บทที่ 114 Stemona
ตึง ตึงง ตึงงง
เสียงเรือนกระจกนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นด้วยสาเหตุที่เจ้าตั๊กแตนตัวเท่ากับคนตัวย่อมๆ ตัวหนึ่งกำลังพยายามพังกระจกตรงหน้าเพื่อออกสู่อิสรภาพภายนอก การปลดผ้าคลุมนี่เหมือนเป็นการยิ่งเร้าให้ฝูงแมลงภายในกระหายจะทลายปราการตรงหน้านี่ขึ้นไปอีก เรือนกระจกนั่นเริ่มสั่นสะเทือนมากขึ้นอย่างรู้สึกได้ แมลงสารพัดชนิดภายในนั้นกำลังประท้วงต่อที่คุมขังนั่นอย่างสุดกำลัง
“เอ่อ พวกมันเข้าไปอยู่ในนี้ได้ยังไงอ่าครับ”
เฟี๊ยตเอ่ยถามกับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน เขาเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยมากกว่าจะต้องการคำตอบจริงๆ สายตาเขายังคงจับจ้องและทบทวนหาวิธีแก้ปัญหานี่อย่างใจเย็น
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้”
หญิงสาวคนนั้นเข้ามาเกาะแขนเขาไว้แน่น พลางเอาใบหน้าอันอวบอูมนั่นซุกลงบริเวณเกือบถึงหัวไหล่เขา เฟี๊ยตหันไปหรี่ตามองน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
“ได้ลองพยายามทำอะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่าครับ”
เฟี๊ยตลองพยายามหาข้อมูลของเจ้าพวกศัตรูร้ายนี่ อย่างน้อย ถ้าป้ามอลลี่ (เขาคาดเดาจากชื่อภารกิจ) เคยพยายามทำอะไรมาบ้างแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องผิดพลาดซ้ำสองอีก
“ยังเลยค่ะ แต่ดิฉันเตรียมตัวไว้แล้วนะคะ เพราะดิฉันคิดว่าถ้าไม่มีใครผ่านมา ดิฉัน ดิฉันคงจะต้องจัดการเรื่องนี้เอง”
หญิงสาวคนนั้นพูดอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย ก่อนจะผายมือชี้ไปทางชุดสีน้ำเงินเข้มที่กองอยู่มุมหนึ่งของเขตรั้วที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ลักษณะของมันเป็นชุดที่มีลักษณะป้องกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ให้สิ่งใดเล็ดลอดเข้าไปสัมผัสกับร่างกายภายในได้เลย หากจะมีส่วนที่เป็นช่องว่างก็เห็นว่าน่าจะเป็นรูขนาดเล็กมากบริเวณใบหน้าที่น่าจะมีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนอากาศสำหรับหายใจเท่านั้น มองผ่านๆ แล้ว มันคล้ายกับชุดดับเพลิงมาก ต่างก็เพียงแต่ความมิดชิดและสีที่ไปในคนละทางเท่านั้น
“เตรียม?” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยสูงขึ้นอย่างเป็นคำถาม
“ดิฉันตั้งใจจะใส่ชุดนี้เข้าไปเก็บผัก เพราะถ้าไม่รีบเก็บให้ทันพระอาทิตย์ตกดิน มันจะคลาดกับรถรับซื้อสินค้า ดิฉันต้องขาดทุนยับเยินแน่ๆ เลย คุณต้องช่วยฉันนะคะ”
“หมายความว่า ผมต้องสวมชุดนี่ฝ่าดงแมลงเข้าไปเก็บผักแทนคุณเหรอครับ”
เฟี๊ยตหันไปถามคนตรงหน้าอย่างจริงจัง หากแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำใดออกมา นอกจากเบือนหน้าหนีน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้าช้าๆ
“แต่ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องสวมชุดนี้ฝ่าเข้าไปก็ได้นะคะ ถ้าคุณมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ดิฉันคิดไม่ออกจริงๆ ดิฉันคงจะมองเห็นแต่หนทางนี้เท่านั้น”
หญิงสาวที่เฟี๊ยตสันนิษฐานว่าชื่อป้ามอลลี่นั่นเอ่ยเสนอกับเขามาอย่างนั้น ชายหนุ่มถึงกับต้องหันไปมองหน้าของเธออย่างสงสัย นี่เธอคิดว่าชุดหนาไม่ถึงเซนติเมตรนี่จะสามารถป้องกันการรุกรานจากตั๊กแตนตัวยาวเกือบเมตรครึ่งได้จริงๆ หรอเนี่ย!
“เรือนกระจกนี่มีสปริงเกอร์ไหมครับ”
เฟี๊ยตเอ่ยถามขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาใช้เวลาทบทวนความคิดในใจอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าคุณป้าคนนั้นจะแสดงอาการเร่งรีบและร้อนรนมากแค่ไหนก็ตาม
“คะ?” เสียงนั่นตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
“คือผมถามว่าเรือนกระจกนี่มีสปริงเกอร์ไหมครับ” เฟี๊ยตเอ่ยทวนความอีกครั้งอย่างช้าๆ
“มีค่ะๆ ทำไมหรอคะ” เธอเอ่ยตอบอย่างงงๆ
“ช่วยพาผมไปดูระบบน้ำที่ต่อเข้าสู่ตัวสปริงเกอร์หน่อยได้ไหมครับ” เฟี๊ยตเอ่ยต่ออย่างเรียบๆ โดยไม่ได้ตอบแสดงเหตุผลใดๆ ออกไป
หญิงสาวเอ่ยตอบรับเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินนำหน้าเขาอ้อมเรือนกระจกเจ้าปัญหานั่นไปยังทางด้านหลัง ระหว่างทางที่พวกเขาเดินผ่าน เหมือนเป็นการยั่วยุให้แมลงเหล่านั้นพยายามพังกระจกตรงหน้านี่เพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเขาเดินผ่านทางไหน ก็จะมีเสียงแมลงพุ่งชนกระจกหนานั่นเป็นจังหวะๆ อย่างน่าหวาดเสียว
เธอเดินพาเขามาถึงบริเวณที่เป็นก๊อกน้ำที่ต่อสายยางสีขุ่นลำเลียงน้ำลากยาวขนานไปกับทางเดิน ก่อนจะลับหายไปในเรือนกระจกแห่งนั้น เฟี๊ยตเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ในขณะนี้หญิงสาวคนนั้นก็ยังคงไม่เข้าใจในอากัปกิริยาของเฟี๊ยตอยู่ดี
“ขอแค่เก็บผักทันพระอาทิตย์ตกดินใช่ไหมครับ” เฟี๊ยตหันไปถามหญิงคนนั้น
“ค่ะ ใช่ค่ะ แต่ดิฉันเกรงว่าจะไม่ทัน แมลงพวกนั้นคงจะทำให้การเก็บผักช้ากว่าปรกติมาก” หญิงวัยกลางคนแสดงสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าผมทำให้แมลงพวกนี้ตาย คุณจะว่าอะไรไหมครับ” เฟี๊ยตถามต่อโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
“โอ๊ย ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ ขอให้เก็บผักได้ก็พอ” หญิงสาวรีบตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
“รอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง” เฟี๊ยตเอ่ยกับหญิงสาวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจในแผนการของตน
เฟี๊ยตก้าวเท้ายาวไปที่ต้นน้ำของสปริงเกอร์ที่พ่นน้ำในเรือนกระจกนั้น ก่อนจะใช้มือค่อยๆ หมุนสายยางสีขุ่นนั่นออก ชายหนุ่มพบว่าภายในของมันมีน้ำคงค้างอยู่ปริมาณเล็กน้อย เขาปล่อยให้ของเหลวเหล่านั้นไหลออกมาจากสายยางดังกล่าวอย่างใจเย็น
“หนอนตายหยาก RELEASE!”
เฟี๊ยตสั่งเรียกยาพิษขนานหนึ่งที่เตรียมไว้มานานแล้วออกมา หนอนตายหยากเป็นพืชที่พบได้มากในประเทศจีน เหง้าของมันถูกใช้มาเป็นยาฆ่าแมลงกันอย่างแพร่หลาย ตอนแรกที่เขาปรุงไว้ ด้วยคิดว่าจะนำมาใช้เพื่อสังหารมอนสเตอร์ต่างๆ ของคู่ต่อสู้ ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าจะได้นำมาใช้ฆ่าแมลงตามสรรพคุณของมันจริงๆ
เขาบรรจงเทยาพิษทั้งสามหลอดที่มีลงในสายยางดังกล่าว ก่อนจะประกอบมันคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มบิดเปิดน้ำให้เข้าสู่สายยางนั่น ก่อนจะเดินไล่ไปตามสายยางนั่นจนถึงตอนหนึ่งของสายที่มีกล่องขนาดเล็กที่มีปุ่มปรับเปิดปิดการทำงานของสปริงเกอร์อยู่
เขาบรรจงใช้มือบิดปุ่มเปิดไปจนสุด สายน้ำฝอยๆ พุ่งกระจายออกจากสปริงเกอร์ที่ติดอยู่บริเวณจุดสูงสุดของเรือนกระจกนั่น หยดน้ำปริมาณมหาศาลพุ่งกระจายไปรอบเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว
ความโกลาหลเกิดขึ้นในเรือนกระจกนั่นอย่างรวดเร็ว ฝูงแมลงที่เคยพยายามพังทลายกำแพงกระจกตรงหน้านั่นแตกฮือออกเมื่อโดนของเหลวนั่นมากระทบตัว มันแสดงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด พวกมันต่างเบียดเสียดกันที่จะไปหลบอยู่ใต้ใบผักเหล่านั้นให้รอดพ้นจากของเหลวดังกล่าว แต่ด้วยปริมาณที่มากเกินไป ใบผักอันน้อยนิดนั่นจึงไม่อาจปกป้องมันได้เลย
หลังจากที่ละอองน้ำได้ถูกพ่นจากสปริงเกอร์เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีเต็ม เฟี๊ยตก็ปิดสปริงเกอร์นั่น เนื่องจากเดาในใจว่ายาพิษที่ใส่ลงไปน่าจะถูกพ่นออกมาจนหมดแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่รอเวลาที่มันจะออกฤทธิ์เท่านั้น เขายืนสังเกตอาการของแมลงเหล่านั้นอย่างสงบ ในขณะที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนกระจกเจ้าปัญหานั่นก็มายืนเคียงข้างเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่นัก
แมลงเหล่านั้นกลับมาแสดงความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง หลังจากที่สายน้ำเหล่านั้นหยุดลง มันพยายามพุ่งชนกระจกอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงดังด้วยความสะเทือนของแผ่นกระจกเหล่านั้นดังซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาเลื่อนมือมาจับแขนเขาด้วยความกลัว
เฟี๊ยตตัดสินใจหยิบสมุดการ์ดขึ้นมาเตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉินถึงขีดสุด อย่างน้อย ถ้าพวกมันสามารถหลุดออกมาได้จริง เขาก็พร้อมที่จะรับมือ
หากแต่ความกังวลของเขาเหมือนจะไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นจริงฉะนั้น เมื่อแมลงที่กำลังแสดงโทสะอย่างเกรี้ยวกราดเหล่านั้นเริ่มตกมาจากอากาศด้วยอาการราวกับเกิดอาการช็อกกะทันหัน พวกมันตกลงสู่พื้นทีละตัวสองตัว ก่อนจะที่หยุดนิ่งสงบอย่างสิ้นฤทธิ์ และจางหายไปกลายเป็นอากาศธาตุอย่างนั้น ยาฆ่าแมลงตำรับของเขาสำแดงฤทธิ์เสียแล้ว อานุภาพของมันชะงัดกว่าที่เขาคาดไว้นัก
เพียงชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที เหล่าแมลงเหล่านั้นก็หายไปแทบจะไม่เหลืออยู่ในสายตาเลย พวกมันต่างทยอยล้มตายกันไปเกือบหมด หากจะมีเหลืออยู่บ้างก็เป็นเพียงปริมาณน้อยมาก และมีขนาดเล็กจนแทบไม่ต้องกังวลถึงความอันตรายใดๆ ที่จะมากล้ำกรายเลย
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ เห็นทีฉันจะไม่ขาดทุนแล้ว”
หญิงสาวเจ้าของแปลงผักนั่นหันมาเขย่าแขนเขาอย่างอารมณ์ดี หลังจากมั่นใจว่าฝูงแมลงเหล่านั้นจะสิ้นฤทธิ์หมดแล้วอย่างแน่นอน แววตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เขาอย่างตื้นตัน
“ผมต้องสวมชุดเข้าไปเก็บผักให้คุณด้วยไหมครับ”
เฟี๊ยตถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากในตอนแรกเธอขอร้องให้เขาเก็บผักให้ด้วย แต่ความคิดของเขาบอกว่า ใจความสำคัญของภารกิจนี้น่าจะอยู่ที่การกำจัดแมลงเหล่านี้มากกว่า
“ไม่ต้องแล้วค่ะ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
เจ้าของสวนผักนั่นโผเข้าสวมกอดเขาอย่างเต็มรัก ใบหน้าอวบอูมนั่นซบลงบนแผงอกเขาอย่างเต็มที่ เฟี๊ยตได้แต่ยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยคำพูดแสดงความเต็มใจในความช่วยเหลือออกไป
‘ตีบทแตกจริงๆ แฮะ ตัวละครในเกมนี่เขามีแข่งสุพรรณหงส์กันเปล่าวะ ตั้งใจเล่นกันจริงๆ ฮ่าฮ่า’
จากผู้แต่ง : อาทิตย์หน้าจะรวบของวันอังคารกับวันพฤหัสมาลงวันพุธวันเดียวนะครับ พอดีไม่ค่อยสะดวก อิอิ ห้ามว่ากันนะครับ