บทที่ 116 The Red Hare
“เฟี๊ยต”
“อืออ”
“เฟี๊ยต”
“อืออ”
“เฟี๊ยต”
ชายหนุ่มในชุดนอนสะดุ้งตื่นขึ้นในคำเรียกครั้งสุดท้าย เขาสะบัดหัวอย่างมึนงง ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณอย่างสับสน เขาจำได้ว่าเขาหลับไปเมื่อวานนี้ด้วยความเหนื่อยอ่อน ถึงแม้ว่าความรู้สึกของเขาจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก แต่ความอ่อนเพลียที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ไม่ได้หายไปไหนเลย
“เฟี๊ยตเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูป่วยๆ”
เสียงของชายหนุ่มเจ้าของเสียงปลุกนั่นถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยปนเป็นห่วง เฟี๊ยตลืมตามองชายคนนั้นอย่างตั้งใจ ธันนั่นเอง ธันกลับเข้ามาในเกมอีกครั้งแล้ว หลังจากปล่อยให้เขาผจญภัยคนเดียวเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม
“ธัน”
เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยออกไปสั้นๆ น้ำเสียงนั้นยังเจือไว้ด้วยความประหลาดใจอยู่ไม่หาย ในใจของเขานั้นอยากจะเอ่ยถามไปเหลือเกินว่าหนึ่งวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มตรงหน้านี้หายไปไหน แต่บางที ปากเขาอาจจะหนักเกินกว่าจะแสดงความรู้สึกใดๆ ออกไปได้
“ใช่ดิ ไม่ใช่ธันแล้วจะเป็นใครเล่า ฮ่าฮ่า เฟี๊ยตนี่พูดตลก เบลอๆ เปล่าเนี่ย ทำไมดูโทรมๆ ป่วยหรือเปล่า พักก่อนไหม ไว้เดี๋ยวค่อยเดินทางวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย”
ธันกระเถิบตัวลุกขึ้นจากเตียงใหญ่นั่น พร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องในที่อยู่ในตัวห้องพักนั่นเอง
“ไม่ต้องหรอกธัน ไม่ได้เป็นอะไร เดินทางต่อเถอะ ไม่อยากให้เสียเวลา แค่นี้ก็เสียเวลามามากพอแล้ว”
“ไปไหนดี”
เสียงของธันเอ่ยขึ้นอย่างง่ายๆ หลังจากที่ทั้งคู่เตรียมตัวพร้อมจะออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว ความจริง คำว่าพร้อมออกเดินทางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าใส่ชุดสำหรับต่อสู้ และตรวจสอบความพร้อมและความเรียบร้อยของการ์ดในหนังสือเท่านั้นเอง
“เมืองพฤษภาคม” เฟี๊ยตเอ่ยตอบสั้นๆ อย่างเด็ดเดี่ยว
“หืมม เอางั้นเลยเหรอ ไม่ไปมีนาคมก่อนเหรอเฟี๊ยต จะไหวหรือเปล่า ไม่ข้ามขั้นไปหน่อยเหรอ”
เสียงของธันปราศจากแววยียวนใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นน้ำเสียงของการปรึกษาหารืออย่างจริงใจเสียมากกว่า ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาอย่างสงสัยน้อยๆ
“ถ้าเรามุ่งหน้าเมืองมีนาคมก่อน เราจะต้องผ่านแม่น้ำแห่งชีวิตก่อน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นอุปสรรคที่ยากเกินไปในตอนนี้” เฟี๊ยตเอ่ยไปตามคำแนะนำของบาร์เทนเดอร์คนนั้น
“แม่น้ำที่ขวางระหว่างแผ่นดินฝั่งซ้ายกับฝั่งขวานั่นหนะเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะว่าจะมีพวกมอนสเตอร์ที่เก่งๆ อาศัยอยู่ เฟี๊ยตนี่แหล่งข่าวดีแฮะ”
เภสัชกรหนุ่มฟังแล้วก็ได้แต่คิดตามคำพูดของเพื่อนร่วมทีมนั้น เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องดังกล่าวเพียงครั้งเดียวเหมือนกัน แต่ข่าวนั่นก็เรียกได้ว่าน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย เพราะผู้พูดเป็นตัวละครของเกม ไม่ใช่ผู้เล่น ซึ่งตัวละครเหล่านั้นก็ดูจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการเดินทางของเขาทั้งนั้น จิ้งจกทักโบราณเขายังบอกให้ฟัง นี่เป็นตัวละครของเกม ฟังไว้บ้างคงไม่เสียหายอะไร
เฟี๊ยตและธันมายืนอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือสุดของเมืองกุมภาพันธ์ บริเวณดังกล่าวเป็นส่วนที่ติดอยู่กับป่าทิวสนที่จะตัดตรงไปยังเมืองพฤษภาคมที่เป็นเป้าหมายของเขาในเวลานี้ ด้านหน้าของพวกเขาทั้งคู่เป็นทางเดินขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ยาวเข้าไปสู่ป่าที่แสนจะคุ้นเคยแห่งนั้น จากแผนที่ที่แปลสภาพมาจากไบเบิ้ลในมือนี้ บอกกับเขาอย่างคร่าวๆ ว่า พวกเขาน่าจะต้องตะลุยไปในป่าเพียงชั่วระยะเวลาเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะตัดออกสู่ทุ่งโล่งขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเมืองพฤษภาคมแห่งสายลมที่อยู่ทางเหนือขึ้นไป
“ธัน ถ้าเราใช้การ์ดพวกสัตว์ปีก หรือพวกมอนสเตอร์ที่บินได้ บินตรงสู่เมืองพฤษภาคมเลยไม่ดีกว่าเหรอ มันน่าจะช่วยประหยัดเวลาได้มากอยู่นะ”
เฟี๊ยตเอ่ยความแสดงความคิดเห็นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในใจมาตลอดเวลา ตัวเขาเองมีการ์ดที่ใช้สำหรับการเดินทางทางอากาศอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเขาควรจะเดินทางไปทางพื้นดินมากกว่า แต่เขาก็ยังอยากปรึกษาเรื่องนี้กับธันอยู่ดี อย่างน้อย เขาก็ได้ไม่ต้องรู้สึกในภายหลังว่าตัวเองกำลังทำตัวลำบากโดยใช่เหตุ
“สงสัยเหมือนกันนเป๊ะ ตอนออกเดินทางจากมกราคม เราก็คิดแบบนี้ รู้ไหม เหตุผลที่ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครเดินทางกันทางอากาศเลยมี 2 เหตุผลด้วยกัน”
ธันตอบออกมาในทันทีราวกับว่า เรื่องราวที่เฟี๊ยตถามนี้ได้ถูกเตรียมคำตอบเอาไว้ในใจมานานแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดี ราวกับถูกใจในคำถามนั้นเสียเหลือเกิน
“คือ?” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยขึ้นเป็นคำถาม
“เหตุการณ์ต่างๆ ในเกมที่ถูกกำหนดไว้เพื่อเป็นเงื่อนไขในการทำภารกิจหรือพิชิตการ์ดต่างๆ มักจะถูกวางแผนขึ้นให้เกิดขึ้นบนพื้นดิน ถ้าเราบินผ่านไปเฉยๆ เราอาจจะถึงที่หมายเร็วขึ้น แต่นั่นอาจจะหมายความว่า เราจะพลาดโอกาสดีๆ ในการได้รับการ์ดใหม่ๆ ไป”
“แต่ถ้าเราเคยผ่านสถานที่นั้นมาก่อนแล้ว เราก็น่าจะวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าเราก็น่าจะเคลียร์เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นตรงนั้นหมดแล้วถูกไหม”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็จะมาติดเหตุผลข้อที่สองอยู่ดี”
“อ๊าว แล้วเหตุผลข้อที่สองคืออะไรหละ”
“การเคลื่อนที่ทางอากาศจะเปลืองพลังจิตมาก การจะหน่วงจิตไว้ให้เดินทางได้เป็นวันนี่ถือว่าเทพมาก ถ้าจะทำก็เรียกได้ว่าพอจะทำได้ แต่อย่าลืมว่าถ้าเกิดไปเจอคู่ต่อสู้หรือศัตรูที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อนจะมีโอกาสแพ้สูงมาก เรียกได้ว่าได้ไม่คุ้มเสียเท่าไหร่ ยอมเหนื่อยเดินทางทางบกแบบปลอดภัยดีกว่า”
