บทที่ 164 News
ภายในร้านแคบๆ บนตึกร้างชั้นที่สามนั้นแตกต่างไปจากที่เฟี๊ยตคิดไว้พอสมควร ชายหนุ่มแอบจินตนาการไว้ว่ามันคงมีสภาพเสื่อมโทรมไม่ต่างจากสองชั้นข้างล่างที่ถูกทิ้งร้างไว้นั่น แต่เอาเข้าจริงแล้วมันมีลักษณะใหม่และดึงดูดใจอยู่ไม่น้อย
Touch the melodies เป็นร้านขายอุปกรณ์ดนตรีทุกประเภท ย้ำว่าทุกประเภทจริงๆ ไล่ไปตั้งแต่เครื่องดนตรีสากลที่เห็นได้ทั่วไป เช่น กีตาร์ กลอง เบส ไปจนถึงเครื่องดนตรีไทยอย่าง ระนาด ซอ อังกะลุง แถมยังมีเครื่องดนตรีหน้าตาแปลกอีกมากมายเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมดในบริเวณพื้นที่ไม่กว้างมากแห่งนั้น
ชายคนเดียวซึ่งอยู่ในร้านลึกลับแห่งนั้น และน่าจะเป็นเจ้าของเสียงเชื้อเชิญเมื่อครู่นี้นั้นทอดกายเอนอยู่บนม้านั่งโยกอย่างสบายอารมณ์ ไม่มีคำเอ่ยใดเพิ่มเติมมาจากเจ้าของร้านนั้นอีก ชายชราเจ้าของผมสีดอกเลาล้วนนั้นเพียงแต่หันมามองพวกเขาเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวให้เก้าอี้นั้นโยกไปมาอีกครั้ง
“กีตาร์นี้ราคาเท่าไหร่ครับ” เฟี๊ยตเอ่ยถามเบาๆ อย่างสุภาพ พร้อมกับชี้มือไปที่กีตาร์อันหนึ่งที่ประดับอยู่บนชั้นวางของริมฝาผนังด้านหนึ่ง
“พันห้า” เสียงตอบดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียงเก้าอี้ไม้ที่ดังลั่นไปมา
“แล้วกลองชุดนี่หละครับ” คราวนี้เป็นธันบ้างที่ถามถึงกลองชุดที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางร้าน
“นั่นก็พันห้า” เสียงของชายแก่นั่นตอบด้วยโทนเสียงเช่นเดิม
“ราคาเท่ากันเลยเหรอครับ” เสียงของเฟี๊ยตถามออกไปแบบงงๆ เพราะตามหลักกีตาร์กับกองชุดน่าจะราคาแตกต่างกันพอสมควร ชายหนุ่มทวนความอีกครั้งเพราะเกรงว่าชายชราคนนั้นจะเข้าใจผิด
“พันห้าเหมือนกัน ของร้านนี้ขายพันห้าทุกชิ้น” ชายชราตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้
“แปลว่าไวโอลินอันยักษ์นั่น ราคาเท่ากับอูคูเลเล่จิ๋วอันนี้” ธันพูดขึ้นอย่างงงๆ พร้อมกับชี้ไปที่เครื่องดนตรีชิ้นเบิ้มที่มุมหนึ่งของห้อง กับอูคูเลเล่ชิ้นกะทัดรัดที่กำลังถืออยู่ในมือ
“เครื่องดนตรีทุกชิ้นในร้านนี้ขายในรูปแบบไพ่เวทมนตร์ชื่อว่า Touch the melodies ใบละ 1,500 เหรียญเหมือนกันหมด อยากใช้เครื่องไหนก็เรียกใช้ได้หมด เครื่องจะอยู่เป็นเวลา 15 นาที ก่อนจะสลายหายไปตามฤทธิ์ของเวทมนตร์” เสียงชายชรานั้นอธิบายมาอย่างช้าๆ และกระท่อนกระแท่นเหลือเดิน
“งั้นผมขอซื้อ 1 ใบครับ” เฟี๊ยตพูดพร้อมเดินตรงเข้าไปใกล้ชายชราคนนั้นมากขึ้น
“SEAL!” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยที่เอื้อมไปเบื้องหน้าของเก้าอี้เอนตัวนั้น
ทันทีที่เสียงคำสั่งนั้นจบสิ้นลง กลองชุดใหญ่กลางร้านนั่นก็สลายตัวกลายเป็นไพ่สีเขียวใบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตัวมาอยู่ในมือของเฟี๊ยตที่เอื้อมมือออกไปรับอย่างคาดเดาสถานการณ์ได้
“ชื่อ Touch the Melodies (สัมผัสเสียงเพลง) ประเภท MC (ไพ่เวทมนตร์) ระดับ 5 ความสามารถ ใช้แปลงสภาพเป็นเครื่องดนตรีชนิดใดก็ได้เป็นเวลา 15 นาที”
“ผมเอาด้วยใบนึงครับ” เสียงของธันดังขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เพื่อนร่วมทีมเก็บการ์ดใบนั้นเข้าสมุดไปแล้ว
“ชื่อ Touch the Melodies (สัมผัสเสียงเพลง) ประเภท MC (ไพ่เวทมนตร์) ระดับ 5 ความสามารถ ใช้แปลงสภาพเป็นเครื่องดนตรีชนิดใดก็ได้เป็นเวลา 15 นาที”
“ขอบคุณมากครับ”
เฟี๊ยตพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมออกไปจากร้านเล็กๆ นั่นเสียที แน่นอน เขายังรอคอยซึ่งสิ่งที่นำพาเขามาถึงที่แห่งนี้ คำใบ้ถึงสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นเอง
“มีอะไรอีก” เสียงของชายชรานั้นถามมาอย่างห้วนๆ เหมือนจะหงุดหงิดน้อยๆ
“ผม…” เฟี๊ยตเริ่มต้นประโยคไม่ถูกเลย เขาคิดว่าชายคนนั้นน่าจะพูดคำใบ้ขึ้นมาเองเสียอีก
“ถ้ารู้ ก็ไม่ต้องถามอะไรแล้ว” ชายชรานั่นตัดบทมาอย่างห้วนๆ
“แต่…”
ธันเอ่ยขัดขึ้นมาบ้าง เขาถ่อตัวเองข้ามเมืองมาครึ่งวัน ทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง เขาควรจะได้รับเบาะแสตามที่ไบเบิ้ลบอกสิ
“ออกไป…” ชายชราบนม้าโยกนั่นเอ่ยปากไล่พวกเขา และหลับตาลง โดยละทิ้งความสนใจจากพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
“ไบเบิ้ล”
“นายท่าน”
“ร้านที่เราอยู่ตอนนี้ใช่ร้าน Touch the Melodies หรือไม่” เฟี๊ยตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบา ขณะกำลังจะก้าวออกจากร้านขายเครื่องดนตรีแห่งนั้น
“ใช่ นายท่าน” เสียงทุ้มออกมาบริเวณข้างหูของเขา
“ทำไม เราถึงไม่ได้คำใบ้ ในเมื่อเราก็ทำตามข้อกำหนดทุกอย่างแล้ว” เฟี๊ยตถามดังขึ้นอย่างสงสัย
“คำถามนี้เกินขอบเขตของไบเบิ้ลเสียแล้ว ไบเบิ้ลไม่สามารถหาคำตอบมาให้นายท่านได้จริงๆ” เสียงนั่นตอบออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับว่ารู้สึกผิดอย่างนั้น
“เอาไงต่อดีวะ”
ธันหันมาถามเขา ทันทีที่ประตูของร้านลึกลับนั่นปิดลง เด็กหนุ่มก็คงมึนเหมือนเขาอยู่ไม่น้อย แผนการทั้งหมดน่าจะเริ่มขึ้นหลังจากที่ได้คำใบ้เสียก่อน แต่พอคำใบ้ที่ควรจะได้หายไปอย่างนี้ เขาเองก็ไปต่อไม่ค่อยจะถูกเหมือนกัน
“กินข้าวก่อน อิ่มท้องอาจจะคิดออกก็ได้” เฟี๊ยตพูดออกมาง่ายๆ อย่างที่ยังไม่อยากจะคิดอะไรมากนัก
“ช่างมันเถอะ แค่ไดโนเสาร์ตัวเดียว ไม่น่าจัดการยากมั้ง” เด็กหนุ่มสายฟ้าพูดขึ้น หลังจากที่ทั้งคู่จัดการอาหารเที่ยงและต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์มาพักใหญ่ๆ
“เสี่ยง” เฟี๊ยตแสดงความคิดเห็นออกมาสั้นๆ ธันเองก็เงียบไปเล็กน้อย ราวกับว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ตนเองคิดอยู่ในใจเช่นกัน
“เอางี้ พวกเราหาข่าวกันเองดีกว่าไหม” ธันพูดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปอีกชั่วครู่หนึ่ง คราวนี้สีหน้าของเด็กหนุ่มดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ซื้อข่าวจากแหล่งข่าวทั่วๆ ไปอ่านะ” เฟี๊ยตถามอย่างงงๆ วิธีดังกล่าวดูธรรมดามาก และเรียกได้ว่าเป็นวิธีแรกที่รู้ด้วยซ้ำ ดังนั้น ธันไม่น่าจะตื่นเต้นกับวิธีนั้นเลย
