ตะวันคล้อยทุ่ง แลลิบออกไปเบื้องหน้าคือท้องทุ่งเวิ้งว้างเหลืองอร่ามด้วยแสงแดดผีตากผ้าอ้อม ผู้คนทยอยกันกลับจากงานนา นกปูดร้องแว่วๆ มาจากหลังป่าสะแก นกกวักรวมกลุ่มร้องแซ่เตือนให้รู้ว่าใกล้ค่ำ
ยายช้อยกลับมาพร้อมปลาเล็กปลาใหญ่ กระทั่งปลาสวายหรือปลากรายก็ยังมี แกรีบทำปลาผ่าท้องเอาขี้และไส้ออก หลานรักอยู่ติดบ้านเสียที กะว่าเย็นนี้จะทำต้มยำเชิงปลากรายซดกันให้รื่น ด้านจ้อยนั้น.. ก่อไฟพักเดียวกลิ่นหอมของข้าวใหม่ก็อบอวลออกมาจากเตาไฟ หม้อสีดำคล่ำหุงเดือดคลั่กๆ อยู่บนเตา
พอตกค่ำดาวประฟ้า สองยายหลานก็ตั้งสำรับกันที่นอกชาน
นักเรียนครูเขี่ยข้าวในจานอ้อยอิ่ง นึกถึงหน้าหม่นหมองของเลอมานแล้วสงสารจับใจ หรือความรักต่างชนชั้นก็เป็นเช่นนี้ อดหันมองตัวเองไม่ได้.. จะมีเหตุอันใดไหมให้จ้อยกับพี่สิงห์ต้องพรากจากกันไกล หากแม้นวันนั้นมาถึงจริง จ้อยจะอดทนมีแรงยืนอยู่ได้สักครึ่งของเลอมานไหม
ไม่มีวันหรอกน่า.. จ้อยสะบัดความคิดเพ้อเจ้อออกจากหัว ความรักของจ้อยที่ขมขื่นมานานกำลังหวานชื่น หนทางทอดยาวไปข้างหน้ามีแต่ดอกไม้สะพรั่งสองข้างทาง ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้จ้อยกับพี่ต้องจากกัน
“ยายจ๋า..หนูมีเรื่องจะบอก” จ้อยอ้อมแอ้ม ช้อนสังกะสีเขี่ยเนื้อปลาที่ยายแกะวางลงจานให้ไปมา “ไม่รู้ว่าบอกไปแล้วยายจะว่าอะไรหรือเปล่า”
แม่เฒ่าทำเสียงอืออาในคอเป็นเชิงรับรู้ ก่อนตักน้ำแกงขึ้นซดโฮก
“คือ.. ป้าทรัพย์..” จ้อยขัดเขินเกินจะกล่าว หากในดวงตาเป็นประกายวาววาม “แกจะให้หนูกับยายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านลุงกำนัน”
ยายช้อยชะงัก แทบสำลักน้ำแกง “จริงหรือจ้อย” ตาแกเบิกกว้างอย่างตกตะลึง แต่ในความตกตะลึงนั้น.. ปิติเหลือเกิน “ป้าทรัพย์หรือพ่อกำนันเป็นคนชวนเอ็ง”
“ป้าทรัพย์จ้ะ” จ้อยส่งยิ้มเจิดจ้าให้ยาย ยิ้มจากดวงใจอันเปี่ยมสุข “แกบอกหนูว่าลุงกำนันก็ยินดี ต่อไปนี้เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แกกับลุงเสริมจะรักจ้อยเหมือนลูกเหมือนหลาน”
ยายมองจ้อยเพริดไป ในดวงตาสีเทามีน้ำตาคลอเบ้ากระทบแสงตะเกียงวาววาม
จ้อยคลานเข้าไปหายาย ซบหน้าลงกับอกผ่ายผอม ยายผอมเหลือเกิน หายใจแต่ละทีซี่โครงแทบขยายออกมานอกอก มือเหี่ยวย่นลูบหัวจ้อยแผ่วเบา จ้อยคว้ามือนั้นมาแนบแก้มอย่างรักใคร่บูชา มือยายกร้านกรำอย่างคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต ก็มือคู่นี้มิใช่หรือที่ทะนุถนอมเลี้ยงดูจ้อยมาจนเติบใหญ่ นับจากนี้ยายจะไม่ต้องลำบากอีกแล้ว จ้อย พี่สิงห์ ป้าทรัพย์ ลุงเสริม จะไม่ปล่อยให้ยายอดมื้อกินมื้อ ไม่ต้องนอนปวดหลังบนเสื่อหยาบกระด้าง ไม่ต้องห่อกายด้วยผ้าผวยผืนเก่ายามลมหนาวหวีดหวิวผ่านรูที่ฝากระท่อมอีกต่อไป
ถึงจ้อยจะยากจน แต่ก็เป็นสุขเสมอเมื่ออยู่ในอ้อมกอดยาย ต่อแต่นี้เราจะไม่ต้องแยกกันอีกแล้ว จ้อยจะได้อยู่กับคนที่จ้อยรักตลอดไป ทั้งยาย..ทั้งพี่สิงห์..จะไม่มีอะไรมาพรากจากไป..
อดคิดถึงเลอมานไม่ได้ ราชนิกูลผู้เพียบพร้อมไปทุกอย่าง ทว่าหนทางรักระหว่างเลอมานและอาจารย์คนึงกลับดูมืดมนไปทั้งแปดด้าน จ้อยสิอดอยากยากจนมาทั้งชีวิต แต่หนทางข้างหน้ากลับมีแต่ความสว่างไสว ต่อไปนี้จ้อยจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับพี่สิงห์ เช้ามาก็ได้เห็นหน้า ตกเย็นเลิกเรียนมาก็ได้เจอกัน อีกปีเดียวเท่านั้นจ้อยก็จะเรียนจบ จ้อยจะสอบบรรจุเป็นครูอย่างที่ใฝ่ฝัน ส่วนพี่สิงห์ก็ดูแลโรงสีไป
คนที่จ้อยรักจะอยู่เคียงข้างจ้อยตลอดไป ทั้งยาย..ทั้งพี่สิงห์..
จ้อยมีความสุขเหลือเกินยายจ๋า
“ดีจริงๆ จ้อยเอ๋ย” เสียงยายสั่นเครือปนสะอื้น อ้อมแขนผ่ายผอมโอบกอดจ้อยไว้ โยกโคลงเบาๆ เหมือนคราวจ้อยเป็นเด็ก “ยายรอวันนี้มานาน..รอมานานเหลือเกิน..”
มือเหี่ยวย่นประคองใบหน้าจ้อยเอาไว้ ในดวงตาที่มองสบมามีน้ำตาหยาดไหล
“ป้าทรัพย์เขาได้บอกอะไรหนูอีกหรือเปล่า”
จ้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ยายอยากให้เอ็งได้ไปอยู่บ้านนั้นมานานแล้ว ในที่สุดก็มีวันนี้” ยายปาดน้ำที่คลอหัวตา ลูบผมจ้อยซ้ำๆ “แม่ทรัพย์เขายอมรับเอ็งแล้วจ้อย ถ้าพ่อกำนันเขารู้ เขาก็ต้องยอมรับเอ็งเหมือนกัน ยายดีใจเหลือเกินลูกเอ๋ย”
คำพูดยายสะกิดใจจ้อย ยอมรับ? ทำไมต้องยอมรับ? ยอมรับในฐานะอะไร? หากไม่ทันได้ถาม หญิงชราก็โผเผลุกขึ้นหายเข้าไปในตัวกระท่อม จ้อยชะโงกหน้ามองตามไป ในแสงตะเกียงเรื่อเรือง เห็นยายเอื้อมหยิบกระถางธูปพี่จินดาออกมาเทลงผ้าขาว คุ้ยเขี่ยอยู่สักพักก็กลับออกมา
พร้อม ‘อะไรบางอย่าง’ ในมือ
ต่อเมื่อยายนั่งลงตรงหน้า จ้อยจึงเห็นว่ามันเป็นแหวนวงหนึ่ง คงเก่ามากแล้ว ความสุกปลั่งหายไปตามกาลเวลา ยายค่อยๆ เช็ดมันกับชายเสื้อคอกระเช้าตัวเก่าอย่างทะนุถนอม ก่อนวางมันลงในมือจ้อย
ท่ามกลางความสับสนงุนงง จ้อยดูออกว่ามันเป็นแหวนทองคำแท้ ยิ่งค่าทองสูงทองยิ่งอ่อนจนวงบิดเบี้ยว มีแต่เศรษฐีที่ทำทองแบบนี้สวมใส่ติดตัว
และเมื่อจ้อยส่องมันกับแสงตะเกียง รอยสลักคำว่า
‘สีตลา’ ปรากฏเด่นชัด
นามสกุลพี่สิงห์?
ทำไมแหวนนามสกุลพี่สิงห์ถึงมาอยู่กับยาย?
ลางสังหรณ์แปลกประหลาดแล่นพรูเป็นริ้วๆ ค่อยๆ แทรกซึมจับขั้วหัวใจ
“ปีนั้นแม่เอ็งถูกไอ้เสือฝ้ายบ้านใต้ดักฉุกไป โชคดีที่พ่อเสริมเขาตามไปช่วยไว้ได้ทัน ยิงไอ้เสือฝ้ายตายเป็นผีเฝ้าทุ่ง” เรื่องนี้จ้อยพอรู้มาบ้าง ยายเคยเล่า.. ลุงกำนันก็เคยเล่า.. เรื่องฉาวโฉ่ระดับตำนานของหมู่บ้าน มีแม่จ้อยเป็นนางเอก ลุงเสริมเป็นพระเอก.. จ้อยพอรู้..
แต่เรื่องราวหลังจากนี้.. จ้อยไม่เคยรู้..
“เขาให้แหวนวงนี้กับแม่เอ็งไว้” ยายจ้องจ้อยที่ดวงตา “แล้วจากนั้น.. แม่กำไลก็มีเอ็ง..”
เสียงฟ้าคำรามครืนครันมา ลมเย็นหอบกลิ่นไอฝนแรกของปีมาต้องกาย จ้อยสั่นสะท้านไปทั้งตัว “ยาย..ยายพูดอะไร..” แม้เสียงที่หล่นจากปากก็สั่นพร่า
“ตอนยังเล็กเอ็งเป็นไข้หนักเกือบตาย ยายไม่มีเงินค่าหมอเลยอุ้มเอ็งไปหาพ่อเสริม ถ้าเขารู้ว่าเอ็งเป็นลูกเขาไม่ปล่อยให้เอ็งตายแน่ แต่ไปปะเอาแม่ทรัพย์เข้าเสียก่อน”
ลูกหรือ.. ใคร.. ใครเป็นลูกใคร..
“แม่ทรัพย์เขาเลยให้เงินมาก้อนใหญ่ ให้ตาเวกพาไปหาหมอในเมืองเสร็จสรรพ ค่ายาเอ็งตอนนั้นแกออกให้หมดทุกบาททุกสตางค์ แต่มีข้อแม้..” ยายหยุดเช็ดน้ำหมาก “แลกกับการไม่บอกพ่อเสริมว่าเอ็งเป็นลูกเขา”
ไม่จริง.. ไม่มีทาง.. พี่สิงห์..
พี่สิงห์ของจ้อย..
‘จะเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน ขอให้เป็นพยาน อย่าคลาดไป
ถ้าน้องเป็นน้ำ ตัวพี่จะตามเป็นปลา จะได้เย็นอุรา พี่ชาย..’จ้อยเผลอกำแหวนในมือแน่น ลมฝนกรรโชกแรงเกินไปหรือ ทั้งตัวและหัวใจจ้อยจึงชาดิกราวถูกจับแช่ในน้ำกรด
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้สักคน มีแค่ยายกับแม่ทรัพย์ที่รู้ เขากลัวพ่อเสริมจะรักเอ็งมากกว่าตาสิงห์ คงกลัวเอ็งจะไปแย่งสมบัติลูกเขา”
‘ถ้าพี่ทำเบ็ดเกี่ยวตาจ้อย จะควักลูกตาตัวเองให้แทน’“ยายพูดอะไร..” เสียงจ้อยแผ่วหวิวดั่งเค้นขึ้นจากหัวใจเจียนสลาย ภาพยายตรงหน้าพร่ามัวเลือนราง
“ยายเห็นเอ็งกับตาสิงห์รักกันแต่เด็กก็เบาใจ ที่ไหนได้.. มาไม่ถูกกันเอาตอนโต ใจยายจะขาดเสียให้ได้” แต่ละคำพูดยายที่หล่นลง กรีดเฉือนใจจ้อยเป็นริ้วๆ จ้อยส่ายหน้าหนีความจริงที่รุมเข้าฉีกทึ้งหัวอก สองมือกอดตัวเองไว้แน่น
‘พี่คิดถึงจ้อย.. คิดถึงแต่จ้อย.. จะทำอะไรก็เห็นแต่หน้าจ้อย’“พี่น้อง.. อย่างไรเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ตอนนี้เห็นพวกเอ็งรักกันขนาดนี้ ยายนอนตายตาหลับแล้วลูก”
“ยายพูดอะไร!” จ้อยตะเบ็งสุดเสียงทั้งน้ำตานองหน้า “ยายโกหก!”
“จ้อย..” แม่เฒ่าชะงัก มองจ้อยอย่างตกตะลึง เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก หลานชายคนดี.. แม้คำน้อยก็หาได้พูดให้ขัดหูไม่
“ยายโกหก! หนูไม่เชื่อ! ไม่จริง! ยายโกหกหนู!” จ้อยตะคอกใส่ยายเหมือนคนเสียสติ ส่ายหน้ารัวน้ำหูน้ำตาพลัดกระเด็น
‘สินสอดนี่คืออะไรน้อ พี่มันโง่ ความรู้น้อย สอนพี่หน่อยสิครู’ ไม่จริง.. พี่สิงห์ของจ้อย..
“จ้อย.. จ้อย..โกรธยายหรือลูก” แขนผ่ายผอมพยายามไขว่คว้า จ้อยปัดป้องเหมือนอ้อมแขนที่เคยโอบอุ้มเป็นเงื้อมเงาปีศาจน่ารังเกียจ
ปีศาจที่นำความจริงมาสู่ ความจริงอันน่าอดสูเกินใจจะแบกรับ “ยายขอโทษ ขอโทษที่เลี้ยงเอ็งมาลำบาก ถ้าบอกพ่อเสริมไปตั้งแต่วันนั้น เอ็งคงไม่ต้องมาอดอยากอยู่กับยาย ยายขอโทษลูก..”
ไม่! จ้อยไม่ได้โกรธยายเรื่องนั้น!
จ้อยยกสองมือขึ้นอุดหู ราวจะหนีความจริงที่กรีดหัวใจเป็นรอยบากลึกซ้ำๆ ปากก็ยังพึมพำพร่ำเรียก.. “พี่สิงห์..พี่สิงห์..”
“เอ็งกับพี่สิงห์จะได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ แล้วอย่างไรล่ะจ้อย ไม่ดีหรือลูก” ยายโผเผเข้ามากอด จ้อยผลักยายจนเซ เขวี้ยงแหวนแห่งความอัปยศใส่หน้ายาย ดวงตาแข็งกร้าว ตะโกนสุดเสียง
คำที่แม่เฒ่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินจากปากหลานชายผู้เป็นที่รัก
“หนูเกลียดยาย!”
นักเรียนครูคนดีผลุนผลันลงบันไดจนกระท่อมสะเทือน “จ้อย! จ้อยจะไปไหนลูก!” เสียงยายไต่บันไดตามลงมา เสียงยายร่ำเรียกชื่อจ้อยไล่หลังมาปนกับเสียงฝนฟังดูปวดร้าวเจียนขาดใจ แต่จ้อยไม่แม้แต่จะเหลียวไปมอง
ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายเหมือนใยแก้วนับหมื่นสาย จ้อยวิ่งกระเซอะกระเซิงไปตามทางเกวียนเหมือนคนบ้า รองเท้าก็ไม่ได้ใส่ติดมา ถนนบ้านนานั้นทางมันก็ไอ้ดินปนฝุ่น ครั้นฝนเทลงมาหนักก็พลันแฉะฉ่ำเปียกเละเป็นโคลนตม หรือความจริงจ้อยเป็นบ้าไปเสียเลยจริงๆ ยังดีกว่าต้องมารับรู้ความจริงน่าอดสูแบบนี้
จ้อยไม่อยากเป็นลูกกำนัน จ้อยอยากเป็นหลานยายเหมือนเดิม พายเรือข้ามคลองไปมาระหว่างโรงสีและกระท่อมยายเหมือนเดิม จ้อยไม่อยากเป็นลูกกำนัน จ้อยอยากเป็นหลานยายเหมือนเดิม จ้อยไม่อยากเป็นลูกกำนัน.. จ้อยไม่อยากเป็นน้องชายพ่อเดียวกันกับพี่สิงห์!
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาเค้นคอจ้อยแทบแตกป่น ราวกับมีฝูงปีศาจตะเกียกตะกายดึงแขนขา ฉุดกระชากจ้อยลงขุมอเวจี จ้อยต้องรีบสลัดพวกมันออกตอนนี้ ตอนนี้ยังมีโอกาส หากยอมให้มันลากลงไปแล้ว จ้อยจะติดอยู่ในนั้นตลอดไป กอดกรงหนามความผิดบาปไว้แนบอกจนวันตาย จ้อยวิ่งเตลิด จ้อยจะไปไหน หนีไปไหนพวกมันก็ตามรังควาญ หลอกหลอน
นักเรียนครูสะดุดล้มพลั่กกลางดินเลนเปียกแฉะ สองแขนโอบกอดร่างเปียกปอนเปรอะเปื้อนไว้กลางสายฝนเหน็บหนาว ฟ้าคำรามครืนๆ ราวจะเย้ยชะตาชีวิต ไม่ไยดีคนคนหนึ่งที่กำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจ
‘ถ้าได้อยู่กับจ้อยตลอดไป ให้เป็นวัวเป็นควายพี่ก็ยอม’***********************************
เสียงทุบประตูดังระรัวชำแรกเสียงฝนปลุกนายสิงห์ สีตลาให้ตื่นขึ้นกลางดึก ร่างสูงใหญ่ผลุนผลันลงจากเตียงนอนหลังออฟฟิศ เร่งร้อนไปเปิดประตูทั้งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว เสื้อแสงยังไม่ทันใส่ด้วยซ้ำ
ดึกแบบนี้ ต้องมีใครมีธุระร้อนแน่ๆ โจรที่ไหนแอบมาลักควายลูกบ้านพ่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นกูจะไล่ยิงให้ดับด้วยลูกซอง!
หากพอประตูเปิดผางเท่านั้น
“จ้อย!” ร่างบอบบางที่ยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ตรงหน้ากลับทำให้ตะลึงไม่ใช่น้อย “มาได้ยังไง!”
สารรูปจ้อยดูแทบไม่ได้ เปียกโชกไปหมดทั้งตัวเหมือนไปมุดน้ำมา ลงอีแบบนี้คือฝ่าฝนมาแบบไม่ต้องสงสัย ขี้ดินขี้เลนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเต็มไปหมด พี่รับร่างซวนเซเจียนล้มไว้เต็มสองแขน ประคองเข้ามาข้างใน กุลีกุจอหาผ้าขนหนูมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
พี่ถามอะไรไม่รู้มากมายเต็มไปหมด ไม่ได้เข้าหัวจ้อยสักคำ จ้อยมองแต่หน้าพี่.. กลางแสงตะเกียงสลัว อะไรๆ ก็พร่าเลือน แต่สายตาพี่ยามมองจ้อยช่างแจ่มชัดนัก
“พี่สิงห์..” เสียงแผ่วหวิวหล่นจากปากสั่นระริก นัยน์ตาเป็นประกายสีดำราวถ่านเปียกน้ำจ้องพี่ที่ดวงตา “ไม่ว่าจ้อยจะเป็นยังไง พี่ก็รักจ้อยใช่ไหม”
พี่พยักหน้ารัว และพอพี่จะถามอะไรอีก จ้อยก็ปิดปากช่างซักนั้นไว้ด้วยริมฝีปากเย็นชืดของจ้อย
จ้อยยอมให้ผีห่าซาตานลากคอมาที่นี่ ขอแค่ได้อยู่กับพี่ จะพาจ้อยไปนรกขุมไหนก็ยอม อยู่ในอ้อมกอดพี่ จ้อยไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้น ไม่มีหน้ายาย ไม่มีหน้ากำนันเสริม ไม่มีหน้าใคร จะอาชีพครูผู้ทรงเกียรติจ้อยก็ไม่ได้นึกถึง มีแต่จ้อยกับพี่ มีแต่พี่กับจ้อยเท่านั้น
พี่ผละออกเมื่อจ้อยหอบหนักปานจะขาดใจ เมื่อนั้นจ้อยจึงได้เห็นนัยน์ตาที่บรรจุบางสิ่งบางอย่างเปี่ยมล้น ยามพี่เอ่ยชื่อจ้อยมันช่างอ่อนโยนเหมือนโศลกแห่งรักอันเพราะพริ้ง จ้อยจะทนได้หรือหากต้องจากอ้อมกอดนี้ไป ความร้อนแผ่ไล่จากแก้มไปหาใบหู ฉีดซ่านทั่วอณูเนื้อ
เหลือเพียงเนื้อเปล่าๆ กดถูเสียดสีกันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้ มีความรัก มีความห่วงหา มีความปรารถนาเจียนคลั่งหลอมรวมอยู่ในความร้อนผ่าวที่เคลื่อนไหวในเรือนกาย ตัวโตยังกะยักษ์มาร มือตีนใหญ่แผงอกเป็นพะเนิน เนื้อกล้ามมองดูเหมือนจะหักคอวัวตาย ยามแขนกำยำกระหวัดรั้งรัด จ้อยแทบน่วมไปทั้งตัว แต่ทั้งหมดนี้จ้อยรักจ้อยบูชาของจ้อยนัก เหมือนร่ำร้องให้พี่กอดจ้อยแรงกว่าทุกที เรือใหญ่โลดแล่นไปบนยอดคลื่น บางคราวหัวเรือจุ่มลงไปแตะคลื่นเพียงนิดเดียว บางคราวพุ่งดิ่งกระแทกกระทั้นลงไปเกือบหมดลำ คลื่นลูกใหญ่กระแทกโครมคราม ทะเลไกวส่ายหมุนและเรือชุ่มโชกด้วยหยาดน้ำเป็นมันเลื่อมพราย
หากนรกจะหวานขนาดนี้ จ้อยยินดีอยู่ในนั้นนิจนิรันดร์
***********************************
รุ่งอรุณเลือนรางสว่างแล้ว
สองพี่น้องยังคงกอดก่ายกันบนที่นอนยับย่น ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไม่ติดตัว พี่เป็นฝ่ายสะดุ้งตื่นก่อนยามเสียงเคาะประตูดังระรัว คราวนี้มีเสียงคนร้องเรียกโหวกเหวกด้วย
“สิงห์! สิงห์เอ๊ย!” เสียงน้าเวกฟังดูเร่งร้อน สลับกับเสียงทุบประตูกึงๆ “สิงห์ตื่นเร็ว!”
พี่ปลุกน้องตื่นด้วยจูบแผ่วเบาตรงหน้าผาก จ้อยรู้สึกตัวรีบลุกขึ้นจัดแจงสวมเสื้อผ้า น้าเวกรู้ว่าพวกเขารักใคร่กันฉันพี่น้องก็จริง แต่พี่น้อง..ให้สนิทกันแค่ไหนคงไม่แก้ผ้านอนกอดกันหรอก
เมื่อพี่สิงห์เปิดประตูออฟฟิศ น้าเวกพรวดพราดเข้ามา “โอยครู!” แกร้องเมื่อเห็นจ้อย “เขาตามหากันให้ควั่ก นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่”
“ตามหาจ้อยแต่เช้า มีเรื่องอะไรหรือน้า” พี่สิงห์เป็นฝ่ายถาม ชายกลางคนเปลี่ยนท่าทีจากเร่งร้อนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ครู.. ทำใจดีๆ ไว้นะ” น้าเวกละล่ำละลัก “ยายช้อย..”
ใจจ้อยหล่นวูบเมื่อได้ยินชื่อยาย..
“ยายช้อยตายแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป__________________________________________________________________
*ไม่มีวัน, ป.ชื่นประโยชน์ คำร้อง, สวลี ผกาพันธุ์ ขับร้องครบรอบหนึ่งปีพอดี๊ แฮ่!
(ยังอีก..ยังหน้าระรื่นไม่รู้สึกรู้สา)
ตอนหน้าจบละน๊า แต่ยังเหลือบทส่งท้ายสั้นๆ และตอนพิเศษไซด์สตอรี่อีกสองสามตอนจ้า
บวกลบไม่เกินนี้ สุดแท้แต่จะนึกออกน๊า
เจอกันตอนหน้าคับพ้ม
ดอกไม้
๑๖ ส.ค. ๖๑