My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk  (อ่าน 183356 ครั้ง)

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #90 เมื่อ25-09-2007 00:22:06 »

แน๋วจ่า เรื่องนี้หลุดไปหน้า 2 ล่ะ ยังไม่มาต่ออีก

มาต่อให้ชื่นใจทีเหอะ

 :m5:

เรื่องยิ่งยาวๆอยู่ เด๋วไม่จบซะที

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #91 เมื่อ04-10-2007 21:42:06 »

บทที่ 11



“ใช่ไหมครับเรียว”

เขาถามย้ำ ผมจึงต้องพยักหน้าอย่างจำยอม นึกในใจว่า ช่างมันเถอะ จะคิดจะให้ตกลงอย่างนั้นก็ได้ เพราะผมคงจะไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ตัวผมอีกแล้ว ยิ่งผมอยู่ห่างเขามากเท่าไหร่ เขาก็จะไม่มีวันลวนลามผมได้ เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มกว้างให้ผม ท่าทางเขาดูหมายมั่นปั้นมืออย่างไรไม่รู้ คงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองสินะ ว่าจะทำให้ผมยินยอมให้เขาล่วงเกินได้

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ ห้ามเบี้ยวด้วย” เขาพูดย้ำ ผมพยักหน้า รู้สึกรำคาญใจ

“ข้ออื่นๆล่ะครับ” เขาถามผม

“ห้ามก่ออาชญากรรม ห้ามทำร้ายร่างกายฉัน ห้ามจับฉันไปมัด ห้ามกังขังหน่วงเหนี่ยว หรือทำอะไรให้อับอายขายหน้า อย่างเช่น แอบถ่ายรูปฉันแบบนี้”

เด็กหนุ่มยิ้ม พยักหน้าเป็นการยินยอม

“ฉันจะยังคงมีอิสระในการไปไหนมาไหนได้ดังเดิม โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้นายรู้ จะไปไหน มาไหน หรือทำอะไรก็ได้”

เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งๆ

“นายไม่มีสิทธิ์โทรตาม หรือคอยเช็คว่าฉันจะไปไหน ทำอะไรกับใคร ห้ามโทรมาหาทั้งที่บ้านและที่ทำงาน”
“อ๊า ทำไมเยอะจัง ขอจดรายละเอียดก่อนได้ไหม”

เด็กหนุ่มร้องโวยวาย พลางเอื้อมมือไปที่กระเป๋าเป้ของตนเอง แล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาขึ้นมาจด พลางทวนคำพูดผม

“ห้ามทำร้าย กักขัง หน่วงเหนี่ยว ห้ามทำให้ขายหน้า ห้ามโทรตาม............” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากสมุดในมือ

“แต่ผมมีเบอร์โทรศัพท์แค่ที่บ้าน กับที่ทำงานของคุณตามนามบัตรที่ให้ไว้เท่านั้น ถ้าไม่ให้ผมโทรไป แล้วผมจะติดต่อคุณได้อย่างไรล่ะ”

“ก็ไม่เห็นจะจำเป็นที่ต้องโทรเลยนี่”

ผมยักไหล่ ทำท่าไม่ใส่ใจ

“งั้นผมไปหาคุณที่บ้านทุกวันแล้วกัน เพราะถ้าไม่โทรจะได้พูดได้คุยกับคุณอย่างไร”

“อ๊ะ นั่นก็เป็นข้อห้ามอีกข้อหนึ่งด้วยนะ ห้ามไปรบกวนฉันที่บ้าน”

ผมบอกข้อห้ามที่ผมเพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆจากคำพูดของเขาเมื่อสักครู่

“นี่ๆๆๆ......มันไม่ใช่สัญญาเป็นแฟนกันแล้ว นี่มันสัญญาให้เลิกกันมากกว่า” เด็กหนุ่มทำเสียงไม่พอใจ


“โทรไปหาก็ไม่ได้ บ้านก็ไม่ให้ไป คนเป็นแฟนกันใครเขาจะทำแบบนี้ ไม่รู้ล่ะ ต้องให้ผมได้โทรไปหาคุณ หรือไปที่บ้านคุณได้บ้าง ถ้าไม่ให้ ผมจะยกเลิกข้อนี้ซะ ไม่ปฏิบัติตาม”

“อ๊ะๆก็ได้ นายโทรมาหาฉันที่มือถือแล้วกัน”

ผมยอมอย่างเสียไม่ได้ นึกในใจว่า ให้เบอร์มือถือไปแล้วกัน เพราะมันโชว์เบอร์ ถ้ารู้ว่าเป็นเบอร์ของเขา ผมจะได้ไม่รับ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

“เบอร์อะไรครับ”

เขาถามอย่างกระตือรือล้น ผมบอกเบอร์มือถือกับเขาไป เขารีบจดมันลงในสมุดบันทึกของเขา แล้วส่งยิ้มอ้อนๆให้ผม

“แล้วเรื่องไปหาเรียวล่ะครับ”

“ก็ให้เบอร์มือถือติดต่อไปแล้วไง”

“แต่ก็ยังอยากไปหา ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านไงครับ แบบว่า ให้ผมไปนอนค้างด้วยอ่ะ”

“ไม่ได้” ผมบอกเขาเสียงแข็ง

“ใจร้าย ก็เราเป็นแฟนกันอ่ะ ผมก็ต้องไปค้างบ้านคุณได้ด้วยสิ”

เขาทำท่าเกเรอีกแล้ว

“ทำไมจะต้องมาค้างที่บ้านฉันด้วย”

ผมถามอย่างฉุนๆ

“หรือว่าเรียวจะออกมาค้างที่บ้านผมล่ะ แต่มันอาจจะคับแคบไปหน่อย เรียวอาจจะนอนไม่สบาย หรือเราจะไปค้างด้วยกันที่โรงแรมก็ได้นะ ถ้าคุณชอบ”

“นี่ๆ ใครจะไปค้างกับนาย......” ความหมั่นไส้ทำให้ผมพูดออกไป

“ไม่งั้นก็ให้ผมไปค้างที่บ้าน ..........นะนะ .........เวลาอยู่ด้วยกัน ผมสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ จะไปช่วยเรียวทำความสะอาดบ้าน แล้วทำกับข้าวให้กินด้วย”

เขาทำเสียงอ้อน แววตาเปล่งประกายความหวัง เขาทำท่าเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังรอคอยให้ผู้ใหญ่ส่งขนมหวานมาให้

“ก็ได้ แต่อนุญาตให้ไปได้เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นนะ”

“สองวันไม่ได้หรือครับ วันเสาร์กับวันอาทิตย์อ่ะ อยู่แค่วันเดียวไม่หายคิดถึงเลย”

“ไม่ได้”

“งั้นเป็นอย่างนี้ได้รึเปล่าครับ ผมไปหาคุณคืนวันเสาร์ แล้วเราก็อยู่ด้วยกันวันอาทิตย์แล้วก็ค้างวันอาทิตย์อีก 1 วัน ดีไหมครับ”

“ได้วันเดียวเท่านั้น จะเอาหรือเปล่า ถ้าไม่ตกลงก็เลิกพูดเรื่องนี้ เ อาตามเดิม คือ ห้ามนายไปหาฉัน แล้ว ข้ามไปหัวข้ออื่นเลย”

“คนใจร้าย.......”

เด็กหนุ่มต่อว่าผม พลางทำปากยื่น แต่ก็จดรายละเอียดลงในสมุดยุกยิก

“เอ้าหนึ่งวันก็หนึ่งวัน แต่ว่า เรียวต้องไปออกไปเที่ยวกับผมบ้างนะครับ”

เด็กหนุ่มพูดต่อรองอีก ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ ก็เลยพยักหน้าส่งๆไป เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง แล้วก้มหน้าก้มตาจดการตกลงข้อนั้นลงไปในสมุด

“ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย แล้วต้องเป็นตอนที่ฉันว่างด้วยนะ”

“คร้าบบบบบ”

เด็กหนุ่มลากเสียงยานคาง

“ห้ามบุกรุกบ้านฉัน หรือเข้าบ้านของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามค้นข้าวของตามใจชอบ ห้ามพาคนอื่นมาที่บ้านฉัน ทำได้หรือเปล่า”

ผมบอกข้อห้ามอีกชุดใหญ่

“ได้ครับ รับทราบพร้อมปฏิบัติตามครับผม” เขาทำท่าตะเบ๊ะ

“นอกจากผมแล้ว ก็จะไม่มีใครได้เข้าบ้านคุณอีก เรียวก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกันนะ ห้ามไม่ให้โครเข้าบ้านเรียวทั้งนั้นนอกจากผมนะ”

“เอ๊ะ ..........นายมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

ผมชักเคืองที่เขาเอาข้อห้ามของผม มาใช้กับผม

“ผมรู้ว่าผมคงห้ามเรียวไม่ได้ เพราะเป็นบ้านของคุณ คุณอาจจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมาหา แต่ที่ผมขอนี้ ผมขอเพื่อความเป็นส่วนตัวของเราสองคน อย่างน้อยๆก็ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันของผม ผมอยากจะอยู่กับคุณตามลำพัง ไม่อยากให้มีใครอื่นมาอยู่ด้วย ผมรู้ว่าผมขอมากเกินไป แต่ผมก็อยากจะให้มันเป็นวันของเราจริงๆน่ะครับ”

เขาส่งสายตาวิงวอนขอร้อง จนผมชักจะใจอ่อน ไม่ดีเลยที่เกิดมาเป็นคนขี้สงสารเนี่ย

“ก็ได้ ฉันจะไม่พาใครมาวันอาทิตย์ แต่วันอื่นที่ฉันพามา นายจะมายุ่งไม่ได้ แล้วก็ทุกอย่างฉันต้องเป็นคนตัดสินใจ นายต้องเชื่อตามเหตุผลของฉัน ห้ามทำอะไรตามใจตนเอง เข้าใจไหม”

“ครับ”

เด็กหนุ่มจดตามยิกๆ ผมพยายามนึกว่ามีอะไรอีกหนอที่จะเอามาอ้างเป็นข้อตกลง เพื่อที่จะปกป้องตนเองจากการเข้าใกล้ของเจ้าเด็กนี่

“ห้ามแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันในที่สาธารณะ ห้ามจูงมือ ห้ามคล้องแขน ห้ามโอบไหล่ ห้ามกอด ห้ามจูบ ต่อหน้าคนอื่นๆ”

ผมพูดตามที่นึกขึ้นได้เป็นชุด เด็กหนุ่มขยับปากกาในมือจดตาม แต่ก็ไม่วายร้องโวยวาย เมื่อได้ยินข้อตกลงต่างๆ ที่ผมคิดขึ้นมา

“แหมๆ.......ใจคอจะไม่ให้ผมอวดคุณกับคนอื่นๆเลยหรือไง ทำไมหวงตัวจังเลยอ่ะครับ ไม่เห็นใจกันบ้างเลยหนอ เฮ้อ..........ร้ายกาจจัง”

เขาบ่นกระปอดกระแปด แต่ไม่ได้ทำท่าว่าหนักใจกับข้อห้ามดังกล่าว เขากลับมีใบหน้ากระตือรือล้น นั่งชันเข่าสองข้าง วางเท้าไว้บนเก้าอี้ ใช้หน้าขาต่างโต๊ะเขียนหนังสือ

“ก็ได้ ผมจะเขียนไปว่า ข้อห้ามทั้งหมดนี้ห้ามทำในที่สาธารณะ แต่ในที่ลับตาคนแล้ว ทำได้หมดเลย”

เขาพูดยิ้มๆ พลางจดลงไปในสมุดบันทึกของตนเอง ผมออกอาการเอ๋ออีกครั้ง เมื่อตระหนักว่าตนเองไม่มีความรอบคอบพอ จนเด็กหนุ่มอาศัยช่องโหว่ที่ผมไม่ได้พูดถึงไว้ ในการจะหลบเลี่ยงพันธะสัญญาทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ

พอเห็นว่าผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็ถามขึ้น

“หมดแล้วเหรอครับ”

“ยังนึกไม่ออก ถ้านึกได้แล้วจะบอก”

“อ่ะนะ มีเพิ่มเติมได้ด้วยเหรอ”

เขายิ้มขำๆ เด็กนี่คงรู้เท่าทันความคิดของผมเป็นแน่ เขาคงเดาได้ว่าผมพยายามยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาเพื่อที่จะป้องกันตนเองจากเงื้อมมือของเขา เด็กหนุ่มมีทีท่าอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผมเริ่มเครียด

“ทำไม นายมีปัญหาเหรอ”

ผมมองเขาอย่างพาลๆ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้

“เปล่าครับ ใครจะกล้ามีเรื่องราวกับยอดรักของผมได้ล่ะครับ” เดียร์ยิ้มทะเล้น

“ใครละเมิดสัญญาก่อน ไม่ทำตามข้อตกลง เท่ากับสัญญานี้จะสิ้นสุดลงทันที เข้าใจไหม”

ผมเน้นย้ำคำสัญญากับเขา มั่นใจว่าตนเองไม่มีทางทำผิดข้อตกลงหรอก มีแต่เดียร์เท่านั้นแหละที่จะเป็นคนที่ทำให้สัญญายกเลิกเพราะเป็นฝ่ายทำผิดเสียเอง

“คร้าบบบบบบบบ”

เขาลากเสียงยานคาง ทำหน้าทะเล้น ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา เด็กหนุ่มยืดนั่งตัวตรง วางขาลงกับพื้น ก่อนจะเดินมานั่งบนที่เท้าแขนเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ แล้วโอบกอดผมไว้ในวงแขน

“เป็นแฟนกันตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ ที่รัก”

เขาถือวิสาสะจูบที่หน้าผากผม ผมพยายามแกะมือเขาออกจากตัว แต่เขาไม่ยอมปล่อย

“ไม่ดีกว่า ขอเวลาฉันเตรียมตัวเตรียมใจหน่อย”

“เมื่อไหร่ดีครับ” เขาถามพลางจูบผมอีกที่ข้างแก้ม

“เริ่มเดือนหน้าเลยแล้วกัน”

ผมบอกเขา พยายามจะยืดเวลาให้ห่างออกไปมากที่สุด

“เดือนตุลาคมนี้น่ะเหรอ ก็พรุ่งนี้แล้วสิ”

“ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึงเดือนพฤศจิกายนน่ะ”

ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ว่าเป็นเดือนหน้าอันที่จริงผมลืมไปว่า เดือนตุลาคมจะมาถึงในวันพรุ่งนี้นี่เอง พอเขาพูดแบบนี้ผมก็เลยนึกขึ้นได้ เลยรีบเปลี่ยนวันเวลาทันที มีเสียงหัวเราะจากเดียร์ เขากอดผมแรงๆ แล้วหอมผมที่แก้มฟอดใหญ่

“เจ้าเล่ห์จริงๆนะ ยอดรักของผม แต่เดือนหน้าที่หมายถึงเดือนตุลาคมน่ะดีแล้วล่ะ ไม่อยากรอนานเกินไปนะครับ น่านะ จะเลื่อนไปไกลเท่าไหร่ คุณก็หนีผมไปไม่พ้นอยู่ดี ทำไมไม่ทำให้เรื่องมันจบลงเร็วๆล่ะครับ”

คำพูดของเดียร์มีเหตุผล จริงสินะ ต่อให้เลื่อนเวลาออกไป ก็ใช่ว่าจะทำให้พันธะสัญญาที่เรามีต่อกันสิ้นสุดลง มีแต่จะยิ่งยืดเวลาแห่งความทรมานใจของผมออกไปอีก สู้ให้มันจบๆไปเลยดีกว่า อีกอย่างใครจะการันตีว่าหนึ่งเดือนจากนี้ไป เขาจะไม่มารบกวนใจผม

“ก็ได้ งั้นเริ่มพรุ่งนี้แล้วกัน”

ผมบอกเขาเสียงห้วน เด็กหนุ่มแนบศีรษะของเขา เข้ากับศีรษะของผม ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย กลับรัดร่างผมแนบแน่น

“นี่นายกำลังผิดข้อสัญญาอยู่ ฉันสามารถล้มเลิกข้อตกลงระหว่างเราได้นะ” ผมขู่เขา

“สัญญาอะไร”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นอกจากคำพูดของผมจะไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนแล้ว เขากลับจูบไซร้ซอกคอผมจนขนลุกเกรียว

“อย่ามาทำเป็นไขสือ ก็เราทำข้อตกลงที่จะเป็นแฟนกันแล้ว และการแตะเนื้อต้องตัวฉันโดยไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจ แถมซ้ำยังมาทำในที่สาธารณะด้วย ถือว่านายผิดสัญญาถึงสองข้อด้วยกัน ดังนั้นสัญญานี้เป็นโมฆะ แล้วก็ต้องถือว่าฉันเป็นอิสระจากนายแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างมีชัย แต่เด็กหนุ่มกลับหัวเราะเบาๆ เขากอดรัดผมแน่นเข้า แล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งจับคางผมให้แหงนเงยขึ้นมา แล้วก้มลงจุมพิตผมอย่างดูดดื่มโดยที่ผมไม่อาจจะขัดขืนได้ เพราะมัวแต่ตะลึงว่าเขาช่างกล้าทำอย่างนี้ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการที่จะถูกคนมองเห็น แถมซ้ำยังไม่กลัวว่าตนเองจะทำผิดสัญญาด้วย เด็กหนุ่มนี่คิดจะเบี้ยว ไม่ทำตามสัญญาหรือไงนะ

เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เขาจะปล่อยผม เดียร์มองผมด้วยดวงตาที่บอกความรู้สึกทั้งมวลในใจเขา แต่ผมกลับจ้องเขาตอบด้วยดวงตาขุ่นขวาง เขายิ้มกว้างให้กับผม แล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา

“ขำอะไร” ผมถามอย่างพาลๆ

“ดูหน้าคุณสิ ตลกจัง”

“ยังมีหน้ามาหัวเราะคนอื่นอีก  จะเบี้ยว ไม่ทำตามข้อตกลงในสัญญาหรือไง”

“เอ........สัญญาที่ว่าเนี่ย.......มันเริ่มเมื่อไหร่หรือครับ”

เขาย้อมถามผมยิ้มๆ ผมสะอึก นึกขึ้นมาได้ว่า วันที่เราตกลงว่าจะเป็นแฟนกันคือพรุ่งนี้ต่างหากไม่ใช่วันนี้ งั้นก็หมายความว่า วันนี้เขาจะไม่รักษาสัญญาก็ได้สิ แถมซ้ำยังไม่ถือว่าผิดข้อตกลงด้วย อย่างนี้มันแกล้งกันนี่นา สงสัยจะอยากเอาคืนผมที่โยกโย้ ยืดเวลา เจ้าเล่ห์นักนะ เด็กคนนี้

“เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย ดังนั้น ผมก็สามารถจะจูบ กอด หอม ทำอะไรกับเรียวก็ได้โดยไม่ผิดกติกาใช่ไหมครับ”

เขาส่งยิ้มยียวนให้ ผมละเกลียดหน้าตาของเขาตอนนี้นัก มันดูเหมือนว่าเขากำลังรื่นเริงที่ได้กำชัยชนะเหนือผมอยู่

“ผมมีอะไรให้เรียวด้วยนะครับ”

เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องพูด เขาหยิบกระเป๋าเป้มารื้อๆค้นๆสักพัก ก็หยิบกล่องสีแดงขึ้นมา มันเป็นกล่องใส่แหวนทองเกลี้ยงๆ เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วหมุนให้ผมดู ด้านข้างในของแหวนมีข้อความสลักไว้ เมื่อเพ่งมองดูใกล้ๆจึงจะเห็นข้อความว่า

“my dear”

“นายทำอะไรอ่ะเดียร์” ผมถามเขาทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม พลางตอบในสิ่งที่ผมคิดเอาไว้แล้ว

“หมั้นเรียวไว้ไงครับ เราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แหวนที่ผมให้นี้จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เรียวได้รู้ว่า เรียวจะไม่สามารถมีคนอื่นได้นอกจากผมนะครับ”

เด็กหนุ่มคว้ามือข้างซ้ายของผมขึ้นมา ผมพยายามชักมือกลับ มองหน้าเขาอย่างรู้เท่าทันว่าเขาคิดจะทำอะไร เด็กหนุ่มดึงมือผมไปจนได้แล้วบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม มันสวมได้พอดีเป๊ะ เด็กหนุ่มทำสีหน้าพอใจ

“กะแล้วว่าต้องใส่ได้”

“จะบ้าเหรอ ผู้ชายกับผู้ชายจะหมั้นกันได้ยังไงล่ะ”

ผมพยายามจะถอดแหวนในมือออก แต่มันกลับถอดออมายากมาก เดียร์มองการกระทำของผม แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆว่า

“ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เคยมีคนทำด้วย มันเป็นคำสัญญานะครับ ได้โปรดรับมันไว้ อย่าพยายามถอดมันออกมาเลย แค่ 6 เดือนเองนะครับ นะนะ”

“เฮ้อออออออ........”

ผมถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย นึกปลงให้กับตนเอง จนไม่อยากจะโต้ตอบอะไรออกไป ผมคงไม่มีวันหนีเด็กนี่ไปได้จริงๆจนกว่าจะครบ 6 เดือน

“รู้ได้ไงว่าฉันใส่แหวนไซส์นี้” ผมถามอย่างสงสัย เด็กหนุ่มยิ้มอายๆพลางพูดว่า

“ผมแอบวัดไว้ตั้งแต่ตอนที่จับเรียวมานะครับ วัดแล้วก็ไปที่ร้านทอง ไปสั่งให้เขาทำไว้ให้ จากน้อยผมก็โทรไปฝากน้อยให้ไปเอามา น้อยมันเอามาให้ผมตอนเราไปทานข้าว กันน่ะครับ….ผมตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะให้ของที่แทนตัวผม ให้คุณเก็บไว้กับตัว ตอนที่เราเป็นแฟนกันแล้วน่ะครับ”

“เฮ้อออออออ........”

ผมถอนหายใจยืดยาวอีกครั้ง ท่าทางคงหนีหมอนี่ไม่ได้จริงๆซะแล้ว ก็เล่นทุ่มเทกันซะขนาดนี้ เขาคงไม่มีวันปล่อยผมไปแน่ คงต้องเล่นตามน้ำไปจนกว่าจะครบ 6 เดือน ไม่รู้ว่าผมจะสามารถทนได้จนกระทั่งครบกำหนดหรือเปล่า

“ผมเองก็อยากจะขอของแทนตัวเรียวเหมือนกันนะครับ จะเก็บไว้กับตัวยามที่คิดถึงน่ะ ไม่รู้ว่าเรียวจะให้ผมได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อนๆ

“ฉันไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนะ”

“อืมมมม”

เด็กหนุ่มกวาดตามองผมทั่วทั้งตัวอย่างไตร่ตรอง แล้วตาของเขาก็มาตกที่สร้อยเงินที่มีจี้เป็นตัวอักษร R ซึ่งเป็นชื่อย่อของตัวผม สร้อยเส้นนี้ผมรักมาก เพราะแม่อุตส่าห์ให้ช่างเงินทำให้ แม่อยากให้ผมใส่สร้อยที่เป็นเงินแท้ๆ และจี้ก็เป็นลวดลายสวยงาม ผมใส่สร้อยเส้นนี้ทุกวันเพื่อระลึกถึงแม่ที่ตายไป มันให้ความรู้สึกว่าแม่ยังอยู่ใกล้ตัวผมตลอดเวลา เดียร์จับจ้องที่สร้อยเส้นนั้น เขาเอามือไล้ไปตามเส้นสายของสร้อยที่อยู่บนคอผม เขาเอื้อมมือไปข้างหลัง พยายามจะปลดมันออกมา

“ทำอะไรน่ะ .....”

ผมจับมือเขาไว้

“ผมอยากได้สร้อยเส้นนี้เป็นตัวแทนของเรียวนะครับ”

“ไม่ได้ สร้อยเส้นนี้เป็นของที่ฉันรักมาก ฉันให้นายไม่ได้”

ผมปฏิเสธเขาเสียงแข็ง

“แต่ผมไม่มีอะไรที่เป็นตัวแทนของเรียวเลยนี่ครับ เวลาคิดถึงกันผมจะทำอย่างไรล่ะ”

เขาทำหน้าเศร้าๆ มือก็ยังคงลูบไล้อยู่ที่สร้อยเส้นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้ากับน้ำเสียงเศร้าๆนั้นหรือเปล่าที่ทำให้ผมตัดสินใจปลดสร้อยเส้นนั้นด้วยตัวเอง แล้วส่งให้เขา

“เอ้า เอาไป น่ารำคาญจริง ฉันให้นายยืมใส่ แต่แค่ 6 เดือนเท่านั้นนะ พอเราเลิกกันแล้ว นายต้องเอาคืนฉันด้วย เข้าใจไหม แล้วเวลาเอาไปใส่ก็ดูแลมันให้ดีๆเหมือนที่ฉันดูแลด้วย”

ผมทำเสียงเข้มใส่เขา พูดเน้นย้ำให้เขาดูแลของที่ผมรักด้วย เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ เขาหยิบมันมาสวมที่คอ และโดยที่ผมไม่ทันระวังตัว เขาก็จูบที่ปากผมอีกครั้ง

“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ”

ผมต่อว่าเขา ทั้งโกรธ ทั้งอาย เพราะเพิ่งสำนึกได้ว่า ผมกับเดียร์ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง มีชายหญิงคู่หนึ่ง มานั่งถัดไปอีกสองโต๊ะ พวกเขามองมาที่เราทั้งคู่แล้วยิ้มๆ หันไปพูดซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องนินทาผมกับเดียร์แน่เลย

“ก็ใครจะอดใจไหวล่ะ”

เขากล่าวยิ้มๆ เดียร์ยังคงนั่งวางก้นหมิ่นๆอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่ มือโอบไปรอบตัวผม ผมแกะมือไม้เขาออกพัลวัน ไม่อยากให้คนเห็นและมานินทาผมกับเขาอีกต่อไป แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันไปโบกมือทักทายให้คนคู่นั้น จนพวกเขาต้องหันหน้าหนีไป

“เฮ้อออออออ..........ในที่สุดผมก็ได้เรียวเป็นคนรักสมใจอยาก”

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาเป็นประกายสุกใสอย่างสมหวัง เขายิ้มประจบประแจงให้ผม แล้วสารภาพเสียงอ้อน

“แหม เมื่อกี้อ่ะ ผมเก๊กแทบแย่เลย ทั้งเกร็งทั้งลุ้นอ่ะ กลัวคุณไม่ตกลงจังเลย ตอนแรกที่คุณปฏิเสธ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องยื้อไปถึงไหน ยังคิดอยู่ว่า ถ้าผมงัดไม้เด็ดเรื่องภาพถ่ายขึ้นมาแล้วและคุณเกิดไม่ยอมขึ้นมา ผมจะทำยังไง”

“ก็เอารุปฉันไปโพสต์สิ” ผมว่าเขาอย่างแค้นเคือง

เขาโอบกอดผมไว้ในวงแขน แล้วเอียงศีรษะมาซุกซบอย่างอ้อนๆ แต่ผมสะบัดตัวหนี ยังไม่หายโกรธเขาที่เขาทำให้ผมอยู่ในสภาพตกกะไดพลอยโจน ยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาโดยไม่ตั้งใจ พอเขามาย้ำเรื่องรูปอีก ผมก็เลยฉุนขึ้นมาอีก

“อ่ะนะ ผมไม่กล้าหรอก ใครจะทำอย่างนั้นได้ลงคอ นี่มันเป็นภาพลับเฉพาะระหว่างคุณกับผม จะไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้ไง ผมอยากเก็บไว้ดูเองมากกว่า”

เด็กหนุ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า ท่าทางอารมณ์ดีเกินเหตุ จนผมหมั่นไส้

“แล้วไหนล่ะมือถือของนาย เอามาให้ฉันสิ ฉันจะได้ทำลายมันทิ้ง”

ผมแบมือออกมา เด็กหนุ่มทำท่าทางบ่ายเบี่ยง

“ผมอยากเก็บภาพไว้นี่นา แต่ผมรับรองเลยนะว่า ผมจะไม่เผยแพร่ภาพนั้นให้ใคร หน้าใหนดูทั้งสิ้น ผมจะเก็บไว้กับตัวผม จนกว่าจะครบ 6 เดือนเลย”

“ไม่ได้”

ผมปฏิเสธเสียงเฉียบขาด ไม่เห็นด้วยที่เขาจะเก็บภาพไว้ในมือถือนั้น

“เดี๋ยวนายเผลอวางลืมทิ้งไว้ แล้วใครหยิบไปเปิดดู ฉันก็ซวยสิ เอามาให้ฉันเสียดีๆ ไม่งั้น ฉันยกเลิกสัญญานี้”

เด็กหนุ่มทำท่าอิดออด ผมต้องพูดทวงอีกครั้ง

“เอามือถือมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันทำสัญญากับนายแล้ว ถึงเวลาที่นายต้องทำตามบ้าง”

“ไม่เอาอ่ะ ถ้าผมให้คุณตอนนี้ คุณต้องทำลายมันทิ้ง แล้วทำลายสัญญาด้วย ผมจะเก็บเอาไว้เอง จนกว่าจะครบระยะเวลาที่เราตกลงกัน แล้วผมจะทำลายมันทันที สัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ผมจะไม่เอาไปเผยแพร่ที่ไหน หรือแม้แต่ให้ใครดูในระหว่างนี้”

เขายังย้ำคำพูดเดิมของตนเอง แต่ผมไม่กล้าเชื่อใจเขาอีกต่อไป เพราะกลัวเขาจะหักหลัง และไม่ยอมเลิกรากับผมเมื่อครบสัญญา แล้วอาจจะเอาภาพนี้มาแบล็คเมล์ผมอีก

“สัญญาจากนาย เป็นสัญญาที่เชื่อถืออะไรไม่ได้ ฉันไม่ไว้ใจนาย ถ้านายไม่เอามือถือมาให้ฉัน ฉันจะถือว่าสัญญาของเราสิ้นสุดลง ฉันไม่ต้องเป็นแฟนนาย แล้วนายก็ไม่มีสิทธิที่จะมายุ่งเกี่ยวกับฉันด้วย”

ผมขู่เขา

เดียร์ล้วงไปหยิบมือถือในกระเป้าสะพายของตนก่อนจะยื่นให้กับผมอย่างเสียไม่ได้ ผมหยิบมันมาถือไว้ และขว้างทิ้งลงพื้นจนแตกกระจาย เพราะต้องการให้แน่แก่ใจว่า รูปจะไม่มีทางปรากฏที่ไหนอีก หากเดียร์ทรยศ เขาก็จะไม่สามารถหารูปมาจัดการข่มขู่ผมได้ต่อไป

เด็กหนุ่มอึ้ง มองผมตาค้าง คนรอบข้าง ซึ่งก็มีหญิงชายคู่นั้น กับผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามานั่ง มองมาที่เราทั้งคู่เป็นตาเดียว สักพัก พนักงานในร้านก็วิ่งเข้ามาดู สติผมเริ่มกลับคืนมา เริ่มรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรงี่เง่าลงไปเสียแล้ว

“เอ้อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

พนักงานสาวคนเดิมถามผม หน้าตาไม่สู้จะดีนัก คงคิดว่าพวกเราเป็นพวกก่อกวนความสงบในร้าน

“ไม่มีอะไรครับ แฟนผมเขางอนผมนิดหน่อยนะ”

เดียร์ดูจะมีสติดีกว่า กล่าวขึ้น เขาขอโทษขอโพยพนักงานคนนั้น แล้วรับปากว่าจะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีก พร้อมกับลุกขึ้นแล้วหันไปโค้งเป็นการขอโทษลูกค้าสองสามคนนั้นด้วย พลางวิ่งไปเก็บมือถือที่แตกกระจายเกลื่อนพื้น ก่อนจะเดินมาหาผม ทำหน้าตาเศร้าๆ บ่นอุบอิบ

“ไม่เห็นจะต้องทำลายข้าวของกันขนาดนี้เลย แค่ลบภาพมันออกก็ได้แล้ว”

“โทษที” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รู้สึกตัวว่าทำแรงเกินไป

“ฉันกำลังหงุดหงิด ก็เลยไม่ทันคิดก่อน ความที่อยากจะทำลายภาพนั้นทิ้งให้สิ้นซาก ไม่ให้นายเอามาใช้แบล็คเมล์ฉันในภายหลัง ก็เลยเผลอขว้างมันออกไปน่ะ”

ผมบอกเดียร์ไปตามความจริง เด็กหนุ่มทำหน้าซีเรียส

“เรียวไม่ไว้ใจผมจริงๆด้วย คิดอยู่แต่ว่าผมจะทำร้ายคุณ ทั้งๆที่ผมไม่เคยแม้แต่จะทำให้คุณเจ็บปวดแม้เพียงปลายก้อย ผมเสียใจมากเลยรู้ไหม ไม่อยากให้เรียวคิดกับผมแบบนี้ มันจะทำให้ความรักที่เราจะมีให้กันมันสั่นคลอน”

น่าแปลกที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบกับคำตัดพ้อของเขา เด็กหนุ่มทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจไปกับสิ่งที่เขาพูดนั้น จริงสินะ ถึงแม้ว่าเขาจะทำห่ามๆด้วยการจับตัวผมมามัด ลวนลามผม ถ่ายรูปเพื่อแบล็คเมล์ผม แต่สิ่งที่เขาทำลงไปก็เพียงเพราะเขาอยากได้ความรักจากผมเท่านั้น เขาไม่มีทีท่าว่าอยากจะทำร้ายผมให้เจ็บปวด มีแต่จะพยายามออดอ้อนเอาอกเอาใจผมด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวฉันพานายไปซื้อมือถือใหม่ให้แล้วกัน”

ผมบอกเขาอย่างสำนึกผิด

“มันไม่ใช่ประเด็นหรอก มันเกี่ยวกับเรื่องความไว้วางใจที่มีให้กันมากกว่า.....ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่นะครับ ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจผมบ้าง ว่าผมไม่คิดจะทำร้ายคุณนะครับ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมยิ่งรู้สึกผิดที่หวาดระแวงเขา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นเพียงเพื่อปกป้องตัวเองจากการแบล็คเมล์ของเขาก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะทำตามที่พูด ดังนั้นสิ่งที่ผมทำลงไปกับทรัพย์สินของเขา จึงถือว่าทำเกินกว่าเหตุโดยแท้

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #92 เมื่อ04-10-2007 21:44:30 »

บทที่ 12

“ขอโทษทีนะ ฉันผิดเอง ที่ไม่ไว้ใจนาย ถ้านายมาเป็นฉันบ้าง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกแบล็คเมล์แบบนี้นายก็ต้องสติแตกบ้างล่ะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าผม ท่าทางเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ความหงอยเหงาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไป เดียร์ยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่จริงใจ

“ผมเข้าใจครับ สิ่งที่ผมทำกับเรียว มันก็เกินกว่าที่คุณจะรับได้จริงๆ ผมเองก็ทำผิดต่อคุณ แต่ที่ผมทำปีนี่ เป็นเพราะผมรักคุณอย่างจริงใจ ถ้าผมใช้วิธีการปกติ ตามตื้อ ตามจีบคุณ ผมก็ไม่มีทางจะได้เป็นแฟนคุณหรอก เพราะผู้ชายแบบคุณจะมาสนใจผู้ชายอย่างผมทำไม ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ เราจะตกลงกันได้ละหรือ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผม ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“ผมจึงลองเสี่ยงทำดู ถึงแม้จะไม่สามารถแน่ใจได้ว่า การกระทำของผม จะได้ความรัก หรือ ความเกลียดชังตอบกลับมา แต่ผมก็อยากจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด แล้วผมก็อยากให้คุณร่วมมือกับผมด้วยนะครับ อย่างน้อยๆก็แค่ 6 เดือนนี้

หลังจากนั้น ถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคุณได้ ผมจะไปจากชีวิตของเรียวทันที ผมสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำร้ายคุณ ผมอยากได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากคุณบ้าง ไม่รู้ว่าคุณจะให้ผมได้ไหมครับ”

เดียร์พูดเสียยืดยาว ผมเม้มปากแน่น มองดวงตาใสซื่อของเขา อย่างคนที่ได้ตัดสินใจแล้ว ไหนๆเรื่องมันก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว ผมยอมตกลงทำสัญญาเป็นแฟนกับเขา ดังนั้นการที่จะยอมเชื่อใจในตัวเขาบ้าง มันก็คงไม่ทำให้เรื่องราวมันเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่นี้หรอก