“ไม่ใช่ ที่พวกเราดั้นด้นมาถึงนี่เพราะเราหวังว่าตาลุงนั่นจะบอกจุดอ่อนอะไรสักอย่างของไอ้สัตว์โลกล้านปีนั่น ถูกไหม” ธันพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ประมาณนั้น” เฟี๊ยตเอ่ยรับคำมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรอยู่ดี
“เราก็หาจุดอ่อนของมันเองเลยไง” ธันพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนติดจะสั่นน้อยๆ
“มันจะบอกเราหรือไง บ้าดิ” เฟี๊ยตเถียงออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
“เราก็ตั้งแคมป์เฝ้าดูมันไง ยังไงก็ต้องมีผู้เล่นที่ไม่แวะเข้าเมืองและตรงดิ่งมาเพื่อผ่านแม่น้ำเส้นนี้อยู่แล้ว เราจะใช้โอกาสนั้นจับตาดูการต่อสู้ของมัน รวบรวมข้อมูลจนมั่นใจ ถึงเวลานั้น เราค่อยออกไปจัดการกับมันด้วยตัวเอง!” ธันพูดอย่างมั่นใจออกมาจนจบ
เฟี๊ยตคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ในวันที่ความคิดหนึ่งมืดบอดที่สุด อีกความคิดหนึ่งก็โชติช่วงสว่างไสวขึ้นมาทดแทนได้ อย่างนี้สิ มันถึงจะเรียกว่าคนเป็นคู่หูกัน!
ด้วยความคิดเรื่องกลยุทธ์การวิเคราะห์จุดอ่อนของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่น ทำให้ขณะนี้ พวกเขาทั้งสองคนมาตั้งแคมป์ถาวรอยู่ที่บริเวณห่างจากแม่น้ำแห่งชีวิตประมาณ 300 เมตรได้ พวกเขาใช้วิธีการพักห่างออกมาจากบริเวณแม่น้ำหน่อยเพื่อป้องกันการจู่โจมอย่างไม่คาดคิดในยามที่พวกเขาพักผ่อน เฟี๊ยตเรียกใช้การ์ดตั้งแคมป์สำเร็จรูปอย่างที่เคยใช้ในการเดินทางในช่วงที่ผ่านป่าทิวสนนั่นมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างสะดวกสบายมากขึ้นทีเดียว ชัยภูมิของพวกเขาเป็นทุ่งโล่งกว้างที่ไม่มีที่กำบังใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเฟี๊ยตจะคิดว่ามันไม่ใช่ทำเลที่ดีในการพักค้างแรมนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีตัวเลือกเลย เนื่องจากพื้นที่บริเวณเมืองแห่งสายลมนั้นเป็นเพียงทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา หากลงไปทางด้านใต้บ้างก็จะมีภูเขาสูงชัน แต่ก็จะแลกมาด้วยความเสี่ยงเรื่องสัตว์ภูเขาที่ไบเบิ้ลเคยเตือนไว้ บทสรุปของแคมป์สังเกตการณ์จึงเป็นไปตามที่อธิบายนั่นเอง
“เฟี๊ยต ไปดูลาดเลาตรงแม่น้ำกันเถอะ”
ธันเอ่ยปากชวนหลังจากเห็นว่าเหลือเวลาอีกสักพักก่อนตะวันจะตกดิน และพวกเขาเองก็ไม่มีกิจธุระอะไรต้องจัดการอีกแล้ว
“ตอนเนี้ยเนี่ยนะ” เฟี๊ยตถามไปอย่างงงๆ
“ใช่ดิ เผื่อโชคดีเราอาจจะได้เห็นตัวมันจังๆ ก็ได้นะ” ธันตอบ
“แต่นี่จะค่ำแล้วนะ ถ้ามันออกมาจริง แล้วเราโดนโจมตี เราจะตกเป็นรองทันทีเลยนะ” เฟี๊ยตแย้งออกมา
“ดูอยู่ไกลๆ ก็พอ ถ้าเราไม่เข้าไปในส่วนแม่น้ำ เราไม่มีทางโดนโจมตีหรอก เชื่อดิ” ธันเร่งเร้ามาอีก
“โอเคๆ ห้ามเข้าใกล้แม่น้ำนะ ตกลงตามนี้”
เฟี๊ยตพูดอย่างตกลงใจในที่สุด ก่อนจะสั่งเก็บการ์ดแคมป์สำเร็จรูปนั่น เพื่อเตรียมตัวเดินทางตามความต้องการของเพื่อนร่วมทีม
“เฟี๊ยตหมอบ!”
เสียงของธันดังออกมาอย่างฉับพลันทันใดที่สุด ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากนั้น หากแต่เฟี๊ยตก็ไหวดีเหมือนกัน ชายหนุ่มทิ้งตัวนอนลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีคำถามแสดงความสงสัยแม้แต่น้อย
“Town builder RELEASE!” ธันหยิบการ์ดออกมา พร้อมพูดออกไปด้วยเสียงไม่ดังนัก
“Blinding Dome!”
วัสดุอะไรสักอย่างคล้ายกระจกใสก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขยายตัวจนครอบลำตัวพวกเขาทั้งคู่จนสำเร็จ มันมีขนาดสูงไม่เกินหนึ่งเมตร แต่ก็บรรจุพวกเขาที่กำลังนอนอยู่กับพื้นได้อย่างพอดิบพอดี สิ่งก่อสร้างนั้นมีลักษณะโปร่งใส หากแต่เมื่อมองออกไป ภาพที่เห็นก็มีลักษณะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับมองผ่านผืนน้ำอย่างใดอย่างนั้น
“ชู่ววว”
ธันหันมาเอามือตะครุบปากเขาทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยถามถึงเหตุผลในการบรรจุตัวเองลงในที่แคบๆ นี้พอดี เด็กหนุ่มทำท่าพยักเพยิดให้หันไปมองอีกด้านหนึ่ง และเมื่อเฟี๊ยตกวาดตามองตามไปก็พบว่า ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเดินผ่านพวกเขาไปในระยะไม่ไกลเลย ทั้งๆ ที่คนคู่นั้นก็หันมามองทางพวกเขาอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่แสดงทีท่าว่ารับรู้ถึงการมีตัวตนของเฟี๊ยตและธันแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาสามารถหายร่างไปจากคลองจักษุเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์
และที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ คนคู่นั้นเข้าใกล้แม่น้ำมรณะเข้าไปตลอดเวลาแล้ว อีกไม่กี่ก้าวดี พวกเขาทั้งคู่ก็จะย่ำลงบนผืนน้ำที่มีสิ่งมีชีวิตที่คร่าผู้คนไปกว่าครึ่งร้อยชีวิตแล้วนั่น แต่อากัปกิริยาของพวกเขาเหล่านั้น ไม่มีทีท่าว่าจะระวังตัวหรือระแคะระคายถึงมรณกาลที่กำลังคลืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ นั่นแม้แต่น้อย!
รับข่าวสารกันทางนี้นะ
www.facebook.com/allornonetheauthor จากผู้แต่ง : สารภาพว่าหลังๆ ความสุขในการแต่งนิยายลดลงไปพอสมควรเลยครับ กลายเป็นว่าแต่งตามหน้าที่เสียมากกว่า เพื่อคงอรรถรสและเพื่อให้ผมยังคงแต่งเรื่องนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ผมขออนุญาตที่จะไม่ลงในบางวันที่ผมไม่ไหวนะครับ บางทีก็เกรงใจคนอ่าน เลยเค้นสมองเพื่อแต่งและมีลง ซึ่งทำให้เหนื่อยมาก ขอเป็นแบบยืดหยุ่นๆ สบายๆ แล้วกันนะครับ ร้อยหกสิบกว่าตอนแล้ว คงไม่ว่ากันนะครับ แหะๆ ปล. เริ่มจากเสาร์อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้ลงนะครับ พอดีจะไปเที่ยว แหะๆ