ไม่อยากจะบอกเลยว่าพี่เรียวนะ น้ำหยดใช่ไม่ได้ผล
รุ่นนี้ของเค้าดีจริงๆ ต้องน้ำตกอยากเด่ยวดิ อิอิ บทที่ 13
ผมสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อมีเสียงเรียกอยู่ข้างๆหู เมื่อผมลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเดียร์นั่งหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตรงที่เท้าแขนโซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่
โดยเขาโน้มตัวลงมาใกล้มากจนหน้าเกือบจะแนบชิดกับหน้าของผม
“ผมทำอาหารเย็นเสร็จแล้วครับ ไปทานกันเถอะ”
เขาบอกผมด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง มันบอกเวลา 6 โมงกว่าแล้ว ผมหลับไปนานมาก ตั้งแต่บ่าย เกือบ สามชั่วโมงทีเดียว
“ตื่นนานหรือยัง”
ผมถามเขา พลางขยับตัว เดียร์จึงยืดร่างขึ้นนั่งตัวตรง เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผมอีกครั้ง
“สักชั่วโมงกว่าๆได้แล้วครับ เห็นเรียวกำลังหลับสบายอยู่ เลยไม่อยากปลุก แล้วก็เห็นว่ามันเย็นแล้วด้วย
ผมกลัวว่าเรียวตื่นมาจะหิว เลยไปทำกับข้าวมาให้ทานครับ ไปทานกันเลยนะ ”
“ตื่นมาก็จะกินเลยเหรอ ทำอย่างอื่นก่อนดีไหม นอนแล้วกิน กินแล้วนอน อ้วนตายกันพอดี”
ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ นึกขำที่วันนี้ ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรมากมายเท่าไหร่ นอกจากทานอาหารที่เดียร์ปรุงให้ นั่งทำงาน แล้วก็นอน
ดูเหมือนว่าวันแรกของการอยู่ด้วยกัน มันไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจทำกันสักเท่าไหร่
“แหม เรียวอ่ะ อ้วนอีกนิดหนึ่งก็ดีนะ ผมว่า เรียวน่ะ ผอมบางไปหน่อย ต่างจากที่ผมเคยเห็นเรียวครั้งแรกๆเลยนะครับ
ตอนนั้นมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ สงสัยคงจะทำแต่งาน ข้าวปลาไม่ค่อยได้กินสิเนี่ย ต้องปฏิวัติการกินเสียใหม่
ผมไม่ยอมให้คนรักของผมผอมหรอกครับ เสียชื่อพ่อครัวฝีมือดีหมด”
“ว่าเข้าไปนั่น อุปโลกน์ให้ฉันเป็นคนรักของนายยังไม่พอ ยังจะแอบอ้างว่าเป็นพ่อครัวฝีมือดีอีก นิสัยแอบอ้างนี่แก้ไม่หายจริงๆ”
ผมว่าเขาขำขำ ไม่มีเจตนาจะด่าอย่างจริงจัง แค่อยากหยอกเอินเขาเล่นมากกว่า ด้วยหมั่นไส้เด็กหนุ่มที่ชอบคิดอะไรไปเองฝ่ายเดียว
“แต่ก็อร่อยจริงๆใช่ไหมล่ะ เอาเถอะไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ว่าผมเป็นพ่อครัวที่ดี ขอแค่ให้เรียวกินอาหารฝีมือผมแล้วถูกปากก็พอ เรื่องอื่นผมไม่สนใจ จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
“อ๊ะ ยอมแพ้ไม่ดึงดันแล้วเหรอ เห็นทุกทีก็เถียงจะเอาชนะให้ได้นี่นา”
“ก็ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะบ้างจะเป็นไรไป ยังไง ถ้าแพ้ ก็แพ้ให้กับคนรักของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอก”
เดียร์ยิ้มยั่ว เขารู้ว่าผมแกล้งว่าเขา แล้วเขาก็นึกสนุกที่จะได้โต้ตอบผมเอาคืน
“ฉันไปล้างหน้าก่อนแล้วกัน”
ผมบอกกับเขา รู้ดีว่าโต้ตอบไปอย่างไร เจ้าเด็กบ้านี่ ก็จะย้อนคำพูดให้มาเข้าตัวผมจนได้
“ครับ งั้นผมจัดโต๊ะรอเลยนะ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปที่ห้องครัว แล้วลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะ พอผมล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินมาร่วมวงกินข้าวกับเขา
เดียร์ชวนผมคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุด ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไป เช่นถามว่า เวลาว่างนอกจากทำงานแล้ว ผมทำอะไรบ้าง ชอบดูหนังไหม
หนังที่ผมชอบคือเรื่องอะไร คนไหนเป็นดาราคนโปรด เพลงที่ชอบ หนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่า คำถามเขามีมากมาย
ส่วนผมก็เลือกตอบเท่าที่อยากจะบอกกับเขา อันไหนที่เป็นคำถามลึกมากไป ผมก็เว้นไว้ ไม่ตอบคำถาม ซึ่งเด็กหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้ให้ผมรำคาญใจ
อาหารมื้อค่ำเสร็จภายในเวลา 1 ทุ่ม เมื่อรวมเวลาล้างจานทำความสะอาดครัว อีกครึ่งชั่วโมง ก็ยังคงเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลานอน
ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องอยู่กับเดียร์สองต่อสอง งานก็ทำไปจนเสร็จหมดแล้ว แถมซ้ำวันนี้ผมก็สัญญาไว้แล้วว่า เขาสามารถมานอนค้างได้
จะไล่เขาไปก็ใช่ที่ จะขึ้นไปนอนเลย ก็นอนไม่หลับ กิจกรรมที่จะทำเพื่อฆ่าเวลาก็ไม่มี นอกจากดูทีวี ซึ่งตามปกติ ผมไม่ค่อยชอบดูเท่าไหร่
แต่วันนี้ ผมกลับไปนั่งอยู่หน้าจอทีวี เพื่อให้สิ่งที่อยู่บนจอดึงดูดความสนใจของผมไม่ให้จดจ่ออยู่แต่เรื่องของเจ้าเด็กหน้าทะเล้นคนนี้
“ผมชอบดูละครเกาหลีเรื่องนี้จัง ที่ชอบเพราะว่ามีเคล็ดลับวิธีทำอาหารด้วย ส่วนเนื้อหาก็เข้มข้นดี
ไม่เหมือนละครน้ำเน่าของไทยเท่าไหร่เลย มีแต่เรื่องชิงรักหักสวาท น่าเบื่อจะตาย”
เดียร์เปิดปากคุย หลังจากที่ละครจบลง และโฆษณามาคั่น เขานั่งดูกับผมด้วย เพราะไม่มีอะไรจะทำเหมือนกัน
“เหรอ ฉันไม่ค่อยได้ดูละครสักเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยมีเวลา ถ้าดูก็จะเป็นพวกข่าวมากกว่า”
ผมบอกเด็กหนุ่มไปตามตรง ชีวิตที่ผ่านมาของผม มีแต่เรื่องงานสุมหัว จนแทบไม่มีเวลาหายใจอยู่แล้ว เรื่องหนังเรื่องละครแทบไม่ต้องพูดถึงเลย
“น่าจะหาเรื่องสนุกๆทำบ้างนะครับ มีแต่งาน แต่งาน จะทำให้เรียวเครียด และ หดหู่ลงไปเรื่อยๆนะครับ”
น้ำเสียงของเดียร์แฝงไว้ด้วยความห่วงใย
“คราวหน้า เราไปหาอะไรทำสนุกๆกันดีกว่า อย่างเช่น ไปเที่ยวกัน ไปดูหนัง อะไรแบบนี้ เรียวจะได้ผ่อนคลายบ้างไงครับ ดีไหม”
ผมมองตาคนพูด และเห็นความจริงใจอยู่ในนั้น เดียร์ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ผมละสายตาจากเดียร์และผลุดลุกขึ้น
เนื่องจากเริ่มรู้สึกตัวว่าชักจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของเดียร์อีกแล้ว จึงต้องพยายามปลีกตัวออกไปจากสถานการณ์ที่ชวนให้ลำบากใจอย่างนี้