ตอนที่ 33
“ชอบไหม”
[เฮ้ยมึง ไอ้แทงค์]
“ว่าไง” ผมตอบรับเมื่อได้ยินเสียงไอ้ฮัทดังลอดออกมาทันทีที่ผมกดรับสายมัน
[มึง...โอเคป่ะวะ]
“...ไม่มีอะไรที่กูโอเคหรอกตอนนี้” ผมตอบเสียงเนือย เหนื่อยล้าเหลือเกิน...ไม่ใช่กายนะครับ เป็นใจต่างหาก
[กูไม่รู้จะ...เฮ้อ กูทำอะไรไม่ได้เลยเหรอวะ ไม่อยากให้พวกมึงทะเลาะกันแบบนี้เลย]
ผมเองก็ไม่ได้อยากทะเลาะกับพวกมันเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ผมเป็นฝ่ายผิดในสายตาของไอ้เนสกับไอ้คลาร์ก และใช่...ผมผิดจริงอย่างที่พวกมันคิดนั่นล่ะ “มึงไปคุยกับพวกมันมาว่าไงล่ะ”
[พวกมันโกรธมึงมากเลยว่ะ พูดเหตุผลอะไรไปก็ไม่ฟัง]
“ฮึ ก็ไม่ต่างจากที่กูคิดไว้” ผมแค่นหัวเราะ “ช่างมันเถอะ พวกมันจะคิดไงก็แล้วแต่ เพราะกูคงทำอะไรไม่ได้แล้วเหมือนกันในเมื่อพวกมันคิดว่ากูทิ้งเพื่อน ซึ่งก็เป็นตามที่มันพูดทุกอย่าง กูทิ้งทุกคนไม่เว้นแม้แต่มึง มึงเองก็ควรจะโกรธกูเหมือนกัน”
[ไม่ไอ้แทงค์ กูคนหนึ่งที่ไม่คิดแบบนั้น กูเข้าใจมึง และถ้ากูเป็นมึงกูก็ตอบรับเหมือนกัน โอกาสแบบนี้ไม่ใช่จะมีเข้ามาในชีวิตง่ายๆ ใครไม่คว้าไว้ก็แปลกแล้ว]
“ขอบใจ” ผมยิ้มบางๆ รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนที่เข้าใจกัน แต่...ความรู้สึกผิดของผมก็ยังไม่จางหายไปอยู่ดี
ผมไม่ได้คิดจะทิ้งเพื่อน อาจจะเป็นการแก้ตัวที่ผมมาพูดอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ นะ ผมไม่ได้คิดจะทิ้งพวกมัน ตอนนั้นผมดีใจมากไปหน่อยที่ผมได้รับความสนใจจากค่ายเพลงดังทั้งๆ ที่ยังเรียนอยู่ปีสอง นั่นน่ะเป็นความฝันของนักดนตรีหลายๆ คนเลยนะครับ มีใครบ้างจะกล้าปฏิเสธข้อเสนอที่ได้รับ
แต่ก็แล้วยังไง สุดท้ายแล้วพอโดนพวกมันพูดใส่หน้าแบบนั้น ผมก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่าตัวเองตัดสินใจพลาดไปแล้วจริงๆ ผมนึกถึงแต่ตัวเอง โดยลืมคิดถึงคนอื่นๆ ในวงไปซะสนิท...ผมแม่งโคตรแย่เลยว่ะ
“แล้วนี่มึงโทรมาแค่เรื่องของพวกมัน หรือว่ามีเรื่องอื่นอีก?”
[ก็มีเรื่องอื่นด้วย คือ...] ไอ้ฮัทเงียบไป มันดูลังเลใจว่าควรจะพูดดีไหม จนผมต้องบอกให้มันเอ่ยออกมาตรงๆ มันถึงได้ยอมอ้อมแอ้มบอกออกมา [เรื่องร้านพี่เฟิ่งคืนพรุ่งนี้อ่ะ พวกมันบอกกับพี่เฟิ่งว่าจะขอหยุดเล่นไม่มีกำหนดว่ะ มันบอกว่าจนกว่าจะหามือกลองคนใหม่ได้ค่อยกลับไปเล่น]
ให้ตาย ผม...พูดไม่ออกเลยว่ะ
ที่มันพูดแบบนั้น หมายความว่าตัดผมออกจากวง ผมเข้าใจถูกแล้วใช่ไหม...
