My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk  (อ่าน 183274 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป
My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
« เมื่อ15-08-2007 13:15:29 »

บทที่ 1

   เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาเหมือนกับทุกๆวัน แต่มันกลับเป็นเช้าที่ทำให้ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง มีคนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยรู้จักอยู่ในห้องกับผมด้วย ที่สำคัญผมไม่มีอิสระในการที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ เนื่องจากมือทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการด้วยผ้ามัดติดอยู่กับหัวเตียงอย่างแน่นหนา ในขณะที่เท้าทั้งสองก็ถูกพันธนาการด้วยผ้ามัดติดกับปลายเตียงทั้งสองด้านด้วยเช่นกัน
สภาพของผมตอนนี้ คล้ายกับตัวอักษร “x” ในภาษาอังกฤษ เสื้อผ้าที่ผมใส่มายังอยู่กับเนื้อตัวเรียบร้อย เพียงแต่มันหลุดลุ่ยยับยู่ยี่จากการดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระของผม ปากของผมถูกผ้าเช็ดหน้าอุดไว้ ทำให้ผมส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาไม่ได้

   ประตูเปิดออกพร้อมๆกับร่างสูงๆร่างหนึ่งเดินเข้ามา คนแปลกหน้าที่ลักพาตัวผมมาที่นี่ คนที่นอนอยู่ข้างๆผมตลอดทั้งคืน ความที่ผมสะลึมสะลือด้วยฤทธิยาสลบที่หมอนี่โปะผม ทำให้จำรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเขาไม่ได้ชัดเจนนักเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้ผมสังเกตเห็นทุกๆรายละเอียดบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาบ่งบอกยี่ห้อว่าเป็นลูกครึ่งไทยกับฝรั่ง คิ้วเข้ม ตาเรียวยาวสวยสีน้ำตาลขนตาดกหนาเป็นแพ จมูกโด่ง ริมฝีปากเต็ม มีรอยเคราเขียวครึ้มที่ข้างแก้มและคาง ผมหยิกสลวยสีน้ำตาลเข้ม เป็นลอนยาวระต้นคอ ผิวสีน้ำตาลทอง ไม่ขาวเผือกแบบฝรั่งทั้งหลาย รูปร่างดี โครงสร้างร่างกายแข็งแรง คาดคะเนจากหน้าตา และกริยาท่าทาง เจ้าเด็กคนนี้คงจะอายุน้อยกว่าผมสัก 5 ปีขึ้นไป

    ตอนนี้เขากำลังถือถาดอาหารเช้าเดินตรงมาที่ผม เด็กหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้นั่งข้างเตียง แล้ววางถาดอาหารไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง ใบหน้าคมคายกำลังฉีกยิ้มกว้างให้ผม เป็นยิ้มประจบประแจง เหมือนเด็กที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เวลาเขายิ้ม หน้าตาของเขาดูสดใสมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นใบหน้าของพวกมิจฉาชีพ ผมสลัดความคิดในแง่ดีออกไป และพยายามจับจ้องเขาทุกอริยาบท เพื่อจะจำรายละเอียดให้ได้มากที่สุด อันจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เมื่อผมสามารถหลุดจากการคุมขังของเขาออกไปแจ้งความกับตำรวจได้

   “ทานอาหารเช้าก่อนนะครับ คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผมออกไปซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่มาจากร้านอร่อยแถวนี้  แต่มันอาจจะไม่ถูกปากเท่ากับอาหารที่คุณเคยทานมา ก็ต้องขออภัยด้วย เสียดายที่ที่นี่ไม่มีครัว ไม่งั้นผมจะลงมือทำอาหารให้คุณทาน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ”  

คนแปลกหน้าพูดจากับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และคำพูดที่สุภาพไม่จาบจ้วงก้าวร้าว เยี่ยงวิสัยโจรร้ายทั่วไป ท่าทางจะเป็นโจรที่มีมารยาทดี หรือไม่ก็การศึกษาสูง ผมจ้องหน้าโจรลักพาตัวเขม็ง เขาก็จ้องผมกลับด้วยแววตาหยาดเยิ้ม ใบหน้ายิ้มกริ่ม

   “ผมจะเอาผ้าออกจากปากให้นะครับ คุณจะได้ทานได้”

เขาเอื้อมมือมาดึงผ้าออกจากปากผม แล้วรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่ผมจะงับมือเขาได้ทัน เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าปากของผมพลาดเป้า

“ดุจังเลยแฮะ เห็นท่าทางใจดี ไม่คิดว่าจะใจร้ายอย่างนี้”

ไม่พูดเปล่า ไอ้เด็กบ้านี้ ยังเอามือมาลูบไล้ที่ใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา ท่าทางเขาพึงพอใจมากที่ได้สัมผัสใบหน้าของผม

“นายเป็นใคร แล้วมาจับฉันด้วยจุดประสงค์อะไร ต้องการเงินหรือรถก็เอาไปเถอะ แล้วปล่อยฉันไป รับรองฉันไม่เอาเรื่องนายหรอก”

ผมรีบพูดอย่างรวดเร็วทันทีที่มีโอกาส ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มันจะมาไม้ไหน ต้องการอะไรจากผม แม้ผมจะพยายามนึกเท่าไหร่ว่าทำไมผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ผมก็นึกไม่ออก

ผมไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ไม่เคยขัดแย้ง หรือทำให้ใครโกรธอย่างรุนแรง แฟนสาวคนล่าสุดของผม เราก็จากกันด้วยดี แม้ว่าผมจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่คิดจะไปทำร้ายเธอหรือแฟนคนใหม่ของเธอแต่อย่างใด กับเจ้านายถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจู้จี้ขี้โมโห เขาอาจจะไม่พอใจการทำงานของผมบ้างในบางครั้ง นั่นมันก็แค่เรื่องของงาน โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้เกลียดชังเขา แล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดผมแต่อย่างใด เวลามีงานรื่นเริงที่บริษัท ผมก็ยังเคยนั่งโต๊ะเดียวกับเขา และทานเหล้าชนแก้วต่อแก้วด้วยกัน โดยปราศจากความขุ่นเคือง

ชีวิตของผมค่อนข้างเรียบง่ายไม่ผาดโผน ดังนั้นเมื่อผมถูกจับตัวมาอย่างนี้ จึงตัดประเด็นเรื่องการอุ้มมาทำร้ายออกไปเหลือเพียงแค่การเรียกค่าไถ่ หรือปล้นทรัพย์อย่างเดียว

ผมนึกหวาดระแวงเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ ถึงแม้เขาจะปฏิบัติต่อผมอย่างดี หน้าตาเป็นมิตร พูดจาสุภาพกับผม แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ หน้าตาดี แต่จิตใจอำมหิตก็มีถมไป ผู้คนสมัยนี้สามารถจะฆ่ากันได้ง่ายๆ แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม

ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของผมจะตายหมดแล้ว เหลือตัวคนเดียว แต่ผมก็ยังอยากจะอยู่ดูโลกนี้นานๆ การต้องมาตายทั้งที่วัยเพียงแค่ 27 ปี เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ผมยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ ผมยังเห็นโลกไม่มาก ยังไม่ได้ไปท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างที่อยากไป ยังไม่ได้สร้างครอบครัว ยังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเยี่ยงคนร่ำรวย ผมจำเป็นต้องรักษาชีวิตที่มีค่าน้อยนิดของผมเอาไว้ อย่างน้อยการเจรจาต่อรองมันอาจจะช่วยทำให้ผมมีโอกาสรอดสูง

เขาจุ๊ปาก ส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้รู้ว่าไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ แล้วหันไปหยิบถาดมาวางบนตักตัวเอง

“ผมขออนุญาตที่จะไม่แก้มัดมือให้คุณนะครับ แต่เพื่อให้คุณทานข้าวได้ ผมจะอาสาเป็นคนป้อนข้าวให้เอง”

เขาใช้ช้อนตักโจ๊ก แล้วยื่นมาที่ตรงหน้าผม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนี เม้มปากแน่น มีเสียงหัวเราะหึหึจากคนข้างๆ ดังให้ได้ยิน

“พยศจริงเชียว ไม่กินข้าวปลา ระวังจะเป็นโรคกระเพาะถามหานะครับ”

เขาวางช้อนลง แล้วเอื้อมมือมาบีบปลายคางผม บังคับให้หน้าหันมาทางเขา ผมมองเขาตาขุ่น แต่เขากลับทำตาแพรวพราวใส่ผม

“ทานเสียหน่อยนะครับ ไม่ทานอะไร ร่างกายจะแย่นะครับ”

เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“แล้วสถานการณ์ของฉันตอนนี้ มันดีกว่าหรือไง” ผมย้อนถาม

“ไม่มีอะไรที่ดูเลวร้ายนี่ครับ” เขายิ้มทะเล้นให้ผม

ผมกระแทกมือเข้ากับหัวเตียง แล้วสะบัดแข้งขา ให้เขาดู แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า

“นี่นะไม่เรียกว่าเลวร้าย นายจับฉันมัด ไม่ให้ฉันได้มีอิสระ แล้วยังจะมาลอยหน้าลอยตาพูดยังกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่นะ”

เขายังคงยิ้ม ไม่พูดอะไร มันเลยยิ่งทำให้ผมคลั่งนัก พูดเหมือนจะเป็นเสียงตะโกนว่า

“ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นนายโดนดีแน่”

“จะทำอะไรผมหรือครับ”

เขาทำเสียงเข้ม แล้วยิ้มHereมๆใส่ผม ผมมองหน้าเขาแล้วนึกตกใจที่ตัวเองแสดงอารมณ์โกรธออกไป ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเป็นที่เป็นอยู่นี้ ผมจำเป็นต้องนิ่งเงียบ และพูดจาดีๆกับเขา เพื่อลดความโกรธเกรี้ยวที่เขาจะมีต่อผม จนถึงขนาดลงไม้ลงมือฆ่าแกง หากเห็นว่าผมสร้างความรำคาญใจให้กับเขา

“นายต้องการอะไรก็บอกมา เงินทองข้าวของอยากได้ก็เอาไป ฉันยกให้ ไม่ติดใจเอาความด้วย แต่ขอให้ปล่อยฉันไปจากที่นี่ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ไปแจ้งความ จะลืมเรื่องทั้งหมด เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

ผมลดน้ำเสียงให้ดูอ่อนลง พร้อมเสนอที่จะให้เงินกับรถ และข้าวของที่ติดตัวผมมา เพื่อแลกกับอิสรภาพ เด็กหนุ่มส่ายหน้า ท่าทางเขาไม่ได้ใส่ใจกับข้าวของเงินทองของผมสักนิด

“สิ่งนั้นไม่มีค่าสำหรับผม”

“แล้วอะไรล่ะที่นายต้องการ ฉันไม่มีสมบัติติดตัวมามากนักนะ ถ้าจะเอาจากฉันตอนนี้ ฉันคงไม่มีให้ ต้องรอให้ฉันกลับบ้านก่อน เอาอย่างนี้ นายบอกมาว่านายต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันพอจะมีสะสมอยู่บ้างในธนาคาร ถ้านายก็ปล่อยฉันไป พอฉันถึงบ้านปุ๊บ ฉันก็จะโอนเงินให้นายตามที่ต้องการทันที”
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 15:52:59 โดย THIP »

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #1 เมื่อ15-08-2007 13:18:11 »

ผมพยายามหว่านล้อม ด้วยการเสนอเงินสะสมทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ผมหวังว่ามันคงมีค่ามากพอเมื่อเทียบกับชีวิตของผม แทนที่เขาจะตาโต เด็กหนุ่มกลับหงายหน้าหัวเราะอย่างกับฟังเรื่องขำเสียเต็มประดา

“อายุเท่าไหร่แล้วคุณ ถึงได้คิดว่าสิ่งที่คุณพูดจะทำให้คนอื่นเขาเชื่อ ถ้าผมปล่อยคุณไป คุณก็เอาตำรวจมาลากคอผมน่ะสิ อีกอย่างหนึ่งนะ ผมอยากจะแก้ความเข้าใจผิดจากคุณสักเรื่องหนึ่ง ก่อนที่คุณคิดไปใหญ่โต มองหน้าผมสิ.......”

เขาบังคับให้ผมมองหน้าเขาด้วยการใช้สองมือประคองหน้าผมไว้ ผมจะหันหนีก็ไม่ได้ เพราะมือแข็งแรงของเขากดที่หน้าผมอยู่

“ผมหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้ หุ่นก็ดี เสียงก็เพราะ เป็นพระเอกหนัง นักร้อง หรือ นายแบบก็ยังได้ มีหนทางหาเงินได้มากมายกว่าการเป็นโจรเรียกค่าไถ่ หรือมือปืนเสียอีก ได้เงินดี แถมซ้ำไม่ต้องเสี่ยงต่อคุกตารางด้วย แล้วผมก็ไม่ได้จับตัวคุณมาเพื่อต้องการเงิน หรือต้องการทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น เข้าใจไว้ด้วย”

“งั้นนายจับฉันมาทำอะไร มีใครที่แค้นเคืองฉันอยู่ จ้างวานนายให้มาเก็บฉันใช่ไหม”

ผมรู้สึกดีใจที่เขาไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่ แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาจับตัวผมมา จึงถามด้วยความระวังระไวและใคร่รู้
เด็กหนุ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เขาทำท่าราวกับว่าหัวเราะให้กับความซื่อบื้อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยของผม จนผมนึกขุ่นเคืองใจ ที่มีคนมาหัวเราะเยาะใส่ แต่ผมก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมา

“ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ผมไม่ได้มาเอาชีวิตคุณ เพราะใครจ้างวานมาหรอก”

“อ้าว แล้วงั้นนายจับตัวฉันมาเพื่ออะไร”

ผมถามด้วยความงุนงง

“ทานข้าวก่อน แล้วผมจะบอก”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ กลับเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ถ้าฉันไม่กินล่ะ”

ผมท้าทาย เขายักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า

“คุณก็อาจจะหิว น้ำย่อยก็จะกัดกระเพาะคุณจนเป็นแผล ทำให้สุขภาพไม่ดีในเวลาต่อมา เรื่องทุกอย่างมันจะดูยุ่งขึ้น เพราะคุณไม่ให้ความร่วมมือ แล้วคุณก็อาจจะถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวให้อยู่ในบ้านนี้ต่อไป”

“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว”

 ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ด รับไม่ได้สักอย่างกับสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด

“ถ้าฉันกินข้าว นายก็จะบอกใช่ไหม ว่าจับฉันมาทำไม แล้วนายก็จะปล่อยฉันใช่ไหม”

ผมถามเขาอย่างคาดคั้น อยากได้ยินคำตอบที่จะผูกมัดเขาให้ยินยอมปล่อยผม เด็กหนุ่มยักไหล่ แล้วทำหน้ายียวน

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับการร่วมไม้ร่วมมือของคุณ”

แม้จะเป็นคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ผมก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะเป็นอิสระ ผมควรจะคว้ามันเอาไว้ ดังนั้น ผมจึงยินยอมที่จะทานข้าวเช้าที่เขาเตรียมาให้

“แก้มัดฉันก่อนสิ ทำอย่างนี้ฉันจะกินได้อย่างไรล่ะ”

เขาส่ายหน้า ยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ผมไม่โง่หรอกนะ ถ้าผมปล่อยมือคุณเป็นอิสระ คุณก็จะก่อเรื่องขึ้นมา ด้วยการพยายามหนี ผมป้อนให้คุณดีกว่านะ”
“จะดีเหรอ”

ผมทำเสียงขึ้นจมูก

“ฉันไม่ใช่เด็กนะ”

“เอาน่า นึกเสียว่าทำตัวเป็นเด็กดีสักวัน ผมจะได้ใจอ่อนไง”

เขายิ้มยั่ว ผมทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้เขาป้อนข้าวโดยดี ผมกินไปได้แค่คำสองคำ ก็ทำท่าจะอิ่ม แต่เขาทำท่าไม่พอใจ ผมเลยต้องฝืนกินข้าวที่เขาป้อนให้จนหมด เพราะกลัวว่าหากขัดใจเขามากๆ ผมจะไม่ได้รับอิสรภาพ

   เขารินน้ำให้ผมดื่ม เมื่อผมทานโจ๊กจนเกลี้ยงถ้วย เขามีสีหน้าพอใจที่ผมว่าง่าย เมื่อผมดื่มน้ำเสร็จ ผมก็ทวงสัญญากับเขา

   “เอ้าทานเสร็จแล้ว ก็บอกมาซะทีสิ”

   เขาทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด กลับมองสำรวจไปทั่วเรือนร่างของผม แล้วพูดว่า

   “คุณยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เมื่อวาน เดี๋ยวผมจะไปเอาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้”

   “นี่อย่ามาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องสิ นายสัญญากับฉันแล้วว่า ถ้าฉันยอมทานอาหารที่นายป้อน แล้วนายจะบอกทุกอย่าง”

ผมเสียงแข็งใส่เขา ชักนึกโมโหขึ้นมาแล้ว

   “ใจเย็นๆน่า ผมก็รักษาคำพูดเป็นเหมือนกันนะ แต่ผมอยากให้คุณอยู่ในสภาวะจิตใจที่ผ่องใสเบิกบานมากกว่านี้ เวลาที่คุณฟังสิ่งที่ผมพูด คุณจะได้ไม่หงุดหงิดมากอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ท่าทางไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์โกรธของผมที่ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ

   “นี่ คนที่ถูกจับมาโดยที่ไม่รู้ว่าเราเคยไปทำอะไรไว้กับใครจนเขาไม่พอใจบ้างอย่างฉันนี่ จะมาเที่ยวทำเป็นอารมณ์ดี เหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติไม่ได้หรอก ถ้านายปล่อยมัดฉัน ฉันก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง นายปล่อยฉันสิ......”

“นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ”

เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มกวนๆ

“แต่ถ้าคุณยอมเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หายมอมแมมกว่านี้ ผมก็อาจจะปล่อยให้คุณได้เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง..........”

เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็นั่งจ้องหน้าผมเงียบๆ ผมเบือนหน้าหนีเขา เม้มริมฝีปากแน่น ไม่อยากจะเจรจาต่อรองกับหมอนี่สักเท่าไหร่ โจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ ผมไม่เชื่อว่าเขาจะทำตามสัญญา แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมทำตามในสิ่งที่เจ้านี่บอก ถึงแม้จะฝืนใจก็ตาม แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้

“ก็ได้ ดีเหมือนกัน ฉันก็เหนียวตัวอยู่พอดี แต่นายต้องรับปากนะ ว่าพอเช็ดเนื้อตัวเสร็จ แล้วนายจะปล่อยฉัน แล้วก็บอกฉันทั้งหมด”

ผมบอกเขาเสียงแข็ง ตาจ้องเขาเขม็ง พยายามบอกเขาด้วยสายตาว่า ถ้าเขาโกหก คงได้มีเรื่องกันแน่ อันที่จริงก็แกล้งทำเข้มไปงั้นแหละ ในใจนึกหวาดวิตกอยู่ หากไอ้หมอนี่ ไม่มีความดีในใจหลงเหลืออยู่บ้าง การพูดกระด้างเช่นนี้กับเขาก็วอนให้เจ็บตัวได้เหมือนกัน

“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลยครับ”

เขาทำท่าตะเบ๊ะและยิ้มประจบประแจงอีกครั้ง ผมแอบนึกในใจ ถ้ายื่นมือออกไป หมอนี่จะเอา ขาหน้า เอ๊ย มือของเขาวางบนมือของผมไหมหนอ แล้วเขาจะแลบลิ้น แผล่บๆ แล้วก็แกว่งหางไปมาไหมนะ ท่าทางหมอนี่ เหมือนหมาตัวโตๆ ที่ขี้อ้อนยังไงไม่รู้


“งั้นให้ผมเช็ดตัวให้นะ ผมรับรองว่า จะเช็ดตัวให้สะอาดสะอ้านเลย”

เขาทำท่าอ้อนขอผม เจ้าโจรนี่ มันประสาทพิลึก เป็นโจรโรคจิตหรือเปล่านะ ผมชักแหยงเสียแล้วสิ
“ไม่ต้อง ก็ปล่อยฉันสิ ฉันเช็ดตัวเองได้ แก้มัดฉันก็พอ ”

   “เรื่องอะไร พอคุณเป็นอิสระ เดี๋ยวคุณหนีผมไป ผมจัดการให้คุณเองดีกว่า”

เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม ก่อนที่จะลุกเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในสุด ผมเพิ่งสังเกตห้องนี้อย่างละเอียด จากการตกแต่ง ผมว่าผมต้องอยู่ที่บ้านพักที่เป็นแฟลต หรืออพาร์ตเม้นท์ที่ไหนสักแห่ง

   เขากลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่ชุบน้ำจนเปียกชื้นและบิดน้ำออกแล้ว เขานั่งลงบนเตียง แล้วเอื้อมมือมาที่เสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ ผมมองตามมือของเขา ก่อนที่เขาจะปลดกระดุมเม็ดแรกออกจากเสื้อของผม ผมก็ระล่ำระลักพูดขึ้นว่า

   “นี่นาย ไม่ต้องถึงขนาดเช็ดตัวให้ฉันหรอกนะ ปล่อยฉันเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หนี นายแก้มัดให้ฉันเช็ดตัวเอง แล้วค่อยมัดกลับก็ได้”

   “เฉยเหอะน่า แล้วทุกอย่างจะดีเอง ยิ่งพูดมาก ก็จะยิ่งยุ่งนะ”

   “แต่นี่มันเกินไปหน่อยแล้วนะ”

ผมทำเสียงโกรธๆ เขาหันมาทำหน้าบึ้งใส่ผม

“เมื่อไหร่จะเลิกสติแตกเสียทีนะคุณ แทนที่จะโวยวายให้มันเสียเรื่อง ก็สู้นั่งนิ่งๆ ให้ผมจัดการมันให้เสร็จสิ้นไปซะ แล้วผมก็จะได้ปล่อยคุณ พร้อมบอกในสิ่งที่อยากรู้ ยิ่งคุณเล่นตัวกระบิดกระบวนแบบนี้ การที่คุณจะเป็นอิสระ มันก็จะกลายเป็นเรื่องยากนะ เพราะผมอาจจะไม่พอใจ แล้วมัดคุณไว้แบบนี้ตลอดเลยก็ได้”

   เขาทำเสียงดุ ผมเลยปิดปากเงียบ ไม่อยากขัดใจเขา กลัวหมอนี่โมโหขึ้นมา ปาดคอผมตายคาเตียง ผมยังไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ด้วยเรื่องสยดสยองแบบนี้ นึกในใจว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ทนอับอายนิดหนึ่ง เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว

   เจ้าโจรลักพาตัว แกะกระดุมเสื้อผมออกทุกเม็ด แล้วแบะเสื้อออกจากกัน เขาเอาผ้าชุดน้ำค่อยๆเช็ดเนื้อตัวของผม เริ่มจากใบหน้า ลำคอ แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่แผ่นอก หน้าท้องเหนือกางเกงที่ผมใส่ไปทำงาน แขนทั้งสองข้าง และมือที่ถูกพันทนาการไว้กับหัวเตียง ตัวของเขาโน้มเข้ามาใกล้ชิด ใบหน้าของเขาห่างจากผมไม่กี่คืบ ใกล้จนกระทั่งไออุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดหน้าและต้นคอของผม ผมจับจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา กลัวว่าเขาจะทำอะไรเกินเลย อยู่ๆเขาก็เงยหน้ามายิ้มให้ผม มันเหมือนยิ้มของเด็กๆเวลาที่ได้เล่นของเล่นที่ถูกใจ

   “เอาล่ะข้างบนเสร็จแล้ว ก็เหลือแต่ข้างล่าง”

เขาทำหน้าทะเล้น ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด และลักยิ้มข้างแก้มของเขา ผมใจหายแว๊บ ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ยินยอม แล้วพยายามเบี่ยงตัวหนีมือของเขาที่ยื่นมาตะปบที่เข็มขัด พยายามหนีบขาให้ชิดกันมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ กริยาของผมเหมือนผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืน

   “ไม่เอา ไม่ต้องเช็ดหรอก” ผมบอกเขาเสียงดังลั่น

   “มันจะอับแย่นะ ไม่ดีหรอก ทำความสะอาดให้ดูสดชื่นดีกว่า”

   เขาไม่ฟังสิ่งที่ผมพูดแม้ผมจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ตาม ผมพยายามเบี่ยงเอวดิ้นหนีมือเขา ทำให้เขาถอดเข็มขัดไม่ถนัด เด็กหนุ่มเลยเปลี่ยนจากการนั่งตะแคงข้างเป็นก้าวขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วกางขาออกกว้างคร่อมทับร่างกายท่อนล่างตั้งแต่หน้าขาลงมาของผมไว้ จากนั้นเขาก็ใช้ขาทั้งสองข้างกดทับขาของผมไม่ให้ดิ้นหนีได้ เขาปลดเข็มขัดผมออก แล้วปลดตะขอกางเกง แล้วรูดซิบลง เจ้าเด็กลูกครึ่งค่อยๆรูดกางเกงของผม ลงไปที่หน้าขา และก่อนที่ผมจะทันห้าม เขาก็รูดเจ้ากางเกงในสีขาว ปราการด่านสุดท้ายของผมลงมา ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง หลับตาลง ด้วยความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลือยร่างต่อหน้าคนอื่น

   อันที่จริง ผมก็ไม่ใช่คนขี้อายอะไรนัก ผมเคยเปลือยกายต่อหน้าเพื่อนผู้ชายด้วยกันเวลาที่เราอยู่ในห้องอาบน้ำ หลังจากเล่นกีฬาด้วยกันจนเหงื่อโชก กับผู้หญิงเวลาที่มีอะไรกัน ผมก็ชอบที่จะเปลือยกายให้เธอเห็น แต่ต้องไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ดูอิหลักอิเหลื่อแบบนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ลักพาตัวผมมาอย่างไม่มีวัตถุประสงค์แน่ชัด

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #2 เมื่อ15-08-2007 13:19:55 »

“น้องชายของคุณสวยจังเลย ไม่ใหญ่มาก แล้วก็ไม่เล็กเกิน ดูน่าทะนุถนอม ผิวพรรณก็นุ่ม ไม่มีเส้นเอ็นปูดโปนให้เห็นเลย ป่าของคุณก็ไม่รกทึบจนเกินไป ดูเป็นป่าละเมาะสวยดี”

 เขาพูดยิ้มๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่น้องชายของผมสักพัก จากนั้นเขาก็หันมาส่งสายตาหวานเยิ้มให้ มือที่จับผ้าขนหนู เลื่อนจากหน้าท้องที่เขากำลังเช็ดถูลงต่ำมาถึงท้องน้อย แล้วหยุดนิ่งไม่ไปที่อื่น นอกจากวนเวียนเช็ดถูอยู่กับเจ้าหนูน้อยของผม

ผมอายหน้าแดงก่ำ เปลือยกายให้ผู้ชายด้วยกันมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก็แย่พออยู่แล้ว แถมซ้ำเจ้าโจรลักพาตัวนิสัยประหลาดคนนี้ยังมาวิพากษ์วิจารณ์สรีระของผมให้ได้อายหนักยิ่งขึ้นไปอีก มือของเจ้านี่ก็ซุกซนไม่อยู่สุข หลายต่อหลายครั้งที่มือของเขาเผอิญมาโดนเจ้าน้องชายของผมโดยตรง ไม่รู้ว่าเป็นการบังเอิญหรือจงใจ มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลวนลามจากผู้ชายด้วยกัน แล้วเจ้าความคิดนี้มันก็ส่งให้ผมเกร็งตัวขึ้นมา

“หยุดวิจารณ์เสียทีได้ไหม แล้วก็รีบเช็ดตัวเร็วๆเข้า”

ผมทำเสียงหงุดหงิดใส่เขา แต่เด็กหนุ่มนั้นไม่แสดงท่าทีโกรธตอบ เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำความสะอาดให้กับร่างกายท่อนล่างของผม ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ลำตัวของผมในส่วนนั้นอย่างไม่วางตา

“เฮ้ น้องชายของคุณเขาตื่นแล้วล่ะ”

เด็กหนุ่มหันมาหัวเราะกับผม ผมเม้มริมฝีปากแน่น เพื่อสะกดกั้นความรู้สึกภายใน

“มันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติน่ะ ออกมาถูกอากาศเย็น มันก็เลยตื่นตัว”

ผมบอกเขาเหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติไม่เห็นจะต้องตกใจเสียหน่อย

“นายก็รีบเช็ดตัวฉันเร็วๆสิ อย่ามัวอ้อยอิ่ง ฉันหนาวนะ”

ผมหันไปเร่งเขา ด้วยความที่อยากจะหลบเลี่ยงไปจากสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้

“แล้วจะจัดการอย่างไรกับน้องชายคุณดี”

เขาเลิกคิ้วถามผม

“เฉยๆเหอะน่า เดี๋ยวมันก็สงบเอง”

ผมบอกอย่างไม่สนใจใยดี แต่ใจก็นึกภาวนา ให้หมอนี่เลิกยุ่งเกี่ยวกับอวัยวะของผมเสียที นึกโทษตัวเองที่ร่างกายบางส่วนทำให้ขายหน้า ยิ่งตื่นเต้นแบบนี้ มันยิ่งคึกคักใหญ่

“ผมจัดการให้มันสงบลงดีกว่า”

เขาพูด ผมรีบส่ายหน้า ร้องห้ามเสียงหลง

“ไม่ต้องงงงงงงง....”

แต่ช้าไปเสียแล้ว เจ้าโจรร้ายรูปหล่อเอื้อมมือมาเกาะกุมของรักของหวงของผม เขาลูบไล้หยอกล้อ จนมันคึกคักยิ่งขึ้น ผมพยายามจะกระเถิบก้นหนี ปากก็ร้องห้าม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวมือ เขาลงน้ำหนักที่ขาสองข้างที่ทับขาผมไว้ แล้วใช้มือข้างที่ว่างหยิบผ้ามาอุดที่ปากผมอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผมโวยวาย

[มือของเขาเคลื่อนไหวขึ้นลงบนตัวน้องชายของผม ทั้งหยอกเอินอย่างรุนแรง และลูบไล้อย่างทะนุถนอม แรกๆผมก็เบี่ยงก้นหนีมือเขาอุดตลุด แต่เจ้ามือปลาหมึกนั้นก็เคลื่อนไหวตามผมไปอย่างไม่ลดละ เขาขยับมือขึ้นลงทำราวกับว่ากำลังรูดเมือกออกจากตัวปลาไหล น่าแปลกที่สัมผัสของไอ้โจรโรคจิตคนนี้กลับปลุกเร้าความรู้สึกภายในกายของผม

ในยามนี้ผมไม่รู้ว่า ควรจะเรียกร้องให้เขาหยุดดี หรือ ให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปจนถึงที่สุดของมัน ทั้งกลัว ทั้งอาย และทั้งหวาบหวามเสียวซ่านจนผมใจสั่น ผมหลับตาปี๋ กัดผ้าที่อยู่ในปากแน่น พยายามที่จะไม่มองในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง

แต่ก็เปล่าเลย ร่างกายของผมตื่นตัวอยู่ในมือของเขา อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของมือผู้ทรงพลัง อารมณ์ของผมพลุ่งพล่านถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งเขม็ง รู้สึกได้ถึงความสุขสุดยอดที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมได้ขนาดนี้มาก่อน สักพัก ผมก็ทะลักทะลายความสุขออกมาจนเลอะรดมือเขา

 ผมลืมตาขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม เขายิ้มให้ผม แล้วยกมือที่เลอะๆนั้นขึ้นมาดม มีแววพออกพอใจในดวงตาคู่นั้น และแล้ว เขาก็ทำในสิ่งที่ต้องอึ้ง เมื่อเขาแลบลิ้นสีชมพูของเขาออกมาเลียมือที่เลอะไปด้วยน้ำจากร่างกายของผมออกจนหมด

“อื้อ กลิ่นหอม และรสชาติดีทีเดียว”

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #3 เมื่อ15-08-2007 13:57:05 »


 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

โฮกกกกกก......ให้มันค้างไว้แค่นี้จะดีเหรอ?   

ปล่อยคนอ่านให้จิ้นเองนานๆ มันไม่ดีนะจร๊า

รออ่านต่อน่อ   :m3: :m3: :m3: :m3:

ออฟไลน์ GoneOn

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #4 เมื่อ15-08-2007 14:00:17 »

เรื่องนี้มันแนวไหนเนี่ย ป้าแน๋ว  :m28: :m28:

อ่านดูน่ากลัวยังไงไม่รู้แฮะ   

แต่ก้อรออ่านต่อนะจ๊าาาาา    แน๋ว สู้ๆ   :a2: :a2: :a2:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #5 เมื่อ15-08-2007 14:00:44 »

พี่ตะแน๋วแต๋วแต้วมาลงได้รวดเร็วทันใจวัยโจ๋มาก :m9: :m9:

เอาไปเลย 1 + กะอีก 1 จุ๊บ  :give2:


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #6 เมื่อ15-08-2007 14:45:20 »

แค่ตอนแรก ก็.......... :m10:

รออ่านต่อนะแน๋ว  :m26:

jukonabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #7 เมื่อ15-08-2007 16:21:17 »

อะไรกันนี่  หูย  เริ่มแรกก็  จินตบรรเจิดกันเลยทีเดียว  :m30:

รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ และกดโหด  เอ้ย กดโหวตหนึ่งจึ๊ก!!!!

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #8 เมื่อ15-08-2007 17:03:40 »

มาอ่านเรื่องใหม่ด้วยคน  ตอนแรกก็   :m25: :m25: :m25:
ออกแนวจิตพิศวาสยังไงม่ายรู้  :m10: :m10:
โหวตให้พี่แน๋วด้วย ขอบคุณสำหรับเรื่องใหม่ค้าบบ  o14 o14

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #9 เมื่อ15-08-2007 17:42:17 »

โอ่ เรื่องนี้เด็ดซาลาตี่
 :a1: :a1: :a1:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-08-2007 17:42:17 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #10 เมื่อ15-08-2007 22:09:02 »

ตามมาให้กำลังใจพี่เคทกับแน๋ว
 :a2:  :a2:  :a2:  :a2:  :a2:

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #11 เมื่อ15-08-2007 22:18:24 »

 o15 ขอบคุณตะแหน่ว ตะแหน่ว มากค่ะ ที่ลงนิยายเรื่องนี้ให้พี่เคท เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่พี่เคทรักมากที่สุด   :m1: แล้วก็ยาวที่สุด  :m29: แล้วก็เป็นเรื่องที่แฟนนิยายยังถามกันอยู่ จนถึงทุกวันนี้  :m3: หวังว่าสมาชิกเล้าเป็ดทั้งหลายจะชอบเรื่องนี้นะคะ  :m18:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #12 เมื่อ16-08-2007 01:21:48 »

:a3:   โอ๊ะโอ......เรื่อง นี้บุกเล้าเป็ด คิคิ    :a3:
เป็นเรื่อง ที่ชอบมากๆ เรื่องนึง ของที่พี่เคท เขียนโรยนะเนี่ย     :m1:  :m18:  :m1:

 :m10:    แค่จั่ว..ก้อเหอๆ    :m3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #13 เมื่อ16-08-2007 01:50:28 »

บทที่ 2  


เขาพูดพลางยักคิ้วให้ผม ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมากระทันหัน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น นึกในใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผมนี่ ทำไมผมถึงต้องมาเจอโจรโรคจิต ที่น่าจะเป็นกระเทย หรือ ตุ๊ด แถมเข้าไปด้วยอีกนะ
มีเสียงหัวเราะเบาๆให้ได้ยินจากเขา มันเป็นเสียงหัวเราะของคนที่กำลังอารมณ์ดีอย่างสุดๆ เขาก้าวลงจากเตียงเดินผิวปากหวือ ปล่อยให้ผมนอนเปลือยท่อนล่าง กางเกงขายาว และกางเกงในถูกถลกมาอยู่ตรงหน้าขา ดูน่าสมเพชยิ่งนัก ผมสั่นศีรษะไปมาเพื่อให้ผ้ามันหลุดออกจากปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา

เขากลับมาใหม่ พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่บิดน้ำออกเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียง แล้วบรรจงใช้ผ้าเช็ดร่างกายท่อนล่างที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยน้ำรักให้ผมอย่างนุ่มนวลอ้อยอิ่ง ผมหน้าแดงก่ำ ความอับอายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์รู้ทันของเขาที่มองมายังผม สลับกับการมองเจ้าหนูน้อยที่ตอนนี้สงบนิ่งไปแล้ว ให้ตายสิ

ผมชักจะเริ่มเกลียดดวงตาคู่สวยคู่นั้นของเขาเสียแล้ว ควบคู่กับการเกลียดตัวเอง ที่ไม่ยอมควบคุมอารมณ์ ปล่อยให้ความปรารถนาในรสสัมผัสเข้าครอบงำ จนสร้างความอับอายขายขี้หน้าให้กับตนเอง นี่ถ้าเรื่องนี้มันแพร่งพรายออกไป ว่าผมดันเกิดอารมณ์ เมื่อถูกผู้ชายแตะของสงวน แถมซ้ำยังเป็นผู้ชายแปลกหน้า คนที่ลักพาตัวผมมา อีกด้วย ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหนอ ลำพังแค่ตั้งบนบ่าอาจจะไม่พอเสียแล้วมั้ง คงต้องหาปี๊บคลุมอีกที

เด็กหนุ่มสวมเสื้อกับกางเกงให้ผมจนเรียบร้อย และดึงผ้าออกจากปากผม ทันทีที่ไม่มีอะไรขวางกั้น คำพูดที่ผสานไปด้วยโทสะก็พรั่งพรูออกมา

“นายทำอะไรลงไปเนี่ย โรคจิตหรือเปล่า กล้าดีอย่างไรมาทำกับฉันแบบนี้ ฉันไม่ใช่กระเทย หรือตุ๊ดนะโว้ย ทำแบบนี้มันหมายความว่าไง นายเป็นพวกวิปริตผิดเพศใช่ไหมเนี่ย อย่าบอกนะว่า ลักพาตัวฉันมา เพื่อจะทำมิดีมิร้าย ฉันไม่มีวันยอมแน่ๆ หากคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะสู้จนสุดใจเลยคอยดู ”

“โห โห เป็นชุดเลยนะ ผมเองก็ไม่ใช่กระเทย หรือตุ๊ด เหมือนกัน แต่ผมแค่อยากช่วย เห็นน้องชายคุณกำลังตื่นตัว ก็ไม่อยากให้มันอารมณ์ค้าง ก็เลยหาทางปลดปล่อยให้น่ะ”

“ฉวยโอกาสนะสิไม่ว่า ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมายุ่ง ฉันไม่ได้ต้องการให้มาช่วยเสียหน่อย นายมายุ่งเองทำไม ผู้ชายที่ไหนเขาจะทำกัน นอกจากพวกโรคจิต หรือ เป็นกระเทย วิปริตผิดมนุษย์มนา น่ารังเกียจที่สุด

นายทำแบบนี้มันหยามเกียรติกันมากไปแล้ว ถ้าจะเอาเงินเอาทองเท่าไหร่ ฉันก็จะให้ แต่ถ้าจะมาทำแบบนี้ ฉันยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด และถ้าฉันหลุดไปได้ รับรองฉันจะชกให้หน้าหล่อๆของแกแหกยับเยินเลย ฉันขอสาบาน ฉันไม่ไว้แกแน่ ไอ้กระเทย ไอ้คนโรคจิต ไอ้ห่าลากเอ๊ย”

ผมหลุดคำหยาบคายออกมาอย่างเหลืออด ความโมโหทำให้เห็นช้างตัวเท่าหมู ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น แต่หมอนั่น กลับไม่มีทีท่าว่าโกรธ เขาพูดอย่างใจเย็น

“โชคดีของผมแล้วที่มือคุณถูกมัดไว้แบบนี้”

ไม่พูดเปล่า กลับยื่นสองมือออกมาประคองใบหน้าของผม ผมจะหันหน้าหนีก็ไม่ได้ เพราะเขาใช้สองมือบังคับให้ผมต้องมองหน้าเขา

““ใจเย็นๆนะครับ อย่าเพิ่งโมโหโทโสไป ไม่น่ารักเลยรู้ไหม ผมไม่ใช่กระเทย หรือ ตุ๊ด  อย่างที่คุณเข้าใจ แล้วผมก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับคุณด้วย ถึงแม้ว่าผมจะพาคุณมาที่นี่ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็อภัยให้ผมด้วยเถอะ ผมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดที่จะได้ตัวคุณมา

ผมไม่ได้ถูกจ้างให้มาทำร้ายคุณ โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่เคยเกลียดคุณด้วย แต่ผมจำเป็นต้องลักพาคุณมา เพราะมีบางอย่างที่อยากจะให้คุณได้รับรู้ไว้ แล้วก็มีบางอย่างที่ผมจะขอร้องให้คุณช่วย”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมแค่นหัวเราะ


“นายคิดว่า นายทำกับฉันถึงขนาดนี้ แล้วฉันยังจะให้โอกาสนาย ยอมรับฟังในสิ่งที่นายขอร้องเหรอ”

“ผมรู้ว่าผมอาจจะทำไม่ดีกับคุณ บังคับ และฝืนใจคุณต่างๆนานา ลักพาตัว ทำให้คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นฆาตกร เป็นคนโรคจิต ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่อะไรสักอย่างเลยตามที่คุณกล่าวหา ผมแค่พยายามจะเข้าให้ได้ถึงตัวคุณ แต่ก็กลัวว่า หากใช้วิธีการปกติ ผมอาจะไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้ ก็เลยต้องทำแบบนี้ ผมขอโทษนะครับ ไม่ได้เจตนา อย่าโกรธผมเลยนะ”

เขาทำเสียงอ้อน ท่าทางดูสงบเสงี่ยม ไม่มีพิษมีภัย จนผมชักงง ว่าหมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่

“นะครับ ให้โอกาสผมบ้าง ฟังในสิ่งที่ผมจะขอร้องคุณต่อจากนี้”

เด็กหนุ่มทำตาแวววาว และส่งยิ้มประจบประแจงให้ผมอีกแล้ว น่ารำคาญชะมัดไอ้หมอนี่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ปรับอารมณ์ไม่ทันแล้ว

“เรื่องอะไร ทำไมฉันต้องฟังเรื่องของนายด้วย”

ผมยังคงเสียงแข็งใส่เขาอย่างต่อเนื่อง

“ก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับการที่ผมจับคุณมาน่ะสิ แล้วถ้าคุณฟัง และยอมตามที่ผมขอร้อง ผมก็จะปล่อยตัวคุณไป ทีนี้ มันสำคัญเพียงพอที่จะทำให้คุณสนใจอยากฟังหรือยังครับ”

“นายเดือดร้อนเงินอยู่เหรอ ติดยา หรือเป็นโรคเอดส์ล่ะ”

ผมถามเขา จงใจใส่ความดูหมิ่นลงไปในน้ำเสียง โดยปกติผมไม่เคยดูถูกใครขนาดนี้หรอก แต่ผมกำลังแค้นเคืองที่เขาบังอาจมาจับต้องน้องชายของผมต่างหาก แล้วยังทำให้ผมขายหน้าด้วยการปลุกเร้าอารมณ์ผมอีกด้วย ความโมโห ความอับอาย ทำให้ผมพูดจาหยาบคายออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้กำลังกลัวว่าเขาจะฆ่าผมอยู่ ยิ่งเห็นเขาทำท่าหงอใส่ก็ยิ่งได้ที ทำหยาบคายใส่เขาสุดฤทธิ์ แต่ผมไม่แคร์แล้ว พวกโจรโรคจิต ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย

“ผมยังแข็งแรงอยู่นะ”
เขาเบ่งกล้าม ทำหน้ายิ้มๆ เมื่อถูกกล่าวหา
“งั้นก็ติดการพนันบอล หรือไม่ก็ไปทำใครท้อง แล้วไม่มีเงินไปทำแท้ง”
ผมเหน็บแนมเขาอีก คราวนี้เขาหัวเราะขำผม
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ผมยังไม่มีแฟนครับ อยากมีมากๆ แอบชอบคนๆหนึ่งอยู่ แต่ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไงครับ”
หมอนั่นยิ้มใส่ตาผมอีกแล้ว บ้าชะมัด อยากควักลูกตาเจ้านี่ออกจังเลย จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวทำหูตาแพรวพราวกับใครแบบนี้ เห็นแล้วอยากจะอาเจียนเสียจริง
“แม่ป่วย หรือไม่น้องก็เข้าคุก”
ผมยังฉวยโอกาสด่าว่าเขาอย่างต่อเนื่อง
“นี่ใจคอ จะให้ผมกลายเป็นคนชั่วร้ายให้ได้สินะ”
เขาหัวเราะหึๆ ที่ผมโยนเรื่องไม่ดีทั้งหลายใส่เขาไม่ยั้ง
“คนดีๆที่ไหนเขาจะลักพาคนอื่นมาแบบนี้” ผมต่อว่าเขาอีก
“ก็ผมกำลังจะบอกให้ฟังอยู่นี่ไงครับว่า เพราะอะไร”
เขาวางมือบนหน้าขาของผม แต่ผมสบัดออก รู้สึกไม่ชอบใจที่เขามาแตะตัวผม
“งั้นก็บอกมาสิ ฉันก็ทำตามที่นายต้องการแล้ว คราวนี้ก็บอกมาสักที แล้วก็รีบปล่อยฉันด้วย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“ถ้าผมบอกคุณไป สัญญาได้ไหมว่าคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูด และไม่หัวเราะเยาะผม” ท่าทางเขาดูกล้าๆกลัวๆ ที่จะพูด ซึ่งต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“ถ้าเรื่องมันเหลือเชื่อ หรือ น่าขำมากล่ะก็ ฉันก็คงอดไม่ได้ล่ะ ที่จะต้องหัวเราะ”
“แต่เรื่องที่ผมจะพูดนี้ มันเป็นเรื่องจริง สำหรับผมแล้วมันไม่น่าหัวเราะ แล้วผมก็ไม่อยากจะให้คุณหัวเราะด้วย ถ้าคุณไม่สัญญา ผมก็จะไม่เล่า แล้วไม่ปล่อยคุณด้วย”

เขาขู่ผม ซึ่งมันได้ผล ผมหุบปากแล้วก็พยักหน้าทันที เรื่องอะไรที่จะปล่อยโอกาสที่จะได้รับอิสรภาพให้หลุดลอยไปล่ะ อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ว่าเรื่องมันจะตลก หรือ น่าสมเพชแค่ไหนก็ตาม ผมจะฟังมันเฉยๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

“ผมอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็เพราะว่า ผมรักคุณนะครับ”

เด็กหนุ่มบอกผมด้วยท่าทางอายๆ หน้าเขาแดงก่ำ แต่ดวงตาที่จ้องมองผม เต็มไปด้วยความเสน่หา ผมตาเหลือก อ้าปากค้าง ตกใจและคาดไม่ถึงกับเรื่องที่ได้ยิน นั่นไง เรื่องทุเรศที่สุดที่เคยได้ยินมา เรื่องแบบนี้จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ถึงกับตลกหรอก มันฟังดูแล้วทั้งบัดสี บัดเถลิง และสยองขวัญสั่นประสาทมากกว่า

โอ้ย จะบ้าตาย ทำไมเรื่องบ้าบอแบบนี้มันต้องมาเกิดกับผมด้วยวะ มิน่าล่ะ ไอ้หมอนี่ถึงชอบแตะเนื้อต้องตัวผมนัก แล้วยังมาปลุกอารมณ์ผม แถมซ้ำเขายังกินน้ำจากร่างกายผมอีกด้วย ตายห่าแล้ว นี่ผมตกมาอยู่ในเงื้อมมือของพวกกระเทยโรคจิตหรือนี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2007 16:54:50 โดย º★*.๑۩۞۩๑..*ღ• »

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #14 เมื่อ16-08-2007 01:54:14 »

ผมแหงนหน้าหัวเราะด้วยความขมขื่นใจ รู้สึกสังเวชตนเองที่กลายเป็นเป้าหมายของพวกกระเทยโรคจิตไปแล้ว แล้วอย่างนี้ผมจะปลอดภัยกลับไปโดยไม่ถูกทำให้สูญเสียความเป็นชายหรือเปล่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยคลุกคลีตีโมงกับคนกลุ่มนี้มาก่อน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ ที่คนจะลุกขึ้นมารักเพศเดียวกัน แล้วเราจะสืบสานเผ่าพันธ์กันอย่างไร หากหญิงกับชายไม่ได้ชอบกัน แต่หันมาใช้ชีวิตอยู่กันเอง โลกคงจะล่มสลายแน่ เพราะมวลมนุษย์ชาติตายลงไป แต่ไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดคนกลุ่มนี้ ผมยังคงมีเพื่อนที่ทำตัวลักเพศ มีคนรู้จักที่เกี่ยวข้องกันในหน้าที่การงาน หรือเป็นเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียน ผมคบหากับคนเหล่านั้นอย่างสนิทใจ เพราะเขาไม่ได้มาทำความเสียหาย หรือเสื่อมเสียมาให้ผม จะมีรำคาญบ้าง ก็คือความกรี๊ดกร๊าด เสียงดังของพวกเขา กับปากที่มักจะพ่นคำหยาบ หรือคำด่าแรงๆ จนไม่อยากอยู่ใกล้

“บอกแล้วไงว่าห้ามหัวเราะ ผมจริงใจกับคุณนะ ผมรักคุณมากๆด้วย”

เขาทำหน้าโกรธๆที่เห็นผมหัวเราะไม่หยุด

“ฟ้าผ่าตายห่า ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นกระเทยไง แบบนี้มันตุ๊ดชัดๆ”

“ผมไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างที่คุณว่ามา ผมเป็นเพียงผู้ชาย ที่รักผู้ชายเท่านั้นครับ”

“นั่นล่ะ ก็กระเทยล่ะ”

“ผมว่าคุณมีความเข้าใจผิดอย่างมาก เรื่องกระเทยกับตุ๊ดนี่ ผมเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเกย์ครับ เฮ้อ ไม่ไหวเลยคุณนี่ ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้จริงๆเลย แต่ไม่เป็นไร เอาไว้ผมจะสอนให้ คุณจะได้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง ”

เขาเสนอตัวเป็นคุณครูให้กับผม

“อย่าเลย เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจะอยากรู้ แค่นายบอกว่า จับตัวฉันมา เพียงเพราะว่ารักฉัน มันก็เหมือนโลกทะลายมาตรงหน้าแล้ว นายเห็นฉันเป็นอย่างไรล่ะ เป็นพวกวิปริตเหมือนนายงั้นเหรอ ถึงได้จับตัวฉันมา พร่ำพรรณนาความรักแบบนี้”

ผมเหน็บแนมเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง

“ทำไมเหรอ ผู้ชายรักผู้ชายด้วยกัน มันผิดตรงไหน แล้วการที่ผมรักคุณ มันน่ารังเกียจมากนักหรือไง อย่ามาดูถูกความรักของผมนะ”

เขาเริ่มเสียงดังใส่ผมเหมือนกัน จนผมสะดุ้ง ที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ครุ่นคิดในใจว่า กำลังเผชิญหน้าอยู่กับพวกโรคจิตชอบความรุนแรงหรือเปล่า

“คุณรังเกียจผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันเหรอ” เขาทำเสียงคาดคั้น จ้องตาผมเขม็ง

“อื้อ ......”

ผมกรอกตา อยากจะโกหกว่าเกลียด แต่ก็พูดความจริงไปดีกว่า

“ก็ไม่เชิงหรอก ไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ หรือ ต่อต้านหรอก เอาเป็นว่า ฉันไม่สนใจดีกว่า ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่มาวุ่นวายกับฉันเป็นพอ ไม่นึกว่า ฉันจะกลายเป็นเหยื่อของความผิดปกตินี้”

“ผมไม่ชอบที่คุณพูดแบบนี้นะ คุณไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นคนที่ผมรัก ความรักของผมก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติด้วย ทำไมคุณไม่ทำใจเปิดกว้างยอมรับมันล่ะ”

“ยอมรับอะไร ยอมรับที่จะให้กระเทย ไม่ใช่สิ เกย์อย่างนาย มารักนี่นะ ขอบอกเลยว่าไม่มีทาง ฉันชอบผู้หญิง ชอบมากๆด้วย แล้วก็อยากมีอะไรกับผู้หญิง ไม่ใช่กับผู้ชาย”

ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่เห็นผมไม่คล้อยตาม

“แต่คุณก็เกิดอารมณ์เมื่อผมสัมผัส”

เขากล่าวหาผม โดยยกเรื่องที่เพิ่งผ่านไปขึ้นมาอ้างอิง ผมหน้าแดงก่ำ ความอับอายแล่นริ้วขึ้นสู่ใบหน้า

“นั่นเพราะว่า อากาศมันเย็นต่างหาก”

“จริงหรือที่ว่า คุณไม่มีอารมณ์เลยเมื่อถูกปลุกเร้าอารมณ์จากผู้ชายด้วยกัน”

เขาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“ก็แน่นอนสิ ฉันไม่ใช่เกย์ กระเทย ตุ๊ด แต๋วนี่ มีอารมณ์กับผู้ชายก็บ้าแล้ว”

ผมก็ตอบเขาด้วยความั่นอกมั่นใจเหมือนกัน แล้วพริบตานั้นเอง เด็กหนุ่มลูกครึ่งก็กระเถิบพรวดเข้ามาประชิดตัวผม แล้วยื่นหน้ามาใกล้

“นายจะทำอะไรน่ะ อย่าเชียวนะ อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้องตัวฉันเชียวนะ”

ผมมองเขาด้วยความหวาดระแวง

“ผมแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“อะไร”

ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆบอกไม่ถูก

“ผมไม่ทำอะไรที่ไม่ดีหรอกครับ แค่อยากลองดูเฉยๆ ทำตัวตามสบายนะครับ”

เด็กหนุ่มพยายามพูดให้ผมสบายใจ แต่ผมกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่เขาบอก ความรู้สึกบอกว่า จะมีบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ผมแค่อยากลองดูว่าถ้าผมจูบไซร้ซอกคอคุณแบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร”

พูดจบเด็กหนุ่มก็ซุกจมูกมาที่ลำคอของผม ผมเบี่ยงหน้าหนี แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเกินกว่าที่ถูก พันธนาการไว้ เจ้าโจรโรคจิต สูดดมแถวแก้ม ลำคอ ของผม เขาแลบลิ้น เลียที่ติ่งหูของผม จนผมขนลุก ดูเหมือนเขาจะย่ามใจ เพราะเขาสอดมือเข้ามาใต้เสื้อของผม และลูบไล้หน้าอก

“แล้วถ้าผมสัมผัสเนื้อตัว โลมไล้คุณแบบนี้ คุณจะคงเฉยชาไม่รู้สีก รู้สาอะไรอีกไหม”

เขางึมงำอยู่ตรงแถวๆซอกคอของผม มือก็ยังไม่หยุดควานไปทั่วแผ่นอกของผม แล้วค่อยๆเลื่อนต่ำมาลงตรงแถวหน้าท้อง ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่ดิ้นหนี เพื่อให้พ้นไปจากสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการสูญเสียความเป็นชายของตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้

ผมพยายามจะเปล่งเสียงร้องออกมา แต่ก็ดันร้องไม่ออก ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมดทั้งตกใจ ตื่นเต้น ขยะแขยง และ หวาบหวามรัญจวนใจ

“แล้วถ้าผมกอบกุมน้องชายสุดหวงของคุณไว้แบบนี้ คุณจะรู้สึกอะไรบ้างไหม”

พูดจบ เขาก็สอดมือเข้าไปในกางเกงของผม แล้วลูบคลำเจ้าตัวน้อยผ่านกางเกงชั้นในที่ห่อหุ้มมันไว้ เด็กหนุ่มคลึงเคล้า ปลุกเร้าอารมณ์น้องใช้ของผมอย่างนุ่มนวล และแล้วมือของเขาก็ผลุบหายเข้าไปในกางเกงชั้นใน ผมพยายามร้องห้ามเขา แต่เสียงที่เปล่งออกมา กลับกลายเป็นเสียงครวญคราง แล้วเจ้าความรู้สึกบางอย่างก็บอกให้รู้ว่า บัดนี้น้องชายของผม ตื่นตัวเต็มที่เต็มมือของเขาอีกแล้ว

เขายังไม่หยุดซุกไซร้ ผม แต่คราวนี้ เขาเลื่อนมา จูบที่หน้าอก ซึ่งเขาปลดกระดุมเสื้อออกไปจนหมดแล้ว มือข้างที่เกาะกุมเจ้าตัวน้อยของผมก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะพร้อมๆกับที่เขาค่อยๆจูบซุกไซร้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงสะดือ และท้องน้อย หัวสมองของผมอื้ออึง บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกปั่นป่วนเมื่อถูกมือของเด็กหนุ่มคนนี้สัมผัส ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะธรรมชาติทางร่างกาย หรือว่าผมกำลังอ่อนไหวในสิ่งที่เขาทำกับผมอยู่