ธันบอกเหตุผลสุดท้ายมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เฟี๊ยตได้แต่ผงกหัวเป็นการแสดงความเข้าใจ ก่อนจะหยิบสมุดการ์ดที่ตนได้แวะไปเพิ่มจำนวนช่องสำหรับบรรจุการ์ดเพื่อเตรียมการสำหรับการเดินทางไกลเมื่อตอนเช้า เขากวาดตาดูไพ่แต่ละใบในสมุดนั่นอีกครั้ง การเพิ่มจำนวนช่องในสมุดทำให้เขาสามารถแบ่งกลุ่มไพ่ที่มีอยู่ได้อย่างเป็นสัดส่วนและง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น ชายหนุ่มทบทวนจดมั่นใจว่าจำแบบแผนการจัดการ์ดได้อย่างคร่าวๆ หมดแล้วจึงปิดสมุดลงอีกครั้ง ก่อนจะหายใจเข้าเต็มปอดเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจในการเดินทางไกลอีกครั้ง
“พร้อมยัง” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยดังขึ้นทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเส้นทางที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า
“พร้อมเสมอ” เสียงของธันเอ่ยตอบมา พร้อมกับยักคิ้วให้เขาน้อยๆ อย่างยียวนตามประสา
“The Transformable Horse RELEASE!”
เฟี๊ยตเรียกใช้การ์ดที่ได้มาสดๆ ร้อนๆ ขึ้นทันที ม้าสีขาวสูงเลยหัวเขาไปไม่น้อยนั่นปรากฎตัวออกมาอวดสายตาเขาอย่างรวดเร็ว เจ้าอาชาสีขาวสะอาดนั่นสะบัดแผงขนไปมาอย่างกระปรี้กระเปร่า มันกวาดสายตามองไปที่คนทั้งคู่อย่างพิจารณา ก่อนจะใช้เท้าคู่หน้าเขี่ยพื้นดินบริเวณดังกล่าวเล็กน้อย แล้วจึงก้มหัวลงแทะเล็มต้นหญ้าแถวๆ นั้นอย่างสบายใจ มันแอบเอาหัวมาถูสีข้างเขาเล็กน้อยราวกับว่ารู้จักว่าเฟี๊ยตเป็นนายของมัน
“เฮ้ยยย มีการ์ดใบนี้ด้วยเหรอ แปลว่านี่ไปทำภารกิจมาเหมือนกันเหรอเนี่ย ฮ่าฮ่า ใจตรงกันเป๊ะเลย ไม่น่าเชื่อ ฮ่าฮ่า”
เสียงของธันดังขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นความขบขันในที่สุด เด็กหนุ่มเปิดหนังสือการ์ดของตัวเอง พร้อมกับชี้ไปยังการ์ดใบหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนกับของเขาเป๊ะทุกประการ จะต่างกันก็เพียงชื่อเจ้าของที่เป็นชื่อของธันก็เพียงเท่านั้น
“เออ ตลกหวะ ใจตรงกัน เลือกการ์ดใบเดียวกันเป๊ะเลย” เฟี๊ยตพูดเห็นด้วยพร้อมกับขำออกมาน้อยๆ ด้วยเช่นกัน
“เอางี้แล้วกัน ผลัดกันคนละครึ่งวัน อีกคนจะได้เหลือแรงไว้ เผื่อจับพลัดจับผลูต้องสู้อย่างกะทันหัน จะได้มีพลังจิตสำรองกั๊กไว้บ้าง” ธันเอ่ยเสนอมาอย่างมีเหตุผล
“โอเค งั้นครึ่งเช้าเป็นหน้าที่ของเราเอง”
เฟี๊ยตพูดพร้อมกับเอามือเลื่อนไปจับบังเหียนของเจ้าม้าสีขาวตัวดังกล่าว แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำอะไรลงไป มือของธันก็มารั้งไว้ที่ข้อศอกของเขาไว้เสียก่อนแล้ว
“นี่ยังไม่เคยใช้การ์ดนี่ใช่ไหม” ธันเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ใช่ดิ เนี่ยครั้งแรกเลย ทำไมเหรอ” เฟี๊ยตเอ่ยตอบไปอย่างสงสัย
“เจ้าม้าเนี่ยมันกลายร่างได้ 3 ร่างด้วยกัน และร่างที่ใช้เดินทางทางบกก็ไม่ใช่เจ้านี่ด้วย เฟี๊ยตต้องสั่งให้มันกลายร่างก่อน”
“กลายร่างเป็น?”
“เซ็กเธาว์”
“เซ็กเธาว์!” เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยสั่งชื่อม้าตามคำที่ธันบอก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชื่อนี่ได้ต้นแบบมาจากไหน เขาแทบจะเดาออกได้เลยว่าสิ้นสุดคำสั่งของเขาจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เฟี๊ยตเดาก็ไม่ผิดเลย เจ้าม้าดังกล่าวกลายสภาพเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเพลิงทั่วทั้งตัว ขนของมันตั้งแต่หัวจรดหางแปลงเป็นสีชาดราวกับว่ามีจิตรกรฝีมือเอกลงมือละเลงสีลงบนตัวมันอย่างนั้น
“เคยขี่ม้าไหม” เสียงของเด็กหนุ่มถามต่อ
“หึ” เสียงสั้นๆ เชิงปฎิเสธดังออกมาจากปากเฟี๊ยต พร้อมกับอาการสั่นศีรษะน้อยๆ
“โอเค งั้นให้เราจัดการเองจะดีกว่า เฟี๊ยตขึ้นไปก่อนเลย เหยียบตรงนี้นะ สร้างบันไดอากาศไว้ให้แล้ว”
ธันเอ่ยสรุปตามใจตัวเองอย่างง่ายๆ ก่อนจะชี้ไปที่พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณหนึ่งที่เด็กหนุ่มได้สั่งการ์ดกำแพงล่องหนให้เรียงตัวเป็นบันไดสำหรับไต่ขึ้นม้าเป็นที่เรียบร้อย
เฟี๊ยตค่อยจับบังเหียนเจ้าม้าสีแดงเพลิงนั่น ก่อนจะเหยียบไปที่กำแพงล่องหนดังกล่าว และโหนตัวขึ้นไปอยู่บนม้าตามคำสั่งของธันอย่างว่าง่าย
เมื่อธันเห็นว่าเฟี๊ยตขึ้นไปทรงตัวอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเอื้อมเหยียบบันไดดังกล่าวถีบตัวเองขึ้นไปอยู่บนหลังม้านั่นซ้อนทับหลังของเพื่อนร่วมทีมอีกที เด็กหนุ่มสะบัดบังเหียนนั่นด้วยแรงไม่เบานัก เจ้าม้านั่นจะยกขาคู่หน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งทะยานตัวเองออกไปยังทางเข้าสู่ป่าทิวสนที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้านั่น การเดินทางครั้งใหม่ของพวกเขาทั้งสองคนเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ถ้าเฟี๊ยตสังเกตตัวเองให้ดี เขาอาจจะพบว่าการที่ปล่อยให้ธันคุมบังเหียนตลอดการเดินทางนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเด็กหนุ่มนั่นอย่างไม่รู้ตัว
จากผู้แต่ง : จริงๆ วันนี้จะไม่ได้มาลงแล้วครับ เพราะไม่ได้แต่งเก็บไว้เลย งานยุ่งนรกมาก วันนี้กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มแล้ว แต่ก็ฮึดสู้แต่งมาได้หนึ่งตอนครับ เพิ่งลงได้ตอนนี้นี่เอง ยังไงใครใจดีช่วยเม้นหน่อยน้า หลังๆ คนเม้นน้อยมาก อย่าว่าผมขี้ใจน้อยเลย แต่มันน้อยลงจริงๆ นะ แอบเสียใจเหมือนกันน้า ฮือ