บทที่ ๓๗
คอย(ครึ่งหลังจ้ะ

)
เณรจ้อยหลบผู้คนมาแหงนหน้ายืนดูควันสีขาวที่พลุ่งออกจากปล่องเมรุ กริยาท่าทางสำรวม มีเพียงแววตาร้าวรานแดงก่ำดั่งหัวใจเจียนสลาย
ตามธรรมเนียมฌาปนกิจ ใครคนหนึ่งจุดพลุ เสียงดังก้องสะท้านสะเทือน เสียงตะไลดังแฉดๆ สูงขึ้นฟ้า สามเณรหนุ่มน้อยมองตามจนเห็นมันแตกโป๊ะเป็นลูกไฟเล็กๆ ร่วงลงมาและดับหายก่อนถึงพื้น ดอกไม้ไฟพอถูกจุด ไฟก็ระบัดกลีบวาววาม ไม่กี่วินาทีก็ร่วง กระจายเกลื่อนดิน ดับหาย..
เมื่อจุดตะไลหรือไฟพะเนียง มันจะส่องแสงจ้า ส่งเสียงดัง มีพลังถีบตัวเองขึ้นสูงในพริบตาราวกับไม่รู้จักตก แต่เมื่อถึงจุดสูงสุด มันก็เปลี่ยนไปสู่ความตกต่ำ ความแตกดับ
เช่นเดียวกันกับชีวิต มีสิ่งใดจีรัง มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไปบ้าง
จากร่างที่เคยมีชีวิตจิตใจ สองมือที่โอบอุ้มเลี้ยงดูจ้อยมา หวนคืนสู่ธาตุทั้งสี่ ไฟที่เผาร่าง ลมที่พัดควันขาวสู่ฟ้า ดินเชิงตะกอน และน้ำที่จะลอยอัฐิธาตุของยายในวันพรุ่งนี้
“จ้อย เอ๊ย..เณร..” เสียงที่เคยคุ้นเรียก จ้อยหันไปก็เห็นเพื่อนสูงศักดิ์ คุณชายเล็กในชุดสูทสีดำดูหล่อเหลา ทำท่าเหมือนอยากดึงเณรเข้าไปกอดเช่นครั้งก่อน กอดอย่างไม่กลัวเสื้อผ้าราคาแพงจะติดกลิ่นสาบความจนจากเสื้อเก่าๆเป็นผ้าขี้ริ้วของจ้อย วันที่อ่อนล้า วันที่หกล้ม วันที่กลัวผี คุณชายไม่เคยอิดออดที่จะแสดงความรักที่มีต่อเพื่อนเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ติดตรงผ้าเหลืองที่ครองอยู่ เลอมานดูทำตัวไม่ถูก หากในดวงตาสีน้ำตาลใสฉ่ำน้ำคู่นั้นมองแต่หน้าเณรไม่คลาดสักวินาที
“อ่า..จับมือได้หรือเปล่า”
“จับได้สิ คุณชายไม่ใช่สีกา”
“อีกา..?” ใบหน้าหมดจดแหงนมองฟ้า เณรอดอมยิ้มไม่ได้ เป็นรอยยิ้มแรกในรอบสามวัน
“ไม่ใช่อีกา สีกาแปลว่าผู้หญิง”
เมื่อบอกว่าจับได้เลอมานก็คว้ามือหมับ มือคู่นี้นี่แหละที่ลูบหลังให้ตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบโรงเรียน
“ฉันเสียใจด้วยนะจ้อย” เสียงเลอมานสั่นพร่า
“จ้อย.. พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าต้องมาลากันในสภาพนี้” มือขาวกุมมือจ้อยไว้แน่น “ขอบคุณจริงๆ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ฉันจะกลับมาหาจ้อยอีกนะ”
เราคือนักเดินทาง มาพบพานเพื่อจะพลัดพรากจากไป เราคือฝุ่นละอองของใบไม้ แค่รอการโปรยปลิวไปในสายลมสายฝน เราคือสายน้ำ ที่ไหลวนมาบรรจบกัน ก่อนแยกออกไปเป็นสาย
ท่านชายอาทิตย์ใจดีเหลือเกิน ทรงรอพวกเขาร่ำลากันอยู่เป็นนาน ก่อนมาขอตัวพาบุตรชายกลับไป เณรจ้อยมองเพื่อนจากไปจนลับตา นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีสายน้ำใดพาพวกเขามาบรรจบกันอีก
และนอกจากเลอมาน ยังมีอีกคนที่จ้อยต้องบอกลา
สิงห์สึกแล้ว เปลี่ยนชุดเรียบร้อย เณรสึกนั้นง่ายกว่าพระสึก ไม่ต้องมีฤกษ์ผานาที แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็หวนคืนสู่ความเป็นฆราวาส ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีดำสะบัดแขนสะบัดไหล่อย่างเมื่อยขบ ดวงตาคมเข้มชะงักเมื่อพบว่าเณรน้องยังครองผ้าเหลือง
“ไม่เปลี่ยนชุดหรือจ้อย”
อลหม่านกันทั้งวัด กำนันเสริมและคุณนายพูนทรัพย์ไม่เป็นอันส่งแขกกันละทีนี้ เหตุเพราะลูกชายคนเล็ก.. เรียกลูกชายคนเล็กได้แล้วกระมัง เณรจ้อยนั่นแหละ ที่ท้ายกุฏิ ไม่ว่าพ่อแท้ๆ แม่บุญธรรม และพี่ชายต่างแม่จะพูดจะขอร้องจะวิงวอนอย่างไรก็ไม่ยอมถอดผ้าเหลือง หว่านล้อมนานเข้าพ่อกะแม่ก็ชักปลดปลง จะขัดขวางคนบวชหรือก็กลัวบาปเปล่าๆ ได้แต่ถอดใจจากไปเงียบๆ เหลือเพียงไอ้สิงห์ที่ยืนกำหมัดแน่น
“พี่ต้องรอเอ็งกี่วันจ้อย ๓ วันหรือ ๗ วัน” ในดวงตาร้าวราน ไอ้สิงห์กลัวใจน้องเหลือเกิน “หรือพรรษานึง” หรือรอจนกว่าชีวิตพี่จะหาไม่
“อาตมาไม่รู้” ดูคำเรียกแทนตัวเองสิเล่า ใจพี่แทบด่าวดิ้นอยู่ตรงนั้น แม้แต่หน้ายังไม่ยอมมองกันเลย “โยมพี่กลับไปเถอะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะหันหลังจากไป
“เอ็งเป็นอะไร” มีหรือไอ้สิงห์จะยอมให้เมียเดินหนีไปง่ายๆ มือแข็งแรงคว้าหมับที่ต้นแขนเณร ต้นแขนขาวๆ ที่ยังห่อด้วยผ้าเหลืองนั่นแหละ “เอ็งจะทิ้งพี่หรือ”
“อุตส่าห์มีบุญได้เกิดมาเป็นคนแล้ว อย่าทำตัวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเลย มีแต่สัตว์เท่านั้นที่สมสู่กับสายเลือดเดียวกัน”
ลูกกำนันตัวชาดิก มองร่างเล็กบางในผ้าเหลืองอย่างไม่เชื่อหู เอ็งพูดอะไรจ้อย พูดอะไรออกมา!
ความทรงจำผุดวาบ ภาพน้องกระเซอะกระเซิงมาหาในคืนฝนกระหน่ำ เนื้อตัวเปียกปอน และฉากรักร้อนแรงหลังจากนั้น
“จ้อยรู้ก่อนยายตายไม่ใช่หรือว่าเป็นน้องพี่” เขาเค้นถามเสียงพร่า จ้องลึกลงในดวงตารื้นน้ำ ราวจะค้นหาความจริงที่ซ่อนเร้น “วันที่มาหาพี่จ้อยรู้แล้วใช่ไหม”
แขนกำยำกระชากทีเดียว ร่างเล็กกว่าก็ปลิวหวือแทบจมอก
“อย่า! เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” จ้อยผวาเหมือนต้องของร้อน ขืนตัวสุดชีวิต “โยมพี่กลับไปเถอะ อย่ามาทำให้ผ้าเหลืองร้อนเลย”
“คิดว่าทำแบบนี้ยายจะตายตาหลับหรือ?!”
เสียงฝีเท้าแกรกกรากแว่วมา สามเณรกับฆราวาสที่กอดกันอยู่รีบผละจากกันโดยพลัน ก่อนมีใครมาเห็นภาพอุจาดบัดสีคนหนึ่งเพิ่งสึกหัวยังเตียนเลี่ยน อีกคนยังห่มสบงจีวรยืนกอดกันกลมไม่อายผีสางเทวดา
แม่พูนทรัพย์กับน้าแป้นนั่นเองมาตามไอ้สิงห์กลับบ้าน พลางบอกเณรว่าเดี๋ยวจะเอาเครื่องอัฐบริขารรวมถึงที่นอนหมอนมุ้งมาถวาย น้ำปานะจำพวกนมสักหน่อยกลัวลูกบุญธรรมจะหิวตอนดึก
“อนุโมทนากับน้องสิลูก” แกกระซิบบอกลูกชาย “ไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน เดี๋ยวก็ร้องจะกลับบ้านเองแหละ”
สิงห์จ้องหน้าเณรไม่คลาดสักวินาที แม้ตอนทรุดกายคุกเข่าลง พนมมือ “มาบิณฑบาตบ้านพี่ด้วย พี่จะรอใส่บาตรเณรทุกวัน”
สามเณรหนุ่มน้อยมองส่งทั้งสองจนลับตา น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านร่องแก้ม หยดลงผ้าเหลือง
สิ้นความรัก สิ้นเมตตา สิ้นวาสนากันที..
****************************
กลางคืนที่ปราศจากแสงจันทร์ ไม่ใช่ไม่เหมาะสำหรับทุกคนไป จริงอยู่ คนโดยมากชอบคืนเดือนหงาย แต่บางคนถือเอาคืนเดือนมืดกระทำการอันประสงค์สงวนไว้เป็นความลับก็ย่อมจะมีอยู่บ้าง และในจำนวนบุคคลเหล่านี้ นายคนึง วนาสัยคือหนึ่งในนั้น
ชายหนุ่มยืนพิงต้นมะม่วงใบหนา แฝงเงาของตนให้ทอดหายไปในความมืดของแนวรั้วเรือนพักผู้อำนวยการ แม้ดวงเดือนจะฉายแสงรุบหรู่ แต่เวลาขยับอิริยาบถอย่างไรย่อมสังเกตเห็นได้โดยง่าย ด้านหน้ามีทหารยืนเฝ้าอยู่สองสามคน ด้วยบนเรือนไม้หลังนี้มีศักดินาพักอยู่ถึง ๓ ชีวิต
ในห้องนอนที่ไม่ต่างอะไรกับที่คุมขัง หม่อมราชวงศ์เลอมานกำกระดาษพับเล็กๆ ในมือแน่น คลี่ออกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยับไปหมดแล้ว เมื่อได้รับจดหมายจากมืออาจารย์ในงานศพยายช้อย เขาไม่ได้เปิดออกอ่านทันใด แต่อดทนรอเวลาจนกลับมาถึงห้อง แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นจึงเปิดอ่าน หัวใจเต้นแรง มือที่จับกระดาษสั่นไหว ดวงตาสีน้ำตาลใสจำลายมือนี้ได้ขึ้นใจ ลายมือของอาจารย์คนึง
‘อย่าปิดหน้าต่าง สามทุ่มจะมาหา’ ราชนิกูลหนุ่มน้อยเฝ้าคอยเวลา ๓ ทุ่มบนนาฬิกาข้อมือด้วยใจระทึก จนเข็มสั้นแตะเลข ๙ เข็มยาวกระดิกมายังเลข ๑๒ เสียงนาฬิกาลูกตุ้มบนเรือนด้านนอกดังเหง่งหง่างขึ้น เลอมานสะดุ้งสุดตัว โผไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง ชะโงกหน้าลงไป ในความมืดมิด ใครคนหนึ่งที่คิดถึงเหลือเกินแหงนหน้ารออยู่ตรงนั้น
เสียงนาฬิกาลูกตุ้มตี ๙ ที ดังพอและนานพอจะกลบเสียงคู่รักคู่หนึ่งปีนหน้าต่างหนีตามกันไป เลอมานไปตัวเปล่า ไปแต่ตัวและหัวใจจริงๆ ณ เวลานี้เขาไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ทั้งอดีต ตนเองเป็นใคร มาจากไหน ญาติโกโหติกา เทือกเถาศักดินา ไม่รู้ทั้งอนาคต จากนี้จะเป็นเช่นไร จะไปไหน จะทำอะไร ไม่รู้ทั้งสิ้น รู้เพียง ณ ตอนนี้มืออาจารย์กุมมือของเขาไว้ พวกเราได้อยู่ด้วยกัน สุดแท้แต่มือคู่นี้จะพาไปไหน จะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เขาก็พร้อมติดตามไปทั้งนั้น
หม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชทรงพระโอสถมวนอยู่ที่ระเบียง ทอดเนตรเห็นเงาตะคุ่มๆ ลัดเลาะไปท่าน้ำ ลางสังหรณ์ผ่านวาบ ร่างสูงใหญ่ชะงักทำท่าจะแล่นตามไป แต่มีมือมาวางปุบบนไหล่เสียก่อน และเมื่อทรงหันหลังไปก็เจอสหายเก่ายิ้มบางอยู่ในความสลัว
“เมื่อก่อนเราก็เคยเป็นแบบนี้ ปล่อยเขาไปเถอะ”
“แต่ว่า..”
“เอาน่า.. เดี๋ยวก็กลับมา เชื่ออั๊วซี” อาจารย์ปรีชาตบไหล่เพื่อนต่างฐานันดรปุๆ อย่างสนิทชิดเชื้อ สายใยที่เคยสร้างร่วมกัน แม้ขาดสะบั้นแล้วแต่ยังห่อหุ้มใจไว้ด้วยปรานี
ท่านชายทำได้เพียงทอดเนตรไปยังความมืดมิด อดห่วงไม่ได้จริงๆ
****************************
เดือนรูปเคียวลอยคว้างเหนือผืนนาแรกเริ่มมองดูดำสนิท แต่บัดนี้ด้วยแสงจันทร์แรมแลดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่บนแผ่นฟ้า มองออกไปกลางทุ่งนาก็พอมองเห็นได้ลางเลือน แสงไฟตามบ้านค่อยๆ กะพริบดับ หายไปทีละแห่งสองแห่ง จนพอลุเข้าสามทุ่มกว่าก็ดูเหมือนจะนิทราหลับใหลกันหมดสิ้น
เรือน้อยพาลัดเลาะมาตามคลองเงียบสงบ พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลย แต่ดวงตาสื่อความหมายในใจหมดสิ้น อาจารย์คัดท้าย เลอมานนั่งหัวเรือ หันหน้าหาอาจารย์ จ้องมองแต่ใบหน้าคมสันที่ดูเผือดกว่าปกติ แต่รอยยิ้มนั้นสว่างเรืองรอง
จนถึงกระท่อมของยาย กระท่อมแห่งความหลัง คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงทั้งสถานที่คิดถึงทั้งคน เลอมานมองร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกท่วมท้น มีอะไรบางอย่างแผ่กำจายออกมา ราวกับว่ามีเชือกที่มองไม่เห็นเลื้อยออกมารัดพันเขาไว้
มองริมฝีปากที่เคย..ใกล้มากกว่าใกล้ ใจวูบวาบขึ้นอีก
ความคิดถึง ความโหยหา ไหลวนเป็นมวลหนักๆ ในอากาศ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เลอมานก็พบตัวเองจูบอย่างดูดดื่มแทบลืมหายใจกับอาจารย์ที่ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่วันแรกที่ถูกท่านพ่อส่งมาดัดสันดานที่โรงเรียนแห่งนี้ คนที่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจไม่เว้นวัน คนที่เป็นเจ้าของอ้อมอกอบอุ่นลึกล้ำจนยินดีฝากทั้งกายและใจไว้ในนั้น คนที่ไม่คู่ควร คนที่ต่างชนชั้น คนที่คิดถึง โหยหา เก็บเอามาฝัน นับแต่วันที่ห่างกันไป
รสจูบนั้นยังเร่าร้อนเหมือนเคย หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งที่เรากำลังอยู่ในกระท่อมเก่ามอซอ
เล็กประคองใบหน้านั้นไว้ในแสงตะเกียงสลัว จ้องอยู่นิ่งนานจนกระทั่งเห็นวับวาวที่แก้มสาก
น้ำตาของอาจารย์ หรือน้ำตาของเล็กติดที่แก้มอาจารย์ เล็กไม่อาจรู้ได้
รสจูบที่ร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟในเตาอั้งโล่ฉาบทาบลงมาอีก เลอมานทำได้เพียงเปลี่ยนตำแหน่งจากมือที่ประคองใบหน้า เป็นการไขว่คว้าแทรกนิ้วไปในกลุ่มผม
สิ่งที่อุบัติขึ้น เฉกเช่นกระแสพายุอารมณ์ ความสะท้อนสะเทือนที่อาจารย์ร่างสูงใหญ่ถ่ายเทถั่งโถม รสที่หวานเสียด แหลมคม จารลึกในอกดั่งรอยสลัก อกใจพองฟูไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ในท่ามกลางทุกสิ่งที่เลือนรางน่าสิ้นหวัง เหมือนมีเปลวไฟน้อยๆ ส่องให้เห็น
มีดวงดาวพราวพรายบนฟากฟ้า ราตรีที่เคยมืดมนตลอดหลายวันที่ผ่านมา ปรากฏดาวทอแสงขึ้นนับหมื่นพัน เล็กได้กลิ่นหอมของดอกมหาหงส์ลอยมาจางๆ
หมู่ดาวเหนือท้องทุ่งคืนนั้นเกินจะบรรยายว่าสวยงามเพียงไร ในอากาศมีสายลมพัดหวิว เราจ้องดูเดือนดาว พูดกันไปเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระ มีกลิ่นฟางข้าวหอมอบอวลไปทั่ว ตั๊กแตนตัวเขียวๆ บินหลงมาเล่นแสงตะเกียงเปลวน้ำมันก๊าดวอมแวม
จะให้อยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิตเลยก็ย่อมได้ หากไม่มีมีดเล่มหนึ่งกรีดเฉือนพวกเราจากกันอย่างเลือดเย็น มีดที่มีนามว่าจารีต มีดที่มีนามว่าศักดินา
“เล่านิทานให้ฟังเอาไหม” ในอ้อมกอด จู่ๆ อาจารย์ก็เอ่ยขึ้น ดวงหน้าขาวชื้นเหงื่อแหงนเงยขึ้นมองอย่างสงสัย
“เรื่องไม่สนุกหรอก แต่ถึงไม่อยากฟังก็จะเล่าให้ฟัง” แขนแข็งแรงกระชับแน่นเข้า จูบเบาๆ ที่กลุ่มผมสีสวย “ชื่อเรื่องว่า พระราชากับพญาหงส์”
และแล้วเรื่องราวสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาหงส์ มีบริวารเก้าหมื่นตัวก็ถ่ายทอดมา ภาพพญาหงส์เรืองรองขึ้นในจินตนาการเลอมาน ปลายปีกเปล่งประกายระยิบระยับ งามสุดพรรณนาเมื่อขบวนหงส์โบยบินบนท้องฟ้าเหนือกรุงพาราณสี งามจนกระทั่งพระราชายังตกตะลึง เกิดมิตรภาพแก่กัน คบหากันเรื่อยมา พญาหงส์ผู้อารีย์ ช่วยบริวารจากการบินแข่งดวงอาทิตย์ พญาหงส์ผู้เปี่ยมปัญญา มอบโอวาทแก่พระราชาให้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต พระราชาทั้งเทิดทูนบูชา วิงวอนขอให้พญาหงส์อยู่ด้วยกันตลอดไป
ทำไมนิทานเรื่องนี้คล้ายๆ กับชีวิตพวกเขา..
“พญาหงส์ยอมอยู่กับพระราชาไหม” เลอมานใจสะท้านเมื่อคาดเดาตอนจบ
“เร็วกว่าดวงอาทิตย์ คือชะตาชีวิตของคน มันผันผวน มันปรวนแปร ไม่มีจริงแท้ ไม่มียั่งยืน สุดแต่บุญกรรมที่ทำมา” อาจารย์พูดอะไรเล็กไม่เข้าใจ เราจะอยู่ด้วยกัน เราจะหนีไปด้วยกันไม่ใช่หรือ “พญาหงส์ไม่อาจอยู่กับพระราชาได้”
หนุ่มน้อยผละจากอ้อมกอด ลุกขึ้นนั่ง มองใบหน้าคมสันสะท้อนแสงตะเกียงวาววาม
“พญาหงส์บอกพระราชาว่า.. คนเรานั้นถ้ารักใคร่กัน แม้จะอยู่กันคนละฝั่งสมุทรก็เหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าเกลียดชังกัน แม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน ก็เหมือนอยู่คนละฝั่งฟากฟ้า คนที่รักกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ก็เหมือนอยู่ร่วมกันด้วยหัวใจ”
เลอมานพูดไม่ออก เขาไม่อยากไป..
”เสียดายเอ๋ยเสียดายหงส์ทอง จะต้องคลาคลาด
ใจเอ๋ยจะขาดไปเสียแล้วหนา อกเอ๋ย
จะจากไปก็ไม่วาย คลายโศกเอย“ร่างกำยำลุกขึ้นนั่ง ดึงเขาไปกอดไว้ วางหน้าบนไหล่เล็กราวจะซ่อนน้ำตา “ไม่มีใครอยากให้คนรักไปไกลตัว ไกลตา แต่เพราะเรารู้ว่า เรายังอยู่ด้วยกันในนี้” มือแข็งแรงกุมมือน้อยไว้ รั้งแนบหน้าอก
“เมื่อไรที่ในนี้ยังเต้นอยู่ เรายังมีความหวัง เรายังรักกัน เราจะต้องกลับมาพบกัน”
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ อยู่ไกลก็เหมือนใกล้ ความรักไม่ขึ้นกับระยะทางและกาลเวลา หัวใจเลอมานพร่ำบอกเช่นนั้น แต่ความอาลัยประท้วงว่ายากจะหักใจเหลือเกิน
หยดน้ำใสๆ หล่อเลี้ยงเต็มตา
“นิทานหลอกเด็ก..” เลอมานเริ่มเบะปาก
“เล็กของครูยังเด็ก โตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไรเล็กจะเข้าใจที่ครูพูด” และพอถูกอาจารย์รั้งร่างไปกอดไว้ เลอมานก็ซัดโฮ
“ไม่ว่าชีวิตเล็กจะเดินไปทางไหน ไม่ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือไม่ ครูขอให้เล็กประสบแต่ความสุขความเจริญ โชคดีตลอดไป” เสียงทุ้มพร่ากระซิบแนบหู โยกโคลงร่างในอ้อมแขนไปมาอย่างปลอบขวัญ เช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อแรกรัก หม่อมราชวงศ์หนุ่มกอดครูบ้านนอกลูกชาวนาไว้แน่น แม้จะอยากอยู่ในอ้อมแขนนี้แค่ไหน เขาก็หนีความจริงไปไม่พ้น
ขากลับ เลอมานมองแต่หน้าอาจารย์ พร่ำถามซ้ำๆ เหมือนเด็กน้อย “เล็กจะได้เจออาจารย์อีกไหม อาจารย์จะรอเล็กอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“รอสิ” เขาตอบ ทว่า.. หนุ่มน้อยไม่มีวันรู้ สิ่งหนึ่งที่คนรักไม่ได้บอก จดหมายทัณฑ์ทางวินัยที่ได้รับ อาจารย์จะรอเขาที่ไหน ไม่ใช่ที่ห้องน้อย ไม่ใช่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูแน่นอน
ใบหน้าอ่อนเยาว์แหงนมองหมู่ดาวพราวพริบ สิ่งเดียวที่รู้แจ้ง คือตราบใดที่ยังมีความเชื่อมั่น เขาจะมีความหวังเสมอ คืนฟ้ามืดต่างหาก จะยิ่งเห็นแสงดาวสุกปลั่ง
หรือบางครั้ง.. ความทุกข์ก็ทำให้เราเติบโต
ที่ท่าน้ำหลังโรงเรียน ในความสลัว อาจารย์ปรีชาผุดลุกผุดนั่ง เดินไปมาเป็นหนูติดจั่น เมื่อเห็นพวกเขาพายเรือกันกลับมาก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“เร็วๆ เข้า เดี๋ยวหม่อมดารารู้เข้าเป็นเรื่องแน่” เสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบนั้นร้อนรนยิ่ง แทบกระชากเลอมานขึ้นจากเรือ
“แล้วท่านพ่อ..”
“เออ ไอ้เจ้ารู้แล้ว มันไม่ว่า เฝ้าแม่อยู่” มืออ้วนอูมดันหลังลูกชายเพื่อนตัวดี เลอมานมัวแต่ห่วงคนรักไม่ทันเคลือบแคลงในสรรพนามสนิทสนม
“อาจารย์! รอเล็กนะครับ!” เขาบอกเป็นครั้งที่ร้อย ผู้อำนวยการตัวอ้วนนึกอยากตีปากคุณชายนัก
“บ๊ะ! เดี๋ยวก็ตื่นกันหมดพับผ่าสิ!” ดื้อนัก ดื้อเหลือเกินจนต้องออกแรงลาก หม่อมราชวงศ์เลอมานเพียงอยากมองหน้าชายคนรักให้นานเท่านาน จดจำตรึงตรา ๒ ปี ๓ ปี ไม่เกิน ๔ ปี กว่าเขาจะได้เห็นใบหน้านี้อีกครั้ง
****************************
ไก่ขันถี่กระชั้นขึ้น เดือนข้างแรมกำลังจะลับทิวไม้ไป ม่านฟ้าสีดำด้านตะวันออกเริ่มจางและสาดด้วยสีส้ม
หม่อมราชวงส์เลอมาน บูรพวงศ์ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนยืนริมหน้าต่างที่เพิ่งหนีตามคนรักไปเมื่อคืน จ้องมองออกไปราวกับจะซึมซับทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด
อยากบอกว่าไม่อยากไปไหนเลย ไม่อยากเห็นโลกกว้าง ไม่อยากไปจากที่ที่มีเสียงย่ำเท้าของอาจารย์ เสียงคนกาแฟในแก้วกรุ๋งกริ๋ง เสียงฝนซัดสาดฝาไม้แดง หยดแหวกอากาศกระทบพื้น พื้นที่มีฝุ่น มีดิน มีรอยเท้าของพวกเราเกลือกกลั้ว ทุกๆเช้า คราวโลกตื่นด้วยเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวัน เขาไม่อยากไปไหนเลย
แต่จะพูดได้อย่างไร ในเมื่อมรสุมซัดสาดออกปานนี้ อากาศยังหนาวจับใจ พระอาทิตย์ทำไมมาไวกว่าทุกวัน หม่อมย่านั่งเชิดคออยู่ในรถ ท่านพ่อร่ำลาอาจารย์ปรีชา ต่อให้คิดถึงและไม่อยากขยับเท้าไปไหน ทุกอย่างก็ได้เวลาแล้ว
วันส่งหม่อมราชวงศ์เลอมานเดินทางกลับแสนเรียบง่าย เหมือนหนังคนละม้วนกับวันแรกที่มา ไม่มีข้าราชการครูน้อยใหญ่ยืนต้อนรับ ไม่มีชาวบ้านทั้งบางมายืนรอ ไม่มีซุ้มประตูผ้าแพรเพลาะหลากสี มีเพียงอาจารย์ปรีชาและภรรยา เพื่อนสนิทอย่างสง่าและสันติก็มาด้วย สง่ายื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลส่งให้เขา กระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคนว่าอาจารย์คนึงฝากมาให้ เลอมานกอดถุงนั้นไว้แนบอก
รถบูอิคคันงามเคลื่อนออกจากเขตโรงเรียน เลอมานนั่งหันหลังให้หม่อมย่าในห้องโดยสารด้านหลัง หมายถึงการนั่งหันหน้าหา
‘บ้าน’ ที่กำลังจะจากไป ท่านพ่อประทับข้างคนขับ ส่งบุหรี่เข้าปากพ่นควันฉุย ไอฝ้ามัวนั้นเกลื่อนกลายไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหมอกหนา บ้านที่เลอมานรักหายไปในควันบุหรี่ของพ่อ แล้วโลกก็เปลี่ยนไป
ระยะทางอาจไม่ได้ไกลสักเท่าไรเมื่อผ่านมาจนเจอแสงแดดเรื่อ ดอกไม้สีขาวที่อาจารย์เคยขุดให้ยังเติบโต ชูช่อ ขยายจากกอเดิม ช่อขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมกรุ่น ใบเขียวชุ่มน้ำค้างยามแรกตะวันฉาย อยู่ที่เดิมตรงนั้นที่มีธารใสไหลล่องจากต้นน้ำเจ้าพระยา สายธารที่เคยแหวกว่าย เคยลอยเรือเที่ยวเล่น
หนุ่มน้อยเปิดถุงกระดาษบนตักออกดู ในนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่ง
จนกว่าเราจะพบกันอีก แค่ชื่อหนังสือ น้ำตาก็คลอรื้นครั้นพอเปิดหนังสือ รูปถ่ายใบหนึ่งก็ร่วงลงมาพร้อมดอกมหาหงส์แห้งทับกระดาษ มือขาวค่อยหยิบขึ้นดู
ที่โรยแล้ว ก็คงแล้ว..มิคืนหวน
กลิ่นเคยนวล ในกลีบน้อย ค่อยจางหายแค่เห็น.. น้ำที่คลอก็กลั่นหยดลง ภาพคู่ของเขากับอาจารย์คนึง ยืนเคียงกันกลางสนามหญ้าหน้าเสาธง มีอาคารเรียนไม้เป็นฉากหลัง โถ.. ความทรงจำมากมาย สุดท้ายเหลือเท่านี้เองหรือ ความรักของเรา.. มันจะไม่มีทางเติบโตไปได้ไกลกว่ารูปถ่ายใบเดียวได้เลยหรือ
อีกนานแค่ไหน สายน้ำเดิมจะได้ต้อนรับคนกลับคืน ทุ่งนาที่มีฟ้ากว้างสุดไกล ปลายอ้อกอแขมที่เคยระริกเล่นลม เสียงหัวเราะใครกันวันเปียกปอนแต่ฉ่ำชื่น ยามย่ำลงน้ำจากตื้นหาลึก กระทั่งลอยคอเลียบน้ำไปด้วยกัน ทำนากับชาวบ้าน ล้อมวงกินข้าวกลางทุ่ง ฉายหนังกลางแปลง ออกสำรวจเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนา น้ำใจไมตรีจากชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงในชุดนักเรียนมอมแมม ไฟฟ้ายังไปไม่ถึง แต่รอยยิ้มทุกคนสว่างไสว
อาลัยเหลือเกิน เมื่อไรหนอจะได้หวนกลับมา รู้สึกไม่ยุติธรรมเลยที่มาอยู่เพียงปีเดียวก็ต้องจากไป ช่างเร็วเหลือเกิน โรงเรียนของเรานั้นอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้างในด้านวัตถุ แต่เป็นโรงเรียนที่เลอมานภูมิใจและอาลัยยิ่งนัก ตอนนี้อังกฤษดูเหมือนอยู่ไกลแสนไกลปานใด เมื่อกลับไปถึงแล้ว เมืองไทยก็ไกลแสนไกลปานนั้น ทว่า.. ความทรงจำที่ได้ประสบมาในปีนี้ จะปล่อยให้เลือนลางไปตามวันเวลาไม่ได้!
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักนิด หม่อมย่าก็มาบีบเล็กกลับ” หลานรักตัดพ้อ
“ก็เรานั่นแหละก่อเรื่องไม่ใช่หรือตาเล็ก!” ผู้เป็นย่าแหวเข้าให้
“ใครว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน” ท่านพ่อหันพักตร์มา สรวลเบาๆ “ตัวเล็กเองอย่างไรเล่า”
ตอนแรกยังไม่รู้เลยว่าชีวิตต้องการอะไร จะเดินไปทางไหน ตอนนี้คำตอบกระจ่างแจ้งในใจแล้ว ขอบคุณอาจารย์คนึงที่เป็นเหมือนดาวสุกใส ส่องให้เขาเห็นเส้นทางทอดตัวอยู่เบื้องหน้า
เลอมานปาดน้ำตาทิ้ง เขาจะเป็นพญาหงส์ มีปีกกว้างแข็งแรง บินไปไหนมาไหนก็ได้ จะยอดเขาพระสุเมรุหรือโรงเรียนฝึกหัดครู ถ้าปีกแข็งพอก็ไม่ไกลเกินบินไปถึง จะพระราชาหรืออาจารย์คนึง วนาสัย ถ้าเขาอยากมาหา เขาจะมาตอนไหน จะอยู่ด้วยนานเพียงไรก็ย่อมทำได้
จะรักหรือหลง
จะอยู่หรือลา
หัวใจก็เต้นสะเทือนบอกตัวเองว่า..
เลอมานจำเป็นต้องกลับมาพระนครศรีอยุธยา
จะไม่กลับมาอีกไม่ได้โปรดติดตามตอนต่อไปสวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๘ นะคะ อยากบอกว่าตอนแก้ไขหัวเรื่อง ขณะลงวันที่ แก้ไขปีพ.ศ.จาก ๒๕๖๓ เป็น ๒๕๖๘ นั้น ตัวพี่นิ่งงันไปพักหนึ่งเลยทีเดียว นับนิ้วซ้ำๆ 4..5..6..7..8 นับได้ 5 นิ้ว เท่ากับ 5 ปีเลยนะคะที่พี่หายจากนิยายเรื่องนี้ หายจากเล้าเป็ด หายจากคนอ่านไป นานจังเลยนะ ได้แต่ถามตัวเองว่าไปทำอะไรอยู่ตั้ง 5 ปี คืนนี้คงนอนก่ายหน้าผากถามตัวเองทั้งคืนไม่ต้องหลับต้องนอนกันละค่ะ
แหม.. จะว่าไปพี่ก็ตั้งชื่อตอนเป็นลางมาก "คอย" คอยจริงๆ คอยนานมากๆ ปาเข้าไป 5 ปี คนอ่านคอยมหาหงส์นานกว่าอาจารย์คนึงคอยชายเล็กอีกมั้ง บร้าที่สวด
ดีใจมากๆ และขอบคุณมากนะคะที่ยังมีคนรออ่าน มีเรื่องอยากเม้าเยอะมากให้สาสมกับที่หายไป 5 ปี ขอไปเม้าในเพจละกันนะ อ้อ มหาหงส์ยังไม่อวสานแค่นี้นะคะ ยังมีบทส่งท้ายอีกตอน และตอนพิเศษอีก 2-3 ตอน กลับมาทั้งทีก็เอาให้หายคิดถึงไปเลยค่ะ
รักคนอ่านนะคะ
ดอกไม้