[END] Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ!:: จบแล้ว [22-08-2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ!:: จบแล้ว [22-08-2018]  (อ่าน 99025 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พอเคลียร์กับท่านเจ้าที่ได้ มีปัญหากับเพื่อนเลย ท่านเจ้าที่ช่วยที  :m26:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
      เข้าใจเลยค่ะว่าไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆนี่แหละที่ทำให้เพื่อนที่รักกันมาก รอกันเดินเข้าโรงเรียนตอนมัธยมและจดเลคเชอร์ให้กันตอนมหาลัยมองหน้ากันไม่สนิทใจเหมือนเดิมปัญหาเล็กๆของแต่ละคนให้รีเฟล็กซ์ที่ต่ากัน
     ส่วนในเรื่องน่าจะแค่เหมือนโดนเพื่อน เพื่อนที่วางฝันด้วยกันและอยู่ๆมันไม่ได้เป็นตามที่วางไว้คนอื่นๆเลยน้อยใจ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
แทงค์ต้องปล่อยไปก่อนอะ
ถ้าเพื่อนดีจริงมันจะคิดได้เอง
ถ้าไม่ ก้ต้องปล่อยไปอะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ้าว โดนโกรธเฉยเลย

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ดราม่าสุดดดดด

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

ตอนที่ 30

“ฉันคิดจะทำให้นายกินนั่นล่ะ"
 

หลังเลิกคลาสผมตั้งใจจะกลับบ้าน แต่ผมก็รู้ตัวเองดีว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถขี่รถกลับได้แน่ๆ ถ้าสมองของผมเอาแต่คิดวนเวียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และหากผมฝืนตัวเองคงไม่พ้นเอารถไปโหม่งเสาไฟฟ้าหรือชนใครเข้า

ผมไม่โอเคว่ะครับ รู้สึกแย่มาก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนสูบเรี่ยวแรงจนหายไปหมด มันล้าไปทั้งใจจนผมไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเท้าเดินด้วยซ้ำ ความรู้สึกแง่ลบส่งผลกับร่างกายของผมจนไม่อยากจะทำอะไร ตอนนี้ผมก็เลยนั่งโง่ๆ อยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่งข้างคณะเยื้องไปทางด้านข้างอาคาร มันอยู่ใต้ร่มไม้สูงใหญ่ ไม่ค่อยมีคนมานั่งแถวนี้เพราะส่วนใหญ่เด็กคณะผมมักจะไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร หรือไม่ก็โต๊ะม้าหินหน้าคณะมากกว่า

ผมต้องการที่เงียบๆ ในการนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมต้องการที่ที่ไม่มีใครเพื่อให้ตัวเองได้สบถด่าความงี่เง่าของเพื่อนทั้งสองที่กำลังโกรธผมทั้งๆ ที่พวกมันควรยินดีกับผม และด่าตัวเองสำหรับการตัดสินใจที่ผิดพลาด ผมผิดเองที่ลืมสัญญาที่ได้ให้กันไว้กับพวกมัน ผมมัวแต่สนใจอนาคตของตัวเองในฐานะศิลปินโดยปราศจากความคิดคำนึงถึงเพื่อนร่วมวงที่เหลือ...บางทีคนที่งี่เง่าอาจจะเป็นผมเองซะมากกว่า

ผมเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ แสงแดดรำไรส่องประกายลงมาเล็ดลอดผ่านยอดไม้เหล่านั้น มันวิบวับไปมาเมื่อมีสายลมพัดผ่านจนกิ่งไม้ไหว...เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไง มันบอกไม่ถูกเลยครับ ทุกอย่างดูสับสนปนเปกันไปหมด ในอกของผมมันหน่วงๆ หนึบๆ เหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ในนั้น

ผมโกรธเหรอ? เสียใจ? รู้สึกผิด?

...ไม่รู้สิครับ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตอนนี้มีกี่อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นในใจของผม

หลับตาลงเมื่อรู้สึกร้อนๆ ที่หัวตา ไม่...ผมไม่ได้อยากร้องไห้ และผมจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด ผมไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น แม้ว่าตรงนี้จะไม่มีใครนอกจากผมก็ตาม

“ฮะๆ ตลกเกินไปแล้วไอ้แทงค์ แค่โดนเพื่อนด่ามึงจะร้องไห้ทำไมวะ” ด่าตัวเอง ยกมือปิดหน้าแล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ กระพริบตาถี่เม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังปิดหน้าอยู่อย่างนั้น...ยังไงผมก็ควรกลับบ้านก่อน อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ความรู้สึกของผมไม่ดีขึ้น เหมือนกับที่คำพูดของพวกมันที่ยังคงดังซ้ำๆ อยู่ในหัวของผม

‘กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทิ้งเพื่อนแบบนี้’

“พอ พอเถอะไอ้แทงค์ จะไปนึกถึงทำไมวะ!” ผมสบถด่าตัวเอง แต่ก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเสียงของคนที่ผมคุ้นเคยดีดังขึ้นตรงหน้า

“เอ็งนึกถึงอะไร”

“ท่านเจ้าที่!” ผมลดมือลงแล้วร้องเรียกอีกฝ่าย “มาได้ไง!?”

“ก็เห็นว่าเอ็งไม่กลับบ้านสักที ข้าเลยมาดูว่าเอ็งทำอะไรอยู่ไหน เกิดไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเข้าจะยุ่งเอา”

ผมพ่นลมหายใจใส่คนตรงหน้า “แล้วถ้าผมไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงๆ มันจะเกี่ยวอะไรกับท่านล่ะ”

“เกี่ยวสิ เพราะว่าข้าเป็น...” ท่านเจ้าที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ ก็เงียบไปเหมือนรู้ตัวว่าไม่ควรพูดอะไรก็ตามที่กำลังจะหลุดออกจากปากมาให้ผมได้ยิน จากนั้นจึงโบกมือไปมาแล้วตัดบท “ช่างเถอะ เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว แล้วตกลงเมื่อกี้เอ็งนึกถึงอะไรอยู่”

ผมชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “...ไม่ ไม่มีอะไรหรอก”

ท่านเจ้าที่หรี่ตามองผม สายตาสื่อออกมาตรงๆ ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ เขาก็เลยยอมแพ้ล่ะมั้ง เพราะโบกมือไปมาอีกรอบแล้วว่า “ช่างเถอะ เอ็งจะกลับหรือยัง”

“อืม นี่...ท่านเจ้าที่ขี่รถพาผมกลับบ้านทีได้ป่ะ ผมไม่อยากขี่เอง”

“ทำไม?”

“ขี้เกียจ” ผมโกหก จริงๆ แล้วผมไม่มีอารมณ์จะขี่เอง ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินครับ...เหนื่อยใจ

“บ๊ะ ไอ้เด็กนี่ ขี้เกียจตัวเป็นเห็บไปได้”

“ไม่ใช่เห็บเฟ้ย! ตกลงจะขี่ให้ไหมเนี่ย” ผมขมวดคิ้วใส่อีกฝ่าย กำลังคิดอยู่ว่าถ้าเขาไม่ยอมผมจะได้ขี่เอง ไม่สนแม่งแล้วว่าจะเผลอไปชนเสาชนม้าชนหมีที่ไหน แต่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเสียก่อน

“เออๆ เดี๋ยวข้าขี่เอง ไปที่รถสิ”

“ก็แค่นั้น เล่นตัวไปได้”

ระหว่างที่ท่านเจ้าที่เป็นสารถีขี่รถพาผมกลับบ้าน จู่ๆ เขาก็เลี้ยวรถเข้าไปในห้างที่เป็นทางผ่านโดยไม่บอกกล่าว พอจอดรถเรียบร้อยผมก็เลยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้

“แวะที่นี่ทำไมอ่ะท่านเจ้าที่”

“เถอะน่ะ ตามข้ามา”

แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆ เข้าไปในห้าง

จากที่เดินตามหลัง ท่านเจ้าที่ก็ชะลอฝีเท้าลงมาเดินข้างๆ ผม พอเหลือบไปมองอีกฝ่ายก็แค่ยักคิ้วให้แล้วหันไปมองรอบกาย ขยับเบี่ยงตัวหลบผู้คนที่เดินผ่านไปมาบ้างบางครั้ง...ผมอ้าปากกำลังจะถามว่าจะไปที่ไหนกันแน่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือหนาจับเข้าที่ข้อมือของผมแล้วจูงพาผมเดินไปตามทาง

ผมมองมือของเขาที่เปลี่ยนจากจับหลวมๆ เป็นกำแน่นทั้งข้อมือของผม ความอุ่นของผิวเนื้อที่สัมผัสได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ผมกับท่านเจ้าที่แตะตัวกันมาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกอบอุ่นในใจยังไงก็ไม่รู้

ผมเดินตามแรงลากจูงของอีกฝ่ายจนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านไก่ทอดชื่อดัง “เคเอฟซี?”

“อ่าฮะ” ท่านเจ้าที่พยักหน้ารับเมื่อผมพูดขึ้น “ข้าอยากกิน”

“คิดไงถึงอยากกิน”

“อยากกินนี่มันต้องคิดด้วยรึ ข้าก็แค่อยากกิน” เทวดาหน้าหล่อหันมากลอกตาทำหน้าเอือมใส่ผม สายตานี่มองมาเหมือนจะด่าผมว่าซื่อบื้อหรือไงถึงได้ถามแบบนั้น มองขนาดนี้พูดเลยก็ได้มั้งท่าน เหอะ

“งั้นก็เข้าไปดิ รอไก่มันเดินออกจากร้านมาหาหรือไง” ผมก็เลยประชดใส่ เป็นฝ่ายจับมือของท่านเจ้าที่แล้วพาเดินเข้าร้าน ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ทั้งในและนอกร้านที่มองมาทางเราสองคนแต่อย่างใด ไม่มองดิแปลก ผู้ชายหน้าตาดีสองคนเดินจูงมือกันเข้ามาในร้าน ยิ่งคนหนึ่งหน้าหล่อฉิบหายวายวอด รูปร่างสูงใหญ่ประหนึ่งนายแบบบนรันเวย์แฟชั่นจากปารีส คนไม่มองก็เหี้ยละครับ

“กินอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”

“เอาอันไหนมาก็ได้ แบบที่ทั้งเอ็งและข้ากินหมดน่ะ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปสั่งไก่ กวาดตามองเซ็ตต่างๆ ที่หลังเคาท์เตอร์นิดหน่อย ก่อนจะสั่งเซ็ต 399 บาทมา จริงๆ มันก็ดูเยอะไปนะสำหรับคนสองคน แต่สั่งๆ ไปเถอะ กินไม่หมดก็ใส่กล่องเอากลับบ้านได้ไม่ยาก

รอสิบนาทีผมก็ได้ตามที่สั่งไป ยกถือไปที่โต๊ะก็เห็นท่านเจ้าที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาทางผมอยู่พอดี

“อ่ะ เดี๋ยวผมไปเอาซอสให้”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้า...เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ท่านเจ้าที่เอ่ยแย้ง แถมยังเปลี่ยนสรรพนามในการพูดจนผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเอี้ยวไปมองตามสายตาของเขาก็เห็นว่ามีครอบครัวหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะด้านหลังของเราพอดี อ่อ เพราะงี้เลยเปลี่ยนคำแทนตัวสินะ ใช้ข้าเอ็งทั้งๆ ที่หน้าหล่อฉิบหายตายห่าแบบนี้คงดูแปลกพิลึกอ่ะ

ผมหันกลับมาสนใจเขา “ไปเอาได้แน่เหรอ รู้เหรอว่าไปเอาที่ไหน”

“รู้สิ ถึงฉันจะเป็น...นั่นล่ะ แต่ฉันก็เคยบอกแล้วนี่ว่าบางครั้งก็มาสำรวจคนในสังคมบ่อยๆ มากินไก่ทอดนี่ฉันก็เคย บางทีก็ต้องลองทำอะไรแบบคนทั่วไปบ้าง”

ผมพยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจแล้ว ขณะมองตามอีกฝ่ายเดินไปเอาซอสมะเขือเทศกับซอสพริกยังจุดที่มีไว้ให้ลูกค้ากดซอสเอง ไม่นานเขาก็กลับมา จากนั้นเราสองคนถึงได้ฤกธิ์ลงมือกินไก่ทอดชื่อดังนี่

ผมนึกอะไรขึ้นมาได้เลยเงยหน้ามองเขาแล้วว่า “เมื่อกี้ผมเป็นคนออกค่าไก่”

“แล้ว?”

“แต่ผมไม่ได้อยากกินนะ พี่เป็นคนอยากกิน เพราะงั้นคืนเงินผมมาเลย”

“ไอ้เด็กขี้งก จริงๆ นายเป็นคนเลี้ยงฉันมันก็ถูกแล้วมั้ย” ท่านเจ้าที่ถลึงตามองผม ทำท่าจะยกส้อมพลาสติกในมือขึ้นแทงหน้าผมอยู่รอมร่อ ผมกลอกตามองบนใส่เขาพลางบ่น

“อะไรวะ ไม่ได้อยากกินสักหน่อยดันต้องมาเสียตังค์เลี้ยงอีก”

“ฉันจ่ายคืนก็ได้” ผมเบิกตาโตมองอีกฝ่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นถลึงตาใส่แทนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “แต่นายต้องคายทั้งหมดที่กินเข้าไปออกมาคืนฉัน”

“เฮ้ย! เกินไปป้ะ!” ผมโวยวายทันที บ้าเหรอวะใครจะไปคายออกมาได้!

“ไม่เกินไปหรอก แต่นายต้องคายออกมาให้เป็นเหมือนเดิมด้วย ไหน กินอะไรเข้าไปบ้าง” ท่านเจ้าที่ชะโงกหน้ามามองในจานของผม ยกนิ้วชี้มาที่กองกระดูกตรงขอบจาน “นั้นวิงซ์แซ่บใช่ไหม คายออกมาให้ได้น่องวิงซ์แซ่บเหมือนเดิมล่ะ”

“ตลกละ! ใครจะไปทำได้”

“ถ้าทำไม่ได้งั้นก็ต้องจ่ายเงิน”

“ไอ้...!” ผมจะด่าก็ด่าไม่ออก ได้แต่ยกมือชี้หน้าคนตรงข้าม เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง

ท่านเจ้าที่ยักคิ้วข้างเดียวส่งมาให้ผม มุมปากกระตุกยิ้มร้าย นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเทวดาอารักษ์ ผมคงคิดว่าเป็นปีศาจจอมเจ้าเล่ห์อ่ะ!

เห็นผมทำหน้าโมโหล่ะมั้ง จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะปลอบใจผมด้วยการยื่นข้อเสนออื่นให้แทน “อย่าโกรธฉันไปเลยน่า นายเลี้ยงไก่ งั้นเดี๋ยวฉันเลี้ยงไอศกรีม ตกลงมั้ย?”

ผมตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ผมจะสั่งที่แพงที่สุดเลยคอยดู”

คำที่ทำให้ท่านเจ้าที่หน้าหล่อหัวเราะเสียงดังขึ้นจากเดิมอีกหนึ่งเลเวล

__________

หลังจากจัดการไก่ทอดจนหมดได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็เดินลูบพุงออกมาจากร้านพร้อมท่านเจ้าที่ อิ่มอืดสุดๆ อ่ะครับ แม่งไม่น่ากินเพลินเลย รู้ตัวอีกทีแดกจนหมดเกลี้ยงทั้งผมทั้งท่านเจ้าที่อ่ะ แล้วงี้จะไปกินติมได้ไงว้า

“ไปเดินย่อยหน่อยแล้วกัน ค่อยไปกินไอติมก่อนกลับบ้าน”

“จะไปเดินที่ไหนอ่ะ?”

“อืม ร้านหนังสือไหมล่ะ”

ผมเห็นด้วย “เอาดิ”

เราสองคนมาที่ร้านหนังสือได้ก็แยกกันไปคนละมุม ผมไม่รู้หรอกว่าท่านเจ้าที่สนใจหนังสือแบบไหน แต่ผมอ่ะต้องโซนนี้เลย นิยายสืบสวนสอบสวนฆาตกรรมที่ผมล่ะโคตรชอบ ฟีลลิ่งตอนอ่านนิยายพวกนี้จะเหมือนตอนดูโคนันอ่ะครับ ใครวะเป็นฆาตกร ไอ้คนนี้แน่ๆ หรือไอ้คนนั้น แล้วแม่งก็เดาผิด ฮ่าๆ

ผมมองหาเรื่องที่น่าสนใจไปเรื่อยจนได้มาสองเล่ม ก่อนจะย้ายไปโซนนิยายรัก เลือกนิยายไปเรื่อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน สุดท้ายผมก็ได้นิยายวายมาอีกสองเล่ม เดินๆ วนๆ ไปตามเชลฟ์ต่างๆ จนเมื่อท่านเจ้าที่กลับมาหาผม ในมือของผมก็มีไลฟ์โนเวลอีกสองเล่ม กับนิยายแฟนตาซีอีกเล่มหนึ่ง...ฉิบหาย มาร้านหนังสือทีไรเหมือนโดนดูดอ่ะ หนังสือพวกนี้นี่แหล่ะที่ดูดเงินออกจากกระเป๋าตังค์ ถ้ากระเป๋าตังค์ของผมมันพูดได้ มันคงพูดว่ามึงจะซื้ออะไรปรึกษากูบ้าง เกรงใจกูหน่อย ถามกูสิว่ากูอยากให้แบงค์ร้อยแบงค์พันที่อยู่ในนั้นออกไปเจอโลกภายนอกไหม

ผมว่าผมชักจะเพ้อเจ้อแล้วว่ะ คนเหี้ยอะไรวะคุยกับกระเป๋าตังค์ โว๊ะ!

“จะซื้อหมดนั่นเลยรึ?” ท่านเจ้าที่ถามผม

“อื้อ ไม่ได้เข้าร้านหนังสือนานแล้ว พอเห็นเรื่องไหนน่าสนใจก็อยากอ่านไปหมด พี่ล่ะได้อะไรมา”

“ได้แล้ว” ท่านเจ้าที่ชูหนังสือในมือให้ผม หนังสือที่ทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะมันคือหนังสือทำขนม “ฉันอยากลองทำมานานแล้ว เมื่อวานเพิ่งซื้อเครื่องอบขนมมา ต้องลองใช้เสียหน่อย”

“เครื่องอบขนม? ซื้อไว้ในศาลของพี่อ่ะเหรอ?” ผมมองเขาเหมือนมองคนประหลาดเป็นรอบที่ล้าน

“เออ แปลกหรือไง” เขาย้อนถามเหมือนจะหาเรื่อง ผมก็เลยได้แต่กลอกตาโดยไม่ตอบ แต่แล้วก็ต้องนิ่งงันเมื่อเขาเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับริมฝีปากว่า “ฉันคิดจะทำให้นายกินนั่นล่ะ”

ตึกตัก ตึกตัก...ผมสบดวงตาสีรัตติกาลของคนตรงหน้าอยู่หลายวินาที หัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดของเขา ก่อนจะหลบสายตาไปมองทางอื่น สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เลยเลือกที่จะเดินหนีแต่ไม่ลืมที่จะตอบเขา...

“จะรอกินแล้วกัน”



__________

มาต่อให้อย่างไว โอ้โห ตอนที่แล้วคอมเมนต์กันน่ากลัวมากค่ะ 5555 หลายคนมีความอินกับความงี่เง่าของคลาร์กและเนส คนเราก็เนอะ หลายคนหลายความคิด แต่อย่าเพิ่งเกลียดพวกนางเลยนะคะ พวกนางน่ารักน้าา ตอนนี้ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบเด้อ แฮะๆ //แก้ตัวแทน

ส่วนตอนนี้ เห็นไหมคะ เห็นถึงความน่ารักของท่านเจ้าที่กันไหมมม อิอิ ช่วงที่แทงค์อ่อนแอ คนเดียวที่ทำให้แทงค์สามารถลืมเรื่องเสียใจได้บ้างก็คือเจ้าที่ที่บอกว่าจะมาตามรังควานกันนี่แหล่ะค่ะ และหลังจากนี้ท่านภูจะน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ เลยล่าา โปรดติดตามอย่าพลาดเด็ดขาด 555

อืมมม จริงๆ เราคิดตอนพิเศษได้ 5 ตอนแล้ว แต่ยังอยากได้เพิ่มอีก มีใครมีไอเดียหรือมีจุดไหนที่สงสัยในเรื่องแล้วอยากรู้บ้างไหมคะ เผื่อจะเป็นไอเดียให้เราได้บ้าง ขอกันหน้าด้านๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ฮ่าาา เสนอมาได้น้าา จะรับไว้พิจารณาค่ะ เอาล่ะ...เจอกันตอนหน้าเน้ออ //ยิ้มกว้าง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 23:21:17 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
พี่ภูทำไมต้องน่ารักกอะ
มารงมาเราอะไรร เอ็นดูกันไปอีกกก
แทงค์ลืมเรื่องเครียดไปหมดแล้วมั้งเนี่ยย
อยากอ่านตอนพี่ภูเขินมากๆ หรือเสียเปรียบแทงค์มากๆค่ะ55
ทุกวันนี้แทงค์ทำอะไรพี่ภูไม่ได้เหลยย อย่าเห็นแกเสียเปรียบบ้าง
กับ1วันทำงานของพี่ภูโดยไม่มีแทงค์(ตอนที่รักกันแล้ว)
อยากรู้ว่าจะคิดถึงน้องมั้ยย หรือจะทำงานรัวๆเพลินๆ แยกแยะได้งี้
รอค่าา

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้น่ารักเน๊อะ มีทำขนงขนมให้ด้วย ทำเยอะๆ มาเผื่อบ้างนะท่านเจ้าที่  :hao3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีทำขนมให้กินด้วย แบ่งให้คนแก่กินด้วยนะชิ้นหนึ่ง  o11 o11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารแท็งค์  :sad11:
เนสกับคาล์กรีบหายงอนไวๆ นะ
ส่วนท่านเจ้าที่ช่วงนี้มุ้งมิ้งมาก น่ารักที่สุด 555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
พี่ภูพาน้องแทงค์ไปคลายเครียดละสิ แหมะๆๆๆ แล้วจะรอชมขนมของท่านนะค่ะ
ส่วนเรื่องเพื่อน เฮ้อ... ไม่มีความเห็นจุกค่ะ
 :L1:  :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
ตอนที่ 31

“ฉันจะอยู่กับนายนะเด็กดี”

 


หลังจากซื้อหนังสือเสร็จ ผมกับท่านเจ้าที่ก็ตรงมาที่ร้านไอศกรีมต่อทันที เลือกโต๊ะนั่งเรียบร้อยพนักงานก็นำเมนูมาให้ ผมเลือกอยู่นานเลยล่ะครับ แต่ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเอาแพงๆ ก็กลายเป็นว่าเลือกเอาอันที่กินสองคนน่าจะหมดแทน เราเลือกที่จะกินด้วยกันแทนที่จะสั่งคนละถ้วย แบบที่ผมอยากกินถ้าสั่งมากินคนเดียวมันกินไม่หมด เพราะงั้นให้ท่านเจ้าที่ช่วยกินคือดีที่สุด แล้วอีกอย่าง...ใครจะไปสั่งของแพงกันล่ะ สั่งมาก็บ้าแล้ว เสียเงินโดยใช่เหตุ

“ทวนรายการอีกครั้งนะคะ เป็น...” พนักงานทวนสิ่งที่พวกเราสั่งไปอีกครั้ง เมื่อผมพยักหน้าตอบรับ เธอก็เดินกลับไปเพื่อส่งออเดอร์ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำเปล่า “ขออนุญาตเสิร์ฟน้ำนะคะ”

หนึ่งนาทีหลังจากนั้นทั้งโต๊ะก็เหลือแค่เราสองคน ผมเหลือบมองท่านเจ้าที่ แต่พออีกฝ่ายหันมามองผมบ้างผมก็แสร้งเบือนหน้าไปมองด้านนอกร้านแทน...ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่ลอยมาเข้าหู

“อยากมองฉันก็มองไปสิ ไม่ได้ห้ามเสียหน่อย ฉันรู้ว่าฉันหล่อ”

“แหยะ หลงตัวเอง” ผมหันกลับมามองแล้วทำหน้ายี้ใส่ เลยโดนมือหนาดีดหน้าผากเข้าให้ “โอ๊ย มันเจ็บนะเว้ย”

“ก็ดีดให้เจ็บน่ะสิ พูดจาไม่เข้าหู”

“พี่เองก็พูดจาแสลงหูผมเหมือนกัน” ผมเถียง ก่อนจะต้องโยกหัวหลบมือหนาที่ยื่นมาหมายดีดหน้าผากผมอีกครั้ง

ฝันไปเหอะว่าจะได้มีครั้งที่สอง ชิชะ!

รออยู่อีกไม่นานไอศกรีมที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ผมถูมือไปมา เห็นแล้วก็น้ำลายสอขึ้นมาซะงั้นทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้อยากกินอะไรมากมายหรอกนะ แต่แบบ...เคยไหมครับ ของน่ากินมาอยู่ตรงหน้าก็อยากจะกินขึ้นมาทันทีอ่ะ

ผมตักไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี่เข้าปาก ซึบซับรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ และความเย็นฉ่ำของมัน วู้ว สดชื่นว่ะ และผมคงจะกินไปยิ้มไปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวว่าถูกมอง ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงวี๊ดว๊ายดังมาจากโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“มึ้งงง ดูดิ พี่ผู้ชายที่หน้าใสๆ คนนั้นกินไอติมแล้วยิ้มหวานเลยอ่ะ หล่อเกาหลีฉิบหาย กูอยากขยำแก้ม”

“ขยำไม่ได้หรอกอีห่า มึงดูด้วยพี่เขามากับผัว!”

อุ้ก!...ผมเกือบสำลักเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผัวอะไรวะ!?

“มึงรู้ได้ไงว่าพี่หน้าหล่อเข้มประหนึ่งนายแบบในนิตยสารคนนั้นเป็นผัวพี่หน้าใสคนนี้ เขาอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนกันก็ได้”

ใช่ๆ รู้ได้ไงว่าผมกับไอ้ท่านเจ้าที่เป็นผัวเมียกัน ไม่ใช่สักหน่อย ผมน่ะคน ส่วนไอ้คนนั่งตรงข้ามนี่เทวดาใจโฉด!

“ก็มึงดูสายตาที่พี่หล่อเข้มมองพี่หน้าใสดิ แม่งหวานฉิบหาย หวานจนไอติมวานิลลายังอายอ่ะ”

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น เงยหน้าขึ้นมามองท่านเจ้าที่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายนิ่งงันเมื่อพบว่าร่างสูงกำลังมองผมอยู่จริงๆ มอง...ด้วยสายตาวิบวับเป็นประกายเลยล่ะ

สายตาที่ทำให้ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ จนต้องหลุบตาลงมองถ้วยไอศกรีม ตักชาเขียวเข้าปากโดยที่ไม่รู้แล้วว่ารสชาติมันเป็นยังไง สายตาของท่านเจ้าที่ที่มองผมมันไม่เห็นเหมือนสายตาหวานเชื่อมประหนึ่งไอติมวานิลลาเลยสักนิด มันเหมือน...เชอร์เบทมะนาวมากกว่า

ไอ้ห่า! แล้วทำไมต้องเชอร์เบทมะนาว ไม่ดิ! แล้วทำไมผมต้องไปเปรียบเทียบกับไอติมด้วยวะ แล้วก็ไม่ดิ! มันไม่เหมือนอะไรทั้งนั้น กูจะเอามาเปรียบเทียบทำไมเนี่ย แล้ว...แล้วทำไมกูต้องเขินด้วย

ผมจ้วงไอศกรีมเข้าปากแบบไม่คิดจะรับรู้รสชาติโดยละเอียดอะไรทั้งนั้นแล้วครับ แต่!...แต่ผมก็ต้องตัวแข็งค้างตาเบิกโตเมื่อมีมือหนึ่งยื่นมาเช็ดที่มุมปาก ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า...

“จะรีบกินทำไม เปื้อนหมดแล้ว”

ฉ่า

“กรี๊ดดดด แก๊! พี่หล่อเข้มเช็ดปากให้พี่หน้าใสด้วยอ่ะ!”

“กูเห็นแล้ว อีเหี้ย กูเขินแทน จะตายยย”

“ฟินสัดๆ แอร๊ยยย สาววายตายคาถ้วยไอติมแล้วค่า”

เสียงกรีดร้องงุ้งงิ้งของพวกน้องๆ โต๊ะเดิมทำให้ผมยิ่งหน้าร้อนผะผ่าว

“หึๆ” ท่านเจ้าที่หัวเราะในลำคอแบบที่ทำให้ผมต้องเงยขึ้นมองเขาอีกครั้ง เม้มปากขึงตาใส่เขาเป็นเชิงปราม

“หัวเราะอะไร!”

“หึๆ ก็หัวเราะเด็กที่กำลังเขินฉันน่ะสิ”

“ไม่ได้เขินเว้ย!” ผมเถียง ไม่ยอมรับง่ายๆ หรอกว่าเขิน ใครจะไปเขินคนอย่างเขากัน!

แต่แล้วผมก็ต้องหน้าแดงเข้าไปอีกเมื่อคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกยิ้มกว้าง เอ่ยแซ็วด้วยคำพูดที่ทำให้ผมอยากจะหนีหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนั้น “หน้าแดงนะเรา”

ไอ้เอี้ยยย ก็ไม่ต้องพูดก็ได้มั้ยเล่า! กูรู้แล้วโว้ย!

ใครจะไปเขินเทวดาจอมน่ารำคาญกันล่ะ ใครจะไปเขิน ใครล่ะใคร!?

...ใครคนนั้นก็กูเองนี่ล่ะครับ ฮึ่ยๆ

ยอมรับก็ได้ว่าเขิน แล้วก็ยิ่งเขินเข้าไปอีกเมื่อเสียงของน้องๆ กลุ่มเดิมดังประสานกันให้ได้ยินว่า...

“ขนาดนี้กลับบ้านไปปลุกปล้ำกันเลยก็ได้นะคะพี่ อร๊ายยย”

อ๊ากกก!! ใครปล้ำใคร!? ไม่ปล้ำอะไรทั้งนั้นว้อย!!

แล้วตลอดการกินไอศกรีมจนกลับถึงบ้าน ผมก็ทำได้แค่เอาแต่เขินไม่พูดไม่จาอะไรกับใครทั้งนั้น เอาแต่ประหม่าท่านเจ้าที่จนลืมไปหมดสิ้นถึงเรื่องก่อนหน้านี้...เรื่องที่ผมกำลังเสียใจกับคำพูดของเพื่อนสนิทและความผิดพลาดของตัวเอง

คนที่ทำให้ผมลืมก็คือคนที่ทำให้ผมเขินจนคิดเรื่องอื่นไม่ได้นั่นล่ะครับ ผมไม่ทันได้รับรู้เลยว่าคนที่ทำให้ผมหายเศร้าก็คือคนที่ผมมองว่าเป็นจอมก่อกวนมาตลอด ท่านเจ้าที่คือคนที่ทำให้ผมลืมเรื่องทุกข์ใจทั้งหมดนั้นจริงๆ แม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม...ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นเขาที่ผมรำคาญมาโดยตลอด

แต่...

พอกลับมาอยู่คนเดียวโดยไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องคิด ผมก็หวนกลับมานึกถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง...ก็จะเรื่องอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของไอ้เนสกับไอ้คลาร์ก คำพูดของพวกมันยังดังวนเวียนในความนึกคิดของผมไม่หายเมื่อผมปล่อยให้สมองว่างเปล่าขาวโพลนปราศจากเรื่องอื่นในสมอง

‘กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทิ้งเพื่อนแบบนี้’

พรึ่บ

ผมยกมือขึ้นพาดปิดดวงตา เมื่อประโยคสุดท้ายที่มันพูดกับผมดังขึ้นซ้ำๆ

“อึก...” อยากจะร้องไห้ พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งอก เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่คอ เบ้าตาร้อนผ่าว แต่ผมก็พยายามกล้ำกลืนทุกอย่างกลับลงไปอีกครั้ง กระพริบตาไล่หยาดน้ำที่คลอหน่วยไม่ให้มันไหลลงมา

ไม่ บอกแล้วไงว่าผมจะไม่ร้องไห้...จะไม่ร้องไห้เด็ดขาด

ผมเสียน้ำตาครั้งสุดท้ายหลังจากทำใจรับการจากไปของพ่อกับแม่ได้ครึ่งปี และสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก...ผมจะไม่ผิดสัญญากับตัวเองไม่ว่าจะท้อจะเหนื่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องเจอกับเรื่องเศร้าเสียใจมากเท่าไร ผมก็จะไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเด็ดขาด ผมต้องเข้มแข็ง ต้องไม่อ่อนแอ

ผมสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติและปัดไล่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกจากสมอง ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันไม่มีทางหายไปก็ตาม...ผมหลับตาลงหวังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา อย่างน้อยถ้าผมหลับ ผมก็จะไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากพยายามข่มตาให้หลับมาเป็นชั่วโมง กระนั้นผมก็ไม่สามารถจะหลับได้ลงอยู่ดี ไม่ว่าจะพลิกตัวซ้ายขวาหรือพยายามนึกถึงเรื่องอื่นๆ ก็ตาม

มันเป็นไปได้ยากนะครับ และผมก็คิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับจนถึงเช้า ถ้าไม่ใช่เพราะถาพใบหน้าของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในมโนสำนึก

ท่านเจ้าที่

ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก เปิดปากเปร่งเสียงเรียกอีกฝ่ายออกไปโดยไม่ทันไตร่ตรอง ใจรู้แค่ว่าอยากเรียก อยากให้เขามาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ ผม

ฟุ่บ

สิ้นเสียงเรียกอันแผ่วเบา ผมสัมผัสได้ถึงฟูกนอนที่ยุบลงเพราะมีใครอีกคนนั่งลงบนเตียงข้างๆ ตัวผมที่นอนปิดตาอยู่ ก่อนต่อมาผมจะรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่รั้งมือของผมไปจับเอาไว้...อีกฝ่ายสอดประสานปลายนิ้วเข้ากับปลายนิ้วของผม กุมกระชับมั่น นิ้วโป้งลูบไปมาที่หลังมือคล้ายปลอบประโลมอยู่ในที ขณะที่ฝ่ามืออุ่นอีกข้างวางลงบนหน้าผากของผม มือข้างนั้นลูบที่หัวของผมเบาๆ ประหนึ่งจะกล่อมนอน

ตลอดเวลาที่ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลยสักนิด แต่รับรู้ได้ด้วยหัวใจและการสัมผัสว่าคนที่ผมเรียกนั่งอยู่ตรงนี้ กำลังปลอบผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ และทั้งๆ ที่ผมเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ กระนั้นเขากลับได้ยิน แถมยังปรากฏตัวขึ้นมาในทันทีที่สิ้นเสียงของผม ราวกับเขารอเวลาที่ผมจะเรียกเขาให้มาหา

ราวกับเขารอที่จะปลอบประโลมผมให้คลายจากความทุกข์ใจ

ราวกับเขารู้ดีว่าผมกำลังเป็นอะไร กำลังรู้สึกอย่างไร

และราวกับเขาเข้าใจผม พร้อมจะอยู่เคียงข้างผมในเวลาที่ผมอ่อนแอ

ระหว่างเรามีแต่ความเงียบ ผมเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเอ่ยคำไหนออกมา ซึ่งก็เหมือนว่าท่านเจ้าที่จะรู้ เพราะอีกฝ่ายไม่ถามอะไรผมสักคำ ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากเขา

ผมรู้สึกขอบคุณนะที่เขาไม่ถาม เพราะผมคงไม่มีคำตอบให้เขาในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากเล่าหรอกนะครับ แต่เพราะผมไม่มีแรงแม้แต่จะเปิดปากพูดอะไรทั้งสิ้นต่างหาก การเรียกเขาให้มาหาเพราะหวังอยากให้เขาเป็นที่พึ่งในตอนที่อ่อนแอ ผมรู้ว่ามันดูน่าเกลียดที่คิดจะใช้ประโยชน์ใครคนหนึ่งเมื่อตัวเองต้องการ แต่ผมไม่มีใครแล้วจริงๆ ที่ผมจะสามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ ไม่มีใครเลย...นอกจากเขา

ท่านเจ้าที่เป็นคนเดียวที่ผมไม่อายที่จะแสดงทุกความรู้สึกออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ นะครับ ผมคงชินชากับการที่มีเขาเข้ามาในชีวิต ชินชาที่ไม่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนึกคิดอะไรไว้ในใจเมื่ออยู่กับเขา ชินกับการที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาหลายครั้งหลายหน กลับบ้านมาก็ได้เจอเขาอยู่ในบ้านของผม ผมคงชินชาไปแล้วที่ได้มีเขาอยู่ข้างกายมาเกือบสองเดือน...สองเดือนที่ท่านเจ้าที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายให้กับชีวิตของผม

เราเงียบกันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดท่านเจ้าที่ก็เอ่ยออกมาด้วยประโยคเดียวที่ทำให้ผมไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป

“ข้าอยู่กับเอ็ง เอ็งไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เข้าใจไหมแทงค์”

ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว แต่คำพูดอันอ่อนโยนและสัมผัสอันอบอุ่นของท่านเจ้าที่ก็ทำให้ผมอดกลั้นอีกต่อไปไม่ไหว ในที่สุดผมก็ปล่อยให้น้ำตาคลอที่เบ้าตาอยู่ไหลออกมาจนหล่นลงไปกระทบหมอนที่หนุนนอน...หยดแล้วหยดเล่า

“ฮึก...” ผมกลั้นสะอื้น ในตอนที่ท่านเจ้าที่ขยับนอนลงข้างๆ ผม วงแขนแกร่งดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด มือหนาลูบแผ่นหลังของผมอย่างอ่อนโยน เสียงทุ้มกระซิบข้างหู

“นอนซะนะเด็กดี ข้าจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

ผมซบหน้าลงกับอกแกร่ง ฝังตัวเองเอาไว้ในอ้อมแขนที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย สองแขนกอดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ยึดเขาเป็นที่พึ่งพิงต่อความอ่อนไหวของตัวเอง

น้ำตาที่ไหลไม่หยุดหยดลงกับเสื้อนอนของท่านเจ้าที่จนเปียกชุ่ม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงกอดผมเอาไว้แน่น และถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง...ผมสัมผัสได้ถึงริมฝีปากของเขาที่กดลงกลางศีรษะของผมพร้อมเสียงนุ่มที่กระซิบข้างหู

“ฉันจะอยู่กับนายนะเด็กดี”



__________

เหมือนตอนนี้จะย้อนแย้งกันแปลกๆ เนอะ ครึ่งแรกก็น่ารักงุุ้งงิ้ง ประกายสีชมพูฟรุ้งฟริ้งกลางร้านไอติม แต่ไหงครึ่งหลังมันหม่นๆ เศร้าปนอ่อนหวานล่ะเนี่ย

ใจจริงอยากอัพทุกวันเลยค่ะ แต่พอเห็นว่ามันใกล้จะจบก็รู้สึกว่าไม่อยากให้จบเลย ก็เลยไม่ยอมอัพเสียแทน ฮ่าา ไม่ใช่อะไรค่ะ ยังไม่ได้ปั่นตอนพิเศษเลยยังไม่อยากรีบจบ 5555 (อ้าว เป็นงั้นไป)

ตอนหน้ายังคงได้พบกับความน่ารักของท่านเจ้าที่เหมือนเดิมค่ะ อีกหลายตอนเลยแหล่ะ บอกไปแล้วเนอะ (หรือเปล่า?) โอเค ไปหาวิจัยสำหรับทำสัมมนาต่อแล้วค่ะ เจอกันตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 23:26:49 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ฟินช่วงแรก แต่ตอนท้ายพาน้ำตาไหลซะงั้น  :mew4:
ดีที่มีพี่ภูคอยกอดปลอบ  :katai3:
 :L1:  :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ sakkriengkai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบกว่าท่านเจ้าที่ และนุ้งแท้งค์มากตอนนี้ก็คือ ทอล์คของคนเขียนนี่แหละครับ 5555 ดั่งเป็นการติดตามชีเว้ดอันโหดระ-ร-ร้ายยยย !  :laugh:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :กอด1: :กอด1: อยู่ด้วยกันนาน ๆ นะ ท่านเจ้าที่ ไงต่ออายุราชการดีกว่าไหม ชลอการไปเกิดแล้วกันนะ  :m12:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ช่วงเวลาหวาน (หรือเปล่า)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ช่วงแรกนี่หวานจนสาววายฟินตายคาโต๊ะไอศกรีม ช่วงท้ายอึมครึมสงสารน้อง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ xหยกน้อยx

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พึ่งเข้ามาอ่านสนุกมากเลยนะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
ตอนที่ 32

“เอ็งนี่เหมือนเด็กน้อยเลยนะ”

 

ผมตื่นขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ปวดหนึบ มานึกย้อนดูอีกทีก็พอจะจำได้ลางๆ ว่าเมื่อคืนตัวเองร้องไห้หนักไม่ใช่น้อย ร้องจนหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำเถอะ

“ตื่นแล้วเหรอ” ได้ยินเสียงนุ่มๆ เอ่ยถามมาจากเหนือหัว พอหรี่ตาเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นท่านเจ้าที่

ผมกระพริบตาปริบอีกสามทีถ้วน ก่อนจะประเมินได้ว่าตอนนี้ตัวเองยังนอนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย หากเป็นในเวลาปกติผมคงตกใจเบิกตาโต ผละออกแล้วโวยวายยกใหญ่...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำในวันนี้

หมับ

ผมสวมกอดเอวแกร่งแล้วซุกหน้ากับแผ่นอกของท่านเจ้าที่อีกครั้งเหมือนกับที่ทำมาตลอดทั้งคืน เปล่งเสียงเรียกอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำที่ผมมักจะกระดากปากทุกครั้งที่ต้องพูดออกมา หากแต่เช้านี้ผมกลับอยากจะพูดมันออกไปเหลือเกิน

“พี่ภู”

ให้ตาย เสียงผมโคตรแหบเหมือนคนป่วยเลยว่ะ แต่ผมไม่ได้ป่วยนะ แค่ร้องไห้มากไปเท่านั้นเอง

“หึ ว่าไง” ท่านเจ้าที่ตอบรับ วางคางลงบนหัวของผมแล้วกระชับอ้อมกอดดึงผมเข้าไปแนบชิดกับตัวเขามากขึ้น

มันออกจะประหลาดนะที่ผมทำเหมือนกำลังอ้อนเขา และเขาก็ทำเหมือนกำลังกอดปลอบน้องชายตัวน้อย แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ทั้งผมและเขากำลังทำ โดยไม่คิดจะสนใจว่ามันโคตรแปลกจากปกติมากแค่ไหน และใช่...ผมก็แค่อยากอ้อนใครสักคน อยากมีใครสักคนที่ผมจะแสดงด้านอื่นๆ ที่เก็บซ่อนเอาไว้มานานออกมาได้ก็แค่นั้น

“พี่ภู พี่ภู...”

“เอ็งนี่เหมือนเด็กน้อยเลยนะ” ท่านเจ้าที่ว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พลางยกมือลูบหัวลูบหลังผมไปด้วย “แต่ข้าไม่ว่าหรอก ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กอายุยี่สิบบ้างก็ดี”

“อายุยี่สิบก็ไม่ควรมาอ้อนเป็นเด็กๆ แล้วป่ะครับ ฮะๆ” ผมตอบกลับไป รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิมยังไงก็ไม่รู้

“อายุเท่าเอ็งน่ะถือว่ายังเด็กนัก”

“งั้นเด็กอย่างผมอ้อนได้ไม่แปลกใช่ป่ะ?” ผมเหลือบขึ้นมองเขา ยกยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเขาพยักหน้า

“อืม อ้อนมาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ อยากให้ข้าทำอะไรให้ก็บอก”

“ทำไมวันนี้ใจดีจัง”

ท่านเจ้าที่ขยี้เส้นผมของผมจนยุ่งเหยิงแม้ว่ามันจะยุ่งอยู่แล้ว เสียงทุ้มเอ่ยถามทีเล่นทีจริง “ปกติข้าก็ใจดีอยู่แล้วแค่ไม่แสดงออกกับเอ็ง หรืออยากให้ข้าใจร้ายกับเอ็งกันล่ะ?”

“ฮึ” ผมส่ายหน้าไปมากับแผ่นอกแกร่ง “ไม่ ใจดีกับผมบ้างเถอะ ตอนนี้ผม...”

ผมเงียบไม่พูดต่อ เพราะเมื่อพาลนึกไปถึงเรื่องที่ทำให้ผมอ่อนแอ ผมก็รู้สึกย่ำแย่ขึ้นมาอีกแล้ว

“เจ้าเด็กน้อย คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยอ่อนแอ” ท่านเจ้าที่ลูบหลังผม “การแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้หมายความว่าเอ็งพ่ายแพ้ แต่การเผยมันออกมาคือการยอมรับว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราอ่อนแอคือเรื่องที่สำคัญต่อเรา และเราต้องผ่านมันไปให้ได้ เข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่?”

“เข้าใจครับ” ผมพยักหน้ารับ ฝังจมูกกับอกเสื้อของท่านเจ้าที่อีกครั้ง ปัดป่ายไปมาให้คนโดนซุกหัวเราะ

“เหมือนลูกแมวเวลาคลอเคลียเจ้าของเลยนะเอ็ง ฮะๆ”

“อือ วันนี้ผมจะเป็นลูกแมว” ผมตอบรับ ริมฝีปากระบายรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ในใจตระหนักรู้แล้วว่าคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นคือผู้ชายคนนี้จริงๆ เทวดาจอมกวนประสาทของผม

ดูเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของเลยว่ะ ไอ้คำว่า ‘ของผม’ เนี่ย แต่ท่านเจ้าที่เขาเป็นเทวดาอารักษ์ของบ้านผมนี่นา แล้วเขาจะไม่ใช่ของผมได้ยังไงล่ะ จริงไหม?

ผมกอดท่านเจ้าที่อยู่อย่างนั้น ไม่สนใจจะมองเวลาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ก็แค่อยากจะอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะผมอุ่นใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ น่าแปลกนะที่ผมกับเขาสามารถคุยกันอย่างคนปกติธรรมดาได้ ก็ทุกทีด่ากันเถียงกันตลอดนี่หว่า ฮะๆ

“จะหลับอีกเหรอ นี่มันสายแล้วนะ” ท่านเจ้าที่เอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปนาน ผมผละใบหน้าออกเล็กน้อย

“กี่โมงแล้วครับ”

“จะสิบโมงแล้ว หิวหรือเปล่า”

“นิดหน่อย แต่อยากนอนมากกว่า ปวดตา”

“ไม่แปลกหรอก ก็ร้องไห้เสียขนาดนั้น เอาล่ะ ปล่อยข้าสิ”

“จะไปไหนอ่ะ?” ผมถามเมื่อท่านเจ้าที่ดันผมออกจากอ้อมแขน มองเขาที่ลุกออกไปยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความฉงนสงสัย อีกฝ่ายยิ้มมาให้บางๆ ตอบพร้อมกับเดินไปทางประตูห้อง

“ข้าจะไปหาข้าวไว้ให้เอ็งกินน่ะสิ”

...มันก็แค่คำตอบธรรมดาๆ นะครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงใจเต้นแรงขึ้นมาซะได้

รู้สึกดี...ดีมากๆ

“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มให้เขาแบบที่คิดว่าดีที่สุด ท่านเจ้าที่ยิ้มตอบ เอื้อนเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมใจสั่นอย่างรุนแรง

“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจทำให้เอ็ง”

__________

ผมเผลอหลับล่ะ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเที่ยงกว่าๆ ไม่ได้ตื่นเองด้วยนะครับ ท่านเจ้าที่มาปลุกต่างหาก

“ตื่นไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวจะปวดท้องเป็นโรคกระเพาะเสียก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอก ทุกวันนี้ก็แทบไม่ได้กินครบสามมื้ออยู่แล้ว” ผมตอบขณะลุกขึ้นนั่ง แต่เพราะลุกเร็วไปหน่อย ไหนจะทั้งไม่ได้กินข้าวเช้า ไหนจะร้องไห้จนเหนื่อยจนเพลีย ผมก็เลยหน้ามืดล้มฟุบลงกับที่นอนอีกครั้ง และหัวคงจะโขกอะไรเข้าสักอย่างแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะท่านเจ้าที่ขยับเข้ามารั้งผมเอาไว้ได้ทัน ดึงหัวผมไปซบที่แผ่นอกของเขาแทน

“เป็นอะไร?”

“หน้ามืดนิดหน่อย”

“ดีขึ้นหรือยัง”

ผมสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อีกสองสามทีแล้วจึงพยักหน้า ลืมตาขึ้นมามองท่านเจ้าที่แล้วยิ้มให้นิดๆ

“ผมไม่เป็นไร ไปเถอะ หิวข้าวแล้ว”

“งั้นไปกินข้าวก่อน ล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปเลย ยังไม่ต้องอาบน้ำหรอก”

“ครับพ่อ” ผมตอบรับ พาตัวเองเดินเข้าห้องน้ำมา ได้ยินเสียงของท่านเจ้าที่ดังไล่หลังตามมาด้วยว่า...

“ข้าไม่ใช่พ่อเอ็งเว้ย”

“ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะอย่างอดไม่ได้...พ่อดิ ทำไมจะไม่ใช่พ่อ ก็ท่านเจ้าที่ตอนนี้น่ะเหมือนพ่อที่พยายามบังคับลูกไปกินข้าวเลย จะว่าไปแล้วก็น่าจับเขามาทำเป็นพ่อทูนหัวแฮะ หึๆ

“ล้างหน้าเสร็จหรือยัง”

เสียงของท่านเจ้าที่ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดบ้าบอของตัวเอง ยื่นมือไปคว้าผ้าเช็ดหน้าที่แขวนเอาไว้บนราวตากเล็กๆ มาซับใบหน้าให้แห้งก่อนจะเดินกลับออกมา...ท่านเจ้าที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ พอเห็นผมเดินออกมาก็สะบัดหัวไปทางประตูห้องเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าให้ออกไปได้แล้ว จะได้ไปกินข้าวเสียที

ลงมาจนถึงห้องครัวผมก็ต้องตาโตเมื่อเจออาหารหลายอย่างบนโต๊ะ มีทั้งขาหมูพะโล้ ต้มข่าไก่ ทอดมันปลากราย ยำหมูยอ โอ้โห จะกินเข้าไปหมดไหมวะเนี่ย!

“เยอะจังวะท่านเจ้าที่ จะกินหมดเหรอ กลัวกินไม่หมดอ่ะ”

“ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่า ‘พี่ภู’ เหมือนเดิมล่ะ” แทนที่เขาจะตอบคำถามผม กลับย้อนถามผมด้วยอีกเรื่องแทน

ผมเลิกคิ้ว “ทำไม อยากให้ผมเรียกท่านแบบนั้นอีกเหรอ?”

“ข้าก็แค่มองว่ามันน่ารักดีเวลาเอ็งเรียกข้าอย่างนั้น” ท่านเจ้าที่โบกมือไปมา พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คำพูดของเขาทำให้ผมชะงักไป รู้สึกใจเต้นอย่างน่าประหลาดอีกแล้ว

ผมนิ่งคิดอยู่สามวินาทีถ้วน ก่อนจะว่า “ผมจะเรียกท่านเจ้าที่ว่าพี่ภูอีกก็ได้ ถ้าท่านยอมพูดกับผมแบบคนทั่วไป”

“คนทั่วไป?”

“ก็ผมเรียกท่านว่าพี่ภูใช่มะ? ท่านก็เรียกผมว่าแทงค์ แทนตัวว่าฉันกับนายอะไรแบบนี้น่ะ เหมือนที่เราพูดกันเวลาออกไปข้างนอก เหมือนเมื่อวานที่เราพูดกันตอนไปกินไก่กับไอศกรีมไง”

ท่านเจ้าที่เงียบไปพักหนึ่งเหมือนชั่งใจอยู่ว่าจะทำแบบที่ผมเสนอดีหรือไม่ ก่อนสุดท้ายจะพยักหน้ารับ

“เอาสิ เอางั้นก็ได้ ไม่ได้ลำบากอะไร”

“ดีๆ” ผมว่าพลางปรบมือเปาะแปะอย่างยินดี ยิ้มกว้างจนตาหยีโดยไม่รู้ตัว

ท่านเจ้าที่มองผมอยู่อีกแป๊บหนึ่งจนผมเกือบจะถามแล้วว่ามองทำไม แต่อีกฝ่ายก็ละสายตาไปมองจานอาหารก่อนจะสั่งให้ผมนั่งลงกินข้าวได้แล้ว “นั่งเถอะ เดี๋ยวไปตักข้าวให้”

“เฮ้ย ผมไปเองก็ได้ แค่ท่าน...ไม่สิ แค่พี่หากับข้าวกับปลามาให้ผมก็เกรงใจมากแล้ว เป็นเจ้าที่ศาลพระภูมิแท้ๆ แต่กลับต้องมาดูแลผมที่เป็นมนุษย์เนี่ย ผมรู้สึกเหมือนกำลังทำบาปเลยว่ะ”

“เอ็ง...ไม่สิ นายบาปหนาอยู่แล้ว บาปอีกนิดไม่เป็นไรหรอก”

“ปากเหรอนั่นไอ้พี่ภู!” ผมโวยวายใส่ เนี่ย เผลอไม่ได้แขวะตลอดดด

“นั่งลงไปเถอะน่า” ท่านเจ้าที่บังคับให้ผมนั่งลงโดยไม่สนใจที่ผมเรียกเขาเสียงเขียวเมื่อครู่ เขาเดินหนีไปหาหม้อข้าว คดข้าวใส่จานมาสองจานก่อนจะเดินกลับมาวางให้ผมจานหนึ่ง “กินเข้าไปเยอะๆ ฉันอุตส่าห์ไปซื้อมาให้”

“ที่ไหนอ่ะ ร้านเดิมกับคราวก่อนที่พี่ไม่ยอมบอกผมป่ะ?”

“นั่นล่ะ แต่ไม่ต้องมาถามให้ยาก บอกแล้วไงว่าไม่บอก มันเป็นความลับทางธุรกิจ”

ผมกลอกตามองบนใส่ ยอมตักข้าวเข้าปากโดยไม่คิดจะเถียง...มื้ออาหารของเราสองคนในวันนี้ก็เป็นเหมือนกับสองเดือนที่ผ่านมานั่นล่ะครับ จะต่างก็ตรงที่คราวนี้ผมกับเขา พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันให้ตายไปข้างเหมือนทุกที และไม่ได้แทนตัวด้วยข้ากับเอ็งผมกับท่านด้วย

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทั้งเพื่อน พ่อ และพี่ชายที่แสนดีมานั่งกินข้าวด้วยกัน นี่เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ทันรู้ตัวเลยว่าการได้อยู่กับท่านเจ้าที่ทำให้ผมลืมทุกเรื่องเศร้าและความผิดพลาดของตัวเองภายในจิตใจ แม้รู้ดีว่าผมไม่ได้ลืมมันตลอดไป แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่นานพอให้ผมรู้สึกดีขึ้นเป็นกองเลย

...ต้องขอบคุณเขาสินะ





__________

มันก็จะละมุนหน่อยๆ เด้อออ คือเอาเข้าจริงตอนนี้ไม่มีอะไรเลยอ่ะ เหมือนเรายืดเนื้อหาเลยเนอะ ฮื่อออ ทนอ่านไปก่อนนะคะ อีกไม่นานก็จบแล้ว เหลืออีกแค่ 13 ตอนเอง อย่าเพิ่งเบื่อ จะจบแล้ววว

อืม มีคนถามหา NC งั้นเราจะบอกไว้ตรงนี้ละกันว่ามันจะหน่วงๆ แบบนี้ไปจนถึงตอนที่ 36 แล้วหลังจากนั้นจะน่ารักมาก แล้วก็...ฉากที่ทุกคนรอคอย (หรือเปล่าหว่า? 555) จะมาในตอนที่ 40 พอดีเป๊ะเด้อค่ะ หุหุ //นักอ่านบอก : กว่าจะได้กันรอนานละเกิน อิเวง! (อะไม่ใช่เนอะ อย่าด่าเราเลยนะ 55555)

ตอนหน้านี่ไม่อยากอัพเลย กลัวโดนด่า แง้ แต่เพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไป เราจะมาอัพอย่างไวเลยค่ะ...ถ้าเราว่างนะ ฮืออ พรุ่งนี้ต้องเขียนบทโรลเพลย์วิชาอังกฤษการบิน พุธต้องประชุมวิชาสัมมนา แล้วไหนจะต้องซ้อมบทโรลเพลย์อีก ศุกร์ก็ต้องสอบโรลเพลย์แล้ว จะตายไหมให้เดาค่าา ชีวิตปีสี่อันแสนทรหด ว้ากกก!!! //ขยุ้มหัวอย่างบ้าคลั่ง

ทอล์คยาวอีกแล้ว ถามจริงๆ เลยนะคะ รำคาญที่เราทอล์คไหม ถ้าไม่ชอบเราจะพยายามลดการพูดไร้สาระลงค่ะ แฮะๆ เอาล่ะ เจอกันตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 23:30:40 โดย Hazel_nut »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนนี้เล่นเอาคนแก่ระทวยไปเลย เดินไม่เป็นแล้ว  :-[ :ling1: :katai5:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
พี่ภูกับแทงค์น่ารักมากกก
น้องอ้อนนนอะ อ้อนนนน่ารักกกมากก
พี่ภูก้ตามใจน้องซะะ เอาอกใจแบบ แหมมมมมมมม
ตอนหน้าดราม่าแน่ๆเลยยกลัววใจจคนแต่งจังง
ยังจำปมดราม่าเรื่องพี่ภูจะเกษียณแล้วไปเกิดได้อยู่เลย
จะหน่วงดราม่าหนักๆตอนหน้าแล้วสินะคะ
รอความหวานนนน
ปล.เราชอบอ่านทอล์คค่ะ ยาวๆได้เลยยย เหมือนเราได้รู้จักคนแต่งมาขึ้น
เหมือนเราได้คุยกันผ่านตัวหนังสืองี้ พออ่านเราก้จะรู้ว่าคนแต่งแต่ละคนเป็นยังไง
ดีกว่าซื้อนิยายเล่มอ่านแล้วเสพแต่ผลงานโดยที่ไม่รู้จักคนแต่งเลยอีกค่ะ
ทอล์คต่อไปยาวๆๆได้เลยค่าา รออ่านทั้งนิยายทั้งทอล์คเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น่ารักเน๊อะ ดีนะที่กลับจากร้านไอติม
ไม่งั้นสาวกสาววาย เลือดกำเดาไหลหมดตัวแน่
 :impress2:

ออฟไลน์ R.michi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 ปูทางม่ามาแล้วอ่ะ แค่นี้น้องมันก็ร้องจนตาบวมแล้วยังจะมีอีกหรือนี้ พี่ภูปลอบ  :กอด1: โอ๋ๆ เด็กดี
 :3123:  :pig4:  :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด