บทที่ 121 Gina's Story
เฟี๊ยตสะกิดไหล่ธันให้ก้าวไปหาเด็กสาวที่ยังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่บนพื้นที่แคบๆ ตรงเชิงเขานั่น เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นก้มหน้าร้องไห้น้อยๆ อย่างน่าสงสาร ยิ่งเขาเหยียบสะพานอากาศของธันไปใกล้เท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกสะท้อนใจมากเท่านั้น ชะตากรรมอันไหนกันหนอที่ต้องทำให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ต้องมาตกระกำลำบากอยู่คนเดียวกลางป่าแสนทุรกันดารนี่
เด็กหญิงคนนั้นสะดุ้งอย่างแรงเมื่อเฟี๊ยตเอื้อมมือไปแตะบริเวณไหล่เป็นการแสดงว่าเขากำลังยืนอยู่ตรงนี้ เด็กหญิงคนดังกล่าวมีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เธอส่ายสายตาไปมาอย่างระแวดระวัง ดวงตาบริสุทธิ์นั่นจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์เพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะโผมาอยู่ในอ้อมอกเข้าเต็มแรง ความรู้สึกโดดเดี่ยวของเด็กคนนี้ราวกับคนหลงทางอยู่กลางทะเลทรายอันแห้งผากที่ผ่านมาพานพบกับโอเอซิสด้วยความบังเอิญเช่นเขาทั้งสองคนนี่ เฟี๊ยตไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าเขาและธันไม่ได้ผ่านมาที่นี่ ณ เวลานี้ ชะตากรรมของเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานี่จะเป็นอย่างไร
เด็กตัวน้อยในอ้อมกอดของเขานี่น่าจะมีอายุไม่ถึง 10 ขวบเท่านั้น ผิวขาวซีดราวกับมรดกของชาวยุโรปนั่นสอดรับเข้าผมสีบลอนด์ทองหยักศกน้อยๆ และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่นเป็นอย่างดี ร่างที่สั่นน้อยๆ ด้วยแรงสะอื้นนั่นถูกสวมใส่ไว้ด้วยชุดเดรสตัวเล็กสีขาวตัดชมพูอ่อน ดูจากการแต่งกายแล้วเด็กหญิงคนนี้ไม่น่าจะมีความตั้งใจออกว่าเดินทางในป่าแม้แต่น้อย เท้าคู่นั้นปราศจากสิ่งห่อหุ้มใดๆ ตามเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปด้วยรอยขีดข่วนอย่างน่าสงสาร รอยแผลจากการเกี่ยวของสิ่งของมีคม รอยช้ำจากการกระแทก รอยม่วงคล้ำจากการอักเสบพบได้ทั่วไปตามแขนขาที่ประกอบขึ้นด้วยผิวสีขาวอมชมพูนั่น เด็กคนนี้คงจะเจอกับเรื่องราวที่น่าหวาดหวั่นใจมามากกว่าที่เขาคิดนัก ชายหนุ่มทำได้เพียงมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นเพื่อเป็นแหล่งพักพิงยามยากของเธอเท่านั้น
“เป็นยังไงมายังไงสาวน้อย ทำไมมาเดินเล่นอยู่กลางป่าคนเดียวแบบนี้”
เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นเมื่อเห็นว่าอาการสะอื้นนั่นค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มค่อยๆ ใช้มือลูบหลังอย่างปลอบประโลม ในขณะที่ธันได้แต่นั่งมองอยู่กลางอากาศห่างไปไม่ไกลเท่านั้น เด็กหนุ่มมอบหน้าที่อาคันตุกะให้กับเฟี๊ยตแต่เพียงผู้เดียว
“Arr… Could you speak English? Please, hardly do I understand Thai. (เอ่ออ คุณช่วยพูดภาษาอังกฤษได้ไหมคะ ฉันแทบจะไม่เข้าใจภาษาไทยเลย)”
เสียงเล็กนั่นตอบออกมาอย่างตะกุกตะกัก เสียงหวานเล็กนั่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เฟี๊ยตอย่างมีความหวัง
“You’re welcome, darling. Why did you be here? (ด้วยความยินดี ที่รัก ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้)”
เฟี๊ยตตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจนไม่แพ้หญิงสาวตัวเล็กนั่น ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาอย่างมีความหวัง ราวกับว่าเขาเป็นเรือกู้ภัยลำหนึ่งที่ค้นพบตัวเธอท่ามกลางท้องน้ำแห่งมหาสมุทรอันว่างเปล่านี่ น้ำตาของเด็กสาวคนนั้นเริ่มรื้นขึ้น เด็กคนนั้นโผตัวเขาสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้งหนึ่ง
“I was abducted. I thought I would be dead. They were horrific. (ฉันถูกลักพาตัวมา ฉันคิดว่าฉันจะตายเสียแล้ว พวกนั้นมันน่ากลัวมาก)”
น้ำตาของเด็กน้อยคนนั้นเริ่มปริ่มๆ ออกมาอีกครั้ง เรื่องราวเหล่านั้นดูจะเลวร้ายเกินกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะผ่านพ้นมันไปได้เพียงลำพัง
“Calm down, darling. You’re safe now. No one harms you anymore. (ใจเย็น ที่รัก เธอปลอดภัยแล้ว จะไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีกต่อไป)”
เฟี๊ยตจบประโยคนั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง เขารู้สึกอยากปกป้องเด็กคนนี้เหลือเกิน เด็กสาวคนนี้ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เธอไม่ควรมาตกระกำลำบากกลางป่าอยู่อย่างนี้เพียงลำพัง ทันทีที่เฟี๊ยตได้คลี่ยิ้มกว้างส่งให้ไป เด็กสาวคนนั้นก็โผเข้ามากอดตัวเขาอีกครั้ง เภสัชกรหนุ่มในเวลานี้คือที่พึ่งสุดท้ายของเด็กน้อยคนนี้จริงๆ
ธันเอ่ยชวนเขาและเด็กน้อยลงมานั่งใต้ต้นไม้ตอนหนึ่งที่ไม่ห่างออกไปไกลนัก เฟี๊ยตยังคงทำหน้าที่นั่งคุยเป็นเพื่อนของเด็กน้อยนั่นเรื่อยๆ ในขณะที่ธันรับหน้าที่เตรียมอาหารสำเร็จรูปไว้ให้ ธันบรรจงหยด citronella oil บริเวณรอบๆ ที่นั่งที่พวกเขานั่งคุยกันอยู่นี่ เพื่อจะเป็นหลักรับประกันว่าจะไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนหลงเข้ามาตอนที่เด็กน้อยคนนี้กำลังปรับทุกข์อยู่อีก ธันคิดว่าเธอคงยังไม่พร้อมจะเจอเหตุการณ์น่าตื่นเต้นอีกเท่าไหร่นัก
เด็กสาวคนดังกล่าวชื่อว่า “Gina (จีน่า)” เธอมาจากเมืองพฤษภาคมที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางระยะต่อไปนี่เอง เธอเล่าว่าในขณะที่เธอกำลังนอนหลังอยู่ในห้องนอนตามปรกติ ชายในชุดดำกลุ่มหนึ่งลอบเข้ามาในห้องนอน เธอถูกชายชุดดำเหล่านั้นบังคับให้กินยาแล้วก็หมดสติไป กว่าจะมารู้ตัวอีกครั้ง เธอก็พบว่าตนอยู่กลางป่าลึกเสียแล้ว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังอยู่ส่วนไหนของเกมนี่
เธอถูกจับใส่กรงราวกับว่าเธอเป็นสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น ระหว่างทางที่กำลังเดินทางนั่นเอง เธอและชายชุดดำเหล่านั้นถูกโจมตีโดยฝูงหมาป่าฝูงหนึ่ง พวกโจรชั่วเหล่านั้นทิ้งเธอไว้และหนีเอาชีวิตรอดอย่างขี้ขลาดตาขาวที่สุด เด็กน้อยตัวเล็กคนเดียวถูกทิ้งให้อยู่ในกรงไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก โดยมีฝูงหมาป่าอันหิวกระหายจับจ้องหมายจะฉีกร่างเธอเป็นชิ้นๆ จีน่ารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์เพียงเพราะว่ากรงไม้นั่นใหญ่และแข็งแรงเกินกว่าที่ไอ้พวกสัตว์หน้าขนเหล่าจะทำลายลงได้โดยง่าย พวกมันถอดใจไปจากเธอหลังจากวนเวียนเฝ้าเห่าหวนและขู่คำรามเธอเป็นเวลาข้ามวัน ค่ำคืนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเธอ จีน่าไม่อาจข่มตาได้โดยมีฝูงมัจจุราชเหล่านั้นขู่ฆ่าจะเอาชีวิตเธออยู่ตลอด ตราบจนผ่านมาถึงรุ่งเช้า พวกมันผละไปอย่างตัดใจจากเหยื่ออันโอชะอย่างเธอ ช่วงจังหวะเวลานั้นเธอร้องไห้จนแทบจะไม่มีแรงจะร้อง เธอร้องให้กับชะตากรรมที่แสนจะโหดร้ายของเธอ เธอร้องไห้ให้กับการรอดชีวิตอันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ของเธอ เธอร้องไห้จนหลับไปทั้งคราบน้ำตา
หากแต่ฝันร้ายของเธอยังไม่จบสิ้น เธอหวีดร้องอย่างสุดเสียงหลังจากที่เผลอหลับไปได้เพียงไม่นานนัก รถถังมีชีวิตตัวหนึ่งวิ่งเข้าชนกรงไม้นั่นจนฝั่งขวาแหลกละเอียดไปทั้งแถบ เดชะบุญที่ร่างยักษ์ของมันเฉียดร่างเธอไปเพียงชั่วยาแดงผ่าแปดเท่านั้น เธอถูกปลุกขึ้นเพราะเจ้าพญาแรดต้นกำเนิดเพลิงนั่น เธอไม่มีเวลาแม้แต่คิด เธอไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ สันชาตญานบอกกับเธอว่าเธอต้องรีบหนีไปให้ไกลที่สุด จีน่าตะเกียกตะกายออกจากกรงที่คุมขังเธอมาจากบ้านเกิดนั่น เธออาศัยจังหวะช่วงเวลาที่เจ้ายักษ์นั่นกำลังหันไปสนใจกับการบดขยี้กรงไม้ให้แหลกละเอียดไปนั่นวิ่งหนีออกมาจนพบกับเชิงเขาแห่งหนึ่ง เธอคิดว่าเธอน่าจะรอดชีวิตแล้วเป็นแน่ แต่พระเจ้าก็ไม่เคยเข้าข้างเธอเลย มันตามเบาะแสเธอมาทันที่บริเวณนั้นเอง มันวิ่งพุ่งเข้าชนผาแคบๆ นั่นตอนที่เธอกำลังตะเกียกตะกายอยู่นั่น และหลังจากที่มันพบว่ามันไม่อาจจะฆ่าเธอให้ตายได้ด้วยร่างของมันแล้ว มันก็สร้างลูกบอลเพลิงออกมาจากปากนั่นหวังจะเผาเธอให้ดับดิ้นลงทั้งเป็น ช่วงจังหวะชีวิตเฉียดตายนั้น บอลเพลิงที่เปรียบเสมือนพญายมทูตที่กำลังจะลงทัณฑ์ประหัตถ์ประหารเธอนั้นก็หยุดชะงักราวกับว่าชนกับกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างนั้น มันถูกทรายปริมาณหนึ่งล้อมรอบและดับลงด้วยอำนาจนั่นเอง จีน่าหันไปก็พบกับอัศวินทั้งสองคนที่ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเธอออกจากขุมนรกที่กำลังจะฆ่าเธอทั้งเป็นนี่ และเรื่องราวหลังจากนั้นก็สอดรับประสานกับเรื่องราวที่ทางฝ่ายเฟี๊ยตและธันประสบเจอ
มือของเฟี๊ยตบรรจงลูบหลังของเด็กสาวคนนั้นอย่างปลอบประโลม เรื่องราวทั้งหมดนี่มันเป็นโศกนาฏกรรมชัดๆ มันมากมายเกินกว่าที่เด็กน้อยๆ ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะต้องมาประสบพบเจอ ความสงสารในตัวเด็กน้อยผมบลอนด์นี่เกาะกินหัวใจชายหนุ่มไปทั้งใจ
จากผู้แต่ง : เฮ้ออออออออออออออออ เฮ้ออออออออออออออออ ถ้าผมทำดี ผมจะได้รับความดีตอบแทนใช่ไหมครับ (แค่อยากบ่นหนะ ไม่เกี่ยวกับนิยายสักนิดเลย ฮ่าฮ่า)