บทที่ 162 Fish and Chips
คำว่าตายจากเสียงห้าวนั้นไม่เพียงแต่ก้องกังวาลไปในสถานที่เงียบๆ แห่งนั้น หากแต่มันสะท้อนไปมาในหัวใจคนฟังด้วยเช่นกัน ปัญหาใหม่ที่ดูจะหนักหนาสำหรับพวกเขาอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเคยต่อสู้กับมอนสเตอร์มาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในระดับพอฟัดพอเหวี่ยง ไม่ถึงขั้นหน่วยทำลายเครื่องบินรบแบบนี้ คิ้วของเฟี๊ยตขมวดน้อยๆ อย่างคิดหนัก ซึ่งธันในเวลานั้นก็ดูจะเป็นกังวลน้อยๆ ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในจังหวะนั้น ชายทั้งคู่ยังตั้งใจฟังข่าวที่ได้มาโดยบังเอิญนั้นต่อไป
“ใจเย็นดิ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหากันไปก็ได้”
เสียงอีกฝ่ายกลับมาเย็นลงอย่างรวดเร็วราวกับตั้งใจจะดับอารมณ์ร้อนแรงของคนตรงหน้า น้ำเสียงนั้นยอมลงให้กับอีกฝ่ายมากกว่าตอนต้นมาก
“อืม”
เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นสั้นๆ อย่างสงบขึ้นเช่นกัน ราวกันจะรู้ตัวว่ากำลังถูกแอบฟังอยู่อย่างใดอย่างนั้น หลังจากเรื่องเล่าชวนปวดสมองตอนสั้นๆ ตอนนั้น พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เล็ดลอดมาจากโต๊ะดังกล่าวอีกเลย
“ไบเบิ้ล” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“มีอะไรให้รับใช้ นายท่าน” เสียงตอบดังมาจากข้างหูของเขาทันที
“ขอข่าวเรื่องสัตว์ประหลาดบริเวณแม่น้ำแห่งชีวิต” เขาเอ่ยสั้นๆ ด้วยเสียงที่ดังไม่มากไปกว่าการกระซิบ
“สักครู่ นายท่าน” ไบเบิ้ลรับคำ ก่อนจะเงียบหายไปอึดใจหนึ่งได้
“ช่วงระยะเวลาประมาณตลอด 15 วันที่ผ่านมา มีข่าวการตายของผู้เล่นเป็นจำนวนกว่า 50 คน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บริเวณแม่น้ำแห่งชีวิต ผู้ที่รอดชีวิตกลับมาได้แจ้งว่าผู้เล่นเหล่านั้นตายจากการถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่มีสันฐานคล้ายไดโนเสาร์ที่ดำรงชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับแหล่งน้ำ ผู้รอดชีวิตยังเล่าให้ฟังอีกว่า ผู้เล่นที่ตายทั้งหมดเป็นเหตุมาจากความตั้งใจที่จะข้ามแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในรูปแบบใด ทางน้ำ ทางอากาศ หรือแม้กระทั้งสร้างสะพานเพื่อเดินทางเท้าข้ามไป ตราบใดที่มีสิ่งมีชีวิตพาดผ่านแม่น้ำสายนั้น สัตว์ประหลาดดังกล่าวก็จะบุกเข้าบุกรุกจู่โจมทันที อาณาเขตของมันกว้างไกลตลอดพื้นที่แม่น้ำสายนั้น ไม่มีตำแหน่งใดที่จะหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของมันได้แม้แต่ตารางเมตรเดียว” ไบเบิ้ลเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดมาอย่างยาวเหยียด
“ความน่าจะเป็นของการข้ามแม่น้ำสำเร็จคือกี่เปอร์เซนต์ ไบเบิ้ล”
เขาเอ่ยถามไปอย่างหวาดหวั่น ตัวชายหนุ่มเองในเวลานี้ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีความสามารถเพียงพอจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากโลกล้านปีใดๆ ได้
“0 นายท่าน ไม่มีใครสามารถข้ามแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นได้แม้แต่คนเดียว” ไบเบิ้ลตอบออกมาอย่างน่าหนักใจ
“มีเส้นทางอื่นที่จะข้ามไปยังเมืองมีนาคมได้อีกหรือไม่ ไบเบิ้ล” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“วิธีเดียวที่จะข้ามไปอีกฝั่งของแผ่นดินโดยไม่เป็นอันตรายจากสัตว์ประหลาดในข่าวลือนั่น คือ การตัดหน้าผา ปีนขึ้นภูเขาสูงเพื่อผ่านเข้าไปทางเมืองธันวาคมเสียก่อน แล้วจึงค่อยหาทางออกมายังแผ่นดินภายนอก ซึ่งเกรงว่าอันตรายจากเทือกเขาที่ซับซ้อน สิ่งมีชีวิตกระหายเลือดบนทางลาดชัด และอากาศที่บางเบาบนดินแดนสูงเสียดฟ้าน่าจะเรียกได้ว่าน่ากริ่งเกรงกว่าไดโนเสาร์หลงยุคนั่นนัก” ไบเบิ้ลแสดงความคิดเห็น
“มันเป็นอะไร ลักษณะ จุดแข็ง จุดอ่อนเป็นอย่างไรบ้าง ไบเบิ้ล” เฟี๊ยตเอ่ยต่อ
“คำตอบที่นายท่านต้องการอยู่เกินขอบเขตวิสัยที่ไบเบิ้ลจะตอบได้” คำตอบดังมาจากตุ้มหูนั่นอย่างน่าผิดหวัง
“แล้วมีวิธีไหนที่จะได้มันมาบ้าง” ชายหนุ่มถามกลับไปอีกขั้น
“ข่าวลือเหล่านี้มีอยู่มากมายตามความน่าเชื่อถือ นายท่านสามารถสุ่มเข้าไปคุยกับคนที่ดูเหมือนจะเป็นตัวละครภายในเกมได้เลย จะมีการเสนอราคาต่อข่าวลือให้ ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันแม้แต่น้อยว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริง สิ่งเดียวที่พอจะยึดถือได้คือ ยิ่งข่าวลือมีความน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ ราคาของมันก็ยิ่งสูงเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น” ไบเบิ้ลพูด
“แต่ความจริงแล้ว ในแหล่งข้อมูลยังบอกอีกว่า หากท่านไปซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่งมากกว่าราคาที่เกมกำหนด เจ้าของร้านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับข่าวลือนี้ให้ฟังโดยไม่เสียเงิน ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากอีกทางหนึ่ง” ไบเบิ้ลเอ่ยต่อ หลังจากหยุดพักไปชั่วอึดใจหนึ่ง
“ร้านอะไร และยอดซื้อเท่าไหร่” เฟี๊ยตถาม
“ร้านเครื่องดนตรีชื่อ Touch the Melodies ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองพฤษภาคม ยอดซื้อสินค้าภายในร้านเกิน 1,000 เหรียญ เจ้าของร้านจะชวนคุยถึงเรื่องนี้เอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยว่าเกี่ยวข้องกับข่าวลือนี้โดยตรงก็ตาม สิ่งที่เจ้าของร้านเล่าให้ฟังเหล่านั้นก็เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องที่นายท่านกำลังต้องการข้อมูลเหล่านี้อยู่ดี”
“มีอะไรที่เราควรรู้อีกไหม ไบเบิ้ล”
“เรื่องราวนี้จะว่ายากก็คงไม่ผิดนัก หากแต่ขอให้นายท่านจงเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น แล้วท่านจะพบว่าปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ไขลงได้อย่างไม่ยากเย็นเลย นายท่าน”
เฟี๊ยตถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังมาจากไบเบิ้ลให้เด็กหนุ่มตรงหน้าฟังอย่างละเอียด หลายครั้งที่เฟี๊ยตไม่มั่นใจว่าจำได้ครบหรือไม่ เขาก็ถามไบเบิ้ลเพื่อทวนความอีกครั้ง เรื่องราวชวนปวดหัวไม่น้อยที่ทำเอาคนทั้งคู่ไม่ค่อยจะเจริญอาหารสักเท่าไหร่เลย ธันที่ตอนแรกตั้งใจจะจัดอาหารมื้อใหญ่ก็กลายเป็นแค่อาหารจานเดียวง่ายๆ เท่านั้น ราวกับว่ามีละอองความเครียดล่องลอยอยู่ในอากาศ พวกเขาต่างจมอยู่ในภวังค์ไปจนจบมื้ออาหารในเวลาเกือบค่ำของวันนั้น
“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้นะ” ธันเปรยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากฟิชแอนด์ชิพหมดจานไปเป็นที่เรียบร้อย
“ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่” เฟี๊ยตตอบมาเบาๆ
“แล้วตอนนี้” เสียงธันสูงขึ้นเชิงถาม
“ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าจริง ธัน อย่าลืมสิ การที่ข้อมูลของเรื่องนี้มีอยู่ในระบบประมวลผลของไบเบิ้ล แปลว่าข่าวนั้นมันมีอยู่จริงในระบบเกม มันดูจะยากมากที่จะเป็นข่าวลวง” เฟี๊ยตอธิบายเหตุผล
“แล้วจะเอายังไงต่อไป” ธันเอ่ย
“ธันหละ เอาไง” เฟี๊ยตย้อนถามกลับ
“ลุยดิ กลัวอะไร มันคงไม่ได้เก่งไปกว่าไอ้ผ้าคลุมปีศาจนั่นหรอกน่า มิหนำซ้ำ ฟาดสักทีสองทีอาจจะหงายท้องตึงลงไปซี้แหงแก๋ก็ได้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เด็กหนุ่มพูดออกมาสบายๆ ราวกับเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามาก
“แต่มันเป็นไดโนเสาร์เลยนะ 50 ศพแล้วนะที่ผ่านมันไปไม่ได้” เฟี๊ยตพูดอย่างไม่มั่นใจ
“เฮ้ยย เฟี๊ยต คิดมากไปหรือเปล่า มันเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ก็จริง แต่อย่าลืมสิว่านี่พวกเราก็มีพลังวิเศษไม่ต่างจากมันเหมือนกันนะ เราเดินได้ บินได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ปล่อยพลังได้นะเว่ย กลัวอะไรว้า กะอิแค่จิ้งจกยักษ์ตัวเดียว ใจสู้หน่อยตี๋”
ธันพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ในจังหวะนั้น เฟี๊ยตรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยขี้ขลาดคนหนึ่งที่กำลังมีพี่ชายใจดีปลอบประโลมอยู่อย่างใดอย่างนั้น หากมันจะแปลกไปก็แค่ว่า พี่ชายที่ว่าอายุน้อยกว่าเขาไปหลายปีทีเดียว เฟี๊ยตถอนหายใจมาอย่างเหนื่อยๆ แต่อย่างไรช่างเถอะ ไม่ว่าคนข้างหน้าจะอายุเท่าไหร่ ตัวจริงเป็นใคร มีหัวนอนปลายเท้ามาจากไหน ขอแค่ธันยังคงกอดคอกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ทิ้งกันไปในคราวคับขัน เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ
เฟี๊ยตและธันตัดสินใจหาที่พักกันก่อนในคืนนี้ ก่อนจะตะลุยไปยังร้านที่ไบเบิ้ลให้เบาะแสมาในวันถัดไป จากการดูแผนที่คร่าวๆ แล้วก็พบว่า ร้านดังกล่าวอยู่ห่างออกไปไม่น้อย เอาจริงๆ ก็คือเกือบสุดของเมืองฝั่งตะวันตกสุด ในขณะที่เป้าหมายของเขาคือการข้ามแม่น้ำแห่งชีวิตที่อยู่ทางด้านตะวันออกสุดไป
