ตอนที่ 30
“ฉันคิดจะทำให้นายกินนั่นล่ะ"
หลังเลิกคลาสผมตั้งใจจะกลับบ้าน แต่ผมก็รู้ตัวเองดีว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถขี่รถกลับได้แน่ๆ ถ้าสมองของผมเอาแต่คิดวนเวียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และหากผมฝืนตัวเองคงไม่พ้นเอารถไปโหม่งเสาไฟฟ้าหรือชนใครเข้า
ผมไม่โอเคว่ะครับ รู้สึกแย่มาก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนสูบเรี่ยวแรงจนหายไปหมด มันล้าไปทั้งใจจนผมไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเท้าเดินด้วยซ้ำ ความรู้สึกแง่ลบส่งผลกับร่างกายของผมจนไม่อยากจะทำอะไร ตอนนี้ผมก็เลยนั่งโง่ๆ อยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่งข้างคณะเยื้องไปทางด้านข้างอาคาร มันอยู่ใต้ร่มไม้สูงใหญ่ ไม่ค่อยมีคนมานั่งแถวนี้เพราะส่วนใหญ่เด็กคณะผมมักจะไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร หรือไม่ก็โต๊ะม้าหินหน้าคณะมากกว่า
ผมต้องการที่เงียบๆ ในการนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมต้องการที่ที่ไม่มีใครเพื่อให้ตัวเองได้สบถด่าความงี่เง่าของเพื่อนทั้งสองที่กำลังโกรธผมทั้งๆ ที่พวกมันควรยินดีกับผม และด่าตัวเองสำหรับการตัดสินใจที่ผิดพลาด ผมผิดเองที่ลืมสัญญาที่ได้ให้กันไว้กับพวกมัน ผมมัวแต่สนใจอนาคตของตัวเองในฐานะศิลปินโดยปราศจากความคิดคำนึงถึงเพื่อนร่วมวงที่เหลือ...บางทีคนที่งี่เง่าอาจจะเป็นผมเองซะมากกว่า
ผมเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ แสงแดดรำไรส่องประกายลงมาเล็ดลอดผ่านยอดไม้เหล่านั้น มันวิบวับไปมาเมื่อมีสายลมพัดผ่านจนกิ่งไม้ไหว...เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไง มันบอกไม่ถูกเลยครับ ทุกอย่างดูสับสนปนเปกันไปหมด ในอกของผมมันหน่วงๆ หนึบๆ เหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่ในนั้น
ผมโกรธเหรอ? เสียใจ? รู้สึกผิด?
...ไม่รู้สิครับ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตอนนี้มีกี่อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นในใจของผม
หลับตาลงเมื่อรู้สึกร้อนๆ ที่หัวตา ไม่...ผมไม่ได้อยากร้องไห้ และผมจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด ผมไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น แม้ว่าตรงนี้จะไม่มีใครนอกจากผมก็ตาม
“ฮะๆ ตลกเกินไปแล้วไอ้แทงค์ แค่โดนเพื่อนด่ามึงจะร้องไห้ทำไมวะ” ด่าตัวเอง ยกมือปิดหน้าแล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ กระพริบตาถี่เม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังปิดหน้าอยู่อย่างนั้น...ยังไงผมก็ควรกลับบ้านก่อน อยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ความรู้สึกของผมไม่ดีขึ้น เหมือนกับที่คำพูดของพวกมันที่ยังคงดังซ้ำๆ อยู่ในหัวของผม
‘กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทิ้งเพื่อนแบบนี้’
“พอ พอเถอะไอ้แทงค์ จะไปนึกถึงทำไมวะ!” ผมสบถด่าตัวเอง แต่ก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเสียงของคนที่ผมคุ้นเคยดีดังขึ้นตรงหน้า
“เอ็งนึกถึงอะไร”
“ท่านเจ้าที่!” ผมลดมือลงแล้วร้องเรียกอีกฝ่าย “มาได้ไง!?”
“ก็เห็นว่าเอ็งไม่กลับบ้านสักที ข้าเลยมาดูว่าเอ็งทำอะไรอยู่ไหน เกิดไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเข้าจะยุ่งเอา”
ผมพ่นลมหายใจใส่คนตรงหน้า “แล้วถ้าผมไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงๆ มันจะเกี่ยวอะไรกับท่านล่ะ”
“เกี่ยวสิ เพราะว่าข้าเป็น...” ท่านเจ้าที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ ก็เงียบไปเหมือนรู้ตัวว่าไม่ควรพูดอะไรก็ตามที่กำลังจะหลุดออกจากปากมาให้ผมได้ยิน จากนั้นจึงโบกมือไปมาแล้วตัดบท “ช่างเถอะ เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว แล้วตกลงเมื่อกี้เอ็งนึกถึงอะไรอยู่”
ผมชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “...ไม่ ไม่มีอะไรหรอก”
ท่านเจ้าที่หรี่ตามองผม สายตาสื่อออกมาตรงๆ ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ เขาก็เลยยอมแพ้ล่ะมั้ง เพราะโบกมือไปมาอีกรอบแล้วว่า “ช่างเถอะ เอ็งจะกลับหรือยัง”
“อืม นี่...ท่านเจ้าที่ขี่รถพาผมกลับบ้านทีได้ป่ะ ผมไม่อยากขี่เอง”
“ทำไม?”
“ขี้เกียจ” ผมโกหก จริงๆ แล้วผมไม่มีอารมณ์จะขี่เอง ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินครับ...เหนื่อยใจ
“บ๊ะ ไอ้เด็กนี่ ขี้เกียจตัวเป็นเห็บไปได้”
“ไม่ใช่เห็บเฟ้ย! ตกลงจะขี่ให้ไหมเนี่ย” ผมขมวดคิ้วใส่อีกฝ่าย กำลังคิดอยู่ว่าถ้าเขาไม่ยอมผมจะได้ขี่เอง ไม่สนแม่งแล้วว่าจะเผลอไปชนเสาชนม้าชนหมีที่ไหน แต่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเสียก่อน
“เออๆ เดี๋ยวข้าขี่เอง ไปที่รถสิ”
“ก็แค่นั้น เล่นตัวไปได้”
ระหว่างที่ท่านเจ้าที่เป็นสารถีขี่รถพาผมกลับบ้าน จู่ๆ เขาก็เลี้ยวรถเข้าไปในห้างที่เป็นทางผ่านโดยไม่บอกกล่าว พอจอดรถเรียบร้อยผมก็เลยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้
“แวะที่นี่ทำไมอ่ะท่านเจ้าที่”
“เถอะน่ะ ตามข้ามา”
แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆ เข้าไปในห้าง
จากที่เดินตามหลัง ท่านเจ้าที่ก็ชะลอฝีเท้าลงมาเดินข้างๆ ผม พอเหลือบไปมองอีกฝ่ายก็แค่ยักคิ้วให้แล้วหันไปมองรอบกาย ขยับเบี่ยงตัวหลบผู้คนที่เดินผ่านไปมาบ้างบางครั้ง...ผมอ้าปากกำลังจะถามว่าจะไปที่ไหนกันแน่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือหนาจับเข้าที่ข้อมือของผมแล้วจูงพาผมเดินไปตามทาง
ผมมองมือของเขาที่เปลี่ยนจากจับหลวมๆ เป็นกำแน่นทั้งข้อมือของผม ความอุ่นของผิวเนื้อที่สัมผัสได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ผมกับท่านเจ้าที่แตะตัวกันมาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกอบอุ่นในใจยังไงก็ไม่รู้
ผมเดินตามแรงลากจูงของอีกฝ่ายจนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านไก่ทอดชื่อดัง “เคเอฟซี?”
“อ่าฮะ” ท่านเจ้าที่พยักหน้ารับเมื่อผมพูดขึ้น “ข้าอยากกิน”
“คิดไงถึงอยากกิน”
“อยากกินนี่มันต้องคิดด้วยรึ ข้าก็แค่อยากกิน” เทวดาหน้าหล่อหันมากลอกตาทำหน้าเอือมใส่ผม สายตานี่มองมาเหมือนจะด่าผมว่าซื่อบื้อหรือไงถึงได้ถามแบบนั้น มองขนาดนี้พูดเลยก็ได้มั้งท่าน เหอะ
“งั้นก็เข้าไปดิ รอไก่มันเดินออกจากร้านมาหาหรือไง” ผมก็เลยประชดใส่ เป็นฝ่ายจับมือของท่านเจ้าที่แล้วพาเดินเข้าร้าน ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ทั้งในและนอกร้านที่มองมาทางเราสองคนแต่อย่างใด ไม่มองดิแปลก ผู้ชายหน้าตาดีสองคนเดินจูงมือกันเข้ามาในร้าน ยิ่งคนหนึ่งหน้าหล่อฉิบหายวายวอด รูปร่างสูงใหญ่ประหนึ่งนายแบบบนรันเวย์แฟชั่นจากปารีส คนไม่มองก็เหี้ยละครับ
“กินอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
“เอาอันไหนมาก็ได้ แบบที่ทั้งเอ็งและข้ากินหมดน่ะ”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปสั่งไก่ กวาดตามองเซ็ตต่างๆ ที่หลังเคาท์เตอร์นิดหน่อย ก่อนจะสั่งเซ็ต 399 บาทมา จริงๆ มันก็ดูเยอะไปนะสำหรับคนสองคน แต่สั่งๆ ไปเถอะ กินไม่หมดก็ใส่กล่องเอากลับบ้านได้ไม่ยาก
รอสิบนาทีผมก็ได้ตามที่สั่งไป ยกถือไปที่โต๊ะก็เห็นท่านเจ้าที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาทางผมอยู่พอดี
“อ่ะ เดี๋ยวผมไปเอาซอสให้”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้า...เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ท่านเจ้าที่เอ่ยแย้ง แถมยังเปลี่ยนสรรพนามในการพูดจนผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเอี้ยวไปมองตามสายตาของเขาก็เห็นว่ามีครอบครัวหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะด้านหลังของเราพอดี อ่อ เพราะงี้เลยเปลี่ยนคำแทนตัวสินะ ใช้ข้าเอ็งทั้งๆ ที่หน้าหล่อฉิบหายตายห่าแบบนี้คงดูแปลกพิลึกอ่ะ
ผมหันกลับมาสนใจเขา “ไปเอาได้แน่เหรอ รู้เหรอว่าไปเอาที่ไหน”
“รู้สิ ถึงฉันจะเป็น...นั่นล่ะ แต่ฉันก็เคยบอกแล้วนี่ว่าบางครั้งก็มาสำรวจคนในสังคมบ่อยๆ มากินไก่ทอดนี่ฉันก็เคย บางทีก็ต้องลองทำอะไรแบบคนทั่วไปบ้าง”
ผมพยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจแล้ว ขณะมองตามอีกฝ่ายเดินไปเอาซอสมะเขือเทศกับซอสพริกยังจุดที่มีไว้ให้ลูกค้ากดซอสเอง ไม่นานเขาก็กลับมา จากนั้นเราสองคนถึงได้ฤกธิ์ลงมือกินไก่ทอดชื่อดังนี่
ผมนึกอะไรขึ้นมาได้เลยเงยหน้ามองเขาแล้วว่า “เมื่อกี้ผมเป็นคนออกค่าไก่”
“แล้ว?”
“แต่ผมไม่ได้อยากกินนะ พี่เป็นคนอยากกิน เพราะงั้นคืนเงินผมมาเลย”
“ไอ้เด็กขี้งก จริงๆ นายเป็นคนเลี้ยงฉันมันก็ถูกแล้วมั้ย” ท่านเจ้าที่ถลึงตามองผม ทำท่าจะยกส้อมพลาสติกในมือขึ้นแทงหน้าผมอยู่รอมร่อ ผมกลอกตามองบนใส่เขาพลางบ่น
“อะไรวะ ไม่ได้อยากกินสักหน่อยดันต้องมาเสียตังค์เลี้ยงอีก”
“ฉันจ่ายคืนก็ได้” ผมเบิกตาโตมองอีกฝ่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นถลึงตาใส่แทนเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “แต่นายต้องคายทั้งหมดที่กินเข้าไปออกมาคืนฉัน”
“เฮ้ย! เกินไปป้ะ!” ผมโวยวายทันที บ้าเหรอวะใครจะไปคายออกมาได้!
“ไม่เกินไปหรอก แต่นายต้องคายออกมาให้เป็นเหมือนเดิมด้วย ไหน กินอะไรเข้าไปบ้าง” ท่านเจ้าที่ชะโงกหน้ามามองในจานของผม ยกนิ้วชี้มาที่กองกระดูกตรงขอบจาน “นั้นวิงซ์แซ่บใช่ไหม คายออกมาให้ได้น่องวิงซ์แซ่บเหมือนเดิมล่ะ”
“ตลกละ! ใครจะไปทำได้”
“ถ้าทำไม่ได้งั้นก็ต้องจ่ายเงิน”
“ไอ้...!” ผมจะด่าก็ด่าไม่ออก ได้แต่ยกมือชี้หน้าคนตรงข้าม เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง
ท่านเจ้าที่ยักคิ้วข้างเดียวส่งมาให้ผม มุมปากกระตุกยิ้มร้าย นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเทวดาอารักษ์ ผมคงคิดว่าเป็นปีศาจจอมเจ้าเล่ห์อ่ะ!
เห็นผมทำหน้าโมโหล่ะมั้ง จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะปลอบใจผมด้วยการยื่นข้อเสนออื่นให้แทน “อย่าโกรธฉันไปเลยน่า นายเลี้ยงไก่ งั้นเดี๋ยวฉันเลี้ยงไอศกรีม ตกลงมั้ย?”
ผมตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ผมจะสั่งที่แพงที่สุดเลยคอยดู”
คำที่ทำให้ท่านเจ้าที่หน้าหล่อหัวเราะเสียงดังขึ้นจากเดิมอีกหนึ่งเลเวล
__________
หลังจากจัดการไก่ทอดจนหมดได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็เดินลูบพุงออกมาจากร้านพร้อมท่านเจ้าที่ อิ่มอืดสุดๆ อ่ะครับ แม่งไม่น่ากินเพลินเลย รู้ตัวอีกทีแดกจนหมดเกลี้ยงทั้งผมทั้งท่านเจ้าที่อ่ะ แล้วงี้จะไปกินติมได้ไงว้า
“ไปเดินย่อยหน่อยแล้วกัน ค่อยไปกินไอติมก่อนกลับบ้าน”
“จะไปเดินที่ไหนอ่ะ?”
“อืม ร้านหนังสือไหมล่ะ”
ผมเห็นด้วย “เอาดิ”
เราสองคนมาที่ร้านหนังสือได้ก็แยกกันไปคนละมุม ผมไม่รู้หรอกว่าท่านเจ้าที่สนใจหนังสือแบบไหน แต่ผมอ่ะต้องโซนนี้เลย นิยายสืบสวนสอบสวนฆาตกรรมที่ผมล่ะโคตรชอบ ฟีลลิ่งตอนอ่านนิยายพวกนี้จะเหมือนตอนดูโคนันอ่ะครับ ใครวะเป็นฆาตกร ไอ้คนนี้แน่ๆ หรือไอ้คนนั้น แล้วแม่งก็เดาผิด ฮ่าๆ
ผมมองหาเรื่องที่น่าสนใจไปเรื่อยจนได้มาสองเล่ม ก่อนจะย้ายไปโซนนิยายรัก เลือกนิยายไปเรื่อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน สุดท้ายผมก็ได้นิยายวายมาอีกสองเล่ม เดินๆ วนๆ ไปตามเชลฟ์ต่างๆ จนเมื่อท่านเจ้าที่กลับมาหาผม ในมือของผมก็มีไลฟ์โนเวลอีกสองเล่ม กับนิยายแฟนตาซีอีกเล่มหนึ่ง...ฉิบหาย มาร้านหนังสือทีไรเหมือนโดนดูดอ่ะ หนังสือพวกนี้นี่แหล่ะที่ดูดเงินออกจากกระเป๋าตังค์ ถ้ากระเป๋าตังค์ของผมมันพูดได้ มันคงพูดว่ามึงจะซื้ออะไรปรึกษากูบ้าง เกรงใจกูหน่อย ถามกูสิว่ากูอยากให้แบงค์ร้อยแบงค์พันที่อยู่ในนั้นออกไปเจอโลกภายนอกไหม
ผมว่าผมชักจะเพ้อเจ้อแล้วว่ะ คนเหี้ยอะไรวะคุยกับกระเป๋าตังค์ โว๊ะ!
“จะซื้อหมดนั่นเลยรึ?” ท่านเจ้าที่ถามผม
“อื้อ ไม่ได้เข้าร้านหนังสือนานแล้ว พอเห็นเรื่องไหนน่าสนใจก็อยากอ่านไปหมด พี่ล่ะได้อะไรมา”
“ได้แล้ว” ท่านเจ้าที่ชูหนังสือในมือให้ผม หนังสือที่ทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะมันคือหนังสือทำขนม “ฉันอยากลองทำมานานแล้ว เมื่อวานเพิ่งซื้อเครื่องอบขนมมา ต้องลองใช้เสียหน่อย”
“เครื่องอบขนม? ซื้อไว้ในศาลของพี่อ่ะเหรอ?” ผมมองเขาเหมือนมองคนประหลาดเป็นรอบที่ล้าน
“เออ แปลกหรือไง” เขาย้อนถามเหมือนจะหาเรื่อง ผมก็เลยได้แต่กลอกตาโดยไม่ตอบ แต่แล้วก็ต้องนิ่งงันเมื่อเขาเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับริมฝีปากว่า “ฉันคิดจะทำให้นายกินนั่นล่ะ”
ตึกตัก ตึกตัก...ผมสบดวงตาสีรัตติกาลของคนตรงหน้าอยู่หลายวินาที หัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดของเขา ก่อนจะหลบสายตาไปมองทางอื่น สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เลยเลือกที่จะเดินหนีแต่ไม่ลืมที่จะตอบเขา...
“จะรอกินแล้วกัน”
__________
มาต่อให้อย่างไว โอ้โห ตอนที่แล้วคอมเมนต์กันน่ากลัวมากค่ะ 5555 หลายคนมีความอินกับความงี่เง่าของคลาร์กและเนส คนเราก็เนอะ หลายคนหลายความคิด แต่อย่าเพิ่งเกลียดพวกนางเลยนะคะ พวกนางน่ารักน้าา ตอนนี้ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบเด้อ แฮะๆ //แก้ตัวแทน
ส่วนตอนนี้ เห็นไหมคะ เห็นถึงความน่ารักของท่านเจ้าที่กันไหมมม อิอิ ช่วงที่แทงค์อ่อนแอ คนเดียวที่ทำให้แทงค์สามารถลืมเรื่องเสียใจได้บ้างก็คือเจ้าที่ที่บอกว่าจะมาตามรังควานกันนี่แหล่ะค่ะ และหลังจากนี้ท่านภูจะน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ เลยล่าา โปรดติดตามอย่าพลาดเด็ดขาด 555
อืมมม จริงๆ เราคิดตอนพิเศษได้ 5 ตอนแล้ว แต่ยังอยากได้เพิ่มอีก มีใครมีไอเดียหรือมีจุดไหนที่สงสัยในเรื่องแล้วอยากรู้บ้างไหมคะ เผื่อจะเป็นไอเดียให้เราได้บ้าง ขอกันหน้าด้านๆ ตรงนี้เลยแล้วกัน ฮ่าาา เสนอมาได้น้าา จะรับไว้พิจารณาค่ะ เอาล่ะ...เจอกันตอนหน้าเน้ออ //ยิ้มกว้าง