เด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังปลดกางเกงของผมออกแล้วดึงลงมาไว้ที่หน้าขา เขาปลดปล่อยน้องชายของผมที่กำลังรื่นเริงเต็มที่ออกมาจากสิ่งที่ห่อหุ้ม ใบหน้าของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับหนูน้อยที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ของผม เจ้าหนุ่มลูกครึ่ง มองสบตาผม และยิ้มหวานให้ มันเป็นยิ้มแบบประจบประแจงที่เขาชอบทำบ่อยๆ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง ใช้ลิ้นตวัดไปที่หัวของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงใช้ปากห่อหุ้มของสงวนของผมเอาไว้

ผมสะดุ้งเฮือก ตกใจในสิ่งที่เขาทำ พยายามดิ้นหนี แต่เขาก็เคลื่อนไหวตาม เขาใช้มือทั้งสองข้าง ปากและลิ้นหยอกเอินเล่นสนุกกับน้องชายของผม ดวงตาของเขาจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา มีความปรารถนาอย่างลึกซึ้งให้เห็นในนั้น ดูเหมือนว่าเขาตั้งอกตั้งใจที่จะทำให้ผมอย่างเต็มที่ แล้วเขาก็อยากให้ผมได้รับรู้ด้วยว่าเขาพยายามมากแค่ไหน ในการที่จะทำให้ผมมีความสุข

การกระทำของเขาครั้งนี้ ส่งผลให้ผมต้องเกร็งลำตัวขึ้นด้วยดำกฤษณาที่อยู่ภายใน ผมหลับตาปี๋ พยายามจะข่มความรู้สึกทั้งมวล แต่ก็ไม่ได้ผล ร่างกายของผมกลับยอมรับการรุกรานจากเขา ผมหายใจหอบสะท้าน รู้สึกว่าสะโพกของตัวเองลอยสูงขึ้น เนื้อตัวรุ่มร้อน ด้วยแรงปรารถนาในสัมผัสของชายแปลกหน้าเช่นเขา

แล้วผมก็สำลักความสุขออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มก็กลืนกินมันเข้าไปจนหมด เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาแพรวพราว เขายิ้มให้ผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบหมดอารมณ์

“เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดเลย คุณนี่ ใช้ปากกับมือนิดเดียว ก็มีอารมณ์แล้ว”

ผมเบือนหน้าหนี ทำปากยื่น หน้าตางอง้ำ เขาหัวเราะหึหึ เมื่อเห็นกิริยาอาการของผม เขาค่อยๆใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดร่างกายส่วนล่างให้ผมอีกครั้ง และนุ่งกางเกงและรูดซิบให้เรียบร้อย

“ผมฝีมือใช้ได้เลยใช่ไหมครับ คุณเองก็มีความสุขที่ผมทำให้ใช่ไหมครับ” เขาถามด้วยท่าทางกระตือรือล้น
“ไปซะ”

ผมบอกกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา ตัวยังไม่หายสั่นจากอารมณ์พิศวาสที่ถูกก่อขึ้นมาเมื่อครู่

“ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้” ผมบอกเขาอีก โดยไม่ยอมหันกลับไปมองหน้าแม้แต่น้อย

ผมไล่เขา เพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากยอมรับอะไรทั้งสิ้น รู้สึกอับอาย ที่ตัวกับใจเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันถึงได้พร้อมใจกันยินยอมรับรสสัมผัสของเด็กหนุ่มโดยไม่ขัดขืน นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมรู้สึกกลัวเหลือเกิน การเป็นกระเทยมันติดต่อกันได้ทางสัมผัสหรือเปล่านะ หวังว่าผมคงจะไม่โชคร้ายติดโรคชอบเพศเดียวกันมาจากเจ้าหมอนี่

“ทำไมล่ะครับ”

เขาถามผมด้วยความงุนงง น้ำเสียงที่รื่นเริงอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก”

“กลัวความจริงหรือครับ” เขาถามผม

“รับไม่ได้หรือ ที่จะยอมรับกับตัวเอง ว่าคุณรู้สึกดีที่ถูกผมสัมผัส”

เสียงของเขาเริ่มดังขึ้น

   “มองหน้าผม แล้วพูดความจริงกับผมสิ บอกมาสิ ว่าคุณรังเกียจและขยะแขยง เมื่อถูกผู้ชายด้วยกันลูบไล้ และทำอะไรต่ออะไรให้”

เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่ง บีบคางให้ผมหันมา มือของเขาแข็งแรงมาก เขาจ้องหน้าผม ตอนนี้หน้าของแดงก่ำ ท่าทางดูโกรธขึ้งที่ผมไม่พูดความจริง

“คุณยังจะดื้อไม่ยอมรับอีกใช่ไหม ว่าแม้กระทั่งผู้ชาย ก็ไม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกทางเพศของคุณ ทั้งๆที่คุณก็เห็นเหมือนกับที่ผมเห็นว่าผู้ชายก็ทำให้คุณถึงจุดไคล์แม็กซ์ได้เหมือนกัน เอาเลยบอกมาสิ พูดออกมาสิครับ จะโกหกอะไรก็ได้ ถ้าคุณต้องการ แล้วผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีก ผมจะปล่อยคุณไป ถ้าหากคุณบอกกับผมว่า คุณไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผมทำ”

เสียงของเขาดัง แต่ค่อนข้างสั่นเครือ เหมือนคนที่พยายามสะกดอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

“โอเค ยอมรับก็ได้ ว่านายทำให้ฉันรู้สึกมีอารมณ์ แล้วฉันก็เชื่อแล้วว่านายรักฉัน แต่นั่นมันก็ไม่ทำให้ฉันยอมรับในสิ่งที่นายทำกับฉันหรอกนะ”

ผมตัดสินใจบอกความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ ตอนแรก ผมคิดว่าผมน่าจะโกหก เพื่อให้ตัวเองได้เป็นอิสระ แต่ไม่รู้มีอะไรดลใจบอกให้ผมพูดความจริงออกมา

“ขอบคุณครับ ที่ยอมเปิดใจ”

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #15 เมื่อ16-08-2007 01:57:32 »

เขายิ้มให้กับผมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือออกจากคางของผม

“ฉันเข้าใจแล้วว่านายเป็นเด็กโรคจิต สมองผิดปกติ แล้วก็เป็นเกย์ด้วย ฉันยังเข้าใจอีกด้วยว่า นายลักพาตัวฉันมา เพื่อที่จะทำทุกวิถีทางให้ฉันได้รู้ว่า นายรักฉัน แล้วนายก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าฉัน หรือทำร้ายฉัน นายไม่ได้เป็นฆาตกร ไม่ได้เป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นแค่ที่คลั่งรักเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่อาจจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ฉันไม่ชอบพฤติกรรมรักร่วมเพศแบบนี้ ให้ตายเถอะ ยอมรับไม่ได้จริงๆ มันผิดปกติ ผิดธรรมชาติ ฉันไม่อยากถูกฟ้าดินลงโทษ เพราะฉะนั้น แก้มัดฉันเถอะ แล้วไปซะ ฉันไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกับนายหรอก”

ผมพูดกับเขาอย่างใจเย็น ดูจากรูปการหมอนี่ ไม่ได้มีภัยอันตรายร้ายแรงนัก เขาไม่ได้หวังอะไร นอกจากตัวของผมเท่านั้น ดังนั้น หากผมพูดจาต่อรองกับหมอนี่ดีๆ ผมอาจจะหลุดพ้นไปจากที่คุมขังแห่งนี้ ยิ่งปล่อยเวลาให้ยาวนานออกไป ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าผมจะถูกลบเหลี่ยมจนเสียเชิงชายหรือไม่ อายเขาตายเลยถ้าจะถูกผู้ชายด้วยกันปล้นเอาความบริสุทธิ์ไป คิดมาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกสงสารตัวเอง และเริ่มจะปลงตก

เมื่อก่อนนี้ผมมักจะรู้สึกยินดีที่ได้เจาะไข่แดงหญิงสาวบริสุทธิ์ เที่ยวได้ผลาญพล่าพรมจรรย์เขาไปทั่ว ถึงแม้จะไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวกับผม แต่ผมก็รู้ว่าผู้หญิงหลายคนก็เสียใจต่อสิ่งที่ผมทำไม่น้อย เวลานี้ ผมก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอันตรายแบบนั้น รอลุ้นแค่ว่าผลกรรมที่ผมเคยทำมามันจะตามผมทันไหมหนอ ถ้าผมรอดไปได้คราวนี้ ผมจะทำดีกับพวกผู้หญิงทุกๆคนเลย

“ไม่ได้หรอก ผมยังแก้มัดคุณไม่ได้ จนกว่าคุณจะฟังเรื่องที่ผมขอร้อง”

เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธคำพูดของผม มันทำให้ผมเกิดเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“อะไรอีกล่ะ” ผมกระชากเสียงใส่เขา

“ผมอยากให้คุณอยู่เคียงข้างผม....อยากขอร้องให้คุณช่วย เป็นแฟนกับผมได้ไหม”

เขาส่งสายตาวิงวอนขอร้องมาที่ผม พร้อมกับรอยยิ้มแบบเด็กๆ ยิ้มที่ทำให้ผมเกือบใจอ่อน ถ้าไม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าคนตรงหน้านี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

“จะบ้าหรือไง พูดอะไรออกมาน่ะ”

“จริงๆ นะครับ ผมอยากเป็นแฟนกับคุณจริงๆ อยากอยู่ใกล้ๆคุณ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง ผมน่ะ ตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น แล้วก็คิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะต้องทำให้คุณรัก และสนใจผมให้ได้  ผมอยากให้คุณเห็นว่าผมมีความสำคัญและมีความหมายต่อคุณให้เร็วที่สุด ไม่อยากจะรอเวลาให้มันเนิ่นนานไปกว่านี้อีกแล้วครับ”

ผมฟังเด็กหนุ่มพูด แล้วรู้สึกอยากจะบ้าตาย

 “นี่นาย มีอาการผิดปกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า ตอนเด็กๆ เคยเกิดอุบัติเหตุจนสมองได้รับความกระทบกระเทือนไหม ถึงได้พูดจาเลื่อนลอยแบบนี้ ฉันกับนายเคยไปเจอหน้าหรือรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หือ นายถึงจะมาชอบมารักฉันนักหนา”

เจ้าเด็กบ้านี่ สั่นศีรษะ แล้วหน้าเด๋อด๋าใส่ผม พูดเสียงยานคางว่า

“เปล่าน้า......”

แล้วเจ้าหมอนี่ก็ส่งยิ้มทะเล้นมาให้ ไม่มีทีท่าโกรธเคืองสิ่งที่ผมพูด เขาเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งแบบสบายๆอยู่บนเตียงทางด้านขวาของผมมาเป็นนั่งแนบชิด มือวางลงตรงท่อนขาของผม สภาพของเขาตอนนี้คือแทบจะนั่งเบียดตัวผมอยู่แล้ว ผมพยายามจะถอยหนี แต่ก็ติดขัดตรงที่มือยังถูกมัดอยู่ทำให้ไปไหนไม่ได้
“ผมไม่ได้ถูกทำให้สมองกระทบกระเทือน หรือเป็นโรคจิตหรอกครับ เอ้อ แล้วก็ การเป็นเกย์ ไม่ใช่โรคติดต่อนะครับ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกระเถิบหนีไปขนาดนั้นก็ได้ครับ จะเป็นหรือไม่เป็นมันอยู่ที่จิตใจมากกว่า
ครับ”

เขาพูดดักคอเหมือนรู้ทันความคิดของผม พลางยื่นหน้ามาใกล้

“ไม่ได้กลัวซักหน่อย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีวันที่ฉันจะเปลี่ยนความชอบของตนเองแน่ ที่ขยับตัวเพราะมันอึดอัดน่ะ ไม่ชอบให้ใครมานั่งใกล้ๆ มันร้อน กระเถิบออกไปหน่อยได้ไหม”

ผมบอกเขา แต่หมอนี่ยังนั่งเฉย นอกจากไม่ขยับแล้ว ยังเบียดเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมอีก จนหัวแทบจะชนกันแล้ว  เหมือนแกล้งผมยังไงยังงั้น ผมล่ะอยากจะบ้าตาย เดาใจเด็กคนนี้ไม่ออกจริงๆ

“ผมน่ะนะ อยากอยู่ใกล้ชิดคุณมาตลอด คิดอยู่ว่า จะทำวิธีใหนนะ คุณถึงจะสนใจผม คุณอาจจะคิดว่า ผมบ้าหรือเปล่า ที่ผมมาพูดอย่างนี้ ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันแค่วันเดียว แต่ที่จริงเราเคยพบกันหลายครั้งแล้วครับ ในหลายๆปีที่ผ่านมา คุณคงจำผมไม่ได้ แต่ผมจำคุณได้เสมอ ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งหน้าตา รูปร่างและนิสัยใจคอ คุณเป็นคนดีอย่างไร ก็ยังคงเป็นคนดีอย่างนั้น”

ผมรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเขา ไอ้หมอนี่ท่าทางจะเพี้ยน ในสาระบบความจำของผมไม่เคยมีส่วนใหนที่จะจำเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ได้เลย

“เดี๋ยวนะ ขอร้องทีฉันงงไปหมดแล้ว นายช่วยเหล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นมายังไง ฉันนึกไม่ออก เอ หรือว่า นายตีหัวฉัน จนสติสตังไม่สมบูรณ์ จำอะไรไม่ได้เนี่ย”

“ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทำร้ายคุณหรอก แล้วก็จะไม่มีวันทำร้ายคุณด้วย ทำอย่างนั้นได้ไง คุณคือหัวใจของผมนะ ทำคุณเจ็บ ผมก็เจ็บด้วยอ่ะ” 

เขาปฏิเสธิด้วยเสียงอ้อนๆ ฟังแล้วขัดหูยิ่งนัก ทำไมไม่เป็นผู้หญิงสาวสวยๆมาพูดนะ

“เอาเถอะ อย่ามาหวานใส่นักเลย ขี้เกียจฟังแล้ว เล่าเรื่องของนายมาดีกว่า”

“ผมรู้จักกับคุณโดยบังเอิญ แล้วคุณก็ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งมาก ถ้าไม่ได้คุณ ชีวิตผมก็คงไม่ดีขึ้นแบบนี้ ผมคงจะไม่ต่างอะไรกับหมาข้างถนน ไม่มีใครให้ความสำคัญ ไม่มีใครเห็นค่า อาจจะกลายเป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นผู้ร้าย เป็นฆาตกรโรคจิต อย่างที่คุณว่าก็เป็นได้”

ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ผมน่ะนะ ไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ ตอนไหนกันล่ะ

“ฉันไปช่วยเหลือด้านการเงินกับนายเหรอ หรือออกทุนให้ ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมถึงจำไม่ได้”
ผมถามเขาด้วยความมึนงงเต็มที่
“เปล่าครับ”
เขายิ้มกว้างให้ผม เวลายิ้ม หน้าหมอนี่ยิ่งดูดี หล่อเหลาขึ้นไปอีก
“คุณก็เคยช่วยเหลือเงินทองผมบ้าง ไม่มากนักหรอกครับ แต่ช่วยเรื่องอื่นมากกว่า”
“ยังงงอยู่ดี”
ผมบอกกับเขา ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง นี่ผมไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
“เรื่องมันยาวนะ ถ้าเล่าต้องใช้เวลานานมากเลยอ่ะ เอาอย่างนี้ดีไหม เล่าทีหลังได้ไหม วันนี้ผมง่วงแล้วนะ”
 อยู่ๆ หมอนี่ก็ทำท่างอแง แล้วอ้าปากหาวขึ้นมาซะเฉยๆ
“จะบ้าเหรอ จะมานอนอะไรกัน นี่มันสายแล้วนะ”

ผมชักรำคาญความโยกโย้ของหมอนี่

“ก็แหม ผมเฝ้าคุณทั้งคืนนี่นา”

“โปะยาสลบฉัน ลักพาตัวฉันมาที่นี่ แล้วก็มัดอย่างแน่นหนาแบบนี้นี่นะ ยังต้องมาเฝ้าอีกหรือ”

ผมถามเขาอย่างจับผิด เขาหัวเราะเขินๆ แก้มแดง

“ก็ผมอยากนั่งมองเวลาคุณนอนหลับนี่ครับ น่ารักดี คุณกรนด้วยนะ ทำน้ำลายยืดอีกต่างหาก แต่รวมแล้วก็น่ารักมากๆ”

“จริงเหรอ”

ผมตกใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะนอนน่าเกลียดแบบนั้น เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงร่าเริง แล้วก็หันมาจ้องผมหน้าทะเล้น

“ล้อเล่นนะครับ ไม่หรอก ไม่มีทั้งน้ำลายและนอนกรน แล้วปากคุณก็หอมด้วยนะ ไม่มีกลิ่นปากยามเช้าเลย”

“รู้ได้ไง”

ผมถลึงตาใส่เขา

“ก็มีรายการขโมยจูบนิดหน่อยฮะ ขอโทษทีนะ มันอดใจไม่ไหวจริงๆอ่ะ”

“นายนี่มันจริงๆเลย....” ผมโกรธควันออกหู

“ฉันจะด่านายว่าไงดีนะ ไอ้หัวขโมย ไอ้คนโรคจิต ไอ้พวกฉวยโอกาส ฉันว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว”

“ก็กำลังคุยอยู่นี่ไง ผมกำลังขอให้คุณเป็นแฟนผม ถ้าเราเป็นแฟนกัน ผมก็ทำแบบนี้ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต จริงๆแล้วผมอยากลิ้มรสคุณมากกว่านี้อีก เพราะผมรักคุณมาก แต่ผมก็ต้องรอให้คุณยินยอมเป็นแฟนกับผมก่อน ผมถึงจะทำได้โดยไม่เป็นการบังคับฝืนใจคุณ”

แหมมันน่าโมโหจริงๆ ผมไม่เคยเห็นใครหน้าด้าน เอาแต่ใจตัวเหมือนเจ้าเด็กคนนี้เลย

“นี่ จะไม่มีการยินยอมอะไรทั้งนั้นแหละ บ้าหรือเปล่า ใครจะไปเป็นแฟนนาย จะต้องให้พูดกี่ครั้ง ถึงจะเข้าใจ ว่าฉันชอบผู้หญิง ไม่ชอบผู้ชาย ซื่อบื้อหรือไง”

ผมพูดอย่างโกรธๆ แต่เจ้าเด็กลูกครึ่งกลับยิ้มกริ่มอย่างใจเย็น

“อยากให้ผมพิสูจน์อีกครั้งหรือครับ ว่าคุณเองก็พึงใจที่โดนผู้ชายเล้าโลมเหมือนกัน”

เขาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม ผมสะดุ้งเฮือก รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะเข้าตัวผมมากกว่านี้

“ไหนจะบอกให้ฟังไง ว่านายรู้จักฉันได้ไง”

“ขี้เกียจเล่าแล้ว อยากนอนมากกว่า ผมขอนอนบนเตียงด้วยคนนะครับ”