เฟี๊ยตออกมาจากตัวห้องเพื่อซึมซับบรรยากาศสงบๆ ยามกลางคืนคนเดียวเงียบๆ บริเวณระเบียงที่เชื่อมติดกับตัวห้อง โดยที่เด็กหนุ่มอีกคนนอนหลับไปบนเตียงกว้างนั่นแล้วอย่างเหนื่อยอ่อน การขี่มอเตอร์ไซค์วิบากในวันนี้อาจจะกินแรงเอาการอยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มใช้เวลาทบทวนอะไรไปเรื่อยเปื่อย บรรยากาศท้องฟ้ามืดที่เต็มไปด้วยดาวในคืนนั้นทำให้เขารู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตัวเองมาตกระกำลำบากอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่างใดอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เขาก็แค่หลับตาและฝันไปเท่านั้น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าตัวเขาเองไม่ได้เจอธันในวันนั้น ชีวิตเขาในตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันหนอ ชายหนุ่มยอมรับได้อย่างไม่มีข้อกังขาเลยว่า การมีธันมาร่วมเดินทางด้วยนั้น ทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกดีขึ้นกับเกมนี้พอสมควร มันคงเป็นความรู้สึกที่มีคนมาร่วมทางฝ่าฟันภยันอันตรายกันไปอย่างนั้น ความจริง ถ้าไม่มีธัน เขาอาจจะถอดใจจากเกมนี้ไปนานแล้วก็ได้
“ผู้เล่น Punnawutt ต้องการใช้การ์ดโทรศัพท์สื่อสารกับท่าน กรุณากดยืนยันเพื่อต่อสาย หรือกดยกเลิกเพื่อตัดสายการสนทนา”
เสียงที่คุ้นเคยหนึ่งดังมาจากนาฬิกาข้อมือของเขาในขณะที่เขามัวแต่มองดาวบนฟ้าอย่างเพลิดเพลินนั่นเอง เฟี๊ยตรีบกดยืนยันบนหน้าจออย่างตื่นเต้น ตั้งแต่ที่รอจากไอ้ผ้าคลุมมืดในตอนนั้น เขาก็พยายามจะติดต่อปันกับแทนแต่ก็ไม่สำเร็จเลย พอเวลาผ่านไป เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“เฟี๊ยต เป็นไงบ้าง” เสียงปลายสายดังมาอย่างชัดเจนในความเงียบสงบนั้น ปันนั่นเอง
“สบายดี ปันกับแทนหละเป็นไงบ้าง ขอโทษทีที่ไม่ได้ติดต่อไป หลังจากวันนั้นพยายามโทรหาแล้วมันก็ติดต่อไม่ได้ พอออกไปจากเกมอีกทีก็ลืมเสียสนิท” เฟี๊ยตตอบไปอย่างยืดยาวอย่างรู้สึกผิด
“เฮ้ยย ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก คงจะโทรชนช่วงอยู่นอกเกมพอดี เพราะเราก็ติดต่อเฟี๊ยตไม่ค่อยได้เหมือนกัน” ปันพูดออกมาอย่างสบายๆ
“เฟี๊ยตตตตตตตตตตต สบายดีเปล่าาาาาาาาา” เสียงลากยาวอีกเสียงหนึ่งดังขัดเข้ามาในสายโทรศัพท์นั้น แทนนั้นเอง ไอ้ชายตัวโตคนนั้นยังขี้เล่นเหมือนเดิม
“ไอ้แทน มึงอย่าทับสิวะ ตัวหนักหยั่งกะควาย ออกไปป” เสียงของปันโวยวายขึ้น
“ไม่หนัก อย่าเอะอะดิ จะคุยกับเฟี๊ยต จุ๊จุ๊” แทนพูดอย่างขึงขัง แต่แอบซ่อนความตลกอย่างนั้น
“ไปจุ๊ไกลๆ ตีนไป คนหรือรถแมคโครวะเนี่ย ทับมาได้ หลังแทบหัก สาดดดดดดดดดดดดด” ปันตะโกนด่าแทนเสียงโวยวายลั่นไปหมด
และแล้วเฟี๊ยตก็หลุดขำออกมาอย่างสุดจะกลั้น ดูเหมือนว่าความบาดหมางลึกๆ ที่เกาะกินอยู่ในใจเขานั้นจะละลายหายไปเสียหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้คือความหวังดีอย่างสนิทใจเท่านั้นเอง ความจริง ปันกับแทนก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีมาก ในคราวที่เฉียดตายเขาก็รอดมาได้เพราะเพื่อนสองคนนี้ แถมในคืนนี้ คืนนี้เหงาอย่างบอกไม่ถูก เขาก็ยังได้เพื่อนสองคนนี้กลับมาทำให้ความเหงามันฟุ้งกระจายหายไปอีกครั้ง ยิ่งฟังเสียงก็ยิ่งคิดถึง ถ้ากลุ่มมายาของเขาได้มีโอกาสกลับมาเดินทางด้วยกันอีกครั้งก็คงดีสินะ
เพจอะไรไม่รู้ กดไลค์แล้วจะน่ารักนะ กดเร็วๆๆๆ
www.facebook.com/allornonetheauthor จากผู้แต่ง : ผมจะแต่งจบไหม? ฮ่าฮ่า