[ไอ้แทงค์ มึงอย่าเพิ่งคิดมาก พวกมันก็แค่กำลังโกรธ อีกสักพักก็คงหาย กูจะช่วยพูดอีกแรง มันคงไม่ตัดมึงออกจากวงจริงๆ หรอก เราฟอร์มวงกันมาตั้งแต่แรก ไม่ทิ้งกันง่ายๆ หรอกว่ะ]
“แปลกนะที่คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดแบบมึงมาพูดปลอบใจกูซะเยอะแยะแบบนี้ ฮะๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนความวูบโหวงในใจ “แล้วเผื่อมึงลืม...มันบอกกูเองนะว่ากูทิ้งพวกมันแล้ว คงไม่แปลกถ้าพวกมันจะทิ้งกูบ้าง หึๆ”
[ไอ้แทงค์...]
“ช่างเถอะฮัท ออกก็ออก สมแล้วกับความผิดของกูที่ทำกับพวกมึง ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่โทรมาบอก ไว้คุยกันวันหลังนะ กู...มีธุระต้องไปทำว่ะ” ผมบอกมันก่อนจะกดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่รอให้มันแย้ง และมันก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมไม่ต้องการคุยอะไรอีกแล้วทั้งนั้นในตอนนี้ เพราะมันไม่ได้โทรกลับมาหาผมอีก
ผมถอนหายใจยาว ค้อมหลังลงแล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดเข่า ซบหน้าลงไปกับเข่าก่อนจะหลับตาลง
แปะ
เฮือก!
แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีมือหนึ่งมาแตะเข้าที่หัว หากพอลืมตาเงยหน้าขึ้นมองก็เจอเข้ากับคนที่อยู่เคียงข้างผมไม่ไปไหนมาตั้งแต่เมื่อวาน คนที่ทำให้ความหนักอึ้งในใจของผมคลายตัวลงได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
ท่านเจ้าที่
“หิวไหม” เขาถามผมด้วยโทนเสียงอ่อนโยน ราวกับรู้ว่าจิตใจของผมตอนนี้กำลังไม่มั่นคง
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ดึงเขาให้ขยับเข้ามาหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมกอดเอวหนาของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นแทน แนบหน้าผากลงกับหน้าท้องเป็นลอนที่แม้จะมีเสื้อยืดกั้นแต่ผมก็สัมผัสถึงกล้ามแน่นๆ ข้างใต้นี้ได้ ฮะๆ ขนาดผมกำลังเศร้าแม่งก็ยังคิดเรื่องหื่นๆ ได้ว่ะ ตลกตัวเองชะมัด
ผมยกยิ้มบางเบา คลอเคลียจมูกไปมากับหน้าท้องของท่านเจ้าที่ ปากก็พึมพำเรียกชื่อท่านเขาไปด้วย
“พี่ภู พี่...”
“อืม ว่าไง” เขาตอบรับ แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ผมเอาไว้หลวมๆ ส่วนอีกข้างยกขึ้นมาลูบเส้นผมของผมเล่น
“ผมเหนื่อยว่ะพี่ เหนื่อยใจจังเลย” ผมโอดครวญ ถอนหายใจก่อนจะนึกขึ้นได้...จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่ได้เล่าให้เขาฟังเลยนี่นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผมตอนนี้ “พี่รู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม”
“ไม่รู้” เขาตอบ
ผมเงยมองเขาพลางถอนหายใจอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราอยู่ในศาลานั่งเล่น ผมมานั่งรับลมชมดอกไม้ในสวนที่นี่ด้วยหวังว่าสายลมเย็นๆ กับสีสันของดอกไม้จะทำให้จิตใจอันห่อเหี่ยวของผมมันฟื้นคืนความสดใสขึ้นมาได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะผมยังคงได้ยินคำพูดของพวกมันดังซ้ำๆ อยู่ในหัวไม่เลิกอยู่ดี
“อยากเล่าไหม?” ผมหันกลับมามองท่านเจ้าที่เมื่อเขาเอ่ยขัดความคิดคำนึงของผม “อยากระบายความในใจของนายออกมาหรือเปล่า ฉันพร้อมรับฟังนายนะ อย่างไรเสียนายก็เป็นคนที่ฉันต้องปกป้องคุ้มครอง”
ผมเงียบไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น ใจรู้สึกดีขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกแล้ว เพราะแบบนั้นผมก็เลยเปิดปากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง อย่างน้อยคนที่มีอายุมายาวนานเกือบสองร้อยปีอาจจะมีวิธีที่ทำให้ผมแก้ปัญหาบ้าบอนี่ได้
ผมเล่า เล่า แล้วก็เล่า เล่าทุกเหตุการณ์ ทุกคำพูดที่พวกมันพูดกับผมและผมจำได้ไม่ลืม เล่าไปก็แสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปโดยไม่รู้ตัว...ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนในขณะที่เล่าอยู่ ไม่รู้เลยว่าตอนที่เล่าจนเกือบจะจบ ผมกำลังร้องไห้ แม่ง ผมร้องไห้อีกแล้วว่ะ ทุเรศฉิบหาย
“อึก...” ผมพยายามฝืนตัวไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีก เวรเอ๊ย นี่มันแย่โคตรๆ เลยว่ะครับ ผมไม่ชอบที่ตัวเองอ่อนไหวทางอารมณ์แบบนี้เลย ทำไมคนที่ผมแคร์ถึงได้ทำให้ผมเจ็บใจได้มากขนาดนี้ พวกมันคือเพื่อนที่ผมแคร์มาก แต่จะโทษใครได้ในเมื่อที่พวกมันทำแบบนี้กับผมก็เพราะผมทำพวกมันก่อน
ผมทำลายคำสัญญาที่ให้ไว้กับพวกมันด้วยตัวผมเอง
ผมยกมือเช็ดน้ำตาออกลวกๆ แต่ท่านเจ้าที่กลับปัดมือผมออกแล้วเป็นฝ่ายเกลี่ยปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาแทนผม มือหนาปาดมันออกจากแก้มทั้งสองข้างอย่างเบามือ ดวงตาสีรัตติกาลมองผมด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยน
“อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่าโทษตัวเองเลย การเลือกทางเดินให้อนาคตของตัวเองไม่ได้หมายความนายทิ้งคนข้างหลังเสมอไป พวกนายก็แค่กำลังโกรธและไม่เข้าใจกัน ขอแค่ฝ่ายหนึ่งยอมรับฟังและอีกฝ่ายพยายามอธิบาย ฉันเชื่อว่ะพวกนายจะกลับมาดีกันได้แน่นอน เพื่อนกันยังไงก็ตัดกันไม่ขาดหรอก”
“ผม...พวกมันคงคิดว่าผมทิ้งพวกมันไปแล้วจริงๆ”
“ความดีใจทำให้คนเราหลงลืมสิ่งรอบข้าง ความโกรธทำให้คนเราพูดจาหักหาญน้ำใจคนอื่นโดยไม่ทันคิดให้ดีอยู่เสมอ บางทีนายอาจจะต้องรอให้พวกเขาใจเย็นลงก่อน เมื่อพวกเขาคิดอะไรได้บ้างและพร้อมจะรับฟังคำพูดของนาย พวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายเดินกลับมาหานายเองก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่นายควรทำก็คือรอ และอย่าโทษว่าตัวเองผิดอีกเลย”
“มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ?” ผมถาม ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูด
ผมพร้อมจะยอมรับหากพวกมันคิดจะตัดเพื่อนกับผมจริงๆ (ซึ่งมันอาจจะคิดแบบนั้นไปแล้วก็ได้) แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่ดีนะครับ ผมยังเห็นพวกมันเป็นเพื่อนเสมอ
“ฉันไม่รู้หรอก เมื่อถึงเวลานะเด็กน้อย ไอ้เจ้าเวลานี่ล่ะที่จะบอกนายเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่” ท่านเจ้าที่ตอบพลางยกยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมอีกครั้ง รอยยิ้มที่คอยปลอบประโลมผมตั้งแต่เมื่อวาน
“ขอบคุณนะพี่ที่รับฟังผม” ผมยิ้มตอบเขาด้วยใจจริง
เขาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคว้ามือผมไปจับแล้วดึงผมเดินออกมาจากศาลานั่งเล่น “ตามมานี่หน่อยสิ”
“ไปไหนครับ?”
“เถอะน่ะ”
แม้จะงงแต่ผมก็ก้าวเท้าตามเขาไป...ท่านเจ้าที่จูงผมมาจนถึงอีกฝั่งของบ้าน ส่วนใหญ่ตรงนี้ผมไม่ค่อยได้เดินมาเพราะว่ามันเป็นสวนต้นไม้ที่ส่วนมากมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่โต แถมยังปลูกเอาไว้เรียงชิดติดกันจนดูรกไปหมด ผมไม่มีเวลาทำสวนในส่วนนี้นัก อย่างมากเลยก็แค่รดน้ำโดยการเปิดสปิงเกอร์เอาไว้เท่านั้น และนานๆ ทีถึงจะมาถอนมาถากหญ้า
“ตกลงลากผมมาทางนี้ทำมะ...”
ผมนิ่ง อะไรที่คิดจะพูดก็มีอันหยุดปากลงในทันทีเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เบื้องหน้าของผมคือต้นไม้ใหญ่ตระหง่านสูงต้นเดิม หากแต่ที่ใต้ต้นของมันนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว...ตรงกิ่งก้านอันใหญ่โตของมันที่โน้มลงมามากกว่ากิ่งอื่นๆ ถูกผูกเอาไว้ด้วยเชือกป่านเส้นหนาสองเส้น ตามสายเชือกป่านพันตกแต่งเอาไว้ด้วยเถาวัลย์สีเขียวปนน้ำตาลเปลือกไม้ และตามก้านเถาวัลย์ก็มีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่งอยู่ทั่ว สิ่งที่เชื่อมเชือกทั้งสองเส้นเอาไว้ที่ด้านล่างก็คือแผ่นกระดานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มันมีขนาดพอเหมาะให้คนๆ หนึ่งนั่งลงไปได้โดยไม่หล่น
ชิงช้า
...มันคือชิงช้าครับ และมันสวยมากเลยด้วย
“ชอบไหม”
ผมหลุดจากอาการตกตะลึง เลิกลั่กมองหน้าคนถาม “ถามผมเหรอ?”
“ถามสัมภเวสีเร่ร่อนล่ะมั้ง ก็ฉันคุยอยู่กับนายเนี่ย จะให้ฉันไปถามใคร”
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ยกมือเสมอไหล่เป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้ “โอเค ผมผิดเองที่ถามโง่ๆ ว่าแต่ชิงช้านี่พี่ทำ?”
“อืม ตกลงนายชอบหรือเปล่าล่ะ”
ผมเงียบไม่ตอบ มองชิงช้าที่อาจจะดูธรรมดา แต่มันกลับสวยงามจนไม่อยากละสายตา ริมฝีปากยกยิ้มกว้างขึ้นมาในตอนที่ผมตัดสินใจเดินไปนั่งลงบนแผ่นไม้ของชิงช้าแล้วแกว่งไกวมันเบาๆ
ผมมองสำรวจเส้นเถาวัลย์กับดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ที่พันเกี่ยวกับเชือกป่านอยู่พักหนึ่ง ก่อนสุดท้ายจะหันกลับไปหาท่านเจ้าที่เพื่อตอบคำถามที่เขาถามค้างเอาไว้และผมยังไม่ได้ให้คำตอบ
“ชอบมากเลยครับ”
ท่านเจ้าที่ยิ้มกว้างมาให้ผม รอยยิ้มของเขาทำเอาผมใจกระตุก รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งอกจนต้องยิ้มกว้างตามเขา...
“แค่นายชอบก็ดีแล้ว”
__________
อ้าว เราบอกผิดแฮะ ตอนหน้าต่างหากที่อาจจะโดนด่า 555 ตอนนี้มันก็จะอบอุ่นหน่อย...รึเปล่า? หูยย จริงๆ จะอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่หมดเวลาไปกับการดูพี่เอก HRK แคสเกมผีไทยอย่าง Home Sweet Home ย้อนหลังค่ะ แฮ่ๆ 5 ชั่วโมงแห่งความระทึก กรี๊ดจนคอแทบแตก ไม่มีอะไรโหดเท่าผีไทยอีกแล้ว โดยเฉพาะผีนางรำกับเสียงดนตรีไทยเนี่ย ยอมอ่ะ ผวากรี๊ดจนคอแทบแตกอ่ะค่ะ ว่างๆ ไปดูกันได้นะ หลอนแต่สนุกดีค่าาา
ส่วนวันนี้มาอักช้ามากเพราะหนึ่ง...ติดดูหนังค่ะ วันนี้ดูจบไปสองเรื่อง ตอนบ่าย Wonder Woman ตอนค่ำ White House Down ดูจนตาแฉะ 55 ไม่ได้หรอกค่ะ มีเวลาว่างต้องใช้ให้คุ้มก่อนจะไม่ว่าง ฮือออ พรุ่งนี้สอบโรลเพลย์แล้วด้วย ขอกำลังใจให้เราด้วยนะคะ กำลังใจของเราคือคอมเมนต์ค่ะ ส่งมาเยอะๆ //ขอแบบหน้าด้านๆ ไปอีก 5555
วันไหนสักวันเราอาจจะพิมพ์ทอล์คพิเศษมาคุยด้วยนะคะ หวังว่าจะมีคนสนใจอ่าน เพราะเราอยากคุยเกี่ยวกับที่มาของนิยายเรื่องนี้และอีกหลายๆ เรื่องด้วยค่ะ บางทีอาจจะตอบคอมเมนต์ด้วย ใครมีอะไรสงสัยทิ้งคำถามไว้ได้นะคะ ถ้าตอบได้จะได้เอามาตอบทีเดียวเลยเนอะ...ออหอ ทอล์คยาวอีกแล้ว ไปดีกว่า เจอกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บๆ