เขาเหยียดขายาวๆของเขาบนเตียงเฉยเลย แล้วหลับตาลง ในตอนนี้ผมอยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่นัก โทษฐานที่กวนโอ๊ยหรือเกิน แล้วเขาจะนอนหลับโดยปล่อยให้ผมถูกมัดอยู่อย่างนี้เหรอ ผมเมื่อยจนจะเป็นตะคริวแล้วนะ

“ไม่ได้นะ นอนตอนนี้ไม่ได้ สัญญาแล้วไง ว่าจะบอกฉันแล้วก็ปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานๆนะ”

ผมโวยวายใส่เขา เขาลืมตาขึ้นมามองแล้วยิ้มเผล่

“ผมไม่กักขังคุณไว้ที่นี่นานๆหรอกครับ ถ้าเราตกลงเจรจากันได้ ผมก็จะปล่อยคุณไปนะ ถ้าจะจับขัง ก็จะเอาไว้ในนี้แหละ”

เขาชี้ไปที่หัวใจตัวเอง ผมล่ะคลื่นไส้ในสิ่งที่หมอนี่ทำเหลือเกิน ดูทำท่าเข้าสิ ยังกับอ้อนอยู่กับคนรัก ทั้งๆผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย

“งั้นก็มาคุยกันต่อสิ” ความอดทนผมเริ่มจะหมดแล้ว แต่หมอนี่กลับทำดื้อตาใส

“ถ้านายไม่ยอมพูด ฉันก็จะไม่ตกลงเจรจาพูดคุยอะไรทั้งนั้นนะ”

ผมขู่เขา ได้ผม หมอนี่รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ท่าทางกระตือรือร้นสุดฤทธิ์

“แสดงว่า ถ้าผมเล่าให้คุณฟัง คุณจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผมใช่ไหมครับ”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ ฉันบอกว่าจะยอมพูดคุยกับนายเรื่องที่นายขอ แต่อย่าได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ ฉันแค่อยากจะฟังเหตุผล อยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ทำไมฉันถึงต้องตกลงในเรื่องบ้าๆแบบนี้

มันมีเหตุผลอะไรแค่ไหน ทำไมนายถึงได้อยากจะเป็นแฟนฉันนัก แล้วทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับฉันด้วย แต่ถ้านายขืนโยกโย้อีก ฉันก็จะไม่แม้แต่พูดคุยกับนายอีก นายจะฆ่าแกงจะทำอะไรฉันก็เชิญเลย ฉันเบื่อที่จะต้องถูกนายกักขังแล้ว”

ผมแสร้งทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเบื่อหน่ายสุดฤทธิ์ เพื่อที่จะบอกให้เขารู้ว่า ผมไม่สนุกกับการเล่นเกมส์ของเขาอีกแล้ว เจ้าเด็กลูกครึ่งยิ้มอ้อนให้ผม ดวงตาของเขามีประกายความหมายลึกซึ้ง จากนั้นถ้อยคำมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเขา มันทำให้ผมมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมเองได้ลืมเลือนไปแล้วอย่างสนิทใจ

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #16 เมื่อ16-08-2007 02:16:51 »


 :a3: :a3: :a3: :a3:

ท่าทางว่าจะแพ้ลูกอ้อนเด็กๆ หุหุหุ   :a1:

สนุกจ้า  รออ่านตอนต่อปาย สู้ๆน๊า  :a2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #17 เมื่อ16-08-2007 04:23:21 »

ว้า ลุ้นๆ รออ่านต่อ กำลังมันส์  :a4:  :a4:

นางมารร้าย

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #18 เมื่อ16-08-2007 15:27:55 »

ตามมาให้กำลังใจคุณแน๋วด้วยค่ะ  เรื่องนี้ยาวมากๆ แต่ก็สนุกมากๆ เลย

ชอบเดียร์กับเรียวอ่ะ 

คุณแน๋วสู้ ๆ  ขนาดอ่านยังเกือบเดือน ถ้าโพสต์สงสัยเป็นปี  :m29:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #19 เมื่อ16-08-2007 16:11:44 »

เนื้อเรื่องท่าทางจะสนุกมากๆเลยคับ ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #19 เมื่อ: 16-08-2007 16:11:44 »





ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #20 เมื่อ16-08-2007 17:01:03 »

 :m3: กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เพิ่งเห็น เอาเรื่องนี้มาลงด้วย

เคยอ่านแต่ยังไม่จบ สู้ๆนะ แน๋ว  :a2: โพสให้ต่อเนื่องด้วย ไม่งั้น  :m16: 3 ปีแน่ กว่าจะจบ  o7

จะตามอ่านตลอดนะค๊าบบบบ

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #21 เมื่อ16-08-2007 17:40:16 »

อิอิ เรื่องนี้สนุกมากครับ ชอบมากๆ เลย

เป้นนินายเกย์ที่อ่านเรื่องแรก 5555


ชอบเรื่องของพี่เคทมากครับ อิอิ เป้นกำลังใจให้ทั้งพี่เคท พี่แน๋วครั บอิอิ มารออ่านต่อครับ

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #22 เมื่อ16-08-2007 20:32:01 »

ตามมาให้กำลังใจคุณแน๋วด้วยค่ะ  เรื่องนี้ยาวมากๆ แต่ก็สนุกมากๆ เลย

ชอบเดียร์กับเรียวอ่ะ 

คุณแน๋วสู้ ๆ  ขนาดอ่านยังเกือบเดือน ถ้าโพสต์สงสัยเป็นปี  :m29:



อ่ะ....จ๊ากกกกส์ โพสเปงปี  :a6:  งั๊นจาขยันโพส ซอยยิกๆ อัพถี่ๆจาได้เสร็จเร็วๆ  o17

ขอบคุณทุกแรงเชียร์และแรงใจด้วยนะจ๊ะ  :give2:

ขอบคุณพี่เคทด้วยสำหรับเรื่องนี้ ยาวมากมายเลยทีเดียว แต่มะเปงรายยยศรีทนด้ายยย  :a2:


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 3


   4 ปีก่อนหน้านั้น………..

   ผมมักจะคิดเสมอว่า ผมนั้นเกิดมาทำไม ในเมื่อไม่มีใครให้รัก แล้วก็ไม่มีใครรักผมเลย แม่ของผมมีสามีใหม่ หลังจากที่พ่อแท้ๆของผมกลับประเทศไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ทำให้ผมเกิดมา แต่ถึงเขาจะรู้ ผมก็คิดว่าเขาก็คงไม่ได้รักใคร่ผมอยู่ดี เพราะพ่อมีอะไรกับแม่ผมแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เป็นแค่การบำบัดความเหงาของทหารอเมริกันที่มาขึ้นฝั่งที่พัทยาเมื่อ 16 ปีก่อนนั่นเอง

   แม่ของผมทำงานเป็นผู้หญิงบาร์ที่นั่น ทำงานมาได้ 2 ปีก่อนที่จะเจอกับพ่อของผม แม่เองก็ไม่รู้หรอกว่า ในบรรดา ฝรั่งที่แม่นอนด้วย 4 ซ้า 5 คนนั้น ใครกันแน่คือคนที่เสกผมเข้าท้องเขา แม่ตั้งครรภ์หลังจากที่พวกทหารอเมริกันกลับประเทศไปหมดแล้ว การที่ท้องของแม่โตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ แม่จึงมีความรู้สึกที่เกลียดชังผม พยายามจะทำลายผมด้วยวิธีการต่างๆ แต่ผมก็ยังคงดื้อดึงที่จะมาเกิดกับแม่ให้ได้

   ในที่สุดแม่ของผมก็ต้องกลับไปบ้านนอก แล้วก็คลอดผมที่นั่น แกฝากผมไว้กับพี่สาว ซึ่งแต่งงานแล้ว และมีลูกชายซึ่งแก่กว่าผมเกือบ 10 ปี ผมอยู่ที่นั่นมาตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ตลอดเวลาเหล่านั้นพวกเขาดูแลผมไม่ต่างอะไรกับทาส เขาใช้งานผมคุ้มค่ากับที่ได้เลี้ยงดูผมมา ไม่มีความรักความใส่ใจใยดี มีแต่ทุบตี ด่าทอ จิกหัวใช้ พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะฉุกคิดว่าผมเป็นลูกหลานของตนเองเลยด้วยซ้ำ แม่ก็ส่งเงินมาให้บ้าง ไม่ให้บ้าง พอป้าขอเงินแม่ไม่ได้ ก็จะมาลงที่ผมเป็นประจำ

ผมร้องไห้ทุกวัน จนน้ำตามันเหือดแห้งไม่มีจะไหลอีกต่อไป ผมไม่เคยได้สัมผัสกับความสุข ในใจผมมีแต่ความทุกข์อยู่เสมอ ต้องอยู่คนเดียว ร้องไห้คนเดียว ทำอะไรคนเดียว แก้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างเอาเอง มันทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่ ปรารถนาใครสักคนมาช่วยปลอบประโลมทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยมีเลยแม้แต่คนเดียว

สิ่งที่พวกเขาทำกับผม จะว่าไปมันก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน เพราะมันกลับหล่อหลอมให้ผมเข้มแข็งขึ้น การที่ผมต้องถูกพวกเขาทารุณทุกวัน ทำให้ผมทนทานต่อเรื่องร้ายๆทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หลายต่อหลายครั้งในวัยเยาว์ที่ผมคิดจะออกไปเผชิญโลกภายนอกแต่เพียงลำพัง ผมไม่รู้ว่าสังคมนอกจากระแวกบ้านผม มันเป็นอย่างไรบ้าง กว้างใหญ่เพียงไหน อันตรายมากน้อยเพียงไร มันอาจจะดีหรือแย่กว่าสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ก็ได้  ผมเฝ้าครุ่นคิดที่จะหนีออกไป แต่ก็ติดขัดที่ผมยังเด็กอยู่ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แล้วผมจะเอาอะไรกิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมก็ได้ก้าวออกจากบ้านหลังนั้น อย่างไม่มีวันที่จะหวนกลับไปอีก

วันนั้นผมเลิกเรียนแล้วกลับมาบ้าน ป้าของผม ก็ใช้ให้ผมหุงข้าว ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน ส่วนตัวแกออกไปเล่นไพ่ ลุงสามีของแก ยังไม่กลับจากทำงาน ส่วนพี่ชายลูกป้า ซึ่งไม่ค่อยทำงานทำการอะไร เอาแต่แต่งตัวเที่ยวเล่นไปวันๆ ออกไปไหนตั้งแต่เช้าไม่รู้ ทั้งบ้านก็เลยเหลือผมอยู่คนเดียว ผมทำความสะอาดบ้าน และหุงข้าว ทำอาหารตามสั่ง ตอนที่ผมกำลังจะลงมือล้างจานอยู่นั้น พี่ชายก็กลับบ้านมาพอดี มาถึงก็โวยวายดังลั่น ท่าทางเหมือนคนเมา เรียกให้ผมช่วยพาเขาเข้าห้อง เพราะเขาทรงตัวไม่ไหว ผมก็เลยต้องละทิ้งถ้วยชามที่กำลังจะล้าง เข้าไปพยุงเขา ที่ไหนได้ พอเข้าห้องเท่านั้น จากที่เมาเมื่อครู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แสดงว่าเขาไม่ได้เมามากมายอะไร แต่แกล้งทำเป็นเมาเพื่อให้ผมหลงกลเท่านั้น

เขาตรงเข้ามาหาผม แล้วลากผมไปกอด โน้มน้าวเข้ามาหาจะจูบปากผมให้ได้ ผมรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมของเขา ไม่เข้าใจว่าเขาทำอย่างนี้กับผมทำไม แต่ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลกับสิ่งที่เขาทำอยู่ ก็เลยพยายามดิ้นหนี แต่เขาก็กอดผมไว้แน่น ทำท่าเหมือนจะปล้ำจูบ ผมเบี่ยงหน้าหนีและเอามือผลักไสเขาออกไปให้พ้นตัว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ อายุและเรี่ยวแรงของเขามากว่า เด็กวัยรุ่นอย่างผม แต่ร่างกายของเราก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ผมสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ ถ้าต้องออกแรงจริงๆ ผมก็คงจะสามารถเอาตัวรอดจากเขาได้

“ยอมเป็นเมียของกูเถอะวะ ไอ้เดียร์ กูชอบมึงมานานแล้ว มึงมันน่าเอามาก”

เขาคำรามใส่ผมด้วยน้ำเสียงหื่นๆ พยายามจะปลุกปล้ำผม ตอนนั้นผมกลัวมาก คิดไม่ถึงว่าคนที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะกลายเป็นใครอีกคนที่เราไม่รู้จัก แล้วเขายังจะมายัดเยียดเรื่องเลวร้ายให้กับผมอีก

“อย่านะ พี่บอย ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะโว้ย” ผมเสียงดังใส่เขาเพื่อเรียกสติ แต่ไม่ได้ผล

“เออ กูรู้ กูเองก็ไม่ชอบผู้หญิงโว้ย กูชอบผู้ชาย โดยเฉพาะหล่อๆ หน้าตาดีแบบมึงเนี่ย สเปคกูเลย...ขอกูเถอะ กูจะทำให้มึงมีความสุขอย่างที่คิดไม่ถึงเชียว”

เขาพยายามจะถอดเสื้อผ้าผมออกจากตัว แต่ผมขัดขืนแล้วผลักเขาออกไป

“มึงจะเล่นตัวไปทำไมวะไอ้เดียร์ ไอ้เด็กเนรคุณ บ้านนี้ให้ที่ซุกหัวนอนกับมึง ให้ข้าว ให้น้ำมึงกิน เลี้ยงมึงมาจนตัวโตขนาดนี้ แค่นี้มึงตอบแทนไม่ได้หรือ” เขาตะคอกกลับ

“แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบนี้นะพี่บอย”

ผมตอบ พลางแกะมือไม้ที่วุ่นวายพัลวันของเขาออกจากตัว เขายังดื้อดึงตามกอดตามลวนลามผมไม่ลดละ ในที่สุดผมก็ดิ้นหนีออกมาได้ แล้วถอยหลังเดินไปที่ประตู ตายังจับจ้องมองพี่บอยไม่วางตา

“พี่บอยเมาแล้วล่ะ ผมปล่อยให้พี่นอนแล้วกัน ผมจะออกไปล้างจานข้างนอก” ผมบอกเขา แต่ไอ้พี่บอยกลับหัวเราะร่า

“เออ กูเมารักโว้ย วันนี้ เป็นตายร้ายดี ก็ก็จะเอามึงมาเป็นเมียให้ได้ กูไม่มีทางปล่อยมึงออกจากห้องนี้ไป มามาะ จะมาหากูดีๆ หรือว่าอยากจะเจ็บตัว” พี่บอยย่างสามขุมมาหา ผมหันหลังกลับพยายามจะเปิดประตูหนีออกไป แต่เขาก็โถมตัวมาขวางที่ประตูสุดแรง

“ยังหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นไอ้เดียร์ กูบอกแล้วไง ถ้าไม่ได้มึง ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไป”

ผมผงะถอยหนีพี่บอยไปอีกทาง จับจ้องพี่บอยไม่วางตา กลัวว่าถ้าหันหลังกลับ เขาจะพุ่งเข้ามาจับตัวผมได้ทันก่อนที่จะหนีไป หน้าตาของพี่บอยเท่าที่เห็นมันเป็นสีหน้าของปีศาจร้ายชัดๆ เขาแสยะยิ้มให้ผมอย่างHereมเกรียม และเดินเข้ามาหาผม ความมึนเมา กับความหน้ามืดจากตัญหาราคะ ทำให้พี่บอย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้ยุ่งวุ่นวายกับผม กลับแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ
“อย่าทำอย่างนี้เลยพี่ มันไม่ดีนะครับ”

ผมพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบหวังให้เขาสงบลง แต่กลับเป็นความพยายามที่สูญเปล่า มันไม่ช่วยดับความหื่นในตัวเขาให้ลดน้อยลงได้เลย

“ดีสิ มึงได้ลองแล้วจะติดใจไอ้น้อง แล้วมึงจะลืมพวกผู้หญิงหน้าโง่ไปเลย”

“ป้ารู้เข้าจะเสียใจนะครับ ที่พี่ทำอย่างนี้”

“โอ๊ย มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย แม่กูนะเหรอ ไม่กล้ายุ่งเรื่องของกูหรอก ลองมายุ่งสิ กูจะโวยวายให้ดู กูลูกคนเดียวโว้ย ไม่ตามใจกูจะไปตามใจใคร”

พี่บอยนี่แม่งเลวได้ใจจริงๆ ผมคิด พลางเหลือบแลไปทั่วห้องเพื่อหาทางหนีทีไล่ หน้าต่าง ตรงหัวนอนปิดสนิท การจะวิ่งไปตรงนั้น เพื่อเปิดหน้าต่าง และกระโดดหนีไป อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเป็นอย่างต่ำ ซึ่งเขาคงถึงตัวผมก่อนที่ผมจะทันได้หนี อีกหนทางที่จะสามารถหลุดรอดออกไปได้ก็คือประตู ซึ่งบัดนี้มีร่างใหญ่โตของพี่บอยกั้นกลางหนทางไปสู่อิสรภาพของผม

“ถ้ามึงยอมเป็นเมียกูนะไอ้เดียร์ กูจะบอกแม่กูให้ทำดีๆกับมึง มึงไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไปดีไหม”

พี่บอยยื่นข้อเสนอให้ผม แต่ผมรับไม่ได้หรอก ข้อแลกเปลี่ยนเปลืองตัวแบบนี้

“ปล่อยผมไปเถอะพี่บอย ผมไม่ชอบหรอกครับ แบบนี้ ให้ผมทำงานหนักต่อไปดีกว่า”

“เออ ไอ้โง่ ไอ้ควาย” เขาด่าผมอย่างหัวเสีย

“กูอุตส่าห์เสนอช่องทางให้มึงสะดวกสบายขึ้น ทำเป็นหยิ่งไม่ยอมรับ ช่างมึงดิ มึงจะอยากทำงานหนักต่อไปก็เชิญ แต่ยังไง ยังไง วันนี้มึงก็ต้องเป็นเมียกู”

เขาพุ่งตรงมาหา กางสองมือออก หวังจะคว้าผมไว้ในอ้อมกอด แต่ผมก้มตัวหลบ แล้วรีบวิ่งหนีมาอีกทาง เราสองคนเลยเอาเถิดเจ้าล่ออยู่อย่างนั้น พี่บอยคงจะมึนนิดหน่อย พอผมหลบซ้าย หลบขวาไปมาหลายครั้งเข้า แกก็เริ่มซวนเซ คว้าผิดคว้าถูก จนเสียหลักล้มกลิ้ง แกโมโหหน้าแดงก่ำ ร้องด่าผมเอ็ดตะโร แล้วขู่จะทำร้ายผมต่างๆนานา หากในยามปกติ ผมคงจะกลัวหงอ ปล่อยให้แกแกล้งหรือรังแกตามใจชอบ เพราะเป็นลูกไล่แกมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ผมคิดแต่จะเอาตัวรอดให้ได้จากสัตว์ร้ายตัวนี้ ก็เลยไม่สนใจที่จะฟังคำขู่อาฆาตของเขา

เมื่อเห็นว่าลูกแมวอย่างผม ไม่เชื่องอีกต่อไปแล้ว ก็ยิ่งสร้างความโกรธให้กับพี่ชายของผม เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหลังแล้วหยิบมีดพกแบบติดสปริงขึ้นมา แล้วปาดซ้ายปาดขวา ซึ่งผมก็ได้แต่วิ่งหนีไปรอบห้อง
“มึงจะหนีกูไปไหน ไม่พ้นหรอก จะยอมหรือไม่ยอม เดี๋ยวกูแทงใส้แตกเลย”

เขาตวาดใส่ผม แต่ผมไม่ยอมหยุด ผมพยายามจะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้ใครสักคนกลับมาบ้าน จะเป็นลุงหรือป้าก็ได้ หรือไม่ก็รอเวลาให้เขาหมดแรงไปเอง ผมเห็นเขาหอบหายใจแฮ่ก เนื่องจากความเมาแถมซ้ำยังต้องมาวิ่งไล่ผมไปมารอบห้อง แต่พี่บอยก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ พยายามจะจับผมให้ได้ ใบหน้าของเขาดุดันด้วยความโกรธ

ผมถอยหลังไปเรื่อยๆ ตาก็จับจ้องอยู่ที่พี่บอย จนไม่ได้ระวังข้างหลัง รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อหงายหลังผึ่งลงไปบนเตียง เพราะสะดุดเข้ากับข้าวของของพี่จอมหื่นที่วางอยู่ระเกะระกะ ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นพี่บอยก็กระโจนพรวดมาบนเตียง และนั่งทับตัวผมไว้ เขาโน้มตัวลงมาหา มือข้างที่ถือมีดเอามาจ่อที่คอของผม และพูดขู่กรรโชก

“อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากตาย”

เขายกมือข้างที่ว่าง ทำท่าปาดที่คอตนเอง ผมกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก คมมีดที่จ่ออยู่ที่คอหอย ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ได้แต่นอนนิ่งขึง รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไอ้พี่บ้ามันเห็นผมนอนตัวสั่น มันก็เลยย่ามใจ  เอามือข้างที่ว่างดึงเสื้อนักเรียนของผมออกจากกางเกงแล้วสอดมือเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไล้หน้าอกของผม

“โตขึ้นมากเลยนะเอ็ง เริ่มจะมีกล้ามแล้ว ออกกำลังกายอีกนิดหน่อยก็จะหุ่นดีมาก”

พี่บอยพูดกับผม มันมองด้วยดวงตาหื่นกระหาย ปากยิ้มแสยะมองดูแล้วเหมือนผีบ้า

“ดีแล้ว นอนนิ่งๆ ให้ความร่วมไม้ร่วมมือแบบนี้ จะได้ไม่เจ็บตัว”

พี่บอยพล่ามไม่หยุด ในขณะที่มือก็รุกรานผมไปทั่ว ความรู้สึกของผมในตอนนั้น ทั้งชิงชัง และขยะแขยง ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับไอ้พี่ชั่วเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก ยังสู้แรงเขาไม่ได้มาก อีกทั้งมีมีดจ่ออยู่ที่คอหอยตลอดเวลามันทำให้ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านอนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ในขณะที่ก็พยายามมองหาทางหนีทีไล่

พี่ชั่วบ้ากามกอดจูบลูบไล้ผมอย่างหื่นกระหาย การที่ผมไม่ขัดขืนบวกกับอารมณ์หื่นที่พลุ่งพล่านในตัวเขา ทำให้เขาขาดความระมัดระวังตัวไปมาก แต่กระนั้น มือที่กำมีดหลายแหลมของเขา ก็ยังอยู่ไม่ห่างตัวผมเท่าไหร่นัก

“ถอดเสื้อออกสิไอ้เดียร์”

เขาร้องสั่ง พลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจากตัว ผมปรายตามองมีดที่มือเขา รู้สึกกลัวขึ้นมาหากต้องขัดขืน เขาอาจจะแทงผมไม่ยั้ง เพราะคนเกเรแบบเขา เคยทำเรื่องราวชั่วช้ามาเยอะ เช่นตีรันฟันแทง ขโมย หลอกลวงต้มตุ๋น นับประสาอะไรกับการฆ่าคนตายสักหนึ่งคน เขาคงจะทำได้สบายมาก

ผมค่อยๆถอดเสื้อออกจากตัว พี่บอยสะแหยะยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองดูผม หน้าตาเขาเหมือนคนโรคจิต สายตาโลมเลีย เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะใช้มีดขู่ให้ผมนอนลงอีกครั้ง จากนั้นร่างเปลือยของเขาก็ก้าวขึ้นมาทาบทับตัวผม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2007 16:55:52 โดย º★*.๑۩۞۩๑..*ღ• »

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #23 เมื่อ16-08-2007 20:35:33 »

พี่บอย จูบซุกไซร้ไปทั่วใบหน้าและลำคอของผม เขาพยายามเปิดปากผมด้วยปากของเขา แต่ผมเบือนหน้าหนีเขาซะก่อน เขาทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หน้าอกของผม เขาใช้ลิ้นเลียไปทั่วแผ่นอก และอ้าปากงับหัวนมผมไว้ แล้วดูดเลียด้วยปากและลิ้นที่พลิกพลิ้วช่ำชองของเขา

ผมเกร็งตัวขึ้น มือกำแน่น มันไม่ได้เกิดจากความเสียวซ่าน แต่มันเกิดเพราะผมพยายามที่จะสะกดกั้นความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ความรู้สึกขยะแขยงมันเพิ่มขึ้นทวีคูณ นึกอยากจะทำอะไรสักอย่างที่จะจัดการกับความวิปริตของพี่ชายคนนี้ ถามตัวเองอยู่ในใจว่ากล้าไหมหนอที่จะยกเท้าถีบให้เขากระเด็นออกไปจากตัว จะกล้ากระทืบเขาให้สมแค้นกับความชั่วที่เขากำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้หรือเปล่านะ แต่มีดที่ยังอยู่ใกล้เหลือเกินนี่สิคือตัวปัญหา

ไอ้คนชั่วช้า ค่อยๆเลื่อนมือสอดเข้ามาในกางเกงของผม และพยายามปลุกเร้าอารมณ์ แต่ความที่ผมทั้งตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความรังเกียจชิงชังในตัวเขาและการกระทำของเขา ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกใดๆ พี่บอยพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล เขารู้สึกขัดใจขึ้นมา จึงลุกนั่ง และจัดแจงถอดกางเกงของผมออกด้วยมือข้างเดียวซึ่งก็ทุลักทุเลพอสมควร

จากนั้นพี่ชั่ว ก็ก้มหน้ามาที่ลำตัวส่วนล่างของผม เขาใช้ลิ้นเลียลากตั้งแต่ท้องน้อยลงมา จนกระทั่งถึงกลางลำตัว เขาใช้ปากกับน้องชายของผม และใช้มืออีกข้างหนึ่งช่วยจับรูดขึ้นลงไปมา แต่เจ้าความรังเกียจที่ผมมีต่อตัวเขา ทำให้ผมไม่รู้สึกรู้สากับการปลุกอารมณ์ของคนตรงหน้า เขาใช้ความพยายามสักพัก ผมก็ไม่มีทีท่าตอบสนอง เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

“ทำไมเป็นอย่างนี้วะ” เขาสบถ

“ไม่รู้สึกเลยหรือไง”

เขาถามผม ผมส่ายหน้า มันเหมือนยิ่งไปสาดน้ำมันลงกองไฟ เขาโกรธจัด วางมีดในมืออีกข้างลงบนเตียงใกล้ตัวเขา แล้วก้มหน้าลงไปใหม่ ใช้ทั้งปากและสองมือพยายามปลุกเร้าผมใหม่ และดูเหมือนจะได้ผม ร่างกายของผมตื่นตัวขึ้น เขาทำสีหน้าว่าพอใจมาก เงยหน้ามองผม และยิ้มอย่างพึงใจ เขาคิดว่า เขาสามารถทำให้ผมมีอารมณ์ได้ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้เลยก็คือ ผมตื่นตัวขึ้นจากการที่เห็นว่าช่องทางโอกาสรอดมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ณ วินาทีที่เขาเผอเรอขาดความระมัดระวังตัวเช่นนี้ ผมคิดว่าถ้าผมกล้าพอ ผมสามารถจัดการเขาได้สบายมาก

เท้าไวเท่าความคิด ผมตัดสินใจ งอเข่าขึ้น และยกขาขึ้นถีบหน้าพี่บอยออกไปสุดแรง ในขณะที่เขากำลังก้มเลียน้องชายของผมอยู่ นึกในใจว่า ดีนะเนี่ยที่คิดได้เร็วก่อนที่เขาจะครอบปากลงไปห่อหุ้มน้องชายของผม มิฉะนั้นผมอาจจะสูญเสียของรักแน่

พี่บอย ไถลกลิ้งตกเตียงลงไป เขายกมือกุมหน้าด้วยความเจ็บปวด และรีบพลิกตัวลุกขึ้น แต่ช้าไปกว่าผม ซึ่งหยิบมีดปลายแหลมมาถือไว้ในมือแล้ว ผมเตะอัดเข้าไปที่กลางลำตัวของเขา และยกเท้ากระทืบติดๆกันหลายครั้ง พี่บอย ร้องลั่น หน้าเขียว ตัวงอ เอามือหนึ่งปิดเป้าตัวเองด้วยความเจ็บปวด ส่วนมืออีกข้างชี้หน้าผม พร้อมกับกล่าวคำขู่อาฆาต

“ไอ้เหี้..............เดียร์ มึงทำอะไรกูวะ ไอ้สั.........ว์ เดี๋ยวมึงเจ็บตัวแน่”

ผมไม่รอช้า คว้ากางเกงในขึ้นมาสวม เรื่องอะไรจะต้องทนอยู่ในห้องนี้ต่อ รีบหนีไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ไอ้พี่บอยจะฟื้นตัวจากที่ผมเตะไข่มัน ถ้ามันจับผมได้ มันเอาผมตายแน่  แต่ยังไม่ทันจะสวมกางเกง ไอ้พี่สามานย์ก็ลุกขึ้นมาเสียก่อน หน้าเขาเขียวคล้ำสลับกับแดงก่ำด้วยความโกรธผสมความเจ็บปวด  ผมเลยรีบคว้าเสื้อผ้ามาถือไว้ แล้วก็วิ่งไปที่ประตู พี่บอยพยายามจะวิ่งตาม แต่ผมใช้ขาถีบเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างประตูมาสกัดเขาไว้ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ผมได้ยินเสียงโครมครามในห้อง เดาว่า ไอ้พี่บอยคงจะสะดุดเก้าอี้ที่ผมถีบเข้าไปหาเขาจนล้มลง เสียงด่าหยาบคายไล่มาตามหลัง แต่ผมไม่อยู่ฟังแล้ว

ผมวิ่งเตลิดไปที่ประตูรั้วด้านหน้าแล้วก็เจอกับป้าที่นั่นพอดี แกทำหน้าเหรอหราที่เห็นผมเปลือยกายเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว  แกเห็นผมกำลังจะออกจากบ้าน ก็รีบคว้าแขนผมไว้ ถามว่าผมจะไปไหน แต่ผมไม่ยอมตอบ แกก็เลยตบหน้าผมจนหน้าหัน

“เป็นเหี้.......อะไรถึงไม่ตอบฮะ อีลูกกระหรี่ แล้วนี่มึงเป็นอะไรทำไมถึงแก้ผ้าแก้ผ่อนแบบนี้ ไปทำอะไรมาห่ะ ไอ้เด็กเวร”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เสียงโหวกเหวกของพี่บอยก็ดังขึ้น

“แม่ ไอ้เชี้.....นั่นมันขโมยเงิน อย่าให้มันหนีไป จับมันไว้”

ป้าหันขวับ แกเชื่อสนิทใจกับคำพูดตอแหลของพี่บอย แกบีบแขนผมแน่นและเขย่าตัวผม

“มึงขโมยเงินกูเหรอ ไอ้เด็กเปรต”

“ผมเปล่านะ ผมไม่ได้ทำ”

“ไม่ได้ทำแล้วมึงจะหนีไปไหน”

แกถามอีก แต่ผมไม่ตอบ หันไปมองตัวบ้านก็เห็นไอ้พี่ชั่วกำลังก้าวออกจากประตูหน้าบ้านมา ผมส่งสายตาวิงวอนไปทางป้า พูดระล่ำ ระลักกับแกว่า

“ปล่อยผมไปเถิดครับป้า ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ขโมยของด้วย”

“กูไม่เชื่อ นี่ไอ้บอยมันคงจะจับมึงได้ ก็เลยจับมึงแก้ผ้าค้นตัวใช่ไหม เดี๋ยวกูจะถามมัน มึงรอมันอยู่กะกูเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูจะพิพากษามึง”

ป้าพูดกับผมด้วยสีหน้าบึ้งตึง ผมหันไปทางด้านหลัง พี่บอยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินขโยกเขยกใกล้เข้ามา ใบหน้าของแก มีรอยยิ้มHereมเกรียมอยู่ในนั้น

“อ้าวเป็นอะไรไปล่ะบอย ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ” ผู้เป็นแม่ร้องถาม

“ก็ไอ้เหี้......นั่นน่ะสิแม่ มันเตะกล่องดวงใจผม ตอนทีผมจับได้ว่ามันขโมยเงินน่ะ”

ป้าหันกลับมาอีกครั้ง ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ แกเชื่อในคำโกหกของลูกชายว่าผมขโมยเงิน แถมซ้ำยังทำร้ายลูกชายสุดที่รักของแกให้เจ็บปวด ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถพึ่งพาอะไรแกได้อีกแล้ว แกพร้อมที่จะคิดเสมอว่าผมเป็นคนผิด ผมเป็นคนเลว เพียงเพราะผมเป็นลูกกะหรี่ พ่อทิ้ง แม่ไม่รู้ว่าท้องกับใคร เป็นเด็กกาฝากที่พวกเขาต้องจำรับมาเลี้ยงไว้เป็นภาระ แกไม่เคยคิดแม้แต่สักนิดว่าผมเป็นญาติของแกเลย

ป้าทุบตีจิกทึ้งผมด้วยความโกรธ ผมยืนนิ่งไม่ปัดป้องอะไร นึกในใจว่าแกจะทำอะไรผมก็ทำไป เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่แกจะได้ทารุณกรรมผม คิดเสียว่านี่เป็นการตอบแทนที่แกเลี้ยงดูผมมา ถึงแม้จะเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆให้เป็นทาสในบ้านก็ตาม หลังจากนี้เราจะไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว

พี่บอยเดินหัวเราะอย่างสาสมใจใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน อีกเพียง 10 ก้าวก็จะถึงตัวผม และในวินาทีนั้นเอง ผมสะบัดตัวอย่างแรงจากการเกาะกุมของป้า และถลันวิ่งออกไปที่ถนนเบื้องหน้าสุดแรง ผมได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโร ร้องเรียกผม โวยวายไล่หลังมา แต่ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ผมออกวิ่ง วิ่งสุดชีวิต ในสภาพที่ใส่กางเกงในเพียงตัวเดียวแบบนั้น

ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์แว่วมาไกลๆ จำได้ว่าเป็นเสียงรถของพี่บอย เขาคงเข้าไปเอารถเพื่อออกตามมาลากตัวผมกลับบ้าน แต่ผมเหมือนนกที่หลุดรอดออกจากกรงเป็นอิสระแล้ว ไหนเลยจะยอมกลับเข้าไปอีก ผมต้องหนี หนีไปให้พ้นเงื้อมมือพวกคนใจร้ายเหล่านั้นให้ใกลที่สุด คิดได้ดังนั้นผมก็โดดหลบเข้าไปในที่รกร้างข้างทางซึ่งมีต้นไม้ และเถาวัลย์ขึ้นเบียดเสียดรกเรื้อ ที่ว่างตรงนี้กินพื้นที่ประมาณ 500 ตารางวา โผล่พ้นจากนี้ไปจะเป็นชายหาดที่ทอดยาว

เดิมทีชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของเขาเคยเอาที่มาปลูกเป็นสวนผลไม้ แต่เมื่อความเจริญเข้ามาเยือน คนรอบข้างขายที่ให้นายทุนทำโรงแรมและรีสอร์ทกันหมด แต่เจ้าของที่ยังไม่ได้ตกลงใจจะขายให้ใครก็กลับมาตายเสียก่อนที่จะทันยกมรดกให้ลูกหลานคนไหน ลูกหลานจึงฟ้องร้องชิงมรดกกันเป็นที่ยืดเยื้อทำให้ยังไม่สามารถขายที่ให้คนนำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเป็นโรงแรม ร้านค้าได้ ผมรู้จักที่นี่ดี เพราะเคยแอบมาเล่นคนเดียวบ่อยๆ ยามที่ต้องการหนีจากการทารุณกรรมของคนที่บ้าน  คราวนี้ผมเลยได้ใช้สถานที่แห่งนี้สำหรับหลบซ่อนตัวอีกครั้ง

ผมจัดการสวมใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองแล้วเดินลัดเลาะเข้าไปในที่รกๆนั้นอย่างไม่กลัวอันตรายจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอ หรือสัตว์มีพิษ ใจของผมจดจ่ออยู่ที่บ้านบนถนนริมหาดทรายอันเป็นที่อยู่ของไอ้น้อยเพื่อนรัก มันบอกว่าบ้านมัน เป็นร้านค้าให้เช่าพวกอุปกรณ์ห่วงยางให้คนเล่นน้ำอยู่แถวพัทยาใต้ ส่วนตอนนี้ผมอยู่แถวบางแสน ถ้าผมเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนเรียบหาด แล้วหาทางออกถนนใหญ่ หารถที่จะไปถึงนั้น ผมก็อาจจะไปถึงที่นั่นได้โดยไม่ดึกไปนัก แต่ถ้าโชคดีผมสามารถโบกรถคนผ่านทางที่จะไปที่นั่นได้ ผมก็อาจจะไปถึงได้เร็วกว่านั้น และมีเวลาตามหาบ้านมันได้เยอะหน่อย

ไอ้น้อยเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสนิทด้วย เราเคยช่วยเหลือกันมาเสมอ ผมให้มันลอกการบ้านเป็นประจำ ส่วนมันก็ชอบหอบข้าวจากที่บ้านมาเผื่อผมด้วย เพราะรู้ดีว่า ที่บ้านไม่เคยให้เงินมาเพียงพอสำหรับค่าอาหารสักวัน ผมตั้งใจว่าจะขอมันอาศัยอยู่สัก 2-3 คืนก่อนที่จะขยับขยายทำอะไร ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออก รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร การต้องมีชีวิตอยู่แต่เพียงลำพัง มันอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเด็กในวัย 14 ปีอย่างผม แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ โดยไม่หวนกลับไปบ้านที่สร้างความทุกข์ทรมานใจให้ผมอีกแล้ว

ผมเดินโผล่ออกมานอกถนนใหญ่ ตรงปลายสุดของหาดบางแสน มีรถแล่นอยู่บนถนนพอสมควร เพราะเป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว หลายคนมุ่งหน้ากลับบ้าน หลายคนเดินทางเข้าไปในเมืองพัทยา เพราะถนนนี้ก็เป็นเส้นทางที่สามารถพาไปสู่พัทยาได้เช่นกัน บางคนมานั่งเล่นกับครอบครัว และเพื่อนฝูงกินบรรยากาศชายทะเลยามค่ำ

ความที่ผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วย ผมจึงไม่มีเงินสักบาทที่จะจ่ายเป็นค่ารถสองแถว หรือ มอเตอร์ไซด์ ผมพยายามที่จะโบกเรียกรถ แต่ก็ไม่มีใครจอดรับเลยสักคัน ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ นานๆครั้งจึงจะหยุดโบกเรียกรถสักครั้ง แต่ละคันก็แล่นผ่านไป ไม่มีใครสนใจที่จะหยุดรถลงมาถามผมว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร จนผมรู้สึกท้อใจ คิดว่า โลกนี้ไม่เหลือคนจิตใจดีงามบ้างเลยหรือ เป็นเพราะพวกเขาหวาดระแวงกลัวคนแปลกหน้าอย่างผมจะเป็นพวกจี้ปล้น รึเห็นว่าไม่ใช่ธุระอะไรจะมาใส่ใจในความเดือดร้อนของคนอื่น หรือเขาเป็นพวกเมินเฉยต่อการทำความดีกันแน่ จึงทำให้พวกเขาดูแล้งน้ำใจกันอย่างนั้น

และแล้วหูผมก็แว่วเสียงหนึ่งที่แสนคุ้น มันเป็นเสียงของรถมอเตอร์ไซด์ ผมหันขวับไปมองด้านหลัง มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งเลี้ยวผ่านหัวมุมถนนเข้ามา ผมจำได้ทันที ว่านั่นคือรถของพี่บอย เจ้าของรถกำลังขับพุ่งตรงมาทางที่ผมกำลังยืนอยู่พอดี ผมตัดสินใจออกวิ่งอีกครั้ง พี่บอยกำลังจะตามมาทันแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะของแกดังมาแต่ไกล

“ไอ้เดียร์ มึงหนีกูไม่พ้นแน่ กูจับมึงได้คราวนี้ กูจะอัดตูดมึงให้ขี้แตกไปเลยมึงคอยดู”

เขาตะโกนก้องไล่หลังผมมา ผมวิ่งไปเรื่อยๆ และแล้วผมก็เหลือบเห็นอะไรแว่บๆอยู่ข้างทางด้านขวามืออีกฝากหนึ่งของถนน........แสงระยิบระยับของน้ำทะเลที่แสงอาทิตย์อัศดงส่องต้องพื้นน้ำมันสาดเข้าตาผม ทำให้ผมตัดสินใจพุ่งตัวข้ามถนนทันที

“เอี๊ยด”

เสียงรถเบรกดังลั่นแสบแก้วหู ผมยืนนิ่งตัวชาอยู่กลางถนน ดวงตาเบิกโพลงไปข้างหน้า รถโฟร์วิลคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าของผม ห่างกันแค่คืบเดียว มีเสียงประตูเปิดดังปัง เหมือนกับว่าคนเปิดกำลังถูกทำให้โมโหจัด และแล้วผู้ชายร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดีคนหนึ่งก็ก้าวลงมา หน้าเขาแดงก่ำ ท่าทางโกรธมาก

“ไอ้เด็กบ้า มาวิ่งเล่นอะไรกันกลางถนนแบบนี้ มันอันตรายนะ ดีนะเนี่ยฉันเบรกทัน ไม่งั้นแกตายแน่ ไอ้หนู”

เขาตะคอกใส่ผม เสียงที่ดังลั่นของเขาทำให้ผมหายตะลึง ผมมองหน้าเขา แล้วหันไปมองทางด้านหลัง ก็เห็นพี่บอยจอดรถแล้ว กำลังจะเดินมายังทิศทางที่พวกเรายืนอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปแอบหลังเขา ด้วยหวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลืออะไรผมได้ อย่างน้อยก็กันพี่บอยออกไปจากผมก็ยังดี ชายหนุ่มคนนั้นทำหน้าแปลกใจที่เห็นอากัปกริยาของผม

“ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาอีกล่ะ ไอ้เดียร์” พี่บอยเดินมาหยุดที่ตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้น และพูดกับผม ผมเผลอคว้าแขนเจ้าของรถที่ผมเพิ่งจะวิ่งตัดหน้าไว้แน่น
“ขอโทษนะครับคุณ ที่น้องผมมันวิ่งตัดหน้ารถคุณ ทำให้คุณลำบาก เดี๋ยวผมจะจัดการมันให้เองครับ” พี่ชั่วเงยหน้าพูดกับเขาอย่างสุภาพ

“น้องนายแน่เหรอ แล้วทำไมปล่อยออกมาวิ่งเล่นแบบนี้ล่ะ มันไม่ดีนะ”

“มันหนีออกจากบ้านมาครับ ผมขับมอเตอร์ไซด์มาตามมันกลับบ้าน แต่มันดันกระโดดตัดหน้ารถคุณก่อน”

“อ้อ หนีมาหรือไงเรา ทำอะไรผิดไว้ล่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นหันมาถามผม ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“มันขโมยเงินหนีมาครับคุณ ผมจับได้ มันก็เลยหนีมา” พี่บอยกล่าวหาผม

“งั้นเหรอ ไม่ดีเลยนะเป็นขโมยนี่ ติดยาหรือเปล่าเราน่ะ”


“ผมไม่ได้ติดยาครับ แล้วเปล่าขโมยเงินด้วย” ผมปฏิเสธ

“อย่าไปเชื่อมันครับ นอกจากมันจะขี้ขโมยแล้วมันยังขี้โกหกด้วย” พี่ชั่วใส่ไฟผมอีก หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ส่ายหน้า ทำราวกับว่าผมเป็นคนผิดแต่ไม่ยอมรับผิด

“เอาล่ะ ฉันเสียเวลากับนายมากแล้วนะ เจ้าหนู กลับบ้านไปเถอะ ขโมยเงินแค่นี้ คงไม่ถูกลงโทษร้ายแรงอะไร คราวหน้าคราวหลังก็อย่าหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ แล้วอย่ามาเที่ยวกระโดดตัดหน้ารถใครอีกด้วยนะ ถ้าเขาเบรกไม่ทัน นายได้ไปเฝ้ายมบาลแน่”

เขาหันหลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ ผมเหลือบเห็นสีหน้าสะใจของพี่บอยที่เห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของรถไม่เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ดวงตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความอาฆาตมาตรร้าย ผมตัดสินใจทันที

“เอ้าจะตามฉันมาทำไมล่ะ” เขาถามผมเมื่อเห็นผมเดินตามติด ผมเอ่ยขอร้องเขา

“ขอผมไปด้วยคนนะครับ”

“ไม่ได้หรอกเจ้าหนู นายจะตามฉันมาทำไม นายควรจะกลับบ้านรู้มั๊ย”

“ผมไม่อยากกลับไป เขาจะทำร้ายผม”

“แต่เขาเป็นพี่ชายนายนะ”

“พวกเขาไม่เคยนับผมเป็นญาติครับ” ผมตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง

หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ถอนหายใจเฮือก ดูท่าทางเขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ผมพูดเท่าไหร่นัก

“เดียร์ อย่าไปกวนคุณเขาเลย กลับบ้านเหอะ เดี๋ยวพี่จะพูดกับแม่ให้ว่าไม่ต้องทำโทษเรื่องขโมยเงินหรอก ไม่ต้องห่วง มาเถอะ เดี๋ยวเรากลับพร้อมกัน”

พี่ชั่วทำเป็นเสแสร้งพูดดีกับผม

“เห็นมั๊ย ไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก แค่ขโมยเงิน เรื่องเล็กน้อยน่า ถ้านายพูดดีๆกับญาติพี่น้อง พ่อแม่ของนาย ว่าอยากได้เงินไปทำอะไร เขาคงฟังเหตุผล แล้วคงไม่ใจไม้ไส้ระกำไม่ยอมให้นายหรอก”

“แต่ผมไม่ได้ขโมยเงินนี่ครับ”

ผมชักโมโห ที่ไม่มีใครเชื่อเด็กอย่างผมเลย

“อ้าว แล้วนายหนีออกจากบ้านมาทำไมล่ะ”

“ก็เพราะว่า............เพราะว่า ไอ้พี่ชั่วคนนี้มันจะข่มขืนผมน่ะสิครับ”

ผมตะโกนออกไปอย่างเหลืออด เสียงของผมดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มชะงัก เขานิ่งอึ้ง หรี่ตามองผม ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังประเมินในเรื่องที่ผมพูด

“ไม่จริงนะครับ ผมไม่ทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นหรอก เดียร์อย่าโกหกสิ”

พี่บอยเดินเข้ามาใกล้ และยื่นมือออกมาจะมาคว้ามือแขนผม แต่ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูรถของชายหนุ่มคนนั้น แล้วขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับทันที พี่บอยถลันจะวิ่งตาม แต่ชายหนุ่มคนนั้นห้ามไว้ก่อน

“บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่งให้เอง” เขาถามพี่บอย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากรบกวน ผมจัดการน้องผมเองดีกว่า” ไอ้พี่ชั่วไม่ตอบคำถาม ชายหนุ่มยักไหล่ แล้วพูดเสียงเข้มว่า

“เด็กนั่นขึ้นไปนั่งบนรถฉันแล้ว คงไม่ยอมลงมาง่ายๆ ท่าทางจะอยากกลับบ้านด้วยรถเก๋ง มากกว่าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ฉันก็ชอบอวดรถเสียด้วย คันนี้ก็เพิ่งซื้อมาใหม่ มีคนนั่งรถไปด้วยกันก็ดีกว่านั่งไปคนเดียว ไปส่งแค่นี้คงไม่เสียเวลามากมั๊ง”

 “จะดีหรือครับ” พี่บอยถามเขา ท่าทางไม่ค่อยจะพอใจที่ชายหนุ่มคนนี้ เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ทั้งที่ตอนแรกกำลังจะเลิกราอยู่แล้ว ชายหนุ่มทำหน้ายียวน

“ก็น่าจะเป็นทางออกเดียวนะ หรือว่านายจะอยากให้เขาหนีไปอีกล่ะ”

“ถ้าคุณปล่อยเขามาให้ผม ผมก็จะพาเขาไปที่บ้านเอง ไม่ต้องยุ่งยากรบกวนคุณหรอก” พี่บอยพยายามอย่างมากที่จะให้หนุ่มคนนี้ ส่งผมให้กับเขา

“แล้วนายจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะไม่กระโดดหนีลงจากรถมอเตอร์ไซด์ของนายน่ะ”

“ถ้าทำอย่างนั้น ผมก็จะไล่ตามเขาจนกว่าจะเจอน่ะครับ”

“ฮึๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะ

“งั้นฉันก็คิดว่า ฉันไปส่งให้ดีกว่า กลัวว่าเจ้าหนูนี่จะเที่ยวโดดลงมากลางถนน ตัดหน้ารถ จนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ นั่งรถฉันมีล๊อคแน่นหนา รับรองปลอดภัย ซุกซนไม่ได้แน่นอน”

“แต่มันจะเสียเวลาคุณนะครับ”

พี่บอยแสร้งทำเป็นห่วงใยชายหนุ่ม เขาเหยียดริมฝีปากออก

“ฉันก็ไม่ได้รีบไปไหนเหมือนกัน ไปส่งให้ก็ได้ พูดตามตรงนะ เท่าที่สังเกตดูนี่ ท่าทางน้องชายของนายไม่อยากกลับไปพร้อมกับนายตอนนี้ เขาอาจจะมีอะไรบางอย่างกังวลใจอยู่ อาจจะกลัวการลงโทษจากพวกนายก็ได้ เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดกล่อมให้แล้วกัน”



abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #24 เมื่อ16-08-2007 20:38:41 »

“อย่าดีกว่าครับ มันเป็นเรื่องในบ้านของผม จริงๆแล้วคุณก็เป็นคนนอกนี่ครับ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจัดการเองได้”

พี่บอยเปลี่ยนท่าทีจากสุภาพเมื่อครู่กลายเป็นวางก้ามขึ้นมาทันที เขาชักสีหน้าใส่ชายหนุ่มคนนั้น แล้วพูดเสียงห้วนใส่

“แต่น้องนายกระโดดตัดหน้ารถฉัน เกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น น้องนายผิด ควรได้รับการว่ากล่าวตักเตือน ดังนั้นฉันก็ถือว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้านายไม่พอใจที่ฉันจะพาน้องนายไป เราไปตกลงกันที่สถานีตำรวจก็ได้”

ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทียียวนมากกว่าเดิม

“ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นี่คุณ ทำไมต้องเอาตำรวจเข้ามาวุ่นวายด้วยล่ะ”

พี่บอยมีทีท่าอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับพวกคนในเครื่องแบบสีกากีเท่าไหร่นัก เพราะตัวเขาเองก็มีคดีความหลายคดีอยู่ที่สถานีตำรวจ ทั้งคดี ลักขโมย ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึง การมียาเสพติดจำพวกยาบ้าไว้ในครอบครอง เขาอยู่ในระหว่างการควบคุมความประพฤติหลังออกมาจากคุก ดังนั้นจึงไม่อยากแม้แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้อีก

“อ้าว ก็ตกลงกันไม่ได้นี่นา เพราะฉันก็ไม่พอใจเหมือนกันที่น้องนายทำแบบนี้ ไปแจ้งความเอาไว้ เขาจะได้เรียกพ่อแม่ ญาติพี่น้องมาตักเตือนว่าอย่าให้ลูกหลานทำแบบนี้อีก เพราะมันอาจจะทำให้ใครบาดเจ็บล้มตายได้ภายหลัง จริงๆแล้วก็น่าจะดีกับพวกนายนะ เพราะนายบอกว่า เด็กมันขโมยเงินมาไม่ใช่เหรอ ก็แจ้งความอีกสักคดี เจ้าหนูนี่จะได้เข็ดหลาบไม่ทำอีกไง”

“ไม่หรอก ผมไม่ติดใจเอาความแล้ว เขายังเด็กอยู่ อาจจะทำอะไรไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ผมกับคนที่บ้านไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ พวกเราไม่ทำร้ายเขาหรอกครับ ถ้าคุณปล่อยเขามาให้ผม ผมสัญญาว่าเราจะปฏิบัติต่อเขาดีๆ”

พี่บอยมีท่าทีอ่อนลงอีกครั้ง

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไปสถานีตำรวจดีกว่า ”

 เขาบอกยิ้มๆ ผมเดาว่า เขาคงรู้ทันพี่ชายของผมเป็นแน่ว่าหมอนี่กำลังกลัวอะไรอยู่

“อย่าเลยครับ”

“ทำไมล่ะ กลัวจะถูกข้อกล่าวหา ทำอนาจาร และพรากผู้เยาว์เหรอ”

ชายหนุ่มดักคอ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มยั่ว พี่บอยหน้าแดงก่ำ คงจะโกรธ และ อายที่ถูกคนอื่นจับได้ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ ปากคอสั่นขณะพูด

“ไม่จริงนะครับ ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ไง เขาเป็นน้องผมนะ คุณจะมากล่าวหาผมได้ไง”

“ถ้างั้น ก็ไปสถานีตำรวจด้วยกันสิ จะกลัวอะไรล่ะ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ใครเขาจะมายัดข้อหาให้นายได้ เดี๋ยวนายขับรถตามฉันไปแล้วกันนะ เสร็จเรื่องแล้ว ฉันจะพาน้องนายไปส่งเอง”

 เขายังคงยิ้ม ทำท่าเป็นมิตรเต็มที่ แต่ผมรู้ว่าเขาคงแกล้งปั่นหัวพี่บอยมากกว่า เพราะพี่ชั่วของผมมันเผยจุดอ่อนของตนเองให้เขาเห็นเสียแล้ว เขาจึงใช้จุดนี้โจมตีพี่ชายผมไม่ยั้ง และท่าทางคนโฉดอย่างพี่บอยก็ติดกับง่ายเสียด้วย ตามประสาวัวสันหลังหวะ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว เผอิญนึกขึ้นได้ว่าแม่ใช้ให้ไปซื้อของครับ”

พี่บอยปฏิเสธพัลวัน

“งั้นเหรอ แล้วน้องชายนายล่ะ ตกลงว่านายจะปล่อยเขาไปกับฉันได้แล้วใช่ไหม”

เขาถามย้ำ

 “ยังงั้นก็ได้ครับ คุณพามันขึ้นรถกลับมาส่งที่บ้านได้ แต่คุณอย่าไปฟังเรื่องที่ไอ้เดียร์มันพูดมากนะครับ มันชอบแต่งเรื่องโกหก ชอบทำให้คนอื่นเสียหาย เพราะมันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่มันทำผิดครับ ก็เลยกล่าวหาว่าคนอื่นใส่ร้ายมัน ”

พี่บอยพยายามที่จะพูดให้หนุ่มคนนี้เชื่อให้ได้ว่าผมเป็นเด็กไม่ดีตามที่เขากล่าวหา ผมนึกโกรธพี่ชั่วของผมอยู่ในใจ ใครกันแน่ที่เป็นคนทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด ใครกันแน่ที่ใส่ร้ายคนอื่น ก็มันเป็นคนทำทั้งหมดไม่ใช่หรือ มันเป็นคนที่ทำให้ผมไม่สามารถที่จะอยู่บ้านนั้นอีกต่อไปได้แล้ว ผมต้องไร้ที่อยู่อาศัยก็เพราะความหื่นกระหายกามตัญหาของมัน

ไอ้พี่ชั่ว ไอ้คนวิปริต ผิดเพศแบบนี้ ผมไม่นับถือมันอีกต่อไปแล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะด่ามันเท่าที่ผมจะนึกคำได้ แต่ผมก็ต้องระงับความรู้สึกนั้น ทำเป็นนั่งเฉย ไม่โต้ตอบอะไร ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ เพราะผมไม่อยากให้ชายหนุ่มผู้กลายมาเป็นอัศวินม้าขาวของผมคนนี้เข้าใจเอาว่า ผมเองก็เลวร้ายไม่แพ้ไอ้พี่ชั่วของผมเหมือนกัน ผมว่าเขาฉลาดพอ และสามารถจะตัดสินทุกอย่างได้จากสิ่งที่เขาเห็น

“อื้อ ฉันพิจารณาเองได้นะ ว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ รับรองน้องนายถึงบ้านแน่”

เขาเอ่ยให้คำมั่นกับพี่บอย พี่ชั่วของผมจึงบอกที่อยู่ให้กับเขา ท่าทางยังเหมือนไม่ค่อยเชื่อว่าหนุ่มคนนี้จะพาผมไปส่งให้ถึงบ้านจริง บอกที่อยู่เสร็จ เขาก็หันมามองผมอีกครั้ง เขาทำปากมุบมิบ ประมาณว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ” แต่ผมเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับผม

เสียงมอเตอร์ไซด์แล่นออกไปแล้ว สักพัก ชายหนุ่มคนนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวขึ้นมานั่งในรถ เขาหันหน้ามามองผม แล้วส่ายหน้า

“นายนี่ มันเหลือเกินจริงๆนะ ทำให้ฉันต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจนได้”

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบาก แต่ผมไม่อยากจะกลับไปบ้านนั้นอีกแล้ว”

ผมกล่าวขอโทษเขาด้วยความรู้สึกเสียใจจริงๆที่ทำให้เขาต้องมาวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ฉันก็ไม่รู้นะ ว่าเรื่องที่นายพูดเป็นจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆฉันคิดว่า พี่บอยพี่ชายนายน่ะไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ฉันถึงได้เข้ามาเสือกเรื่องนี้ไง”

เขาบอกเหตุผลกับผมในการเอาตัวเขามายุ่ง

“แล้วนี่นายขโมยเงินเขามาตามที่เขาว่าจริงหรือเปล่า บอกฉันมาตามตรงนะ อย่าโกหกกัน ฉันไม่ชอบ รู้สึกไม่ดี ที่จะมีส่วนช่วยเหลือให้เด็กทำความผิด”

เขาคาดคั้นเอากับผม ผมส่ายหน้า

“ไม่ครับ ผมไม่เคยขโมยเงินใครมาทั้งนั้น ผมพูดจริงๆนะครับ”

“ฉันจะเชื่อนายแล้วกัน แต่ว่าแล้วทำไมนายถึงหนีมาล่ะ”

ผมตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟัง โดยไม่ปิดบัง ผมคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ ท่าทางเขาเป็นคนใจดี มีเมตตา ชอบช่วยเหลือคนที่กำลังยากลำบาก พิสูจน์ได้จากการที่เขาเอาตัวเข้ามาพัวพันเรื่องของผมอย่างในขณะนี้

เขานิ่งฟังด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่แววตาของเขามีแววครุ่นคิด เขาคงพยายามจะใช้เหตุผลกับความรู้สึกกลั่นกรองในเรื่องที่ได้ยินจากปากผม ว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน น่าเชื่อถือได้หรือไม่ พอผมเล่าจบลงตรงที่หนีออกจากบ้านเพราะพี่ชายลูกป้าจะข่มขืนผม เขาก็ทำหน้าเบ้

“พวกตุ๊ดวิปริต คนพวกนี้อารมณ์รุนแรง ชอบสร้างปัญหา ทำให้ผู้ชายดีๆเขาเข็ดขยาด ไม่อยากจะสังสรรค์เสวนาด้วย”

ตอนนั้นผมซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆจวนเจียนจะเสียตัวรู้สึกคล้อยตามคำพูดที่เขาพูดมาก และคิดว่าคนพวกนั้นเกิดมาเป็นชายแท้ แต่ทำตัวเสียชาติเกิด แล้วยังมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีก ก็สมควรแล้วที่จะถูกคนทั่วไปเกลียดชัง

“แล้วนี่เราตั้งใจจะไปไหนหรือ ถึงได้วิ่งตัดหน้ารถฉันอย่างกระชั้นชิดแบบนี้”

อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วหันมาถามผมถึงสาเหตุที่ผมวิ่งข้ามถนนแบบไม่กลัวตายแบบนั้น

“ไปทะเลครับ”

ผมบอกเขา ชายหนุ่มเลิกคิ้วทำสีหน้างุนงง

“คือว่าผมเห็นพี่บอยขี่มอเตอร์ไซด์ตามผมมาติดๆ ผมไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีไปทางไหนดี เผอิญผมเหลือบไปเห็นทะลเข้า ก็เลยกะว่าจะวิ่งไปบนหาดทราย แล้วหนีลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเล เพราะคิดว่าเขาคงเอามอเตอร์ไซด์ขับตามมาไม่ได้ อีกอย่างมันก็เริ่มจะมืดลงทุกที เขาก็คงจะมองไม่เห็น ตามหาผมไม่เจอ ผมก็คงจะหนีเขาไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งครับ ผมคิดแค่นั้นก็เลยวิ่งพุ่งออกไป โดยไม่ทันได้ดูว่ามีรถวิ่งมาหรือเปล่าครับ”

“ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้นะ คิดอะไรเป็นเด็กโง่ไปได้ วิ่งไปบนถนนที่รถวิ่งผ่านแบบนี้ หากเจอรถที่เขาขับเร็วๆแรงๆ นายได้หนีการตามเจอของพี่ชายนายได้ทั้งชีวิตสมใจแน่ โชคดีที่เจอฉันน่ะ เฮ้อ จะว่าไป มันเป็นโชคดีของนาย แต่มันกลับกลายเป็นโชคร้ายของฉันเสียนี่ ที่ดันเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยว ขอให้สิ่งที่นายพูดเนจริงเถอะ อย่าให้ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปเย็นวันนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเลย”

เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ผมสบตาเขา อยากจะขอโทษที่ลากเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ในตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออกจริงๆ คิดอย่างเดียวว่าขอไปให้พ้นๆจากพี่ชายบ้ากามเป็นพอ

“จะให้ไปส่งที่บ้านไหม”

เขาถามผม แต่แววตาที่เขามองมาเหมือนกับว่าเขาจะล่วงรู้จิตใจผมว่าจะตอบอะไร

“ไม่ครับ ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว”

“ทำไมล่ะ กลัวเขาจะรังแกนายอีกเหรอ ฉันไปพูดให้เอาไหม”

น้ำเสียงที่เขาพูดเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทร เขามีทีท่าว่าห่วงใยผม จนผมรู้สึกสะท้านในทรวงอก นานแค่ไหนกันนะ ที่ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกดีๆจากใครแบบนี้ มันนานเกือบเท่าชีวิตผมได้แล้วมั้ง

“คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอกครับ พวกเขาไม่เคยรักและเอาใจใส่ผมอยู่แล้ว เขาเลี้ยงดูผมเหมือนเป็นแค่คนรองไม้รองมือของเขาเท่านั้น ยิ่งตอนนี้ผมมีปัญหากับพี่บอย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป้า กลับไปผมคงถูกป้าดุด่าเฆี่ยนตี ไอ้พี่ชั่วก็คงหาโอกาสทำร้ายผมอีก คราวนี้ผมคงไม่รอดแน่”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ทำให้ผมหวาดกลัวการที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านั้นอีก

“งั้นจะเธอจะไปไหนล่ะ ต้องการให้ฉันส่งเธอตรงไหน”

น้ำเสียงที่พูดช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

“ไปบ้านเพื่อนผมได้ไหมครับ อยู่ที่พัทยาใต้ เขาเปิดเป็นร้านให้เช่าห่วงยาง และเก้าอี้ชายหาดที่นั่น ผมว่าจะไปขอเขาอยู่สักสองสามวัน ก่อนจะขยับขยายทำงานหรือหาที่อยู่ใหม่”

“เด็กอย่างเธอจะทำอะไรได้ แล้วนี่ไม่ต้องเรียนหนังสือหรือไง”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ยังไม่ได้คิดเลย”

ผมบอกเขาไปตามตรง ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความคิดแบบเด็กๆของผม

“ไอ้เด็กโง่เอ๊ย  หนีออกจากบ้านมา โดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะทำมาหากินอย่างไง จะได้เรียนต่อ หรือต้องออกจากโรงเรียนก็ยังไม่รู้ ทำอะไรลงไปเนี่ย  รู้หรือเปล่าว่าจะต้องเจออะไรบ้าง โลกภายนอกมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดหรือเข้าใจหรอกนะ มันเต็มไปด้วยอันตราย มีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่ต้องเผชิญ เด็กอย่างเธอถ้าไม่แกร่งพอ ก็จะรับมือมันได้ยาก ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเหยื่อของสังคมที่โหดร้ายไปโดยไม่รู้ตัว คิดดีแล้วเหรอถึงได้เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้”

เขาถามอย่างอยากรู้ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไรกับตนเองในวันข้างหน้า เมื่อต้องหนีออกจากบ้าน โดยไม่มีเงินทองติดตัว ไม่มีงานทำ ไม่มีบ้านอยู่ ไม่เห็นแม้แต่อนาคตของตนเอง ผมก้มหน้านิ่ง คิดตามคำพูดของเขา ความรู้สึกหดหู่เข้าครอบงำ

เด็กอายุ 14 อย่างผม จะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น รู้เพียงแค่ว่าตนเองเจ็บปวดแสนสาหัส จากการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ เหลียวหาคนที่เข้าใจก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่เคยได้สัมผัสความรัก ความอบอุ่น แม้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบกาย

ไม่มีวันไหนสักวันที่ผมจะรู้สึกเป็นสุข เมื่อมีโอกาสที่ผมจะหลุดรอดจากสภาพตกนรกทั้งเป็น ผมก็ไม่รั้งรอที่จะฉวยโอกาสนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางที่ต้องการไปอยู่ที่ไหน แต่อิสรภาพก็เป็นอะไรที่หอมหวานคุ้มค่ากับการที่จะได้มันมา

“กลับบ้านไปจะดีกว่ามั้ง ยังได้เรียน ได้มีข้าวกินที่ซุกหัวนอน ดีกว่าจะมาเร่ร่อนอย่างไม่รู้อนาคตนะ”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ รู้ว่าเขาหวังดีต่อผม แต่ผมกลับไม่คิดว่านั่นจะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาได้ ผมยินดีไปอดตายข้างนอก ดีกว่าซมซานกลับไปที่นรกแห่งนั้นเพื่อแลกกับที่กินที่อยู่

“ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ผมก็จะไม่หวนกลับไปอีกแล้วครับ”

ผมยืนยันคำพูดของตนเอง เขาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบผมเป็นเชิงปลอบประโลม

“ฉันเข้าใจนะ ไอ้หนู ว่าเธอเจออะไรมาบ้าง ฉันก็แค่เป็นห่วงเด็กอย่างเธอเท่านั้นแหละ ไม่อยากให้เป็นเด็กจรจัดข้างถนน เด็กอย่างเธออนาคตยังอีกไกล หากไม่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ก็อาจจะพลาดพลั้งล้มเหลว กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมได้ ที่อยากให้เธอกลับไปบ้านก็เพราะแบบนี้แหละ แต่ถ้าเธอไม่สบายใจก็ไปอยู่กับเพื่อนเธอสักพักแล้วกัน ฉันเองก็สงสารเธอนะ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้แล้วล่ะ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความจริงใจ ผมรู้สึกตื้นตันต่อความเอื้ออารีที่เขามอบให้

“แค่นี้ผมก็ขอบคุณคุณมากแล้วครับ ที่ไม่ส่งตัวผมกลับไปอยู่ในนรกอีกครั้ง ผมเองก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าคุณจะเชื่อคำพูดพี่บอยไหม ถ้าหากคุณให้ผมไปกับเขาจริงๆ ผมตั้งใจว่าจะหนีลงทะเลไปเลยอ่ะครับ”

“เหลวไหลน่า ฉันดูก็รู้แล้วว่าพี่ชายเธอโกหก เอาเถอะอย่าพูดมากเลย นี่ก็ค่ำแล้ว ไปหาเพื่อนเธอที่พัทยากันดีกว่า ว่าแต่เธอจำทางได้นะ”

ผมพยักหน้า ชายหนุ่มผู้ใจดียิ้มให้กับผม แล้วก็สตาร์ทรถมุ่งหน้าสู่พัทยา ผมแอบลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ถึงแม้จะค่ำแล้ว และแสงไฟจากภายนอกส่องเข้ามาในรถไม่สว่างมากนัก แต่ผมก็ยังเห็นหน้าเขา ผมพยายามจะจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาให้ได้มากที่สุด

หากต่อไปในวันข้างหน้า ผมสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ ผมก็อยากจะกลับมาตอบแทนเขา เพราะคนๆนี้คือคนที่มีส่วนช่วยเหลือให้ผมได้หลุดพ้นจากนรกบนดินที่ผมเผชิญมาเป็นเวลาหลายปี

อัศวินม้าขาวของผมคนนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว อายุน่าจะประมาณสัก 20-25 ปี ถึงแม้จะไม่ใช่คนตัวใหญ่ แต่ก็จัดว่าเป็นคนที่ตัวสูงพอสมควร โครงสร้างร่างกายแข็งแรง รูปกายดูดี แขนขายาว และมีนิ้วมือที่สวยทีเดียว

นับตั้งแต่ขับรถออกจากบางแสนมา เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เขานั่งนิ่ง ตามองตรงไปข้างหน้า สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ ส่วนตัวผม นั่งมองสองข้างทางสลับกับการแอบมองดูเขา

“ไม่ทราบว่าพี่ชื่ออะไรหรือครับ” ผมพูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้

“อยากรู้ไปทำไม”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจที่ผมละลาบละล้วงถึงชื่อเสียงเรียงนามของเขา

“ก็วันหน้าวันหลังเผื่อว่าผมจะมีโอกาสตอบแทนบุญคุณพี่ได้บ้างไงครับ”

“หึหึหึ” เขาหัวเราะอย่างขำๆ

“ไม่ต้องหรอกเด็กน้อย ฉันช่วยเธอ ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เธอตอบแทนฉันกลับคืนหรอก”

“แต่ผมอยากจะรู้จักชื่อพี่ไว้นะครับ ผมอยากจดจำคนที่ช่วยชีวิตของผมเอาไว้.....นะครับพี่ ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ ผมอยากรู้”

“พี่ชื่อเรียว ชื่อเล่นน่ะ ชื่อจริงคงไม่ต้องมั๊ง” เขาพูดยิ้มๆ

“เพราะจังเลยนะครับ เรียวอะไรครับ เรียวไผ่ หรือว่าอะไร”

“เรียวเฉยๆ อย่าซักถามอะไรมากเลย”

“พี่เรียวเฉยๆครับ” ผมเรียกล้อชื่อเขา รู้สึกเป็นกันเองกับเขามากขึ้น

“ไอ้นี่ทะลึ่งแฮะ”  เขาเอื้อมมือมาเขกหัวผมดังโป๊ก ผมยิ้มเป็นเชิงขอโทษที่ล้อเลียนเขา

“ถ้าผมมาเจอพี่อีกที พี่จะจำผมได้ไหมครับ”

ผมถามเขา ความรู้สึกบอกว่าอยากเจอเขาอีก และอยากให้เขาจำผมได้ เพราะผมคิดว่าผมต้องจำคนใจดีอย่างเขาได้แน่นอน

“อื้มมม ไม่ค่อยจะแน่ใจนะ” เสียงของเขาดูลังเล

“แต่ผมคิดว่า ผมจำพี่ได้แน่นอน” ผมบอกเขาด้วยความมั่นอกมั่นใจ

“ทำไมถึงคิดว่าจะจำได้ล่ะ” มีคำถามอยู่ในคำพูดของเขา

“เพราะพี่มีตาที่บ่งบอกถึงความใจดีมีเมตตา รอยยิ้มพี่ก็ดูอบอุ่น อีกทั้งพี่มีใบหน้าที่หล่อมากเลยนะครับ”

ผมกล่าวชื่นชมเขาอย่างจริงใจ ชายหนุ่มผู้ใจดี หัวเราะน้อยๆ ชมผมกลับว่า

“เราเองก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย โตขึ้นคงได้เป็นนายแบบหรือดาราแน่”

“ไม่เอาครับ ผมไม่อยากเป็นดารา หรือนายแบบ”

“ทำไมล่ะ รายได้ดีออกนะ”

“ผมรู้ดีครับว่าผมคงทำไม่ได้ ผมไม่ชอบการแสดงละคร ไม่ชอบการเสกสรรปั้นแต่ง อีกอย่างผมไม่ได้มีชาติกำเนิดดีเหมือนคนอื่นๆเขา ผมไม่อยากให้ใครมาขุดคุ้ยเรื่องราวของผม จนผมต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปครับ”

ผมบอกเขาตามตรงถึงเหตุผลที่ผมไม่สนใจที่จะทำอาชีพนี้

“ไม่อยากเป็นคนดังว่างั้นเถอะ”

เขาถามยิ้มๆ ผมพยักหน้า

“นายนี่คิดไกลเกินอายุตัวเองนะ ฉันเห็นเด็กอายุเท่านายหลงใหลความมีชื่อเสียง การเป็นจุดสนใจทั้งนั้น แต่นายนี่แปลกดีที่ไม่ชอบ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ชื่อเสียงเป็นของมายา มีได้ก็ดับได้เหมือนกัน”

ผมยิ้มให้เขา หลังจากนั้นเราสองคนก็ต่างนั่งเงียบไปจนกระทั่งถึงพัทยาใต้ เขาช่วยผมหาบ้านไอ้น้อยเพื่อนผมจนเจอ ก่อนจะจากกันเขายัดเงินใส่มือให้ผม 2000 บาท เอาไว้ใช้ ผมปฏิเสธแต่เขาก็บอกให้ผมรับไว้ เพราะหากผมต้องการที่จะออกจากบ้านจริงๆผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินสักก้อนเป็นทุนตั้งตัว

“ฉันมีเงินสดติดตัวมาไม่มากนักนะไอ้หนู ฉันช่วยนายได้เท่านี้แหละ มันอาจจะไม่มากพอนะ แต่หากนายใช้อย่างระมัดระวัง ไม่เอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เงินนี้ก็อาจจะเป็นทุนรอนสำหรับนายในการทำอะไรได้มากมาย ฉันหวังว่านายคงจะพบหนทางสว่างให้กับชีวิตตนเองนะ”

เขาบอกกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมรู้สึกแน่นหน้าอก หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเป็นความอิ่มเอมใจเมื่อได้รู้ว่าชีวิตที่ไร้ค่าแบบผม ยังมีใครบางคนที่เป็นห่วงเป็นใย ที่สำคัญคนๆนั้นกลับไม่ใช่ญาติมิตร เป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านเข้ามา และได้ช่วยเหลือให้ผมพ้นทุกข์

ผมมองหน้าเขานิ่งนาน อยากจะจดจำภาพของเขาไว้ในใจ ผมรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณของชายหนุ่มคนนี้อย่างใหญ่หลวง และปรารถนาที่จะทำให้เขาได้รับความสุขบ้าง นึกในใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะต้องตามหาเขา และทำทุกอย่างเพื่อเขาเป็นการตอบแทนความดีงามที่เขามีให้ เขายิ้มตอบผมและค่อยๆขับรถจากไป โดยมีผมยืนมองจนลับตา

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #25 เมื่อ16-08-2007 21:06:48 »

อ่านแล้วซึ่งใจจัง รอลุ้นต่อ  :m4:

ออฟไลน์ Ferfa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #26 เมื่อ16-08-2007 22:41:20 »

 :m9: เรื่องนี้น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านตั้งหลายรอบ น่ารักกกกกกกกกกกกกกก น้องเดียร์น่ารักกกกกกกกกกกกกกก

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #27 เมื่อ17-08-2007 01:35:21 »

 :m13:  :m13:  :m13:  :m13:

เรื่องนี้น่ารักจัง.....รออ่านต่อนะจร๊า สู้ๆ  :a2:

aumzaa

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #28 เมื่อ17-08-2007 14:02:17 »




  เรื่องนี้ที่รอมานานครับ.....



  ผมชอบเรื่องนี้มากเลยครับ..



  พี่เคทเขียนได้ดีมั๊กๆๆ.....


ขอบคุณคนโป๊ดครับ


 o1 o1

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #29 เมื่อ17-08-2007 14:29:35 »

ซึ่งกับน้ำใจของเรียวมากเลยคับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด