ตอนที่ 27
“รู้นะว่าเขินข้า”
"ท่านจะจัดปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่?"
"ใช่ ฉลองให้กับบ้านใหม่อันแสนงดงามของข้า"
เอาจริงดิ?!
ผมได้แต่ทำหน้าเหวอๆ ใส่ท่านเจ้าที่ในบ่ายเกือบเย็นของวันเสาร์อันแสนสงบสุข หลังจากที่อีกฝ่ายบอกว่าจะจัดปาร์ตี้เปิดบ้านใหม่(หรือก็คือศาลพระภูมิใหม่นั่นล่ะ) และตั้งใจจะเชิญแขกมาเยอะๆ ซึ่ง...แขกของเขาก็คงหนีไม่พ้นบรรดาพระภูมิเจ้าที่จากบ้านอื่นๆ ในเขตพระนครล่ะมั้ง
"จะจัดจริงอ่ะ?" ผมถามย้ำ และร่างสูงก็พยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเหมือนเดิมจนผมล่ะอยากจะถาม...นี่ท่านมึงไม่อายศาลตัวเองบ้างหรือไงฟะ! สีชมพูหวานแหววลายก็มุ้งมิ้งซะขนาดนั้น โคตรไม่เข้ากับหน้าตาเถื่อนๆ ของเขาเลยสักนิด! "เอ้อ จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ นั่นก็บ้านท่านนี่ จะมาบอกผมทำไม"
สุดท้ายผมก็ได้แต่เอ่ยอย่างปลงตก อยู่กับไอ้ท่านเจ้าที่มาเป็นเดือนๆ ยังไม่ชินกับพฤติกรรมท่านเขาอีกเหรอวะไอ้แทงค์เอ๊ย เลิกแปลกใจได้แล้วเฟ้ย
"เพราะข้ามีมารยาทน่ะสิถึงได้บอกก่อน อย่างไรเสียเอ็งก็เป็นเจ้าของศาลพระภูมินี้เช่นกัน หมายถึงในทางโลกมนุษย์ล่ะก็นะ" ท่านเจ้าที่เอ่ยอธิบาย ยกมือผลักหัวผมจนแทบหงายหลัง...ทำร้ายร่างกายอีกละแม่ง ถ้าคอผมเคร็ดล่ะน่าดู
"เป็นอันว่าผมรับรู้แล้ว เชิญตามสบายครับ"
“แล้วเอ็งไม่มางานเลี้ยงของข้ารึ?”
“ผม?” ชี้นิ้วมาที่ตัวเองด้วยความงุนงง จะให้ผมไปปาร์ตี้กับเหล่าเทวดาเจ้าที่เนี่ยนะ? “ไม่ล่ะครับ ขอบาย อีกอย่างผมต้องไปเล่นดนตรี ลืมแล้วเหรอ”
“เออ ข้าก็ลืมไป งั้นช่างเถอะ ถือว่าข้าชวนแล้วแต่เอ็งไม่สะดวก”
ผมโบกมือให้ท่านเจ้าที่ก่อนจะว่า “ขอบคุณที่ชวนแล้วกันครับ งั้นผมไปละนะ จะไปอาบน้ำ”
“ไปเล่นดนตรีพรุ่งนี้ก็อย่าเมาอีกล่ะ ข้าไม่ไปรับนะ” ท่านเจ้าที่เอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได หันหน้ามามองสบตาเทวดาปากร้ายด้วยความเบื่อหน่าย ย้ำจริงไอ้เรื่องเมาเนี่ย
“รู้แล้วล่ะน่า”
ทำตัวเป็นพ่อกูเลยห่า ทำแบบนี้มากๆ เข้า เดี๋ยวกูกับจับมาเป็นพ่อทูนหัวกูซะเลยแม่ง
__________
เช้าวันอาทิตย์หลังเลิกกะ พอผมตอกบัตรเสร็จก็เจอท่านเจ้าที่ยืนรออยู่ที่ลานจอดรถแล้ว ไม่แปลกใจเลยสักนิดครับเพราะเขามารอผมอย่างนี้ทุกครั้งที่ผมเลิกกะเช้าอ่ะ ห่วงกลัวผมหลับในเหมือนเดิมนั่นล่ะมั้ง ทั้งๆ ที่ผมก็บอกแล้วว่าผมไหว ก่อนหน้าจะเจอเขาผมก็พาตัวเองกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยมาตลอด แต่เขาก็ไม่ฟังครับ ดื้อแพ่งจะมารับผมให้ได้
เออ เอาเถอะ เอาที่สบายใจนะพ่อคุณพ่อทูนหัวของผม เหอๆ
...อ้าว ยังไม่ได้เป็นพ่อทูนหัวนี่หว่า กูยังไม่ได้จับเขาทำหลัวเลย
“มานานยัง” ผมถาม อีกฝ่ายยักไหล่
“เพิ่งมาถึง เอ็งหิวหรือเปล่า”
“นิดหน่อย แต่ผมง่วงมากกว่า” ความง่วงกับผมเป็นของคู่กันครับ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่บ่นว่าง่วง เหอๆ
“งั้นกลับบ้านเลยแล้วกัน ส่วนกับข้าวกับปลาเดี๋ยวข้าหาไว้ให้” ผมนิ่ง เอียงคอมองหน้าท่านเจ้าที่ด้วยความไม่เข้าใจ คนถูกมองเลิกคิ้วก่อนเปิดปากถามเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของผม “ทำไมมองข้าอย่างนั้น?”
“ให้ผมพูดตรงๆ เลยนะท่านเจ้าที่ คือผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ท่านดู...แปลกๆ ไปนะ”
“แปลก?”
“ใช่ แบบว่าดูใส่ใจผมจนผิดปกติ”
จริงๆ นะครับ ผมรู้สึกว่าตั้งแต่หลังจากวันที่ผมเมาจนเรื้อน ท่านเจ้าที่ก็ดูจะปฏิบัติตัวกับผมแปลกไป คือผมก็รู้นะว่าเขาใจดีแม้จะไม่ค่อยแสดงออกกับผมนักเพราะชอบด่าชอบแขวะผมมากกว่า แต่ก็นั่นล่ะ ท่านเจ้าที่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรไง แต่ก็ไม่ได้ดีจนผมไม่เอะใจเมื่อเขาดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดแบบตอนนี้
ดูใจดีกับผมมากขึ้น ตามใจผมมากขึ้น มารับผมบ่อยๆ บางวันที่ผมเข้ากะบ่ายเลิกสามทุ่มงี้ท่านเจ้าที่ยังออกมารับผมกลับบ้านเลย แถมยังหาข้าวปลามาให้เวลาที่ผมทำงานเลิกดึกนอนตื่นสาย และมันก็บ่อยขึ้นจนผมอดถามตัวเองไม่ได้ว่า...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านเจ้าที่เขาวะ?
“อ๊ะ หรือว่าจะเป็นเพราะกลัวผมไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกล่ะสิ” ผมร้องอย่างนึกขึ้นได้ คนฟังทำหน้างง ผมก็เลยต้องพูดอีกว่า “ก็ที่มารับผมกลับบ้านบ่อยๆ เพราะกลัวผมเหนื่อยหรือง่วงจนไปเกิดอุบัติเหตุสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น หรือที่คอยเตรียมข้าวปลานั่นนี่ไว้ให้เพราะกลัวผมหิวจนเป็นลมตายกลายเป็นภาระของท่าน อะไรทำนองนี้ใช่ป่ะ? ท่านคิดแบบนี้ใช่ไหม?!”
หลังฟังข้อสันนิษฐานของผมจนจบ ท่านเจ้าที่ก็มองผมเหมือนเห็นตัวเหลือบไรน่ารำคาญชวนให้เอานิ้วบี้ทิ้ง...อื้อหือ ไม่ต้องมองกันขนาดนั้นก็ได้ครับท่าน!
“เอ็งนี่มัน...” ท่านเจ้าที่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจ “ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่ที่ข้าทำไปก็เพราะห่วงเอ็ง จำไว้แค่นี้ก็พอแล้วกัน”
ฉ่า...อะ ไอ้เหี้ย เสียงใครโยนปลาทับทิมลงไปทอดในกระทะน้ำมันเดือดวะ ดังฉ่าๆ อยู่ข้างหูกูเนี่ย
แล้วใคร! ใครเอาแผงโซลาร์เซลล์สะท้อนแสงอาทิตย์มาโดนหน้ากู ทำไมหน้ากูร้อนขนาดนี้!
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
นี่ก็อีก ใครมันมาตีกลองอยู่ใกล้ๆ กูอ่ะ เสียงดังสะเทือนไปทั้งหน้าอกกูเลย เวรเอ๊ย เอากลองออกไป๊!
ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองแน่น ไอ้ที่เพ้อเจ้อไปเมื่อกี๊น่ะผมก็แค่อยากจะกลบเกลื่อนอาการของตัวเองเท่านั้นล่ะครับ...หน้าร้อนผ่าวๆ หัวใจเต้นโครมคราม ทุกอย่างมันมาจากตัวผมเองนี่แหล่ะ ไม่ได้มีใครมาทอดปลา ส่องแสง หรือตีกลองทั้งนั้น
ไอ้ฉิบหาย กูเขินจะตายอยู่แล้ว นี่มันครั้งที่สอง!...ครั้งที่สองแล้วนะที่ท่านเจ้าที่พูดอะไรแบบนี้กับผม ครั้งก่อนก็เมื่อหลายวันก่อนนั่นไง โอ้โหคุณพระ! ไม่เคยได้ยินคำว่าเป็นห่วงของใครแล้วดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะอะไรวะไอ้แทงค์ เพราะอะไรรร!!!
“รู้นะว่าเขินข้า” ได้ยินเสียงท่านเจ้าที่เอ่ยหยอกแว่วมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ ผมงี้เงยหน้าขวับขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายตาเขียว(ที่พยายามทำอย่างยากลำบาก) แล้วโวยวายใส่เสียงดังขึ้นมาอีกหนึ่งเดซิเบล
“รู้แล้วก็อย่าทำให้เขินสิวะ!” ...คิดว่าผมจะพูดอะไรได้ล่ะ คนแมนๆ อย่างผมก็ต้องหน้าด้านยอมรับความจริงไง!
“หึๆ เอ็งนี่มันน่ารักพิลึก”
“อะ อะ...” ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกครั้ง
เมื่อกี้เขาชมผมว่าน่ารักเหรอวะ น่ารักเนี่ยนะ? (แต่ไอ้น่ารักพิลึกนี่คือยังไง?) โอ้โห อเมซิ่ง! คนปากจัดเหมือนเลี้ยงหมาไว้กับฝูงจระเข้ในปากเนี่ยนะชมผมว่าน่ารัก! บอกว่าเป็นห่วงด้วย...นี่กูเมาอากาศอยู่หรือเปล่า ใครก็ได้บอกกูที รบกวนพากูออกไปจากตรงนี้ด้วยครับ หัวใจทำงานหนักเกิน สมองก็ทำงานหนักไป ไอ้ฟัคคค
“เลิกทำหน้าตลกๆ แบบนั้นแล้วกลับบ้านกันได้แล้ว วันนี้ข้าไม่ว่างมาเป็นเพื่อนเล่นเอ็งนะ ข้าต้องไปจัดบ้านต่อ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่พูดอะไร ที่จริงคือยังคงพูดไม่ออกครับ...ท่านเจ้าที่เรียกสติของผมด้วยการขึ้นคร่อมรถแล้วสตาร์ท ผมก็เลยต้องดึงสติกลับมาแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้ายเขา เดี๋ยวนี้ชอบนักมาเป็นสารถีขับรถให้ผมเนี่ย อย่ามาทวงบุญคุณทีหลังล่ะ เหอๆ
เมื่อเรากลับมาถึงบ้านผมก็กระโดดลงจากรถทันที ปล่อยให้ท่านเจ้าที่เขาเอารถเข้าไปเก็บที่โรงจอดแทนผม แต่แล้วผมก็ต้องชะงักงันเมื่อพบว่ามีแขกแปลกหน้ายืนกระจายกันเต็มลานหน้าบ้านไปหมด!
“เฮ้ย! พวกคุณเป็นใครกันเนี่ย!?”
“โอ๊ะ นี่น่ะรึเด็กมนุษย์ที่ทำให้ท่านภูตลาขัดเคืองใจจนต้องทำเรื่องย้ายศาลพระภูมิตามมาสั่งสอนถึงที่นี่” เสียงของชายหนุ่มร่างท้วมคนหนึ่งดังขึ้น อีกฝ่ายมองผมอย่างพินิจพิจารณาไม่ต่างจากคนอื่นๆ รอบตัว
“หน้าตาดีไม่เบาเลยนี่” มีหลากหลายเสียงวิจารณ์ดังเซ็งแซ่ และถ้าให้ผมเดา...ผมรู้แล้วล่ะว่าคนพวกนี้เป็นใคร
“พวกเขาเป็นพระภูมิเจ้าที่ที่ข้าเชิญมางานปาร์ตี้น่ะ” ท่านเจ้าที่บอกกับผม ซึ่งก็ตรงตามที่ผมคิดไว้เลย ฮ่าา
“คือพวกท่านคงจะไม่ปาร์ตี้กันที่บ้านของผมหรอกใช่ไหมครับ?” ผมชิงถาม เข้าใจมาตลอดว่าปาร์ตี้จัดขึ้นในศาลพระภูมิ เกิดมาจัดเอาในบ้านผมนี่เป็นเรื่องเลยเนอะ เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในละแวกนี้ได้มาถามไถ่กันแน่ว่ามีงานอะไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมากกก
“แน่นอน พวกเราจะไปสังสรรค์กันที่บ้านใหม่ของท่านภูตลา แหม สีชมพูนี่มันน่ารักกุ๊กกิ๊กจริงเชียว”
“ตัวบ้านก็ช่างทันสมัย อยากได้แบบนี้บ้างจัง” แล้วเหล่าท่านพระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายก็หันไปพูดคุยกันเอง ลืมเลือนผมคนนี้ที่เป็นมนุษย์คนเดียวท่ามกลางเทวดาเสียสิ้น
“ยืนอยู่ทำไม เอ็งจะไปไหนก็ไปสิ ไปนอนเลยไป”
“เอ่อ โอเค” ผมตอบรับคำพูดแกมสั่งของท่านเจ้าที่ก่อนจะเดินเข้าบ้าน หากแต่สองขาก็ต้องชะงักลงอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วพบเข้ากับ...เฮ้ย!! นี่มันแก็งสาวนางฟ้าที่ไหนอีกล่ะเนี่ย!
ผู้หญิงครับ! มีเป็นสิบเลย นั่งเมาท์มอยอย่างเมามันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของผมอ่ะ!
“อุ๊ยตาย เด็กหนุ่มคนนี้คือเจ้าของบ้านใช่ไหมเอ่ย”
“น่ารักน่าชังดีแท้ ไม่แปลกใจที่ท่านภูยอมตามมาถึงที่นี่ คงอยากจะแกล้งเด็กมันล่ะสิท่า”
“ข้าตามมาราวีเด็กปากร้ายต่างหากเล่า บุปผาวารี” ท่านเจ้าที่ที่เดินตามผมเข้ามาเอ่ยทักท้วง เหลือบมองผมที่ทำหน้าเอ๋ออยู่ที่เดิม แล้วจึงยอมอธิบายให้ฟังว่าผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีราวกับเป็นเมียนายกสโมสรสารพัดนึกพวกนี้เป็นใคร “พวกเธอคือพระภูมิเจ้าที่ในเขตการปกครองของข้าเอง เหมือนพวกข้างนอกนั่นล่ะ”
“พระภูมิเจ้าที่? ผู้หญิง?” ผมทวนถาม ชีวิตนี้ก็เพิ่งจะเคยได้ยินว่ามีพระภูมิเจ้าที่เป็นผู้หญิงนี่แหล่ะครับ นี่มันเรื่องประหลาดอีกเรื่องในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของผมเลยนะเว้ย
“ใช่ สังคมของสวรรค์ก็ถือความเท่าเทียมเหมือนสังคมมนุษย์ แล้วทำไมจะมีพระภูมิเจ้าที่เป็นหญิงไม่ได้ล่ะ”
“เอ้อ อย่างนั้นเหรอ” ผมตอบรับแบบมึนๆ เหมือนสมองของผมมันรัดวงจรแล้วล่ะนะ คิดว่าคงไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้วแต่มันก็ยังมีว่ะ ผมว่า...ผมควรไปนอนพักผ่อนการทำงานของสมอง “โอเค ผม...ผมไปละ ตามสบายละกันนะครับ”
คล้อยหลังเด็กหนุ่มชาวมนุษย์เพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้ เหล่าเจ้าที่หญิงต่างกันพากันหันมามองผู้เปรียบดั่งนายเหนือหัว หนึ่งในเจ้าที่หญิงเอื้อนเอ่ยวาจาขึ้นว่า...
“ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ ท่านภูตลา”
“รู้หรือ” ภูตลาย้อนถามอย่างไม่หวั่นเกรงที่มีคนล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดและกำลังกระทำอยู่ ทั้งๆ ที่ควรจะกังวลเสียด้วยซ้ำแต่ใบหน้าคมยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม “แล้วอย่างไร พวกเจ้าจะขัดขวางข้าหรือไงเล่า”
“ไม่เลยท่านภู พวกข้าเข้าใจดี เพียงแต่กังวลใจแทนท่านว่าอาจจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นได้ ท่านก็น่าจะรู้...ว่าไม่เคยมีใครทำแบบท่านมาก่อน แม้จะไม่มีกฎตายตัวบนสวรรค์ในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีเทวดานางฟ้าองค์ใดคิดจะทำ เพราะพวกเราล้วนเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่ท่านรู้สึกกับเด็กหนุ่มคนนั้นจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับพวกเราเลย”
“ข้ารู้ดารามณี และเพราะเหตุนั้นข้าจึงต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้ นี่จะเป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ในประวัติศาสตร์ของชาวสวรรค์ แต่ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะออกมาดีและไม่เดือดร้อนใครเด็ดขาด”
“ข้อเสนอที่ท่านยื่นต่อองค์มหาเทพนั่นน่ะ ท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่? มันคุ้มค่ากับสิ่งที่ท่านคิดว่าจะได้มาจริงๆ แล้วหรือ” ท่านเจ้าที่บุปผาวารีเอ่ยถามอย่างรู้เท่าทันสิ่งที่ภูตลาคิด ทำเอาคนถูกถามนิ่งงัน ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ แล้วว่า...
“เจ้ารู้เรื่องของข้าเสมอเลยนะ และใช่...คำตอบของข้าคือ มันคุ้มค่า”
“เพราะห่วงท่านหรอกจึงได้เฝ้าติดตามเรื่องของท่าน พวกเราที่เป็นเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านรู้สึกห่วงใยท่านเสมอ อีกอย่าง...สิ่งที่ท่านทำใช่ว่าจะเป็นความลับ ตอนนี้ทั้งสวรรค์แทบจะรู้กันหมดแล้วว่าท่านคิดจะทำอะไร”
“ข้าขอบใจพวกเจ้ามาก แต่เชื่อเถอะว่าข้ารับมือกับเรื่องนี้ได้ และข้อต่อรองของข้ากับท่านมหาเทพก็เป็นผลสำเร็จแล้วด้วย เพียงแต่ข้าต้องทำแต้มบุญเพิ่มอีกนิดหน่อย แต้มบุญทั้งหมดจึงจะพอกับสิ่งที่ข้าร้องขอไป”
ทุกคนนิ่งฟังโดยไม่คิดจะคัดค้านต่อผู้ที่เป็นดั่งนายเหนือหัว
ก็คนๆ นี่เป็นถึงผู้ว่าราชการศาลพระภูมิเขตพระนครเชียวนะ ไม่มีอันใดต้องกังวลมากนักหรอก หากแต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่บุปผาวารีเจ้าที่นึกสงสัย จนอดเอ่ยถามไม่ได้
“เมื่อใดกันที่ท่านรู้ตัวว่าท่าน...”
แม้จะไม่ได้รับคำถามที่จบใจความ แต่คนถูกถามอย่างภูตลาก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการพูดถึงสิ่งใด ดวงตาคู่คมมองไปที่บันไดขึ้นชั้นสองของบ้าน ที่ๆ เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านเพิ่งจะก้าวหายขึ้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ไม่รู้สิ เพราะรู้ตัวอีกทีข้าก็พร้อมยอมทุ่มพลังทุกอย่าง เพื่ออนาคตของข้า...กับเขา”
__________
ปาร์ตี้ของท่านเจ้าที่กับแก็งเพื่อนพระภูมิจ้า อยากจะไปร่วมด้วยจริงๆ แต่ไปไม่ได้ ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเราเด้อ ให้คนมีบุญเขาสังสรรค์กันไป ส่วนพวกเราจินตนาการเอานะ 555 ตอนแถมนี่จะเรียกว่าเป็นการเปิดปมเล็กๆ ของเรื่องก็ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่ปมดราม่าอะไรหรอกนะคะ เป็นปมที่มีส่วนกับตอนจบน่ะค่ะ ซึ่งเราจะเฉลยในตอนพิเศษนู่นแหน่ะ ตอนนี้มีตอนพิเศษที่คิดไว้ในหัวอยู่ 2 ตอน ซึ่งทั้งสองตอนจะลงเว็บแน่นอนค่ะ แต่จะมีตอนนอกเหนือจากนั้นอีกไหมค่อยว่ากันอีกที อิอิ
โหยย วันนี้พรีเซนต์งานวิชาสัมมนา โดนอาจารย์คอมเมนต์พังอ่ะค่ะ ฮืออ ใจเสียมาก แต่หลังจากนี้จะเป็นงานที่ต้องทำร่วมกันทั้งเซค เราจะไม่ตายคนเดียวอีกแล้วค่ะ ย๊ากกก!!! //แหกปาก
ไปละ เจอกันตอนหน้า อืมม สักวันพฤหัสมั้งนะ ไม่แน่ใจค่ะ ขอดูอีกที แต่จะพยายามไม่หายไปนาน แต่เอ๊ะ? หรือนานๆ มาสักตอนดี ยังไม่อยากอัพเลยอ่ะ เดี๋ยวจบไว 5555