บทที่ 130 Escape
“Plan B!”
เฟี๊ยตกลั้นใจไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เพื่อให้ดังไปถึงเพื่อนอีกสามคนที่อยู่ไม่ห่างออกไปนั่น พร้อมกับที่เขาได้เรียกสั่งการ์ดโกเลมทรายนั่นให้พาจีน่าเคลื่อนที่ย้ายตัวเองมาอยู่บริเวณใจกลางวงล้ออย่างรวดเร็ว เฟี๊ยตเองในเวลานี้ก็สาวเท้ามุ่งหน้าสู่ใจกลางของบุคคลทั้งสี่นั่นเช่นกัน
“อ๊าวว”
เสียงดังอย่างไม่เข้าใจหลุดออกมาจากเจ้าของไพ่ตำราพิชัยสงครามนั่น ปันถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน ชายหนุ่มผิวขาวคนนั้นเพิ่งตะโกนออกมาด้วยความดีใจอยู่เมื่อครู่นี่ แต่คนที่เปรียบเสมือนมันสมองของทีมก็ประกาศใช้แผนบีเสียแล้ว แน่นอน แผนบีที่ว่าคือการหนีเอาชีวิตรอดนั่นเอง ถึงแม้ว่าภายในของปันจะไม่เห็นด้วยมากเพียงไร แต่เขาก็ยังวิ่งตรงไปที่จุดนัดหมายตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าแล้วนั้น
ในขณะที่ชายหนุ่มผิวเข้มที่รู้ฝีมือกันดีจากการร่วมเดินทางกันในชื่อทีมมายาแล้ว แทนไม่มีความสงสัยใดๆ ในคำสั่งนั้นเลย เขาค่อนข้างเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าการตัดสินใจของเฟี๊ยตอยู่บนหลักของเหตุผลแน่นอน ร่างกำยำนั่นวิ่งตรงกลับเข้าสู่ใจกลางกงล้ออักขระนั่นตามแผนที่เฟี๊ยตได้สั่งเอาไว้
แต่ถ้าจะถามถึงใครที่ตอบสนองต่อคำสั่งนั่นเป็นคนแรก น่าจะหนีไม่พ้นเด็กหนุ่มสายฟ้าคนนั้น ธันเฝ้าจับอาการของการต่อสู้นั่นมาตลอด ใจลึกๆ ของเขาบอกว่าเจ้ายักษ์โบราณนี่ไม่น่าจะคว่ำเจ้าผ้าคลุมนั่นลงได้อย่างเด็ดขาดเป็นแน่ หากจะทำได้ ก็คงจะยื้อเวลาไว้ต่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การโจมตีครั้งสุดท้ายนั่นก็ทำให้เขาไขว้เขวไปไม่น้อย ฝ่ายเขาดูนำอยู่มาก แต่พอเสียงตะโกนของเฟี๊ยตดังขึ้น ใจเขาเองก็ชัดเจนและไม่ปฏิเสธคำสั่งนั้นเลย ผู้ร่วมทีมของเขาก็คงจะคิดอยู่ในใจไม่ต่างกัน
“The Titanic Albatros RELEASE!”
ปันเรียกใช้การ์ดนกน้ำยักษ์ที่เคยใช้ตอนไปยังวิหารกุมภาพันธ์นั่นทันทีที่บุคคลทั้งห้ากลับมารวมตัวกันเรียบร้อย ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมีข้อกังขาภายในใจอย่างไรก็ตาม ปันก็เลือกที่จะไม่ถามคำใดออกไปในเวลาเร่งด่วนอย่างนั้น นกน้ำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นตวัดร่างนายของมันขึ้นไปอยู่บนหลังอย่างรวดเร็ว
เฟี๊ยตใช้การ์ดโกเลมทรายส่งเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปอยู่ในการดูแลของปันบนหลังเจ้านกยักษ์ตัวนั้น จีน่ากระเถิบตัวมานั่งอยู่ในอ้อมแขนของหนุ่มร่างบางนั่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เฟี๊ยตตะโกนสั่งความเป็นภาษาอังกฤษเพียงสองสามคำเท่านั้น จีน่าก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจดี
เจ้าสัตว์ปีกขนาดเท่าเครื่องบินย่อมๆ ของปันเริ่มต้นกระพือปีกช้าๆ ก่อนจะถีบตัวเองขึ้นเหนือพื้นดินในเวลานั้น ขาซ้ายที่เป็นพังผืดหนาอย่างสัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำนั่นตวัดร่างของเฟี๊ยตมาอยู่ในอุ้งเท้า ในขณะที่ทางด้านขวาเป็นตำแหน่งของแทนที่ก็ทรงตัวอยู่ได้อย่างคุ้นเคย
ธันประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แหวนทองคำสำหรับปลดปล่อยพลังเวทย์ลมนั่นกระทบกันจนเกิดเสียงขึ้นเบาๆ เด็กหนุ่มรวบรวมจิตและดึงมือทั้งสองออกจากกัน อากาศบริเวณนั้นถูกรวบรวมและบีบอัดจนเกิดกระแสลมที่รุนแรงอยู่ไม่น้อยขึ้น ธันเคลื่อนไหวมือไปมาเพื่อควบคุมอากาศเหล่านั้นให้พาตัวเองขึ้นสู่กลางท้องฟ้า ก่อนที่จะขึ้นนั่งบนหลังเจ้านกนั่นเป็นคนสุดท้าย เด็กหนุ่มสายฟ้านั่งเอาหลังชนกับปันที่ควบคุมทิศทางอยู่เบื้องหน้านั่น พื้นที่บนหลังเจ้านกนี่มีอยู่อย่างจำขัดจำเขี่ยเหลือเกิน เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในขณะนี้ก็หมิ่นเหม่จะวูบตกไปอยู่หลายครั้ง แต่ที่เขาถูกเลือกมานั่งตรงนี้น่าจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ควบคุมกระแสลมได้ นั่นแปลว่าถ้าพลาดพลั้งอะไรเกิดขึ้น เขาน่าจะเอาตัวรอดเมื่ออยู่กลางอากาศได้ดีที่สุด แน่นอน ผู้วางตำแหน่งบนเจ้านกตัวนี้ไม่ได้เอ่ยบอกเขาถึงเหตุผลแม้แต่น้อย แต่เขาเชื่อว่าตัวเขาเองรู้ความคิดในสมองอาตี๋นั่นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เพล้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เพียงเวลาไม่ถึงชั่วห้านาทีที่พวกเขาทั้งสี่เลือกที่จะใช้แผนการหลบหนีแทนประจัญบาน เสียงระเบิดแตกออกของเจ้ายักษ์โบราณก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด แทบจะไม่ต้องเดา เฟี๊ยตก็บอกตัวเองได้เลยว่า เจ้าปีศาจของหลิวเป้ยนั่นได้พ่ายแพ้ให้กับเจ้าไพ่สูงสุดนั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไบเบิ้ลไม่เคยผิดพลาดจริงๆ โชคดีที่เขารำพึงขึ้นเป็นการเปิดจังหวะให้ไบเบิ้ลสามารถตอบกลับมาได้ เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าเขาไม่ตัดสินใจหนีออกมาก่อนตามคำแนะนำนั่น เขาจะรับมือต่อไปอย่างไรในเวลานี้
คนที่เห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นธัน เด็กหนุ่มเห็นภาพทุกอย่างอย่างชัดเจนที่สุดเพราะเขาเป็นคนเดียวที่นั่งหันหลังให้กับทิศทางการเดินทางของนกน้ำตัวนั้น
ธันจับตามองการเคลื่อนไหวของการต่อสู้ของปีศาจทั้งสองที่เหมือนจะเป็นตัวแทนของฝ่ายขาวและฝ่ายดำที่อยู่บริเวณลานกว้างที่ค่อยๆ อยู่ห่างออกไปนั่น หลังจากที่เจ้ายักษ์ขาวเหยียบร่างของเจ้าผ้าคลุมนั่นจนควันสีดำโพยพุ่งออกมาจากตัวมันราวกับเอามือไปเค้นบีบฟองน้ำที่อัดแน่นไปด้วยน้ำแล้ว ผ่านไม่ชั่วสักพักหนึ่ง ควันปริมาณไม่น้อยเหล่านั้นกลับพุ่งเข้ามารวมตัวกันอีกครั้งราวกับว่ารอสมจังหวะโอกาสที่เจ้ายักษ์โบราณนั่นวางใจในชัยชนะแล้ว หมึกดำสนิทเหล่านั้นพุ่งกลับเข้าร่างของเจ้าผ้าคลุมสีดำสนิทนั่น ก่อนจะค่อยๆ แทรกซึมสวนทางเข้าไปในร่างกายของเจ้านักรบยักษ์นั่นผ่านทางเท้าที่มันเหยียบเจ้าผ้าคลุมนั่นไว้ ราวกับว่าเป็นพิษร้ายที่ค่อยๆ แพร่กระจายอานุภาพไปยังร่างแกร่งนั่น กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง สีดำสนิทอันน่าสยองพองขนก็กระจายไปทั่วขาข้างที่มันเหยียบเจ้าอรินั่นไว้แล้ว ยักษ์โบราณฝ่ายเขาพยายามถอยออกมาตั้งหลัก แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว เวทมนตร์ดำเหล่านั้นค่อยๆ กลืนกินไปทั่วร่างของปีศาจอัญเชิญของทางฝ่ายเขาจนหมดจนสิ้น ร่างกายที่เคยประดับไว้ด้วยออร่าบริสุทธิ์นั่นถูกกลืนกินราวกับผ้าขาวที่ต้องหมึกอย่างใดอย่างนั้น สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ทุกคนได้ยินเสียงการระเบิดออกของร่างที่ราวจะผลิตขึ้นด้วยแก้วนั่น เสียงของมันดังลั่นราวกับว่าประติมากรรมเปราะบางถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
“ระวัง!”
ปังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงของธันดังลั่นพร้อมกับเสียงพลังอะไรอย่างหนึ่งกระทบเข้ากับปราการป้องกันภัยอย่างแรง ไม่ต้องบอกเฟี๊ยตก็เดาได้เลยว่าเจ้าไพ่สูงสุดเจ้าของเลขมรณะนั่นตามมาทันเสียแล้ว มันคงจะปล่อยพลังอะไรสักอย่าง แล้วธันที่ยังคงเป็นคนคนเดียวที่คล่องตัวที่สุดในเวลานี้ก็คงจะเรียกใช้การ์ดสักอย่างออกมาป้องกัน ซึ่งก็คงจะเป็นกำแพงล่องหนที่เขาเคยเห็นบ่อยๆ นั่นแหละ
“ธัน ตอนนี้แหละ!”
เสียงคำสั่งความจากเภสัชกรหนุ่มดังลั่นมาจากอุ้งขาซ้ายของเจ้านกยักษ์นั่น เฟี๊ยตร้องสั่งไปตามแผนการที่ได้ตกลงกันไว้ เขาคาดไว้ไม่ผิดจริงๆ เจ้าผ้าคลุมนี่แข็งแกร่งเกินกว่าจะหลบหนีได้โดยง่าย พลังเวทย์ของพวกเขาแต่ละคนก็ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไพ่ตำราพิชัยสงครามของปันนั้นดูดพลังจักระไปไม่น้อยเลยทีเดียว แถมอาการแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ที่ทวีมากขึ้นตามเข็มนาฬิกานั่นก็จะทำให้ทุกอย่างเข้าใกล้จุดวิกฤตอีกครั้งเสียแล้ว
“เบี้ยกำลังจะกรีฑาทัพแล้วนะครับ ท่านขุนกรุณาอย่าทิ้งผมนะครับ ฮ่าฮ่า”
“Wind with the eye!”
เสียงตะโกนไปถึงเจ้าของแผนการนั่นดังขึ้นอย่างอารมณ์ดีแม้ในช่วงเวลาระทึกขวัญที่สุดนั่น ธันเลื่อนแหวนทั้งสองวงมาประกบกันอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนใช้คำสั่งก้องไปในราตรีมืดนั่น
ดวงตาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศในตอนนั้นราวกับว่าเป็นภาพสามมิติลวงตาที่ฉายมาจากที่แห่งใดแห่งหนึ่งอย่างนั้น จักษุขนาดยักษ์นั่นจับจ้องไปที่เจ้าผ้าคลุมดำนั่นอย่างประกาศชัดถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน เจ้าปีศาจมืดที่กำลังพุ่งตัวตามพวกเขามาอย่างรวดเร็วราวกับขีปนาวุธนำวิถีนั่นหยุดชะงักนิ่งไป ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นตรึงอยู่กลางอากาศอย่างใดอย่างนั้น
และไม่กี่ขณะจิตถัดมา ก็เกิดลมปริมาณมหาศาลราวกับพายุหมุนก่อตัวขึ้นบริเวณดวงตายักษ์นั่น ดวงตาของธันนั่นเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของพายุหมุนนั่นเอง ภาพของดวงตานั่นค่อยๆ เลือนหายไปราวกับภาพสีที่ต้องของเหลวฉะนั้น พายุหมุนขนาดยักษ์บีบอัดตัวแคบลงอย่างช้าๆ พลังเวทย์ปริมาณมหาศาลหลั่งไหลอยู่ในกระแสอากาศเหล่านั้น ต้นไม้ใหญ่บริเวณพื้นล่างลงไปนั่นลู่เอียงไปตามแรงลมนั่นจนเห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มสายฟ้านั่นยกมือขึ้นดีดนิ้วแรงเป็นสัญญาณในช่วงวินาทีนั้น พายุหมุนยักษ์นั่นก็พุ่งตัวเข้าสู่เจ้าผ้าคลุมที่ถูกตรึงอยู่กลางอากาศเข้าอย่างเต็มรัก กระแสลมที่ราวทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างให้ภัณฑ์พังไปตรงหน้านั่น ซัดเอาเจ้าผ้าคลุมนั่นหลุดไปไกลสุดสายตาจนเกินกว่าที่ธันจะมองเห็นได้ในคลองจักษุเสียแล้ว
“YES!”
ว่าที่สถาปนิกหนุ่มกำมือขึ้นอย่างสะใจในความสำเร็จนั่นน้อยๆ แต่นั่นก็เป็นช่วงวินาทีสุดท้ายที่เด็กหนุ่มนั่นยังครองสติเอาไว้ได้ เขาเค้นพลังจิตจนหมดเกลี้ยงฉาดเพื่อปิดฉากการรบตามแผนการนั่น บัดนี้ เขาไม่เหลือแม้แต่เสี้ยวของจักระที่ทำสิ่งใดได้อีกต่อไปแล้ว
ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นลอยละลิ่วตกลงจากหลังเจ้าพาหนะมีปีกนั่นอย่างน่าตกใจที่สุด ธันหมดสิ้นมโนสติโดยสมบูรณ์ ร่างของเขาดำดึ่งสู่พื้นดินแกร่งเบื้องล่างที่ห่างออกไปไม่ไกลนั่นอย่างรวดเร็ว
ร่างของธันกำลังจะถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกนั่น ในขณะที่ตัวเขาเองไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้เลย ยมทูตได้เงื้อมง่าเคียวแห่งความตายกลับมาทางเด็กหนุ่มเสียแล้ว!
จากผู้แต่ง : ผมขอบคุณผู้อ่านทุกคนมากจริงๆ นะครับ นิยายเรื่องแรกของผมดำเนินมาถึงตอนที่ 130 แล้ว ผมอยากจะบอกว่า ผมรู้ตัวนะครับว่าผมยังมีฝีมือไม่ดีนัก แถมไม่ได้แต่งนิยายแนวตลาดอีก แต่ผมก็ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ นะครับที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันมาตลอด ความคิดเห็นของพวกคุณทุกคนเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับผมมากเลยครับ
ผมขออนุญาตหยุดไปเลียแผลใจสักพักนะครับ อาจจะได้เจอกันอีกทีวันอังคารหน้าเลย ผมจะไปต่างประเทศหนะครับ คงไม่ได้แบกคอมไป อีกอย่าง ผมเองอยากพักทบทวนอะไรในชีวิตด้วยครับ ขอโทษด้วยนะครับ
มีนักอ่านติงมาว่านิยายผมอืด ฮ่าฮ่า คือมันก็อืดจริงๆ แหละครับ ผมมองภาพไว้ว่าอยากแต่งเป็นร้อยตอน อยากให้มันมีรายละเอียดในตัวของมัน พอตัดมาเป็นแต่ละตอนมันเลยดูเย้อมาก แต่พออ่านรวมกันเป็นแพ๊คแล้วน่าจะลงตัวพอดีนะครับ
ส่วนเรื่องภาษาการใช้คำซ้ำ คำเยิ่น คำเว่ออะไรพวกนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นแนวของผมอีกแหละครับ ผมทวนอย่างต่ำสามรอบก่อนลงครับ ลองพูดทุกประโยคแล้วไม่ขัดหูตัวเองครับ บางประโยค ถ้าไม่ได้อ่านออกเสียงเหมือนกันมันอาจจะแปลกมั้งครับ ฮ่าฮ่า ส่วนเรื่องภาษาโบราณนี่ก็ทำใจนะครับ คนแต่งแก่แล้ว จะให้แต่งแบบวัยรุ่นปัจจุบันนี่คงไม่ไหวหรอกฮะ ฮ่าฮ่า
ขอบคุณทุกความเห็นจากใจเลยครับ
ปล. คนที่ทำให้ผมถึงกับต้องหนีไปพักฟื้นถึงสิงคโปร์มีลิงค์นิยายเรื่องนี้อยู่ด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาอ่านอย่างที่เขาพูดไว้ไหม แต่ถ้าวันหนึ่งเขาบังเอิญผ่านมา ผมอยากบอกเขาว่า
"กลับมาเถอะ ผมยังรออยู่นะครับ รอทั้งๆที่ไม่มีหวังเลยก็ตาม"