“ฉันรับปากนาย ว่าต่อไปนี้ฉันจะเชื่อใจนาย ไม่ระแวงสงสัยนายอีก แล้วฉันก็หวังว่า การที่ฉันได้มอบความไว้วางใจให้กับนาย จะทำให้นายไม่คิดที่จะหักหลังฉันตามที่นายรับปากจริงๆ ฉันหวังว่า 6 เดือนต่อจากนี้ไป จะเป็นช่วงเวลาที่ดีในระหว่างเรา หวังว่านายคงไม่ทำมันพังลงไปนะ”

ผมรับปากว่าจะไว้เนื้อเชื่อใจเขา แต่ผมเองก็ต้องการความมั่นใจด้วย ว่าเดียร์จะไม่ทำลายความรู้สึกดีๆที่ผมหยิบยื่นให้ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ท่าทางพึงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน

“ผมรับรองเลยครับ ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ผมจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณ ไม่ทำให้คุณยุ่งยากลำบากใจ จะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณมีความสุขครับ”

เด็กหนุ่มระล่ำระลักบอกคำสัญญิงสัญญาของเขาต่อผม

“งั้นก็ดีแล้ว..............ว่าแต่เราไปกันได้แล้วล่ะ”

ผมมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมลุกขึ้นยืน เดียร์เลยต้องรีบลุกตาม ผมกับเขาพากันเดินออกไปหน้าร้าน

“สำหรับเรื่องโทรศัพท์มือถือน่ะ นายไปซื้อมาเลยก็ได้ แล้วมาเอาเงินที่ฉัน ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ฉันทำของนายพังนะ”

ผมบอกเขา แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“เอาไว้รอไปซื้อพร้อมเรียวเลยดีกว่าครับ”

“แล้วนายไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เหรอ เกิดใครอยากจะติดต่อนายมาจะทำไงล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ มีแต่เบอร์ที่ไม่สำคัญอะไรเท่าไหร่ ผมไม่ได้ติดต่อใครมากมาย นอกจากเรื่องงาน ซึ่งผมก็มีสมุดโทรศัพท์แยกต่างหากไว้แล้วครับ”

“งั้นก็ได้ ถ้างั้นจะไปซื้อเมือ่ไหร่ก็บอกนะ ฉันยินดีพาไป”

ผมเกิดใจดีขึ้นมาอย่างประหลาด อาสาที่จะพาเขาไปซื้อมือถือ ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าเลี่ยงที่จะไปกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะเลี่ยงเท่านั้น แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองผิดในสิ่งที่ทำลงไป ผมจึงอยากจะชดเชยให้กับเขา

เราสองคนเดินกันมาถึงลานจอดรถ ผมกล่าวลากับเขาตรงนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับทำท่าเกเร เหมือนไม่อยากจะแยกจากไป

“ใจคอคุณจะทิ้งผมลงตรงนี้เหรอ”

“กลับบ้านเองได้ใช่ไหมล่ะ” ผมย้อนถามเขา

“แต่เราเป็นแฟนกันแล้วอ่ะ คุณจะไม่ยอมให้ผมไปกับคุณที่บ้านเหรอ” เขาร้องอุทธรณ์

“สัญญาเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ตกลงกันแล้วไง เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันไม่ใช่คนรักของนาย เป็นแค่คนรู้จักกัน ดังนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามใจนาย”

ผมได้ทีเลยเอาคืนบ้าง

“แต่มันดึกแล้วนี่นา บ้านผมก็ไปอีกไกลนะ”

“บ้านนายอยู่ไหนเหรอ”


“แถววัดแขก สีลมอ่ะครับ เป็นห้องเช่า ผมอยู่กับเพื่อน”

“ไม่ไกลจากที่นี่สักหน่อย นั่งแท็กซี่ไปแป๊บเดียวก็ถึง หรือไม่ก็ให้เพื่อนออกมารับก็ได้”

“เพื่อนไม่อยู่แล้วครับ มันไปๆมาๆ ส่วนใหญ่มันอยุ่บ้านแฟน”

“เป็นเกย์เหมือนกันล่ะสิ”

ผมคาดเดา เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ครับ แต่เราไม่ได้มีอะไรกันนะ เป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ แล้วตอนนี้เขาก็มีแฟนแล้ว ไปๆมาอยู่ สักพักมันก็จะย้ายไปอยู่กับแฟนแล้วล่ะ อีกไม่นานผมก็จะอยู่คนเดียวแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าแดง รีบแก้ตัว ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดไปไกลขนาดนั้น เขาคงกลัวว่าผมเข้าใจผิด นึกๆแล้วก็ขำ ท่าทางเด็กหนุ่มคิดกับผมเป็นจริงเป็นจังมาก จนไม่อยากจะให้ผมไม่พอใจที่เขาพักอาศัยอยู่กับคนอื่น

“หัวเราะอะไรครับ” เขาถามผม ทำตาโต

“แค่ขำน่ะ นายไม่ต้องปฏิเสธพัลวันอย่างนั้นหรอก นายจะอยู่กับใคร กับเพื่อนชาย เพื่อนหญิง กระเทย เกย์ ตุ๊ด ก็ไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องไปใส่ใจนี่ มันเรื่องของนายไม่ใช่เรื่องของฉันเสียหน่อย”

ผมบอกเขาอย่างขำๆ เด็กหนุ่มทำสีหน้าน้อยใจ แววตาตัดพ้อ

“แหม จะไม่นึกหวงผมบ้างหรือครับ ที่ผมอยู่กับคนอื่น อย่างน้อยเราก็เป็นแฟนกันนะ”

“บ้าหรือเปล่าเนี่ย ใครจะไปหึงนายกัน”

ผมอดที่จะหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ แทนที่จะโกรธ กลับขำเขามากกว่า

“นิดหนึ่งก็ยังดี ผมจะได้รู้สึกว่าตนเองมีค่าบ้างในสายตาคุณ”

เดียร์ทำเสียงเง้างอนออดอ้อน

“คุณเดียร์ครับ เราตกลงกันเป็นแฟนตามเงื่อนไข ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ดังนั้นวันนี้ผมไม่ได้เป็นแฟนคุณนะครับ ผมจะหึงคุณไปทำไม”

ผมแกล้งพูดตลกๆ จู่ๆก็นึกอยากพูดเล่นต่อปากต่อคำกับเขาขึ้นมา เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ทำหน้าทะเล้นใส่ผม
“งั้นพรุ่งนี้ ต้องเริ่มหึงผมได้แล้วนะ แบบว่าคนรักกันต้องมีบ้างนะ”

เขาทำท่ากระตือรือล้นได้น่าหมั่นไส้อย่างที่สุด แต่แปลกดีที่ผมไม่ได้โกรธหรือรำคาญใจแม้แต่น้อย กลับสนุกที่ได้เล่นอะไรไร้สาระแบบที่กำลังพูดเล่นพูดหัวอยู่กับเขา

“พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ นายไปได้แล้ว”

“อ๊า ไล่เลยเหรอ”

“นี่มันดึกแล้ว ฉันอยากกลับบ้านไปพักผ่อน”

“ผมก็อยากจะพักผ่อนเหมือนกัน แต่กว่าจะถึงบ้านก็ดึกมากแล้วนะครับ ให้ผมไปนอนที่บ้านคุณด้วยคนนะ”

เขาอ้อนต่อ แต่ผมไม่ใจอ่อน กลับทำเสียงแข็งใส่เขา

“ไม่ได้......อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้สิ พูดกันให้รู้เรื่องบ้าง ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“ใจร้ายที่สุดเลย.......” เขาทำท่ากระเง้ากระงอด

“พูดมาก...........น่ารำคาญน่า” ผมว่า

“งั้นก็ได้ แยกจากกันตรงนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมนะครับว่า พรุ่งนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

เขาตอกย้ำคำสัญญา

“จำได้น่า.....รีบไปเถอะ มันดึกแล้ว”

“ฝันถึงผมบ้างนะ.....”

เขาทำเสียงออดอ้อน ผมไม่ตอบ ได้แต่ยืนทำหน้าเฉยเมย

“ไม่จูบลาก่อนเหรอ” เดียร์เดินเข้ามาใกล้ผม

“ไม่เอาอ่ะ”

ผมถอยหนีไปที่รถ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขึ้นไป เด็กหนุ่มก็คว้าตัวผมมากอด เขากระซิบกับผมเบาๆที่ข้างหูว่า
“กอดตอบผมหน่อยสิ”

ผมยืนเฉย ไม่ทำตามที่เขาร้องขอ เด็กหนุ่มรีรออยู่นาน หลังจากที่รู้ว่าผมไม่กอดตอบเขาแน่ๆ เขาก็เป็นฝ่ายกอดผมเสียแน่น แล้วก็จูบผมที่แก้ม และมาจบลงที่ริมฝีปาก ตลอดเวลาเหล่านั้นผมได้แต่ยืนนิ่ง พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้มันพลุ่งพล่าน คล้อยตามไปกับการกระทำของเขา

“ใจร้ายจัง...........” เขาบอกเมื่อถอนริมฝีปากออกจากปากผมแล้ว

“ฉันกลับก่อนนะ ง่วงแล้ว”

ผมตัดบท เขาพยักหน้า ดูท่าทางเหงาๆ เขายืนมองอยู่ข้างรถ รอจนกระทั่งผมขึ้นไปนั่ง ปิดประตู ถึงค่อยชะโงกหน้ามาข้างๆประตู แล้วเคาะกระจกรถเบาๆ ผมเลื่อนกระจกไฟฟ้าลง แล้วถามเขาว่า

“มีอะไรเหรอ”

“เปล่าหรอกครับ แค่จะบอกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

ผมมองหน้าเขางงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ผมส่งยิ้มให้เขา แล้วบอกให้เขากลับบ้านดีๆ  เดียร์ยิ้มให้ผม และว่องไวกว่าที่ผมจะคิดหลบหลีกได้ทัน เขาก็ยื่นศีรษะของเขาเข้ามาในรถ สองมือเอื้อมมาประคองใบหน้าผมไว้ แล้วจูบผมอีกครั้ง เป็นจูบที่ดูดดื่มรัญจวนใจ จนผมอดใจไม่ไหว ต้องเผยอปากรับการจูบของเขา เดียร์แทรกลิ้นเข้ามาในปากผม แล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้

“ฝันดีนะครับยอดรักของผม”

เขากระซิบเบาๆที่ข้างหูผม ก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย แววตาของเขาที่มองมายังผมด้วยเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ท่วมท้น ผมพยักหน้าให้กับเขา แล้วบอกให้เขารีบกลับบ้านไป บอกให้เขาดูแลตัวเองด้วย เพราะมันดึกมากแล้ว สั่งเสร็จผมก็รีบเบือนหน้าหนี กลัวตัวเองจะใจอ่อน รับเขาขึ้นรถมาด้วย กลัวว่าจะเผอเรอใจดีส่งเขาถึงบ้าน หรือไม่ก็ยอมให้เขามานอนที่บ้านด้วย ซึ่งมันอาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น

ผมเลี้ยวรถออกไปแล้วอย่างช้าๆ เมื่อมองที่กระจกข้าง ก็เห็นเขายืนมองรถผมอยู่ ไหล่ของเขาลู่ลงท่าทางดูหงอยเหงา ผมตัดใจไม่มองภาพนั้น กลัวใจตนเองจะเลี้ยวรถกลับไป ที่ผ่านมาความสงสารที่ผมมีให้ต่อเพื่อนมนุษย์ มันทำให้ผมได้รับความยุ่งยากมาพอสมควรแล้ว สู้ทำเป็นเมินเฉยซะบ้าง แล้วกลับไปนอนเอาแรง เพื่อสู้กับการทำงานพรุ่งนี้ดีกว่า

อุตส่าต์จะพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านเสียหน่อย ก็มาโดนจับตัวไป ทำให้ผมพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ รู้สึกเมื่อยล้าเหนื่อยอ่อน ถ้าได้นอนสักพักก็น่าจะสดชื่นขึ้น ผมใส่ความรู้สึกรักตัวเองลงไปในความคิดให้มากเพียงพอที่จะไม่กันกลับไปมองเด็กหนุ่มซ้ำ แล้วขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านพักของตนเอง

หลังจากที่ผมกลับถึงบ้านได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมเดินไปรับ นึกในใจว่าใครกันนะที่โทรมาเอาป่านนี้ เจ้านายหรือเปล่า ผมนึกไปถึงเจ้านายร่างอ้วน ท่าทางเข้มงวดของผม เขามักจะโทรหาลูกน้องในฝ่ายเป็นประจำโดยไม่เลือกเวลา หากเขาบังเอิญนึกเรื่องที่จะสั่งการได้

“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับเรียว”

มีเสียงกระตือรือร้นจากปลายสายตอบกลับมา

“นายนั่นเอง” ผมทำเสียงเย็นชา

“ครับ ผมจะโทรมาบอกว่า ผมถึงบ้านแล้ว คุณเองก็คงถึงบ้านแล้วเช่นกัน ใช่ไหมครับ”

“อื้ม ได้สักพัก กำลังจะไปอาบน้ำอยู่พอดี”

“เรียวอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับพรุ่งนี้”

“หือมมมม.....................มีอะไรเหรอ”

“เผื่อว่าผมจะได้หาซื้อไปฝาก”

“ไม่ต้องหรอก ลำบากนายเปล่าๆ”

ผมปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

“ตอนเช้าทานโจ๊กดีไหมครับ”

ดูเหมือนเขาไม่พยายามรับรู้เลยว่าผมไม่ต้องการให้เขามาทำอะไรให้ น้ำเสียงที่เขาพูดยังคงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ท่าทางเขาเต็มอกเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผมพอใจ

“ฉันไม่ค่อยได้ทานอาหารเช้า”

ผมบอกเขาไปตามตรง

“ไม่ดีนะครับ”

เขาทำเสียงโวยวายมาตามสาย

“มื้อเช้า เป็นมื้อที่ต้องทานนะครับ เพราะต้องใช้พลังงาน ในการทำงาน เอาไว้ถ้าผมได้อยู่กับคุณจริงๆ ผมจะทำอาหารเช้าอร่อยให้คุณทานไม่ซ้ำแบบเลยละครับ”

เขาอาสา ผมยิ้มให้กับตัวเองเมื่อฟังเสียงที่รื่นเริงนั้น ดูท่าทางเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถจะแสวงหาความสุขให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวัยอันน้อยนิด แถมซ้ำยังผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย จะไม่สามารถแปรเปลี่ยนให้เขากลับกลายเป็นคนที่จมอยู่ในความซึมเศร้าได้ เขากลับเข้มแข็ง และมีพลังแห่งความกระตือรือล้นไม่น่าเชื่อ เขาอาจจะหงอยเหงาเป็นบางครั้ง แต่ก็กลับมาสนุกสนานได้ดังเดิม บางทีผมอาจจะอาศัยเด็กหนุ่มคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมบ้าง

เดียร์บ่นผมมากมายเรื่องที่ผมไม่ยอมทานอาหารเช้า ผมนิ่งฟังเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไร สมองก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องงานการ และเรื่องที่ได้ไปเผชิญมาไม่ค่อยได้ฟังเขาพูดเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มพูดไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวสักพัก พอเห็นว่าผมไม่โต้ตอบ เขาก็หยุดพูด แล้วหันมาถามผมซ้ำๆ

“นี่ฟังอยู่หรือเปล่าครับ”

“อะไรเหรอ ว่าไปสิ”

“ไม่ได้ฟังแหงเลย .......เรียวใจร้ายที่สุด ผมบอกว่าพรุ่งนี้ผมจะเอากับข้าวไปส่งนะครับ”

“ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำไป”

ผมคร้านที่จะเถียง ไม่คิดว่าเขาจะทำตามที่พูดจริง

“งั้นผมไม่กวนแล้วนะครับ นอนหลับฝันดีนะ ฝันถึงผมบ้างนะ”

เด็กหนุ่มทำเสียงจูจุ๊บให้ได้ยินมาตามโทรศัพท์ ก่อนจะวางหูลง ผมนั่งยิ้มอยู่คนเดียว นึกขำเดียร์ที่ทำตัวยังกับเป็นแฟนผมจริงๆ ท่าทางเขาดูจริงจังมากจนผมนึกกลัว เมื่อวันครบกำหนดที่เราตกลงในสัญญามาถึง เขาจะรู้สึกเศร้าเสียใจหรือเปล่าน้อ

หลังจากทำธุระส่วนตัวบางอย่าง เช่นนั่งเช็คเมล์ และตรวจดูงานที่คั่งค้าง จากนั้นผมก็เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ให้น้ำเย็นๆสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายที่อ่อนล้าของผม เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็เข้านอน ผมหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน หลายวันมานี้ ผมผ่านเรื่องยุ่งยากมามากมาย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

คิดแล้วก็น่าขำ ผู้ชายแท้ๆอย่างผม ซึ่งมีแฟนเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด กลับจะต้องกลายมาเป็นแฟนกับผู้ชายด้วยกัน สังคมรอบข้างจะว่ายังไงบ้างหนอ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันหากเขารู้เรื่องนี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ จะเกลียดชัง จะตัดผมออกไปจากกลุ่ม ทำเหมือนผมเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปไหน ผมก็ต้องเผชิญกับมันให้ได้ เพราะผมได้ตัดสินใจไปแล้ว การกลับคำพูดไปมา เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะผมจะกลายเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ในเมื่อตกลงทำสัญญาไปแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา

บางทีการลองมีแฟนเป็นผู้ชายดูบ้าง ก็น่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ แม้ผมจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจก็ตาม แต่ถ้าทำเป็นไม่ใส่ใจเสียว่าเดียร์เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง มันก็น่าจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ยังไงตอนนี้ผมก็ครองสภาพโสดอยู่แล้ว เพราะเพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงมาได้ไม่นาน หากผมลองให้โอกาสคนที่รักผม และยินดีทำทุกอย่างเพื่อผมบ้าง อาจจะทำให้ช่วงเวลา 6 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่สุดก็ได้

ต่อจากนี้ไปผมไม่ต้องไปเที่ยวตามรับตามส่ง หรือคอยเอาอกเอาใจใครอีกแล้ว ไม่ต้องคอยง้องอนยามที่อีกฝ่ายเกิดโกรธขึ้นมา ไม่ต้องซื้อข้าวของสวยๆงามๆหรูหรามีราคาให้ ไม่ต้องคอยจำวันเวลาที่สำคัญๆ ไม่ต้องเอาใจญาติพี่น้องของใคร ไม่ต้องถูกรบกวนตลอดเวลาด้วยโทรศัพท์โทรจิก หรือการสอบสวนเวลาที่ถูกสงสัยว่าไปให้ความสนใจกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ต้องถูกรื้อข้าวของ ตรวจค้นหาเบอร์โทรศัพท์ เส้นผม รอยลิปสติก หรือ น้ำหอมกลิ่นแปลกใหม่ที่ตกค้างบนเสื้อ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปทำใครให้ท้องโตขึ้นมา ไม่ต้องไปนั่งทนอยู่ในวงสนทนาที่นินทาว่าร้ายกัน จนไม่กล้าลุกจากโต๊ะ เพราะกลัวจะถูกว่าร้ายเป็นรายต่อไป

ผมไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครๆปั่นหัวอีกแล้ว ผมจะมีชีวิตที่อิสรเสรีดังเดิมทุกประการ เพราะไอ้ทุกสิ่งที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่มีแฟนเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ได้ทำมันอีก อย่างน้อยก็ 6 เดือน ชีวิตที่ไม่ต้องขึ้นกับใคร มันช่างเป็นสิ่งที่แสนประเสริฐเสียจริง

อย่างน้อยๆ การตัดสินใจของผมครั้งนี้ มันจะได้ทำให้เรื่องบ้าๆที่เดียร์นำมันมาสู่ผมจบลง เมื่อครบกำหนดสัญญา เด็กหนุ่มคนนี้ ก็จะเดินออกจากชีวิตผมไป เราจะไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว

แต่มีสิ่งที่ผมไม่อาจจะรู้ได้ก็คือ ผมคิดถูกจริงๆนะหรือที่ทำอย่างนี้......................


                                 --------------------------จบภาคแรก----------------------------

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #93 เมื่อ04-10-2007 23:17:59 »

:a4:     มาจิ้มตุดแน๋ว อิอิ
อ่านกฎของการเป็นแฟน กัน ของ พี่เรียว กะ  น้องเดียร์  ละอมยิ้มได้ทุกที อิอิ     :m1:

น่ารักซะมะมี.... คู่ นี้ช๊อบชอบ  อ่านอีกกี่ทีๆก้อชอบ ฮ่าๆ    :m3:

jomjai

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #94 เมื่อ06-10-2007 10:35:38 »

 o1ขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครัรบ o1

 o7 o7 o7 เย้ ! จบอีก 1 เรื่องละครับ

+1 ให้คนโพสแล้วนะครับ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #95 เมื่อ06-10-2007 22:04:11 »

 :give2:
แล้วจารอตอนต่อไปนาคับ

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #96 เมื่อ06-10-2007 23:33:15 »

เย้ จบภาค 1 แล้ว แต่มีตามมาอีกหลายภาคเลย

แน๋วจ๋า มาต่อเร็วๆนะ

ขอบคุณพี่เคท ขอบคุณแน๋วครับ

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่ 1 By Katesnk
«ตอบ #97 เมื่อ17-10-2007 08:12:26 »

ภาคสอง    เราคงต้องเป็นแฟนกัน

เรียว : หนุ่มออฟฟิศวัย 27 ปี สูง 177 ซม. ผิวขาว หน้าตาดี หุ่นดี ผิวพรรณผ่องใส อุปนิสัยอ่อนโยน จิตใจดี เมตตาอารีกับคนรอบข้าง เพิ่งเลิกรากับแฟนสาวแสนสวย เนื่องจากเธอไปแต่งงานกับคนที่รวยกว่า จึงทำให้เรียวเอาแต่ทำงาน ถึงแม้จะมีผู้หญิงมาชอบมากมาย แต่ไม่ได้จริงจังกับใครเป็นพิเศษ เพราะยังเข็ดขยาดกับความรัก เลยมีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด

เดียร์ : เด็กหนุ่มลูกครึ่ง นักศึกษามหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งวัย 18  ปี สูง 187 ซม. หุ่นนักกีฬา หน้าตาหล่อเหลา อุปนิสัย ห่ามๆ เอาแต่ใจตัว ชอบอ้อน ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเรียว ผ่านงานมาหลายอย่าง ทั้งนักมวย และ เต้นโชว์ในคาร์บาเรต์ ปัจจุบันนี้ ทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ทำงานในร้านอาหารตอนกลางวัน ตอนกลางคืนทำงานในร้านกาแฟ  และเต้นให้กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเวลาว่าง

ทั้งสองคนผูกพันกันด้วยข้อตกลงเป็นแฟนกัน เพื่อแลกกับการที่เดียร์จะไม่โพสต์รูปเปลือยของเรียวลงอินเตอร์เนต แต่ถึงแม้ว่าเรียวจะทำลายภาพไปแล้ว ก็ยังคงรักษาสัญญาทุกประการ

บทที่ 1

เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนนุ่มๆ ในห้องของตนเอง ในบ้านที่ผมซื้อมาเมื่อห้าปีก่อน ไม่มีใครอยู่ในบ้านนี้ นอกจากผม และเจ้าหมาโกลเด้นรีทิฟเวอร์ ชื่อ “เจ้าหญิง” ที่ผมเอามันมาเลี้ยงตั้งแต่มันยังเป็นทารกหมาอยู่ ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่ความรู้สึกของผมกลับเปลี่ยนไป

ผมเหลียวมองรอบกาย เหมือนจะหาใครบางคน แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า เตียงนอนของผมมีร่องรอยการนอนของคนเพียงแค่คนเดียว ผมหัวเราะให้กับตัวเอง คิดในใจว่า นี่ผมกำลังมองหาใครอยู่กันนะ ใครคนที่ผมเฝ้ารอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข คนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผมให้สมบูรณ์ คนที่จะยืนเคียงข้างกันไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างไรขึ้นในชีวิตก็ตาม แต่คนๆนั้นอยู่ที่ไหนกันหนอ

ภาพๆหนึ่งแว่บเข้ามาในความคิด เจ้าของใบหน้าเป็นผู้ที่มีแววตาเป็นประกายสุกใส แต่ก็แฝงไว้ด้วยความซุกซน ขี้เล่น ใบหน้ายิ้มละไมตลอดเวลา ฟันขาวสะอาด มีลักยิ้มอยู่ข้างแก้ม คิ้วเข้ม ตาเรียวยาวที่มีแพขนตาดกหนาล้อมรอบ มีรอยเคราเขียวๆที่ข้างแก้มและคางใบหน้าคมคายมีส่วนผสมที่ลงตัวของคนเอเชียกับชาวตะวันตก ผิวสีน้ำตาลทอง เรือนผมสีน้ำตาลหยิกสลวยเป็นเกลียวระต้นคอ ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อตระหนักว่า เจ้าของใบหน้าในความคิดคำนึงของผม คือ เด็กหนุ่มคนนั้น คนที่ทำให้ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นายเดียร์ เจ้าเด็กลูกครึ่งปีศาจ นี่จะตามหลอกหลอนผมไปถึงไหนกันนะ

ผมพลิกตัวเปลี่ยนอิริยาบถจากการนอนหงายมานอนตะแคงข้าง ตาเหลือบดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง มันบอกเวลา ตีห้าครึ่ง อีกไม่กี่นาทีแสงแรกของอาทิตย์ก็จะเริ่มจับขอบฟ้า วันนี้เป็นวันที่ผมต้องไปทำงานตามปกติ หลังจากที่วันหยุดสุดสัปดาห์ของผมหมดลงอย่างเปล่าประโยชน์(แถมยังต้องมามีภาระผูกพันแบบไม่ตั้งใจไปอีก 6 เดือน) โดยปกติ ผมจะออกจากบ้านไปทำงานเวลา 7 โมง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงาน ต้องขอขอบคุณที่ประเทศไทยมีรถไฟฟ้าให้ใช้ทั้งใต้ดินและบนบก มันช่วยให้การเดินทางย่นย่อขึ้น

ในวันธรรมดา อย่างนี้ ผมมักจะจอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน เพราะผมไม่ชอบรถติด อีกอย่างที่จอดรถก็หายาก แถมน้ำมันก็แพงอีก ขับออกไปก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ว่า วันไหนที่ผมจะมีรายการออกไปต่อข้างนอกกับเพื่อนๆ ผมจะเอารถไปด้วย เพื่อความสะดวกในการกลับบ้าน

นับตั้งแต่ผมมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตน ถึงขั้นจะตกลงปลงใจแต่งงานกัน ผมก็เลิกเที่ยว ตั้งใจทำตัวเป็นคนดี ไม่เที่ยวเตร่เฮฮาให้คนรักของผมไม่สบายใจ ผมนึกว่าการที่ผมทำตัวเป็นคนดี จะเป็นเครื่องผูกมัดใจเธอได้ แต่ผมก็คิดผิด เป็นคนดีที่ไม่มีทรัพย์สินมากมาย ไม่อาจจะทำให้ผู้หญิงยินยอมที่จะมาใช้ชีวิตด้วย

หลังจากที่แฟนสาวของผมได้เจอกับคนที่รวยกว่า เขาก็ผละจากผมไปอย่างไม่มีเยื่อใย ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความทุกข์ ไม่คิดเลยว่าผมจะมีวันนี้ด้วย ก่อนหน้านั้นเคยแต่ทำให้คนอื่นเสียใจ คบกับผู้หญิงรักสนุกเพื่อความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เคยคิดจริงจังด้วย แต่หลังจากเจอสาวคนล่าสุด เธอทำให้ผมมีความสุข แล้วก็คิดว่าเราน่าจะสร้างครอบครัวร่วมกัน ผมเอาจริงเอาจังมุมานะทำงาน เลิกทำตัวเป็นเพลย์บอย แต่แล้วเธอก็ตีจากผมไปแต่งงานกับคนที่รวยกว่า ที่แม่เธอแนะนำให้ อกหักเป็นอย่างไร เข้าใจลึกซึ้งก็คราวนี้

หลายเดือนที่ผ่านมา ผมออกเที่ยวทุกสุดสัปดาห์ และเมามายกลับมาทุกวัน ไม่เอาใจใส่ร่างกายตนเอง จนกระทั่งดูทรุดโทรมผิดผู้ผิดคน มีผลต่อการทำงานของผมด้วย จนกระทั่งเจ้านายเรียกไปตักเตือน แต่เขาไม่ได้สั่งพักงาน หรือไล่ออก เพราะเห็นว่าผมทำงานดีมาโดยตลอด

ผมเลยคิดได้ว่า แค่ผู้หญิงคนเดียวที่เขาไม่รักเรา จะทำตัวให้เศร้าไปทำไม อาจจะมีคนดีๆรอผมอยู่ เพียงแค่ผมเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาในชีวิตผมเท่านั้น ผมก็เลยหยุดทำตัวเมามายไร้สาระ หันกลับมาดูแลตัวเอง และ ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ งดเครื่องดื่มของมึนเมา งดเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งเจ้าสันต์มันมาชวนผมไปเป็นเที่ยวเป็นเพื่อนมันที่ผับแห่งหนึ่งย่านสีลม เมื่อ 2 วันก่อน

“เฮ้ย .....นี่มันบาร์เกย์นี่หว่า”

ผมร้องออกมาเมื่อเพื่อนผมพาเดินเข้ามาในซอยซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งสถานบันเทิงย่านสีลม แต่ละร้านเปิดเพลงดังอึกทึกครึกโครม เมื่อมองเข้าไปก็เห็นผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบจะไม่มีที่หายใจ มีชายหนุ่มทั้งไทย และต่างชาติกำลังเต้นรำอย่างเมามัน บางคู่ก็กอดก่ายกันนัวเนีย แล้วก็มีบางคู่ที่จูบกันอย่างดูดดื่ม ผู้ชายกับผู้ชายนี่นะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

“เออน่า จะโวยวายทำไมวะ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ก็ทำตัวให้สนุกๆหน่อยสิ”

ไอ้เพื่อนตัวดี แอบกระซิบที่ข้างหูผม

“ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่แรกวะ ว่าจะพาฉันมาที่นี่”

ผมต่อว่ามันอย่างเคืองๆ

“บอกแกก็ไม่มาสิวะ แต่ที่จริง แกก็น่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกนะโว้ย ว่าฉันน่ะ ชอบผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง ถ้าไม่พาแกมาบาร์เกย์ แล้วจะพาแกไปที่ไหนวะ ไอ้เรียว”

เพื่อนผมมันตอบแบบกวนๆกลับมา

“ฉันพาแกมาด้วยเพราะแกหน้าตาดีกว่าฉันน่ะ ถ้าฉันมาคนเดียว มันเขินน่ะ แล้วอีกอย่างคงไม่มีใครอยากคุยกับฉัน แต่ถ้าแกมาด้วย รับรอง มีคนเข้ามาหาตรึมแน่”

ไอ้เพื่อนตัวดี ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

“นี่เห็นฉันเป็นตัวล่อผู้ชายมาให้หรือไงวะ”

ผมต่อว่ามันอย่างฉุนๆ มันหัวเราะที่ผมรู้ทัน

“เออ ....แค่นิดหน่อยน่า ก็แกน่ะ มันหน้าตาดีซะขนาดนี้ ทั้งขาวสะอาดสะอ้าน แต่งตัวก็ดูดี ดูเป็นหนุ่มเมโทร แบบที่กำลังอินเทรนด์กันอยู่ขณะนี้ หน้างี้ก็ใสเด้งเสียยิ่งกว่าหน้าผู้หญิง อย่างแกนี่ มันสเปคเกย์ชัดๆ แกเดินเข้าไปในนี้ ฉันว่าต้องไปเตะตาต้องใจพวกเกย์แน่ๆ

แล้วเพื่อนอย่างฉันอาจจะได้อานิสงค์จากความหน้าตาดีของแกบ้าง สัญญาว่ะ ว่าถ้าฉันเจอคนที่ถูกใจแล้ว ก็จะปล่อยให้แกกลับบ้าน หรือจะไปทำอะไรตามใจชอบก็ได้ หรือเกิดแกคิดจะอยากลองของแปลก เอากลับบ้านไปสักคนสองคนก็ไม่ว่ากัน”

ผมง้างเท้าเตะเข้าที่น่องของเพื่อน จนมันขาพับ มันหันมายิ้มกวนประสาทใส่ผม แล้วก็รีบดึงแขนให้ผมเข้าไปในร้านหนึ่ง ซึ่งมีพวกหนุ่มๆ มายืนส่งสายตาให้กับผู้ชายที่เดินเข้ามาในร้าน

ผมเดินเบียดคนเข้ามาข้างใน บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรที่เข้ามาในสถานที่เฉพาะสำหรับชาวสีม่วงแห่งนี้ มีหลายคนสะกิดกันตอนผมเดินผ่าน บ้างก็ยืนซุบซิบ บ้างก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ ผมวางตัวไม่ถูก จะก้มหน้างุดๆ ก็ใช่ที่ เดี๋ยวจะหาว่าเราเป็นคนขี้กลัว จะเชิดหน้าเริ่ดๆ ทำหยิ่งยะโส ก็ไม่ใช่วิสัย ผมจึงได้แต่ยืนเฉยๆดูไอ้เพื่อนผมมันทำท่าระริกระรี้หว่านสายตาให้กับคนไปทั่ว

สักพักก็มีหนุ่มหน้าตาดีสองคน เดินเบียดเข้ามาตรงที่ผมและเพื่อนยืนอยู่ สองคนนี้ก็คือคนที่มองผมอย่างไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามา เขาทำทีเข้ามาเต้นเบียดใกล้ๆ ตาก็คอยเหลือบแลมาทางผม ทำท่าเหมือนกำลังทอดสะพานให้อย่างนั้นแหละ

ผมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเต้นของผมต่อไป ในเมื่อผมไม่อาจจะหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ ผมก็จำเป็นต้องทำตัวให้สนุกสนาน ถึงแม้ว่าผมกำลังขนลุกขนชันอยู่ก็ตาม

“เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือครับ”

หนึ่งในสองคนถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง ผมเห็นแววตาหื่นๆของเขาที่มองมา เลยไม่พูดอะไร

“ครับ พวกคุณคงจะมาเที่ยวบ่อยล่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ ไอ้เพื่อนตัวดีก็เลยตอบแทน หนุ่มคนที่ถาม หันมามองเพื่อนผม แล้วก็ยิ้ม ก่อนจะหันมาหาผมต่อ และแนะนำตัวเองกับผม

“ผมชื่อ แดนนี่ครับ ส่วนเพื่อนผมคนนี้ชื่อ แมน คุณล่ะชื่ออะไร พอจะบอกให้พวกเรารู้ได้ไหม”

ผมมองหน้าคนชื่อแดนนี่อย่างรำคาญใจ นี่เขาเห็นว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือไงวะ ถึงได้มาทำท่าจีบแบบนี้

“ผมชื่อ สันต์ครับ ส่วนเพื่อนผมชื่อเรียว”

เพื่อนผมเสนอหน้าอีกตามเคย ผมมองเจ้าสันต์อย่างไม่พอใจ เรื่องอะไรกันถึงต้องเอาชื่อผมไปบอกคนอื่น โดยเฉพาะเกย์หน้าตาดีๆแต่ท่าทางออกแนวหื่นๆ อย่างสองคนนี้

“แหมชื่อเพราะจังเลยนะครับ”

แมนหนุ่มที่ตัวล่ำกว่าพูดขึ้นบ้าง ตาที่เขามองผมก็แฝงนัยเชิญชวนเช่นกัน ผมรู้สึกอึดอัดใจที่ถูกผู้ชายสองคนรุมจีบ หันไปสบตาเจ้าเพื่อนตัวดีเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับเห็นเขามองผมตาขุ่น คงนึกโมโหที่ผมไม่ยอมพูดอะไรบ้าง

เจ้าสันต์มันคงกลัวว่า หากผมทำเป็นเล่นตัวกับสองหนุ่มนี่จนกระทั่งพวกนี้รามือ มันคงอดที่จะได้รู้จักกับหนุ่มหน้าตาดีที่หวังจะพากันออกไปหาความสำราญต่อข้างนอกเป็นแน่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกรำคาญใจ และนึกโมโหตัวเองที่ไม่น่ายอมตามใจมันเข้ามาเที่ยวที่นี่เลย

“พอดีเพื่อนผมเขาไม่ค่อยมีเสียงนะครับ เลยไม่อยากพูดแข่งกับเสียงเพลงที่ดังขนาดนี้”

เจ้าสันต์รีบพูดขึ้นแทน เมื่อเห็นสีหน้าของสองหนุ่มที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดอย่างชัดเจนที่ผมไม่ยอมโต้ตอบ

“อ๋อ เหรอครับ”

แมนยิ้มกว้าง

“นึกว่ารังเกียจพวกผม ไม่อยากคุยด้วย”

แดนนี่ พูดยิ้มๆ

“เปล๊า เรากลับรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำที่มีหนุ่มหล่อถึงสองคนมาคุยด้วย ใช่ไหมเรียว”

ไอ้เพื่อนตัวดี ระล่ำระลักพูดด้วยเสียงอันดัง แถมซ้ำยังใช้ข้อศอกมากระทุ้งสีข้างผมด้วย ผมเลยต้องเล่นตามน้ำ ด้วยการพยักหน้าและยิ้มให้คนทั้งคู่ ดูเหมือนคนทั้งสองจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย พวกเขาอาศัยความแออัดของสถานที่ เบียดผมและเพื่อนจนชิด แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นให้ความสนใจผมมากกว่าเจ้าสันต์เสียอีก

“โธ่เอ๊ย ไอ้เพื่อนโง่”

ผมด่ามันในใจ ที่มันพยายามจะทำให้สองคนนี่มาสนมัน มันไม่ได้เบิ่งตาดูเลยสักนิดว่าหนุ่มหล่อพวกนี้ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย แต่กลับมานัวเนียอยู่ข้างๆผม ท่าทางจะแย่งชิงกันเองอีกด้วย ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะเดินออกไปจากตรงนั้น แต่ก็อดสงสารเพื่อนผมไม่ได้ ผมว่ามันต้องเล็งคนใดคนหนึ่งแน่ๆ

“หน้าตาเรียวใสดีจัง ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าบ้างหรือเปล่าครับ”

แมนพูดด้วยเสียงอันดัง แข่งกับเสียงเพลงที่ดังอึกกระทึกครึกโครม เขาอยู่ใกล้ผมมาก จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ ผมรู้สึกขนลุก ไม่ได้เกิดจากความซาบซ่าน แต่มันเกิดจากความรู้สึกรังเกียจมากกว่า เขาเต้นเบียดเสียดอยู่ข้างๆผม ส่งสายตาหวานฉ่ำให้ จ้องผมเหมือนกับจะรอคำตอบ

“ก็ใช้นิดหน่อยครับ”

ผมตอบอย่างเสียไม่ได้ นึกในใจว่า เสียงเพลงก็ดังออกซะขนาดนี้ จะพูดทำไมกันนักหนา พูดก็ไม่ค่อยได้ยิน ตอนตอบก็ต้องพูดเหมือนเสียงตะโกนอีก

“พูดได้ด้วย ดีใจจังยอมพูดกับพวกเราแล้ว”

แดนนี่ทำน้ำเสียงหยอกล้อ พลางลิ่วตาให้ ผมอยากจะอ้วก รู้สึกพะอืดพะอมที่ผู้ชายมาทำท่าหวานใส่กัน

“ไม่ชอบพูดคุยในที่แบบนี้ครับ มันไม่ค่อยได้ยิน ไม่อยากตะโกนด้วย เจ็บคอ”

ผมไม่ได้โกหกเขา เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“ไปข้างนอกกันไหมครับ” แดนนี่

ถามผมพลางจ้องหน้า แต่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง

“ดีเลยครับ ผมก็คิดว่า เราไปหาที่คุยกันข้างนอกดีกว่านะครับ ที่นี่เสียงมันดัง”

เจ้าสันต์รีบเออออเห็นด้วย เหมือนกับว่ามันคอยหาจังหวะที่จะพูด ทุกครั้งที่สองคนนี่พูดอะไรกับผม แมนเหลือบตามองสันต์นิดหนึ่ง อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ผมเห็นแววตาเหยียดๆของเขาเวลาที่มองเพื่อนผม

“แล้วเรียวล่ะครับ อยากไปไหม”

แมนพูดกับผมบ้าง ผมทำหน้าเฉยๆ ไม่ตอบ ถึงแม้ผมจะอยากออกไปจากสถานที่ที่มีแต่คนคอยมองจ้องจนผมอึดอัด แต่ถ้าต้องไปกับคนพวกนี้ ผมคิดว่ามันก็น่าจะทำให้ผมมีอาการพะอืดพะอมไม่แพ้กัน

“เราเพื่อนกัน ไปไหนไปด้วยกันอยู่แล้วครับ ว่าแต่จะไปนั่งที่ไหนกันดีล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่ผมนึกหมั่นไส้เพื่อนจนถึงขนาดอยากจะเต้นก้นมันกลางฝูงชนที่เบียดเสียดกันหนาแน่นในร้านแห่งนี้ ดูมันทำสิ ความที่อยากได้หนุ่มๆพวกนี้มาเป็นเพื่อนในยามค่ำคืน ทำให้มันลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจนได้

“มีร้านกาแฟใกล้ๆนี้ครับ มีที่พอที่จะให้นั่งพูดคุยได้ เราไปนั่งที่นั่นกันดีกว่า”

แดนนี่เอ่ยชวน ท่าทางเจ้าสันต์มันกระดี๊กระด๊าอยากไปมาก

“ไปนะเรียว”

มันหันมามองผมด้วยสายตาอ้อนวอน

“ก็ได้”

ผมยอมรับปาก

“แต่ขอไปห้องน้ำก่อนนะ”

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม”

แมนอาสา เขามองผมด้วยดวงตาแวววาม

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมตอบอย่างสุภาพแล้วรีบชิ่งหนี เดินเบียดผู้คนไปยังห้องน้ำที่อยู่ในสุด มีคนสองสามคนอยู่ในบริเวณห้องน้ำ ผมปรายตามองแว่บหนึ่ง แล้วก็เดินไปยังโถปัสสาวะที่อยู่ด้านในสุด เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะรูดซิบลงเพื่อทำธุระของตนเอง

แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีร่างหนึ่งพรวดเข้ามายืนข้างๆ เป็นชายวัยกลางคน หัวค่อนข้างล้าน แต่งกายด้วยเสื้อรัดรูปซีทรู กางเกงรัดติ้ว ผมได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาฉุนกึ๊ก จนเกือบจะจามออกมา

ชายคนนั้นหันหน้ามาทางผม และยิ้มให้ ผมยิ้มตอบแล้วก็รีบหันกลับมาจะจัดการกับธุระของตนเอง แต่หางตาของผมแอบเห็นเขาชะโงกมามองน้องชายของผม ผมรีบเบี่ยงตัวมาบังไว้ แล้วรีบจัดการปลดปล่อยทุกข์ของตนเอง

เมื่อเก็บเรียวน้อยเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็เดินมาที่อ่างล้างมือ นึกฉุนโกรธตาแก่ลามกนั่น อยากต่อยให้หน้าแหกโทษฐานที่ล่วงละเมิดผมด้วยสายตา แต่ก็รู้สึกสงสารไม่อยากทำร้ายคนเฒ่าคนแก่ แล้วก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย แค่เรื่องเจ้าสันต์เพื่อนผมก็ยุ่งพออยู่แล้ว ถ้ามามีเรื่องกับไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์นี่อีก จะกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปกันใหญ่

มีคนยืนอยู่ที่อ่างล้างหน้าสองสามคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง เขาน่าจะสูงกว่าผมสัก 4-5 นิ้วท่าทางเหมือนลูกครึ่ง ผิวสีเข้มกว่าชาวต่างชาติทั่วไป ผมหยิกสลวยเป็นรอนระต้นคอ

เขากำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายกล้ามใหญ่หน้าตาHereมๆ กับ ชายอีกคนที่ดูเตี้ยและแก่วัยกว่า ไม่สิ ไม่ใช่การพูดคุยกันธรรมดา เป็นการทะเลาะกันมากกว่า คงจะเป็นการทะเลาะกันเรื่องชิงรักหักสวาท ผมคิดในใจ เดินเลี่ยงไปยังอ่างล้างหน้าที่อยู่ถัดออกไป ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการวิวาทกันของพวกเกย์

หนุ่มลุกครึ่งเบิกตากว้าง เมื่อเขามองเห็นผมถนัด ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดีใจเมื่อเขาเห็นผม เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า ทำไมเขาถึงจะต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วย หรือหวังว่าจะให้ผมเข้าไปยื่นมือช่วยเหลือใกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ เขาคงต้องผิดหวังแล้วล่ะ เพราะผมไม่เข้าไปยุ่งด้วยแน่ๆ

“ผมมีแฟนแล้ว อย่ามายุ่งกับผมได้ไหม”

ผมได้ยินเสียงหนุ่มลูกครึ่งพูดขึ้นมา

“อย่ามาโกหกเลยน่าน้อง พี่เห็นเราส่งสายตาเชิญชวนตั้งแต่ตอนอยู่ข้างนอกแล้ว พอพี่ชวนเข้ามา น้องก็เข้ามาโดยดี แถมซ้ำ ตอนเต้นอยู่ข้างในก็ยังมองพวกพี่ด้วยแววตาหวานเยิ้มอีก”

คนพูดคือชายตัวเตี้ย เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ

“ผมไม่ได้มองคุณ ผมมองแฟนผมต่างหาก”

“แฟนเฟิน ที่ไหนกัน เราเห็นน้องมาคนเดียว”

หนุ่มกล้ามใหญ่พูดบ้าง

“นั่นสิ ดูก็รู้ว่าน้องน่ะมาเดี่ยว ถ้ามากับแฟน จะยอมตามพวกพี่เข้ามาด้วยทำไม ถ้าจะรอแฟนก็รออยู่ข้างนอกก็ได้ หรือไม่ก็โทรให้เขาออกมารับ แต่นี่ไม่เห็นมีใครที่ว่าสักคน กะจะมาหาเพื่อนเล่นสนุกยามค่ำคืนที่นี่ใช่มั๊ย น้องน่าจะดีใจนะ ที่พวกพี่ก็สนน้องด้วยเหมือนกัน”

ผมแอบยิ้ม นึกขำที่ชายแก่รูปร่างเตี้ยคนนั้นกล้าพูดถ้อยคำแบบนี้ออกมาได้ หากผมเป็นเจ้าหนุ่มนั่น ต่อให้เป็นเกย์ ต่อให้หน้ามืดยังไง ผมคงไม่คิดจะเป็นหญ้าอ่อนให้โคแก่หนังเหนียวเคี้ยวเป็นแน่

“แต่ถ้าเราให้ความสนใจกับใครแล้ว และคนนั้นปฏิเสธไมตรี ทั้งๆที่เป็นฝ่ายทอดสะพานให้เราแล้ว อย่างนี้เราไม่ยอมนะ”

หนุ่มกล้ามใหญ่ ทำท่ากระเง้ากระงอด

“ดังนั้น น้องต้องออกไปกับพวกพี่ซะโดยดี หรืออยากจะไปแบบเจ็บตัว”

“พวกคุณจะบ้ากันแล้วเหรอ ผมไม่ไปไหนกับพวกคุณทั้งนั้น”

เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้ชายร่างเตี้ยเกิดความโมโหขึ้นมา เขาตอบโต้ด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันว่า

“ทำไมคิดเปลี่ยนใจขึ้นมากระทันหัน หรือว่าพอเจอคนในนี้ที่ถูกใจก็คิดจะไปกับเขา คนอย่างพี่สองคน ไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้ง่ายๆนะ”

“ผมขอโทษที่ทำให้พวกพี่เข้าใจผิด แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกพี่จริงๆ”

“งั้นตามพวกเราเข้ามาทำไม” ชายร่างเตี้ย เสียงดังเกือบเป็นตะคอก

“เอ้อ” เด็กหนุ่มทำท่าอึกอัก เหมือนปกปิดอะไรไว้
“หรือว่า...........” ชายกล้ามใหญ่ทำท่าคิด
“อย่าบอกนะว่านายอายุยังไม่ถึง เข้าไม่ได้ ก็เลยอาศัยให้พวกเราพาเข้ามา เพราะรู้ว่าเราซี้กับคนเฝ้าประตู”

เด็กหนุ่มกระสับกระส่าย จากการเป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์ ผมคิดว่าน่าจะมีบางอย่างที่เป็นความลับเกี่ยวกับตัวเด็กหนุ่มคนนี้ ดูจากหน้าตาของเขายังอ่อนเยาว์อยู่มาก อาจจะจริงก็ได้ ที่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ด้วยความอยากเที่ยว จึงแอบเข้ามาโดยอาศัยสองเกย์นี่เป็นเกราะกำบัง ก็สมควรแล้วที่คนคู่นี้จะเข้าใจผิด และรู้สึกเสียหน้าเมื่อรู้ความจริงว่าเด็กไม่เล่นด้วย แถมซ้ำใช้พวกเขาเป็นเครื่องมืออีก

“ใช่แน่เลย”


ชายร่างเตี้ยพูดด้วยท่าทางกระHereนกระหือรือ คงรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้แอบเข้ามา แล้วเขาก็มีวิธีที่จะจัดการกับเด็กหนุ่ม เขาพูดด้วยเสียงHereมๆว่า

“ไม่รู้ล่ะ เราพาเธอเข้ามาที่นี่ เราก็จะพาเธอออกไป เธอต้องตอบแทนเราด้วย หรือไม่งั้นเราจะบอกกับคนเฝ้าประตู ให้เขามาจับเธอโยนออกไป หรือไม่ก็แจ้งความจับเธอ”

เด็กหนุ่มยืนนิ่ง ผมเห็นเขาหันหน้ามาทางผม ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งทำเป็นสำรวจใบหน้าตนเองอยู่หน้ากระจก ผมมองเห็นชายร่างใหญ่ เอื้อมมือมาคว้าต้นแขนของเด็กหนุ่ม และเห็นเขาสะบัด ท่าทางเจ้าเด็กนี่ก็มีเรี่ยวแรงพอตัวเหมือนกัน

“จะดิ้นรนไปทำไม อยากโดนดีหรือไง พี่มีพวกพ้องที่นี่เยอะนะ ถ้ายอมไปดีๆ ก็จบเรื่อง ถือซะว่าตอบแทนพวกพี่แล้วกันที่พาน้องเข้ามา”

“ไม่รู้สึกว่าเรียกค่าตอบแทนสูงเกินไปเหรอ”

พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง ไอ้โรคเสือกเรื่องของคนอื่นนี่แก้ไม่หายเสียที แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก โดยเฉพาะพวกที่ชอบทำร้ายคนไม่มีทางสู้ อีกอย่างหนึ่ง ยามที่ผมมองเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร มันมีอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นตา เพียงแต่ผมยังนึกไม่ออก เขาอาจจะเป็นใครบางคนที่ผมรู้จัก อาจจะเป็นคนที่ผมสมควรจะช่วยเหลือ

“ยุ่งอะไรด้วย”

ชายร่างใหญ่หันมาถามผมตาขุ่นขวาง แต่เมื่อเห็นหน้าผมถนัด เขาก็ทำเสียงอ่อนลง ดวงตาแวววาวขึ้นมาทันที

“หรืออยากจะไปกับพวกเราด้วย”

“ไม่มีทาง”

ผมปฏิเสธ นึกหวาดหวั่นในใจเหมือนกัน เมื่อเห็นร่างใหญ่นั้นก้าวเข้ามาหา เด็กหนุ่มสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา แล้วรีบเดินมาหาผม

“งั้นเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ทำไมมิทราบ”

“ก็คุณกำลังยุ่งอยู่กับแฟนผม”

คราวนี้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงให้มันแตกจนสมองเสื่อมไปเลย พูดอะไรออกไปเนี่ย ความที่อยากช่วยเด็กหนุ่มนั้น ทำให้ผมโพล่งออกไปอย่างไม่ยั้งคิด เด็กหนุ่มหันมามองผมอย่างตกใจ คงไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำนั้นออกมาจากปากผม น่าแปลกที่ผมเห็นประกายแห่งความยินดีปรีดาฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่นั้น เขายิ้มหวานให้ผม เป็นยิ้มที่มองแล้วเสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“โกหกหรือเปล่า” ชายร่างเตี้ยถามผมอย่างไม่เชื่อ

“จะโกหกให้มันได้อะไรขึ้นมา”

ผมแสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ โต้ตอบไปอย่างไม่หวาดหวั่น

“ใช่ครับ นี่แหละแฟนผม”

เด็กหนุ่มโอบแขนไปรอบเอวของผม แล้วรั้งเข้ามาแนบตัว ผมมัวแต่ตะลึงกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำ จึงไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้ผมได้ถูกเขากอดไว้เรียบร้อยแล้ว พอตั้งสติได้ ผมก็พยายามดิ้นหนี แต่ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูจากเด็กหนุ่มว่า

“เล่นตามน้ำไปก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นไม่ปล่อยตัวผมออกไปแน่ๆ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมผมต้องเล่นบทเป็นแฟนกับเกย์ด้วยล่ะ แค่คิดก็รับไม่ได้แล้ว แต่เอาเถอะ ในเมื่อผมยื่นขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องทำต่อไปจนจบ

“แล้วทำไมถึงปล่อยแฟนทิ้งไว้ข้างนอกคนเดียวล่ะ ทำไมไม่พาเข้ามาด้วย”

“ก็.....” ผมนึกหาคำตอบ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า

“เราทะเลาะกันนิดหน่อยครับ แฟนผมเขางอนเลยเข้ามาก่อน”

“ช่าย ช่าย”

ผมพยักหน้ารับ นึกอยากให้สองคนนี่มันเชื่อคำพูดของพวกผมเร็วๆ แล้วไปเสียที ผมอยากจะออกไปจากห้องน้ำนี่ เร็วๆแล้ว เพราะเริ่มรู้สึกว่า อ้อมกอดของเด็กหนุ่มคนนี้เริ่มรัดแน่นขึ้น ใจก็คิดไปต่างๆนานา ว่าเด็กนี่กำลังหาเศษหาเลยกับผมอยู่หรือเปล่านะ

หนุ่มกล้ามโตยังทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ เขาคงคิดว่าเรากำลังเล่นละครตบตาเขาเพื่อเอาตัวรอดแน่ ดังนั้นผมกับเด็กหนุ่มคนนี้ต้องพยายามทำให้เขาเชื่อให้ได้

“เราจะเข้าไปข้างในแล้วนะ ขอบคุณนะครับที่พาแฟนผมเข้ามา”

ผมบอกทั้งสองคน แล้วใช้ศอกกระทุ้งหน้าท้องเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการบอกให้เขารู้ว่า ให้รีบออกไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้แล้ว เด็กหนุ่มปล่อยมือจากผม ขณะที่เรากำลังจะเดินออกไป ชายกล้ามใหญ่ก็เดินเข้ามาขวางทางออกไว้

“เดี๋ยว......อย่าเพิ่งไป”


papae

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #98 เมื่อ17-10-2007 08:16:25 »

 :o   ค้างอ่ะ  ไงต่ออ่ะ  จะโดนไรอีกล่ะเนี่ย 

อิอิ  หนุกๆ มาต่ออีกนะ   :m3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่1 By Katesnk
«ตอบ #99 เมื่อ09-11-2007 15:41:58 »

บทที่ 2

“ทำไมอีกล่ะ”

ผมแสร้งทำเป็นหงุดหงิด ทั้งๆที่ใจเต้นโครมคราม

“ฉันสงสัยว่า พวกเธอ ต้องแกล้งเล่นละครให้เราเชื่อว่าเป็นแฟนกันแน่ เพราะเมื่อกี้ฉันเห็นเธฮยืนล้างมือเฉยอยู่ ถ้าเป็นแฟนกันจริง ทำไมไม่เข้ามาตั้งแต่แรก”

“เอ้อ....”

เด็กหนุ่มอึกอัก แต่คราวนี้ผมไวกว่า

“ก็เพราะผมยังงอนเขาอยู่ไง แล้วก็เข้าใจว่า พอผมไม่อยู่ก็แอบมีกิ๊ก ก็เลยยืนดูอยู่ แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ พวกคุณมาจีบเขา แต่เขาไม่เต็มใจนี่”

“ถ้าเป็นแฟนกันจริง ก็จูบกันให้ดูหน่อยสิ”

ผมตาเหลือก บ้าอะไรกันนักหนาวะ ทำไมต้องให้ผมมาพิสูจน์อะไรกับเจ้าเด็กนี่ด้วย ผมแค่อยากช่วยเขาเท่านั้น ไม่ได้อยากกอดอยากจูบกับเขาซะหน่อย

“ทำไมต้องทำให้ดูด้วย ของแบบนี้เราต้องไปทำกันสองคน จะมาโชว์กันง่ายๆได้ไง”

ผมเถียง เรื่องอะไรจะยอมทำล่ะ

“ก็แสดงว่าเรื่องที่น้องพูดมาทั้งหมด มันเป็นเรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องจริง นี่สมคบกันคิดขึ้นมาเพื่อจะหลอกพวกเราใช่ไหม”

ชายร่างเตี้ยถามอย่างคาดคั้น

“หน้าตาก็ดี มาหลอกกันอย่างนี้ อยากมีปัญหาหรือไง”

ชายกล้ามใหญ่ จับคอเสื้อผม แล้วดึงให้เข้ามาหา ผมแกะมือเขาออก รู้สึกฉุนโกรธขึ้นมา

“จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่เกี่ยวกับคุณสองคน นี่มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับแฟน ถึงแม้ว่าเราจะงอนกันบ้าง แต่เราก็ยังคงเป็นแฟนกัน ผมก็ไม่เห็นว่าจะต้องพิสูจน์ความเป็นแฟนของเราตรงไหน ถึงอย่างไรแฟนผมก็ไม่สนพวกคุณหรอก ต้องขอโทษด้วยที่เขาทำให้พวกคุณเข้าใจผิด และอีกอย่าง ผมไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกคุณ ขอร้องเถอะ อย่ามายุ่งกับผมสองคนเลย ผมจะออกไปข้างนอกแล้ว”

ผมเบี่ยงตัวหลบชายกล้ามใหญ่ จะเดินออกไปข้างนอก แต่เขาคว้าแขนผมไว้ ผมสะบัดอย่างแรง เริ่มไม่พอใจมากขึ้น

“ยังไปไหนไม่ได้”

ชายกล้ามใหญ่ทำหน้าHereม จ้องหน้าผมเขม็ง ผมจ้องกลับ ชักเลือดขึ้นหน้าแล้ว นึกโกรธเกย์หื่นกามสองคนนี้ที่พูดจาไม่รู้เรื่อง โกรธเด็กนี่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายแล้วแก้ไขไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็โกรธตัวเองที่เข้ามาแส่ในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัว แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายที่ผมไม่คาดคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เจ้าสันต์เพื่อนรักของผม มันโผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำ และต่อว่าผมที่ปล่อยให้มันรอนาน โดยไม่ได้ดูเลยว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น

“อยู่นี่เอง ขี้แตกหรือไงวะ เข้ามานานมาก สองคนข้างนอกนั่นรอนายตั้งนาน ท่าทางหงุดหงิดด้วย ขอร้องเถอะวะ อย่าทำเสียเรื่องเลย เดี๋ยวฉันก็พลอยอดกันพอดี”

มันทำท่าหัวเสีย ผมไม่โกรธมัน เพราะเจ้าสันต์เข้ามาได้จังหวะพอดี ชายสองคนยืนนิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่กลับมองผมด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ผมไม่สนใจ รีบฉวยโอกาสตอนที่พวกนั้นไม่กล้าทำตัววุ่นวายต่อหน้าคนอื่น ออกมาจากความยุ่งยากตรงนั้น

“กำลังจะออกไปพอดี”

ผมบอกเขา แล้วรีบเดินออกไป โดยมีเด็กหนุ่มตามมาติดๆ สองคนนั่นไม่กล้าเดินตามเรามา เพราะคงได้ยินว่าพวกเรายังมีเพื่อนอีกสองคนรออยู่ข้างนอก ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใจอยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก เลยเดินเบียดคนที่ยืนเต้นกันอยู่ออกมา ผ่านหน้าแดนนี่ กับแมน ที่มองตามผมอย่างงงๆ เขาร้องเรียกผม เมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน พวกเขาก็เลยรีบตามผมมาจนกระทั่งออกไปนอกร้าน ผมยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า ส่วนเด็กหนุ่มเดินไปยืนอยู่ในมุมมืดข้างร้าน เยื้องผมออกไปสักเล็กน้อย

“พาใครมาด้วยเหรอครับ”

แดนนี่ถามผม เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่ตามผมออกมาด้วย  เขาส่งตาหวานให้กับเด็กหนุ่ม แต่เจ้าเด็กนั่นกลับหันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาด้วย ผมมองเสี้ยวหน้าคมคายนั้น อย่างครุ่นคิด ความมืดหม่นอำพรางเรือนร่างและหน้าตาของเขาทำให้เห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ใบหน้าที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมหยิกสลวยที่มองเห็นได้จากแสงอันสลัวลางกลับกระตุ้นความสนใจผม มันเหมือนมีอะไรบางอย่างจากใบหน้าเขาที่ดูคุ้นตาเหลือเกิน

“เอ้อ”...........

ผมตั้งใจจะพูดความจริง แต่พอมานึกได้ว่า บางทีการโกหกอีกครั้งอาจจะทำให้ผมรอดจากการที่จะต้องไปทนนั่งกินพูดคุยกับเกย์ที่ทำท่าหื่นกาม คอยจ้องจะงาบผมตลอดเวลา ดังนั้นผมจึงบอกกับพวกเขาไปว่า เด็กนั่นเป็นแฟนผม เรานัดมาเจอกันที่นี่

ไม่เพียงแต่แดนนี่ กับแมนจะทำท่าแปลกใจเท่านั้น เจ้าสันต์เพื่อนผมมันยังทำท่าเหมือนกับถูกผีหลอก มันมองผมอย่างตกตะลึง ตากรอกไปมา มันคงสงสัยและคลางแคลงใจในเรื่องที่ผมพูดว่ามันมีมูลความจริงหรือเปล่า ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ไม่เคยทำท่าว่าพิศวาสพวกเกย์ หรือไม้ป่าเดียวกันมาก่อน การได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในตอนนี้ จึงสร้างความพิศวงงงงวย ให้เกิดขึ้นในใจของเจ้าสันต์ยิ่งนัก

ผมแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ เล่าความเท็จ พยายามไม่ให้มีพิรุธ สันต์จ้องผมเขม็ง ผมเดาได้ว่าในใจของเขาคงกำลังชั่งใจว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นจริงหรือเล่น และคิดว่าเรื่องนี้อาจจะมีสิทธิเล็ดลอดไปถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆด้วย หากเจ้านี่เกิดเอาไปพูดขึ้นมา

แต่ช่างเถอะ ไว้ผมค่อยไปอธิบายให้มันเข้าใจทีหลัง ตอนนี้ผมขอเอาตัวให้รอดจากสองคนนั่นก่อนดีกว่า รับมือกับเด็กนี่เพียงคนเดียว ยังดีกว่าที่จะต้องไปกับเกย์หื่นกามทั้งสองนี้มากมายนัก

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามีแฟนแล้ว”

แดนนี่พูดอย่างเคืองๆ

“ถึงว่า ไม่ยอมพูดยอมจากับเรา”

แมนทำหน้าผิดหวัง

“จริงสิ ฉันก็ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย”

สันต์พูดบ้างหลังจากหายตกตะลึงแล้ว

“ก็ฉันคิดว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปเที่ยวโพนทะนาให้ใครรับรู้นี่ว่าฉันมีแฟน”

ผมสวมบทบาทเป็นเกย์ทันที ซึ่งก็ได้ผล เพราะแดนนี่ กับแมนทำซึ่งเมื่อคู่ทำสีหน้าผิดหวัง กลับยักไหล่ ทำหน้าเชิ่ดๆ เหมือนไม่แคร์ แดนนี่สะบัดหน้าไปจากผม ส่วนแมนทำท่าโค้งให้

“ขอบคุณนะที่รบกวนเวลาของคุณ”

ผมยิ้มให้ เป็นยิ้มที่แสร้งทำเหมือนว่าจริงใจที่สุด บอกกับพวกเขาว่า ไม่เป็นไร ในใจพองโต รู้สึกดีที่พวกนี้เชื่อผม เชื่อง่ายกว่าเกย์สองตัวข้างในเสียอีก

“อ้าว แล้วที่จะไปนั่งคุยกันล่ะ”

สันต์ร้องเรียกเมื่อสองหนุ่มทำท่าจะไปจริงๆ

“ก็เพื่อนคุณมีแฟนแล้วนี่ ก็คงไม่จำเป็นแล้วมั้ง” แมนหันมาตอบ

“แต่ผมโสดนี่”

สันต์แบไต๋จนน่าเกลียด ผมเห็นรอยยิ้มหยันจากปากของแดนนี่ แต่แมนกลับนิ่งเฉย และแล้วประกายตาของแมนก็วาววามขึ้น

“ก็ได้ ถ้าคุณยินดีที่จะไปกับเราสองคน พวกเราก็พร้อมจะพาคุณไปด้วย รับรองคุณต้องมีความสุขแน่”

แมนยิ้มอย่างยั่วยวน ผมเห็นพรานเบ็ดกำลังใช้เหยื่อล่อปลาหน้าโง่อยู่ ขยับปากจะเข้าไปห้าม แต่เพื่อนผมกับพยักหน้าตอบรับด้วยอาการรื่นเริง มันแสดงออกให้พวกนั้นเห็นอย่างชัดแจ้งว่ายินยอมที่จะติดเบ็ดโดยง่าย

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ผมน่ะ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งนะ ที่มีหนุ่มหล่อตั้งสองคนเป็นเพื่อนนั่งคุย ทำให้ผมไม่ต้องกลับไปอยู่คนเดียวอย่างหงอยเหงาในคืนนี้”

ผมเห็นอาการของเจ้าสันต์แล้วก็ได้แต่ปลง นี่มันคงอยากให้ค่ำคืนนี้เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษของมันกับเจ้าสองคนนี่ มันถึงได้ดูเต็มอกเต็มใจที่จะไปกับพวกเขานัก ก็หวังว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อมันอย่างดี ไม่เอาเปรียบมันจนเกินไป

“นายไม่ไปด้วยจริงๆเหรอ พาแฟนนายไปร่วมสนุกด้วยก็ได้นะ”

เจ้าสันต์ไม่วายหันมาเชิญชวนผม มันเองก็คงรู้สึกหวั่นใจกับการรับมือกับหนุ่มหล่อตั้งสองคน ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ห่วงเพื่อนก็ห่วง แต่ห่วงกลัวความไม่ปลอดภัยในร่างกายของตนเองมากกว่า

นึกภาวนาในใจว่า ขอให้สองคนนี้ไม่ใช่คนเลว หรือพวกหลอกลวงปลิ้นปล้อน แล้วก็ขอให้เพื่อนของผม จงฉลาดอย่างเพียงพอในการที่จะเอาตัวรอด หากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมา

“ไม่ไปดีกว่า ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

ผมปฏิเสธไป ใจนึกอยากจะกลับบ้านจริงๆ นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมอยากจะพักผ่อนอยู่กับบ้านมากกว่า ยิ่งกลับบ้านเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้นอนเร็วเท่านั้น และตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้สึกมึนๆแล้วด้วย เนื่องจากตอนที่อยู่ข้างในร้าน ก็ดื่มของมึนเมาไปหลายแก้ว

ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ดื่มกินอีกต่อไป แต่พอมาอยู่ในที่ๆมีแต่คนจ้องมองตลอด แล้วคนพวกนั้นก็เป็นเกย์อีกด้วย ความรู้สึกที่ว่าไม่ใช่ถิ่นของตนเอง ผมก็เลยเครียด ต้องดื่มเพื่อให้ไม่รู้สึกอะไร

“จะกลับไปจู๋จี๋ กับเด็กหนุ่มนั่นสิท่า ไม่บอกกันบ้างเลยนะ เอาเถอะ ฉันกลับจากไปเที่ยวกับสองคนนี่ก่อน แล้วจะมาซักไซ้จากนาย เตรียมคำตอบให้ดีก็แล้วกัน”

เจ้าสันต์กระซิบที่ข้างหูเบาๆให้ได้ยินกันสองคน พลางปลายตาไปยังหนุ่มน้อยคนนั้น ผมยักไหล่ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ เมื่อรอดพ้นจากเกย์สองคนนั่นได้ มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังแล้วกัน ตอนนี้สองคนนั่นรอนายอยู่ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะอดซะ”

ผมกระซิบตอบ พลางลิ่วตาล้อมัน เจ้าสันต์ยิ้มแป้น ชูกำปั้นให้ผม ก่อนจะผละเดินไปหาสองหนุ่มที่ยืนรออยู่ แดนนี่ กับแมน พาเจ้าสันต์เดินจากไป คงจะไปหาที่นั่งพูดคุยกันที่ไหนสักแห่ง

แล้วหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่มีต่อกัน เพื่อนผมมันอาจจะไปกับใครสักคน อาจจะเป็นแดนนี่ หรือแมนก็ได้ ที่แน่ๆ ค่ำคืนนี้มันคงไม่นอนเหงาเดียวดายเหมือนเช่นทุกวัน

ผมหันมาหาเด็กหนุ่มคนนั้น เขายังคงยืนนิ่งอยู่ในมุมมืด ท่าทางเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ผมเดินไปหาเขา แล้วพูดขึ้นว่า

“นายปลอดภัยแล้วล่ะ สองคนนั่นคงไม่กวนนายอีกแล้ว”

“ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมไว้” เขาตอบกลับมา

“ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรหรอก นายก็ช่วยฉันไว้เหมือนกัน ฉันเองก็หนีเกย์สองคนนั่นเหมือนกัน ฉันก็อาศัยนายเป็นเกราะกำบังให้พวกนั้นเลิกยุ่งกับฉัน ดังนั้นเราสองคนก็ถือว่าเสมอกัน ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร”

ผมบอกเขาไป นี่คือสิ่งที่แฟร์ที่สุด ในเมื่อเราต่างมีส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปรับความดีความชอบนั้นด้วย

“เอาล่ะ ฉันไม่รู้ว่า นายเข้าไปในนั้นทำไม หาแฟนหรือว่าอะไรก็ตามแต่ ฉันคิดว่านายควรจะกลับบ้านได้แล้วนะ ขืนอยู่แถวนี้จะซวยเปล่าๆ นายน่ะ ท่าทางอายุคงไม่ถึงที่จะเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นด้วยซ้ำ เดี๋ยวพวกพนักงานมาเห็น หรือโชคร้ายตำรวจมาตรวจ นายจะเดือดร้อน

นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย พ่อแม่นายคงจะเป็นห่วงแล้ว อีกอย่างหนึ่งนะ หากนายยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ สองคนนั่นมาเจอเข้า ได้ลากตัวไปกับเขาแน่ๆ จะอ้างอะไรก็ไม่ได้แล้วด้วย เพราะฉันไม่อยู่ให้อ้างเป็นแฟนนายได้แล้ว เพราะฉันจะกลับบ้านแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าอยากจะช่วยเหลือเด็กคนนี้นัก ทั้งๆที่เจ้าหมอนี่ก็ทำตัวเองแท้ๆ ผมเห็นเขาพยักหน้าแทนการตอบรับ ผมจึงหมดห่วงแล้วก็โบกมือเป็นการอำลาเขา จากนั้นก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้น

ผมออกจากซอย แล้วเลี้ยวขวา เดินแทรกปะปนไปยังผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ สีลมยามเที่ยงคืน ยังเต็มไปด้วยร้านรวงจำพวกเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องประดับ ตลอดจน ของตกแต่งบ้าน มีร้านขายซีดีเพลง และ หนัง รวมถึงหนังโป๊ด้วย

ผู้คนทั้งไทยและต่างชาติเดินดูและจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่าน รวมทั้งตัวผมเอง ที่แวะบางร้านที่ผมสนใจ แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพราะของส่วนใหญ่ ผมคิดว่ามันเหมาะกับให้พวกเกย์ใช้มากกว่าผู้ชาย
แ ท้ๆอย่างผม

ผมข้ามถนนเดินตรงไปยังซอยคอนแวนต์ เพราะผมจอดรถไว้ที่นั่น ต้องเดินไปไกลมากเกือบถึงโรงพยาบาล เพราะตอนผมมา รถจอดเยอะมาก ผมเดินไปช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะรู้สึกตัวว่ากำลังมึนๆ เลยไม่อยากเดินสะดุดล้มกลิ้งให้บาดเจ็บ

ถนนที่ผมเดินผ่านไปค่อนข้างมืด ร้านรวง ปิดหมดแล้ว มีคนสองสามคน เดินผ่านผมไป ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกเกย์ เพราะเดินกระตุ้งกระติ้ง และส่งเสียงดังกันไปตลอดทาง

ผมยิ้มให้กับตัวเอง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเดินท่อมๆอยู่คนเดียวในย่านที่ได้ชื่อว่ามีชาวสีม่วงชุกชุม แถมยังหลังจากไปเที่ยวบาร์เกย์มาซะด้วย

รถของผมจอดอยู่ตรงริมถนนก่อนจะถึงโรงพยาบาลประมาณสองช่วงเสาไฟฟ้า ผมหยุดยืนอยู่ข้างรถด้านฟุตบาทควานหากุญแจรถจากในกระเป๋ากางเกง มีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นใกล้ๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนแปลกหน้าสองคน ฝรั่งหนึ่ง ไทย หนึ่ง เดินกอดกันนัวเนียผ่านหน้าผมไป

ผมมองแล้วยิ้มให้กับตนเอง พอได้กุญแจรถแล้ว ผมก็เตรียมจะเดินไปฝั่งคนขับ แต่ยังไม่ทันถึงก็มีเงาดำๆของคนรูปร่างสูงใหญ่ พาดทับเข้ามาบนร่างของผม แล้วก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว แขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็รัดร่างผมไว้ พร้อมกันนั้น ผ้าเย็นๆที่มีกลิ่นฉุนๆก็โปะเข้าที่จมูกของผม หลังจากนั้น ผมก็หมดสติไป

ตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็อยู่ในห้องแห่งหนึ่ง โดยถูกมัดไว้กับเตียง ในห้องมีแค่ผมกับเด็กหนุ่มสองคน นายเดียร์ คนที่ผมเคยช่วยเขามาหลายต่อหลายครั้ง และก่อนจะถูกจับมามัด ผมก็ยังช่วยไม่ให้เขาถูกเกย์สองคนจัดการ แต่ในร้านนั้นมันมืดเกินไปทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด แถมซ้ำผมยังมึนๆอีกด้วย

อีกทั้งตอนที่ผมถูกเขาจับมา ผมคงจะมึนด้วยฤทธิ์ยาสลบ จึงทำให้ผมจำเกี่ยวกับตัวเขาไม่ได้ในทันที พอปล่อยให้เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้น ยิ่งเขาเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ถึงความผูกพันระหว่างผมกับเขา ความทรงจำของผมก็ยิ่งกระจ่าง

โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้คิดร้ายต่อผม แถมซ้ำยัง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ดูแลผมอย่างดี แล้วยังกล้าพอที่จะปล่อยผมให้เป็นอิสระ เสียอย่างเดียวที่เจ้านี่ชอบล่วงเกินผม ครั้งแรก ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน

แถมซ้ำยังอยู่ในฐานะของผู้ถูกกระทำด้วย แต่ตอนหลังผมยอมรับว่าเวลาที่เดียร์ล่วงเกินผม  มันก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเกลียดตัวเองที่ดันพึงพอใจกับการกระทำของเขา จนไม่คิดที่จะต่อต้านขัดขืน บางครั้งยังเผลอตัวสนองตอบอีก นี่ผมคงไม่ผิดปกติไปหรอกนะ

ดวงตาของผมเบิกโพลง เมื่อคิดอะไรออก ใช่แล้ว เจ้าเด็กนี่คงไม่ได้บังเอิญมาเจอผมหรอก ครั้งนี้ น่าจะเป็นการจงใจของเขาที่มาดักเจอผม เขาคงสะกดรอยตามผมมาจากที่ไหนสักแห่ง ไม่งั้นเขาจะรู้ได้ไงว่าผมจะมาที่นี่

จะว่ามาดักคอยผมทุกวัน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผมไม่เที่ยวบาร์เกย์อยู่แล้ว ยกเว้นหากเป็นการดูโชว์ แบบที่พัทยานั่น เพราะฉะนั้นหากเขามาดักรออยู่ก็เสี่ยงต่อการที่จะคว้าน้ำเหลว ดังนั้นหมอนี่ต้องคอยสะกดรอยตามผมแน่ แต่ว่า ทำไมผมจึงไม่เห็นเขาเลยล่ะ

ผมหยุดความคิด เมื่อเสียงหนึ่งดังแว่วมา มันเป็นเสียงกริ่งประตูหน้าบ้านผม ที่ดังขึ้นมาอย่างยาวนาน หลายครั้งติดกัน แล้วก็เสียงหมาเห่าดังขรม  เจ้าหญิง สุนัขตัวเมียที่ผมเลี้ยงไว้กำลังส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน มันคงเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

“ขโมยรึเปล่า”

แว่บแรกที่ผมคิด ผมรีบกระโดดลงจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง แล้วแหวกม่านออกดู มองลงไป ผมเห็นหลังแว่บๆของคนๆหนึ่งที่ขี่จักรยานออกไป ใครก็ตามที่มายืนอยู่หน้าบ้านผมในยามเช้ามืดแบบนี้ ท้งยังมีพฤติกรรมชวนสงสัย จะเป็นใครไม่ได้ นอกจากพวกโจร หรือพวกย่องเบา และมันคงประสงค์ร้ายต่อบ้านผมแน่ ดีนะที่เจ้าหญิง มันเห่าเตือนก่อน ผมถึงได้รู้ตัว

โดยไม่รอช้า ผมถลาไปที่ประตูห้อง เปิดมันออก แล้ววิ่งลงไปที่ชั้นล่าง มือคว้าได้ร่มคันยาวที่เก็บไว้ข้างๆประตู ผมเตรียมไว้เป็นเครื่องทุ่นแรงหากต้องมีการต่อสู้กันกับพวกคนเลวที่คิดจะรวยทางลัดด้วยการลักขโมยของบ้านคนอื่น

ผมเดินอย่างระแวดระวังไปที่ประตูรั้ว แล้วสอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอก บ้านข้างๆ และ บ้านตรงข้าม เปิดไฟกันหมดแล้ว ทุกคนคงตื่นมาทำภารกิจส่วนตัวก่อนไปทำงาน มีเสียงเด็กร้องดังมาจากบ้านตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านผัวเมียวัยทำงานคู่หนึ่ง ลูกตัวน้อยของคนทั้งคู่เพิ่งอายุได้ประมาณ 7 เดือน กำลังน่ารักน่าชัง ผมเคยไปเล่นกับลูกเขาบ่อยๆ แล้วก็คิดว่าอยากจะมีเด็กน่ารักๆอยู่ในบ้านของผมบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะได้แต่งงาน

“หมาเห่าเสียงดังเลย มีอะไรเหรอ”

พี่สมชาย พ่อของเจ้าตัวน้อยตะโกนถามผม เมื่อเห็นผมยืนมองออกไปข้างนอกอย่างระแวดระวัง ผมหันไปมองเขา ก็เห็นเขากำลังออกกำลังกายอยู่ที่ในเขตรั้วบ้านของตนเอง

“พี่มาออกกำลังกายได้นานหรือยังครับ” ผมถามเขา

“เพิ่งออกมาตอนได้ยินเสียงไอ้เจ้าหญิงเห่านั่นแหละ ทำไมเหรอ”

“แล้วเห็นใครผ่านไปบ้างหรือเปล่า”

“เอ๋ ไม่เห็นใครเลยนะ นอกจากเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เพิ่งขี่รถจักรยานออกไปเมื่อกี้”

“เหรอครับ....”

...............................................

ผมรู้สึกงง เด็กส่งหนังสือพิมพ์ คงจะเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นจากบนห้อง ว่าแต่ เขามาที่หน้าบ้านผมทำไม ผมไม่ได้รับหนังสือพิมพ์สักหน่อย ส่วนใหญ่ก็ไปอ่านจากที่ทำงานเลย หรือว่า เจ้านี่จะเป็นสายให้โจร แล้วมาดูลาดเลาที่บ้านผม

“รับหนังสือพิมพ์แล้วเหรอ............มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ”

พี่สมชายถามขึ้นอีก ตอนนี้แกเดินมาเกาะรั้ว คุยกับผม

“หนังสือพิมพ์” ผมทวนคำอย่างงงๆ

“ไม่มีนี่ครับ ผมไม่เคยรับ”

“นั่นไง ที่ประตูรั้ว ตรงตู้จดหมายอ่ะ”

พี่สมชายบุ้ยใบ้ไปที่ประตูรั้ว ผมมองตาม แล้วก็ได้เห็นหนังสือพิมพ์สองฉบับวางซ้อนกันอยู่ ผมเดินไปหยิบทั้งหมดขึ้นมาดู มันเป็นหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง และใต้ตู้ไปรษณีย์มีถุงพลาสติกที่ใส่ของห้อยอยู่

ผมเอื้อมมือไปปลดมันออกมา ข้างในถุง เป็นโจ๊กร้อนๆ และน้ำเต้าหู้ พร้อมปาท่องโก๋ ตัวเล็กๆสี่ห้าตัวอยู่ในถุงกระดาษ ในถุงยังมีกระดาษขนาดครึ่งหน้า เอ 4 ใส่ไว้ด้วย มีลายมือเขียนด้วยปากกาเมจิกติดอยู่เต็มพรืดไปหมด ตอนแรกผมมองผ่านๆ อย่างไม่สนใจ แต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่ชื่อๆหนึ่ง ผมรีบกวาดสายตาอ่านข้อความนั้น

“เรียวของผมนี่ ขี้เซาจังเลยนะครับ ผมมากดกริ่งประตูตั้งนานก็ไม่ยอมตื่น ผมเอาอาหารเช้ามาฝาก พร้อมหนังสือพิมพ์ ทานเยอะๆนะครับ เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ ผมไม่คิดตังค์หรอก แค่คุณกินจนหมด ผมก็ดีใจแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ผมฝากจูบมาด้วย แล้วก็อย่าลืมนะครับ วันนี้ เราเป็นแฟนกันแล้ว ลงชื่อ....... เดียร์”

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วความหนักใจก็เข้ามาแทน ผมดีใจที่ไม่ใช่ขโมย หรือพวกสายโจรที่จะเข้ามาปล้นบ้านผม ที่อึดอัดเพราะรู้ว่า เป็นเด็กเดียร์คนนั้นนั่นเอง เขาเข้ามาใกล้ผมมากเกินไปเสียแล้ว จนผมนึกกลัว........ กลัวว่าผมจะสูญเสียอิสรภาพ

“อ้าว ไม่ได้รับหรอกเหรอ แต่พี่เห็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนนี้มายืนแถวบ้านเราหลายวันแล้วนะ นึกว่าเขามารอคุยกับเธอเรื่องการส่งหนังสือพิมพ์เสียอีก แปลกจัง แล้วทำไมถึงได้หนังสือพิมพ์ฟรีๆล่ะ หรือเป็นบริการให้ทดลองอ่านก่อนเป็นสมาชิก”

พี่สมชายถามอย่างงงๆ ผมตะโกนตอบไปว่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ขอตัวเดินเข้าบ้าน ผมเดินไปเข้าไปในครัว วางของทุกอย่างลงบนโต๊ะทานอาหารขนาดสองคนที่อยู่ในห้องนั้น เดินไปเปิดตู้เย็นและรินน้ำมาดื่ม จากนั้นก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ มองของที่เดียร์เอามาฝากด้วยดวงตาเหม่อลอย

ใช่จริงๆอย่างที่คิดเสียด้วย เจ้าหมอนี่ต้องคอยติดตามผมมา แต่เขารู้ได้ไงว่าบ้านผมอยุ่นี่ ผมครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ และแล้วปริศนาที่ค้างคาใจผมตลอดมา ก็พลันพบคำตอบ ต้องเป็นจากนามบัตรใบนั้นที่ผมให้ไว้ที่โรงพยาบาลเป็นแน่ มันระบุที่ทำงานของผม เขาคงไปดักรอผมที่นั่น แล้วก็ตามผมมาจนกระทั่งถึงบ้าน ฝีมือการติดตามของเขานี่เทียบชั้นได้เท่ากับนักสืบจริงๆ เพราะผมไม่เคยระแคะระคายเลยว่ามีคนคอยติดตามผมอยู่ตลอดเวลา ผมชักเริ่มวิตกกังวลเสียแล้วสิ

ผมทิ้งข้าวของไว้บนโต๊ะแบบนั้นโดยไม่แตะต้อง เดินเข้าห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ แต่งตัว ขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา ผมมองดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นมา มันเป็นรหัส 02 ใครกันนะ ผมคิดขณะกดรับและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“ทานโจ๊กที่ผมซื้อให้แล้วหรือยัง”

มีเสียงกระตือรือล้น ตอบมาทางปลายสาย ด้วยประโยคคำถาม ผมจำเสียงนั้นได้ดี

“เที่ยวได้ด้อมๆมองๆบ้านคนอื่นเขา ระวังจะเจอข้อหาขโมย หรือสายโจรนะ”

ผมเอ่ยทักทายเขาด้วยข้อกล่าวหา มีเสียงหัวเราะร่าเริงมาจากคนที่อยู่ปลายทาง

“เสียดายจังที่เรียวไม่ยอมตื่น ผมอยากเห็นหน้าเรียวจังเลย คิดถึงมากเลยรู้มั๊ย นอนไม่หลับเลยทั้งคืน อยากให้ถึงเช้าเร็วๆจะได้มาหา”

“เก่งมากเลยนะ ที่ตามมาถึงบ้านฉันได้ถูก คงจะติดตามมานานล่ะสิ”

ผมถามในข้อที่สงสัยมานาน เด็กหนุ่มอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆมาตามสาย

“ก็นับตั้งแต่เข้ากรุงเทพฯมาน่ะแหละครับ ผมก็มาตามหาคุณจากที่อยู่ในนามบัตร อยากจะมาขอบคุณเรียวที่ช่วยผมไว้หลายครั้ง แต่ตอนที่เจอคุณที่บริษัท ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวคุณเลย คุณจะมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมตลอดเลย ผมก็เลยแอบตามคุณมาจนเจอบ้านนะครับ ก็ขอโทษด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำแบบนี้ ทำไงได้ล่ะ ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมจะเจอคุณได้อย่างไร”

“แล้วนี่มาวนเวียนแถวบ้านฉันนานเท่าไหร่แล้วนี่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

ผมถามเขาอย่างฉุนๆ แต่เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสุข

“ก็เกือบอาทิตย์แล้วครับ ก็มายืนหน้าบ้าน มองขึ้นไปเผื่อว่าจะเจอคุณบ้าง บางทีก็อยู่รอคุณจนกระทั่งคุณขับรถออกไปทำงานถึงได้กลับครับ มีความสุขมากเลยที่ได้เห็นคุณ แต่วันนี้ผมต้องรีบไปส่งหนังสือพิมพ์ที่อื่นต่อ ก็เลยไม่ได้อยู่รอเจอหน้าคุณครับ”

ผมแค่นหัวเราะใส่โทรศัพท์ และพูดจาประชดประชันใส่เขา

“ทำงานหลายอย่างมากเลยนะนายเนี่ย ทั้งนักมวย นักแสดงคาร์บาเร่ต์ โจรลักพาตัว เด็กส่งหนังสือพิมพ์ นักสืบ ยังมีงานอื่นๆอีกไหมที่นายทำ”

“ก็หลายอย่างครับ ทำไงได้ล่ะครับ คนมันไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่นา พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่มี ก็ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองนะครับ แต่ว่า งานนักสืบ กับ งานเป็นโจรลักพาตัวนี่ ไม่ได้ทำเพื่อเอาเงินนะครับ ทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ตอนนี้งานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีนักสืบ ไม่มีโจรแล้วล่ะครับ จะมีก็แต่งานเป็นพ่อบ้าน กับ เป็นบอดี้การ์ด ดูแลร่างกาย และจิตใจของเรียว ไม่รู้ว่าจะยอมให้ผมทำได้เมื่อไหร่นะครับ”

เด็กหนุ่มตอบโต้ผมด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ดูเขาจะไม่ถือสาเอาคำพูดประชดประชันของผมมาเป็นอารมณ์เลย
“รอไปเถอะ” ผมตอบ

“แหมเรียวก็ แต่ยังไงก็อย่าลืมน้า……ว่าเราเริ่มเป็นแฟนกันวันนี้แล้วนะครับ”

“พูดมากเข้าไปเถอะ  เดี๋ยวจะแกล้งลืมซะเลย” ผมขู่

“แต่ผมเชื่อว่า เรียวไม่ทำหรอกใช่ไหมครับ” เขาส่งเสียงอ้อนมาตามสาย

“.....................”

ผมไม่ตอบอะไร ทำเป็นเฉย เขาเลยเปลี่ยนเรื่อง

“ยังไม่ได้ตอบผมเลยครับ ว่าทานอาหารเช้าที่ผมซื้อมาให้หรือยัง” เดียร์ทวงคำตอบ

“ยัง” ผมตอบสั้นๆ

“อ๊า .......ทำไมล่ะ” เขาร้องถามเสียงสูง

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เคยกินอาหารเช้า”

“ไม่ดีนะครับ ดูแลสุขภาพหน่อยสิ ผมเป็นห่วงนะ........”

เดียร์ตั้งท่าจะบ่นอีก ผมเลยรีบตัดบท ไม่อยากโต้ตอบ

“ฉันจะรีบไปแล้วนะเดียร์ ไว้วันหลังนะ”

“ก็ได้ครับ ดูแลสุขภาพให้ดีนะครับ รักนะ คนแก่โง่....”

“นี่ว่าใครแก่”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เดียร์หัวเราะอย่างร่าเริง

“แหมว่าแก่ไม่ได้เหรอ.......... ถึงจะแก่แต่ก็รักนะ”

“บ้าไปกันใหญ่ ฉันไม่คุยกับนายดีกว่า จะไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย”

“คร้าบบบบบบบ ผม ขับรถดีๆ แล้วคิดถึงผมบ้างนะ”

เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน แล้วส่งเสียงจุ๊บๆมาตามสายก่อนวางหู ผมมองโทรศัพท์ตาขุ่น เหมือนจะหวังให้คนปลายสายได้เห็น นึกสังหรณ์ใจว่า เหตุการณ์ชวนเลี่ยนแบบนี้ คงไม่เกิดกับผมแค่วันเดียว เป็นแน่ ว่าแต่ผมจะทนได้ละหรือ ถ้ามันเกิดซ้ำซากแบบนี้ทุกวัน เฮ้อ คิดแล้ว ก็อยากจะยกเลิกสัญญาเหลือเกิน ทำไมผมถึงไม่หาทางเบี้ยวเขานะ จะได้ไม่ต้องทนทรมานด้วยการเป็นแฟนกับเกย์แบบนี้ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นตามมาก็ไม่รู้ แค่คิดก็สยองแล้ว................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่1 By Katesnk
« ตอบ #99 เมื่อ: 09-11-2007 15:41:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #100 เมื่อ09-11-2007 22:40:17 »

 :o8:
น่ารักเชียว
มาต่อบ่อยๆหน่อยเน้อ :m29:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #101 เมื่อ10-11-2007 02:53:59 »

:m1:   ตามมา ให้กำลังใจแน๋ว จุ๊บๆ 
รออ่าน ต่อปายยยย...   o14

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #102 เมื่อ14-11-2007 12:22:30 »



                 เอามาต่อเร็วๆนะคับพี่แน๋ว

                 สนุกมากเลยคับ....... :m18:

                 เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปเนี่ย

                 อยากรู้แล้วค๊าฟ........ :m13:




ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #103 เมื่อ19-11-2007 17:37:51 »

มาลงชื่อ รออ่านตอนต่อไป

เฮ้อ น่ารักจัง ถ้ามีคนมาทำอย่างงี้กับเราก็ดีดิ รักตายเลย

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #104 เมื่อ19-04-2008 02:20:05 »

 :เฮ้อ: สงสัยคนที่เอาเรื่องมาลง คุณตะแหน๋ว คงจะไม่มีเวลามาโพสต์จริงๆ ถ้าอยากอ่านต่อกัน ก็ไปอ่านที่นี่ได้ค่ะ http://katesnk1405.invisionplus.net หรือไม่ก็ที่นี่นะคะ http://board.goozaa.com/index.php?topic=576.0

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2008 02:22:23 โดย katesnk »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #105 เมื่อ19-04-2008 11:04:34 »

เด๋วจะไปถามให้เคอะพี่เคทขา

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #106 เมื่อ04-05-2008 04:22:09 »


หวัดดีครับพี่น้อง  ผมเป็นแอดมินเวปพี่เคทนะครับ  เห็นเรื่องนี้ยังไม่จบอะ ก็เลยถือวิสาสะเข้ามาลงต่อ  อย่าโกรธกานนะค้าบ  

ที่อยากจะถามคือ จะให้ผมลงต่อมั้ย หรือว่าโมบ้านนี้จะลงเองครับ  พอดีผมมีต้นฉบับทั้งสามภาคอยู่น่ะ  พี่เคทเขารีไรท์  แล้วผมก็ต้องลงที่บ้านนู้นอยู่แล้ว

ยังไงก็บอกผมด้วยละกานน้า  ถ้าจะให้ผมลงต่ออะ  ผมจะได้ลงพร้อมกับบ้านนู้นเลย  ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ อิอิ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 3


มีงานกองอยู่บนโต๊ะ รอให้ผมพิจารณาอยู่ประมาณ 10 กว่าเคส เห็นจะได้ โดยส่วนใหญ่ เป็นเคสที่ทำประกันในวงเงินสูง บางเคสอ่านๆดูแล้วท่าทางน่าจะมีปัญหา

ที่แผนกเราจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกันชีวิตหลายคน แบ่งกันพิจารณาเคสตามภูมิภาค ผมรับดูแลภาคตะวันออก ซึ่งในทีมของผม ก็มีลูกน้องที่พื้นฐานเดิมเป็นนางพยาบาล

หรือคนที่เคยทำงานทางด้านนี้มาโดยตรงเป็นคนคอยพิจารณาเคส หากวงเงินไม่สูงมากนักพวกเขาก็จะพิจารณากันเอง แต่กรณีที่วงเงินเกิน ล้านขึ้นไป จะเป็นหน้าที่ผมที่จะพิจารณาตัดสินใจว่าจะอนุมัติหรือไม่
   

ผมใช้เวลาตลอดครึ่งเช้า อ่านเอกสารประกอบใบคำขอเอาประกัน ผมตอบรับไปสามราย และปฏิเสธไป 1 ราย เนื่องจากเมื่อตรวจสอบประวัติสุขภาพที่แนบมา พบว่าลูกค้ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก เพราะมีโรคประจำตัวหลายอย่างทั้งเบาหวาน และหัวใจ จนทำให้บริษัทเราไม่สามารถที่จะพิจารณารับประกันได้ แม้จะนึกสงสารเห็นใจลูกค้าก็ตาม แต่ในแง่ของการประกันแล้ว มันเป็นการคุ้มครองภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า ไม่ใช่มีภัยมาก่อนการทำประกัน เพราะมันจะก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมกับลูกค้าคนอื่นๆที่ร่วมกันจ่ายค่าเบี้ยประกันเข้ามา ตอนแรกผมพยายามช่วยเหลือ หากเขาไม่เป็นอะไรมากนัก ก็คิดว่าจะเพิ่มเบี้ยประกันในอัตราที่สูง กับไม่ขายสัญญาเพิ่มเติมที่คุ้มครองสุขภาพให้ เนื่องจากเขาเป็นโรคมาก่อน แต่ความเสี่ยงภัยที่เขามีอยู่มันเกินกว่าที่จะรับได้จริงๆ ก็เลยจำต้องปฏิเสธการรับประกันออกไป
   

ขณะที่ผมกำลังนั่งพิจารณาเคสที่ 4 อยู่ ซึ่งเจ้าของเคส เป็นเด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆ  แต่ซื้อประกันมา 20 ล้าน โดยที่อ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของธุรกิจ ผมสงสัยอยู่ว่า เด็กซึ่งอยู่ในวัยเรียนแบบนี้ จะสามารถดูแลกิจการที่ใหญ่โตได้ยังไง ผมโทรไปหาเพื่อนที่อยู่ฝ่ายตรวจสอบ ให้เขาช่วยส่งคนออกไปสืบดูเคสนี้ให้หน่อย พอวางหูลง เจ้าสันต์เพื่อนผมก็โผล่หน้าเข้ามาในห้อง มันไม่ยอมเคาะประตูก่อน อาศัยว่าตำแหน่งหน้าที่การงานเท่ากัน และเป็นเพื่อนกัน จึงถือวิสาสะเดินเข้ามาเฉยๆ มาถึงก็ส่งเสียงดังตามสไตล์

“เฮ้ย เรียว แกไปไหนมาวะ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันติดต่อแกไม่ได้เลย”

“อ้าว ยังอยู่เหรอ ค่อยโล่งอกไปหน่อย นึกว่าถูกสองคนนั่น มอมยา ฆ่าหมกป่าไปแล้ว”

ผมทักเจ้าสันต์ หลังจากที่มันหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ตรงหน้าโต๊ะผม

“อ้าว ไอ้เนี่ย ปากเสียแต่เช้าเลยไหมล่ะ เห็นหน้าเพื่อนก็พูดจาดีๆหน่อยก็ไม่ได้ แล้วว่าไงล่ะเฮ้ย  แกยังไม่ได้ตอบฉันเลย ว่าแกไปไหนมา”

“ก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปไหน”

ผมขี้เกียจบอกให้มันรู้ เพราะเจ้าสันต์มันเป็นพวก เจ้ากรมสอ ทอ รอ อยากรู้อยากเห็นไปหมด ตามนิสัยกึ่งชายกึ่งหญิงของมัน ถ้าไม่เพราะทำงานร่วมกันมานาน ผมคงเลิกคบมันไปแล้ว

“อย่ามาโกหกเลย ฉันโทรเข้ามือถือแก ก็ไม่ติด โทรที่บ้านก็สายว่าง แต่ไม่มีคนรับสาย แกไม่ได้อยู่บ้านแน่เลย ไปกับไอ้น้องคนนั้นใช่ไหม”

มันทำเป็นคาดเดา ซึ่งก็ถูกเสียด้วย ผมไปกับเจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจนั่น แต่เป็นการถูกจับไปโว้ย อยากจะบอกออกไปแบบนั้น แต่ไม่ดีกว่า ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เกิดปากโป้งขึ้นมา ผมได้อายคนทั้งบริษัทแน่ สู้เก็บเงียบไว้เป็นความลับเฉพาะผมกับเจ้าเด็กเดียร์ดีกว่า

“ไอ้น้องคนไหน”

ผมแกล้งทำเป็นไขสือ เหลือบตามองดูนาฬิกา อีก 10 นาที เที่ยง ผมมีเวลาคุยกับมันได้

“น้องคนที่บอกว่าเป็นแฟนแกนะ”

มันทำเป็นรำคาญที่ผมทำท่าว่าไม่รู้เรื่อง

“อ๋อ เด็กคนนั้นน่ะเหรอ ....ไม่ใช่โว้ย..... แฟนเฟินที่ไหนกัน.....ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับแกนี่ จะได้มีแฟนเป็นเกย์ หรือกะเทย”

ผมปฏิเสธแล้วแกล้งด่ามันทางอ้อม

“เออแล้วไงวะ ชอบเกย์แล้วมันผิดตรงไหนวะ แต่ละคนก็หล่อล่ำ กล้ามแน่น ดีกว่าพวกผู้หญิงเนื้อนิ่มๆหยุ่นๆอีก”

มันตอบผม ท่าทางคงเคืองผมมากที่ไปว่ามัน ผมยิ้มขำกับความช่างเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงผู้ชายที่มันบอกเมื่อครู่ พลางนึกในใจว่าของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้ บางทีหากมันได้
สัมผัสเนื้อตัวของผู้หญิงมันอาจจะชอบจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ในทางกลับกัน ผมซึ่งถูกผู้ชายสัมผัส อาจจะหลงใหลได้ปลื้มจนลืมผู้หญิงไปเลยก็ได้

“ชอบก็ชอบสิ ใครจะไปว่าอะไรได้ล่ะ”

“นายเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกันแหละว้า ทำมาว่าคนอื่นดี”

เจ้าสันต์กล่าวหา

“ไปเอามาจากไหนวะ ว่าฉันชอบผู้ชาย ไม่เคยพูดเลยนะ”

“ก็แกน่ะแหละบอกฉันอยู่ วันนั้นอ่ะ ฉันได้ยินกับสองหูเลย ว่าเด็กนั่นแฟนแก ดูก็รู้ว่าเด็กนั่นเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน มันก็เป็นเกย์สิวะ จะให้เป็นอย่างอื่นได้ไง หรือ แกจะ
บอกว่าแกเป็นไบ ชายก็ได้ หญิงก็ดี แหม แต่แกเนี่ย ไม่มีวี่แววเลยนะโว้ย แอ๊บแมนโคตรเก่งเลย ฉันน่ะ หลงเชื่อสนิทใจเลยว่าแกเป็นผู้ชายแท้”

   เจ้าสันต์ลิ่วตาล้อ ผมล่ะอยากจะบ้าตาย ที่มันช่างคิดไปได้ไกลขนาดนั้น

“ก็ผู้ชายแท้สิวะ”

“จริงอะ อย่ามาอำน่า ผู้ชายบ้าอะไรมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน”

เจ้าเพื่อนผมยังทำท่าไม่เชื่อ ดูเหมือนว่าใจคอเจ้าสันต์คงจะอยากได้ผมเป็นพวกเดียวกับมันด้วย พิลึกคนจริงเชียว ใจคอจะไม่ให้เหลือผู้ชายแท้ๆไว้บนโลกใบนี้เลยหรือ

“อุวะไอ้นี่ บอกว่าฉันเป็นผู้ชายก็ผู้ชายสิ เด็กนั่นใช่แฟนฉันซะเมื่อไหร่ ฉันไปเจอเขาในห้องน้ำ เขากำลังทะเลาะอยู่กับเกย์สองคน เด็กนี่แอบเข้ามาในร้าน ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง โดยมีพวกนั้นพามา เสร็จแล้วไอ้พวกนั่นก็จะเรียกร้องบุญคุณให้เด็กนั่นออกไปมีอะไรด้วย ฉันทนเห็นเด็กนั่นถูกรังแกไม่ได้ เลยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยอ้างว่าเป็นแฟนเด็กนั่น ไม่งั้นเกย์สองคนนั่น ไม่ปล่อยเจ้าหนูนั่นแน่ แกก็เข้ามาเห็นพอดีนี่”

ผมเล่าไปตามความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดจะปิดบัง

“ช่วยบ้าอะไรวะ ด้วยการบอกว่าตนเองเป็นเกย์แล้วก็มีแฟนเป็นเกย์”

“ก็อย่างน้อยๆมันก็ได้ผลล่ะวะ แถมซ้ำเพื่อนของแกสองคนนั้นก็เชื่อฉันสนิท ยอมรามือไม่มาวุ่นวายอ่ะ รวมถึงแกด้วยที่เชื่อว่ามันเป็นจริง ก็แสดงว่าใช้ได้ใช่ไหมล่ะ”

“อ๋อ นี่แผนแกเหรอวะ” เจ้าสันต์ถามผม

“ช่าย ฉันไม่อยากไปกับแกและสองคนนั้นนี่ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร อีกอย่างแกก็ทำท่ากระดี๊กระด๊าอยากไปมาก ถ้าฉันขัดแก แกก็คงจะโกรธฉัน พอดี ตอนเข้าห้องน้ำไปเจอเด็ก
นี่ แล้วฉันพาเขาออกมาข้างนอก ฉันก็เลยได้โอกาส อำว่าเขาเป็นแฟนฉัน  แล้วทำไมเหรอ แกโกรธหรือไง”

ผมตอบ แล้วถามมันกลับ

“ไม่ทำไมหรอก แค่อยากจะขอบคุณนายนะ ที่ทำอย่างนั้นอ่ะ”

เจ้าสันต์ยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี

“มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นล่ะสิ ถึงได้หน้าบานเป็นจานเชิงแบบนี้” ผมดักคอมันอย่างรู้ทัน

“ก็นิดหน่อยนะ อยากรู้ล่ะสิ” มันทำท่าอมพะนำ

“อย่ามาทำเป็นโยกโย้น่า อยากเล่าก็เล่ามา ถ้าไม่อยากเล่า ฉันก็จะได้ไปกินข้าว”

ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ แยกงานที่ทำกำลังทำคั่งค้างอยู่ ออกจากงานที่ยังไม่ได้ทำ ทำท่าไม่ใส่ใจกับเรื่องที่มันจะเล่า เจ้าสันต์คงคันปาก แต่ไม่อยากเล่าง่ายๆ มันรีบหาประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นทันที

“ถ้าฉันยอมเล่า นายก็ต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ”

“ตลกบริโภคอีกแล้ว”

ผมว่ามัน แล้วหัวเราะอย่างขำขำ

“เออน่า นึกว่าสงเคราะห์หน่อย ช่วงนี้ช๊อตว่ะ”

“ทั้งปี หมดเงินไปกับหนุ่มล่ะสิ ก็ได้ฉันเลี้ยงแกแค่มื้อนี้เท่านั้นนะโว้ย”

“ขอบใจมากนะเพื่อน งั้นไปกินร้านเดิมนะ ที่ร้านบ้านคุณป้าน่ะ ไหนๆนายก็เลี้ยงทั้งที อาหารร้านนั้นอร่อย แล้วอีกอย่างหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟที่มาใหม่ หล่อเป็นบ้าเลยว่ะ มีคนบอกมา
ว่างั้น แต่ฉันก็เคยเห็นแว่บๆแค่ครั้งเดียวเอง ยังไม่เคยเห็นหน้าชัดๆสักครั้ง คราวนี้จะได้เห็นสมใจอยาก ถ้าหล่อจริง ฉันก็จะจีบเลยล่ะวะ”

เจ้าสันต์ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ ท่าทางจะหลงเชื่อคำพูดคนอื่นจริงๆ เจ้านี่มันเซนต์ซิทิฟง่าย กับเรื่องหนุ่มๆ เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้ กระดี๊กระด๊าเป็นปลากระดี่ได้น้ำขึ้นมาทันที

“เอาอีกแล้วไอ้บ้านี่ โรคบ้าผู้ชายกำเริบอีกแล้ว  แล้วสองคนนั่นล่ะ เห็นนัวเนียไม่ยอมห่าง”

“อ๋อ......เสร็จฉันไปเรียบร้อยแล้ว เห็นหล่อล่ำ กล้ามโตอย่างนั้น ที่ไหนได้ สาวแตกเลยว่ะ แรกๆฉันก็รู้นะว่าพวกนั้นน่ะไม่ชอบฉันเท่าไหร่ เขาคงชอบแกมากกว่า แต่หลังจากเรา
ผ่านค่ำคืนไปด้วยกัน กลับติดฉันหนึบเลยว่ะ ทั้งสองคนเลย พวกเราใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเลย แทบไม่มีใครได้เห็นเดือนเห็นตะวันกัน เพราะอยู่แต่ในห้อง ฉันอุตส่าห์โทรไปหาแกก็ดันไม่รับสาย จะคุยให้ฟังเสียหน่อย นี่ก็นัดจะไปเจอกันอีกเสาร์หน้านี้ อดใจแทบไม่ไหวแล้ว”


สันต์เล่าด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ ทำท่าอย่างกับเป็นผู้ที่สามารถพิชิตภูเขาลูกที่สูงที่สุดได้ ผมรู้สึกหมั่นไส้ที่มันลั้ลลาเกินเหตุ แล้วก็อดหวั่นวิตกแทนมันไม่ได้ หากมันยังใช้ชีวิตมั่วแบบนี้

“ระวังเอดส์จะถามหาแล้วกัน”

“มือชั้นนี้โว้ย รับรองไม่พลาด ป้องกันสุดฤทธิ์”

“เออแล้วไม่เลือกเอาคนใดคนหนึ่งล่ะวะ มั่วแบบนี้จะดีเหรอ” ผมถามมันอย่างเป็นห่วง

“อ้าว ก็มันดันเลือกไม่ได้นี่หว่า หล่อแล้วก็ถูกใจสองคน ไอ้พวกนั้นก็ถามฉันอย่างนี้เหมือนกัน ฉันก็ให้คำตอบไม่ได้ บอกแต่ว่าสามคนแบบนี้ก็มีความสุขดี อยากลองคบกันไปแบบนี้
สักพักก่อน แล้วค่อยมาบอกว่าจะอยู่กับคนไหน พวกนั้นมันก็ยอมฉันแบบเสียไม่ได้ คงจะติดใจฝีมือฉันอ่ะ”
มันหัวเราะอย่างมีความสุข ดูมันมั่นใจฝีไม้ลายมือของมันที่สามารถจับสองหนุ่มนั่นจนอยู่หมัด แม้ผมจะยังรู้สึกวิตกกังวลในเรื่องของมัน แต่ก็อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้

“หัวเราะอะไร”

มันมองผมอย่างหาเรื่อง คงคิดว่าผมหัวเราะเยาะมัน

“เปล่า”

ผมปฏิเสธ แต่หน้ายังไม่หยุดยิ้ม พอเห็นมันมองผมตาขวาง ผมก็ลุกขึ้น เดินมาหามันแล้วโอบบ่ามันไว้ พามันเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออก

“เดินไป คุยไปดีกว่า เดี๋ยวร้านนั้นคนแน่น จะอดกินนะ”

“เออว่ะ ก็ดีเหมือนกัน”

มันเปลี่ยนจากสีหน้าบึ้งตึงมาเป็นยิ้มแย้ม ข้อดีอีกข้อหนึ่งของเจ้าเพื่อนคนนี้คือ โกรธง่ายหายเร็ว เลยทำให้เราไม่ค่อยจะทะเลาะกัน

“ว่าแต่แกไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย  หายหัวไปไหนมา บอกฉันมาสิ”

มันวกกลับมาถามเรื่องเดิม ผมยิ้มให้มันทำท่าว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“อ่อ เผอิญมีธุระนิดหน่อย”

ผมโกหกออกไป ไม่อยากเล่าความจริงให้เขาฟัง เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่ หมอนี่ยิ่งทำท่าปักใจว่าผมเป็นเกย์อยู่ด้วย

“ธุระอะไรของแกวะ  มันยุ่งมากถึงขั้นไม่รับสายเพื่อนเลยหรือไง”

“พูดไปแกก็ไม่รู้หรอก ขี้เกียจอธิบายด้วย”

“แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ ไปด้วยกันหรือเปล่า”

“ไม่ได้ไป”

ผมโกหกอีกครั้ง จะบอกได้ไงว่า เด็กหนุ่มคนนี้แอบสะกดรอยตามผมไป โปะยาสลบผมจนมึน ลักพาตัวผม มัดผมไว้ ทำอนาจารผม แล้วก็ทำให้ผมต้องตกลงยอมเป็นแฟนกันเขา
โดยไม่เต็มใจงั้นเหรอ ใครจะกล้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้มันฟัง

“ทำไมฉันต้องพาเด็กนั่นไปด้วยล่ะ”

“อ้าว จะไปรู้เหรอ ฉันว่าเด็กนั่นดูท่าทางน่ารักออก ถึงจะเห็นในมุมมืดก็ตาม แต่ท่าทางดูดีเชียว เป็นฉันล่ะก็จะสวมรอยทำตัวเป็นแฟน พาไปเที่ยวกันสองต่อสองซะเลย”

มันทำท่าหื่นกาม ผมอดขำมันไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้มันได้ใจ เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้ จ้องจะงาบ จ้องจะฟัน ผมก็เลยด่ามัน

“ไอ้บ้า ใครจะเหมือนแกวะ ไอ้เฒ่าหื่นกาม เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้เลยนะ ฉันน่ะ พอแกไปแล้ว ฉันกับเด็กนั่นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ฉันช่วยเขา เขาช่วยฉัน จบกัน ไม่มี
อะไรติดค้าง ไม่มีอะไรต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก”

ไม่ใช่หรอก....มีสิ ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้บอกมันออกไป การไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กบ้านั่น มันส่งผลมากกว่าที่ผมจะคาดคิดได้ มันทำให้ผมต้องกลายมาเป็นแฟนเจ้าหมอนั่น ถึงตั้ง 6 เดือนแน่ะ

“ทำไมแกไม่ขอเบอร์น้องคนนั้นไว้วะ” มันต่อว่าผม

“ขอทำไมวะ” ผมงง

“ก็ขอให้ฉันไง”

เจ้าสันต์มองผม ประมาณว่า ผมนี่ช่างซื่อบื้อ ไม่รู้อะไรเลย

“..........”

ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ เจ้าสันต์เห็นผมทำหน้างงๆ มันก็เลยเฉลย

“ก็แกไม่ชอบ แต่ชั้นชอบนี่ เสียดายนะ ที่เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ข้างในมันมืด ตอนออกมาข้างนอก ไอ้น้องคนนั้นก็ดันไปยืนอยู่ในที่มืดๆอีก เหมือนไม่อยากให้ใครเห็นหน้าชัดๆเลย ไปทำความผิดอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็น่าสนวะ ดุจากหุ่นแล้วดีมาก ใบหน้าใต้เงามืดนั่น ฉันก็ว่าต้องหล่อแหงๆ ถ้าแกไม่ชอบก็แนะนำให้ฉันรู้จักก็ได้นี่”

หล่อสิ โคตรหล่อเลยล่ะ แต่ถ้าเพื่อนผมมันรู้ว่าหมอนี่ทำกับผมยังไง มันจะชอบลงเหรอ แต่ก็ไม่แน่หรอก เจ้าสันต์อาจจะติดใจเลยก็ได้ อยู่ดีๆผมก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไรหนอ ถ้าผมแนะนำให้เจ้าสันต์รู้จักเด็กนั่น ถ้าให้มันจีบ แล้วเด็กนั่นเกิดชอบ สองคนนี้เป็นแฟนกัน ผมก็รอดตัว เดียร์ก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผมต่อไป สัญญาของเราสองคน ก็เป็นอันยกเลิกไป


ความคิดของผมสะดุดลง เมื่อเราสองคนเดินไปถึงลิฟท์ มีคนยืนรออยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นคือ “อรจิรา” คนรักที่เพิ่งลาจากกันของผม เธอยืนสวยสง่าอยู่ในชุดสูทไหมพรมคอปิดแขนสั้นสีดำ และกางเกงสีครีมนวล ผมดำสนิทของเธอ ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง เธอกำลังยืนหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับชายหนุ่มร่างใหญ่ แต่งกายภูมิฐาน นายอนันต์ เลิศฤทธิรน ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน ผู้มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอก และลูกชายของหุ้นส่วนบริษัท ศัตรูหัวใจคนสำคัญของผม ผมพ่ายแพ้รักในครั้งนี้ เพราะอรจิรา ตีจากผมไปหาคนที่พร้อมจะทำให้ชีวิตเธอสมบูรณ์มั่งคั่งขึ้น


ผมเดินช้าลง จนเจ้าสันต์สงสัย มันมองตามสายตาของผมจนไปเจอเข้ากับอรจิรา กับแฟนหนุ่มคนใหม่ มันมองหน้าผมอย่างเข้าใจ อรจิรากับเจ้าสันต์ไม่ถูกกันตั้งแต่แรก เพราะอดีตแฟนสาวของผมไม่ชอบให้ผมไปคบกับเพื่อนที่เป็นเกย์ เริ่มแรกเธอกลัวว่าผมจะกลายเป็นเกย์ตามไปด้วย หลังจากที่เจ้าสันต์รู้ว่าอรจิราไม่ชอบมัน มันก็เริ่มไม่ชอบหน้าแฟนผมขึ้นมา นอกจากนี้เจ้าสันต์ยังไม่ชอบที่อรจิราคอยแต่จะงอนผมอยู่ตลอดเวลา แล้วให้ผมเป็นฝ่ายง้อ มันชอบยุยงส่งเสริมให้ผมเลิกกับเธอบ่อยๆ แล้วในท้ายที่สุด ความรักของผมกับเธอก็สิ้นสุดลง แต่ไม่ได้เกิดจากการที่ผมเชื่อคำยุของเจ้าสันต์ แต่เป็นเพราะเธอ เจอคนใหม่ที่ดีกว่า และรวยกว่า
 
.

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #107 เมื่อ04-05-2008 04:25:26 »

“สวัสดีครับ คุณอรจิรา”

เพื่อนผมทักทายเธอด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมที่สุด มันโค้งให้อรจิรา ซะหัวเกือบถึงเข่า อรจิรามีสีหน้าตกใจที่เห็นผมกับเจ้าสันต์ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นทำหน้าเชิดใส่

“อ้าวสวัสดีคุณสันต์ คุณเรียว จะไปทานข้าวหรือครับ”

ศัตรูหัวใจของผม ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเขาดูเป็นคนดี น่าคบหา เสียดายไม่น่ามาแย่งผู้หญิงไปจากผมเลย แต่จะโทษเขาก็ไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าอรจิรากับผมเคยเป็นแฟน
กัน เนื่องจากเขาเพิ่งจะมารับตำแหน่งใหม่เพียงแค่หกเดือน อรจิราเก่งมากที่สามารถจับเขาเป็นแฟนได้ เธอเจอเขาเมื่องานปิกนิกของบริษัทเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา อรจิราขึ้นไปประกวด เป็นขวัญใจชาวประกัน แล้วก็คว้าตำแหน่งมาได้ โดยที่นายอนันต์คนนี้เป็นผู้ขึ้นไปมอบรางวัล แล้วสองคนนั่นก็สานความสัมพันธ์กันเรื่อยมา

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ตามองไปที่แฟนสาวของผมที่ยืนปั้นหน้าเชิดอยู่

“หวัดดีอร”

ผมทักทายเธอ แต่อรจิรา เพียงแค่หันมาพยักหน้าให้ผม สันต์เบ้หน้า คงไม่ชอบใจที่เห็น   อรจิรา ทำท่าแบบนั้นกับผม

“คุณอนันต์ไปทานที่ไหนหรือครับ”

เจ้าสันต์หันมาถามศัตรูหัวใจของผม เขาบอกชื่อร้านอาหารอิตาลีหรูหราแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดร้านอยู่ใกล้ๆกับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ร้านนี้ค่อนข้างแพงทีเดียว แพงจนผมคิดว่าคงไม่มีปัญญาที่จะไปกินอย่างนั้นได้บ่อยๆ เขาถามพวกเรากลับว่าไปกินที่ไหน เจ้าสันต์ชิงตอบว่า เราสองคนจะไปทานอาหารที่ร้านบ้านคุณป้า ร้านอาหารเก่าแก่ ที่ต้องเดินไปอีกสองช่วงตึกถึงจะเจอ พวกเราชอบไปกินที่นั่นบ่อย เพราะแม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อย ร้าน ถึงแม้ว่าจะเอาส่วนหนึ่งของบ้านมาทำ แต่การจัดแต่งบ้านก็ดูสวยดี แถมซ้ำบ้านก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ แสดงออกถึงความผูกพันที่แยกไม่ออกระหว่างคนที่เป็นเจ้าของและธรรมชาติ

“ผมเคยเห็นร้านนี้เหมือนกัน บรรยากาศน่านั่ง เป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งดูสวยทีเดียว คิดว่าวันหลังจะไปนั่งทานดูบ้าง ได้ยินมาว่า อาหารร้านนี้ทำอร่อยมาก”

“ครับผมกับเพื่อนชอบไปทานบ่อยๆครับ ทานเป็นประจำ เกือบจะทุกสัปดาห์เลย มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ไปร้านนี้เสมอ คนทำอาหารที่นี่ทำเก่ง แล้วราคาก็ไม่แพงด้วยครับ”

ผมบอกเขาถึงความชื่นชอบที่มีให้กับร้านนี้

“เมื่อก่อนเราไปกันหลายคนครับ แต่ตอนนี้เพื่อนบางคนของเราเขาไม่ชอบทานอาหารไทยแล้ว เขาชอบทานอาหารอย่างอื่นมากกว่า เขาคงเห็นว่า อาหารร้านนี้ มันคงไม่ถูกปาก
น่ะครับ”

เจ้าสันต์อดไม่ได้ที่จะแดกดัน อรจิรา ผมเห็นอดีตคนรักของผม ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เธอเกาะแขนหนุ่มคนใหม่ของเธอโดยอัตโนมัติ และดึงเบาๆ

“ไปกันเถอะค่ะคุณอนันต์ อรหิวแล้ว”

“ก็ดีครับ ผมก็หิวเหมือนกัน”

เขาหันมาบอกเธอด้วยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันมาขอตัวกับผม พอดีลิฟท์มาถึง คนทั้งสองก็ก้าวเข้าไป มีพนักงานบริษัทผมอีกสองคนก้าวตาม ผมทำท่าลังเล จะไม่ไปกับลิฟท์ตัวนี้ แต่เจ้าสันต์ฉุดผมให้ก้าวตามไปด้วย มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอนดันผมให้ไปยืนเผชิญหน้ากับอรจิรา ความจริง ลิฟท์ไม่ได้เต็มจนกระทั่งเบียดกัน แต่มันจงใจที่จะให้ผมเผชิญหน้ากับอรจิรามากกว่า


เธอยืนนิ่ง เม้มริมฝีปาก ตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขที่ระบุชั้น มันค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆและเปิดออกตามชั้นต่างๆที่กดเรียก มีผู้โดยสารคนใหม่เดินเข้ามาเรื่อยๆ เจ้าสันต์ก็ยิ่งเบียดผมให้ชิดอรจิรามากยิ่งขึ้น ผมสังเกตเห็นความอึดอัดใจฉายชัดบนสีหน้าและแววตาของอดีตคนรักของผม เธอคงนึกภาวนาให้ลิฟท์มันถึงชั้นล่างไวไว เพื่อที่จะได้ออกไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจนี้


ในที่สุดลิฟท์ก็เปิดออก ผมรอให้คนอื่นๆออกไปก่อน จากนั้นก็รีบเดินออกไปก่อนอรจิรา ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเลิกกันไปแล้ว ผมก็ไม่ปรารถนาจะเป็นศัตรูกับเธอ อย่างน้อยๆในอดีต เราก็เคยรักกัน แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนใจจากผม แต่ผมก็ไม่มีสิทธิจะไปโกรธเธอ เพราะผมเองที่ให้ทุกอย่างที่เธอต้องการไม่ได้
พวกเราเดินแยกไปทางด้านขวาของตึก ส่วนอรจิรา และคุณอนันต์เดินแยกไปทางซ้าย ตลอดทางในการเดินไปยังร้านบ้านคุณป้า ผมไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าสันต์แม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งมันอดรนทนไม่ได้จึงพูดเหน็บแนมผมขึ้นมา


“เห็นแฟนเก่า แล้วทำเป็นอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเลยนะ ยังตัดใจไม่ได้หรือไง”

“เปล่า”

ผมปฏิเสธ มันไม่จริงทั้งหมดหรอก การได้เห็นอรจิรา มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผมบ้าง แต่เป็นเชิงเห็นอกเห็นใจมากกว่า ผมมีความรู้สึกว่า เธอกำลังปกปิดความลับเรื่องผมกับแฟนคนใหม่อยู่ แล้วการที่เธอทำอย่างนั้นทำให้เธอไม่มีความสุข เพราะต้องคอยระแวดระวังว่า จะมีใครมาเปิดโปงความลับของเธอ

“ฉันเห็นแกมองเขาตาละห้อยเชียว ตัดใจเสียทีเถิดว้า เขาไม่รักแก อย่างที่แกรักเขา ตีจากแกไป หาคนที่ดีกว่ารวยกว่า แล้วทิ้งให้แกชอกช้ำใจ แกจะไปคิดถึงเขาทำไมอีก ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกนะโว้ย แต่ถ้าแกไม่เจอผู้หญิงดีๆจริงๆ ฉันก็จะแนะนำให้แกรู้จักผู้ชายดีๆสักคน เพื่อว่าแกจะมีดวงทางนี้”

เจ้าสันต์พูดปลอบใจผม พร้อมเสนอตัวเป็นพ่อสื่อ ผมฟังข้อเสนอของมันแล้วสะดุ้งเฮือก ตรงที่มันบอกว่า ผมอาจจะมีดวงทางมีแฟนเป็นผู้ชาย คำพูดมันจี้ใจผมจริงๆ

“ไอ้บ้า ไม่มีทางโว้ย”

ผมรีบพูด ใจก็คิดว่า ผมไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นจริงๆหรอก

“จริงๆนะ ผู้ชายบางคนก็เป็นคนที่ดี แล้วก็พร้อมที่จะมีรักแท้ด้วย เพียงรอให้แกเปิดใจกว้างเท่านั้น ฉันว่าถ้าแกมองข้ามเรื่องเพศที่กำเนิดไป แล้วมองถึงความดีในจิตใจของคน แกอาจจะเจอผู้ชายสักคนที่แกถูกใจก็ได้ ฉันว่าหน้าอย่างแกน่ะ หาไม่อยากหรอก หน้าตาออกแนวหวานๆใสๆแบบนี้ มันสเปคเกย์ชัดๆ รับรองมีผู้ชายมาชอบแกเยอะแน่ๆ เพียงแต่พอแกไม่เปิดทางให้พวกเขา เขาก็เลยไม่กล้าเข้ามาหาแกไง”

มันพยายามโน้มน้าวผม ท่าทางคงอยากได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์รักร่วมเพศเพิ่มขึ้นมาอีกคน

“ฉันไม่เปลี่ยนใจเป็นเกย์หรอกโว้ย”

“เออซิวะ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ฉันไม่ได้ให้แกลุกขึ้นมากลายเป็นเกย์ซะเมื่อไหร่ แค่ให้แกลองเปิดโอกาสให้คนที่รักแกเข้ามาในชีวิต อาจจะหญิงหรือชายก็ได้ อย่าปิดกั้นตนเอง อย่าเอาความผิดหวังจากความรักครั้งเก่า มาทำให้แกไม่ยอมจะมีรักอีกครั้งน่ะ”

เจ้าสันต์บอกผม ดูท่าทางมันซีเรียสจริงจัง กับการมี หรือไม่มีแฟนของผมมาก ผมเดาเอาว่า เป็นเพราะความรักเพื่อน ที่เจ้าสันต์มันแสดงออกต่อผม กับความหมั่นไส้ในตัวของอรจิรา ที่ทำให้ผมอกหักช้ำใจ มันต้องการให้ผมมีแฟนคนใหม่เร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงอรจิราอีก แต่การที่มันพยายามให้ผมเปิดโอกาสให้ผู้ชายเข้ามาในชีวิตผมนี่สิ ผมไม่เข้าใจเจตนามันจริงๆ แล้วถ้าผมเกิดมีแฟนเป็นเกย์อย่างที่มันอยากให้เป็น ชีวิตผมในที่ทำงานจะยังมีความสุขเหมือนเดิมไหมนะ แล้วผมนะจะชนะอรจิราจริงๆหรือ จะทำให้เธอคิดว่าผมมีคุณค่าสำหรับเธออย่างที่เจ้าสันต์มันชอบพูดบ่อยๆ หรือจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เธอหัวเราะเยาะหาว่าผมสิ้นท่าจนต้องคว้าเกย์มาเป็นแฟนกันแน่

“แค่แกเปิดใจยอมรับ และเลิกรังเกียจพวกเราเท่านั้นแหละ ฉันว่าแกคงหาคนดีๆได้แน่”

เจ้าสันต์ยังคงโน้มน้าวต่อเนื่อง ผมทำเป็นเฉยๆกับสิ่งที่ได้ยิน นึกในใจว่า แค่เด็กเดียร์คนเดียวก็แย่แล้ว หกเดือนนี้ ผมคงต้องเผชิญอะไรอีกมากมายที่คาดเดาไม่ถูก เผลอตกปากรับคำไปแล้ว ก็ต้องอดทนจนกว่ามันจะสิ้นสุด

“บางทีถ้าแกได้ลองคบกับผู้ชายบางคนดู ได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับเขา ศึกษานิสัยใจคอกันไป นายอาจจะนึกรักคนๆนั้น โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นเพศอะไรก็ได้ ดีไม่ดี อาจจะครองรักกันได้อย่างยาวนานยิ่งกว่าชายจริงหญิงแท้อีกนะ ถึงแม้ว่าพวกเกย์อย่างฉันจะดูว่ามั่ว ดูว่าไม่เคยมีรักแท้ต่อกัน แต่ก็มีหลายคู่ที่อยู่กันมายืนยง โดยไม่เปลี่ยนใจต่อกันเลย
ฉันว่าคนดีๆ ที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างแก คงจะหาผู้ชายดีๆมารัก มาอยู่ด้วยได้แน่”

เจ้าเพื่อนตัวดีของผม ยังคงพล่ามถึงสิ่งดีๆที่ผมอาจจะได้รับ หากผมบังเอิญมีแฟนเป็นเกย์ขึ้นมา ผมคิดว่า เป็นเพราะมันเองนิยมชมชอบในตัวของผู้ชาย มันก็เลยพยายามจะให้ผมได้ลองรักผู้ชายดูบ้าง ผมไม่โต้ตอบอะไร เพราะขี้เกียจพูดเสริม หรือขัดคอมัน ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มันมากความ แต่ในใจนึกหวาดวิตก กลัวจะเป็นอย่างที่มันพูด ผมกลัวว่าเวลา 6 เดือนจากนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงผมไปจากสิ่งที่ผมเป็น

โชคดีที่เราเดินกันมาจนถึงร้านบ้านคุณป้าพอดี เรื่องที่เราคุยก็เลยยุติลงโดยปริยาย ผมเดินนำเจ้าสันต์เข้าไปในร้าน เวลาเที่ยงอย่างนี้ ร้านค่อนข้างจะแน่นพอสมควร ผมพยายามมองหาที่ว่าง แต่ก็ไม่เจอ มีแต่คนนั่งเต็มไปหมด พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นโต๊ะว่างที่อยู่ตรงซุ้มไม้เลื้อย ทางด้านใน ซึ่งอยู่ติดกับสวนสวยบ้านคุณป้า ซึ่งเป็นที่ประจำของผม ซึ่งมักจะมานั่งกินเสมอ แต่ตอนนี้ มีป้ายตั้งวางไว้ แสดงว่ามีคนจองไว้แล้ว ผมมองอย่างเสียดาย อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล แต่ก็ไม่มีที่จะให้นั่งทาน ผมหันหลังกลับด้วยความผิดหวัง แต่ยังไม่ทันจะบอกเจ้าสันต์ให้ไปหากินที่ร้านอื่น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง

“คุณเรียวใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ”

ผมมองพนักงานเสิร์ฟหน้าตาดีที่เรียกผมอย่างงงๆ  งงที่เขารู้จักชื่อผมได้อย่างไร

“ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนี้ครับ”

เขาบอกพลางเดินนำผมและเจ้าสันต์ไปยังทิศทางที่เป็นโต๊ะนั่งตรงซุ้มไม้เลื้อย ผมมองสบตากับเจ้าสันต์ มันแอบกระซิบถามผมว่า ผมจองไว้หรือเปล่า ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วตอบมันไปว่า ผมคิดว่ามันจอง พอมันส่ายหน้า ผมก็ได้แต่เกิดความสงสัยในใจว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ไง ใครมาจองที่ให้ผมกับเจ้าสันต์ เขารู้ได้ไงว่าผมจะมาทานอาหารที่นี่
เจ้าสันต์เตรียมอ้าปากจะถามสิ่งที่มันกับผมสงสัยออกไป แต่ผมส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม คิดในใจว่า จะเป็นใครจองให้ก็ช่างเถอะ ขอไม่ติดใจสงสัยชั่วคราว ตอนนี้ผมหิวแล้ว อยากจะทานอาหารให้เสร็จไวๆ จะได้ขึ้นไปทำงานที่มันกำลังคั่งค้างอยู่ มีงานกองเต็มเลยที่รอให้ผมพิจารณา

“คุณเรียวทาน ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ และไข่ดาวใช่ไหมครับ เราทำเตรียมไว้ให้แล้วครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก พนักงานหนุ่มคนนั้นก็สวนขึ้นมา ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ที่เจ้าสันต์อยากมาเจอ ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน ท่าทางคงจะเพิ่งมาทำงาน ซึ่งเขาไม่น่าจะจำได้ว่าผมชอบสั่งอะไรมาทานเป็นประจำ

เจ้าสันต์มองผมยิ้มๆ ท่าทางมันคงสงสัยแบบเดียวกับผม รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ ทั้งเรื่องโต๊ะ แล้วก็เรื่องอาหาร รวมทั้งการรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผมด้วย ถึงแม้ว่าผมจะมาทานข้าวที่ร้านนี้บ่อยมาก เคยคุยกับเจ้าของร้านบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ทางร้านจดจำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวผมได้ถึงขนาดนี้ เอาเถอะผมขี้เกียจหาคำตอบ เอาไว้ผมกินอิ่มแล้ว และทำงานเสร็จค่อยมาหาว่า มันเพราะอะไร ตอนนี้ผมไม่อยากใช้สมองไปกับเรื่องใดทั้งสิ้น

“อื้อ แหมกำลังอยากจะกินพอดีเลย ขอบคุณนะที่จำได้”

“สงสัยร้านป้าฝึกหัดพนักงานให้จำรายละเอียดสิ่งที่ลูกค้าชอบอ่ะ ก็เลยจัดทำให้ คงจะเป็นบริการใหม่ของร้าน ใช่ไหมจ๊ะน้อง”

เจ้าสันต์พยายามคาดเดา ท้ายเสียงหันไปถามเด็กหนุ่มพนักงานเสิร์ฟเสียงอ่อนเสียหวาน

“ครับ เราพยายามจะให้บริการที่เป็นเยี่ยมครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมา

“แล้วน้องชื่ออะไรล่ะจ๊ะ คราวหลังพี่จะได้เรียกถูก” เจ้าสันต์หยอดอีกแล้ว

“แซ่บครับ”

เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาๆ

“หา อะไรนะ” สันต์ถามซ้ำ เหมือนว่าได้ยินไม่ถนัด

“น้องชื่ออะไรนะ”

“แซ่บครับ ชื่อเล่น” เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นบอกอายๆ เจ้าสันต์ยิ้มกริ่ม หูตาแพรวพราว

“ชื่อเหมาะกับร้านเลยนะ หวังว่าจะแซ่บจริงดังชื่อ”

เด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยความอาย ผมเห็นเจ้าสันต์ส่งสายตาหวานใส่เด็กหนุ่ม มันแสดงความสนใจพนักงานคนนี้จนออกนอกหน้า จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

“นี่ แกสั่งของคาวก่อนดีไหม กินของหวานก่อน ระวังมันจะเลี่ยนนะโว้ย”

เจ้าสันต์หันมาค้อนผม จากนั้นก็บอกชื่ออาหารที่มันต้องการกินออกไป แต่ก็ไม่วายพูดหยอดว่า

“ไม่ต้องจำหรอกนะ แซ่บ พี่น่ะ ไม่ชอบกินอะไรซ้ำชาก แบบเพื่อนพี่คนนี้ พี่ชอบเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอของแซ่บ อุ้ย ของอร่อยถูกใจ”

ผมยิ้มขำกับความพยายามของมัน เจ้าสันต์นี่มันขยันหาช่องทางในการที่จะจีบเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ มันมีบัญชีรายชื่อหนุ่มๆในลิสต์ของมันมากมาย รอให้ทำความรู้จักแล้วสานต่อความสัมพันธ์ น่าแปลกที่เจ้าเพื่อนผมมันรู้สึกสนุกสนานที่ได้ทำอย่างนั้น มันไม่เคยปิดบังในสิ่งที่ตัวเองทำ แถมซ้ำยังไม่สนใจด้วยว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวมันยังไง

มีหลายคนในที่ทำงานรู้ว่าเจ้าสันต์มีรสนิยมทางเพศชอบผู้ชายด้วยกัน ในขณะที่บางคนก็ไม่รู้ เจ้าสันต์ไม่ได้ปกปิด แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยถึงขั้นเที่ยวไปเล่าให้ใครฟัง มันก็อยู่ของมันเฉยๆไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร มันเป็นคนที่บ้างาน ขยันขันแข็ง แต่บทจะเที่ยวมันก็เที่ยวหัวราน้ำเหมือนกัน มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่รู้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของมันก็พากันวิพากษ์วิจารณ์มันอย่างเสียๆหายๆ แต่มันก็ไม่แคร์ ไม่เคยโต้ตอบ แล้วก็ไม่แก้ตัวด้วย มันบอกกับผมว่า เรื่องของมัน ความสุขของมัน คนอื่นไม่เกี่ยว แล้วมันก็ไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาทำให้วิถีชีวิตมันเปลี่ยนไปด้วย ผมล่ะทึ่งกับการใช้ชีวิตของมันจริงๆ

“มาแล้วครับ อาหารตามที่สั่ง”

เด็กเสิร์ฟคนเดิมซึ่งเพิ่งเดินจากไปเมื่อสักครู่กลับมาพร้อมกับถาดใส่อาหาร เขาวาง ข้าวราดปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาไข่ดาว ให้กับเจ้าสันต์ เพื่อนผม หันไปขอบคุณทำตาหวานเยิ้ม

เด็กหนุ่มยิ้มอายๆ แต่ไม่ยอมมองตอบ เขาเอาจานอาหารของผมมาวางตรงหน้า ผมกับเจ้าสันต์มองจานและอาหารที่อยู่ในนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“ทำไมมันจานใหญ่อย่างนี้ล่ะ สั่งธรรมดานะไม่ใช่พิเศษ”

ผมถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย เมื่อเห็นจานของตนเอง มันเป็นจานขนาดใหญ่กว่าจานของเจ้าสันต์ มีข้าวผัดน้ำพริกวางตรงกลางเป็นรูปทรงถ้วย แต่น่าจะเป็นถ้วยขนาดใหญ่พอสมควร มีไข่ดาวแฝดโปะรูปหัวใจโปะอยู่ข้างบน เครื่องเคียงมากมายอยู่รายรอบจาน  แถมซ้ำมีน้ำพริกถ้วยเบ้อเริ่มและเครื่องเคียงแยกมาให้ต่างหากอีกจานหนึ่ง มันเยอะมากมายกว่าที่ผมเคยทานที่ร้านนี้จนผมเองยังรู้สึกงง

“นี่ขนาดปกติแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มยืนยัน ผมกระพริบตาปริบๆ พยายามนึกว่า ก่อนหน้านั้น ตนเองกินข้าวร้านป้า ขนาดนี้เลยหรือ เจ้าสันต์มองจานข้าวขนาดธรรมดาของตนเอง และจานข้าวขนาดใหญ่กว่าปกติของผมสลับกันไปมา มันโวยวายด้วยความอิจฉาว่า

“ทำไมของเจ้าเรียวได้เยอะกว่าพี่อ่ะ จานใหญ่กว่า กับข้าวก็เยอะกว่า แถมซ้ำ มีจานพิเศษให้อีกต่างหาก ดูสิ ไข่ดาว ก็เป็นไข่แฝด แถมซ้ำยังเป็นรูปหัวใจอีกด้วย”

“ไม่รู้ครับ คนทำอาหาร เขาส่งมาให้แบบนี้ครับ”

. :m13:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #108 เมื่อ11-05-2008 23:24:10 »

 :m4: เย่ๆๆๆมีคนมาลงแทนแว้วววววว ขอบคุณมากๆที่เอามาลงแทน แบบว่าหาไฟล์เรื่องนี้ไม่เจอ ไม่รู้ไปเก้บไว้ไหน แล้วก็ลืมไปซะสนิท ไม่ได้เข้ามาเช็คเยย เอิ๊กๆๆๆ  :m23: 

ขอโทษด้วยจ้าพี่เคท ที่ดองเรื่องนี้ไว้ซะนาน  :L2:

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #109 เมื่อ13-05-2008 17:43:14 »

 :m4:  มาดันให้จ้า
เชียร์น้องเดียร์ กะพี่เรียวสุดฤทธิ์   :a2:
ว่าแต่ ย้ายเรื่องนี้กลับไปห้องนิยายปกติได้ไหมจ๊ะ    :oni2:
จะได้มีคนมาอ่านเยอะๆ ไหนๆก็มาลงต่อแล้วอ่ะ   :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
« ตอบ #109 เมื่อ: 13-05-2008 17:43:14 »





SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #110 เมื่อ13-05-2008 21:52:17 »



งั้นผมลงต่อเลยนะค้าบพี่น้อง  จะพยายามมาลงให้ทุกวัน (ถ้างานบ้านนู้นไม่เยอะมากนะ 5555)

เอ...จะยังมีคนอ่านมั้ยนี่  กลัวแป้กจังเลย  พอละไม่พูดมากดีก่า  ไปอ่านต่อกันเลยค้าบ



-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 4


ท่าทางเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาคงจะงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา ถึงได้มองจานข้าวแล้วก็โวยวายกันขึ้น ทำเหมือนไม่เคยพบเคยเห็น เขาอาจจะคิดว่าพวกเราเรื่องมาก นั่งเปรียบเทียบกันอยู่ได้ ว่าใครได้กินมากกว่าน้อยกว่า ผมเองก็นึกขำในใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมาวิตกกังวลกับเรื่องอาหารในจานด้วย คนเรานี่ก็แปลก น้อยไปก็บ่น มากไปก็ว่า หาความพอดีไม่ได้ เขาทำมาให้กินก็กินไปเถอะ ถ้าบอกว่า ราคาเท่ากับปกติ ได้กินเยอะขนาดนี้ ก็คุ้มไม่ใช่เหรอ


“ลำเอียงจังเลยอ่ะ” เจ้าสันต์ต่อว่า

“อื้ม พ่อครัวใหม่เหรอ” ผมถามเขา รีบเปลี่ยนเรื่อง

“ครับ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวนะครับ แต่วันนี้คงได้มีโอกาสทำอาหารเอง”

“มิน่าล่ะ ถึงทำมาซะเยอะเชียว อาจจะยังกะปริมาณไม่ถูก”


ผมสรุป พลางตักข้าวเข้าปาก รสชาติอร่อยดีไม่เลว

“ฝีมือดีใช้ได้เลยนะ รสชาติต่างไปจากเดิมที่เคยมากินที่ร้านนี้เลย ดูเหมือนไม่ค่อยหวงเครื่องปรุงนะ ใส่มาเต็มที่เลย อร่อยดี”
ผมบอกพนักงานเสิร์ฟ แล้วหันไปพยักเพยิดกับเจ้าสันต์

“จริงเหรอ ไหนลองชิมหน่อย” มันตักข้าวจากจานผมไปชิมบ้าง

“ว้าว อร่อยมากเลย”เจ้าสันต์ร้องอุทาน พลางหันไปหาเด็กเสิร์ฟ

“พ่อครัวคนใหม่คนนี้ เขาเคยทำอาหารที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะน้อง”

“ไม่ทราบสิครับ ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่ ยังไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่า พ่อครัวคนใหม่นี่ เพิ่งจะเข้ามาทำงานก่อนหน้าผมประมาณสัก สองสามอาทิตย์น่ะครับ” 
เด็กหนุ่มตอบข้อซักถามของเจ้าสันต์

“แล้วจานนี้ล่ะ เขาทำหรือเปล่า” เจ้าสันต์ชี้มาที่จานตนเอง พลางเอาช้อนตักขึ้นมากิน

“รสชาติเหมือนเดิมที่เคยกินแหะ แต่ก็ยังคงอร่อยนะ สงสัยพ่อครัวคนเดิมทำ มิน่าล่ะ ได้น้อยนัก”

เจ้าสันต์ยังไม่วายบ่นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอาหารในจาน


“เอ....ยังไงไม่ทราบนะครับ แต่ตามปกติ ในครัวเราจะมีคนทำอาหารอยู่สามคนครับ คือ พ่อครัวคนเก่า 2 คน แล้วก็ผู้ช่วยที่เพิ่งรับมาใหม่นี้ บางทีคุณป้าก็อาจจะลงมาทำอาหารบ้างบางครั้งครับ ถ้าแกว่าง”

“ได้ความกระจ่างแล้วหรือยังวะ”

ผมถามเจ้าสันต์ด้วยความหมั่นไส้ เพราะเห็นว่ามันดูจะติดอกติดใจเรื่องอาหารในจานและพ่อครัวคนนี้นัก ดูโอเว่อร์จนน่าหมั่นไส้


“ให้น้องเขาไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นได้แล้ว รั้งเขาไว้นานแล้ว เดี๋ยวก็โดนเจ้าของร้านดุหรอก”

ผมว่าเจ้าสันต์ มันหันมาขึงตาใส่ผม แล้วก็ออกปากบอกให้พนักงานหน้าใหม่คนนั้นไปทำงานของตนได้แล้ว พอลับหลังเด็กนั่น มันก็พูดเสียงรอดไรฟันใส่ผม


“ไอ้เพื่อนบ้า ไม่เห็นใจคนอื่น ฉันอุตส่าห์หาเรื่องคุยกับน้องเขานานๆ ดันมาทำตัวเป็นมาร
คอหอยอีก”

“อ้าว ก็นึกว่าแกเสียอารมณ์ที่ได้กินอาหารน้อยกว่าฉันเสียอีก เห็นพิรี้พิไรซักถามอยู่นั่นล่ะ ฉันจะไปรู้เหรอ ว่าเป็นแผนของแกที่จะได้คุยกับน้องนานๆ กลัวจะเป็นลมเป็นแล้งเพราะหิวตายซะก่อนนะสิ แล้วก็สงสารน้องเขาด้วย ที่อาจจะต้องถูกดุ เพราะมายืนคุยกับแกนานๆไง”

ผมว่ามันกลับ แล้วก็ทำเป็นไม่ใส่ใจมัน ก้มหน้าก้มตาทานข้าวจนหมด ปล่อยให้มันนั่งฮึดฮัดผมไปคนเดียว ผมรู้ดีว่า มันทำท่าไปอย่างนั้นแหละ คนขี้หลีอย่างมัน พอเจอเด็กหนุ่มคนใหม่หน้าตาดีๆขี้คร้านจะกลับมากระดี๊กระด๊าตามเดิม

พอผมไม่ให้ความสนใจมัน เจ้าสันต์ก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวบ้าง หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ผมก็เรียกเด็กมาคิดเงิน เด็กหนุ่มหายไปสักพัก แล้วก็กลับมาพร้อมใบคิดค่าใช้จ่าย

“แน่ใจนะว่าไม่คิดพี่เพิ่ม” ผมแกล้งถาม

“ครับ คิดให้ในราคาปกติครับ”

เด็กหนุ่มตอบ ผมหยิบใบจากมือเขามาดู คิดราคาตามปกติ อย่างที่เคยกินมาเสียด้วย ดีเหมือนกัน กินจนท้องอิ่ม โดยจ่ายในราคาที่ถูกเหมือนเดิม ผมควักเงินจ่ายให้ไป แล้วทิปให้พนักงานคนนั้น พร้อมทั้งฝากให้เขาบอกผู้ช่วยกุ๊กด้วยว่าอาหารอร่อยมาก จากนั้นก็พากันเดินออกจากร้าน แต่เจ้าสันต์ยังไม่วาย แอบเอานามบัตรยัดใส่มือเด็กหนุ่มแล้วกระซิบกระซาบให้โทรมาหาด้วย ผมส่ายหัวให้กับความเจ้าชู้ของมัน รีบเดินออกมาทันที

ผมแยกกับเจ้าสันต์ หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมกลับมาลุยงานต่อ กะว่าจะทำงานที่กองบนโต๊ะให้หมด ไม่เหลือทิ้งไว้ให้คั่งค้าง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้จะสิ้นปี ตัวแทนประกันชีวิตจะโหมขายประกันกันเข้ามา เพื่อเร่งยอดปิดบัญชี จะได้คุณวุฒิ ผลงานกัน หากผมทิ้งงานไว้ มันจะพอกพูนจนไม่สามารถอนุมัติได้ทันภายในกำหนดเวลา ก็จะมีปัญหาตามมาอีก ซึ่งในฐานะผู้ที่ต้องมีส่วนช่วยรับผิดชอบการในเจริญเติบโตของบริษัท แม้มิได้เกี่ยวข้องทางตรง แต่หากผมและทีมงานสามารถพิจารณาอนุมัติเคสได้มาก นั่นหมายถึงเงินจำนวนหนึ่งที่จะเข้ามาบริษัท ไหลเวียนไปเป็นค่าใช้จ่าย และกำไรให้กับเจ้าของกิจการได้ และส่งผลต่อเงินเดือน โบนัสและค่าคอมมิชชั่นต่างๆที่พนักงานของบริษัท และเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายจะได้รับ


จนกระทั่งทุ่มหนึ่งผ่านไป ผมถึงสามารถเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ผมเอางานชิ้นสุดท้ายที่พิจารณาเสร็จวางไว้บนตะแกรงเอกสารออก จากนั้นก็บิดตัวขับไล่ความเมื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดวัน ผมนั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะตัวใหญ่ในห้องทำงาน เอนศีรษะพิงพนัก แต่ตาเหลือบแลออกไปนอกห้อง พนักงานบางส่วนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่บางคนที่ยังทำงานล่วงเวลาต่อ


ผมลุกออกจากโต๊ะ แล้วเปิดประตูออกไปพูดคุยกับพนักงานในสังกัดของผมที่ยังนั่งทำงานกันอยู่ แล้วถามไถ่ด้วยความห่วงใยถึงงานการที่พวกเขาทำอยู่ พอรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะอยู่ทำโอทีกันถึงสามทุ่ม ผมก็เลยบอกให้พวกเขาสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน โดยที่ผมจะเป็นคนออกเงินให้ พวกเขาดีใจกันใหญ่ ร้องเฮเสียงดังลั่น กล่าวขอบคุณผมที่เลี้ยงข้าวพวกเขา ผมบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นานๆที แล้วพวกเขาก็ทำงานกันหนัก และเหนื่อยกันมากด้วย สมควรจะได้รับการตอบแทนที่ดี


ผมหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้พวกเขา 1000 บาท ก่อนจะขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะผมรู้สึกเหนื่อยมากสำหรับวันนี้ อยากจะกลับไปบ้านไปพักผ่อนเพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงมาต่อกรกับงานหนักในวันพรุ่งนี้ต่อไป


รถติดมาก กว่าผมจะถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม ผมอาบน้ำชำระร่างกาย สระผม แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อย จากนั้นก็มานั่งอยู่หน้าจอทีวี เปิดดูรายการต่างๆฆ่าเวลา ขณะที่รอให้ผมแห้ง ไม่อยากนอนไปทั้งที่หัวยังเปียกๆอยู่กลัวจะเป็นหวัด

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นเบอร์ 02 ที่ผมไม่คุ้นอีกแล้ว

“สวัสดีครับ เรียวพูดครับ”

“หวัดดีครับที่รักของผม” เสียงรื่นเริงที่คุ้นหูดังมาตามสาย

“นายอีกแล้ว นี่โทรมาจากไหนล่ะ”

“โทรที่ตู้สาธารณะครับ ก็ผมไม่มีมือถือนี่นา”

“เอ้อ.....ขอโทษที”

จริงสินะ โทรศัพท์ของเขาถูกผมปาทิ้งจนเสียหายแล้วนี่ มิน่าหมอนี่จึงใช้เบอร์ 02 โทรหาผมตลอดเวลา ดีล่ะ คราวต่อไปถ้าเห็นเบอร์ 02 ขึ้นมาอีก ผมจะได้ไม่รับ แต่คิดอีกที ก็คงไม่รับไม่ได้อยู่ดี เพราะผมจำเป็นต้องเปิดมือถือไว้ 24 ชั่วโมง แล้วก็ต้องรับทุกสาย เนื่องจากว่า บางทีเวลาที่ตัวแทนไปขายประกันมาได้แล้วเกิดไม่แน่ใจว่า ลูกค้าของเขาจะผ่านการพิจารณารับประกันหรือเปล่า เขาจะโทรมาหาผมเสมอ เพื่อให้ช่วยบอกคร่าวๆ ผมก็จำเป็นที่จะต้องให้คำปรึกษา แม้ว่าจะดึกขนาดไหนก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ คนที่โทรมาหาผมจะเกรงใจไม่กล้าโทรมารบกวนเวลานอน ดึกที่สุดก็คือประมาณตีสองที่เคยโทรมา นอกจากนั้นก็แทบไม่มี ถึงกระนั้นผมก็จำเป็นต้องเปิดโทรศัพท์ตลอดเวลา เพราะมันคือนโยบายของบริษัท อีกทั้งตัวโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายเรื่องค่าโทร บริษัทก็ออกให้ด้วย จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะต้องปิดโทรศัพท์ ถึงแม้จะเป็นเวลาพักผ่อนก็ตาม


SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #111 เมื่อ13-05-2008 22:02:47 »



“ไว้นายว่างวันไหน ฉันจะพาไปซื้อให้นะ”
ผมบอกเด็กหนุ่ม รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งที่โมโหจนทำลายข้าวของคนอื่น

“พรุ่งนี้ดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มถามผม

“ตอนเย็นๆผมพอมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะไปทำงานนะครับ ถ้าไปตอนนั้นก็พอจะได้”

“อืม ขอดูตารางเวลาก่อนนะ”
ผมบอกเด็กหนุ่ม แล้วหยิบสมุดนัดออกจากกระเป๋าหนังซึ่งผมมักจะสะพายไปทำงานบ่อย พลางไล่ดูตารางนัด

“พรุ่งนี้ฉันไม่มีนัด ถ้าไม่มีงานด่วนอะไรเข้ามา อาจจะไปได้” ผมบอกเขา

“เย้ ดีใจจังเลย” เขาร้องอย่างร่าเริง

“อันที่จริง ผมไม่ได้อยากทวงมือถือจากเรียวหรอกครับ ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ผมยอมให้เรียวได้เสมอ แต่ว่า ที่อยากไปน่ะ อยากไปเที่ยวกับเรียวมากกว่า”
เขาเปิดเผยความในใจออกมา

“แค่ไปซื้อมือถือเท่านั้น ใครจะไปเที่ยวกับนาย”

“แหมไปซื้อมือถือด้วยกัน ก็เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกันนะแหละครับ ผมน่ะชอบทั้งนั้นแหละ ขอให้ได้อยู่ใกล้ๆเรียวเป็นพอ นี่ก็คิดถึงจนใจจะขาดแล้ว อยากให้นาฬิกามันหมุนเร็วๆ จะได้ถึงวันอาทิตย์สักที อยากไปหา อยากไปอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย”

เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อนมาตามสาย

“ทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านช้าล่ะครับ งานเยอะ หรือแวะไปที่ไหนหรือเปล่า”
เดียร์ถามผมด้วยความอยากรู้ ผมนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ในใจนึกว่า นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า ทำไมจะต้องอยากรู้อยากเห็นด้วยว่าผมไปทำอะไรที่ไหนมา ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แค่ตกลงทำสัญญาเป็นแฟนกัน 6 เดือนแค่นั้น แต่เขาก็ไม่ใช่แฟนของผมจริงๆ ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของผมด้วย ผมชักเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วนะ

“โกรธเหรอครับที่ถาม”

น้ำเสียงเด็กหนุ่มไม่สู้ดี คงรู้ตัวว่าคำถามของเขา ทำให้ผมเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ผมนิ่งไม่ตอบอีก พยายามสะกดอารมณ์โกรธไม่ให้พุ่งพล่านออกมา

“ขอโทษนะครับ ผมแค่เห็นว่าคุณกลับบ้านมาดึกมากเลย ก็เลยถามดูนะครับ”

“รู้ได้ไงว่าฉันกลับบ้านดึก”

ผมถามเขาด้วยความข้องใจ เด็กนี่รู้ได้ไงว่าผมกลับถึงบ้านช้า

“ก็......เอ้อ” เด็กหนุ่มอึกอัก

“สะกดรอยตามฉันมาอีกแล้วใช่ไหม” ผมเดา

“.......”

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเงียบบ้าง ผมเลยคิดว่าใช่แน่ๆ เขาคงติดตามผมมาจากที่ทำงาน แล้วก็คงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวๆนี้ มานึกดูอีกที เบอร์ที่เขาใช้โทรมา มันเป็นเบอร์ละแวกบ้านเดียวกับผมเลย

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”ผมถามเขาเสียงขุ่น

“ตรงตู้โทรศัพท์ตรงข้ามบ้านเรียวนะครับ”

เขาอึ้งไปสักพักก่อนจะบอกออกมาด้วยเสียงอ่อยๆ ผมรีบเดินตรงไปที่หน้าต่าง แหวกม่านออก แล้วมองไปที่ฝั่งตรงข้าม หน้าบ้านของพี่สมชาย เยื้องออกไปทางด้านที่ติดกับถนน มีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่ ทางองค์การมาติดตั้งโดยใช้พื้นที่ของหมู่บ้านในการติดตั้งตามจุดต่างๆ

ไฟในตู้โทรศัพท์เปิดสว่าง ผมมองเห็นเดียร์ จากระยะไกล เขายืนหันหน้ามาทางทิศทางที่เป็นห้องของผม ผมรีบหลบแว่บเข้าหลังม่าน ก่อนจะเดินกลับมายังที่นอน

“มายืนอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง”

“สักพักนะครับ ก็ทันได้เห็นคุณเลี้ยวรถเข้าบ้านมานะครับ”

“ตามฉันมาจากที่ทำงานเหรอ” ผมซักไซ้

“เปล่าครับ มาดักรอตั้งแต่เย็น อยากเห็นหน้าเรียวนะครับ”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”

ผมถาม รู้สึกขำแกมรำคาญที่เด็กหนุ่มแสดงท่าทางคลั่งไคล้ผมอย่างมากมายขนาดนี้

“ถ้าไม่ได้เห็นหน้า มันจะนอนไม่หลับนี่ครับ คิดถึงมากๆ อยากอยู่ใกล้ๆ อยากให้เรียวเห็นว่าผมเป็นคนสำคัญของเรียวจริงๆ ก็เลยมาหา อย่าว่าผมเลยนะครับ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่อยากจะพูดว่าอะไรเขาไปมากกว่านั้น ผมเข้าใจดีทีเดียวถึงความรู้สึกที่เดียร์เป็นอยู่ ยามที่เรารักใครบางคน ย่อมอยากจะเห็นหน้าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ดึกดื่นเพียงไร ก็ต้องหาหนทางที่จะไปพบไปเจอให้ได้ ไม่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียงก็ยังดี ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ย่อมรู้ดี เพียงแต่ที่รู้สึกกระอักกระอวลใจ เป็นเพราะว่า ผมเป็นฝ่ายที่ถูกคลั่งไคล้ และถูกติดตามโดยคนที่เป็นผู้ชายเพศเดียวกันกับผม ใครเลยจะทำให้ยอมรับได้ง่ายๆ

“แล้วนี่ ไม่ทำงานหรือไง รู้สึกว่านายจะบอกฉันเมื่อสักครู่นะ ว่ามีงานทำตอนกลางคืนด้วย”

ผมถามเขา พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้ออกไปไกลตัว

“วันนี้ไม่ได้ทำครับ ทุกวันจันทร์เป็นวันหยุดผม แต่ว่า ผมกำลังจะขอเปลี่ยนเป็นหยุดวันอาทิตย์แทนนะครับ จะได้มีเวลาอยู่กับเรียวนานๆ”
ไม่ได้ผลแฮะ วกเข้ามาเรื่องของผมจนได้

“นี่ก็ดึกแล้ว น่าจะกลับบ้านได้แล้วนะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าไม่ใช่เหรอ”

ผมรีบไล่ให้เขากลับบ้าน เพราะไม่อยากคุยกับเขาต่อ อีกอย่างก็เห็นว่ามันดึกแล้ว บ้านเขากับบ้านผมก็ห่างไกลกันมาก เกรงว่าเขาจะกลับลำบาก จากหมู่บ้านผมออกไปถนนใหญ่ ต้องเดินอีกตั้งไกล รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ก็อยู่ที่ปากซอย จะผ่านมาแต่ละคันก็นานๆมาก หากว่าเขาไม่ได้เอารถมาเอง ก็เห็นจะต้องเดินออกไปเป็นแน่

“ครับ เดี๋ยวคงกลับแล้วล่ะ ได้เห็นแค่นี้ก็พอใจแล้ว ต้องอดทนไว้รอวันอาทิตย์ครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เรียวทานอะไรเป็นอาหารเช้าดี โจ๊กเหมือนเดิมไหมครับ”

เดียร์หยุดรอฟังคำตอบ ผมนั่งนิ่ง นึกไปถึงโจ๊กเมื่อเช้า มันยังคงวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวในครัวอยู่เลย ป่านนี้คงบูดไปแล้วมั้ง

“ฉันไม่ได้อยากกินอะไร บอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมบอกเขาไป ไม่อยากให้เขามาทำเอาอกเอาใจผม

“แต่เรียวฮะ ผมห่วงคุณนะ อยากให้คุณทานอาหารเช้าให้ตรงเวลานะครับ มันดีต่อสุขภาพคุณนะ เอาเป็นว่า ผมซื้อโจ๊กมาให้ทานอีกนะครับ อย่าปฏิเสธเลยนะ ผมอยากซื้อมาให้คุณทานจริงๆ”

แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่า เด็กหนุ่มนี่ มีความจริงใจให้กับผมเพียงไร ผมปิดปากที่กำลังจะเปล่งคำพูดปฏิเสธออกมา

“ผมรู้ว่าคุณลำบากใจใช่ไหมครับ คงกำลังคิดว่า ผมมาวุ่นวายชีวิตคุณมากเกินไปหรือเปล่า แต่ผมห่วงสุขภาพของเรียวนะ อยากให้เรียวแข็งแรง สดชื่นนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”

“ตอนนี้ไม่เป็นแต่หากไม่ดูแลตัวเองบ่อยๆก็จะไม่ดีนะครับ ผมน่ะนะอยากอยู่กับเรียว อยากดูแลเรียวไปตลอดทั้งชีวิตเลยนะครับ”

“เฮ้อ........” ผมถอนหายใจ

“ช่างเถอะ”

ผมขี้เกียจเถียง อยากซื้ออะไร ก็ซื้อมาเถอะ ผมก็คงไม่กินเหมือนเดิม อยากจะเสียเงินก็ทำไป ยังไงเด็กนี่ก็ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าผมไม่กินอาหารของเขา

“อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อมาเถอะ”

ผมบอกเขาอย่างเซ็งๆ นึกในใจว่า เอาให้เจ้าหญิงทานก็ได้

“แล้วนี่ทานอะไรหรือยังครับ”

คำถามของเขาทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ผมมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการทำงาน จนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอาหารการกิน เลยเป็นว่า วันนี้ผมได้ทานอาหารแค่มื้อกลางวันมื้อเดียวเท่านั้น พอ
เด็กนี่พูดถึง ผมก็ดันเกิดหิวขึ้นมาทันที

“ฉันไม่หิว” ผมโกหกเขา

“แต่นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะครับ ข้าวเช้าก็ไม่ได้ทาน กินแต่ข้าวมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นก็ไม่ได้กินอีก ร่างกายจะแย่เอานะครับ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหานะ”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“ผมไปซื้ออะไรมาให้ทานไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก”

“หรือจะให้ผมไปทำอะไรให้กินดี”

“ก็บอกว่าไม่ต้องไง”

“แต่ว่า......”

“ฉันยังไม่หิวจริงๆ นี่ก็จะเข้านอนแล้ว ไม่อยากกินก่อนนอน เดี๋ยวจะอ้วนลงพุง”

ผมแกล้งทำเป็นพูดตลก เพื่อให้ดูว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ใจอยากให้เขารีบวางหู เพื่อที่ผมจะได้ไปหาอะไรในห้องครัวมากิน น่าจะมีอะไรหลงเหลือพอกินได้บ้างหรอกน่า

“เรียวทำไมถึงดื้อนะครับ ไม่ดูแลตัวเองเลย สงสัยผมคงต้องมาดูแลเรื่องนี้ให้เรียวซะแล้ว”

“ดูแลตัวเองก่อนเถอะ กลับบ้านได้แล้ว นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้ว เอารถมาหรือเปล่า เดี๋ยวกลับลำบากนะ ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาด้วย ดีไม่ดีนายอาจจะต้องเดินไปจนถึงหน้าปากซอยเลยก็ได้”

“ผมขี่จักรยานมาครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวปั่นจักรยานกลับบ้านได้”

“ระวังตัวให้ดีแล้วกัน  ถึงจะดึกมากแล้ว แต่บนถนนก็น่าจะมีรถราอยู่บ้าง ขี่จักรยานก็ดูถนนหนทางดูรถที่ขับสวนไปมาด้วย จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมครับ เรียวน่ารักจังเลย”

เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณผม เสียงอ่อนเสียงหวาน

“ว่าแต่เรียวไม่หิวจริงๆเหรอครับ แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมเข้าไปทำอะไรให้ทาน”

เด็กหนุ่มยังพยายามยื้อ ดูเหมือนเขาพยายามจะเข้ามาในบ้านผมให้ได้

“บอกว่าไม่หิว ก็ไม่หิวสิ ฉันจะนอนแล้วด้วย”

ผมทำเสียงแข็งใส่ ไม่มีวันจะยอมให้เด็กนั่นเข้าบ้านมาเด็ดขาด

“กลับไปบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้”

“ก็ได้ครับ ผมกลับบ้านก่อนนะ ยอดรักของผม ราตรีสวัสดิ์นะครับ ฝันถึงผมบ้างนะ”

เดียร์ทำเสียงจุ๊บๆมาตามสาย ก่อนจะวางหูลง ผมรอสักครู่แล้วก็เดินไปที่หน้าต่าง เดียร์ยังยืนอยู่ที่หน้าตู้โทรศัพท์มีจักรยานอยู่ข้างตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองมาบนห้องผมที่อยู่ชั้นสอง แล้วโบกไม้โบกมือให้ เขาคงเห็นผมที่หน้าต่าง ผมรีบหลบแว่บไปข้างๆ แล้วเดินไปที่ปลั๊กไฟ ก่อนจะปิดไฟในห้องจนดับมืดลง มีเพียงแสงสว่างจากหลอดนีออนบนเสาไฟฟ้าข้างหน้าบ้านที่ให้ความสว่างสาดลอดเข้ามาในห้องเท่านั้น


ผมเดินไปที่หน้าต่าง แล้วหลบอยู่หลังม่าน แอบมองลงไป เดียร์ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ผมเห็นเขาขี่จักรยานเห็นหลังไวๆ ไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน ผมหมุนตัวเดินมาที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน เอามือก่ายหน้าผาก พยายามจะข่มตาให้หลับ แต่ไม่ไหวแล้ว ท้องร้องดังมากๆ หิวจนแสบท้องไปหมด


ผมผลุดลุกขึ้นนั่ง เดินออกไปจากห้องทั้งๆที่มืดๆอย่างนั้น เปิดไฟตรงบันไดทางลง แล้วเดินไปยังห้องครัว อดไม่ได้ที่จะมองถุงโจ๊ก กับปาท่องโก๋ และน้ำเต้าหู้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบมันขึ้นมาทั้งหมดแล้วนำไปทิ้งที่ถังขยะ เปิดตู้เย็นควานหาอาหารที่อาจจะพอหลงเหลืออยู่ในตู้บ้าง แต่ไม่เจออะไรเลย นอกจาก นมสดซึ่งผมซื้อมาทิ้งไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันยังไม่หมดอายุ

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #112 เมื่อ13-05-2008 22:06:03 »



ผมหยิบกล่องนมออกมา แล้วเทใส่แก้วขนาดใหญ่ แล้วก็ดื่มรวดเดียวจนหมด หวังว่ามันจะช่วยทำให้ท้องผมไม่ว่างจนเกินไป ดื่มนมเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปนอนต่อบนห้อง ผมกลิ้งตัวไปมาบนเตียง พยายามจะหลับ แต่ก็ข่มตาไม่ลง จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืนกว่าๆ ผมถึงได้ผล็อยหลับไป มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงกริ่งดังอยู่หน้าบ้าน แล้วก็เสียงหมาเห่าดังขรม เสียงของเจ้าหญิง สุนัขตัวโปรดของผม ผมเหลือบมองพรายน้ำจากนาฬิกาที่หัวเตียง มันบอกเวลาตีห้าครึ่ง ใกล้จะเช้าแล้ว ได้เวลาที่ผมจะต้องเตรียมตัวไปทำงานแล้ว


ผมผลุดลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วแง้มม่านออกดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าหญิงหมาของผมถึงได้เห่าแบบนั้น แล้วใครกันที่มากดออดบ้านผมตอนเช้ามืดแบบนี้ ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นเดียร์ เพราะเมื่อวานนี้ เขาก็มาที่บ้านผมในเวลานี้เช่นกัน เขาคงเอาหนังสือพิมพ์กับอาหารเช้ามาส่ง ตามที่เขาได้บอกไว้เป็นแน่


สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นความจริง เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจยืนอยู่ที่หน้าบ้านผม กำลังเอาหนังสือพิมพ์สอดไว้ที่ตู้จดหมาย แล้วก็แขวนถุงพลาสติกใส่ของไว้ที่รั้วให้ผมด้วย จากนั้นเขาก็ยืนมองขึ้นมายังตำแหน่งที่เป็นห้องนอนของผมบนชั้นสอง แต่จากความมืดมิด ทำให้ผมสามารถพรางตัวได้จากสายตาของเขาได้ ผมเห็นเขายืนมองอยู่ตั้งนาน เหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเขารอจนกว่าจะได้เห็นผมจากหน้าต่าง หรือ ว่ารอให้ผมเดินออกไปหาเขาที่หน้าบ้านกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ผมไม่ทำทั้งสองอย่าง ผมยังคงยืนนิ่งเฉย มองดูเขาจากหน้าต่างห้องนอนของตนเอง


สักพัก เด็กหนุ่มก็ถอดใจ เขาหันหลังกลับ เดินจูงจักรยานออกไปอย่างหงอยๆ ผมยืนมองเขาสักพัก เมื่อไม่เห็นว่าเขาจะย้อนกลับมาอีก ผมจึง เดินลงไปข้างล่าง เปิดประตูบ้าน แล้วเดินตรงไปที่รั้วหยิบหนังสือพิมพ์ แล้วก็ถุงใส่อาหารขึ้นมาดู มันเป็นโจ๊กใส่ไข่ ใส่หมูสับ และเครื่องใน มีซาลาเปาร้อนๆสองลูก และน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องอยู่ในถุงเดียวกัน

“หนังสือพิมพ์มาส่งให้อีกแล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่ได้รับไง”

เสียงพี่สมชายดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพื่อนบ้านของผมกำลังออกกำลังกายด้วยการเดินอยู่หน้าบ้าน

“ก็ไม่ได้รับจริงๆนะครับ เผอิญมีคนเอามาให้อ่านฟรี”

ผมตอบพี่สมชายในใจ แต่ที่ตอบออกไปจริงๆคือแบบนี้

“อ๋อ เผอิญว่า อยู่ที่ทำงานผมไม่ค่อยได้มีเวลาอ่าน ก็เลยเพิ่งจะรับเองน่ะครับ วันนี้เองน่ะ เมื่อวานนั้น เป็นการบริการฟรีนะครับ”

ไหนๆก็โกหกแล้ว ผมก็เลยโม้ออกไป พี่สมชายจะได้ไม่ต้องซักถามอะไรอีก

“เหรอ มิน่าล่ะ เห็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มายืนรออยู่ตั้งนาน แล้วนี่ฝากให้เขาซื้อของมาให้ด้วยเหรอ”

พี่สมชายยังไม่วายทำท่าสนใจใคร่รู้ ผมมองถุงโจ๊กในมือตนเอง แล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า

“ครับ.....ไม่ค่อยได้กินอาหารเช้า ก็เลยพยายามจะหันมากินบ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำน่ะครับ ก็เลยฝากให้เขาซื้อมาให้ด้วย”

“อื้ม ดีจังเลยนะ บริการพิเศษแบบนี้ สงสัยวันหลังต้องลองใช้บริการส่งหนังสือพิมพ์และส่งอาหารของเด็กคนนั้นบ้างแล้วล่ะ”

พี่สมชายพูดยิ้มๆ ท่าทางเขาเชื่อจริงจังกับเรื่องที่ผมโกหก ผมยิ้มให้เขา แล้วชวนคุยเรื่องลูกๆ เราคุยข้ามรั้วกันสักพัก ผมก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ เตรียมไปทำงาน ผมวางข้าวของทุกอย่างลงบนโต๊ะในห้องครัวแบบเดียวกับที่ทำเมื่อวาน แล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างที่สายน้ำผ่านร่างกายของผม สมองก็ครุ่นคิดถึงเรื่องของเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น


เจ้าเด็กนั่น ไม่หลับไม่นอนหรือยังไงหนอ เมื่อคืนก็กลับดึก แถมซ้ำยังต้องออกมาแต่เช้า เขาส่งหนังสือพิมพ์จนหมดก่อนจะมาบ้านผมเป็นบ้านสุดท้าย หรือว่า ส่งบ้านผมก่อนแล้วไปบ้านอื่นต่อกันนะ แต่ดูจากความร้อนของอาหารที่ใส่มาในถุง มันบ่งบอกว่า เขาซื้อมาก่อนจะมาบ้านผมได้ไม่นาน ทำไมเขาต้องมาทำดีกับผมอย่างนี้ด้วยนะ มันช่างเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าจริงๆ เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่มีทางรักเขาได้ลง แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ได้หรือเปล่า เพราะเราต่างกันทั้งอายุ และความคิด โดยเฉพาะรสนิยม ผมไม่ได้เกลียดชาวสีม่วงก็จริง ยินดีคบเป็นเพื่อนด้วยได้ แต่มันคงทำใจลำบากถ้าจะยอมเป็นเพื่อนกับคนที่เรารู้ตลอดเวลาว่าเขาคิดยังไงกับเรา


ผมไม่อยากให้ความหวัง ผมไม่อยากให้เขาคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผมไม่รู้ว่า หากเขาผิดหวังขึ้นมา เขาจะเป็นอย่างไร มีข่าวบ่อยๆว่าพวกเกย์มักจะชอบทำร้ายร่างกายกัน หรือไม่ก็ฆ่าตัวเองตาย เนื่องจากว่าเกย์มักจะมีอารมณ์รุนแรง ผมได้แต่หวังว่า เดียร์จะไม่เป็นแบบเดียวกับคนพวกนั้น เมื่อเราลาจากกันในวันหนึ่ง ผมหวังว่า เด็กนั่นคงจะทำใจได้ ไม่ฟูมฟายเสียใจจนเกินควร ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รัก หรือรู้สึกดีๆกับเขา แต่ก็ไม่อยากทำร้ายให้เขาเจ็บปวด


ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาข้างล่าง เตรียมจะออกไปจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้ให้อาหารเจ้าหญิง ผมจึงเดินไปยังตู้เก็บอาหารสำหรับสุนัขของผมในห้องครัว ที่ผมแยกไว้โดยเฉพาะไม่ปะปนกับอาหารของคน ผมเปิดตู้ แล้วก็เอาชามของเจ้าหญิงออกมา วางไว้ แล้วเทอาหารลงไป จากนั้นก็เอามาวางให้เจ้าหญิงที่หน้าบ้าน ผมเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งเพื่อล้างมือ และดื่มน้ำ สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงอาหารและหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินไปยังโต๊ะที่วางของเหล่านั้น ผมพลิกดูหนังสือพิมพ์อ่านพาดหัวข่าวคร่าวๆ


ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจผมได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าวแต่พวกเรื่องการเมือง และข่าวฆาตกรรม ผมหยิบหนังสือพิมพ์อีกฉบับขึ้นมาเปิดดู หนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ มีข่าวเกี่ยวกับบริษัทประกันด้วย มีบริษัทใหม่ๆพยายามจะออกสินค้าออกมาแข่งขันกับบริษัทชั้นนำในตอนนี้ เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาด ข้อมูลนี้น่าสนใจ ผมเห็นจะต้องเอาไปอ่านเพื่อศึกษาดู เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแผนการตลาด และการกำหนดเงื่อนไขการพิจารณารับประกันให้ทันสมัย สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และช่วยให้ตัวแทนขายประกันได้ง่ายด้วย


ตอนที่ผมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ถุงโจ๊กที่วางทับอยู่ได้เลื่อนออก แล้วโจ๊กได้กลิ้งออกมาจากถุง ผมมองดูอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดู โจ๊กยังร้อนๆอยู่ ซาลาเปาก็ส่งกลิ่นหอมชวนกิน การไม่ได้กินอะไรเลยเมื่อคืน มันส่งผลมาถึงตอนเช้า ท้องผมยังคงว่างเปล่า ถ้ามีอะไรอยู่ในท้องบ้าง น่าจะทำให้ผมสามารถทำงานในเช้านี้ได้โดยไม่ต้องถูกรบกวนด้วยความหิว


มือไวกว่าความคิด ผมเอื้อมไปหยิบซาลาเปาขึ้นมาใส่ปาก 1 ลูก รสชาติอร่อยดีทีเดียว เด็กบ้านั่นไปซื้อมาจากไหนกันนะ แล้วก่อนที่จะรู้ตัว ผมก็หยิบซาลาเปาลูกที่สองเข้าปากไปแล้ว มันช่วยผมได้มากทีเดียว ช่วยทำให้ท้องไส้ของผมไม่ว่างเปล่า แม้จะไม่มากนัก แต่ผมคิดว่าก็ทำให้ผมหายหิวไปได้พอสมควร

น้ำเต้าหู้จากถุงถูกนำมาเทใส่แก้ว ผมดื่มกินด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อทานเสร็จผมก็อิ่มตื้อพอดี จนทำให้ทานอะไรต่อไม่ไหว ผมหิ้วถุงใส่โจ๊กติดมือไปด้วย ผมไม่ได้คิดจะนำไปกินในที่ทำงาน เพราะผมคงไม่มีเวลากินมันหรอก และผมก็อิ่มแล้วด้วย แต่ไหนๆเดียร์ก็ซื้อมาแล้ว ก็ไม่อยากให้เสียเปล่า เอาไปฝากคนอื่นดีกว่า ผมนึกถึงเจ้าสันต์ขึ้นมา ไอ้เจ้านี่ชอบมาที่ทำงานแต่เช้า แล้วลงไปหาข้าวกิน ผมจะให้มันกินโจ๊กถุงนี้ บางทีมันอาจจะเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่าง เจ้าสันต์และเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นก็ได้


ผมไปถึงที่ทำงานประมาณ 7 โมงครึ่ง เจ้าสันต์เพื่อนเกย์ผู้บ้างานของผม มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน มันหิวซ่กมาเลย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมา จึงทำให้สูญเสียพลังงานขนาดนั้น มันแว่บเข้ามาหาผมที่ห้อง ชวนออกไปกินข้าวด้วยกัน แต่ผมไม่ไปกับมัน เพราะเจ้าซาลาเปา สองลูกกับน้ำเต้าหู้ได้เข้าไปแทนที่ช่องว่างในกระเพาะของผม จนทำให้ไม่เหลือที่ ที่จะจุสิ่งใดลงไปได้อีก โดยปกติ ผมไม่ทานอาหารเช้าอยู่แล้ว ดังนั้นแค่กินอะไรเข้าไปนิดหน่อยก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที


เจ้าสันต์มองหน้าผมอย่างงงๆ ตอนที่ผมยื่นถุงใส่โจ๊กให้มัน จนผมต้องบอกมันว่า โจ๊กเจ้านี้ผมตั้งใจจะซื้อมาฝากมันเพราะเห็นว่าอร่อยดี ส่วนตัวผมทานเรียบร้อยแล้ว และอยากจะทำงานต่อให้เสร็จ พอได้ฟังเรื่องโกหกของผม เจ้าสันต์ซึ่งไม่ค่อยจะคิดอะไรที่ซับซ้อนมากมายเกินกว่าที่มันจะสนใจ ก็คว้าถุงโจ๊กแล้วเดินไปที่แคนทีนทันที
พอเจ้าสันต์เดินออกไป ผมก็เริ่มต้นทำงานต่อทันที ผมจะเป็นคนที่มาทำงานแต่เช้า แล้วก็กลับเย็นมาก บางทีก็กลับดึกเลยหากทำงานยังไม่เสร็จ การเป็นหัวหน้าคนทำให้ผมต้องแบกรับภาระงานที่หนักอึ้ง แถมซ้ำยังต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกน้องในทีม หากผมเหลวไหลเหลาะแหละ ผมก็คงไม่สามารถที่จะคุมใครได้ เวลาทำงานผมจะเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ผมก็สนุกแบบสุดโต่งทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุให้ผมคบกับเจ้าสันต์ได้อย่างยาวนาน เพราะเราสนุกกับการทำงานและสนุกกับการใช้ชีวิตเต็มที่แบบเดียวกัน ต่างกันแค่รสนิยมเท่านั้น ผมน่ะชอบผู้หญิง แต่เจ้าสันต์น่ะชอบผู้ชาย ช่วงหลังๆมานี้ เจ้าสันต์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมเป็นพวกเดียวกับมัน สังเกตได้จากการวิพากษ์วิจารณ์อดีตแฟนเก่าแต่ละคนของผม ขุดข้อเสียๆของเธอขึ้นมา พร้อมๆกับยกย่อง การครองคู่อย่างสมหวังของเกย์ กะเทย ตุ๊ด หรือชายใจสาวทั้งหลาย
ผมไม่ได้บ้าจี้ตามมันไปด้วย แล้วผมไม่โกรธที่มันคิดจะให้ผมเป็นแบบเดียวกับมัน แต่ก็อดขำถึงความพยายามที่จะดึงผมให้ก้าวไปสู่โลกของมันให้ได้ มันเองก็รู้ดีเท่าที่ผมรู้ว่า ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่นอน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงหวัง อาจจะเป็นเพราะผมเป็นผู้ชายแท้ๆที่ไม่คิดรังเกียจเดียดฉันท์คนที่นิยมเพศเดียวกัน มันจึงคิดว่า น่าจะให้ผมเป็นเกย์แบบพวกมันเสียเลย


ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านจดหมายประกาศ คำสั่งต่างๆจากทางอีเมล์ เจ้าสันต์ก็เดินยิ้มเจ้าเล่ห์เข้ามาหา ผมเหลือบตาดูนาฬิกาที่ข้อมือ อีก 10 นาทีแปดโมง ยังพอมีเวลาคุยกับมันได้

“กินเร็วเชียวนะแก” ผมสัพยอก มันไม่ตอบ แต่กลับพูดเรื่องอื่น

“ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไง”

มันทำสีหน้าเหมือนคนที่บังเอิญไปล่วงรู้ความลับของคนอื่น แล้วเกิดปากคันอยากปูดสิ่งที่ตนเองทราบออกมา
   
“ก็ไม่เคยบอกว่าชอบนี่”

ผมตอบมันไปอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่ามันเข้ามาในห้องผม แล้วทำเป็นพูดจาจับผิดผมทำไม

“แล้วนี่อะไร”

มันยื่นกระดาษชิ้นหนึ่งมาตรงหน้า พอผมจะเอื้อมมือไปหยิบมาอ่าน มันก็รีบชักมือกลับทันที ผมหมั่นไส้ท่าทางลับลมคมในของมันมาก  คิดว่าการที่ท่ามากแบบนี้ แปลว่ามันต้องเจออะไรบางอย่างที่จะใช้มาอำผมได้

“ก็มันอะไรล่ะ” ผมถามอย่างงงๆ

“สงสัยจะเป็นจดหมายรักอ่ะ”
   
ผมใจหายแว๊บ นึกสังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก
   
“แกเอามาจากไหน”
   
“ฉันเห็นมันอยู่ในถุงโจ๊กที่แกเอามาให้ฉันน่ะ”
   
นั่นไง นึกแล้วไม่มีผิด กระดาษนั่น ต้องเป็นของเดียร์แน่ นี่เขาจะเขียนข้อความอะไรที่อ่านแล้วดูทุเรศหรือเปล่านะ ถ้ามีคนมาอ่านเจอ แล้วรู้ว่ามาจากถุงใส่อาหารของผม พวกเขาจะคิดอะไรเลยเถิดกันไปใหญ่หรือเปล่า แต่ถึงยังไง เจ้าสันต์ก็ดันมาเจอเข้าจนได้ คงห้ามความคิดมันไม่ได้แล้ว
   
“เหรอ ขอฉันดูได้ไหม” ผมทวงมันจากเจ้าสันต์

“ไม่ได้ เดี๋ยวแกเอาไปทำลายทิ้งหมด”เจ้าสันต์ไม่ยอมคืนให้ผม

“ฉันอยากรู้ว่าเขาเขียนอย่างไรบ้าง อีกอย่างรู้ได้ไงว่ามันเป็นของฉัน อาจจะเป็นของคนอื่นก็ได้”

ผมยังไม่ยอมรับ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันหล่นอยู่ในถุงของแก ฉันเจอ เห็นว่ามันน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่ของแกก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นจะต้องมาเดือดร้อนนี่ แต่ถ้าแกสนใจนัก ฉันจะอ่านให้ฟังแล้วกัน”


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #113 เมื่อ14-05-2008 05:49:01 »

ส่วนใหญ่คนอ่านมาจากบอร์ดปาล์มกับกูซ่าส์มาหมดแย้วอ่ะ ที่อื่นเค้าก็ลงจนจบแย้ว แต่ในเล้าพึ่งเอามาลง เหอะๆ ทำใจๆ เด๋วจะย้ายไปไว้ที่ห้องนิยายปกติให้ละกันเน้อออ  :a1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2008 05:51:14 โดย •=»‡Ke®oro‡«=• »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #114 เมื่อ15-05-2008 18:47:10 »

ช่วยลงภาค 2 จนจบ หน่อยน๊า :m1: :m1: :m1:

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #115 เมื่อ15-05-2008 21:24:37 »


บทที่ 5


เจ้าสันต์ถือกระดาษแผ่นนั้นอยู่ในมือ แล้วอ่านด้วยเสียงอันดัง

“ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยชอบทานอาหารเช้า แต่ผมอยากจะขอร้องให้คุณเปลี่ยนแปลงตนเองหน่อยนะครับ ผมห่วงคุณมาก อยากให้มีสุขภาพแข็งแรง โจ๊กเจ้านี้อร่อยนะ ทานซะหน่อยนะครับที่รัก อย่าปล่อยให้ท้องว่างเลยนะ  รักนะ ... คนแก่โง่”

ใช่เลย ข้อความแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากนายเดียร์ เด็กบ้าจอมจุ้นจ้าน รู้สึกว่าจะชอบวุ่นวายกับชีวิตผมมากเกินไปซะแล้ว

“คนเขียนคงห่วงใยแฟนตนเองน่าดูเลยนะ” เจ้าสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้นเหรอ คงเขียนให้แฟนตัวเองล่ะมั้ง อาจจะเป็นของเจ้าของร้านโจ๊กก็ได้ที่เผลอใส่มา”

ผมยังไม่ยอมรับ และไม่มีวันจะยอมรับด้วย ทั้งเรื่องเจ้าของข้อความ และเรื่องนายเดียร์

“แน่ใจนะว่า เจ้าของร้านโจ๊กนั่นไม่ได้ใส่ข้อความนี้ถึงนาย”

เจ้าสันต์ถาม ทำท่ากระสันอยากล้วงความลับผมเต็มที่ แต่ผมยืนกรานปฏิเสธ

“อื้ม ฉันยอมเชื่อนายก็ได้ แต่มันน่าแปลกอยู่นะ ที่เขาเผอเรอใส่สารรักลงมาในถุงโจ๊กของลูกค้า มันง่ายต่อการเข้าใจผิดนะเนี่ย ถ้าหากฉันเป็นคนซื้อโจ๊กไม่ใช่นาย ฉันต้องคิดว่า คนขายนั่นต้องรักชอบฉันแน่ ว่าแต่ เขาหล่อไหมวะ”

มันถามผม เอาอีกแล้ว เจ้างูแก่เจ้าเล่ห์บนหัวของเจ้าสันต์เริ่มออกทำงาน

“เอ้อ.....”

ผมอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะไม่รู้จริงๆว่าคนขายหล่อหรือเปล่า เนื่องจากไม่ได้เป็นคนซื้อ เจ้าสันต์มองผมอย่างสงสัย ผมเลยจำเป็นต้องโกหกอีก

“ไม่หล่อหรอก เป็นอาแป๊ะแก่ๆน่ะ”

“อาแป๊ะเหรอ เขียนซะหวานขนาดนี้เนี่ยนะ แล้วคนแก่นี่ ไม่ได้มีลูกเมียไปแล้วเหรอ คิดยังไงจะมาเป็นเกย์เอาตอนแก่”

มันพูดเป็นเชิงตั้งคำถามเอากับผม ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังจับโกหกเด็ก

“เอ๊ ฉันจะไปรู้ได้ไงวะ แกนี่ก็แปลก พยายามจะยัดเยียดให้ฉันตอบอยู่นั่นแหละ อาจจะเป็นของใครก็ได้ ของลูกเขาก็ได้ ของตัวเขาก็ได้เหมือนกัน แล้วไอ้จดหมายรักบ้าบออะไรที่แกว่านี่ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เขาส่งให้ใคร ผู้หญิง หรือผู้ชาย แกจะมาสรุปเอง คาดเดาเองทำไมวะ เป็นนักสืบหรือไง”

ผมโวยกลับใส่มันเสียงค่อนข้างดังเหมือนกัน ทำท่าโมโหที่มันเที่ยวได้วุ่นวายในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัว แถมซ้ำยังมากล่าวหาคนอื่นอีกด้วย เจ้าสันต์ทำสีหน้าแหยๆ คงนึกว่าผมโกรธจริงๆ

“แหม อย่าโกรธสิวะ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

“ล้อเล่นอะไรอย่างนี้วะ แกทำยังกับว่าฉันเป็นเจ้าของจดหมายปริศนานั่นซะเอง ทำไมวะ อยากให้ฉันเป็นพวกเดียวกับแกนักหรือไงวะ”

“แหม ก็ดีนะ ถ้าแกเป็นพวกเดียวกับฉัน ฉันจะได้จีบแกซะเลย แอบหลงรักมานานแล้วว่ะ ผู้ชายอะไรวะ หน้าเนียนชิบเป๋ง แกน่ะ น่ากินรู้ไหม เป็นแฟนฉันนะ รับรองแกจะติดใจจนลืมผู้หญิงเลย มามะ มาจอยกัน จอยกัน มาสิมา มาจอยกัน จอยกัน”

เจ้าสันต์ทำทะเล้นด้วยการร้องเพลงตลกๆ มันรู้ดีว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มจะโมโห มันต้องล่าถอยแล้วก็เอามุขบ้าๆบอๆเข้าหาผม เพราะผมเป็นคนเส้นตื้นหัวเราะง่าย โกรธแป๊บๆเดียวก็หายแล้ว เจ้าสันต์มันรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี มันเลยไม่ชวนผมพูดจาในสิ่งที่จะเป็นชนวนให้ทะเลาะกันต่อ

ผมยิ้มขำๆให้กับท่าทางของมัน ไม่ได้ถือสาคำพูดที่มันพาดพิงเกี่ยวกับตัวผม เจ้าสันต์มันพูดแบบนี้เป็นประจำ จนผมเริ่มคุ้นเคยกับวิธีการพูดของมันแล้ว แต่ผมรู้ดีว่า ความที่พวกเราเป็นเพื่อนกันมานาน มันไม่มีทางที่จะจีบผมไปเป็นแฟนมันหรอก แล้วมันก็รู้ว่า ถึงแม้มันจะจีบจริง ผมก็ไม่มีทางจะชอบมันได้เกินเพื่อน หรือจะพูดให้ชัดเจนลงไปอีกก็ได้ว่า ผมไม่มีทางชอบเกย์หรอก

“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน

“เดี๋ยวลูกน้องแก กับลูกน้องฉันมาเห็นเข้า ก็ได้เอาไปนินทาหรอก ทำตัวให้มันสมกับเป็นหัวหน้าคนหน่อยสิวะ”

“อ๋าย อะไรวะ เรื่องหัวใจกับเรื่องงานการมันคนละเรื่องกันโว้ย ใครขืนแหยมสิ จะไม่ให้ขึ้นเงินเดือนและโบนัสเลย”

“ทำเป็นพูดดีไปเหอะ ระวังจะถูกลูกน้องร้องเรียนพฤติกรรมว่า เจ้านายไม่ทำอะไรเลย วันๆเอาแต่คุยเรื่องหนุ่มๆ”

ผมว่ามันอีก แต่มันยักไหล่ทำท่าไม่สะทกสะท้าน อาจจะเป็นเพราะว่านี่คือการพูดเล่นระหว่างเรา ไม่ใช่เรื่องจริง มันจึงไม่กลัว กล้าที่จะคิด หรือพูดอะไรที่เกินจริงออกมาได้

“ก็ลองดูสิ ใครมันจะกล้า”

“อ๋อออออ ฉันลืมไป ว่านายน่ะ มันเป็นหัวหน้าจอมเผด็จการ ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่ท่านฮิตเลอร์ จะย้ายก้นไปทำงานที่ห้องของตนเองซะที นี่มันได้เวลางานแล้ว กระผมจะทำงานขอรับ”

ผมขี้เกียจคุยกับเจ้าสันต์ เพราะท่าทางมันจะไม่ยอมออกจากห้องผมไปง่ายๆ คิดอยากจะเคลียร์งานให้มันหมดๆ เพราะช่วงใกล้สิ้นปี เป็นเวลาที่ยุ่งมาก ตัวแทนประกันชีวิตจะขายอัดๆกันเข้ามา เพราะทุกคนอยากได้ผลงาน อยากได้คอมมิชชั่น รวมถึงพยายามให้ติดคุณวุฒิท่องเที่ยวต่างๆที่ประกาศด้วย หากพวกผมพิจารณางานได้ล่าช้า ผลงานอนุมัติไม่ทันคงจะโดนพวกฝ่ายขายเล่นงานจนนั่งไม่ติดแน่

“ไปก็ได้วะ ไล่อยู่ได้ กลางวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านคุณป้านะ ฉันอยากเจอน้องแซ่บน่ะ เขาน่ารักดีนะ”

เจ้าสันต์หันมาชวนผมก่อนไป ผมล่ะหน่ายกับความเจ้าชู้ของมันเสียจริง

“อ้าว แล้วสองหนุ่มที่แกเจอที่สีลมซอยสองล่ะ เลิกคลั่งไคล้แล้วเหรอวะ”

ผมถามมันอย่างอยากรู้ ไอ้เจ้านี่ มันช่างเปลี่ยนใจได้ไวเสียจริง

“ก็ยังคงชอบยู๊”  มันทำเสียงสูง

“แต่แหมจะให้ซ้ำซากจำเจอยู่ได้ไง ก็ต้องเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆอ่ะ มันเป็นกำไรชีวิตนะ”

“ระวังสองหนุ่มนั่นจะมาแหกอกเอานะ พ่อคนจับปลาหลายมือ” ผมค่อนขอด

“ไม่มีทางหรอกเฟ้ย ฉันจัดการได้น่า สองคนนั้นไม่กล้าหือหรอก มือชั้นนี้แล้ว”

มันคุยเขื่อง ผมขี้เกียจเถียงมันเลยโบกไม้โบกมือไล่ให้มันไปทำงานทำการ แต่มันก็คาดคั้นให้ผมตกลงไปทานข้าวกับมันจนได้


พอเจ้าสันต์ไปแล้ว ผมก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า เมื่อวานผมพิจารณาเคสหมดไปแล้ว แต่วันนี้ก็มีเคสใหม่ๆมาให้ผมตัดสินใจอยู่อีกกว่า 20 เคส ซึ่งผมคิดว่า กว่าจะพิจารณาหมดก็คงใช้เวลานานมาก วันนี้คงกลับดึกอีกเช่นเคย เป็นแบบนี้เสมอ


ช่วงสามเดือนสุดท้าย เพราะคุณวุฒิรางวัลใหญ่ๆรอพวกตัวแทนอยู่ ห่างพวกเขาสามารถทำยอดผลงานได้ดี เขาก็จะได้รางได้ผลตอบแทนคุ้มค่าเหนื่อย มันจึงเป็นความกดดันอย่างมากระหว่างพวกพนักงานและฝ่ายขาย หากเราไม่อนุมัติให้เขา ก็จะถูกต่อว่า บางรายถึงกับโทรมาด่า และร้องเรียนไปจนถึงผู้ใหญ่


บางวันผมและลูกน้องในแผนกแทบไม่ได้ทำงานทำการมัวแต่รับสายที่จะโทรมาคอยถามไถ่ว่าผลงานของพวกเขาอนุมัติหรือยัง ถ้าได้ ทุกคนก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะมีคำถามมากมายที่จะต้องตอบ ตอบดีก็ดีไป ตอบไม่ถูกใจก็โดนด่า บางคนก็ด่าอย่างหยาบคาย หลายครั้งเล่นเอาพวกผมเลือดขึ้นหน้า แต่ก็ต้องอดทน ผมต้องบอกให้ลูกน้องของผม พยายามสงบสติอารมณ์ ระงับความโกรธที่อาจจะมีหากถูกฝ่ายขายด่า แล้วให้พยายามเข้าใจธรรมชาติของพวกเขาแต่ละคน งานขายประกันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะขายมาได้แต่ละราย พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ ทั้งการดูถูกเหยียดหยามจากลูกค้า ความไม่เข้าใจ และชื่อเสีย แต่ก่อนเก่า ที่ตัวแทนไม่ดีบางคนไปทำเอาไว้ ทำให้ลูกค้าเข็ดขยาดไม่อยากทำประกัน เมื่อขายมาได้แล้ว ก็ต้องมานั่งลุ้นว่าจะผ่านขั้นตอนการพิจารณารับประกันไปได้หรือไม่ หากบริษัทไม่สามารถรับความเสี่ยงของลูกค้าได้ ก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะอธิบายให้เขาพึงพอใจ แต่บางทีความคาดหวังของตัวแทนก็สูงมาก ทั้งๆที่เราบอกถึงเหตุขัดข้องให้พวกเขาทราบแล้ว เขาก็ยังคงไม่ฟัง ไม่ยอมเข้าใจอยู่ดี


ผมเคยเจอเข้ากับตัวเองครั้งหนึ่ง ลูกค้าที่ตัวแทนประกันไปขายมา เป็นเกย์เจ้าของร้านทำผมฝีมือดี และเป็นคนฐานะดีด้วย ดูจากความสามารถในการหารายได้กับชื่อเสียงของเขา เราสามารถที่จะรับประกันได้ ถึงแม้คนที่เป็นเกย์จะมีความเสี่ยงสูงในเรื่องโรคเอดส์ และ เสี่ยงต่อเรื่องการดำเนินชีวิตที่อาจจะพัวพันกับการฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรมได้ แต่จากชื่อเสียง ฐานะ และการศึกษา มันทำให้เชื่อใจได้ว่า ความเสี่ยงที่เขามีอยู่ มันพอที่จะรับประกันได้ในอัตราปกติ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2008 21:37:12 โดย SuMoDevil »

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #116 เมื่อ15-05-2008 21:26:49 »


เมื่อก่อนบริษัทของเรามีกฎเกณฑ์ในการรับประกันอย่างหนึ่งคือ จะไม่รับประกันคนที่มีความเสี่ยงภัยต่อการติดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ พวกที่มีอาชีพเสี่ยงอย่างเช่น ช่างแต่งหน้า ทำผม สจ๊วต นักแสดง ลูกเรือที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานานๆ หรือแม้แต่พวกที่เคยมีประวัติถูกปฏิเสธการบริจาคโลหิต ผู้ที่มีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ คนพวกนี้เราจะพิจารณาเป็นพิเศษ แล้วก็มีแนวโน้มที่จะไม่รับทำประกัน ซึ่งจากกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้เข้มงวดอย่างนี้ จึงทำให้บริษัทประกันชีวิตทั้งหลาย ได้รับการต่อต้านจากชมรมไม้ป่าเดียวกันอย่างมาก

แต่ต่อมา การใช้ชีวิตของผู้ที่มีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยขึ้น รู้จักเซฟเซ็กส์ ใส่ถุงยางอนามัย และไม่ค่อยมั่วกันมากเหมือนเมื่อก่อน กฎเกณฑ์การพิจารณาก็ผ่อนปรนลง โดยที่จะมีการรับพิจารณาเป็นรายๆไป ทั้งนี้ เราต้องสามารถเชื่อใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของพวกเขาได้ โดยดูจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ประวัติสุขภาพ การศึกษา และฐานรายได้ นำหลายๆอย่างมาประกอบกัน ทำให้บริษัทของผมสามารถที่จะรับประกันเกย์หรือคนที่เบี่ยงเบนทางเพศเข้ามาหลายคน

แต่สำหรับเคสเจ้าปัญหาที่เป็นช่างตัดผมคนนี้ ตามประวัติ เขาใช้ชีวิตที่มั่วทางเพศมาก มีข่าวว่าเขาเปลี่ยนคู่นอนหลายคน และลูกค้าเคยมีประวัติการไปตรวจเลือดถึง 5 ครั้งด้วยกัน ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เราจึงใช้วิธีการของเรา จนสืบได้ว่า ลูกค้าคนนี้ถึงแม้จะมีคู่ควงเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ยังนิยมเที่ยวตามบาร์ และซาวน่าเกย์ แล้วก็ซื้อเด็กผู้ชายขายบริการมานอนด้วย ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า เขาน่าจะเผอเรอไม่ป้องกัน หรือมีเหตุบางอย่างที่ทำให้คิดว่าตนเองไม่ปลอดภัย จึงต้องไปตรวจเลือดมาหลายครั้ง


นอกจากนี้เขายังซื้อประกันในวงเงินที่สูงมากอีกด้วย และซื้อสัญญาสุขภาพแบบเต็มลิมิต เมื่อพิจารณาแล้ว ผมเห็นว่า เราน่าจะรับประกันชีวิตเขาได้ แต่ต้องปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องค่ารักษาพยาบาล เพราะเขาใช้ชีวิตในแง่มุมที่เสี่ยง มากเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบในเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้เขาได้ แต่สำหรับเรื่องการประกันชีวิตและการออมทรัพย์ ยังเห็นควรว่าน่าจะรับประกันได้อยู่ ผมจึงแจ้งผลการตัดสินใจให้กับตัวแทนทราบ ตัวแทนโทรมาโวยวายขอเหตุผล ผมก็บอกเขาไปดีๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปบอกลูกค้าอีท่าไหน ลูกค้าโทรมาด่าบริษัท หาว่าไปสอดแนมเรื่องส่วนตัวของเขา รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเอดส์ มากล่าวหาเขาแบบนี้เขาเสียหาย


แม้ว่าผมจะอธิบายให้เขาฟังว่า บริษัทไม่ได้ฟันธงว่าเขาเป็นเอดส์ เพียงแต่การใช้ชีวิตของเขามันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติทั่วไป และอาจจะเป็นเหตุให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องตามมาในภายหลัง ซึ่งการเฉลี่ยความเสียหายมันอาจจะก่อไม่เกิดความยุติธรรมต่อคนที่จ่ายเบี้ยคนอื่นๆ เราจึงไม่อาจจะรับประกันสุขภาพของเขาได้ แต่เราก็ยินยอมที่จะรับประกันชีวิตของเขา ใช่ว่าเราจะปฏิเสธไม่รับทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ แต่เขาก็ไม่พอใจ ทั้งตัวแทนและลูกค้ารุมถล่ม ผม และบริษัทกันใหญ่ มีการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ จนบรรดาชาวสีม่วงออกโรงประท้วง ไปตั้งกระทู้ด่าบริษัทผม และธุรกิจประกันตามเวปไซต์ต่างๆ หาว่าเรารังแกชาวสีม่วง เหยียดเพศ เหมือนกับเหยียดผิว


ถึงจะโดนด่าอย่างไร แต่ผมก็ยืนกรานบนความถูกต้อง เพราะถือว่าได้อนุโลมให้จนถึงที่สุดแล้ว ลูกค้าก็เลยไม่ยอมทำประกัน แถมซ้ำยังยกเลิกกรมธรรม์เดิมที่ทำไว้กับบริษัทเราอีกด้วย ทำให้ตัวแทนสูญเงินค่าคอมมิชชั่นนับแสน โกรธจัด จะเล่นงานผมจนหลุดจากหน้าที่การงาน แต่ผู้ใหญ่ของบริษัท เข้าใจดีว่าผมทำดีที่สุดแล้ว และหาช่องทางให้กับลูกค้ารายนั้นด้วย แต่ลูกค้าไม่ยอมรับข้อเสนอที่เราให้ ได้ข่าวว่า เขาไปสมัครทำประกันที่บริษัทอื่นด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็ได้ยินข่าววงในแว่วมาว่า ลูกค้ารายนี้ติดเอดส์จริงๆจากเด็กที่เขาไปซื้อบริการ จึงนับว่าการตัดสินใจของผมถูกต้องจริงๆ   


ภายหลังเวลาที่ผมเจอตัวแทน และผู้บริหารต้นสังกัด เจ้าของเคส เขาไม่ยอมพูดกับผม และหาเรื่องแขวะผมตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำไปจะปรากฏในเวลาต่อมาว่าเป็นเรื่องถูกต้องก็ตาม แต่การที่ทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์มันทำให้เขาอภัยให้ผมไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร ผมกับลูกน้องก็ต้องอดทนไม่แสดงอารมณ์โต้ตอบ การทำงานในฐานะการเป็นผู้ให้บริการ ต้องมีเซอร์วิสไมนด์เสมอ จะแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ บางครั้งผมก็เครียดจัด เลยต้องหาทางออกโดยการเที่ยวกลางคืนบางครั้งเพื่อให้ผ่อนคลายจากปัญหาเรื่องการทำงานทั้งปวงที่ถมทับอยู่ทุกวัน แต่ผมก็จะกลับมาเป็นคนที่เอาการเอางานทุกครั้งเมื่อถึงเวลาทำงานปกติ ไม่เคยทำตัวหงุดหงิด หรือสติแตก ให้ลูกน้องหมดกำลังใจ และหมดศรัทธาในตัวผม จะมีก็แต่เรื่อง อรจิรา เท่านั้น ที่ทำให้ผมเกือบกลายเป็นคนเสียสติ อยู่พักหนึ่ง


ผมโอนสายโทรศัพท์ไปยังโต๊ะเลขา ให้ฝากเรื่องไว้ แล้ว ในเรื่องการตอบคำถาม ผมจะมีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามในเบื้องต้นให้ก่อน คำถามประเภทที่ว่า อนุมัติหรือยัง อนุมัติเมื่อไหร่ ติดขัดอะไรบ้าง เอกสารที่ต้องขอ โดนเมมโม เรื่องอะไร เทือกนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผมมาตอบ เพราะมันเป็นเรื่องที่พนักงานในฝ่ายสามารถที่จะตอบได้ก่อน และไม่เสียเวลาด้วย ฝ่ายขายจะได้รู้ว่า งานของเขาที่ส่งเข้ามาอยู่ในขั้นตอนตรงไหนแล้ว


ตลอดทั้งเช้า ผมนั่งพิจารณาใบคำขอที่ส่งเข้ามา ไปได้ 5 เคสเท่านั้น เนื่องจากเป็นเคสวงเงินสูง และมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเยอะ ทั้งประวัติสุขภาพ สถานะทางการเงิน ความสามารถในการชำระเบี้ย และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้ว


เจ้าสันต์มายืนผมหน้าห้องอย่างกระสับกระส่าย มันไม่กล้าเข้ามา เพราะผมสั่งเลขาไว้ว่า ไม่ต้องการจะพบกับใคร ซึ่งเลขาของผมก็ทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด เธอไม่ยอมให้เจ้าสันต์เข้ามาหาผมจริงๆ ถึงแม้เจ้าสันต์จะขอเข้ามาพบ แต่เธอก็ไม่ยอม ยืนกรานคำพูดของผมที่สั่งเอาไว้  จนมันต้องโทรมือถือเข้ามาหาผม ซึ่งผมก็บอกว่าให้มันรอก่อน เพราะผมมีงานติดพัน ไม่อยากทิ้งไปกลางคัน เพราะต้องมาเริ่มต้นพิจารณาใหม่ อยากให้เสร็จเป็นเคสๆไป มันทำท่าว่าจะขอเข้ามานั่งด้วยในห้อง จนผมต้องดุมันว่า ถ้ามันรอไม่ได้ ก็ให้มันเดินไปกินร้านป้าก่อนได้เลย มันบ่นมาตามสาย ว่าไปช้า คงไม่มีที่นั่งแน่ๆ แต่ผมไม่สนใจ ขืนตามใจมัน ก็เท่ากับต้องเริ่มงานที่ได้ทำไปแล้วใหม่ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ


เรามาถึงร้านคุณป้าตอนเที่ยงจะครึ่ง น่าแปลกมีคนจองโต๊ะให้เราไว้ที่มุมเดิมอีกแล้ว ผมเก็บความแปลกใจไว้ไม่พูดอะไรมากมาย เพราะว่ากำลังหิวอยู่พอดี นึกในใจว่า ครั้งหน้าจะพยายามมาให้เร็ว แล้วก็ลองสอบถามเด็กในร้านดูดีกว่า ว่าทำไมเจ้าของร้านจึงใจดีนัก จองให้ผมทั้งๆที่ผมไม่เคยโทรสั่งจองเลย เจ้าสันต์ก็ไม่ได้โทรจองด้วย จะว่าเป็นเพราะพวกเราเป็นลูกค้ากินกันมาเป็นประจำหลายปีแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะบางครั้งผมก็เดินไปกินร้านอื่นๆ เช่นพวกก๋วยเตี๋ยว หรือ ข้าวมันไก่บ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นการจองที่ให้พวกผมตลอดเวลา ก็เสี่ยงต่อการที่จะเสียลูกค้ารายอื่นๆหากผมและเจ้าสันต์ไม่มาทานที่นี่


ครั้นจะโวยวายไปก็ใช่ที่ เดี๋ยวทางร้านจะเสียหาย แล้วอีกอย่างก็ไม่เห็นว่าจะต้องโวยวาย หรือสอบถามอะไรในช่วงที่คนแน่นร้านอย่างนี้ ดีไม่ดี คนที่มารอแล้วไม่มีที่นั่งจะเขม่นเอา รวมถึงเจ้าของร้านจะถูกต่อว่าด้วย ผมจึงไม่พูดอะไรออกมา นอกจากร้องขอเมนูจากพนักงานเสิร์ฟ

แซ่บ เด็กเสิร์ฟ หน้าตาน่ารักของเจ้าสันต์ถือเมนูปราดเข้ามาหาทันที เขายื่นเมนูมาให้ผมกับเจ้าสันต์ ในมือถือกระดาษและปากกาเตรียมจดออเดอร์ พร้อมกับยิ้มให้กับเราสองคน ผมพยักหน้าให้เขา แต่เจ้าสันต์ยิ้มตอบอย่างหวานที่สุด จนผมรู้สึกเลี่ยนขึ้นมา ผมเลือกได้รายการอาหารที่ต้องการแล้ว จึงร้องสั่งเสียงดัง ขัดจังหวะขึ้นมา

“ขอ ข้าวผัดกระเพราปลาหมึก และไข่เจียวราดข้าวนะ”

เด็กหนุ่มกดลงจดสิ่งที่ได้ยิน เจ้าสันต์เอามือแตะที่สะโพกของแซ่บแล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวานว่า

“สำหรับพี่ ขอเป็นข้าวหมูทอดกระเทียมนะ เอาไข่ดาวโปะมาด้วยแล้วกัน สองดวงเป็นรูปหัวใจแบบเจ้าเรียวเมื่อวานก็ได้นะจ๊ะ พี่ชอบ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่จดออเดอร์ไปยิ้มไป พอเด็กหนุ่มเดินไปส่งออเดอร์อาหาร ผมก็แซวเจ้าสันต์เรื่องเด็กหนุ่ม กล่าวหาว่ามันเป็นตาเฒ่าหัวงู โรคจิต ชอบกินเด็ก มันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ชอบใจใหญ่ บอกว่านี่แหละคือเคล็ดลับที่ทำให้มันกระชุ่มกระชวยอยู่ตลอดเวลา แถมซ้ำพูดจาเชิญชวนให้ผมเอาอย่างมันบ้าง ผมสั่นหน้าปฏิเสธ บอกกับมันว่าไม่ไหวหรอก ชอบผู้ชายด้วยกัน น่าคลื่นไส้ มากกว่าน่าชื่นชม สู้ผู้หญิงสวยๆเนื้อนิ่ม ตัวหอมกรุ่นไม่ได้ เจ้าสันต์เลยค้อนผมควับ บอกว่าพวกชะนีเรื่องมาก ชาตินี้มันขอยุ่งกับผู้ชายอย่างนี้ไปดีกว่า


ผมนั่งคุย พูดเล่นอำกับเจ้าสันต์ไปพลางๆระหว่างรอกินข้าว ประมาณ 15 นาทีอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เจ้าสันต์ได้ข้าวหมูกระเทียมและไข่ดาวแฝดรูปหัวใจอย่างที่มันต้องการ ส่วนผมได้อาหารตามที่สั่ง แถมซ้ำได้แกงจืดวุ้นเส้น เต้าหู้ไข่ ใส่หมูสับ และสาหร่ายมาอีกถ้วยใหญ่ โดยที่ผมไม่ได้สั่ง พอถามเจ้าแซ่บเด็กเสิร์ฟ เขาก็บอกว่า อันนี้ผู้ช่วยพ่อครัว เขาทำพิเศษให้กับผม เพราะเห็นว่าคราวที่แล้วผมถูกอกถูกใจฝีมือทำอาหารของเขา เขาก็เลยอยากให้ผมลองทานดู ผมเลยฝากบอกขอบคุณเขาไปกับเจ้าแซ่บ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2008 21:31:07 โดย SuMoDevil »

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #117 เมื่อ15-05-2008 21:28:50 »


“ฉันชักอยากจะเห็นหน้าผู้ช่วยพ่อครัวคนนี้ซะแล้ว”
เจ้าสันต์เอ่ยขึ้นมาทันทีที่เด็กเสิร์ฟเดินลับหายไปยังห้องครัว ตาของมันมองจ้องมาที่จานข้าวของผมซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเมื่อวาน แถมซ้ำกับข้าวที่ราดไว้ก็ดูจะเยอะมากมายผิดปกติ
   
“ทำไมวะ”
ผมถามอย่างสงสัย อันที่จริงผมเองก็อยากเห็นหน้าเขาเหมือนกัน
   
“ก็ดูกับข้าวที่เขาทำให้กับแกสิ ทำไมมันดูมากมายผิดปกติอย่างนั้น คนทำอาหารคิดอะไรกับแกหรือเปล่าวะ”
   
“บ้าเหรอ”
ผมนึกขำที่มันช่างคิดไปได้เป็นตุเป็นตะ
   
“อย่ามาจับแพะชนแกะเลย พ่อนักสืบ เขาอาจจะเห็นว่าฉันชมชอบฝีมือของเขาจริงๆ ก็เลยทำอาหารมาให้ลองชิม สงสัยเห็นว่าฉันเป็นพวกแม่ช้อยนางรำ หรือไม่อีกทีก็คงเห็นว่าฉันเป็นหนูทดลองยากระมัง”
   
ผมกล่าวอย่างติดตลก พยายามไม่ให้มันคิดมาก เจ้าสันต์นี่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยคิดเรื่องอะไรมากมายเกินตัวก็จริง แต่เวลาที่มันสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษมันก็จะคิดเล็กคิดน้อย ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล มันจะคอยคิดหาเหตุผลหรือคำตอบอยู่ตลอดเวลา เอารายละเอียดต่างๆที่เห็นมาประมวลเข้าด้วยกัน หาข้อสมมุติฐาน จนได้คำตอบที่มันต้องการ
   
“แล้วทำไมต้องเป็นกับนายคนเดียวด้วยวะ  ดูจานของฉันกับจานของนายสิ”
มันมองที่จานของผม และจานของมันสลับกันไปมา พลางตั้งข้อสังเกต

“ฉันอาจจะหน้าตาดีกว่าแกก็ได้มั้ง”
ผมสรุปอย่างกวนๆ พยายามจะไม่ใส่ใจหาคำตอบ ใจห่วงเรื่องงานที่กองอยู่บนโต๊ะมากกว่าที่จะมานั่งหาคำตอบว่าทำไมผมได้อาหารจานใหญ่กว่ามันแถมซ้ำมีพิเศษอีกด้วย

“เออ....แกมันหน้าตาดีกว่าฉัน แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่แกจะได้อาหารมากกว่าฉันนี่หว่า ยกเว้นแต่ว่า คนทำอาหารจะเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ หรือไม่ก็แอบหลงรักแกอยู่”
เจ้าสันต์วกมาลงเรื่องความรักใคร่ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจนได้ ผมส่ายหัวอย่างระอา โต้ตอบมันออกไปด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความรำคาญ

“เอาเข้าไป ไอ้โรคอยากให้ฉันเป็นเกย์นี่มันอยู่ในหัวสมองแกอยู่ตลอดเวลา และมักจะมีอาการกำเริบอยู่เรื่อยเลยนะ เห็นอะไรที่ผิดปกติเข้าหน่อย ก็โวยวายหาว่าเป็นการกระทำของพวกเกย์ ถามหน่อยเหอะ เกย์อย่างพวกแกนี่มันว่างมากนักหรือไงวะ ถึงมาคอยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้”

“ถ้าผู้ช่วยพ่อครัวนั่นเป็นเกย์ แล้วมาชอบฉันอย่างที่แกว่าจริงๆล่ะก็ ฉันเดาเอาว่า เกย์คนนั้นคงจะมีอะไรที่ผิดปกติในสมองเป็นแน่ หน้าตาก็ไม่เคยเห็นกันมาก่อน อยู่ๆจะมาชอบฉันได้ไง คิดหน่อยสิ ว่ามันมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ไม่ใช่โมเมเหมาเอาว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามที่แกคิดแกเข้าใจ บางทีทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นก็ได้”

“ก็มันชวนให้สงสัยว่าจะเป็นอย่างนั้นนี่หว่า แกก็ดูสิ ไม่ต้องเปรียบเทียบระหว่างแกกับฉันก็ได้ แต่ลองมองดูที่จานของคนอื่นๆบ้าง มีใครได้จานใหญ่เท่าแก หรือเยอะเท่าแกบ้างวะ แกคนเดียวเลยนะ ที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้น่ะ”

เจ้าสันต์บุ้ยใบ้ให้ผมมองไปรอบตัว ผมมองตามที่มันพูด ก็สังเกตเห็นในสิ่งที่มันว่าจริงๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะยิ่งคิด แล้วพูดออกมา ก็จะเป็นการไปเสริมให้เจ้าสันต์มั่นใจกับความคิดของตัวเองมากยิ่งขึ้น

“ไม่รู้สิ ฉันไม่อยากจะเถียงกับแก เรื่องนี้มันได้ถูกพูดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าแกอิจฉาที่ฉันได้ทานอาหารมากกว่าแก ก็ทำตัวให้น่ารักซะบ้าง เผื่อคนเขาจะเอ็นดู ทำเป็นมั้ยอ่ะ ทำตัวน่ารัก ง่ายๆเอง มันเริ่มจากการหยุดซักหยุดถามแล้วก็กินข้าวเสียที แค่นี้แกก็เป็นคนดีได้แล้ว อย่างน้อยก็ในสายตาฉัน”

“แต่ว่า...”

มันทำท่าจะพูดต่อ ผมเลยเลื่อนจานข้าวของผมไปตรงหน้ามัน พร้อมด้วยถ้วยแกง แล้วเลื่อนอาหารของมันมาตรงหน้าผม

“ถ้ามันน้อยกว่าแกนัก ก็เอาจานฉันไปกินแล้วกัน ฉันกินจานของแกเอง”
เจ้าสันต์รีบคว้าจานมันกลับ แล้วผลักจานข้าวของผมกลับคืน

“ไม่เอา ฉันจะกินอาหารที่ฉันสั่ง อีกอย่างหนึ่ง ผู้ช่วยพ่อครัวคนนั้น ไม่ได้ทำอาหารมาให้ฉันกินซะหน่อย เขาทำให้แกกินต่างหาก ไม่อยากแย่งคนอื่นกินว่ะ”
มันตอบอย่างหยิ่งๆ

“เอองั้นก็อย่าบ่นมาก รำคาญว่ะ”
ผมจบคำพูดด้วยการ ตักอาหารเข้าปาก บอกเป็นนัยๆให้มันรู้ว่าผมต้องการยุติการสนทนาแล้ว เจ้าสันต์เหวี่ยงค้อนวงใหญ่ใส่ผม แล้วหันไปใส่ใจกับอาหารตรงหน้าบ้าง เราต่างนั่งกินกันไปอย่างเงียบๆไม่พูดไม่จา กินเสร็จ จ่ายเงินแล้วเดินออกมา เจ้าสันต์ถึงได้เอ่ยชวนผมขึ้นอีก

“คืนนี้ไปไหนหรือเปล่าวะ ถ้าไม่มีอะไรไปเที่ยวด้วยกันไหม”

“ไปไหนวะ” ผมถามมัน

“ฉันนัดน้องแซ่บไปเที่ยวคืนนี้ว่ะ แต่ไม่อยากไปกันแค่สองคน กลัวน้องเขาจะเขิน”

“คงไปด้วยไม่ได้หรอกว่ะ วันนี้ท่าทางจะต้องอยู่ทำงานจนดึก แกก็ไปกันสองคนสิวะ จะต้องลากฉันไปด้วยเป็น กอ ขอ คอ ทำไม อย่างวันนั้นก็เหมือนกัน ฉันไม่น่าไปเที่ยวที่สีลมกับแกเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง”

ผมเกือบจะเผลอพูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ แต่ก็ยังดีที่ยั้งไว้ทัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่รอดสายตาจับผิดของเจ้าสันต์อยู่ดี

“เกิดเรื่องอะไรวะ”

“ก็เรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสองคนนั่นไง”

โชคดีที่ผมคิดถึงเกย์สองคนนั่นขึ้นมาได้ ไหนๆก็อ้างชื่อแดนนี่กับแมนแล้ว ก็จำต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“หนอย ทำเป็นพาฉันไปเที่ยวด้วย จนฉันเกือบจะต้องไปวุ่นวายกับเจ้าสองคนนั่น แต่ท้ายที่สุดแกก็ได้ไปเที่ยวกับหนุ่มเกย์สมใจอยากถึงสองคนอยู่ดี เห็นไหมเอาเข้าจริงๆ นายแดนนี่กับนายแมนอะไรนั่น ก็มาหลงเสน่ห์แกโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฉันเลย เพราะฉะนั้นฉันคิดว่า แกไปกับน้องแซ่บสุดน่ารักตามลำพังสองคนก็พอ อย่าเอาฉันไปเป็นไม้กันหมาให้แกอีกเลย ฉันเข็ดแล้วว่ะกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้”

ผมบอกมันไป เป็นนัยๆ เพราะความใจอ่อนของผมแท้ๆทีเดียวที่ทำให้ผมต้องมาเจอกับเดียร์แล้วตกกระไดพลอยโจรกลายเป็นแฟนเขาไปโดยไม่สามารถที่จะขัดขืนได้ หากผมปฏิเสธไม่ยอมไปกับเจ้าสันต์คราวนั้น เรื่องยุ่งยากทั้งหลายคงไม่มีวันเกิดขึ้น ดังนั้น พอเจ้าสันต์ชวนให้ผมไปเที่ยวกับมันอีก ผมเลยจำต้องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“แหม เรื่องมันก็เกิดมาแล้ว ช่วยเพื่อนหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ได้กุศลดีนะ ทำให้เพื่อนสมหวัง น่านะ ไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
เจ้าสันต์พยายามออดอ้อน

“ไม่เอาล่ะ ฉันต้องทำงานดึกวันนี้ กว่าจะได้กลับก็คงจะสามสี่ทุ่ม คงจะเข้านอนเลยอ่ะ ช่วงนี้งานในฝ่ายพิจารณารับประกันเยอะมากๆ ฉันคงไม่ได้ไปเที่ยวสัก สอง หรือสามเดือนเลยแหละ”

“แหม ทำเป็นบ้างานขึ้นมาเชียว ก่อนหน้านั้นเห็นเที่ยวตลอด ยิ่งตอนเลิกกับแฟน เมาหัวราน้ำทุกวัน ตอนนี้ไหงกลับมาเป็นคนดีได้วะ”
มันค่อนว่าผม ท่าทางคงไม่พอใจที่ผมไม่ยอมไปเป็นเพื่อนมัน

“คนเราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นสิวะ รู้ว่าไม่ดีก็ยังทำอยู่ได้ ก็เท่ากับว่า ตัวเองทำร้ายตัวเอง แล้วคนที่เจ็บก็คือตัวเองไม่ใช่เหรอ นี่ฉันกะว่าจะเลิกเที่ยว เลิกกินเหล้าแล้วหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากๆ ทำงานให้เยอะๆจะได้ไม่ต้องคิดอะไรที่ฟุ้งซ่านแบบแกไง”

“เอาแล้วไอ้นี่ แหมใครกันแน่วะที่ฟุ้งซ่าน ทำเป็นจะเป็นจะตายเวลาถูกทิ้งน่ะ อย่าบอกนะว่าแกทำใจได้แล้ว  พ่อนักบุญ”

คำพูดของมันจี้ใจดำผมมาก จริงสิ ถึงเวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ผมก็ยังไม่หายเจ็บจากการเลิกรากับอรจิรา อาจจะเป็นเพราะผมรักเธอมาก หวังจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ปีนี้ผมอายุ 27 แล้ว สมควรแก่เวลาในการที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที แต่เมี่อเธอหันไปหาคนอื่นแบบนี้ ก็เลยทำให้ความฝันของผมพังทลาย

“ทำเป็นเงียบ จี้ใจดำหน่อย เป็นไม่ได้เชียวนะ”

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #118 เมื่อ15-05-2008 21:39:51 »


บทที่ 6


เจ้าสันต์เห็นผมไม่พูด มันก็เลยรู้ว่าสิ่งที่มันพูดกระทบจิตใจผมเข้าอย่างจัง มันก็เลยยั่วผมต่อ แต่ผมก็ไม่ได้โต้ตอบมันออกไป ขี้เกียจจะพูดหรืออธิบายอะไรให้มันฟังอีก ผมอยากจบเรื่องของอรจิรา และฝังมันลงไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีต ไม่อยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาพูด ให้ใจตนเองต้องเจ็บช้ำ

“โทษทีว่ะ เพื่อน ที่พูดตรงๆ”

เจ้าสันต์ตบไหล่ผมเบาๆ พอเห็นผมเดินเฉยๆ ไม่โต้ตอบ แล้วก็ไม่แม้แต่จะคุยเล่นหัวกับมันเหมือนเคย มันก็เดาออกได้เลยว่าผมไม่พอใจ ในฐานะที่คบกันมานาน จากการที่เคยสังเกตอารมณ์ของผมตลอด มันรู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่มันต้องเงียบ ขืนมันพูดต่อ เป็นได้เกิดเรื่อง

“ไม่เป็นไร”

ผมบอกมัน แล้วแกะมือของเจ้าสันต์ที่โอบไหล่ผมออก พลางเดินเร็วๆตรงไปที่ลิฟท์ เจ้าสันต์รีบเดินตาม พลางร้องโวยวาย

“จะรีบเดินไปถึงไหนวะ บริษัทไม่หายไปไหนหรอกน่า”

“มีงานกองเต็มอยู่บนโต๊ะ อยากรีบเคลียร์ให้เสร็จ ไม่อยากกลับบ้านดึกมาก”

“เฮ้อออออออออออ.......” เจ้าสันต์ถอนหายใจยาวเหยียด

“เบื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจริงๆ งานเยอะเป็นบ้าเลยว่ะ”

เจ้าสันต์บ่นรำพึงรำพัน ผมยิ้มให้มันไม่ตอบว่าอะไร พอดีลิฟท์เปิดออก เราสองคนรอให้คนเดินออกมา แล้วถึงค่อยก้าวเข้าไป พอผู้โดยสารลิฟท์สองคนสุดท้ายก้าวออกมา เจ้าสันต์ก็ใช้ข้อศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงของผม ทำให้ผมต้องหันไปมองตามสายตาของมัน

“สวัสดีครับ คุณอนันต์ หวัดดีอร เพิ่งลงไปทานข้าวหรือครับ”

ว่าจะไม่ทัก แต่ก็กลัวจะเสียมารยาท ผมก็เลยพูดออกไป คู่แข่งทางหัวใจยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ในขณะที่อรจิรา วางท่าเชิ่ดใส่ผม เธอเพียงแค่ปรายตามามองเป็นเชิงรับรู้การทักของผม

“พอดีงานยุ่งติดพันนิดหนึ่งนะครับ ก็เลยทานช้าไปหน่อย เลยต้องปล่อยให้คุณอรหิ้วท้องรอไปด้วย”

คุณอนันต์พูดยิ้มๆ พลางปรายตามองมายังคนรักของเขาอย่างรักใคร่ ผมเห็นอรจิรายิ้มตอบอย่างหวานหยด ก็รู้สึกปวดแปลบในใจ จนต้องเบือนหน้าหนี

“คงจะหิวน่าดูเลยนะครับ คุณอรจิรา ตามปกติก็เป็นคนที่ทานอะไรก็ไม่ค่อยอิ่มอยู่แล้วนี่ครับ จริงไหม”

เจ้าสันต์พูดหยอกล้ออดีตคนรักของผมยิ้มๆ ฟังเผินๆเหมือนการอำกันธรรมดา แต่ผมรู้ดีว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอรจิราแล้ว มีโอกาสเมื่อไหร่ เจ้าสันต์จะกัด หรือ เหน็บแนมตลอด คราวนี้ก็อีกเช่นกัน มันหลอกด่า อรจิราว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ เป็นผู้หญิงที่หิวกระหายทั้งความรัก และเงินทอง ที่ผมรู้ เพราะว่าเจ้าสันต์มันแอบนินทาแม่สาวคนรักของผมคนนี้ให้ฟังออกไป แต่ตอนนั้น ผมรักเธอมากเกินกว่าจะสนใจคำพูดจากปากเปราะๆของมัน

“จริงเหรอครับ ไม่เห็นรู้เลย ตามปกติ เห็นกินนิดเดียวเท่านั้นเอง”

คุณอนันต์ทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ว่าแฟนตัวเองกำลังถูกเหน็บแนมเข้าให้แล้ว แต่เขากลับคิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง

“แหม คุณอนันต์ผู้หญิงเวลามีความรักน่ะครับ เขาไม่แสดงอาการกินมูมมาม หรือกินเยอะออกมาให้เห็นหรอก ก็ต้องไว้ฟอร์มกันบ้างแหละครับ จะได้ดูน่ารัก”

เจ้าสันต์ยังคงเหน็บแนมต่อเนื่อง แต่จากการพูดทีเล่นทีจริงของมัน ทำให้คุณอนันต์ซึ่งไม่รู้เรื่องราวบาดหมางระหว่างผม เจ้าสันต์ และอรจิรา คิดว่ามันเป็นเรื่องอำกันเล่นขำๆ เขาหัวเราะชอบใจ ที่บังเอิญได้รู้เรื่องราวที่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารักเกี่ยวกับแฟนสาวของเขา ในขณะที่อรจิรา ซึ่งรู้นัยที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดของเจ้าสันต์กลับเดือดปุดๆด้วยความโกรธ ผมเห็นแววตาที่อรจิรามองมายังเจ้าสันต์เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เธอฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกต่อคนรักผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต และมั่งคั่งของเธอ สิ่งที่ได้เห็นก็มีแค่เพียงยิ้มบางๆบนใบหน้าสวยหวานนั้น

“ไปกันเถอะค่ะ คุณอนันต์ อรชักหิวขึ้นมาแล้ว ถ้าไปช้า คุณอาจจะได้เห็นอรกินอย่างมูมมามอย่างที่คุณสันต์ว่าก็ได้นะคะ”

อรจิราฉลาดที่จะหลบออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนั้น เธอจับที่ต้นแขนของคุณอนันต์แล้วดันเบาๆเพื่อให้เขาก้าวเดิน พลางพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน โดยเอาคำพูดของเจ้าสันต์มาอ้างอิงให้เกิดประโยชน์ คุณอนันต์หัวเราะเบาๆ คงกำลังนึกถึงภาพสาวงามกับอาหารจานโตที่วางข้างหน้า ท่าทางเขาเอ็นดูอรจิราอย่างมาก

ผมมองคนทั้งสองที่เดินออกไปด้วยกัน ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ หันหลังกลับพยายามไม่มองภาพบาดตาบาดใจนั้น เมื่อไหร่กันหนอที่ผมจะหายจากอาการอกหักนี้เสียที หรือว่าผมต้องรอให้เจอใครบางคนที่จะมาช่วยเยียวยารักษาบาดแผลใจใจของผม ใครคนนั้นอยู่ที่ไหนกันหนอ

ลิฟท์มาจอดอีกครั้ง หลังจากที่ผมปล่อยให้มันขึ้นไปข้างบน ตอนที่หยุดทักทายกับคุณอนันต์ ผมและเจ้าสันต์ก้าวเข้าลิฟท์ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เจ้าสันต์เองก็รู้ดีว่าบรรยากาศแบบนี้ ควรจะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว โดยที่มันไม่ควรเข้ามารบกวนหรือพูดอะไรให้ผมไม่สบายใจ พอลิฟท์เปิดออก มันก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ จากนั้น เราสองคนก็แยกย้ายกันไปทำงานในแผนกของตัวเอง

ความที่ผมอยากจะลืมเรื่องที่ได้เห็นอรจิรากับคุณอนันต์ในวันนี้ ทำให้ผมเพ่งสมาธิไปกับกองงานทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้า ผมพยายามทำตัวให้วุ่นวายอยู่กับงาน จะได้ไม่เหลือเวลาที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเอง และความรักที่ไม่เป็นดังหวัง

เวลาล่วงไปจนถึงสามทุ่ม กว่าที่ผมจะได้ขยับตัวออกจากโต๊ะ พนักงานในส่วนงานของผมกลับบ้านกันไปจนเกือบหมดแล้ว เลขาของผมกำลังเก็บข้าวของลงโต๊ะ เตรียมจะเลิกงาน แต่เธอก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจ เดินมาถามผมว่าต้องการอะไรอีกหรือเปล่า ผมปฏิเสธแล้วบอกกับเธอว่า ผมเองก็จะกลับบ้านด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกล้าเกินกว่าที่จะทำงานต่อแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน สองคืนแล้วที่ผมอยู่ทำงานจนดึกดื่น แล้วก็มีวี่แววว่าจะต้องเป็นอย่างนี้อีกในคืนต่อๆไป


ผมชวนเลขาสาวของผมนั่งรถไปด้วยกันด้วย โดยแวะส่งเธอกลางทาง เพราะเธอบอกว่าเดี๋ยวแฟนเธอจะมารับ จากนั้นผมก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน อาบน้ำเสร็จ ผมก็เข้านอนเลยทั้งๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ราวๆห้าทุ่ม ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมไม่รับสายเพราะคิดว่าต้องเป็นเดียร์แน่นอน เขาคงจะอยู่ที่ตู้โทรศัพท์แถวบ้านผมเหมือนเคย และคงกำลังมองมาที่ห้องนอนของผม หมอนี่คงเห็นว่าผมเข้าบ้านมาแล้ว และคงอยากจะโทรมาพูดคุยเล่นด้วยเหมือนเดิม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับเขา เพราะเจ้าบ้านั่น ก็คงจะพูดแต่เรื่องเดิมๆซึ่งชวนคลื่นไส้ มากกว่าน่ายินดี


โทรศัพท์ดังขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ยอมรับกลับยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง เพื่อไม่ต้องได้ยินเสียง ความที่ผมเหนื่อยกับการทำงานทำให้ผมนอนหลับไปจนกระทั่งรุ่งเช้า ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเจ็ดโมง ผมเหลือบดูนาฬิกา พอเห็นว่ามันสายมากแล้ว ผมก็รีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอน กระโจนพรวดเดียวถึงห้องน้ำ แล้วชำระล้างร่างกายอย่างรวดเร็ว รีบแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่าง เอาอาหารและน้ำใส่ให้เจ้าหญิง ลูบหัวมันเล่นนิดหนึ่ง แล้วก็รีบออกจากบ้าน ผมหยิบหนังสือพิมพ์ และถุงใส่อาหารมาถือไว้ เปิดรถ แล้ววางมันไว้ที่เบาะข้างคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกจากบ้าน ตอนลงจากรถมาปิดประตูรั้ว ผมเห็นพี่สมชายยืนยิ้ม โบกไม้โบกมือให้ผม แกทำท่าว่าจะพูดคุยด้วย แต่ผมโบกมือให้แก แล้วบอกว่า ผมขอตัวก่อน วันนี้ผมสายแล้ว ต้องรีบไปทำงาน


เวลาที่เรารีบร้อน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะช้าเกินกว่าใจที่เราต้องการ วันนี้ก็อีกเช่นกัน รถราติดกันเต็มบนท้องถนน กว่าจะเคลื่อนไปได้แต่ละทีก็กินเวลานานมาก ผมนั่งกระวนกระวายใจอยู่หลังพวงมาลัย ตาก็มองตรงไปข้างหน้าคอยสังเกตสัญญาณไฟจราจร แต่ไฟแดงก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นไฟเหลือง และไฟเขียวสักที ระหว่างที่นั่งรอ ผมก็หันไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู อ่านผ่านๆ เพื่อดูว่ามีหัวข้อข่าวไหนน่าสนใจ ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นข่าวฆ่ากันตาย ข่าวการเมืองในประเทศ และระหว่างประเทศ และพวกข่าวเศรษฐกิจ


ผมวางหนังสือพิมพ์ไว้ตามเดิม สายตาเหลือบไปเห็นถุงใส่อาหาร ผมหยิบมาดู นึกในใจว่าเด็กหนุ่มคนนั้นซื้ออะไรมาให้ผมกินอีกหนอ เขาเอาเงินจากไหนมาซื้อของกินให้ผมได้ทุกวันนะ ดูจากงานที่เขาทำ การเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ไม่น่าจะช่วยทำให้เขามีรายได้มากมายเลย หรือว่าเจ้าเด็กนั่นยังรับงานอื่นๆอีก อายุแค่นิดเดียวเอง น่าจะได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆเขา ไม่น่าจะต้องมาใช้ชีวิตเร่ร่อนตะลอนๆแบบนี้ ถ้าหากเขามีพ่อแม่มีครอบครัวที่อบอุ่น เขาก็คงจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่านี้ คิดแล้วก็อดจะเป็นห่วงอนาคตของเด็กคนนี้ไม่ได้

SuMoDevil

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
«ตอบ #119 เมื่อ15-05-2008 21:42:28 »



ในถุงที่ผมเปิดออกดู ข้างในมีเกาเหลาเลือดหมูกำลังร้อนๆ และน้ำฟักทอง กับซาลาเปาอีกสองลูก ผมอดยิ้มไม่ได้ นึกจินตนาการภาพเดียร์ตระเวนหาซื้ออาหารเช้ามาให้ผมทาน คงจะทำท่ากระตือรือร้น สอดส่ายสายตาไปตามสองข้างทาง แวะลงเจรจาพูดคุยกับแม่ค้า เจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อยตามนิสัยแบบเด็กๆของเขา ความกระตือรือร้น ความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อผม ทำให้ผมอดที่จะมีความรู้สึกดีๆกับเขาไม่ได้

ผมหยิบซาลาเปาขึ้นมาใส่ปาก รองท้องก่อนไปถึงที่ทำงาน หูก็แว่วได้ยินเสียงพูดของเขาที่บอกให้ผมทานอาหารเช้าเพื่อรักษาสุขภาพ เด็กนั่นทำตัววุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการให้ผมทานโน่น ทานนี่ ทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นคนรักที่คอยเอาใจใส่ดูแลทีเดียว


สัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดง เป็น เหลือง และเขียว ตามลำดับ ผมขับรถเคลื่อนออกไปจากตรงจุดนั้น หลังจากที่ฝ่าการจราจรที่คับคั่ง ผมก็สามารถถึงที่ทำงาน โดยไปสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากผมเป็นหัวหน้า ไม่มีการกำหนดเวลาในการเข้าทำงานว่าจะต้องเข้ากี่โมง เพราะทางบริษัท ถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่หัวหน้าแต่ละคนจะต้องไปคิดกันเอาเองว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำงานให้คุ้ม แล้วไม่เอาเปรียบบริษัท


โดยปกติ ผมจะเป็นคนที่มาทำงานเช้าก่อนที่ลูกน้องจะมาทำงานเสมอ แล้วก็กลับหลังพวกเขาเกือบจะทุกครั้ง ผมไม่เคยบกพร่องในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเวลาในการทำงาน เพราะผมอยากจะทำให้พวกลูกน้องเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และสำหรับคนที่ทำงานดี ก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ให้สมกับที่เขาทุ่มเท การปกครองลูกน้องของผมแบบนี้ ทำให้มีคนค่อยข้างที่จะเกรงใจผมเยอะพอสมควร


ผมเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้างตั้งแต่เมื่อวานทันที พอสักประมาณ 10 โมง เสียงโทรศัพท์ในห้องผมก็ดังขึ้น เลขากดตัดสายออกไปรับ สักพัก เธอก็ส่งเสียงเข้ามาจากสายว่า หัวหน้าของผมจะพูดด้วย พอผมกดรับ เธอจึงวางสายลง

หัวหน้าของผม โทรมาล้งเล้งผมใหญ่ หาว่าผมไม่ยอมรับโทรศัพท์ เมื่อคืนนี้เขาโทรมาหาผมตั้งหลายครั้ง ตอนแรกผมรู้สึกงงมาก แต่แล้วผมก็นึกออก คงจะเป็นตอนที่ผมนอนแล้ว และได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ผมไม่ยอมรับ เพราะคิดว่าเป็นเดียร์โทรมา จริงสิ ตอนเช้า ผมก็ไม่ได้เปิดโทรศัพท์ดู เพราะไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าจะเป็นคนอื่น เช่นหัวหน้าโทรมา


ท่าทางหัวหน้าของผมแกคงโกรธมาก แกต่อว่า ว่าผมได้โทรศัพท์จากบริษัทมาใช้ แถมซ้ำยังได้ค่าโทรรายเดือนฟรีอีกด้วย การที่ได้สิทธิแบบนี้ ก็เพื่อให้ผมได้ติดต่อเรื่องธุรกิจโดยไม่มีอะไรติดขัด เนื่องจากงานพิจารณารับประกันที่ผมทำอยู่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางทีอาจจะมีการโทรมาถามข้อมูล เพื่อให้การส่งงานไม่ติดขัด ผมจำเป็นต้องเปิดโทรศัพท์ และรับทุกสายที่โทรเข้ามา จะไม่รับสายไม่ได้ ผมกล่าวขอโทษแกไป เพราะผมก็ผิดเองจริงๆที่ไม่ยอมดูเสียก่อนว่าเป็นเบอร์ของใคร ความที่ไม่อยากรับสายของเดียร์ ทำให้ผม ไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็สมควรแล้วที่จะถูกด่า


หลังจากที่พร่ำบ่นผมไปเกือบครึ่งชั่วโมง หัวหน้าของผมก็บอกว่า มีเคสใหญ่เคสหนึ่ง ทำประกันในวงเงินสูงเข้ามา แต่ลูกค้ามีปัญหาสุขภาพ แต่ไม่ยอมไปตรวจ ความที่ร่ำรวยมีอิทธิพล ทำให้ตัวแทนที่ไปขายรู้สึกเกรงอกเกรงใจ จะมาขอร้องให้ทางบริษัทมีการพิจารณาให้เป็นพิเศษ ทางหัวหน้าก็มอบให้ผมจัดการกับเรื่องนี้ ผมรับปากเขาว่าจะช่วยดูแลให้ ถ้าเคสนี้ผ่านเข้ามายังมือผมเมื่อไหร่จะพิจารณาให้เป็นพิเศษ


วางหูจากหัวหน้าได้สักพัก ก็มีฝ่ายขายคนหนึ่งโทรเข้ามาหาผม เขาไม่พอใจที่ผมลดวงเงินลูกค้าที่อายุน้อย แต่แถลงว่าตนเองเป็นเจ้าของกิจการ ผมได้อธิบายให้เขาฟังว่า จากการตรวจสอบ พบว่า เด็กคนนั้นยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย พ่อเขาโอนกิจการเป็นชื่อของเขาด้วยเหตุผลเพราะต้องการจะเล่นการเมือง ไม่อยากจะถือครองทรัพย์สมบัติมากนัก ดังนั้นความเสี่ยงของเขาต่อธุรกิจ หากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา มีน้อยมาก ผมให้วงเงินเต็มลิมิตสำหรับการที่เขามีอาชีพเป็นนักศึกษา แต่ผมไม่อนุมัติตามที่เขาขอ เพราะมันเป็นการทำประกันที่สูงเกินกว่าความจำเป็น ฝ่ายขายคนนั้นไม่ยอม พอเห็นว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรผมก็ยังยืนกรานที่จะให้ตามที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ออกอาการ ด่าผมอย่างหยาบคาย ผมต้องอดทนฟังอย่างสงบ ไม่พยายามใช้อารมณ์โต้ตอบ แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าว่าจะพูดไม่รู้เรื่อง ผมก็ขออนุญาตวางสาย ไม่อยากจะคุยด้วยอีกต่อไป


ผมนึกว่าผมจะได้นั่งทำงานอย่างสงบสุข แต่ปรากฏว่า มันไม่เป็นไปตามที่ผมต้องการ ก่อนเที่ยง อรจิรา โทรเข้ามาหาผมที่มือถือ เธอไม่พูดพล่ามทำเพลง ต่อว่าต่อขานผมเรื่องเจ้าสันต์ที่ไปล้อเลียนเธอแบบนั้น เธอกล่าวหาว่าผมมีส่วนรู้เห็นให้เจ้าสันต์ว่าเธอแบบนั้น ผมขี้เกียจจะอธิบาย เพราะเธอตั้งป้อมเอาเสียแล้วว่าผมผิด ถึงจะพูดอย่างไรออกไป เธอก็คงไม่ยอมเชื่อ พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร เอาแต่นิ่งเฉย อรจิราก็เสียงอ่อนลง เธอคงรู้ตัวว่า ต่อว่าผมแรงเกินไป แต่ก่อนจะวางหูก็ไม่วายจะขอร้องผมว่า ให้เลิกยุ่งกับชีวิตของเธอเสียที ชีวิตเธอกำลังไปได้ดีแล้ว เธอพบคนใหม่ที่รักเธอ แล้วก็พร้อมให้ทุกอย่างกับเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นอนาคต ที่มั่นคง หรือฐานะการเงินที่มั่งคั่ง


ผมอดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ ที่เธอมาขอร้องผมเช่นนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับเธออีกเลย นับจากวันที่เราเลิกรากัน ผมก็พยายามทำตัวออกห่าง ยกเว้นตอนที่เจอกันโดยบังเอิญ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ผมก็จำเป็นต้องทักเธอ ตามมารยาท เพื่อไม่ให้เธอคิดมากว่าผมอยากจะกลับมาคืนดีกับเธออีก ผมก็เลยรับปากว่าจะไม่วุ่นวายกับเธอ รวมทั้งจะห้ามปรามเจ้าสันต์ไม่ให้แขวะเธอด้วย ท่าทางอรจิราจะพออกพอใจที่ผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ยุ่งกับเธออีก เธอทำเป็นถามสารทุกข์สุขดิบของผม จากนั้นก็รีบวางหู


ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานที่ทำ หลังจากที่เสียเวลารับโทรศัพท์จนเกือบจะหมดเวลาช่วงเช้า เจ้าสันต์ก็โผล่เข้ามาหาผมที่ห้องทำงาน มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานมันไปเที่ยวมากับเด็กหนุ่มชื่อแซ่บ แต่ไปกินข้าว กันเฉยๆ วันนี้ มันจะไปกับเด็กหนุ่มนี่อีก แต่คราวนี้จะพาไปนั่งร้านกาแฟแถวสุขุมวิท ใกล้ๆบ้านผม เพื่อนของแซ่บที่ทำงานในร้านด้วยกัน มาทำงานพิเศษ ที่ร้านนี้ ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพราะไม่แน่ใจว่าผมจะต้องอยู่ดึกอีกหรือเปล่า


แต่จากปริมาณงานที่กองอยู่บนโต๊ะ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ผมต้องอยู่ดึกอีกแน่นอน เจ้าสันต์ทำหน้ามุ่ย หาว่าผมห่วงงานมากกว่าความรู้สึกของเพื่อน มันกำลังจะมีความรัก มันคิดว่ามันชอบนิสัยของพนักงานเสิร์ฟคนนั้น แต่ผมคิดว่ามันชอบที่หน้าตาของแซ่บมากกว่า เพื่อนผมคนนี้มันเป็นโรคคลั่งไคล้คนหน้าตาดี ใครหลวมตัวเข้ามาในชีวิต เป็นถูกมันเกาะติด จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างหนึ่ง ผมยังเคยคิดอยากให้มันลงเอยกับใครสักคนที่มันรัก แต่มันก็เป็นโรคขี้เบื่อ แถมซ้ำยังเจ้าชู้อีกต่างหาก ไม่ชอบอยู่กับใครแค่คนเดียว บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ถ้ามันถูกใจเด็กแซ่บคนนั้น แล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันจะได้เลิกใช้ชีวิตเสี่ยงภัยในเรื่องเพศซะที


“ไปกินข้าวกันเถอะ นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว”

มันเร่งให้ผมเก็บข้าวของ ผมรู้ว่า มันต้องการจะไปหาน้องคนเสิร์ฟคนนั้น ผมจึงแกล้งทำเป็นอ้อยอิ่ง ถ่วงเวลามัน ดูเหมือนว่ามันจะรู้ มันเดินมาที่โต๊ะผมแล้ว จูงมือผมออกมาจากเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินตามเจ้าสันต์ออกมานอกห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หัวหน้าของผมนั่นเอง เขาโทรมาบอกให้ผมเข้าไปหาเขาในห้องเดี๋ยวนี้ ผมหันมามองเจ้าสันต์ แล้วทำปากมุบมิบให้มันรู้ว่า ผมไปกับมันไม่ได้แล้ว ผมต้องไปหาเจ้านายในห้อง มันบ่นพึมพำหลังจากที่ผมวางหูแล้ว ว่าทำไมจะต้องมาเรียกกันเอาป่านนี้ มันได้เวลาที่จะทานข้าวแล้ว ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย ผมไม่มีเวลาจะร่วมผสมโรงไปด้วยกับมัน เพราะต้องเข้าไปคุยกับหัวหน้าในเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับการทำประกันวงเงินสูงมากของลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย เราถูกบีบให้รับเขาในวงเงินที่สูงมาก ทั้งๆที่รู้ว่าเขามีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ในฐานะที่ผมปฏิเสธวงเงินสำหรับลูกค้ารายนี้ ผมจำเป็นต้องเข้าไปชี้แจง ให้ผู้ใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย หัวหน้าของผม ฝ่ายขายเจ้าของเคส และ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ได้รับทราบถึงเหตุและผลของผม


กว่าที่การถกปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณารับประกันรายนี้ จะได้รับผลสรุปที่น่าพอใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบบ่ายสองโมง ผมหิวมาก แต่ไม่อยากจะลงไปทานข้าวอีกแล้ว จึงเดินกลับมาที่ห้องทำงาน ตั้งใจจะฝากให้เลขาของผม เอาต้มเลือดหมูที่เดียร์ซื้อให้ไปอุ่นไมโครเวฟ แล้วเอามาให้ผมทานที่ห้อง ก็พอดีเดินสวนกับเจ้าสันต์ที่ยิ้มละไมเข้ามาหาผม

“เพิ่งจะเลิกประชุมหรือวะ”

มันถามผมทันทีด้วยใบหน้าที่รื่นเริงแจ่มใส ผมอดที่จะอิจฉามันไม่ได้ ที่งานของมัน ไม่มีอะไรที่ต้องเครียดเหมือนกับงานของผม

“ฮื่อ” ผมตอบมันด้วยเสียงเนือยๆ

“กินข้าวหรือยังวะ” มันถามผมแบบมีเลศนัย

“ยังเลย แต่ว่าจะเอาต้มเลือดหมูที่ซื้อมาเมื่อเช้าไปให้ จุ๋ม อุ่นให้หน่อยอ่ะ”

ผมบอกมันไปทั้งจริงและเท็จปนกัน

“ต้มเลือดหมูอย่างเดียวจะพอหรือวะ”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด