใช่ว่าพี่ไม่รู้นะ เรื่องเกี่ยวกับความสามารถของ 3 พี่น้องชูวนาสุวรรณน่ะ แต่เพื่อความสบายใจของหงส์ พี่เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไปมากกว่า”

   “แล้วพี่ภาไม่อึดอัดหรอครับ ที่ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้แบบนี้”

   “ไม่จ๊ะ เพราะพี่รู้จักพวกเราดี ว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง”

   “...” ผมเคยคิดว่าพี่ภาใส่ใจกับเจ่เจ้มากที่สุด แต่เปล่าเลย พี่ภาใส่ใจพวกเราทุกคน

   “หยกคิดยังไงกับคุณพยัคฆ์จ๊ะ?”

   “ห๊ะ!!”

   “ตกใจอะไรกัน พี่ไม่ได้ถามอะไรที่ตอบยากสักหน่อย ไปเที่ยวกับคุณพยัคฆ์มา พี่ก็แค่อยากรู้ ว่าคุณพยัคฆ์เป็นยังไง”

   “อ่อ...ก็...พี่เสือใจดีมากครับ” นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี๊ยะ ถึงได้ตกใจกับถามของพี่ภา

   “อืม...ดูไม่ออกเลยนะว่าคุณพยัคฆ์จะเป็นคนใจดี”

   “พี่ภารู้จักกับพี่เสือมานานแล้วหรอครับ”

   “เห็นจะ 2-3 ปีได้จ๊ะ แต่เวลาเจอกันก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากหรอกนะ นอกจากเรื่องงาน ที่เห็นบ่อย ๆ ก็คงจะเป็นท่าทางที่จริงจังกับงานน่ะ เพิ่งจะเคยเห็นท่าทีผ่อนคลายก็ตอนที่คุณพยัคฆ์อยู่กับหยกนี่แหละ”

   “ตอนผมเจอพี่เสือครั้งแรก ผมก็คิดว่าเขาน่ากลัวเหมือนกันครับ”

   “พี่อยากรู้จังว่าหยกกับคุณพยัคฆ์ไปเจอกันตั้งแต่เมื่อไร?”

   “ผม...เจอกับพี่เสือครั้งแรกที่โรงแรม ตอนที่ผมไปถ่ายแบบกับตั๋นครั้งแรก”

   “รักแรกพบสิน่ะ”

   “รักแรกพบ?”

   “รู้ไหมว่าคนเรามักจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อเจอคนที่เขารัก และทำทุกอย่างได้เพื่อคนที่เรารัก เหมือนหยกที่รักหงส์และโบตั๋นไงจ๊ะ”

   “ถ้าผมเจอคนที่ผมรัก ผมจะเปลี่ยนไปหรอครับ”

   “ไม่เสมอไปหรอกจ๊ะ ถ้าคนๆ นั้นเขารับหยกได้ในแบบที่หยกเป็น หยกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอะไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับหยกเอง ว่าอยากจะเปลี่ยนเพื่อเขารึป่าว?”

   “แล้ว...ถ้าผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเพื่อใครเลย แสดงว่าผมไม่ได้รักใคร...ใช่ไหมครับ”

   “หืม...หยกแน่ใจหรอว่าหยกไม่ได้เปลี่ยนไป?”

   “ครับ...ผมว่า...ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย”

   “อืม...ทำไมหยกถึงยอมถ่ายแบบ ทั้ง ๆ ที่เป็นงานที่หยกไม่ชอบล่ะ”

   “ก็ตอนนั้นผมอยากหาเงินมาช่วยเรื่องค่ารักษาเจ่เจ้”

   “นั่นแหละที่หยกยอมเปลี่ยน ถึงจะแค่นิดหน่อยเท่านั้น หยกยอมทำในสิ่งที่หยกไม่ชอบเพราะหยกรักหงส์ ไม่ใช่หรอไงจ๊ะ?”

   “ครับ”

   “หยกอาจจะต้องสำรวจตัวเองให้มากหน่อย บางทีแค่การปรับเปลี่ยนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หยกไม่ได้ใส่ใจมันก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อคนที่เรารักได้เหมือนกันนะ พี่เอาใจช่วยเรานะ”

   “เอาใจช่วย”

   “เฮ้อ...น้องชายคนนี้ของพี่น่ารักจริง ไหนมาให้พี่กอดทีนึงสิ”

   “พี่ภา ไม่เอานะ ผมไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะครับ” พี่ภาพยายามดึงตัวผมเข้าไปกอด จนผมต้องเอนตัวหนีเธอเล็กน้อย

   “แหม๋ๆๆ ทำอะไรกันค่ะพี่ภา อยู่กับหนุ่ม ๆ น่ารักหน่อยเป็นไม่ได้เลยนะคะ แม้กระทั่งหยกก็ยังไม่เว้น” โบตั๋นเดินเข้ามาพร้อมกับเจ่เจ้และพี่เสือพอดี

   “นาน ๆ พี่จะได้กอดน้องชายของพี่สักทีนี่น้า...”

   “แล้วคุยอะไรกันอยู่ล่ะ ดูหยกสีหน้าดีขึ้นเยอะเลยนะ” เจ่เจ้ยิ้มแซวผม

   “ภาเพิ่งจะเป็นที่ปรึกษาทางหัวใจให้น้องชายตัวไงจ๊ะ” คำตอบของพี่ภาทำให้ผมตวัดสายตาไปทางพี่เสือโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ความรู้สึกของพี่ภา เจ่เจ้ และโบตั๋นที่ผมรับรู้ได้ ทำให้ผมอายมาก...ทำไมผมต้องหันไปทางพี่เสือด้วยนะ แล้วยังท่าทางอมยิ้มนั่นอีก   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-17 {{:::34:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-12-2017 11:42:15
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-17 {{:::34:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-12-2017 16:24:12
ไม่ต้องเขินหยก ยังไงๆ ก็ไม่รอดพ้นพี่เสือได้หรอก  :hao6:
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-17 {{:::34:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2017 20:11:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 16-12-17 {{:::35:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-12-2017 16:12:50
35

   โบตั๋นอยากขอบคุณพี่ภา ที่ทำให้บรรยากาศระหว่างเธอกับหยกดีขึ้น ถึงแม้ว่าเรื่องที่พี่ภาคิดเกี่ยวกับความกังวลของหยกนั้นจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ตาม

   ตลอดทางที่นั่งรถมาสนามบิน หยกเอาแต่หลบหน้าพี่เสือ คงจะเขินกับปฏิกริยาของตัวเขาเอง และดูเหมือนจะมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละ ที่ยังไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเอง มีหลายครั้งที่เธออยากล้อหรือแซวหยก แต่ก็ต้องยั้งไว้ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างเมื่อตอนเช้าอีก

   พวกพี่เอขับรถคันที่เช่าไว้ใช้งานระหว่างอยู่ที่นี่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนพวกเธอ พี่ภาจัดการจ้างรถตู้ของทางโรงแรมไปส่งที่สนามบิน

   “หยก คืนนี้ตั๋นไปนอนกับหยกได้ไหม?” เธอถามหยกข้างเธอ

   “หืม...คิดยังไงถึงจะมานอนกับเฮีย ไม่นอนกับเจ่เจ้ให้หายคิดถึงแล้วหรอ?”

   “ก็มันเริ่มชินแล้วนี่นา...นอนกับหยกมาเป็นเดือน แล้วก็นะ 2 คืนที่ผ่านมา ตั๋นนอนไม่ค่อยหลับเลยมันเหมือนจะขาด ๆ อะไรไป”

   “เฮียไม่เชื่อหรอก มีเรื่องที่อยากรู้ล่ะสิ”

   “เกลียดจัง คนรู้ทัน!!” หยกยิ้มเล็กน้อย และเธอก็แอบเห็นพี่เสือที่นั่งถัดไปด้านหน้าอมยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน

   “อืมๆ ตามใจตั๋นแล้วกัน”

   “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ตั๋นนอนกับหยกนะ แล้วต้องเล่าเรื่องบนเกาะให้ตั๋นฟังด้วย”

   “เรื่องอะไร?” เธอสัมผัสได้ถึงความตกใจของหยก ในหัวหยกตอนนี้คงจะมีแต่เรื่องพี่เสือสินะ

   “อ่าว...ก็ไปเที่ยวไหนมาบ้าง เล่าให้ตั๋นฟังบ้างสิ ขี้งก!! ไม่สงสารคนเมาเรือ ไม่ได้ไปเที่ยวอย่างตั๋นรึไง?” เธอจึงแกล้งบ่นไปอย่างนั้น เธอเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรจะพูดถึงเรื่องภายในใจหยกมากนัก

   “อ่อ...”

   “หยกคิดว่าตั๋นจะถามเรื่องอะไรกันแน่” แต่ขอแซวสักนิดคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง?

   “เออ...ไม่มีอะไรหรอก” เธอเห็นหยกเขินหน้าแดงอีกแล้ว

.........................................................................

   พยัคฆ์ขับรถมาส่งหยกที่บ้าน นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาตามดูแลหยกมาตลอดหนึ่งเดือน ที่เขารู้สึกว่าได้ดูแลหยกจริง ๆ เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่นี้ สามพี่น้องที่นั่งอยู่ในรถน่าจะรับรู้ได้ แต่เขาไม่อายกับความรู้สึกแบบนี้

   “หืม...” เขาได้ยินเสียงโบตั๋นอุทานออกมา

   “พี่ไม่อายจริง ๆ นะ ออกจะดีใจซะอีก ว่าแต่ตั๋นเถอะ พี่ว่าเราน่าจะเก็บอาการหน่อยนะ” พยัคฆ์คิดในใจพร้อมกับมองโบตั๋นผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นเธอทำปากยื่นเล็กน้อยราวกับไม่พอใจที่เขาตำหนิ

   เขาขับรถมาได้สักพักก็ถึงบ้านของสามพี่น้อง หลังจากที่เขาช่วยทั้งสามขนสัมภาระเข้าบ้านแล้วหงส์ก็ชวนเขาอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน นี่คงเป็นอีกครั้งที่เขาจะได้ทานอาหารฝีมือน้องหยก

   “เดี๋ยวอีกหน่อยพี่เสือก็ได้ทานบ่อย ๆ” โบตั๋นเดินมากระซิบเขา

   “เรานี่เอาใหญ่เลยนะ ดีนะที่เป็นพี่ ถ้าเป็นหงส์ ตั๋นคงโดนหงส์ดุไปแล้ว”

   “ก็มันอึดอัดนี่พี่เสือ รู้ไหมว่าตั๋นต้องอดทนแค่ไหนกับการไม่พูดอะไรออกไปให้หยกได้ยินน่ะ”

   “พี่ว่าพี่พอเข้าใจนะ นิสัยอย่างตั๋นคงอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ล่ะสิท่า”

   “ถ้ารู้ก็ดีแล้ว พี่เสือก็เล่นกับตั๋นหน่อยแล้วกันนะ ไม่อย่างนั้นตั๋นคงอึดอัดตายเลย”

   “อืม...ตามใจน้องสาว...ว่าที่ภรรยาสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”

   “พี่เสือ!! พี่คงไม่ได้ทำอะไรหยกใช่ไหม?”

   “ถ้าทำจะเรียกว่าที่ภรรยาได้หรอ เรานี่คิดลึกไปได้”

   “แสดงว่าแผนของพี่ภาได้ผลสินะ”

   “สำหรับพี่น่ะได้ผลนะ มันทำให้พี่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวหยกมากขึ้น แต่สำหรับหยก พี่ไม่แน่ใจ”

   “ตั๋นว่าหยกคงยังไม่แน่ใจตัวเอง พี่เสือก็ได้ยินที่พี่ภาคุยกับหยกนี่” ใช่...เขาได้ยิน หยกเปลี่ยนไปเพื่อเขาเช่นกัน เพียงแต่หยกไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนเท่านั้น “ฮั่นแน่...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีใจล่ะสิ ผิดกับก่อนไปค้างที่เกาะลิบลับเลยนะคะ”

   “ต้องขอบคุณคุณภานะ ที่ช่วยให้พี่มั่นใจมากขึ้น”

   “ตั๋นก็ต้องขอบคุณพี่เสือ”

   “ขอบคุณพี่?”

   “ใช่ค่ะ ก็ถ้าไม่เป็นเพราะพี่เสือ ตั๋นคงไม่เห็นหยกมีความสุขแบบนี้ หยกคงจะเป็นหยกเย็น ๆ ชิ้นหนึ่งที่ไม่มีชีวิตชีวา”

   “เหมือนสีของเมฆาขาวที่หยกห้อยอยู่สินะ”

   “จริงสิ!! เหมือนจริง ๆ ด้วย พี่เสือช่างสังเกตจัง”

   “ถ้าจำไม่ผิด ของตั๋นเหมือนจะออกสีชมพูนิด ๆ มันสะท้อนถึงตัวตนของตั๋นมากนะ”

   “ตั๋นไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย การที่เมฆาขาวซึมซับเลือดของพวกเรา เป็นไปได้ไหมค่ะว่า สีของมันเปลี่ยนไปเพราะเจ้าของที่ห้อยมันอยู่”

   “อืม...ก็มีความเป็นไปได้นะ ของหงส์สีออกจะฟ้าอ่อนๆ...ใช่ไหม” โบตั๋นพยักหน้ารับ

   “เป็นเหมือนน้ำเลยนะ ที่คอยล่อเลี้ยงตั๋นกับหยก”

   “เปรียบเทียบได้ดี แต่พี่เริ่มสงสัยแล้วสิ ว่าเนื้อแท้ของเมฆาขาวมันเป็นสีอะไรกันแน่”

   “ตั๋นอยากไปเกาลูนเร็ว ๆ แล้วสิ”

   “จุ๊ ๆ เบาหน่อยสิ”

   “อุ๊บ ขอโทษค่ะ” โบตั๋นตะครุบปากตัวเองพร้อมกระซิบขอโทษเบา ๆ ทำให้พยัคฆ์ได้แต่ส่ายหน้า

   “มาทานข้าวกันได้แล้วจ้า...” หงส์ที่ยกอาหารบางส่วนมาที่โต๊ะอาหาร พร้อมร้องเรียกพวกเขา

   “ทานเยอะ ๆ เลยนะพี่เสือ” โบตั๋นพูดก่อนกระซิบประโยคถัดไปที่ทำให้อกเขาพองโตจนแทบระเบิดออกมา “มื้อนี้หยกตั้งใจทำอาหารให้พี่เสือ สุดฝีมือเลยนะคะ”

.........................................................................

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่หยกกำลังเก็บล้างทำความสะอาดภายในครัวนั้น หงส์ก็คุยเรื่องหยกกับพยัคฆ์ และเพื่อเป็นการเกริ่นให้หยกเตรียมตัวด้วย

   “เจ็กลู่คงได้คุยกับอากรเรียบร้อยแล้ว เรื่องของหยก”

   “ผมก็ว่าอย่างนั้น แล้วเจ้าตัวล่ะ หงส์จะบอกเขาวันนี้เลยไหม?”

   “หงส์ตั้งใจไว้อย่างนั้นค่ะ”

   “เจ่เจ้จะให้หยกไปพักที่บ้านอากรเมื่อไรค่ะ?”

   “เร็วที่สุดก็ยิ่งดีนะ เพื่อจะเลี่ยงไม่ให้หยกสัมผัสความรู้สึกของพวกเราและจะได้มีเวลาจัดการอะไร ๆ ได้มากหน่อย”

   “ว่าแต่หงส์จะบอกหยกยังไง ที่จะให้เขาไปอยู่ที่บ้านผมน่ะ”

   “เรื่องนี้ตั๋นคิดไว้แล้วค่ะพี่เสือ แต่พี่เสือต้องเออออไปกับตั๋นนะคะ” พยัคฆ์พยักหน้ารับเล็กน้อย “หยก!! เสร็จรึยังน่ะ?” โบตั๋นถามหยกจากโต๊ะอาหาร

   “อื้ม อีกเดี๋ยวนะ” เสียงหยกตอบมาจากในครัว

   “อาทิตย์หน้าตั๋นก็จะจบแล้ว เดิมที่เจ่เจ้กับพี่ภาจะจัดปาร์ตี้ฉลองให้ตั๋นใช่ไหม?” โบตั๋นหันไปถามหงส์

   “ภาคงไม่ทันระวังตัว โดนโบตั๋นล้วงความลับซะแล้วสินะ” เธอพูดยิ้ม ๆ

   “นั่นต้องขอบคุณพี่ภานะ ทำให้ตั๋นนึกแผนนี้ขึ้นมาได้น่ะ” โบตั๋นกระซิบเบา ๆ ท่าทางตื่นเต้น

   “แล้วมันเกี่ยวกันยังไง?” พยัคฆ์ถาม

   “น้า...พี่เสือนะ ตั๋นขอยืมบ้านพี่เสือจัดปาร์ตี้หน่อยนะคะ” โบตั๋นร้องด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ขึ้นมา เมื่อเห็นหยกเดินออกมาจากห้องครัว บวกกับสิ่งที่เธอสัมผัสได้ ทำให้หงส์เข้าใจทันที

   “ตั๋นอย่าเอาแต่ใจสิ ให้พี่เสือ เขาไปขออนุญาตกับอากรก่อนสิ”

   “ทำไมตั๋นถึงอยากไปปาร์ตี้บ้านพี่เสือล่ะ แล้วจัดเนื่องในโอกาสอะไร?” หยกที่เพิ่งเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารถามขึ้น

   “ก็ที่ตั๋นเรียนจบไง แล้วก็ตั๋นไม่อยากไปที่ร้านอาหารนี่นา...หยกก็รู้ว่าเวลาพี่ภากับเจ่เจ้เลี้ยงทีไร ไม่พ้นร้านพี่กันต์ แล้วพอเป็นร้านพี่กันต์ หยกก็ไม่ได้ทำอาหารเพราะมัวเกรงใจพี่แก้วกับพี่อาร์ท ตั๋นเรียนจบทั้งที ตามใจตั๋นบ้างสิ”

   “มันก็ตามใจได้อยู่หรอก แต่ทำไมต้องเป็นบ้านอากรกับพี่เสือล่ะ ไปรบกวนเขาไม่ดีนะ” หงส์แกล้งเล่นไปตามเรื่อง

   “อ่าว เจ่เจ้ บ้านพี่เสือมีสวนด้านนอก จัดที่สวนจะได้ไม่วุ่นวายในบ้านไงค่ะ อีกอย่างเจ็กลู่ก็อยู่ที่นั่น อากร พี่เสืออีก คนกันเองทั้งนั้น”

   “ผมว่าอากรคงไม่ว่าอะไรหรอกหงส์ ดีซะอีก บ้านจะได้มีชีวิตชีวามาขึ้น”

   “เห็นไหมค่ะ?”

   “อีกอาทิตย์เดียว หยกจะไปเตรียมอะไรทัน พรุ่งนี้ก็ต้องไปสอนกับทำงานร้านพี่กันต์นะ” หงส์ยังคงทักท้วง

   “ไม่เห็นจะยากเลย พรุ่งนี้ก็ให้พี่เสือมารับหยกไปค้างที่บ้านสิ เจ็กลู่ก็อยู่ หยกจะได้เตรียมงานได้ไงล่ะ”

   “ตั๋น เฮียว่าไม่เหมาะนะ อยู่ ๆ ไปใช้พื้นที่บ้านอากร แล้วยังจะให้พี่เข้าไปอยู่ที่นั่นอีก” หยกเริ่มมีท่าทีอึดอัด

   “เมื่อกี้พี่เสือก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร หยกทำให้ตั๋นไม่ได้หรอ?”

   “ใจพี่ก็อยากให้หยกไปพักที่บ้านพี่นะ อยากจะพาไปตอนนี้เสียด้วยซ้ำ เอ้...หรือว่าหยกชอบบรรยากาศที่คอนโดพี่มากว่า”

   “พี่เสือ!!” หยกร้องเสียงหลง

   “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ก็ได้” หงส์สรุปให้ “เจ่เจ้ว่าหยกคงไม่อยากไปค้างที่คอนโดคุณเสือหรอกใช่ไหมจ๊ะ”

   “เจ่เจ้!!”

   “ทำไมหยกต้องหน้าแดงด้วยล่ะ?” โบตั๋นแกล้งแซว

   “ไม่มีอะไรสักหน่อย”

   “แล้วหงส์จะให้หยกไปพักที่บ้านผมเมื่อไรล่ะ?”

   “ตามที่โบตั๋นบอกก็ดีนะคะ เป็นเย็นวันพรุ่งนี้ แต่คุณเสือแวะมาทานข้าวเย็นที่บ้านก่อนนะคะ แล้วค่อยไปกัน”

   “อืม... พรุ่งนี้ผมชวนอากรกับอาชาติมาทานข้าวด้วยกันที่นี่ดีกว่า เผื่อว่าจะได้คุยเรื่องงานฉลองเรียนจบของโบตั๋น”

   “เย้...ตกลงตามนี้นะหยก นะๆๆ” โบตั๋นอ้อนหยกอีกครั้ง ก่อนที่หยกจะพยักหน้ารับน้อย ๆ

.........................................................................

   ผมออกมาส่งพี่เสือที่หน้าประตูรั้ว ค่ำนี้ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของทุกคนที่ล้วนมีความสุข พี่เสือกับโบตั๋นดูจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ 

   “พรุ่งนี้เช้าพี่มารับหยกไปส่งที่สถาบันนะครับ”

   “ครับ...”

   “หยกไม่อยากไปค้างที่บ้านพี่หรอ?” พี่เสือพูดพร้อมกับสอดมือเข้าใสในฝ่ามือของผม

   “ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่...”

   “เพียงแต่อะไรครับ” พี่เสือพูดพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น “ถ้าหยกไม่พูดออกมา พี่ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าหยกคิดอะไรอยู่นะนะ”

   “หยกเกรงใจอากร กับพี่เสือ”

   “ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย พี่ว่าหยกกลัวพี่มากกว่า”

   “ไม่ใช่ครับ หยกไม่ได้กลัวนะ...หยกรู้สึกว่ามันเร็วไปที่จะไปค้างบ้านพี่เสือ”

   “เร็วยังไง คนที่เขารู้จักกัน จะไปค้างด้วยกันบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย อีกอย่างหยกก็ค้างกับพี่ตั้งหลายครั้งแล้ว ทั้งที่นอนเตียงเดียวกัน แล้วก็แยกเตียงกันนอน”

   “พี่เสือ!!”

   “หยกอายพี่หรอครับ?” ผมพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการยอมรับในที่สุด “หยก รังเกียจพี่ไหมครับ?”

   “ห๊ะ!!...ทำไมพี่เสือคิดแบบนั้นล่ะครับ” ผมเงยหน้ามองพี่เสือ แปลกใจกับคำถามนั้น ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความกังวลในจิตใจพี่เสือเลยสักนิด แต่ทำไมพี่เสือถึงถามผมแบบนี้

   “ก็พี่เป็นผู้ชาย...ที่รัก...ผู้ชายด้วยกัน...อย่างหยก”

   “พี่เสือ...” ผมคงพลาดให้กับพี่เสืออีกแล้ว พลาดให้เขามีโอกาสบอกรักผมอีกครั้ง กว่าผมจะรู้สึกตัว ผมก็โดนพี่เสือจูบเบา ๆ ที่ปลายจมูก “พี่เสือ!!” ผมตกใจจนต้องหันกลับเข้าไปมองในบ้าน เพราะกลัว่าเจ่เจ้หรือโบตั๋นจะเห็นเข้า

   “ก็พี่ชอบจมูกเรานี่”

   “พี่เสืออ่ะ”

   “เรียกพี่หลายครั้งแบบนี้ หรือว่าอยากให้พี่จูบราตรีสวัสดิ์ด้วยไหมครับ”

   “ไปเลยนะ กลับบ้านไปได้แล้ว” ผมพูดพร้อมกับดันไหล่พี่เสือเบา ๆ ให้เขาหันหลัง ก่อนดันให้เดินออกนอกประตูรั้วบ้านไป

   “ครับ ๆ ไปก็ได้ แต่...พรุ่งนี้พี่ต้องได้...จูบราตรีสวัสดิ์เรานะ” พี่เสือกระซิบข้างหูผม ก่อนจะเดินขึ้นรถตัวเองไป

   ผมยืนส่งพี่เสือจนรถแล่นออกไปแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถเดินกลับเข้าบ้านไปได้ทั้ง ๆ ที่หัวใจของผมยังเต้นผิดปกติอยู่อย่างนี้ ต้องโทษพี่เสือคนเดียว!!

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 16-12-17 {{:::35:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2017 19:03:41
โธ่ นึกว่าจะได้จูบราตรีสวัสดิ์ซะอีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 16-12-17 {{:::35:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2017 20:24:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 16-12-17 {{:::35:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 17-12-2017 20:43:37
เริ่มหวานแล้ว
หัวข้อ: Re: หยก 16-12-17 {{:::35:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 17-12-2017 20:46:08
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

หัวข้อ: Re: หยก 18-12-17 {{:::36:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-12-2017 15:10:30
36

   สิ่งที่โบตั๋นเห็นมันทำให้เธอเขินแทนหยก เธอไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูหยกกับพี่เสือ แต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่า เวลาสองคนนั้นเขาอยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นยังไง ผู้ชายหน้าดุอย่างพี่เสือ ไม่คิดว่าจะมีท่าทีอ่อนโยนกับหยกได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่สิ้นลายแมวหง่าว ดูสิหยกเลยไม่กล้าเข้ามาในบ้านเลย คงมัวแต่ยืนอายอยู่ตรงนั้น

   “ไหนว่าคุณเสือสอบผ่านแล้วไง ทำไมยังมาคอยแอบดูเขาอีก” เสียงเจ่เจ้ลอยมาจากห้องนั่งเล่นด้านใน

   “เจ่เจ้ เบา ๆ สิ เดี๋ยวหยกก็ได้ยินกันพอดี” เธอว่าพร้อมรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่นทันที

   “แล้วยังไง ยังไม่ไว้ใจคุณเสือเขาอีกหรอ?”

   “ถ้าไม่ไว้ใจ ตั๋นคงไม่ปล่อยให้หยกไปค้างบ้านอากรหรอก ตั๋นรู้นะว่าพอหยกเข้าไปบ้านนั้น พี่เสือก็จะกลับมานอนบ้านด้วย ไม่ไปนอนที่คอนโดของเขาแล้ว”

   “รู้อย่างนั้นแล้วจะไปแอบดูเขาทำไมกัน”

   “ตั๋นแค่อยากรู้ ว่าเวลาสองคนนี้เขาอยู่ด้วยกัน เขาจะสวีทหวานกันไหม?”

   “เรานี่สอดรู้สอดเห็นเกินไปแล้วนะ แก่แดดจริง”

   “เจ่เจ้อ่ะ...”

   “เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคนนะ ดังนั้นเจ่เจ้อยากจะเตือนเรา ไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้มากนัก สักวันหนึ่งหยกก็จะเรียนรู้ได้ด้วยตัวหยกเอง เหมือนกับที่ตั๋นยอมรับคุณเสือเขาได้ยังไงล่ะ”

   “รู้แล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวนี้ตั๋นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งแล้วไง แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ตั๋นคงไม่ค่อยได้เจอหยกกับพี่เสือแล้วด้วย แล้วพอพ้นอาทิตย์หน้า...”

   “เจ่เจ้รู้...ว่าเราสามคนไม่เคยต้องห่างกันนาน ๆ เลย”

   “ตั๋นจะรีบไปรีบกลับค่ะ แล้วจะตามหาคนสกุลเหมิ๋นและสืบค้นเรื่องเมฆาขาวมาให้ได้ ตั๋นก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่เสือจะชำระล้างเมฆาขาวได้ยังไง”

   “เจ่เจ้หวังว่ามันจะเป็นวิธีการที่ไม่อันตรายนะ”

.........................................................................

   ลตาขอเดินทางกลับมาประเทศไทยก่อนเจ้าสัวเซียงโดยอ้างว่าต้องมาสะสางเรื่องของวรากร ซึ่งเจ้าสัวเซียงก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ตลอดสิบกว่าวันที่เธอติดตามเจ้าสัวเซียงไปโน่นมานี่ที่ฮ่องกง ทำให้เธอรู้ว่าทายาทสกุลฝู่ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อ 20 กว่าปีก่อนยังคงมีชีวิตอยู่

   เจ้าสัวเซียงเข้าไปที่สกุลฝู่ และบอกคนในนั้นเพียงแค่ว่า เขาเจอฝู่หงส์แล้วและต้องการให้ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับฝู่หงส์ แต่ทางตระกูลฝู่กลับต้องการให้เจ้าสัวตามหาฝู่หยงให้ได้ก่อน

   ถ้าเธอจำไม่ผิดเมื่อ 20 ปีก่อนฝู่หลินตายอย่างปริศนาระหว่างการสอบสวน บางข่าวก็บอกว่าเธอตายเพราะมีคนวางยา บ้างก็ว่าเพราะเธอเพิ่งคลอดลูกคนที่ 3 บ้างก็ว่าเธออับอายเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ จึงกินยาฆ่าตัวตาย

   หลังจากที่เธออาบน้ำเรียบร้อย แทนที่เธอจะพักผ่อน เธอกลับเดินไปยังโต๊ะทำงาน สิ่งที่เธอต้องสืบหายังมีอีกมาก เธอสัมผัสใต้โต๊ะเบา ๆ จนเกิดเสียง คลิ๊ก ก่อนที่จะใช้มือกดเบา ๆ บนโต๊ะส่วนที่บุหนังสำหรับรองเขียน จนมันเปิดขึ้น เธอดึงซองเอกสารออกมานั่งอ่านมันอีกครั้ง

   ถ้าเธอเดาไม่ผิด เด็กที่เธอเจอที่ค่ายมวยนั่น น่าจะเป็นฝู่หยงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นเพราะอะไรกัน ทำไมเจ้าสัวเซียงถึงบอกกับสกุลฝู่ว่ายังหาฝู่หยงไม่พบ ตามของ ไม่ต้องสนคน เจ้าสัวต้องการอะไรกันแน่...

.........................................................................

   พยัคฆ์เดินถือกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้าน ก่อนเด็กในบ้านจะเอาไปเก็บให้ เขาเดินตรงไปยังห้องทำงาน เพราะคิดว่าอาทั้งสอง น่าจะยังปรึกษากันอยู่ เขาเคาะประตูเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไป และก็เป็นไปตามคาด ทั้งสองยังอยู่ในห้องนี้จริง ๆ และถ้าเดาไม่ผิด ทั้งสองคงมีเรื่องเถียงกันอีกแน่ ๆ

   “อ่าว มาแล้วหรอไอ้เสือ อานึกว่าแกจะเข้ามาพรุ่งนี้เสียอีก”

   “ครับ ว่าแต่อากรไปขัดใจอะไรอาชาติอีกละครับ อาชาติถึงได้หน้างอขนาดนั้น”

   “ไม่ได้ขัดใจ ต้องเรียกว่าอ้อนวอนมากกว่า”

   “ห๋า!!”

   “คุณเสือยังไม่ไปพัก แสดงว่ามีเรื่องจะคุยกับพวกอาใช่ไหม?” อาชาติถามตัดบทอากรขึ้นมา

   “ครับ พอดีโบตั๋นวางแผนให้หยกมาพักที่นี่ชั่วคราวได้สำเร็จน่ะครับ”

   “อ่อ แล้วหยกจะมาเมื่อไรล่ะ อาจะได้ให้คนจัดห้องไว้ให้”

   “พรุ่งนี้ครับ แล้วผมจะชวนอากรกับอาชาติไปทานข้าวที่บ้านหยกคืนพรุ่งนี้ด้วย”

   “อืม ไปสิ ว่าแต่หยกไม่ได้สงสัยอะไรใช่ไหม?”

   “ไม่ครับ โบตั๋นอ้างเรื่องงานเลี้ยงฉลองเรียนจบของเธอ มาขอใช้บ้านเราจัดงาน เลยให้หยกมาค้างเพื่อเตรียมงานครับ”

   “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” อาชาติถามขึ้นมาบ้าง

   “หลังจากนั้นก็คงต้องตะล่อมให้หยกอยู่ที่นี่ไปก่อน”

   “จริงสิ คนของอาที่เฝ้าอยู่ที่คอนโดของลตา รายงานมาว่า เธอเพิ่งกลับมาเมื่อเช้านี้นะ”

   “แล้วเจ้าสัวล่ะครับ?”

   “ยังไม่มีวี่แววนะ เห็นแต่นายเกรียงไกร”

   “อาชาติจะเอายังไงเรื่องนายเกรียงไกรครับ” พยัคฆ์ได้ยินชื่อนี้ก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้

   “เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณภาจัดการ ระหว่างที่อา หงส์ และโบตั๋นไม่อยู่ คุณเสือคงต้องช่วยดูแลหยกไปก่อน ผมคงไม่ต้องขอให้คุณกลับมาค้างที่บ้านนี้หรอกนะ" พยัคฆืพยักหน้าเล็กน้อย  "และคอยระวังทั้งนายเกรียงไกร กับนายเมฆ ช่วงนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะโฆษณาตัวล่าสุดที่หยกกับหงส์ไปถ่ายมายังไม่ออก มันอาจจะใช้จังหวะนี้เล่นงานหยกอีกหน”

   “ครับ ผมเข้าใจ”

   “อาคุยกับอาหลิวไว้ ว่าหลังจากนี้จะให้ เอ เก่ง ต้น ต้า มาช่วยงานนี้ด้วย”

   “อ่อ ผมขอให้คีมาช่วยโบตั๋นสืบเรื่องเมฆาขาวอีกแรงครับ”

   “อืม อาหลิวคุยกับอาแล้ว ว่าแต่โบตั๋นจะเดินทางเมื่อไร” อากรหันไปถามอาชาติ

   “เดินทางพร้อมกับหงส์”

   “ถ้าอย่างนั้น ให้เอ ต้ามาอยู่ที่นี่คอยช่วยแกนะไอ้เสือ เก่งกับคีให้เดินทางไปกับโบตั๋น ส่วนฉันกับต้นจะไปกับหงส์”

   “เฮีย...มันอันตรายนะ”

   “มีแต่เฮียเท่านั้นที่สามารถพาหงส์เข้าไปในสกุลฝู่ได้”

   “อั๊วก็พาเข้าไปได้เหมือนกัน”

   “ไม่ได้ เฮียบอกแล้วใช่ไหม หลิวไม่ควรเผยตัวตอนนี้ คอยระวังหลังให้เฮียก็พอ แค่บอกให้คนของหลิวคอยติดต่อกับเฮียกับหงส์โดยตรงด้วย” ที่แท้อากรกับอาชาติก็เถียงกันเพราะเรื่องนี้นี่เอง

   “อาชาติไม่ต้องเป็นห่วงอากรไปหรอกครับ”

   “ไม่ได้ห่วงสักหน่อย อาแค่กลัวกว่าเฮียจะทำเสียแผน” เขาเห็นอาชาติมีอาการเขินเล็กน้อย ถึงจะไม่ชัดเจนเท่าหยก แต่เขาก็สังเกตุเห็นได้

   “ถ้าเป็นเรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องห่วงครับอาชาติ ผมรับรองว่าอากรไม่ทำให้แผนอาชาติพังแน่นอนครับ”

   “เฮียไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ หลิวก็รู้”

   “ก็แล้วแต่เฮียแล้วกัน” อาชาติพูดจบก็ลุกจากที่นั่ง แล้วออกจากห้องไปทันที

   “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ แกก็เข้าไปดูงานที่บริษัทฯ ด้วยแล้วกันนะ มีอะไรก็ให้คุณวรรณช่วย ฉันบอกคุณวรรณไว้แล้วเรื่องที่ฉันจะไม่อยู่สักระยะน่ะ ตอนนี้ฉันขอขึ้นไปง้อเมียก่อน” อากรพูดจบก็เดินตามอาชาติไป

.........................................................................

   เมื่อคืนโบตั๋นซักฟอกผมทั้งคืน เธอไม่ได้เข้ามาสัมผัสจิตผมเหมือนตอนที่อยู่พังงาแล้ว เธอจะถามผมแทน เธอดูจะตื่นเต้นไปซะทุกเรื่องที่ผมเล่า กว่าเธอจะหลับได้ก็ล่วงเข้าไปอีกวัน เช้านี้ผมลงมาเตรียมอาหารเหมือนทุกวัน ต่างกันตรงที่เจ่เจ้ลงมาช่วยผม

   เจ่เจ้ดูแข็งแรงขึ้นมาก ผิวพรรณมีสีสันกว่าแต่ก่อน ติดตรงที่ยังดูผอมไปหน่อย ผมอยากดูแลเธอ อยากทำอาหารให้เจ่เจ้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย แต่เพราะโบตั๋น ทำให้ผมยังไม่สามารถทำอะไรอย่างที่ใจคิดให้เจ่เจ้ได้ เจ่เจ้หันมายิ้มอ่อนให้กับผม

   “เจ่เจ้รู้ว่าหยกน่ารัก และเอาใจใส่เจ่เจ้เสมอ แต่เรื่องขุนให้เจ่เจ้อ้วนนี่ไม่ต้องก็ได้นะ”

   “แค่อยากให้เจ่เจ้ดูมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้เอง ไม่ได้จะขุนให้อ้วนสักหน่อย”

   “เจ่เจ้สบายดีแล้ว ร่างกายก็ฝื้นตัวขึ้นตั้งเยอะเลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

   “ครับ เดี๋ยวเย็นนี้หยกมาทำอาหารให้เจ่เจ้ทานนะ”

   “ไม่ต้องเลยจ๊ะ กว่าเราจะเสร็จงาน เดี๋ยวเจ่เจ้เตรียมเอง”

   “หยกอยากช่วย”

   “งั้นก็ช่วยทำตัวให้เป็นน้องชายที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับเจ่เจ้ก็พอ”

   “ก็เป็นอยู่ทุกวัน”

   “จ้า ว่าแต่หยกไม่ทำเผื่อคุณเสือหรอ?” เจ่เจ้มองลงมาในหม้อข้าวต้มปลาที่ผมไว้ไว้สำหรับเราสามคนพี่น้อง

   “ของพี่เสือหยกเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่เสร็จครับ”

   “หืม...คุณเสือไม่ทานข้าวต้มกับเราหรอ?”

   “ตอนเช้า ๆ พี่เสือมักจะทานแต่แซนวิชกับกาแฟครับ”

   “อ่อ...ถ้าอย่างนั้นหยกก็ไปทำแซนวิชให้คุณเสือเถอะ ข้าวต้มนี่เดียวพี่คนต่อให้เอง เจ่เจ้ว่าน้ำซุปปลาน่าจะได้ที่แล้วนะ”

   “ครับ งั้นหยกยกมาพักไว้ก่อนนะครับ”

   “จ้า”

   เจ่เจ้เป็นคนเดียวที่ผมไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกอะไรได้ หากเธอไม่อยากให้รู้ เธอสามารถสัมผัสจิตใครก็ได้ในระยะที่ไกลมากๆ และสามารถส่งข้อความผ่านจิตได้ ส่วนโบตั๋น ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสจิตของคนอื่นได้แล้ว มีเพียงแต่ผมเท่านั้น ที่ทำได้มากที่สุดก็แค่ปิดกั้นจิตตัวเองจากคนอื่นๆ ถ้าบังเอิญผมเจอกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอีก ผมจะเอาตัวรอดได้ไหม?

   “หยก”

   “ครับ”

   “เจ่เจ้ไม่ได้อยากละลาบละล้วงความคิดของหยกนะ แต่เรื่องนี้จะให้เจ่เจ้ไม่พูดคงไม่ได้” เจ่เจ้พูดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันมามองผม ยังคงจดจ่อกับการคนข้าวต้ม

   “เจ่เจ้...”

   “เจ่เจ้อยากให้หยกเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง อย่าเอาแต่พึ่งเมฆาขาวอย่างเดียว ก่อนหน้านี้หยกก็ไม่รู้ไม่ใช่หรอ? ว่าการที่หยกรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้ นั่นเกิดจากเมฆาขาว”

   “ครับ”

   “หยกเป็นคนมีความสามารถนะ หยกสามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องคิดมากรู้ไหม?”

   “หยกแค่รู้สึกว่า...ช่วงนี้ตัวเองดูอ่อนแอ ทำให้เจ็กลู่ เจ่เจ้ แล้วก็ตั๋นเป็นห่วงตลอดเวลา แม้กระทั่งพี่เสือเอง” เจ่เจ้วางไม้คนลงก่อนเดินมาหาผมที่กำลังทำแซนวิชให้พี่เสืออยู่อีกมุมหนึ่งของครัว

   “หยกไม่ได้อ่อนแอหรอก ที่ทุกคนเป็นห่วงเพราะเขารักหยก และที่สำคัญหยกเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลฝู่ ซึ่งมันเหมือนเป็นดาบสองคม หยกเข้าใจที่เจ่เจ้พูดใช่ไหม” เจ่เจ้ใช้สองมือประคองหน้าผมไว้ให้จ้องมองไปยังใบหน้าของเจ่เจ้ ผมได้แต่พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนดึงผมเข้าไปกอด

   “เจ่เจ้ คนพวกนั้น เขาอันตรายมากเลยหรอครับ” ผมถามทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังซบอยู่บนไหล่ของเจ่เจ้

   “...”

.........................................................................

   โบตั๋นตื่นสายจึงลงมาช้ากว่าปกติ ระหว่างจะเดินไปห้องอาหารก็ได้ยินเสียงเจ่เจ้กับหยกคุยกัน และจากการเข้าไปสัมผัสจิตของหยกมันทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของหยก

   หยกที่เคยดูแลปกป้องทุกคนมาตลอดกลับกลัวที่จะเป็นตัวถ่วงทำให้คนอื่นต้องมาคอยปกป้องดูแลตัวเอง ตั้งแต่จำความได้ เวลามีเรื่องมีปัญหาอะไร หยกมักจะดึงให้เธอไปหลบอยู่ข้างหลังเสมอเหมือนตอนที่อยู่ในซอยร้านขายยานั่น เวลาเจ่เจ้อาการกำเริบ หยกก็มักจะเป็นคนแรกที่เข้ามาดูแลเจ่เจ้ เธอมักจะรู้เรื่องทีหลังทุกทีอย่างครั้งล่าสุดที่เจ่เจ้เข้าโรงพยาบาล หยกก็ปิดเรื่องเจ่เจ้ไว้จนเธอพรีเซนต์โปรเจ็คเสร็จ

   เธอควรจะทำยังไงกับหยกดีนะ หยกถึงยอมปล่อยว่างซะบ้าง ไม่อย่างนั้น...หยกคงยึดติดอยู่กับเธอและเจ่เจ้ไปตลอด เสียงรถมาจอดเทียบที่หน้าบ้านทำให้เธอพอนึกอะไรออก จึงรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านเพื่อรอรับเจ้าของรถคันนั้นทันที

   “พี่เสือ” เธอร้องเรียกเบา ๆ ไม่อยากให้คนในบ้านได้ยิน หรือที่จริงเธอไม่อยากให้หยกได้ยิน

   “หืม...ท่าทางจะมีธุระกับพี่สินะ มาดักรอถึงหน้ารั้วนี่”

   “ใช่ค่ะ เราเดินไปคุยกันที่สวนของหมู่บ้านแป๊บนึงได้ไหมค่ะ ตั๋นมีเรื่องจะปรึกษา”

   “แต่ตั๋นยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลยนะ”

   “เหอะน่า!!...พี่เสืออย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย”

   “เฮ้ย!!..พี่ไม่ได้เรื่องมาก พี่เห็นเราแต่งตัวไม่เรียบร้อย”

   “พี่เสือพูดเบา ๆ สิ”

   “อ่ะๆๆ ไปก็ไป” พยัคฆ์เดินกลับไปเปิดรถก่อนหยิบเอาเสื้อนอกลงมาและส่งให้กับเธอ เธอก็รับมาคลุมไหล่ตัวเองแต่โดยดี ชุดนอนเธอก็ไม่ได้วาบหวิวอะไรสักหน่อย เสื้อกับกางเกงสามส่วนลายการ์ตูนเข้าชุดกัน น่ารักจะตายไป เธอเดินนำพี่เสือมาจนถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ ในหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดจากบ้านเธอมาไม่เท่าไร

   “ตั๋นมีเรื่องอะไรหรอ?”

   “ตั๋นห่วงหยก”

   “ที่คืนนี้หยกจะไปอยู่บ้านพี่อ่ะนะ”

   “ไม่ใช่เรื่องนั้น...เรื่องความกลัวในใจหยกต่างหาก”

   “หรือว่าหยกกลัวที่จะไปอยู่ที่บ้านพี่?”

   “ไม่ใช่หรอก เรื่องที่เจ่เจ้เคยเล่าต่างหาก เช้านี้ตั๋นบังเอิญสัมผัสถึงความรู้สึกแบบนั้นได้อีก”

   “บังเอิญจริงอ่ะ?”

   “พี่เสือ!! ตั๋นซีเรียสอยู่นะ”

   “อ่ะๆ พี่ขอโทษ”

   “ตั๋นอยากให้พี่เสือช่วย”

   “เรื่องหยกพี่ยินดีช่วยอยู่แล้ว”

   “ตั๋นเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ่เจ้ถึงอยากให้ตั๋นอยู่ห่างหยกช่วงนี้ เพราะหยกอยู่กับตั๋น หยกมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับตั๋นตลอด และจะคิดว่าตัวเองด้อยกว่าตั๋น”

   “อืม พี่เข้าใจ”

   “ตั๋นอยากให้พี่เสือรักหยกมาก ๆ ทำให้หยกมีความสุข”

   “ตั๋น...เรื่องนี้ถึงตั๋นไม่ขอ พี่ก็เต็มใจทำมันอยู่แล้ว”

   “พี่เสือรู้ไหม...เวลาที่หยกอยู่กับพี่เสือนะ หยกมักจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และจะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ๆ จะคิดเพียงแต่ว่า จะแสดงออกยังไงให้พี่เสือไม่เข้าใจผิด คิดว่าหยกรังเกียจพี่”

   “หยกคิดมากขนาดนั้นเลยหรอ?”

   “ตั๋นก็เคยบอกพี่เสือแล้วว่าหยกพูดน้อย แถมยังแสดงออกไม่เก่งด้วย”

   “พี่รู้”

   “ระหว่างที่ตั๋นกับเจ่เจ้ไม่อยู่ ตั๋นฝากหยกไว้กับพี่เสือด้วยนะ”

   “พี่จะดูแลหยกอย่างดี พี่รับรอง”

   “แล้วก็อีกเรื่องนึง หยกถนัดแต่การต่อสู้ประชิดตัว หยกใช้อาวุธไม่เป็นนะ”

   “ตั๋นไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”

   “ก็ตอนที่คุยกันที่บ้านพักนั่น ตั๋นบังเอิญสัมผัสได้จากจิตของเจ็กลู่ ตั๋นรู้ว่าการไปตระกูลฝู่ของเจ้เจ้คราวนี้เป็นเรื่องอันตรายมาก ไม่ใช่อันตรายต่อตัวเจ่เจ้ แต่กับหยกต่างหาก”      

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 18-12-17 {{:::36:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-12-2017 21:52:50
เอาใจช่วย หยก และ พี่ๆ นะจ๊ะ ขอให้ผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: หยก 18-12-17 {{:::36:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-12-2017 17:47:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 20-12-17 {{:::37:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-12-2017 16:06:03
37

   ครั้งแรกที่โบตั๋นเริ่มมีส่วนร่วมกับการปรึกษากันเรื่องตระกูลฝู่ และเมฆาขาว พยัคฆ์แปลกใจมากที่โบตั๋นขอไปสืบเรื่องราวของสกุลเหมิ๋นที่เกาลูนด้วยตัวเอง ตอนนั้นเขาแค่คิดว่าโบตั๋นคงเห่อกับทักษะใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้ และอยากจะหาข้อมมูลเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาความสามารถของตน เพราะหงส์เองก็เรียนรู้อะไรจากแม่ของเธอไม่ได้มากก็เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน

   “พี่ถามอะไรตั๋นหน่อยได้ไหม?”

   “อะไรค่ะ?”

   “ทำไมตั๋นถึงอยากตามหาสกุลเหมิ๋น ทำไมถึงอยากรู้เรื่องเมฆาขาวนักล่ะ?”

   “ตั๋นว่า...ถ้าเราไม่มีเมฆาขาว...มันก็น่าจะดีซะกว่า ดังนั้นตั๋นจึงอยากจะตามหาคนสกุลเหมิ๋น ในเมื่อเขามีความสามารถแบบเรา เขาก็เหมาะที่จะดูแลเมฆาขาวทุกชิ้น ตั๋นไม่อยากให้ไปอยู่ในมือของพวกบ้าอำนาจอย่างบ้านฝู่”

   “แต่ก็ใช่ว่าทางเหมิ๋นจะไม่บ้าอำนาจเหมือนกันนี่”

   “ค่ะตั๋นรู้ แต่ตั๋นก็แค่อยากจะสืบหาก่อน”

   “แล้วถ้าตั๋นหาไม่เจอล่ะ”

   “ถึงตอนนั้นตั๋นคงต้องปรึกษาเจ่เจ้อีกทีค่ะ ว่าจะทำยังไงกับเมฆาขาวดี บอกตามตรงนะคะ ถ้าเกิดตั๋นแต่งงานมีลูก ตั๋นก็ไม่อยากให้ลูกต้องมาสัมผัสอะไรแบบนี้ พี่เสืออาจจะมองว่าตั๋นสนุก แต่จริง ๆ แล้วมันไม่สนุกเลย มัน...ออกจะผิดหวังเสียด้วยซ้ำ”

   เขาจำได้ว่าโบตั๋นเคยพูดว่าการที่ไม่สวมเมฆาขาวทำให้เธอรู้สึกสงบ ใช่ว่าทุกคนที่มีสัมผัสพิเศษไม่ว่าจะจากตัวเองหรือด้วยอำนาจของเมฆาขาวก็ตาม และก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับมือกับความสามารถพิเศษนั้นๆ ของตัวเองได้เสมอไป

   “ถ้าตั๋นมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็คุยกับพี่ได้นะ คิดซะว่าพี่เป็นพี่ชายอีกคน”

   “อ่าว! พี่เสือไม่อยากเป็นพี่เขยตั๋นแล้วหรอค่ะ?”

   “สลดได้ไม่เท่าไรเลยนะเรา แป๊บเดียวก็กลับมาทะลึ่งทะเล้นได้แล้ว”

.........................................................................

   หลังจากที่เพ็ญนภาเดินกลับมาถึงบ้านตัวเองเมื่อวานนี้ เธอก็รีบติดต่อขอเข้าพบคุณสุพรรณษาทันที โดยอ้างว่าเธอมีคอลเลคชั่นใหม่มานำเสนอ และต้องการนำของฝากไปกำนัลแต่คุณหญิงพรรณีด้วย ซึ่งเธอก็ได้รับการตอบรับจากคุณสุพรรณษาเป็นอย่างดี

   เธอไม่แน่ใจว่าวันนี้เธอจะได้พบกับคุณหญิงพรรณีอย่างที่คาดหวังไว้ไหม แต่เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา วันนี้เธอควรจะพาหงส์ไปด้วย ระหว่างนี้เธอต้องจัดการให้หงส์กับคุณหญิงสนิทสนมกันโดยเร็วที่สุด ก่อนที่หงส์จะเดินทางไปฮ่องกง หลังจากนั้นเธอจะได้จัดการนายเกรียงไกรและเมฆได้อย่างสะดวก

   เพ็ญนภาเห็นรถของพยัคฆ์จอดอยู่ที่หน้าบ้าน ทำให้เธอต้องขับเลยไปจอดด้านข้างของสวนสาธารณะแทน ระหว่างที่จอดรถอยู่นั้น เธอเห็นพยัคฆ์และโบตั๋นนั่งคุยกันอยู่ในสวน หากทั้งสองออกมาคุยกันด้านนอกอย่างนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องหยกเป็นแน่ เธอจึงเดินไปสมทบกับคนทั้งสอง

   “ปรึกษาเรื่องน้องหยกกันอยู่ใช่ไหมค่ะ” เธอทักหลังจากเดินเข้าไปใกล้ม้านั่งที่ทั้งสองนั่งอยู่

   “อ๊ะ!! พี่ภา มาแต่เช้าเลย...”

   “สวัสดีครับคุณภา”

   “คงเช้าไม่เท่าคุณพยัคฆ์หรอกจ๊ะ”

   “พี่เสือน่ะ ใจเขามาก่อนตัวอีกคะพี่ภา”

   “จริงสินะ หัวใจเขาอยู่บ้านนี้นี่น้า...”

   “ก็แค่ตอนนี้แหละค่ะ เดี๋ยวคืนนี้หัวใจพี่เสือคงจะได้ไปอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขาแล้ว”

   “น้องโบตั๋นหมายความว่า...”

   “ค่ะ เจ่เจ้กับตั๋นจัดการให้หยกไปพักบ้านพี่เสือได้แล้ว”

   “ว๊าว รวดเร็วดีจังเลยนะคะ”

   “แล้วที่คุณภามาแต่เช้า คงธุระกับหงส์สินะครับ”

   “ใช่ค่ะ วันนี้ภาจะรับหงส์ไปบ้านคุณหญิงพรรณี”

   “พี่ภาก็ทำงานเร็วนะคะ ตั๋นนึกว่าอีก 2-3 วันซะอีก”

   “พี่เองก็ยังไม่แน่ใจหรอกค่ะว่าวันนี้จะได้พบคุณหญิงท่านไหม”

   “ผมว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าระหว่างนี้คุณภามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลยนะครับ”

   “ค่ะ ภาว่าคงต้องพึงคุณพยัคฆ์ในหลาย ๆ เรื่องเลยค่ะ ยิ่งเป็นเรื่องนายเมฆด้วยแล้ว”

   “เราควรบอกเรื่องนี้กับเจ้เปิ้ลหรือพี่โอ๋ไหมค่ะ?”

   “พี่ว่าอย่าเพิ่งจะดีกว่าค่ะ เราค่อย ๆ ทำงานของเราไปอย่างเงียบ ๆ แบบนี้น่ะดีแล้ว เมื่อถึงเวลาพี่จะเป็นคนบอกพวกเขาเอง”

   “เราเข้าบ้านกันดีกว่าค่ะ ตั๋นออกมานานแล้ว เออ!! พี่ภาทานอะไรมารึยังค่ะ?”

   “เรียบร้อยมาแล้วจ๊ะ แต่ถ้าได้กาแฟฝีมือน้องหยกสักแก้วจะดีมากเลย”

.........................................................................

   ภายในสวนของบ้านหลังหนึ่ง ชายชรายืนมองดูปลาคราฟ ว่ายทวนกระแสน้ำอยู่ภายในบ่อขนาดใหญ่ที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น ปลาที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนกระทั่งตอนนี้ตัวมันใหญ่เกินกว่าข้อศอกของเขาแล้ว ปลาคราฟรุ่นแล้วรุ่นเล่า เขาเลี้ยงมันมากี่รุ่นแล้วนะ จนกระทั่งตอนนี้ เขายังไม่เจอหรือได้ยินข่าวคราวในสิ่งที่เขาตามหา

   “นายท่านค่ะ โทรศัพท์ทางไกล จากคุณหนูค่ะ” หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ไร้สายในมือ

   “อืม” ชายชราว่าก่อนรับโทรศัพท์ ดวงตาที่หม่นแสงมาเนินนานกลับเป็นประกายขึ้นหลังจากได้ยินเสียงคนในสาย เมื่อส่งโทรศัพท์คืนให้สาวใช้ เขาก็เดินตรงไปยังห้องหนังสือที่อยู่อีกปีกหนึ่งของตัวบ้านทันที

   ชายชราเดินไปยังแผนผังตระกูลที่ใส่กรอบแขวนไว้บนผนังหลังโต๊ะทำงาน ก่อนขยับกรอบรูปของแผนผังเล็กน้อย เผยให้เห็นเซฟเล็กด้านใน เขาเปิดเซฟและเอากล่องกำมะหยี่ใบหนึ่งออกมา กล่องที่หลับใหลอยู่ในตู้เซฟนี้มานาน ในที่สุดความปรารถนาสุดท้ายของเขาก็ใกล้จะเป็นจริง เมื่อฝากล่องถูกเปิดขึ้น ภายในคือหยกสีเขียวมรกต 3 ชิ้นตัดกับกำมะหยี่สีแดงสด หยกที่ถูกสลักเป็นรูปสัตว์ในตำนานขนาดพอเหมาะ

.........................................................................

    วันนี้ที่บ้านผมคึกคักเป็นพิเศษ พี่เสือมารับผมแต่เช้า ส่วนพี่ภาก็จะมารับเจ่เจ้และโบตั๋นไปที่ห้องเสื้อ ผิดกับแต่ก่อนที่ผมจะนั่งทานกับเจ่เจ้กันอย่างเงียบ ๆ ส่วนโบตั๋นก็มักจะลงมาทานเป็นคนสุดท้าย เพราะเธอไปเรียนช่วงสายๆ

   เจ่เจ้ดูมีชีวิตชีวามาก มันทำให้ผมดีใจ และพี่ภาเองก็ดูตื่นเต้นที่จะได้พาเจ่เจ้ไปไหนต่อไหน โดยไม่ต้องห่วงอาการของเจ่เจ้อีกต่อไป

   “นี่ตัว ภาว่าตัวน่าจะไปเที่ยวบ่อย ๆ นะ เอาให้คุ้มกับที่ต้องเจ็บออดๆ แอดๆ มานาน” พี่ภาพูดขึ้นระหว่างที่เราทานอาหารเช้ากันอยู่

   “ก็เพิ่งเที่ยวกลับมาเมื่อวาน ตัวจะให้หงส์ไปเที่ยวที่ไหนอีกล่ะ?”

   “ก็แค่บอกไว้เท่านั้นเอง”

   “พี่ภาพูดแบบนี้ แสดงว่าอยากชวนเจ่เจ้ไปเที่ยวไหนแน่ ๆ เลย ใช่ไหมค่ะ?”

   “ก็นิดหน่อยนะ พี่ว่าน้องโบตั๋นก็น่าจะอยากไป”

   “ตั๋นน่ะหรอค่ะ?”

   “ใช่แล้วจ๊ะ”

   “โหย...ตั๋นอยากรู้แล้วล่ะว่าที่ไหน?”

   “เดือนนี้จะมีงานแฟชั่นวีคของดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากดีซี เขามาจัดงานที่ญี่ปุ่น และไต้หวัน”

   “จริงหรอค่ะ แล้วพี่ภาจะไปที่ไหนค่ะ?”

   “เห็นไหม น้องตัวตื่นเต้นใหญ่เลย” พี่ภาไม่วายแซวโบตั๋นต่อหน้า

   “แล้วมันจะกระทบกับตั๋นไหม ช่วงอาทิตย์นี้ตั๋นยุ่งทั้งอาทิตย์เลยนะ” ผมไม่รู้ข่าวคราวเรื่องงานแฟชั่นอะไรนี่หรอกครับ ห่วงก็แต่เรื่องโปรเจ็คจบของตั๋น

   “นั่นสิค่ะพี่ภา ตั๋นยังต้องรอผลตรวจโปรเจ็คอยู่นะคะ”

   “ไม่กระทบแน่นอนจ้า ถึงงานที่ไต้หวันจัดอาทติย์นี้ แต่ที่ญี่ปุ่นจัดอาทิตย์หน้า ดังนั้นพี่เลยว่าจะไปที่ญี่ปุ่นแทน”

   “เจ่เจ้...ไปด้วยกันไหมค่ะ หยกด้วย”

   “เฮียขออยู่เฝ้าบ้านก็แล้วกันนะ เกรงใจพี่ศักดิ์ แล้วก็พี่กันต์ ครั้งที่แล้วก็หยุดไปเป็นอาทิตย์เลย”

   “ถ้าอย่างนั้น หลังจากเสร็จงานเลี้ยงฉลองเรียนจบของจตั๋น หยกก็อยู่บ้านพี่ไปก่อนจนกว่าหงส์กับโบตั๋นจะกลับจากญี่ปุ่นก็แล้วกันนะ”

   “ไม่เป็นไรครับพี่เสือ หยกเกรงใจ”

   “แต่พี่เป็นห่วง ไม่อยากให้เราอยู่บ้านคนเดียว หงส์จะว่ายังไงครับ”

   “หงส์ว่าก็ดีนะคะ หงส์จะได้ไม่เป็นห่วงมาก”

   “เย้...ได้เที่ยวงานแฟชั่นวีคแล้ว” โบตั๋นดูตื่นเต้นดีใจมากเลยครับ แต่เหมือนจะมีพี่เสือที่กังวลอยู่คนเดียว

   “สรุปแล้วตัวตกลงไปเที่ยวญี่ปุ่นกับภานะ”

   “ก็มาหลอกล่อโบตั๋นซะขนาดนี้ ตัวจะให้หงส์ปฏิเสธยังไงได้”

   “ถ้าอย่านั้นภาจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้เอง พร้อมแพ็คเกจทัวร์ด้วย ถือซะว่าเป็นของขวัญที่โบตั๋นเรียนจบแล้วกันนะ”

   “ว้าย...ขอบคุณค่ะพี่ภา ตั๋นปลื้มใจสุด ๆ เลย เดี๋ยวตั๋นจะเที่ยวเผื่อหยกนะ”

   “แล้วจะไปกันกี่วันครับ”

   “เดี๋ยวพี่ขอดูโปรแกรมเที่ยวของบริษัทฯ ทัวร์ก่อนนะ พี่เองก็อยากไปหลาย ๆ วันนะ ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นอากาศกำลังดีด้วยสิ”

   “หยกจะได้ไปพักบ้านพี่เสือนาน ๆ ใช่ไหมค่ะพี่ภา อิอิ” ผมโดนโบตั๋นแซวเรื่องพี่เสืออีกแล้ว

.........................................................................

   โบตั๋นเพิ่งรู้ว่าเพ็ญนภาเจ้าแผนการก็วันนี้นี่เอง นอกจากจัดการให้เจเจ้เข้าไปในบ้านแม่ของนายเกรียงอะไรนั่นได้ในวันนี้แล้ว พี่ภายังวางแผนล่วงหน้าให้พวกเธอไปฮ่องกงและเกาลูนพร้อมกันได้โดยที่หยกไม่สงสัย ระหว่างที่อยู่บนรถ พี่ภากับเจ่เจ้ก็คุยกันถึงเรื่องบ้านแม่ของนายเกรียง เธอจึงได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ จนทั้งสองปรึกษากันเสร็จ

   “พี่ภาค่ะ?”

   “ว่าไงจ๊ะ” พี่ภาตอบเธอ แต่สายตายังคงมองไปที่ถนนตรงหน้า

   “พี่ภาจะไปกับเจ่เจ้ด้วยไหมค่ะ ไปฮ่องกงน่ะคะ”

   “ไม่ไปหรอกจ๊ะ พี่มีงานที่นี่ ที่ต้องทำ” เธอสัมผัสได้ว่าเพ็ญนภากำลังหมายถึงงานอะไร

   “แล้วถ้าหยกจับได้ขึ้นมาล่ะ ตั๋นจะโดนหยกโกรธไหมค่ะ”

   “หยกไม่มีทางจับได้หรอกจ้า คุณเสือไม่ยอมให้หยกคลาดสายตาแน่ ๆ อีกอย่างถ้าหยกไม่ต้องมารับตั๋นที่ห้องเสื้อของพี่แล้ว หยกก็แทบจะไม่ผ่านแถวนั้นเลยด้วยซ้ำ”

   “ก็จริงค่ะ”

   “ว่าแต่ตัวเถอะหงส์ คิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในฮ่องกง จัดการกับญาติฝ่ายแม่ของตัวน่ะ”

   “ราว ๆ 2 อาทิตย์นะ ที่หงส์คาดการณ์ไว้ ถ้านานกว่านั้น คงต้องไปๆ กลับๆ แล้วล่ะ”

   “ตั๋นนี่สิ ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน แล้วถ้าตั๋นไม่ได้เรื่องอะไรล่ะคะ”

   “อย่างเพิ่งกลัวหรือหมดความมั่นใจไปก่อนสิน้องโบตั๋น ใช้เวลาให้เต็มที่ เอาเป็นว่าตั้งเป้าไว้ที่ 2 อาทิตย์เท่ากับหงส์ก่อน หลังจากนั้นเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน”

   “หลังจากถึงเกาลูน ตั๋นก็ต้องเชื่อฟังคุณคีเขาน่ะ พี่เขามีประสบการณ์มากกว่า อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ?”

   “เห็นพี่เสือบอกว่าจะให้พี่เก่งไปกับพี่คีด้วยค่ะ”

   “ก็ดี พี่จะได้เบาใจหน่อย ไม่อยากให้เราไปกับคุณคีสองต่อสอง”

   “พี่ภา ตั๋นเอาตัวรอดได้ค่ะ ไม่ว่าจะกับพี่คีหรือกับคนอื่นๆ”

   “ทำไมน้องตัวถึงก๋ากั๋นผิดกับตัวมากเลยนะหงส์” เจ่เจ้ได้แต่หัวเราะคำพูดของเพ็ญนภา เจ่เจ้ไว้ใจเธอเสมอ เหมือนที่พยายามสอนเธอให้ไว้ใจหยกเรื่องพี่เสือ

........................................................................

   เรากำลังจะไปร้านพี่กันต์กัน พี่เสือทำหน้าที่รับส่งผมซึ่งตั้งแต่ออกมาจากที่บ้านและที่สถาบัน ผมสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของพี่เสือ ถึงพี่เสือจะยังคอยชวนผมพูดคุยต่าง ๆ นานา แต่ความกังวลก็ไม่ได้หายไปจากใจของพี่เสือเลย จนผมอยากรู้ว่าพี่เสือเป็นอะไรของเขา ผมเริ่มหงุดหงิดกับความรู้สึกนี้ของตัวเอง ผมควรทำยังไงดี

   “เป็นอะไรไปครับ” พี่เสือถามขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย

   “ป่าวครับ” ผมตอบไปโดยอัตโนมัติ ไม่ทันคิดอะไรด้วยซ้ำ ทำไมผมไม่ถามพี่เสือไปตรง ๆ พอคิดได้แบบนี้มันก็ทำให้ผมหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาอีก

   “หยกครับ พี่เคยบอกแล้วนะครับ ว่าถ้าหยกไม่พูด พี่ก็ไม่รู้ว่าหยกคิดอะไรอยู่”

   “หยกก็ไม่รู้ว่าพี่เสือคิดอะไร?” อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกเคืองพี่เสือขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล น้ำเสียงที่พูดออกไปติดจะห้วนอยู่นิด ๆ

   “หยกโกรธอะไรพี่รึป่าวครับ” พี่เสือถามพร้อมกับจอดรถเข้าข้างทาง

   “...” ผมโกรธอะไรพี่เสือหรือว่าผมโกรธตัวผมเองกันแน่?

   “หยกกำลังโกรธและหงุดหงิดพี่ใช่ไหมครับ” พี่เสือยื่นมือข้างหนึ่งมากุมมือผมไว้ “มีอะไรก็พูด ก็ถามมาเถอะครับ นะคนดี” น้ำเสียงพี่เสือ...เหมือนเขากำลังง้อผมอยู่

   “หยก...”

   “ครับ...”

   “สัมผัสได้ถึงความกังวล...ในใจของพี่เสือ” ผมหลบสายตามที่จ้องมองมา เหมือนกับคนที่ทำความผิดแล้วโดนจับได้

   “อือหึ!!...”

   “หยก...ไม่รู้ว่าพี่เสือ...กังวลอะไร”

   “หยกเป็นห่วงพี่?”

   “หยกแค่...อยากรู้”

   “อืม...จะพูดยังไงดีล่ะ?” พี่เสือเอนหลังกับเบาะรถราวกับคนที่หมดเรียวแรง

   “พี่เสือ...ไม่อยากให้หยก...”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” พี่เสือหันหน้ามองมองผม ก่อนยันตัวขึ้นจากเบาะนั่งของตัวเองแล้วโน้มตัวมาหาผม “ที่พี่กังวลเพราะต้องอยู่ใกล้หยกแล้วพี่ไม่เป็นตัวของตัวเอง” พี่เสือโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้น จนหลังผมแทบชิดกับประตูรถอีกด้าน “พี่รู้สึกว่าตัวเอง...กำลังจะกลายร่างเป็นแมวหง่าวจริง ๆ แล้ว”

   “ห๊ะ!!” แมวหง่าว?

   ผมมัวแต่งงกับคำพูดของพี่เสือ มารู้สึกตัวอีกที ผมก็โดนพี่เสือจูบอีกแล้ว มันไม่ได้เริ่มจากการจูบปลายจมูกอย่างทุกทีทำให้ผมตั้งตัวแทบไม่ทัน ริมฝีปากของพี่เสือที่กำลังจูบผมอยู่ มันเป็นจูบที่มีแต่ความต้องการและเรียกร้อง มือพี่เสือที่กุมมือผมอยู่เลื่อนขึ้นมาประคองใบหน้าผม ให้รับจูบของพี่เสือได้ถนัดขึ้นจนผมหายใจไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ผมนั่งอยู่ในรถแท้ๆ แต่กลับเหมือนกำลังจะลอยได้จนต้องใช้มือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวไหล่ของพี่เสือไว้ เราจูบกันอยู่นานกว่าพี่เสือจะถอนริมฝีปากออกไป

   “เข้าใจและไม่โกรธพี่แล้วใช่ไหมครับ”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 20-12-17 {{:::37:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-12-2017 17:23:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 20-12-17 {{:::37:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-12-2017 17:56:40
หูยยยย พี่เสืออออ ทำอะไรน้อง  :hao6:
หัวข้อ: Re: หยก 23-12-17 {{:::38:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 23-12-2017 22:59:29
38

   วรรณาแปลกใจเมื่อพบคนที่ไม่ได้เจอมาร่วมเดือนกำลังออกจากลิฟท์เดินตรงมายังโต๊ะทำงานของเธอ เป้าหมายข้างหน้าเดินตรงมาทำให้เธอไม่โอกาสจะบอกคนในห้องล่วงหน้า เธอต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้านี้ให้ได้ เธอทำทีจัดโต๊ะทำงานให้เข้าที่เข้าทางและลอบกดอินเตอร์คอมค้างไว้ ก่อนทักทายคนที่กำลังเดินมาเสียงดัง

   “คุณลตา...หายหน้าหายตาไปนานเลยนะคะ นี่แวะมาหาคุณกรใช่ไหมค่ะ?”

   “ค่ะ พอดีตาไปทำงานที่ต่างประเทศกระทันหัน เลยไม่ทันได้บอกคุณกรเลย ต้องโดนเคืองแน่ ๆ เลยค่ะคุณวรรณ”

   “หืม...ประเทศที่คณลตาไปท่าทางจะกันดารน่าดูเลยนะคะ แม้แต่โทรศัทพ์ก็คงไม่มี”

   “แหม๋...คุณวรรณรู้ได้ยังไงค่ะ ว่าที่นั่นสัญญาณโทรศัทพ์เข้าไม่ถึง”

   “วรรณก็เดาไปเรื่อยล่ะคะ เออ...คร่าวนี้คุณลตาจะเซอร์ไพรส์คุณกรอีกไหมค่ะ หรือให้วรรณเขาไปแจ้งคุณกรก่อนดี”

   “ตาขอย่องเข้าไปเองดีกว่าค่ะ อ่อ!! นี่ของฝากของคุณวรรณค่ะ” ลตายื่นถุงกระดาษใบใหญ่ให้เธอถุงหนึ่ง

   “ของฝงของฝากอะไรกันค่ะ ที่คุณลตาให้วรรณมาคราวที่แล้ว วรรณก็ยังไม่ได้ใช้เลย”

   “แต่ของคราวนี้คุณวรรณต้องรีบเอามาใช้นะคะ เครื่องสำอางค์บำรุงผิวพรรณเก็บไว้นานไม่ดีค่ะ”

   “แหม๋...วรรณกับเครื่องสำอางค์ไม่ค่อยจะเข้ากันซะด้วยสิค่ะ”

   “งั้นต้องยิ่งใช้ค่ะ อะไรๆ ที่เหี่ยว หย่อน ยาน มันจะได้กลับมาเต่งตึงยังไงล่ะคะ”

   ลตาพูดจบก็เดินนวยนาดเข้าห้องของวรากรไป วรรณาหวังว่าเธอคงพอจะถ่วงเวลาให้คนในห้องได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

.........................................................................

    หลิวลู่หลบออกจากห้องวรากรได้อย่างหวุดหวิด ยังดีที่คุณวรรณาเลขาของเฮียกรมีไหวพริบดี ทำให้เขาสามารถหาทางออกมาได้ก่อนลตาจะเข้ามาในห้อง เจ้าสัวเซียงส่งลตาเข้ามาอีกแบบนี้ ไม่รู้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องตามหาเขาแล้ว ส่วนหยกและโบตั๋น ก็ค่อนข้างจะดังและมีชื่อเสียงในช่วงนี้ ทั้งสองแทบจะหาความเกี่ยวข้องกับวรากรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   เขาเดินมาจนถึงบริเวณล๊อบบี้ทางเข้าบริษัทฯ เลือกหาที่นั่ง ที่เป็นมุมลับตาที่สุด ถ้าเขาเดาไม่ผิด ลตามาเวลานี้อาจจะชวนเฮียกรไปทานอาหารกลางวันเป็นแน่

   ต้าที่กำลังจะเดินออกไปทำงานข้างนอกเห็นเขาเข้าจึงเดินตรงเข้ามาหา หลิวลู่จึงให้ต้านั่งกับเขาก่อนจนกระทั่งวรากรและลตาลงมา

   “นั่นมัน” ต้าอุทานออกมาเบา ๆ

   “อืม ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน ว่าคุณลตาจะมาที่นี่อีกทำไม?”

   “แล้วเธอหายไปเป็นเดือน ๆ แบบนี้ เธออ้างกับบอสว่ายังไงครับ”

   “ได้ยินเธอคุยกับคุณวรรณว่าไปทำงานต่างประเทศมานะ”

   “อ่อ...เขาไปกันแล้ว เอายังไงดีครับพี่ชาติ จะตามไปไหม?”

   “ลตาเคยเห็นฉันตอนอยู่กับหยก ถ้าออกไปให้เธอเห็นตอนนี้คงไม่ดีแน่”

   “พวกผมก็เดินผ่านไปผ่านมาที่นี่บ่อย ไม่แน่ว่าคุณลตาจะจำได้รึป่าว?”

   “ถ้าอย่างนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของเฮียกรแล้วล่ะ”

   หลังจากที่วรากรกับลตาเดินออกจากประตูบริษัทฯ ไปได้ไม่นานคุณวรรณาก็ตามลงมา เธอมองไปรอบ ๆ ล๊อบบี้อยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นเขา ก็เดินตรงเข้ามา และเมื่อเห็นต้านั่งอยู่ด้วย เธอก็ดูคลายใจขึ้น

   “วรรณนึกว่าคุณชาติจะหลบออกมาไม่ทันซะแล้วสิค่ะ?”

   “ต้องขอบคุณคุณวรรณที่ถ่วงเวลาให้ผม ว่าแต่คุณลตาสงสัยอะไรรึป่าวครับ?”

   “ไม่มีทางสงสัยแน่นอนค่ะ โต๊ะข้างในดูยังไง ๆ ก็เหมือนโต๊ะของคุณเสือ”

   “แล้วเจ้วรรณรู้ไหม ว่าคุณลตาเธอมาทำไม?”

   “เจ้ก็สงสัยอยู่นี่แหละ มันคันยิก ๆ ไปหมดแล้ว”

   “คันอะไรเจ้วรรณ”

   “แกไม่ต้องมาทำทะลึ่งเลยนะไอ้ต้า”

   “ขอโทษ ๆ ครับ ว่าแต่เราจะเอายังไงกันดีล่ะ”

   “นายไปทำงานของนายเถอะ เรื่องทางนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

   “ผมห่วงก็แต่เรื่องที่คุณหยกจะไปพักที่บ้านบอสคืนนี้นั่นแหละ ถ้าคุณลตาไม่โพล่ไปที่บ้านบอสก็ดีหรอก”

.........................................................................

   หงส์เดินตามเพ็ญนภาเข้ามายังห้องรับแขกภายในคฤหาสน์ของคุณหญิงพรรณี บ้านหลังนี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หลุยส์ ดูภูมิฐาน แต่ก็ดูจะขาดความอบอุ่น บ้านที่ดูไม่เป็นบ้านในความรู้สึกของเธอ

   ความรู้สึกของเด็กรับใช้ในบ้านล้วนแต่อยู่เพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ได้อยู่ด้วยใจภักดิ์ต่อผู้เป็นนายแม้แต่น้อย คุณสุพรรณษาและคุณหญิงพรรณีจะเป็นคนแบบไหนกัน

   พวกเธอนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกสักพักคุณสุพรรณษาก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางภูมิฐาน ดูเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว เธอวางตัวได้หน้าเกรงขามสมกับเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณหญิงพรรณี

   “ไปเที่ยวถึงที่ไหนล่ะคุณภา ถึงได้มีของฝากติดไม้ติดมือมาให้ษาด้วย”

   “ไปไม่ไกลหรอกค่ะคุณษา ภาไปแค่พังงาเท่านั้นเอง จำได้ว่าคุณชอบผ้าบาติก ภาเลยซื้อติดไม้ติดมือมาฝาก แล้วยังมีขนมไทยพื้นเมืองมาฝากคุณหญิงท่านด้วยนะคะ”

   “คุณภาช่างรู้ใจษานะคะ ดูแลลูกค้าดีและใส่ใจรายละเอียดแบบนี้ทุกราย ลูกค้าถึงได้ชอบไปตัดผ้าที่ห้องเสื้อคุณภากัน”

   “เป็นเพราะความไว้วางใจของลูกค้ามากกว่าคะคุณษา ภาถึงได้มีวันนี้ได้”

   “แล้วนี่...”คุณสุพรรณษา ปรายตามองมาที่หงส์เล็กน้อย

   “อ่อ...ภานี่ก็เสียมารยาท มัวแต่ชวนคุณษาคุย ลืมแนะนำเลย นี่หงส์ หงส์ ชูวนาสุวรรณ เพื่อนสนิทของภาเองค่ะ”

   “ชูวนาสุวรรณ ไม่เคยได้ยิน”

   “แหม๋ คุณษาขา หงส์เขาก็แค่ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างภานี่แหละค่ะ ไม่ได้มีเชื้อ มีสายอะไร”

   “อ่อ ขอโทษคุณหงส์ด้วยนะคะ ที่ษาเสียมารยา”

   “ไม่เป็นไรค่ะ หงส์เองก็ต้องขออภัยที่ตามยัยภามา โดยไม่ได้นัดคุณสุพรรณษาล่วงหน้า”

   “ว่าแต่ คุณหงส์มีธุระอะไรกับษารึป่าวค่ะ ถึงได้ตามคุณภามาที่นี่”

   “หงส์เขาไม่มีธุระอะไรหรอกค่ะคุณษา ภาเป็นคนพาหงส์มาเองค่ะ ไม่อยากให้อยู่บ้านเฉย ๆ อยากพาออกมาเปิดหูเปิดตาเสียบ้างค่ะ?”

   “มาเปิดหูเปิดตาที่บ้านษาน่ะหรอค่ะ?”

   “ไม่ใช้อย่างนั้นค่ะ คือวันสองวันมานี้ภาเป็นคนพาหงส์เขาตะลอนไปทั่วค่ะ เมื่อก่อนอยู่แต่โรงพยาบาล นี่เพิ่งผ่าตัด พักฟื้นมาได้เดือนเดียว ภาเป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่บ้านเฉย ๆ เลยชวนให้ไปไหนมาไหนด้วย”

   “อ่อ อย่างนี้นี่เอง”

   “หวังว่าคุณษาจะไม่ถือสาภานะคะ”

   “ไม่หรอกค่ะ ษาเข้าใจ เห็นถึงความตั้งใจและห่วงเพื่อนของคุณภา”

   “ขอบคุณคุณษามากนะคะ เรามาดูคอลเล็คชั่นใหม่กันดีกว่าค่ะ คอลเล็คชั่นนี้จะมีส่วนผสมของผ้าบาติกที่คุณษาชอบด้วยนะคะ หงส์เขาแนะนำมาตอนไปเที่ยวพังงาด้วยกัน” เพ็ญนภายกเธอขึ้นมาอ้าง

   “คุณหงส์ไอเดียดีจังเลยนะคะ”

   “นอกจากจะนำคอลเล็คชั่นใหม่มานำเสนอคุณษาแล้ว ภาจะรบกวนคุณษาเป็นที่ปรึกษาเรื่องผ้าบาติกสำหรับคอลเล็กชั่นนี้ได้ไหมค่ะ”

   “ษาหรอค่ะ?”

   “ใช่ค่ะ หงส์เขามีไอเดียว่า ผ้าบาติกที่จะเอามาตัด ควรเป็นลายใหม่ที่ไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด ภาเลยจะออกแบบลายเองค่ะ”

   “คุณภาให้เกียรติษาเกินไปรึป่าวค่ะ?”

   “ถ้าไม่ใช่คุณษา ภาก็มองไม่เห็นใครแล้วล่ะคะ”

   “ถ้าคุณภาว่าถึงขนาดนั้น ษาก็ยินดีคะ”

   “ระหว่างนี้ ภากับหงส์อาจจะขอเขามาเป็นแขกของที่บ้านนี้บ่อยหน่อยนะคะ”

   “ยินดีค่ะ คุณภาอยากให้ษาเตรียมอะไรก็แจ้งมาได้นะคะ”

   “ภาอาจจะขอพื้นที่ใช้เป็นสตูดิโอเล็ก ๆ สำหรับให้หงส์เขียนเทียนลวดลายน่ะคะ”

   “คุณหงส์ทำผ้าบาติกเป็นหรอค่ะ”

   “ก็นิดหน่อยค่ะ ก่อนหน้านี้หงส์ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก งานที่ทำได้ก็มีแต่งานที่ทำอยู่ที่บ้านน่ะคะ”

   “หงส์ถนัดเรื่องงานฝีมือ งานบ้านงานเรือน แล้วก็การทำขนมไทยค่ะ”

   “ไว้คุณหงศ์ช่วยสอนษาทำผ้าบาติกด้วยนะคะ”

   “ด้วยความยินดีค่ะ”   

   เพ็ญนภาวางแผนให้เธอเข้ามาที่คฤหาสน์หลังนี้ได้บ่อยขึ้น ซึ่งแผนการต่อจากนี้ คงต้องรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด แม้วันนี้เธอจะยังไม่ได้เจอคุณหญิงพรรณีอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ระหว่างที่เพ็ญภาพูดคุยอยู่กับคุณสุพรรณษานั้น เธอก็สามารถสัมผัสจิตของใครหลายคนในบ้านหลังนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณหญิงพรรณี

.........................................................................

    พยัคฆ์นั่งอยู่บริเวณชั้นลอยของร้านอาหารที่น้องหยกทำงานอยู่ ข้างบนนี้สามารถมองเห็นได้ทั่วร้าน รวมไปถึงเคาน์เตอร์บาร์ที่น้องหยกยืนประจำอยู่ด้วย เขาเห็นน้องหยกดูมีความสุขกับการทำงานนี้มาก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มน้อย ๆ ระหว่างทำเครื่องดื่มให้กับลูกค้า

   “คุณหลิวส่งคุณมาหรอครับ?”

   “อะไรนะครับ?” พยัคฆ์มองหยกเพลินไปหน่อย จึงได้ยินคำพูดของคนที่นั่งโต๊ะตัวถัดไปไม่ถนัดนัก

   “คุณเป็นคนของคุณหลิว?”

   “คุณรู้จักอา...หลิวด้วยหรอครับ”

   “ใช่จริงสินะ”

   “คุณรู้ได้ยังไง?”

   “...” ชายตรงหน้าไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูงานในแลปท็อปของตัวเองต่อไป

   มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริงของอาชาติน้อยมาก นอกจากเขา อากร คุณภา และคุณวรรณแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีใครรู้เรื่องนี้อีก ชายคนนี้เป็นใครกัน?

   ระหว่างที่พยัคฆ์กำลังสงสัยคนตรงหน้า พนักงานคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาที่ชั้นลอย ก่อนมาหยุดที่โต๊ะของเขา

   “หยกวานให้ผมยกขึ้นมาให้ครับ” พูดจบชายคนนั้นก็ยกจานแซนวิชคลับและกาแฟมาวางไว้ตรงหน้าเขา

   “ขอบคุณครับ”

   “ก๊อง ถ้าหยกว่างให้ขึ้นมาหาพี่หน่อยนะ” ชายที่นั่งโต๊ะถัดไปพูดทั้ง ๆ ที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่แลปท็อป

   “ครับ พี่กันต์”

   พี่กันต์อย่างนั้นหรอ เจ้าของร้านรู้จักกับอาชาติอย่างนั้นหรอ? เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ 

.........................................................................

    กว่าผมจะปลีกตัวออกมาจากที่เคาน์เตอร์ได้ก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้วล่ะครับ ผมเดินขึ้นมาบนชั้นลอยพี่กันต์ก็พยักหน้าให้ผมนั่งตรงข้ามกับแก ปกติพี่กันต์ไม่ค่อยเล่นหรือพูดคุยกับผมเท่าไร ต่างจากพี่แก้วที่ดูเป็นกันเองกว่า ถึงแม้ผมมักจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สบายของพี่กันต์ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลาของพี่กันต์นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ผมสงสัยจนตอนนี้เลิกสงสัยไปแล้ว

   ผมเหลือบมองพี่เสือเล็กน้อยก่อนนั่งลงตรงข้ามกับพี่กันต์ ผมสัมผัสได้ถึงความไม่ไว้ใจของพี่เสือที่มีต่อพี่กันต์ มันรุนแรงจนผมไม่สบายใจ เขาสองคนคงไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ข้างล่างหรอกนะ

   “พี่กันต์ มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรอครับ”

   “หยกจะว่าอะไรไหม ถ้าพี่จะลดเวลาลง ให้เราเลิกงานตอน 6 โมงเย็น แทนที่จะเป็น 4 ทุ่ม แล้วพี่คิดว่า...จะหาบาริสต้ามาช่วยงานหยกอีกสักคน”

   “ผม ทำอะไรผิดรึป่าวครับ พี่กันต์ถึง...”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น หยกฟังพี่ก่อนนะ”

   “เออ...ครับ”

   “หยกไม่จำเป็นต้องหาเงินมาก ๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วไม่ใช่หรอ พี่ก็อยากให้หยกพักผ่อนบ้าง อย่าเอาแต่โหมงานอย่างเดียว”

   “คงไม่ใช่เพราะคุณอึดอัดที่ผมมานั่งเฝ้าหยกนะ” พี่เสือถามมาจากโต๊ะข้าง ๆ เสียงไม่ดังนัก แต่ก็พอให้พี่แหม่มกับก๊องที่ยืนอยู่แถว ๆ บันไดชั้นล่างมองขึ้นมา

   “คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะคุณ ผมทำเพื่อหยกต่างหาก”

   “แล้วถ้าผมยังอยากทำงานถึง 4 ทุ่มล่ะครับ”

   “พี่ก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่า 6 โมงเย็นเป็นเวลาที่เหมาะกับหยกแล้ว พี่ไม่เคยขออะไรหยกเลย เพราะฉะนั้นพี่ขอหยกเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”

   “ครับ” ผมพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะพี่กันต์ไม่เคยขออะไรผมเลยจริง ๆ  มีแต่ผมซะอีกที่เป็นฝ่ายเรียกร้องอย่างเดียว จะมีนายจ้างที่ไหนที่ตามใจลูกจ้างอย่างพี่กันต์บ้าง ผมเดินลงมาประจำที่เคาน์เตอร์ตามเดิม พี่แหม่มกับก๊องเดินตามมาสมทบ

   “ไม่เป็นไรนะหยก” พี่แหม่มเดินมาบีบไหล่ผมเบา ๆ

   “พี่กันต์เขาคงเป็นห่วงหยก ไม่อยากให้หยกกลับบ้านดึก ๆ น่ะ” ก๊องช่วยปลอบผม

   “ใช่ ยิ่งช่วงนี้หยกดังมาก ๆ มันก็ยิ่งอันตราย”

   “ใช่ แฟนคลับดี ๆ ก็มีเยอะ แต่ที่น่ากลัวก็ไม่น้อยนะ”

   “หยกทำใจให้สบายนะ พี่กันต์เขาเป็นคนมีเหตุผล”

   “ครับ”   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 23-12-17 {{:::38:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-12-2017 23:24:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 23-12-17 {{:::38:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-12-2017 07:57:08
เริ่มเข้มข้นไปทีละนิดแล้ว เอาใจช่วยทุกคนนะจ๊ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: หยก 23-12-17 {{:::38:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-12-2017 01:31:02
โหหหห  ยิ่งกว่าดูซีรี่หนังมาเฟีย สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: หยก 25-12-17 {{:::39:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-12-2017 08:09:29
39

   วารกรกลับมายังบริษัทฯ หลังจากส่งลตาที่คอนโดของเธอเรียบร้อยแล้ว ลตาทำตัวปกติมาก ซ้ำยังชวนเขาไปออกกำลังกายที่ค่ายมวยนั่นอีก ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่ เขาพยายามจะจับพิรุธของเธอแต่ก็ไม่ได้อะไร ข้อมูลของลตาที่คีสืบมาก็ไม่มีอะไรมากมาย และไม่สามารถเชื่อมโยงลตากับเจ้าสัวเซียงได้เลย

   “เจ้านายค่ะ ปลอยภัยดีไหมค่ะ บุบสลายตรงไหนไหมค่ะ” คุณวรรณ เดินมาสำรวจตามร่างกายเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็ก ๆ

   “คุณวรรณ”

   “ขอโทษค่ะเจ้านาย วรรณกังวลมากไปหน่อย”

   “แล้วอาหลิวล่ะ”

   “อยู่ในห้องค่ะ กังวลเรื่องเจ้านายอยู่”

   “อืม...งั้นคุณตามผมเข้าไปเลยแล้วกัน”

   “ค่ะ จะให้ตามคุณเสือเลยไหมค่ะ?”

   “ไม่เป็นไร ไว้เย็นนี้ค่อยคุยกับมันอีกที” เขาพูดพร้อมเดินไปยังห้องทำงานของเขา ที่บัดนี้เป็นห้องทำงานของอาหลิวด้วย เขาเอาโต๊ะของหลานชายตัวดีมาใช้ ไม่คิดว่าวันนี้จะสามารถตบตาลตาได้

   “เฮียกร” อาหลิวทักหลังจากเขาพลักประตูเข้าไป โดยมีคุณวรรณปิดประตูตามหลังให้

   “เฮียไม่เป็นไร คุณลตาเองก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรต่างไปจากเดิม”

   “วรรณว่า เขาต้องมาหาข้อมูลของคุณชาติเพิ่มเติมแน่นอน”

   “ในเมื่อเธอเจอหยกและโบตั๋นแล้ว เธอก็ไม่น่าจะต้องการตัวผมแล้วนะ”

   “แต่ตอนนี้คุณหยกและคุณโบตั๋นดังมากเลยนะคะ แฟนคลับตามกันไปจนถึงมหา’ลัย แล้วไหนจะตามไปถึงร้านคุณกันต์อีก”

   “แต่ก็ไม่แน่ หยกค่อนข้างโลวโปรไฟล์ ถึงให้ดังแค่ไหน แต่ไม่เปิดเผยตัวหรือออกงานบ่อย ๆ ก็ยากที่จะหาพบ”

   “แล้วถ้าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่คุณหยก แต่อยู่ที่คุณหงส์ล่ะค่ะ?”

   “ก็เป็นไปได้นะ เพราะเจ้าสัวอยากให้นายเกรียบงไกรแต่งงานกับหงส์อยู่แล้ว”

   “วรรณไม่ค่อยเข้าใจค่ะ ตกลงว่าเขาอยากได้คน หรืออยากได้หยกกันค่ะ?”

   “ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอกครับคุณวรรณ ว่าหยกเมฆาขาวมีทั้งหมดกี่ชิ้น”

   “ถ้าเจ้าสัว...คิดว่ามีหยกชิ้นเดียว...อยู่ที่คุณหยก แต่ยังตามหาคุณหงส์...”

   “นั่นเป็นเรื่องที่ผมกังวลครับ” อาหลิวตอบสีหน้าเครียด

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหยกก็อยู่ในอันตรายน่ะสิค่ะ”

   “เราต้องพาหงส์ไปฮ่องกงให้เร็วที่สุด การที่หงส์ไปปรากฎตัวที่สกุลฝู่พร้อมเมฆาขาว จะช่วยให้หยกปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง”

   “แล้วการที่คุณลตาโผล่มาตอนนี้ เราจะรับมือกับเธอยังไงดีล่ะคะ ในเมื่อเจ้านายต้องไปกับคุณชาติ”

   “ผมว่าจะบอกคุณลตาไปตามตรง”

   “เฮีย!!”

   “เฮียก็แค่จะบอกว่าเฮียไปต่างประเทศ ไม่ได้โกหกสักหน่อย ดีซะอีก เธอจะได้ไม่มาเพ่นพ่านที่นี่หรือที่บ้าน”

   “ก็จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้คุณเสือเข้ามาที่ออฟฟิตบ่อยหน่อย เพื่อเป็นการตบตาคุณลตา ว่าคุณเสือมาทำงานแทนคุณกรระหว่างที่คุณกรไม่อยู่”

   “คงจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ”

   “ระหว่างนี้อาหลิวก็ไม่ต้องเข้ามาที่บริษัทฯ แล้วนะ คอยอยู่แต่ที่บ้านก็พอ แล้วมีอะไรเดี๋ยวเฮียให้คุณวรรณติดต่อไป”   

.........................................................................

   “เจ้านายค่ะ ปลอยภัยดีไหมค่ะ บุบสลายตรงไหนไหมค่ะ”

   “คุณวรรณ”

   “ขอโทษค่ะเจ้านาย วรรณกังวลมากไปหน่อย”

   “แล้วอาหลิวล่ะ”

   “อยู่ในห้องค่ะ กังวลเรื่องเจ้านายอยู่”

   “อืม...งั้นคุณตามผมเข้าไปเลยแล้วกัน”

   “ค่ะ จะให้ตามคุณเสือเลยไหมค่ะ?”

   “ไม่เป็นไร ไว้เย็นนี้ค่อยคุยกับมันอีกที”

   ลตานั่งฟังสิ่งที่เธอได้ยินผ่านหูฟังขนาดเล็ก ถึงแม้จะได้ยินบางส่วนเท่านั้น แต่ก็พอให้เธอจับใจความได้ และเป็นไปดังที่เธอคาดไว้ วรากรและพยัคฆ์เจอหลิวลู่แล้วจริง ๆ ดังนั้นทั้งฝู่หงส์และฝู่หยง คงจะอยู่ไม่ไกลจากวรากรเป็นแน่

   
.........................................................................

   ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านน้องหยก ตลอดทางน้องมีท่าทางซึมอย่างเห็นได้ชัด พยัคฆ์รู้ว่าหยกชอบงานที่ทำนี้มากขนาดไหน หลังจากที่หยกคุยกับคุณกันต์เสร็จแล้ว เขาทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามคุณกันต์อีกครั้ง

   “คุณก็รู้ว่าตอนนี้หยกอยู่ในสถานการณ์ไหน”

   “คุณหมายความว่ายังไง”

   “ผมคอยภาวนาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ขอให้อย่าได้เกิดสถานการณ์อย่างนี้เลย”


   “คุณรู้เรื่องมากแค่ไหนกันแน่”

   “ผมพูดอะไรไม่ได้มาก ถ้าคุณอยากรู้มากกว่านี้ คุณคงต้องไปถามคุณหลิวเอาเอง”


   คุณกันต์รู้จักกับอาชาติจริง ๆ และรู้เรื่องอะไรต่ออะไรมากพอสมควร และบางเรื่องกลับเป็นเขาเองที่ยังไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ

   “พี่เสือ” หยกเรียกเขา ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า สื่งที่เขาคิดอยู่ตอนนี้อาจจะทำให้หยกยิ่งไม่สบายใจ

   “ครับ”

   “พี่เสือไม่ชอบพี่กันต์หรือครับ”

   “ทำไมหยกถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

   “ก็...หยกสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ...ของพี่เสือ”

   “แล้วหยกล่ะ โกรธคุณกันต์รึป่าว”

   “ไม่ครับ หยกแค่รู้สึกว่า หยกเห็นแก่ตัวไปหน่อย”

   “เห็นแก่ตัว?”

   “ก็หยกไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลยนี่น่า ว่าถ้าหยกยังอยากทำถึง 4 ทุ่มนั่นอ่ะ”

   “อืม..พี่ไม่เห็นว่ามันจะเห็นแก่ตัวตรงไหนเลยนี่”

   “พี่เสือ...มีอย่างที่ไหนที่ลูกจ้างจะไปต่อรองเวลาทำงานกับนายจ้าง หยกคงเผลอตัวไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่พี่กันต์และพี่แก้วต่างก็ใจดีกับหยก”

   “อย่าคิดมากเลยครับ ที่คุณกันต์พูดก็ถูกนะ หยกจะได้พักผ่อนมาก ๆ ไง แถมมีเวลาให้พี่ด้วย”

   “พี่เสือกับหยกก็แทบจะตัวติดกันเป็นแฝดสยามแล้วนะครับ”

   “พี่ไม่อยากตัวติดกันแบบแฝดสยาม แต่อยากติดกันตรงอื่นไม่ได้หรอครับ”

   “พี่เสือ!!”

   “ครับ...เอ้...หยกเป็นอะไรไปรึป่าวครับ เรียกชื่อพี่แล้วก็หน้าแดง?”

   “...”

   “ไหนๆ พี่ดูหน่อยสิ ไม่สบายรึป่าว” เขาทำทีจะแตะที่หน้าผากเพื่อวัดไข้ กลับโดนน้องหยกตีมือพัลวัน

   “ขับรถไปเลย”

   “คิดลึกล่ะสิเราน่ะ”

   “ป่าวสักหน่อย...ไหนหยกคิดอะไร พี่เสือรู้หรอ?”

   “ไม่รู้สิ...คิดเรื่องใต้สะดือมั้ง”

   “พี่เสืออ่ะ”

   “ฮ่าๆๆๆ อารมณ์ดีขึ้นรึยังครับ”

   “...”

   “ถ้าคุณกันต์เขาใจดีอย่างที่หยกว่า เขาก็ไม่เคืองที่หยกพูดแบบนั้นหรอก อย่าคิดมากนะ”

.........................................................................

    วรากรขับรถมาจอดอยู่บริเวณสวนสาธารณะที่อยู่ถัดจากบ้านของหงส์ เขาเลือกจอดรถในถนนซอยแทนที่จะจอดไว้ที่ถนนเมนของหมู่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนติดตาม การมาที่บ้านหงส์ครั้งนี้ เขาต้องระวังตัวเป็นพิเศษ อาหลิวช่วยเขาดูรอบ ๆ ตลอดทางที่ออกมาจากบริษัทฯ เขาไม่ไว้ใจลตา!!

   “อาหลิวเดินไปที่บ้านหงส์ก่อนเถอะ เดี๋ยวอีก 10 นาทีเฮียตามไป”

   “ไม่มีใครตามมาสักหน่อย เดินไปพร้อมกันดีกว่า”

   “ยังไงเราก็ควรระวังตัวไว้ก่อน ยังอีกหลายวันหลังจากนี้ ที่พวกเรายิ่งต้องระวังตัวกันให้มาก”

   “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเฮียแล้วกัน”

   “เมื่อกี้เฮียเห็นรถคุณภาอยู่ที่หน้าบ้านหงส์”

   “ใช่ คืนนี้คุณภาคงอยู่ทานข้าวด้วย”

   เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่อาหลิวจะก้าวลงจากรถไป เขารอจนกระทั่งครบกำหนดเวลา 10 นาที ก่อนออกจากรถเขามองดูรอบ ๆ บริเวณที่เขาจอดรถอยู่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงลงจากรถแล้วออกเดินไปยังบ้านของหงส์

   ประตูรั้วไม่ได้ลงกลอนไว้ เขาจึงเปิดประตูเข้าไปด้านใน เพ็ญนภาเป็นคนเดินมารับเขาที่หน้าบ้าน เพ็ญนภาไม่มีท่าทางแปลกใจเมื่อเห็นเขาเดินผ่านประตูรั้วมา แสดงว่าเรื่องของเขา เพ็ญนภาคงรับรู้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรที่เขารับรู้เรื่องของเธอ

   “สวัสดีครับคุณภา”

   “สวัสดีค่ะคุณกร ภาไม่คิดเลยนะคะว่าเราจะเป็นคนกันเอง”

   “ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน”

   “เชิญคุณกรด้านในค่ะ ภามีเรื่องจะปรึษาคุณกรด้วยค่ะ”

   “คุณภามีงานอะไรให้ผมรับใช้รึป่าวครับ?”

   “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ”

   “อากร สวัสดีค่ะ” โบตั๋นเอ่ยทักเขาเสียงใส

   “ร่าเริงไม่เปลี่ยนเลยนะเรา” เขาทักทายหลานสาวคนเล็ก

   “ทำไมอากรกับพี่ภาคุยกันห่างเหินจังค่ะ คนกันเองแท้ ๆ”

   “พี่กลัวจะหลุดน่ะสิ เลยต้องคุยกับคุณกรแบบเดิม พี่ไม่อยากให้ใคร ๆ สงสัย”

   “พี่ภานี่เจ้าแผนการเหมือนเจ็กลู่เลยนะคะ”

   “พี่เทียบเจ็กลู่ไม่ได้หรอกจ๊ะ”

   “ว่าแต่อาหลิวกับหงส์ล่ะ”

   “เจ่เจ้กำลังทำขนมบุหลันดั้นเมฆอยู่ค่ะ เห็นพรุ่งนี้จะเอาไปฝากคุณสุพรรณษา”

   “หรือที่จริงแล้ว...ภาอยากให้คุณหญิงเธอได้ชิมมากกว่า”

   “ผมว่าผมพอเข้าใจแผนของคุณภานะ”

   “ค่ะ และเรื่องที่ภาอยากให้คุณกรช่วยก็เรื่องที่หงส์ต้องเข้า ๆ ออกบ้านนั้นบ่อย ๆ ในช่วงนี้”

   “ต้องการให้ผมส่งคนตามคุณกับหงส์สินะ”

   “ค่ะ แล้วคงต้องกันนายเกรียงไกรนั่นออกไปอย่าให้มายุ่งย่ามระหว่างนี้ด้วย”

   “ไม่มีบัญหา เรื่องนี้ผมจัดการได้”

.........................................................................

    อาหารค่ำมื้อนี้ แม้จะเป็นอาหารพื้น ๆ แต่ก็อร่อยมากครับ คงเป็นเพราะบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เจ็กลู่ อากร พี่ภา เจ่เจ้ โบตั๋น และพี่เสือ พวกเราทานอาหารกันไป คุยกันไป โบตั๋นดูจะตื่นเต้นที่ผมจะไปช่วยจัดงานฉลองที่บ้านอากร แล้วไหนจะได้ไปงานแฟชั่นวีคนั่นอีก เจ่เจ้เองก็ดูมีความสุขเช่นกัน ผมแอบเห็นพี่เสือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา

   เมื่อเราทานอาหารเสร็จ เจ่เจ้กับพี่ภาก็ช่วยกันยกขนมหวานอย่างบุหลันดั้นเมฆกับขนมหยกมณีมาให้เราทานเป็นการปิดท้าย ขนมทั้งสองอย่างนี้ทั้งผมและโบตั๋นไม่ได้ทานกันมานานแล้ว ส่วนอากรและพี่เสือบอกว่าไม่เคยทานเลยเพราะหาทานค่อนข้างยาก

   เจ่เจ้แบ่งขนมส่วนหนึ่งไปฝากลูกค้าคนสำคัญของพี่ภาด้วย ผมเดาว่าคงเป็นคนสำคัญมาก ๆ ไม่อย่างนั้นพี่ภาคงไม่วานให้
เจ่เจ้ทำให้อย่างนี้แน่ ๆ

   หลังทานอาหารเสร็จผมก็ขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าบนห้อง สักพักโบตั๋นก็เดินขึ้นมาตามผม

   “ทำไมหยกจัดกระเป๋านานจัง?”

   “นานที่ไหน เฮียเพิ่งขึ้นมาได้แป๊บเดียวเองนะ”

   “ไม่แป๊บสักหน่อย นี่ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วนะ”

   “นานขนาดนั้นเลยหรอ?”

   “นานสิ ว่าแต่หยกเถอะ เป็นอะไรไป ถึงได้แต่เลือกเสื้อผ้าอยู่นั่นแหละ”

   “...”

   “หยก...”

   “รอยนั่น...มันยังไม่หายไปน่ะ”

   “หยกเลยจะหาแต่เสื้อสีเข้มใช่ไหม?”

   “อืม...เฮียไม่อยากให้พี่เสือโทษตัวเองอีก”

   “แล้วหยกล่ะ ห่วงแต่ความรู้สึกคนอื่น แล้วความรู้สึกของหยกล่ะ?”

   “เฮียไม่เป็นไรจริง”

   “หยก...”

   “เฮียจำอะไรเกี่ยวกับคนๆ นั้นไม่ค่อยได้หรอก”

   “หยกจำหน้าเขาได้ไหม แล้วถ้าเกิดได้เจอกันอีกครั้งน่ะ”

   “...” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

   “หยกต้องอยู่ใกล้ ๆ พี่เสือไว้นะ ยิ่งหยกจำหน้ามันไม่ได้ หยกก็ต้องยิ่งระวังตัว”

   “อืม เฮียระวังตัวอยู่แล้วล่ะ”

   “หยกเอาเสื้อตั๋นไปใส่ไหม ถึงจะเป็นเสื้อยืดทรงผู้หญิง เข้ารูปหน่อย แต่หยกก็ใส่ไซด์ตั๋นได้นี่”

   “อืม ถ้าอย่างนั้น เฮียขอยืมตั๋นสัก 2-3 ตัวแล้วนะ”   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 25-12-17 {{:::39:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-12-2017 08:35:35
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 25-12-17 {{:::39:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-12-2017 14:12:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 25-12-17 {{:::39:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-12-2017 22:17:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หยก 27-12-17 {{:::40:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-12-2017 09:45:08
40

   พยัคฆ์ตื่นแต่เช้า เพราะได้ยินเสียงประตูห้องข้าง ๆ เปิดออก หลังจากเขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาก็เดินตามเจ้าของห้องนั้นลงมา เขาเดินวนอยู่ไปภายในบ้านก็ไม่พบ จนกระทั่งได้ยินเสียงเจ้ากล้าดังออกมาจากในครัว   

   “เฮ้ย!!...นางฟ้า!!”

   “ไอ้กล้า เสียงดัง เสียมารยาท คุณเขาเป็นแขกของคุณกร”

   “เอ่อ........อ่า......”

   “ไป!! จะไปไหนก็ไป อย่ามาเกะกะแม่กับคุณหยก”

   “เอ่อ.....”

   “ยังอีก!!...เดี๋ยวแกได้โดนดี”

   เขาเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าครัว ก็เห็นเจ้ากล้าเดินหน้าจ๋อยออกมา เมื่อเห็นเขาเข้า พยัคฆ์ก็ส่งสัญญาณให้กล้าเงียบไว้ ก่อนกระซิบบอกไปว่า

   “ถ้าแกเอารูปแฟนของฉัน ในบ้านหลังนี้ ไปลงอินสตราแกรมเมื่อไร แกได้โดนดีแน่”

   “ห๊ะ!!...คุณเสือหมายความว่า...นางฟ้า...” กล้าพูดไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วไปยังอีกร่าง ที่ยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว

   “ใช่...เรื่องที่หยกอยู่บ้านหลังนี้ จะไม่มีการหลุด เล็ดรอดออกไปไม่ว่ากรณีใดใดทั้งสิ้น”

   “คะ...คะ...ครับ” ต้นกล้าดูตกใจและประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก

   “แล้วก็หยกน่ะ...เขาไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น จะชื่นชมอะไรเขา ฉันไม่ว่า แต่แกต้องจำคำฉันไว้ดีๆ”

   “ครับ ๆ”

   ต้นกล้าเดินออกจากครัวไปแล้ว เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ขนาดนี้หยกคงจะรับรู้ได้ถึงการมาของเขา หยกยังคงคนข้าวต้มในหม้อ ร่างบางในเสื้อยืดเข้ารูปสีเข้มกับกางเกงขาสั้น มองจากด้านหลังไม่ต่างจากผู้หญิงเลย

   “พี่เสือ”

   “ครับ?”

   “...” หยกไม่พูดอะไร คงเป็นเพราะมีแม่บ้านอยู่ด้วย เขาจึงไม่คิดจะแกล้งหยกต่อ

   “เช้า ๆ อย่างนี้พี่กับอากรไม่ค่อยทานข้าวต้มนะครับ”

   “แต่เจ็กลู่ทานนี่”

   “เอ้...ตั้งแต่อาชาติมาอยู่ที่นี่ พี่ไม่เคยเห็นอาทานข้าวต้มเลย”

   “คงเป็นเพราะคุณหลิวทานตามคุณกรล่ะมั้งค่ะ” แม่บ้านเอ่ยแทรกขึ้นมา

   “หลังจากนี้คงเป็นอากรที่จะเอาใจอาชาติแล้วล่ะมั้งครับ” เขาพูดพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกว่าอาของเขาน่าจะเกรงใจอาชาติขนาดไหน

   “แซนวิชของพี่เสือเสร็จแล้วนะ แต่หยกยังไม่ได้ชงกาแฟให้ ไม่คิดว่าพี่เสือจะลงมาเร็ว”

   “ไม่เป็นไรพี่รอได้”

   “ป้าขอตัวไปจัดโต๊ะก่อนนะคะ”

   “ครับ” พยัคฆ์ตอบ ก่อนเดินเขาไปหาหยก “พี่ไม่เคยเห็นหยกใส่เสื้อแบบนี้เลย”

   “ตั๋นให้ยืมมา หยกไม่มีเสื้อเขารูปแบบนี้หรอกครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นพี่จะซื้อให้หยกอีกหลาย ๆ ตัวเลย หยกใส่แบบนี้แล้วน่ารักมากรู้ตัวไหมครับ”

   “ใส่แล้วเหมือนผู้หญิง” หยกพูดไม่มองหน้าเขา

   “ไม่ใส่แบบนี้ก็เหมือนผู้หญิงอยู่แล้ว” หยกตวัดสายตาค้อนเขาวงใหญ่ จนเขาต้องยิ้มออกมา “พี่อยากให้หยกอยู่แบบนี้กับพี่นาน ๆ จัง เสร็จงานของโบตั๋นแล้ว อยู่ต่อได้ไหมครับ”

   “ไม่เอาหรอก หยกเกรงใจอากร”

   “ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย อาชาติเองก็ยังอยู่ได้เลย”

   “มันไม่เหมือนกันนี่นา อากรกับอาชาติ...เขาเป็นคนรักกันนี่นา”

   “ถ้าอย่างนั้น ระหว่างนี้....ถ้าพี่ทำให้หยกเป็นคนรักของพี่ได้ หยกก็จะยอมอยู่ต่อใช่ไหมครับ”

   “พี่เสือ!!”

   “พี่ล้อเล่นครับ พี่เคยบอกว่าจะไม่เร่งรัดหยก พี่ก็จะทำตามที่พี่พูด”

   “ขอบคุณครับ” หยกก้มซ่อนหน้าตัวเองไว้ แต่ใบหูกลับแดงระเรื่อ พยัคฆ์วางฝ่ามือลงบนหัวทุยนั้นก่อนโยกไปมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าไอซ์แลนด์โดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขามองดูหยกทำงานในครัวไปโดยละสายตาจากร่างนั้นไม่ได้สักวินาที

........................................................................

   ลตาเดินออกจากลิฟท์ตรงเข้ามายังห้องทำงานของวรากร เธอเห็นวรรณาเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ได้เก็บกระเป๋าถือให้เข้าที่เลยด้วยซ้ำ เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ และหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะของเลขาคู่ใจของวรากร

   “โชคดีจังเลยนะคะ ที่คุณวรรณมาแต่เช้าแบบนี้”

   “แหม๋...เป็นลูกจ้างก็ต้องเข้างานตามเวลาสิค่ะ ว่าแต่คุณลตามาแต่เช้าแบบนี้ ไม่เห็นคุณกรบอกวรรณไว้เลย”

   “ตาไม่ได้มีธุระอะไรกับคุณกรหรอกค่ะ ตามาหาคุณวรรณต่างหาก”

   “หาวรรณ? ไม่ทราบว่าคุณตามีอะไรให้วรรณรับใช้หรอค่ะ?”

   “ใครจะกล้าใช้งานเลขามือหนึ่งของคุณกรล่ะคะ พอดีตาเอาของมาเปลี่ยนน่ะคะ”

   “ของ?”

   “ใช่ค่ะ เครื่องสำอางค์ที่ตาให้คุณวรรณเมื่อวาน ตาหยิบผิดไปน่ะคะ พอดีเพื่อนที่ตาจะเอาของฝากไปให้ ผิวเขาบอบบางมาก ตาจะเอาสูตรธรรมดาไปให้ เพื่อนตาต้องไม่พอใจแน่ ๆ เลยค่ะ”

   “อ่อ โชคดีจริง ๆ ด้วยนะคะ ที่วรรณยังไม่ได้เอาถุงของฝากกลับบ้านเมื่อวาน”

   “ถ้าคุณวรรณไม่ว่าอะไร ตาขอสลับของเลยได้ไหมค่ะ?”

   “เอาสิค่ะ” วรรณาหยิบถุงของฝากที่อยู่หลังโต๊ะของเธอขึ้นมาส่งคืนให้กับลตา ก่อนรับถุงใหม่มา

   “ขอบคุณคุณวรรณมากนะคะ ตาขอตัวก่อนนะคะ ตานัดเพื่อนไว้ เดี๋ยวไปไม่ทัน”

   “ค่ะ”

   ลตาเดินออกมาพร้อมถุงของฝากในมือ หลังจากเธอเดินกลับขึ้นรถมาแล้ว เธอก็เปิดถุงหยิบเอาเครื่องดักฟังขนาดจิ๋วที่สอดไว้ใต้ริบบิ้นออกมา ก่อนจะมองเข้าไปยังหน้าประตูบริษัทฯ อย่างใช้ความคิด

.........................................................................

   ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ เดินออกจากลิฟท์ไปยังห้องที่ลุงของเขาให้มาพักอาศัยชั่วคราวระหว่างทำงานอยู่ที่นี่ เมื่อมาถึงห้องเป็นจุดหมาย เขาก็ใช้การ์ดที่ได้มาเปิดประตูเข้าไปในห้อง ลูกน้องของเขา 2-3 คนเดินตามเข้ามาภายในห้อง เดินสำรวจรอบ ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องนอนด้านในสุด

   จุ้ยเถิง(最疼) ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เพราะได้เชื้อสายชาวอเมริกันมาจากแม่ มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างพอใจ ติดก็ตรงที่ว่า ห้องนี้ค่อนข้างรกและสกปรกไปหน่อย

   “เฮ้ย!! แกเป็นใคร เขามาในห้องฉันได้ยังไง?” จุ้ยเถิงได้ยินเสียงโวยวายเป็นภาษาจีนมาจากห้องด้านใน ห้องที่ลูกน้องของเขาเพิ่งเข้าไปสำรวจเมื่อครู่นี้ ลูกน้องของอะไรกับเจ้าของห้องเข้าล่ะ? เขาจึงเดินตามเข้าไปพร้อมกับลูกน้องที่เหลือ

   จุ้ยเถิงพบชายคนหนึ่งท่าทางสำอางค์ เปลือยอก ใส่แค่กางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว ผลุนผลันลงจากเตียงนอนเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้อง

   “พะ...พวกแกเป็นใคร!! เข้ามาในห้องฉันทำไม คงไม่ใช่มาตามทวงหนี้ของเตี่ยหรอกนะ บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่มี พะ...พะ...พวกนายตามไปเอากับเตี่ย...ที่ๆๆ ฮ่องกงโน่นเลย” เกรียงไกรคว้าหมอนมาปิดช่วงอกก่อนออกปากไล่ น้ำเสียงตะกุกตะกัก จุ้ยเถิงฟังแล้วขมวดคิ้ว

   “คุณคงจะเป็นคุณเกรียงไกร ลูกชายของคุณเซียงสินะ”

   “ถึงจะใช่ ฉันก็ไม่มีเงินให้พวกแกหรอกนะ” จุ้ยเถิงส่ายหน้าระอาเล็กน้อย ก่อนโบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องของเขาออกไปจากห้อง

   “คุณทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกัน ผมจะรออยู่ข้างนอก” จุ้ยเถิงพูดจบก็เดินออกจากห้องไป

.........................................................................

    เกรียงไกรอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พยายามหาทางหนีเอาตัวรอดจากกลุ่มชายชุดดำที่มาตามทวงหนี้เตี่ยของเขา คราวนี้เตี่ยไปสร้างหนี้ไว้อีกเท่าไร เจ้าหนี้ถึงได้ส่งคนหน้ากลัวอย่างนั้น บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามทวงหนี้ถึงที่นี่ ที่สำคัญพวกมันรู้ที่อยู่และเข้ามายังคอนโดของเขาได้อย่างไร

   ระหว่างที่เกรียงไกรกระวนกระวายใจอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นโทรศัทพ์ที่มีมิสคอล 16 สาย เตี่ยของเขาโทรมาตั้งแต่เมื่อคืน เขาจึงรีบโทรกลับ เผื่อว่าเตี่ยจะสามารถหาทางออกให้เขาได้ แต่โทรไปก็มีแต่บอกให้ฝากข้อความ สายไม่วางสักที จนกระทั่งคนข้างนอกเคาะประตูเรียก ทำให้เขาสะดุ้งจนต้องรีบวางสาย

   “คุณเกรียงไกร พวกผมรู้นะว่าคุณเสร็จแล้ว รีบ ๆ ออกมาเถอะ อย่าให้คุณจุ้ยรอนาน” เกรียงไกรได้ยินเสียงพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งหูดังอยู่หน้าประตู เขาได้แต่ใจดีสู้เสือค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป อย่างน้อยท่าทางนั้นจะทำร้ายเขา เขาก็ยังสามารถโทรแจ้งตำรวจได้ทัน คิดได้ดังนั้นเขาจึงเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง

   เมื่อเกรียงไกรออกมายังห้องโถงด้านนอก เห็นชายที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้า ยืนหันหลังคุยโทรศัทพ์อยู่ ชายคนนั้นพูดคุยเป็นภาษาจีนซึ่งใช้คุยกับเขาในตอนแรก จึงได้แต่ค่อย ๆ เดินออกไปช้า ๆ แต่คนที่หันหลังอยู่กลับหันมามองที่เขา

   “เตี่ยของคุณจะคุยด้วย” ชายคนนั้นยื่นโทรศัพท์ส่งให้เขา

   “อาเกรียง ลื้อหายหัวไปไหนมา เมื่อคืนอั๊วโทรหาลื้อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”

   “เตี่ย!!”

   “เออ อั๊วเอง แล้วนี่ทำไมเพิ่งจะตื่นเอาป่านนี้ โอ้ยๆๆไม่ได้ดังใจ นี่ลื้อคงไม่ได้อ่านข้อความที่อั๊วส่งไปสินะ”

   “ข้อความอะไร” เกรียงไกรพูดพร้อมดูโทรศัพท์ของตัวเอง

   “ลื้อนี้น้า...มือไม่พายแล้วยังเอาเท้าราน้ำอีก...”

   “เตี่ย...แล้วคนพวกนี้เป็นใคร แล้วทำไมอั๊วต้องยกห้องให้พวกมัน”

   “อีก็มาช่วยอั๊วทำงานน่ะสิ ระหว่างนี้ลื้อก็ไปอยู่ที่บ้าน ถ้าไม่อยากอยู่บ้านอั๊วก็ไปอยู่บ้านแม่ลื้อ”

   “ไม่เอาอ่ะ”

   “ไม่เอาอะไร ถ้าลื้อไม่ยอมออกจากคอนโด อั๊วจะให้อาเถิงโยนลื้อออกไป”

   “ไม่ใช่ อั๊วหมายความว่าอั๊วจะไม่ไปอยู่บ้านแม่ เออๆๆ เดี๋ยวอั๊วจะเก็บของกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ” ถึงเขาจะไม่พอใจเตี่ยแค่ไหน แต่เพื่อความปลอดภัย เขาควรจะต้องอยู่ห่าง ๆ จากคนพวกนี้ไว้

   “ดี แล้วลื้อโทรตามอาลตา ให้อีมาหาอาเถิงด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้จัดการไอ้วรากรไปถึงไหนแล้ว”

   “คุณลตากลับมาแล้วหรอ? แล้วเตี่ยล่ะ จะอยู่ที่นั่นอีกนานแค่ไหน”

   “ก็อยู่จนกว่างานที่นี่จะเสร็จนั่นแหละ ลื้อก็มีอะไรที่พอจะช่วยอาเถิงได้ก็ช่วยกันไป แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็อย่ามายุ่มย่ามกับอี”

   “รู้แล้วๆ แค่นี้ใช่ไหม”

   “ลื้อฟังอั๊วให้ดี ๆ นะ สิ่งที่อั๊วพยายามทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อลื้อทั้งนั้น”

   เกรียงไกรวางสาย และส่งโทรศัพท์คืนชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนเข้าห้องไปเก็บของ

.........................................................................

   วันนี้พี่เสือมาส่งผมที่สถาบันเหมือนอย่างเคย พอผมสอนเสร็จน้องกั๊มก็เข้ามาหา อยากให้ผมเพิ่มเวลาสอน จนพี่ศักดิ์ต้องมาช่วยพูด น้องกั๊มเปลี่ยนมาเรียนเทควันโดแทนการเรียนมวยไทย ตั้งแต่ผมไม่ได้ไปสอนที่ค่ายมวยนั่น แรก ๆ พี่ศักดิ์เป็นไปสอนเอง แต่น้องกั๊มดื้อมาก จนพี่ศักดิ์พามาเรียนเทควันโดที่นี่ จึงว่านอนสอนง่ายขึ้น

   “พี่ชักจะหึงแล้วสิ” พี่เสือเปรยขึ้นในขณะที่ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อย

   “กับน้องกั๊มน่ะหรอครับ”

   “เฮ้อ...หยกนี่เสน่ห์แรงจัง ไม่ว่าหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ เพื่อนร่วมงาน”

   “ไม่มีอะไรสักหน่อย”

   “นี่พี่ยังมีคู่แข่งอีกเยอะไหม?”

   “พี่เสือ...ไร้สาระใหญ่แล้วนะ”

   “ก็พี่แค่อยากเป็นคนพิเศษสำหรับหยกนี่”

   “แค่นี้พี่เสือก็พิเศษกว่าคนอื่นแล้ว ไม่รู้ตัวเลยหรอ?”

   “หึ...ไม่เห็นรู้เลย พิเศษยังไงครับ”

   “ก็ที่...หยกแทนตัวเองด้วยชื่อนี่ไง ถ้าไม่สนิท ไม่ใช่คนในครอบครัว หยกไม่เรียกแทนตัวเองอย่างนี้หรอกนะ”

   “แต่พี่อยากได้อะไรพิเศษกว่านี้นี่ ที่ไม่เหมือนคนอื่นไม่ได้หรอครับ” พี่เสือโน้มตัวเข้ามาใกล้ผม...อีกแล้ว ผมจึงรีบเอามือขึ้นปิดปากและดันใบหน้าของพี่เสือออกไป “นี่หยกคิดว่าพี่จะทำอะไรหยกหรอครับ” พี่เสือจับมือที่ผมดันใบหน้าของพี่เขามากุมไว้ แล้วกลับไปนั่งในท่าปกติ

   พี่เสือยกมือของผมขึ้นมาจูบเบา ๆ แล้วก็ออกรถ ตลอดระยะทางที่ไปยังร้านพี่กันต์ พี่เสือไม่ได้ปล่อยมือของผมเลย พี่เสือไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าเขาเป็นคนพิเศษสำหรับผม พิเศษมากกว่าคนอื่น ๆ

.........................................................................

   ลตามาพบกับจุ้ยเถิงที่ห้องของเกรียงไกร เธอไม่คิดว่าจุ้ยเถิงจะทำงานได้รวดเร็วขนาดนี้ เธอเพิ่งจะกลับมาจากประเทศไทยได้เพียง 2 วันเท่านั้น เขาก็ตามเธอมาซะแล้ว

   “คุณลตา ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี”

   “ตาไม่ทราบว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ตาต้องขอโทษนะคะที่ทำให้คุณจุ้ยเถิงมารอตาแบบนี้”

   “ไม่เป็นไรครับ เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” ลตาวางซองเอกสารลงตรงหน้าชายหนุ่ม จุ้ยเถิงหยิบซองเอกสารมาเปิดดู

   “คนในภาพนี้เป็นใครกัน” จุ้ยเถิงถามทั้ง ๆ ที่สายตายังคงจ้องภาพตรงหน้า ตาไม่กระพริบ

   “คนใดคนหนึ่งน่าจะเป็นฝู่หยง”

   “คนใดคนหนึ่งอย่างนั้นหรอ เป็นไปไม่ได้ ตระกูลฝู่ไม่มีฝาแฝด แต่นี่...”

   “เท่าที่ตาได้ข้อมูลมา 2 คนนี่เป็นพี่น้องกัน อายุห่างกัน 1 ปี ไม่ใช่ฝาแฝดกันหรอกค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นอีกคนคงเป็นลูกคนเล็กของฝู่หลิน”

   “ตกลงฝู่หลินมีลูกกี่คนกันแน่ ตารู้จากเจ้าสัวว่ามีแค่ 2 คนเท่านั้น”

   “ไม่แปลกหรอกที่คนนอกจะไม่รู้เรื่องลูกคนเล็กของฝู่หลิน”

   “แล้วเด็กคนนี้ชื่ออะไร พวกคุณต้องการตัวด้วยไหม?”

   “ผมก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ชื่ออะไร และพวกเราไม่ต้องการหรอก แล้วคนไหนล่ะ ฝู่หยง?”

   “เรื่องนี้ตายังไม่มีความคืบหน้าให้คุณ”

   “ทำไมคุณเซียงไม่เห็นเอ่ยถึงฝู่หยงเลย หรือว่าคุณยังไม่ได้รายงานคุณเซียงเรื่องนี้”

   “...”

   “คุณเซียงต้องการจะปิดบังพวกเราสินะ”

   “เรื่องที่เจ้าสัวคิดอะไร ฉันไม่รับรู้หรอก ฉันก็แค่ทำงานตามคำสั่ง”

   “แล้วคุณเอารูปพี่น้องคู่นี้มาให้ผมทำไม”

   “ก็ฉันยังไม่เจอฝู่หงส์นี่ แล้วจะให้ฉันเอาข้อมูลที่ไหนมาให้คุณ”

   “คุณนี่รู้จักเอาตัวรอดนะ”

   “ขอบคุณที่ชม ว่าแต่คุณจะให้ฉันทำยังไงต่อไป”

   “เจ้าสัวสั่งอะไรคุณไว้บ้างล่ะ”

   “บอกแค่ว่าให้ฉันช่วยซัพพอร์ตคุณ เมื่อคุณมาถึงที่นี่แล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้น คุณสืบเรื่องของฝู่หยงมาให้ผม”

   “แล้วฝู่หงส์ล่ะ?”

   “ผมมีหน้าที่รับทายาทของตระกูลฝู่กลับไปเท่านั้น ส่วนคนอื่น ก็แล้วแต่พวกเขาสมัครใจ”   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 27-12-17 {{:::40:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-12-2017 02:02:17
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หยก 29-12-17 {{:::41:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 29-12-2017 23:04:35
41

   หลังจากจุ้ยเถิงคุยกับลตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หาข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องในภาพถ่ายเพิ่มเติม สองคนนี้หน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝด ถ้าเขาไม่ได้ยินกับหูว่า คนใดคนหนึ่งคือฝู่หยง เขาคงจะเข้าใจผิดคิดว่าคนในภาพเป็นผู้หญิงทั้งคู่

   จุ้ยเถิงตามลุงของเขาเข้ามาทำงานกับตระกูลฝู่ตั้งแต่ยังเด็ก เขายังจำเด็กสาวผมยาวผูกหางม้า ที่มักจะแต่งตัวทะมัดทะแมงคนนั้นได้ติดตา “ฝู่หงส์” เด็กสาวที่มักจะมาท่าทางเงียบขรึมไม่สมวัย แต่เมื่ออยู่กับน้องชายตัวน้อย ท่าทางเธอจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ความอ่อนหวาน อ่อนโยนที่มักแสดงออกให้ได้เห็นเป็นครั้งคราว  และยิ่งเขามาเจอความเอาไหนของเกรียงไกร ลูกชายคนเดียวของเซียงไบ่ด้วยแล้ว เกรียงไกรไม่เหมาะสมกับฝู่หงส์สักนิด ไม่ว่าจะด้วยประการใดก็ตาม ซึ่งสิ่งที่เขาคิดไว้เกี่ยวกับตระกูลเซียง ก็น่าจะไม่ผิด แต่เขาจะโน้มน้าวลุงของเขาได้อย่างไร

   การที่เซี่ยงไบ่เข้าไปที่ตระกูลฝู่เพื่อทาบทามฝู่หงส์ให้กับนายเกรียงไกร และยังปิดบังพวกเขาเรื่องที่ฝู่หยงยังมีชีวิตอยู่ ก็พอจะเดาเจตนาได้ ส่วนลตา...ที่เอารูปของสองคนนี้มาให้เขา...เพียงเพื่อต้องการเอาตัวรอด...เท่านั้นจริง ๆ น่ะหรอ? จุ้ยเถิงละจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ก่อนหยิบภาพถ่ายสองพี่น้องขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง เขาไม่ถนัดในการอ่านเขียนภาษาไทย ดังนั้นการหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนตเกี่ยวกับสองคนนี้ ถึงจะหาได้ เขาก็ไม่เข้าใจเนื้อหาในอินเตอร์เนตนั่นอยู่ดี จะไว้ใจลตาให้สืบหาอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะถึงยังไงลตาก็ทำงานให้กับเซียงไบ่

.........................................................................

    เกรียงไกรนัดพบกับเมฆที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของเขามากนัก หลังจากที่แม่ของเขาให้ทนายติดต่อมา เพื่อสอบถามเรื่องราวการทะเลาะวิวาทที่เขาอ้างขึ้นมา เขาจึงจำเป็นต้องให้เมฆมาเป็นพยานให้กับเขา

   “ผมคงจะให้ความช่วยเหลืออะไรคุณเกรียงไม่ได้หรอกครับ”

   “ลื้อหมายความว่ายังไง”

   “ก็หมายความอย่างที่ว่า ผมไม่รู้จักไอ้พยัคฆ์อะไรนั่น แล้วจะให้ผมไปเป็นพยานได้ยังไงกันครับคุณเกรียง”

   “อั๊วจะเอาเรื่องมันก่อน ว่ามันทำร้ายอั๊ว ลื้อก็แค่เป็นพยานให้อั๊ว อั๊วมีใบรับรองแพทย์ หลักฐานมีอยู่ทนโท่ออกอย่างนี้ มันดิ้นไม่หลุดแน่”

   “มันดิ้นไม่หลุด หรือคุณเกรียงจะดิ้นไม่หลุดกันแน่ คุณเกรียงเอาสมองส่วนไหนคิดครับ คุณไม่คิดบ้างรึไงถ้ามันเอาเรื่องกับเราขึ้นมา เรื่องของหยก คุณเองก็ดิ้นไม่หลุดเหมือนกัน แถมผมจะพลอยซวยไปด้วย อาชีพผมก็ฉิบหายกันพอดี”

   “ทนายของแม่อั๊วออกหน้าให้ขนาดนี้ ลื้อก็รู้ว่ายังไง อั๊วก็ชนะ”

   “ไม่เอาด้วยหรอกครับ ถึงบ้านแม่คุณจะมีอิทธิพลขนาดไหน แต่ถ้าเป็นข่าวขึ้นมา ชีวิตผม การงานผมก็ป่นปี้หมด ผมไม่ใช่คุณนะ ผมไม่เสี่ยงเด็ดขาด ลาล่ะครับ” เมฆพูดจบก็เดินลุกจากโต๊ะไปทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเขาแม้แต่น้อย

.........................................................................

   เมฆขับรถเข้ามายังออฟฟิตของเจ้เปิ้ลเพื่อส่งงาน หลังจากไปพบเกรียงไกรเรียบร้อยแล้ว เขาไม่คิดว่าเกรียงไกรจะโง่ขนาดนั้น แทนที่จะอยู่เงียบ ๆ ให้เรื่องมันซาลงไป กลับจะไปคุ้ยเขี่ยให้มันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เขาไม่โง่ที่จะทำตามคนแบบนั้นเด็ดขาด

   เมฆเดินขึ้นมาจนถึงหน้าห้องของเจ้เปิ้ล แต่เลขาหน้าห้องบอกให้เขารอก่อน เพราะเจ้เปิ้ลมีแขกมาพบและยังคุยกันไม่เสร็จ ทั้ง ๆ ที่เจ้เป็นเป็นคนนัดเขามาเวลานี้แท้ ๆ เมื่อประตูเปิดออก เขาก็เห็นคุณเพ็ญนภาเดินออกมาพร้อมกับยัยโอ๋ช่างแต่หน้า

   “สวัสดีครับคุณภา มาหาเจ้เปิ้ลนี่มีงานอะไรให้พวกเรารับใช้รึป่าวครับ”

   “ก็นิดหน่อยค่ะ ภามีเรื่องให้คุณเปิ้ลเธอช่วยเล็กน้อยน่ะคะ” เพ็ญนภาพูดจบก็เดินไปพร้อมยัยโอ๋โดยไม่สนใจเขา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้าจะไม่คุยรายละเอียดงานกับทางทีมงาน แต่ที่น่าแปลกใจ คือยัยโอ๋เข้าไปคุยกับลูกค้าด้วยได้ยังไง

   “เมฆ!! แกมาถึงแล้วก็เข้ามาสิย๊ะ เวลาของฉันยิ่งเป็นเงินเป็นทองอยู่” เจ้เปิ้ลตะโกนเรียกออกมาจากในห้อง

   “ครับ ๆ เจ้”

   “ไง วันนี้มีงานมาส่งฉันไหมย่ะ” เจ้เปิ้ลทักเขาทันที เมื่อเขานั่งลงตรงหน้า

   “มีสิครับ นี่ไง” เขาว่าพร้อมล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบเอาแผ่นซีดีขึ้นมาส่งให้

   “แล้วอีก 2 งานที่ค้างฉันไว้เมื่อไรจะส่งสักที นี่ลูกค้าฉันเร่งมายิ๊ก ๆ แล้วนะ โดยเฉพาะงานที่พังงาน่ะ” เจ้เปิ้ลตามงานอื่นทันทีที่อ่านข้อความบนแผ่นซีดีแล้ว

   “ผมเร่งให้อยู่น่าเจ้...ไม่เกินอาทิตย์หน้าผมส่งได้ครบหมดแน่ ๆ ครับ”

   “เอางี้ดีกว่า งานที่พังงาแกไม่ต้องแต่งรูป เอาไฟล์มาเลย เดี๋ยวฉันให้ทีมทางนี้แต่งภาพเอง”

   “อ่าว ทำไมเร่งจังเลยล่ะเจ้ ไม่เห็นเหมือนที่ตกลงกันเลย”

   “ก็ลูกค้าเร่งมาจะให้ฉันทำยังไงล่ะ อีกอย่าง ศุกร์นี้ฉันต้องบินไปงานแฟชั่นวีคที่ไต้หวัน แล้วลูกค้าของฉันต้องการเห็นงานวันนั้นเลย ถ้าแกส่งให้ได้อาทิตย์หน้า แล้วฉันจะเอางานที่ไหนไปให้เขาล่ะ”

   “งานแฟชั่นวีค? ทำไมผมไม่เห็นได้ยินข่าว?”

   “ฉันก็เพิ่งรู้จากคุณภาเมื่อกี้นี้แหละ งานของเพื่อนนักออกแบบของเขาน่ะ นี่แกรู้ไหม ว่าเขารู้กันแค่วงในเท่านั้นนะ ออแกไนซ์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามีงานนี้เลย ถ้าฉันคุยกับเพื่อนคุณภาแล้วฟลุ๊คๆ ได้เซ็นต์สัญญากับเขาขึ้นมา บริษัทฯ ของฉันก็ยิ่งดังเข้าไปใหญ่”

   “งานของใครกันเจ้...ถึงจะวงใน แต่งานไต้หวันมันเกี่ยวอะไรกับลูกค้าของงานที่พังงาล่ะเจ้ ลูกค้าก็คนละเจ้า”

   “เฮ้อ...ทำไมฉันต้องมาอธิบายแกเนี๊ยะ!! ก็เจ้าของแบรนด์เขาไปร่วมงานนี้ด้วยยังไงล่ะ ถ้าฉันเอางานไปส่งให้เขาดูได้ทัน อาทิตย์ถัดไป เพื่อนของคุณภาเขาจะไปจัดงานต่อที่ญี่ปุ่น แล้วที่สำคัญน้องโบตั๋นไปร่วมงานนี้ด้วย คุณภาว่าจะให้น้องโบตั๋นเดินแบบในงานแฟชั่นวีคที่ญี่ปุ่น เป็นนางแบบรับเชิญโดยใส่ชุดของงานที่พังงาไง”

   “อ่อ...งั้นที่คุณภามาคุยกับเจ้เมื่อกี้ ก็เรื่องนี้ล่ะสิ”

   “มันก็ส่วนหนึ่ง พรุ่งนี้แกรีบเลยนะ เอาไฟล์งานมาส่งให้ฉัน นี่พี่อ้วนก็ส่งงานมาแล้ว”

   “เจ้ เอาอีกงานไปได้ไหม ผมอยากทำงานของน้องโบตั๋น”

   “ทำไม แกก็ได้ชื่อว่าเป็นช่างภาพอยู่แล้ว ไม่เห็นเป็นไรเลย”

   “มันไม่เหมือนกัน ผมถ่ายผมรู้ว่าจุดไหนเป็นจุดบกพร่องของภาพ มันต้องเป็นผมที่แก้ไขเอง”

   “เอา ๆ ตามใจแก งั้นเอาอีกงานมาส่งฉันพรุ่งนี้แล้วกัน”

   “เจ้ให้แมสเซนเจอร์ตามไปรับที่บ้านผมเลยก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะได้ไม่ต้องเข้ามาที่นี่อีก จะรีบเร่งงานที่พังงาได้เต็มที่” เมฆพูดจบก็เป็นเจ้เปิ้ลยิ้มกริ่มอย่างพอใจ “ตามนี้นะเจ้ ผมไปล่ะ” เขาพูดจบก็ลุกและเดินออกจากห้องไป

.........................................................................

    พยัคฆ์นั่งรอหยกที่เดิม บนชั้นลอยของทางร้าน รอจนกระทั่งใกล้เลิกงานของน้องหยกแล้วก็ไม่เห็นคุณกันต์เลย เขาไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองรึป่าว? ว่าคุณกันต์อาจจะไม่ชอบหน้าเขาเท่าไร จนกระทั่งพนักงานที่ชื่อก๊อง เดินเอาแซนวิชกับกาแฟของน้องหยกมาให้เขา

   “เออ น้องๆ พี่ถามอะไรหน่อยสิ”

   “ครับ?”

   “คุณกันต์ไม่อยู่ร้านหรอวันนี้?”

   “อ่อ อยู่ครับ แต่อยู่ที่ออฟฟิตบนชั้น 2”

   “อ่อ...”

   “ผมล่ะแปลกใจ ตั้งแต่ผมทำงานที่นี่มา ผมก็เห็นคุณกันต์นั่งแต่ตรงนั้น” ก๊องชี้ไปที่โต๊ะประจำของเจ้านายตัวเอง “เพิ่งจะมีวันนี้แหละครับ ที่ขึ้นไปนั่งบนออฟฟิต”

   “คุณกันต์นั่งตรงนี้ตลอดเลยหรอ?” พยัคฆ์ถามอย่างสงสัย และถ้าทางคุณกันต์คงไม่ชอบขี้หน้าเขาจริง ๆ

   “ครับ”

   “สงสัยเป็นเพราะพี่มานั่งตรงนี้ล่ะมั้ง”

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมทราบจากพี่แหม่ม ว่าแต่ก่อนพี่กันต์ก็นั่งแต่ข้างบน เพิ่งลงมานั่งข้างล่างนี่เอาตอนหลังเอง พี่แหม่มว่า พี่กันต์คงทนเสียงจ้อกแจ้กจอแจของลูกค้าไม่ไหวแล้ว คุณดูสิครับ เดี๋ยวนี้ลูกค้าร้านเราเยอะมาก ยิ่งหยกกลับมาทำงานแล้วด้วย เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ มีให้ได้ยินตลอดเลยครับ”

   “อืม ขอบใจนะที่ช่วยดูแลหยก”

   “ไม่ต้องขอบจงขอบใจอะไรหรอกครับ ยังไงหยกก็เป็นเพื่อนของผม เป็นนางฟ้าของพวกเรา”

   “ทำไมถึงเรียกหยกว่านางฟ้าล่ะ ทั้ง ๆ ที่หยกเป็นผู้ชาย”

   “ก็หยกสวยอย่างกับผู้หญิง เรื่องนี้พี่เสือห้ามเอาไปฟ้องพี่หงส์นะ” ก๊องเหมือนนึกได้ จึงรีบพูดดักเขาก่อน “และที่สำคัญถึงหยกจะพูดน้อย แต่หยกก็มักแสดงออกด้วยการกระทำ ไม่ว่าใครจะเดือนร้อนอะไร ทั้งที่พวกเราก็ไม่ได้พูดไม่ได้บ่นออกมา หยกมักจะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือพวกเราเสมอ ๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าหยกรู้ได้ยังไง ตอนแรกพวกเราจะเรียกหยกว่าเทวดาผู้พิทักษ์อะไรทำนองนั้น แต่มันไม่เข้ากับหยกยังไงก็ไม่รู้”

   “ก็เลยมาเป็น...นางฟ้าบาริสต้าสินะ”

   “ใช่ครับ ก็มันเข้ากับหยกเขานี่ครับ” ก๊องพูดยิ้ม ๆ ก่อนขอตัวลงไปทำงานต่อข้างล่าง

   เขาเข้าใจแล้วว่าเพื่อนในร้านทุกคน ทำไมถึงได้เป็นห่วงเป็นใยหยกกันอย่างออกนอกหน้ากันขนาดนี้ จนช่วงแรก ๆ เขาทั้งหึงและไม่พอใจที่มักจะมีหนุ่มในร้านคอยวนเวียนใกล้ ๆ หยก  ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้นี่เอง หยกคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานผ่านเมฆาขาว

   Yok : พี่เสืออารมณ์ดีเพราะพี่กันต์ไม่ได้ลงมานั่งที่ชั้นลอยหรอครับ

   Yok : ใจร้ายจัง

   Payak : พี่อารมร์ดีเพราะพี่รู้ว่าหยกมีเพื่อนดีต่างหากล่ะ

   Payak : และยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่

   Payak : ที่หยกถามพี่แบบนี้

   Payak : ไม่คิดไปเองอย่างแต่ก่อน

   พยัคฆ์เห็นว่าหยกอ่านข้อความแล้วแต่ไม่ได้ตอบอะไร จึงชะโงกลงไปดูตรงเคาน์เตอร์ เห็นน้องหยกยืนหน้าแดงอยู่พร้อมกับโทรศัทพ์ในมือ เขาก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดู แต่ความรื่นรมย์นั้นก็อยู่ไม่ได้นาน เมื่อประตูร้านถูกเปิดออกพร้อมร่างที่เดินนวยนาดเข้ามา ลตา!!

.........................................................................

    การสืบหาฝู่หยงและน้องสาวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลตา เธอพบข้อมูลของเด็กสาวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เธอรู้ว่าเด็กคนนั้นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เด็กสาวชื่อโบตั๋น อีกทั้งเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงจากการถ่ายแบบ ส่วนฝู่หยงเธอเพิ่งจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนเมื่อเช้านี่เอง

   หลิ่วลู่ทำให้เธอและเจ้าสัวเซียงไขว้เขวไปไม่ใช่น้อยก่อนหน้านี้ ตอนนี้คนของเจ้าสัวยังคงไปคอยป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ค่ายมวยและร้านขายยาสมุนไพรจีนนั่นอยู่เลย ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปออกคำสั่งคนของเจ้าสัว จึงได้แต่ปล่อยไว้แบบนั้น และการตามหาฝู่หงส์ต่อจากนี้ คงไม่มีอะไรยากแล้ว

   “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ากี่ที่ครับ” พนักงานคนหนึ่งถามเธอ

   “พี่จะสั่งขนมกลับบ้านค่ะ”

   “เชิญทางนี้ครับ” เธอเดินตามพนักงานไปยังเคาน์เตอร์ที่ฝู่หยงทำงานอยู่ เธอสังเกตเห็นพยัคฆ์ที่นั่งอยู่บนชั้นลอยตั้งแต่ก่อนเปิดประตูเข้าร้านมา เขามองฝู่หยงอยู่ตลอดเวลา เธอจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเขาซะ

   “เครื่องดื่มก็น่าทานนะ มีอะไรที่ทานแล้วไม่อ้วนบ้างจ๊ะ” เธอตั้งใจชวนฝู่หยงคุย

   “ระ...รับเป็นน้ำผลไม้ไหมครับ” ฝู่หยงดูตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ

   “ก็ดีจ๊ะ มีอะไรแนะนำไหม?”

   “คุณลูกค้าเลือกขนมก่อนไหมครับ ผมจะได้ช่วยเลือกเครื่องดื่มที่เข้ากับขนมได้”

   “ว๊าย!! น้องนี่น่ารักจัง สงสัยพี่ต้องมาเป็นลูกค้าเราบ่อย ๆ แล้ว” ฝู่หยงคงจะจำเธอได้ และอาจจะรู้ว่าเธอตามเขาอยู่ ดังนั้นเธอควรจะทำเป็นจำเขาไม่ได้

   “เออ...ขอบคุณครับ”

   “งั้นพี่เอานี่ นี่...อืม...แล้วก็นี่อย่างละ 2 ชิ้นแล้วกันนะคะ พี่รบกวนแยกถุงเป็น 2 ชุดนะ”

   “ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับเป็นน้ำกีวี่ปั่น หรือแตงโมปั่นดีครับ ทั้ง 2 แก้วเข้ากันกับขนมที่คุณลูกค้าเลือก”

   “เอาเป็นน้ำแตงโมก็แล้วกันจ๊ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นรบกวนรอสักครู่ครับ”

   ลตาสังเกตท่าทีของฝู่หยง เธอมั่นใจว่าหลิวลู่ต้องเตือนให้เขาระวังเธอไว้แน่นอน และทางนั้นก็ฉลาดพอที่จะไม่กระโตกกระตากร้อนตัวไป แต่กลับดูเป็นมิตรและช่างเอาอกเอาใจลูกค้าที่ไม่ได้ตั้งใจจะสั่งเครื่องดื่มจริง ๆ อย่างเธอ มันทำให้เธอพอใจ เมื่อเธอรับขนมและเครื่องดื่มเรียบร้อยก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ก่อนเดินออกจากร้านไป โดยไม่ใส่ใจสายตาของพยัคฆ์แม้แต่น้อย

   เมื่อเธอกลับขึ้นมาบนรถแล้ว เธอชั่งใจอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะกดโทรศัพท์ออกไปหาใครบางคน

.........................................................................

   เมื่อลตาออกไปแล้ว พยัคฆ์ก็รีบลงมาจากชั้นลอยเดินตรงไปยังประตูหน้าร้านเพื่อลอบมองลตาทันที เขาเห็นเธอคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักพักก็เคลื่อนรถออกจากหน้าร้านไป

   “พี่เสือ” หยกเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เขาตั้งแต่ตอนไหน เขาไม่ทันรู้ตัว เพราะมัวแต่พยายามอ่านริมฝีปากของลตาว่าเธอพูดอะไรกับคนในปลายสาย “ไม่ต้องกังวลนะ ผู้หญิงคนนั้น...เขาไม่มีใจที่คิดร้ายกับหยก”

   “หยก...” พยัคฆ์มองไปรอบ ๆ ร้าน เห็นทั้งพนักงานและลูกค้า ที่ส่วนใหญ่มองมาที่เขากับหยก “ไปทำงานก่อนเถอะ เดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ” หยกเหมือนจะรู้ตัว จึงเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ ส่วนเขาเดินขึ้นไปที่ชั้นลอยและนั่งลงบนโต๊ะตัวเดิม ก่อนกดโทรศัพท์หาเอ ที่คอยจับตาดูเจ้าสัวอยู่

   “ครับ คุณพยัคฆ์”

   “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

   “เหมือนคุณมีตาทิพย์เลยนะครับ นายเกรียงไกรเพิ่งกลับเข้ามาบ้านวันนี้เอง”

   “แล้วเจ้าสัวล่ะ”

   “ยังไม่เห็นเลยครับ น่าจะยังไม่กลับมา”

   “อืม เฝ้าดูต่อไป”

   “ครับ”

   ถึงหยกจะบอกว่าลตาไม่มีใจคิดร้าย แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเจ้าสัวเซียง เขาก็ทำใจเชื่อในสิ่งที่หยกพูดไม่ได้จริง ๆ เขาไม่ยอมผิดพลาดอย่างคราวของนายเมฆนั่นอีกแล้ว

.........................................................................

   ลตาเดินนวยนาดออกจากลิฟท์มาพร้อมถุงขนมที่ซื้อมาจากร้านที่ฝู่หยงทำงานอยู่ เธอเห็นเลขาหน้าห้องมองมายังเธอเล็กน้อย ก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป เธอรู้ดีว่าคนของวรากรล้วนแต่เป็นคนที่มีทักษะ และฝีมือดีทุกคน ยิ่งเป็นเลขาคู่ใจแล้วด้วย คงมีความสามารถแพรวพราวไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แน่นอน

   ครั้งที่แล้วเธอแอบเห็นยัยเลขากดอินเตอร์คอมค้างไว้ และยังชวนคุยถ่วงเวลาให้คนในห้องอีก แค่นี้ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้า ท่าทางจะร้ายไม่ใช่เล่น

   “สวสัดีค่ะ...คุณวรรณ”

   “สวัสดีค่ะ คุณลตา วรรณไม่ทราบว่า คุณลตานัดคุณกรเอาไว้”

   “ไม่ได้นัดหรอกค่ะ ตามาหาคุณวรรณต่างหาก”

   “มาหาวรรณ คงไม่ใช่เรื่องเครื่องสำอางค์อีกนะคะ?”

   “ที่จริงก็เกี่ยวอยู่นิดหน่อยค่ะ”

   “ถ้าคุณลตาจะเปลี่ยนอีกคงต้องรอพรุ่งนี้นะคะ พอดีวรรณเพิ่งเอากลับบ้านไปเมื่อวานนี้เอง”

   “ไม่ใช่ค่ะ ๆ ตามาขอบคุณที่คุณวรรณยอมเปลี่ยนให้ต่างหากล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้น ตาคงโดนเพื่อนวีนใส่แน่ ๆ เลยค่ะ”

   “อ่อ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถึงยังไง ของฝากก็มาจากคุณ วรรณเป็นผู้รับจะเรื่องมากได้ยังไงค่ะ?”

   “เพื่อนตาไงค่ะที่เรื่องมาก จำผิดนิดผิดหน่อยเป็นไม่ได้เลยค่ะ โวยวายใส่ทุกที”

   “ที่จริง คุณลตาไม่จำเป็นต้องแวะมาขอบคุณอะไรวรรณก็ได้นะคะ มาบ่อยๆ แบบนี้วรรณเกร็งแย่”

   “พอดีเป็นทางผ่านค่ะ คุณวรรณก็อย่างเกร็งไปเลยค่ะ นี่ตาไปเจอขนมร้านแถว ๆ บ้านเพื่อนของตา ท่าทางดูดี เลยแวะซื้อมาขอบคุณคุณวรรณ นี่ไงค่ะ” ลตาชูถุงขนมขึ้น สังเกตเห็นทางทีของเลขาตัวแสบขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงทำเป็นเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ “น่าตาน่าทานเชียว แถมน้องบาริสต้าก็น่าตาน่ารักเชียวค่ะ น้องเขายังแนะนำอีกนะคะ ว่าขนม 3 ชิ้นนี้ทานกับน้ำแตงโมปั่น จะอร่อยสุด ๆ เลยค่ะ แบบนี้คงต้องไปอุดหนุนกันบ่อย ๆ แล้ว”

   “เอ่อ...ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์คิดถึงวรรณ”

   “เล็กน้อยค่ะ งั้นตาขอตัวก่อนนะคะ”

   ลตาเดินกลับมายังโถงลิฟท์ ด้วยท่าทางปกติ เธอคิดไม่ผิดจริง ที่แม้กระทั่งแม่เลขาคู่ใจของวรากรก็รู้เรื่องฝู่หยง ทั้งวรากร พยัคฆ์ วรรณา ต้องรู้เรื่องราวของตระกูลฝู่แน่ๆ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 29-12-17 {{:::41:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-12-2017 00:45:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หยก 29-12-17 {{:::41:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-12-2017 02:40:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 03-01-18 {{:::42:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-01-2018 15:52:04
42
   

   เมื่อคืนนี้ หลังจากที่พี่เสือพาผมกลับบ้าน เจ็กลู่ก็ให้ผมไปจัดเตรียมเรื่องงานเลี้ยงฉลองของโบตั๋นกับป้าลัย และต้นกล้า ส่วนเจ็กลู่ อากร พี่เสือ และเลขาของอากร ก็ประชุมงานด่วนกันในห้องทำงาน ผมไม่กล้าเข้าไปกวนเจ็กลู่ เพราะสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของทุกคน จึงได้แต่ฝากให้ต้นกล้าเอาอาหารว่างไปให้คนทั้ง 4 ส่วนผมไปอยู่ที่เรือนเล็กกับป้าลัยจนดึกจึงขึ้นนอน

   เช้านี้ผมลงมาช่วยป้าลัยตามปกติ จึงได้รู้ว่าคุณวรรณเลขาของอากรค้างอยู่ที่นี่เมื่อคืนนี้ คงจะประชุมกันดึกมาก ส่วนผมเอง ก็ยังหาจังหวะคุยกับพี่เสือเรื่องผู้หญิงคนนั้นไปได้เลย

   “คุณหยกค่ะ ไม่สบายตรงไหนรึป่าวค่ะ?”

   “ปะ ป่าวครับ”

   “ป้าเห็นคุณยืนเหม่ออยู่น่ะคะ หรือว่าห้องพักที่ป้าจัดไว้ให้ หลับไม่สบายค่ะ?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คือ ผมแค่เป็นห่วง... เรื่องที่อากรประชุมกันดึก ๆ แบบนั้น”

   “คงจะมีงานใหญ่มั้งค่ะ ไม่อย่างนั้นคุณวรรณเธอคงไม่รีบมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้”

   “มีงานแบบนี้บ่อยหรอครับ”

   “เอ้...นั่นสินะ...ตั้งแต่ป้าอยู่มาจนหัวหงอกขนาดนี้ ป้าก็เพิ่งเคยเจอนั่นแหละค่ะ”

   “คงจะไม่มีอะไรร้ายแรงใช่ไหมครับ”

   “งานของคุณกร คุณเสือก็แบบนี้แหละค่ะ คุณหยกอย่ากังวลไปเลยคะ”

   “นางฟ้าครับ” เสียงต้นกล้าแทรกขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาถึงห้องครัว

   “นี่ ไอ้กล้า บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าคุณหยกไม่ชอบให้เรียกแบบนี้”

   “ก็ผมหลุดปากนี่แม่”

   “คุณหยกอย่าไปถือสาปากหมา ๆ ของมันเลยนะคะ”

   “ครับ ว่าแต่กล้ามีอะไรหรอ?”

   “คุณหลิวให้คุณหยกขึ้นไปพบบนห้องครับ”

   “อ่อ ขอบคุณครับ” ผมวางมือจากงานที่เตรียมอยู่ตรงหน้า ให้ป้าลัยช่วยดูแลต่อ ก่อนเดินขึ้นไปหาเจ็กลู่ที่ห้อง

.........................................................................

   จุ้ยเถิงพอใจในการทำงานของลตามาก ข้อมูลที่ได้จากลตาทางอีเมลเมื่อคืนนี้ ทำให้เขารู้ว่า เขาสามารถไปหาฝู่หยงได้ที่ไหน และคนที่เขาเกรงกลัวที่สุดอย่างหลิวลู่ก็หายสาบสูญไปแล้ว เขาจะไปพาตัวฝู่หยงกลับฮ่องกงเดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้ เพียงเขายังไม่แน่ใจว่า หยกตราประทับอยู่ที่ใครกันแน่ ระหว่างฝู่หงส์กับฝู่หยง หากเขาพาฝู่หยงกลับไปตอนนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหยกประจำตระกูลฝู่ สิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดก็ไม่มีความหมาย

   ในรายงาน ลตาไม่ได้แจ้งเรื่องหยกประจำตระกูลแม้แต่น้อย หากเป็นอย่างที่เซียงไบ่คาดการณ์ไว้ ว่าหยกประจำตระกูลอยู่กับฝู่หงส์ล่ะ เพื่อความแน่ใจ เขาต้องสืบหาความจริงเรื่องนี้ก่อน แต่ยังไม่ทันได้จัดการอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

   “ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง อาเถิง”

   “พบตัวสามพี่น้องสกุลฝู่แล้วครับ”

   “สามพี่น้อง...หึ เซียงไบ่มีแผนอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด”

   “ใช่ครับ ผมเจอลูกของกู๋เซียงแล้ว ไม่เอาไหนจริง ๆ”

   “หึ!! ตระกูลเซียงตกต่ำมานานแล้ว คงจะยิ่งตกต่ำไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ”

   “วันนี้ผมจะลงไปสืบเอง ว่าหยกประจำตระกูลอยู่ที่ใคร?”

   “แล้วลื้อจะรู้ได้ยังไง ว่าหยกอยู่ที่ใคร ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นรู้ร่างหน้าตาของหยกนั่นมาก่อน”

   “นอกจากคนตระกูลฝู่แล้วยังมีใครได้เห็นมันอีกล่ะครับ”

   “หลิวลู่ไงล่ะ เจอมันก็จะหยก”

   “ตามรายงานที่ผมได้มา หลิวลู่หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว คนของกู๋เซียงเองก็ยังหาไม่พบจนป่านนี้”

   “หลิวลู่มันเจ้าเล่ห์นัก คนอย่างมันต้องเอาหยกนั่นไปซ่อนที่ไหนสักแห่ง หรืออยู่ที่ใครสักคน ในสามพี่น้องนั่นแน่ๆ”

   “เด็กพวกนั้นจะรู้ถึงความสำคัญของหยกนั่นรึป่าวก็ไม่รู้”

   “ฝู่หยงอั๊วไม่รู้ แต่ถ้าฝู่หงส์ อั๊วมั่นใจว่าว่าอีต้องรู้ อั๊วได้ยินมาว่า เวลานั้นฝู่หลินให้อีพกหยกติดตัวตลอด”

   “กู๋ว่า กู๋เซียงจะเคยเห็นหยกนั่นไหม?”

   “มันต้องเคยเห็นอยู่แล้ว ในเมื่อมันเองนั่นแหละที่เป็นคนปล่อยข่าวออกมาว่าฝู่หลินใช่ของวิเศษชิ้นนั้นไม่ได้ แล้วหาข้ออ้างยกเลิกการหมั่นหมาย”

   “หยกชิ้นนั้นมันควบคุมใครต่อใคร ตามใจเจ้าของได้จริง ๆ หรอครับ”

   “อั๊วเองก็ไม่รู้หรอก มันเป็นตำนานที่อยู่คู่กับตระกูบฝู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าอั๊วเดาไม่ผิด ฝู่หลินเป็นสตรี คงใช้งานหยกวิเศษนั่นไม่ได้ อั๊วมั่นใจ ว่าถ้าเป็นฝู่หยง อีต้องใช้ของวิเศษชิ้นนั้นได้แน่ ๆ”

   “ถ้าอย่างนั้นผมอาจจะมีวิธีพิสูจน์ได้ว่าหยกอยู่ที่ใคร”

   “ดี ถ้าอย่างนั้นลื้อก็รีบไปจัดการซะ”

   “ครับกู๋”

.........................................................................

   ตั้งแต่เขาขับรถออกจากบ้านมา หยกก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย จนพยัคฆ์รู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ว่าอาชาติคุยอะไรกับหยก และหยกคงจะไม่ชอบใจแน่ที่อาชาติจะให้ยกพักงานที่ร้านคุณกันต์สักระยะหนึ่ง

   “หยก เรื่องของคุณลตา”

   “พี่เสือเองก็ไม่เชื่อหยกใช่ไหม?” เขาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงบ่งบอกถึงความน้อยใจ

   “ไม่ใช่ไม่เชื่อ พี่เชื่อหยก แต่เราก็ไม่ควรประมาทนะ”

   “ถ้าหยกพัฒนาการใช้เมฆาขาวได้มากกว่านี้... ถ้าสามารถยืนยันความคิดของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างที่เจ่เจ้ กับโบตั๋นทำได้ ก็คงจะดีสินะ”

   “หยกครับ...” เขาเห็นหยกเบนหน้าออกไปด้านข้าง เหมือนต้องการจะหลบหน้าเขา เขารู้ ว่าหยกกำลังเสียใจ และสูญเสียความมั่นใจ เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือบางนั้นไว้ บีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “ก็ได้ครับ พี่จะช่วยคุยกับอาชาติให้”

   “พี่เสือเชื่อหยกจริง ๆ ใช่ไหม” หยกหันมาเขาทันที ทั้งที่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค เขารู้ว่าหยกเองก็รู้ว่าเขาไม่ได้มั่นใจเรื่องลตา 100%

   “แต่พี่มีข้อแม้นะ”

   “ข้อแม้?”

   “พี่รู้ว่าหยกเก่ง และดูแลตัวเองได้ แต่สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนคนเดียว ถึงจะใกล้ ๆ ร้านก็เถอะ อย่างน้อยก็ให้ก๊องหรือเอ็มตามไปด้วย ได้ไหม”

   “ครับ”

   “แล้วที่สำคัญ ห้ามไปไหนมาไหนกับคุณลตาเป็นอันขาด”

   “พี่เสือก็อยู่กับหยกเกือบจะตลอด อีกอย่าง หยกก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปกับผู้หญิงคนนั้นนี่นา ว่าแต่...เมื่อวานเขาไม่เห็นพี่เสือหรอ?”

   “พี่ไม่แน่ใจ เขาอาจจะเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ได้”

   “เพื่ออะไรกันล่ะ? คนรู้จักกันแท้ ๆ”

   “พี่เองก็ไม่รู้ พี่ถึงอยากให้หยกระวังตัวไวยังไงล่ะ”

.........................................................................

    ในที่สุดหงส์ก็สามารถทำให้คุณหญิงพรรณีเรียกพบจนได้ ถึงเมื่อคืนจะมีข่าวที่หน้าหนักใจจากเจ็กลู่ก็ตาม แต่เมื่อเพ็ญนภาโทรมาบอกเธอเรื่องคุณหญิง เธอก็ต้องปล่อยวางเรื่องของหยกให้เจ็กลู่จัดการ เพราะเธอก็มีหน้าที่ของเธอเช่นกัน

   “เจ่เจ้เตรียมอะไรแต่เช้าเลยค่ะ?”

   “เสน่ห์จันทร์กับสัมปันนีจ๊ะ”

   “เอาไปให้คุณหญิงอีกสินะ”

   “ใช่ เมื่อคืนนี้ภาเขาโทรมาบอกว่าคุณหญิงอยากจะเจอหน้าคนทำสักหน่อย”

   “เพิ่งเข้าบ้านนั้นได้ไม่กี่วัน ก็ได้พบกับคุณหญิงแล้ว เจ่เจ้เก่งจังเลยนะคะ”

   “นั่นเป็นเพราะเมฆาขาวต่างหากล่ะ”

   “อย่าบอกนะคะว่า...”

   “ใช่จ๊ะ ครั้งแรกที่ทำขนมไปบ้านนั้น พี่เลือกเอง ส่วนครั้งหลัง ๆ พี่สัมผัสได้น่ะ”

   “มิน่าล่ะ?”

   “พี่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แต่ก็ดี จะได้รีบจัดการทางนี้ให้เสร็จ ๆ ไป ว่าแต่เราเถอะตั๋น ที่มหา’ลัย เป็นยังไงบ้าง”

   “ทางตั๋นก็เรียบร้อยดีค่ะ โปรเจ็กผ่านแล้ว นี่ก็ส่งรายงานย่อย ๆ อีก 2-3 ตัว ก็จบแล้วค่ะ”

   “จ้า เจ่เจ้ไว้ใจเราน่ะ”

   “ค่ะ ตั๋นจะรีบจัดการเรื่องที่เกาลูนให้เร็วที่สุด แล้วจะรีบตามไปหาที่ฮ่องกงนะคะ”

   “ป่ะ เตรียมไปเรียนเถอะ อีกเดี๋ยวภาคงจะมารับพี่แล้วล่ะ”

   “ตั๋นเอาแซนวิชไปฝากพี่ต้นนะคะ” โบตั๋นคงจะสัมผัสได้ถึงอาการหิว และง่วงเหงาหาวนอนของคนที่จอดรถรออยู่ที่หน้าบ้านเหมือนอย่างเธอ

   “เจ่เจ้เตรียมกาแฟไว้ให้ด้วย ยกไปให้คุณต้นด้วยล่ะ”

   “คร้า...ตั๋นไปก่อนนะคะ”

.........................................................................

   จุ้ยเถิงมายังร้านที่ฝู่หยงทำงานอยู่ตามที่อยู่ที่ลตาใส่ไว้ในข้อมูล ตอนที่เขามาถึง ร้านก็เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทำให้เขาสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ฝู่หยงเป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านนี้ เขาจึงเลือกนั่งตรงมุมคาเฟ่ พนักงานคนหนึ่งในร้านเดินเข้ามายื่นเมนูอาหารให้กับเขาพร้อมรอรับออร์เดอร์

   “กาแฟ ขายไหม” เขาจงใจพูดเป็นภาษาไทย ถึงจะไม่ถนัดนักก็ตาม

   “ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

   “ไอซ์ลาเต้ กับ แซนวิชคลับ”

   “รอสักคู่นะครับ” พนักงานรับออร์เดอร์แล้วก็เดินจากไป

   เขามองไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มก็ไม่พบฝู่หยงออกมาชงเครื่องดื่มแต่อย่างใด จนกระทั่งพนักงานยกออร์เดอร์ที่เขาสั่งมาเสิร์ฟ ถึงแม้จะสงสัยว่าทำไมไม่เห็นฝู่หยง แต่ก็เขาก็เลือกที่จะนั่งสังเกตรอบ ๆ ร้านไปเรื่อย ๆ

   เวลาล่วงเลยไปจนลูกค้าเริ่มแน่นร้านมากขึ้น เขาซึ่งทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ตามมารยาทก็ไม่ควรจะนั่งอยู่อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ถึงวันนี้ไม่เจอ แต่สักวันเขาต้องเจอฝู่หยงแน่ๆ ระหว่างที่รอเงินทอนอยู่นั้น ประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ก็เปิดออก พร้อมคนสองคนที่เดินเข้ามา หนึ่งในนั้นคือฝู่หยง ส่วนชายไทยร่างยักษ์อีกคน เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่น่าจะเป็นพนักงานในร้านเพราะดูได้จากการแต่งตัว

   ชายคนนั้นแยกตัวออกมาจากเคาน์เตอร์ แล้วเดินขึ้นไปยังที่นั่งบนชั้นลอย ระหว่างที่ชายคนนั้นเดินไปก็เหลือบมามองเขาเล็กน้อย จุ้ยเถิงรู้สึกว่าคนๆ นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ลูกค้าในร้านตั้งมากกมาย แต่กลับสนใจที่จะเหลือบมองเขา อาจจะเป็นไปได้ว่าชายคนนั้นรู้ตัวว่าเขาลอบมองอยู่

   เมื่อได้รับเงินทอน เขาก็เดินออกจากหน้าโต๊ะไป โดยเดินไปยังแคชเชียร์ เพื่อให้พนักงานเรียกแท็กซี่ให้เขา ครั้งนี้เขาพูดด้วยภาษาอังกฤษ เขาตั้งใจให้คนในร้านคิดว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาทานอาหารที่นี่เท่านั้น ระหว่างรอรถอยู่ เขาก็ไม่หันไปมองชายบนชั้นลอย หรือฝู่หยงอีกเลย

.........................................................................

   ตั้งแต่พยัคฆ์เดินเขามาในร้านกับหยก สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้รังสีบางอย่าง มันทำให้รู้สึกถึงอันตรายที่แฝงตัวอยู่ เขาพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งเห็นลูกค้าแปลกหน้าคนหนึ่ง เขามาที่นี่ได้ไม่กี่สัปดาห์ แต่เขาก็พอจะจำลูกค้าของทางร้านได้บ้าง ชายคนนี้ไม่ใช่คนไทยแน่นอน แต่ก็มีกลิ่นอายของชาวเอเชียอยู่ค่อนข้างชัด

   ครั้งแรกที่สังเกตเห็น เหมือนเขาตั้งใจมองมาที่หยก ซึ่งเขาไม่แปลกใจเลย เพราะหยกมีคนมองและชื่นชมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะชายหรือหญิง แต่ที่แปลกใจคือ ชายคนนั้นลอบมองมาที่เขาอย่างสังเกตและประเมิน มันกระตุ้นให้เขาต้องระวัง เมื่อชายคนนั้นออกจากร้านไปแล้ว เขาจึงเดินไปถามเรื่องลูกค้าคนดังกล่าวกับคุณแหม่ม

   “แหม่มก็แปลกใจค่ะ เพราะปกติร้านเราไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวหลงเข้ามาทานเท่าไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ที่นี่มานานมากกว่า”

   “หลงมา?”

   “ใช่ค่ะ เขามาตั้งแต่ร้านเพิ่งเปิด และเข้ามาสั่งอาหารโซนคาเฟ่ เจ้าก๊องมันเป็นคนรับ จะปฏิเสธไม่ว่าพร้อมบริการก็ไม่ได้ คุณแก้วเลยเป็นคนทำออร์เดอร์เอง”

   “นี่เขานั่ง มาตั้งแต่เปิดร้าน จนถึงบ่ายโมงเลยหรอครับ”

   “ใช่ค่ะ แหม่มเห็นเขานั่งดูนั่นดูนี่นอกร้านไปเรือย จนมาถามถึงแหล่งท่องเที่ยวแถวนี้ แล้วให้แหม่มช่วยเรียกแท็กซี่ให้”

   “แถวนี้ไม่น่าจะมี่ที่เที่ยวที่ไหน นอกจากศูนย์การค้านี่ครับ”

   “นั่นแหละค่ะ แหม่มถึงได้ว่าเขาหลงมายังไงล่ะคะ คุณพยัคฆ์มีอะไรรึป่าวค่ะ?”

   “ผมแค่แปลกใจอะไรนิดหน่อยนะครับ”

   “เรื่องที่เขามองคุณพยัคฆ์ไม่วางตานั่นรึป่าวคะ?”

   “คุณแหม่มก็สังเกตเห็นหรอครับ”

   “แหม๋...หนุ่มฝรั่งหน้าหล่อขนาดนั้น นาน ๆ จะมีเขามาเป็นอาหารตาให้แหม่มสักทีนี่ค่ะ”

   “อ่อ”

   “แหม่มว่า เขาอาจจะถูกใจคุณ หรือไม่ก็น้องหยกของเรา ก็คุณเล่นเดินคุมเข้ามาแบบนั้น คนไม่ชินก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดาแหละค่ะ”

   “ถูกใจผมหรือหยกอย่างนั้นหรอครับ”

   “ค่ะ เชื่อถือเรดาร์ของแหม่มได้เลย รับรองว่าสำอางค์ขนาดนั้น ไม่มีทางชอบชะนีแน่นอนค่ะ”

   พยัคฆ์กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณแหม่มแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าผู่ชายคนนี้อันตราย ยิ่งกลิ่นอายของชาวเอเชียที่เขาสัมผัสได้ เขายิ่งนึกถึงคนที่ฮ่องกง เขาคงต้องหาเวลาไปปรึกษากับเหล่าฝู่ไว้บ้าง เพราะเขาไม่รู้ว่านอกจากเจ้าสัวเซียง และลตาแล้ว ยังมีใครจ้องจะทำร้ายหยกอีกรึป่าว?

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 03-01-18 {{:::42:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-01-2018 21:09:31
เริ่มเข้มข้นแล้วสิ เป็นห่วงแต่หยกมองโลกในแง่ดีเกินไปนะ
หัวข้อ: Re: หยก 03-01-18 {{:::42:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-01-2018 22:35:32
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 03-01-18 {{:::42:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-01-2018 00:55:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-01-2018 00:55:51
43

   พรุ่งนี้ก็จะถึงวันจัดงานเลี้ยงฉลองที่โบตั๋นเรียนจบแล้ว เธอไม่ได้ตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ที่เธอตื่นเต้นเพราะเธอจะได้ไปเกาลูนมากกว่า ตั้งแต่จำความได้ เธอก็มีเจ่เจ้และหยกคอยดูแลมาตลอด การไปเกาลูนครั้งนี้เธอไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่เธอจะไปหาความจริงเกี่ยวกับเมฆาขาว และคนตระกูลเหมิ๋น

   ถึงตอนนี้เธอจะรู้สึกสนุกกับการใช้เมฆาขาวก็ตามที แต่มันก็ให้ทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน มันทำให้ครอบครัวของเธออยู่มาหลายชั่วอายุคน แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้พ่อแม่ของเธอต้องมีอันเป็นไปเช่นกัน

   ตอนนี้เธอจะช่วยแบ่งเบางานที่เจ่เจ้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น และเพื่อความสุขของหยก พี่ชายคนเดียวของเธอ เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา

   “คุณโบตั๋น จะเข้าห้องเสื้อของคุณภาเลยไหมครับ” พี่ต้นที่คอยรับส่งเธอตลอดหลายวันเอ่ยถาม หลังจากที่ขับรถออกนอกรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว

   “ค่ะพี่ต้น ไม่รู้ทางพี่ภากับเจ่เจ้เป็นยังไงบ้างนะคะ”

   “เห็นต้ามันบอกว่า คุณภาออกมาจากบ้านคุณหญิงแล้ว ส่วนคุณหงส์ยังอยู่ที่นั่น ต้ามันเฝ้าอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”

   “แต่น่าแปลกนะคะ เจ่เจ้ไปที่นั่นจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเห็นนายหื่นนั่นเข้าไปที่บ้านแม่ตัวเองเลย”

   “เท่าที่ผมทราบจากคี มันว่าความสัมพันธ์ระหว่างยายหลานไม่ค่อยจะดีเท่าไรน่ะครับ”

   “ทำตัวทุเรศ ๆ แบบนั้น ยายไม่รักก็ดีแล้วล่ะคะ แล้วแม่เขาล่ะคะ?”

   “รายนั้นทั้งรักทั้งตามใจเลยล่ะครับ”

   “เอาเข้าจริง ๆ ไม่รู้ว่าแผนการของพี่ภาจะได้ผลไหม?”

   “ผมว่า คุณโบตั๋นอย่าเพิ่งกังวลไปเลยครับ”

   “นั่นสินะ อาทิตย์หน้าตั๋นฝากพี่ต้นดูแลเจ่เจ้ด้วยนะคะ ห่วงก็แต่หยก”

   “คุณพยัคฆ์ดูแลเองเกือบจะ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว คุณโบตั๋นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”

   “เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมวเลย”

   “ฮ่าๆๆ คุณโบตั๋นยังไม่ชินอีกหรอครับ ว่าแต่เดี๋ยวผมต้องไปร้านคุณกันต์สัก 3-4 ชัวโมงนะครับ คุณโบตั๋นอยู่ร้านกับคุณภา ถ้าจะออกไปไหนต้องโทรบอกผมก่อนนะครับ”

   “ไปทำไมค่ะ”

   “คุณพยัคย์มีเรื่องจะไปคุยกับเหล่าฝู่น่ะครับ”

   ไม่บอกเธอก็รู้ว่าพี่เสือไปหาเหล่าฝู่ทำไม ในใจของพี่เสือมีแต่เรื่องความปลอดภัยของหยก เธอหวังว่าสักวันหยกจะรู้ใจตัวเองสักที เธอกับพี่ภาลุ้นจนตัวโก่งไปหมดแล้ว

.........................................................................

    ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาซื้อขนมที่ร้านพี่กันต์ ผมก็ไม่เจอเธออีกเลย แต่เจ็กลู่ก็ยังคงไม่วางใจถึงขั้นจะให้ผมพักงานที่ร้าน จนกว่าเจ่เจ้จะกลับมาจากไปเที่ยวกับพี่ภาเลย ยังดีที่พี่เสือช่วยของร้องเจ็กลู่ให้ ผมถึงยังได้ทำงานต่อ แต่พี่เสือก็ดูเครียด ๆ ขึ้น จนบางทีผมก็ไม่สบายใจ

   “พี่เสือทำหน้าตาน่ากลัวอีกแล้ว”

   “พี่ทำให้หยกกลัวรึป่าว?”

   “หยกแค่หยอกเล่นน่ะครับ เห็นพี่เสือดูเครียดๆ”

   “พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ”

   “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ หยกแค่...เป็นห่วงน่ะ” ผมพูดไปก็เขินไป แต่ก็คุ้มเพราะพี่เสือดูจะอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย

   “พี่ดีใจจัง พี่หยกกล้าพูดมากขึ้น”

   “ก็พี่เสือบอกให้หยกพูด”

   “เด็กดี” พี่เสือพูดพร้อมละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถ มาโคลงศีรษะของผม

   “พี่เสืออย่าทำอย่างกับหยกเป็นเด็กสิ”

   “ก็หยกน่ารัก น่าเอ็นดูนี่นา”

   “หยกอายนี่” ผมตอบเสียงแผ่ว...

   “หยกครับ เดี๋ยวพี่จะออกไปหาเหล่าฝู่ที่ร้านยานะ ระหว่างนี้ต้นจะมาดูแลหยกแทนพี่สักสองสามชั่วโมง”

   “หยกอยากไปหาเหล่าฝู่ด้วยจัง”

   “หยกจะไปไหมล่ะ เข้าไปลางานคุณกันต์ก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปพร้อมพี่”

   “ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้หยกก็ต้องลางาน ไปเตรียมงานเลี้ยงกับป้าลัย ไปตอนเลิกงานไม่ได้หรอครับ”

   “อาชาติเป็นคนนัดเหล่าฝู่ให้พี่นะสิ จะมาเปลี่ยนเวลาคงไม่ทัน”

   “ครับ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ หยกอยากไปเยี่ยมเหล่าฝู่บ้าง”

   “หยกไม่น้อยใจพี่ใช่ไหม ที่พี่ไม่อยู่น่ะ”

   “ไม่น้อยใจหรอกครับ  ว่าแต่...พี่เสือไปหาเหล่าฝู่ทำไมหรอครับ”

   “จะถามเรื่องคุณลตาน่ะ ว่ายังไปป่วนเปี้ยนแถวร้านยาอีกไหม?”

   “อ่อ ครับ” พี่เสือก็ยังคงไม่เชื่อที่ผมบอกอยู่ดี

   “เย็นนี้พี่มารับน่ะครับ”

   “ครับ”

   ถ้าผมมีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นอีก ผมก็อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าเธอไม่ได้คิดร้ายกับผมจริง ๆ ถึงผมจะไม่เก่งเท่ากับเจ่เจ้หรือโบตั๋นในการสัมผัสจิตใจใคร แต่ผมเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง

.........................................................................

   จุ้ยเถิงเห็นรถที่เขาจับตามองมาหลายวันเข้ามาจอดเทียบที่หน้าร้านอาหารผ่านกล่องส่องทางไกลตัวจิ๋ว แทนที่จะเป็นด้านหลังร้านเหมือนอย่างเคย เขาเห็นฝู่หยงเดินลงจากรถมาเพียงคนเดียวโดยที่คนขับรถไม่ได้ตามลงมาด้วย ก่อนที่ชายคนนั้นจะขับรถแล่นออกไป

   หลังจากวันที่เขาออกจากร้านอาหารนั่นมา เขาก็ให้ลตาสืบหาข้อมูลของชายคนนั้น ซึ่งที่แท้แล้วเขาก็เป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับต้น ๆ ของที่นี่ การที่เจ้าของลงมาคุ้มกันฝู่หยงด้วยตัวเอง แสดงว่าฝู่หยงต้องมีความสำคัญอะไรบ้างอย่าง ซึ่งหากเขาเดาไม่ผิด หยกประจำตระกูลฝู่ต้องอยู่กับฝู่หยงแน่นอน

   เขาถอยออกจากหน้าต่างบานใหญ่ที่เขายืนเฝ้าสังเกตุอยู่ ก่อนจะเดินออกจากสำนักงานชั่วคราวที่เขาเช่าทิ้งไว้เพื่อคอยจับตาดูฝู่หยง ลูกน้องของเขาทำทีจะตามออกไปด้วย แต่เขาห้ามไว้ ก่อนจะลงลิฟท์แล้วเดินไปยังร้านอาหารตรงข้าม

   เมื่อเขาเข้ามาถึงในร้านก็พบว่าต้องรอคิวอีกเกือบ 10 คิว ซึ่งเขาคิดว่าเป็นการดี ที่จะได้จับตาดูฝู่หยงอย่างใกล้ชิด จากที่เขาคอยเฝ้าสังเกตจากด้านนอกมา 2-3 วัน ร้านนี้มักจะมีลูกค้ามากช่วงเวลาที่ฝู่หยงเขามาทำงาน อาจจะเป็นเพราะอำนาจของหยกนั่นก็เป็นได้ ที่ดลใจให้ลูกค้าต่างพากันเข้ามา

   “ผมขอขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ไหม?” เขาถามพนักงานคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เป็นภาษาอังกฤษ

   “ต้องขอโทษด้วยครับ โต๊ะนั้นมีคนจองเอาไว้แล้ว”

   โต๊ะนั่งบนชั้นลอย ตำแหน่งที่บอดี้การ์ดคนนั้นนั่งอยู่เป็นประจำ ถึงแม้เข้าตัวจะไม่มาเฝ้า ก็ยังกันที่นั่งไว้ได้ หรือว่าร้านนี้อาจจะมีความสัมพันธ์อะไรแอบแฝงกับฝู่หยง เขาลอบมองไปยังฝู่หยงที่ดูตั้งใจทำงานของตัวเอง ท่าทางมีความสุขกับงานตรงหน้า มันดูมีเสน่ห์น่ามองอย่างประหลาด

   “คุณลูกค้าเชิญทางนี้ครับ” พนักงานคนหนึ่งเดินมาพาเขาไปยังโต๊ะว่าง ไม่ห่างจากตำแหน่งของฝู่หยงมากนัก แต่ก็เป็นมุมที่มองไม่ถนัด “ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ”

   “ผมของเอาเพรสโซ่ กับคุกกี้สัก 2-3 ชิ้น”

   “วันนี้เรามีคุกกี้มะพร้าว บาราวนี่คุกกี้ และคุกกี้ช็อกโกแลตชิพ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการคุกกี้แบบไหนดีครับ”

   “เอามาอย่างละชิ้นก็แล้วกัน”

   “ครับ รอสักครู่นะครับ” พนักงานเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มกับคุกกี้ให้กับเขา ฝู่หยงเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนที่จะลงมือชงเครื่องดื่มต่อไป

   “ผมต้นครับ ไม่ทราบว่าโต๊ะของผม โต๊ะไหนครับ” พนักงานพาคนมาใหม่ที่ไม่ต้องต่อคิวเหมือนอย่างเขาขึ้นไปยังโต๊ะตัวที่เขาถามเมื่อครู่นี้

   นายคนนี้ดูท่าทางเหมือนพนักงานออฟฟิตทั่วไป ไม่เหมือนบอดี้การ์ด หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดเรื่องที่มาที่ไปของร้านนี้ เขาเฝ้าสังเกตฝู่หยงตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่ เขาสบตากับฝู่หยงหลายต่อหลายครั้ง จนเขาเองต้องแปลกใจ ทั้งที่เขาไม่ได้มีพิรุธอะไร ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่า ฝู่หยงรู้ตัวว่ากำลังโดนเขาจับตามองอยู่

.........................................................................

   เมฆเข้ามาที่ออฟฟิตของเจ้เปิ้ล เพื่อส่งงานตามที่รับปากไว้ เมื่อมาถึงเขาก็เจอยัยโอ๋นั่งอยู่ที่โต๊ะรับรองแขกหน้าห้องของเจ้เปิ้ล เขาจึงเดินเข้าไปทักทาย

   “ช่วงนี้ฉันเจอแกที่นี่บ่อยนะ ยัยโอ๋ ไม่มีกองไหนเขาจ้างงานแกรึไง”

   “ปากเสียนะอิเมฆ ฉันมาที่นี่เพราะเจ้เปิ้ลนัดฉันมาหรอกน่า”

   “เจ้เปิ้ลมีงานหรอ แล้วใครเป็นช่างภาพล่ะ แกพอรู้ไหม?”

   “ไม่ใช่งานถ่ายภาพนิ่ง งานแฟชั่นโชว์ต่างหาก”

   “อ่อ อย่างนั้นหรอ?”

   “อืม”

   “แกได้เป็นช่างแต่งหน้างานนี้ด้วยหรอ พัฒนาขึ้นนี่หว่า...”

   “ไม่ใช่หรอก งานใหญ่ ๆ แบบนี้ทางแบรนด์เขาใช้ช่างแต่งหน้าระดับประเทศเท่านั้นย่ะ”

   “อ่าวแล้วแกมาทำไม”

   “ก็ฉันมารับบรีฟงานแทนน้องโบตั๋นน่ะสิ”

   “อย่าบอกนะว่าแกเป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้องโบตั๋นจริง ๆ”

   “ไม่ใช่เฉพาะน้องโบตั๋นเท่านั้นนะ น้องหยกของฉันก็ด้วย”

   “เฮ้ย...จริงดิ!!”

   “ฉันจะโกหกแกให้ได้อะไรขึ้นมา”

   “เอ่อๆๆ ก็แค่ไม่คิดว่าน้องหยกจะรับงานอีกน่ะ”

   “ให้รู้ซะมั่งว่าฉันเป็นใคร”

   “ถ้าฉันมีงาน ฉันติดต่อน้องหยกผ่านแกได้ใช่ไหม”

   “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ แกไม่รู้อะไร ตอนนี้ฉันสนิทกับบ้านนี้เขาจะตาย คุณหงส์เธอก็ใจดี....”

   เมฆฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ขณะที่โอ๋พูดพร่ามไปเรื่อย เขาเองก็คิดแผนการอะไรขึ้นมาได้

.........................................................................

   พยัคฆ์สอบถามเรื่องของคนในตระกูลฝู่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในฮ่องกงจากเหล่าฝู่ จึงได้รู้ว่า คนส่วนใหญ่ที่ยังทำงานอยู่ในบริษัทฯ ล้วนเป็นลูกหลานของคนเก่าคนแก่ ที่รับใช้ตระกูลนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับสามพี่น้องฝู่เลย

   แต่เพราะว่าตระกูลฝู่มีบุญคุณและไม่เคยทอดทิ้งบริวารของตนแม้แต่คนเดียว ทำให้คนที่ทำงานอยู่ตอนนี้ล้วนทำงานด้วยใจภักดิ์ และหวังให้ทายาทที่แท้จริงกลับไปสืบทอดธุรกิจของตระกูลและกอบชื่อเสียงในด้านดีๆ กลับคืนมา

   “เพราะเหตุนี้ใช่ไหมครับเหล่าฝู่ ทำให้ทุกคนยังคงตามหาหงส์กันอยู่ ทั้ง ๆ ที่สามารถแจ้งทางการได้ว่าหงส์หายสาบสูญไปแล้วก็ได้”

   “ใช่แล้ว พวกจุ้ยเองก็พยายามจะหุบกิจการทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีเมฆาขาว พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้”

   “แต่ถ้าพวกมันปลอมแปลงเอกสาร ก็...”

   “มันปลอมไม่ได้หรอก เพราะถึงปลอมยังไง ก็ไม่สามารถปลอมลอยประทับจากเมฆาขาวได้”

   “การที่จะลอกลวดลายปั๊ม ก็แค่หาตราประทับเก่าๆ มาลอกเลียนก็ได้ไม่ใช่หรือครับ”

   “คุณจำได้ไหมว่าเมฆาขาวดูดซับเลือดของคุณตระกูลฝู่”

   “ครับ ผมจำที่อาชาติเล่าได้”

   “ดังนั้น เมฆาขาวทั้ง 3 ชิ้น เมื่อจุ่มลงในน้ำผึ้งอุ่น ๆ แล้วเอาไปประทับบนกระดาษ มันก็จะเกิดตราประทับสีฟ้าครามที่ไม่สามารถลอกเลียนสีหมึกได้”

   “แค่จุ่มกับน้ำผึ้งอุ่นนี่นะครับ?” เป็นไปได้ยังไงที่แค่น้ำผึ้งจะทำให้เกิดสีหมึกขึ้นมา

   “ใช่แล้วล่ะ”

   “เหลือเชื่อจริง ๆ”

   “สีไม่ได้เกิดจากน้ำผึ้งหรอกนะ”

   “สีนั่น!!...สีที่เกิดขึ้นมันมาจาก...”

   “เลือดของคนสกุลฝู่”

   “ถ้าพวกจุ้ยแย่งเมฆาขาวไปได้ ก็จะสามารถปลอมเอกสารได้”

   “ใช่แล้ว และทายาทต้องเป็นคนประทับตราเท่านั้นนะ เพียงแต่พวกนั้นไม่รู้เรื่องนี้และเรืองสีของหมึก ถึงพยายามลอกเลียนสีแค่ไหน ก็ไม่เหมือน พวกมันคิดว่าเราใช้สีสูตรพิเศษ”

   “แต่การที่แม่ของหงส์ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ พวกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตามหาหงส์หรือเมฆาขาวก็ได้นี่ครับ ตามกฏหมายทรัพย์สมบัติก็จะตกเป็นของทายาทที่ใกล้ชิด ไม่ใช่หรือครับ”

   “ไม่ใช่ว่าอีไม่อยากทำ แต่อีทำไม่ได้ต่างหาก และการที่อีไม่สามารถทำพินัยกรรมได้ ก็ต้องยึดเอาพินัยกรรมฉบับก่อนหน้าเป็นหลัก”

   “พินัยกรรมฉบับก่อนหน้า”

   “ทายาทสกุลฝู่ทุกรุ่น เมื่ออายุครับ 25 ปี ต้องทำพินัยกรรมเอาไว้”

   “แล้วทำไมแม่ของหงส์ถึงทำพินัยกรรมไม่ได้”

   “อีไม่สามารถทำรอยประทับจากเมฆาขาวได้ยังไงล่ะ”

   “เพราะเมฆาขาวไม่รับเลือดแม่ของหงส์”

   “ใช่”

   “หงส์รู้เรื่องนี้ไหมครับ”

   “รู้”

   “ผมสงสัย ว่าทำไมต้องรอให้อายุครบ 25 ปี ถึงจะทำพินัยกรรมได้”

   “คนเก่าคนแก่เล่าขานกันมาว่า ทายาทที่อายุครบ 25 ปี เมื่อประทับตราจากเมฆาขาว สีถึงจะปรากฎออกออกมาให้เห็น”

   “แสดงว่าตอนนี้ หยกและโบตั๋น ไม่สามารถสร้างตราที่เกิดจากเมฆาขาขึ้นมาได้”

   “ใช่แล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้น ที่หงส์เร่งเดินทาง เพราะต้องการจะไปจัดการเรื่องพินัยกรรม”

   “ใช่ เพราะถ้าพ้นปีนี้ไปแล้ว นายน้อยก็จะอายุครับ 25 ปี ทางจุ้ยก็จะยิ่งต้องการตัวนายน้อยมากกว่าเดิมเป็นแน่”

   “แต่ทางนั้นไม่เรื่องเรื่องความวิเศษของเมฆาขาวนี่ครับ”

   “คุณหนูใหญ่ถึงต้องรีบจัดการอะไรต่อมิอะไรในตอนนี้ยังไงล่ะ”

   “ถ้าหงส์ทำพินัยกรรมขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลงอย่างนั้นหรอครับ”

   “อืม...ใช่แล้ว เมื่อคุณหนูใหญ่ตัดสินใจอะไรลงไป ทางจุ้ยก็ไม่สามารถขัดขืนได้”

   “ถ้าเป็นแบบนั้น อันตรายก็จะตกมาอยู่ที่หงส์สิครับ”

   “ไม่หรอก เมื่อหงส์จัดการทุกอย่างเสร็จ อำนาจของตระกูลก็จะกลับคืนมาที่จุดศูนย์รวมดังเดิม”

   “แล้วคนอื่น ๆ ของฝู่ล่ะครับ”

   “พวกเราทำหน้าที่ของเราเพื่อตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นไม่ว่าทายาทคนไหนจะตัดสินยังไง พวกเราก็น้อมรับ และพร้อมจะทำตาม”

   พยัคฆ์ได้ฟังเหล่าฟู่เล่าก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ ทั้งยังปลื้มใจแทนพี่น้องทั้งสามที่คนภักดิ์กับพวกเขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้พบหน้ากับมากว่า 20 ปี ระหว่างที่คุยกับเหล่าฝู่อยู่ ข้อความจากแอพพลิเคชั่นก็เด้งขึ้นมา

   Yok : พี่เสือ

   Yok : มีคนจับตามองหยกอยู่

   พยัคฆ์อ่านข้อความยังไม่ทันจบดี ก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทันที เขายังไม่ทันพูดอะไรออกมา เหล่าฝู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ เขาจึงรีบออกจากตึกตรงไปยังจุดที่เขาจอดรถอยู่ทันที

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-01-2018 02:27:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-01-2018 09:12:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 08-01-2018 10:48:36
เข้มข้นสนุกมากกกก  :mew1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-01-2018 16:11:53
 :a2:
เอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: หยก 08-01-18 {{:::43:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-01-2018 20:58:35
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 09-01-18 {{:::44:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-01-2018 23:11:11
44

   ผมรู้สึกไม่ดีกับลูกค้าฝรั่งคนนั้น ถึงแม้ว่าผมจะเห็นพี่ต้นเข้ามาในร้านแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ความรู้สึกของผู้ชายคนั้น มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมถูกวางยา ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่น แต่มันก็ไม่พ้นสายตาพี่แหม่มไปได้ พี่แหม่มเลยให้ผมหลบเข้ามาพักที่ห้องแต่งตัว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

   Yok : พี่เสือ

   Yok : มีคนจับตามองหยกอยู่

   ผมเห็นพี่เสืออ่านแล้ว แต่ไม่มีข้อความตอบกลับมา ผมรู้ว่าผมอธิบายเป็นข้อความไม่ชัดเจน แต่ผมกลัวเกินกว่าจะพิมพ์ข้อความอะไรลงไปเพิ่ม ใช่ครับ ผมกลัว!! ผมรู้ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขนาดจะต้องพึ่งพาคนอื่นมากขนาดนี้มาก่อน ผมกลายเป็นคนกลัวโน่นกลัวนี่ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน? เสียงประตูห้องแต่งตัวถูกเปิดออก เรียกสติผมกลับคืนมา เอ็มกับก๊องเดินตรงเข้ามาหาผม ผมรับรู้ถึงความเป็นห่วงของคนทั้งสอง

   “หยก เป็นอะไรรึป่าว?” อาร์ทถามทั้งที่ยังก้าวไม่ถึงตัวผม

   “ใช่ ไม่สบายตรงไหนบอกเราได้นะ หยกหน้าซีดมากเลย”

   “เรา...หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ” ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริง

   “ตัวก็ไม่ร้อน” เอ็มเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผมเล็กน้อย ถึงตกใจแต่ก็ไม่ได้ถอยหนีมือนั่น “แต่ทำไมมือเย็นแบบนี้ล่ะ”

   “เราพักแป๊บเดียว เดี๋ยวคงหาย”

   “ก๊อง มึงอยู่เป็นเพื่อนหยกที่นี่แล้วกัน กูจะกลับเข้าไปทำงานในครัวก่อน”

   “ได้ เดี๋ยวกูดูแลหยกเอง”

   “ก๊อง พี่ต้น?”

   “อ่อ คุณคนที่มาใหม่นั่นหรอ?”

   “เขาคงห่วงเราอยู่”

   “เดี๋ยวเราขึ้นไปบอกเขาให้”

   “บอกแค่ว่าเราพักเบรคก็พอนะ”

   “ได้ งั้นเดี๋ยวเรามานะ”

   พอก๊องออกไปแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ไม่มีข้อความจากพี่เสือ ผมจะอธิบายยังไงเพิ่มดี พี่เสือถึงจะเข้าใจผม

   Yok : หยกกลัว

   ผมพิมพ์ข้อความที่แสดงความรู้สึกตอนนี้ของผมส่งไป ถึงไม่อยากยอมรับความอ่อนแอที่เกิดกับผมในช่วง 3-4 เดือนมานี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยอมรับก็คือ ผมรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจทุกครั้งที่พี่เสืออยู่ใกล้

.........................................................................

   ต้นเพิ่งจะเข้ามานั่งในร้านที่คุณหยกทำงานเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีแต่ตามคุณพยัคฆ์อยู่ห่าง ๆ เพื่อคอยสังเกตว่ามีใครลอบมองคนทั้งสองอยู่รึป่าว จนกระทั่งวันนี้ถึงได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า คุณหยกมีแฟนคลับมากแค่ไหน จากคำบอกเล่าของคี คุณหยกมีคนติดตามไอจีอยู่เป็นแสนเป็นล้านอย่างกับซุปตาร์

   ตอนที่คุณหยกเดินเข้าไปหลังร้านกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งน่าจเป็นคุณแหม่มผู้จัดการร้าน แค่คุณหยกหายไปเพียงไม่กี่นาที ลูกค้าในร้านก็ต่างร้องโอดครวญพากันเสียดายกันเป็นการใหญ่ เขามองรอบ ๆ ร้านสักพักโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่น หน้าจอแสดงชื่อ คุณพยัคฆ์

   “ครับ”

   “นายอยู่ที่ร้านแล้วใช่ไหม?”

   “ครับ”

   “ที่ร้านมีอะไรผิดปกติรึป่าว?”

   “ตั้งแต่ผมเข้ามาที่ร้านนี้ ผมว่ามันก็ผิดปกติสำหรับผมไปซะทุกอย่าง”

   “เอาให้มันดี ๆ ไอ้ต้น”

   “ขอโทษครับ รวม ๆ แล้วทุกอย่างก็ไม่มีอะไรสังเกตครับ ส่วนคุณหยกน่าจะเข้าไปพักหลังร้าน” ระหว่างที่เขาตอบ พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดที่น้าโต๊ะเขา รีๆ รอๆ เหมือนอยากจะบอกอะไร คงจะติดที่เขาคุยสายอยู่กับคุณพยัคฆ์ เลยไม่กล้าที่จะพูดแทรกขึ้นมา “สักครู่นะครับ พอดีมีพนักงานเดินขึ้นมาหาผมบนนี้”

   “ใคร ก๊องรึป่าว”

   “นายชื่อก๊องรึป่าว”

   “ครับ ผมเอง”

   “ส่งสายให้ฉันคุยกับเขาหน่อย” พอสิ้นคำสั่ง ต้นก็ส่งโทรศัพท์ของตนให้พนักงานคนนั้น เขาเห็นก๊องรับไปก่อนหมุนตัวหันหลังให้ราวกันตก จากนั้นก็รับฟังเพียงอย่างเดียว เมื่อฟังจบพนักงานคนนั้นก็ส่งโทรศัพท์คืนให้กับเขา

   “เดี๋ยวผมขึ้นมาใหม่นะครับ ขอตัวสักครู่”

   ต้นได้แต่สงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นและเจ้านายเขาคุยและสั่งอะไรพนักงานคนนั้นแน่ ๆ รางสังหรณ์บอกเขาว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เขาจึงต้องจับตามองคนในและนอกร้านอีกครั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน

.........................................................................

   ก๊องที่ได้คุยโทรศัพท์กับพี่เสือแล้ว ก็รีบเดินมาหาพี่แหม่มที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ตามคำสั่งของพี่เสือ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเชื่อพี่เสือด้วย แต่เขาก็เลือกที่จะทำตามเพื่อหยก!!

   “พี่แหม่มครับ”

   “อ่าว? ไหนเอ็มบอกว่าแกอยู่เป็นเพื่อนหยกอยู่ข้างในไม่ใช่หรอ?”

   “ตอนแรกก็ใช่แหละพี่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่”

   “พูดจาวกไป วนมาอยู่นั่น แล้วนี่ยังไง มาเรียกฉันมีเรื่องอะไร”

   “ช่วยลางานให้หยกหน่อยครับ แจ้งพี่กันต์ให้ผมที”

   “หยกไม่สบายมากเลยหรอ?”

   “ผมไม่รู้หรอกครับว่าหยกอาการไม่ดีรึป่าว แต่พี่เสือสั่งมาครับ”

   “ได้ ๆ เดี๋ยวพี่จัดการให้” พี่แหม่มรับปากแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา เขาจึงก็ยืนบังเพื่อไม่ให้ลูกค้าเห็นว่าพี่แหม่มคุยอะไร ตามคำสั่งของพี่เสือ “เรียบร้อย คุณกันต์อนุญาตให้หยกกลับบ้านได้”

   “งั้นผมไปบอกหยกก่อนนะครับ”

   “แล้วหยกจะออกจากร้านยังไงล่ะวันนี้ ต้องให้ฉันหรือคุณกันต์ไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้าไหม?”

   “พี่เสือกำลังมาครับ” ก๊องพูดจบก็เดินกลับขึ้นไปบอกคุณต้นเล็กน้อย ก่อนที่จะไปอยู่เป็นเพื่อนหยกดังเดิม

.........................................................................

    พยัคฆ์ร้อนใจมาก เขาขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อมาถึงที่ร้านให้เร็วที่สุด ข้อความที่แสดงอยู่ที่หน้าจอแว๊บหนึ่งก่อนเขาจะโทรหาต้น มันเป็นข้อความที่ทำให้เขาแทบบ้า หยกกลัว การที่หยกยอมรับออกมา มันยืนยันได้ว่าหยกรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย ในที่สุดเขาก็จอดเราเข้ามาถึงลานจอดหลังร้าน

   เขาลงจากรถแล้วก้าวยาว ๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งเข้าไปทางด้านหลังร้าน ห้องเดียวที่พนักงานจะพอพักได้คือห้องแต่งตัว เขาจึงรีบก้าวยาว ๆ เข้าไปในนั้น เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป น้องหยกก็พุ่งตัวเขามาหาเขาทันที จนเขาเกือบตั้งรับไม่ทัน เขาเหลือบมองสายตาตกใจของก๊องเล็กน้อย

   “หยก ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่”

   “ความรู้สึกนั่นมัน เขายังอยู่”

   “ใคร?”

   “ฝรั่งคนนั้น”

   “ไม่เป็นไร เรากลับบ้านกันนะ พี่พาหยกกลับไปพักผ่อนก่อน นะครับ” หยกพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ขอบใจนะก๊อง” เขาบอกคนที่ยืนหน้าเหว๋อยู่หน้าล็อกเกอร์ ก่อนประคองพาหยกเดินออกมาทางหลังร้าน เมื่อขึ้นรถได้เขาก็เคลื่อนรถออกไป มือข้างหนึ่งก็กุมมือบางที่เย็นเฉียบเอาไว้ตลอดทาง โดยยังไม่ซักถามอะไร จนกระทั่งถึงบ้านของเขา

   เขาพาหยกขึ้นมาส่งที่ห้องนอน หยกดูผ่อนคลายมากขึ้น เขาจูงหยกให้นั่งลงบนเตียง โดยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ กุมมือน้อยทั้งสองไว้ ตอนนี้มันเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว

   “พี่ขอโทษ ที่พี่ไม่ได้ตอบข้อความของหยก”

   “...”

   “กลัวมากไหมครับ”

   “...” หยกพยักหน้า น้ำตาเริ่มคลอ จนเขาต้องรวบร่างนั้นเข้ามากอดเอาไว้

   “พี่อ่านข้อความของหยกจบ พี่ก็ออกมาจากร้านเหล่าฝู่ทันที โดยที่ยังไม่ได้กล่าวลาเหล่าฝู่ด้วยซ้ำ พี่เป็นห่วงหยกมากเลยนะ”

   “พี่เสือ...เข้าใจหยกหรอครับ”

   “พี่เข้าใจ พี่ขอโทษที่มาช้า ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนนั้น”

   “เขา...ทำให้หยกนึกถึงคนคนนั้น กับพี่เมฆ”

   “เขาอยากทำร้ายหยกหรอ?”

   “หยกรู้สึกเหมือนกับว่า...เขาจะเอาตัวหยกไป” เขารู้ว่าความหมายของประโยคนี้ คนๆ นั้นต้องเป็นคนที่ตระกูลจุ้ยส่งมาแน่นอน ครั้งแรกก็ลตา ครั้งนี้ตระกูลจุ้ย ที่หยกจับความรู้สึกของลตาไม่ได้ คงเป็นเพราะเธอมาเพื่อดูว่าหยกอยู่ที่นี่จริง ๆ รึป่าว

   “หยกนอนพักผ่อนก่อนไหม พี่จะไปคุยกับอาชาติ”

   “หยกไม่อยากหยุดงานที่ร้านพี่กันต์นะ” หยกดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา

   “ไม่กลัวแล้วหรอครับ ถ้าคน ๆ นั้นกลับมาอีก”

   “...”

   “โอเคครับ เอาเป็นว่า พี่จะอยู่ข้าง ๆ หยกตลอดเวลาดีไหม?” หยกพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย เขาก้มลงจูบเบา ๆ ลงที่หน้าผากของหยก “พักก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่มานะ”

   พยัคฆ์พูดจบก็เดินออกจากห้องของหยกไป อาชาติมารอเขาอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องแล้ว คงได้ยินเสียงรถของเขาที่แล่นเข้ามา

   “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

   “ครับ ผมเดาว่าคนของจุ้ยอั้ยเตอ คงมาอยู่ที่นี่แล้ว หยกสัมผัสได้ถึงพวกนั้น”

   “คนที่มาเป็นใคร คุณเสือพอจะรู้ไหม?”

   “หยกบอกว่า เขาเป็นฝรั่งคนหนึ่ง แล้วเมื่อสองวันก่อน ผมก็เจอฝรั่งเข้ามาทานอาหารที่ร้าน คนๆ นั้นมีกลิ่นอายของชาวเอเชียอยู่ อาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน”

   “จุ้ยอั้ยเตอ รับหลานที่เกิดกับน้องชายและสาวชาวอเมริกันมาเลี้ยงอยู่คนหนึ่ง”

   “อาชาติสังสัยว่าจะเป็นเขา”

   “ใช่ หลานชายจุ้ยอั้ยเตอ จุ้ยเถิง”

   “แสดงว่าตอนนี้พวกนั้นพุ่งเป้ามาที่หยก มากกว่าหงส์แล้วใช่ไหมครับ”

   “อาเองก็ไม่มั่นใจ อาไม่อยากให้คุณประมาท ทั้งหงส์และโบตั๋นยังคงเสี่ยงอยู่ดี”

   “มะรืนนี้อาเดินทางกันตอนไหนครับ”

   “เที่ยวบินของอาเจ็ดโมงเช้า ของโบตั๋นสิบเอ็ดโมง”

   “พรุ่งนี้หยกไม่ได้ไปร้าน ผมกังวลว่า คุณลตาอาจจะมาสืบดูที่นี่”

   “อาเห็นด้วย อาเชื่อว่าคนอย่างคุณลตา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็นคุณในวันนั้น”

   “แล้วอีกอย่างที่ผมสงสัย พวกนั้นเข้ามาหาหยกตอนที่ผมไม่อยู่ อาจจะเป็นไปได้ไหมว่า พวกนั้นรู้จักผม”

   “อาว่าไม่นะ แต่อาเชื่อว่าพวกนั้นอาจจะคอยจับตามองคุณอยู่”

   “วันนี้ที่ผมไปหาเหล่าฝู่ พวกมันจะรู้เรื่องนี้ไหมครับ”

   “อาจะบอกเหล่าฝู่ให้ระวังตัวแล้วกัน”

.........................................................................

   ผมนอนไม่หลับ ในหัวของผมยังคงวนเวียนถึงความรู้สึกของฝรั่งคนนั้น เขาไม่ได้อยากจะกินผมหรือขังผมเหมือนอย่างความรู้สึกของพี่เสือในช่วงแรกที่เรารู้จักกัน เขาไม่ได้รู้สึกสะใจ สมน้ำหน้าผมเหมือนความรู้สึกของพี่เมฆ เขาไม่ได้รู้สึกอยากได้ร่างกายผมอย่างนายคนนั้น เขาแค่ต้องการจะเอาตัวผมไป พรากผมไปจากคนที่ผมรัก พรากไปจากสถานที่ที่ผมคุ้นเคย เอาตัวผมไปประดับเหมือนผมเป็นเพียงตุ๊กตา ความรู้สึกนี้มันช่างน่ากลัว น่ากลัวจนผมนอนไม่ไหลับ

   ถ้าตอนนี้ผมอยู่ที่บ้าน ผมคงเข้าไปขอนอนกับเจ่เจ้และโบตั๋น แต่ที่นี่ บ้านพี่เสือกับอากร คนที่ผมจะไปนอนด้วยได้ก็มีแต่เจ็กลู่ ที่นอนอยู่ห้องเดียวกับอากร แค่ที่ผมมาพักอยู่ที่นี่ผมก็เกรงใจอากรจะแย่แล้ว จะขอให้นอนด้วยคงไม่ดี ผมยังคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู

   “พี่เอานมอุ่น ๆ มาให้ หยกจะได้หลับสบาย” ผมเบี่ยงตัวหลบให้พี่เสือเดินเขามาในห้อง พี่เสือวางแก้วนมไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง

   “พี่เสือ...อยู่เป็นเพื่อนหยกก่อนได้ไหมครับ”

   “ยังคิดมากอยู่ใช่ไหม?”

   “หยกแค่...นอนไม่หลับ”

   “มานั่งนี่มา” พี่เสือนั่งลงบนเตียง และตบลงบนฟูกข้าง ๆ ตัว ให้ผมเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ “ดื่มนมอุ่น ๆ เดี๋ยวก็หลับครับ” พี่เสือยกแก้วนมยื่นให้ผม ผมก็รับมาและจิบไปเล็กน้อย พี่เสือเอื้อมมือมากุมมือที่ผมถือแก้วนมไว้ ถึงแก้วนมจะอุ่น แต่มันก็อุ่นไม่เท่ากับมือพี่เสือเลย

   “พี่เสือ...”

   “ครับ”

   “คืนนี้...พี่เสือนอนเป็นเพื่อนหยกได้ไหม” สายตาพี่เสือดูแปลกใจ และมันก็มาพร้อมกับความรู้สึกอึดอัดที่ผมสัมผัสได้ “หยก...ทำให้พี่เสืออึดอัดอีกแล้ว”

    “เฮ้อ...แล้วหยกจำได้ไหมว่าพี่อึดอัดเพราะอะไร” ผมพยักหน้า “แล้วหยกไม่กลัวพี่หรอครับ” ผมส่ายหน้า “แล้วหากมันเกิดอะไรขึ้น หยกจะโกรธพี่ไหม?” ผมก็ยังคงส่ายหน้า “หยกมั่นใจนะ” ผมพยักหน้า “เฮ้อ...”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 09-01-18 {{:::44:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-01-2018 23:25:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 09-01-18 {{:::44:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-01-2018 00:05:16
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 09-01-18 {{:::44:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-01-2018 08:00:02
แผนพี่เสือป่ะเนี่ย มีการทำทางเล็ก ๆ ให้ตัวเองพร้อม ฮา
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-18 {{:::45:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-01-2018 23:20:11
45

   พยัคฆ์ได้แต่นั่งจ้องหน้าน้องหยกนิ่ง ๆ หมดคำถาม หยกเองก็เหมือนจะรอคำตอบจากเขาอยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีผู้หญิงชวนเขาขึ้นเตียงด้วยแบบนี้แล้วล่ะก็ เขาคงตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมากมายขนาดนี้ น้องหยกดึงมือข้างหนึ่งที่ถูกเขากุมเอาไว้ออกมา แล้วลูบที่หลังมือของเขาเบา ๆ เหมือนจะปลอบให้คลายกังวล

   “หยก...ขอโทษ...ที่ทำให้พี่เสือลำบากใจ” หยกก้มหน้าก้มตาตอบ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจ

   “ก็ได้ครับ แต่หยกต้องดื่มนมให้หมดก่อนนะ” เขาปล่อยมือจากน้องหยก เห็นคนตรงหน้าเป็นแบบนี้แล้ว เขาจะไม่ใจอ่อนได้อย่างไร น้องพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนยกแก้วนมขึ้นมา ค่อย ๆ ดื่มจนหมด เขารับแก้วคืนมาแล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง “ขึ้นไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวพี่ปิดไฟให้”

   น้องหยกค่อย ๆ คลานขึ้นไปนอนบนเตียง มุดตัวลงไปใต้ผ้าห่มแต่ยังคงนอนตะแคงมองเขาตาแป๋ว ราวกับกลัวว่าเขาจะเดินหนีออกจากห้องไป เขาเดินไปปิดไฟข้างประตูก่อนก้าวขึ้นไปบนเตียง แล้วขยับเข้าไปล้มตัวลงนอนข้างๆ น้องหยก

   “ขอบคุณครับ” หยกเอ่ยออกมาเบา ๆ แต่ยังคงมองมาที่เขา

   “พี่นอนเป็นเพื่อนแล้วนะ  หลับได้แล้วครับ?”

   “...” หยกพยักหน้าน้อย ๆ

   “ก็หลับตาสิครับ” เมื่อน้องหยกหลับตาลง เขาเองก็อดใจไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้ ๆ และจูบเบา ๆ ลงบนเปลือกตาคนที่นอนข้าง ๆ  น้องหยกคงตกใจ จึงลืมตาขึ้นทันที

   “พี่เสือ...” แววตาของหยกที่จ้องมองเขาอยู่ในความมืด แต่กลับสว่างไสวในสายตาของเขา แววตาที่แสดงอารมณ์หลายหลาย

   “ครับ” เขาขานรับราวกับละเมอ หยกค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาจูบปลายคางเขาเบา ๆ ก่อนจะซุกหน้าลงกับอกของเขา พยัคฆ์สอดมือข้างหนึ่งเข้าใต้ศีรษะให้น้องหยกหนุนแทนหมอน อีกข้างก็โอบกอดไว้อย่างหลวม ๆ

   “หยก...ไม่อยากจากทุกคนไป” หยกพูดเสียงอู้อี้อยู่กับหน้าอกของเขา

   “หยกก็ไม่ได้ไปไหนนี่ครับ” เขากอดกระชับร่างในอ้อมแขนเข้าหาตัว

   “หยกรู้สึกเหมือนว่าเขาจะต้องเอาหยกไปให้ได้จริง ๆ”

   “หยกไม่ใช่สิ่งของนะ ไม่มีใครบังคับพาหยกไปได้หรอกนะครับ เชื่อพี่นะ” พยัคฆ์ดันตัวหยกออกห่าง เพื่อจะได้เห็นใบหน้าของคนในอ้อมแขน ตาแดง ๆ ที่เขาเห็น มุมอ่อนแอที่เขาได้เห็น “ไม่ต้องกลัวนะครับ” เขาไล้นิ้วเพื่อเกลี่ยหยดน้ำตาที่หางตาออกให้ แล้วก็ก้มลงจูบซํบน้ำตาอีกครั้ง เขาไล้ริมฝีปากไปตามหางตา โหนกแก้ม ปลายจมูก และมาจบลงที่ริมฝีปากนุ่ม

   หยกเองก็ยกมือขึ้นมาโอบรอบคอของเขาไว้ รั้งให้เข้าหา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหยกก็ต้องการเขาเช่นกัน เขาละจากริมฝีปากนุ่มมายังติ่งหู ไล้ลงมายังซอกคอ เขาพรมจูบไปทั่วลำคอขาวนั้น หยกไม่ได้ขัดขืนหรือขยับหนี เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งก็ล้วงลงไปใต้เสือยืดพอดีตัวของโบตั๋น ลูบไล้ผิวลื่นขึ้นไปจนสัมผัสถูกติ่งเนื้อนุ่มนิ่ม เขากดคลึงได้ไม่นาน มันก็แข็งสู้มือเขา

   “อ๊า...พี่เสือ” เสียงครางของหยกมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเลิกเสื้อยืดตัวบางขึ้นมาเพื่อให้เห็นเม็ดทับทิม ที่ครั้งหนึ่งเขาได้ลิ้มลองมาแล้ว

   “ถ้าหยกกลัว ก็บอกให้พี่หยุดได้นะครับ” เขาถามขณะที่ไล้ริมฝีปากจากซอกคอลงไปยังยอดอกสีหวาน ไม่มีคำตอบจากปากของน้องหยก เขาจึงลิ้มชิมรสเม็ดทับทิมนั่นอีกครั้ง มืออีกข้างก็ไล้ลงมาที่ยอดอดอีกข้าง มือก็สัมผัสไล้ไปทั่วเรือนร่างบาง มือและริมฝีปากที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ทำให้คนใต้ร่างครางออกมาพร้อมบิดกายไปมา เสียดสีกับร่างกายของเขา

   “หยก...” พยัคฆ์กัดฟันครางออกมา ก่อนขยับใบหน้าขึ้นไปประกบริมฝีปากบางนั่นอีกครั้ง เพื่อตักตวงความหวานในโพรงปากเล็ก เขาส่งมือข้างหนึ่งลงไปทักทายหยอกล้อหยกน้อยที่ตื่นตัวเต็มที่ ก่อนจะพามาแนะนำให้รู้จักกับเสือน้อยของเขา 

   “อ๊า...พี่เสือ...หยก...อ๊า...”

   “อีกนิดนะ” เขาใช้มือรวบทั้งหยกน้อยและเสือน้อยเอาไว้ด้วยกัน ก่อนขยับมือขึ้นลงเป็นจังหวะ และค่อย ๆ เร่งขึ้นทีละน้อย “พร้อมกันนะครับ...อ๊า...” หยกกอดรัดร่างเข้าไว้แน่น จนกระทั่งร่างนั้นกระตุกน้อย ๆ น้องหยกมองเขาตาปรือ มันช่างเย้ายวนให้หลงใหล เหงื่อที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า กับจังหวะหายใจที่หอบกระเซ่า

   “ถ้าหยกไม่หยุดมองพี่ด้วยสายตาแบบนี้ พี่อาจจะบังคับตัวเองให้หยุดแค่ตรงนี้ไม่ได้แล้วนะ” เขาเอ่ยออกมาเสียงแหบพร่า น้องหยกหน้าแดงระเรื่อก่อนเบนหลบสายตาเขา “ไปล้างตัวพร้อมกันไหมครับ” เขาเอ่ยอย่างหยอกล้อ หยกส่ายหน้าตกใจ

   “หยกจัดการของหยกได้ เอ่อ...พี่เสือไปใช้ห้องน้ำพี่เสื่อก่อนนะ” หยกขยับลงจากเตียงไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เขาค่อย ๆ ข่มอารมณ์ของตัวเองให้สงบลงอย่างช้า ๆ

.........................................................................

   กว่าเพ็ญนภาจะเข้ามาถึงบ้านของหงส์ ก็สายมากแล้ว เลยเวลาที่นัดกันไว้ร่วมชั่วโมง เมื่อเธอจอดรถหน้าบ้านเรียบร้อย ยังไม่ทันลงจากรถ โบตั๋นก็เดินออกมารอเธอที่หน้าบ้านแล้ว

   “พี่ภา ไปเลยไหมค่ะ หรือจะเข้าบ้านก่อน” โบตั๋นตะโกนถามมาจากหน้าบ้าน เธอจึงลดกระจกบริเวณที่นั่งข้างคนขับลง

   “หงส์ล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลยก็ได้จ้า”

   “เจ่เจ้ ไปกันเถอะคะ พี่ภารออยู่”

   เพ็ญนภารอสองสาวปิดบ้าน และเดินออกมาขึ้นรถของเธอ เพื่อเดินทางไปยังบ้านของวรากร เมื่อหงส์และโบตั๋นขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเคลื่อนรถออกมา โดยมีรถคันหนึ่งขับนำขึ้นหน้าไปก่อน

   “ตัวเก็บของเตรียมเดินทางรึยัง”

   “หงส์จัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ”

   “พรุ่งนี้พี่ต้นจะมารับเจ่เจ้ตอนเช้าค่ะ” โบตั๋นรายงาน พร้อมมองไปยังรถคันหน้า

   “แล้วคุณวรากรกับเจ็กลู่ล่ะ?”

   “อากรจะขับรถไปเอง แล้วไปเจอกับหงส์ที่สนามบินจ๊ะ”

   “ส่วนของตั๋นพี่คีกับพี่เก่งจะมารับไปพร้อมกันตอน 9 โมงค่ะ”

   “แล้วทางตัวล่ะ เห็นเมื่อวานบอกหงส์ว่ามีนัดคุยกับคุณเปิ้ลนี่”

   “คุยเรียบร้อยแล้วล่ะ เลยมารับตัวกับน้องสายอย่างนี้ไง แต่ก็เป็นตามแผนที่พวกเราวางไว้ ภาเล่าเรื่องของพวกเราให้คุณเปิ้ลกับคุณโอ๋ฟังแล้ว ทั้งสองยอมร่วมมือกับเราหลอกนายเมฆ ตอนนี้นายเมฆมาคอยเกาะแกะคุณโอ๋อยู่ เพื่อหาทางเข้าหาหยก”

   “พี่เมฆนี่กัดไม่ปล่อยจริง ๆ น่าจะจัดการซะให้เข็ด”

   “เราต้องใจเย็น ๆ ก่อนนะน้องโบตั๋น ไม่อย่างนั้นจะเสียแผนที่หงส์กับเจ็กลู่วางไว้”

   “ตั๋นรู้ค่ะ แต่มันอดแค้นใจไม่ได้นี่ค่ะ”

   “แล้วทางคุณหญิงล่ะ เป็นยังไงบ้าง เมื่อวานภาออกมาก่อน เลยไม่รู้เลยว่าคุณหญิงว่ายังไงบ้าง”

   “คุณหญิงท่านพอใจกับขนมที่หงส์ทำให้นะ”

   “ภาล่ะตกใจหมดเลย ที่เห็นท่านลงมาหาหงส์ที่สตูดิโอน่ะ”

   “ต่อไปนี้ท่านน่าจะลงมาที่สตูดิโอบ่อยขึ้นล่ะ”

   “แต่หงส์ไม่อยู่สักพักนี่ หงส์บอกท่านรึยัง?”

   “บอกแล้วจ๊ะ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณษามีแนวโน้มจะดีขึ้นนะ อีกหน่อยคุณหญิงคงจะไม่ต้องการหงส์แล้วล่ะ”

   “แม่ของนายเกรียงไกรหรอค่ะ แล้วให้เขาคุยกันมาก ๆ แบบนี้จะดีหรอค่ะ ถ้าคุณหญิงเกิดเข้าข้างตานั่นขึ้นมา เราไม่แย่หรอ” โบตั๋นถามขึ้นมา ด้วยท่าทางกังวลใจ

   “ไม่หรอกจ๊ะ ตั๋นไม่ต้องกังวลไปหรอก ระหว่างที่หงส์ไม่อยู่ ฝากตัวจัดการคนบ้านนั้นด้วยนะ”

   “อ๊ะ!! พี่เก่งขับรถเลยบ้านอากรไปแล้ว”

   “คุณเก่งคงมีงานที่อื่นต่อ อีกอย่างตอนนี้เรากำลังจะเข้าบ้านอากรแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนี่”

   “ตั๋นไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ตั๋นแค่สงสัยว่าพี่เก่งไม่อยู่ร่วมงานฉลองของตั๋นรึไง”

   “เรื่องนี้น้องโบตั๋นคงต้องถามคุณวรากรหรือคุณเสือแล้วล่ะ”

.........................................................................

   วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าทุกวัน ไม่ได้ตั้งใจจะรีบมาเตรียมงานให้กับโบตั๋นหรอกนะ เพียงแต่ผมอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มากกว่า พี่เสือก็ยังคงเป็นที่เสือที่ต้องทนแบกรับความอึดอัดไว้ เพราะความเห็นแกตัวของผม เมื่อคืนกว่าผมจะทำใจออกจากห้องน้ำได้ พี่เสือก็หลับไปแล้ว ไหนจะเรื่องที่ผมซุกตัวเข้าไปนอนในอ้อมกอดของพี่เสือตลอดคืนจนถึงเช้าอีก

   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้พี่เสือทำอะไรๆ ได้อย่างที่พี่เขาต้องการ ถึงแม้พี่เสือจะหยุดมันไว้ได้ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ก็ตาม เป็นผมซะอีกที่ไม่คิดจะหยุดหรือห้ามปรามพี่เสือเลย แค่คิดผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว พี่เสือเขาจะคิดยังไงกับการกระทำของผม

   “คุณหยกค่ะ รายการอาหารที่ต้องซื้อเพิ่ม กล้ามันซื้อกลับเข้ามาเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณหยกจะเตรียมเลยไหมค่ะ?” ป้าลัยเดินเข้ามาพร้อมกับถุงข้าวของในมือ

   “เดี๋ยวค่อยเตรียมก็ได้ครับป้า เออ..แล้วนี่ยังไม่มีใครลงมากันเลยหรอครับ?”

   “ยังเลยค่ะ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่คุณ ๆ จะลงมากัน ป้าว่าวันนี้คุณหยกลงมาเร็วเกินไปมากกว่าค่ะ”

   “อ่อ...ครับ ผมคงลงมาเร็วไปจริง ๆ” ผมมองนาฬิกา ทำไมรู้สึกว่าเวลามันเดินช้าชอบกล

   “กังวลเรื่องงานคืนนี้หรือค่ะ?”

   “ไม่ใช่หรอกครับ”

   “สงสัยเป็นเพราะคุณหยกเข้านอนแต่หัววัน เช้านี้เลยตื่นเร็วกว่าปกติล่ะค่ะ”

   “นั่นสินะครับ”

   “อ่าว คุณเสือลงมาไม่ให้สุ่มให้เสียง ป้าตกใจหมดเลยค่ะ” ผมหันไปมองตามสายตาของป้าลัย พี่เสือยืนพิงกรอบประตูห้องครัวอยู่ พี่เสือมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมถึงสัมผัสความรู้สึกพี่เสือไม่ได้

   “สักพักนึงเองครับ”

   “งั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ อาหารเช้าคุณหยกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

   พี่เสือรอจนป้าลัยออกไปจากห้องครัวแล้วจึงเดินเข้ามาประชิดตัวผม อยู่ ๆ ผมก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว พี่เสือโอบมือสองข้างรอบคอผม ทำให้ผมมองหน้าพี่เขาอย่างตกใจ

   “รีบลงมาจนไม่สังเกตตัวเองเลยหรือไงครับ” พี่เสือกระซิบข้าง ๆ หูผม ก่อนจะผละออกไป พร้อมกับเมฆาขาวที่ห้อยอยู่บนคอผม ผมยกมือขึ้นแตะมันเล็กน้อย ส่วนพี่เสือก็ส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้พร้อมมือหนาที่โคลงศีรษะผมไปมา

   “...”

   “เมื่อกี้เหม่ออะไรอยู่ครับ พี่มายืนอยู่ตั้งนาน เราก็ไม่รู้ตัว คงไม่ได้คิดเรื่องพี่ใช่ไหม?”

   “พี่เสือ!!”

   “ไม่ต้องอายหรอกครับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่เขารักกัน” คนที่รักกัน?

   “เออ..เมฆาขาว”

   “พี่ถอดออกเมื่อคืน” พี่เสือยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ หูผม “ตอนที่หยกสั่นมาก ๆ น่ะ”

   ด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ทำให้ผมใจเต้นแรง จนต้องก้มหลบสายตาของพี่เสืออีกครั้ง แต่พี่เสือกลับคว้าร่างของผมเข้าไปกอด

   “หยกไม่ต้องกังวล ไม่ต้องอาย พี่ไม่อยากให้หยกหลบหน้าพี่แบบนี้ พี่ออกจะดีใจซะอีกที่หยกยอมรับพี่นะ”

   “พี่เสือ...” เหมือนพี่เสือจะรู้ความคิดของผมไปซะทุกเรื่อง

   “มันทำให้พี่รู้สึกว่า พี่เข้าใกล้หยกขึ้นมาได้อีกนิด” ผมซบอยู่ที่อกอุ่นของพี่เสือ ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงขณะที่เขาพูดกับผม

   “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจหยก”

   “มา วันนี้พี่จะเป็นลูกมือหยกเอง ให้พี่ช่วยอะไรก่อนดี” เราผละออกจากกัน พี่เสือเดินตรงไปยังถุงผักที่ป้าลัยเพิ่งเอามาวางไว้ให้ แล้วก็ลื้อ ๆ ผักเหล่านั้นออกมา “เริ่มด้วยล้างเจ้าพวกนี้ก่อนก็แล้วกันนะ” ผมยิ้มให้กับพี่เสือ พี่เสือก็ยิ้มตอบกลับมา ก่อนจะลงมือล้างผักตรงหน้า ใช่แล้ว...ผมรักพี่เสือ...เราสองคนรักกัน

.........................................................................

    โบตั๋นเดินตามหลังหงส์ และเพ็ญนภาเข้ามาในบ้านของวรากร เธอเพิ่งจะเคยเข้ามาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก บ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อพี่เสือ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่กลางใจเมือง ที่สำคัญบ้านหลังนี้อยู่ห่างจากร้านพี่กันต์ในระยะขับรถแค่ 10-15 นาทีเท่านั้นเอง ช่างบังเอิญจัง

   “คุณกรกับเจ็กลู่ดูอะไรกันอยู่ค่ะ” เพ็ญนภาทักขึ้นเมื่อเห็นคนทั้งสองยื่นด่อม ๆ มองๆ ไปทางโซนหลังบ้าน

   “เข้ามาดูเองเอาสิ” เจ็กลูว่า ทำให้เธอวิ่งตรงไปดูเป็นคนแรก

   “หยก..กับพี่เสือ...”

   “อืม...อาว่าทั้งสองคนเขาน่าจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วล่ะนะ”

   “หยกดูสดใสขึ้น หน้าตาเหมือนโบตั๋นเลยนะ” พี่ภาว่าแล้วก็เหลือบหันมามองเธอ

   “เหมือนหยกเขาจะหาความรู้สึกของตัวเองเจอแล้วล่ะ” เจ่เจ้เปรยขึ้นมาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเข้าไปสำรวจจิตใจของหยก

   “เจ่เจ้...”

   “อืม... ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นเถอะ เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”

   “หลิวหิวไหม เฮียให้แม่บ้านไปหาอะไรให้ทานไหม?” เจ็กลู่มองเข้าไปในครัวแว๊บหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าให้อากร

   “ให้พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกัน เราอย่าไปกวนเขาเลย”

   “ภามีแซนวิชในรถค่ะเจ็ก ซื้อไว้ตั้งแต่เช้า รอภาแป๊บนึงนะคะ”

   “อื้มหือ...เพื่อความรักของหยกกับพี่เสือ เราต้องอดกันขนาดนี้เลยหรอค่ะ?” โบตั๋นอดไม่ได้ที่จะแซวคนทั้งสอง ซึ่งทำให้ทุกคนต่างพาหัวเราะกันออกมาอย่างมีความสุข

.........................................................................

    หงส์เฝ้ามองงานเลี้ยงฉลองเล็ก ๆ ที่มีกันเฉพาะคนในครอบครัวเริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากสำหรับพวกเธอสามพี่น้อง เจ็กลู่ที่ตอนนี้ได้กลับมาอยู่กับอากร คนรักที่ต้องจากกันมากกว่า 20 ปี เพียงเพื่อต้องการจะปกป้องพวกเธอ

   พยัคฆ์ คนที่โชคชะตาพามาให้ได้พบกับหยก คนที่มีบารมีเพียงพอที่จะชำระล้างเมฆาขาวให้กลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม เธอไม่คิดเลยว่าพยัคฆ์จะเป็นผู้ที่ครอบครองหัวใจของหยก น้อยชายเพียงคนเดียวของเธออีกด้วย

   “เจ่เจ้...”

   “แอบสำรวจจิตเจ่เจ้อีกแล้วสินะ”

   “ตั๋นไม่ได้ตั้งใจนี่ ก็เห็นเจ่เจ้เหม่ออยู่ตั้งนาน ตั๋นก็แค่อยากรู้ว่าเจ่เจ้คิดอะไรอยู่เท่านั้นเอง”

   “ช่างเถอะ แต่เรื่องที่รู้ก็อย่าพูดอะไรออกไปก็แล้วกัน”

   “ตั๋นรู้หรอกน่า...ว่าแต่เจ่เจ้ตัดสินใจแบบนี้...เจ็กลู่กับอากรจะยอมหรอค่ะ?”

   “เจ่เจ้ก็ยังไม่รู้หรอก แต่ถึงไม่ยอมพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้”

   “แล้วหยกล่ะ เจ่เจ้จะให้หยกอยู่ที่นี่กับพี่เสือจริง ๆ หรอ?”

   “ตั๋นก็เห็นเมื่อเช้าแล้วไม่ใช่หรอ?”

   “ตั๋นใจหาย...ตั๋นไม่คิดว่า...”

   “ไม่เอานะ นี่งานฉลองเรียนจบของตั๋นเองนะ จะมาร้องไห้แบบนี้ไม่ได้นะ”

   “งานหลอก ๆ ต่างหาก”

   “ถึงจะหลอก แต่ดูสิ ทุกคนต่างก็มีความสุขกันทั้งนั้นนะ”

   “แล้วตั๋นละคะ?”

   “ต่อจากนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตั๋น ว่าเราจะตัดสินใจยังไง”

   “ตั๋นยังไม่รู้เลยค่ะ...”

   “เดี๋ยวเมื่อถึงเวลา ตั๋นก็จะรู้เองแหละ เจ่เจ้ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ หวังว่าพอเจ่เจ้กลับมา ตั๋นจะมีสีหน้าดีขึ้นกว่านี้”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-18 {{:::45:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-01-2018 23:42:16
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-18 {{:::45:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-01-2018 08:02:35
ในงานมีความสุขกัน หลังจากงานเลี้ยงนี้แล้ว คงไม่มีมาม่านะ
 :ling3:
หัวข้อ: Re: หยก 24-01-18 {{:::4ุ6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 24-01-2018 15:26:02
46

   ลตาวางสายหลังจากคุยโทรศัทพ์เรียบร้อยแล้ว คำสั่งจากคนทางปลายสายกำชับให้เธอเตรียมพร้อมและระวังตัวเอาไว้ ที่สำคัญเธอต้องถึงตัวสามพี่น้องตระกูลฝู่ให้ได้ก่อนจุ้ยเถิง เพราะจากที่สังเกตและจับตามองจุ้ยเถิง ทำให้เธอไม่สามารถเดาเจตนาที่แท้จริงของเขาได้ ว่าเขาต้องการเพียงแค่ฝู่หยงเพียงคนเดียว หรือต้องการทั้งสองคน สิ่งเดียวในตอนนี้ที่เธอมั่นใจได้คือ โบตั๋น เธอเป็นเด็กเพียงคนเดียวที่ปลอดภัยจากเรื่องนี้

   ลตาขับรถเข้าซอยบ้านของวรากรมา ตลอดทางก่อนถึงตัวบ้าน เธอเห็นรถของเหล่าบรรดาลูกน้องของวรากรและพยัคฆ์จอดสุ่มอยู่ โดยที่ทางนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเข้าไปบ้านของวรากร เพราะเธอจงใจเปลี่ยนรถที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ เธอรู้ว่าวรากรสงสัยเธอมาสักพักแล้ว แถมระยะหลังยังส่งคนคอยติดตามเธออย่างห่าง ๆ อีกด้วย

   เธอขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ประตูไม่มีทีท่าว่าจะเปิดให้เธอ ซึ่งเธอไม่แปลกใจอะไร จนกระทั่งคนในรั้วเดินออกมาดู เธอจึงลดกระจกด้านคนขับลงเล็กน้อย พอให้เห็นหน้า

   “อ่าว!! คุณลตาเองหรอครับ สักครู่นะครับ เดี๋ยวผมเปิดประตูให้” ต้นกล้าร้องบอกก่อนเดินไปกดสวิตซ์ข้างรั้วเพื่อเปิดประตู

   “ขอบใจจ้ะ” ลตาบอกระหว่างขับผ่านประตูบ้านเข้าไป ต้นกล้าวิ่งตามรถของเธอมาจนถึงที่จอดรถ

   “งานเพิ่งจะเริ่มไปได้สักพักนึงเองครับ เชิญคุณลตาทางนี้เลยครับ”

   “ไม่เป็นไรจ๊ะกล้า เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง อยากจะเซอร์ไพรซ์น่ะ”

   “อ่อ...ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปช่วยแม่ในครัวก่อนนะครับ”

   ลตารอจนต้นกล้าเดินหายลับเข้าไปในตัวบ้านใหญ่ เธอจึงค่อย ๆ เดินลัดสวนไปยังโซนที่จัดงานด้านหลังบ้าน แล้วเธอก็เห็นวารกรยืนอยู่กับชายหน้าหวานตาคมคนหนึ่ง ชายคนที่เธอเคยพบอยู่กับฝู่หยงที่ค่ายมวย เพ็ญนภาลูกค้าของวรากร พยัคฆ์ และสามพี่น้องตระกูลฝู่ เป็นพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครในระยะไกลขนาดนี้ หนึ่งในนั้นมองมาทางที่เธอหลบซ่อนตัวอยู่ และกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ

.........................................................................

   หงส์เดินออกจากงานตรงมายังตัวบ้าน โดยที่เธอแวะเข้ามาหาใครคนหนึ่งที่อาศัยหลบอยู่ในมุมมืดใต้เงาของต้นไม้ หญิงคนนั้นรู้เช่นกันว่าเธอตั้งใจเดินเข้ามาหา แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือมีทีท่าว่าจะหนีไปไหน

   หญิงสาวตรงหน้าดูมีอายุ แต่รูปร่างหน้าตายังคงดูอ่อนกว่าวัย ท่าทีมีจริตที่แสดงออกมานั้นมันต่างจากจิตใจข้างในที่เธอสัมผัสได้ ทำให้หงส์รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าตั้งใจสร้างตัวตนขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนภายนอก รวมทั้งอากรของเธอด้วย

   “คุณลตา” หงส์เอ่ยชื่อเธอขึ้นมา ซึ่งเธอมีทีท่าตกใจเล็กน้อยแต่สามารถเก็บอาการได้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบปั้นยิ้มออกมา “เรื่องที่คุณสงสัย นั้นไม่ผิดไปจากที่คุณคิด แต่ก็ยังไม่ถึงเวลานั้นเช่นกัน หลังจากนี้อีกสองสัปดาห์ เรื่องราวทั้งหมดจะกระจ่างขึ้น ฉันหวังว่าระหว่างนี้คุณจะอยู่ในที่ที่คุณควรอยู่ และทำในสิ่งที่คุณสมควรจะทำ”

   “ฉันเข้าใจค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” ลตาพูดจบก็เดินหันหลังกลับไป หงส์ยืนดูจนรถของลตาแล่นออกนอกรั้วไปจึงเดินกลับเข้ามาในงานดังเดิม

   “นั่นไง หงส์มาแล้ว หงส์มาเร็ว ถึงเวลาให้ของขวัญน้องตัวแล้วนะ”

   “ภา ตัวดูจะตื่นเต้นมากกว่าโบตั๋นซะอีกนะ”

   “แหม๋ ก็มันตื่นเต้นจริงๆ นี่นา”

   “เจ่เจ้มาแล้ว อื้ม...แกะของขวัญของใครก่อนดีน้า...”

   “เอาของพี่ไปก่อนเลย อันนี้ไม่ต้องแกะจ๊ะ” เพ็ญนภาส่งตั๋วเครื่องบินสำหรับวันพรุ่งนี้ให้กับโบตั๋น “พร้อมเงินติดกระเป๋าสำหรับช๊อปปิ้งอีกนิดหน่อย”

   “ว๊าววว สุดยอดเลย ขอบคุณค่ะพี่ภา”

   “กล่องนี้ของหยกกับพี่” พยัคฆ์ส่งของกล่องขวัญให้โบตั๋น เธอเขย่าเล็กน้อย

   “อะไรอ่ะคะพี่เสือ”

   “แกะดูเอาเองสิ เฮียกับพี่เสือช่วยกันเลือกอยู่ตั้งนานแหนะ”

   “แอบไปซื้อกันตอนไหนนะ” โบตั๋นพูดไปพลางแกะไปพลาง ข้างในกล่องปรากฎกล่องใส่แทบเล็ทรุ่นล่าสุดพร้อมหน่วยความจำสูงสุด “โอ้โห้...”

   “ตั๋นจะได้มีไว้ทำงานที่ตั๋นรักยังไงล่ะ”

   “ตั๋นรักหยกที่สุดเลย” โบตั๋นพูดพร้อมทั้งกระโดดเข้าไปกอดคอหยกเอาไว้ และหันไปกล่าวขอบคุณร่างสูงอีกคน “ขอบคุณค่ะพี่เสือ”

   “เหมือนของขวัญมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ว่าไหมหลิว” อากรเปรยยิ้ม ๆ กับเจ็กลู่

   “อ่ะ!! นี่ของลื้อ ขับระวังๆ ล่ะ” เจ็กลู่ส่งกุญรถอันเล็กให้กับโบตั๋น ที่ยังคงกอดหยกค้างอยู่ หน้าตาเหว๋อเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก “ของอากรกับของอั๊ว ให้ลื้อ”

   “ขอบคุณค่ะเจ็กลู่ อากร” โบตั๋นย้ายวงแขนจากคอหยกไปหาเจ็กลู่แทน

   “โตเป็นสาวแล้ว อย่าขี้แยน่า...รู้ไหม” เจ็กลู่ปลอบพร้อมลูบหลังโบตั๋นเบา ๆ ที่เริ่มมีอาการน้ำหูน้ำตาไหล

   “ชิ้นนี้ของเจ่เจ้ มันอาจจะไม่มีราคาเท่าไร แต่มันก็มีค่ามากสำหรับเจ่เจ้นะ” โบตั๋นยื่นมือออกไปรับ ก่อนค่อย ๆ แกะอย่างใจเย็น ข้างในห่อกระดาษเป็นกรอบรูป ทีมีรูปเธอ หยก และเจ่เจ้ ที่ถ่ายกันตอนไปเที่ยวที่พังงา ภาพครอบครัวที่ถ่ายร่วมกันเป็นครั้งแรก ไปเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งแรก

   “ฮือๆๆ  ตะ...ตั๋นรักเจ่เจ้นะ...ฮือๆๆ  ระ...รักหยกด้วย...ฮือๆๆ ครอบครัวคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับตั๋น ฮือๆๆ”

   “ไม่เอา ไม่ร้องนะ ไม่งั้นเดี๋ยวเจ่เจ้จะคิดว่า เราไม่ชอบของขวัญที่เจ่เจ้ให้นะ”

   “มะ...ไม่ใช่นะ...ฮือๆๆ  ตั๋นแค่...อึก..ดีใจน่ะ”

   “ดีใจก็อย่าร้องไห้สิ ตั๋นเรียนจบแล้ว ต้องทำงานเลี้ยงเจ่เจ้กับเฮียแล้วนะ”

   “ฮือออออ แน่นอนสิ แน่นอน ฮืออออ”

   “อ่าว ยิ่งร้องใหญ่เลย” หยกเดินเข้าไปโอบกอดโบตั๋นไว้ โดยมีหงส์สวมกอดอีกด้านหนึ่ง

   “ของขวัญฉันนี่ถูกที่สุดเลยใช่ไหมเนี๊ยะ” เพ็ญนภาบนออกมาอย่างไม่จริงจัง ทำให้โบตั๋นหัวเราะออกมาได้ หัวเราะออกมาพร้อมน้ำตาแห่งความสุข

.........................................................................

   จุ้ยเถิงหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มาก เขาพลาดทั้งๆ ที่บอร์ดี้การ์ดคนนั้นไม่อยู่ในร้านกับฝู่หยงด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถหาโอกาสเข้าถึงตัวฝู่หยงได้เลย แถมฝู่หยงยังไหวตัวทัน หนีออกจากร้านไปตอนไหนเขาก็ไม่รู้ วันนี้ตลอดที่ร้านเปิด เขาเฝ้าจับตามองภายในร้านอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งร้านนั้นปิดลง ฝู่หยงก็ไม่ปรากฎตัวให้เห็นแม้แต่น้อย ฝู่หยงรู้ตัวได้ยังไง

   คืนนี้จุ้ยเถิงจะกลับไปนอนที่คอนโดของนายเกรียงไกร เพราะถึงเขาเฝ้าที่นี่ต่อไปคงจะไม่มีประโยชน์ เห็นทีพรุ่งนี้ฝู่หยงคงจะไม่ได้เข้ามาที่ร้านอีกแน่นอน เขาจึงทิ้งลูกน้องไว้คนหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูและคอยรายงานสถานการณ์ให้เขารับรู้ ที่เหลือก็ตามเขากลับไป

   ระหว่างที่รถติดอยู่ทีสี่แยก รอสัญญาณไฟอยู่นั้น เขาเหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งออกมาจากซอย หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่ข้าง ๆ คนขับนั้นดูคุ้นตามาก มันทำให้เขาติดใจอะไรบ้างอย่าง ถึงแม้ว่าจะมองเห็นคนภายในรถไม่ถนัดเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน อีกทั้งกระจกหน้ารถก็ยังติดฟิล์มกรองแสง

   “เดี๋ยวนายขับตามรถคันนั้นไปก่อนนะ ทิ้งระยะห่างอย่าให้มีพิรุธ” เขาสั่งลูกน้อง

   เมื่อสัญญาณไฟปล่อยให้ถนนเลนที่เขาอยู่แล่นไปก่อน ลูกน้องก็ขับรถชะลอความเร็วเพื่อรอรถเป้าหมาย เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนให้รถคันนั้นแล่นตามออกมา ลูกน้องของเขาก็รอให้รถคันนั้นแซงหน้าพวกเขาไป

   “คุณจุ้ยครับ รถคันนั้นประกบรถคันที่เราตามอยู่ครับ” ลูกน้องที่ขับรถชี้บอกหลังจากขับตามมาได้สักระยะหนึ่ง

   “ค่อย ๆ ตามไป อย่าให้เป็นที่สังเกต”

   “ครับ”

   เมื่อถึงบริเวณถนนซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง รถที่คอยขับตามประกบ กลับแซงขับนำหน้ารถคันที่เขาตามอยู่ รถคันนั้นขับนำไปเรื่อย ๆ จนถึงสวนสาธารณะกลางหมู่บ้านก็หาที่จอด

   “ขับเลยไป อย่าชะลอนะ” เมื่อรถคันนั้นจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาก็เห็นหญิงสาวสองคนลงมาจากรถ หนึ่งในนั้นคือฝู่หงส์ และอีกคนน่าจะเป็นลูกคนเล็กของฝู่หลิน

   “ครับ”

   “ไปหารถมาเปลี่ยน แล้วรีบกลับมาเฝ้าที่นี่เข้าใจไหม”

   “ครับ”

   อย่างน้อยเขาก็ยังมีโชคอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบฝู่หยงแต่เมื่อรู้ว่าทั้งสามพักอยู่ที่ไหน เรื่องทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้น เพียงแค่รอจังหวะและโอกาสเท่านั้น

.........................................................................

   เก่งเฝ้ามองจนรถน่าสงสัยคันนั้นแล่นกลับออกไป เขาจึงรีบลงจากรถ เดินตรงไปยังบ้านของคุณหงส์ทันที เมื่อถึงหน้าบ้าน เพ็ญนภาก็กำลังจะแล่นรถออกไป ทำให้เขารีบพุ่งออกไปขวางหน้ารถทันที

   “นี่นายเก่ง ทำอะไรของนาย” เพ็ญนภาแว๊ดใส่เขาทันที

   “คุณภาอย่าเพิ่งกลับครับ พวกเราโดนตาม”

   “ว่าไงนะ”

   “รีบเข้าไปหาคุณหงส์ก่อนเถอะครับ” เก่งพูดพร้อมตบกระโปรงหน้ารถเบา ๆ ก่อนเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านหงส์ โบตั๋นเป็นคนเดินมาเปิดประตู

   “เกิดอะไรขึ้นค่ะ พี่เก่ง”

   “เข้าไปคุยกันในบ้านก่อนครับ เรามีเวลาน้อย”

   “ค่ะๆ”

   เก่งเดินตามโบตั๋นเข้าบ้านไปพร้อมกับเพ็ญนภาที่รีบตามเข้ามาติด ๆ เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน เขาก็เห็นหงส์ลากกระเป๋าเดินทางออกมาสองใบ

   “เจ่เจ้”

   “เอาไว้คุยกันบนรถ เวลามีไม่มาก”

   “หรือว่าคุณหงส์ทราบ ว่ามีคนตามพวกเรามา”

   “ค่ะ แล้วเดี๋ยวพวกนั้นก็น่าจะส่งคนมาเฝ้าที่นี่แน่”

   “แล้วตัวจะไปไหนล่ะ คงไม่ไปนั่งรอนอนรอที่สนามบินหรอกนะ”

   “หงส์กับตั๋น ไปรบกวนตัวสักคืนได้ไหม”

   “รบกวนอะไร มาเลย เอากระเป๋าขึ้นรถเลย”

   “มาครับผมช่วย” เก่งช่วยลากและยกกระเป๋าของหงส์และโบตั๋นขึ้นรถของเพ็ญนภา เขาแปลกใจที่หงส์ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของรถอีกคันที่ตามพวกเขามา แล้วคุณหงส์รู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นจะกลับมาเฝ้าเธออีก

   “คุณหงส์ไปกับคุณภาก่อนนะครับ ผมจะอยู่นี่สืบดูว่าพวกนั้นเป็นใคร” เขาบอกหลังจากยกกระเป๋าขึ้นรถเสร็จแล้ว

.........................................................................

   หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับกันไปแล้ว ผมก็เข้ามาช่วยป้าเลยเก็บกวาดในครัว ส่วนต้นกล้าเก็บของอยู่ที่สวนตรงที่พวกเราจัดงานกัน ตอนแรกป้าลัยก็ไม่ยอมให้ผมช่วย แต่มันดึกมากแล้ว ช่วยกันหลาย ๆ คนก็จะได้พักได้ไวขึ้น

   อากร เจ็กลู่ และพี่เสือเข้าไปคุยกันในห้องทำงาน ผมได้ยินว่าอากรมีงานด่วน ต้องเดินทางไปต่างประเทศกระทันหัน จึงจะฝากงานให้พี่เสือดูแลชั่วคราวระหว่างที่อากรไม่อยู่ ผมเดินผ่านห้องทำงานพี่เสือก็ออกจากห้องมาพอดี

   “ยังไม่ขึ้นนอนอีกหรอ รึว่ารอพี่”

   “กำลังจะขึ้นไปนอนแล้วครับ หยกเพิ่งช่วยป้าลัยเครียของในครัวเสร็จ”

   “หยกนี่ใจดีกับทุกคนเลยนะ” พี่เสือพูดพร้อมทั้งสอดมือเข้ามากุมมือผมไว้ “แล้วใจดีกับพี่ด้วยได้ไหมครับ” พี่เสือจูงมือผม พาเดินขึ้นบันไดแล้วมาหยุดส่งผมที่หน้าห้อง

    “พี่เสือต้องเข้าไปที่บริษัทฯ วันไหนครับ”

   “อีกวันสองวันน่ะ ช่วงนี้ไม่มีอะไร ก็ปล่อยให้คุณวรรณดูแลไปก่อน”

   “อย่างพี่เสือนี่ อู้งานเป็นกับเขาด้วยหรอครับ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่หยกเคยได้ยินจากพี่ภาเลย”

   “คุณภาบอกว่าพี่เป็นยังไง”

   “หยกเคยได้ยินว่า พี่เสือมักจะจริงจังกับงาน ทำงานรวดเร็ว แล้วก็เพอร์เฟกมาก ๆ ด้วย”

   “ตอนนี้พี่ก็จริงจังนะ จริงจังกับหยกไงครับ”

   “...”

   “คืนนี้ให้พี่นอนด้วยอีกไหมครับ” น้ำเสียงพี่เสือ มันทำให้ผมอยากจะมุดดินหนี

   “หยกขอตัวไปนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ” ผมพูดทั้งรัวและเร็วก่อนจะรีบหนีเข้าห้อง แต่ก็ไม่ทันพี่เสืออยู่ดี เขารั้งผมเข้าหาตัวแล้วประกบริมฝีปากเข้ากับปากของผม จูบของพี่เสือที่ดูจะเรียกร้องมากขึ้นทุกวัน จูบที่ทำให้ผมเคลิม จนบางครั้งกลับเป็นผมซะเองที่ไม่อยากให้ริมฝีปากนี้ถอนออกไป

   “แบบนี้ต่างหาก ราตรีสวัสดิ์ครับ” พี่เสือพูดทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคงคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากของผม ก่อนที่พี่เสือจะจูบผมอีกครั้ง

   “อื้ม...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” ผมดันพี่เสือออกไป ผมเพิ่งนึกได้ว่าพวกเราอยู่กันตรงไหน ก่อนรีบหันกลับเข้าห้องมาอย่างรวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้ และรีบปิดประตูทันที

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 24-01-18 {{:::4ุ6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-01-2018 18:42:12
เหตุการณ์กำลังตื่นเต้น แต่เราดันมาเขินแทนหยกซะงั้น
 :o8:
หัวข้อ: Re: หยก 24-01-18 {{:::4ุ6:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-01-2018 19:42:18
 :hao6:
หัวข้อ: Re: หยก 24-01-18 {{:::46:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-01-2018 03:28:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 31-01-18 {{:::47:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 31-01-2018 00:20:18
47

   พยัคฆ์นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง เขาคิดถึงคนที่เขาได้นอนกอดเมื่อคืนนี้ มันทำให้คืนนี้เขาถึงกับนอนไม่หลับเมื่อปรากจากร่างนุ่มนิ่มนั่น เขาไม่รู้ว่าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับอยู่ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หรือว่าหลับไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

   พรุ่งนี้เขาต้องไปส่งหยกที่สถาบันเหมือนเดิมแต่เขาไม่อยากให้หยกไปที่ร้านคุณกันต์เลยในช่วงนี้ ถึงอาชาติจะบอกให้เขาพาหยกกลับบ้านทันที หลังจากเสร็จงานสอนแล้วก็ตาม แต่เขาก็ทนสายตาอ้อน ๆ ของหยกไม่ได้อยู่ดี เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางหว่านล้อมหยกอีกทีแล้วกัน

   เขาลุกจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไปยังห้องข้าง ๆ กัน เขาค่อย ๆ ย่องเข้าไปในห้อง น้องหยกหลับไปแล้วเขาจึงค่อยๆ สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม นอนซ้อนหลังของร่างเล็กตรงหน้า แล้วค่อยๆ โอบกอดร่างนั้นไว้อย่างหลวม ๆ

   “อื้ม...” เหมือนหยกจะรู้สึกตัว “พี่เสือ...”

   “พี่ขอนอนด้วยคนนะครับ” เขาพูดแล้วค่อย ๆ จูบเบา ๆ ลงบนขมับของน้องหยก และรั้งร่างนั้นเข้ามากอดกระชับมากขึ้น

.........................................................................

    ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง พี่เสือยังคงนอนกอดผมไว้ ผมมองหน้าพี่เสือที่กำลังหลับอยู่ พี่เสือดูอบอุ่นมากเวลาหลับ ไม่เหมือนคนหน้าดุที่คอยตามผม ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าผมกับพี่เสือมาลงเอ่ยแบบนี้กันได้ยังไง พี่เสือรักผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผมเป็นผู้ชาย

   ผม...รักพี่เสือ...ตั้งแต่เมื่อไร และเพราะอะไร ผมก็หาคำตอบให้ผมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมรู้แต่ว่าผมมีความสุข อบอุ่นใจทุกครั้งที่มีพี่เสืออยู่ใกล้ ๆ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นตัวเพียงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของพี่เสือเท่านั้นก็ตามที

   ผมไล้นิ้วไปตามคิ้วหนาตรงหน้า ลงมายังจมูก และริมฝีปากของพี่เสือ พี่เสือเป็นผู้ชายหน้าตาดี เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้หญิงคนไหน แบบไหนก็ได้ แต่พี่เสือกลับเลือกผม

   พี่เสือขยับปากมางับเบา ๆ ที่ปลายนิ้วของผม ที่ยังคงแตะค้างอยู่บนริมฝีปากของพี่เสือ มันทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกจากตัวบ้านไป

   “อากรคงไปส่งอาชาติที่สนามบินน่ะ” พี่เสือพูดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา เขากอดกระชับตัวผมแน่น ใบหน้าของพี่เสือซุกลงตรงหน้าอกของผม

   “หยกปลุกพี่เสือรึป่าว”

   พี่เสือส่ายหน้าแรง ๆ อยู่ตรงหน้าอกผม ริมฝีปากก็เม้มลงบนเสื้อของผม มันทำให้ผมขนลุก ลมหายใจอุ่น ๆ ของพี่เสือ มันเป่ารดอยู่เกือบจะพอดีกันกับยอดอกของผม

   “พี่เสือ” ผมเรียกพี่เสือเสียงสั่น

   พี่เสือค่อย ๆ ครอบริมฝีปากบนยอดอดผมอย่างพอดิบพอดีผ่านเสื้อยืดตัวบาง มือทั้งสองข้างที่โอบเอวของผมหลวม ๆ ไล้ขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง ก่อนจับผมผลิกให้นอนหงายแล้วดันเสื้อยืดตัวบางออกไปทางศีรษะอย่างรวดเร็วแล้วขึ้นคร่อมร่างของผมไว้ พี่เสื้อเว้นจังหวะแค่ช่วงที่ถอดเสื้อให้ผมเท่านั้น ที่ละริมฝีปากออกจากยอดอกของผม เมื่อไม่มีเสื้อยืดกันไว้มันก็ยิ่งทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

   พี่เสือกำลังจะปลดเมฆาขาวออกจากคอผม แต่ผมเอามือรั้งไว้ ฝ่ามือพี่เสือไล้ไปตามลำตัวที่เปลือยเปล่าของผม ปากก็ยังครอบครองยอดอกทั้งสองข้างสลับกันไปมา ลิ้นที่ดุนหนัก ๆ ที่ยอดอกนั่นมันทำให้ผมเกือบหายใจไม่ออก พี่เสือถอดเสื้อของตัวเองออก ทำให้ร่างกายของเราสัมผัสกัน ก่อนก้มลงมาจูบผม

   สัมผัสของพี่เสือนั้นเบาบาง แต่ก็ทำให้ผมสั่นไปทั้งตัว สมองของผมขาวโพลนไปหมด ร่างกายเหมือนจะร่องลอยไปในอากาศหากผมไม่เกาะยึดตัวพี่เสือไว้

   “พี่จะหยุดไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราไม่ห้ามพี่เดี๋ยวนี้” พี่เสือกระซิบข้างหูผม

   “หยก...รักพี่เสือนะ” ผมตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด ผมรู้แต่ว่าเมื่อมีพี่เสืออยู่ผมก็จะไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

   พี่เสือชะงักค้างไปทันที เรามองสบตากัน ผมเห็นความวูบไหวในดวงตาของพี่เสือ ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์รุนแรงที่ประทุขึ้นในใจของพี่เสือ ผมไม่ได้กลัวมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ผมเองก็ต้องการจะเป็นหนึ่งเดียวกับพี่เสือเหมือนกัน

   “ขอบคุณนะครับ” พี่เสือพูดไปยิ้มไป จนผมอดที่จะเขินไม่ได้ จนต้องหันหน้าหนีสายตานั่น พี่เสือก้มลงขบติ่งหูผมเบา ๆ “พี่ไม่ถอยแล้วนะ” พี่เสือกระซิบบอก

   ผมได้แต่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการชักนำของพี่เสือ ร่างกายของผมกับพี่เสือที่สัมผัสกัน มันแนบสนิทชิดกันจนไม่เหลือช่องว่างใด ริมฝีปากของพี่เสือที่คอยสำรวจร่ายกายของผมจนบางครั้งผมเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมรู้สึกร้อนไปหมดราวกับจะเป็นไข้

   “อ๊ะ!!” ผมรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่พยายามดันเขามาในร่างของผมพร้อมสัมผัสเย็น ๆ ตรงบริเวณส่วนล่างนั่น

   “ชูวววร์.... ไม่เกร็งนะครับ” พี่เสือใช้นิ้วนวดวนอยู่ตรงนั้นก่อนค่อย ๆ สอดนิ้วเข้าไปใหม่อีกครั้ง

   “จะ...เจ็บ”

    “ให้พี่ช่วยเตรียมพร้อมให้หยกนะ”

   ผมได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด พี่เสือจูบปลอบผมจนผมรู้สึกดีขึ้น นิ้วของพี่เสือที่ช่วยเตรียมพร้อมให้ผมค่อย ๆ ขยับช้า ๆ และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ แต่มันกลับทำให้ผมใจแทบขาด ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผม

   “ขอให้พี่ได้ดูแลหยกตลอดไปนะ เป็นแฟนพี่นะครับ” พี่เสือกระซิบเสียงพร่า ก่อนดึงนิ้วออกไปจากส่วนนั้น “เป็นของพี่นะ” แล้วมันก็ถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ใหญ่กว่า

   “พี่เสือ!! อ๊า...เจ็บ!!!”

   ผมร้องออกมา เพราะความเจ็บปวดที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน มันเหมือนร่างกายของผมแทบฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ผมคว้าไหล่ของพี่เสือไว้แน่น รู้สึกได้ว่าเล็บผมจิกลงไปบนเนื้อของพี่เสือ ริมฝีปากของผมที่ขบกัดลงบนไหล่อีกข้างของพี่เสือเพื่อระบายความเจ็บปวด เมื่อพี่เสือเข้าไปในตัวผมจนสุด

   “อ่าส์...” เสียงของพี่เสือครางออกมา

   เมื่อผมและพี่เสือเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ ทุกอย่างก็เริ่มเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น ความเจ็บปวดของผมเริ่มลดลงจนแทนที่ด้วยความรู้สึกอื่น มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จนผมไม่คิดว่าการที่เราได้รักใครสักคนมันจะให้ความรู้สึกดีถึงขนาดนี้

   “หยกรักพี่เสือ” ผมกระซิบเสียงแผ่ว อย่างหมดแรง

   “พี่ก็รักหยกครับ”

   ตลอดเวลาของรุ่งสางนี้ ผมจำไม่ได้เราสองคนสลับกับบอกรักกันและกันไปกี่ครั้งกี่หน ผมรู้แค่ว่าผมอยากจะบอก และก็ฟังไม่เบื่อเลยกับคำบอกรักของพี่เสือ

.........................................................................

    ต้นกล้าเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เพื่อเตรียมไปออกค่ายอาสาฯ กับเพื่อนที่มหา’ลัยในช่วงปิดเทอมนี้ เขาได้รับอนุญาตจากคุณกรให้เอารถของที่บ้านไปใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าบ้านมาเพื่อขอกุญแจรถกับคุณเสือ

   “แม่ คุณเสือลงมารึยังอ่ะ” เขาถามแม่เมื่อเดินเข้ามาในครัว

   “ลงมาแล้ว นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่สวนหลังบ้านน่ะ”

   “อ่าว วันนี้คุณเสือไม่ทานพร้อมนางฟ้าของผมหรอ?”

   “แกนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ เห็นคุณหยกกับคุณเสือไม่พูดไม่ว่าอะไร ก็ได้ใจเรียกคุณหยกเขาแบบนั้น”

   “คุณเสือเธอรู้หรอกน่า ว่าผมแค่ชื่นชมของผม”

   “เอ่อๆๆ ว่าแต่แกมีอะไรกับคุณเสือก็ไปเถอะ”

   “ครับๆ แม่กล้าไม่อยู่ 3-4 วันนะ”

   “อืม รักษาตัวดี ๆ แล้วก็ระวังตัวด้วยละ”

   เขาเดินออกจากครัวเพื่อจะไปหาคุณเสือที่สวนหลังบ้าน ระหว่างที่เดินมายังโถงบันไดเพื่อจะออกไปทางประตูด้านข้าง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงบันไดมา เขาจึงหยุดรอเพราะอาจจะเป็นคุณเสือที่เดินเข้าบ้านมาแล้วก็เป็นได้

   “คุณเสือหรอครับ” ต้นกล้าร้องเรียก แต่เขากลับเห็นนางฟ้าของเขาเดินลงมาจนถึงชานพัก สีหน้าซีดเซียว อีกทั้งยังดูเหมือนคนไม่มีแรงเดินเกาะราวบันไดมาเรื่อย ๆ “เฮ้ย!! นางฟ้า” เขาตกใจที่เห็นนางฟ้าของเขาทรุดตัวรูดลงมากับราวบันไดลงไปนอนกองอยู่ที่ชานพัก เขาวิ่งขึ้นบันไดไปทีละ 2-3 ก้าวอย่างร้อนใจ ต้นกล้าประคองร่างนางฟ้าของเขาไว้ ร่างนั้นร้อนจนแทบจะทอดไข่ให้สุกได้ทีเดียว

   “แม่!! แม่ตามคุณเสือที”

   “แกจะตะโกนอะไรเสียงดัง แล้วคุณเสือเขาเป็นนาย แกจะให้เขา ว๊าย!! ตาเถร” แม่บ้านตกใจเมื่อเห็นคุณหยกสลบไม่ได้สติ โดยมีต้นกล้าประคองอยู่

   “แม่ตามคุณเสือให้ที ผมจะพานางฟ้ากลับห้อง นางฟ้าไม่สบาย”

   “ได้ ๆ แกอุ้มคุณหยกดี ๆ อย่าให้หล่นลงมาเชียวนะ”

   “แม่ เร็ว ๆ หน่อย อย่ามัวแต่บ่นดิ” เขาพูดจบก็สอดมือไปใต้ข้อพับขา ส่วนอีกข้างสอดไว้ที่ไหล่ก่อนจะอุ้มร่างนางฟ้าของเขาขึ้นอย่างง่ายดาย ตัวเบาพอ ๆ กับน้องเซียเลย?

.........................................................................

    พยัคฆ์รีบร้อนเดินตามแม่บ้านเข้ามา เมื่อมาถึงชานพักก็ไม่เห็นใครแล้วจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดไปห้องของหยกทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบต้นกล้ากำลังดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของหยกไว้

   “คุณเสือ”

   เขาไม่สนใจเสียงเรียกของต้นกล้า รีบเดินตรงไปนั่งข้าง ๆ คนป่วยที่นอนหน้าซีดอยู่ ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาช่วงสายๆ ใบหน้าของหยกที่เขาเห็น ไม่ได้ซีดเซียวขนาดนี้ และเห็นว่าหยกยังคงหลับอยู่อย่างสบาย เลยไม่คิดจะปลุก เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อรุ่งสางหยกผ่านกิจกรรมอะไรร่วมกับเขามา

   “คุณหยกเป็นยังไงบ้างลูก”

   “คุณหยกเป็นไข้น่ะแม่ กล้าว่าแม่ไปเตรียมน้ำมาเช็ดตัวให้คุณเขาดีกว่า”

   “เออๆ แกก็ไปโทรตามหมอมาแล้วกัน รีบ ๆ ด้วยล่ะ” แม่บ้านพูดจบก็เดินออกจากห้องไป

   “เอ่อ...คุณเสือครับ”

   “กุญแจรถอยู่ที่ห้องฉัน แกไปหยิบเอาเองแล้วกัน”

   “ไม่ใช่ครับ เอ่อ...คือว่า...”

   “อะไร?” เขาหันมองไปตามเสียง

   “ผมพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหยก คือ...ผมเห็น...บนเตียงนั่น...ตอนที่อุ้มคุณหยกมา” ต้นกล้ายังคงมีท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่

   “แกต้องการจะพูดอะไรกันแน่ มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

   “คืออาการของคุณหยก...เหมือนเพื่อนของผมคนนึง ที่...เอ่อ...ครั้งแรก”

   “ไอ้กล้า!!”

   “คะ...ครับคุณเสือ คือว่าจะให้ผมตามหมอไหมครับ คือ คือมันแค่กินยาลดไข้กับยาแก้อักเสบก็...หาย...ครับ” ต้นกล้าพูดอย่างรั่วและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่วายเสียงแผ่วตอนท้าย เพราะเขาไม่รู้ว่า ควรไปยุ่งเรื่องแบบนี้ของเจ้านายไหม

   “เฮ้อ...ใช่ นี่เป็นครั้งแรกของหยก... และของฉันด้วย...” เขาก้มมองหน้าหยกอย่างสงสาร “ฉันไม่รู้ว่าหยกจะป่วยขนาดนี้”

   “เดี๋ยวผมไปเตรียมยาให้นะครับ เอ่อ...ส่วนยาทาตรงนั้น...” เมื่อเห็นอาการของคุณเสือที่รู้สึกผิด มันทำให้เขาตัดสินใจเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่ง

   “แกช่วยฉันหน่อยก็แล้วกัน”

   “ครับ ๆ เดี๋ยวผมจะรีบออกไปซื้อยาให้คุณหยกทันทีเลยครับ”

   “แล้วแก”

   “ครับ ผมรู้ ผมจะไม่พูดอะไรที่ทำให้นางฟ้าของผมต้องอายหรือเสียความรู้สึกหรอกครับ คุณเสือไม่ต้องห่วง”

   “แล้วแกไม่โกรธที่ฉันทำแบบนี้กับนางฟ้าของแกรึไง?”

   “คุณหยกเขาชอบคุณเสือนี่ครับ ผมเห็นเวลาที่คุณหยกมองคุณเสือ มันเหมือนกับเวลาที่น้องเซียมองอาจารย์ธีร์เลย ผมเห็นนางฟ้าของผมมีความสุข ผมก็ดีใจ แล้วถ้าจะให้ดีนะครับ ผมอยากให้คุณหยกอยู่ที่นี่ตลอดไป คุณเสืออย่าปล่อยนางฟ้าของผมไปเด็ดขาดนะครับ” ต้นกล้าพูดจบก็เดินออกไปแต่ยังไม่ทันพ้นประตูห้องก็หันกลับมา “ช่วงนี้คุณเสือก็ช่วยงดกิจกรรมแบบนี้ไปสักพักนะครับ ผมสงสารนางฟ้าของผม” ว่าเสร็จต้นกล้าก็รีบเดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

   พยัคฆ์ถอนหายใจอีกครั้ง นี่เขาถึงกับต้องให้เด็กอย่างต้นกล้ามาแนะนำเขาอย่างนั้นเลยหรือ? แต่ก็ยังดีกว่าการโทรถามอากร ไม่อย่างนั้นถ้ารู้ถึงหูอาชาติ เขาคงโดนอาชาติเล่นงานไม่น้อย แต่ใครจะไปหักห้ามใจได้ล่ะในเมื่อรู้ว่าคนใต้ร่างเขาในตอนนั้นก็รักเขาเช่นกัน

.........................................................................

   ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังฮ่องกง หงส์รับรู้ได้ถึงความกังวลใจของเจ็กลู่และวารกรเป็นอย่างดี ซึ่งต่างคนก็ต่างเป็นห่วงซึ่งกันและกัน จนเธออดยิ้มขำออกมาไม่ได้

   “อั๊วรู้นะว่าลื้อขำอะไร”

   “ค่ะ เจ็กก็ไม่ต้องห่วงอากรหรอกค่ะ หงส์ว่าเราวางแผนมาดีแล้ว และทางนั้นคงไม่มีทางตั้งตัวได้ทันหรอกค่ะ”

   “อืม”

   “เจ็กค่ะ เจ็กต้องอย่าบุ่มบ่ามนะคะ เชื่อใจอากรนะ”

   “อั๊วรู้แล้วน่า ว่าแต่เรื่องนั้น”

   “ค่ะ หยกเขาคิดถูกแล้วค่ะ และมันยังเกินกว่าที่พวกเราคาดกันไว้ซะอีก”

   “ใช่ ใครจะไปคิด ว่าอีจะอยู่ใกล้ตัวพวกเราขนาดนั้น”

   “หวังว่าโบตั๋นจะได้รับการช่วยเหลือจากทางนั้นนะคะ”

   “หมดห่วงเรื่องอาตั๋นไป ก็เหลือแต่ลื้อกับหยกนั่นแหละ”

   “หงส์มีอะไรน่าห่วงค่ะ หงส์น่ะมีทั้งเจ็กลู่ อากร คุณต้น แล้วยังคนของเราที่โน่นอีกมากมาย”

   “จากที่คิดว่ายาก มันกลับง่ายดายขึ้น”

   “นั่นเพราะว่าเจ็กลู่ยอมเปิดเผยตัวกับอากรยังไงล่ะคะ บ้านคุณคุณารักษ์นี่เปรียบเหมือนผู้มีพระคุณของหงส์เลยก็ว่าได้”

   “ไม่คิดว่าเฮียจะมีคนที่มีฝีมือมากขนาดนี้”

   “ใช่ค่ะ เพราะอย่างนั้น เจ็กต้องเชื่อใจอากรนะคะ”

   “รู้แล้ว ๆ ลื้อก็วกมาเข้าเรื่องนี้อีกจนได้”

   หงส์รู้ว่าเธอสามารถเชื่อใจเจ็กลู่ได้ เรื่องที่เจ็กลู่รับปากนั่นทำให้เธอเบาใจไปได้มาก หน้าที่ของทุกคนได้ถูกแบ่งสรรกันอย่างดีตามความถนัดของแต่ละคน เธอหวังว่าคุณลตาจะเข้าใจความหมายของประโยคที่เธอต้องการจะสื่อสาร

.........................................................................

   ลตาได้รับข้อความจากเบอร์ที่เธอไม่รู้จักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อบอกข่าวว่าการเดินทางไปเกาลูนของโบตั๋น โดยให้รายละเอียดไว้ครบถ้วนตั้งแต่ไฟท์บิน โรงแรมที่พัก กระทั่งผู้ติดตามสองคนซึ่งเป็นคนของวรากร ลาตาแปลกใจอย่างมากที่ได้รับข้อมูลนี้มา ทำให้เธอต้องใช้ความคิดอย่างหนัก สุดท้ายเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อรายงานให้คนทางโน้นเตรียมพร้อมเอาไว้ งานของเธอสำเร็จไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 31-01-18 {{:::47:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-01-2018 00:49:31
อ้าววว หยกเสร็จอีพี่เสือละ อิอิ
หัวข้อ: Re: หยก 31-01-18 {{:::47:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-01-2018 08:19:50
 :hao6:
และแล้วเขาก็ได้กัน
หัวข้อ: Re: หยก 31-01-18 {{:::47:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-01-2018 09:20:03
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 31-01-18 {{:::47:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 31-01-2018 10:43:32
ไฟนอลลี่  :z1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: หยก 10-02-18 {{:::48:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 10-02-2018 12:56:18
48

   ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผร่กระจายออกมาจากร่างกายของผม ผมคงจะเป็นไข้...นึก ๆ ทบทวนดูแล้ว ผมไม่สบายนอนซมอยู่ที่เตียงแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน...

   “หยก” เสียงพี่เสือกับความรู้สึกของเขาที่ผมสัมผัสได้ มันทั้งเป็นห่วง ดีใจ แล้วก็รู้สึกผิด อีกแล้ว...พี่เสือโทษตัวเองอีกแล้ว คราวนี้มันเป็นเรื่องอะไรอีกน้า... ผมพยายามยันตัวลุกขึ้น ผมต้องคุยกับพี่เสือให้รู้เรื่อง

   “โอ๊ย...” ทำไมผมถึงปวดไปทั้งตัวแบบนี้ โดยเฉพาะส่วนล่าง ว่าแต่ผมลุกออกไปจากเตียงแล้วนี่ แล้วทำไมผมถึงมานอนเป็นไข้อยู่แบบนี้

   “อย่าเพิ่งลุกสิครับ” พี่เสือเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วจัดหนอนให้ผมได้เอนหลังพิงได้สบายขึ้น

   “ทำไมหยกถึง...” เสียผมแหบแห้งจนน่าตกใจ

   “ดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ” พี่เสือพูดพร้อมส่งแก้วน้ำในมือมาให้ ผมก็ยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย “หยกหลับไปนานจนพี่เป็นห่วง”

   “คงเพราะหยกไม่ค่อยได้ป่วยแบบนี้”

   “พี่ขอโทษนะที่ทำให้หยกป่วยแบบนี้”

   “พี่เสือโทษตัวเองอีกแล้ว”

   “...”

   “พี่เสือ...หยกมาอยู่บนนี้ได้ยังไง?”

   “หยกจำไม่ได้หรอ?”

   “...” ผมส่ายหน้า

   “หยกไม่สบายแต่ฝืนลงไปข้างล่าง กล้าเห็นเราสลบอยู่ที่ชานพักบันได”

   “อ๊ะ...ตอนนั้น!!”

   “จำได้แล้วใช่ไหม แล้วทำไมถึงลงไปทั้ง ๆ ที่ไม่สบายอยู่ นี่ถ้าตกบันไดไปจะทำยังไง” พี่เสือดุผมสีหน้าจริงจัง

   “หยกขอโทษ หยกแค่...อยากชงกาแฟให้พี่เสือ” ผมตอบเสียงแผ่ว...พี่เสือกุมมือผมไว้ มือที่ผมยังคงถือแก้วน้ำอยู่ เขาเลยดึงแก้วน้ำออกไปวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง

   “นึกถึงพี่ขนาดนี้เลยหรอครับ”

   “ตอนนั้นหยกรู้สึกได้ว่า พี่เสือไม่ชอบกาแฟของป้าลัย หยกเลย...ลงไป”

   “เฮ้อ...ไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่าไม่สบายอยู่”

   “...” ผมพยักหน้า ตอนนั้นผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นไข้ หรือเจ็บปวดอะไรเลย พี่เสือดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้

   “ขอบคุณนะครับ พี่รักหยกนะ”

   “หยกปวดหัวจัง” ผมพูดทั้ง ๆ ที่ยังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของพี่เสือ ผมรู้ว่าพี่เสือดูแลผมดีแค่ไหน แต่ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันยังไม่พอสำหรับผม ผมอยากเรียกร้องมากกว่านี้ รู้สึกดีที่พี่เสือเอาใจผมแบบนี้ ผมเห็นแก่ตัวไปรึเปล่านะ?

   “เดี๋ยวทานข้าวต้มสักหน่อยนะ จะได้ทานยา”

   “...”ผมพยักหน้ารับ พี่เสือก็ยกชามข้าวต้มมาให้ ตักขึ้นเป่าเล็กน้อย ก่อนส่งข้าวต้มคำนั้นเข้าปากผม พี่เสือยิ้มให้แล้วก็ป้อนข้าวต้มให้ผมต่อ จะผิดไหมนะถ้าผมอยากจะอ้อนพี่เสือบ้าง?   

.........................................................................

    โบตั๋นเดินทางมาถึงเกาลูนก็ตรงไปยังโรงแรมที่พักที่เพ็ญนภาเป็นคนจองไว้ให้ ภายในห้องพักเป็นห้องสูทมีสองห้องนอนกับโถงพักผ่อน เธอพักอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนอีกห้องพี่เก่งกับพี่คีพักอยู่ด้วยกัน เธอเดินเข้าไปจัดการเก็บของภายในห้อง จากนั้นก็ทบทวนดูว่าเธอควรจะไปค้นหาข้อมูลจากที่ไหนก่อนดี เท่าที่เธอนึกได้ก็น่าจะเป็นหอสมุดต่าง ๆ ที่น่าจะมีข่าวหนังสือพิมพ์เก่า ๆ เก็บเอาไว้บ้าง

   “คุณโบตั๋นหิวรึยังครับ” พี่เก่งถามเมื่อเธอเดินออกจากห้องไป

   “นิดหน่อยค่ะ ว่าแต่พี่คีไปไหนล่ะคะ หรือว่าไปหาอะไรทาน”

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมรู้สึกว่ามีคนตามเรามาตั้งแต่เราลงเครื่องที่สนามบิน เลยให้ไอ้คีมันไปเช็คอะไรหน่อย”

   “มีคนตามเรามาหรอค่ะ ทำไม่ตั๋นไม่เห็นจะรู้สึก...” เธอยั้งปากไว้แค่นั้น เพราะนอกจากอากร และพี่เสือแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องความสามารถของเธอ

   “ไม่แปลกหรอกครับ แปลกที่ แปลกถิ่นแบบนี้ จะจับสังเกตก็อาจจะยากหน่อย”

   “แล้วพี่คีไปนานรึยังค่ะ?”

   “ก็ตั้งแต่เอาของขึ้นมาเก็บบนห้อง จากนั้นก็ออกไปเลย” พี่เก่งพูดจบก็มีเสียงเคาะห้องขึ้นมา พี่เก่งจุ๊ปากเล็กน้อย เธอสัมผัสได้ถึงความระแวดระวังของพี่เก่ง เธอจึงเงียบเอาไว้

   พี่เก่งเดินไปดูที่ช่องตาแมวบนบานประตู แล้วหันมาหาเธอพร้อมทั้งส่งสัญญาณมือให้เธอกลับเข้าห้องไป เธอก็ทำตาม แต่แง้มประตูไว้เล็กน้อยเพื่อให้เห็นสถานการณ์ด้านนอก

   เธอเห็นชายในชุดซาฟารี 3-4 คนเดินเข้ามาในห้องทันทีที่พี่เก่งเปิดประตู พร้อมทั้งผลักพี่คีให้เข้ามาในห้อง มันทำให้เธอตกใจ แต่พยายามจะครองสติเอาไว้และพยายามสัมผัสจิตคนเหล่านั้น แต่น่าแปลกที่เธอกลับพบแต่ความว่างเปล่า เป็นไปได้ยังไงกันหรือเป็นเพราะความแตกต่างของภาษา?

   “ฝู่กูเหนี่ย ไจ๋หนาหลี่?”

   “มันพูดอะไรของมันว่ะ” พี่เก่งถามเมื่อดึงตัวพี่คีไปหลบด้านหลังของเขา และหันมาเผชิญหากับพวกนั้นอีกครั้ง”

   “กูเองก็ไม่รู้ ฟังไม่ออกว่ะ”

   “แมร่งเอ้ย...” พี่เก่งสบถออกมาก่อนพูดกับพวกนั้นเป็นภาษาอังกฤษ “พวกนายต้องการอะไร แล้วพวกนายใช่ไหมที่ตามเรามาตั้งแต่ที่สนามบิน”

   “ใช่ เราเพียงแค่ต้องการพบฝู่กูเหนี่ย”

   “ใครว่ะฝู่กูเหนี่ย?” พี่เก่งหันไปถามพี่คี พี่คีได้แต่สายหน้า ทำให้เธอพยายามนึก ฝู่กูเหนี่ย...ฝู่ หรือจะหมายถึงเธอ

   “พวกนายต้องการอะไร?” พี่คีตั้งคำถาม

   “คุณหนูให้พวกเราอารักขาฝู่กูเหนี่ยตลอดที่เธอพักอยู่ที่นี่ และนายท่านอยากจะเชิญเธอไปพบที่บ้าน”

   “คุณหนูอะไร นายท่านอะไร ไม่เห็นจะรู้จัก” พี่เก่งเริ่มโมโหอย่างเห็นได้ชัด โบตั๋นได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เธอมาถึงที่เกาลูนหรอกนะ

   “นายท่าน เหมิ๋นโหย่วเซียง”

   “เหมิ๋น!!” พี่เก่งกับพี่คีร้องออกมาพร้อมกัน รวมทั้งเธอที่ได้ยินชื่อนี้ก็พุ่งพรวดออกมาจากห้องทันที

   “นี่” โบตั๋นเอ่ยปากยังไม่ทันจบ คนทั้งสี่ก็ขัดเธอขึ้นมาซะก่อน

   “คาราวะ ฝู่กูเหนี่ย” ชายทั้ง 4 โค้งศีรษะเพื่อทำความเคารพเธอ มันทำให้ทั้งพี่เก่ง พี่คี และเธอต้องแปลกใจไปตาม ๆ กัน

   “ฉันน่ะหรอ ฝู่กูเหนี่ย” โบตั๋นชี้นิ้วมาที่ตัวของเธอเอง อีกทั้งพี่เก่งกับพี่คีก็มองหน้าเธอตาไม่กระพริบ

.........................................................................

    หงส์วางสายหลังจากที่ได้รับโทรศัทพ์ทางไกลจากโบตั๋นเรียบร้อยแล้ว เธอไม่คิดว่าทางนั้นจะทำงานได้รวดเร็วขนาดนี้ ส่วนเธอเมื่อเข้าพักที่โรงแรมแล้ว เจ็กลู่ก็นัดให้เหล่าสหายและคนเก่าคนแก่ที่ไว้ใจได้เข้ามาพบเธอตามที่ต่าง ๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ โดยในค่ำนี้เธอและอากร ต้องไปพบสมาชิกระดับสูงของตระกูลฝู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือลูกสาวของเหล่าฝู่

   “โบตั๋นว่ายังไงบ้าง” อากรถามเธอ ระหว่างที่นั่งทานอาหารอยู่ในห้องอาหารของโรงแรม

   “ก็ตกใจเล็กน้อยค่ะ อาจจะเป็นเพราะหงส์ไม่ได้สอนให้น้องอ่านเขียนหรือฟังภาษาจีน เลยทำให้กว่าจะเข้าใจกันก็พากันตกใจกันเป็นแถว”

   “อืม แล้วทางนั้นเขาจะคุยกันรู้เรื่องไหม”

   “น่าจะพอรู้ค่ะ ถึงโบตั๋นจะไม่เก่งภาษาอังกฤษมากนัก แต่ดูท่าทางคุณเก่งจะช่วยได้มาก”

   “อาถึงให้มันตามไปด้วย อีกอย่างคีไม่ค่อยได้ออกภาคสนาม ตั๋นคนเดียวอาไม่ไว้ใจ”

   “ขอบคุณอากรมานะคะ”

   “เรื่องเล็กน้อยน่า...”

   “หงส์ว่าจะปรึกษาอากรอีกเรื่อง เรื่องของเจ็กลู่”

   “อืม อารู้ว่าหงส์ต้องการอาหลิว และอาหลิวก็ต้องการดแลพวกเรา ซึ่งอารับได้ แค่รู้ว่าอาหลิวยังมีชีวิตอยู่ก็ดีสำหรับอามากแล้ว”

   “แล้วถ้าหงส์จะอยู่ที่นี่ไปตลอดละค่ะ อากรจะว่ายังไง”

   “ถ้าหลิวเขาจะมาอยู่ที่นี่กับหงส์ อาก็จะมาด้วย ถึงยังไงบริษัทรักษาความปลอดภัยนั่นก็ไม่ใช่ของอาอยู่แล้ว อาไม่มีอะไรต้องห่วง”

   “แต่อยู่ตรงนี้กับหงส์ อนาคตจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้”

   “แต่ถ้าทุกอย่างสำเร็จไปตามแผน มันไม่มีอะไรน่ากลัวหรืออันตรายอะไรแล้วแหละ ยกเว้นว่าหงส์จะกลัวการล้มละลาย”

   “หงส์ก็ยังไม่รู้เลยค่ะ คงต้องรอให้ได้คุยกับสมาชิกคืนนี้ก่อน”

   “เอาเป็นว่าเรื่องงานบริหาร อาจะช่วยเหลือหนูเต็มที่ มีหงส์ มีอาหลิวที่ไหน ก็จะมีอาคอยตามไปอยู่ข้าง ๆ เสมอ”

   “ขอบคุณค่ะอากร”

   “ว่าแต่เรื่องนี่ หงส์บอกน้อง ๆ รึยัง”

   “ตั๋นรู้แล้วค่ะ”

   “แสดงว่าหงส์ยังไม่ได้บอกหยกสินะ

   “ค่ะ หงส์อยากให้อะไร ๆ มันชัดเจนกว่านี้ก่อน ตอนนี้เรามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย หงส์ไม่อยากให้หยกเข้ามากังวลไปซะทุกเรื่อง”

   วรากรพยักหน้าเข้าใจ เรื่องที่อยากบอกอากร เธอก็บอกไปแล้ว ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างราบรื่น ถ้าระหว่างนี้ไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นก็คงจะดี

.........................................................................

    เกรียงไกรกำลังนั่งดื่มในบาร์ประจำของเขา ซึ่งคราวนี้ต่างมีคนล้อมหน้าล้อมหลังนั่งดื่มเป็นเพื่อนมากมาย เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้เตี่ยของเขามือขึ้นรึยังไง ถึงได้ส่งเงินมาให้เขาคราวละมาก ๆ เขาหวังว่าเตี่ยมีเงินแบบนี้ คงจะเอาไปใช้หนี้บ่อนอื่น ๆ บ้าง เขาจะได้ไม่ต้องมาคอยหวาดผวาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้าน

   “อ่าว คุณเกรียงไกร มาเที่ยวที่แบบนี้เหมือนกันหรอครับ” เขามองคนมาใหม่ ฝรั่งที่พูดภาษาจีน ช่างขัดกับหน้าตาเสียจริง

   “นายมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาทำงาน”

   “ผมก็มาดื่ม มาเที่ยวบ้างสิคุณ ว่าแต่คุณจะให้ผมร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมล่ะ” จุ้ยถิงว่า ถึงในโต๊ะจะมีคนมากมายแต่เขาก็เชื่อว่า คงไม่มีใครฟังสิ่งที่เขาสนทนากับเกรียงไกรรู้เรื่องแน่ ๆ

   “อยากนั่งก็ตามใจ แต่นายคนเดียวนะ ส่วนคนของนาย” เกรียงไกรชี้นิ้วไปทางคนของจุ้ยเถิงทั้ง ๆ ที่มือยังถือแก้วหล้าอยู่ “ให้ไปไกล ๆ เลย ยืนกันแบบนี้แล้วจะมีสาว ๆ ที่ไหนกล้าเข้ามากันว่ะ”

   จุ้ยเถิงพยักหน้าก่อนส่งสัญญาณให้คนของเขากระจายตัวตามตามมุมต่าง ๆ ส่วนเกรียงไกรก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับจุ้ยเถิง ที่เขาให้ไอ้ฝรั่งนั่นนั่งด้วยเพราะโต๊ะของเขาจะได้เด่น และดึงดูดสายตาของสาว ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

   “คุณเกรียง!!” เสียงคนที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในช่วงนี้ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทเขาอย่างจัง ไม่นานเจ้าตัวก็เข้ามานั่งข้าง ๆ อย่างถือวิสาสะ

   “นายมีอะไร เรื่องคราวที่แล้วฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลยนะ”

   “โถ่ ก็วันนั้นผมมีงานนี่ครับก็เลยรีบไป อีกอย่างไอ้พยัคฆ์กับหยกเองก็เงียบหายไปเลยไม่ใช่รึไงครับ ปล่อย ๆ พวกนั้นไปก่อนเถอะครับ”

   “นายนี่มัน!! จะไปไหนก็ไป ฉันเห็นหน้าแกแล้วหมดอารมณ์”

   “นั่นเพื่อนคุณเกรียงหรอครับ อยากได้เด็กสักคนสองคนมาบริการเพื่อนไหมครับ” เมฆบอกพร้อมทั้งย้ายไปนั่งข้างจุ้ยเถิงแล้วส่งแทบเล็ตให้ “คุณสนใจไหมครับ สวย ๆ ทั้งนั้น”

   เกรียงไกรเห็นจุ้ยเถิงรับแทบเล็ตนั่นไป แล้วคนฉลาดอย่างหมอนั่น ถึงฟังเมฆไม่ออกแต่มันก็คงจะเดาได้ เขาเห็นไอ้ฝรั่งนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนยื่นแทบเล็ตมาให้เขา

   “โห เพื่อนคุณเกรียงนี่รสนิยมเดียวกันกับคุณเกรียงเลยนะครับ” เมฆพูดยิ้ม ๆ แต่เขากลับไม่สนใจและรับแทบเล็ตมาดูแทน

   “จะหาสองคนนี้ได้ที่ไหน” จุ้ยเถิงถามเขา “แล้วสองคนนี้ขายบริการด้วยอย่างนั้นหรอ?”

   “ไอ้เรื่องว่าสองคนนี้อยู่ที่ไหน ฉันไม่รู้หรอก แต่เรื่องขายไม่ขายนี่...สักวันหยกต้องเป็นของฉัน”

   “หยก?”

   “ใช่ ถ้าแกสนใจก็เอาคนน้องไป คนพี่ของอั๊ว”

   “เออ...คงไม่ได้ทะเลาะกันแย่งน้องหยกหรอกนะครับ” เกรียงไกรเห็นท่าทางลุกลี้ลุกรนของเมฆ ถึงแม้ว่าภาษาอักฤษของหมอนั่นจะไม่ได้เรื่อง ภาษาจีนยิ่งแล้วใหญ่ แต่ภาษากายนี่มันน่าจะพอเดากันได้

   “หยก?” จุ้ยเถิงหันไปหาเมฆ

   “ครับหยก”

   “นายรู้จักสองคนนี้หรอ พวกเขาอยู่ที่ไหน” จุ้ยเถิงคาดคั้นเอากับเมฆ

   “เออ...คุณเกรียง เพื่อนคุณบอกว่ายังไงน่ะครับ ผมฟังไม่รู้เรื่อง”

   “ฉันต้องการสองคนนี้” จุ้ยเถิงย้ำอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษกับเมฆ

   “อั๊วบอกลื้อแล้วใช่ไหมว่าหยกเป็นของอั๊ว” เกรียงไกรไม่พูดป่าว แต่กลับพุ่งตรงไปกระชากคอเสือจุ้ยเถิงอย่างแรง

   “ฉิบหายแล้ว!!” เมฆอุทานขึ้นมาทันที ที่เกรียงไกรเข้าถึงตัวจุ้ยเถิง

.........................................................................

   จุ้ยเถิงเดินออกจากบาร์มาอย่างหัวเสีย เขาสื่อสารกับคนที่มาเสนอขายไม่รู้เรื่อง นายนั่นเองก็ฟังภาษาอังกฤษหรือพูดก็แทบจะไม่รู้เรื่อง เกรียงไกรเองก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย ดีแต่บอกว่าคนพี่เป็นของมัน

   ภาพที่เขาเห็นบนแทบเล็ทเป็นภาพเดียวกันกับรายงานที่ลตาให้เขามา ลตาจะรู้ไหมว่าสองพี่น้องนี้มีอาชีพพิเศษอะไร แล้วหยกใช่ฝู่หยงหรือไม่ ถ้าใช้ฝู่หยงกับเกรียงไกรเป็นอะไรกัน เขาไม่รอช้า หรือต้องทนกับความหงุดหงิด เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรหาลตาทันที

   “ผมต้องการผมคุณเดี๋ยวนี้ มาหาผมที่ XYZ บาร์”

   “นี่...คุณชายจุ้ย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว จะให้ฉันไปหาคุณที่บาร์เนี่ยนะ”

   “ผมต้องการรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ คุณต้องมาคุยกับไอ้หมอนั่นให้ผม”

   “ใคร?”

   “เพื่อนของเกรียงไกร เขาฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ”

   “คุณเกรียงไกรอยู่กับคุณอย่างนั้นหรอ?”

   “ตอนนี้ไม่ แต่คุณต้องมาเดี๋ยวนี๋”

   “แล้วคุณจะไปคุยอะไรกันเพื่อนของคุณเกรียงไกร เพื่อนๆ เขาก็มีแต่เที่ยวเมาหัวราน้ำไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”

   “มันเอาฝู่หยงกับน้องสาวมาเสนอขาย แล้วเกรียงไกรบอกว่าฝู่หยงเป็นของมัน”

   “ว่าอะไรนะ”

   “ทีนี้คุณจะมาหาผมได้รึยัง”

   “เข้าใจแล้ว”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 10-02-18 {{:::48:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-02-2018 13:48:06
เริ่มเข้มข้นแล้วดิ มาต่อเร็วๆ น้าาา
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: หยก 10-02-18 {{:::48:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 10-02-2018 22:33:13
 o13รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 28-02-18 {{:::4ุ9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 28-02-2018 23:43:41
49

   พยัคฆ์เดินขึ้นมาพร้อมถาดข้าวต้มในมือ เมื่อคืนนี้หยกมีไข้อีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วก็การก็ดีขึ้นมากทีเดียว เมื่อวานนี้เขาโทรไปหาครูศักดิ์เพื่อลางานให้หยก ส่วนร้านคุณกันต์ เขาให้ต้นกล้าแวะไปบอกคุณแหม่มที่ร้านก่อนที่เลยไปมหา’ลัย

   “หยกจะไปไหนครับ” เขาเห็นหยกแต่งตัวเรียบร้อย เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมา

   “หยกต้องไปทำงาน เมื่อวานก็หยุด ไม่ได้ลางาน ทั้งพี่ศักดิ์และพี่กันต์”

   “พักอีกสักวันสองวันเถอะ พี่โทรบอกครูศักดิ์ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เขาวางถาดข้าวต้มไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนเดินเข้าไปหาหยก

    “แต่...”

   “ไม่ต้องแต่ครับ ส่วนที่ร้านคุณกันต์พี่ให้ต้นกล้าแวะไปบอกคุณแหม่มให้แล้ว”

   “แต่หยกหายดีแล้วนะ”

   “พี่รู้ว่าหยกแข็งแรง หายไข้แล้ว แต่พี่ห่วงตรงอื่นมากกว่า” พยัคฆ์โอบแขนคล้องเอวหยกไว้หลวม ๆ

   “พี่เสือ!!” เขาโดนหยกทุบไหล่ไปเต็มแรง

   “ซีดส์...”

   “พี่เสือเป็นอะไร? หยกขอดูหน่อย” น้องหยกรั้งคอเสื้อเชิ้ตของเขาไปทางไหล่ข้างที่โดนทุบ

   “ก็ฝีมือเรานี่” น้องหยกดูท่าทางตกใจ หน้าที่แดงอยู่แล้วกลับยิ่งแดงเข้าไปอีก เมื่อเห็นรอยฟันที่ตัวเองเป็นคนฝากเอาไว้

   “หยกขอโทษ หยก...ไม่รู้ตัวว่า...”

   “ไม่เป็นไร พี่เข้าใจครับ” เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดูคนในวงแขน

   “หยก...” น้องก้มหน้าหลบสายตาของเขา

   “พี่มีความสุขจัง”

   “ที่โดนหยกกัดน่ะหรอครับ”

   “นั่นก็มีส่วนนะ ใจจริงพี่อยากให้หยกกัดพี่ทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ”

   “เป็นแมวหว่าวแล้วจริง ๆ ด้วย” หยกว่า หน้าแดง หูแดงไปหมด

   “พี่ยอมเป็นแมวให้หยกแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ”

   “พี่เสือ...”

   “มาทานข้าวต้ม แล้วทานยาดีกว่า ให้พี่ป้อนอีกนะ พี่ชอบเวลาที่หยกอ้อนพี่”

   พยัคฆ์รู้สึกอยากจะหยอกหยกแบบนี้บ่อย ๆ ได้เห็นหน้าแดง ๆ น่ารัก ๆ นั่นทุกวัน ที่สำคัญ เขาอยากได้ยินคำบอกรักจากปากเล็กสีกุหลาบนั่นอีกครั้ง

.........................................................................

   ลตาครุ่นคิดเรื่องที่เมื่อคืนคนของจุ้ยเถิงลากเมฆมาที่ลานจอดรถ รอจนเธอมาถึง ให้เธอช่วยเป็นล่ามแปลภาษาให้กับเขา คนของจุ้ยเถิงทำให้เมฆกลัวจนยอมบอกข้อมูลเกี่ยวกับหยกและโบตั๋นมาจนหมด แต่เธอเลือกบอกบางเรื่องเท่านั้น

   เรื่องที่นายเกรียงไกรไปก่อเรื่องไว้กับฝู่หยง เธอบอกกับจุ้ยเถิงไปจนหมด หวังว่าจุ้ยเถิงคงรายงานให้จุ้ยอั้ยเต๋อและเจ้าสัวเซียงรู้ แค่เธอรับมือกับจุ้ยเถิงก็ยากพออยู่แล้ว เธอไม่อยากให้เกรียงไกรเข้ามาวุ่นวายทำให้เธอเสียแผน

   ลตามาถึงห้องเสื้อของเพ็ญนภา ซึ่งเป็นลูกค้าของวรากรแต่เช้า เธอเพิ่งรู้จากเมฆว่าเจ้าของห้องเสื้อแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับสามพี่น้องฝู่ มิน่า... เธอถึงเห็นเพ็ญนภาในงานเลี้ยงคืนนั้นด้วย เพียงแต่เธอมั่วแต่สนใจฝู่หงส์จนลืมคิดถึงเพ็ญนภาไป เธอจึงเข้ามาเพื่อสืบดูว่าเพ็ญนภา รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับฝู่หยงแค่ไหน

   “สวัสดีค่ะ” พนักงานในร้านทักทายเธอ เมื่อเธอก้าวเข้าไป

   “ไม่ทราบว่าคุณเพ็ญนภาอยู่ไหมค่ะ?”

   “ไม่ทราบว่าได้นัดไว้รึป่าวค่ะ?”

   “ไม่ได้นัดค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นสักครู่นะคะ ไม่ทราบว่าจะให้แจ้งคุณภาว่าใครต้องการพบค่ะ?”

   “ลตาค่ะ เพื่อนของคุรวรากรค่ะ”

   “กรุณารอสักครู่นะคะ”

   ลตานั่งรออยู่สักพัก พนักงานร้านก็เดินมาพาเธอเข้าไปหาเพ็ญนภาภายในห้องรับรองด้านใน เธอนั่งรออยู่ไม่นานเพ็ญนภาก็เดินตามเข้ามาในห้อง

   “สวัสดีค่ะ คุณลตา ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ภารับใช้ค่ะ”

   “ตามีเรื่องจะสอบถามกับคุณภาค่ะ เรื่องช่างภาพที่ชื่อเมฆ”

   “คุณเมฆ?”

   “ค่ะ”

   “อันที่จริง ถ้าคุณลตาจะถามเรื่องคุณเมฆ คุณลตาควรจะต้องไปถามคุณเปิ้ลมากกว่าค่ะ เขาเป็นนายจ้างของคุณเมฆเขา”

   “แล้วคุณเปิ้ลเขาทราบเรื่องที่คุณเมฆเป็นคนจัดการให้ผู้หญิงขายบริการด้วยไหมค่ะ?”

   “คุณลตาหมายความว่ายังไงค่ะ”

   “คือ เมื่อคืนนี้เพื่อนชาวต่างชาติของตาไปเที่ยวที่บาร์แห่งหนึ่ง ตาไปเป็นล่ามให้เขา แล้วคุณเมฆก็มาเสนอขาย แล้วเพื่อนของตาดันไปถูกใจสองพี่น้องชูวนาสุวรรณเข้า”

   “อะไรนะ!!”

   “เพื่อนของตาสนใจคุณหยกและคุณโบตั๋น”

   “ขอโทษนะคะคุณลตา คงมีการเข้าใจผิดอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ น้องของภาทั้งสองคนเป็นเด็กดี ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ รบกวนคุณลตาไปบอกเพื่อนของคุณด้วยนะคะ”

   “แสดงว่าคุณเมฆแอบอ้างเอารูปของคุณทั้งสองมาเสนอขายเพื่อนของลตาอย่างนั้นใช่ไหมค่ะ?”

   “ภาตอบคำถามคุณลตา เท่าที่ภาจะตอบได้ไปแล้วค่ะ นอกจากนี้ภาคงให้คำตอบอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”

   “อืม...ถ้าอย่างนั้นตาขอตัวก่อนนะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ”

   ลตาเดินออกจากห้องรับรองมา เธอดูจากอาการของเพ็ญนภาที่โกรธจนตัวสั่นก็พอจะเดาได้ว่าเพ็ญนภาต้องรู้เรื่องนี้ไม่มากก็น้อย เธออาจจะใช้เพ็ญนภาเป็นเครื่องมือในการจัดการนายเมฆได้ เธอคงต้องเติมเชื้อให้สักหน่อย

.........................................................................

   หงส์ได้แสดงตัวและพูดคุยกับคนหลาย ๆ ฝ่ายที่อยู่ในตระกูลฝู่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คนในนั้นคอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวภายในให้เธอรับรู้อยู่ตลอด ตอนนี้จุ้ยอั้ยเตอส่งเจ้าสัวเซียงไปเที่ยวกาสิโนที่มาเก๊าโดยออกทุนให้เจ้าสัวไม่น้อย

   สายข่าวรายงานว่าเจ้าสัวเซียงเข้ามาหาจุ้ยอั้ยเตอเพื่อรายงานว่าเขาพบเธอแล้ว และอยากจะให้เธอแต่งงานกับลูกชายของเขา หากจุ้ยอั๊ยเต๋อยอมรับข้อตกลงก็จะบอกที่อยู่ของเธอให้กับจุ้ยเถิงรู้ทันที

   เธอรู้ว่าสายข่าวของเธอไม่มีทางโกหก เพราะนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่สายข่าวรับรู้มา เจ้าสัวเซียงคงต้องการหลอกให้จุ้ยอั้ยเต๋อตายใจ และคิดว่าคนของเขาจะช่วยปกปิดความจริงจากจุ้ยเถิงได้

   “เจ็กลู่ค่ะ ตอนนี้จุ้ยเถิงเองก็ไม่รู้ว่าหงส์มาอยู่ที่นี่แล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าหยกทำงานอยู่ที่ร้านคุณกันต์ แต่ช่วงนี้หยกก็ไม่ได้ออกไปทำงาน ที่บ้านเองก็ไม่ได้กลับ หงส์ว่าเราก็น่าจะถ่วงเวลาได้อีกสักระยะ”

   “ยังดีที่คืนนั้นหงส์สัมผัสได้ถึงจุ้ยเถิง ทำให้ไปพักที่บ้านหนูภาได้ทัน”

   “หงส์หวังว่าคุณเสือจะรั้งให้หยกอยู่แต่ในบ้านไปได้สักพัก”

   “แล้วหงส์จะเข้าไปที่บ้านฝู่เมื่อไรล่ะ”

   “หงส์ตั้งใจว่าจะให้อากรพาหงส์เข้าไปพรุ่งนี้ค่ะ ช่วงนี้เจ้าสัวเซียงไม่อยู่ด้วย”

   “ระวังตัวด้วยล่ะ”

   “หงส์ฝากเจ็กลู่บอกคนของเราให้เตรียมพร้อมไว้นะคะ”

   “วันนี้จุ้ยอั้ยเต๋อไม่อยู่ที่บริษัท หงส์จะเข้าไปที่เยี่ยนหว๋อวันนี้เลยไหม?”

   “คนของเราพร้อมไหมค่ะ ถ้าพร้อมก็จัดการได้เลยค่ะ”

   “ตกลง อั๊วจะบอกให้คนของเราที่เยี่ยนหว๋อเตรียมพร้อมภายใน 1 ชั่วโมง”

.........................................................................

    จุ้ยเถิงคุยกับคนของเขาเกี่ยวกับเรื่องของช่างภาพคนนั้น ตอนที่คุยอยู่ที่ลานจอดรถ หนึ่งในคนของเขาพอจะฟังภาษาไทยได้เข้าใจแต่อาจจะพูดได้ไม่คล่อง เขาเองที่ใจร้อนอยากรู้เรื่องของฝู่หยง จึงโทรเรียกให้ลตามาเป็นล่ามให้กับเขา

   ไม่คิดเลยว่าลตาจะปกปิดเรื่องบางเรื่องที่ช่างภาพคนนั้นเล่าออกมาบางส่วน แต่ทำไมเธอถึงต้องทำแบบนั้น แค่เรื่องที่ฝู่หงส์และเสี่ยวฝู่เดินทางไปงานแฟชั่นวีคที่ต่างประเทศ ไม่เห็นจะต้องปกปิด หรือเธอเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝู่หยง

   สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ลตาต้องมีเรื่องบางอย่างปิดบังเขาแน่ ๆ แต่เขายังไม่แน่ใจจุดประสงค์ของเธอ จึงให้คนคอยตามดู และเขาได้ติดต่อไปทางลุงของเขา เพื่อถามความเคลื่อนไหวของเซียงไบ่ ทางนั้นก็ดูจะมีความสุขกับการใช้เงินที่ลุงของเขาออกทุนให้ ละลายไปกับกาสิโนที่มาเก๊า

   ฝู่หยงเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ในไทย คนของเขาคงจะคลาดกับฝู่หงส์ในวันนั้น ทำให้วันสองวันมานี้คนของเขาที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านฝู่หงส์จึงไม่พบใคร แม้กระทั่งฝู่หยง ที่ร้านอาหารนั่นก็ไม่ได้ไปทำงาน ช่างภาพนั่นก็ไม่รู้ที่อยู่อื่นของฝู่หยง ส่วนเกรียงไกรก็ทำให้เรื่องยากขึ้นไปอีก ด้วยการไปก่อเรื่องกับฝู่หยงไว้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงมีบอดี้การ์ดคอยติดตามฝู่หยง แล้วแบบนี้เขาจะหาฝู่หยงเจอได้ยังไง

   “คุณชายจุ้ยครับ ทำไมเราไม่ลองไปสืบจากบริษัทฯ ที่ฝู่กูเหนี่ยจ้างมาอารักษาคุณชายฝู่ล่ะครับ” คนของเขาคนหนึ่งออกความเห็น

   “อยู่ที่นี่ เรามีคนไม่มาก การจะวางกำลังคนเพื่อสืบอะไร ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ”

   “แต่ผมว่าน่าจะลองดูนะครับ ดีกว่ามารอแต่คุณลตา”

   “หึ!! ฉันรู้... ฉันเองก็ไม่ไว้ใจลตาเหมือนกัน”

   “ให้นายใหญ่ส่งคนมาช่วยเราอีกสักหน่อยดีไหมครับ เลือกคนที่คุณลตาไม่เคยเจอ...”

   “เป็นความคิดที่ดี”

   จุ้ยเถิงเห็นด้วย หากได้คนมาช่วยเพิ่มแล้วเป็นคนที่ลตาไม่เคยเจอ การสะกดรอยตามลตาก็อาจจะทำให้รู้ได้ว่า เซียงไบ่เก็บซ่อนความจริงอะไรเอาไว้

.........................................................................

    ผมไม่เคยอยู่บ้านเฉย ๆ แบบนี้มาก่อน ให้นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องแบบนี้มันทำให้ผมอึดอัด ผมเป็นครูสอนเทควันโด ทำให้ได้ออกแรงอยู่บ่อย ๆ ร่างกายจึงหายไข้ และฟื้นตัวได้เร็ว อาจจะมีอาการเสียด ๆ บริเวณนั้นบ้างเวลาที่เดินนาน แต่ผมก็น่าจะทำงานไหว

   ผมเดินออกจากห้องนอนของตัวเอง เดินไปหยุดยืนอยู่ที่ห้อง เคาะเรียกเจ้าของห้องเล็กน้อย แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ในห้องว่างเปล่า พี่เสือไม่อยู่ ผมจึงก้าวเดินออกมา ก่อนปิดประตูลงตามเดิม

   “คุณหยก อาการดีขึ้นแล้วหรอค่ะ?” ป้าลัยเดินขึ้นมาพร้อมกับเด็กอีก 2  คน

   “ครับ เอ่อ...ป้าลัยครับ พี่เสืออยู่ไหนหรอครับ”

   “คุณเสืออยู่ที่ห้องทำงานค่ะ ไปค่ะป้าเดินไปส่ง” ป้าลัยส่งผ้าปูที่นอนให้ก็เด็กที่เดินตามหลังมา “เธอสองคนเข้าไปเปลี่ยนผ้าปูที่ห้องคุณหยกก่อน เดี๋ยวฉันตามเข้าไป”

   “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปเองได้”

   “แต่ป้าเป็นห่วงนี่ค่ะ เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอีกจะทำยังไงค่ะ”

   “ผมหายแล้วครับ แข็งแรงมากด้วย ป้าลัยไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ”

   “เอาแบบนั้นหรอค่ะ ก็ได้ค่ะ” ผมพยักหน้าเป็นการยืนยัน “ถ้าอย่างนั้นป้าขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

   “ครับ”

   ผมเดินเลี่ยงป้าลัยและลงบันไดมายังห้องทำงานข้างล่าง ประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย ทำให้ผมพอเห็นคนข้างในห้อง พี่เสือกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานท่าทางเคร่งเครียด ผมจึงถ่อยออกมาก่อนเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมของว่างให้พี่เสือ

   ผมรู้ว่าพี่เสือชอบกาแฟแบบไหน จึงหันไปใส่ใจกับวัตถุดิบในตู้ครัวเผื่อทำของว่างให้กับพี่เสือ ผมไม่ถนัดทำขนมไทยอย่างเจ่เจ้ แต่ถนัดที่จะพวกเบเกอรี่มากกว่า ในตู้มีแป้ง ไข่ น้ำตาล นม เนย วัดถุดิบหลัก ๆ มีครบ ผมจึงเลือกที่จะทำสปันจ์เค้ก พี่เสือไม่ชอบพวกครีม ผมจึงหยิบส้มออกมาเสริม เพื่อเพิ่มรสชาติให้เค้กเนื้อนุ่ม

   ผมใช้เวลาเตรียมเนื้อเค้ก 20 นาที ก่อนส่งเข้าไปอบอีกราว 45 นาที ระหว่างที่รอขนมเค้กสุกได้ที่ ผมก็เดินไปยังห้องทำงานของพี่เสืออีกครั้ง พี่เสือยังคงนั่งทำงานอยู่เช่นเดิม

   ตอนแรกที่ผมจะลงมาคุยกับพี่เสือ เรื่องขอไปทำงาน แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ถ้าผมออกไป พี่เสือก็ต้องตามไปด้วย งานที่คั่งค้างไว้ของพี่เสือก็คงไม่ได้ทำสักที ยิ่งอากรไม่อยู่ช่วยพี่เสือก็ยิ่งทำงานหนักเป็นสองเท่า หยุดสักวันสองวันคงจะไม่เป็นอะไร ผมยิ้มก่อนเดินกลับไปที่ครัว

.........................................................................

   โบตั๋นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ ในการเดินทางมาที่เกาลูนครั้งนี้ เธอไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกตามหาตระกูลเหมิ๋น แต่กลับเป็นว่าทางนั้นส่งคนมาหาเธอซะเอง

   ระหว่างอยู่บนรถหรูคันใหญ่ เธอนั่งโดยมีพี่คีและพี่เก่งประกบอยู่ทางด้านซ้ายและขาว ทั้งสองดูจะระแวงระวังคนของตระกูลเหมิ๋นเป็นพิเศษ ตอนแรกเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ก็มีคนของตระกูลเหมิ๋นมาตามหาเธอถึงโรงแรม ทั้งยังรู้เวลาที่เครื่องแลนดิ้งอีกต่างหาก แต่เมื่อเธอคิดไปคิดมา คนบ้านเหมิ๋นที่มีเมฆาขาวอยู่ในมือ อาจจะมีความสารถเหมือนอย่างเธอ หรืออาจจะมากกว่าก็เป็นได้ คนบ้านนั้นอาจจะมีความสามารถที่รับรู้ได้ถึงการมาของเธอ

   รถวิ่งมาถึงเยามะไต๋ ตลาดขายหยก แหล่งท่องเที่ยวมีชื่อแห่งหนึ่งในเกาลูน รถมาจอดที่หน้าตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชายที่นั่งด้านหน้าผายมือให้เธอเดินตามกลุ่มชายอีกชุดหนึ่งที่นั่งรถมาอีกคัน เธอจึงเดินตามคนเหล่านั้นไป

   “คุณโบตั๋นระวังตัวด้วยนะครับ” พี่เก่งกระซิบบอก และคอยระวังหลังให้เธอ ถึงเธอจะไม่สามารถสัมผัสจิตใจคนเหล่านี้ได้ก็ตาม แต่เธอรู้สึกได้ว่า คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อเธออย่างแน่นอน

   โบตั๋นเดินตามกลุ่มคนข้างหน้าเข้ามาในร้านขายหยกที่ดูธรรมดา ๆ ร้านหนึ่ง ก่อนจะเดินทะลุเข้าไปยังด้านหลังร้าน ซึ่งมันทะลุออกไปสู่ลานกว้างแห่งหนึ่ง ที่มีบ่อปลาคราฟขนาดใหญ่ คนเหล่านั้นหยุดยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ

   หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ทางหน้าประตูคำนับเธอเล็กน้อย ก่อนเปิดประตูนำเธอเข้าไปยังตัวบ้าน ที่ดูจากภายนอกแล้ว เธอไม่คิดว่าบ้านหลังนี้จะมีเนื้อที่กว้างขวางขนาดนี้

   “เชิญนั่งรอสักครู่ค่ะ นายท่านกำลังมา” หญิงสาวคนนั้นบอกเธอเป็นภาษาอังกฤษที่เธอพอจับใจความได้ ซึ่งพี่เก่งก็ช่วยเป็นล่ามให้เธออีกทีหนึ่ง

   “เสี่ยงมากเลยนะครับคุณโบตั๋น ที่ตัดสินใจมาตามคำเชิญของคนทางนี้” พี่คีเอ่ยกับเธอ

   “เท่าที่ผมเห็น ที่นี่น่าจะมีทางเข้าออกทางเดียว” พี่เก่งวิเคราะห์

   “พี่คี พี่เก่งไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ตั๋นเชื่อว่าคนพวกนี้ไม่อันตรายแน่นอน”

   “คุณโบตั๋นอย่างเพิ่งชะล่าใจสิครับ” พี่คีพูดกับเธอหน่าย ๆ

   “เอาน่า พี่คีเชื่อตั๋นสักครั้งสิ”

   “ที่ตามเข้ามานี่ ไม่เชื่อเลยงั้นสิ” พี่คีบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว

   การสนทนาของพวกเราก็หยุดลงเมื่อมีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับสาวใช่ที่เอาเครื่องดื่มและของว่างมาให้พวกเธอ เนื่องจากเธอเด็กกว่าคนตรงหน้ามาก และจากที่เห็นการกระทำของคนที่นี่ มันทำให้เธอลุกขึ้นแล้วโค้งศีรษะชายตรงหน้าเล็กน้อย

   “ฝู่หมู่ตานสินะ” ชายตรงหน้าถามเธอเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี

   “เอ่อ หนูแซ่ฝู่ก็จริง แต่หนูชื่อโบตั๋นค่ะ” เธอตอบโดยมีพี่เก่งค่อยเป็นล่าให้ตลอดการสนทนา

   “หมู่ตานก็คือดอกโบตั๋นนั่นแหละ เราคนจีนเรียกกันแบบนั้น”

   “อ่อ!” เธอพยักหน้าเข้าใจ

   “หนูมาที่เกาลูนนี่เพราะเรื่องหยกศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”

   “หนูมาเรื่องเมฆาขาวค่ะ”

   “เมฆาขาวอย่างนั้นรึ?”

   “ใช่ค่ะ หนูไม่รู้ว่าหยกศักดิ์สิทธิ์คืออะไร”

   “อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันมา แล้วฉันจะอธิบายให้ฟัง”

   “เอ่อ ก่อนอื่น หนูขอถามหน่อยได้ไหมค่ะ?”

   “ว่ามาสิ”

   “คุณมีความสามารถเหมือนหนูใช่ไหมค่ะ ถึงได้รู้ว่าหนูจะมาที่นี่”

   “ฉันไม่ได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์หรอก ที่ฉันรู้ว่าหนูจะมาเพราะหลานสาวของฉันบอกน่ะ”   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 28-02-18 {{:::4ุ9:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-02-2018 23:57:51
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หยก 28-02-18 {{:::49:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-03-2018 00:16:06
 o8 ตื่นเต้นทีละนิดแล้วนะ
หัวข้อ: Re: หยก 28-02-18 {{:::49:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-03-2018 02:23:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 13-03-18 {{:::50:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-03-2018 00:00:31
50

   หงส์กำลังเผชิญหน้ากับคณะกรรมการภายในเยี่ยนหว๋อ ซึ่งเกินครึ่งในห้องนี้เป็นคนของเธอ ส่วนที่เหลือเป็นคนที่จุ้ยอั้ยเตอสับเปลี่ยนเข้ามา การประชุมด่วนครั้งนี้ อากรสั่งให้ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมฝากเครื่องมือสื่อสารไว้ภายนอก ทั้งเธอและอากรไม่ต้องการให้จุ้ยอั้ยเตอไหวตัวทัน

   หลังจากที่เธอคุยกับคนเก่าคนแก่หลาย ๆ คนในตระกูลฝู่แล้ว ทำให้การปรากฎตัวของเธอในวันนี้ ไม่มีใครแปลกใจ จะมีก็แต่คนของจุ้ยอั้ยเตอเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

   “เอ่อ...คุณผู้หญิงครับ เก้าอี้ตัวนั้น เป็นที่นั่งของประธานของเรานะครับ” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ

   “ถ้าจะกล่าวให้ถูก น่าจะเป็นรักษาการ ประธานมากกว่า” อากรที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอเป็นคนตอบ

   “ถึงจะเป็นรักษาการ แต่ถ้าท่านยังไม่มา คุณผู้หญิงก็ไม่ควรจะนั่งตรงนั้นนะครับ”

   “ผิดแล้วค่ะหัวหน้าไป๋ เธอผู้นี้มีสิทธิ์เต็มที่ในตำแหน่งนั้น” ลูกสาวของเหล่าฝู่พูดขึ้น พร้อมลุกขึ้น คำนับเธอหาเธอเล็กน้อย “ต้องขออภัยคุณหนูฝู่ที่คนของเราเสียมารยาท”

   บรรดาคนของตระกูลฝู่ต่างลุกขึ้นและโค้งศีรษะคำนับเธอเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งกล่าวเสียงหนักแน่น

   “ยินดีตอนรับ คุณหนูฝู่หงส์กลับสู่เยี่ยนหว๋อ”

   เธอเห็นคนของจุ้ยอั้ยเตอตกใจ กว่าจะลุกและทำตามคนอื่น ๆ ได้ ก็พอจะมีเวลาให้อากรและคุณต้นจดจำได้หมด ว่ามีใครบ้าง

   “ทุกท่านเชิญนั่งค่ะ ที่หงส์มาวันนี้เพื่อที่จะจัดการเรื่องภายในเยี่ยนหว๋อ” เธอยังไม่ทันจะพูดจบ ชายคนเดิมก็แทรกขึ้นมา

   “คุณหนูใหญ่ครับ เรื่องภายในเยี่ยนหว๋อ เท่าที่ผมทราบ คนที่จัดการได้ต้องเป็นลูกชายตระกูลฝู่” ชายคนเดิมพูดขึ้นหลังจากนั่งลงแล้ว

   “หรือทายาทที่อายุครับ 25 ปีบริบูรณ์” ลูกสาวของเหล่าฝู่แทรกขึ้นมาบ้าง

   “ตะ...แต่ ฝู่ไฉ๋”

   “หัวหน้าไป๋ จะให้ฉันเรียกทนายมายืนยันก็ได้นะ”

   “...”

   “เชิญคุณหนูใหญ่กล่าวต่อเลยค่ะ จากนี้ไปคงไม่มีใครกล้าขัดคุณหนูอีกแล้ว”

   “ในเมื่อหงส์มาอยู่ที่นี่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องมีรักษาการ ประธานบริษัทอีกต่อไป ดังนั้นเอกสารทุกอย่าง ทุกคนคงทราบนะคะว่าต้องส่งมาให้ใคร”

   “เออ...คุณหนูใหญ่ครับ เอกสารของเราส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน คุณหนูใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไรหรอครับ”

   “หัวหน้าไป๋สงสัยเรื่องแค่นี้เองรึค่ะ? สังสัยอะไรไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้บริหารเลย สงสัยดิฉันคงต้องปรับเปลี่ยนอะไรให้เข้าที่เข้าทางมากว่าที่เห็นซะแล้วสินะคะ”

   “ปะๆๆ ป่าวนะครับคุณหนูใหญ่ ผมแค่เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะเหนื่อยเกินไป”

   “ไม่ใช่ว่าหัวหน้าไป๋กำลังคิดดูถูกดิฉันอยู่รึค่ะ?” เธอลุกและเดินตรงมายังเก้าอี้ที่หัวหน้าไป๋นั่ง

   “ไม่ใช่อย่างนั้นครับคือ ๆๆ ผม”

   “ตอนนี้หงส์ยังไม่มีเลขาส่วนตัว ไม่ทราบว่าระหว่างนี้ หัวหน้าฝู่พอจะช่วยเป็นเลขาให้หงส์หน่อยได้ไหมค่ะ” เธอหันไปทางฝู่ไฉ๋ พร้อมกับเดินไปรอบ ๆ โต๊ะประชุมอย่างช้า ๆ

   “เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะคุณหนูใหญ่”

   “งานแรก ช่วยให้ฝ่ายบุคคลจ่ายค่าชดเชยให้หัวหน้าไป๋ด้วยก็แล้วกันนะคะ แล้วก็คุณไป๋ค่ะ เชิญค่ะ หงส์ว่าวันนี้คุณคงไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมกับเราอีกแล้ว”

   “คุณหนูใหญ่ ผมๆๆ”

   “อ่อ อีกอย่างหนึ่งนะคะ หลังคุณออกจากห้องนี้ไปแล้ว หากดิฉันทราบภายหลังว่าคุณรายงานจุ้ยอั้ยเตอ เรื่องที่เราคุยกันวันนี้ คุณอาจจะไม่แค่โดนไล่ออกเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ ค่ะ ฉันรับรอง เพราะดิฉันไม่เหมือนกับแม่ของดิฉันอย่างแน่นอน”

   ถึงเธอจะพูดกับหัวหน้าไป๋ แต่สายตาของเธอกลับกวาดตามาองไปยังคนของจุ้ยอั้ยเต๋อทุกคน เธอรู้ว่าคนพวกนี้คิดยังไง และจากการที่เฉือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว เธอก็สัมผัสได้ถึงความคิดที่เริ่มเปลี่ยนไปของคนกลุ่มนี้ ซึ่งมีทั้งคล้อยตามและต่อต้าน

.........................................................................

   จุ้ยอั้ยเตอได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากจุ้ยเถิง ซึ่งเขาก็ตกลงจัดคนส่งไปเพิ่มให้อีกเล็กน้อย และด้วยการลดเวลา เขาจึงอนุญาตให้ใช้เครื่องบินส่วนตัวของเยี่ยนหว๋อ เพื่อไปส่งคนเหล่านั้น พร้อมยังเป็นการเตรียมให้จุ้ยเถิงใช้เป็นภาหนะในการพาตัวฝู่หยงกลับมาอีกด้วย

   เขาจัดการเรื่องของจุ้ยเถิงเสร็จก็กดโทรศัพท์ไปยังกาสิโนที่เขาให้เซียงไบ่ไปพักและเล่นพนันที่นั่น

   “ครับ เหลาไป่”

   “แขกพิเศษของฉันเป็นยังไงบ้าง?”

   “ต้องนี้ทางกาสิโนยังปล่อยให้ท่านเซียงเล่นได้อยู่ครับ”

   “ดี หลังจากนี้ก็ค่อย ๆ จัดการไป”

   “ได้ครับ แล้วเหลาไป่ต้องการได้คืนจากท่านเซียงเท่าไรครับ”

   “สองเท่าจากที่เราเสียให้มันไป”

   “รับทราบครับ เหลาไป่”

   จุ๋ยอั้ยเตอวางหูจากคนปลายสาย เขาคิดแล้วว่าเซียงไบ่น่าจะคิดไม่ซื่อกับพวกเขาแน่นอน ต้องการให้ลูกชายแต่งงานกับฝู่หงส์เพื่อที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในเยี่ยนหว๋อ ปกปิดเรื่องของฝู่หยงที่ยังมีชีวิตอยู่ ทายาทโดยชอบธรรมและมีสิทธิ์ในเยี่ยนหว๋อมากที่สุด ถึงแม้ว่ายังอายุไม่ครบตามพินัยกรรมก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาฝู่หยงก็สามารถเป็นหุ่นเชิดให้เขาได้ และในที่สุดเยี่ยนหว๋อก็จะตกอยู่ในมือของเขาสักที

.........................................................................

   ผมจัดเค็กใส่จากเรียบร้อย พร้อมชงกาแฟ เตรียมให้กับพี่เสือ ป้าลัยก็เดินเข้ามาในครัวพอดี คงจะเตรียมทำอาหารเย็นแล้ว

   “คุณหยกทำอะไรค่ะ หอมไปถึงข้างนอกเลย”

   “ทำเค้กครับ ผมแบ่งไว้ให้ป้าลัยกับเด็ก ๆ ด้วย อยู่ทางด้านนี้นะครับ”

   “แหม๋...คุณหยกนี่ใจดีอย่างกับนางฟ้าจริง ๆ นะคะ”

   “ป้าลัยก็ล้อผมด้วยอีกคนหรอครับ”

   “ไม่ได้ล้อค่ะ ป้าแค่ชื่นชมจากใจจริง คุณหยกอย่าคิดว่าเป็นการล้อเลียนสิคะ”

   “ก็มันอดไม่ได้นี่ครับ”

   “เอ๊ะ!! นี่จะยกไปให้คุณเสือหรอค่ะ?”

   “ครับ”

   “งั้นให้ป้าช่วยยกไปไหมค่ะ?”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมยกไปเองได้”

   “แต่ทำไม คุณหยกถึงทำแค่ชุดเดียวล่ะค่ะ คุณหยกน่าจะนั่งทานเป็นเพื่อคุณเสือด้วยนะคะ มาค่ะป้าช่วยจัดให้อีกชุดนะคะ”

   “จะดีหรอครับ ผมเห็นพี่เสืองานยุ่ง ผมไม่อยากจะไปกวนพี่เสือเขาน่ะครับ”

   “ไม่ได้ไปกวนค่ะ เขาเรียกว่าไปนั่งให้กำลังใจต่างหาก”

   “จะดีหรอครับ?”

   “เชื่อป้าเถอะค่ะ ป้าอาบน้ำร้อนมาก่อนนะคะ คุณหยกเองก็อย่าคิดมากสิค่ะ ไม่มั่นใจก็ถามคุณเสือเขาตรง ๆ อย่าเก็บไปคิดคนเดียว ป้าดูออกนะคะว่าคุณหยกเกรงใจและห่วงคุณเสือแค่ไหน”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

   ป้าลัยช่วยผมจัดของว่าอีกชุด จากนั้นผมก็เดินยกของว่างมายังห้องทำงาน ประตูก็ยังคงเปิดแง้มอยู่อย่างเดิม ผมจึงค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไป

   “พี่เสือ” ผมเรียกพี่เสือเสียงไม่ดังนัก แทนการเคาะประตูเพราะมือทั้งสองประคองถาดของว่างอยู่

   “อ่าว หยก” พี่เสือเห็นผมก็ลุกจากงานตรงหน้า เดินเข้ามาหาผมทันที พี่เสือช่วยรับถาดของว่างในมือผมเอาไปถือไว้เอง ก่อนเดินนำผมมายังโซฟาข้างโต๊ะทำงาน

   “หยกยกเองก็ได้”

   “ก็พี่อยากช่วย อีกอย่างจะได้ยืดเส้นยืดสายด้วยยังไงล่ะครับ”

   “พี่เสือเหมื่อยไหมครับ”

   “ก็นิดหน่อยน่ะ พีไม่ค่อยถนัดงานนั่งโต๊ะสักเท่าไร”

   “แล้วอากรจะกลับเมื่อไรครับ”

   “น่าจะราว ๆ อาทิตย์หน้าน่ะ”

   “พี่เสือพักดื่มกาแฟ กับทานเค้กก่อนเถอะครับ แล้วค่อยทำงานต่อนะ กำลังอุ่น ๆ เลย”

   “หยกทำเองหรอครับ”

   “ครับ หยกรู้ว่าพี่เสือไม่ค่อยชอบเค้กที่มีครีม เห็นตอนอยู่ที่ร้านพี่เสือทานเหลือทุกที”

   “ช่างสังเกตจัง แล้วนี่เค้กอะไร หอมเชียว”

   “สปันจ์เค้กครับ หยกใส่ส้มลงไปด้วย”

   “หยก...ถ้าพี่จะขอให้หยกอยู่ที่นี่ อยู่ข้าง ๆ พี่ ค่อยทำอาหาร ทำขนม ชงกาแฟ ให้พี่แบบนี้ตลอดไปได้ไหมครับ”

   “ก็หยกเป็นแฟนพี่เสือแล้วนี่ พี่เสือยังจะอยากได้อะไรอีกล่ะ” ผมตอบทั้ง ๆ ก้มหน้าหลบสายตาของพี่เสือ

   “พี่ถือว่าหยกตอบตกลงนะ”

   “...” ผมไม่รู้จะตอบอะไรดี ที่ควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว

   “หยกครับ พรุ่งนี้พี่จะเข้าบริษัทฯ หยกไปกับพี่นะ”

   “ให้หยกไปทำไมกัน ไปก็เกะกะพี่เสือทำงานเสียเปล่า ๆ”

   “พี่ไม่ได้ไปทำงานสักหน่อย แค่อยากพาแฟนไปอวด” ผมโดนพี่เสือรวบตัวเข้าไปกอดจากด้านหลัง พี่เสือเกยคางอยู่ที่ไหล่ของผมพร้อมทั้งโยกตัวไปมา “ได้กอดแบบนี้แล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มีแรงทำงานขึ้นเป็นกอง”

   “พี่เสือ ปล่อยหยกนะ”

   “ขอกอดอีกแป๊บหนึ่งนะครับ”

   “เดี๋ยวกาแฟก็เย็นหมด”

   “งั้นหยกก็ป้อนพี่สิครับ”

   “พี่เสือกอดหยกอยู่อย่างนี้แล้วหยกจะป้อนได้ยังไงกัน”

   “น่ารักจัง” พี่เสือพูดพร้อมกับหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมรู้สึกว่าช่วงนี้พี่เสือชักจะเอาใหญ่แล้ว ความอึดอัดที่เคยสัมผัสได้ดูลดลง ถึงแม้จะไม่จางหายไปก็ตามที พี่เสือคลายวงแขนออก ผมจึงยกเค้กขึ้นมาให้ พี่เสือกลับอ้าปากรอให้ผมป้อนเค้กให้ 

.........................................................................

   หลังจากที่เพ็ญนภาได้คุยกับคุณลตาแล้ว เธอก็โทรไปปรึกษาหงส์ แต่นายต้าเป็นคนรับสาย ต้าบอกว่าหงส์ประชุมผู้บริหารอยู่ที่เยี่ยนหว๋อ เธอไม่คิดว่าหงส์จะทำงานเร็วแบบนี้ เพียงแค่ไม่กี่วันเธอก็บุกเยี่ยนหว๋อซะแล้ว

   “ไม่เป็นไร ถ้าหงส์ว่างเมื่อไรให้หงส์ติดต่อหาฉันด้วยนะ”

   “คุณภามีเรื่องอะไรที่โน่นรึป่าวครับ”

   “ถ้าหงส์ถาม ก็บอกว่าฉันอยากถามความเห็นเรื่องนายเมฆ”

   “ได้ครับ เดี๋ยวประชุมเสร็จผมจะบอกคุณหงส์ให้ครับ”

   “แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

   “ราบรื่นดีครับ คุณหงส์เธอเก่งมาก มัดใจคนเก่าคนแก่ที่นี่ได้ในเวลาไม่นาน ผมล่ะทึ่งในความสามารถของเธอจริง ๆ”

   “อืม ยังไงฉันก็ฝากนายดูแลเพื่อนของฉันด้วยแล้วกันล่ะ”

   “ครับคุณภา”

   เพ็ญนภาวางสายแล้วจึงเดินลงจากรถ วันนี้เธอเข้ามาทำตามแผนที่วางไว้แทนหงส์ที่ไปจัดการเรื่องที่ฮ่องกง ระหว่างที่เธอเตรียมสมุดสเก็ตและตัวอย่างผ้าอยู่ที่ท้ายรถ เธอก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งแล่นเข้ามา แล้วจอดเทียบที่ทางเข้าหน้าบ้าน ไม่ได้นำรถมาจอดที่โรงรถอย่างเธอ

   คนที่ลงจากรถก็คือนายเกรียงไกรนั่นเอง เธอเห็นเขาเดินขึ้นบ้านไปโดยมีเด็กในบ้านคนหนึ่งเดินนำเขาเข้าไป เมื่อเพ็ญนภาหยิบของเสร็จ เธอก็เดินเข้าตัวบ้านไป และเดินตรงไปยังสตูดิโอที่คุณสุพรรณษาจัดไว้ให้

   “คุณษาสวัสดีค่ะ”

   “คุณภามาแล้วหรอค่ะ?”

   “ขอโทษนะคะที่ภาขึ้นบ้านมาช้า พอดีภาติดสายอยู่น่ะคะ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ๆ เรามาทำงานของเราต่อเถอะค่ะ”

   เพ็ญนภาส่งตัวอย่างชิ้นผ้าให้กับสุพรรษาเพื่อเทียบเฉดสีกับผ้าบาติดที่หงส์เขียนเทียนแล้วก็ลงสีไปได้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือมอบเป็นหน้าที่ให้กับคุณสุพรรณษาทำต่อ ซึ่งเธอก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ทำผ้าผืนนี้

   “คุณษาค่ะ คุณเกรียงไกรมาขอพบค่ะ” เด็กในบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน

   “เอ๊ะ ฉันนัดไว้ตอนค่ำ ๆ นี่ มาอะไรเอาตอนนี้”

   “ถ้าวันนี้คุณษาไม่สะดวก ภากลับก่อนก็ได้นะคะ”

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ษาแค่จะถามเรื่องไม่เป็นเรื่องกับตาเกรียงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าคุณภาไม่ว่าอะไรษาขอตัวสักครู่นะคะ”

   “เชิญคุณษาตามสบายค่ะ ระหว่างรอช่วยคุณษาเลือกผ้าก็แล้วกันนะคะ”

   “ถ้าอย่างนั้น ษาขอตัวสักครู่นะคะ”

   หลังจากที่คุณสุพรรณษาเดินออกไปแล้ว เพ็ญนภาก็ทำทีเดินไปถามสารทุกข์สุขดิบของคุณหญิงผ่านทางเด็กในบ้าน เลยไปจนถึงเรื่องของนายเกรียงไกร ทำให้เธอรู้ว่าข่าวที่นายคีหามานั้นไม่ผิดอย่างที่ได้รับรู้มา เกรียงไกรเข้ามาบ้านนี้ก็ถูกจำกัดให้อยู่ได้แค่ห้องรับแขกทางการ ที่อยู่ส่วนหน้าสุดของตัวบ้านและเป็นห้องที่ปิดมิดชิด และนายนั่นไม่เคยทานอาหาร หรือแม้แต่ค้างที่บ้านหลังนี้เลยสักครั้ง

.........................................................................

   เกรียงไกรเข้ามานั่งรอแม่ของเขาในห้องรับแขกห้องเดิม เขาเลือกมาเวลานี้เพราะไม่ต้องการจะเข้ามาในช่วงค่ำ เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ต้องมานั่งทานอาหารเย็นพร้อมกับแม่และยายของเขา

   เขารู้ตัวว่ายายไม่ชอบเตี่ยและเขาขนาดไหน ทั้งที่เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียว มรดกของบ้านนี้ยังไงก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว แต่ยายก็ยังมีท่าทีจงเกลียดจงชังเขา ถึงแม้ว่าไม่พูดออกมาแต่การแสดงออกนั้นค่อนข้างชัดเจน

   “แม่นัดลูกมาช่วงค่ำไม่ใช่หรือไง” แม่ของเขาพูดขึ้นหลังจากนั่งลงบนโซฟาเนรียบร้อยแล้ว

   “พอดีผมติดธุระช่วงนั้นเลยมาก่อน แล้วแม่ตามผมมา มีเรื่องอะไรรึป่าว?”

   “เฮ้อ...” แม้ของเขาถอดหายใจ แล้วยังทำท่าทีระอาเขาอีก “แม่คุยกับทนาย เรื่องของลูก เขาว่าลูกยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

   “ผมก็แค่รอดูว่าทางนั้นเขาจะเอาเรื่องผมหรือป่าว ถ้าทางนั้นไม่ได้เอาเรื่องอะไรผม ผมก็ไม่ควรจะไปมีเรื่องมีราวไม่ใช่หรือไง”

   “ลูกคิดได้แบบนั้นก็ดี แม่จะได้วางใจ แต่...ถ้าทางนั้นก็เกิดเอาเรื่องเอาราวอะไรขึ้นมา ลูกก็ต้องรีบติดต่อทนายทันทีนะ”

   “รู้แล้วน่า”

   “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็หมดธุระแล้ว”

   “แม่เรียกผมมาถามแค่นี้น่ะหรือ”

   “ใช่ ลูกมีธุระอะไรกับแม่รึป่าว” เกรียงไกรรู้สึกได้ถึงความห่างเหินที่ตนได้รับ

   “แม่รีบหรอ นาน ๆ ผมจะมาสักที”

   “ตอนแรกแม่ตั้งใจว่าจะชวนลูกทานข้าวเป็นเพื่อนแม่กับคุณยาย แต่ลูกมาก่อนเวลาแบบนี้ ถึงแม่จะไม่ได้รีบอะไร แต่แม่ทิ้งแขกของแม่มาเพราะลูก แค่นี้แม่ก็เสียมารยาทจะแย่แล้ว”

   “ตอนผมเข้ามา ผมไม่เห็นรถของใคร นอกจากรถคุณเพ็ญนภาเจ้าของห้องเสื้อคนนั้น”

   “ก็ใช่น่ะสิ แม่ทิ้งให้คุณภาอยู่ในห้องเอนกประสงค์ด้านหลัง”

   “แค่เอาเสื้อผ้ามาเสนอ รอนิดรอหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย กลับไปก็ได้เงินจากแม่ไปอยู่ดี ใช่ว่ากลับไปมือเปล่าสักหน่อย”

   “เสียมารยาท คุณภาเขามาทำงานกับแม่ ไม่ได้มาเสนอขายเสื้อผ้าสักหน่อย”

   “งั้นแม่ก็ไปทำงานของแม่เถอะ ผมกลับล่ะ”

   เกรียงไกรพูดจบก็เดินออกจากห้องรับแขกมา ระหว่างเดินออกมา เขาก็เหลียวหลังไปมองห้องเอนกประสงค์ที่ว่านั้นห้องที่เขาไม่เคยได้เหยียบเข้าไปสักครั้งถ้าคุณยายไม่อนุญาต แล้วคนในความคิดก็ปรากฎให้เห็นในสายตา ยายของเขาเดินเข้าไปยังห้องนั้น ซึ่งมันทำให้เขาออกจะแปลกใจที่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง อย่างคุณหญิงพรรณีลดเกียรติลงมาพบกับเพ็ญนภาที่ห้องนั้นได้

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 13-03-18 {{:::50:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-03-2018 00:18:11
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หยก 13-03-18 {{:::50:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-03-2018 02:11:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 20-03-18 {{:::51:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-03-2018 12:13:15
51

    เพ็ญนภากำลังจัดวางผ้าตามเฉดสีเพื่อให้เข้าคู่กับภาพสเก็ตของเธอ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา เธอจึงร้องทักออกไปโดยไม่ได้เงยหน้ามองผู้ที่เข้ามาใหม่แม้แต่น้อย

   “คุณษาคุยธุระกับคุณเกรียงไกรเสร็จเร็วจังเลยนะคะ ภายังจัดผ้าไม่เสร็จเลยค่ะ”

   “อ่อ เจ้าเกรียงมันมาอย่างนั้นหรอ?” เสียงตอบกลับทำให้เธอตกใจจนต้องละมือจากงานตรงหน้า

   “กราบสวัสดีคุณหญิงค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นคุณหญิง ขออภัยที่ดิฉันเสียมารยาทนะคะ”

   “ไม่เป็นไร ๆ ฉันเข้าใจว่าคนที่กำลังเพลินกับการทำงานเป็นอย่างไร”

   “ไม่ทราบว่าคุณหญิงลงมาที่ห้องนี้ มีธุระกับคุณษาหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปเชิญเธอให้”

   “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่มีธุระกับใครทั้งนั้นแหละ ฉันแค่ลงมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย” คุณหญิงพูดก่อนเดินไปนั่งที่โซฟานวมนั่งเล่นทางด้านหน้าต่าง เพ็ญนภาจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ที่พื้นข้าง ๆ เก้าอี้ตัวนั้น “แม่เพ็ญไม่ต้องเกรงหรอก ขึ้นมานั่งข้างบนนี้เถอะ” เมื่อคุณหญิงอนุญาต เธอจึงเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวถัดไป

   “ดิฉันทราบจากหงส์ว่า คุณหญิงลงมาที่ห้องนี้บ่อย ๆ ระหว่างที่หงส์มาช่วยงานคุณษา”

   “ใช่ ฉันได้คุยกับแม่หงส์แล้วสบายใจน่ะ แล้วพอแม่หงส์อยู่ด้วยเหมือนฉันจะคุยกับยัยษาได้ลื่นไหลขึ้นกว่าแต่ก่อน”

   “คุณหญิงคงจะคิดถึงหงส์สิน่ะคะ”

   “ไอ้ฉันก็ไม่อยากยอมรับนักหรอกนะ แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคนที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน จะคุยกันได้ถูกคอ และดูเหมือนแม่หงส์จะรู้ใจฉันไปเสียทุกเรื่อง”

   “หงส์เขาเข้ากับคนง่ายน่ะคะ”

   “จริงสิ แล้วแม่หงส์นี่เขาไปเที่ยวกี่วันกันล่ะ”

   “อ่าว คุณแม่ลงมาหาหนูหงส์หรือค่ะ?” สุพรรณษาที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องทักทายผู้เป็นมาดา

   “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก ฉันรู้ว่าแม่หงส์ไม่อยู่ เพียงแต่อยากรู้ว่าแม่หงส์จะกลับเมื่อไร เลยมาถามเอากับแม่เพ็ญเขา”

   “หนูหงส์เพิ่งไปได้ไม่กี่วันเองนะคะ เท่านี้คุณแม่ก็คิดถึงหนูหงส์ซะแล้ว”

   “ว่าไงล่ะแม่เพ็ญ” คุณหญิงหันกลับมาคาดคั้นคำตอบจากเธออีกครั้ง

   “เรียนคุณหญิงตามตรงนะคะ ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าหงส์จะกลับเมื่อไร?”

   “อ่าว ไหนหนูหงส์บอกษาไว้ ว่าไปประมาณ 2 อาทิตย์ไม่ใช่หรือไงค่ะ?”

   “ค่ะ หงส์เขาตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่หงส์เองเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องครอบครัวเขาที่โน่นเสร็จเมื่อไร?”

   “ฉันได้ยินแม่ษาเล่าว่า แม่หงส์เป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่หรือ?”

   “ใช่ค่ะ หงส์กับน้อง ๆ เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่โบตั๋น น้องสาวคนเล็กอายุได้ประมาณ 3-4 เดือน เท่านั้น ตอนนั้นหงส์ก็อายุเพียง 5-6 ขวบเองค่ะ คุณอาของหงส์รู้จักกับพ่อแม่ของดิฉัน เลยพามาฝากให้อุปการะและอยู่ที่ไทยตั้งแต่นั้นมา”

   “อ่อ ถ้าอย่างนั้นแม่หงส์ก็ไม่ใช่คนไทยแท้ ๆ สินะ”

   “ค่ะ ทั้งพ่อและแม่เป็นคนฮ่องกง”

   “คุณแม่คงไม่ได้รังเกียจหนูหงส์ใช่ไหมค่ะ ที่เธอไม่ใช่คนไทยแท้ๆ” สุพรรษาถามออกมาอย่างเป็นกังวล แต่เพ็ญนภารู้ดีว่าคุณหญิงไม่ได้รังเกียจหงส์อย่างที่รังเกียจเจ้าสัวเซียง

   “นี่หล่อนเห็นฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยรึแม่ษา”

   “ลูกไม่ได้คิดอย่างนั้นค่ะคุณแม่ ลูกขอโทษ”

   “นี่แม่เพ็ญ ถ้าแม่หงส์ติดต่อมา ฉันฝากบอกแม่หงส์ด้วยแล้วกันนะ”

   “ได้ค่ะ ถ้าหงส์ติดต่อกลับมา ดิฉันจะแจ้งให้ว่าคุณหญิงฝากความระลึกถึง”

   “ไม่ใช่ ๆ เฮ้อ... สาว ๆ สมัยนี้คิดเร็วทำเร็ว ไม่ฟังผู้ใหญ่พูดให้จบเสียก่อน”

   “กราบขอโทษคุณหญิงค่ะ” เพ็ญนภารีบขอโทษ เพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรไม่ถูกใจคุณหญิงเขารึป่าว ถึงได้โดนเอ็ดเข้าให้

   “อืม ฝากบอกแม่หงส์ก็แล้วกันนะว่า ถ้าญาติโกโหติกาทางนั้นเข้าไม่สนใจ ใส่ใจ ก็ไม่ต้องไปสนคนทางโน้น กลับมาอยู่ที่ไทย มาเป็นลูกบุญธรรมของฉันอีกคน ไม่สิ ต้องอีกสามคนสินะ”

   “คุณแม่!!” คุณสุพรรณษาอุทานตกใจ ซึ่งก็ไม่ต่างกับเธอที่พูดอะไรไม่ออก

   “ทำไม กลัวว่าฉันจะเอาสมบัติไปหารให้กับสามพี่น้องนั่น จนลูกชายหล่อนไม่เหลืออะไรติดตัวอย่างนั้นรึไง”

   “ไม่ใช่ค่ะ แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ คุณแม่คิดดีแล้วหรือค่ะ”

   “ถึงฉันจะแก่ แต่ฉันก็ยังมีสติ ไม่ได้เลอะเลือนอะไร”

   “แต่น้อง ๆ ของหนูหงส์ เราก็ยังไม่เคยพบ เคยรู้จักเลยนะคะ”

   “เรื่องพบ เรื่องทำความรู้จักก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไหมแม่เพ็ญ”

   “เอ่อ...ค่ะ”

   “ดี ถ้ายังไงแม่เพ็ญก็พาน้อง ๆ ของแม่หงส์มาพบฉันหน่อยก็แล้วกัน”

   “เห็นทีจะมาพร้อมกันไม่ได้นะคะ ดิฉันส่งโบตั๋น น้องสาวคนเล็กไปทำงานแทนดิฉันที่ต่างประเทศ อีกหลายวันกว่าจะกลับ ตอนนี้ที่อยู่ที่ไทยก็มีแต่น้องชายของหงส์”

   “อืม...มีน้องชายด้วยหรอ?”

   “ค่ะ หยกเป็นลูกคนรอง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็พาเขามาพบฉันหน่อยก็แล้วกัน” เพ็ญนภาเหลือบมองหน้าคุณสุพรรณษาเล็กน้อย เธอเห็นสีหน้าเป็นกังวลคนที่นั่งข้าง ๆ คุณหญิงอย่างเห็นได้ชัด เธอจะทำให้แผนของหงส์เสียรึป่าวนะ?

   “รับทราบค่ะคุณหญิง แล้วดิฉันจะพาหยกเข้ามากราบคุณหญิงภายหลังนะคะ”

   “ดี พามาที่ห้องนี้เลยก็แล้วกันนะ ยัยษาจะได้รูจักมักจี่อนาคตน้องบุญธรรมด้วยอีกคน”

   “คุณแม่ค่ะ...”

   “เชื่อสายตาคนแก่อย่างฉันเถอะยัยษา ฉันดูคนไม่ผิดเหมือนอย่างหล่อนหรอกนะ”

   เพ็ญนภาได้แต่มองสีหน้าหนักใจของคุณสุพรรณษา ซึ่งในใจของเธอเองก็กังวลไม่แพ้กัน วันนี้นายเกรียงไกรโพล่เข้ามาที่บ้านนี้ เป็นไปได้ว่าในเร็ววันนี้นายนั่นคงจะยังไม่เข้ามาที่นี่แน่นอน ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรจะรีบพาหยกมากราบคุณหญิงในวันสองวันนี้

   เธอมีเรื่องที่ต้องปรึกษาและคุยกับหงส์มากกว่าเรื่องของยัยลตานั่นแล้วสิ เหตุใดทางโน้นถึงทำงานตามแผนได้ราบรื่นนัก ผิดกับทางเธอที่ดูจะมีปัญหาที่น่าหนักใจและติดขัดไปหลายเรื่องทีเดียว

.........................................................................

   โบตั๋นเดินตามเหมิ๋ยนโหย่วเซียงเข้ามาในห้อง ๆ หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นห้องทำงาน พี่เก่งกับพี่คีเดินตามหลังเธอเข้ามา ส่วนคนของชายชรากลับยืนรออยู่หน้าห้อง

   เหมิ่นโหย่วเซียงหยุดยืนอยู่หน้ากรอบรูปใหญ่กรอบหนึ่ง ซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นแผนภูมิต้นไม้ตามปลายกิ่งต่าง ๆ มีอักษรภาษาจีนเขียนกำกับอยู่ เธอจึงมองดูมันอย่างสนใจ แผนภูมิดังกล่าวดูแปลกประหลาดสำหรับเธอในความรู้สึก ทั้ง ๆ ที่มันควรจะแผ่ขยายไปไกล แต่ต้นไม่ต้นนี้กลับค่อย ๆ สูงชะลูดขึ้นข้างบนแทน

   “หนูคงจะสงสัยรูปร่างของแผนภูมินี่สินะ” เหมิ๋นโหย่วเซียงถามขึ้น

   “ค่ะ”

   “นี่คือแผนผังตระกูลเหมิ๋น และนี่คือชื่อของฉัน” ชายชราชี้ไปยังยอดบนสุดของแผนภูมิต้นไม้ ที่มีกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียว และไม่ได้แตกกิ่งก้านออกไปอีก “ที่แผนภิมีรูปร่างแบบนี้เพราะ ตระกูลเหมิ๋นไม่ได้รับเขยแต่งเข้าอย่างฝู่ยังไงล่ะ”

   “เมื่อครู่คุณบอกว่าคุณมีหลานสาวนี่ค่ะ แล้วลูกกับหลานของคุณทำไมถึงไม่ได้อยู่บนนั้น”

   “ลูกกับหลานบุญธรรม เอามาจารึกลงในแผนภูมิไม่ได้หรอกนะ ฉันเป็นสายเลือดเหมิ๋นแท้ ๆ ...คนสุดท้าย” โบตั๋นได้ยินก็ใจหาย น้ำเสียงของชายชราถึงแม้จะดูว่าปลงได้ แต่ก็ยังเจือไว้ด้วยความเสียใจ

   “หนูเสียใจด้วยนะคะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก อยากน้อยการที่ฉันได้พบหนู ก็ถือว่าฉันได้ทำตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง”

   “การได้พบหนูอย่างนั้นหรอค่ะ”

   “ใช่ หนูอยากรู้เรื่องหยกศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรอ มาสิ ฉันจะเอาให้ดู”

   เธอเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงาน และนั่งลงฝั่งตรงข้าม พี่เก่งและพี่คียืนอยู่ด้านหลังของเธอ ชายชราขยับกรอบรูปแผนภูมต้นไม้เล็กน้อย พอให้เห็นช่องเซฟที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นกล่องไม้เก่า ๆ ลวดลายจีนโบราณก็ปรากฎอยู่หน้าเธอ โบตั๋นรับมันมาแล้วเปิดออก

   “นี่ใช่ไหมค่ะ หยกศักดิ์สิทธิ์”

   “ใช่แล้ว อันที่จริงมันมีทั้งหมด 8 ชิ้นด้วยกัน อยู่ที่เหมิ๋น 3 ชิ้น อยู่ที่ฝู่ 3 ชิ้น”

   “มันไม่เห็นเหมือนกับของหนูเลย” โบตั๋นวางกล่องตรงหน้าลงก่อนดึงเมฆาขาวของเธอออกมาจากคอเสื้อ

   “โอ้...หนูได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์สินะ”

   “หมายความว่ายังไงค่ะ?”

   “ฉันจะเล่าตำนานของหยกศักดิ์สิทธิ์ให้ฟัง หนูให้คนของหนูนั่งก่อนเถอะ”  เธอพยักหน้าเล็กน้อย พี่เก่งกับพี่คีจึงไปยกเก้าอี้มานั่งลงข้าง ๆ เธอ “หยกศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยกุบไลข่าน หรือง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้ ต้นราชวงศ์หยวน ในตอนนั้นอาหนีเกอช่างประจำราชวงศ์เป็นคนสร้างหยกนี้ขึ้นเพื่อเป็นป้ายตัวแทนให้ขุนนางสมัยนั้นทำหน้าที่บวงสรวงบรรพบุรุษแทนง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้”

   เหมิ๋นโหย่วเซียงเว้นจังหวะเพื่อให้พี่เก่งช่วยแปลให้เธออีกครั้ง เนื่องจากเป็นศัพท์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ บางประโยคเธอจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก

   “ระหว่างที่ง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้ครองราชย์อยู่นั้น ได้สร้างวิหารจำนวน 8 หลังเพื่อใช้ในการบวงสรวงเหล่าบรรพบุรุษ

   วิหารแรก สำหรับ เยซูไกและโฮลัน ต้นตระกูลของเขา

   วิหารที่สอง สำหรับ เจงกิสข่าน บรรพบุรุษของเขา

   วิหารที่สาม ถึง หก สำหรับรุ่นลูกของเจงกิสข่าน ได้แก่ โจชิ, ชักฮาไต, โอโกได และ โตเรแกน

   วิหารที่เจ็ด สำหรับกูยุคข่าน

   และวิหารสุดท้าย สำหรับ มองเคข่าน

   ง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้ ได้แต่งตั้ง ตระกูลขุนนางทั้งหมด 4 ตระกูล เพื่อทำหน้าที่บวงสรวงแทนพระองค์ และมอบหยกศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้ตระกูลละหนึ่งคู่

   ตระกูลอาหนี ถือหยกศักดิ์สิทธิ์ คู่กิเลน

   ตระกูลเหมิ๋น ถือหยกศักดิ์สิทธิ์ คู่มังกร

   ตระกูลฝู่ ถือหยกศักดิสิทธิ์ คู่เต่ามังกร

   ตระกูลอู๋ ถือหยกศักดิ์สิทธิ์ คู่หงส์”

   “แต่ในกล่องนี้มีแต่หยกรูปมังกร เต่า และหงส์เท่านั้น แล้วคู่ของมัน กับหยกกิเลนไปไหนล่ะคะ?” โบตั๋นอดถามขึ้นไม่ได้

   “ตระกูลเหมิ๋น ฝู่ และอู๋ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ทำให้พวกเราไปมาหาสู่กันตลอด ส่วนตระกูลอาหนีถึงจะเป็นตจระกูลขุนนางเหมือนกัน แต่ตระกูลนี้เป็นช่างประจำราชวงศ์ เดินทางไปสร้างวัด วิหาร ตลอดเวลา ทำให้การไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องลำบาก เมื่อตระกูลอาหนีหายสาบสูญไป ตระกูลอื่น ๆ ก็ไม่สามารถตามหาหยกคู่กิเลนเจอ

   แล้วคู่ของมันไม่ใช่หยกที่แกะสลักเป็นลวดลายเดียวกันหรอกนะ แท้จริงแล้วสัตว์เทพในตำนานเหล่านี้คู่ของมันก็คือหยกที่หนูห้อยคออยู่ยังไงล่ะ?”

   “แล้วทำไมตระกูลฝู่ถึงได้มีแต่เมฆาขาวล่ะคะ?”

   “ในยุคสงครามฝิ่น เป็นยุคที่บ้านเมืองแปลปรวน ตระกูลอู๋ที่เป็นตระกูลน้องเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตระกูลอู๋ระส่ำระส่ายอย่างมาก จนตระกูลอู๋สูญสิ้นเพราะลูกหลานติดฝิ่น ตอนนั้นอู้อี้จึงมอบหยกศักดิ์สิทธิ์คู่ที่ตระกูลตัวเองดูแลอยู่ให้กับตระกูลฝู่ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่

   แต่ในยุคนั้น หยกศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสิ่งของมีค่ามหาศาล ทุกคนล้วนจ้องจะแก่งแย่งมาไว้ในครอบครอง ตระกูลฝู่กับเหมิ๋นจึงตัดสินใจแยกหยกออกจากคู่ของมัน

   ฝู่ถือครองหยกแกะสลักลวดลายก้อนเมฆเอาไว้ ส่วนเหมิ๋นถือครองหยกแกะสลักรูปสัตว์เทพ ฝู่ให้เหมิ๋น ที่ตอนนั้นเป็นเพียงตระกูลบัณฑิตอพยพย้ายมาซ่อนตัวที่เกาลูนี่ บรรพบุรุษของฉันจึงมาบุกเบิกตลาดหยกที่นี่ เผื่อซ่อนตัวจากผู้ที่ต้องการหยกศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อความปลอดภัย พวกเราจึงไม่แต่งเขยเข้าตระกูล”

   “ที่ฝู่เกือบจะจบสิ้นเพราะพยายามจะแต่งเขยเข้าตระกูลสินะคะ”

   “ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องของพ่อแม่หนู ถึงฉันจะรู้เรื่องอะไรไม่มาก เพราะพวกเราขาดการติดต่อกันไปนาน”

   “หนูอาจจะเสียใจในช่วงแรก ๆ ที่รู้เรื่องราวของป๊ากับม๊า แต่ทั้งชีวิตหนูก็ได้รับความรักจากเจ่เจ้และหยก เอ่อ...เฮียหยก ทั้งสองคนทำหน้าที่เป็นตัวแทนป๊ากับม๊าให้หนูมาตลอด หนูจึงไม่รู้สึกเสียใจอีกต่อไป”

   “เก่งมาก หนูเข้มแข็งมากเลยนะ ฝู่หงส์กับหนูได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์ แล้วฝู่หยงล่ะ?”

   “ฝู่หยง?”

   “พี่ชายของหนูน่ะ?”

   “การได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์คืออะไรครับ” พี่เก่งคงอดไม่ได้ถามขึ้นมา ซึ่งเธอพอเข้าใจว่าเหมิ๋นโหย่วเซียงหมายถึงอะไร?

   “หนูไม่ได้บอกความจริงกับคนของหนูหรือ?”

   “อันที่จริงแล้ว พี่ ๆ เขาไม่ใช่คนของหนู หรือคนของตระกูลฝู่หรอกค่ะ แต่เป็นเพื่อน ๆ ของหนู”

   “อ่อ อย่างนั้นเองหรือ?”

   “หนูไม่รู้ว่าควรจะเล่าให้พี่ ๆ เขาฟังไหม หนูยังไม่ได้ขออนุญาตเจ่เจ้เลย”

   “หนูได้พรจากหยกศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นตัวหนูที่รู้ดีที่สุดว่าควรจะเล่าให้เพื่อน ๆ ของหนูฟังไหม หนูเชื่อถือสหายของหนูได้แค่ไหน?”

   จบประโยคนี้ทำให้เธอกลับมาคิดอีกครั้ง เธอสัมผัสถึงความสงสัย และอยากรู้อยากเห็นจากพี่เก่งและพี่คี เธอรู้ดีว่าทั้งสองไว้ใจได้แค่ไหน เมื่อเธอคิดดูแล้ว ถ้าเธออยากโตเป็นผู้ใหญ่ อยากให้เจ่เจ้กับหยกวางใจเธอ เธอต้องเลือกตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง และรับผิดชอบกับผลที่จะตามมา

   “พี่เก่ง พี่คีค่ะ ตั๋นจะเล่าให้พี่ ๆ ฟัง แต่ตั๋นขอไว้ก่อนนะคะ ว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้พี่ ๆ คนอื่นทราบ ไม่ว่าจะเป็นพี่เอ พี่ต้น พี่ต้า”

   “พี่รับปาก” พี่เก่งตอบแบบที่ใช้เวลาคิดน้อยมาก

   “พี่ก็เหมือนกัน” พี่คีก็เช่นกัน

   เธอรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่น และความหนักแน่นในคำพูดของคนทั้งสอง เธอมองหน้าเหมิ๋นโหย่วเซียงเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราว และความลับของพวกเธอสามพี่น้อง

   “พี่เก่งช่วยแปลต่อให้ด้วยนะคะ ตั๋นอยากให้เขารู้เรื่องนี้ด้วย” เก่งพยักหน้าเล็กน้อย “กงเหมิ๋นค่ะ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่หนูรู้มา มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หนูรู้ว่ามันคงมีอะไรมากกว่านี้ แต่หนูยังหาคำตอบไม่ได้ หนูจึงมาที่นี่ เพื่อหาความลับที่ซ่อนอยู่ในเมฆาขาว”

   โบตั๋นเริ่มต้นเล่าเรื่องความสามารถของเธอที่ได้รับจากเมฆาขาว หรือพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์ที่เหมิ๋นโหย่วเซียงเรียก พร้อมกับสังเกตท่าทีของพี่คีกับพี่เก่งไปด้วย

To Be Continue




เรื่องราวในตอนนี้มีการอ้างอิงถึงชื่อบุคคลและประวัติศาสตร์จีนบางส่วน

โดยเนื้อหาเป็นการแต่งขึ้จากการมโนของ Amo เท่านั้นนะคะ

ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีนน้า...

หัวข้อ: Re: หยก 20-03-18 {{:::51:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-03-2018 15:36:17
น่าสนใจมาก ถึงจะแต่งตามที่คนเขียนบอก แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนว่าต้นตอมาจากที่นั่นจริงๆ
 o15 o15
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-04-2018 23:40:11
52

   เมื่อคืน หลังจากที่ได้คุยกับเพ็ญนภาเรียบร้อยแล้ว พยัคฆ์ก็ตัดสินใจจะพาหยกเข้าไปพบกับคุณหญิงพรรณีในวันนี้ ก่อนจะเข้าไปเคลียร์เอกสารที่ออฟฟิต เขารู้ว่าหยกสามารถเอาตัวรอดได้หากต้องเข้าไปบ้านหลังนั้น

   จากที่โบตั๋นเล่ามา หยกจำหน้านายเกรียงไกรไม่ได้ การที่พาหยกไปพบคุณหญิงน่าจะช่วยให้แผนการของหงส์ง่ายขึ้น และช่วยเพ็ญนภาได้มากขึ้น ส่วนเรื่องของลตาที่ได้ฟังจากเพ็ญนภา ทำให้เขารู้ว่าลตากับจุ้ยเถิงรู้จักกัน ส่วนทางเมฆ ก็ยังคงแอบอ้างเอาภาพของหยกและโบตั๋นไปเที่ยวเสนอขายบริการให้ใครต่อใครอยู่

   “อ๊ะ!! พี่เสือ”

   “ตื่นแล้วเหรอครับ”

   “พี่เสือแอบเข้าห้องหยกอีกแล้ว” หยกลุกขึ้นจากที่นอน ผมยุ่ง ๆ น่ายีเล่น หน้าตาตอนเพิ่งตื่นนอนก็ดูน่ารักจนเขาอดยิ้มไม่ได้

   “ไม่ได้แอบสักหน่อย เดินเข้ามาเฉย ๆ ต่างหาก พี่ทำให้หยกตกใจหรอครับ”

   “ก็ตกใจสิ อยู่ ๆ ตื่นขึ้นมา ก็มีคนมานั่งจ้องหน้าแบบนี้”

   “ถ้าอย่างนั้น หยกย้ายไปนอนห้องพี่ไหม ตื่นมาจะได้ไม่ต้องตกใจแบบนี้อีกยังไงล่ะครับ”

   “ไม่เอาหรอก หยกอายคนในบ้าน”

   “ไม่เห็นต้องอายเลย ใครๆ เขาก็รู้ว่าพี่กับหยกเป็นอะไรกัน”

   “หยกก็ยังอายอยู่ดี”

   “อืม... ถ้าอย่างนั้น เราย้ายไปอยู่คอนโดพี่ดีไหม มีแค่เราสองคน หยกจะได้ไม่ต้องอายใคร”

   “...”

   “คิดนานจัง”

   “หยกขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ?”

   “คิดเรื่องไหน เรื่องย้ายไปนอนห้องพี่หรือย้ายไปอยู่ที่คอนโดพี่”

   “ก็...ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”

   “ครับ ๆ ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำเถอะ พี่จะพาไปกราบผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง”

   “ใครเหรอครับ”

   “เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่หงส์กับคุณภารู้จักน่ะ ท่านอยากพบกับหยก”

   “อยากเจอหยก?”

   “ใช่ครับ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังตอนทานอาหารเช้าก็แล้วกันนะ ไปเตรียมตัวเถอะครับ” น้องหยกของเขาทำตามอย่างว่าง่าย ที่สำคัญดูสดใสกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ผิดจากโบตั๋นเลย จะต่างกันก็ตรงที่หยกดูมีเสน่ห์มากกว่า

.........................................................................

   ผมไม่รู้ว่าพี่เสือจะพาผมไปพบกับใคร รู้แต่ว่าชื่อคุณหญิงพรรณี คุณหญิงท่านเอ็นดูและคุยถูกคอกับเจ่เจ้มาก พอเจ่เจ้ไม่อยู่ก็อดคิดถึงไม่ได้ จึงอยากจะรู้จักกับน้อง ๆ คนอื่นของเจ่เจ้แทน ซึ่งตอนนี้มีผมคนเดียวที่อยู่ที่นี่ ท่านเลยเรียกหาผม

   ผมเดาว่าคุณหญิงคงเป็นคนแก่ขี้เหงาคนหนึ่ง ที่ลูกหลานอาจจะไม่มีเวลามาดูแล เลยอยากหาเพื่อนคุย แต่ผมไม่รู้ว่าเจ่เจ้ไปรู้จักกับคุณหญิงท่านนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เธอออกจะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนอย่างนั้น

   พี่เสือพาผมเข้ามาที่คฤหาสหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนการเข้าบ้านไม่ต่างอะไรกับบริษัทฯ ของพี่เสือเลย กว่าจะผ่านรั้วเข้าไปได้ต้องแลกบัตร จดทะเบียนรถ ดูวุ่นวายไปหมด และจากรั้วมาถึงตัวบ้านก็ไกลไม่ใช่น้อย  พี่เสือจอดรถมาเทียบไว้ที่หน้าบ้าน มีผู้ชายคนหนึ่งยืนรอพวกเราอยู่ จากนั้นเขาก็รับกุญแจรถของพี่เสือไปก่อนขับไปจอดให้ที่โรงรถ

   ผมสัมผัสได้ถึงความสงสัยของชายคนนั้น และผู้หญิงอีกคนที่ยืนรอเราอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ผมเดินตามหลังพี่เสือไปติด ๆ

   “เชิญทางนี้ค่ะ” หญิงคนนั้นบอกและเดินนำทางพวกเราไปยังห้อง ๆ หนึ่ง “กรุณารอสักครู่นะคะ”

   ผมเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ในนี้มีหุ่นผ้าสำหรับทำแพทเทิร์นเสื้อผ้าอยู่ 2-3 ตัว จักรเย็บผ้าที่ดูทันสมัย อีกฝั่งหนึ่งมีผ้าบาติกที่เขียนเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เพิ่งลงสีไปได้น่าจะ 50-60% ขึงอยู่ โต๊ะตัวใหญ่ตรงกลางห้องมีสมุดเสเก็ตและชิ้นผ้าวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ

   ระหว่างที่ผมเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง พี่เสือก็ไปนั่งรอที่โซฟา ตรงมุมหน้าต่าง ซึ่งมองออกไปเห็นวิวสวยด้านหลังบ้าน มีน้ำตกจำลองเล็ก ๆ บรรยากาศในห้องนี้เหมาะกับการทำงานมาก เหมือนห้องนี้เป็นสตูดิโอในฝันของโบตั๋น ถ้าเธอมาเห็นที่นี่เข้า เธอคงจะชอบห้องนี้เอามาก ๆ แน่

   “อ่าว หนูหงส์กลับมาตั้งแต่เมื่อไรค่ะ เมื่อวานคุณแม่ยังบ่นคิดถึงอยู่เลย” ผมหันไปตามเสียงของคนที่เข้ามาใหม่ ผมไม่แปลกใจหรอกครับถ้าใคร ๆ จะทักพวกเราผิด

   “สวัสดีครับ คุณสุพรรณษา” พี่เสือลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนทักทายหญิงคนนั้น ผมจึงทำตาม

   “สวัสดีครับ”

   “เอ๊ะ!! นี่”

   “ผมชื่อหยกครับ เป็นน้องชายของพี่หงส์”

   “ตายจริง ไม่น่าเชื่อว่าน่าตาจะคล้ายกันแบบนี้ เมื่อครู่ษานึกว่าเป็นหนูหงส์ซะอีก” ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและแปลกใจของคนตรงหน้า

   “บ้านนี้เขาหน้าตาคล้ายกันทั้งสามพี่น้องน่ะครับ แรก ๆ ผมก็สับสนเหมือนกัน” พี่เสือเหมือนจะรู้จักผู้หญิงตรงหน้า

   “แล้วนี่คุณพยัคฆ์มาได้ยังไงค่ะ”

   “ผมมาส่งน้องหยกครับ ระหว่างที่คุณษากับคุณหญิงคุยกัน ผมไปรอที่ห้องรับแขกก็ได้นะครับ”

   “รอก่อนเถอะค่ะ คุณพยัคฆ์รอคุณแม่ท่านสักครู่นะคะ”

   “ยินดีครับ”

   คุณสุพรรณษาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผม มองอย่างสำเร็จ ผมเดาความรู้สึกของเธอไม่ออก ไม่รู้ว่าเธอตื่นเต้นอะไร สีหน้าขอเธอที่ดูสง่างาม น่าเกรงขามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเมตตา

   “รอฉันนานไหม” หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พี่เสือลุกขึ้นเดินมาสมทบกับผม เมื่อหญิงชราคนนั้นเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับคุณสุพรรณษา พี่เสือก็พาผมไปนั่งลงกับพื้นข้าง ๆ โซฟานั่น การกระทำของพี่เสือทำให้ผมเกร็งเล็กน้อย กับพิธีรีตองที่ต้องปฏิบัติกับผู้หญิงคนนี้
   “ไม่คะคุณแม่ ลูกก็เพิ่งมาถึงไม่นาน”

   “อืม...หน้าตาเหมือนแม่หงส์ไม่มีผิด แต่ก็ดูไม่ค่อยเหมือนผู้ชายนะเรา รูปร่างเล็กไปหน่อย”

   “เมื่อสักครู่นี้ ลูกยังทักผิด คิดว่าเป็นหนูหงส์เลยค่ะ”

   “แล้วนั่น ใครกันล่ะ”

   “อ่อ นั่นคุณพยัคฆ์ คุณคุณารักษ์ค่ะ เธอเป็นเจ้าของบริษัทฯ รักษาความปลอดภัย”

   “อ่อ คุณคุณารักษ์ รุ่นหลานแล้วสินะ”

   “ครับ”

   “เสียใจเรื่องพ่อของเธอด้วยนะ ที่จากไปทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ ๆ”

   “ขอบพระคุณครับ”

   “อืม... แล้วมาด้วยกันได้ยังไงล่ะ”

   “ผมขับรถมาส่งน้องหยกครับ ระหว่างที่คุณหญิงสนทนากัน ผมจะไปรอข้างนอกครับ”

   “โอ้ย...ไม่ต้อง ๆ คุณคุณารักษ์ก็คนกันเอง”

   “ขอบคุณครับ”

   “เราน่ะ คงเป็นหยกสินะ”

   “ครับ”

   “ท่าทางจะเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจาสิเรา”

   “ครับ” ผมไม่รู้จะตอบอะไร เพราะดูเหมือนคุณหญิงท่านจะอ่านผมได้ทะลุปรุโปรงทีเดียว ส่วนผมกลับสัมผัสได้แค่ความเอ็นดูที่เธอส่งมาให้

   “ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ ฉันนี่ก็ได้ จะได้คุยกันได้สะดวก ๆ”

   “ครับ”

   ผมกับพี่เสือลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาตัวถัดไป ผมนั่งข้างคุณหญิง ส่วนพี่เสือนั่งข้างคุณสุพรรณษา เสียงเคาะประตูดังขึ้นเพร้อมกับเด็กในบ้านเดินเอาอาหารว่างกับกาแฟมาให้พวกเรา

   ของว่างของที่นี่แยกเป็นชุด ๆ ของผมกับพี่เสือเป็นกาแฟกับคุ้กกี้ชิ้นเล็ก ๆ จัดวางอยู่ในจานอย่างสวยงาม ส่วนของคุณสุพรรณษาเป็นชาร้อนกับพายอบกรอบผีเสื้อชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ ของคุณหญิงท่านมีเพียงน้ำขิงร้อน ๆ เพียงอย่างเดียว

   ผมได้กลิ่นกาแฟผมก็พอจะรู้ว่ามันต้องไม่ถูกปากพี่เสือแน่ ๆ ผมเหลือบมองพี่เสือเล็กน้อย พี่เสือยกกาแฟขึ้นจิบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมรู้ว่าพวกเรามาเป็นแขก ดังนั้นก็ควรจะรักษามารยาทเอาไว้

   “เฮ้อ...พอแม่หงส์ไม่อยู่ น้ำขิงของฉันก็รสชาติเพี้ยนอีกแล้วสินะ”

   “คุณแม่ค่ะ ก่อนหน้านี้หนูหงส์ยังไม่มา คุณแม่ก็ดื่มแต่น้ำขิงสำเร็จรูปแบบนี้นี่ค่ะ?”

   “แม่หงส์น่ะ ทำอะไรก็ถูกปากฉันไปหมด คงต้องให้แม่หงส์มาสอนเจ้าพวกในครัวนี้ใหม่แล้วกระมัง”

   “แต่ก็จริงอย่างที่คุณแม่ว่านะคะ ขนมที่หนูหงส์ทำนี่ช่างถูกปากษาไปหมด จากที่ไม่ชอบขนมไทย ตอนนี้เริ่มจะติดซะแล้วสิค่ะ”

   “แม่หงส์น่ะ เขาทำสูตรต้นตำหรับ ไม่ได้เพี้ยนเหมือนกับสูตรสมัยใหม่แบบนี้หรอกนะ”

   “เอ่อ...คุณหญิงครับ ผมช่วยปรุงน้ำขิงให้ใหม่ไหมครับ?” ผมอาสา เพราะอย่างน้อยระหว่างที่เจ่เจ้ไม่อยู่ คุณหญิงยังจะได้ดื่มน้ำขิงที่เธอถูกใจ

   “เราทำครัวเป็นด้วยรึ”

   “นิดหน่อยครับ ถึงจะไม่เก่งเท่าเจ่เจ้ เอ้ย!! พี่หงส์ แต่ก็พอทำได้ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู” ผมสัมผัสได้ถึงความไม่แน่ใจของหญิงทั้งสอง และตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ผมก็ยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของคนทั้งคู่เลย

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลูกพาตาหยกไปที่แพนทรีนะคะคุณแม่”

   “อืม”

   ผมเดินตามคุณสุพรรณษาออกมาที่แพนทรีเล็ก ๆ ข้าง ๆ ห้องสตูดิโอ บริเวณนี้มีเพียงอุปกรณ์สำหรับทำแต่เครื่องดื่ม ถึงจะไม่ใช่แพนทรีหลักของบ้าน แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครันเหมือนกับเคาน์เตอร์ที่ร้านพี่กันต์ไม่มีผิด

   ผมจัดการชงน้ำขิงให้คุณหญิงใหม่โดยผสมน้ำผึ้งไปเล็กน้อยเพิ่งลดความเผ็ดร้อนของน้ำขิง จากนั้นก็ฝานมะนาวชิ้นบาง ๆ ใส่ลงไปกา ก่อนปิดฝาชุดกากระเบื้องเคลือบ

   “หยกดูคล่องจังเลยนะ”

   “ครับ ผมทำงานเป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านอาหารน่ะครับ เลยถนัดทำพวกเครื่องดื่ม กับเบเกอรี่เล็กน้อย”

   “บ้านนี้เก่งกันไปคนละอย่างเลยนะ หนูหงส์เก่งทำขนมไทยสินะ”

   “ที่จริงพี่หงส์ทำเป็นทุกอย่างครับ เพียงแต่ช่วงที่พี่ไม่สบาย พี่มักจะทำแต่ขนมไทยไปฝากขายตามร้านต่าง ๆ แถวบ้านน่ะครับ พี่หงส์มักจะเลือกขนมที่หาทานยาก”

   “อย่างนั้นหรอจ๊ะ”

   “ครับ เสร็จแล้วครับ”

   “ถ้างั้นเรากลับเข้าไปในห้องกันเถอะจ๊ะ”

   ผมเดินตามคุณสุพรรณษากลับเข้าไปในห้อง และวางถาดก่อนเปลี่ยนถ้วยน้ำขิงใบใหม่ให้กับคุณหญิง จากนั้นก็รินน้ำขิงร้อน ๆ จากกาลงในถ้วย ทุกขั้นตอนคุณหญิงคอยจับตามองผมอย่างไม่มีปิดบัง จนผมอดเกร็งไม่ได้ คุณหญิงยกขึ้นจิ๊บเล็กน้อย ก่อนวางแก้วนั้นลง

   “ไม่เลวเลยนะ บ้านนี้เก่งกันทั้งพี่ทั้งน้องเชียว”

   “ตาหยกทำงานเป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านอาหารค่ะคุณแม่ เมื่อครู่นี้ษาเห็นแกชงน้ำขิงอย่างคล่องแคล่ว เลยลองถามแกดู”

   “หืม อย่างนั้นหรอ ถ้าถึงกับยึดเป็นอาชีพได้ ก็ไม่ถือว่าทำได้แค่นิดหน่อยแล้วนะเราน่ะ”

   “ใช่ค่ะ ช่างถ่อมตัวทั้งพี่ทั้งน้อยเลยนะคะคุณแม่”

   “คุณหญิงครับ แล้วที่เรียกผมมาพบวันนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้รึป่าวครับ” ผมตัดสินใจถามไปในที่สุด เพราะผมสัมผัสอะไรจากทั้งสองอีกไม่ได้เลยนอกจากความตื่นเต้นและความสุขกับการพูดคุยกัน

   “ฉันก็แค่อยากทำความรู้จักกับเราก็เท่านั้นแหละ แล้วนี่มีธุระอะไรที่ไหนต้องไปทำรึป่าวล่ะ?”

   “ไม่มีครับ แต่...เหมือนพี่เสือต้องเข้าบริษัทฯ ตอนบ่าย”

   “อย่างนั้นหรอกเหรอ แล้วพอมีเวลาทานข้าวเที่ยงกับคนแก่อย่างฉันไหมล่ะพ่อ” คุณหญิงหันไปถามทางพี่เสือ

   “ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับคุณหญิง”

   “เรานี่ท่าทางว่านอนสอนง่าย แล้วก็อยู่ในโอวาสพี่เขาสินะ” คุณหญิงหันมาถามผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “พอดีหงส์ฝากน้องหยกไว้ ระหว่างที่เธอไม่อยู่น่ะครับ หงส์เธอเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้หยกมีอุบัติเหตุนิดหน่อย”

   “มิน่าล่ะ คุณพยัคฆ์ถึงต้องมาดูแลด้วยตัวเอง”

   “ครับ อากรกับอาของหงส์ ท่านทั้งสองเป็นคนรักกัน เราก็เลยเหมือนเป็นญาติห่าง ๆ กันน่ะครับ”

   “ดี ๆ เป็นญาติพี่น้องกัน รู้จักดูแลกันแบบนี้ก็ดีแล้ว” คุณหญิงเอ่ยอย่างเอ็นดู ผมก็ค่อย ๆ ลดอาการเกร็งลงไปได้มาก ผมไม่ถนัดเรื่องพิธีรีตองกับผู้ใหญ่ในลักษณะนี้เท่าไร และเกรงว่าจะพูดอะไรไม่สมควรออกไป โชคดีที่วันนี้พี่เสือมาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงทำตัวไม่ถูก

.........................................................................

   โบตั๋นตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเมฆาขาวหรือหยกศักดิ์สิทธิ์ เธอไม่เคยรู้เลยว่าหยกที่เธอติดตัวมาตั้งแต่เด็กจะอายุมากกว่า 700 ปี และจากที่กงเหมิ๋นออกความเห็นเกี่ยวกับการจัดการหยกศักดิ์สิทธิ์นี้ เธอค่อนข้างจะเห็นด้วย แต่ท้ายที่สุดคงต้องถามความเห็นจากเจ่เจ้อีกที

   หลังจากที่เธอเล่าเรื่องความสามารถของเธอให้พี่เก่ง พี่คีฟังแล้ว ประกอบกับการบอกกล่าวเพิ่มเติมของกงเหมิ๋น ทำให้พี่ ๆ ทั้งสองค่อนข้างเกร็งเวลาที่พบเธอ หรือพูดคุยกับเธอ จนเธออดขำไม่ได้

   “กลัวตั๋นหรอค่ะพี่เก่ง พี่คี?” เธอถามออกมาขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่ข้าง ๆ บ่อปลาคราฟในบ้านของกงเหมิ๋น

   “ไม่ได้กลัวหรอกครับ แต่ยอมรับว่าเกร็ง ๆ นิดหน่อย” พี่เก่งบอกกับเธอ

   “ไม่ต้องเกร็งหรอกค่ะ ตั๋นมีมารยาทพอที่จะไม่ไปสำรวจจิตใจใครมั่วซั่วซะหน่อย”

   “คืนก่อนเดินทาง ผมก็สงสัยว่าทำไมคุณหงส์ถึงรู้ว่ามีคนประกบติดตามเรามาจนถึงบ้าน ที่แท้ก็เป็นเพราะหยกศักดิ์สิทธิ์นี่เอง” เธอก็จำคืนนั้นได้ ที่อยู่ ๆ พี่เก่งก็วิ่งไปขวางหน้ารถของพี่ภา

   “ใช่ค่ะ เจ่เจ้ใช้อำนาจของหยกได้คล่องและเก่งกว่าของตั๋นมาก”

   “ถ้าอย่างนั้น คุณหยกก็ต้องรู้สิครับว่าคุณพยัคฆ์เธอคิดยังไงกับคุณหยก” พี่คีถามขึ้นมาบ้าง

   “ใช่ค่ะ หยกเขารู้อยู่แล้ว”

   “พี่น้องบ้านนี้อันตรายจริง ๆ” พี่เก่งไม่วายแซว

   “ไม่รู้ป่านนี้คุณหยกกับคุณพยัคฆ์จะเป็นยังไงบ้างนะครับ จะลงเอยกันได้รึยัง” พี่เก่งดูท่าทางจะเป็นห่วงพี่เสือมาก

   “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คู่นั้นเขาคงแฮปปี้กันไปแล้ว หยกก็รู้ใจตัวเองแล้วด้วย”

   “ผมจำได้ว่าตอนที่อยู่ทบนเกาะ คุณพยัคฆ์ไม่กล้าเข้าใกล้คุณหยกเลย จนกระทั่งเกิดเรื่อง แถมยังถอดหยกของคุณหยก ฝากพี่ชาติไว้อีก เป็นเพราะว่าคุณหยกอ่านใจเธอได้อย่างนั้นรึป่าวครับ” พี่เก่งยังคงถามเรื่องที่คาใจอยู่

   “ไม่ใช่หรอกค่ะ จำเรื่องที่กงเหมิ๋นเล่าเกี่ยวกับคนที่จะมาชำระล้างเมฆาขาวได้ไหมค่ะ”

   “ครับ”

   “นั่นแหละค่ะ พี่เสือคือหนึ่งในนั้น พี่เสือมีจิตที่รุนแรงมาก มันมีผลกระทบกับเจ่เจ้ หยก แล้วก็ตั๋น แต่ที่พี่เสือไม่กล้าเข้าใกล้เพราะว่าหยกเขากลัวพี่เสือมากๆ เลยในตอนนั้น จิตที่มุ่งมั่น ความรู้สึกที่มีต่อหยกของพี่เสือ มันเลยรุนแรงมากจนหยกเคยเป็นลมเพราะพี่เสือมาแล้วหลายครั้ง”

   “ถ้าอย่างนั้น เราต้องหาคนอย่างคุณพยัคฆ์อีก 2 คนสินะครับ ถ้าไม่หาจากวันเดือนปีเกิดที่เข้าคู่กับหยกศักดิ์สิทธิ์แต่ละคู่ ก็ต้องใช้สัมผัสพิเศษของคุณๆ"

   “นั่นแหละค่ะภาระกิจต่อไปของพวกเรา” โบตั๋นตอบพี่คีไปอย่างมุ่งมั่น และเธอรับรู้ได้ว่าคนทั้งสองก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเธอให้บรรลุเป้าหมายนี้

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-04-2018 00:38:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-04-2018 03:22:28
ง่าาา ตามหาอีก 2 คนเหรอออ
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-04-2018 07:16:22
รอๆ จ้า คนที่จะมาช่วย
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 04-04-2018 16:41:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 03-04-18 {{:::52:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 06-04-2018 16:12:45
รอตอนต่อไป ใจจะขาดรอนๆๆ หาอีกสองคน ใครหล่ะที่นี้  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หยก 13-04-18 {{:::53:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 13-04-2018 22:47:47
53

   หงส์ออกมาจากโรงแรมพร้อมกับอากรและคุณต้น เพื่อตรงไปยังบ้านตระกูลฝู่ วันนี้พวกเขาเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไป โดยมีคนของเจ็กลู่ขับรถตามอยู่ห่าง ๆ จำนวนหนึ่ง เจ็กลู่ไม่วางใจที่จะให้เราเข้าไปกันเพียงแค่ 3 คน เพราะตั้งแต่เธอพาน้อง ๆ ออกจากบ้านหลังนั้นมา ก็ไม่มีคนในตระกูลฝู่สามารถเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้อีกเลย คนเก่าคนแก่ที่เคยรับใช้พวกเธอก็โดนไล่ออกหรือไม่ก็ส่งไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นภายในบ้านหลังนี้ จึงมีแต่คนของจุ้ยอั้ยเต๋อเท่านั้น

   พวกเด็กรับใช้ในบ้านก็เป็นคนที่จ้างมาใหม่ โดยจุ้ยอั้ยเต๋อ ดังนั้นก่อนที่จะออกจากโรงแรมเธอได้ตระเตรียมกับอากรและคุณต้นไว้แล้ว ว่าเธออาจจะสื่อสารทางจิตกับพวกเขา อากรไม่มีท่าทีตกใจเพราะรู้เรื่องความสามารถของเธออยู่แล้ว ผิดกับคุณต้นที่ยังดูเกร็ง ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร เธอสัมผัสได้ถึงความตกใจและตื่นกลัวของคุณต้น

   “คุณต้นค่ะ หงส์ต้องขอโทษนะคะที่ตัดสินใจบอกเรื่องเมื่อสักครู่นี้กับคุณในสถานการณ์แบบนี้”

   “ผมเข้าใจครับ แต่ผมไม่ชินกับวิธีสื่อสารของคุณหงส์เท่าไร” คุณต้นที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันกลับมาตอบ

   “ที่หงส์เขาตัดสินใจบอกนาย ก็เพื่อที่จะตัวนายเอง เข้าไปในนั้นมันอันตราย นายจะได้ระวังตัวหากเกิดอะไรขึ้น” อากรช่วยเธออธิบาย

   “ครับบอส”

   “คุณต้นเพียงจะได้ยินเสียงหงส์ในความคิดเท่านั้นค่ะ หงส์รับรองว่าจะสื่อสารกับคุณเท่าที่จะเป็นเท่านั้น”

   “ครับ ผมจะพยายามทำใจ”

   “ขอบคุณค่ะ” เธอรู้ว่าคุณต้นยังไม่วางใจในสิ่งที่เธอกับอากรพูดเท่าไรนัก เธอเองก็โทษเขาไม่ได้ เพราะเธอรู้ดีว่าโดยธรรมชาติแล้ว คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้เอาไว้ก่อน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะจิตแข็งแค่ไหนก็ตาม

   “เรามาถึงแล้ว ตั้งสติไว้นะนายต้น”

   “ครับบอส”

   รถแท็กซี่เข้ามาจอดอยู่ที่รั้วทางเข้าบ้าน เธอกับอากรลงจากรถมาก่อน ส่วนคุณต้นทำหน้าที่จ่ายเงินค่าโดยสารให้กับแท็กซี่คันที่พาพวกเธอมา อากรเดินตรงไปกดกริ่งที่ประตูบ้าน

   “มาพบใครค่ะ” เสียงตอบรับจากคนในบ้านดังขึ้น

   “ผมวรากร คนรักของหลิวลู่ ต้องการขอพบคุณจุ้ยอั้ยเต๋อ” อากรตอบพร้อมทั้งมองไปยังกล้องที่อยู่หน้ารั้วบ้าน

   พวกเธอรอกันอยู่สักพักประตูบ้านก็เปิดออกมา อากรเดินนำเข้าบ้านไปก่อน บ้านของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก จุ้ยอั้ยเต๋อคงต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้านของเธอแน่นอน เมื่อเดินถึงประตูหน้าบ้าน เด็กรับใช้คนหนึ่งยืนรอพวกเธออยู่ และพาเธอเขาสู่ตัวบ้าน

   จุ้ยอั้ยเต๋อนั่งรอพวกเธออยู่ห้องรับแขก บริเวณโถงกลางบ้าน เขามองที่เธอกับคุณต้นอย่างสำรวจ ซึ่งเธอก็เตรียมพร้อมมาอยู่แล้ว เธอรู้ว่าจุ้ยเถิงมีภาพของหยกและโบตั๋น ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจุ้ยอั้ยเต๋อคงจะเห็นรูปนั้นแล้วเช่นกัน วันนี้เธอจึงปลอมตัวเล็กน้อยเพื่ออำพรางใบหน้าของเธอ

   “คุณหมอ ไม่ได้เจอกันหลายปี ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมได้ล่ะ?” จุ้ยอั้ยเต๋อทักทาย

   “อยากเรียกผมว่าคุณหมอเลย ผมไม่ได้เป็นแพทย์อาสาอีกต่อไปแล้ว”

   “ได้ๆ นั่งสิ ๆ แล้วไปยังไงมายังไงกันล่ะ?”

   “หลาน ๆ ผมมาฮันนีมูนกันที่นี่ ผมเลยพามาเยี่ยมเยียน ตามประสาคนรู้จักกัน”

   “หลาน ๆ ลูกพี่ชายคุณน่ะหรือ?” หงส์สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือ และหวาดระแวงของจุ้ยอั้ยเต๋อ

   “ใช่ นี่ไอ้เสือหลานชายผม ส่วนที่ภรรยามัน นภา” อากรแนะนำพวกเธอ ก่อนจะหันมาพูดเป็นภาษาไทยกับพวกเรา “ทักทายคุณจุ้ยสิ”

   “Nice to meet you” คุณต้นทักทาย

   “Hi” และเธอก็แสร้งทักทายบ้าง

   “สองคนนี้เขาฟังภาษาจีนไม่ออก ถนัดแต่ภาษาอังกฤษ คุณชายจุ้ยคงไม่ถือ”

   “ไม่เป็นไร ๆ ว่าแต่คุณกรคงไม่ได้มาเพียงเพราะจะมาเยี่ยมเยียนผมหรอกใช่ไหม?”

   “บอกตามตรงเลยนะ ผมอยากถามเรื่องอาหลิว หลิวลู่ คุณหาตัวเจอเขาบ้างรึป่าว?”

   “จนป่านนี้แล้วคุณยังไม่ลืมหลิวลู่อีกอย่างนั้นหรอ?”

   “ผมคงลืมคนที่ผมรักไม่ได้หรอก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน”

   “ผมเข้าใจ” บอกจุ้ยอั้ยเต๋อบอกอากรอย่างนั้น แต่ใจกลับคิดไปในทางตรงกันข้าม

   “ผมตามหาทั่วประเทศไทยแล้วก็ไม่พบ เกรงว่าข่าวที่ได้มาตอนนั้นจะไม่ใช่เรื่องจริง”

   “เท่าที่ผมสืบรู้มา หลิวลู่หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว เป็นไปได้สูง ว่าเขาอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”

   “อย่างนั้นหรอ?” อากรแสดงท่าทางสลด ต่อหน้าจุ้ยอั้ยเต๋อ แต่ทางนั้นไม่ได้มีท่าทีเห็นใจเลยแม้แต่น้อย กลับคิดสมเพชอากรเสียด้วยซ้ำ

   “แล้วพวกคุณมีแผนที่จะไปฮันนีมูนกันที่ไหนอย่างนั้นเหรอ” จุ้ยอั้ยเต๋อหันมาให้ความสนใจคุณต้นกับเธอแทนโดยการชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษ

   “อากรบอกผมกับภรรยาว่า คุณเป็นเจ้าของกาสิโนในมาเก๊า”

   “อ่อ สนใจจะเข้าไปเที่ยวที่กาสิโนล่ะสินะ”

   “ครับ ผมอยากพาภรรยาไปเที่ยวที่นั่นสักหน่อย”

   “ได้ ยังไงก็คนกันเอง สหายเก่ามาเยี่ยมทั้งที ก็ต้องต้อนรับ ยังไงคืนนี้ก็ค้างกันที่นี่เลยสิ”

   “คงจะไม่ได้หรอกครับ ผมจองร้านอาหารสำหรับดินเนอร์กับภรรยาไว้แล้ว ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แล้วอยากไปกาสิโน่เมื่อไรล่ะ ฉันจะให้คนไปรับ แล้วนี่รับไปสิ” จุ้ยอั้ยเต๋อยื่นการ์ดแข็งสีทองใบหนึ่งใหคุณต้น

   “อะไรหรอครับ?”

   “บัตร VIP สำหรับเข้ากาสิโนของผม คุณจะเล่นอะไร เมื่อไรก็ได้ วงเงินในบัตรนี้ถือเป็นของขวัญแต่งงานสำหรับพวกคุณก็แล้วกัน”

   “ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นอีก 2-3 วัน พวกผมคงต้องรบกวนด้วยนะครับ” คุณต้นตอบออกไปด้วยทีท่ายิ้มแย้ม

   “ผมหมดธุระแล้วคงต้องขอตัวก่อน” อากรพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ยังคงหดหู่

   “ถ้าคุณกรไม่ได้ไปไหนกับพวกเด็กๆ ก็แวะมาดื่มน้ำชาหรือสังสรรกับผมที่นี่ได้นะ” จุ้ยอั้ยเต๋อกล่าวออกมาอย่างมีน้ำใจ แต่ภายในกลับไม่ได้คิดอย่างนั้นแม้แต่น้อย

   “ผมคงไม่มีอะไรรบกวนคุณชายจุ้ยอีกแล้วล่ะ ขอตัว” อากรพูดจบก็ลุกขึ้น พวกเธอจึงลุกตาม ก่อนพากันเดินออกจากบ้านไป

   ระหว่างทางที่เดินอยู่ภายในบ้าน เธอก็ค่อย ๆ สำรวจจิตของคนในบ้านไปเรื่อย ๆ ที่ละคน ส่วนใหญ่แล้วเด็กรับใช้ไม่รู้เรื่องเรื่องราวอะไร เพียงแต่ทำหน้าที่ของตนไปเท่านั้น จะมีก็เพียงคนบางกลุ่มที่ระแวดระวังตัวและคอยจับตาดูพวกเธออยู่ตลอดเวลา

   เธอสัมผัสได้ถึงคนเหล่านั้น มีคนราว ๆ 15-20 คน ที่คาดว่าจะเป็นคนของจุ้ยอั้ยเต๋อ นอกจากนั้นก็เป็นแม่บ้าน เด็กรับใช้ คนรถ คนสวน แล้วคนอีกคนที่หลับไม่ได้สติ จิตใจที่สงบนิ่งแต่ก็เหนื่อยล้าเต็มที ใครกันนะ?

........................................................................

     เมฆเข้ามาส่งงานที่บริษัทฯ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นงานสุดท้ายที่เขารับไว้แล้ว เขาแปลกใจที่อยู่ๆ บริษัทฯ ต่าง ๆ ก็พากันจ่ายงานให้ช่างภาพคนอื่นหมด บ้างให้เหตุผลว่ามาจากลูกค้า บ้างเข้าใจว่าเขาติดงานไม่มีคิวให้ บ้างว่าเป็นงานด่วนและติดต่อเขาไม่ได้

   หลังจากที่เขาส่งงานเสร็จ เขาก็มาเตร็ดเตร่อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เขาเลือกที่จะนั่งในร้านกาแฟสัญชาติอเมริกัน ระหว่างที่เขายืนรอเครื่องดื่มอยู่นั้น เขาก็เห็นพี่อ้วนช่างภาพที่เคยทำงานร่วมกันนั่งอยู่กับเพื่อนในวงการช่างภาพอีกหลายคน เมื่อได้เครื่องดื่มแล้ว เขาจึงตรงเข้าไปทักทายคนกลุ่มนั้น

   “ภาพเซ็ทนี้น่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของกูเลยก็ว่าได้” เขาได้ยินพี่อ้วนคุยกับเพื่อน ๆ

   “กูว่าเพราะมึงได้นางแบบสวยมากกว่า” เพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้นมา

   “พี่อ้วน มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย ประชุมช่างภาพกันรึไงพี่” เขาทักทายเมื่อเดินเข้าไปถึง

   “อ่าวเมฆ มึงมาได้ไง?” พี่อ้วนทักเขาอย่างแปลกใจ

   “บังเอิญนะพี่ ผมไปส่งงานมา ตอนนี้ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ เลยมาเดินเล่น ว่าแต่พวกพี่เถอะ มีแผนอะไรกันอยู่ ถึงมารวมตัวกันอยู่นี่”

   “ก็ไม่มีอะไร พวกกูนัดแดกข้าว คุยเรื่องกล้อง เรื่องเลนส์กันตามประสา”

   “โถ่ ผมนึกว่ามีโปรเจ็คอะไรใหญ่ๆ ซะอีก ถ้ามีงานฝากนึกถึงผมด้วยนะ”

   “เอ่อ ๆ ถ้ามีงาน เดี๋ยวกูติดต่อไป” พี่อ้วนเริ่มเก็บของที่วางไว้บนโต๊ะเข้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้น เขาจึงลุกตาม “มึงนั่ง ๆ ไปเถอะ พวกกูจะกลับแล้ว ไปพวกมึง” พี่อ้วนบอกกับเขาก่อนเรียกพรรคพวก

   “อ่าว คุยกันเสร็จแล้วหรอ”

   “อืม กูจะไปซื้อของนิดหน่อยด้วย พรุ่งนี้กูต้องเดินทางไปถ่ายงานที่โอซาก้า”

   “อ้าว แล้วไหนว่านัดกินข้าวกันไม่ใช่หรอ ผมไปด้วยดิ”

   “พวกกูแดกกันเสร็จแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”

   “ครับ ๆ ” เมฆค่อนข้างแปลกใจกับท่าทางของพี่อ้วน ที่ดูเหมือนไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไร พรรคพวกของพี่อ้วนก็เช่นกัน ทั้งที่ทุกครั้งที่เจอกัน ต้องมีการหยอกล้อถามไถ่เรื่องงานกับเขาบ้าง แต่นี่กลับไม่ทีใครทักทายเขาสักคน

.........................................................................

   หลังจากที่ทานอาหารร่วมกับคุณหญิงพรรณีและคุณสุพรรณษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พยัคม์และหยกก็กลับเข้ามานั่งคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสองอีกเล็กน้อยที่ห้องเอนกประสงค์ และดูเหมือนจะคุยกันเพลินเลยทีเดียว

   เท่าที่เขาสังเกตดู หยกค่อนข้างเป็นที่ชอบพอของคนทั้งสองอยู่มาก หยกเองก็เข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี เรียกความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ได้ไม่น้อย เขาเห็นหยกเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง ซึ่งเขาไม่ได้รีบอะไร จึงปล่อยให้ทั้งสามคุยกันไปเรื่อย ๆ

   “เห็นทีตาหยกคงจะเกรงใจคุณพยัคฆ์นะคะ” คุณสุพรรณษาคงจับสังเกตได้

   “จริงสิ พยัคฆ์ต้องเข้าบริษัทฯ ไม่ใช่หรือ ไอ้ฉันมันก็คุยกับพ่อหยกจนเพลิน ทีหลังไม่ต้องเกรงใจฉัน ต้องไปทำงานก็บอกกล่าวกัน” คุณหญิงเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้

   “ผมเห็นว่าคุยกันจนเพลิน เลยไม่อยากขัดครับ อีกอย่างงานของผมก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร”

   “ไม่ได้ ๆ งานก็ต้องเป็นงาน ไปเถอะพ่อ ไปทำงานทำการได้แล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นผมกับหยกขอตัวกลับก่อนนะครับ”

   “อืม ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยมาทานข้าวด้วยกันอีกนะพ่อหยก”

   “ครับ ไว้คราวหน้า ผมจะทำขนมมาฝากคุณหญิงกับคุณษานะครับ”

   “เอาสิ ไว้ฉันจะรอชิมขนมของเธอก็แล้วกัน”

   พยัคฆ์จึงลาคุณหญิงและคุณสุพรรณษา โดยมีคุณสุพรรณษาเดินตามออกมาส่งพวกเขา ส่วนคุณหญิงนั้นก็เตรียมเดิมกับขึ้นไปยังชั้นบน พยัคฆ์ซึ่งเดินนำหน้าคนทั้งสอง ได้ยินคุณสุพรรณษาชวนหยกคุยตลอดทาง

   “ถ้าเป็นไปได้ หยกก็มาหาฉันกับคุณแม่บ่อย ๆ นะ”

   “ครับ ถ้ามีโอกาส ผมจะมาเยี่ยมใหม่”

   “ถ้าคราวหน้ามากันทั้งสามคน บ้านนี้คงจะครื้นเครงขึ้นเยอะเลย”

   “คุณษาอาจจะต้องปวดหัวกับโบตั๋นก็ได้นะครับ”

   “ฉันไม่กลัวเรื่องปวดหัวหรอกจ้า” พยัคฆ์ได้ยินเสียงคุณสุพรรณษาหัวเราะเล็กน้อย “เป็นอะไรไปรึป่าวจ๊ะ?” คำถามนั้นทำให้พยัคฆ์ต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง

   หยกยืนเกร็งนิ่งอยู่หน้ากรอบรูปที่วางประดับข้าง ๆ แจกันบนคอนโซลตรงทางเดิน แววตาที่ดูตระหนกกับใบหน้าที่ซีดเซียวลง

   “อ่อ นี่รูปสามีกับลูกชายของฉันเองล่ะ” หยกมองมายังเขา ทำให้เขาเดินเข้าไปหา หยกหันกลับไปมองรูปภาพตรงหน้าอีกครั้ง

   “พี่เสือ...เขา...”

   “มีอะไรกันรึป่าวค่ะ?” พยัคฆ์ครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาไม่คิดว่าหยกจะจำเกรียงไกรได้หลังจากได้เห็นรูปนี้

   “ผมและหยกเคยมีเรื่องกับคุณเกรียงไกรนิดหน่อยนะครับ” เขาเห็นสายตาตัดพ้อของหยกที่มองมา

   “ตายจริง แล้วเรื่องราวเป็นยังไงบ้างค่ะ มีอะไรรุนแรงกันรึป่าว?”

   “เรื่องนี้ผมขออธิบายภายหลังนะครับ ยังไงวันนี้ผมขอตัวก่อน และขอบคุณอีกครั้งสำหรับอาหารกลางวัน”

   จากนั้นเขาก็จูงมือหยกเดินออกจากตัวบ้านมาโดยไม่แคร์สายตาของคุณสุพรรณษา แรก ๆ หยกมีอาการขืนตัวจากเขาเล็กน้อย แต่หยกคงนึกได้ว่าขณะนั้นพวกเขายังอยู่ต่อหน้าคุณสุพรรณษา ตลอดทางที่ขับรถไปยังบริษัทฯ หยกนิ่งเงียบจนเขากังวล

.........................................................................

   ผมตกใจมากตอนที่เห็นภาพถ่ายของคุณษา คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านมันทำให้ผมสะดุดใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ความกลัวจะค่อยแผ่ซ่านเข้ามาจนผมต้องหันมองถามพี่เสือ และคำตอบที่เขาบอกกับคุณษานั้นมันทำให้ผมรู้ว่าเขารู้จักกับคน ๆ นี้ และพี่เสือยังรู้อีกด้วยว่าคนในรูปมีความเกี่ยวข้องกับคนในบ้านนี้ แต่ก็ยังจะพาผมเข้ามา

   ผมโกรธที่พี่เสือปิดบังผม จนผมขืนตัวไม่อยากให้พี่เสือแตะต้องตัวผม แต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ผมรู้ว่าผมควรรักษามารยาท จึงเดินตามพี่เสือที่ลากผมออกมาจากบ้านหลังนั้น และตลอดทางผมเลือกที่จะนั่งเงียบจนมาถึงบริษัทฯ ของพี่เสือ บริษัทฯ ที่ผมเคยมาหาเจ็กลู่

   เมื่อลงจากรถได้ แทนที่ผมจะเดินเข้าไปยังอาคาร ผมกลับเลือกที่จะเดินออกมาแทน ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถ และเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามผมมาพี่เสือคว้าข้อมือผมไว้ ผมสะบัดมือหนานั่นทิ้งทันทีแบบไม่ได้คิด ตอนนี้นอกจากผมจะโกรธแล้ว ความรู้สึกที่มีมากกว่าคือ...ความน้อยใจ

   “หยกครับ...หยก” พี่เสือเรียกผม และเดินตามผมมาจนถึงหน้าป้อมยาม “หยกฟังพี่ก่อนสิครับ”

   “...” ผมได้แต่เดินหนี ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่เสือตอนนี้ ผมสับสน ผมไม่เข้าใจ ผมรู้แค่ว่าผมโกรธ ผมน้อยใจ ให้ผมอธิบายหรือรับฟังอะไรตอนนี้ ผมทำไม่ได้

   “หยกครับ เข้าไปที่ออฟฟิตพี่ก่อนนะ” พี่เสือยังคงเดินตามผมมา

   “...”

   “ขอโอกาสให้พี่อธิบายนะครับ” พี่เสือคว้าข้อมือผมไว้อีกครั้ง และครั้งนี้ผมคว้าข้อมือพี่เสือพร้อมกับหักข้อมือหงายกลับหลังทันที พี่เสือไม่ขัดขืนอะไร ผมจึงผลักให้พี่เสือออกไปให้พ้นทางของผม “หยก...”

   “...” ผมเดินออกมาจนเกือบถึงถนนใหญ่ที่เคยมานั้งทานก๊วยเตี๋ยวกับเจ็กลู่ ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่เสือแล้ว มันทำให้ผมยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใจหนึ่งก็ไม่อยากเห็นหน้าพี่เสือตอนนี้ แต่พอคิดว่าพี่เสือไม้ได้ตามมาแล้ว ผมก็ยิ่งเสียใจ ผมไม่เข้าใจตัวผมเองจริง ๆ   

.........................................................................

   จุ้นเถิงได้รับรายงานจากคนของเขา ว่ารถเป้าหมายได้มายังบริษัทฯ แล้ว หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาเฝ้าจับตาอยู่หลายวัน และฝู่หยงก็อยู่บนรถคันนั้นด้วย เขาจึงสั่งให้ลูกน้องคอยติดตามอย่าให้เป้าหมายไหวตัวได้ทัน เขาเองก็รีบไปยังจุดหมายทันที เขาไม่อยากพลาดเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา

   คนของเขาขับรถพาเขามาถึงปากซอยที่ตั้งของบริษัทฯ รักษาความปลอดภัยนั่น ระหว่างที่รถเลี้ยวเข้าซอย เขาก็เห็นร่างขาว ๆ ที่คุ้นตาเดินสวนออกมาที่ริมถนนใหญ่ จนเขาต้องเหลียวกับไปมองอีกครั้ง

   “หยุดรถก่อน” เขาบอกคนขับด้านหน้า

   “หยุดตอนนี้ไม่ได้ครับคุณจุ้ย มีรถตามหลังมา”

   “งั้นก็หาที่ที่มันจอดได้สิ”

   “ครับ ๆๆ”

   เขามั่นใจว่าคนที่เขาเห็นน่าจะเป็นฝู่หยงไม่ผิดแน่ ระหว่างที่คนของเขาขับรถเข้ามาในซอย เขาก็เห็นบอร์ดี้การ์ดคนที่ควรจะอยู่กับฝู่หยงเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางตรงกันข้ามกับฝู่หยง และในมือก็ถือโทรศัพท์ไปด้วย

   “ไม่ต้องหาที่จอดแล้ว หาที่กลับรถ”

   “คุณจุ้ยไม่ไปที่บริษัทฯ รักษาความปลอดภัยนั่นแล้วหรอครับ”

   “ฉันเจอคนที่ฉันต้องการแล้ว และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีด้วย”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 13-04-18 {{:::53:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-04-2018 23:34:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 13-04-18 {{:::53:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-04-2018 23:52:45
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หยก 13-05-18 {{:::54:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 13-05-2018 12:23:41
54

   พยัคฆ์รู้ดีว่าหยกทั้งโกรธและน้อยใจเขาแค่ไหน คนที่อารมณ์เย็นอย่างหยก เมื่อโกรธขึ้นมา ตัวเขาเองก็ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ จึงได้แต่ถอยออกมาตั้งหลักก่อน โดยไม่ละทิ้งหน้าที่ในการดูแลหยก

   “ครับคุณพยัคฆ์”

   “นายอยู่ไหน?”

   “ผมอยู่ที่ออฟฟิตครับ”

   “ดี ถ้าอย่างนั้นนายกับเอไปคอยเฝ้าหยกไว้ที”

   “เอไม่อยู่ครับ มันออกไปกินข้าวที่หน้าปากซอย”

   “นายโทรบอกเอแล้วกัน ตอนนี้หยกก็น่าจะอยู่ที่ปากซอยเหมือนกัน”

   “ปากซอยออฟฟิตเรานี่นะครับ”

   “อืม รีบๆ ตามเอไปแล้วกัน ถ้าฉันขึ้นไปแล้วยังเจอนายอยู่ นายได้โดนดีแน่ๆ”

   “ครับ ๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับบอส”

   พยัคฆ์วางสายจากต้า ก่อนเดินตรงกลับเข้าออฟฟิต เขามีเอกสารที่จะต้องเซ็นต์ พร้อมกับสรุปงานกับคุณวรรณ เพราะคุณวรรณเป็นเซ็นเตอร์ในการประสานงานข้อมูลระหว่างเขา หงส์ และ โบตั๋น อาชาติต้องการให้หยกอยู่ห่างจากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเลี่ยงที่จะคุยกับเขาโดยตรง

........................................................................

     เอออกมาทานข้าวอยู่ที่หน้าปากซอย กำลังจะเดินกลับเข้าออฟฟิต ก็ต้องหยุดรับโทรศัพท์ซะก่อน เมื่อคู่หูของเขาโทรเข้ามา เนื่องจากร้านข้าวแกงที่เขาเลือกทานนั้นอยู่ริมฟุตบาท ทำให้เข้าเห็นรถของคุณพยัคฆ์ขับเข้าซอยไป และลางสังหรณ์ของเขาบอกว่า เขาน่าจะได้ออกแรงเร็ว ๆ นี้

   “กูเห็นแระ”

   “มึงเจอคุณหยกแล้วใช่ไหม?”

   “ยัง แต่กูเห็นรถคุณพยัคฆ์ขับเข้าซอยไป”

   “เออ งั้นมึงก็รีบตามหาคุณหยกเลย เดี๋ยวกูตามไป”

   “ทำไมคุณพยัคฆ์ไม่ตามาเองว่ะ? กูเห็นหวงยิ่งกว่าอะไรดี”

   “กูไม่ได้ถามว่ะ”

   “กูเห็นคุณหยกแระ นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมลล์”

   “เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย เฝ้าอย่าให้คลาดสายตานะมึง”

   “เออ กูรู้แล้วน่า มึงรีบ ๆ มาเลย”

   เอวางสายจากต้า แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาคุณหยก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาจึงเห็นสีหน้าชัด ๆ ใบหน้าขาว ๆ ตัดกับจมูกสีแดง นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ และดูเหมือนว่าคุณหยกจะรู้ตัว สัญชาตญาณดีฉิบหาย ขนาดเขาไม่ได้เข้าใกล้อะไรมากมาย

   “พี่เอ?”

   “ครับ คุณหยกเป็นอะไรรึป่าวครับ” เขาเห็นดวงตากลมโตนั่นคลอไปด้วยน้ำที่มันเหมือนจะหยดลงมาได้ตลอดเวลา มันทำให้เขารู้สึกหน่วง ๆ จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

   “ผม...”

   เขาเลือกที่จะนั่งลงข้าง ๆ เว้นระยะไม่เข้าใกล้จนเกินไป ได้แต่นั่งเป็นเพื่อนคุณหยก จนกระทั้งต้าวิ่งกระหืดกระหอบตรงมายังพวกเขา มันผ่อนฝีเท้าลงเมื่อเข้ามาใกล้ ๆ มันเห็นเขานั่งเป็นเพื่อนคุณหยกเงียบ ๆ มันจึงทำตามโดยนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของคุณหยก

   “ผมขอโทษที่ทำให้พวกพี่เป็นห่วง” คุณหยกพูดขึ้นมาในที่สุด

   ต้ามันลุกขึ้น แล้วเดินไปยังร้านค้า ก่อนกลับมาพร้อมกับน้ำดื่มในมือ มันยื่นให้คุณหยก

   “ดื่มน้ำก่อนครับ จะได้สดชื่น”

   “ขอบคุณครับ” คุณหยกรับขวดน้ำนั่นไว้ ส่วนไอ้ต้ามันก็เดินกลับไม่นั่งที่เดิม พวกเรานั่งกันเงียบ ๆ รอจนกว่าคุณหยกจะสบายใจ

.........................................................................

   วรรณาเตรียมเอกสารที่พยัคฆ์จะต้องเซ็นต์ไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของวรากร ก่อนจะเดินไปที่ห้องประชุมเล็กที่อยู่ข้าง ๆ กัน เพราะเธอรู้ว่าคุณหยกจะมาด้วย ดังนั้นเรื่องที่เธอต้องรายงานกับคุณพยัคฆ์ จึงต้องเปลี่ยนมาใช้ห้องนี้แทน เมื่อเธอตระเตรียมความพร้อมเรียบร้อย เธอจึงเดินออกมาที่โต๊ะของเธอ ยังไม่ทันที่เธอจะได้นั่ง เจ้านายอีกคนก็เดินออกจากลิฟท์มา

   “อ้าว? คุณหยกล่ะคะ?”

   “เอกับต้าดูแลอยู่” พยัคฆ์ตอบเสียงเครียด

   “ทะเลาะกันใช่ไหมค่ะ?” เธอเห็นพยัคฆ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ดูออกง่ายจะตาย ก็ปกติคุณเสือไม่ยอมปล่อยให้คุณหยกอยู่ห่างตัวนี่ค่ะ?”

   “หยกโกรธผมเรื่องนายเกรียงไกร”

   “คุณหยก นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างนั้นหรอค่ะ?”

   “ใช่ เมื่อเช้าผมพาหยกไปบ้านคุณหญิงพรรณี แล้วหยกไปเจอรูปถ่ายของมันเข้า”

   “แล้วคุณเสือทำยังไงล่ะคะ ง้อคุณหยกแล้วรึยัง”

   “ดูเหมือนหยกโกรธผมมาก ผมเลย...ถอยออกมาตั้งหลักก่อน”

   “อย่างคุณเสือนี่นะคะ?”

   “เข้าเรื่องงานเถอะครับ” พยัคฆ์ตัดบท เธอจึงเลิกหยอกเจ้านาย

   “ค่ะ ๆ เอกสารที่คุณเสือต้องเซ็นต์ วรรณเตรียมไว้ให้อยู่ที่โต๊ะคุณกร ส่วนห้องประชุมเล็กที่เตรียมเอาไว้ วรรณว่าคงจะไม่ต้องใช้แล้วมั้งค่ะ?”

   “อืม แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้าง” คุณพยัคฆ์เดินนำเธอเข้าห้องของวรากรไป โดยมีเธอเดินตามเข้าไปติด ๆ

   พยัคฆ์นั่งแทนที่วรากรก่อนเปิดแฟ้มต่าง ๆ ขึ้นมาอ่านและเซ็นต์อย่างรวดเร็ว เธอก็รายงานความคืบหน้าทางฝั่งของคุณหงส์ และโบตั๋นให้พยัคฆ์ได้รับรู้พร้อม ๆ กันไปด้วย

   “แปลก ทางเหมิ๋นรู้ได้ยังไงว่าโบตั๋นจะเดินทางไปที่นั่น แล้วหลานสาวเหมิ๋นโย่วเซียงเป็นใคร?”

   “เรื่องนี้คุณโบตั๋นเธอก็ยังไม่ทราบค่ะ”

   “แล้วทางนั้นมีวิธีหาคนอีก 2 คนได้ยังไง?”

   “ตอนนี้คีรู้วันเดินปีเกิดของคนที่เราต้องการหาแล้ว วรรณเลยเอามาเทียบกับฐานข้อมูลที่เรามีก่อน จากนั้นอาจจะต้องใช้เส้นสายของคุณพ่อคุณหาจากฐานข้อมูลบุคคล”

   “อืม แล้วโบตั๋นจะไปสมทบกับหงส์เมื่อไร?”

   “คุณหงส์ต้องการให้คุณโบตั๋นอยู่กับบ้านเหมิ๋นไปก่อน เพื่อความปลอดภัย จนกว่าคุณหงส์จะกลับจากมาเก๊าค่ะ”

   “อืม...”

   “คุณเสือค่ะ คนของเรารายงานว่า คนของเจ้าสัวถอนกำลังจากที่ค่ายมวย และที่ร้านของเหล่าฝู่แล้ว”

   “ทางนั้นมันคงรู้ตัวแล้วสินะว่าหยกไม่ได้อยู่ที่นั่น”

   “ค่ะ คนของจุ้ยเถิงเองก็ไม่ได้ไปเฝ้าที่ร้านคุณกันต์ และบ้านของคุณหงส์แล้ว อยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ”

   “แล้วทางด้านลตาล่ะ?”

   “นอกจากเรื่องที่คุณลตาไปพบคุณเพ็ญนภาแล้ว ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไรค่ะ?”

   “ผมว่ามันแปลก ๆ ที่อยู่ ๆ คนพวกนั้นก็พากันเงียบหายไปเฉย ๆ”

   “พวกนั้นอาจจะวางแผนอะไรกันอยู่ คุณเสือกับคุณหยกคงต้องระวังตัวให้มาก ๆ ให้เอกับต้าคอยอยู่ใกล้ ๆ น่าจะดีกว่านะคะ”

   “อืม เอาตามที่คุณวรรณว่าก็แล้วกัน แต่ให้ 2 คนนั่นคอยดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอ”

   “แหม๋ สองคนนั่นไม่ไปเป็นก้างระหว่างคุณเสือกับคุณหยกหรอกค่ะ”

   “คุณวรรณ!!”

   “รับทราบค่ะเจ้านาย”

   วรรณารับคำสั่งเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องมา เพื่อให้คุณพยัคฆ์จัดการเอกสารที่คั่งค้างไว้ได้สะดวก ๆ

 
.........................................................................

   ลตาได้รับข้อความปริศนาเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกเธอไม่รู้เจตนาของผู้ที่ส่งข่าว ถึงแม้ว่าข่าวของโบตั๋นจะช่วยเธอได้มากก็ตามที ส่วนข้อความครั้งนี้ กลับเหมือนเป็นการเตือนไม่ให้เธอเข้าไปยุ่งกับเพ็ญนภาและเมฆ

   เจ้าของข้อความปริศนานี้เป็นใครกัน แล้วคนๆ นี้รู้ความเคลื่อนไหวของเธอได้อย่างไร เธอพยายามสืบจากหมายเลขที่ส่งข้อความมาให้ ปรากฎว่าหมายเลขนั้นเป็นเบอร์ต่างประเทศ ลองโทรกลับไป ก็ไม่มีคนรับสาย เธอจึงมาถึงทานตัน ไม่สามารถสืบค้นต่อไปได้

   ตอนนี้โบตั๋นอยู่ที่เกาลูน ฝู่หยงอยู่ที่ไทย แต่ที่เธอไม่รู้คือ ฝู่หงส์ไปอยู่ที่ไหน?

   ฝู่หยงมีพยัคฆ์คอยตามเฝ้าเป็นเงาตามตัวอยู่ และจุ้ยเถิงและคนของเขาก็คลาดกับฝู่หยงตลอด มันทำให้เธอแน่ใจว่าจุ้ยอั้ยเต๋อคงต้องการแต่ฝู่หยงแน่ ๆ และเธอก็เคยเห็นว่าฝู่หยงห้อยเมฆาขาวไว้ที่คอ

   ฝู่หงส์หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำตัวลึกลับไม่ผิดอะไรกับหลิวลู่ และถึงแม้ความจริงที่เธอรับรู้มา จากที่ไปบ้านของวรากรวันนั้นจะให้เธอเบาใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้

   “คุณลตา”

   ‘ฝู่หงส์? แล้วรู้จักฉันได้ยังไง เพราะเมฆาขาวอย่างนั้นเหรอ’ เธอนึกขึ้นในใจ

   “เรื่องที่คุณสงสัย นั้นไม่ผิดไปจากที่คุณคิด”

   ‘ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้สินะว่าฉันต้องการอะไร’

   “แต่ก็ยังไม่ถึงเวลานั้นเช่นกัน หลังจากนี้อีกสองสัปดาห์ เรื่องราวทั้งหมดจะกระจ่างขึ้น”

   ‘เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?’ เธอเห็นฝู่หงส์ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
 
   “ฉันหวังว่าระหว่างนี้คุณจะอยู่ในที่ที่คุณควรอยู่ และทำในสิ่งที่คุณสมควรจะทำ”

   “ฉันเข้าใจค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”


   เธอรู้ว่าฝู่หงส์เป็นเด็กสาวที่เก่ง และมีความสามารถ ผิดกับฝู่หยงที่ดูจะควบคุมเมฆาขาวได้เพียงผิวเผิน

   “อยู่ในที่ที่คุณควรอยู่ และทำในสิ่งที่คุณสมควรจะทำอย่างนั้นเหรอ?”

   ลตาเปรยกับตัวเองออกมาเบา ๆ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนชุดที่ทะมัดทะแมงกว่าที่เคยก่อนคว้ากุญแจรถออกจากห้องไป

.........................................................................

   รถของจุ้ยเถิงออกมาจอดอยู่ที่ริมฟุตบาทถัดจากที่ฝู่หยงนั่งอยู่ไม่ไกล เขาเห็นมีคนทั้งยืนและนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมลล์หลายคน หากเขาลงไปหาฝู่หยงอาจจะเป็นที่สังเกตได้ เขารู้ตัวดีกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาเป็นจุดสังเกตขนาดไหนในที่แปลกถิ่นแบบนี้

   เขาจึงเลือกที่จะเฝ้ามองฝู่หยงเพื่อรอจังหวะให้คนที่ป้ายรถบางตากว่านี้ จนกระทั่งเขาเห็นชายคนหนึ่งส่งขวดน้ำให้กับฝู่หยง ทำให้เขารู้ว่าฝู่หยงไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่เขาคิด

   “โทรตามคนของเราที่เฝ้าอยู่ที่หน้าบริษัทฯ นั่นมาที่นี่ ” เขาสั่งการ เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาอีก เขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร มาอยู่กับฝู่หยงได้ยังไง เขาเดาว่าน่าจะเป็นบอร์ดี้การ์ดอีกคนหนึ่งแน่ ๆ

   “คนของเราจอดรถอยู่ตรงปากซอยครับคุณจุ้ย”

   “ถามพวกมันสิว่า ที่ป้ายรถเมลล์นั่นมีคนของบริษัทฯ ที่พวกมันเฝ้าไหม”

   “สักครู่ครับ” จุ้ยเถิงเฝ้ามองฝู่หยงที่นั่งหน้าเศร้าก้มหน้ามองแต่พื้นฟุตบาทอยู่อย่างนั้น มันทำให้เขานึกถึงฝู่หงส์ตอนเด็ก ๆ “มีสองครับครับคุณจุ้ย คนนั้น แล้วก็คนนั้น”

   ลูกน้องของเขาชี้ไปยังชายที่ส่งขวดน้ำให้ฝู่หยงและอีกคนที่นั่งถัดจากฝู่หยงไป ทั้งสองนั่งขนาบอยู่ข้างๆ ฝู่หยง อีกทั้งยัวนั่งทิ้งระยะห่างไว้พอสมควร

   “หึ!! ฉลาดจริงๆ”

   “เอายังไงต่อครับคุณจุ้ย”

   “แยกพวกนั้นออกมา ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป อย่างให้พวกมันรู้ตัว”

   “ครับ”

   เขามองเห็นคนของเขาคนหนึ่งเข้าไปนั่งคั่นกลางระหว่างฝู่หยงและบอร์ดี้การ์ดคนแรก ซึ่งคนพวกนั้นก็ไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อเวลาผ่านไปราว 10 นาทีคนของเขาอีกคนก็เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ บอร์ดี้การ์ดคนที่สอง

   “คุยจุ้ยครับ คนของเราส่งข้อความเข้ามาครับ แจ้งว่าคุณลตามีความเคลื่อนไหว”

   “หึ!! คงไปช๊อปปิ้งอีกละสิ ไม่รู้ว่าเซียงไบ่จ้างคนอย่างนั้นมาทำงานให้ได้ยังไง”

   “ไม่ใช่ครับ กำลังตรงมาที่นี่ครับ”

   “ว่ายังไงนะ?”

   “ครับ เธอกำลังขี่มอร์เตอร์ไซด์ตรงมาที่นี่ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น รีบจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อย ก่อนลตาจะมาถึง” การที่เธอมาที่นี่ด้วยมอร์เตอร์ไซด์ อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอต้องการมาสืบข่าวเช่นเดียวกับเขา แต่เพราะเขายังไม่ไว้ใจลตาและเจ้าสัว ดังนั้นเขาควรจะจัดการฝู่หยงด้วยตัวของเขาเอง ถ้าฝู่หยงอยู่ในเมื่อเขาเมื่อไร เซียงไบ่ก็หมดสิทธิ์ที่จะต่อรองกับลุงของเขาทันที

.........................................................................

   ผมนั่งสงบสติอารมณ์โดยมีพี่ต้ากับพี่เอนั่งเป็นเพื่อน พี่เสือก็ยังเป็นพี่เสือที่เข้าใจผม รู้ว่าผมไม่พร้อมที่จะฟังคำอธิบายอะไรในตอนนี้ พี่เสือก็ถอยให้ผม แต่ก็ไม่วายเป็นห่วง จนต้องส่งพี่ต้า พี่เอมานั่งเป็นเพื่อน ความน้อยใจก่อนหน้านี้มันหายไปจนหมด เหลือเพียงความโกรธที่เบาบางลงไปทุกขณะ

   “พี่ ๆ รู้เรื่องลูกชายของคุณษาไหมครับ?” ผมถามออกไปในที่สุด

   “ครับ พวกเราทราบ” พี่เอเป็นคนตอบ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่านี้

   พี่เสือรู้ คนของอากรก็รู้ ผมเดาว่าทุกคนที่อยู่พังงาตอนนั้น คงจะรู้เรื่องกันหมด ยกเว้นผม ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่ และพี่ ๆ คงไม่ตอบผม เพราะผมสัมผัสได้ถึงความหนักใจที่ส่งมา ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้น

   “กลับไปหาพี่เสือกันเถอะครับ” ผมบอกพร้อมทั้งเดินนำพี่ ๆ มา ผมสัมผัสได้ถึงความโล่งใจของพี่

   นี่ผมทำให้ทุกคนคอยเป็นห่วงผมขนาดนี้เลยเหรอ? ผมเดินคิดอะไรไปเรื่อย เพราะในหัวของผมมีคำถามอยู่มากมาย จนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี พวกเราเริ่มระวังตัวกันมากขึ้นเพราะผมไปเจอคุณลตาเข้าที่ค่ายมวย แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีเจตนาจะทำร้ายผมหรือแม้จะแย่งชิงเมฆาขาว

   ผมโดนพี่เมฆและผู้ชายคนนั้นทำร้าย นั่นเพราะต้องการแค่ตัวผม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเมฆาขาวเลยสักนิด ถ้าพี่เสือและพี่ ๆ เขาจะมาคอยดูแลผมเพราะเรื่องนี้ ผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

   สัมผัสของพี่ต้ากับพี่เออยู่ ๆ ก็หายไป เมื่อผมเดินเข้าซอยมาได้ระยะหนึ่ง มันอาจจะไม่แปลก เพราะพี่ทั้งสองคลายกังวลเรื่องของผม และผมอาจจะอยู่ในระยะสายตาที่พี่ ๆ เขาสามารถมองเห็นผมได้ แต่ที่แปลกก็คือ ความรู้สึกของพี่ ๆ เขากลับหายไปพร้อม ๆ กัน เหมือนกับดับวูบไปเฉย ๆ จนผมต้องหันกลับไปมอง

   ไม่มี

   ...

   ..

   .

   พี่ต้า พี่เอ ไม่ได้เดินตามผมมาอย่างนั้นเหรอ?

   สัญชาตญาณของผมบอกให้ผมระวังตัว มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น และแทนที่ผมจะเดินต่อไปยังออฟฟิตของพี่เสือ ผมเลือกที่จะวิ่งไปทางตรงกันข้าม ผมห่วงพี่ต้า กับพี่เอ   

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 13-05-18 {{:::54:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-05-2018 15:32:11
ขอให้หยกปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: หยก 13-05-18 {{:::54:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 14-05-2018 09:35:13
ค้างกลางอากาศอ่าาาาาา  :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: หยก 13-05-18 {{:::54:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-05-2018 18:54:04
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: หยก 28-05-18 {{:::55:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 28-05-2018 13:47:04
55

   อยู่ ๆ สุพรรณษาก็รู้สึกสังหารณ์ใจไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ เรื่องที่พยัคฆ์บอกกับเธอว่าตาเกรียงเคยไปมีเรื่องมีราวกับพวกเขา หากดูจากสีหน้าของตาหยกยามที่มองรูปนั่น ไม่น่าจะใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่นอน สีหน้าที่ยิ้มแย้มกลับซีดลงราวกับกระดาษ มันยังคงติดตาเธออยู่

   ก่อนหน้านี้ตาเกรียงมาขอให้เธอช่วย ด้วยไปมีเรื่องมีราวกับคนอื่นเพราะความเข้าใจผิด จนเธอต้องให้ทนายออกหน้า ความเป็นแม่ทำให้เธอพร้อมจะช่วยเหลือลูกชายคนเดียวของเธอ แต่ถ้าหากว่าเรื่องราวคราวนี้เกี่ยวข้องกับตาหยกล่ะ? แล้วถ้าตาเกรียงเป็นคนผิดจริง ๆ ล่ะ เธอจะทำอย่างไร

   “หล่อนเป็นอะไรของหล่อนน่ะแม่ษา เดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่นเชียว”   

   “อ่ะ!! คุณแม่ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรค่ะ ลูกไม่ทันสังเกต”

   “ฉันเข้ามานานพอที่จะเห็นหล่อนเดินไปเดินมา จนฉันชักจะเวียนหัว ถึงได้ถาม ตกลงหล่อนเป็นอะไร”

   “ลูกมีเรื่องให้คิดน่ะคะ?”

   “คราวนี้ลูก หรือผัวหล่อนล่ะ?”

   “คุณแม่ค่ะ”

   “เฮ้อ...ฉันไม่น่าให้หล่อนแต่งงานกับเจ้าสัวปางไม้นั่นเล๊ย...”

   “ไม่ใช่เรื่องเจ้าสัวหรอกค่ะ เรื่องตาหยก”

   “ตาหยกมาเกี่ยวอะไรด้วย หรือหล่อนกลัวว่าฉันจะยกสมบัติให้ตาหยกมากกว่าลูกชายหล่อน”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณแม่ ลูกแค่กังวล เพราะเพิ่งจะทราบจากคุณพยัคฆ์เมื่อสักครู่นี้ว่า เธอและตาหยกเคยมีเรื่องมีราวกับตาเกรียงน่ะคะ” จากนั้นสุพรรณษาก็เล่าเรื่องราวที่เกรียงไกรมาขอความช่วยเหลือ

   “แล้วหล่อนจะตีตนไปก่อนไข้ทำไมกันล่ะ ไม่รู้ก็เรียกมาสอบถามดูสิ”

   “ลูกเกรงใจคุณพยัคฆ์ค่ะ เธอเพิ่งจะมาวันนี้”

   “ถ้าอย่างนั้นไม่ลองถามเอากับแม่เพ็ญล่ะ รายนั้นสนิทกับบ้านชูวณาสุวรรณนี่”

   “ประเดี๋ยวลูกจะโทรไปสอบถามคุณเพ็ญเธอดู”

   “ไม่ ๆๆ เรียกตัวแม่เพ็ญมา บอกว่าฉันต้องการพบ”

   “คุณแม่!!” สุพรรณษาตกใจ ที่แม่ของเธอต้องการจะรับรู้เรื่องราวนี้ด้วย

   “ฉันอยากจะรู้นักว่าลูกชายตัวดีของหล่อนจะทำอะไรงามหน้าไว้อีก ฉันไม่อยากให้ตระกูลฉันต้องด่างพร้อยไปมากกว่านี้”

   สุพรรณษาได้แต่ถอนหายใจ เมื่อแม่ของเธอเอ่ยจบ พฤติกรรมของตาเกรียงทำไมเธอจะไม่รู้ เพราะความรักลูกเธอถึงพยายามจะมองข้าม และเข้าช่วยเหลือทุกครั้งที่ลูกของเธอต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องรู้ไปถึงหูแม่ของเธอ แต่ก็มีหลายครั้งที่เธอไม่สามารถปกปิดได้ ซึ่งอาจจะรวมถึงครั้งนี้ด้วย

........................................................................

     ลตาขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาเพื่อหวังจะพรางตัวให้ลอดสายตาจากคนของวรากร แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีคนติดตามเธออยู่ เธอพยายามจะสลัดให้หลุด แต่ก็ทำไม่ได้ รถคันที่ตามเธอยู่นี้ไม่น่าจะใช่คนของวรากร มันทำให้เธอนึกไปถึงจุ้ยเถิง เขาคงไม่ไว้ใจเธอหรือเจ้าสัวเซียงสักเท่าไร

   ระยะนี้เจ้าสัวไม่ได้สนใจจะตามหาเมฆาขาวแม้แต่น้อย เธอติดต่อไปทีไรก็วุ่นอยู่กับการเล่นพนันที่กาสิโน จนไม่เป็นอันทำอะไร จุ้ยอั้ยเต๋อเองก็รู้จักหลอกล่อเจ้าสัวได้อย่างดี และในเร็ววันนี้เจ้าสัวเซียงคงต้องพลาดท่าให้กับจุ้ยอั้ยเต๋อเป็นแน่

   ลตามองผ่านกระจกข้างก่อนจะตัดสินใจขี่รถไปเรื่อย ๆ ยังจุดหมายที่เธอต้องการไปแต่แรก โดยละความสนใจรถคันที่คอยตามเธออยู่ เธอชอบเสี่ยง ดังนั้นมาดูกันว่าหากเป็นคนของจุ้ยเถิง คนพวกนั้นจะทำอย่างไรกับเธอ

   ลตาขี่รถมาถึงร้านปากซอยทางเข้าบริษัทฯ ของวรากร สายตาของเธอเหลือบไปเห็นรถที่จุ้ยเถิงเช่าไว้ 2 คัน จอดห่างกันไม่ไกลนัก เธอจึงเลือกที่จะขี่รถเลยไป ก่อนกลับรถเพื่อไปเฝ้าสังกตการณ์อยู่ฝั่งตรงข้าม และแน่นอน รถคันนั้นก็ยังคงตามประกบเธออยู่

   จังหวะที่เธอจะกลับรถมา นอกจากจะเห็นรถของจุ้ยเถิงแล้ว เธอยังเห็นคนของเขากำลังมีเรื่องกับคนของวรากร ที่ตรงนั้นไม่มีพยัคฆ์และฝู่หยงอยู่ด้วย เธอจึงเลือกจะมาเป็นผู้ชมแทน แต่แล้ว สายตาภายใต้หมวกกันน็อคเต็มใบก็เหลือบไปเห็นฝู่หยงวิ่งออกมาจากซอย

   ‘ไม่นะ!! กลับไปหาพยัคฆ์ซะ’ เธอได้แต่ตะโกนบอกในใจ

   แต่ดูเหมือนว่าฝู่หยงจะไม่รับรู้อะไร มีเพียงชะงักเล็กน้อย ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปยังกลุ่มที่มีการต่อสู้กันอยู่ และเธอก็เห็นคนของจุ้ยเถิงลงมาจากรถอีก 2 คน

   ตอนนี้เธอเองก็ถูกจับตาดูอยู่ ฝู่หยงเองก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เธอบอกได้อย่างฝู่หงส์ มันทำให้เธอยิ่งกระวนกระวายใจ อีกทั้งคนของจุ้ยเถิงนั้นมีมากกว่า จะทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มาก

   ลตาเห็นฝู่หยงรับมือคนของจุ้ยเถิงได้ป็นอย่างดี เก่งสมกับเป็นหลานชายของหลิวลู่ แต่เธอก็โล่งใจได้ไม่นานเมื่อเธอเห็นอาการที่แปลกไปของฝู่หยง การเคลื่อนไหวที่ดูจะติดขัด อาการเหมือนตอนที่เธอเจอกับเขาครั้งแรกที่ค่ายมวย

   เมื่อจุ้ยเถิงลงจากรถมาจัดการด้วยตัวเอง ทำให้ฝู่หยงพลาดพลั้ง และโดนจัดการได้โดยง่ายจนเธอแปลกใจระคนเป็นห่วง เธอเห็นร่างที่เล็กกว่าของฝู่หยงถูกจุ้ยเถิงแบกพาดบ่าเดินกลับขึ้นรถไป โดยที่คนของวรากรไม่สามารถทำอะไรได้เลย

.........................................................................

    โบตั๋นได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่บ้านกงเหมิ๋น ตามคำสั่งของเจ่เจ้ จะกลับไปหาหยกก็ไม่ได้ ไปหาเจ่เจ้ก็ไม่ยอม ถึงกงเหมิ๋นจะเอาตำราจีนโบราณเกี่ยวกับหยกศักดิ์สิทธิ์มาให้เธอศึกษาถึงวิธีการชำระล้างแล้วก็ตามที หยกของเธอประกบคู่กับหยกลายหงส์ได้อย่างพอดีกัน แต่ก็ขาดคนที่จะมาชำระล้าง

    พี่เสือสามารถชำระล้างหยกลายมังกรได้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าระหว่างเมฆาขาวของเจ่เจ้ กับของหยก อันไหนถึงจะเป็นคู่มังกร

    ตามตำราบอกว่า หลังจากหยกศักดิ์สิทธิ์ได้รับการชำระล้างแล้ว หยกจะกลับคืนสู่สภาพเดิมนั่นหมายความว่า เมฆาขาวจะกลับเป็นเป็นสีเขียวมรกตดังเดิม เหมือนหยกลายสัตว์เทพชิ้นอื่น ๆ

    “คุณตั๋นเป็นอะไรไปครับ ทำหน้ายุ่งเชียว” พี่คีเดินเข้ามาทักเธอ

    “ก็ตั๋นเบื่อนี่นา วัน ๆ เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ”

    “เหล่าเหมิ๋นบอกพวกผมว่าหยกคู่กิเลนน่าจะอยู่ที่สุสานของเจ่งกิสข่าน”

    “เรื่องนั้นตั๋นรู้แล้วล่ะคะ กงเหมิ๋นก็บอกตั๋นเหมือนกัน แต่สุสานนั่นมันหายไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้วนี่ค่ะ จะไปหาเจอได้ยังไงกัน”

    “จากตำราที่เหล่าเหมิ๋นให้มา มีแผนที่พาไปสู่แท่นพิธีบวงสรวง ผมลองเอามาเทียบแผนที่ตามประวัติศาสตร์และปัจจุบันดู ผมว่าที่ทำพิธีนั่นอาจจะเป็นที่ตั้งของสุสานของเจ่งกิสข่านก็เป็นไปได้”

    “แล้วพี่คีรู้เหรอค่ะว่าเป็นที่ไหน?”

    “ซ่างตู หรือหยวนซ่างตู อยู่ในมองโกเลียครับ”

    “โหย...แล้วเราจะไปกันยังไงค่ะ ที่นั่นใช่ว่าอยู่ ๆ ใครก็จะเข้าไปได้สักหน่อย”

    “เหล่าเหมิ๋นจะเป็นคนพาพวกเราไปครับ” พี่เก่งที่เดินเข้ามาพร้อมกับกงเหมิ๋นพูดขึ้น

    “กงเหมิ๋น?” กงเหมิ๋นยิ้มให้กับเธออย่างอบอุ่น ก่อนบอกให้เธอเตรียมตัวเพื่อเดินทาง จนเธอเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เธอรู้ว่าหยกทั้ง 8 ชิ้นนี้มีความหมายกับกงเหมิ๋นอย่างไร

.........................................................................

   พยัคฆ์เสร็จจากงานตรงหน้าแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหยกเลย ไม่รู้ป่านนี้หยกของเขาจะอารมณ์เย็นขึ้นมาบ้างแล้วรึยัง เขาเชื่อว่าหลังจากนี้หยกคงมีคำถามมากมาย และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงตอบไปได้มากแค่ไหน

   เขาลุกจากโต๊ะทำงาน เดินออกไปหน้าห้องเห็นคุณวรรณนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานของเธออยู่ ส่วนพักคอยหน้าห้องก็ไร้วี่แววคนที่เขาคิดถึง จนพยัคฆ์ได้แต่ถอนหายใจ

   “งานเสร็จแล้วหรอค่ะ?

   “ครับ หยกยังไม่เข้ามารึครับ?”

   “ยังเลยค่ะ วรรณโทรถามเอหรือต้าให้ไหมค่ะ?”

   “ก็ดีครับ ตอนนี้ให้ผมไปหาหยก ผมคงเข้าหน้าเขาไม่ติด”

   “ยังไม่ทันไรเลยนะคะ ออกแนวเกรงใจคุณหยกซะแล้ว” เขาเห็นคุณวรรณยิ้มแซว ก่อนกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก

   คุณวรรณรอสายอยู่นาน เหมือนจะไม่มีคนรับสาย เธอจึงวางแล้วกดโทรศัพท์ออกไปใหม่ ผลที่ได้กลับเป็นเหมือนเดิม มันทำให้เขารู้สึกไม่ดี ลูกน้องของเขาไม่เคยที่จะไม่รับโทรศัพท์หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะรับได้จริง ๆ

   “คุณวรรณโทรหาใครอยู่”

   “วรรณกดหาทั้งสองคนเลยค่ะ มีสัญญาณแต่ไม่มีคนรับสาย”

   ทำไมทั้งสองคนถึงพร้อมใจไม่รับโทรศัพท์ เขาทนเก็บความสงสัยไม่ได้จึงรีบก้าวไปที่ลิฟท์ ก่อนชะงักเท้าเมื่อได้ยินคุณวรรณพูดกรอกไปในสาย

   “แหม๋...กว่าจะรับสายฉันได้นะยะ รีบ ๆ พาคุณหยกกลับเข้ามาเลย อ่ะ!! เอ่อ ขอโทษค่ะ แล้วเจ้าของโทรศัพท์อยู่ไหนค่ะ? ค่ะๆ เอ๊ะ!! มีแค่ 2 คนเท่านั้นเหรอค่ะ แล้วอีกคนล่ะคะ? ค่ะๆ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

   “เกิดอะไรขึ้นครับ”

   “เอกับต้ามีเรื่องทะเลาะวิวาท ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่โรงพักกับคู่กรณีค่ะ”

   “แล้วหยกล่ะครับ”

   “วรรณยังไม่ได้คุยกับทั้งสองคน เลยไม่ทราบค่ะ แต่ตำรวจบอกว่ามีแค่สองคน ส่วนคู่กรณีเป็นนักท่องเที่ยวค่ะ”

   “นักท่องเที่ยวอย่างนั้นหรอ?” ทั้งเขาและวรรณาต่างรู้ดีว่าคนในบริษัทฯ จะไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทถ้าไม่จำเป็น ยิ่งเป็นพวกชาวต่างชาติด้วยแล้วล่ะก็ “จุ้ยเถิง!!”

   เขาและวรรณาต่างมองหน้ากันก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังลิฟท์ที่เขากดค้างไว้ก่อนหน้าแล้ว วรรณานอกจากโทรศัพท์ในมือ เธอก็คว้าเอากระเป๋าใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในลิ้นชักติดออกมาด้วย   

.........................................................................

    จุ้ยเถิงมองร่างเล็กที่นอนสลบสไลอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้า คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก มันทำให้เขาพาลนึกไปถึงฝู่หงส์ น้องชายยังดูสวยขนาดนี้แล้วพี่สาวจะสวยขนาดไหน

   ตอนแรกที่เขาเฝ้าสังเกตอยู่บนรถ เขาไม่คิดว่าฝู่หยงจะมีฝีมือและชั้นเชิงในการต่อสู้ขนาดนี้ บอร์ดี้การ์ดที่มาด้วยกัน สู้กับคนของเขาตัวต่อตัวก็เต็มกลืนแล้ว แต่ฝู่หยงสามารถรับมือคนของเขาได้พร้อม ๆ กัน 2 คน แถมยังคอยหาจังหวะไปช่วยเหลือคนของตัวเองอีก

   และเป็นเพราะเขา ที่ไม่อยากให้งานในครั้งนี้พลาด จึงเสี่ยงตัดสินใจลงไปจัดการด้วยตัวเอง เพียงแค่เขาก้าวลงจากรถฝู่หยงก็หันมองมาทางเขาอย่างระแวดระวัง ราวกับรู้ถึงเจตนาของเขา ฝู่หยงมีสัญชาตญาณที่ดีมาก ๆและอาจเป็นเพราะมัวแต่ระวังเขา จึงทำให้โดนคนของเขาทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ

   เขาเห็นแวดตาตกใจของฝู่หยง เมื่อเขาก้าวเข้าไปประชิดตัว แม้ฝู่หยงจะถอยหนี แต่ด้วยจังหวะก้าวของเขาที่ยาวกว่า ทำให้เขาจัดการฝู่หยงได้ในหมัดเดียวที่สีข้าง แม้จะเห็นว่าฝู่หยงพยายามจะฝืนทรงตัวอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่รอดมือเขาอยู่ดี

   เขาเห็นลตาขี่รถตามหลังเขามา และด้านหลังลตาก็เป็นรถอีกคัน ที่คนของเขาคอยติดตามลตาอยู่

   “นายหาที่ดี ๆ จอดรถสิ” จุ้ยเถิงสั่ง

   “ครับ”

   เมื่อรถจอดข้างทาง รถอีกคันก็มาจอดต่อท้ายพร้อม ๆ กันกับลตา

   “คนแถวนั้นน่าจะจำฉันกับรถคันนี้ได้ เพราะจอดอยู่นานเหมือนกัน นายทิ้งรถไว้ที่นี่ซะ ฉันจะไปกับรถคันที่ตามลตามา”

   เขาก้าวลงจากรถแล้วอุ้มร่างที่ไร้สติมายังรถอีกคัน ระหว่างที่เขายัดคนที่ร่างเล็กกว่าเข้าไปในรถ ลตาก็เดินตรงเข้ามาหาเขา

   “คุณชายจุ้ยไม่ทำอะไรหุนหันเกินไปหน่อยรึ?”

   “เมื่อมีโอกาส ผมก็ต้องคว้าเอาไว้”

   “มีคนอยู่ตรงนั้นตั้งมากมาย ทุกคนเห็นเหตุการณ์ที่คนของคุณและคุณเข้าไปจับตัวคุณชายฝู่ แบบนี้คุณคิดว่าคุณจะหนีรอดไปได้รึยังไงกัน”

   “ผมมีวิธีของผม ส่วนคุณก็อย่างมาเกะกะผมก็แล้วกัน”

   “ฉันไม่เคยขัดขวางอะไรคุณ คุณต่างหากที่ให้คนของคุณติดตามฉัน”

   “ผมก็แค่อยากรู้ ว่าคุณจะใช้วิธีไหนจัดการกับฝู่หยง”

   “คุณทำแผนฉันเสีย”

   “ผมทำแผนคุณเสีย หรือว่าผมจับฝู่หยงตัดหน้าคุณกันแน่”

   “นี่คุณ!!”

   “เอาเถอะๆ ยังไงงานของคุณกับผมก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมว่าเรามาร่วมมือกันดีๆ จะดีกว่า คุณแชร์ข้อมูลให้ผม ผมแชร์ข้อมูลให้คุณ ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”

   “แล้วคุณต้องการจะรู้อะไรอีก สิ่งที่ฉันรู้ ฉันก็บอกคุณไปหมดแล้ว”

   “ผมอยากรู้ว่าเซียงไบ่มีแผนอะไรอยู่ ถ้าคุณร่วมมือกับผม คุณอาจจะได้มากกว่าที่เซียงไบ่จ่ายให้กับคุณ”

   เขาเห็นลตามีท่าทางครุ่นคิด และลังเล แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขารู้ดีกว่าเธอเป็นคนฉลาดและเลือกที่จะเอาตัวรอด

   “ได้ ฉันรับข้อเสนอของคุณ”

   “ดี ถ้าอย่างนั้นคุณเอารถของคุณให้คนของผมไป แล้วคุณก็มากับผม”

   จุ้ยเถิงเดินขึ้นไปนั่งข้าง ๆ กับฝู่หยงดังเดิม ลตาเข้ามานั่งด้านหน้าคู่คนขับ รถที่เขานั่งมาถูกจอดทิ้งไว้เฉยๆ ส่วนคนของเขาที่เหลืออีก 2 คนขี่มอเตอร์ไซด์ของลตาตามรถของเขามา

   เขาเห็นท่าทีของลตาดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยที่เห็นลตามีท่าทีแบบนี้ เขารู้ว่าเธอทำงานกับเซียงไบ่มาหลายปี การตัดสินหักหลังเซียงไบ่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอ

   “คุณไม่ต้องห่วงเรื่องเซียงไบ่หรอก อีกไม่นานเซียงไบ่ก็ไม่สามารถตามมารังควานคุณได้ ทำใจให้สบายเถอะ”

   “ตอนนี้ฉันอาจจะมีประโยชน์กับคุณ แต่ถ้าหมดประโยชน์เมื่อไร ฉันคงไม่ต่างอะไรกับเจ้าสัวเซียง”

   “ผมว่าคุณน่าจะทำงานให้จุ้ยได้อีกมากมายนะ อีกอย่าง ผมว่าคุณอาจจะชอบงานในกาสิโนที่มาเก๊า ผมรู้ว่าคุณเป็นคนชอบเสี่ยง”

   เขาเลิกสนใจลตา กลับมาสนใจคนข้าง ๆ แทน เพราะเขาเหลือบไปเห็นสายหนังสีน้ำตาลเข้มที่โผลออกมาจากเสื้อคอโปโลที่ฝู่หยงสวมอยู่ เขาจึงค่อย ๆ ใช้นิ้วเขี่ยมันออกมาจากใต้เสื้อ

   “นี่สินะ หยกวิเศษ”

   เขาค่อย ๆ ปลดสายหนังออกจากคอฝู่หยงอย่างเบามือ จ้องมองหยกสีขาวนวลซึ่งแทบจะเป็นสีเดียวกันกับผิวของคนข้าง ๆ ก่อนเก็บหยกชิ้นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อขอตัวเอง

.........................................................................

   ผมเห็นพี่เอกับพี่ต้ากำลังโดนใครก็ไม่รู้ทำร้ายอยู่ตรงปากซอยทางเข้า ผมจึงวิ่งเข้าไปช่วย แม้พี่เอจะตะโกนไล่ให้ผมกลับไปหาพี่เสือก็ตาม

   ผมเกือบจะจัดการคนที่ทำร้ายพี่เอได้แล้ว อยู่ ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงส่งมายังผม ความรู้สึกที่เป็นห่วงผมเอามาก ๆ แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของใคร มันไม่ใช่ของพี่เสือ ผมไม่มีเวลาจะมามองหาเจ้าของความรู้สึกนั้น ถึงความรู้สึกนั่นจะหวังดีกับผม แต่มันกลับทำให้ผมกังวลทุกครั้งที่ความรู้สึกนั้นส่งผ่านเข้ามาในหัวของผม

   เพราะผมมัวแต่กังวลอยู่กับความรู้สึกนั่น ทำให้ผมไม่ทันระวังตัว ชายอีกสองคนจึงเข้ามาประชิดตัวผมได้โดยง่าย ยังดีที่ผมพอจะตั้งรับได้ทัน

   ผมเริ่มเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นรุก ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่นิสัยของผมเลย ผมแค่ไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวยืดเยื้อ จนต้องไปจบเอาที่สถานีตำรวจ ยิ่งคนมองพวกเราที่ทะเลาะวิวาทกันมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับพวกเราเท่านั้น ระหว่างที่ผมกำลังได้เปรียบอยู่นั้น อีกความรู้สึกหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ผม มันรุนแรง จนทำให้ผมมือไม้สั่น มันไม่ใช่ความห่วงใย แต่...ฝรั่งคนนั้น ผมคิดออกแค่คนคนนั้นคนเดียว

   ผมหันไปยังต้นตอของความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาทันที ร่างกายของผมเริ่มขยับไม่ได้อย่างที่ผมต้องการ เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เป็นเขาจริง ๆ ความรู้สึกก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น มัน... น่ากลัว...

   “เฮือก!!” ผมสะดุ้งลืมตาขึ้น ฝัน? ผมรู้ถึงลมหายใจของตัวเองที่เหนื่อยหอบ ราวกันไปวิ่งระยะทางไกลมา จนกระทั่งผมเริ่มตั้งสติได้ และกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง

   ฝ้าเพดานสีขาว เฟอร์นิเจอร์สีไม้บีช และเตียงนุ่มกว้างสีขาวที่ผมนอนอยู่ ผมค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้น ความรู้สึกปวดแปล๊บแล่นเข้าสู่สีข้างของผม จนต้องเอามือกุมไว้ ก่อนค่อย ๆ มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง และที่หัวเตียง กรอบรูปขนาดใหญ่ รูปของผู้ชายคนเดียวกันกับที่ผมเห็นที่บ้านของคุณษา ลูกชายคุณษา ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจของผมอีกครั้ง

   “ฟื้นแล้วเหรอจ้ะ”

   ผมมองหันไปยังต้นเสียง คุณลตา? คนตรงหน้าทำให้ผมตกตะลึง ผมสับสนไปหมด ฝรั่งคนนั้น ลูกชายคุณษา และคุณลตา คนทั้งหมดอยู่ที่นี่?

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 28-05-18 {{:::55:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-05-2018 16:05:47
ตื่นเต้นๆ หยกอย่าได้เป็นไรเลยน้า พี่เสือมาช่วยด่วนเลย
 :katai4:
หัวข้อ: Re: หยก 28-05-18 {{:::55:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 29-05-2018 14:12:39
อ่านไปอ่านมาเริ่มขัดใจไม่ชอบหยก ดูเหมือนอ่อนแอเกิ๊นนนน
หัวข้อ: Re: หยก 28-05-18 {{:::55:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-06-2018 10:07:19
 :katai5:
หัวข้อ: Re: หยก 16-06-18 {{:::56:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-06-2018 23:51:46
56

   พยัคฆ์ได้แต่กระวนกระวายใจ เดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงานของวรากร วรรณาได้ประกันตัวเอกับต้าออกมาแล้ว ทั้งสองคนมีรอยฝกช้ำตามเนื้อตัว ซึ่งโดยรวมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก

   ส่วนคู่กรณี นักท่องเที่ยวชาวจีนนั่นก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไร ถึงแม้จะมีพยานให้การว่ามีพรรคพวกของมันจับตัวหยกไป เมื่อเรื่องถึงมือตำรวจดังนั้นทุกอย่างเลยต้องทำงานเป็นขั้นเป็นตอน มันจึงทำให้เขาไม่พอใจ มัน...ช้าไปสำหรับเขา

   “คุณเสือใจเย็น ๆ สิค่ะ เดี๋ยวคนของเราก็น่าจะได้เบาะแส”

   “พวกมันจอดรถที่เช่ามาทิ้งไว้ในที่แบบนั้น รถที่เช่ามา 1 ในห้องขังนั่นก็เป็นคนเช่าซะเอง กล้องวงจรปิดก็ไม่มี พวกมันมุดหัวอยู่ไหน เอาตัวหยกไปไว้ไหนก็ไม่รู้” พยัคฆ์พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่กระชากเสียง หรือแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกไปมากกว่านี้

   “พวกผมขอโทษครับ ที่ดูแลคุณหยกไม่ดี” เอเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง นับจากกลับจากโรงพักเขาได้ยินสองคนที่พูดคำนี้ไม่รู้กี่สิบครั้งแล้ว
 
   “คุณหยกเธอเก่ง ผมว่าคุณหยกต้องเอาตัวรอดจากจุ้ยเถิงได้” ต้าช่วยยืนยันเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเขา

   ถ้าหยกไม่ได้สวมเมฆาขาวอยู่ เขาคงจะไม่ห่วงขนาดนี้ จุ้ยเถิงเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงไม่ต่างจากเขา ความรู้สึกที่พุ่งไปหาหยกมันทำใหยกพลาดท่าเสียทีจุ้ยเถิงเอาง่าย ๆ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งโทษตัวเองที่สะเพร่า ไม่น่าให้หยกคลาดสายตาเลย

   “ผมจะไปหาลตา” เป็นเบาะแสเดียวที่เขานึกได้ในตอนนี้

   “คุณเสือค่ะ ใจเย็น ๆ ก่อนสิค่ะ วรรณรู้ว่าคุณห่วงคุณหยก แต่ถ้าคุณไปหาคุณลตา นั่นก็ไปต่างกับคุณเดินไปบอกเธอว่าคุณสงสัยเธออยู่นะคะ”

   “แต่จะให้ผมรออยู่เฉย ๆ แบบนี้ผมก็ทำไม่ได้”

   “วรรณก็ไม่ได้จะให้คุณอยู่เฉย ๆ แต่วรรณอยากให้คุณมีสติ และค่อย ๆ คิดหาวิธีการ เราต้องวางแผนให้รอบคอบ เพื่อความปลอดภัยของคุณหยก”

   “สมเป็นเจ้วรรณจริง ๆ” ต้าเปรยออกมาเบาๆ กับเอที่อยู่ข้างๆ

   “ถ้าเจ้จะคันไม้คันมือขนาดนั้น เจ้เลิกทำงานนั่งโต๊ะกลับมาลุยภาคสนามกับพวกผมเหอะ” เอเอ่ยปากชวนไม่จริงจัง

   “ให้ฉันได้นั่งโต๊ะ แบบสวย ๆ อยู่เป็นที่เป็นทางมั่งเหอะ!!”

   พยัคฆ์หลับตาลง เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะสงบสติอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้หยกอยู่ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง เขายังไม่ได้อธิบาย หรือขอโทษที่ปิดบังเรื่องของเกรียงไกรเลย แล้วไหนจะเรื่องจุ้ยเถิงอีก ถ้าหยกรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น น้องหยกจะยิ่งโกรธเขาขนาดไหน

........................................................................

   หงส์กับคุณต้นเดินทางมาที่มาเก๊ากันเพียง 2 คน โดยที่อากรไม่ได้ตามมาด้วย แต่ฝู่ไฉ๋ก็ส่งคนมาคอยอารักขาติดตามเธอ

   ส่วนเจ็กลู่กำลังหาลู่ทางเพื่อเข้าไปสืบข้อมูลในบ้าน ตอนนี้หน้าตาของเจ็กลู่เปลี่ยนไปจนไม่มีใครจำได้ และด้วยความสามารถของเจ็กลู่ น่าจะลอบเข้าไปสืบข้อมูลภายในบ้านได้ไม่ยาก

   อากรเป็นคนวางแผนการทั้งหมดนี้ให้กับเธอและเจ็กลู่แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ส่วนอากรก็เข้าไปทำงานแทนเธอที่เยี่ยนหว๋อ

   ตอนนี้คนในเยี่ยนหว๋อปิดข่าวการมาของเธอไม่ให้จุ้ยอั้ยเต๋อรับรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถที่เธอได้จากเมฆาขาว เธอคงไม่มีมีอำนาจอะไรไปต่อรองกับคนของจุ้ยอั้ยเต๋อได้ ส่วนเธอกับคุณต้าก็ช่วยกันดึงความสนใจของจุ้ยอั้ยเต๋อด้วยการมาเที่ยวกาสิโนของเขา

   “ยินดีต้อนรับๆ” จุ้ยอั้ยเต๋อเดินออกมาต้อนรับพวกเธอโถงทางเข้ากาสิโน

   “เกรงใจคุณชายจุ้ย ที่อุตส่าห์ออกมาต้อนรับเด็กๆ อย่างพวกผมด้วยตัวเอง”

   “เกรงจงเกรงใจอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้น หลานคุณหมอก็เหมือนหลานผม”

   “นภาอยากไปดูห้องพักจังเลยค่ะเสือ” เธอทำทีพูดกับคุณต้นพร้อมส่งยิ้มหวานให้

   “นภาเขาอยากไปดูห้องพักน่ะครับ คุณชายจุ้ย”

   “เอา ๆ ตามสบาย มากันเหนื่อย ๆ พาเมียขึ้นไปพักก่อนเถอะ”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมกับนภาขอตัวขึ้นไปพักก่อนนะครับ”

   “ได้ ๆ แต่หัวค่ำ อย่าลืมลงมาทานอาหารกับผมล่ะ”

   “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

   หงส์และคุณต้นทำทีเดินควงแขนเข้าลิฟท์มา ภายในลิฟท์มีเพียงเธอกับคุณต้นเท่านั้น

   “คุณต้นค่ะ ในห้องที่เรา มีเครื่องดักฟังซ่อนอยู่ค่ะ” เธอบอกในสิ่งที่เธอรับรู้มา

   “แต่เราคุยกันเป็นภาษาไทย พวกนั้นน่าจะไม่รู้เรื่องนะครับ”

   “หงส์ว่า อย่าประมาทพวกนั้นดีกว่าค่ะ”

   “ครับ แล้วในนี้...”

   “มีแต่กล้อง ไม่มีเครื่องดักฟังค่ะ” คุณต้นพยักหน้าให้ทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่

   เมื่อออกจากลิฟท์พวกเธอก็ตรงไปยังห้องที่จุ้ยอั้ยเต๋อจัดให้ เข้าห้องไปได้ต้นก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ส่วนตัวเธอเองเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปยังส่วนที่เป็นห้องนอน ก่อนค่อย ๆ ปล่อยจิตไปสำรวจโดยรอบ

   “ที่รักค่ะ เข้ามาดูห้องนอนนี่สิค่ะ วิวดี๊ดี” เธอตะโกนเรียกคุณต้น เมื่อเธอเห็นคนที่เธอเรียกเดินเข้ามา เธอก็พยักหน้าให้เล็กน้อย ‘ห้องด้านนอกมีเครื่องดักฟังแอบอยู่ค่ะ หงส์ไม่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน แต่คนของจุ้ยอั้ยเต๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขาคอยจับตามองเราอยู่’ คุณต้นพยักหน้ารับรู้

   “วิวดีจริง ๆ ตอนทานมื้อค่ำคงต้องขอบคุณ คุณชายจุ้ยสักหน่อยแล้ว”

   “ก่อนไปทานข้าว เราไปหาอะไรเล่นกันสักหน่อยไหมค่ะ?” ‘เจ้าสัวเซียงอยู่ที่นี่ค่ะ’

   “ที่รักอยากเล่นอะไรครับ”

   “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ลูเลตค่ะ”

   “ตามใจคนสวยของผมเลยครับ ที่รัก” ต้นพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปพักผ่อน โดยที่ไม่ทำให้คนที่เฝ้าจับตามองพวกเขาอยู่ผิดสังเกต   

.........................................................................

   ลตารู้ว่าฝู่หยงยังคงหวาดระแวงเธออยู่ ดูจากสีหน้าที่เห็นเธอ ตอนที่เดินเข้าห้องมา เธอเองก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรมากมายนัก เพราะคนของจุ้ยเถิงคอยวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ

   หลังจากเธอเล่าแผนการที่เจ้าสัววางไว้เป็นเวลาหลายปีให้จุ้ยเถิงฟัง ทั้งเรื่องที่เธอเข้าไปตีสนิทกับวรากร จุ้ยเถิงได้ฟังก็ไม่ได้มีทีท่าแปลกใจอะไร แสดงว่าเขาเองก็คงจะพอรู้อยู่แล้ว

   “แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรต่อไป”

   “คุณก็ทำตัวปกติ อยากจะไปช๊อปปิ้งอย่างที่คุณทำเป็นประจำก็ไป แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องการเรียกใช้คุณ คุณก็ต้องรีบมา”

   “คุณได้หยกวิเศษนั่นไปแล้ว แล้วคุณจะทำยังไงกับฝู่หยง”

   “คุณจะรู้ไปทำไม?”

   “คุณคงไม่คิดจะทำร้ายเขาเหมือนเจ้าสัวหรอกนะ?”

   “ฝู่หยงยังมีประโยชน์กับผมอยู่ ผมจะทำอย่างนั้นทำไม?”

   “ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าคุณอย่างคุณชายจุ้ยจะคิดทำอะไร”

   “ถ้าอยากทำงานด้วยกันนานๆ ก็รู้เฉพาะเรื่องที่ควรรู้ และอย่าสอดรู้เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็พอ”

   “หึ!! ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรให้คุณชายจุ้ยเรียกใช้อีก บ่าวก็ขอลา” ลตาพูดประชด ก่อนเดินสะบัดหน้าออกจากห้องไป

   เธอเดินกลับไปยังตึกของเธอ ระหว่างทางที่ขึ้นห้อง สายตาก็สอดส่องคนของวรากรไปด้วย ซึ่งคนของวรากรมักจะตามเธออยู่ในที่สาธารณะ แต่คนของจุ้ยเถิงที่ตามเธออีก 2 คน เธอไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้ว่าตามเธอมาได้อย่าง ตั้งแต่ตอนไหน?

   เธอเห็นแล้วว่า คนของวรากรมองเห็นเธอเดินขึ้นคอนโดมา ระหว่างทาง เธอพยายามมองหาคนของจุ้ยเถิงที่เฝ้าเธออยู่ เมื่อขึ้นลิฟท์มาจนถึงชั้นที่เธอพัก เธอก็พบพนักงานกำลังปีนบันไดซ่อมกล้องวงจรปิดหน้าลิฟท์อยู่

   “อ่าว เกิดอะไรขึ้นค่ะ เสียอีกแล้วเหรอ”

   “ครับคุณลตา ไม่รู้เป็นอะไร กล้องวงจรปิดชั้นนี้เสียบ่อยมาก นี่ผมเปลี่ยนตัวใหม่แล้วนะ”

   “เหนื่อยหน่อยนะคะ” เธอทักทายพอเป็นพิธีก่อนจะหยิบคีย์การ์ด เตรียมเปิดเข้าห้อง และแล้วมันก็ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ “เอ้... ถ้าเสียบ่อยแบบนี้ เปลี่ยนบริษัทฯ กล้องไปเลยไม่ดีกว่าหรอค่ะ?”

   “ชั้นอื่นไม่มีปัญหาอะไรครับคุณลตา เลยเปลี่ยนบริษัทฯ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดของระบบ แต่น่าจะเป็นเรื่องอุปกรณ์มากกว่าน่ะครับ”

   “อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอค่ะ” เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ไม่ผิด จุ้ยเถิงอาจจะส่งคนเข้ามาทำอะไรในชั้นที่เธอพักอาศัยอยู่ และเผลอ ๆ อาจจะภายในห้องของเธอด้วยก็เป็นได้

 
.........................................................................

   หลิวลู่แอบเข้ามาในบ้านตระกูลฝู่ โดยได้ข้อมูลจากหงส์ เมื่อคราวที่เข้ามาบ้านหลังนี้พร้อมต้นและเฮียกร ข้อมูลของหงส์ค่อนข้างแม่นยำ ทั้งจำนวนคนและตำแหน่งที่ตั้งของห้องต่าง ๆ นั้นไม่ผิดจากที่หงสืบอกเขาแม้แต่น้อย
ความสามารถของหงส์ในการใช้เมฆาขาวนั้นค่อนข้างน่ากลัวสำหรับคนที่เป็นศัตรูกับหงส์ เพียงเข้ามาแค่ครั้งเดียว ก็สามารถลวงข้อมูลได้มากมายขนาดนี้

   คนของจุ้ยอั้ยเต๋อส่วนใหญ่จะยืนรักษาการอยู่รอบบ้าน ในบ้านนั้นจะเพียงแต่คนรับใช้ สิ่งที่หงส์ไม่แน่ใจก็คือ บ้านหลังนี้มีห้องลับที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อซ่อนอะไรบ้างอย่าง และภายในห้องนั้น หงส์สัมผัสได้ถึงคนๆ หนึ่งซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะจิตของคน ๆ นั้นว่างเปล่าจนเธอเกือบจะสัมผัสอะไรไม่ได้เลย

   เป้าหมายของเขาในคืนนี้ คือพยายามเข้าไปในห้องนั้นให้ได้ เขาแอบคนในบ้านจนเข้ามาถึงห้องทำงาน ห้องที่เป็นที่สุดท้ายที่เขาได้พบเฮีย พี่ชายคนเดียวของเขา ห้องนี้ถูกปรับเปลี่ยนไปมากจนน่าใจหาย แต่เข้าไม่มีเวลาที่จะมามัวเสียใจ

     หลิวลู่ค่อย ๆ ย่องสำรวจไปตามมุมต่าง ที่คาดว่าจะเป็นทางเข้าสู่ห้องลับนั่น ระหว่างที่เขากำลังค้นหาอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตูห้อง ทำให้เขาต้องหาที่หลบ

   เขาเห็นหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เปิดไฟภายใน ก่อนเดินไปหน้าตู้เย็นขนาดใหญ่ เขาเห็นเธอหยิบถุงอะไรสักอย่าง 2-3 ถุงออกมา ก่อนเดินไปยังผนังห้องด้านหนึ่ง เธอลูบเบา ๆ ไปที่กระจกประดับ กระจกนั้นปรากฎเป็นแผงรหัส

   หญิงสาวกดรหัส ตู้หนังสือทั้งใบเลื่อนสไลด์ไปด้านข้าง เธอจึงเดินเข้าไปข้างใน เขารออยู่กว่าครึ่งชั่วโมง เธอก็ออกมา เมื่อเธอออกจากห้องไปแล้ว หลิวลู่ประเมินดูแล้วว่าไม่น่าจะมีใครเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่เขาอยากรู้คือในตู้เย็นนั้นมีอะไร

   เขาเปิดตู้เย็นออกมา ภายในมีถุงบรรจุของเหลวสีครีมวางเรียงรายอยู่จำนวนมาก ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นอาหารเหลว และที่ข้างบานประตูก็มีขวดน้ำเกลือและยาอีกจำนวนหนึ่ง ของพวกนี้มีไว้ให้ใคร รางสังหรณ์ของเขาบอกว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องลับ คนที่หงส์ไม่สามารถสัมผัสจิตได้ อาจจะเป็นคนที่เขาพยายามตามหาเท่าไร ก็หาไม่พบ

.........................................................................

   เพ็ญนภานัดทานอาหารค่ำกับคุณเปิ้ลในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง พวกเธอเลือกนั่งโต๊ะทางด้านนอกแทนที่จะเข้าไปนั่งทานในห้อง VIP ถึงเรื่องที่คุยกันจะเป็นเรื่องที่คุยรู้น้อยที่สุดก็ยิ่งเป็นการดี แต่เพื่อไม่ให้เป็นทีสังเกต พวกเธอจึงเลือกที่จะทำตัวให้เป็นปกติมากกว่า

   “เสียดายจังเลยนะคะที่วันนี้คุณโอ๋มาทานด้วยกันกับเราไม่ได้” เธอเปรย ๆ ขึ้นระหว่างนั่งทานอาหาร

   “ช่วงนี้ยัยโอ๋ต้องคอยรับหน้าไอ้คุณแมงนั่นน่ะคะ เลยไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก”

   “แล้วแบบนี้มันจะกระทบกับงานของคุณโอ๋ไหมค่ะเนี่ย?”

   “เห็นว่าไม่นะคะ เวลางานก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ช่วงนี้ที่ยัยโอ๋กระดิกตัวไปไหนไม่ค่อยได้เพราะว่า ไอ้คุยแมงนั่น ไม่ค่อยมีงานเลยมมีเวลาไปเกาะแกะยัยโอ๋ของเราได้”

   “แล้วทางนั้นเขารู้ตัวรึยังค่ะ ว่าเขาโดนแบล็คลิตจากคนในวงการน่ะคะ”

   “ท่าทางยังไม่สงสัยอะไร แต่อาจจะมีแปลกใจบ้าง วันก่อนคุณอ้วนมารับปรีฟงานกับเปิ้ล ยังเล่าให้ฟังว่าเจอนายนั่นถามหางานกับคุณอ้วนอยู่เลย”

   “ตอนนี้เราก็บีบทางนั้นแล้วทุกทาง เหลือแค่รอเวลา คงต้องลำบากคุณโอ๋ไปอีกสักพัก”

   “ว่าแต่คุณภาค่ะ แล้วทางคุณหญิงละคะ หลานเขาทั้งคน เขาจะยอมช่วยเราเหรอค่ะ?”

   “ดูจากแนวโน้มก็มีความเป็นไปได้อยู่นะคะ”

   “ถ้ายังไงคุณภาก็อัพเดทให้เปิ้ลทราบด้วยนะคะ”

   เพ็ญนภายังไม่ได้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บโต๊ะก็ดังขึ้น หน้าจอปรากฎชื่อของคุณสุพรรณษา เธอและคุณเปิ้ลต่างมองหน้ากัน

   “คนบ้านนี้ตายยากจังเลยนะคะ นึกถึงแม่ แต่ลูกกลับโทรเข้ามา”

   “คุณภารับสายเถอะค่ะ เปิ้ลอยากจะรู้จะแย่แล้วเนี่ย ว่าคุณสุพรรณษาโทรมาเรื่องอะไร” เพ็ญนภาพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนกดรับสาย

   “สวัสดีค่ะ คุณษา มีอะไรให้ภารับใช้ค่ะ”

   ‘คุณแม่ต้องการพบคุณภาค่ะ’

   “ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหญิงให้ภาเข้าไปพบวันไหนค่ะ?”

   ‘วันนี้ และตอนนี้เลยค่ะ คุณภาสะดวกไหมค่ะ?’

   “ตอนนี้” เพ็ญนภาทวนคำ พร้อมสบตาคุณเปิ้ลเล็กน้อย ซึ่งคุณเปิ้ลก็พยักหน้าให้ “ได้ค่ะ แต่ขอเวลาภาเดินทางหน่อยนะคะ พอดีภาออกมาทานข้าวกับเพื่อนน่ะคะ ว่าแต่ไม่ทราบว่าคุณหญิงมีเรื่องด่วนอะไรค่ะ?”

   ‘เรื่องที่คุณพยัคฆ์ หยก และตาเกรียง มีปัญหากันน่ะคะ’

   “อ่อ เรื่องนั้นนั่นเอง ได้ค่ะ เดี๋ยวพบกันนะคะ” เพ็ญนภาวางสายก่อส่งยิ้มให้คุณเปิ้ลที่นั่งลุ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม

   “เรื่องอะไรกันคะคุณภา อย่ามัวแต่ยิ้มอย่างนี้สิ เปิ้ลอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว”

   “คุณหญิงอยากทราบเรื่องที่พังงาค่ะ”

   “ฮืม...คุณหญิงข่าวไวไม่เบาเลยนะคะ”

   “นั่นสิค่ะ ภาหวังว่า เมื่อคุณหญิงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว เรื่องมันจะจบได้โดยเร็วนะคะ”

   “คุณภารีบไปพบคุณหญิงเถอะค่ะ” เปิ้ลบอกก่อนเรียกพนักงานมาเก็บเงิน “เดี๋ยวมื้อนี้เปิ้ลเลี้ยงเอง”

   “ได้ที่ไหนกันละคะคุณเปิ้ล ภาต้องเป็นคนเลี้ยงสิถึงจะถูก ในเมื่อภาเป็นคนขอความช่วยเหลือจากคุณเปิ้ล”

   “คุณลูกค้าคะ ค่าอาหารมีลูกค้าในห้องวีไอพีชำระให้เรียบร้อยแล้วค่ะ” พนักงานที่ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการร้านเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะ ทำให้ทั้งเธอและคุณเปิ้ลต่างแปลกใจ

   “ใครกันค่ะ? แล้วเขายังอยู่ไหม?” คุณเปิ้ลเป็นคนถามขึ้น

   “เธอเป็นลูกค้าประจำของทางร้านค่ะ แต่ตอนนี้เธอกลับไปแล้ว และเธอฝากโน๊ตนี่ให้กับคุณลูกค้าค่ะ” พนักงานยื่นซองจดหมายเล็ก ๆ ไปตรงหน้า เพ็ญนภาที่เห็นชื่อเธอบนหน้าซองจึงเป็นผู้รับโน๊ตนั่นมา

   “ขอบคุณค่ะ” เพ็ญนภากล่าวขอบคุณ พนักงานจึงเดินกลับไปทำงานของตนเอง ส่วนเธอกับคุณเปิ้ลก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างสงสัย

   “คงไม่มีเสี่ยใหญ่ที่ไหนถูกใจคุณภาหรอกนะคะ” คุณเปิ้ลพูดแซว แต่สายตากลับจ้องไปยังซองจดหมายในมือ

   เพ็ญนภาเปิดซองที่ไม่ได้ปิดผนึก หยิบกระดาษแผ่นเล็กที่พับครึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน

         
หยกถูกจับอยู่ที่คอนโด ABC Place อาคาร E ห้อง 1804
         บอกพยัคฆ์ด่วน คนพวกนั้นอันตราย ระวังตัวด้วย
   
To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 16-06-18 {{:::56:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-06-2018 01:06:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 16-06-18 {{:::56:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-06-2018 09:22:37
ลุ้น ๆ ขอให้หยกปลอดภัย
หัวข้อ: Re: หยก 16-06-18 {{:::56:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 18-06-2018 09:59:10
ชอบค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: หยก 02-07-18 {{:::57:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-07-2018 11:30:18
57
   พยัคฆ์กำลังจะออกจากออฟฟิต ระหว่างที่เขารอให้คนของเขาเอารถที่จอดไว้มาให้นั้น เขาก็เห็นรถอีโกคาร์คันหนึ่งขับผ่านประตูเข้ามา เพราะเขายังคงกังวลเรื่องของหยกอยู่จึงไม่ทันได้ตั้งข้อสังเกต ยังดีที่คุณวรรณเดินมารอเป็นเพื่อนเขา

   “ป่านนี้แล้วไม่น่าจะมีลูกค้าเข้ามาที่บริษัทฯ เราได้นะคะ”

   “อืม” พยัคฆ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งขณะนั้น โทรศัพท์เข้าก็ดังขึ้น เขากดรับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองว่าเป็นเบอร์ของใคร “สวัสดีครับ”

   ‘คุณพยัคฆ์ใช่ไหมค่ะ ยังอยู่ที่บริษัทฯไหมค่ะ หรือว่ากลับไปแล้ว ดิฉันจะไปเจอคุณได้ที่ไหนค่ะ?’ คนปลายสายพูดรัว จนเขาไม่มีโอกาสแทรกได้เลย

   “ผมกำลังคุยอยู่กับใครครับ” จังหวะที่ถาม คนของเขาก็เอารถมาจอดให้พอดี

   ‘คุณภาให้เปิ้ลมาหาคุณค่ะ ไม่ทราบว่าคุณอยู่ที่ไหนค่ะ เปิ้ลมีเรื่องด่วนมากเลยค่ะ?’

   “ถ้าเรื่องงาน ผมรบกวนคุณติดต่อทางเลขาของผมก็แล้วกันนะครับ เบอร์...” เขาคุยพร้อมกับก้าวขึ้นรถ เตรียมจะขับออกไป ก็โดนคนที่ปลายสายแทรกขึ้นมา

   ‘ไม่ใช่คะ ไม่ใช่เรื่องงานค่ะ คุณภาฝากเปิ้ลให้เอาจดหมายมาให้คุณ เรื่องด่วนจริง ๆ นะคะ’ เขาได้แต่ส่ายหน้าระอากับคนปลายสาย ที่ดูท่าทางจะคุยไม่รู้เรื่อง เขาเองก็มีเรื่องที่ร้อนใจและหงุดหงิดจนไม่มีสมาธิจะคุยอะไรทั้งนั้น

   “เอาเป็นว่าคุณอยู่ไหนครับ แล้วจดหมายของคุณภานี่เป็นจดหมายอะไร?” เขาขับรถผ่านป้อมหน้าประตูทางเข้า ออกสู่ถนนซอยแล้วขณะที่คุยกับคนปลายสาย

   ‘เปิ้ลก็ไม่รู้ที่มาที่ไป รู้แต่ว่ามีเรื่องมีไม่ดีเกิดขึ้นกับน้องหยก’ พยัคฆ์ได้ยินแค่ชื่อคนที่ปลายสายอ้างถึง เขาก็เหยียบเบรคแทบจะทันที

   “ตอนนี้คุณอยู่ไหน”

   ‘เปิ้ลเพิ่งขับรถเข้ามาที่บริษัทฯ ของคุณ แต่ที่นี่เหมือนจะปิดแล้ว เปิ้ลเห็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าออฟฟิตคุณเท่านั้นค่ะ’

   “คุณรอผมแป๊บนึง ผมกำลังจะกลับเข้าไป” พยัคฆ์รีบกลับรถไปยังบริษัทฯ ทันที   

........................................................................

   จุ้ยเถิงนั่งมองดูหยกวิเศษในมือ หยกสีขาวน้ำนมลวยลายก้อนเมฆ หยกที่คนต่างเล่าขานถึงความวิเศษของมัน หยกชิ้นนี้มันสามารถดลบันดาลให้คนที่ครอบครองมันสมความปรารถนาได้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ

   สิ่งที่เขาอยากได้และปราถนามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้จริงหรือไม่ เขาคงต้องหาโอกาสพิสูจน์ ความปราถนาเพียงข้อเดียว ก่อนจะส่งมอบหยกชิ้นนี้ให้กับลุงของเขา

   “กู๋ครับ ผมได้หยกวิเศษนั่นมาแล้ว และมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หยกไม่ได้อยู่กับฝู่หงส์แต่อยู่กับฝู่หยงครับ”

   “ลื้อได้ของมา แล้วคนล่ะ”

   “ได้ตัวมาแล้วเหมือนกันครับ”

   “ดี ดีมาก แล้วคนของเซียงไบ๋ล่ะ?”

   “ลตาเธอยอมหักหลังกู๋เซียงมาอยู่กับพวกเรา แล้วเธอยังบอกอีกว่า กู๋เซียงให้เธอปลอมตัวไปสืบเรื่องของหลิวลู่กับคนรักของเขา”

   “อีรู้จักกับคุณหมอด้วยอย่างนั้นหรอ?”

   “เขาไม่ใช่หมอครับ เขาเป็นเจ้าของบริษัทฯ รักษาความปลอดภัยชื่อดังของที่นี่”

   “ไม่ ๆ อีเคยเป็นหมอ บริษัทฯ นั่นน่าจะเป็นของพี่ชายอี”

   “ลตาบอกว่า ผู้ชายคนนั้นก็พยายามตามหาหลิวลู่อยู่ และดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฝู่หยงเป็นใคร เพราะเขาส่งให้บอรืดี้การ์ดคอยตามฝู่หยงอยู่ตลอดเวลา”

   “ตอนนี้คุณหมออยู่ที่นี่ อีมากับหลานชายและหลานสะใภ้”

   “เขาไปทำอะไรที่นั่น?”

   “อีมาถามหาหลิวลู่กับอั๊ว ท่าทางหงิ๋ม ๆ แบบนั้นไม่คิดว่าจะบริหารงานบริษัทฯ รักษาความปลอดภัยได้ เห็นทีอั๊วจะประมาทอีไม่ได้ซะแล้ว”

   “กู๋จะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ แล้วฝู่หงส์กับเสี่ยวฝู่ล่ะครับ ต้องพาตัวกลับไปพร้อมฝู่หยงไหม”

   “ท่าทางฝู่หยงเป็นยังไงบ้าง”

   “ฝู่หยงสัญชาตญาณดีมาก เก่งในเรื่องศิลปะป้องกันตัว”

   “แล้วลื้อว่า อีจะยอมให้พวกเราใช้อีเป็นหุ่นเชิดไหม?”

   “ผมว่าเขาไม่น่าจะยอมง่าย ๆ นี่กว่าจะจับตัวมาได้ผมต้องเป็นคนลงมือเอง แล้วที่ฝู่หยงพลาดท่าให้ผมคงเป็นเพราะ เขาห่วงบอร์ดี้การ์ดที่ติดตามเขา”

   “อืม... นี่คงเป็นจุดอ่อนของอีสินะ”

   “ผมก็ว่าอย่างนั้น”

   “เรื่องฝู่หงส์กับเสี่ยวฝู่ ลื้อไม่ต้องสนใจ อั๊วมีไพ่ที่ดีกว่า ที่ฝู่หยงจะไม่สามารถปฏิเสธพวกเราได้”

   “กู๋หมายถึงคนที่อยู่ในห้องนั้น”

   “หึ!! ลื้อเตรียมตัวกลับมาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน พาฝู่หยงขึ้นเครื่องบินของเยี่ยนหว๋อกลับมาคงไม่มีปัญหาอะไร รีบ ๆ ไปจัดการให้เรียบร้อย”

   “ครับกู๋”

   จุ้ยเถิงวางสายไปพร้อมกับโอกาสที่หมดลง โอกาสที่จะได้ขอให้หยกวิเศษช่วยให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง หรือเขาควรจะขอตอนนี้เลย ขอให้เขาได้มีโอกาสได้พบกับฝู่หงส์ก่อนที่เขาจะกลับไปฮ่องกง

.........................................................................

   ตั้งแต่คุณลตาออกจากห้องไป ผมก็ถูกขังให้อยู่แต่ในห้องนอน ช่วงหัวค่ำมีชายคนหนึ่งเอาอาหารค่ำกับเสื้อผ้ามาให้ผม ชายคนนั้นไม่น่าจะใช่คนไทย และผมได้ยินฝรั่งคนนั้นสั่งงานผู้ชายคนอื่น ๆ เป็นภาษาจีน เขาคงเป็นหัวหน้าของคนพวกนั้น
ตอนนี้ผมสับสนมาก ความคิดของผมยุ่งเหยิงไปหมด ผมไม่รู้ว่าคนทั้งหมดเกี่ยวข้องกันยังไง ยิ่งตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย เพราะเมฆาขาวน่าจะตกอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่งระหว่างคุณลตา และฝรั่งคนนั้น พร้อม ๆ กับโทรศัพท์มือถือของผม

   มาถึงตอนนี้ผมเริ่มยอมรับความจริงได้ว่าสัมผัสหรือเซ้นส์ของผม มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ทั้งที่ผมรู้สึกว่าคุณลตาไม่คิดจะทำอันตรายหรือทำร้ายผม แต่สุดท้ายเธอก็เป็นหนึ่งในพวกนั้น ฝรั่งนั่น กับเจ้าของห้องนี้

   ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้ดึกกว่านี้ เพื่อที่จะหาทางออกไปจากที่นี่ การที่ผมไม่ได้สวมเมฆาขาวอาจจะเป็นข้อดีตรงที่ มันทำให้ผมไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกที่น่ากลัวของฝรั่งคนนั้นได้ มันทำให้ผมมีสติค่อนข้างสมบูรณ์ ตอนนี้ผมมีแต่ต้องอาศัยสัญชาตญาณและความสามารถของตัวเองล้วน ๆ

   ไฟในห้องนอนถูกผมดับลงตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่มกว่า ๆ และผมก็ใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียว จนกระทั่งนาฬิกาดิจิตัลราคาแพง ขึ้นตัวเลขที่บ่งบอกว่าข้ามวันใหม่ไปแล้ว ภายนอกห้องก็ดูเงียบเฉียบ ผมจึงค่อย ๆ เปิดประตูแง้มออกไปช้า ๆ อย่างเบามือ

   ผมเห็นชายคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ โชคดีที่ชายคนนั้นหลับสนิท ผมจึงค่อย ๆ ผลักประตูออกไปช้า ๆ ผมไม่รู้ว่าในห้องนี้มีคนอยู่กี่คน แต่ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง เพื่อจะออกไปจากที่นี่ ผมเบียดตัวออกจากบานประตูพอให้เสียงบานพับไม่ลั่น ก่อนจัดการให้คนที่นั่งเฝ้าหมดหมดสติโดยการฟาดสันมือลงไปที่ท้ายทอย แล้วค่อยย่องออกมาที่โถงกลาง

   ผมก้าวไปจนถึงประตูทางเข้าห้อง แต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าประตูเปิดด้วยระบบคีย์แพด ถึงแม้ว่าผมจะสามารถเปิดจากภายในได้โดยไม่ต้องใช้รหัส แต่เสียงดนตรีของเจ้าเครื่องนี่สิ ผมจะทำยังไงไม่ให้มันดังออกมา

.........................................................................

   ลตาเฝ้ารออยู่ที่ชั้นล่างคอนโดของเกรียงไกร จนป่านนี้แล้วพยัคฆ์ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร หรือว่าพยัคฆ์ยังไม่ได้รับข้อความจากเธอ แต่คนของเขาที่เฝ้าดูเธออยู่ กลับแยกย้ายกัน มาสุ่มอยู่ที่นี่แทน และยังดีที่คนพวกนั้นไม่เห็นเธอ

   ครั้นเธอจะขึ้นไปห้องของเกรียงไกรตอนนี้ก็ไม่ได้ เวลาดึกดื่นขนาดนี้หากขึ้นไป จุ้ยเถิงต้องสงสัยเธอแน่ ๆ จะให้เธอไปหาพยัคฆ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะอาจจะยังมีคนของจุ้ยเถิงตามเธออยู่

   ระหว่างที่ลตากำลังจะเดินกลับไปยังคอนโดของตัวเองผ่านลานจอดรถใต้อาคารนี้ เธอก็เห็นร่างคุ้นตาค่อยๆ เดินออกจากประตูบันไดทางหนีไฟ ฝู่หยง มันทำให้เธอเหลียวกลับไปมองที่โถงทางเข้าคอนโดโดยอัตโนมัติลิฟท์กำลังลงมา ฝู่หยงที่กำลังจะวิ่งหนีไปทางหน้าโครงการ คงไม่รอดพ้นสายตาคนของจุ้ยเถิงเป็นแน่

   ลตากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาฝู่หยง เธออาศัยมุมมืดของลานจอดรถแห่งนี้ ค่อยๆก้าวไปหาคนตรงหน้า ทำให้ฝู่หยงไม่ทันเห็นตัว ก่อนที่จะรู้ตัวเธอก็พุ่งเข้าไปจับตัวฝู่หยงไว้แล้ว แต่คนอย่างฝู่หยงมีหรือจะยอม ทำให้เกิดการต่อสู่กันเล็กน้อย จนกระทั่งเขาเห็นว่าเป็นเธอ

   “คุณลตา ผมไม่อยากทำร้ายผู้หญิง คุณหลีกไปดีกว่า” ฝู่หยงบอกแต่ก็ยังคงตั้งท่าเตรียมพร้อม

   “เธอจะออกไปทางด้านหน้าไม่ได้ คนของจุ้ยเถิงกำลังลงมา” เธอเห็นแววตาสงสัยในดวงตาคู่นั้น “ฉันขอให้เธอไว้ใจ แล้วตามมาทางนี้” เธอเลือกที่จะไม่บังคับ กลับค่อย ๆ ขอร้องเขาดี ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีวี่แววจะเดินตามเธอมา จนเธอต้องกระตุ้นอีกครั้ง “หยก เร็วๆ”

   ฝู่หยงลังเลที่จะเดินตามเธอมา แล้วจากเดินก็กลายเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเธอมา

   “คุณจะพาผมไปไหน? แล้วคุณไม่ได้เป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้นเหรอ?”

   “ตอนนี้ฉันขอให้เธอเงียบก่อน ไว้ปลอดภัยแล้วฉันจะเล่าเรื่องทุกอย่างที่เธออยากรู้ให้ฟัง”

   ลตาเดินพาฝู่หยงลัดเลาะมายังคอนโดอีกตึกหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าห้องบนอาคารนี้เป็นห้องของครอบครัวเธอเอง ไม่ใช่ห้องที่เจ้าสัวเซียงซื้อให้กับเธอ เธอจะเสี่ยงพาฝู่หยงไปห้องนั่นไม่ได้ เพราะตามทางเดินก่อนเข้าห้องเธอ จุ้ยเถิงได้ให้คนแอบขึ้นไปทั้งติดเครื่องดักฟังและกล้องสอดแนมเอาไว้

   เธอพาฝู่หยงเข้ามาในห้อง เธอเห็นเขามองไปรอบ ๆ อย่างระวังตัว และยังคงยืนอยู่ที่โถงทางเข้าห้องราวกับว่า หากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น เขาก็พร้อมที่จะพุ่งออกไปได้ทุกเมื่อ

   “หยกดื่มอะไรหน่อยไหม ห้องนี้มีแต่น้ำเปล่ากับชาสมุนไพรเท่านั้นนะ”

   “เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ”

   “ไม่ต้องระแวงฉันหรอก อยากรู้ หรืออยากถามอะไรก็ว่ามาเถอะ ห้องนี้ปลอดภัย”

   “คุณลตาต้องการอะไรจากผมกันแน่”

   “ฉันไม่ต้องการอะไรจากเธอเลย ฉันแค่ทำไปตามหน้าที่”

   “แล้วหน้าที่ของคุณคืออะไร?”

   “หน้าที่ของฉันก็คือ ตามหาทายาทตระกูลฝู่ และนำหยกศักดิ์สิทธิ์กลับไปยังที่ที่ควรอยู่”

   “ตามหาพวกผม แล้วก็...หยกศักดิ์สิทธิ์?”

   “ก็เมฆาขาวที่เธอเคยห้อยติดตัวอยู่ยังไงล่ะ?” เธอเห็นฝู่หยงมีสีหน้ากังวล มือก็แตะตรงตำแหน่งที่เคยมีหยกชิ้นนั้นห้อยคออยู่

   “คุณเป็นใครกันแน่ มาดีหรือว่ามาร้าย” ฝู่หยงถามเสียงแผ่ว

   “มีเธอเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินได้ ชื่อจริงของฉันคือ เหมิ๋นหลีต๋า”

.........................................................................

   เพ็ญนภารีบขับรถมายังบ้านของพยัคฆ์หลังจากคุยกับคุณหญิงพรรณีและคุณสุพรรณษาเสร็จเรียบร้อย เธอไม่ค่อยเข้าใจ ข้อความในจดหมายปริศนานั่น รู้เพียงแต่ว่ามันต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับหยก ทางด้านคุณหญิงก็เลี่ยงไม่ได้ ข้อความที่ต้องบ่งบอกว่าหยกออาจจะอยู่ในอันตราย มันทำให้เธอร้อนใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก

   คุณเปิ้ลเปรียบเหมือนนางฟ้าที่มาช่วยเธอไว้ในระหว่างที่สมองเธอหยุดการประมาลผลไปชั่วคราวเมื่อเห็นข้อความในกระดาษแผ่นนั้น และถือเป็นโชคดีอีกอย่างที่คุณวรรณาอยู่กับคุณพยัคฆ์ในตอนนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าคุณพยัคฆ์จะบุกเข้าไปที่นั่นคนเดียวไหม

   “คุณภาไปนอนพักเถอะค่ะ นี่ก็จวนจะสว่างแล้ว” คุณวรรณเปรยขึ้นมา

   “ภานอนไม่หลับหรอกค่ะคุณวรรณ ห่วงหยกมากกว่า”

   “อย่าเพิ่งเป็นกังวลไปเลยค่ะ ตอนนี้คนของเราก็เฝ้าอยู่ที่นั่น”

   “ภายังวางใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ยิ่งรู้ว่าห้อง ห้องนั้นเป็นของของนายเกรียงไกรด้วยแล้ว”

   “แต่เท่าที่คุณภาเล่า คุณหญิงเองก็ยินดีช่วยเราไม่ใช่เหรอค่ะ?”

   “จริงสิค่ะ ถ้าเกิดคุณหญิงหรือคุณสถพรรณษาเขาทำทีเข้าไปหานายเกรียงไกรที่คอนโดละค่ะ?”

   “นั่นอาจจะช่วยให้เรารู้ได้นะครับว่า พวกนั้นมีกันกี่คนกันแน่” เอที่นั่งหน้าเครียดไม่ต่างกับคนอื่น พูดออกมาอย่างมีความหวัง

   “แล้วคุณพยัฆค์ว่ายังไงค่ะ” เพ็ญนภาถามความเห็น จากคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จามาได้สักพักใหญ่ ๆ

   “คุณเสือค่ะ?” คุณวรรณาเรียกอีกครั้ง

   “ครับ?”

   “คุณเสือเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?”

   “ข้อความในกระดาษนั่น ลายมือมันคุ้น ๆ แต่ผมนึกยังไงก็นึกไม่ออก ว่าเป็นลายมือใคร?”

   “ผมกลับสงสัยว่า ใครเป็นคนส่ง และคนที่ส่งมามีเจตนาอะไรกันแน่” ต้าพูดเสริมขึ้นมา

   “วรรณก็ลืมถาม คุณภาไปได้จดหมายฉบับนี้มาจากใครกันค่ะ?”

   “มีลูกค้าที่ร้านอาหารญี่ปุ่นคนนึงฝากไว้ให้ แถมยังจ่ายเงินเลี้ยงภากับคุณเปิ้ลด้วยนะคะ”

   “ร้านอาหารญี่ปุ่นแถวไหนครับ” เอถามขึ้นพร้อมกับมองไปยังต้าและคุณพยัคฆ์

   “ร้านดังแถว ๆ ทองหล่อค่ะ”

   “ข้อความนี้มาจาก...” ต้ายังพูดไม่จบประโยค คุณพยัคฆ์ คุณวรรณ และเอ ต่างเอยชื่อหนึ่งออกมาพร้อมกัน “คุณลตา!!”

.........................................................................

   ผู้หญิงตรงหน้าผม เป็นคนตระกูลเหมิ๋น คนที่เจ็กลู่และกงฝู่พยายามจะตามหามาตลอดหลายปี กลายเป็นว่าเธออยู่ข้าง ๆ อากรมานาน และที่ยอมทำงานให้กับเจ้าสัวเซียงเพราะว่าต้องการจะตามหาเจ็กลู่ กับพวกเรา เธอไม่รู้ว่าเจ็กลู่เป็นคนรักของอากร

   “คุณลตา...ไม่ได้รักอากรจริง ๆ เหรอครับ?”

   “ก็อย่างที่ฉันเล่ามานั่นแหละ ฉันเพิ่งมารู้หลังจากทำงานกับเจ้าสัวได้ไม่นาน”

   “ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วทำไมคุณลตาไม่บอกอากรล่ะครับ ว่าคุณเป็นใคร?”

   “ฉันรู้ว่าคุณกรเธอเป็นคนยังไง และไว้ใจได้แค่ไหน แต่ที่ฉันไม่รู้คือเซียงไบ่ ต้องการอะไร?”

   “เขาเคยเป็นคู่หมายของม่าม๊า”

   “งั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเคยเห็นเมฆาขาว”

   “แล้วเราจะทำยังไงกับเมฆาขาวที่จอยู่กับจุ้ยเถิงดีล่ะครับ?”

   “หยกขับรถเป็นไหม?”

   “เป็นครับ”

   “ฉันมีรถอีกคันที่ไม่ค่อยได้ใช้ พวกของจุ้ยเถิงน่าจะจำไม่ได้ เอาไว้ตอนเช้า หยกค่อยขับออกไป”

   “แล้วคุณลตาล่ะครับ”

   “ฉันจะเข้าไปหาจุ้ยเถิง แล้วหาโอกาสเอาเมฆาขาวกลับมาให้ได้”

   “ไม่ได้นะครับ มันอันตราย คนพวกนั้นก็มีมากกว่าด้วย”

   “ถึงจุ้ยเถิงจะสงสัยฉัน แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้”

   “ผมจะไปกับคุณลตาด้วย ทำทีเหมือนคุณเป็นคนเจอผม”

   “ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งจุ้ยเถิงต้องการตัวเธออยู่ ยิ่งถ้าได้เมฆาขาวกลับมา เธอจะรับมือจุ้ยเถิงไม่ได้”

   “สองคนก็ยังดีกว่าคนเดียว แล้วอีกอย่างถ้าได้เมฆาขาวกลับมา ผมก็ฝากไว้กับคุณลตาก่อน นะครับ ให้ผมช่วยนะครับ”

   “ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของจุ้ยเถิง และจุ้ยอั้ยเต๋อ ดังนั้นฉันจะเอาเธอมาเสี่ยงไม่ได้”

   “ถ้าคนพวกนั้นต้องการตัวผม ยังไงเขาก็ต้องส่งคนมาจับผมกลับไปอีกอยู่ดี”

   “แต่ฉันส่งข้อความไปบอกคุณเสือแล้ว ว่าเราถูกจับตัวอยู่ทื่นี่ คนของคุณกรก็เฝ้าอยู่ข้างล่าง ถ้าคุณเสือส่งคนเข้ามาที่นี่ ฉันว่ามันจะไม่เป็นผลดีนะ”

   “เรามีทางไหนที่พอจะส่งข้อความให้พี่เสือทราบไหมครับ”

   “ก็ถ้าคุณเสือยังให้คนคอยตามฉันอยู่อ่ะนะ”

   “คุณลตามีเบอร์พี่เสือไหมครับ?”

   “ถึงฉันจะมี คุณเสือก็คงไม่รับสายของฉันหรอกนะ”

   “ผมขอยืมโทรศัพท์ของคุณลตาหน่อยได้ไหมครับ?”

   “หยกจะทำอะไร”

   “หยกจะติดต่อพี่เสือครับ”

   คุณลตายื่นโทรศัพท์ให้ผม ก่อนผมจะพิมพ์ข้อความส่งไปให้ยังเบอร์ของพี่เสือ รอไม่นานพี่เสือก็โทรกลับมาหาผมโดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายโทรไปอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 02-07-18 {{:::57:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 27-07-2018 08:31:37
ดัน จุ้ยเถิงจะเป็นคนที่ล้างหยกของหงส์หรือเปล่า ถึงได้อยากเจอหงส์นัก
หัวข้อ: Re: หยก 19-08-18 {{:::58:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-08-2018 18:34:43
58

   โบตั๋นเดินทางมาถึงหยวนซางตูในเขตมองโกเลียด้วยความช่วยเหลือของกงเหมิ๋น และที่สำคัญเธอเพิ่งรู้ว่าลูกสาวบุญธรรมของเขาเป็นคนไทย และเป็นนักโบราณคดีซึ่งมีทีมขุดค้นที่ขออนุญาตอย่างถูกกฎหมายโดยมีกงเหมิ๋นเป็นนายทุนรายใหญ่

   “เดินทางเหนื่อยไหมจ๊ะเสี่ยวฝู่” คุณลลินทร์ลูกสาวของกงเหมิ๋นถามเธอ หลังจากทักทายกงเหมิ๋นเรียบร้อยแล้ว

   “เรียกโบตั๋นดีกว่าค่ะ คุณลินทร์ ตั๋นไม่ค่อยคุ้นเลยเวลาก๋งเหมิ๋นเรียกตั๋นน่ะ”

   “จ้า ๆ ว่าแต่ขอฉันขอดูหยกศักดิ์สิทธิ์ของหนูหน่อยได้ไหมจ้า” เธอถอดเมฆาขาวออกจากคอส่งให้คุณลลินทร์ “คู่หงส์...นี่ถ้าลูกสาวของฉันอยู่ที่นี่ด้วยกัน ฉันคงจะจับให้ลูกสาวฉันทดลองชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์นี่แล้ว”

   “แล้วลูกสาวคุณลินทร์อยู่ที่ไหนค่ะ ใช่คนที่บอกกงเหมิ๋นว่าตั๋นเดินทางมาที่นี่รึเปล่าค่ะ?”

   “ก็น่าจะใช่นะ อาหลี่อยู่ที่ไทย แล้วก็คอยตามหาพวกหนูอยู่”

   “หนูไม่เห็นเคยได้ยินชื่ออาหลี่เลย”

   “อ่าว อย่างนั้นหรอกเหรอจ๊ะ อาหลี่ก็ใช้หลายชื่อเสียด้วยสิ”

   “คุณลินทร์ค่ะ แล้วถ้าเราชำระล้างเมฆาขาวเสร็จแล้ว มันจะเป็นยังไงค่ะ?”

   “หยกของพวกหนูจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเขียวมรกตดังเดิม แล้วหนูจะไม่สามารถใช้หยกศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเลย”

   “ถ้าอย่างนั้นการที่ก๋งเหมิ๋นตามหาหยกทั้งแปดชิ้น แล้วจะมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ ก็เป็นการป้องกันให้คนอื่นที่มีเลือดแบบเดียวกับพวกหนู เอามันไปใช้ประโยชน์ได้ใช่ไหมค่ะ?”

   “ถูกแล้วจ๊ะ หยกศักดิ์สิทธิ์มีทั้งคุณและโทษ แต่สมัยนี้แล้ว มนุษย์เราสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยความสามารถของตนเอง ดังนั้นของวิเศษพวกนี้ให้คนรุ่นหลังรู้จักเพียงแค่ตำนานก็พอแล้วล่ะ”

   “โห...ความคิดของคุณลินทร์นี่ยิ่งใหญ่จังเลยค่ะ”

   “ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอกจะ ของคุณพ่อต่างหาก คุณพ่อเองก็สูญเสียมาเยอะ ทั้งที่บรรพบุรุษของท่านเองก็ไม่ได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว”

   โบตั๋นมองร่างก๋งเหมิ๋นที่เฝ้ามองออกไปนอกกระโจมกันลม ดูผู้คนทำงานขุดซากโบราณสถานแห่งนี้ ความหวังของก๋งเหมิ๋น เธอก็อยากจะช่วยให้มันเป็นจริง   

........................................................................

   เนื่องจากหงส์ถูกจับตามองโดยคนของจุ้ยอั้ยเต๋ออยู่ตลอดเวลา ในห้องพักของเธอ คุณต้นเองก็พบเครื่องดักฟังอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทำให้เธอหาโอกาสติดต่อกับคนอื่นๆ ได้ค่อนข้างลำบาก หงส์ได้โทรศัพท์คุยกับโบตั๋นขณะที่แกล้งออกมาช๊อปปิ้งข้างนอกกับคุณต้น โบตั๋นขออนุญาตเธอ เพื่อเดินทางไปมองโกเลียกับเหมิ๋นโหย่วเซียง และยังตั้งใจจะตามหาคนที่สามารถชำระล้างเมฆาขาวอีก 2 คนให้ได้

   ความคิดของเหมิ๋นโย่วเซียงที่จะมอบหยกทั้งหมดให้กับพิพิธภัณฑ์ นั้นถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว และเธอก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ตั้งแต่แรกที่โบตั๋นเล่าให้เธอฟัง เพราะยังดีกว่าให้พยัคฆ์เป็นผู้ดูแลหยกทั้ง 3 ชิ้นเพียงคนเดียวอย่างที่เธอตั้งใจไว้ตอนแรก มันคงจะอันตรายเกินไปกับทั้งพยัคฆ์และหยก

    และเมื่อเธอกลับเข้าโรงแรมมาพร้อมคุณต้นอีกครั้ง ก็พากันไปเล่นที่กาสิโนกันต่อ ซึ่งแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ คุณต้นก็เล่นได้เงินมาเป็นล้าน นั่นอาจจะพอทำให้จุ้ยอั้ยเต๋อตื่นตัวขึ้นมาได้

   วันนี้หงส์เดินควงแขนกับคุณต้นเข้ามาในกาสิโน โดยใช้เหรียญชิพที่ได้มาเมื่อวานเป็นเงินทุน โซนแรกที่พวกเขาเดินเข้าไปคือโต๊ะดัมมี่ และคุณต้นก็เป็นผู้เล่นดังเดิม

   คุณต้นเล่นดัมมี่อยู่ราวชั่วโมงเศษ โดยเน้นให้เสียมากกว่าได้ จากนั้นก็ย้ายไปเล่นโป๊กเกอร์ คุณต้นเล่นไปได้ไม่นานก็เรียกให้คนมามุงดูอยู่รอบโต๊ะไม่น้อย ถึงแม้จะมีการหมอบไพ่ในบางเกมส์ก็ตาม แต่เมื่อไรที่ showdown คุณต้นก็มักจะได้ หน้าไพ่ดี ๆ อย่าง One pair บ้าง Two pair บ้าง และหากได้ Straight ก็จะเรียกเสียงฮือฮาจากคนที่มุงดูได้ใช่น้อย

   “อ่าว ไม่มีใครจะเล่นกับผมแล้วเหรอครับ” คุณต้นเอ่ยขึ้นมา เมื่อคนเล่นคนสุดท้ายลุกออกไปจากโต๊ะ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ

   “นี่เงินของคุณครับมิสเตอร์คุณ” คนแจกไพ่เอ่ย

   “ได้เท่าไรค่ะเนี่ย ดิฉันก็นับชิพพวกนี้ไม่เป็นซะด้วยสิ” หงส์ทำทีเดินเข้าไปหยิบเหรียญชิพขึ้นมา พลิกดูทั้งสองด้าน

   “อันที่อยู่ในมือคุณ มีค่าหนึ่งหมื่นดอลล่าจ๊ะที่รัก” คุณต้นบอกเธอ

   “หืม...เหรียญเยอะขนาดนี้ นภาไม่ช่วยหิ้วนะ หนักแย่เลย”

   “คุณช่วยแลกเป็นเหรียญที่ใหญ่กว่านี้ให้ผมทีแล้วกัน แล้วนี่ ทิปสำหรับคุณ” คุณต้นเลื่อนชิพทั้งหมดไว้กลางโต๊ะ พร้อมกับแยกชิพส่วนหนึ่งให้เป็นรางวัลกับคนที่ทำหน้าที่แจกไพ่ ชายคนนั้นถึงกับตาโต

   “ไม่มีใครเล่นกับคุณแล้ว งั้นเราจะไปไหนกันต่อดีค่ะ”

   “ตามใจคุณเลยจ๊ะที่รัก”

   “ถ้าอย่างนั้นเอาชิพนั่นไปแลกเป็นเงินสด แล้วเราไปช๊อปปิ้งกันอีกดีกว่าค่ะ”

   “ได้จ๊ะที่รัก” คุณต้นรับคำ ก่อนจะหันไปหาพนักงานแจกไพ่ ที่กำลังโกยเหรียญชิพทั้งหมดใส่ถาด แต่คุณต้นยังไม่ทันพูดอะไร ก็มีคนเดินเข้ามาทักเสียก่อน

   “จะรีบไปไหนล่ะหลานชาย ตามใจเมียมาก ๆ ไม่ดีนะ” จุ้ยอั้ยเต๋อแทรกเข้ามา นั่นทำให้เธอและคุณต้นมั่นใจ ว่าต้องมีคนคอยเป็นล่ามภาษาไทยให้เขาแน่นอน เพราะตลอดเวลาที่เธอกับคุณต้นคุยกันเอง พวกเธอก็คุยกันเป็นภาษาไทย

   “คุณชายจุ้ย รู้ได้ยังไงครับว่าผมเอาใจภรรยา”

   “เดาไม่ยากหรอก ก็ข้าวใหม่ปลามันที่นะ”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวพานภาไปช๊อปปิ้งก่อนก็แล้วกัน วันนี้เธออยู่เป็นเพื่อนผมเล่นมาค่อนวันแล้ว”

   “ถ้าอยู่เล่นโปกเกอร์กับฉันอีกสัก 2-3 ตา คงไม่เป็นอะไรมั้ง”

   “คุณชายจุ้ยจะให้เกียรติเล่นกับมือสมัครเล่นอย่างผม อย่างนั้นเหรอครับ”

   “ถ่อมตัวน่า หลายชายเล่นมา 2 วัน กวาดเงินฉันไปเกือบ 30 ล้าน เลยนะ”

   “หืม มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมจำได้แค่เมื่อวานนี้ ผมมีชิพอยู่แค่ 7-8 ล้านเท่านั้นเอง”

   “ก็ดูบนถาดนั่นสิ” จุ้ยอั้ยเต๋อมองไปที่ถาดกำมะหยี่สีดำที่พนักงานแจกไพ่เพิ่งไปแลกเหรียญที่มีมูลค่ามากขึ้นมาให้ เหรียญละหนึ่งแสนเรียงตัวกันเป็นแถว เกือบเต็มถาด

   “ในถาดนั่นมีเท่าไรครับ” คุณต้นถามพนักงานคนนั้น

   “มีราว 27.6 ล้านครับมิสเตอร์คุณ”

   “โอ้...ผมไม่คิดว่าจะเล่นได้มากขนาดนี้เลยนะ”

   “นี่ถ้าเอาไปขึ้นเงิน นภาคงซื้อเฟอรารี่ได้เลยนะคะที่รัก” หงส์พูดแทรกขึ้นอย่างตื่นเต้นและดีใจ

   “ที่รักรอให้ผมเล่นเป็นเพื่อนคุณชายจุ้ยสัก 2-3 ตาได้ไหมครับ”

   “ก็ได้ค่ะ แต่ห้ามเกินจากนี้นะคะ นภาอยากช๊อปปิ้งจะแย่แล้ว”

   “เป็นอันตกลงครับคุณชายจุ้ย”

   “ดี แล้วคุณอยากจะเดิมพันเท่าไรล่ะ”

   “ก็แล้วแต่คุณชายจุ้ยเลยครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น ก็เล่นกัน 3 ตา วางเงินขั้นต่ำครั้งละ 5 ล้านเป็นยังไง”

   “หืม 5 ล้านเลยหรอครับ สงสัยคุณชายจุ้ยคงต้องการจะเอาเงินคืนจากผมแน่ ๆ”

   คุณต้นนั่งลงที่โต๊ะแทนคำตอบตกลง ก่อนที่จุ้ยอั้ยเต๋อจะนั่งลงในฝั่งตรงข้าม โดยมีพนักงานแจกไพ่ยืนอยู่ตรงกลาง ตาแรก จุ้ยอั้ยเต๋อชนะไปด้วยไพ่สองคู่ ซึ่งคุณต้นมีไพ่เพียงคู่เดียวเท่านั้น

   “ผมเริ่มสงสัยแล้วสิว่า ผมจะเล่นจนครบ 3 ตาไหม” คุณต้นเปรยขึ้นเมื่อจุ้ยอั้ยเต๋อโกยเหรียญชิพที่อยู่ตรงหน้าไปยังฝั่งของตนเอง

   “หลานชายอยากลดเงินเดิมพันลงไหมล่ะ”

   “ไม่ดีกว่าครับ แบบนี้ก็ได้ลุ้น ตื่นเต้นดีครับ”

   “ดี ใจถึงมาก งั้นมาเล่นตาถัดไปกันต่อเลยดีกว่า”

   ตาที่สอง บนโต๊ะมีไพ่ เจ็ดโพดำ คิงดอกจิก เจ็ดดอกจิก สองข้าวหลามตัด และ แปดขาวหลามตัด

   ไพ่ในมือจุ้ยอั้ยเต๋อมี คิงโพแดง และ แปดดอกจิก   

   “ครั้งนี้ผมได้สองคู่อีกแล้วนะ แล้วหลานชายละ มีคู่ไหมตานี้?”

   “เสียดายที่แปดดอกจิกดันไปอยู่กับคุณชายจุ้ย ผมเลยมีแค่ตองแปดแทนที่จะเป็นโฟร์การ์ด” คุณต้นหงายไพ่แปดโพดำและแปดโพแดงในมือ เรียกเสียงฮือฮารอบโต๊ะได้ไม่น้อย

   “หลายชายนี่ดวงดีจริง ๆ ทีนี้เราก็เสมอกันแล้วสินะ”

   “ตาสุดท้ายแล้วนะที่รัก รอผมอีกนิดนะคนดี” คุณต้นหันมาบอกกับเธอ

   “สู้ ๆ เขานะคะที่รัก”

.........................................................................

    วรากร หลิวลู่ และฝู่ไฉ๋ กำลังคุยปรึกษาแผนงานกันภายในโรงแรมที่วรากรพักอยู่ วรากรเห็นความกังวลในสีหน้าของอาหลิวได้อย่างชัดเจน ต่อให้คนเราจะเข้มแข็งสักแค่ไหนก็มักมีจุดอ่อนเสมอ

   ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่า ตัวเขาเองอาจจะเป็นจุดอ่อนของอาหลิว เพราะเขาเป็นแค่หมอคนหนึ่งที่แม้แต่จะตามหาหรือปกป้องคนที่เขารัก ก็ยังทำไม่ได้ จนกระทั่งคำพูดสุดท้ายของพี่ชายเขาก่อนสิ้นใจ มันกระตุ้นให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนเป็นวรากรคนใหม่ในที่สุด

   แต่นี่ คนที่เป็นจุดอ่อน ที่ทำให้อาหลิวถึงกับนั่งไม่ติดในตอนนี้ ไม่ใช่สามพี่น้องชูวณาสุวรรณ ถึงแม้หงส์กำลังเสี่ยงอยู่ในกาสิโน หรือแม้กระทั่ง หยกที่ตกอยู่ในมือของจุ้ยเถิง ก็ไม่น่ากังวลหรือน่าเป็นห่วงเท่าคนที่นอนเป็นผักอยู่ในห้องลับนั่น หลิวเก๋อหมิง หรือจะเรียกให้ถูกคือฝู่เก๋อหมิง

   “อาหลิว...” วรากรเรียกคนที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องของเขา

   “คุณชายหลิวใจเย็น ๆ ก่อน อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าจุ้ยอั้ยเต๋อมีไพ่อะไรอยู่ในมือ”

   “ใช่ อาหลิวใจเย็น ๆ ก่อน ตอนนี้หงส์ก็เร่งแผนการอยู่ อีกไม่กี่วันจุ้ยอั้ยเต๋อ ต้องท้าเล่นกับต้าอีกแน่ ๆ”

   “ใช่ค่ะ ถ้าเราเพียงแต่ตัดแหล่งสร้างเงินหมุนเวียนของจุ้ยอั้ยเต๋อได้ เราก็มีโอกาสจัดการมันได้ง่ายขึ้นนะคะ”

   “แต่ตอนนี้พวกมันมีเก๋อหมิงเป็นตัวประกัน อั๊วไม่รู้ว่ามันจะเอามาต่อรองกับพวกเราเมื่อไร แล้วถ้าพวกเด็ก ๆ รู้จะทำยังไง”

   “อาหลิวไว้ใจเฮียนะ หลังจากที่หงส์กับต้าทำตามแผนสำเร็จ เฮียจะช่วยเก๋อหมิงออกมาให้ได้ก่อนที่มันจะได้ทันทำอะไร”

   “ใช่ค่ะคุณชายหลิว แผนของคุณกรนั้นรัดกุมและไม่มีช่องโหว่เลย คุณชายหลิวใจเย็นแล้วทำตามแผนต่อไป พวกเราก็จะทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่”

   “ครั้งต่อไป ใครจะลงเล่นแทนจุ้ยอั้ยเต๋อ” วรากรหันไปถามฝู่ไฉ๋ ในสมองก็คิดแผนการออกมาด้วย

   “คนที่พอจะมีฝีมืออยู่ก็น่าจะเป็นจุ้ยเถิงค่ะ เป็นไปได้ว่าทางนั้นอาจจะเรียกตัวจุ้ยเถิงกลับมา”

   “จะมาพร้อมกับหยกรึเปล่า คงต้องรอดูผลงานของไอ้เสือสินะ”

   “ค่ะ จุ้ยเถิงต้องกลับไปที่มาเก๊าเร็ว ๆ นี้แน่”

   “เท่ากับว่า ทั้งจุ้ยอั้ยเต๋อ เซียงไบ่ และจุ้ยเถิง มีแนวโน้มที่จะไปรวมตัวกันอยู่ที่มาเก๊า ถ้าเป็นเวลานั้น อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะบุกเข้าไปชิงตัวเก๋อหมิงกลับมา”

   “เฮีย...” อาหลิวฟังแผนการคร่าว ๆ ของเขา “ถ้าคนของเราไปช่วยเก๋อหมิงกันหมด แล้วทางหงส์ล่ะ? ความปลอดภัยของหงส์ก็สำคัญนะ”

   “ไม่ต้องห่วงไปอาหลิว เฮียจะไม่ทำให้หลิวผิดหวัง ไว้ใจเฮียนะ”

   วรากรรู้ว่าคนของเยี่ยนหวอที่สามารถรับมือคนของจุ้ยอั้ยเต๋อได้นั้นมีไม่มากนัก แต่หากดูจากรูปการณ์ตอนนี้ มันก็ไม่ยากที่เขาจะเรียกคนของเขามาช่วยงานที่นี่ สงครามมาเฟียขนาดย่อม ๆ คงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

.........................................................................

   ผมกลับมาอยู่ห้องของคนที่ชื่อเกรียงไกรดังเดิม โดยคุณลตาเป็นคนพากลับมา ผมฟังภาษาจีนที่พวกนั้นคุยกันไม่ออกสักนิด และพี่เสือก็ไม่สามารถอธิบายอะไรให้ผมฟังได้มากนัก เพราะพวกเรามีเวลากันจำกัด ผมแค่เล่าแผนการที่ผมกับกับคุณลตาจะกลับเข้ามาขโมยเมฆาขาวคืนให้เท่านั้น

   ตอนแรกที่พี่เสือได้ยิน ดูเหมือนพี่เสือจะไม่ยอม จนคุณลตาต้องเข้ามาช่วยพูด พี่เสือจึงยอมทำตามแผนของพวกเรา คุณลตาขอร้องให้พี่เสือช่วยพวกเรา 2-3 เรื่อง จากนั้นก็วางสายไปก่อนคุณลตาลบเบอร์โทรออกล่าสุดทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้คนของจุ้ยเถิงรู้ว่าเธอโทรหาใคร

   “ท่าทางผมจะประมาทคุณไม่ได้เลยนะฝู่หยง” จุ้ยเถิงพูดขณะเดินเข้ามาในห้อง พวกนั้นเปิดประตูห้องค้างไว้ ไม่ยอมให้ผมมีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป

   “คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ แล้วพวกคุณเป็นใครกัน” ผมถามกลับเป็นภาษาอังกฤษ และทำทีไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตามที่คุณลตาบอก

   “ผมขอถามคุณหน่อย ว่าฝู่หงส์อยู่ที่ไหน?”

   “ฝู่หง? ใครกันผมไม่เห็นจะรู้จัก”

   “ก็พี่สาวของคุณยังไงล่ะ?”

   “เจ่เจ้มาเกี่ยวอะไรด้วย แล้วคุณรู้จักเจ่เจ้ได้ยังไง ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่”

   “ดูเหมือนว่าฝู่หงส์คงไม่ได้เล่าอะไรให้คุณฟังเลยสินะ?”

   “คุณหมายความว่ายังไง?”

   “ผมถามใหม่ก็แล้วกัน ว่าไอ้สิ่งนี้มันใช้งานยังไง” จุ้ยเถิงชูเมฆาขาวขึ้นมา เมฆาขาวของผม ผมจึงกระโจนเข้าไปเพื่อจะแย่งมันกลับมา

   “เอาของ ของผมคืนมานะ” ผมเอื้อมขึ้นไปสุดความสูงแต่ก็ยังคว้าไม่ถึง แม้นิ้วมือจะสัมผัสเมฆาขาวเพียงเล็กน้อย ความรู้สึกที่รุนแรงของคนตรงหน้าก็พุ่งเข้าใส่ผม จนผมต้องผงะถอยหลังออกมา

   “มันไม่ใช่ของคุณอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันเป็นของผม และหากคุณอยากจะได้มันคืน คุณต้องทำตามคำสั่งผมเท่านั้น”

   “คำสั่งอะไร?”

   “ฝู่หงส์อยู่ไหน?”

   “เจ่เจ้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ถึงถามผม ผมก็ไม่รู้ว่าเจ่จเอยู่ที่ไหน?”

   “แล้วของสิ่งนี้ใช้งานยังไง”

   “ผมไม่เข้าใจ หยกนั่นก็แค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ผมห้อยไว้เพื่อระลึกถึงพ่อกับแม่เท่านั้น มันจะเอาไปใช้งานยังไงได้”

   “นี่คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามันมีอำนาจอะไรซ่อนอยู่”

   “มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

   “จะไม่มีอะไรได้ยังไง ในเมื่อผมเห็นคุณเคยใช้มันเรียกลูกค้าเข้าร้านอาหารนั่น เวลาที่คุณทำงานอยู่”

   “ใช้มันเรียกลูกค้าอย่างนั้นเหรอ?” ผมถึงกับงงเมื่อไอ้ฝรั่งนั่นพูดมาได้ว่าผมใช้เมฆาขาวเรียกลูกค้า คงเพราะข่าวลือเรื่องเมฆาขาวที่เจ็กลู่เคยเล่าให้ฟังสินะ มันถึงได้คิดเองเออเองเอาแบบนี้

   “ว่ายังไงล่ะ คิดไม่ถึงใช่ไหมที่ผมรู้ทันเรื่องที่คุณปกปิดเอาไว้”

   “ใช่ที่ไหนล่ะ ที่คนเข้าร้านเยอะตอนที่ผมทำงานก็เพราะเขาตามผมมาจากไอจีต่างหาก ผมดังขึ้นเพราะถ่ายโฆษณา เลยมีแฟนคลับตามมาต่างหาก”

   “ถ้าอย่างนั้นทำไม คุณต้องมีบอร์ดีการ์ดคอยตามอารักขาอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนตั้งใจจะแย่งชิงหยกวิเศษนี้”

   “ถ้าจะมีใครขโมยมันก็มีแต่คุณนั่นแหละ มันก็แค่หยกธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น แล้วผมจะบอกให้คุณรู้ไว้นะ ที่ผมมีบอร์ดีการ์ดคอยดูแลตามรับตามส่งก็เพราะต้นสังกัดจ้างเขามาดูแลความปลอดภัยให้กับผม ป้องกันพวกแฟนคลับโรคจิตที่คิดจะฉุดผมเหมือนอย่างคนในรูปนี้ต่างหาก” ผมพูดพร้อมทั้งชี้ไปยังรูปนายเกรียงไกรที่แขวนไว้เหนือหัวเตียง

   ผมเห็นจุ้ยเถิงมึนงง เหมือนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินหนีออกจากห้องไป ส่วนผมเองก็ใจเต้นระส่ำ เพราะผมไม่เคยที่จะโวยวายเกรียวกราดขนาดนี้มาก่อน นั่นเพราะคุณลตาบอกว่าจุ้ยเถิงรับมือกับคนขี้วีนได้ไม่นาน แต่จะรับมือกับคนที่ใจเย็นอย่างผมได้เป็นอย่างดี

   การที่ทำอะไรที่ไม่เป็นตัวของตัวเองนี่เหนื่อยเอาการ ผมนับถือคนอย่างเจ็กลู่แล้วก็คุณลตาจริง ๆ ที่ต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเองนาน ๆ เป็นเวลาหลาย ๆ ปี

To Be Continue




ช่วงนี้ใช่เวลาศึกษาวีธีเล่นโปกเกอร์อยู่ ถ้าข้อมูลผิดพลาดตรงไหน

ติชม แนะนำ ด้วยนะคะ Amo เล่นไพ่ไม่เป็นจ้า
หัวข้อ: Re: หยก 19-08-18 {{:::58:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-08-2018 20:07:08
ตื่นเต้นไปด้วย แต่ละฝ่ายก็มีแผนของตัวเอง อย่าให้ใครเป็นอะไรจากเหตุการครั้งนี้น้าาาา
หัวข้อ: Re: หยก 19-08-18 {{:::58:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-08-2018 23:28:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 19-08-18 {{:::58:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-08-2018 06:12:16
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-18 {{:::59:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 29-09-2018 12:11:33
59





   พยัคฆ์ วรรณา เอ ต้า นั่งรอเวลาอยู่ในห้องประชุมเล็กข้างห้องของวรากร ซึ่งใกล้เวลานัดหมายเข้ามาทุกที นั่นยิ่งทำให้พยัคฆ์เริ่มนั่งไม่ติด เขารู้สึกร้อนรนเหมือนไม่สามารถทนต่อไปได้อีกสักแม้นาทีเดียว ตอนนี้หยกกำลังเสี่ยงอยู่

   ในบรรดาสามพี่น้อง หยกที่เป็นทายาทโดยชอบธรรม ผู้ที่มีสิทธิ์ในเยี่ยนหว๋อมากที่สุด ตอนนี้กลับตกอยู่ในมือของจุ้ยเถิง แล้วไหนจะความดื้อรั้นไม่ยอมฟังเขาอีก ถ้ากลับมาคราวนี้คงต้องลงโทษที่ดื้อดึง แถมยังเห็นคนอย่างลตาดีกว่าเขาอีก

   สัญญาณภาพบนจอทีวีขนาดใหญ่ปรากฎภาพขึ้นมา อากรอยู่ในจอพร้อมกับอาชาติ ทางด้านหลังมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนสำรวมอยู่

   ‘เก่งกับคียังไม่ตอบกลับมาอีกเหรอ?’ อากรถามออกมา

   “วรรณเรียกสัญญาณไปแล้วค่ะ สักครู่นะคะ ที่นั่นอาจจะสัญญาณไม่ค่อยดีเท่าไร”

   ‘เฮ้ย!! ไอ้เก่ง ๆ ได้แล้วเว้ย ๆ ติดแล้ว ๆ’ คีที่อยู่บนหน้าจอ หันไปบอกเก่งที่น่าจะอยู่ใกล้ ๆ กัน

   “มาครบแล้วค่ะเจ้านาย”

    ‘ดี เข้าเรื่องเลยนะ ที่ฉันต้องเรียกพวกนายประชุมรวมด่วน เพราะอาหลิวไปพบกับคนสำคัญของพี่น้องชูวณาสุวรรณเข้า’

   “ใครกันครับ” พยัคฆ์ถามอย่างสงสัย

   ‘ฝู่เก๋อหมิง พ่อของทั้งสามคน ตอนนี้ถูกจับอยู่ในห้องลับ ที่บ้านตระกูลฝู่ แต่จะบอกว่าขังคงไม่ใช่สักทีเดียว เพราะตอนนี้เก๋อหมิงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่’

   “ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าจุ้ยอั้ยเต๋อมีฝู่เก๋อหมิงเป็นตัวประกัน” เอออกความเห็น

   ‘แล้วบอสมีแผนอะไรใช่ไหมครับ ถึงให้เราประชุมรวมกันแบบนี้’ เก่งที่อยู่ปลายสายอีกด้านถามออกมา

   ‘ทางด้านเยี่ยนหว๋อที่ฮ่องกง ฉัน อาหลิว และฝู่ไฉ๋ จัดการได้ ส่วนทางด้านต้นกับหงส์ที่อยู่ที่มาเก๊า ตอนนี้ค่อนข้างเสี่ยง เพราะต้นโกยเงินพวกมมันมาได้หลายสิบล้านแล้ว อีกไม่นานจุ้ยอั้ยเต๋อน่าจะตามจุ้ยเถิงกลับไป เพื่อท้าพนันกับต้นอีกครั้ง’

   “เป็นไปได้ว่าจุ้ยเถิงอาจจะพาหยกกลับไปตอนนั้นเลย เพราะหยกยังอยู่ในมือพวกมัน” พยัคฆ์เริ่มเครียดกับความคิดของตนเอง

   ‘ใช่ และฉันปรึกษากับอาหลิวแล้วว่า ปล่อยให้จุ้ยเถิงพาหยกไปมาเก๊า อาเชื่อว่าลตาต้องตามมาด้วยแน่ ๆ’

   ‘คุณลตาเป็นคนของจุ้ยเถิง ไม่ใช่คนของเจ้าสัวเหรอครับ โหย...พลิกล็อคว่ะมึง สาวสวยหักหลังเจ้าสัวซะแล้ว’ เก่งวิจารณ์กับคีอย่างสนุกปากอยู่อีกด้านหนึ่ง

   “ใช่ที่ไหนล่ะมึง คุณลตาน่ะ พวกเราโว้ย” ต้าได้ทีรีบสำทับกลับ

   ‘เป็นไปได้ไงว่ะ บอสจ้างคุณลตาเท่าไร เธอถึงยอมหักหลังทั้งเจ้าสัว ทั้งจุ้ยเถิง มาเป็นพวกกับเรา’

   “คุณกรไม่ได้เสียเงินจ้างยัยนั่นแม้สักแดงเดียวย่ะ ยัยนั่นดันเป็นทายาทเหมิ๋นน่ะสิ” คุณวรรณที่ไม่ชอบคุณลตาอยู่แล้วได้แต่พูดออกมาอย่างหมั่นไส้

   ‘ใช่ คุณลตา หรือเหมิ๋นหลี่ต๋า เธอมาตีสนิทฉันเพื่อตาหาพี่น้องชูวณาสุววรณ’

   ‘ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นคุณลตานี่เอง ที่ส่งข่าวให้ก๋งเหมิ๋นไปรับคุณโบตั๋นที่โรงแรม’ คีเริ่มจับต้นชนปลายได้สรุปออกมา

   “ใช่แล้ว และตอนนี้คุณลตากำลังทำหน้าที่ดูแลคุณหยกแทนพวกกูอยู่” เอพูดขึ้นมาสีหน้าสลดกับความผิดพลาดของตัวเอง

   ‘ดังนั้นตอนนี้เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยให้หยก ลตาเดินทางไปมาเก๊า’ วรากรสรุปออกมา ถึงพยัคฆ์ไม่ยอมรับก็ทำอะไรไม่ได้

   ‘เท่าที่ฉันฟังสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คุณวรรณเล่ามา เป็นไปได้ว่าจุ้ยเถิงจำหน้าคุณเสือ เอ และต้าได้ ดังนั้น ทั้งสามคนเตรียมเดินทางมายังฮ่องกงให้เร็วที่สุด’ อาชาติสั่งงานบ้าง

   “ผมจะไปมาเก๊า” มีหรือเขาจะยอมให้หยกคลาดสายตาอีก

   ‘ไม่ได้ ไอ้เสือ แกอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ทำตามที่อาหลิวบอก และไม่ต้องเป็นห่วงที่มาเก๊า’

   “ผมจะไม่ห่วงเลย ถ้าความรู้สึกของจุ้ยเถิงไม่มีผลกระทบกับหยก”

   ‘คุณเสือว่ายังไงนะครับ เฮ้ย!! คี มึงคิดอย่างที่กูคิดป่าวว่ะ?’ เก่งหันไปถามคีที่นั่งข้าง ๆ กัน

   ‘เรื่องนั้น คุณเสือไม่ต้องเป็นห่วง เมฆาขาวยังอยู่ในมือจุ้ยเถิง ดังนั้นหยกจะไม่เป็นอะไร เก่งกับคีไปสมทบต้ากับคุณหงส์ให้เร็วที่สุด’ อาชาติยังคงสั่งงานต่อ

    ‘จำไว้ว่า ตอนนี้ต้นปลอมตัวเป็นคุณเสือ ส่วนหงส์เปลี่ยนชื่อเป็นนภา ภรรยากำมะลอของต้น และในห้องพักของทั้งสองคนก็มีเครื่องดักฟังซ่อนเอาไว้’ อากรกำชับทั้งสองคนอีกครั้ง

   “แล้ววรรณละคะคุณกร”

   ‘ผมเห็นคุณอยากทำงานนั่งโต๊ะ ผมเลยไม่ได้แบ่งหน้าที่ให้คุณ’

   “คุณกรล้อวรรณเล่นใช่ไหมค่ะ?”

   ‘ถ้าจุ้ยเถิงให้คนมาเฝ้าที่บริษัทฯ เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะจำคุณได้ ถ้าอย่างนั้นคุณมาช่วยผมที่นี่ก็แล้วกัน อาหลิวจะได้ไปช่วยหงส์กับหยกที่มาเก๊า’

   ‘เฮ้ย เจ้ได้ออกโรงแล้ว เสียดายที่พวกผมต้องไปมาเก๊า ไม่อย่างนั้นผมคงได้เห็นเจ๊แสดงฝีมือ’ เก่งพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

   ‘เจ้านายครับ ผมขอกลับมาเรื่องของจุ้ยเถิงอีกทีนะครับ’

   ‘ว่าไงคี?’

   ‘ผมสงสัยว่า จุ้ยเถิงอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่เราตามหาอยู่ คนที่สามารถชำระล้างเมฆาขาวได้’ ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึง และนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่

   ‘นายหมายความว่ายังไง คนสุดท้าย เราต้องตามหาอีก 2 คนไม่ใช่เหรอ’ อาชาติที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อนถามขึ้น

   ‘คนแรกเรารู้กันดีว่าคนคนนั้นคือคุณพยัคฆ์ ที่สามารถชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์คู่มังกรได้ และหลานสาวของก๋งเหมิ๋น หรือก็คือคุณลตา สามารถชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์คู่หงส์ได้ เหลือก็แต่คู่เต่ามังกร’

   ‘ฝู่ไฉ๋ เธอพอจะหาวันเดินปีเกิดของจุ้ยเถิงได้ไหม’ อาชาติหันไปคุยกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง

   ‘ได้ค่ะ คุณชายหลิว’ หญิงคนนั้นตอบรับ ก่อนเดินหายออกไปจากหน้าจอ

   “หมายความว่ายังไงกันครับ แล้วมึง ไอ้เก่ง ไอ้คี พวกมึงรู้ได้ยังไงว่ะ ว่าไอ้หมอนั่นมันทำอย่างคุณเสือได้” ต้าถามคนให้จอทั้งสองจอสลับกันไปมา

   ‘ก็ถ้าคุณหยกสามารถสัมผัสอารมณ์ที่รุนแรงของมันได้ ก็แสดงว่ามันคือคน ๆ นั้น เหมือนคราวที่คุณหยกสัมผัสความรู้สึกของคุณพยัคฆ์ได้ยังไงล่ะว่ะ’ เก่งอธิบายออกมา
   “กูไม่เข้าใจ สัมผัสอะไร” เอก็งงไม่ต่างอะไรกับต้า

   “เรื่องนี้เดี๋ยวเจ๊อธิบายให้พวกแกฟังทีหลัง แต่นายสองคนรู้ได้ยังไงว่ายัยลตาเป็นผู้ที่ชำระล้างเมฆาขาวได้เหมือนกันในเมื่อคุณหยกไม่เคยจับความรู้สึกอะไรในตอนที่เจอหล่อนเลย” คุณวรรณแทรกขึ้นมาในเรื่องที่เธออยากรู้ หรือไม่ก็อาจจะอยากหาเรื่องคุณลตามากกว่า

   ‘เท่าที่ผมรู้มา คนที่บ้านเหมิ๋นทุกคน หรือแม้แต่ลูกจ้าง ก่อนที่จะเข้าทำงานที่บ้านเหมิ๋นได้ ต้องได้รับการฝึกฝนในการปิดกั้นความรู้สึกของตนเอง ตอนที่คุณโบตั๋นเจอคนของก๋งเหมิ๋นแรก ๆ เธอก็ไม่สามารถสัมผัสจิตของคนพวกนั้นได้เลย’ คีอธิบาย

   ‘ฉันก็เคยได้ยินเหล่าฝู่เล่าให้ฟังเหมือนกัน ว่ามันมีวิธีการฝึกแบบนั้นอยู่’ อาชาติช่วยเสริมข้อมูลของคี

   “กูว่าเรื่องนี้มันชักจะยังไง ๆ แล้วว่ะมึง” เอหันไปกรซิบกระซาบกับต้า เหมือนพอจะเดาอะไรๆ ได้จากการสนทนารวมครั้งนี้

   ‘เอาล่ะ สรุปตามแผนการนี้ไปก่อน ส่วนเรื่องจุ้ยเถิงนั้นจะเอายังไงค่อยว่ากันทีหลัง ส่วนไอ้เสือ เรื่องหยกไม่ต้องห่วง อาหลิวดูแลหยกได้ แกมาช่วยฉันกับคุณวรรณพาตัวเก๋อหมิงออกมาจากที่นั่นให้ได้ เข้าใจไหม’

   “ครับ” พยัคฆ์รับคำอย่างอดไม่ที่จะยังเป็นห่วงหยก

   ‘เรื่องนี้จะให้ผมบอกคุณโบตั๋นว่ายังไงดีครับ’ เก่งเอ่ยถามก่อนจะวางสาย

   ‘บอกไปตามความจริง นายก็รู้ว่านายโกหกโบตั๋นไม่ได้หรอก’ อาชาติสรุปก่อนตัดสายไป ทางด้านเก่งเองก็เช่นกัน ในห้องประชุมนี่จึงเหลือแต่ความเงียบ

   “เจ๊ อยากบอกนะว่าคุณ ๆ เขามีญาณทิพย์กันน่ะ?” เอเอ่ยถามในที่สุด

   “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เดี๋ยวฉันจะเล่าให้พวกแกฟังเองก็แล้วกัน” คุณวรรณพูดพร้อมเดินไปปิดทีวีจอใหญ่ที่พวกเขาใช้คุยกันเมื่อครู่นี้ ก่อนกวักมือเรียกคนทั้งสองออกไปคุยกันข้างนอก ปล่อยให้พยัคฆ์นั่งอยู่คนเดียวในห้อง

   เขา ลตา จุ้ยเถิง กลายเป็นคนที่จะมาชำระเมฆาขาวได้อย่างนั้นเหรอ ทำไมเรื่องมันถึงได้กลัยตาลปัตรไปได้ขนาดนี้

........................................................................

    เพ็ญนภาเข้าไปที่บ้านคุณหญิงตามปกติ ซึ่งวันนี้นอกจากจะเข้าไปทำงานที่หงส์ทำค้างไว้แล้ว เธอยังต้องไปเป็นพยานยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเกรียงไกรกับหยกอีกด้วย

   ระหว่างที่เธอนั่งทำงานอยู่นั้น เธอสังเกตได้ถึงความกระสับกระส่ายที่เกิดขึ้นกับคุณษา คนเป็นแม่อย่างเธอก็คงเป็นห่วงลูกเป็นธรรมดา เพียงแต่วิธีเลี้ยงลูกของเธอมันเป็นการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกวิธีเท่านั้นเอง และในตอนนี้คุณหญิงถึงกับออกปากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้ว เกรียงไกรคงจะไม่รอดพ้นความผิดที่ก่อไปได้แน่

   ตอนที่คุณสุพรรณษาและคุณหญิงพรรณีได้ฟังเรื่องนี้จากปากของเธอ ทั้งสองแทบจะเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ไหนจะเรื่องที่คุณเกรียงไกรไปฉุดน้องของหงส์ แล้วที่สำคัญคนที่ฉุดมานั้นกลับเป็นผู้ชายเสียด้วย คนหัวโบราณอย่างคุณหญิงมีหรือจะรับเรื่องราวแบบนี้ได้

   “คุณผู้หญิงค่ะ คุณหญิงให้มาเรียนเชิญ คุณผู้หญิงกับคุณเพ็ญไปพบที่ห้องรับรองแขกค่ะ” เด็กในบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกในห้อง

   “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

   เธอและคุณษาต่างพากันเดินมายังห้องรับแขก โดยเธอเดินตามหลังคุณษามาติด ๆ เมื่อก้าวเข้าห้องไป เธอก็เห็นนายเกรียงไกรนั่งอยู่ที่โซฟาตัวหนึ่ง คุณหญิงนั่งอยู่ที่โซฟายาวตัวหนึ่ง ข้าง ๆ กันมีนายตำรวจซึ่งดูจากดาวประดับบนบ่าแล้ว น่าจะยศสูงไม่เบา นั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวข้าง ๆ คุณหญิง

   คุณสุพรรณษาเดินเข้าไปนั่งโซฟาเดี่ยวตัวข้าง ๆ นายตำรวจผู้นั้น เธอจึงเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวตรงฝั่งข้ามแทน เมื่อเธอนั่งลง คุณหญิงจึงเริ่มพูดขึ้น

   “ที่ฉันตามเธอมาที่นี่ เพราะฉันรู้เรื่องที่เธอไม่ดีไม่งามเอาไว้” คุณหญิงเอ่ยขึ้นกับเกรียงไกร “แต่ก่อนที่ฉันจะตัดสินอะไรลงไป ฉันก็จะให้โอกาสเธอได้พูดแก้ต่าง เพื่อความยุติธรรม”

   “คุณหญิงยายจะให้ผมพูดแก้ต่างในเรื่องอะไรกันครับ ในเมื่อผมไม่ได้ทำความผิดอะไร”

   “แน่ใจนะพ่อ แต่เรื่องที่ฉันได้ยินมาเกี่ยวกับเธอมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ หรือเรื่องที่เธอทำ เธอคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร?”

   “ถ้าการเที่ยวเตร่ ไม่ทำงานทำการ เป็นเรื่องที่มีความผิดในสายตาคุณหญิงยาย ผมก็ยอมรับว่าผมทำความผิดครับ แต่เรื่องนี้ไม่เห็นจะต้องเชิญคุณลุงวิทย์มาเลยนี่ครับ”

   “อืม...ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องให้แม่เพ็ญช่วยเล่าแล้วล่ะ พ่อวิทย์ได้ฟังแล้วก็ช่วยฉันตัดสินด้วยก็แล้วกัน”

   “ครับคุณหญิง”

   เพ็ญนภาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่พังงาให้คุณหญิง คุณษา ฟังอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีนายตำรวจยศสูงและคนก่อเรื่องร่วมรับฟังด้วย เมื่อเธอเล่าจบ เกรียงไกรก็ได้แต่หน้าซีด แต่ก็ยังยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด

   “ผมไม่เคยทำความเดือดร้อนให้คุณเพ็ญนภา แล้วคุณมากล่าวหาผมแบบนี้ได้ยังไงกัน” เกรียงไกรหันมาต่อว่าเธอ

   “พ่อวิทย์ เธอมีอะไรมาบอกฉันไหมวันนี้”

   “ครับคุณหญิง จากที่ผมสอบถามรุ่นน้องที่สถานีต้นเรื่อง ในวันนั้นมีนักท่องเที่ยวเมาแล้วทำร้ายคุณหยกและคุณโบตั๋นจริง ๆ อย่างที่คุณเพ็ญนภาเธอเล่าครับ และจากที่สืบได้ คนที่เข้ามาทำร้ายคุณ ๆ เป็นคนงานในปางไม้ของเจ้าสัวเซียงครับ ตอนนี้ผมประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในท้องที่ตามจับคนพวกนั้นอยู่”

   “นะ...นั่น นั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย ไอ้พวกนั้นมันไปเที่ยวแล้วไปมีเรื่องกันเอง” นายเกรียงไกรยังคงเถียงไม่ยอมรับ

   “แต่ภาเห็นคุณเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมที่พวกทีมงานพักกันอยู่นะคะ”

   “ถึงผมจะไปเที่ยวที่นั่น ก็ใช่ว่าผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นี่”

   “แม่เพ็ญ...”

   “ค่ะคุณหญิง”

   “ให้เพื่อนหล่อนเข้ามาได้แล้วละมั้ง”

   “ถ้าอย่างนั้นภาขอตัวสักครู่นะคะ” เธอบอกกับคุนในห้อง ก่อนจะเดินไปยังเรือนรับรองหลังเล็กที่อยู่ติดกับตัวบ้าน เกรียงไกรคงจะไม่รู้ว่าเธอเข้ามาที่บ้านหลังนี้พร้อมกับคุณโอ๋และนายเมฆ

   “อ่าว คุณภา คุณหญิงท่านพร้อมแล้วใช่ไหมค่ะ?” โอ๋ถามทันทีที่เธอเปิดประตูเข้าไป

   “ใช่ค่ะคุณโอ๋ เชิญคุณเมฆด้วยเลยนะคะ”

   “ให้ยัยโอ๋แต่งหน้าทำผมคุณหญิงให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ แค่บอกผมว่าคุณหญิงท่านจะถ่ายรูปมุมไหน ผมจะได้เอาไฟไปจัดรอ”

   “ท่านจะถ่ายในห้องรับแขกค่ะ ตอนนี้คุณสุพรรณษาและคุณเกรียงไกรก็รออยู่ เชิญคุณเมฆเลยดีกว่า อย่าให้ผู้ใหญ่ท่านต้องรอนาน ส่วนเรื่องอุปกรณ์ เดี๋ยวให้เด็กในบ้านมาช่วยยกตามหลังไปก็ได้ค่ะ”

   “ใช่แล้วแก มาถึงบ้านคุณหญิงก็ต้องไปแนะนำตัวฝากเนื้อฝากตัวกับเขาก่อนสิแก” คุณโอ๋ช่วยพูดอีกแรงคุณเมฆจึงยอมเดินตามมาแต่โดยดี

   เมื่อมาถึงห้องสอบสวนชั่วคราว คุณโอ๋ก็นั่งลงข้าง ๆ กันกับเธอ ส่วนเมฆไปนั่งข้างนายเกรียงไกรอย่าเสียมิได้ เมฆมีท่าทีผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นตำรวจนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

   “กราบสวัสดีค่ะคุณหญิง ดิฉันอมรรัตน์ เป็นช่างแต่งหน้าที่ทำงานร่วมกับคุณเพ็ญนภาเธอบ่อยๆ ค่ะ” คุณโอ๋แนะนำตัว เมฆจึงทำตาม

   “สวัสดีครับคุณหญิง ผมธนรัตน์ เป็นช่างภาพครับ”

   “อืม...คนนี้สินะที่ถ่ายภาพตาหยกออกมาได้สวยราวกับผู้หญิงจนตาเกรียงพออกพอใจ” คุณหญิงเปรยขึ้นมา

   “ใช่ค่ะคุณหญิง เมฆถ่ายรูปให้น้องหยกงานนั้น น้องก็ดังขึ้นมาจนมีอีกหลายบริษัทฯ สนใจจะจ้างน้องไปเป็นพรีเซ็นเตอร์” คุณโอ๋อธิบายเพิ่ม

   “งานที่พังงาใช่ไหม คุณอมรรัตน์”

   “คะคุณหญิง”

   เธอเห็นสีหน้าของเกรียงไกรและเมฆค่อย ๆ เผือดลง เมฆที่ยังนิ่งเพราะไม่รู้เรื่องราวในห้องก่อนหน้านี้ แต่คนที่มีขนักติดหลัง ไม่แคล้วก็ต้องเผยพิรุจออกมา

   “ถ้าอย่างนั้นทั้งคุณอมรรัตน์ คุณธนรัตน์ ตาเกรียง และตาหยกก็ต่างอยู่ที่พังงาพร้อม ๆ กันเลยอย่างนั้นสินะ”

   “คะคุณหญิง ก็พวกเราไปทำงานกันนี่ค่ะ คุณภาเธอก็ไปด้วยนะคะ รวมถึงครอบครัวน้องหยกและครอบครัวของคุณพยัคฆ์”

   “ไปทำงานแล้วยังได้ไปเที่ยวพักผ่อน ดีจริง ๆ เลยนะ ว่าไหมคุณธนรัตน์”

   “คะ...ครับ”

   “คุณทราบไหมว่าเขาไปกันเป็นครอบครัวใหญ่”

   “ผมทราบแค่ครอบครอบน้องหยกเดินทางไปด้วยกันกับคุณภา แต่ไม่ทราบว่ามีอีกครอบครัวหนึ่ง”

   “คราวนั้น คุณพยัคฆ์เกิดไปมีเรื่องวิวาทกับตาเกรียงเข้า เห็นทนายบอกว่าตาเกรียงมีคุณเป็นพยานว่าเขาถูกคุณพยัคฆ์ทำร้ายนี่นะ”

   “เออ...คือผม...”

   “คุณธนรัตน์กับคุณเกรียงไกรรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นรึ?” คุณหญิงไล่ต้อนจนนายเมฆจนมุมพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองหน้าเกรียงไกรเลิกลัก

   “คะ...คุณหญิงยาย คือผมกับเมฆเราเจอกันที่ผับบ่อย ๆ ละ...แล้วที่พังงาก็บังเอิญเจอกันเท่านั้น”

   “แล้วคุณธนรัตน์...คุณเห็นกับตาใช่ไหม ว่าตาเกรียงโดนคุณพยัคฆ์ซ้อม?”

   “ผะ...ผม...”

   “หะ...เห็นสิ เช้าวันนั้นฉันยังเจอแกอยู่เลย?”

   “เช้า?” คุณหญิงทวน “แม่เพ็ญ คุณอมรรัตน์ ไหนว่าเขาชกต่อยกันตอนดึกไม่ใช่หรือ?”

   “ใช่ค่ะคุณหญิง น้องหยกโดนทำร้ายหลังจบจากงานเลี้ยงที่กองถ่ายจัดฉลองเสร็จงาน ดีที่คุณพยัคฆ์ไปช่วยได้ทัน” คุณโอ๋ยืนยัน

   “เธอรู้ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยสักหน่อย” เกรียงไกรขึ้นเสียงใส่คุณโอ๋

   “ตาเกรียง เสียมารยามกับแขกของฉันได้ยังไง” คุณหญิงเอ็ดเข้าให้ “เอาล่ะ พ่อวิทย์ ฟังเรื่องราวแล้ว เธอพอจะช่วยฉันตัดสินได้ไหม?”

   “คุณหญิงยาย!!”

   “ตาเกรียง พอเถอะ พยานหลักฐานมีพร้อม ลูกดิ้นไม่หลุดหรอกนะ ยอมรับความผิด โทษหนักจะได้เป็นเบา” คุณสุพรรณษาพูดน้ำตาคลอ

   “แม่ พยานอะไร หลักฐานอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น”

   “เรื่องที่คุณเกรียงไกรกับเพื่อนได้ก่อเหตุเอาไว้ มีหลายมุมที่กล้องวงจรปิดของทางโรงแรมกับภาพไว้ได้ พยานคนหนึ่งก็โดนพวกคุณตีจนสลบแถว ๆ สระว่ายน้ำ คุณดิ้นไม่หลุดหรอกครับ ยอมรับผิดเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ดีกว่าจะถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับนายธนรัตน์นะครับ”

   “ลุงวิทย์หมายความว่ายังไง?”

   “ผมว่าคุณน่าจะรู้ ว่าเพื่อนของคุณมีอาชีพเสริมอะไร”

   เพ็ญนภามองหน้านายเกรียงไกรและนายเมฆที่ซีดลง คงไม่คิดว่าคุณหญิงจะให้ความยุติธรรมกับหยกได้ เธอเองก็ดีใจที่ต่อไปนี้ จี๊ดรวมทั้งเด็กคนอื่น ๆ จะหลุดพ้นจากนายเมฆสักที   
 
To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-18 {{:::59:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-09-2018 14:00:40
อ่านทีไร ก็ตื่นเต้นเหมือนเดิม ไม่อยากรอนานๆ แล้วน้าาา
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: หยก 29-09-18 {{:::59:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 06-10-2018 19:18:08
ดัน
หัวข้อ: Re: หยก 1-11-18 {{:::60:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 01-11-2018 12:41:46
60





   โบตั๋นรู้เรื่องที่หยกถูกจุ้ยเถิงจับตัวไปจากพี่เก่ง และยังรู้อีกว่าคุณลตาที่ทุกคนต่างหวาดระแวงกลับกลายเป็นพวกเดียวกับเธอไปซะได้ ที่สำคัญคุณลตายังเป็นหลานบุญธรรมของกงเหมิ๋นอีกต่างหาก

   “คุณโบตั๋นไม่ต้องห่วงคุณหยกนะครับ ผมเชื่อว่าคุณหยกเอาตัวรอดได้” พี่คีพูดปลอบใจเธอ เธอไว้ใจหยก เธอรู้หยกจะปลอดภัย แต่สิ่งที่เธอกังวลไม่ใช่เรื่องจุ้ยเถิง

   “ผมมีเรื่องสงสัย ถ้าจุ้ยเถิงมีความรู้สึกที่รุนแรง วันนั้นที่เขาสะกดรอยตามรถคุณภา ทำไมคุณหงส์และคุณโบตั๋นถึงไม่รู้สึกอะไร” พี่เก่งถามสิ่งที่เธอคาใจอยู่

   “ตั๋นเองก็ไม่แน่ใจค่ะ อันที่จริงแล้วตั๋นยังไม่เก่งถึงขนาดที่จะรับรู้ความรู้สึกของใครได้ในระยะไกล ถ้ากับเจ่เจ้ ตั๋นไม่รู้เลยว่าเจ่เจ้รู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

   “วันนั้น จุ้ยเถิงอาจจะไม่ได้อยู่บนรถนั่นก็ได้นะ” พี่คีตั้งข้อสังเกต

   “อืม ก็อาจจะจริง สุดท้ายคงต้องรอคำยืนยันจากทางบอสแล้วล่ะ”

   “ระหว่างนี้ คุณโบตั๋นอยู่กับคุณลลินทร์และเหล่าเหมิ๋นได้ใช่ไหมครับ” พี่คีหันมาถามเธอ

   “ใจจริงตั๋นอยากตามไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าต้องตามหาหยกคู่กิเลน”

   “การที่คุณโบตั๋นอยู่ที่นี่ช่วยคุณลลินทร์ น่าจะได้ผลเร็วกว่าให้พวกเขาตามหากันเองนะครับ” พี่คีพูดพร้อมทั้งส่งแทบเล็ตให้เธอ ในนั้นมีข้อมูลที่พี่คีรวบรวมไว้

   “ค่ะ ตั๋นเข้าใจ ตั๋นฝากพี่ ๆ ดูแลเจ่เจ้ด้วยนะคะ”

   “อีกไม่นาน เรื่องทางโน้นก็น่าจะเรียบร้อยดี ทางคุณภาก็จัดการนายเมฆกับนายเกรียงแล้ว ที่เหลือคงต้องพึ่งคุณโบตั๋นแล้วนะครับ” พี่เก่งพูดเหมือนกับจะให้กำลังใจ ทั้งที่ฟังดูกดดันไม่ใช้น้อย

   “ขอบคุณพวกพี่ๆ มากนะคะ ที่ช่วยดูแลตั๋นมาตลอดตั้งแต่ที่ไทย จนมาถึงที่นี่”

   “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ อีกอย่างเพราะคุณๆ เป็นกันเองและมีน้ำใจกับพวกเรามา”

   “ใช่ครับ ถ้าไม่ติดว่าคุณๆ เป็นญาติกับบอสนะ ผมคงเรียกทั้งคุณหยก คุณโบตั๋นเป็นน้องแล้วล่ะครับ”

   “พูดถึงก็ทำให้นึกถึงขนมฝีมือคุณหงส์กับคุณหยกนะ” พี่เก่งหันไปพูดกับพี่คี

   “เสียดายที่ตั๋นทำอาหารไม่เป็น ไม่งั้นตั๋นจะทำให้ทาน”

   ทั้งพี่เก่งและพี่คีทำท่าทางขนลุกจนเธอหมั่นไส้ ไม่ต้องแสดงออกกันขนาดนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงความไม่มั่นใจในฝีมือการรทำอาหารของเธอจากคนทั้งสองตรงหน้า จากนี้ไปเธอต้องอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วสินะ

........................................................................

     ผมกับคุณลตาคุยอะไรกันไม่ได้มากระหว่างที่ผมอยู่ที่คอนโดของนายเกรียงไกร แต่ผมก็อยู่ในสายตาของคุณลตาตลอด ที่จริงแล้วผมควรจะเป็นห่วงเธอมากกว่า แทนที่เธอจะมาคอยเป็นห่วงผมแบบนี้

   จุ้ยเถิงมักจะคุยกับคนของเขาเป็นภาษาจีน ทำให้ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นวางแผนที่จะทำอะไรกันต่อไป ผมทราบจากคุณลตาว่า เจ้าสัวเซียงอยู่ที่มาเก๊า ผมจึงเริ่มประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้บ้างแล้ว แต่ที่ผมไม่รู้คือ เจ่เจ้วางแผนอะไรไว้

   ผมสังเกตเห็นว่าคนของจุ้ยเถิงกำลังเก็บของกันอยู่ เหมือนกับจะย้ายออกจากที่นี่ จุ้ยเถิงคุยอะไรกับคุณลตาสองสามประโยค คุณลตาก็เดินออกจากห้องไป ตอนนี้เท่าที่ผมจะทำได้ ก็เพียงแต่จับสังเกตว่าจุ้ยเถิงเก็บเมฆาขาวของผมเอาไว้ที่ไหน

   พอถึงเวลาค่ำคนของจุ้ยเถิงก็เดินเข้ามาพาผมออกไป ทั้งสองประกบผมทั้งซ้ายขวา คงจะกลัวว่าผมจะขัดขืนหรือหนีไปอีก พวกเขาพาผมมาที่ลานจอดรถ และพาผมขึ้นไปบนรถตู้คันหนึ่ง ในรถคันนั้น คุณลตานั่งรออยู่ข้างในพร้อมกับจุ้ยเถิงก่อนแล้ว

   ระหว่างการเดินทางบนรถตู้ ผมโดนชายสองคนประกบอยู่ตลอด จุ้ยเถิงกับคุณลตาเองก็ไม่ได้พูดหรือคุยอะไร ทำให้ภายในรถมีแต่ความเงียบ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูเส้นทางที่คนขับจะพาพวกเราไป มันมุ่งตรงไปยังสนามบิน ทำให้ผมตกใจไม่น้อย พวกนั้นจะพาผมออกนอกประเทศ โดยที่ผมไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมาเลยได้ยังไง

........................................................................

   พยัคฆ์เดินทางมาถึงฮ่องกง โดยมีฝู่ไฉ๋มาคอยต้อนรับ ลูกสาวของเหล่าฝู่ เธอดูเหมือนจะอายุพอ ๆ กับอากรของเขา เอกับต้าไปรับรอกระเป๋าของพวกเขา ส่วนคุณวรรณดูจะพูดคุยกับฝู่ไฉ๋อย่างถูกคอ

   เขาไม่ได้ข่าวจากคุณลตาเลยแม้แต่น้อย หลังจากครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน เขาไม่เคยกระวนกระวายอยากจะติดต่อคุณลตามากมายขนาดนี้มาก่อน

   “มิสเตอร์คุณ ไม่ต้องกังวลเรื่องเหลาไป่หรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าด้วยความสารมารถของเหลาไป่ เขาต้องเอาตัวรอดได้แน่ ๆ”

   “...” ฝู่ไฉ๋และคนอื่น ๆ ในเยี่ยนหว่อ คงจะเห็นว่าหยกเป็นเจ้านายหรือเป็นผู้นำของเยี่ยนหว่อกันไปแล้ว ถึงได้พูดจาเคารพและให้เกียรติหยกของเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ หรือแม้แต่พบหน้ากันมาก่อน

   “คุณเสือค่ะ”

   “ผมรู้ครับคุณวรรณ ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร”

   “วรรณรู้ว่าก่อนที่คุณหยกจะถูกจับตัวไป คุณเสือกับคุณหยกมีปัญหากันอยู่ แต่ถ้าคุณเสือช่วยคนสำคัญของคุณหยกออกจากที่นั่นมาได้ คุณหยกอาจจะหายโกรธก็เป็นได้นะคะ”

   “ผมไม่คิดจะเอาความดีตรงนั้นมาลบล้างความผิดหรอกนะครับ”

   “เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบลง คุณหยกจะเข้าใจคุณค่ะ วรรณเชื่ออย่างนั้น”

   “ได้กระเป๋ามาครบแล้วครับ” เอเดินมาพร้อมกับรถเข็นกระเป๋าของพวกเรา

   “ถ้าอย่างนั้น เชิญพวกคุณทางนี้ค่ะ”

   ฝู่ไฉ่นำพวกพยัคฆ์ออกมายังลานจอดรถ มีรถตู้จอดรออยู่ 2 คัน คนขับรถคนหนึ่งเดินตรงมาทางเอ พร้อมทั้งช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถคันที่สอง คนขับรถอีกคนเปิดประตูรถคันแรกออก อาชาติรอพวกเขาอยู่ในรถแล้ว

   “เดินทางเป็นยังไงบ้างครับคุณเสือ”

   “ก็ดีครับ ว่าแต่อาชาติมารับพวกเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าคนของจุ้ยอั้ยเต๋อจะมาเจอเข้าอย่างนั้นหรอครับ” เขาทักเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งข้าง ๆ อาชาติ

   “ที่นี่คนของจุ้ยอั้ยเต๋อมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะอยู่แต่ในบ้านฝู่ ผมเลยไม่ค่อยห่วง อีกอย่างพวกนั้นก็ตามแต่เฮียกร”

   “ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วพวกเราจะไปพบคุณกรได้ยังไงละคะคุณหลิว” คุณวรรณถามขึ้นมา

   “ถ้าข้างนอกนี่คงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นในเยี่ยนหว่อ ก็ปลอดภัยครับ”

   “คุณหลิวพูดเหมือนกับว่า เรายึดเยี่ยนหว่อได้แล้ว”

   “ครับ ด้วยความสามารถของหงส์ และความช่วยเหลือของฝู่ไฉ๋กับเฮียกร ตอนนี้อำนาจในเยี่ยนหว่อกลับมาเป็นของหงส์โดยสมบูรณ์แล้วครับ”

   “แล้วอากรทำยังไงกับคนของจุ้ยอั้ยเต๋อ ที่เคยอยู่ในเยี่ยนหว่อ”

   “ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนครับคุณเสือ แล้วหงส์ก็สามารถหาจุดอ่อนของคนพวกนั้นเจอ”

   “แสดงว่าตอนนี้จุ้ยอั้ยเต๋อยังไม่รู้ตัวเรื่องที่เยี่ยนหว่อกลับมาอยู่ในมือของหงส์แล้ว”

   “ใช่ครับ ตอนนี้มันมัวแต่กังวลเรื่องที่กาสิโนอยู่”

   “ที่ต้นมันเล่นได้มาขนาดนั้น คงเป็นเพราะหงส์สินะครับ”

   อาชาติไม่ตอบอะไรเขา เพียงแต่ยกยิ้มเล็กน้อย ในรถกลับมาเงียลลงอีกครั้งเมื่อเอและต้าก้าวขึ้นรถมา จากนั้นรถก็แล่นไปยังจุดหมายปลายทาง อาชาติพาพวกเขากลับไปที่บ้านเดิมของคนตระกูลหลิว และเมื่อไปถึงพยัคฆ์ก็ถึงกลับแปลกใจ เมื่อมาเจอเจอกับคนที่ไม่คาดคิดรอเขาอยู่

........................................................................

   เป็นเพราะความโลภและความประมาทของตาเฒ่าจุ้ยแท้ ๆ ทำให้เขาเสียเงินอีกไม่น้อยให้กับคุณต้น คงจะเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งหัดเล่นไม่นาน อีกทั้งความต้องการที่จะเอาเงินคืนจากพวกเธอ

   แม้ว่าจุ้ยอั้ยเต๋อจะซ่อนหน้าได้อย่างเรียบเฉยแต่ก็ไม่อาจจะซ่อนความคิดจากเธอได้ หงส์จึงสามารถดักทางและบอกกับคุณต้นได้ เธอกับคุณต้นถือว่าเป็นคู่หูที่ดีทีเดียวในการทำงานนี้

   “ที่รักค่ะวันนี้เราอย่าเข้ากาสิโนกันเลยนะคะ ไปช้อปปิ้งกันดีกว่า”

   “ก็ดีเหมือนกันครับ ผมก็ชักจะเบื่อ ๆ แล้ว ว่าแต่คุณเถอะ อยากกลับไปหาอากร อยากกลับไทยรึยังครับ”

   “ก่อนกลับเราไปเที่ยวดิสนี่แลนด์กันก่อนนะคะ”

   “ได้สิครับคนดี วันนี้ผมตามใจคุณได้ทั้งวันเลย” คุณต้นตอบเธอก่อนพากันเดินควงแขนออกจากห้องพัก

   หงส์กับต้นเดินมาถึงล๊อบบี้ของโรงแรมก็ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและเชิญพวกเธอไปหาจุ้ยอั้ยเต๋อ คุณต้นทำทีเล่นตัวเล็กน้อยและปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอีกฝ่าย และปล่อยให้ตาเฒ่าจุ้ยรอไปอย่างกระวนกระวายใจ

   เธอกับคุณต้นเดินทางมาที่ ซิตี้ออฟดรีม ซึ่งเป็นทั้งโรงแรมและกาสิโนขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งในมาเก๊า เธอกับคุณต้นเข้าไปเล่นอะไรกันนิดหน่อยและเลือกที่จะเสียซะเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่จะออกมาหาอะไรทานแล้วกลับเข้าโรงแรมที่พัก และเมื่อก้าวเข้าไปก็พบว่าจุ้ยอั้ยเต๋อดักรอพวกเธออยู่

   “ผมนึกว่าวันนี้หลานชายจะไม่เข้ากาสิโนซะแล้ว” จุ้ยอั้ยเต๋อทักทายขึ้นมา ทำให้คุณต้นชะงักเล็กน้อย

   “ก็คงไม่เล่นแล้วล่ะครับ รู้สึกเบื่อ ๆ มันไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนช่วงแรก ๆ”

   “นี่ขนาดว่าจะไม่เล่นนะคะ คุณยังเข้าไปเล่นที่ดรีมอยู่เลย” หงส์แกล้งพูดขึ้นมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจุ้ยอั้ยเต๋อให้คนตามพวกเธออยู่

   “ผมก็แค่อยากรู้ว่าที่อื่น ๆ จะเหมือนกันกับที่นี่ไหม นี่ครับที่รัก”

   “กาสิโนก็เหมือนกันหมดแหละค่ะ” เธอแกล้งทำเป็นงอนเล็กน้อย

   “ผมขอโทษนะครับที่รัก ทั้งที่ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่ขัดใจคุณ เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เดี๋ยวเราไปค้างที่ดิสนี่แลนด์กันคืนนี้เลย”

   “ท่าทางหลานชายจะไม่เห็นหัวคนแก่เลยสินะ”

   “ขอโทษด้วยครับคุณชายจุ้ย นภางอนผมที่ขัดใจเขาน่ะครับ”

   “เป็นผู้ชายนะ ก็เหมือนกับช้างเท้าหน้า จะมากลัวเมียอยู่ได้ยังไง อีกหน่อยจะอยู่ลำบากนะ”

   “แต่ผู้หญิงอย่างนภาก็ใช่ว่าหากันกได้ง่าย ๆ นะครับ” คุณต้นพูดเป็นนัย ๆ

   “เอาเถอะๆ ข้าวใหม่ปลามันนี่นะ ว่าแต่หลานชายจะไม่เล่นหน่อยหรอ?”

   “คงไม่แล้วครับ ผมเพิ่งบอกนภาไปว่า ผมจะพาเธอไปพักที่ดิสนีแลนด์คืนนี้”

   “อะไรกัน เพิ่งจะพักที่นี่ไม่กี่วัน จะไปกันแล้วหรอ?”

   “ครับ แล้วผมว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสำหรับผมกับนภาอีกแล้ว”

   “บางทีความตื่นเต้นอาจจะไม่ได้อยู่ที่เกมส์ก็เป็นได้นะ แต่มันอยู่ที่ว่าเราวางเดิมพันด้วยอะไร?”

   “ที่นี่นอกจากเงินแล้ว ยังรับเดิมพันอย่างอื่นด้วยเหรอค่ะ?”

   “ก็ถ้าเป็นแขกระดับ VIP อย่างหลานชาย...ก็ได้ล่ะนะ”

   “นอกจากเงินแล้ว ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาวางเดิมพันดี ที่รักว่ายังไงครับ”

   “นั่นสิค่ะ นภาก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”

   “เอาไว้คราวหน้า ถ้าผมมีโอกาสมาเที่ยวใหม่ ผมค่อยมาเล่นที่กาซิโนของคุณชายจุ้ยก็แล้วกันครับ ครั้งนี้ผมไม่อยากเล่นแล้วจริง ๆ”

   คุณต้นพูดจบก็พาเธอเดินกลับขึ้นห้องพักมา เธอรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของจุ้ยอั้ยเต๋อ ยิ่งทางนั้นกระวนกระวายมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีกับพวกเธอมากเท่านั้น

........................................................................

   จุ้ยอั้ยเต๋อหงุดหงิดตั้งแต่รู้ว่าหลานของไอ้หมอวรากรมันไปเล่นเสียที่ซิตี้ เงินที่เสียไปนั่นมันเงินของเขาชัด ๆ เมื่อมันกลับมาเขาก็ไปดักรอเพื่อหาทางชวนมันเล่น แต่กลับกลายเป็นว่ามันจะเช็คเอาท์จากที่นี่คืนนี้เพื่อไปต่อที่ดิสนี่แลนด์ ไม่รู้ว่ามันจะตามใจเมียไปถึงไหน

   ดูท่าแล้วคงต้องหาวิธีเข้าทางผู้หญิงที่ชื่อนภา ระหว่างที่สองผัวเมียมาพักที่นี่ เขาก็คอยให้คนจับตาดูตลอด พอจะรู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นน่าจะบ้าเครื่องเพรช และกระเป๋าแบรนด์ดังๆ แต่ของพวกนั้นน่าจะมีมูลค่าไม่เท่าไร อะไรที่พอจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้หญิงคนนั้นยอมพนันกับเขาได้

   “เหล่าไป่ นายน้อยส่งข่าวมา ว่ากำลังจะเดินทางมาที่นี่ พร้อมกับคนคนนั้นครับ” ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเดินเข้ามา

   “ผู้หญิงคนนั้น คนของเซียงไบ่มาด้วยรึป่าว?”

   “มาด้วยครับ”

   “อืม...” จุ้ยอั้ยเต๋อพยักหน้ารับรู้ และเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ถ้าอาเถิงมาถึงแล้ว ให้พาผู้หญิงคนนั้นมาหาฉัน”

   “ครับ เหลาไป่”

........................................................................

   สองสามวันมานี้เจ้าสัวเล่นเสียมากกว่าได้ จนเงินที่ได้มาจากการเล่นเริ่มร่อยหรอ และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงต้องไปขอเครดิตกับจั้ยอั้ยเต๋อแน่ ๆ

   ทุนที่จุ้ยอั้ยเต๋อให้เขามาในคราวนี้ก็ใช่ว่าจะให้กันฟรีๆ เขาต้องเอากิจการปางไม้ของเขาค้ำไว้ ถ้าปางไม้ถูกยึดไป เขาคงไม่มีอะไรเหลือแน่ ๆ ใช่ว่ากิจการปางไม้จะดีเลิศอะไร เพียงแต่รายได้หลักของเขา คือค่าผ่านทางต่างหาก

   “อาเกรียง ลื้อส่งเงินมาให้อั๊วหน่อยสิ” เขาพูดขึ้นเมื่อปลายสายรับโทรศัพท์

   “เตี่ย ช่วยอั๊วด้วย”

   “เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าสัวเซียงถามขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อลูกชายคนเดียวของเขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเอ่ยปากกับเขาสักครั้ง

   “แม่จะส่งอั๊วให้ตำรวจ”

   “แม่ลื้อ? เรื่องอะไร...หรือว่าเรื่องที่ลื้อไปฉุดฝู่หยง?”

   “ไอ้ที่ฉุดนะใช่ แต่ไม่ใช่ฝู่หยงอะไรนั่นสักหน่อย น้องหยกต่างหาก”

   “ก็นั่นแหละ ลื้อนี่หาเรื่องใส่ตัว แล้วยังทำให้คนของอั๊วทำงานยากเข้าไปอีก”

   “เตี่ย ช่วยอั๊วก่อน อั๊วไม่อยากเข้าคุก”

   “แม่ลื้อไม่ยอมให้ลื้อเข้าคุกหรอกน่า ยายลื้อก็หน้าบางจะตาย ยังไงอีก็กลัวเป็นข่าว”

   “ใครบอกล่ะ คุณหญิงยายให้ลุงวิทย์มาจัดการกับอั๊ว ทำให้เรื่องเงียบเร็วที่สุด เตี่ย...ช่วยอั๊วด้วย”

   “ไอ้หยา...อั๊วขอคิดดูก่อน ว่าจะทำยังไงได้บ้าง?”

   “เตี่ยก็รีบ ๆ คิดเข้าสิ”

   “ลื้อไปหาอาเถิง อีอาจจะมีวิธีพาลื้อมาหาอั๊วที่นี่ได้”

   “ไอ้ฝรั่งนั่นอ่ะนะ มันจะยอมช่วยอั๊วเหรอ ในเมื่ออั๊วกับมันต้องการน้องหยกเหมือนกัน”

   “อั๊วจะคุยกับอีให้ ส่วนเรื่องฝู่หยง อาน้องหยกของลื้อ อั๊วขอสั่งให้ลื้อวางมือซะ อย่าไปยุ่งกับอี เลือกเอาระหว่างน้องหยกกับติดคุก ลื้อจะเลือกอะไร”

   “เตี่ย!!”

   “คิดดูเอาเอง แล้วอั๊วจะให้อาลตาติดต่อไป” เจ้าสัวเซียงพูดจบก็วางสาย ระหว่างปางไม้กับเกรียงไกร เขาใช้เวลาคิดไม่นานเลย ในการตัดสินใจเลือก

To Be Continue


   ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นต์ให้กำลังใจนะคะ เราต้องขอโทษที่ระยะหลัง ๆ นี่ลงตอนต่อไปช้ามากๆ
(แอบคิดว่าเข้ามาแล้วจะยังหานิยายตัวเองเจอไหม?) พอดีช่วงต้นปีนี้เราเดินทางบ่อย ทำให้หาเวลานั่งเขียนได้น้อยมาก

   หยก ดำเนินเรื่องมาจนถึงช่วงปลายแล้ว ปมต่าง ๆ กำลังคลี่คลาย (ไม่สปอยน้า) ยังไงเราก็ฝาก น้องหยกกับพี่เสือไว้ด้วยนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อเลิกอ่านไปก่อนน้า

 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: หยก 1-11-18 {{:::60:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-11-2018 17:25:55
ยังติดตามอยู่เสมอจ้าาา
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 1-11-18 {{:::60:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-11-2018 08:39:00
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: หยก 1-11-18 {{:::60:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-11-2018 00:16:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 11-11-18 {{:::61:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 11-11-2018 18:09:53
61


   จุ้ยเถิงรอเกรียงไกรอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบิน แทนที่เขาจะได้เดินทางเลย กลับกลายเป็นว่าต้องมารอคนไม่เอาไหนอย่างเกรียงไกร กู๋เซียงต้องการให้มันไปกับเขาด้วย ลุงของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรบอกเพียงแต่ให้เขาตามใจกู๋เซียง แล้วให้รีบพาลตาไปหาเขาให้เร็วที่สุด

   ก่อนที่เขาจะออกจากคอนโด เขาได้ให้คนรายงานกับลุงของเขาแล้วว่าจะไปกลับไปที่เยี่ยนหว๋อ แต่ลุงของเขากลับสั่งให้เขาพาฝู่หยงไปที่มาเก๊าพร้อมลตา เพราะต้องการใช้งานลตาด่วน และที่สำคัญลุงต้องการให้เขาเล่นกับใครบางคนที่เป็นเพียงมือสมัครเล่น แต่ก็สามารถโกยเงินจากกาสิโนไปได้หลายสิบล้าน

   “คุณชายจุ้ย คุณเกรียงกำลังเดินทางมา น่าจะถึงที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมง” ลตาบอกกับเขาหลังจากวางหูสาย

   “อืม พอมันมาถึงคุณก็คอยดูมัน อย่าให้มันมายุ่มย่ามกับฝู่หยงล่ะ?”

   “คนของคุณอยู่ที่นี่เต็มไปหมด เขาคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามหรอกมั้ง”

   “หึ ขนาดฝู่หยงเป็นผู้ชาย มันยังฉุดได้เลย แล้วจะให้ผมไว้ใจมันได้ยังไง?” เขาเห็นลตาส่ายหน้า ก่อนเดินไปหาฝู่หยง ที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรตั้งแต่ออกจากคอนโดมา

   ฝู่หยงนิ่งมาก ไม่ถาม ไม่เอะอะโวยวาย แต่เขาก็เห็นแววตาที่ลอบสังเกตรอบ ๆ ตัวอย่างเงียบ ๆ คงจะหาจังหวะหนีจากเขาอีกแน่ ระหว่างที่การหนีเอาตัวรอดกับหยกวิเศษ ฝู่หยงจะตัดสินใจเลือกอย่างไหน ในเมื่อปากก็บอกว่าหยกนั่นมีความสำคัญต่อเขามาก

   เขาเดินขึ้นไปบนเครื่องก่อนหยิบเอาหยกวิเศษออกมาดูอีกครั้ง หยกนี่อยู่ในมือของเขามาหลายวัน ลองใช้มันกับคนของเขา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ลองเอาหยกไปประทับตราบนกระดาษ ถึงจะเกิดรอยคล้ายกับเอกสารในพินัยกรรม แต่สีของหมึกนั่น มันเป็นหมึกแบบไหนกันแน่

   ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าหยกนี่มันจะดลบันดาลให้ได้ดั่งใจผู้ถือครองมันได้ยังไง แต่เขาเชื่อว่าหยกนี่ต้องมีความสำคัญหรือมีความลับอะไรบางอย่างต่อตระกูลฝู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตกทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังมีการแต่งเขยเข้าตระกูลอีกต่างหาก

   จุ้ยเถิงนั่งพิจารณาหยกในมือจนลืมเวลา เขามารู้ตัวอีกที เมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก เขาจึงเดินออกไปดู แล้วเขาก็เห็นฝู่หยงกับเกรียงไกรมีปัญหากันอยู่ โดยมีลตากับคนของเขาห้ามปรามแยกทั้งคู่ออกจากกัน

........................................................................

   ผมเห็นรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในโกดังจอดเครื่องบิน เมื่อผมเห็นคนที่ลงจากรถมาผมก็มีความคิดดี ๆ เกิดขึ้น หวังว่าผมพอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

   ครั้งก่อนที่ผมเห็นรูปไอ้หมอนี่ที่บ้านคุณษา ผมอาจจะกลัวเขา นั่นเป็นเพราะความทรงจำของผม จำเขาไม่ได้ แต่ร่างกายผมกลับจำได้ดี ในตอนนี้ผมไม่กลัวเขาอีกต่อไป เมื่อเขาลงมา ผมจึงสลัดตัวออกจากคนของจุ้ยเถิง พุ่งไปชกหน้ามันทันที

   คุณลตาดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นผมพุ่งเข้าใส่นายเกรียงไกรแบบนั้น เธอตรงเข้ามารั้งผมไว้ ก่อนที่คนของจุ้ยเถิงจะถึงตัวผม ส่วนไอ้หมอนั่นลงไปนั่งกองกับพื้น เอาแขนป้องหน้าตัวเองไว้ เหมือนคนหมดทางสู้

   “หยก ใจเย็น”

   “ผมไม่ทำอะไรคนที่ไม่มีทางสู้เหมือนอย่างมันหรอกน่า” ผมโวยวายออกมา ซึ่งดูเหมือนคุณลตาจะรู้ว่าผมแกล้งทำเป็นเอะอะเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง

   “นะ...น้องหยก มะ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนที่นั่งอยู่ที่พื้นเอ่ยถามเมื่อแน่ใจว่าผมจะไม่เข้าไปทำร้ายเขาอีก ไม่มีใครตอบคำถามไอ้หมอนั่น

   คนของจุ้ยเถิงเดินมาลากตัวผมออกไป แต่ผมทำสะบัดตัวหนีพวกเขา และพุ่งเข้าใส่คนถามอีกครั้ง จนเป็นคุณลตาที่ทำทีเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมผม รั้งผมเอาไว้ มันทำให้ผมมีโอกาสได้ปลีกตัวออกมาอยู่กับคุณลตาเพียงสองคน จุ้ยเถิงเองก็เดินลงมาจนถึงกลุ่มที่กำลังมีเรื่องมีราวกันอยู่ ในมือของเขากำเมฆาขาวเอาไว้ คงเป็นเพราะผมทำเสียงเอะอะ ทำให้เขาไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อยก่อนจะรีบลงมาข้างล่างนี่แทน

   จุ้ยเถิงพูดอะไรกับไอ้หมอนั่นเป็นภาษาจีน ซึ่งผมไม่เข้าใจ คุณลตาก็พูดคุณกับพวกนั้นด้วย และยังรั้งผมให้เข้าไปหาเธอ ผมจึงแกล้งสะบัดข้อมือหนีเธอเล็กน้อย

   “หยก นายมากับฉัน” คุณลตาพูดขึ้นก่อนนำผมขึ้นไปบนเครื่องบิน ผมยังคงทำเป็นยึกยักก่อนเดินตามเธอไป

   “เห็นเมฆาขาวไหมครับ” ผมกระซิบถามเมื่อเราเดินออกมาจากระยะการได้ยินของคนพวกนั้น

   “อืม” คุณลตาตอบและเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนะกระทั่งถึงบนเครื่อง

   “เราจะเอาเมฆาขาวกลับมาได้ยังไงกันครับ ผมยังหาโอกาสไม่ได้เลย”

   “เราคงจะเอามันคืนมาตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องรอให้ถึงมาเก๊าก่อน”

   “มาเก๊า? แล้วผมจะไปได้ยังไง ผมไม่มีเอกสารอะไรเลยนะ เขาจะพาผมข้ามประเทศกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ”

   “เรื่องแค่นั้น จุ้ยเถิงปลอมเอกสารให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ถึงได้เตรียมเอาไว้ แล้วไหนจะเครื่องบินของเยี่ยนหว๋อลำนี้อีก”

   “คุณลตารู้เรื่องเยี่ยนหว๋อด้วยเหรอครับ”

   “ฉันรู้อะไรไม่มากหรอก และก็ไม่มีเวลาจะอธิบายให้เธอฟังด้วย” คุณลตาพูดพร้อมทั้งมองไปนอกหน้าต่างเพื่อดูเหตุการณ์ด้านล่าง

   “ไอ้หมอนั่นมันมาที่นี่ทำไม แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้?”

   “เท่าที่ฉันรู้ เจ้าสัวเซียงต้องการให้เกรียงไกรแต่งงานกับหงส์ เพื่อจะได้เข้ามามีบทบาทในเยี่ยนหว๋อ และโกหกพวกนั้นกับว่าตามหาตัวเธอไม่พบ”

   “ถ้าอย่างนั้น จุ้ยเถิงก็รู้สิครับว่าโดนหลอกอยู่”

   “ใช่”

   “แล้วยังมีหน้ามาที่นี่อีกน่ะเหรอ?”

   “เขายังไม่รู้ตัวนะสิ ว่าทางนี้รู้เรื่องหมดแล้ว อีกอย่าง ที่เขาต้องมาที่นี่เป็นเพราะเรื่องที่เกรียงไกรฉุดเธอ มันเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาโดยมีคุณเพ็ญนภาเป็นคนจัดการ หมอนั่นไม่อยากถูกส่งตัวเข้าคุกเลยมาขอความช่วยเหลือจากจุ้ยเถิง”

   “พี่ภาก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”

   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่า คุณเพ็ญนภารู้เรื่องเกี่ยวกับเมฆาขาว หรือเยี่ยนหว่อมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนายเกรียงไกร เธอน่าจะรู้ดีทีเดียว”

   “ขนาดคุณลตายังรู้เรื่องนายเกรียงไกรอะไรนั่น คงมีแต่ผมสินะครับ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย?”

   “ที่ฉันรู้เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยังไงฉันก็ต้องสืบเรื่องราวของพวกเธอ รวมไม่ถึงคนที่เกี่ยวข้อง การที่เธอไม่รู้เรื่องอะไร นั่นก็เพราะเธอใช้ชีวิตในแบบของเธอไม่ใช่เหรอ?”

   “มันทำให้ผม...รู้สึก...เหมือนผมเป็นตัวถ่วง หรือดูแลตัวเองไม่ได้ จนต้องให้ใครต่อใครคอยมาปกป้องผม”

   “ไม่ใช่หรอก เรื่องของฝู่ มันอันตรายกว่าที่เธอคิดนะ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูนั่นสิ” คุณลตาให้ผมมองออกไปดูเหตุการณ์ด้านล่าง ผมเห็นคนของจุ้ยเถิงกำลังซ้อมเกรียงไกรอยู่ “นี่แค่เบาะ ๆ นะ ถ้าไปถึงมาเก๊าเมื่อไร สองพ่อลูกคู่นี้คงจะรอดได้ยาก”

   “แล้วที่เยี่ยนหว๋อ...”

   “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางนั้นเป็นยังไงบ้าง รู้เพียงแต่ว่า จุ้ยอั้ยเต๋อสั่งให้จุ้ยเถิงและฉันไปรับมือคุณเสือและภรรยา”

   “พี่เสือเหรอครับ แต่...”

   “ใช่ นั่นคงจะเป็นคนของคุณกรมากกว่า”

   เรื่องราวที่ผมรับรู้ยังไม่กระจ่างดี ผมยังมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถาม แต่ดูจากจังหวะและโอกาสที่มีน้อยนิด มันคงไม่เหมาะเท่าไร อย่างน้อยตอนนี้ผมก็พอรู้เรื่องราวของคนข้างล่างบ้างแล้ว ผมเห็นคนของจุ้ยเถิงหิ้วปีกนายเกรียงไกรไปยังรถตู้ที่เรานั่งมา ก่อนเขาจะเดินมาทางพวกผม

   “ถ้าทางจุ้ยเถิงจะไม่ยอมช่วยเกรียงไกรซะแล้ว” คุณลตาเปรยขึ้นก่อนหันมาสบตาผม จนผมสังหรณ์ใจไม่ดียังไงชอบกล

........................................................................

   หงส์กับคุณต้นเดินลงจากห้องพักมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ซึ่งพวกเธอกำลังเตรียมจะไปเช็คเอ้าท์ที่ล้อบบี้ เธอกับคุณต้นตรวจดูสัมภาระเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อรอคิว

   “เฮ้ย!! ไอ้เสือ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีไหมว่ะ” ชายคนที่ยืนอยู่ที่เคานเตอร์หันมาแล้วทักกับคุณต้น

   “อืม สบายดี แล้วนายล่ะ ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้” คุณต้นตอบอย่างแปลกใจ แต่ก็เล่นไปตามบทที่ได้รับอย่างแนบเนียน

   “นี่คงเป็นเมียมึงล่ะสิ” ชายคนนั้นกล่าวก่อนหันมาทักทายเธอ “ยินดีด้วยนะครับคุณนภา แล้วต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน”

   “ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...คุณ...”

   “อ่อ ขอโทษครับผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อศักดิ์ครับ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของไอ้เสือมัน”

   “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

   “พอ ๆ เมียกู กูหวงไม่ต้องมองนาน แล้วมึงจะตอบกูได้ยัง ว่ามาทำอะไรที่นี่”

   “กูมาทำงานสิครับ ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ เหมือนอย่างมึงนี่ ว่าแต่มึงจะอยู่ที่นี่อีกนานไหมว่ะ?”

   “กูกำลังจะพานภาไปดิสนี่แลนด์ว่ะ”

   “เฮ้ย...อยู่คุยกันก่อนสิวะ” ศักดิ์พูดกับคุณต้นก่อนหันมาทางเธอ “นะครับคุณนภา อย่าเพิ่งไปเลยครับ”

   “ก็ได้ค่ะ เห็นว่าคุณศักดิ์กับคุณเสือไม่ค่อยได้เจอกันนะคะ ไม่งั้นนภาไม่ยอมจริง ๆ”

   “ขอบคุณครับ งั้นคืนนี้เราทานข้าวด้วยกันนะครับ ไอ้เสือคืนนี้แดกข้าวกัน ห้ามเบี้ยวกูนะโว้ย กูขอเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อน”

   หงส์เห็นคุณต้นมองไปยังคุณศักดิ์ที่เดินนำหน้าเจ็กลู่ที่คอยลากกระเป๋าเดินตามหลังไปให้ ด้วยท่าทางที่ยังแปลกใจไม่หาย

   ‘คุณหงส์ครับ ได้ยินที่ผมคิดใช่ไหมครับ’ เธอยิ้มให้คุณต้น ‘ครูศักดิ์มาได้ยังไงครับ? ’

   “ไปกันเถอะค่ะที่รัก นภาว่าเราคงต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนคุณจะกลับแน่ ๆ เลยค่ะ”

   “ขอบคุณครับ” ดูท่าทางคุณต้นยังงงไม่หาย จึงตอบกลับเธอมาได้เท่านี้ จากนั้นทั้งสองก็พากันลากกระเป๋ากลับขึ้นห้องมาดังเดิม และที่คนทั้งสามคุยกันก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของจุ้ยอั้ยเต๋อไปได้

........................................................................

   อากรเดินทางมาถึงบ้านของอาชาติก็ดึกมากแล้ว เนื่องจากมีคนของจุ้ยอั้ยเต๋อคอยตามอากรอยู่ เขาจึงเลือกที่จะออกจากโรงแรมในช่วงดึก เพื่อใช้ความมืดในเวลากลางคืนคอยอำพรางตัว

   พยัคฆ์เพิ่งรู้ว่าอากรย้ายออกจากโรงแรมเดิมมาอยู่ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พักเมื่อสมัยที่มาเป็นแพทย์อาสา อากรใช้เวลาระหว่างวันไปเยี่ยมเพื่อนหมอที่รู้จักกันบ้าง เหมือนเป็นการหาอะไรทำฆ่าเวลารอหงส์กับต้น

   “อาทราบเรื่องครูศักดิ์ไหมครับ” พยัคฆ์ถามในสิ่งที่คาใจออกมา ตอนมาถึงอาชาติเพียงแต่คุยอะไรกันฝู่ไฉ๋เล็กน้อย เขาเองก็ได้แต่ทักทายครูศักดิ์ตามมารยาท แต่ยังไม่ได้ถามไถ่อะไร อาชาติกับครูศักดิ์ก็รีบออกไป

   “ครูศักดิ์?”

   “แสดงว่าอากรเองก็ไม่รู้”

   “อารู้แค่ว่า อาหลิวขอให้เพื่อนมาช่วย แต่ไม่รู้ว่าใคร”

   “ครูศักดิ์นี่มันรุ่น ๆ ผม จะเป็นเพื่อนกับอาชาติได้ยังไงกัน”

   “...”

   “ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้อากรระแวงอาชาตินะครับ ผมแค่แปลกใจ”

   “อืม อารู้ แต่อาไว้ใจอาหลิว ไม่ต้องกังวลไป”

   “แล้วเรื่องทางนี้ จะเริ่มเมื่อไรครับ?”

   “คนอย่างจุ้ยอั้ยเต๋อ มันไม่เล่นในเกมอย่างเดียวแน่ วันที่จุ้ยเถิงเล่นกับต้น มันคงจะเกณฑ์คนของมันที่นี่ไปมาเก๊า และวันนั้นเราจะมีโอกาสลงมือ”

   “สถานการณ์ทางหงส์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถ้ามันคิดเล่นนอกเกม”

   “อาวางแผนตัดกำลังเสริมพวกมันไว้แล้ว เรื่องนี้คงต้องให้คุณวรรณช่วยจัดการ”

   “ได้เลยค่ะเจ้านาย”

   “คุณวรรณคนเดียว ไหวเหรอครับ?”

   “วรรณคนเดียวที่ไหนคะ ฝู่ไฉ๋กับคนของเธอด้วยต่างหาก”

   “ส่วนแก เอ ต้า พวกแกสามคนเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าช่วยเก๋อหมิงออกมาได้แล้ว จะมีเพื่อนหมอของอามาดักรอรับระหว่างทาง”

   “ที่อาตระเวนไปเยี่ยมเพื่อน เพราะแบบนี้นี่เองสินะครับ”

   “จะให้เก๋อหมิงมาเสี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเราไม่รู้อาการของเก๋อหมิง ดังนั้นอาจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”

   “ครับ ผมเข้าใจ”

   “เอาล่ะ ไปพักกันได้แล้ว ฉันเองก็ต้องกลับแล้ว ก่อนคนพวกนั้นจะสงสัย”

   “เจ้านายค่ะ ตอนนี้คุณหลิวก็ไม่อยู่ ให้ใครไปคอยอารักขาไหมคะ ยังไงวรรณก็เป็นห่วง”

   “นั่นสิครับบอส ให้ผมหรือเอตามไปคอยดูแล ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

   “ตอนนี้พวกมันไม่สนใจฉันหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงไป อย่าทำอะไรให้พวกมันจับพิรุจได้เป็นดีที่สุด”

   อากรกำลังเสี่ยงอยู่ ถึงพยัคฆ์จะรับรู้อย่างนั้นก็ตามที แต่เขาก็อดเป็นห่วงอาของเขาไม่ได้ เขาได้แต่หวังว่าคนของฝู่ไฉ๋จะดูแลอาของเขาได้

........................................................................

   เช้านี้เพ็ญนภาได้รับโทรศัพท์จากทั้งคุณโอ๋ และคุณเปิ้ล ทั้งสองต่างวิตกกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนเธอที่ไม่ทันได้ดูข่าวรอบเช้าจึงต้องไปหาอ่านตามเว็บข่าวต่าง ๆ ข่าวของเกรียงไกร

   เธอเปิดลิงค์เข้าไปอ่านด้วยความสงสัย ว่าเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เมื่อคืนเธอคุยกับคุณษาอยู่เลย ว่าเกรียงไกรอาจจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ปางไม้ แต่ข่าวที่ออกมาตามสื่อต่าง ๆ กลายเป็นว่า



‘ไฮโซก่อศึกชิงนาง ถูกโจ๋เจ้าถิ่นแทงดับ คาผับดัง’



‘วิวาทเดือด ไฮโซดับ เหตุแย่งนางแบบสาว’



‘โจ๋เดือดรุมกระทืบไฮโซหนุ่ม ก่อนพลั้งมือแทงคู่อริดับ’



   พาดหัวข่าวที่เธอพบ ล้วนไปในทิศทางเดียวกัน เธอไล่อ่านแต่ละข่าว คนไม่เอาไหนอย่างเกรียงไกร ไม่น่าจะไปทะเลาะวิวาทอะไรกับใครได้ ยิ่งตัวเองมีเรื่องอยู่แบบนี้แล้ว น่าจะหาทางหนีมากกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง

   ในข่าวไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก นอกจากการเสียชีวิตของเกรียงไกร เรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องรอการขยายผลจากทางตำรวจ เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ เธอต้องรีบส่งข่าวให้กับคนที่อยู่ทางโน้นรับรู้ และระวังตัวเอาไว้

........................................................................

   พี่เก่งกับพี่คีเก็บของเตรียมจะไปมาเก๊าเสร็จตั้งแต่เช้า แต่เพราะมีเหตุบังเอิญ คนงานขุดโบราณสถานเกิดอุบัติเหตุขึ้นซะก่อน พี่ ๆ เขาเลยออกไปช่วยพาคนเจ็บเข้ามาในกระโจม

   เป็นความโชคร้ายของชายคนนั้นที่ไปเหยียบเขากับวัตถุบางอย่างที่เหมือนเป็นกลไก ทำให้คานด้านบนหล่นลงมาทับ คงจะเป็นเพราะเวลาผ่านมายาวนาน กลไกเสียหายและใช้การไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นความโชคดีของพวกเธอ ที่พี่คีจำข้อมูลเกี่ยวกับทางเข้าแท่นพิธีได้

   หลังจากกงเหมิ๋นให้คนพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว พี่คีจึงลงมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง พร้อมแทบเล็ตที่เคยให้ไว้กับเธอ

   “แท่นพิธีน่าจะอยู่หลังผนังนี่” พี่คีเอ่ยออกมาหลังจากสำรวจไปรอบ ๆ ห้องสลับกับมองแผนที่โบราณในแทบเล็ต

   “แสดงว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในสุสานที่กุบไลข่านสร้างไว้จริง ๆ สินะ” พี่เก่งถาม

   “มันก็ยังไม่แน่หรอกว่ะ สุสานมันก็คงคล้าย ๆ กับวัดบ้านเราแหละ ที่มีแบบแผนการสร้างเหมือน ๆ กัน” พี่คีตอบ

   “เราต้องเห็นตัวแท่นพิธีก่อน เราถึงจะบอกได้ค่ะ ว่าสุสานนี้เป็นของใคร” คุณลลินทร์อธิบาย

   “เอายังไงกันดีว่ะ จะช่วยคุณโบตั๋นก่อน หรือว่าจะเดินทางเลยดีว่ะ” พี่เก่งพูดขึ้นกับพี่คี

   “คุณเก่งกับคุณคีเดินทางไปช่วยทางโน้นเถอะค่ะ ทางนี้ลินทร์จัดการได้ อีกอย่าง เราก็ยังไม่รู้เลยว่าทางเข้าอยู่ตรงไหน?”

   “ตั๋นว่าน่าจะเป็นตรงนี้นะคะ” ทุกคนที่กำลังปรึกษากันอยู่ ต่างหันมามองเธอ ที่กำลังจ้องมองตรงผนังมุมหนึ่งของห้อง จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินเข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งส่องไฟฉายไปยังจุดที่เธอชี้

   กำแพงตรงหน้าเธอเป็นลายแกะสลักกิเลน มังกร เตามังกร และหงส์ สัตว์ทั้งสี่ยืนอยู่บนก้อนเมฆที่เหมือนเมฆาขาว

   “ที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในสุสานที่อาหนีเกอสร้างแน่ ๆ” คุณลลินทร์ออกมาแต่ไม่ได้ให้ความหวังเธอมากนัก

   “แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงกัน” พี่เก่งเอามือลูบผนังตรงที่เป็นลายแกะสลักก้อนเมฆ มันขยับเล็กน้อย “เฮ้ย!! ” พี่เก่งชักมือกลับทันที

   “มันขยับได้” โบตั๋นอุทาน

   “มันอาจจะเป็นกลไกในการเปิดประตูก็ได้นะ” คุณลลินทร์ว่าก่อนลงมือทั้งขยับและดันส่วนต่าง ๆ ของลายแกะสลัก โดยมีพวกเราสามคนยืนดูอยู่

   พี่คีค่อย ๆ เดินถอยหลังออกจากกลุ่มพวกเธอ ทำให้เธอกับพี่เก่งให้ไปมองอย่างแปลกใจ พี่คีปรับแสงไฟฉายของเขาให้ขยายแสงในวงกว้างขึ้น สายตายังจับจ้องไปบนผนังอย่างไม่วางตา

   “เฮ้ย!! คี มีอะไรวะ”

   “...”

   “พี่คี”

   “คุณคี” เราเรียกชื่อพี่คีกันจนคุณลลินทร์หันมามอง ก่อนเดินไปสมทบกับพี่คี “อย่างนี้นี่เอง คุณคีมองออกตั้งแต่แรกเลยสินะคะ”

   “ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกครับ” คุณลินทร์กับพี่คียืนมองผนังนั้นอยู่นาน จนเธอและพี่เก่งต้องเดินไปสมทบ แต่เขาและเธอกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกสองคนเห็นเลยสักนิด จนโบตั๋นทนความเงียบของพี่คีไม่ไหว จึงเข้าไปสัมผัสความคิดของพี่คี

   “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง”

   “อะไรครับคุณโบตั๋น” พี่เก่งหันมากระซิบกับเธอ

   “มันเหมือนเกมอะไรสักอย่างค่ะพี่เก่ง พี่คีกับคุณลลินทร์กำลังหาทางเลื่อนหินสลักลายก้อนเมฆนั่นอยู่ พี่เก่งดูสิคะ ด้านบนสุดของประตู มีรอยบุ๋มอยู่ 4 รอย เราต้องพาเอาก้อนเมฆนั่นไปข้างบนนั้นค่ะ” เธอชี้ให้พี่เก่งดู

   “อ๋อ... เข้าใจแล้วครับ”

   เราทั้งสี่คนมองดูลวดลายบนผนัง เพื่อดูเส้นทางที่จะพาก้อนเมฆทั้งสี่ก้อนขึ้นไปบนฟ้า จนในที่สุดพี่คีก็มองออก จึงเดินเข้าไปขยับก้อนเมฆ แต่พอขยับก้อนหนึ่ง ก้อนที่เหลือก็เหมือนจะขยับตามไปให้ทิศทางที่พี่คีไม่ต้องการ

   “สงสัยเราคงต้องขยับพร้อม ๆ กันแล้วล่ะค่ะ” คุณลลินทร์บอกกับพี่คี

   “ถ้าอย่างนั้นคุณลลินทร์ขยับแบบนี้ ไปทางนี้แล้วก็นี่ ก่อนค่อยขึ้นไปนั่นนะครับ” พี่คีชี้บอกคุณลลินทร์ จากนั้นก็มากำกับเธอกับพี่เก่ง ให้ไปในทิศทางที่พี่คีกำหนด “เอาล่ะ เราขยับมันพร้อม ๆ กันนะครับ” พี่คีให้สัญญาณแล้วเราก็เริ่มขยับ เลื่อนก้อนเมฆตามที่พี่คีบอก

   “เปิดได้แล้ว ไชโย” เธอดีใจกระโดดจนตัวลอย

   พี่เก่งค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อน ส่วนคุณลลินทร์ก็เดินกลับขึ้นไปตามคนของเธอ ข้างในมืดกว่าข้างนอกนี้มาก อีกทั้งกลิ่นอับชื้น ที่ลอยออกมาทำให้เธอต้องกลั้นหายใจไปชั่วระยะหนึ่ง บันไดที่ทอดตัวลงไปข้างล่างนั่น มันทำให้เธอขนลุก แต่ก็เดินตามหลังพี่เก่งไป โดยมีพี่คีเดินรั้งท้าย และเมื่อสุดทางเดิน พวกเราก็เจอกับห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงกลางมีแท่นสำหรับทำพิธีอยู่

   แท่นทั้งแท่นเป็นหยกขนาดใหญ่ ริมสุดของแท่นมีหยกสองชิ้นฝังตัวอยู่จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับแท่นพิธีนี้ หยกคู่กิเลน

   “เจอแล้ว...” โบตั๋นอุทานออกมาเสียงแผ่ว มองหยกสีมรกตนั่นไม่วางตา

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 17-11-18 {{:::62:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-11-2018 23:42:37
62

    ผมมาถึงมาเก๊าแล้วก็ถูกแยกออกมาให้อยู่ในห้องพักของโรงแรมคนเดียว โดยมีคนของจุ้ยเถิงเฝ้าอยู่สองคน ส่วนคุณลตากับจุ้ยเถิง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหน และทำอะไรกันอยู่

    ผมถูกขังอยู่ในห้อง แต่ก็มีอิสระพอที่จะเดินไปไหนมาไหนภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้ได้ ผมออกไปสูดอากาศที่ระเบียง ที่นี่อากาศค่อนข้างเย็น จากมุมมองของห้องที่ผมถูกขังอยู่ มองลงไปเห็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ของโรงแรม ด้วยความสูงของห้องที่ผมอยู่สามารถมองออกไปยังทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา

    ผมประเมินดูแล้ว ผมสามารถหนีออกจากที่นี่ไปได้ไม่ยากนัก แต่ติดอยู่เรื่องเดียว เมฆาขาว ป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเมฆาขาวจะตกไปอยู่ในมือของจุ้ยอั้ยเต๋อรึยัง และคุณลตาจะเอามันกลับคืนมาได้ไหม?

    ‘หยก’

    ผมตกใจเสียงในความคิดของผม ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินเสียงในหัวแบบนี้ เพียงแต่

    ‘เจ่เจ้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง’

    ‘ปลอดภัยใช่ไหมเรา’

    ‘ครับ หยกคิดถึงเจ่เจ้’

    ‘หยกเชื่อใจเจ่เจ้นะ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ส่วนเรื่องเมฆาขาวของหยกไม่ต้องเป็นห่วง เหมิ๋นหลี่ต๋าเอามันกลับมาได้แน่นอน’

    ‘เจ่เจ้รู้เรื่องคุณลตา? ’

    ‘จ้า เจ่เจ้อยู่ใกล้ ๆ หยกนี่แหละ ไว้พร้อมเมื่อไร เจ่เจ้จะบอกอีกทีว่าหยกต้องทำยังไง’

    ‘เจ่เจ้ โบตั๋น’

    ‘ตั๋นไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องเป็นห่วง’

    ‘แล้วพี่เสือ...’

    ‘นั่นก็ไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่กี่วันหยกก็จะได้เจอคุณเสือแล้ว’

    เสียงของเจ่เจ้หายไปจากความคิดของผม ผมเคยคิดน้อยใจเจ่เจ้ที่ทำอะไรไม่บอกผม ปิดบังผม แต่พอเอาเข้าจริง แค่ผมได้ยินเสียงเจ่เจ้ในความคิด ผมก็ลืมความน้อยใจไปจนหมด ผมคิดถึงเธอเอามาก ๆ มันทำให้ผมรู้ว่าผมรักเธอและเธอก็รักผมมากแค่ไหน

........................................................................

    หงส์กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดังเดิม หลี่ต๋า เธอยืนอยู่ข้าง ๆ จุ้ยอั้ยเต๋อ เขาแนะนำหลี่ต๋าให้เธอรู้จักและบอกกับเธอว่า ระหว่างที่สามีกำมะลอของเธออยู่แต่กับเพื่อน หลี่ต๋าหรือลิลลี่ จะเป็นคนคอยดูแลเธอเอง

    “นภาเกรงใจคุณชายจุ้ยจังเลยค่ะ และขอบคุณมากนะคะคุณลิลลี่”

    “ผู้ชายก็แบบนี้แหละ ติดเพื่อนฝูง ยิ่งถ้าไม่ได้เจอกันนาน ๆ แล้วด้วย ส่วนลิลลี่ก็ว่างอยู่ ใช่ไหม?” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปพูดกับหลี่ต๋า

    “ค่ะ ลิลลี่ก็ว่าง ๆ อยู่ นี่ถ้ามีคุณนภาเป็นเพื่อนไปช้อปปิ้ง ทำผม ทำสปา ลิลลี่คงหายเบื่อ”

    “ดีจังค่ะ ไปช้อปปิ้งกับเสือทีไร พออยากทำสปา ทำเล็บ ก็เกรงใจเสือเขานะคะ ที่ต้องมานั่นรอนานๆ”

    “เห็นทั้งสองคนคุยกันถูกคอแบบนี้ ผมก็ปลื้มใจ ถ้าอย่างนั้นผมปล่อยให้สาว ๆ คุยกันไปดีกว่า ผมขอตัว”

    “ขอบคุณมากนะคะ คุณชายจุ้ย”

    “ยินดีครับ” หงส์รับรู้ได้ถึงแผนการในความคิดของจุ้ยอั้ยเต๋อเป็นอย่างดี จึงปล่อยไหลไปตามน้ำ

    “คุณนภาสนใจจะนวดอโรม่าไหมคะ ลิลลี่มีที่ดี ๆ แนะนำคะ”

    “เอาสิคะ ตั้งแต่มาที่นี่ นภายังไม่ได้มีโอกาสไปนวดเลย แต่นภาขอแบบ VVIP เลยนะคะ”

    และร้านนวดอโรม่าที่หลี่ต๋าเลือกก็ VVIP สมใจเธอ เนื่องจากค่อนข้างเป็นส่วนตัวมาก ๆ หากไม่มีบัตรสมาชิกก็ไม่สามารถขึ้นมาโซนด้านบนได้เลย ทำให้พวกเธอรอดพ้นสายตาจากคนของจุ้ยอั้ยเต๋อไปได้ชั่วคราว

    เมื่อมาถึงห้องนวด เธอทั้งสองก็ต่างสำรวจเสื้อผ้า กระเป๋าของตนเองว่ามีเครื่องดักฟังติดมาด้วยหรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเธอทั้งสองจึงได้คุยกันอย่างปกติ

    “ตาแทบจำคุณไม่ได้เลยนะคะคุณหงส์ ปลอมตัวจนไม่เห็นเค้าเดิมเลย”

    “ขึ้นชื่อว่าพวกจุ้ย ต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ คนพวกนี้อิทธิพลเยอะ เส้นสายก็ไม่ใช่น้อย”

    “แล้วคุณหงส์จะทำยังไงต่อไปค่ะ ตอนนี้หยกถูกจุ้ยเถิงจับตัวไว้ รวมทั้งเมฆาขาวก็อยู่ในมือคนพวกนั้นด้วย”

    “คงต้องพลิกแพลงแผนตามสถานการณ์ค่ะ ตอนนี้หงส์กับคุณต้นติดต่ออากรค่อนข้างยาก เพราะถูกประกบทุกฝีก้าวเลย ไม่รู้ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

    “ล่าสุดที่ตาได้คุยกับคุณเสือและคุณวรรณ รู้เพียงว่า คุณเสือจะตามมาที่นี่ แต่แผนเป็นยังไง ตาเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

    “เมื่อวานหงส์เจอครูศักดิ์กับเจ็กลู่ ปลอมตัวเข้ามาหาหงส์กับคุณต้น เจ็กลู่น่าจะหาทางเข้าใกล้เพื่อคอยระวังหลังให้หงส์”

    “คุณหงส์มีแผนจะทำอะไรต่อไปค่ะ ตาพอช่วยได้ไหม”

    “หงส์จะวานให้คุณช่วยอยู่พอดีเลยค่ะ หงส์พอทราบว่าคุณชอบพนัน”

    “จุ้ยเถิงก็ต้องการให้ตามาอยู่ที่กาสิโนนี่เหมือนกัน”

    “ดีเลยค่ะ เราคงจะได้เล่นด้วยกันสักตาสองตา”

    “คุณหงส์เล่นเป็นด้วยเหรอคะ”

    “นิดหน่อยค่ะ”

    “ตาทราบมาว่าคุณเสือกำมะลอเล่นได้เกือบร้อยล้านเหรียญ นี่แผนคุณหงส์ใช่ไหมคะ?”

    “ค่ะ แต่นั่นเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ต่อจากนี้ไปจะเป็นสิ่งที่หงส์หวังเอาไว้”

    “คุณหงส์ ให้หลิวลู่เข้ามาใช้ที่นี่สำหรับส่งข่าวได้นะคะ ฉันรู้ว่าคุณมีวิธีบอกคุณหลิว”

    “ที่นี่?”

    “ใช่ค่ะ ที่นี่ เฉพาะโซน VIP เป็นคนของเหมิ๋น”

    “คนของเหมิ๋น?”

    “คุณหงส์คงไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างตาจะทำงานเพียงคนเดียวหรอกนะคะ”

    หลี่ต๋ายิ้มให้กับเธอ คนของเหมิ๋นก็คงจะมีอิทธิพลไม่น้อย เพียงไม่แสดงตัวตน หรือกร่างบ้าอำนาจอย่างจุ้ย เหมือนฟ้าขีดเส้นเอาไว้ให้พยัคฆ์เดินมาพบหยก เพียงเพราะหยกเจอคุณพยัคฆ์เพียงคนเดียว ทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลมาช่วยครอบครัวของเธอ อากรรวมทั้งคนของเขา ไม่เว้นแม้แต่คนตรงหน้า และคงเป็นเพราะคุณเสืออีกนั่นแหละที่ทำให้เจ็กลู่ยอมที่จะเข้าไปหาคนที่เขารัก...อีกครั้ง

    “ขอบคุณมากนะคะ คุณลตา ขอบคุณจริง ๆ หงส์ไม่รู้ว่าจะตอบแทนตระกูลเหมิ๋นได้ยังไง”

    “คุณหงส์ก็รู้ ว่าสิ่งที่เหมิ๋นจะขอกับฝู่ มันก็มากมายเสียจน เหมิ๋นเองยังเกรงใจ”

    “สิ่งที่เหมิ๋นอยากได้ มันไม่มีค่าอะไรในสายตาของพวกเราเลยค่ะ สำหรับพวกเราแล้ว ครอบครัวและคนที่เรารัก สำคัญจนสิ่งวิเศษอะไรก็ทดแทนมันไม่ได้”

    “ตาเข้าใจค่ะ เพื่อเป็นการตอบแทน ตาจะดูแลหยกให้ดีที่สุด”

    “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ”

    “ถ้าอย่างนั้น ทางฝู่มีแผนอะไร บอกตามาได้เลยค่ะ เหมิ๋นยินดีช่วยพวกคุณเต็มที่”

    เธอและลตามีเวลาราว 2 ชั่วโมงในการนวด ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเป็นการเล่าแผนต่าง ๆ ให้คุณลตารับรู้มากกว่า ซึ่งคุณลตาเองก็ช่วยเสริมในจุดที่คิดว่าทางเธอคนไม่พอ จนได้บทสรุปในที่สุด

    “ต่อจากนี้คงต้องฝากคุณลตาช่วยประสานงานระหว่างหงส์กับเจ็กลู่แล้วล่ะค่ะ”

    “ได้ค่ะ ตอนนี้ได้เวลาที่เราต้องลงไปกันแล้ว เราจะไปไหนกันต่อดีค่ะ?”

    “ไปช้อปปิ้งอีกสักหน่อย ให้สมกับที่ตาเฒ่าจุ้ยเรียกหงส์ว่าสาวบ้าช้อปฯ กันดีกว่าค่ะ”

    “ตามนั้นเลยค่ะ”

    พวกเธอเดินลงมาถึงด้านล่างที่เป็นโซนลูกค้าปกติ ด้านหน้าร้าน หงส์ก็รับรู้ได้ถึงคนที่จับตามองพวกเธออยู่ เธอกับคุณลตาจึงพากันไปเดินช้อปปิ้งกันต่อ

........................................................................

    พยัคฆ์ได้รับข่าวจากเก่งว่าพวกนั้นจะเดินทางไปที่มาเก๊าล่าช้ากว่ากำหนดการ 1 วัน เพราะบังเอิญไปเจอแท่นทำพิธีเข้า และที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้น โบตั๋นเจอคู่หยกกิเลนแล้ว

    ทางด้านอากร ที่ให้ฝู่ไฉ๋ตรวจสอบวันเดือนปีเกิดของจุ้ยเถิงในฐานข้อมูลของเยี่ยนหว๋อ ก็ปรากฏว่า จุ้ยเถิงเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถชำระล้างเมฆาขาวได้จริงๆ แต่มันจะยอมทำในสิ่งพวกเราต้องการได้ยังไง

    ตอนนี้หงส์แต่งตั้งอากรเป็นผู้แลเยี่ยนหว๋ออย่างเป็นทางการ โดยฝู่ไฉ๋กำลังเตรียมงานแถลงข่าวอยู่อย่างเงียบ ๆ ซึ่งงานนั้นจะจัดขึ้นในเวลาพร้อมๆ กันกับที่ต้นสามารถยึดกาสิโนของจุ้ยอั้ยเต๋อได้ และจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาบุกเข้าไปช่วยเก๋อหมิง

    เขาต้องยอมรับว่า การมีคุณลตาเข้ามาช่วยแบบนี้แล้ว มันทำให้พวกเขาทำงานง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารกับหงส์ ที่ก่อนหน้านี้ต้องระวังตัวมากจนบางครั้งก็แทบจะไม่รู้ข่าวเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาชาติจะค่อนข้างโล่งใจ

    “คุณเสือค่ะ ข่าวจากคุณภาค่ะ” คุณวรรณเดินเข้ามาหาเขา ที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านพัก

    “เรื่องทางโน้นเรียบร้อยแล้วนี่ครับ หรือว่าเกรียงไกรกับนายเมฆหลุดไปได้”

    “นายเมฆดิ้นไม่หลุดหรอกค่ะ เจอทั้งหลักฐานกับพยานที่คุณภารวบรวมไว้ขนาดนั้น แต่นายเกรียงไกรนี่สิ” พยัคฆ์ลุกพรวดขึ้นมาทันที ทั้งที่คุณวรรณยังพูดไม่ทันจบ

    “คุณหญิงกับคุณสุพรรณษาคงหาทางช่วยมันจนได้”

    “ไม่มีใครช่วยคุณเกรียงไกรจากยมทูตได้หรอกค่ะ”

    “หมายความว่ายังไง มัน...”

    “ค่ะ คุณเสือดูนี่สิคะ” คุณวรรณยื่นแทบเล็ทให้กับเขา พาดหัวข่าวที่บ่งบอกว่านายเกรียงไกรถูกแทงเสียชีวิตในผับ

    “คนอย่างมันไม่น่าจะกล้าไปทะเลาะกับใคร”

    “วรรณก็คิดแบบนั้นค่ะ วรรณว่าเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องหลัง”

    “...”

    “เดี๋ยววรรณจะให้คนของเราทางนั้นลองสืบดู”

    “ไม่ต้อง มันไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องนี้คุณหญิงคงจะจัดการเองได้”

    “ค่ะ? ...รับทราบค่ะเจ้านาย”

    พยัคฆ์คิดไม่ต่างไปจากคุณวรรณ เพียงแต่เขาไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย เขาหวังเพียงแต่ว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่ฝีมือของจุ้ยเถิง เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หยกก็อันตรายมากที่อยู่กับคนอย่างมัน

........................................................................

    ตั้งแต่วันนั้นที่เจ่เจ้ติดต่อผมผ่านทางความคิด ผมก็ไม่ได้เจอหรือคุยกับเจ่เจ้อีกเลย แม้แต่คุณลตาก็หายไปด้วย ผมเริ่มนั่งไม่ติด รู้สึกกระวนกระวายใจไปหมด ในหัวผมคิดเพียงแต่ว่า คนอื่น ๆ เขาทำอะไรกันอยู่บ้าง ในระหว่างที่ผมเอาแต่นั่งๆ นอนๆ เดินไปเดินมาอยู่แบบนี้

    เจ่เจ้บอกว่าผมจะได้เจอพี่เสือเร็ว ๆ นี้ นั่นเพราะทุกอย่างกำลังจะจบลง หรือเพราะพี่เสือจะตามผมมาที่นี่ ผมอยากเจอพี่เสือ อยากขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า แต่ก็ไม่อยากให้เขามาเสี่ยงที่นี่ ผมยังจำภาพที่นายเกรียงไกรโดนคนของจุ้ยถิงซ้อมได้ติดตา ผมไม่อยากให้พี่เสือต้องมาเจ็บตัวแบบนั้น

    เวลาเพียงไม่นานที่เจอพี่เสือ มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ถ้าไม่เพราะเมฆาขาว และเรื่องเยี่ยนหว่อ ผมกับพี่เสือคงจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้

    “อาหยง” ผมหันไปตามเสียงเรียก คนที่ผมไม่อยากจะเจอเลย แต่ดันต้องมาติดแหง็กอยู่กับไอ้ฝรั่งนี่

    “...” ผมหันกลับไปมองวิวนอกระเบียงเหมือนเดิม ผมได้ยินหมอนั่นถอนหายใจ

    “ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แต่ถ้านายไม่บอกวิธีใช้หยกวิเศษนั่น นายก็ต้องทนเห็นหน้าฉันแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ”

    “...” เขาเข้ามาถามคำถามเดิม ๆ ได้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างรึไงน่ะ

    “อาหยง...”

    “...”

    “ถ้านายไม่บอกเรื่องวิธีใช้ อย่างนั้นบอกเรื่องน้ำหมึกสีครามนั่นก็ได้”

    “...” นั่นก็เป็นอีกคำถามที่เขามักจะถาม ซึ่งข้อนี้ผมไม่รู้จริง ๆ

    “อาหยง”

    “อย่ามาเรียกผมแบบนั้นนะ แล้วก็ผมบอกคุณไปตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าผมไม่รู้”

    “นายนี่ไม่เห็นเหมือนอาหงส์สักนิด นี่ถ้าหน้าตาไม่เหมือนกันขนาดนี้ ฉันไม่มีทางเชื่อแน่ ๆ ว่านายเป็นน้องชายอาหงส์”

    “นายรู้จักเจ่เจ้ได้ยังไง นายคงไม่...” ผมตกใจ เมื่อไอ้ฝรั่งนี่ อยู่ ๆ ก็เอ่ยถึงเจ่เจ้ ราวกับรู้จักเจ่เจ้เป็นอย่างดี

    “ใจเย็น ๆ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฝู่หงส์อยู่ที่ไหน ฉันก็แค่มีความทรงจำของอาหงส์อยู่ อาหงส์ที่สุขุมเยือกเย็น ไม่ได้ขี้โวยวายเหมือนอย่างนาย” สิ่งที่จุ้ยเถิงพูดทำให้ผมโล่งใจ

    “หึ!! ผมก็ส่วนผม เจ่เจ้ก็ส่วนเจ่เจ้ คนละคนกัน อีกอย่างคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพูดเปรียบเทียบผมกับเจ่เจ้แบบนี้”

    “ฉันว่าฉันอาจจะดูนายผิดไปนะ” จุ้ยเถิงขยับเข้ามาใกล้ผมด้วยท่าทีคุกคาม

    “จะดูถูก หรือดูผิดมันก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย” ผมขยับถอยหลังเล็กน้อยเมื่อเขาก้าวเข้ามา

    “จริง ๆ แล้วนายนิสัยเหมือนอาหงส์สินะ แต่แกล้งโวยวายให้ฉันรำคาญ ฉันจะได้ไม่ยุ่งกับนาย” เขาขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนผมต้องถอยหลังไปจนชิดประตูระเบียง “ฉลาดดีนี่ ดูฉันออกแต่แรกเลยสินะ”

    “คุณจะทำอะไร”

    “บอกฉันมาดีๆ จะดีกว่า ว่าหยกนั่นใช้งานยังไง”

    ผมเริ่มทนท่าทีคุกคามของหมอนั่นไม่ไหว จึงหงายมือขึ้นหวังจะกระแทกปลายคางของคนที่คุกคามผม แต่จุ้ยเถิงก็คว้าข้อมือผมไว้ได้ แถมยังจับผมดัดหลังเพื่อจะกดผมลงกับโซฟา มีหรือผมจะยอม ผมพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็วพอๆ กัน ทั้งที่ข้อมือยังคงอยู่ในมือหมอนั่น และเป็นฝ่ายคว้ามือหนานั่นไว้แทน ก่อนจับเขาดัดหลังและกดลงบนโซฟาแทนที่ผม

    “เก่งไม่เบานี่” จุ้ยเถิงว่าก่อนพลิกตัวกลับ ผมก้าวถอดออกมาในระยะที่ผมคิดว่าปลอดภัย

    “...” ผมได้แต่จ้องมองไม่พูดอะไร

    “ฝีมืออย่างนาย คิดจะหนีก็หนีฉันได้ แต่ไม่หนีเพราะเจ้าสิ่งนี้ใช่ไหม” จุ้ยเถิงล้วงเอาห่อกำมะหยี่สีแดงขึ้นมา ไม่ต้องเดาผมก็พอจะรู้ว่ามันคือเมฆาขาว

    “คุณคืนของของผมมาดีกว่า” ถ้าไม่ได้สัมผัสเมฆาขาวโดยตรง ๆ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะแย่งมันกลับมาได้

    ‘หยกเชื่อใจเจ่เจ้นะ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ส่วนเรื่องเมฆาขาวของหยกไม่ต้องเป็นห่วง เหมิ๋นหลี่ต๋าเอามันกลับมาได้แน่นอน’

    คำพูดในความคิดของเจ่เจ้...

    แต่นี่มันเป็นโอกาส ที่ผมจะเอาเมฆาขาวกลับมาได้...



To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 17-11-18 {{:::62:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 18-11-2018 15:36:57
แผนร้ายกาจมากวันฮุบตืนมาทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: หยก 26-11-18 {{:::63:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 26-11-2018 12:43:11
63



   จุ้ยเถิงอ่อนใจกับคนตรงหน้า เขาสังเกตเห็นฝู่หยงที่ระยะเริ่มทำท่าทีนิ่งเฉยแทนที่จะโวยวายเหมือนทุกครั้ง คงจะหมดมุกที่จะทำทีโวยวายแล้วสิท่า ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ทันเฉลียวใจ เพราะลตาเพิ่งพาตัวฝู่หยงกลับมาหลังจากที่แผนการยงหนีออกไปได้

   ตอนที่เขาเฝ้าดูฝู่หยงที่ร้านอาหาร ก็พอมองออกว่าคนตรงหน้าติดจะเป็นคนใจเย็นแค่ไหน พอไล่ต้อนซะจนมุมฝู่หยงถึงขึ้นลงไม้ลงมือ และฝีมืออย่างเขา คนที่เฝ้าที่นี่เพียงสองคน เอาคนตรงหน้าไม่อยู่แน่ ๆ ถ้าหมอนี่ไม่ยอมอยู่

   “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหม ว่ามันไม่ใช่ของนายอีกต่อไปแล้ว”

   “...” ฝู่หยงได้แต่เงียบ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ยังคงระวังตัว ไม่ให้เขาเข้าใกล้ และยังไม่มีทีท่าจะเข้ามาแย่งถุงในมือ ถุงใส่หยกแต่ไม่ใช่เมฆาขาวแน่นอน

   “ว่ายังไง นายต้องการสิ่งที่อยู่ในมือฉันมากไม่ใช่รึไง ทำไมไม่เข้ามาเอาไปล่ะ”

   “หึ!! ” ฝู่หยงหันหลังกำลังจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ไม่หลงกลเขาง่าย ๆ เขาจึงพุ่งตรงไปคว้าไหล่ของฝู่หยงไว้ ฝู่หยงสะบัดไหล่แต่มันไม่หลุดไปจากมือของเขา แต่เมื่อโดนโต้กลับ เป็นเขาเสียเองที่เป็นฝ่ายถอยออกมา

   ฝีมือของฝู่หยงไม่ใช่ย่อย ๆ เลย นี่ขนาดตัวเล็กว่าเขามาก ให้สู้กันจริง ๆ ตัวต่อตัว เขายังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะฝู่หยงได้รึเปล่า แล้วทำไมวันนั้น ฝู่หยงถึงได้พลาดท่าให้กับเขาง่าย ๆ กันนะ?

   ฝู่หยงตัวเล็กกว่า แรงน้อยกว่า แต่ก็ป้องกันจนไม่มีช่องว่างให้เขาได้โจมตีแม้แต่น้อย จนเขาส่งสัญญาณให้คนของเขาเข้ามาช่วยฝู่หยงก็รับมือได้ดีทีเดียว พวกเขาสามคนรุมอยู่นานฝู่หยงก็ไม่มีทีท่าว่าจะแรงตกลงไปเลย แล้วเพราะอะไรกัน?

   “พอแล้ว” เขาตะโกนบอกคนของเขา ฝู่หยงก็ได้แต่ระวัง แต่ไม่ได้บุกเข้ามา เขาเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น “นายตั้งใจให้ฉันจับตัวมาใช่ไหม?” เขาเลือกที่จะถามฝู่หยงตรง ๆ

   “...”

   “นี่นาย!! ” เขาโมโหกับอาการเงียบของฝู่หยงมาก แต่ก็ต้องใจกระตุกเมื่อใบหน้าที่ค่อย ๆ ขึ้นสีชมพูอ่อน ๆ ของอีกฝ่าย คงเพราะได้ออกกำลัง “อาหยง...”

   ฝู่หยงไม่ตอบอะไร ได้แต่หันหลังเดินเข้าห้องไป ทิ้งให้เขาไม่เข้าใจตัวเองอยู่กับคนของเขา ภาพของคนตรงหน้าเมื่อกี้มีผลกับเขาอย่างแรง ก่อนจะมีภาพฝู่หงส์ซ้อนทับขึ้นมา

   “นายน้อย เหล่าไป่ให้เตรียมตัวได้แล้วครับ”

   เขาไม่รู้ว่านิ่งค้างอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร และคนของลุงเข้ามาที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน นี่เขาคิดผิดหรือคิดถูกที่เข้ามาหาอาหยงก่อนทำงานสำคัญ ทั้งที่คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรแท้ ๆ

........................................................................

   หงส์ คุณต้น คุณศักดิ์ นั่งรวมกันอยู่ในห้องรับรองของจุ้ยอั้ยเต๋อ โดยที่เจ็กลู่ยื่นอยู่ด้านหลังของคุณศักดิ์ คุณลตานั่งอยู่ฝั่งจุ้ยอั้ยเต๋อ ระหว่างที่พวกเธอนั่งรอใครบางคนอยู่ซึ่งหงส์รู้ดีว่าใครกำลังมา

   “หลานชาย จะไม่แนะนำเพื่อนให้รู้จักหน่อยเหรอ ท่าทางจะสนิทกันมากนะถึงพาเข้ามาในนี้ด้วย”

   “ผมขอโทษคุณชายจุ้ยที่เสียมารยาท ผมลืมแนะนำเพื่อนของผมไป นี่มิสเตอร์คิม วุก เจ เพื่อนสนิทขอผมเอง เราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วครับ”

   “หืม...หลานชายนี่กว้างขวางนะ มีเพื่อนชาวเกาหลีด้วย”

   “อันที่จริงผมถือสัญชาติไทยครับ แต่เวลาไปต่างประเทศก็มักจะใช้ชื่อนี้” คุณศักดิ์อธิบาย

   “อ่อ อย่างนั้นเองเหรอ แล้ววันนี้มิสเตอร์คิมจะเล่นกับพวกเราด้วยไหมล่ะ?”

   “คงไม่ละครับ ผมไม่ถนัด ขอเป็นกองเชียร์ดีกว่า”

   “อย่างนั้นก็ตามใจ ว่าแต่ข้างหลังคุณนั่น?”

   “อ่อ นี่หลิวลู่ ผู้ช่วยและบอร์ดี้การ์ดของผมเองครับ” เจ็กลู่ค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างมีมารยาทแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทางใดๆ ออกมา

   ทุกคนที่นั่งหันไปเผชิญหน้ากับจุ้ยอั้ยเต๋อ ต่างเห็นกันทั้งนั้นว่าจุ้ยอั้ยเต๋อมีท่าทางตกใจแค่ไหน เพียงเพราะได้ยินชื่อเจ็กลู่

   “มิสเตอร์จุ้ยเป็นอะไรรึเปล่าครับ” คุณศักดิ์ถาม

   “อ่อ ไม่มีอะไรๆ เพียงแต่ผมมีเพื่อนชื่อแซ่เดียวกันกับผู้ช่วยของคุณ ทำให้ผมคิดถึงเขาขึ้นมา”

   “เพื่อน? หลิว นายรู้จักมิสเตอร์จุ้ยมาก่อนรึเปล่า” เจ็กลู่ส่ายหน้าให้กับคุณศักดิ์

   “หลิวลู่คนนี้ไม่ใช่เพื่อนผมหรอกครับมิสเตอร์คิม ผมได้ข่าวว่าเพื่อนผมน่ะเสียชีวิตไปนานแล้ว”

   “ผมเสียใจด้วยนะครับ” คุณศักดิ์ว่าก่อนหันไปคุยกับคุณต้น “เฮ้ยเสือ วันนี้แกเล่นกับใครวะ”

   “หลานคุณชายจุ้ยน่ะ เห็นว่าฝีมือดี”

   “แล้วเดิมพันเท่าไรว่ะ?”

   “ยังไม่ได้คิดว่ะ ทุกทีกูก็แล้วแต่คุณจุ้ย”

   “แบบนั้นจะไปมันอะไรว้า...”

   “แล้วแบบไหนถึงจะมันล่ะ?”

   “มิสเตอร์จุ้ย ผมขอเสนอเรื่องเดิมพันหน่อยได้ไหมครับ?”

   “มิสเตอร์คิมมีอะไรจะชี้แนะ ว่ามาเลย”

   “คุณมีโรงแรม กับกาสิโน ไอ้เสือมีบริษัทฯ รักษาความปลอดภัยระดับประเทศ คุณเห็นว่ายังไงครับ”

   “มันออกจะดูไม่แฟร์เท่าไรสำหรับผมน่ะสิ”

   “แล้วเงินที่ผมเล่นได้จากกาสิโนล่ะ” คุณต้นถามออกมาบ้าง

   “หลานชาย เงินนั่นมีมูลค่าเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของโรงแรมผมเองนะ”

   “เอาอย่างนี้ไอ้เสือ กูให้มึงยืมสถาบันกู 8 แห่งทั้งในไทยและเกาหลี” คุณศักดิ์พูดกับคุณต้น ก่อนหันไปหาจุ้ยอั้ยเต๋อ “แบบนี้พอไหวไหมครับ”

   “อืม...น่าสนใจ”

   “เฮ้ย!! ไม่ได้ดิ ของๆ มึงจะเอามาให้กูได้ยังไง”

   “แบบนี้สิตื่นเต้นดี มึงชอบเรื่องท้าทายไม่ใช่รึไงล่ะ”

   “มันก็จริง แต่...”

   “ถ้ามึงเสีย มึงก็แค่เป็นหนี้กู”

   “แม่งพูดเป็นลางนะมึง”

   “จะเอาหรือไม่เอา?”

   “นภาว่ายังไงครับ” คุณต้นหันมาถามเธอ

   “นภาว่า...”

   “คุณนภาปล่อยให้ผู้ชายเขาเล่นกันไปสนุก ๆ เถอะค่ะ ยังไงคุณก็แยกกระเป๋ากับคุณเสืออยู่แล้ว เสร็จจากที่หนุ่ม ๆ เขาเล่นกัน คุณกับลิลลี่ก็ยังไปช้อปปี้กันต่อได้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงไม่ใช่เหรอคะ” คุณลตาช่วยเธอกระตุ้นการตัดสินใจ จุ้ยอั้ยเต๋อก็ดูจะลุ้นอยู่ไม่น้อย

   “ตามใจเสือสิคะ นภายังไงก็ได้”

   “ไม่งอนผมนะครับที่รัก”

   “ทีกับเมียล่ะเสียงอ่อนเสียงหวาน” คุณศักดิ์ถึงกับแซว

   “ข้าวใหม่ปลามันก็แบบนี้แหละครับ มิสเตอร์คิม”

   เสียงประตูเปิดออก คนที่พวกเธอรออยู่ก็เดินเข้ามา จุ้ยเถิงมองที่เธอเล็กน้อย ก่อนเดินไปนั่งข้าง ๆ จุ้ยอั้ยเต๋อ

   “ผมขอแนะนำ หลานชายของผม จุ้ยเถิง วันนี้เขาจะเป็นคนเล่นแก้มือให้กับผม”

   “ลิลลี่จะอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับกติกาเล็กน้อยนะคะ เราจะเล่นกัน 3 ตา คนที่ชนะ 2 ใน 3 จะได้สิ่งเดิมพันไปทั้งหมด” คุณลตาเว้นจังหวะพูดก่อนหันมาสบตาคุณต้นเล็กน้อย “แบบนี้ตื่นเต้นพอไหมคะคุณเสือ”

   ‘หยก เจ่เจ้ต้องการให้หยกทำตามที่เจ่เจ้บอก ตอนนี้หยกต้อง...’

   การเล่นโป๊กเกอร์ตาแรกเริ่มขึ้นโดยที่หงส์ไม่ได้ช่วยเหลือคุณต้นสักนิด เธอปล่อยให้คุณต้นเล่นของเขาเอง โดยที่เธอจดจ่อกับสิ่งที่หยกต้องทำ

........................................................................

   คีกำลังจดจ่ออยู่หน้าจอเพิ่งแฮ๊กค์ระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมและกาสิโนของจุ้ยอั้ยเต๋อได้ โดยมีคนของฝู่ไฉ๋คอยเป็นลูกมืออยู่ เขาไม่สามารถเฝ้ามองกล้องทั้งหมดเพียงคนเดียวได้

   เขามาถึงมาเก๊าตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากที่คุยเรื่องแผนการกับเจ๊วรรณแล้ว เขาก็ลงมือทำงานทันที เครื่องมือต่าง ๆ คนของเหมิ๋นก็เป็นคนเตรียมเอาไว้ให้

   สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพคุณหยกที่กำลังทำตามแผนของคุณหงส์

   คีเฝ้ามองหน้าจอราวกับกำลังดูหนังแอคชั่นอยู่ก็ไม่ปาน คุณหยกเก่งมาก ใช้มือเปล่ารับมือคุณของจุ้ยได้ ปกติ คุณหยกที่เป็นฝ่ายรับ พอต้องรุกขึ้นมา ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ เขาถึงกับกลัวแทนคุณพยัคฆ์เลยทีเดียว หากทำให้คุณหยกโกรธขึ้นมาจะเป็นอย่างไร

   “เก่ง คุณหยกเข้าไปที่ห้องเซฟแล้วนะโว้ย มึงเตรียมพร้อมไว้ด้วย” เขาสื่อสารกับเก่งผ่าน ว. จนเห็นคุณหยกได้เมฆาขาวคืนมาแล้ว “คุณหยกกำลังลงลิฟต์ไปที่ล๊อบบี้ ที่เหลือมึงจัดการด้วย กูต้องไปจัดการอีกห้องหนึ่งก่อน ระวังตัวด้วยนะมึง

........................................................................

   วรรณามาดักรอคนของจุ้ยระหว่างทางที่จะไปท่าเรือสำหรับข้ามไปมาเก๊า เธอซุ่มอยู่บนอาคารหนึ่ง คนของเยี่ยนหว่อที่มาร่วมทีมครั้งนี้ ก็เตรียมพร้อมอยู่บนถนนเบื้องล่าง ถึงแม้เธอจะห่างหายจากงานลักษณะนี้ไปนาน แต่งานง่าย ๆ แค่การสกัดรถของเป้าหมาย ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับเธอ

   และแล้วเวลาที่เธอรอคอยก็มาถึง ขบวนรถเป้าหมายขับตามกันมา 4 คัน คนของเยี่ยนหว๋อที่เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านล่างถอยรถออกมาอย่างคนที่ไม่ระวังทำให้รถคันแรกที่ขับมาด้วยความเร็ว หักพวงมาลัยหลบจนเกิดเสียงล้อที่บดกับถนน เสียงที่ดังเรียกความสนใจจากรถรอบข้าง

   รถอีกคันของเยี่ยนหว๋อที่ตามประกบมาระหว่างทางก็ทำทีเหมือนหลบไม่ทัน จนเกิดการเฉี่ยวกันเล็กน้อย ปืนสไนเปอร์ของเธอที่ตั้งรอท่าอยู่แล้วอาศัยจังหวะรถชะลอตัว เธอลั่นไกยิงเข้าที่ยางรถคันแรก จากที่แค่เฉี่ยวเลยกลายเป็นชนเข้าเต็ม ๆ

   ความโกลาหลของอุบัติเหตุที่ถนนด้านล่าง ทำให้การจราจรติดขัดทันที ถนนสามเลนส์มีอุบัติเหตุขวางอยู่ ขบวนรถที่เหลือตามมา ก็หาทางแทรกออกจากพื้นที่นั้นได้ยาก กว่าจะหลุดจากตรงนั้นมาได้ ก็คงจะไม่ทันเรือข้ามฟากเที่ยวนี้แล้ว

   
........................................................................

   พยัคฆ์ที่ดักรออยู่ที่หน้าบ้านตระกูลฝู่พร้อมกับเอและต้า เพื่อรอสัญญาณจากคีและคุณวรรณ เพื่อนของอากรนำรถพยาบาลมาจอดรอที่จุดนัดพบ ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ตอนนี้ทุ่มกว่า ๆ ทางหงส์น่าจะเริ่มแผนการแล้ว และอีกไม่นานทางอากรและฝู่ไฉ๋คงจะแถลงข่าวเกี่ยวกับเยี่ยนหว๋อ

   ‘เก่งได้ตัวคุณหยกแล้วครับ’ เสียงคีดังมาจาก ว.

   “หยกเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยไหม?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง

   ‘ปลอดภัยดีครับ เก่งกำลังพามาหาผม’

   ‘ทางวรรณเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณเสือจัดการต่อได้เลยค่ะ’ คุณวรรณที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ว. ส่งสัญญาณเข้ามา

   “เข้าใจแล้ว เลิกการติดต่อชั่วคราว”

   ‘ครับ/ค่ะ’

   “ถึงตาพวกเราออกโรงกันบ้างแล้ว” เอพูดขึ้นอย่างนึกสนุก

   “อย่างประมาทไป นั่นมันชีวิตคนทั้งคนเลยนะ” เขาพูดปรามเอที่นั่งอยู่เบาะคู่หน้าคนขับ

   “ขอโทษครับบอส”

   “แยกย้ายกันไปทำงานตามแผน” พยัคฆ์พูดขึ้นก่อนทั้งเขา เอ และ ต้าจะทยอยลงจากรถ โดยมีคนของฝู่ไฉ๋ขับรถไปจอดรอที่จุดนัดหมาย

   พยัคฆ์เดินลัดเลาะไปยังริมกำแพงด้านหนึ่ง จนมาถึงจุดที่ใกล้ห้องทำงานที่สุด เขายืนรอสัญญาณจากคีอีกครั้ง

   “ฉันถึงจุดสตาร์ทแล้ว” เขาพูดผ่าน ว.

   ‘ผมถึงจุดสตาร์ทแล้วครับ’ ต้าที่อยู่อีกจุดรายงานเข้ามา

   ‘อีก 30 วิครับ’ เอรายงาน

   ‘ระบบในบ้านจะถูกตัดภายใน 90 วินาที’ คีแจ้งเข้ามา ทำให้พวกเขาจับเวลาเพื่อนับถอยหลัง ‘ระบบจะถูกตัดเป็นเวลา 3 นาที ทุกคนระวังตัวด้วยนะครับ จำไว้ว่ามีเวลาแค่ 30 นาทีระหว่างที่ทางเยี่ยนหว่อ ถ่ายทอดสดการแถลงข่าวผ่านทางช่องเฮดเคเอทีวี’

   ‘รับทราบ’ พวกเขาทั้งสามพูดออกมาพร้อมเพรียงกัน

   ‘ระบบจะตัดภายใน 5 4 3 2 1’ เมื่อสิ้นเสียงของคี พยัคฆ์ก็ปีนข้ามกำแพงเข้าไปภายในตัวบ้าน ก่อนลัดเลาะตามแนวพุ่มไม้ไปยังจุดหมาย

........................................................................

   ฝู่ไฉ๋กับคณะกรรมการอีก 4 คนของเยี่ยนหว่อรวมถึงทนายเหอ ซึ่งเป็นของจุ้ยอั้ยเต๋อ นั่งอยู่บนเวทีที่กำลังจะมีการแถลงข่าวในไม่ช้า เก้าอี้ข้างเธอถูกเว้นไว้ สำหรับเหลาไป่เหนียง

   นักข่าวจากสำนักต่าง ๆ พากันทยอยนั่งตามโต๊ะ เพื่อเตรียมความพร้อม ทุกสำนักค่อนข้างให้ความสนใจกับการแถลงข่าวของเยี่ยนหว๋อในครั้งนี้มาก และทุกคนต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดถึงไม่มีคนของจุ้ยอั้ยเต๋อเข้าร่วมงานครั้งนี้ นอกจากทนายความประจำบริษัทฯ เท่านั้น

   “สวัสดีเพื่อนนักข่าวและพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน สำหรับค่ำคืนนี้ ดิฉันฝู่ไฉ๋ ได้รับมอบหมายจากเหลาไป่เหนี่ยง เป็นตัวแทนของเยี่ยนหว๋อขอกล่าวต้อนรับทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมงานแถลงข่าวของเราในวันนี้ ต่อจากนี้ไปจะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ เดินแจกเอกสารเกี่ยวกับงานแถลงข่าวที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าค่ะ”

   เมื่อเธอกล่าวจบ พนักงานที่ได้รับมอบหมายก็เดินแจกจ่ายเอกสารให้กับนักข่าวทุกคน และทุกสำนัก ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ทุกคนต่างฮือฮากับเนื้อหาในเอกสารที่ได้รับ จนผู้ประกาศข่าวของสถานีเฮดเคเอทีวีเองต้องลุกจากโต๊ะที่ตัวเองนั่งไปรายงานสดหน้ากล้องทันที

   ‘ระบบจะตัดภายใน 5 4 3 2 1’ เสียงจากหูฟังที่เธอสวมอยู่ ทำให้เธอรู้ว่าคนของหลิวลู่กำลังทำตามแผนที่วางไว้แล้ว

   “เมื่อทุกท่านได้รับเอกสารจากทางบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคงจะถึงเวลาอันสมควร ที่ดิฉันจะแนะนำเหลาไป่เหนียงของเราชาวเยี่ยนหว๋อ ให้ทุกท่านได้รู้จักอย่างเป็นทางการเสียที เรียนเชิญ คุณฝู่หงส์ ทายาทคนโตของสกุลฝู่ ผู้ที่บุกเบิกกิจการของเยี่ยนหว๋อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1690”

   เมื่อเธอพูดจบ ฝู่หงส์ ก็เดินออกมาจากฉากด้านหลังช่างภาพของสำนักข่าวต่าง ๆ พากันอื้ออึง ต้องการจะถามคำถามกันมากมาย อีกทั้งช่างภาพแต่ละคนก็กดชัตเตอร์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

   ฝู่หงส์ก้าวขึ้นมาบนเวที ทั้งเธอและเหล่ากรรมการต่างก็พากันยืนขึ้น พร้อมทั้งโค้งคำนับให้กับเหลาไป่เหนียง ไม่เว้นแม้กระทั่งทนายเหอ ฝู่หงส์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่เธอเว้นไว้ ในตำแหน่งประธานของงานแถลงข่าวนี้

   “สวัสดีพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกท่าน ดิฉันฝู่หงส์ ทายาทคนโตแห่งสกุลฝู่ ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านค่ะ”

ด้านล่างเวที สำนักข่าวต่าง ๆ พากันแย่งจะถามคำถามฝู่หงส์ จนไม่สามารถจับใจความในคำพูดของแต่ละคนได้

   “ทุกท่านค่ะ ทุกท่าน โปรดฟังดิฉันก่อนนะคะ” ฝู่หงส์พูดขึ้นด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ดิฉันทราบว่า ทุกท่านคงจะมีคำถามมากมายอยากจะถามดิฉัน แต่โปรดอยู่ในความสงบ และถามคำถามทีละคนนะคะ ฝู่ไฉ๋จะเป็นช่วยดิฉันในการเลือกจากคนที่ยกมือเท่านั้นคะ”

   ฝู่หงส์พูดอย่างฉะฉาน เด็ดขาด มันแสดงออกมาทั้งน้ำเสียง คำพูด และแววตา จนคนในห้องนี้ถึงกลับเงียบกริบ เธอสะกดคนทั้งหลายได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 26-11-18 {{:::63:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-11-2018 18:40:19
ตื่นเต้นมากกับตอนนี้ อ่านไปลุ้นไป เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ ขอให้ทุกคนประสบผลสำเร็จดังที่ได้วางแผนไว้นะ
หัวข้อ: Re: หยก 26-11-18 {{:::63:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-11-2018 19:19:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 26-11-18 {{:::63:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 27-11-2018 09:21:28
หงส์มาได้ไง น่าจะเป็นหยกหรือเปล่าที่ทำตามแผนของหงส์
จุ้ยเถิงต้องเคยพบหงส์มาก่อนแน่ๆ รักหงส์แน่เลย
หัวข้อ: Re: หยก 3-12-18 {{:::64:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-12-2018 23:19:24
64

   คุณต้นเสียเกมแรกให้กับจุ้ยเถิงไปด้วยเวลาอันสั้น กว่าหงส์จะดึงสมาธิกลับมายังเกมตรงหน้าได้คุณต้นก็ได้ไพ่ในมือมาครบ 2 ใบแล้ว เธอไม่ต้องไปสัมผัสจิตของจุ้ยเถิงมากนักก็รู้ว่าเขาถือไพ่อะไรอยู่ในมือ ความรู้สึกของจุ้ยเถิงรุนแรงไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

   ‘คุณต้นได้ไพ่อะไรบ้างคะ’ เธอถามคุณต้นผ่านความคิดของเขา

   ‘ผมมี สิบดอกจิกกับแปดโพดำครับ’

   ‘จุ้ยเถิงมีคู่แปด เกมนี้เหนื่อยหน่อยนะคะ’

   “เฮ้อ...” คุณต้นถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีปิดบัง

   “มิสเตอร์คุณท่าทางจะได้ไพ่ไม่ดีสินะครับ” จุ้ยเถิงที่เฝ้ามองคุณต้นอยู่ตลอดเวลาถึงกับออกปาก “คุณเคยได้ยินคำว่าโป๊กเกอร์เฟสไหมครับ”

   “ก็เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ผมมันมือสมัครเล่น คงจะซ่อนหน้า ซ่อนความรู้สึกอย่างมืออาชีพเขาไม่ไหวหรอกครับ”

   “แต่การที่อ่านง่ายไปก็ไม่ดีนะครับ”

   “มาต่อกันเลยดีกว่าครับ ผมเองก็อยากรู้ว่าจะยังมีเกมที่ 3 ให้ผมได้เล่นต่อจากนี้ไหม?”

   เจ้ามือค่อย ๆ หยิบไพ่ออกมาจากเครื่องทีละใบ

   ใบที่ 1 แปดข้าวหลามตัด

   ใบที่ 2 เก้าดอกจิก

   ใบที่ 3 ห้าดอกจิก

   “เช็ก” จุ้ยเถิงเรียก

   “ผมตาม”

   ใบที่ 4 เจ็ดดอกจิก

   “เช็ก”

   “เบท” คุณต้นว่าก่อนหยิบชีพวางลงไปตรงกลางเพิ่ม การที่เขารู้ว่าในมือของจุ้ยเถิงถือไพ่อะไรอยู่ มันทำให้เขากล้าที่จะเสี่ยง

   “หืม.. ดูจากไพ่บนโต๊ะ มิสเตอร์คุณคงไม่ได้หวังสเตรทฟลัชอยู่หรอกนะครับ”

   “คงต้องลุ้นไพ่ใบสุดท้ายเอาแล้วล่ะครับ”

   “งั้นผมตาม”

   ใบสุดท้าย หกดอกจิก

   จุ้ยเถิงเปิดไพ่ของเขาก่อนหนึ่งใบเป็นแปดโพแดง

   “ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะมีคู่แปดนะ”

   คุณต้นเปิดไพ่ในมือตามเป็นสิบดอกจิก

   “ผมยอมรับนะครับว่า ตอนที่เห็นไพ่แล้วก็หวังอยู่นะว่าจะได้สเตรทฟลัช”

   “คุณคงต้องผิดหวังแล้วล่ะครับ มิสเตอร์คุณ เพราะแปดดอกจิกอยู่กับผม” จุ้ยเถิงพูดพร้อมเปิดไพ่ใบสุดท้าย

   “ด้านมิสเตอร์จุ้ยได้ตองแปด” เจ้ามือพูดขึ้น

   “ถึงจะเฉียดฉิวไปหน่อย ก็ถือว่าตื่นเต้นดีนะครับ” คุณต้นพูดแต่ยังไม่ได้เปิดไพ่ในมือ

   “คุณคงต้องไปขอโทษมิสเตอร์คิมแล้วละครับ ที่เสียกิจการให้กับผม” จุ้ยเถิงพูดขึ้นพร้อมทำทีจะลุกจากเก้าอี้

   “ผมว่ามิสเตอร์จุ้ยมาเล่นเกมที่ 3 กับผมก่อนจะดีกว่าครับ แล้วค่อยมาตัดสินว่าผม จะได้หรือเสียกิจการในมือกันแน่” คุณต้นพูดพร้อมทั้งเปิดไพ่ใบสุดท้าย

   “มิสเตอร์คุณมีแปดโพดำ สเตรท เกมนี้เป็นของมิสเตอร์คุณ” เจ้ามือพูดพร้อมตัดสิน จุ้ยเถิงเองก็มีท่าทีขัดใจไม่ใช่น้อย ส่วนจุ้ยอั้ยเต๋อเองก็ดูท่าจะเสียดายเกมนี้อยู่

   เมื่อเครื่องสับไพ่ทำงาน ทั้งจุ้ยเถิงและคุณต้นก็เตรียมพร้อมสำหรับเกมต่อไป หงส์รับความรู้สึกจากหยกที่ตอนนี้ปลอดภัยอยู่กับคุณคี และในขณะนี้ทางเฮดเคเอทีวีกำลงถ่ายทอดสดการแถลงข่าวเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนผู้บริหารอย่างเป็นทางการของเยี่ยนหว๋อกรุ๊ป

   ‘คุณต้นคะ ตอนนี้เยี่ยนหว๋อกำลังแถลงข่าวแล้วนะคะ’

   ‘ครับ ผมได้ไพ่มาครบ 2 ใบ เป็น...คู่หก”

   ‘รอสักครู่นะคะ ของจุ้ยเถิง...โพแดง...หกโพแดง กับ...ดอกจิก...จุ้ยเถิงยังไม่ยอมดูไพ่ใบสุดท้าย’

   ‘ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยผมก็มี 1 คู่ คุณหงส์ทำตามแผนเถอะครับ ผมน่าจะเอาตัวรอดได้’

   ที่คุณต้นกล้าที่จะบอกเธอแบบนั้นเป็นเพราะว่า ไพ่ที่เจ้ามือเปิดหงายบนโต๊ะ 3 ใบแรก มีคู่ 2 วางอยู่ด้วย โอกาสที่จุ้ยเถิงจะได้สเตรทพลัช, โฟการ์ด, พลัช, ตอง ไม่น่าจะมี ถ้าคุณต้นได้ 2 คู่ หนทางเดียวที่จุ้ยเถิงจะชนะคือ สเตรท

   ระหว่างนี้หงส์จึงทำตามแผนโดยลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่ทั้งสองนั่งเล่นกันอยู่ จุ้ยอั้ยเต๋อและจุ้ยเถิงเหลือบมองเธอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอจึงหันไปที่คุณลตา

   “คุณนภาเบื่อแล้วเหรอคะ?” ลตาที่เห็นเธอมองอยู่ก็ลงมือทันที

   “อีกนานไหมคะคุณลิลลี่ กว่าเกมจะจบ นภาเริ่มเบื่อแล้วค่ะ”

   “น่าจะสักพักค่ะ”

   “นภาเปิดทีวีดูได้ไหมคะ”

   “เอ่อ...เดี๋ยวลิลลี่ถามคุณชายจุ้ยให้นะคะ” ลตาทำหน้าที่เป็นล่ามให้เธอ ซึ่งจุ้ยอั้ยเต๋อก็พยักหน้าไม่ใส่ใจ

   หงส์เดินไปยังชุดโซฟา หน้าทีวีจอใหญ่ ก่อนที่ลตาจะทำหน้าที่เจ้าบ้านช่วยเธอเปิดทีวี พร้อมกับยื่นรีโมทให้เธอ จากนั้นลตาก็ทำทีเดินไปหยิบขวดแชมเปนบริเวณโต๊ะข้าง ๆ โซฟามารินให้กับเธอ

   “หืม...นั่นมันบริษัทของคุณชายจุ้ยนี่ค่ะ”

   ลตาแกล้งพูดพร้อมทั้งส่งแก้วแชมเปนให้กับเธอ และยังหันไปบอกจุ้ยอั้ยเต๋ออีกต่างหาก ซึ่งขณะที่จุ้ยอั้ยเต๋อมองมายังทีวีจอยักษ์ ภาพบนหน้าจอปรากฏแค่ใบหน้าของคณะผู้บริหาร กับทนายเหอ ทนายประจำบริษัทฯ เพียงสองคน

   หงส์ไม่ได้เปิดเสียงดัง ลตาก็มานั่งข้าง ๆ เธอทำทีคอยคุยเป็นเพื่อน แต่หงส์กลับเพ่งสมาธิไปอยู่ที่เกมบนโต๊ะ จุ้ยเถิงกับจุ้ยอั้ยเต๋อเองก็ไม่ต่างกัน

   ไพ่ใบที่ 4 ถูกเปิดออก หงส์กับคุณต้นเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น เพราะบนโต๊ะมีตอง 2 คุณต้นได้ฟูลเฮ้าส์ไปโดยปริยาย จุ้ยเถิงเองก็หมดสิทธิ์ที่จะได้เสตรท เธอจึงส่งสัญญาณให้กับลตา

   “คุณชายจุ้ย มาดูข่าวนี่ก่อนดีกว่าไหมคะ” ลตาบอกกับจุ้ยอั้ยเต๋อเป็นภาษาจีน อีกทั้งยังทำสีหน้าเคร่งเครียด

   “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าค่ะ?” หงส์แกล้งทำทีสงสัย ถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อเห็นจุ้ยอั้ยเต๋อหน้าถอดสีเดินมายังโซนที่พวกเธอนั่งอยู่

   “เป็นไปไม่ได้” จุ้ยอั้ยเต๋อพึมพำออกมา

   จุ้ยเถิงที่เกือบจะปิดเกม มองมายังทีวีจอยักษ์ เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของจุ้ยอั้ยเต๋อ ที่หน้าจอ เจ้าของคนใหม่ของเยี่ยนหว๋อกำลังกล่าวขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้เกียรติมางานในวันนี้อยู่

   “ฝู่หงส์” จุ้ยเถิงหลุดปากเรียกชื่อคนในจอภาพออกมา และทำทีจะลุกจากโต๊ะ

   “อ๊ะๆ ๆ มิสเตอร์จุ้ย ถ้าจะลุกก็ควรจะเปิดไพ่ในมือก่อนนะครับ ผมจะได้รู้ว่าต้องเสียกิจการของผมให้ไอ้เสือมันรึเปล่า” คุณศักดิ์เป็นคนพูดรั้งจุ้ยเถิงเอาไว้ พร้อมก้าวเข้าไปใกล้เพื่อดูผลสรุป

   “ผมชนะ” จุ้ยเถิงหงายไพ่ในมือพร้อมกันทั้งสองใบทันที

   “มิสเตอร์จุ้ยมีหกโพแดง กับหกดอกจิก ได้ฟูลเฮาส์” เจ้ามือพูดก่อนหันไปหาคุณต้น “มิสเตอร์คุณ จะเปิดไพ่ในมือไหม?”

   “ผมว่าคุณชายจุ้ยคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วละครับ เพราะผมเข้าใจว่าคู่หกของผมใหญ่กว่าของคุณ”

   “มิสเตอร์คุณมีหกข้าวหลามตัด และหกโพดำ ได้ฟูลเฮ้าส์ หกโพดำใหญ่กว่าเป็นฝ่ายชนะ”

   สิ่งที่เจ้ามือประกาศทำให้จุ้ยอั้ยเต๋อรีบเดินกลับมาดูผมของไพ่บนโต๊ะอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วไหนจะเรื่องที่ฝู่หงส์ไปอยู่ที่เยี่ยนหว๋อนั่นอีก

   “ผมหวังว่าคุณชายจุ้ยจะรักษาสัญญานะครับ ผลแพ้ชนะก็ออกมาแล้ว” คุณศักดิ์เดินเข้ามายืนเคียงข้างคุณต้น ตามด้วยเจ็กลู่

   “คุณลิลลี่ เสือชนะเหรอคะ?” หงส์ถามลตาพร้อมกับทำท่าลุ้น ลตาเองก็พยักหน้าให้ หงส์จึงวิ่งรี่เข้าไปหาคุณต้นทันที ลตาก็เดินมาสมทบ แต่เธอเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของจุ้ยเถิง

   ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างดูท่าทีของกันและกัน หงส์จับความคิดของคนทั้งคู่ได้ จุ้ยอั้ยเต๋อกำลังกระวนกระวายใจ เพราะจนถึงเวลานี้คนของเขาก็ยังไม่มารายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่เขาเรียกมาเพื่อข่มขู่กลุ่มคนตรงหน้า

   ส่วนจุ้ยเถิงมีเพียงความโหยหาอย่างรุนแรงกับคนที่เคยปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งตอนนี้การแถลงข่าวของเยี่ยหว๋อได้จบลงด้วยดีไปแล้ว

   “ว่ายังไงครับ คุณชายจุ้ย คุณจุ้ยจูเนียร์” คุณศักดิ์ยังคงคาดคั้นไม่ยอมปล่อยให้จุ้ยอั้ยเต๋อได้มีเวลาคิดไตร่ตรองมากนัก

   “เสือค่ะ คุณชนะจริง ๆ เหรอคะ?”

   “ใช่ครับที่รัก มาฮันนี่มูนครั้งนี้ รู้สึกว่าคุณจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่จากผมเลยนะที่รัก”

   “คุณชายจุ้ยค่ะ ถ้าอย่างนั้นนภาจะขอเปิดสปาที่โรงแรมเลยนะคะ เอาบรรยากาศเหมือนกับที่คุณลิลลี่พานภาไปเมื่อคราวก่อน” หงส์เองก่อนเร่งกดดันในแบบของเธอ

   จุ้ยอั้ยเต๋อได้แต่กัดฟันกรอด ฝ่ามือถูกกำไว้แน่น ทั้งยังเงียบเพื่อประวิงเวลา

   “คุณชายจุ้ยคงไม่คิดจะผิดสัญญาหรอกนะครับ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปคงไม่มีผมดีกับชื่อเสียงของคุณแน่ ๆ และผมก็มีพยานที่เชื่อถือได้อย่างมิสเตอร์คิมอีกต่างหาก” คุณต้นลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางพูดกดดันอีกทาง

   “อาเถิง ตามคนของเราสิ ป่านนี้ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ไหน” จุ้ยอั้ยเต๋อหันไปพูดกับจุ้ยเถิง ซึ่งทันทีที่รับคำสั่ง เขาก็กดโทรศัพท์ตามอย่างเร่งรีบ

   “คนของเรายังไม่ได้ข้ามฟากมาเลยครับ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น” จุ้ยเถิงก้าวเข้าไปกระซิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “อะไรนะ? ทั้งหมดเลยรึไง” จุ้ยเถิงได้แต่ก้มหน้าไม่ตอบ จุ้ยอั้ยเต๋อเริ่มระแคะระคายความบังเอิญที่ไม่น่าจะบังเอิญในหลาย ๆ เรื่อง “อาเถิง รีบกลับบ้าน”

   “ครับ” จุ้ยเถิงเองก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจจึงรีบสาวเท้าออกจากห้องอย่างเร่งรีบทันที

   “ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ส่วนเรื่องโรงแรมพร้อมกาสิโนแห่งนี้ผมจะจัดการให้”

   “ถ้าเป็นการไม่รบกวนจนเกินไป ผมของให้คุณชายจุ้ยช่วยใส่ชื่อของนภา ภรรยาผมเป็นผู้ถือครอง เรื่องนี้ผมหวังว่าคุณลิลลี่จะช่วยประสานงานให้กับนภาได้”

   “ยินดีค่ะ แค่เรื่องประสานงาน ลิลลี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

   หงส์จับความรู้สึกของจุ้ยอั้ยเต๋อได้ ว่าเขาต้องการจะเล่นไม่ซื่อกับสัญญา เพราะเห็นว่าคุณต้นกับเธอค่อนข้างไว้ใจคุณลตา จึงพยักหน้ารับ ซ่อนรอยยิ้มร้ายไว้ได้อย่างมิดชิด

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน ผมมีเรื่องต้องไปจัดการ”

   “อ่อ ไหน ๆ นภาว่า นภาคงไม่ได้ใช้ของขวัญที่คุณจุ้ยมอบให้เราแล้ว นภาขอคืนให้คุณจุ้ยแล้วกันค่ะ ถ้าไม่รังเกียจ ว่าง ๆ แวะมาพักผ่อนที่นี่ได้นะคะ” หงส์รั้งคนที่กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องไป พร้อมทั้งยื่นการ์ดสีทองคืนให้กับจุ้ยอั้ยเต๋อ

   เธอเห็นแววตา และรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขาเป็นอย่างดี แต่ที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่อจะบอกเขากลายๆ ว่าเขาไม่สามารถเล่นตุกติกอะไรกับพวกเธอได้แน่นอน

   จุ้ยอั้ยเต๋อได้แต่สะบัดหน้าหนีก่อนเดินนำลูกน้องที่เหลือออกจากห้องไป โดยมีคุณลตาเดินรั้งท้ายตามออกไปจากห้องด้วย

   และเมื่อทุกอย่างในห้องนี้จบลง เธอกับคุณต้นก็แยกกับคุณศักดิ์และเจ็กลู่ เพื่อไปต่างคนต่างไปพัก โดยต่างคนก็ต่างไม่พูดอะไรกันเลย

........................................................................

   โบตั๋นเดินนำคณะกรรมการของเยี่ยนหว๋อมาจนถึงห้องพักรับรองที่ทางสถานีจัดเตรียมไว้ให้ เธอไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใครกันบ้าง ต่างคนต่างเข้ามาจับไม้จับเมื่อแสดงความยินดีกับเธอ แล้วยังชายแก่คนหนึ่งที่ถึงกลับน้ำตาไหลออกมาด้วยความยินดี เธอเองก็ได้แต่ยิ้มปลอบใจ

   ใช่ว่าเธอจะฟัง พูดภาษาจีนได้ที่ไหน ถ้าไม่เพราะอากรช่วยเตรียมการไว้ให้ล่วงหน้า เธอคงไม่สามารถสวมรอยเป็นเจ่เจ้ได้แนบเนียนขนาดนี้

   เธอเห็นฝู่ไฉ๋เข้าไปพูดอะไรกับเหล่ากรรมการ ก่อนจะพยักหน้าให้กับเธอ โบตั๋นจึงเดินตามฝู่ไฉ๋ออกไปอย่างว่าง่าย เมื่อขึ้นมานั่งรถได้ เธอถึงได้ผ่อนคลายลง

   “คุณหนูเล็กนี่ก็เก่งนะคะ พูดตามที่ดิฉันคิดได้ไม่ขาดตกสักประโยค” ฝู่ไฉ๋กล่าวชื่นชมเธอเป็นภาษาอังกฤษ

   “เจ๊ไฉ๋ไม่ตกใจเหรอคะ?”

   “ดิฉันทราบดีค่ะ ว่าตระกูลฝู่มีความลับอะไร ตอนที่พบเหล่าป่านเหนียงครั้งแรก ยอมรับว่าดิฉันตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ชินแล้ว”

   “แล้วนี่เราจะไปไหนกันต่อค่ะ?”

   “ดิฉันจะพาคุณหนูเล็กไปรอคนอื่นๆ ที่โรงแรมค่ะ”

   “ตั๋นอยากรู้เรื่องที่มาเก๊า”

   “คุณวรรณเธอน่าจะมีความคืบหน้ามารายงานคุณหนูเล็ก”

   โบตั๋นได้แต่พยักหน้ารับ เธอรู้ว่าอากรวางแผนไว้ทุกอย่างแล้ว แม้กระทั่งตัวป่วนอย่างเธอที่โผล่มาเอาวินาทีสุดท้าย อากรก็ยังหาประโยชน์จากเธอได้เช่นกัน

   เธอว่าพี่ภาเจ้าแผนการแล้ว พอมาฟังแผนการต่าง ๆ ของอากรแล้ว พี่ภาแทบจะเทียบไม่ได้เลย ถ้าให้เปรียบเทียบ ระหว่างอากรกับเจ่เจ้ เธอว่าความร้ายกาจของทั้งสองคนคงจะสูสีกันทีเดียว

   “คุณหนูเล็กค่ะ ใกล้จะถึงแล้ว คุณหนูเล็กควรจัดการเรื่องเสื้อผ้าได้แล้วนะคะ”

   “อ่อ ค่ะ”

   เมื่อฝู่ไฉ๋เตือน เธอจึงปลดมวยผมปลอมออก เปลี่ยนสูทเป็นเสื้อเชิ้ตธรรมดากับกางเกงยีน สลัดคราบสาวมั่นมาดนักธุรกิจกลับมาเป็นสาวน้อยโบตั๋นดังเดิม แล้วก้าวข้ามไปนั่งข้างคนขับก่อนสวมแว่นโวเวอร์ไซด์อำพรางใบหน้า

   เมื่อรถจอดหน้าโรงแรม นักข่าวที่มารออยู่ก่อนต่างมารุมล้อมรถของเธอ ด้านล่างมีการ์ดคอยกันทางเดินให้ ฝู่ไฉ๋ก้าวลงจากรถไปก่อนตามด้วยหญิงสาวอีกคนที่รูปร่างพอ ๆ กับเธอก้าวตามออกไปโดยใส่แว่นกันแดด ในมือมีกระเป๋าครัชใบย่อมที่เอาไว้ยกพลางใบหน้าจากแสงแฟลช

   เสียงความวุ่นวายเงียบลงเมื่อประตูรถด้านนั้นไปปิดลง คนขับรถไม่รอช้า ออกตัววิ่งไปทางด้านหลังโรงแรม เขาจอดส่งเธอที่ประตูทางเข้า โดยคุณวรรณมายืนรอเธออยู่แล้ว

   “คุณตั๋นเป็นยังไงบ้างคะ?”

   “กว่าจะรอดมาได้ เก๊กซะเมื่อยเลยค่ะ”

   “เหนื่อยไหมคะ?”

   “หิวมากกว่าค่ะ นี่ตั๋นเพิ่งทราบนะคะ ว่าเครียดมาก ๆ นี่มันจะทำให้เราหิวง่าย”

   “แต่คุณตั๋นก็เก่งนะคะ ถ้าวรรณไม่ทราบมาก่อน วรรณยังคิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือคุณหงส์ซะอีก”

   “ตั๋นดีใจที่มีส่วนช่วย แถมยังสนุกอีกต่างหาก”

   “ไปค่ะ ขึ้นไปพักข้างบนก่อน เดี๋ยวค่อยสั่งอาหารขึ้นไปทานข้างบน ทานข้างล่างคงจะไม่เหมาะ” คุณวรรณพูดก่อนเดินนำเธอไป

   “นั่นนะสิค่ะ ไม่รู้ป่านนี้เจ๊ไฉ๋จะเป็นยังไงบ้าง ดีนะเนี่ยที่อากรรอบคอบ”

   “คุณตั๋นไม่ต้องห่วงฝู่ไฉ๋หรอกค่ะ เธอเอาตัวรอดได้”

   “คุณวรรณพอจะทราบเรื่องทางมาเก๊าไหมคะ?”

   “ทางนั้นเรียบร้อยดีค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน รอแค่ฝั่งทางคุณเสือ”

   “ตั๋นว่าจะถามเหมือนกัน ว่าทำไมต้องส่งพี่เสือไปที่บ้านตระกูลฝู่ด้วยละคะ ที่นั่นไม่น่าจะมีอะไร”

   “จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ ที่คุณเสือต้องไปที่นั่น เพื่อไปขโมยเอาข้อต่อรองสุดท้ายที่ทางจุ้ยอาจจะเอามาต่อรองกับเรา คุณกรไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้น”

   “ตั๋นเข้าใจแล้วค่ะ”

   โบตั๋นกับคุณวรรณเข้ามาในห้อง ๆ ห้องหนึ่ง ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ อย่างกับหนังสายลับ เธอทั้งแปลกใจ ทั้งตื่นตา จนแทบจะลืมความหิวไปเลย

   “คุณวรรณครับ” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเธอทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง “คุณกรตามไปช่วยคุณเสือ เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ครับ”

   “ไปทำไม”

   “จุ้ยเถิงกำลังไปที่บ้านตระกูลฝู่ครับ คุณกรจะไปช่วยถ่วงเวลา”

   “อันตรายเกินไป ทางนั้นถึงจะมีคนไม่มากก็เถอะ” คุณวรรณพูดอย่างเป็นกังวล “แล้วคีรู้เรื่องนี้รึยัง?”

   “ผมแจ้งไปแล้วครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นบอกคี ฉันจะตามไปช่วย”

   “ตั๋นไปด้วยค่ะ”

   “ไม่ได้ค่ะ มันอันตราย อีกอย่างมันไม่ได้อยู่ในแผน”

   “ตั๋นรู้ค่ะ แต่นอกจากตั๋นจะช่วยเรื่องบู้แล้ว ตั๋นยังช่วยเรื่องความคิดด้วยนะคะ”

   วรรณาทำท่าทางลังเลก่อนตัดสินใจพยักหน้า ทั้งสองรอจนฝู่ไฉ๋กลับเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ตามวรากรไปโดยมีฝู่ไฉ๋อาสาขับรถให้

To Be Continue

(https://bitpokerstar.com/wp-content/uploads/2017/10/rules-of-playing-poker.png)

แปะเผื่อไว้ให้สำหรับคนที่นึกภาพเกมไม่ออกคะ ^^
หัวข้อ: Re: หยก 8-12-18 {{:::65:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-12-2018 17:13:57
65

   หลังจากที่ผมแอบเข้าไปขโมยเมฆาขาวของตัวเองคืนมาได้แล้ว ความรู้สึกของผมก็รับรู้ได้ถึงสิ่งรอบข้าง ทั้งความรู้สึกของไอ้ฝรั่งนั่นก็ยังคงรุนแรงมากจนผมที่อยู่ไกลออกมาในส่วนของโรงแรมยังรู้สึกได้

   ระหว่างทางผมได้ยินเสียเจ่เจ้ชัดเจนขึ้นภายในหัวของผม ถึงแม้จะเจอคนของจุ้ย 3-4 คน แต่ผมก็รับมือได้สบาย จนเมื่อมาถึงตรงประตูทางออกโรงแรม พี่เก่งก็เดินเข้ามารับผม ทำทีว่าเรานัดกันไว้ด้วยการเอามือมาคล้องคอแล้วสวมหมวกแก๊ปให้ผม จนกระทั่งพี่เก่งพาผมมายังรถตู้คันหนึ่ง

   “พี่คี?”

   “ปลอดภัยนะครับคุณหยก”

   “ครับ”

   ผมมองไปในจอมอนิเตอร์ต่าง ๆ 3-4 จอ ที่พี่คีกับชายอีก 2 คนนั่งดูกันอยู่ ในจอภาพหนึ่งผมเห็นพี่ต้นนั่งเล่นไพ่กับจุ้ยเถิง เจ่เจ้นั่งอยู่ข้าง ๆ คุณลตา แล้วนั่น

   “พี่ศักดิ์!! ” เจ็กลู่ยืนอยู่ด้านหลังของพี่ศักดิ์?

   “ครับ พี่ชาติให้คุณศักดิ์มาช่วย” พี่คีตอบผม แต่ไม่ได้ละสายตาไปจากจอ

   “เจ็กลู่กับพี่ศักดิ์รู้จักกันได้ยังไง”

   “พวกผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ คงต้องรอถามพี่ชาติกับคุณศักดิ์ทีหลัง” พี่เก่งตอบก่อนจะไปหามุมนั่ง

   ผมได้แต่มองไปที่จอภาพ เหมือนเขาจะเล่นไพ่กันจบไปแล้ว แต่ผมดูไม่เป็นว่าใครแพ้ใครชนะ แล้วที่ผมไม่รู้ก็คือเขาเล่นกันไปเพื่ออะไร เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้ หากจะเล่นเพียงเพื่อล่อให้ผมได้มีโอกาสไปขโมยเมฆาขาวและหนีออกมาเท่านั้น

   “พี่เก่ง ใครชนะครับ”

   “รอบนี้ต้นมันชนะครับ แต่รู้สึกว่ารอบที่แล้วต้นมันจะเสียให้จุ้ยเถิง รอบสุดท้ายจะเป็นรอบตัดสิน”

   “ระบบในบ้านจะถูกตัดภายใน 90 วินาที” ผมได้ยินพี่คีพูดใส่หูฟังเป็นภาษาอังกฤษพร้อมทั้งมองไปยังอีกจอภาพ มันเป็นภาพบ้านขนาดใหญ่ ในจอภาพถูกแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ อีก 9 ช่อง

   “นั่นมัน พี่ต้า” ผมชี้ไปที่จอภาพเล็ก ๆ มุมซ้าย พี่เก่งพยักหน้าให้ยิ้ม ๆ

   “ระบบจะถูกตัดเป็นเวลา 3 นาที ทุกคนระวังตัวด้วยนะครับ จำไว้ว่ามีเวลาแค่ 30 นาทีระหว่างที่ทางเยี่ยนหว๋อ ถ่ายทอดสดการแถลงข่าวผ่านทางช่องเฮดเคเอทีวี”

   ผมเห็นชายอีกคนที่อยู่บนรถคันนี้ด้วย กำลังเครียจอภาพจอหนึ่ง ซึ่งตอนนี้หน้าจอมีแต่สีฟ้า ไร้สัญญาณภาพใดใด ผมหันกลับไปมองที่จอภาพที่เห็นพี่ต้า แล้วก็เห็นพี่เอกับพี่เสืออยู่ในนั้นด้วย

   “พี่เก่ง ที่นั่นที่ไหน?”

   “บ้านตระกูลฝู่ คุณพยัคฆ์ไปช่วยคนที่ชื่อเก๋อหมิงครับ”

   “ใครเหรอครับ เก๋อหมิง?” พี่เก่งสายหน้าเป็นคำตอบ

   “ระบบจะตัดภายใน 5 4 3 2 1”

   เมื่อพี่คีพูดจบ หน้าจอนั้นก็กระตุกไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกลับมามีความเคลื่อนไหวดังเดิม และอีกหนึ่งใกล้ ๆ กัน ปรากฏภาพเหมือนกันทั้ง 9 ช่อง แต่กลับไม่เห็นพี่เอ พี่ต้า และพี่เสืออยู่ในนั้นเลย

   “เมื่อครู่ตอนที่คุณหยกออกมา คีมันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน พวกนั้นจะไม่รู้ว่าคุณออกมาได้ยังไง มันจะเห็นเฉพาะตอนที่คุณเอาเมฆาขาวออกมาเท่านั้น” พี่เก่งอธิบาย

   “มีแผนอะไรที่มากกว่านี้ใช่ไหมครับ เจ่เจ้ถึงไม่ให้ผมปิดตู้เซฟไว้เหมือนเดิม”

   “เรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” เมื่อไม่ได้คำตอบอะไรจากพี่เก่ง ผมก็กลับไปสนใจที่หน้าจอสี่เหลี่ยมอีกครั้ง

   ผมสะดุดตากับจอที่เคยเป็นสีฟ้า ซึ่งตอนฉายภาพเหมือนงานแถลงข่าวอะไรสักอย่าง เรียกความสนใจให้ผมหันไปดู ป้ายด้านหลังติดตัวหนังสือภาษาจีน 2-3 ประโยค และผมเห็นภาษาอังกฤษคำว่า เยี่ยนหว๋อ กรุ๊ป เจ่เจ้กำลังทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ ผมรู้สึกอย่างนั้น

   ในภาพ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพูดอะไรสักอย่าง ซึ่งผมฟังไม่ออก ผมละความสนใจหันไปทางจอที่มีเจ่เจ้อยู่ในนั้น ซึ่งผมเห็นเจ่เจ้กับคุณลตาลุกออกไปจากที่นั่ง ย้ายไปนั่งอีกมุมหนึ่ง ผมมองสองจอสลับกันไปมา

   ผมอึ้งตาค้างกับภาพที่เห็น จอที่มีงานแถลงข่าวของเยี่ยนหว๋อ คนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้คือ โบตั๋น เธอพูดภาษาจีนได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แล้วการแต่งกายที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนั่นอีก เหมือนเจ่เจ้ไม่มีผิด สวมรอย คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผม

   ทั้งหมดนี่คือการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ทุกอย่างถูกเตรียมการมาเป็นอย่างดี ผมพอจะปะติดปะต่อได้บ้าง เพียงแต่ไม่ทั้งหมด ตอนนี้ใจผมเต้นแรง ทั้งตื่นเต้น ทั้งลุ้น

   ผมมองดูทั้งสองจอสลับกันไปมา ทางด้านของโบตั๋นเหมือนจะจบลงไปก่อนแล้ว หน้าจอนั้นก็กลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม ส่วนทางด้านของเจ่เจ้ เหมือนคนในห้องนั้นจะมีปากเสียงกัน แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี

   “ผมเข้าไปหาเจ่เจ้ได้ไหมครับ”

   “ยังไม่ได้ครับคุณหยก เดี๋ยวคุณต้องไปกับพวกผม ส่วนคุณหงส์กับอาชาติจะตามออกมาในวันพรุ่งนี้” ผมพยักหน้าเข้าใจ ป่านนี้จุ้ยอั้ยเต๋อคงจะรู้ตัวแล้วว่าผมหนีออกมา

   “คุณพยัคฆ์ เอ ต้า จุ้ยเถิงกำลังไปบ้านตระกูลฝู่” พี่คีพูดใส่หูฟังอีกครั้ง เรียกความสนใจจากผมให้หันกลับไปมองดูหน้าจอที่เหลืออยู่

   “ที่นั่นไกลจากนี่ไหมครับ”

   “ก็ไกลพอควร ขับรถไปก็ราว ๆ ชั่วโมงได้” พี่เก่งบอกผม “คุณหยกไม่ต้องเป็นห่วงทางนั้นไปหรอกครับ บ้านนั้นเหลือคนไม่เท่าไรแล้ว การรักษาความปลอดภัยก็หละหลวม”

   “ครับ เอ่อ...แล้วโบตั๋นละครับ วันนี้ผมจะได้เจอเธอไหม?”

   “คุณตั๋นน่าจะตามมาสมทบเราพรุ่งนี้เหมือนกันครับ”

   “วันนี้ผมต้องอยู่กับพี่ ๆ สินะครับ”

   “เดี๋ยวเสร็จจากที่นี่ เราจะไปเจอคุณพยัคฆ์ที่บ้านพี่ชาติครับ”

   “บ้านเจ็กลู่?”

   “ใช่ครับ พี่ชาติมีบ้านที่นี่ บ้านเดิมของคุณพ่อคุณ ก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลฝู่”

   “พี่เก่งดูจะรู้อะไรเยอะจังเลยนะครับ”

   “ผมก็เพิ่งจะรู้ก่อนคุณหยกเมื่อวานนี้เองครับ เรื่องราวทั้งหมดไว้คุณหยกเจอคุณพยัคฆ์แล้วค่อยถามกันอีกทีนะครับ แล้วก็...ไม่ต้องน้อยใจไปนะครับ”

   “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

   “ใครจะไปรู้ล่ะครับ ผมไม่ได้สวมเมฆาขาวอย่างคุณหยกนี่ครับ เลยต้องพูดดักไว้ก่อน”

   “พูดแบบนี้แสดงว่า พี่เก่งรู้เรื่องหมดแล้ว และเรื่องก่อนที่ผมจะโดนจับตัวมาที่นี่สินะครับ” พี่เก่งไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ผม ถ้าพี่เก่งรู้ คนอื่น ๆ ก็ต้องรู้หมดไม่ว่าจะเป็นเจ่เจ้หรือโบตั๋น

........................................................................

   พยัคฆ์กับต้าอยู่ภายในห้องลับของบ้านตระกูลฝู่เรียบร้อย ทั้งสองกำลังสำรวจคนที่นอนอยู่ตรงหน้า ดูจากลักษณะแล้วการพาตัวออกไปไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคนที่นอนอยู่ที่นี่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ถุงน้ำเกลือกับถุงที่ปล่อยของขับถ่ายระโยงระยางอยู่เท่านั้น

   “ห้องนี้...รู้สึกจะอับสัญญาณ” ต้าพูดเปรย ๆ ขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองดูรอบ ๆ

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องรีบ ไม่รู้ป่านนี้เหตุการณ์ข้างนอกจะเป็นยังไงบ้าง”

   “ครับ”

   ทั้งสองช่วยกันพยุงคนที่ไม่ได้สติขึ้นจากเตียง โดยถอดสายต่าง ๆ ออกจากตัวแล้วเริ่มจับเวลา อากรให้เวลาพวกเขาเพียง 10 นาทีในการพาผู้ป่วยคนนี้ไปส่งให้ถึงมือหมอ เพราะไม่อยากเสี่ยงให้อยู่สภาวะที่ต่างจากปกตินานนัก เกรงจะเกิดอันตรายขึ้น

   เมื่อพวกเขาพยุงเก๋อหมิงมาจนถึงส่วนของห้องทำงาน สัญญาณการสื่อสารต่าง ๆ ก็กลับมาสู่ภาวะปกติ แต่อาจจะออกมาในช่วงจังหวะที่ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ฟังข้อความจากคีไม่ถนัดนัก

   ‘...ลังไปบ้านตระกูลฝู่’

   ‘รับทราบ’ เสียงเอตอบรับ

   ‘ไอ้เสือ เก๋อหมิงล่ะ’ เสียงของอากรแทรกเข้ามา

   “กำลังจะพาออกจากห้องทำงาน”

   ‘ปรับแผนนิดหน่อย แกพาไปซุ่มอยู่ที่โรงรถ ฉันจะเข้าไป เราต้องรีบออกมาก่อนจุ้ยเถิงจะมาถึงที่นี่’

   “เฮ้ย...มันอันตรายนะอา ถ้าอาเข้ามามันจะสงสัยอาทันทีที่มันรู้ว่าเก๋อหมิงหายไป”

   ‘ไม่ต้องห่วง อาไม่ได้ออกหน้าเอง เจอกันภายใน 2 นาที’

   “ครับ”

   เขากับต้าเปลี่ยนเส้นทาง แอบย่องมาแถวโรงจอดรถ มาถึงเอก็มารออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาเห็นรถตู้ของเยี่ยนหว๋อขับเข้ามาจอดอยู่ตรงทางเข้าบ้าน ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสูทเดินลงมา ก่อนที่รถคันนั้นจะแล่นมาหาพวกเขา

   เมื่อรถจอดสนิท คนขับรถก็เดินออกไปสูบบุหรี่โดยเปิดประตูรถทิ้งไว้ อากรค่อยๆ โผล่หน้าออกมา พวกเขาจึงแอบขึ้นรถไป รอไม่ถึงนาที ชายที่สูบบุหรี่ก็กลับมาขึ้นรถ เพื่อไปรับคนที่เพิ่งออกจากบ้านหลังนั้นมา

   พวกเขาออกจากตัวบ้านไปยังจุดนัดพบ ระหว่างทางคนที่สวมชุดสูทก็หันมาบอกให้พวกเราออกจากที่ซ่อน

   “คุณกร ออกมาได้แล้วครับ เราออกมาพ้นตัวบ้านแล้ว”

   “พวกนั้นสงสัยอะไรคุณไหม?”

   “ไม่ครับ ผมบอกกับคนในบ้านว่าเอา เอกสารด่วนมาให้คุณจุ้ย คนดูแลบ้านก็รับไป ผมก็ออกมาเลย”

   “ขอบใจมาก”

   “ยินดีครับ ในที่สุดเยี่ยนหว๋อก็กลับมาสู่มือของคนตระกูลฝู่จริง ๆ สักที”

   “อากร เขาคนนี้คือ?”

   “ก็ลูกหลานของคนที่ภักดีกับตระกูลฝู่นั่นแหละ และเขายังเป็นเขาเป็นผู้ช่วยทนายเหอ”

   “เหมือนอาจะเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว”

   “แค่คิดเผื่อไว้เท่านั้นแหละ”

   พวกเขาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนรถ พวกเขาทั้งหมด ยกเว้นคนของเยี่ยนหว๋อ ย้ายมาอยู่บนรถพยาบาล กำลังจะแยกย้าย ชายคนเดิมก็เรียกอากรไว้

   “เดี๋ยวครับคุณกร เจ้ไฉ๋กำลังมา”

   “มาทำไม?”

   “เธอได้ยินว่าจุ้ยเถิงกำลังจะมา เธอเลยพาคุณหนูเล็กกับเลขาฯ ของคุณมา”

   “บอกฝู่ไฉ๋ ให้ไปรอที่บ้านคุณหลิว ไม่ต้องมาที่นี่”

   “ครับ”

   “ถ้างั้น แยกย้ายได้”

   “เกิดอะไรขึ้นครับอากร” เขาหันไปถามหลังจากอาของเขากลับขึ้นรถมาแล้ว

   “โบตั๋นกับคุณวรรณคงกังวลเรื่องที่จุ้ยเถิงจะมาที่นี่ เลยจะตามมาสมทบ”

   “จุ้ยเถิงจะมาที่นี่ แล้วที่กาสิโนล่ะครับ”

   “แกไม่ได้ยิน?” อากรถามสั้น ๆ

   “สงสัยจะเป็นตอนที่เขาไปพาตัวคุณเก๋อหมิงออกมา ห้องนั้นอับสัญญาณน่ะครับบอส” ต้าเป็นคนตอบแทน

   “อืม ทางนั้นเรียบร้อยดี พรุ่งนี้ทุกคนจะตามมาสมทบที่บ้านอาหลิว” อากรตอบทำให้เขาคลายใจ อีกไม่นานเขาจะได้เจอหยกแล้ว

   เขามองดูเพื่อนหมอของอากรตรวจร่างกายเก๋อหมิง และพูดคุยอะไรกับอีกพักใหญ่ อาของเขามีสีหน้าหนักใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ได้แต่มองหน้าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่อย่างนั้น

   เก๋อหมิงหน้าตาคล้ายกับอาชาติมาก แต่เป็นอาชาติในรูปที่เขาตามหาอยู่เกือบ 10 ปี ถ้าเก๋อหมิงตื่นมาแล้วเห็นว่าน้องชายของตนเองเปลี่ยนไปขนาดนี้ เพียงเพื่อจะปกป้องหลาน ๆ เก๋อหมิงจะรู้สึกอย่างไรกัน หากเป็นเขา เขาคงเสียใจ ที่คำสั่งสุดท้ายของเขา กลับทำให้น้องชายของตัวเองต้องอยู่อย่างไร้ตัวตนมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี

........................................................................

   โบตั๋น เลยค่ะ และฝู่ไฉ๋ เปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน หลังจากที่ฝู่ไฉ๋ได้รับคำสั่งจากอากร ให้ไปเจอกันที่บ้านของเจ็กลู่เลย เธอดีใจมากที่จะได้เจอหยกสักที แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงของใครคนหนึ่ง

   “คุณวรรณ เจ๊ไฉ๋” เรียกคนทั้งสอง ก่อนสอดสายสายตาไปยังท้องถนน

   “คะ คุณหนูเล็ก?” เธอมองหน้าคุณวรรณซึ่งนั่งข้างเจ้ไฉ๋ที่เป็นคนขับรถ คุณวรรณพยักหน้า เธอจึงพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษ

   “ตั๋นรู้สึกว่าจุ้ยเถิงอยู่ใกล้ ๆ เรา ความรู้สึกมันรุนแรงมาก”

   “คุณตั๋นรับรู้ได้ไกลแค่ไหนคะ?” คุณวรรณถามเธอ

   “ไม่เก่งเท่าเจ่เจ้ แต่ก็พัฒนาไปมากกว่าเมื่อก่อน”

   “อาไฉ๋ รู้ไหมว่าจุ๋ยเถิงขับรถแบบไหน?”

   “ไม่ต้องมองหาแล้ว รู้สึกว่าอาเถิงกำลังตามเราอยู่ คงจะจำรถฉันได้” คุณวรรณหันกลับมามองด้านหลัง เธอจึงเหลียวมองตาม จึงเห็นว่ามีรถตามพวกเธอมาจริง ๆ

   “คุณตั๋นค่ะ ช่วยวรรณหน่อยค่ะ”

   “ได้เลยค่ะ” เธอไม่รอช้า หลับตาแล้วส่งจิตเข้าไปสำรวจรถที่ตามหลังมาทันที

   เธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมหยกถึงได้พลาดท่าให้จุ้ยเถิงง่าย ๆ จิตของจุ้ยเถิงมีความปรารถนาที่รุนแรงมาก ถึงไม่ได้เป็นความปรารถนาที่เกี่ยวกับหยก แต่แรงจูงใจอะไรสักอย่างนั้น มันสำคัญกับเขามากจนเป็นแรงขับให้ความรู้สึกที่ออกมานั้นรุนแรงจนน่าตกใจ

   จากที่เธอรับรู้ บนรถมีเพียงจุ้ยเถิงคนเดียว จิตใจของเขากำลังสับสนกับคำสั่ง จะเข้าบ้านตระกูลฝู่หรือตามเธอ ตามเธออย่างนั้นเหรอ?

   “คุณวรรณ เจ๊ไฉ๋ จุ้ยเถิงกำลังตามตั๋นค่ะ”

   “เขาต้องการตัวคุณตั๋นอย่างนั้นเหรอคะ?”

   “ตั๋นเองก็แปลกใจ เอายังไงกันดีค่ะ?” เธอเห็นคุณวรรณครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนตัดสินใจ

   “จุ้ยเถิงมีอาวุธอะไรติดตัวไหมคะ?”

   เธอหลับตามลงอีกครั้งก่อนส่งจิตเข้าไปสำรวจจุ้ยเถิงให้มากขึ้น โดยไม่ทำให้เจ้าของจิตรู้ตัว ก่อนที่เธอจะเอ่ยลักษณะปืนในความคิดของจุ้ยเถิงให้คุณวรรณ

   “คุณตั๋นพอจะไหวไหมคะ ถ้าวรรณจะให้คุณตั๋นตรวจดูรถรอบ ๆ ข้าง อาจจะต้องไปไกลอีกหน่อย วรรณอยากให้แน่ใจว่าจุ้ยเถิงไม่มีคนตามมาจริง ๆ”

   โบตั๋นไม่อิดออดหรือถามอะไรให้มากความ เธอรีบหลับตาลงแล้วทำตามที่คุณวรรณบอกเธอทันที

   “วรรณ เธอตั้งใจจะทำอะไร” เธอได้ยินเจ้ไฉ๋ถามคุณวรรณ แต่เธอไม่ได้ใส่ใจฟังอีกต่อไปแล้ว เธอต้องพยายามทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด

........................................................................

   ขณะที่จุ้ยเถิงกำลังขับรถไปยังบ้านพักปัจจุบันของจุ้ยอั้ยเต๋อนั้น พลันสายตาเขาก็พบเข้ากับรถของฝู่ไฉ๋ที่เขาเดาว่า คงจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกับเขาอย่างแน่นอน เขาเห็นว่าภายในรถมีเงาคนอีกสองคนอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งดูจากลักษณะแล้วคงจะเป็นผู้หญิงทั้งคู่

   ก่อนจะออกมาจากโรงแรม คนของเขาก็รายงานแล้วว่า ฝู่หยงได้หนีออกจากห้องพัก ในระหว่างที่เขากำลังเล่นโป๊กเกอร์กับมิสเตอร์คุณ เขาไม่คิดว่าฝู่หยงจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนี แล้วก็ยิ่งหัวเสียเขาไปใหญ่เมื่อลุงของเขาโทรมาโวยวายว่า ฝู่หยงไม่ได้ไปแต่ตัว แต่ลอบไปเอาหยกวิเศษไปอีกด้วย

   ตอนนี้เขาเดาได้ทันทีว่า คนที่อยู่บนรถของฝู่ไฉ๋ หนึ่งในนั้นคงต้องเป็น ฝู่หงส์ที่เพิ่งจะเสร็จจากงานแถลงข่าวเมื่อตอนหัวค่ำเป็นแน่ และแทนที่เขาจะเลือกไปตรวจดูห้องลับภายในบ้าน เขาว่าการจับฝู่หงส์กลับไปน่าจะทำให้ลุงของเขาพอใจมากกว่า ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาคิดถึงฝู่หงส์

   อยู่ ๆ ฝู่ไฉ๋ก็เปลี่ยนเส้นทาง และขับต่อไปได้สักราว 20 นาที เธอก็เข้าไปยังลานจอดรถแห่งหนึ่ง ก่อนถึงถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังชานเมือง ถึงเขาจะแปลกใจ แต่ก็เลือกที่จะขับตามเข้าไป จนกระทั่งเห็นฝู่ไฉ๋จอดรถ เขาจึงจงใจขับเลยไป ทำให้เขาได้เห็นคนที่นั่งข้างฝู่ไฉ๋ เลขาฯ ของมิสเตอร์คุณ

   เขาขึ้นมาจอดที่ลานชั้นถัดขึ้นไป ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดมา เขาลอบมองหญิงสาวทั้ง 3 และเห็นฝู่หงส์อยู่ในนั้นจริง ๆ ทั้งสามเหมือนกำลังรอใครอยู่ ทำให้เขาต้องรีบหาแผนจัดการหญิงสาวทั้งสามโดยเร็วที่สุด

   เขาเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวทั้ง 3 และเมื่อฝู่ไฉ๋หันมาเห็นเขา เธอก็เดินขึ้นมากันบุคคลทั้งสองทันที

   “อาเถิง นายมาทำอะไรที่นี่”

   “ก็แค่อยากจะมาเชิญ เหลาป่านเหนี่ยงไปคุยกันสักหน่อย คุณอย่างมาจุ้นจ้านกับเรื่องนี้เลยดีกว่า”

   “ถ้ารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูใหญ่กลับเข้ามาคุมกิจการของเยี่ยนหว๋อ นายกับจุ้ยอั้ยเต๋อก็หยุดใช้วิธีสกปรก ลอบกัดสักที ถึงพวกนายจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์”

   “ฝู่หงส์ ไม่รู้ว่าเธอรู้ไหมนะ ว่าน้องชายเธออยู่กับฉัน” เขาเลือกที่จะหลอกเรื่องของฝู่หยง ซึ่งมันก็ได้ผล ฝู่หงส์ขยับออกมาจากด้านหลังของเลขาฯ สาวใหญ่นั่นทันที

   “ว่ายังไงนะ หยกอยู่ที่ไหน?”

   “ถ้าเธออยากรู้ก็ตามฉันมาดีๆ”

   “ไม่ได้นะคะคุณหนูใหญ่” ฝู่ไฉ๋รีบหันกลับไปทัดทานทันที

   “คุณหงส์ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ” เลขาฯ ของมิสเตอร์คุณก็พยายามห้ามฝู่หงส์ออกมาเป็นภาษาไทย

   “ไม่เป็นไรค่ะ หงส์จะไป”

   เธอว่าแล้วเธอก็เดินออกมาเผชิญหน้ากับเขา สีหน้ามุ่งมั่นไม่ต่างจากตอนเด็กที่เขาเคยเจอ ผิดตรงที่แววตา มันดู สดใสและซุกซน กว่ามาก เพราะเขาไม่ทันระวังตัวจึงโดนหญิงสาวตรงหน้าจู่โจมเข้าให้อย่างกะทันหัน ถึงแม้จะตั้งรับและป้องกันได้ก็ตาม เขาก็ยังดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้กับความว่องไวของคู่ต่อสู้อยู่ดี จึงพยายามหาตัวช่วยโดยควักปืนขึ้นมาขู่ แต่ก็ถูกหญิงสาวตรงหน้าเตะจนมันกระเด็นไปไกล เขาที่ยังไม่ทันจะตั้งหลักหรือจู่โจมกลับ ปลายวัตถุสีดำของปืนในมือเลขาฯ สาวใหญ่ก็มาจอที่กลางหลังเขา

   เขาได้แต่ยกมือขึ้น ทำทียอมจำนนก่อนที่จะจู่โจมกลับไปทางสาวใหญ่ แต่เขาคิดผิด เพราะเธอไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ถือปืนได้เท่านั้น ศิลปะการป้องกันตัวก็ไม่น้อยหน้าคนของเขาเลย เขาโดนคนที่คิดว่าเป็นฝู่หงส์เตะที่ข้อพับขา จนกระทั่งทรุดลงไป คราวนี้ปลายกระบอกปืนไม่ได้ไปหยุดที่กลางหลังของเขาอีกต่อไป มันกำลังจ่อที่ศีรษะของเขาแทน แล้วยังขึ้นไกรอท่า พร้อมยิงได้ทุกเมื่อ

   “ยอมแพ้ซะเถอะอาเถิง” ฝู่ไฉ๋เดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับเชือกที่เตรียมจะมัดเขา

   “เธอไม่ใช่อาหงส์” เขาไม่สนใจคำพูดของฝู่ไฉ๋ ได้แต่หันไปมองหน้าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้ ที่รับเชือกจากฝู่ไฉ๋ และเข้ามามัดเขาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนลุกออกไปนั้น

   “ฉันชื่อ โบตั๋น จำไว้นะว่าตระกูลฝู่ไม่ได้มีแค่ฝู่หงส์ ฝู่หยง แต่ยังมี ฝู่มู่ตาน อีกคน”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 8-12-18 {{:::65:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 12-12-2018 18:54:06
คือแบบ โคตรสนุก โคตรมันส์ โคตรลุ้นอ่ะ
ติดตามๆๆๆๆ


ปล. มี คะ ค่ะ ผิดเยอะเลย ค่ะที่ใช่ค่ะอ่ะถูก แต่มีที่ต้องใช้คะแต่ไปใช่ค่ะเยอะมาก
หัวข้อ: Re: หยก 8-12-18 {{:::65:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-12-2018 20:04:29
เข้มข้นมาก อยากให้มาต่อเร็วๆ จัง
หัวข้อ: Re: หยก 8-12-18 {{:::65:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-12-2018 20:08:59
 :katai5:  :katai5:
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-18 {{:::66:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-12-2018 14:07:30
66



    พี่เก่งกับพี่คีพาผมมายังรถอีกคัน ที่จอดไว้ในตึกแถวแหล่งการค้าและท่องเที่ยว ไม่ห่างจากโรงแรมที่ผมถูกจับตัวเท่าไรนัก ผมมารู้ภายหลังเมื่อเราออกจากเขตตัวเมืองมาได้สักระยะหนึ่งว่า คนขับรถและรถที่กำลังจะพาพวกเราไปส่งที่บ้านเจ็กลู่เป็นคนของคุณลตา

    “คุณหยกหิวไหมครับ?” อยู่ ๆ พี่เก่งก็ถามขึ้นมา

    “ถ้าบอกว่าไม่หิวก็คงจะโกหกครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมลงไปซื้ออะไรให้คุณหยกรองท้องสักหน่อย อีกไม่เกิน 10 นาที เราจะเจอจุดซื้อของฝาก” พี่คีที่นั่งข้างคนขับหันกลับมาบอกผม

    “ผมขอลงไปได้ไหมครับ ถูกขังแต่ในห้อง เบื่อจะแย่”

    “ตอนนี้เรายังเสี่ยงไม่ได้ครับ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยให้คุณพยัคฆ์พาไปเดทในเมืองก็แล้วกันครับ” พี่เก่งตอบกวน ๆ กลับมาอีกแล้ว สงสัยจะอยู่กับโบตั๋นจนชิน พี่คีก็ยังแอบยิ้มอีก จากนั้นพี่คีก็บอกคนขับรถให้แวะจุดซื้อของฝาก

    พวกเรามาถึงบ้านของเจ็กลู่ก็ดึกมากแล้ว รั้วโดยรอบสูงกว่าบ้านใกล้เคียง ประตูอัตโนมัติค่อย ๆ เปิดออกให้รถแล่นเข้าไป ก็จะเป็นส่วนของที่จอดรถเลย พวกเราลงจากรถเรียบร้อย คนขับก็ถอยรถกลับไปทันที

    ผมเดินตามพี่คีกับพี่เก่งเขาไปที่ตัวบ้าน มองไปรอบ ๆ เป็นส่วนหย่อมเล็ก ๆ บ้านเจ็กลู่ไม่ใหญ่นัก เดินไปกี่ก้าวก็ถึงประตูทางเข้าบ้าน ผมจับความรู้สึกของคนในบ้านได้ หนึ่งในนั้นคือพี่เสือ แต่ความรู้สึกที่รุนแรงอีกคนหนึ่งนั่นคือใครกัน?

    “พี่เก่ง”

    “ครับ?”

    “มีใครอยู่ที่นี่บ้าง นอกจากพี่เสือ กับอากร”

    “ก็ยังมีต้า กับเอ ยังไงล่ะครับ”

    “แต่...”

    “หยก!! ” ผมตกใจที่เห็นโบตั๋นพุ่งเข้ามากอดผม “หยกจริง ๆ ด้วย ตั๋นทั้งเป็นห่วง ทั้งคิดถึง” เธอยังพูดทั้ง ๆ ที่กอดผมอยู่

    “ตั๋น? ไหนพี่เก่งกับพี่คีบอกว่าตั๋นจะมาพรุ่งนี้”

    “ตั๋นเอาของขวัญมาให้อากรน่ะ” โบตั๋นผละออกจากตัวผมก่อนจะส่งยิ้มทะเล้นให้

    “เฮียดีใจที่ได้เจอตั๋นนะ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

    “อืม ตั๋นรู้ ตั๋นเองก็ขอโทษที่ ที่มีเรื่องปิดบังหยกน่ะ” ผมพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้เธอ “รีบเข้าไปข้างในเถอะ มีคนรอหยกอยู่เยอะเลย” ตั๋นว่าแล้วก็จูงมือผมเข้าไป

    ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่กันที่ห้องรับแขกของบ้าน แต่จะบอกว่านั่งทั้งหมดคงไม่ใช่ เพราะมีคนรออยู่มากจริง ๆ อากรนั่งอยู่ที่โซฟากับคุณวรรณ โดยมีพี่ต้ากับพี่เอยืนอยู่ด้านหลัง

    “ปลอดภัยดีนะเรา” อากรทักผม

    “ครับ” ส่วนคุณวรรณนั้น เธอลุกขึ้นมาหาผม พี่ต้ากับพี่เอเดินตามหลังเธอมาด้วย คุณวรรณเข้ามากอดผม

    “ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะคะ คุณหยก” เธอทั้งกอดทั้งลูบหลังผม โบตั๋นที่ยืนข้าง ๆ แอบหัวเราะคิกคัก จนคุณวรรณเขินแล้วผละออกไป

    “พวกเราขอโทษนะครับคุณหยก” พี่เอว่า ทำให้ผมสงสัยเล็กน้อย

    “เรื่องที่พวกเราดูแลคุณหยกไม่ดี ทำให้คุณหยกถูกจับมาที่นี่” พี่ต้าเป็นคนเฉลยข้อสงสัยของผม

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น”

    “ไม่เอาๆ พวกแก 2 คนเลิกดราม่าได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีเรื่องน่ายินดีรออยู่อีกนะ” คุณวรรณว่าพี่สองคนเข้าให้ ผมได้ยินแก๊งของโบตั๋นและลูกสมุนอย่างพี่เก่งกับพี่คีหัวเราะอยู่ด้านหลัง

    ผมเห็นหญิงสาวคนที่อยู่ในงานแถลงข่าวลุกจากเก้าอี้ที่เธอนั่ง เธอเดินตรงมาหาผมก่อนโค้งคำนับ พอเธอเงยหน้าขึ้นมาผมก็เห็นเธอร้องไห้ เล่นเอาผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก แต่ผมสัมผัสได้ว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความปีติยินดี

    “ดิฉัน ฝู่ไฉ๋ค่ะ ขอดิฉันกอด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะดุดเล็กน้อย เธอแซ่ฝู่แสดงว่าเธอคงเป็นคนใครครอบครัวของผม ผมไม่รอให้เธอพูดจบก็เป็นฝ่ายเข้าไปกอดเธอไว้เอง เธอตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร

    “อาไฉ๋ เธอเห็นแล้วใช่ไหม ว่าคุณชายของเธอน่ะ จิตใจโอบอ้อมอารีขนาดไหน” คุณวรรณพูดกับคนที่อยู่ในอ้อมกอดของผม ซึ่งเธอเองก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มให้เธอ

    “อืม” เธอตอบก่อนจะผละออกไปยืนข้าง ๆ คุณวรรณ

    คนที่ผมตื่นเต้น และอยากเจอที่สุด ได้แต่ยืนมองคนอื่นต้อนรับผมอยู่เงียบ ๆ แต่ผมรู้ดีว่าพี่เสือห่วงผมขนาดไหน ความรู้สึกที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง แต่มันไม่ได้น่ากลัวแล้วสำหรับผม พี่เสือส่งยิ้มมาให้

    “พี่เสือ หยกขอโทษนะ” คำพูดมากมายที่อยากจะบอก อยากจะถาม ทั้งที่เฝ้ารอวันนี้มานานหลายวัน แต่พอมาถึงเวลานี้ ผมกับพูดออกมาได้เพียงเท่านี้

    โบตั๋นรุนหลังผมให้เดินไปหาพี่เสือ ผมจึงออกเดินไปจนหยุดตรงหน้า ได้แต่มองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นหลายวัน ผมไม่คิดว่าผมจะคิดถึงคนตรงหน้ามากมายขนาดนี้

    “ยินดีต้อนรับครับ ถึงยังจะไม่ได้กลับบ้าน แต่ก็กลับมาหาคนที่รักหยกนะ” พี่เสือพูดนิ่ง ๆ

    “โอ๊ย อยากกอดก็กอดสิ ที่เมื่อก่อนทำตัวเป็นแมวหง่าวคอยคิดแต่จะลวนลามหยก” โบตั๋นบ่นอย่างขัดใจ แถมยังมีลูกสมุนโห่รับเป็นลูกคู่เข้าให้อีก

    มีหรือพี่เสือจะรอช้า ดึงผมเข้าไปกอด ผมก็ไม่น้อยหน้ากอดตอบไปแบบไม่อายหลายชีวิตที่อยู่ในห้องนี้ คำพูดของพี่เสือเมื่อครู่ไม่เท่ากับความรู้สึกของอ้อมกอดนี้เลย

    แต่...ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ตอนอยู่ที่หน้าบ้าน มันไม่ใช่ความรู้สึกของคนในห้องนี้ ผมมองไปยังจุดที่ผมรับรู้ความรู้สึกได้ พี่เสือมองตามไปยังประตูบานนั้น

    “จุ้ยเถิงน่ะ ฝีมือโบตั๋น”

    “ของขวัญ ของอากร?”

    “ฝู่มู่ตานซะอย่าง” โบตั๋นพูดออกมาอย่างได้ใจ

    “นี่คุณตั๋นไปซนอะไรเข้าอีกแล้วเหรอครับ” พี่เก่งโวยออกมาทันที

    “ให้ห่างสายตาไม่ได้จริง ๆ เลยนะครับคุณตั๋น” พี่คีบ่นออกมาอีกคน

    “อ๊ะๆ ๆ พี่เสือ คืนนี้หยกต้องนอนกับตั๋น”

    “พี่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

    “แต่พี่เสือคิด” โบตั๋นพูดออกมาเสียงไม่เบาเลย ผมทั้งเขินพี่เสือ ทั้งอายคนที่อยู่ในห้องนี้ ตอนนี้ในบ้านอบอวลไปด้วยความสุข ทุกคนต่างยินดี ยิ้มแย้มให้กัน จากนั้นทุกคนก็ต่างแยกย้าย เพราะห้องที่นี่ไม่พอ

    คุณอากร คุณวรรณไปกับฝู่ไฉ๋ พี่ๆ บอร์ดี้การ์ดไปพักอีกที่ละแวกนี้ บ้านหลังนี้จึงมีเพียงผม โบตั๋น พี่เสือ และจุ้ยเถิงที่ถูกขังอยู่ในห้อง

........................................................................

    พยัคฆ์เดินออกมาสูดอากาศที่ด้านนอกตัวบ้าน สวนหย่อมที่บ้านอาชาติถึงแม้จะเล็กแต่ก็ให้บรรยากาศร่มรื่นย์ อีกทั้งอากาศที่นี่เย็นกว่าที่ไทยพอสมควร ทำให้เขาเหมือนรู้สึกได้พักผ่อนมากกว่ามาทำงาน

    การที่เขาได้เห็นหน้าน้องหยกอีกครั้ง มันทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งที่เป็นอยู่หลายวันนี้หายไปทันที ถึงแม้ว่าคืนนี้จะไม่มีโอกาสได้นอนกอดให้สมกับที่คิดถึงก็ตาม

    “พี่เสือ” พยัคฆ์หันไปตามเสียงเรียก “นอนไม่หลับเหรอครับ หรือยังมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอยู่อีก” หยกเดินตรงเข้ามาหาเขา

    “แล้วหยกล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก?”

    “หยกถามพี่เสือก่อนนะ” เขาเห็นคนตรงหน้างอนแล้วอยากจะเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็ก ๆ นั่นสียจริง

    “พี่เห็นว่าอากาศดีเลยออกมาเดินเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

    “หยกก็เหมือนกัน อุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมหลายวัน”

    “ลำบากมากไหม ตอนที่หยกโดนจับตัวไป”

    “ไม่ครับ แต่อึดอัดมากกว่า”

    “แล้วมันไม่ได้ทำอะไรหยกใช่ไหม?”
   
    “ก็มีเรื่องให้ได้ออกกำลังอยู่ 2-3 หน แต่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร”

    “เก่งจริง ๆ นะตัวแค่นี้”

    “ความรู้สึกของจุ้ยเถิง...” อยู่ ๆ หยกก็พูดถึงคนที่ถูกขังขึ้นมา

    “ความรู้สึกนั้นมันทำให้หยกกลัวอย่างนั้นเหรอ?”

    “ครั้งแรก ๆ ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น หยกแค่รู้สึกว่าเขาน่าสงสาร ความรู้สึกของเขามันดูสับสน มันไม่ได้พุ่งตรงมาที่หยก หรือที่ตั๋น แต่ก็ยังคงความรุนแรงอยู่ดี”

    “ถ้าสักวันหนึ่ง หยกไม่มีเมฆาขาวแล้ว หยกจะรับได้ไหม?”

    “พี่เสือหมายถึงเรื่องที่เหมิ๋นขอกับเจ่เจ้ไว้ใช่ไหมครับ” เขาพยักหน้ารับ “หยกคิดแค่ว่ามันเป็นของดูต่างหน้าป๊ากับม๊าเท่านั้น ไม่เคยคิดเสียดายความวิเศษของมัน ถ้ามอบให้เหมิ๋นก็คงมีแต่เสียดายของที่พกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก”

    พยัคฆ์เห็นหยกห่อไหล่เล็กน้อย คงเป็นเพราะอากาศยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้น เขาจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแต่มือเล็กกลับยื้อมันไว้ หยกขยับเข้ามาใกล้ ก่อนหันหลังพิงตัวเองเข้ากับตัวเขาไว้ สองมือบางคว้าแขนเขาให้โอบกอดรอบตัว

    “แบบนี้จะได้อุ่นกันทั้งคู่” หยกที่ดูจะเหมือนพูดแก้ตัวด้วยความเขินอาย เขาจ้องมองไปที่ซีกหน้าด้านหนึ่ง ก่อนจะเอาคางเกยไว้ที่ไหล่มนเบาๆ

    “คิดถึงนะครับ” เขากระซิบเบาๆ ข้าง ๆ หูยิ่งทำให้คนในอ้อมกอดหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม

    “หยกก็คิดถึงพี่เสือ” หยกพูดพร้อมหันหน้ามาสบตากับเขา คงต้องโทษความคิดถึงที่เขามีต่อหยก ทำให้เขาโน้มหน้าเข้าไปจูบคนในอ้อมกอด ในเมื่อหยกกล้าที่จะเดินเข้ามาในอ้อมกอดนี้ แล้วมีหรือที่เขาจะปฏิเสธ มันต้องให้รางวัลเป็นจูบรับขวัญ แทนที่จะเป็นอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นอย่างคนอื่น ๆ

.......................................................................
.

    จุ้ยอั้ยเต๋อกลับไปถึงบ้านตระกูลฝู่ หลังจากพยายามหาทางออกเรื่องโรงแรมและกาสิโนที่เพิ่งเสียให้กับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง มารู้ตัวอีกทีว่าเสียรู้คนพวกนี้ก็สายไปแล้ว ไหนจะเพื่อนของมันชาวเกาหลีนั่นอีก

    เขานั่งรอหลานชายที่เปรียบเสมือนเป็นมือขวาในห้องรับแขก จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นหัว ทั้งที่สั่งให้รีบกลับมาตรวจสอบห้องลับก่อนแท้ ๆ มันน่าจะมีหนทางทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ต้องสูญเสียไปซะทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งเก๋อหมิง

    ฝู่หงส์ถึงจะเป็นทายาทโดยชอบทำแต่ก็เป็นหญิง ฝู่หยงก็ยังอายุไม่ถึงกำหนดตามพินัยกรรมก็ไม่สามารถเข้ามาบริหารเยี่ยนหว๋อได้อย่างสมบูรณ์ ยังไงเขาก็ยังมีสิทธิ์เป็นผู้รักษาการบริหารบริษัทฯ

    “เหล่าไป่ ติดต่อคุณชายไม่ได้เลยครับ” คนของเขาเดินเข้ามารายงาน

    “ไปๆ ไปไหนก็ไป”

    “เออ...มีคนจากบริษัทฯ เอาเอกสารจากทนายเหอมาส่งที่บ้านเมื่อช่วงหัวค่ำครับ”

    “ว่ายังไงนะ ไหนเอามาให้ฉันดูสิ”

    เขารับเอกสารมาจากลูกน้อง พิจารณาจากซองสีน้ำตาลตรงหน้า ไอ้ทนายนั่นมันหักหลังเขาแล้วยังส่งเอกสารอะไรมาให้เขาอีก เมื่อเปิดดูรายละเอียดภายใน กลับทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

    “ระยำเอ๊ย”

    ความโกรธแค้นเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ ได้แต่ฉีกเอกสารนั้นเป็นชิ้น ๆ เพื่อระบายความโกรธ พวกมันทั้งหมดวางแผนกันมาอย่างดี

    “ไอ้วรากร!! ” เขาได้กัดฟันอย่างแค้นเคือง คำรามชื่อผู้รักษาการบริหารบริษัทฯ คนใหม่

........................................................................

    หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน รวมถึงจุ้ยอั้ยเต๋อที่รีบร้อนกลับไปยังบ้านตระกูลฝู่ เมื่อเห็นว่าภายในโรงแรมปราศจากคนของจุ้ย เหลือเพียงพนักงานระดับธรรมดาเท่านั้น ลตาที่นั่งอยู่ที่เลานจ์ของโรงแรมจึงเดินออกไปยังโถงลิฟต์

    ‘ตากำลังไปยังจุดนัดพบค่ะ’ เธอได้เพียงแต่นึกขึ้นในใจ และเมื่อลิฟต์ตัวหนึ่งเปิดออกเผยให้เห็นผู้ช่วยของเธอในคืนนี้ เธอจึงก้าวเท้าเข้าไปทันที

........................................................................

    ถึงจะแปลกที่แปลกทางสำหรับผมไปสักหน่อย แต่เครื่องใช้และวัตถุดิบภายในครัวนี้ก็มีครบตามที่ผมต้องการ เช้านี้ผมเลยได้ทำข้าวต้มหมูสับ French Toast เบคอน ไข่ดาว ทุกอย่างถูกผมจัดเตรียมไว้เรียบร้อย และหวังว่าจะเพียงพอสำหรับทุกคน

    ผมเดินจากห้องครัวมายังห้องรับแขก ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตื่นออกมาทานอาหารเช้ากันสักคน ทุกคนคงจะเหนื่อยกันมาก ผมมองไปยังห้องที่จุ้ยเถิงถูกขังอยู่ก่อนตัดสินใจยกข้าวต้มและไปยืนหยุดอยู่ที่หน้าห้อง

    ผมที่กลับมาสวมเมฆาขาวไว้ดังเดิม ทำให้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงของหมอนั่น ความรู้สึกที่รุนแรงแต่ก็แปลเปลี่ยนไป ถึงผมจะยังกลัวอยู่บ้างแต่เมื่อผมนึกถึงคำสอนของเจ่เจ้ ทำให้มีความกล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับคนในห้อง

    เมื่อประตูถูกเปิดออก ผมเห็นหมอนั่นนั่งอยู่บนเตียง มองเหม่อออกไปที่หน้าต่าง มือทั้งสองข้างถูกมัดไข้วหลังไว้ ปากก็ยังถูกปิดไว้ด้วยเทปกาว ยังดีที่เท้าทั้ง 2 ข้างเป็นอิสระ

    “จุ้ยเถิง” ผมเรียกคนที่นั่งเหม่ออยู่ เห็นอาการสะดุ้งเล็กน้อย หากเป็นคนอื่นคงไม่ทันสังเกตเห็น “ผมรู้ว่าคุณยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืน” ผมพูดแค่นั้น จากนั้นก็วางถาดใส่ถ้วยข้าวต้มลง แล้วเดินไปเพื่อจะดึงเทปกาวให้

    “อาหยง นายกลัวฉันอย่างนั้นเหรอ?” จุ้ยเถิงถามขึ้นหลังจากที่ผมเอาเทปกาวออกแล้ว

    “อือ”

    “ทำไม นายเป็นคนยังไงกันแน่?”

    “ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ หันหลังสิ จะแก้มัดให้”

    “นายไม่กลัวว่าฉันจะหนี หรือทำร้ายนายหรือไง”

    “ผมว่าคุณน่าจะรู้ดีว่า ที่คุณพูดมาทั้งหมดคุณไม่สามารถทำได้”

    “แล้วทำไมนายถึงกลัวฉัน”

    “คุณจะสนใจเรื่องนี้ทำไม แทนที่จะสนใจว่าพวกเราจับคุณมาทำไมมากกว่า ถึงจะถูก”

    “ฉันแค่ไม่อยากให้นาย หรือเสี่ยวฝู่... เกลียดฉัน”

    “แล้วทำไมผมต้องเกลียดคุณละ?”

    “ก็...คงทุกอย่างที่ฉันทำ?”

    “ผมเข้าใจว่าคุณทำไปเพราะคุณมีเหตุผลของคุณ และผมยังไม่ตัดสินคุณในตอนนี้หรอกนะ ไว้ถ้าเหตุผลของคุณฟังขึ้นสำหรับทุกคน ผมก็เชื่อว่าทุกคนก็คงพร้อมจะเข้าใจคุณ”

    “นายเป็นคนแบบนี้เองสินะ”

    “ไปกินข้าวต้มได้แล้ว” ผมพูดหลังจากแก้เชือกมัดข้อมือของจุ้ยเถิง

    “ขอบใจ”

    “อืม” ผมพูดแล้วก็เดินออกจากห้องมา แล้วก็พบพี่เสือที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู

    “ทำแบบนี้พี่หึงนะ”

    “อ่าว นึกว่าจะเป็นห่วงหยก”

    “ห่วงสิ ไม่ห่วงจะมายืนเฝ้าอย่างนี้เหรอ?”

    “หยกไปชงกาแฟให้พี่เสือดีกว่า วันนี้หยกทำ French Toast นะ ไม่มีแซนด์วิช” ผมเขินจนต้องรีบเดินเลี่ยงออกมา ทำให้เห็นโบตั๋นกับพี่เก่งนั่งคุยกันอยู่ตรงโซฟา

    “มากันแล้วครับ” พี่เก่งบอกโบตั๋นที่นั่งหันหลังให้ผม

    “หยก ตั๋นอยากได้นมอุ่นมาทานกับ French Toast ส่วนของพี่เก่งขอกาแฟนะ”

    “อ่าว แล้วตั๋นไม่ทานข้าวต้มหมูเหรอ เฮียอุตส่าห์ทำไว้ให้”

    “ไม่เอาล่ะ พี่เสือก็ไปช่วยหยกในครัวแล้วกันนะ ตั๋นขอเม้าท์เรื่องเด็ด ที่เจอเมื่อคืนกับพี่เก่งอีกสักหน่อย”

    “พี่เพิ่งรู้นะ ว่าลูกน้องพี่กลายเป็นลูกสมุนของตั๋นไปซะแล้ว”

    “พี่เสือไม่ต้องหวงไปหรอก เอาเวลาไปหวงคนข้าง ๆ เถอะ เนอะพี่เก่ง”

    ผมที่ได้ยินยังไม่จบประโยคดีก็เร่งฝีเท้าเข้าครัวทันที อยู่ ๆ ก็เป็นเป้าให้ทุกคนแซว ดูพี่เสือจะถูกอกถูกใจจนยิ้มไม่หุบเลย

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-18 {{:::66:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2018 14:09:55
  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หยก 14-12-18 {{:::66:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-12-2018 18:37:29
มาตอนนี้ ค่อยคลายความตืนเต้นลงไปหมด มีบทกุ๊กกิ๊กเล็กน้อย ทำให้ไม่ตึงมากเกินไป
หัวข้อ: Re: หยก 19-12-18 {{:::67:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-12-2018 14:17:42
67



   หลังจากทานอาหารเช้าฝีมือหยกเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เตรียมตัวเดินทางไปที่เยี่ยนหว๋อ โดยมีเจ้ไฉ๋กับคุณวรรณมารับ เราแบ่งกันเป็น 2 กลุ่ม

   กลุ่มแรกมีคุณวรรณ พี่เก่ง กับพี่เสือ นั่งประกบจุ้ยเถิง กลุ่มที่สองมีเจ้ไฉ๋ หยก และโบตั๋นซึ่งยังคงต้องสวมรอยเป็นเจ่เจ้ และก่อนออกจากบ้านเธอได้แปลงโฉมเป็นเจ่เจ้เรียบร้อยแล้ว

   รถคันที่เธอนั่ง ขับตามหลังรถของคุณวรรณ และปิดท้ายด้วยรถอีกคัน จนเมื่อไปถึงเยี่ยนหว๋อ รถของเธอก็ถูกรุมด้วยบรรดานักข่าวที่จะมาขอสัมภาษณ์ แต่เมื่อพวกนั้นเห็นหยก ลูกชายคนเดียวของตระกูลฝู่ ประเด็นที่อยากจะถามก็ถูกเปลี่ยนไปทันที พวกเราหยุดให้นักข่าวถ่ายรูปกันสักพักหนึ่ง ก่อนที่เจ้ไฉ๋จะช่วยกันพวกนักข่าวเพื่อให้เราเข้ามาในตึกได้อย่างปลอกภัย ร่างกายไปพรุนเพราะโดนยิงคำถามมากมาย เมื่อเดินเข้ามาด้านใน พี่เอและพี่ต้าก็รอรับพวกเราอยู่ก่อนแล้ว

   “เหนื่อยไหมครับ” พี่เอทักขึ้นมา

   “แค่นั่งรถมาที่นี่ ไม่เหนื่อยหรอกครับ” หยกพูดพร้อมมองไปรอบ โถงทางเข้าที่ดูโอ่อ่าไม่ต่างอะไรกับโรงแรมระดับห้าดาว คงตกตะลึงไม่ต่างอะไรจากเธอเมื่อเข้ามาที่นี่ครั้งแรก

   “แต่ตั๋นนี่สิเหนื่อย ต้องปั้นหน้าขรึมตลอดเลย เมื่อไรเจ่เจ้ถึงจะจัดการทางนั้นเสร็จสักทีนะ” เธอว่าพร้อมออกเดินไปที่โถงลิฟต์

   “ทนายเหอได้ทำเอกสารให้คุณลตาตรวจสอบแล้ว ถ้าจุ้ยอั้ยเต๋อเซ็นต์เมื่อไร ทุกอย่างก็จบ” พี่ต้ารายงานหลังจากที่พวกเราเข้ามาในลิฟต์ส่วนตัว

   “แล้วเขาจะยอมเซ็นต์ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอครับ” หยกหันถามพี่ต้าบ้าง

   “คงจะไม่ยอม ไม่ได้แล้วละครับ เพราะคุณลตาไปปล่อยข่าวเอาไว้ว่าจุ้ยอั้ยเต๋อได้นัดเจรจากับหุ้นส่วนรายใหม่ แถมเป็นรายใหญ่มาจากเกาหลีเสียด้วย คนดังอย่าง มิสเตอร์ คิม วุก แจ จะเข้ามาร่วมหุ้นในส่วนของโรงแรมและกาสิโน ทีมข่าวหลายสำนักเลยพากันจับตามอง”

   “คิม วุก แจ... นั่นมัน!! ” หยกยังไม่ทันได้ตั้งคำถามต่อ พี่เอก็พยักหน้ารับเป็นที่เรียบร้อย

   “เราคงต้องรอถามเจ็กลู่แล้วล่ะ เรื่องนี้ตั๋นเองก็สงสัย แต่ถามใครก็ไม่มีคำตอบให้ตั๋นเลย แม้แต่อากรก็ยังไม่รู้ว่าเจ็กลู่ไปรู้จักกับครูศักดิ์ตอนไหน?”

   “อืม ผมเพิ่งจะรู้นะเนี่ย ว่าพี่ศักดิ์ก็เป็นคนดังกับเขาด้วย”

   จังหวะที่ลิฟต์เปิดขึ้นมา พวกเราทั้ง 4 คนก็เดินตรงไปยังห้อง ๆ หนึ่ง ที่คุณวรรณ พี่เสือ พี่เก่ง และจุ้ยเถิงรออยู่ก่อนแล้ว

   “ถ้าเป็นที่เมืองไทยคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักเท่าไร แต่ที่เกาหลี สถาบันของคุณศักดิ์ถือว่ามีชื่อเสียงติดอันดับต้น ๆ เลยล่ะครับ มีครูหลายคนที่เป็นถึงโค้ชในทีมชาติเกาหลี” พี่เอช่วยเสริมข้อมูลให้พวกเรา

   “ว่าแต่ คนหาข้อมูลพวกนี้ไปไหนซะละคะ? ตั๋นไม่เห็นพี่คีเลย”

   “เจ้านายให้ไปทำงานบางอย่างค่ะ” คุณวรรณเป็นคนตอบเธอ

   และไม่นานนักอากรก็ตามเข้ามาสมทบพร้อมด้วยฝู่ไฉ๋และเหอจง จากนั้นการประชุมเกี่ยวกับการจัดทำพินัยกรรมฉบับใหม่ พร้อมทั้งเรื่องการเตรียมตัวไปยังซางตูก็ดำเนินขึ้น

........................................................................

   ผมตกใจมากเมื่อลงจากรถตู้แล้วต้องมาเจอกองทัพนักข่าว ที่ต่างพากันแย่งพูด แถมยังกดชัตเตอร์กันรัว ๆ ราวกับปืนกล จนผมมึนหัว ยังดีที่เจ้ไฉ๋ให้เราถ่ายรูปกันแค่แป๊บเดียว แล้วรีบให้พวกเราเข้าตึกมากันก่อน ส่วนเธอก็อยู่รับหน้าพวกนักข่าวไป

   หลังจากที่ทุกคนในห้องตกลงเห็นพ้องกันเรื่องพินัยกรรมฉบับใหม่ของเยี่ยนหว๋อ และเรื่องที่จะเดินทางไปยังซางตูแล้ว ประเด็นสุดท้ายคงจะไม่พ้น แขกไม่ได้รับเชิญที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่มุมหนึ่งของห้อง โดยมีพี่เอกับพี่เก่งนั่งคุมเชิงอยู่ข้าง ๆ

   “เหอจง คุณไปร่างพินัยกรรมมาให้เหลาปายเหนียนพิจารณาให้ไวที่สุด” ฝู่ไฉ๋พูดเป็นเชิงไล่ให้ทนายออกไปจากห้อง

   “ผมให้เวลาคุณ 3 วัน จัดการเดินเรื่องนี้ให้เสร็จ ซึ่งคุณรู้อยู่แล้วว่าเหลาปายเหนียนจะต้องเดินทางต่อ เร็วๆ นี้” อากรกำชับอีกครั้ง

   “ครับ ผมจะรีบไปจัดการ”

   เมื่อทนายเหอจงเดินออกไปจากห้องแล้ว เป้าหมายต่อไปคงไม่พ้น จุ้ยเถิง พวกเราต่างพากันเงียบ เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมเหลือบมองไปทางโบตั๋น

   “โอ้ย...เก๊กจนเมื่อย” เธอบ่นออกมา เนื่องจากต่อหน้าคนอื่นที่ยังไม่ไว้ใจ โบตั๋นยังคงต้องสวมรอยเป็นเจ่เจ้ไปก่อน

   “ทน ๆ เอาหน่อย แค่วันนี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวหงส์ก็มาแล้ว”

   พี่เสือพูดเหมือนพยายามจะปลอบโบตั๋น แต่เมื่อพี่เสือเอ่ยชื่อเจ่เจ้ อารมณ์ของจุ้ยเถิงก็ดูจะโหมรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งจนผมกับโบตั๋นที่รับรู้ได้ ได้แต่มองหน้ากัน

   “นายจะอะไร ๆ กับเจ่เจ้นักหนา เจ่เจ้ไปทำอะไรให้ นายถึงได้ตามติดขนาดนี้” โบตั๋นพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

   “ตั๋นใจเย็น ๆ สิ” อากรเป็นคนปรามไว้ “ตั๋นกับหยกจับความรู้สึกอะไรได้ใช่ไหม?” อากรถามโบตั๋นก่อนจะหันมาทางผม

   “ครับ มันเริ่มรุนแรงขึ้นตอนพี่เสือเอ่ยชื่อเจ่เจ้”

   “จุ้ยเถิง คุณก็ได้ยินเรื่องที่พวกเราจะเดินทางไปซางตูแล้วใช่ไหม รู้ไหมว่าทำไมผมถึงให้คุณที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มานั่งฟังด้วย”

   “คุณคงคิดว่าผมจะหนีจากพวกคุณไปไม่ได้ พวกคุณประมาทผมเกินไปแล้ว”

   “ไม่ใช่เลย ที่ผมให้คุณมานั่งฟังเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะคุณต้องเดินทางไปซางตูกับพวกเรา”

   “ไปทำไม ในเมื่อเยี่ยนหว๋อก็เป็นของพวกคุณแล้ว ผมยังมีประโยชน์อะไรอีก ถึงต้องขังผมไว้”

   “ถ้าคุณไม่ทันสังเกต ผมก็จะบอกให้นะ ว่าพวกเราปล่อยคุณตั้งแต่หยกเอาอาหารเช้าไปให้แล้ว ไม่มีการขัง ไม่มีการมัด”

   “แต่ก็ยังมีคนคอยคุมอยู่” จุ้ยเถิงมองไปยังพี่เก่ง พี่เอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แถมยังมองเลยมาที่คุณวรรณอีกต่างหาก

   “เอาเป็นว่าแล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน เพราะถึงคุณจะออกจากที่นี่ไปตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของจุ้ยอั้ยเต๋อ คงตกมาอยู่ในมือของฝู่เรียบร้อยแล้ว”

   “คุณหมายความว่ายังไง” อากรไม่ตอบอะไรอีก “นี่คุณ ผมถามคุณอยู่นะ” จุ้ยเถิงเองก็เริ่มโวยวายขึ้นมาอีก

   “นายจะโวยวายให้ได้อะไรขึ้นมา เสียงดัง น่ารำคาญ” โบตั๋นบ่นเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน

   “ตั๋นบ่นแบบนั้นไป เขาก็ไม่เข้าใจหรอก”

   “ก็มันน่าหงุดหงิดนี่นา ขี้โวยวายชะมัด”

   “จุ้ยเถิง พวกเราอยากรู้เหตุผลที่คุณจับตัวผมมาที่มาเก๊า” ผมเริ่มตั้งคำถามบ้าง จุ้ยเถิงมองมาทางผม จ้องกันสักพักจนพี่เสือต้องมายืนอยู่หลังเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่

   “พวกนายก็น่าจะเดาได้นี่”

   “แต่หยกยังอายุไม่ถึง 25 พวกนายจับหยกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำไมต้องเป็นหยก” พี่เสือถามโดยพยายามกดอารมณ์หงุดหงิดไว้

   “อาหยงมีหยกวิเศษ”

   “นี่แสดงว่านายไม่รู้...” โบตั๋นเหมือนกำลังจะพูดอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ก็ชะงักไว้ ก่อนจะถอดเมฆาขาวของเธอมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า “ฉันก็มี” โบตั๋นมองหน้าผม ผมจึงถอดเมฆาขาวออกมาวางไว้บนโต๊ะเหมือนกัน

   “หยกวิเศษ?”

   “ใช่แล้ว มันมีมากกว่า 1 ชิ้น” อากรเป็นคนตอบข้อสงสัยให้คนที่ยังตะลึงตรงหน้า

   “แล้วอาหงส์ล่ะ?”

   “นายอยากเจอเจ่เจ้มากนัก ก็รออยู่ถามเจ่เจ้เอาเองก็แล้วกัน” โบตั๋นยังไม่วายจิกกัด

   “ทำไมนายถึงได้อยากเจอเจ่เจ้นักล่ะ?” ผมเชื่อว่าทุกคนคงคิดเหมือนผม โบตั๋นสวมเมฆาขาวไว้ดังเดิม ผมจึงเอื้อมมือไปจะหยิบกลับมาสวมบ้าง แต่ยังช้ากว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผม

   “พี่สวมให้นะ” พี่เสื้อพูดอยู่ข้าง ๆ หู ผมได้แต่พยักหน้าให้น้อย ๆ

   “นี่หยก เปลี่ยนเมฆาขาวกันไหม?” โบตั๋นทักขึ้น ลูกสมุนอย่างพี่เก่งก็ตอบรับทันที

   “ทำไมละครับคุณตั๋น”

   “ก็ตอนนี้อะไร ๆ มันก็เป็นสีชมพูนี่คะ ยกเว้นเมฆาขาวของหยก”

   “อีกไม่นานมันคงเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับของคุณตั๋นเองล่ะค่ะ หรือวรรณว่า มันอาจจะสีสดกว่าด้วยก็ได้นะคะ”

   “อะแฮ่ม” อากรที่ฟังแล้ว คงคิดว่าพวกเราเริ่มออกอ่าววิคตอเรียกันแล้ว จึงรีบขัดขึ้น จุ้ยเถิงที่ฟังพวกเราไม่ออกก็ยังคงนิ่งไม่ตอบคำถามผม

   “ฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะมีเหตุผลที่ไม่สามารถตอบพวกเราได้ แต่เรื่องนี้หวังว่าคุณจะอธิบายได้นะคะ” คุณวรรณพูดพร้อมทั้งยื่นแทบเล็ทไปบนโต๊ะ หน้าจุ้ยเถิง ฝู่ไฉ๋เดินไปยืนข้าง ๆ และเล่าข่าวตรงหน้าให้จุ้ยเถิงรับรู้

   “แล้วมันเกี่ยวกับฉันยังไง”

   “ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเขา คุณให้ลูกน้องซ้อมเขาแล้วพาลากขึ้นรถตู้ไป” ผมตอบข้อสงสัยแทนคุณวรรณ

   “ฉันให้แค่ซ้อม ไม่ได้ฆ่า มันไปรนหาที่ตายเอง ฉันเองก็ช่วยไม่ได้”

   “นายจะบอกพวกเราว่า นายไม่ได้สั่งฆ่าเกรียงไกรอย่างนั้นสิ” พี่เสือดูไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของจุ้ยเถิงเท่าไร อันที่จริงแล้ว ผมก็สัมผัสได้ถึงความไม่เชื่อถือของใครหลาย ๆ คนในห้องนี้

   “นายไม่ได้สั่ง แต่ลูกน้องนายอาจจะทำกันเอง” พี่เก่งตั้งข้อสันนิษฐาน

   “เป็นไปไม่ได้หรอก วันนั้นหลังจากที่พวกมันพาเกรียงไกรไปส่งที่คอนโดแล้ว พวกมันก็ไปประกันตัวไอ้พวกที่ถูกจับอยู่ในสถานีตำรวจ ก่อนจะหนีกลับมาฮ่องกง คนอย่างฉันไม่ทิ้งลูกน้องไว้ข้างหลังแน่นอนและฉันก็เป็นคนจัดการเรื่องที่พวกมันหนีออกจากประเทศไทยด้วยตัวเอง พวกมันไม่มีเวลากลับไปฆ่าเกรียงไกรหรอก”

   “เรื่องนี้ผมจะลองเช็กข่าวที่ประเทศไทยอีกที ตอนนี้พวกเราไปหาอะไรทานกันเถอะ” อากรพูดตัดบทเอาดื้อ ๆ “อ่อ ส่วนคุณนะจุ้ยเถิง จะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปหาลุงของคุณก็แล้วแต่คุณจะเลือกเลย”

   “อากรค่ะ” โบตั๋นเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับอากรสักเท่าไร ซึ่งอากรก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย

   “วันนี้เราหาอะไรทานกันแถว ๆ นี้ก่อนนะครับ ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยพาหยกเที่ยวนะ” พี่เสือที่ดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของอากรกว่าใคร ชวนผมไปทานข้าวตามคำแนะนำของอากร

   “เอ่อคุณเสือค่ะ จะไปหาอะไรทานกันสองคนเหรอคะ ดิฉันว่าให้เป็นหน้าที่ของดิฉันจัดการเรื่องร้านอาหารให้ดีกว่า นี่คะ สาเหตุที่ต้องระวัง” เจ้ไฉ๋ส่งมือถือให้อาการดู ก่อนอากรจะยื่นมันให้พี่เสือกับผม มันเป็นภาพผมที่ยืนถ่ายรูปอยู่ที่หน้าบริษัทฯ กับโบตั๋น

   “หยกของพี่ดังใหญ่แล้ว”

   “หลังจากจบเรื่องพินัยกรรม อาไฉ๋เตรียมเรื่องแถลงข่าวเปิดตัว 3 พี่น้องตระกูลฝู่เลยแล้วกัน ตีเหล็กคงต้องตีตอนร้อน กระแสของฝู่กำลังมา จะได้จัดการจัดแบ่งกิจการให้ดูแลกันไปเลยทีเดียว” อากรสั่งงานเจ้ไฉ๋ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

........................................................................

   หงส์และต้นเก็บของภายในห้องเรียบร้อยก็ลงมาสมทบกับคุณศักดิ์ เจ็กลู่ และคุณลตาที่ห้องอาหารของโรงแรม คนของจุ้ยอั้ยเต๋อพากันหายไปกันหมด หลังจากที่เมื่อคืน จุ้ยอั้ยเต๋อเข้ามาเปิดเซฟอีกครั้ง เพื่อจะนำเงินสดหมุนเวียนในกาสิโนกว่าสี่ร้อยล้านออกไป ดีที่เจ็กลู่รอบคอบ จึงป้องกันเอาไว้ก่อนได้

   “หงส์เอาจะเอากระเป๋าไปเก็บบนรถเลยไหม?” เจ็กลู่ถามขึ้นเมื่อเธอซึ่งยังอยู่ในคราบของนภานั่งลงที่โต๊ะอาหารเรียบแล้ว

   “คุณต้นเอาไปฝากไว้ที่เบลบอยแล้วค่ะ”

   “ตาจัดรถไว้ให้หงส์อีกคันค่ะ คุณหลิว จะแวะไปที่สปากันก่อนกลับเยี่ยนหว๋อ”

   “เรื่องเมื่อคืนนี้เป็นยังไงบ้างคะ หงส์เพลีย ๆ เลยเผลอหลับไป ราว ๆ เที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้”

   “ไม่แปลกหรอกค่ะที่หงส์จะเหนื่อย ถึงจะไม่ได้ออกแรงอะไร แต่คนที่ใช้อำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ มันจะส่งผลกับร่างกายคนที่ใช้”

   “แสดงว่า ถ้ายิ่งใช้มันมาก ๆ ก็จะไม่ดีกับร่างกายอย่างนั้นรึเปล่าครับ” ครูศักดิ์ถามบ้าง

   “เท่าที่ตารู้มา บรรพบุรุษของเหมิ๋น หลังจากมาตั้งรกรากที่เยามะไต๋ อะไรๆ มันไม่ได้ง่ายเลย ทำให้คนรุ่นก่อนๆ ใช้อำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์ช่วยสร้างฐานะและชื่อเสียง แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็แลกมาด้วยชีวิตผู้ที่ใช้มัน”

   “ถึงตายเลยเหรอครับคุณลตา?” คุณต้นถามอย่างตกใจ

   “ไม่ได้ตายทันทีหรอกค่ะ แต่อายุสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างยายทวดของทวดมีอายุได้เพียง 40 กว่าเท่านั้นก็สิ้น ทั้งที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร”

   “แต่บรรพบุรุษของฝู่ไม่ได้อายุสั้นขนาดนั้น เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 60-70 ปี” เจ็กลู่พูดเหมือนเล่าสู่กันฟัง

   “คงเป็นเพราะฝู่มีพื้นฐานมาจากขุนนาง มีฐานะที่มั่งคงมาตั้งแต่ต้น เลยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจของหยกมากนัก” ลตาออกความเห็น

   “ฝู่เป็นหนี้เหมิ๋นมากเหลือเกินคะคุณลตา หลังจากจัดการทางนี้เสร็จ หงส์รับปากว่าจะตอบแทนเหมิ๋นอย่างดีที่สุดเท่าที่ฝู่จะทำได้”

   “ทำไมฝู่กับเหมิ๋นไม่กลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนก่อนละครับ” ครูศักดิ์ออกความคิดเห็น “นี่ถ้าผมไม่ต้องปิดบังเรื่องที่พ่อขอไว้ ผมคงทำเหมือนกับหยกก็เป็นพี่น้องกัน”

   “ตาตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้หรอกค่ะ อย่าลืมสิคะว่าตาไม่ใช่สายเลือดเหมิ๋นแท้ ๆ นะคะ”

   “แล้วเรื่องเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างครับครูศักดิ์ ผมเองก็อยากรู้” คุณต้นถามเพื่อพากลับเข้าเรื่องที่เธอถามไว้แต่แรก

   “เป็นไปตามที่เจ็กคาดครับ แต่กว่าพวกนั้นจะกลับเข้ามาก็ราว ๆ ตีสามเห็นจะได้ จุ้ยอั้ยเต๋อมาพร้อมกับคนของมันจำนวนหนึ่ง มาถึงก็เข้าไปเปิดเซฟจะเอาเงิน โชคดีที่ผมกับคุณลตาเข้าไปเปลี่ยนรหัสกันเอาไว้ก่อนแล้ว”

   “เจ็กเฝ้าอยู่กับอาศักดิ์จนกระทั่งมันโทรหาคุณลตาเรื่องรหัส”

   “ตาก็ลงมาหาพวกมันที่ห้อง แล้วก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง มันโวยวายใหญ่ ตอนแรกจุ้ยอั้ยเต๋อจะบุกไปหาหงส์ที่ห้องแล้ว แต่ตาบอกไปว่า คุณทั้งสองจะมารู้รหัสได้ยังไง คนที่เปลี่ยนรหัสน่าจะเป็นคนที่มาขโมยหยกวิเศษออกไปมากกว่า”

   “มันให้คนของมันไปย้อนดูกล้องวงจรปิด ภาพที่มีก็เป็นภาพตอนที่หยกเข้าไปเอาหยกที่ห้องนั้น แล้วเปิดตู้ค้างเอาไว้ อั้ยเต๋อก็เป็นคนมาปิดด้วยตัวเอง ภาพที่ผมกับคุณลตาเข้าไป คุณคีจัดการให้เรียบร้อย”

   “ตอนนี้จุ้ยอั้ยเต๋อต้องพุ่งเป้าไปที่อากรแน่ ๆ”

   “ทางนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เฮียน่าจะปลอดภัย มีทั้งคนของเราและเยี่ยนหว๋ออยู่เต็มไปหมด ยิ่งหยกกับตั๋นที่นั่นด้วยแล้ว เจ็กยิ่งวางใจ”

   “เรื่องสัญญา เมื่อเช้าเหอจงส่งมาให้ลตาแล้ว หงส์จะดูเลยไหม?”

   “เจ็กลู่เห็นรึยังค่ะ”

   “เจ็กอ่านแล้ว หงส์แน่ใจเหรอว่าจะลงนามในชื่อ หงส์ ชูวนาสุวรรณ

   “ค่ะ จุ้ยอั้ยเต๋ออ่านภาษาไทยไม่ออกนี่คะ อีกอย่างสัญญาทั้งหมดเป็นภาษาจีน คงไม่คิดระแวงอะไร”

   “ถ้าอย่างนั้นก็แค่รอเวลา งานแถลงข่าวเซ็นต์สัญญาจบลงเมื่อไร เราก็จะออกจากที่นี่ตรงไปเยี่ยนหว๋อทันที” คุณต้นสรุป จากนั้นพวกเราก็นั่งทานอาหารเช้าต่อ จนคุณลตาเตรียมห้องรับรองไว้ให้เพื่อรอเวลา สำหรับแผนการสุดท้าย

   คุณลตาให้คนของเหมิ๋นปล่อยข่าว อีกทั้งจัดงานเซ็นต์สัญญาต่อหน้านักข่าวหลายสำนักในบ่ายวันนี้ เป็นการกันไม่ให้จุ้ยอั้ยเต๋อเล่นตุกติกอะไร อีกทั้งครูศักดิ์ยังออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบางสำนักไปแล้วด้วยว่าได้ร่วมหุ้นด้วยจริง แต่คุณศักดิ์พูดไม่หมดตรงที่ เขาไม่ร่วมหุ้นกับจุ้ยอั้ยเต๋อ แต่ร่วมหุ้นกับเธอต่างหาก
   
To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 19-12-18 {{:::67:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-12-2018 18:43:57
แต่ละตอนรายละเอียดเยอะ แต่ก็ไม่ลดความสนุกลงไปได้เลย
 o13 o13
หัวข้อ: Re: หยก 27-12-18 {{:::68:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-12-2018 22:54:55
68




   พวกเรากลับจากทานอาหารเที่ยง เข้ามายังเยี่ยนหวอ อากร คุณวรรณ กับเจ้ไฉ๋แยกออกไปทำงาน โบตั๋น พี่เก่ง สองคนนั่นก็ไปสำรวจส่วนต่าง ๆ ของเยี่ยนหวอ พี่เอกับพี่ต้า อยู่ด้วยกันผมและพี่เสือ คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

   ผมที่อยู่ในห้องรับรองห้องหนึ่ง ที่เจ้ไฉ๋จัดเตรียมไว้ให้ เดินไปรอบ ๆ ห้องเพื่อสำรวจสิ่งของต่าง ๆ ที่ตกแต่งแปลกตา อันที่จริงมันก็คงเหมือนห้องทำงานทั่ว ๆ ไปเพียงแต่ใหญ่มากไปหน่อย โล่ง ๆ จนรู้สึกว่า หากนั่งทำงานที่นี่คนเดียวคงจะเหงาน่าดู

   “คิดอะไรอยู่ครับ” พี่เสือนั่งอยู่ที่โซฟาตัวหนึ่งถามขึ้น ระหว่างที่ผมมองออกไปนอกผนังกระจก เห็นอ่าววิคตอเรียอยู่ไกล ๆ

   “หยกแค่คิดว่าห้องนี้มันกว้างจัง นั่งทำงานคนเดียวคงเหงา”

   “ห้องทำงานพี่ก็เป็นแบบนี้นะ แต่อาจจะเล็กกว่านี้หน่อย”

   “ที่บริษัทฯ เหรอครับ”

   “ใช่ ไว้พี่จะพาหยกทัวร์นะ แก้ตัวจากคราวที่แล้ว”

   “อืม” ผมมองดูวิวด้านนอกหน้าต่างได้สักพัก พี่เสือก็ลุกมายืนซ้อนหลังผม แขนทั้งสองโอบเอวของผมไว้หลวมๆ

   “พี่สัญญา ว่าต่อไปนี้ พี่จะไม่ปิดบังอะไรหยกอีก จะดูแล และปกป้องหยก จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2”

   “ไม่” ผมหันกลับไปหาพี่เสือ เห็นสีหน้าตกใจ “หยกแค่จะบอกว่า เราจะดูแลกันและกัน จะปกป้องซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พี่เสือจะทำเพื่อหยกแต่ฝ่ายเดียว และหยกก็สัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หยกก็จะไม่ปิดบังพี่เสือไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน”

   “ขอบคุณนะครับ” พี่เสือยิ้มให้ผม ก่อนดึงผมเข้าไปกอด “ต่อไปนี้หยกเป็นเจ้าของเยี่ยนหวอแล้ว จะมีเวลามาดูแลพี่เหรอครับ”

   “หยกไม่อยู่ที่นี่หรอก หยกคิดถึงบ้านจะแย่แล้ว คิดถึงร้าน คิดถึงเด็ก ๆ ที่สถาบัน”

   “พี่ดีใจ ที่ได้ยินแบบนี้ ถ้าหยกตัดสินใจอยู่ที่นี่ พี่คงต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนี้ตามหยกมาแน่ ๆ เลย”

   “ไม่ต้องหนีหรอก เดี๋ยวหยกให้เจ่เจ้ไปสู่ขอพี่เสือจากอากรเอง” พี่เสือดันผมออก มองหน้าผม ก่อนจะเอามือมาบีบปลายจมูกของผม

   “เดี๋ยวนี้ทะเล้นใหญ่แล้ว นี่ใช่หยกของพี่รึเปล่า หรือว่าเป็นโบตั๋นปลอมตัวมา ไหนขอพี่พิสูจน์หน่อยสิ” พูดจบพี่เสือก็ก้มหน้าเข้ามาหาผม ผมรีบเบือนหน้าหนี ก่อนที่พี่เสือจะทำอะไรรุ่มร่ามแถวนี้ ยังดีที่มีเสียงเคาะประตูมาขัดจังหวะ ช่วยผมไว้ได้อย่างเฉียดฉิว

   “บอสครับ เจ้านายเชิญบอสแล้วก็คุณหยกไปห้องโน้นครับ” พี่เอเดินเข้ามาหลังจากเคาะประตู

   “อืม ทางนั้นเริ่มกันแล้วสินะ”

   “ครับ แล้วก็...จุ้ยเถิง มันไม่ได้ไปไหน นั่งเงียบอยู่ในห้องทำงานของมัน”

   พี่เสือพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจูงมือผมแล้วพากันเดินออกจากห้องไป โดยมีพี่เอกับพี่ต้าเดินตามหลังอยู่ไม่ห่างเหมือนหนังมาเฟีย ต้องบอกว่าเหมือนจริง ๆ เพราะตั้งแต่เช้าที่เราออกมาจากบ้าน พี่ ๆ ทุกคนใส่สูทสีดำกันหมดไม่เว้นแม้กระทั่งคุณวรรณหรือเจ้ไฉ๋ จะมีก็แต่ผมกับพี่เสือที่แต่งกายด้วยชุดลำลองกันอยู่

........................................................................

   เมื่อพี่เอกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับพี่เสือและหยก เจ๊ไฉ๋ก็เปิดฉากกั้นหน้าทีวีขนาดใหญ่ ที่ฝังอยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้องให้เลื่อนออก และเปิดทีวีหาช่องที่ต้องการจนพบก็กลับมานั่งข้างคุณวรรณ

   โบตั๋นขยับเล็กน้อยให้หยกนั่งได้ถนัดขึ้น เพราะพี่เสือมานั่งเบียดอยู่ข้าง ๆ จนเธอต้องเบะปากอย่างหมั่นไส้ ตั้งแต่หยกปลอดภัยกลับมาพี่เสือก็ตามติดไม่ห่าง

   “เฮียนั่งได้” หยกหันมากระซิบกับเธอ

   โบตั๋นหันกลับมาสนใจที่หน้าเจอทีวีดังเดิม เจ้ไฉ๋บอกเธอว่า งานแถลงข่าวของโรงแรมแกรนด์จูสด์แอนด์กาสิโนจะไม่มีการถ่ายทอดสดเหมือนอย่างข่าวของเยี่ยนหวอ ดังนั้นพวกเราจึงมารอดูข่าวในช่องเฮสเคไอบีซี เมื่อรอได้สักพักผู้ประกาศข่าวก็เริ่มเกริ่นถึงการร่วมหุ้นทายาทสถาบันสอนศิลปะป้องกันตัว และมีภาพการสัมภาษณ์สั้น ๆ ของครูศักดิ์

   “ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ศักดิ์มีสาขาที่ฮ่องกงด้วย” หยกเปรยขึ้นเมื่อเห็นข่าว

   “ครูศักดิ์เพิ่งมาทำสัญญาเช่าพื้นที่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ครับ ยังไม่ได้เปิดเป็นสาขาอย่างเป็นทางการ” พี่เอพูดขึ้นมา

   “นี่คงเป็นแผนของพี่ชาติ ที่ต้องการปูพื้นให้ครูศักดิ์ย้ายจากพื้นที่เช่าเดิมมาเป็นที่โรงแรมแทน” พี่เก่งวิเคราะห์

   “เรื่องเกี่ยวกับครูศักดิ์พวกเรารู้เรื่องกันน้อยมาก เหมือนพี่ชาติจะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” พี่เสือพูดพร้อมทั้งมองยังอากร

   “การที่อาหลิวไม่ได้บอกอา แสดงว่าคงเป็นแผนสำรองมากกว่า อาไม่คิดมากหรอก” เหมือนอากรจะรู้ว่าพวกลูกน้องห่วงอะไรกันอยู่

   “ตั๋นว่า บางทีแผนพวกนี้อาจจะเป็นแผนที่เจ่เจ้ กับเจ็กลู่วางกันไว้ตั้งแต่ต้นมากกว่าค่ะ บางที...ถ้าตั๋นเดาความคิดเจ่เจ้ไม่ผิด”

   “เจ่เจ้กับเจ็กลู่น่าจะหาวิธีค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปที่โรงแรมมากกว่า” หยกช่วยเสริมเธอ

   “ใช่ค่ะ ตั๋นก็ว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะได้อาการกับพี่เสือมาช่วย ตั๋นว่าเจ่เจ๋กับเจ็กลู่ คงหายกันไปเป็นปีๆ เหมือนช่วงที่เจ็กลู่หายไปนาน ๆ”

   “ที่อาหลิวหายไป ไม่ใช่หลบไปทำศัลยกรรมหรอกเหรอ?” อากรถามขึ้น

   “ผมว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ ครับ เจ็กน่าจะไปเตรียมการอะไรบางอย่างเพื่อรอเจ่เจ้มากกว่า”

   “ผมว่าก็มีความเป็นไปได้ครับอากร ไหนจะเรื่องร้านยาของเหล่าฝู่ เรื่องครูศักดิ์ ยังมีร้านคุณกันต์อีก”

   “ร้านพี่กันต์เกี่ยวอะไรด้วยครับพี่เสือ”

   “คุณกันต์เคยถามพี่ว่า เจ็กลู่ส่งพี่มาดูแลหยกรึเปล่า”

   “ฝู่ไฉ๋รู้เรื่องพวกนี้ไหม?” อากรหันไปถามเจ้ไฉ๋

   “อาปาไม่ได้บอกอะไรกับดิฉัน เกี่ยวกับเรื่องที่ไทยเลยคะคุณกร”

   “ไม่เป็นไร ไว้อาถามอาหลิวทีหลัง”

   จากที่คุยเรื่องเจ็กลู่นอกแผนกันได้สักระยะ เจ้ไฉ๋ก็เปลี่ยนไปที่ช่องข่าวช่องอื่น ๆ ภาพส่วนใหญ่ก็จะเป็นการให้สัมภาษณ์ของครูศักดิ์ ดูเหมือนจุ้ยอั้ยเต๋อจะปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ เพราะนักข่าวมักจะถามประเด็นที่เขาถูกถอดออกจากการเป็นรักษาการผู้บริหารเยี่ยนหวอด้วย

   ภาพการเซ็นต์สัญญาที่มีจุ้ยอั้ยเต๋อ เจ่เจ้ และครูศักดิ์ ที่ทั้งสามคนร่วมกันลงนามในเอกสาร แต่ไม่มีการเอ่ยถึงเจ่เจ้เลย

   “เท่านี้ก็จบ พวกเราก็รอหงส์กันที่นี่ อาว่าอีกสักชั่วโมงหงส์คงจะมาถึง”

   “ตอนนี้นักข่าวคงจะเล่นข่าวเยี่ยนหวอ กับข่าวจุ้ยอั้ยเต๋อไปอีกสักพัก คุณกรจะให้ดิฉันจัดงานแถลงข่าวเรื่องผู้บริหารใหม่เลยไหมคะ?” เจ้ไฉ๋ถามอากรขณะที่เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง

   “ตั๋นว่ายังไม่ต้องดีกว่าคะอากร ตั๋นมีความคิดดีๆ อีกอย่าง” ทุกคนต่างหันมามองที่เธอ

   “ตั๋นคงไม่ได้จะเล่นซนอะไรอีกนะ” หยกหันมาพูดกับเธอ เหมือนเธอเป็นเด็ก ๆ

   “ไม่ใช่สักหน่อย ตั๋นคิดว่าเราน่าจะ...”

........................................................................

   ภายในลานจอดรถชั้นใต้ดินในโรงแรม จุ้ยอั้ยเต๋อพยายามหลบเลี่ยงนักข่าวสำนักต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าแห่กันมาจากไหน และใครเป็นคนจัดฉากนี้ขึ้น กว่าเขาจะหลบออกมาได้ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วเหมือนถูกเติมเชื้อไฟ ความอัดอั้นทั้งหมดยังหาที่ระบายมันออกมาไม่ได้ จึงได้แต่กระชากคอเสื้อลูกน้องที่อยู่ใกล้มือที่สุด จับทุ่มแล้วก็ส่งหมัดหนัก ๆ ลงไป คนใต้ร่างพยายามตะเกียกตะกายหนี ไม่มีใครกล้าห้ามเขา

   จุ้ยอั้ยเต๋อยืนเหนื่อยหอบจากการออกแรง กวาดตามองไปที่ลูกน้องคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัว ลูกน้องสองคนขยับเข้ามาดึงเพื่อนร่วมงานที่สะบักสะบอมให้ลุกขึ้น ก่อนพาตัวออกไปจากตรงนี้ เขาปราดตามองพวกมันเล็กน้อย

   “ติดต่ออาเถิงได้รึยัง?” เขาพูดปนหอบ

   “ยังครับ เหมือนจู่ ๆ คุณชายก็หายไป ผมเกรงว่า...”

   “คนอย่างมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก”

   “หรือว่าจะโดนพวกของมิสเตอร์คุณจับตัวไว้”

   “มันเดินเกมผิดแล้ว ถ้าคิดจะจับอาเถิงมาเป็นข้อต่อรอง อาเถิงมันไม่ได้มีค่าอะไรมากขนาดที่จะเอามาต่อรองกับฉันได้”

   “เหล่าไป่!! ”

   “ทำไม?” จุ้ยอั้ยเต๋อตวาดไม่พอใจ

   “ไม่มีอะไรครับ”

   “กลับ!! ”

   “เราจะไปที่ไหนครับ?”

   “กลับชุง ฮอม กอก”

   ตอนนี้เหลือเพียงที่เดียว ที่เขาจะสามารถกลับไปได้และเป็นสถานที่เดียวที่สามารถหลบพวกนักข่าวได้สักพักหนี่ง เขาสูญเสียทุกอย่างภายในไม่กี่วันเพราะไอ้วรากรเพียงคนเดียว มันเข้ามาหลอกล่ออ้างว่าจะมาตามหาคนรักของมัน แต่ที่ไหนได้ กลับส่งหลานของมันมาพนันกับเขา ไอ้คนเกาหลีนั่นก็อีกคน

   “ช่วงที่อยู่ไทย อาเถิงได้คุยกับใครที่ไม่น่าไว้ใจรึเปล่า” เขาถามขึ้นมาเข้ามานั่งในรถแล้ว”

   “ไม่มีครับ ส่วนใหญ่ก็คนของเรา คุณลตา แล้วก็ฝู่หยง”

   หรือจะเป็นเพราะฝู่หยงใช้อำนาจของหยกวิเศษทำให้จุ้ยเถิงหักหลังเขา ไม่มีใครรู้ว่าเก๋อหมิงอยู่ที่ไหนนอกจากเขา อาเถิง แล้วก็หมอกับพยาบาลที่เขาจ้างมาดูแลอีก 2 คนเท่านั้น รหัสเซฟก็มีเพียงเขาและอาเถิงเท่านั้นที่รู้

   “ทางไอ้วรากรละ”

   “มิสเตอร์คุณไปไหนมาไหนเพียงไม่กี่ที่ ถ้าไม่อยู่ที่โรงแรมที่เขาพักมาตั้งแต่มา ก็จะเป็นที่เยี่ยนหวอ”

   “แล้วเรื่องฝู่หงส์ที่ให้ไปสืบล่ะ ได้ความว่ายังไง”

   “ฝู่หงส์เพิ่งเดินทางมาที่ฮ่องกงเมื่อสองวันก่อน เท่าที่รู้ตอนนี้ ฝู่ไฉ๋เป็นคนจัดการทั้งหมด รวมถึงเรื่องงานแถลงข่าวด้วยครับ”

   “แล้วเหอจงล่ะ”

   “ลูกเมียของทนายเหอ ไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่เพนเฮ้าส์ของทนายเหอเลยไม่มีคนอยู่ ส่วนตัวเขาตอนนี้อยู่ที่เยี่ยนหวอชั่วคราว”

   “ติดต่อมันได้ไหม?”

   “ได้ครับ แต่มันอ้างว่างานยุ่ง เพราะฝู่หงส์มีงานด่วนให้ทำหลายเรื่อง ทำให้ออกมาพบเหล่าไป่ไม่ได้ มันว่ามันถูกจับตามองอยู่”

   “ต่อสายให้มันคุยกับอั้ว”

   “ครับ” จุ้ยอั้ยเต๋อรออยู่ไม่นาน ลูกน้องก็ส่งโทรศัพท์มาให้

   ‘ครับคุณจุ้ย’

   “นายเป็นคนจัดการเรื่องปลดฉันออกจากตำแหน่งใช่ไหม?”

   ‘ขอโทษด้วยครับคุณจุ้ย มันเป็นคำสั่งของเหล่าป่ายเหนียง’

   “แล้วตอนนี้ฝู่หงส์มีแผนการจะทำอะไรอีก บอกอั้วมาให้หมด”

   ‘แผนการ? แผนการอะไรครับ ไม่มีนี่ครับ’

   “อย่ามาไขสือ บอกมาว่าตอนนี้ฝู่หงส์กำลังจะทำอะไร”

   ‘ผมไม่รู้อะไรมากหรอกครับ ผมมีหน้าที่ทำเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย แล้วก็สัญญาต่าง ๆ ให้เหล่าป่ายเหนี่ยงเท่านั้น’

   “กฎหมายอะไร สัญญาอะไร?”

   ‘ในฐานะของทนาย ผมคงบอกอะไรไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง’

   “เหอจง!! ”

   ‘เรื่องที่คุณอยากรู้ ผมว่าคุณลองถามคุณชายหรือไม่ก็คุณลตาเอาเองเถอะครับ’

   “หมายความว่ายังไง จุ้ยเถิงรู้อะไร ลตาทำอะไร”

   ‘ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าคุณชายรู้เรื่องอะไร มากน้อยแค่ไหน ผมเห็นเขาประชุมร่วมกันกับเหล่าป่ายเหนียงเมื่อเช้านี้ ส่วนคุณลตาก็เป็นคนที่คุณให้ประสานงานเรื่องสัญญาเองนี่ครับ เฮ้อ...คุณจุ้ยครับ ถึงคุณจะถอดใจเพียงเพราะเหล่าป่ายเหนียงกลับเข้ามาบริหารเยี่ยนหวอ แต่ผมว่า คุณไม่เห็นจำเป็นถึงกับจะต้องยกโรงแรมให้เหล่าป่ายเนียงไปนี่ครับ’

   “เดี๋ยว แกว่ายังไงนะ ใครยกโรงแรมให้ฝู่หงส์?”

   ‘อ่าว ก็ใครซะอีกละครับ ก็คุณจุ้ยเองนั่นแหละ’

   “ไม่ ฉันไม่ได้ยกให้มัน ฉันสั่งให้ลตาแบ่งหุ้นให้เมียของไอ้เสือนั่นแค่นิดหน่อยเท่านั้น”

   ‘อะไรกันครับ คุณเพิ่งเซ็นต์เอกสารยกโรงแรมแกรนด์จูสด์แอนด์กาสิโนให้กับเหล่าป่ายเหนี่ยง แถมยังใจดีแบ่งหุ้นให้กับมิสเตอร์คิม วุก แจ อีก 15 เปอร์เซ็นต์ด้วยนะครับ นี่ผมเพิ่งได้สำเนาสัญญาที่มีตราประทับประจำตระกูลฝู่อยู่เลย ถ้าเอกสารตัวจริงมาและพิสูจน์สีของน้ำหมึกแล้ว ...’

   จุ้ยอั้ยเต๋อไม่ได้ฟังอะไรต่อจากนั้นอีก เขารู้ว่าสัญญาที่เซ็นต์ไปคืออะไร แต่ไม่คิดว่าคนที่รับผลประโยชน์จะเป็นฝู่หงส์ ลิลลี่คงมีส่วนรู้เห็นด้วยแน่ ๆ จุ้ยเถิงเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย แล้วผู้หญิงคนที่ชื่อนภาเป็นใครกันแน่ ฝู่หงส์ก็ยังอยู่ที่เยี่ยนหวอ ฝู่หยงเพิ่งจะหนีไปได้เมื่อวานพร้อมหยกวิเศษ เขาได้แต่คิดวกไปวนมาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

........................................................................

   จุ้ยเถิงนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง โดยไม่มีใครมาเฝ้าอย่างที่วรากรได้บอกเอาไว้ มีเพียงเลขาของเขาที่เข้ามาดูแลเรื่องอาหารการกินให้ ส่วนเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบที่นี่ เดิมทีเขาก็ไม่มีหน้าที่อะไรอยู่แล้ว มีเพียงตำแหน่งลอยๆ ที่ลุงของเขามอบให้เท่านั้น

   เขามีความคิดที่จะติดต่อไปหาจุ้ยอั้ยเต๋อ แต่โทรศัพท์มือถือของเขาดันลืมไว้ที่รถ ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย พอได้จังหวะปลอดคน เขาก็ใช้โทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานโทรไปหลายครั้ง แต่ลุงของเขาก็ไม่รับสายสักที จนกระทั่งเขาเห็นข่าวเรื่องที่ลุงเซ็นต์สัญญาร่วมหุ้นกับภรรยาของมิสเตอร์คุณ และคิม วุก แจ เขาก็พยายามโทรไปอีกครั้ง แต่สายก็ไม่ว่าง

   คนพวกนี้ต้องการมัดมือชกลุงของเขาให้ยอมเซ็นต์สัญญาต่อหน้าสื่อ ทำให้ดิ้นไม่หลุด เขาเชื่อว่าสัญญาฉบับนั้น ลุงของเขาคงมีวิธีบิดเบือนมันได้ไม่มากก็น้อย และอีกคนที่จะให้คำตอบเขาได้ในตอนนี้คงไม่พ้น ลตา เขาจึงกดโทรศัพท์ไปหาเธอ

   ‘ว่ายังไงคะคุณชายจุ้ย’

   “ผมขอคุยกับกู๋หน่อย”

   ‘ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะคุณจุ้ย ตาไม่ได้อยู่กับเหล่าไป่หรอกค่ะ ไม่ทราบว่าเขาหายไปไหน สงสัยคงจะหลบหน้ากองทัพนักข่าวอยู่แน่ ๆ ตาไม่เห็นตั้งแต่เซ็นต์สัญญาเสร็จ’

   “แล้วเรื่องสัญญาเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม?”

   ‘เรียบร้อยดีคะ ราบรื่นดี ไม่มีใครสงสัยอะไร ทุกคนก็เซ็นต์ลงนามกับปกติไม่มีข้อโต้แย้งอะไร’

   “ลุงให้คุณแบ่งหุ้นให้พวกนั้นไปเท่าไร”

   ‘15 เปอร์เซ็นต์สำหรับมิสเตอ์คิม วุก แจ ค่ะ’

   “ไม่มากไปหน่อยเหรอ ทำไมลุงถึงใจดีขนาดนั้น”

   “ไม่ใช่จุ้ยอั้ยเต๋อหรอกค่ะที่ใจดี แต่เป็นคุณหงส์ ชูวนาสุวรรณต่างหากที่เป็นคนแบ่งให้” ลตาพูดหลังจากผลักประตูเข้ามาในห้องทำงานของเขา

   “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

   “ฉันก็มาพร้อมกับเหลาป่ายเหนียงแห่งเยี่ยนหวอยังไงละ” ลตาพูดจบก็เบี่ยงตัวหลบให้กับคนข้างหลังได้ก้าวเข้ามา

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อาเถิง”

   “อาหงส์...”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 27-12-18 {{:::68:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-12-2018 20:39:35
 :3123: :3123:
สนุกจ๊ะ เข้มข้นทุกตอน
หัวข้อ: Re: หยก 27-12-18 {{:::68:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 01-01-2019 21:29:35
สนุกมาก รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 02-01-19 {{:::69:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-01-2019 22:45:29
69



   ภายในห้องทำงานที่เงียบสนิท คนที่อยู่ภายในห้องต่างคนต่างไม่เอ่ยอะไร หลังจากที่คุณลตาออกจากห้องไปแล้ว เธอก็เดินเข้ามานั่งอยู่ต่อหน้าจุ้ยเถิง อารมณ์ของคนตรงหน้ายังคงรุนแรงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม และเหมือนกับว่าพออายุมากคืนอารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงตาม

   จุ้ยเถิงได้แต่มองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เธอรู้ว่าเขาคงยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรกับเธอ และยังสัมผัสได้ว่าเขาสับสนมากแค่ไหน เธอปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปกว่า 30 นาที คนที่จ้องเธออยู่ก็ดูจะไม่พร้อมที่จะพูดคุย เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้น แล้วเดินออกมา

   หน้าห้องทำงานของจุ้ยเถิง คุณลตาและคุณต้นยังคงยืนรออยู่ไม่ไปไหน เธอจึงยิ้มให้อย่างขอบคุณที่ทั้งสองเป็นห่วงเธอ ขณะประตูกำลังจะปิดลง คนในห้องก็รั้งมันไว้

   “อาหงส์ เธอคืออาหงส์” เธอหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วก็ยิ้มให้คนที่รั้งเธอไว้ เขามองเธอสลับกับคุณต้น “เธอ คือคุณนภา”

   “ไม่ หงส์ก็คือหงส์ นภาไม่มีตัวตน”

   “...เธอ...แต่งงานแล้ว?...”

   “ไว้ให้คุณพร้อมที่จะคุยเมื่อไร หงส์จะมาพบคุณอีกครั้ง”

   เธอพูดจบก็เดินตามคุณลตาไปโดยมีคุณต้นเดินตามหลัง เธอเดินมาจนถึงห้องที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบรอยยิ้มต้อนรับที่ส่งให้กับเธอยกเว้นเด็กซนคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามากอดเธอไว้

   “เจ่เจ้ คิดถึงจัง ตั๋นเป็นห่วงแทบแย่” โบตั๋นคลายอ้อมกอดออกจากเธอ หยกก็เข้ามากอดเธอบ้าง

   “เข้าใจเจ่เจ้ให้ไหม” เธอถามน้องชายที่ยังคงท่าทางสงบนิ่งไม่เปลี่ยน

   “ครับ เจ่เจ้”

   เธอเดินทางมาถึงเยี่ยนหวอ พร้อมกับคนอื่น ๆ แต่ก่อนที่จะเข้ามาในห้องนี้ จุ้ยเถิงก็โทรหาคุณลตา ทำให้ทั้งเธอ คุณต้น และคุณลตาแยกตัวไปพบจุ้ยเถิงก่อน

   “หงส์ไปคุยอะไรกับจุ้ยเถิงอย่างนั้นเหรอ” เจ็กลู่ที่เข้ามายังห้องนี้พร้อมครูศักดิ์ถามขึ้น

   “ยังไม่ได้คุยอะไรกันคะเจ็ก อาเถิงยังดูสับสนอยู่”

   “นายนั่น เขาก็ดูสับสนอยู่ตลอดเวลาแหละเจ่เจ้” โบตั๋นพูดอย่างหมั่นไส้

   “เจ่เจ้รู้จักจุ้ยเถิงมาก่อนเหรอครับ” คำถามของหยกทำให้ทุกคนในห้องต่างหันมามองที่เธอ ยกเว้นเจ็กลู่

   “อืม อาเถิงเป็นเพื่อนเล่นกับเจ่เจ้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วละ ตอนนั้นอาเถิงไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร เพราะตัวที่โตกว่าเด็กทั่วไป แล้วยังเป็นคนเชื้อสายตะวันตกด้วย”

   “เขาพยายามตามหาเจ่เจ้ก็เพราะแบบนี้สินะ เจ่เจ้คงเหมือนกันเป็นเพื่อนคนเดียวของเขา แต่ก็ไม่น่าทำตัวแบบนี้ ทำร้ายหยก แล้วก็หวังจะจับเจ่เจ้อีก”

   “ผมพยายามถามเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ แต่เขาไม่ตอบ ผมเข้าใจว่าเขาคงอยากจะเป็นคนบอกกับเจ่เจ้เอง”

   “อืม เจ่เจ้พอจะรู้อยู่บ้าง แต่เมื่อครู่ที่เข้าไปหาเขา เรายังไม่ได้คุยอะไรกัน”

   “มากันเหนื่อย ๆ ไปพักกันก่อนไหมครับ” คุณพยัคฆ์พูดขึ้นพร้อมเดินเข้ามาประชิดตัวหยก

   “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ คุณเสือไม่ต้องเกรงใจ” คุณลตาเป็นคนตอบ เธอเองก็คิดว่า ควรจะจัดการอะไร ให้จบโดยเร็ว

   “อากรค่ะ เรื่องพินัยกรรม?” เธอถามเรื่องแรกที่เธอต้องจัดการโดยด่วน

   “พรุ่งนี้ทนายเหอจะเอาเอกสารมาให้อาตรวจสอบ หงส์จะดูพร้อมกับอาเลยไหม?”

   “ดีคะ”

   “แล้วคุณหงส์จะจัดการยังไงกับโรงแรม” ครูศักดิ์ถามขึ้น

   “หงส์จะเปลี่ยนชื่อเป็น แกรนด์ฝู่โฮเต็ลแอนด์กาสิโน แล้วเอาเข้ามารวมกับที่เยี่ยนหวอ”

   “ต้องให้ทนายเหอรวมเรื่องโรงแรมไว้ในพินัยกรรมด้วยไหม”

   “ยังไม่ต้องก็ได้ค่ะ แต่หงส์รบกวนอากรจัดการเรื่องเปลี่ยนชื่อหน่อยนะคะ เอกสารทุกอย่างที่จะต้องให้หงส์เซ็นต์ หงส์อยากจัดการให้เสร็จก่อนไปหยวนซางตู”

   “ได้ เดี๋ยวอาจัดการให้ และมีเรื่องหนึ่งที่หงส์กับน้อง ๆ ต้องรู้”

   “ใช่ ถ้าเป็นไปได้ เจ็กก็อยากจะให้พวกเราไปที่ที่หนึ่งกับเจ็กตอนนี้”

   “ไปไหนคะเจ็ก” โบตั๋นทำเสียงตื่นเต้น ราวกับว่าจะได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน เธอหันไม่มองหยก

   “ไปกันเลยก็ได้ครับ”

   จากนั้นพวกเราก็ออกจากห้อง โดยที่มีเจ็กลู่ อากร คุณพยัคฆ์เป็นผู้ติดตามเท่านั้น

........................................................................

   เซียงไบ่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจุ้ยอั้ยเต๋อ แต่คาดว่าจะมีต้องมีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียนในกาสิโนแน่ ๆ ถึงยอมให้คนอื่นมาร่วมหุ้นอย่างนี้ เขาพยายามติดต่อทั้งจุ้ยอั้ยเต๋อ และจุ้ยเถิงอยู่หลายวันก็ไม่เป็นผล คนของจุ้ยอั้ยเต๋อที่คอยดูแลเขาตั้งแต่เข้ามาพักที่นี่ อยู่ๆ ก็หายหน้าไปอีก

   ตอนนี้เขาได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ ในห้อง จะลงไปเล่นที่กาสิโนก็ไม่มีเงิน อีกสองอาทิตย์วีซ่าของเขาก็จะหมด ตั้งใจว่าจะให้จุ้ยอั้ยเต๋อช่วยจัดการเรื่องตั๋วให้เขากลับไทย พอนึกถึงเกรียงไกรแล้วก็ยังเคืองไม่หาย ติดต่อก็ไม่ได้รู้ทำไมถึงไม่รับสายเขา อุตส่าห์ขอร้องให้อั้ยเต๋อพาเกรียงไกรมาหลบที่นี่ เจ้าลูกชายตัวดีดันไปทะเลาะกับจุ้ยเถิง จนเขาไม่ยอมพามา

   เขากดโทรศัพท์ภายในห้อง ไปหาจุ้ยอั้ยเต๋ออีกครั้ง ปลายสายยังคงเป็นเลขารับดังเดิม เขาจึงได้แต่ฝากข้อความไว้

   “ถ้าอั้ยเต๋อกลับเข้ามาเมื่อไร บอกเขาด้วยว่าฉันต้องการคุยด้วย”

   “คุณเซียงมีอะไรฝากไว้ไหมคะ เพราะดิฉันไม่เองก็ไม่แน่ใจว่าคุณจุ้ยจะเข้ามาเมื่อไร ตอนนี้อะไรๆ ภายในโรงแรมเปลี่ยนไปพอสมควร”

   “บอกเขาให้ช่วยจัดการตั๋วกลับไทยให้ฉันก็แล้วกัน”

   “ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบแจ้งทันทีที่ติดต่อคุณจุ้ยได้”

   อันที่จริงเขาอยากจะได้เงินอีกสักหน่อย เพื่อลงไปเล่นที่กาสิโนข้างล่าง แต่ใจให้บอกผ่านเลขา ที่เป็นคนอื่น เขาคิดว่าไม่ควรจะพูดออกไป เมื่อวางสายจากเลขาของจุ้ยอั้ยเต๋อแล้ว เขาก็โทรศัพท์กลับไปที่บ้านของเขา ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีคนรับสาย ทั้งเกรียงไกร และเด็กในบ้าน พากันหายไปไหนหมด

   เมื่อติดต่อไม่ได้แบบนี้หลายวัน เขาจึงตัดสินใจโทรไปหาภรรยาของเขา ถึงแม้ว่าจะหย่าขาดกันไป แต่หากโทรไปถามถึงสารทุกข์สุกดิบกัน ฝ่ายนั้นคงจะไม่รังเกียจถึงขนาดไม่รับสายของเขาหรอกนะ

   ‘เฮีย อยู่ไหน’ ปลายสายกดรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นเครือ

   “อั้วอยู่มาเก๊า เรื่องลูก อั้วรู้แล้ว ลื้อทำใจดี ๆ แล้วตอนนี้อีเป็นยังไงบ้าง”

   ‘ถ้าเฮียรู้ แล้วทำไมเฮียยังไม่รีบกลับมา จะมาถามถึงลูกให้มันได้อะไรขึ้นมา’

   “ตอนนี้ถึงอยากกลับ อั๊วก็กลับไม่ได้ แต่รอไม่นานหรอก ไม่เกินอาทิตย์นี้อั้วคงจะได้กลับ”

   ‘อะไรมันจะสำคัญไปกว่างานศพลูกอย่างนั้นเหรอ งานสวดก็ไม่มา งานเผาก็ไม่คิดจะมาอีกอย่างนั้นเหรอ”

   “เดี๋ยวๆ อาษา งานสวดอะไร งานเผาอะไร”

   ‘ไหนว่าเฮียรู้เรื่องลูก ก็น่าจะรู้สิว่าลูกรุมทำร้ายจนตาย’

   “ลื้อว่าอะไรนะ อาเกรียงตายแล้วอย่างนั้นเหรอ”

   ‘คนอย่างเฮียไม่เคยสนใจอะไรนอกจากตัวเอง เอาเถอะลูกของษา ษาก็จัดการเอง ส่วนเฮียอยากจะไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญ’

   เซียงไบ่ได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างไว้อยู่อย่างนั้น ทั้งที่ปลายสายวางไปนานแล้ว เขาได้แต่คิดว่าเกรียงไกรตายได้อย่างไร หรือจุ้ยเถิงจะเป็นคนฆ่า ถ้าเป็นนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเขาเองหรอกเหรอ ที่ส่งลูกไปตาย เขาต้องไปคุยกับสองลุงหลานนั่นให้รู้เรื่อง และแหล่งกบดานเดียวที่พวกมันจะไปหลบได้ก็มีแต่บ้านเดิมของพวกมันที่ ชุง ฮอม กอก

........................................................................

   ผมนั่งอยู่บนรถตู้คันหนึ่งที่เจ้ไฉ๋จัดไว้ให้อากรใช้ ผมยังไม่รู้ว่าเจ็กลู่กับอากรจะพาพวกเราไปที่ไหนกัน แต่เท่าที่ดูแล้ว มันน่าจะสำคัญมาก ๆ แต่คงไม่อันตรายอะไร ดูจากที่ตอนนี้มีเพียงพี่เสือที่ตามเรามาเท่านั้น

   ระหว่างที่เจ่เจ้ไปคุยกับจุ้ยเถิง ผมเลยได้มีโอกาสถามพี่ศักดิ์ ถึงความเป็นมาทั้งหมดของพี่ศักดิ์ ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วพ่อของพี่ศักดิ์กับเจ็กลู่เคยร่วมงานกันมาก่อนที่เกาหลีเหนือ ทั้งสองนับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง งานครั้งนี้พ่อของพี่ศักดิ์ก็ส่งเขามา ซึ่งพี่ศักดิ์รู้จักผมมาก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานกับพี่ศักดิ์ซะอีก

   พี่ศักดิ์บอกกับผมว่า ที่รับผมเข้าทำงานที่สถาบัน ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กเส้นอย่างที่ผมกังวล แต่เพราะความสามารถของผมเอง อีกทั้งผมยังใจเย็น สามารถหลอกล่อเด็กได้ดี ทำให้เด็กส่วนใหญ่ติดผม จนลงคอร์สเพิ่ม สร้างรายได้ให้กับสถาบันเป็นกอบเป็นกำ แล้วที่สำคัญ สถาบันในประเทศไทย พวกเราสามพี่น้องมีหุ้นอยู่รวมกัน 20% โดยเงินปันผลที่ได้มา เจ่เจ้ก็เอามาซื้อบ้านส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งซื้อตึกที่เป็นร้านขายยาของเหล่าฝู่

   ไม่เพียงเท่านี้ เจ็กลู่กับเจ่เจ้ได้วางรากฐานไว้ให้เราอย่างดี หากเราไม่สามารถเอาเยียนหวอกลับมาได้ พวกเราก็อยู่กันได้อย่างสบาย ๆ เพราะนอกจากสถาบันของพี่ศักดิ์ ร้านยาของเหล่าฝู่ ก็ยังมีห้องเสื้อที่พี่ภาเป็นเจ้าของ และร้านอาหารของพี่กันต์อีก

   ห้องเสื้อของพี่ภา พี่ภาเห็นว่าโบตั๋นชอบงานแบบเดียวกับเธอ เลยยกหุ้นให้ฟรี ๆ กับโบตั๋นครึ่งหนึ่ง ซึ่งพี่ภาตั้งใจว่า จะบอกโบตั๋นก็ต่อเมื่องานดีไซด์ของเธอได้ขึ้นโชว์เป็นครั้งแรก

   ส่วนเรื่องร้านพี่กันต์นั้น อาจจะเป็นเพราะความรักที่มีต่ออากรของเจ็กลู่ ทำให้เขาแอบมองคนรักอยู่ห่าง ๆ และมักจะแวะมาร้านของพี่กันต์เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ร้านพี่กันต์มีปัญหา ลดพนักงานลง และติดประกาศขายกิจการ ซึ่งเจ็กลู่ในช่วงนั้น เห็นว่าสามพี่น้องน่าจะมีกิจการเป็นของตัวเองคนละอย่าง จึงตัดสินใจซื้อเอาไว้โดยให้พี่กันต์เป็นผู้บริหารร้านต่อ แลกเปลี่ยนกับปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เมื่อผมบังเอิญเข้ามาสมัครงานพาร์ทไทม์ที่นั่น

   “คิดอะไรอยู่ครับ พี่เห็นเรายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มาสักพักแล้ว คงไม่ได้คิดถึงใครอยู่หรอกนะ”

   “หยกคิดถึงตั้งหลายคน”

   “โห นี่หยกมีกิ๊กซุกเอาไว้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วพี่จะเริ่มหึงจากใครก่อนดี”

   “ไล่ตั้งแต่อายุเลยนะ ก็มีเหล่าฝู่ พี่กันต์ พี่แก้ว พี่ภา”

   “พอแล้ว ๆ ไล่จนครบพี่คงตามหึงจนเหนื่อย”

   “อ่าว ก็หยกเห็นว่าพี่เสืออยากรู้”

   “เปลี่ยนใจไม่อยากรู้แล้ว ว่าแต่หยกเถอะ ถ้าเลือกได้ระหว่างร้านคุณกันต์กับสถาบันครูศักดิ์ หยกจะเลือกอย่างไหน”

   “ทำไมต้องเลือกละครับ”

   “ก็เพราะพี่อยากให้หยกทำงานแค่ที่เดียว ไม่อยากเห็นหยกเหนื่อย”

   “ทำงานทั้งสองที่แบบนี้ยกก็ไม่เห็นจะเหนื่อยเลย”

   “ถ้าอยากทำงานสองที่ งั้นหยกต้องลดคลาสสอนที่สถาบันลงบ้าง ได้ไหมครับ”

   “หยกขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ”

   “ยังไม่ต้องรีบคิดอะไรหรอกนะหยก เพราะอีกไม่นานทั้งหยกกับโบตั๋นคงต้องมาช่วยงานหงส์อีกเยอะเลย”

   อากรที่นั่งอยู่ที่แถวหน้า หันมาบอกผมและโบตั๋น ซึ่งมันก็จริงอย่างที่อาการว่า กิจการที่เจ็กลู่เตรียมไว้ให้พวกเราดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเยี่ยนหวอและแกรนด์ฝู่

   คนขับพาเรามาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใกล้ ๆ กันกับบ้านของเจ็กลู่ พวกเราสามคนเดินตามอากรกับเจ็กลู่ไป โดยมีพี่เสือเดินรั้งทั้งท้าย จนมาถึงห้องพักห้องหนึ่ง ภายในห้องมีชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เครื่องตรวจวัดชีพจรแสดงกราฟการเต้นของจังหวะหัวใจที่สม่ำเสมอ

   ผมเห็นเจ่เจ้เดินเข้าไปใกล้เตียงของชายคนนั้น หยาดน้ำตาที่ผมแทบจะไม่เคยได้เห็นจากเจ่เจ้หยดลงมาที่แก้ม ไร้เสียงสะอื้นใดใด ผมและโบตั๋นรีบเดินเข้าไปหาเจ่เจ้ทันที พวกเรากุมมือเจ่เจ้กันคนละข้างเพื่อเป็นการปลอบใจ

   “หยก ตั๋น นี่ป๊าของพวกเรา” เจ่เจ้พูดออกมาในที่สุด ผมและโบตั๋นตกใจไม่แพ้กัน ผมมองหน้าเจ่เจ้ที่จ้องใบหน้าของคนที่ได้ให้กำเนิดพวกเรามา ก่อนหันไปมอง ป๊า ที่เป็นคนสั่งให้เจ็กลู่พาพวกเราหนีจากน้ำมือของจุ้ยอั้ยเต๋อ

   “อากรพบป๊าได้ยังไงคะ?” โบตั๋นถามขึ้น มือทั้งสองข้างเปลี่ยนไปกุมมือของป๊าเอาไว้

   “อาไม่ได้เป็นคนเจอหรอก หงส์จำได้ไหม ที่หงส์สงสัยว่ามีใครคนหนึ่งหลบอยู่ในบ้านฝู่”

   “ค่ะ หงส์จำได้”

   “เจ็กเลยหาโอกาสแอบเข้าไป จนพบห้องลับห้องหนึ่ง ที่ขังเก๋อหมิงไว้”

   “เก๋อหมิง? คนที่พี่เสือไปช่วย” ผมจำได้ว่าตอนอยู่บนรถตู้สายลับนั่น พี่เก่งบอกผมว่าพี่เสือไปช่วยคนที่ชื่อเก๋อหมิง”

   “ใช่ พี่เป็นคนไปพาป๊าของเราออกมา”

   “แสดงว่าตั้งแต่ตอนที่พวกเราหนีออกมา ป๊าก็ถูกจุ้ยอั้ยเต๋อจับตัวไว้ตลอด” เจ่เจ้พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น

   “เรื่องนี้ไม่มีใครตอบได้นอกจากเก๋อหมิง”

   “แล้วตอนนี้ป๊าเป็นยังไงบ้างคะ” โบตั๋นที่ฟังพวกเราคุยกัน เงยหน้าขึ้นมาถาม

   “อาให้เพื่อนตรวจร่างกายของเก๋อหมิงอย่างละเอียดแล้ว ตามร่างกายมีร่องรอยการถูกทำร้ายบ้าง แต่แผลมันเก่ามาก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือยากล่อมประสาทที่ได้รับมาเป็นเวลานาน ยาตัวนี้ทำให้คนที่ได้รับมึนงง ไร้สติ ไปจนถึงหลับอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พาเก๋อหมิงเข้ามาที่เขาก็ไม่ได้รับยาตัวนั้นแล้วล่ะ”

   “แล้วมีโอกาสฟื้นไหมครับ” ผมถามอย่างมีหวัง

   “อาอยากให้พวกเราทำใจ สมองเก๋อหมิงเสียหายหนักมาก พอหยุดให้ยานั่น อาการเขาก็ทรุดลง จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างที่เห็น”

   “ตอนนี้ป๊าอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจใช่ไหมคะ?” เจ่เจ้จับมือผมให้กุมมือข้างหนึ่งของป๊า ส่วนอีกข้างกุมมือผมไว้

   “ใช่แล้วละ อาเสียใจด้วยนะ” เจ่เจ้ไม่ตอบอะไร แต่เอื้อมมืออีกข้างไปจับมือโบตั๋นไว้ เราทั้งสี่จับมือกับเป็นวงกลม เจ่เจ้หลับตาลง ผมเห็นโบตั๋นทำตามผมจึงหลับตาลงบ้าง

   ‘หยก ตั๋น ทำใจให้สบาย ปล่อยจิตให้ว่างปล่อย แล้วตามเสียงของเจ่เจ้มา’ ผมที่ได้ยินเสียงเจ่เจ้ในหัว ก็พยายามทำตามที่เจ่เจ้แนะนำ

   ...

   ..

   .

   จนกระทั่ง ความมืดมิดที่ผมเห็นตรงหน้า ค่อยกลับกลายเป็นหมอกขาว

   ...

   ..

   .

   ‘หยก’ เสียงของเจ่เจ้ ผมเดินตามเสียงนั้นไป

   ...

   ..

   .

   ‘หยก’ เสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ‘หยก’ ไม่ได้มีเสียงเดียว เสียของโบตั๋นที่ช่วยเรียกผม

   ...

   ..

   .

   และในที่สุด ภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น ผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจ่เจ้ ถัดไปเป็นโบตั๋น พวกเราสามคนยังคงจับมือกันไว้ รอบกายมีแต่หมอกขาวๆ

   ‘พวกเราค่อย ๆ เดินไปพร้อมกันนะ’ เจ่เจ้หันมองผม ทั้งที่เธอไม่ได้ขยับริมฝีปาก เสียงที่ได้ยินเกิดขึ้นในหัวผม พวกเราเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ

   ‘เจ่เจ้ ที่นี่ที่ไหนกันคะ’ โบตั๋นก็ทำอย่างเจ่เจ้ได้ เสียงโบตั๋นในหัวของผม

   ‘ดวงจิตของป๊า’

   นั่นคือคำตอบของเจ่เจ้ จากนั้นก็ไม่มีใครสื่อสารผ่านจิตกันอีก ผมไม่รู้ว่าพวกเราเดินกันมานานแค่ไหน มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่เจอพี่เสือแรก ๆ มันเหมือนกับฝันไป

   โบตั๋นที่เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง เธอชี้ไปตรงหน้า จากนั้นพวกเราก็เดินตรงไป จนเห็นชายคนหนึ่ง หน้าตาคล้ายกับป๊าไม่มีผิด เพียงแต่หนุ่มกว่านั้นมาก

   เขาดูสับสน มองไปมารอบ ๆ จากนั้นก็เดินไปทางนั้นที ทางนี้ที จนสายตามองมาเห็นเรา เขาจึงเดินตรงเขามาหา

   ‘พวกเธอรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน’ ป๊าถามพวกเรา

   ‘ป๊าค่ะ หงส์เองค่ะป๊า’

   ป๊าดูไม่เชื่อในสิ่งที่เจ่เจ้พูด ได้แต่จ้องหน้าเจ่เจ้อยู่อย่างนั้น จนหมอกขาวเข้ามาล้อมร่างเจ่เจ้ไว้ ผมจับมือเจ่เจ้ไว้แน่น กลัวว่าเธอจะหายไปจากตรงนี้ แรงบีบจากมือเจ่เจ้ยังคงอยู่ แต่ทว่า มือนั้นกลับเล็กลงราวกับมือเด็ก และเมื่อหมอกขาวจางหายไป เจ่เจ้กลายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง

   ‘หงส์จริง ๆ ด้วย’ ป๊าเข้ามากอดเจ่เจ้ไว้ เขาคุกเข่าลงเพื่อจะกอดเจ่เจ้ได้ถนัด ส่วนเจ้เจ้เองก็ปล่อยมือจากพวกเรา แล้วกอดตอบป๊าไว้

   ‘หงส์พาน้องมาหาป๊า’ เจ่เจ้หันมาจับมือผม ‘นี่อาหยงค่ะ ตอนนี้น้องอายุ 24 แล้ว’ ป๊าเงยหน้ามองผม ผมรู้ว่าเขาคงเห็นผมเป็นคนแปลกหน้า ก็ในเมื่อผมกลายร่างเป็นเด็ก 4 ขวบอย่างเจ่เจ้ไม่ได้

   ‘โตขนาดนี้แล้วเหรอ’ ป๊าดึงผมเข้าไปกอด จากนั้นก็มองไปยังโบตั๋น ‘นี่คงเป็นเสี่ยวฝู่สินะ’

   ‘เจ่เจ้ตั้งชื่อให้หนูว่าโบตั๋น หรือมู่ตานฮวา’

   ‘สดใสน่ารักสมชื่อ ปีนี้อายุ 23 แล้วสินะ นี่ป๊าติดอยู่ในนี้ 20 กว่าปีเลยเหรอ’

   ‘ป๊าตามพวกเราออกไปกันเถอะค่ะ เจ็กลู่รอเจอป๊าอยู่’ โบตั๋นรีบชวน

   ‘พวกเราเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน’ ป๊าก้มลงไปถามเจ่เจ้ในร่างเด็กสี่ขวบ

   ‘เพราะอำนาจของเมฆาขาวที่พวกเราสวมอยู่ค่ะป๊า’

   ‘เป็นแบบนี้เองสินะ ถ้าม๊ายังอยู่ คงภูมิใจในตัวพวกลูก ๆ มาก’

   ‘ไปกันเถอะนะคะป๊า ให้พวกเราพาป๊ากลับไปนะคะ’ โบตั๋นคะยั้นคะยออีกครั้ง ผมเห็นป๊ามองยิ้มให้พวกเราก่อนก้มมองเจ่เจ้

   ‘ป๊าไปไม่ได้หรอกใช่ไหม อาหงส์’ เจ่เจ้พยักหน้า ‘แต่พวกลูกต้องรีบออกไปจากที่นี่ การที่ลูกใช้อำนาจเมฆาขาวมาก ๆ มันจะส่งผมเสียกับตัวลูกเอง แล้วก็ถ้าอยากช่วยให้ป๊าออกจากที่นี่ ลูกๆ ก็ต้องปล่อยป๊าไป และฝากขอบใจเสี่ยวลู่แทนป๊าด้วยนะ ที่ช่วยดูแลพวกเราอย่างดี’

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 02-01-19 {{:::69:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-01-2019 23:07:20
  :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 02-01-19 {{:::69:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-01-2019 23:12:48
เม้นไม่ถูกเลยจริงๆ ตอนนี้หน่วงๆ ยังไงไม่รู้สงสารลูกๆ ที่เจอพ่อเพียงในนิมิต
หัวข้อ: Re: หยก 02-01-19 {{:::69:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 03-01-2019 00:10:55
เอาใจช่วยสามพี่น้องค่ะ หงส์แข็งแกร่งมาก เข้มแข็งจริง จริง สู้ สู้นะคะ
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-19 {{:::70:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-01-2019 21:38:42
70



   พยัคฆ์มองดูสามพี่น้องยืนจับมือกัน ล้อมอยู่รอบตัวของฝู่เก๋อหมิง เป็นครั้งแรกที่เห็นหงส์ร้องไห้ออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอป่วยหนักจนต้องผ่าตัดหัวใจ หงส์ก็ยังไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง

   “อากรครับ ที่อาบอกกับหยกว่าให้ทำใจไว้นี่หมายความว่า ป๊าของหยกไม่มีทางรอดอย่างนั้นเหรอครับ”

   “อืม”

   “เรื่องนี้อาชาติเอง...ก็รู้แล้วอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ใช่แล้วล่ะ เฮียกรคอยบอกอาตลอด ตั้งแต่พาเก๋อหมิงออกมา อาการก็ทรุดลง เพราะไม่ได้รับยากล่อมประสาทตัวนั้น” อาชาติมีน้ำเสียงที่อ่อนลง

   “ที่เก๋อหมิงอยู่มาได้จนวันนี้ เพราะยาที่จุ้ยอั้ยเต๋อให้ นอกจากจะเป็นยากล่อมประสาทแล้ว ยังกระตุ้นสมองด้วย”

   “ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

   “ยาตัวนั้นกล่อมประสาทให้มึนงง ขณะเดียวกันก็กระตุ้นสมองระหว่างที่หลับไปด้วย ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนกับแกเหยียบเบรกพร้อมกับคันเร่งไปพร้อมๆ กันยังไงละ”

   “พอเก๋อหมิงไม่ได้รับยา ก็เหมือนกับคลายเบรก”

   “ใช่ เมื่อไม่เหยียบเบรก รถก็วิ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งก็คือสมองของเก๋อหมิง ที่มันทำงานหนักจนกระทั่งล้มเหลวในที่สุด”

   เขาได้ฟังอาทั้งสองคนอธิบายก็เข้าใจ จุ้ยอั้ยเต๋อคงต้องการทรมานพร้อมทั้งเก็บเก๋อหมิงไว้ในเวลาเดียวกัน เพื่อเป็นข้อต่อรองกับหงส์ เรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากเมฆาขาวทั้งสามชิ้น ดีที่สุดแล้วที่หงส์ตัดสินใจชำระล้างของสิ่งนั้นแล้วมอบให้เหล่าเหมิ๋นไปจัดการต่อ

   พยัคฆ์มองยังทั้งสาม ที่ยังคงยืนรอบเตียงของเก๋อหมิงอยู่ เขาเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับหงส์ เลือดกำเดาที่ไหลออกมาทางจมูกของเธอ

   “อากร อาชาติ”

   และยังไม่ทันที่อาทั้งสองจะได้ถามอะไร ร่างกายของทั้งสามคนก็เริ่มโงนเงนอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปรับคนที่ยืนอยู่รอบเตียงก่อนที่จะล้มกระแทกพื้น เขารับหยกไว้ได้ทัน อากรเข้าไปรับหงส์ ส่วนอาชาติว่องไวที่สุด เข้าไปรับคนที่ยืนอีกด้านของเตียงอย่างโบตั๋น

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ ทั้งสามคนถึงเป็นลมไปพร้อม ๆ กันแบบนี้” อากรตระหนกตกใจไม่ต่างจากเขา

   “พวกเด็ก ๆ คงใช้อำนาจของเมฆาขาวมากไป คุณลตาเคยเตือนหงส์มาครั้งหนึ่งแล้ว”

   “แล้วนี่ พวกหยกทำอะไรกัน ถึงได้พากันใช้กำลังเกินตัวขนาดนี้” เขาทั้งเป็นห่วงและโมโห

   “อาจะไปติดต่อเรื่องห้องเพิ่ม ให้ทั้งสามคนพักดูอาการที่นี่ก่อน”

   อากรอุ้มหงส์ไปนอนพักที่โซฟายาว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปไหน เสียงสัญญาณชีพก็ดังขึ้น หมอพยาบาลต่างวิ่งเข้ามาที่เตียงเก๋อหมิงให้วุ่นวาย พร้อมกับเครื่องปั๊มหัวใจ ระหว่างนี้อากรจะขอความช่วยเหลือ คุณหมอและพยาบาลก็งานตึงมือ อากรจึงเดินออกจากห้องไป

   อาชาติวางโบตั๋นไปที่โซฟาตัวหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตียงของเก๋อหมิง แต่ก็โดนพยาบาลกักตัวเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้ จนกระทั่งบุรุษพยาบาลที่มาพร้อมกับอากรเข็นเตียงเข้ามา เขาจึงวางหยกลงบนเตียงหนี่ง

   เมื่อผ่านความชุลมุนวุ่นวายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็โทรไปแจ้งกับคุณวรรณ เพื่อให้เธอประสานงานกับฝู่ไฉ๋เรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนหวอ พอช่วงหัวค่ำ หลาย ๆ คนก็ทยอยมาเยี่ยมสามพี่น้อง

   
........................................................................

   ผมฟื้นขึ้นมาภายในห้องสีขาว มองไปรอบ ๆ ตัวเห็นโบตั๋นนอนอยู่เตียงข้าง ๆ กัน ผมจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ดี ผมได้เจอป๊า ถึงแม้จะเป็นเพียงดวงจิตที่อยู่ลึกลงไปในร่างกายก็เถอะ

   ผมพยายามลุกขึ้นนั่ง คงเป็นเพราะอาการเวียนหัว ทำให้ผมหน้ามืดเล็กน้อย แต่พอสักพักก็หาย ผมมองไปยังเตียงของโบตั๋น เธอยังคงหลับอยู่ ฝั่งตรงข้ามผมเป็นเตียงของเจ่เจ้ เธอก็ยังคงไม่ได้สติเช่นกัน ที่ผมไม่รู้ก็คือ ผมกับทุกคนมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง

   เสียงประตูห้องเปิดขึ้น พร้อมกับคุณลตาและพี่ศักดิ์ที่เดินเข้ามา ทั้งสองยิ้มให้ผม เป็นคุณลตาที่รีบเดินเข้ามาหาผมก่อนพี่ศักดิ์เสียอีก

   “ฟื้นแล้วเหรอหยก อาการเป็นยังไงบ้าง”

   “ครับ เวียนหัวนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วครับ”

   “ดีแล้วละ นี่ทุกคนต่างก็เป็นห่วงเรามากนะ ยกขบวนมาเยี่ยมกันจนล้นห้องเลยละ” พี่ศักดิ์พูดขึ้นหลังจากลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงของผม

   “พี่รู้ไหมว่าพวกผม มาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง”

   “ฉันเดาว่า ที่พวกเธอเป็นแบบนี้ เพราะฝืนใช้อำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป”

   “ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมเข้าไปในดวงจิตของป๊าด้วยอำนาจของเมฆาขาว”

   “นี่แหละที่ฉันเป็นห่วง หงส์เป็นคนชักนำพวกเธอเข้าไป รู้ไหมว่าเธอฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกเลยนะ หลังจากหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ”

   “ผมหลับไปหนึ่งวัน!! ”

   “ก็ใช่นะสิ นี่พี่ถึงขั้นต้องจับฉลากกับเหล่าบอดี้การ์ดของคุณกรเลยนะ กว่าจะได้คิวมาเฝ้าเราเนี่ยลุ้นยิ่งกว่าเล่นหวยอีก”

   “แล้วคนอื่น ๆ เป็นยังไงกันบ้างครับ”

   “เราจะถามถึงคนอื่นนี่ใคร คงไม่ใช่คุณเสือหรอกใช่ไหม”

   “คุณศักดิ์ก็ไปล้อหยกเขา หยกไม่ต้องห่วง คุณเสือเขาไม่ยอมจับฉลากอะไรนั่น ที่คุณศักดิ์เขาว่าหรอกนะ นี่ก็มาเฝ้าหยกทุกวัน ตอนนี้น่าจะอยู่ห้องของฝู่เก๋อหมิง”

   “ตอนนี้ป๊าเป็นยังไงบ้างครับ”

   “อาการไม่ค่อยดีเลย วันที่พวกเธอเป็นลม หัวใจเก๋อหมิงก็หยุดเต้นไปเกือบ 2 นาที”

   “ตอนที่ได้เจอป๊า ป๊าบอกว่าถ้าอยากช่วยก็ให้ปล่อยป๊าไป”

   “แล้วเราละ คิดยังไงกับคำที่พ่อขอไว้”

   “ผม ก็ปล่อยป๊าไป ไม่ได้พาดวงจิตป๊าออกมาด้วยแล้วนี่ครับ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะหยก ที่หยกและทุกคนเข้าไปในด้วยจิตของเก๋อหมิงได้เพราะอำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่การที่จะพาดวงจิตของเก๋อหมิงออกมานั้น ต่อให้ควบคุมอำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์ได้เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้หรอก และที่หงส์ชักนำหยกเข้าได้เพราะหยกและโบตั๋นเองก็สามารถใช้อำนาจของหยกศักดิ์สิทธิ์ได้”

   “ถ้าอย่างนั้น ที่ป๊าบอก”

   “พี่เข้าใจว่า พ่อของเราต้องการให้เราปลดปล่อยกายเนื้อของเขา ถ้าพี่เข้าใจไม่ผิด ดวงจิตของพ่อหยกคงติดอยู่กับร่างกายนี้มานานแล้ว”

   “ตอนที่ผมเจอป๊าในนั้น ป๊าเหมือนคนหลงทาง”

   “เก๋อหมิงที่ต้องทนทรมานทั้งร่างกายและดวงจิตมาตลอด 20 กว่าปี ฉันว่า หยกควรจะปล่อยเขาไปได้แล้วนะ”

   ผมเข้าใจสิ่งที่คุณลตาและพี่ศักดิ์บอก แต่ผมไม่มีความกล้าพอที่จะทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็รอให้เจ่เจ้ หรือโบตั๋น ใครสักคนฟื้นขึ้นมาช่วยผมตัดสินใจอีกคนก็ยังดี

   “ผมขอเวลาหน่อยได้ไหมครับ”

   “ตามใจเราเถอะ เอาเป็นว่าพักผ่อนให้มาก ๆ แล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกัน”

   “ครับ”

   คุณลตาเดินจากข้างเตียงผม ไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงเจ่เจ้ ส่วนผมที่นอนมาจนเต็มอิ่ม ไม่มีความรู้สึกง่วงนอนเลย พี่ศักดิ์คงเข้าใจ เลยหาอะไรมาให้ผมอ่าน ยังดีที่พี่ศักดิ์ซื้อแมกาซีนหัวนอกมาให้ ถ้าเป็นแมกาซีนท้องถิ่นคงไม่พ้นภาษาจีนแน่ๆ

........................................................................

   จุ้ยเถิงแอบได้ยินฝู่ฉ๋คุยกับเลขาของวรากรว่า หงส์เข้าโรงพยาบาล หลังจากได้พบเก๋อหมิงแล้ว กลุ่มคนที่มาจากประเทศไทย รวมไปถึงยัยลตานั่น ก็ทยอยกันไปเฝ้าและเยี่ยม

   ถึงแม้หงส์จะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่งานของเยี่ยนหวอก็ไม่ได้สะดุดเลย เพราะวรากรเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดให้กับหงส์ เขาทำงานเข้าขากับฝู่ไฉ๋มาก ส่วนเลขานั่นก็ไม่น้อยหน้า ดูแลงานที่โรงแรมแกรนด์จูสด์ได้อย่างดี ซึ่งตอนนี้โรงแรมก็ได้เปลี่ยนชื่อไปเรียบร้อยแล้ว

   แผนการของวรากรและหงส์ทำให้ของที่ควรจะเป็นของเยี่ยนหวอ กลับมาสู่มือของเจ้าของที่แท้จริง อีกทั้งยังตัดรากถอนโคนแหล่งเงินทุนของกู๋เขา อย่างโรงแรมและกาสิโนในคราวเดียว เท่ากับว่าตอนนี้หงส์ยึดทุกสิ่งทุกอย่างคืนไปได้หมด จะเหลือก็เพียงบ้านเดิมของกู๋เขาเท่านั้น

   ตัวเขาเองที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับงานของกู๋ จึงไม่ได้เสียใจกับการสูญเสียเหล่านั้น จะมีแปลกใจก็แต่แผนผังผู้บริการของเยี่ยนหวอและโรงแรมแกรนด์ฝู่ ที่ยังคงมีชื่อเขาอยู่ในผัง เขาตั้งใจจะไปถามวรากรให้รู้เรื่อง แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอตัวสักที

   จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ที่เขาทำงานกับกู๋ไม่ใช่เพราะเงินทองหรือตำแหน่งอะไร แต่เป็นเพราะกู๋สัญญากับเขาไว้ ว่าจะไม่ทำอันตรายกับหงส์หากเจอตัวเธอแล้ว และจะยอมให้หงส์แต่งงานกับเขา ซึ่งเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป อย่าว่าแต่เรื่องแต่งงานที่ไม่มีทางเกิดขึ้น แค่จะให้หงส์มองหน้าเขายังยากเลย ในเมื่อเขามีส่วนร่วมในการทำกับฝู่เก๋อหมิงเป็นแบบนั้น

   เสียงเคาะประตูทำลายความเงียบภายในห้อง อีกทั้งยังขัดจังหวะความคิดที่ฟุ้งซ่านของเขาอีกด้วย

   “เข้ามา”

   “คุณจุ้ยค่ะ ดิฉันเฉิ่งอี เป็นเลขาคนใหม่ที่คุณหลิวส่งมาช่วยงานคุณคะ”

   “คุณหลิว?”

   “ค่ะ คุณหลิว เป็นผู้ช่วยคุณวรากรค่ะ”

   “แล้วเลขาเก่าของผมไปไหนละ”

   “ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ”

   “เอาเถอะ เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”

   “นี่เป็นคีการ์ดห้องพักที่คอนโดแถบจูไห่ ที่คุณหลิวต้องการมอบให้กับคุณ”

   “ให้ผม ให้ทำไม?”

   “ตอนนี้หน้าที่ของคุณคือดูแลธุรกิจนำเข้าส่งออกของเยี่ยนหวอทั้งหมด รวมทั้งดูแลโกดังแถบจูไห่ด้วย คุณหลิวเลยมอบให้เพื่อที่คุณจะได้เดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวก”

   “ฉันต้องการพบคุณหลิว”

   “รับทราบค่ะ ดิฉันจะนัดท่านให้ แต่ตอนนี้ ดิฉันว่า คุณควรจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมคะ ดิฉันจะโทรลงไปแจ้งให้คนจัดรถไว้ให้”

   “รถของผมอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”

   “คุณฝู่ไฉ๋จัดการเรื่องรถให้คุณเรียบร้อยแล้วค่ะ พร้อมกับคนขับ”

   “พวกเขาทำแบบนี้ทำไม”

   “อะไรนะคะ”

   “ไม่มีอะไร จัดการเรื่องรถให้ผมด้วยแล้วกัน”

   หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะค่อย ๆ ถอยหลังแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป เขาจำได้ว่าคุณหลิวนั่นเป็นบอร์ดีเการ์ดของมิสเตอร์แถมยัง อย่างน้อยคนคนนี้ก็น่าจะมีคำตอบให้เขาได้ ว่าทำไมเขาถึงยังคงมีตำแหน่งอยู่ในเยี่ยนหวอ

........................................................................

   โบตั๋นฟื้นขึ้นมาก็พบกับหยกที่นั่งเฝ้าเธออยู่ โดยมีพยัคฆ์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง หยกค่อนข้างเป็นห่วงเจ่เจ้ เพราะสองวันแล้วที่เธอยังไม่ฟื้น

   “เฮียฟื้นขึ้นมาเมื่อวานตอนเย็น”

   “เจ่เจ้จะเป็นอะไรมากรึเปล่า?”

   “หมอบอกว่าเจ่เจ้แค่นอนหลับไป”

   “หยกฟื้นเมื่อวาน ตั๋นฟื้นวันนี้ ทำไมมันถึงทิ้งช่วงละ มันควรจะฟื้นไล่ ๆ กันหรือพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่เหรอ?”

   “คุณลตาบอกว่า เป็นเพราะตั๋นกับเจ่เจ้ฝืนใช้อำนาจของเมฆาขาวมากเกินไป ตอนที่พวกเราเข้าไปในดวงจิตของป๊า”

   “คงเป็นเพราะตั๋นพยายามที่จะสื่อสารผ่านจิตในตอนนั้นสินะ”

   “ใช่ ส่วนของเจ่เจ้คงฝืนหนักกว่าพวกเรา”

   “เรื่องป๊าหยกจัดการยังไง?”

   “ตั๋นเข้าใจคำพูดสุดท้ายของป๊าใช่ไหม?”

   “อืม เข้าใจสิ แล้วตอนนี้ป๊าละ?”

   “ป๊าอยู่ห้องไอซียูตั้งแต่วันที่พวกเราเป็นลม”

   “ป๊าคงเหนื่อยมานาน เราไปหาป๊ากันเถอะ”

   “ตั๋นไหวเหรอ พักอีกสักหน่อยไหม?”

   “แค่เวียนหัวนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก”

   “พักอีกสักนิดเถอะ แล้วเราค่อยไปหาป๊ากัน”

   “อืม ตามใจหยกแล้วกัน”

   “แล้วก็...เฮียตั้งใจว่า ตอนที่เราไปหาป๊า เฮียจะปล่อยป๊าไปอย่างที่ป๊าขอไว้”

   “อืม อันที่จริง ตั๋นอยากไปซะเดียวนี้เลยด้วยซ้ำ ตั๋นสงสารป๊า”

   “เฮียดีใจที่ตั๋นเห็นด้วยกับเฮียนะ และหวังว่าเจ่เจ้จะเข้าใจพวกเรา”

   “ตั๋นคิดว่า เจ่เจ้คงรู้แล้วละว่าป๊าไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมา เจ่เจ้ถึงพาเราไปหาป๊า”

   “เฮียว่าเฮียพอจะเข้าใจแล้วละ ทำไมเจ่เจ้ถึงต้องรักษาตัวให้หายก่อนค่อยกลับมาจัดการเรื่องที่เยี่ยนหว๋อ บางทีแถมยังอาจจะรู้อยู่แล้วว่าการใช้เมฆาขาวมากๆ จะส่งผลต่อร่างกาย”

   “ตั๋นมาคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะจริงอย่างที่หยกว่า เพราะตลอดเวลาเจ่เจ้ไม่เคยสอนพวกเราใช้เมฆาขาวเลย ตั๋นยังเคยคิดเลยว่าบ้านเราต้องเป็นซูเปอร์ฮีโร่ มีพลังพิเศษแน่ๆ”

   “เจ่เจ้แบกรับเรื่องราวของตระกูลเราไว้มากเกินไป ถ้ามีอะไรที่เฮียพอจะช่วยได้ เฮียก็อยากจะช่วย”

   “หยกพูดแบบนี้แสดงว่า หากจะต้องมาช่วยงานเจ่เจ้ที่นี่ หยกก็จะยอมมาใช่ไหม?”

   “อืม”

   “ตอบไม่ปรึกษาคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังเลยนะ” เธอมองผ่านหยกไปทางพี่เสือ

   “พี่เสือเข้าใจเฮียดี”

   “ใช่ ถ้าหยกไม่กลับไทย พี่ก็จะขนของหนีตามหยกมาอยู่ที่นี่”

   “โอ๊ย ไปหวานกันไกลๆ เลย แหมไม่เกรงใจคนป่วยเลยนะ” เธอบ่นไม่จริงจัง ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้ทั้งสอง แถมยังเอาผ้าห่มมาคลุมโปงไว้อีก

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-19 {{:::70:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-01-2019 22:32:23
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้วนะ ขอให้ผ่านไปด้วยดี เอาใจช่วยทั้งหมดเลย
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: หยก 16-01-19 {{:::70:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 17-01-2019 10:43:14
ลูกๆตระกูลนี้เข้มแข็งมาก ดีแล้วปล่อยป๊าไปน่ะถูกแล้วล่ะ

เครียดเรื่องพ่อป่วยมาทั้งตอน หยอดหวานตอนท้ายนะพี่เสือ
หัวข้อ: Re: หยก 26-01-19 {{:::71:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 26-01-2019 16:03:19
71




   ห้าวันมาแล้วที่หงส์นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบนี้ หยกและโบตั๋นก็ดูจะเป็นห่วงหงส์เอามาก ๆ และเมื่อหงส์ต้องยังคงหลับอยู่แบบนี้ ทำให้งานอะไรที่ต้องออกสื่อ โบตั๋นต้องสวมรอยทำงานแทนเธอไปก่อน อย่างเช่นงานประกาศการเสียชีวิตของฝู่เก๋อหมิง และการให้ข่าวว่าครอบครัวฝู่พาฝู่เก๋อหมิงไปรักษาตัวที่ประเทศไทย จึงให้จุ้ยอั้ยเต๋อดูแลงานทั้งหมดแทนในระหว่างนั้น

   หยกนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดช่วงเช้า จนคุณลตาเข้ามาเยี่ยม พยัคฆ์ถึงได้พาหยกมาหาอะไรทานที่ร้านอาหารแถวๆ โรงพยาบาล หยกดูไม่สดชื่น อาหารตรงหน้าแม้จะเป็นของโปรดแต่กลับเขี่ยไปมา เหมือนคนไม่อยากอาหาร

   “หยกมีอะไรในใจรึเปล่า”

   “หยกคิดว่า... พี่เสืออาจจะไม่เชื่อหยกก็ได้”

   “หยกยังไม่ได้พูดออกมาก็ตัดสินพี่แล้วเหรอครับ”

   “คือหยกคิดว่า เจ่เจ้จะไม่ฟื้นขึ้นมาเหมือนป๊า”

   “หยกอย่าคิดไปในทางที่ไม่ดีแบบนั้นสิ หยกต้องเชื่อมั่นในตัวหงส์นะ”

   “ไม่ใช่แบบนั้น หยกเชื่อใจเจ่เจ้ แต่ที่หยกบอกแบบนั้นเพราะหยกคิดว่า เจ่เจ้อาจจะติดอยู่ในจิตตัวเอง”

   “หยกหมายความว่ายังไง”

   “ก็ที่คุณลตาอธิบายว่า ที่พวกเราหมดสติไปเพราะฝืนใช้อำนาจของเมฆาขาวมากเกินไป แต่หยกเข้าไปได้เพราะการชักนำของเจ่เจ้เลยฟื้นขึ้นมาเร็วกว่าคนอื่น ๆ”

   “อาจจะเป็นเพราะว่าหยกเป็นผู้ชาย ร่างกายแข็งแรงกว่าโบตั๋นและหงส์ก็เป็นได้นะ”

   “หยกว่าไม่ใช่ เพราะหมอก็บอกเองว่า เจ่เจ้แข็งแรงดี แค่หลับไปเฉย ๆ หมอเองหาสาเหตุไม่ได้ แต่พวกเราก็รู้ดีว่าเพราะอะไร”

   “แล้วอะไรที่ทำให้หยกคิดว่าหงส์ติดอยู่ในจิตของตัวเองละ”

   “ตอนนั้น หยกอยากคุยกับป๊า มีคำถามอยากจะถามป๊าตั้งมากมาย แล้วก็อยากชวนป๊าออกมาเพื่อให้หลุดออกจากจิตของตัวเอง แต่หยกทำไม่ได้ พูดอะไรออกมาไม่ได้เลย ได้แต่ยืนมองเจ่เจ้กับโบตั๋นคุยกับป๊าเท่านั้น เพราะแบบนี้โบตั๋นถึงฟื้นขึ้นมาหลังจากหยก”

   “โบตั๋นพยายามเลียนแบบความสามารถของหงส์สินะ”

   “หยกก็คิดแบบนั้น ที่หยกคิดว่าเจ่เจ้ติดอยู่ในจิตตัวเองเพราะเจ่เจ้เปลี่ยนรูปร่างตัวเองให้กลับเป็นเด็ก เพื่อให้ป๊าจำเจ่เจ้ได้”

   “อืม หงส์นี่เก่งจริง ๆ เก่งจนน่ากลัว”

   “ภาพสุดท้ายที่หยกเห็น ก็คือเจ่เจ้กำลังจะพูดอะไรกับป๊า หยกไม่ได้ยินอะไรในหัว แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท ฟื้นอีกทีก็มานอนอยู่บนเตียง”

   “หยกกำลังจะบอกพี่ว่า อยู่ ๆ ก็หลุดออกมาอย่านั้นเหรอ”

   “หยกรู้สึกอย่างนั้น แต่หยกยังไม่ได้ถามตั๋น หยกไม่รู้จะพูดกับโบตั๋นยังไงดี”

   “นี่ใช่ไหม เรื่องที่หยกติดใจอยู่”

   “ไม่ใช่ แต่หยกห่วงเรื่องที่จะช่วยเจ่เจ้ออกมามากกว่า ถ้าบอกตั๋น ตั๋นก็จะพยายามเข้าไป หยกถึงยังไม่อยากคุยกับเธอเรื่องนี้”

   “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ พี่ก็จะช่วยหาวิธีช่วยหงส์ให้ได้”

   “อันที่จริง... หยกก็พอจะมีวิธีอยู่และเรื่องนี้แหละ ที่หยกติดใจ ไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ยังไงดี”

   “พิสูจน์?”

   “อืม ก็หยกใช้เมฆาขาวได้ไม่เก่งเท่ากับตั๋น หรือเจ่เจ้ หยกเลยไม่ค่อยมั่นใจกับความรู้สึกของคนอื่น”

   “แล้วหยกมั่นใจในความรู้สึกของพี่ไหม”

   “มั่นใจสิ แต่กับคนอื่น...”

   “หยกเคยพลาดเหรอ ถึงไม่มั่นใจในความสามารถในการใช้เมฆาขาว แต่สัญชาตญาณของตัวเองละ อย่างคราวคุณลตา ถึงคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่หยกก็เชื่อว่าคุณลตาไม่ได้คิดร้ายกับหยกไม่ใช่เหรอ?”

   “มันก็จริง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจในตัวเองหน่อย หยกเป็นน้องสาวหงส์นะ อันที่จริงหยกไม่ต้องพึ่งพาเมฆาขาว สัญชาตญาณของหยกก็ดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหยกคงจะช่วยแมวที่ตกจากมอเตอร์ไซด์คันนั้นไม่ได้หรอกนะ”

   “พี่เสือยังจำได้อีกเหรอ”

   “เรื่องเกี่ยวกับหยกพี่จำได้หมดแหละ”

   “ถ้าอย่างนั้น เรารีบ ๆ ทานแล้วไปหาคนที่ช่วยเจ่เจ้กัน”

   “หยกรู้แล้วเหรอว่าใครที่จะช่วยหงส์ได้”

   “อืม”

   “ใคร?”

   “จุ้ยเถิง”

   “หา!!”

   พยัคฆ์แปลกใจกับชื่อคนที่เขาได้ยินออกจากปากหยก และเห็นท่าทางรีบทานออาหารขนาดนั้นจึงไม่กล้าจะถามอะไรมากไปกว่านี้ เขาเห็นหยกเจริญอาหารขึ้นกว่าเมื่อครู่เขาก็ดีใจ และอยากให้หยกทานให้มาก ๆ จึงช่วยตักกับข้าวใส่จานให้

   หยกในตอนนี้นอกจากเปิดใจให้เขาแล้ว ยังพูดคุยกับเขามากขึ้น คุยได้ทุกเรื่อง เขารู้ว่าถึงเวลา หยกจะอธิบายเรื่องจุ้ยเถิงให้เขาได้รับรู้เอง

........................................................................

   ใช่แล้ว ผมควรจะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง เพราะผมไม่ได้อ่านใจใคร ๆ ได้ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้า เสียใจ ไม่ชอบใจ หรืออะไรหลาย ๆ อย่างจากอำนาจของเมฆาขาว นอกจากนั้นผมวิเคราะห์และคาดเดาเอาว่าคนเหล่านั้นต้องการอะไร

   ถึงผมจะเข้าไปถึงจิตใจใครต่อใครไม่ได้อย่างเจ่เจ หรือโบตั๋น แต่ตลอดเวลาสัญชาตญาณของผมก็ไม่เคยผิดพลาด พี่เสือช่วยให้ผมมีความมั่นใจขึ้น ผมจึงไม่รีรอถ้าสิ่งที่ผมคิดมันจะสามารถช่วยให้เจ่เจ้ตื่นขึ้นมาได้

   ตอนนี้พวกเรามาถึงสำนักงานใหญ่ของเยี่ยนหวอ ตลอดทางที่ผมเดินเคียงข้างกับพี่เสือ คนที่พอจะจำผมได้ต่างพากันหยุด คำนับให้เมื่อผมเดินผ่าน หากเปลี่ยนสถานะกันระหว่างผมกับพี่เสือ คนที่พวกเขาคำนับไม่ใช่ผมแต่เป็นพี่เสือ ผมคงไม่กล้าที่จะเดินเคียงข้างอย่างที่พี่เสือเดินคู่ไปกับผมอย่างในตอนนี้ ผมอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ดังนั้นผมจึงสอดมือเข้าไปในฝ่ามือของพี่เสือ เรามองหน้าแล้วยิ้มให้กันเล็กน้อย ไม่ต้องมีอำนาจของเมฆาขาว เราก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของกันและกัน

   “จุ้ยเถิงอยู่ไหมครับ” ผมถามเลขาที่นั่งอยู่หน้าห้องเป็นภาษาอังกฤษ เธอตกใจเล็กน้อย ก่อนจะโค้งคำนับให้ผม

   “ดิฉันไม่ทราบว่าคุณฝู่จะมา ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้เตรียมต้อนรับ”

   “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอกครับ”

   “โปรดรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันขอไปรายงานคุณจุ้ยก่อน” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินไปนั่งที่โซฟาพักคอยหน้าห้อง

   “หยกไม่กลัวคนนินทาเหรอ ถึงจูงมือพี่เดินไปทั่วเยี่ยนหว๋อ”

   “หยกก็อยากอวดแฟนของหยกบ้างนี่นา”

   “หือ เอาคืนพี่อย่างนั้นเหรอ” ผมยิ้มให้กับพี่เสือ ยังไม่ได้ทันได้ตอบอะไร เลขาหน้าห้องก็เดินออกมาพร้อมจุ้ยเถิง

   “อาหงส์” จุ้ยเถิงยังไม่ทันเห็นหน้าว่าฝู่คนไหนมาหาก็เอ่ยชื่อเจ่เจ้ออกมา

   “ผมเอง ไม่ใช่เจ่เจ้”

   “อ่าว อาหยงเองเหรอ?”

   “ผมขอเวลาคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?”

   “ได้สิ ฉันก็มีเรื่องที่จะถามนายเหมือนกัน”

   จุ้ยเถิงนำเราเข้าไปในห้องทำงานของเขา ซึ่งดูเหมือนเขาจะยุ่งเอามากๆ ดูได้จากกองเอกสารบนโต๊ะ ที่วางอยู่รกไปหมด

   “ผมมากวนเวลาคุณทำงานรึเปล่า”

   “ถือว่านายช่วยให้ฉันได้พักก็แล้วกัน”

   “คุณบอกว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผม?”

   “ใช่ ฉันอยากรู้ว่าทำไมพวกนายถึงยังให้ฉันทำงานอยู่ที่นี่ แล้วยังที่โรงแรมนั่นอีก”

   “เรื่องนี้ผมคงให้คำตอบอะไรคุณไม่ได้ เพราะผมไม่รู้เรื่องงานอะไรที่นี่เลย”

   “แล้วนายละ มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”

   “ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย”

   “ฝู่อยากให้จุ้ยช่วยเนี่ยนะ”

   “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่เชื่อผมเถอะว่าเจ่เจ้มีเหตุผลที่ยังให้คุณทำงานที่นี่”

   “หงส์อยากให้ฉันทำงานที่นี่อย่างนั้นเหรอ? เธอไม่ได้เกลียดฉันอย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมตอบแทนเจ่เจ้ไม่ได้ และถ้าคุณอยากรู้ คุณต้องไปถามเจ่เจ้เอาเอง”

   “ถามหงส์อย่างนั้นเหรอ หึ!! ขนาดฉันจะขอพบแค่บอร์ดี้การ์ดของมิสเตอร์คิม อย่างคุณหลิว ฉันยังเข้าพบไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเจอหงส์”

   “หลิวลู่บอร์การ์ดของมิสเตอร์คิมที่นายว่า นั่นก็คือหลิวลู่ที่พวกนายตามหายังไงละ” พี่เสือช่วยแก้ไขความเข้าใจผิด

   “นายว่ายังไงนะ”

   “ฉันจะบอกอะไรให้ หลิวลู่คนนั้น ก็คือน้องชายแท้ ๆ ของเก๋อหมิง หรือก็คือหลิวลู่คนเดียวกับที่พวกนายและเซียงไบ่ตามหามาตลอด 20 กว่าปี”

   “เจ็กลู่ไปศัลยกรรมปรับใบหน้ามา แล้วที่นายยังไม่เจอกับเจ็กลู่ เพราะตอนนี้งานทุกอย่างมันล้นมือ”

   “นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้มู่ตานยังคงสวมรอยเป็นหงส์สินะ”

   “ใช่ แต่ที่งานล้นมือกันขนาดนี้เป็นเพราะเจ่เจ้ยังไม่ฟื้น” ผมเห็นสีหน้าตกใจของจุ้ยเถิง

   “หงส์เป็นอะไร ฉันได้ข่าวว่าเธอเข้าโรงพยาบาล เธอเป็นอะไรมากรึเปล่า”

   “เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ก็ยังไม่ตื่น ฉันกับหยกถึงมาให้นายช่วยถึงฉันจะไม่รู้ ว่านายจะช่วยหงส์ได้ยังไง”

   “ช่วยได้สิ เพราะจุ้ยเถิง รักและต้องการ เจ่เจ้ เหมือนที่พี่เสือรักและต้องการหยก อย่างตอนนั้น ที่เราฝันถึงกันบ่อย ๆ”

   “พี่เข้าใจแล้ว ว่าแต่หยกมั่นใจได้ยังไงว่าจุ้ยเถิงรักหงส์” ผมหันไปตอบคำถามนี้กับจุ้ยเถิงแทน

   “ที่คุณต้องการจับตัวผม ในตอนที่อยู่ไทย เพราะคุณอยากให้ผมพาไปหาเจ่เจ้ใช่ไหม และที่คุณพลาดท่าเสียทีโบตั๋น ก็เพราะคุณเข้าใจว่าเธอคือเจ่เจ้”

   “ความรู้สึกของจุ้ยเถิงสินะ”

   “ครับพี่เสือ แล้วเมื่อมารู้ว่าจุ้ยเถิงเป็นเพื่อนเล่นในสมัยเด็กของเจ่เจ้ มันเลยทำให้หยกเดาได้ว่า เขารักเจ่เจ้”

   “นายพูดไม่ผิดหรอกนะ แต่ฉันไม่ใช่หมอ ฉันจะไปช่วยอะไรหงส์ได้”

   “อย่างน้อยก็ไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจ”

   “คนอื่นๆ คงไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้หงส์หรอก”

   “ถ้าคุณยอมช่วยผม ผมก็จะพาคุณไปหาเจ่เจ้”

   ผมเห็นแววตาเป็นประกาย และความรู้สึกที่มีความหวังของจุ้ยเถิง ผมรู้ว่าเขาจะต้องตอบตกลงแน่นอน ผมจึงรอโดยไม่กดดันอะไรเขาอีก ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น รอให้เจ่เจ้ฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยคุยกับเขาเองก็แล้วกัน

........................................................................

   โบตั๋นรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่หงส์พักรักษาตัวอยู่ทันทีที่เสร็จงาน โดยมีเจ้ไฉ๋เป็นคนขับรถไปส่ง พร้อมด้วยพี่เก่งกับพี่ต้นที่คอยเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับเธอ

   เฉิ่งอีมารายงานกับฝู่ไฉ่ว่า จุ้ยเถิงโดดงานออกไปข้างนอกกับหยกและพี่เสือ เธอไม่รู้ว่าหยกคิดอะไรอยู่ ถึงได้พาจุ้ยเถิงไปหาเจ่เจ้ในตอนนี้ มันทำให้เธอเป็นกังวล จนต้องรีบตามมาที่โรงพยาบาล

   เมื่อมาถึง เธอกลับเห็นหยกและพี่เสือนั่งอยู่หน้าห้องพักของเจ่เจ้ แต่ไม่เห็นจุ้ยเถิง เธอกับคนอื่น ๆ จึงรีบเดินเข้าไปหา

   “มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า” พี่เสือลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินตรงเข้ามาถามพวกเธอ “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้นถึงได้ดูรีบร้อนกันขนาดนี้”

   “จุ้ยเถิงละ?”

   “อยู่ในห้องกับเจ่เจ้น่ะ” เมื่อเธอได้ยินดังนั้นจึงรีบเข้าไปหาเจ่เจ้ แต่โดนหยกรั้งไว้ “เดี๋ยวตั๋น เฮียรู้ว่าตั๋นไม่ไว้ใจจุ้ยเถิง แต่ฟังเฮียก่อนได้ไหม?”

   “หยกไว้ใจตานั่นได้ยังไง ตานั่นอาจจะสั่งฆ่านายเกรียงไกรก็ได้นะ แล้วปล่อยให้ตานั่น”  เธอพูดออกมาด้วยความร้อนใจ แต่ก็ถูกพี่เสือขัดขึ้นมาอีกคน

   “โบตั๋น ฟังหยกก่อนสิ ไม่ไว้ใจหยกเหรอ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่เสือ ตั๋นไม่ไว้ใจไอ้ฝรั่งนั่นต่างหาก”

   “ตั๋นใจเย็น ๆ แล้วมาดูนี่”

   หยกจูงมือเธอเดินไปยังหน้าห้องของเจ่เจ้ ก่อนชี้ให้มองผ่านช่องกระจกเล็ก ตรงบานประตู เธอเห็นจุ้ยเถิงนั่งหันหลังให้ เขากำลังนั่งเฝ้าเจ่เจ้อย่างใกล้ชิด ไม่แม้แต่จะสัมผัสถูกตัว แค่นั่งเฝ้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น

   “เขาทำอะไร”

   “ตั๋นเก่งกว่าเฮียเรื่องการใช้เมฆาขาว ตั๋นก็ลองสำรวจจิตของเขาดูสิ”

   เธอทำตามคำแนะนำของหยกทันที สิ่งที่เธอเห็นมันมีเพียงความทรงจำของจุ้ยเถิงที่มีต่อหงส์ในวัยเด็ก มันหลั่งไหลออกมามากมายจนเธอต้องถอยออกมา

   “เห็นไหม ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายกับเจ่เจ้”

   “แล้วหยกพาเขามาหาเจ่เจ้ทำไม”

   “เฮียคิดว่า เขาเป็นคนเดียวที่จะทำให้เจ่เจ้ฟื้นขึ้นมาได้”

   “ทำไม”

   “ก็ความรู้สึกรุนแรงที่เขามีต่อหงส์ มันเหมือนกับที่พี่มีให้กับหยกยังไงละ”

   “อย่าบอกนะว่าหยกกับพี่เสือบอกเรื่องเมฆาขาวกับไอ้ฝรั่งนั่น”

   “เฮียไม่ได้บอก แค่บอกว่า เจ่เจ้อยากได้กำลังใจ เลยขอให้เขามาเยี่ยม”

   “แล้วเขายอมมาง่าย ๆ ได้ยังไง”

   “ตั๋นน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าเฮียนะ ในเมื่อตั๋นเข้าไปสำรวจจิตของจุ้ยเถิงมาแล้ว”

   “ตานั่นเอาแต่คิดถึงเจ่เจ้”

   “อืม ความรู้สึกของจุ้ยเถิงก็เหมือนกับพี่ ที่มีต่อหยก”

   “ไม่เหมือนสักหน่อย พี่เสือรักหยกแต่... เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่าจุ้ยเถิงรักเจ่เจ้”

   “เรื่องบางเรื่องเมฆาขาวก็ไม่สามารถบอกเราได้หรอกนะ เฮียจึงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง”

   “หยกรู้เรื่องนี้เมื่อไร?”

   “วันที่ตั๋นจับจุ้ยเถิงมาไว้ที่บ้านเจ็กลู่”

   “ยังไง”

   “ความรู้สึกรุนแรงของเขามันบอกเฮีย ความรู้สึกนั่นมันเปลี่ยนไป ตั๋นน่าจะรับรู้ได้ในตอนที่จะจับจุ้ยเถิง”

   “เพราะตานั่นคิดว่าตั๋นเป็นเจ่เจ้ อยากจับให้ได้ ความรู้สึกมันรุนแรงจนตั๋นอยู่เฉยไม่ได้ต้องลงมือก่อน”

   “ตอนนี้เขาก็เจอเจ่เจ้แล้ว ความรู้สึกทั้งหมดก็ยังเหมือนเดิมไหม?”

   “ไม่ นี่มันเหมือนกับตอนที่พี่เสือพยายามเพื่อหยก...” พอนึกถึงตรงนี้ มันทำให้เธอคิดได้ว่า ความรู้สึกของตานั่นเปลี่ยนไปจริงๆ

   “ตั๋นเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักเถอะ เฮียกับพี่เสือจะอยู่ที่นี่ดูแลเจ่เจ้เอง”

   “ก็ได้ แต่ถ้าเจ่เจ้ฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ต้องรีบโทรบอกตั๋นนะ”

   เธอยอมกลับไปพักตามที่หยกบอก และหวังว่าจุ้ยเถิงจะช่วยให้เจ่เจ้ฟื้นขึ้นมาได้จริง ๆ ส่วนเรื่องที่นายนั่นรักเจ่เจ้ เธอคงไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ยังไงๆ ตานั่นต้องผ่านเธอไปให้ได้ซะก่อน

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 26-01-19 {{:::71:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-01-2019 21:34:51
หงส์ฟื้นเร็วๆนะ แหมมีความรักในวัยเด็กมาเป็นกำลังใจด้วย น่ารักจริงๆ
 :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: หยก 26-01-19 {{:::71:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 27-01-2019 10:47:37
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 26-01-19 {{:::71:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 27-01-2019 20:06:26
รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: หยก 26-01-19 {{:::71:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-01-2019 21:02:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 07-02-19 {{:::72:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 07-02-2019 20:45:30
72




   หงส์กลับมาแข็งแรงดังเดิม คงเป็นเพราะได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เธอมารู้จากหยกว่า เธอหลับไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ ส่วนเรื่องของป๊า หยกกับโบตั๋นจัดการเรียบร้อยไปแล้ว

   เธอกำลังจะเก็บของเตรียมกลับไปที่บ้านตระกูลฝู่ ที่ตอนนี้เจ็กลู่จัดการปรับเปลี่ยนให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนที่เธอเคยอาศัยอยู่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน

   ระหว่างที่เธอหลับ เธอฝันอะไรต่อมิอะไรมากมาย จนเธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเข้าไปตามเธอออกมา และต้องขอบคุณหยกที่เป็นเจ้าของความคิดนี้

   “เก็บของเสร็จแล้วเหรอหงส์”

   “ค่ะ อากร”

   “อาดีใจนะที่เราฟื้นขึ้นมาแล้ว พวกเราเป็นห่วงแทบแย่”

   “ขอโทษค่ะ ต่อไปนี้หงส์จะไม่ทำอะไรเกินตัวอีกแล้ว”

   “ตอนนี้อะไรหลาย ๆ อย่างก็เข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เหลือก็แต่เรื่องพินัยกรรมเท่านั้น อ่อ แล้วหงส์ก็มีเรื่องติดค้างที่ต้องอธิบายกับอีกหลายคนเลยนะ”

   “ค่ะ หงส์รู้”

   “อืม อีกสองวันเราก็จะเดินทางไปซางตูกันแล้ว รีบไปคุยกับจุ้ยเถิงเขาด้วยละ”

   “อาเถิงคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าโบตั๋นหรอกค่ะ”

   “อืม อาจำได้คราวไอ้เสือกับหยกก็เอาเรื่องอยู่”

   “แต่ครั้งนี้ หยกเก่งขึ้นมาก ที่แยกแยะระหว่างอำนาจของเมฆาขาวกับสัญชาตญาณของตัวเองได้”

   “หลังจากที่ชำระล้างเมฆาขาวแล้ว หยกคงใช้ชีวิตปกติได้ดีกว่าคนอื่น ๆ”

   “ส่วนตั๋นคงจะลำบากหน่อย”

   “นั่นสินะ” ทั้งเธอทั้งวรากร ต่างหัวเราะกันจนคนที่เข้ามาใหม่นึกสงสัย

   “ร่าเริงกันจังเลยนะ สองอาหลาน”

   “กำลังคุยเรื่องโบตั๋นกันอยู่ค่ะเจ็กลู่”

   “ตอนนี้โบตั๋นก็คอยจะหาเรื่องทะเลาะกับจุ้ยเถิงอยู่ทุกวัน ทางนั้นเองก็ได้แต่นิ่งไม่โต้ตอบ”

   “ก็สมกับที่เป็นเขาแล้วละคะ”

   “นิสัยก็เหมือนกับตอนเด็ก ๆ แต่ทำไมถึงไปหลงเชื่อจุ้ยอั้ยเต๋อได้”

   “ไว้ให้หลาน ๆ เขาทำปรับความเข้าใจกันเองเถอะ” อากรพูดกับเจ็กลู่ก่อนจะช่วยเธอหิ้วกระเป๋า

   “หงส์ละ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

   “หงส์นอนมาเยอะแล้วค่ะ รีบจัดการอะไรๆ ให้เสร็จดีกว่า ว่าแต่อากรกับเจ็กยังตัดสินใจเหมือนเดิมเหรอคะ”

   “พูดยังไง พวกอาก็ไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ”

   “ขอบคุณอากรกับเจ็กลู่มาก ๆ นะค่ะ โดยเฉพาะอากร”

   “ไปกันเถอะ ทุกคนรออยู่ที่บ้านแล้ว”

   เธอเดินตามอาทั้งสองออกจากห้องพัก เมื่อมาถึงหน้าห้องก็มีบอร์ดี้การ์ดของเยี่ยนหวอรอรับอยู่ มองดูเอิกเกริกแต่ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว เธอคงต้องทำตัวให้ชินกับภาพเหล่านี้

........................................................................

   พยัคฆ์นั่งอยู่ข้าง ๆ หยก ภายในห้องรับแขกของบ้านตระกูลฝู่ ซึ่งทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอหงส์กันอยู่ที่บ้าน การที่หยกและโบตั๋นไม่ได้ไปรับหงส์ที่โรงพยาบาลเพราะตอนนี้ สองพี่น้องเริ่มเป็นที่รู้จักทั้งในจีนแผ่นใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า นอกจากจะเป็นทายาทตระกูลฝู่แล้ว สื่อที่ทั้งสองถ่ายแบบตอนนี้ได้ดังมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน

   ดังนั้น เมื่อไรที่สองพี่น้องคู่นี้อยู่ด้วยกัน ก็มักจะเป็นจุดสนใจของสื่อตามสำนักต่าง ๆ เลยทำให้หน้าที่การไปรับหงส์ตกเป็นของอากรกับอาชาติ

   “ตั๋น เดินไปเดินมาไม่เหนื่อยเหรอ?”

   “แหม๋ พี่เสือ ก็ตั๋นอยากเจอเจ่เจ้เร็ว ๆ นี่คะ”

   “เมื่อวานคุณตั๋นเพิ่งจะไปเยี่ยมคุณหงส์มาเองนะครับ” เอแซวโบตั๋นถึงกับหน้าตูม

   “ก็ตั๋นห่วงนี่ ขนาดตั๋นกับหยกยังกระดิกตัวไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะได้ แล้วเจ่เจ้ละ นักข่าวไม่ยิ่งรุมเหรอ”

   “ตั๋นเองก็เป็นเจ่เจ้มาตั้งหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าเจ้ไฉ๋จัดการได้ดีขนาดไหน”

   “รู้แล้ว ๆ ยังไงตั๋นก็ห่วงนี่”

   “โวยวายดังลั่นเลยนะตั๋น” หงส์ที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดแซวโบตั๋น แต่ดูท่าเจ้าตัวไม่ได้สำนึกเลย กลับวิ่งเข้าไปกอดเจ้าของเสียงนั้น

   “คิดถึงเจ่เจ้จังเลย”

   “เห็นหน้าก็เข้ามาอ้อนเลยนะ” อากรที่เดินตามหลังมาพร้อมอาชาติแซวก่อนส่งกระเป๋าให้เด็กรับใช้ที่ยืนรออยู่

   “ที่หงส์ให้ทุกคนมารวมกันที่บ้านนี้ เพราะมีเรื่องจะคุยกับพวกเราอย่างนั้นเหรอ?” พยัคฆ์เป็นคนเริ่มประเด็นก่อนที่โบตั๋นจะนอกเรื่องไปมากกว่านี้

   “พี่เสือให้เจ่เจ้นั่งพักสักหน่อยก็ไม่ได้ จะรีบไปไหนเหรอคะ”

   “ไม่ต้องไปเหน็บคุณเสือเขาเลย ยัยตั๋น เราน่ะแหละที่จะนอกเรื่องจนกวนเวลาคนอื่นเขาทำงาน”

   โบตั๋นทำหน้าขัดใจตามประสา แต่ก็ยอมตามหงส์ไปนั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง ตอนนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาอยู่กันครบ หงส์หน้าทุกคนก่อนเอ่ยออกมา

   “หงส์ต้องขอขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ช่วยเหลือหงส์กับน้อง ๆ จนทำให้เราสามารถเรียกร้องในสิ่งที่เป็นของเรากลับคืนมาได้ แถบเรายังได้โรงแรมพร้อมกาสิโนของจุ้ยอั้ยเต๋อมาอีกด้วย แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหงส์ยังมีสิ่งที่ต้องสะสางอีกมาก”

   “เจ่เจ้ให้หยกช่วยอะไร หยกจะช่วยเต็มที่เท่าที่หยกจะทำได้”

   “ตั๋นเองก็เหมือนกัน”

   “ขอบใจน้องทั้งสองมากนะ เรื่องที่ต้องสะสางหลังจากนี้คงต้องใช้เวลามากทีเดียว”

   “หงส์คงจะหมายถึงเรื่องชื่อเสียงที่เสียไปของเยียนหวอ” เขาเอ่ยขึ้นมาเพราะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง

   “ใช่ค่ะคุณเสือ เรื่องนี้บางคนในห้องนี้อาจจะรู้อยู่แล้วแต่บางคนยังไม่รู้”

   “ในส่วนนี้อาจะเป็นคนอธิบายเพิ่มเติมเอง” อากรเขามาทำหน้าที่เล่าทั้งหมดอีกครั้ง

   เดิมทีเยียนหวอทำธุรกิจส่งออกรังนก มีเกาะเป็นของตัวเอง แต่เมื่อจุ้ยอั้ยเต๋อเข้ามาบริหารงานก็เปิดธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ให้เช่าโกงสินค้า ซึ่งเป็นธุรกิจบังหน้าการลักลอบค้าอาวุธสงคราม และที่ไทยมันก็อาศัยขนของผ่านปางไม้ของเซียงไบ่

   จากที่อากรเข้ามาดูบริษัทฯ เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้เจอบัญชีลับและรายชื่อลูกค้ามากมาย มีหลายครั้งที่คนของจุ้ยอั้ยเต๋อโดนจับ มันก็จะใช้เยียนหวอออกหน้า ติดสินบน จนคนของมันพ้นผิด

   “ที่หงส์ขอให้ทุกคนเข้ามาที่บ้านวันนี้ เพราะหงส์ต้องการความช่วยเหลือเป็นเรื่องสุดท้ายจากทุกคน”

   “หงส์ว่ามาเถอะ พวกเรายินดีช่วย” พยัคฆ์ตอบแทนคนของเขาที่นั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

   “ตาก็ยินดีช่วยค่ะ ถึงแม้มันจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหยกศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ตาม”

   “ขอบคุณค่ะ คุณเสือ คุณลตา”

   “ก่อนที่หงส์จะพูด อาก็ขอแทรกเรื่องนี้ก่อน เจ้าเสือ”

   “ครับ อากร”

   “บริษัทฯ ฉันขอคืนให้แกดูแลเองตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และมันจะมีผลทันทีที่แกกลับถึงไทยแล้ว เรื่องนี้ฉันให้คุณวรรณจัดการแล้ว”

   “ครับ ผมเข้าใจ” เขามองตาก็รู้ว่าใจของอากรคิดอะไร อากรคงจะไม่ทิ้งให้อาชาติห่างสายตาอีกเป็นแน่

   “ถ้าอย่างนั้น หงส์เริ่มเลยนะคะ ข้อแรก...”

   พวกเราทุกคนฟังคำขอร้องของหงส์ ซึ่งเป็นเรื่องที่หนักเอาการ มีทั้งเรื่องที่รับได้และรับไม่ได้ แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลที่หงส์ให้กับพวกเรา และอากรยังช่วยสนับสนุน มันทำให้ท้ายที่สุด ทุกคนก็ตอบตกลงแต่โดยดี

........................................................................

   หลังจากวันที่เจ่เจ้ขอร้องพี่เสือและทุกคน พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเข้าใจเจ่เจ้ดีว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด และผมก็เห็นด้วยกับเธอ ผมพูดได้เลยว่า ทุกคนที่ร่วมทาง ร่วมงานกันมาจนถึงวันนี้ ถือเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเราสามพี่น้อง

   ผมมองเมฆาขาวของเจ่เจ้ในมือ ผิวสัมผัสเย็น ๆ ของเนื้อหยกสีขาวอมฟ้า มันทำให้ผมนึกถึงก้อนน้ำแข็ง ทั้งที่หยกชิ้นนี้เคยอุ่นกว่านี้แท้ ๆ

   “คิดถึงหงส์อยู่เหรอครับ”

   “อืม หยกกำลังคิดว่า ตอนนี้เจ่เจ้กำลังทำอะไรอยู่”

   “งานที่เยี่ยนหวอคงหนักน่าดูเลย แต่มีอากรกับอาชาติช่วยอยู่ หยกวางใจเถอะ”

   “พี่เสือไม่เสียใจเหรอครับที่อากรจะไม่กลับไปช่วยงานที่บริษัทฯ อีกแล้ว”

   “พี่จะเสียใจมากกว่าถ้าอากรกลับไปช่วย แล้วทิ้งอาชาติให้อยู่กลับหงส์”

   ผมเก็บเมฆาขาวของเจ่เจ้กลับเข้าถุงกำมะหยี่ดังเดิม ก่อนมองออกไปนอกตัวรถที่ตอนนี้เราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว รถโฟร์วิลล์ที่เหล่าเหมิ๋นส่งไปรับพวกเรากำลังวิ่งไต่ขึ้นเขาไปด้วยความเร็วคงที่ รถคันที่ผมนั่งขับตามรถของคุณลตา ทิ้งระยะห่างพอไม่ให้ฝุ่นทรายบังวิสัยทัศน์ของคนขับ รถกำลังจะถึงสุสานในอีกไม่นาน

   “หยก พี่เสือ” โบตั๋นที่นั่งอยู่เบาะหน้าคู่คนขับ หันกลับมาเรียกพวกเรา

   “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นละ หรืออยากเข้าห้องน้ำ?” พี่เสือถามแบบนี้ เพราะก่อนขึ้นเขา พวกเราบอกให้เธอแวะเข้าห้องน้ำก่อนแล้ว แต่โบตั๋นปฏิเสธ

   “ไม่ใช่อย่างนั้น ตั๋นรู้สึกว่ามีคนตามพวกเรามา” โบตั๋นที่หันหลังมา มองเลยไปยังกระจกท้ายรถ พวกเราก็เช่นกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากฝุ่นทรายที่ลอยฟุ้งเพราะความเร็วของรถที่แล่น

   “ตั๋นจับความรู้สึกของใครได้อย่างนั้นเหรอ”

   “อืม แต่มันไกลมาก ความรู้สึกมันเลยไม่ชัดนัก แต่พวกนั้นต้องตามเรามาแน่ ๆ”

   “เป็นคนของเหลาเหมิ๋นรึเปล่า” พี่เสือถามบ้าง

   “ถ้าเป็นคนของกงเหมิ๋น ตั๋นคงจะจับความรู้สึกไม่ได้หรอก”

   “คนที่รู้ว่าเราจะมาที่นี่ก็มีแต่คนกันเองเท่านั้น”

   “ใช่ที่ไหน ไอ้ฝรั่งนั่นมันคนนอก” โบตั๋นมองไปยังรถคันหน้า

   “ตั๋นยังไม่ไว้ใจจุ้ยเถิงอีกเหรอ?” พี่เสือถามกับโบตั๋น

   “ใครจะเหมือนกับหยกกันละ ใจอ่อน ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด” โบตั๋นพูดประชดผมเข้าให้

   “เฮียไม่ได้ใจอ่อนนะ เฮียเชื่อใจเจ่เจ้ ว่าเจ่เจ้มองคนไม่ผิด และเฮียเชื่อสัญชาตญาณของเฮียเอง”

   “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวดีแตกเมื่อไร จะได้เห็นดีกัน”

   พวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก นอกจากได้แต่ระวังตัวได้เท่านั้น เพราะในครั้งนี้มีเพียงแค่ผม โบตั๋น พี่เสือ คุณลตา และจุ้ยเถิงเท่านั้น ที่เดินทางมาหยวนซางตู เนื่องจากเมื่อถึงแคมป์ ก็จะมีคนของเหล่าเหมิ๋นคอยดูแล

........................................................................

   วรรณาและสมศักดิ์เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ต่างคนก็ต่างแยกย้าย โดยคุณศักดิ์กลับไปทำงานของตนเองดังเดิม เนื่องจากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของสามพี่น้องมากนัก ส่วนเธอที่เป็นลูกจ้างของวรากร ก็ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านาย

   เรื่องแรกที่เธอต้องทำก็คือเอกสารการโอนหุ้นของวรากร ซึ่งหุ้นทั้งหมดในบริษัทฯ วรากรให้เธอดำเนินการโอนให้พยัคฆ์ทั้งหมด

   เรื่องที่สอง ซึ่งเธอเลือกที่จะแวะมาดำเนินการก่อนจัดการเรื่องเอกสารยุ่งยากเหล่านั้น นั่นคือการมาหาเพ็ญนภาที่ห้องเสื้อ

   “คุณวรรณ เป็นยังไงบ้างคะ กลับมาเมื่อไร” เพ็ญนภาเข้ามาทักทายเธอทันทีที่เห็น

   “เพิ่งลงเครื่องมาเมื่อบ่ายนี้เองค่ะ มาถึงก็แวะมาหาคุณภาเลย”

   “แล้วคนอื่น ๆ ละคะ” เธอเห็นเพ็ญนภามองไปด้านหลังของเธอ

   “คนอื่น ๆ ยังอยู่ที่โน่นกันค่ะ มีเรื่องที่ต้องจัดการกันอีกเล็กน้อย วรรณเลยล่วงหน้ามาก่อน”

   “ทุกคนปลอดภัยดีใช่ไหมคะ?”

   “ทุกคนปลอดภัยดีคะ”

   “ที่คุณวรรณมาหาภานี่ไม่ได้แวะมาทักทายเฉยๆ หรอกใช่ไหมคะ?”

   “ค่ะ วรรณมีเรื่องให้คุณภาช่วย”

   “เรื่องอะไรคะ”

   “เรื่องบ้านของเจ้าสัวเซียง”

   “เจ้าสัวผีพนันนั่นเหรอคะ เฮ้อ บ้าการพนันจนกระทั่งงานศพลูกยังมาไม่เลย”

   “ค่ะ เจ้าสัวเซียง หรือเซียงไบ่”

   “คุณวรรณจะให้ภาช่วยอะไรคะ?”

   “เจ้าสัวเซียงเอาบ้านและปางไม้ไปค้ำเพื่อแลกเงินมาเล่นการพนัน ซึ่งทรัพย์สินในส่วนนี้ตกมาอยู่ในมือของคุณหงส์แล้ว หงส์อยากคืนบ้านให้กับคุณสุพรรณษา”

   “ภาเข้าใจแล้วค่ะ เรื่องนี้ภาจะช่วยเอง แล้วเรื่องปางไม้ละคะ”

   “ปางไม้นั่น เป็นทางผ่านของพวกค้าอาวุธ คุณหงส์อยากจะจัดการเรื่องพวกนี้ให้จบก่อน เพราะหากคืนไปตอนนี้เกรงว่าเรื่องจะพัวพันไปถึงคุณสุพรรณษาค่ะ”

   “เรื่องใหญ่เหมือนกันนะคะ แล้วหงส์จะให้ภาช่วยเรื่องนี้ยังไงคะ”

   “นายตำรวจที่เป็นคนดูแลคดีของเกรียงไกร อาจจะต้องให้คนๆ นั้นเข้ามาช่วยค่ะ”

   “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นทั้งเรื่องบ้าน และเรื่องปางไม้ ภาจะช่วยคุณวรรณเองค่ะ”

   “ส่วนเรื่องเกรียงไกร คุณกรอยากได้ข้อสรุปของคดีเพื่อช่วยจุ้ยเถิงค่ะ”

   “ช่วยเขาทำไม เขาเป็นคนจับหยกไปนะ”

   “เรื่องความรักไม่เข้าใครออกใคร สาวโสดสนิทอย่างพวกเราคงไม่เข้าใจคนมีความรักอย่างพวกเขาหรอกค่ะ”

   “อย่าบอกนะว่าจุ้ยเถิงอะไรนั่นมาหลงรักหยกอีกคน”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เรื่องนี้วรรณพูดมากไม่ได้ เอาไว้รอถามเจ้าตัวเองนะคะ”

   “นี่ขนาดไม่พูดมากนะคะ ภานี่สิคันยุบยิมไปหมด อยากรู้จะแย่แล้ว”

   “อีกไม่นาน คุณภาก็ได้รู้ค่ะ อ่อเรื่องสุดท้ายที่ต้องให้คุณภาช่วย”

   “เรื่องอะไรคะ?”

   วรรณายิ้มจนแก้มปริก็กระซิบกระซาบกับเพ็ญนภาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน ทั้ง ๆ ที่ภายในห้องเสื้อไม่มีลูกค้าเลยสักคน เพ็ญนภาที่ได้ยินถึงกับเบิกตากว้าง กรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างดีใจจนเด็กในร้านเงยหน้าขึ้นมามองเจ้านายตัวเอง

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 07-02-19 {{:::72:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-02-2019 21:38:06
งุ้ยยยย ค้างงงงงงงงงงงง
มาต่อเร็วๆ น้าาา
ทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว
ทุกคนจะได้มีความสุขเสียที
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: หยก 07-02-19 {{:::72:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-02-2019 23:02:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 07-02-19 {{:::72:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 13-02-2019 13:07:53
งานแต่งหยกกับพี่เสือแน่ๆ
หัวข้อ: Re: หยก 17-02-19 {{:::73:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-02-2019 13:31:28
73


   ตั้งแต่มาถึงแคมป์หน้าทางเข้าสุสาน โบตั๋นยังคงรับความรู้สึกได้ว่ามีใคร ไม่สิต้องบอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งตามพวกเธอมาแน่ๆ ถึงความรู้สึกที่รับได้จะเบาบางก็ตามที เธอไม่มีความสามารถอย่างเจ่เจ้ที่จะรับรู้ความรู้สึกของใครๆ ได้ในระยะที่ไกลขนาดนี้

   “เสี่ยวฝู่เป็นอะไรไป ไม่สบายรึเปล่า”

   “นายทำหน้าที่ของนายไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” ตั้งแต่ที่จุ้ยเถิงได้รับการยอมรับจากเจ่เจ้ อากร และหยก ตาฝรั่งนั่นก็พยายามผูกมิตรกับเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ค่อยชอบใจนัก

   “ตั๋น เฮียเถิงเขาก็แค่ถาม เขาคงเป็นห่วง” หยกเดินมาห้ามปรามเธอ

   “ตั๋นไม่ชวนเขาทะเลาะหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” เธอว่าแล้วก็ดึงตัวหยกออกห่างจากจุ้ยเถิงมา “ตั๋นยังรู้สึกได้ถึงคนพวกนั้น” เธอกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน

   “พวกนั้น”

   “ใช่ ความรู้สึกมันหลากหลาย น่าจะมีกันหลายคนแน่ ๆ”
   
   “แต่เราก็ไม่เห็นใครตามเรามานะ”

   “นั่นแหละที่ตั๋นกังวล”

   “มีอะไรกันรึเปล่า” คุณลตาเดินเข้ามาหาพวกเราสองคน หลังจากเข้าไปหาคุณลลินทร์
   
   “ตั๋นเขารู้สึกได้ว่ามีคนตามพวกเรามาครับพี่ตา”

   “พี่ตาพอให้คนไปสำรวจรอบ ๆ ได้ไหมคะ ตั๋นไม่ไว้ใจเลย”

   “เอาสิ กันไว้ดีกว่าแก้ พี่ก็อยากจะให้การชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ดำเนินไปอย่างปลอดภัยที่สุด” คุณลตาเดินไปคุยกับคุณลลินทร์สักพักก็เดินกลับมาหาพวกเรา จากนั้นก็พาพวกเราไปพักที่กระโจมหลังหนึ่ง

   “เราจะชำระเมฆาขาวกันด้วยวิธีไหน?” พี่เสือถามขึ้นหลังจากนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งล้อมโต๊ะกลมอยู่ พวกเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน

   “เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าตาสามารถชำระล้างหยกคู่หงส์ได้ ซึ่งคู่ของมันคือเมฆาขาวของโบตั๋น ส่วนหยกชิ้นอื่น ๆ คงต้องรอให้แม่นำหยกลวดลายสัตว์ในตำนานมาลองประกบกันดูก่อน”

   “แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเธอสามารถชำระล้างหยกคู่หงส์ได้”

   “ก็เพราะวันเดือนปีเกิดของฉันยังไงละอาเถิง”

   “ของพี่เสือ พี่ตาเคยบอกแล้วว่าสามารถชำระล้างหยกคู่ มังกรได้ ดังนั้นที่เหลือก็น่าจะเป็นคู่เต่ามังกร”

   “ถ้าอย่างนั้นของเฮียก็ต้องเป็นหยกคู่เต่ามังกรสินะ”

   โบตั๋นได้ฟังหยกกับจุ้ยเถิงคุยกันก็หมั่นไส้ กรณีของคุณลตานั่นเป็นเพราะคำแนะนำของครูศักดิ์ และเธอเองก็นับถือคุณลตาที่ความสามารถ เมื่อฝู่และเหมิ๋นกลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้ง เธอจึงเรียกพี่ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับจุ้ยเถิง แค่รักเจ่เจ้ของเธอ มันยังไม่พอ ใช่ว่าคนรักกันจะไม่หักหลังกันนี่

   “พี่ตาค่ะ แล้วการชำระล้างเมฆาขาว ต้องทำยังไงคะ ตั๋นเคยอ่านข้อมูลที่เหล่าเหมิ๋นเอามาให้ แต่ไม่ค่อยเข้าใจ”

   “เรื่องการชำระล้าง พี่เองก็ไม่รู้ คงต้องรอถามแม่อีกที” ทันทีที่ลตาเอ่ยจบ คนที่พูดถึงก็เดินเข้ามาในกระโจม

   “ขอโทษที่ให้รอกันนะ” คุณลลินทร์เข้ามาพร้อมกับกล่องใส่หยกศักดิ์สิทธิ์ในมือ

   “คุณลินทร์ค่ะ เรื่องที่ตั๋นขอพี่ตา”

   “เรียบร้อยจ้า เดี๋ยวอีกสักพักคนของฉันคงเข้ามารายงาน”

   เธอพูดพร้อมเปิดกล่อง ทำให้เห็นหยกศักดิ์สิทธิ์ที่วางอยู่ด้านใน หยกจึงหยิบถุงกำมะหยี่ออกมาแล้วยื่นให้กับคุณลลินทร์ เธอรับมาแล้วลองประกบเข้ากับหยกในกล่อง จนกระทั่งเจอหยกที่เข้าคู่กัน

   “หยกของเจ่เจ้ คู่มังกร” หยกมองไปยังคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่เสือก็ยิ้มให้

   “ของหยกคงเข้าคู่กับ หยกเต่ามังกร” พี่เสือพูด ทำให้หยกถอดเมฆาขาวของตัวเองส่งให้คุณลลินทร์ ซึ่งก็ประกบกันได้พอดีกับหยกคู่เต่ามังกร

   “แล้วพวกเราต้องทำยังไงกันบ้างครับ” พี่เสือถามในขณะที่คุณลลินทร์ส่งเมฆาขาวคืนให้กับหยก

   “จากที่ลินทร์ค้นคว้ามา อาหนีเกอได้แสวงหาคนมาชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ สามปี โดยจะทำการชำระล้างในวันที่เขาเดินทางมาบวงสรวงบรรพบุรุษแทนง่วนสีโจ๊ฮ่องเต้ โดยที่ตระกูลของเขารับผิดชอบการบวงสรวงวิหารแรกกับวิหารที่ห้า ซึ่งที่ที่เราอยู่นี่คือสุสานของวิหารที่ห้า วิหารโอโกโด

   ตระกูลอาหนีชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นที่และไม่กำหนดแน่นอน ว่าจะเป็นวิหารไหน เท่าที่ฉันสำรวจแท่นพิธี ก็ทำให้รู้ว่า ที่นี่เคยเป็นที่ชำระล้างหยก 2-3 ครั้ง เพราะทุกครั้งตระกูลอาหนีจะทำป้ายบูชาให้กับคนที่ชำระล้าง”

   “หมายความว่ายังไงครับ ป้ายบูชา” หยกที่ดูตกใจกับคำบอกเล่าของคุณลลินทร์ถึงกับหน้าถอดสี

   “หยกเข้าใจไม่ผิดหรอก เพราะคนที่มาชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเสียชีวิตลงหลังจากนั้น”

   “พี่เสือ” หยกหันไปมองพี่เสือ ส่วนเธอเองก็หันไปมองปฏิกิริยาของจุ้ยเถิง

   “แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะฉันเข้าใจวิธีชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์นั่นแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากจะเสียลูกสาวของฉันไปเหมือนกันนะ” คุณลลินทร์ยิ้มให้ลตาก่อนจะเล่าต่อ “ตระกูลอาหนี นอกจากจะหาคนที่สามารถชำระล้างหยกแล้ว เขายังเลี้ยงดูคนเหล่านั้นอย่างดี ถึงขั้นสุภาพแข็งแรงเกินคนปกติเลยละ แต่ที่คนพวกนั้นเสียชีวิตลงก็เพราะการอดข้าวอดน้ำตลอดเจ็ดวัน”

   “ต้องอดอาหารด้วยเหรอคะ?” โบตั๋นถามอย่างสงสัย เพราะเธอไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไร

   “โบตั๋นเคยสงสัยไหม ว่าในตำราที่อ่าน อาหนีเก๋อถึงต้องใช้เวลาบวงสรวงถึง 7 วัน 7 คืน”

   “หรือเพราะว่า เวลานั้นเขาให้คนชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์อยู่”

   “ใช่แล้วจ้า ด้านคนทำพิธีบวงสรวงก็ทำไป คนที่ต้องชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ก็ทำหน้าที่ของเขาไป จำได้ใช่ไหมว่าทางเข้าแท่นพิธีนี้เป็นห้องปิด และการระบายอากาศก็น้อยมาก นั่นเป็นเพราะคนที่ชำระล้างต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน คนของฉันยังพบตะเกียงน้ำมันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง 4 มุมของห้อง จากการทดสอบ หากบรรจุนำมันตะเกียงจนเต็มมันจะให้แสงสว่างไปจนกระทั่งเสร็จพิธีกรรมเลยละ หรือสรุปง่าย ๆ คนพวกนั้นถูกรมควันให้อยู่ภายในกับหยกศักดิ์สิทธิ์”

   คุณลลินทร์หยิบรูปถ่ายใบใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะ 3-4 ใบ ซึ่งเป็นรูปถ่ายแท่นที่อยู่ภายในสุสาน

   “พวกเธอมองดูที่แท่นพิธี” เธอชี้ให้เราดูลวดลายบนแท่น “ลวดลายเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ลายที่แกะสลักนั่น เส้นสายของลวดลายสุดท้ายแล้วมันมารวมยังจุด ๆ เดียวกัน คือตรงนี้” เธอชี้ไปยังปลายแท่น “ถ้าไม่สังเกตดี ๆ แทบจะไปเห็นเลยว่าแท่นนี้เอียงไปทางนี้ ตำแหน่งที่วางหยกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นคนที่ทำหน้าที่ชำระล้าง เมื่อนอนลองบนแท่น ในห้องที่ทั้งอบและร้อน เหงื่อที่ซึมออกมาจะไหลมารวมกันอยู่ตรงนี้”

   “ถ้าอย่างนั้น การชำระล้างก็คือการใช้เหงื่อของคนนั้นเหรอครับ” หยกพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้

   “ใช่แล้วละ ฉันคาดการณ์ไว้อย่างนั้น และที่คนพวกนั้นเสียชีวิตลง เพราะถูกขังอยู่อย่างนั้น การที่จะเปิดประตูเข้าไปก็จะเป็นการระบายความร้อนออกมา ทำให้ไม่มีการส่งน้ำหรืออาหารเขาไป และคนพวกนั้นต้องนอนบนแท่นตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีการพกอาหารแห้ง มีเพียงน้ำเล็กน้อย แต่มันก็หมดลงในเวลาไม่นาน”

   “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์กันที่นี่ก็ได้นี่คะ แค่เข้าไปซาวน์น่าที่ไหนสักแห่งก็น่าจะทำได้” คุณลตาถามคุณลลินทร์ ซึ่งเธอเองก็คิดแบบนั้น

   “ที่แม่อยากให้ชำระล้างที่แท่นพิธีนี่ เพราะแม่ค้นพบบางอย่าง ซึ่งหากไม่ทำที่นี่ แม่ก็จะไม่มีโอกาสได้พิสูจน์อีกต่อไป”

   “อะไรเหรอคะคุณลินทร์” เมื่อได้ยินดังนั้น เธอจึงอดตื่นเต้นและแทรกขึ้นมาไม่ได้

   “ดูที่รูปนี้สิ” คุณลินทร์ชี้ไปยังตำแหน่งวางหยก ซึ่งนอกจากจะเป็นแอ่ง ขนาดและรูปร่างเท่ากับหยกแล้ว ภายในแอ่งยังมีรูเล็ก 2-3 รู “รูพวกนี้เป็นรูที่รองรับเหงื่อที่ชำระล้างหยกแล้ว คนของฉันช่วยกันยกแท่นขึ้น ด้านในพบขวดสำริดวางอยู่ตรงปลายรูพอดี”

   “เหมือนอาหนีเก๋อต้องการเก็บเหงื่อของคนที่ชำระล้างไว้” พี่เสือตั้งข้อสันนิษฐาน

   “มันถูกเรียกว่าน้ำตาหยก มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผล” พวกเราฟังแล้วก็ได้แต่ตะลึงในความอัศจรรย์ “ฉันจึงอยากพิสูจน์ว่ามันเป็นจริงดังที่ถูกจารึกไว้ใต้แท่นพิธีนั่นไหม ดังนั้นแม่ถึงไม่อยากจะเปลี่ยนตัวแปรที่อาจจะทำให้ต้องเสียน้ำตาหยกไป”

   “ผมเคยเห็นตอนที่เจ่เจ้เอาเมฆาขาวจุ่มลงไปในน้ำผึ้งอุ่น ๆ แล้วประทับลงบนกระดาษ มันทำให้เกิดรอยประทับสีฟ้าครามขึ้น แต่มีเจ่เจ้เท่านั้นที่สามารถทำได้คนเดียว เพราะอายุเกิน 25 แล้ว สีฟ้าครามนั่นคือน้ำตาหยกรึเปล่าครับ”

   “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องนำกระดาษที่มีรอยประทับตรานั่นมาตรวจสอบดูถึงจะรู้ อีกอย่าง การเกิดขึ้นของน้ำตาหยกนั่น ฉันไม่แน่ใจว่ามันต้องไหลผ่านหยกพันปีอย่างแท่นพิธีนี่ไหม? หรือเวลามีส่วนเกี่ยวข้องรึเปล่า”
   
   “อืม ผมเข้าใจครับ แล้วคุณลลินทร์จะทำยังไง ในตอนที่พวกเราชำระล้างเมฆาขาว”

   “ฉันให้คนทำซุ้มครอบแท่น แล้วติดตั้งฮีทเตอร์เข้าไป วิธีนี้น่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่การชำระล้างนั้นคงทำได้ทีละคน”

   “แล้วเราจะเริ่มชำระล้างกันเมื่อไร” จุ้ยเถิงที่เอาแต่ฟังมานาน ถามขึ้นมา

   “พรุ่งนี้ วันนี้พวกคุณเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนกันก่อนเถอะ”

   เมื่อทุกคนตกลงกันเรียบร้อย คุณลลินทร์ก็เก็บรูปภาพพร้อมกับกล่องใส่หยกศักดิ์สิทธิ์กลับไปยังกระโจมของเธอ ส่วนคนที่เหลือก็แยกย้ายกันไป เธอนอนกับหยกในกระโจมนี้ พี่เสือกับจุ้ยเถิงในกระโจมถัดไป ส่วนคุณลตานั้นไปนอนที่กระโจมคุณลลินทร์

........................................................................

   พยัคฆ์กลับเข้ามาในกระโจม ก็พบจุ้ยเถิงนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่ จุ้ยเถิงมองเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยก่อนก้มลงอ่านเอกสารชุดนั้นต่อไป เขาเห็นอีกฝ่ายตั้งใจอ่านเอกสารตรงหน้าจึงไม่อยากรบกวน

   เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงผ้าใบก่อนรื้อค้นแทบเล็ตในกระเป๋า ออกมาเช็กข้อความและอีเมลต่าง ๆ ที่คั่งค้างอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออีเมลของคุณวรรณ

   “คุณไปที่กระโจมอาหยงมาอย่างนั้นเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นจากจอแทบเล็ต แล้วพยักหน้าให้กับคนที่ถาม “แล้วเสี่ยวฝู่ละ”

   “ผมรู้ว่าคุณกังวลเรื่องโบตั๋น แต่ไม่ต้องห่วง เธอไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร”

   “ถ้าคุณมาเจอฤทธิ์ของเสี่ยวฝู่อย่างที่ผมเจอ คุณจะไม่พูดแบบนั้น”

   “กว่าเธอจะยอมรับผมมันก็ไม่ง่ายหรอกนะจุ้ยเถิง”

   “ทำไม คุณเคยทำอะไรไม่ดีไว้กับตระกูลฝู่รึยังไง”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมก็แค่เป็นผู้ชายที่รักกับพี่ชายของเธอ”

   “มันก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่ หรือว่าเสี่ยวฝู่เธอไม่ยอมรับในเรื่องแบบนี้”

   “ก็ตอนแรก”

   “แล้วคุณพิสูจน์ให้เธอเห็นยังไง เรื่องอาหยง”

   “ความจริงใจ”

   “ผมก็จริงใจกับเธอ”

   “เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ คุณก็อดทนหน่อยแล้วกัน”

   “แล้วคุณไม่โกรธผมเรื่องอาหยงรึไง”

   “คุณไม่ได้ทำร้ายหยกนี่ อีกอย่างหยกเชื่อในตัวคุณ ผมไว้ใจในตัวหยก”

   “คุณคงรักอาหยงมากนะ”

   “มันก็เหมือนกับที่คุณรักหงส์นั่นแหละ”

   “แต่วิธีการมันต่างกัน”

   “หยกพูดเสมอว่าคุณมีเหตุผลของคุณ และผมก็เชื่อว่าเหตุผลที่คุณให้กับหงส์มันคงเพียงพอที่จะทำให้หยกไว้ใจคุณ”

   “ทั้ง ๆ อาหยงไม่เคยฟังเหตุผลจากผมเลยเนี่ยนะ หรือเพราะอาหยงรับรู้ได้จากหยกศักดิ์สิทธิ์”

   “ไม่ใช่หรอก เพราะหยกเชื่อในการตัดสินใจของหงส์ต่างหาก”

   “สมกับเป็นอาหยง”

   “โบตั๋นมีหงส์และหยก ที่เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน บางครั้งก็เป็นพ่อแม่ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าเธอจะหวงหงส์ และห่วงความปลอดภัยของหยก”

   “ผมเข้าใจ ผมถึงพยายามไม่ตอบโต้เธอ ถึงแม้บางครั้งเธอจะทำตัวเป็นเด็กจนน่าจับตีก้นก็ตาม”

   “เดี๋ยวก็ชิน”

   ทั้งสองพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง ก่อนที่จะเข้านอน การที่ได้พูดคุยกับจุ้ยเถิงทำให้พยัคฆ์รู้ว่า จุ้ยเถิงก็ไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไร ค่อนข้างจะแคร์ครอบครัวนี้ซะด้วยซ้ำ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร จุ้ยเถิงถึงต้องร่วมมือกับจุ้ยอั้ยเต๋อก็ตาม ในเมื่อหยกนับถือจุ้ยเถิงเป็นพี่ชาย ดังนั้นเขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง

........................................................................

   เพ็ญนภาเข้ามาพบกับสุพรรณษาและคุณหญิงพรรณีที่บ้าน พร้อมกับวรรณาเพื่อส่งคืนบ้านของเจ้าสัวเซียงให้กับคุณสุพรรณษา พวกเธอรอในห้องรับแขกไม่นานผู้ใหญ่ทั้งสองก็เดินเข้ามา คุณสุพรรณษาประคองคุณหญิงพรรณีให้นั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่ง ก่อนเธอจะนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป

   “สวัสดีคุณ คุณหญิง คุณษา”

   “ไหว้พระเถอะแม่คุณ เพื่อนของแม่เพ็ญรึ” คุณหญิงพรรณีรับไหว้คุณวรรณ พร้อมกับหันมาถามเธอ

   “คุณวรรณา เธอเป็นเลขาของคุณพยัคฆ์ค่ะ”

   “พยัคฆ์?”

   “พยัคฆ์ คุณคุณารักษ์ ยังไงละคะคุณแม่”

   “อ่อ ฉันนึกออกแล้ว ว่าแต่หล่อนมีธุระอะไรละ นายคงสั่งงานมาสินะ”

   “ค่ะคุณหญิง ดิฉันมาเรื่องบ้านแถวศรีนครินทร์ของเจ้าสัวเซียงค่ะ”

   “เมื่อคืนยัยษาบอกฉันว่า บ้านหลังนั้นถูกเจ้าหนี้ยึดไปแล้วไม่ใช่หรือยังไง”

   “ใช่ค่ะ บ้านหลังนี้ถูกญาติทางแม่ของคุณหงส์ยึดเอาไว้ เมื่อคุณหงส์ทราบจึงให้คุณพยัคฆ์ช่วยส่งบ้านคืนให้ทายาท แต่พอทราบว่าคุณเกรียงไกรเสียแล้ว บ้านหลังนี้จึงคืนให้กับคุณสุพรรณษาค่ะ”

   “ฉันไม่ต้องการบ้านหลังนั้นหรอกนะคะ มันไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไร ยังไงช่วยคืนบ้านหลังนั้นให้เจ้าสัวเซียงไปก็แล้วกัน”

   “แล้วที่ดินและปางไม้ของเจ้าสัว”

   “ที่นั่นฉันก็ไม่ต้องการแล้วเช่นกัน”

   “ที่ดินตรงนั้น คุณพยัคฆ์จะขอซื้อไว้ ไม่ทราบว่าคุณสุพรรณษาเห็นว่าอย่างไรคะ?”

   “ฉันไม่มีความเห็นค่ะ ถ้าคุณพยัคฆ์จะซื้อต่อจากญาติของหงส์ ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร”

   “คุณคงเกรงว่า ถ้าคุณพยัคฆ์ซื้อที่ดินและปางไม้ไปแล้ว เงินที่เจ้าสัวเซียงจะได้ คงไปลงกับบ่อนอีกสินะ”

   “ค่ะ คุณหญิง”

   “เรื่องนั้นก็ปล่อยไปตามกรรมของเจ้าสัวเขาเถอะ ทางเราไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว และขอบใจมากนะที่มาแจ้งให้พวกเราทราบ”

   “ค่ะคุณหญิง ดิฉันจะนำความไปแจ้งกับคุณพยัคฆ์” คุณวรรณตอบรับ และเป็นอันเสร็จหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา

   “แล้วนี่ หงส์คงจะตกลงกับญาติทางแม่เรียบร้อยแล้วสินะ”

   “ค่ะ ประมาณสัปดาห์หน้า หงส์คงได้กลับมาเยี่ยมที่นี่” เพ็ญนภาได้แต่ตอบไป ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ใจหายเช่นกัน

   “กลับมาเยี่ยมอย่างนั้นเหรอ?” คุณสุพรรณษาอุทานแปลกใจ

   “ค่ะคุณษา หงส์ตัดสินใจดูแลกิจการที่นั่น จึงจะย้ายไปอยู่เลย”

   “ไปกันทั้งครอบครัวเลยเหรอ”

   “เฉพาะหงส์ค่ะ หยกต้องดูแลงานที่ไทย ส่วนโบตั๋นก็อาจจะไปๆ มาๆ เพราะเธอตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่กับพี่คนไหน”

   “ยังดีที่ตาหยกอยู่ที่นี่นะ”

   “หยกน่าจะกลับมาภายในวันสองวันนี้พร้อมกับโบตั๋น”

   “ถ้าตาหยกกลับมาแล้วก็พามาเยี่ยมคนแก่อย่างฉันหน่อยก็แล้วกัน”

   “ค่ะคุณหญิง”

   เพ็ญนภาคุยเป็นเพื่อนคุณหญิงพรรณีกับคุณสุพรรณษาอีกสักพักหนึ่งจึงขอตัวกลับมาก่อน ส่วนเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือที่ปางไม้ คุณวรรณให้เหตุผลว่า ในเมื่อทั้งสองไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่อยากขอร้องให้ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องลำบากใจ

   
To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 17-02-19 {{:::73:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-02-2019 15:38:36
ขำตั๋น หวงพี่สาวขนาดหนัก แต่ก็นะคุณจุ้ยเขาประวัติไม่ค่อยดีนี่นา
ขอให้การชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิผ่านไปด้วยดีนะจ๊ะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: หยก 2-03-19 {{:::74:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-03-2019 12:10:34
74






   หงส์เดินก้าวเข้ามาในห้องทำงานของตนเอง หลังจากที่วรากรคืนอำนาจภายในบริษัทฯ ให้กับเธอ โดยมีฝู่ไฉ๋เป็นเลขา ช่วยเธอดูแลตารางงานต่าง ๆ ส่วนวรากรนั้น เธอแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยและเลขาของรองประธานบริษัทฯ หรือก็คือหลิวลู่นั่นเอง

   เหล่าบอร์ดี้การ์ดที่คอยดูแลพวกเธอมาโดยตลอด หงส์ก็ตอบแทนพวกเขาเป็นอย่างดี เริ่มจากคุณคี ได้ทำงานหัวหน้าฝ่ายไอที ดูแลเซิฟเว่อร์ใหญ่ของเยี่ยนหวอทั้งหมด ซึ่งคุณคีก็ยินดีที่จะร่วมงานกับเยี่ยนหวอ เนื่องจากหน้าที่นี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่สำนักงาน ดังนั้นคุณคีจึงค่อนข้างเป็นอิสระ

   ส่วนคุณเก่งและคุณต้า ทั้งสองคนเลือกที่เดินทางกลับไทย เนื่องจากต่างคนต่างมีแฟน มีครอบครัวรออยู่ที่นั่น เธอจึงเสนอให้ทั้งสองเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของหยกและโบตั๋น ซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าใครจะดูแลใคร เพราะทั้งสองคนต่างเลือกดูแลคนที่พวกเขาสนิท รู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี

   คุณเอและคุณต้น เลือกที่จะติดตามวรากร ดังนั้นในส่วนของทั้งสองคน เธอจึงยกให้เจ็กลู่และอากรเป็นคนตัดสินใจ ว่าจะให้รางวัลพวกเขาอย่างไร โดยเธอจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เอง

   หงส์มองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคาร มองไกลออกไปยังอ่าววิกตอเรีย เธอไม่คิดว่าจะสามารถมายืนตรงจุดนี้ได้ภายในเวลาไม่ถึงปี มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้พยัคฆ์ได้มาเจอหยก ไม่รู้ว่าเธอควรจะขอบคุณใครกันดี ระหว่างน้องชายหรืออนาคตน้องเขยของเธอ เสียงเคาะประตูทำให้เธอต้องหยุดความคิดลง

   “คุณหงส์ค่ะ คุณหลิวให้มาเชิญไปร่วมทานอาหารกลางวันค่ะ”

   “ไปสิคะ เจ้ไฉ๋ก็อยู่ทานด้วยกันเลยนะคะ วันนี้หงส์ไม่ให้เจ้หนีไปทานที่ห้องแคนทีนอีกแล้วนะ”

   “ก็ได้ค่ะ แต่แค่วันนี้วันเดียวนะคะ ใครมาเห็นเข้า มันจะไม่เหมาะ”

   “ไม่เหมาะตรงไหนคะ เจ็กลู่ยังทานร่วมกับอากรได้เลย”

   “ก็ท่านทั้งสองเป็นคู่รักกันนี่คะ”

   “เราก็เป็นพี่น้องกัน”

   “ดิฉันไม่กล้ารับหรอกค่ะ”

   “ถ้าเจ้ไฉ๋ยังดื้อ หงส์ก็จะไม่ให้คนไปรับเหล่าฝู่กลับมาที่นี่นะคะ”

   “คุณหงส์...”

   “ไปค่ะ ไปทานข้าวกัน เดี๋ยวเจ็กลู่จะรอนาน” เธอเดินนำออกไปก่อนที่ฝู่ไฉ๋จะได้พูดอะไร”

   ส่วนฝู่ไฉ๋ ถึงแม้จะเป็นของลูกสาวอดีตพ่อบ้านตระกูลฝู่ แต่ก็ใช้แซ่ฝู่ ดังนั้นก็เปรียบเสมือนพี่สาวของพวกเธอ นอกจากฝู่ไฉ๋จะเป็นผู้ช่วยแล้ว หงส์ยังแบ่งหุ้นให้เหล่าฝู่และฝู่ไฉ๋คนละ 3 เปอร์เซ็นต์ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้บนที่ดินข้างบ้านตระกูลฝู่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จทันงานใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีกนาน

   “มากันแล้วเหรอ วันนี้หงส์โน้มน้าวอาไฉ๋ยังไงล่ะ เธอถึงยอมมาทานข้าวด้วยกันได้”

   “หงส์ไม่ได้โน้มน้าวค่ะเจ็ก แค่ขู่ว่าจะไม่ส่งคนไปรับเหล่าฝู่”

   “หงส์ไม่มีเมฆาขาวแล้ว อาไฉ๋ยังจะกลัวคำขู่ของเธออีกเหรอ?”

   “ถึงจะไม่มีเมฆาขาว คุณหงส์เธอก็น่ากลัวตรงที่พูดจริงทำจริงนี่แหละค่ะคุณกร”

   “อาไฉ๋ ลื้อก็ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไป พวกเราก็ครอบครัวเดียวกัน”

   “คุณหลิวให้เกียรติฝู่ไฉ๋เกินไปแล้ว”

   “มาเถอะ ๆ ไม่ต้องเกรงใจกันไปเกรงใจกันมาแบบนี้ ทานข้าวกันได้แล้ว” อากรห้ามก่อนที่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ มันทำให้ทั้งเธอและเจ็กลู่หันมายิ้มให้กัน
   
   “อ่อ จริงสิ ต้ารายงานมาแล้วนะ ว่าเรื่องที่หงส์ให้ไปจัดการ ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว” เจ็กลู่พูดเหมือนนึกขึ้นได้

   “ยัยภาก็โทรมาบอกว่า เธอและคุณวรรณก็จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะรีบไปเตรียมงานที่เหลือนะคะ” เจ้ไฉ๋ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ

   “ฝู่ไฉ๋ เรื่องงานเอาไว้ที่หลังก็ได้ ทานข้าวกันก่อน” อากรพูดเสียงเข้ม ทำให้เจ้ไฉ๋ต้องนั่งลงดังเดิม

........................................................................

   ผมตื่นขึ้นมาเพราะความอึดอัด และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับโบตั๋นซึ่งเข้ามานอนขดซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับผม คงเป็นเพราะที่นี่เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กลางวันอากาศกำลังสบาย แต่พอตกกลางคืน อากาศจะค่อนข้างหนาว ถ้าอยู่ที่นี่ไปอีกสักเดือน คงได้เห็นหิมะตกเป็นครั้งแรกแน่ ๆ

   “อืม...”

   “เฮียทำให้ตั๋นตื่นเหรอ”

   “หยก...ตั๋นยังไม่อยากลุกเลย”

   “ยังอยากจะนอนต่อก็นอนเถอะ เฮียจะไปหาน้ำอุ่นมาล้างหน้าล้างตาสักหน่อย”

   “ไม่เอา ไม่ให้ลุก”

   “โบตั๋น”

   “ก็มันหนาวนี่ นะ... หยกก็อย่างเพิ่งลุกเลยนะ”

   “เฮียไปปรับฮีทเตอร์ให้ไหม?”

   “ไม่เอา อยากนอนกอดหยก” ผมยกมือขึ้นยีหัวยุ่ง ๆ ที่ยังคงซุกอยู่ที่หมอนอย่างมันเขี้ยว โบตั๋นจึงคลายมือออกจากเอวของผมแล้วพยายามปัดมือที่ยุ่งอยู่บนหัวของเธอ

   “เฮียไปหาช็อกโกแลตร้อน ๆ มาให้เอาไหม แถมน้ำอุ่นมาให้แช่เท้าด้วย”

   “ก็ได้ แต่ก่อนไปปรับฮีทเตอร์ให้ตั๋นก่อนนะ แล้วก็ปิดกระโจมให้สนิทด้วย”

   “รู้แล้วน่า” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียงผ้าใบ

   หลังจากที่หาช็อกโกแลตมาให้โบตั๋นตามสัญญาแล้ว กว่าจะงัดเด็กไม่รู้จักโตออกมาจากกระโจมได้ ทุกคนก็มารอกันอยู่ภายในสุสานเรียบร้อยแล้ว

   “ตื่นสายเหรอเรา” พี่เสือทักทายคนที่เดินเข้ามาภายในสุสานเป็นคนสุดท้าย

   “เปล่าสักหน่อย ตั๋นตื่นก่อนหยกอีก แต่...มันหนาวนี่”

   “ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูหนาวแล้ว อากาศก็จะเป็นแบบนี้แหละ ทนเอาสักสองสามวันนะโบตั๋น” พี่ตาพูดปลอบใจ โบตั๋นก็ได้แต่พยักหน้าให้เธอน้อย ๆ

   “ถ้าพวกเราชำระล้างเมฆาขาวเสร็จได้ภายในวันนี้ อีกวันสองวันเราก็ได้กลับบ้านกันแล้ว” พี่เสือช่วยพูดอีกแรง

   “โบตั๋น คงไม่ค่อยชินกับอากาศแบบนี้ ผมว่า เธอคงกลัวว่าจะไม่สบายเอา จนเป็นภาระคนอื่น”

   “นี่หยกยังสวมเมฆาขาวอยู่เหรอ” โบตั๋นหันมาถามผม

   “หยกศักดิ์ของอาหยงอยู่ที่เฮียนี่” เฮียเถิงหยิบเมฆาขาวที่ประกบเข้ากับหยกศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นเรียบร้อยแล้ว ออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาว

   “หยกเอาไปให้เขาตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเขาเอาเมฆาขาวหนีไปจะทำยังไง” โบตั๋นทำตาโตก่อนจะขยับมากระซิบให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว

   “เฮียไม่ต้องใช้อำนาจของเมฆาขาว เฮียว่าเฮียก็เดานิสัยตั๋นไม่ผิดหรอกนะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันอึดอัดอึมครึมกันแต่เช้า

   “ถ้าอย่างนั้น พี่เริ่มก่อนคนแรกก็แล้วกัน ส่วนคุณเสือกับอาเถิงก็ไปตกลงกันเอาเอง ว่าใครจะชำระล้างเมฆาขาวต่อจากฉัน”

   พี่ตาเดินเข้าไปในห้องลับภายในสุสาน พวกเราก็ตามกันเข้าไป ภายในห้องมีสปอร์ทไลน์หลายดวงติดตั้งอยู่ ทำให้ห้องนี้สว่างจ้า ผมสามารถมองเห็นแม้กระทั่งลวดลายแกะสลักบนเพดานห้องที่อยู่สูงขึ้นไป

   ตรงกลางห้องมีซุ้มสี่เหลี่ยมคลุมด้วยผ้าใบผืนหนา ผมเข้าใจว่านั่นน่าจะเป็นแท่นพิธีที่คุณลลินทร์เอารูปให้พวกเราดูกันเมื่อวาน

   “ในนี้ร้อนจังเลย” โบตั๋นบ่นพร้อมทั้งเริ่มถอดเสื้อกันหนาวออก

   “ตั๋นอย่าเพิ่งถอดเสื้อออกสิ ค่อย ๆ ปลดกระดุมก่อน เดี๋ยวร่างกายปรับไม่ทัน คราวนี้คงได้เป็นหวัดกันจริง ๆ “ผมรีบเตือนเธอ

   “อืม” เธอพยักหน้าแล้วทำตามที่ผมบอก

   พวกเรามองดูพี่ตาที่ค่อย ๆ ปรับสภาพร่างกายให้ชินกับอากาศที่อุ่นขึ้นภายในห้องนี้ ก่อนจะเข้าไปในซุ้มนั่นด้วยร่างที่มีเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงผ้าเนื้อบางเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย คุณลลินทร์ก็เดินเข้ามาสมทบกับพวกเรา

   “พี่ตาต้องอยู่ในนั้นนานไหมครับ”

   “ฉันก็ไม่รู้หรอกจ้า แต่เราคุยกันว่า จะรอจนกว่าหยกศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนสีกลับมาเป็นสีเขียวมรกตดังเดิม”

   “พี่ตาจะเป็นอะไรไหมคะ?”

   “ไม่เป็นอะไรหรอก โบตั๋นไม่ต้องห่วงไปนะ ดูจากขนาดซุ้มเทียบกับขนาดห้องนี้สิ ในซุ้มยังปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย”

   “ห้องนี้อุ่นกว่าข้างนอกมาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้คนเราเหงื่อออกมาได้ กว่าจะชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ให้กลับมาเหมือนเดิม บางที 7 วัน 7 คืนก็อาจจะไม่พอ” เฮียเถิงพูดขึ้นขณะมองสำรวจไปตามลวดลายต่าง ๆ บนผนัง

   “ที่ห้องอุ่นเพราะสปอร์ตไลน์นะ ถ้าอาศัยน้ำมันจากตะเกียงใหญ่ภายในห้อง ก็เป็นอย่างที่จุ้ยเถิงว่านั่นแหละ คนสมัยนั้นถึงอยู่กันหลายวัน หรือไม่ก็เสียชีวิตไปซะก่อน”

   “คุณลินทร์ครับ ผมมีเรื่องสงสัย”

   “ถามมาได้เลยค่ะ คุณเสือ ถ้าฉันตอบได้”

   “จากที่ผมอ่านข้อมูลของสุสานนี้ คือเมื่อคืนผมเอาเอกสารที่อาเถิงยืมไปมาอ่านนะครับ” พี่เสือหยุดอธิบายเล็กน้อย “ผมเห็นว่า อาหนีเกอต้องบวงสรวงที่นี่ทุกปีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงเลือกจะชำระเมฆาขาวทุก ๆ สามปี เขามีเหตุผลอะไร ในเมื่อเขาหาคนที่ชำระล้างมาเลี้ยงไว้ที่จวนขุนนางอยู่แล้ว”

   “อาจจะเป็นเพราะตระกูลอาหนีไม่สามารถใช้อำนาจของเมฆาขาวได้ ก็เป็นได้นะคะพี่เสือ”

   “เรื่องนี้ฉันก็สงสัยอยู่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าตระกูลอาหนีอาจจะไม่ได้รับพรจากหยกศักดิ์สิทธิ์ แต่อาหนีเกอมีลูกชายสองคน และทั้งสองล้วนแต่เป็นช่างหลวงสืบต่อจากเขา พระเจ้าหยวนเฉิงจงได้ปูนบำเหน็จครอบครัวของเขาเป็นเงินจำนวนมากหลังจากอาหนีเกอเสียชีวิตลง”

   “พระเจ้าหยวนเฉิงจงเหรอคะ”

   “ความจำดีจริงนะโบตั๋น ใช่แล้วจ้า พระเจ้าหยวนเฉิงจงเป็นรัชสมัยถัดจากปฐมกษัตริย์”

   “นั่นทำให้คุณลินทร์ค้นพบน้ำตาหยกใช่ไหมครับ” ผมถามและเริ่มรู้แล้วว่าพี่เสือกังวลเรื่องอะไร

   “ใช่ นอกจากรอบ ๆ แท่นและด้านบนแล้ว ด้านในของแท่นทั้งหกด้าน ยังมีการสลักเรื่องราวต่าง ๆ ไว้อีกมาก และที่ด้านหนึ่งมีสลักภาพวาดเรื่องราวการชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทิ้งช่วงการชำระล้างไปราว 21 ปี”

   “ตระกูลอาหนีอาจจะไปชำระล้างที่สุสานอื่นก็ได้นะคะ ในเมื่อเขาได้รับมอบหมายให้ดูแล 2 สุสาน”

   “เรื่องนี้เราคงจะหาคำตอบกันได้ยาก อย่างที่รู้กันว่า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสุสานที่เหลืออยู่ที่ไหน”

   “แล้วขวดสำริดที่อยู่ใต้แท่น เป็นขวดที่เตรียมไว้สำหรับพิธีนี้ แล้วขวดที่ใช้เสร็จแล้วละครับ”

   “ฉันคาดว่า ตระกูลอาหนีคงจะนำมันกลับไปด้วย”

   “ถ้าเราได้น้ำตาหยกออกมาแล้ว คุณลินทร์จะเอาไปทำอะไรคะ ของวิเศษขนาดนั้น”

   “นี่จะเป็นการชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย หากน้ำตาหยกมีจริง ฉันก็อยากเอามันไปศึกษา เผื่อจะช่วยในเรื่องวิทยาการทางการแพทย์ในอนาคต”

   “ระหว่างนี้ผมไปรอด้านนอกดีกว่า ผมอยากดูรอบ ๆ สุสานนี้ด้วย” เฮียเถิงบอกก่อนเดินออกจากห้องลับไป

   “หยก เราตามเขาไปกันเถอะ ตั๋นไม่ค่อยไว้ใจอีตานั่นเลย”

   “ตั๋นก็คิดมากไป จุ้ยเถิงเขาไม่มีอะไรหรอก”

   “พี่เสือก็เป็นไปอีกคน”

   “เอาน่า ตั๋นอยากไป เฮียก็จะไปเป็นเพื่อน เฮียเองก็อยากเดินดูรอบ ๆ เหมือนกัน”

   “ถ้าจะไปเดินดูกัน ฉันขอแนะนำให้เดินเฉพาะทางที่คนของฉันติดดวงไฟไว้นะ ทางอื่น ๆ ในนี้มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ที่สำคัญที่เหล่านั้นอาจจะมีสัตว์มีพิษอยู่ก็เป็นได้ อย่างลืมว่าเราอยู่กันใต้ทะเลทรายโกบี”

   “ค่ะ/ครับ”

........................................................................
   
   โบตั๋นเดินตามจุ้ยเถิงออกมาจากห้องลับ โดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ เธอไม่ได้สวมเมฆาขาวแล้วเพราะตอนนี้มันถูกชำระล้างโดยพี่ลตา เธอรู้ว่าเมฆาขาวของหยกอยู่กับจุ้ยเถิงดังนั้นตอนนี้ ทั้งเธอและหยกไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของคนที่เดินตามได้เลย

   “ตรงนี้ก็มีลวดลายแกะสลัก” หยกชี้ชวนให้พี่เสือดูภาพสลักตรงทางเดิน ราวกับมาเดินเที่ยวกันอย่างไรอย่างนั้น

   “หยกกับพี่เสือเดินไปด้วยกันนะ ตั๋นจะตามจุ้ยเถิงไป” เธอเห็นพี่เสือส่ายหน้าระอาเล็กน้อย แต่เธอเลือกที่จะไม่สนใจ เธอเร่งฝีเท้าเดินตามจุ้ยเถิงไป

   ตลอดทางเดินที่จะกลับขึ้นไปด้านบน จุ้ยเถิงแวะตรงนั้นที ตรงโน้นที บางที่ก็แวะดูลายแกะสลักเป็นเวลานาน จนบางช่วงหยกกับพี่เสือเดินตามมาจนทัน จุ้ยเถิงเกือบออกนอกเส้นทาง แต่พี่เสือรั้งไว้ จนกระทั่งถึงปากทาง จุ้ยเถิงก็กระชับเสื้อกันหนาวก่อนเดินออกไป

   “ฮัดชิ้ว!! ”

   “เฮียไปหาอะไรอุ่น ๆ ให้ดื่มไหม นี่ท่าทางเราน่าจะเป็นหวัดซะแล้ว”

   “เอาชาอุ่น ๆ ก็คงดี ถ้าตั๋นดื่มช็อกโกแลตอีกแก้ว คงได้น้ำหนักขึ้นแน่ ๆ เลย”

   “ตั๋นกลับไปรอที่กระโจมก่อนก็ได้ เดี๋ยวเฮียตามเอาไปให้”

   “พี่ไปช่วยแล้วกัน เผื่อชวนอาเถิงไปคุยที่กระโจมหยกด้วย เขาน่าจะพบเจออะไรบางอย่างตอนที่ดูภาพแกะสลักนั่น”

   “ได้ครับ พี่เสือไปช่วยหยกก่อนค่อยไปตามเฮียเถิงแล้วกัน ขืนปล่อยให้เขาอยู่กับตั๋นสองคน คงได้ทะเลาะกันก่อนจะได้คุยอะไรกันแน่ ๆ” พี่เสือยิ้มให้หยกอย่างเห็นด้วย ทั้งสองดูเข้ากันจนเธอหมั่นไส้ นี่ขนาดหยกไม่ได้สวมเมฆาขาวนะ ทั้งสองยังดูรู้ใจกันขนาดนี้

   “หึ หมั่นไส้” เธออดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดังออกมาให้ทั้งสองได้ยิน ก่อนจะเดินออกจากสุสาน เพื่อเดินกลับไปยังกระโจมของเธอ

   ระหว่างทางเธอเร่งฝีเท้าเพราะอากาศหนาวภายนอก ที่ทำให้เธอหนาวจนมือแทบชา ถ้ารู้ว่าอากาศหนาวขนาดนี้ เธอคงเตรียมเสื้อที่หนากว่านี้มา ครั้งที่แล้วที่มายัง แค่เย็นสบายเท่านั้น จังหวะที่เธอยกฝ่ามือขึ้นมาอังที่ริมฝีปากเพื่อเป่าลมอุ่น ๆ จากร่างกายออกมาเพื่อทำให้ฝ่ามือเธออุ่นขึ้น สายตาก็พลันเห็นด้านหลังของจุ้ยเถิง เดินออกไปยังนอกแนวเขตที่พวกเราตั้งแคมป์กันอยู่ เธอจึงเลือกที่จะเดินตามไปทันที

........................................................................

   วรรณาใช้เส้นสายซึ่งเดิมทีเป็นคนที่สนิทสนมกับพ่อของพยัคฆ์ เพื่อส่งข่าวให้กับตำรวจเรื่องปางไม้ของเจ้าสัวเซียง ซึ่งทางตำรวจก็ได้ลอบส่งคนเข้าไปสืบภายใน และได้พบว่า ละแวกบ้านพักคนงานซึ่งถูกปล่อยให้ทิ้งร้างไว้เป็นเวลานาน มีร่องรอยของคนเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้

   ทางตำรวจยังพบอีกว่า เครื่องแปรรูปไม้ภายในโรงไม้ไม่ได้เปิดใช้งานและขาดคนดูแลมาเป็นเวลานาน ช้างที่เลี้ยงไว้ใช้งานก็ถูกปล่อยปละละเลยทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร ปางไม้นี้เหมือนกับไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมาหลายปี คนงานภายในเหลือเพียงคนเลี้ยงช้างไม่กี่คนเท่านั้น บ้านพักก็ทรุดโทรม

   “เป็นไปตามที่คุณวรรณแจ้งมา ที่นี่ไม่ได้มีการใช้งานมานาน ผมคะเนคร่าว ๆ น่าจะราว ๆ 3-4 ปีได้”

   “ตอนนี้ปางไม้นี้อยู่ในความดูแลของตระกูลชูวนาสุวรรณแล้ว ทางคุณหงส์ยินดีให้ทางตำรวจเข้าตรวจค้นได้ทุกซอกทุกมุมค่ะ”

   “แล้วทำไม คราวที่แล้วคุณถึงส่งข่าวให้พวกเราลอบเข้ามา”

   “วรรณเกรงว่าที่นี่จะเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกค้ายา ค้าอาวุธ หรืออะไรที่เป็นอันตรายอื่นๆ ผู้หมวดก็รู้ว่าชื่อเสียงของเจ้าของเดิมมันไม่ค่อยดีเท่าไร”

   “ผมเข้าใจ เดี๋ยวยังไงผมจะเร่งให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ”

   “ถ้าเรียบร้อยเมื่อไร คุณหงส์จะได้จัดทีมเข้ามาปรับปรุง โดยเฉพาะสุขภาพของช้างหลายเชือกที่นี่ คุณหงส์อยากให้พวกมันได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด”

   “เรื่องนั้น เดี๋ยวผมกันพื้นที่ไว้ ให้ช้างและคนเลี้ยงช้างอยู่ คุณก็จัดคนเข้าไปที่นั่นก่อน ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ที่เหลือ ผมคงต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาช่วย”

   “ฉันเข้าใจค่ะ แล้วนี่ สำเนาโฉนดที่ดิน เผื่อพวกคุณจะได้เอาไปเทียบกับแผนที่”

   “งานใหญ่เลยนะครับนี่ กว่าจะตรวจสอบครบ 3,000 ไร่”

   “อย่างไรก็ช่วยหน่อยแล้วกันนะคะ”

   “ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ คืออย่าว่าผมสอดรู้สอดเห็นเลยนะ ตระกูลชูวนาสุวรรณนี่รวยมากเลยเหรอครับ ทำไมผมไม่เคยได้ยิน”

   “อีกไม่นาน คุณจะได้รู้ค่ะ ตอนนี้ฉันพูดอะไรมากไม่ได้”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 2-03-19 {{:::74:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-03-2019 10:18:10
น่าติดตาม ว่าแต่อย่ามีอะไรหมกเม็ดนะ พอแล้วอย่าดราม่าเพิ่มนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: หยก 8-03-19 {{:::75:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-03-2019 20:50:42
75




     จุ้ยเถิงเหมือนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ แคมป์ของทีมสำรวจ ทำให้นึกถึงคำพูดของเสี่ยวฝู่ที่พร่ำพูดว่ามีคนติดตามพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งเขารู้ว่าเธอสามารถจับความรู้สึกของคนอื่นได้ในระยะไกลเมื่อสวมเมฆาขาว

      เขาสบโอกาสจึงปลีกตัวออกมาเพื่อตรวจสอบดูว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่ จึงเดินเลี่ยงออกจากแคมป์มา และดูจากร่องรอยที่คนกลุ่มนี้ทิ้งเอาไว้ ถึงจะมีเพียงน้อยนิดแต่เขากก็สามารถตามแกะรอยเหล่านั้นไปได้ จนกระทั่งมาเจอกลุ่มคนที่ยืนรวมกลุ่มกันข้างรถจี๊ปที่จอดเรียงกันอยู่ 2 คัน หนึ่งในนั้นที่เขาเห็นคือกู๋ของเขาเอง

     “หยุดอยู่แค่นั้นแหละอาเถิง” เขาซึ่งพยายามตั้งใจฟังการสนทนาของกลุ่มคนตรงหน้าจึงไม่ทันระวังว่าด้านหลังมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในระยะประชิด อีกทั้งยังเอาปืนมาจี้หลังเขาเรียบร้อยแล้ว

     “กู๋เซียง?”

     “นายคงแปลกใจละสิ ที่มาเจอฉันที่นี่”

     “กู๋มากับกู๋อั้ยเต๋ออย่างนั้นเหรอ?”

     “ใช่ ฉันมาเพื่อคิดบัญชีกับนาย”

     “กับผม?”

     “ไม่ต้องพูดมาก เดินออกไป อั้ยเต๋อคงดีใจที่ได้เจอนาย”

     เขาออกเดินตามแรงรุนหลังของกู๋เซียง ระหว่างที่เขาเหลียวหลังไปมองคนที่จ่อปืนมาที่เขา หางตาก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวฝู่ยืนหลบอยู่ข้างเนินทรายอีกเนิน ไม่ห่างจากเขาเท่าไร

     “ฉันนึกว่าต้องเสียแรงเข้าไปลากแกออกมาจากไอ้ซากปรักหักพังนั่นเสียอีก” จุ้ยอั้ยเต๋อพูดขึ้นทันทีที่เห็นเขา ทั้งที่เขายังเดินไม่ถึงกลุ่มคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ

     “กู๋มาทำอะไรที่นี่ครับ”

     “แกยังเห็นฉันเป็นลุงอีกเหรอ ไหนจะเรื่องร่วมมือกับนั่งลิลลี่ เรื่องที่หักหลังฉัน แล้วก็ยังเรื่องที่สั่งเก็บลูกชายของอาไบ่อีก”

     “ผมไม่ได้ทำ”

     “แกไม่ต้องมาแก้ตัว ถ้าแกไม่ทำ แล้วใครจะทำ ในเมื่อแกเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับอาเกรียง” กู๋เซียงแทรกขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังคุยกับกู๋อั้ยเต๋อ

     “นั่นเป็นเพราะนิสัยของลูกชายกู๋เองต่างหาก ที่ไม่เอาไหน คงจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร จนเขาเอากันถึงตายมากกว่า” เขาหันกลับไปพูดกับเซียงไบ่ที่กล่าวหาเขา ก่อนหันมาสบตากับกู๋ของเขาเอง “ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่กู๋กล่าวหาสักเรื่อง”

     “พูดไปใครจะเชื่อ ทนายเหอก็เห็นแกเข้าประชุมอยู่กับไอ้พวกฝู่ แล้วไหนยังจะตำแหน่งที่แกได้ในเยี่ยนหวออีกละ พอเลขาของแกเอาเรื่องมารายงานฉันหน่อยแกก็ให้เธอออกสินะ ตั้งใจจะตัดฉันออกจากชีวิตเลยไม่ใช่หรือไง”

     “ผมเปล่า” เพราะแบบนี้นี่เองคุณหลิวถึงเปลี่ยนเลขาของเขา

     “แกอย่างคิดว่าการที่แกมีสายเลือดของฉันอยู่นิดหน่อย แล้วแกจะรอดจากเรื่องนี้ไปได้หรอกนะ เว้นเสียแต่แกจะบอกมาว่าหยกศักดิ์สิทธิ์เก็บอยู่ที่ไหน แล้วแกไม่ต้องพยายามจะโกหก เพราะฉันสืบมาหมดแล้วว่าพวกมันเอาหยกมาที่นี่”

     “บ้านตระกูลเหมิ๋น” เขาตอบแค่เพียงสั้นๆ

     “บ้านตระกูลเหมิ๋น พวกเหมิ๋นมันยังอยู่อย่างนั้นเหรอ” กู๋เซียงถามออกมาอย่างแปลกใจ

     “ผมไม่รู้ ผมก็แค่ตามลิลลี่มาที่นี่เท่านั้น พี่น้องฝู่สนใจจะมาเที่ยวที่สุสานโบราณก็เท่านั้น”

     “ฉันไม่เชื่อแกหรอกนะ ไม่อย่างนั้นพวกฝู่จะแห่กันมาที่นี่ได้ยังไง”

     “กู๋คงเข้าใจผิด ที่นี่มีแต่ฝู่หยงกับเสี่ยวฝู่เท่านั้น กู๋ได้ข่าวมาผิด ๆ แล้ว อาหงhส์ก็ยังอยู่ที่เยี่ยนหวอ”

     “ฝู่หงส์ไม่ได้มาด้วยอย่างนั้นเหรอ” กู๋พูดขึ้นอย่างเสียดาย

     “ใช่ ป่านนี้อาหงส์คงไปส่งหยกศักดิ์ให้กับตระกูลเหมิ๋นด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว” เขาเห็นกู๋อั้ยเต๋อมีแววตาลังเล

     “อั้ยเต๋อ อย่าไปเชื่อมัน มันคงจงใจหลอกพวกเราอีก อย่างที่มันโกหกเรื่องที่มันทำกับลูกชายอั๊ว”

     “ใจเย็น ๆ อาไบ่ อั๊วรู้ อั้วก็ไม่เชื่อมันหรอก”

     “กู๋น่าจะรู้จักนิสัยของผมดี ว่าผมเป็นคนยังไง และตอนนี้ผมก็ได้ในสิ่งที่ผมต้องการแล้ว”

     “หึ แกอาจจะโดนพวกฝู่หรอกใช้เอาก็ได้”

     “ไม่มีใครนิสัยเหมือนอย่างกู๋หรอกนะครับ ถ้ากู๋ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”

     “ยังไปไม่ได้ และก็จะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นแหละ” กู๋เซียงใช้ด้ามปืนตีที่หลังเขาอย่างแรง จนเขาทรุดลงไปกับพื้นทราย “อั้ยเต๋อยกแกให้ฉันจัดการแล้ว ดังนั้นแกต้องชดใช้ชีวิตของลูกชายอั๊วด้วยชีวิตของแก”

     “อาไบ่ อั๊วจะไม่ห้ามลื้อหรอกนะ แต่ถ้าลื้อฆ่ามันตรงนี้ พวกที่ตั้งแคมป์มันจะแห่กันมา”

     “หึ้ย!! จับมันขึ้นรถ ไว้เสร็จงานที่นี่เมื่อไร แกไม่รอดแน่อาเถิง” กู๋เซียงสั่งคนที่ตามมาด้วยให้ลากเขาขึ้นไปบนรถ โดยไม่ลืมที่จะมัดมือของเขาไว้ไพล่หลังเอาไว้

     “พวกลื้อ ไปดูรอบๆ ไอ้สุสานบ้านั่น ดูว่าพวกฝู่อยู่ตรงไหน ถ้าเห็นสองพี่น้องฝู่ก็จัดการจับมันมาให้ฉัน ระวังคนอื่น ๆ ด้วย”

     กู๋ของเขาสั่งคนให้ออกไปตามหาอาหยงกับเสี่ยวฝู่ เหลือคนที่เฝ้าเขาแค่ 2 คน กับกู๋อั้ยเต๋อ กู๋เซียง เขาที่ถูกขังอยู่ในรถจี๊บพยายามจะแก้มัด ที่นี่มีคนไม่มากนัก เขาต้องรีบหนีออกไปก่อนที่คนพวกนั้นจะเจอเสี่ยวฝู่ที่อยู่ใกล้ ๆ ที่นี่

........................................................................

     โบตั๋นเห็นจุ้ยเถิงโดนคนกลุ่มหนึ่งจี้จับตัวไป ชายแก่กับพรรคพวกอีก 2 คนใช้ปืนจี้และพาเดินห่างออกจากแคมป์ไปยังทะเลทราย เธอไม่สนใจคนอย่างจุ้ยเถิง เธอห่วงเมฆาขาวที่อยู่กับหมอนั่นมากกว่า เธอจึงเลือกที่จะตามไปห่างๆ และถ้าเธอมองไม่ผิด จุ้ยเถิงเห็นเธอตามมาแน่ ๆ

     เมื่อเดินตามมาได้สักระยะหนึ่ง เธอก็พบคนอีกกลุ่มรออยู่ หนึ่งในนั้นคือจุ้ยอั้ยเต๋อ ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาแต่เธอก็จำเขาได้จากข่าวต่าง ๆ ที่ระยะนี้ประโคมปาวๆ เรื่องที่ตาแก่นั่นถูกปลดจากเยี่ยนหวอ โบตั๋นอยู่ในระยะที่ไม่สามารถได้ยินการสนทนาระหว่างคนกลุ่มนั้นกับจุ้ยเถิง หรือถึงเธอเข้าไปใกล้พอ เธอก็คงจะฟังรู้เรื่องว่าคนเหล่านั้นคุยอะไรกันอยู่ดี สงสัยต้องให้เจ๊ไฉ๋สอนภาษาจีนกับเธอซะแล้ว

     เธอสังเกตเห็นว่าคนเหล่านั้นดูจะไม่พอใจจุ้ยเถิง ส่วนตานั่นก็ได้แต่มองอีกฝ่ายหน้านิ่ง ราวกับไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นจะพูดอะไร จนกระทั่งชายคนหนึ่งคว้าเชือกมามัดมือจุ้ยเถิงไว้ก่อนยัดเขาเข้ารถจี๊ป ไม่นานคนที่เหลือก็มุ่งหน้ามาทางที่เธอหลบอยู่ ปล่อยให้จุ้ยอั้ยเต๋ออยู่กับคนไม่มากนัก เธอจึงเดินอ้อมไปอีกด้านเพื่อหลบคนกลุ่มใหญ่

     “หยก ฟังตั๋นก่อนนะ เรื่องด่วน” โบตั๋นกระซิบขึ้นทันทีหลังจากที่อีกคนรับสาย “ตอนนี้มีพวกของจุ้ยอั้ยเต๋อกำลังตรงไปที่สุสาน คนพวกนี้มีปืนด้วย หยกระวังตัวนะ พวกมันมากันราว ๆ 10-15 คนน่าจะได้”

     ‘แล้วตั๋นอยู่ไหน’

     “อยู่นอกแคมป์ เฝ้าจุ้ยอั้ยเต๋ออยู่ที่นี่ ตั๋นไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกนะ หยกเองก็ระวังตัว แค่นี้นะ” เธอพูดจบก็รีบตัดสายโทรศัพท์ก่อนเฝ้ามองไปยังรถจี๊ปตรงหน้า

     โบตั๋นนอนหมอบอยู่บนผืนทราย เพื่อไม่ให้คนที่เธอเฝ้ามองสังเกตเห็น เธอค่อย ๆ คลานอ้อมมาอีกด้านหนึ่งของตัวรถ ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับแค้มป์ของคุณลลินทร์ ถ้าเจ้เปิ้ลกับพี่โอ๋มาเห็นเธอตอนนี้คงโดนบ่นเป็นแน่ที่เสี่ยงทำอะไรให้ผิวเป็นรอย ชายสองคนยืนเฝ้ารถอยู่โดยหันหน้าไปทางแคมป์ ถัดไปเป็นจุ้ยอั้ยเต๋อและชายคนที่จี้จุ้ยเถิงมา กำลังนั่งกันอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้สนาม

     จุ้ยเถิงที่นั่งอยู่บนเบาะหลังรถเหลียวมาเห็นเธอพอดี โบตั๋นนึกว่าตานั่นจะตะโกนบอกคนที่อยู่อีกด้าน แต่เปล่าเลย เขากับนิ่งเงียบ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ คงไม่ได้คิดจะทำให้เจ่เจ้เสียใจหรอกนะ”

     “เสี่ยวฝู่ รีบไปบอกอาหยงกับคุณพยัคฆ์ พวกนั้นกำลังจะไปเอาหยกศักดิ์สิทธิ์” จุ้ยเถิงกระซิบกลับมาเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน โดยไม่ได้เหลียวมองมาทางเธอแม้แต่น้อย

     “หึ หยกก็อยู่ที่นาย”

     “พวกกู๋ยังไม่รู้ เธอรีบไป ฉันเอาตัวรอดได้”

     “ฉันไม่เชื่อนายหรอก ฉันมาเอาเมฆาขาวของหยก” เธอพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือเข้าไปในรถ แต่เนื่องจากหน้าต่างรถเปิดไว้แค่ครึ่งเดียวทำให้เธอเอื้อมไปไม่ถึงกระเป๋าเสื้อของจุ้ยเถิง

     “เสี่ยวฝู่ ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ไว้ใจฉัน แต่ตอนนี้ฉันขอให้เธอหลบออกไปจากที่นี่ก่อน มันอันตราย”

     “มีแค่คนแก่สองคน ส่วนสองคนนั่น ถ้าฉันเอาจริง ก็จัดการได้ไม่ยากหรอก”

     “คนพวกนี้เป็นทหารรับจ้าง ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี 2 คนนี้เธออาจจะรับมือไหว แต่เธอไม่ห่วงคนที่แคมป์เหรอ”

     สิ่งที่จุ้ยเถิงพูดนั้นก็มีเหตุผล พี่เสือนั้นเธอไม่ห่วง ที่น่าเป็นห่วงคือหยก นั่นทำให้เธอต้องรีบและตัดสินใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเล่นพิเรนทร์เถิงก็ห้ามอะไรเธอไม่ทันแล้ว

     โบตั๋นย่องมาที่ท้ายรถก่อนพุ่งตัวเข้าใส่ทหารรับจ้างคนหนึ่ง ชายคนนั้นไหวตัวทันชักปืนขึ้นมา แต่เธอที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว และถนัดรุกมากกว่ารับ จึงคาดเดาเอาไว้ได้ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เธอจึงเตะไปที่มือของขายคนนั้น ทำให้ปืนกระเด็นออกไม่ไกลนัก ส่วนชายอีกคนเมื่อเห็นเพื่อนเสียท่าก็ยิงปืนใส่เธอทันที

     เธอกลิ้งตัวหลบลงไปกับผืนทราย ในทิศทางที่ปืนอีกกระบอกกระเด็นไป เมื่อคว้าไว้ได้เธอก็ยิงใส่คนที่ถือปืนอยู่ทันที ปืนในมือของชายคนนนั้นหล่นไปด้านหลังตามแรงสะบัดของมือที่ถูกเธอยิง เธอลุกขึ้นจากผืนทรายพร้อมกับตวัดทรายส่วนหนึ่งเข้าใส่หน้าชายเจ้าของปืนที่เธอถืออยู่

     โบตั๋นอาศัยจังหวะที่ทหารรับจ้างเสียทีเธอพุ่งไปยังจุ้ยอั้ยเต๋อ พร้อมทั้งจับเขาเป็นตัวประกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เธอให้เวลาจัดการอย่างรวดเร็ว จนคนที่ถูกเธอจี้ถึงแม้จะลุกจากเก้าอี้สนามได้ แต่ก็ช้าเกินกว่าจะชักปืนขึ้นมา

     “ฝู่หงส์!! ” ชายคนที่จี้จุ้ยเถิงมาเรียกเธอเป็นเจ่เจ้

     “วางปืนในมือลงไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัยของจุ้ยอั้ยเต๋อ” เธอเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่บอกในสิ่งที่เธอต้องการ

     “ไหนอาเถิงบอกว่าเธออยู่ที่เยี่ยนหวอยังไงละ?” ชายคนนั้นถามเธอเป็นภาษาไทย นั่นทำให้เธอเดาได้ว่า คนตรงหน้าคงเป็นเซียงไบ่

     “อ๊ะ ๆ อย่าเข้ามา แล้วก็อย่าคิดทำอะไรตุกติก” เธอบอกกับทหารรับจ้างที่พยายามจะขยับเข้ามาหาเธอ “ไปเอาตัวจุ้ยเถิงออกมา” เธอสั่งชายสองคนนั่น ซึ่งพวกนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่ง จนจุ้ยอั้ยเต๋อพยักหน้า พวกนั้นจึงไปลากจุ้ยเถิงลงมา

     จุ้ยเถิงลงจากรถแล้วก็เดินมาหาเธอทันทีหลังจากชายคนหนึ่งแก้มัดให้เขาแล้ว ตานั่นพยายามจะพูดอะไรออกมา เธอไม่คิดที่จะฟังจึงสั่งให้เขามัดทหารรับจ้างนั่นซะ

     “นายเอาเชือกไปมัดสองคนนั้นสิ จะยืนบ่นอะไร” จุ้ยเถิงที่ได้ยินจึงทำตามที่เธอบอก ส่วนเธอก็ค้นเอาปืนในตัวจุ้ยอั้ยเต๋อออกมา “ลุงไม่ต้องได้ใจไป มุขนี้มันเชยแล้ว” เธอบอกกับจุ้ยอั้ยเต๋อในขณะที่เธอคลำไปยังข้อเท้า ซึ่งข้างหนึ่งเหน็บมีดพกไว้ อีกข้างก็ปืนลูกโม่ขนาดเล็ก

     เธอจับคนทั้งสี่มัดติดกับรถจี๊ป ทั้งสี่ด้าน ด้านละคนโดยรอบ จากนั้นก็ใช้มีดพกกรีดยางรถทั้งเส้น ซึ่งเธออาจจะมีแรงไม่พอ จุ้ยเถิงจึงเข้ามาช่วยเธอแทน

      “ซนพอรึยังเสี่ยวฝู่” จุ้ยเถิงพูดหลังจากจัดการล้อรถทั้งสี่เรียบร้อยแล้ว

     “หึ” เธอไม่ตอบแต่เดินดูรอบ ๆ รถที่มัดคนพวกนั้นไว้ ตรวจสอบความแน่นหนา และดูว่ามีใครที่ซ่อนอะไรที่ช่วยแก้มัดได้รึเปล่าอีกครั้ง จนมาหยุดตรงหน้าจุ้ยอั้ยเต๋อ “ลุง ตามพวกเรามาทำไม”

     “เสี่ยวฝู่สินะ ฝีมือดีกว่าพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้ว ชอบหาเรื่องใส่ตัว”

     “ก็แล้วแต่ลุงจะคิด ถ้าลุงไม่ตอบ ฉันก็ไม่สน เดี๋ยวฉันก็หาคำตอบได้เองนั่นแหละ” เธอพูดจบก็เดินไปเปิดประตูรถด้านคนขับ แล้วก็สตาร์ทรถ “ลุงทนเอาหน่อยแล้วกันนะ อย่าเพิ่งสุกไปก่อนที่ฉันจะกลับมาก็แล้วกัน แล้วก็นาย เล่ามาให้หมดว่าเมื่อกี้คุยอะไรกัน”

     โบตั้นหันมาสั่งจุ้ยเถิง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปทางแคมป์ โดยไม่สนใจคำบ่นของจุ้ยเถิงที่ว่าเธอบุ่มบ่ามบ้างละ ซนบ้างละ เล่นพิเรนทร์บ้างละ ตานี่คงทำให้เจ่เจ้เบื่อเข้าสักวัน ผู้ชายอะไรยังไม่ทันแก่ก็ขี้บ่นซะแล้ว

........................................................................

     เสียงปืนที่ได้ยินหลังจากที่โบตั๋นตัดสายไปได้ไม่นาน ทำให้ผมเริ่มเป็นกังวล พี่เสือรีบเดินไปแจ้งคุณลินทร์ เพื่อที่จะวางคนเข้าปากทางสุสาน ที่สำคัญ เมฆาขาวของเจ่เจ้ที่พี่เสือพกติดตัวเอาไว้ตั้งแต่เดินทางมาที่นี่ พี่เสือต้องการเอาไปไว้ในที่ปลอดภัย

     ผมไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะเข้ามาทางไหน คนของคุณลินทร์ที่จ้างมารักษาความปลอดภัย ส่วนหนึ่งได้ออกไปสำรวจด้านนอกตามคำขอของโบตั๋น ซึ่งกว่าคุณลินทร์จะตามกลับมา ก็ไม่รู้จะทันการณ์ไหม อีกส่วนหนึ่งพี่เสือให้ไปเฝ้าทางเข้าสุสาน

     “คุณหยกครับ ผมว่าคุณหลบไปอยู่ในกระโจมก่อนดีกว่า”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมจะอยู่ช่วยข้างนอกนี่”

     “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ นี่ครับ ผมว่าคุณหยกควรจะพกติดตัวไว้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมคงไม่ต้องใช้”

     ผมมองปืนในมือเลขาของคุณลินทร์อย่างขอบคุณ แต่ระหว่างผมที่เป็นศิลปะป้องกันตัวหลายรูปแบบกับเลขาจอมลุยตรงหน้า ผมว่าเขาจำเป็นตกพกปืนมากกว่าผม

     “หยก ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

     “พี่เสือ เสียงปืนมาจากด้านนอก”

     “โบตั๋นคงไปเห็นโอกาสที่จะจัดการสินะ”

     “หยกก็คิดแบบนั้น แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี”

     “อาเถิงอยู่ด้วย คงไม่เป็นไรหรอก”

     “ถ้าสองคนนั้นเขาไม่ทะเลาะกันซะก่อนครับ”

     “อาเถิงเขาคงไม่ทะเลาะด้วยหรอก แล้วก็คงจะเอาโบตั๋นไม่อยู่”

     จริงที่พี่เสือพูดทุกอย่าง ไม่มีใครเอาโบตั๋นอยู่นอกจากเจ่เจ้ ส่วนเฮียเถิงดูๆ แล้วก็ออกจะตามใจโบตั๋นเสียด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าคนอย่างเฮียเถิงนะ คำไหนคำนั้น ถ้าไม่ติดว่าเอ็นดูโบตั๋น คงโดนดีไปนานแล้ว

     พี่เสือให้เลขาของคุณลินทร์ไปอยู่เฝ้าที่กระโจม ส่วนผมตามพี่เสือเดินดูรอบ ๆ แคมป์ ตั้งแต่รู้จักกับพี่เสือมา ผมยังไม่เคยเห็นพี่เสือทำงานสักที ในใจผมตอนนี้ทั้งเป็นห่วงทั้งตื่นเต้น ผมเดินตามพี่เสือไป สายตาก็สอดส่องรอบๆ มองดูว่ามีอะไรผิดสังเกตไหม แต่สุดท้าย สายตามผมก็มาหยุดอยู่ที่แผ่นหลังกว้างของพี่เสือทุกที

........................................................................

     จุ้ยเถิงเดินตามเสี่ยวฝู่กลับมายังทางเข้าแคมป์ ระหว่างนั้น มีคนกลุ่มหนึ่ง เดินย้อนกลับมาทางที่พวกเขา คงเป็นเพราะได้ยินเสียงปืนที่เสี่ยวฝู่ยิง พวกเขาพากันหลบไปด้านข้าง โดยที่โบตั๋นให้สัญญาณมือ สั่งให้เขาไปอีกด้านหนึ่ง เขาก็พยักหน้าก่อนแยกตัวออกมา

     สิ่งที่เสี่ยวฝู่ทำตั้งแต่จัดการทหารรับจ้าง 2 คน จับกู๋อั้ยเต๋อ จนไปถึงสัญญาณมือที่สั่ง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่า เสี่ยวฝู่เรียนจบด้านศิลปกรรมศาสตร์ สาขามัณฑนศิลป์อย่างที่อาหงส์บอกไว้จริง ๆ รึเปล่า ถ้าไม่รู้มาก่อน เขาคงคิดว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจมากกว่า

     จุ้ยเถิงเดินอ้อมมาอีกด้านหนึ่ง จนเห็นคนกลุ่มนั้นซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 คน สองคนด้านหน้าเดินนำมีปืน UMP ถืออยู่ในมือคอยระวังด้านหน้าและด้านข้าง ที่เหลือเดินปิดท้ายเพื่อระวังหลัง เขาไม่รู้ว่าเสี่ยงฝู่คิดอะไรอยู่ แต่ถ้าเป็นเขา คงต้องหาวิธีจัดการทั้ง 5 คนนี้ก่อนที่พวกนั้นจะไปถึงตัวกู๋ของเขา

     ยังไม่ทันที่จะได้คิดหาวิธีอะไร เขาก็เห็นเสี่ยวฝู่วิ่งพุ่งไปหาสองคนที่ยืนระวังหลัง ชายสามคนเล็งปืนมาที่เธอ แต่ก็ช้าไป ขนาดบนผืนทรายที่ทั้งวิ่งและทรงตัวได้ลำบากแล้ว เสี่ยวฝู่ยังสามารถกระโจนไปล็อกคอทหารรับจ้างคนหนึ่ง เพื่อยึดเป็นฐานส่งตัวก่อนที่จะเตะปัดปืนในมือทหารรับจ้างอีกสองคนในคราวเดียวกัน

     ทหารสองคนด้านหน้าหันมาจะยิงใส่เสี่ยวฝู่ เขาจึงยิงไปที่สองคนนั้น เสร็จไปแล้วสองคนเขาจึงวิ่งเข้าไปช่วยเสี่ยวฝู่ ชายคนที่โดนล็อกคอไม่ได้ลุกขึ้นมา ส่วนชายอีกสองคนกำลังจะพุ่งเข้าไปหาเธอ เขาเตะเข้าไปที่สีข้างชายคนหนึ่ง ส่วนอีกคนเสี่ยวฝู่จัดการให้ลงไปกองกับพื้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะมาจ่อปืนใส่ชายคนที่เขาเตะ

       “นายยิงปืนทำไม เดี๋ยวพวกมันก็ได้แห่กันมาพอดี”

       “ฉันไม่ยิง พวกนี้มันก็ยิงเธออยู่ดี” เขาไม่เข้าใจจริง ๆ อันตรายขนาดนั้น จะไม่ให้เขายิงได้ยังไง

        เสี่ยวฝู่ใช้ด้ามปืนที่เอามาจากกู๋อั้ยเต๋อฟาดไปที่ท้ายทอยของชายคนสุดท้าย เหมือนจะระบายอารมณ์ที่เขายิงชายสองคนนั้นเพื่อช่วยชีวิตเธอ เสี่ยวฝู่เดินไปดูคนที่ถูกยิงก่อนควานหาอะไรสักอย่างบนตัวชายคนนั้น จนพบผ้าโพกหัวสำหรับกันฝุ่นทราย เธอจึงเอามาห้ามเลือดชายคนนั้น

       “ดีนะที่ยังไม่ตาย นายเองก็ยืนบื้ออยู่ทำไม ไปดูอีกคนหนึ่งสิ” เสี่ยวฝู่พูดอย่างอารมณ์เสีย ถึงเขาจะไม่เข้าใจแต่ก็ทำตาม

      “เธอจัดการสองคนนั้นยังไง ถึงน็อคพวกนั้นได้เร็วขนาดนี้”

     “ก็แค่ใช้ไอ้นี่ เร็วดี ไม่เปลืองแรงด้วย” เสี่ยวฝู่ชูที่ช๊อตไฟฟ้าในมือให้เขาดู หลังจากห้ามเลือดคนที่นอนตรงหน้าเธอเรียบร้อยแล้ว

     เสี่ยวฝู่ให้เขาลากคนทั้ง 5 มากองรวมกัน และใช้เข็มขัดของคนเหล่านั้นมัดไม่ให้หนีไปไหนได้ เสี่ยวฝู่ยังมีแก่ใจห่วงคนที่บาดเจ็บ โดยการจัดท่าให้ไม่กระเทือนบาดแผลมากที่สุด

     “ถ้านายจะเข้าสกุลฝู่ นายก็ต้องเรียนรู้ใหม่นับจากนี้”

     “เธอยอมรับฉันแล้วเหรอ”

     “ใครว่า ฉันไม่ใช่นางฟ้าอย่างหยกหรอกนะ ฉันนะนางมารเลยแหละ” เสี่ยวฝู่เดินตรงกลับไปยังแคมป์โดยไม่เหลียวหลังมองเขาอีกเลย

     ถ้าเสี่ยวฝู่จะเป็นนางมาร คงเป็นนางมารสำหรับเขาคนเดียว นี่ขนาดคนที่จ่อปืนใส่เธอ ยังใจดีทำแผลให้เลย กว่าเขาจะผ่านด่านอย่างโบตั๋นไปได้คงจะหนักหนากว่าที่พยัคฆ์บอกกับเขาหลายเท่าซะแล้ว

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 22-03-19 {{:::76:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-03-2019 21:17:22
76





   ลตาที่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนแท่นพิธี ได้ยินแม่ของเธอสั่งคนปิดประตูทางเข้าห้องลับ โดยให้คนเฝ้าเธอไว้ส่วนหนึ่ง คนที่เหลือแม่ของเธอให้เข้าไปเฝ้าโบราณวัตถุที่ขุดค้นได้ที่สุสานนี้

   ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรอให้การชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นลง เธอมองไปยังหยกที่วางอยู่บนแท่น หยกที่ได้รับเหงื่อของเธอมองดูราวกับช็อกโกแลตที่โดยความร้อน เหมือนหยกชิ้นนั้นจะละลายได้เลย หยกของโบตั๋นสีขาวอมชมพูซึ่งตอนนี้ดูยังไงก็ยังเป็นสีเดิม ยังไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตได้ จนเธอห่วงว่า ต้องใช้เวลาเท่าไรกัน ถึงจะเปลี่ยนให้หยกกลับสู่สีเดิมของมัน

   “ด้านนอกเป็นยังไงบ้าง?”

   “ในห้องลับนี้วิทยุสื่อสารไม่สามารถรับสัญญาณได้ครับคุณหนู”

   ลตาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งทำให้กังวล เธอยอมรับว่าเธอเองก็ยังไม่ค่อยไว้ใจจุ้ยเถิงสักเท่าไร ถึงหงส์จะยืนยันแล้วก็ตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่จุ้ยอั้ยเต๋อตามมาได้ถึงที่นี่ อาจจะเป็นเพราะจุ้ยเถิง

........................................................................

   พยัคฆ์เดินสำรวจรอบ ๆ แคมป์จนมาพบชายสองคน ซึ่งอาจจะแยกตัวมาจากกลุ่มคนที่โบตั๋นเห็น เขาจึงดึงรั้งข้อมือหยกเขามาหาตัว หยกเองก็ไม่ได้ขืนตัวแต่อย่างใด หลบเข้ามาในอ้อมกอดเขา

   “พี่เสือ”

   “พวกนั้นน่าจะแยกกันมา”

   “หยกไม่เห็นพวกที่เหลือ”

   “หยกหลบอยู่ตรงนี้ก่อน คอยระวังหลังให้พี่ สองคนนี้เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

   เมื่อหยกพยักหน้ารับ เขาจึงก้าวออกจากที่ซ่อนหลังกระโจมหลังหนึ่ง เพื่ออ้อมไปจัดการคนพวกนั้น เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ เขาจึงเห็นพวกนั้นซ่อนปืน UMP ไว้ด้านหลัง ยิ่งทำให้เขาระวังตัวให้มากขึ้น พยัคฆ์มองหาเครื่องทุ่นแรงและไปได้ไม้ท่อนหนึ่งที่ขนาดเหมาะมือ จากนั้นเขาจึงโยนเศษไม้อีกชิ้นไปทางอื่น จนพวกนั้นหันไปมองตามเสียง

   เมื่อได้จังหวะ เขาจึงเข้าไปจัดการคนทั้งสอง เมื่อเรียบร้อยก็ส่งสัญญาณให้หยกออกมาจากที่ซ่อนตัว เขาและหยกช่วยกันจับชายสองคนนั้นมัดเอาไว้ แล้วลากเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง

   “ดูแล้วมันคงจะแยกกันเป็นคู่ ๆ”

   “แล้วเราจะตามจัดการมันหมดได้ยังไง ในเมื่อเราไม่รู้ว่าพวกนั้นกระจายตัวกันไปทางไหนบ้าง”

   “แคมป์นี้ไม่กว้างมากนัก พี่คิดว่าพวกนั้นน่าจะมุ่งตรงไปที่สุสานมากกว่า”

   “หรือว่าเราจะไปดักรอที่ทางเข้าสุสาน”

   “กำลังของเราน้อยกว่า น่าจะเสียเปรียบ อีกอย่าง พวกนั้นพกปืนกันทุกคน”

   “แล้วเราจะทำยังไงกันดี”

   ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่หยก เขาคงจะบอกให้แยกกันไปจัดการคนของพวกนั้นให้ได้มากที่สุด แต่หยก เขาทั้งห่วงและหวง ไม่อยากให้ไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น

   “เราแยกกันไปจัดการ...”

   “ไม่ได้!! ” เขารึบแทรกขึ้นมาทันทีที่รู้ความคิดของหยก

   “หยกรู้ว่พี่เสือเป็นห่วง แต่หยกก็รู้วว่าแยกกันไปจัดการน่าจะเร็วที่สุด”

   “พี่ไม่อยากให้หยกเสี่ยง ครั้งนี้จุ้ยอั้ยเต๋อมันเอาจริง ไม่ได้เหมือนคราวที่อาเถิงมาจับตัวหยกนะ”

   “เราเพิ่งจับพวกนั้นได้แค่ 2 คน ข้างนอกนั่นยังมีอีกเป็นสิบ ถ้าเราไม่แยกกันไป พวกนั้นต้องไปออกันที่หน้าทางเข้าสุสานแน่ ๆ”

   “พี่ให้คนไปเฝ้าด้านหน้าไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง เราไปด้วยกันนี่แหละ ถ้าพี่ต้องแยกจากหยกไป พี่คงเป็นกังวลจนเสียสมาธิ หรือว่าหยกอยากให้พี่เป็นอันตราย”

   “พี่เสืออย่าพูดแบบนี้สิ”

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปด้วยกันนะ”

   “เฮ้อ...ก็ได้ครับ”

   เมื่อเขากับหยกตกลงกันได้แล้ว ทั้งสองจึงเดินสำรวจรอบ ๆ แคมป์อีกครั้งอย่างระมัดระวัง ซึ่งเดินมาได้ไม่นาน เหมือนหยกจะได้ยินเสียงอะไรจึงรั้งข้อมือเขาไว้

   “พี่เสือมีคนกำลังมาทางนี้” ทั้งสองจึงหลบไปหลังกระโจมหลังหนึ่ง เมื่อเห็นเงาคนเดินผ่านไปแล้ว หยกจึงอ้อมไปอีกด้าน เขาก็ทำตามเช่นกัน

   หยกพุ่งใส่คนคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นใครหยกจึงหยุด แต่อีกคนไม่เป็นอย่างนั้น กลับหันปืนเล็งมาที่หยก ดีที่โบตั๋นที่ยืนข้าง ๆ ไวกว่า จึงเตะเข้าที่ข้อมือของจุ้ยเถิง

   “นี่นาย ไม่เห็นรึไงว่าเป็นหยก”

   “อาหยง เฮียขอโทษ เฮียไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเป็นคนพวกนั้น”

   “นายนี่มัน เอะอะอะไรก็จะยิงอยู่เรื่อย ถ้าหยกเป็นอะไรไป ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”

   “พอเถอะตั๋น เฮียไม่ดีเองแหละที่เข้ามาทางด้านหลัง”

   “ตั๋นยังรู้เลยว่าเป็นหยกกับพี่เสือ”

   “เอาน่า อย่ามัวทะเลาะกันเลย เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่กันมาเพราะเสียงตั๋นหรอก”

   “ใครว่า พวกนั้นแห่มาเพราะเสียงปืนของตาฝรั่งนี่ต่างหาก”

   “ตอนนี้พวกนั้นน่าจะเหลืออยู่ไม่ถึง 10 คนแล้ว ผมกับเสี่ยวฝู่จัดการไป 5 คน”

   “5 แล้วเหรอ?”

   “ก็บอกแล้วว่าเพราะเสียงปืนตาฝรั่งนี่”

   “พี่เสือจัดการไป 2”

   “พวกนั้นมี 12 คน ไม่รวมกู๋อั้ยเต๋อกับกู๋เซียง”

   “เจ้าสัวเซียงมาด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

   “คงมาจัดการผม ที่ไม่พาลูกชายเขาไปมาเก๊าคราวนั้น เลยทำให้ลูกชายของเขาตาย”

   “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ก็เหลืออีก 5 คนสินะ” หยกสรุป

   “ไม่ใช่ เหลือแค่ 3 เพราะอีก 2 ถูกจับรวมอยู่กับจุ้ยอั้ยเต๋อ” โบตั๋นว่า

   “ถ้าอย่างนั้นเราแบ่งออกเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน ตั๋นกับจุ้ยเถิง” เขายังไม่ทันจะพูดจบก็โดนคนหนึ่งแทรกขึ้น

   “@%$@%^*^#$@^&*$@@%^&$#” พวกเขาหันไปมองตามเสียง

   “คุณลินทร์!!! ” เมื่อหันไปก็พบว่า ชาย 3 คนที่เขาตามหา คนหนึ่งจับตัวคุณลินทร์ไว้เป็นตัวประกัน

........................................................................

   จุ้ยเถิงหันไปตามเสียงประกาศของทหารรับจ้าง เขารู้ว่าทั้งสามคนข้าง ๆ เขาไม่ได้ตกใจกับคำประกาศกร้าวของคนพวกนั้น แต่ตกใจที่เห็นตัวประกันในมือชายคนหนึ่งมากกว่า

   “อาเถิง”

   “มันบอกให้พวกเราส่งอาหยง กับเสี่ยวฝู่ให้มัน ไม่อย่างนั้นคุณลินทร์ตาย” เขาแปลให้กับทุกคนฟัง

   “ทำไมมันถึงต้องการตัวพวกเราอีกละ” เสี่ยวฝู่ถามอย่างสงสัย

   “ตอนที่พวกนั้นจับเฮียไป เฮียบอกมันไปว่า หยกศักดิ์สิทธิ์อยู่กับหงส์ พวกเธอแค่มาเที่ยวที่นี่ตามคำชวนของลิลลี่” เขาเห็นสายตาไม่พอใจจากเสี่ยวฝู่

   “มันเลยจะเอาพวกเราไปต่อรองกับเจ่เจ้สินะครับ”

   “เร็ว!! หรืออยากให้นังนี่ตาย” หนึ่งในนั้นตะคอกออกมาเมื่อเห็นพวกเขากระซิบกระซาบกัน

   “มันว่าอะไรครับเฮียเถิง”

   “มันเร่งพวกเรา”

   “งั้นก็ไปกับมันสิ” สายตาของเสี่ยวฝู่ดูเป็นประกายแปลก ๆ จนเขานึกหวั่นใจ แต่เมื่อมองไปทางอาหยง ทางนี้ก็ไม่เห็นจะห้ามปรามน้องเลยสักนิด

   “หยก” พยัคฆ์เหมือนจะต้องการรั้งอาหยงไว้ แต่เจอรอยยิ้มของอาหยงเขาไป พยัคฆ์ก็ได้แต่เงียบไปพูดอะไรต่อจากนั้น

   “ได้ พวกแกปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้นมาก่อนสิ” ในเมื่อห้ามกันไม่ได้ เขาก็ยอมที่จะร่วมมือด้วย

   “ไม่ มาแลกกัน” ชายคนที่จับคุณลินทร์ไว้พูดขึ้น เขาแปลให้คนอื่นฟัง และได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวฝู่บ่นว่าต้องเรียนภาษากับฝู่ไฉ่ซะแล้ว

   ชายสองคนเดินออกมาด้านหน้า อาหยงกับเสี่ยวฝู่เดินเข้าไปหาพวกมัน พยัคฆ์เดินเข้าไปหาคุณลินทร์ ชายคนที่จับเธอไว้คลายเมื่อออก เขาเห็นเสี่ยวฝู่ส่งสัญญาณบางอย่างให้อาหยง จากนั้นสองพี่น้องก็จัดการกับคนที่กำลังจะจับพวกเขาในระยะประชิด

   อาหยงเมื่อถึงตัวก็กระชากปืนในมือคนตรงหน้าออกมาก่อน ตามด้วยเสยด้ามปืนเข้าไปที่ปลายคางของเจ้าของปืนอย่างแรง แล้วใช้ปืนในมือแทนพลองในการต่อสู้

   เสี่ยวฝู่อาศัยจังหวะที่ชายตรงหน้าจับแขนเธอ พลิกตัว หักแขนไพล่หลัง แล้วใช้ที่ช๊อตไฟฟ้าช๊อตที่ท้ายทอย จากนั้นก็เข้าไปช่วยอาหยง

   พยัคฆ์ดึงตัวคุณลินทร์เข้ามาหลบในอ้อมแขนก่อนเตะฝุ่นทรายเข้าหน้าชายคนที่จับคุณลินทร์ไว้ เขาที่เห็นทหารรับจ้างตั้งตัวได้ เตรียมจะยิงไปที่พยัคฆ์ เขาจึงรีบเข้าไปขัดขวางและเอาปืนจี้ในระยะประชิด ยังไม่ได้ทันถามอะไรก็โดนเสี่ยวฝู่ใช้ที่ช๊อตไฟฟ้าจัดการไปอีกคน

   “โบตั๋นพกของแบบนี้ด้วยเหรอ?” พยัคฆ์ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

   “ก็ต้องพกสิ ตั๋นเป็นผู้หญิงนะ ก็ต้องมีไว้ป้องกันตัวบ้าง”

   “ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างโบตั๋นจะต้องใช้นะ” คุณลินทร์ดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน

   “คนฉลาดมักใช้เครื่องทุ่นแรงค่ะ” เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้คุณลินทร์

   “ทำไมคุณลินทร์ถึงถูกคนพวกนี้จับได้ละครับ” พยัคฆ์ถามขณะที่ช่วยกันจับทั้งสามคนมัดเอาไว้

   “พวกนี้บุกเข้าไปที่สุสาน ทำร้ายคนของฉันบาดเจ็บไปหลายคน และดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าฉันเป็นใคร เลยจับฉันมา แต่ยังไปไม่ถึงไหนก็เจอพวกเธอเข้าซะก่อน”

   “มีคนเจ็บด้วยเหรอครับ แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” อาหยงดูจะเป็นกังวลกับคนเจ็บไม่น้อย

   “ฉันเองไม่แน่ใจเหมือนกัน”

   “คุณลินทร์ช่วยเรียกตำรวจหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปช่วยดูคนเจ็บก่อน ตั๋นอยู่กับเฮียเถิงที่นี่ก่อนนะ เฮียจะไปกับพี่เสือ”

   “แล้วเจ้าสัวเซียงกับอั้ยเต๋อละ ยังอยู่นอกแคมป์นั่นนะ” คุณพยัคฆ์ท้วงถึงคนที่เหลือ

   “เอาแบบนี้ เฮียกับคุณเสือจะไปเอาตัวพวกนั้นมาก่อนแล้วกัน อาหยงก็รออยู่นี่กับเสี่ยวฝู่ก่อน”

   “อย่างนั้นก็ได้ครับ”

   เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เขากับพยัคฆ์ก็พากันเดินออกนอกแคมป์ไป จากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เขาโดนโบตั้นจับได้ที่อาคารจอดรถมาจนถึงครั้งนี้ ทำให้เข้ารู้ว่า ไม่ใช่อาหยงเท่านั้นที่เก่งในเรื่องศิลปะป้องกันตัว เสี่ยวฝู่ก็เก่งไม่แพ้กัน และเมื่อสองพี่น้องอยู่ด้วย เข้าขากันขนาดนี้ เขาคงไม่ต้องห่วงอะไร เขากับพยัคฆ์เสียอีกที่น่าเป็นห่วง

........................................................................

   พี่เสือกับเฮียเถิงกลับมาพร้อมกับทหารรับจ้างสองคน ส่วนจุ้ยอั้ยเต๋อกับเจ้าสัวเซียงหนีไปได้ คุณลินทร์ให้คนออกตามหา ก็ไปเจอรถจี๊ปของทั้งสองจอดทิ้งไว้เพราะน้ำมันหมด แต่ตามหาทั้งสองคนไม่เจอ คาดว่าอาจจะหลงอยู่ในทะเลทราย ส่วนตำรวจกว่าจะมาถึงก็ค่ำแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พี่ตาออกจากห้องลับในสุสาน

   พวกเราตามไปรอลุ้นดูน้ำตาหยกที่กลั่นออกมาได้ เมื่อคนงานช่วยกันยกแผ่นหยกพันปีขึ้น ในแท่นที่คุณลินทร์วางขวดสำริดไว้ ปรากฏว่าด้านในนั้นว่างเปล่า ไม่มีของเหลวอะไรอยู่ภายในเลย ส่วนเมฆาขาวของโบตั๋นนั้นกลับมาเป็นสีเขียวมรกตดังเดิมแล้ว

   “ขอหนูลองจับมันดูหน่อยได้ไหมคะ?”

   คุณลินทร์ยื่นเมฆาขาวให้โบตั๋นตามคำของ โบตั๋นรับไว้ เธอมองและสัมผัสมันอยู่นาน จากนั้นก็ส่งคืนให้กับคุณลินทร์ไป

   “โบตั๋นคงจะอยากรู้ละสินะ ว่ายังสัมผัสจิตใครได้อีกรึเปล่า”

   “ใช่ค่ะพี่ตา แต่มันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”

   “เรื่องน้ำตาหยก คงไม่ได้เกิดขึ้นกันได้ง่าย ๆ” คุณลินทร์เปรยขึ้นมาอย่างเสียดาย ผมจับความรู้สึกในน้ำเสียงของเธอได้

   “อาจจะเป็นเพราะระยะเวลากับอุณหภูมิมันไม่ได้” อยู่ ๆ เฮียเถิงก็พูดขึ้นมา

   “นายไปรู้อะไรมา?” โบตั๋นหันไปถามเฮียเถิง

   “เฮียยังไม่มั่นใจ ว่าจะถามคุณลินทร์อยู่เหมือนกัน แต่ดันเกิดเรื่องเสียก่อน”

   “ชิ” โบตั๋นจิ๊ปากไม่พอใจ ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เฮียเถิงไม่ตอบคำถามเธอ แต่น่าจะเป็นเรื่องที่การใช้สรรพนามแทนตัวเองมากกว่า

   “คุณไปเจออะไรมาอย่างนั้นเหรอ” คุณลินทร์ถามขึ้นมา เพราะพอรู้ว่าโบตั๋นไม่ค่อยพอใจเฮียเถิง

   “ทางเดินที่ออกมา มีบางจุดเป็นภาพสลักที่ไม่ต่อเนื่องกัน และมีดูจากน้ำหนักการลงมือ น่าจะเป็นช่างฝึกหัด”

   “ฉันก็เจอที่ไม่ต่อเนื่องเหมือนกัน แต่เรื่องน้ำหนักการลงสิ่วนี่ ฉันไม่ทันสังเกต”

   “ระหว่างที่ผมเดินออกมา ผมเจออยู่หลายจุด พอจะเดาเรื่องราวที่คน คนนี้แกะสลักได้ แต่มันไม่ต่อเนื่อง”

   “ในทางที่แม่ไม่ให้พวกเราเข้าไป มันมีภาพแกะสลักแบบนี้ไหม?” พี่ตาถามถึงทางที่คุณลินทร์ปิดเอาไว้

   “มีอยู่ 2-3 จุด แต่แม่เห็นว่ามันแกะไม่เสร็จบ้าง เรื่องราวไม่ต่อเนื่องบ้าง และอีกภาพคือ อยู่ ๆ ก็แกะขึ้นมาทั้ง ๆ ที่โดยรอบไม่มีอะไรเลย”

   “ถ้าอย่างนั้นผมขอไปดูหน่อยได้ไหมครับ”

   “ทางตรงนั้นฉันไม่ได้ให้คนเดินไฟไว้ อีกอย่าง คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะคะ”

   “แล้วเรื่องการชำระล้างเมฆาขาวของผมกับอาเถิงละครับ” พี่เสือถามขึ้นมา ดูจากอาการเหมือนพี่เสือมีอะไรอยู่ในใจ

   “ถ้าคุณไม่รีบ รอให้ผมสำรวจถ้ำก่อนได้ไหม อย่างน้อยอาจจะได้รู้วิธีกลั่นน้ำตาหยก”

   “หยกว่ายังไงครับ” พี่เสือหันมาถามผม

   “เอาตามที่เฮียเถิงว่าก็ได้ครับพี่เสือ กลับไทยช้าไปวันหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”

   “ใช่ค่ะ ตั๋นก็อยากเห็นน้ำตาหยก”

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตาส่งข่าวบอกหงส์สักหน่อย”

   “ไม่เป็นไรลิลลี่ เธอไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเรื่องการเลื่อนกลับไทย ฉันจะบอกหงส์เอง”

   “นายก็ไม่ต้อง พี่สาวฉัน ฉันรายงานเองได้” โบตั๋นพูดเสร็จก็สะบัดหน้า เดินหนีออกจากกระโจมไปเลย ทั้งที่กระโจมที่เรารวมตัวกันอยู่ เป็นกระโจมของผมกับเธอ

   “เฮียว่าเฮียกลับกระโจมก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นเสี่ยวฝู่คงจะไม่ยอมกลับเข้ามาในกระโจมแน่ๆ อ่อ แล้วอาหยง เสี่ยวฝู่ดูเหมือนจะเป็นหวัด หาอะไรอุ่น ๆ ให้น้องดื่ม แล้วทานยากันไว้หน่อยนะ” เฮียเถิงพูดจบก็เดินออกไป

   “อาเถิงก็ดูเป็นพี่ชายที่ดีนะ” พี่ตาแซวยิ้ม ๆ กับคุณลินทร์

   “โบตั๋นก็เป็นน้องที่แสบไม่ใช่เล่น” พี่เสือก็เป็นไปกับเขาอีกคน

   “ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมาทั้งวัน” คุณลินทร์สรุปก่อนพากันเดินออกจากกระโจมไปพร้อมพี่ตา

   “หยกไม่เป็นอะไรใช่ไหม ตอนนั้น”

   “พี่เสือก็อยู่ด้วยนี่ พี่เสือนั่นแหละ เอาตัวเข้าบังคุณลินทร์ ถ้าเฮียเถิงกับโบตั๋นเข้ามาไม่ทัน พี่เสืออาจจะโดนยิงก็ได้”

   “ห่วงพี่เหรอครับ” พี่เสือถามผมแต่เจ้าตัวกลับยิ้มแก้มแทบปริ

   “ห่วงสิ หยกกลัวแทบแย่”

   “แล้วตอนที่ไปกระชากปืนจากเขานี่ไม่กลัวเลยอย่างนั้นเหรอ?”

   “ก็กลัวครับ แต่พอเห็นพี่เสือตอนนั้น หยกกลับกลัวมากกว่า”

   “เอาเป็นว่าพี่ไม่เป็นอะไรนะครับ หยกเองก็ทำพี่ใจหายใจคว่ำไปหลายหน ครั้งนี้ถือว่าเราหายกันนะ”

   “งานที่พี่เสือทำ เสี่ยงแบบนี้ตลอดเลยไหมครับ” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่างานพี่เสือมักจะเป็นงานคุ้มกัน จึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพี่เสือถึงใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังให้คุณลินทร์

   “ไม่หรอก แล้วก็อีกหน่อยพี่ต้องดูแลงานทั้งหมดแทนอากร พี่คงเหนื่อยจนไม่มีเวลาได้ออกภาคสนามหรอก”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมค่อนข้างโล่งใจที่ได้ยินอย่างนั้น

   “พี่กลัวแค่อย่างเดียว”

   “อะไรครับ”

   “กลัวว่าพอพี่เหนื่อยจะไม่มีคนมาดูแลพี่”

   “ก็คุณวรรณยังไงละครับ”

   “อ่าว แล้วหยกจะไม่มาดูแลพี่ ทำเค้กให้พี่ทานแล้วเหรอครับ”

   “ค่าตัวหยกแพงนะ พี่เสือจ้างไหวรึเปล่า”

   “พี่ไม่มีค่าจ้างให้หรอกครับ พี่ตั้งใจว่าจะฉุดแล้วเอาไปขังไว้ที่บ้านเลย”

   “น้อย ๆ หน่อยค่ะพี่เสือ ข้ามศพตั๋นไปก่อนเลย ถ้าจะทำอย่างนั้นน่ะ” โบตั๋นที่เข้ามาได้ยินพอดี โวยวายใส่พี่เสือทันที

   “ตั๋นเอาเวลาไปจัดการอาเถิงเถอะ” และดูว่าพี่เสือจะไม่ยอมลงให้แล้วคราวนี้

   “ตั๋นจัดการได้ทั้งคู่ก็แล้วกัน”

   ผมที่ฟังทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างไม่จริงจังนักอีกพักใหญ่ ถ้าโบตั๋นยอมรับเฮียเถิงได้เมื่อไร เธอคงจะมีเพื่อนเล่นเพิ่มอีกคนเป็นแน่

   
To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 22-03-19 {{:::76:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-03-2019 22:32:09
 :เฮ้อ:
โล่งอก ดีที่ทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังเชื่อใจไม่ได้ ยังไงก็ขอให้ผ่านไปด้วยดีนะ
เพิ่งรู้ว่าโบตั๋นต่อสู้ก็เป็น เก่งนะเนี่ย
 o13
หัวข้อ: Re: หยก 3-04-19 {{:::77:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-04-2019 19:48:09
​77





   เงาสองร่างพาดผ่านกระโจม แต่ก็ไม่ทำให้คนที่นอนหลับอยู่ภายในรับรู้ถึงการมาของคนทั้งสอง จนกระทั่งได้ยินเสียงกุกกักเหมือนรื้อค้อนอะไรบางอย่าง

   ลตาลืมตาขึ้นเพราะเสียงที่รบกวนการนอนของเธอ ถึงแม้จะเป็นเสียงแผ่วเบา แต่ปู่ของเธอก็สอนเธอมาดีพอที่จะไหวตัวได้ทัน เธอเห็นสองคนช่วยกันรื้อกล่องต่าง ๆ ที่วางอยู่บนชั้นเก็บเอกสารของแม่เธอ ถึงเธอจะมองเห็นหน้าไม่ถนัดในความมืดนัก แต่ก็ไม่เกินการคาดเดา

   เธอค่อย ๆ มุดตัวลงไปใต้ผ้าห่มผืนหนาก่อนกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก แล้วหย่อนมันไว้ใต้เตียง ส่วนตัวเธอก็คลานลงจากเตียงมาอีกด้านหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ย่องอ้อมไปด้านข้างจนเห็นว่าสองคนตรงหน้าเป็นใคร

   “แหม๋ นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็คุณชายจุ้ยกับเจ้าสัวเซียงนี่เอง”

   “ลตา!!” เซียงไบ่หันมามองเธออย่างตกใจ

   “สิ่งที่คุณหา มันไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะคะ”

   “ฉันไม่มีทางเชื่อเธอหรอกนะ ในเมื่อเธอเป็นคนของสกุลเหมิ๋น” จุ้ยอั้ยเต๋อเก็บสีหน้า แต่ก็เอ่ยกับเธออย่างแค้นเคือง

   “อ่าว รู้กันแล้วเหรอคะ อย่างนี้ก็ไม่สนุกแล้วสิ”

   “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอนะลิลลี่”

   “ฉันก็ไม่คิดจะเล่นกับคุณอยู่แล้ว คุณชายจุ้ย คุณวางมือแล้วยอมมอบตัวกับตำรวจซะเถอะ ในเมื่อตอนนี้คุณก็หนีไปไหนไม่รอด นี่คงจะไม่คิดเป็นเด็กๆ หรอกนะคะว่า จะย่องเข้ามาขโมยหยกศักดิ์สิทธิ์แล้วแอบหนีออกไปจากที่นี่ง่าย ๆ โดยไม่มีคนเห็น”

   “นี่เธอคงจะวางแผนเอาไว้แล้วสินะ”

   “ไม่ใช่หรอกครับกู๋ แต่เป็นเพราะกู๋ยังอยู่ที่แอบอยู่ในแคมป์นี่ตั้งแต่แรกต่างหาก เลยทำให้พวกเรารู้ตัว”

   “อาเถิง” จุ้ยอั้ยเต๋อดูจะตกใจเมื่อจุ้ยเถิงเปิดผ้าหน้ากระโจมขึ้น ตามมาด้วยคุณพยัคฆ์

   เซียงไบ่ที่รู้ว่าตัวเองจนตรอกจึงพุ่งตัวไปที่เตียงผ้าใบอีกเตียง ก่อนคว้าตัวคนที่นอนอยู่บนนั้น หวังจะจับเป็นตัวประกัน แต่กลับเสียท่าซะเอง

   หยกจับเซียงไบ่พลิกตัวแล้วบิดแขนไพล่หลัง มีดในมือจึงหล่นลงพื้นอย่างง่ายดาย หยกกดตัวให้เซียงไบ่ให้คุกเข่าลง

   “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” จุ้ยอั้ยเต๋อตะลึงที่ได้เจอหยกในกระโจมนี้

   “เอาเป็นว่าฉันจะสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน หยกศักดิ์สิทธิ์ที่คุณอยากได้นักอยากได้หนานั่น มันไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ คนที่ใช้ได้จะถูกหยกศักดิ์สิทธิ์เลือกเท่านั้น และในที่แห่งนี้ก็มีแค่หยกที่สามารถใช้มันได้”

   “แล้วกู๋ก็เข้าใจผิด เรื่องความวิเศษของมัน มันไม่ได้ดลบันดาลให้เจ้าของได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างที่กู๋เซียงเล่าให้ฟังหรอกนะครับ ที่กู๋เซียงอยากได้ เพราะเขาจะได้ครอบครองเยี่ยนหวอ ถึงได้สร้างเรื่องแบบนั้นขึ้นมา ส่วนอาหยงที่ห้อยหยกศักดิ์สิทธิ์ไว้ เขาก็แค่สัญชาตญาณดีกว่าคนทั่วไป เขาถึงจับได้ยังไงละครับ ว่ากู๋ทั้งสองแอบเข้ามาในแคมป์นี้”

   “เซียงไบ่ แกหลอกฉัน แกทำให้ฉันสูญเสียทุกอย่าง” จุ้ยอั้ยเต๋อหันไปตวาดเซียงไบ่ และพูดราวกับคนเสียสติ

   “ไม่ อั้ยเต๋อ อย่าไปเชื่อมัน มันหลอกพวกเรา”

   “ถ้าแกไม่เอาเรื่องหยกวิเศษมาเป่าหูฉัน เยี่ยนหวอก็ยังคงอยู่ในมือฉัน แล้วไหนจะกาสิโนที่ฉันอุตส่าห์สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากนั่นอีก” จุ้ยอั้ยเต๋อเล็งปืนไปที่เซียงไบ่

   “กู๋ หยุดเถอะ อย่าทำร้ายใครไปมากกว่านี้เลย” จุ้ยเถิงพยายามเกลี้ยกล่อม

   “อย่ามายุ่งกับฉัน” จุ้ยอั้ยเต๋อกวาดปืนไปทางจุ้ยเถิงและคุณพยัคฆ์

   “พี่เสือ” หยกที่จับซียงไบ่ไว้ ถึงตกใจแต่ก็ยังไม่ปล่อยเซียงไบ่ให้หลุดมือ

   จุ้ยอั้ยเต๋อกวาดปืนไปทางคนนั้นที คนนี้ที อย่างหวาดระแวง

   “อั้ยเต๋อ ลื้อต้องเชื่ออั๊วนะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปี” เซียงไบ่พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้จุ้ยอั้ยเต๋อช่วย แต่กลับกลายเป็นว่า จุ้ยอั้ยเต๋อเล็งปืนไปที่มัน

   “ลื้อควรจะตายตามลูกเฮงซวย ๆ ของลื้อไปได้แล้ว” จุ้ยอั้ยเต๋อปลดเซฟปืนและตั้งใจจะยิงทั้งเซียงไบ่และหยกอย่างไม่ต้องสงสัย เธอจึงพุ่งตัวเข้าไปหาหยกทันที แต่ก็ดูเหมือนช้ากว่าเสียงปืนที่ดังขึ้น

........................................................................

   หงส์เดินนำฝู่ไฉ่เข้ามาในตัวบ้าน ที่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นบ้านของเธอโดยสมบูรณ์ เมื่อมาถึงฝู่ไฉ่ก็แยกเอาของเข้าไปเก็บในห้องทำงาน ส่วนตัวเธอเดินตรงเข้ามาในห้องบรรพบุรุษ เพื่อทักทายป๊าและม๊าของเธอ ซึ่งตั้งแต่เธอกลับเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ เธอไม่เคยละเลยที่จะเข้ามาในห้องนี้แม้สักวัน

   “ป๊าค่ะ ม๊าค่ะ วันนี้หงส์ถอนหุ้นออกจากบริษัทฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าอาวุธแล้ว และคนของอาเถิงก็กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งให้ทางตำรวจจัดการอยู่ ถึงตอนนี้เยี่ยนหวอจะยังไม่ใสสะอาดเหมือนเมื่อก่อน แต่หงส์รับรองค่ะ ว่าอีกไม่นานชื่อเสียงของเยี่ยนหวอจะกลับมาดีดังเดิม”

   เธอมองรูปป๊ากับม๊าที่ส่งยิ้มมาให้ ทำให้เธอคิดถึงในตอนที่เธอยังเด็ก ถึงแม้จะมีกันเพียง 3 คน แต่เธอก็ไม่เคยเหงา การที่เธอห้อยเมฆาขาวไว้จะทำให้รับรู้ถึงจิตใจใครต่อใคร ทั้งด้านดี ด้านร้าย แต่มันก็ทำให้เธอเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

   “เรื่องอาเถิง ป๊ากับม๊าคงจะไม่ตำหนิหนูใช่ไหมคะ เขายังคงเป็นคนเดิม คนที่หนูรู้จัก ถึงแม้เขาจะอยู่กับคนไม่ดี แต่จิตใจเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”

   เสียงเคาะประตูทำให้เธอหันไปมอง ฝู่ไฉ่เดินเข้ามา ก่อนรายงาน

   “เกิดเรื่องที่ซางตูค่ะคุณหงส์”

   “การชำระล้างเมฆาขาว ไม่สำเร็จอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ จุ้ยอั้ยเต๋อกับเซียงไปแอบตามพวกคุณชายไป แล้วบุกเข้าไปที่แคมป์ของตระกูลเหมิ๋น”

   “มีใครเป็นอะไรไหม”

   “ทุกคนปลอดภัยดีคะ แต่จุ้ยอั้ยเต๋ยเสียชีวิตเพราะจุ้ยเถิงค่ะ”

   “อืม แล้วทางนั้นเป็นยังไงกันบ้าง”

   “ตำรวจกำลังจัดการอยู่ แล้วก็คุณจุ้ยเถิงแจ้งว่า อาจจะกลับไทยช้ากว่ากำหนด”

   “เรื่องนั้นตั๋นบอกกับหงส์แล้วละคะ”

   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ”

   “เจ้ไฉ๋ไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหงส์จะไปที่ห้องทำงานแล้ว”

   “คุณหลิว กับคุณกร รออยู่ที่ห้องทำงานเรียบร้อยแล้วค่ะ”

   “ขอบคุณค่ะ”

   เจ้ไฉ่เดินนำออกไปก่อน เธอเหลียวมองรูปป๊ากับม๊าอีกครั้ง ก่อนเดินออกไปเพื่อไปยังห้องทำงาน

........................................................................

   เรื่องเลวร้ายเมื่อคืนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่อยากจะเชื่อว่านายฝรั่งนั่นจะกล้ายิงลุงของตัวเอง ทำไมเจ่เจ้ถึงได้เก็บคนอันตรายแบบนี้ไว้ใกล้ตัวก็ไม่รู้

   เช้านี้ตำรวจแห่กันมาเก็บหลักฐาน สอบสวนคนนั้นที คนโน้นที แม้แต่เธอก็ไม่เว้น กว่าจะหลุดออกมาได้ก็เลยไปค่อนวัน

   “ตั๋นเป็นยังไงบ้าง” หยกถามเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในสุสาน

   “เบื่อจะแย่ ถามนั่นนี่อยู่ได้”

   “เฮียไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เฮียถามถึงอาการของตั๋นมากกว่า ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” เมื่อวานเธอรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ หยกเลยให้เธอทานยาป้องกันไว้ก่อน ด้วยฤทธิ์ยาทำให้เธอหลับและพลาดเรื่องสนุก ๆ ไป

   “หายแล้ว ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ทำไมหยกอยู่คนเดียวละ”

   “อ่อ พี่ตากับคุณลินทร์ไปเตรียมงานอยู่ในห้องลับ ส่วนพี่เสือกับเฮียเถิงเดินไปดูทางโน้นอีกหน่อยนะ” หยกชี้ไปที่อุโมงค์ช่องหนึ่งที่ภายในมืดมิด และเป็นพื้นที่ที่คุณลินทร์กันไว้ไม่ให้เข้าไป

   “เรื่องน้ำตาหยกเป็นยังไงบ้าง”

   “ท่าทางคงจะหมดหวัง”

   “ทำไมละ?”

   “จากภาพที่เฮียเถิงเจอ มันเป็นการบอกวิธีการกลั่นน้ำตาหยกก็จริง แต่อุณหภูมิที่ใช้มันไม่ได้เร่งให้เหงื่อออกมาขนาดนั้น ดังนั้นถ้าจะให้ได้น้ำตาหยกจริง ต้องนอนอยู่บนแท่นนั้น 7 วัน 7 คืนพอดี”

   “เราเร่งกระบวนการอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”

   “ใช่ คุณลินทร์ดูจะเสียใจ แต่เพื่อความปลอดภัยของพี่เสือกับเฮียเถิง คุณลินทร์เลยตัดใจ ชำระเมฆาขาวแล้วเตรียมส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์”

   “อ่าว ตั๋นเป็นยังไงบ้าง” พี่เสือเดินออกมาจากอุโมงค์พร้อมกันกับจุ้ยเถิง

   “ถ้าจะถามคำถามเดียวกันแบบนี้ ก็รีบๆ ให้อากรมาขอหยกไม่เถอะ”

   “เสร็จงานเมื่อไร พี่ไม่ปล่อยให้ตั๋นรอนานหรอก”

   “พี่เสือ”

   “ครับ” เจ้าของชื่อหันไปยิมหวานให้หยก จนเธออดหมั่นไส้ไม่ได้

   “เราไปหาคุณลินทร์กันเถอะ” จุ้ยเถิงคงจะอิจฉา ความหวานเลี่ยนของหยกกับพี่เสือ ถึงได้พูดตัดบทเสียงขรึมก่อนเดินนำพวกเราเข้าไปด้านใน

   “เจออะไรไหมครับ” หยกถามพี่เสือโดยมีจุ้ยเถิงเดินนำหน้า เธอเลือกที่จะเดินตามหลังทั้งสาม

   “อืม ภาพสุดท้ายในผนังถ้ำ เหมือนคนแกะสลักจะบอกถึงวิธีการกลั่นน้ำตาหยก แต่ลวดลายมันยังแกะไม่เสร็จ”

   “ผมว่ามันไม่ใช่แบบนั้น จากที่ผมเห็น ภาพทุกภาพที่เป็นฝีมือช่างคนนี้ มักจะมีคนอื่นมาแกะสลักโดยรอบ ด้วยฝีมือที่ประณีตกว่า ราวกับจะซ่อนภาพของคนคนนี้ไว้”

   “แล้วภาพสุดท้ายละ มันเป็นภาพเดี่ยว ๆ นะ”

   “ผมคาดการณ์ว่า คนคนนี้คงแอบมาสลักไว้ไม่ให้ใครพบเจอ แต่ที่เห็นเหมือนแกะไม่เสร็จนั้น ผมว่า มันไม่ไม่ได้แกะไม่เสร็จ แต่มีคนทำลายภาพนั้นมากกว่า”

   “อืม...ดูจากร่องรอย ก็มีความเป็นไปได้ ว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกออก”

   “ใช่ ตระกูลอาหนีคงมาพบเห็นทีหลัง ถึงได้พยายามสร้างเรื่องราวกลบเกลื่อน จนภาพสุดท้าย ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ คงต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง”

   “แบบนี้เรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาต่อไปน่ะสิ” เธอเสียดายที่จะได้เห็นน้ำตาหยก หลังได้ยินพี่เสือกับจุ้ยเถิงถกเถียงกันถึงเรื่องภาพแกะสลัก

   เธอเดินตามคนทั้งสามไปจนถึงห้องลับ เห็นซึ่งมีกระโจมอีกชุดหนึ่งเตรียมไว้ เห็นแบบนี้แล้ว คุณลินทร์กับพี่ตาคงจะต้องการจะให้พี่เสือและจุ้ยเถิงชำระล้างเมฆาขาวพร้อม ๆ กัน หยกถอดเมฆาขาวส่งให้จุ้ยเถิง และส่งถุงกำมะหยี่ที่ใส่เมฆาขาวของเจ่เจ้ให้พี่เสือ

   “ยังไม่ได้คุยอะไรเลย นี่เตรียมจะชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์กันแล้วเหรอ ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าแม่ของฉันหมดหวังนะสิ”

   “ก็ประมาณนั้น” จุ้ยเถิงตอบเรียบ ๆ ทำให้คุณลตานิ่งไป

   “นายนี่จะเรียกว่าเย็นชา หรือเลือดเย็นดีเนี่ย” เธออดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา

   “ตั๋น” เธอหันไปมองหยก

   “ก็มัน...” หยกลากเธอออกไปจากห้อง “เดี๋ยวๆ หยกจะลากตั๋นออกมาทำไม” เธอเดินตามแรงของหยกออกมาจากห้อง

   “เฮียไม่อยากให้ตั๋นทำร้ายจิตใจเฮียเถิง สิ่งที่ตั๋นจะพูด มันจะทำให้เฮียเถิงแย่ไปยิ่งกว่านี้”

   “นายนั่นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”

   “เฮียว่าตั๋นน่าจะพอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากคนในแคมป์แล้ว”

   “อืม คนอะไรเลือดเย็นชะมัด ฆ่าได้แม้กระทั่งลุงของตัวเอง”

   “มันเป็นอุบัติเหตุ”

   “ยังไง?”

   “เฮียเถิงเล็งปืนใส่จุ้ยอั้ยเต๋อจริง และยิงโดนที่มือเท่านั้น แต่เจ้าสัวเซียงสะบัดจากเฮียไปเก็บปืน ทั้งจุ้ยอั้ยเต๋อและเจ้าสัวแย่งปืนกันทั้งสองเล็งปืนมาทางเฮียกับพี่ตาที่อยู่ด้วยกัน เฮียเถิงตั้งใจจะยิงเจ้าสัว เพราะเขาได้ปืนไป ตอนนั้นที่พวกเขายื้อแย่งกัน เฮียเถิงเลยพลาด”

   “จะบอกว่าตานั่นห่วงความปลอดภัยของหยกกับพี่ตาสินะ”

   “ตอนนี้เฮียเถิงโทษตัวเองอยู่ ไม่เห็นอาการของเขาหรือไง” ที่จริงแล้วเธอก็เห็นอยู่ ว่าตานั่นเงียบ ๆ ไป เพียงแต่เธอเลือกที่จะไม่สนใจเท่านั้น

   “ใครจะไปรู้ อีกหน่อย นายนั่นอาจจะเล็งปืนมาทางเจ่เจ้ หยก หรือตั๋นนี่” เธอเถียงข้าง ๆ คูๆ

   “ตั๋นพยายามจะเถียงเอาชนะเฮียอยู่ใช่ไหม?”

   “เปล่าสักหน่อย” ทำไมเธอรู้สึกเหมือนหยกยังคงสวมเมฆาขาวอยู่

   “เฮียอยากให้ตั๋นเปิดใจ ลดอคติลง แล้วตั๋นจะเห็นเหมือนที่เฮียเห็น เฮียรู้จักนิสัยตั๋นดีแม้ไม่มีเมฆาขาว”

   “รู้แล้วๆ เอาเป็นว่าตั๋นจะสงบปากสงบคำลงก็แล้วกัน มีแฟนไม่พอ ยังได้พี่ชายคนใหม่แถมด้วยอีกคน หมั่นไส้ชะมัด” ประโยคหลัง เธอเพียงแต่ทำปากขมุบขมิบ บ่นแบบไม่มีเสียง

   “เฮ้อ...” หยกส่ายหน้า เหมือนจะรู้ว่าเธอนินทา

   “พรุ่งนี้จะได้กลับบ้านแล้ว รู้สึกดีจัง” เธอเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากโดนหยกบ่น

   “นี่ท่าทางจะคิดถึงบ้านมากเลยสิ”

   “ก็แน่อยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเท่ากับอยู่ที่บ้านเราหรอกนะ”

   “ตั๋นตัดสินใจได้แล้วละสิ ว่าจะอยู่ไทย”

   “อืม ไว้เจอเจ่เจ้เมื่อไร ตั๋นค่อยบอกเจ่เจ้ด้วยตัวเอง หยกอย่าเพิ่งไปบอกละ”

   “ไม่ต้องกลัวเจ่เจ้เสียใจหรอก ไทยกับฮ่องกงก็แค่นี้เอง”

   “อืม แถมยังมีเครื่องบินส่วนตัวให้ใช้อีก ตั๋นอยากไปหาเจ่เจ้เมื่อไรก็ได้”

   “คิดได้แบบนั้นก็ดี โตขึ้นแล้วนะเรา”

   “เชอะ!! ทำเป็นพูดดี เวลาหยกอยู่กับพี่เสือ หยกก็ดูเป็นเด็กขี้อ้อนเหมือนกันนะ” เธอได้ทีแซวหยกคืนบ้าง

   “เฮียเปล่าสักหน่อย”

   “ปากปฏิเสธ แต่หน้านี่แดงไปถึงหูแล้ว สีหน้าออกแบบนี้พี่เสือเขาถึงได้หวงนักหวงหนา”

   เธอเห็นหยกเอามือลูบหน้าลูบตาตัวเอง เมื่อพูดอะไรไม่ออกก็เดินหนีเข้าไปที่ห้องลับ เธอได้แต่เดินตามแอบขำอยู่ในใจ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: หยก 3-04-19 {{:::77:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-04-2019 22:22:35
ดีแล้วที่ไม่มีใครเป็นอะไร เฮียเถิงไม่ต้องโทษตัวเอง มันเป็นอุบัติเหตุนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-04-2019 10:51:56
The End




   พี่ภากับคุณวรรณมารอรับพวกเราที่สนามบิน ตอนที่พี่ภาเห็นเฮียเถิงก็กรี๊ดกร๊าดในความหล่อ จนโบตั๋นหมั่นไส้ เพราะพี่ภามักจะถามเรื่องจุ้ยเถิงกับโบตั๋นเสมอ

   “เดี๋ยวคุณหยก กับคุณตั๋นกลับไปพักที่บ้านคุณเสือก่อนนะคะ”

   “อ่าว ทำไมละคะคุณวรรณ ตั๋นคิดถึงบ้านจะแย่ ทำไมให้ไปพักบ้านพี่เสือ”

   “บ้านคุณหงส์ ตอนนี้กำลังปรับปรุงอยู่ค่ะ”

   “ปรับปรุง ทำไปทำไมค่ะ บ้านก็ไม่โทรมสักหน่อย”

   “คุณหงส์เปลี่ยนบ้านหลังนั้นให้เป็นสตูดิโอให้คุณตั๋นค่ะ ไว้ทำงานยังไงละคะ”

   “จริงสินะ เจเจ้ไม่ได้กลับมาอยู่แล้วนี่นา”

   “ค่ะ แล้วอีกหน่อย คุณหยกคงต้องมาอยู่กับคุณเสือ” คุณวรรณกระซิบ เหมือนกับผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย

   “เขินที่คุณวรรณแซวเหรอ” พี่เสือหันมาถามผม

   “อืม” ผมพยักหน้า ไม่ปฏิเสธ เพราะผมเขินจริง ๆ

   “ถ้างั้นก็ย้ายมาอยู่กับพี่จริงๆ ไปเลยไหม ฝึกไว้ให้ชิน วันหลังจะได้ไม่เขินมาก”

   “พี่เสือก็พูดเป็นเล่น” ผมที่ไม่รู้จะตอบอะไร พูดออกมาได้เพียงเท่านี้

   “คุณนี่ก็ชอบแหย่อาหยงให้เขินนะ”

   “ก็เวลาหยกเขินมันน่ารักออกนี่” พี่เสือกับเฮียเถิงก็ดูจะเข้ากันได้ดีกว่าแต่ก่อน

   “อ่อ หยกจ้า พี่ลืมบอก คุณหญิงเขาอยากให้หยกไปพบแหนะ ท่านอยากเจอหยกและโบตั๋น” พี่ภาที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าเฮียเถิง พูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้

   “คุณหญิงกับคุณษาเป็นยังไงบ้างครับ”

   “คุณษาเธอยังเสียใจเรื่องนายเกรียงไกรอยู่ ส่วนคุณหญิงเองก็ห่วงแต่คุณษา”

   “แล้วเรื่องนายเกรียงไกรอะไรนั่น สรุปแล้วใครเป็นไปตามข่าวใช่ไหมคะ?” โบตั๋นหันมาถามอย่างสนใจ ก็คงอยากจะหาเรื่องเฮียเถิงนั่นแหละครับ

   “ใช่ค่ะ เป็นไปตามข่าวที่ออกมา หลังจากที่คนของคุณจุ้ยเถิงพาไปปล่อยไว้ที่คอนโด นายนั่นก็ออกไปดื่ม แต่ในข่าวไม่ได้บอกว่าเกรียงไกรไม่ได้จ่ายเงิน เดินออกมาเฉย ๆ นางแบบสาวคนนั้นเป็นเพื่อนเจ้าของผับ รู้จักกันกับเกรียงไกรอยู่แล้ว ตอนไกล่เกลี่ยค่าใช้จ่าย เธอโดนเกรียงไกรลวนลาม นั่นจึงเป็นสาเหตุให้โดนทำร้ายจนเป็นเห็นให้โดนแทงเสียชีวิต”

   “คุณหญิงคงให้ปิดข่าวบางส่วนสินะครับ” พี่เสือถามและมองไปทางโบตั๋น

   “ใช่ค่ะ คุณษาเธอเองเสียใจที่เลี้ยงลูกแบบตามใจมากเกินไป”

   “ตั๋นไม่เคยเจอคุณหญิงอะไรนั่นสักหน่อย ทำไมเขาอยากจะเจอตั๋นละ”

   “คุณหญิงเข้าถูกชะตากับหงส์ และหยกนะ เลยอยากจะรับ พวกเราสามพี่น้องเป็นหลานบุญธรรม”

   “ตอนนั้นเพราะเจ่เจ้กับหยกมีเมฆาขาวสวมอยู่หรอก เลยทำอะไรถูกใจไปหมด ถ้าตั๋นเข้าไปพบ ท่านคงเลิกความคิดนี้แน่ ๆ”

   “นั่นสินะ แก่นแก้วซะขนาดนี้” พี่เสือที่คุยกับจุ้ยเถิงอยู่หันมาแซว

   “ไม่ไปไม่ได้เหรอคะพี่ภา”

   “ไปสักครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ตั๋นจะได้เข้าพบคุณหญิงท่านก็ได้นะ” ผมพูดตามความคิดของผม แต่โบตั๋นคงตีความว่าผมแซวเธอ ทำให้เธองอนผมใหญ่เลย

........................................................................

   พยัคฆ์นำทุกคนเข้ามาพักผ่อนภายในบ้าน คุณวรรณขอตัวไปจัดงานที่บริษัทฯ ก่อน ส่วนคุณเพ็ญนภาเมื่อเข้ามาถึงในบ้านก็ดูจะเกาะติดสองพี่น้องมาก คงเพราะไม่ได้เจอกันนาน เขาจึงพาจุ้ยเถิงแยกตัวออกเพื่อพาขึ้นไปพักบนห้องที่ป้าลัยเตรียมไว้ให้

   “คุณเสือกลับมาแล้ว แล้วนั่นใครกันคะ นี่คงไม่ได้นอกใจคุณหยกของป้านะ” ป้าลัยที่เดินลงบันไดมาพร้อมกลับต้นกล้าทักขึ้น

   “ไม่ใช่ครับ นี่อาเถิงแฟนของพี่สาวหยก”

   “อ่อ แฟนพี่สาว ว่าแต่คนฝรั่งอะไรชื่ออาเถิง”

   “เขาเป็นลูกครึ่งจีนอเมริกันครับ”

   “อ่อ ถ้าอย่างนั้น เชิญคุณเสือกับคุณอาเถิงไปพักก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าให้เจ้ากล้าเอาเครื่องดื่มกับของว่างตามไปให้ ป้าขอไปแวะไปหาคุณหยกสักเดี๋ยว”

   “แม่ ไปด้วยดิ ห่วงนางฟ้า”

   “เออ พูดมาก จะไปก็ตามมา”

   จากนั้นทั้งสองคนก็เดินค้อมตัวผ่านพวกเขาไป จากหน้าตาที่จุ้ยเถิงแสดงออกมาว่าสงสัย คงเพราะฟังไม่ออกทั้งหมด ทำให้เขาต้องแปลคร่าว ๆ ให้ฟัง

   “อาหยงดูจะเป็นที่รักของทุกคนนะ”

   “แล้วคุณละ รักเอ็นดูได้ แต่อย่าคิดมากไปกว่านั้นก็แล้วก้น”

   “ผมอาจจะต้องทำตัวเป็นพี่ชายที่ดีแล้วละ มีน้องชายน่ารัก น่าเอ็นดูขนาดนี้”

   “คิดได้แบบนั้นก็ดี”

   “เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยแล้วกัน” เขาเห็นสายตาแปลก ๆ ของจุ้ยเถิง แล้วนึกเอะใจ ก่อนที่จะได้พูดอะไร “คืนนี้คุณก็จัดให้อาหยงนอนกับเสี่ยวฝู่แล้วกัน ยังไงคุณก็ยังเป็นแค่แฟนของอาหยง”

   “น้อย ๆ หน่อยอาเถิง เพิ่งจะเป็นพี่ชายหยกได้ไม่กี่วัน ทำเป็นหวง” เขาเริ่มจะหมั่นไส้จุ้ยเถิงตามโบตั๋นซะแล้วสิ

   “ก็ไม่แปลกถ้าหากพี่ชายจะหลงน้องชายตัวเอง”

   เขานำจุ้ยเถิงเข้ามาในห้องพักที่ป้าลัยเตรียมไว้ “หวังว่าคุณคงจะชอบ”

   “อืม น่าอยู่ดีนะบ้านของนาย คนที่นี่ก็ดี มิน่าอาหงส์ถึงไม่ห่วงอาหยง”

   “อีกสองวันก็ได้เจอหงส์แล้ว คุณไม่ต้องทำหน้าละห้อยขนาดนั้นหรอก”

   “ผมรู้ว่าคุณก็เร่งวันเร่งคืนอยู่เหมือนกัน ผมเห็นนะ ว่าเลขาสุดแสบของคุณแอบส่งอะไรให้”

   “รู้แล้วก็ไม่ต้องทำเป็นพูดมากหรอกน่า ว่าแต่คุณเถอะ กับหงส์ไปถึงไหนแล้ว ได้คุยกันก่อนออกเดินทางไปซางตูแค่วันเดียวเองนี่”

   “ถึงแค่นั้น ผมก็หงส์ก็ไม่ได้วางแผนอะไรต่อมิอะไรมากมายเหมือนอย่างคุณสักหน่อย”

   “หมายความว่ายังไง”

   “ผมตกลงกับหงส์แล้ว ว่าจะแต่งเข้าฝู่ แล้วก็จะเปลี่ยนสัญชาติตามอาหงส์”

   “คุยกันไปถึงเรื่องนั้นแล้วเหรอ”

   “ใช่ เจ็กลู่ตั้งชื่อไทยให้ผมด้วยนะ รณรัต ชูวนาสุวรรณ”

   “ผมขอถามอะไรคุณหน่อย เรื่องของคุณ อาชาติรู้ทุกเรื่องเลยรึยังไง”

   “หงส์บอกว่า เจ็กลู่ตามสืบเรื่องของผมมาตลอด เหมือนที่เขาคอยสืบเรื่องของคนรักนั่นแหละ เพียงแต่เขาไม่เคยเผยตัวออกมาเท่านั้น”

   “หงส์เลยไม่ค่อยห่วงสินะ ตอนที่รู้ว่าคุณจับตัวหยกไป”

   “มันก็เหมือนกับผมอยู่ในสายตาหงส์ตลอดนั่นแหละ”

   “ได้แฟนอย่างหงส์ท่าทางจะเหนื่อยหน่อยนะ”

   “ผมกลับคิดว่าเป็นโชคดีมากกว่า ที่ได้ผู้หญิงอย่างหงส์เป็นแฟน ผมต่างหากที่ต้องเห็นใจคุณ”

   “เห็นใจเรื่องอะไร”

   “ก็อาหยงน่ารักขนาดนี้ ถึงกับมีหนุ่มน้อยมาตามติดเรียกว่านางฟ้าบาริสต้าอีก”

   “เรื่องนั้นผมรู้ เอาไว้ให้ทุกอย่างลงตัว เรื่องนี้ผมมีแผนจะจัดการอยู่แล้ว”

   “อย่าลืมโรงเรียนครูศักดิ์ด้วยละ”

   “คุณพักไปเถอะ เรื่องหยกผมจัดการเองได้”

   “เขาเดินออกมาจากห้องของจุ้ยเถิง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังออกมา ได้ทีจุ้ยเถิงก็แซวเขาใหญ่ ใช่ว่าเรื่องของหยกเขาจะไม่เคยคิด เพียงแต่เขาอยากให้หยกเป็นคนตัดสินใจเองมากกว่า เลือกในสิ่งที่หยกชอบที่สุด

........................................................................
   
   ภายในพื้นที่ส่วนต้อนรับ ซึ่งถูกจัดให้อยู่ด้านหน้าสุดของที่ดิน คุณเปิ้ลและคุณโอ๋ช่วยกันต้อนรับแขกที่ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย มีทั้งบรรดานักข่าวชาวไทยและจีน รวมถึงนักธุรกิจชาวจีน จากแขกที่มาร่วมงาน ทำให้ชาวบ้านละแวกนี้พากันแตกตื่น โรงแรมโดยรอบที่ดินถูกจองเต็ม ทำให้รอบ ๆ ที่ดินของ ไร่วณารักษ์ ดูคึกคักขึ้น

   หงส์อยู่ในงานคอยดูแลคุณหญิงพรรณี โดยมีโบตั๋นคอยดูแลคุณสุพรรณษา ซึ่งผู้ใหญ่มั้งสองท่านรักและเอ็นดูโบตั๋นเป็นพิเศษ เพราะความสดใส เข้าถึงง่าย แม้จะแก่นแก้วแต่ท่านทั้งสองก็หัวสมัยใหม่ จึงยอมรับโบตั๋นได้ไม่ยาก

   ฝู่ไฉ๋ คุณวรรณ และเพ็ญนภา จัดเตรียมเรื่องงานแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ และเนื่องจากจะมีการถ่ายทอดสดในสถานีข่าวหลายสำนักทั้งของไทยและจีน เลยต้องดูแลกันมากหน่อย ยังดีที่ได้คุณต้น คุณเอ และคุณคีมาช่วย

   จุ้ยเถิงดูและเกี่ยวกับอาหาร ของว่างและเครื่องดื่มในงานร่วมกับต้นกล้าและป้าลัย ถึงแม้ป้าลัยจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องเพราะตื่นเต้นกับใบหน้าฝรั่งจ๋าของจุ้ยเถิง แต่ภาษามือภาษากายที่มักจะมีให้เห็นวุ่นวายเมื่อคนทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ช่วยให้สื่อสารกันได้ไม่ยาก อีกทั้งจุ้ยเถิงก็ดูจะสนุกกับการได้คุยกับป้าลัยไม่น้อย

   “ทุกอย่างก็ดูจะไม่มีอะไรติดขัดนะ สบายใจได้แล้วละ”

   “หยกกับคุณเสือยังไม่มาเลยนี่สิ เดี๋ยวก็ไม่ทันเวลากันพอดี” หลิวลู่อดที่จะบ่นไม่ได้

   “ให้เวลาไอ้เสือมันหน่อยน่าเสี่ยวลู่”

   “เฮียก็ตามใจคุณเสือมากไป”

   “เรื่องนี้หงส์ก็อนุญาตแล้วนะ ไอ้เสือมันไม่ทำให้เสียเรื่องหรอกน่า เวลาแบบนี้แล้ว ยังจะมาห่วงหลานอีกเหรอ”

   “ไม่ว่าโตขึ้นขนาดไหน หรือจะมีครอบครัวไปแล้วอั๊วก็เป็นห่วงอยู่ดี”

   “หงส์กลับฮ่องกงคราวนี้ก็เตรียมจะแต่งงานกับฝู่เถิง หยกกับไอ้เสือก็คงอีกไม่นาน โบตั๋นรึก็ดูสิ มีทั้งแม่และยายบุญธรรมคอยโอ๋ไม่ห่างแบบนี้ แล้วยังจะห่วงอะไรอีก ถึงเวลาที่เสี่ยวลู่ต้องปล่อยวางแล้วนะ”

   “อั๊วจะพยายามก็แล้วกัน”

   “ตอนนี้ไม่ต้องไปคิดถึงหลาน ๆ แล้ว คิดถึงแต่ตัวเองก็พอ หรือถ้าเป็นไปได้ เฮียก็ฝากตัวของเฮียเองให้เสี่ยวลู่คอยดูแลเป็นห่วงแทนได้ไหมล่ะ?”

   “เฮีย...ใช่เวลาไหม?”

   “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย 20 กว่าปีมานี้ เฮียไม่เคยได้อ้อนใคร รอก็แต่เสี่ยวลู่คนเดียวนี่แหละ”

   “แล้วตอนคุณลตาละ?”

   “เสี่ยวลู่ก็รู้ ว่าตอนนั้นพวกเราก็คบกันเพราะผลประโยชน์ หรือว่ายังติดใจเรื่องนี้อยู่”

   “คุณลตามาคุยกับอั๋วแล้ว อั๊วไม่ได้ติดใจสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้เธอก็เปรียบเหมือนหลานของอั๊วคนหนึ่ง”

   “แล้ววันนี้หลานคนใหม่มาด้วยรึเปล่าละ ทำไมเฮียยังไม่เห็น”

   “คุณลตาเธอไม่มาหรอก เธอเกรงว่าจะเป็นข่าวกับเฮียนั่นแหละ เลยตั้งใจจะให้เรื่องซาก่อนค่อยกลับมาที่ไทย ตอนนี้ก็ไปช่วยดูแลงานที่โรงแรมให้”

   “อืม จริงสินะ ตอนที่คบกับลตา ก็มีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน”

   “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับคุณกร คุณชาติ” ต้นกล้าเดินเข้ามารายงาน

   “เจ้ากล้า บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกคุณหลิว”

   “ครับ”

   วรากรและหลิ่วลู่เดินไปยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้สำหรับประธาน ที่ตรงนั้นจะมีคุณหญิงพรรณี และคุณสุพรรณษานั่งร่วมอยู่ด้วย ถัดมาก็จะเป็นแถวของจุ้ยเถิง คุณเปิ้ล คุณโอ๋ เพ็ญนภา ต้นกล้า และป้าลัย

   เอ ต้น คี คอยดูแลรอบ ๆ งาน โดยมีฝู่ไฉ๋เป็นผู้กำกับดูแลความเรียบร้อยของงาน จนกระทั่งหงส์ หยก และโบตั๋นก้าวเดินขึ้นไปบนเวที พยัคฆ์จึงเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ จุ้ยเถิง

   งานแถลงข่าวเปิดตัวสามพี่น้องฝู่ หรือชูวณาสุวรรณเริ่มต้นขึ้น โดยรายละเอียดการแถลงข่าวฝู่ไฉ๋เตรียมให้กับนักข่าวเป็น 3 ภาษา คือไทย จีน และอังกฤษ เนื้อความสรุปย่อ ๆ ว่าทั้งสามคนเป็นทายาทของตระกูลฝู่แห่งเยี่ยนหวอกรุ๊ป และมาเติบโตที่ประเทศไทย โดยที่ทั้งสามมีความคิดที่จะขยายธุรกิจมาที่ประเทศไทย เริ่มจากปางไม้เก่าที่เป็นที่จัดงานขณะนี้ ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวกึ่งรีสอร์ต

   หลังจากงานพิธีการจบลง สามพี่น้องรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องก็ต่างให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณหญิงพรรณี ที่มักจะไม่ออกมาให้สัมภาษณ์กลับยินดีพูดคุยกับนักข่าว โดยมีโบตั๋นคอยประคองดูแลอยู่ไม่ห่าง

   ทางด้านหงส์ก็ให้สัมภาษณ์คู่กับจุ้ยเถิง และพูดถึงงานแต่งงานที่คาดว่าจะจัดขึ้นหลังจากที่กลับไปที่ฮ่องกง ทำให้เกิดเสียงฮือฮากันในหมู่นักข่าวที่ให้สัมภาษณ์

   วารกรกับหลิวลู่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ห่าง ๆ มีนักข่าวมาสัมภาษณ์หลิวลู่บ้างประปราย แต่ก็ไม่มากนักเพราะวรากรคอยกันคนเหล่านั้นไว้ จนกระทั่งงานทั้งหมดจบลงด้วยดี หลิวลู่มองภาพตรงหน้าอย่างสุขใจ ถึงวันนี้จะเหนื่อยกันทุกฝ่าย แต่เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับมา เขาก็ดีใจ
   
   ‘เฮีย ซ้อ ไม่ต้องห่วงหลาน ๆ แล้วนะ’ หลิวลู่เอ่ยขึ้นในใจพร้อมทั้งมองขึ้นบนฟ้าที่สดใส รายล้อมด้วยกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่

   “เจ็กลู่ อากร มาถ่ายรูปกันค่ะ” เสียงโบตั๋นเรียก ทำให้เขาต้องหันไปมองก่อนพยักหน้าให้เล็กน้อย เขาก้าวไปยังกลุ่มตรงหน้า จุ้ยเถิงขยับให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างจุ้ยเถิงกับหงส์

   “ครบแล้วนะครับ แถวหลังด้านซ้ายมือขยับชิดเข้ามาอีกนิดครับ” ช่างภาพบอกพร้อมทั้งโบกมือประกอบอยู่หลังกล้อง

   “เดี๋ยวนะคะ หยกกับพี่เสือไปไหนแล้วละ”

   เสียงของโบตั๋นทำให้คนที่เตรียมจะถ่ายภาพมองหากันให้วุ่นวาย คนที่รู้อยู่แล้วก็ไม่คิดที่จะตอบคำถามโบตั๋น

   “ไม่เป็นไรค่ะ ถ่ายรูปกันเถอะค่ะ คุณหญิงท่านเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว” หงส์เลี่ยงที่จะตอบ ก่อนไปเร่งรัดกับช่างภาพ

   “ถ้าไม่ขาดใครแล้ว ทุกท่านหันมองกล้องนะครับ นับนะครับ 1 2 3”

   เสียงชัตเตอร์ของกล้องถ่ายภาพ บันทึกภาพถ่ายครอบครัวที่มีสมาชิกมากที่สุดเท่าที่ครอบครัวเล็กเล็กนี้เคยถ่ายด้วยกัน นอกจากหงส์ โบตั๋น ในภาพยังมี จุ้ยเถิง วรากร เจ็กลู่ คุณหญิงพรรณี คุณสุพรรณษา เพ็ญนภา และภาพนี้ก็ถูกเอาไปจัดวางไว้ข้างรูปสามพี่น้องที่ถ่ายด้วยกันที่สิมิลันต่อไป


The End



จบแล้ว 1 เรื่องถ้วนคร้า ไม่คิดว่าจะใช้เวลาเขียนยาวนานขนาดนี้

คำผิดก็เยอะ แก้ไปบ้าง ลืมแก้บ้าง หลงบ้าง ลืมบ้าง แต่ก็ขอบคุณทุกท่านที่ยังทนอ่านกันจนจบนะคะ

ฝากเรื่องอื่นๆ ให้แว๊บไปอ่านกันคร้า

Matryoshka [[มาโตรชก้า]] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66183.msg3788584#msg3788584) เรื่องอัพช้า ถึงช้ามากนะคะ เผลอทำพล๊อตเรื่องหายตอนเดินทาง เขียนไม่ออกเลย  :hao5:

ll น้ำตากิเลน ll (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69079.msg3918866#msg3918866)  เรื่องนี้แอบสปอยนิดหน่อย เป็นเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก การชำระล้างเมฆาขาว มันก็จะมีเกี่ยว ๆ กันนึสนึง
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-04-2019 12:30:43
 :L2: :L2: :L2:
ขอบคุณที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะจ๊ะ
จะติดตามเรื่องต่อนไปน้าาา
 o15 o15 o15
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-04-2019 11:22:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: cross ที่ 07-04-2019 21:53:41
สนุกมากกกก รอติดตามเรื่องอื่นๆ
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-04-2019 00:18:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 08-04-2019 02:06:02
สนุกมากเลยค่ะ ไม่ได้อ่านนิยายแนวนี้แบบสนุกๆมาพักใหญ่ๆแล้ว มาเจอเรื่องนี้เข้า อ่านรวดเดียวจบเลยจ้า หยุดอ่านไม่ได้จริงๆ ขอบคุณคนแต่งนะคะ นิยายคุณสนุกมากค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-04-2019 14:27:43
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ลุ้นกันตลอด

เดาไม่ถูเลยว่าใครร้าย

คดีพลิกตลอด

หัวข้อ: Re: หยก 6-04-19 {{:::The End:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Wanwann ที่ 09-04-2019 07:32:37
สนุกมากกก อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-04-2019 17:53:29
บทส่งท้าย







   หลังจากจบงานแถลงข่าว และงานเลี้ยงย่อม ๆ ที่ไม่ย่อมเอาซะเลย เพราะขนาดเจเจ้ไปจัดงานไกลถึงไร่วณารักษ์แล้ว พวกนักธุรกิจที่จีน ฮ่องกงและมาเก๊ากลับแห่ตามกันไปจนได้ แต่เหมือนอากรจะคาดการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว ทำให้แขกเหรื่อที่มางานจึงได้รับความสะดวกสบายกันพอควร

   “คิดอะไรอยู่ครับ” พี่เสือมาเงียบ ๆ ทำให้ผมตกใจ

   “อ๊ะ พี่เสือ ไหนว่าจะออกไปจองทริปดำน้ำยังไงละครับ”

   “จองเรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่หยกเถอะ คิดอะไรอยู่ ถึงได้ไม่รู้ตัวว่าพี่เข้ามาใกล้ขนาดนี้” พี่เสือฉวยโอกาสโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง

   “เราหนีมาเที่ยวแบบนี้ ไม่รู้ว่าทางเจ่เจ้จะเป็นยังไงบ้าง”

   “ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ ทางนั้นคนช่วยเยอะแยะ นี่ยังได้ต้นกล้ากับป้าลัยไปช่วยงานที่ไร่ด้วยอีก 2 คน”

   “ท่าทางต้นกล้าจะชอบธรรมชาตินะครับ ปีหน้าถ้าต้นกล้าเรียนจบ ลองให้ต้นกล้าไปดูแลที่ไร่ดีไหมครับ”

   “กล้ามันยังเด็ก คงต้องให้เรียนรู้งานที่บริษัทฯ ไปสักปีสองปี จากนั้นค่อยให้มันไปอยู่ที่นั่นก็ได้”

   “ก็จริงครับ”

   “ไม่เอาแล้ว ไม่พูดเรื่องงานกันนะครับ พี่พาหยกมารีแลกซ์นะครับ”

   “นั่นสินะ หลังจากนี้หยกก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะได้มาเที่ยวแบบนี้อีกไหม?”

   “ได้มาสิครับ พี่อยู่ด้วยทั้งคน แล้วก็ในหัวทุย ๆ นี่ ไม่คิดเรื่องงานสักนาทีได้ไหม” พี่เสือให้มือข้างหนึ่งตะปบบนหัวของผมเบา ๆ แล้วโยกไปโยกมา

   “พอแล้วครับ ๆ ไม่ต้องโยกแล้ว” ผมพูดทั้งที่หัวเราะออกมา

   “เราจะไปไหนกันดี ตอนนี้เราพอมีเวลาก่อนลงเรือสัก สองชั่วโมง”

   “ไปเดินเล่นที่ชายหาดกันก่อนก็ได้ครับ”

   พี่เสือยิ้มให้แล้วก็คลายอ้อมกอดเปลี่ยนมาเป็นจูงมือผม พวกเราเดินลงจากที่พักไปยังชายหาด ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่ครั้งนั้น พี่เสือยอมที่จะทำตัวเป็นพี่ชายไม่กดดันผม แต่ครั้งนี้ผมกับพี่เสือมาในฐานะคู่รักกัน ผมมองฝ่ามือที่กุมมือผมพร้อม ๆ ทั้งจูงเดินนำไปข้างหน้า

   ถึงแม้ผมจะดูแลครอบครัวของผมได้ ถึงแม้ผมจะดูแลตัวเองได้ ถึงแม้ผมจะรับมือเรื่องราวเลวร้ายต่าง ๆ ได้ แต่ครั้งนี้ผมขอยอมที่จะเดินตามคนคนนี้ ร้องขอให้คนคนนี้อยู่ข้างๆ และคอยปกป้องผม

   ผมขยับเข้าไปใกล้ เบียดใบหน้าเข้ากับไหล่กว้าง แล้วช้อนสายตาขึ้นมอง พี่เสือหันมายิ้มให้ผม “หยกรักพี่เสือนะ” กระซิบบอก

   “ถ้าจะทำตัวน่ารักขนาดนี้” พี่เสือหยุดเดิน แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาหาผม “เอาไว้ค่อยดำน้ำพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ” พี่เสือตวัดช้อนร่างของผม ผมที่ไม่ได้ตั้งตัว ถึงกับรีบคว้าลำคอหนาของพี่เสือไว้เพราะกลัวว่าจะตก มารู้ตัวอีกที เราก็มาถึงหน้าบ้านพักแล้ว

   พี่เสือวางผมลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา

   “พี่เสือ...” ผมเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงแผ่ว ร่างของพี่เสือคร่อมผมอยู่ พี่เสือส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เหมือนจะปลอบโยนผม แต่ตอนนี้ใจผมมันสั่นไปหมดแล้ว

   พี่เสือไล่สายหามองที่ใบหน้าของผม ลำคอ หน้าอก เอว สะโพก แค่นี้ตัวผมก็แทบจะลุกเป็นไฟแล้ว

   “เดี๋ยวพี่มานะครับ” พี่เสือลุกออกไปจัดการกับประตู ผ้าม่าน รอบ ๆ บ้านพัก ผมที่นอนใจเต้นระรัวอยู่ได้แต่ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่เห่อร้อนของตัวเอง ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีอะไร ๆ กับพี่เสือมาก่อน แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ว่ามันต่างออกไป

   “คิดอะไรอยู่ครับ” เตียงข้าง ๆ ที่ยวบลง มาพร้อมกับเสียงกระซิบข้างๆ หู ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาจนไม่ได้มองว่าพี่เสืออ้อมมือมาจับท้ายทอยแล้วรั้งให้ผมรับจูบหนัก ๆ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน จนผมเกร็งไปหมด เราจูบกันนานกว่าครั้งไหน ๆ พี่เสือจูบสลับกับหยอกล้อที่ริมฝีปากของผม

   พี่เสือเบียดตัวเขามาหาผมจนกระทั่งแผ่นหลังผมสัมผัสกับเตียงนุ่ม มือข้างหนึ่งขยับมาปัดป่ายที่ยอดอก ความรู้แปลก ๆ เหมือนโดนไฟช็อตแทรกเข้ามา ผมเริ่มมึนงง และเหมือนกำลังจะขาดใจอยู่แล้ว เพียงเพราะจูบและมือที่สัมผัสกับตัวผม

   สติที่เลื่อนลอยของผม ทำให้ผมไม่ได้รับรู้เลย ว่าเสื้อผ้าของผมหลุดออกไปจากร่างตั้งแต่เมื่อไร ผมแค่รับรู้ถึงริมฝีปากของพี่เสือที่เลื่อนจูบมาที่แก้ม ไล่ลงไปที่ลำคอ ไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ ก่อนหยุดที่หน้าอก ผมสะดุ้งเฮือกกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อริมฝีปากของพี่เสือทั้งขบเม้ม ทั้งตวัดละเลงลิ้นไปมา

   “อ๊า...” ผมหลุดครางออกมา

   “ฮึมมมม” พี่เสือก็ดูเหมือนจะครางรับในลำคอ ปากดูดเม้มแต่อีกมือก็ขย้ำหยอกล้ออีกข้างที่เหลือจนผมต้องบิดตัวไปมาระบายความร้อนรุ่มในตัว แต่เมื่อผมยิ่งขยับก็เหมือนกับผมยิ่งเบียดกับร่างพี่เสือมากขึ้น

   “พะ...พี่...เสือ...” เสียงของผมเบาหวิว จนคนที่กำลังยุ่งกับร่างของผมไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย

   “ชอบไหมครับ” พี่เสือพูดขณะไล้ริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือยังคงหยอกล้อกับหน้าอกของผม และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องสะดุ้งเพราะริมฝีปากหนาร้อนครอบลงบนกลางกาย จากนั้นก็เริ่มรูดรั้ง

   “อ๊า...อื้อ....” ผมเสียวจนไม่อาจจะกลั้นเสียงได้อีกต่อไป ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศ ในหัวขาวโพลนไปหมด ความแปลบปลาบไปทั่วร่างกระทั่งปลายเท้าทำให้ผมไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป ผมปลดปล่อยฉีดพ่นเข้าโพลงปากพี่เสือ

   พี่เสือเงยหน้าขึ้นสบตาผม ที่มุมปากมีคราบน้ำขาวข้นติดอยู่ แต่คนตรงหน้ากลับเลียมันจนหมดก่อนก้าวขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้

   “หยกทำให้ทุกอย่างที่พี่ตั้งใจจะทำ มันผิดแผนไปหมด พี่คงต้องลงโทษหยกแล้วละ” เสียพี่เสือแหบพร่า จนเดาไม่ออกว่าพี่เสือโกรธผมอย่างที่ปากพูดรึเปล่า ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่มีแรงที่จะถามอะไรออกไป ได้แต่ยอมรับการลงโทษของพี่เสืออย่างเต็มใจ

   พี่เสือใช้มือรูดรั้งส่วนนั้นของผมอีกครั้ง ราวกับจะไม่ให้มันได้พัก เมื่อมันตื่นตัวพี่เสือก็เปลี่ยนเป็นสอดนิ้วเข้าไปสำรวจช่องทางด้านหลังของผม

   “อ๊า...” ผมครางออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อพี่เสือขยับนิ้วเข้าออกเป็นจังหวะอย่างช้า และนี่คงเป็นบทลงโทษของพี่เสือ จังหวะการกระทำที่เชื่องช้ายาวนานอย่างนี้ “พี่...เสือ”

   “ครับ” พี่เสือหยุดขยับนิ้วมองหน้าผมนิ่ง ผมได้แต่หลบสายตามองไปทางอื่น

   “หยกต้องการพี่เสือ”

   “อะไรนะครับ”

   “ของพี่เสือ”

   “มองหน้าพี่ก่อนสิครับ” ผมหันไปสบตาคนเจ้าเล่ห์ที่แกล้งผม

   “...”

   “หยกอยากได้อะไรพี่ให้หมด เพียงแต่หยกพูดมันออก”

   “หยกขอ หยกต้องการพี่...” ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค คำพูดก็กลืนหายไปในลำคอด้วยริมฝีปากของพี่เสือ

   พี่เสือชักนิ้วออกก่อนยกขาของผมให้อ้ากว้างเพื่อรับตัวตนของพี่เสือเข้ามา แล้วค่อยกดเข้าไปในช่องทางด้านหลังของผมอย่างใจเย็น

   “เฮือกกก....” ผมยังคงเจ็บ ถึงจะไม่มากเท่ากับครั้งแรก แต่พี่เสือก็คอยนวดไปตามร่างกายของผมจนมันหายเกร็ง และจากความรู้สึกเจ็บในตอนแรกกลับเปลี่ยนไปเป็นความเสียวซ่าน ความสุข แรงกดอัด แรงกระแทกเข้ามาเน้น ๆ ทำให้ผมปลอดปล่อยออกมาอีกครั้ง และก่อนสติอันน้อยนิดของผมจะหายไป

   มือทั้งสองข้างของพี่เสือ จับประคองศีรษะของผมเอาไว้ หน้าผากของเราแนบชิดกับ ริมฝีปากของพี่เสือขยับอยู่ตรงริมฝีปากของผมพอดี “พี่ขอโทษนะครับคนดี ที่พี่อดใจเอาไม่ไหว”

   ผมยื่นริมฝีปากไปสัมผัสกับริมฝีปากของพี่เสือเบา ๆ พี่เสือจัดท่าให้ผมนอนได้สบายขึ้นก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงวัตถุเย็น ๆ สวมเข้ามาที่นิ้วมือของผมข้างหนึ่ง ผมพยายามจะลืมตามขึ้นมามองสิ่งนั้น แต่เพราะความเหนื่อยล้าทำให้ผมแค่ปรือตามอง

   “แต่งงานกับพี่นะครับ หยกเป็นของพี่แล้วนะ” เสียงพี่เสือที่กระซิบอยู่ข้างหูเป็นคำตอบของสิ่งของที่อยู่บนนิ้วของผม

   “อืม...รักจัง” ผมพูดออกมาได้แค่นั้นจริง ๆ ก่อนจะหลับลงไปด้วยความสุขที่ล้นออกมาหัวใจ









THE END









   .

   .

   .


   แพเหนือจุดดำน้ำ ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่ขอแต่งงานที่ไม่อลังการจนเกินไป แต่ก็น่ารักในสายตาของนักท่องเที่ยวที่เวียนกันมาดำน้ำที่จุดนี้ สาว ๆ หลาย ๆ คงถึงขึ้นรอดูหน้าของเจ้าสาวผู้โชคดี และเจ้าบ่าวแสนจะโรแมนติก

   “ต้า มึงไม่โทรหาคุณเสือวะ ป่านนี้ยังไม่พาคุณหยกมาอีก” เก่งที่หนีงานใหญ่ที่ไร่วณารักษ์ มาลุ้นงานของเจ้านายเก่า รอจนเริ่มรอไม่ไหวบ่นขึ้น

   “กูโทรถามคนเรือแล้ว เขาว่าคุณเสือยังไม่พาคุณหยกลงมาเลยว่ะ”

   “มึงก็โทรเร่งดิ เดี๋ยวพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่ได้ขอแต่งงานกันพอดี”

   “กูโทรไปแล้ว แต่ปิดเครื่อง”

   “คุณหยกละ?”

   “กูไม่รู้ว่าจะอ้างคุณหยกยังไงไม่ให้แผนแตก”

   “งั้นกูเอง” จบประโยค เก่งก็กดโทรศัพท์หาพี่ชายของเจ้านายใหม่ อย่างมากก็อ้างว่าโบตั๋นหาคุณหยกในงานไม่เจอ เลยให้โทรตาม “...ปิดเครื่องเหมือนกันว่ะ?”

   เก่งและต้าได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร งานที่เตรียมมาเป็นอาทิตย์ จะละทิ้งไปก็คงไม่ได้ ทั้งสองจึงได้แต่รอคอยไปเรื่อย ๆ




   
...จบจริงแล้วนะ...
[/color]
หัวข้อ: Re: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 11-04-2019 05:42:53
 :pig4:  สนุกมากค่ะ ปกติไม่ชอบอ่านนิยายที่มีชื่อจีน เพราะเป็นอะไรไม่รู้ชอบสับสนชื่อแล้วต้องนึกว่าไอคนนี้คือใครนะ 55
หัวข้อ: Re: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-04-2019 07:52:51
สนุกดีค่ะ
เป็นเรื่องที่ยาวมากๆ
อ่านเกือบ 5 วันกว่าจะจบ
ปมเรื่องซับซ้อนดีค่ะ
มีคำผิดหลายจุดอยู่
เหมือนสลับตำแหน่งกัน
แต่ไม่ได้ทำให้สิ่งที่จะสื่อออกมาหาย
โดยรวมโอเคค่ะ
หัวข้อ: Re: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:00:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หยก 9-04-19 {{:::บทส่งท้าย:::}}
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 11-08-2020 19:35:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: