My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk  (อ่าน 183342 ครั้ง)

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #120 เมื่อ15-05-2008 21:44:15 »



มันถามยิ้มๆอีก ไอ้นี่ ต้องมีอะไรแน่ๆ

“ก็ขี้เกียจลงไปนี่หว่า งานยังเต็มอยู่ มีอะไร ก็กินๆไปก่อน กันตาย”

ผมหัวเราะแค่นๆ ทำเป็นร่าเริง ทั้งๆที่ในใจรู้สึกหงุดหงิด เจ้าสันต์ทำเป็นตีหน้าเศร้า พูดว่า

“โถ น่าสงสารจริง เอ้า.........”

มันยื่นถุงใส่กล่องโฟมบรรจุอาหารมาให้

“อะไรน่ะ”

“ข้าวผัดกุนเชียง แล้วก็ ปลาผัดเปรี้ยวหวาน”

“โห ขอบคุณมากเลยเพื่อน ที่มีน้ำใจซื้อมาให้ฉัน”


ผมกล่าวขอบคุณมัน อย่างตื้นตัน แกมสงสัย อยู่ในที ตามปกติ เจ้าสันต์มันขี้งก ควักเงินยาก การที่มันลงทุนเลี้ยงข้าวผมแบบนี้ มันต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตมันจริงๆ

“ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจฉันหรอก โน่น ไปขอบใจผู้ช่วยกุ๊กที่ร้านคุณป้าโน่น เขาฝากอาหารมาให้แก เห็นว่าไม่ลงไป ก็เลยทำมาให้”

“เขาถามแกเหรอ”

“เปล่า เขาถามน้องแซ่บ น้องแซ่บเลยมาถามฉัน ฉันเลยบอกน้องแซ่บ ให้ไปบอกเขาอีกที ว่าแกติดประชุมลงมาไม่ได้ เขาเลยทำอาหารฝากน้องแซ่บมาให้ฉัน เอามาให้นายอีกที โอ๊ย ปวดหัว อย่าให้พูดซ้ำอีกนะ”


มันทำเป็นโวยวาย ผมมองถุงอาหารอย่างงงๆ นึกไม่ออกว่า ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นทำอาหารมาให้ผมทำไม ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาซักหน่อย รู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเอง เจอเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง

“งง เหมือนกันล่ะสิ ฉันก็งงเหมือนกัน ว่าทำไมผู้ช่วยกุ๊กนั่น ถึงได้ห่วงใยเอาใจใส่แกนักหนา เพิ่งจะมานึกได้เมื่อครู่นี้เอง ตอนเจอหน้าแก”

เจ้าสันต์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ท่าทางเหมือนมีเรื่องลับลมคมใน

“อะไร”

ผมมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยจะไว้วางใจในตัวมันเท่าไหร่ มันต้องคิดอะไรที่พิสดารพันลึกแน่ๆ เจ้าสันต์เฉลยออกมา ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมเดาไว้ทุกอย่าง มันจับแพะชนแกะอีกแล้ว

“ฉันสงสัยว่า ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น ต้องชอบแกแหงๆเลยว่ะ”

“บ้าน่ะสิ”

ผมด่ามัน แต่เจ้าสันต์กลับทำท่าดูเป็นจริงๆเป็นจัง

“ช่าย  อาจจะฟังดูเหมือนบ้าๆน่ะ แต่ก็ท่าทางเข้าเค้าอยู่เหมือนกันนะ”

“ไปกันใหญ่แล้วไอ้นี่ เค้าไม่ได้รู้จักกับฉัน ส่วนฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเค้ามาก่อน มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ไง แกนี่มันพูดจามั่วซั่วจริงแฮะ”     

“มั่วซะที่ไหน ฉันเชื่อในเซ้นต์ของตัวเองโว้ย ผู้ช่วยคนทำอาหารคนนั้น ฉันเองก็ไม่เคยเห็น เหมือนกัน แต่จะพยายามหาทางไปเจอให้ได้”

เจ้าสันต์กล่าวอย่างมุ่งมาด เวลาที่มันตั้งใจจะทำอะไร มันไม่เคยลดละความพยายามที่จะทำจนสำเร็จ ผมไม่เข้าใจมันอยู่ดี ว่ามันจะอยากรู้ไปทำไม

“เจอเพื่ออะไรวะ”

“อ้าว ก็ฉันจะได้รู้ว่า เขาเป็นคนที่ฉันพอจะรู้จักหรือเปล่า แล้วเขาชอบนายอย่างที่ฉันคิดไว้ไหม ถ้าใช่ ฉันจะได้ทำความรู้จักหน่อย ว่าเขาคิดยังไง ถึงมาชอบนาย รุ้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ถ้าหน้าตาดี และนิสัยดี ก็จะสนับสนุนให้เป็นแฟนนายซะเลย ถ้านายไม่ชอบฉันก็จะได้จีบเอง แต่ก็คงจะต้องแอบๆน้องแซ่บหน่อย แต่ถ้าหากว่า หน้าตาดีน้อยกว่าน้องแซ่บ ก็อาจจะคบหากันเป็นเพื่อน แหม การได้รู้จักประชากรเกย์เพิ่มนี่เป็นเรื่องดีนะ”

เพื่อนผมท่าทางจะเป็นเอามาก มันพูดเป็นฉากๆว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง หากเจอกับผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น

“แล้วถ้าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆอย่างฉันล่ะโว้ย เกิดเขาไม่ได้ชอบฉัน หรืออะไรอย่างที่แกคิด แล้วเขาหมั่นไส้ที่แกไปเหมาว่าเขาเป็นเกย์ แล้ว อยากเตะแกขึ้นมาจะทำอย่างไรวะ”
ผมแกล้งพูดเพื่อให้มันล้มเลิกความคิดที่จะไปวุ่นวายกับชีวิตของผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น เขาเป็นใครก็ไม่รู้ บางทีการที่เขาทำอาหารให้ผมกิน หรือเอาอาหารมาให้ อาจจะไม่มีอะไรแอบแฝงก็ได้ อาจจะเห็นว่าผมเป็นลูกค้า ขาประจำ กินบ่อย ก็เลยอยากทำให้เป็นพิเศษก็เท่านั้น

“ก็ถึงต้องไปพิสูจน์ไงวะ ถ้าเป็นผู้ชายจริง แล้วเขาไม่คิดอะไร แค่ทำไปเพราะเห็นว่าแกเป็นลูกค้าเท่านั้น ฉันก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ฉันรู้น่าว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อนแกคนนี้ไม่โง่นะโว้ย”

“เออว่ะ ไม่โง่ แต่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากๆ”

ผมว่ามันด้วยความหมั่นไส้ มันค้อนผม

“หรือว่าแกไม่สงสัยล่ะ” มันย้อนถาม

“ไม่”

ผมโกหก ที่จริงก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ว่า งานที่ผมทำ มันเยอะมากกว่าที่จะไปมัวสนใจเรื่องแบบนี้ กอปรกับไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีใครมาหลงชอบซ้ำ แค่เดียร์คนเดียวก็เกินพอแล้ว

“เออ ให้มันแน่เถอะวะ ว่าแกไม่สนใจ อย่ามาถามก็แล้วกัน ฉันไม่บอกแกแน่”

มันตอบผมงอนๆ เวลาเห็นผู้ชายตัวท่าทางแมนๆ มาทำกระฟัดกระเฟียดเหมือนผู้หญิง ก็ดูตลกดี ผมเลยถามมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้

“แล้วแกจะไปทำความรู้จักกับเขายังไงวะ”

“ไหนบอกว่าไม่สนใจไง”

มันกลับย้อนถาม

“อุวะ ฉันน่ะไม่สนใจอยากจะรู้จักผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นหรอก ว่าเป็นใคร แต่อยากจะรู้แค่ว่า แกจะไปใช้วิธีไหน อะไร ยังไง ในการไปเจอเขาน่ะ”

 เจ้าสันต์ทำท่ากระแอมกระไอ เหมือนกับเตรียมตัวจะพูดในเรื่องที่สำคัญ

“น้องแซ่บบอกว่า ผู้ช่วยกุ๊กที่ฉันกำลังสงสัยในตัวเขาอยู่นี่น่ะ เขาทำงานพิเศษในร้านกาแฟที่เราจะไปนั่งกินกันคืนนี้ไง ถ้าแกอยากรู้จัก ก็ไปด้วยกันสิ”

มันชวนผม แต่ผมปฏิเสธ ไม่แน่ใจว่าจะเลิกดึกหรือไม่ ใจอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่าที่จะออกไปตะลอนๆยามค่ำคืน

“ไม่เอาล่ะ อย่ามาหาเรื่องให้ฉันเลย แกอำฉัน เพราะอยากให้ฉันไปกับแกใช่ไหมเนี่ย ไอ้เฒ่าหัวงูเอ๊ย”

ผมแกล้งทำเป็นพูดว่ามัน ทำให้มันเห็นว่าผมไม่ได้สนใจในการเป็นนักสืบของมันสักเท่าไหร่

“ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันจะอำแกไปหาพระแสงอะไร อีกอย่างฉันไปเที่ยวกับน้องแซ่บมาสองต่อสองแล้วเว้ย ไม่ต้องพาแกไปด้วยก็ได้ แต่เรื่องที่ฉันพูดน่ะ มันเรื่องจริงนะ ผู้ช่วยคนนั้นทำอาหารมาให้แกกินจริง แบบไม่คิดเงินเพิ่มด้วย แล้วเขา ก็ทำงานพิเศษ ในร้านกาแฟที่ฉันกับน้องแซ่บจะไปคืนนี้ เพราะน้องแซ่บเขาอยากไปให้กำลังใจเพื่อนเขา นี่เขารู้จักสนิทสนมกันแล้วนะ เขาคุยกันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ชอบแกหรือเปล่า น้องแซ่บไม่ได้บอก เพราะเขาก็ไม่ได้บอกน้องแซ่บเหมือนกัน อันนี้บอกได้เลยว่าฉันเดาอ่ะ เพราะเหตุการณ์มันชวนให้คิดแบบนั้น ถ้าไม่ชอบ ใครจะมาทำอาหารแบบเอาอกเอาใจขนาดนี้วะ ขนาดไม่ลงไปกิน ยังฝากมาให้ ถ้าไม่มีใจให้กัน ก็น่าจะมีอะไรสักอย่าง แกไม่อยากรู้เหรอ ว่า เพราะอะไร”

คำพูดของเจ้าสันต์น่าคิดอยู่เหมือนกัน แต่ว่า ผมยังมีงานอื่นที่จะต้องให้ความใส่ใจมากกว่า

“อยากรู้ไปก็เท่านั้น ถึงไง ฉันก็ไปไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่างเว้ย งานกองท่วมหัวเลย เวลาจะกินข้าวยังไม่มีเลย ขืนมัวแต่เถลไถล มีหวังเจ้านายเล่นงานฉันตายเลย ถ้าหากพิจารณางานให้ฝ่ายขายไม่ทันน่ะ”

เจ้าสันต์แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ผมไม่ไปกับมัน แต่มันก็รู้สึกเห็นใจผม เพราะผมไม่ได้โกหกหรือบ่ายเบี่ยงไม่อยากไปกับมันแต่อย่างใด เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมก็ยอมไปกับมัน จนเกิดเรื่องขึ้นมา

“ก็ได้ ฉันจะไปดูหน้า แล้วก็ทำความรู้จักกับเด็กนั่นให้ก่อนนะ ได้เรื่องได้ราวยังไง จะมาบอกแกอีกทีหนึ่งแล้วกัน แต่ถ้าแกว่าง ก็ไปนะโว้ย”

“อื้ม”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับปาก เจ้าสันต์ยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เดินแยกไปที่แผนกของตนเอง ส่วนผมเดินไปหาจุ๋ม เลขาของผมที่โต๊ะ แล้วยื่นถุงใส่อาหารให้เธอช่วยเอาไปจัดใส่จานแล้วเอามาให้ผมในห้องด้วย เลขาของผมทำท่าตกใจที่ผมเพิ่งทานข้าว ถามไถ่ผมด้วยความห่วงใย

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #121 เมื่อ15-05-2008 21:45:57 »



“คุณเรียวยังไม่ได้ทานอะไรเลยหรือคะ”

“งานมันยุ่งติดพันอ่ะ แล้วจุ๋มทานอะไรหรือยัง มีต้มเลือดหมูอยู่ในห้องอีกด้วย เอาไปทานมั้ย”

“จุ๋มทานมาแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวจุ๋มอุ่นมาให้นะคะ”

“กับข้าวเยอะแยะไปหมดแบ่งไปกินบ้างก็ได้”


ผมเอื้อเฟื้ออาหารให้กับเลขาของผม แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ผมไม่ว่าอะไร ได้แต่ส่งยิ้มให้เป็นการขอบคุณที่เธอมีน้ำใจต่อผม จากนั้นผมก็เดินเข้าห้อง ไม่กี่นาทีให้หลัง กับข้าวก็ถูกจัดใส่จานมาให้เรียบร้อย ผมมองข้าวผัดกุนเชียง ผัดปลาเปรี้ยวหวาน และ ต้มเลือดหมู ที่วางตรงหน้า แม้จะดูว่ามันไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ แต่หน้าตาของอาหารก็ดูน่ากินดี


ไม่รู้ว่าเพราะว่าผมหิวมาก หรือเพราะฝีมือคนทำอาหารกันแน่ ที่ทำให้ผมทานอาหารมื้อนั้นจนหมด แต่มันก็ช่วยให้ผมอิ่มสบายท้องมากขึ้นกว่าเดิม มีกำลังวังชาในการที่จะลุยงานต่อ จุ๋มเข้ามาเก็บถ้วยชามไปล้าง ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับกองใบคำขอกองโตที่เธอเอามาวางให้อีก


กองงานที่สูงเพิ่มขึ้น ทำให้ผมเริ่มท้อใจ ช่วงนี้ เป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ฝ่ายขายขยันขายกันเข้ามามาก เพราะเป็นการปิดยอดเพื่อทำคุณวุฒิ ซึ่งบริษัทมีโปรโมชั่นมากมายสำหรับผู้ที่ทำผลงานได้สูงสุด ทำให้ฝ่ายขายแข่งกันขายเข้ามา บางวันมีคนส่งใบคำขอสมัครทำประกันเข้ามาทั่วประเทศเกือบ 500 ฉบับ แยกเป็นโซนที่ผมรับผิดชอบในภาคตะวันออก บางวันสูงถึง 100 ฉบับทีเดียว ในขณะที่การพิจารณาต่อคนได้แค่ 10 หรือ 15 เคสต่อวัน พอพิจารณาไม่หมด งานใหม่ก็เข้ามาอีก สะสมกันเป็นดินพอกหางหมู


ตามปกติ ในช่วงที่ไม่ใช่เดือนปิดผลงาน เราจะสามารถพิจารณารับประกันลูกค้าได้ภายใน 3 วัน แต่ช่วงที่งานเข้ามามากๆ อาจจะเลื่อนไปเป็น 5 วัน หรือ 7 วันก็มี นี่ขนาดเรามีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว ก็คือ การสกรีนใบคำขอที่เรียกว่า clean app.ในเบื้องต้น เพื่อใช้กับใบคำขอที่ทุนประกันน้อย ความเสี่ยงปกติ แล้ว แต่การพิจารณาก็ยังไม่ทันต่อความต้องการอยู่ดี ยิ่งช่วงใกล้ปิดบัญชีไตรมาสสุดท้าย ตัวแทนยิ่งเร่งขายเข้ามา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้ทั้งเงินเดือน และโบนัส หากยอดขายไม่เต็มไปตามเป้า
เพื่อให้ได้ตัวเลขงามๆ ที่จะสามารถชนะคุณวุฒิการแข่งขัน ตัวแทนมักจะเลือกขายประกันในวงเงินที่สูงมากๆ เพื่อให้ได้เบี้ยประกันก้อนใหญ่ ซึ่งการพิจารณาเคสที่มีวงเงินสูง ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพราะบ่อยครั้งที่ลูกค้า ทำประกันสูงกว่ารายได้ที่มีอยู่ หรือไม่ก็มีปัญหาสุขภาพ อายุสูงเกินไป หรืออาชีพมีความเสี่ยง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การพิจารณารับประกันทำได้ล่าช้า เพราะต้องคอยตรวจสอบความสามารถในการที่จะเอาประกันได้ ของลูกค้าเหล่านั้น


ผมก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองงานตั้งแต่บ่ายจนเย็นย่ำ ลุกออกไปห้องน้ำ แล้วก็ไปเดินทักทายให้กำลังใจลูกน้องในฝ่าย และให้คำปรึกษากับบางเคสที่พวกเขาทำอยู่ ลูกน้องของผมก็ทำงานอย่างหนักในช่วงนี้เช่นเดียวกัน แต่ละคนดูโทรมไปถนัด เพราะต้องนอนดึก แล้วก็ตื่นแต่เช้ามาลุยงานกัน


พอตกเย็น พนักงานบางส่วนก็ทยอยกันกลับบ้าน ในแผนกผมก็เหลือไม่กี่คน คนไหนที่มีครอบครัวแล้ว ผมก็ให้กลับบ้านไป ไม่ได้บังคับว่าจะต้องอยู่ทำ เพียงแค่ขอให้เขารับผิดชอบกับงานตนเองให้เสร็จก็พอ ส่วนคนไหนที่สะดวกที่จะอยู่ทำงานดึก ไม่มีนัด หรือไม่ต้องกลับเร็ว อยากอยู่เคลียร์งานต่อก็ทำไป ซึ่งผมก็จะให้เขาเบิกค่าล่วงเวลาได้ โดยมีข้อแม้ว่า เขาจะต้องทำงานในเวลางานอย่างเต็มที่ การนั่งเล่นนั่งคุยในที่ทำงานตลอดวัน แล้วมามุงานเอาตอนเย็น หรือ อยู่เย็น เพื่อใช้โทรศัพท์ กับคอมฯของออฟฟิศในเรื่องส่วนตัว อย่างนี้ผมไม่ยินยอมจ่ายค่าชดเชยให้เด็ดขาด เพราะถือว่าเอาเปรียบบริษัท แต่โชคดีที่ ไม่มีพนักงานคนไหน ภายใต้การดูแลของผมที่ทำอย่างนั้น


เจ้าสันต์โทรมาชวนให้ผมไปด้วย แต่ผมปฏิเสธ เพราะงานยังเหลือที่ต้องพิจารณาอีกเยอะ มันส่งเสียงแสดงความห่วงใยมาตามสาย บอกให้ผมอย่าโหมงานหนัก เพราะจะไม่สบาย แถมซ้ำยังบอกให้ผมหาอะไรกินรองท้องระหว่างที่ต้องอยู่ทำงานดึกด้วย ผมกล่าวขอบคุณมัน แล้วก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า วันที่ผมว่างๆ ผมจะไปร้านกาแฟร้านนั้นกับมันด้วย มันทำท่าว่าจะพูดคุยต่อ แต่ผมตัดบท ขอตัวทำงานก่อน วันนี้ทั้งวันผมเสียเวลาไปมากมายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินพอแล้ว หากเพิ่มเรื่องทำงานไม่เสร็จตามเป้าหมายเข้าไปอีก มีหวังโรคเครียดถามหาเป็นแน่


ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำงานอยู่ในห้องไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเวลามันผ่านไปแต่ละนาทีช้ามาก พอดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าเข็มนาฬิกามันชี้บอกว่าเป็นเวลา ห้าทุ่มแล้ว นี่ผมนั่งในห้องนานถึงขนาดนี้โดยไม่ได้ขยับไปไหนหรือนี่


เสียงท้องของผมร้องดังขึ้น มันเลยเวลาอาหารเย็นมานานมากแล้ว และตอนนี้ท้องของผมว่างเปล่า อาหารที่ทานเข้าไปตอนกลางวันย่อยไปหมดแล้ว ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังไม่อยากจะหาอะไรกินตอนนี้ อยากทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้เสร็จ เหลืออีกประมาณ 4-5 เคสเอง


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ 02 ใครกันนะโทรมาป่านนี้ พวกตัวแทน โทรมาถามเคสอีกหรือเปล่า ไม่อยากรับเลย แต่ไม่มีพนักงานในฝ่ายของผมคนใดเหลืออยู่แล้ว ทุกคนกลับบ้านกันหมด เหลือผมอยู่คนเดียวในแผนก ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป


“สวัสดีครับ เรียวพูดครับ”

“จำได้ครับ เสียงของหวานใจตัวเอง ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”

น้ำเสียงซุกซนส่งมาตามสาย ตามด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ผมขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งใส่โทรศัพท์ เจ้าเด็กเดียร์นี่เอง จะโทรมาทำไมกันนักหนานะ คนยิ่งกำลังยุ่งๆอยู่

“มีอะไรหรือเปล่า”

ผมถามเสียงห้วน เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ส่งเสียงรื่นเริงมาตามสาย เขาไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เป็นฝ่ายตั้งคำถามเสียเอง

“ยังไม่ได้กลับบ้านเหรอครับ งานเยอะเหรอ”

“รู้ได้ไงว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้าน”

“ก็รถของคุณยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าบริษัทอยู่นี่ครับ”


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบบทที่6

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #122 เมื่อ16-05-2008 18:34:19 »

    :pig4: :pig4: :pig4:  :m4:  :m4: :m4:  รออ่านตอนต่อไป  :m1: :m1: :m1:

Haney

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #123 เมื่อ20-05-2008 14:58:06 »

เพิ่งมาอ่านแบบรวดเดียวจบ
ลุ้นให้นายเดียร์ชนะใจคุณเรียวเร็วๆน้าค้าบบบบบบบบ

เจ้าของเรื่องถ้าแต่งต่อแล้วเอามาลงต่อเท้อออ
อย่าทรมานกันเล้ยย

 :o12:

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #124 เมื่อ02-06-2008 11:36:39 »


บทที่ 7   


เด็กหนุ่มไขข้อข้องใจของผม มันทำให้ผมมั่นใจว่าเขาคงอยู่แถวๆบริษัทผมแน่นอน นิสัยชอบติดตามนี่ คงจะแก้ไม่หายแน่
   
“มาทำไรแถวนี้ หา พ่อนักสืบ เมื่อไหร่จะเลิกติดตามฉันเสียที งานการไม่มีจะทำหรือไง”
   
ผมถามเขาอย่างตีรวน
   
“ก็ผมคิดถึงเรียวนี่ครับ เมื่อเช้าไปหาที่บ้านก็ไม่เจอเรียวเลย กดกริ่งเรียกก็ไม่ยอมรับ ก็เลยคิดว่าคงจะนอนเพลิน พอดีวันนี้ผมมาเต้นโชว์กับเพื่อนๆที่ห้างตรงข้ามกับบริษัทคุณ ตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็น เป็นโฆษณาบัตรเครดิตนะครับ เพิ่งเสร็จเมื่อตอน 2 ทุ่มครับ เสร็จแล้วข้ามสะพานลอยเพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนข้ามมามองเห็นรถคุณจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ก็เลยยืนรออยู่ตั้งนาน คิดว่าคุณจะออกมา ผมอยากเจออยากเห็นหน้า แต่คุณก็ไม่ออกมาซักที ผมรอมา 1 ชั่วโมงแล้ว โทรเข้ามือถือคุณ สายว่าง แต่ไม่มีคนรับสาย อาจจะเป็นช่วงที่คุณเดินไปห้องน้ำ หรือไปทำอะไรสักอย่าง ผมก็รออยู่ แล้วก็ลองเสี่ยงโทรมาอีกทีนะครับ”

เด็กหนุ่มอธิบายยาวเหยียด
   
“แล้วไง โทรมามีอะไรล่ะ”
   
“แหม เรียวน่ะ พูดจากับผมเพราะๆหน่อยก็ไม่ได้ คนอุตส่าห์เป็นห่วง”
   
เขาทำเสียงตัดพ้อ เมื่อผมตอบกลับเขาด้วยเสียงที่ห้วนๆจนแม้กระทั่งตัวเองยังรู้สึก
   
“ไม่ได้ให้มาห่วงมาใยนี่นา”

ผมลดเสียงให้ดูนุ่มลง รู้สึกผิดที่พูดแรงๆใส่เขา

“ได้ไงกันล่ะครับ เป็นแฟนกัน ก็ต้องห่วงใยกันเป็นธรรมดาสิครับ”

“.........”

“ทานข้าวแล้วหรือยัง อื้ม.......ไม่ต้องตอบก็รู้ เรียวน่ะ ห่วงงานไม่ห่วงตัวเองเลยนะครับ ถ้าผมอยู่ใกล้ๆจะจับตีให้ก้นลายเลย”

ถึงแม้จะลงท้ายด้วยถ้อยคำสัพยอก แต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใยจนผมอดที่จะรู้สึกวูบไหวในใจไม่ได้

“นึกอยู่แล้วเชียวว่าเรียวต้องทำงานจนเพลินไม่ยอมกินข้าวกินปลา แล้วนี่ก็ดึกมากแล้ว กินข้าวมื้อสุดท้ายตอนกลางวันสินะครับ ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ท้องคงจะร้องแย่
ผมก็เลยกลับไปที่ห้างเหมือนเดิม แล้วก็แวะซื้อของกินมาฝากนะครับ .......มีเยอะแยะเลย ไม่รู้ว่าเรียวชอบทานอะไร เลยซื้อมาตั้งหลายอย่างแน่ะ......”

“.........”

ผมรู้สึกเต็มตื้นจนพูดไม่ออก เด็กบ้านี่ ทำให้จิตใจที่เย็นชาของผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามา ซึ่งผมไม่เคยได้รับมาก่อนแม้แต่ตอนที่ผมอยู่กับอรจิรา

“ฉันไม่หิวน่ะ” ผมโกหกเดียร์อีกแล้ว

“ดื้อที่สุดเลย ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองบ้างเลย เจ็บป่วยไปจะลำบากนะ”

เด็กหนุ่มโวยวายใส่ผมอีกแล้ว แต่น่าแปลกผมกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเขาเลยแม้แต่น้อย

“ให้ผมขึ้นไปหาข้างบนนะครับ ผมจะได้เอาอะไรให้คุณทาน ตอนนี้ผมรออยู่ข้างล่าง ลมแรงด้วย เหมือนกับว่า ฝนกำลังจะตกนะครับ...”

“เอ้อ............” ผมลังเล

“ป่านนี้เรียวคงจะหิวแย่แล้ว ของที่ผมไปซื้อก็กำลังร้อนๆอยู่เลยครับ ให้ผมขึ้นไปหานะ ได้ไหมครับ”

“........”

“โธ่เรียวครับ....กลัวผมเหรอ” เขาทำเสียงน้อยอกน้อยใจ

“เปล่าหรอก....เพียงแต่.......”

“เพียงแต่อะไรครับ” เขาถามอย่างคาดคั้น

“ฉันอยู่คนเดียวน่ะ.....”

ในที่สุดผมก็โพล่งออกไป ผมกลัวการที่จะได้เจอเด็กหนุ่มคนนี้อีก กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆบอๆในที่ทำงาน หรือแม้แต่ในห้องผม กลัวว่าคนอื่นจะมาเห็น แล้วก็กลัวไปถึงว่า หากคนอื่นรู้ถึงข้อตกลงเป็นแฟนระหว่างผมกับเดียร์เข้า เขาจะรังเกียจ และนินทาผม เดียร์ส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย เขาคงเดาความรู้สึกของผมได้

“แหม นึกว่าอะไร อย่ากลัวไปเลย ผมไม่ปล้ำเรียวหรอกครับ ถึงแม้ว่า จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็เป็นลูกผู้ชายพอ สัญญาไว้อย่างไรก็ต้องยึดมั่นอย่างนั้น อีกอย่างสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยด้วย แต่ถ้าเรียวสมยอม ก็ค่อยมาว่ากันอีกที”

“ใครจะไปยอมทำกับนาย”

“แหม ตอนนี้ไม่ยอม แต่ต่อไปก็ไม่แน่หรอกนะครับ เพราะว่า เรียวน่ะ ก็ยังโสดนะ ผมเองก็หน้าตาหล่อด้วย แถมซ้ำใจดี ดูแลเรียวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อีกหน่อยเรียวก็ต้องหลงเสน่ห์ผมจนได้ แล้วก็ยอมผมเองน่ะแหละ ผมน่ะ อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจัง วันที่เรียวจะเห็นว่าผมเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรียว ผมจะต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้”

เด็กหนุ่มบอกอย่างมุ่งมั่น น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจสุดฤทธิ์ ผมทำหน้าเบื่อๆ เมื่อต้องฟังคำพูดซ้ำเดิมเหมือนกรอจากเทปฟังเป็นร้อยๆเที่ยว แต่ก็แปลกใจตัวเองที่ยังคงฟังอยู่ได้ โดยไม่ยอมตัดสายทิ้งหรือวางหูไป


“เรียวยังไม่ตอบผมเลย ว่าให้ผมขึ้นไปหาได้หรือเปล่า ฝนเริ่มจะลงเม็ดแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มถามผมเสียงละห้อย ผมเหลือบมองจากหน้าต่างห้องทำงานซึ่งอยู่ตรงชั้นลอยของตึก บรรยากาศข้างนอกมืดสลัว เพราะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว แต่กระนั้นก็พอจะมองเห็นต้นไม้ที่กิ่งใบไหวโอนตามแรงลม สงสัยฝนคงจะตกจริงๆตามที่เดียร์ว่า

“ก็ได้ นายเข้ามาก็จะเจอยามอยู่ตรงหน้าประตู บอกเขาว่ามาผมฉัน แล้วให้เขาพาเข้ามา”

ผมตัดสินใจให้เดียร์ขึ้นมาหาผม เพราะรู้สึกสงสารถ้าจะปล่อยให้เด็กนี่ยืนรออยู่ข้างล่าง ในขณะที่ฝนตก อีกอย่างเด็กนี่ก็ไม่ได้มีประสงค์ร้ายแต่อย่างใด เขาอุตส่าห์ซื้อข้าวของมาให้ผมทานด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่เขาทำแบบนั้น แต่การที่เขามีน้ำใจกับผม ก็ทำให้ผมไม่อยากที่จะตอบแทนเขาด้วยความเฉยชา ไหนๆเด็กนี่ก็ให้สัญญาแล้วว่า จะไม่ทำอะไรที่ล่วงเกินก้าวก่ายผม ก็น่าจะให้โอกาสเขาบ้าง อย่างน้อยเขาก็ได้อาศัยหลบฝน แล้วผมเองก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ด้วย บรรยากาศจะได้ไม่เหงา หรือวังเวงจนเกินไป ขอเพียงแต่เด็กบ้านั่น จะนั่งเงียบๆไม่ทำตัววุ่นวายให้ผมเสียสมาธิเท่านั้น


“แต่ต้องรับปากฉันก่อนนะว่า จะไม่รบกวนตอนที่ฉันทำงานอยู่”

ผมขอคำสัญญาจากเขา เดียร์รับปาก ท่าทางกระตือรือร้นสุดขีด

“รับรองครับ ผมจะทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ทำให้เรียวลำบากใจเลยล่ะครับ”

ผมบอกชื่อแผนกและชั้นให้กับเดียร์ไป เดียร์ทวนคำพูดจากผม จากนั้นก็บอกว่าเขากำลังจะขึ้นมาหาพร้อมกับอาหารที่ซื้อมาให้ผม ไม่เกิน 10 นาทีเจอกัน จากนั้นเขาก็วางหู ผมหันมานั่งทำงานต่อ 10 นาทีหลังจากนั้น ยามก็กดโทรศัพท์มาหาผมจากด้านนอก บอกว่ามีคนจะมาพบ ผมบอกให้ยามพาเข้ามาได้


ยามพาเดียร์มาหาผมถึงห้อง แล้วมองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ จนผมต้องทำตาดุใส่ ยามคนนั้นจึงได้หลบตาแล้วถอยออกไป ผมหันมามองเดียร์เต็มตา ก็น่าอยู่หรอกที่ยามจะมองเราด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น


เดียร์ยืนยิ้มเผล่ หูตาเป็นประกายวิบวับอยู่ตรงหน้าผม เรือนร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดแนบลำตัวแขนกุดสีดำ มีรอยกรีดบนตัวเสื้อตรงช่วงอกด้านบนเป็น 3 ริ้ว คล้ายรอยเล็บเสือข่วน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อตรงแผ่นอก และต้นแขนที่สวยได้รูป เขานุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าบูทหุ้มข้อสีดำ ผมหยิกสลวยเป็นลอนดกหนาสีน้ำตาล ถูกทักเป็นเปียหลายเส้นแนบติดกับหนังหัว ทำให้ดูแปลกตา โชคดีที่ศีรษะของเดียร์ทุยสวยได้รูป เวลาทำผมแบบนั้น ก็เลยทำให้ดูดีไปอีกแบบหนึ่ง


ใบหน้าหล่อเหลาของเดียร์เข้มขึ้นด้วยอายไลน์เนอร์ ที่เน้นรอบดวงตา บนขนตางอนยาวหนาเป็นแพ เคลือบด้วยสีขาวตรงปลายๆ หน้าสีน้ำตาลทองนวลเนียนด้วยแป้งและครีมรองพื้น ปากมันวาวด้วยลิปบาล์ม มีเกล็ดสีเงินทองระยิบระยับตามใบหน้า และลำตัว เขาดูเถื่อนๆแต่สง่างาม


เด็กหนุ่มหิ้วของมาด้วยพะรุงพะรัง แถมซ้ำยังมีเป้สะพายหลังมาอีก พอเข้าห้องผมได้ ก็วางของทั้งหมดลงเหนือตู้ใส่เอกสารจำพวกแฟ้มของผม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ผมกำลังนั่งอยู่ พลางจ้องมองผม ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มละมุนละไม


SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #125 เมื่อ02-06-2008 11:42:22 »


“ใจคอจะไปไหนต่อไหน ด้วยเครื่องแต่งตัวกับหน้าตาแบบนี้เหรอ คิดอะไรอยู่น่ะ”

ผมทักทายเขาด้วยประโยคคำถาม ตาจ้องไปที่ใบหน้าของเขา แล้วยิ้มอย่างขำๆ เดียร์ลูบหน้าตัวเอง แล้ว หันไปมองเงาจากกระจกหน้าต่างที่เห็นเพียงลางๆ

“ผมลืมล้างหน้าออกมาอ่ะ เต้นเสร็จ รับเงินแล้วก็ออกมาเลย เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยน มิน่าตอนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ กับตอนขึ้นมาที่นี่ พวกยามและคนอื่นๆ มองผมแปลกๆ แต่มันก็ดูดีใช่ไหมครับ กลุ้มจัง เกิดมาหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลย เห็นด้วยใช่ไหมครับเรียว”

เขายิ้มทะเล้นใส่ ดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนต่อถ้อยคำเหน็บแนมของผม จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ภูมิใจเหลือเกินนะ กับหน้าตาตัวเองนี่  พ่อคนหล่อเหลาปานเทพบุตร”

ผมค่อนขอด เดียร์ทำเป็นยืดอก พลางยิ้มกว้าง ทำหูตาแพรวพราวใส่ผม

“เรียวควรจะดีใจนะครับ ที่มีแฟนหน้าตาดีแบบผม ใครๆเขาก็จะได้มองว่า เราเป็นคู่ที่สมกันจริงๆเหมือนกิ่งทองใบหยก”

เดียร์อดไม่ได้ที่จะวกเข้าเรื่องแบบนี้ ผมแอบขำในใจ ที่เดียร์เอาคำพูดที่เปรียบเปรยถึงความสมกันระหว่างชายหญิง มาเปรียบเทียบตัวผมกับเขาว่าเหมาะเจาะไปกันได้ดี

“ถ้าจะมาคุยด้วยเรื่องอย่างนี้ ก็จงเงียบไปซะ ฉันจะทำงาน อย่าได้ส่งเสียงรบกวน”

ถึงแม้จะรู้สึกขำคำพูดของเขา แต่ผมก็แสร้งทำเป็นเสียงเข้มใส่ เพราะไม่อยากให้เดียร์ได้ใจ เด็กหนุ่มหุบยิ้ม แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“นี่ ผมไปแวะซุปเปอร์มา ไปซื้ออาหารมาให้กิน โชคดีนะเนี่ยที่ห้างเขายังไม่ปิด แต่ก็เกือบไป ผมนึกว่าจะไม่มีอะไรมาฝากเรียวซะแล้ว เดินหาตั้งนานแน่ะ ว่าแต่เราสองคนทานกันเลยไหมครับ แคนทีนอยู่ตรงไหนอ่ะครับ มีถ้วยจานไหม แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ทานกับกล่องโฟมก็ได้ จะทานในห้องดี หรือ ทานข้างนอกดีครับ เอางานที่อยู่บนโต๊ะ ไปวางที่อื่นก่อนไหม”


เดียร์วุ่นวายรื้อข้าว รื้อของออกมากอง แล้วก็จัดแจงเก็บโต๊ะทำงานของผม ปากก็พูดไปเรื่อย ผมไม่ตอบก็พูดเองเออเอง ในที่สุดของที่เขาซื้อมา ก็จัดวางไว้บนจานอย่างเรียบร้อย ผมมองดูอาหารบนโต๊ะ แล้วก็มองหน้าเขา

“จะกินหมดไหมเนี่ย ซื้อมาเยอะแยะขนาดนี้”

“ก็แต่ละอย่างมันก็น่ากินนี่ครับ ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ข้าวมันไก่ กระเพาะปลา ไหนจะอาหารญี่ปุ่นที่หน้าตาสวยน่าอร่อย ผมเลือกซื้อข้าวปั้น สารพัดหน้ามาเลยนะครับ เพราะไม่รู้ว่าอันไหนที่เรียวจะชอบ ขนมปังไส้เห็ดหอม กับไส้ผักขมก็ดูน่าอร่อยดีนะ แล้วนี่น่ะ ก็เป็นขนมไทยเจ้าที่มีชื่อด้วย คนเข้าคิวซื้อกันเลยอ่ะครับ”

เด็กหนุ่มเชิญชวนผมให้ทานอาหารทั้งหมดที่เขาซื้อมาด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ท้องแตกตายกันพอดี” ผมว่า

“ไม่หรอกน่า เรียวน่ะ ผอมออก ”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ เขาส่งสายตาแห่งความรักใคร่มายังผม ทำให้ผมต้องรีบหลุบตาลงต่ำ เสมองอาหารตรงหน้า

“อยากจะอยู่กับเรียว แล้วก็ทำให้เรียวอ้วนขึ้นกว่านี้ เรียวน่ะ ผอมมากเลยนะครับ  คงไม่มีใครทำอะไรอร่อยๆให้ทานเลยใช่ไหม ผมทำอาหารเป็นนะ ทำกินเองมาตั้งแต่ออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว รับรองฝีมือใช้ได้ เรียวกินแล้วต้องติดใจแน่ๆ”

เดียร์โอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง ผมทำปากยื่นใส่ รู้สึกหมั่นไส้ และ ขำที่เด็กหนุ่มพยายามอย่างมาก ที่จะเชียร์ตัวเองให้ผมชอบ ดูๆไป เด็กนี่ก็น่ารักดี ถ้าเขาไม่ประสงค์จะเป็นแฟนผม เราคงผูกสมัครรักใคร่เป็นพี่กันน้องกันแน่ๆ

“น่ารำคาญจริงเชียว อวดอ้างตัวว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ไม่เบื่อตัวเองบ้างหรือไงกันนะ”

“ไม่เบื่อหรอกครับ ก็มันจริงนี่นา เอาไว้วันอาทิตย์นี้ ผมจะทำกับข้าว ให้เรียวทานทุกมื้อเลย ดีไหมครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มหวานทำท่าประจบประแจงผมเต็มที่

“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นค่อยพูดกันได้ไหม มาทานของพวกนี้กันก่อน นายซื้อมาเยอะขนาดนี้ ฉันกินไม่หมดหรอก ต้องช่วยฉันรับผิดชอบให้หมดรู้ไหม”

“ได้ครับได้ กำลังหิวอยู่เหมือนกันเลย”

เดียร์ลูบท้องตัวเอง ปากก็เจื้อยแจ้วเจรจา

“ได้กินอาหารกันสองต่อสองกับเรียว ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ผมฝันอยากให้เป็นแบบนี้ทุกวัน อยากให้เรียวเห็นว่าผมเป็นคนสำคัญของเรียวเร็วๆจัง”

เด็กหนุ่มย้ำประโยคเดิมที่เขามักจะพูดกับผมบ่อยๆด้วยดวงตาที่ทอประกายความหวัง

“ลงมือกินซะทีเถอะ พูดอยู่ได้”

ผมแสร้งทำเป็นรำคาญ อันที่จริงรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่เขาพูด เพราะรู้ดีแก่ใจว่า ผมคงไม่สามารถให้ความสำคัญกับเขาเยี่ยงคนรักได้

“คร้าบบบบบบบบ”

เดียร์หยิบข้าวปั้นใส่ปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ตาก็จ้องมองผมตลอด พอเห็นผมยังเฉยอยู่ เขาก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่อาหาร ทำนองเชิญชวนให้ผมทานบ้าง ผมหยิบข้าวปั้นมาลองกิน
บ้าง พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับเดียร์ที่มองมายิ้มๆ เล่นเอาผมรู้สึกเขิน

“มองอะไร กินเข้าไปสิ”

ผมว่าเขา เดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างชอบใจ เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม และพูดขึ้นว่า

“ชอบมองเรียวทุกตอนเลย เป็นไรไม่รู้ รู้แต่ว่า มองตรงไหน ก็น่ารักไปหมดเลย จนรู้สึกว่า อยากจะกอด แล้วก็จูบเรียวขึ้นมาทันทีอ่ะครับ”

ผมทำตาดุใส่เขา เป็นเชิงห้ามปราม และพูดขู่สำทับอีกที

“อย่าได้คิดทำอย่างนั้นเชียวนะ ถ้าไม่อยากได้ชื่อว่าทำผิดสัญญา”

“แหมรู้แล้วครับ อ้างสัญญาอยู่เรื่อยเลยนะ”

เด็กหนุ่มพูดจาตัดพ้อ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน จะให้ผมทำอย่างไรล่ะ ผมไม่อยากให้เขาคิดมาก ไม่อยากเอาตัวผูกพันกับเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่นี้

“อ๊ะ แหวนไปไหนแล้ว”

อยู่ดีๆ เด็กหนุ่มก็ร้องขึ้นมา ผมมองมาที่เขา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็แหวนที่ผมให้เรียวไว้ในวันที่เราตกลงสัญญาเป็นแฟนกันไง ทำไมไม่เห็นเรียวใส่แหวนที่ผมให้มาเลย ไม่ชอบหรือครับ”

เดียร์ทักขึ้นมา ผมเห็นเขาจ้องที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม ผมมองตาม มือทั้งมือว่างเปล่า เพราะผมถอดแหวนของเดียร์ทิ้งวางไว้บนโต๊ะตั้งแต่วันที่ผมกลับมาบ้านแล้ว

“จะบ้าเหรอ จะใส่มาได้ไง เดี๋ยวคนก็ถามกันพอดี”

“ก็ช่างเขาปะไร ใครถามก็บอกว่า เป็นแหวนหมั้น แฟนซื้อให้สิครับ”

“แหวนหมั้นบ้าอะไร ใครไปหมั้นกับนาย”

“มันเป็นเครื่องหมายของภาระผูกพันที่มีต่อกัน ดูนี่สิ ผมยังใส่สร้อยของเรียวติดตัวตลอดเวลาเลย เหมือนเป็นเครื่องราง เป็นสิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงเรียวตลอดเวลา บอกให้รู้ว่า ผมมีแฟนแล้ว และผมจะซื่อสัตย์กับเจ้าของสร้อยตลอดไป แล้วทำไมเรียวถึงไม่ใส่มันบ้างล่ะ”

เด็กหนุ่มตัดพ้อ ดูท่าทางจะน้อยอกน้อยใจที่ผมไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เขาให้ เขาแหวกเสื้อออกให้ดูที่คอของเขามีสร้อยเงินกับจี้รูปตัว “อาร์” คล้องอยู่

“นายนี่ยังเด็กมากจริงๆ ถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย” ผมพูดกับเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ทำไมเหรอครับ เด็กกว่าแล้วยังไงเหรอ เป็นเด็กแล้วรักคนที่แก่กว่าไม่ได้หรือไง เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจอย่างนั้นเหรอ รักใครไม่เป็นหรือยังไง เป็นเด็กแล้วใครๆก็คิดจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม จะทำให้เจ็บช้ำอย่างไรก็ไม่ต้องคิดมานั่งคิดหน้าคิดหลังใช่ไหม”

เดียร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ดูสิ อย่างนี้จะไม่เรียกว่าเด็กได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะผ่านอะไรต่ออะไรมาเยอะ ดูแกร่งกร้าวเกินวัย แต่อารมณ์และความคิดก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ อยากจะได้อะไร ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าแม้มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามหวัง ก็พาลจะน้อยอกน้อยใจคร่ำครวญหวนไห้ตลอดเวลา

“เกลียดเด็กก็ตรงนี้แหละ เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจ

“มันมีเรื่องมากมายที่เธอต้องทำความเข้าใจศึกษา เรียนรู้และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำตัวขวางโลก ไม่เข้าใจสังคม จะอยู่ไม่ได้นะ”

ผมถือโอกาสสอนเขา เด็กหนุ่มทำหน้างงๆ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องไม่ใส่แหวนของผมล่ะครับ”

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #126 เมื่อ02-06-2008 11:45:29 »


โธ่โว้ย ก็ใครจะไปใส่แหวนที่ได้มาจากเกย์เล่า ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา


“เกี่ยวสิ ฉันน่ะ ยังเป็นโสดอยู่ คนที่ทำงานก็รู้กันหมด อยู่ดีๆ ก็สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย คนก็คงจะคิดว่าฉันแต่งงาน แล้วไม่บอกพวกเขา เดี๋ยวปัญหาก็จะตามมาอีก ฉันต้องเจอคนซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าฉันแต่งงานเมื่อไหร่ ใครเป็นผู้โชคดี แล้วจะให้ฉันตอบว่า เปล่าหรอก แหวนนี้น่ะ ผู้ชายให้มา เราทำสัญญาเป็นแฟนกัน บอกแบบนี้จะดีเหรอเดียร์ คิดว่าพวกเขาจะละเว้นไม่นินทาฉันเหรอ”

ผมให้คำตอบที่มีเหตุผลไปกับเด็กหนุ่ม เดียร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เขาคงนึกดีใจที่ไม่ได้ยินถ้อยคำประเภท ผมเกลียดเกย์ ไม่อยากยุ่งด้วย จากปากผม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายสงสัย

“ก็บอกว่า มันเป็นแฟชั่นไม่ได้หรือครับ ผู้ชายเดี๋ยวนี้ก็เห็นใส่แหวน หรือเครื่องประดับกันแพรวพราวเลย แหวนผมก็เป็นทองเกลี้ยงๆเอง”

“ช่าย แหวนทองเกลี้ยง ที่มีคำว่า “มาย เดียร์” สลักอยู่ด้านใน คนมาขอยืมไปดูคงไม่สังเกตเห็นหรอกนะ”

ผมพูดประชดเด็กหนุ่ม เขายิ้มอายๆให้ผม

 “อีกอย่าง ฉันไม่ใช่ตู้ทองเคลื่อนที่ หรือร้านโชว์เครื่องประดับนี่ ไม่เคยประโคมใส่เพชรทองหยองให้คนอื่นเห็น ยกเว้นสร้อยเงินเล็กๆที่แม่ซื้อให้เส้นเดียว แล้วนายก็มาเอาไปแล้ว ฉันไม่เคยใส่เครื่องประดับฟุ่มเฟือยเลย อยู่ๆเกิดใส่ขึ้นมา แล้วที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วย คนจะไม่คิดมาก จนอดที่จะถามฉันไม่ได้หรือ”

คำพูดของผม ทำให้เดียร์สงบลง เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยากจะให้เรียวใส่ไว้นะครับ วันเสาร์ หรือ อาทิตย์ วันที่ไม่ต้องเจอใครก็ยังดี เรียวจะได้นึกถึงผม”

“ไม่ต้องมาพูดเลย มากมายจริงๆเลยนายนี่ ฉันน่ะ ยังไม่ทันลืมเรื่องของนายเลย ก็เจอหน้านายอีกแล้ว เล่นโผล่มาให้เห็นบ่อยๆแบบนี้ ใครจะไปทันลืม อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน อยู่ดีๆก็โผล่มาแถวนี้ แล้วก็มานั่งรออยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ ตอนไปซื้ออาหารมากินนี่ ไม่ได้นึกบ้างหรือไง ว่า ถ้าซื้อออกมาแล้วไม่เจอฉัน นายจะเอาของพวกนี้ไปไว้ไหน”

ผมได้ที เลยถือโอกาสต่อว่าเขา

“แล้วก็ไอ้ที่ไปบ้านฉันบ่อยๆ เพื่อส่งหนังสือพิมพ์และอาหารตอนเช้านั่นอีก รวมถึงมาคอยเฝ้าดูตอนฉันกลับบ้าน ทำไปได้ไงน่ะ ไม่เบื่อบ้างหรือไง ตามฉันอยู่ได้”

“ก็มันทำให้นาฬิกามันหมุนข้ามไปวันอาทิตย์ไม่ได้นี่ อีก ตั้งหลายวันกว่าจะเจอกัน นี่ก็เพิ่งจะวันพุธเอง ใจผมจะขาดแล้ว คิดถึงมากที่สุดเลย มันก็เลยทนไม่ไหว ต้องพยายามที่จะไปเห็นหน้าให้ได้นะครับ”

เดียร์ตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ

“แล้วเอาเงินทองที่ไหนมากมาย มาซื้อของให้ฉัน รวยมากนักหรือไง ถึงได้อยากทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยง”

“ก็เงินที่ได้มาจากการทำงานนี่แหละครับ มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ ยังน้อยกว่าความรู้สึกในใจของผมที่มีต่อคุณเสียอีก ผมอยากให้คุณมากกว่านี้อีกอ่ะ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความจริงใจ จนผมรู้สึกไม่ดี หากจะเป็นฝ่ายรับเพียงแค่อย่างเดียว

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันรู้ว่านายอยากจะทำอะไรหลายๆอย่างให้ฉัน เพื่อให้ฉันพอใจ แต่ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ หากว่า นายจะให้ฉันได้ออกค่าใช้จ่ายบ้าง อย่างเช่น ค่าอาหารมื้อนี้ ค่าหนังสือพิมพ์และอาหารเช้า นายจะมาออกให้ฉันบ่อยๆไม่ได้นะ ฉันเองก็มีงานทำ นายเองก็ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ ฉันเอาเปรียบนายไม่ได้หรอก”

ผมบอกเขาด้วยความรู้สึกที่จริงใจเหมือนกัน

“สำหรับมื้อนี้ ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าผมเลี้ยงนะ”

เขาปฏิเสธที่จะให้ผมช่วยออกเงิน แต่ผมก็ยังยืนกรานที่จะช่วยเขาอยู่ดี

“ไม่ได้ ถ้านายไม่ให้ฉันช่วยออก งั้นฉันไม่กินนะ”

ผมขู่เขา เดียร์ทำตาโต ร้องเสียงหลง

“ทำไมถึงต้องคิดมากด้วยครับ ก่อนหน้านั้น เรียวก็ให้ผมมาตั้งเยอะ ทั้งให้เงิน ทั้งเลี้ยงข้าว ทั้งพาไปส่ง ปกป้องให้พ้นจากอันตราย สิ่งที่คุณทำให้ผมมันมีคุณค่ามากมาย เมื่อเทียบกับสิ่งของที่ผมซื้อให้คุณมันดูกระจิบกระจ้อยเลยนะครับ”

“จะให้ฉันออกให้ หรือเปล่า ฉันไม่กินจริงๆนะ”

ผมย้ำคำพูดเดิม

“ไม่กินไม่ได้นะครับ อุตส่าห์ซื้อมาเยอะแยะ เอ้อ เอางี้ดีไหม ผมไม่รู้จะคิดเงินคุณอย่างไรดี เอาเป็นว่า มื้อนี้ผมเลี้ยงคุณ มื้อหน้าคุณค่อยเลี้ยงผมคืนดีไหม”

เขายื่นข้อเสนอ ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม ก็เห็นความดื้อดึงอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ดูเข้มแข็งนั่น ผมถอดถอนใจ อย่างยอมจำนน เพราะรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาเงินให้เขาไป เพราะดูจากการบ่ายเบี่ยงของเขาแล้ว ท่าทางเขาคงไม่ยอมรับเงินจากผมแน่นอน

“ก็ได้ เอาเป็นว่าฉันเลี้ยงตอบแทนนายมื้อหนึ่ง แต่คราวหลังถ้าจะซื้ออะไรให้ฉันต้องบอกฉันนะ  นายทำให้ฉัน ฉันสมควรจ่าย อย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่เลย”

“คร้าบบบบบบบ”

เขาขานรับเสียงยืดยาว แต่ผมสังหรณ์ใจว่า เขาไม่ทำตามอย่างที่รับปากหรอก เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ คงรู้สึกระลึกถึงบุญคุณของผมที่เคยทำไว้ให้เขา เลยพยายามที่จะตอบแทนผมอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่ตัวเองจะมีปัญญาทำได้

“ตกลงเป็นสองครั้งแล้วนะครับ ที่คุณสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับผม ครั้งแรกคุณสัญญาว่าจะพาผมไปซื้อมือถือ ครั้งที่สองคุณสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวผม ผมจะจดไว้นะครับ กันลืม”

เด็กหนุ่มรื้อกระเป๋า หยิบสมุดโน้ต เล่มเดิมที่เขาเคยบันทึกคำสัญญาระหว่างเราขึ้นมาจด

“นี่ รวบมันเป็นครั้งเดียวกันก็ได้นะ ไปทำไมกันหลายๆครั้ง สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย” ผมแย้งด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ได้นะ มันคนละเรื่องกัน เรียวต้องออกไปเที่ยวกับผมสองครั้ง ไปครั้งเดียว ผมไม่ยอมหรอกนะ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเรียวไม่ออกให้ผม ผมออกให้ก็ได้”

“คร้าบบบบบ” ผมลากเสียงยาวล้อเลียนเขาบ้าง

“ท่านเศรษฐีใหญ่ ร่ำรวยมาจากไหนกันนักหนา อย่างนี้ขอรถก็คงจะได้รถน่ะสิ”

ผมว่าเขาอย่างขำขำ เริ่มรู้สึกสนุกที่ได้เหน็บแนมต่อปากต่อคำกับเขา

“อื้ม ขอคิดดูก่อนนะ ถ้าเรียวอยากได้รถจริง ผมก็จะพยายามซื้อให้ รถหนึ่งคันราคาคงแพงโขอยู่นะ แต่ว่าเพื่อเรียว ผมสู้ตายเลย ขอเพียงแค่เรียวยอมเป็นของผม ทุกวัน ไปตลอด หกเดือนนี้เท่านั้น ให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ผมยินดีทำไม่เกี่ยงเลย”

เขาโต้ตอบกลับทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาดูทะเล้นทะลึ่ง เดียร์ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา ผมเม้มปากแน่น รู้สึกแปลกๆที่ได้ยินถ้อยคำกึ่งเกี้ยวพาราสีติดเรทเอ็กซ์ของเขาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ภายใน ผสมเข้ากับอาการพะอืดพะอม ดูเหมือนผมจะเกิดความชอบ บน ความชิงชัง คำพูดแบบนี้ของเด็กบ้านี่

“เอ้ากินเข้าไป จะได้หยุดพูด”

ผมหยิบข้าวปั้นยื่นไปตรงหน้าของเดียร์ หมายจะให้ปากเขาเต็มไปด้วยอาหาร จะได้เลิกพูดจาอะไรที่จะเข้าตัวผมซะที ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งหวั่นไหว จึงจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างที่จะห้ามไม่ให้เขาพูดมากไปกว่านี้ เด็กหนุ่มมองผม ตาหวานฉ่ำ อ้าปากรับ ผมเลยยัดข้าวปั้นคำโตใส่ปากเขา และอย่างว่องไวกว่าที่ผมจะชักมือกลับได้ทัน เดียร์ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผม แล้วกุมไว้ด้วยมือสองข้างของเขา ก่อนที่จะดึงมือของผม ลงมาทาบตรงที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจ เขามองผมนิ่งนาน ในขณะที่ผมมองเดียร์อย่างงงๆ ในสิ่งที่เขาทำ


“รู้สึกไหมครับ ว่าหัวใจของผมเต้นแรงมาก นี่มันแทบจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว มันอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า ผมรักคุณมากแค่ไหน”

ผมชักมือออก แล้ว พูดใส่หน้าเขาว่า

“เพ้อเจ้อ”

เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อย

“อุตส่าห์จะสวีท หวานแหวว สักหน่อย เรียวนี่ โรแมนติกไม่เป็นหรือไงนะ”

“เห็นหน้านายก็ไม่เกิดอารมณ์แล้ว”

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #127 เมื่อ02-06-2008 11:49:21 »



บทที่ 8


“จริงเหรอ ทำไมอ่ะ”

เดียร์ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง ทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องแปลกประหลาดเต็มประดา

“มีแต่คนบอกทั้งนั้นว่า หน้าตาผมหล่อมากๆ หน้าตาดีอย่างไม่เกรงใจคนอื่น ใครๆก็ชอบผมทั้งนั้น มีแต่เรียวคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่คิดว่าผมน่าสนใจ ผมรู้สึกเศร้าจังเลย”
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าใส่ผม แต่จากแววตาระยิบระยับนั่น ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่ได้เศร้าจริงอย่างปากว่า

“แต่เห็นพอผมทำให้ก็มีอารมณ์ทุกที หรือว่า เวลาแบบนั้น ........ ไม่ต้องมองหน้ากัน แค่สัมผัส ก็รู้สึกไปถึงข้างในแล้ว อย่างนี้ต้องลองพิสูจน์ดูอีกครั้ง ว่าถ้าผมทำให้เรียว โดยที่คุณมองผมตลอดเวลา เรียวจะมีอารมณ์มากขึ้นไหม”


เด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นทำหน้าตาหื่นๆใส่ผม แลบลิ้นมาแตะค้างตรงมุมปาก มองผมด้วยสายตารัญจวน ท่าทางของเขาน่าหมั่นไส้ เกินกว่าจะชวนให้เกินความวาบหวิว

“อ้าว คุยกันดีๆ ทำทะลึ่งซะแล้ว หยุดพูด แล้วรีบๆกินซะ เสียเวลามามากพอแล้ว”

ผมติดเบรกเด็กหนุ่มด้วยเสียงดุๆ เขาหัวเราะกิ๊กกั๊กชอบใจที่แกล้งพูดยั่วผมได้ พอผมขึงตาใส่เขา เดียร์ก็ทำเป็นหลบตา หันไปหยิบอาหารใส่ปาก ผมรออยู่ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ แต่เด็กหนุ่มก็ทำเป็นยุ่งอยู่กับอาหารตรงหน้า ไม่พูดไม่จา ผมเลยหันมาใส่ใจกับการกินบ้าง


เราต่างคน ต่างกินอาหารกันไป พูดคุยกันไปบ้าง เดียร์จะชี้ชวนให้ผมกินนั่นกินนี่อยู่ตลอดเวลา พอผมทำท่าจะอิ่ม เขาก็จะคะยั้นคะยอ เชียร์ให้ผมกินต่อ จนกระทั่งผมบอกว่า ไม่ไหว จริงๆ เขาจึงหยุดพูด แล้วหันมาจัดการเอง จนหมดไม่เหลือหรอ ผมมองรูปร่างสูงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อชวนมองนั่น กำลังคิดว่า เขาเป็นคนกินจุมาก เพราะยังอยู่ในวัยที่เจริญเติบโตได้อีก โชคดีที่เขาคงออกกำลังกายบ่อยๆ ร่างกายของเขาจึงแทบจะไม่มีไขมันพอกพูนให้เห็น ถ้าเป็นผม กินเยอะแบบนี้บ่อยๆ อีกไม่นานคงได้ลงพุงเป็นแน่
เดียร์กุลีกุจอ เก็บข้าวของที่เราทานกันเสร็จใส่ถุงขยะ ท่าทางคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ผมจะช่วยเขาก็ไม่ยอม กลับไปยกเอางานของผมที่ทำค้างไว้ มาวางตรงหน้า แถมซ้ำยังบอกว่า ให้ผมทำงานต่อไปไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการเก็บกวาด เขาอาสาทำเองจนหมด ผมบอกทางไปแคนทีนให้เขา พลางกล่าวขอบคุณ แล้วส่งยิ้มอย่างจริงใจไปให้

เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นกุมหัวใจ พลางทำหน้าซึ้งชวนฝัน

“โอ๊ย ใจละลายหมดแล้ว เรียวยิ้มหวานๆให้ผมก็เป็นด้วย”

 เขาทำท่าเต้นระบำปลายเท้าแบบนักบัลเล่ต์ หมุนตัวไปมา ผมหุบยิ้ม แล้วบอกให้เขาจัดการเอาของไปทิ้งได้แล้ว เขาหันมาโค้งให้ผม แล้วก็รีบเก็บข้าวของ ก่อนจะเปิดประตูออกไปทิ้งขยะ

ผมส่ายหัวให้กับความทะลึ่งทะเล้นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองเบาๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ผมเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้าง ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่นานนัก เดียร์ก็เข้ามา เขาเห็นผมนั่งทำงานอยู่ ก็เลยย่องเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าเบาๆ แล้วไปนั่งเงียบๆอยู่ที่โซฟารับแขกในห้องทำงานของผม จากหางตาของผม เห็นเดียร์รื้อหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟามาอ่าน พลิกไปได้สองหน้า ก็ปิดมันลง ทำหน้าย่นกองหนังสือเหล่านั้น ผมนึกขำที่เขาไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับพวกประกันมาอ่าน คงจะมีข้อมูลที่ตัวเองไม่รู้เรื่องก็เลยไม่อยากจะให้ความสนใจต่อไป


ผมสะดุ้ง เมื่อเห็นเดียร์หันมามองผม เขาจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นต่อไปไม่ไหว

“มองอะไร”

“ถามได้ ก็มองเรียวน่ะสิ ตอนคุณทำงาน ดูเคร่งขรึมเอางานเอาการดีจัง น่าดูชะมัด”

“พอทีเถอะ ขืนมาจ้องแบบนี้ ฉันไม่เป็นอันทำการทำงานแน่ กลับบ้านไปได้แล้ว ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องส่งหนังสือพิมพ์แต่เช้าไม่ใช่เหรอ”

ผมถือโอกาสไล่เขา เดียร์ทำเสียงสูง โวยวายขึ้นมา

“โห โห อะไรอ่ะ ไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างเลย ทานเสร็จ ก็ขับไสไล่ส่งเฉยเลย จะอยู่ต่อก็ไม่ได้ คนอะไรใจร้ายที่สุด อุตส่าห์เห็นว่ากลับบ้านดึก เลยจะมาอยู่เป็นเพื่อน นอกจากจะไม่ยอมรับรักผมแล้ว ยังไม่เข้าใจถึงความหวังดีของคนอื่นอีก เรียวนี่ ไม่น่ารักเอาเสียเลย โพลสำรวจความชอบส่วนตัวบอกว่า คะแนนความน่ารักของเรียวตกลงมา 1 เปอร์เซ็นต์แล้ว”


ผมหัวเราะก๊ากเมื่อเห็นท่าทางงอนกระเง้ากระงอดนั่น เออหนอ เด็กบ้านี่ นอกเหนือจากขี้อ้อนแล้ว ยังขี้วีนเสียจริง บอกอยู่แหมบๆ ว่าผมน่ารัก ตอนนี้กลับพูดอีกอย่าง เฮ้อ....เจ้าเด็กปิศาจเอ๊ย

“โอ๊ย”

อยู่ๆเขาก็ร้องขึ้นมา ผมหยุดหัวเราะ มองหน้าเขาเหรอหรา สงสัยว่าเด็กหนุ่มเป็นอะไร

“โดนใจจังเลย”

 เด็กหนุ่มบอกผม แต่ผมยังไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี

“ก็เสียงหัวเราะนั่นน่ะ” เขาว่า

“คะแนนความน่ารักกลับมาพุ่งปรี๊ดเหมือนเดิม แถมเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ชอบจังเลย เวลาเรียวหัวเราะหน้าตาสดใสมาก ผมขอเหมาหมดเลยนะ อยากให้เรียวหัวเราะกับผมคนเดียว ไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงหัวเราะ กับรอยยิ้มของเรียวอ่ะ ผมหวง”

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว”

ผมยังไม่หยุดขำ ยอมรับกับตัวเองว่า เจ้าบ้านี่ ทะเล้นได้ใจจริงๆ เขาทำให้ วันอันยุ่งเหยิงของผม มีความสนุกขึ้นมาทันที

“พอเถอะ ฉันไม่ไล่ก็ได้ แต่หัดอยู่เฉยๆซะบ้างนะ คนจะทำงาน มานั่งจ้องจนเสียสมาธิหมดเลย เดี๋ยวก็ยิ่งกลับดึกกว่านี้หรอก”

ผมอนุญาตเด็กหนุ่มให้อยู่เป็นเพื่อนผมได้ เพราะเห็นแก่ความเอาใจใส่ที่เขามีต่อผม อีกอย่างก็รู้สึกดีกว่าการที่จะต้องนั่งอยู่คนเดียวเหงาๆในออฟฟิศ มีเดียร์เป็นเพื่อน ก็ช่วยทำให้รู้สึกอุ่นใจได้บ้าง เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เอามือทำท่าเป็นรูปซิปปิดปาก จากนั้นก็นั่งจ๋องๆอยู่ที่โซฟา ผมหันกลับมาทำงานที่คั่งค้างต่อ ตั้งใจจะรีบทำให้เสร็จก่อนตีหนึ่ง ซึ่งยังเหลือเวลาอีก ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง กับ อีก 4-5 เคส


ผมเพ่งสมาธิไปกับการทำงาน การที่ผมอารมณ์ดี ทำให้หัวสมองแล่นลิ่ว พิจารณาเคสตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงในการอนุมัติใบคำขอทั้งหมดนั่น ซึ่งเร็วกว่า กำหนดเวลาที่คาดไว้ครึ่งชั่วโมง


หลังจากบิดตัวขับไล่ความเมื่อยขบ ผมก็ลุกขึ้นยืน เดินตรงมาที่โซฟา เดียร์หลับไปแล้ว เขานอนเหยียดยาวไปตามแนวของโซฟา ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยยิ้มระบายจางๆ ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงยามหายใจ ผมมองเขานิ่งนาน ก่อนจะเดินกลับไปยังผนังห้องที่กรุด้วยกระจกทั้งหมด ด้านหลังโต๊ะทำงานของผม แล้วมองลงไปเบื้องล่าง รถแล่นผ่านไปผ่านมาบนถนนบางตา เพราะมันเป็นยามวิกาล ฝนก็หยุดตกแล้ว ทิ้งรอยเปียกแฉะให้เห็นในทุกที่ข้างนอกนั่น

เมื่อหันกลับมาอีกที ผมเห็นยามคนเดิมเดินเข้ามาทางประตูหน้าจากกระจกหน้าต่างข้างประตู คงจะมาตรวจตราตามปกติ หลังจากที่ทุกคนกลับกันหมดแล้ว เพื่อดูว่า มีคนลืมเปิดเครื่องทิ้งไว้หรือไม่ หรือมีเหตุการณ์อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการดูแลความปลอดภัยของยามที่เราได้ให้นโยบายไว้ เขาเดินอยู่ที่อีกแผนกหนึ่ง

ผมหันมาเก็บข้าวของบนโต๊ะ หยิบกระเป๋าหนังที่ผมใช้ใส่เอกสารขึ้นมาสะพายเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน จากนั้น เดินมาหยุดที่โซฟา ผมใช้มือเขย่าตัวเด็กหนุ่มเบาๆ เขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ความที่ไม่อยากจะเรียกเขาเสียงดังให้ได้ยินไปถึงยามที่กำลังเดินอยู่ ผมเลยโน้มตัวลงไปใกล้ๆกับใบหน้าของเขา แล้วพูดที่ข้างหู เรียกให้เขากลับบ้านได้แล้ว เดียร์สะดุ้งตกใจตื่นขึ้น เขาพลิกตัว ในขณะที่ผมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ทำให้จมูกและปากของเขาสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มของผมอย่างจัง เดียร์ยิ้มให้ผม ในขณะที่ผมผงะออก

“ไปกันได้แล้ว”

ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา ยืดตัวขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู เปิดมันออก ก็พอดีเจอยามที่ประตู กำลังชะโงกมองผ่านหน้าต่างด้านนอกเข้ามา ผมหน้าชาด้วยความอาย แล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธในความไม่รู้กาลเทศะของยามคนนี้ ดูเหมือนว่า เขากำลังพยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผม คงเป็นเพราะผมกับเดียร์อยู่ในห้องด้วยกันตั้งนาน แถมซ้ำเดียร์ยังแต่งตัวแต่งหน้าซะขนาดนั้น เขาคงจะสงสัยเลยแสร้งทำเป็นเดินมาตรวจตราทางนี้

“รอด้วยสิ”

เสียงเดียร์ดังขึ้นทางเบื้องหลัง เขาสะพายเป้ เดินตามผมมา แล้วเกือบจะคว้าแขนผมไว้ หากไม่เห็นยามที่เบิกตามองมาที่เราทั้งคู่

“มองอะไรอยู่เหรอยาม”

ผมถามเสียงขุ่น

“เอ้อ ดูว่า มีคนอยู่รึเปล่านะครับ”

เขาอึกอัก ท่าทางมีพิรุธ

“จะกลับแล้วล่ะ ตรวจตราข้างในเสร็จ ก็รีบออกไปได้แล้วนะยาม คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

ผมรีบไล่ยามให้กลับไป เพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เขามองผมกับเดียร์ไม่วางตา นึกสังหรณ์ใจว่า ผมกำลังจะพบกับเรื่องยุ่งยากในภายภาคหน้า แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงล่ะก็ ยามคนนี้คงจะมีส่วนด้วยแน่

ยามคนนั้นยังไม่วายที่จะมองมาที่เดียร์ ผมต้องทำหน้าดุๆเข้าใส่ เขาถึงจะยอมหันหลังกลับ นิสัยไม่ดีเลยยามคนนี้ ผมเห็นจะต้องรายงานให้ผู้ใหญ่ทราบแล้ว ว่าแต่ถ้าเขาถามถึงเหตุผลที่ผมไม่พอใจยามคนนี้ล่ะ ผมจะตอบว่าอย่างไรดี ไม่พอใจที่ยามซ่อกแซ่ก เรื่องที่ผมให้เดียร์มาหายังงั้นเหรอ ไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมเท่าไหร่เลย

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #128 เมื่อ02-06-2008 11:51:21 »



“ยามนี่ หน้าตากวนประสาทนะครับ เห็นเขามองผมไม่วางตาตั้งแต่ออกจากลิฟท์มาแล้ว ยิ่งพอรู้ว่าผมมาหาเรียว เขาก็ยิ้มแบบแปลกๆ เหมือนจะเยาะๆ ยังไงไม่รู้ นี่ถ้าไม่ใช่ที่ทำงานของเรียวนะ ผมได้กระชากคอเสื้อมาถามแน่ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

เดียร์พูดอย่างโมโหหลังจากที่เราลงลิฟท์มายังลานจอดรถ และขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อย  เขาคิดเหมือนที่ผมคิดเลยว่าท่าทางเจ้ายามคนนี้ดูแปลกๆ ผมไม่ชอบเลยที่มีคนแบบนี้ในบริษัท ดูเขาไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่เลย แต่ผมจะให้เดียร์รู้ถึงความกังวลของผมไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาว่า

“ดีแล้วล่ะ ที่ไม่พยายามทำตัวเป็นนักเลงโตที่นี่”

“ใครจะกล้าทำให้เรียวลำบากใจได้ล่ะครับ ผมแค่ไม่ชอบหน้าเขา แล้วก็ห่วงเรียวด้วย กลัวว่าเรียวจะเดือดร้อนในภายหลังนะครับ”

ผมสบตาเด็กหนุ่ม เห็นแววตาจริงใจอยู่ในนั้น ผมเบือนหน้าหนี แล้วพูดว่า

“งั้นก็เลิกตามฉันไปตลอดเวลาสิ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฉันจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยาก”

“ขอโทษทีครับ ที่รบกวนวุ่นวาย ทำให้ลำบากใจอยู่ตลอดเวลา”

เขาทำเสียงเศร้าๆ จนผมอดที่จะหันไปมองดูหน้าเขาไม่ได้ แล้วก็ได้เห็นหน้าหล่อเหลานั้นหม่นหมองลง ผมรู้สึกหวั่นไหวในใจ ที่ได้พูดจาทำร้ายเขาอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันไปส่งนายถึงบ้านแล้วกัน”

ผมบอกเด็กหนุ่ม ตั้งใจจะทำดีชดเชยคำพูดของตัวเอง และขอบคุณความมีน้ำใจของเด็กหนุ่มไปด้วยในตัว

“จะดีหรือครับ เดี๋ยวเรียวจะกลับถึงบ้านดึกนะ”

“ไม่เป็นไร นายอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนฉันนี่ ฉันก็จะตอบแทนด้วยการไปส่งนายถึงบ้านเหมือนกัน นายคอยบอกฉันแล้วกัน ว่าบ้านนายอยู่ตรงไหน”
   
“เรียวนี่ ใจดีจริงๆเลยนะครับ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมทั้งรัก ทั้งหลงคุณได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มกล่าวชื่นชมผม ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมล้นด้วยความรัก ผมรีบเบือนหน้าหนีแล้วขับรถออกจากบริษัทมุ่งหน้าตรงไปยังถนนสีลม ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ซอยวัดแขกซึ่งเป็นบ้านที่เด็กหนุ่มเช่าอยู่ เราต่างคนต่างไม่พูดอะไรกัน แต่ผมรู้ว่า เดียร์นั่งมองหน้าผมอยู่เกือบตลอดเวลา


พอถึงซอยข้างวัดแขก เด็กหนุ่มก็บอกให้ผมจอด เขาไม่ได้ให้ผมไปส่งถึงบ้าน เพราะไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เดียร์บอกกับผมว่าเขาเดินเข้าไปเองได้ เพราะไม่ไกลมากนัก ผมเห็นว่า ก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ใช่ว่าอยากจะไปรู้จักบ้านของเขา จึงหยุดรถให้เขาลง ตามที่บอก แต่เดียร์ไม่ยอมลงไปสักที นั่งจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น

“ทำไมยังไม่ลงไปอีกล่ะ มีอะไรเหรอ” ผมถามเขา

“ยังไม่ได้ทำสิ่งสำคัญเลย” เดียร์ตอบ

“อะไร”

ผมชักงง เจ้านี่ จะอยากได้อะไรจากผมอีก เดียร์ไม่ตอบ แต่ยื่นหน้าเข้ามาหา หลับตาพริ้ม และทำปากเป็นท่าจูจุ๊บ ผมผงะ นึกเดาได้ลางๆว่าเขาต้องการให้ผมทำอะไร เดียร์ลืมตาขึ้นมองผม ข้างหนึ่ง แล้วใช้นิ้วชี้บุ้ยใบ้มาที่ปากของตัวเอง เมื่อเห็นผมยังเฉยไม่ทำตาม เขาก็ลืมตาอีกข้างขึ้นมา แล้วทำท่าอ้อน

“จะไม่จูบราตรีสวัสดิ์ แบบที่คู่รักทั่วไปเขาทำกันหน่อยเหรอครับ”

“บ้าสิ ไม่เอาด้วยหรอก”

ผมปฏิเสธ ทำท่าอี๋ๆ ใส่เขา

“งั้นเอาแค่หอมก็ได้ นะนะนะ”

เด็กหนุ่มยังไม่ละความพยายาม เขาทำแก้มตุ่ย แล้วเอียงแก้มมาทางผม แต่ผมส่ายหน้า

“งั้นกอดหน่อยก็ยังดี”

เขากางสองมือออกกว้าง แล้วโน้มตัวมาทางผม ทำให้ผมต้องเอียงตัวหนีการกอดของเขา จนไปชิดหน้าต่างรถ เด็กหนุ่มเห็นผมทำอาการแบบนั้น ก็คอตก มือตก หน้าตาจืดจ๋อยด้วยความผิดหวังที่ผมไม่เล่นด้วย เขากล่าวขอบคุณผม หยิบสัมภาระของตัวเอง แล้วก็เปิดประตูรถออกไปอย่างเงื่องหงอย พลางพึมพำเบาๆแต่ให้ผมได้ยินว่า “ใจร้าย”


ยังไม่ทันที่ผมจะเคลื่อนรถออกไปจากที่นั่น      เดียร์ก็เดินอย่างรวดเร็ว มาที่ด้านข้างคนขับ แล้วเคาะกระจก พลางทำไม้ทำมือ ให้ผมลดกระจกลงเพื่อคุยกับเขา ผมกดปุ่มให้กระจกไฟฟ้ามันเลื่อนลง แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงดุๆว่ามีอะไร เด็กหนุ่ม บอกกับผมว่า เขามีบางอย่างจะคุยกับผม เดียร์เดินเข้ามาจนชิดหน้าต่างรถ มองหน้าผม และแล้วด้วยความรวดเร็ว เด็กหนุ่มก็โอบแขนไปรอบคอของผม ก้มหน้าลงแนบชิด แล้วจูบที่ปากของผม ผมอ้าปากจะร้องทัดทาน แต่เดียร์กลับแทรกลิ้นนุ่มๆอุ่นๆของเขาเข้ามา เดียร์มอบจูบที่อ่อนหวานและเร่าร้อนให้กับผม


เขาจูบผมเนิ่นนาน กว่าจะผละออก ผมมีความรู้สึกว่าปากตัวเองเจ่อ จากการจูบของเขา เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้นให้กับผม ผมขยับจะต่อว่าเขา แต่เด็กหนุ่มชิงพูดตัดหน้า

“ถือว่าเป็นรางวัลที่ผมทำดีกับเรียววันนี้นะครับ อย่าคิดว่าเป็นการผิดสัญญากันเลยนะยอดรักของผม”

พูดจบเด็กหนุ่มก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยู่รอให้ผมพูดว่าเขา ผมใช้หลังมือเช็ดปาก มองตามร่างที่เห็นหลังไว ไว นั้นอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้าน ผมถึงบ้านเกือบตีสอง หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังเตรียมจะเข้านอน เจ้าสันต์ก็โทรเข้ามา มันบอกกับผมว่า มันเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวกับน้องแซ่บ แล้วก็ไปร้านกาแฟที่เพื่อนของเด็กหนุ่มคนนั้นทำงานด้วย แต่ไม่เจอตัว เพราะว่าวันนี้ ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นขอลาหยุดงาน เนื่องจากมีธุระ มันบ่นด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นตัวตนของคนที่มันกำลังสงสัยอยู่ ผมหัวเราะเยาะเย้ยมันที่ ความพยายามเป็นนักสืบของมันไม่สัมฤทธิ์ผล มันตอบกลับผมมาอย่างเคืองๆ ว่ามันจะต้องสืบให้รู้ให้ได้ เจ้าสันต์ทำท่าจะพร่ำเพ้อต่อถึงเด็กแซ่บของมัน แต่ผมขอตัวนอนก่อน เพราะเริ่มรู้สึกง่วงเต็มที่แล้ว


วันรุ่งขึ้น ผมตื่นเกือบแปดโมง ด้วยความที่เพลียมาก แต่เนื่องจากเมื่อคืนผมทำงานดึก ทำให้ผมสามารถที่จะเข้าสายได้ ตามระเบียบการยืดหยุ่นในเรื่องเวลาทำงาน ผมอาบน้ำแต่งตัว อยู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดของเดียร์ขึ้นมาได้ ผมเดินไปที่โต๊ะที่วางแหวนไว้ มันยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยหยิบมันขึ้นมาดู ผมหมุนวงแหวนไปมา แล้วหงายดูข้อความข้างใน

“มาย เดียร์”

ผมหัวเราะในใจ เจ้าเด็กนั่นจะให้ผมใส่แหวนนี้ไปตลอดเหรอ คำๆนี้ มันหมายถึง ผมเป็นมายเดียร์ของเขา หรือว่าตัวเขาน่ะ มันเป็นของผมกันแน่ เขาอยากจะสื่อถึงผมแบบนี้หรือเปล่าบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร ถึงทำให้ผมหยิบแหวนนั้นขึ้นมาสวมใส่ที่นิ้วนางข้างซ้าย จากนั้นก็ออกจากห้องลงไปข้างล่าง เปิดประตูออกไปที่รั้วบ้าน เหมือนเช่นเคย เดียร์เอาหนังสือพิมพ์และถุงใส่โจ๊กและน้ำเต้าหู้มาให้ผมโดยแขวนที่รั้วด้านหน้า


ผมอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว พลางนึกสงสัยว่า ร่างกายของเจ้าเด็กนี่ ทำขึ้นมาจากอะไรหนอ ดูเขาช่างแข็งแรง และสุขภาพดีจัง ขนาดกลับบ้านเอาซะดึกขนาดนั้น ยังสามารถตื่นแต่เช้า มาส่งหนังสือพิมพ์และโจ๊กให้ผมได้อีก ผมหยิบของทั้งหมดเข้าบ้าน เดินเข้าครัว แล้วลงมือจัดการกับโจ๊กที่เดียร์ซื้อมาให้ อร่อยใช้ได้ทีเดียว ผมล้างถ้วยล้างชาม เอาข้าวให้เจ้าหญิง เสร็จแล้วก็ออกจากบ้าน


ตลอดทั้งวันผมเผชิญกับงานหนักอีกเช่นเคย มีงานกองให้ผมอีกตั้งแต่เช้า ผมค่อยๆใช้เวลาสะสางงานไปเรื่อยๆ มีโทรศัพท์เข้ามาหาบ้างประปราย ไม่มีอะไรให้หนักใจ จนกระทั่งถึงเที่ยง ผมก็ลงไปกินข้าว แต่ไม่ได้ไปที่ร้านป้า กลับชวนเจ้าสันต์ไปกินใกล้ๆกัน เพราะผมรีบ เจ้าสันต์ไม่ยอมไป เพราะมันนัดกับเด็กที่ชื่อแซ่บเอาไว้ ผมเลยต้องไปทานคนเดียว แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะเจ้าสันต์ชอบอ้อยอิ่งอยู่ในร้านอาหาร คุยนั่น เม้าท์นี่ ตามสไตล์ ช่วงนี้ผมมีงานเยอะมาก ไม่อยากจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ โชคดี ที่ตอนบ่าย ไม่ค่อยมีอะไรมากวนใจ เจ้าสันต์ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการประชุมของมัน  ผมจึงไม่ต้องรับฟังคำพร่ำเพ้อถึงน้องแซ่บ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น


ผมกลับบ้านดึกตามเคย ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรง งานของผม ไม่ได้เป็นงานแบก งานหามก็จริง แต่การที่ต้องใช้สมองคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ทำเอาผมล้าได้เหมือนกันพออาบน้ำทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอน แล้วก็หลับไปทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อน


เช้าวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมตื่นไปทำงานแต่เช้า ตั้งใจจะลุยงานแบบม้วนเดียวจบ ไม่กลับบ้านดึก หากทำงานไม่เสร็จ ก็กะจะหอบเอามาทำงานที่บ้านในวันเสาร์ วันนี้ผมไม่ลงไปกินข้าว เพราะงานค่อนข้างเยอะมาก เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ตัวแทนก็เลยรีบส่งงานเข้ามา เพราะกลัวว่า ถ้าติดเสาร์อาทิตย์ จะทำให้งานที่ตัวเองขายมาได้ ถูกพิจารณาออกไปอย่างล่าช้า


บรรดาลูกน้องของผม ต่างทำงานกันหัวฟู ผมเลยตัดสินใจบอกเจ้าสันต์ว่าผมไม่ลงไปทานข้าวด้วย เพราะผมจะทานกับลูกน้องบนที่ทำงาน ผมโทรสั่งอาหารจากร้านคุณป้า มาเลี้ยงพวกเด็กๆในฝ่าย โดยสั่งไปตั้งแต่ตอน 10 โมงกว่า พอใกล้เที่ยง พนักงานที่ร้านก็นำอาหารมาส่ง


ผมสั่ง ข้าวหมูทอดกระเทียม และไข่เจียว ด้วยความที่อยากกินอะไรที่ง่ายๆไวๆ แต่ผมกลับได้ ไข่เจียวแหนม และ ต้มฟักกับขาไก่ และผัดผักรวมมิตร มาเป็นของแถม โดยที่ผมยังจ่ายเงินในราคาเท่าเดิม มันทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของเจ้าสันต์ขึ้นมา เลยตั้งใจไว้ว่า หากงานของผมยุ่งน้อยกว่านี้เมื่อไหร่ ผมจะไปร่วมขบวนการสืบค้นเรื่องนี้กับเจ้าสันต์อย่างเต็มตัว เพราะผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันนะ ที่ใจดี กับผมแบบนี้


หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมหอบงานกลับมาทำที่บ้าน เพราะวันนี้ผมออกจากออฟฟิศตามเวลาเลิกปกติ แต่กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ทุ่มหนึ่งจนได้ เพราะรถติดมาก เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน คนจึงออกเที่ยวกัน แม้กระทั่งเจ้าสันต์ก็ชวนผมให้ไปเที่ยวกับมันด้วย ผมปฏิเสธ มันก็ทำท่างอนนิดหน่อย แต่ก็ไม่พูดว่าอะไร ช่วงนี้มันกำลังอินเลิฟกับน้องแซ่บอยู่ ท่าทางมันจะเอาจริงเอาจัง มากกว่าคนอื่น แม้กระทั่ง แดนนี่ กับ แมน ซึ่งมันคลั่งไคล้ในตอนแรก ตอนนี้มันกลับไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง


ผมคลานขึ้นเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากทำภารกิจต่างๆ รวมทั้งเล่นกับเจ้าหญิง (เพื่อให้มันหายเหงาบ้าง) เรียบร้อยแล้ว ผมหลับเป็นตาย ไม่มีแม้แต่ความฝันมารบกวนการนอนของผม ความที่ผมล้ากับการทำงาน บวกกับวันต่อมาเป็นวันหยุด แล้วผมไม่ต้องออกไปเที่ยวที่ไหน ทำให้ผมสามารถนอนได้เต็มอิ่ม

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #129 เมื่อ03-06-2008 11:51:02 »

พี่เรียวใจแข็งโค่ดๆ   :seng2ped:
น้องเดียร์   :m29: เหนื่อยหน่อยนะ
เดียร์สู้ๆ   :a2:
ร๊ากกกกกน้องเดียร์   :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
« ตอบ #129 เมื่อ: 03-06-2008 11:51:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ watermoonj

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-1
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #130 เมื่อ19-09-2008 16:01:59 »

เรื่องนี้ชอบมากที่สุดเลย กำลังตามอ่านที่อื่นพอดี ชอบผลงานของคุณเคททุกเรื่องเลย แต่งดีมากๆ +++:oni2:

มีตั้งสามภาคแน่ะ ออกหนังสือครบสามเล่มเมื่อไหร่คงได้อุดหนุนทีเดียว

คุณคนโพสต์ "ที่รักของ..." ใจดีจังเอามาเผื่อให้อ่านที่นี่ด้วย  :pig4:

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #131 เมื่อ07-11-2008 20:00:40 »

 :serius2:   อยากอ่านเรื่องนี้ต่อจังเลย    :m13: :m13:

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #132 เมื่อ09-12-2008 18:03:02 »

เรื่องนี้แต่งเสร็จแล้วครบทั้งสามภาคค่ะ แต่ว่ายังไม่มีเวลามาโพสต์ต่อเลยค่ะ เพราะกำลังจัดการกับนิยายที่ดองๆค้างๆไว้หลังคอมเจ๊งค่ะ ไม่ทราบว่าจะมีใครใจดีช่วยโพสต์ให้ได้หรือเปล่า .....

ออฟไลน์ มาโซซายตี้

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-2
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #133 เมื่อ09-12-2008 20:08:35 »

ชอบพี่เรียวมากๆเลย
เริ่มจะหวั่นไหวนิดๆแล้ว

SuMoDevil มาโพสต์ต่อสิคะ

 :pig4:

 ขอบคุณคุณเคทค่ะ
:L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2008 20:34:31 โดย Y-IN-SOUL »

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #134 เมื่อ11-12-2008 12:51:47 »

 :z1:

ออฟไลน์ Ugly-TheBeast

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #135 เมื่อ13-12-2008 01:55:36 »

อย่าหายไปนานนะค๊าบ
คิดถึง

ออฟไลน์ bluesky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #136 เมื่อ13-12-2008 02:21:40 »


    ดีจังที่ได้อ่านเรื่องนี้อีก.....

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #137 เมื่อ13-12-2008 10:46:01 »

  :3123: ให้คุณเคท

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #138 เมื่อ14-12-2008 15:09:39 »

เรื่องนี้มอบให้คุณไต๋ โพสต์ต่อแล้วนะคะ คุณไต๋ยินดีโพสต์ให้ ต้องขอบคุณคุณไต๋มากจริงๆค่ะ ช่วงนี้พี่เคทวุ่นๆ นิยายหลายต่อหลายเรื่องไม่ได้มาต่อ หากมีคนช่วยโพสต์ให้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #139 เมื่อ15-12-2008 12:49:40 »

 :o8:ยินดีฮ่ะ แต่ยังเข้าเวปไม่ได้เลยดิ :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
« ตอบ #139 เมื่อ: 15-12-2008 12:49:40 »





katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #140 เมื่อ15-12-2008 16:52:30 »

:o8:ยินดีฮ่ะ แต่ยังเข้าเวปไม่ได้เลยดิ :sad4:

พี่เคทตอบน้องไต๋ไปแล้วเน้อ ถ้าสมัครไม่ได้ ก็สมัครผ่านพี่เคทได้เลยค่ะ ช่วงนี้ การสมัครอัตโนมัติ จะมีปัญหานิดหน่อย ต้องสมัครผ่านพี่เคทอย่างเดียวค่ะ

ออฟไลน์ saseum

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #141 เมื่อ15-12-2008 17:01:57 »

ชอบเรื่องนี้มากๆ (ไปอ่านที่อื่นมา) กว่าจะเก็บได้ครบตาลายมากมาย

เดี๋ยวจะมาอ่านที่นี่อีกรอบ ชอบอ่ะ อ่านกี่ทีก็สนุก

น่าสงสารเดียร์มากๆ พี่เรียวใจร้ายมากมาย

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #142 เมื่อ15-12-2008 17:19:08 »

ชอบเรื่องนี้มากๆ (ไปอ่านที่อื่นมา) กว่าจะเก็บได้ครบตาลายมากมาย

เดี๋ยวจะมาอ่านที่นี่อีกรอบ ชอบอ่ะ อ่านกี่ทีก็สนุก

น่าสงสารเดียร์มากๆ พี่เรียวใจร้ายมากมาย

ขอบคุณมากๆค่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #143 เมื่อ15-12-2008 18:00:51 »

บทที่ 9 ภาคที่ 2






เกือบเที่ยงวัน กว่าที่ผมจะลุกออกมาจากที่นอน รู้สึกมึนหัวตึ้บ และปวดเมื่อยตามร่างกาย ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำ แล้วเปิดน้ำอุ่นลงในอ่าง กะว่าจะแช่น้ำให้รู้สึกผ่อนคลายเสียหน่อย ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าสันต์นั่นเอง มันทำน้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรนมาตามสาย


“เฮ้ยช่วยฉันหน่อยสิ ฉันแย่แล้ว”

“อะไรวะ” ผมถามมันอย่างงงๆ

“ก็เมื่อวานนี้ฉันพาแซ่บไปเที่ยว ซอยสอง แล้วเจอเข้ากับแดนนี่ กับแมนอ่ะ”

“รถไฟชนกันเหรอ”


ผมหัวเราะอย่างขำๆ


“นี่ไม่ใช่เวลามาตลกนะ ฉันซีเรียสโว้ย นี่แซ่บก็งอนฉันไปแล้ว เพราะแดนนี่ กับแมน เกาะฉันติดไม่ยอมปล่อยเลย นี่นายมาช่วยฉันหน่อยสิ”


เจ้าสันต์ขอร้องให้ผมช่วย แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากเอาตัวไปวุ่นวายกับพวกเกย์อีกแล้ว


“เรื่องอะไรวะ เรียนผูก แล้วก็ต้องเรียนแก้ด้วยตนเองสิ จะดึงฉันไปยุ่งด้วยทำไม”

“นี่หรือวะ เพื่อนกัน ไม่ช่วยกันบ้างเลย” มันต่อว่าผม

“อุวะ แล้วจะให้ฉันช่วยแกยังไงอ่ะ ฉันไม่ใช่พวกเกย์สักหน่อย จะได้รู้วิธีปลอบประโลมเกย์ได้ ก็ไหนแกบอกว่า เป็นนักจัดการที่ดียังไงล่ะ” ผมย้อนมัน

“แหมก็แค่ช่วยพูดให้น้องแซ่บเข้าใจหน่อยสิ”

“แล้วแกล่ะ จะทำอะไร”


ผมถามมัน คำตอบที่ได้คือ


“ฉันก็จะไปพูดกับแดนนี่ และเจ้าแมนอ่ะ คงต้องไปเอาใจพวกเขาหน่อย จะได้ไม่คิดมาก”


ดูมันทำสิ มันน่าช่วยไหมล่ะ ผมคิดในใจ ไอ้บ้านี่ โลภมากเสียจริง พอมันเห็นผมเงียบไป มันก็เลยพูดขึ้นมา อย่างกับว่าเดาใจผมออก


“มันรักพี่เสียดายน้องว่ะ น้องแซ่บก็น่ารัก ฉันยังไม่เคยมีอะไรกับเขาเลยนะ แค่ไปเที่ยวด้วยกัน แต่ฉันก็รู้สึกอยากทะนุถนอมเขามากกว่า แต่แดนนี่ กับแมน เป็นคนที่มีอะไรด้วย แล้ว สนุกที่สุดเลย เพราะทั้งคู่เชี่ยวชาญในสนามรบเป็นอย่างดี จะทิ้งไปก็เสียดายอ่ะ เลยจำเป็นต้องรักษาไมตรีไว้ก่อน”


“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน

“ทำงานอยู่บริษัทประกัน รู้อยู่แล้วว่าพฤติกรรมแบบนี้มันค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ระวังจะติดเอดส์ หรือไม่ ก็ถูก
ฆ่าตายด้วยสาเหตุชิงรักหักสวาทนะโว้ย”


ผมเตือนมันด้วยความหวังดี เจ้าสันต์แหกปากโวยวายมาตามสาย


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #144 เมื่อ15-12-2008 18:57:36 »

มาให้กำลังใจนักโพสต์มือใหม่  :กอด1:

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #145 เมื่อ15-12-2008 19:56:06 »

มาขอบคุณน้องไต๋ด้วยคนค่ะ น้องไต๋สู้ๆนะคะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #146 เมื่อ15-12-2008 21:04:38 »

 :sad4:เน็ตตายรอสักครู่เด่ยวมาต่อนะ
 :3123:ขอคุณนะค่าาาาาา
สำหรับกำลังใจ

+1 ให้คนน่ารักที่ให้กำลังใจ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #147 เมื่อ15-12-2008 22:02:33 »

มาเพิ่มตอนที่9 ภาค2
-----------------------
“อ้าว ไอ้เวรนี่ ให้พร ตอนแดดเปรี้ยงแบบนี้เลยเหรอ เออถ้าฉันตาย จะเป็นผีมาบีบคอแก”


ผมหัวเราะขำมัน ที่ทำตัวโวยวายไร้สติ ใจหนึ่งก็อยากจะแกล้งให้มันจัดการด้วยตัวเอง แต่ อีกใจหนึ่งก็สงสาร เพราะความที่เป็นเพื่อนกันมานาน ทำให้ผมเมินเฉยต่อมันไม่ได้


“แล้วจะให้ฉันไปพูดกับน้องแซ่บว่าไงดีล่ะ บอกว่า อย่าโวยวายไปเลย รักพี่สันต์ต้องอดทน ถึงพี่เขาจะเจ้าชู้ มั่วไม่เลือก แต่เขาก็รักน้องคนเดียว อย่างนี้ใช้ได้ไหมวะ”


ผมแกล้งพูดเพื่อยั่วมัน


“ถ้าช่วยพูดแบบนี้ ก็อย่าเลยดีกว่า ไอ้บ้า ทำไมไม่พูดล่ะ ว่าเป็นเรื่องเข้าใจกันผิดกัน จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย ฉันน่ะ รักน้องแซ่บคนเดียวเท่านั้น”


มันโวยวาย แต่จากน้ำเสียงของมัน ดูสงบลงกว่าเมื่อครู่ มันคงรู้ว่า ยังงั๊ย ยังไง ผมก็ต้องช่วยเหลือมันอยู่วันยังค่ำ


“เออ จะพูดให้แล้วกัน มีอะไรอีกหรือเปล่าวะ ฉันจะอาบน้ำ ป่านนี้น้ำล้นอ่างแล้ว”


ผมตัดบท อยากจะลงไปแช่น้ำอุ่นเต็มแก่ มันบอกไม่มี ผมจึงไล่ให้มันวางหูไป จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปแช่น้ำอุ่นอย่างสบายตัว เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมอยู่ในนั้น ร่างกายของผมผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า รู้สึกสดชื่นขึ้น



หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็ลงไปข้างล่าง เปิดประตูบ้าน เจ้าหญิงวิ่งกระดิกหางมาหาผม ผมเล่นกับมัน ลูบหัวลูบหางด้วยความรักใคร่ ผมได้เจ้าหญิงมาจากอรจิรา เป็นเรื่องตลกมาก เพราะอรจิราทำท่าว่ารักสัตว์ ผมก็เลยซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด แต่อรจิราเลี้ยงได้แค่ สองวันก็เอากลับคืนมาให้ผม เธอบอกว่า เจ้าหญิงไม่ค่อยชอบเธอ คอยกัดเธอตลอดเวลา ผมเลยคิดว่า อาจจะเป็นเพราะคนรักเก่าของผม ไม่มีความรักให้กับสัตว์เลี้ยง จึงไม่อดทนพอที่จะดูแลเอาใจใส่มัน เพราะแค่การเอาไปเลี้ยงสองวันยังไม่ทันได้สร้างความคุ้นเคยให้แก่กันเลย เธอก็เอามาคืนผมแล้ว




ผมเลยต้องรับภาระเลี้ยงดูเจ้าหญิง ตั้งแต่มันตัวเล็กๆ จนเดี๋ยวนี้มันตัวใหญ่ขึ้นมาก แรกๆ ผมพอจะเล่นกับเจ้าหญิงคลุกคลีกับมันตลอด แต่มาระยะหลัง ผมไม่ค่อยมีเวลาให้กับเจ้าหญิงสักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องทำงานตลอด แถมซ้ำยังอกหักจากเจ้าของเดิมของมัน ทำให้ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสิงสถิตอยู่ตามผับตามบาร์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพิ่งจะมีช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้แหละที่ผมได้มีโอกาส เล่นกับมันได้นานหน่อย เพราะผมตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกเที่ยวเตร่ทำชีวิตไร้สาระเหมือนเดิม



เมื่อเราอกหัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำชีวิตของตนเองให้ตกต่ำนี่นา ที่ผ่านมา ผมเสียเวลาไปกับการคร่ำครวญหวนไห้ สำหรับคนๆหนึ่งที่เขาไม่รักเราอีกต่อไป เพราะเราไม่สามารถทำชีวิตของเขาให้ดีขึ้น ผมเจ็บปวด แต่ผมก็ปฏิญาณตนว่า ผมจะไม่ทำร้ายตนเองอีกต่อไป การทำงานอย่างหนัก เป็นวิธีหนึ่งที่จะเยียวยารักษาแผลใจของผมได้ หัวใจของผม มันด้านชากับความรัก และไม่อยากจะมีใครเข้ามาอีกในตอนนี้

เจ้าหญิง งับที่ขากางเกงขาสั้นแค่เข่าของผม แล้วดึงให้ไปยังหน้าบ้าน ผมเดินตาม เจ้าเพื่อนยากของผมไป พอถึงรั้วบ้าน เจ้าหญิงก็ส่งเสียงเห่า แล้วกระโดดโลดเต้น ตาของมันมองไปที่หนังสือพิมพ์ แล้วถุงพลาสติกใส่อาหารเช้าที่รั้วหน้าบ้าน ผมหยิบทั้งหมดมาถือไว้ ยิ้มให้กับตัวเอง แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าหญิงด้วย พลางพูดกับมันว่า


“เจ้าหญิงชอบคนส่งหนังสือพิมพ์ไหม เด็กบ้านั่น ใจดีจังนะ เวลาเขามา เจ้าหญิงต้องทำตัวดีๆกับเขานะ อย่าไปเห่าเขา รู้ไหม”


เจ้าหญิงมองผมตาแป๋ว กระดิกหางไปมา ทำท่าเหมือนเข้าอกเข้าใจ ผมลูบหัวมันเบาๆ แล้วก็พามันเดินเข้าบ้าน



เดียร์ซื้อข้าวผัดมาฝากผม แต่เนื่องจากว่า ผมนอนตื่นสายไปหน่อย ทำให้ของที่ซื้อมา เริ่มจะเย็นชืดไม่น่าทาน ผมจึงเอาเข้าไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ แล้วก็ขึ้นไปหอบงาน ลงมานั่งทำข้างล่าง หลังจากที่จัดการกับข้าวผัดที่เดียร์ซื้อมาให้แล้ว ผมจึงเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้างไว้



เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ผมบิดตัวซ้ายที ขวาที เพื่อให้ความเมื่อยล้ามลายหายไป ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เพราะหลังอาหารเช้าที่กินตอนเที่ยงแล้ว ผมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ด้วยความหิวโซ จึงเดินไปเปิดตู้เย็นหาของมาทำกิน แต่ตู้เย็นก็ว่างเปล่า มีแต่น้ำ เท่านั้น



ผมรื้อค้นในชั้นเก็บของ เจอมาม่า ที่ตุนไว้ กล่องหนึ่ง ก็เลย หยิบเอามาสองห่อ ใส่ชาม แล้วเอาน้ำร้อนจากกาต้ม รินใส่ลงไป เฮ้อ ชีวิตคนโสดนี่ช่างน่าเศร้าหมองเสียจริง ถ้าผมมีโอกาสแต่งงาน มีภรรยาที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ชีวิตผมคงจะมีความสุข ท้องไส้คงจะอิ่มเต็มที่ ไม่ต้องมาแขวนท้องรอ หรือกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังความหิวเป็นแน่



ผมนั่งดูทีวีคนเดียวอย่างหงอยเหงา มีเจ้าหญิง นอนหมอบอยู่แทบเท้า รายการทีวี ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ส่วนใหญ่ก็เป็นละครน้ำเน่า ผมรู้สึกว่า เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไป มันช่างเต็มไปด้วยความหดหู่ เสียเหลือเกิน ผมปรารถนาให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อยากจะมีใครสักคน มาอยู่เป็นเพื่อนกับผม ในบ้านหลังนี้ พูดคุย หยอกล้อกันเล่น ดูหนังที่โซฟาตัวเดียวกัน เล่นกับเจ้าหญิงด้วยกัน แล้วก็นอนหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน แต่คนที่ผมอยากให้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาอยู่ที่ไหนกันหนอ



ในที่สุดผมก็ไม่อาจจะฝืนดูทีวีต่อไปได้ ผมกดรีโมทปิดเครื่อง จากนั้นก็ขึ้นไปยังห้องนอน พลิกตัวไปมาหลายตลบ กว่าที่ผมจะหลับตาลงได้ ผมฝันในคืนนั้น เป็นฝันที่แสนประหลาด ฝันว่าตนเอง อยู่ในงานแต่งงานของคนที่รู้จัก เป็นงานแต่งงานที่ใหญ่โตมาก มีเพื่อนๆ ในออฟฟิศ และเพื่อนๆที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมมากมาย แต่ละคนแต่งตัวสวยงาม เจ้าบ่าว เจ้าสาว กำลังยืนอยู่บนเวที



ในฝันนั้น ผมเดินตรงไปยังเวที เหมือนถูกมนต์สะกด ยิ่งใกล้เข้าไ ปรูปร่างของผู้ที่เป็นเจ้าบ่าว ก็ยิ่งดูคุ้นตา ร่างสูงใหญ่ดูสง่างามอยู่ในชุดสูทสีขาว ตัดกับผิวสีน้ำตาลทอง ใบหน้าคมเข้ม ผมหยิกสลวยเป็นลอนคลื่นถูกหวีเรียบแปร้ เผยใบหน้าหล่อเหลาให้ดูชัดเจนขึ้น


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #148 เมื่อ15-12-2008 22:04:20 »

น่าแปลกที่เจ้าสาวที่อยู่บนเวที ไม่ได้ใส่ชุดราตรี เหมือนเจ้าสาวทั่วไป แต่กลับใส่สูท นุ่งกางเกงสีขาวเหมือนกัน ผิวของเจ้าสาว ขาวจนเกือบจะกลืนไปกับเสื้อผ้าที่ใส่ แต่กระนั้น ตั้งแต่คอ จนถึงใบหน้าที่โผล่พ้นเสื้อขึ้นไป กลับเป็นสีชมพูด้วยเลือดที่มาฉีดเลี้ยง ท่าทางเจ้าสาวคงจะตื่นเต้นดีใจกับงานวันนี้มาก
ผมยิ้ม รู้สึกเป็นสุขไปกับคนทั้งคู่ด้วย อยากให้ตัวเองได้มีโอกาสจัดงานอย่างนี้บ้างจัง มีบางอย่างบอกผมให้เดินใกล้เข้าไปอีก ผมเห็นหน้าเจ้าบ่าว แล้ว และอยากจะเห็นหน้าเจ้าสาวบนเวทีบ้าง เธอจะสวยน่ารักแค่ไหนหนอ



เสียงโฆษกพูดเชียร์ให้เจ้าบ่าว เจ้าสาว จูบกันบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือ เป่าปาก เปี๊ยวป๊าว เจ้าบ่าว ยิ้มแก้มแทบปริ ในขณะที่เจ้าสาว ก้มหน้างุดๆ และแล้ววินาทีอันสำคัญก็มาถึง เจ้าบ่าวร่างสูง กางมือออก แล้ว ตะกองกอดคนรักไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ก้มลงจูบเจ้าสาว ที่เงยหน้าขึ้นไปรับจูบพอดี ทั้งคู่แลกจูบกันอย่างแสนหวาน ท่ามกลางเสียงฮือฮา ด้วยความชื่นชม คู่สมรส คู่ใหม่ จากแขกเหรื่อญาติมิตร



อึดใจหนึ่ง เจ้าบ่าว ก็ถอนริมฝีปากออก แล้วหันมาทางแขกที่อยู่ในงาน สายตาของเขา ประทะเข้ากับดวงตาของผม ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่พอดี เขายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอ่อนหวาน ผมตกตะลึง เมื่อมีโอกาสเพ่งพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน


“นายเดียร์”



ผมอุทานในความฝันด้วยความแปลกใจ และแล้วเจ้าสาวผู้ใส่สูทขาว แทนชุดแต่งงาน ก็หันหน้ามาทางผมพอดี ผมผงะ คราวนี้เกิดจากความตกใจสุดขีด เจ้าสาวที่หันมาทางผม เขามีใบหน้าที่คุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว คาง ปากแก้ม ทุกอย่างผมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะผมเห็นทุกวันตอนเช้า เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า หรือเวลาที่แต่งตัวในห้อง มันเป็นใบหน้าของผมเอง



เจ้าสาวที่หน้าตาเหมือนผม กำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่มีความสุขอย่างที่สุด เธอผละจากเจ้าบ่าวของเธอแล้วเดินลงเวทีมาหาผม ซึ่งถอยหลังกรูด เธอก้าวเร็วๆจากนั้นก็คว้าข้อมือผม แล้วจึงขึ้นเวทีอย่างบังคับนิดๆ จนกระทั่งผมไปยืนเผชิญหน้ากับ เจ้าบ่าว



ร่างของผม เซถลาเมื่อถูกผลักเข้าไปจนชิดอกของเดียร์ เขากางมือรออยู่แล้ว เมื่อผมถูกเจ้าสาวผลักมาหา เขาก็โอบกอดผมไว้แนบแน่น และก่อนที่จะทันขัดขืน เดียร์ก็ก้มหน้าลงมอบจูบที่หวานรัญจวนใจให้กับผม ทำให้ผมมึนงงไปชั่วขณะ ในฝันนั้นผมเห็นตัวเอง ค่อยๆโอบแขนไปรอบคอของเจ้าบ่าวหน้าตาหล่อเข้ม และจูบตอบอย่างดูดดื่มไม่แพ้กัน



ร่างของเจ้าสาวค่อยๆเลือนหายไป โดยที่ผมกลับกลายเป็นสวมชุดเจ้าสาวที่เป็นสูทสีขาวแทน เสียงปรบมือกึกก้อง เมื่อเจ้าบ่าว ช้อนร่างของผมไว้ในวงแขนแข็งแรง เขาพาผมเดินลงเวทีอย่างรวดเร็ว ผ่านเค้กแต่งงานขนาดใหญ่ โต๊ะจีนกินเลี้ยงที่มีผู้คนมองมาที่เราอย่างชื่นชม เดินออกจากห้องบอลรูมที่แน่นขนัดไปด้วยแขกเหรื่อ เขาไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยเลยในขณะที่อุ้มผมไว้ในอ้อมแขน ในขณะที่ผมก็ใช้แขนโอบรอบไหล่เขาแนบแน่น

เจ้าบ่าวหน้าเหมือนเดียร์ พาผมมายังห้องสวีท เขาเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อุ้มผมเข้าไปข้างใน และใช้เท้าปิดประตู จากนั้นก็ค่อยๆวางร่างผมลงบนเตียง จากนั้นเขาก็ทาบร่างลงมา ในความฝันนั้น ผมไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด ปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้าของผมออกจากตัวจดหมด และยอมให้เขากอดจูบลูบไล้ ด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งมือของเจ้าบ่าว ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณกลางลำตัวของผม ผมถึงกับสะท้าน เมื่อเขาเคล้าคลึงร่างกายส่วนนั้นของผม จนมันตื่นตัวขึ้น



ผมครางอือ เมื่อเขากอบกุมเรียวน้อยเอาไว้ และเคลื่อนไหวมือกับน้องชายของผมอย่างรวดเร็ว ผมเกรงตัวขึ้นเมื่อเกิดความกำซาบซ่านถึงขีดสุด และด้วยความชำนิชำนาญที่เขามีอยู่ ก็ทำให้ผมบรรลุถึงปลายทางแห่งสวรรค์



ผมผวาเฮือก เด้งตัวขึ้นจากที่นอน มานั่งเหงื่อตกซิก ด้วยตกใจความฝันของตนเอง มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ทำไมผมต้องฝันถึงเจ้าเด็กบ้าคนนี้ด้วยนะ แล้วทำไมผมถึงต้องกลายมาเป็นเจ้าสาวของเขาล่ะ ผมอยากแต่งงาน อยากมีเจ้าสาวสวยๆ แต่ไม่ต้องการเป็นเจ้าสาวเสียเอง และคนที่ผมต้องการแต่งงานด้วย ไม่น่าจะใช่เดียร์นี่นา หรือว่าเป็นเพราะผมเจอหน้าเด็กบ้านั่นบ่อยจนเกินไปนะ ถึงได้เก็บเอามาฝันบ้าบอเป็นตุเป็นตะแบบนี้



หลังจากนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงนอนอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ เพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปียกแฉะไปหมด ผมถอดเสื้อผ้าและกางเกงออกเอาใส่ตะกร้าผ้าไว้ แล้วเอามาวางไว้นอกห้องตรงหน้าประตู เตรียมจะซัก จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำแรงๆ เพื่อขับไล่อารมณ์ไม่พึงประสงค์ที่มันคุกรุ่นอยู่ภายใน



ตอนที่ผมแต่งตัวอยู่ในห้อง เสียงออดก็ดังขึ้น ผมหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู มันบอกเวลา ตีห้าครึ่ง ผมเดินไปที่หน้าต่างห้องนอนแล้วแหวกม่านออกดู เดียร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู หอบข้าวของมาพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด เจ้าหญิง ของผม ยืนแกว่งหางอยู่ตรงหน้าเขา มันไม่ได้เห่า หรือทำท่าคุกคาม เด็กหนุ่ม ท่าทางมันคงจะปฏิบัติตามที่ผมได้พูดกับมันไว้ ว่าให้ทำตัวดีๆกับเด็กส่งหนังสือพิมพ์ มันคงจำได้ว่าเดียร์กับเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนนั้นคือคนๆเดียวกัน วันนี้แล้วสินะ ที่ผมอนุญาตให้เขามาหาถึงที่บ้านได้ แต่แหม เจ้าเด็กบ้านี่ อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น มาแต่เช้ามืดเชียว



ความที่ผมพาลเรื่องเดียร์เกี่ยวกับความฝันเมื่อเช้า ทำให้ผมปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเอง ก็หวีผมเผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อน ผมเลือกหยิบเสื้อยืดสีขาว และ กางเกงขาสั้นแค่เข่าสีเขียวขี้ม้าขึ้นมาสวมใส่ แล้วจึงเปิดประตู คว้า ตะกร้าผ้าที่จะซักมาถือไว้ เดินลงไปข้างล่าง เอาผ้าไปไว้ที่ลานซักล้างข้างบ้าน แล้วเดินไปไขกุญแจรั้วเปิดประตูรับเดียร์เข้ามา



เด็กหนุ่มยืนยิ้มเผล่อยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้า พอผมเปิดประตูให้เขา เดียร์ก็ทักทายผมพร้อมต่อว่าเสียงแจ้ว ในขณะที่เดินตามหลังผมเข้ามาในบ้าน


“ทำไมมาเปิดประตูช้าจังเลยอ่ะครับ ผมมายืนรอตั้งน๊านนาน จนขาแข็งไปหมดแล้ว กดออดก็ยังไม่ออกมา เพิ่งตื่นเหรอครับ”

“ช่าย......ใครจะไปรู้ว่านายจะมาแต่ไก่โห่แบบนี้”
“ต้องรีบมาแต่เช้า เพราะว่าผมจะมาทำกับข้าวให้คุณกินตามสัญญา นี่ผมไปจ่ายตลาดมาตั้งแต่ตีห้าเลยนะ ซื้อผัก ผลไม้ และของสดๆ มาทำให้คุณทาน เรียวน่ะ ไม่ค่อยได้กินอาหารเช้าอร่อยๆสักเท่าไหร่ใช่
ไหมล่ะ กินไม่ค่อยถูกสุขลักษณะเลยผอมแบบนี้ ผมยอมเห็นเรียวผอมแห้งแรงน้อยไม่ได้หรอก”



เขายิ้มอย่างสดชื่น ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ชื้นไปด้วยเหงื่อนั้น นึกอยากเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ตอนจ่ายตลาด คงจะวุ่นวายกับการเลือกสรรข้าวของ และ ต่อรองกับแม่ค้าสุดฤทธิ์ เดียร์แต่งตัวสบายๆในชุดยืด กางเกงยีนส์ เขาสะพายเป้ใบเดิม แต่ดูเหมือนวันนี้จะตุงมากกว่าปกติ เหมือนเขาบรรจุของมากมายลงไปในนั้น สองมือถือถุงหิ้วที่บรรจุพวกของสด ผัก ผลไม้ต่างๆ ซึ่งมีน้ำหนักมากจนแขนของเขาเกร็งไปหมด พอผมยื่นมือจะช่วยถือให้ เขาก็ปฏิเสธ ผมเลยปล่อยให้เขาถือของทั้งหมดเข้าไปเก็บในบ้านตามลำพัง



เดียร์วางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่บรรจุของเหมือนจะไปพักค้างคืนที่ไหนสักแห่งเป็นอาทิตย์ลงบนโซฟาในห้องรับแขก จากนั้นเดินถือถุงตามผมต้อยๆเข้าไปในครัว เขาวางถุงใส่ข้าวของลงบนโต๊ะอาหาร เอาออกมาจัดแยกไว้เป็นหมวดหมู่ ผมยืนดูข้าวของที่เขาซื้อมา มีข้าวสารหอมมะลิ น้ำปลา น้ำตาลทราย กุนเชียง เครื่องปรุงชนิดผง ถุงต่อมาเป็นผัก จำพวก กะหล่ำปลี แตงกวา หัวหอม ผักกาดขาว มะเขือเทศ พริกขี้หนู มะนาว ยังมีแตงโม และส้มอยู่ด้วย อย่างละถุง ถัดไปเป็นถุงใส่ไข่ไก่ใบโตๆจำนวน 10 ฟอง ถุงสุดท้าย เป็นถุงใส่เนื้อสัตว์ มีหมูสับ กุ้ง ปลาหมึก และไก่



“เช้านี้ ผมจะทำไข่เจียวใส่หอมกับมะเขือเทศให้ทาน กับ แกงจืดแตงกวา แล้วทอดกุนเชียงให้กินด้วยนะครับ ส่วนกลางวันนี้ ค่อยว่ากันอีกทีนะ ตอนนี้ เรียวไปรอข้างนอกก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวกลิ่นอาหารมันจะติดตัวนะ”


เดียร์บรรยายถึงรายการอาหารที่จะทำให้ผมทานเช้านี้ พร้อมกับไล่ให้ผมออกไปจากครัว


“เอาเงินจากไหนมาซื้อข้าวของเยอะแยะอย่างนี้หือเดียร์”


ผมมองข้าวของที่เขาซื้อมาด้วยความสงสัย


“ก็เงินจากการไปเต้นเมื่อวันก่อนนี้ไงครับ ได้มาหลายพัน ก็เลยพอที่จะซื้อกับข้าวมาทำกินกันกับเรียวได้”
เด็กหนุ่มหลบสายตาผม แล้วตอบโดยไม่ยอมมองหน้า


“ได้กี่บาทกี่สตางค์กันเชียว ทำไมไม่เก็บไว้กินเองบ้าง เอามาซื้อของแบบนี้ เดี๋ยวก็หมดไม่มีเหลือหรอก แล้วจะลำบากนะ”


ผมพูดกับเขาด้วยความจริงใจ รู้สึกห่วงความเป็นอยู่ของเขา หากมาทุ่มเทให้กับผมแบบนี้ เขาจะลำบากในภายหลัง


“นี่ไง ก็ซื้อข้าวของมากินกับเรียวไงครับ ผมไม่ได้ทำให้เรียวทานคนเดียวซักหน่อย ผมกินด้วย ผมก็ต้องช่วยออกไง”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #149 เมื่อ15-12-2008 22:07:45 »

“งั้นก็ให้ฉันออกค่าใช้จ่ายด้วย บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เวลาจะซื้ออะไรมาให้ฉัน ต้องถามฉันก่อน แล้วก็ต้องให้ฉันมีส่วนร่วมในการออกเงินด้วย ฉันจะให้นายออกคนเดียวได้ไงเดียร์ นายอยู่ตัวคนเดียวก็จริง แต่บ้านก็ยังต้องเช่าอยู่ไม่ใช่เหรอ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินอยู่ล่ะ ใช้เงินหมดไปเรื่อยๆ แล้วจะเอาที่ไหนจ่ายหากมัน
ไม่พอขึ้นมาจะทำยังไง”


ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กหนุ่มหันมาสบตาผม เขายิ้มให้กับผม


“ดีใจจังเลย ที่เรียวพูดแบบนี้ แปลว่า เรียวห่วงใยผมแล้วใช่ไหมครับ รู้สึกอบอุ่นจังเลยนะ ที่มีคนแคร์ว่าเราจะอยู่จะกินอย่างไร ถ้าเรียวกลัวว่าผมจะไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำค่าไฟ เรียวก็ให้ผมมาอยู่ด้วยคนสิ ได้ไหมครับ”


ประโยคหลัง เดียร์หันมาทำท่าอ้อนผม


“เอาแล้วไง สงสารหน่อยเป็นได้ใจเชียวนะ”


ผมว่าเขา เดียร์แลบลิ้น ก่อนจะหัวเราะอย่างร่าเริง


“ล้อเล่นนะครับ อยากดูว่าเรียวจะตอบยังไง ถึงจะรู้อยู่แล้ว ว่าเรียวจะพูดออกมาแบบนี้ทุกครั้ง แต่ก็ยังอยากลุ้นอยู่ดี เผื่อว่าจะมีคำตอบดีๆที่ฟังแล้วทำให้ผมรู้สึกแช่มชื่นในหัวใจ ผมน่ะ อยากฟังคำพูดที่ทำให้ผมได้รับรู้ว่า เรียวเห็นผมเป็นคนสำคัญของเรียวจริงๆ แต่ว่า แค่นี้น่ะ ก็ดีแล้วน๊า ผมดีใจจนบอกไม่ถูกแล้ว ยิ่งได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ พูดคุยกัน เรียวด่าผมบ้าง เหน็บแนมผมบ้าง มันก็ทำให้ผมมีความสุขได้ ถ้าเรียวเมินเฉยกับผม ไม่พูดด้วยนี่สิ ผมจะยิ่งทุกข์ใจไปใหญ่ เวลาเรารักใคร เราต้องรู้จักอดทนนะครับ จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องให้เวลากับคนที่เรารักด้วย เขาจะได้เตรียมพร้อมเพื่อที่จะรักเราได้อย่างเต็มที่”



เดียร์ตอบผมด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ความหวังเปี่ยมอยู่เต็มใบหน้าจนผมสังเกตเห็นได้ ผมมองแววตาใสซื่อของเดียร์อย่างค้นคว้า จริงหรือเปล่า ที่เด็กคนนี้ รู้สึกมีความสุขเวลาที่อยู่ใกล้ๆผม ทั้งๆที่บางครั้งผมก็ทำกริยาอาการไม่ดีกับเขามาตลอด เขาทำอย่างนี้ได้อย่างไรกันหนอ ไม่รู้สึกทุกข์ใจบ้างหรือไร ไม่เคยห่อเหี่ยวหรือหมดกำลังใจบ้างเหรอ ถ้าผมทำให้เขาผิดหวัง เขาจะเสียใจมากขนาดไหนนะ หรือเขาจะยังยิ้มสู้ด้วยหน้าตาที่ร่าเริงแบบที่เขาเคยทำมาตลอด เจ้าเด็กนี่ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ


“เดี๋ยวมาเอาเงินกับฉันนะ ค่าของที่ซื้อมาทั้งหมดนี้น่ะ”


ผมเปลี่ยนเรื่องพูด


“ไม่รู้จะคิดไงครับ ไม่มีบิล ผมจำไม่ได้ด้วย”


“เฮ้อ........” ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี เด็กนี่คงไม่ยอมรับเงินจากผมอีกเช่นเคย


“งั้นเอาเป็นว่า ฉันจะพานายไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่นายอยากไป สักหนึ่งที่ ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง แต่แบบไปเช้า เย็นกลับนะ”


ผมเสนอที่จะพาเขาไปเที่ยวเป็นการแลกเปลี่ยน เดียร์ทำตาโตมองผม ท่าทางดีอกดีใจ

“จริงๆเหรอครับ จะพาผมไปจริงๆนะ งั้นเป็นสามครั้งแล้วนะ ที่เรียวสัญญา เดี๋ยวผมจะจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมนะครับ”



เดียร์ทำท่ากระดี๊กระด๊า จนผมเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง เลยหันหลังเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เพิกเฉยต่อความตั้งใจที่จะช่วยเขาทำครัวไปซะสิ้น


“เรียวรอผมแป๊บนะ เดี๋ยวผมจะทำข้าวเช้าไปให้ทานนะครับ”


เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลัง ผมแอบยิ้มให้กับตัวเอง เดินมานั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งเป็นโถงกว้างสามารถมองเห็นไปจนถึงห้องครัวได้ ผมมองเห็นเดียร์เดินวุ่นวายอยู่ในครัว ปากก็ผิวปากเป็นเพลง ท่าทางรื่นเริง ผมเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น กดปุ่มรีโมทเปิดทีวี แล้วพยายามจะให้ความสนใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่ผมกลับดูไม่รู้เรื่อง ความคิดของผมล่องลอยไปไกลถึงเรื่องตัวเอง แล้วก็เรื่องของเด็กหนุ่มลูกครึ่ง คนที่พยายามวนเวียนอยู่ใกล้ๆผมตลอดเวลา



ตามปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ผมมักจะอยู่บ้านพักผ่อนอย่างเงียบสงบ นับตั้งแต่ เลิกรากับอรจิรา ผมเมาหัวราน้ำอยู่พักหนึ่ง บ้านช่อง หมาเหมอ ไม่เคยดูแล จนกระทั่งผมคิดได้ว่าได้ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายเพื่อนยามยากของผมด้วย ผมเลยหยุดเที่ยวและไม่ค่อยได้ไปไหนอีกเลย หมกตัวอยู่ภายในบ้าน เอาแต่นั่งเล่น นอนดูทีวี และทำความสะอาดบ้านกับซักเสื้อผ้า เล่นกับเจ้าหญิง ฆ่าเวลาไปวันๆ พอให้ไม่เหงา



อาหารก็ซื้อมากินแบบสำเร็จรูป ไม่เคยคิดจะทำกินเองเลย เพราะอยู่คนเดียว หลังจากที่อรจิราจากผมไป ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครมาหาผมถึงบ้าน มาส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้ว หัวเราะเสียงดัง ทำกับข้าวให้ผมทาน และ กินด้วยกันแบบวันนี้ เด็กนี่กลับทำให้บ้านผมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


“ผมอยากทำอาหารให้เก่งๆหลายๆอย่างนะครับ เรียวจะได้กินกับข้าวที่หลากหลายออกไป จะได้ไม่ซ้ำซากจำเจ นี่ผมก็ซื้อตำรามาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง แล้วก็ลองทำไปเรื่อยๆนะครับ ก็มีบ้างที่กินได้ บางอย่างก็ต้องปรับปรุงฝีมือการทำครับ กว่าจะเข้าขั้น”


เด็กหนุ่มทำอาหารไปก็ส่งเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วให้ผมได้ยิน ผมกดปุ่มปรับระดับเสียงทีวีให้เบาลง และหันไปมองเดียร์จากห้องรับแขกที่นั่งอยู่ อากัปกิริยาท่าทางของเขา ดึงดูดความสนใจของผม เด็กหนุ่มจับโน่น หั่นนี่ ปรุงนั่นด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ดูเหมือนเดียร์จะมีความสุขในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองได้ทำลงไป



ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเพลิดเพลิน เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขา เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจคนนี้มีความกลมกลืนเป็นธรรมชาติกับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ ณ ขณะที่เขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวของผม ก็ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าในที่นี้ เขาทำตัวเหมือนคุ้นเคยกับตู้เย็นของผม รวมไปถึงอ่างล้างจาน มีด เขียง เตาแก๊ส ยังกับว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแสนนาน



หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เดียร์ก็ยกสำหรับอาหารทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ กลิ่นของมันหอมยั่วยวน จนทำให้ท้องของผมตอบรับด้วยการส่งเสียงร้องครวญคราง เด็กหนุ่มเดินมาหาผม แล้วดันหลังให้ผมเดินไปที่โต๊ะอาหาร เขาเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งแล้วกุลีกุจอตักข้าวใส่จานให้ผม ส่วนตัวเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ เอามือสองข้างเท้าคางมองดูผม

“ไม่กินหรือไง” ผมถาม

“อื้อ อยากได้คำตอบก่อนครับว่า กับข้าวที่ผมทำให้เรียวอร่อยไหม”



ผมมองสำรวจอาหารที่วางตรงหน้า เดียร์ลงมือทำอาหารให้ผมทาน กินกันแค่สองคน มีกับข้าวสองสามอย่างแต่เขาก็ทำมามากมาย ผมลองตักอาหารชิมดูหลายๆอย่าง ฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้ก็ดีจนน่าทึ่ง อาหารเช้าที่ผมได้กินจากฝีมือเขา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในช่วงชีวิตวัยรุ่นแบบเขา จะทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าต้องอยู่คนเดียวมาตลอดนับตั้งแต่หนีออกจากบ้านมา ประสบการณ์ที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง อาจจะหลอมรวมทำให้เขากลายเป็นคนแกร่งและเก่งขึ้น เพราะต้องช่วยตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาใครได้


“ไม่แน่ใจฝีมือตัวเองเหรอ”

“ไม่แน่ใจว่าเรียวจะชอบกินรสที่ผมทำหรือเปล่านะสิครับ”


เด็กหนุ่มมองผมอย่างลุ้นๆ จนผมชักเขิน ที่ต้องมาทำท่าเป็นนักชิมอาหาร แล้วกำลังตัดสินฝีมือคนปรุง


“ฝีมือก็ใช้ได้นี่ นายน่าจะไปทำงานร้านอาหารนะ”


ผมกล่าวชื่นชมเขา เด็กหนุ่มยิ้มตาเป็นประกาย เขาขยับปากที่จะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ นั่งนิ่ง เอาแต่จ้องมองผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเดียว


“ลงมือกินกันเถอะ ฉันไม่อยากกินคนเดียว”


ผมรู้สึกเขิน ที่จะกินข้าว โดยมีคนมานั่งมองตาเยิ้มแบบนี้ เดียร์กุลีกุจอตักข้าวเข้าปากตัวเอง ตาก็ไม่วายจ้องผม จ้องเอาจ้องเอา จนผมเริ่มหงุดหงิด


“เอ้า มองเข้าไป มองอยู่นั่นแหละ เห็นหน้าฉันแล้วจะทำให้อิ่มขึ้นหรือไง”


เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มทะเล้น ดวงตาแพรวพราวระยิบระยับ


“มีแต่จะทำให้หิวกระหายมากขึ้นนะสิครับ เรียวน่ะ น่ากินมากกว่าอาหารพวกนี้เสียอีก กำลังคิดว่า ต้องกินซักกี่ครั้งกันแน่น๊า ถึงจะหายอยาก สงสัยคงไม่มีวันเบื่อเหมือนกินอาหารอย่างอื่นแน่”


ผมแทบสำลักอาหารที่กินเข้าไป ต้องรีบดื่มน้ำตาม


“ไอ้เด็กบ้า ลามกตลอดศก”


ผมด่าเขาเสียงดัง เดียร์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก อย่างชอบอกชอบใจ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตักข้าวกินไป ตาก็มองจ้องผม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแก้มตุ่ย เห็นหน้าตาบ๊องแบ๊วตลกๆนั่น เลยทำให้ผมโกรธไม่ลง ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ
****************************
พึงหัดโพสนะ มาต่อวันละตอนแล้วกันนะ :จุ๊บๆ:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด