พิมพ์หน้านี้ - My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: abcd ที่ 15-08-2007 13:15:29

หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-08-2007 13:15:29
บทที่ 1

   เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาเหมือนกับทุกๆวัน แต่มันกลับเป็นเช้าที่ทำให้ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่ใช่ของตัวเอง มีคนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยรู้จักอยู่ในห้องกับผมด้วย ที่สำคัญผมไม่มีอิสระในการที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ เนื่องจากมือทั้งสองข้างของผมถูกพันธนาการด้วยผ้ามัดติดอยู่กับหัวเตียงอย่างแน่นหนา ในขณะที่เท้าทั้งสองก็ถูกพันธนาการด้วยผ้ามัดติดกับปลายเตียงทั้งสองด้านด้วยเช่นกัน
สภาพของผมตอนนี้ คล้ายกับตัวอักษร “x” ในภาษาอังกฤษ เสื้อผ้าที่ผมใส่มายังอยู่กับเนื้อตัวเรียบร้อย เพียงแต่มันหลุดลุ่ยยับยู่ยี่จากการดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระของผม ปากของผมถูกผ้าเช็ดหน้าอุดไว้ ทำให้ผมส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาไม่ได้

   ประตูเปิดออกพร้อมๆกับร่างสูงๆร่างหนึ่งเดินเข้ามา คนแปลกหน้าที่ลักพาตัวผมมาที่นี่ คนที่นอนอยู่ข้างๆผมตลอดทั้งคืน ความที่ผมสะลึมสะลือด้วยฤทธิยาสลบที่หมอนี่โปะผม ทำให้จำรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเขาไม่ได้ชัดเจนนักเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้ผมสังเกตเห็นทุกๆรายละเอียดบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาบ่งบอกยี่ห้อว่าเป็นลูกครึ่งไทยกับฝรั่ง คิ้วเข้ม ตาเรียวยาวสวยสีน้ำตาลขนตาดกหนาเป็นแพ จมูกโด่ง ริมฝีปากเต็ม มีรอยเคราเขียวครึ้มที่ข้างแก้มและคาง ผมหยิกสลวยสีน้ำตาลเข้ม เป็นลอนยาวระต้นคอ ผิวสีน้ำตาลทอง ไม่ขาวเผือกแบบฝรั่งทั้งหลาย รูปร่างดี โครงสร้างร่างกายแข็งแรง คาดคะเนจากหน้าตา และกริยาท่าทาง เจ้าเด็กคนนี้คงจะอายุน้อยกว่าผมสัก 5 ปีขึ้นไป

    ตอนนี้เขากำลังถือถาดอาหารเช้าเดินตรงมาที่ผม เด็กหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้นั่งข้างเตียง แล้ววางถาดอาหารไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง ใบหน้าคมคายกำลังฉีกยิ้มกว้างให้ผม เป็นยิ้มประจบประแจง เหมือนเด็กที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เวลาเขายิ้ม หน้าตาของเขาดูสดใสมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นใบหน้าของพวกมิจฉาชีพ ผมสลัดความคิดในแง่ดีออกไป และพยายามจับจ้องเขาทุกอริยาบท เพื่อจะจำรายละเอียดให้ได้มากที่สุด อันจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เมื่อผมสามารถหลุดจากการคุมขังของเขาออกไปแจ้งความกับตำรวจได้

   “ทานอาหารเช้าก่อนนะครับ คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผมออกไปซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่มาจากร้านอร่อยแถวนี้  แต่มันอาจจะไม่ถูกปากเท่ากับอาหารที่คุณเคยทานมา ก็ต้องขออภัยด้วย เสียดายที่ที่นี่ไม่มีครัว ไม่งั้นผมจะลงมือทำอาหารให้คุณทาน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะครับ”  

คนแปลกหน้าพูดจากับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และคำพูดที่สุภาพไม่จาบจ้วงก้าวร้าว เยี่ยงวิสัยโจรร้ายทั่วไป ท่าทางจะเป็นโจรที่มีมารยาทดี หรือไม่ก็การศึกษาสูง ผมจ้องหน้าโจรลักพาตัวเขม็ง เขาก็จ้องผมกลับด้วยแววตาหยาดเยิ้ม ใบหน้ายิ้มกริ่ม

   “ผมจะเอาผ้าออกจากปากให้นะครับ คุณจะได้ทานได้”

เขาเอื้อมมือมาดึงผ้าออกจากปากผม แล้วรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่ผมจะงับมือเขาได้ทัน เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าปากของผมพลาดเป้า

“ดุจังเลยแฮะ เห็นท่าทางใจดี ไม่คิดว่าจะใจร้ายอย่างนี้”

ไม่พูดเปล่า ไอ้เด็กบ้านี้ ยังเอามือมาลูบไล้ที่ใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา ท่าทางเขาพึงพอใจมากที่ได้สัมผัสใบหน้าของผม

“นายเป็นใคร แล้วมาจับฉันด้วยจุดประสงค์อะไร ต้องการเงินหรือรถก็เอาไปเถอะ แล้วปล่อยฉันไป รับรองฉันไม่เอาเรื่องนายหรอก”

ผมรีบพูดอย่างรวดเร็วทันทีที่มีโอกาส ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มันจะมาไม้ไหน ต้องการอะไรจากผม แม้ผมจะพยายามนึกเท่าไหร่ว่าทำไมผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ผมก็นึกไม่ออก

ผมไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ไม่เคยขัดแย้ง หรือทำให้ใครโกรธอย่างรุนแรง แฟนสาวคนล่าสุดของผม เราก็จากกันด้วยดี แม้ว่าผมจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่คิดจะไปทำร้ายเธอหรือแฟนคนใหม่ของเธอแต่อย่างใด กับเจ้านายถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจู้จี้ขี้โมโห เขาอาจจะไม่พอใจการทำงานของผมบ้างในบางครั้ง นั่นมันก็แค่เรื่องของงาน โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้เกลียดชังเขา แล้วเขาก็ไม่ได้เกลียดผมแต่อย่างใด เวลามีงานรื่นเริงที่บริษัท ผมก็ยังเคยนั่งโต๊ะเดียวกับเขา และทานเหล้าชนแก้วต่อแก้วด้วยกัน โดยปราศจากความขุ่นเคือง

ชีวิตของผมค่อนข้างเรียบง่ายไม่ผาดโผน ดังนั้นเมื่อผมถูกจับตัวมาอย่างนี้ จึงตัดประเด็นเรื่องการอุ้มมาทำร้ายออกไปเหลือเพียงแค่การเรียกค่าไถ่ หรือปล้นทรัพย์อย่างเดียว

ผมนึกหวาดระแวงเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ ถึงแม้เขาจะปฏิบัติต่อผมอย่างดี หน้าตาเป็นมิตร พูดจาสุภาพกับผม แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ หน้าตาดี แต่จิตใจอำมหิตก็มีถมไป ผู้คนสมัยนี้สามารถจะฆ่ากันได้ง่ายๆ แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม

ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของผมจะตายหมดแล้ว เหลือตัวคนเดียว แต่ผมก็ยังอยากจะอยู่ดูโลกนี้นานๆ การต้องมาตายทั้งที่วัยเพียงแค่ 27 ปี เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ผมยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ ผมยังเห็นโลกไม่มาก ยังไม่ได้ไปท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างที่อยากไป ยังไม่ได้สร้างครอบครัว ยังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเยี่ยงคนร่ำรวย ผมจำเป็นต้องรักษาชีวิตที่มีค่าน้อยนิดของผมเอาไว้ อย่างน้อยการเจรจาต่อรองมันอาจจะช่วยทำให้ผมมีโอกาสรอดสูง

เขาจุ๊ปาก ส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้รู้ว่าไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ แล้วหันไปหยิบถาดมาวางบนตักตัวเอง

“ผมขออนุญาตที่จะไม่แก้มัดมือให้คุณนะครับ แต่เพื่อให้คุณทานข้าวได้ ผมจะอาสาเป็นคนป้อนข้าวให้เอง”

เขาใช้ช้อนตักโจ๊ก แล้วยื่นมาที่ตรงหน้าผม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนี เม้มปากแน่น มีเสียงหัวเราะหึหึจากคนข้างๆ ดังให้ได้ยิน

“พยศจริงเชียว ไม่กินข้าวปลา ระวังจะเป็นโรคกระเพาะถามหานะครับ”

เขาวางช้อนลง แล้วเอื้อมมือมาบีบปลายคางผม บังคับให้หน้าหันมาทางเขา ผมมองเขาตาขุ่น แต่เขากลับทำตาแพรวพราวใส่ผม

“ทานเสียหน่อยนะครับ ไม่ทานอะไร ร่างกายจะแย่นะครับ”

เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“แล้วสถานการณ์ของฉันตอนนี้ มันดีกว่าหรือไง” ผมย้อนถาม

“ไม่มีอะไรที่ดูเลวร้ายนี่ครับ” เขายิ้มทะเล้นให้ผม

ผมกระแทกมือเข้ากับหัวเตียง แล้วสะบัดแข้งขา ให้เขาดู แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า

“นี่นะไม่เรียกว่าเลวร้าย นายจับฉันมัด ไม่ให้ฉันได้มีอิสระ แล้วยังจะมาลอยหน้าลอยตาพูดยังกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่นะ”

เขายังคงยิ้ม ไม่พูดอะไร มันเลยยิ่งทำให้ผมคลั่งนัก พูดเหมือนจะเป็นเสียงตะโกนว่า

“ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นนายโดนดีแน่”

“จะทำอะไรผมหรือครับ”

เขาทำเสียงเข้ม แล้วยิ้มHereมๆใส่ผม ผมมองหน้าเขาแล้วนึกตกใจที่ตัวเองแสดงอารมณ์โกรธออกไป ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเป็นที่เป็นอยู่นี้ ผมจำเป็นต้องนิ่งเงียบ และพูดจาดีๆกับเขา เพื่อลดความโกรธเกรี้ยวที่เขาจะมีต่อผม จนถึงขนาดลงไม้ลงมือฆ่าแกง หากเห็นว่าผมสร้างความรำคาญใจให้กับเขา

“นายต้องการอะไรก็บอกมา เงินทองข้าวของอยากได้ก็เอาไป ฉันยกให้ ไม่ติดใจเอาความด้วย แต่ขอให้ปล่อยฉันไปจากที่นี่ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ไปแจ้งความ จะลืมเรื่องทั้งหมด เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

ผมลดน้ำเสียงให้ดูอ่อนลง พร้อมเสนอที่จะให้เงินกับรถ และข้าวของที่ติดตัวผมมา เพื่อแลกกับอิสรภาพ เด็กหนุ่มส่ายหน้า ท่าทางเขาไม่ได้ใส่ใจกับข้าวของเงินทองของผมสักนิด

“สิ่งนั้นไม่มีค่าสำหรับผม”

“แล้วอะไรล่ะที่นายต้องการ ฉันไม่มีสมบัติติดตัวมามากนักนะ ถ้าจะเอาจากฉันตอนนี้ ฉันคงไม่มีให้ ต้องรอให้ฉันกลับบ้านก่อน เอาอย่างนี้ นายบอกมาว่านายต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันพอจะมีสะสมอยู่บ้างในธนาคาร ถ้านายก็ปล่อยฉันไป พอฉันถึงบ้านปุ๊บ ฉันก็จะโอนเงินให้นายตามที่ต้องการทันที”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-08-2007 13:18:11
ผมพยายามหว่านล้อม ด้วยการเสนอเงินสะสมทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ผมหวังว่ามันคงมีค่ามากพอเมื่อเทียบกับชีวิตของผม แทนที่เขาจะตาโต เด็กหนุ่มกลับหงายหน้าหัวเราะอย่างกับฟังเรื่องขำเสียเต็มประดา

“อายุเท่าไหร่แล้วคุณ ถึงได้คิดว่าสิ่งที่คุณพูดจะทำให้คนอื่นเขาเชื่อ ถ้าผมปล่อยคุณไป คุณก็เอาตำรวจมาลากคอผมน่ะสิ อีกอย่างหนึ่งนะ ผมอยากจะแก้ความเข้าใจผิดจากคุณสักเรื่องหนึ่ง ก่อนที่คุณคิดไปใหญ่โต มองหน้าผมสิ.......”

เขาบังคับให้ผมมองหน้าเขาด้วยการใช้สองมือประคองหน้าผมไว้ ผมจะหันหนีก็ไม่ได้ เพราะมือแข็งแรงของเขากดที่หน้าผมอยู่

“ผมหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้ หุ่นก็ดี เสียงก็เพราะ เป็นพระเอกหนัง นักร้อง หรือ นายแบบก็ยังได้ มีหนทางหาเงินได้มากมายกว่าการเป็นโจรเรียกค่าไถ่ หรือมือปืนเสียอีก ได้เงินดี แถมซ้ำไม่ต้องเสี่ยงต่อคุกตารางด้วย แล้วผมก็ไม่ได้จับตัวคุณมาเพื่อต้องการเงิน หรือต้องการทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น เข้าใจไว้ด้วย”

“งั้นนายจับฉันมาทำอะไร มีใครที่แค้นเคืองฉันอยู่ จ้างวานนายให้มาเก็บฉันใช่ไหม”

ผมรู้สึกดีใจที่เขาไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่ แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาจับตัวผมมา จึงถามด้วยความระวังระไวและใคร่รู้
เด็กหนุ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เขาทำท่าราวกับว่าหัวเราะให้กับความซื่อบื้อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยของผม จนผมนึกขุ่นเคืองใจ ที่มีคนมาหัวเราะเยาะใส่ แต่ผมก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมา

“ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ผมไม่ได้มาเอาชีวิตคุณ เพราะใครจ้างวานมาหรอก”

“อ้าว แล้วงั้นนายจับตัวฉันมาเพื่ออะไร”

ผมถามด้วยความงุนงง

“ทานข้าวก่อน แล้วผมจะบอก”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ กลับเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ถ้าฉันไม่กินล่ะ”

ผมท้าทาย เขายักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า

“คุณก็อาจจะหิว น้ำย่อยก็จะกัดกระเพาะคุณจนเป็นแผล ทำให้สุขภาพไม่ดีในเวลาต่อมา เรื่องทุกอย่างมันจะดูยุ่งขึ้น เพราะคุณไม่ให้ความร่วมมือ แล้วคุณก็อาจจะถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวให้อยู่ในบ้านนี้ต่อไป”

“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว”

 ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ด รับไม่ได้สักอย่างกับสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด

“ถ้าฉันกินข้าว นายก็จะบอกใช่ไหม ว่าจับฉันมาทำไม แล้วนายก็จะปล่อยฉันใช่ไหม”

ผมถามเขาอย่างคาดคั้น อยากได้ยินคำตอบที่จะผูกมัดเขาให้ยินยอมปล่อยผม เด็กหนุ่มยักไหล่ แล้วทำหน้ายียวน

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับการร่วมไม้ร่วมมือของคุณ”

แม้จะเป็นคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ผมก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะเป็นอิสระ ผมควรจะคว้ามันเอาไว้ ดังนั้น ผมจึงยินยอมที่จะทานข้าวเช้าที่เขาเตรียมาให้

“แก้มัดฉันก่อนสิ ทำอย่างนี้ฉันจะกินได้อย่างไรล่ะ”

เขาส่ายหน้า ยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ผมไม่โง่หรอกนะ ถ้าผมปล่อยมือคุณเป็นอิสระ คุณก็จะก่อเรื่องขึ้นมา ด้วยการพยายามหนี ผมป้อนให้คุณดีกว่านะ”
“จะดีเหรอ”

ผมทำเสียงขึ้นจมูก

“ฉันไม่ใช่เด็กนะ”

“เอาน่า นึกเสียว่าทำตัวเป็นเด็กดีสักวัน ผมจะได้ใจอ่อนไง”

เขายิ้มยั่ว ผมทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้เขาป้อนข้าวโดยดี ผมกินไปได้แค่คำสองคำ ก็ทำท่าจะอิ่ม แต่เขาทำท่าไม่พอใจ ผมเลยต้องฝืนกินข้าวที่เขาป้อนให้จนหมด เพราะกลัวว่าหากขัดใจเขามากๆ ผมจะไม่ได้รับอิสรภาพ

   เขารินน้ำให้ผมดื่ม เมื่อผมทานโจ๊กจนเกลี้ยงถ้วย เขามีสีหน้าพอใจที่ผมว่าง่าย เมื่อผมดื่มน้ำเสร็จ ผมก็ทวงสัญญากับเขา

   “เอ้าทานเสร็จแล้ว ก็บอกมาซะทีสิ”

   เขาทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด กลับมองสำรวจไปทั่วเรือนร่างของผม แล้วพูดว่า

   “คุณยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เมื่อวาน เดี๋ยวผมจะไปเอาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้”

   “นี่อย่ามาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องสิ นายสัญญากับฉันแล้วว่า ถ้าฉันยอมทานอาหารที่นายป้อน แล้วนายจะบอกทุกอย่าง”

ผมเสียงแข็งใส่เขา ชักนึกโมโหขึ้นมาแล้ว

   “ใจเย็นๆน่า ผมก็รักษาคำพูดเป็นเหมือนกันนะ แต่ผมอยากให้คุณอยู่ในสภาวะจิตใจที่ผ่องใสเบิกบานมากกว่านี้ เวลาที่คุณฟังสิ่งที่ผมพูด คุณจะได้ไม่หงุดหงิดมากอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ท่าทางไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์โกรธของผมที่ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ

   “นี่ คนที่ถูกจับมาโดยที่ไม่รู้ว่าเราเคยไปทำอะไรไว้กับใครจนเขาไม่พอใจบ้างอย่างฉันนี่ จะมาเที่ยวทำเป็นอารมณ์ดี เหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติไม่ได้หรอก ถ้านายปล่อยมัดฉัน ฉันก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง นายปล่อยฉันสิ......”

“นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ”

เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มกวนๆ

“แต่ถ้าคุณยอมเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หายมอมแมมกว่านี้ ผมก็อาจจะปล่อยให้คุณได้เคลื่อนไหวร่างกายบ้าง..........”

เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็นั่งจ้องหน้าผมเงียบๆ ผมเบือนหน้าหนีเขา เม้มริมฝีปากแน่น ไม่อยากจะเจรจาต่อรองกับหมอนี่สักเท่าไหร่ โจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ ผมไม่เชื่อว่าเขาจะทำตามสัญญา แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมทำตามในสิ่งที่เจ้านี่บอก ถึงแม้จะฝืนใจก็ตาม แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้

“ก็ได้ ดีเหมือนกัน ฉันก็เหนียวตัวอยู่พอดี แต่นายต้องรับปากนะ ว่าพอเช็ดเนื้อตัวเสร็จ แล้วนายจะปล่อยฉัน แล้วก็บอกฉันทั้งหมด”

ผมบอกเขาเสียงแข็ง ตาจ้องเขาเขม็ง พยายามบอกเขาด้วยสายตาว่า ถ้าเขาโกหก คงได้มีเรื่องกันแน่ อันที่จริงก็แกล้งทำเข้มไปงั้นแหละ ในใจนึกหวาดวิตกอยู่ หากไอ้หมอนี่ ไม่มีความดีในใจหลงเหลืออยู่บ้าง การพูดกระด้างเช่นนี้กับเขาก็วอนให้เจ็บตัวได้เหมือนกัน

“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลยครับ”

เขาทำท่าตะเบ๊ะและยิ้มประจบประแจงอีกครั้ง ผมแอบนึกในใจ ถ้ายื่นมือออกไป หมอนี่จะเอา ขาหน้า เอ๊ย มือของเขาวางบนมือของผมไหมหนอ แล้วเขาจะแลบลิ้น แผล่บๆ แล้วก็แกว่งหางไปมาไหมนะ ท่าทางหมอนี่ เหมือนหมาตัวโตๆ ที่ขี้อ้อนยังไงไม่รู้


“งั้นให้ผมเช็ดตัวให้นะ ผมรับรองว่า จะเช็ดตัวให้สะอาดสะอ้านเลย”

เขาทำท่าอ้อนขอผม เจ้าโจรนี่ มันประสาทพิลึก เป็นโจรโรคจิตหรือเปล่านะ ผมชักแหยงเสียแล้วสิ
“ไม่ต้อง ก็ปล่อยฉันสิ ฉันเช็ดตัวเองได้ แก้มัดฉันก็พอ ”

   “เรื่องอะไร พอคุณเป็นอิสระ เดี๋ยวคุณหนีผมไป ผมจัดการให้คุณเองดีกว่า”

เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม ก่อนที่จะลุกเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในสุด ผมเพิ่งสังเกตห้องนี้อย่างละเอียด จากการตกแต่ง ผมว่าผมต้องอยู่ที่บ้านพักที่เป็นแฟลต หรืออพาร์ตเม้นท์ที่ไหนสักแห่ง

   เขากลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่ชุบน้ำจนเปียกชื้นและบิดน้ำออกแล้ว เขานั่งลงบนเตียง แล้วเอื้อมมือมาที่เสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ ผมมองตามมือของเขา ก่อนที่เขาจะปลดกระดุมเม็ดแรกออกจากเสื้อของผม ผมก็ระล่ำระลักพูดขึ้นว่า

   “นี่นาย ไม่ต้องถึงขนาดเช็ดตัวให้ฉันหรอกนะ ปล่อยฉันเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หนี นายแก้มัดให้ฉันเช็ดตัวเอง แล้วค่อยมัดกลับก็ได้”

   “เฉยเหอะน่า แล้วทุกอย่างจะดีเอง ยิ่งพูดมาก ก็จะยิ่งยุ่งนะ”

   “แต่นี่มันเกินไปหน่อยแล้วนะ”

ผมทำเสียงโกรธๆ เขาหันมาทำหน้าบึ้งใส่ผม

“เมื่อไหร่จะเลิกสติแตกเสียทีนะคุณ แทนที่จะโวยวายให้มันเสียเรื่อง ก็สู้นั่งนิ่งๆ ให้ผมจัดการมันให้เสร็จสิ้นไปซะ แล้วผมก็จะได้ปล่อยคุณ พร้อมบอกในสิ่งที่อยากรู้ ยิ่งคุณเล่นตัวกระบิดกระบวนแบบนี้ การที่คุณจะเป็นอิสระ มันก็จะกลายเป็นเรื่องยากนะ เพราะผมอาจจะไม่พอใจ แล้วมัดคุณไว้แบบนี้ตลอดเลยก็ได้”

   เขาทำเสียงดุ ผมเลยปิดปากเงียบ ไม่อยากขัดใจเขา กลัวหมอนี่โมโหขึ้นมา ปาดคอผมตายคาเตียง ผมยังไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ด้วยเรื่องสยดสยองแบบนี้ นึกในใจว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ทนอับอายนิดหนึ่ง เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว

   เจ้าโจรลักพาตัว แกะกระดุมเสื้อผมออกทุกเม็ด แล้วแบะเสื้อออกจากกัน เขาเอาผ้าชุดน้ำค่อยๆเช็ดเนื้อตัวของผม เริ่มจากใบหน้า ลำคอ แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่แผ่นอก หน้าท้องเหนือกางเกงที่ผมใส่ไปทำงาน แขนทั้งสองข้าง และมือที่ถูกพันทนาการไว้กับหัวเตียง ตัวของเขาโน้มเข้ามาใกล้ชิด ใบหน้าของเขาห่างจากผมไม่กี่คืบ ใกล้จนกระทั่งไออุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดหน้าและต้นคอของผม ผมจับจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา กลัวว่าเขาจะทำอะไรเกินเลย อยู่ๆเขาก็เงยหน้ามายิ้มให้ผม มันเหมือนยิ้มของเด็กๆเวลาที่ได้เล่นของเล่นที่ถูกใจ

   “เอาล่ะข้างบนเสร็จแล้ว ก็เหลือแต่ข้างล่าง”

เขาทำหน้าทะเล้น ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด และลักยิ้มข้างแก้มของเขา ผมใจหายแว๊บ ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ยินยอม แล้วพยายามเบี่ยงตัวหนีมือของเขาที่ยื่นมาตะปบที่เข็มขัด พยายามหนีบขาให้ชิดกันมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ กริยาของผมเหมือนผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืน

   “ไม่เอา ไม่ต้องเช็ดหรอก” ผมบอกเขาเสียงดังลั่น

   “มันจะอับแย่นะ ไม่ดีหรอก ทำความสะอาดให้ดูสดชื่นดีกว่า”

   เขาไม่ฟังสิ่งที่ผมพูดแม้ผมจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ตาม ผมพยายามเบี่ยงเอวดิ้นหนีมือเขา ทำให้เขาถอดเข็มขัดไม่ถนัด เด็กหนุ่มเลยเปลี่ยนจากการนั่งตะแคงข้างเป็นก้าวขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วกางขาออกกว้างคร่อมทับร่างกายท่อนล่างตั้งแต่หน้าขาลงมาของผมไว้ จากนั้นเขาก็ใช้ขาทั้งสองข้างกดทับขาของผมไม่ให้ดิ้นหนีได้ เขาปลดเข็มขัดผมออก แล้วปลดตะขอกางเกง แล้วรูดซิบลง เจ้าเด็กลูกครึ่งค่อยๆรูดกางเกงของผม ลงไปที่หน้าขา และก่อนที่ผมจะทันห้าม เขาก็รูดเจ้ากางเกงในสีขาว ปราการด่านสุดท้ายของผมลงมา ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง หลับตาลง ด้วยความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลือยร่างต่อหน้าคนอื่น

   อันที่จริง ผมก็ไม่ใช่คนขี้อายอะไรนัก ผมเคยเปลือยกายต่อหน้าเพื่อนผู้ชายด้วยกันเวลาที่เราอยู่ในห้องอาบน้ำ หลังจากเล่นกีฬาด้วยกันจนเหงื่อโชก กับผู้หญิงเวลาที่มีอะไรกัน ผมก็ชอบที่จะเปลือยกายให้เธอเห็น แต่ต้องไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ดูอิหลักอิเหลื่อแบบนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ลักพาตัวผมมาอย่างไม่มีวัตถุประสงค์แน่ชัด
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-08-2007 13:19:55
“น้องชายของคุณสวยจังเลย ไม่ใหญ่มาก แล้วก็ไม่เล็กเกิน ดูน่าทะนุถนอม ผิวพรรณก็นุ่ม ไม่มีเส้นเอ็นปูดโปนให้เห็นเลย ป่าของคุณก็ไม่รกทึบจนเกินไป ดูเป็นป่าละเมาะสวยดี”

 เขาพูดยิ้มๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่น้องชายของผมสักพัก จากนั้นเขาก็หันมาส่งสายตาหวานเยิ้มให้ มือที่จับผ้าขนหนู เลื่อนจากหน้าท้องที่เขากำลังเช็ดถูลงต่ำมาถึงท้องน้อย แล้วหยุดนิ่งไม่ไปที่อื่น นอกจากวนเวียนเช็ดถูอยู่กับเจ้าหนูน้อยของผม

ผมอายหน้าแดงก่ำ เปลือยกายให้ผู้ชายด้วยกันมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก็แย่พออยู่แล้ว แถมซ้ำเจ้าโจรลักพาตัวนิสัยประหลาดคนนี้ยังมาวิพากษ์วิจารณ์สรีระของผมให้ได้อายหนักยิ่งขึ้นไปอีก มือของเจ้านี่ก็ซุกซนไม่อยู่สุข หลายต่อหลายครั้งที่มือของเขาเผอิญมาโดนเจ้าน้องชายของผมโดยตรง ไม่รู้ว่าเป็นการบังเอิญหรือจงใจ มันทำให้ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกลวนลามจากผู้ชายด้วยกัน แล้วเจ้าความคิดนี้มันก็ส่งให้ผมเกร็งตัวขึ้นมา

“หยุดวิจารณ์เสียทีได้ไหม แล้วก็รีบเช็ดตัวเร็วๆเข้า”

ผมทำเสียงหงุดหงิดใส่เขา แต่เด็กหนุ่มนั้นไม่แสดงท่าทีโกรธตอบ เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำความสะอาดให้กับร่างกายท่อนล่างของผม ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ลำตัวของผมในส่วนนั้นอย่างไม่วางตา

“เฮ้ น้องชายของคุณเขาตื่นแล้วล่ะ”

เด็กหนุ่มหันมาหัวเราะกับผม ผมเม้มริมฝีปากแน่น เพื่อสะกดกั้นความรู้สึกภายใน

“มันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติน่ะ ออกมาถูกอากาศเย็น มันก็เลยตื่นตัว”

ผมบอกเขาเหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติไม่เห็นจะต้องตกใจเสียหน่อย

“นายก็รีบเช็ดตัวฉันเร็วๆสิ อย่ามัวอ้อยอิ่ง ฉันหนาวนะ”

ผมหันไปเร่งเขา ด้วยความที่อยากจะหลบเลี่ยงไปจากสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้

“แล้วจะจัดการอย่างไรกับน้องชายคุณดี”

เขาเลิกคิ้วถามผม

“เฉยๆเหอะน่า เดี๋ยวมันก็สงบเอง”

ผมบอกอย่างไม่สนใจใยดี แต่ใจก็นึกภาวนา ให้หมอนี่เลิกยุ่งเกี่ยวกับอวัยวะของผมเสียที นึกโทษตัวเองที่ร่างกายบางส่วนทำให้ขายหน้า ยิ่งตื่นเต้นแบบนี้ มันยิ่งคึกคักใหญ่

“ผมจัดการให้มันสงบลงดีกว่า”

เขาพูด ผมรีบส่ายหน้า ร้องห้ามเสียงหลง

“ไม่ต้องงงงงงงง....”

แต่ช้าไปเสียแล้ว เจ้าโจรร้ายรูปหล่อเอื้อมมือมาเกาะกุมของรักของหวงของผม เขาลูบไล้หยอกล้อ จนมันคึกคักยิ่งขึ้น ผมพยายามจะกระเถิบก้นหนี ปากก็ร้องห้าม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวมือ เขาลงน้ำหนักที่ขาสองข้างที่ทับขาผมไว้ แล้วใช้มือข้างที่ว่างหยิบผ้ามาอุดที่ปากผมอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผมโวยวาย

[มือของเขาเคลื่อนไหวขึ้นลงบนตัวน้องชายของผม ทั้งหยอกเอินอย่างรุนแรง และลูบไล้อย่างทะนุถนอม แรกๆผมก็เบี่ยงก้นหนีมือเขาอุดตลุด แต่เจ้ามือปลาหมึกนั้นก็เคลื่อนไหวตามผมไปอย่างไม่ลดละ เขาขยับมือขึ้นลงทำราวกับว่ากำลังรูดเมือกออกจากตัวปลาไหล น่าแปลกที่สัมผัสของไอ้โจรโรคจิตคนนี้กลับปลุกเร้าความรู้สึกภายในกายของผม

ในยามนี้ผมไม่รู้ว่า ควรจะเรียกร้องให้เขาหยุดดี หรือ ให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปจนถึงที่สุดของมัน ทั้งกลัว ทั้งอาย และทั้งหวาบหวามเสียวซ่านจนผมใจสั่น ผมหลับตาปี๋ กัดผ้าที่อยู่ในปากแน่น พยายามที่จะไม่มองในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง

แต่ก็เปล่าเลย ร่างกายของผมตื่นตัวอยู่ในมือของเขา อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของมือผู้ทรงพลัง อารมณ์ของผมพลุ่งพล่านถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งเขม็ง รู้สึกได้ถึงความสุขสุดยอดที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมได้ขนาดนี้มาก่อน สักพัก ผมก็ทะลักทะลายความสุขออกมาจนเลอะรดมือเขา

 ผมลืมตาขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม เขายิ้มให้ผม แล้วยกมือที่เลอะๆนั้นขึ้นมาดม มีแววพออกพอใจในดวงตาคู่นั้น และแล้ว เขาก็ทำในสิ่งที่ต้องอึ้ง เมื่อเขาแลบลิ้นสีชมพูของเขาออกมาเลียมือที่เลอะไปด้วยน้ำจากร่างกายของผมออกจนหมด

“อื้อ กลิ่นหอม และรสชาติดีทีเดียว”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 15-08-2007 13:57:05

 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

โฮกกกกกก......ให้มันค้างไว้แค่นี้จะดีเหรอ?   

ปล่อยคนอ่านให้จิ้นเองนานๆ มันไม่ดีนะจร๊า

รออ่านต่อน่อ   :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: GoneOn ที่ 15-08-2007 14:00:17
เรื่องนี้มันแนวไหนเนี่ย ป้าแน๋ว  :m28: :m28:

อ่านดูน่ากลัวยังไงไม่รู้แฮะ   

แต่ก้อรออ่านต่อนะจ๊าาาาา    แน๋ว สู้ๆ   :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 15-08-2007 14:00:44
พี่ตะแน๋วแต๋วแต้วมาลงได้รวดเร็วทันใจวัยโจ๋มาก :m9: :m9:

เอาไปเลย 1 + กะอีก 1 จุ๊บ  :give2:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 15-08-2007 14:45:20
แค่ตอนแรก ก็.......... :m10:

รออ่านต่อนะแน๋ว  :m26:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: jukonabe ที่ 15-08-2007 16:21:17
อะไรกันนี่  หูย  เริ่มแรกก็  จินตบรรเจิดกันเลยทีเดียว  :m30:

รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ และกดโหด  เอ้ย กดโหวตหนึ่งจึ๊ก!!!!
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 15-08-2007 17:03:40
มาอ่านเรื่องใหม่ด้วยคน  ตอนแรกก็   :m25: :m25: :m25:
ออกแนวจิตพิศวาสยังไงม่ายรู้  :m10: :m10:
โหวตให้พี่แน๋วด้วย ขอบคุณสำหรับเรื่องใหม่ค้าบบ  o14 o14
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-08-2007 17:42:17
โอ่ เรื่องนี้เด็ดซาลาตี่
 :a1: :a1: :a1:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 15-08-2007 22:09:02
ตามมาให้กำลังใจพี่เคทกับแน๋ว
 :a2:  :a2:  :a2:  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 15-08-2007 22:18:24
 o15 ขอบคุณตะแหน่ว ตะแหน่ว มากค่ะ ที่ลงนิยายเรื่องนี้ให้พี่เคท เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่พี่เคทรักมากที่สุด   :m1: แล้วก็ยาวที่สุด  :m29: แล้วก็เป็นเรื่องที่แฟนนิยายยังถามกันอยู่ จนถึงทุกวันนี้  :m3: หวังว่าสมาชิกเล้าเป็ดทั้งหลายจะชอบเรื่องนี้นะคะ  :m18:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 16-08-2007 01:21:48
 :a3:   โอ๊ะโอ......เรื่อง นี้บุกเล้าเป็ด คิคิ    :a3:
เป็นเรื่อง ที่ชอบมากๆ เรื่องนึง ของที่พี่เคท เขียนโรยนะเนี่ย     :m1:  :m18:  :m1:

 :m10:    แค่จั่ว..ก้อเหอๆ    :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 01:50:28
บทที่ 2  


เขาพูดพลางยักคิ้วให้ผม ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมากระทันหัน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น นึกในใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผมนี่ ทำไมผมถึงต้องมาเจอโจรโรคจิต ที่น่าจะเป็นกระเทย หรือ ตุ๊ด แถมเข้าไปด้วยอีกนะ
มีเสียงหัวเราะเบาๆให้ได้ยินจากเขา มันเป็นเสียงหัวเราะของคนที่กำลังอารมณ์ดีอย่างสุดๆ เขาก้าวลงจากเตียงเดินผิวปากหวือ ปล่อยให้ผมนอนเปลือยท่อนล่าง กางเกงขายาว และกางเกงในถูกถลกมาอยู่ตรงหน้าขา ดูน่าสมเพชยิ่งนัก ผมสั่นศีรษะไปมาเพื่อให้ผ้ามันหลุดออกจากปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา

เขากลับมาใหม่ พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่บิดน้ำออกเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียง แล้วบรรจงใช้ผ้าเช็ดร่างกายท่อนล่างที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยน้ำรักให้ผมอย่างนุ่มนวลอ้อยอิ่ง ผมหน้าแดงก่ำ ความอับอายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์รู้ทันของเขาที่มองมายังผม สลับกับการมองเจ้าหนูน้อยที่ตอนนี้สงบนิ่งไปแล้ว ให้ตายสิ

ผมชักจะเริ่มเกลียดดวงตาคู่สวยคู่นั้นของเขาเสียแล้ว ควบคู่กับการเกลียดตัวเอง ที่ไม่ยอมควบคุมอารมณ์ ปล่อยให้ความปรารถนาในรสสัมผัสเข้าครอบงำ จนสร้างความอับอายขายขี้หน้าให้กับตนเอง นี่ถ้าเรื่องนี้มันแพร่งพรายออกไป ว่าผมดันเกิดอารมณ์ เมื่อถูกผู้ชายแตะของสงวน แถมซ้ำยังเป็นผู้ชายแปลกหน้า คนที่ลักพาตัวผมมา อีกด้วย ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหนอ ลำพังแค่ตั้งบนบ่าอาจจะไม่พอเสียแล้วมั้ง คงต้องหาปี๊บคลุมอีกที

เด็กหนุ่มสวมเสื้อกับกางเกงให้ผมจนเรียบร้อย และดึงผ้าออกจากปากผม ทันทีที่ไม่มีอะไรขวางกั้น คำพูดที่ผสานไปด้วยโทสะก็พรั่งพรูออกมา

“นายทำอะไรลงไปเนี่ย โรคจิตหรือเปล่า กล้าดีอย่างไรมาทำกับฉันแบบนี้ ฉันไม่ใช่กระเทย หรือตุ๊ดนะโว้ย ทำแบบนี้มันหมายความว่าไง นายเป็นพวกวิปริตผิดเพศใช่ไหมเนี่ย อย่าบอกนะว่า ลักพาตัวฉันมา เพื่อจะทำมิดีมิร้าย ฉันไม่มีวันยอมแน่ๆ หากคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะสู้จนสุดใจเลยคอยดู ”

“โห โห เป็นชุดเลยนะ ผมเองก็ไม่ใช่กระเทย หรือตุ๊ด เหมือนกัน แต่ผมแค่อยากช่วย เห็นน้องชายคุณกำลังตื่นตัว ก็ไม่อยากให้มันอารมณ์ค้าง ก็เลยหาทางปลดปล่อยให้น่ะ”

“ฉวยโอกาสนะสิไม่ว่า ก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมายุ่ง ฉันไม่ได้ต้องการให้มาช่วยเสียหน่อย นายมายุ่งเองทำไม ผู้ชายที่ไหนเขาจะทำกัน นอกจากพวกโรคจิต หรือ เป็นกระเทย วิปริตผิดมนุษย์มนา น่ารังเกียจที่สุด

นายทำแบบนี้มันหยามเกียรติกันมากไปแล้ว ถ้าจะเอาเงินเอาทองเท่าไหร่ ฉันก็จะให้ แต่ถ้าจะมาทำแบบนี้ ฉันยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด และถ้าฉันหลุดไปได้ รับรองฉันจะชกให้หน้าหล่อๆของแกแหกยับเยินเลย ฉันขอสาบาน ฉันไม่ไว้แกแน่ ไอ้กระเทย ไอ้คนโรคจิต ไอ้ห่าลากเอ๊ย”

ผมหลุดคำหยาบคายออกมาอย่างเหลืออด ความโมโหทำให้เห็นช้างตัวเท่าหมู ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น แต่หมอนั่น กลับไม่มีทีท่าว่าโกรธ เขาพูดอย่างใจเย็น

“โชคดีของผมแล้วที่มือคุณถูกมัดไว้แบบนี้”

ไม่พูดเปล่า กลับยื่นสองมือออกมาประคองใบหน้าของผม ผมจะหันหน้าหนีก็ไม่ได้ เพราะเขาใช้สองมือบังคับให้ผมต้องมองหน้าเขา

““ใจเย็นๆนะครับ อย่าเพิ่งโมโหโทโสไป ไม่น่ารักเลยรู้ไหม ผมไม่ใช่กระเทย หรือ ตุ๊ด  อย่างที่คุณเข้าใจ แล้วผมก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับคุณด้วย ถึงแม้ว่าผมจะพาคุณมาที่นี่ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็อภัยให้ผมด้วยเถอะ ผมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดที่จะได้ตัวคุณมา

ผมไม่ได้ถูกจ้างให้มาทำร้ายคุณ โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่เคยเกลียดคุณด้วย แต่ผมจำเป็นต้องลักพาคุณมา เพราะมีบางอย่างที่อยากจะให้คุณได้รับรู้ไว้ แล้วก็มีบางอย่างที่ผมจะขอร้องให้คุณช่วย”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมแค่นหัวเราะ


“นายคิดว่า นายทำกับฉันถึงขนาดนี้ แล้วฉันยังจะให้โอกาสนาย ยอมรับฟังในสิ่งที่นายขอร้องเหรอ”

“ผมรู้ว่าผมอาจจะทำไม่ดีกับคุณ บังคับ และฝืนใจคุณต่างๆนานา ลักพาตัว ทำให้คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมเป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นฆาตกร เป็นคนโรคจิต ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่อะไรสักอย่างเลยตามที่คุณกล่าวหา ผมแค่พยายามจะเข้าให้ได้ถึงตัวคุณ แต่ก็กลัวว่า หากใช้วิธีการปกติ ผมอาจะไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้ ก็เลยต้องทำแบบนี้ ผมขอโทษนะครับ ไม่ได้เจตนา อย่าโกรธผมเลยนะ”

เขาทำเสียงอ้อน ท่าทางดูสงบเสงี่ยม ไม่มีพิษมีภัย จนผมชักงง ว่าหมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่

“นะครับ ให้โอกาสผมบ้าง ฟังในสิ่งที่ผมจะขอร้องคุณต่อจากนี้”

เด็กหนุ่มทำตาแวววาว และส่งยิ้มประจบประแจงให้ผมอีกแล้ว น่ารำคาญชะมัดไอ้หมอนี่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ปรับอารมณ์ไม่ทันแล้ว

“เรื่องอะไร ทำไมฉันต้องฟังเรื่องของนายด้วย”

ผมยังคงเสียงแข็งใส่เขาอย่างต่อเนื่อง

“ก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับการที่ผมจับคุณมาน่ะสิ แล้วถ้าคุณฟัง และยอมตามที่ผมขอร้อง ผมก็จะปล่อยตัวคุณไป ทีนี้ มันสำคัญเพียงพอที่จะทำให้คุณสนใจอยากฟังหรือยังครับ”

“นายเดือดร้อนเงินอยู่เหรอ ติดยา หรือเป็นโรคเอดส์ล่ะ”

ผมถามเขา จงใจใส่ความดูหมิ่นลงไปในน้ำเสียง โดยปกติผมไม่เคยดูถูกใครขนาดนี้หรอก แต่ผมกำลังแค้นเคืองที่เขาบังอาจมาจับต้องน้องชายของผมต่างหาก แล้วยังทำให้ผมขายหน้าด้วยการปลุกเร้าอารมณ์ผมอีกด้วย ความโมโห ความอับอาย ทำให้ผมพูดจาหยาบคายออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้กำลังกลัวว่าเขาจะฆ่าผมอยู่ ยิ่งเห็นเขาทำท่าหงอใส่ก็ยิ่งได้ที ทำหยาบคายใส่เขาสุดฤทธิ์ แต่ผมไม่แคร์แล้ว พวกโจรโรคจิต ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย

“ผมยังแข็งแรงอยู่นะ”
เขาเบ่งกล้าม ทำหน้ายิ้มๆ เมื่อถูกกล่าวหา
“งั้นก็ติดการพนันบอล หรือไม่ก็ไปทำใครท้อง แล้วไม่มีเงินไปทำแท้ง”
ผมเหน็บแนมเขาอีก คราวนี้เขาหัวเราะขำผม
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ผมยังไม่มีแฟนครับ อยากมีมากๆ แอบชอบคนๆหนึ่งอยู่ แต่ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไงครับ”
หมอนั่นยิ้มใส่ตาผมอีกแล้ว บ้าชะมัด อยากควักลูกตาเจ้านี่ออกจังเลย จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวทำหูตาแพรวพราวกับใครแบบนี้ เห็นแล้วอยากจะอาเจียนเสียจริง
“แม่ป่วย หรือไม่น้องก็เข้าคุก”
ผมยังฉวยโอกาสด่าว่าเขาอย่างต่อเนื่อง
“นี่ใจคอ จะให้ผมกลายเป็นคนชั่วร้ายให้ได้สินะ”
เขาหัวเราะหึๆ ที่ผมโยนเรื่องไม่ดีทั้งหลายใส่เขาไม่ยั้ง
“คนดีๆที่ไหนเขาจะลักพาคนอื่นมาแบบนี้” ผมต่อว่าเขาอีก
“ก็ผมกำลังจะบอกให้ฟังอยู่นี่ไงครับว่า เพราะอะไร”
เขาวางมือบนหน้าขาของผม แต่ผมสบัดออก รู้สึกไม่ชอบใจที่เขามาแตะตัวผม
“งั้นก็บอกมาสิ ฉันก็ทำตามที่นายต้องการแล้ว คราวนี้ก็บอกมาสักที แล้วก็รีบปล่อยฉันด้วย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“ถ้าผมบอกคุณไป สัญญาได้ไหมว่าคุณจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูด และไม่หัวเราะเยาะผม” ท่าทางเขาดูกล้าๆกลัวๆ ที่จะพูด ซึ่งต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“ถ้าเรื่องมันเหลือเชื่อ หรือ น่าขำมากล่ะก็ ฉันก็คงอดไม่ได้ล่ะ ที่จะต้องหัวเราะ”
“แต่เรื่องที่ผมจะพูดนี้ มันเป็นเรื่องจริง สำหรับผมแล้วมันไม่น่าหัวเราะ แล้วผมก็ไม่อยากจะให้คุณหัวเราะด้วย ถ้าคุณไม่สัญญา ผมก็จะไม่เล่า แล้วไม่ปล่อยคุณด้วย”

เขาขู่ผม ซึ่งมันได้ผล ผมหุบปากแล้วก็พยักหน้าทันที เรื่องอะไรที่จะปล่อยโอกาสที่จะได้รับอิสรภาพให้หลุดลอยไปล่ะ อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ว่าเรื่องมันจะตลก หรือ น่าสมเพชแค่ไหนก็ตาม ผมจะฟังมันเฉยๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

“ผมอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็เพราะว่า ผมรักคุณนะครับ”

เด็กหนุ่มบอกผมด้วยท่าทางอายๆ หน้าเขาแดงก่ำ แต่ดวงตาที่จ้องมองผม เต็มไปด้วยความเสน่หา ผมตาเหลือก อ้าปากค้าง ตกใจและคาดไม่ถึงกับเรื่องที่ได้ยิน นั่นไง เรื่องทุเรศที่สุดที่เคยได้ยินมา เรื่องแบบนี้จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ถึงกับตลกหรอก มันฟังดูแล้วทั้งบัดสี บัดเถลิง และสยองขวัญสั่นประสาทมากกว่า

โอ้ย จะบ้าตาย ทำไมเรื่องบ้าบอแบบนี้มันต้องมาเกิดกับผมด้วยวะ มิน่าล่ะ ไอ้หมอนี่ถึงชอบแตะเนื้อต้องตัวผมนัก แล้วยังมาปลุกอารมณ์ผม แถมซ้ำเขายังกินน้ำจากร่างกายผมอีกด้วย ตายห่าแล้ว นี่ผมตกมาอยู่ในเงื้อมมือของพวกกระเทยโรคจิตหรือนี่
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 01:54:14
ผมแหงนหน้าหัวเราะด้วยความขมขื่นใจ รู้สึกสังเวชตนเองที่กลายเป็นเป้าหมายของพวกกระเทยโรคจิตไปแล้ว แล้วอย่างนี้ผมจะปลอดภัยกลับไปโดยไม่ถูกทำให้สูญเสียความเป็นชายหรือเปล่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยคลุกคลีตีโมงกับคนกลุ่มนี้มาก่อน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ ที่คนจะลุกขึ้นมารักเพศเดียวกัน แล้วเราจะสืบสานเผ่าพันธ์กันอย่างไร หากหญิงกับชายไม่ได้ชอบกัน แต่หันมาใช้ชีวิตอยู่กันเอง โลกคงจะล่มสลายแน่ เพราะมวลมนุษย์ชาติตายลงไป แต่ไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดคนกลุ่มนี้ ผมยังคงมีเพื่อนที่ทำตัวลักเพศ มีคนรู้จักที่เกี่ยวข้องกันในหน้าที่การงาน หรือเป็นเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียน ผมคบหากับคนเหล่านั้นอย่างสนิทใจ เพราะเขาไม่ได้มาทำความเสียหาย หรือเสื่อมเสียมาให้ผม จะมีรำคาญบ้าง ก็คือความกรี๊ดกร๊าด เสียงดังของพวกเขา กับปากที่มักจะพ่นคำหยาบ หรือคำด่าแรงๆ จนไม่อยากอยู่ใกล้

“บอกแล้วไงว่าห้ามหัวเราะ ผมจริงใจกับคุณนะ ผมรักคุณมากๆด้วย”

เขาทำหน้าโกรธๆที่เห็นผมหัวเราะไม่หยุด

“ฟ้าผ่าตายห่า ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นกระเทยไง แบบนี้มันตุ๊ดชัดๆ”

“ผมไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างที่คุณว่ามา ผมเป็นเพียงผู้ชาย ที่รักผู้ชายเท่านั้นครับ”

“นั่นล่ะ ก็กระเทยล่ะ”

“ผมว่าคุณมีความเข้าใจผิดอย่างมาก เรื่องกระเทยกับตุ๊ดนี่ ผมเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเกย์ครับ เฮ้อ ไม่ไหวเลยคุณนี่ ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้จริงๆเลย แต่ไม่เป็นไร เอาไว้ผมจะสอนให้ คุณจะได้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง ”

เขาเสนอตัวเป็นคุณครูให้กับผม

“อย่าเลย เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจะอยากรู้ แค่นายบอกว่า จับตัวฉันมา เพียงเพราะว่ารักฉัน มันก็เหมือนโลกทะลายมาตรงหน้าแล้ว นายเห็นฉันเป็นอย่างไรล่ะ เป็นพวกวิปริตเหมือนนายงั้นเหรอ ถึงได้จับตัวฉันมา พร่ำพรรณนาความรักแบบนี้”

ผมเหน็บแนมเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง

“ทำไมเหรอ ผู้ชายรักผู้ชายด้วยกัน มันผิดตรงไหน แล้วการที่ผมรักคุณ มันน่ารังเกียจมากนักหรือไง อย่ามาดูถูกความรักของผมนะ”

เขาเริ่มเสียงดังใส่ผมเหมือนกัน จนผมสะดุ้ง ที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ครุ่นคิดในใจว่า กำลังเผชิญหน้าอยู่กับพวกโรคจิตชอบความรุนแรงหรือเปล่า

“คุณรังเกียจผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันเหรอ” เขาทำเสียงคาดคั้น จ้องตาผมเขม็ง

“อื้อ ......”

ผมกรอกตา อยากจะโกหกว่าเกลียด แต่ก็พูดความจริงไปดีกว่า

“ก็ไม่เชิงหรอก ไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ หรือ ต่อต้านหรอก เอาเป็นว่า ฉันไม่สนใจดีกว่า ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่มาวุ่นวายกับฉันเป็นพอ ไม่นึกว่า ฉันจะกลายเป็นเหยื่อของความผิดปกตินี้”

“ผมไม่ชอบที่คุณพูดแบบนี้นะ คุณไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นคนที่ผมรัก ความรักของผมก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติด้วย ทำไมคุณไม่ทำใจเปิดกว้างยอมรับมันล่ะ”

“ยอมรับอะไร ยอมรับที่จะให้กระเทย ไม่ใช่สิ เกย์อย่างนาย มารักนี่นะ ขอบอกเลยว่าไม่มีทาง ฉันชอบผู้หญิง ชอบมากๆด้วย แล้วก็อยากมีอะไรกับผู้หญิง ไม่ใช่กับผู้ชาย”

ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่เห็นผมไม่คล้อยตาม

“แต่คุณก็เกิดอารมณ์เมื่อผมสัมผัส”

เขากล่าวหาผม โดยยกเรื่องที่เพิ่งผ่านไปขึ้นมาอ้างอิง ผมหน้าแดงก่ำ ความอับอายแล่นริ้วขึ้นสู่ใบหน้า

“นั่นเพราะว่า อากาศมันเย็นต่างหาก”

“จริงหรือที่ว่า คุณไม่มีอารมณ์เลยเมื่อถูกปลุกเร้าอารมณ์จากผู้ชายด้วยกัน”

เขาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“ก็แน่นอนสิ ฉันไม่ใช่เกย์ กระเทย ตุ๊ด แต๋วนี่ มีอารมณ์กับผู้ชายก็บ้าแล้ว”

ผมก็ตอบเขาด้วยความั่นอกมั่นใจเหมือนกัน แล้วพริบตานั้นเอง เด็กหนุ่มลูกครึ่งก็กระเถิบพรวดเข้ามาประชิดตัวผม แล้วยื่นหน้ามาใกล้

“นายจะทำอะไรน่ะ อย่าเชียวนะ อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้องตัวฉันเชียวนะ”

ผมมองเขาด้วยความหวาดระแวง

“ผมแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“อะไร”

ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆบอกไม่ถูก

“ผมไม่ทำอะไรที่ไม่ดีหรอกครับ แค่อยากลองดูเฉยๆ ทำตัวตามสบายนะครับ”

เด็กหนุ่มพยายามพูดให้ผมสบายใจ แต่ผมกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่เขาบอก ความรู้สึกบอกว่า จะมีบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ผมแค่อยากลองดูว่าถ้าผมจูบไซร้ซอกคอคุณแบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร”

พูดจบเด็กหนุ่มก็ซุกจมูกมาที่ลำคอของผม ผมเบี่ยงหน้าหนี แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเกินกว่าที่ถูก พันธนาการไว้ เจ้าโจรโรคจิต สูดดมแถวแก้ม ลำคอ ของผม เขาแลบลิ้น เลียที่ติ่งหูของผม จนผมขนลุก ดูเหมือนเขาจะย่ามใจ เพราะเขาสอดมือเข้ามาใต้เสื้อของผม และลูบไล้หน้าอก

“แล้วถ้าผมสัมผัสเนื้อตัว โลมไล้คุณแบบนี้ คุณจะคงเฉยชาไม่รู้สีก รู้สาอะไรอีกไหม”

เขางึมงำอยู่ตรงแถวๆซอกคอของผม มือก็ยังไม่หยุดควานไปทั่วแผ่นอกของผม แล้วค่อยๆเลื่อนต่ำมาลงตรงแถวหน้าท้อง ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่ดิ้นหนี เพื่อให้พ้นไปจากสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการสูญเสียความเป็นชายของตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้

ผมพยายามจะเปล่งเสียงร้องออกมา แต่ก็ดันร้องไม่ออก ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมดทั้งตกใจ ตื่นเต้น ขยะแขยง และ หวาบหวามรัญจวนใจ

“แล้วถ้าผมกอบกุมน้องชายสุดหวงของคุณไว้แบบนี้ คุณจะรู้สึกอะไรบ้างไหม”

พูดจบ เขาก็สอดมือเข้าไปในกางเกงของผม แล้วลูบคลำเจ้าตัวน้อยผ่านกางเกงชั้นในที่ห่อหุ้มมันไว้ เด็กหนุ่มคลึงเคล้า ปลุกเร้าอารมณ์น้องใช้ของผมอย่างนุ่มนวล และแล้วมือของเขาก็ผลุบหายเข้าไปในกางเกงชั้นใน ผมพยายามร้องห้ามเขา แต่เสียงที่เปล่งออกมา กลับกลายเป็นเสียงครวญคราง แล้วเจ้าความรู้สึกบางอย่างก็บอกให้รู้ว่า บัดนี้น้องชายของผม ตื่นตัวเต็มที่เต็มมือของเขาอีกแล้ว

เขายังไม่หยุดซุกไซร้ ผม แต่คราวนี้ เขาเลื่อนมา จูบที่หน้าอก ซึ่งเขาปลดกระดุมเสื้อออกไปจนหมดแล้ว มือข้างที่เกาะกุมเจ้าตัวน้อยของผมก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะพร้อมๆกับที่เขาค่อยๆจูบซุกไซร้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงสะดือ และท้องน้อย หัวสมองของผมอื้ออึง บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกปั่นป่วนเมื่อถูกมือของเด็กหนุ่มคนนี้สัมผัส ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะธรรมชาติทางร่างกาย หรือว่าผมกำลังอ่อนไหวในสิ่งที่เขาทำกับผมอยู่

เด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังปลดกางเกงของผมออกแล้วดึงลงมาไว้ที่หน้าขา เขาปลดปล่อยน้องชายของผมที่กำลังรื่นเริงเต็มที่ออกมาจากสิ่งที่ห่อหุ้ม ใบหน้าของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับหนูน้อยที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ของผม เจ้าหนุ่มลูกครึ่ง มองสบตาผม และยิ้มหวานให้ มันเป็นยิ้มแบบประจบประแจงที่เขาชอบทำบ่อยๆ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง ใช้ลิ้นตวัดไปที่หัวของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงใช้ปากห่อหุ้มของสงวนของผมเอาไว้

ผมสะดุ้งเฮือก ตกใจในสิ่งที่เขาทำ พยายามดิ้นหนี แต่เขาก็เคลื่อนไหวตาม เขาใช้มือทั้งสองข้าง ปากและลิ้นหยอกเอินเล่นสนุกกับน้องชายของผม ดวงตาของเขาจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา มีความปรารถนาอย่างลึกซึ้งให้เห็นในนั้น ดูเหมือนว่าเขาตั้งอกตั้งใจที่จะทำให้ผมอย่างเต็มที่ แล้วเขาก็อยากให้ผมได้รับรู้ด้วยว่าเขาพยายามมากแค่ไหน ในการที่จะทำให้ผมมีความสุข

การกระทำของเขาครั้งนี้ ส่งผลให้ผมต้องเกร็งลำตัวขึ้นด้วยดำกฤษณาที่อยู่ภายใน ผมหลับตาปี๋ พยายามจะข่มความรู้สึกทั้งมวล แต่ก็ไม่ได้ผล ร่างกายของผมกลับยอมรับการรุกรานจากเขา ผมหายใจหอบสะท้าน รู้สึกว่าสะโพกของตัวเองลอยสูงขึ้น เนื้อตัวรุ่มร้อน ด้วยแรงปรารถนาในสัมผัสของชายแปลกหน้าเช่นเขา

แล้วผมก็สำลักความสุขออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มก็กลืนกินมันเข้าไปจนหมด เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาแพรวพราว เขายิ้มให้ผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบหมดอารมณ์

“เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดเลย คุณนี่ ใช้ปากกับมือนิดเดียว ก็มีอารมณ์แล้ว”

ผมเบือนหน้าหนี ทำปากยื่น หน้าตางอง้ำ เขาหัวเราะหึหึ เมื่อเห็นกิริยาอาการของผม เขาค่อยๆใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดร่างกายส่วนล่างให้ผมอีกครั้ง และนุ่งกางเกงและรูดซิบให้เรียบร้อย

“ผมฝีมือใช้ได้เลยใช่ไหมครับ คุณเองก็มีความสุขที่ผมทำให้ใช่ไหมครับ” เขาถามด้วยท่าทางกระตือรือล้น
“ไปซะ”

ผมบอกกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา ตัวยังไม่หายสั่นจากอารมณ์พิศวาสที่ถูกก่อขึ้นมาเมื่อครู่

“ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้” ผมบอกเขาอีก โดยไม่ยอมหันกลับไปมองหน้าแม้แต่น้อย

ผมไล่เขา เพราะไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากยอมรับอะไรทั้งสิ้น รู้สึกอับอาย ที่ตัวกับใจเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันถึงได้พร้อมใจกันยินยอมรับรสสัมผัสของเด็กหนุ่มโดยไม่ขัดขืน นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมรู้สึกกลัวเหลือเกิน การเป็นกระเทยมันติดต่อกันได้ทางสัมผัสหรือเปล่านะ หวังว่าผมคงจะไม่โชคร้ายติดโรคชอบเพศเดียวกันมาจากเจ้าหมอนี่

“ทำไมล่ะครับ”

เขาถามผมด้วยความงุนงง น้ำเสียงที่รื่นเริงอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก”

“กลัวความจริงหรือครับ” เขาถามผม

“รับไม่ได้หรือ ที่จะยอมรับกับตัวเอง ว่าคุณรู้สึกดีที่ถูกผมสัมผัส”

เสียงของเขาเริ่มดังขึ้น

   “มองหน้าผม แล้วพูดความจริงกับผมสิ บอกมาสิ ว่าคุณรังเกียจและขยะแขยง เมื่อถูกผู้ชายด้วยกันลูบไล้ และทำอะไรต่ออะไรให้”

เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่ง บีบคางให้ผมหันมา มือของเขาแข็งแรงมาก เขาจ้องหน้าผม ตอนนี้หน้าของแดงก่ำ ท่าทางดูโกรธขึ้งที่ผมไม่พูดความจริง

“คุณยังจะดื้อไม่ยอมรับอีกใช่ไหม ว่าแม้กระทั่งผู้ชาย ก็ไม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกทางเพศของคุณ ทั้งๆที่คุณก็เห็นเหมือนกับที่ผมเห็นว่าผู้ชายก็ทำให้คุณถึงจุดไคล์แม็กซ์ได้เหมือนกัน เอาเลยบอกมาสิ พูดออกมาสิครับ จะโกหกอะไรก็ได้ ถ้าคุณต้องการ แล้วผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีก ผมจะปล่อยคุณไป ถ้าหากคุณบอกกับผมว่า คุณไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผมทำ”

เสียงของเขาดัง แต่ค่อนข้างสั่นเครือ เหมือนคนที่พยายามสะกดอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน

“โอเค ยอมรับก็ได้ ว่านายทำให้ฉันรู้สึกมีอารมณ์ แล้วฉันก็เชื่อแล้วว่านายรักฉัน แต่นั่นมันก็ไม่ทำให้ฉันยอมรับในสิ่งที่นายทำกับฉันหรอกนะ”

ผมตัดสินใจบอกความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ ตอนแรก ผมคิดว่าผมน่าจะโกหก เพื่อให้ตัวเองได้เป็นอิสระ แต่ไม่รู้มีอะไรดลใจบอกให้ผมพูดความจริงออกมา

“ขอบคุณครับ ที่ยอมเปิดใจ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 01:57:32
เขายิ้มให้กับผมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือออกจากคางของผม

“ฉันเข้าใจแล้วว่านายเป็นเด็กโรคจิต สมองผิดปกติ แล้วก็เป็นเกย์ด้วย ฉันยังเข้าใจอีกด้วยว่า นายลักพาตัวฉันมา เพื่อที่จะทำทุกวิถีทางให้ฉันได้รู้ว่า นายรักฉัน แล้วนายก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าฉัน หรือทำร้ายฉัน นายไม่ได้เป็นฆาตกร ไม่ได้เป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นแค่ที่คลั่งรักเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่อาจจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ฉันไม่ชอบพฤติกรรมรักร่วมเพศแบบนี้ ให้ตายเถอะ ยอมรับไม่ได้จริงๆ มันผิดปกติ ผิดธรรมชาติ ฉันไม่อยากถูกฟ้าดินลงโทษ เพราะฉะนั้น แก้มัดฉันเถอะ แล้วไปซะ ฉันไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกับนายหรอก”

ผมพูดกับเขาอย่างใจเย็น ดูจากรูปการหมอนี่ ไม่ได้มีภัยอันตรายร้ายแรงนัก เขาไม่ได้หวังอะไร นอกจากตัวของผมเท่านั้น ดังนั้น หากผมพูดจาต่อรองกับหมอนี่ดีๆ ผมอาจจะหลุดพ้นไปจากที่คุมขังแห่งนี้ ยิ่งปล่อยเวลาให้ยาวนานออกไป ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าผมจะถูกลบเหลี่ยมจนเสียเชิงชายหรือไม่ อายเขาตายเลยถ้าจะถูกผู้ชายด้วยกันปล้นเอาความบริสุทธิ์ไป คิดมาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกสงสารตัวเอง และเริ่มจะปลงตก

เมื่อก่อนนี้ผมมักจะรู้สึกยินดีที่ได้เจาะไข่แดงหญิงสาวบริสุทธิ์ เที่ยวได้ผลาญพล่าพรมจรรย์เขาไปทั่ว ถึงแม้จะไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวกับผม แต่ผมก็รู้ว่าผู้หญิงหลายคนก็เสียใจต่อสิ่งที่ผมทำไม่น้อย เวลานี้ ผมก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอันตรายแบบนั้น รอลุ้นแค่ว่าผลกรรมที่ผมเคยทำมามันจะตามผมทันไหมหนอ ถ้าผมรอดไปได้คราวนี้ ผมจะทำดีกับพวกผู้หญิงทุกๆคนเลย

“ไม่ได้หรอก ผมยังแก้มัดคุณไม่ได้ จนกว่าคุณจะฟังเรื่องที่ผมขอร้อง”

เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธคำพูดของผม มันทำให้ผมเกิดเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“อะไรอีกล่ะ” ผมกระชากเสียงใส่เขา

“ผมอยากให้คุณอยู่เคียงข้างผม....อยากขอร้องให้คุณช่วย เป็นแฟนกับผมได้ไหม”

เขาส่งสายตาวิงวอนขอร้องมาที่ผม พร้อมกับรอยยิ้มแบบเด็กๆ ยิ้มที่ทำให้ผมเกือบใจอ่อน ถ้าไม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าคนตรงหน้านี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

“จะบ้าหรือไง พูดอะไรออกมาน่ะ”

“จริงๆ นะครับ ผมอยากเป็นแฟนกับคุณจริงๆ อยากอยู่ใกล้ๆคุณ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง ผมน่ะ ตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น แล้วก็คิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะต้องทำให้คุณรัก และสนใจผมให้ได้  ผมอยากให้คุณเห็นว่าผมมีความสำคัญและมีความหมายต่อคุณให้เร็วที่สุด ไม่อยากจะรอเวลาให้มันเนิ่นนานไปกว่านี้อีกแล้วครับ”

ผมฟังเด็กหนุ่มพูด แล้วรู้สึกอยากจะบ้าตาย

 “นี่นาย มีอาการผิดปกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า ตอนเด็กๆ เคยเกิดอุบัติเหตุจนสมองได้รับความกระทบกระเทือนไหม ถึงได้พูดจาเลื่อนลอยแบบนี้ ฉันกับนายเคยไปเจอหน้าหรือรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หือ นายถึงจะมาชอบมารักฉันนักหนา”

เจ้าเด็กบ้านี่ สั่นศีรษะ แล้วหน้าเด๋อด๋าใส่ผม พูดเสียงยานคางว่า

“เปล่าน้า......”

แล้วเจ้าหมอนี่ก็ส่งยิ้มทะเล้นมาให้ ไม่มีทีท่าโกรธเคืองสิ่งที่ผมพูด เขาเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งแบบสบายๆอยู่บนเตียงทางด้านขวาของผมมาเป็นนั่งแนบชิด มือวางลงตรงท่อนขาของผม สภาพของเขาตอนนี้คือแทบจะนั่งเบียดตัวผมอยู่แล้ว ผมพยายามจะถอยหนี แต่ก็ติดขัดตรงที่มือยังถูกมัดอยู่ทำให้ไปไหนไม่ได้
“ผมไม่ได้ถูกทำให้สมองกระทบกระเทือน หรือเป็นโรคจิตหรอกครับ เอ้อ แล้วก็ การเป็นเกย์ ไม่ใช่โรคติดต่อนะครับ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกระเถิบหนีไปขนาดนั้นก็ได้ครับ จะเป็นหรือไม่เป็นมันอยู่ที่จิตใจมากกว่า
ครับ”

เขาพูดดักคอเหมือนรู้ทันความคิดของผม พลางยื่นหน้ามาใกล้

“ไม่ได้กลัวซักหน่อย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีวันที่ฉันจะเปลี่ยนความชอบของตนเองแน่ ที่ขยับตัวเพราะมันอึดอัดน่ะ ไม่ชอบให้ใครมานั่งใกล้ๆ มันร้อน กระเถิบออกไปหน่อยได้ไหม”

ผมบอกเขา แต่หมอนี่ยังนั่งเฉย นอกจากไม่ขยับแล้ว ยังเบียดเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมอีก จนหัวแทบจะชนกันแล้ว  เหมือนแกล้งผมยังไงยังงั้น ผมล่ะอยากจะบ้าตาย เดาใจเด็กคนนี้ไม่ออกจริงๆ

“ผมน่ะนะ อยากอยู่ใกล้ชิดคุณมาตลอด คิดอยู่ว่า จะทำวิธีใหนนะ คุณถึงจะสนใจผม คุณอาจจะคิดว่า ผมบ้าหรือเปล่า ที่ผมมาพูดอย่างนี้ ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันแค่วันเดียว แต่ที่จริงเราเคยพบกันหลายครั้งแล้วครับ ในหลายๆปีที่ผ่านมา คุณคงจำผมไม่ได้ แต่ผมจำคุณได้เสมอ ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งหน้าตา รูปร่างและนิสัยใจคอ คุณเป็นคนดีอย่างไร ก็ยังคงเป็นคนดีอย่างนั้น”

ผมรู้สึกงุนงงกับคำพูดของเขา ไอ้หมอนี่ท่าทางจะเพี้ยน ในสาระบบความจำของผมไม่เคยมีส่วนใหนที่จะจำเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ได้เลย

“เดี๋ยวนะ ขอร้องทีฉันงงไปหมดแล้ว นายช่วยเหล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นมายังไง ฉันนึกไม่ออก เอ หรือว่า นายตีหัวฉัน จนสติสตังไม่สมบูรณ์ จำอะไรไม่ได้เนี่ย”

“ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทำร้ายคุณหรอก แล้วก็จะไม่มีวันทำร้ายคุณด้วย ทำอย่างนั้นได้ไง คุณคือหัวใจของผมนะ ทำคุณเจ็บ ผมก็เจ็บด้วยอ่ะ” 

เขาปฏิเสธิด้วยเสียงอ้อนๆ ฟังแล้วขัดหูยิ่งนัก ทำไมไม่เป็นผู้หญิงสาวสวยๆมาพูดนะ

“เอาเถอะ อย่ามาหวานใส่นักเลย ขี้เกียจฟังแล้ว เล่าเรื่องของนายมาดีกว่า”

“ผมรู้จักกับคุณโดยบังเอิญ แล้วคุณก็ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งมาก ถ้าไม่ได้คุณ ชีวิตผมก็คงไม่ดีขึ้นแบบนี้ ผมคงจะไม่ต่างอะไรกับหมาข้างถนน ไม่มีใครให้ความสำคัญ ไม่มีใครเห็นค่า อาจจะกลายเป็นโจรเรียกค่าไถ่ เป็นผู้ร้าย เป็นฆาตกรโรคจิต อย่างที่คุณว่าก็เป็นได้”

ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ผมน่ะนะ ไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ ตอนไหนกันล่ะ

“ฉันไปช่วยเหลือด้านการเงินกับนายเหรอ หรือออกทุนให้ ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมถึงจำไม่ได้”
ผมถามเขาด้วยความมึนงงเต็มที่
“เปล่าครับ”
เขายิ้มกว้างให้ผม เวลายิ้ม หน้าหมอนี่ยิ่งดูดี หล่อเหลาขึ้นไปอีก
“คุณก็เคยช่วยเหลือเงินทองผมบ้าง ไม่มากนักหรอกครับ แต่ช่วยเรื่องอื่นมากกว่า”
“ยังงงอยู่ดี”
ผมบอกกับเขา ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง นี่ผมไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
“เรื่องมันยาวนะ ถ้าเล่าต้องใช้เวลานานมากเลยอ่ะ เอาอย่างนี้ดีไหม เล่าทีหลังได้ไหม วันนี้ผมง่วงแล้วนะ”
 อยู่ๆ หมอนี่ก็ทำท่างอแง แล้วอ้าปากหาวขึ้นมาซะเฉยๆ
“จะบ้าเหรอ จะมานอนอะไรกัน นี่มันสายแล้วนะ”

ผมชักรำคาญความโยกโย้ของหมอนี่

“ก็แหม ผมเฝ้าคุณทั้งคืนนี่นา”

“โปะยาสลบฉัน ลักพาตัวฉันมาที่นี่ แล้วก็มัดอย่างแน่นหนาแบบนี้นี่นะ ยังต้องมาเฝ้าอีกหรือ”

ผมถามเขาอย่างจับผิด เขาหัวเราะเขินๆ แก้มแดง

“ก็ผมอยากนั่งมองเวลาคุณนอนหลับนี่ครับ น่ารักดี คุณกรนด้วยนะ ทำน้ำลายยืดอีกต่างหาก แต่รวมแล้วก็น่ารักมากๆ”

“จริงเหรอ”

ผมตกใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะนอนน่าเกลียดแบบนั้น เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงร่าเริง แล้วก็หันมาจ้องผมหน้าทะเล้น

“ล้อเล่นนะครับ ไม่หรอก ไม่มีทั้งน้ำลายและนอนกรน แล้วปากคุณก็หอมด้วยนะ ไม่มีกลิ่นปากยามเช้าเลย”

“รู้ได้ไง”

ผมถลึงตาใส่เขา

“ก็มีรายการขโมยจูบนิดหน่อยฮะ ขอโทษทีนะ มันอดใจไม่ไหวจริงๆอ่ะ”

“นายนี่มันจริงๆเลย....” ผมโกรธควันออกหู

“ฉันจะด่านายว่าไงดีนะ ไอ้หัวขโมย ไอ้คนโรคจิต ไอ้พวกฉวยโอกาส ฉันว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว”

“ก็กำลังคุยอยู่นี่ไง ผมกำลังขอให้คุณเป็นแฟนผม ถ้าเราเป็นแฟนกัน ผมก็ทำแบบนี้ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต จริงๆแล้วผมอยากลิ้มรสคุณมากกว่านี้อีก เพราะผมรักคุณมาก แต่ผมก็ต้องรอให้คุณยินยอมเป็นแฟนกับผมก่อน ผมถึงจะทำได้โดยไม่เป็นการบังคับฝืนใจคุณ”

แหมมันน่าโมโหจริงๆ ผมไม่เคยเห็นใครหน้าด้าน เอาแต่ใจตัวเหมือนเจ้าเด็กคนนี้เลย

“นี่ จะไม่มีการยินยอมอะไรทั้งนั้นแหละ บ้าหรือเปล่า ใครจะไปเป็นแฟนนาย จะต้องให้พูดกี่ครั้ง ถึงจะเข้าใจ ว่าฉันชอบผู้หญิง ไม่ชอบผู้ชาย ซื่อบื้อหรือไง”

ผมพูดอย่างโกรธๆ แต่เจ้าเด็กลูกครึ่งกลับยิ้มกริ่มอย่างใจเย็น

“อยากให้ผมพิสูจน์อีกครั้งหรือครับ ว่าคุณเองก็พึงใจที่โดนผู้ชายเล้าโลมเหมือนกัน”

เขาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม ผมสะดุ้งเฮือก รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะเข้าตัวผมมากกว่านี้

“ไหนจะบอกให้ฟังไง ว่านายรู้จักฉันได้ไง”

“ขี้เกียจเล่าแล้ว อยากนอนมากกว่า ผมขอนอนบนเตียงด้วยคนนะครับ”

เขาเหยียดขายาวๆของเขาบนเตียงเฉยเลย แล้วหลับตาลง ในตอนนี้ผมอยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่นัก โทษฐานที่กวนโอ๊ยหรือเกิน แล้วเขาจะนอนหลับโดยปล่อยให้ผมถูกมัดอยู่อย่างนี้เหรอ ผมเมื่อยจนจะเป็นตะคริวแล้วนะ

“ไม่ได้นะ นอนตอนนี้ไม่ได้ สัญญาแล้วไง ว่าจะบอกฉันแล้วก็ปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานๆนะ”

ผมโวยวายใส่เขา เขาลืมตาขึ้นมามองแล้วยิ้มเผล่

“ผมไม่กักขังคุณไว้ที่นี่นานๆหรอกครับ ถ้าเราตกลงเจรจากันได้ ผมก็จะปล่อยคุณไปนะ ถ้าจะจับขัง ก็จะเอาไว้ในนี้แหละ”

เขาชี้ไปที่หัวใจตัวเอง ผมล่ะคลื่นไส้ในสิ่งที่หมอนี่ทำเหลือเกิน ดูทำท่าเข้าสิ ยังกับอ้อนอยู่กับคนรัก ทั้งๆผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย

“งั้นก็มาคุยกันต่อสิ” ความอดทนผมเริ่มจะหมดแล้ว แต่หมอนี่กลับทำดื้อตาใส

“ถ้านายไม่ยอมพูด ฉันก็จะไม่ตกลงเจรจาพูดคุยอะไรทั้งนั้นนะ”

ผมขู่เขา ได้ผม หมอนี่รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ท่าทางกระตือรือร้นสุดฤทธิ์

“แสดงว่า ถ้าผมเล่าให้คุณฟัง คุณจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผมใช่ไหมครับ”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ ฉันบอกว่าจะยอมพูดคุยกับนายเรื่องที่นายขอ แต่อย่าได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ ฉันแค่อยากจะฟังเหตุผล อยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ทำไมฉันถึงต้องตกลงในเรื่องบ้าๆแบบนี้

มันมีเหตุผลอะไรแค่ไหน ทำไมนายถึงได้อยากจะเป็นแฟนฉันนัก แล้วทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดกับฉันด้วย แต่ถ้านายขืนโยกโย้อีก ฉันก็จะไม่แม้แต่พูดคุยกับนายอีก นายจะฆ่าแกงจะทำอะไรฉันก็เชิญเลย ฉันเบื่อที่จะต้องถูกนายกักขังแล้ว”

ผมแสร้งทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเบื่อหน่ายสุดฤทธิ์ เพื่อที่จะบอกให้เขารู้ว่า ผมไม่สนุกกับการเล่นเกมส์ของเขาอีกแล้ว เจ้าเด็กลูกครึ่งยิ้มอ้อนให้ผม ดวงตาของเขามีประกายความหมายลึกซึ้ง จากนั้นถ้อยคำมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเขา มันทำให้ผมมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมเองได้ลืมเลือนไปแล้วอย่างสนิทใจ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 16-08-2007 02:16:51

 :a3: :a3: :a3: :a3:

ท่าทางว่าจะแพ้ลูกอ้อนเด็กๆ หุหุหุ   :a1:

สนุกจ้า  รออ่านตอนต่อปาย สู้ๆน๊า  :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-08-2007 04:23:21
ว้า ลุ้นๆ รออ่านต่อ กำลังมันส์  :a4:  :a4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 16-08-2007 15:27:55
ตามมาให้กำลังใจคุณแน๋วด้วยค่ะ  เรื่องนี้ยาวมากๆ แต่ก็สนุกมากๆ เลย

ชอบเดียร์กับเรียวอ่ะ 

คุณแน๋วสู้ ๆ  ขนาดอ่านยังเกือบเดือน ถ้าโพสต์สงสัยเป็นปี  :m29:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-08-2007 16:11:44
เนื้อเรื่องท่าทางจะสนุกมากๆเลยคับ ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 16-08-2007 17:01:03
 :m3: กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เพิ่งเห็น เอาเรื่องนี้มาลงด้วย

เคยอ่านแต่ยังไม่จบ สู้ๆนะ แน๋ว  :a2: โพสให้ต่อเนื่องด้วย ไม่งั้น  :m16: 3 ปีแน่ กว่าจะจบ  o7

จะตามอ่านตลอดนะค๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: OhhO16 ที่ 16-08-2007 17:40:16
อิอิ เรื่องนี้สนุกมากครับ ชอบมากๆ เลย

เป้นนินายเกย์ที่อ่านเรื่องแรก 5555


ชอบเรื่องของพี่เคทมากครับ อิอิ เป้นกำลังใจให้ทั้งพี่เคท พี่แน๋วครั บอิอิ มารออ่านต่อครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 20:32:01
ตามมาให้กำลังใจคุณแน๋วด้วยค่ะ  เรื่องนี้ยาวมากๆ แต่ก็สนุกมากๆ เลย

ชอบเดียร์กับเรียวอ่ะ 

คุณแน๋วสู้ ๆ  ขนาดอ่านยังเกือบเดือน ถ้าโพสต์สงสัยเป็นปี  :m29:



อ่ะ....จ๊ากกกกส์ โพสเปงปี  :a6:  งั๊นจาขยันโพส ซอยยิกๆ อัพถี่ๆจาได้เสร็จเร็วๆ  o17

ขอบคุณทุกแรงเชียร์และแรงใจด้วยนะจ๊ะ  :give2:

ขอบคุณพี่เคทด้วยสำหรับเรื่องนี้ ยาวมากมายเลยทีเดียว แต่มะเปงรายยยศรีทนด้ายยย  :a2:


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


บทที่ 3


   4 ปีก่อนหน้านั้น………..

   ผมมักจะคิดเสมอว่า ผมนั้นเกิดมาทำไม ในเมื่อไม่มีใครให้รัก แล้วก็ไม่มีใครรักผมเลย แม่ของผมมีสามีใหม่ หลังจากที่พ่อแท้ๆของผมกลับประเทศไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ทำให้ผมเกิดมา แต่ถึงเขาจะรู้ ผมก็คิดว่าเขาก็คงไม่ได้รักใคร่ผมอยู่ดี เพราะพ่อมีอะไรกับแม่ผมแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เป็นแค่การบำบัดความเหงาของทหารอเมริกันที่มาขึ้นฝั่งที่พัทยาเมื่อ 16 ปีก่อนนั่นเอง

   แม่ของผมทำงานเป็นผู้หญิงบาร์ที่นั่น ทำงานมาได้ 2 ปีก่อนที่จะเจอกับพ่อของผม แม่เองก็ไม่รู้หรอกว่า ในบรรดา ฝรั่งที่แม่นอนด้วย 4 ซ้า 5 คนนั้น ใครกันแน่คือคนที่เสกผมเข้าท้องเขา แม่ตั้งครรภ์หลังจากที่พวกทหารอเมริกันกลับประเทศไปหมดแล้ว การที่ท้องของแม่โตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ แม่จึงมีความรู้สึกที่เกลียดชังผม พยายามจะทำลายผมด้วยวิธีการต่างๆ แต่ผมก็ยังคงดื้อดึงที่จะมาเกิดกับแม่ให้ได้

   ในที่สุดแม่ของผมก็ต้องกลับไปบ้านนอก แล้วก็คลอดผมที่นั่น แกฝากผมไว้กับพี่สาว ซึ่งแต่งงานแล้ว และมีลูกชายซึ่งแก่กว่าผมเกือบ 10 ปี ผมอยู่ที่นั่นมาตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ตลอดเวลาเหล่านั้นพวกเขาดูแลผมไม่ต่างอะไรกับทาส เขาใช้งานผมคุ้มค่ากับที่ได้เลี้ยงดูผมมา ไม่มีความรักความใส่ใจใยดี มีแต่ทุบตี ด่าทอ จิกหัวใช้ พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะฉุกคิดว่าผมเป็นลูกหลานของตนเองเลยด้วยซ้ำ แม่ก็ส่งเงินมาให้บ้าง ไม่ให้บ้าง พอป้าขอเงินแม่ไม่ได้ ก็จะมาลงที่ผมเป็นประจำ

ผมร้องไห้ทุกวัน จนน้ำตามันเหือดแห้งไม่มีจะไหลอีกต่อไป ผมไม่เคยได้สัมผัสกับความสุข ในใจผมมีแต่ความทุกข์อยู่เสมอ ต้องอยู่คนเดียว ร้องไห้คนเดียว ทำอะไรคนเดียว แก้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างเอาเอง มันทำให้ผมรู้สึกว้าเหว่ ปรารถนาใครสักคนมาช่วยปลอบประโลมทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยมีเลยแม้แต่คนเดียว

สิ่งที่พวกเขาทำกับผม จะว่าไปมันก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน เพราะมันกลับหล่อหลอมให้ผมเข้มแข็งขึ้น การที่ผมต้องถูกพวกเขาทารุณทุกวัน ทำให้ผมทนทานต่อเรื่องร้ายๆทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หลายต่อหลายครั้งในวัยเยาว์ที่ผมคิดจะออกไปเผชิญโลกภายนอกแต่เพียงลำพัง ผมไม่รู้ว่าสังคมนอกจากระแวกบ้านผม มันเป็นอย่างไรบ้าง กว้างใหญ่เพียงไหน อันตรายมากน้อยเพียงไร มันอาจจะดีหรือแย่กว่าสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ก็ได้  ผมเฝ้าครุ่นคิดที่จะหนีออกไป แต่ก็ติดขัดที่ผมยังเด็กอยู่ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แล้วผมจะเอาอะไรกิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมก็ได้ก้าวออกจากบ้านหลังนั้น อย่างไม่มีวันที่จะหวนกลับไปอีก

วันนั้นผมเลิกเรียนแล้วกลับมาบ้าน ป้าของผม ก็ใช้ให้ผมหุงข้าว ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน ส่วนตัวแกออกไปเล่นไพ่ ลุงสามีของแก ยังไม่กลับจากทำงาน ส่วนพี่ชายลูกป้า ซึ่งไม่ค่อยทำงานทำการอะไร เอาแต่แต่งตัวเที่ยวเล่นไปวันๆ ออกไปไหนตั้งแต่เช้าไม่รู้ ทั้งบ้านก็เลยเหลือผมอยู่คนเดียว ผมทำความสะอาดบ้าน และหุงข้าว ทำอาหารตามสั่ง ตอนที่ผมกำลังจะลงมือล้างจานอยู่นั้น พี่ชายก็กลับบ้านมาพอดี มาถึงก็โวยวายดังลั่น ท่าทางเหมือนคนเมา เรียกให้ผมช่วยพาเขาเข้าห้อง เพราะเขาทรงตัวไม่ไหว ผมก็เลยต้องละทิ้งถ้วยชามที่กำลังจะล้าง เข้าไปพยุงเขา ที่ไหนได้ พอเข้าห้องเท่านั้น จากที่เมาเมื่อครู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แสดงว่าเขาไม่ได้เมามากมายอะไร แต่แกล้งทำเป็นเมาเพื่อให้ผมหลงกลเท่านั้น

เขาตรงเข้ามาหาผม แล้วลากผมไปกอด โน้มน้าวเข้ามาหาจะจูบปากผมให้ได้ ผมรู้สึกตกใจกับพฤติกรรมของเขา ไม่เข้าใจว่าเขาทำอย่างนี้กับผมทำไม แต่ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลกับสิ่งที่เขาทำอยู่ ก็เลยพยายามดิ้นหนี แต่เขาก็กอดผมไว้แน่น ทำท่าเหมือนจะปล้ำจูบ ผมเบี่ยงหน้าหนีและเอามือผลักไสเขาออกไปให้พ้นตัว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่ อายุและเรี่ยวแรงของเขามากว่า เด็กวัยรุ่นอย่างผม แต่ร่างกายของเราก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ผมสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ ถ้าต้องออกแรงจริงๆ ผมก็คงจะสามารถเอาตัวรอดจากเขาได้

“ยอมเป็นเมียของกูเถอะวะ ไอ้เดียร์ กูชอบมึงมานานแล้ว มึงมันน่าเอามาก”

เขาคำรามใส่ผมด้วยน้ำเสียงหื่นๆ พยายามจะปลุกปล้ำผม ตอนนั้นผมกลัวมาก คิดไม่ถึงว่าคนที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กจะกลายเป็นใครอีกคนที่เราไม่รู้จัก แล้วเขายังจะมายัดเยียดเรื่องเลวร้ายให้กับผมอีก

“อย่านะ พี่บอย ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะโว้ย” ผมเสียงดังใส่เขาเพื่อเรียกสติ แต่ไม่ได้ผล

“เออ กูรู้ กูเองก็ไม่ชอบผู้หญิงโว้ย กูชอบผู้ชาย โดยเฉพาะหล่อๆ หน้าตาดีแบบมึงเนี่ย สเปคกูเลย...ขอกูเถอะ กูจะทำให้มึงมีความสุขอย่างที่คิดไม่ถึงเชียว”

เขาพยายามจะถอดเสื้อผ้าผมออกจากตัว แต่ผมขัดขืนแล้วผลักเขาออกไป

“มึงจะเล่นตัวไปทำไมวะไอ้เดียร์ ไอ้เด็กเนรคุณ บ้านนี้ให้ที่ซุกหัวนอนกับมึง ให้ข้าว ให้น้ำมึงกิน เลี้ยงมึงมาจนตัวโตขนาดนี้ แค่นี้มึงตอบแทนไม่ได้หรือ” เขาตะคอกกลับ

“แต่ต้องไม่ใช่วิธีแบบนี้นะพี่บอย”

ผมตอบ พลางแกะมือไม้ที่วุ่นวายพัลวันของเขาออกจากตัว เขายังดื้อดึงตามกอดตามลวนลามผมไม่ลดละ ในที่สุดผมก็ดิ้นหนีออกมาได้ แล้วถอยหลังเดินไปที่ประตู ตายังจับจ้องมองพี่บอยไม่วางตา

“พี่บอยเมาแล้วล่ะ ผมปล่อยให้พี่นอนแล้วกัน ผมจะออกไปล้างจานข้างนอก” ผมบอกเขา แต่ไอ้พี่บอยกลับหัวเราะร่า

“เออ กูเมารักโว้ย วันนี้ เป็นตายร้ายดี ก็ก็จะเอามึงมาเป็นเมียให้ได้ กูไม่มีทางปล่อยมึงออกจากห้องนี้ไป มามาะ จะมาหากูดีๆ หรือว่าอยากจะเจ็บตัว” พี่บอยย่างสามขุมมาหา ผมหันหลังกลับพยายามจะเปิดประตูหนีออกไป แต่เขาก็โถมตัวมาขวางที่ประตูสุดแรง

“ยังหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นไอ้เดียร์ กูบอกแล้วไง ถ้าไม่ได้มึง ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไป”

ผมผงะถอยหนีพี่บอยไปอีกทาง จับจ้องพี่บอยไม่วางตา กลัวว่าถ้าหันหลังกลับ เขาจะพุ่งเข้ามาจับตัวผมได้ทันก่อนที่จะหนีไป หน้าตาของพี่บอยเท่าที่เห็นมันเป็นสีหน้าของปีศาจร้ายชัดๆ เขาแสยะยิ้มให้ผมอย่างHereมเกรียม และเดินเข้ามาหาผม ความมึนเมา กับความหน้ามืดจากตัญหาราคะ ทำให้พี่บอย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้ยุ่งวุ่นวายกับผม กลับแปรเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ
“อย่าทำอย่างนี้เลยพี่ มันไม่ดีนะครับ”

ผมพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบหวังให้เขาสงบลง แต่กลับเป็นความพยายามที่สูญเปล่า มันไม่ช่วยดับความหื่นในตัวเขาให้ลดน้อยลงได้เลย

“ดีสิ มึงได้ลองแล้วจะติดใจไอ้น้อง แล้วมึงจะลืมพวกผู้หญิงหน้าโง่ไปเลย”

“ป้ารู้เข้าจะเสียใจนะครับ ที่พี่ทำอย่างนี้”

“โอ๊ย มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย แม่กูนะเหรอ ไม่กล้ายุ่งเรื่องของกูหรอก ลองมายุ่งสิ กูจะโวยวายให้ดู กูลูกคนเดียวโว้ย ไม่ตามใจกูจะไปตามใจใคร”

พี่บอยนี่แม่งเลวได้ใจจริงๆ ผมคิด พลางเหลือบแลไปทั่วห้องเพื่อหาทางหนีทีไล่ หน้าต่าง ตรงหัวนอนปิดสนิท การจะวิ่งไปตรงนั้น เพื่อเปิดหน้าต่าง และกระโดดหนีไป อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเป็นอย่างต่ำ ซึ่งเขาคงถึงตัวผมก่อนที่ผมจะทันได้หนี อีกหนทางที่จะสามารถหลุดรอดออกไปได้ก็คือประตู ซึ่งบัดนี้มีร่างใหญ่โตของพี่บอยกั้นกลางหนทางไปสู่อิสรภาพของผม

“ถ้ามึงยอมเป็นเมียกูนะไอ้เดียร์ กูจะบอกแม่กูให้ทำดีๆกับมึง มึงไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไปดีไหม”

พี่บอยยื่นข้อเสนอให้ผม แต่ผมรับไม่ได้หรอก ข้อแลกเปลี่ยนเปลืองตัวแบบนี้

“ปล่อยผมไปเถอะพี่บอย ผมไม่ชอบหรอกครับ แบบนี้ ให้ผมทำงานหนักต่อไปดีกว่า”

“เออ ไอ้โง่ ไอ้ควาย” เขาด่าผมอย่างหัวเสีย

“กูอุตส่าห์เสนอช่องทางให้มึงสะดวกสบายขึ้น ทำเป็นหยิ่งไม่ยอมรับ ช่างมึงดิ มึงจะอยากทำงานหนักต่อไปก็เชิญ แต่ยังไง ยังไง วันนี้มึงก็ต้องเป็นเมียกู”

เขาพุ่งตรงมาหา กางสองมือออก หวังจะคว้าผมไว้ในอ้อมกอด แต่ผมก้มตัวหลบ แล้วรีบวิ่งหนีมาอีกทาง เราสองคนเลยเอาเถิดเจ้าล่ออยู่อย่างนั้น พี่บอยคงจะมึนนิดหน่อย พอผมหลบซ้าย หลบขวาไปมาหลายครั้งเข้า แกก็เริ่มซวนเซ คว้าผิดคว้าถูก จนเสียหลักล้มกลิ้ง แกโมโหหน้าแดงก่ำ ร้องด่าผมเอ็ดตะโร แล้วขู่จะทำร้ายผมต่างๆนานา หากในยามปกติ ผมคงจะกลัวหงอ ปล่อยให้แกแกล้งหรือรังแกตามใจชอบ เพราะเป็นลูกไล่แกมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ผมคิดแต่จะเอาตัวรอดให้ได้จากสัตว์ร้ายตัวนี้ ก็เลยไม่สนใจที่จะฟังคำขู่อาฆาตของเขา

เมื่อเห็นว่าลูกแมวอย่างผม ไม่เชื่องอีกต่อไปแล้ว ก็ยิ่งสร้างความโกรธให้กับพี่ชายของผม เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหลังแล้วหยิบมีดพกแบบติดสปริงขึ้นมา แล้วปาดซ้ายปาดขวา ซึ่งผมก็ได้แต่วิ่งหนีไปรอบห้อง
“มึงจะหนีกูไปไหน ไม่พ้นหรอก จะยอมหรือไม่ยอม เดี๋ยวกูแทงใส้แตกเลย”

เขาตวาดใส่ผม แต่ผมไม่ยอมหยุด ผมพยายามจะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้ใครสักคนกลับมาบ้าน จะเป็นลุงหรือป้าก็ได้ หรือไม่ก็รอเวลาให้เขาหมดแรงไปเอง ผมเห็นเขาหอบหายใจแฮ่ก เนื่องจากความเมาแถมซ้ำยังต้องมาวิ่งไล่ผมไปมารอบห้อง แต่พี่บอยก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ พยายามจะจับผมให้ได้ ใบหน้าของเขาดุดันด้วยความโกรธ

ผมถอยหลังไปเรื่อยๆ ตาก็จับจ้องอยู่ที่พี่บอย จนไม่ได้ระวังข้างหลัง รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อหงายหลังผึ่งลงไปบนเตียง เพราะสะดุดเข้ากับข้าวของของพี่จอมหื่นที่วางอยู่ระเกะระกะ ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นพี่บอยก็กระโจนพรวดมาบนเตียง และนั่งทับตัวผมไว้ เขาโน้มตัวลงมาหา มือข้างที่ถือมีดเอามาจ่อที่คอของผม และพูดขู่กรรโชก

“อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากตาย”

เขายกมือข้างที่ว่าง ทำท่าปาดที่คอตนเอง ผมกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก คมมีดที่จ่ออยู่ที่คอหอย ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ได้แต่นอนนิ่งขึง รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไอ้พี่บ้ามันเห็นผมนอนตัวสั่น มันก็เลยย่ามใจ  เอามือข้างที่ว่างดึงเสื้อนักเรียนของผมออกจากกางเกงแล้วสอดมือเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไล้หน้าอกของผม

“โตขึ้นมากเลยนะเอ็ง เริ่มจะมีกล้ามแล้ว ออกกำลังกายอีกนิดหน่อยก็จะหุ่นดีมาก”

พี่บอยพูดกับผม มันมองด้วยดวงตาหื่นกระหาย ปากยิ้มแสยะมองดูแล้วเหมือนผีบ้า

“ดีแล้ว นอนนิ่งๆ ให้ความร่วมไม้ร่วมมือแบบนี้ จะได้ไม่เจ็บตัว”

พี่บอยพล่ามไม่หยุด ในขณะที่มือก็รุกรานผมไปทั่ว ความรู้สึกของผมในตอนนั้น ทั้งชิงชัง และขยะแขยง ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับไอ้พี่ชั่วเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก ยังสู้แรงเขาไม่ได้มาก อีกทั้งมีมีดจ่ออยู่ที่คอหอยตลอดเวลามันทำให้ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านอนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ในขณะที่ก็พยายามมองหาทางหนีทีไล่

พี่ชั่วบ้ากามกอดจูบลูบไล้ผมอย่างหื่นกระหาย การที่ผมไม่ขัดขืนบวกกับอารมณ์หื่นที่พลุ่งพล่านในตัวเขา ทำให้เขาขาดความระมัดระวังตัวไปมาก แต่กระนั้น มือที่กำมีดหลายแหลมของเขา ก็ยังอยู่ไม่ห่างตัวผมเท่าไหร่นัก

“ถอดเสื้อออกสิไอ้เดียร์”

เขาร้องสั่ง พลางปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจากตัว ผมปรายตามองมีดที่มือเขา รู้สึกกลัวขึ้นมาหากต้องขัดขืน เขาอาจจะแทงผมไม่ยั้ง เพราะคนเกเรแบบเขา เคยทำเรื่องราวชั่วช้ามาเยอะ เช่นตีรันฟันแทง ขโมย หลอกลวงต้มตุ๋น นับประสาอะไรกับการฆ่าคนตายสักหนึ่งคน เขาคงจะทำได้สบายมาก

ผมค่อยๆถอดเสื้อออกจากตัว พี่บอยสะแหยะยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองดูผม หน้าตาเขาเหมือนคนโรคจิต สายตาโลมเลีย เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะใช้มีดขู่ให้ผมนอนลงอีกครั้ง จากนั้นร่างเปลือยของเขาก็ก้าวขึ้นมาทาบทับตัวผม

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 20:35:33
พี่บอย จูบซุกไซร้ไปทั่วใบหน้าและลำคอของผม เขาพยายามเปิดปากผมด้วยปากของเขา แต่ผมเบือนหน้าหนีเขาซะก่อน เขาทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หน้าอกของผม เขาใช้ลิ้นเลียไปทั่วแผ่นอก และอ้าปากงับหัวนมผมไว้ แล้วดูดเลียด้วยปากและลิ้นที่พลิกพลิ้วช่ำชองของเขา

ผมเกร็งตัวขึ้น มือกำแน่น มันไม่ได้เกิดจากความเสียวซ่าน แต่มันเกิดเพราะผมพยายามที่จะสะกดกั้นความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ความรู้สึกขยะแขยงมันเพิ่มขึ้นทวีคูณ นึกอยากจะทำอะไรสักอย่างที่จะจัดการกับความวิปริตของพี่ชายคนนี้ ถามตัวเองอยู่ในใจว่ากล้าไหมหนอที่จะยกเท้าถีบให้เขากระเด็นออกไปจากตัว จะกล้ากระทืบเขาให้สมแค้นกับความชั่วที่เขากำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้หรือเปล่านะ แต่มีดที่ยังอยู่ใกล้เหลือเกินนี่สิคือตัวปัญหา

ไอ้คนชั่วช้า ค่อยๆเลื่อนมือสอดเข้ามาในกางเกงของผม และพยายามปลุกเร้าอารมณ์ แต่ความที่ผมทั้งตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความรังเกียจชิงชังในตัวเขาและการกระทำของเขา ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกใดๆ พี่บอยพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล เขารู้สึกขัดใจขึ้นมา จึงลุกนั่ง และจัดแจงถอดกางเกงของผมออกด้วยมือข้างเดียวซึ่งก็ทุลักทุเลพอสมควร

จากนั้นพี่ชั่ว ก็ก้มหน้ามาที่ลำตัวส่วนล่างของผม เขาใช้ลิ้นเลียลากตั้งแต่ท้องน้อยลงมา จนกระทั่งถึงกลางลำตัว เขาใช้ปากกับน้องชายของผม และใช้มืออีกข้างหนึ่งช่วยจับรูดขึ้นลงไปมา แต่เจ้าความรังเกียจที่ผมมีต่อตัวเขา ทำให้ผมไม่รู้สึกรู้สากับการปลุกอารมณ์ของคนตรงหน้า เขาใช้ความพยายามสักพัก ผมก็ไม่มีทีท่าตอบสนอง เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

“ทำไมเป็นอย่างนี้วะ” เขาสบถ

“ไม่รู้สึกเลยหรือไง”

เขาถามผม ผมส่ายหน้า มันเหมือนยิ่งไปสาดน้ำมันลงกองไฟ เขาโกรธจัด วางมีดในมืออีกข้างลงบนเตียงใกล้ตัวเขา แล้วก้มหน้าลงไปใหม่ ใช้ทั้งปากและสองมือพยายามปลุกเร้าผมใหม่ และดูเหมือนจะได้ผม ร่างกายของผมตื่นตัวขึ้น เขาทำสีหน้าว่าพอใจมาก เงยหน้ามองผม และยิ้มอย่างพึงใจ เขาคิดว่า เขาสามารถทำให้ผมมีอารมณ์ได้ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้เลยก็คือ ผมตื่นตัวขึ้นจากการที่เห็นว่าช่องทางโอกาสรอดมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ณ วินาทีที่เขาเผอเรอขาดความระมัดระวังตัวเช่นนี้ ผมคิดว่าถ้าผมกล้าพอ ผมสามารถจัดการเขาได้สบายมาก

เท้าไวเท่าความคิด ผมตัดสินใจ งอเข่าขึ้น และยกขาขึ้นถีบหน้าพี่บอยออกไปสุดแรง ในขณะที่เขากำลังก้มเลียน้องชายของผมอยู่ นึกในใจว่า ดีนะเนี่ยที่คิดได้เร็วก่อนที่เขาจะครอบปากลงไปห่อหุ้มน้องชายของผม มิฉะนั้นผมอาจจะสูญเสียของรักแน่

พี่บอย ไถลกลิ้งตกเตียงลงไป เขายกมือกุมหน้าด้วยความเจ็บปวด และรีบพลิกตัวลุกขึ้น แต่ช้าไปกว่าผม ซึ่งหยิบมีดปลายแหลมมาถือไว้ในมือแล้ว ผมเตะอัดเข้าไปที่กลางลำตัวของเขา และยกเท้ากระทืบติดๆกันหลายครั้ง พี่บอย ร้องลั่น หน้าเขียว ตัวงอ เอามือหนึ่งปิดเป้าตัวเองด้วยความเจ็บปวด ส่วนมืออีกข้างชี้หน้าผม พร้อมกับกล่าวคำขู่อาฆาต

“ไอ้เหี้..............เดียร์ มึงทำอะไรกูวะ ไอ้สั.........ว์ เดี๋ยวมึงเจ็บตัวแน่”

ผมไม่รอช้า คว้ากางเกงในขึ้นมาสวม เรื่องอะไรจะต้องทนอยู่ในห้องนี้ต่อ รีบหนีไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ไอ้พี่บอยจะฟื้นตัวจากที่ผมเตะไข่มัน ถ้ามันจับผมได้ มันเอาผมตายแน่  แต่ยังไม่ทันจะสวมกางเกง ไอ้พี่สามานย์ก็ลุกขึ้นมาเสียก่อน หน้าเขาเขียวคล้ำสลับกับแดงก่ำด้วยความโกรธผสมความเจ็บปวด  ผมเลยรีบคว้าเสื้อผ้ามาถือไว้ แล้วก็วิ่งไปที่ประตู พี่บอยพยายามจะวิ่งตาม แต่ผมใช้ขาถีบเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างประตูมาสกัดเขาไว้ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ผมได้ยินเสียงโครมครามในห้อง เดาว่า ไอ้พี่บอยคงจะสะดุดเก้าอี้ที่ผมถีบเข้าไปหาเขาจนล้มลง เสียงด่าหยาบคายไล่มาตามหลัง แต่ผมไม่อยู่ฟังแล้ว

ผมวิ่งเตลิดไปที่ประตูรั้วด้านหน้าแล้วก็เจอกับป้าที่นั่นพอดี แกทำหน้าเหรอหราที่เห็นผมเปลือยกายเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว  แกเห็นผมกำลังจะออกจากบ้าน ก็รีบคว้าแขนผมไว้ ถามว่าผมจะไปไหน แต่ผมไม่ยอมตอบ แกก็เลยตบหน้าผมจนหน้าหัน

“เป็นเหี้.......อะไรถึงไม่ตอบฮะ อีลูกกระหรี่ แล้วนี่มึงเป็นอะไรทำไมถึงแก้ผ้าแก้ผ่อนแบบนี้ ไปทำอะไรมาห่ะ ไอ้เด็กเวร”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เสียงโหวกเหวกของพี่บอยก็ดังขึ้น

“แม่ ไอ้เชี้.....นั่นมันขโมยเงิน อย่าให้มันหนีไป จับมันไว้”

ป้าหันขวับ แกเชื่อสนิทใจกับคำพูดตอแหลของพี่บอย แกบีบแขนผมแน่นและเขย่าตัวผม

“มึงขโมยเงินกูเหรอ ไอ้เด็กเปรต”

“ผมเปล่านะ ผมไม่ได้ทำ”

“ไม่ได้ทำแล้วมึงจะหนีไปไหน”

แกถามอีก แต่ผมไม่ตอบ หันไปมองตัวบ้านก็เห็นไอ้พี่ชั่วกำลังก้าวออกจากประตูหน้าบ้านมา ผมส่งสายตาวิงวอนไปทางป้า พูดระล่ำ ระลักกับแกว่า

“ปล่อยผมไปเถิดครับป้า ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ขโมยของด้วย”

“กูไม่เชื่อ นี่ไอ้บอยมันคงจะจับมึงได้ ก็เลยจับมึงแก้ผ้าค้นตัวใช่ไหม เดี๋ยวกูจะถามมัน มึงรอมันอยู่กะกูเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูจะพิพากษามึง”

ป้าพูดกับผมด้วยสีหน้าบึ้งตึง ผมหันไปทางด้านหลัง พี่บอยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินขโยกเขยกใกล้เข้ามา ใบหน้าของแก มีรอยยิ้มHereมเกรียมอยู่ในนั้น

“อ้าวเป็นอะไรไปล่ะบอย ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ” ผู้เป็นแม่ร้องถาม

“ก็ไอ้เหี้......นั่นน่ะสิแม่ มันเตะกล่องดวงใจผม ตอนทีผมจับได้ว่ามันขโมยเงินน่ะ”

ป้าหันกลับมาอีกครั้ง ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ แกเชื่อในคำโกหกของลูกชายว่าผมขโมยเงิน แถมซ้ำยังทำร้ายลูกชายสุดที่รักของแกให้เจ็บปวด ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถพึ่งพาอะไรแกได้อีกแล้ว แกพร้อมที่จะคิดเสมอว่าผมเป็นคนผิด ผมเป็นคนเลว เพียงเพราะผมเป็นลูกกะหรี่ พ่อทิ้ง แม่ไม่รู้ว่าท้องกับใคร เป็นเด็กกาฝากที่พวกเขาต้องจำรับมาเลี้ยงไว้เป็นภาระ แกไม่เคยคิดแม้แต่สักนิดว่าผมเป็นญาติของแกเลย

ป้าทุบตีจิกทึ้งผมด้วยความโกรธ ผมยืนนิ่งไม่ปัดป้องอะไร นึกในใจว่าแกจะทำอะไรผมก็ทำไป เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่แกจะได้ทารุณกรรมผม คิดเสียว่านี่เป็นการตอบแทนที่แกเลี้ยงดูผมมา ถึงแม้จะเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆให้เป็นทาสในบ้านก็ตาม หลังจากนี้เราจะไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว

พี่บอยเดินหัวเราะอย่างสาสมใจใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน อีกเพียง 10 ก้าวก็จะถึงตัวผม และในวินาทีนั้นเอง ผมสะบัดตัวอย่างแรงจากการเกาะกุมของป้า และถลันวิ่งออกไปที่ถนนเบื้องหน้าสุดแรง ผมได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโร ร้องเรียกผม โวยวายไล่หลังมา แต่ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ผมออกวิ่ง วิ่งสุดชีวิต ในสภาพที่ใส่กางเกงในเพียงตัวเดียวแบบนั้น

ผมได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์แว่วมาไกลๆ จำได้ว่าเป็นเสียงรถของพี่บอย เขาคงเข้าไปเอารถเพื่อออกตามมาลากตัวผมกลับบ้าน แต่ผมเหมือนนกที่หลุดรอดออกจากกรงเป็นอิสระแล้ว ไหนเลยจะยอมกลับเข้าไปอีก ผมต้องหนี หนีไปให้พ้นเงื้อมมือพวกคนใจร้ายเหล่านั้นให้ใกลที่สุด คิดได้ดังนั้นผมก็โดดหลบเข้าไปในที่รกร้างข้างทางซึ่งมีต้นไม้ และเถาวัลย์ขึ้นเบียดเสียดรกเรื้อ ที่ว่างตรงนี้กินพื้นที่ประมาณ 500 ตารางวา โผล่พ้นจากนี้ไปจะเป็นชายหาดที่ทอดยาว

เดิมทีชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของเขาเคยเอาที่มาปลูกเป็นสวนผลไม้ แต่เมื่อความเจริญเข้ามาเยือน คนรอบข้างขายที่ให้นายทุนทำโรงแรมและรีสอร์ทกันหมด แต่เจ้าของที่ยังไม่ได้ตกลงใจจะขายให้ใครก็กลับมาตายเสียก่อนที่จะทันยกมรดกให้ลูกหลานคนไหน ลูกหลานจึงฟ้องร้องชิงมรดกกันเป็นที่ยืดเยื้อทำให้ยังไม่สามารถขายที่ให้คนนำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเป็นโรงแรม ร้านค้าได้ ผมรู้จักที่นี่ดี เพราะเคยแอบมาเล่นคนเดียวบ่อยๆ ยามที่ต้องการหนีจากการทารุณกรรมของคนที่บ้าน  คราวนี้ผมเลยได้ใช้สถานที่แห่งนี้สำหรับหลบซ่อนตัวอีกครั้ง

ผมจัดการสวมใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองแล้วเดินลัดเลาะเข้าไปในที่รกๆนั้นอย่างไม่กลัวอันตรายจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอ หรือสัตว์มีพิษ ใจของผมจดจ่ออยู่ที่บ้านบนถนนริมหาดทรายอันเป็นที่อยู่ของไอ้น้อยเพื่อนรัก มันบอกว่าบ้านมัน เป็นร้านค้าให้เช่าพวกอุปกรณ์ห่วงยางให้คนเล่นน้ำอยู่แถวพัทยาใต้ ส่วนตอนนี้ผมอยู่แถวบางแสน ถ้าผมเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนเรียบหาด แล้วหาทางออกถนนใหญ่ หารถที่จะไปถึงนั้น ผมก็อาจจะไปถึงที่นั่นได้โดยไม่ดึกไปนัก แต่ถ้าโชคดีผมสามารถโบกรถคนผ่านทางที่จะไปที่นั่นได้ ผมก็อาจจะไปถึงได้เร็วกว่านั้น และมีเวลาตามหาบ้านมันได้เยอะหน่อย

ไอ้น้อยเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสนิทด้วย เราเคยช่วยเหลือกันมาเสมอ ผมให้มันลอกการบ้านเป็นประจำ ส่วนมันก็ชอบหอบข้าวจากที่บ้านมาเผื่อผมด้วย เพราะรู้ดีว่า ที่บ้านไม่เคยให้เงินมาเพียงพอสำหรับค่าอาหารสักวัน ผมตั้งใจว่าจะขอมันอาศัยอยู่สัก 2-3 คืนก่อนที่จะขยับขยายทำอะไร ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออก รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร การต้องมีชีวิตอยู่แต่เพียงลำพัง มันอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเด็กในวัย 14 ปีอย่างผม แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ โดยไม่หวนกลับไปบ้านที่สร้างความทุกข์ทรมานใจให้ผมอีกแล้ว

ผมเดินโผล่ออกมานอกถนนใหญ่ ตรงปลายสุดของหาดบางแสน มีรถแล่นอยู่บนถนนพอสมควร เพราะเป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว หลายคนมุ่งหน้ากลับบ้าน หลายคนเดินทางเข้าไปในเมืองพัทยา เพราะถนนนี้ก็เป็นเส้นทางที่สามารถพาไปสู่พัทยาได้เช่นกัน บางคนมานั่งเล่นกับครอบครัว และเพื่อนฝูงกินบรรยากาศชายทะเลยามค่ำ

ความที่ผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วย ผมจึงไม่มีเงินสักบาทที่จะจ่ายเป็นค่ารถสองแถว หรือ มอเตอร์ไซด์ ผมพยายามที่จะโบกเรียกรถ แต่ก็ไม่มีใครจอดรับเลยสักคัน ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ นานๆครั้งจึงจะหยุดโบกเรียกรถสักครั้ง แต่ละคันก็แล่นผ่านไป ไม่มีใครสนใจที่จะหยุดรถลงมาถามผมว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร จนผมรู้สึกท้อใจ คิดว่า โลกนี้ไม่เหลือคนจิตใจดีงามบ้างเลยหรือ เป็นเพราะพวกเขาหวาดระแวงกลัวคนแปลกหน้าอย่างผมจะเป็นพวกจี้ปล้น รึเห็นว่าไม่ใช่ธุระอะไรจะมาใส่ใจในความเดือดร้อนของคนอื่น หรือเขาเป็นพวกเมินเฉยต่อการทำความดีกันแน่ จึงทำให้พวกเขาดูแล้งน้ำใจกันอย่างนั้น

และแล้วหูผมก็แว่วเสียงหนึ่งที่แสนคุ้น มันเป็นเสียงของรถมอเตอร์ไซด์ ผมหันขวับไปมองด้านหลัง มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งเลี้ยวผ่านหัวมุมถนนเข้ามา ผมจำได้ทันที ว่านั่นคือรถของพี่บอย เจ้าของรถกำลังขับพุ่งตรงมาทางที่ผมกำลังยืนอยู่พอดี ผมตัดสินใจออกวิ่งอีกครั้ง พี่บอยกำลังจะตามมาทันแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะของแกดังมาแต่ไกล

“ไอ้เดียร์ มึงหนีกูไม่พ้นแน่ กูจับมึงได้คราวนี้ กูจะอัดตูดมึงให้ขี้แตกไปเลยมึงคอยดู”

เขาตะโกนก้องไล่หลังผมมา ผมวิ่งไปเรื่อยๆ และแล้วผมก็เหลือบเห็นอะไรแว่บๆอยู่ข้างทางด้านขวามืออีกฝากหนึ่งของถนน........แสงระยิบระยับของน้ำทะเลที่แสงอาทิตย์อัศดงส่องต้องพื้นน้ำมันสาดเข้าตาผม ทำให้ผมตัดสินใจพุ่งตัวข้ามถนนทันที

“เอี๊ยด”

เสียงรถเบรกดังลั่นแสบแก้วหู ผมยืนนิ่งตัวชาอยู่กลางถนน ดวงตาเบิกโพลงไปข้างหน้า รถโฟร์วิลคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าของผม ห่างกันแค่คืบเดียว มีเสียงประตูเปิดดังปัง เหมือนกับว่าคนเปิดกำลังถูกทำให้โมโหจัด และแล้วผู้ชายร่างสูง ผิวขาว หน้าตาดีคนหนึ่งก็ก้าวลงมา หน้าเขาแดงก่ำ ท่าทางโกรธมาก

“ไอ้เด็กบ้า มาวิ่งเล่นอะไรกันกลางถนนแบบนี้ มันอันตรายนะ ดีนะเนี่ยฉันเบรกทัน ไม่งั้นแกตายแน่ ไอ้หนู”

เขาตะคอกใส่ผม เสียงที่ดังลั่นของเขาทำให้ผมหายตะลึง ผมมองหน้าเขา แล้วหันไปมองทางด้านหลัง ก็เห็นพี่บอยจอดรถแล้ว กำลังจะเดินมายังทิศทางที่พวกเรายืนอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปแอบหลังเขา ด้วยหวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลืออะไรผมได้ อย่างน้อยก็กันพี่บอยออกไปจากผมก็ยังดี ชายหนุ่มคนนั้นทำหน้าแปลกใจที่เห็นอากัปกริยาของผม

“ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาอีกล่ะ ไอ้เดียร์” พี่บอยเดินมาหยุดที่ตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้น และพูดกับผม ผมเผลอคว้าแขนเจ้าของรถที่ผมเพิ่งจะวิ่งตัดหน้าไว้แน่น
“ขอโทษนะครับคุณ ที่น้องผมมันวิ่งตัดหน้ารถคุณ ทำให้คุณลำบาก เดี๋ยวผมจะจัดการมันให้เองครับ” พี่ชั่วเงยหน้าพูดกับเขาอย่างสุภาพ

“น้องนายแน่เหรอ แล้วทำไมปล่อยออกมาวิ่งเล่นแบบนี้ล่ะ มันไม่ดีนะ”

“มันหนีออกจากบ้านมาครับ ผมขับมอเตอร์ไซด์มาตามมันกลับบ้าน แต่มันดันกระโดดตัดหน้ารถคุณก่อน”

“อ้อ หนีมาหรือไงเรา ทำอะไรผิดไว้ล่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นหันมาถามผม ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“มันขโมยเงินหนีมาครับคุณ ผมจับได้ มันก็เลยหนีมา” พี่บอยกล่าวหาผม

“งั้นเหรอ ไม่ดีเลยนะเป็นขโมยนี่ ติดยาหรือเปล่าเราน่ะ”


“ผมไม่ได้ติดยาครับ แล้วเปล่าขโมยเงินด้วย” ผมปฏิเสธ

“อย่าไปเชื่อมันครับ นอกจากมันจะขี้ขโมยแล้วมันยังขี้โกหกด้วย” พี่ชั่วใส่ไฟผมอีก หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ส่ายหน้า ทำราวกับว่าผมเป็นคนผิดแต่ไม่ยอมรับผิด

“เอาล่ะ ฉันเสียเวลากับนายมากแล้วนะ เจ้าหนู กลับบ้านไปเถอะ ขโมยเงินแค่นี้ คงไม่ถูกลงโทษร้ายแรงอะไร คราวหน้าคราวหลังก็อย่าหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ แล้วอย่ามาเที่ยวกระโดดตัดหน้ารถใครอีกด้วยนะ ถ้าเขาเบรกไม่ทัน นายได้ไปเฝ้ายมบาลแน่”

เขาหันหลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ ผมเหลือบเห็นสีหน้าสะใจของพี่บอยที่เห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของรถไม่เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ดวงตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความอาฆาตมาตรร้าย ผมตัดสินใจทันที

“เอ้าจะตามฉันมาทำไมล่ะ” เขาถามผมเมื่อเห็นผมเดินตามติด ผมเอ่ยขอร้องเขา

“ขอผมไปด้วยคนนะครับ”

“ไม่ได้หรอกเจ้าหนู นายจะตามฉันมาทำไม นายควรจะกลับบ้านรู้มั๊ย”

“ผมไม่อยากกลับไป เขาจะทำร้ายผม”

“แต่เขาเป็นพี่ชายนายนะ”

“พวกเขาไม่เคยนับผมเป็นญาติครับ” ผมตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง

หนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ถอนหายใจเฮือก ดูท่าทางเขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ผมพูดเท่าไหร่นัก

“เดียร์ อย่าไปกวนคุณเขาเลย กลับบ้านเหอะ เดี๋ยวพี่จะพูดกับแม่ให้ว่าไม่ต้องทำโทษเรื่องขโมยเงินหรอก ไม่ต้องห่วง มาเถอะ เดี๋ยวเรากลับพร้อมกัน”

พี่ชั่วทำเป็นเสแสร้งพูดดีกับผม

“เห็นมั๊ย ไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก แค่ขโมยเงิน เรื่องเล็กน้อยน่า ถ้านายพูดดีๆกับญาติพี่น้อง พ่อแม่ของนาย ว่าอยากได้เงินไปทำอะไร เขาคงฟังเหตุผล แล้วคงไม่ใจไม้ไส้ระกำไม่ยอมให้นายหรอก”

“แต่ผมไม่ได้ขโมยเงินนี่ครับ”

ผมชักโมโห ที่ไม่มีใครเชื่อเด็กอย่างผมเลย

“อ้าว แล้วนายหนีออกจากบ้านมาทำไมล่ะ”

“ก็เพราะว่า............เพราะว่า ไอ้พี่ชั่วคนนี้มันจะข่มขืนผมน่ะสิครับ”

ผมตะโกนออกไปอย่างเหลืออด เสียงของผมดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มชะงัก เขานิ่งอึ้ง หรี่ตามองผม ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังประเมินในเรื่องที่ผมพูด

“ไม่จริงนะครับ ผมไม่ทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นหรอก เดียร์อย่าโกหกสิ”

พี่บอยเดินเข้ามาใกล้ และยื่นมือออกมาจะมาคว้ามือแขนผม แต่ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูรถของชายหนุ่มคนนั้น แล้วขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับทันที พี่บอยถลันจะวิ่งตาม แต่ชายหนุ่มคนนั้นห้ามไว้ก่อน

“บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่งให้เอง” เขาถามพี่บอย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากรบกวน ผมจัดการน้องผมเองดีกว่า” ไอ้พี่ชั่วไม่ตอบคำถาม ชายหนุ่มยักไหล่ แล้วพูดเสียงเข้มว่า

“เด็กนั่นขึ้นไปนั่งบนรถฉันแล้ว คงไม่ยอมลงมาง่ายๆ ท่าทางจะอยากกลับบ้านด้วยรถเก๋ง มากกว่าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ฉันก็ชอบอวดรถเสียด้วย คันนี้ก็เพิ่งซื้อมาใหม่ มีคนนั่งรถไปด้วยกันก็ดีกว่านั่งไปคนเดียว ไปส่งแค่นี้คงไม่เสียเวลามากมั๊ง”

 “จะดีหรือครับ” พี่บอยถามเขา ท่าทางไม่ค่อยจะพอใจที่ชายหนุ่มคนนี้ เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ทั้งที่ตอนแรกกำลังจะเลิกราอยู่แล้ว ชายหนุ่มทำหน้ายียวน

“ก็น่าจะเป็นทางออกเดียวนะ หรือว่านายจะอยากให้เขาหนีไปอีกล่ะ”

“ถ้าคุณปล่อยเขามาให้ผม ผมก็จะพาเขาไปที่บ้านเอง ไม่ต้องยุ่งยากรบกวนคุณหรอก” พี่บอยพยายามอย่างมากที่จะให้หนุ่มคนนี้ ส่งผมให้กับเขา

“แล้วนายจะแน่ใจได้ไงว่าเขาจะไม่กระโดดหนีลงจากรถมอเตอร์ไซด์ของนายน่ะ”

“ถ้าทำอย่างนั้น ผมก็จะไล่ตามเขาจนกว่าจะเจอน่ะครับ”

“ฮึๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะ

“งั้นฉันก็คิดว่า ฉันไปส่งให้ดีกว่า กลัวว่าเจ้าหนูนี่จะเที่ยวโดดลงมากลางถนน ตัดหน้ารถ จนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ นั่งรถฉันมีล๊อคแน่นหนา รับรองปลอดภัย ซุกซนไม่ได้แน่นอน”

“แต่มันจะเสียเวลาคุณนะครับ”

พี่บอยแสร้งทำเป็นห่วงใยชายหนุ่ม เขาเหยียดริมฝีปากออก

“ฉันก็ไม่ได้รีบไปไหนเหมือนกัน ไปส่งให้ก็ได้ พูดตามตรงนะ เท่าที่สังเกตดูนี่ ท่าทางน้องชายของนายไม่อยากกลับไปพร้อมกับนายตอนนี้ เขาอาจจะมีอะไรบางอย่างกังวลใจอยู่ อาจจะกลัวการลงโทษจากพวกนายก็ได้ เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดกล่อมให้แล้วกัน”


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 16-08-2007 20:38:41
“อย่าดีกว่าครับ มันเป็นเรื่องในบ้านของผม จริงๆแล้วคุณก็เป็นคนนอกนี่ครับ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจัดการเองได้”

พี่บอยเปลี่ยนท่าทีจากสุภาพเมื่อครู่กลายเป็นวางก้ามขึ้นมาทันที เขาชักสีหน้าใส่ชายหนุ่มคนนั้น แล้วพูดเสียงห้วนใส่

“แต่น้องนายกระโดดตัดหน้ารถฉัน เกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น น้องนายผิด ควรได้รับการว่ากล่าวตักเตือน ดังนั้นฉันก็ถือว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้านายไม่พอใจที่ฉันจะพาน้องนายไป เราไปตกลงกันที่สถานีตำรวจก็ได้”

ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทียียวนมากกว่าเดิม

“ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นี่คุณ ทำไมต้องเอาตำรวจเข้ามาวุ่นวายด้วยล่ะ”

พี่บอยมีทีท่าอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับพวกคนในเครื่องแบบสีกากีเท่าไหร่นัก เพราะตัวเขาเองก็มีคดีความหลายคดีอยู่ที่สถานีตำรวจ ทั้งคดี ลักขโมย ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึง การมียาเสพติดจำพวกยาบ้าไว้ในครอบครอง เขาอยู่ในระหว่างการควบคุมความประพฤติหลังออกมาจากคุก ดังนั้นจึงไม่อยากแม้แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้อีก

“อ้าว ก็ตกลงกันไม่ได้นี่นา เพราะฉันก็ไม่พอใจเหมือนกันที่น้องนายทำแบบนี้ ไปแจ้งความเอาไว้ เขาจะได้เรียกพ่อแม่ ญาติพี่น้องมาตักเตือนว่าอย่าให้ลูกหลานทำแบบนี้อีก เพราะมันอาจจะทำให้ใครบาดเจ็บล้มตายได้ภายหลัง จริงๆแล้วก็น่าจะดีกับพวกนายนะ เพราะนายบอกว่า เด็กมันขโมยเงินมาไม่ใช่เหรอ ก็แจ้งความอีกสักคดี เจ้าหนูนี่จะได้เข็ดหลาบไม่ทำอีกไง”

“ไม่หรอก ผมไม่ติดใจเอาความแล้ว เขายังเด็กอยู่ อาจจะทำอะไรไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ผมกับคนที่บ้านไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ พวกเราไม่ทำร้ายเขาหรอกครับ ถ้าคุณปล่อยเขามาให้ผม ผมสัญญาว่าเราจะปฏิบัติต่อเขาดีๆ”

พี่บอยมีท่าทีอ่อนลงอีกครั้ง

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไปสถานีตำรวจดีกว่า ”

 เขาบอกยิ้มๆ ผมเดาว่า เขาคงรู้ทันพี่ชายของผมเป็นแน่ว่าหมอนี่กำลังกลัวอะไรอยู่

“อย่าเลยครับ”

“ทำไมล่ะ กลัวจะถูกข้อกล่าวหา ทำอนาจาร และพรากผู้เยาว์เหรอ”

ชายหนุ่มดักคอ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มยั่ว พี่บอยหน้าแดงก่ำ คงจะโกรธ และ อายที่ถูกคนอื่นจับได้ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ ปากคอสั่นขณะพูด

“ไม่จริงนะครับ ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ไง เขาเป็นน้องผมนะ คุณจะมากล่าวหาผมได้ไง”

“ถ้างั้น ก็ไปสถานีตำรวจด้วยกันสิ จะกลัวอะไรล่ะ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ใครเขาจะมายัดข้อหาให้นายได้ เดี๋ยวนายขับรถตามฉันไปแล้วกันนะ เสร็จเรื่องแล้ว ฉันจะพาน้องนายไปส่งเอง”

 เขายังคงยิ้ม ทำท่าเป็นมิตรเต็มที่ แต่ผมรู้ว่าเขาคงแกล้งปั่นหัวพี่บอยมากกว่า เพราะพี่ชั่วของผมมันเผยจุดอ่อนของตนเองให้เขาเห็นเสียแล้ว เขาจึงใช้จุดนี้โจมตีพี่ชายผมไม่ยั้ง และท่าทางคนโฉดอย่างพี่บอยก็ติดกับง่ายเสียด้วย ตามประสาวัวสันหลังหวะ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว เผอิญนึกขึ้นได้ว่าแม่ใช้ให้ไปซื้อของครับ”

พี่บอยปฏิเสธพัลวัน

“งั้นเหรอ แล้วน้องชายนายล่ะ ตกลงว่านายจะปล่อยเขาไปกับฉันได้แล้วใช่ไหม”

เขาถามย้ำ

 “ยังงั้นก็ได้ครับ คุณพามันขึ้นรถกลับมาส่งที่บ้านได้ แต่คุณอย่าไปฟังเรื่องที่ไอ้เดียร์มันพูดมากนะครับ มันชอบแต่งเรื่องโกหก ชอบทำให้คนอื่นเสียหาย เพราะมันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่มันทำผิดครับ ก็เลยกล่าวหาว่าคนอื่นใส่ร้ายมัน ”

พี่บอยพยายามที่จะพูดให้หนุ่มคนนี้เชื่อให้ได้ว่าผมเป็นเด็กไม่ดีตามที่เขากล่าวหา ผมนึกโกรธพี่ชั่วของผมอยู่ในใจ ใครกันแน่ที่เป็นคนทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด ใครกันแน่ที่ใส่ร้ายคนอื่น ก็มันเป็นคนทำทั้งหมดไม่ใช่หรือ มันเป็นคนที่ทำให้ผมไม่สามารถที่จะอยู่บ้านนั้นอีกต่อไปได้แล้ว ผมต้องไร้ที่อยู่อาศัยก็เพราะความหื่นกระหายกามตัญหาของมัน

ไอ้พี่ชั่ว ไอ้คนวิปริต ผิดเพศแบบนี้ ผมไม่นับถือมันอีกต่อไปแล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะด่ามันเท่าที่ผมจะนึกคำได้ แต่ผมก็ต้องระงับความรู้สึกนั้น ทำเป็นนั่งเฉย ไม่โต้ตอบอะไร ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ เพราะผมไม่อยากให้ชายหนุ่มผู้กลายมาเป็นอัศวินม้าขาวของผมคนนี้เข้าใจเอาว่า ผมเองก็เลวร้ายไม่แพ้ไอ้พี่ชั่วของผมเหมือนกัน ผมว่าเขาฉลาดพอ และสามารถจะตัดสินทุกอย่างได้จากสิ่งที่เขาเห็น

“อื้อ ฉันพิจารณาเองได้นะ ว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ รับรองน้องนายถึงบ้านแน่”

เขาเอ่ยให้คำมั่นกับพี่บอย พี่ชั่วของผมจึงบอกที่อยู่ให้กับเขา ท่าทางยังเหมือนไม่ค่อยเชื่อว่าหนุ่มคนนี้จะพาผมไปส่งให้ถึงบ้านจริง บอกที่อยู่เสร็จ เขาก็หันมามองผมอีกครั้ง เขาทำปากมุบมิบ ประมาณว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ” แต่ผมเบือนหน้าหนี ทำเป็นไม่เห็น ไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับผม

เสียงมอเตอร์ไซด์แล่นออกไปแล้ว สักพัก ชายหนุ่มคนนั้นก็เปิดประตูแล้วก้าวขึ้นมานั่งในรถ เขาหันหน้ามามองผม แล้วส่ายหน้า

“นายนี่ มันเหลือเกินจริงๆนะ ทำให้ฉันต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจนได้”

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบาก แต่ผมไม่อยากจะกลับไปบ้านนั้นอีกแล้ว”

ผมกล่าวขอโทษเขาด้วยความรู้สึกเสียใจจริงๆที่ทำให้เขาต้องมาวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ฉันก็ไม่รู้นะ ว่าเรื่องที่นายพูดเป็นจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆฉันคิดว่า พี่บอยพี่ชายนายน่ะไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ฉันถึงได้เข้ามาเสือกเรื่องนี้ไง”

เขาบอกเหตุผลกับผมในการเอาตัวเขามายุ่ง

“แล้วนี่นายขโมยเงินเขามาตามที่เขาว่าจริงหรือเปล่า บอกฉันมาตามตรงนะ อย่าโกหกกัน ฉันไม่ชอบ รู้สึกไม่ดี ที่จะมีส่วนช่วยเหลือให้เด็กทำความผิด”

เขาคาดคั้นเอากับผม ผมส่ายหน้า

“ไม่ครับ ผมไม่เคยขโมยเงินใครมาทั้งนั้น ผมพูดจริงๆนะครับ”

“ฉันจะเชื่อนายแล้วกัน แต่ว่าแล้วทำไมนายถึงหนีมาล่ะ”

ผมตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟัง โดยไม่ปิดบัง ผมคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ ท่าทางเขาเป็นคนใจดี มีเมตตา ชอบช่วยเหลือคนที่กำลังยากลำบาก พิสูจน์ได้จากการที่เขาเอาตัวเข้ามาพัวพันเรื่องของผมอย่างในขณะนี้

เขานิ่งฟังด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่แววตาของเขามีแววครุ่นคิด เขาคงพยายามจะใช้เหตุผลกับความรู้สึกกลั่นกรองในเรื่องที่ได้ยินจากปากผม ว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน น่าเชื่อถือได้หรือไม่ พอผมเล่าจบลงตรงที่หนีออกจากบ้านเพราะพี่ชายลูกป้าจะข่มขืนผม เขาก็ทำหน้าเบ้

“พวกตุ๊ดวิปริต คนพวกนี้อารมณ์รุนแรง ชอบสร้างปัญหา ทำให้ผู้ชายดีๆเขาเข็ดขยาด ไม่อยากจะสังสรรค์เสวนาด้วย”

ตอนนั้นผมซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆจวนเจียนจะเสียตัวรู้สึกคล้อยตามคำพูดที่เขาพูดมาก และคิดว่าคนพวกนั้นเกิดมาเป็นชายแท้ แต่ทำตัวเสียชาติเกิด แล้วยังมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีก ก็สมควรแล้วที่จะถูกคนทั่วไปเกลียดชัง

“แล้วนี่เราตั้งใจจะไปไหนหรือ ถึงได้วิ่งตัดหน้ารถฉันอย่างกระชั้นชิดแบบนี้”

อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วหันมาถามผมถึงสาเหตุที่ผมวิ่งข้ามถนนแบบไม่กลัวตายแบบนั้น

“ไปทะเลครับ”

ผมบอกเขา ชายหนุ่มเลิกคิ้วทำสีหน้างุนงง

“คือว่าผมเห็นพี่บอยขี่มอเตอร์ไซด์ตามผมมาติดๆ ผมไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีไปทางไหนดี เผอิญผมเหลือบไปเห็นทะลเข้า ก็เลยกะว่าจะวิ่งไปบนหาดทราย แล้วหนีลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเล เพราะคิดว่าเขาคงเอามอเตอร์ไซด์ขับตามมาไม่ได้ อีกอย่างมันก็เริ่มจะมืดลงทุกที เขาก็คงจะมองไม่เห็น ตามหาผมไม่เจอ ผมก็คงจะหนีเขาไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งครับ ผมคิดแค่นั้นก็เลยวิ่งพุ่งออกไป โดยไม่ทันได้ดูว่ามีรถวิ่งมาหรือเปล่าครับ”

“ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้นะ คิดอะไรเป็นเด็กโง่ไปได้ วิ่งไปบนถนนที่รถวิ่งผ่านแบบนี้ หากเจอรถที่เขาขับเร็วๆแรงๆ นายได้หนีการตามเจอของพี่ชายนายได้ทั้งชีวิตสมใจแน่ โชคดีที่เจอฉันน่ะ เฮ้อ จะว่าไป มันเป็นโชคดีของนาย แต่มันกลับกลายเป็นโชคร้ายของฉันเสียนี่ ที่ดันเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยว ขอให้สิ่งที่นายพูดเนจริงเถอะ อย่าให้ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปเย็นวันนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเลย”

เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ผมสบตาเขา อยากจะขอโทษที่ลากเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ในตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออกจริงๆ คิดอย่างเดียวว่าขอไปให้พ้นๆจากพี่ชายบ้ากามเป็นพอ

“จะให้ไปส่งที่บ้านไหม”

เขาถามผม แต่แววตาที่เขามองมาเหมือนกับว่าเขาจะล่วงรู้จิตใจผมว่าจะตอบอะไร

“ไม่ครับ ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว”

“ทำไมล่ะ กลัวเขาจะรังแกนายอีกเหรอ ฉันไปพูดให้เอาไหม”

น้ำเสียงที่เขาพูดเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทร เขามีทีท่าว่าห่วงใยผม จนผมรู้สึกสะท้านในทรวงอก นานแค่ไหนกันนะ ที่ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกดีๆจากใครแบบนี้ มันนานเกือบเท่าชีวิตผมได้แล้วมั้ง

“คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอกครับ พวกเขาไม่เคยรักและเอาใจใส่ผมอยู่แล้ว เขาเลี้ยงดูผมเหมือนเป็นแค่คนรองไม้รองมือของเขาเท่านั้น ยิ่งตอนนี้ผมมีปัญหากับพี่บอย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป้า กลับไปผมคงถูกป้าดุด่าเฆี่ยนตี ไอ้พี่ชั่วก็คงหาโอกาสทำร้ายผมอีก คราวนี้ผมคงไม่รอดแน่”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ทำให้ผมหวาดกลัวการที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านั้นอีก

“งั้นจะเธอจะไปไหนล่ะ ต้องการให้ฉันส่งเธอตรงไหน”

น้ำเสียงที่พูดช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

“ไปบ้านเพื่อนผมได้ไหมครับ อยู่ที่พัทยาใต้ เขาเปิดเป็นร้านให้เช่าห่วงยาง และเก้าอี้ชายหาดที่นั่น ผมว่าจะไปขอเขาอยู่สักสองสามวัน ก่อนจะขยับขยายทำงานหรือหาที่อยู่ใหม่”

“เด็กอย่างเธอจะทำอะไรได้ แล้วนี่ไม่ต้องเรียนหนังสือหรือไง”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ยังไม่ได้คิดเลย”

ผมบอกเขาไปตามตรง ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความคิดแบบเด็กๆของผม

“ไอ้เด็กโง่เอ๊ย  หนีออกจากบ้านมา โดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะทำมาหากินอย่างไง จะได้เรียนต่อ หรือต้องออกจากโรงเรียนก็ยังไม่รู้ ทำอะไรลงไปเนี่ย  รู้หรือเปล่าว่าจะต้องเจออะไรบ้าง โลกภายนอกมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดหรือเข้าใจหรอกนะ มันเต็มไปด้วยอันตราย มีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่ต้องเผชิญ เด็กอย่างเธอถ้าไม่แกร่งพอ ก็จะรับมือมันได้ยาก ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเหยื่อของสังคมที่โหดร้ายไปโดยไม่รู้ตัว คิดดีแล้วเหรอถึงได้เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้”

เขาถามอย่างอยากรู้ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไรกับตนเองในวันข้างหน้า เมื่อต้องหนีออกจากบ้าน โดยไม่มีเงินทองติดตัว ไม่มีงานทำ ไม่มีบ้านอยู่ ไม่เห็นแม้แต่อนาคตของตนเอง ผมก้มหน้านิ่ง คิดตามคำพูดของเขา ความรู้สึกหดหู่เข้าครอบงำ

เด็กอายุ 14 อย่างผม จะคิดอะไรได้มากไปกว่านั้น รู้เพียงแค่ว่าตนเองเจ็บปวดแสนสาหัส จากการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ เหลียวหาคนที่เข้าใจก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่เคยได้สัมผัสความรัก ความอบอุ่น แม้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบกาย

ไม่มีวันไหนสักวันที่ผมจะรู้สึกเป็นสุข เมื่อมีโอกาสที่ผมจะหลุดรอดจากสภาพตกนรกทั้งเป็น ผมก็ไม่รั้งรอที่จะฉวยโอกาสนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางที่ต้องการไปอยู่ที่ไหน แต่อิสรภาพก็เป็นอะไรที่หอมหวานคุ้มค่ากับการที่จะได้มันมา

“กลับบ้านไปจะดีกว่ามั้ง ยังได้เรียน ได้มีข้าวกินที่ซุกหัวนอน ดีกว่าจะมาเร่ร่อนอย่างไม่รู้อนาคตนะ”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ รู้ว่าเขาหวังดีต่อผม แต่ผมกลับไม่คิดว่านั่นจะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาได้ ผมยินดีไปอดตายข้างนอก ดีกว่าซมซานกลับไปที่นรกแห่งนั้นเพื่อแลกกับที่กินที่อยู่

“ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ผมก็จะไม่หวนกลับไปอีกแล้วครับ”

ผมยืนยันคำพูดของตนเอง เขาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบผมเป็นเชิงปลอบประโลม

“ฉันเข้าใจนะ ไอ้หนู ว่าเธอเจออะไรมาบ้าง ฉันก็แค่เป็นห่วงเด็กอย่างเธอเท่านั้นแหละ ไม่อยากให้เป็นเด็กจรจัดข้างถนน เด็กอย่างเธออนาคตยังอีกไกล หากไม่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ก็อาจจะพลาดพลั้งล้มเหลว กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมได้ ที่อยากให้เธอกลับไปบ้านก็เพราะแบบนี้แหละ แต่ถ้าเธอไม่สบายใจก็ไปอยู่กับเพื่อนเธอสักพักแล้วกัน ฉันเองก็สงสารเธอนะ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้แล้วล่ะ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความจริงใจ ผมรู้สึกตื้นตันต่อความเอื้ออารีที่เขามอบให้

“แค่นี้ผมก็ขอบคุณคุณมากแล้วครับ ที่ไม่ส่งตัวผมกลับไปอยู่ในนรกอีกครั้ง ผมเองก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าคุณจะเชื่อคำพูดพี่บอยไหม ถ้าหากคุณให้ผมไปกับเขาจริงๆ ผมตั้งใจว่าจะหนีลงทะเลไปเลยอ่ะครับ”

“เหลวไหลน่า ฉันดูก็รู้แล้วว่าพี่ชายเธอโกหก เอาเถอะอย่าพูดมากเลย นี่ก็ค่ำแล้ว ไปหาเพื่อนเธอที่พัทยากันดีกว่า ว่าแต่เธอจำทางได้นะ”

ผมพยักหน้า ชายหนุ่มผู้ใจดียิ้มให้กับผม แล้วก็สตาร์ทรถมุ่งหน้าสู่พัทยา ผมแอบลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ถึงแม้จะค่ำแล้ว และแสงไฟจากภายนอกส่องเข้ามาในรถไม่สว่างมากนัก แต่ผมก็ยังเห็นหน้าเขา ผมพยายามจะจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาให้ได้มากที่สุด

หากต่อไปในวันข้างหน้า ผมสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ ผมก็อยากจะกลับมาตอบแทนเขา เพราะคนๆนี้คือคนที่มีส่วนช่วยเหลือให้ผมได้หลุดพ้นจากนรกบนดินที่ผมเผชิญมาเป็นเวลาหลายปี

อัศวินม้าขาวของผมคนนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว อายุน่าจะประมาณสัก 20-25 ปี ถึงแม้จะไม่ใช่คนตัวใหญ่ แต่ก็จัดว่าเป็นคนที่ตัวสูงพอสมควร โครงสร้างร่างกายแข็งแรง รูปกายดูดี แขนขายาว และมีนิ้วมือที่สวยทีเดียว

นับตั้งแต่ขับรถออกจากบางแสนมา เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เขานั่งนิ่ง ตามองตรงไปข้างหน้า สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ ส่วนตัวผม นั่งมองสองข้างทางสลับกับการแอบมองดูเขา

“ไม่ทราบว่าพี่ชื่ออะไรหรือครับ” ผมพูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้

“อยากรู้ไปทำไม”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจที่ผมละลาบละล้วงถึงชื่อเสียงเรียงนามของเขา

“ก็วันหน้าวันหลังเผื่อว่าผมจะมีโอกาสตอบแทนบุญคุณพี่ได้บ้างไงครับ”

“หึหึหึ” เขาหัวเราะอย่างขำๆ

“ไม่ต้องหรอกเด็กน้อย ฉันช่วยเธอ ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เธอตอบแทนฉันกลับคืนหรอก”

“แต่ผมอยากจะรู้จักชื่อพี่ไว้นะครับ ผมอยากจดจำคนที่ช่วยชีวิตของผมเอาไว้.....นะครับพี่ ช่วยบอกผมหน่อยนะครับ ผมอยากรู้”

“พี่ชื่อเรียว ชื่อเล่นน่ะ ชื่อจริงคงไม่ต้องมั๊ง” เขาพูดยิ้มๆ

“เพราะจังเลยนะครับ เรียวอะไรครับ เรียวไผ่ หรือว่าอะไร”

“เรียวเฉยๆ อย่าซักถามอะไรมากเลย”

“พี่เรียวเฉยๆครับ” ผมเรียกล้อชื่อเขา รู้สึกเป็นกันเองกับเขามากขึ้น

“ไอ้นี่ทะลึ่งแฮะ”  เขาเอื้อมมือมาเขกหัวผมดังโป๊ก ผมยิ้มเป็นเชิงขอโทษที่ล้อเลียนเขา

“ถ้าผมมาเจอพี่อีกที พี่จะจำผมได้ไหมครับ”

ผมถามเขา ความรู้สึกบอกว่าอยากเจอเขาอีก และอยากให้เขาจำผมได้ เพราะผมคิดว่าผมต้องจำคนใจดีอย่างเขาได้แน่นอน

“อื้มมม ไม่ค่อยจะแน่ใจนะ” เสียงของเขาดูลังเล

“แต่ผมคิดว่า ผมจำพี่ได้แน่นอน” ผมบอกเขาด้วยความมั่นอกมั่นใจ

“ทำไมถึงคิดว่าจะจำได้ล่ะ” มีคำถามอยู่ในคำพูดของเขา

“เพราะพี่มีตาที่บ่งบอกถึงความใจดีมีเมตตา รอยยิ้มพี่ก็ดูอบอุ่น อีกทั้งพี่มีใบหน้าที่หล่อมากเลยนะครับ”

ผมกล่าวชื่นชมเขาอย่างจริงใจ ชายหนุ่มผู้ใจดี หัวเราะน้อยๆ ชมผมกลับว่า

“เราเองก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย โตขึ้นคงได้เป็นนายแบบหรือดาราแน่”

“ไม่เอาครับ ผมไม่อยากเป็นดารา หรือนายแบบ”

“ทำไมล่ะ รายได้ดีออกนะ”

“ผมรู้ดีครับว่าผมคงทำไม่ได้ ผมไม่ชอบการแสดงละคร ไม่ชอบการเสกสรรปั้นแต่ง อีกอย่างผมไม่ได้มีชาติกำเนิดดีเหมือนคนอื่นๆเขา ผมไม่อยากให้ใครมาขุดคุ้ยเรื่องราวของผม จนผมต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปครับ”

ผมบอกเขาตามตรงถึงเหตุผลที่ผมไม่สนใจที่จะทำอาชีพนี้

“ไม่อยากเป็นคนดังว่างั้นเถอะ”

เขาถามยิ้มๆ ผมพยักหน้า

“นายนี่คิดไกลเกินอายุตัวเองนะ ฉันเห็นเด็กอายุเท่านายหลงใหลความมีชื่อเสียง การเป็นจุดสนใจทั้งนั้น แต่นายนี่แปลกดีที่ไม่ชอบ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ชื่อเสียงเป็นของมายา มีได้ก็ดับได้เหมือนกัน”

ผมยิ้มให้เขา หลังจากนั้นเราสองคนก็ต่างนั่งเงียบไปจนกระทั่งถึงพัทยาใต้ เขาช่วยผมหาบ้านไอ้น้อยเพื่อนผมจนเจอ ก่อนจะจากกันเขายัดเงินใส่มือให้ผม 2000 บาท เอาไว้ใช้ ผมปฏิเสธแต่เขาก็บอกให้ผมรับไว้ เพราะหากผมต้องการที่จะออกจากบ้านจริงๆผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินสักก้อนเป็นทุนตั้งตัว

“ฉันมีเงินสดติดตัวมาไม่มากนักนะไอ้หนู ฉันช่วยนายได้เท่านี้แหละ มันอาจจะไม่มากพอนะ แต่หากนายใช้อย่างระมัดระวัง ไม่เอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เงินนี้ก็อาจจะเป็นทุนรอนสำหรับนายในการทำอะไรได้มากมาย ฉันหวังว่านายคงจะพบหนทางสว่างให้กับชีวิตตนเองนะ”

เขาบอกกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมรู้สึกแน่นหน้าอก หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเป็นความอิ่มเอมใจเมื่อได้รู้ว่าชีวิตที่ไร้ค่าแบบผม ยังมีใครบางคนที่เป็นห่วงเป็นใย ที่สำคัญคนๆนั้นกลับไม่ใช่ญาติมิตร เป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านเข้ามา และได้ช่วยเหลือให้ผมพ้นทุกข์

ผมมองหน้าเขานิ่งนาน อยากจะจดจำภาพของเขาไว้ในใจ ผมรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณของชายหนุ่มคนนี้อย่างใหญ่หลวง และปรารถนาที่จะทำให้เขาได้รับความสุขบ้าง นึกในใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะต้องตามหาเขา และทำทุกอย่างเพื่อเขาเป็นการตอบแทนความดีงามที่เขามีให้ เขายิ้มตอบผมและค่อยๆขับรถจากไป โดยมีผมยืนมองจนลับตา
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-08-2007 21:06:48
อ่านแล้วซึ่งใจจัง รอลุ้นต่อ  :m4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ferfa ที่ 16-08-2007 22:41:20
 :m9: เรื่องนี้น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านตั้งหลายรอบ น่ารักกกกกกกกกกกกกกก น้องเดียร์น่ารักกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 17-08-2007 01:35:21
 :m13:  :m13:  :m13:  :m13:

เรื่องนี้น่ารักจัง.....รออ่านต่อนะจร๊า สู้ๆ  :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: aumzaa ที่ 17-08-2007 14:02:17



  เรื่องนี้ที่รอมานานครับ.....



  ผมชอบเรื่องนี้มากเลยครับ..



  พี่เคทเขียนได้ดีมั๊กๆๆ.....


ขอบคุณคนโป๊ดครับ


 o1 o1

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-08-2007 14:29:35
ซึ่งกับน้ำใจของเรียวมากเลยคับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 18-08-2007 16:48:47
บทที่ 4


“นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันไงครับ จำได้ไหม”

เด็กหนุ่มจ้องมองผมด้วยแววตาสดใส ผมเพ่งมองเจ้าเด็กลูกครึ่งตรงหน้า รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ผมก็ยังคงจำเขาไม่ได้อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะเขาคงจะเปลี่ยนแปลงไปมากหรือไม่ก็เป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดในเรื่องตอนนั้นมากนัก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะจดจำอะไรกับเรื่องที่ผ่านมาในอดีตสักเท่าไหร่ ผ่านไปแล้วก็เลยไป   แล้วเรื่องนี้มันก็ผ่านมาตั้ง 4 ปีแล้วด้วย ความทรงจำที่มีอยู่มันจึงไม่ค่อยแจ่มชัดนัก

“แหม มันก็พอจะคุ้นๆอยู่บ้าง แต่สำหรับตัวนายน่ะ ยังคงลางเลือน ฉันนึกหน้านายไม่ออกเหมือนกัน มันนานมากแล้วนะ ตอนนั้นมันก็มืดด้วย  แล้วนายก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนี้นี่”

ผมสารภาพกับเขาไปตรงๆ แย่จังที่ความทรงจำในเรื่องผู้คนของผมไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

“ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าคุณคงจำผมไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กกว่านี้ ยังตัดผมสั้นเกรียนเป็นนักเรียนม.ต้นอยู่เลย แต่ผมจำคุณได้เสมอเลย นี่แหละครับเป็นความประทับใจครั้งแรกที่ผมได้เจอคุณ เอ้อ ตอนนั้นผมเคยเรียกคุณว่าพี่ แต่ตอนนี้ขอเรียกว่าเรียวเฉยๆนะครับ” เขาทำเสียงอ้อน

“ทำไมล่ะ” ผมถาม  นึกในใจว่า ไอ้เจ้านี่ปีนเกลียวจริง

“ก็เพราะว่า ไม่ได้อยากเป็นพี่น้องนี่ครับ อยากเป็นคนรักของเรียว อยากทำให้เรียวรักผมมากๆ และยอมเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น อยากจะทำให้ทุกวันของเรียวเป็นวันที่มีความสุข แล้วผมก็อยากจะมีอะไรกับเรียวทุกๆวันเลยอ่ะครับ”

เขาทำหน้าอายๆขณะพูดความรู้สึกในใจกับผม ผมส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

“เพ้อเจ้อ ฝันเฟื่องไปหน่อยแล้วมั้ง ความรักมันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวเหรอ แค่ชอบใครพึงใจใคร ก็จับมามัดเพื่อให้เขายอมรับในสิ่งที่ตนเองต้องการงั้นเหรอ”

“ผมจริงใจไม่ได้ล้อเล่น แล้วก็ไม่คิดว่าความรักเป็นเรื่องง่ายหรือยาก ผมทำทุกอย่างเพียงเพราะผมคิดว่าผมต้องทดแทนบุญคุณที่เรียวทำดีต่อผมนะครับ”

ผมแค่นยิ้ม เมื่อฟังในสิ่งที่เขาพูดจบ

 “นี่เหรอ สิ่งตอบแทนที่นายจะทำให้กับฉัน มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด ถ้ารู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ และต้องชดใช้ให้ได้ ก็มีวิธีการตั้งมากมายที่จะทำ ไม่เห็นจะต้องเอาตัวมาเกี่ยวข้อง หรือบังคับขู่เข็ญให้คนคล้อยตามในสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย”

“สำหรับผมแล้ว วิธีนี้ดีที่สุดครับ ได้ตอบแทนเรียวไปด้วย แล้วก็ยังได้อยู่กับเรียวฉันท์คนรัก ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความสุขไปได้มากกว่านี้แล้ว เหมือนยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสองตัว”

ใบหน้าของเขายิ้มละไม ดูมีความสุขเหมือนคนที่เดินทางมาไกลแสนไกล และได้พบกับจุดหมายปลายทางที่ต้องการบรรลุ

“ไม่ว่าอย่างไร นายก็ยังคงยืนกรานที่จะให้ฉันเป็นแฟนกับนายให้ได้ใช่ไหม”

ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดรำคาญใจสุดขีด

“ใช่ครับ” เขายิ้มกริ่ม

 “ไม่ได้หรือครับ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นผิดหวัง เมื่อเห็นผมทำหน้าเบ้

 “ผมตอบแทนเรียวด้วยความรัก ความภักดีไม่ได้หรือครับ” เขาถามเสียงเศร้าๆ

“ไม่ได้ชอบแบบนี้” ผมบอกเขาอย่างเซ็งๆ

“งั้นถ้าผมทำกับข้าว ซักผ้า ทำความสะอาดห้องให้ด้วยล่ะครับ เรียวจะยอมเป็นแฟนผมได้ไหม” เขาพยายามอ้อนต่อ แต่ไม่ได้ผลหรอก ผมไม่ใจอ่อน

“บ้านะสิ ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมาทำอะไรให้ทำไมมากมาย”

“นั่นน่ะสิ ก็ตัดสินใจยอมรับสิครับ ผมจะได้ทำทุกๆอย่างให้คุณน่ะ ผมเต็มใจทำให้เรียวนะครับ เอ ถ้าคุณคิดว่ามันยังไม่พอ ผมทำอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกเอาไหม เอ็อ ถ้าผมเพิ่ม ใช้ปากกับมือให้ทุกวันล่ะครับ จะทำให้ยอมรับผมเป็นคนรักได้ไหมน๊า”

ผมคอตกเมื่อฟังข้อต่อรองแบบเอาแต่ใจตัวของเขา ดูสิ คิดมาได้อย่างไร ขืนรับไปก็เสียเปรียบ เสียหาย เสียเชิงชายหมด แต่ละอย่างที่บอกมา มีแต่เขาเองเท่านั้นที่เห็นว่าดี เพราะได้ประโยชน์ไปคนเดียวเต็มๆ แต่ผมสิ ผมจะเป็นอย่างไรถ้าต้องฝืนใจรับข้อเสนอของเจ้าเด็กลามกนี่

ผมคงไม่เหลือมาดหนุ่มหล่อผู้เป็นที่คลั่งไคล้หมายปองของสาวๆทั้งหลายเป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจกับความที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยของไอ้เด็กลูกครึ่งคนนี้ นึกโทษตัวเองในใจว่า ไปยุ่งกับเรื่องราวของเขาทำไมหนอ น่าจะส่งตัวหมอนี่ให้กับพี่ชายไปซะ ป่านนี้เขาคงจะอยู่กินครองรักกันอย่างเป็นสุข และผมก็ไม่ต้องมากลายเป็นเหยื่อของเจ้าเด็กคนนี้

เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม เอียงหน้ามาซบบนบ่าผมอย่างอ้อนๆ มือโอบเอวผมไว้หลวม  ผมรู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายตัวโตๆมาทำท่าอ้อนแบบเด็กๆใส่

“ได้ไหมครับ” เขาถามย้ำ ผมเลยพูดเกือบเหมือนตะคอกใส่

“ไม่ได้”

เขาทำหน้าตกใจและผิดหวัง แต่แล้วก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ส่งยิ้มให้กับผมแบบกล้าๆกลัวๆ

“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อรองเรื่องบ้าๆแบบนี้นะ เรื่องของความรักมาล้อเล่นแบบนี้ได้ไง ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้ นายไม่ต้องมายัดเยียดตัวเองให้กับฉันหรอก ฉันไม่ต้องการ”

ผมพูดแรงๆใส่เขา หวังให้เขาสูญเสียกำลังใจ และปลดปล่อยผมไปหากเขาเห็นว่าไม่มีหวัง แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะรามือ เขากลับโต้ตอบผมอย่างใจเย็น
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 18-08-2007 16:50:08
“ผมรู้ครับเรียว ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจกันไม่ได้ง่ายๆ มันต้องอาศัยเวลา ผมอาจจะพูดเร็วเกินไป เนื่องจากความใจร้อนของตัวเอง แต่ผมคิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น รักเรียวมาตั้งแต่แรกเห็น ทนทรมานอยู่ตลอดเวลาที่คิดว่ากำลังรักผู้ชายด้วยกัน

ทั้งๆที่ผมเพิ่งหนีเหตุการณ์ที่ไอ้พี่บ้าจะข่มขืนผม ไม่ยอมรับพี่บอย ไม่ต้องการให้มันมายุ่งกับผม ขณะเดียวกันผมกลับคิดถึงเรียวตลอดเวลา และอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเรียว อยากให้เรียวเป็นของผม”

“ ผมสับสนมากเลยนะครับตอนนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป แล้วเราได้เจอกันในครั้งต่อๆมา ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ผมรักเรียวแน่นอน และประสงค์จะใช้ชีวิตคู่กับเรียวเยี่ยงสามีภรรยาทั่วไป ยิ่งคิดถึงเรียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากได้ตัวเรียวมากเท่านั้น พอได้โอกาสก็เลยเอาแต่จะบังคับ ไม่ได้ทำให้คุณได้เตรียมพร้อมก่อนเลย เรื่องนี้ผมต้องขอโทษนะครับ”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าจริงจัง ดวงตาที่มองผมมีความหมายลึกซึ้ง ผมเห็นความรักที่มีต่อผมอย่างมากมายในดวงตาคู่นั้น ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นสายตาวิงวอนขอร้องของเขา

“ยังไงก็ตาม เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องมาตอบแทนฉันแบบนี้หรอก แค่ช่วยเหลือครั้งเดียวเอง นายปล่อยฉันก็หายกันแล้วล่ะ ฉันไม่ทวงบุญทวงคุณหรอก”

“ไม่นะครับ ยังมีครั้งอื่นๆอีกที่ช่วยผมไว้ คุณดีกับผมมากมาย จนผมคิดว่า ผมคงไม่มีวันจะปล่อยคุณไปไหนหรอก ผมต้องทำให้คุณมีความสุขให้ได้ เพราะคุณดีกับผมจริงๆ”

เรื่องอะไรอีกล่ะ ผมคิดในใจ นี่ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหมอนี่ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเหรอ ยังมีครั้งอื่นๆที่ผมจำไม่ได้อีกหรือไงนะ มิน่าล่ะ ผมถึงได้ซวยอย่างนี้ เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนแปลกหน้า แถมซ้ำตัวเองยังจำไม่ได้อีก

 คราวต่อไป จะช่วยเหลือใครต้องพิจารณากันให้มากสักหน่อยแล้ว แถมอาจจะต้องจดไว้ให้หมด กันลืม เดี๋ยวใครมาตอบแทนบุญคุณผมด้วยวิธีเดียวกับที่หมอนี่ทำ ผมจะได้มีทางหนีทีไล่ถูก แต่ว่าทำไมต้องเป็นกับผู้ชายด้วยกันนะ พวกผู้หญิงที่ผมเคยทำความดีต่อเขาน่ะ ไม่คิดจะตอบแทนผมแบบนี้บ้างเหรอ ผมจะได้ยอมรับอย่างเต็มใจ ไม่ต้องมานั่งกล้ำกลืนฝืนทนอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

“ก็เล่ามาให้หมดสิ จะกั๊กเอาไว้ทำไม” ผมถามด้วยความฉุนเฉียว

“ไม่อาว เหนื่อยแล้วก็ง่วงนอนด้วย มาคุยตอนนี้ เดี๋ยวจะคุยไม่รู้เรื่องนะครับ ให้ผมนอนพักสักแป๊บนะ สัญญาว่า ถ้าได้นอนเต็มอิ่มแล้ว จะไม่งอแงอีก จะเล่าให้คุณฟังทั้งหมด แล้วก็จะปล่อยคุณไปโดยดี ถ้าเราตกลงกันได้ นะครับ นะ”

เขาส่งเสียงอ้อน แล้วยิ้มใส่ตาผม ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เขาทำไม่รู้ไม่ชี้กับน้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดของผม จนผมชักรู้สึกอ่อนใจกับหมอนี่ที่ดื้อด้าน ไม่ยอมเข้าใจอะไร ในขณะเดียวกันผมก็กำลังนึกถึงวิธีที่จะหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้

“นี่จะนอนอย่างนี้ได้ไง แล้วฉันล่ะ จะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ นายมัดฉันทั้งคืนเลย ฉันเมื่อยนะ เจ็บมือไปหมดแล้ว”

ผมขยับตัวไปกระแทกเขาเพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้น เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมอง แล้วยิ้มยียวน

“ถ้าสัญญาว่าจะไม่ชกหน้าผม แล้วก็ไม่หนีไป ผมจะปล่อยคุณให้เป็นอิสระ”

“เอาสิ ฉันไม่หนีหรอก”

ผมรีบให้สัญญา แต่ในหัวสมองคิดแผนการหนีอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แล้วจ้องมองผมเหมือนปรามอยู่ในทีว่า อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด แต่ผมแกล้งทำหน้าใสซื่อเพื่อให้เขาตายใจ แล้วยิ้มแบบประจบประแจงให้เขา เขายิ้มตอบ หน้าตาของเขาเหมือนเด็กๆที่ได้รับรางวัลที่ถูกใจ

“แหม ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว ใจผมละลายเลยรู้มั๊ย ไม่ปล่อยไม่ได้แล้วล่ะ”

เขาพูด พร้อมกับแก้มัดมือข้างขวาผม เขายึดมือผมไว้ทันทีที่เป็นอิสระ แล้วพลิกข้อมือผมไปมา

“แดงหมดเลย น่าสงสารจัง คงจะเจ็บมาก ผมทำให้หายเจ็บนะครับ” เขาดึงมือผมขึ้นมาจูบ แล้วใช้ลิ้นเลียไปรอบรอยแดงๆนั้น ผมพยายามชักมือกลับ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

“นี่อย่าทำอย่างนี้สิ สกปรกออก”

“ไม่หรอกครับ ไม่กลัวเลย เพราะคุณเป็นคนรักความสะอาด ผมรู้นะ”

“ฉันพูดผิด ฉันจะบอกว่า ขยะแขยงออก นายทำตัวเหมือนหมาเลย มาเลียมือเลียไม้” 

แรงไปหรือเปล่านะ ที่ว่าเขาอย่างนั้น รู้สึกไม่ชอบใจที่เปรียบเขาเป็นหมูเป็นหมา แต่เจ้าความโมโห แกมหมั่นไส้ในสิ่งที่เขาทำกับผม มันบอกให้ผมหันหลังให้กับความรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีต่อเขา

“จริงๆแล้วก็อยากเกิดมาเป็นหมาตัวโตๆเหมือนที่คุณเลี้ยงไว้ที่บ้าน จะได้ตามคุณไปไหนมาตลอด ได้อยู่ข้างๆคุณ ได้นอนเตียงเดียวกันด้วย ได้คอยปกป้องคุ้มครองภัยให้คุณ แถมซ้ำผมยังจะได้รับความรักจากคุณด้วย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทางกระตือรือล้น อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าแววตาของเขาที่จ้องมองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเทิดทูนที่มีต่อผม  ผมรีบสลัดความรู้สึกดีต่อเขาออกไปจากใจ คิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม เรื่องอะไรจะปล่อยให้เรื่องผิดธรรมชาตินี้เกิดขึ้น อย่างน้อย ถ้าเขาเห็นว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร ผมก็ไม่เล่นด้วย เจ้านี่ จะได้เลิกพยายามเสียที

“พูดมาก ฉันไม่ได้รักหมาถึงขนาดนั้นหรอก”

พูดไปแล้วก็นึกเอะใจว่าเจ้าหมอนี่รู้ได้ไงว่าผมเลี้ยงหมาตัวโตๆเอาไว้ แล้วก็ใจหายแวบ เมื่อคิดว่า เจ้าหมอนี่คงจะสะกดรอยตามผมไปหลายที่โดยที่ผมไม่รู้ มิน่าล่ะ เขาถึงได้รู้เรื่องของผมมากมาย ร้ายนักนะเจ้าหมอนี่

“อีกข้างหนึ่งล่ะ”

ผมบุ้ยใบ้ไปที่มืออีกข้างหนึ่ง เด็กหนุ่มปล่อยมือผม แล้วรีบกุลีกุจอ เอื้อมไปแก้มัดมือให้ผมอีกข้าง ด้วยท่าทางแบบนี้ มันจึงทำให้ลำตัวส่วนหนึ่งของเขาพาดผ่านไปบนลำตัวของผม

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เขานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงตรงหว่างขาข้างหน้าผม ยิ้มประจบประแจง ท่าทางของเขาเหมือนเจ้าหมาที่ปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างถูกต้อง แล้วกำลังนั่งสองขา รอรับของรางวัลจากเจ้านายอยู่ ผมล่ะอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเสียเหลือเกิน

   “เอาล่ะ นายก็นอนไปสิ ง่วงไม่ใช่หรือ เมื่อคืนก็เฝ้าฉันมาทั้งคืน คงจะเพลียแย่”

ผมบอกเขา ทำท่าหวังดีสุดฤทธิ์

   “แล้วคุณละครับ”

   “ขอนั่งพักสักหน่อยนะ”

   “ไม่เอานอนด้วยกันนะ”

เขาไม่พูดเปล่า กลับรวบตัวของผมไว้ในวงแขน แล้วโน้มตัวลงนอน ผมดิ้นหนีด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่สามารถหนีจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขาได้ อีกอย่างตัวเขาก็หนากว่าผม พนักงานออฟฟิศธรรมดา ที่ออกกำลังกายบ้างบางครั้ง จะไปสู่คนที่หล่อล่ำกล้ามใหญ่อย่างเจ้าเด็กนี่ได้ไง

“นี่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ จะบ้าเหรอ ฉันไม่นอนนะ”

“ผมนอน แต่คุณไม่นอนได้ไงล่ะ คุณก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”

เขาพูดยิ้มๆ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ผมคิดว่า เขาคงรู้ว่าผมจะหาทางหนี ก็เลยตัดหนทางผมซะ แต่ไม่เป็นไร ผมจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อนพอเขาหลับสนิทแล้วผมค่อยหนี คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยหยุดดิ้น แต่ก็ใช้สองมือกุมไว้ที่หว่างขาตัวเอง เพราะกลัวว่าเจ้าเด็กคนนี้ จะซุกซนวุ่นวายกับร่างกายของผมอีก

“เชื่อผมนะครับ นอนเฉยๆนะ แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง อย่าดื้อ ”

เขาพูดเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก เชอะ ใครกันวะ ที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจ

“ผมไม่ทำอะไรกับน้องชายคุณแล้วล่ะ วางใจเถอะนะ ถึงแม้ว่าผมจะชอบที่จะสัมผัสเขาก็ตาม แต่ตอนนี้ผมง่วง ผมขอแค่กอดเฉยๆพอนะ”

โจรเจ้าเล่ห์โอบกอดผมแนบชิด ขาข้างหนึ่งของเขาก่ายเกยมาทับขาข้างหนึ่งของผมไว้ ศีรษะของเขาแนบชิดกับศีรษะของผม จมูกของเขาอยู่ใกล้ซอกคอของผมมาก จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆซึ่งเป่ารด ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็ถูกรั้งกลับเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ผมจึงได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ โดยมีเด็กหนุ่มตระกองกอดอยู่ด้านหลัง

ผมรอจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาเข้าสู่ภาวะของห้วงนิทรา ผมพยายามจะขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เอามือแกะสองแขนที่โอบรอบตัวผมออก  แต่ก็ไม่สามารถแกะได้หลุด แม้ผมจะลองพยายามอยู่หลายครั้ง แขนคู่นั้นก็กลับยิ่งรัดแน่น ผมเอี้ยวศีรษะไปมองก็เห็นใบหน้าที่กำลังหลับของเขา ไม่มีร่องรอยพิรุธใดๆปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ แต่ทำไมผมจึงคิดว่า เขาแกล้งหลับโดยที่ไม่ยอมปล่อยผมก็ไม่รู้

หลังจากใช้ความพยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถดิ้นหนีได้พ้น ผมจึงทำได้แต่เพียงนอนนิ่งๆ สักพักผมก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 18-08-2007 16:51:44
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่ากำลังอยู่ในทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วงบานสะพรั่ง ตัดกับสีเขียวเข้มของใบ และกลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีคราม ฝูงวัวตัวอ้วนๆสีขาว มีลายแต้มสีชมพู วิ่งไล่กันไปมาในทุ่งหญ้าข้างๆกัน ผมยืนมองด้วยความเพลิดเพลิน แล้วก็สังเกตเห็นว่า ในฝูงวัวเหล่านั้นไม่มีตัวเมียเลยแม้แต่ตัวเดียว ผมละสายตาจากฝูงวัวฝูงนั้น แล้วหันไปมองทางด้านขวา มือของตัวเอง ถัดจากทุ่งดอกไม้สีม่วง เป็นเนินดินสูงขึ้นไปบนนั้นเป็นทุ่งดอกทานตะวันที่กำลังบานหันหน้ารับแสงตะวันมองไปทางไหนก็เห็นสีเหลืองเจิดจ้าละลานตา

ในทุ่งสีเหลืองสดใสนั้น ผมเห็นเดียร์ยืนอยู่ท่ามกลางดอกทานตะวัน เขาอยู่ในชุดแต่งตัวประหลาดๆไม่เข้ากับบรรยากาศที่ร้อนแรงจากแสงของดวงอาทิตย์  เด็กหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงหนังรัดรูปสีดำ มีบูทยาวมาถึงครึ่งน่องมีเข็มขัดหนังเจาะรูคาดอยู่ที่เอว ท่อนบนใส่เสื้อหนังแขนกุดปกปิดลำตัวซีกหนึ่ง อีกครึ่งเปลือยเปล่า มีเพียงสายหนังคาดทับลำตัวท่อนบนด้านหน้าไขว้ไปทางด้านหลังรัดแนบลำตัวอยุ่ 4 เส้น

เขากวักไม้กวักมือเรียกผมให้ขึ้นไปหาเขาที่ทุ่งดอกทานตะวันนั้น แต่ผมแกล้งทำเป็นเดินเฉยๆ ไม่สนใจเขา แต่ก็ยังได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกลงมา ผมออกวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทุ่งทานตะวันจนกระทั่งไปเจอ ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้สีม่วงที่ขึ้นอยู่อีกฝากหนึ่งด้านทิศใต้ ที่นั่นผมเจอคนตัวเล็กๆ6-7คนท่าทางเหมือนคนแคระกำลังยืนล้อมวงอยู่ตรงแท่นหินที่ยกสูงขึ้น บนนั้นมีโลงศพที่ทำด้วยแก้วตั้งอยู่ ผมเดินเข้าไปหากลุ่มคนแคระเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ

คนแคระทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นยอมแหวกทางให้ผมก้าวเข้าไปโดยดี ผมเดินตรงไปที่แท่นซึ่งมีโลงแก้วตั้งอยู่ ข้างในนั้นมีที่นอนกับหมอนสีชมพูวางอยู่ท่าทางนุ่มน่านอน ผมรู้สึกง่วงงุนขึ้นมากระทันหัน ปรารถนาจะเอนกายลงไปพักผ่อนยังที่นอนในโลงแก้วนั้น ใจสั่งกายจึงทำตาม ผมปีนขึ้นไปบนแท่น แล้วก้าวลงไปในโลงนั้น แล้วล้มตัวลงนอน ความยาวของโลงแก้วนั้นพอดีกับตัวผม ที่นอนก็แสนนุ่มสบายอย่างที่คิดไว้ ผมหลับตาลง แต่หูก็ยังแว่วเสียงทุกสรรพสิ่ง ผมได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน และแล้วเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในโสตประสาทของผม มันเป็นเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดิน เหมือนสัตว์บางชนิดกำลังวิ่งด้วยความเร็ว เสียงนั้นมาหยุดลงใกล้ๆกับโลงแก้วที่ผมนอนอยู่ มีเสียงดังตุ๊บ คล้ายๆมีของบางอย่างหล่นมาบนพื้นดิน ได้ยินเสียงเดิน เสียงพูด แต่เสียงร้องไห้หยุดไปแล้ว

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกสบายๆ ไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น จู่ๆก็มีมืออุ่นๆของใครบางคนมาประคองหน้าของผมไว้ ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ใกล้ๆใบหน้าของผม และแล้วปากนุ่มๆของคนลึกลับก็สัมผัสกับปากผมเนิ่นนาน ผมเผยอปากตอบรับ ลิ้นอุ่นๆลิ้นหนึ่งก็แทรกเข้ามา

จูบที่อ่อนหวานแต่ร้อนแรงอยู่ในทีปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ภาพๆหนึ่งปรากฏขึ้นในครองจักษุ เจ้าชายหนุ่มหล่อ ในชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศแบบเจ้าชายในยุคโบราณยืนยิ้มให้กับผม ยิ้มที่แสนคุ้นตา ยิ้มประจบประแจงแบบเด็กๆที่บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าของรอยยิ้มเป็นคนอารมณ์ดี และแสนจะขี้เล่นกวนประสาท  ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่มองมายังผมเต็มล้นไปด้วยแรงปรารถนา

ผมผลุดลุกขึ้นนั่งทันที ที่ตระหนักว่าเจ้าของรอยยิ้มก็คือคนเดียวที่ยืนกวักมือเรียกผมตอนเดินผ่านทุ่งทานตะวัน และเป็นคนเดียวกับที่จับตัวผมมากักไว้ เขาเอื้อมมือมาจะคว้าแขนผม แต่ผมไวกว่า รีบกระโจนพรวดออกจากโลงแก้ว และวิ่งหนีไปตามทางซึ่งเป็นรอยเกวียนไปสู่ถนนทางด้านเหนืออย่างไม่คิดชีวิต

ไม่รู้ว่าผมวิ่งไปไกลเท่าไหร่ และนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสองขาปวดไปหมด เท้าของผมเริ่มระบม ท้องผมร้องจ๊อกๆด้วยความหิว แต่ผมก็จำต้องวิ่ง วิ่งหนีไปให้ใกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ้นจากโจรเจ้าเล่ห์ที่คอยแต่จะจ้องทำลายความเป็นชายของผม

ผมวิ่งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะดุดก้อนหินล้มลงตรงไหล่ทางที่ข้างๆเป็นเหวลึก ผมกลิ้งตกลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง และหล่นลงบนทุ่งหญ้านุ่มที่มีใบเป็นรูปหัวใจสารพัดสี ที่กลางทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่กลางทุ่ง กำลังผลิดออกออกผลเป็นรูปหัวใจสีแดงเต็มต้น ผมเดินฝ่าดงหญ้า ตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้น แล้วหยุดยืนที่ตรงโคนต้น แล้วแหงนหน้าขึ้นมองไปยังกิ่งที่มีผลไม้รูปหัวใจห้อยเป็นพวงเต็มพรืดไปหมด ความหิวทำให้ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปปลิดหัวใจสีแดงลงมาผลหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ สีแดงสุกปลั่ง ท่าทางแก่จัด เพราะมีรอยปริอยู่ตรงหัวที่เป็นหยัก ผมเอามือบิมันออกจากกัน ข้างในเป็นเนื้อสีขาว มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

ผมลองกัดชิมดู อื้ม รสชาติหวานหอมชื่นใจ ผมเลยกัดกินมันจนหมด แล้วเกิดความติดใจในรสชาติอยากจะกินอีก จึงเอื้อมมือไปเด็ดลงมาอีกหลายลูก และก่อนที่ผมจะทันได้จัดการกับเจ้าผลไม้ที่ผมเด็ดลงมา หมอกควันสีรุ้งก็โพยพุ่งขึ้นต่อหน้า ทันทีที่หมอกจากลง ร่างงดงามแต่น่ากลัวร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา

ปีศาจหนุ่มผิวสีทองยืนตระหง่านง้ำอยู่ตรงหน้าผม ร่างกายสูงสง่ามีปีกขนนกสีดำขนาดใหญ่งอกมาจากแผ่นหลังทั้งสองข้าง ใบหน้าคมเข้มดุดันแต่ก็งดงาม ผมรู้สึกคุ้นตากับใบหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ฟันขาวแข็งแรง รอยเคราเขียวครึ้มที่สองข้างแก้ม หรือผมหยิกสลวยสีน้ำตาลที่คลอเคลียไหล่ ช่างเหมือนใครบางคนที่ผมเคยเห็น

ขณะที่ผมกำลังตกตลึงกับร่างตรงหน้าที่โผล่ขึ้นมาโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ปีศาจหนุ่มตนนั้นก็แสยะยิ้มHereมเกรียม แล้วพูดขึ้นมาว่า

“ผลไม้ชนิดนี้ผู้ที่จะกินได้ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการเท่านั้น ซึ่งการที่เป็นผู้มีรักแท้ที่มั่นคงซื่อสัตย์กับคู่รักของตนเท่านั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีบุญควรคู่ เจ้าน่ะ มีรักแท้ให้กับใครบ้างหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ กำลังงง ว่ามีผลไม้แบบนี้ด้วยเหรอ ที่คนกินจะต้องเป็นคนที่กำลังมีความรักเท่านั้น เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินครั้งนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ

“เจ้าคนไร้รัก ไร้หัวใจ ตามประวัติของเจ้า บ่งบอกว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ไม่เคยมีความรักให้กับใคร แถมซ้ำเจ้ายังไม่รับรักคนที่เขาสู้อุตส่าห์หลงรักเจ้า ทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจ เจ้านี่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้กินผลไม้นี้”เขาทำเสียงดุHereมเกรียมใส่ผม

“แต่ผมหิวนี่ครับ แล้วก็กินไปแค่ลูกเดียวเอง”

ผมบอกไปตามความจริง แต่เขากลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรีย้ว

เจ้าคนขี้ขโมย บังอาจมากที่มาขโมยผลไม้แห่งรักนิรันดร์ไปกินโดยอนุญาต เจ้าจะต้องถูกลงโทษให้สาสมกับความผิดที่เจ้าได้ก่อไว้”

“ผมซื้อก็ได้นะ เท่าไหร่ล่ะ ผมยินดีชดใช้ให้”

“คิดผิดแล้ว ผลไม้ชนิดนี้ไม่มีขาย แต่จะแจกกินฟรี สำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเท่านั้น”

“แล้วผมจะทำอะไรได้บ้างล่ะเป็นการขอโทษ” ผมถามปีศาจตนนั้น

   “เจ้าจะต้องถูกกินบ้าง เป็นการลงโทษ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงดุดัน

   “โอ้ย ผมไม่มีอะไรจะให้กินหรอก เนื้อไม่อร่อยด้วย”

   “ข้าไม่ได้หมายถึงเนื้อตัวของเจ้า”

   “งั้นหมายถึงอะไรล่ะ”

   “ผลไม้แห่งความสุขสันต์นั่นไง ที่เจ้าพกติดตัวมาด้วย ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยการกินมันเดี๋ยวนี้”

   ปีศาจหนุ่มพูดพร้อมกับใช้นิ้วมือชี้ไปที่ของสงวนของผม และแล้วเสื้อและกางเกงของผมก็ฉีกขาดออกจากตัวเป็นชิ้นๆ เหมือนมีมือลึกลับที่มองไม่เห็นมากระชากมันออกไป ร่างกายของผมเปลือยเปล่าไม่มีอาภรณ์ปกปิดแม้แต่ชิ้นเดียว ผมรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเอามือปิดน้องชายของตัวเองไว้ ปีศาจตนนั้นย่างสามขุมเข้ามาหา โบกสะบัดมือไปมา สักครู่ก็มีลมแรงกระพือขึ้น และหอบเอาผมลอยขึ้นไป แล้วก็ทิ้งดิ่งลงมาที่เตียงนอนในฮาเร็มที่ไหนสักแห่ง ผมมัวแต่จุกแอ่กที่ตกลงมาอย่างกระทันหัน จึงไม่ทันหนีปีศาจตนเดิมที่ตามเข้ามาประชิดถึงเนื้อถึงตัวผม เขาร่ายรำโบกมือไปมา แขนและขาของผมก็กางออก เชือกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน เลื้อยมาพันธนาการมือและขาของผมไว้ บัดนี้ผมนอนอยู่ในท่าตัว “เอ็กซ์” แบบวันแรกที่ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่นายเดียร์คุมขังผมไว้

   เสียงหัวเราะคุ้นหูดังขึ้นมาจากปีศาจตนนั้น ผมหันไปมอง ก็เห็นเขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของผม ในมือถือผมไม้รูปหัวใจเอาไว้ เขาค่อยๆบิมันออก กลิ่นของมันหอมยวนยั่ว ผมเผลอสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด หลับตาพริ้มอยากจะเก็บเอาสัมผัสที่ได้รับทางกลิ่นนั้นเอาไว้ พอลืมตาตื่น ก็เห็นผลไม้นั้นยื่นมาใกล้ริมฝีปาก ปีศาจหนุ่มทำท่าให้ผมอ้าปากเพื่อกินมันลงไป กลิ่นที่หอมหวล กับรสชาติที่แสนอร่อยที่ผมได้เคยลิ้มรส ยั่วใจจนผมต้องอ้าปากแล้วกลืนเจ้าผลไม้นั้นลงไป ปีศาจตนนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วก้มศีรษะลงตรงกลางลำตัวของผม

ลิ้นอุ่นๆของเขาลากผ่านไปบนนวลเนื้อน้องชายของผม ผมแอ่นตัวด้วยความเสียวซ่าน ชั่วขณะหนึ่ง ตาของผม กับปีศาจหนุ่มสบกันอย่างจัง เขาส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผม ปีศาจรูปหล่อที่มีดวงตาหวานฉ่ำและเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง กำลังจ้องมองผมอย่างไม่วางตา

   ร่างกายของผมบางส่วนถูกทำให้อบอุ่นอยู่ในปากของปีศาจตนนั้น เขาหยอกเอินน้องชายของผมด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความชำนิชำนาญ เขาปลดปล่อยจิตวิญญาณของผมให้เป็นอิสระ ความรู้สึกของผมล่องลอย ร่างกายเคลื่อนไหวคล้อยตามการนำทางของปีศาจตนนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจ สักพัก ผมก็ผวาเฮือก พร้อมๆกับที่ร่างกายปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างออกมาเต็มที่ ผมหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข สุขที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งมวลออกไปจนหมด ร่างกายของผมเริ่มผ่อนคลายขึ้น แขนขาเลิกเกร็ง หัวใจที่เต้นรัวเร็วเมื่อครู่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ

ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่นอนนิ่งๆนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตาของผมมองไปยังเพดาน แล้วก็ตระหนักว่า ผมยังคงอยู่ในห้องที่เดียร์จับผมมาขังไว้ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ผมคงจะเครียดมากไปหน่อย เลยฝันเสียเป็นตุเป็นตะ ผมยิ้มให้กับตัวเองกับความฝันบ้าๆนั้น แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความฝันช่างสุดท้าย มันดูเหมือนจริงมากเหลือเกิน ผมยังคงรู้สึกได้ว่าร่างกายท่อนล่างของผมถูกจับต้องด้วยมือและปากจริงๆ เป็นมืออุ่นๆของคนที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้เย็นชืดเป็นมือปีศาจ รู้สึกได้ถึงความเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้น และถึงแม้ว่ามันจะได้รับการปลดปล่อยออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกอิ่มเอมก็ยังคงติดตรึงอยู่ ความเสมือนจริง ทำให้ผมแยกแยะไม่ออก ว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

ผมเอี้ยวตัวไปมองด้านข้างที่เดียร์นอนอยู่ เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น แล้วมือสองข้างผมก็เป็นอิสระไม่ได้ถูกพันธนาการแต่อย่างใด หมอนั่นไปไหนก็ไม่รู้ อาจจะอยู่ที่ห้องน้ำ หรืออาจจะออกไปข้างนอก ผมร้องฮูเล่ฮ่าฮ่าในใจ นี่เป็นโอกาสดีแล้วสิ ที่ผมจะได้หนีออกไป ผมดีดตัวขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องผงะหงายหลังกลับลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง เมื่อเห็นเดียร์นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของผมโดยมีน้องชายของผมเป็นตัวประกันอยู่ในมือของเขา  เขาเงยหน้ามองผมอยู่ก่อนแล้ว และยิ้มให้ผมอย่างแสนรัก ก่อนจะก้มลงลิ้มรสน้ำหยดสุดท้ายที่ติดอยู่บนร่างกายส่วนนั้นของผม
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 18-08-2007 16:54:02

หุหุหุ.....รักแท้ย่อมไม่หวั่นไหวง่ายๆ.. :m3:..เชียร์เรียวสุดใจเรย   :a1:

รออ่าต่อนะจร๊า....สู้ๆ นะ   :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: OhhO16 ที่ 18-08-2007 17:36:17
 ชอบทั้งเดียร์ ทั้งเรียว เอารูปตัวละครมาให้ดูด้วยจิครับ 

เหมือนจำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่า พี่เคท เคยบอกว่าใครเป้นเรียว ใครเป้นเดียร์อ่ะ
 

จะได้จิ้น ถูก  55555+ :m10: :m10: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-08-2007 19:50:38
ฝันเป็นจิง  :m11:  :m11:

รออ่านต่อจ้า  :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 20-08-2007 11:42:22
บทที่ 5

ผมสบถออกมาด้วยความโกรธ อารมณ์หวาบหวิวเมื่อครู่มลายหายไปโดยสิ้นเชิงมีแต่ความโกรธเข้ามาแทน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผมถูกลวนลามทางเพศทั้งความฝันและในเรื่องจริงๆพร้อมๆกันเลยหรือเนี่ย บ้าชะมัดเลย

“เฮ้ย อะไรเนี่ย คอยจ้องจะฉวยโอกาสตลอดเวลาเลยนะ”

ผมต่อว่าเขาด้วยความแค้นเคือง นึกโมโหเด็กหนุ่มที่ชอบลวนลามผมตามอำเภอใจ โดยไม่แคร์บ้างเลยว่าผมจะรู้สึกอย่างไร เด็กหนุ่มใช้ผ้านุ่มๆทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนจะนุ่งกางเกงให้ แล้วเลื่อนตัวมานอนข้างๆ เขาซุกหน้ามาซบที่ไหล่ของผม แล้วกอดผมไว้ แนบแน่น

“ขอโทษจริงๆครับ อย่าโกรธผมเลยนะครับเรียว”

เขาทำเสียงออดอ้อน เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้ว กำลังอ้อนไม่ให้ผู้ใหญ่ลงโทษ

“ผมไม่ได้คิดที่จะฉวยโอกาสลวนลามคุณเลย พอดีผมลุกไปเข้าห้องน้ำ เห็นคุณกำลังหลับสบาย ก็เลยปล่อยให้นอนต่อ ไม่อยากปลุก กลับเข้ามาอีกที ก็เห็น น้องชายของเรียวกำลังตื่นตัวอยู่ ผมก็เลยคิดว่าอยากจะช่วยปลดปล่อยอารมณ์ของคุณ จะได้นอนหลับสบายๆไงครับ คิดว่าจะทำให้เสร็จก่อนที่เรียวจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันจนได้”

เขาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ผมยังคงโกรธเขาอยู่ ผมสะบัดตัวหนีจากการกอดของเขาแล้วลุกขึ้นนั่ง เขาผวาลุกตาม

“นายเห็นฉันเป็นของเล่นของนายเหรอ คิดจะทำอะไรก็ทำ เคยให้ความใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม”

“ทำไมผมจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของเรียวล่ะครับ ผมกำลังพยายามทำให้คุณพอใจ ผมอยากให้คุณมีความสุข ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นของเล่นเลย คุณเป็นรักแท้ของผม การที่ผมชอบสัมผัส แตะเนื้อต้องตัวคุณ เป็นเพราะว่าผมรักคุณมาก จนยั้งใจไม่ไหว ผมอยากให้คุณได้รับรู้เอาไว้ ว่าผมรักคุณมากจริงๆนะครับ”

“ถ้ารักจริง ก็ปล่อยฉันไปสิ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“ถ้าปล่อยไป คุณก็จะหนีผมไปอีก ผมใช้เวลาหลายปีกว่าจะตามหาคุณเจอ เมื่อเจอแล้วก็เฝ้าติดตามคุณมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ เวลาคุณไม่สบายใจ ผมอยากเข้าไปปลอบประโลม อยากจะเข้าไปดูแลคุณบ้าง อยากจะสารภาพกับคุณว่าผมรักคุณมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่กล้า กลัวว่าคุณจะรับไม่ได้ คราวนี้ผมกล้ามากขึ้นที่จะบอกความจริงกับคุณว่ารักคุณมากแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะเกลียดชังผมหรือเปล่าก็ตาม แต่ผมตั้งใจไว้แล้วว่า ผมจะทำให้คุณเห็นความสำคัญของผมให้ได้ ถึงจะนานเพียงไร ผมก็จะพยายามครับ”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาที่มองผมฉายแววมุ่งมั่น ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นหน้าเด็กลูกครึ่งคนนี้ รู้สึกสับสนในใจ เริ่มแรก ผมนึกกลัวเด็กหนุ่มคนนี้ กลัวว่าเขาจะคิดร้ายต่อตัวผม ในเวลาต่อมา เมื่อได้รับรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการที่เขาลักพาตัวผมมาที่นี่ ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก แต่เป็นความกลัวคนละอย่างกับตอนแรก ผมกลัวความมุ่งมั่นจริงจังของเขา กลัวความรักที่เขามีต่อผม กลัวว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิม

ผมกลัวเด็กหนุ่มคนนี้จะเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผม ใครจะรู้ เขาอาจจะทำให้ผมต้องยุ่งยากในวันข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ผมยังกลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเกย์แบบเขา  หากว่าเขามาใกล้ชิดผมมากๆ ที่สำคัญผมกลัวการสัมผัสจากเขา ที่คอยจ้องจะฉวยโอกาสแตะต้องเนื้อตัวผมตลอดเวลา อันที่จริงผมกลัวการยอมรับความจริงมากกว่า ว่าการที่ผมโกรธเจ้าวายร้ายตนนี้ เพราะผมเองตระหนักว่า ผมรู้สึกดีกับการทุกสิ่งที่เขาทำเป็นเรือนกายของผม ผมยังรู้สึกโกรธตัวเองด้วย ที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาสัมผัสแถมซ้ำยังเกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย ทั้งๆที่ผมสามารถที่จะขัดขืนเขาได้ แต่ผมก็ไม่ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอในการต่อสู้กับอารมณ์ดำกฤษณาภายใน

“นอนอิ่มแล้วใช่ไหม งั้นอย่าเสียเวลาเลย รีบเล่าให้จบ ฉันจะได้ไปๆจากที่นี่เสียที”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด เขามองผมตาละห้อย

“อยากไปจากผมถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากเห็นหน้านายอีกต่อไป”

เขาเม้มปากแน่น หน้าตาเศร้าสร้อย จนผมอดรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเป็นใจแข็ง ถึงแม้ผมจะรู้ว่าเขาทำอย่างนี้ก็เพราะรัก แต่ผมก็ไม่อยากตามใจเขา จนทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง ผมไม่อยากเป็นเกย์ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมชอบผู้หญิง ผมตะโกนก้องในใจเพื่อปลุกสำนึกแห่งความเป็นเพศชายให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน การกระทำที่เสียเกียรติอย่างที่หมอนี่กำลังทำอยู่

“ไม่มีกำลังใจเล่าเลย” เขาทำเสียงเหมือนกับว่ากำลังเผชิญเรื่องที่ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง

“นี่อย่าลีลาน่า”

ผมเริ่มหงุดหงิด

“ขอจูบให้กำลังใจหน่อยสิ”

อยู่ๆก็ร้องขอในสิ่งที่ผมฟังแล้วแทบหงายหลัง นึกโมโหอยู่ในใจกับความดื้อด้านของเจ้าหมอนี่ ขนาดผมด่า หรือ ทำท่าให้รู้ว่ารังเกียจเขาขนาดนี้ เขาก็ยังทำหน้าทะเล้น ไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์ของผมอีก ผมล่ะเชื่อจริงๆ ทำไมถึงได้มึนขนาดนี้นะ

ผมอ้าปากขยับจะด่าเขา แต่ช้ากว่าเจ้าหมอนี่ซึ่งยื่นมือมาประคองใบหน้าของผม ดูเหมือนว่าเขาจะคอยจ้องที่จะหาโอกาสล่วงเกินผมอยู่ก่อนแล้ว เขาก้มหน้าลงมาแล้วจูบประทับที่ริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว แล้วแทรกลิ้นเข้าไป มันเป็นจูบที่นุ่มนวลอ่อนหวาน มีความโหยหาอยู่ในรสจูบนั้น เขาจูบผมจนผมแทบจะหายใจหายคอไม่ออก ท่วงทีและลีลาของเขาช่างดูคุ้นเสียเหลือเกิน เหมือนผมเคยโดนจูบแบบนี้มาก่อน ......ผมจำได้แล้ว ในฝันนั้นไง ผมโดนจูบแบบนี้ ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ เหมือนกับตอนที่ผมถูกล่วงเกินโดยเจ้าปีศาจนั่น ผมสะดุ้งเมื่อคิดว่า เจ้าหมอนี่คงไม่ใช่แค่ซุกซนกับน้องชายของผมแค่นั้น คงขโมยจูบจากผมด้วยแน่เลย
ผมรีบผลักเขาออกไปให้พ้นตัว แล้วใช้หลังมือเช็ดปาก เขายิ้มใส่ตาผม เป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ แสนกล น่าหมั่นไส้

“นี่ เกินไปแล้วนะ จาบจ้วงทำตามใจตัวเอง ขออนุญาตหน่อยก็ไม่ได้”

ผมต่อว่าเขาด้วยความโมโห ความโกรธแล่นขึ้นมาจนแทบจะจุกหน้าอก

“กลัวว่า ขอแล้วจะไม่ได้เลยต้องขโมยเอาอ่ะ”

เขาแลบลิ้น ทำท่าเหมือนสำนึกผิด แล้วอยากให้ผมยกโทษ แต่เชื่อเถอะ หมอนี่ไม่มีทางสำนึกผิดได้หรอก พอผมเผลอ หมอนี่ก็จะลวนลามผมใหม่อีก ไว้ใจไม่ได้เลย กว่าเขาจะปล่อยตัวผมไป ผมมิต้องสูญเสียความเป็นชายหรือ

“ฉันไม่อยากฟังแล้ว อยากจะอาบน้ำ เพราะตัวฉันมันแปดเปื้อนเต็มที สกปรกไปหมดแล้ว”

ผมบอกเขาด้วยความโมโห รู้สึกเหนียวตัวไปหมด เพราะเหงื่อชุ่มโชก ทั้งๆก่อนหน้านั้นเขาก็เช็ดตัวให้ผมแล้ว แถมซ้ำในห้องนี้อากาศก็ถ่ายเทดี แล้วเขายังเปิดพัดลมไว้ให้ด้วย แต่ผมก็ยังร้อนอยู่ อาจจะเป็นเพราะมีเขามาอยู่ใกล้ๆทำให้อึดอัด แล้วเขายังล่วงเกินร่างกายผมถึงสามครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกตัวว่ามีมลทิน แล้วอยากจะชำระล้างมันออกไปให้หมดจากตัว เด็กหนุ่มทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“ผมเช็ดตัวให้นะ”

“ไม่ต้อง ฉันอยากจะอาบน้ำแบบอาบจริงๆในห้องน้ำ ในห้องนี้มีใช่ไหม ห้องน้ำน่ะ แล้วฉันก็ปวดฉี่ด้วย อยากเห็นฉันราดตรงนี้เหรอ”

“อ่ะ งั้นก็ได้ ผมลืมนึกไปเลยว่าจับคุณมามัดไว้ทั้งคืน คุณอาจจะอยากเข้าห้องน้ำเพื่อปลดทุกข์บ้าง เดี๋ยวผมปล่อยคุณนะ”
เขาเอื้อมมือมาแก้มัดที่ขาทั้งสองของผม แล้วนั่งยิ้มตาเป็นประกายสุกใส ผมหันหนี่ไปทางอื่น สะบัดขา สะบัดมือ บิดตัว ไล่ความเมื่อยขบ

“ห้องน้ำไปทางไหน” ผมถามเขา

“ทางนี้ครับ” เขาชี้มือไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านใน

“เดี๋ยวผมพาไปนะ”

เขาลุกขึ้น แล้วฉุดมือผมให้ลุกลงจากเตียง เด็กหนุ่มพาผมไปที่ห้องน้ำ ผมเดินก้าวเข้าไปในนั้น โดยมีเขาก้าวตามไปด้วย ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ

“ตามเข้ามาทำไม”

“มาอยู่เป็นเพื่อนครับ”

“จะบ้าเหรอ ฉันจะอาบน้ำนะ ไม่ต้องมาตามถึงขนาดนั้นก็ได้นี่”

“กลัวคุณหนีผมครับ”

ผมหัวเราะอย่างปวดใจ แล้วมองไปรอบห้องน้ำ มันเป็นห้องน้ำที่กว้างพอสมควร มีชักโครก มีอ่างล้างหน้า และมีส่วนที่ใช้สำหรับอาบน้ำ มีฝักบัวอยู่ตรงผนัง มีช่องระบายอากาศอยู่เหนือศีรษะ นอกนั้นเป็นผนังทึบตัน นอกจากประตูแล้ว ไม่มีทางออกไหนอีก

“จะบ้าเหรอ ฉันจะหนีไปตรงไหนได้”

“กลัวคุณจะหนีผมไปด้วยการทำร้ายตัวเองครับ”

เขาบอกผมยิ้มๆ ยังไม่มีทีท่าจะขยับออกไป

“อีกอย่างก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณด้วย เผื่อว่าเรียวอาจจะต้องการให้ผมช่วย”

“เช่นขัดหลัง หรือถูตัวให้ใช่ไหม” ผมดักคอ

“ถูกต้องแล้วครับ” เขาทำหน้าทะเล้น

“เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ฉันคงไม่มีทางไล่นายไปได้แน่ เพราะยังไงนายก็จะดื้อรั้นอยู่ในนี้ให้จงได้ ฉันล่ะเหนื่อยกับนายจริงๆ”
ผมบอกด้วยความระอาใจ นึกปลงว่า ตราบใดที่ผมยังไม่สามารถพ้นไปจากห้องนี้ได้ ผมก็ไม่สามารถที่จะหนีจากการตามตื้อกวนใจของเด็กคนนี้ได้เช่นเดียวกัน คิดได้อย่างนั้นผมก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ

“หันไปสิ จะมองทำไม”

ผมแหวใส่เขาเมื่อเห็นเจ้าเด็กปีศาจยืนกอดอกพิงกำแพงด้านหนึ่งมองดูผมด้วยสายตาหวานเยิ้ม เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม แล้วตอบกวนๆว่า

“จะอายทำไมหรือครับ เราผู้ชายด้วยกัน แล้วผมก็เห็นร่างกายคุณจนหมดแล้ว ตอนที่เช็ดตัวให้ ร่างกายคุณก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรนี่ ยังเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ ไม่ต้องอายหรอกครับ”

“นายไม่อาย แต่ฉันอาย ไม่ได้หน้าด้านเหมือนนายนี่”

ผมเป็นฝ่ายหันหลังให้ แล้วถอดเสื้อผ้าออกจนหมดจากตัว เด็กหนุ่มก้มลงหยิบเสื้อผ้าผมมาถือไว้ แล้วยืนรอขณะที่ผมก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ผมเปิดน้ำแรงๆ หวังให้สายน้ำช่วยพลางตัวผมจากสายตาเขา สายน้ำที่เย็นฉ่ำทำให้อารมณ์ผมเริ่มสงบลง มีเสียงผิวปากเป็นเพลงมาจากคนที่ยืนมองผมอยู่ด้านหลัง ช่างเถอะ ผมคิด อยากมองก็มองไป ผมไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไปแล้ว

ผมอาบน้ำ สระผมด้วยความสบายใจ พอตัดความคิดเรื่องที่ถูกมองอยู่ออกไปจากสมอง ผมก็หมดกังวล ใช้เวลาในการอาบน้ำอย่างเต็มที่ ประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หันมาอีกที ก็เห็นเดียร์ยืนถือผ้าขนหนูรอผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเอื้อมมือจะไปรับ แต่เขากลับกางผ้าขนหนูออก แล้วนำมันมาห่อหุ้มตัวผมไว้ โดยที่เขาเข้ามาโอบซ้อนตัวอยู่ด้านหลังผม แขนอ้อมไปด้านหน้า เขารั้งตัวผมไว้แนบชิดร่างกายของเขา ผมได้ยินเสียงหายใจแรงๆจากเขา รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นโครมครามบนแผ่นหลังของตนเอง ร่างกายบางส่วนของเขาตึงเขม็งจนดุนดันตรงแถวๆก้นของผม ผมรู้สึกตกใจในอากัปกริยาของเขา พยายามจะดิ้นหนี แต่เขาก็กอดผมไว้จนแน่น

“ผมไม่ทำอะไรเรียวหรอกครับ ผมสัญญานะ แค่อยากกอดเอาไว้แบบนี้นานๆ”

เขากระซิบเสียงพร่า ใบหน้าของเขาแนบชิดกับใบหน้าด้านข้างของผม เขากดจมูกลงแล้วฝังไว้ที่ลำคอผมเนิ่นนาน ด้วยท่าทีแบบนั้น มันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เลือดฉีดพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย

ตัวของเขาสั่นระริกจนผมรู้สึกได้ เสียงครางอู้อี้เล็ดรอดออกมาจากปากของเขา ดูเหมือนเขากำลังพยายามสะกดกั้นอารมณ์พิศวาสที่มันก่อตัวขึ้น ผมรู้ดี เพราะผมเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาก่อน เวลาที่เรารู้สึกอยากจะปลดปล่อยอารมณ์ แต่ต้องสะกดมันเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานยิ่ง ด้วยเหตุนี้ผมจึงยืนนิ่งให้เขากอด และจูบที่ซอกคอของผมอย่างนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งอารมณ์ของเขาสงบลง

“ไม่ง่ายเลยยอดรักของผม”

เขาพูดหลังจากคลายวงแขนแล้ว เขาจูบผมที่ข้างแก้ม แล้วก็ผละออกจากตัวผม

“การที่ต้องฝืนใจทนเฉย ทั้งๆที่เห็นคุณเปลือยอยู่ตรงหน้า อยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบ อยากเข้าไปอยู่ในตัวคุณ ให้กายเราสองคนแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ไม่สามารถทำได้ มันเป็นเรื่องที่ทรมานมากใจอย่างมากเลยรู้มั๊ย แต่ผมอยากให้เรียวยอมรับผม ไม่อยากทำร้ายหัวใจตนเองด้วยการทำลายคนที่เรารักเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่อยากถูกเรียวเกลียดเลย อยากให้เราตกลงกันได้ อยากให้เรียวเป็นแฟนผม ผมจะได้ไม่ต้องทรมานใจแบบนี้”

น้ำเสียงของเขาดูเศร้าเสียเหลือเกิน จนผมรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย คำพูดเผ็ดร้อนที่เตรียมจะขุดออกมาด่าเด็กหนุ่ม ถูกกลืนลงคอกลับไปจนหมด ผมใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนตัว และศีรษะจนแห้ง จากนั้นก็รับเสื้อผ้าจากเขาที่ยื่นมาให้เอามาแต่งตัว

เราสองคนก้าวออกจากห้องน้ำ โดยที่เขาเดินนำออกมา ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร ผมยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้อง ไม่รู้จะทำอะไร จะนั่งหรือยืนตรงไหนดี เด็กหนุ่มลูกครึ่ง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจับผมมัดไว้เหมือนเดิม

ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเครื่องแป้งในห้องเขา แล้วหยิบหวีขึ้นมาหวีผม โดยที่เดียร์เดินไปนั่งบนเตียง ผมมองเขาผ่านกระจก ก็เห็นเด็กหนุ่มทำตาเหม่อลอย สักพักหนึ่งเขาก็หันมาจ้องมองผม ตาของเราสบกันในกระจก และแล้วคำพูดมากมายก็หลั่งไหลออกมาจากปากของเขา

“หลังจากที่คุณส่งผมที่บ้านของไอ้น้อยเพื่อนผมแล้ว ผมก็ได้อาศัยนอนบ้านมันประมาณ 2คืน โดยที่ไม่ได้ย่างกรายไปโรงเรียนเลย ไอ้น้อยเล่าให้ฟังว่าคุณครูเมตตาซึ่งเป็นครูประจำชั้นของผม ถามว่าผมไปไหน เพราะเห็นว่าใกล้จะสอบแล้ว แกไม่อยากให้ขาดเรียน เพราะกลัวว่าผมจะไม่ผ่าน ตกซ้ำชั้น เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่ผมก็ตั้งใจเรียนเสมอ ไอ้น้อยก็เลยเล่าเรื่องที่ผมหนีออกมาจากบ้านให้คุณครูฟัง คุณครูจึงไปขอร้องครูใหญ่ ให้ไปคุยกับป้าของผม ว่าอย่าเอาเรื่องเอาราวกับเด็ก เพื่อที่จะให้ผมได้เรียนต่อ

วันที่นัดเจอกัน ผมไปด้วย พอป้ากับพี่ชายเจอหน้าผมเท่านั้น ก็จะถลันเข้ามาตบตี หาว่าผมโกหก สร้างเรื่อง แต่ครูใหญ่กับครูประจำชั้นของผมห้ามไว้ก่อน จากนั้นพวกเขาก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องของผม ครูใหญ่อยากให้ผมเรียนให้จบชั้น ม.2 ไปก่อน โดยทุนของโรงเรียน ซึ่งคุณครูประจำชั้นของผมจะรับผมไปอุปการะ แกเป็นโสดแล้วก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียน หากผมไปอยู่ที่นั้นผมก็จะปลอดภัย ได้เรียนหนังสือ แล้วยังได้ช่วยดูแลบ้านพักเป็นหูเป็นตาให้ครูเมตตาได้ด้วย แรกๆป้าของผมจะไม่ยินยอม ครูของผมเลยขู่จะเอาเรื่องที่ลูกชายของป้าจะข่มขืนผม ป้าแกก็เลยต้องยอม แบบฮึดฮัดไม่พอใจ”

“ผมเรียนจนกระทั่งจบ ม.2 โดยทุนของโรงเรียน ซึ่งผมต้องช่วยทำงานพิเศษในห้องสมุด และช่วยปิดเปิดโรงเรียน แล้วผมยังต้องช่วยคุณครูประจำชั้นทำงานบ้านด้วย เพราะผมไปอาศัยบ้านแก ถึงแม้การเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จะหนักหนาสาหัสสำหรับเด็กอายุ 14 อย่างผม แต่ผมก็รู้สึกพอใจ เพราะคุณครูดีกับผมมาก ท่านให้ความเอ็นดูกับผม เหมือนครูทั่วๆไปที่หวังดีกับศิษย์ ผมรู้สึกเคารพรักในตัวของท่านมาก”

“ช่วงปิดเทอมก่อนจะขึ้น ม.3 ครูประจำชั้นของผมก็ถูกย้ายให้เข้ากรุงเทพฯ แล้วเหมือนนกรู้ ป้ากับพี่บอยมาหาครูประจำชั้นของผม เพื่อรับตัวผมคืนกลับไปเลี้ยงดู แต่ผมยืนกรานกับครูของผมว่า ผมจะไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ครูบอกผมว่าครูไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ เนื่องจากครูเองก็ต้องถูกย้ายไปทำงานที่อื่นเหมือนกัน ผมคงต้องกลับไปอยู่กับพวกเขา ซึ่งครูเองก็เชื่อว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรผมแล้ว เพราะครูใหญ่รู้เรื่องนี้แล้วคงจะช่วยผมได้อีกแรง”

“แต่ผมไม่ได้เชื่อป้ากับพี่บอยอย่างที่ครูเชื่อ หลังจากที่ครูประจำชั้นของผม ขอเวลาสักสองวันให้ผมเตรียมใจ และเก็บข้าวของ ผมก็แอบหนีออกมาอีก ผมไม่ได้หวนกลับไปหาเจ้าน้อย หรือครูประจำชั้นผมอีกเลย เพราะผมไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ผมกลัวว่าพี่บอย และป้าของผมจะตามไปอาละวาดใส่คนเหล่านั้น ผมจึงหนีไปอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทางจนกระทั่งไปเจอเข้ากับเฮียเข้มเข้าพอดีที่ท่ารถบขส”

“ผมกำลังจะหาทางเล็ดลอดหนีขึ้นรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ส่วนเฮียเข้มมาตามตัวเด็กของแกที่หนีเข้ากรุงเทพเหมือนกัน เฮียเข้มแกเป็นเจ้าของค่ายมวยเล็กๆที่ชอบจัดให้นักมวยในสังกัดขึ้นชกโชว์ที่พัทยา แกเจอผมนั่งซึมๆอยู่ในศาลาที่พักผู้โดยสารก็ปรี่เข้ามาคุยกับผมทันที  แกบอกตอนหลังว่า ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าแกได้ค้นพบเพชรในตมแล้ว แกว่าผมหน่วยก้านดี เหมาะที่จะปั้นให้เป็นนักมวยในสังกัดของแก โดยจะเริ่มจากรุ่นเล็กๆไปก่อน พอร่างกายผมใหญ่โตแข็งแรงขึ้น ก็ค่อยเปลี่ยนรุ่นชกไปเรื่อยๆ แกชวนผมมาอยู่ด้วย และรับจะอุปการะเลี้ยงดูผม

ผมเห็นว่าไหนๆก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว ไปอยู่กับแกได้ที่อยู่ที่กิน แถมซ้ำยังมีอาชีพติดตัวด้วยยิ่งดีไปกันใหญ่ เพียงแต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะกลายมาเป็นนักมวยหาเลี้ยงชีพ แต่เมื่อคิดอีกทีก็คิดว่าอาชีพนี้ไม่น่าเสียหายอะไร อีกอย่างผมจะได้เรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว ไว้ต่อสู้กับคนที่คิดจะมาทำร้ายผมด้วย ผมเลยยินยอมพร้อมใจไปอยู่กับแก”

“ที่นั่น ผมได้เจอไอ้น้อยเพื่อนรักของผม มันมาหางานพิเศษทำในช่วงปิดเทอมด้วยการเป็นนักมวย ที่มันเลือกทำงานนี้ เพราะพ่อมันก็เป็นนักมวยเหมือนกัน แต่พ่อมันถูกชกตายคาเวที ไปไม่ถึงฝั่งฝัน มันเลยคิดที่จะสานต่ออุดมการณ์ของพ่อมันด้วยการเป็นนักมวย แล้วตั้งใจว่าจะต้องก้าวไปให้ใกลและคว้าแชมป์โลกมาให้ได้”

“ผมกับไอ้น้อยฝึกเรียนมวยไทยที่ค่ายของเฮียเข้ม ถึงแม้แกจะเป็นคนที่ดุดัน แต่แกก็ใจดีกับพวกผมมาก แกเป็นคนขี้โวยวายเสียงดัง ชอบด่านักมวยของแก แต่ก็ไม่มีใครโกรธ เพราะทุกคนรู้ว่าแกรักและหวังดีกับพวกเรามาก อยากให้พวกเราเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง แกเที่ยวพาพวกเราไปชกในที่ต่างๆ

รวมทั้งรับเชิญไปชกโชว์ให้ฝรั่งดูในบาร์แถวพัทยา หากใครมีวี่แววดี แกก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ได้เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ บางคนที่เริ่มมีชื่อเสียง ก็มีคนมาแย่งไปอยู่ที่ค่ายของตนเอง พวกนั้นเห็นว่าไปอยู่ค่ายใหญ่ๆ ได้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ออกจากค่ายแกไป คนแล้วคนเล่าที่ทำให้แกต้องเสียใจ แต่แกก็ไม่เคยวิตกกังวล แกกัยังเดินหน้าปั้นคนต่อไปเรื่อยๆ”

“ไอ้น้อยเป็นคนแรกที่ได้ขึ้นชกบนเวที เนื่องจากไอ้น้อยเป็นคนที่มีรูปร่างบึกบึน แม้จะเตี้ยล่ำก็ตาม ไอ้น้อยมีใบหน้าที่โหดสะใจ ถึงแม้ภายใต้ใบหน้าที่ดุดันจะซ่อนความอ่อนไหวขี้กลัวไว้ก็ตาม แต่พอขึ้นเวทีแล้ว ไอ้น้อยจะทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ มันเป็นนักมวยที่ชกได้ดุดันมาก คู่ของมันที่ชกด้วย ต้องบอบช้ำไปตามๆกัน ถึงแม้ว่ามันจะอายุเพียงแค่ 15 ปี เป็นมวยเด็ก แต่มันก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่แล้วก็อายุมากกว่ามันได้หลายปี”

“ตอนที่เกิดเรื่องกับไอ้น้อย ผมยังเรียนรู้กลวิธีการชกอยู่ ถึงแม้เฮียเข้มจะบอกว่าผมหน่วยก้านดี เหมาะที่จะชกมวย แต่ผมยังใจไม่กล้าพอ อาจจะเป็นเพราะผมเคยถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนอื่น ตราบจนกระทั่งไอ้น้อยโดนซ้อมปางตาย ทำให้ผมเกิดความฮึดขึ้นมา”

“เพราะไอ้น้อยเป็นนักมวยดุดัน แล้วชกชนะคู่ต่อสู้หลายครั้ง ทำให้มันเริ่มมีชื่อเสียง มีการคาดหวังกันว่าหากไอ้น้อยสั่งสมประสบการณ์ด้วยการขึ้นชกไปเรื่อยๆ แล้วข้ามไปชกที่เวทีในกรุงเทพเพื่อหาชื่อเสียง จากนั้นก็ไปต่อยมวยสากล ไอ้น้อยจะเป็นนักชกที่เรียกคนดูได้มากที่สุด แล้วก็อาจจะสามารถขึ้นชกในเวทีมวยระดับโลกได้

เพราะไอ้น้อยเป็นนักมวยที่มีน้ำอดน้ำทนสูง หมัดนัก และลีลาสวยงาม แม้จะยังเด็กอยู่ แต่ก็มีแววอนาคตใกล ค่ายมวยหลายค่ายเลยต้องการตัวไอ้น้อยไปอยู่ด้วย เสนอเงินทองของล่อใจให้มันมากมาย แต่มันก็ไม่ยอมไปอยู่ เพราะมันรักเฮียเข้ม แล้วเขาก็รักมันด้วย มันอยากตอบแทนเฮียเข้มที่ทำให้มันมีชื่อเสียง การปฏิเสธของไอ้น้อยสร้างความไม่พอใจให้กับค่ายมวยยักษ์ใหญ่ในถิ่นนี้มาก จึงมีความพยายามมากมายที่จะล้มไอ้น้อยให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ก็ตาม นัยว่าเพื่อตัดหนทางการเติบโตในเส้นทางมวยของมัน”

“มีนักมวยที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดถูกส่งขึ้นมาต่อสู้กับไอ้น้อย ตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่ามวยเด็กๆอย่างพวกเรา เป็นที่สนใจของคนได้มากขนาดนี้ จนถึงขั้นที่จะจ้องทำร้ายกัน แต่ถึงแม้จะใช้วิธีใหนจัดการกับไอ้น้อยก็ตาม ไอ้น้อยก็สามารถเอาชนะคนพวกนั้นมาได้ จนเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ”

“วันหนึ่งมีสมุนของผู้มีอิทธิพลในวงการมวยมาติดต่อกับเฮียเข้มให้ล้มมวยให้กับนักมวยหน้าใหม่ในค่ายของเขา เขากะจะปลุกปั้นเด็กของเขาให้ก้าวขึ้นไปสู่เวทีแชมป์โลก แล้วอยากให้ไอ้น้อยเป็นฐานในการแผ้วถางทางไปสู่เป้าหมาย แต่เฮียเข้มกับไอ้น้อยปฏิเสธ และสามารถดับความฝันของเจ้าเด็กคนนั้นไม่ให้สามารถไต่เต้าไปสู่ความฝันของผู้มีอิทธิพลคนนั้นได้กลางเวที ภายในยก 2 นั่นเอง ผู้มีอิทธิพลคนนั้นโกรธมาก เพราะเขาเสียเงินเสียทองให้กับเด็กคนนี้มาก แล้วแถมซ้ำก็เล่นพนันข้างคนของเขาหลายแสนบาท เมื่อไอ้น้อยทำให้เขาขายหน้า ปฏิบัติการเด็ดชีพจึงเกิดขึ้น”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 20-08-2007 11:44:59
“ผมกลับมาจากการไปวิ่งออกกำลังกายกับเพื่อนนักมวย มาถึงก็พบไอ้น้อยนอนจมกองเลือดพร้อมๆกับเฮียเข้มในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างของเพื่อนพร้อมๆกับความรู้สึกคั่งแค้นอย่างรุนแรงที่เห็นเพื่อนรักถูกกระทำ”
“ไอ้น้อยเพื่อนผมกับเฮียเข้ม มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่มันเข้าค่ายมวยมา โดยที่คนอื่นไม่เคยรับรู้ แม้กระทั่งผมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมันก็ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องความสัมพันธ์นี้ วันนั้นมันกับเฮียเข้มอยู่ด้วยกันสองคนในบ้านพักซึ่งอยู่ในค่ายมวย วันนั้นเฮียเข้มใจดีอนุญาตให้นักมวยได้พักผ่อนกันบ้างหลังจากฝึกซ้อมกันมาทุกวัน แต่ผมกับเพื่อนนักมวยบางคนออกไปวิ่งแถวชายทะเล ทิ้งให้เฮียเข้มกับไอ้น้อยอยู่กันตามลำพัง ซึ่งตอนหลังผมมาลำดับเหตุการณ์ดูก็รู้ว่านั่นคือแผนที่เฮียเข้มจะได้อยู่กับไอ้น้อยตามประสาคนรักกัน”

“ขณะที่คนทั้งคู่กำลังร่วมรักกันอยู่ ก็มีกลุ่มคนใส่หมวกไหมพรมคลุมหน้าบุกเข้ามาทำร้ายคนทั้งคู่ถึงในบ้าน พอไม่มีนักมวยอยู่ในค่าย จึงเหมือนทางสะดวกที่คนกลุ่มนั้นจะทำอะไรได้โดยง่าย พวกมันทำลายข้าวของในบ้านแตกหักเสียหาย พังเวทีมวยที่เราใช้ฝึกซ้อมกัน ขนข้าวของอุปกรณ์ที่ใช้ซ้อมออกมาทุบทิ้ง แถมซ้ำยังลงมือซ้อมคนทั้งสองโดยเน้นหนักไปที่ไอ้น้อยจนบาดเจ็บสาหัส พวกมันทุบมือไอ้นอ้ยทั้งสองข้าง แถมซ้ำยังกระทืบกล่องดวงใจไอ้น้อยจนแหลกเหลว ไอ้น้อยต้องนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลถึง 2 เดือน กว่าจะหายเป็นปกติ”

“ส่วนเฮียเข้มอาการไม่หนักมาก แต่แกก็ได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างสุดซึ่งที่เห็นไอ้น้อยต้องมารับเคราะห์ แกกลายเป้นคนเซื่องซีมไม่พูดไม่จากับใคร เวลาไปเข้าค่ายมวยก็จะนั่งเงียบไม่ดุด่าพวกนักมวยเหมือนเดิม ทุกคนสงสารเห็นใจแก ทุกคนทำตัวสงบเสงี่ยมขยันซ้อม ไม่ทำให้แกต้องลำบากใจ หลายคนยุให้แกแจ้งความเพื่อเอาเรื่อง แต่แกปฏิเสธ แกรู้ดีว่าไม่สามารถไปต่อกรกับอิทธิพลเถื่อนได้ อีกอย่างแกไม่อยากให้ใครมาล่วงรู้ว่า ไอ้น้อยนักมวยสุดยอดด้านความดุดันขวัญใจชาวประชา เป็นพวกรักร่วมเพศ แกยังคงหวังว่าไอ้น้อยจะกลับมาทำหน้าที่นักมวยได้ แต่สิ่งที่แกหวังไม่สามารถเป็นจริงได้เลย เพราะผลจากการบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้ไอ้น้อยไม่สามารถที่จะขึ้นชกมวยได้อีกต่อไปแล้ว”

“สิ่งที่ไอ้น้อยกับเฮียเข้มได้รับ ปลุกไฟอาฆาตในกายผมให้คุโชน ผมตัดสินใจฝึกฝนตัวเองจนร่างกายแกร่งขึ้น แล้วเตรียมจะขึ้นชกเพื่อล้างแค้นให้กับไอ้น้อยเพื่อนผม หลังจากที่เพื่อนผมไปรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้มีอิทธิพลคนนั้นก็ปั้นเด็กใหม่ขึ้นมา ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความดุดันไม่แพ้ ไอ้น้อย เขาชกชนะกวาดเงิน และรางวัลมามากมาย เด็กคนนี้ถูกหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ก้าวเข้าสู่วงการมวยระดับสากลต่อไป”

“การชกกันครั้งแรกของผม เป็นการชกโชว์ในบาร์แถวพัทยา คู่ต่อสู้ของผมอายุมากกว่าผม 2 ปี เตี้ยแต่ล่ำกว่าผม หน้าเหลี่ยม จมูกแบน เขาเป็นนักชกที่อาศัยเรี่ยวแรงเป็นตัวทำคะแนนในการชก แต่ไร้สมอง แรงดีตอนต้น ปลายแผ่วส่วนตัวผมนั้นอาศัยจังหวะการเต้นฟุตเวิร์คของผมหลบหลีกจนทำให้ตัวเองบอบช้ำน้อยที่สุด จนผมสามารถเอาชนะคะแนนเขาได้เมื่อยื้อไปจนครบยก เนื่องจากเขาหมดแรงไปก่อน เลยถูกผมซัดเอาฝ่ายเดียวในยกท้ายๆ”

“หลังจากนั้นผมก็ขึ้นชกอีก หลายครั้งเพื่อหาเงินมาทำค่ายมวยให้เฮียเข้มใหม่ หลังจากที่ค่ายแกถูกคนใจช่วยทำลาย แล้วแกเสียศูนย์ไปพัก แกก็กลับมาสู้เหมือนเดิม แกมุมานะฝึกฝนพวกเรา และส่งขึ้นเวทีมวยหลายเวที นักมวยในค่ายแกหลายคนชกชนะได้เงินมาปรับปรุงค่ายใหม่ ตอนนั้นผมย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่แล้ว เพราะเฮียเข้มไปขอร้องผู้ใหญ่บางคนที่เคยรู้จักให้ช่วยเหลือเรื่องโรงเรียนของผม ทำให้ผมได้เรียนต่อโดยที่ป้าและพี่บอยไม่สามารถมายุ่งได้ เพราะกลัวเฮียเข้มกับพวกนักมวยในค่ายแก และผู้ใหญ่คนนั้น เมื่อปัญหาเรื่องเรียนหมดไป ทำให้ผมเลิกกังวลแล้วมีกระจิตกระใจที่จะซ้อมมากขึ้น”

“เฮียเข้มพาผมและเพื่อนตระเวนท้าชกไปในที่ต่างๆแถบภาคตะวันออก มีเวทีมวยที่ไหนแกพาไปที่นั่น จนชื่อเสียงค่ายมวยของแกเริ่มเป็นที่รู้จัก เพราะนักมวยหลายคนชกชนะสร้างความประทับใจให้กับคนดู ตัวผมเองเวลาขึ้นชกแต่ละครั้งก็สามารถเอาชนะได้ด้วยลีลาที่พลิกพลิ้ว หมัดผมไม่หนักเท่าไอ้น้อย แต่ผมก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยลีลาการลบหลีก และการต่อยที่สวยงาม ผมได้ฉายาว่าไอ้หนูจอมลีลา คนเริ่มพูดถึงผมมากขึ้น จนชื่อของผมไปเตะหูผู้มีอิทธิพลคนนั้น แล้วก็เหมือนเดิม เขาส่งคนมาทาบทามให้ผมไปอยู่ด้วยหลังจากที่ได้ไปนั่งดูผมชกมาสองสามครั้ง”

“ผมตอบปฏิเสธสิ่งที่เขานำเสนอ ทำให้เขาโกรธมาก แล้วกล่าวคำอาฆาต หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จัดนักมวยในสังกัดของเขาให้มาชกกับผม เพื่อต้องการตัดหนทางแห่งอนาคตไม่ให้ผมเติบโตในวงการมวย แต่ผมไม่แคร์เท่าไหร่ ผมไม่อยากจะเป็นนักมวยแชมป์โลก ผมแค่ต้องการแก้แค้นให้ไอ้น้อยกับเฮียเข้มมากกว่า และนี่ก็ได้โอกาสแล้วที่จะหักหน้าผู้มีอิทธิพลคนนั้น ข่าวว่าเขาเดิมพันว่านักมวยจอมโหดของเขา จะสามารถหักกระดูกผมได้ตั้งแต่ยกแรก เขาเดิมพันในวงเงินสูงมาก เพราะเชื่อมั่นในตัวนักมวยที่เขาปลุกปั้นมา”


“ผมปฏิญาณกับตัวเองว่าผมจะต้องเอาชัยชนะกลับมาเป็นของขวัญให้กับไอ้น้อยให้ได้  หากผมทำสำเร็จ ผู้มีอิทธิพลในวงการมวยคนนั้นจะได้รับรู้ความพ่ายแพ้อีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สาหัส เพราะเขาจะต้องสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากให้กับการเดิมพันครั้งนี้”

“ไอ้น้อยมาให้กำลังใจผมทุกวันหลังจากออกจากโรงพยาบาล มันไม่สามารถชกมวยได้แล้ว แล้วก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกด้วย มันอยู่กับเฮียเข้มที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ ยกเว้นแต่พวกนักมวยบางคนและผมเท่านั้นที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ เวลาที่ผมเห็นไอ้น้อยทีไร

ผมอดสงสารมันไม่ได้ มันถูกทำร้ายที่มือและแขน จนทำให้ไม่สามารถที่จะใช้มือออกแรงหนักๆ อวัยวะเพศของมันถูกตัดขาดออกไป มันจึงมีสภาพอะไรไม่ต่างกับขันที แต่มันก็ยังมองโลกในแง่ดี ตามประสาคนไม่ค่อยคิดอะไรมากอย่างมัน ผมชอบดึงมันมากอด แล้วก็ให้คำมั่นสัญญาว่า ผมจะจัดการกับพวกคนใจชั่วให้มันให้ได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเล่นงานพวกมันด้วยกฎหมาย ก็ขอให้มันหมดหวังในเส้นทางมวย อย่างที่พวกมันทำกับคนอื่น”

“ไอ้น้อยช่วยผมฝึกซ้อม โดยสอนเทคนิคการปล่อยหมัดที่หนักหน่วงให้ ผมทำได้ไม่ดีเท่ามัน แต่หมัดผมก็นับว่าหนักพอควร ผมฝึกซ้อมทุกวันโดยไม่หยุดพัก วันละหลายๆชั่วโมง เพื่อเตรียมร่างกายให้แข็งแกร่ง ผมเฝ้ารอวันที่ผมจะได้ขึ้นชกกับนักมวยคนที่ขึ้นมาแทนที่ไอ้น้อย ได้ข่าวว่าหมอนี่หมัดหนักไม่ใช่เล่น แต่ถึงจะเก่งแค่ไหน ผมก็จะต้องโค่นเขาลงให้ได้ เพื่อดับความฝันของผู้มีอิทธิพลผู้นั้น”

“และแล้ววันนั้นก็มาถึง ผมได้ขึ้นชกกับนักมวยในสังกัดของผู้มีอิทธิพล ณ เวทีชั่วคราวที่จัดขึ้นมาริมหาดพัทยาในงานเทศกาลสงกรานต์ มีนักมวยที่ผู้มีอิทธิพลท่านั้นส่งหลายคู่ รวมทั้งนักมวยที่เป็นคู่ชกของผม คู่ของเราเป็นคู่ก่อนการแข่งขันของนักมวยรุ่นใหญ่

ถึงแม้จะเป็นมวยคั่นเวลา แต่ผู้มีอิทธพลท่านนั้นก็หวังเอาไว้มาก แถมซ้ำยังเล่นเดิมพันไว้เยอะด้วย เพราะเขาหวังที่จะปั้นนักมวยคนนี้ให้โด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก นักมวยคนนี้ผ่านประสบการณ์ชกมาอย่างชกโชน เขาอายุมากกว่าผม และดูแข็งแกร่งกว่ามาก ลำตัวหนาล่ำ เหมือนวัวควาย หน้าตาHereมเกรียม ต่างจากผมซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ตามชาติพันธ์ของผม

แต่ก็ยังนับว่าบางกว่าเขาเมื่อเทียบกับความบึกบึนที่เขามี ผมคงต้องอาศัยลีลาชั้นเชิงที่พลิ้วไหว มากกว่าจะใช้พละกำลัง แล้วอาศัยจังหวะเหมาะๆชกเก็บคะแนนไป นักมวยคนนี้ได้ชื่อว่าหมัดหนัก แล้วก็สามารถน๊อคคู่ต่อสู้ได้ในยกต้นๆ ยังไม่เคยชกจนกระทั่งครบยกสักครั้ง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องทำการบ้านมาอย่างหนัก ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถประคองตัวให้รอดไปจนถึงยกสุดท้าย แล้วเป็นฝ่ายทำคะแนน โดยไม่เพลี่ยงพล้ำถูกน๊อคไปตั้งแต่ยกต้นๆ”

“เมื่อการชกเริ่มขึ้น เขาย่างสามขุมเข้ามาหาผมอย่างดุดัน ส่วนผมก็เต้นฟุทเวิร์คหนีไปรอบๆ แล้วคอยจ้องหาโอกาสปล่อยหมัดแย็บไปเรื่อยๆ รอจังหวะที่เขาการ์ดตกเพื่อที่นะชกเข้าที่ใบหน้าจังๆ ดูเหมือนว่าเขายังใจเย็นอยู่ พยายามที่จะก้าวตามผมไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางคลุกวงในกับผมจะได้ปล่อยหมัดที่หนักหน่วงเข้าสู่ลำตัว ซึ่งจากการที่ผมติดตามศึกษาการชกของเขา รู้ดีว่า เขาเป็นคนที่หมัดหนักมากๆ และเคยต่อยเข้าลำตัวและท้อง จนนักมวยบางคนถึงกับช้ำในมาแล้ว”



“ผมรู้ดีว่าเขากำลังหาทางเผด็จศึกผมในยกต้นๆ แต่ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปอยู่ในเกมส์ของเขา หากผมต้องการเอาชนะ ผมต้องดึงให้เขามาเล่นตามเกมส์ผมให้ได้ ผมจึงพยายามที่จะไม่เข้าใกล้เขามากเกินไป ได้แต่ถอยหนี หลบหลีกหมัด แล้วสวนเข้าที่ลำตัวบ้าง ท้องบ้าง ใบหน้าบ้างยามที่เขาเผลอ อาศัยที่ผมแขนขายาวกว่า จึงสามารถที่จะปล่อยหมัด เข่า หรือแม้กระทั่งเตะ โดยไม่ต้องเข้าใกล้ตัวมากนัก”

“ผมเจอหมัดเขาจังๆเมื่อเข้ายกที่สอง รู้สึกมึนมาก เพราะเขาหมัดหนักจริงๆ แต่ผมก็พยายามที่จะใช้สติที่พอจะมีอยู่พาตัวเองให้รอดจนกระทั่งครบยก พอขึ้นยกถัดไปผมก็พยายามที่จะให้เขาเข้าถึงตัวได้น้อยที่สุด แต่ดูเหมือนเขาจะมุทะลุมากขึ้น ไล่บดขยี้ผมบนเวที

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาต้อนผมจนไปติดมุมแล้วปล่อยหมัดฮุกเข้าแถวลำตัวผมจนจุกไปหมด กว่าจะแยกตัวออกมาได้ก็เกือบจะน่วม แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ยอมล้มลงง่ายๆ ยิ่งตอนพักยกผมเหลือบไปเห็นแววตาเย้ยหยันจากผู้มีอิทธิพลคนนั้น สลับกับเห็นแววตาของเฮียเข้ม และ ไอ้น้อยที่มองมาอย่างเอาใจช่วย ทำให้ผมฮึดสู้ ผมรู้ว่า คะแนนของผมเป็นรองนักมวยหมัดหนักคนนี้ แต่คะแนนของเราก็ห่างกันไม่มากนัก เพราะผมก็เก็บคะแนนจากการชกเขาได้มากเหมือนกัน”

“ด้วยความที่เขาจ้องจะตะบันหน้าผมตลอดเวลา ทำให้เขาหลุดเข้ามาในกับดักของผม ผมล่อเป้าให้เขาชกซ้าย ต่อยขวา เตะ จนแทบจะหมดแรง ในขณะที่ผมก็อาศัยความว่องไวหลบหลีกและชกป้องกันตัวเองบ้าง และถลุงเขาบ้างเมื่อเขาเริ่มจะอ่อนแรงการ์ดตก ปลายยกท้ายๆเราแลกหมัด ศอกกันบนเวที ผมอาศัยความสูงที่ได้เปรียบใช้ทั้งเข่าและศอกเล่นงานเขา

ในขณะที่เขาเองก็พยายามจะใช้หมัดของเขาเล่นงานผมให้หมอบ แต่ผมก็จะหลบหลีกไม่ให้โดนจังๆ แต่กระนั้นเวลาที่หมัดมันเฉียดไปตามใบหน้ามันก็ส่งผลให้หน้าผมสั่นไปตามแรงที่กระแทกมาได้เหมือนกันเขายังคงเชื่อมั่นในพละกำลังของตนเอง จึงลุยดะมาแบบนักมวยโง่ๆ ป่ายมือซ้ายขวาไล่ตามผมซึ่งเต้นไปรอบๆ

พอเขาเผลอผมก็ทิ่มหมัดเข้าหน้าและลำตัว มีโอกาสเตะได้เตะ ฟันศอกได้ก็ฟัน จนในที่สุดเขาก็เริ่มที่จะต่อยผมพลาดเป้า เขาโถมพละกำลังเฮือกสุดท้ายกอดรัดพันตูกับผมบนเวที ทั้งเขากับผมแลกหมัดใส่กันไม่ยั้ง ถึงแม้เขาจะดูอ่อนแรงแต่หมัดเขาก็ยังหนักมาก ทิ่มท้องผมแต่ละทีจุกจนตัวงอ”

“และแล้ววินาทีแห่งชัยชนะของผมก็มาถึง เขาเดินหน้าHereมเกรียมรุกไล่จะบดขยี้ผมบนเวที แต่ผมสังเกตเห็นแล้วว่าเขาช้าลงมาก เนื่องจากถูกยื้อมาหลายยก แล้วเขาก็พยายามใช้เรี่ยวแรงอย่างมาก ซ้ำยังถูกผมใช้ทั้งเข่าและศอกเล่นงาน แถมด้วยอีกหลายหมัด

คนที่แข็งแกร่งอย่างเขาก็ถึงกับหมดแรงได้เหมือนกัน โอกาสมาถึงเมื่อการ์ดของเขาเริ่มตกลงมากันตรงหน้าอก ปล่อยหน้าโล่ง ผมแย็บเข้าที่หน้าเขา และฮุคเข้าปลายคางเต็มเหนี่ยว เขาเซถลา ผมรีบตามไปซ้ำ ขึ้นเข่าลงศอกจนเขาถลาเหมือนนกปีกหัก แต่ก็ยังไม่ยอมล้ม พยายามจะพยุงกายให้อยู่บนเวที แต่ผมไม่รอช้า หลังจากปล่อยหมัดเข่าเป็นชุด ก็ถึงเวลาขึ้นสุดท้าย ผมกระโดดตัวลอยกระแทกเข่าไปที่ปลายคางของเขา และฟันศอกลง เขาล้มครืนไม่เป็นท่า กรรมการนับสิบแล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา”
“เสียงเฮ และเสียงโห่ดังขึ้นรอบทิศทาง คนที่เล่นข้างนักมวยรองบ่อนอย่างผมดีใจจนทั่วหน้า ในขณะที่คนเล่นข้างนักมวยหมัดหนักกลับหัวเสียเพราะต้องสูญเงินเดิมพัน ผมหันไปยังที่นั่งที่ผู้มีอิทธิพลคนนั้นนั่งอยู่ เขามองผมด้วยแววตาโกรธแค้น ชี้หน้าผมแล้วก็ขยับปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมยิ้มเยาะ แล้วชูกำปั้นให้เขาด้วยความสะใจที่ผมล้างอายให้กับไอ้น้อย เฮียเข้ม และค่ายของแกได้”

“ผมเอาเงินค่าตัวที่ได้มา ไปเลี้ยงข้าวเพื่อนๆที่ร้านอาหารริมทะเล เฮียเข้มบอกกับพวกเราว่า แกจะเอาเงินเดิมพันที่ได้มาไปพัฒนาค่าย แต่คราวนี้แกจะไปทำค่ายมวยในกรุงเทพฯ พวกเราดีใจกันมาก เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่เคยเข้ามาสัมผัสในกรุงเทพมาก่อน เฮียเข้มกล่าวขอบคุณผมและนักมวยทุกคนที่สร้างชื่อให้กับค่ายมวยของแก แล้วก็ให้สัญญาว่าจะผลักดันให้พวกเรามีชื่อเสียงต่อไป”

“เกือบเที่ยงคืนที่พวกเราแยกย้ายกันกลับ เฮียเข้มกลับบ้านพร้อมกับไอ้น้อย ส่วนผมและนักมวยคนอื่นๆจะเข้าไปเที่ยวกันที่พัทยาใต้ เราอยากจะคลายเครียดกันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการชกมาทั้งตลอดจนถึงวันแข่งขัน โดยเฉพาะผมที่เพิ่งเสร็จจากการชกมาหมาดๆ เลยอยากจะพักผ่อนบ้าง พวกเราจึงพากันไปเที่ยวเธค แล้วก็ดิ้นกันกระจาย ปล่อยอารมณ์กันเต็มที่โดยไม่มีใครได้สำเหนียกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา”

“และแล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมๆกับไฟดับพรึ่บลง ผมและเพื่อนๆนักมวยหนีตายกันอลหม่าน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องรีบไปให้พ้นๆจากสถานที่แห่งนี้ พวกเราโกยอ้าวออกมาจากเธค โดยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งวิ่งตาม ตอนแรก ผมนึกว่าพวกนั้นหนีตายมาพร้อมๆกับเรา

แต่ที่ไหนได้ พวกนั้นมีอาวุธครบมือ ทั้งมีด ไม้ และปืน วิ่งตามพวกเราไปติดๆอย่างไม่ลดละ ในช่วงวิกฤติแบบนั้นผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะคิดว่าคนพวกนั้นคือใคร แล้วต้องการทำร้ายพวกเราทำไม ความจำเป็นที่จะเอาตัวรอดสั่งการให้ออกวิ่ง วิ่ง วิ่ง  พวกผมซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 คน ต่างแยกย้ายหนีเอาตัวรอด แต่คนพวกนั้นก็กระจายกำลังกันออกติดตามอย่างไม่ลดละ”

“ผมเองวิ่งหนีไปทางชายหาดที่มีต้นมะพร้าวปลูกเรียงราย พยายามใช้ความมืดพลางตัวเพื่อหลบหลีก  แต่พวกมันก็ตามมาอย่างกระชั้น แถมซ้ำยังยิงปืนใส่ผมอีกด้วย แต่คลื่นและลมที่พัดเข้าสู่ชายฝั่ง ได้กลบเสียงปืนให้กลายเป็นเสียงคำรามเบาบาง จนถ้าไม่เงี่ยหูฟังดีๆก็จะไม่ได้ยิน แต่ผมก็เล็ดลอดมาได้ ด้วยการใช้ต้นไม้เป็นเกราะกำบัง และการวิ่งอย่างรวดเร็ว ผมเป็นนักกีฬาและวิ่งเป็นประจำทุกวัน ร่างกายผมย่อมทนทาน และรวดเร็วกว่าคนพวกนั้นเป็นสิบเท่า ผมโกยแบบใส่ตีนหมาไม่ยั้งสักพัก ก็ตัดสินใจจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนเพื่ออาศัยความพลุกพล่านของผู้คนเป็นที่พรางตา”

“จังหวะที่ผมกำลังจะวิ่งข้ามถนนนั้น เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมๆกับอาการเสียวแปลบที่ ชายโครง ผมทรุดฮวบลงกับพื้น รู้ตัวแล้วว่าถูกยิงจากปืนในมือของพวกนักเลงกลุ่มนั้น แต่ไม่มีเวลาสำรวจบาดแผลเพราะหูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมา

ผมตะกายลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กัดฟันแน่น พยายามส่งใจไปที่บาดแผลบังคับไม่ให้มันเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจในวินาทีนั้นที่จะวิ่งข้ามถนนอย่างรวดเร็ว ผมเห็นรถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล ผมกะระยะว่าหากผมโดดข้ามถนน มันก็คงจะสามารถไปได้ถึงอีกฝั่งก่อนที่รถคันนั้นจะมาถึงตัว แถมซ้ำรถคันนั้นยังจะสามารถเป็นเกราะกำบังให้ผมได้ด้วย”

“เสียงรถเบรกดังลั่น ผมยืนตัวแข็งทื่อกลางถนนอีกครั้ง การกะจังหวะของผมผิดพลาด รถมาถึงตัวผมก่อนที่ผมจะก้าวข้ามพ้น มีเสียงเอะอะดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปมอง ก็เห็นชายฉกรรจ์จำนวน 7-8 คนในมือถืออาวุธกำลังวิ่งตรงเข้ามา ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วแทรกตัวเองเข้าไปนั่งข้างในรถคันนั้นทันที พร้อมร้องสั่งให้คนขับรีบออกรถ”

“คนขับเป็นผู้หญิงสาวสวย อายุอานามคงไม่น่าเกิน 25 ปี  เธอไม่ยอมออกรถแต่หันมาโวยวายไล่ผมลงจากรถของเธอ ผมต้องอ้อนวอนขอร้องให้หญิงสาวคนนั้นขับรถออกไปก่อนแล้วจะอธิบายให้ฟังทีหลัง แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่โวยวายท่าเดียว

ผมเหลือบมองไปด้านข้างรถตรงที่เป็นชายหาด และเห็นชายคนหนึ่งกำลังทำท่าเล็งปืนมาที่รถของหญิงสาวคนนั้น ผมจึงร้องให้เธอหันไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอหวีดร้องแล้วรีบกระชากรถออกโดยแรงจนผมเกือบหัวทิ่ม”

“ผมหันหลังไปมองในกระจก ก็เห็นคนพวกนั้น ยิงปืนไล่หลังมาก แต่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออกมาเร็วมากด้วยความตกใจ ทำให้สามารถรอดพ้นไปได้ แต่กระนั้นกระสุนปืนก็ยังสามารถเจาะเข้ากับตัวรถด้านหลังไปหลายแผล

เธอเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนรถเคลื่อนไปด้วยความเร็วทั้งๆที่อยู่บนถนนที่ยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและรถจากที่สัญจรไปมา จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ท่าทางของเธอเหมือนคนที่ตกอยู่ในความกลัวจนกระทั่งสติแตก ไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 20-08-2007 13:40:13
 :o :o....แล้วไงต่อ่ะ   แม่ ญ คนนั้นเปงใคร

ค้างอย่างแรงอ่ะ   :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-08-2007 14:32:59
ความหลังซับซ้อนและเยอะมากๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-08-2007 14:51:11
แล้วหญิงคนนั้นจะเกี่ยวข้องกะเรียวป่าวหว่า  :m21:  :m21:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 20-08-2007 20:44:27
บทที่ 6

“ใจเย็นๆน่าที่รัก มันตามมาไม่ทันแล้ว รถความเร็วลงได้แล้ว เราอยู่ในเมืองนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้น จากที่นั่งด้านข้างคนขับ มันทำให้ผมรู้ว่านอกจากผมและหญิงสาวคนขับแล้วยังมีผู้ชายอีก 1 คนนั่งมาในรถด้วย หญิงสาวชะลอความเร็วลง แต่ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ผู้ชายคนนั้น แล้วก็ต่อว่าต่อขานว่าเขามัวแต่กินเหล้าเมา จนต้องให้เธอมาขับรถแทน

นี่ถ้าเธอไม่ขับเร็วอย่างนี้ คงได้ตายกันหมด แล้วก็หันมาด่าผมฉอดๆ ว่าเป็นเพราะผมที่ลากเธอกับคนรักเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ด้วย เธอไล่ให้ผมลงจากรถ แต่แฟนหนุ่มของเธอห้ามไม่ให้หยุดรถ เพราะเดี๋ยวพวกนั้นตามมาทัน เธอเลยกลัว ไม่ยอมจอดให้ผมลง แต่ก็นั่งบ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นต้องทำเสียงเข้มไม่ให้เธอพูด นั่นแหละเธอถึงเงียบลงได้ แต่ก็ยังทำหน้าง้ำอยู่”

“คนพวกนั้นเป็นใครเหรอน้องชาย”

เขาถามผมโดยไม่หันมา อุปทานหรือเปล่าไม่ทราบผมรู้สึกว่าเสียงเขาคุ้นหูเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

“ไม่ทราบครับผมไม่รู้จักคนพวกนั้นเลย” ผมบอกเขาไปตามตรง

“อยู่ๆพวกนั้นก็ตามไล่ล่าผม”

“แล้วพวกนั้นตามไล่ฆ่านายมาจากที่ไหนล่ะ” เขาถามอีก

“จากในบาร์ครับ ผมไปเที่ยวกับเพื่อนๆมาหลังจากเลิกงาน..........”

ผมไม่ได้บอกออกไปว่าผมเป็นนักมวย เพราะกลัวว่าเขาจะหาว่าผมขี้ขลาดเป็นนักมวยแท้ๆแต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแทนที่จะต่อสู่ แต่แหม มากันเป็นโขยงพร้อมอาวุธครบมือขนาดนั้น ต่อให้เป็นนักมวยที่เก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งนั้นแหละ รักษาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่าจะยอมรักเกียรติโดยที่ต้องเอาตัวไปรับกระสุน

“เรากำลังเต้นอยู่ดีๆก็เผอิญมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วไฟก็ดับลง จากนั้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น ผมกับเพื่อนวิ่งหนีออกมา แล้วพวกนี้ก็วิ่งไล่ล่าผมกับเพื่อน เขามากันกลุ่มใหญ่มากครับ เราเลยหนีอย่างเดียวครับ” ผมเล่าไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

“จะมีอะไรล่ะคะที่รัก นอกจากเขม่นหน้ากัน หรือไม่ก็เมาเหยียบเท้ากัน ไม่ก็เหล่หญิงคนเดียวกัน วัยรุ่นสมัยนี้ก็ดีแต่หาเรื่อง”

สาวคนขับพูดอย่างเหยียดๆ ท่าทางคงจะยังไม่หายโกรธผมที่ตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายๆโดยไม่ตั้งใจ

“เปล่านะครับ พวกผมเต้นกันอยู่ดีๆไม่ได้ไปหาเรื่องกับใคร แล้วตอนที่อยู่กันในบาร์ก็ไม่ได้ถูกใครเขม่นด้วยครับ ถึงเราจะเฮฮากัน แต่ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ไปสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ใครเลยนะครับ”

ผมบอกเขา พลางนิ่วหน้า รู้สึกเจ็บแปลบที่ชายโครง ผมเอามือไปแตะดูก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากแผลรอยกระสุนบนเสื้อ ผมเผลอเอามือกดแน่นตรงรอยนั้นเพื่อระงับความเจ็บปวด

“แล้วนี่เราจะไปไหนล่ะ”

“เอ้อ”

ผมอับจนคำตอบ ไม่รุ้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี จะกลับไปที่ค่ายมวยที่พำนักก็กลัวว่าไอ้พวกนั้นจะตามผมไปที่นั่น แล้วหาโอกาสทำร้ายเฮียเข้มกับไอ้น้อยอีก หลังจากที่นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ไปมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมชักจะเริ่มมั่นใจแล้วว่า คนพวกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับผุ้มีอิทธิพลในวงการมวยแห่งภาคตะวันออกคนนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะจงใจไล่ฆ่าพวกผมทำไม เหมือนตั้งใจจะกวาดล้างให้สิ้นซาก ไม่ต้องมีนักมวยในสังกัดกันเลย

ผมได้แต่นึกหวังในใจว่า เฮียเข้มกับไอ้น้อย รวมถึงเพื่อนนักมวยในค่ายที่ไม่ได้ไปด้วย คงจะปลอดภัย และสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับค่ายมวยของเราได้ แล้วก็นึกภาวนาให้เพื่อนๆที่ประสบชะตากรรมเดียวกันสามารถที่จะหลบหลีกได้จนปลอดภัย

ความเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นมา ผมกัดกรามแน่น เพื่อระงับความเจ็บปวด รู้สึกตาลายจนมองอะไรพร่ามัวไปหมด หูอื้อจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้นที่ถามย้ำอีกครั้ง

“ว่าไงล่ะน้องชาย อยากไปไหน พวกเราจะได้ไปส่งให้”

“นี่เรียวคะ ทำไมไปพูดอย่างนั้นล่ะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวดีกว่านะคะ ส่งเขาที่ข้างทางตรงไหนก็ได้ แล้วเราก็รีบกลับกรุงเทพกันดีกว่านะคะ”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ แซนดี้” เสียงของฉายหนุ่มเจือด้วยแววตำหนิ

“คุณก็เห็นว่าน้องชายคนนี้ หนีการตามไล่ล่าจากพวกคนร้ายมา จะปล่อยเขาทิ้งๆขว้างๆไว้ข้างทางได้ยังไง เดี๋ยวเกิดคนพวกนั้นตามมาเจอเข้าก็แย่น่ะสิ”

“ก็เรื่องของเขาสิคะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย นี่ถ้าเขาไม่กระโดดขวางถนนแล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถเราแบบนี้ เรื่องยุ่งยากนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก เราก็คงจะกลับถึงกรุงเทพไปตั้งนานแล้ว คุณอย่ามัวมาห่วงคนอื่นเลยค่ะ เรียว เอาตัวเองให้รอดเถอะ แค่นี้ก็เมาจะแย่อยู่แล้ว”

“ผมไม่ได้เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนั้นหรอก แค่มึนๆเท่านั้นเองนะแซนดี้ แต่ผมก็พอจะมีสติรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”

“อย่างเช่น การเอาตัวเข้าไปแส่เรื่องของชาวบ้านอย่างนี้เหรอคะ” หล่อนเริ่มแหวใส่เขาอีก

“ผมทำเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เด็กคนนี้กำลังเดือดร้อนนะ แล้วบังเอิญเราผ่านมาเจอพอดี จะนิ่งดูดายได้ไง”

“คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะเข้า ที่พร้อมจะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องชาวบ้านแบบเดียวกันกับคุณ ทำไมต้องเป็นเราล่ะคะ ทำไมต้องเป็นคุณทุกครั้งที่ชอบยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคุณแม้แต่นิดเดียว การกระทำของคุณมันทำให้เราสองคนเดือดร้อนนะคะ”

“แค่กลับกรุงเทพล่าช้ากว่าที่ควรเนี่ยนะ” ชายหนุ่มย้อนถาม

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว คุณไม่คิดหรือคะว่าถ้าพวกนั้นตามล่าเราบ้างล่ะ ที่ไปขัดขวางการทำงานของพวกเขา แล้วถ้ามันจำเลขทะเบียนรถของแซนดี้ได้ แล้วตามหาตัวแซนดี้ แล้วมาฆ่าปิดปากล่ะคะ คุณจะว่าไง”

เสียงหญิงสาวบ่งบอกถึงความโกรธเคือง แฝงด้วยความหวาดหวั่น

“ผมว่าคงไม่หรอก อย่าคิดมากเลยน่าที่รัก คุณขับรถออกตัวแรงขนาดนั้น แล้วขับเร็วมากจนกระทั่งถ้าผมไม่บอกให้คุณขับรถดีๆ คุณคงขับรถชนชาวบ้านวินาศสันตะโรแน่ๆ ทั้งๆที่เป็นถนนที่มีรถราวิ่งกันไปมา คุณก็ปาดซ้ายปาดขวาอย่างรวดเร็ว พวกนั้นคงไม่มีทางมองตามเลขทะเบียนคุณได้ทันหรอก แล้วอีกอย่างแถวนั้นก็ค่อนข้างมืดด้วยนะ”

“แล้วทำไมคุณไม่ลงมาขับรถเองล่ะคะ ให้แซนดี้ขับทำไม”

หญิงสาวต่อว่าเสียงงอนๆ

“ผมแค่ต้องการเคารพกฎข้อบังคับของตำรวจต่างหาก แต่ถ้าคุณเห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากถึงขนาดที่เราต้องมานั่งทะเลาะกันล่ะก็ ผมขับให้ก็ได้” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงฉุนโกรธ

แล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นทะเลาะกันอีกครั้งโดยที่สาวเจ้ายังคงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เธอต่อว่าต่อขานเขาที่พาเธอมาพัทยาทั้งที ก็เอาแต่ทำงาน แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆในผับดื่มกินจนกระทั่งเมามาย โดยไม่สนใจเธอที่มาด้วย แถมซ้ำยังให้เธอต้องมาร่วมในเหตุการณ์ที่น่าอันตรายเพียงเพราะเขาใจดีไม่กล้าขับรถผ่านไป

เธอต่อว่าที่เขาเอาแต่สนใจเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเอาอกเอาใจเธอเลย เขาก็โต้ตอบว่า เขามาพัทยาบ่อยๆ เพราะเขาต้องมาติดต่อเรื่องงานการ เพราะเขาดูแลภูมิภาคแถวนี้ ซึ่งเธอก็รู้ดีอยู่แล้ว การที่เขาพาเธอมาด้วย ก็เพราะเธอบ่นว่าเหงา ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว เขาก็เลยพามาด้วย

ทั้งๆที่ก็บอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่ามาทำงาน ซึ่งเขาก็พยายามที่จะงานให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะได้พาเธอมาเที่ยวด้วย แล้วการที่เขาช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก เขาพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบยังคงขับรถกระชากๆด้วยอารมณ์โกรธที่คุกรุ่น จนกระทั่ง ชายหนุ่มที่นั่งด้านข้างเธอต้องบอกให้หยุดรถ เพราะเขาจะลงไปขับเอง เธอจึงเบรกรถอย่างแรง จนหน้าทิ่มไปตามๆกัน

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมเอนตัวลงกับเบาะแล้วนั่งนิ่งๆฟังคนทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างสงบ ไม่มีแรงจะพูดเพื่อขอโทษที่รบกวนพวกเขา หรือแม้แต่จะเอ่ยปากให้พวกเขาจอดรถเพื่อปล่อยผมลง แม้กระทั่งตอนนี้ ซึ่งรถได้จอดสนิทลงแล้ว เสียงสบถของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นอย่างโกรธ พร้อมกันนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาลงจากรถและอ้อมไปด้านข้างคนขับ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งนิ่งๆตาคว่ำ หน้างอง้ำ

มีอะไรอุ่นๆไหลซึมเปรอะเสื้อของผมจนเปียกไปหมด ผมยกมือข้างที่กดอยู่ตรงชายโครงขึ้นมาดู เห็นเลือดตัวเองไหลเลอะเต็มฝ่ามือ ผมรู้สึกหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม ความปวดร้าวแผ่ซ่านจากบาดแผลแล่นไปทั่วตัว ตาลาย หูอื้อ สมองอึงอลไปหมด ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังแว่วๆ

มีเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ผมพยายามจะมอง สิ่งที่ผมเห็นเพียงลางๆคือหญิงสาวคนนั้นลงจากรถไปอย่างกระฟัดกระเฟียด โดยที่มีชายหนุ่มคนนั้นก้าวขึ้นมานั่งแทนที่คนขับ เขานั่งก้มหน้า มือกำอยู่ตรงพวงมาลัย รอจนกระทั่งแฟนสาวของเขาเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างๆแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอี้ยวคอมาทางผม

“เฮ้ย เป็นอะไรไปน่ะ น้องชาย หน้าตานายซีดเซียวมาก ไม่สบายหรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

น้ำเสียงแสดงความกังวลใจเมื่อมองเห็นหน้าผม เขาเปิดไฟในรถขึ้นเพื่อมองผมชัดๆ

“นี่อย่ามาเป็นอะไรในรถฉันนะ” เสียงหญิงสาวดังขึ้น

“นายถูกยิงนี่นา”

น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวผม

“แย่แล้วสิ เรียวคะ ทำไงดี เขาจะตายในรถเราไหมคะ บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง เกิดตายขึ้นมาจะซวยกันใหญ่”

“ป..ล่อ...ย....ปล่อย ผมลง...แถ....ว แถวนี้ ก็.ได้...ครับ”

ผมบอกเขาอย่างอยากเย็น ชายหนุ่มทำเสียงดุใส่ผม

“ใครจะทำอย่างนั้นเล่าไอ้น้องชาย อย่างงั้นมันก็ใจดำเกินไปแล้ว เอางี้เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่โรงพยาบาลนะที่ใกล้ที่สุดดีกว่านะ”

เขาหันกลับไปแล้วออกรถทันทีมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอย่างเร็ว

“นี่คุณกำลังขับรถอย่างเร็วเลยนะ ไม่กลัวตำรวจจับแล้วเหรอ ทั้งกินเหล้า ทั้งขับรถเร็ว”

“แซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ จะรอช้าได้ไง อีกอย่างผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมามายไม่รู้เรื่องนี่ บอกกี่ครั้งแล้ว ผมยังขับได้สบายเห็นไหม ถ้าโดนจับจริงผมว่า ตำรวจคงจะเห็นใจเพราะรถเรามีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย”

“เรื่องมันชักจะยุ่งไปใหญ่แล้วนะคะเรียว หากพาเขาไปโรงพยาบาล พวกนั้นจะไม่กักตัวเราไว้หรือคะว่าเราเป็นคนทำร้ายเขา ”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

“เอาน่า ถึงแล้วค่อยว่ากันนะ”

เขาพูดอย่างใจเย็น ทั้งๆที่ขับรถเร็วอย่างกับพายุเหมือนคนใจร้อน ดีนะ ที่ออกมายังเส้นสุขุมวิทกันแล้ว ผมรับรู้จากความคุ้นเคยที่มีต่อสถานที่

“ปล่อยเขาไว้ใปไม่ดีกว่าหรือคะ แล้วเราก็กลับกัน พร้อมทั้งลืมเรื่องทั้งหมดนี่ซะ แซนดี ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเลย” เธอขอร้องเขา

“ไม่ได้หรอกแซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย เรารับเขาขึ้นรถมาแล้ว ตอนนี้เขาถูกยิงอาการหนักมาก ถ้าไม่ช่วยเขาอาจจะตายได้”

เขาไม่ยอมฟังคำขอร้องของแฟนสาว

“กลับถึงกรุงเทพแล้ว เราคงต้องคุยกันหน่อยนะคะเรียว”

“เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รับเขาขึ้นรถมาแล้ว ก็ต้องไปส่งเขาให้ถึงไปส่งเขาให้ถึงที่หมาย เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

เขาตอบเสียงเรียบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรง

“อย่ามาทำให้รถของแซนดี้เปื้อนเลือดแล้วกัน รถเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เดี๋ยวจะซวย”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่เปลือกตาทั้งสองข้างของผมจะปิดลง

“ผมมาฟื้นตัวอีกทีหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน หมอได้ผ่าตัดเอากระสุนออกจากชายโครงของผมแล้ว โชคดีที่พวกนั้นยิงพลาดเป้าไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญแต่อย่างใด ไม่งั้นผมคงจะไม่สามารถมีชีวิตได้จนถึงทุกวันนี้ ผมนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลนานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะกลับไปบ้านพักที่ค่ายมวย

เฮียเข้มกับไอ้น้อยรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลเมื่อผมนอนในโรงพยาบาลผ่านไปแล้วสามวันตอนแรกแกนึกว่าผมตายแล้ว เพราะนักมวยที่ไปด้วยกันกับผมในวันนั้น เหลือรอดกลับมาแค่ 4 คน และถูกยิงตายหนึ่งคน พวกนั้นบอกว่าผมหายไป แล้วก็พยายามออกตามหาผม ตามสถานที่ต่างๆที่คิดว่าผมจะไปหลบซ่อนตัว ก็เลยคิดว่าผมคงถูกฆ่าตายแล้ว ไม่มีใครคิดว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลแล้วรอดตายสักคน”

“เฮียเข้มดีใจมากที่ผมยังมีชีวิตรอดอยู่ ไอ้น้อยมาบอกผมว่าเฮียเข้มได้ไปแจ้งที่สถานีตำรวจว่านักมวยในสังกัดเสียชีวิตเพราะถูกยิง แกสงสัยว่าเป็นฝีมือของผู้มีอิทธิพล แต่ตำรวจบอกว่าหลักฐานอ่อนเอาผิดไม่ได้ อาจจะเป็นการตีกันธรรมดาในผับ ในบาร์ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจจะเกิดการเขม่นกันขึ้นได้

แต่ตำรวจก็รับปากว่าจะคลี่คลายคดีให้ ระหว่างนี้แกก็เลยรอให้ตำรวจจัดการ แต่ในใจแกก๊คิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะเงียบตามเคย เพราะผู้มีอิทธิพลในวงการมวยภาคตะวันออกท่านนี้เป็นผู้ที่มีเส้นสายใหญ่โต และรู้จักคนมากมาย ไม่มีใครกล้ายุ่ง”

“ผมเพิ่งมารู้จากนางพยาบาลที่ดูแลผมในภายหลังว่า คืนวันเกิดเหตุ  ทางโรงพยาบาลได้รับตัวผมไว้เป็นคนไข้ฉุกเฉิน ซึ่งมีชาย-หญิงสองคนเป็นผู้พามา โดยได้แจ้งว่าผมถูกยิงจากคนกลุ่มหนึ่ง มีตำรวจมาสอบปากคำสองคนนั้น แล้วก็ปล่อยตัวพวกเขาไปเมื่อเห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง และบอกว่าอาจจะเรียกมาเป็นพยานในภายหลัง ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง แต่หญิงสาวที่มาด้วยแสดงอาการไม่พอใจจนออกนอกหน้า”

“ชายหนุ่มคนนั้น ลงชื่อเป็นเจ้าของไข้ผม เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ไหนมีญาติหรือเปล่า แถมซ้ำยังให้ทางพยาบาลส่งบิลค่ารักษาไปเก็บที่เขาด้วย นางพยาบาลคนเดิมบอกว่า ท่าทางแฟนสาวของเขาจะไม่พอใจมาก แสดงความโกรธให้เห็นจนออกนอกหน้า เธอไม่พอใจที่แฟนของเธอช่วยเหลือผม รวมถึงออกค่ารักษาให้ด้วย ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็บอกว่า ไม่เป็นไร คนเดือดร้อนมาก็ต้องช่วยเหลือ เขาทนนิ่งดูดายไม่ได้หรอก หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็จากไป”

“ผมขอชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของชายหนุ่มที่ช่วยเหลือชีวิตผมไว้เพื่อที่จะโทรไปขอบคุณเขา แต่นางพยาบาลให้ได้แต่ชื่อ และที่อยู่ที่ทำงานของเขาเท่านั้น ผมอ่านทวนชื่อของเขาหลายครั้ง “เรียว รัตนมณี” ชื่อสั้นๆแต่เป็นชื่อที่ผมคิดว่ามันเพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

ผมนึกถึงตอนที่ผมนั่งอยู่ในรถ ผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อแฟนของเธอหลายครั้งด้วยชื่อนี้ เสียงของเขาก็ดูคุ้นหูเหลือเกิน ใหนจะหน้าตาที่ผมเห็นลางๆนั้นอีก ถ้าความรู้สึกไม่ได้หลอกตัวเองเพราะว่าผมเจ็บปวดบาดแผลมากเกินไป ผมก็คิดว่าเขากับคนที่เคยช่วยชีวิตผมตอนที่ผมหนีออกจากบ้านมาคราวนั้น น่าจะเป็นคนเดียวกัน

ผมยิ้มให้กับตนเอง นึกแปลกใจว่า ทำไมมันจึงบังเอิญแบบนี้หนอ เขาช่วยผมไว้ถึงสองครั้งแล้ว เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เพราะผมกำลังหูอื้อ ตาลายจากการบาดแผลที่มันทวีความเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมอยู่ในภาวะปกติกว่านั้นก็ดีสิ จะได้ขอบคุณเขาแล้วบอกว่าผมคือใคร ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่า แต่ผมน่ะ จำหน้าตาและน้ำเสียงเขาได้จนขึ้นใจ”

อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดเล่า เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่หน้ากระจก แล้วถอดเสื้อออกจากตัว ผมมองเขาเลิ่กลั่ก ก็เห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มหวานให้กับผม

“นี่เห็นไหม รอยแผลเป็นจากการถูกยิงคราวนั้น”

เดียร์ชี้ให้ผมดูรอยแผลเป็นบนผิวหนังตรงแถวชายโครงที่เกิดจากกระสุนปืนที่เข้าไปฝัง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้จะทำอะไรผมอย่างที่คิด แต่ผมก็คิดไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เพราะเขาเดินเข้ามาหาผม แล้วสวมกอดผมไว้แนบแน่น โน้มตัวลงมาแล้วเอาหน้าซุกไว้ที่ไหล่ของผม เขาแอบหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“เรียวเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ช่วยผมถึงสองครั้งสองครา”

เขาขโมยจูบผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อว่า

“ผมเริ่มรู้สึกว่ารักคุณมากตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าคุณช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้ผม สองครั้งแล้วที่คุณช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วก็บังเอิญเสียด้วยที่คนๆนั้นดันเป็นผม”

เขาบอกความรู้สึกในใจที่เขามีต่อผมอีกครั้ง

“นี่ไง ฉันถึงคิดว่ามันเป็นความซวยของฉันจริงๆ ที่ดันไปเจอนายตั้งสองรอบ”

ผมโต้ตอบเขาไปอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา

“ไม่ใช่ครับ เรียวคิดดูดีๆนะ นี่อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ ชาติก่อนเราต้องเคยทำบุญร่วมกันมา เราอาจจะเป็นแฟนกันมาก่อน แล้วก็สาบานกันว่าจะมาเจอกันอีกในชาติต่อๆไป ไม่อย่างนั้นทำไมเราต้องเจอกันโดยบังเอิญล่ะครับ ทำไมคุณต้องมาที่พัทยานั่นในวันนั้น แล้วทำไมแฟนคุณคนนั้นต้องผ่านเส้นทางนั้นด้วย ทุกอย่างมันดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่จงใจมาก ผมน่ะนะเชื่อว่าเราต้องเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ผมคิดว่าผมจำได้แล้วว่าเราน่ะต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ แต่คุณน่ะยังจำไม่ได้”

“พูดบ้าบออะไรของนายเนี่ย”

ผมถามเขา นึกรำคาญการทึกทัก พูดเองเออเองของหมอนี่ เดียร์กระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นเขา จากนั้นก็จูบที่แก้มผมแรงๆ ก่อนใช้ลิ้นไซร้เข้าไปตรงติ่งหู และใบหูด้านใน จนผมขนลุกซู่

“เรียวนี่ ดื้อจริงๆเลย ยอมรับซะก็สิ้นเรื่องว่านี่คือชะตากรรมของเราสองคน เราเกิดมาเพื่อที่จะรักกันและกัน คุณถึงต้องบังเอิญมาช่วยผมอยู่เรื่อยๆไงครับ”

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจยืดยาว

“พูดกับนายทีไร มีแต่เรื่องปวดหัว เพราะนายหน้าด้านเหลือเกิน คนเขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ก็ยังจะพยายามอยู่ได้ เป็นฉันถอดใจ ไม่มายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว”

“ผมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอกครับ อดีตนักมวยอย่างผม ฝึกฝนร่างกายยอมรับสภาพความเจ็บปวดมาเยอะ จิตใจก็เคยถูกทำร้ายมาแล้ว ผ่านเรื่องร้ายแรงมาก็เยอะ แต่ผมก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ สำหรับเรื่องแค่นี้ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆอยู่แล้ว จะไม่มีวันถอยหนีจนกว่าคุณจะยอมรับรักผม ยอมเป็นแฟนผม ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน หรือใช้เวลานานเท่าใดที่จะเปลี่ยนจิตใจคุณ ผมก็จะพยายามทำจนสุดความสามารถเลย”

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดซ้ำ เบื่อแล้ว ว่าแต่จบหรือยังล่ะ เรื่องเล่าเช้านี้ของนายน่ะ”

ผมเหน็บแนมเขา พลางขยับตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดของเขา แต่ก็ไม่สามารถคลายอ้อมแขนของเขาได้
“ยังไม่หมดหรอกครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณยังไม่รู้”

“เล่ามาสิจะมาอมพะนำอยู่ทำไม”

ผมเร่งให้เขาเล่าออกมาให้หมด เพราะอึดอัดกับสภาพการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนไม่ว่าผมอยู่ตรงไหน ก็ไม่วายจะถูกลวนลามจากเขาจนได้

“ไม่หิวข้าวเหรอครับ” เขาถามผม

“ก็กินแล้วนี่”

“นั่นมันอาหารเช้า นี่มันก็บ่ายจวนจะเย็นแล้ว คุณเพิ่งมีอาหารตกถึงท้องแค่มื้อเดียว ไม่ได้นะครับเสียสุขภาพแย่ เดี๋ยวผมจะทำอาหารให้ทานนะครับ หรือถ้าไม่ชอบจะให้ผมออกไปซื้ออาหารข้างนอกให้ทานก็ได้”
เขาอิงศีรษะซุกซบกับผม ตอนแรกผมตั้งท่าจะปฏิเสธ เพราะนึกโมโหการท่ามาก ยืดเยื้อของเด็กหนุ่ม

ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เขาไม่เล่าจนหมด แล้วกั๊กเอาไว้ เป็นเพราะเขาหาทางที่จะอยู่กับผมให้มากที่สุด เพื่อจะได้ลวนลามผมตามอำเภอใจ เพราะเขาก็คงจะคิดแบบเดียวกับผมว่า เมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ผมอีก แต่แล้วความคิดผมก็สว่างวาบขึ้น หากผมให้เขาออกไปข้างนอกอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารมาให้ผมทาน ผมก็จะมีเวลาหนีไปจากที่นี่ได้ คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยรีบรับมุขทันที

“อื้อ จริงสินะ ชักเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ”

“เห็นไหม ว่าแล้วว่าคุณต้องหิว กินอะไรดีครับ ผมทำให้กินเอาไหม”

เขาจูบแก้มผมอย่างรักใคร่อีกครั้ง ผมพยายามขืนตัวหนี แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงกอดไม่ปล่อย

“ไม่เอา ไม่อยากจะท้องเสีย ไปซื้อมากินดีกว่า”

“เรียวล่ะก็ ผมทำอาหารอร่อยนะครับ แต่ไม่เป็นไร ไปซื้อกินก็ได้ ว่าแต่อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

ผมพยายามนึกถึงรายชื่ออาหารที่จะกิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำ เพื่อจะได้ถ่วงเวลาให้เขาไปนานๆหน่อย

“ต้มยำรวมมิตร , ยำปลาหมึก , คะน้าปลาเค็ม , พะแนงหมู , แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย , กระเพราไข่เยี่ยวม้า , ทอดมันกุ้ง ........”

ผมบอกเมนูอาหารมื้อเย็นตามแต่จะนึกได้ เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาที่ผมสังเกตเห็นจากในกระจก บ่งบอกว่าเขารู้เท่าทันผมทุกอย่าง เขาแกล้งกดจมูกลงบนซอกคอผมแรงๆแล้วจูบแบบเน้นๆก่อนจะผละออกจากผมอย่างเสียดาย

“ทั้งหมดนี้แหละที่อยากกิน เอ้อ.....เยอะไปหน่อย แต่มันรู้สึกหิวน่ะ ของพวกนี้ก็ของชอบด้วย นายไปซื้อให้ได้ไหมล่ะ”

ผมถามอย่างท้าทาย เขายิ้มกริ่ม

“ถ้าหากยอดรักของผมคิดว่าจะทานอาหารพวกนี้หมดล่ะก็ ผมก็ยินดีที่จะไปซื้อมาให้ทานนะครับ แต่ว่าเราต้องไปซื้อด้วยกันนะ”

“หา........”

ผมอุทานอ้าปากค้าง นึกงงกับเจ้าหมอนี่ เขาคิดอะไรของเขากันแน่นะ

“ไปด้วยกันจะได้ช่วยกันเลือกน่ะ”

“นายกลัวว่าถ้าทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันจะหนีนายเหรอ”

ผมถามเขาไปตามตรง เพราะไม่แน่ใจว่า การที่เขาไม่ทิ้งผมไว้ตามลำพัง เป็นเพราะกลัวว่าผมจะหนีอีกหรือเปล่า แต่การที่เขาพาผมไปด้วย มันก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าผมจะไม่หนีนี่นา เด็กหนุ่มส่ายหน้า แล้วพูดยิ้มๆกับผม

“ไม่กลัวหรอกครับ เพราะถ้าผมจะทิ้งคุณไว้ที่นี่ ผมก็คงจะจับคุณมัดไว้อย่างเดิม อาจจะโปะยาสลบคุณอีกครั้ง แล้วล๊อคห้องไว้ให้แน่นหนา คุณก็หนีไปไหนไม่ได้แล้วครับ”

จริงสินะ ผมคิด เขาสามารถที่จะทำอย่างนั้นก็ได้หากจะทำ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น

“ทำไม” ผมถามเขาอย่างสงสัย

“เพราะว่า.........” เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาที่จริงใจ

“ผมไม่ได้จับคุณมาเพราะเจตนาไม่ดีนะสิ ผมทำอย่างนี้เพียงเพราะว่าอยากจะมีโอกาสใกล้ชิดกับเรียว อยากจะขอร้องให้คุณเป็นคนรักของผม การมัดคนรักให้สิ้นอิสรภาพมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง    ผมไม่อยากทำให้คุณเกิดความอึดอัดรำคาญใจน่ะครับ”

“แล้วการให้ฉันออกไปด้วยกับนายเนี่ย มันจะดีกว่าหรือ”

ผมหยั่งท่าทีของเขา ดูว่าเขาคิดอย่างไร และมองหาว่าจะมีช่องทางหรือโอกาสให้ผมหนีได้มากน้อยแค่ไหน

“อื้อ ...ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันจะดีกว่าหรือแย่กว่า ผมแค่อยากปล่อยให้เรียวได้เป็นอิสระบ้าง ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก ยืดแข้งยืดขา รับอากาศดี ไม่ต้องมาอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆแบบนี้ อยากไปเลือกซื้อกับข้าวที่เรียวชอบ มากินกันสองคน ผมไม่กลัวหรอกครับว่าเรียวจะคิดหนีหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยๆผมก็ได้แสดงให้เรียวได้รู้ว่า ผมจริงใจกับเรียวแค่ไหนนะครับ แล้วผมก็คิดว่าเรียวคงไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้แน่ๆ”

เด็กหนุ่มตอบผมด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของตัวเอง มาแปลกแฮะ ผมคิด มัดผมได้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่บทจะใจดีก็ปล่อยผมซะดื้อๆงั้นแหละ แถมซ้ำไม่กลัวด้วยว่าผมจะหนีหรือไม่ ช่างมั่นใจเสียจริงว่าถ้าเขาดีกับผม แล้วผมจะต้องดีกับเขาตอบแทนด้วยการไม่ฉวยโอกาสหนีไป

“ไปกันเถอะครับ”เด็กหนุ่มหันไปเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองใส่กระเป๋าสะพายเรียบร้อย แล้วจึงหันมาหาชวนผม

“จะไปทั้งยังงี้เลยเหรอ”

ผมใช้สายตาจับจ้องที่ลำตัวท่อนบนของเขาที่เปลือยเปล่า เป็นการบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาไม่อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะออกไปข้างนอกได้ เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาสวมใส่ แล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง แล้วหยุดยืนรอจนกระทั่งผมเดินไปถึงตัวเขา เขาจึงเปิดออก ทันทีที่ประตูแง้มออกกว้าง เขาก็คว้าข้อมือผมไว้ เหมือนกลัวว่าผมจะหนี

“ไหนบอกไม่กลัวไงล่ะ”

เขายิ้มใส่ตาผม

“กันไว้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะตามแก้สถานการณ์ไม่ทัน”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 20-08-2007 21:39:21
จะรอดมั๊ยน๊าาา  :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-08-2007 22:00:29
รอลุ้นต่อไป ว่าแล้วว่าต้องเกี่ยวกับเรียวอีกแน่ๆ  :m9:  :m9:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 20-08-2007 22:17:13
  :o อะโห ลุงแน๋ว รีบโพสต์มากมาย ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ค่ะ  เดี๋ยวแฟนๆจะอ่านไม่ทันกัน  :m17:  อาโฮ่ๆๆๆๆ  คริคริคริ ยังไงก็อย่าลงเร็วมากนะคะ  :m26: พี่เคทยังแต่งเรื่องใหม่ๆไม่ถึงไหนเลย  :m29:  เดี๋ยวหมดนิยายแว้วววววว พี่เคทมีเรื่องใหม่ต่อให้ไม่ทันนะ  :m2:
อิอิอิ 
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 20-08-2007 22:35:15
 :m3: อิอิ ที่แท้ก็มีปมหลังถึงขนาดเคยช่วยชีวิตไว้เลยน่ะเนี่ย

แล้วอีกเรื่องที่ยังไม่เล่าก็คงเด็ดไม่แพ้กันแน่ๆเลย รอๆๆๆๆๆๆอ่านต่อนะค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 20-08-2007 22:44:04
หุ หุ ลงชื่อรออ่านต่อครับ

 :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 21-08-2007 02:59:05
 :m3: :m3:....พรมลิขิตบันดาลชักพา.....โฮะๆๆๆ   

จะเจอกันอีกไหมเนี่ยะ....รออ่านต่อนะจร๊า ...สนุกมากๆ เลยเรื่องนี้   :a9:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 21-08-2007 08:36:54
 o13  มาให้กำลังใจแน๋ว...   :m9:
แม๋ๆน้องเดียร์... ถูกพี่เรียว ช่วยตั้งก่าเด็กจนเป็นหนุ่ม :m4:
พอเป็นหนุ่มปุ๊บ กลับตอบแทน ด้วย การ ฉุดมาเป็นแฟนเดียร์ ซะนี่ เอิ้กๆ  :m3:

:m1:  ร้ายเจงๆ แต่ชอบน้องเดียร์ ชะมัด   :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 23-08-2007 12:06:08
บทที่ 7

เด็กหนุ่มพาผมออกมาจากห้องของเขา ผมเหลียวมองไปรอบๆ ตึกที่พักของเดียร์มีสภาพคล้ายแฟลตรูปทรงตัวโอ มีช่องว่างโล่งตรงกลางกั้นห้องพักด้านซ้ายขวา ห้องของเด็กหนุ่มอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร ห้องริมสุดติดกับทางเดินไปสู่บันไดทางลง ไม่มีลิฟท์ ต้องเดินลงไปเอง ผมรู้สึกทึ่งที่เด็กหนุ่มสามารถพาผมขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ตอนนั้นผมถึงยาสลบโปะจนไม่มีสติ แสดงว่าเขาต้องอุ้มผมขึ้นมาแน่ๆ ผมได้กลิ่นทะเล ลอยมาจากที่ไกลๆ ผมรู้แล้วว่าผมต้องอยู่ในจังหวัดที่ติดกับชายทะเลที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

มีคนเดินผ่านไปผ่านมาสวนกันกับผม และเขา น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งๆที่มีโอกาสจะทำได้ อาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร นอกเหนือจากการขอความรักจากผมแล้ว เขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะทำร้ายร่างกายผมให้บาดเจ็บเลย ที่สำคัญเขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจผม จนไม่คิดแม้แต่จะยอมคุมขัง กลับปล่อยให้ผมออกมาข้างนอกกับเขา โดยเพียงแค่จับมือผมไว้เท่านั้น

“เราไปห้างที่อยู่ใกล้ๆนี้กันนะครับ ไม่ใช่ห้างใหญ่โตเท่าในกรุงเทพนะ แต่ก็มีหลายอย่างที่เราจะหาซื้อได้ ที่ตรงสวนอาหารก็น่าจะมีสิ่งที่เรียวต้องการ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเรียวยังจะอยากกินแบบที่เรียวพูดเมื่อกี้อีกหรือเปล่า แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจ เราก็ไปกินสุกี้ หรืออาหารฟาสต์ฟูดส์ อื่นๆก็ได้ หรืออยากไปกินอาหารทะเลกันดี ผมรู้จักร้านอาหารทะเลเจ้าอร่อยๆนะครับ อยากไปกินไหม”

เขาชวนคุยจ้อ ทำท่าทางประจบประแจงผมสุดฤทธิ์ ผมมองความกระตือรือร้นที่เขามีต่อผม แล้วก็ต้องถอนหายใจ เด็กหนุ่มคนนี้ดูท่าทางแล้ว ไม่ใช่คนที่มีพิษภัยอะไร เขาไม่ใช่คนที่ร้ายกาจ ชีวิตของเขาตามที่เล่ามาก็น่าสงสาร การที่เขามาเกาะติดกับผมแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องการใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ อยากให้มีใครสักคนที่รักเขาจริงๆ แต่โชคร้ายที่เขาดันมาเลือกคนผิด ถ้าหากว่าเขาไม่คิดกับผมแบบคนรัก ผมอาจจะใจอ่อนดีด้วยกับเขา และคบหาเขาเป็นเพื่อนอีกคนของผมก็ได้

“ว่าไงดีครับ” เขาเลิกคิ้วถามผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มละไมฉาบไปทั่ว

“ไปกินบรรยากาศแถวชายทะเลก็ได้”

อยู่ๆผมก็เกิดอยากนั่งพักผ่อนริมทะเลแบบสบายๆขึ้นมา ความคิดที่จะหนีมลายไปจากสมองของผม

“ได้เลยครับ นี่ก็เย็นแล้วนะครับ ถ้าเรารีบไป เราก็จะได้เลือกที่นั่งที่สามารถมองเห็นทะเลได้ใกล้ที่สุดนะครับ ถ้าไปช้า จะไม่ได้ที่นั่งที่ต้องการ งั้นเรารีบไปกันดีกว่านะครับ”

“แล้วเราจะไปไงกันล่ะ” ผมถามเขา หลังจากลงมายืนกันข้างล่างแล้ว

“ไปรถคุณดีไหมครับ” เขาเสนอ

“นายจะขับเหรอ” ผมถามเขา

“ให้คุณขับดีกว่าครับ รถของคุณ แค่ตอนขับพาคุณจากกรุงเทพมาที่พัทยานี้ ก็กลัวว่าจะไปทำให้รถคุณเสียหายจะแย่แล้ว” เขาบอกอย่างเกรงๆ

“ไม่กลัวว่าฉันจะขับกลับบ้านเหรอ”

ผมหยั่งเชิงดูว่าเขาจะพูดยังไง เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มกริ่ม ตาเป็นประกายแพรวพราว

“ดีสิครับ ไปบ้านเรียวก็ได้ หรือไปที่ไหนๆก็ได้ ทุกๆที่ที่มีคุณอยู่ ที่นั้นต้องเป็นที่ที่มีความสุขที่สุดสำหรับผมครับ”

ผมถอนหายใจกับความดื้อดึงของเจ้าหมอนี่เหลือเกิน นี่ถ้าไม่ได้ความรักจากผม คงจะตื้อไม่เลิกราเป็นแน่
“เอากุญแจมาสิ”

ผมบอกเพื่อเป็นการตัดบท ไม่อยากต่อปากต่อคำ รู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางสลัดเจ้าหมอนี่พ้น คงจะต้องใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ค่อยๆพูดเพื่อให้เขายอมรามือจากผมไปเอง

เด็กหนุ่มล้วงกุญแจรถของผม จากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ พร้อมกับเดินนำผมไปตรงลานจอดรถใต้ต้นไม้ที่เขาจอดรถผมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน ผมเปิดประตูรถด้านข้างคนขับขึ้นไปนั่ง เด็กหนุ่มเปิดประตูรถอีกข้าง แล้วก้าวขึ้นมานั่งคู่ ตลอดเวลาเหล่านั้นเขาทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ท่าทางเขาเหมือนเด็กๆ ถึงแม้จะตัวโตกว่าผู้ใหญ่บางคน รวมถึงผมด้วย และผ่านอะไรในชีวิตมามากมาย แต่ความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง ก็ยังเป็นเด็กตามอายุอยู่

“ยิ้มอะไร” ผมถามอย่างพาลๆที่เห็นเขาทำหน้าระรื่นอยู่ได้

“ยิ้มให้กับความสุขของตัวเองครับ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดคุณตลอดเวลาแบบนี้ ฝันมานานมากแล้ว พอมีโอกาสเป็นจริง ก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้ครับ”

สายตาที่มองผมเปล่งประกายความรักที่ลึกล้ำจนผมต้องเบือนหน้าหนี หันมาให้ความสนใจกับการขับรถ ผมลืมเรื่องที่จะขับรถหนีไปโดยสนิทใจ บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่ทำเมื่อมีโอกาส ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เขาลักพาตัวผมมา รวมถึงข้อต่อรองบ้าบอที่เขาขอร้องผม แม้ว่าผมจะต้องการอิสรภาพเพียงไร แต่ผมก็คิดว่า หากผมหนีไปดื้อๆ โดยไม่พยายามที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ ผมก็คงจะไม่มีวันหนีเด็กคนนี้ไปได้ตลอดชีวิต

ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะผมเองก็เคยเป็นมาก่อน เคยรักใครบางคนมากๆ และพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนๆนั้นมาเป็นของตัวเอง ไม่ยอมล้มเลิก จนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย เด็กลูกครึ่งคนนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับผม โดยเฉพาะความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เพียงแต่ว่าความพยายามของเขามันจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผมลงได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ถ้าผมแสดงให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานเขาคงจะถอดใจ เมี่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่คิดที่จะหนีไปไหน แต่กลับหันหน้ามาเผชิญกับเขาเพื่อทำให้เขายอมรับความจริงให้ได้

เด็กหนุ่มบอกทางผมจนกระทั่งถึงร้านอาหารที่เขาจะชวนผมมาทาน เดียร์บอกกับผมว่าร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนนักมวยของเขาที่ชื่อน้อย เพิ่งจะเปิดใหม่ได้ไม่นานนักหลังจากที่เลิกราจากการชกมวย เนื่องจากการถูกลอบทำร้ายคราวนั้นจนไม่สามารถจะชกมวยได้ต่อไป

ตอนที่เดียร์เดินนำผมเข้าไปในร้าน มีผู้หญิงรูปร่างเตี้ยล่ำ ตัวใหญ่ ผิวคล้ำ ผมยาวประบ่า แต่งหน้าเข้มจัด ยืนอยู่ในร้านตรงแคชเชียร์ ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นพวกกระเทยแต่งหญิงแน่นอน เขารีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ ผมเห็นคนทั้งคู่สวมกอดกันด้วยความดีใจ

“มาได้ไงกันฮะ ไอ้หนูจอมลีลา”

“อื้อ เพิ่งมาเมื่อคืนวาน อ้อ เมื่อวานฉันไปขอยืมห้องนายใช้นะ ตามที่โทรมาขอไว้น่ะ”

เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณเพื่อนกระเทย ผมเลยเพิ่งรู้ว่าห้องในแฟลตแห่งนั้นเป็นห้องของเพื่อนของเดียร์ที่เขาขอขืมมาเพื่อจับตัวผมไปขังนั่นเอง มันทำให้ผมสงสัยว่า สองคนนี้สมคบคิดกันหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นหน้าซื่อๆของน้อย ก็เลยคิดว่า อาจจะเป็นความคิดของเด็กนี่คนเดียวก็ได้

“แล้วนี่พาใครมาด้วยล่ะ”

กระเทยคนนั้นหันมามองผม แล้วทำหน้ายิ้มๆ แบบรู้ทัน ผมหันไปมองเดียร์ ก็เห็นเขาทำหน้าอายๆ เขาหันไปพูดกับน้อยว่า

“น้อย นี่คุณเรียวนะ คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังน่ะ ว่าช่วยชีวิตฉันหลายครั้งแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันมาหาผม และแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนนักมวยของเขา

“เรียวครับ ผมจะแนะนำให้รู้จักครับ นี่น้อยเพื่อนผม”

“ว้าว” น้อยร้องอุทาน

“คุณเองหรือคะที่เป็นนางฟ้าประจำตัวของนายเดียร์ หน้าตาดีแบบนี้นี่เอง มิน่า นายเดียร์ถึงได้คลั่งนัก คลั่งหนา จะเป็นจะตายเพราะคิดถึงคุณน่ะ”

กระเทยตัวล่ำเดินวนรอบตัวผม แล้วส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่น จนผมเกิดความอาย แล้วรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือนเดียร์จะคอยจับตามองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมยืนนิ่ง เดียร์ก็คว้าแขนน้อยเอาไว้ แล้วกระซิบอะไรบางอย่างข้างๆหูซึ่งน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผม เพราะผมเห็นน้อยอ้าปากค้างตาโต มองมาที่ผม หลังจากนั้นก็ไม่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดใส่ผมอีกแต่พาเราสองคนไปเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดตรงศาลาท่าน้ำที่ยื่นออกไปตรงป่าโกงกางที่ขึ้นหนาแน่น โดยห่างจากนั้นออกไปไม่ไกลก็เป็นทะเล เราสามารถได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าสู่ฝั่งแว่วๆ

แทนที่เดียร์จะนั่งตรงกันข้ามกับผม เขากลับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ โดยที่ให้ผมนั่งด้านในส่วนตัวเขานั่งด้านนอก เป็นการกันไม่ให้ผมหนีไปไหน ผมมองเขาอย่างเคืองๆ แต่เด็กหนุ่มทำหน้ายิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ
น้อยเชิญชวนให้เราทานอาหารที่ขึ้นชื่อของร้านหลายอย่าง เดียร์หันมาถามความคิดเห็นของผม แล้วก็พูดเชียร์ให้ผมเลือกสั่งอาหารตามที่น้อยแนะนำ โดยบอกว่าพ่อครัวที่นี่ฝีมือดีมาก ถึงแม้ว่าร้านน้อยจะเป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีคนเข้ามากินเยอะมาก

“เอาปูผัดผงกระหรี่ กุ้งอบวุ้นเส้น โป๊ะแตก ปลาหมึกผัดไข่เค็ม กุ้งเผา ปูเผา นะ”

เดียร์ร้องสั่งเพื่อนกระเทย น้อยจดออร์เดอร์เสร็จ ก็เดินไปยังครัว ปล่อยให้ผมกับเด็กหนุ่มนั่งกันตามลำพังสองคน ผมมองหน้าเดียร์พลางถามเขาว่า

“จะทานหมดเหรอ”

“อืม ต้องหมดสิครับ เมื่อกี้เรียวบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ ร้านนี้อาหารเขาอร่อยมากนะครับ เรียวทานแล้วจะต้องติดใจแน่ๆเลย อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงเรียวเอง”

เด็กหนุ่มทำท่าวางก้ามเป็นเสี่ยใหญ่

“หมดนี่ก็คงจะหลายพันแน่ นายมีเงินเหรอ”

“มีครับ ผมเตรียมเงินมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลย”

“หา.....” ผมอุทานอย่างงงงวย

“เตรียมการเรื่องฉันเนี่ยนะ”

เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาหยี ก่อนจะรับสารภาพอย่างอายๆว่า

“ครับ มันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งอ่ะ ผมพร้อมทุ่มทุนสุดชีวิตเพื่อให้ได้เรียวมาเป็นแฟน จริงๆแล้วก็เตรียมเงินไว้สำหรับพาเรียวไปเลี้ยงฉลองที่เราจะได้เป็นแฟนกัน แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้แต่แรก ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร เลี้ยงตอนนี้ก็ได้ ถ้าเราได้เป็นแฟนกันแล้ว ผมค่อยมาเลี้ยงเรียวอีกครั้งนะครับ”

“คงไม่มีงานเลี้ยงครั้งหน้าแน่” ผมประกาศก้อง

“แหมเรียวล่ะก็........อย่าเพิ่งมั่นใจอย่างนั้นสิครับ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้นะ”

“แต่ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่ นายหาคนรักผิดคนแล้ว”

“ผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจเหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆด้วย เรามาลองกันสักตั้งดูใหม ถ้าเรียวยอมเป็นแฟนผม ผมจะทำให้เรียวรักผมให้ได้เลย คอยดูสิ” เด็กหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ

“ไม่มีวันที่ฉันจะไปตกลงเรื่องบ้าๆแบบนี้หรอก” ผมบอกเขาอย่างมั่นใจเช่นกัน

“คอยดูกันไปแล้วกัน”

เขาบอกอย่างมีเลศนัย ผมมองเขาด้วยสายตาคลางแคลง นึกในใจว่า หมอนี่ มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรหรือเปล่า เขากำลังคิดจะทำอะไรกับผมนะ

“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ที่รักของผม”

เขาพูดเสียงอ้อน ทำตาหวานเยิ้มใส่ผมอีกแล้ว เขาเอื้อมมือมาดึงมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะไปกุมไว้ แล้วยกมันขึ้นมาจูบ ผมพยายามจะชักมือหนี แต่มือของเขาจับมือผมแน่นเหลือเกิน จนผมละความพยายามปล่อยให้เขากุมมือผมไว้แบบนั้น

“อาหารมาแล้ว”

เขาร้องบอกพลางปล่อยมือผม แล้วถูไม้ถูมือ เป็นท่าเตรียมพร้อมให้รู้ว่าถึงเวลาลงมือกินข้าวปลาอาหารกันได้แล้ว เด็กหนุ่มแกะปูแกะกุ้งใส่จานให้ผม เขาเอาอกเอาใจผมจนเหมือนว่าเราเป็นคู่รักกัน เขาจะคอยตักโน่นตักนี่ให้ผมตลอดเวลา ห้ามก็ไม่ฟัง ยังคงทำท่ากระตือรือร้นเต็มอกเต็มใจบริการอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าผมจะรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็อดที่จะรู้สึกดีๆกับเขาไม่ได้

ผมรู้สึกเจริญอาหารอย่างมาก กินทุกอย่างจนหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหิวจริงๆ หรือเพราะบรรยากาศที่เงียบสงบ สบายๆของสถานที่ หรือเป็นเพราะมีคนเอาอกเอาใจจนไม่ต้องทำอะไรเลยกันแน่ รู้แต่ว่าผมอิ่มจนพุงกาง

“นี่นี่ มีอาหารติดตรงปากเรียวน่ะ ผมเช็ดให้นะ”

เขา ชี้ตรงมุมปากตนเอง ผมมองหาทิชชู่ที่จะมาเช็ดปาก แต่ก็ช้าไปกว่าเดียร์ซึ่งกระเถิบเข้ามาจนชิดตัวผม แล้วก่อนที่ผมจะทันห้าม เขาก็ก้มหน้าลงมา แล้วแลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากของผม แล้วกลืนเจ้าเนื้อปูเข้าปากตนเอง เขายังไม่ยอมผละออกง่ายๆ แต่กลับจูบที่ปากของผม แล้วใช้ลิ้นไล่ไปตามแนวปาก

“เอาล่ะ สะอาดแล้วครับ”

เขาผละออก แล้วมองผมยิ้มๆ ผมมองเขาอย่างเคืองๆ เอาทิชชู่เช็ดปากแรงๆหลายครั้ง เขายิ้มที่เห็นผมทำกริยาอย่างนั้น แล้วเหมือนว่าเขาจะแกล้งที่ผมทำท่ารังเกียจเขา เขาใช้มือข้างหนึ่ง โน้มคอผมให้เข้ามาใกล้ แล้วอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงจูบผมอย่างหนักหน่วงและแทรกลิ้นเข้าไปในปากที่กำลังอ้าเผยอของผมอย่างรวดเร็ว

ผมพยายามผลักเขาออก แต่ก็เหมือนกับผลักก้อนหิน เพราะเรี่ยวแรงของผมไม่เพียงพอที่จะขยับเขยื้อนร่างนั้นได้

เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้แนบอก ยังไม่หยุดจูบผม จูบของเขาอ่อนหวานและเรียกร้องอยู่ในทีจนผมขนลุกซู่ไปหมด ความวาบหวามก่อตัวขึ้นภายใน แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เขาก็เป็นฝ่ายผละออกเอง เด็กหนุ่มมองผมตาละห้อย เหมือนไม่อยากจะปล่อยผมไปง่ายๆ

ผมเหลียวมองไปรอบตัว กลัวว่าจะมีคนมองอยู่ แต่โชคดีที่บริเวณศาลาที่ผมกับเขานั่งอยู่ค่อนข้างจะลับสายตาคน มีกิ่งก้านของต้นโกงกางปิดบังเราสองคนไว้จากคนอื่นๆ

“ฉวยโอกาสตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกนาทีเลย.........”

ผมต่อว่าเขาเสียงขุ่น เขากลับทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ผม แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า

“เรียวก็เหมือนกัน ไฟจุดติดง่ายตลอดเวลาเลย อยากรู้เหมือนกันนะ ถ้าผมพยายามต่อไป เรียวจะให้ผมทำทุกอย่างหรือเปล่า”

“ไม่มีทาง”

ผมตอบ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน หลายครั้งแล้วที่เวลาเขาแตะต้องตัวผม ที่ผมมักจะรู้สึกมีอารมณ์หวั่นไหวตามไปด้วย น่ากลัวมากเลยที่ความรู้สึกแบบนี้วนเวียนอยู่ในความนึกคิดของผม ซึ่งส่งผมมาสู่ร่างกาย  และที่น่าตกใจคือ ผมเองก็พร้อมจะสนองตอบเขาทุกครั้งที่เขาสัมผัส

“คุยอะไรกันอยู่หรือจ๊ะ หนุ่มๆ”

เสียงห้าวๆที่พยายามจะบีบให้แหลมเล็กดังขึ้นมาก่อนตัว และแล้วร่างเตี้ยร่ำในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงสีสันฉูดฉาดก็นวยนาดขึ้นศาลามา

“อาหารอร่อยไหมคะ คุณเรียว”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ เจ้าหล่อนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างถูกใจ

“จริงหรือคะ แหม ดีใจจัง ดูสิ ทานกันจนหมดเกลี้ยงเลย จะทานอะไรอีกไหมคะ”

คราวนี้ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะรู้สึกอิ่มจนตื้อไปหมด  อยากกลับไปที่พักแล้ว เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆที่ยังคั่งค้างกันอยู่

“งั้นเอาไว้วันหลังก็ได้ เดี๋ยวให้เดียร์พาคุณเรียวมาทานอีกก็แล้วกัน”

“คงไม่ได้มาอีกแล้วล่ะครับ”

ผมบอกเขา น้อยทำตาโต อ้าปากค้าง แล้วหันไปมองหน้าเดียร์ก็เห็นเขากำลังทำหน้าจ๋อยๆอยู่ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับน้อยอย่างเศร้าๆ ดูเหมือนว่าน้อยจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้ดี โดยที่เดียร์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบาย

“ไม่เป็นไรค่ะ หากวันหน้าวันหลังผ่านมาทางนี้ก็มาแวะได้ น้อยยินดีต้อนรับเสมอค่ะ”

“ครับ”

ผมรับคำเพื่อจบการสนทนา แต่น้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปง่ายๆ เขากลับนั่งลงตรงข้ามผมและเดียร์

“เดียร์เล่าเรื่องของเขากับน้อยให้ฟังหรือยังคะ” เขาเอ่ยปากถามผม

“เล่าแล้วครับ เขาบอกว่าคุณสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่วไปต่อยมวยด้วยกัน”

“ค่ะ แต่น้อยโด่งดังก่อนเขานะคะ เขาน่ะเพิ่งมาดังขึ้นตอนที่น้อยมีเรื่องตอนนั้น จนชกมวยไม่ได้ นี่ถ้าไม่เกิดเรื่อง น้อยก็โด่งดังในเวทีระดับชาติไปแล้ว”

แววตาของน้อยหม่นหมองลง เขาก้มหน้าเพื่อเก็บงำความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจว่า

“เรื่องร้ายแรงมันผ่านไปแล้วนะครับ ตอนนี้คุณก็มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

น้อยเงยหน้าขึ้น

“ทำร้านอาหารก็สนุกดี ไม่ต้องเจ็บตัว เหนื่อยเหมือนกัน แต่มันเหนื่อยคนละแบบค่ะ”

“เป็นไงมาไงล่ะครับ ถึงได้มาทำร้านอาหารได้”
น้อยหันไปสบตาเดียร์เป็นเชิงถามความเห็น เดียร์พยักหน้า น้อยจึงหันมาถามผมว่า

“เดียร์เล่าเรื่องราวของเขากับน้อยให้ฟังถึงตอนไหนแล้วล่ะค่ะ”

ผมหันไปมองหน้าเบียร์ซึ่งนั่งมองหน้าผม และยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

“ตอนที่เขาบาดเจ็บเพราะถูกยิง”

“อ๋อ .....” น้อยลากเสียงยาว ก่อนจะจีบปากจีบคอเล่าต่อ

“หลังจากที่เดียร์ชกชนะนักมวยของผู้มีอิทธิพลในวงการมวยคนนั้น แล้วถูกตามไล่ล่า จนกระทั่งถูกยิงจนบาดเจ็บ ถ้าไม่ได้คุณเรียวช่วย เขาก็คงจะตายอย่างหมาข้างถนน ตอนนั้นน้อยอยู่ที่ค่ายมวย กับเฮียเข้ม และเพื่อนนักมวยอีก 4-5 คน กำลังรอเดียร์กับนักมวยคนอื่นๆที่ไปเที่ยวด้วยกันกับเขากลับมา

เรารู้สึกเป็นห่วงที่เขาหายไปนาน ไม่ยอมโทรกลับมาบอกว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร โทรไปก็ไม่รับสาย  ซึ่งโดยปกติ เดียร์จะโทรมาบอกตลอด แต่นี่ไม่โทร ผิดสังเกตมาก พวกเราก็คิดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกของเดียร์แน่ๆ จึงจะพากันออกไปตาม ก็พอดีมีพวกนักเลงโผล่เข้ามาอีกแบบวันก่อน เราก็เลยต่อสู้กับพวกมัน

สักพักนักมวยที่ที่ไปกับเดียร์ก็กลับมาในสภาพที่สะบักสบอม พวกเราต่อสู้กับพวกอันธพาลเหล่านั้น ป้องกันไม่ให้มันมาทำลายค่ายมวยของเรา ส่วนน้อยก็เล็ดลอดเข้าไปในบ้านโทรศัพท์เรียกตำรวจมาช่วย”

“หลังจากที่ได้ยินเสียงรถตำรวจแล่นเข้ามา พวกมันก็พากันหลบหนี พวกเราไปให้ปากคำกันที่โรงพัก แจ้งความตามหาตัวเดียร์ แล้วก็ออกติดตามเขาตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่ไม่เจอ คิดว่าคงจะคลาดกันกับคุณ ตอนนั้นพวกเราใจเสียคิดว่าเดียร์ตายแล้ว เพราะมีนักมวยตายไปหนึ่งคน เฮียเข้มแจ้งความกับตำรวจเพื่อให้ตามหาตัวคนร้ายมาจัดการ และตามหาเดียร์ให้ได้”

“ทางโรงพยาบาลที่เดียร์ไปรักษาโทรมาหาพวกเราหลังจากนั้น บอกว่ารับตัวเดียร์เป็นคนไข้ โดยมีญาตของเดียร์ออกค่ารักษาพยาบาลให้แล้ว พวกเราก็คงว่าใครคือญาตคนนั้นของเดียร พอเดียร์ฟื้น เขาก็เล่าให้ฟัง เขาได้ชื่อคุณมาจากนางพยาบาลเวรนั่นแหละ เพราะคุณบอกให้พยาบาลคนนั้นดูแลเดียร์อย่างดี แล้วคุณก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ ในกรณีที่เดียร์ไม่มีญาติแล้วไม่มีใครช่วยในเรื่องค่ารักษา เดียร์เขาก็เลยเก็บเบอร์นั้นไว้ กะว่าถ้ามีโอกาสเขาจะไปขอบคุณคุณเรียว”

“หลังจากเดียร์หายแล้ว แต่เราก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ว่าใครคือคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง เฮียเข้มแกเลือดขึ้นหน้าที่มาทำกับค่ายมวย และคนของแกถึงสองครั้ง แกก็เลยเดินเรื่องจี้ตำรวจ โดยให้ผู้ใหญ่ที่แกรู้จักช่วย

แต่ดูเหมือนว่าความยุติธรรมยังยื่นมือไปจัดการกับคนชั่วไม่ถึง เพราะเฮียเข้มได้รับการขอร้องจากผู้ใหญ่คนนั้น ซึ่งถูกบีบบังคับจากผู้มีอำนาจบางคนให้วางมือจากเรื่องนี้ซะ มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องเดือดร้อนกับตัวเอง และคนที่ตัวเองรัก ถ้าหากไม่เอาเรื่อง ก็จะให้เงินเฮียเข้มมาก่อนหนึ่งเป็นการลงทุนทำอะไรก็ได้ โดยแลกกับนักมวยและคำสัญญาของเฮียเข้มที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมวยอีก

เฮียเข้มแกเห็นกับครอบครัว และพวกนักมวยที่แกปั้นมา ไม่อยากให้พวกนั้นเดือดร้อน ก็เลยยินยอมทำตาม ทั้งๆที่งานนี้เป็นงานที่แกชอบที่สุด หลังจากนั้นเฮียเข้มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครติดต่อแกได้เลย มีคนบอกว่าแกไปอยู่เมืองนอกกับลูกหลานแก เฮียเข้มทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ แม้แต่ฉันซึ่งแกบอกว่ารักมาก แกมอบทุกอย่างให้คนอื่นไปหมด ทั้งนักมวย และ
ค่ายมวย ตกเป็นของผู้มีอิทธิพลคนนั้น”

“เดียร์เป็นนักมวยในค่ายเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมไปก้มหัวให้ผู้มีอิทธิพลคนนั้น เขาไม่อยากเป็นเครื่องมือให้โจรถ่อย ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเถื่อน แต่เพื่อรักษาชีวิตให้รอด เขาก็ใหสัญญากับผุ้มีอิทธิพลท่านนั้นว่าจะไม่ยอมเหยียบย่างเข้าวงการอีก”

“ส่วนน้อยชกมวยไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเฮียเข้มจากไป น้อยก็เคว้งคว้างเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ไม่รู้จะทำอะไร จะเข้าไปเรียนต่อก็ทำไม่ได้ เพราะตอนเป็นนักมวย น้อยไม่ได้เรียนต่อแบบเดียร์ซึ่งรักการเรียน แม้จะเป็นนักมวย ก็ยังคงเรียนหนังสือต่อไปด้วย เมื่อไม่ได้ชกมวย เดียร์กับน้อยก็ไม่รู้จะไปทำอะไร

พอดีน้อยมีเพื่อนทำงานอยู่คณะโชว์ แบบคาบาร์เรต์ขของสาวประเภทสอง  ตัวแสดงตลกคนหนึ่งของเขาไปแต่งงาน ทำให้ไม่มีใครแสดง เขาเลยให้น้อยไปลอง น้อยก็เอาเดียร์พ่วงไปด้วย ตกลงเราเลยได้งานเต้นโชว์ น้อยเป็นพวกเต้นโชว์ตลก แต่เดียร์เขาหุ่นดี หน้าตาหล่อเหลา ถึงจะอายุน้อย แต่โครงสร้างร่างกายสูงใหญ่พอๆกับหนุ่มไทยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็ได้เต้นโชว์ร่วมกับนางโชว์กระเทยสวยๆน่ะ”

น้อยหยุดเล่าแล้วหันมายิ้มให้กับเพื่อนหนุ่ม เดียร์ทำหน้าอายๆ หันมามองผม คงอยากรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร ที่เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักมวยที่ไล่ถลุงคู่ต่อสู้บนเวที กลายมาเป็นนักเต้น ในคณะคาร์บาเรต์ที่มีกระเทยแปลงเพศเป็นตัวชูโรง ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม พยายามจะจินตนาการให้ได้ว่า ถ้าเด็กคนนี้สวมส้นสูง ใส่วิก และแต่งชุดเซ็กซ์ซี่ จะเป็นอย่างไรหนอ

“เดียร์เขาไม่ได้แต่งชุดเป็นผู้หญิงหรอกค่า” น้อยพูดยิ้มๆ

“ท่าทางเขาไม่ให้ เขาออกแข็งๆ ไม่นุ่มนวล กระตุ้งกระติ้ง น้อยต่างหากได้แต่งเป็นผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงแบบตลกๆ ส่วนเดียร์เขาจะแต่งเป็นผู้ชายน่ะแหละ เต้นก็เป็นแบบผู้ชาย แค่แต่งหน้าแต่งตาให้ขึ้นกับแสงไฟเท่านั้น”
น้อยเฉลย ผมถอนหายใจที่ภาพที่ผมคิดไว้มันไม่เป็นจริง เป็นเกย์ก็แย่แล้ว แต่เป็นกระเทยนี่สิ วันดีคืนดีเกิดนายนี่คิดจะแปลงเพศเป็นผู้หญิงขึ้นมา แล้วคอยตามนัวเนียผม ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดลั่นดังไปสามบ้านแปดบ้าน ทำท่าเง้างอนกระฟัดกระเฟียดแบบผู้หญิงใส่ คงได้วุ่นวายขายหน้าพิลึก

“ตอนเขาเป็นนักมวย ก็ได้ชื่อว่าเป็นไอ้หนูจอมลีลาอยู่แล้ว พอได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับการเต้นรำ ก็ดูเหมือนว่าจะไปกันได้ดี เขาเต้นเก่งมากเลยนะคะ คุณต้องไปดูเขาเต้น ท่าเต้นของเขาสวย และแข็งแรงมากเลยค่ะ”

น้อยพูดถึงเพื่อนหนุ่มของตนเองด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ

“ผมไม่ค่อยชอบดูไปดูพวกการแสดง หรืออะไรเท่าไหร่หรอกครับ ไม่ชอบที่ๆมีคนเยอะๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย นานๆครั้งจะไปกับพวกเพื่อนบ้าง หรือ ลูกค้าบ้างน่ะครับ”

ผมบอกเขาไปตามตรง


“แหมน่าเสียดายนะคะ ที่คุณไม่ได้ไปดู แต่ตอนนี้ เดียร์เขาก็ไม่ได้แสดงร่วมกับคณะแล้วค่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น คือมีคนมาชอบเดียร์นะคะ แต่เดียร์เขาไม่ชอบ เขาก็มาหาเรื่อง จนเดียร์อยู่ไม่ได้  น้อยเองก็ลาออกมาพร้อมๆกันกับเดียร์นะคะ น้อยเก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง จากการชกมวย และแสดงโชว์ น้อยก็เลยเอาไปผ่าตัดทำนม แปลงเพศมา ก็คิดอยู่นานเหมือนกันค่ะ ว่าดีหรือเปล่าที่จะทำแบบนี้ แต่การไปทำงานในคณะโชว์นั้นมันทำให้น้อยได้รู้ว่า อะไรคือสิ่งที่น้อยต้องการ”

มีรอยยิ้มฉาบระบายบนใบหน้าน้อย เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข

“พอดีว่า ตอนที่น้อยถูกคนทำร้าย มันได้พรากเอากล่องดวงใจของน้อยไปด้วย ไหนๆก็เป็นผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีอวัยวะเพศเหมือนคนอื่นเขาอีกต่อไป แล้วใจเราก็ไม่ใช่ผู้ชายแท้ อีกอย่างน้อยคิดว่าน้อยอยากเป็นผู้หญิง อยากแต่งงานมีครอบครัว อยากอยู่ร่วมกับคนที่รักค่ะ มันก็เลยทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ก่อนทำน้อยก็ปรึกษาเดียร์นะคะ แต่เขาก็บอกว่า ถ้าอะไรคือสิ่งที่น้อยชอบ น้อยต้องการ น้อยก็ทำไปเถอะ”

ผมหันไปมองหน้าเดียร์อย่างค้นคว้า เด็กหนุ่มคนนี้ คลุกคลีตีโมงอยุ่กับเพื่อนที่เป็นเกย์ กระเทย แถมซ้ำยังเคยทำงานเป็นนักเต้นในคณะแสดงโชว์ของสาวประเภทสอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเบี่ยงเบนทางเพศกลายเป็นเกย์ก็ได้

“หลังจากแปลงเพศเสร็จ น้อยก็ไปทำงานในร้านอาหาร บาร์เบียร์แถวพัทยา จนกระทั่งได้เจอกับ จอห์นนี่ ทหารอเมริกันนิโกร แล้วก็เกิดเป็นความรักกัน พอเขาปลดประจำการจากการเป็นทหาร เขาก็มาเมืองไทย เราก็อยู่กินด้วยกัน แล้วก็มาเปิดร้านอาหารที่นี่ด้วยกันค่ะ ส่วนเดียร์ก็เข้ากรุงเทพฯไปตามหาความฝันของตนเอง ความฝันของเขามีเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น คือการตามหาคนรัก และการเป็นนักเต้น เขาไม่อยากเป็นนักมวยอีกต่อไป เขาค้นพบว่าอาชีพนักเต้นรำ คือสิ่งที่เขารัก พอๆกับชายหนุ่มคนที่ช่วยเขาคนนั้นเลยค่ะ”

น้อยหันมายิ้มให้กับเพื่อนหนุ่ม เดียร์หน้าแดงก่ำมองผมอย่างอายๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มอึดอัดขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจความรู้สึกของผม เพราะเห็นเขาหันไปสบตาน้อยเป็นทีให้หยุดพูด น้อยคงยังไม่รู้ตัว จีบปากจีบคอต่อไป

“พอน้อยเห็นหน้าคุณเท่านั้น ก็รู้เลยว่า ทำไมเดียร์ถึงชอบคุณนักหนา ก็คุณน่ะ นอกจากจะใจดี แล้วก็ยังหล่อด้วยนะคะ ถ้าเป็นน้อย น้อยก็ยอมสู้ตายถวายชีวิตเลยค่ะ ฮิฮิฮิ”

น้อยหัวเราะอย่างชอบใจ ผมนั่งกระสับกระส่าย อยากจะลุกหนีออกไปจากวงสนทนา นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนะ ผมฟังเรื่องแบบนี้จากเจ้าเด็กลูกครึ่งนี่ มาเป็นสิบรอบแล้ว นี่ยังจะต้องมาทนฟังเรือ่งแบบนี้จากเพื่อนของเขาอีก นี่เป็นการจัดฉากจากนายเดียร์หรือเปล่า พอรู้ว่าตนเองทั้งพูดทั้งทำกับผมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ก็เลยหาทางให้เพื่อนช่วยพูดให้แทน ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกหว่านล้อมให้ทำใจยอมรับกับความรักที่เด็กนี่มอบให้อย่างไรก็ไม่รู้

“เรื่องของความรัก มันบังคับหรือฝืนใจกันไม่ได้หรอกครับ”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: meeza31 ที่ 23-08-2007 15:27:05
พึ่งได้เข้ามาอ่านสนุกมากเลยสู้ๆนะเดียเป็กำลังใจให้คับผม
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: สาวตัวกลม ที่ 23-08-2007 15:37:59
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 23-08-2007 16:28:06
คนที่จะเป็นคู่กันเนี่ย ยังไงมันก็เป็นคู่กัน

รออ่านต่ออยู่ค๊าบบ  :m11:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-08-2007 17:54:02
ยังไม่เปิดใจ รอลุ้นต่อไป  :a11:  :a11:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 23-08-2007 20:55:30

“เรื่องของความรัก มันบังคับหรือฝืนใจกันไม่ได้หรอกครับ”


เห็นด้วยๆๆ   :m21: :m21:
ฝืนใจให้รักไม่ได้ แต่ก็ฝืนใจให้เลิกรักไม่ได้เหมือนกัน  :m26: :m26:
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 24-08-2007 18:11:45
เดียร์สู้ๆๆๆ...เดียร์สู้ๆๆๆ...เดียร์สู้ๆๆๆ 555+   :m18: :m18: :m18:

ความรักชนะทู๊กกกกกกก สิ่ง   :a9: :a9: :a9: :a9:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-08-2007 22:32:45
ลืมเรื่องนี้แล้วหรอ อยากอ่านแย้ว  :m17:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 27-08-2007 22:47:30
แน๋วที่ร๊ากกกกก ลืมเรื่องนี้แล้วหรอจ๊ะ

กำลังติดพันอ่ะ มาด่วนเลย :m5:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 27-08-2007 23:44:51
ก็รอคนมาเม้นท์อยู่อ่ะ มีแต่คนอ่านไม่มีคนเม้นท์  :a14:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 28-08-2007 00:06:06
เค้าเม้นท์ตาหลอดเลยนะ เห็นใจเค้านะ นะ นะ

มาต่อซะทีดิ :impress:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-08-2007 13:30:51
เพื่อป้อม(อดีต)ที่ร้ากกกกก  :a14: +1ให้คนที่มาเม้นท์ทุกคนเยย  :m1:

++++++++++++++++++++++++++++++++++



บทที่ 8

ผมบอกกับน้อย แต่ก็ถือเหมือนกับถือโอกาสพูดกับเดียร์ทางอ้อม เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนลง เขาเม้มริมฝีปากแน่น แววตาหม่นหมอง คงรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของผม ช่างปะไร ถ้าเขารู้สึกเจ็บปวด เขาจะได้รู้ว่า ความหวังของเขาที่มีต่อตัวผม มันไม่อาจจะเป็นจริงได้ เขาจะได้หมดกำลังใจแล้วเลิกตอแยผมเสียที

“แต่ความสำเร็จย่อมเป็นของคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆนะครับเรียว”

เสียงเด็กหนุ่มตอบกลับมา ท่าทีของความมั่นอกมั่นใจกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“อื้อ นั่นสินะคะ น้อยก็ว่างั้นแหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น”

น้อยเสริมคำพูดของเด็กหนุ่ม ผมมองคนทั้งสองด้วยสายตาที่บอกความเบื่อหน่าย นี่จะเล่นกันเป็นทีมเลยหรือไง ยังไง ยังไง ก็จะพยายามโน้มน้าวใจผมให้ได้ใช่ไหม

“บางทีความพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ผิดหวังนะครับ”

“ผมก็ว่ายังดีกว่าที่จะไม่ทำอะไร แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่พยายามทำดู หากเราทำจนกระทั่งสุดความสามารถแล้ว ก็ยังไม่เกิดผล ผมก็เตรียมใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ดวงตาที่มองมายังผมฉายแววมุ่งมั่น เขามีท่าทางที่จริงจังจนผมนึกกลัว

“เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป คงจะห้ามอะไรไม่ได้หรอก แต่ก็ต้องคำนึงถึงจิตใจของคนอื่นด้วย ว่าเขายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราทดลองความพยายามของเราหรือเปล่า บางทีเราคิดว่าเราจะต้องพยายามทำสิ่งที่เราต้องการให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่ชอบใจที่เราไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขามากไป บางทีนอกจากจะไม่ชอบแล้ว อาจจะรำคาญก็ได้ หรืออาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามกันเลยก็ได้”

ผมไม่อยากให้เขาคาดหวังอะไรจนมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้ที่ไม่ยอมล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองทำง่ายๆ แววตาของเขาฉายแววดื้อดึง ขณะที่ตอบกลับผม

“ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดครับ”

ผมเบือนหน้าหนี หันเหความสนใจไปจากเด็กหนุ่ม ไม่อยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เขามองมา มันทำให้จิตใจผมหวั่นไหว ผมไม่อยากสงสารเขาไปมากกว่านี้ ผมจึงชวนน้อยคุยด้วยเรื่องทั่วๆไป เช่นเรื่องร้านของเขา เรื่องเกี่ยวกับการชกมวย เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นไม่ให้มาเข้าใกล้ตัว

ตลอดเวลาเหล่านั้น เด็กหนุ่มได้แต่นั่งนิ่งเงียบ มองหน้าผมตลอดเวลา สายตาของเขามา มีความปรารถนาลึกล้นอยู่ภายใน แม้ว่าผมจะแสร้งทำเป็นพูดคุยอย่างสนุกสนานกับน้อย แต่ก็รู้ดีว่าบรรยากาศการคุยไม่ได้เป็นอย่างที่ผมพยายามทำให้มันเป็น น้อยเองก็คงจะรู้เช่นกัน เพราะการถามคำถามของผม มันเป็นการถามแบบส่งๆ เหมือนไม่มีอะไรจะคุยกันมากกว่า

เรานั่งคุยกันร่วมชั่วโมง ผมก็คิดว่าน่าจะได้เวลากลับซะที อันที่จริงผมอยากจะให้เรื่องนี้มันจบลงโดยเร็ว อยากจะกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าอยากจะขับรถกลับบ้านไปเลย ในเมื่อมีโอกาสแล้ว รถของเราก็อยู่นี่ ข้าวของที่ติดตัวมาก็อยู่ในรถหมด กระเป๋าเงิน ก็อยู่ที่กางเกง เด็กหนุ่มคนนี้แค่ต้องการจับตัวผมมาเท่านั้น ทรัพย์สินอื่นๆของผม เขาไม่แตะต้องเลย ยังอยู่ครบหมด แต่ผมก็กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะตามติดไปบ้านตามที่ได้พูดไว้ หากผมขับกลับกรุงเทพจริงๆ

ผมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วบอกกับเขาว่าอยากกลับบ้าน เขายิ้มกริ่ม เหมือนรอคำพูดนี้จากปากผมอยู่ก่อนแล้ว เขาบอกให้น้อยคิดเงินค่าอาหาร แต่น้อยไม่ยอมคิดบอกว่าเพื่อนเก่ามาทั้งที ก็เลยขอโอกาสเป็นเจ้ามือเลี้ยง แม้ว่าเดียร์จะแสดงความเกรงอกเกรงใจด้วยการยัดเยียดเงินให้ แต่น้อยก็ส่งเงินคืนกลับไม่รับท่าเดียว ผมกับเดียร์ก็เลยกล่าวขอบคุณน้อยในความมีน้ำใจของเขา น้อยอาสาไปส่งพวกเราที่ลานจอดรถ ก่อนจะลาจากกัน ขณะที่เดียร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ น้อยก็แอบมาพูดกับผมว่า

“เรียวคะ อย่าหาว่าน้อยยุ่งเลยนะคะ แต่น้อยสงสารเพื่อนน้อยคนนี้ เดียร์น่ะ เขารักคุณมากเลยนะคะ เขาเอาแต่พูดถึงคุณตลอดเวลา เลยค่ะ เขาบอกว่าคุณมีพระคุณต่อเขามาก ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งจากอันตรายต่างๆ เขาปรารถนาจะตอบแทนคุณ อยากทำให้คุณมีความสุข เขาบอกกับน้อยว่าเขาจะไปหาคุณที่กรุงเทพ จะตามจนเจอ แล้วทำให้คุณคิดว่าเขามีความสำคัญให้ได้ นี่เขาตามเจอคุณแล้ว เขาคงบอกความในใจคุณแล้วใช่ไหมคะ น้อยอยากให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง และเขาทำเพื่อคุณจริงๆ”

สาวร่างล่ำบอกกับผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ดูท่า น้อยคงจะรักเดียร์มาก ถึงอุตส่าห์ลงทุนมาพูดให้แบบนี้
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังนะ ว่าน้อยมาพูดกับคุณ อันนี้เป็นความคิดน้อยเอง เขาไม่อยากให้น้อยมายุ่งเรื่องนี้ เขาไม่อยากให้คุณเข้าใจว่าเขาให้น้อยช่วยพูดให้ น้อยพูดเพราะเต็มใจอยากช่วยเพื่อน สงสารเขาน่ะค่ะ”

“สงสารแล้วทำไมไม่เป็นแฟนเขาเองล่ะ” ผมถามยิ้มๆ

“อุ๊ยตาย” น้อยยกมือขึ้นทาบอก

“ถ้าเขายอมก็ดีสิคะ น้อยจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ แต่ไม่ดีกว่า น้อยรู้ว่าในใจของเพื่อนน้อยคนนี้เขามีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นค่ะ ”

“วัยเขายังเด็กอยู่นะครับ คงจะคลั่งไคล้ไปชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าเจอคนใหม่ที่เขาพร้อมจะเล่นด้วยกับตัวเอง ก็คงเปลี่ยนใจเองแหละ” ผมบอกกับน้อย

“คงไม่ใช่เพื่อนของน้อยแน่ค่ะ เขาพูดถึงคุณมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังชอบพูดเรื่องคุณอยู่ ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนนะคะ แต่น้อยพูดความจริง”

ผมพยักหน้าให้น้อยเป็นเชิงว่าผมเข้าใจในตัวเขา แล้วก็ยิ้มให้เขา เพื่อให้เขารู้ว่า ผมไม่ได้โกรธในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

“ครับ เชื่อครับ แต่ไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ เพราะว่า ผมคงไม่เปลี่ยนใจแน่ อย่างไรก็ตาม ฝากคุณน้อยช่วยบอกให้เพื่อนเขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย บอกเขาว่า อย่าคาดหวังอะไรมาก หากไม่อยากที่จะพบกับความผิดหวังในภายหลัง”

น้อยขยับปากจะพูดกับผมต่อ แต่พอดี เดียร์เดินมาถึงตรงที่เราสองคนยืนคุยกันพอดี เขาทำหน้าเหรอหรา เมื่อเห็นน้อยมองหน้าเขา แต่น้อยรีบพูดกลบเกลื่อนแบบมีพิรุธ

“คุณเรียวเขาบอกว่าอาหารอร่อยน่ะเดียร์ คราวหลังถ้าคุณเรียวแกเกิดเปลี่ยนใจ อยากมาทานอีก นายก็พามาได้ทุกเมื่อเลยนะ เราจะลดให้เป็นพิเศษ”

“ถ้าเรียวชอบ ผมก็ยินดีพามานะครับ ถ้าอยากมากินอีกนะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้ม ทำหน้าประจบประแจงใส่ผม”

ผมยิ้มตอบ ไม่พูดว่าไร เพราะไม่ได้อยากให้น้อยรู้สึกอึดอัดใจ อุตส่าห์มาพูดให้เพื่อน แล้วก็โกหกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กลัวเพื่อนจะโกรธ หากผมไม่รับมุขเดี๋ยวเพื่อนสองคนนี้ก็จะผิดใจกันเปล่าๆ เดียร์เดินเข้าไปกอดน้อย พูดอะไรบางอย่างพอได้ยินกันสองคน แล้วเดินมาหาผม เราสองคนลาน้อยที่ตรงนั้น น้อยตะโกนไล่หลังมาขณะที่เราสองคนเข้าเดินไปขึ้นรถ

“วันหลังมาเที่ยว แล้วแวะมากินที่นี่กันอีกนะคะ”

“ครับ” ผมรับคำแล้วหันไปโบกไม้โบกมือให้ ก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ โดยมีเดียร์ก้าวขึ้นมานั่งด้านข้าง ผมขับรถออกไป โดยที่น้อยยืนมองพวกเราจนลับสายตา

“จะไปไหนต่อ.......กลับห้องพักเลยหรือเปล่า” ผมถามเขาเมื่อรถแล่นอยู่บนถนนใหญ่แล้ว

“เรียว อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาย้อนถามผม ทำตาแป๋ว

“ทำไม จะพาไปเหรอ” ผมถามเขายิ้มๆ

“ครับ” เขาพยักหน้า

“ทำไมเกิดใจดีขึ้นมาล่ะ ขังฉันไว้ทั้งวัน คราวนี้เกิดจะตามใจให้ไปโน่นมานี่ได้ ไม่กลัวฉันหนีหรือไงล่ะ” ผมถามอีกด้วยความที่ไม่เข้าใจในเจตนาของเขา

“ไม่กลัวหรอก บอกแล้วไง เรียวไปไหน ผมไปด้วย ขอตามไปอยู่ใกล้ๆคุณน่ะครับ”

“มือเท้าฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันหนี หรือสู้นายได้สบายมากเลยนะ ถ้าคิดจะจับฉันอีก คราวนี้ได้เจ็บตัวกันไปข้างแน่”

ผมแสร้งทำเป็นขู่ แต่เขาเอามือของเขามาแตะมือผมไว้ แล้วบอกว่า

“มือนุ่มนวลแบบเรียว คงจะสู้กับผมไม่ได้หรอกครับ แล้วผมก็ไม่อยากให้เรียวเจ็บด้วยนะ เรียวคงไม่คิดหาเรื่องแบบนั้นแน่ เพราะเราคุยกันดีๆก็ได้”

“งั้นฉันไม่กลับไปห้องพักนั่นอีกแล้วนะ ขับกลับกรุงเทพฯลยแล้วกัน”

ผมหยั่งท่าทีของเขา เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม

“ได้ครับ กลับเลยก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่มีเรียว ผมไปได้ทั้งนั้น”

“ไม่จับตัวฉันไว้แล้วแน่นะ”

เขาส่ายหน้า

“ไม่ครับ ผมไม่อยากทำให้เรียวอึดอึด ผมแค่อยากจะขอร้องคุณให้เป็นแฟนผม แค่อยากอยู่ใกล้คุณเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการมันก็เป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องมัดเรีเยวแล้วล่ะครับ”

“แล้วถ้าฉันพานายไปส่งตำรวจล่ะ แล้วแจ้งความว่านายลักพาตัว กักขัง หน่วงเหนี่ยวฉันไว้ นายติดคุกหลายคดีแน่”

ผมแกล้งพูดเพื่อให้เขากลัว ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าผมสามารถทำตัวแบบสบายๆได้แล้ว ไม่มีการพันธนาการ ไม่มีการบังคับ หรือข่มขู่ มีแต่การเอาอกเอาใจอย่างสุดของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆผม

“ถ้าเรียวจะทำ คงทำไปตั้งนานแล้วนะครับ เพราะเรียวมีโอกาสมากมายในการจะหนี หรือร้องให้คนช่วย แต่เรียวก็ไม่ทำ เพราะเรียวเป็นคนจิตใจดี แล้วก็คงรู้ว่า หากเรียวทำอย่างนั้น ผมก็คงหมดอนาคตแน่ ผมคิดว่าเรียวคงอยากจะทำให้ผมเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจไปเองมากกว่า ใช่ไหมครับ”

เดียร์พูดยิ้มๆ ท่าทางเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของผมไปเสียทุกอย่าง ซึ่งความจริงสิ่งที่ เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ผมรู้แน่แก่ใจดีว่าเขาไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อตัวผม  เด็กหนุ่มทำทุกอย่างลงไปเพียงเพราะรักและต้องการอยู่ใกล้ ก็แล้วไอ้การที่คนเราจะต้องมาติดคุกเพราะว่าเรารักใครคนหนึ่งมากจนเกินไป มันจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งในความคิดของผม ผมแค่รำคาญใจที่เขามาวอแว อยากสลัดเขาออกไปให้พ้นตัว แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองที่เขาจับตัวผมมา จนถึงขั้นที่จะเอาเขาเข้าตะรางหรอก

“นายต้องกลับไปเอาอะไรที่ห้องนั้นอีกหรือเปล่า”

ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เขาคิดว่าผมเป็นคนใจดี จนไม่กล้าทำอะไรเขา

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา นอกจากคุณ”

“ดีมาก ......งั้นกลับกันเลยดีกว่า บ้านนายอยู่ตรงไหน ฉันไปส่งให้”

“อื้อ เดี๋ยวบอกได้ไหมครับ อยากบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับคุณอีกสักเรื่อง แล้วดูว่าคุณจะตัดสินใจที่จะยอมรับผมเป็นแฟนได้ไหม”

ผมอยากจะร้องไห้ให้ตัวเองเสียเหลือเกิน เมื่อฟังเขาพูดจบ ถามเขาว่า

“นี่ยังจะพยายามอีกเหรอ”

เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นจริงใจมาให้ผม

“ครับ อยากทำให้เต็มที่ ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ไม่งั้นที่อุตส่าห์ลงทุนไปจับตัวคุณมา เสี่ยงต่อการที่คุณจะแจ้งความเอาผมเข้าคุก เสี่ยงต่อการที่จะเผลอทำร้ายคุณหากต่อสู้ขึ้นมา หากล้มเลิกง่ายๆสิ่งที่ทำไปก็จะสูญเปล่า ไม่มีความหมาย”

“ตื้อจริงๆเลยนะ เฮ้อ ไม่เคยเห็นใครดื้อรั้นดันทุรังแบบนายมาก่อนเลย”

ผมส่ายหัว ก่อนจะเบนรถเข้าไปสู่ถนนที่มุ่งสู่กรุงเทพ ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึหึหึจากเขา

“ทำไมคุณไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าคุณก็เคยไปดูคาร์บาเร่ต์โชว์คณะที่ผมเต้นอยู่มาแล้วครั้งหนึ่ง แล้ววันที่คุณไปวันนั้นผมก็เต้นด้วย”

อยู่ๆเขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา

“อะไร” ผมทำหน้างง

“ฉันเคยไปดูนายเต้นที่ไหนกัน ไม่เห็นรู้เรื่อง เพี้ยน จำคนผิดหรือเปล่า นายเนี่ย”

“ก็ที่คลับ..............ที่อยู่ตรงพัทยาเมื่อ ปีที่แล้วไงครับ”

เขาเอ่ยชื่อคลับสำหรับนักท่องเที่ยวมีชื่อที่พัทยา ผมทำท่านึก แล้วก็ร้องอ๋อ จำได้แล้ว เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยพาเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันไปเที่ยวที่คลับแห่งนี้ แล้ววันนั้นเขาก็มีการโชว์แบบคาบาร์เร่ต์บนเวทีให้ดูด้วย ผมจำรายละเอียดการไปคราวนั้นได้ แต่ผมไม่ยักกับจำเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้

“ฉันไม่ยักกะรู้ว่าวันนั้นนายเต้นด้วย”

“คนดูทั่วๆไปอาจจะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในตัวคนที่มาเต้นหรอกครับ อีกอย่างวันนั้นผมก็ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชายตามปกติเหมือนอย่างทุกวันน่ะครับ คุณก็อาจจะจำไม่ได้ แต่คุณยังให้ทิปกับผมเลย แล้วก็ยังยืนคุยกับผมตั้งนานตอนที่เลิกการแสดงแล้ว”

เขาบอกผมด้วยแววตาเป็นประกาย ผมขมวดคิ้ว พยายามนึก

“อย่าบอกนะว่า นายคือน้องกระเทยคนนั้น” ผมร้องอุทานอย่างคาดไม่ถึง

“ใช่ครับ” เขายิ้มอายๆ

ภาพเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผุดขึ้นมาในความคิดของผม ตอนนั้นผมมาตรวจเยี่ยมงานที่พัทยาอีกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้น ผมทำงานอยู่บริษัทประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกัน  แต่ดูแลเรื่องการรับประกันชีวิตกับคนที่อยู่ทางภาคตะวันออกทั้งหมด โดยปกติงานที่ผมทำไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกต่างจังหวัด เพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายขาย แค่รอให้ตัวแทนไปขายประกันมา แล้วส่งงานเข้าบริษัทเท่านั้น

แต่บางกรณีตัวแทนไปขายประกัน แล้วเจอลูกค้าที่มีปัญหา เช่น ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพไม่ชัดเจน หรือมีความเสี่ยงในแง่ของสุขภาพ หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง แล้วแถลงเข้ามาอย่างคลุมเครือหรือมีการปกปิด ผมและทีมงานฝ่ายตรวจสอบก็จะลงไปเยี่ยมเยียนพื้นที่ เพื่อดูว่าสิ่งที่แจ้งมามีความเป็นจริง น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด แล้วก็ถือโอกาสลงไปพูดคุยให้ความรู้กับตัวแทนประกันชีวิต ให้เขาขายประกันได้อย่างถูกต้อง ซื่อสัตย์ และขายอย่างมีคุณธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ หรือพยายามเข้าข้างลูกค้าจนเกิดเป็นกรณีทุจริตขึ้น

เด็กเดียร์นั่นพูดถูกอยู่บ้างตรงที่ผมเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะตอนเด็กๆพ่อแม่ของผมจะพร่ำสอนเรื่องการทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตลอดเวลา พ่อผมเป็นหมอ ในขณะที่แม่ของผมเป็นครู แต่ผมน่ะไม่เลือกที่จะทำงานแบบพ่อกับแม่ เพราะเห็นว่าไม่มีอิสระ แล้วต้องวางตัวให้ดูดีน่าเคารพเชื่อถือตลอดเวลา ทำตามใจปรารถนาไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทำงานอยู่ในแวดวธุรกิจประกันชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกันที่บริษัทแห่งหนึ่ง

ผมคิดว่าการที่เราจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนตกทุกข์ได้ยาก อยู่ตรงไหนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แต่การที่ผมเลือกทำงานนี้ เพราะผมเห็นว่าประกันชีวิตจะทำให้คนที่เดือดร้อนหลังจากการที่หัวหน้าครอบครัวต้องตายจากไปก่อนเวลาอันสมควรจะได้มีเงินจำนวนหนึ่งเลี้ยงตัวเองและลูกน้อยต่อไปจนกว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง

เป็นเพราะผมรับผิดชอบในภาคตะวันออก ผมจึงต้องลงมาเยี่ยมเยียนพื้นที่แถบนี้อย่างน้อยก็ปีละ 2-3 ครั้ง เมื่อปีที่ผ่านมา ตัวแทนที่ส่งงานเข้ามา ไปขายประกันในวงเงินที่สูงมากให้กับนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่เมื่อดูอายุและวงเงินพบว่า ลูกค้าคนนี้จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่ลูกค้าไม่ยอมไปตรวจ

จากการสืบค้นพบว่า น่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และตัวแทนไม่สามารถตอบปัญหาให้กับทางบริษัทได้ชัดเจน ผมและเพื่อนที่อยู่ฝ่ายตรวจสอบจึงลงมาพื้นที่เพื่อพบปะพูดคุยกับลูกค้าและตัวแทน แล้วก็เลยถือโอกาสออกเยี่ยมเยียนสาขาในภาคตะวันออกทั้งหมด จัดอบรมความรู้ให้กับตัวแทน

เราใช้เวลาเดินสายอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่ง โดยไล่มาตั้งแต่ ตราด จันทบุรี ระยอง แล้วมาพัทยา ชลบุรี ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพ

วันที่ผมกับเพือ่นไปที่คลับนั้น เป็นช่วงสิ้นสุดการเดินทางอบรม และหลังจากที่เราเคลียร์ปัญหา จนทำให้ลูกค้ายอมไปตรวจสุขภาพได้แล้ว พวกเราก็เลยจะแวะมาพักผ่อนหย่อนใจกันที่พัทยา ก่อนจะกลับในวันรุ่งขึ้น เพื่อนผมอยากดูการแสดงของสาวประเภทสอง เพราะเห็นว่าที่พัทยามีคณะโชว์ดีๆหลายคณะด้วยกัน เราตระเวนท่องราตรีมาเรื่อยๆ ดื่มกินกันมาพอกรึ่มๆ ก็มาเจอคลับแห่งนี้ ผมกับเพื่อนเลยแวะเข้าไปดื่มกินพร้อมกับดูโชว์ไปด้วย ไม่ยักรู้เลยว่า ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมได้พบกับเดียร์อีกครั้ง

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างให้ผมอีก ผมปรายตามอง แล้วก็หันไปจ้องมองถนนเบื้องหน้า ไม่อยากจะเห็นรอยยิ้มกับตาแป๋วๆนั่น ไม่รู้เป็นไร ตั้งแต่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายผม และที่ทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเขารักผมมาก มันทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเมื่อเห็นแววตาและรอยยิ้มแบบนั้นจากเขา

“นั่นเป็นการเต้นที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้ายด้วยที่ผมเต้น และทำงานให้กับที่นั่นครับ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆนายถึงไปแต่งเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้”

ผมถามเขา ใจคิดไปถึง นักแสดงสาวประเภทสองรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดราตรีสีแดงเพลิง ดูสวยสง่าเตะตา คนที่ผมได้คุยด้วยหลังจากที่เลิกการแสดงแล้ว และอะไรบางอย่างที่ผมได้ทำร่วมกับเขา แต่ยังนึกไม่ออกในตอนนี้

“วันนั้นตัวแสดงสาวประเภทสองคนหนึ่งเกิดป่วย หัวหน้าคณะเลยขอให้ผมแสดงแทน ผมเห็นว่า ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เดินไปเดินมาเฉยๆบนเวที เพราะเพลงมันช้าอยู่แล้ว ผมไม่ต้องเต้นด้วย ก็เลยยอมครับ ก็เขินอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องใส่ชุดราตรีสีแดงขนาดนั้น ต้องใส่วิก แต่งหน้าทาปากเข้มให้ดูเหมือนผู้หญิง ต้องยัดสิลิโคนที่หน้าอก เพื่อหลอกว่ามีนม ใช้สเตย์รัดหน้าท้องให้กิ่ว จะได้ดูมีทรวดทรงองค์เอว แถมซ้ำยังต้องใส่ส้นสูงเดินด้วย เมื่อยขาชะมัดเลยครับ”

เขาหัวเราะอย่างขำตัวเอง ที่ทำแบบนั้นไปได้

“โชคดีที่การแสดงชุดนั้นเป็นชุดก่อนที่จะถึงชุดสุดท้าย แล้วผมก็ไม่ต้องออกมาเต้นต่อ ไม่งั้นคงจะเต้นไม่ไหวแน่ ตอนที่การแสดงจบลงแล้ว แล้วเขาให้พวกนักแสดงออกมายืนคอยส่งแขกที่มาเที่ยว ผมรู้สึกตื่นเต้น ใจสั่นไปหมดเลย ตอนที่เห็นคุณเดินออกมาจากข้างใน ไม่คิดว่าคุณจะไปเที่ยวที่นั่นด้วย

อุตส่าห์ยืนยิ้มให้คุณ พยายามส่งกระแสจิตไปหา ให้คุณมองกลับมาบ้าง อยากจะเข้าไปทัก แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมกำลังอยู่ในระหว่างการทำงาน อีกอย่างคุณก็กำลังยืนพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน คุณก็เลยไม่ได้หันมามองทางผมเลย แต่วันนั้นผมก็พยายามมองนะว่า แฟนคุณคนนั้นมาด้วยกันหรือเปล่า แต่ไม่ยักกะเห็น”

“อ๋อ แซนดี้น่ะเหรอ เลิกกันหลังจากที่กลับมาจากพัทยาคราวนั้นน่ะแหละ วันที่ฉันบังเอิญไปช่วยนาย แล้วพาส่งโรงพยาบาลน่ะ แซนดี้เขาเกิดกลัวบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ ทะเลาะกับฉันใหญ่โตเลยว่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกนักเลงโต เดี๋ยวจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาทีหลัง เขากลัวว่าเขาจะถูกคนปองร้าย เลยพาลหาเรื่องเลิกกับฉันน่ะ”

“เหรอครับ ผมขอโทษนะครับ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่แหม ไม่อยากจะบอกเลยว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจเลย ที่คุณเลิกรากับแฟนสาวคนนั้น ดีเสียอีกที่หมดคู่แข่งไปได้”


เขาหัวเราะอย่างร่าเริง จนผมอดรู้สึกหมั่นไส้ ไม่ได้ เลยขอต่อว่าสักหน่อยพอให้หายเคือง

“เอ้าหัวเราะเข้าไป ดีใจเข้าไป เรื่องความทุกข์ร้อนใจของคนอื่นนี่ชอบฟังจังนะ รู้สึกว่าการเห็นคนอื่นร้าวฉานกัน จะเป็นสิ่งที่ทำให้นายพึงพอใจใช่ไหม ฉันขอแช่งให้นายไม่สมหวังในเรื่องของความรัก รักใครก็ขอให้เขาไม่รักตอบ นายจะได้รู้ว่าความผิดหวังมันเป็นอย่างไร”

“อ๊า อย่านะครับ อย่าพูดจาอย่างนั้นสิ ไม่ดีนะ เดี๋ยวเข้าตัว เรียวนี่ ยังไงกันนะ ทำไมมาแช่งให้รักของเราไม่สมหวังล่ะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วอย่าพูดอย่างนี้อีกรู้ไหม ถ้าไม่อยากให้รักของเราจบลงในแบบที่ไม่ต้องการ”

ผมหยุดรถกะทันหัน อยากจะหัวเราะให้กับคำพูดแบบคิดเอง เออเองของหมอนี่ อีกทั้งรู้สึกหมั่นไส้ และระอาใจ กับความไม่รู้สึกรู้สาอะไรของเขา ไม่ว่าผมจะพูดว่าอะไรออกไป ก็ไม่ได้ทำให้เขากระทบกระเทือนแม้แต่นิดเดียว ยังคงมุ่งมั่นแน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองทำ

เด็กหนุ่มหัวเราะขำหน้าตาของผม มันคงจะดูประหลาดๆในสายตาของเขา ผมเหลือบมองหน้าตัวเองในกระจกมองหลัง เห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกำลังจ้องมองตอบกลับมา

“หัวเราะก็ได้ครับ”

เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้น ผมมองหน้าเขา แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาเองก็ประสานเสียงหัวเราะไปกับผมด้วย

“นายนี่ ไม่ไหวเลยนะ คิดไปเองฝ่ายเดียวก็เป็นด้วย” ผมยังไม่หยุดขำ

“ก็แหม จะมัวแต่คิดว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้ ได้อย่างไรเล่าครับ ตัดกำลังใจตัวเองหมด สู้คิดว่ามันต้องทำได้ ต้องเป็นไปได้ดีกว่า จะได้มีพลังใจที่จะทำ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-08-2007 13:31:20
ผมก้มหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างหมดแรง เนื่องจากหัวเราะจนเหนื่อย แล้วหันหน้าด้านข้างมาทางเขา เด็กหนุ่มยิ้มหวาน มองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของเขาเป็นประกายสุกใส แม้จะมองจากแสงไฟสลัวข้างทางที่ส่องผ่านเข้ามาในรถก็ตาม ดูท่าทางเขามีความสุขที่ทำให้ผมหัวเราะได้

“ดีจังเลยนะ ที่ได้เห็นเรียวหัวเราะ มันทำให้โลกนี้ดูสดใส น่าอยู่ขึ้นจังเลยครับ”

“นี่ๆ พอๆไม่ต้องมายกยอกันให้มาก ฟังแล้วจะคลื่นไส้ เล่าต่อเถอะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะเด็กหนุ่ม แล้วเร่งให้เขาเล่าต่อ

“ใจร้อนจังนะ จะรีบร้อนหนีผมไปไหนเหรอครับ ถึงเร่งให้ผมเล่ายิกเชียว”

เขามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ผมรู้สึกแย่จัง ตรงที่ไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรในใจ เขาก็จะรู้เท่าทันไปเสียหมดทุกอย่าง อาจจะเป็นเพราะผมเก็บอาการไม่เก่ง หรือว่าเขาคอยแต่จะจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลากันนะ ถึงทำให้เขารู้ว่าผมคิดอะไรอย่างไร

“ก็มัวแต่โยกโย้อยู่นั่นแหละ เรื่องที่เล่าก็ไม่จบเสียที ทำเป็นละครช่องเจ็ดไปได้ ที่ชอบยืดเรื่อง กว่าจะจบก็เป็นเดือนๆ ฉันไม่รอนานขนาดนั้นนะ มีธุระต้องทำมากมาย ไม่ว่างพอจะมาเล่นเกมส์กับนายหรอก”

เด็กหนุ่มยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าผม แล้วไล้มืออย่างแผ่วเบา ดวงตาจับจ้องที่ริมฝีปากของผม เขาทำท่าซึ้งชวนฝัน ผมเด้งตัวขึ้นนั่งตามเดิมมองเขาอย่างระแวง

“นี่จะทำอะไร ไม่ใช่เวลามาทำโรแมนติกนะ บ้าหรือเปล่านี่ จะคิดปล้ำฉันในรถนี่หรือไง”

เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก ทำหน้าหื่นกามใส่ผม

“อยากลองดูเหมือนกันน้า แต่ไม่เอาอ่ะ ครั้งแรกของเรียว ต้องอยู่ในที่ที่สบายๆกว่านี้นะ จะได้โรแมนติกแล้วติดใจ คิดถึงผมไปนานๆ”

“ออกแนวเรตเอ็กซ์มากไปแล้วนะ พอได้แล้ว รู้สึกสยองอย่างไรไม่รู้”

“แหมเรียวล่ะก็ เรื่องธรรมดานะ คนรักกัน ก็ต้องมีเรื่องแบบนี้บ้าง ตอนเรียวมีแฟนเป็นผู้หญิง เรียวก็คงทำอะไรกับแฟนตัวเองเหมือนกันใช่ไหม ผมน่ะ ยังอยากทำให้เรียวเลย ตรงไหน ที่ไหนก็ได้ ถ้าเรียวชอบ ผมยินดีทำให้ ทุ่มสุดตัวเลย”

เขาทำหน้าทะเล้น แต่ผมนั่งหน้าหงิก เพราะหมอนี่ชักพูดเข้าทางตัวเองอีกแล้ว

“เพ้อเจ้ออีกแล้ว ใครเป็นแฟนนาย แล้วใครจะบ้าไปมีอะไรด้วย รีบๆเล่ามาเถอะ เรื่องที่นายว่านะ อย่าเสียเวลาเลย”

ผมทำเสียงดุใส่เขา หน้าที่บานเป็นดอกบัว หุบลงทันใด แต่เดียร์ก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องต่อ

“วันนั้นน่ะ ผมนึกว่าเรียวจะไม่หันมามองผมแล้ว ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าน้อยเพื่อนผมน่ะครับที่มันวี๊ดว๊ายเสียงดัง ตอนที่ผมชี้ให้มันมองดูคุณ มันเลยทำให้คุณหันมาให้ความสนใจกับผม แล้วก็ต้องขอขอบคุณมันด้วยที่ทำเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ออดอ้อนชวนคุณพูดคุย เราเลยมีโอกาสได้พูดกัน

คุณยังชมผมเลยนะครับ ว่าแต่งตัว แต่งหน้าสวยมาก เหมือนผู้หญิงเลย ผมไม่ค่อยชอบคำชมนี้หรอกครับ เพราะไม่ได้อยากเป้นผู้หญิง อยากให้เรียวเห็นตอนผมเต้นแมนๆมากกว่า แต่ก็เอาเถอะเรียวชมผม แค่นี้ผมก็ปลื้มมากแล้ว

แถมซ้ำคุณยังควักเงินให้ผมกับน้อยคนละ 500 แน่ะ บอกว่าเป็นกำลังใจให้พยายามเต้นให้ดีต่อไป ท่าทางคุณดูเหมือนจะเมาๆเหมือนกันนะวันนั้น แต่เมาน่ารักๆแบบนี้ผมชอบ ท่าทางคุณไม่หยิ่งเลย ไม่รังเกียจพวกเราด้วยซ้ำ กลับคุยด้วยอย่างดีเลย น่ารักมาก”

“นี่คงไม่คิดว่าฉันชอบพวกกระเทยใช่ไหมเนี่ย”

ผมถามเขาเพื่อดูว่าเขาคิดอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขามาขอความรักจากผม เพราะคิดว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันแน่ๆ

“อ๋อ ไม่หรอกครับ แต่ก็แอบหวังอยู่ลึกๆเหมือนกันนะ”

เดียร์ยิ้มทะเล้นให้ผมอีก ผมสะบัดหน้าหนี แล้วตัดสินใจออกรถ โดยพยายามจดจ่อไปยังจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพ พยายามจะไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาพูด

“ผมอยากจะบอกคุณใจจะขาดว่าผมคือใคร แต่ยังไม่ทันได้พูด เพื่อนคุณก็มาลากตัวคุณไปเสียก่อน ผมได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้พบคุณอีก แต่การที่เจอคุณที่พัทยาถึง 3 ครั้งแบบนี้ ก็บ่งบอกว่าคุณต้องมาแถวนี้บ่อยๆ อาจจะทำงานอยู่แถวนี้ หรือชอบมาเที่ยวที่นี่ก็ได้

ถ้าหากสิ่งที่ผมคิดไว้เป็นจริง ผมคงมีโอกาสเจอคุณสักวัน แต่ถ้าไม่เจอ ผมก็คิดไว้ว่าจะพยายามเก็บเงิน แล้วหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนเพื่อขอบคุณเรียวที่กรุงเทพสักครั้ง”

“หลังจากพวกเราส่งแขกกันเสร็จเรียบร้อย ผม , เจ้าน้อย และเพื่อนๆกระเทยสาวๆ ก็คิดว่าจะไปหาอะไรทานกัน ตอนแรกผมว่าจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แต่เพื่อนคนอื่นๆบอกว่าหิวกันแล้ว ให้ไปกินกันก่อน ค่อยเอาเสื้อผ้ากลับคืน เจ้าน้อยเองก็บอกว่า อยากเห็นผมแต่งแบบนี้ เพราะนานๆจะเห็นผมในชุดเสื้อผ้าแบบผู้หญิง

ถึงผมจะบอกว่าไม่อย่างไร พวกนั้นก็ไม่ยอมฟัง ผมก็เลยยอมทำตาม โดยเปลี่ยนแค่รองเท้าเท่านั้น เราไปกินข้าวกันที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง กินอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายสูงอายุท่าทางเป็นเกย์คนหนึ่ง เดินเข้ามาหาผม แล้วก็ต่อว่าผมยกใหญ่ หาว่าผมเบี้ยวเขา ผมงงมาก ถามเขาว่าผมไปสัญญาอะไรกับเขาไว้ เขาก็บอกว่าผมน่ะสัญญาว่าจะไปเที่ยวค้างคืนกับเขาคืนนี้...........”

“อ๊ะ นายมีคนมาชอบด้วยเหรอ” ผมโพล่งขึ้นมากลางคัน ทำน้ำเสียงล้อเลียนเขา

“ผมก็ไม่รู้นะ” เด็กหนุ่มทำเสียงหงุดหงิด

“ไม่รู้จักด้วย เคยเห็นว่าเขามาดูโชว์ที่ผมแสดง นั่งหน้าๆเลย แล้วชอบซื้อโน่น ซื้อนี่มาให้เป็นประจำ มีความพยายามอย่างมากที่จะชวนให้ผมไปไหนมาไหนด้วย แต่ผมก็ไม่เคยคุยด้วย ไม่เคยไปไหนกับเขา ไม่พยายามที่จะไปทำความรู้จัก ท่าทางเขาหื่นกามน่ากลัวมาก”

เขาทำท่าขนลุกขนพอง ผมเลยหัวเราะก๊าก ทำน้ำเสียงเหน็บแนมใส่เขา

“ท่าทางเหมือนที่นายทำกับฉันใช่ไหม สมน้ำหน้า ทีตัวเองโดนบ้างก็รู้สึกขยะแขยง แต่เวลาทำกับคนอื่น ไม่เห็นจะคิดเลย”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 28-08-2007 15:19:06
ชิส์ ใช่สิ เค้ามันเป็นอดีตไปแล้ว  :m14:

 :m4: (แต่ทำไมดีใจวะ)  ล้อเล่น

ขอบคุณนะจ๊ะ  o17
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 28-08-2007 15:33:54
ทำร้ายจิตใจกันจังเลยน๊า  :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 28-08-2007 15:57:44
รอลุ้นต่อปายย  :a4:  :a4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 28-08-2007 16:56:02
 :m3:   มาลุ้นด้วย คิคิ    :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-08-2007 19:45:17
โห นึกภาพเดียร์แต่งหญิงกับฝรั่งแต่งหญิง สนุกพิลึก อิอิ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: OhhO16 ที่ 29-08-2007 01:31:45
มารออ่านต่อแระ คิคิ :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 30-08-2007 02:23:35
 :m13:
มาต่ออีกเร็วๆนาคับ
จารอๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 31-08-2007 15:43:34
มา + คืนให้คนโพส คิคิ รออ่านอยู่น๊า  :m19:  :m19:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: jomjai ที่ 03-09-2007 11:36:19
 o9 o9 o9รออยู่นะคราบ o9 o9 o9
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 03-09-2007 14:09:23
นานล่ะ ที่รัก  คนอ่านรอนานแล้วนะ

มาต่อซ้าทีดิ เด๋วก็โพสเป็นปีๆ อีกหรอก :a14:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 03-09-2007 22:30:01
 :a1:
รอค้าบบ
มาเถ้อ
มาสักทีน๊าคับ
ค้างอ่ะ
ฮืออออออออ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 03-09-2007 22:57:24
 :m29:  ติดโรคอู้ซินโดรมมาจากพี่รอยอ่า เหะๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 9


“อ๊า เรียวอ่ะ เหมือนกันที่ไหนล่ะ ผมทำกับเรียวเพราะรักจริงๆนะ แล้วผมก็เห็นเรียวมีอารมณ์ทุกทีอ่ะ แสดงว่าต้องมีใจชอบผมอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ”

เดียร์ลากเสียงยานคางล้อเลียนผม

“บ้ารึเปล่าเนี่ย”

ผมพูดออกไป รู้สึกหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ที่ตนเองเผลอตัวเผลอใจยอมรับในสิ่งที่เดียร์เล้าโลมผม จนเขาแอบเอามาล้อเลียน เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจที่เห็นผมมีอาการขัดเขิน

“เกย์เฒ่าคนนี้น่ะ.........”

เดียร์เริ่มเล่าต่อ

“เขาชอบตามตื้อผม มาดูผมแสดงเกือบทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยมีใจให้เขา แล้วก็ไม่เคยให้ความหวังกับเขาด้วย ตอนหลังเขาก็ตัดใจ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับผม แต่เบนเข็มไปชอบเพื่อนผมแทน เพื่อนผมเป็นกระเทยที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว เต้นกับผมนี่แหละ

เขาจะเอาเรื่องเกี่ยวกับเกย์เฒ่าคนนี้มาพูดกับผม ปรึกษากับผมบ่อยๆว่าผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า เกย์คนนี้ เป็นคนรวยมาก แต่อยู่คนเดียว ไม่มีลูกเมีย ซึ่งก็แน่ล่ะ ผมว่าคนเป็นเกย์ ไม่ควรมีลูกมีเมียจะดีที่สุด เพราะอาจจะไปทำให้คนในครอบครัวตัวเองเสียใจก็ได้”

ผมหันมามองหน้าเดียร์ยิ้มๆ เขาเห็นเข้าพอดี เลยทำหน้าเป๋อเหรอใส่ คงรู้ว่าผมกำลังตั้งคำถามเอากับเขาว่า การที่เขาเป็นเกย์แบบนี้ เขาก็ได้ทำให้ครอบครัวเสียใจเหมือนกัน เขาสบตาผม ยิ้มให้ ไม่ได้เอ่ยปากที่จะแก้ตัวอะไร นอกจากจะเล่าเรื่องที่คุยค้างอยู่

“เพื่อนของผมจะชอบชวนให้ผมไปเป็นเพื่อนด้วย เวลาที่เกย์เฒ่าคนนี้ชวนออกไปหาอะไรกินหลังงานเลิก เขาบอกว่ายังไม่กล้าไปไหนกับเกย์เฒ่าคนนี้สองต่อสอง เขาเขินน่ะ แล้วอยากให้ผมไปช่วยดูด้วยว่าคนนี้ดีพอที่เขาจะฝากชีวิตไว้ด้วยได้ไหม

ผมเองก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่หรอก เพราะไม่ค่อยชอบสายตาเวลาที่เขามองผม มันหื่นกระหายอย่างไรก็ไม่รู้ ถึงแม้เพื่อนผมจะมาบอกว่าเขารักชอบกับเพื่อนผมแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี แต่พอเขาเซ้าซี้มากๆเข้าก็เลยไปอย่างเสียไม่ได้น่ะครับ”

เดียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้

“แล้วไง เวลาไปไหนมาไหนด้วย ตาเฒ่าคนนั้นแทะโลมนายหรือเปล่าล่ะ” ผมถามเขา

“ต่อหน้าเพื่อนผม เขาก็ไม่ทำท่าหื่นกามให้เห็นนะครับ แต่ก็จะชวนคุยนั่นนี่กับผมตลอดเวลา ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง แล้วแต่ว่าคำถามมันคืออะไร ถ้าลงลึกเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ผมก็ไม่ตอบครับ แต่เวลาเพื่อนผมไม่อยู่ ตาเฒ่านี่ก็ไม่ละเว้นที่จะพูดจาเกี้ยวพาราสี เสนอเงินทองอะไรให้มากมายเลยล่ะครับ

ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ชอบเพื่อนผม แล้วมาวุ่นวายกับผมทำไม ยิ่งไม่ชอบตาเกย์เฒ่าคนนี้ ก็เลยพาลไม่ชอบใจหนัก ตอนหลังก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ไปไหนด้วยเพื่อนก็มาอ้อนให้ไปด้วย พอผมเล่าให้ฟังว่าเขาทำอะไรบ้าง เพื่อนผมมันก็ดันไม่เชื่ออีก”

“มันหาว่าผมคิดมากไป แล้วก็ทำเป็นงอนผม ว่าผมไม่เห็นใจในความรักของเขา ผมไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยยอมไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่รู้สึกว่าตอนหลังเขาจะเรียบร้อยขึ้น มีแต่แววตาของเขาเท่านั้นที่ยังทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเขาไม่ละความพยายาม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดเสียว่าเพื่อความสุขของเพื่อน ผมไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนผมกับตาเฒ่าเกย์นั่น สมคบคิดกันที่จะให้ตาเฒ่านั่นมีอะไรกับผม”

“แล้วนายเสร็จตาเฒ่านั่นหรือเปล่าล่ะ”

ผมถามเขายิ้มๆ

“ไม่มีวันหรอกครับ ผมโชคดีเสมอ มักจะรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกครั้ง ดวงของผมน่ะ ไม่ได้กับคนพวกนี้หรอกครับ เพราะเนื้อคู่จริงๆของผมน่ะ เป็นคนผิวขาว หน้าตาหล่อๆน่ารักๆ ปากแดงๆเหมือนหนุ่มญี่ปุ่นน่ะครับ กำลังจีบอยู่นะครับ แต่ใจเขาแข็งจัง ไม่รับรักผมซะที”

เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นถอนหายใจ ผมเม้มปากแน่น นั่งนิ่ง ตามองไม่ข้างหน้า ไม่พูดโต้ตอบอะไร ถึงแม้จะรู้ว่าคนที่เขาพูดถึงอยู่คือตัวผมเองก็ตาม เพราะยิ่งพูด มันก็ยิ่งวกเข้าตัวเอง สู้เฉยๆปล่อยให้หมอนี่พล่ามไปคนเดียวดีกว่า

“วันที่ผมไปทานข้าว แล้วเจอตาเฒ่านั่น ก็เป็นแผนของเพื่อนผมอีกเหมือนกัน ผมเพิ่งมารู้หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น แม่เพือ่นกระเทยของผม ดันไปรับเงินรับทอง ตาเฒ่านั้นมา แล้วก็ไปสัญญิงสัญญากันว่าจะทำให้ผมยอมรับรักตาเฒ่านั้นให้ได้ เพื่อนผมมันร้อนเงิน มันก็ไปหลอกบอกว่าผมน่ะก็ชอบตาเฒ่านั้นบ้างอยู่เหมือนกัน

แต่ที่ลังเลเล่นตัว เพราะไม่แน่ใจว่าตาเฒ่านั่นจะรักจริง มันหลอกรับเงินเขามา แล้วก็มาหลอกผม สร้างสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้ผมยอมไปกินข้าวกับเสี่ยเกย์เฒ่าคนนั้น มันหลอกผมว่า มันกับเขาชอบกัน แล้วมันก็ไปหลอกตาเฒ่านั้นว่าผมก็ชอบเขา”

“เป็นไงล่ะ รู้สึกอย่างไรบ้างที่ถูกคนที่ตัวเองไม่ชอบมาตามตื้อแบบนั้น”

ผมเหน็บแนมอย่างสะใจ เด็กหนุ่มร้องอื้อ .....รู้ว่าผมหาเรื่องว่าเขาทางอ้อม แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธ หรือโมโหอะไร กลับทำหน้ายิ้มๆ

“เรียวไม่ต้องมาหลอกด่าผมหรอกครับ ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเรียว เพราะผมเองก็เคยรู้สึกอึดอัดแบบนั้นเหมือนกันเมื่อโดนตามตื้อ แต่ตาเฒ่านั้นทำท่าหื่นกามอย่างเห็นได้ชัดนี่ครับ ผมไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่แล้ว พอเห็นกริยาแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบใจใหญ่”

“ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่หื่นกามงั้นแหละ เห็นไล่ปล้ำฉันตลอดเวลา น่ากลัวมากๆ”

ผมได้ทีเลยโจมตีเขาใหญ่ เด็กหนุ่มค้อนควับ

“เรียวล่ะก็ พูดว่ากลัว แต่ก็เห็นตัวสั่นทุกครั้งเวลาผมกอดจูบลูบคลำ สั่นเพราะกลัว หรือสั่นสู้ละครับ หรือว่ายังไม่แน่ใจตัวเองอีก ว่ารู้สึกอย่างไร อยากให้ผมลองทำกับเรียวอีกสักครั้งไหมล่ะครับ”

อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หันมาหาผม แล้ววางมือหมับเข้าตรงหน้าขา ใกล้ๆกล่องดวงใจของผม ผมร้องเฮ้ย เหยียบเบรกรถกะทันหัน รถกระตุกวูบเกือบเสียหลักตกข้างถนน ดีที่ผมประคองรถไว้ได้

“ไอ้เด็กบ้า” ผมตะโกนลั่นรถ

“เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งคู่หรอก”

ผมต่อว่าเขาเสียงดังด้วยความโมโหสุดขีด เขาหน้าเจื่อน ทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้

“ขอโทษครับเรียว ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่นึกโกรธที่คุณชอบพูดว่าอยู่นั่นแหละ ทำอย่างกับว่าความรักของผมมันเป็นเรื่องตลกงั้นแหละ ผมรู้ดีครับว่าเรื่องของเรามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยังอยากจะพยายามทำให้มันเป็นไปได้ให้จงได้ ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณจึงไม่ชอบพวกเกย์ พวกเราไม่มีหัวใจหรือครับ รักใครไม่ได้เลยหรือครับ”

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเหมือนกับเศร้าเสียใจเสียเต็มประดา

“ฉันไม่เคยพูดเลยนะว่าฉันเกลียดพวกเกย์ ฉันแค่บอกนายว่า ฉันไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ ไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้ ไม่ได้ชอบผู้ชายแบบอยากเป็นแฟน แล้วก็ไม่อยากให้นายมาใช้ความพยายามกับฉันให้มันมากนัก เพราะถ้ามันผิดพลาดไม่สมหวัง นายจะเสียใจเปล่าๆ”

ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา ไม่อยากพูดให้เขาเจ็บปวด จนกระทั่งรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า

“ผมขอโทษนะครับ เมื่อกี้น่ะแค่อยากสัมผัสเรียวอ่ะ อยากรู้ว่าจะรู้สึกอะไรไหม พอคิดได้มือมันก็ไปเลยอ่ะครับ ไม่คิดว่าเรียวจะเบรครถเลย”

เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาที่ขอความเห็นใจ ผมมองสบตาเขา แล้วก็เบือนหน้าหนี หันมาให้ความสนใจกับการขับรถอีกครั้ง ผมพารถออกไปจากตรงนั้นแล้วก็มุ่งหน้าสู่ถนนที่จะเข้ากรุงเทพอีกครั้ง

“เพื่อนผมมันรับเงินเขามาโดยไปหลอกว่าเดือดร้อนเงิน อยากให้ตาเฒ่านั่นช่วย ถ้าให้เงินผมแล้ว ผมก็จะไปหา ตาเฒ่านั้นก็เลยให้เงินมาแล้วก็เฝ้ารอ แต่ผมก็ไม่ได้ไปหาเกย์คนนั้น เขาเลยมาหาผมตอนคลับเลิกแต่ก็ไม่เจอ พอดีมีคนที่ร้านบอกว่าพวกผมมากินข้าวกัน เขาก็เลยตามมาหาผมจนถึงร้านอาหาร แล้วก็ต่อว่าต่อขานผมเสียยกใหญ่ หาว่าผมรับเงินเขามาแล้ว ก็ไม่ยอมไปตามสัญญาจะโกงกันเหรอ

แกด่าว่าผมเสียงดังมาก ทุกคนมองเรากันใหญ่ แม้กระทั่งพวกเพื่อนๆ เพราะเฒ่าลามกนั่น กล่าวหาว่าผมเอาเงินเขาไปหลายครั้ง เพื่อแลกกับการยอมไปนอนกับเขา เสียงแกดังลั่นร้านเลย แม้ผมจะบอกว่าไม่ได้เอาเงินแกไป แกก็ไม่ยอมเชื่อ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีคนนั้น ก็หายแว่บไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้ผมเผชิญชะตากรรมตามลำพัง ไม่มีใครกล้าต่อกร หรือช่วยผม เพราะทุกคนกำลังคลางแคลงใจว่าผมหลอกเอาเงินเสี่ยแกจริงหรือเปล่า”

เดียร์เว้นวรรคหายใจก่อนจะพูดต่อ

“แถมซ้ำตาเฒ่านั่นยังพาพวกนักเลงกล้ามโตๆมาด้วยอีก 4-5 คน หน้าตาHereมเกรียมทั้งนั้น ทุกคนก็เลยพร้อมใจกันสงบปากสงบคำปล่อยให้ผมโดนด่าฟรีๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ผมโต้เถียงกับคนพวกนั้น ข้าวปลาไม่ได้กินเลย  ตาเฒ่านั่นแกคงโมโหผมมาก ก็เลยให้คนมาฉุดกระชากลากถูผมไป

ผมก็พยายามดิ้นรนขัดขืนนะ แต่ตอนนั้นนุ่งชุดราตรียาว จะเตะจะต่อยแต่ละทีก็ลำบาก พวกมันก็จับตัวผมลากไปที่รถ เพื่อนผมมัวแต่ตกตะลึงกับกลัวคนพวกนั้นทำร้ายเอา ก็เลยไม่มีใครมาช่วยผม พวกมันพยายามจะเอาผมขึ้นรถให้ได้ แต่ผมก็ดิ้นรนต่อสู้ อาศัยที่ผมเคยเป็นนักมวยมาก่อน ก็เลยสามารถที่จะล้มไอ้สองตัวที่พยายามจะยัดผมเข้ารถ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากลานจอดรถตรงนั้น”

เด็กหนุ่มหยุดเล่า แล้วเอี้ยวตัวหันมามองผม แล้วถามผมว่า

“ถึงตอนนี้ พอจะคุ้นๆอะไรบ้างไหมครับ”

ผมนิ่งเงียบไม่ตอบสิ่งที่เขาถาม แต่ใจลอยไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมจำได้ว่า ผมกับเพื่อนออกจากคลับมา ก็รู้สึกหิว อยากจะไปหาอะไรกินกัน เพื่อนผมมันอยากจะไปทานเหล้าต่ออีก

ส่วนผมน่ะไม่อยากทานต่อแล้ว เพราะเริ่มจะมึนนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับเมามากจนไม่รู้เรื่อง เลยไม่อยากกินต่อ อยากกินข้าวมากกว่า เพราะต้องเข้ากรุงเทพในวันรุ่งขึ้น อยากจะไปแต่เช้าๆ ไม่อยากตื่นสาย แล้วก็ไม่อยากขับรถตอนที่ยังแฮงค์อยู่ด้วย

ก็ตกลงกันอยู่นาน เพื่อนผมมันเลยยอมไปกินข้าวด้วย เพราะว่ามันเห็นแก่ผม เราเลยตัดสินใจกันว่า จะไปกินข้าวต้มกัน ซึ่งก็มีร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่งกันไม่กี่แห่ง ผมกับเพื่อนเลือกได้ร้านหนึ่งตรงพัทยากลาง ตอนที่เราไปถึงนั้น เป็นเวลาเกือบจะตีสามแล้ว คนในร้านเริ่มจะบางตา มีลูกค้าอยู่เพียง 5-6 โต๊ะ ส่วนใหญ่ก็มาเป็นกลุ่ม

มีอยู่โต๊ะหนึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก แล้วดูโดดเด่นสะดุดตา เพราะคนในโต๊ะนั้นเป็นสาวประเภทสอง การแต่งตัวของพวกเธอ ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากคาร์บาเร่ต์ที่ไหนสักแห่ง ผมรู้สึกคุ้นตากับคนกลุ่มนั้นมาก จำได้ว่าเป็นนักแสดงจากคลับที่ผมกับเพื่อนเพิ่งไปดูมา ช่างน่าบังเอิญอะไรเช่นนี้ที่ได้มาเจอนักแสดงกลุ่มนี้อีก

ด้วยความที่หิวมาก ผมก็เลยเดินตรงเข้าไปเพื่อที่จะเลือกที่นั่งในร้าน กะว่าจะนั่งอยู่ด้านในสุดให้ห่างจากคนกลุ่มนี้ เพราะไม่อยากนั่งฟังการพูดคุยที่ส่งเสียงดังลั่นของพวกเขา พอดีผมเกิดเหลือบไปเห็นว่ามีนักเลงกลุ่มใหญ่ยืนคุยกับสาวประเภทสองกลุ่มนี้อยู่ แต่ดูลักษณะแล้วเหมือนกำลังมีเรื่องกันมากกว่า

โดยเป้าหมายเป็นสาวประเภทสองที่ใส่ชุดสีแดงเพลิง หน้าตาดีที่นั่งหันหน้ามาทางผมพอดี ผมเหลือบตามองแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า กระเทยคนนี้คือคนที่ผมคุยด้วยเมื่อตอนคลับเลิกนั่นเอง ผมสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเด็กคนนี้จึงถูกกลุ้มรุมต่อว่าต่อขานอย่างหนัก โดยที่ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือเขา

ทุกคนหุบปาก มองดูเฉยๆ ท่าทางตื่นกลัว ปล่อยให้เด็กคนนั้นโต้เถียงตามลำพัง ผมหันหน้าหนี ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปช่วยเหลือ แต่อีกใจก็ไม่อยากยุ่ง เพราะผมไม่รู้ว่านี่เป็นการทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องชู้สาว มีการหึงหวงกัน หรือว่าเด็กนั่นไปทำอะไรผิดมา จนคู่กรณีต้องเข้ามาเจรจากันแน่

ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกผิดในใจต่อการเมินเฉยในความผิดปกติที่เห็น แต่ผมก็จำเป็นต้องใจดำ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย แล้วก็ไม่อยากจะหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวด้วย ผมจึงชวนเพื่อนกลับออกไปเพื่อไปหาอะไรกินที่อื่น


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 03-09-2007 22:58:50
ขณะที่ผมกำลังเดินไปขึ้นรถที่จอดไว้ ผมก็เห็นคนกลุ่มนั้นกำลังกระชากเด็กนั่นออกมาจากโต๊ะ แล้วเดินมาที่ลานจอดรถ เด็กกระเทยนั่นพยายามดิ้นรนต่อสู้สุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากการเกาะกุมของพวกนักเลงพวกนั้น ผมสังเกตเห็นผู้ชายสูงอายุ ผิวขาวเหมือนคนจีน ตัวใหญ่ แต่ท่าทางการเดินเหินกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิงเดินนำออกมา

เขาร้องสั่งให้คนพวกนั้นจับสาวชุดแดงนั่นเข้ารถ แต่เด็กนั่นก็ดิ้นต่อสู้ เขาชกต่อยนักเลงตัวใหญ่สองคนที่จับเขาไว้ ท่าทางเขาดูปราดเปรียวคล่องแคล่วเหมือนพวกที่เคยคุ้นกับการใช้ศิลปะป้องกันตัวในการต่อสู้ ไม่กี่นาทีเขาก็ล้มเจ้าสองคนนั่นได้ แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากสภาพร่างกายที่เป็นรองไอ้ยักษ์สองตัวนั่น กับการแต่งกายในชุดราตรีรัดรูปที่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาเตะต่อยได้เท่าไหร่นัก

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมเฝ้ามองการต่อสู้ของเด็กกระเทยกับนักเลงพวกนั้นด้วยความรู้สึกลังเลในใจ คิดอยู่ว่าจะเข้าไปช่วยเด็กนั่นดีหรือไม่ แต่ผมก็ห่วงเพื่อนที่กำลังเมาไม่อยากจะดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากจะหาเรื่องอีก คราวที่แล้วผมยุ่งกับเรื่องคนอื่นมากเกินไป ทำให้ความรักระหว่างผมกับแฟนสาวพังทลาย ผมเลยคิดหนักเวลาจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

แต่แล้วมโนธรรมที่มีอยู่ในใจของผมก็ชนะทุกสิ่ง ผมเปิดกระจกรถเรียกเด็กกระเทยคนนั้นทันทีที่เขาวิ่งหนีคนกลุ่มนั้นมาทางผม เด็กหนุ่มรีบเปิดรถผมเข้ามานั่ง ผมรีบกระชากรถออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงตะโกนด่ามาตามหลัง แล้วผมก็เห็นคนกลุ่มนั้นวิ่งไปขึ้นรถอีก 2 คันที่จอดอยู่ ก่อนที่จะขับตามมา

ผมขับรถอย่างรวดเร็วเพื่อหนีการตามล่าของรถนักเลงพวกนั้น แต่พวกมันก็ขับรถตามผมมาติดๆ พยายามที่จะขับชนท้าย หรือเร่งเครื่องเบียดแซงขึ้นมา จะปาดหน้ารถผมให้ได้ แต่ผมก็เหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อจะหนีพวกคนร้ายให้ได้ หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว เพราะผมได้เอาเท้าข้างหนึ่งแหย่ลงไปในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตตัวเอง และเพื่อนที่มาด้วย

ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะขับรถหนีไปให้พ้น แต่พวกนั้นก็ตามล่าตามล้างอย่างไม่ลดละ พวกมันขับรถตีคู่กันกับรถผม ขนาบข้างซ้ายขวา แล้วขับเบียดกระแทกรถผม จนรถผมสั่นไปมา มีรอยครูดอยู่สองด้านข้างตัวรถ เพื่อนผมที่กำลังเมาอยู่ตาเหลือกลานเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มันร้องโวยวายไปตลอดทางจนผมเกือบจะสติแตก แต่เด็กกระเทยที่ผมรับขึ้นมาด้วย กลับนั่งนิ่ง

ผมเหลือบมองจากกระจกส่องหลัง ก็เห็นใบหน้าที่ฉาบด้วยสีสันนั้นจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเห็นความดีใจฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น เจือด้วยความรู้สึกเสียใจ และมีความตื่นเต้นอยู่ในใบหน้าสวยๆนั้น เขาไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งนิ่งๆ เดาว่าเขาคงไม่อยากทำให้ผมรู้สึกเครียดไปมากกว่านี้

“ตอนนั้นน่ะ ผมดีใจมากเลยที่เจอคุณที่ลานจอดรถ ผมแทบจะกระโจนเข้าไปกอดคุณเลยรู้มั๊ย ถ้าไม่เป็นเพราะไอ้พวกนั้นมันวิ่งไล่ตามผมมาล่ะก็ ผมเลยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเข้าไปหลบอยู่ในรถคุณ  ไม่นึกเลยว่าคุณจะกลายมาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยผมอีกครั้ง”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกชื่นชมรักใคร่

“ฉันน่ะน่าจะเชื่อความคิดของตัวเองที่ว่าไม่น่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนายเลย ยุ่งทีไรมีปัญหาทุกที คราวที่แล้วเลิกกับแฟน คราวนี้รถถูกชน ถูกเบียด ต้องเข้าโรงซ่อม หมดไปหลายหมื่นเลย แล้วผลที่ฉันได้รับกลับกลายมาเป็นต้องถูกนายจับมามัด แล้วยังจะมาบังคับให้ชอบกับนายเสียอีก นี่เหรอผลของการทำความดีของฉัน”

ผมหัวเราะอย่างขมขื่นใจ

“ผมถึงต้องการตอบแทนในสิ่งที่เรียวทำให้ผมไงครับ วันนั้น ถ้าคุณไม่พาผมขับรถหนีไปจนถึงสถานีตำรวจ พวกนั้นก็คงไม่เลิกราง่ายๆหรอก”

เด็กหนุ่มยังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความชื่นชมรักใคร่เหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกจริงๆด้วยว่าได้ทำให้ชีวิตของผมวุ่นวาย

“แล้วฉันก็รู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้เดินขึ้นไปบนโรงพักเพื่อไปแจ้งความช่วยนาย เพราะตำรวจคงจะซักถามอะไรยืดยาว เหมือนคราวนั้นอีก แล้วพอดีพอร้ายอาจจะนึกได้ว่าฉันเคยมาแจ้งความเรื่องของนายไว้ครั้งหนึ่ง เดี๋ยวเกิดอยากจะกันตัวฉันไว้สอบปากขึ้นมาจะยิ่งยุ่งไปอีก”

ผมพูดโต้ตอบเขา ขณะเลี้ยวรถเข้าสู่ช่องทางสายมอเตอร์เวย์ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรถติดในเส้นที่มุ่งหน้าเข้าสู่บางนา พร้อมกันนั้นผมก็จมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงอีกครั้ง……….

หลังจากที่ผมสามารถหลุดรอดการตามไล่ล่า เพราะเห็นสถานีตำรวจอยู่ข้างหน้าจึงขับรถเข้าไปจอดอย่างรวดเร็ว  ผมมองเห็นรถสองคันที่ไล่บี้ผมมาทำท่าจะเลี้ยวตาม แต่ก็เปลี่ยนใจขับรถเลยออกไป ผมจอดรถแช่อยู่หน้าสถานีร่วมชั่วโมง เพื่อรอดูเหตุการณ์ แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนพวกนั้นที่จะตามเข้ามา

ผมไม่ได้ต้องการจะแจ้งความ แค่อยากอาศัยร่มเงาอันศักดิ์สิทธิ์ตามอำนาจกฏหมายของตำรวจเป็นที่พึ่ง การได้มาอยู่ในชายคาแห่งสถานีตำรวจ อาจจะช่วยยับยั้งการตามล่าของพวกนั้นได้บ้าง ผมนั่งนิ่งอยู่ในรถ ดับเครื่องแล้ว แต่มือยังคงกำแน่นอยู่ที่พวกมาลัย ความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมต้องนั่งนิ่งๆเพื่อระงับอารมณ์

“เกิดอะไรขึ้นวะเรียว”

เพื่อนผมโวยวายขึ้นหลังจากที่มันนั่งเงียบมาตั้งนาน ดูเหมือนว่าเรื่องหวาดเสียวเฉียดตายเมื่อครุ่ ทำให้มันหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

“ไม่มีอะไรหรอก แค่มีใครบางคนพยายามที่จะทำให้เราหยุดรถเท่านั้นเอง”

ผมตอบด้วยท่าทีที่สงบลงมาก หลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายแรงมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผมสามารถจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้เยอะ ทำให้ไม่ตื่นเต้นตกใจจนเกินไป แล้วก็มีสติเพียงพอที่จะเอาตัวรอดทุกครั้ง ยังนึกไม่ออกเลยว่า หากผมขับช้ากว่าพวกนั้น แล้วถูกพวกมันจับได้ พวกมันจะทำอะไรกับผมและเพื่อนหนอ

มันจะรุมซ้อมพวกเราหรือเปล่า ดูร่างกายของคนพวกนั้น ไม่น่าที่ผมและเพื่อนที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดระดับหนึ่งจะสามารถต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ และถึงแม้ไม่เมา ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ชนะ หรือหนีรอดเงื้อมมือนักเลงกลุ่มนั้นไปโดยไม่เจ็บตัว

“แล้วไอ้คนพวกนั้นมันตามพวกเรามาทำไมวะ”

เขาถามอย่างงงๆ หมอนี่คงเมามากจนไม่ได้สังเกตเลยว่าผมรับใครขึ้นมาบนรถ

“เป็นความผิดของผมเองครับที่ทำให้พวกคุณเดือดร้อน”

กระเทยในชุดสีแดงเพลิงที่ผมช่วยชีวิตโดยให้อาศัยรถผมมา และเพิ่งจะรอดพ้นจากการถูกตามล่า กล่าวโพล่งขึ้นมา น่าแปลกที่เขาเรียกตัวเองว่าผม ทั้งๆที่กระเทยส่วนใหญ่จะเรียกตัวเองด้วยชื่อเล่น หรือ ไม่ก็เรียกตัวเองว่า “หนู” เพื่อนผมมันเอี้ยวศีรษะไปมองด้านหลัง

“อ้าวนี่ใครกันล่ะเนี่ย”

“ผมเป็นนักแสดงโชว์จากคาร์บาร์เรต์ครับ วันนี้คุณทั้งสองคนยังไปดูผมแสดงเลยที่คลับ.... เพื่อนคุณคนนี้ยังให้เงินค่าทิปผมกับเพื่อนเลยครับ”

เด็กหนุ่มทวนความจำให้เพื่อนผม

“แล้วมาขึ้นรถเจ้าเรียวมันตอนไหนกันล่ะ เรียวนายแวะรับน้องหนูนี่มาจากคลับเหรอ”

เขาหันมาถามผม ไอ้เพื่อนคนนี้มันเมาไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ

“เปล่า” ผมปฏิเสธ

“นี่นายไม่สังเกตอะไรเลยหรือไง หรือว่าเมามากจนมึนกันแน่ ฉันรับน้องคนนี้มาจากตรงลานจอดรถที่ร้านข้าวต้มที่เรากำลังจะไปกินกันไง เขาหนีพวกคนตามล่ามา ฉันก็เลยเรียกให้ขึ้นรถมาด้วย พวกนั้นก็ขับตามไล่บี้เราไง คงอยากจะเอาเรื่องเราที่รับน้องคนนี้ขึ้นรถมาไง”

“อ๋อ......ตอนที่ขึ้นรถมาฉันคงเผลองีบหลับไปอ่ะ มันเมามาก มึนหัวไปหมด แต่ก็รับรู้ตลอดนะว่านายขับรถเร็วมาก แถมซ้ำรถยังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเหมือนถูกกระแทก ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นรถสองคันขนาบข้าง แล้วพยายามจะชนเราน่ะ” เพื่อนผมเพิ่งถึงบางอ้อ

“แล้วน้องไปทำอะไรให้เขาโกรธ ถึงขนาดตามล่าตัวอย่างนั้นล่ะ” เพื่อนผมหันไปถามน้องกระเทยคนนั้น เด็กนั่นตอบเพื่อนผมว่า

“ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ พวกนั้นหาว่าผมไปรับเงินจากเขามา แล้วเบี้ยว ไม่ยอมไปค้างคืนด้วยอ่ะครับ”

“จริงเหรอ”

เพื่อนผมร้องถาม ท่าทางสนอกสนใจขึ้นมาเชียว เพื่อนผมคนนี้มันมีรสนิยมแปลกประหลาด มันชอบผู้ชายที่ท่าทางออกกระตุ้งกระติ้งหน่อย และชอบกระเทยเป็นพิเศษ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเกย์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเกย์ชนิดไหนเท่านั้น

“นี่น้อง นอกจากจะแสดงโชว์แล้ว ยังจะรับจ๊อบด้วยการไปกับแขกอีกเหรอ”

ผมถามเขาด้วยความอยากรู้ หลีกเลี่ยงคำพูดว่าขายตัว เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดี พลางนึกในใจว่าไม่น่าเลย เด็กนี่ก็ดูหน้าตาดี  หากผ่าตัดแปลงเพศทำหน้าอกแล้วก็คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยมาก น่าจะมีผู้ชายบางคนที่เขาไม่ถือสาในเรื่องแบบนี้มารักและอยากจะแต่งงานด้วย กระเทยสมัยนี้หากรู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวดีๆ มีกริยามารยาทเรียบร้อย แม้แต่ผุ้หญิงก็ต้องอาย แล้วหลายรายก็ออกเรือนไปมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ครองรักกันอย่างยาวนาน

“เปล่าครับ เพื่อนผมมันไปหลอกเขาครับ ผมก็เลยซวยไปด้วย” เด็กหนุ่มบอกผมกับเพื่อน

“แล้วนี่น้องจะไปไหนเหรอ มีที่หรือเปล่า ไปพักกับพี่เอาไหม”

เอาอีกแล้ว เพื่อนผมเล่นบทเฒ่าหัวงูอีกแล้ว เห็นกระเทยสวยๆไม่ได้ เป็นออกอาการหื่นทันที ผมเลยต้องออกโรงห้ามปรามก่อนที่เด็กคนนี้จะขวัญเสีย อุตส่าห์หนีเสือ จะมาปะจระเข้เสียแล้ว ผมเลยแกล้งพูดให้เด็กหนุ่มเข้าใจผิดว่าพวกเราแกล้งล้อเขาเล่น ไม่อยากให้เด็กนี่คิดมาก ว่าพวกเรากำลังอาศัยสถานการณ์ที่เกิดขี้นล่อลวงเขาเพื่อมาปรนเปรอทางเพศ

“อย่าไปทำให้น้องเขายิ่งตกใจเลยดีกว่า นายนี่ก็อำเด็กอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเขาก็นึกว่านายเป็นเฒ่าหัวงูจริงๆหรอก”

ผมหันไปทำตาดุใส่เพื่อนผมเมื่อเห็นมันกำลังจะขยับปาก เขาเลยแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน เสพูดขึ้นมาว่า
“แหม โทษทีนะ พี่ก็พูดไปงั้นอ่ะ  ไม่ได้เจตนาให้คิดมาก แค่เห็นว่าเราหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีที่ไป ก็เลยคิดว่าน้องน่าจะหาที่พักผ่อนอย่างสบายๆสักคืนหนึ่ง พอดีพวกพี่อยู่กันสองคนก็เลยคิดจะชวนไปด้วยน่ะ”

เด็กกระเทยคนนั้นเหลือบตามองผม เขาทำท่าเหมือนจะพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วก็ไม่พูดอะไร ผมมองเขาแว่บหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจเคลื่อนรถออกจากสถานีตำรวจแห่งนั้น

“อ้าว นายไม่แจ้งความเหรอ”

เพื่อนผมโวยวายอีกแล้ว เขาเป็นพวกจิตไม่ปกติ กังวลใจเกินเหตุ โรคเดียวกับแซนดี้แฟนเก่าของผม ผมส่ายหน้าช้าๆ ตอบเขาว่า

“ไม่หรอก ไม่อยากทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านั้น เราสองคนคงไม่มีเวลาพอที่จะมาให้ปากคำหรอก แล้วฉันก็คิดว่าน้องหนูคนนี้คงเคลียร์ปัญหากับเกย์สูงอายุคนนั้นได้น่า”

“ตกลงน้องจะให้เราไปส่งที่ไหนจ๊ะ” เพื่อนผมเสียงหวานหยด นี่ขนาดเมานะเนี่ย ยังไม่วายทำเจ้าชู้ใส่เด็กคนนี้อีก

“เอ้อ......” เด็กกระเทยอึกอัก

“ยังไม่อยากกลับบ้านเหรอ” ผมถามเขา เดาเอาว่า เด็กนี่คงยังไม่แน่ใจว่าที่บ้านของตนเองจะยังปลอดภัยพอหรือเปล่ากระมัง คงกลัวพวกนั้นตามมาดักจับตัวถึงที่บ้าน

“งั้นไปไหนดีล่ะ.........”

ผมถาม สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ไม่มีเสียงตอบจากแม่กระเทยสาวชุดแดงนี่ ผมเหลือบมองเขาจากทางกระจกหลัง ก็เห็นใบหน้าที่แสดงความวิตกกังวลครุ่นคิดของเด็กคนนี้ ท่าทางลังเลใจ สับสน คงยังไม่หายตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สักพักเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบในรถ มันเป็นเสียงน้ำย่อยในกระเพาะที่แสดงให้รู้ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องของพวกเราเลย และมันดังบังเอิญดังขึ้นพร้อมๆกันจากเราสามคนเสียด้วย ผมเลยได้ข้อสรุปว่าควรจะหาอะไรทานกันก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องอื่นๆทีหลัง

ผมขับรถแวะเข้าไปจอดที่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เราสามคนเดินไปนั่งในร้านอาหาร และสั่งอาหารมากินหลายอย่าง ในระหว่างที่กินอาหารอยู่นั้น ผมก็มีเวลาที่จะพินิจพิจารณากระเทยสาวชุดแดงที่นั่งอยู่ตรงหน้า

เขาเป็นกระเทยที่รูปร่างสูงบึกบึน แขนมีมัดกล้าม ผิวสีน้ำตาลทอง ท่าทางจะยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศ เพราะหน้าอกที่เห็นมันเป็นกล้ามเนื้อหน้าอกมากกว่าที่จะเป็นอกที่ยัดด้วยสิลิโคนเหมือนหน้าอกของกระเทยแปลงเพศทั่วไป และการที่เขาใส่ชุดรัดรูป ก็เลยทำให้เห็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายนูนเด่นขึ้นมากลางลำตัว

ใบหน้าภายใต้เครื่องสำอางที่ฉาบหนานั้นดูดีมาก ผมคิดว่าถึงแม้จะล้างเครื่องสำอางออกแล้ว หน้าตาเขาก็คงจะดูดีไม่น้อยไปกว่าที่เห็น วิกผมปลอมสีดำยาวสลวยช่วยขับใบหน้านั้นให้ดูโดดเด่นขึ้น จมูกโด่งได้รูปสวย ริมฝีปากเต็ม มีลักยิ้มอยู่ข้างแก้ม หน้าตาแบบนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นคนที่มีเชื้อไทยแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าเขาน่าจะมีครึ่งหนึ่งของฝรั่งอยู่ในตัว หน้าตาและรูปร่างจึงดูแตกต่างจากคนไทยถึงขนาดนั้น

อายุของเด็กนี่คงจะไม่เยอะสักเท่าไหร่ น่าจะราวๆ 17-18 ซึ่งยังเด็กอยู่มากเลยกับการมาใช้ชีวิตกลางคืนแบบเสี่ยงๆอย่างนี้ ผมมองหน้าเด็กกระเทยนี่ แล้วเกิดความรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ไม่ว่าจะเป็นวงหน้าภายใต้เครื่องสำอางหนาหนัก แววตาบ๊องแบ๊ว ที่บางครั้งก็แฝงความระแวดระวัง บางครั้งก็แสดงออกถึงความชื่นชมยินดีกับอะไรบางอย่าง

ไม่รู้ว่าเป็นอุปทานหรือเปล่า ผมมักจะคิดว่าดวงตาคู่นั้นเวลาที่เขาจ้องมองผมมา มันมีความหมายอะไรบางอย่างที่เคลือบแฝงอยู่ แต่เป็นไปในทิศทางที่ดี ไม่ใช่การประสงค์ร้าย แล้วไหนจะรอยยิ้มกว้างที่เขายิ้มให้ผมอีก มันเป็นยิ้มหวานๆและประจบประแจงอย่างไรไม่รู้ ผมคิดว่าผมน่าจะเคยเห็นยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่จำไม่ได้เท่านั้น ว่าเห็นที่ไหน

ผมคงจะมองเด็กนี่นานเกินไป จนเขารู้สึกตัว เขาเงยหน้าจากจานอาหารตรงหน้า แล้วมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย เขายิ้มให้ผมอีกแล้ว ผมรีบก้มหน้าลงไปยังจานอาหารของตนเอง แล้วตักมันเข้าปาก สายตาเหลือบแลไปยังเพื่อน ก็เห็นมันนั่งมองหน้าเด็กกระเทยนั่นด้วยดวงตาหวานเยิ้ม จนผมเริ่มรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา

ผมกับเจ้าเพื่อนคนนี้ทำงานอยู่แผนกเดียวกันมาหลายปีแล้ว เราสนิทกันมาก และผมก็รับรู้มาตลอดเวลาว่าเจ้าหมอนี่ไม่ชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชาย ความที่เป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่เคยนึกรังเกียจในตัวเขา เพราะเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลให้งานเสีย และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้คิดจะจีบผมด้วย ดังนั้นหากเขาจะชอบใครยังไง ผมก็ไม่เคยสนใจ เพราะมิตรภาพของเราเหนียวแน่นมากพอจนกระทั่งผมสามารถมองข้ามความวิปริตทางเพศตรงนี้ของเขาไปได้

สำหรับกรณีของเด็กนี่ ผมเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้เพื่อนผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวตอแยกับเขา อาจจะเป็นเพราะผมดันมีความรู้สึกสงสารเด็กกระเทยนั่นขึ้นมา เพราะเขาเพิ่งผ่านเรื่องราวแบบนี้และรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แถมซ้ำเขาก็ยังอายุน้อยเกินไปที่จะถูกล่อลวงด้วยพรานเฒ่าหื่นกามแบบเพื่อนของผม

เพื่อนคนนี้ มันชอบหลอกเด็ก พาเด็กมานอนด้วยบ่อยๆ ที่ผมรู้เพราะมันชอบมาเล่าให้ฟัง ถึงแม้ผมจะไม่ชอบใจในการกระทำของมันเท่าไหร่ ผมก็ไม่เคยจะห้ามปราม หรือโต้เถียงกับมัน เพราะคิดว่านั่นคือเรื่องส่วนตัว เป็นรสนิยม และความชอบซึ่งบังคับกันไม่ได้ แต่หนนี้เห็นทีจะต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสียแล้ว

ผมบอกเพื่อนให้รีบกิน รีบไป โดยอ้าวว่าง่วงแล้ว จะกลับไปพักผ่อน แล้วก็หันมาบอกกับน้องกระเทยคนนั้นให้รีบกิน แล้วบอกว่าจะพาไปส่งขึ้นรถกลับบ้าน แม้เพื่อนผมจะบอกว่าให้ไปส่งน้องเขาถึงบ้านก็ตาม แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงว่าผมง่วงแล้ว เมาด้วยขับไม่ไหว

แต่อันที่จริงเป็นเพราะผมไม่อยากให้เพื่อนผมรู้จักบ้านช่องของเด็กคนนี้ เพราะรู้แน่ว่าเพื่อนผมมันต้องหาโอกาสไปเจอแน่ เพราะดูท่าทางมันจะชอบเด็กคนนี้เอามากๆ พอผมยืนยันหนักแน่นว่าไม่ไปส่ง เพื่อนผมมันก็เลยต้องเงียบ ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ เพราะตัวมันเองก็เมามากจนขับรถไม่ไหวเหมือนกัน ความหื่นกามที่มีอยู่ทำให้มันฝืนทรงกายขึ้นเท่านั้นเอง เพื่อสร้างภาพกับเด็กคนนี้ ให้คิดว่ามันยังไหวอยู่

หลังจากทานข้าวกันเสร็จ ผมก็ขับรถพาเด็กกระเทยคนนั้นไปส่งยังท่ารถ แล้วก็ยัดเงินใส่มือเขาไปอีก 500 บาทเพื่อเป็นค่ารถกลับบ้าน ส่วนเจ้าเพื่อนผมรีบยัดนามบัตรใส่มือเด็กนั่น แล้วสั่งเสียล่ำลายกใหญ่ โดยบอกว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้โทรมาหามัน

จากนั้นเราสองคนก็นั่งรออยู่ในรถ จนกระทั่งมีรถรับจ้างผ่านมา แล้วเด็กนั่นโบกรถ แล้วขึ้นไปนั่ง ผมมองจนกระทั่งรถคันนั้นลับสายตาไป จึงค่อยออกรถ มุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พัก

ความคิดคำนึงของผมกลับมายังปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในอดีต ระหว่างผมกับเดียร์ร้อยเรียงเข้ามาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะเคยเจอเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆผมอยู่ตอนนี้ถึง สามครั้งสามคราด้วยกันที่พัทยานี่ ต่างกรรม ต่างวาระ แล้วแต่ละครั้งนั้นก็เจอในสภาพที่ต่างกันออกไป

เจอกันครั้งแรก เขายังเป็นเด็กชายรูปร่างบางๆ แต่ตัวสูงกว่าเด็กชายทั่วไป ครั้งต่อมา เขาเป็นนักมวยรูปร่างแข็งแกร่ง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มต่างไปจากเดิม และครั้งสุดท้ายที่พัทยานี่ เขากลายเป็นกระเทยสาวแสนสวย มิน่าล่ะ ตอนเขาจับตัวผมมามัดไว้ ผมจึงจำเขาไม่ได้ในตอนแรก เพราะเขาเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน

“ฉันน่าจะยุให้เพื่อนฉันจีบนายซะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่น่าไปขัดขวางเลย” ผมบอกเขายิ้มๆ

“ไม่เสียดายผมหรือฮะ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงยวนยั่ว แต่คราวนี้ผมกลับไม่โกรธแฮะ

“ถ้าฉันรู้ว่า ฉันต้องมารับเคราะห์แบบนี้ ฉันคงยินดีที่จะให้เพื่อนฉันเอานายเป็นแฟนมากกว่า ไม่น่าเล้ยยยยยยย เลยซวยเลยทีนี้”


ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก

“ตอนนี้สายไปแล้วฮะ เรียว กลับตัวอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว ผมรักคุณแล้ว รักมากๆด้วย จะไม่มีวันปล่อยคุณหลุดมือไปได้หรอกครับ ทำใจไว้เลยนะ ว่าผมจะพยายามทำให้คุณรักผมให้ได้”

สำเนียงของเขาบ่งบอกถึงความมั่นอกมั่นใจ จนผมรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด โดยการถามถึงเรื่องราวต่อจากนั้น

“นายยังกลับไปทำงานที่เดิมอีกไหม”

“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่นั่นอีก ผมกลัวว่าตาเฒ่านั้นจะไปรังควาญผมถึงที่คลับ แล้วก็ไม่อยากทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องเดือดร้อนไปด้วย ผมจึงไปขอพักอาศัยอยู่กับไอ้น้อยที่ห้องของมัน แล้วเล่าทุกอย่างให้มันฟัง

ไอ้น้อยมันโมโหมาก มันแอบไปต่อว่าต่อขานเพื่อนกระเทยคนนั้นที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ แล้วก็ไปเล่าให้หัวหน้าคณะฟัง แต่หัวหน้าคณะก็ไม่สามารถทำอะไรกับเพื่อนกระเทยคนนั้นของผมได้ เพราะเขาก็เป็นตัวแสดงดาวเด่น แล้วก็เรียกแขกได้พอสมควร ไอ้น้อยโมโหมากจึงลาออกมาพร้อมๆกันกับผมเลย เป็นอันว่าเราสองคนเลยไม่ได้ไปทำงานที่นั่นอีก”

“อ้าวแล้วตาเฒ่าคนนั้นล่ะ ไม่หัวเสียแย่เลยเหรอ เพราะเขาตามนายไม่เจออีกแล้วนี่”

ผมถามเขาด้วยความอยากรู้ รู้สึกว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มเล่านี่ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง

“อ๋อ ตาเฒ่านั่นนะเหรอครับ ได้ข่าวว่าแกโกรธมากเลย พอแกรู้ความจริงว่า ผมไม่ได้รักแก แต่เพื่อนกระเทยคนนั้นโกหก แล้วเป็นคนที่เอาเงินแกไป แกก็เลยจัดการเอาคืนกับเพื่อนผมอ่ะครับ เห็นน้อยเล่าให้ฟังว่า แกไปหาเพื่อนกระเทยคนนั้น แล้วก็เรียกร้องให้คืนเงินมา

แต่เพื่อนผมมันดันเอาเงินไปใช้จ่ายอะไรไม่รู้จนหมดเกลี้ยงไม่มีเงินคืน ตาเฒ่าคนนั้นก็เลยโกรธมาก เพื่อนที่หลอกเงินเกย์เฒ่าคนนั้นเลยต้องชดใช้หนี้ด้วยการถูกตาเฒ่าเกย์พร้อมพวกลงมือข่มขืน แต่เพื่อนผมไม่กล้าเอาความ เพราะกลัวความผิดข้อหายักยอกเงิน แล้วก็กลัวตายด้วย

เพราะพวกนักเลงอันธพาลที่มีเกย์เฒ่าเป็นหัวหน้าแก๊งนั่น ขุ่อาฆาตว่าจะฆ่าให้ตาย ถ้าเอาเรื่องไปแจ้งความ แต่ในท้ายสุดเรื่องก็ลงเอยด้วยดีนะครับ เพราะว่าตาเฒ่านั้นเกิดสงสารเพื่อนผมขึ้นมาที่โดนข่มขืนจนยับเยิน ก็เลยรับเลี้ยง เป็นกิ๊กลับๆของเขาอีกคนหนึ่งอ่ะครับ ก็ถือว่ายังโชคดีไปที่ตาเฒ่านั้นมีเมตตา”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง นอกจากว่าเขาจะไม่โกรธแค้นเพื่อนกระเทยของเขาแล้ว ดูท่าทางเขารู้สึกยินดีปรีดาเสียด้วยซ้ำ เขาเฉลยข้อสงสัยของผมด้วยการพูดว่า

“ผมน่ะ เคยคิดโกรธเพื่อนผมน่ะครับที่มาทำกับผมแบบนี้ แต่มานึกอีกที ก็สงสารมัน เพราะมันก็ได้รับผลกรรมไปแล้ว ผมยังรู้สึกยินดีไปกับมันด้วยที่ตาเฒ่านั้นดันรักมันขึ้นมา ยอมเอามันไปดูแล ผมควรจะขอบคุณมันด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากมันไม่ทำแบบนี้กับผม ผมก็คงไม่มีทางได้เจอเรียวอีกครั้งหรอก ผมจึงยอมให้อภัยมันไงครับ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 03-09-2007 23:35:54
 :a11:......หุหุหุ...... :a1:

ไหนๆ ก็ไหนแล้ว....เรียวเคยช่วยชีวิตเดียร์ไว้

ถ้าไงซะ...ก็....ให้เดียร์ตอบแทนโดยการดูแลเรียวชั่วชีวิตเลยดีกว่า   คึคึคึ   :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 03-09-2007 23:37:34
หุ หุ คู่นี้ ฟ้าส่งมาให้คู่กันซะจริงๆ :m3:

อย่าติดโรคตารอยให้มันบ่อยนักนะจ๊ะที่รัก  คนอ่านคิดตึ๋ง :m14:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 03-09-2007 23:43:18
เกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ เลย  :m3: :m3: :m3:
เอ๊ะ รึว่าเรียวเกิดมาเพื่อเดียร์ฝ่ายเดียวหว่าาา  :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 05-09-2007 10:53:33
อยากมีความกล้าให้ได้เท่านี้มั้งจังคับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 05-09-2007 11:15:28

เข้ามาบอกว่าเจ้ชอบเรื่องนี้เคอะ  :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 05-09-2007 11:40:38
ทำบุญมาด้วยกันเยอะแน่ๆ ได้เจอและช่วยเหลือกันถึง 3 ครั้งแบบนี้โบราณเค้าว่า

เกิดมาเป็นเนื้อคู่แบบเกื้อกูลค้ำจุนกัน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 06-09-2007 18:57:27
 :m3:     :m3:     :m3: 

คู่นี้เขาช่วยเหลือเกื้อกูล กัน  มาตั้งก่าเด็ก จนโต โรยโนะ  คิคิ

คือ ยังไง๊ ยังไง ก้อหนีกันไม่พ้น เอิ้กๆ  คู่กันแย้ว ... อย่าคิดว่า จะแคล้วคลาดกันได้     :a9: 
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 10-09-2007 22:55:09
ที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกก เรื่องนี้จะดองเค็มหรอจ๊ะ

มาช่วยดันนะ

เค้าอยากอ่านต่ออ่ะ :m21:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-09-2007 19:55:17
 :m26:
มะไหร่จามาอ่ะค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 12-09-2007 20:33:33
เพราะเรานั้นคู่กัน  :m11:  :m11:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-09-2007 09:04:49
บทที่ 10


“อื้ม เท่านี้ใช้ไหม เรื่องทั้งหมดระหว่างเรา”

ผมถามเขา อยากรู้ว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่ทำให้เราทั้งคู่ผูกพันกัน จนกระทั่งเขาอยากจะเป็นแฟนผม เหตุผลแค่นี้สำหรับผมแล้วมันน้อยไปที่เราจะอยากเป็นแฟนกับผู้ชายคนหนึ่งเพียงเพราะคนๆนั้นช่วยชีวิตเรา

“ยังมีเรื่องราวต่อจากนั้นบ้างนะครับ แต่เหตุการณ์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่กรุงเทพแล้วล่ะ เป็นช่วงที่ผมตามไปหาคุณ เราก็เจอกันบ้างน่ะครับ แบบสวนกันไปสวนกันมา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันเป็นกิจลักษณะ เอาไว้ผมค่อยเล่าให้คุณฟังอีกทีนะครับ”

เด็กหนุ่มตอบ ผมคิดในใจว่า การที่หมอนี่ไม่ยอมเล่าจนหมด คงเพราะมีวัตถุประสงค์บางอย่าง แต่ช่างเถอะ เมื่อไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า โยกโย้นัก ก็ปล่อยให้เรื่องมันยังค้างคาใจเขาต่อไปแล้วกัน ตอนนี้ผมเริ่มไม่อยากจะรู้มันอีกต่อไป ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะฟังเรื่องของเขาแล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากฟังถึงขนาดนั้น” ผมบอกเขาอย่างเฉยเมย

“นี่ ถึงบางนาแล้วนะ นายจะลงตรงไหนล่ะ บอกฉันมาเลยดีกว่า ฉันจะจอดให้”

ผมถามเขา ตอนนี้ผมขับรถผ่านเข้ามาแถวบางนาแล้ว บ้านของผมอยู่แถวอโศก อีกไม่นานก็จะถึงบ้านผมแล้ว ผมเลยคิดว่าผมกับเขาควรจะได้เวลาลาจากกันแล้ว

“ใจคอจะไล่กันลงจากรถเลยเหรอ.........ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราบ้างเลยเหรอ”

เขาพูดเสียงอ้อน

“ความสัมพันธ์บ้าบออะไร คิดเองเออเองไปคนเดียวอีกแล้ว ถ้าจะเหมาเอาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เราผูกพันกันล่ะก็ คิดใหม่เถอะ ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นบุญเป็นคุณอะไรที่นายจะต้องมารับผิดชอบ มันเป็นเรื่องที่เพื่อนร่วมโลกจะต้องช่วยเหลือกัน เป็นใครใครก็ทำทั้งนั้น”

ผมจงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก อยากให้เขาตัดใจไปเสียจะได้ลาจากกันตรงนี้เสียที แต่เด็กหนุ่มกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความจริงใจ

“ในชีวิตของผม ไม่เคยเจอใครที่ดีกับผมเท่ากับเรียวอีกแล้วครับ จริงอยู่ที่มีคนใจดีมากมายในโลกนี้ แต่คนที่ยินดีจะช่วยเหลือคนอื่น โดยที่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงในอันตรายด้วยนี่ มันมีน้อยนักนะครับ เรียวเป็นหนึ่งในประเภทนั้น คือยินดีที่จะเสียสละตนเองเพื่อช่วยคนอื่น โดยไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่เคยทวงบุญคุณอะไรด้วย

เวลาคุณช่วยผมเสร็จ คุณก็จะหนีหายไปทุกครั้ง คุณไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมในสิ่งที่คุณทำ เป็นพวกปิดทองหลังพระ ไม่อวดตัวพูดมาก ประกาศให้โลกรู้ บางครั้งสิ่งที่คุณทำก็ก่อให้เกิดผลเสียกับคุณ เช่น ทรัพย์สินเสียหาย รวมถึงต้องเลิกรากับคนรัก แต่คุณก็ไม่ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอนความดีในใจของคุณ คุณยังคงช่วยเหลือคนอื่นๆอยู่เสมอ ความดีที่คุณทำ มันเป็นสิ่งที่ผมประทับใจ แล้วผมก็คิดว่าผมคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของผมในการตอบแทนคุณ”

ผมหันไปมองเขา ตาของผมประสานเข้ากับสายตาของเขาที่จ้องมองมายังผมอย่างแสนรัก ผมรีบหันกลับ รู้สึกสับสนในใจ บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงเหมือนจะรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมา บรรยากาศในรถเริ่มอึดอัด ผมนั่งเงียบ ตามองตรงไปข้างหน้า มองการจราจรบนท้องถนนที่ติดขัด รถราเรียงซ้อนต่อกันยาวเป็นแพเต็มถนน   เด็กหนุ่มเองก็นั่งนิ่งๆไม่พูดอะไรเหมือนกัน

เราสองคนนั่งกันเงียบๆอย่างนั้น ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตนเอง ราวๆครึ่งชั่วโมง ผมก็สามารถขับรถฝ่าการจราจรมาถึงเอกมัย อยู่ๆผมก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงร้าน “บ้านไร่กาแฟ” ที่อยู่ตรงหัวมุมถนน ก่อนจะถึงสถานีขนส่งสายตะวันออก โดยไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้ผมทำอย่างนั้น ผมจอดรถ นั่งเงียบๆอยู่สักครู่ก่อนจะหันไปชวนเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งงงอยู่ให้ลงไปด้วยกัน

“จะให้ผมลงตรงนี้หรือครับ”

เด็กหนุ่มถาม  ท่าทางเขาดูหงอยๆ คงกลัวว่าผมจะทิ้งเขาไว้ตรงนี้ แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วบอกเขาว่า ผมอยากมานั่งทานกาแฟ เพราะรู้สึกตัวว่าเพลียเหลือเกิน เด็กหนุ่มก็เลยยิ้มออก

เราสองคนเลือกที่นั่งที่ปลอดคนในร้าน ผมอยากจะนั่งสบายๆเงียบๆ โดยไม่มีอะไรมารบกวน อยากจะนั่งฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เผื่อว่าผมจะมีความคิดอะไรดีๆผ่านเข้ามาในสมอง เพื่อที่จะได้จัดการกับเรื่องที่กำลังเป็นปัญหากวนใจผมอยู่ขณะนี้

เด็กหนุ่มนั่งตรงข้ามกับผม เราสั่งกาแฟมากินกันคนละแก้ว ของผมเป็นกาแฟร้อน แต่ของเด็กหนุ่มเป็นกาแฟเย็น ผมหงายหลังพิงพนัก พยายามทอดตัวอยู่ในท่าที่สบายที่สุด หลับตาลง เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า สัก 15 นาทีให้หลัง เมื่อผมลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังนั่งมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยดวงตาหวานฉ่ำ ใบหน้าของเขายิ้มละไม

ผมมองหน้าเขาตอบ ตาของเราประสานกัน ผมมองดวงตาเป็นประกายสุกใสคู่นั้น แล้วก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวของเกี่ยวกับตัวเขา ชักอยากจะรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่า เป็นเพราะเหตุใดหนอเขาถึงกลายมาเป็นเกย์ได้ จากที่เขาเล่ามาทั้งหมดนี้ มันก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เขาน่าจะเป็นเกย์ เช่นการที่ต้องคลุกคลีตีโมงอยู่กับเกย์ตลอดเวลา

การที่เขาเกือบถูกเกย์ปล้ำ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ใช้ชีวิตแบบชายแท้ๆมาช่วงหนึ่งด้วยการเป็นนักมวย การฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งอยู่ทุกวัน มันไม่สามารถทำให้เขาเป็นชายแท้ได้เลยเหรอ แล้วการที่ผมไปช่วยเขาบ่อยครั้ง โดยที่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ผมช่วยเป็นคนเดียวกันนั้นน่ะ มันมีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้เขามารักมาชอบผมจนยอมเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเกย์เลยเหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ความอยากรู้อยากเห็นก็เลยทำให้ผมเอ่ยปากถามเขาขึ้นมา

“ฉันอยากจะถามนายบางอย่าง นายตอบเท่าที่นายอยากตอบก็แล้วกัน ถ้าอะไรที่มันทำให้นายอึดอัดใจ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ คือฉันกำลังสงสัยอ่ะ ฉันอยากจะรู้ว่าการที่นายเบี่ยงเบนทางเพศ เอ้อ กลายเป็นเกย์แบบนี้น่ะ มันเริ่มเป็นมาจากตอนไหนเหรอ เท่าที่นายเล่ามา มันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ นายมีเพื่อนเป็นเกย์ก็จริง แต่นายก็ไม่ได้เล่านี่ว่าอะไรที่ทำให้นายกลายเป็นเกย์ แล้วฉันก็ยังไม่เชื่อว่า แค่ฉันช่วยนาย จะทำให้นายกลายเป็นเกย์ไปได้น่ะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าผมอย่างค้นคว้า คงอยากจะรู้ว่าผมสนใจอยากรู้จริงหรือเปล่า หรือแค่ถามเล่นๆ  แต่เมื่อเห็นอาการสนอกสนใจของผม เขาก็ยอมปริปากพูดออกมา

“ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ เพราะตอนเด็กๆผมก็ใช้ชีวิตอย่างผู้ชายปกติด้วยซ้ำไป ตอนที่พี่บอยมันคิดจะลวนลามผม ผมยังรู้สึกขยะแขยงรังเกียจอยู่เลย ยิ่งตอนที่ผมรู้ว่าไอ้น้อยมีอะไรกับเฮียเข้ม ผมก็ยังคงรู้สึกว่ารับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ แต่เพราะผมเห็นว่าน้อยมันเป็นเพื่อนรักของผม ผมก็จำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ไปๆมาๆ ผมกลับกลายมาเป็นเกย์ไปได้”

เด็กหนุ่มเล่าไปยิ้มไป ดวงตาของเขาจับจ้องมองผมขณะพูด

“แต่ผมคิดว่าการที่ผมเบี่ยงเบนทางเพศนั้น มันน่าจะเป็นอะไรที่ค่อยๆซึมลึกเข้ามาในความรู้สึกของผมทีละเล็กทีละน้อย มันมีเหตุการณ์หลายอย่างที่แวดล้อมรอบตัวผม ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าจะให้ผมคาดเดาว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมเริ่มชอบผู้ชายด้วยกันจากการที่คุณได้ช่วยชีวิตผมครั้งแรกกระมังครับ”

“อ้าว ไหงเป็นงั้นไปได้” ผมชักรู้สึกงง ไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน

“จริงๆนะครับ ตอนนั้นผมรู้สึกดีกับเรียวมากๆ เพราะคุณช่วยชีวิตผมไว้ ไม่เคยมีใครดีกับผมมาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต ผมถูกทอดทิ้งจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ พ่อก็ไม่มี ญาติที่รับเลี้ยงก็ไม่ได้รักใคร่ผม แถมซ้ำดุด่าทำร้ายเฆี่ยนตีให้ผมได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ใช้งานผมอย่างทาส แถมซ้ำพี่ชายก็จะมาขืนใจผมอีก ผมไม่คิดว่าโลกนี้จะมีสิ่งดีเหลืออยู่สำหรับผมอีกแล้ว จนกระทั่งเรียวเข้ามาในชีวิตแล้วหยิบยื่นความเมตตาให้กับผม”

เขาหยุดพูด แล้วส่งยิ้มหวานๆให้ผมอีก ก่อนจะพูดต่อ

“จากนั้นผมก็คิดถึงเรียวมาตลอด ผมอดที่จะนึกถึงสิ่งดีๆที่เรียวทำให้ผมไม่ได้ จนกระทั่งต้องเล่าให้น้อยฟัง แต่ตอนนั้นผมยังสับสนในใจไม่คิดว่าตนเองเป็นเกย์ คิดแต่ว่า เรียวมีบุญคุณกับผมถ้ามีโอกาสเจอคุณอีก จะตอบแทนความดีของคุณ พอเจอเรียวอีกครั้งตอนผมถูกยิง คุณก็แสดงความใจดีให้ผมเห็นอีก ด้วยการช่วยผมให้รอดจากคนร้ายพวกนั้น แถมออกค่ารักษาพยาบาลให้ผมจนหาย ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณอีกครั้งแล้ว ความดีที่เรียวทำให้ผม มันตราตรึงอยู่ในหัวใจ ทำให้ผมปรารถนาที่จะได้เจอกับเรียวมากยี่งขึ้นไปอีก  อยากจะทำอะไรให้กับคุณบ้าง”

เด็กหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงดูดน้ำจากถ้วยกาแฟปั่นตรงหน้า ผมดื่มกาแฟตามบ้าง ตายังคงจ้องมองเขา เดียร์สบตาผมอีกครั้ง แล้วเริ่มพูดต่อ

“พอเราเจอกันที่พัทยาอีกครั้ง แล้วมีโอกาสได้พูดคุยกัน ผมก็ยิ่งปักใจว่าผมชอบคุณแน่นอน แต่ผมก็ไม่แน่ใจตนเองนัก ยังสับสนอยู่ว่าที่ชอบคุณน่ะ ชอบแบบสำนึกในบุญคุณ หรือชอบแบบคนรักกันแน่”

ผมหรี่ตามองเขา ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนเราหันมาชอบคนเพศเดียวกันได้ไง มีผู้ชายหลายคน เคยยื่นมือช่วยผู้ชายด้วยกัน อย่างดีเขาก็มีโอกาสสนิทสนมเป็นเพื่อนกันต่อไปแค่นั้น

“มันออกจะเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อลำบากว่าอยู่ดีๆผมจะเกิดรักคุณขึ้นมาได้ แต่ในที่สุดผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมชอบเรียวเข้าแล้ว อีกอย่างสภาพแวดล้อมที่ผมคลุกคลีด้วยหลังออกมาจากบ้านป้า ก็เอื้ออำนวยต่อการที่ผมจะหันมาชอบเพศเดียวกันอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นไอ้น้อย หรือเพื่อนกระเทยในคณะคาร์บาเรต์ ทุกคนรักเพศเดียวกัน มีความหวัง มีความฝันอยากจะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่ตนรัก มันก็เลยทำให้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

ถ้าหากผมจะมีใจรักเรียวบ้างอ่ะครับ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งดีด้วย หากว่าผมได้มีโอกาสเป็นคนรักของเรียว ผมจะได้ทำทุกอย่างให้เรียว ตามที่เรียวต้องการ เหมือนยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว ได้ทั้งคนรัก แล้วได้ตอบแทนบุญคุณไปพร้อมๆกันด้วย ถ้าเป็นเรียว จะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีไหมล่ะครับ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผม ใบหน้าของเขาฉาบฉายไปด้วยความสุขเวลาที่พูดให้ผมฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเบี่ยงเบน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าเขาแปลกประหลาดผิดปกติตามที่เขาพูดจริงๆ

“แล้วทำไมฉันถึงจะมาเห็นด้วยกับนายล่ะ บอกหน่อยสิมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปตอบตกลงเป็นแฟนกับนายทั้งๆที่ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับนายซะหน่อย”

“แหม ก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่ามันเหมาะสมแล้วที่เราจะเป็นแฟนกัน

ข้อแรก ตอนนี้คุณเป็นโสดไม่มีแฟนแล้ว คุณเพิ่งอกหักจากแฟนคนล่าสุดของคุณเมือ่ 1 เดือนที่ผ่านมา

ข้อสอง คุณมีแฟนผู้หญิงหลายคน แต่ก็รักๆเลิกๆ มันบ่งบอกอะไรให้รู้บางอย่างว่า คุณอาจจะมีปัญหากับการมีแฟนเป็นผู้หญิง ต้องมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้

ข้อสาม ผมรักเรียวมากเหลือเกิน รักจนคิดว่าจะไม่อยากให้คุณตกไปเป็นแฟนของใครอีก นอกจากผม ถ้าผมได้เป็นแฟนคุณแล้ว จะไม่มีวันทำให้เรียวเสียใจเหมือนอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆทำ

ข้อที่สี่ เพราะว่าเรียวได้ช่วยผมเอาไว้มากมาย และผมเองก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมจะต้องตอบแทนคุณ การเป็นแฟนกับคุณมันทำให้ผมทำสิ่งเหล่านั้นได้ ผมรับรองว่าผมจะรักและมอบความจงรักภักดีให้คุณไปตลอด

ข้อที่ห้า อันนี้เรียวคงไม่ได้สังเกต แต่ผมคิดว่ามันต้องเกิดมาจากพลังลึกลับเหนือธรรมชาติบางอย่าง เรียวไม่เอะใจเหรอครับ ว่าเราเจอกันบ่อยมาก ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เป็นที่นี่ด้วย ทั้งๆเมืองออกกว้างใหญ่ แต่เราก็มาเจอกัน เป็นไปได้ยังไงที่มันจะบังเอิญขนาดนี้ ดูหนังหรืออ่านนิยายก็ว่าไปอย่าง เพราะเขาจะเขียนให้ตัวเอกเจอกันโดยบังเอิญ แต่ว่า นี่มันชีวิตจริงนะครับ เจอกันโดยไม่คาดฝันแบบนี้ แล้วทุกครั้งเรียวจะเป็นคนที่เข้ามาช่วยผมตอนเจออันตรายตลอด มันต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆ ฟ้าคงส่งให้เรามาคู่กันนะครับ คุณว่ามั๊ย

และข้อสุดท้าย ข้อนี้สำคัญมาก เพราะว่าเรียวเป็นเหมือนแรงบันดาลใจของผม ที่ทำให้ผมกลายเป็นเกย์ ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบ ด้วยการเป็นแฟนกับผม”

เด็กหนุ่มอธิบายถึงเหตุผลที่ผมสมควรจะเป็นแฟนกับเขาเป็นข้อๆ ด้วยน้ำเสียงรื่นเริงใจ ผมฟังเหตุผลของเขาแล้วถึงกับต้องเอามือกุมขมับ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กบ้านี่ จะยกเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลมาเป็นข้ออ้างที่จะให้เราผูกพันกันในฐานะคนรัก

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

ผมแหกปากร้อง ตะโกนก้องในใจ เรื่องแบบนี้ มีด้วยเหรอในโลกนี้ ช่วยเกย์ให้รอดชีวิต แล้วต้องมารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำด้วยการเป็นแฟนเกย์ ผมทำดีช่วยเหลือคนอื่น ทำไมสวรรค์จึงลงโทษให้ผมตกนรกด้วยการยอมเป็นแฟนกับเกย์ด้วย

ผมควรจะได้ขึ้นสวรรค์สิ สวรรค์ที่มีนางฟ้าสวยๆ ร่ายรำแบบเปลือยกายท่อนบนน่ะ สวรรค์แบบนี้ไม่มีเหรอ ทำไมพระเจ้าไม่ส่งผมไปที่นั่น ถีบผมลงมาให้เจอกับปีศาจเจ้าเล่ห์ตนนี้ทำไม ตอบแทนกันแบบนี้ใครจะรับได้ แล้วไอ้เหตุผลที่ว่ามานั้น ไม่มีข้อไหนเลยที่มันจะทำให้ผมรู้สึกว่าสมควรจะทำอย่างที่เขาพูด เด็กบ้านี่ เป็นพวกเอาแต่ใจตัว คิดเองเออเอง ได้อย่างบ้าบอที่สุด

“เหตุผลเท่านี้คงพอแล้วมั้งครับ ว่าแต่คุณจะตกลงที่จะเป็นแฟนกับผมหรือเปล่า”

เขาถามยิ้มๆ สายตามีความหวัง ซึ่งต่างกับตอนลงจากรถเมื่อครู่ที่ดูเซี่องซึมหงอยเหงา

“ไม่ตกลง” ผมบอกเขาเสียงเข้ม

“อ๊า อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ ตัดสินใจเร็วไปหรือเปล่า ให้คิดอีกทีก็ได้นะครับ”

เขาร้องเสียงหลง แต่ผมยังยืนยันคำพูดเดิม

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ พูดกับนายนี่ เสียเวลาจริงๆ ตอแย จนน่ารำคาญ”

ผมว่าเขาอย่างฉุนๆ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ทำสีหน้าว่าโกรธ กลับพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ แบบทีเล่นทีจริง

“ถ้าพูดกันดีๆ ตกลงกันดีๆไม่ได้ ก็อย่าหาว่าผมใจร้ายนะครับ”

“ทำไม นายจะทำไมฉันเหรอ จะเอาฉันไปฆ่าแกงหรือไง”

“ไม่ฆ่าหรอกครับ ผมจะทำอย่างนั้นทำไม เพราะคุณเปรียบเสมือนหัวใจของผม ฆ่าคุณก็เหมือนฆ่าตัวเอง ที่ผมพูดนี่หมายความว่า ในเมื่อคุณไม่ชอบเกย์ ผมก็อยากทำให้คุณได้รู้ว่า การตกอยู่ในสภาพที่คนอื่นเข้าใจว่าเป็นเกย์มันเป็นอย่างไร ถ้ามาตกที่นั่งแบบเดียวกันบ้าง คุณจะได้เข้าใจพวกผมเสียที ว่าเกย์อย่างพวกผมก็เป็นคนเหมือนกับพวกคุณ แล้วก็รักเป็นเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มตอบคำถามของผม ด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจัง ไม่มีทีท่าเล่นๆแบบเดิมๆ จนผมนึกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าฉันไม่ตกลงกับนาย แล้วนายจะทำอะไรได้”

ผมหยั่งเชิงท้าทีของเขาด้วยการโต้ตอบด้วยคำพูดท้าทาย อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำอีท่าไหนให้ผมยินยอมเป็นแฟนกับเขา เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ ก่อนจะใช้มือล้วงลงไปในกระเป๋าเป้ที่เขาเอาติดตัวมาด้วยตอนออกมาจากห้องพักที่เขาจับผมไปมัดไว้  แล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา

เขาก้มลงกดอะไรสักครู่ แล้วก็เงยหน้าขึ้น มองผมยิ้มๆ ตาของเขามีแววเจ้าเล่ห์ แสนกล ผมมองหน้าเขาอย่างงๆ กำลังคิดว่าเจ้านี่จะเล่นเกมส์อะไรกับผมอีก อยู่ๆเด็กหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผม เขายื่นมือถือมาให้ผมดู โดยที่เขายังเป็นคนถือไว้ ผมถึงกับผงะ เมื่อมองเห็นภาพในมือถือชัดเจน

ภาพแรกที่ผมเห็นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง นอนเปลือยกายไร้อาภรณ์ปกปิดกาย เห็นใบหน้าและรูปร่างชัดเจน ภาพต่อไปที่เด็กหนุ่มคลิกให้ดู เป็นภาพถ่ายโคลสอัพไปที่เรือนกายท่อนล่างของผู้ชายคนนั้นซึ่งกำลังตื่นตัวเต็มที่

ภาพต่อๆไป ที่เดียร์ไล่ให้ผมดูเป็นภาพที่หนุ่มคนนั้นกำลังถูกปลุกเร้าทางเพศโดยผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผมหน้าแดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดขึ้นมา อารมณ์พลุ่งพล่าน ร้องบอกเขาด้วยเสียงอันดัง เป็นการห้ามไม่ให้เขาเปิดภาพถ่ายให้ผมดูอีกต่อไป

ผมตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว อภัยให้ไม่ได้แล้ว นี่หรือรักที่เด็กนั่นพร่ำพูดนักหนา ว่าเขารู้สึกลึกซึ้งกับผมอย่างไร คนที่เขารักกัน เขาทำกันอย่างนี้เหรอ ไม่ต้องบอกก็รู้

เด็กหนุ่มนั่นคงฉวยโอกาสเอาตอนที่ผมสลบไสลเพราะพิษยาที่เขาโปะผมตอนลากเอาตัวมา หรือไม่ก็ต้องเป็นตอนที่ผมนอนหลับ แอบถ่ายตอนที่เขาลวนลามล่วงเกินผม คงคิดแผนการมานานแล้วที่จะคิดแบล็คเมล์ผม ไม่นึกเลยว่าจะเล่นกันแรงแบบนี้

ผมรู้สึกโกรธและเกลียดตัวเอง ที่ดันมีอารมณ์ร่วมไปด้วย นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าไปใจอ่อน พูดดีทำดีกับเขา แล้วก็นึกพาลไปถึงว่า ผมไม่น่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย การช่วยเหลือเขาในครั้งก่อนหน้านั้นๆ มันได้สร้างความลำบากให้ผมในตอนนี้อย่างแสนสาหัส

ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือ ด้วยหมายจะจับมันมาขว้างให้แหลกคามือ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาจับมันหย่อนลงกระเป๋า แล้วเอามันมาวางไว้ข้างตัว ผมพยายามจะคว้ากระเป๋าใบนั้น แต่เขาก็ยื้อยุดฉุดมือผมไว้ เด็กหนุ่มบิดมือผมโดยแรง ถึงแม้ว่าผมจะอายุมากกว่าเขา แต่เรี่ยวแรงของอดีตนักมวยมีมากกว่า เขาบิดมือผมจนเจ็บไปหมด แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้

“เอาโทรศัพท์นั่นมาให้ฉัน”

ผมตะคอกเขาด้วยเสียงอันดัง เด็กหนุ่มหน้าเสีย แต่เขาก็ยังมีสติกว่าผม เขาจุ๊ปาก ไม่ให้ผมทำเสียงดังเป็นจุดสนใจกับคนอื่น แต่ผมไม่สนใจ อารามที่โกรธจัดทำให้ผมทุ่มตัวไปหาเขา เพื่อยื้อแย้งจะเอากระเป๋าใบนั้นให้ได้ เราต่อสู้กันสักพัก เสียงมันคงจะดัง จนทำให้พนักงานวิ่งเข้ามา

“มีอะไรหรือคะ”

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ แฟนผมโกรธผมนิดหน่อยนะครับ”

เดียร์บอกพนักงานสาวคนนั้นหน้าตาเฉย ผมมองหน้าเขาตาขวาง กำลังจะอ้าปากร้องบอกให้ผู้หญิงคนนั้นไปเรียกคนมาช่วยเหลือ เดียร์ก็ก้มลงจูบปากผมเสียก่อน เขาจูบผมอย่างร้อนแรงจนหายใจหายคอไม่ออก ผมรอให้เขาเอาลิ้นแทรกเข้ามาในปากอย่างที่เขาเคยทำ กะจะกัดลิ้นให้ขาด

แต่ก็เหมือนว่าเขาจะรู้ตัว ได้แต่บดขยี้ริมฝีปากผมจากภายนอกเท่านั้น ผมเหลือบตามองข้ามศีรษะเดียร์ไป ก็เห็นพนักงานคนนั้น ทำหน้าเอ๋อ ที่เห็นเราซึ่งกำลังทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกัน กลับอยู่ในท่าที่กอดจูบกันดูดดื่ม เธอทำหน้าแดง กล่าวขอโทษขอโพย แล้วรีบหมุนตัวเดินหนีจากไป ทันทีที่เสียงฝีเท้าเงียบไปสักพัก เดียร์ก็ปล่อยผม และแน่นอนเมื่อผมเป็นอิสระ ผมก็เริ่มที่จะทำให้ตัวเองหลุดรอดไปยังสถานการณ์แบบนี้ด้วยการตะโกนเรียกพนักงานคนนั้นเสียงดัง

“น้อง.......”

เรียกได้แค่นั้น ฝ่ามือใหญ่ๆก็เลื่อนมาอุดปากผม เดียร์โน้มตัวเข้ามาหา จ้องตาผมเขม็ง แล้วคำรามลอดไรฟันว่า

“อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้หรือไงครับ อยากแจ้งความจับผม เอาผมเข้าคุกเข้าตะรางใช่ไหม แล้วให้ภาพในมือถือเครื่องนี้เป็นพยานหลักฐานด้วยหรือเปล่า”

คำขู่ของเขาได้ผล ผมจ้องมองเขาตอบ ส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม เขายิ้มแบบโหดๆ ปล่อยมือออก แล้วพยักหน้าให้ผม พลางพูดเสียงเข้มว่า

“งั้นก็ดีแล้ว ถ้าเราตกลงกันได้ ภาพพวกนี้ก็จะไม่ถูกแพร่ออกไป แต่ถ้าไม่ ผมก็เกรงว่าคุณจะเป็นที่รู้จักของคนจากในอินเตอร์เนต หรือพวกซีดี วิซีดีแอบถ่าย คุณได้ดังสมใจแน่”

เขาพูดขู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก มองหน้าเขา พยายามค้นหาความจริงว่าหมอนี่ต้องการทำอย่างที่พูดจริงๆหรือเปล่า หรือแค่แกล้งขู่ผมเล่น ให้ยอมเป็นแฟนเขาเท่านั้น แต่ใบหน้าที่ผมมองเห็นกลับเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาให้จับได้ว่าเป็นเรื่องหลอกกันเท่านั้น

“ตกลงเรื่องอะไร”

ผมถามเขาอย่างฉุนๆ นึกโมโหอยู่ครามครัน ว่าทำไมตนเองต้องยอมตกลงอะไรกับคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างหมอนี่ด้วย เขาวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อให้ผมตกหลุมพราง คนแบบนี้ หากผมยอมตกลงอะไรไป จะแน่ใจได้ไงว่าจะไม่ทรยศหักหลังกัน แถมซ้ำเรื่องที่เขาต้องการให้ตกลงด้วย ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินกว่าผู้ชายอย่างผมจะรับได้ การให้เป็นแฟนกับเกย์ ผู้ชายแท้ๆที่ไหนเขาจะทำกัน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่จะตกลงกับหมอนี่ ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่

เด็กหนุ่มจ้องหน้าผม แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ด้วยเสียงที่ดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“ก็ตกลงเรื่องที่จะเป็นแฟนผมยังไงล่ะ”

“ทำไมต้องตกลงด้วย”  ผมเค้นเสียงถาม

“เพราะถ้าไม่ตกลง ผมจะเอารูปคุณไปโพสต์ในเนต” เดียร์ทำเสียงขู่ต่อ

“ฉันจะแจ้งความจับนาย” ผมขู่กลับบ้าง

“ถ้าไม่อาย ก็ทำไป”

เขาไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้าน ผมกัดกรามแน่น นึกโกรธ เด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งขึ้น แล้วก็โมโหตัวเองที่ไปเพลี่ยงพล้ำให้เขาถ่ายรูปมาแบล็คเมล์ตัวเองได้ จนทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถ้าเขาทำตามที่พูดจริง ผมจะให้ตำรวจจับเขา แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมจะได้รับความอับอายขายขี้หน้าอย่างไรหนอ ผมจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นล่ะหรือ

“แล้วถ้าฉันตกลงล่ะ”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-09-2007 09:05:55
ผมตัดสินใจถามเขา อยากรู้เหมือนกันว่า หากผมตัดสินใจทำตามแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับ

ชีวิตผมบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มหวานใส่ผม

“ผมก็จะลบภาพพวกนั้นทิ้งไปให้หมด แล้วก็สัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดีเลยครับ”

ผมถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม นึกหวั่นวิตกกับอนาคตของตัวเองในวันข้างหน้า ชีวิตที่มีเด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมันจะวุ่นวายยิ่งยากแค่ไหนกันนะ

ผมรู้สึกสับสนในใจ ว่าจะเอาอย่างไรกับตัวเองดี จะตอบตกลง ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ที่เราจะยอมทำอะไร ตามการขู่กรรโชกของคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ แต่ถ้าไม่ตกลง ก็กลัวว่าผมจะได้รับความอับอาย เสียหายต่อตนเอง และการงาน หากหมอนั่นเกิดบ้า เอารูปไปโพสต์จริงตามปากว่า

“ว่าไงครับ เรียว ตัดสินใจได้หรือยัง”

เดียร์ถามผมอย่างคาดคั้น ผมมองเขาตาขุ่น ความรู้สึกสงสารที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น แปลเปลี่ยนเป็นชิงชัง ไม่พอใจ

“ขอคิดก่อนได้ไหม” ผมต่อรอง

“ก็คิดนานแล้วนี่ครับ ตั้งสองวันแล้วอ่ะ รอคำตอบไม่ไหวแล้ว จะตัดสินใจยังไวก็ว่ามา”

เด็กหนุ่มทำทีท่าเหมือนไม่พอใจที่ผมบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมต่อรองด้วย

“ถ้าฉันยอมตกลงกับนาย ฉันขอเป็นคนกำหนดเงื่อนไขด้วย”

ผมบอกออกไปอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน ในเมื่อ ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะตอบรับโดยไม่มีอะไรป้องกันตัวเองบ้างก็ดูไม่เข้าที ในเมื่อผมต้องตัดสินใจยอมทำตามคำขู่ของเขา เพื่อความปลอดภัยในชีวิตการทำงานของตนเอง ก็อย่าหวังเลยว่า เด็กนั่น จะได้ข้อตกลงที่ตัวเอง พึงพอใจคนเดียว เด็กหนุ่มทำหน้างงๆ เมื่อผมยื่นข้อเสนอกลับ เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็ที่เราจะตกลงเป็นแฟนกันไง”

ผมหลุดคำพูดนั้นออกมา แล้วก็แทบอยากจะกัดลิ้นตนเอง เด็กหนุ่ม ทำตาโต เหมือนได้ฟังในสิ่งที่เหลือเชื่อ
“คุณจะตกลงเป็นแฟนกับผมจริงๆเหรอครับ”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มบ่งบอกถึงความตื่นเต้น เขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะยอมตกลง

“นั่นเป็นสิ่งที่นายต้องการหรือเปล่าล่ะ”

ผมตอบอย่างยียวน เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง หน้าตาดูผ่อนคลายขึ้น แต่คิ้วของเขายังคงขมวดมุ่นด้วยความสงสัยอยู่

“จริงเหรอ”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก นึกรำคาญเด็กนี่เหลือเกิน เขาเป็นคนคาดคั้นคะยั้นคะยอให้ผมยอมตกลงเป็นแฟนเขา พอผมตกลงจริงๆ ก็ทำมาเป็นแคลงใจไม่เชื่อเสียอีก

“ชั้นรำคาญแล้วนะ จะเอาไง ก็ฉันยอมแล้ว ที่จะเป็นแฟนนาย แต่ต้องมีการทำสัญญาตกลงกันก่อน”

“สัญญา........_?????”เด็กหนุ่มทวนคำอย่างงงๆ

“ใช่ ต้องทำเป็นสัญญากัน เพราะฉันไม่อาจเชื่อใจคนอย่างนายได้ เกิดตกลงกันแค่เพียงวาจา แล้วนายไม่ทำตามนั้น ฉันก็ซวยสิ”

ผมอธิบายเหตุผล ใครจะยอมคุยกันแค่วาจากับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้

“แต่แหม เป็นแฟนกันทำไมต้องมีการทำสัญญาด้วยอ่ะ” เขาถามคงยังไม่หายงง

“ก็ฉันไม่ได้อยากเป็นแฟนนายไปตลอดชีวิตนี่ เราจะทำสัญญาเป็นแฟนกันแค่ช่วงหนึ่งก็พอ แล้วพอครบกำหนดสัญญา เราต้องลาจากกัน โดยไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก แล้วจะต้องไม่มาทำร้าย หรือมาทรยศกันลับหลังด้วย”

“งั้นเป็นสัก 10 ปีได้ไหม”

เขายื่นข้อเสนอมาก่อน ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับ ผมหงายหน้าหัวเราะ

“10 ปีเหรอ นานไปหรือเปล่า ได้ข่าวว่า พวกเกย์ไม่มีรักแท้ไม่ใช่เหรอ คบกันอย่างฉาบฉวย เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก ไม่เห็นจีรังยั่งยืนสักราย”

“ดูถูกอีกแล้ว” เขาทำหน้าง้ำ

“ฉันพูดตามที่เคยเห็น หรือเคยได้ยิน เอาเป็นว่าฉันให้นายได้น้อยกว่านั้น”

“5 ปี” เขาต่อรองอีก

“ก็ยังมากไปอยู่ดี”

“งั้น 3 เอ้า”

เขาลองอีกที ผมยิ้มกริ่ม พยักหน้าให้เขาเป็นอันตกลง

“ได้ 3 เดือนนะ”

“ไม่ใช่สิ ผมหมายถึง 3 ปี”

“ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ 3 ปี สำหรับผม น่ะ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ผมอยากอยู่กับเรียว เป็นแฟนเรียวให้นานกว่านั้นอ่ะ นะ นะ นะ นะ ผมอุตส่าห์ลดมาแล้วนะ” เขาเริ่มจะทำเสียงอ้อนแล้ว

“ให้ได้ แค่ 3 เดือนเท่านั้น”

“ไม่อาว น้อยไป อย่างน้อยก็น่าจะสัก 1 ปี”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พูดเสียงแข็งว่า

“ 3 เดือน”

“งั้น ก็ 6 เดือนก็ได้”

เมื่อเห็นว่าผมแข็ง เขาก็เริ่มจะอ่อนลง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“ฉันให้ได้แค่ 3 เดือน อย่ามาต่อลองเลย”

ผมยืนยันเสียงแข็ง เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจลึก แล้วทำหน้าเข้ม

“งั้นผมไม่ตกลงเหมือนกัน เรื่องอะไร ผมอุตส่าห์ลงทุนตั้งมากมาย ทำถึงขนาดนี้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ก็หวังว่า จะได้เป็นแฟนคุณนานๆ แต่คุณกลับจะมาขอให้ผมเป็นแฟนคุณแค่สามเดือน สู้ผมเอารูปคุณไปโพสต์ แล้วยอมให้เรียวเรียกตำรวจมาเอาผมเข้าคุกให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่า ไหนๆก็ไม่ได้เป็นแฟนคุณแล้ว คนอื่นก็อย่าเป็นเลย”

เขาพูดด้วยเสียงพาลๆ จนผมชักเริ่มใจเสีย กลัวความบ้าระห่ำของหมอนี่ ผมคิดในใจว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยอมเพิ่มเป็น 6 เดือน ก็คงจะไม่เป็นไรมั้ง อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมีข้อต่อรองอื่นๆอีก รับรองหมอนี่ทำอะไรผมตามใจชอบไม่ได้แน่

“ก็ได้ 6 เดือนก็ 6 เดือน หลังจากนี้ ต่างหันหลังให้กัน ไม่ติดใจเอาความนะ”

“แหม ใจร้ายจัง จะสิ้นเยื่อขาดใยกันเลยเหรอ” เขาอุทธรณ์

“ก็บอกแล้วไง ว่ามันเป็นการทำสัญญาเป็นแฟนกันชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นถาวร ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว จะเอารูปฉันไปโพสต์ที่ไหนก็เชิญ” ผมชักฉุน

“งั้นเป็นแฟนกันเลยนะ”

เด็กหนุ่มจับมือผมมากุมไว้ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมเลยต้องรีบเบรกเขาก่อนเนื่องจากยังไม่ได้พูดถึง

เงื่อนไขข้อต่อไป

“ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกที่นายกับฉันต้องมาตกลงกัน”

“อะไรอีกล่ะครับ” เขาถามอย่างขัดใจ

“เพื่อความสงบสุขของตัวฉัน เราจำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงบางอย่าง หากทำไม่ได้ ก็ถือว่า สัญญาการเป็นแฟนเราเป็นอันโมฆะ”

“ว่ามาเลยครับ” เด็กหนุ่มมีท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“ข้อแรก เราจะเป็นแฟนกันในระยะเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น หลังจากนี้ไปแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน ไม่ทำร้ายกัน”

ผมกำลังจะพูดข้อที่สอง เขาก็แทรกขึ้นมาว่า

“ในช่วงระหว่างที่เราสองคนเป็นแฟนกัน ห้ามเรียวคบกับคนอื่น นอกเหนือจากผม ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย นะครับ”

ผมมองเขาด้วยความหมั่นไส้ ใครจะไปมีคนอื่นได้เร็วขนาดนั้น เพิ่งอกหักมาเนี่ยนะ แล้วผมก็คิดว่าเจ้าหมอนี่คงไม่มีวันปล่อยผมไปชอบกับใครง่ายๆในระหว่างนี้แน่ ผมพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้ เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงโดยไว เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพอใจที่ผมยอมรับปาก

“ข้อสอง” ผมพูดต่อ

“ห้ามล่วงเกิน แตะเนื้อต้องตัว ห้ามปล้ำฉัน หรือทำอะไรฉันทั้งสิ้น…..”

“อ๊า ๆๆๆๆๆๆ ไม่อาว ข้อนี้ โหดเกินไปอ่ะ ผมยอมตกลงด้วยไม่ได้หรอก”

เขาร้องบอกเสียงหลง ไม่รอให้ผมพูดจนจบ

“เป็นแฟนกัน ก็ต้องกอดต้องจูบ ต้องมีอะไรกันบ้างสิ ไม่งั้นจะไปเป็นแฟนกันทำไม อยู่ใกล้เรียวบ่อยๆ ผมจะไปทนอดใจได้ที่ไหน นี่กะจะให้ผมขาดใจตายเลยเหรอ มีช่องให้ผมได้แตะเนื้อแตะตัวคุณบ้างสิ ไม่ปล้ำก็ได้ แต่ขอใช้มือใช้ปากได้ไหม”

“ใครจะไปตกลงแบบนั้น”

“ถ้าไม่งั้นผมก็ไม่ยอมเหมือนกันนะ”

เดียร์ทำท่าทางเหมือนเด็กเกเร ผมทอดถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายระอาในตัวของเด็กหนุ่ม เขาจะเอาแต่ใจตนเอง แล้วสร้างความลำบากใจให้ผมไปถึงไหนกันนะ ดูสินี่ยังไม่ได้เริ่มต้นเป็นแฟนกันเลย ก็จะมาทำงอแงเสียแล้ว ข้อเสนอของผม มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร มันเป็นสิ่งที่สมควรทำด้วยซ้ำ

ใครจะยอมให้เด็กนั่น มาแตะเนื้อต้องตัวผมได้ตลอดเวลา รู้พิษสงกันดีอยู่ ว่าเขาสามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้ขนาดไหน ผมยอมรับกับตัวเลยว่า หากผมปล่อยให้เขาลวนลามผมได้ตามอำเภอใจ ผมอาจจะเผลอตอบสนองเขาไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมจะไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่

“พูดกันอย่างผู้ใหญ่สิเดียร์ นี่คือข้อตกลงหนึ่งของการจะเป็นแฟนกัน ถ้าฉันไม่ยินยอมพร้อมใจ นายจะมาแตะเนื้อต้องตัวฉันไม่ได้ มันเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวนะ ซึ่งถ้าจะเป็นแฟนกัน ต้องไม่บังคับขืนใจอีกฝ่ายให้ยอมทำตามที่ตนเองต้องการสิ”

ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เด็กหนุ่มยังทำหน้าไม่พอใจ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่นที่ตนเองต้องการ แต่แล้วเขาก็ยิ้มร่า ดวงตาเป็นประกาย คงนึกอะไรเด็ดๆที่จะโต้ตอบผมได้กระมัง

“งั้นแปลว่า ถ้าเรียวเป็นฝ่ายสมยอมเอง ผมก็สามารถที่จะกอดจูบ หรือ ใช้ปากกับเรียว ได้ใช่ไหมครับ”

“อ๊ะ”

ผมเริ่มเงอะงะ รู้สึกว่าตัวเองคงจะพูดอะไรบางอย่างเปิดช่องให้เขาหาทางแก้ลำผมได้ เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีชัย พูดทวนคำพูดของผมว่า

“ก็เรียวบอกเองนี่ครับว่า ถ้าเรียวไม่ยินยอมพร้อมใจ ผมก็จะแตะเนื้อต้องตัว หรือทำอะไรกับเรียวไม่ได้ นั่นหมายความว่า หากเรียวยินยอมพร้อมใจ ผมจะทำอะไรก็ได้ ใช่ไหมครับ อย่าผิดคำพูดนะ เพราะนี่คือสัญญา ทุกสิ่งที่เรียวพูด มันคือสัญญาของเรานะครับ ผมจะยึดตามนี้”

เด็กหนุ่มคาดคั้นให้ผมยอมรับในสิ่งที่ผมพูด ผมมองแววตาจริงจังของเขา พลางกลืนน้ำลายลงคอ อย่างยากเย็น
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 17-09-2007 09:50:56
 :a6:
จบแค่นี้เหรอค้าบบบบบบบบบบบบบบบ
ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ค้างๆๆ ค้างอย่างแรง
.
.
.
แต่ก็อุตส่าห์มาต่อให้ซ้ายาว
ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-09-2007 10:39:52
555 สุดยอด มีทำสัญญาด้วย 6 เดือนนี้คงจะต้องมีเรื่องราวมันส์ๆแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 19-09-2007 13:17:24
แม๋ๆ คู่นี้ จะรักกัน... ก้อต้องมีเงื่อนไขด้วยวุ้ย คิคิ      :a3:
แต่ก้อนะ... ความรักด้วยเงื่อนไข แบบนี้
ต่อไปจะเป็นยังไงน่อ... เชียร์ น้องเดียร์ ฮี่ๆ     :m3:
ให้เอาชนะใจ พี่เรียวให้ได้ อิอิ       :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 25-09-2007 00:22:06
แน๋วจ่า เรื่องนี้หลุดไปหน้า 2 ล่ะ ยังไม่มาต่ออีก

มาต่อให้ชื่นใจทีเหอะ

 :m5:

เรื่องยิ่งยาวๆอยู่ เด๋วไม่จบซะที
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 04-10-2007 21:42:06
บทที่ 11



“ใช่ไหมครับเรียว”

เขาถามย้ำ ผมจึงต้องพยักหน้าอย่างจำยอม นึกในใจว่า ช่างมันเถอะ จะคิดจะให้ตกลงอย่างนั้นก็ได้ เพราะผมคงจะไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ตัวผมอีกแล้ว ยิ่งผมอยู่ห่างเขามากเท่าไหร่ เขาก็จะไม่มีวันลวนลามผมได้ เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มกว้างให้ผม ท่าทางเขาดูหมายมั่นปั้นมืออย่างไรไม่รู้ คงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองสินะ ว่าจะทำให้ผมยินยอมให้เขาล่วงเกินได้

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ ห้ามเบี้ยวด้วย” เขาพูดย้ำ ผมพยักหน้า รู้สึกรำคาญใจ

“ข้ออื่นๆล่ะครับ” เขาถามผม

“ห้ามก่ออาชญากรรม ห้ามทำร้ายร่างกายฉัน ห้ามจับฉันไปมัด ห้ามกังขังหน่วงเหนี่ยว หรือทำอะไรให้อับอายขายหน้า อย่างเช่น แอบถ่ายรูปฉันแบบนี้”

เด็กหนุ่มยิ้ม พยักหน้าเป็นการยินยอม

“ฉันจะยังคงมีอิสระในการไปไหนมาไหนได้ดังเดิม โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้นายรู้ จะไปไหน มาไหน หรือทำอะไรก็ได้”

เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งๆ

“นายไม่มีสิทธิ์โทรตาม หรือคอยเช็คว่าฉันจะไปไหน ทำอะไรกับใคร ห้ามโทรมาหาทั้งที่บ้านและที่ทำงาน”
“อ๊า ทำไมเยอะจัง ขอจดรายละเอียดก่อนได้ไหม”

เด็กหนุ่มร้องโวยวาย พลางเอื้อมมือไปที่กระเป๋าเป้ของตนเอง แล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับปากกาขึ้นมาจด พลางทวนคำพูดผม

“ห้ามทำร้าย กักขัง หน่วงเหนี่ยว ห้ามทำให้ขายหน้า ห้ามโทรตาม............” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากสมุดในมือ

“แต่ผมมีเบอร์โทรศัพท์แค่ที่บ้าน กับที่ทำงานของคุณตามนามบัตรที่ให้ไว้เท่านั้น ถ้าไม่ให้ผมโทรไป แล้วผมจะติดต่อคุณได้อย่างไรล่ะ”

“ก็ไม่เห็นจะจำเป็นที่ต้องโทรเลยนี่”

ผมยักไหล่ ทำท่าไม่ใส่ใจ

“งั้นผมไปหาคุณที่บ้านทุกวันแล้วกัน เพราะถ้าไม่โทรจะได้พูดได้คุยกับคุณอย่างไร”

“อ๊ะ นั่นก็เป็นข้อห้ามอีกข้อหนึ่งด้วยนะ ห้ามไปรบกวนฉันที่บ้าน”

ผมบอกข้อห้ามที่ผมเพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆจากคำพูดของเขาเมื่อสักครู่

“นี่ๆๆๆ......มันไม่ใช่สัญญาเป็นแฟนกันแล้ว นี่มันสัญญาให้เลิกกันมากกว่า” เด็กหนุ่มทำเสียงไม่พอใจ


“โทรไปหาก็ไม่ได้ บ้านก็ไม่ให้ไป คนเป็นแฟนกันใครเขาจะทำแบบนี้ ไม่รู้ล่ะ ต้องให้ผมได้โทรไปหาคุณ หรือไปที่บ้านคุณได้บ้าง ถ้าไม่ให้ ผมจะยกเลิกข้อนี้ซะ ไม่ปฏิบัติตาม”

“อ๊ะๆก็ได้ นายโทรมาหาฉันที่มือถือแล้วกัน”

ผมยอมอย่างเสียไม่ได้ นึกในใจว่า ให้เบอร์มือถือไปแล้วกัน เพราะมันโชว์เบอร์ ถ้ารู้ว่าเป็นเบอร์ของเขา ผมจะได้ไม่รับ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว

“เบอร์อะไรครับ”

เขาถามอย่างกระตือรือล้น ผมบอกเบอร์มือถือกับเขาไป เขารีบจดมันลงในสมุดบันทึกของเขา แล้วส่งยิ้มอ้อนๆให้ผม

“แล้วเรื่องไปหาเรียวล่ะครับ”

“ก็ให้เบอร์มือถือติดต่อไปแล้วไง”

“แต่ก็ยังอยากไปหา ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านไงครับ แบบว่า ให้ผมไปนอนค้างด้วยอ่ะ”

“ไม่ได้” ผมบอกเขาเสียงแข็ง

“ใจร้าย ก็เราเป็นแฟนกันอ่ะ ผมก็ต้องไปค้างบ้านคุณได้ด้วยสิ”

เขาทำท่าเกเรอีกแล้ว

“ทำไมจะต้องมาค้างที่บ้านฉันด้วย”

ผมถามอย่างฉุนๆ

“หรือว่าเรียวจะออกมาค้างที่บ้านผมล่ะ แต่มันอาจจะคับแคบไปหน่อย เรียวอาจจะนอนไม่สบาย หรือเราจะไปค้างด้วยกันที่โรงแรมก็ได้นะ ถ้าคุณชอบ”

“นี่ๆ ใครจะไปค้างกับนาย......” ความหมั่นไส้ทำให้ผมพูดออกไป

“ไม่งั้นก็ให้ผมไปค้างที่บ้าน ..........นะนะ .........เวลาอยู่ด้วยกัน ผมสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ จะไปช่วยเรียวทำความสะอาดบ้าน แล้วทำกับข้าวให้กินด้วย”

เขาทำเสียงอ้อน แววตาเปล่งประกายความหวัง เขาทำท่าเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังรอคอยให้ผู้ใหญ่ส่งขนมหวานมาให้

“ก็ได้ แต่อนุญาตให้ไปได้เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นนะ”

“สองวันไม่ได้หรือครับ วันเสาร์กับวันอาทิตย์อ่ะ อยู่แค่วันเดียวไม่หายคิดถึงเลย”

“ไม่ได้”

“งั้นเป็นอย่างนี้ได้รึเปล่าครับ ผมไปหาคุณคืนวันเสาร์ แล้วเราก็อยู่ด้วยกันวันอาทิตย์แล้วก็ค้างวันอาทิตย์อีก 1 วัน ดีไหมครับ”

“ได้วันเดียวเท่านั้น จะเอาหรือเปล่า ถ้าไม่ตกลงก็เลิกพูดเรื่องนี้ เ อาตามเดิม คือ ห้ามนายไปหาฉัน แล้ว ข้ามไปหัวข้ออื่นเลย”

“คนใจร้าย.......”

เด็กหนุ่มต่อว่าผม พลางทำปากยื่น แต่ก็จดรายละเอียดลงในสมุดยุกยิก

“เอ้าหนึ่งวันก็หนึ่งวัน แต่ว่า เรียวต้องไปออกไปเที่ยวกับผมบ้างนะครับ”

เด็กหนุ่มพูดต่อรองอีก ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ ก็เลยพยักหน้าส่งๆไป เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง แล้วก้มหน้าก้มตาจดการตกลงข้อนั้นลงไปในสมุด

“ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย แล้วต้องเป็นตอนที่ฉันว่างด้วยนะ”

“คร้าบบบบบ”

เด็กหนุ่มลากเสียงยานคาง

“ห้ามบุกรุกบ้านฉัน หรือเข้าบ้านของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามค้นข้าวของตามใจชอบ ห้ามพาคนอื่นมาที่บ้านฉัน ทำได้หรือเปล่า”

ผมบอกข้อห้ามอีกชุดใหญ่

“ได้ครับ รับทราบพร้อมปฏิบัติตามครับผม” เขาทำท่าตะเบ๊ะ

“นอกจากผมแล้ว ก็จะไม่มีใครได้เข้าบ้านคุณอีก เรียวก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกันนะ ห้ามไม่ให้โครเข้าบ้านเรียวทั้งนั้นนอกจากผมนะ”

“เอ๊ะ ..........นายมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

ผมชักเคืองที่เขาเอาข้อห้ามของผม มาใช้กับผม

“ผมรู้ว่าผมคงห้ามเรียวไม่ได้ เพราะเป็นบ้านของคุณ คุณอาจจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมาหา แต่ที่ผมขอนี้ ผมขอเพื่อความเป็นส่วนตัวของเราสองคน อย่างน้อยๆก็ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันของผม ผมอยากจะอยู่กับคุณตามลำพัง ไม่อยากให้มีใครอื่นมาอยู่ด้วย ผมรู้ว่าผมขอมากเกินไป แต่ผมก็อยากจะให้มันเป็นวันของเราจริงๆน่ะครับ”

เขาส่งสายตาวิงวอนขอร้อง จนผมชักจะใจอ่อน ไม่ดีเลยที่เกิดมาเป็นคนขี้สงสารเนี่ย

“ก็ได้ ฉันจะไม่พาใครมาวันอาทิตย์ แต่วันอื่นที่ฉันพามา นายจะมายุ่งไม่ได้ แล้วก็ทุกอย่างฉันต้องเป็นคนตัดสินใจ นายต้องเชื่อตามเหตุผลของฉัน ห้ามทำอะไรตามใจตนเอง เข้าใจไหม”

“ครับ”

เด็กหนุ่มจดตามยิกๆ ผมพยายามนึกว่ามีอะไรอีกหนอที่จะเอามาอ้างเป็นข้อตกลง เพื่อที่จะปกป้องตนเองจากการเข้าใกล้ของเจ้าเด็กนี่

“ห้ามแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันในที่สาธารณะ ห้ามจูงมือ ห้ามคล้องแขน ห้ามโอบไหล่ ห้ามกอด ห้ามจูบ ต่อหน้าคนอื่นๆ”

ผมพูดตามที่นึกขึ้นได้เป็นชุด เด็กหนุ่มขยับปากกาในมือจดตาม แต่ก็ไม่วายร้องโวยวาย เมื่อได้ยินข้อตกลงต่างๆ ที่ผมคิดขึ้นมา

“แหมๆ.......ใจคอจะไม่ให้ผมอวดคุณกับคนอื่นๆเลยหรือไง ทำไมหวงตัวจังเลยอ่ะครับ ไม่เห็นใจกันบ้างเลยหนอ เฮ้อ..........ร้ายกาจจัง”

เขาบ่นกระปอดกระแปด แต่ไม่ได้ทำท่าว่าหนักใจกับข้อห้ามดังกล่าว เขากลับมีใบหน้ากระตือรือล้น นั่งชันเข่าสองข้าง วางเท้าไว้บนเก้าอี้ ใช้หน้าขาต่างโต๊ะเขียนหนังสือ

“ก็ได้ ผมจะเขียนไปว่า ข้อห้ามทั้งหมดนี้ห้ามทำในที่สาธารณะ แต่ในที่ลับตาคนแล้ว ทำได้หมดเลย”

เขาพูดยิ้มๆ พลางจดลงไปในสมุดบันทึกของตนเอง ผมออกอาการเอ๋ออีกครั้ง เมื่อตระหนักว่าตนเองไม่มีความรอบคอบพอ จนเด็กหนุ่มอาศัยช่องโหว่ที่ผมไม่ได้พูดถึงไว้ ในการจะหลบเลี่ยงพันธะสัญญาทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ

พอเห็นว่าผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็ถามขึ้น

“หมดแล้วเหรอครับ”

“ยังนึกไม่ออก ถ้านึกได้แล้วจะบอก”

“อ่ะนะ มีเพิ่มเติมได้ด้วยเหรอ”

เขายิ้มขำๆ เด็กนี่คงรู้เท่าทันความคิดของผมเป็นแน่ เขาคงเดาได้ว่าผมพยายามยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาเพื่อที่จะป้องกันตนเองจากเงื้อมมือของเขา เด็กหนุ่มมีทีท่าอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผมเริ่มเครียด

“ทำไม นายมีปัญหาเหรอ”

ผมมองเขาอย่างพาลๆ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้

“เปล่าครับ ใครจะกล้ามีเรื่องราวกับยอดรักของผมได้ล่ะครับ” เดียร์ยิ้มทะเล้น

“ใครละเมิดสัญญาก่อน ไม่ทำตามข้อตกลง เท่ากับสัญญานี้จะสิ้นสุดลงทันที เข้าใจไหม”

ผมเน้นย้ำคำสัญญากับเขา มั่นใจว่าตนเองไม่มีทางทำผิดข้อตกลงหรอก มีแต่เดียร์เท่านั้นแหละที่จะเป็นคนที่ทำให้สัญญายกเลิกเพราะเป็นฝ่ายทำผิดเสียเอง

“คร้าบบบบบบบบ”

เขาลากเสียงยานคาง ทำหน้าทะเล้น ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา เด็กหนุ่มยืดนั่งตัวตรง วางขาลงกับพื้น ก่อนจะเดินมานั่งบนที่เท้าแขนเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ แล้วโอบกอดผมไว้ในวงแขน

“เป็นแฟนกันตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ ที่รัก”

เขาถือวิสาสะจูบที่หน้าผากผม ผมพยายามแกะมือเขาออกจากตัว แต่เขาไม่ยอมปล่อย

“ไม่ดีกว่า ขอเวลาฉันเตรียมตัวเตรียมใจหน่อย”

“เมื่อไหร่ดีครับ” เขาถามพลางจูบผมอีกที่ข้างแก้ม

“เริ่มเดือนหน้าเลยแล้วกัน”

ผมบอกเขา พยายามจะยืดเวลาให้ห่างออกไปมากที่สุด

“เดือนตุลาคมนี้น่ะเหรอ ก็พรุ่งนี้แล้วสิ”

“ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึงเดือนพฤศจิกายนน่ะ”

ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ว่าเป็นเดือนหน้าอันที่จริงผมลืมไปว่า เดือนตุลาคมจะมาถึงในวันพรุ่งนี้นี่เอง พอเขาพูดแบบนี้ผมก็เลยนึกขึ้นได้ เลยรีบเปลี่ยนวันเวลาทันที มีเสียงหัวเราะจากเดียร์ เขากอดผมแรงๆ แล้วหอมผมที่แก้มฟอดใหญ่

“เจ้าเล่ห์จริงๆนะ ยอดรักของผม แต่เดือนหน้าที่หมายถึงเดือนตุลาคมน่ะดีแล้วล่ะ ไม่อยากรอนานเกินไปนะครับ น่านะ จะเลื่อนไปไกลเท่าไหร่ คุณก็หนีผมไปไม่พ้นอยู่ดี ทำไมไม่ทำให้เรื่องมันจบลงเร็วๆล่ะครับ”

คำพูดของเดียร์มีเหตุผล จริงสินะ ต่อให้เลื่อนเวลาออกไป ก็ใช่ว่าจะทำให้พันธะสัญญาที่เรามีต่อกันสิ้นสุดลง มีแต่จะยิ่งยืดเวลาแห่งความทรมานใจของผมออกไปอีก สู้ให้มันจบๆไปเลยดีกว่า อีกอย่างใครจะการันตีว่าหนึ่งเดือนจากนี้ไป เขาจะไม่มารบกวนใจผม

“ก็ได้ งั้นเริ่มพรุ่งนี้แล้วกัน”

ผมบอกเขาเสียงห้วน เด็กหนุ่มแนบศีรษะของเขา เข้ากับศีรษะของผม ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย กลับรัดร่างผมแนบแน่น

“นี่นายกำลังผิดข้อสัญญาอยู่ ฉันสามารถล้มเลิกข้อตกลงระหว่างเราได้นะ” ผมขู่เขา

“สัญญาอะไร”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นอกจากคำพูดของผมจะไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนแล้ว เขากลับจูบไซร้ซอกคอผมจนขนลุกเกรียว

“อย่ามาทำเป็นไขสือ ก็เราทำข้อตกลงที่จะเป็นแฟนกันแล้ว และการแตะเนื้อต้องตัวฉันโดยไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจ แถมซ้ำยังมาทำในที่สาธารณะด้วย ถือว่านายผิดสัญญาถึงสองข้อด้วยกัน ดังนั้นสัญญานี้เป็นโมฆะ แล้วก็ต้องถือว่าฉันเป็นอิสระจากนายแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างมีชัย แต่เด็กหนุ่มกลับหัวเราะเบาๆ เขากอดรัดผมแน่นเข้า แล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งจับคางผมให้แหงนเงยขึ้นมา แล้วก้มลงจุมพิตผมอย่างดูดดื่มโดยที่ผมไม่อาจจะขัดขืนได้ เพราะมัวแต่ตะลึงว่าเขาช่างกล้าทำอย่างนี้ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการที่จะถูกคนมองเห็น แถมซ้ำยังไม่กลัวว่าตนเองจะทำผิดสัญญาด้วย เด็กหนุ่มนี่คิดจะเบี้ยว ไม่ทำตามสัญญาหรือไงนะ

เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เขาจะปล่อยผม เดียร์มองผมด้วยดวงตาที่บอกความรู้สึกทั้งมวลในใจเขา แต่ผมกลับจ้องเขาตอบด้วยดวงตาขุ่นขวาง เขายิ้มกว้างให้กับผม แล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา

“ขำอะไร” ผมถามอย่างพาลๆ

“ดูหน้าคุณสิ ตลกจัง”

“ยังมีหน้ามาหัวเราะคนอื่นอีก  จะเบี้ยว ไม่ทำตามข้อตกลงในสัญญาหรือไง”

“เอ........สัญญาที่ว่าเนี่ย.......มันเริ่มเมื่อไหร่หรือครับ”

เขาย้อมถามผมยิ้มๆ ผมสะอึก นึกขึ้นมาได้ว่า วันที่เราตกลงว่าจะเป็นแฟนกันคือพรุ่งนี้ต่างหากไม่ใช่วันนี้ งั้นก็หมายความว่า วันนี้เขาจะไม่รักษาสัญญาก็ได้สิ แถมซ้ำยังไม่ถือว่าผิดข้อตกลงด้วย อย่างนี้มันแกล้งกันนี่นา สงสัยจะอยากเอาคืนผมที่โยกโย้ ยืดเวลา เจ้าเล่ห์นักนะ เด็กคนนี้

“เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย ดังนั้น ผมก็สามารถจะจูบ กอด หอม ทำอะไรกับเรียวก็ได้โดยไม่ผิดกติกาใช่ไหมครับ”

เขาส่งยิ้มยียวนให้ ผมละเกลียดหน้าตาของเขาตอนนี้นัก มันดูเหมือนว่าเขากำลังรื่นเริงที่ได้กำชัยชนะเหนือผมอยู่

“ผมมีอะไรให้เรียวด้วยนะครับ”

เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องพูด เขาหยิบกระเป๋าเป้มารื้อๆค้นๆสักพัก ก็หยิบกล่องสีแดงขึ้นมา มันเป็นกล่องใส่แหวนทองเกลี้ยงๆ เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วหมุนให้ผมดู ด้านข้างในของแหวนมีข้อความสลักไว้ เมื่อเพ่งมองดูใกล้ๆจึงจะเห็นข้อความว่า

“my dear”

“นายทำอะไรอ่ะเดียร์” ผมถามเขาทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม พลางตอบในสิ่งที่ผมคิดเอาไว้แล้ว

“หมั้นเรียวไว้ไงครับ เราตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แหวนที่ผมให้นี้จะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้เรียวได้รู้ว่า เรียวจะไม่สามารถมีคนอื่นได้นอกจากผมนะครับ”

เด็กหนุ่มคว้ามือข้างซ้ายของผมขึ้นมา ผมพยายามชักมือกลับ มองหน้าเขาอย่างรู้เท่าทันว่าเขาคิดจะทำอะไร เด็กหนุ่มดึงมือผมไปจนได้แล้วบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม มันสวมได้พอดีเป๊ะ เด็กหนุ่มทำสีหน้าพอใจ

“กะแล้วว่าต้องใส่ได้”

“จะบ้าเหรอ ผู้ชายกับผู้ชายจะหมั้นกันได้ยังไงล่ะ”

ผมพยายามจะถอดแหวนในมือออก แต่มันกลับถอดออมายากมาก เดียร์มองการกระทำของผม แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆว่า

“ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เคยมีคนทำด้วย มันเป็นคำสัญญานะครับ ได้โปรดรับมันไว้ อย่าพยายามถอดมันออกมาเลย แค่ 6 เดือนเองนะครับ นะนะ”

“เฮ้อออออออ........”

ผมถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย นึกปลงให้กับตนเอง จนไม่อยากจะโต้ตอบอะไรออกไป ผมคงไม่มีวันหนีเด็กนี่ไปได้จริงๆจนกว่าจะครบ 6 เดือน

“รู้ได้ไงว่าฉันใส่แหวนไซส์นี้” ผมถามอย่างสงสัย เด็กหนุ่มยิ้มอายๆพลางพูดว่า

“ผมแอบวัดไว้ตั้งแต่ตอนที่จับเรียวมานะครับ วัดแล้วก็ไปที่ร้านทอง ไปสั่งให้เขาทำไว้ให้ จากน้อยผมก็โทรไปฝากน้อยให้ไปเอามา น้อยมันเอามาให้ผมตอนเราไปทานข้าว กันน่ะครับ….ผมตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าผมจะให้ของที่แทนตัวผม ให้คุณเก็บไว้กับตัว ตอนที่เราเป็นแฟนกันแล้วน่ะครับ”

“เฮ้อออออออ........”

ผมถอนหายใจยืดยาวอีกครั้ง ท่าทางคงหนีหมอนี่ไม่ได้จริงๆซะแล้ว ก็เล่นทุ่มเทกันซะขนาดนี้ เขาคงไม่มีวันปล่อยผมไปแน่ คงต้องเล่นตามน้ำไปจนกว่าจะครบ 6 เดือน ไม่รู้ว่าผมจะสามารถทนได้จนกระทั่งครบกำหนดหรือเปล่า

“ผมเองก็อยากจะขอของแทนตัวเรียวเหมือนกันนะครับ จะเก็บไว้กับตัวยามที่คิดถึงน่ะ ไม่รู้ว่าเรียวจะให้ผมได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อนๆ

“ฉันไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนะ”

“อืมมมม”

เด็กหนุ่มกวาดตามองผมทั่วทั้งตัวอย่างไตร่ตรอง แล้วตาของเขาก็มาตกที่สร้อยเงินที่มีจี้เป็นตัวอักษร R ซึ่งเป็นชื่อย่อของตัวผม สร้อยเส้นนี้ผมรักมาก เพราะแม่อุตส่าห์ให้ช่างเงินทำให้ แม่อยากให้ผมใส่สร้อยที่เป็นเงินแท้ๆ และจี้ก็เป็นลวดลายสวยงาม ผมใส่สร้อยเส้นนี้ทุกวันเพื่อระลึกถึงแม่ที่ตายไป มันให้ความรู้สึกว่าแม่ยังอยู่ใกล้ตัวผมตลอดเวลา เดียร์จับจ้องที่สร้อยเส้นนั้น เขาเอามือไล้ไปตามเส้นสายของสร้อยที่อยู่บนคอผม เขาเอื้อมมือไปข้างหลัง พยายามจะปลดมันออกมา

“ทำอะไรน่ะ .....”

ผมจับมือเขาไว้

“ผมอยากได้สร้อยเส้นนี้เป็นตัวแทนของเรียวนะครับ”

“ไม่ได้ สร้อยเส้นนี้เป็นของที่ฉันรักมาก ฉันให้นายไม่ได้”

ผมปฏิเสธเขาเสียงแข็ง

“แต่ผมไม่มีอะไรที่เป็นตัวแทนของเรียวเลยนี่ครับ เวลาคิดถึงกันผมจะทำอย่างไรล่ะ”

เขาทำหน้าเศร้าๆ มือก็ยังคงลูบไล้อยู่ที่สร้อยเส้นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้ากับน้ำเสียงเศร้าๆนั้นหรือเปล่าที่ทำให้ผมตัดสินใจปลดสร้อยเส้นนั้นด้วยตัวเอง แล้วส่งให้เขา

“เอ้า เอาไป น่ารำคาญจริง ฉันให้นายยืมใส่ แต่แค่ 6 เดือนเท่านั้นนะ พอเราเลิกกันแล้ว นายต้องเอาคืนฉันด้วย เข้าใจไหม แล้วเวลาเอาไปใส่ก็ดูแลมันให้ดีๆเหมือนที่ฉันดูแลด้วย”

ผมทำเสียงเข้มใส่เขา พูดเน้นย้ำให้เขาดูแลของที่ผมรักด้วย เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ เขาหยิบมันมาสวมที่คอ และโดยที่ผมไม่ทันระวังตัว เขาก็จูบที่ปากผมอีกครั้ง

“เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ”

ผมต่อว่าเขา ทั้งโกรธ ทั้งอาย เพราะเพิ่งสำนึกได้ว่า ผมกับเดียร์ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง มีชายหญิงคู่หนึ่ง มานั่งถัดไปอีกสองโต๊ะ พวกเขามองมาที่เราทั้งคู่แล้วยิ้มๆ หันไปพูดซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องนินทาผมกับเดียร์แน่เลย

“ก็ใครจะอดใจไหวล่ะ”

เขากล่าวยิ้มๆ เดียร์ยังคงนั่งวางก้นหมิ่นๆอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่ มือโอบไปรอบตัวผม ผมแกะมือไม้เขาออกพัลวัน ไม่อยากให้คนเห็นและมานินทาผมกับเขาอีกต่อไป แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันไปโบกมือทักทายให้คนคู่นั้น จนพวกเขาต้องหันหน้าหนีไป

“เฮ้อออออออ..........ในที่สุดผมก็ได้เรียวเป็นคนรักสมใจอยาก”

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาเป็นประกายสุกใสอย่างสมหวัง เขายิ้มประจบประแจงให้ผม แล้วสารภาพเสียงอ้อน

“แหม เมื่อกี้อ่ะ ผมเก๊กแทบแย่เลย ทั้งเกร็งทั้งลุ้นอ่ะ กลัวคุณไม่ตกลงจังเลย ตอนแรกที่คุณปฏิเสธ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องยื้อไปถึงไหน ยังคิดอยู่ว่า ถ้าผมงัดไม้เด็ดเรื่องภาพถ่ายขึ้นมาแล้วและคุณเกิดไม่ยอมขึ้นมา ผมจะทำยังไง”

“ก็เอารุปฉันไปโพสต์สิ” ผมว่าเขาอย่างแค้นเคือง

เขาโอบกอดผมไว้ในวงแขน แล้วเอียงศีรษะมาซุกซบอย่างอ้อนๆ แต่ผมสะบัดตัวหนี ยังไม่หายโกรธเขาที่เขาทำให้ผมอยู่ในสภาพตกกะไดพลอยโจน ยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาโดยไม่ตั้งใจ พอเขามาย้ำเรื่องรูปอีก ผมก็เลยฉุนขึ้นมาอีก

“อ่ะนะ ผมไม่กล้าหรอก ใครจะทำอย่างนั้นได้ลงคอ นี่มันเป็นภาพลับเฉพาะระหว่างคุณกับผม จะไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้ไง ผมอยากเก็บไว้ดูเองมากกว่า”

เด็กหนุ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า ท่าทางอารมณ์ดีเกินเหตุ จนผมหมั่นไส้

“แล้วไหนล่ะมือถือของนาย เอามาให้ฉันสิ ฉันจะได้ทำลายมันทิ้ง”

ผมแบมือออกมา เด็กหนุ่มทำท่าทางบ่ายเบี่ยง

“ผมอยากเก็บภาพไว้นี่นา แต่ผมรับรองเลยนะว่า ผมจะไม่เผยแพร่ภาพนั้นให้ใคร หน้าใหนดูทั้งสิ้น ผมจะเก็บไว้กับตัวผม จนกว่าจะครบ 6 เดือนเลย”

“ไม่ได้”

ผมปฏิเสธเสียงเฉียบขาด ไม่เห็นด้วยที่เขาจะเก็บภาพไว้ในมือถือนั้น

“เดี๋ยวนายเผลอวางลืมทิ้งไว้ แล้วใครหยิบไปเปิดดู ฉันก็ซวยสิ เอามาให้ฉันเสียดีๆ ไม่งั้น ฉันยกเลิกสัญญานี้”

เด็กหนุ่มทำท่าอิดออด ผมต้องพูดทวงอีกครั้ง

“เอามือถือมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันทำสัญญากับนายแล้ว ถึงเวลาที่นายต้องทำตามบ้าง”

“ไม่เอาอ่ะ ถ้าผมให้คุณตอนนี้ คุณต้องทำลายมันทิ้ง แล้วทำลายสัญญาด้วย ผมจะเก็บเอาไว้เอง จนกว่าจะครบระยะเวลาที่เราตกลงกัน แล้วผมจะทำลายมันทันที สัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ผมจะไม่เอาไปเผยแพร่ที่ไหน หรือแม้แต่ให้ใครดูในระหว่างนี้”

เขายังย้ำคำพูดเดิมของตนเอง แต่ผมไม่กล้าเชื่อใจเขาอีกต่อไป เพราะกลัวเขาจะหักหลัง และไม่ยอมเลิกรากับผมเมื่อครบสัญญา แล้วอาจจะเอาภาพนี้มาแบล็คเมล์ผมอีก

“สัญญาจากนาย เป็นสัญญาที่เชื่อถืออะไรไม่ได้ ฉันไม่ไว้ใจนาย ถ้านายไม่เอามือถือมาให้ฉัน ฉันจะถือว่าสัญญาของเราสิ้นสุดลง ฉันไม่ต้องเป็นแฟนนาย แล้วนายก็ไม่มีสิทธิที่จะมายุ่งเกี่ยวกับฉันด้วย”

ผมขู่เขา

เดียร์ล้วงไปหยิบมือถือในกระเป้าสะพายของตนก่อนจะยื่นให้กับผมอย่างเสียไม่ได้ ผมหยิบมันมาถือไว้ และขว้างทิ้งลงพื้นจนแตกกระจาย เพราะต้องการให้แน่แก่ใจว่า รูปจะไม่มีทางปรากฏที่ไหนอีก หากเดียร์ทรยศ เขาก็จะไม่สามารถหารูปมาจัดการข่มขู่ผมได้ต่อไป

เด็กหนุ่มอึ้ง มองผมตาค้าง คนรอบข้าง ซึ่งก็มีหญิงชายคู่นั้น กับผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามานั่ง มองมาที่เราทั้งคู่เป็นตาเดียว สักพัก พนักงานในร้านก็วิ่งเข้ามาดู สติผมเริ่มกลับคืนมา เริ่มรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรงี่เง่าลงไปเสียแล้ว

“เอ้อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

พนักงานสาวคนเดิมถามผม หน้าตาไม่สู้จะดีนัก คงคิดว่าพวกเราเป็นพวกก่อกวนความสงบในร้าน

“ไม่มีอะไรครับ แฟนผมเขางอนผมนิดหน่อยนะ”

เดียร์ดูจะมีสติดีกว่า กล่าวขึ้น เขาขอโทษขอโพยพนักงานคนนั้น แล้วรับปากว่าจะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีก พร้อมกับลุกขึ้นแล้วหันไปโค้งเป็นการขอโทษลูกค้าสองสามคนนั้นด้วย พลางวิ่งไปเก็บมือถือที่แตกกระจายเกลื่อนพื้น ก่อนจะเดินมาหาผม ทำหน้าตาเศร้าๆ บ่นอุบอิบ

“ไม่เห็นจะต้องทำลายข้าวของกันขนาดนี้เลย แค่ลบภาพมันออกก็ได้แล้ว”

“โทษที” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รู้สึกตัวว่าทำแรงเกินไป

“ฉันกำลังหงุดหงิด ก็เลยไม่ทันคิดก่อน ความที่อยากจะทำลายภาพนั้นทิ้งให้สิ้นซาก ไม่ให้นายเอามาใช้แบล็คเมล์ฉันในภายหลัง ก็เลยเผลอขว้างมันออกไปน่ะ”

ผมบอกเดียร์ไปตามความจริง เด็กหนุ่มทำหน้าซีเรียส

“เรียวไม่ไว้ใจผมจริงๆด้วย คิดอยู่แต่ว่าผมจะทำร้ายคุณ ทั้งๆที่ผมไม่เคยแม้แต่จะทำให้คุณเจ็บปวดแม้เพียงปลายก้อย ผมเสียใจมากเลยรู้ไหม ไม่อยากให้เรียวคิดกับผมแบบนี้ มันจะทำให้ความรักที่เราจะมีให้กันมันสั่นคลอน”

น่าแปลกที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบกับคำตัดพ้อของเขา เด็กหนุ่มทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจไปกับสิ่งที่เขาพูดนั้น จริงสินะ ถึงแม้ว่าเขาจะทำห่ามๆด้วยการจับตัวผมมามัด ลวนลามผม ถ่ายรูปเพื่อแบล็คเมล์ผม แต่สิ่งที่เขาทำลงไปก็เพียงเพราะเขาอยากได้ความรักจากผมเท่านั้น เขาไม่มีทีท่าว่าอยากจะทำร้ายผมให้เจ็บปวด มีแต่จะพยายามออดอ้อนเอาอกเอาใจผมด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวฉันพานายไปซื้อมือถือใหม่ให้แล้วกัน”

ผมบอกเขาอย่างสำนึกผิด

“มันไม่ใช่ประเด็นหรอก มันเกี่ยวกับเรื่องความไว้วางใจที่มีให้กันมากกว่า.....ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่นะครับ ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจผมบ้าง ว่าผมไม่คิดจะทำร้ายคุณนะครับ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ผมยิ่งรู้สึกผิดที่หวาดระแวงเขา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปนั้นเพียงเพื่อปกป้องตัวเองจากการแบล็คเมล์ของเขาก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะทำตามที่พูด ดังนั้นสิ่งที่ผมทำลงไปกับทรัพย์สินของเขา จึงถือว่าทำเกินกว่าเหตุโดยแท้
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 04-10-2007 21:44:30
บทที่ 12

“ขอโทษทีนะ ฉันผิดเอง ที่ไม่ไว้ใจนาย ถ้านายมาเป็นฉันบ้าง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกแบล็คเมล์แบบนี้นายก็ต้องสติแตกบ้างล่ะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าผม ท่าทางเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ความหงอยเหงาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไป เดียร์ยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่จริงใจ

“ผมเข้าใจครับ สิ่งที่ผมทำกับเรียว มันก็เกินกว่าที่คุณจะรับได้จริงๆ ผมเองก็ทำผิดต่อคุณ แต่ที่ผมทำปีนี่ เป็นเพราะผมรักคุณอย่างจริงใจ ถ้าผมใช้วิธีการปกติ ตามตื้อ ตามจีบคุณ ผมก็ไม่มีทางจะได้เป็นแฟนคุณหรอก เพราะผู้ชายแบบคุณจะมาสนใจผู้ชายอย่างผมทำไม ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ เราจะตกลงกันได้ละหรือ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผม ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“ผมจึงลองเสี่ยงทำดู ถึงแม้จะไม่สามารถแน่ใจได้ว่า การกระทำของผม จะได้ความรัก หรือ ความเกลียดชังตอบกลับมา แต่ผมก็อยากจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด แล้วผมก็อยากให้คุณร่วมมือกับผมด้วยนะครับ อย่างน้อยๆก็แค่ 6 เดือนนี้

หลังจากนั้น ถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคุณได้ ผมจะไปจากชีวิตของเรียวทันที ผมสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำร้ายคุณ ผมอยากได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากคุณบ้าง ไม่รู้ว่าคุณจะให้ผมได้ไหมครับ”

เดียร์พูดเสียยืดยาว ผมเม้มปากแน่น มองดวงตาใสซื่อของเขา อย่างคนที่ได้ตัดสินใจแล้ว ไหนๆเรื่องมันก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว ผมยอมตกลงทำสัญญาเป็นแฟนกับเขา ดังนั้นการที่จะยอมเชื่อใจในตัวเขาบ้าง มันก็คงไม่ทำให้เรื่องราวมันเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่นี้หรอก

“ฉันรับปากนาย ว่าต่อไปนี้ฉันจะเชื่อใจนาย ไม่ระแวงสงสัยนายอีก แล้วฉันก็หวังว่า การที่ฉันได้มอบความไว้วางใจให้กับนาย จะทำให้นายไม่คิดที่จะหักหลังฉันตามที่นายรับปากจริงๆ ฉันหวังว่า 6 เดือนต่อจากนี้ไป จะเป็นช่วงเวลาที่ดีในระหว่างเรา หวังว่านายคงไม่ทำมันพังลงไปนะ”

ผมรับปากว่าจะไว้เนื้อเชื่อใจเขา แต่ผมเองก็ต้องการความมั่นใจด้วย ว่าเดียร์จะไม่ทำลายความรู้สึกดีๆที่ผมหยิบยื่นให้ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ท่าทางพึงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน

“ผมรับรองเลยครับ ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ผมจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณ ไม่ทำให้คุณยุ่งยากลำบากใจ จะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณมีความสุขครับ”

เด็กหนุ่มระล่ำระลักบอกคำสัญญิงสัญญาของเขาต่อผม

“งั้นก็ดีแล้ว..............ว่าแต่เราไปกันได้แล้วล่ะ”

ผมมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมลุกขึ้นยืน เดียร์เลยต้องรีบลุกตาม ผมกับเขาพากันเดินออกไปหน้าร้าน

“สำหรับเรื่องโทรศัพท์มือถือน่ะ นายไปซื้อมาเลยก็ได้ แล้วมาเอาเงินที่ฉัน ถือว่าเป็นการชดใช้ที่ฉันทำของนายพังนะ”

ผมบอกเขา แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“เอาไว้รอไปซื้อพร้อมเรียวเลยดีกว่าครับ”

“แล้วนายไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เหรอ เกิดใครอยากจะติดต่อนายมาจะทำไงล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ มีแต่เบอร์ที่ไม่สำคัญอะไรเท่าไหร่ ผมไม่ได้ติดต่อใครมากมาย นอกจากเรื่องงาน ซึ่งผมก็มีสมุดโทรศัพท์แยกต่างหากไว้แล้วครับ”

“งั้นก็ได้ ถ้างั้นจะไปซื้อเมือ่ไหร่ก็บอกนะ ฉันยินดีพาไป”

ผมเกิดใจดีขึ้นมาอย่างประหลาด อาสาที่จะพาเขาไปซื้อมือถือ ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าเลี่ยงที่จะไปกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็จะเลี่ยงเท่านั้น แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองผิดในสิ่งที่ทำลงไป ผมจึงอยากจะชดเชยให้กับเขา

เราสองคนเดินกันมาถึงลานจอดรถ ผมกล่าวลากับเขาตรงนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับทำท่าเกเร เหมือนไม่อยากจะแยกจากไป

“ใจคอคุณจะทิ้งผมลงตรงนี้เหรอ”

“กลับบ้านเองได้ใช่ไหมล่ะ” ผมย้อนถามเขา

“แต่เราเป็นแฟนกันแล้วอ่ะ คุณจะไม่ยอมให้ผมไปกับคุณที่บ้านเหรอ” เขาร้องอุทธรณ์

“สัญญาเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ตกลงกันแล้วไง เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันไม่ใช่คนรักของนาย เป็นแค่คนรู้จักกัน ดังนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามใจนาย”

ผมได้ทีเลยเอาคืนบ้าง

“แต่มันดึกแล้วนี่นา บ้านผมก็ไปอีกไกลนะ”

“บ้านนายอยู่ไหนเหรอ”


“แถววัดแขก สีลมอ่ะครับ เป็นห้องเช่า ผมอยู่กับเพื่อน”

“ไม่ไกลจากที่นี่สักหน่อย นั่งแท็กซี่ไปแป๊บเดียวก็ถึง หรือไม่ก็ให้เพื่อนออกมารับก็ได้”

“เพื่อนไม่อยู่แล้วครับ มันไปๆมาๆ ส่วนใหญ่มันอยุ่บ้านแฟน”

“เป็นเกย์เหมือนกันล่ะสิ”

ผมคาดเดา เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ครับ แต่เราไม่ได้มีอะไรกันนะ เป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ แล้วตอนนี้เขาก็มีแฟนแล้ว ไปๆมาอยู่ สักพักมันก็จะย้ายไปอยู่กับแฟนแล้วล่ะ อีกไม่นานผมก็จะอยู่คนเดียวแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าแดง รีบแก้ตัว ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดไปไกลขนาดนั้น เขาคงกลัวว่าผมเข้าใจผิด นึกๆแล้วก็ขำ ท่าทางเด็กหนุ่มคิดกับผมเป็นจริงเป็นจังมาก จนไม่อยากจะให้ผมไม่พอใจที่เขาพักอาศัยอยู่กับคนอื่น

“หัวเราะอะไรครับ” เขาถามผม ทำตาโต

“แค่ขำน่ะ นายไม่ต้องปฏิเสธพัลวันอย่างนั้นหรอก นายจะอยู่กับใคร กับเพื่อนชาย เพื่อนหญิง กระเทย เกย์ ตุ๊ด ก็ไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องไปใส่ใจนี่ มันเรื่องของนายไม่ใช่เรื่องของฉันเสียหน่อย”

ผมบอกเขาอย่างขำๆ เด็กหนุ่มทำสีหน้าน้อยใจ แววตาตัดพ้อ

“แหม จะไม่นึกหวงผมบ้างหรือครับ ที่ผมอยู่กับคนอื่น อย่างน้อยเราก็เป็นแฟนกันนะ”

“บ้าหรือเปล่าเนี่ย ใครจะไปหึงนายกัน”

ผมอดที่จะหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ แทนที่จะโกรธ กลับขำเขามากกว่า

“นิดหนึ่งก็ยังดี ผมจะได้รู้สึกว่าตนเองมีค่าบ้างในสายตาคุณ”

เดียร์ทำเสียงเง้างอนออดอ้อน

“คุณเดียร์ครับ เราตกลงกันเป็นแฟนตามเงื่อนไข ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ดังนั้นวันนี้ผมไม่ได้เป็นแฟนคุณนะครับ ผมจะหึงคุณไปทำไม”

ผมแกล้งพูดตลกๆ จู่ๆก็นึกอยากพูดเล่นต่อปากต่อคำกับเขาขึ้นมา เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ทำหน้าทะเล้นใส่ผม
“งั้นพรุ่งนี้ ต้องเริ่มหึงผมได้แล้วนะ แบบว่าคนรักกันต้องมีบ้างนะ”

เขาทำท่ากระตือรือล้นได้น่าหมั่นไส้อย่างที่สุด แต่แปลกดีที่ผมไม่ได้โกรธหรือรำคาญใจแม้แต่น้อย กลับสนุกที่ได้เล่นอะไรไร้สาระแบบที่กำลังพูดเล่นพูดหัวอยู่กับเขา

“พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ นายไปได้แล้ว”

“อ๊า ไล่เลยเหรอ”

“นี่มันดึกแล้ว ฉันอยากกลับบ้านไปพักผ่อน”

“ผมก็อยากจะพักผ่อนเหมือนกัน แต่กว่าจะถึงบ้านก็ดึกมากแล้วนะครับ ให้ผมไปนอนที่บ้านคุณด้วยคนนะ”

เขาอ้อนต่อ แต่ผมไม่ใจอ่อน กลับทำเสียงแข็งใส่เขา

“ไม่ได้......อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้สิ พูดกันให้รู้เรื่องบ้าง ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“ใจร้ายที่สุดเลย.......” เขาทำท่ากระเง้ากระงอด

“พูดมาก...........น่ารำคาญน่า” ผมว่า

“งั้นก็ได้ แยกจากกันตรงนี้ก็ได้ แต่อย่าลืมนะครับว่า พรุ่งนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

เขาตอกย้ำคำสัญญา

“จำได้น่า.....รีบไปเถอะ มันดึกแล้ว”

“ฝันถึงผมบ้างนะ.....”

เขาทำเสียงออดอ้อน ผมไม่ตอบ ได้แต่ยืนทำหน้าเฉยเมย

“ไม่จูบลาก่อนเหรอ” เดียร์เดินเข้ามาใกล้ผม

“ไม่เอาอ่ะ”

ผมถอยหนีไปที่รถ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขึ้นไป เด็กหนุ่มก็คว้าตัวผมมากอด เขากระซิบกับผมเบาๆที่ข้างหูว่า
“กอดตอบผมหน่อยสิ”

ผมยืนเฉย ไม่ทำตามที่เขาร้องขอ เด็กหนุ่มรีรออยู่นาน หลังจากที่รู้ว่าผมไม่กอดตอบเขาแน่ๆ เขาก็เป็นฝ่ายกอดผมเสียแน่น แล้วก็จูบผมที่แก้ม และมาจบลงที่ริมฝีปาก ตลอดเวลาเหล่านั้นผมได้แต่ยืนนิ่ง พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้มันพลุ่งพล่าน คล้อยตามไปกับการกระทำของเขา

“ใจร้ายจัง...........” เขาบอกเมื่อถอนริมฝีปากออกจากปากผมแล้ว

“ฉันกลับก่อนนะ ง่วงแล้ว”

ผมตัดบท เขาพยักหน้า ดูท่าทางเหงาๆ เขายืนมองอยู่ข้างรถ รอจนกระทั่งผมขึ้นไปนั่ง ปิดประตู ถึงค่อยชะโงกหน้ามาข้างๆประตู แล้วเคาะกระจกรถเบาๆ ผมเลื่อนกระจกไฟฟ้าลง แล้วถามเขาว่า

“มีอะไรเหรอ”

“เปล่าหรอกครับ แค่จะบอกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

ผมมองหน้าเขางงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ผมส่งยิ้มให้เขา แล้วบอกให้เขากลับบ้านดีๆ  เดียร์ยิ้มให้ผม และว่องไวกว่าที่ผมจะคิดหลบหลีกได้ทัน เขาก็ยื่นศีรษะของเขาเข้ามาในรถ สองมือเอื้อมมาประคองใบหน้าผมไว้ แล้วจูบผมอีกครั้ง เป็นจูบที่ดูดดื่มรัญจวนใจ จนผมอดใจไม่ไหว ต้องเผยอปากรับการจูบของเขา เดียร์แทรกลิ้นเข้ามาในปากผม แล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้

“ฝันดีนะครับยอดรักของผม”

เขากระซิบเบาๆที่ข้างหูผม ก่อนจะผละออกอย่างเสียดาย แววตาของเขาที่มองมายังผมด้วยเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ท่วมท้น ผมพยักหน้าให้กับเขา แล้วบอกให้เขารีบกลับบ้านไป บอกให้เขาดูแลตัวเองด้วย เพราะมันดึกมากแล้ว สั่งเสร็จผมก็รีบเบือนหน้าหนี กลัวตัวเองจะใจอ่อน รับเขาขึ้นรถมาด้วย กลัวว่าจะเผอเรอใจดีส่งเขาถึงบ้าน หรือไม่ก็ยอมให้เขามานอนที่บ้านด้วย ซึ่งมันอาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น

ผมเลี้ยวรถออกไปแล้วอย่างช้าๆ เมื่อมองที่กระจกข้าง ก็เห็นเขายืนมองรถผมอยู่ ไหล่ของเขาลู่ลงท่าทางดูหงอยเหงา ผมตัดใจไม่มองภาพนั้น กลัวใจตนเองจะเลี้ยวรถกลับไป ที่ผ่านมาความสงสารที่ผมมีให้ต่อเพื่อนมนุษย์ มันทำให้ผมได้รับความยุ่งยากมาพอสมควรแล้ว สู้ทำเป็นเมินเฉยซะบ้าง แล้วกลับไปนอนเอาแรง เพื่อสู้กับการทำงานพรุ่งนี้ดีกว่า

อุตส่าต์จะพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านเสียหน่อย ก็มาโดนจับตัวไป ทำให้ผมพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ รู้สึกเมื่อยล้าเหนื่อยอ่อน ถ้าได้นอนสักพักก็น่าจะสดชื่นขึ้น ผมใส่ความรู้สึกรักตัวเองลงไปในความคิดให้มากเพียงพอที่จะไม่กันกลับไปมองเด็กหนุ่มซ้ำ แล้วขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านพักของตนเอง

หลังจากที่ผมกลับถึงบ้านได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมเดินไปรับ นึกในใจว่าใครกันนะที่โทรมาเอาป่านนี้ เจ้านายหรือเปล่า ผมนึกไปถึงเจ้านายร่างอ้วน ท่าทางเข้มงวดของผม เขามักจะโทรหาลูกน้องในฝ่ายเป็นประจำโดยไม่เลือกเวลา หากเขาบังเอิญนึกเรื่องที่จะสั่งการได้

“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับเรียว”

มีเสียงกระตือรือร้นจากปลายสายตอบกลับมา

“นายนั่นเอง” ผมทำเสียงเย็นชา

“ครับ ผมจะโทรมาบอกว่า ผมถึงบ้านแล้ว คุณเองก็คงถึงบ้านแล้วเช่นกัน ใช่ไหมครับ”

“อื้ม ได้สักพัก กำลังจะไปอาบน้ำอยู่พอดี”

“เรียวอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับพรุ่งนี้”

“หือมมมม.....................มีอะไรเหรอ”

“เผื่อว่าผมจะได้หาซื้อไปฝาก”

“ไม่ต้องหรอก ลำบากนายเปล่าๆ”

ผมปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

“ตอนเช้าทานโจ๊กดีไหมครับ”

ดูเหมือนเขาไม่พยายามรับรู้เลยว่าผมไม่ต้องการให้เขามาทำอะไรให้ น้ำเสียงที่เขาพูดยังคงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ท่าทางเขาเต็มอกเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผมพอใจ

“ฉันไม่ค่อยได้ทานอาหารเช้า”

ผมบอกเขาไปตามตรง

“ไม่ดีนะครับ”

เขาทำเสียงโวยวายมาตามสาย

“มื้อเช้า เป็นมื้อที่ต้องทานนะครับ เพราะต้องใช้พลังงาน ในการทำงาน เอาไว้ถ้าผมได้อยู่กับคุณจริงๆ ผมจะทำอาหารเช้าอร่อยให้คุณทานไม่ซ้ำแบบเลยละครับ”

เขาอาสา ผมยิ้มให้กับตัวเองเมื่อฟังเสียงที่รื่นเริงนั้น ดูท่าทางเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถจะแสวงหาความสุขให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวัยอันน้อยนิด แถมซ้ำยังผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย จะไม่สามารถแปรเปลี่ยนให้เขากลับกลายเป็นคนที่จมอยู่ในความซึมเศร้าได้ เขากลับเข้มแข็ง และมีพลังแห่งความกระตือรือล้นไม่น่าเชื่อ เขาอาจจะหงอยเหงาเป็นบางครั้ง แต่ก็กลับมาสนุกสนานได้ดังเดิม บางทีผมอาจจะอาศัยเด็กหนุ่มคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมบ้าง

เดียร์บ่นผมมากมายเรื่องที่ผมไม่ยอมทานอาหารเช้า ผมนิ่งฟังเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไร สมองก็ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องงานการ และเรื่องที่ได้ไปเผชิญมาไม่ค่อยได้ฟังเขาพูดเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มพูดไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวสักพัก พอเห็นว่าผมไม่โต้ตอบ เขาก็หยุดพูด แล้วหันมาถามผมซ้ำๆ

“นี่ฟังอยู่หรือเปล่าครับ”

“อะไรเหรอ ว่าไปสิ”

“ไม่ได้ฟังแหงเลย .......เรียวใจร้ายที่สุด ผมบอกว่าพรุ่งนี้ผมจะเอากับข้าวไปส่งนะครับ”

“ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำไป”

ผมคร้านที่จะเถียง ไม่คิดว่าเขาจะทำตามที่พูดจริง

“งั้นผมไม่กวนแล้วนะครับ นอนหลับฝันดีนะ ฝันถึงผมบ้างนะ”

เด็กหนุ่มทำเสียงจูจุ๊บให้ได้ยินมาตามโทรศัพท์ ก่อนจะวางหูลง ผมนั่งยิ้มอยู่คนเดียว นึกขำเดียร์ที่ทำตัวยังกับเป็นแฟนผมจริงๆ ท่าทางเขาดูจริงจังมากจนผมนึกกลัว เมื่อวันครบกำหนดที่เราตกลงในสัญญามาถึง เขาจะรู้สึกเศร้าเสียใจหรือเปล่าน้อ

หลังจากทำธุระส่วนตัวบางอย่าง เช่นนั่งเช็คเมล์ และตรวจดูงานที่คั่งค้าง จากนั้นผมก็เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ให้น้ำเย็นๆสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายที่อ่อนล้าของผม เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็เข้านอน ผมหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน หลายวันมานี้ ผมผ่านเรื่องยุ่งยากมามากมาย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

คิดแล้วก็น่าขำ ผู้ชายแท้ๆอย่างผม ซึ่งมีแฟนเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด กลับจะต้องกลายมาเป็นแฟนกับผู้ชายด้วยกัน สังคมรอบข้างจะว่ายังไงบ้างหนอ เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันหากเขารู้เรื่องนี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ จะเกลียดชัง จะตัดผมออกไปจากกลุ่ม ทำเหมือนผมเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปไหน ผมก็ต้องเผชิญกับมันให้ได้ เพราะผมได้ตัดสินใจไปแล้ว การกลับคำพูดไปมา เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะผมจะกลายเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ในเมื่อตกลงทำสัญญาไปแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา

บางทีการลองมีแฟนเป็นผู้ชายดูบ้าง ก็น่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ แม้ผมจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจก็ตาม แต่ถ้าทำเป็นไม่ใส่ใจเสียว่าเดียร์เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง มันก็น่าจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ยังไงตอนนี้ผมก็ครองสภาพโสดอยู่แล้ว เพราะเพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงมาได้ไม่นาน หากผมลองให้โอกาสคนที่รักผม และยินดีทำทุกอย่างเพื่อผมบ้าง อาจจะทำให้ช่วงเวลา 6 เดือน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่สุดก็ได้

ต่อจากนี้ไปผมไม่ต้องไปเที่ยวตามรับตามส่ง หรือคอยเอาอกเอาใจใครอีกแล้ว ไม่ต้องคอยง้องอนยามที่อีกฝ่ายเกิดโกรธขึ้นมา ไม่ต้องซื้อข้าวของสวยๆงามๆหรูหรามีราคาให้ ไม่ต้องคอยจำวันเวลาที่สำคัญๆ ไม่ต้องเอาใจญาติพี่น้องของใคร ไม่ต้องถูกรบกวนตลอดเวลาด้วยโทรศัพท์โทรจิก หรือการสอบสวนเวลาที่ถูกสงสัยว่าไปให้ความสนใจกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ต้องถูกรื้อข้าวของ ตรวจค้นหาเบอร์โทรศัพท์ เส้นผม รอยลิปสติก หรือ น้ำหอมกลิ่นแปลกใหม่ที่ตกค้างบนเสื้อ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปทำใครให้ท้องโตขึ้นมา ไม่ต้องไปนั่งทนอยู่ในวงสนทนาที่นินทาว่าร้ายกัน จนไม่กล้าลุกจากโต๊ะ เพราะกลัวจะถูกว่าร้ายเป็นรายต่อไป

ผมไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครๆปั่นหัวอีกแล้ว ผมจะมีชีวิตที่อิสรเสรีดังเดิมทุกประการ เพราะไอ้ทุกสิ่งที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่มีแฟนเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ได้ทำมันอีก อย่างน้อยก็ 6 เดือน ชีวิตที่ไม่ต้องขึ้นกับใคร มันช่างเป็นสิ่งที่แสนประเสริฐเสียจริง

อย่างน้อยๆ การตัดสินใจของผมครั้งนี้ มันจะได้ทำให้เรื่องบ้าๆที่เดียร์นำมันมาสู่ผมจบลง เมื่อครบกำหนดสัญญา เด็กหนุ่มคนนี้ ก็จะเดินออกจากชีวิตผมไป เราจะไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว

แต่มีสิ่งที่ผมไม่อาจจะรู้ได้ก็คือ ผมคิดถูกจริงๆนะหรือที่ทำอย่างนี้......................


                                 --------------------------จบภาคแรก----------------------------
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 04-10-2007 23:17:59
:a4:     มาจิ้มตุดแน๋ว อิอิ
อ่านกฎของการเป็นแฟน กัน ของ พี่เรียว กะ  น้องเดียร์  ละอมยิ้มได้ทุกที อิอิ     :m1:

น่ารักซะมะมี.... คู่ นี้ช๊อบชอบ  อ่านอีกกี่ทีๆก้อชอบ ฮ่าๆ    :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: jomjai ที่ 06-10-2007 10:35:38
 o1ขอบคุณที่ลงให้อ่านนะครัรบ o1

 o7 o7 o7 เย้ ! จบอีก 1 เรื่องละครับ

+1 ให้คนโพสแล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 06-10-2007 22:04:11
 :give2:
แล้วจารอตอนต่อไปนาคับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 06-10-2007 23:33:15
เย้ จบภาค 1 แล้ว แต่มีตามมาอีกหลายภาคเลย

แน๋วจ๋า มาต่อเร็วๆนะ

ขอบคุณพี่เคท ขอบคุณแน๋วครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่ 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-10-2007 08:12:26
ภาคสอง    เราคงต้องเป็นแฟนกัน

เรียว : หนุ่มออฟฟิศวัย 27 ปี สูง 177 ซม. ผิวขาว หน้าตาดี หุ่นดี ผิวพรรณผ่องใส อุปนิสัยอ่อนโยน จิตใจดี เมตตาอารีกับคนรอบข้าง เพิ่งเลิกรากับแฟนสาวแสนสวย เนื่องจากเธอไปแต่งงานกับคนที่รวยกว่า จึงทำให้เรียวเอาแต่ทำงาน ถึงแม้จะมีผู้หญิงมาชอบมากมาย แต่ไม่ได้จริงจังกับใครเป็นพิเศษ เพราะยังเข็ดขยาดกับความรัก เลยมีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด

เดียร์ : เด็กหนุ่มลูกครึ่ง นักศึกษามหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งวัย 18  ปี สูง 187 ซม. หุ่นนักกีฬา หน้าตาหล่อเหลา อุปนิสัย ห่ามๆ เอาแต่ใจตัว ชอบอ้อน ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเรียว ผ่านงานมาหลายอย่าง ทั้งนักมวย และ เต้นโชว์ในคาร์บาเรต์ ปัจจุบันนี้ ทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ทำงานในร้านอาหารตอนกลางวัน ตอนกลางคืนทำงานในร้านกาแฟ  และเต้นให้กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในเวลาว่าง

ทั้งสองคนผูกพันกันด้วยข้อตกลงเป็นแฟนกัน เพื่อแลกกับการที่เดียร์จะไม่โพสต์รูปเปลือยของเรียวลงอินเตอร์เนต แต่ถึงแม้ว่าเรียวจะทำลายภาพไปแล้ว ก็ยังคงรักษาสัญญาทุกประการ

บทที่ 1

เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมตื่นขึ้นมาบนที่นอนนุ่มๆ ในห้องของตนเอง ในบ้านที่ผมซื้อมาเมื่อห้าปีก่อน ไม่มีใครอยู่ในบ้านนี้ นอกจากผม และเจ้าหมาโกลเด้นรีทิฟเวอร์ ชื่อ “เจ้าหญิง” ที่ผมเอามันมาเลี้ยงตั้งแต่มันยังเป็นทารกหมาอยู่ ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่ความรู้สึกของผมกลับเปลี่ยนไป

ผมเหลียวมองรอบกาย เหมือนจะหาใครบางคน แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า เตียงนอนของผมมีร่องรอยการนอนของคนเพียงแค่คนเดียว ผมหัวเราะให้กับตัวเอง คิดในใจว่า นี่ผมกำลังมองหาใครอยู่กันนะ ใครคนที่ผมเฝ้ารอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข คนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผมให้สมบูรณ์ คนที่จะยืนเคียงข้างกันไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างไรขึ้นในชีวิตก็ตาม แต่คนๆนั้นอยู่ที่ไหนกันหนอ

ภาพๆหนึ่งแว่บเข้ามาในความคิด เจ้าของใบหน้าเป็นผู้ที่มีแววตาเป็นประกายสุกใส แต่ก็แฝงไว้ด้วยความซุกซน ขี้เล่น ใบหน้ายิ้มละไมตลอดเวลา ฟันขาวสะอาด มีลักยิ้มอยู่ข้างแก้ม คิ้วเข้ม ตาเรียวยาวที่มีแพขนตาดกหนาล้อมรอบ มีรอยเคราเขียวๆที่ข้างแก้มและคางใบหน้าคมคายมีส่วนผสมที่ลงตัวของคนเอเชียกับชาวตะวันตก ผิวสีน้ำตาลทอง เรือนผมสีน้ำตาลหยิกสลวยเป็นเกลียวระต้นคอ ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อตระหนักว่า เจ้าของใบหน้าในความคิดคำนึงของผม คือ เด็กหนุ่มคนนั้น คนที่ทำให้ชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นายเดียร์ เจ้าเด็กลูกครึ่งปีศาจ นี่จะตามหลอกหลอนผมไปถึงไหนกันนะ

ผมพลิกตัวเปลี่ยนอิริยาบถจากการนอนหงายมานอนตะแคงข้าง ตาเหลือบดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง มันบอกเวลา ตีห้าครึ่ง อีกไม่กี่นาทีแสงแรกของอาทิตย์ก็จะเริ่มจับขอบฟ้า วันนี้เป็นวันที่ผมต้องไปทำงานตามปกติ หลังจากที่วันหยุดสุดสัปดาห์ของผมหมดลงอย่างเปล่าประโยชน์(แถมยังต้องมามีภาระผูกพันแบบไม่ตั้งใจไปอีก 6 เดือน) โดยปกติ ผมจะออกจากบ้านไปทำงานเวลา 7 โมง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงาน ต้องขอขอบคุณที่ประเทศไทยมีรถไฟฟ้าให้ใช้ทั้งใต้ดินและบนบก มันช่วยให้การเดินทางย่นย่อขึ้น

ในวันธรรมดา อย่างนี้ ผมมักจะจอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน เพราะผมไม่ชอบรถติด อีกอย่างที่จอดรถก็หายาก แถมน้ำมันก็แพงอีก ขับออกไปก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ยกเว้นแต่ว่า วันไหนที่ผมจะมีรายการออกไปต่อข้างนอกกับเพื่อนๆ ผมจะเอารถไปด้วย เพื่อความสะดวกในการกลับบ้าน

นับตั้งแต่ผมมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตน ถึงขั้นจะตกลงปลงใจแต่งงานกัน ผมก็เลิกเที่ยว ตั้งใจทำตัวเป็นคนดี ไม่เที่ยวเตร่เฮฮาให้คนรักของผมไม่สบายใจ ผมนึกว่าการที่ผมทำตัวเป็นคนดี จะเป็นเครื่องผูกมัดใจเธอได้ แต่ผมก็คิดผิด เป็นคนดีที่ไม่มีทรัพย์สินมากมาย ไม่อาจจะทำให้ผู้หญิงยินยอมที่จะมาใช้ชีวิตด้วย

หลังจากที่แฟนสาวของผมได้เจอกับคนที่รวยกว่า เขาก็ผละจากผมไปอย่างไม่มีเยื่อใย ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความทุกข์ ไม่คิดเลยว่าผมจะมีวันนี้ด้วย ก่อนหน้านั้นเคยแต่ทำให้คนอื่นเสียใจ คบกับผู้หญิงรักสนุกเพื่อความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เคยคิดจริงจังด้วย แต่หลังจากเจอสาวคนล่าสุด เธอทำให้ผมมีความสุข แล้วก็คิดว่าเราน่าจะสร้างครอบครัวร่วมกัน ผมเอาจริงเอาจังมุมานะทำงาน เลิกทำตัวเป็นเพลย์บอย แต่แล้วเธอก็ตีจากผมไปแต่งงานกับคนที่รวยกว่า ที่แม่เธอแนะนำให้ อกหักเป็นอย่างไร เข้าใจลึกซึ้งก็คราวนี้

หลายเดือนที่ผ่านมา ผมออกเที่ยวทุกสุดสัปดาห์ และเมามายกลับมาทุกวัน ไม่เอาใจใส่ร่างกายตนเอง จนกระทั่งดูทรุดโทรมผิดผู้ผิดคน มีผลต่อการทำงานของผมด้วย จนกระทั่งเจ้านายเรียกไปตักเตือน แต่เขาไม่ได้สั่งพักงาน หรือไล่ออก เพราะเห็นว่าผมทำงานดีมาโดยตลอด

ผมเลยคิดได้ว่า แค่ผู้หญิงคนเดียวที่เขาไม่รักเรา จะทำตัวให้เศร้าไปทำไม อาจจะมีคนดีๆรอผมอยู่ เพียงแค่ผมเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาในชีวิตผมเท่านั้น ผมก็เลยหยุดทำตัวเมามายไร้สาระ หันกลับมาดูแลตัวเอง และ ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ งดเครื่องดื่มของมึนเมา งดเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งเจ้าสันต์มันมาชวนผมไปเป็นเที่ยวเป็นเพื่อนมันที่ผับแห่งหนึ่งย่านสีลม เมื่อ 2 วันก่อน

“เฮ้ย .....นี่มันบาร์เกย์นี่หว่า”

ผมร้องออกมาเมื่อเพื่อนผมพาเดินเข้ามาในซอยซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งสถานบันเทิงย่านสีลม แต่ละร้านเปิดเพลงดังอึกทึกครึกโครม เมื่อมองเข้าไปก็เห็นผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบจะไม่มีที่หายใจ มีชายหนุ่มทั้งไทย และต่างชาติกำลังเต้นรำอย่างเมามัน บางคู่ก็กอดก่ายกันนัวเนีย แล้วก็มีบางคู่ที่จูบกันอย่างดูดดื่ม ผู้ชายกับผู้ชายนี่นะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

“เออน่า จะโวยวายทำไมวะ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ก็ทำตัวให้สนุกๆหน่อยสิ”

ไอ้เพื่อนตัวดี แอบกระซิบที่ข้างหูผม

“ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่แรกวะ ว่าจะพาฉันมาที่นี่”

ผมต่อว่ามันอย่างเคืองๆ

“บอกแกก็ไม่มาสิวะ แต่ที่จริง แกก็น่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกนะโว้ย ว่าฉันน่ะ ชอบผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง ถ้าไม่พาแกมาบาร์เกย์ แล้วจะพาแกไปที่ไหนวะ ไอ้เรียว”

เพื่อนผมมันตอบแบบกวนๆกลับมา

“ฉันพาแกมาด้วยเพราะแกหน้าตาดีกว่าฉันน่ะ ถ้าฉันมาคนเดียว มันเขินน่ะ แล้วอีกอย่างคงไม่มีใครอยากคุยกับฉัน แต่ถ้าแกมาด้วย รับรอง มีคนเข้ามาหาตรึมแน่”

ไอ้เพื่อนตัวดี ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

“นี่เห็นฉันเป็นตัวล่อผู้ชายมาให้หรือไงวะ”

ผมต่อว่ามันอย่างฉุนๆ มันหัวเราะที่ผมรู้ทัน

“เออ ....แค่นิดหน่อยน่า ก็แกน่ะ มันหน้าตาดีซะขนาดนี้ ทั้งขาวสะอาดสะอ้าน แต่งตัวก็ดูดี ดูเป็นหนุ่มเมโทร แบบที่กำลังอินเทรนด์กันอยู่ขณะนี้ หน้างี้ก็ใสเด้งเสียยิ่งกว่าหน้าผู้หญิง อย่างแกนี่ มันสเปคเกย์ชัดๆ แกเดินเข้าไปในนี้ ฉันว่าต้องไปเตะตาต้องใจพวกเกย์แน่ๆ

แล้วเพื่อนอย่างฉันอาจจะได้อานิสงค์จากความหน้าตาดีของแกบ้าง สัญญาว่ะ ว่าถ้าฉันเจอคนที่ถูกใจแล้ว ก็จะปล่อยให้แกกลับบ้าน หรือจะไปทำอะไรตามใจชอบก็ได้ หรือเกิดแกคิดจะอยากลองของแปลก เอากลับบ้านไปสักคนสองคนก็ไม่ว่ากัน”

ผมง้างเท้าเตะเข้าที่น่องของเพื่อน จนมันขาพับ มันหันมายิ้มกวนประสาทใส่ผม แล้วก็รีบดึงแขนให้ผมเข้าไปในร้านหนึ่ง ซึ่งมีพวกหนุ่มๆ มายืนส่งสายตาให้กับผู้ชายที่เดินเข้ามาในร้าน

ผมเดินเบียดคนเข้ามาข้างใน บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรที่เข้ามาในสถานที่เฉพาะสำหรับชาวสีม่วงแห่งนี้ มีหลายคนสะกิดกันตอนผมเดินผ่าน บ้างก็ยืนซุบซิบ บ้างก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ ผมวางตัวไม่ถูก จะก้มหน้างุดๆ ก็ใช่ที่ เดี๋ยวจะหาว่าเราเป็นคนขี้กลัว จะเชิดหน้าเริ่ดๆ ทำหยิ่งยะโส ก็ไม่ใช่วิสัย ผมจึงได้แต่ยืนเฉยๆดูไอ้เพื่อนผมมันทำท่าระริกระรี้หว่านสายตาให้กับคนไปทั่ว

สักพักก็มีหนุ่มหน้าตาดีสองคน เดินเบียดเข้ามาตรงที่ผมและเพื่อนยืนอยู่ สองคนนี้ก็คือคนที่มองผมอย่างไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามา เขาทำทีเข้ามาเต้นเบียดใกล้ๆ ตาก็คอยเหลือบแลมาทางผม ทำท่าเหมือนกำลังทอดสะพานให้อย่างนั้นแหละ

ผมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเต้นของผมต่อไป ในเมื่อผมไม่อาจจะหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ ผมก็จำเป็นต้องทำตัวให้สนุกสนาน ถึงแม้ว่าผมกำลังขนลุกขนชันอยู่ก็ตาม

“เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือครับ”

หนึ่งในสองคนถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง ผมเห็นแววตาหื่นๆของเขาที่มองมา เลยไม่พูดอะไร

“ครับ พวกคุณคงจะมาเที่ยวบ่อยล่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ ไอ้เพื่อนตัวดีก็เลยตอบแทน หนุ่มคนที่ถาม หันมามองเพื่อนผม แล้วก็ยิ้ม ก่อนจะหันมาหาผมต่อ และแนะนำตัวเองกับผม

“ผมชื่อ แดนนี่ครับ ส่วนเพื่อนผมคนนี้ชื่อ แมน คุณล่ะชื่ออะไร พอจะบอกให้พวกเรารู้ได้ไหม”

ผมมองหน้าคนชื่อแดนนี่อย่างรำคาญใจ นี่เขาเห็นว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือไงวะ ถึงได้มาทำท่าจีบแบบนี้

“ผมชื่อ สันต์ครับ ส่วนเพื่อนผมชื่อเรียว”

เพื่อนผมเสนอหน้าอีกตามเคย ผมมองเจ้าสันต์อย่างไม่พอใจ เรื่องอะไรกันถึงต้องเอาชื่อผมไปบอกคนอื่น โดยเฉพาะเกย์หน้าตาดีๆแต่ท่าทางออกแนวหื่นๆ อย่างสองคนนี้

“แหมชื่อเพราะจังเลยนะครับ”

แมนหนุ่มที่ตัวล่ำกว่าพูดขึ้นบ้าง ตาที่เขามองผมก็แฝงนัยเชิญชวนเช่นกัน ผมรู้สึกอึดอัดใจที่ถูกผู้ชายสองคนรุมจีบ หันไปสบตาเจ้าเพื่อนตัวดีเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับเห็นเขามองผมตาขุ่น คงนึกโมโหที่ผมไม่ยอมพูดอะไรบ้าง

เจ้าสันต์มันคงกลัวว่า หากผมทำเป็นเล่นตัวกับสองหนุ่มนี่จนกระทั่งพวกนี้รามือ มันคงอดที่จะได้รู้จักกับหนุ่มหน้าตาดีที่หวังจะพากันออกไปหาความสำราญต่อข้างนอกเป็นแน่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกรำคาญใจ และนึกโมโหตัวเองที่ไม่น่ายอมตามใจมันเข้ามาเที่ยวที่นี่เลย

“พอดีเพื่อนผมเขาไม่ค่อยมีเสียงนะครับ เลยไม่อยากพูดแข่งกับเสียงเพลงที่ดังขนาดนี้”

เจ้าสันต์รีบพูดขึ้นแทน เมื่อเห็นสีหน้าของสองหนุ่มที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดอย่างชัดเจนที่ผมไม่ยอมโต้ตอบ

“อ๋อ เหรอครับ”

แมนยิ้มกว้าง

“นึกว่ารังเกียจพวกผม ไม่อยากคุยด้วย”

แดนนี่ พูดยิ้มๆ

“เปล๊า เรากลับรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำที่มีหนุ่มหล่อถึงสองคนมาคุยด้วย ใช่ไหมเรียว”

ไอ้เพื่อนตัวดี ระล่ำระลักพูดด้วยเสียงอันดัง แถมซ้ำยังใช้ข้อศอกมากระทุ้งสีข้างผมด้วย ผมเลยต้องเล่นตามน้ำ ด้วยการพยักหน้าและยิ้มให้คนทั้งคู่ ดูเหมือนคนทั้งสองจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย พวกเขาอาศัยความแออัดของสถานที่ เบียดผมและเพื่อนจนชิด แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นให้ความสนใจผมมากกว่าเจ้าสันต์เสียอีก

“โธ่เอ๊ย ไอ้เพื่อนโง่”

ผมด่ามันในใจ ที่มันพยายามจะทำให้สองคนนี่มาสนมัน มันไม่ได้เบิ่งตาดูเลยสักนิดว่าหนุ่มหล่อพวกนี้ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย แต่กลับมานัวเนียอยู่ข้างๆผม ท่าทางจะแย่งชิงกันเองอีกด้วย ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะเดินออกไปจากตรงนั้น แต่ก็อดสงสารเพื่อนผมไม่ได้ ผมว่ามันต้องเล็งคนใดคนหนึ่งแน่ๆ

“หน้าตาเรียวใสดีจัง ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าบ้างหรือเปล่าครับ”

แมนพูดด้วยเสียงอันดัง แข่งกับเสียงเพลงที่ดังอึกกระทึกครึกโครม เขาอยู่ใกล้ผมมาก จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ ผมรู้สึกขนลุก ไม่ได้เกิดจากความซาบซ่าน แต่มันเกิดจากความรู้สึกรังเกียจมากกว่า เขาเต้นเบียดเสียดอยู่ข้างๆผม ส่งสายตาหวานฉ่ำให้ จ้องผมเหมือนกับจะรอคำตอบ

“ก็ใช้นิดหน่อยครับ”

ผมตอบอย่างเสียไม่ได้ นึกในใจว่า เสียงเพลงก็ดังออกซะขนาดนี้ จะพูดทำไมกันนักหนา พูดก็ไม่ค่อยได้ยิน ตอนตอบก็ต้องพูดเหมือนเสียงตะโกนอีก

“พูดได้ด้วย ดีใจจังยอมพูดกับพวกเราแล้ว”

แดนนี่ทำน้ำเสียงหยอกล้อ พลางลิ่วตาให้ ผมอยากจะอ้วก รู้สึกพะอืดพะอมที่ผู้ชายมาทำท่าหวานใส่กัน

“ไม่ชอบพูดคุยในที่แบบนี้ครับ มันไม่ค่อยได้ยิน ไม่อยากตะโกนด้วย เจ็บคอ”

ผมไม่ได้โกหกเขา เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“ไปข้างนอกกันไหมครับ” แดนนี่

ถามผมพลางจ้องหน้า แต่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลง

“ดีเลยครับ ผมก็คิดว่า เราไปหาที่คุยกันข้างนอกดีกว่านะครับ ที่นี่เสียงมันดัง”

เจ้าสันต์รีบเออออเห็นด้วย เหมือนกับว่ามันคอยหาจังหวะที่จะพูด ทุกครั้งที่สองคนนี่พูดอะไรกับผม แมนเหลือบตามองสันต์นิดหนึ่ง อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ผมเห็นแววตาเหยียดๆของเขาเวลาที่มองเพื่อนผม

“แล้วเรียวล่ะครับ อยากไปไหม”

แมนพูดกับผมบ้าง ผมทำหน้าเฉยๆ ไม่ตอบ ถึงแม้ผมจะอยากออกไปจากสถานที่ที่มีแต่คนคอยมองจ้องจนผมอึดอัด แต่ถ้าต้องไปกับคนพวกนี้ ผมคิดว่ามันก็น่าจะทำให้ผมมีอาการพะอืดพะอมไม่แพ้กัน

“เราเพื่อนกัน ไปไหนไปด้วยกันอยู่แล้วครับ ว่าแต่จะไปนั่งที่ไหนกันดีล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่ผมนึกหมั่นไส้เพื่อนจนถึงขนาดอยากจะเต้นก้นมันกลางฝูงชนที่เบียดเสียดกันหนาแน่นในร้านแห่งนี้ ดูมันทำสิ ความที่อยากได้หนุ่มๆพวกนี้มาเป็นเพื่อนในยามค่ำคืน ทำให้มันลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจนได้

“มีร้านกาแฟใกล้ๆนี้ครับ มีที่พอที่จะให้นั่งพูดคุยได้ เราไปนั่งที่นั่นกันดีกว่า”

แดนนี่เอ่ยชวน ท่าทางเจ้าสันต์มันกระดี๊กระด๊าอยากไปมาก

“ไปนะเรียว”

มันหันมามองผมด้วยสายตาอ้อนวอน

“ก็ได้”

ผมยอมรับปาก

“แต่ขอไปห้องน้ำก่อนนะ”

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม”

แมนอาสา เขามองผมด้วยดวงตาแวววาม

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมตอบอย่างสุภาพแล้วรีบชิ่งหนี เดินเบียดผู้คนไปยังห้องน้ำที่อยู่ในสุด มีคนสองสามคนอยู่ในบริเวณห้องน้ำ ผมปรายตามองแว่บหนึ่ง แล้วก็เดินไปยังโถปัสสาวะที่อยู่ด้านในสุด เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะรูดซิบลงเพื่อทำธุระของตนเอง

แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีร่างหนึ่งพรวดเข้ามายืนข้างๆ เป็นชายวัยกลางคน หัวค่อนข้างล้าน แต่งกายด้วยเสื้อรัดรูปซีทรู กางเกงรัดติ้ว ผมได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาฉุนกึ๊ก จนเกือบจะจามออกมา

ชายคนนั้นหันหน้ามาทางผม และยิ้มให้ ผมยิ้มตอบแล้วก็รีบหันกลับมาจะจัดการกับธุระของตนเอง แต่หางตาของผมแอบเห็นเขาชะโงกมามองน้องชายของผม ผมรีบเบี่ยงตัวมาบังไว้ แล้วรีบจัดการปลดปล่อยทุกข์ของตนเอง

เมื่อเก็บเรียวน้อยเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็เดินมาที่อ่างล้างมือ นึกฉุนโกรธตาแก่ลามกนั่น อยากต่อยให้หน้าแหกโทษฐานที่ล่วงละเมิดผมด้วยสายตา แต่ก็รู้สึกสงสารไม่อยากทำร้ายคนเฒ่าคนแก่ แล้วก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย แค่เรื่องเจ้าสันต์เพื่อนผมก็ยุ่งพออยู่แล้ว ถ้ามามีเรื่องกับไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์นี่อีก จะกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปกันใหญ่

มีคนยืนอยู่ที่อ่างล้างหน้าสองสามคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง เขาน่าจะสูงกว่าผมสัก 4-5 นิ้วท่าทางเหมือนลูกครึ่ง ผิวสีเข้มกว่าชาวต่างชาติทั่วไป ผมหยิกสลวยเป็นรอนระต้นคอ

เขากำลังยืนคุยอยู่กับผู้ชายกล้ามใหญ่หน้าตาHereมๆ กับ ชายอีกคนที่ดูเตี้ยและแก่วัยกว่า ไม่สิ ไม่ใช่การพูดคุยกันธรรมดา เป็นการทะเลาะกันมากกว่า คงจะเป็นการทะเลาะกันเรื่องชิงรักหักสวาท ผมคิดในใจ เดินเลี่ยงไปยังอ่างล้างหน้าที่อยู่ถัดออกไป ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการวิวาทกันของพวกเกย์

หนุ่มลุกครึ่งเบิกตากว้าง เมื่อเขามองเห็นผมถนัด ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดีใจเมื่อเขาเห็นผม เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า ทำไมเขาถึงจะต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วย หรือหวังว่าจะให้ผมเข้าไปยื่นมือช่วยเหลือใกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ เขาคงต้องผิดหวังแล้วล่ะ เพราะผมไม่เข้าไปยุ่งด้วยแน่ๆ

“ผมมีแฟนแล้ว อย่ามายุ่งกับผมได้ไหม”

ผมได้ยินเสียงหนุ่มลูกครึ่งพูดขึ้นมา

“อย่ามาโกหกเลยน่าน้อง พี่เห็นเราส่งสายตาเชิญชวนตั้งแต่ตอนอยู่ข้างนอกแล้ว พอพี่ชวนเข้ามา น้องก็เข้ามาโดยดี แถมซ้ำ ตอนเต้นอยู่ข้างในก็ยังมองพวกพี่ด้วยแววตาหวานเยิ้มอีก”

คนพูดคือชายตัวเตี้ย เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ

“ผมไม่ได้มองคุณ ผมมองแฟนผมต่างหาก”

“แฟนเฟิน ที่ไหนกัน เราเห็นน้องมาคนเดียว”

หนุ่มกล้ามใหญ่พูดบ้าง

“นั่นสิ ดูก็รู้ว่าน้องน่ะมาเดี่ยว ถ้ามากับแฟน จะยอมตามพวกพี่เข้ามาด้วยทำไม ถ้าจะรอแฟนก็รออยู่ข้างนอกก็ได้ หรือไม่ก็โทรให้เขาออกมารับ แต่นี่ไม่เห็นมีใครที่ว่าสักคน กะจะมาหาเพื่อนเล่นสนุกยามค่ำคืนที่นี่ใช่มั๊ย น้องน่าจะดีใจนะ ที่พวกพี่ก็สนน้องด้วยเหมือนกัน”

ผมแอบยิ้ม นึกขำที่ชายแก่รูปร่างเตี้ยคนนั้นกล้าพูดถ้อยคำแบบนี้ออกมาได้ หากผมเป็นเจ้าหนุ่มนั่น ต่อให้เป็นเกย์ ต่อให้หน้ามืดยังไง ผมคงไม่คิดจะเป็นหญ้าอ่อนให้โคแก่หนังเหนียวเคี้ยวเป็นแน่

“แต่ถ้าเราให้ความสนใจกับใครแล้ว และคนนั้นปฏิเสธไมตรี ทั้งๆที่เป็นฝ่ายทอดสะพานให้เราแล้ว อย่างนี้เราไม่ยอมนะ”

หนุ่มกล้ามใหญ่ ทำท่ากระเง้ากระงอด

“ดังนั้น น้องต้องออกไปกับพวกพี่ซะโดยดี หรืออยากจะไปแบบเจ็บตัว”

“พวกคุณจะบ้ากันแล้วเหรอ ผมไม่ไปไหนกับพวกคุณทั้งนั้น”

เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้ชายร่างเตี้ยเกิดความโมโหขึ้นมา เขาตอบโต้ด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันว่า

“ทำไมคิดเปลี่ยนใจขึ้นมากระทันหัน หรือว่าพอเจอคนในนี้ที่ถูกใจก็คิดจะไปกับเขา คนอย่างพี่สองคน ไม่ยอมให้ใครมาหลอกใช้ง่ายๆนะ”

“ผมขอโทษที่ทำให้พวกพี่เข้าใจผิด แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกพี่จริงๆ”

“งั้นตามพวกเราเข้ามาทำไม” ชายร่างเตี้ย เสียงดังเกือบเป็นตะคอก

“เอ้อ” เด็กหนุ่มทำท่าอึกอัก เหมือนปกปิดอะไรไว้
“หรือว่า...........” ชายกล้ามใหญ่ทำท่าคิด
“อย่าบอกนะว่านายอายุยังไม่ถึง เข้าไม่ได้ ก็เลยอาศัยให้พวกเราพาเข้ามา เพราะรู้ว่าเราซี้กับคนเฝ้าประตู”

เด็กหนุ่มกระสับกระส่าย จากการเป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์ ผมคิดว่าน่าจะมีบางอย่างที่เป็นความลับเกี่ยวกับตัวเด็กหนุ่มคนนี้ ดูจากหน้าตาของเขายังอ่อนเยาว์อยู่มาก อาจจะจริงก็ได้ ที่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ด้วยความอยากเที่ยว จึงแอบเข้ามาโดยอาศัยสองเกย์นี่เป็นเกราะกำบัง ก็สมควรแล้วที่คนคู่นี้จะเข้าใจผิด และรู้สึกเสียหน้าเมื่อรู้ความจริงว่าเด็กไม่เล่นด้วย แถมซ้ำใช้พวกเขาเป็นเครื่องมืออีก

“ใช่แน่เลย”


ชายร่างเตี้ยพูดด้วยท่าทางกระHereนกระหือรือ คงรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้แอบเข้ามา แล้วเขาก็มีวิธีที่จะจัดการกับเด็กหนุ่ม เขาพูดด้วยเสียงHereมๆว่า

“ไม่รู้ล่ะ เราพาเธอเข้ามาที่นี่ เราก็จะพาเธอออกไป เธอต้องตอบแทนเราด้วย หรือไม่งั้นเราจะบอกกับคนเฝ้าประตู ให้เขามาจับเธอโยนออกไป หรือไม่ก็แจ้งความจับเธอ”

เด็กหนุ่มยืนนิ่ง ผมเห็นเขาหันหน้ามาทางผม ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งทำเป็นสำรวจใบหน้าตนเองอยู่หน้ากระจก ผมมองเห็นชายร่างใหญ่ เอื้อมมือมาคว้าต้นแขนของเด็กหนุ่ม และเห็นเขาสะบัด ท่าทางเจ้าเด็กนี่ก็มีเรี่ยวแรงพอตัวเหมือนกัน

“จะดิ้นรนไปทำไม อยากโดนดีหรือไง พี่มีพวกพ้องที่นี่เยอะนะ ถ้ายอมไปดีๆ ก็จบเรื่อง ถือซะว่าตอบแทนพวกพี่แล้วกันที่พาน้องเข้ามา”

“ไม่รู้สึกว่าเรียกค่าตอบแทนสูงเกินไปเหรอ”

พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง ไอ้โรคเสือกเรื่องของคนอื่นนี่แก้ไม่หายเสียที แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก โดยเฉพาะพวกที่ชอบทำร้ายคนไม่มีทางสู้ อีกอย่างหนึ่ง ยามที่ผมมองเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร มันมีอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นตา เพียงแต่ผมยังนึกไม่ออก เขาอาจจะเป็นใครบางคนที่ผมรู้จัก อาจจะเป็นคนที่ผมสมควรจะช่วยเหลือ

“ยุ่งอะไรด้วย”

ชายร่างใหญ่หันมาถามผมตาขุ่นขวาง แต่เมื่อเห็นหน้าผมถนัด เขาก็ทำเสียงอ่อนลง ดวงตาแวววาวขึ้นมาทันที

“หรืออยากจะไปกับพวกเราด้วย”

“ไม่มีทาง”

ผมปฏิเสธ นึกหวาดหวั่นในใจเหมือนกัน เมื่อเห็นร่างใหญ่นั้นก้าวเข้ามาหา เด็กหนุ่มสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขา แล้วรีบเดินมาหาผม

“งั้นเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ทำไมมิทราบ”

“ก็คุณกำลังยุ่งอยู่กับแฟนผม”

คราวนี้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงให้มันแตกจนสมองเสื่อมไปเลย พูดอะไรออกไปเนี่ย ความที่อยากช่วยเด็กหนุ่มนั้น ทำให้ผมโพล่งออกไปอย่างไม่ยั้งคิด เด็กหนุ่มหันมามองผมอย่างตกใจ คงไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำนั้นออกมาจากปากผม น่าแปลกที่ผมเห็นประกายแห่งความยินดีปรีดาฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่นั้น เขายิ้มหวานให้ผม เป็นยิ้มที่มองแล้วเสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“โกหกหรือเปล่า” ชายร่างเตี้ยถามผมอย่างไม่เชื่อ

“จะโกหกให้มันได้อะไรขึ้นมา”

ผมแสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ โต้ตอบไปอย่างไม่หวาดหวั่น

“ใช่ครับ นี่แหละแฟนผม”

เด็กหนุ่มโอบแขนไปรอบเอวของผม แล้วรั้งเข้ามาแนบตัว ผมมัวแต่ตะลึงกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำ จึงไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้ผมได้ถูกเขากอดไว้เรียบร้อยแล้ว พอตั้งสติได้ ผมก็พยายามดิ้นหนี แต่ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูจากเด็กหนุ่มว่า

“เล่นตามน้ำไปก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นไม่ปล่อยตัวผมออกไปแน่ๆ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมผมต้องเล่นบทเป็นแฟนกับเกย์ด้วยล่ะ แค่คิดก็รับไม่ได้แล้ว แต่เอาเถอะ ในเมื่อผมยื่นขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องทำต่อไปจนจบ

“แล้วทำไมถึงปล่อยแฟนทิ้งไว้ข้างนอกคนเดียวล่ะ ทำไมไม่พาเข้ามาด้วย”

“ก็.....” ผมนึกหาคำตอบ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า

“เราทะเลาะกันนิดหน่อยครับ แฟนผมเขางอนเลยเข้ามาก่อน”

“ช่าย ช่าย”

ผมพยักหน้ารับ นึกอยากให้สองคนนี่มันเชื่อคำพูดของพวกผมเร็วๆ แล้วไปเสียที ผมอยากจะออกไปจากห้องน้ำนี่ เร็วๆแล้ว เพราะเริ่มรู้สึกว่า อ้อมกอดของเด็กหนุ่มคนนี้เริ่มรัดแน่นขึ้น ใจก็คิดไปต่างๆนานา ว่าเด็กนี่กำลังหาเศษหาเลยกับผมอยู่หรือเปล่านะ

หนุ่มกล้ามโตยังทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ เขาคงคิดว่าเรากำลังเล่นละครตบตาเขาเพื่อเอาตัวรอดแน่ ดังนั้นผมกับเด็กหนุ่มคนนี้ต้องพยายามทำให้เขาเชื่อให้ได้

“เราจะเข้าไปข้างในแล้วนะ ขอบคุณนะครับที่พาแฟนผมเข้ามา”

ผมบอกทั้งสองคน แล้วใช้ศอกกระทุ้งหน้าท้องเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการบอกให้เขารู้ว่า ให้รีบออกไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้แล้ว เด็กหนุ่มปล่อยมือจากผม ขณะที่เรากำลังจะเดินออกไป ชายกล้ามใหญ่ก็เดินเข้ามาขวางทางออกไว้

“เดี๋ยว......อย่าเพิ่งไป”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: papae ที่ 17-10-2007 08:16:25
 :o   ค้างอ่ะ  ไงต่ออ่ะ  จะโดนไรอีกล่ะเนี่ย 

อิอิ  หนุกๆ มาต่ออีกนะ   :m3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่1 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 09-11-2007 15:41:58
บทที่ 2

“ทำไมอีกล่ะ”

ผมแสร้งทำเป็นหงุดหงิด ทั้งๆที่ใจเต้นโครมคราม

“ฉันสงสัยว่า พวกเธอ ต้องแกล้งเล่นละครให้เราเชื่อว่าเป็นแฟนกันแน่ เพราะเมื่อกี้ฉันเห็นเธฮยืนล้างมือเฉยอยู่ ถ้าเป็นแฟนกันจริง ทำไมไม่เข้ามาตั้งแต่แรก”

“เอ้อ....”

เด็กหนุ่มอึกอัก แต่คราวนี้ผมไวกว่า

“ก็เพราะผมยังงอนเขาอยู่ไง แล้วก็เข้าใจว่า พอผมไม่อยู่ก็แอบมีกิ๊ก ก็เลยยืนดูอยู่ แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ พวกคุณมาจีบเขา แต่เขาไม่เต็มใจนี่”

“ถ้าเป็นแฟนกันจริง ก็จูบกันให้ดูหน่อยสิ”

ผมตาเหลือก บ้าอะไรกันนักหนาวะ ทำไมต้องให้ผมมาพิสูจน์อะไรกับเจ้าเด็กนี่ด้วย ผมแค่อยากช่วยเขาเท่านั้น ไม่ได้อยากกอดอยากจูบกับเขาซะหน่อย

“ทำไมต้องทำให้ดูด้วย ของแบบนี้เราต้องไปทำกันสองคน จะมาโชว์กันง่ายๆได้ไง”

ผมเถียง เรื่องอะไรจะยอมทำล่ะ

“ก็แสดงว่าเรื่องที่น้องพูดมาทั้งหมด มันเป็นเรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องจริง นี่สมคบกันคิดขึ้นมาเพื่อจะหลอกพวกเราใช่ไหม”

ชายร่างเตี้ยถามอย่างคาดคั้น

“หน้าตาก็ดี มาหลอกกันอย่างนี้ อยากมีปัญหาหรือไง”

ชายกล้ามใหญ่ จับคอเสื้อผม แล้วดึงให้เข้ามาหา ผมแกะมือเขาออก รู้สึกฉุนโกรธขึ้นมา

“จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่เกี่ยวกับคุณสองคน นี่มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับแฟน ถึงแม้ว่าเราจะงอนกันบ้าง แต่เราก็ยังคงเป็นแฟนกัน ผมก็ไม่เห็นว่าจะต้องพิสูจน์ความเป็นแฟนของเราตรงไหน ถึงอย่างไรแฟนผมก็ไม่สนพวกคุณหรอก ต้องขอโทษด้วยที่เขาทำให้พวกคุณเข้าใจผิด และอีกอย่าง ผมไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกคุณ ขอร้องเถอะ อย่ามายุ่งกับผมสองคนเลย ผมจะออกไปข้างนอกแล้ว”

ผมเบี่ยงตัวหลบชายกล้ามใหญ่ จะเดินออกไปข้างนอก แต่เขาคว้าแขนผมไว้ ผมสะบัดอย่างแรง เริ่มไม่พอใจมากขึ้น

“ยังไปไหนไม่ได้”

ชายกล้ามใหญ่ทำหน้าHereม จ้องหน้าผมเขม็ง ผมจ้องกลับ ชักเลือดขึ้นหน้าแล้ว นึกโกรธเกย์หื่นกามสองคนนี้ที่พูดจาไม่รู้เรื่อง โกรธเด็กนี่ที่สร้างเรื่องวุ่นวายแล้วแก้ไขไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็โกรธตัวเองที่เข้ามาแส่ในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัว แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายที่ผมไม่คาดคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เจ้าสันต์เพื่อนรักของผม มันโผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำ และต่อว่าผมที่ปล่อยให้มันรอนาน โดยไม่ได้ดูเลยว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น

“อยู่นี่เอง ขี้แตกหรือไงวะ เข้ามานานมาก สองคนข้างนอกนั่นรอนายตั้งนาน ท่าทางหงุดหงิดด้วย ขอร้องเถอะวะ อย่าทำเสียเรื่องเลย เดี๋ยวฉันก็พลอยอดกันพอดี”

มันทำท่าหัวเสีย ผมไม่โกรธมัน เพราะเจ้าสันต์เข้ามาได้จังหวะพอดี ชายสองคนยืนนิ่งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่กลับมองผมด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ผมไม่สนใจ รีบฉวยโอกาสตอนที่พวกนั้นไม่กล้าทำตัววุ่นวายต่อหน้าคนอื่น ออกมาจากความยุ่งยากตรงนั้น

“กำลังจะออกไปพอดี”

ผมบอกเขา แล้วรีบเดินออกไป โดยมีเด็กหนุ่มตามมาติดๆ สองคนนั่นไม่กล้าเดินตามเรามา เพราะคงได้ยินว่าพวกเรายังมีเพื่อนอีกสองคนรออยู่ข้างนอก ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใจอยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก เลยเดินเบียดคนที่ยืนเต้นกันอยู่ออกมา ผ่านหน้าแดนนี่ กับแมน ที่มองตามผมอย่างงงๆ เขาร้องเรียกผม เมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน พวกเขาก็เลยรีบตามผมมาจนกระทั่งออกไปนอกร้าน ผมยืนรอพวกเขาอยู่ด้านหน้า ส่วนเด็กหนุ่มเดินไปยืนอยู่ในมุมมืดข้างร้าน เยื้องผมออกไปสักเล็กน้อย

“พาใครมาด้วยเหรอครับ”

แดนนี่ถามผม เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่ตามผมออกมาด้วย  เขาส่งตาหวานให้กับเด็กหนุ่ม แต่เจ้าเด็กนั่นกลับหันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาด้วย ผมมองเสี้ยวหน้าคมคายนั้น อย่างครุ่นคิด ความมืดหม่นอำพรางเรือนร่างและหน้าตาของเขาทำให้เห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ใบหน้าที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมหยิกสลวยที่มองเห็นได้จากแสงอันสลัวลางกลับกระตุ้นความสนใจผม มันเหมือนมีอะไรบางอย่างจากใบหน้าเขาที่ดูคุ้นตาเหลือเกิน

“เอ้อ”...........

ผมตั้งใจจะพูดความจริง แต่พอมานึกได้ว่า บางทีการโกหกอีกครั้งอาจจะทำให้ผมรอดจากการที่จะต้องไปทนนั่งกินพูดคุยกับเกย์ที่ทำท่าหื่นกาม คอยจ้องจะงาบผมตลอดเวลา ดังนั้นผมจึงบอกกับพวกเขาไปว่า เด็กนั่นเป็นแฟนผม เรานัดมาเจอกันที่นี่

ไม่เพียงแต่แดนนี่ กับแมนจะทำท่าแปลกใจเท่านั้น เจ้าสันต์เพื่อนผมมันยังทำท่าเหมือนกับถูกผีหลอก มันมองผมอย่างตกตะลึง ตากรอกไปมา มันคงสงสัยและคลางแคลงใจในเรื่องที่ผมพูดว่ามันมีมูลความจริงหรือเปล่า ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ไม่เคยทำท่าว่าพิศวาสพวกเกย์ หรือไม้ป่าเดียวกันมาก่อน การได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในตอนนี้ จึงสร้างความพิศวงงงงวย ให้เกิดขึ้นในใจของเจ้าสันต์ยิ่งนัก

ผมแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ เล่าความเท็จ พยายามไม่ให้มีพิรุธ สันต์จ้องผมเขม็ง ผมเดาได้ว่าในใจของเขาคงกำลังชั่งใจว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นจริงหรือเล่น และคิดว่าเรื่องนี้อาจจะมีสิทธิเล็ดลอดไปถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆด้วย หากเจ้านี่เกิดเอาไปพูดขึ้นมา

แต่ช่างเถอะ ไว้ผมค่อยไปอธิบายให้มันเข้าใจทีหลัง ตอนนี้ผมขอเอาตัวให้รอดจากสองคนนั่นก่อนดีกว่า รับมือกับเด็กนี่เพียงคนเดียว ยังดีกว่าที่จะต้องไปกับเกย์หื่นกามทั้งสองนี้มากมายนัก

“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามีแฟนแล้ว”

แดนนี่พูดอย่างเคืองๆ

“ถึงว่า ไม่ยอมพูดยอมจากับเรา”

แมนทำหน้าผิดหวัง

“จริงสิ ฉันก็ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย”

สันต์พูดบ้างหลังจากหายตกตะลึงแล้ว

“ก็ฉันคิดว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปเที่ยวโพนทะนาให้ใครรับรู้นี่ว่าฉันมีแฟน”

ผมสวมบทบาทเป็นเกย์ทันที ซึ่งก็ได้ผล เพราะแดนนี่ กับแมนทำซึ่งเมื่อคู่ทำสีหน้าผิดหวัง กลับยักไหล่ ทำหน้าเชิ่ดๆ เหมือนไม่แคร์ แดนนี่สะบัดหน้าไปจากผม ส่วนแมนทำท่าโค้งให้

“ขอบคุณนะที่รบกวนเวลาของคุณ”

ผมยิ้มให้ เป็นยิ้มที่แสร้งทำเหมือนว่าจริงใจที่สุด บอกกับพวกเขาว่า ไม่เป็นไร ในใจพองโต รู้สึกดีที่พวกนี้เชื่อผม เชื่อง่ายกว่าเกย์สองตัวข้างในเสียอีก

“อ้าว แล้วที่จะไปนั่งคุยกันล่ะ”

สันต์ร้องเรียกเมื่อสองหนุ่มทำท่าจะไปจริงๆ

“ก็เพื่อนคุณมีแฟนแล้วนี่ ก็คงไม่จำเป็นแล้วมั้ง” แมนหันมาตอบ

“แต่ผมโสดนี่”

สันต์แบไต๋จนน่าเกลียด ผมเห็นรอยยิ้มหยันจากปากของแดนนี่ แต่แมนกลับนิ่งเฉย และแล้วประกายตาของแมนก็วาววามขึ้น

“ก็ได้ ถ้าคุณยินดีที่จะไปกับเราสองคน พวกเราก็พร้อมจะพาคุณไปด้วย รับรองคุณต้องมีความสุขแน่”

แมนยิ้มอย่างยั่วยวน ผมเห็นพรานเบ็ดกำลังใช้เหยื่อล่อปลาหน้าโง่อยู่ ขยับปากจะเข้าไปห้าม แต่เพื่อนผมกับพยักหน้าตอบรับด้วยอาการรื่นเริง มันแสดงออกให้พวกนั้นเห็นอย่างชัดแจ้งว่ายินยอมที่จะติดเบ็ดโดยง่าย

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ผมน่ะ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งนะ ที่มีหนุ่มหล่อตั้งสองคนเป็นเพื่อนนั่งคุย ทำให้ผมไม่ต้องกลับไปอยู่คนเดียวอย่างหงอยเหงาในคืนนี้”

ผมเห็นอาการของเจ้าสันต์แล้วก็ได้แต่ปลง นี่มันคงอยากให้ค่ำคืนนี้เป็นความทรงจำที่แสนวิเศษของมันกับเจ้าสองคนนี่ มันถึงได้ดูเต็มอกเต็มใจที่จะไปกับพวกเขานัก ก็หวังว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อมันอย่างดี ไม่เอาเปรียบมันจนเกินไป

“นายไม่ไปด้วยจริงๆเหรอ พาแฟนนายไปร่วมสนุกด้วยก็ได้นะ”

เจ้าสันต์ไม่วายหันมาเชิญชวนผม มันเองก็คงรู้สึกหวั่นใจกับการรับมือกับหนุ่มหล่อตั้งสองคน ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ห่วงเพื่อนก็ห่วง แต่ห่วงกลัวความไม่ปลอดภัยในร่างกายของตนเองมากกว่า

นึกภาวนาในใจว่า ขอให้สองคนนี้ไม่ใช่คนเลว หรือพวกหลอกลวงปลิ้นปล้อน แล้วก็ขอให้เพื่อนของผม จงฉลาดอย่างเพียงพอในการที่จะเอาตัวรอด หากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นมา

“ไม่ไปดีกว่า ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

ผมปฏิเสธไป ใจนึกอยากจะกลับบ้านจริงๆ นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมอยากจะพักผ่อนอยู่กับบ้านมากกว่า ยิ่งกลับบ้านเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้นอนเร็วเท่านั้น และตอนนี้ผมก็เริ่มจะรู้สึกมึนๆแล้วด้วย เนื่องจากตอนที่อยู่ข้างในร้าน ก็ดื่มของมึนเมาไปหลายแก้ว

ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ดื่มกินอีกต่อไป แต่พอมาอยู่ในที่ๆมีแต่คนจ้องมองตลอด แล้วคนพวกนั้นก็เป็นเกย์อีกด้วย ความรู้สึกที่ว่าไม่ใช่ถิ่นของตนเอง ผมก็เลยเครียด ต้องดื่มเพื่อให้ไม่รู้สึกอะไร

“จะกลับไปจู๋จี๋ กับเด็กหนุ่มนั่นสิท่า ไม่บอกกันบ้างเลยนะ เอาเถอะ ฉันกลับจากไปเที่ยวกับสองคนนี่ก่อน แล้วจะมาซักไซ้จากนาย เตรียมคำตอบให้ดีก็แล้วกัน”

เจ้าสันต์กระซิบที่ข้างหูเบาๆให้ได้ยินกันสองคน พลางปลายตาไปยังหนุ่มน้อยคนนั้น ผมยักไหล่ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ เมื่อรอดพ้นจากเกย์สองคนนั่นได้ มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังแล้วกัน ตอนนี้สองคนนั่นรอนายอยู่ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะอดซะ”

ผมกระซิบตอบ พลางลิ่วตาล้อมัน เจ้าสันต์ยิ้มแป้น ชูกำปั้นให้ผม ก่อนจะผละเดินไปหาสองหนุ่มที่ยืนรออยู่ แดนนี่ กับแมน พาเจ้าสันต์เดินจากไป คงจะไปหาที่นั่งพูดคุยกันที่ไหนสักแห่ง

แล้วหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่มีต่อกัน เพื่อนผมมันอาจจะไปกับใครสักคน อาจจะเป็นแดนนี่ หรือแมนก็ได้ ที่แน่ๆ ค่ำคืนนี้มันคงไม่นอนเหงาเดียวดายเหมือนเช่นทุกวัน

ผมหันมาหาเด็กหนุ่มคนนั้น เขายังคงยืนนิ่งอยู่ในมุมมืด ท่าทางเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ผมเดินไปหาเขา แล้วพูดขึ้นว่า

“นายปลอดภัยแล้วล่ะ สองคนนั่นคงไม่กวนนายอีกแล้ว”

“ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมไว้” เขาตอบกลับมา

“ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรหรอก นายก็ช่วยฉันไว้เหมือนกัน ฉันเองก็หนีเกย์สองคนนั่นเหมือนกัน ฉันก็อาศัยนายเป็นเกราะกำบังให้พวกนั้นเลิกยุ่งกับฉัน ดังนั้นเราสองคนก็ถือว่าเสมอกัน ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร”

ผมบอกเขาไป นี่คือสิ่งที่แฟร์ที่สุด ในเมื่อเราต่างมีส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปรับความดีความชอบนั้นด้วย

“เอาล่ะ ฉันไม่รู้ว่า นายเข้าไปในนั้นทำไม หาแฟนหรือว่าอะไรก็ตามแต่ ฉันคิดว่านายควรจะกลับบ้านได้แล้วนะ ขืนอยู่แถวนี้จะซวยเปล่าๆ นายน่ะ ท่าทางอายุคงไม่ถึงที่จะเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นด้วยซ้ำ เดี๋ยวพวกพนักงานมาเห็น หรือโชคร้ายตำรวจมาตรวจ นายจะเดือดร้อน

นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย พ่อแม่นายคงจะเป็นห่วงแล้ว อีกอย่างหนึ่งนะ หากนายยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ สองคนนั่นมาเจอเข้า ได้ลากตัวไปกับเขาแน่ๆ จะอ้างอะไรก็ไม่ได้แล้วด้วย เพราะฉันไม่อยู่ให้อ้างเป็นแฟนนายได้แล้ว เพราะฉันจะกลับบ้านแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าอยากจะช่วยเหลือเด็กคนนี้นัก ทั้งๆที่เจ้าหมอนี่ก็ทำตัวเองแท้ๆ ผมเห็นเขาพยักหน้าแทนการตอบรับ ผมจึงหมดห่วงแล้วก็โบกมือเป็นการอำลาเขา จากนั้นก็เดินออกมาจากสถานที่แห่งนั้น

ผมออกจากซอย แล้วเลี้ยวขวา เดินแทรกปะปนไปยังผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ สีลมยามเที่ยงคืน ยังเต็มไปด้วยร้านรวงจำพวกเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องประดับ ตลอดจน ของตกแต่งบ้าน มีร้านขายซีดีเพลง และ หนัง รวมถึงหนังโป๊ด้วย

ผู้คนทั้งไทยและต่างชาติเดินดูและจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่าน รวมทั้งตัวผมเอง ที่แวะบางร้านที่ผมสนใจ แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพราะของส่วนใหญ่ ผมคิดว่ามันเหมาะกับให้พวกเกย์ใช้มากกว่าผู้ชาย
แ ท้ๆอย่างผม

ผมข้ามถนนเดินตรงไปยังซอยคอนแวนต์ เพราะผมจอดรถไว้ที่นั่น ต้องเดินไปไกลมากเกือบถึงโรงพยาบาล เพราะตอนผมมา รถจอดเยอะมาก ผมเดินไปช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะรู้สึกตัวว่ากำลังมึนๆ เลยไม่อยากเดินสะดุดล้มกลิ้งให้บาดเจ็บ

ถนนที่ผมเดินผ่านไปค่อนข้างมืด ร้านรวง ปิดหมดแล้ว มีคนสองสามคน เดินผ่านผมไป ดูแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกเกย์ เพราะเดินกระตุ้งกระติ้ง และส่งเสียงดังกันไปตลอดทาง

ผมยิ้มให้กับตัวเอง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเดินท่อมๆอยู่คนเดียวในย่านที่ได้ชื่อว่ามีชาวสีม่วงชุกชุม แถมยังหลังจากไปเที่ยวบาร์เกย์มาซะด้วย

รถของผมจอดอยู่ตรงริมถนนก่อนจะถึงโรงพยาบาลประมาณสองช่วงเสาไฟฟ้า ผมหยุดยืนอยู่ข้างรถด้านฟุตบาทควานหากุญแจรถจากในกระเป๋ากางเกง มีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นใกล้ๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนแปลกหน้าสองคน ฝรั่งหนึ่ง ไทย หนึ่ง เดินกอดกันนัวเนียผ่านหน้าผมไป

ผมมองแล้วยิ้มให้กับตนเอง พอได้กุญแจรถแล้ว ผมก็เตรียมจะเดินไปฝั่งคนขับ แต่ยังไม่ทันถึงก็มีเงาดำๆของคนรูปร่างสูงใหญ่ พาดทับเข้ามาบนร่างของผม แล้วก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว แขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็รัดร่างผมไว้ พร้อมกันนั้น ผ้าเย็นๆที่มีกลิ่นฉุนๆก็โปะเข้าที่จมูกของผม หลังจากนั้น ผมก็หมดสติไป

ตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็อยู่ในห้องแห่งหนึ่ง โดยถูกมัดไว้กับเตียง ในห้องมีแค่ผมกับเด็กหนุ่มสองคน นายเดียร์ คนที่ผมเคยช่วยเขามาหลายต่อหลายครั้ง และก่อนจะถูกจับมามัด ผมก็ยังช่วยไม่ให้เขาถูกเกย์สองคนจัดการ แต่ในร้านนั้นมันมืดเกินไปทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด แถมซ้ำผมยังมึนๆอีกด้วย

อีกทั้งตอนที่ผมถูกเขาจับมา ผมคงจะมึนด้วยฤทธิ์ยาสลบ จึงทำให้ผมจำเกี่ยวกับตัวเขาไม่ได้ในทันที พอปล่อยให้เวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้น ยิ่งเขาเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ถึงความผูกพันระหว่างผมกับเขา ความทรงจำของผมก็ยิ่งกระจ่าง

โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้คิดร้ายต่อผม แถมซ้ำยัง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ดูแลผมอย่างดี แล้วยังกล้าพอที่จะปล่อยผมให้เป็นอิสระ เสียอย่างเดียวที่เจ้านี่ชอบล่วงเกินผม ครั้งแรก ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน

แถมซ้ำยังอยู่ในฐานะของผู้ถูกกระทำด้วย แต่ตอนหลังผมยอมรับว่าเวลาที่เดียร์ล่วงเกินผม  มันก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเกลียดตัวเองที่ดันพึงพอใจกับการกระทำของเขา จนไม่คิดที่จะต่อต้านขัดขืน บางครั้งยังเผลอตัวสนองตอบอีก นี่ผมคงไม่ผิดปกติไปหรอกนะ

ดวงตาของผมเบิกโพลง เมื่อคิดอะไรออก ใช่แล้ว เจ้าเด็กนี่คงไม่ได้บังเอิญมาเจอผมหรอก ครั้งนี้ น่าจะเป็นการจงใจของเขาที่มาดักเจอผม เขาคงสะกดรอยตามผมมาจากที่ไหนสักแห่ง ไม่งั้นเขาจะรู้ได้ไงว่าผมจะมาที่นี่

จะว่ามาดักคอยผมทุกวัน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผมไม่เที่ยวบาร์เกย์อยู่แล้ว ยกเว้นหากเป็นการดูโชว์ แบบที่พัทยานั่น เพราะฉะนั้นหากเขามาดักรออยู่ก็เสี่ยงต่อการที่จะคว้าน้ำเหลว ดังนั้นหมอนี่ต้องคอยสะกดรอยตามผมแน่ แต่ว่า ทำไมผมจึงไม่เห็นเขาเลยล่ะ

ผมหยุดความคิด เมื่อเสียงหนึ่งดังแว่วมา มันเป็นเสียงกริ่งประตูหน้าบ้านผม ที่ดังขึ้นมาอย่างยาวนาน หลายครั้งติดกัน แล้วก็เสียงหมาเห่าดังขรม  เจ้าหญิง สุนัขตัวเมียที่ผมเลี้ยงไว้กำลังส่งเสียงอยู่หน้าบ้าน มันคงเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

“ขโมยรึเปล่า”

แว่บแรกที่ผมคิด ผมรีบกระโดดลงจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง แล้วแหวกม่านออกดู มองลงไป ผมเห็นหลังแว่บๆของคนๆหนึ่งที่ขี่จักรยานออกไป ใครก็ตามที่มายืนอยู่หน้าบ้านผมในยามเช้ามืดแบบนี้ ท้งยังมีพฤติกรรมชวนสงสัย จะเป็นใครไม่ได้ นอกจากพวกโจร หรือพวกย่องเบา และมันคงประสงค์ร้ายต่อบ้านผมแน่ ดีนะที่เจ้าหญิง มันเห่าเตือนก่อน ผมถึงได้รู้ตัว

โดยไม่รอช้า ผมถลาไปที่ประตูห้อง เปิดมันออก แล้ววิ่งลงไปที่ชั้นล่าง มือคว้าได้ร่มคันยาวที่เก็บไว้ข้างๆประตู ผมเตรียมไว้เป็นเครื่องทุ่นแรงหากต้องมีการต่อสู้กันกับพวกคนเลวที่คิดจะรวยทางลัดด้วยการลักขโมยของบ้านคนอื่น

ผมเดินอย่างระแวดระวังไปที่ประตูรั้ว แล้วสอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอก บ้านข้างๆ และ บ้านตรงข้าม เปิดไฟกันหมดแล้ว ทุกคนคงตื่นมาทำภารกิจส่วนตัวก่อนไปทำงาน มีเสียงเด็กร้องดังมาจากบ้านตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านผัวเมียวัยทำงานคู่หนึ่ง ลูกตัวน้อยของคนทั้งคู่เพิ่งอายุได้ประมาณ 7 เดือน กำลังน่ารักน่าชัง ผมเคยไปเล่นกับลูกเขาบ่อยๆ แล้วก็คิดว่าอยากจะมีเด็กน่ารักๆอยู่ในบ้านของผมบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะได้แต่งงาน

“หมาเห่าเสียงดังเลย มีอะไรเหรอ”

พี่สมชาย พ่อของเจ้าตัวน้อยตะโกนถามผม เมื่อเห็นผมยืนมองออกไปข้างนอกอย่างระแวดระวัง ผมหันไปมองเขา ก็เห็นเขากำลังออกกำลังกายอยู่ที่ในเขตรั้วบ้านของตนเอง

“พี่มาออกกำลังกายได้นานหรือยังครับ” ผมถามเขา

“เพิ่งออกมาตอนได้ยินเสียงไอ้เจ้าหญิงเห่านั่นแหละ ทำไมเหรอ”

“แล้วเห็นใครผ่านไปบ้างหรือเปล่า”

“เอ๋ ไม่เห็นใครเลยนะ นอกจากเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เพิ่งขี่รถจักรยานออกไปเมื่อกี้”

“เหรอครับ....”

...............................................

ผมรู้สึกงง เด็กส่งหนังสือพิมพ์ คงจะเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นจากบนห้อง ว่าแต่ เขามาที่หน้าบ้านผมทำไม ผมไม่ได้รับหนังสือพิมพ์สักหน่อย ส่วนใหญ่ก็ไปอ่านจากที่ทำงานเลย หรือว่า เจ้านี่จะเป็นสายให้โจร แล้วมาดูลาดเลาที่บ้านผม

“รับหนังสือพิมพ์แล้วเหรอ............มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ”

พี่สมชายถามขึ้นอีก ตอนนี้แกเดินมาเกาะรั้ว คุยกับผม

“หนังสือพิมพ์” ผมทวนคำอย่างงงๆ

“ไม่มีนี่ครับ ผมไม่เคยรับ”

“นั่นไง ที่ประตูรั้ว ตรงตู้จดหมายอ่ะ”

พี่สมชายบุ้ยใบ้ไปที่ประตูรั้ว ผมมองตาม แล้วก็ได้เห็นหนังสือพิมพ์สองฉบับวางซ้อนกันอยู่ ผมเดินไปหยิบทั้งหมดขึ้นมาดู มันเป็นหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง และใต้ตู้ไปรษณีย์มีถุงพลาสติกที่ใส่ของห้อยอยู่

ผมเอื้อมมือไปปลดมันออกมา ข้างในถุง เป็นโจ๊กร้อนๆ และน้ำเต้าหู้ พร้อมปาท่องโก๋ ตัวเล็กๆสี่ห้าตัวอยู่ในถุงกระดาษ ในถุงยังมีกระดาษขนาดครึ่งหน้า เอ 4 ใส่ไว้ด้วย มีลายมือเขียนด้วยปากกาเมจิกติดอยู่เต็มพรืดไปหมด ตอนแรกผมมองผ่านๆ อย่างไม่สนใจ แต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่ชื่อๆหนึ่ง ผมรีบกวาดสายตาอ่านข้อความนั้น

“เรียวของผมนี่ ขี้เซาจังเลยนะครับ ผมมากดกริ่งประตูตั้งนานก็ไม่ยอมตื่น ผมเอาอาหารเช้ามาฝาก พร้อมหนังสือพิมพ์ ทานเยอะๆนะครับ เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ ผมไม่คิดตังค์หรอก แค่คุณกินจนหมด ผมก็ดีใจแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ผมฝากจูบมาด้วย แล้วก็อย่าลืมนะครับ วันนี้ เราเป็นแฟนกันแล้ว ลงชื่อ....... เดียร์”

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วความหนักใจก็เข้ามาแทน ผมดีใจที่ไม่ใช่ขโมย หรือพวกสายโจรที่จะเข้ามาปล้นบ้านผม ที่อึดอัดเพราะรู้ว่า เป็นเด็กเดียร์คนนั้นนั่นเอง เขาเข้ามาใกล้ผมมากเกินไปเสียแล้ว จนผมนึกกลัว........ กลัวว่าผมจะสูญเสียอิสรภาพ

“อ้าว ไม่ได้รับหรอกเหรอ แต่พี่เห็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนนี้มายืนแถวบ้านเราหลายวันแล้วนะ นึกว่าเขามารอคุยกับเธอเรื่องการส่งหนังสือพิมพ์เสียอีก แปลกจัง แล้วทำไมถึงได้หนังสือพิมพ์ฟรีๆล่ะ หรือเป็นบริการให้ทดลองอ่านก่อนเป็นสมาชิก”

พี่สมชายถามอย่างงงๆ ผมตะโกนตอบไปว่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ขอตัวเดินเข้าบ้าน ผมเดินไปเข้าไปในครัว วางของทุกอย่างลงบนโต๊ะทานอาหารขนาดสองคนที่อยู่ในห้องนั้น เดินไปเปิดตู้เย็นและรินน้ำมาดื่ม จากนั้นก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ มองของที่เดียร์เอามาฝากด้วยดวงตาเหม่อลอย

ใช่จริงๆอย่างที่คิดเสียด้วย เจ้าหมอนี่ต้องคอยติดตามผมมา แต่เขารู้ได้ไงว่าบ้านผมอยุ่นี่ ผมครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ และแล้วปริศนาที่ค้างคาใจผมตลอดมา ก็พลันพบคำตอบ ต้องเป็นจากนามบัตรใบนั้นที่ผมให้ไว้ที่โรงพยาบาลเป็นแน่ มันระบุที่ทำงานของผม เขาคงไปดักรอผมที่นั่น แล้วก็ตามผมมาจนกระทั่งถึงบ้าน ฝีมือการติดตามของเขานี่เทียบชั้นได้เท่ากับนักสืบจริงๆ เพราะผมไม่เคยระแคะระคายเลยว่ามีคนคอยติดตามผมอยู่ตลอดเวลา ผมชักเริ่มวิตกกังวลเสียแล้วสิ

ผมทิ้งข้าวของไว้บนโต๊ะแบบนั้นโดยไม่แตะต้อง เดินเข้าห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ แต่งตัว ขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา ผมมองดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นมา มันเป็นรหัส 02 ใครกันนะ ผมคิดขณะกดรับและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“ทานโจ๊กที่ผมซื้อให้แล้วหรือยัง”

มีเสียงกระตือรือล้น ตอบมาทางปลายสาย ด้วยประโยคคำถาม ผมจำเสียงนั้นได้ดี

“เที่ยวได้ด้อมๆมองๆบ้านคนอื่นเขา ระวังจะเจอข้อหาขโมย หรือสายโจรนะ”

ผมเอ่ยทักทายเขาด้วยข้อกล่าวหา มีเสียงหัวเราะร่าเริงมาจากคนที่อยู่ปลายทาง

“เสียดายจังที่เรียวไม่ยอมตื่น ผมอยากเห็นหน้าเรียวจังเลย คิดถึงมากเลยรู้มั๊ย นอนไม่หลับเลยทั้งคืน อยากให้ถึงเช้าเร็วๆจะได้มาหา”

“เก่งมากเลยนะ ที่ตามมาถึงบ้านฉันได้ถูก คงจะติดตามมานานล่ะสิ”

ผมถามในข้อที่สงสัยมานาน เด็กหนุ่มอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆมาตามสาย

“ก็นับตั้งแต่เข้ากรุงเทพฯมาน่ะแหละครับ ผมก็มาตามหาคุณจากที่อยู่ในนามบัตร อยากจะมาขอบคุณเรียวที่ช่วยผมไว้หลายครั้ง แต่ตอนที่เจอคุณที่บริษัท ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวคุณเลย คุณจะมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมตลอดเลย ผมก็เลยแอบตามคุณมาจนเจอบ้านนะครับ ก็ขอโทษด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำแบบนี้ ทำไงได้ล่ะ ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมจะเจอคุณได้อย่างไร”

“แล้วนี่มาวนเวียนแถวบ้านฉันนานเท่าไหร่แล้วนี่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

ผมถามเขาอย่างฉุนๆ แต่เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสุข

“ก็เกือบอาทิตย์แล้วครับ ก็มายืนหน้าบ้าน มองขึ้นไปเผื่อว่าจะเจอคุณบ้าง บางทีก็อยู่รอคุณจนกระทั่งคุณขับรถออกไปทำงานถึงได้กลับครับ มีความสุขมากเลยที่ได้เห็นคุณ แต่วันนี้ผมต้องรีบไปส่งหนังสือพิมพ์ที่อื่นต่อ ก็เลยไม่ได้อยู่รอเจอหน้าคุณครับ”

ผมแค่นหัวเราะใส่โทรศัพท์ และพูดจาประชดประชันใส่เขา

“ทำงานหลายอย่างมากเลยนะนายเนี่ย ทั้งนักมวย นักแสดงคาร์บาเร่ต์ โจรลักพาตัว เด็กส่งหนังสือพิมพ์ นักสืบ ยังมีงานอื่นๆอีกไหมที่นายทำ”

“ก็หลายอย่างครับ ทำไงได้ล่ะครับ คนมันไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่นา พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่มี ก็ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองนะครับ แต่ว่า งานนักสืบ กับ งานเป็นโจรลักพาตัวนี่ ไม่ได้ทำเพื่อเอาเงินนะครับ ทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ตอนนี้งานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีนักสืบ ไม่มีโจรแล้วล่ะครับ จะมีก็แต่งานเป็นพ่อบ้าน กับ เป็นบอดี้การ์ด ดูแลร่างกาย และจิตใจของเรียว ไม่รู้ว่าจะยอมให้ผมทำได้เมื่อไหร่นะครับ”

เด็กหนุ่มตอบโต้ผมด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ดูเขาจะไม่ถือสาเอาคำพูดประชดประชันของผมมาเป็นอารมณ์เลย
“รอไปเถอะ” ผมตอบ

“แหมเรียวก็ แต่ยังไงก็อย่าลืมน้า……ว่าเราเริ่มเป็นแฟนกันวันนี้แล้วนะครับ”

“พูดมากเข้าไปเถอะ  เดี๋ยวจะแกล้งลืมซะเลย” ผมขู่

“แต่ผมเชื่อว่า เรียวไม่ทำหรอกใช่ไหมครับ” เขาส่งเสียงอ้อนมาตามสาย

“.....................”

ผมไม่ตอบอะไร ทำเป็นเฉย เขาเลยเปลี่ยนเรื่อง

“ยังไม่ได้ตอบผมเลยครับ ว่าทานอาหารเช้าที่ผมซื้อมาให้หรือยัง” เดียร์ทวงคำตอบ

“ยัง” ผมตอบสั้นๆ

“อ๊า .......ทำไมล่ะ” เขาร้องถามเสียงสูง

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เคยกินอาหารเช้า”

“ไม่ดีนะครับ ดูแลสุขภาพหน่อยสิ ผมเป็นห่วงนะ........”

เดียร์ตั้งท่าจะบ่นอีก ผมเลยรีบตัดบท ไม่อยากโต้ตอบ

“ฉันจะรีบไปแล้วนะเดียร์ ไว้วันหลังนะ”

“ก็ได้ครับ ดูแลสุขภาพให้ดีนะครับ รักนะ คนแก่โง่....”

“นี่ว่าใครแก่”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เดียร์หัวเราะอย่างร่าเริง

“แหมว่าแก่ไม่ได้เหรอ.......... ถึงจะแก่แต่ก็รักนะ”

“บ้าไปกันใหญ่ ฉันไม่คุยกับนายดีกว่า จะไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย”

“คร้าบบบบบบบ ผม ขับรถดีๆ แล้วคิดถึงผมบ้างนะ”

เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน แล้วส่งเสียงจุ๊บๆมาตามสายก่อนวางหู ผมมองโทรศัพท์ตาขุ่น เหมือนจะหวังให้คนปลายสายได้เห็น นึกสังหรณ์ใจว่า เหตุการณ์ชวนเลี่ยนแบบนี้ คงไม่เกิดกับผมแค่วันเดียว เป็นแน่ ว่าแต่ผมจะทนได้ละหรือ ถ้ามันเกิดซ้ำซากแบบนี้ทุกวัน เฮ้อ คิดแล้ว ก็อยากจะยกเลิกสัญญาเหลือเกิน ทำไมผมถึงไม่หาทางเบี้ยวเขานะ จะได้ไม่ต้องทนทรมานด้วยการเป็นแฟนกับเกย์แบบนี้ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นตามมาก็ไม่รู้ แค่คิดก็สยองแล้ว................
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-11-2007 22:40:17
 :o8:
น่ารักเชียว
มาต่อบ่อยๆหน่อยเน้อ :m29:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 10-11-2007 02:53:59
:m1:   ตามมา ให้กำลังใจแน๋ว จุ๊บๆ 
รออ่าน ต่อปายยยย...   o14
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 14-11-2007 12:22:30


                 เอามาต่อเร็วๆนะคับพี่แน๋ว

                 สนุกมากเลยคับ....... :m18:

                 เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปเนี่ย

                 อยากรู้แล้วค๊าฟ........ :m13:



หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 19-11-2007 17:37:51
มาลงชื่อ รออ่านตอนต่อไป

เฮ้อ น่ารักจัง ถ้ามีคนมาทำอย่างงี้กับเราก็ดีดิ รักตายเลย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 19-04-2008 02:20:05
 :เฮ้อ: สงสัยคนที่เอาเรื่องมาลง คุณตะแหน๋ว คงจะไม่มีเวลามาโพสต์จริงๆ ถ้าอยากอ่านต่อกัน ก็ไปอ่านที่นี่ได้ค่ะ http://katesnk1405.invisionplus.net หรือไม่ก็ที่นี่นะคะ http://board.goozaa.com/index.php?topic=576.0

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-04-2008 11:04:34
เด๋วจะไปถามให้เคอะพี่เคทขา
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 04-05-2008 04:22:09

หวัดดีครับพี่น้อง  ผมเป็นแอดมินเวปพี่เคทนะครับ  เห็นเรื่องนี้ยังไม่จบอะ ก็เลยถือวิสาสะเข้ามาลงต่อ  อย่าโกรธกานนะค้าบ  

ที่อยากจะถามคือ จะให้ผมลงต่อมั้ย หรือว่าโมบ้านนี้จะลงเองครับ  พอดีผมมีต้นฉบับทั้งสามภาคอยู่น่ะ  พี่เคทเขารีไรท์  แล้วผมก็ต้องลงที่บ้านนู้นอยู่แล้ว

ยังไงก็บอกผมด้วยละกานน้า  ถ้าจะให้ผมลงต่ออะ  ผมจะได้ลงพร้อมกับบ้านนู้นเลย  ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ อิอิ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 3


มีงานกองอยู่บนโต๊ะ รอให้ผมพิจารณาอยู่ประมาณ 10 กว่าเคส เห็นจะได้ โดยส่วนใหญ่ เป็นเคสที่ทำประกันในวงเงินสูง บางเคสอ่านๆดูแล้วท่าทางน่าจะมีปัญหา

ที่แผนกเราจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิจารณารับประกันชีวิตหลายคน แบ่งกันพิจารณาเคสตามภูมิภาค ผมรับดูแลภาคตะวันออก ซึ่งในทีมของผม ก็มีลูกน้องที่พื้นฐานเดิมเป็นนางพยาบาล

หรือคนที่เคยทำงานทางด้านนี้มาโดยตรงเป็นคนคอยพิจารณาเคส หากวงเงินไม่สูงมากนักพวกเขาก็จะพิจารณากันเอง แต่กรณีที่วงเงินเกิน ล้านขึ้นไป จะเป็นหน้าที่ผมที่จะพิจารณาตัดสินใจว่าจะอนุมัติหรือไม่
   

ผมใช้เวลาตลอดครึ่งเช้า อ่านเอกสารประกอบใบคำขอเอาประกัน ผมตอบรับไปสามราย และปฏิเสธไป 1 ราย เนื่องจากเมื่อตรวจสอบประวัติสุขภาพที่แนบมา พบว่าลูกค้ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก เพราะมีโรคประจำตัวหลายอย่างทั้งเบาหวาน และหัวใจ จนทำให้บริษัทเราไม่สามารถที่จะพิจารณารับประกันได้ แม้จะนึกสงสารเห็นใจลูกค้าก็ตาม แต่ในแง่ของการประกันแล้ว มันเป็นการคุ้มครองภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า ไม่ใช่มีภัยมาก่อนการทำประกัน เพราะมันจะก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมกับลูกค้าคนอื่นๆที่ร่วมกันจ่ายค่าเบี้ยประกันเข้ามา ตอนแรกผมพยายามช่วยเหลือ หากเขาไม่เป็นอะไรมากนัก ก็คิดว่าจะเพิ่มเบี้ยประกันในอัตราที่สูง กับไม่ขายสัญญาเพิ่มเติมที่คุ้มครองสุขภาพให้ เนื่องจากเขาเป็นโรคมาก่อน แต่ความเสี่ยงภัยที่เขามีอยู่มันเกินกว่าที่จะรับได้จริงๆ ก็เลยจำต้องปฏิเสธการรับประกันออกไป
   

ขณะที่ผมกำลังนั่งพิจารณาเคสที่ 4 อยู่ ซึ่งเจ้าของเคส เป็นเด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆ  แต่ซื้อประกันมา 20 ล้าน โดยที่อ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของธุรกิจ ผมสงสัยอยู่ว่า เด็กซึ่งอยู่ในวัยเรียนแบบนี้ จะสามารถดูแลกิจการที่ใหญ่โตได้ยังไง ผมโทรไปหาเพื่อนที่อยู่ฝ่ายตรวจสอบ ให้เขาช่วยส่งคนออกไปสืบดูเคสนี้ให้หน่อย พอวางหูลง เจ้าสันต์เพื่อนผมก็โผล่หน้าเข้ามาในห้อง มันไม่ยอมเคาะประตูก่อน อาศัยว่าตำแหน่งหน้าที่การงานเท่ากัน และเป็นเพื่อนกัน จึงถือวิสาสะเดินเข้ามาเฉยๆ มาถึงก็ส่งเสียงดังตามสไตล์

“เฮ้ย เรียว แกไปไหนมาวะ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันติดต่อแกไม่ได้เลย”

“อ้าว ยังอยู่เหรอ ค่อยโล่งอกไปหน่อย นึกว่าถูกสองคนนั่น มอมยา ฆ่าหมกป่าไปแล้ว”

ผมทักเจ้าสันต์ หลังจากที่มันหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ตรงหน้าโต๊ะผม

“อ้าว ไอ้เนี่ย ปากเสียแต่เช้าเลยไหมล่ะ เห็นหน้าเพื่อนก็พูดจาดีๆหน่อยก็ไม่ได้ แล้วว่าไงล่ะเฮ้ย  แกยังไม่ได้ตอบฉันเลย ว่าแกไปไหนมา”

“ก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปไหน”

ผมขี้เกียจบอกให้มันรู้ เพราะเจ้าสันต์มันเป็นพวก เจ้ากรมสอ ทอ รอ อยากรู้อยากเห็นไปหมด ตามนิสัยกึ่งชายกึ่งหญิงของมัน ถ้าไม่เพราะทำงานร่วมกันมานาน ผมคงเลิกคบมันไปแล้ว

“อย่ามาโกหกเลย ฉันโทรเข้ามือถือแก ก็ไม่ติด โทรที่บ้านก็สายว่าง แต่ไม่มีคนรับสาย แกไม่ได้อยู่บ้านแน่เลย ไปกับไอ้น้องคนนั้นใช่ไหม”

มันทำเป็นคาดเดา ซึ่งก็ถูกเสียด้วย ผมไปกับเจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจนั่น แต่เป็นการถูกจับไปโว้ย อยากจะบอกออกไปแบบนั้น แต่ไม่ดีกว่า ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เกิดปากโป้งขึ้นมา ผมได้อายคนทั้งบริษัทแน่ สู้เก็บเงียบไว้เป็นความลับเฉพาะผมกับเจ้าเด็กเดียร์ดีกว่า

“ไอ้น้องคนไหน”

ผมแกล้งทำเป็นไขสือ เหลือบตามองดูนาฬิกา อีก 10 นาที เที่ยง ผมมีเวลาคุยกับมันได้

“น้องคนที่บอกว่าเป็นแฟนแกนะ”

มันทำเป็นรำคาญที่ผมทำท่าว่าไม่รู้เรื่อง

“อ๋อ เด็กคนนั้นน่ะเหรอ ....ไม่ใช่โว้ย..... แฟนเฟินที่ไหนกัน.....ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับแกนี่ จะได้มีแฟนเป็นเกย์ หรือกะเทย”

ผมปฏิเสธแล้วแกล้งด่ามันทางอ้อม

“เออแล้วไงวะ ชอบเกย์แล้วมันผิดตรงไหนวะ แต่ละคนก็หล่อล่ำ กล้ามแน่น ดีกว่าพวกผู้หญิงเนื้อนิ่มๆหยุ่นๆอีก”

มันตอบผม ท่าทางคงเคืองผมมากที่ไปว่ามัน ผมยิ้มขำกับความช่างเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงผู้ชายที่มันบอกเมื่อครู่ พลางนึกในใจว่าของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้ บางทีหากมันได้
สัมผัสเนื้อตัวของผู้หญิงมันอาจจะชอบจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ในทางกลับกัน ผมซึ่งถูกผู้ชายสัมผัส อาจจะหลงใหลได้ปลื้มจนลืมผู้หญิงไปเลยก็ได้

“ชอบก็ชอบสิ ใครจะไปว่าอะไรได้ล่ะ”

“นายเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกันแหละว้า ทำมาว่าคนอื่นดี”

เจ้าสันต์กล่าวหา

“ไปเอามาจากไหนวะ ว่าฉันชอบผู้ชาย ไม่เคยพูดเลยนะ”

“ก็แกน่ะแหละบอกฉันอยู่ วันนั้นอ่ะ ฉันได้ยินกับสองหูเลย ว่าเด็กนั่นแฟนแก ดูก็รู้ว่าเด็กนั่นเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน มันก็เป็นเกย์สิวะ จะให้เป็นอย่างอื่นได้ไง หรือ แกจะ
บอกว่าแกเป็นไบ ชายก็ได้ หญิงก็ดี แหม แต่แกเนี่ย ไม่มีวี่แววเลยนะโว้ย แอ๊บแมนโคตรเก่งเลย ฉันน่ะ หลงเชื่อสนิทใจเลยว่าแกเป็นผู้ชายแท้”

   เจ้าสันต์ลิ่วตาล้อ ผมล่ะอยากจะบ้าตาย ที่มันช่างคิดไปได้ไกลขนาดนั้น

“ก็ผู้ชายแท้สิวะ”

“จริงอะ อย่ามาอำน่า ผู้ชายบ้าอะไรมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน”

เจ้าเพื่อนผมยังทำท่าไม่เชื่อ ดูเหมือนว่าใจคอเจ้าสันต์คงจะอยากได้ผมเป็นพวกเดียวกับมันด้วย พิลึกคนจริงเชียว ใจคอจะไม่ให้เหลือผู้ชายแท้ๆไว้บนโลกใบนี้เลยหรือ

“อุวะไอ้นี่ บอกว่าฉันเป็นผู้ชายก็ผู้ชายสิ เด็กนั่นใช่แฟนฉันซะเมื่อไหร่ ฉันไปเจอเขาในห้องน้ำ เขากำลังทะเลาะอยู่กับเกย์สองคน เด็กนี่แอบเข้ามาในร้าน ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง โดยมีพวกนั้นพามา เสร็จแล้วไอ้พวกนั่นก็จะเรียกร้องบุญคุณให้เด็กนั่นออกไปมีอะไรด้วย ฉันทนเห็นเด็กนั่นถูกรังแกไม่ได้ เลยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยอ้างว่าเป็นแฟนเด็กนั่น ไม่งั้นเกย์สองคนนั่น ไม่ปล่อยเจ้าหนูนั่นแน่ แกก็เข้ามาเห็นพอดีนี่”

ผมเล่าไปตามความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้คิดจะปิดบัง

“ช่วยบ้าอะไรวะ ด้วยการบอกว่าตนเองเป็นเกย์แล้วก็มีแฟนเป็นเกย์”

“ก็อย่างน้อยๆมันก็ได้ผลล่ะวะ แถมซ้ำเพื่อนของแกสองคนนั้นก็เชื่อฉันสนิท ยอมรามือไม่มาวุ่นวายอ่ะ รวมถึงแกด้วยที่เชื่อว่ามันเป็นจริง ก็แสดงว่าใช้ได้ใช่ไหมล่ะ”

“อ๋อ นี่แผนแกเหรอวะ” เจ้าสันต์ถามผม

“ช่าย ฉันไม่อยากไปกับแกและสองคนนั้นนี่ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร อีกอย่างแกก็ทำท่ากระดี๊กระด๊าอยากไปมาก ถ้าฉันขัดแก แกก็คงจะโกรธฉัน พอดี ตอนเข้าห้องน้ำไปเจอเด็ก
นี่ แล้วฉันพาเขาออกมาข้างนอก ฉันก็เลยได้โอกาส อำว่าเขาเป็นแฟนฉัน  แล้วทำไมเหรอ แกโกรธหรือไง”

ผมตอบ แล้วถามมันกลับ

“ไม่ทำไมหรอก แค่อยากจะขอบคุณนายนะ ที่ทำอย่างนั้นอ่ะ”

เจ้าสันต์ยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี

“มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นล่ะสิ ถึงได้หน้าบานเป็นจานเชิงแบบนี้” ผมดักคอมันอย่างรู้ทัน

“ก็นิดหน่อยนะ อยากรู้ล่ะสิ” มันทำท่าอมพะนำ

“อย่ามาทำเป็นโยกโย้น่า อยากเล่าก็เล่ามา ถ้าไม่อยากเล่า ฉันก็จะได้ไปกินข้าว”

ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ แยกงานที่ทำกำลังทำคั่งค้างอยู่ ออกจากงานที่ยังไม่ได้ทำ ทำท่าไม่ใส่ใจกับเรื่องที่มันจะเล่า เจ้าสันต์คงคันปาก แต่ไม่อยากเล่าง่ายๆ มันรีบหาประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นทันที

“ถ้าฉันยอมเล่า นายก็ต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ”

“ตลกบริโภคอีกแล้ว”

ผมว่ามัน แล้วหัวเราะอย่างขำขำ

“เออน่า นึกว่าสงเคราะห์หน่อย ช่วงนี้ช๊อตว่ะ”

“ทั้งปี หมดเงินไปกับหนุ่มล่ะสิ ก็ได้ฉันเลี้ยงแกแค่มื้อนี้เท่านั้นนะโว้ย”

“ขอบใจมากนะเพื่อน งั้นไปกินร้านเดิมนะ ที่ร้านบ้านคุณป้าน่ะ ไหนๆนายก็เลี้ยงทั้งที อาหารร้านนั้นอร่อย แล้วอีกอย่างหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟที่มาใหม่ หล่อเป็นบ้าเลยว่ะ มีคนบอกมา
ว่างั้น แต่ฉันก็เคยเห็นแว่บๆแค่ครั้งเดียวเอง ยังไม่เคยเห็นหน้าชัดๆสักครั้ง คราวนี้จะได้เห็นสมใจอยาก ถ้าหล่อจริง ฉันก็จะจีบเลยล่ะวะ”

เจ้าสันต์ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ ท่าทางจะหลงเชื่อคำพูดคนอื่นจริงๆ เจ้านี่มันเซนต์ซิทิฟง่าย กับเรื่องหนุ่มๆ เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้ กระดี๊กระด๊าเป็นปลากระดี่ได้น้ำขึ้นมาทันที

“เอาอีกแล้วไอ้บ้านี่ โรคบ้าผู้ชายกำเริบอีกแล้ว  แล้วสองคนนั่นล่ะ เห็นนัวเนียไม่ยอมห่าง”

“อ๋อ......เสร็จฉันไปเรียบร้อยแล้ว เห็นหล่อล่ำ กล้ามโตอย่างนั้น ที่ไหนได้ สาวแตกเลยว่ะ แรกๆฉันก็รู้นะว่าพวกนั้นน่ะไม่ชอบฉันเท่าไหร่ เขาคงชอบแกมากกว่า แต่หลังจากเรา
ผ่านค่ำคืนไปด้วยกัน กลับติดฉันหนึบเลยว่ะ ทั้งสองคนเลย พวกเราใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเลย แทบไม่มีใครได้เห็นเดือนเห็นตะวันกัน เพราะอยู่แต่ในห้อง ฉันอุตส่าห์โทรไปหาแกก็ดันไม่รับสาย จะคุยให้ฟังเสียหน่อย นี่ก็นัดจะไปเจอกันอีกเสาร์หน้านี้ อดใจแทบไม่ไหวแล้ว”


สันต์เล่าด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ ทำท่าอย่างกับเป็นผู้ที่สามารถพิชิตภูเขาลูกที่สูงที่สุดได้ ผมรู้สึกหมั่นไส้ที่มันลั้ลลาเกินเหตุ แล้วก็อดหวั่นวิตกแทนมันไม่ได้ หากมันยังใช้ชีวิตมั่วแบบนี้

“ระวังเอดส์จะถามหาแล้วกัน”

“มือชั้นนี้โว้ย รับรองไม่พลาด ป้องกันสุดฤทธิ์”

“เออแล้วไม่เลือกเอาคนใดคนหนึ่งล่ะวะ มั่วแบบนี้จะดีเหรอ” ผมถามมันอย่างเป็นห่วง

“อ้าว ก็มันดันเลือกไม่ได้นี่หว่า หล่อแล้วก็ถูกใจสองคน ไอ้พวกนั้นก็ถามฉันอย่างนี้เหมือนกัน ฉันก็ให้คำตอบไม่ได้ บอกแต่ว่าสามคนแบบนี้ก็มีความสุขดี อยากลองคบกันไปแบบนี้
สักพักก่อน แล้วค่อยมาบอกว่าจะอยู่กับคนไหน พวกนั้นมันก็ยอมฉันแบบเสียไม่ได้ คงจะติดใจฝีมือฉันอ่ะ”
มันหัวเราะอย่างมีความสุข ดูมันมั่นใจฝีไม้ลายมือของมันที่สามารถจับสองหนุ่มนั่นจนอยู่หมัด แม้ผมจะยังรู้สึกวิตกกังวลในเรื่องของมัน แต่ก็อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้

“หัวเราะอะไร”

มันมองผมอย่างหาเรื่อง คงคิดว่าผมหัวเราะเยาะมัน

“เปล่า”

ผมปฏิเสธ แต่หน้ายังไม่หยุดยิ้ม พอเห็นมันมองผมตาขวาง ผมก็ลุกขึ้น เดินมาหามันแล้วโอบบ่ามันไว้ พามันเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออก

“เดินไป คุยไปดีกว่า เดี๋ยวร้านนั้นคนแน่น จะอดกินนะ”

“เออว่ะ ก็ดีเหมือนกัน”

มันเปลี่ยนจากสีหน้าบึ้งตึงมาเป็นยิ้มแย้ม ข้อดีอีกข้อหนึ่งของเจ้าเพื่อนคนนี้คือ โกรธง่ายหายเร็ว เลยทำให้เราไม่ค่อยจะทะเลาะกัน

“ว่าแต่แกไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย  หายหัวไปไหนมา บอกฉันมาสิ”

มันวกกลับมาถามเรื่องเดิม ผมยิ้มให้มันทำท่าว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“อ่อ เผอิญมีธุระนิดหน่อย”

ผมโกหกออกไป ไม่อยากเล่าความจริงให้เขาฟัง เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่ หมอนี่ยิ่งทำท่าปักใจว่าผมเป็นเกย์อยู่ด้วย

“ธุระอะไรของแกวะ  มันยุ่งมากถึงขั้นไม่รับสายเพื่อนเลยหรือไง”

“พูดไปแกก็ไม่รู้หรอก ขี้เกียจอธิบายด้วย”

“แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ ไปด้วยกันหรือเปล่า”

“ไม่ได้ไป”

ผมโกหกอีกครั้ง จะบอกได้ไงว่า เด็กหนุ่มคนนี้แอบสะกดรอยตามผมไป โปะยาสลบผมจนมึน ลักพาตัวผม มัดผมไว้ ทำอนาจารผม แล้วก็ทำให้ผมต้องตกลงยอมเป็นแฟนกันเขา
โดยไม่เต็มใจงั้นเหรอ ใครจะกล้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้มันฟัง

“ทำไมฉันต้องพาเด็กนั่นไปด้วยล่ะ”

“อ้าว จะไปรู้เหรอ ฉันว่าเด็กนั่นดูท่าทางน่ารักออก ถึงจะเห็นในมุมมืดก็ตาม แต่ท่าทางดูดีเชียว เป็นฉันล่ะก็จะสวมรอยทำตัวเป็นแฟน พาไปเที่ยวกันสองต่อสองซะเลย”

มันทำท่าหื่นกาม ผมอดขำมันไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้มันได้ใจ เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้ จ้องจะงาบ จ้องจะฟัน ผมก็เลยด่ามัน

“ไอ้บ้า ใครจะเหมือนแกวะ ไอ้เฒ่าหื่นกาม เห็นใครหน้าตาดีเป็นไม่ได้เลยนะ ฉันน่ะ พอแกไปแล้ว ฉันกับเด็กนั่นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ฉันช่วยเขา เขาช่วยฉัน จบกัน ไม่มี
อะไรติดค้าง ไม่มีอะไรต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก”

ไม่ใช่หรอก....มีสิ ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้บอกมันออกไป การไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กบ้านั่น มันส่งผลมากกว่าที่ผมจะคาดคิดได้ มันทำให้ผมต้องกลายมาเป็นแฟนเจ้าหมอนั่น ถึงตั้ง 6 เดือนแน่ะ

“ทำไมแกไม่ขอเบอร์น้องคนนั้นไว้วะ” มันต่อว่าผม

“ขอทำไมวะ” ผมงง

“ก็ขอให้ฉันไง”

เจ้าสันต์มองผม ประมาณว่า ผมนี่ช่างซื่อบื้อ ไม่รู้อะไรเลย

“..........”

ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ เจ้าสันต์เห็นผมทำหน้างงๆ มันก็เลยเฉลย

“ก็แกไม่ชอบ แต่ชั้นชอบนี่ เสียดายนะ ที่เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ข้างในมันมืด ตอนออกมาข้างนอก ไอ้น้องคนนั้นก็ดันไปยืนอยู่ในที่มืดๆอีก เหมือนไม่อยากให้ใครเห็นหน้าชัดๆเลย ไปทำความผิดอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็น่าสนวะ ดุจากหุ่นแล้วดีมาก ใบหน้าใต้เงามืดนั่น ฉันก็ว่าต้องหล่อแหงๆ ถ้าแกไม่ชอบก็แนะนำให้ฉันรู้จักก็ได้นี่”

หล่อสิ โคตรหล่อเลยล่ะ แต่ถ้าเพื่อนผมมันรู้ว่าหมอนี่ทำกับผมยังไง มันจะชอบลงเหรอ แต่ก็ไม่แน่หรอก เจ้าสันต์อาจจะติดใจเลยก็ได้ อยู่ดีๆผมก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไรหนอ ถ้าผมแนะนำให้เจ้าสันต์รู้จักเด็กนั่น ถ้าให้มันจีบ แล้วเด็กนั่นเกิดชอบ สองคนนี้เป็นแฟนกัน ผมก็รอดตัว เดียร์ก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผมต่อไป สัญญาของเราสองคน ก็เป็นอันยกเลิกไป


ความคิดของผมสะดุดลง เมื่อเราสองคนเดินไปถึงลิฟท์ มีคนยืนรออยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นคือ “อรจิรา” คนรักที่เพิ่งลาจากกันของผม เธอยืนสวยสง่าอยู่ในชุดสูทไหมพรมคอปิดแขนสั้นสีดำ และกางเกงสีครีมนวล ผมดำสนิทของเธอ ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง เธอกำลังยืนหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับชายหนุ่มร่างใหญ่ แต่งกายภูมิฐาน นายอนันต์ เลิศฤทธิรน ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน ผู้มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอก และลูกชายของหุ้นส่วนบริษัท ศัตรูหัวใจคนสำคัญของผม ผมพ่ายแพ้รักในครั้งนี้ เพราะอรจิรา ตีจากผมไปหาคนที่พร้อมจะทำให้ชีวิตเธอสมบูรณ์มั่งคั่งขึ้น


ผมเดินช้าลง จนเจ้าสันต์สงสัย มันมองตามสายตาของผมจนไปเจอเข้ากับอรจิรา กับแฟนหนุ่มคนใหม่ มันมองหน้าผมอย่างเข้าใจ อรจิรากับเจ้าสันต์ไม่ถูกกันตั้งแต่แรก เพราะอดีตแฟนสาวของผมไม่ชอบให้ผมไปคบกับเพื่อนที่เป็นเกย์ เริ่มแรกเธอกลัวว่าผมจะกลายเป็นเกย์ตามไปด้วย หลังจากที่เจ้าสันต์รู้ว่าอรจิราไม่ชอบมัน มันก็เริ่มไม่ชอบหน้าแฟนผมขึ้นมา นอกจากนี้เจ้าสันต์ยังไม่ชอบที่อรจิราคอยแต่จะงอนผมอยู่ตลอดเวลา แล้วให้ผมเป็นฝ่ายง้อ มันชอบยุยงส่งเสริมให้ผมเลิกกับเธอบ่อยๆ แล้วในท้ายที่สุด ความรักของผมกับเธอก็สิ้นสุดลง แต่ไม่ได้เกิดจากการที่ผมเชื่อคำยุของเจ้าสันต์ แต่เป็นเพราะเธอ เจอคนใหม่ที่ดีกว่า และรวยกว่า
 
.
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 04-05-2008 04:25:26
“สวัสดีครับ คุณอรจิรา”

เพื่อนผมทักทายเธอด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมที่สุด มันโค้งให้อรจิรา ซะหัวเกือบถึงเข่า อรจิรามีสีหน้าตกใจที่เห็นผมกับเจ้าสันต์ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นทำหน้าเชิดใส่

“อ้าวสวัสดีคุณสันต์ คุณเรียว จะไปทานข้าวหรือครับ”

ศัตรูหัวใจของผม ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเขาดูเป็นคนดี น่าคบหา เสียดายไม่น่ามาแย่งผู้หญิงไปจากผมเลย แต่จะโทษเขาก็ไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าอรจิรากับผมเคยเป็นแฟน
กัน เนื่องจากเขาเพิ่งจะมารับตำแหน่งใหม่เพียงแค่หกเดือน อรจิราเก่งมากที่สามารถจับเขาเป็นแฟนได้ เธอเจอเขาเมื่องานปิกนิกของบริษัทเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา อรจิราขึ้นไปประกวด เป็นขวัญใจชาวประกัน แล้วก็คว้าตำแหน่งมาได้ โดยที่นายอนันต์คนนี้เป็นผู้ขึ้นไปมอบรางวัล แล้วสองคนนั่นก็สานความสัมพันธ์กันเรื่อยมา

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ตามองไปที่แฟนสาวของผมที่ยืนปั้นหน้าเชิดอยู่

“หวัดดีอร”

ผมทักทายเธอ แต่อรจิรา เพียงแค่หันมาพยักหน้าให้ผม สันต์เบ้หน้า คงไม่ชอบใจที่เห็น   อรจิรา ทำท่าแบบนั้นกับผม

“คุณอนันต์ไปทานที่ไหนหรือครับ”

เจ้าสันต์หันมาถามศัตรูหัวใจของผม เขาบอกชื่อร้านอาหารอิตาลีหรูหราแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดร้านอยู่ใกล้ๆกับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ร้านนี้ค่อนข้างแพงทีเดียว แพงจนผมคิดว่าคงไม่มีปัญญาที่จะไปกินอย่างนั้นได้บ่อยๆ เขาถามพวกเรากลับว่าไปกินที่ไหน เจ้าสันต์ชิงตอบว่า เราสองคนจะไปทานอาหารที่ร้านบ้านคุณป้า ร้านอาหารเก่าแก่ ที่ต้องเดินไปอีกสองช่วงตึกถึงจะเจอ พวกเราชอบไปกินที่นั่นบ่อย เพราะแม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อย ร้าน ถึงแม้ว่าจะเอาส่วนหนึ่งของบ้านมาทำ แต่การจัดแต่งบ้านก็ดูสวยดี แถมซ้ำบ้านก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ แสดงออกถึงความผูกพันที่แยกไม่ออกระหว่างคนที่เป็นเจ้าของและธรรมชาติ

“ผมเคยเห็นร้านนี้เหมือนกัน บรรยากาศน่านั่ง เป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งดูสวยทีเดียว คิดว่าวันหลังจะไปนั่งทานดูบ้าง ได้ยินมาว่า อาหารร้านนี้ทำอร่อยมาก”

“ครับผมกับเพื่อนชอบไปทานบ่อยๆครับ ทานเป็นประจำ เกือบจะทุกสัปดาห์เลย มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ไปร้านนี้เสมอ คนทำอาหารที่นี่ทำเก่ง แล้วราคาก็ไม่แพงด้วยครับ”

ผมบอกเขาถึงความชื่นชอบที่มีให้กับร้านนี้

“เมื่อก่อนเราไปกันหลายคนครับ แต่ตอนนี้เพื่อนบางคนของเราเขาไม่ชอบทานอาหารไทยแล้ว เขาชอบทานอาหารอย่างอื่นมากกว่า เขาคงเห็นว่า อาหารร้านนี้ มันคงไม่ถูกปาก
น่ะครับ”

เจ้าสันต์อดไม่ได้ที่จะแดกดัน อรจิรา ผมเห็นอดีตคนรักของผม ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เธอเกาะแขนหนุ่มคนใหม่ของเธอโดยอัตโนมัติ และดึงเบาๆ

“ไปกันเถอะค่ะคุณอนันต์ อรหิวแล้ว”

“ก็ดีครับ ผมก็หิวเหมือนกัน”

เขาหันมาบอกเธอด้วยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันมาขอตัวกับผม พอดีลิฟท์มาถึง คนทั้งสองก็ก้าวเข้าไป มีพนักงานบริษัทผมอีกสองคนก้าวตาม ผมทำท่าลังเล จะไม่ไปกับลิฟท์ตัวนี้ แต่เจ้าสันต์ฉุดผมให้ก้าวตามไปด้วย มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอนดันผมให้ไปยืนเผชิญหน้ากับอรจิรา ความจริง ลิฟท์ไม่ได้เต็มจนกระทั่งเบียดกัน แต่มันจงใจที่จะให้ผมเผชิญหน้ากับอรจิรามากกว่า


เธอยืนนิ่ง เม้มริมฝีปาก ตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขที่ระบุชั้น มันค่อยๆเลื่อนลงอย่างช้าๆและเปิดออกตามชั้นต่างๆที่กดเรียก มีผู้โดยสารคนใหม่เดินเข้ามาเรื่อยๆ เจ้าสันต์ก็ยิ่งเบียดผมให้ชิดอรจิรามากยิ่งขึ้น ผมสังเกตเห็นความอึดอัดใจฉายชัดบนสีหน้าและแววตาของอดีตคนรักของผม เธอคงนึกภาวนาให้ลิฟท์มันถึงชั้นล่างไวไว เพื่อที่จะได้ออกไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจนี้


ในที่สุดลิฟท์ก็เปิดออก ผมรอให้คนอื่นๆออกไปก่อน จากนั้นก็รีบเดินออกไปก่อนอรจิรา ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเลิกกันไปแล้ว ผมก็ไม่ปรารถนาจะเป็นศัตรูกับเธอ อย่างน้อยๆในอดีต เราก็เคยรักกัน แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนใจจากผม แต่ผมก็ไม่มีสิทธิจะไปโกรธเธอ เพราะผมเองที่ให้ทุกอย่างที่เธอต้องการไม่ได้
พวกเราเดินแยกไปทางด้านขวาของตึก ส่วนอรจิรา และคุณอนันต์เดินแยกไปทางซ้าย ตลอดทางในการเดินไปยังร้านบ้านคุณป้า ผมไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าสันต์แม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งมันอดรนทนไม่ได้จึงพูดเหน็บแนมผมขึ้นมา


“เห็นแฟนเก่า แล้วทำเป็นอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาเลยนะ ยังตัดใจไม่ได้หรือไง”

“เปล่า”

ผมปฏิเสธ มันไม่จริงทั้งหมดหรอก การได้เห็นอรจิรา มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผมบ้าง แต่เป็นเชิงเห็นอกเห็นใจมากกว่า ผมมีความรู้สึกว่า เธอกำลังปกปิดความลับเรื่องผมกับแฟนคนใหม่อยู่ แล้วการที่เธอทำอย่างนั้นทำให้เธอไม่มีความสุข เพราะต้องคอยระแวดระวังว่า จะมีใครมาเปิดโปงความลับของเธอ

“ฉันเห็นแกมองเขาตาละห้อยเชียว ตัดใจเสียทีเถิดว้า เขาไม่รักแก อย่างที่แกรักเขา ตีจากแกไป หาคนที่ดีกว่ารวยกว่า แล้วทิ้งให้แกชอกช้ำใจ แกจะไปคิดถึงเขาทำไมอีก ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกนะโว้ย แต่ถ้าแกไม่เจอผู้หญิงดีๆจริงๆ ฉันก็จะแนะนำให้แกรู้จักผู้ชายดีๆสักคน เพื่อว่าแกจะมีดวงทางนี้”

เจ้าสันต์พูดปลอบใจผม พร้อมเสนอตัวเป็นพ่อสื่อ ผมฟังข้อเสนอของมันแล้วสะดุ้งเฮือก ตรงที่มันบอกว่า ผมอาจจะมีดวงทางมีแฟนเป็นผู้ชาย คำพูดมันจี้ใจผมจริงๆ

“ไอ้บ้า ไม่มีทางโว้ย”

ผมรีบพูด ใจก็คิดว่า ผมไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นจริงๆหรอก

“จริงๆนะ ผู้ชายบางคนก็เป็นคนที่ดี แล้วก็พร้อมที่จะมีรักแท้ด้วย เพียงรอให้แกเปิดใจกว้างเท่านั้น ฉันว่าถ้าแกมองข้ามเรื่องเพศที่กำเนิดไป แล้วมองถึงความดีในจิตใจของคน แกอาจจะเจอผู้ชายสักคนที่แกถูกใจก็ได้ ฉันว่าหน้าอย่างแกน่ะ หาไม่อยากหรอก หน้าตาออกแนวหวานๆใสๆแบบนี้ มันสเปคเกย์ชัดๆ รับรองมีผู้ชายมาชอบแกเยอะแน่ๆ เพียงแต่พอแกไม่เปิดทางให้พวกเขา เขาก็เลยไม่กล้าเข้ามาหาแกไง”

มันพยายามโน้มน้าวผม ท่าทางคงอยากได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์รักร่วมเพศเพิ่มขึ้นมาอีกคน

“ฉันไม่เปลี่ยนใจเป็นเกย์หรอกโว้ย”

“เออซิวะ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ฉันไม่ได้ให้แกลุกขึ้นมากลายเป็นเกย์ซะเมื่อไหร่ แค่ให้แกลองเปิดโอกาสให้คนที่รักแกเข้ามาในชีวิต อาจจะหญิงหรือชายก็ได้ อย่าปิดกั้นตนเอง อย่าเอาความผิดหวังจากความรักครั้งเก่า มาทำให้แกไม่ยอมจะมีรักอีกครั้งน่ะ”

เจ้าสันต์บอกผม ดูท่าทางมันซีเรียสจริงจัง กับการมี หรือไม่มีแฟนของผมมาก ผมเดาเอาว่า เป็นเพราะความรักเพื่อน ที่เจ้าสันต์มันแสดงออกต่อผม กับความหมั่นไส้ในตัวของอรจิรา ที่ทำให้ผมอกหักช้ำใจ มันต้องการให้ผมมีแฟนคนใหม่เร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงอรจิราอีก แต่การที่มันพยายามให้ผมเปิดโอกาสให้ผู้ชายเข้ามาในชีวิตผมนี่สิ ผมไม่เข้าใจเจตนามันจริงๆ แล้วถ้าผมเกิดมีแฟนเป็นเกย์อย่างที่มันอยากให้เป็น ชีวิตผมในที่ทำงานจะยังมีความสุขเหมือนเดิมไหมนะ แล้วผมนะจะชนะอรจิราจริงๆหรือ จะทำให้เธอคิดว่าผมมีคุณค่าสำหรับเธออย่างที่เจ้าสันต์มันชอบพูดบ่อยๆ หรือจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เธอหัวเราะเยาะหาว่าผมสิ้นท่าจนต้องคว้าเกย์มาเป็นแฟนกันแน่

“แค่แกเปิดใจยอมรับ และเลิกรังเกียจพวกเราเท่านั้นแหละ ฉันว่าแกคงหาคนดีๆได้แน่”

เจ้าสันต์ยังคงโน้มน้าวต่อเนื่อง ผมทำเป็นเฉยๆกับสิ่งที่ได้ยิน นึกในใจว่า แค่เด็กเดียร์คนเดียวก็แย่แล้ว หกเดือนนี้ ผมคงต้องเผชิญอะไรอีกมากมายที่คาดเดาไม่ถูก เผลอตกปากรับคำไปแล้ว ก็ต้องอดทนจนกว่ามันจะสิ้นสุด

“บางทีถ้าแกได้ลองคบกับผู้ชายบางคนดู ได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับเขา ศึกษานิสัยใจคอกันไป นายอาจจะนึกรักคนๆนั้น โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นเพศอะไรก็ได้ ดีไม่ดี อาจจะครองรักกันได้อย่างยาวนานยิ่งกว่าชายจริงหญิงแท้อีกนะ ถึงแม้ว่าพวกเกย์อย่างฉันจะดูว่ามั่ว ดูว่าไม่เคยมีรักแท้ต่อกัน แต่ก็มีหลายคู่ที่อยู่กันมายืนยง โดยไม่เปลี่ยนใจต่อกันเลย
ฉันว่าคนดีๆ ที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างแก คงจะหาผู้ชายดีๆมารัก มาอยู่ด้วยได้แน่”

เจ้าเพื่อนตัวดีของผม ยังคงพล่ามถึงสิ่งดีๆที่ผมอาจจะได้รับ หากผมบังเอิญมีแฟนเป็นเกย์ขึ้นมา ผมคิดว่า เป็นเพราะมันเองนิยมชมชอบในตัวของผู้ชาย มันก็เลยพยายามจะให้ผมได้ลองรักผู้ชายดูบ้าง ผมไม่โต้ตอบอะไร เพราะขี้เกียจพูดเสริม หรือขัดคอมัน ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มันมากความ แต่ในใจนึกหวาดวิตก กลัวจะเป็นอย่างที่มันพูด ผมกลัวว่าเวลา 6 เดือนจากนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงผมไปจากสิ่งที่ผมเป็น

โชคดีที่เราเดินกันมาจนถึงร้านบ้านคุณป้าพอดี เรื่องที่เราคุยก็เลยยุติลงโดยปริยาย ผมเดินนำเจ้าสันต์เข้าไปในร้าน เวลาเที่ยงอย่างนี้ ร้านค่อนข้างจะแน่นพอสมควร ผมพยายามมองหาที่ว่าง แต่ก็ไม่เจอ มีแต่คนนั่งเต็มไปหมด พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นโต๊ะว่างที่อยู่ตรงซุ้มไม้เลื้อย ทางด้านใน ซึ่งอยู่ติดกับสวนสวยบ้านคุณป้า ซึ่งเป็นที่ประจำของผม ซึ่งมักจะมานั่งกินเสมอ แต่ตอนนี้ มีป้ายตั้งวางไว้ แสดงว่ามีคนจองไว้แล้ว ผมมองอย่างเสียดาย อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล แต่ก็ไม่มีที่จะให้นั่งทาน ผมหันหลังกลับด้วยความผิดหวัง แต่ยังไม่ทันจะบอกเจ้าสันต์ให้ไปหากินที่ร้านอื่น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง

“คุณเรียวใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ”

ผมมองพนักงานเสิร์ฟหน้าตาดีที่เรียกผมอย่างงงๆ  งงที่เขารู้จักชื่อผมได้อย่างไร

“ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนี้ครับ”

เขาบอกพลางเดินนำผมและเจ้าสันต์ไปยังทิศทางที่เป็นโต๊ะนั่งตรงซุ้มไม้เลื้อย ผมมองสบตากับเจ้าสันต์ มันแอบกระซิบถามผมว่า ผมจองไว้หรือเปล่า ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วตอบมันไปว่า ผมคิดว่ามันจอง พอมันส่ายหน้า ผมก็ได้แต่เกิดความสงสัยในใจว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ไง ใครมาจองที่ให้ผมกับเจ้าสันต์ เขารู้ได้ไงว่าผมจะมาทานอาหารที่นี่
เจ้าสันต์เตรียมอ้าปากจะถามสิ่งที่มันกับผมสงสัยออกไป แต่ผมส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม คิดในใจว่า จะเป็นใครจองให้ก็ช่างเถอะ ขอไม่ติดใจสงสัยชั่วคราว ตอนนี้ผมหิวแล้ว อยากจะทานอาหารให้เสร็จไวๆ จะได้ขึ้นไปทำงานที่มันกำลังคั่งค้างอยู่ มีงานกองเต็มเลยที่รอให้ผมพิจารณา

“คุณเรียวทาน ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ และไข่ดาวใช่ไหมครับ เราทำเตรียมไว้ให้แล้วครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปาก พนักงานหนุ่มคนนั้นก็สวนขึ้นมา ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ที่เจ้าสันต์อยากมาเจอ ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อน ท่าทางคงจะเพิ่งมาทำงาน ซึ่งเขาไม่น่าจะจำได้ว่าผมชอบสั่งอะไรมาทานเป็นประจำ

เจ้าสันต์มองผมยิ้มๆ ท่าทางมันคงสงสัยแบบเดียวกับผม รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ ทั้งเรื่องโต๊ะ แล้วก็เรื่องอาหาร รวมทั้งการรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผมด้วย ถึงแม้ว่าผมจะมาทานข้าวที่ร้านนี้บ่อยมาก เคยคุยกับเจ้าของร้านบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ทางร้านจดจำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวผมได้ถึงขนาดนี้ เอาเถอะผมขี้เกียจหาคำตอบ เอาไว้ผมกินอิ่มแล้ว และทำงานเสร็จค่อยมาหาว่า มันเพราะอะไร ตอนนี้ผมไม่อยากใช้สมองไปกับเรื่องใดทั้งสิ้น

“อื้อ แหมกำลังอยากจะกินพอดีเลย ขอบคุณนะที่จำได้”

“สงสัยร้านป้าฝึกหัดพนักงานให้จำรายละเอียดสิ่งที่ลูกค้าชอบอ่ะ ก็เลยจัดทำให้ คงจะเป็นบริการใหม่ของร้าน ใช่ไหมจ๊ะน้อง”

เจ้าสันต์พยายามคาดเดา ท้ายเสียงหันไปถามเด็กหนุ่มพนักงานเสิร์ฟเสียงอ่อนเสียหวาน

“ครับ เราพยายามจะให้บริการที่เป็นเยี่ยมครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมา

“แล้วน้องชื่ออะไรล่ะจ๊ะ คราวหลังพี่จะได้เรียกถูก” เจ้าสันต์หยอดอีกแล้ว

“แซ่บครับ”

เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาๆ

“หา อะไรนะ” สันต์ถามซ้ำ เหมือนว่าได้ยินไม่ถนัด

“น้องชื่ออะไรนะ”

“แซ่บครับ ชื่อเล่น” เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นบอกอายๆ เจ้าสันต์ยิ้มกริ่ม หูตาแพรวพราว

“ชื่อเหมาะกับร้านเลยนะ หวังว่าจะแซ่บจริงดังชื่อ”

เด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยความอาย ผมเห็นเจ้าสันต์ส่งสายตาหวานใส่เด็กหนุ่ม มันแสดงความสนใจพนักงานคนนี้จนออกนอกหน้า จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

“นี่ แกสั่งของคาวก่อนดีไหม กินของหวานก่อน ระวังมันจะเลี่ยนนะโว้ย”

เจ้าสันต์หันมาค้อนผม จากนั้นก็บอกชื่ออาหารที่มันต้องการกินออกไป แต่ก็ไม่วายพูดหยอดว่า

“ไม่ต้องจำหรอกนะ แซ่บ พี่น่ะ ไม่ชอบกินอะไรซ้ำชาก แบบเพื่อนพี่คนนี้ พี่ชอบเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอของแซ่บ อุ้ย ของอร่อยถูกใจ”

ผมยิ้มขำกับความพยายามของมัน เจ้าสันต์นี่มันขยันหาช่องทางในการที่จะจีบเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ มันมีบัญชีรายชื่อหนุ่มๆในลิสต์ของมันมากมาย รอให้ทำความรู้จักแล้วสานต่อความสัมพันธ์ น่าแปลกที่เจ้าเพื่อนผมมันรู้สึกสนุกสนานที่ได้ทำอย่างนั้น มันไม่เคยปิดบังในสิ่งที่ตัวเองทำ แถมซ้ำยังไม่สนใจด้วยว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวมันยังไง

มีหลายคนในที่ทำงานรู้ว่าเจ้าสันต์มีรสนิยมทางเพศชอบผู้ชายด้วยกัน ในขณะที่บางคนก็ไม่รู้ เจ้าสันต์ไม่ได้ปกปิด แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยถึงขั้นเที่ยวไปเล่าให้ใครฟัง มันก็อยู่ของมันเฉยๆไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร มันเป็นคนที่บ้างาน ขยันขันแข็ง แต่บทจะเที่ยวมันก็เที่ยวหัวราน้ำเหมือนกัน มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่รู้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของมันก็พากันวิพากษ์วิจารณ์มันอย่างเสียๆหายๆ แต่มันก็ไม่แคร์ ไม่เคยโต้ตอบ แล้วก็ไม่แก้ตัวด้วย มันบอกกับผมว่า เรื่องของมัน ความสุขของมัน คนอื่นไม่เกี่ยว แล้วมันก็ไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาทำให้วิถีชีวิตมันเปลี่ยนไปด้วย ผมล่ะทึ่งกับการใช้ชีวิตของมันจริงๆ

“มาแล้วครับ อาหารตามที่สั่ง”

เด็กเสิร์ฟคนเดิมซึ่งเพิ่งเดินจากไปเมื่อสักครู่กลับมาพร้อมกับถาดใส่อาหาร เขาวาง ข้าวราดปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาไข่ดาว ให้กับเจ้าสันต์ เพื่อนผม หันไปขอบคุณทำตาหวานเยิ้ม

เด็กหนุ่มยิ้มอายๆ แต่ไม่ยอมมองตอบ เขาเอาจานอาหารของผมมาวางตรงหน้า ผมกับเจ้าสันต์มองจานและอาหารที่อยู่ในนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

“ทำไมมันจานใหญ่อย่างนี้ล่ะ สั่งธรรมดานะไม่ใช่พิเศษ”

ผมถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย เมื่อเห็นจานของตนเอง มันเป็นจานขนาดใหญ่กว่าจานของเจ้าสันต์ มีข้าวผัดน้ำพริกวางตรงกลางเป็นรูปทรงถ้วย แต่น่าจะเป็นถ้วยขนาดใหญ่พอสมควร มีไข่ดาวแฝดโปะรูปหัวใจโปะอยู่ข้างบน เครื่องเคียงมากมายอยู่รายรอบจาน  แถมซ้ำมีน้ำพริกถ้วยเบ้อเริ่มและเครื่องเคียงแยกมาให้ต่างหากอีกจานหนึ่ง มันเยอะมากมายกว่าที่ผมเคยทานที่ร้านนี้จนผมเองยังรู้สึกงง

“นี่ขนาดปกติแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มยืนยัน ผมกระพริบตาปริบๆ พยายามนึกว่า ก่อนหน้านั้น ตนเองกินข้าวร้านป้า ขนาดนี้เลยหรือ เจ้าสันต์มองจานข้าวขนาดธรรมดาของตนเอง และจานข้าวขนาดใหญ่กว่าปกติของผมสลับกันไปมา มันโวยวายด้วยความอิจฉาว่า

“ทำไมของเจ้าเรียวได้เยอะกว่าพี่อ่ะ จานใหญ่กว่า กับข้าวก็เยอะกว่า แถมซ้ำ มีจานพิเศษให้อีกต่างหาก ดูสิ ไข่ดาว ก็เป็นไข่แฝด แถมซ้ำยังเป็นรูปหัวใจอีกด้วย”

“ไม่รู้ครับ คนทำอาหาร เขาส่งมาให้แบบนี้ครับ”

. :m13:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 11-05-2008 23:24:10
 :m4: เย่ๆๆๆมีคนมาลงแทนแว้วววววว ขอบคุณมากๆที่เอามาลงแทน แบบว่าหาไฟล์เรื่องนี้ไม่เจอ ไม่รู้ไปเก้บไว้ไหน แล้วก็ลืมไปซะสนิท ไม่ได้เข้ามาเช็คเยย เอิ๊กๆๆๆ  :m23: 

ขอโทษด้วยจ้าพี่เคท ที่ดองเรื่องนี้ไว้ซะนาน  :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 13-05-2008 17:43:14
 :m4:  มาดันให้จ้า
เชียร์น้องเดียร์ กะพี่เรียวสุดฤทธิ์   :a2:
ว่าแต่ ย้ายเรื่องนี้กลับไปห้องนิยายปกติได้ไหมจ๊ะ    :oni2:
จะได้มีคนมาอ่านเยอะๆ ไหนๆก็มาลงต่อแล้วอ่ะ   :L1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 13-05-2008 21:52:17


งั้นผมลงต่อเลยนะค้าบพี่น้อง  จะพยายามมาลงให้ทุกวัน (ถ้างานบ้านนู้นไม่เยอะมากนะ 5555)

เอ...จะยังมีคนอ่านมั้ยนี่  กลัวแป้กจังเลย  พอละไม่พูดมากดีก่า  ไปอ่านต่อกันเลยค้าบ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 4


ท่าทางเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาคงจะงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา ถึงได้มองจานข้าวแล้วก็โวยวายกันขึ้น ทำเหมือนไม่เคยพบเคยเห็น เขาอาจจะคิดว่าพวกเราเรื่องมาก นั่งเปรียบเทียบกันอยู่ได้ ว่าใครได้กินมากกว่าน้อยกว่า ผมเองก็นึกขำในใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมาวิตกกังวลกับเรื่องอาหารในจานด้วย คนเรานี่ก็แปลก น้อยไปก็บ่น มากไปก็ว่า หาความพอดีไม่ได้ เขาทำมาให้กินก็กินไปเถอะ ถ้าบอกว่า ราคาเท่ากับปกติ ได้กินเยอะขนาดนี้ ก็คุ้มไม่ใช่เหรอ


“ลำเอียงจังเลยอ่ะ” เจ้าสันต์ต่อว่า

“อื้ม พ่อครัวใหม่เหรอ” ผมถามเขา รีบเปลี่ยนเรื่อง

“ครับ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวนะครับ แต่วันนี้คงได้มีโอกาสทำอาหารเอง”

“มิน่าล่ะ ถึงทำมาซะเยอะเชียว อาจจะยังกะปริมาณไม่ถูก”


ผมสรุป พลางตักข้าวเข้าปาก รสชาติอร่อยดีไม่เลว

“ฝีมือดีใช้ได้เลยนะ รสชาติต่างไปจากเดิมที่เคยมากินที่ร้านนี้เลย ดูเหมือนไม่ค่อยหวงเครื่องปรุงนะ ใส่มาเต็มที่เลย อร่อยดี”
ผมบอกพนักงานเสิร์ฟ แล้วหันไปพยักเพยิดกับเจ้าสันต์

“จริงเหรอ ไหนลองชิมหน่อย” มันตักข้าวจากจานผมไปชิมบ้าง

“ว้าว อร่อยมากเลย”เจ้าสันต์ร้องอุทาน พลางหันไปหาเด็กเสิร์ฟ

“พ่อครัวคนใหม่คนนี้ เขาเคยทำอาหารที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะน้อง”

“ไม่ทราบสิครับ ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่ ยังไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่า พ่อครัวคนใหม่นี่ เพิ่งจะเข้ามาทำงานก่อนหน้าผมประมาณสัก สองสามอาทิตย์น่ะครับ” 
เด็กหนุ่มตอบข้อซักถามของเจ้าสันต์

“แล้วจานนี้ล่ะ เขาทำหรือเปล่า” เจ้าสันต์ชี้มาที่จานตนเอง พลางเอาช้อนตักขึ้นมากิน

“รสชาติเหมือนเดิมที่เคยกินแหะ แต่ก็ยังคงอร่อยนะ สงสัยพ่อครัวคนเดิมทำ มิน่าล่ะ ได้น้อยนัก”

เจ้าสันต์ยังไม่วายบ่นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอาหารในจาน


“เอ....ยังไงไม่ทราบนะครับ แต่ตามปกติ ในครัวเราจะมีคนทำอาหารอยู่สามคนครับ คือ พ่อครัวคนเก่า 2 คน แล้วก็ผู้ช่วยที่เพิ่งรับมาใหม่นี้ บางทีคุณป้าก็อาจจะลงมาทำอาหารบ้างบางครั้งครับ ถ้าแกว่าง”

“ได้ความกระจ่างแล้วหรือยังวะ”

ผมถามเจ้าสันต์ด้วยความหมั่นไส้ เพราะเห็นว่ามันดูจะติดอกติดใจเรื่องอาหารในจานและพ่อครัวคนนี้นัก ดูโอเว่อร์จนน่าหมั่นไส้


“ให้น้องเขาไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นได้แล้ว รั้งเขาไว้นานแล้ว เดี๋ยวก็โดนเจ้าของร้านดุหรอก”

ผมว่าเจ้าสันต์ มันหันมาขึงตาใส่ผม แล้วก็ออกปากบอกให้พนักงานหน้าใหม่คนนั้นไปทำงานของตนได้แล้ว พอลับหลังเด็กนั่น มันก็พูดเสียงรอดไรฟันใส่ผม


“ไอ้เพื่อนบ้า ไม่เห็นใจคนอื่น ฉันอุตส่าห์หาเรื่องคุยกับน้องเขานานๆ ดันมาทำตัวเป็นมาร
คอหอยอีก”

“อ้าว ก็นึกว่าแกเสียอารมณ์ที่ได้กินอาหารน้อยกว่าฉันเสียอีก เห็นพิรี้พิไรซักถามอยู่นั่นล่ะ ฉันจะไปรู้เหรอ ว่าเป็นแผนของแกที่จะได้คุยกับน้องนานๆ กลัวจะเป็นลมเป็นแล้งเพราะหิวตายซะก่อนนะสิ แล้วก็สงสารน้องเขาด้วย ที่อาจจะต้องถูกดุ เพราะมายืนคุยกับแกนานๆไง”

ผมว่ามันกลับ แล้วก็ทำเป็นไม่ใส่ใจมัน ก้มหน้าก้มตาทานข้าวจนหมด ปล่อยให้มันนั่งฮึดฮัดผมไปคนเดียว ผมรู้ดีว่า มันทำท่าไปอย่างนั้นแหละ คนขี้หลีอย่างมัน พอเจอเด็กหนุ่มคนใหม่หน้าตาดีๆขี้คร้านจะกลับมากระดี๊กระด๊าตามเดิม

พอผมไม่ให้ความสนใจมัน เจ้าสันต์ก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวบ้าง หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ผมก็เรียกเด็กมาคิดเงิน เด็กหนุ่มหายไปสักพัก แล้วก็กลับมาพร้อมใบคิดค่าใช้จ่าย

“แน่ใจนะว่าไม่คิดพี่เพิ่ม” ผมแกล้งถาม

“ครับ คิดให้ในราคาปกติครับ”

เด็กหนุ่มตอบ ผมหยิบใบจากมือเขามาดู คิดราคาตามปกติ อย่างที่เคยกินมาเสียด้วย ดีเหมือนกัน กินจนท้องอิ่ม โดยจ่ายในราคาที่ถูกเหมือนเดิม ผมควักเงินจ่ายให้ไป แล้วทิปให้พนักงานคนนั้น พร้อมทั้งฝากให้เขาบอกผู้ช่วยกุ๊กด้วยว่าอาหารอร่อยมาก จากนั้นก็พากันเดินออกจากร้าน แต่เจ้าสันต์ยังไม่วาย แอบเอานามบัตรยัดใส่มือเด็กหนุ่มแล้วกระซิบกระซาบให้โทรมาหาด้วย ผมส่ายหัวให้กับความเจ้าชู้ของมัน รีบเดินออกมาทันที

ผมแยกกับเจ้าสันต์ หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมกลับมาลุยงานต่อ กะว่าจะทำงานที่กองบนโต๊ะให้หมด ไม่เหลือทิ้งไว้ให้คั่งค้าง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้จะสิ้นปี ตัวแทนประกันชีวิตจะโหมขายประกันกันเข้ามา เพื่อเร่งยอดปิดบัญชี จะได้คุณวุฒิ ผลงานกัน หากผมทิ้งงานไว้ มันจะพอกพูนจนไม่สามารถอนุมัติได้ทันภายในกำหนดเวลา ก็จะมีปัญหาตามมาอีก ซึ่งในฐานะผู้ที่ต้องมีส่วนช่วยรับผิดชอบการในเจริญเติบโตของบริษัท แม้มิได้เกี่ยวข้องทางตรง แต่หากผมและทีมงานสามารถพิจารณาอนุมัติเคสได้มาก นั่นหมายถึงเงินจำนวนหนึ่งที่จะเข้ามาบริษัท ไหลเวียนไปเป็นค่าใช้จ่าย และกำไรให้กับเจ้าของกิจการได้ และส่งผลต่อเงินเดือน โบนัสและค่าคอมมิชชั่นต่างๆที่พนักงานของบริษัท และเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายจะได้รับ


จนกระทั่งทุ่มหนึ่งผ่านไป ผมถึงสามารถเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ผมเอางานชิ้นสุดท้ายที่พิจารณาเสร็จวางไว้บนตะแกรงเอกสารออก จากนั้นก็บิดตัวขับไล่ความเมื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดวัน ผมนั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะตัวใหญ่ในห้องทำงาน เอนศีรษะพิงพนัก แต่ตาเหลือบแลออกไปนอกห้อง พนักงานบางส่วนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่บางคนที่ยังทำงานล่วงเวลาต่อ


ผมลุกออกจากโต๊ะ แล้วเปิดประตูออกไปพูดคุยกับพนักงานในสังกัดของผมที่ยังนั่งทำงานกันอยู่ แล้วถามไถ่ด้วยความห่วงใยถึงงานการที่พวกเขาทำอยู่ พอรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะอยู่ทำโอทีกันถึงสามทุ่ม ผมก็เลยบอกให้พวกเขาสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน โดยที่ผมจะเป็นคนออกเงินให้ พวกเขาดีใจกันใหญ่ ร้องเฮเสียงดังลั่น กล่าวขอบคุณผมที่เลี้ยงข้าวพวกเขา ผมบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นานๆที แล้วพวกเขาก็ทำงานกันหนัก และเหนื่อยกันมากด้วย สมควรจะได้รับการตอบแทนที่ดี


ผมหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้พวกเขา 1000 บาท ก่อนจะขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะผมรู้สึกเหนื่อยมากสำหรับวันนี้ อยากจะกลับไปบ้านไปพักผ่อนเพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงมาต่อกรกับงานหนักในวันพรุ่งนี้ต่อไป


รถติดมาก กว่าผมจะถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม ผมอาบน้ำชำระร่างกาย สระผม แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อย จากนั้นก็มานั่งอยู่หน้าจอทีวี เปิดดูรายการต่างๆฆ่าเวลา ขณะที่รอให้ผมแห้ง ไม่อยากนอนไปทั้งที่หัวยังเปียกๆอยู่กลัวจะเป็นหวัด

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นเบอร์ 02 ที่ผมไม่คุ้นอีกแล้ว

“สวัสดีครับ เรียวพูดครับ”

“หวัดดีครับที่รักของผม” เสียงรื่นเริงที่คุ้นหูดังมาตามสาย

“นายอีกแล้ว นี่โทรมาจากไหนล่ะ”

“โทรที่ตู้สาธารณะครับ ก็ผมไม่มีมือถือนี่นา”

“เอ้อ.....ขอโทษที”

จริงสินะ โทรศัพท์ของเขาถูกผมปาทิ้งจนเสียหายแล้วนี่ มิน่าหมอนี่จึงใช้เบอร์ 02 โทรหาผมตลอดเวลา ดีล่ะ คราวต่อไปถ้าเห็นเบอร์ 02 ขึ้นมาอีก ผมจะได้ไม่รับ แต่คิดอีกที ก็คงไม่รับไม่ได้อยู่ดี เพราะผมจำเป็นต้องเปิดมือถือไว้ 24 ชั่วโมง แล้วก็ต้องรับทุกสาย เนื่องจากว่า บางทีเวลาที่ตัวแทนไปขายประกันมาได้แล้วเกิดไม่แน่ใจว่า ลูกค้าของเขาจะผ่านการพิจารณารับประกันหรือเปล่า เขาจะโทรมาหาผมเสมอ เพื่อให้ช่วยบอกคร่าวๆ ผมก็จำเป็นที่จะต้องให้คำปรึกษา แม้ว่าจะดึกขนาดไหนก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ คนที่โทรมาหาผมจะเกรงใจไม่กล้าโทรมารบกวนเวลานอน ดึกที่สุดก็คือประมาณตีสองที่เคยโทรมา นอกจากนั้นก็แทบไม่มี ถึงกระนั้นผมก็จำเป็นต้องเปิดโทรศัพท์ตลอดเวลา เพราะมันคือนโยบายของบริษัท อีกทั้งตัวโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายเรื่องค่าโทร บริษัทก็ออกให้ด้วย จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะต้องปิดโทรศัพท์ ถึงแม้จะเป็นเวลาพักผ่อนก็ตาม

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 13-05-2008 22:02:47


“ไว้นายว่างวันไหน ฉันจะพาไปซื้อให้นะ”
ผมบอกเด็กหนุ่ม รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งที่โมโหจนทำลายข้าวของคนอื่น

“พรุ่งนี้ดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มถามผม

“ตอนเย็นๆผมพอมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะไปทำงานนะครับ ถ้าไปตอนนั้นก็พอจะได้”

“อืม ขอดูตารางเวลาก่อนนะ”
ผมบอกเด็กหนุ่ม แล้วหยิบสมุดนัดออกจากกระเป๋าหนังซึ่งผมมักจะสะพายไปทำงานบ่อย พลางไล่ดูตารางนัด

“พรุ่งนี้ฉันไม่มีนัด ถ้าไม่มีงานด่วนอะไรเข้ามา อาจจะไปได้” ผมบอกเขา

“เย้ ดีใจจังเลย” เขาร้องอย่างร่าเริง

“อันที่จริง ผมไม่ได้อยากทวงมือถือจากเรียวหรอกครับ ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร ผมยอมให้เรียวได้เสมอ แต่ว่า ที่อยากไปน่ะ อยากไปเที่ยวกับเรียวมากกว่า”
เขาเปิดเผยความในใจออกมา

“แค่ไปซื้อมือถือเท่านั้น ใครจะไปเที่ยวกับนาย”

“แหมไปซื้อมือถือด้วยกัน ก็เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกันนะแหละครับ ผมน่ะชอบทั้งนั้นแหละ ขอให้ได้อยู่ใกล้ๆเรียวเป็นพอ นี่ก็คิดถึงจนใจจะขาดแล้ว อยากให้นาฬิกามันหมุนเร็วๆ จะได้ถึงวันอาทิตย์สักที อยากไปหา อยากไปอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย”

เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อนมาตามสาย

“ทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านช้าล่ะครับ งานเยอะ หรือแวะไปที่ไหนหรือเปล่า”
เดียร์ถามผมด้วยความอยากรู้ ผมนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ในใจนึกว่า นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า ทำไมจะต้องอยากรู้อยากเห็นด้วยว่าผมไปทำอะไรที่ไหนมา ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แค่ตกลงทำสัญญาเป็นแฟนกัน 6 เดือนแค่นั้น แต่เขาก็ไม่ใช่แฟนของผมจริงๆ ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของผมด้วย ผมชักเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วนะ

“โกรธเหรอครับที่ถาม”

น้ำเสียงเด็กหนุ่มไม่สู้ดี คงรู้ตัวว่าคำถามของเขา ทำให้ผมเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ผมนิ่งไม่ตอบอีก พยายามสะกดอารมณ์โกรธไม่ให้พุ่งพล่านออกมา

“ขอโทษนะครับ ผมแค่เห็นว่าคุณกลับบ้านมาดึกมากเลย ก็เลยถามดูนะครับ”

“รู้ได้ไงว่าฉันกลับบ้านดึก”

ผมถามเขาด้วยความข้องใจ เด็กนี่รู้ได้ไงว่าผมกลับถึงบ้านช้า

“ก็......เอ้อ” เด็กหนุ่มอึกอัก

“สะกดรอยตามฉันมาอีกแล้วใช่ไหม” ผมเดา

“.......”

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเงียบบ้าง ผมเลยคิดว่าใช่แน่ๆ เขาคงติดตามผมมาจากที่ทำงาน แล้วก็คงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวๆนี้ มานึกดูอีกที เบอร์ที่เขาใช้โทรมา มันเป็นเบอร์ละแวกบ้านเดียวกับผมเลย

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”ผมถามเขาเสียงขุ่น

“ตรงตู้โทรศัพท์ตรงข้ามบ้านเรียวนะครับ”

เขาอึ้งไปสักพักก่อนจะบอกออกมาด้วยเสียงอ่อยๆ ผมรีบเดินตรงไปที่หน้าต่าง แหวกม่านออก แล้วมองไปที่ฝั่งตรงข้าม หน้าบ้านของพี่สมชาย เยื้องออกไปทางด้านที่ติดกับถนน มีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่ ทางองค์การมาติดตั้งโดยใช้พื้นที่ของหมู่บ้านในการติดตั้งตามจุดต่างๆ

ไฟในตู้โทรศัพท์เปิดสว่าง ผมมองเห็นเดียร์ จากระยะไกล เขายืนหันหน้ามาทางทิศทางที่เป็นห้องของผม ผมรีบหลบแว่บเข้าหลังม่าน ก่อนจะเดินกลับมายังที่นอน

“มายืนอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง”

“สักพักนะครับ ก็ทันได้เห็นคุณเลี้ยวรถเข้าบ้านมานะครับ”

“ตามฉันมาจากที่ทำงานเหรอ” ผมซักไซ้

“เปล่าครับ มาดักรอตั้งแต่เย็น อยากเห็นหน้าเรียวนะครับ”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”

ผมถาม รู้สึกขำแกมรำคาญที่เด็กหนุ่มแสดงท่าทางคลั่งไคล้ผมอย่างมากมายขนาดนี้

“ถ้าไม่ได้เห็นหน้า มันจะนอนไม่หลับนี่ครับ คิดถึงมากๆ อยากอยู่ใกล้ๆ อยากให้เรียวเห็นว่าผมเป็นคนสำคัญของเรียวจริงๆ ก็เลยมาหา อย่าว่าผมเลยนะครับ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่อยากจะพูดว่าอะไรเขาไปมากกว่านั้น ผมเข้าใจดีทีเดียวถึงความรู้สึกที่เดียร์เป็นอยู่ ยามที่เรารักใครบางคน ย่อมอยากจะเห็นหน้าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ดึกดื่นเพียงไร ก็ต้องหาหนทางที่จะไปพบไปเจอให้ได้ ไม่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียงก็ยังดี ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ย่อมรู้ดี เพียงแต่ที่รู้สึกกระอักกระอวลใจ เป็นเพราะว่า ผมเป็นฝ่ายที่ถูกคลั่งไคล้ และถูกติดตามโดยคนที่เป็นผู้ชายเพศเดียวกันกับผม ใครเลยจะทำให้ยอมรับได้ง่ายๆ

“แล้วนี่ ไม่ทำงานหรือไง รู้สึกว่านายจะบอกฉันเมื่อสักครู่นะ ว่ามีงานทำตอนกลางคืนด้วย”

ผมถามเขา พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้ออกไปไกลตัว

“วันนี้ไม่ได้ทำครับ ทุกวันจันทร์เป็นวันหยุดผม แต่ว่า ผมกำลังจะขอเปลี่ยนเป็นหยุดวันอาทิตย์แทนนะครับ จะได้มีเวลาอยู่กับเรียวนานๆ”
ไม่ได้ผลแฮะ วกเข้ามาเรื่องของผมจนได้

“นี่ก็ดึกแล้ว น่าจะกลับบ้านได้แล้วนะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าไม่ใช่เหรอ”

ผมรีบไล่ให้เขากลับบ้าน เพราะไม่อยากคุยกับเขาต่อ อีกอย่างก็เห็นว่ามันดึกแล้ว บ้านเขากับบ้านผมก็ห่างไกลกันมาก เกรงว่าเขาจะกลับลำบาก จากหมู่บ้านผมออกไปถนนใหญ่ ต้องเดินอีกตั้งไกล รถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ก็อยู่ที่ปากซอย จะผ่านมาแต่ละคันก็นานๆมาก หากว่าเขาไม่ได้เอารถมาเอง ก็เห็นจะต้องเดินออกไปเป็นแน่

“ครับ เดี๋ยวคงกลับแล้วล่ะ ได้เห็นแค่นี้ก็พอใจแล้ว ต้องอดทนไว้รอวันอาทิตย์ครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เรียวทานอะไรเป็นอาหารเช้าดี โจ๊กเหมือนเดิมไหมครับ”

เดียร์หยุดรอฟังคำตอบ ผมนั่งนิ่ง นึกไปถึงโจ๊กเมื่อเช้า มันยังคงวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวในครัวอยู่เลย ป่านนี้คงบูดไปแล้วมั้ง

“ฉันไม่ได้อยากกินอะไร บอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมบอกเขาไป ไม่อยากให้เขามาทำเอาอกเอาใจผม

“แต่เรียวฮะ ผมห่วงคุณนะ อยากให้คุณทานอาหารเช้าให้ตรงเวลานะครับ มันดีต่อสุขภาพคุณนะ เอาเป็นว่า ผมซื้อโจ๊กมาให้ทานอีกนะครับ อย่าปฏิเสธเลยนะ ผมอยากซื้อมาให้คุณทานจริงๆ”

แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่า เด็กหนุ่มนี่ มีความจริงใจให้กับผมเพียงไร ผมปิดปากที่กำลังจะเปล่งคำพูดปฏิเสธออกมา

“ผมรู้ว่าคุณลำบากใจใช่ไหมครับ คงกำลังคิดว่า ผมมาวุ่นวายชีวิตคุณมากเกินไปหรือเปล่า แต่ผมห่วงสุขภาพของเรียวนะ อยากให้เรียวแข็งแรง สดชื่นนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”

“ตอนนี้ไม่เป็นแต่หากไม่ดูแลตัวเองบ่อยๆก็จะไม่ดีนะครับ ผมน่ะนะอยากอยู่กับเรียว อยากดูแลเรียวไปตลอดทั้งชีวิตเลยนะครับ”

“เฮ้อ........” ผมถอนหายใจ

“ช่างเถอะ”

ผมขี้เกียจเถียง อยากซื้ออะไร ก็ซื้อมาเถอะ ผมก็คงไม่กินเหมือนเดิม อยากจะเสียเงินก็ทำไป ยังไงเด็กนี่ก็ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าผมไม่กินอาหารของเขา

“อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อมาเถอะ”

ผมบอกเขาอย่างเซ็งๆ นึกในใจว่า เอาให้เจ้าหญิงทานก็ได้

“แล้วนี่ทานอะไรหรือยังครับ”

คำถามของเขาทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ผมมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการทำงาน จนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอาหารการกิน เลยเป็นว่า วันนี้ผมได้ทานอาหารแค่มื้อกลางวันมื้อเดียวเท่านั้น พอ
เด็กนี่พูดถึง ผมก็ดันเกิดหิวขึ้นมาทันที

“ฉันไม่หิว” ผมโกหกเขา

“แต่นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะครับ ข้าวเช้าก็ไม่ได้ทาน กินแต่ข้าวมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นก็ไม่ได้กินอีก ร่างกายจะแย่เอานะครับ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหานะ”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

“ผมไปซื้ออะไรมาให้ทานไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก”

“หรือจะให้ผมไปทำอะไรให้กินดี”

“ก็บอกว่าไม่ต้องไง”

“แต่ว่า......”

“ฉันยังไม่หิวจริงๆ นี่ก็จะเข้านอนแล้ว ไม่อยากกินก่อนนอน เดี๋ยวจะอ้วนลงพุง”

ผมแกล้งทำเป็นพูดตลก เพื่อให้ดูว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ใจอยากให้เขารีบวางหู เพื่อที่ผมจะได้ไปหาอะไรในห้องครัวมากิน น่าจะมีอะไรหลงเหลือพอกินได้บ้างหรอกน่า

“เรียวทำไมถึงดื้อนะครับ ไม่ดูแลตัวเองเลย สงสัยผมคงต้องมาดูแลเรื่องนี้ให้เรียวซะแล้ว”

“ดูแลตัวเองก่อนเถอะ กลับบ้านได้แล้ว นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้ว เอารถมาหรือเปล่า เดี๋ยวกลับลำบากนะ ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาด้วย ดีไม่ดีนายอาจจะต้องเดินไปจนถึงหน้าปากซอยเลยก็ได้”

“ผมขี่จักรยานมาครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวปั่นจักรยานกลับบ้านได้”

“ระวังตัวให้ดีแล้วกัน  ถึงจะดึกมากแล้ว แต่บนถนนก็น่าจะมีรถราอยู่บ้าง ขี่จักรยานก็ดูถนนหนทางดูรถที่ขับสวนไปมาด้วย จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมครับ เรียวน่ารักจังเลย”

เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณผม เสียงอ่อนเสียงหวาน

“ว่าแต่เรียวไม่หิวจริงๆเหรอครับ แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมเข้าไปทำอะไรให้ทาน”

เด็กหนุ่มยังพยายามยื้อ ดูเหมือนเขาพยายามจะเข้ามาในบ้านผมให้ได้

“บอกว่าไม่หิว ก็ไม่หิวสิ ฉันจะนอนแล้วด้วย”

ผมทำเสียงแข็งใส่ ไม่มีวันจะยอมให้เด็กนั่นเข้าบ้านมาเด็ดขาด

“กลับไปบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้”

“ก็ได้ครับ ผมกลับบ้านก่อนนะ ยอดรักของผม ราตรีสวัสดิ์นะครับ ฝันถึงผมบ้างนะ”

เดียร์ทำเสียงจุ๊บๆมาตามสาย ก่อนจะวางหูลง ผมรอสักครู่แล้วก็เดินไปที่หน้าต่าง เดียร์ยังยืนอยู่ที่หน้าตู้โทรศัพท์มีจักรยานอยู่ข้างตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองมาบนห้องผมที่อยู่ชั้นสอง แล้วโบกไม้โบกมือให้ เขาคงเห็นผมที่หน้าต่าง ผมรีบหลบแว่บไปข้างๆ แล้วเดินไปที่ปลั๊กไฟ ก่อนจะปิดไฟในห้องจนดับมืดลง มีเพียงแสงสว่างจากหลอดนีออนบนเสาไฟฟ้าข้างหน้าบ้านที่ให้ความสว่างสาดลอดเข้ามาในห้องเท่านั้น


ผมเดินไปที่หน้าต่าง แล้วหลบอยู่หลังม่าน แอบมองลงไป เดียร์ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ผมเห็นเขาขี่จักรยานเห็นหลังไวๆ ไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน ผมหมุนตัวเดินมาที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน เอามือก่ายหน้าผาก พยายามจะข่มตาให้หลับ แต่ไม่ไหวแล้ว ท้องร้องดังมากๆ หิวจนแสบท้องไปหมด


ผมผลุดลุกขึ้นนั่ง เดินออกไปจากห้องทั้งๆที่มืดๆอย่างนั้น เปิดไฟตรงบันไดทางลง แล้วเดินไปยังห้องครัว อดไม่ได้ที่จะมองถุงโจ๊ก กับปาท่องโก๋ และน้ำเต้าหู้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบมันขึ้นมาทั้งหมดแล้วนำไปทิ้งที่ถังขยะ เปิดตู้เย็นควานหาอาหารที่อาจจะพอหลงเหลืออยู่ในตู้บ้าง แต่ไม่เจออะไรเลย นอกจาก นมสดซึ่งผมซื้อมาทิ้งไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันยังไม่หมดอายุ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 13-05-2008 22:06:03


ผมหยิบกล่องนมออกมา แล้วเทใส่แก้วขนาดใหญ่ แล้วก็ดื่มรวดเดียวจนหมด หวังว่ามันจะช่วยทำให้ท้องผมไม่ว่างจนเกินไป ดื่มนมเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปนอนต่อบนห้อง ผมกลิ้งตัวไปมาบนเตียง พยายามจะหลับ แต่ก็ข่มตาไม่ลง จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืนกว่าๆ ผมถึงได้ผล็อยหลับไป มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงกริ่งดังอยู่หน้าบ้าน แล้วก็เสียงหมาเห่าดังขรม เสียงของเจ้าหญิง สุนัขตัวโปรดของผม ผมเหลือบมองพรายน้ำจากนาฬิกาที่หัวเตียง มันบอกเวลาตีห้าครึ่ง ใกล้จะเช้าแล้ว ได้เวลาที่ผมจะต้องเตรียมตัวไปทำงานแล้ว


ผมผลุดลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วแง้มม่านออกดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าหญิงหมาของผมถึงได้เห่าแบบนั้น แล้วใครกันที่มากดออดบ้านผมตอนเช้ามืดแบบนี้ ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นเดียร์ เพราะเมื่อวานนี้ เขาก็มาที่บ้านผมในเวลานี้เช่นกัน เขาคงเอาหนังสือพิมพ์กับอาหารเช้ามาส่ง ตามที่เขาได้บอกไว้เป็นแน่


สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นความจริง เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจยืนอยู่ที่หน้าบ้านผม กำลังเอาหนังสือพิมพ์สอดไว้ที่ตู้จดหมาย แล้วก็แขวนถุงพลาสติกใส่ของไว้ที่รั้วให้ผมด้วย จากนั้นเขาก็ยืนมองขึ้นมายังตำแหน่งที่เป็นห้องนอนของผมบนชั้นสอง แต่จากความมืดมิด ทำให้ผมสามารถพรางตัวได้จากสายตาของเขาได้ ผมเห็นเขายืนมองอยู่ตั้งนาน เหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเขารอจนกว่าจะได้เห็นผมจากหน้าต่าง หรือ ว่ารอให้ผมเดินออกไปหาเขาที่หน้าบ้านกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ผมไม่ทำทั้งสองอย่าง ผมยังคงยืนนิ่งเฉย มองดูเขาจากหน้าต่างห้องนอนของตนเอง


สักพัก เด็กหนุ่มก็ถอดใจ เขาหันหลังกลับ เดินจูงจักรยานออกไปอย่างหงอยๆ ผมยืนมองเขาสักพัก เมื่อไม่เห็นว่าเขาจะย้อนกลับมาอีก ผมจึง เดินลงไปข้างล่าง เปิดประตูบ้าน แล้วเดินตรงไปที่รั้วหยิบหนังสือพิมพ์ แล้วก็ถุงใส่อาหารขึ้นมาดู มันเป็นโจ๊กใส่ไข่ ใส่หมูสับ และเครื่องใน มีซาลาเปาร้อนๆสองลูก และน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องอยู่ในถุงเดียวกัน

“หนังสือพิมพ์มาส่งให้อีกแล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่ได้รับไง”

เสียงพี่สมชายดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพื่อนบ้านของผมกำลังออกกำลังกายด้วยการเดินอยู่หน้าบ้าน

“ก็ไม่ได้รับจริงๆนะครับ เผอิญมีคนเอามาให้อ่านฟรี”

ผมตอบพี่สมชายในใจ แต่ที่ตอบออกไปจริงๆคือแบบนี้

“อ๋อ เผอิญว่า อยู่ที่ทำงานผมไม่ค่อยได้มีเวลาอ่าน ก็เลยเพิ่งจะรับเองน่ะครับ วันนี้เองน่ะ เมื่อวานนั้น เป็นการบริการฟรีนะครับ”

ไหนๆก็โกหกแล้ว ผมก็เลยโม้ออกไป พี่สมชายจะได้ไม่ต้องซักถามอะไรอีก

“เหรอ มิน่าล่ะ เห็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มายืนรออยู่ตั้งนาน แล้วนี่ฝากให้เขาซื้อของมาให้ด้วยเหรอ”

พี่สมชายยังไม่วายทำท่าสนใจใคร่รู้ ผมมองถุงโจ๊กในมือตนเอง แล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า

“ครับ.....ไม่ค่อยได้กินอาหารเช้า ก็เลยพยายามจะหันมากินบ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำน่ะครับ ก็เลยฝากให้เขาซื้อมาให้ด้วย”

“อื้ม ดีจังเลยนะ บริการพิเศษแบบนี้ สงสัยวันหลังต้องลองใช้บริการส่งหนังสือพิมพ์และส่งอาหารของเด็กคนนั้นบ้างแล้วล่ะ”

พี่สมชายพูดยิ้มๆ ท่าทางเขาเชื่อจริงจังกับเรื่องที่ผมโกหก ผมยิ้มให้เขา แล้วชวนคุยเรื่องลูกๆ เราคุยข้ามรั้วกันสักพัก ผมก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ เตรียมไปทำงาน ผมวางข้าวของทุกอย่างลงบนโต๊ะในห้องครัวแบบเดียวกับที่ทำเมื่อวาน แล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างที่สายน้ำผ่านร่างกายของผม สมองก็ครุ่นคิดถึงเรื่องของเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น


เจ้าเด็กนั่น ไม่หลับไม่นอนหรือยังไงหนอ เมื่อคืนก็กลับดึก แถมซ้ำยังต้องออกมาแต่เช้า เขาส่งหนังสือพิมพ์จนหมดก่อนจะมาบ้านผมเป็นบ้านสุดท้าย หรือว่า ส่งบ้านผมก่อนแล้วไปบ้านอื่นต่อกันนะ แต่ดูจากความร้อนของอาหารที่ใส่มาในถุง มันบ่งบอกว่า เขาซื้อมาก่อนจะมาบ้านผมได้ไม่นาน ทำไมเขาต้องมาทำดีกับผมอย่างนี้ด้วยนะ มันช่างเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าจริงๆ เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่มีทางรักเขาได้ลง แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ได้หรือเปล่า เพราะเราต่างกันทั้งอายุ และความคิด โดยเฉพาะรสนิยม ผมไม่ได้เกลียดชาวสีม่วงก็จริง ยินดีคบเป็นเพื่อนด้วยได้ แต่มันคงทำใจลำบากถ้าจะยอมเป็นเพื่อนกับคนที่เรารู้ตลอดเวลาว่าเขาคิดยังไงกับเรา


ผมไม่อยากให้ความหวัง ผมไม่อยากให้เขาคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผมไม่รู้ว่า หากเขาผิดหวังขึ้นมา เขาจะเป็นอย่างไร มีข่าวบ่อยๆว่าพวกเกย์มักจะชอบทำร้ายร่างกายกัน หรือไม่ก็ฆ่าตัวเองตาย เนื่องจากว่าเกย์มักจะมีอารมณ์รุนแรง ผมได้แต่หวังว่า เดียร์จะไม่เป็นแบบเดียวกับคนพวกนั้น เมื่อเราลาจากกันในวันหนึ่ง ผมหวังว่า เด็กนั่นคงจะทำใจได้ ไม่ฟูมฟายเสียใจจนเกินควร ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รัก หรือรู้สึกดีๆกับเขา แต่ก็ไม่อยากทำร้ายให้เขาเจ็บปวด


ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาข้างล่าง เตรียมจะออกไปจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่เกิดนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้ให้อาหารเจ้าหญิง ผมจึงเดินไปยังตู้เก็บอาหารสำหรับสุนัขของผมในห้องครัว ที่ผมแยกไว้โดยเฉพาะไม่ปะปนกับอาหารของคน ผมเปิดตู้ แล้วก็เอาชามของเจ้าหญิงออกมา วางไว้ แล้วเทอาหารลงไป จากนั้นก็เอามาวางให้เจ้าหญิงที่หน้าบ้าน ผมเดินกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งเพื่อล้างมือ และดื่มน้ำ สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงอาหารและหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินไปยังโต๊ะที่วางของเหล่านั้น ผมพลิกดูหนังสือพิมพ์อ่านพาดหัวข่าวคร่าวๆ


ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจผมได้ หนังสือพิมพ์ลงข่าวแต่พวกเรื่องการเมือง และข่าวฆาตกรรม ผมหยิบหนังสือพิมพ์อีกฉบับขึ้นมาเปิดดู หนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ มีข่าวเกี่ยวกับบริษัทประกันด้วย มีบริษัทใหม่ๆพยายามจะออกสินค้าออกมาแข่งขันกับบริษัทชั้นนำในตอนนี้ เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาด ข้อมูลนี้น่าสนใจ ผมเห็นจะต้องเอาไปอ่านเพื่อศึกษาดู เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแผนการตลาด และการกำหนดเงื่อนไขการพิจารณารับประกันให้ทันสมัย สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และช่วยให้ตัวแทนขายประกันได้ง่ายด้วย


ตอนที่ผมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ถุงโจ๊กที่วางทับอยู่ได้เลื่อนออก แล้วโจ๊กได้กลิ้งออกมาจากถุง ผมมองดูอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดู โจ๊กยังร้อนๆอยู่ ซาลาเปาก็ส่งกลิ่นหอมชวนกิน การไม่ได้กินอะไรเลยเมื่อคืน มันส่งผลมาถึงตอนเช้า ท้องผมยังคงว่างเปล่า ถ้ามีอะไรอยู่ในท้องบ้าง น่าจะทำให้ผมสามารถทำงานในเช้านี้ได้โดยไม่ต้องถูกรบกวนด้วยความหิว


มือไวกว่าความคิด ผมเอื้อมไปหยิบซาลาเปาขึ้นมาใส่ปาก 1 ลูก รสชาติอร่อยดีทีเดียว เด็กบ้านั่นไปซื้อมาจากไหนกันนะ แล้วก่อนที่จะรู้ตัว ผมก็หยิบซาลาเปาลูกที่สองเข้าปากไปแล้ว มันช่วยผมได้มากทีเดียว ช่วยทำให้ท้องไส้ของผมไม่ว่างเปล่า แม้จะไม่มากนัก แต่ผมคิดว่าก็ทำให้ผมหายหิวไปได้พอสมควร

น้ำเต้าหู้จากถุงถูกนำมาเทใส่แก้ว ผมดื่มกินด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อทานเสร็จผมก็อิ่มตื้อพอดี จนทำให้ทานอะไรต่อไม่ไหว ผมหิ้วถุงใส่โจ๊กติดมือไปด้วย ผมไม่ได้คิดจะนำไปกินในที่ทำงาน เพราะผมคงไม่มีเวลากินมันหรอก และผมก็อิ่มแล้วด้วย แต่ไหนๆเดียร์ก็ซื้อมาแล้ว ก็ไม่อยากให้เสียเปล่า เอาไปฝากคนอื่นดีกว่า ผมนึกถึงเจ้าสันต์ขึ้นมา ไอ้เจ้านี่ชอบมาที่ทำงานแต่เช้า แล้วลงไปหาข้าวกิน ผมจะให้มันกินโจ๊กถุงนี้ บางทีมันอาจจะเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่าง เจ้าสันต์และเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นก็ได้


ผมไปถึงที่ทำงานประมาณ 7 โมงครึ่ง เจ้าสันต์เพื่อนเกย์ผู้บ้างานของผม มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน มันหิวซ่กมาเลย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมา จึงทำให้สูญเสียพลังงานขนาดนั้น มันแว่บเข้ามาหาผมที่ห้อง ชวนออกไปกินข้าวด้วยกัน แต่ผมไม่ไปกับมัน เพราะเจ้าซาลาเปา สองลูกกับน้ำเต้าหู้ได้เข้าไปแทนที่ช่องว่างในกระเพาะของผม จนทำให้ไม่เหลือที่ ที่จะจุสิ่งใดลงไปได้อีก โดยปกติ ผมไม่ทานอาหารเช้าอยู่แล้ว ดังนั้นแค่กินอะไรเข้าไปนิดหน่อยก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที


เจ้าสันต์มองหน้าผมอย่างงงๆ ตอนที่ผมยื่นถุงใส่โจ๊กให้มัน จนผมต้องบอกมันว่า โจ๊กเจ้านี้ผมตั้งใจจะซื้อมาฝากมันเพราะเห็นว่าอร่อยดี ส่วนตัวผมทานเรียบร้อยแล้ว และอยากจะทำงานต่อให้เสร็จ พอได้ฟังเรื่องโกหกของผม เจ้าสันต์ซึ่งไม่ค่อยจะคิดอะไรที่ซับซ้อนมากมายเกินกว่าที่มันจะสนใจ ก็คว้าถุงโจ๊กแล้วเดินไปที่แคนทีนทันที
พอเจ้าสันต์เดินออกไป ผมก็เริ่มต้นทำงานต่อทันที ผมจะเป็นคนที่มาทำงานแต่เช้า แล้วก็กลับเย็นมาก บางทีก็กลับดึกเลยหากทำงานยังไม่เสร็จ การเป็นหัวหน้าคนทำให้ผมต้องแบกรับภาระงานที่หนักอึ้ง แถมซ้ำยังต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกน้องในทีม หากผมเหลวไหลเหลาะแหละ ผมก็คงไม่สามารถที่จะคุมใครได้ เวลาทำงานผมจะเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อถึงเวลาพักผ่อน ผมก็สนุกแบบสุดโต่งทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุให้ผมคบกับเจ้าสันต์ได้อย่างยาวนาน เพราะเราสนุกกับการทำงานและสนุกกับการใช้ชีวิตเต็มที่แบบเดียวกัน ต่างกันแค่รสนิยมเท่านั้น ผมน่ะชอบผู้หญิง แต่เจ้าสันต์น่ะชอบผู้ชาย ช่วงหลังๆมานี้ เจ้าสันต์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมเป็นพวกเดียวกับมัน สังเกตได้จากการวิพากษ์วิจารณ์อดีตแฟนเก่าแต่ละคนของผม ขุดข้อเสียๆของเธอขึ้นมา พร้อมๆกับยกย่อง การครองคู่อย่างสมหวังของเกย์ กะเทย ตุ๊ด หรือชายใจสาวทั้งหลาย
ผมไม่ได้บ้าจี้ตามมันไปด้วย แล้วผมไม่โกรธที่มันคิดจะให้ผมเป็นแบบเดียวกับมัน แต่ก็อดขำถึงความพยายามที่จะดึงผมให้ก้าวไปสู่โลกของมันให้ได้ มันเองก็รู้ดีเท่าที่ผมรู้ว่า ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่นอน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงหวัง อาจจะเป็นเพราะผมเป็นผู้ชายแท้ๆที่ไม่คิดรังเกียจเดียดฉันท์คนที่นิยมเพศเดียวกัน มันจึงคิดว่า น่าจะให้ผมเป็นเกย์แบบพวกมันเสียเลย


ขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านจดหมายประกาศ คำสั่งต่างๆจากทางอีเมล์ เจ้าสันต์ก็เดินยิ้มเจ้าเล่ห์เข้ามาหา ผมเหลือบตาดูนาฬิกาที่ข้อมือ อีก 10 นาทีแปดโมง ยังพอมีเวลาคุยกับมันได้

“กินเร็วเชียวนะแก” ผมสัพยอก มันไม่ตอบ แต่กลับพูดเรื่องอื่น

“ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไง”

มันทำสีหน้าเหมือนคนที่บังเอิญไปล่วงรู้ความลับของคนอื่น แล้วเกิดปากคันอยากปูดสิ่งที่ตนเองทราบออกมา
   
“ก็ไม่เคยบอกว่าชอบนี่”

ผมตอบมันไปอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่ามันเข้ามาในห้องผม แล้วทำเป็นพูดจาจับผิดผมทำไม

“แล้วนี่อะไร”

มันยื่นกระดาษชิ้นหนึ่งมาตรงหน้า พอผมจะเอื้อมมือไปหยิบมาอ่าน มันก็รีบชักมือกลับทันที ผมหมั่นไส้ท่าทางลับลมคมในของมันมาก  คิดว่าการที่ท่ามากแบบนี้ แปลว่ามันต้องเจออะไรบางอย่างที่จะใช้มาอำผมได้

“ก็มันอะไรล่ะ” ผมถามอย่างงงๆ

“สงสัยจะเป็นจดหมายรักอ่ะ”
   
ผมใจหายแว๊บ นึกสังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก
   
“แกเอามาจากไหน”
   
“ฉันเห็นมันอยู่ในถุงโจ๊กที่แกเอามาให้ฉันน่ะ”
   
นั่นไง นึกแล้วไม่มีผิด กระดาษนั่น ต้องเป็นของเดียร์แน่ นี่เขาจะเขียนข้อความอะไรที่อ่านแล้วดูทุเรศหรือเปล่านะ ถ้ามีคนมาอ่านเจอ แล้วรู้ว่ามาจากถุงใส่อาหารของผม พวกเขาจะคิดอะไรเลยเถิดกันไปใหญ่หรือเปล่า แต่ถึงยังไง เจ้าสันต์ก็ดันมาเจอเข้าจนได้ คงห้ามความคิดมันไม่ได้แล้ว
   
“เหรอ ขอฉันดูได้ไหม” ผมทวงมันจากเจ้าสันต์

“ไม่ได้ เดี๋ยวแกเอาไปทำลายทิ้งหมด”เจ้าสันต์ไม่ยอมคืนให้ผม

“ฉันอยากรู้ว่าเขาเขียนอย่างไรบ้าง อีกอย่างรู้ได้ไงว่ามันเป็นของฉัน อาจจะเป็นของคนอื่นก็ได้”

ผมยังไม่ยอมรับ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันหล่นอยู่ในถุงของแก ฉันเจอ เห็นว่ามันน่าสนใจ ถ้าไม่ใช่ของแกก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นจะต้องมาเดือดร้อนนี่ แต่ถ้าแกสนใจนัก ฉันจะอ่านให้ฟังแล้วกัน”


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 14-05-2008 05:49:01
ส่วนใหญ่คนอ่านมาจากบอร์ดปาล์มกับกูซ่าส์มาหมดแย้วอ่ะ ที่อื่นเค้าก็ลงจนจบแย้ว แต่ในเล้าพึ่งเอามาลง เหอะๆ ทำใจๆ เด๋วจะย้ายไปไว้ที่ห้องนิยายปกติให้ละกันเน้อออ  :a1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-05-2008 18:47:10
ช่วยลงภาค 2 จนจบ หน่อยน๊า :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:24:37

บทที่ 5


เจ้าสันต์ถือกระดาษแผ่นนั้นอยู่ในมือ แล้วอ่านด้วยเสียงอันดัง

“ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยชอบทานอาหารเช้า แต่ผมอยากจะขอร้องให้คุณเปลี่ยนแปลงตนเองหน่อยนะครับ ผมห่วงคุณมาก อยากให้มีสุขภาพแข็งแรง โจ๊กเจ้านี้อร่อยนะ ทานซะหน่อยนะครับที่รัก อย่าปล่อยให้ท้องว่างเลยนะ  รักนะ ... คนแก่โง่”

ใช่เลย ข้อความแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากนายเดียร์ เด็กบ้าจอมจุ้นจ้าน รู้สึกว่าจะชอบวุ่นวายกับชีวิตผมมากเกินไปซะแล้ว

“คนเขียนคงห่วงใยแฟนตนเองน่าดูเลยนะ” เจ้าสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์

“งั้นเหรอ คงเขียนให้แฟนตัวเองล่ะมั้ง อาจจะเป็นของเจ้าของร้านโจ๊กก็ได้ที่เผลอใส่มา”

ผมยังไม่ยอมรับ และไม่มีวันจะยอมรับด้วย ทั้งเรื่องเจ้าของข้อความ และเรื่องนายเดียร์

“แน่ใจนะว่า เจ้าของร้านโจ๊กนั่นไม่ได้ใส่ข้อความนี้ถึงนาย”

เจ้าสันต์ถาม ทำท่ากระสันอยากล้วงความลับผมเต็มที่ แต่ผมยืนกรานปฏิเสธ

“อื้ม ฉันยอมเชื่อนายก็ได้ แต่มันน่าแปลกอยู่นะ ที่เขาเผอเรอใส่สารรักลงมาในถุงโจ๊กของลูกค้า มันง่ายต่อการเข้าใจผิดนะเนี่ย ถ้าหากฉันเป็นคนซื้อโจ๊กไม่ใช่นาย ฉันต้องคิดว่า คนขายนั่นต้องรักชอบฉันแน่ ว่าแต่ เขาหล่อไหมวะ”

มันถามผม เอาอีกแล้ว เจ้างูแก่เจ้าเล่ห์บนหัวของเจ้าสันต์เริ่มออกทำงาน

“เอ้อ.....”

ผมอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะไม่รู้จริงๆว่าคนขายหล่อหรือเปล่า เนื่องจากไม่ได้เป็นคนซื้อ เจ้าสันต์มองผมอย่างสงสัย ผมเลยจำเป็นต้องโกหกอีก

“ไม่หล่อหรอก เป็นอาแป๊ะแก่ๆน่ะ”

“อาแป๊ะเหรอ เขียนซะหวานขนาดนี้เนี่ยนะ แล้วคนแก่นี่ ไม่ได้มีลูกเมียไปแล้วเหรอ คิดยังไงจะมาเป็นเกย์เอาตอนแก่”

มันพูดเป็นเชิงตั้งคำถามเอากับผม ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังจับโกหกเด็ก

“เอ๊ ฉันจะไปรู้ได้ไงวะ แกนี่ก็แปลก พยายามจะยัดเยียดให้ฉันตอบอยู่นั่นแหละ อาจจะเป็นของใครก็ได้ ของลูกเขาก็ได้ ของตัวเขาก็ได้เหมือนกัน แล้วไอ้จดหมายรักบ้าบออะไรที่แกว่านี่ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เขาส่งให้ใคร ผู้หญิง หรือผู้ชาย แกจะมาสรุปเอง คาดเดาเองทำไมวะ เป็นนักสืบหรือไง”

ผมโวยกลับใส่มันเสียงค่อนข้างดังเหมือนกัน ทำท่าโมโหที่มันเที่ยวได้วุ่นวายในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัว แถมซ้ำยังมากล่าวหาคนอื่นอีกด้วย เจ้าสันต์ทำสีหน้าแหยๆ คงนึกว่าผมโกรธจริงๆ

“แหม อย่าโกรธสิวะ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

“ล้อเล่นอะไรอย่างนี้วะ แกทำยังกับว่าฉันเป็นเจ้าของจดหมายปริศนานั่นซะเอง ทำไมวะ อยากให้ฉันเป็นพวกเดียวกับแกนักหรือไงวะ”

“แหม ก็ดีนะ ถ้าแกเป็นพวกเดียวกับฉัน ฉันจะได้จีบแกซะเลย แอบหลงรักมานานแล้วว่ะ ผู้ชายอะไรวะ หน้าเนียนชิบเป๋ง แกน่ะ น่ากินรู้ไหม เป็นแฟนฉันนะ รับรองแกจะติดใจจนลืมผู้หญิงเลย มามะ มาจอยกัน จอยกัน มาสิมา มาจอยกัน จอยกัน”

เจ้าสันต์ทำทะเล้นด้วยการร้องเพลงตลกๆ มันรู้ดีว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มจะโมโห มันต้องล่าถอยแล้วก็เอามุขบ้าๆบอๆเข้าหาผม เพราะผมเป็นคนเส้นตื้นหัวเราะง่าย โกรธแป๊บๆเดียวก็หายแล้ว เจ้าสันต์มันรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี มันเลยไม่ชวนผมพูดจาในสิ่งที่จะเป็นชนวนให้ทะเลาะกันต่อ

ผมยิ้มขำๆให้กับท่าทางของมัน ไม่ได้ถือสาคำพูดที่มันพาดพิงเกี่ยวกับตัวผม เจ้าสันต์มันพูดแบบนี้เป็นประจำ จนผมเริ่มคุ้นเคยกับวิธีการพูดของมันแล้ว แต่ผมรู้ดีว่า ความที่พวกเราเป็นเพื่อนกันมานาน มันไม่มีทางที่จะจีบผมไปเป็นแฟนมันหรอก แล้วมันก็รู้ว่า ถึงแม้มันจะจีบจริง ผมก็ไม่มีทางจะชอบมันได้เกินเพื่อน หรือจะพูดให้ชัดเจนลงไปอีกก็ได้ว่า ผมไม่มีทางชอบเกย์หรอก

“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน

“เดี๋ยวลูกน้องแก กับลูกน้องฉันมาเห็นเข้า ก็ได้เอาไปนินทาหรอก ทำตัวให้มันสมกับเป็นหัวหน้าคนหน่อยสิวะ”

“อ๋าย อะไรวะ เรื่องหัวใจกับเรื่องงานการมันคนละเรื่องกันโว้ย ใครขืนแหยมสิ จะไม่ให้ขึ้นเงินเดือนและโบนัสเลย”

“ทำเป็นพูดดีไปเหอะ ระวังจะถูกลูกน้องร้องเรียนพฤติกรรมว่า เจ้านายไม่ทำอะไรเลย วันๆเอาแต่คุยเรื่องหนุ่มๆ”

ผมว่ามันอีก แต่มันยักไหล่ทำท่าไม่สะทกสะท้าน อาจจะเป็นเพราะว่านี่คือการพูดเล่นระหว่างเรา ไม่ใช่เรื่องจริง มันจึงไม่กลัว กล้าที่จะคิด หรือพูดอะไรที่เกินจริงออกมาได้

“ก็ลองดูสิ ใครมันจะกล้า”

“อ๋อออออ ฉันลืมไป ว่านายน่ะ มันเป็นหัวหน้าจอมเผด็จการ ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่ท่านฮิตเลอร์ จะย้ายก้นไปทำงานที่ห้องของตนเองซะที นี่มันได้เวลางานแล้ว กระผมจะทำงานขอรับ”

ผมขี้เกียจคุยกับเจ้าสันต์ เพราะท่าทางมันจะไม่ยอมออกจากห้องผมไปง่ายๆ คิดอยากจะเคลียร์งานให้มันหมดๆ เพราะช่วงใกล้สิ้นปี เป็นเวลาที่ยุ่งมาก ตัวแทนประกันชีวิตจะขายอัดๆกันเข้ามา เพราะทุกคนอยากได้ผลงาน อยากได้คอมมิชชั่น รวมถึงพยายามให้ติดคุณวุฒิท่องเที่ยวต่างๆที่ประกาศด้วย หากพวกผมพิจารณางานได้ล่าช้า ผลงานอนุมัติไม่ทันคงจะโดนพวกฝ่ายขายเล่นงานจนนั่งไม่ติดแน่

“ไปก็ได้วะ ไล่อยู่ได้ กลางวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านคุณป้านะ ฉันอยากเจอน้องแซ่บน่ะ เขาน่ารักดีนะ”

เจ้าสันต์หันมาชวนผมก่อนไป ผมล่ะหน่ายกับความเจ้าชู้ของมันเสียจริง

“อ้าว แล้วสองหนุ่มที่แกเจอที่สีลมซอยสองล่ะ เลิกคลั่งไคล้แล้วเหรอวะ”

ผมถามมันอย่างอยากรู้ ไอ้เจ้านี่ มันช่างเปลี่ยนใจได้ไวเสียจริง

“ก็ยังคงชอบยู๊”  มันทำเสียงสูง

“แต่แหมจะให้ซ้ำซากจำเจอยู่ได้ไง ก็ต้องเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆอ่ะ มันเป็นกำไรชีวิตนะ”

“ระวังสองหนุ่มนั่นจะมาแหกอกเอานะ พ่อคนจับปลาหลายมือ” ผมค่อนขอด

“ไม่มีทางหรอกเฟ้ย ฉันจัดการได้น่า สองคนนั้นไม่กล้าหือหรอก มือชั้นนี้แล้ว”

มันคุยเขื่อง ผมขี้เกียจเถียงมันเลยโบกไม้โบกมือไล่ให้มันไปทำงานทำการ แต่มันก็คาดคั้นให้ผมตกลงไปทานข้าวกับมันจนได้


พอเจ้าสันต์ไปแล้ว ผมก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า เมื่อวานผมพิจารณาเคสหมดไปแล้ว แต่วันนี้ก็มีเคสใหม่ๆมาให้ผมตัดสินใจอยู่อีกกว่า 20 เคส ซึ่งผมคิดว่า กว่าจะพิจารณาหมดก็คงใช้เวลานานมาก วันนี้คงกลับดึกอีกเช่นเคย เป็นแบบนี้เสมอ


ช่วงสามเดือนสุดท้าย เพราะคุณวุฒิรางวัลใหญ่ๆรอพวกตัวแทนอยู่ ห่างพวกเขาสามารถทำยอดผลงานได้ดี เขาก็จะได้รางได้ผลตอบแทนคุ้มค่าเหนื่อย มันจึงเป็นความกดดันอย่างมากระหว่างพวกพนักงานและฝ่ายขาย หากเราไม่อนุมัติให้เขา ก็จะถูกต่อว่า บางรายถึงกับโทรมาด่า และร้องเรียนไปจนถึงผู้ใหญ่


บางวันผมและลูกน้องในแผนกแทบไม่ได้ทำงานทำการมัวแต่รับสายที่จะโทรมาคอยถามไถ่ว่าผลงานของพวกเขาอนุมัติหรือยัง ถ้าได้ ทุกคนก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะมีคำถามมากมายที่จะต้องตอบ ตอบดีก็ดีไป ตอบไม่ถูกใจก็โดนด่า บางคนก็ด่าอย่างหยาบคาย หลายครั้งเล่นเอาพวกผมเลือดขึ้นหน้า แต่ก็ต้องอดทน ผมต้องบอกให้ลูกน้องของผม พยายามสงบสติอารมณ์ ระงับความโกรธที่อาจจะมีหากถูกฝ่ายขายด่า แล้วให้พยายามเข้าใจธรรมชาติของพวกเขาแต่ละคน งานขายประกันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะขายมาได้แต่ละราย พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ ทั้งการดูถูกเหยียดหยามจากลูกค้า ความไม่เข้าใจ และชื่อเสีย แต่ก่อนเก่า ที่ตัวแทนไม่ดีบางคนไปทำเอาไว้ ทำให้ลูกค้าเข็ดขยาดไม่อยากทำประกัน เมื่อขายมาได้แล้ว ก็ต้องมานั่งลุ้นว่าจะผ่านขั้นตอนการพิจารณารับประกันไปได้หรือไม่ หากบริษัทไม่สามารถรับความเสี่ยงของลูกค้าได้ ก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะอธิบายให้เขาพึงพอใจ แต่บางทีความคาดหวังของตัวแทนก็สูงมาก ทั้งๆที่เราบอกถึงเหตุขัดข้องให้พวกเขาทราบแล้ว เขาก็ยังคงไม่ฟัง ไม่ยอมเข้าใจอยู่ดี


ผมเคยเจอเข้ากับตัวเองครั้งหนึ่ง ลูกค้าที่ตัวแทนประกันไปขายมา เป็นเกย์เจ้าของร้านทำผมฝีมือดี และเป็นคนฐานะดีด้วย ดูจากความสามารถในการหารายได้กับชื่อเสียงของเขา เราสามารถที่จะรับประกันได้ ถึงแม้คนที่เป็นเกย์จะมีความเสี่ยงสูงในเรื่องโรคเอดส์ และ เสี่ยงต่อเรื่องการดำเนินชีวิตที่อาจจะพัวพันกับการฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรมได้ แต่จากชื่อเสียง ฐานะ และการศึกษา มันทำให้เชื่อใจได้ว่า ความเสี่ยงที่เขามีอยู่ มันพอที่จะรับประกันได้ในอัตราปกติ


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:26:49

เมื่อก่อนบริษัทของเรามีกฎเกณฑ์ในการรับประกันอย่างหนึ่งคือ จะไม่รับประกันคนที่มีความเสี่ยงภัยต่อการติดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ พวกที่มีอาชีพเสี่ยงอย่างเช่น ช่างแต่งหน้า ทำผม สจ๊วต นักแสดง ลูกเรือที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานานๆ หรือแม้แต่พวกที่เคยมีประวัติถูกปฏิเสธการบริจาคโลหิต ผู้ที่มีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ คนพวกนี้เราจะพิจารณาเป็นพิเศษ แล้วก็มีแนวโน้มที่จะไม่รับทำประกัน ซึ่งจากกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้เข้มงวดอย่างนี้ จึงทำให้บริษัทประกันชีวิตทั้งหลาย ได้รับการต่อต้านจากชมรมไม้ป่าเดียวกันอย่างมาก

แต่ต่อมา การใช้ชีวิตของผู้ที่มีรสนิยมเบี่ยงเบนทางเพศ ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยขึ้น รู้จักเซฟเซ็กส์ ใส่ถุงยางอนามัย และไม่ค่อยมั่วกันมากเหมือนเมื่อก่อน กฎเกณฑ์การพิจารณาก็ผ่อนปรนลง โดยที่จะมีการรับพิจารณาเป็นรายๆไป ทั้งนี้ เราต้องสามารถเชื่อใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของพวกเขาได้ โดยดูจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ประวัติสุขภาพ การศึกษา และฐานรายได้ นำหลายๆอย่างมาประกอบกัน ทำให้บริษัทของผมสามารถที่จะรับประกันเกย์หรือคนที่เบี่ยงเบนทางเพศเข้ามาหลายคน

แต่สำหรับเคสเจ้าปัญหาที่เป็นช่างตัดผมคนนี้ ตามประวัติ เขาใช้ชีวิตที่มั่วทางเพศมาก มีข่าวว่าเขาเปลี่ยนคู่นอนหลายคน และลูกค้าเคยมีประวัติการไปตรวจเลือดถึง 5 ครั้งด้วยกัน ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เราจึงใช้วิธีการของเรา จนสืบได้ว่า ลูกค้าคนนี้ถึงแม้จะมีคู่ควงเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ยังนิยมเที่ยวตามบาร์ และซาวน่าเกย์ แล้วก็ซื้อเด็กผู้ชายขายบริการมานอนด้วย ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า เขาน่าจะเผอเรอไม่ป้องกัน หรือมีเหตุบางอย่างที่ทำให้คิดว่าตนเองไม่ปลอดภัย จึงต้องไปตรวจเลือดมาหลายครั้ง


นอกจากนี้เขายังซื้อประกันในวงเงินที่สูงมากอีกด้วย และซื้อสัญญาสุขภาพแบบเต็มลิมิต เมื่อพิจารณาแล้ว ผมเห็นว่า เราน่าจะรับประกันชีวิตเขาได้ แต่ต้องปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องค่ารักษาพยาบาล เพราะเขาใช้ชีวิตในแง่มุมที่เสี่ยง มากเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบในเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้เขาได้ แต่สำหรับเรื่องการประกันชีวิตและการออมทรัพย์ ยังเห็นควรว่าน่าจะรับประกันได้อยู่ ผมจึงแจ้งผลการตัดสินใจให้กับตัวแทนทราบ ตัวแทนโทรมาโวยวายขอเหตุผล ผมก็บอกเขาไปดีๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปบอกลูกค้าอีท่าไหน ลูกค้าโทรมาด่าบริษัท หาว่าไปสอดแนมเรื่องส่วนตัวของเขา รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเอดส์ มากล่าวหาเขาแบบนี้เขาเสียหาย


แม้ว่าผมจะอธิบายให้เขาฟังว่า บริษัทไม่ได้ฟันธงว่าเขาเป็นเอดส์ เพียงแต่การใช้ชีวิตของเขามันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติทั่วไป และอาจจะเป็นเหตุให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องตามมาในภายหลัง ซึ่งการเฉลี่ยความเสียหายมันอาจจะก่อไม่เกิดความยุติธรรมต่อคนที่จ่ายเบี้ยคนอื่นๆ เราจึงไม่อาจจะรับประกันสุขภาพของเขาได้ แต่เราก็ยินยอมที่จะรับประกันชีวิตของเขา ใช่ว่าเราจะปฏิเสธไม่รับทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ แต่เขาก็ไม่พอใจ ทั้งตัวแทนและลูกค้ารุมถล่ม ผม และบริษัทกันใหญ่ มีการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ จนบรรดาชาวสีม่วงออกโรงประท้วง ไปตั้งกระทู้ด่าบริษัทผม และธุรกิจประกันตามเวปไซต์ต่างๆ หาว่าเรารังแกชาวสีม่วง เหยียดเพศ เหมือนกับเหยียดผิว


ถึงจะโดนด่าอย่างไร แต่ผมก็ยืนกรานบนความถูกต้อง เพราะถือว่าได้อนุโลมให้จนถึงที่สุดแล้ว ลูกค้าก็เลยไม่ยอมทำประกัน แถมซ้ำยังยกเลิกกรมธรรม์เดิมที่ทำไว้กับบริษัทเราอีกด้วย ทำให้ตัวแทนสูญเงินค่าคอมมิชชั่นนับแสน โกรธจัด จะเล่นงานผมจนหลุดจากหน้าที่การงาน แต่ผู้ใหญ่ของบริษัท เข้าใจดีว่าผมทำดีที่สุดแล้ว และหาช่องทางให้กับลูกค้ารายนั้นด้วย แต่ลูกค้าไม่ยอมรับข้อเสนอที่เราให้ ได้ข่าวว่า เขาไปสมัครทำประกันที่บริษัทอื่นด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็ได้ยินข่าววงในแว่วมาว่า ลูกค้ารายนี้ติดเอดส์จริงๆจากเด็กที่เขาไปซื้อบริการ จึงนับว่าการตัดสินใจของผมถูกต้องจริงๆ   


ภายหลังเวลาที่ผมเจอตัวแทน และผู้บริหารต้นสังกัด เจ้าของเคส เขาไม่ยอมพูดกับผม และหาเรื่องแขวะผมตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำไปจะปรากฏในเวลาต่อมาว่าเป็นเรื่องถูกต้องก็ตาม แต่การที่ทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์มันทำให้เขาอภัยให้ผมไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร ผมกับลูกน้องก็ต้องอดทนไม่แสดงอารมณ์โต้ตอบ การทำงานในฐานะการเป็นผู้ให้บริการ ต้องมีเซอร์วิสไมนด์เสมอ จะแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ บางครั้งผมก็เครียดจัด เลยต้องหาทางออกโดยการเที่ยวกลางคืนบางครั้งเพื่อให้ผ่อนคลายจากปัญหาเรื่องการทำงานทั้งปวงที่ถมทับอยู่ทุกวัน แต่ผมก็จะกลับมาเป็นคนที่เอาการเอางานทุกครั้งเมื่อถึงเวลาทำงานปกติ ไม่เคยทำตัวหงุดหงิด หรือสติแตก ให้ลูกน้องหมดกำลังใจ และหมดศรัทธาในตัวผม จะมีก็แต่เรื่อง อรจิรา เท่านั้น ที่ทำให้ผมเกือบกลายเป็นคนเสียสติ อยู่พักหนึ่ง


ผมโอนสายโทรศัพท์ไปยังโต๊ะเลขา ให้ฝากเรื่องไว้ แล้ว ในเรื่องการตอบคำถาม ผมจะมีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามในเบื้องต้นให้ก่อน คำถามประเภทที่ว่า อนุมัติหรือยัง อนุมัติเมื่อไหร่ ติดขัดอะไรบ้าง เอกสารที่ต้องขอ โดนเมมโม เรื่องอะไร เทือกนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผมมาตอบ เพราะมันเป็นเรื่องที่พนักงานในฝ่ายสามารถที่จะตอบได้ก่อน และไม่เสียเวลาด้วย ฝ่ายขายจะได้รู้ว่า งานของเขาที่ส่งเข้ามาอยู่ในขั้นตอนตรงไหนแล้ว


ตลอดทั้งเช้า ผมนั่งพิจารณาใบคำขอที่ส่งเข้ามา ไปได้ 5 เคสเท่านั้น เนื่องจากเป็นเคสวงเงินสูง และมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเยอะ ทั้งประวัติสุขภาพ สถานะทางการเงิน ความสามารถในการชำระเบี้ย และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้ว


เจ้าสันต์มายืนผมหน้าห้องอย่างกระสับกระส่าย มันไม่กล้าเข้ามา เพราะผมสั่งเลขาไว้ว่า ไม่ต้องการจะพบกับใคร ซึ่งเลขาของผมก็ทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด เธอไม่ยอมให้เจ้าสันต์เข้ามาหาผมจริงๆ ถึงแม้เจ้าสันต์จะขอเข้ามาพบ แต่เธอก็ไม่ยอม ยืนกรานคำพูดของผมที่สั่งเอาไว้  จนมันต้องโทรมือถือเข้ามาหาผม ซึ่งผมก็บอกว่าให้มันรอก่อน เพราะผมมีงานติดพัน ไม่อยากทิ้งไปกลางคัน เพราะต้องมาเริ่มต้นพิจารณาใหม่ อยากให้เสร็จเป็นเคสๆไป มันทำท่าว่าจะขอเข้ามานั่งด้วยในห้อง จนผมต้องดุมันว่า ถ้ามันรอไม่ได้ ก็ให้มันเดินไปกินร้านป้าก่อนได้เลย มันบ่นมาตามสาย ว่าไปช้า คงไม่มีที่นั่งแน่ๆ แต่ผมไม่สนใจ ขืนตามใจมัน ก็เท่ากับต้องเริ่มงานที่ได้ทำไปแล้วใหม่ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ


เรามาถึงร้านคุณป้าตอนเที่ยงจะครึ่ง น่าแปลกมีคนจองโต๊ะให้เราไว้ที่มุมเดิมอีกแล้ว ผมเก็บความแปลกใจไว้ไม่พูดอะไรมากมาย เพราะว่ากำลังหิวอยู่พอดี นึกในใจว่า ครั้งหน้าจะพยายามมาให้เร็ว แล้วก็ลองสอบถามเด็กในร้านดูดีกว่า ว่าทำไมเจ้าของร้านจึงใจดีนัก จองให้ผมทั้งๆที่ผมไม่เคยโทรสั่งจองเลย เจ้าสันต์ก็ไม่ได้โทรจองด้วย จะว่าเป็นเพราะพวกเราเป็นลูกค้ากินกันมาเป็นประจำหลายปีแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะบางครั้งผมก็เดินไปกินร้านอื่นๆ เช่นพวกก๋วยเตี๋ยว หรือ ข้าวมันไก่บ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นการจองที่ให้พวกผมตลอดเวลา ก็เสี่ยงต่อการที่จะเสียลูกค้ารายอื่นๆหากผมและเจ้าสันต์ไม่มาทานที่นี่


ครั้นจะโวยวายไปก็ใช่ที่ เดี๋ยวทางร้านจะเสียหาย แล้วอีกอย่างก็ไม่เห็นว่าจะต้องโวยวาย หรือสอบถามอะไรในช่วงที่คนแน่นร้านอย่างนี้ ดีไม่ดี คนที่มารอแล้วไม่มีที่นั่งจะเขม่นเอา รวมถึงเจ้าของร้านจะถูกต่อว่าด้วย ผมจึงไม่พูดอะไรออกมา นอกจากร้องขอเมนูจากพนักงานเสิร์ฟ

แซ่บ เด็กเสิร์ฟ หน้าตาน่ารักของเจ้าสันต์ถือเมนูปราดเข้ามาหาทันที เขายื่นเมนูมาให้ผมกับเจ้าสันต์ ในมือถือกระดาษและปากกาเตรียมจดออเดอร์ พร้อมกับยิ้มให้กับเราสองคน ผมพยักหน้าให้เขา แต่เจ้าสันต์ยิ้มตอบอย่างหวานที่สุด จนผมรู้สึกเลี่ยนขึ้นมา ผมเลือกได้รายการอาหารที่ต้องการแล้ว จึงร้องสั่งเสียงดัง ขัดจังหวะขึ้นมา

“ขอ ข้าวผัดกระเพราปลาหมึก และไข่เจียวราดข้าวนะ”

เด็กหนุ่มกดลงจดสิ่งที่ได้ยิน เจ้าสันต์เอามือแตะที่สะโพกของแซ่บแล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวานว่า

“สำหรับพี่ ขอเป็นข้าวหมูทอดกระเทียมนะ เอาไข่ดาวโปะมาด้วยแล้วกัน สองดวงเป็นรูปหัวใจแบบเจ้าเรียวเมื่อวานก็ได้นะจ๊ะ พี่ชอบ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่จดออเดอร์ไปยิ้มไป พอเด็กหนุ่มเดินไปส่งออเดอร์อาหาร ผมก็แซวเจ้าสันต์เรื่องเด็กหนุ่ม กล่าวหาว่ามันเป็นตาเฒ่าหัวงู โรคจิต ชอบกินเด็ก มันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ชอบใจใหญ่ บอกว่านี่แหละคือเคล็ดลับที่ทำให้มันกระชุ่มกระชวยอยู่ตลอดเวลา แถมซ้ำพูดจาเชิญชวนให้ผมเอาอย่างมันบ้าง ผมสั่นหน้าปฏิเสธ บอกกับมันว่าไม่ไหวหรอก ชอบผู้ชายด้วยกัน น่าคลื่นไส้ มากกว่าน่าชื่นชม สู้ผู้หญิงสวยๆเนื้อนิ่ม ตัวหอมกรุ่นไม่ได้ เจ้าสันต์เลยค้อนผมควับ บอกว่าพวกชะนีเรื่องมาก ชาตินี้มันขอยุ่งกับผู้ชายอย่างนี้ไปดีกว่า


ผมนั่งคุย พูดเล่นอำกับเจ้าสันต์ไปพลางๆระหว่างรอกินข้าว ประมาณ 15 นาทีอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เจ้าสันต์ได้ข้าวหมูกระเทียมและไข่ดาวแฝดรูปหัวใจอย่างที่มันต้องการ ส่วนผมได้อาหารตามที่สั่ง แถมซ้ำได้แกงจืดวุ้นเส้น เต้าหู้ไข่ ใส่หมูสับ และสาหร่ายมาอีกถ้วยใหญ่ โดยที่ผมไม่ได้สั่ง พอถามเจ้าแซ่บเด็กเสิร์ฟ เขาก็บอกว่า อันนี้ผู้ช่วยพ่อครัว เขาทำพิเศษให้กับผม เพราะเห็นว่าคราวที่แล้วผมถูกอกถูกใจฝีมือทำอาหารของเขา เขาก็เลยอยากให้ผมลองทานดู ผมเลยฝากบอกขอบคุณเขาไปกับเจ้าแซ่บ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:28:50

“ฉันชักอยากจะเห็นหน้าผู้ช่วยพ่อครัวคนนี้ซะแล้ว”
เจ้าสันต์เอ่ยขึ้นมาทันทีที่เด็กเสิร์ฟเดินลับหายไปยังห้องครัว ตาของมันมองจ้องมาที่จานข้าวของผมซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าเมื่อวาน แถมซ้ำกับข้าวที่ราดไว้ก็ดูจะเยอะมากมายผิดปกติ
   
“ทำไมวะ”
ผมถามอย่างสงสัย อันที่จริงผมเองก็อยากเห็นหน้าเขาเหมือนกัน
   
“ก็ดูกับข้าวที่เขาทำให้กับแกสิ ทำไมมันดูมากมายผิดปกติอย่างนั้น คนทำอาหารคิดอะไรกับแกหรือเปล่าวะ”
   
“บ้าเหรอ”
ผมนึกขำที่มันช่างคิดไปได้เป็นตุเป็นตะ
   
“อย่ามาจับแพะชนแกะเลย พ่อนักสืบ เขาอาจจะเห็นว่าฉันชมชอบฝีมือของเขาจริงๆ ก็เลยทำอาหารมาให้ลองชิม สงสัยเห็นว่าฉันเป็นพวกแม่ช้อยนางรำ หรือไม่อีกทีก็คงเห็นว่าฉันเป็นหนูทดลองยากระมัง”
   
ผมกล่าวอย่างติดตลก พยายามไม่ให้มันคิดมาก เจ้าสันต์นี่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยคิดเรื่องอะไรมากมายเกินตัวก็จริง แต่เวลาที่มันสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษมันก็จะคิดเล็กคิดน้อย ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล มันจะคอยคิดหาเหตุผลหรือคำตอบอยู่ตลอดเวลา เอารายละเอียดต่างๆที่เห็นมาประมวลเข้าด้วยกัน หาข้อสมมุติฐาน จนได้คำตอบที่มันต้องการ
   
“แล้วทำไมต้องเป็นกับนายคนเดียวด้วยวะ  ดูจานของฉันกับจานของนายสิ”
มันมองที่จานของผม และจานของมันสลับกันไปมา พลางตั้งข้อสังเกต

“ฉันอาจจะหน้าตาดีกว่าแกก็ได้มั้ง”
ผมสรุปอย่างกวนๆ พยายามจะไม่ใส่ใจหาคำตอบ ใจห่วงเรื่องงานที่กองอยู่บนโต๊ะมากกว่าที่จะมานั่งหาคำตอบว่าทำไมผมได้อาหารจานใหญ่กว่ามันแถมซ้ำมีพิเศษอีกด้วย

“เออ....แกมันหน้าตาดีกว่าฉัน แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่แกจะได้อาหารมากกว่าฉันนี่หว่า ยกเว้นแต่ว่า คนทำอาหารจะเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ หรือไม่ก็แอบหลงรักแกอยู่”
เจ้าสันต์วกมาลงเรื่องความรักใคร่ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจนได้ ผมส่ายหัวอย่างระอา โต้ตอบมันออกไปด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความรำคาญ

“เอาเข้าไป ไอ้โรคอยากให้ฉันเป็นเกย์นี่มันอยู่ในหัวสมองแกอยู่ตลอดเวลา และมักจะมีอาการกำเริบอยู่เรื่อยเลยนะ เห็นอะไรที่ผิดปกติเข้าหน่อย ก็โวยวายหาว่าเป็นการกระทำของพวกเกย์ ถามหน่อยเหอะ เกย์อย่างพวกแกนี่มันว่างมากนักหรือไงวะ ถึงมาคอยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้”

“ถ้าผู้ช่วยพ่อครัวนั่นเป็นเกย์ แล้วมาชอบฉันอย่างที่แกว่าจริงๆล่ะก็ ฉันเดาเอาว่า เกย์คนนั้นคงจะมีอะไรที่ผิดปกติในสมองเป็นแน่ หน้าตาก็ไม่เคยเห็นกันมาก่อน อยู่ๆจะมาชอบฉันได้ไง คิดหน่อยสิ ว่ามันมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ไม่ใช่โมเมเหมาเอาว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามที่แกคิดแกเข้าใจ บางทีทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นก็ได้”

“ก็มันชวนให้สงสัยว่าจะเป็นอย่างนั้นนี่หว่า แกก็ดูสิ ไม่ต้องเปรียบเทียบระหว่างแกกับฉันก็ได้ แต่ลองมองดูที่จานของคนอื่นๆบ้าง มีใครได้จานใหญ่เท่าแก หรือเยอะเท่าแกบ้างวะ แกคนเดียวเลยนะ ที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้น่ะ”

เจ้าสันต์บุ้ยใบ้ให้ผมมองไปรอบตัว ผมมองตามที่มันพูด ก็สังเกตเห็นในสิ่งที่มันว่าจริงๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่อยากจะคิดอะไรมาก เพราะยิ่งคิด แล้วพูดออกมา ก็จะเป็นการไปเสริมให้เจ้าสันต์มั่นใจกับความคิดของตัวเองมากยิ่งขึ้น

“ไม่รู้สิ ฉันไม่อยากจะเถียงกับแก เรื่องนี้มันได้ถูกพูดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าแกอิจฉาที่ฉันได้ทานอาหารมากกว่าแก ก็ทำตัวให้น่ารักซะบ้าง เผื่อคนเขาจะเอ็นดู ทำเป็นมั้ยอ่ะ ทำตัวน่ารัก ง่ายๆเอง มันเริ่มจากการหยุดซักหยุดถามแล้วก็กินข้าวเสียที แค่นี้แกก็เป็นคนดีได้แล้ว อย่างน้อยก็ในสายตาฉัน”

“แต่ว่า...”

มันทำท่าจะพูดต่อ ผมเลยเลื่อนจานข้าวของผมไปตรงหน้ามัน พร้อมด้วยถ้วยแกง แล้วเลื่อนอาหารของมันมาตรงหน้าผม

“ถ้ามันน้อยกว่าแกนัก ก็เอาจานฉันไปกินแล้วกัน ฉันกินจานของแกเอง”
เจ้าสันต์รีบคว้าจานมันกลับ แล้วผลักจานข้าวของผมกลับคืน

“ไม่เอา ฉันจะกินอาหารที่ฉันสั่ง อีกอย่างหนึ่ง ผู้ช่วยพ่อครัวคนนั้น ไม่ได้ทำอาหารมาให้ฉันกินซะหน่อย เขาทำให้แกกินต่างหาก ไม่อยากแย่งคนอื่นกินว่ะ”
มันตอบอย่างหยิ่งๆ

“เอองั้นก็อย่าบ่นมาก รำคาญว่ะ”
ผมจบคำพูดด้วยการ ตักอาหารเข้าปาก บอกเป็นนัยๆให้มันรู้ว่าผมต้องการยุติการสนทนาแล้ว เจ้าสันต์เหวี่ยงค้อนวงใหญ่ใส่ผม แล้วหันไปใส่ใจกับอาหารตรงหน้าบ้าง เราต่างนั่งกินกันไปอย่างเงียบๆไม่พูดไม่จา กินเสร็จ จ่ายเงินแล้วเดินออกมา เจ้าสันต์ถึงได้เอ่ยชวนผมขึ้นอีก

“คืนนี้ไปไหนหรือเปล่าวะ ถ้าไม่มีอะไรไปเที่ยวด้วยกันไหม”

“ไปไหนวะ” ผมถามมัน

“ฉันนัดน้องแซ่บไปเที่ยวคืนนี้ว่ะ แต่ไม่อยากไปกันแค่สองคน กลัวน้องเขาจะเขิน”

“คงไปด้วยไม่ได้หรอกว่ะ วันนี้ท่าทางจะต้องอยู่ทำงานจนดึก แกก็ไปกันสองคนสิวะ จะต้องลากฉันไปด้วยเป็น กอ ขอ คอ ทำไม อย่างวันนั้นก็เหมือนกัน ฉันไม่น่าไปเที่ยวที่สีลมกับแกเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่อง”

ผมเกือบจะเผลอพูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ แต่ก็ยังดีที่ยั้งไว้ทัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่รอดสายตาจับผิดของเจ้าสันต์อยู่ดี

“เกิดเรื่องอะไรวะ”

“ก็เรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสองคนนั่นไง”

โชคดีที่ผมคิดถึงเกย์สองคนนั่นขึ้นมาได้ ไหนๆก็อ้างชื่อแดนนี่กับแมนแล้ว ก็จำต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“หนอย ทำเป็นพาฉันไปเที่ยวด้วย จนฉันเกือบจะต้องไปวุ่นวายกับเจ้าสองคนนั่น แต่ท้ายที่สุดแกก็ได้ไปเที่ยวกับหนุ่มเกย์สมใจอยากถึงสองคนอยู่ดี เห็นไหมเอาเข้าจริงๆ นายแดนนี่กับนายแมนอะไรนั่น ก็มาหลงเสน่ห์แกโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฉันเลย เพราะฉะนั้นฉันคิดว่า แกไปกับน้องแซ่บสุดน่ารักตามลำพังสองคนก็พอ อย่าเอาฉันไปเป็นไม้กันหมาให้แกอีกเลย ฉันเข็ดแล้วว่ะกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้”

ผมบอกมันไป เป็นนัยๆ เพราะความใจอ่อนของผมแท้ๆทีเดียวที่ทำให้ผมต้องมาเจอกับเดียร์แล้วตกกระไดพลอยโจรกลายเป็นแฟนเขาไปโดยไม่สามารถที่จะขัดขืนได้ หากผมปฏิเสธไม่ยอมไปกับเจ้าสันต์คราวนั้น เรื่องยุ่งยากทั้งหลายคงไม่มีวันเกิดขึ้น ดังนั้น พอเจ้าสันต์ชวนให้ผมไปเที่ยวกับมันอีก ผมเลยจำต้องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“แหม เรื่องมันก็เกิดมาแล้ว ช่วยเพื่อนหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ได้กุศลดีนะ ทำให้เพื่อนสมหวัง น่านะ ไปเที่ยวเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
เจ้าสันต์พยายามออดอ้อน

“ไม่เอาล่ะ ฉันต้องทำงานดึกวันนี้ กว่าจะได้กลับก็คงจะสามสี่ทุ่ม คงจะเข้านอนเลยอ่ะ ช่วงนี้งานในฝ่ายพิจารณารับประกันเยอะมากๆ ฉันคงไม่ได้ไปเที่ยวสัก สอง หรือสามเดือนเลยแหละ”

“แหม ทำเป็นบ้างานขึ้นมาเชียว ก่อนหน้านั้นเห็นเที่ยวตลอด ยิ่งตอนเลิกกับแฟน เมาหัวราน้ำทุกวัน ตอนนี้ไหงกลับมาเป็นคนดีได้วะ”
มันค่อนว่าผม ท่าทางคงไม่พอใจที่ผมไม่ยอมไปเป็นเพื่อนมัน

“คนเราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นสิวะ รู้ว่าไม่ดีก็ยังทำอยู่ได้ ก็เท่ากับว่า ตัวเองทำร้ายตัวเอง แล้วคนที่เจ็บก็คือตัวเองไม่ใช่เหรอ นี่ฉันกะว่าจะเลิกเที่ยว เลิกกินเหล้าแล้วหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากๆ ทำงานให้เยอะๆจะได้ไม่ต้องคิดอะไรที่ฟุ้งซ่านแบบแกไง”

“เอาแล้วไอ้นี่ แหมใครกันแน่วะที่ฟุ้งซ่าน ทำเป็นจะเป็นจะตายเวลาถูกทิ้งน่ะ อย่าบอกนะว่าแกทำใจได้แล้ว  พ่อนักบุญ”

คำพูดของมันจี้ใจดำผมมาก จริงสิ ถึงเวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ผมก็ยังไม่หายเจ็บจากการเลิกรากับอรจิรา อาจจะเป็นเพราะผมรักเธอมาก หวังจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ปีนี้ผมอายุ 27 แล้ว สมควรแก่เวลาในการที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที แต่เมี่อเธอหันไปหาคนอื่นแบบนี้ ก็เลยทำให้ความฝันของผมพังทลาย

“ทำเป็นเงียบ จี้ใจดำหน่อย เป็นไม่ได้เชียวนะ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:39:51

บทที่ 6


เจ้าสันต์เห็นผมไม่พูด มันก็เลยรู้ว่าสิ่งที่มันพูดกระทบจิตใจผมเข้าอย่างจัง มันก็เลยยั่วผมต่อ แต่ผมก็ไม่ได้โต้ตอบมันออกไป ขี้เกียจจะพูดหรืออธิบายอะไรให้มันฟังอีก ผมอยากจบเรื่องของอรจิรา และฝังมันลงไปเป็นส่วนหนึ่งของอดีต ไม่อยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาพูด ให้ใจตนเองต้องเจ็บช้ำ

“โทษทีว่ะ เพื่อน ที่พูดตรงๆ”

เจ้าสันต์ตบไหล่ผมเบาๆ พอเห็นผมเดินเฉยๆ ไม่โต้ตอบ แล้วก็ไม่แม้แต่จะคุยเล่นหัวกับมันเหมือนเคย มันก็เดาออกได้เลยว่าผมไม่พอใจ ในฐานะที่คบกันมานาน จากการที่เคยสังเกตอารมณ์ของผมตลอด มันรู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่มันต้องเงียบ ขืนมันพูดต่อ เป็นได้เกิดเรื่อง

“ไม่เป็นไร”

ผมบอกมัน แล้วแกะมือของเจ้าสันต์ที่โอบไหล่ผมออก พลางเดินเร็วๆตรงไปที่ลิฟท์ เจ้าสันต์รีบเดินตาม พลางร้องโวยวาย

“จะรีบเดินไปถึงไหนวะ บริษัทไม่หายไปไหนหรอกน่า”

“มีงานกองเต็มอยู่บนโต๊ะ อยากรีบเคลียร์ให้เสร็จ ไม่อยากกลับบ้านดึกมาก”

“เฮ้อออออออออออ.......” เจ้าสันต์ถอนหายใจยาวเหยียด

“เบื่อช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจริงๆ งานเยอะเป็นบ้าเลยว่ะ”

เจ้าสันต์บ่นรำพึงรำพัน ผมยิ้มให้มันไม่ตอบว่าอะไร พอดีลิฟท์เปิดออก เราสองคนรอให้คนเดินออกมา แล้วถึงค่อยก้าวเข้าไป พอผู้โดยสารลิฟท์สองคนสุดท้ายก้าวออกมา เจ้าสันต์ก็ใช้ข้อศอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงของผม ทำให้ผมต้องหันไปมองตามสายตาของมัน

“สวัสดีครับ คุณอนันต์ หวัดดีอร เพิ่งลงไปทานข้าวหรือครับ”

ว่าจะไม่ทัก แต่ก็กลัวจะเสียมารยาท ผมก็เลยพูดออกไป คู่แข่งทางหัวใจยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ในขณะที่อรจิรา วางท่าเชิ่ดใส่ผม เธอเพียงแค่ปรายตามามองเป็นเชิงรับรู้การทักของผม

“พอดีงานยุ่งติดพันนิดหนึ่งนะครับ ก็เลยทานช้าไปหน่อย เลยต้องปล่อยให้คุณอรหิ้วท้องรอไปด้วย”

คุณอนันต์พูดยิ้มๆ พลางปรายตามองมายังคนรักของเขาอย่างรักใคร่ ผมเห็นอรจิรายิ้มตอบอย่างหวานหยด ก็รู้สึกปวดแปลบในใจ จนต้องเบือนหน้าหนี

“คงจะหิวน่าดูเลยนะครับ คุณอรจิรา ตามปกติก็เป็นคนที่ทานอะไรก็ไม่ค่อยอิ่มอยู่แล้วนี่ครับ จริงไหม”

เจ้าสันต์พูดหยอกล้ออดีตคนรักของผมยิ้มๆ ฟังเผินๆเหมือนการอำกันธรรมดา แต่ผมรู้ดีว่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอรจิราแล้ว มีโอกาสเมื่อไหร่ เจ้าสันต์จะกัด หรือ เหน็บแนมตลอด คราวนี้ก็อีกเช่นกัน มันหลอกด่า อรจิราว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ เป็นผู้หญิงที่หิวกระหายทั้งความรัก และเงินทอง ที่ผมรู้ เพราะว่าเจ้าสันต์มันแอบนินทาแม่สาวคนรักของผมคนนี้ให้ฟังออกไป แต่ตอนนั้น ผมรักเธอมากเกินกว่าจะสนใจคำพูดจากปากเปราะๆของมัน

“จริงเหรอครับ ไม่เห็นรู้เลย ตามปกติ เห็นกินนิดเดียวเท่านั้นเอง”

คุณอนันต์ทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ว่าแฟนตัวเองกำลังถูกเหน็บแนมเข้าให้แล้ว แต่เขากลับคิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง

“แหม คุณอนันต์ผู้หญิงเวลามีความรักน่ะครับ เขาไม่แสดงอาการกินมูมมาม หรือกินเยอะออกมาให้เห็นหรอก ก็ต้องไว้ฟอร์มกันบ้างแหละครับ จะได้ดูน่ารัก”

เจ้าสันต์ยังคงเหน็บแนมต่อเนื่อง แต่จากการพูดทีเล่นทีจริงของมัน ทำให้คุณอนันต์ซึ่งไม่รู้เรื่องราวบาดหมางระหว่างผม เจ้าสันต์ และอรจิรา คิดว่ามันเป็นเรื่องอำกันเล่นขำๆ เขาหัวเราะชอบใจ ที่บังเอิญได้รู้เรื่องราวที่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารักเกี่ยวกับแฟนสาวของเขา ในขณะที่อรจิรา ซึ่งรู้นัยที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดของเจ้าสันต์กลับเดือดปุดๆด้วยความโกรธ ผมเห็นแววตาที่อรจิรามองมายังเจ้าสันต์เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่ก็เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เธอฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกต่อคนรักผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต และมั่งคั่งของเธอ สิ่งที่ได้เห็นก็มีแค่เพียงยิ้มบางๆบนใบหน้าสวยหวานนั้น

“ไปกันเถอะค่ะ คุณอนันต์ อรชักหิวขึ้นมาแล้ว ถ้าไปช้า คุณอาจจะได้เห็นอรกินอย่างมูมมามอย่างที่คุณสันต์ว่าก็ได้นะคะ”

อรจิราฉลาดที่จะหลบออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนั้น เธอจับที่ต้นแขนของคุณอนันต์แล้วดันเบาๆเพื่อให้เขาก้าวเดิน พลางพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน โดยเอาคำพูดของเจ้าสันต์มาอ้างอิงให้เกิดประโยชน์ คุณอนันต์หัวเราะเบาๆ คงกำลังนึกถึงภาพสาวงามกับอาหารจานโตที่วางข้างหน้า ท่าทางเขาเอ็นดูอรจิราอย่างมาก

ผมมองคนทั้งสองที่เดินออกไปด้วยกัน ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ หันหลังกลับพยายามไม่มองภาพบาดตาบาดใจนั้น เมื่อไหร่กันหนอที่ผมจะหายจากอาการอกหักนี้เสียที หรือว่าผมต้องรอให้เจอใครบางคนที่จะมาช่วยเยียวยารักษาบาดแผลใจใจของผม ใครคนนั้นอยู่ที่ไหนกันหนอ

ลิฟท์มาจอดอีกครั้ง หลังจากที่ผมปล่อยให้มันขึ้นไปข้างบน ตอนที่หยุดทักทายกับคุณอนันต์ ผมและเจ้าสันต์ก้าวเข้าลิฟท์ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เจ้าสันต์เองก็รู้ดีว่าบรรยากาศแบบนี้ ควรจะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว โดยที่มันไม่ควรเข้ามารบกวนหรือพูดอะไรให้ผมไม่สบายใจ พอลิฟท์เปิดออก มันก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ จากนั้น เราสองคนก็แยกย้ายกันไปทำงานในแผนกของตัวเอง

ความที่ผมอยากจะลืมเรื่องที่ได้เห็นอรจิรากับคุณอนันต์ในวันนี้ ทำให้ผมเพ่งสมาธิไปกับกองงานทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้า ผมพยายามทำตัวให้วุ่นวายอยู่กับงาน จะได้ไม่เหลือเวลาที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเอง และความรักที่ไม่เป็นดังหวัง

เวลาล่วงไปจนถึงสามทุ่ม กว่าที่ผมจะได้ขยับตัวออกจากโต๊ะ พนักงานในส่วนงานของผมกลับบ้านกันไปจนเกือบหมดแล้ว เลขาของผมกำลังเก็บข้าวของลงโต๊ะ เตรียมจะเลิกงาน แต่เธอก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจ เดินมาถามผมว่าต้องการอะไรอีกหรือเปล่า ผมปฏิเสธแล้วบอกกับเธอว่า ผมเองก็จะกลับบ้านด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกล้าเกินกว่าที่จะทำงานต่อแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน สองคืนแล้วที่ผมอยู่ทำงานจนดึกดื่น แล้วก็มีวี่แววว่าจะต้องเป็นอย่างนี้อีกในคืนต่อๆไป


ผมชวนเลขาสาวของผมนั่งรถไปด้วยกันด้วย โดยแวะส่งเธอกลางทาง เพราะเธอบอกว่าเดี๋ยวแฟนเธอจะมารับ จากนั้นผมก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน อาบน้ำเสร็จ ผมก็เข้านอนเลยทั้งๆที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ราวๆห้าทุ่ม ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมไม่รับสายเพราะคิดว่าต้องเป็นเดียร์แน่นอน เขาคงจะอยู่ที่ตู้โทรศัพท์แถวบ้านผมเหมือนเคย และคงกำลังมองมาที่ห้องนอนของผม หมอนี่คงเห็นว่าผมเข้าบ้านมาแล้ว และคงอยากจะโทรมาพูดคุยเล่นด้วยเหมือนเดิม แต่ผมไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับเขา เพราะเจ้าบ้านั่น ก็คงจะพูดแต่เรื่องเดิมๆซึ่งชวนคลื่นไส้ มากกว่าน่ายินดี


โทรศัพท์ดังขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ยอมรับกลับยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง เพื่อไม่ต้องได้ยินเสียง ความที่ผมเหนื่อยกับการทำงานทำให้ผมนอนหลับไปจนกระทั่งรุ่งเช้า ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเจ็ดโมง ผมเหลือบดูนาฬิกา พอเห็นว่ามันสายมากแล้ว ผมก็รีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอน กระโจนพรวดเดียวถึงห้องน้ำ แล้วชำระล้างร่างกายอย่างรวดเร็ว รีบแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่าง เอาอาหารและน้ำใส่ให้เจ้าหญิง ลูบหัวมันเล่นนิดหนึ่ง แล้วก็รีบออกจากบ้าน ผมหยิบหนังสือพิมพ์ และถุงใส่อาหารมาถือไว้ เปิดรถ แล้ววางมันไว้ที่เบาะข้างคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกจากบ้าน ตอนลงจากรถมาปิดประตูรั้ว ผมเห็นพี่สมชายยืนยิ้ม โบกไม้โบกมือให้ผม แกทำท่าว่าจะพูดคุยด้วย แต่ผมโบกมือให้แก แล้วบอกว่า ผมขอตัวก่อน วันนี้ผมสายแล้ว ต้องรีบไปทำงาน


เวลาที่เรารีบร้อน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะช้าเกินกว่าใจที่เราต้องการ วันนี้ก็อีกเช่นกัน รถราติดกันเต็มบนท้องถนน กว่าจะเคลื่อนไปได้แต่ละทีก็กินเวลานานมาก ผมนั่งกระวนกระวายใจอยู่หลังพวงมาลัย ตาก็มองตรงไปข้างหน้าคอยสังเกตสัญญาณไฟจราจร แต่ไฟแดงก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นไฟเหลือง และไฟเขียวสักที ระหว่างที่นั่งรอ ผมก็หันไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู อ่านผ่านๆ เพื่อดูว่ามีหัวข้อข่าวไหนน่าสนใจ ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นข่าวฆ่ากันตาย ข่าวการเมืองในประเทศ และระหว่างประเทศ และพวกข่าวเศรษฐกิจ


ผมวางหนังสือพิมพ์ไว้ตามเดิม สายตาเหลือบไปเห็นถุงใส่อาหาร ผมหยิบมาดู นึกในใจว่าเด็กหนุ่มคนนั้นซื้ออะไรมาให้ผมกินอีกหนอ เขาเอาเงินจากไหนมาซื้อของกินให้ผมได้ทุกวันนะ ดูจากงานที่เขาทำ การเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ไม่น่าจะช่วยทำให้เขามีรายได้มากมายเลย หรือว่าเจ้าเด็กนั่นยังรับงานอื่นๆอีก อายุแค่นิดเดียวเอง น่าจะได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆเขา ไม่น่าจะต้องมาใช้ชีวิตเร่ร่อนตะลอนๆแบบนี้ ถ้าหากเขามีพ่อแม่มีครอบครัวที่อบอุ่น เขาก็คงจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่านี้ คิดแล้วก็อดจะเป็นห่วงอนาคตของเด็กคนนี้ไม่ได้
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:42:28


ในถุงที่ผมเปิดออกดู ข้างในมีเกาเหลาเลือดหมูกำลังร้อนๆ และน้ำฟักทอง กับซาลาเปาอีกสองลูก ผมอดยิ้มไม่ได้ นึกจินตนาการภาพเดียร์ตระเวนหาซื้ออาหารเช้ามาให้ผมทาน คงจะทำท่ากระตือรือร้น สอดส่ายสายตาไปตามสองข้างทาง แวะลงเจรจาพูดคุยกับแม่ค้า เจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อยตามนิสัยแบบเด็กๆของเขา ความกระตือรือร้น ความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อผม ทำให้ผมอดที่จะมีความรู้สึกดีๆกับเขาไม่ได้

ผมหยิบซาลาเปาขึ้นมาใส่ปาก รองท้องก่อนไปถึงที่ทำงาน หูก็แว่วได้ยินเสียงพูดของเขาที่บอกให้ผมทานอาหารเช้าเพื่อรักษาสุขภาพ เด็กนั่นทำตัววุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการให้ผมทานโน่น ทานนี่ ทำตัวเสมือนหนึ่งเป็นคนรักที่คอยเอาใจใส่ดูแลทีเดียว


สัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดง เป็น เหลือง และเขียว ตามลำดับ ผมขับรถเคลื่อนออกไปจากตรงจุดนั้น หลังจากที่ฝ่าการจราจรที่คับคั่ง ผมก็สามารถถึงที่ทำงาน โดยไปสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วโมง แต่เนื่องจากผมเป็นหัวหน้า ไม่มีการกำหนดเวลาในการเข้าทำงานว่าจะต้องเข้ากี่โมง เพราะทางบริษัท ถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่หัวหน้าแต่ละคนจะต้องไปคิดกันเอาเองว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำงานให้คุ้ม แล้วไม่เอาเปรียบบริษัท


โดยปกติ ผมจะเป็นคนที่มาทำงานเช้าก่อนที่ลูกน้องจะมาทำงานเสมอ แล้วก็กลับหลังพวกเขาเกือบจะทุกครั้ง ผมไม่เคยบกพร่องในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเวลาในการทำงาน เพราะผมอยากจะทำให้พวกลูกน้องเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง และสำหรับคนที่ทำงานดี ก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ให้สมกับที่เขาทุ่มเท การปกครองลูกน้องของผมแบบนี้ ทำให้มีคนค่อยข้างที่จะเกรงใจผมเยอะพอสมควร


ผมเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้างตั้งแต่เมื่อวานทันที พอสักประมาณ 10 โมง เสียงโทรศัพท์ในห้องผมก็ดังขึ้น เลขากดตัดสายออกไปรับ สักพัก เธอก็ส่งเสียงเข้ามาจากสายว่า หัวหน้าของผมจะพูดด้วย พอผมกดรับ เธอจึงวางสายลง

หัวหน้าของผม โทรมาล้งเล้งผมใหญ่ หาว่าผมไม่ยอมรับโทรศัพท์ เมื่อคืนนี้เขาโทรมาหาผมตั้งหลายครั้ง ตอนแรกผมรู้สึกงงมาก แต่แล้วผมก็นึกออก คงจะเป็นตอนที่ผมนอนแล้ว และได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ผมไม่ยอมรับ เพราะคิดว่าเป็นเดียร์โทรมา จริงสิ ตอนเช้า ผมก็ไม่ได้เปิดโทรศัพท์ดู เพราะไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าจะเป็นคนอื่น เช่นหัวหน้าโทรมา


ท่าทางหัวหน้าของผมแกคงโกรธมาก แกต่อว่า ว่าผมได้โทรศัพท์จากบริษัทมาใช้ แถมซ้ำยังได้ค่าโทรรายเดือนฟรีอีกด้วย การที่ได้สิทธิแบบนี้ ก็เพื่อให้ผมได้ติดต่อเรื่องธุรกิจโดยไม่มีอะไรติดขัด เนื่องจากงานพิจารณารับประกันที่ผมทำอยู่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางทีอาจจะมีการโทรมาถามข้อมูล เพื่อให้การส่งงานไม่ติดขัด ผมจำเป็นต้องเปิดโทรศัพท์ และรับทุกสายที่โทรเข้ามา จะไม่รับสายไม่ได้ ผมกล่าวขอโทษแกไป เพราะผมก็ผิดเองจริงๆที่ไม่ยอมดูเสียก่อนว่าเป็นเบอร์ของใคร ความที่ไม่อยากรับสายของเดียร์ ทำให้ผม ไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็สมควรแล้วที่จะถูกด่า


หลังจากที่พร่ำบ่นผมไปเกือบครึ่งชั่วโมง หัวหน้าของผมก็บอกว่า มีเคสใหญ่เคสหนึ่ง ทำประกันในวงเงินสูงเข้ามา แต่ลูกค้ามีปัญหาสุขภาพ แต่ไม่ยอมไปตรวจ ความที่ร่ำรวยมีอิทธิพล ทำให้ตัวแทนที่ไปขายรู้สึกเกรงอกเกรงใจ จะมาขอร้องให้ทางบริษัทมีการพิจารณาให้เป็นพิเศษ ทางหัวหน้าก็มอบให้ผมจัดการกับเรื่องนี้ ผมรับปากเขาว่าจะช่วยดูแลให้ ถ้าเคสนี้ผ่านเข้ามายังมือผมเมื่อไหร่จะพิจารณาให้เป็นพิเศษ


วางหูจากหัวหน้าได้สักพัก ก็มีฝ่ายขายคนหนึ่งโทรเข้ามาหาผม เขาไม่พอใจที่ผมลดวงเงินลูกค้าที่อายุน้อย แต่แถลงว่าตนเองเป็นเจ้าของกิจการ ผมได้อธิบายให้เขาฟังว่า จากการตรวจสอบ พบว่า เด็กคนนั้นยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย พ่อเขาโอนกิจการเป็นชื่อของเขาด้วยเหตุผลเพราะต้องการจะเล่นการเมือง ไม่อยากจะถือครองทรัพย์สมบัติมากนัก ดังนั้นความเสี่ยงของเขาต่อธุรกิจ หากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา มีน้อยมาก ผมให้วงเงินเต็มลิมิตสำหรับการที่เขามีอาชีพเป็นนักศึกษา แต่ผมไม่อนุมัติตามที่เขาขอ เพราะมันเป็นการทำประกันที่สูงเกินกว่าความจำเป็น ฝ่ายขายคนนั้นไม่ยอม พอเห็นว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรผมก็ยังยืนกรานที่จะให้ตามที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ออกอาการ ด่าผมอย่างหยาบคาย ผมต้องอดทนฟังอย่างสงบ ไม่พยายามใช้อารมณ์โต้ตอบ แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าว่าจะพูดไม่รู้เรื่อง ผมก็ขออนุญาตวางสาย ไม่อยากจะคุยด้วยอีกต่อไป


ผมนึกว่าผมจะได้นั่งทำงานอย่างสงบสุข แต่ปรากฏว่า มันไม่เป็นไปตามที่ผมต้องการ ก่อนเที่ยง อรจิรา โทรเข้ามาหาผมที่มือถือ เธอไม่พูดพล่ามทำเพลง ต่อว่าต่อขานผมเรื่องเจ้าสันต์ที่ไปล้อเลียนเธอแบบนั้น เธอกล่าวหาว่าผมมีส่วนรู้เห็นให้เจ้าสันต์ว่าเธอแบบนั้น ผมขี้เกียจจะอธิบาย เพราะเธอตั้งป้อมเอาเสียแล้วว่าผมผิด ถึงจะพูดอย่างไรออกไป เธอก็คงไม่ยอมเชื่อ พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร เอาแต่นิ่งเฉย อรจิราก็เสียงอ่อนลง เธอคงรู้ตัวว่า ต่อว่าผมแรงเกินไป แต่ก่อนจะวางหูก็ไม่วายจะขอร้องผมว่า ให้เลิกยุ่งกับชีวิตของเธอเสียที ชีวิตเธอกำลังไปได้ดีแล้ว เธอพบคนใหม่ที่รักเธอ แล้วก็พร้อมให้ทุกอย่างกับเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นอนาคต ที่มั่นคง หรือฐานะการเงินที่มั่งคั่ง


ผมอดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ ที่เธอมาขอร้องผมเช่นนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับเธออีกเลย นับจากวันที่เราเลิกรากัน ผมก็พยายามทำตัวออกห่าง ยกเว้นตอนที่เจอกันโดยบังเอิญ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ผมก็จำเป็นต้องทักเธอ ตามมารยาท เพื่อไม่ให้เธอคิดมากว่าผมอยากจะกลับมาคืนดีกับเธออีก ผมก็เลยรับปากว่าจะไม่วุ่นวายกับเธอ รวมทั้งจะห้ามปรามเจ้าสันต์ไม่ให้แขวะเธอด้วย ท่าทางอรจิราจะพออกพอใจที่ผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ยุ่งกับเธออีก เธอทำเป็นถามสารทุกข์สุขดิบของผม จากนั้นก็รีบวางหู


ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานที่ทำ หลังจากที่เสียเวลารับโทรศัพท์จนเกือบจะหมดเวลาช่วงเช้า เจ้าสันต์ก็โผล่เข้ามาหาผมที่ห้องทำงาน มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานมันไปเที่ยวมากับเด็กหนุ่มชื่อแซ่บ แต่ไปกินข้าว กันเฉยๆ วันนี้ มันจะไปกับเด็กหนุ่มนี่อีก แต่คราวนี้จะพาไปนั่งร้านกาแฟแถวสุขุมวิท ใกล้ๆบ้านผม เพื่อนของแซ่บที่ทำงานในร้านด้วยกัน มาทำงานพิเศษ ที่ร้านนี้ ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพราะไม่แน่ใจว่าผมจะต้องอยู่ดึกอีกหรือเปล่า


แต่จากปริมาณงานที่กองอยู่บนโต๊ะ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ผมต้องอยู่ดึกอีกแน่นอน เจ้าสันต์ทำหน้ามุ่ย หาว่าผมห่วงงานมากกว่าความรู้สึกของเพื่อน มันกำลังจะมีความรัก มันคิดว่ามันชอบนิสัยของพนักงานเสิร์ฟคนนั้น แต่ผมคิดว่ามันชอบที่หน้าตาของแซ่บมากกว่า เพื่อนผมคนนี้มันเป็นโรคคลั่งไคล้คนหน้าตาดี ใครหลวมตัวเข้ามาในชีวิต เป็นถูกมันเกาะติด จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างหนึ่ง ผมยังเคยคิดอยากให้มันลงเอยกับใครสักคนที่มันรัก แต่มันก็เป็นโรคขี้เบื่อ แถมซ้ำยังเจ้าชู้อีกต่างหาก ไม่ชอบอยู่กับใครแค่คนเดียว บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ถ้ามันถูกใจเด็กแซ่บคนนั้น แล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันจะได้เลิกใช้ชีวิตเสี่ยงภัยในเรื่องเพศซะที


“ไปกินข้าวกันเถอะ นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว”

มันเร่งให้ผมเก็บข้าวของ ผมรู้ว่า มันต้องการจะไปหาน้องคนเสิร์ฟคนนั้น ผมจึงแกล้งทำเป็นอ้อยอิ่ง ถ่วงเวลามัน ดูเหมือนว่ามันจะรู้ มันเดินมาที่โต๊ะผมแล้ว จูงมือผมออกมาจากเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินตามเจ้าสันต์ออกมานอกห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หัวหน้าของผมนั่นเอง เขาโทรมาบอกให้ผมเข้าไปหาเขาในห้องเดี๋ยวนี้ ผมหันมามองเจ้าสันต์ แล้วทำปากมุบมิบให้มันรู้ว่า ผมไปกับมันไม่ได้แล้ว ผมต้องไปหาเจ้านายในห้อง มันบ่นพึมพำหลังจากที่ผมวางหูแล้ว ว่าทำไมจะต้องมาเรียกกันเอาป่านนี้ มันได้เวลาที่จะทานข้าวแล้ว ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย ผมไม่มีเวลาจะร่วมผสมโรงไปด้วยกับมัน เพราะต้องเข้าไปคุยกับหัวหน้าในเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับการทำประกันวงเงินสูงมากของลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย เราถูกบีบให้รับเขาในวงเงินที่สูงมาก ทั้งๆที่รู้ว่าเขามีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ในฐานะที่ผมปฏิเสธวงเงินสำหรับลูกค้ารายนี้ ผมจำเป็นต้องเข้าไปชี้แจง ให้ผู้ใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วย หัวหน้าของผม ฝ่ายขายเจ้าของเคส และ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ได้รับทราบถึงเหตุและผลของผม


กว่าที่การถกปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณารับประกันรายนี้ จะได้รับผลสรุปที่น่าพอใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบบ่ายสองโมง ผมหิวมาก แต่ไม่อยากจะลงไปทานข้าวอีกแล้ว จึงเดินกลับมาที่ห้องทำงาน ตั้งใจจะฝากให้เลขาของผม เอาต้มเลือดหมูที่เดียร์ซื้อให้ไปอุ่นไมโครเวฟ แล้วเอามาให้ผมทานที่ห้อง ก็พอดีเดินสวนกับเจ้าสันต์ที่ยิ้มละไมเข้ามาหาผม

“เพิ่งจะเลิกประชุมหรือวะ”

มันถามผมทันทีด้วยใบหน้าที่รื่นเริงแจ่มใส ผมอดที่จะอิจฉามันไม่ได้ ที่งานของมัน ไม่มีอะไรที่ต้องเครียดเหมือนกับงานของผม

“ฮื่อ” ผมตอบมันด้วยเสียงเนือยๆ

“กินข้าวหรือยังวะ” มันถามผมแบบมีเลศนัย

“ยังเลย แต่ว่าจะเอาต้มเลือดหมูที่ซื้อมาเมื่อเช้าไปให้ จุ๋ม อุ่นให้หน่อยอ่ะ”

ผมบอกมันไปทั้งจริงและเท็จปนกัน

“ต้มเลือดหมูอย่างเดียวจะพอหรือวะ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:44:15


มันถามยิ้มๆอีก ไอ้นี่ ต้องมีอะไรแน่ๆ

“ก็ขี้เกียจลงไปนี่หว่า งานยังเต็มอยู่ มีอะไร ก็กินๆไปก่อน กันตาย”

ผมหัวเราะแค่นๆ ทำเป็นร่าเริง ทั้งๆที่ในใจรู้สึกหงุดหงิด เจ้าสันต์ทำเป็นตีหน้าเศร้า พูดว่า

“โถ น่าสงสารจริง เอ้า.........”

มันยื่นถุงใส่กล่องโฟมบรรจุอาหารมาให้

“อะไรน่ะ”

“ข้าวผัดกุนเชียง แล้วก็ ปลาผัดเปรี้ยวหวาน”

“โห ขอบคุณมากเลยเพื่อน ที่มีน้ำใจซื้อมาให้ฉัน”


ผมกล่าวขอบคุณมัน อย่างตื้นตัน แกมสงสัย อยู่ในที ตามปกติ เจ้าสันต์มันขี้งก ควักเงินยาก การที่มันลงทุนเลี้ยงข้าวผมแบบนี้ มันต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตมันจริงๆ

“ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจฉันหรอก โน่น ไปขอบใจผู้ช่วยกุ๊กที่ร้านคุณป้าโน่น เขาฝากอาหารมาให้แก เห็นว่าไม่ลงไป ก็เลยทำมาให้”

“เขาถามแกเหรอ”

“เปล่า เขาถามน้องแซ่บ น้องแซ่บเลยมาถามฉัน ฉันเลยบอกน้องแซ่บ ให้ไปบอกเขาอีกที ว่าแกติดประชุมลงมาไม่ได้ เขาเลยทำอาหารฝากน้องแซ่บมาให้ฉัน เอามาให้นายอีกที โอ๊ย ปวดหัว อย่าให้พูดซ้ำอีกนะ”


มันทำเป็นโวยวาย ผมมองถุงอาหารอย่างงงๆ นึกไม่ออกว่า ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นทำอาหารมาให้ผมทำไม ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาซักหน่อย รู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเอง เจอเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง

“งง เหมือนกันล่ะสิ ฉันก็งงเหมือนกัน ว่าทำไมผู้ช่วยกุ๊กนั่น ถึงได้ห่วงใยเอาใจใส่แกนักหนา เพิ่งจะมานึกได้เมื่อครู่นี้เอง ตอนเจอหน้าแก”

เจ้าสันต์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ท่าทางเหมือนมีเรื่องลับลมคมใน

“อะไร”

ผมมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยจะไว้วางใจในตัวมันเท่าไหร่ มันต้องคิดอะไรที่พิสดารพันลึกแน่ๆ เจ้าสันต์เฉลยออกมา ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมเดาไว้ทุกอย่าง มันจับแพะชนแกะอีกแล้ว

“ฉันสงสัยว่า ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น ต้องชอบแกแหงๆเลยว่ะ”

“บ้าน่ะสิ”

ผมด่ามัน แต่เจ้าสันต์กลับทำท่าดูเป็นจริงๆเป็นจัง

“ช่าย  อาจจะฟังดูเหมือนบ้าๆน่ะ แต่ก็ท่าทางเข้าเค้าอยู่เหมือนกันนะ”

“ไปกันใหญ่แล้วไอ้นี่ เค้าไม่ได้รู้จักกับฉัน ส่วนฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเค้ามาก่อน มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ไง แกนี่มันพูดจามั่วซั่วจริงแฮะ”     

“มั่วซะที่ไหน ฉันเชื่อในเซ้นต์ของตัวเองโว้ย ผู้ช่วยคนทำอาหารคนนั้น ฉันเองก็ไม่เคยเห็น เหมือนกัน แต่จะพยายามหาทางไปเจอให้ได้”

เจ้าสันต์กล่าวอย่างมุ่งมาด เวลาที่มันตั้งใจจะทำอะไร มันไม่เคยลดละความพยายามที่จะทำจนสำเร็จ ผมไม่เข้าใจมันอยู่ดี ว่ามันจะอยากรู้ไปทำไม

“เจอเพื่ออะไรวะ”

“อ้าว ก็ฉันจะได้รู้ว่า เขาเป็นคนที่ฉันพอจะรู้จักหรือเปล่า แล้วเขาชอบนายอย่างที่ฉันคิดไว้ไหม ถ้าใช่ ฉันจะได้ทำความรู้จักหน่อย ว่าเขาคิดยังไง ถึงมาชอบนาย รุ้จักกันมาก่อนหรือเปล่า ถ้าหน้าตาดี และนิสัยดี ก็จะสนับสนุนให้เป็นแฟนนายซะเลย ถ้านายไม่ชอบฉันก็จะได้จีบเอง แต่ก็คงจะต้องแอบๆน้องแซ่บหน่อย แต่ถ้าหากว่า หน้าตาดีน้อยกว่าน้องแซ่บ ก็อาจจะคบหากันเป็นเพื่อน แหม การได้รู้จักประชากรเกย์เพิ่มนี่เป็นเรื่องดีนะ”

เพื่อนผมท่าทางจะเป็นเอามาก มันพูดเป็นฉากๆว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง หากเจอกับผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น

“แล้วถ้าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆอย่างฉันล่ะโว้ย เกิดเขาไม่ได้ชอบฉัน หรืออะไรอย่างที่แกคิด แล้วเขาหมั่นไส้ที่แกไปเหมาว่าเขาเป็นเกย์ แล้ว อยากเตะแกขึ้นมาจะทำอย่างไรวะ”
ผมแกล้งพูดเพื่อให้มันล้มเลิกความคิดที่จะไปวุ่นวายกับชีวิตของผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น เขาเป็นใครก็ไม่รู้ บางทีการที่เขาทำอาหารให้ผมกิน หรือเอาอาหารมาให้ อาจจะไม่มีอะไรแอบแฝงก็ได้ อาจจะเห็นว่าผมเป็นลูกค้า ขาประจำ กินบ่อย ก็เลยอยากทำให้เป็นพิเศษก็เท่านั้น

“ก็ถึงต้องไปพิสูจน์ไงวะ ถ้าเป็นผู้ชายจริง แล้วเขาไม่คิดอะไร แค่ทำไปเพราะเห็นว่าแกเป็นลูกค้าเท่านั้น ฉันก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ฉันรู้น่าว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อนแกคนนี้ไม่โง่นะโว้ย”

“เออว่ะ ไม่โง่ แต่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากๆ”

ผมว่ามันด้วยความหมั่นไส้ มันค้อนผม

“หรือว่าแกไม่สงสัยล่ะ” มันย้อนถาม

“ไม่”

ผมโกหก ที่จริงก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ว่า งานที่ผมทำ มันเยอะมากกว่าที่จะไปมัวสนใจเรื่องแบบนี้ กอปรกับไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีใครมาหลงชอบซ้ำ แค่เดียร์คนเดียวก็เกินพอแล้ว

“เออ ให้มันแน่เถอะวะ ว่าแกไม่สนใจ อย่ามาถามก็แล้วกัน ฉันไม่บอกแกแน่”

มันตอบผมงอนๆ เวลาเห็นผู้ชายตัวท่าทางแมนๆ มาทำกระฟัดกระเฟียดเหมือนผู้หญิง ก็ดูตลกดี ผมเลยถามมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้

“แล้วแกจะไปทำความรู้จักกับเขายังไงวะ”

“ไหนบอกว่าไม่สนใจไง”

มันกลับย้อนถาม

“อุวะ ฉันน่ะไม่สนใจอยากจะรู้จักผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นหรอก ว่าเป็นใคร แต่อยากจะรู้แค่ว่า แกจะไปใช้วิธีไหน อะไร ยังไง ในการไปเจอเขาน่ะ”

 เจ้าสันต์ทำท่ากระแอมกระไอ เหมือนกับเตรียมตัวจะพูดในเรื่องที่สำคัญ

“น้องแซ่บบอกว่า ผู้ช่วยกุ๊กที่ฉันกำลังสงสัยในตัวเขาอยู่นี่น่ะ เขาทำงานพิเศษในร้านกาแฟที่เราจะไปนั่งกินกันคืนนี้ไง ถ้าแกอยากรู้จัก ก็ไปด้วยกันสิ”

มันชวนผม แต่ผมปฏิเสธ ไม่แน่ใจว่าจะเลิกดึกหรือไม่ ใจอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่าที่จะออกไปตะลอนๆยามค่ำคืน

“ไม่เอาล่ะ อย่ามาหาเรื่องให้ฉันเลย แกอำฉัน เพราะอยากให้ฉันไปกับแกใช่ไหมเนี่ย ไอ้เฒ่าหัวงูเอ๊ย”

ผมแกล้งทำเป็นพูดว่ามัน ทำให้มันเห็นว่าผมไม่ได้สนใจในการเป็นนักสืบของมันสักเท่าไหร่

“ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันจะอำแกไปหาพระแสงอะไร อีกอย่างฉันไปเที่ยวกับน้องแซ่บมาสองต่อสองแล้วเว้ย ไม่ต้องพาแกไปด้วยก็ได้ แต่เรื่องที่ฉันพูดน่ะ มันเรื่องจริงนะ ผู้ช่วยคนนั้นทำอาหารมาให้แกกินจริง แบบไม่คิดเงินเพิ่มด้วย แล้วเขา ก็ทำงานพิเศษ ในร้านกาแฟที่ฉันกับน้องแซ่บจะไปคืนนี้ เพราะน้องแซ่บเขาอยากไปให้กำลังใจเพื่อนเขา นี่เขารู้จักสนิทสนมกันแล้วนะ เขาคุยกันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ชอบแกหรือเปล่า น้องแซ่บไม่ได้บอก เพราะเขาก็ไม่ได้บอกน้องแซ่บเหมือนกัน อันนี้บอกได้เลยว่าฉันเดาอ่ะ เพราะเหตุการณ์มันชวนให้คิดแบบนั้น ถ้าไม่ชอบ ใครจะมาทำอาหารแบบเอาอกเอาใจขนาดนี้วะ ขนาดไม่ลงไปกิน ยังฝากมาให้ ถ้าไม่มีใจให้กัน ก็น่าจะมีอะไรสักอย่าง แกไม่อยากรู้เหรอ ว่า เพราะอะไร”

คำพูดของเจ้าสันต์น่าคิดอยู่เหมือนกัน แต่ว่า ผมยังมีงานอื่นที่จะต้องให้ความใส่ใจมากกว่า

“อยากรู้ไปก็เท่านั้น ถึงไง ฉันก็ไปไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่างเว้ย งานกองท่วมหัวเลย เวลาจะกินข้าวยังไม่มีเลย ขืนมัวแต่เถลไถล มีหวังเจ้านายเล่นงานฉันตายเลย ถ้าหากพิจารณางานให้ฝ่ายขายไม่ทันน่ะ”

เจ้าสันต์แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ผมไม่ไปกับมัน แต่มันก็รู้สึกเห็นใจผม เพราะผมไม่ได้โกหกหรือบ่ายเบี่ยงไม่อยากไปกับมันแต่อย่างใด เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมก็ยอมไปกับมัน จนเกิดเรื่องขึ้นมา

“ก็ได้ ฉันจะไปดูหน้า แล้วก็ทำความรู้จักกับเด็กนั่นให้ก่อนนะ ได้เรื่องได้ราวยังไง จะมาบอกแกอีกทีหนึ่งแล้วกัน แต่ถ้าแกว่าง ก็ไปนะโว้ย”

“อื้ม”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับปาก เจ้าสันต์ยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เดินแยกไปที่แผนกของตนเอง ส่วนผมเดินไปหาจุ๋ม เลขาของผมที่โต๊ะ แล้วยื่นถุงใส่อาหารให้เธอช่วยเอาไปจัดใส่จานแล้วเอามาให้ผมในห้องด้วย เลขาของผมทำท่าตกใจที่ผมเพิ่งทานข้าว ถามไถ่ผมด้วยความห่วงใย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 15-05-2008 21:45:57


“คุณเรียวยังไม่ได้ทานอะไรเลยหรือคะ”

“งานมันยุ่งติดพันอ่ะ แล้วจุ๋มทานอะไรหรือยัง มีต้มเลือดหมูอยู่ในห้องอีกด้วย เอาไปทานมั้ย”

“จุ๋มทานมาแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวจุ๋มอุ่นมาให้นะคะ”

“กับข้าวเยอะแยะไปหมดแบ่งไปกินบ้างก็ได้”


ผมเอื้อเฟื้ออาหารให้กับเลขาของผม แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ผมไม่ว่าอะไร ได้แต่ส่งยิ้มให้เป็นการขอบคุณที่เธอมีน้ำใจต่อผม จากนั้นผมก็เดินเข้าห้อง ไม่กี่นาทีให้หลัง กับข้าวก็ถูกจัดใส่จานมาให้เรียบร้อย ผมมองข้าวผัดกุนเชียง ผัดปลาเปรี้ยวหวาน และ ต้มเลือดหมู ที่วางตรงหน้า แม้จะดูว่ามันไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ แต่หน้าตาของอาหารก็ดูน่ากินดี


ไม่รู้ว่าเพราะว่าผมหิวมาก หรือเพราะฝีมือคนทำอาหารกันแน่ ที่ทำให้ผมทานอาหารมื้อนั้นจนหมด แต่มันก็ช่วยให้ผมอิ่มสบายท้องมากขึ้นกว่าเดิม มีกำลังวังชาในการที่จะลุยงานต่อ จุ๋มเข้ามาเก็บถ้วยชามไปล้าง ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับกองใบคำขอกองโตที่เธอเอามาวางให้อีก


กองงานที่สูงเพิ่มขึ้น ทำให้ผมเริ่มท้อใจ ช่วงนี้ เป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ฝ่ายขายขยันขายกันเข้ามามาก เพราะเป็นการปิดยอดเพื่อทำคุณวุฒิ ซึ่งบริษัทมีโปรโมชั่นมากมายสำหรับผู้ที่ทำผลงานได้สูงสุด ทำให้ฝ่ายขายแข่งกันขายเข้ามา บางวันมีคนส่งใบคำขอสมัครทำประกันเข้ามาทั่วประเทศเกือบ 500 ฉบับ แยกเป็นโซนที่ผมรับผิดชอบในภาคตะวันออก บางวันสูงถึง 100 ฉบับทีเดียว ในขณะที่การพิจารณาต่อคนได้แค่ 10 หรือ 15 เคสต่อวัน พอพิจารณาไม่หมด งานใหม่ก็เข้ามาอีก สะสมกันเป็นดินพอกหางหมู


ตามปกติ ในช่วงที่ไม่ใช่เดือนปิดผลงาน เราจะสามารถพิจารณารับประกันลูกค้าได้ภายใน 3 วัน แต่ช่วงที่งานเข้ามามากๆ อาจจะเลื่อนไปเป็น 5 วัน หรือ 7 วันก็มี นี่ขนาดเรามีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว ก็คือ การสกรีนใบคำขอที่เรียกว่า clean app.ในเบื้องต้น เพื่อใช้กับใบคำขอที่ทุนประกันน้อย ความเสี่ยงปกติ แล้ว แต่การพิจารณาก็ยังไม่ทันต่อความต้องการอยู่ดี ยิ่งช่วงใกล้ปิดบัญชีไตรมาสสุดท้าย ตัวแทนยิ่งเร่งขายเข้ามา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้ทั้งเงินเดือน และโบนัส หากยอดขายไม่เต็มไปตามเป้า
เพื่อให้ได้ตัวเลขงามๆ ที่จะสามารถชนะคุณวุฒิการแข่งขัน ตัวแทนมักจะเลือกขายประกันในวงเงินที่สูงมากๆ เพื่อให้ได้เบี้ยประกันก้อนใหญ่ ซึ่งการพิจารณาเคสที่มีวงเงินสูง ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพราะบ่อยครั้งที่ลูกค้า ทำประกันสูงกว่ารายได้ที่มีอยู่ หรือไม่ก็มีปัญหาสุขภาพ อายุสูงเกินไป หรืออาชีพมีความเสี่ยง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การพิจารณารับประกันทำได้ล่าช้า เพราะต้องคอยตรวจสอบความสามารถในการที่จะเอาประกันได้ ของลูกค้าเหล่านั้น


ผมก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองงานตั้งแต่บ่ายจนเย็นย่ำ ลุกออกไปห้องน้ำ แล้วก็ไปเดินทักทายให้กำลังใจลูกน้องในฝ่าย และให้คำปรึกษากับบางเคสที่พวกเขาทำอยู่ ลูกน้องของผมก็ทำงานอย่างหนักในช่วงนี้เช่นเดียวกัน แต่ละคนดูโทรมไปถนัด เพราะต้องนอนดึก แล้วก็ตื่นแต่เช้ามาลุยงานกัน


พอตกเย็น พนักงานบางส่วนก็ทยอยกันกลับบ้าน ในแผนกผมก็เหลือไม่กี่คน คนไหนที่มีครอบครัวแล้ว ผมก็ให้กลับบ้านไป ไม่ได้บังคับว่าจะต้องอยู่ทำ เพียงแค่ขอให้เขารับผิดชอบกับงานตนเองให้เสร็จก็พอ ส่วนคนไหนที่สะดวกที่จะอยู่ทำงานดึก ไม่มีนัด หรือไม่ต้องกลับเร็ว อยากอยู่เคลียร์งานต่อก็ทำไป ซึ่งผมก็จะให้เขาเบิกค่าล่วงเวลาได้ โดยมีข้อแม้ว่า เขาจะต้องทำงานในเวลางานอย่างเต็มที่ การนั่งเล่นนั่งคุยในที่ทำงานตลอดวัน แล้วมามุงานเอาตอนเย็น หรือ อยู่เย็น เพื่อใช้โทรศัพท์ กับคอมฯของออฟฟิศในเรื่องส่วนตัว อย่างนี้ผมไม่ยินยอมจ่ายค่าชดเชยให้เด็ดขาด เพราะถือว่าเอาเปรียบบริษัท แต่โชคดีที่ ไม่มีพนักงานคนไหน ภายใต้การดูแลของผมที่ทำอย่างนั้น


เจ้าสันต์โทรมาชวนให้ผมไปด้วย แต่ผมปฏิเสธ เพราะงานยังเหลือที่ต้องพิจารณาอีกเยอะ มันส่งเสียงแสดงความห่วงใยมาตามสาย บอกให้ผมอย่าโหมงานหนัก เพราะจะไม่สบาย แถมซ้ำยังบอกให้ผมหาอะไรกินรองท้องระหว่างที่ต้องอยู่ทำงานดึกด้วย ผมกล่าวขอบคุณมัน แล้วก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า วันที่ผมว่างๆ ผมจะไปร้านกาแฟร้านนั้นกับมันด้วย มันทำท่าว่าจะพูดคุยต่อ แต่ผมตัดบท ขอตัวทำงานก่อน วันนี้ทั้งวันผมเสียเวลาไปมากมายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินพอแล้ว หากเพิ่มเรื่องทำงานไม่เสร็จตามเป้าหมายเข้าไปอีก มีหวังโรคเครียดถามหาเป็นแน่


ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำงานอยู่ในห้องไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเวลามันผ่านไปแต่ละนาทีช้ามาก พอดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าเข็มนาฬิกามันชี้บอกว่าเป็นเวลา ห้าทุ่มแล้ว นี่ผมนั่งในห้องนานถึงขนาดนี้โดยไม่ได้ขยับไปไหนหรือนี่


เสียงท้องของผมร้องดังขึ้น มันเลยเวลาอาหารเย็นมานานมากแล้ว และตอนนี้ท้องของผมว่างเปล่า อาหารที่ทานเข้าไปตอนกลางวันย่อยไปหมดแล้ว ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังไม่อยากจะหาอะไรกินตอนนี้ อยากทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้เสร็จ เหลืออีกประมาณ 4-5 เคสเอง


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ 02 ใครกันนะโทรมาป่านนี้ พวกตัวแทน โทรมาถามเคสอีกหรือเปล่า ไม่อยากรับเลย แต่ไม่มีพนักงานในฝ่ายของผมคนใดเหลืออยู่แล้ว ทุกคนกลับบ้านกันหมด เหลือผมอยู่คนเดียวในแผนก ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป


“สวัสดีครับ เรียวพูดครับ”

“จำได้ครับ เสียงของหวานใจตัวเอง ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”

น้ำเสียงซุกซนส่งมาตามสาย ตามด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ผมขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งใส่โทรศัพท์ เจ้าเด็กเดียร์นี่เอง จะโทรมาทำไมกันนักหนานะ คนยิ่งกำลังยุ่งๆอยู่

“มีอะไรหรือเปล่า”

ผมถามเสียงห้วน เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ส่งเสียงรื่นเริงมาตามสาย เขาไม่ได้ตอบคำถามผม แต่เป็นฝ่ายตั้งคำถามเสียเอง

“ยังไม่ได้กลับบ้านเหรอครับ งานเยอะเหรอ”

“รู้ได้ไงว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้าน”

“ก็รถของคุณยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าบริษัทอยู่นี่ครับ”


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบบทที่6
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-05-2008 18:34:19
    :pig4: :pig4: :pig4:  :m4:  :m4: :m4:  รออ่านตอนต่อไป  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Haney ที่ 20-05-2008 14:58:06
เพิ่งมาอ่านแบบรวดเดียวจบ
ลุ้นให้นายเดียร์ชนะใจคุณเรียวเร็วๆน้าค้าบบบบบบบบ

เจ้าของเรื่องถ้าแต่งต่อแล้วเอามาลงต่อเท้อออ
อย่าทรมานกันเล้ยย

 :o12:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 02-06-2008 11:36:39

บทที่ 7   


เด็กหนุ่มไขข้อข้องใจของผม มันทำให้ผมมั่นใจว่าเขาคงอยู่แถวๆบริษัทผมแน่นอน นิสัยชอบติดตามนี่ คงจะแก้ไม่หายแน่
   
“มาทำไรแถวนี้ หา พ่อนักสืบ เมื่อไหร่จะเลิกติดตามฉันเสียที งานการไม่มีจะทำหรือไง”
   
ผมถามเขาอย่างตีรวน
   
“ก็ผมคิดถึงเรียวนี่ครับ เมื่อเช้าไปหาที่บ้านก็ไม่เจอเรียวเลย กดกริ่งเรียกก็ไม่ยอมรับ ก็เลยคิดว่าคงจะนอนเพลิน พอดีวันนี้ผมมาเต้นโชว์กับเพื่อนๆที่ห้างตรงข้ามกับบริษัทคุณ ตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็น เป็นโฆษณาบัตรเครดิตนะครับ เพิ่งเสร็จเมื่อตอน 2 ทุ่มครับ เสร็จแล้วข้ามสะพานลอยเพื่อที่จะเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนข้ามมามองเห็นรถคุณจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ก็เลยยืนรออยู่ตั้งนาน คิดว่าคุณจะออกมา ผมอยากเจออยากเห็นหน้า แต่คุณก็ไม่ออกมาซักที ผมรอมา 1 ชั่วโมงแล้ว โทรเข้ามือถือคุณ สายว่าง แต่ไม่มีคนรับสาย อาจจะเป็นช่วงที่คุณเดินไปห้องน้ำ หรือไปทำอะไรสักอย่าง ผมก็รออยู่ แล้วก็ลองเสี่ยงโทรมาอีกทีนะครับ”

เด็กหนุ่มอธิบายยาวเหยียด
   
“แล้วไง โทรมามีอะไรล่ะ”
   
“แหม เรียวน่ะ พูดจากับผมเพราะๆหน่อยก็ไม่ได้ คนอุตส่าห์เป็นห่วง”
   
เขาทำเสียงตัดพ้อ เมื่อผมตอบกลับเขาด้วยเสียงที่ห้วนๆจนแม้กระทั่งตัวเองยังรู้สึก
   
“ไม่ได้ให้มาห่วงมาใยนี่นา”

ผมลดเสียงให้ดูนุ่มลง รู้สึกผิดที่พูดแรงๆใส่เขา

“ได้ไงกันล่ะครับ เป็นแฟนกัน ก็ต้องห่วงใยกันเป็นธรรมดาสิครับ”

“.........”

“ทานข้าวแล้วหรือยัง อื้ม.......ไม่ต้องตอบก็รู้ เรียวน่ะ ห่วงงานไม่ห่วงตัวเองเลยนะครับ ถ้าผมอยู่ใกล้ๆจะจับตีให้ก้นลายเลย”

ถึงแม้จะลงท้ายด้วยถ้อยคำสัพยอก แต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใยจนผมอดที่จะรู้สึกวูบไหวในใจไม่ได้

“นึกอยู่แล้วเชียวว่าเรียวต้องทำงานจนเพลินไม่ยอมกินข้าวกินปลา แล้วนี่ก็ดึกมากแล้ว กินข้าวมื้อสุดท้ายตอนกลางวันสินะครับ ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ท้องคงจะร้องแย่
ผมก็เลยกลับไปที่ห้างเหมือนเดิม แล้วก็แวะซื้อของกินมาฝากนะครับ .......มีเยอะแยะเลย ไม่รู้ว่าเรียวชอบทานอะไร เลยซื้อมาตั้งหลายอย่างแน่ะ......”

“.........”

ผมรู้สึกเต็มตื้นจนพูดไม่ออก เด็กบ้านี่ ทำให้จิตใจที่เย็นชาของผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามา ซึ่งผมไม่เคยได้รับมาก่อนแม้แต่ตอนที่ผมอยู่กับอรจิรา

“ฉันไม่หิวน่ะ” ผมโกหกเดียร์อีกแล้ว

“ดื้อที่สุดเลย ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองบ้างเลย เจ็บป่วยไปจะลำบากนะ”

เด็กหนุ่มโวยวายใส่ผมอีกแล้ว แต่น่าแปลกผมกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเขาเลยแม้แต่น้อย

“ให้ผมขึ้นไปหาข้างบนนะครับ ผมจะได้เอาอะไรให้คุณทาน ตอนนี้ผมรออยู่ข้างล่าง ลมแรงด้วย เหมือนกับว่า ฝนกำลังจะตกนะครับ...”

“เอ้อ............” ผมลังเล

“ป่านนี้เรียวคงจะหิวแย่แล้ว ของที่ผมไปซื้อก็กำลังร้อนๆอยู่เลยครับ ให้ผมขึ้นไปหานะ ได้ไหมครับ”

“........”

“โธ่เรียวครับ....กลัวผมเหรอ” เขาทำเสียงน้อยอกน้อยใจ

“เปล่าหรอก....เพียงแต่.......”

“เพียงแต่อะไรครับ” เขาถามอย่างคาดคั้น

“ฉันอยู่คนเดียวน่ะ.....”

ในที่สุดผมก็โพล่งออกไป ผมกลัวการที่จะได้เจอเด็กหนุ่มคนนี้อีก กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆบอๆในที่ทำงาน หรือแม้แต่ในห้องผม กลัวว่าคนอื่นจะมาเห็น แล้วก็กลัวไปถึงว่า หากคนอื่นรู้ถึงข้อตกลงเป็นแฟนระหว่างผมกับเดียร์เข้า เขาจะรังเกียจ และนินทาผม เดียร์ส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย เขาคงเดาความรู้สึกของผมได้

“แหม นึกว่าอะไร อย่ากลัวไปเลย ผมไม่ปล้ำเรียวหรอกครับ ถึงแม้ว่า จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็เป็นลูกผู้ชายพอ สัญญาไว้อย่างไรก็ต้องยึดมั่นอย่างนั้น อีกอย่างสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยด้วย แต่ถ้าเรียวสมยอม ก็ค่อยมาว่ากันอีกที”

“ใครจะไปยอมทำกับนาย”

“แหม ตอนนี้ไม่ยอม แต่ต่อไปก็ไม่แน่หรอกนะครับ เพราะว่า เรียวน่ะ ก็ยังโสดนะ ผมเองก็หน้าตาหล่อด้วย แถมซ้ำใจดี ดูแลเรียวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อีกหน่อยเรียวก็ต้องหลงเสน่ห์ผมจนได้ แล้วก็ยอมผมเองน่ะแหละ ผมน่ะ อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจัง วันที่เรียวจะเห็นว่าผมเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรียว ผมจะต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้”

เด็กหนุ่มบอกอย่างมุ่งมั่น น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจสุดฤทธิ์ ผมทำหน้าเบื่อๆ เมื่อต้องฟังคำพูดซ้ำเดิมเหมือนกรอจากเทปฟังเป็นร้อยๆเที่ยว แต่ก็แปลกใจตัวเองที่ยังคงฟังอยู่ได้ โดยไม่ยอมตัดสายทิ้งหรือวางหูไป


“เรียวยังไม่ตอบผมเลย ว่าให้ผมขึ้นไปหาได้หรือเปล่า ฝนเริ่มจะลงเม็ดแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มถามผมเสียงละห้อย ผมเหลือบมองจากหน้าต่างห้องทำงานซึ่งอยู่ตรงชั้นลอยของตึก บรรยากาศข้างนอกมืดสลัว เพราะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว แต่กระนั้นก็พอจะมองเห็นต้นไม้ที่กิ่งใบไหวโอนตามแรงลม สงสัยฝนคงจะตกจริงๆตามที่เดียร์ว่า

“ก็ได้ นายเข้ามาก็จะเจอยามอยู่ตรงหน้าประตู บอกเขาว่ามาผมฉัน แล้วให้เขาพาเข้ามา”

ผมตัดสินใจให้เดียร์ขึ้นมาหาผม เพราะรู้สึกสงสารถ้าจะปล่อยให้เด็กนี่ยืนรออยู่ข้างล่าง ในขณะที่ฝนตก อีกอย่างเด็กนี่ก็ไม่ได้มีประสงค์ร้ายแต่อย่างใด เขาอุตส่าห์ซื้อข้าวของมาให้ผมทานด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่เขาทำแบบนั้น แต่การที่เขามีน้ำใจกับผม ก็ทำให้ผมไม่อยากที่จะตอบแทนเขาด้วยความเฉยชา ไหนๆเด็กนี่ก็ให้สัญญาแล้วว่า จะไม่ทำอะไรที่ล่วงเกินก้าวก่ายผม ก็น่าจะให้โอกาสเขาบ้าง อย่างน้อยเขาก็ได้อาศัยหลบฝน แล้วผมเองก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ด้วย บรรยากาศจะได้ไม่เหงา หรือวังเวงจนเกินไป ขอเพียงแต่เด็กบ้านั่น จะนั่งเงียบๆไม่ทำตัววุ่นวายให้ผมเสียสมาธิเท่านั้น


“แต่ต้องรับปากฉันก่อนนะว่า จะไม่รบกวนตอนที่ฉันทำงานอยู่”

ผมขอคำสัญญาจากเขา เดียร์รับปาก ท่าทางกระตือรือร้นสุดขีด

“รับรองครับ ผมจะทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ทำให้เรียวลำบากใจเลยล่ะครับ”

ผมบอกชื่อแผนกและชั้นให้กับเดียร์ไป เดียร์ทวนคำพูดจากผม จากนั้นก็บอกว่าเขากำลังจะขึ้นมาหาพร้อมกับอาหารที่ซื้อมาให้ผม ไม่เกิน 10 นาทีเจอกัน จากนั้นเขาก็วางหู ผมหันมานั่งทำงานต่อ 10 นาทีหลังจากนั้น ยามก็กดโทรศัพท์มาหาผมจากด้านนอก บอกว่ามีคนจะมาพบ ผมบอกให้ยามพาเข้ามาได้


ยามพาเดียร์มาหาผมถึงห้อง แล้วมองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ จนผมต้องทำตาดุใส่ ยามคนนั้นจึงได้หลบตาแล้วถอยออกไป ผมหันมามองเดียร์เต็มตา ก็น่าอยู่หรอกที่ยามจะมองเราด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น


เดียร์ยืนยิ้มเผล่ หูตาเป็นประกายวิบวับอยู่ตรงหน้าผม เรือนร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดแนบลำตัวแขนกุดสีดำ มีรอยกรีดบนตัวเสื้อตรงช่วงอกด้านบนเป็น 3 ริ้ว คล้ายรอยเล็บเสือข่วน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อตรงแผ่นอก และต้นแขนที่สวยได้รูป เขานุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าบูทหุ้มข้อสีดำ ผมหยิกสลวยเป็นลอนดกหนาสีน้ำตาล ถูกทักเป็นเปียหลายเส้นแนบติดกับหนังหัว ทำให้ดูแปลกตา โชคดีที่ศีรษะของเดียร์ทุยสวยได้รูป เวลาทำผมแบบนั้น ก็เลยทำให้ดูดีไปอีกแบบหนึ่ง


ใบหน้าหล่อเหลาของเดียร์เข้มขึ้นด้วยอายไลน์เนอร์ ที่เน้นรอบดวงตา บนขนตางอนยาวหนาเป็นแพ เคลือบด้วยสีขาวตรงปลายๆ หน้าสีน้ำตาลทองนวลเนียนด้วยแป้งและครีมรองพื้น ปากมันวาวด้วยลิปบาล์ม มีเกล็ดสีเงินทองระยิบระยับตามใบหน้า และลำตัว เขาดูเถื่อนๆแต่สง่างาม


เด็กหนุ่มหิ้วของมาด้วยพะรุงพะรัง แถมซ้ำยังมีเป้สะพายหลังมาอีก พอเข้าห้องผมได้ ก็วางของทั้งหมดลงเหนือตู้ใส่เอกสารจำพวกแฟ้มของผม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ผมกำลังนั่งอยู่ พลางจ้องมองผม ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มละมุนละไม

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 02-06-2008 11:42:22

“ใจคอจะไปไหนต่อไหน ด้วยเครื่องแต่งตัวกับหน้าตาแบบนี้เหรอ คิดอะไรอยู่น่ะ”

ผมทักทายเขาด้วยประโยคคำถาม ตาจ้องไปที่ใบหน้าของเขา แล้วยิ้มอย่างขำๆ เดียร์ลูบหน้าตัวเอง แล้ว หันไปมองเงาจากกระจกหน้าต่างที่เห็นเพียงลางๆ

“ผมลืมล้างหน้าออกมาอ่ะ เต้นเสร็จ รับเงินแล้วก็ออกมาเลย เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยน มิน่าตอนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ กับตอนขึ้นมาที่นี่ พวกยามและคนอื่นๆ มองผมแปลกๆ แต่มันก็ดูดีใช่ไหมครับ กลุ้มจัง เกิดมาหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลย เห็นด้วยใช่ไหมครับเรียว”

เขายิ้มทะเล้นใส่ ดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนต่อถ้อยคำเหน็บแนมของผม จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ภูมิใจเหลือเกินนะ กับหน้าตาตัวเองนี่  พ่อคนหล่อเหลาปานเทพบุตร”

ผมค่อนขอด เดียร์ทำเป็นยืดอก พลางยิ้มกว้าง ทำหูตาแพรวพราวใส่ผม

“เรียวควรจะดีใจนะครับ ที่มีแฟนหน้าตาดีแบบผม ใครๆเขาก็จะได้มองว่า เราเป็นคู่ที่สมกันจริงๆเหมือนกิ่งทองใบหยก”

เดียร์อดไม่ได้ที่จะวกเข้าเรื่องแบบนี้ ผมแอบขำในใจ ที่เดียร์เอาคำพูดที่เปรียบเปรยถึงความสมกันระหว่างชายหญิง มาเปรียบเทียบตัวผมกับเขาว่าเหมาะเจาะไปกันได้ดี

“ถ้าจะมาคุยด้วยเรื่องอย่างนี้ ก็จงเงียบไปซะ ฉันจะทำงาน อย่าได้ส่งเสียงรบกวน”

ถึงแม้จะรู้สึกขำคำพูดของเขา แต่ผมก็แสร้งทำเป็นเสียงเข้มใส่ เพราะไม่อยากให้เดียร์ได้ใจ เด็กหนุ่มหุบยิ้ม แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“นี่ ผมไปแวะซุปเปอร์มา ไปซื้ออาหารมาให้กิน โชคดีนะเนี่ยที่ห้างเขายังไม่ปิด แต่ก็เกือบไป ผมนึกว่าจะไม่มีอะไรมาฝากเรียวซะแล้ว เดินหาตั้งนานแน่ะ ว่าแต่เราสองคนทานกันเลยไหมครับ แคนทีนอยู่ตรงไหนอ่ะครับ มีถ้วยจานไหม แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ทานกับกล่องโฟมก็ได้ จะทานในห้องดี หรือ ทานข้างนอกดีครับ เอางานที่อยู่บนโต๊ะ ไปวางที่อื่นก่อนไหม”


เดียร์วุ่นวายรื้อข้าว รื้อของออกมากอง แล้วก็จัดแจงเก็บโต๊ะทำงานของผม ปากก็พูดไปเรื่อย ผมไม่ตอบก็พูดเองเออเอง ในที่สุดของที่เขาซื้อมา ก็จัดวางไว้บนจานอย่างเรียบร้อย ผมมองดูอาหารบนโต๊ะ แล้วก็มองหน้าเขา

“จะกินหมดไหมเนี่ย ซื้อมาเยอะแยะขนาดนี้”

“ก็แต่ละอย่างมันก็น่ากินนี่ครับ ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ข้าวมันไก่ กระเพาะปลา ไหนจะอาหารญี่ปุ่นที่หน้าตาสวยน่าอร่อย ผมเลือกซื้อข้าวปั้น สารพัดหน้ามาเลยนะครับ เพราะไม่รู้ว่าอันไหนที่เรียวจะชอบ ขนมปังไส้เห็ดหอม กับไส้ผักขมก็ดูน่าอร่อยดีนะ แล้วนี่น่ะ ก็เป็นขนมไทยเจ้าที่มีชื่อด้วย คนเข้าคิวซื้อกันเลยอ่ะครับ”

เด็กหนุ่มเชิญชวนผมให้ทานอาหารทั้งหมดที่เขาซื้อมาด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ท้องแตกตายกันพอดี” ผมว่า

“ไม่หรอกน่า เรียวน่ะ ผอมออก ”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ เขาส่งสายตาแห่งความรักใคร่มายังผม ทำให้ผมต้องรีบหลุบตาลงต่ำ เสมองอาหารตรงหน้า

“อยากจะอยู่กับเรียว แล้วก็ทำให้เรียวอ้วนขึ้นกว่านี้ เรียวน่ะ ผอมมากเลยนะครับ  คงไม่มีใครทำอะไรอร่อยๆให้ทานเลยใช่ไหม ผมทำอาหารเป็นนะ ทำกินเองมาตั้งแต่ออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว รับรองฝีมือใช้ได้ เรียวกินแล้วต้องติดใจแน่ๆ”

เดียร์โอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง ผมทำปากยื่นใส่ รู้สึกหมั่นไส้ และ ขำที่เด็กหนุ่มพยายามอย่างมาก ที่จะเชียร์ตัวเองให้ผมชอบ ดูๆไป เด็กนี่ก็น่ารักดี ถ้าเขาไม่ประสงค์จะเป็นแฟนผม เราคงผูกสมัครรักใคร่เป็นพี่กันน้องกันแน่ๆ

“น่ารำคาญจริงเชียว อวดอ้างตัวว่าเก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ไม่เบื่อตัวเองบ้างหรือไงกันนะ”

“ไม่เบื่อหรอกครับ ก็มันจริงนี่นา เอาไว้วันอาทิตย์นี้ ผมจะทำกับข้าว ให้เรียวทานทุกมื้อเลย ดีไหมครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มหวานทำท่าประจบประแจงผมเต็มที่

“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นค่อยพูดกันได้ไหม มาทานของพวกนี้กันก่อน นายซื้อมาเยอะขนาดนี้ ฉันกินไม่หมดหรอก ต้องช่วยฉันรับผิดชอบให้หมดรู้ไหม”

“ได้ครับได้ กำลังหิวอยู่เหมือนกันเลย”

เดียร์ลูบท้องตัวเอง ปากก็เจื้อยแจ้วเจรจา

“ได้กินอาหารกันสองต่อสองกับเรียว ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ผมฝันอยากให้เป็นแบบนี้ทุกวัน อยากให้เรียวเห็นว่าผมเป็นคนสำคัญของเรียวเร็วๆจัง”

เด็กหนุ่มย้ำประโยคเดิมที่เขามักจะพูดกับผมบ่อยๆด้วยดวงตาที่ทอประกายความหวัง

“ลงมือกินซะทีเถอะ พูดอยู่ได้”

ผมแสร้งทำเป็นรำคาญ อันที่จริงรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่เขาพูด เพราะรู้ดีแก่ใจว่า ผมคงไม่สามารถให้ความสำคัญกับเขาเยี่ยงคนรักได้

“คร้าบบบบบบบบ”

เดียร์หยิบข้าวปั้นใส่ปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ตาก็จ้องมองผมตลอด พอเห็นผมยังเฉยอยู่ เขาก็ชี้ไม้ชี้มือไปที่อาหาร ทำนองเชิญชวนให้ผมทานบ้าง ผมหยิบข้าวปั้นมาลองกิน
บ้าง พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับเดียร์ที่มองมายิ้มๆ เล่นเอาผมรู้สึกเขิน

“มองอะไร กินเข้าไปสิ”

ผมว่าเขา เดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างชอบใจ เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม และพูดขึ้นว่า

“ชอบมองเรียวทุกตอนเลย เป็นไรไม่รู้ รู้แต่ว่า มองตรงไหน ก็น่ารักไปหมดเลย จนรู้สึกว่า อยากจะกอด แล้วก็จูบเรียวขึ้นมาทันทีอ่ะครับ”

ผมทำตาดุใส่เขา เป็นเชิงห้ามปราม และพูดขู่สำทับอีกที

“อย่าได้คิดทำอย่างนั้นเชียวนะ ถ้าไม่อยากได้ชื่อว่าทำผิดสัญญา”

“แหมรู้แล้วครับ อ้างสัญญาอยู่เรื่อยเลยนะ”

เด็กหนุ่มพูดจาตัดพ้อ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน จะให้ผมทำอย่างไรล่ะ ผมไม่อยากให้เขาคิดมาก ไม่อยากเอาตัวผูกพันกับเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่นี้

“อ๊ะ แหวนไปไหนแล้ว”

อยู่ดีๆ เด็กหนุ่มก็ร้องขึ้นมา ผมมองมาที่เขา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็แหวนที่ผมให้เรียวไว้ในวันที่เราตกลงสัญญาเป็นแฟนกันไง ทำไมไม่เห็นเรียวใส่แหวนที่ผมให้มาเลย ไม่ชอบหรือครับ”

เดียร์ทักขึ้นมา ผมเห็นเขาจ้องที่นิ้วนางข้างซ้ายของผม ผมมองตาม มือทั้งมือว่างเปล่า เพราะผมถอดแหวนของเดียร์ทิ้งวางไว้บนโต๊ะตั้งแต่วันที่ผมกลับมาบ้านแล้ว

“จะบ้าเหรอ จะใส่มาได้ไง เดี๋ยวคนก็ถามกันพอดี”

“ก็ช่างเขาปะไร ใครถามก็บอกว่า เป็นแหวนหมั้น แฟนซื้อให้สิครับ”

“แหวนหมั้นบ้าอะไร ใครไปหมั้นกับนาย”

“มันเป็นเครื่องหมายของภาระผูกพันที่มีต่อกัน ดูนี่สิ ผมยังใส่สร้อยของเรียวติดตัวตลอดเวลาเลย เหมือนเป็นเครื่องราง เป็นสิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงเรียวตลอดเวลา บอกให้รู้ว่า ผมมีแฟนแล้ว และผมจะซื่อสัตย์กับเจ้าของสร้อยตลอดไป แล้วทำไมเรียวถึงไม่ใส่มันบ้างล่ะ”

เด็กหนุ่มตัดพ้อ ดูท่าทางจะน้อยอกน้อยใจที่ผมไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เขาให้ เขาแหวกเสื้อออกให้ดูที่คอของเขามีสร้อยเงินกับจี้รูปตัว “อาร์” คล้องอยู่

“นายนี่ยังเด็กมากจริงๆ ถึงไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย” ผมพูดกับเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ทำไมเหรอครับ เด็กกว่าแล้วยังไงเหรอ เป็นเด็กแล้วรักคนที่แก่กว่าไม่ได้หรือไง เป็นเด็กแล้วไม่มีหัวใจอย่างนั้นเหรอ รักใครไม่เป็นหรือยังไง เป็นเด็กแล้วใครๆก็คิดจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม จะทำให้เจ็บช้ำอย่างไรก็ไม่ต้องคิดมานั่งคิดหน้าคิดหลังใช่ไหม”

เดียร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ดูสิ อย่างนี้จะไม่เรียกว่าเด็กได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะผ่านอะไรต่ออะไรมาเยอะ ดูแกร่งกร้าวเกินวัย แต่อารมณ์และความคิดก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ อยากจะได้อะไร ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าแม้มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามหวัง ก็พาลจะน้อยอกน้อยใจคร่ำครวญหวนไห้ตลอดเวลา

“เกลียดเด็กก็ตรงนี้แหละ เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจ

“มันมีเรื่องมากมายที่เธอต้องทำความเข้าใจศึกษา เรียนรู้และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำตัวขวางโลก ไม่เข้าใจสังคม จะอยู่ไม่ได้นะ”

ผมถือโอกาสสอนเขา เด็กหนุ่มทำหน้างงๆ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องไม่ใส่แหวนของผมล่ะครับ”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 02-06-2008 11:45:29

โธ่โว้ย ก็ใครจะไปใส่แหวนที่ได้มาจากเกย์เล่า ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา


“เกี่ยวสิ ฉันน่ะ ยังเป็นโสดอยู่ คนที่ทำงานก็รู้กันหมด อยู่ดีๆ ก็สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย คนก็คงจะคิดว่าฉันแต่งงาน แล้วไม่บอกพวกเขา เดี๋ยวปัญหาก็จะตามมาอีก ฉันต้องเจอคนซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าฉันแต่งงานเมื่อไหร่ ใครเป็นผู้โชคดี แล้วจะให้ฉันตอบว่า เปล่าหรอก แหวนนี้น่ะ ผู้ชายให้มา เราทำสัญญาเป็นแฟนกัน บอกแบบนี้จะดีเหรอเดียร์ คิดว่าพวกเขาจะละเว้นไม่นินทาฉันเหรอ”

ผมให้คำตอบที่มีเหตุผลไปกับเด็กหนุ่ม เดียร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เขาคงนึกดีใจที่ไม่ได้ยินถ้อยคำประเภท ผมเกลียดเกย์ ไม่อยากยุ่งด้วย จากปากผม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายสงสัย

“ก็บอกว่า มันเป็นแฟชั่นไม่ได้หรือครับ ผู้ชายเดี๋ยวนี้ก็เห็นใส่แหวน หรือเครื่องประดับกันแพรวพราวเลย แหวนผมก็เป็นทองเกลี้ยงๆเอง”

“ช่าย แหวนทองเกลี้ยง ที่มีคำว่า “มาย เดียร์” สลักอยู่ด้านใน คนมาขอยืมไปดูคงไม่สังเกตเห็นหรอกนะ”

ผมพูดประชดเด็กหนุ่ม เขายิ้มอายๆให้ผม

 “อีกอย่าง ฉันไม่ใช่ตู้ทองเคลื่อนที่ หรือร้านโชว์เครื่องประดับนี่ ไม่เคยประโคมใส่เพชรทองหยองให้คนอื่นเห็น ยกเว้นสร้อยเงินเล็กๆที่แม่ซื้อให้เส้นเดียว แล้วนายก็มาเอาไปแล้ว ฉันไม่เคยใส่เครื่องประดับฟุ่มเฟือยเลย อยู่ๆเกิดใส่ขึ้นมา แล้วที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วย คนจะไม่คิดมาก จนอดที่จะถามฉันไม่ได้หรือ”

คำพูดของผม ทำให้เดียร์สงบลง เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอยากจะให้เรียวใส่ไว้นะครับ วันเสาร์ หรือ อาทิตย์ วันที่ไม่ต้องเจอใครก็ยังดี เรียวจะได้นึกถึงผม”

“ไม่ต้องมาพูดเลย มากมายจริงๆเลยนายนี่ ฉันน่ะ ยังไม่ทันลืมเรื่องของนายเลย ก็เจอหน้านายอีกแล้ว เล่นโผล่มาให้เห็นบ่อยๆแบบนี้ ใครจะไปทันลืม อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน อยู่ดีๆก็โผล่มาแถวนี้ แล้วก็มานั่งรออยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ ตอนไปซื้ออาหารมากินนี่ ไม่ได้นึกบ้างหรือไง ว่า ถ้าซื้อออกมาแล้วไม่เจอฉัน นายจะเอาของพวกนี้ไปไว้ไหน”

ผมได้ที เลยถือโอกาสต่อว่าเขา

“แล้วก็ไอ้ที่ไปบ้านฉันบ่อยๆ เพื่อส่งหนังสือพิมพ์และอาหารตอนเช้านั่นอีก รวมถึงมาคอยเฝ้าดูตอนฉันกลับบ้าน ทำไปได้ไงน่ะ ไม่เบื่อบ้างหรือไง ตามฉันอยู่ได้”

“ก็มันทำให้นาฬิกามันหมุนข้ามไปวันอาทิตย์ไม่ได้นี่ อีก ตั้งหลายวันกว่าจะเจอกัน นี่ก็เพิ่งจะวันพุธเอง ใจผมจะขาดแล้ว คิดถึงมากที่สุดเลย มันก็เลยทนไม่ไหว ต้องพยายามที่จะไปเห็นหน้าให้ได้นะครับ”

เดียร์ตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ

“แล้วเอาเงินทองที่ไหนมากมาย มาซื้อของให้ฉัน รวยมากนักหรือไง ถึงได้อยากทำตัวเป็นเสี่ยเลี้ยง”

“ก็เงินที่ได้มาจากการทำงานนี่แหละครับ มันก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ ยังน้อยกว่าความรู้สึกในใจของผมที่มีต่อคุณเสียอีก ผมอยากให้คุณมากกว่านี้อีกอ่ะ”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความจริงใจ จนผมรู้สึกไม่ดี หากจะเป็นฝ่ายรับเพียงแค่อย่างเดียว

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันรู้ว่านายอยากจะทำอะไรหลายๆอย่างให้ฉัน เพื่อให้ฉันพอใจ แต่ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ หากว่า นายจะให้ฉันได้ออกค่าใช้จ่ายบ้าง อย่างเช่น ค่าอาหารมื้อนี้ ค่าหนังสือพิมพ์และอาหารเช้า นายจะมาออกให้ฉันบ่อยๆไม่ได้นะ ฉันเองก็มีงานทำ นายเองก็ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ ฉันเอาเปรียบนายไม่ได้หรอก”

ผมบอกเขาด้วยความรู้สึกที่จริงใจเหมือนกัน

“สำหรับมื้อนี้ ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าผมเลี้ยงนะ”

เขาปฏิเสธที่จะให้ผมช่วยออกเงิน แต่ผมก็ยังยืนกรานที่จะช่วยเขาอยู่ดี

“ไม่ได้ ถ้านายไม่ให้ฉันช่วยออก งั้นฉันไม่กินนะ”

ผมขู่เขา เดียร์ทำตาโต ร้องเสียงหลง

“ทำไมถึงต้องคิดมากด้วยครับ ก่อนหน้านั้น เรียวก็ให้ผมมาตั้งเยอะ ทั้งให้เงิน ทั้งเลี้ยงข้าว ทั้งพาไปส่ง ปกป้องให้พ้นจากอันตราย สิ่งที่คุณทำให้ผมมันมีคุณค่ามากมาย เมื่อเทียบกับสิ่งของที่ผมซื้อให้คุณมันดูกระจิบกระจ้อยเลยนะครับ”

“จะให้ฉันออกให้ หรือเปล่า ฉันไม่กินจริงๆนะ”

ผมย้ำคำพูดเดิม

“ไม่กินไม่ได้นะครับ อุตส่าห์ซื้อมาเยอะแยะ เอ้อ เอางี้ดีไหม ผมไม่รู้จะคิดเงินคุณอย่างไรดี เอาเป็นว่า มื้อนี้ผมเลี้ยงคุณ มื้อหน้าคุณค่อยเลี้ยงผมคืนดีไหม”

เขายื่นข้อเสนอ ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม ก็เห็นความดื้อดึงอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ดูเข้มแข็งนั่น ผมถอดถอนใจ อย่างยอมจำนน เพราะรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาเงินให้เขาไป เพราะดูจากการบ่ายเบี่ยงของเขาแล้ว ท่าทางเขาคงไม่ยอมรับเงินจากผมแน่นอน

“ก็ได้ เอาเป็นว่าฉันเลี้ยงตอบแทนนายมื้อหนึ่ง แต่คราวหลังถ้าจะซื้ออะไรให้ฉันต้องบอกฉันนะ  นายทำให้ฉัน ฉันสมควรจ่าย อย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่เลย”

“คร้าบบบบบบบ”

เขาขานรับเสียงยืดยาว แต่ผมสังหรณ์ใจว่า เขาไม่ทำตามอย่างที่รับปากหรอก เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ คงรู้สึกระลึกถึงบุญคุณของผมที่เคยทำไว้ให้เขา เลยพยายามที่จะตอบแทนผมอย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่ตัวเองจะมีปัญญาทำได้

“ตกลงเป็นสองครั้งแล้วนะครับ ที่คุณสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับผม ครั้งแรกคุณสัญญาว่าจะพาผมไปซื้อมือถือ ครั้งที่สองคุณสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวผม ผมจะจดไว้นะครับ กันลืม”

เด็กหนุ่มรื้อกระเป๋า หยิบสมุดโน้ต เล่มเดิมที่เขาเคยบันทึกคำสัญญาระหว่างเราขึ้นมาจด

“นี่ รวบมันเป็นครั้งเดียวกันก็ได้นะ ไปทำไมกันหลายๆครั้ง สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย” ผมแย้งด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ได้นะ มันคนละเรื่องกัน เรียวต้องออกไปเที่ยวกับผมสองครั้ง ไปครั้งเดียว ผมไม่ยอมหรอกนะ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเรียวไม่ออกให้ผม ผมออกให้ก็ได้”

“คร้าบบบบบ” ผมลากเสียงยาวล้อเลียนเขาบ้าง

“ท่านเศรษฐีใหญ่ ร่ำรวยมาจากไหนกันนักหนา อย่างนี้ขอรถก็คงจะได้รถน่ะสิ”

ผมว่าเขาอย่างขำขำ เริ่มรู้สึกสนุกที่ได้เหน็บแนมต่อปากต่อคำกับเขา

“อื้ม ขอคิดดูก่อนนะ ถ้าเรียวอยากได้รถจริง ผมก็จะพยายามซื้อให้ รถหนึ่งคันราคาคงแพงโขอยู่นะ แต่ว่าเพื่อเรียว ผมสู้ตายเลย ขอเพียงแค่เรียวยอมเป็นของผม ทุกวัน ไปตลอด หกเดือนนี้เท่านั้น ให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ผมยินดีทำไม่เกี่ยงเลย”

เขาโต้ตอบกลับทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาดูทะเล้นทะลึ่ง เดียร์ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา ผมเม้มปากแน่น รู้สึกแปลกๆที่ได้ยินถ้อยคำกึ่งเกี้ยวพาราสีติดเรทเอ็กซ์ของเขาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ภายใน ผสมเข้ากับอาการพะอืดพะอม ดูเหมือนผมจะเกิดความชอบ บน ความชิงชัง คำพูดแบบนี้ของเด็กบ้านี่

“เอ้ากินเข้าไป จะได้หยุดพูด”

ผมหยิบข้าวปั้นยื่นไปตรงหน้าของเดียร์ หมายจะให้ปากเขาเต็มไปด้วยอาหาร จะได้เลิกพูดจาอะไรที่จะเข้าตัวผมซะที ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งหวั่นไหว จึงจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างที่จะห้ามไม่ให้เขาพูดมากไปกว่านี้ เด็กหนุ่มมองผม ตาหวานฉ่ำ อ้าปากรับ ผมเลยยัดข้าวปั้นคำโตใส่ปากเขา และอย่างว่องไวกว่าที่ผมจะชักมือกลับได้ทัน เดียร์ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผม แล้วกุมไว้ด้วยมือสองข้างของเขา ก่อนที่จะดึงมือของผม ลงมาทาบตรงที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจ เขามองผมนิ่งนาน ในขณะที่ผมมองเดียร์อย่างงงๆ ในสิ่งที่เขาทำ


“รู้สึกไหมครับ ว่าหัวใจของผมเต้นแรงมาก นี่มันแทบจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว มันอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า ผมรักคุณมากแค่ไหน”

ผมชักมือออก แล้ว พูดใส่หน้าเขาว่า

“เพ้อเจ้อ”

เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อย

“อุตส่าห์จะสวีท หวานแหวว สักหน่อย เรียวนี่ โรแมนติกไม่เป็นหรือไงนะ”

“เห็นหน้านายก็ไม่เกิดอารมณ์แล้ว”
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 02-06-2008 11:49:21


บทที่ 8


“จริงเหรอ ทำไมอ่ะ”

เดียร์ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง ทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องแปลกประหลาดเต็มประดา

“มีแต่คนบอกทั้งนั้นว่า หน้าตาผมหล่อมากๆ หน้าตาดีอย่างไม่เกรงใจคนอื่น ใครๆก็ชอบผมทั้งนั้น มีแต่เรียวคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่คิดว่าผมน่าสนใจ ผมรู้สึกเศร้าจังเลย”
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าใส่ผม แต่จากแววตาระยิบระยับนั่น ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่ได้เศร้าจริงอย่างปากว่า

“แต่เห็นพอผมทำให้ก็มีอารมณ์ทุกที หรือว่า เวลาแบบนั้น ........ ไม่ต้องมองหน้ากัน แค่สัมผัส ก็รู้สึกไปถึงข้างในแล้ว อย่างนี้ต้องลองพิสูจน์ดูอีกครั้ง ว่าถ้าผมทำให้เรียว โดยที่คุณมองผมตลอดเวลา เรียวจะมีอารมณ์มากขึ้นไหม”


เด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นทำหน้าตาหื่นๆใส่ผม แลบลิ้นมาแตะค้างตรงมุมปาก มองผมด้วยสายตารัญจวน ท่าทางของเขาน่าหมั่นไส้ เกินกว่าจะชวนให้เกินความวาบหวิว

“อ้าว คุยกันดีๆ ทำทะลึ่งซะแล้ว หยุดพูด แล้วรีบๆกินซะ เสียเวลามามากพอแล้ว”

ผมติดเบรกเด็กหนุ่มด้วยเสียงดุๆ เขาหัวเราะกิ๊กกั๊กชอบใจที่แกล้งพูดยั่วผมได้ พอผมขึงตาใส่เขา เดียร์ก็ทำเป็นหลบตา หันไปหยิบอาหารใส่ปาก ผมรออยู่ว่าเขาจะพูดอะไรต่อ แต่เด็กหนุ่มก็ทำเป็นยุ่งอยู่กับอาหารตรงหน้า ไม่พูดไม่จา ผมเลยหันมาใส่ใจกับการกินบ้าง


เราต่างคน ต่างกินอาหารกันไป พูดคุยกันไปบ้าง เดียร์จะชี้ชวนให้ผมกินนั่นกินนี่อยู่ตลอดเวลา พอผมทำท่าจะอิ่ม เขาก็จะคะยั้นคะยอ เชียร์ให้ผมกินต่อ จนกระทั่งผมบอกว่า ไม่ไหว จริงๆ เขาจึงหยุดพูด แล้วหันมาจัดการเอง จนหมดไม่เหลือหรอ ผมมองรูปร่างสูงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อชวนมองนั่น กำลังคิดว่า เขาเป็นคนกินจุมาก เพราะยังอยู่ในวัยที่เจริญเติบโตได้อีก โชคดีที่เขาคงออกกำลังกายบ่อยๆ ร่างกายของเขาจึงแทบจะไม่มีไขมันพอกพูนให้เห็น ถ้าเป็นผม กินเยอะแบบนี้บ่อยๆ อีกไม่นานคงได้ลงพุงเป็นแน่
เดียร์กุลีกุจอ เก็บข้าวของที่เราทานกันเสร็จใส่ถุงขยะ ท่าทางคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ผมจะช่วยเขาก็ไม่ยอม กลับไปยกเอางานของผมที่ทำค้างไว้ มาวางตรงหน้า แถมซ้ำยังบอกว่า ให้ผมทำงานต่อไปไม่ต้องกังวลกับเรื่องของการเก็บกวาด เขาอาสาทำเองจนหมด ผมบอกทางไปแคนทีนให้เขา พลางกล่าวขอบคุณ แล้วส่งยิ้มอย่างจริงใจไปให้

เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นกุมหัวใจ พลางทำหน้าซึ้งชวนฝัน

“โอ๊ย ใจละลายหมดแล้ว เรียวยิ้มหวานๆให้ผมก็เป็นด้วย”

 เขาทำท่าเต้นระบำปลายเท้าแบบนักบัลเล่ต์ หมุนตัวไปมา ผมหุบยิ้ม แล้วบอกให้เขาจัดการเอาของไปทิ้งได้แล้ว เขาหันมาโค้งให้ผม แล้วก็รีบเก็บข้าวของ ก่อนจะเปิดประตูออกไปทิ้งขยะ

ผมส่ายหัวให้กับความทะลึ่งทะเล้นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองเบาๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ผมเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้าง ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่นานนัก เดียร์ก็เข้ามา เขาเห็นผมนั่งทำงานอยู่ ก็เลยย่องเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าเบาๆ แล้วไปนั่งเงียบๆอยู่ที่โซฟารับแขกในห้องทำงานของผม จากหางตาของผม เห็นเดียร์รื้อหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟามาอ่าน พลิกไปได้สองหน้า ก็ปิดมันลง ทำหน้าย่นกองหนังสือเหล่านั้น ผมนึกขำที่เขาไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับพวกประกันมาอ่าน คงจะมีข้อมูลที่ตัวเองไม่รู้เรื่องก็เลยไม่อยากจะให้ความสนใจต่อไป


ผมสะดุ้ง เมื่อเห็นเดียร์หันมามองผม เขาจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นต่อไปไม่ไหว

“มองอะไร”

“ถามได้ ก็มองเรียวน่ะสิ ตอนคุณทำงาน ดูเคร่งขรึมเอางานเอาการดีจัง น่าดูชะมัด”

“พอทีเถอะ ขืนมาจ้องแบบนี้ ฉันไม่เป็นอันทำการทำงานแน่ กลับบ้านไปได้แล้ว ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องส่งหนังสือพิมพ์แต่เช้าไม่ใช่เหรอ”

ผมถือโอกาสไล่เขา เดียร์ทำเสียงสูง โวยวายขึ้นมา

“โห โห อะไรอ่ะ ไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างเลย ทานเสร็จ ก็ขับไสไล่ส่งเฉยเลย จะอยู่ต่อก็ไม่ได้ คนอะไรใจร้ายที่สุด อุตส่าห์เห็นว่ากลับบ้านดึก เลยจะมาอยู่เป็นเพื่อน นอกจากจะไม่ยอมรับรักผมแล้ว ยังไม่เข้าใจถึงความหวังดีของคนอื่นอีก เรียวนี่ ไม่น่ารักเอาเสียเลย โพลสำรวจความชอบส่วนตัวบอกว่า คะแนนความน่ารักของเรียวตกลงมา 1 เปอร์เซ็นต์แล้ว”


ผมหัวเราะก๊ากเมื่อเห็นท่าทางงอนกระเง้ากระงอดนั่น เออหนอ เด็กบ้านี่ นอกเหนือจากขี้อ้อนแล้ว ยังขี้วีนเสียจริง บอกอยู่แหมบๆ ว่าผมน่ารัก ตอนนี้กลับพูดอีกอย่าง เฮ้อ....เจ้าเด็กปิศาจเอ๊ย

“โอ๊ย”

อยู่ๆเขาก็ร้องขึ้นมา ผมหยุดหัวเราะ มองหน้าเขาเหรอหรา สงสัยว่าเด็กหนุ่มเป็นอะไร

“โดนใจจังเลย”

 เด็กหนุ่มบอกผม แต่ผมยังไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี

“ก็เสียงหัวเราะนั่นน่ะ” เขาว่า

“คะแนนความน่ารักกลับมาพุ่งปรี๊ดเหมือนเดิม แถมเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ชอบจังเลย เวลาเรียวหัวเราะหน้าตาสดใสมาก ผมขอเหมาหมดเลยนะ อยากให้เรียวหัวเราะกับผมคนเดียว ไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงหัวเราะ กับรอยยิ้มของเรียวอ่ะ ผมหวง”

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว”

ผมยังไม่หยุดขำ ยอมรับกับตัวเองว่า เจ้าบ้านี่ ทะเล้นได้ใจจริงๆ เขาทำให้ วันอันยุ่งเหยิงของผม มีความสนุกขึ้นมาทันที

“พอเถอะ ฉันไม่ไล่ก็ได้ แต่หัดอยู่เฉยๆซะบ้างนะ คนจะทำงาน มานั่งจ้องจนเสียสมาธิหมดเลย เดี๋ยวก็ยิ่งกลับดึกกว่านี้หรอก”

ผมอนุญาตเด็กหนุ่มให้อยู่เป็นเพื่อนผมได้ เพราะเห็นแก่ความเอาใจใส่ที่เขามีต่อผม อีกอย่างก็รู้สึกดีกว่าการที่จะต้องนั่งอยู่คนเดียวเหงาๆในออฟฟิศ มีเดียร์เป็นเพื่อน ก็ช่วยทำให้รู้สึกอุ่นใจได้บ้าง เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เอามือทำท่าเป็นรูปซิปปิดปาก จากนั้นก็นั่งจ๋องๆอยู่ที่โซฟา ผมหันกลับมาทำงานที่คั่งค้างต่อ ตั้งใจจะรีบทำให้เสร็จก่อนตีหนึ่ง ซึ่งยังเหลือเวลาอีก ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง กับ อีก 4-5 เคส


ผมเพ่งสมาธิไปกับการทำงาน การที่ผมอารมณ์ดี ทำให้หัวสมองแล่นลิ่ว พิจารณาเคสตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงในการอนุมัติใบคำขอทั้งหมดนั่น ซึ่งเร็วกว่า กำหนดเวลาที่คาดไว้ครึ่งชั่วโมง


หลังจากบิดตัวขับไล่ความเมื่อยขบ ผมก็ลุกขึ้นยืน เดินตรงมาที่โซฟา เดียร์หลับไปแล้ว เขานอนเหยียดยาวไปตามแนวของโซฟา ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยยิ้มระบายจางๆ ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงยามหายใจ ผมมองเขานิ่งนาน ก่อนจะเดินกลับไปยังผนังห้องที่กรุด้วยกระจกทั้งหมด ด้านหลังโต๊ะทำงานของผม แล้วมองลงไปเบื้องล่าง รถแล่นผ่านไปผ่านมาบนถนนบางตา เพราะมันเป็นยามวิกาล ฝนก็หยุดตกแล้ว ทิ้งรอยเปียกแฉะให้เห็นในทุกที่ข้างนอกนั่น

เมื่อหันกลับมาอีกที ผมเห็นยามคนเดิมเดินเข้ามาทางประตูหน้าจากกระจกหน้าต่างข้างประตู คงจะมาตรวจตราตามปกติ หลังจากที่ทุกคนกลับกันหมดแล้ว เพื่อดูว่า มีคนลืมเปิดเครื่องทิ้งไว้หรือไม่ หรือมีเหตุการณ์อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการดูแลความปลอดภัยของยามที่เราได้ให้นโยบายไว้ เขาเดินอยู่ที่อีกแผนกหนึ่ง

ผมหันมาเก็บข้าวของบนโต๊ะ หยิบกระเป๋าหนังที่ผมใช้ใส่เอกสารขึ้นมาสะพายเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน จากนั้น เดินมาหยุดที่โซฟา ผมใช้มือเขย่าตัวเด็กหนุ่มเบาๆ เขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ความที่ไม่อยากจะเรียกเขาเสียงดังให้ได้ยินไปถึงยามที่กำลังเดินอยู่ ผมเลยโน้มตัวลงไปใกล้ๆกับใบหน้าของเขา แล้วพูดที่ข้างหู เรียกให้เขากลับบ้านได้แล้ว เดียร์สะดุ้งตกใจตื่นขึ้น เขาพลิกตัว ในขณะที่ผมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ทำให้จมูกและปากของเขาสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มของผมอย่างจัง เดียร์ยิ้มให้ผม ในขณะที่ผมผงะออก

“ไปกันได้แล้ว”

ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา ยืดตัวขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู เปิดมันออก ก็พอดีเจอยามที่ประตู กำลังชะโงกมองผ่านหน้าต่างด้านนอกเข้ามา ผมหน้าชาด้วยความอาย แล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธในความไม่รู้กาลเทศะของยามคนนี้ ดูเหมือนว่า เขากำลังพยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผม คงเป็นเพราะผมกับเดียร์อยู่ในห้องด้วยกันตั้งนาน แถมซ้ำเดียร์ยังแต่งตัวแต่งหน้าซะขนาดนั้น เขาคงจะสงสัยเลยแสร้งทำเป็นเดินมาตรวจตราทางนี้

“รอด้วยสิ”

เสียงเดียร์ดังขึ้นทางเบื้องหลัง เขาสะพายเป้ เดินตามผมมา แล้วเกือบจะคว้าแขนผมไว้ หากไม่เห็นยามที่เบิกตามองมาที่เราทั้งคู่

“มองอะไรอยู่เหรอยาม”

ผมถามเสียงขุ่น

“เอ้อ ดูว่า มีคนอยู่รึเปล่านะครับ”

เขาอึกอัก ท่าทางมีพิรุธ

“จะกลับแล้วล่ะ ตรวจตราข้างในเสร็จ ก็รีบออกไปได้แล้วนะยาม คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

ผมรีบไล่ยามให้กลับไป เพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เขามองผมกับเดียร์ไม่วางตา นึกสังหรณ์ใจว่า ผมกำลังจะพบกับเรื่องยุ่งยากในภายภาคหน้า แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงล่ะก็ ยามคนนี้คงจะมีส่วนด้วยแน่

ยามคนนั้นยังไม่วายที่จะมองมาที่เดียร์ ผมต้องทำหน้าดุๆเข้าใส่ เขาถึงจะยอมหันหลังกลับ นิสัยไม่ดีเลยยามคนนี้ ผมเห็นจะต้องรายงานให้ผู้ใหญ่ทราบแล้ว ว่าแต่ถ้าเขาถามถึงเหตุผลที่ผมไม่พอใจยามคนนี้ล่ะ ผมจะตอบว่าอย่างไรดี ไม่พอใจที่ยามซ่อกแซ่ก เรื่องที่ผมให้เดียร์มาหายังงั้นเหรอ ไม่ค่อยจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมเท่าไหร่เลย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 02-06-2008 11:51:21


“ยามนี่ หน้าตากวนประสาทนะครับ เห็นเขามองผมไม่วางตาตั้งแต่ออกจากลิฟท์มาแล้ว ยิ่งพอรู้ว่าผมมาหาเรียว เขาก็ยิ้มแบบแปลกๆ เหมือนจะเยาะๆ ยังไงไม่รู้ นี่ถ้าไม่ใช่ที่ทำงานของเรียวนะ ผมได้กระชากคอเสื้อมาถามแน่ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

เดียร์พูดอย่างโมโหหลังจากที่เราลงลิฟท์มายังลานจอดรถ และขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อย  เขาคิดเหมือนที่ผมคิดเลยว่าท่าทางเจ้ายามคนนี้ดูแปลกๆ ผมไม่ชอบเลยที่มีคนแบบนี้ในบริษัท ดูเขาไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่เลย แต่ผมจะให้เดียร์รู้ถึงความกังวลของผมไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาว่า

“ดีแล้วล่ะ ที่ไม่พยายามทำตัวเป็นนักเลงโตที่นี่”

“ใครจะกล้าทำให้เรียวลำบากใจได้ล่ะครับ ผมแค่ไม่ชอบหน้าเขา แล้วก็ห่วงเรียวด้วย กลัวว่าเรียวจะเดือดร้อนในภายหลังนะครับ”

ผมสบตาเด็กหนุ่ม เห็นแววตาจริงใจอยู่ในนั้น ผมเบือนหน้าหนี แล้วพูดว่า

“งั้นก็เลิกตามฉันไปตลอดเวลาสิ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฉันจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยาก”

“ขอโทษทีครับ ที่รบกวนวุ่นวาย ทำให้ลำบากใจอยู่ตลอดเวลา”

เขาทำเสียงเศร้าๆ จนผมอดที่จะหันไปมองดูหน้าเขาไม่ได้ แล้วก็ได้เห็นหน้าหล่อเหลานั้นหม่นหมองลง ผมรู้สึกหวั่นไหวในใจ ที่ได้พูดจาทำร้ายเขาอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันไปส่งนายถึงบ้านแล้วกัน”

ผมบอกเด็กหนุ่ม ตั้งใจจะทำดีชดเชยคำพูดของตัวเอง และขอบคุณความมีน้ำใจของเด็กหนุ่มไปด้วยในตัว

“จะดีหรือครับ เดี๋ยวเรียวจะกลับถึงบ้านดึกนะ”

“ไม่เป็นไร นายอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนฉันนี่ ฉันก็จะตอบแทนด้วยการไปส่งนายถึงบ้านเหมือนกัน นายคอยบอกฉันแล้วกัน ว่าบ้านนายอยู่ตรงไหน”
   
“เรียวนี่ ใจดีจริงๆเลยนะครับ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมทั้งรัก ทั้งหลงคุณได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มกล่าวชื่นชมผม ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมล้นด้วยความรัก ผมรีบเบือนหน้าหนีแล้วขับรถออกจากบริษัทมุ่งหน้าตรงไปยังถนนสีลม ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ซอยวัดแขกซึ่งเป็นบ้านที่เด็กหนุ่มเช่าอยู่ เราต่างคนต่างไม่พูดอะไรกัน แต่ผมรู้ว่า เดียร์นั่งมองหน้าผมอยู่เกือบตลอดเวลา


พอถึงซอยข้างวัดแขก เด็กหนุ่มก็บอกให้ผมจอด เขาไม่ได้ให้ผมไปส่งถึงบ้าน เพราะไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เดียร์บอกกับผมว่าเขาเดินเข้าไปเองได้ เพราะไม่ไกลมากนัก ผมเห็นว่า ก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ใช่ว่าอยากจะไปรู้จักบ้านของเขา จึงหยุดรถให้เขาลง ตามที่บอก แต่เดียร์ไม่ยอมลงไปสักที นั่งจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น

“ทำไมยังไม่ลงไปอีกล่ะ มีอะไรเหรอ” ผมถามเขา

“ยังไม่ได้ทำสิ่งสำคัญเลย” เดียร์ตอบ

“อะไร”

ผมชักงง เจ้านี่ จะอยากได้อะไรจากผมอีก เดียร์ไม่ตอบ แต่ยื่นหน้าเข้ามาหา หลับตาพริ้ม และทำปากเป็นท่าจูจุ๊บ ผมผงะ นึกเดาได้ลางๆว่าเขาต้องการให้ผมทำอะไร เดียร์ลืมตาขึ้นมองผม ข้างหนึ่ง แล้วใช้นิ้วชี้บุ้ยใบ้มาที่ปากของตัวเอง เมื่อเห็นผมยังเฉยไม่ทำตาม เขาก็ลืมตาอีกข้างขึ้นมา แล้วทำท่าอ้อน

“จะไม่จูบราตรีสวัสดิ์ แบบที่คู่รักทั่วไปเขาทำกันหน่อยเหรอครับ”

“บ้าสิ ไม่เอาด้วยหรอก”

ผมปฏิเสธ ทำท่าอี๋ๆ ใส่เขา

“งั้นเอาแค่หอมก็ได้ นะนะนะ”

เด็กหนุ่มยังไม่ละความพยายาม เขาทำแก้มตุ่ย แล้วเอียงแก้มมาทางผม แต่ผมส่ายหน้า

“งั้นกอดหน่อยก็ยังดี”

เขากางสองมือออกกว้าง แล้วโน้มตัวมาทางผม ทำให้ผมต้องเอียงตัวหนีการกอดของเขา จนไปชิดหน้าต่างรถ เด็กหนุ่มเห็นผมทำอาการแบบนั้น ก็คอตก มือตก หน้าตาจืดจ๋อยด้วยความผิดหวังที่ผมไม่เล่นด้วย เขากล่าวขอบคุณผม หยิบสัมภาระของตัวเอง แล้วก็เปิดประตูรถออกไปอย่างเงื่องหงอย พลางพึมพำเบาๆแต่ให้ผมได้ยินว่า “ใจร้าย”


ยังไม่ทันที่ผมจะเคลื่อนรถออกไปจากที่นั่น      เดียร์ก็เดินอย่างรวดเร็ว มาที่ด้านข้างคนขับ แล้วเคาะกระจก พลางทำไม้ทำมือ ให้ผมลดกระจกลงเพื่อคุยกับเขา ผมกดปุ่มให้กระจกไฟฟ้ามันเลื่อนลง แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงดุๆว่ามีอะไร เด็กหนุ่ม บอกกับผมว่า เขามีบางอย่างจะคุยกับผม เดียร์เดินเข้ามาจนชิดหน้าต่างรถ มองหน้าผม และแล้วด้วยความรวดเร็ว เด็กหนุ่มก็โอบแขนไปรอบคอของผม ก้มหน้าลงแนบชิด แล้วจูบที่ปากของผม ผมอ้าปากจะร้องทัดทาน แต่เดียร์กลับแทรกลิ้นนุ่มๆอุ่นๆของเขาเข้ามา เดียร์มอบจูบที่อ่อนหวานและเร่าร้อนให้กับผม


เขาจูบผมเนิ่นนาน กว่าจะผละออก ผมมีความรู้สึกว่าปากตัวเองเจ่อ จากการจูบของเขา เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้นให้กับผม ผมขยับจะต่อว่าเขา แต่เด็กหนุ่มชิงพูดตัดหน้า

“ถือว่าเป็นรางวัลที่ผมทำดีกับเรียววันนี้นะครับ อย่าคิดว่าเป็นการผิดสัญญากันเลยนะยอดรักของผม”

พูดจบเด็กหนุ่มก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยู่รอให้ผมพูดว่าเขา ผมใช้หลังมือเช็ดปาก มองตามร่างที่เห็นหลังไว ไว นั้นอย่างเคืองๆ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้าน ผมถึงบ้านเกือบตีสอง หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังเตรียมจะเข้านอน เจ้าสันต์ก็โทรเข้ามา มันบอกกับผมว่า มันเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวกับน้องแซ่บ แล้วก็ไปร้านกาแฟที่เพื่อนของเด็กหนุ่มคนนั้นทำงานด้วย แต่ไม่เจอตัว เพราะว่าวันนี้ ผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นขอลาหยุดงาน เนื่องจากมีธุระ มันบ่นด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นตัวตนของคนที่มันกำลังสงสัยอยู่ ผมหัวเราะเยาะเย้ยมันที่ ความพยายามเป็นนักสืบของมันไม่สัมฤทธิ์ผล มันตอบกลับผมมาอย่างเคืองๆ ว่ามันจะต้องสืบให้รู้ให้ได้ เจ้าสันต์ทำท่าจะพร่ำเพ้อต่อถึงเด็กแซ่บของมัน แต่ผมขอตัวนอนก่อน เพราะเริ่มรู้สึกง่วงเต็มที่แล้ว


วันรุ่งขึ้น ผมตื่นเกือบแปดโมง ด้วยความที่เพลียมาก แต่เนื่องจากเมื่อคืนผมทำงานดึก ทำให้ผมสามารถที่จะเข้าสายได้ ตามระเบียบการยืดหยุ่นในเรื่องเวลาทำงาน ผมอาบน้ำแต่งตัว อยู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดของเดียร์ขึ้นมาได้ ผมเดินไปที่โต๊ะที่วางแหวนไว้ มันยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยหยิบมันขึ้นมาดู ผมหมุนวงแหวนไปมา แล้วหงายดูข้อความข้างใน

“มาย เดียร์”

ผมหัวเราะในใจ เจ้าเด็กนั่นจะให้ผมใส่แหวนนี้ไปตลอดเหรอ คำๆนี้ มันหมายถึง ผมเป็นมายเดียร์ของเขา หรือว่าตัวเขาน่ะ มันเป็นของผมกันแน่ เขาอยากจะสื่อถึงผมแบบนี้หรือเปล่าบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร ถึงทำให้ผมหยิบแหวนนั้นขึ้นมาสวมใส่ที่นิ้วนางข้างซ้าย จากนั้นก็ออกจากห้องลงไปข้างล่าง เปิดประตูออกไปที่รั้วบ้าน เหมือนเช่นเคย เดียร์เอาหนังสือพิมพ์และถุงใส่โจ๊กและน้ำเต้าหู้มาให้ผมโดยแขวนที่รั้วด้านหน้า


ผมอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว พลางนึกสงสัยว่า ร่างกายของเจ้าเด็กนี่ ทำขึ้นมาจากอะไรหนอ ดูเขาช่างแข็งแรง และสุขภาพดีจัง ขนาดกลับบ้านเอาซะดึกขนาดนั้น ยังสามารถตื่นแต่เช้า มาส่งหนังสือพิมพ์และโจ๊กให้ผมได้อีก ผมหยิบของทั้งหมดเข้าบ้าน เดินเข้าครัว แล้วลงมือจัดการกับโจ๊กที่เดียร์ซื้อมาให้ อร่อยใช้ได้ทีเดียว ผมล้างถ้วยล้างชาม เอาข้าวให้เจ้าหญิง เสร็จแล้วก็ออกจากบ้าน


ตลอดทั้งวันผมเผชิญกับงานหนักอีกเช่นเคย มีงานกองให้ผมอีกตั้งแต่เช้า ผมค่อยๆใช้เวลาสะสางงานไปเรื่อยๆ มีโทรศัพท์เข้ามาหาบ้างประปราย ไม่มีอะไรให้หนักใจ จนกระทั่งถึงเที่ยง ผมก็ลงไปกินข้าว แต่ไม่ได้ไปที่ร้านป้า กลับชวนเจ้าสันต์ไปกินใกล้ๆกัน เพราะผมรีบ เจ้าสันต์ไม่ยอมไป เพราะมันนัดกับเด็กที่ชื่อแซ่บเอาไว้ ผมเลยต้องไปทานคนเดียว แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะเจ้าสันต์ชอบอ้อยอิ่งอยู่ในร้านอาหาร คุยนั่น เม้าท์นี่ ตามสไตล์ ช่วงนี้ผมมีงานเยอะมาก ไม่อยากจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ โชคดี ที่ตอนบ่าย ไม่ค่อยมีอะไรมากวนใจ เจ้าสันต์ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการประชุมของมัน  ผมจึงไม่ต้องรับฟังคำพร่ำเพ้อถึงน้องแซ่บ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของผู้ช่วยกุ๊กคนนั้น


ผมกลับบ้านดึกตามเคย ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรง งานของผม ไม่ได้เป็นงานแบก งานหามก็จริง แต่การที่ต้องใช้สมองคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ทำเอาผมล้าได้เหมือนกันพออาบน้ำทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอน แล้วก็หลับไปทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อน


เช้าวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมตื่นไปทำงานแต่เช้า ตั้งใจจะลุยงานแบบม้วนเดียวจบ ไม่กลับบ้านดึก หากทำงานไม่เสร็จ ก็กะจะหอบเอามาทำงานที่บ้านในวันเสาร์ วันนี้ผมไม่ลงไปกินข้าว เพราะงานค่อนข้างเยอะมาก เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ตัวแทนก็เลยรีบส่งงานเข้ามา เพราะกลัวว่า ถ้าติดเสาร์อาทิตย์ จะทำให้งานที่ตัวเองขายมาได้ ถูกพิจารณาออกไปอย่างล่าช้า


บรรดาลูกน้องของผม ต่างทำงานกันหัวฟู ผมเลยตัดสินใจบอกเจ้าสันต์ว่าผมไม่ลงไปทานข้าวด้วย เพราะผมจะทานกับลูกน้องบนที่ทำงาน ผมโทรสั่งอาหารจากร้านคุณป้า มาเลี้ยงพวกเด็กๆในฝ่าย โดยสั่งไปตั้งแต่ตอน 10 โมงกว่า พอใกล้เที่ยง พนักงานที่ร้านก็นำอาหารมาส่ง


ผมสั่ง ข้าวหมูทอดกระเทียม และไข่เจียว ด้วยความที่อยากกินอะไรที่ง่ายๆไวๆ แต่ผมกลับได้ ไข่เจียวแหนม และ ต้มฟักกับขาไก่ และผัดผักรวมมิตร มาเป็นของแถม โดยที่ผมยังจ่ายเงินในราคาเท่าเดิม มันทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของเจ้าสันต์ขึ้นมา เลยตั้งใจไว้ว่า หากงานของผมยุ่งน้อยกว่านี้เมื่อไหร่ ผมจะไปร่วมขบวนการสืบค้นเรื่องนี้กับเจ้าสันต์อย่างเต็มตัว เพราะผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันนะ ที่ใจดี กับผมแบบนี้


หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมหอบงานกลับมาทำที่บ้าน เพราะวันนี้ผมออกจากออฟฟิศตามเวลาเลิกปกติ แต่กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ทุ่มหนึ่งจนได้ เพราะรถติดมาก เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน คนจึงออกเที่ยวกัน แม้กระทั่งเจ้าสันต์ก็ชวนผมให้ไปเที่ยวกับมันด้วย ผมปฏิเสธ มันก็ทำท่างอนนิดหน่อย แต่ก็ไม่พูดว่าอะไร ช่วงนี้มันกำลังอินเลิฟกับน้องแซ่บอยู่ ท่าทางมันจะเอาจริงเอาจัง มากกว่าคนอื่น แม้กระทั่ง แดนนี่ กับ แมน ซึ่งมันคลั่งไคล้ในตอนแรก ตอนนี้มันกลับไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง


ผมคลานขึ้นเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากทำภารกิจต่างๆ รวมทั้งเล่นกับเจ้าหญิง (เพื่อให้มันหายเหงาบ้าง) เรียบร้อยแล้ว ผมหลับเป็นตาย ไม่มีแม้แต่ความฝันมารบกวนการนอนของผม ความที่ผมล้ากับการทำงาน บวกกับวันต่อมาเป็นวันหยุด แล้วผมไม่ต้องออกไปเที่ยวที่ไหน ทำให้ผมสามารถนอนได้เต็มอิ่ม
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 03-06-2008 11:51:02
พี่เรียวใจแข็งโค่ดๆ   :seng2ped:
น้องเดียร์   :m29: เหนื่อยหน่อยนะ
เดียร์สู้ๆ   :a2:
ร๊ากกกกกน้องเดียร์   :m1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: watermoonj ที่ 19-09-2008 16:01:59
เรื่องนี้ชอบมากที่สุดเลย กำลังตามอ่านที่อื่นพอดี ชอบผลงานของคุณเคททุกเรื่องเลย แต่งดีมากๆ +++:oni2:

มีตั้งสามภาคแน่ะ ออกหนังสือครบสามเล่มเมื่อไหร่คงได้อุดหนุนทีเดียว

คุณคนโพสต์ "ที่รักของ..." ใจดีจังเอามาเผื่อให้อ่านที่นี่ด้วย  :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 07-11-2008 20:00:40
 :serius2:   อยากอ่านเรื่องนี้ต่อจังเลย    :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 09-12-2008 18:03:02
เรื่องนี้แต่งเสร็จแล้วครบทั้งสามภาคค่ะ แต่ว่ายังไม่มีเวลามาโพสต์ต่อเลยค่ะ เพราะกำลังจัดการกับนิยายที่ดองๆค้างๆไว้หลังคอมเจ๊งค่ะ ไม่ทราบว่าจะมีใครใจดีช่วยโพสต์ให้ได้หรือเปล่า .....
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 09-12-2008 20:08:35
ชอบพี่เรียวมากๆเลย
เริ่มจะหวั่นไหวนิดๆแล้ว

SuMoDevil มาโพสต์ต่อสิคะ

 :pig4:

 ขอบคุณคุณเคทค่ะ
:L1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-12-2008 12:51:47
 :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 13-12-2008 01:55:36
อย่าหายไปนานนะค๊าบ
คิดถึง
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: bluesky ที่ 13-12-2008 02:21:40

    ดีจังที่ได้อ่านเรื่องนี้อีก.....
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-12-2008 10:46:01
  :3123: ให้คุณเคท
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 14-12-2008 15:09:39
เรื่องนี้มอบให้คุณไต๋ โพสต์ต่อแล้วนะคะ คุณไต๋ยินดีโพสต์ให้ ต้องขอบคุณคุณไต๋มากจริงๆค่ะ ช่วงนี้พี่เคทวุ่นๆ นิยายหลายต่อหลายเรื่องไม่ได้มาต่อ หากมีคนช่วยโพสต์ให้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 12:49:40
 :o8:ยินดีฮ่ะ แต่ยังเข้าเวปไม่ได้เลยดิ :sad4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 15-12-2008 16:52:30
:o8:ยินดีฮ่ะ แต่ยังเข้าเวปไม่ได้เลยดิ :sad4:

พี่เคทตอบน้องไต๋ไปแล้วเน้อ ถ้าสมัครไม่ได้ ก็สมัครผ่านพี่เคทได้เลยค่ะ ช่วงนี้ การสมัครอัตโนมัติ จะมีปัญหานิดหน่อย ต้องสมัครผ่านพี่เคทอย่างเดียวค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 15-12-2008 17:01:57
ชอบเรื่องนี้มากๆ (ไปอ่านที่อื่นมา) กว่าจะเก็บได้ครบตาลายมากมาย

เดี๋ยวจะมาอ่านที่นี่อีกรอบ ชอบอ่ะ อ่านกี่ทีก็สนุก

น่าสงสารเดียร์มากๆ พี่เรียวใจร้ายมากมาย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 15-12-2008 17:19:08
ชอบเรื่องนี้มากๆ (ไปอ่านที่อื่นมา) กว่าจะเก็บได้ครบตาลายมากมาย

เดี๋ยวจะมาอ่านที่นี่อีกรอบ ชอบอ่ะ อ่านกี่ทีก็สนุก

น่าสงสารเดียร์มากๆ พี่เรียวใจร้ายมากมาย

ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 18:00:51
บทที่ 9 ภาคที่ 2






เกือบเที่ยงวัน กว่าที่ผมจะลุกออกมาจากที่นอน รู้สึกมึนหัวตึ้บ และปวดเมื่อยตามร่างกาย ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำ แล้วเปิดน้ำอุ่นลงในอ่าง กะว่าจะแช่น้ำให้รู้สึกผ่อนคลายเสียหน่อย ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าสันต์นั่นเอง มันทำน้ำเสียงตื่นเต้นร้อนรนมาตามสาย


“เฮ้ยช่วยฉันหน่อยสิ ฉันแย่แล้ว”

“อะไรวะ” ผมถามมันอย่างงงๆ

“ก็เมื่อวานนี้ฉันพาแซ่บไปเที่ยว ซอยสอง แล้วเจอเข้ากับแดนนี่ กับแมนอ่ะ”

“รถไฟชนกันเหรอ”


ผมหัวเราะอย่างขำๆ


“นี่ไม่ใช่เวลามาตลกนะ ฉันซีเรียสโว้ย นี่แซ่บก็งอนฉันไปแล้ว เพราะแดนนี่ กับแมน เกาะฉันติดไม่ยอมปล่อยเลย นี่นายมาช่วยฉันหน่อยสิ”


เจ้าสันต์ขอร้องให้ผมช่วย แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากเอาตัวไปวุ่นวายกับพวกเกย์อีกแล้ว


“เรื่องอะไรวะ เรียนผูก แล้วก็ต้องเรียนแก้ด้วยตนเองสิ จะดึงฉันไปยุ่งด้วยทำไม”

“นี่หรือวะ เพื่อนกัน ไม่ช่วยกันบ้างเลย” มันต่อว่าผม

“อุวะ แล้วจะให้ฉันช่วยแกยังไงอ่ะ ฉันไม่ใช่พวกเกย์สักหน่อย จะได้รู้วิธีปลอบประโลมเกย์ได้ ก็ไหนแกบอกว่า เป็นนักจัดการที่ดียังไงล่ะ” ผมย้อนมัน

“แหมก็แค่ช่วยพูดให้น้องแซ่บเข้าใจหน่อยสิ”

“แล้วแกล่ะ จะทำอะไร”


ผมถามมัน คำตอบที่ได้คือ


“ฉันก็จะไปพูดกับแดนนี่ และเจ้าแมนอ่ะ คงต้องไปเอาใจพวกเขาหน่อย จะได้ไม่คิดมาก”


ดูมันทำสิ มันน่าช่วยไหมล่ะ ผมคิดในใจ ไอ้บ้านี่ โลภมากเสียจริง พอมันเห็นผมเงียบไป มันก็เลยพูดขึ้นมา อย่างกับว่าเดาใจผมออก


“มันรักพี่เสียดายน้องว่ะ น้องแซ่บก็น่ารัก ฉันยังไม่เคยมีอะไรกับเขาเลยนะ แค่ไปเที่ยวด้วยกัน แต่ฉันก็รู้สึกอยากทะนุถนอมเขามากกว่า แต่แดนนี่ กับแมน เป็นคนที่มีอะไรด้วย แล้ว สนุกที่สุดเลย เพราะทั้งคู่เชี่ยวชาญในสนามรบเป็นอย่างดี จะทิ้งไปก็เสียดายอ่ะ เลยจำเป็นต้องรักษาไมตรีไว้ก่อน”


“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน

“ทำงานอยู่บริษัทประกัน รู้อยู่แล้วว่าพฤติกรรมแบบนี้มันค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ระวังจะติดเอดส์ หรือไม่ ก็ถูก
ฆ่าตายด้วยสาเหตุชิงรักหักสวาทนะโว้ย”


ผมเตือนมันด้วยความหวังดี เจ้าสันต์แหกปากโวยวายมาตามสาย

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-12-2008 18:57:36
มาให้กำลังใจนักโพสต์มือใหม่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 15-12-2008 19:56:06
มาขอบคุณน้องไต๋ด้วยคนค่ะ น้องไต๋สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 21:04:38
 :sad4:เน็ตตายรอสักครู่เด่ยวมาต่อนะ
 :3123:ขอคุณนะค่าาาาาา
สำหรับกำลังใจ

+1 ให้คนน่ารักที่ให้กำลังใจ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 22:02:33
มาเพิ่มตอนที่9 ภาค2
-----------------------
“อ้าว ไอ้เวรนี่ ให้พร ตอนแดดเปรี้ยงแบบนี้เลยเหรอ เออถ้าฉันตาย จะเป็นผีมาบีบคอแก”


ผมหัวเราะขำมัน ที่ทำตัวโวยวายไร้สติ ใจหนึ่งก็อยากจะแกล้งให้มันจัดการด้วยตัวเอง แต่ อีกใจหนึ่งก็สงสาร เพราะความที่เป็นเพื่อนกันมานาน ทำให้ผมเมินเฉยต่อมันไม่ได้


“แล้วจะให้ฉันไปพูดกับน้องแซ่บว่าไงดีล่ะ บอกว่า อย่าโวยวายไปเลย รักพี่สันต์ต้องอดทน ถึงพี่เขาจะเจ้าชู้ มั่วไม่เลือก แต่เขาก็รักน้องคนเดียว อย่างนี้ใช้ได้ไหมวะ”


ผมแกล้งพูดเพื่อยั่วมัน


“ถ้าช่วยพูดแบบนี้ ก็อย่าเลยดีกว่า ไอ้บ้า ทำไมไม่พูดล่ะ ว่าเป็นเรื่องเข้าใจกันผิดกัน จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย ฉันน่ะ รักน้องแซ่บคนเดียวเท่านั้น”


มันโวยวาย แต่จากน้ำเสียงของมัน ดูสงบลงกว่าเมื่อครู่ มันคงรู้ว่า ยังงั๊ย ยังไง ผมก็ต้องช่วยเหลือมันอยู่วันยังค่ำ


“เออ จะพูดให้แล้วกัน มีอะไรอีกหรือเปล่าวะ ฉันจะอาบน้ำ ป่านนี้น้ำล้นอ่างแล้ว”


ผมตัดบท อยากจะลงไปแช่น้ำอุ่นเต็มแก่ มันบอกไม่มี ผมจึงไล่ให้มันวางหูไป จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปแช่น้ำอุ่นอย่างสบายตัว เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมอยู่ในนั้น ร่างกายของผมผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า รู้สึกสดชื่นขึ้น



หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็ลงไปข้างล่าง เปิดประตูบ้าน เจ้าหญิงวิ่งกระดิกหางมาหาผม ผมเล่นกับมัน ลูบหัวลูบหางด้วยความรักใคร่ ผมได้เจ้าหญิงมาจากอรจิรา เป็นเรื่องตลกมาก เพราะอรจิราทำท่าว่ารักสัตว์ ผมก็เลยซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด แต่อรจิราเลี้ยงได้แค่ สองวันก็เอากลับคืนมาให้ผม เธอบอกว่า เจ้าหญิงไม่ค่อยชอบเธอ คอยกัดเธอตลอดเวลา ผมเลยคิดว่า อาจจะเป็นเพราะคนรักเก่าของผม ไม่มีความรักให้กับสัตว์เลี้ยง จึงไม่อดทนพอที่จะดูแลเอาใจใส่มัน เพราะแค่การเอาไปเลี้ยงสองวันยังไม่ทันได้สร้างความคุ้นเคยให้แก่กันเลย เธอก็เอามาคืนผมแล้ว




ผมเลยต้องรับภาระเลี้ยงดูเจ้าหญิง ตั้งแต่มันตัวเล็กๆ จนเดี๋ยวนี้มันตัวใหญ่ขึ้นมาก แรกๆ ผมพอจะเล่นกับเจ้าหญิงคลุกคลีกับมันตลอด แต่มาระยะหลัง ผมไม่ค่อยมีเวลาให้กับเจ้าหญิงสักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องทำงานตลอด แถมซ้ำยังอกหักจากเจ้าของเดิมของมัน ทำให้ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสิงสถิตอยู่ตามผับตามบาร์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพิ่งจะมีช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้แหละที่ผมได้มีโอกาส เล่นกับมันได้นานหน่อย เพราะผมตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกเที่ยวเตร่ทำชีวิตไร้สาระเหมือนเดิม



เมื่อเราอกหัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำชีวิตของตนเองให้ตกต่ำนี่นา ที่ผ่านมา ผมเสียเวลาไปกับการคร่ำครวญหวนไห้ สำหรับคนๆหนึ่งที่เขาไม่รักเราอีกต่อไป เพราะเราไม่สามารถทำชีวิตของเขาให้ดีขึ้น ผมเจ็บปวด แต่ผมก็ปฏิญาณตนว่า ผมจะไม่ทำร้ายตนเองอีกต่อไป การทำงานอย่างหนัก เป็นวิธีหนึ่งที่จะเยียวยารักษาแผลใจของผมได้ หัวใจของผม มันด้านชากับความรัก และไม่อยากจะมีใครเข้ามาอีกในตอนนี้

เจ้าหญิง งับที่ขากางเกงขาสั้นแค่เข่าของผม แล้วดึงให้ไปยังหน้าบ้าน ผมเดินตาม เจ้าเพื่อนยากของผมไป พอถึงรั้วบ้าน เจ้าหญิงก็ส่งเสียงเห่า แล้วกระโดดโลดเต้น ตาของมันมองไปที่หนังสือพิมพ์ แล้วถุงพลาสติกใส่อาหารเช้าที่รั้วหน้าบ้าน ผมหยิบทั้งหมดมาถือไว้ ยิ้มให้กับตัวเอง แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าหญิงด้วย พลางพูดกับมันว่า


“เจ้าหญิงชอบคนส่งหนังสือพิมพ์ไหม เด็กบ้านั่น ใจดีจังนะ เวลาเขามา เจ้าหญิงต้องทำตัวดีๆกับเขานะ อย่าไปเห่าเขา รู้ไหม”


เจ้าหญิงมองผมตาแป๋ว กระดิกหางไปมา ทำท่าเหมือนเข้าอกเข้าใจ ผมลูบหัวมันเบาๆ แล้วก็พามันเดินเข้าบ้าน



เดียร์ซื้อข้าวผัดมาฝากผม แต่เนื่องจากว่า ผมนอนตื่นสายไปหน่อย ทำให้ของที่ซื้อมา เริ่มจะเย็นชืดไม่น่าทาน ผมจึงเอาเข้าไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ แล้วก็ขึ้นไปหอบงาน ลงมานั่งทำข้างล่าง หลังจากที่จัดการกับข้าวผัดที่เดียร์ซื้อมาให้แล้ว ผมจึงเริ่มลงมือทำงานที่คั่งค้างไว้



เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ผมบิดตัวซ้ายที ขวาที เพื่อให้ความเมื่อยล้ามลายหายไป ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เพราะหลังอาหารเช้าที่กินตอนเที่ยงแล้ว ผมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ด้วยความหิวโซ จึงเดินไปเปิดตู้เย็นหาของมาทำกิน แต่ตู้เย็นก็ว่างเปล่า มีแต่น้ำ เท่านั้น



ผมรื้อค้นในชั้นเก็บของ เจอมาม่า ที่ตุนไว้ กล่องหนึ่ง ก็เลย หยิบเอามาสองห่อ ใส่ชาม แล้วเอาน้ำร้อนจากกาต้ม รินใส่ลงไป เฮ้อ ชีวิตคนโสดนี่ช่างน่าเศร้าหมองเสียจริง ถ้าผมมีโอกาสแต่งงาน มีภรรยาที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ชีวิตผมคงจะมีความสุข ท้องไส้คงจะอิ่มเต็มที่ ไม่ต้องมาแขวนท้องรอ หรือกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังความหิวเป็นแน่



ผมนั่งดูทีวีคนเดียวอย่างหงอยเหงา มีเจ้าหญิง นอนหมอบอยู่แทบเท้า รายการทีวี ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ส่วนใหญ่ก็เป็นละครน้ำเน่า ผมรู้สึกว่า เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไป มันช่างเต็มไปด้วยความหดหู่ เสียเหลือเกิน ผมปรารถนาให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อยากจะมีใครสักคน มาอยู่เป็นเพื่อนกับผม ในบ้านหลังนี้ พูดคุย หยอกล้อกันเล่น ดูหนังที่โซฟาตัวเดียวกัน เล่นกับเจ้าหญิงด้วยกัน แล้วก็นอนหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน แต่คนที่ผมอยากให้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาอยู่ที่ไหนกันหนอ



ในที่สุดผมก็ไม่อาจจะฝืนดูทีวีต่อไปได้ ผมกดรีโมทปิดเครื่อง จากนั้นก็ขึ้นไปยังห้องนอน พลิกตัวไปมาหลายตลบ กว่าที่ผมจะหลับตาลงได้ ผมฝันในคืนนั้น เป็นฝันที่แสนประหลาด ฝันว่าตนเอง อยู่ในงานแต่งงานของคนที่รู้จัก เป็นงานแต่งงานที่ใหญ่โตมาก มีเพื่อนๆ ในออฟฟิศ และเพื่อนๆที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผมมากมาย แต่ละคนแต่งตัวสวยงาม เจ้าบ่าว เจ้าสาว กำลังยืนอยู่บนเวที



ในฝันนั้น ผมเดินตรงไปยังเวที เหมือนถูกมนต์สะกด ยิ่งใกล้เข้าไ ปรูปร่างของผู้ที่เป็นเจ้าบ่าว ก็ยิ่งดูคุ้นตา ร่างสูงใหญ่ดูสง่างามอยู่ในชุดสูทสีขาว ตัดกับผิวสีน้ำตาลทอง ใบหน้าคมเข้ม ผมหยิกสลวยเป็นลอนคลื่นถูกหวีเรียบแปร้ เผยใบหน้าหล่อเหลาให้ดูชัดเจนขึ้น

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 22:04:20
น่าแปลกที่เจ้าสาวที่อยู่บนเวที ไม่ได้ใส่ชุดราตรี เหมือนเจ้าสาวทั่วไป แต่กลับใส่สูท นุ่งกางเกงสีขาวเหมือนกัน ผิวของเจ้าสาว ขาวจนเกือบจะกลืนไปกับเสื้อผ้าที่ใส่ แต่กระนั้น ตั้งแต่คอ จนถึงใบหน้าที่โผล่พ้นเสื้อขึ้นไป กลับเป็นสีชมพูด้วยเลือดที่มาฉีดเลี้ยง ท่าทางเจ้าสาวคงจะตื่นเต้นดีใจกับงานวันนี้มาก
ผมยิ้ม รู้สึกเป็นสุขไปกับคนทั้งคู่ด้วย อยากให้ตัวเองได้มีโอกาสจัดงานอย่างนี้บ้างจัง มีบางอย่างบอกผมให้เดินใกล้เข้าไปอีก ผมเห็นหน้าเจ้าบ่าว แล้ว และอยากจะเห็นหน้าเจ้าสาวบนเวทีบ้าง เธอจะสวยน่ารักแค่ไหนหนอ



เสียงโฆษกพูดเชียร์ให้เจ้าบ่าว เจ้าสาว จูบกันบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือ เป่าปาก เปี๊ยวป๊าว เจ้าบ่าว ยิ้มแก้มแทบปริ ในขณะที่เจ้าสาว ก้มหน้างุดๆ และแล้ววินาทีอันสำคัญก็มาถึง เจ้าบ่าวร่างสูง กางมือออก แล้ว ตะกองกอดคนรักไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ก้มลงจูบเจ้าสาว ที่เงยหน้าขึ้นไปรับจูบพอดี ทั้งคู่แลกจูบกันอย่างแสนหวาน ท่ามกลางเสียงฮือฮา ด้วยความชื่นชม คู่สมรส คู่ใหม่ จากแขกเหรื่อญาติมิตร



อึดใจหนึ่ง เจ้าบ่าว ก็ถอนริมฝีปากออก แล้วหันมาทางแขกที่อยู่ในงาน สายตาของเขา ประทะเข้ากับดวงตาของผม ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่พอดี เขายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอ่อนหวาน ผมตกตะลึง เมื่อมีโอกาสเพ่งพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน


“นายเดียร์”



ผมอุทานในความฝันด้วยความแปลกใจ และแล้วเจ้าสาวผู้ใส่สูทขาว แทนชุดแต่งงาน ก็หันหน้ามาทางผมพอดี ผมผงะ คราวนี้เกิดจากความตกใจสุดขีด เจ้าสาวที่หันมาทางผม เขามีใบหน้าที่คุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว คาง ปากแก้ม ทุกอย่างผมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะผมเห็นทุกวันตอนเช้า เวลาแปรงฟัน ล้างหน้า หรือเวลาที่แต่งตัวในห้อง มันเป็นใบหน้าของผมเอง



เจ้าสาวที่หน้าตาเหมือนผม กำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่มีความสุขอย่างที่สุด เธอผละจากเจ้าบ่าวของเธอแล้วเดินลงเวทีมาหาผม ซึ่งถอยหลังกรูด เธอก้าวเร็วๆจากนั้นก็คว้าข้อมือผม แล้วจึงขึ้นเวทีอย่างบังคับนิดๆ จนกระทั่งผมไปยืนเผชิญหน้ากับ เจ้าบ่าว



ร่างของผม เซถลาเมื่อถูกผลักเข้าไปจนชิดอกของเดียร์ เขากางมือรออยู่แล้ว เมื่อผมถูกเจ้าสาวผลักมาหา เขาก็โอบกอดผมไว้แนบแน่น และก่อนที่จะทันขัดขืน เดียร์ก็ก้มหน้าลงมอบจูบที่หวานรัญจวนใจให้กับผม ทำให้ผมมึนงงไปชั่วขณะ ในฝันนั้นผมเห็นตัวเอง ค่อยๆโอบแขนไปรอบคอของเจ้าบ่าวหน้าตาหล่อเข้ม และจูบตอบอย่างดูดดื่มไม่แพ้กัน



ร่างของเจ้าสาวค่อยๆเลือนหายไป โดยที่ผมกลับกลายเป็นสวมชุดเจ้าสาวที่เป็นสูทสีขาวแทน เสียงปรบมือกึกก้อง เมื่อเจ้าบ่าว ช้อนร่างของผมไว้ในวงแขนแข็งแรง เขาพาผมเดินลงเวทีอย่างรวดเร็ว ผ่านเค้กแต่งงานขนาดใหญ่ โต๊ะจีนกินเลี้ยงที่มีผู้คนมองมาที่เราอย่างชื่นชม เดินออกจากห้องบอลรูมที่แน่นขนัดไปด้วยแขกเหรื่อ เขาไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยเลยในขณะที่อุ้มผมไว้ในอ้อมแขน ในขณะที่ผมก็ใช้แขนโอบรอบไหล่เขาแนบแน่น

เจ้าบ่าวหน้าเหมือนเดียร์ พาผมมายังห้องสวีท เขาเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อุ้มผมเข้าไปข้างใน และใช้เท้าปิดประตู จากนั้นก็ค่อยๆวางร่างผมลงบนเตียง จากนั้นเขาก็ทาบร่างลงมา ในความฝันนั้น ผมไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด ปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้าของผมออกจากตัวจดหมด และยอมให้เขากอดจูบลูบไล้ ด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งมือของเจ้าบ่าว ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณกลางลำตัวของผม ผมถึงกับสะท้าน เมื่อเขาเคล้าคลึงร่างกายส่วนนั้นของผม จนมันตื่นตัวขึ้น



ผมครางอือ เมื่อเขากอบกุมเรียวน้อยเอาไว้ และเคลื่อนไหวมือกับน้องชายของผมอย่างรวดเร็ว ผมเกรงตัวขึ้นเมื่อเกิดความกำซาบซ่านถึงขีดสุด และด้วยความชำนิชำนาญที่เขามีอยู่ ก็ทำให้ผมบรรลุถึงปลายทางแห่งสวรรค์



ผมผวาเฮือก เด้งตัวขึ้นจากที่นอน มานั่งเหงื่อตกซิก ด้วยตกใจความฝันของตนเอง มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ทำไมผมต้องฝันถึงเจ้าเด็กบ้าคนนี้ด้วยนะ แล้วทำไมผมถึงต้องกลายมาเป็นเจ้าสาวของเขาล่ะ ผมอยากแต่งงาน อยากมีเจ้าสาวสวยๆ แต่ไม่ต้องการเป็นเจ้าสาวเสียเอง และคนที่ผมต้องการแต่งงานด้วย ไม่น่าจะใช่เดียร์นี่นา หรือว่าเป็นเพราะผมเจอหน้าเด็กบ้านั่นบ่อยจนเกินไปนะ ถึงได้เก็บเอามาฝันบ้าบอเป็นตุเป็นตะแบบนี้



หลังจากนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงนอนอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ เพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปียกแฉะไปหมด ผมถอดเสื้อผ้าและกางเกงออกเอาใส่ตะกร้าผ้าไว้ แล้วเอามาวางไว้นอกห้องตรงหน้าประตู เตรียมจะซัก จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำแรงๆ เพื่อขับไล่อารมณ์ไม่พึงประสงค์ที่มันคุกรุ่นอยู่ภายใน



ตอนที่ผมแต่งตัวอยู่ในห้อง เสียงออดก็ดังขึ้น ผมหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู มันบอกเวลา ตีห้าครึ่ง ผมเดินไปที่หน้าต่างห้องนอนแล้วแหวกม่านออกดู เดียร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู หอบข้าวของมาพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด เจ้าหญิง ของผม ยืนแกว่งหางอยู่ตรงหน้าเขา มันไม่ได้เห่า หรือทำท่าคุกคาม เด็กหนุ่ม ท่าทางมันคงจะปฏิบัติตามที่ผมได้พูดกับมันไว้ ว่าให้ทำตัวดีๆกับเด็กส่งหนังสือพิมพ์ มันคงจำได้ว่าเดียร์กับเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนนั้นคือคนๆเดียวกัน วันนี้แล้วสินะ ที่ผมอนุญาตให้เขามาหาถึงที่บ้านได้ แต่แหม เจ้าเด็กบ้านี่ อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น มาแต่เช้ามืดเชียว



ความที่ผมพาลเรื่องเดียร์เกี่ยวกับความฝันเมื่อเช้า ทำให้ผมปล่อยให้เขายืนอยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเอง ก็หวีผมเผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อน ผมเลือกหยิบเสื้อยืดสีขาว และ กางเกงขาสั้นแค่เข่าสีเขียวขี้ม้าขึ้นมาสวมใส่ แล้วจึงเปิดประตู คว้า ตะกร้าผ้าที่จะซักมาถือไว้ เดินลงไปข้างล่าง เอาผ้าไปไว้ที่ลานซักล้างข้างบ้าน แล้วเดินไปไขกุญแจรั้วเปิดประตูรับเดียร์เข้ามา



เด็กหนุ่มยืนยิ้มเผล่อยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้า พอผมเปิดประตูให้เขา เดียร์ก็ทักทายผมพร้อมต่อว่าเสียงแจ้ว ในขณะที่เดินตามหลังผมเข้ามาในบ้าน


“ทำไมมาเปิดประตูช้าจังเลยอ่ะครับ ผมมายืนรอตั้งน๊านนาน จนขาแข็งไปหมดแล้ว กดออดก็ยังไม่ออกมา เพิ่งตื่นเหรอครับ”

“ช่าย......ใครจะไปรู้ว่านายจะมาแต่ไก่โห่แบบนี้”
“ต้องรีบมาแต่เช้า เพราะว่าผมจะมาทำกับข้าวให้คุณกินตามสัญญา นี่ผมไปจ่ายตลาดมาตั้งแต่ตีห้าเลยนะ ซื้อผัก ผลไม้ และของสดๆ มาทำให้คุณทาน เรียวน่ะ ไม่ค่อยได้กินอาหารเช้าอร่อยๆสักเท่าไหร่ใช่
ไหมล่ะ กินไม่ค่อยถูกสุขลักษณะเลยผอมแบบนี้ ผมยอมเห็นเรียวผอมแห้งแรงน้อยไม่ได้หรอก”



เขายิ้มอย่างสดชื่น ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ชื้นไปด้วยเหงื่อนั้น นึกอยากเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ตอนจ่ายตลาด คงจะวุ่นวายกับการเลือกสรรข้าวของ และ ต่อรองกับแม่ค้าสุดฤทธิ์ เดียร์แต่งตัวสบายๆในชุดยืด กางเกงยีนส์ เขาสะพายเป้ใบเดิม แต่ดูเหมือนวันนี้จะตุงมากกว่าปกติ เหมือนเขาบรรจุของมากมายลงไปในนั้น สองมือถือถุงหิ้วที่บรรจุพวกของสด ผัก ผลไม้ต่างๆ ซึ่งมีน้ำหนักมากจนแขนของเขาเกร็งไปหมด พอผมยื่นมือจะช่วยถือให้ เขาก็ปฏิเสธ ผมเลยปล่อยให้เขาถือของทั้งหมดเข้าไปเก็บในบ้านตามลำพัง



เดียร์วางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่บรรจุของเหมือนจะไปพักค้างคืนที่ไหนสักแห่งเป็นอาทิตย์ลงบนโซฟาในห้องรับแขก จากนั้นเดินถือถุงตามผมต้อยๆเข้าไปในครัว เขาวางถุงใส่ข้าวของลงบนโต๊ะอาหาร เอาออกมาจัดแยกไว้เป็นหมวดหมู่ ผมยืนดูข้าวของที่เขาซื้อมา มีข้าวสารหอมมะลิ น้ำปลา น้ำตาลทราย กุนเชียง เครื่องปรุงชนิดผง ถุงต่อมาเป็นผัก จำพวก กะหล่ำปลี แตงกวา หัวหอม ผักกาดขาว มะเขือเทศ พริกขี้หนู มะนาว ยังมีแตงโม และส้มอยู่ด้วย อย่างละถุง ถัดไปเป็นถุงใส่ไข่ไก่ใบโตๆจำนวน 10 ฟอง ถุงสุดท้าย เป็นถุงใส่เนื้อสัตว์ มีหมูสับ กุ้ง ปลาหมึก และไก่



“เช้านี้ ผมจะทำไข่เจียวใส่หอมกับมะเขือเทศให้ทาน กับ แกงจืดแตงกวา แล้วทอดกุนเชียงให้กินด้วยนะครับ ส่วนกลางวันนี้ ค่อยว่ากันอีกทีนะ ตอนนี้ เรียวไปรอข้างนอกก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวกลิ่นอาหารมันจะติดตัวนะ”


เดียร์บรรยายถึงรายการอาหารที่จะทำให้ผมทานเช้านี้ พร้อมกับไล่ให้ผมออกไปจากครัว


“เอาเงินจากไหนมาซื้อข้าวของเยอะแยะอย่างนี้หือเดียร์”


ผมมองข้าวของที่เขาซื้อมาด้วยความสงสัย


“ก็เงินจากการไปเต้นเมื่อวันก่อนนี้ไงครับ ได้มาหลายพัน ก็เลยพอที่จะซื้อกับข้าวมาทำกินกันกับเรียวได้”
เด็กหนุ่มหลบสายตาผม แล้วตอบโดยไม่ยอมมองหน้า


“ได้กี่บาทกี่สตางค์กันเชียว ทำไมไม่เก็บไว้กินเองบ้าง เอามาซื้อของแบบนี้ เดี๋ยวก็หมดไม่มีเหลือหรอก แล้วจะลำบากนะ”


ผมพูดกับเขาด้วยความจริงใจ รู้สึกห่วงความเป็นอยู่ของเขา หากมาทุ่มเทให้กับผมแบบนี้ เขาจะลำบากในภายหลัง


“นี่ไง ก็ซื้อข้าวของมากินกับเรียวไงครับ ผมไม่ได้ทำให้เรียวทานคนเดียวซักหน่อย ผมกินด้วย ผมก็ต้องช่วยออกไง”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-12-2008 22:07:45
“งั้นก็ให้ฉันออกค่าใช้จ่ายด้วย บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เวลาจะซื้ออะไรมาให้ฉัน ต้องถามฉันก่อน แล้วก็ต้องให้ฉันมีส่วนร่วมในการออกเงินด้วย ฉันจะให้นายออกคนเดียวได้ไงเดียร์ นายอยู่ตัวคนเดียวก็จริง แต่บ้านก็ยังต้องเช่าอยู่ไม่ใช่เหรอ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินอยู่ล่ะ ใช้เงินหมดไปเรื่อยๆ แล้วจะเอาที่ไหนจ่ายหากมัน
ไม่พอขึ้นมาจะทำยังไง”


ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กหนุ่มหันมาสบตาผม เขายิ้มให้กับผม


“ดีใจจังเลย ที่เรียวพูดแบบนี้ แปลว่า เรียวห่วงใยผมแล้วใช่ไหมครับ รู้สึกอบอุ่นจังเลยนะ ที่มีคนแคร์ว่าเราจะอยู่จะกินอย่างไร ถ้าเรียวกลัวว่าผมจะไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำค่าไฟ เรียวก็ให้ผมมาอยู่ด้วยคนสิ ได้ไหมครับ”


ประโยคหลัง เดียร์หันมาทำท่าอ้อนผม


“เอาแล้วไง สงสารหน่อยเป็นได้ใจเชียวนะ”


ผมว่าเขา เดียร์แลบลิ้น ก่อนจะหัวเราะอย่างร่าเริง


“ล้อเล่นนะครับ อยากดูว่าเรียวจะตอบยังไง ถึงจะรู้อยู่แล้ว ว่าเรียวจะพูดออกมาแบบนี้ทุกครั้ง แต่ก็ยังอยากลุ้นอยู่ดี เผื่อว่าจะมีคำตอบดีๆที่ฟังแล้วทำให้ผมรู้สึกแช่มชื่นในหัวใจ ผมน่ะ อยากฟังคำพูดที่ทำให้ผมได้รับรู้ว่า เรียวเห็นผมเป็นคนสำคัญของเรียวจริงๆ แต่ว่า แค่นี้น่ะ ก็ดีแล้วน๊า ผมดีใจจนบอกไม่ถูกแล้ว ยิ่งได้อยู่ใกล้กันแบบนี้ พูดคุยกัน เรียวด่าผมบ้าง เหน็บแนมผมบ้าง มันก็ทำให้ผมมีความสุขได้ ถ้าเรียวเมินเฉยกับผม ไม่พูดด้วยนี่สิ ผมจะยิ่งทุกข์ใจไปใหญ่ เวลาเรารักใคร เราต้องรู้จักอดทนนะครับ จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องให้เวลากับคนที่เรารักด้วย เขาจะได้เตรียมพร้อมเพื่อที่จะรักเราได้อย่างเต็มที่”



เดียร์ตอบผมด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ความหวังเปี่ยมอยู่เต็มใบหน้าจนผมสังเกตเห็นได้ ผมมองแววตาใสซื่อของเดียร์อย่างค้นคว้า จริงหรือเปล่า ที่เด็กคนนี้ รู้สึกมีความสุขเวลาที่อยู่ใกล้ๆผม ทั้งๆที่บางครั้งผมก็ทำกริยาอาการไม่ดีกับเขามาตลอด เขาทำอย่างนี้ได้อย่างไรกันหนอ ไม่รู้สึกทุกข์ใจบ้างหรือไร ไม่เคยห่อเหี่ยวหรือหมดกำลังใจบ้างเหรอ ถ้าผมทำให้เขาผิดหวัง เขาจะเสียใจมากขนาดไหนนะ หรือเขาจะยังยิ้มสู้ด้วยหน้าตาที่ร่าเริงแบบที่เขาเคยทำมาตลอด เจ้าเด็กนี่ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ


“เดี๋ยวมาเอาเงินกับฉันนะ ค่าของที่ซื้อมาทั้งหมดนี้น่ะ”


ผมเปลี่ยนเรื่องพูด


“ไม่รู้จะคิดไงครับ ไม่มีบิล ผมจำไม่ได้ด้วย”


“เฮ้อ........” ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี เด็กนี่คงไม่ยอมรับเงินจากผมอีกเช่นเคย


“งั้นเอาเป็นว่า ฉันจะพานายไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่นายอยากไป สักหนึ่งที่ ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง แต่แบบไปเช้า เย็นกลับนะ”


ผมเสนอที่จะพาเขาไปเที่ยวเป็นการแลกเปลี่ยน เดียร์ทำตาโตมองผม ท่าทางดีอกดีใจ

“จริงๆเหรอครับ จะพาผมไปจริงๆนะ งั้นเป็นสามครั้งแล้วนะ ที่เรียวสัญญา เดี๋ยวผมจะจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมนะครับ”



เดียร์ทำท่ากระดี๊กระด๊า จนผมเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง เลยหันหลังเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เพิกเฉยต่อความตั้งใจที่จะช่วยเขาทำครัวไปซะสิ้น


“เรียวรอผมแป๊บนะ เดี๋ยวผมจะทำข้าวเช้าไปให้ทานนะครับ”


เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลัง ผมแอบยิ้มให้กับตัวเอง เดินมานั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ซึ่งเป็นโถงกว้างสามารถมองเห็นไปจนถึงห้องครัวได้ ผมมองเห็นเดียร์เดินวุ่นวายอยู่ในครัว ปากก็ผิวปากเป็นเพลง ท่าทางรื่นเริง ผมเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น กดปุ่มรีโมทเปิดทีวี แล้วพยายามจะให้ความสนใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้า แต่ผมกลับดูไม่รู้เรื่อง ความคิดของผมล่องลอยไปไกลถึงเรื่องตัวเอง แล้วก็เรื่องของเด็กหนุ่มลูกครึ่ง คนที่พยายามวนเวียนอยู่ใกล้ๆผมตลอดเวลา



ตามปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ผมมักจะอยู่บ้านพักผ่อนอย่างเงียบสงบ นับตั้งแต่ เลิกรากับอรจิรา ผมเมาหัวราน้ำอยู่พักหนึ่ง บ้านช่อง หมาเหมอ ไม่เคยดูแล จนกระทั่งผมคิดได้ว่าได้ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายเพื่อนยามยากของผมด้วย ผมเลยหยุดเที่ยวและไม่ค่อยได้ไปไหนอีกเลย หมกตัวอยู่ภายในบ้าน เอาแต่นั่งเล่น นอนดูทีวี และทำความสะอาดบ้านกับซักเสื้อผ้า เล่นกับเจ้าหญิง ฆ่าเวลาไปวันๆ พอให้ไม่เหงา



อาหารก็ซื้อมากินแบบสำเร็จรูป ไม่เคยคิดจะทำกินเองเลย เพราะอยู่คนเดียว หลังจากที่อรจิราจากผมไป ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครมาหาผมถึงบ้าน มาส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้ว หัวเราะเสียงดัง ทำกับข้าวให้ผมทาน และ กินด้วยกันแบบวันนี้ เด็กนี่กลับทำให้บ้านผมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


“ผมอยากทำอาหารให้เก่งๆหลายๆอย่างนะครับ เรียวจะได้กินกับข้าวที่หลากหลายออกไป จะได้ไม่ซ้ำซากจำเจ นี่ผมก็ซื้อตำรามาศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง แล้วก็ลองทำไปเรื่อยๆนะครับ ก็มีบ้างที่กินได้ บางอย่างก็ต้องปรับปรุงฝีมือการทำครับ กว่าจะเข้าขั้น”


เด็กหนุ่มทำอาหารไปก็ส่งเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วให้ผมได้ยิน ผมกดปุ่มปรับระดับเสียงทีวีให้เบาลง และหันไปมองเดียร์จากห้องรับแขกที่นั่งอยู่ อากัปกิริยาท่าทางของเขา ดึงดูดความสนใจของผม เด็กหนุ่มจับโน่น หั่นนี่ ปรุงนั่นด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ดูเหมือนเดียร์จะมีความสุขในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองได้ทำลงไป



ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเพลิดเพลิน เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขา เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจคนนี้มีความกลมกลืนเป็นธรรมชาติกับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ ณ ขณะที่เขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวของผม ก็ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าในที่นี้ เขาทำตัวเหมือนคุ้นเคยกับตู้เย็นของผม รวมไปถึงอ่างล้างจาน มีด เขียง เตาแก๊ส ยังกับว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแสนนาน



หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เดียร์ก็ยกสำหรับอาหารทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ กลิ่นของมันหอมยั่วยวน จนทำให้ท้องของผมตอบรับด้วยการส่งเสียงร้องครวญคราง เด็กหนุ่มเดินมาหาผม แล้วดันหลังให้ผมเดินไปที่โต๊ะอาหาร เขาเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งแล้วกุลีกุจอตักข้าวใส่จานให้ผม ส่วนตัวเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ เอามือสองข้างเท้าคางมองดูผม

“ไม่กินหรือไง” ผมถาม

“อื้อ อยากได้คำตอบก่อนครับว่า กับข้าวที่ผมทำให้เรียวอร่อยไหม”



ผมมองสำรวจอาหารที่วางตรงหน้า เดียร์ลงมือทำอาหารให้ผมทาน กินกันแค่สองคน มีกับข้าวสองสามอย่างแต่เขาก็ทำมามากมาย ผมลองตักอาหารชิมดูหลายๆอย่าง ฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้ก็ดีจนน่าทึ่ง อาหารเช้าที่ผมได้กินจากฝีมือเขา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในช่วงชีวิตวัยรุ่นแบบเขา จะทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าต้องอยู่คนเดียวมาตลอดนับตั้งแต่หนีออกจากบ้านมา ประสบการณ์ที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพัง อาจจะหลอมรวมทำให้เขากลายเป็นคนแกร่งและเก่งขึ้น เพราะต้องช่วยตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาใครได้


“ไม่แน่ใจฝีมือตัวเองเหรอ”

“ไม่แน่ใจว่าเรียวจะชอบกินรสที่ผมทำหรือเปล่านะสิครับ”


เด็กหนุ่มมองผมอย่างลุ้นๆ จนผมชักเขิน ที่ต้องมาทำท่าเป็นนักชิมอาหาร แล้วกำลังตัดสินฝีมือคนปรุง


“ฝีมือก็ใช้ได้นี่ นายน่าจะไปทำงานร้านอาหารนะ”


ผมกล่าวชื่นชมเขา เด็กหนุ่มยิ้มตาเป็นประกาย เขาขยับปากที่จะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ นั่งนิ่ง เอาแต่จ้องมองผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเดียว


“ลงมือกินกันเถอะ ฉันไม่อยากกินคนเดียว”


ผมรู้สึกเขิน ที่จะกินข้าว โดยมีคนมานั่งมองตาเยิ้มแบบนี้ เดียร์กุลีกุจอตักข้าวเข้าปากตัวเอง ตาก็ไม่วายจ้องผม จ้องเอาจ้องเอา จนผมเริ่มหงุดหงิด


“เอ้า มองเข้าไป มองอยู่นั่นแหละ เห็นหน้าฉันแล้วจะทำให้อิ่มขึ้นหรือไง”


เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มทะเล้น ดวงตาแพรวพราวระยิบระยับ


“มีแต่จะทำให้หิวกระหายมากขึ้นนะสิครับ เรียวน่ะ น่ากินมากกว่าอาหารพวกนี้เสียอีก กำลังคิดว่า ต้องกินซักกี่ครั้งกันแน่น๊า ถึงจะหายอยาก สงสัยคงไม่มีวันเบื่อเหมือนกินอาหารอย่างอื่นแน่”


ผมแทบสำลักอาหารที่กินเข้าไป ต้องรีบดื่มน้ำตาม


“ไอ้เด็กบ้า ลามกตลอดศก”


ผมด่าเขาเสียงดัง เดียร์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก อย่างชอบอกชอบใจ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตักข้าวกินไป ตาก็มองจ้องผม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนแก้มตุ่ย เห็นหน้าตาบ๊องแบ๊วตลกๆนั่น เลยทำให้ผมโกรธไม่ลง ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ
****************************
พึงหัดโพสนะ มาต่อวันละตอนแล้วกันนะ :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 15-12-2008 22:23:28
ขอบคุณมากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ :กอด1: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 15-12-2008 22:31:57
สู้ๆนะคับ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-12-2008 16:28:51
บทที่ 10




“ในกระเป๋ามีอะไรมั่งเนี่ย ทำไมมันถึงดูตุงจัง ทำอย่างกับหอบข้าวของมาอยู่ด้วย เป็นอาทิตย์”


ผมถามเด็กหนุ่ม เราสองคนกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขก ผมนอนทอดขาเหยียดยาวไปตามแนวนอนของเบาะ ส่วนเดียร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว กำลังรื้อค้นข้าวของออกมาจากกระเป๋า เด็กหนุ่มโชว์ให้ผมดูทีละอย่าง


“ก็มีหนังสือเรียนไว้สำหรับอ่านเตรียมสอบครับ นี่เป็นกระเป๋าใส่พวกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวนะครับ เพราะว่า ผมอ่ะ ต้องไปเต้นโชว์บ่อย แล้วก็ต้องแต่งหน้าเป็นเวลานานๆนะครับ แล้วก็นอนดึกด้วย ต้องบำรุงไว้ก่อน เดี๋ยวจะแย่ มียาสีฟัน แปรงสีฟัน กับน้ำยาบ้วนปากด้วย เผื่อว่าได้มีโอกาสจูบกับเรียว จะได้ไม่มีกลิ่นปากไงครับ”



เดียร์หันมาทำหน้าทะเล้นให้ผมอีกครั้ง ผมสั่นหน้าให้เขา ทำปากขมุบขมิบบอกว่าไม่มีทาง เดียร์หัวเราะจนตาหยี แล้วก็หันมาอธิบายต่อ


“แล้วเนี่ยเป็นเสื้อผ้าสำหรับใช้เปลี่ยนตอนขากลับ นี่ชุดอยู่บ้าน นี่เสื้อผ้าใส่นอน ทุกอย่างซักสะอาดสะอ้านใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย เวลากอดกันจะได้ไม่มีกลิ่นอับของผ้า สุดท้ายนี่คือตุ๊กตาชื่อเรียวจังผมนอนกอดทุกคืนเลย”


เขาหยิบตุ๊กตาหมูขนฟูออกมาจากกระเป๋า มันมีสีซีดจางแล้วก็กระดำกระด่างจนมองไม่ออกว่าเคยมีสีชมพูมาก่อน


“ทำไมฉันต้องกลายเป็นหมูด้วยล่ะ ฉันไม่ได้อ้วนสักหน่อย”


“ก็เรียวอ่ะ มีผิวขาวอมชมพูเหมือนลูกหมูนี่ครับ จริงๆแล้ว ตอนไปซื้อ มีกระต่าย หมี แล้วก็แกะ แต่ว่า ผมไม่ชอบกระต่าย มันบอบบางเกินไป หมีก็ไม่เหมาะกันเรียว แกะยิ่งไม่ดีใหญ่ ผมน่าจะเป็นแกะมากว่า เพราะผมหยิกเหมือนกัน ผมก็เลยให้เรียวเป็นหมู ผมชอบหมูนะน่ารักดี อยากดูแลให้เรียวอ้วนเป็นหมูเลย จะได้ไม่มีใครมาชอบเรียวนอกจากผม”



เดียร์พูดยิ้มๆ ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเคลิ้มไปกับคำพูดบอกรักล้านแปดวิธีของเขา แต่ ขำที่หมอนี่ช่างหยอดเสียจริง นิดหน่อยก็ยังดี แรกๆก็รำคาญ แต่ฟังนานๆก็รู้สึกเพลินดี


“อ๋อ มีนี่ด้วย ผมทำหนังสือมาให้ครับ เรียวเซ็นตรงนี้ และผมก็เซ็นตรงนี้นะ ถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะได้เหมือนกับเป็นหนังสือสัญญาไงครับ ดีกว่าการพูดปากเปล่า เพราะอาจจะทำให้ลืมสิ่งที่ตกลงกันไว้ หรือไม่ก็อาจจะบ่ายเบี่ยงไม่ทำตามก็ได้ เนื่องจากไม่มีอะไรที่เป็นหลักฐานชี้ชัด ในสัญญาฉบับนี้ ผมให้สัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เรียววางไว้ ซึ่งหากผมสามารถทำตามมันได้ทุกข้อ เรียวก็จะต้องยอมให้ผมอยู่ข้างๆใช่ไหมครับ ถ้าทำเป็นเอกสารข้อตกลงกันไว้ เรียวก็จะได้วางใจด้วยไงครับว่าผมไม่บิดพลิ้วทำอะไรที่เกินเลยกว่าข้อตกลงของเราแน่นอน”
เขาหยิบกระดาษสองแผ่นออกมา ยื่นให้ผมดู แล้วก็ชี้ตรงจุดที่จะให้เซ็นชื่อลงไป ผมอ่านข้อความในนั้น มันเป็นข้อตกลงระหว่างผมกับเดียร์เมื่ออาทิตย์ก่อน เดียร์ดึงกลับไปตามเดิม แล้วเซ็นชื่อในช่องคู่สัญญาทั้งสองแผ่น จากนั้นก็เลื่อนเอกสารมาทางผม แล้วยื่นปากกาให้ ผมมองปากกาในมือของเดียร์สลับกับมองกระดาษที่เป็นเสมือนใบสัญญาที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางครุ่นคิดว่า นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กับเด็กบ้าคนนี่หนอ ดูเหมือนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันกลายเป็นเครื่องผูกมัดให้ผมกับเขาผูกพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ไม่น่าไปตอบตกลงเลย



ถึงไง หมอนี่ก็แค่ขู่ผมเท่านั้น เขาไม่เอาภาพผมไปเผยแพร่ลงเน็ตหรอก ดูท่าทางเขารักผมมากเกินกว่าที่จะคิดทำลายให้ย่อยยับ ผมน่าจะคิดได้ออกตั้งแต่แรก ความกลัวที่จะเสียชื่อเสียง ทำให้ผมด่วนตัดสินใจออกไป มาคิดแล้วก็ยังนึกเจ็บใจตัวเองไม่หาย แต่ลูกผู้ชายรับปากไว้ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเสียสัจจะ ผมก็เลยต้องทนก้มหน้ารับในสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไป



ผมเซ็นชื่อลงในช่องคู่สัญญา แล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเดียร์มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มอย่างอ่อนหวานให้ผม ดวงตาที่จ้องมองมา เปล่งประกายความรักอย่างลึกซึ้ง ผมหลบตาเขา ไม่อยากสบตาที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวนั้น


“อ้ะ..... ใส่ข้อความเพิ่มเข้าไปตรงนี้ด้วยดีไหมครับ”

“อะไรเหรอ” ผมชะงัก

“ก็เราตกลงทำสัญญากันไว้ 6 เดือน แต่ถ้าในระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดสัญญา เรียวเกิดรักผมขึ้นมา แล้วไม่สามารถแยกจากผมได้แล้ว ผมว่าสัญญาฉบับนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกนี่ครับ”



เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทางจริงจัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ดูเหมือนเขาจะคิดว่า เขาจะสามารถทำให้ผมเกิดหลงรักเขาขึ้นมาได้เพียงชั่วเวลา 6 เดือน ผมฟังแล้วรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก นี่หมอนี่ตั้งอกตั้งใจจะทำให้มันเกิดอย่างนั้นจริงๆน่ะหรือ แล้วโอกาสที่มันจะเป็นไปได้มีมากน้อยแค่ไหนกัน


“วันนั้นไม่มีทางมาถึงอยู่แล้ว อย่าได้คิดฝันเฟื่องไป ดีหมือนกัน มีหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ จะได้ตีความกันง่ายหน่อย ถ้านายทำผิดเงื่อนไขล่ะก็ ฉันจะรีบฉีกสัญญาทิ้งทันที”



ผมบอกเขาด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน ไม่อยากให้เด็กหนุ่มคิดหวังในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งเป็นการย้ำเตือนให้เขาวางตัวให้ดีเวลาอยู่กับผม มิฉะนั้นผมก็สามารถที่จะยุติข้อตกลงได้เหมือนกัน


“แต่สำหรับผมแล้ว วันนั้นต้องมาถึงแน่นอน ผมเชื่อมั่นอย่างนั้นนะครับ เชื่อว่า ด้วยพลังแห่งความรักที่มีต่อเรียว จะทำให้คุณเริ่มเห็นคุณงามความดีของผม และรักผมได้สักวันหนึ่ง”



เด็กหนุ่มบอกด้วยท่าทางมุ่งมั่น สายตาที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ผมหลบสายตาเขา นั่งนิ่งเฉย ไม่โต้ตอบอะไร ปล่อยให้ความเงียบเป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างเราทั้งสอง

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-12-2008 16:29:33
“นี่ๆเรามีอะไรกันบ้างได้ไหมครับ”


เดียร์พูดทำลายความเงียบขึ้นมา


“ไม่ได้”


ผมตอบปฏิเสธด้วยเสียงค่อนข้างดัง


“ทำไมอ่ะ ผมอยากทำกับเรียวนี่ อยากทำทุกวันเลย”

“เรื่องอะไร มันเป็นข้อตกลงในสัญญาไม่ใช่เหรอว่า ห้ามมีเซ็กส์กัน”


เดียร์หยิบสัญญามาดู ไล่สายตาไปมาตามตัวอักษร


“ไม่เห็นมีข้อห้ามเลย มีแต่บอกว่าห้ามแตะเนื้อต้องตัวเรียว ยกเว้นแต่ว่าเรียวจะยินยอมเท่านั้นเอง แปลว่า มีเซ็กส์ด้วยกันก็ได้ ถ้าเรียวยอมอ่ะ”

“ยังไงก็ไม่ยอมทั้งนั้นแหละ” ผมยืนยันเสียงแข็ง

“โธ่เรียวครับ อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันทั้งที ก็น่าจะมีอะไรพิเศษพิเศษให้จดจำกันบ้าง ”


เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อน แต่ผมหรือจะยอม


“ฝันไปเถอะ ไปทำกับคนอื่นไป๊”

“งั้นขอใช้ปากกับมือให้นะ”


เขาพยายามต่อรองอีก ผมก็ยังยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งเหมือนเดิม แถมซ้ำยังทำท่ารำคาญใส่เขาอีก


“ไม่ได้ อะไรกันเนี่ย เรียกร้องโน่นนี่อยู่ได้”

“ก็อยู่ใกล้ๆเรียวจะอดใจไหวได้ไง นะนะนะ”


เด็กหนุ่มพยายามคะยั้นคะยอผม


“นายนี่แย่จังนะ สัญญาไม่เป็นสัญญา”

“ถ้าไม่ให้ผมใช้มือกับปาก ผมก็จะขอมีอะไรกับเรียวด้วย คนรักกัน เป็นแฟนกัน ต้องทำกันได้สิ ลองดูไหมครับ อาจจะดีอย่างที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเลยก็ได้”


เดียร์ทำหน้าเว้าวอน


“จะพูดยังไงก็ตามแต่ ฉันไม่ยอมทั้งนั้น ฉันไม่ชอบมีอะไรกับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เข้าใจไหม”


ผมหาเหตุผลด้านความไม่เหมาะสมทางอายุมาอ้าง เพราะไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร เด็กบ้านี่ก็ยังคงพยายามที่จะพูดให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้อยู่ดี


“แหม อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ผมก็จะอายุ 19 แล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

“อายุ 20 ปี ถึงจะเรียกว่าบรรลุนิติภาวะ ฉันไม่อยากจะติดคุกในข้อหาพรากผู้เยาว์”


ผมบอกเขา ดีเหมือนกันใช้เหตุผลนี้ บางทีอาจจะหยุดยั้งเขาได้ แล้วผมเองก็รอดตัวไม่ต้องถูกเด็กนี่ลวนลามอีก


“ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายทำ ไม่ใช่เรียวทำสักหน่อย ถ้าใครมาจับคุณ ผมจะออกรับเอง”


เด็กหนุ่มเถียงอย่างดื้อดึง
“นี่ไง เขาถึงได้พูดว่า คบเด็กสร้างบ้าน นี่ไม่รู้อะไรเลย หรือแค่อยากตะแบงแกล้งโง่กันแน่ ผู้ใหญ่ไปยุ่งกับเด็ก ยังไงก็ผิดวันยังค่ำนะ”

“ก็เด็กมันยอมนี่ครับ ผมน่ะ ยอมทั้งร่างกายและจิตใจเลย เพื่อเรียวเท่านั้น”


เดียร์ยังไม่ยอมเข้าใจอยู่ดี คงคิดแค่ว่า ถ้าคนสองคนยินยอมพร้อมใจกัน ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แต่อันที่จริงไม่ใช่แบบนั้น มันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องใช้การพิจารณาประกอบกัน


“งั้นอนุญาตให้ใช้มือกับปากได้นะครับ ไม่ได้ทำกัน ก็แย่เลยนะ แต่อย่างน้อย ได้ช่วยเรียวปลดปล่อยอารมณ์บ้าง ก็น่าจะดีนะ”


“นี่อย่ายกเอาเรื่องของฉันมาเป็นเหตุผล ไอ้เด็กบ้า ขอพูดแค่อีกครั้งเดียว นะ ว่าไม่ตกลง สัญญาก็ระบุชัดแล้ว ขืนเซ้าซี้ จะไม่คุยด้วยแล้วนะ”


ผมทำน้ำเสียงฉุนๆ เดียร์ทำหน้าจ๋อย บ่นอุบอิบ


“ใจร้ายจริงๆเลยนะครับ”


อยู่ๆ เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นมานั่งแปะอยู่ตรงที่เท้าแขนของโซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่ แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใย


“เรียวน่ะ ทำตัวเข้มงวดมากจนเกินไปแล้วนะ ไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอ ว่าถึงแม้เรียวจะบอกว่าไม่อยากให้ใครอยู่ด้วย ไม่อยากให้ใครแตะต้อง แต่เรียวน่ะ ก็ทำหน้าตาแบบว่า เหงามากๆเลย อยากให้ใครอยู่เป็นเพื่อน อยากมีคนอยู่ใกล้ๆ อยากให้ใครๆกอดเหมือนกัน ทำไมเรียวถึงไม่ยอมทำตัวผ่อนคลายบ้างเลย ปิดกั้นตัวเองทำไม
หรือครับ”


ผมเงยหน้ามองเดียร์ที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว มีความห่วงใยฉายชัดอยู่ในแววตานั้นให้เห็น หัวใจผมวูบไหว รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา ทำไมเด็กนี่ต้องทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างนี้ด้วยนะ เขาคอยเป็นห่วงว่าผมจะรู้สึกอย่างไร แต่ผมไม่เคยที่ให้สิ่งเหล่านั้นกลับคืนเขาเลย


“ก็ได้”


ผมบอกเขา เดียร์ทำหน้างงๆ ที่อยู่ๆผมก็พูดโพล่งขึ้นมา


“แต่ถ้าฉันไม่ยอมก็ห้ามทำนะ ถ้าไม่สมยอมก็จะใช้ปากใช้มือไม่ได้”


เดียร์เพิ่งถึงบางอ้อ สีหน้าแปรเปลี่ยน มีรอยยิ้มผลุดขึ้นที่ใบหน้าของเขา


“แล้วก็อย่าได้เที่ยวคิดเอง เออเอง เข้าใจผิด ว่า ฉันน่ะ อยากมีอะไรด้วยกับนายจนตัวสั่น ที่ยอมตกลง เพราะรำคาญการเซ้าซี้จากนายน่ะแหละ พูดแล้วก็ไม่ยอมฟัง เลยตกลงไปอย่างงั้น เพราะรู้ดีว่า ถึงยังไง นายก็ไม่มีทางที่จะได้ทำแบบนั้นแน่”


ผมพูดเสียงเข้ม เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างในใจตัวเอง ความรู้สึกดีกับเดียร์ที่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในใจ โดยที่ผมเองก็ให้เหตุผลกับตัวเองไม่ได้ว่าทำไม รู้แต่เพียงว่า ต้องกดมันเอาไว้ภายใน ไม่ยอมให้มันแสดงออกมาให้เดียร์เห็น


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-12-2008 16:30:34
“ปากกับใจไม่ตรงกัน”


เดียร์ว่ายิ้มๆ ท่าทางเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด


“อะไร ใครปากกับใจไม่ตรงกัน”

“เรียวน่ะแหละ” เขาว่าผม พร้อมกับยิ้มมากขึ้น ทั้งปากและตา

“ตรงกันก็ไปออกงานวัดแล้ว”


ผมใช้มุขควายเข้าข่มความอาย ที่เขาทำท่าเหมือนว่ารู้เท่าทันความคิดผม เดียร์หัวเราะจนตาหยี ก้มหน้าลงมาใกล้ผมอีก จนหน้าแทบจะชนกัน ทำตาหวานเยิ้มใส่ผม


“พูดแบบนี้ มันแปลเป็นนัยๆได้ว่า เรียวยอมรับรักผมแล้วใช่ป่ะ เห็นไหมเสน่ห์ของผมนี่ก็เหลือร้ายเชียวนะ ในที่สุดคุณก็เห็นเข้าจนได้ ไม่อยากจะคุยเลย”

“ประสาท”


ผมด่าเขา พร้อมทั้งลุกขึ้นจากโซฟา เพราะเริ่มรู้สึกหวั่นไหว เมื่อหน้าของเดียร์อยู่ใกล้ขนาดนั้น แถมซ้ำลมหายใจของเขายังเป่ารดที่แก้มผมอีกด้วย ผมจึงไม่ยอมให้เดียร์เข้าใกล้ไปมากกว่านี้


“เก็บข้าวเก็บของได้แล้ว รื้อออกมารกกระจายเกลื่อนกลาดทำบ้านฉันสกปรกอยู่ได้”


ผมสั่งเขา แล้วก็ทำท่าจะเดินขึ้นไปยังชั้นบน เดียร์รีบกุลีกุจอเก็บของยัดใส่กระเป๋า ปากก็ถามผมด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว ว่าผมจะไปไหน ยังกับกลัวว่า ผมจะหนีจากเขาไปยังงั้นแหละ


“โวยวายอะไร ฉันจะขึ้นไปเอางานลงมาทำต่อข้างล่าง นายก็อย่าทำเสียงดังแล้วกัน”

“อะไรกันน่ะ วันหยุดทั้งที ทำไมถึงต้องทำงานล่ะ ผมยังหยุดเลย นึกว่าจะได้นั่งคุยกัน ทำอะไรร่วมกันกระหนุงกระหนิง เรียวน่ะใจร้ายมากเลย”


“เฮ้ยยยยยยย แล้วจะให้ฉันทำไงล่ะ ก็มันมีงานที่ต้องทำนี่นา ถ้านายไม่พอใจก็กลับไปก็ได้ มาร่ำร้องให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ”


“ผมไม่ยอมกลับไป โดยทิ้งวันหยุดที่เราควรจะอยู่ด้วยกันไว้ให้เสียเปล่าหรอก เอาเป็นว่าเรียวทำงานไปนะครับ ผมจะหาอะไรอย่างอื่นมาทำ จะไม่รบกวนสมาธิ เรียวจะได้ทำเสร็จไวๆไงครับ เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน”


“ดีมาก นายจะนั่ง จะนอน หรือทำอะไรก็ตามสบายนะ แค่อย่าทำวุ่นวายก็พอ”

“คร้าบบบบบบบบ” เดียร์รับคำด้วยความกระตือรือร้น

“ผมเล่นกับเจ้าหมาตัวนี้ได้ไหมครับ”


เดียร์ชี้ไปที่เจ้าหญิง ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้าผม แต่เอียงหูฟังว่าใครพูดอะไรถึงตัวเองบ้าง มันกระดิกหางใหญ่ เมื่อเด็กหนุ่มส่งสายตาที่เป็นมิตรมาให้


“ก็เอาสิ แต่ออกไปเล่นข้างนอกจะดีกว่านะ เจ้าหญิงมันชอบทำเสียงดัง”


ผมอนุญาต ดีเหมือนกัน เจ้าหญิงมีเพื่อนเล่น จะได้ไม่เหงา เพราะผมเอง ก็ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันมากนัก อย่างน้อยๆก็ได้กันเจ้าเดียร์ออกห่างจากผมไปได้ชั่วระยะหนึ่ง
“ชื่อเจ้าหญิงเหรอ ชื่อน่ารักจังเลย”


เดียร์ก้มลง แล้วยื่นมือไปลูบหัวมัน เจ้าหญิงลุกขึ้นยืน แกว่งหางไปมา ท่าทางจะยอมรับเด็กบ้านี่เป็นมิตรด้วย ผมมองดูหนึ่งคน หนึ่งสัตว์เลี้ยง กำลังพยายามผูกสัมพันธ์กัน แล้วก็ยิ้มอย่างเบาใจ ที่เห็นเจ้าหญิงไม่พยศใส่ เหมือนที่เคยทำกับอรจิรา ท่าทางเด็กนี่ จะเก่งในแง่ของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ก็ขนาดผมไม่ชอบใจที่เขาทำไม่ดีกับผม แต่บางครั้งก็อดที่จะเผลอรู้สึกดีด้วยไม่ได้



เด็กหนุ่มพูดคุยชักชวนเจ้าหมาของผมไปเล่นข้างนอก เจ้าหญิงเดินกระโดดโลดเต้นตามไป เหมือนจะเข้าใจสื่อสารกันรู้เรื่อง ผมเบือนสายตามาจากภาพนั้น แล้วเดินขึ้นไปบนห้อง หอบแฟ้มงานลงมาข้างล่าง
ผมนั่งทำงานไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ผสานไปกับเสียงเห่าของเจ้าหญิง เมื่อมองออกไปทางประตูด้านหน้า ใกล้กับห้องรับแขก ก็เห็นเดียร์กำลังปล้ำกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหมาของผม บนพื้นหญ้าหน้าบ้านติดกับทางเดินที่ผมจอดรถเอาไว้



เขากำลังอาบน้ำให้กับเจ้าหญิง แต่เจ้าโกลเด้นท์ตัวดี ไม่ยอม ดิ้นหนีไปมา ทำให้ทั้งคนทั้งหมา เปียกปอนมอมแมม ผมอดหัวเราะไม่ได้ ตาของผม แทนที่จะจับจ้องที่งานที่กองอยู่บนโต๊ะ กลับโฟกัสไปที่หมาของตัวเอง และเด็กหนุ่มคนนั้น ผมเฝ้ามองเขาอย่างไม่วางตา รู้สึกรื่นเริงกับสิ่งที่เห็น



ความอ่อนเยาว์ และความร่าเริงที่เดียร์มี ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงตัวเอง นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ชีวิตของผม มีแต่งาน งาน งาน แล้วก็งาน จนไม่เคยใส่ใจกับตัวเอง ไม่เคยหาความสุข หรือทำตัวมีชีวิตชีวา การที่ผมอกหัก ทำให้มุมมองในการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่า การที่ผมทำงานหนัก นั้นเป็นข้ออ้าง ของการอยากลืม หรืออยากเอาชนะอรจิรากันแน่ บางที การที่เธอจากผมไป เพราะผมจนกว่าผู้ชายคนใหม่ของเธอ อาจจะผลักดันให้ผมบ้างานขึ้นเพื่อเก็บเงินให้เยอะๆจะได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างก็ได้ บางที อาจจะมีใครสักคนที่หันมามองผมบ้าง แต่คนนั้น อยู่ที่ไหนกัน แล้วอีกนานไหมกว่าที่ผมจะเจอ



“เปียกซ่กทั้งตัวเลยครับ เจ้าหญิงนี่ ไม่ไหว เลย ตัวเหม็น แต่ไม่ยอมอาบน้ำ นี่ผมก็อาบน้ำให้เจ้าหญิงเสร็จแล้วนะครับ ตัวหอมแล้วล่ะ ส่วนผมก็เปียกอย่างที่เห็นนี่แหละ”


อยู่ๆเดียร์ก็โผล่ แต่หัวเข้ามาคุยกับผม เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก เพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ เลยไม่เห็นเขา ทั้งๆที่ก็มองเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เขาหัวเราะที่เห็นผมตกใจ หน้าบางส่วนของเขามีคราบดิน กับเศษหญ้าติด


“ด้านข้างบ้าน มีลานซักล้าง มีเครื่องซักผ้าอยู่ นายเอาเสื้อผ้าเปียกๆของนายไปซักแล้วปั่นซะ แดดกำลังเปรี้ยงๆ จะได้มีเสื้อผ้าใส่กลับ”


ผมรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำเป็นวางมาดเคร่งขรึม


“อื้อ ผมเตรียมเสื้อผ้าไว้แล้วครับ แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะกางเกง ก็เปียกหมดเลย เอามาแค่ตัวเดียวด้วย งั้นถอดซักข้างบ้านได้เลยใช่ไหมครับ”


เด็กหนุ่มกลับพูดจาและทำหน้าตาทะเล้นใส่ ผมกระโดดลุกขึ้นยืน ร้องดังลั่น

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-12-2008 16:32:03
“เฮ้ย.....จะบ้าเหรอ”

“ถอดกางเกงยีนส์ซัก กว่าจะแห้งก็อีกตั้งนาน แล้วนายจะใส่อะไรระหว่างที่ยืนซักอยู่ล่ะ”


ผมละล่ำละลักถาม กลัวว่าเด็กนี่จะเอาจริง


“กางเกงในไง ไม่โป๊หรอก ผมไม่ได้ใส่จีสตริง หรือกางเกงในบางๆอะไรหรอกน่า”

“ก็นั่นแหละ จะมายืนแก้ผ้าเหลือแต่กางเกงในอยู่ข้างบ้านคนอื่นเขาได้ไง”


เด็กหนุ่มหัวเราะก๊ากกับท่าทางของผม


“คิดเป็นจริงเป็นจังเลยนะ ใครจะทำอย่างนั้นล่ะครับ ถ้าจะโชว์ ก็ต้องให้เรียวดูคนเดียวเท่านั้น คนอื่นจะให้เห็น
ได้ไงอ่ะ อิอิ เดี๋ยวผมจะขอเข้าไปเอาเสื้อมาเปลี่ยนแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ เดี๋ยวผมถูบ้านให้ ถ้ามันเปียก”



เขาขออนุญาต ผมพยักหน้า เด็กหนุ่ม เลยเดินโหย่งตัวเข้ามา ที่ห้องรับแขก เดียร์รื้อค้นข้าวของในกระเป๋า ซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้าผม แล้วก็หยิบชุดที่เขาบอกว่าเตรียมไว้สำหรับใส่อยู่บ้านขึ้นมา ซึ่งก็คือเสื้อยืดแขนกุด แบบเสื้อนักบาส กับกางเกงขาสั้น และแล้วเดียร์ก็ทำให้ผมถึงกับตาเหลือกด้วยความตกใจที่อยู่ๆ เขาก็ถอดเสื้อยืดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถอดกางเกงออกต่อหน้าต่อตาผมซึ่งนั่งอึ้งอยู่


“ไม่ต้องแปลกใจหรอก ผู้ชายด้วยกันนะครับ”


เดียร์บอกผมยิ้มๆ ผมมองร่างกึ่งเปลือยที่มีเพียงกางเกงในสีขาวห่อหุ้มร่างกายตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ สมบูรณ์ไปด้วยมัดกล้าม ไม่ว่าจะเป็นไหล่กว้าง หน้าท้องเป็นลอน ต้นขาแข็งแรง ถึงแม้จะไม่มากเท่าพวกนักกล้าม หรือพวกนักกีฬา แต่เขาก็มีรูปร่างที่งดงามชวนมอง อยู่ดีๆสายตาของผมก็ตกต้องอยู่แถวกลางลำตัวของเดียร์



ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นึกเปรียบเทียบสิ่งที่เห็นกับของที่ตนเองมีอยู่ การผสมผสานกันของสองเชื้อชาติ ทำให้เดียร์รับส่วนดีของเผ่าพันธุ์มาไว้เต็มๆ เขามีความอ่อนเยาว์ในใบหน้า ผิวพรรณที่เนียนละเอียด ไม่หยาบกระด้าง และเรือนผมสีน้ำตาลเข้มสลวย กับผิวสี แบบชาวเอเชีย ในขณะที่โครงสร้างร่างกายที่แข็งแรง และใบหน้าที่หล่อเหลา จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ได้มาจากความเป็นอเมริกันในสายเลือดของพ่อ โดยเฉพาะส่วนที่บ่งบอกความเป็นชายของเขา ดูมันแข็งแรงและบึกบึนแบบชาวต่างชาติ ผมอดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้



พอผมเงยหน้าขึ้นมองเดียร์ ก็เห็นเด็กหนุ่มมองอยู่ก่อนแล้ว เขาอมยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าผมเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากการมองน้องชายของเขา ผมก้มหน้า รู้สึกตัวว่าตัวเองหน้าแดง เพราะความร้อนจากเลือดที่ฉีดพล่าน ด้วยความอายที่เผลอไปมองของสงวนของเขา นึกโมโหตัวเองที่คล้ายคนโรคจิตเข้าไปทุกที



“เด็กบ้า อยู่ๆก็มาถอดเสื้อผ้าตรงนี้ นี่มันห้องรับแขกนะ ไม่ใช่ห้องน้ำ ไม่เกรงใจเจ้าของบ้านบ้างเลย”


ผมว่าเด็กหนุ่มอย่างเคืองๆ มีเสียงหัวเราะดังออกมาให้ได้ยิน


“มองผมสิครับเรียว หลบตาทำไม”
“นายรีบใส่เสื้อผ้าให้เสร็จเถอะ จะมาชักชวนให้คนอื่นดูตัวเองโป๊ทำไม คราวหน้าคราวหลังก็หัดใช้ห้องน้ำนะ อย่ามาแก้ผ้ากันกลางบ้านแบบนี้ หน้าไม่อาย”



ผมด่าเขา โดยที่ไม่ยอมหันไปมอง เหมือนเดียร์จะแกล้งผม เขากลับเดินทั้งๆที่ยังอยู่ในกางเกงในสีขาวตัวเดียวมายืนอยู่ตรงหน้าผม ชะโงกมาใกล้ แล้วเอามือแตะไหล่ ผมสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองเขาโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจใหญ่


“นี่เป็นรอบคืนกำไรให้ผู้ชม ผมเคยเห็นของเรียวแล้ว ผมก็เลยอยากให้เรียวเห็นของผมบ้าง เราจะได้เสมอกันไงครับ ที่รัก”


เดียร์ยิ้มยั่ว ผมหน้าแดงจัด นึกโกรธเจ้าเด็กบ้าที่ยืนเกือบเปลือยอยู่ตรงหน้า ช่างทำลงไปได้ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมเลย เป็นเด็กนี่ ทำได้ทุกอย่างรึไงนะ เวลาที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ ผู้ใหญ่อย่างผมมีสิทธิจะโกรธเขาได้ใช่ไหม


“เล่นบ้าอะไร ใครจะไปอยากดูของนาย โรคจิตจริงๆเลย ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็รีบออกไปได้แล้ว เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”


ผมไล่เขาออกไปให้พ้นๆจากห้องรับแขกด้วยเสียงอันดัง ไม่อยากเห็น และไม่อยากให้คนอื่นเห็น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านรอบข้าง ถ้าหากเขาเกิดมาล่วงรู้ว่ามีผู้ชายแก้ผ้าเหลือแต่กางเกงในอยู่ในบ้านผม พวกเขาคงคิดเลยเถิดกันไปยกใหญ่ ผมนึกไม่ออกว่าจะตอบปัญหาพวกเขาอย่างไรเด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า เอามือแตะเข่าของผม แล้วถามด้วยความสงสัย


“ใครจะมาหรือครับ นัดใครไว้เหรอ”

“ถามทำไม”

“ก็วันนี้ เรียวสัญญาไว้นี่ครับ ว่าจะเป็นวันของผมคนเดียว จะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายในวันของเรา แล้วยังจะมีใครมาเห็นผมโป๊ได้อีกล่ะ หรือว่าเรียวนัดใครไว้ ให้มาหาที่นี่ ”


เดียร์ทำเสียงกระเง้ากระงอด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยความกลัดกลุ้ม ที่เด็กนี่ทำท่าหึงหวงผมโดยไม่ยอมเชื่อใจกัน


“ฉันหมายถึงว่า ฉันไม่ได้ปลูกบ้านอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่ง แต่มีเพื่อนบ้านแวดล้อมอยู่ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง แล้วก็ด้านข้าง หากบังเอิญเขาเห็นหนุ่มโสดอย่างฉัน อยู่ในบ้านกับผู้ชาย แถมซ้ำยังยืนโป๊อยู่ในบ้านตัวเองด้วย คนเห็นเขาจะคิดอย่างไร ฉันไม่กลายเป็นเกย์เฒ่าโรคจิตหลอกเด็กเหรอ ใครต่อใครก็คงจะเอาไปลือ เอาไปพูดกันอย่างสนุกปาก นายว่ามันสนุกนักเหรอ ที่จะถูกคนอื่นนินทา ทั้งที่มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิดเลย แม้แต่น้อย”


ผมอธิบายให้เด็กหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงแสดงความหงุดหงิด รู้สึกเบื่อกับเรื่องนี้เหลือเกิน


“ผมขอโทษนะ ที่พูดแบบนั้นกับเรียว ผมแค่หวง ไม่อยากให้คุณอยู่กับใครนอกจากผม แล้วผมก็ต้องขอโทษด้วยนะ ที่คึกคะนองมากไปหน่อย ผมเห็นว่า เราอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น ก็เลยทำตามใจตัวเองด้วยการถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าต่อตาคุณ แค่อยากให้เรียวได้เห็นผมบ้างเท่านั้น”
เดียร์สารภาพเสียงเบา ท่าทางสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังของตนเอง


“ผมแค่อยากจะลองดูว่า เรียวเห็นร่างกายของผมแล้ว จะเป็นอย่างไร จะรู้สึกอะไรบ้างไหม มีอารมณ์อย่างที่ผมเป็นหรือเปล่า แค่อยากรู้ มันเหมือนกับเราลงแข่งในเกมส์อะไรสักอย่าง ต้องพยายามที่จะเช็คอยู่ตลอดเวลาว่า ตอนนี้ เราอยู่ตรงจุดไหน ผมมีโอกาสมากไหมที่จะพิชิตหัวใจคุณ หากมันยังห่างไกลกับสิ่งที่ผมต้องการ ผมจะได้ทุ่มความพยายามลงไปให้มากขึ้น”


“.........”


“ผมอาจจะทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง ไม่คิดให้รอบคอบ ผมรู้ว่ามันผิดที่ผมมักจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ อยากทำอะไรก็ทำตามที่ใจมันสั่ง บางทีก็ไม่ได้คิดถึงเหตุผลความถูกต้อง ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา แต่ว่าที่ผมทำไป เพราะว่าผมรักคุณมากเลย แค่อยากเป็นคนสำคัญของเรียว แค่อยากให้คุณรักผมบ้าง ต้องการตัวผม เหมือนที่ผมต้องการคุณน่ะครับ”


น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความหม่นเศร้า เขามองสบตาผม มีคำขอโทษมากมายให้เห็นในดวงตาคู่นั้น ผมเหลือบแลดูใบหน้าหล่อเหลาของเดียร์ นึกชิงชังความเอาแต่ใจตัว ไม่รู้กาลเทศะของเขา แต่เมื่อเห็นความใสซื่อสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่สวยนั้นแล้วก็เริ่มใจอ่อน เด็กนี่ขาดการอบรมดูแลสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ไม่มีใครชี้นำเขาในแนวทางที่ถูกต้อง ลองผิดลองถูกตัดสินใจด้วยตัวเอง ด้วยความเยาว์วัย ถึงแม้จะมีเรื่องผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ ทำให้เขาเผอเรอทำเรื่องผิดพลาดบ่อยครั้ง ในฐานะที่ผมโตกว่าเขา และเขาเองก็รักผมมากเสียด้วย ผมน่าจะใช้จุดนี้เป็นเหตุผลในการที่จะสั่งสอนเขาให้ประพฤติตัวในแนวทางที่เหมาะสม เพื่อที่เขาจะได้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข ไม่ก้าวล้ำล่วงเกินคนอื่น โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ



เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย การที่เขามาวุ่นวายก่อความรำคาญให้กับผม เป็นเพราะว่าเขารักผม เพราะผมเคยช่วยเขาไว้หลายครั้ง เขาก็แค่เห็นว่าผมเป็นฮีโร่คนหนึ่งของเขา และเกิดความคลั่งไคล้ขึ้นมา จนอยากเป็นแฟน อยากทำอะไรต่ออะไรให้ ผมคิดว่า หากเจ้านี่ ทำตัวดีขึ้น แล้วเขามีโอกาสเจอคนดีๆนอกจากผม เขาอาจจะเจอคนที่เขารัก และรักเขาจริงๆก็ได้



อยู่ๆเดียร์ก็ซบศีรษะลงบนหน้าขาของผม ทำท่าเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนพ่อแม่ ให้ยกโทษให้กับความผิดของตัวเอง ผมนั่งมองร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำตาลทองที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กางเกงชั้นในสีขาวห่อหุ้มเรือนกายเอาไว้ ในใจเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ



“ผมขอโทษจริงๆนะครับ ยกโทษให้ผมนะ”


เดียร์ทำเสียงอ้อน มือไม้เริ่มลูบไล้ขาของผมที่พ้นกางเกงออกมา ทำท่าประจบ แต่ผมกลับรู้สึกขนลุกเกรียวกับสัมผัสนั้นใจกระหวัดไปถึงความฝันเมื่อเช้าตรู่ ผมพยายามชักขาออกจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่ม


“ทีหลังอย่าทำอีกแล้วกัน”

“คร้าบ”


เด็กหนุ่มรับคำอย่างกระตือรือร้น มือไม้ลูบขาผมไปมาจนผมเกิดความวาบหวิวซาบซ่าน


“นี่ๆๆๆๆๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะทีไป๊”


ผมไล่เขา ไม่อยากให้เขาทำให้ผมหวั่นไหวไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วคงจะเดาความรู้สึกของผมออกว่าผมรู้สึกอย่างไร


“หน้าแดงหมดแล้ว เรียวเขินอะไรหรือครับ หรือว่า มีอารมณ์กับผมแล้ว”


เดียร์ถามยิ้มๆ เขาลูบไล้มือหนักขึ้น แต่คราวนี้เลื่อนสูงไปจนถึงต้นขา ผมใช้มือผลักหน้าเขาจนหงาย เดียร์หัวเราะเบาๆแล้วจับแขนของผมข้างที่ผลักเขาเอาไว้ แล้วก้มลงจูบพร้อมกับใช้ลิ้นวาดเป็นรูปหัวใจที่กลางฝ่ามือ จากนั้นเด็กหนุ่มก็เลื่อนตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับผม แนบหน้าเข้ามาจนชิด กระทั่งรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รดต้นคอของผม


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 บทที่2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-12-2008 16:36:11
“จะทำอะไรน่ะ”


ผมถามเขาเสียงสั่น เนื่องจากใจคอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เดียร์เอามือแตะที่คางของผม แล้วใช้นิ้วบังคับให้หน้าของผมหันไปเผชิญกับหน้าของเขา ผมยกมือขึ้นจับแขนเด็กหนุ่ม พยายามที่จะดึงมือเขาออก แต่มือของเขาแข็งแรงมากจนผมไม่สามารถขยับเขยื้อนออกจากหน้าผมได้


“แค่อยากมองหน้าเรียวใกล้ๆนะครับ เวลาเรียวอายเนี่ย น่ารักดีจังครับ หน้าแดง แก้มแดงไปหมดเลย นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าแดง เหมือนลูกตำลึงสุก แดงเหมือนลูกท้อ คนพูดเปรียบเปรยได้น่ารักจริง แต่ไม่ใกล้เคียงนัก เท่าที่เห็นนี้ มันแดงเรื่อมากกว่านั้นอีกนะครับ เป็นสีกุหลาบเลย”


คำพูดของเดียร์ทำให้ผมร้อนวูบวาบจากใบหน้าสู่ลำคออีกครั้ง


“ลืมข้อตกลงหรือไง ว่าห้ามแตะต้องตัวฉัน”


ผมทวงคำสัญญา เดียร์กลับยิ้มหวานใส่ตาผม เด็กหนุ่มใช้นิ้วหัวแม่โป้งของตัวเองไล้ริมฝีปากผมไปมา


“ก็ทราบครับ แต่ว่า ถ้าเรียวยินยอมก็ได้นี่ครับ”

“แล้วฉันยอมตรงไหนกัน”


ผมบอกเขาเสียงขุ่น เด็กหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม พลางก้มหน้าเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น จนจมูกของเขาคลอเคลียอยู่แถวตรงข้างแก้ม


“ดูจากนัยน์ตาก็รู้ มันบอกว่า เรียวไม่ขัดขืนอะไร”


เด็กหนุ่มพูดเป็นเสียงกระซิบ เขาแลบลิ้นมาเลียแถวซอกคอของผมแล้วก็วนลิ้น เป็นรูปหัวใจอีกครั้ง ผมทำคอย่นด้วยความเสียวสะท้าน ขยับตัวจะหนี แต่เขาก็เอื้อมมือมารั้งผมไว้


“คิดเอง เออเองทุกทีเลยนะ”


เดียร์หัวเราะ หึหึ จากนั้นเด็กหนุ่มก็ซุกจมูกลงที่คอของผม มือข้างหนึ่งโอบอยู่ที่รอบต้นคอ ส่วนข้างที่ว่างสอดเข้าไปใต้เสื้อ แล้วลูบไล้ทรวงอกผมไปมา


“นี่มันไม่ถูกต้องนะเดียร์”


ผมท้วง เด็กหนุ่มครางเสียงอู้อี้ตอบกลับมาว่า


“ในเรื่องของกฎเกณฑ์ หรือ หัวใจล่ะครับที่รัก”

“ทั้งนั้นแหละ”


ผมบอก พยายามที่จะผลักไสเขาออกไปให้พ้นจากตัว อยู่ๆเดียร์ก็หยุดเคลื่อนไหว เขาใช้มือ
ที่อยู่ใต้เสื้อ กดลงตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของผม


“หัวใจของเรียว เต้นรัวอยู่ใต้ฝ่ามือของผม มันบอกอะไรได้บ้าง เดาได้ไหม”


เขาถามผม แต่ผมกลับนิ่งเฉย ไม่ตอบ ตามองจ้องเป๋งที่ใบหน้าเขา คาดเดาไม่ถูกว่า เจ้าเด็กบ้านี่จะมาไม้ไหนกันแน่


“มันบอกว่า เรียวเองก็ตื่นเต้นในสัมผัสของผม หรืออีกอย่างก็คือ เรียวเองก็ปรารถนาที่จะปลดเปลื้องอารมณ์ของตัวเองออกไป บางทีหัวใจของเรียวอาจจะกำลังเปิดประตูออก เพื่อต้อนรับผมเข้าไปข้างในก็ได้ เรียวอาจจะอยากให้ผมช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดสิ่งเลวร้ายต่างๆที่ตกตะกอนอยู่ภายในหัวใจของเรียวออกมาให้หมด เพื่อที่หัวใจจะได้ว่างขึ้น สะอาดปราศจากสิ่งขุ่นมัว เรียวจะได้เลิกกลายเป็นคนเย็นชา และสามารถรับรู้ความรักที่ผมและคนอื่นๆมอบให้”


“แค่หัวใจเต้นตามปกติ ไม่เต้นสิแปลก ฉันยังไม่ตายเสียหน่อย หัวใจจะได้หยุดเต้น”


ผมแย้งเขาทันควัน เดียร์ยิ้มใส่ตาผม จากนั้นก็เคลื่อนมือข้างนั้นอย่างรวดเร็วไปยังร่างกายส่วนล่างของผม และกอบกุมมันไว้ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเติบโตขึ้นเต็มมือของเขา


“ถ้าไม่เชื่อใจตัวเอง ก็เชื่อร่างกายตัวเองสักหน่อยดีไหม เห็นหรือเปล่าว่าเรียวน่ะ ไวต่อสัมผัสของผมมากแค่ไหน แตะต้องแค่นิดเดียว น้องชายของเรียวก็ตื่นเต้นตัวแข็งไปหมดแล้ว"


เด็กหนุ่มแซวผมยิ้มๆ หูตาแพรวพราว
**********************************
 :serius2: จะทำอะไรผมช่วยด้วยครับบบบบบบบบบบบบบบบ
อันนี้คนโพสร้องเอง อินนะอิน อิอิ :bye2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 17-12-2008 02:53:35
โหยมีแอบค้างด้วยง่ะ
แต่ขอบคุณมากๆคับ มาต่อไวๆน้า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-12-2008 04:29:14
 :mc4: กลับมาแย้ววว


ขอบคุณพี่แอนที่ช่วยลงต่อ  :กอด1:

แล้วก็ขอโทษพี่เคทด้วยที่มะได้ลงต่อให้  :L2: ช่วงนี้ยุ่งมากมายยยย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 17-12-2008 04:32:21
มาให้กำลังใจพี่แอน จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 06:42:55
 :3123: สวัสดีตอนเช้า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 17-12-2008 09:01:47
มาให้กำลังใจน้องแอนด้วยคนค่ะ สู้ๆนะคะ น้องแอน  o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 17-12-2008 16:19:33
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ

สนุกมากเลยค่ะ น้องเดียร์ก็น่ารัก แต่ทำไมพี่เรียวใจแข็งจัง


ตามดูกันว่าพี่เรียวจะใจแข็งไปได้อีกกี่น้ำ

ขอบคุณทั้งพี่เคทคนเขียน และคุณแอนคนโพสต์ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 19:59:20
 :z1: มาแล้วจ้า










“อย่าทำอะไรที่เกินเลยนะเดียร์ สัญญาต้องเป็นสัญญานะ”


ผมร้องบอก พยายามผลักไสเด็กหนุ่ม แต่เดียร์กลับเพิกเฉย เขาเลื่อนจากการซุกไซร้ซอกคอ เปลี่ยนมาประกบที่ปาก จูบของเขานับวันยิ่งทวีความเรียกร้องมากยิ่งขึ้น และดูเหมือนมันจะมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะยุติการเคลื่อนไหว หรือการต่อต้านจากผม



เด็กหนุ่มคลึงเคล้าหยอกล้อเรียวน้อยไปมาจนผมครางอือด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยเพลิงปรารถนา สัมผัสของเขาทำให้ใจของผมกระเจิดกระเจิง มือที่พยายามจะผลักเขาออกเริ่มไร้เรี่ยวแรง ถึงแม้ว่าในใจของผมจะคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่ผู้ชายกับผู้ชายจะมีอะไรกัน โดยเฉพาะมันไม่น่าจะเกิดขึ้นเกิดกับตัวผม แต่อีกส่วนลึกของจิตใจก็บอกให้ผมละทิ้งความคิดเดิมๆ แล้วให้เติมเต็มความปรารถนาให้กับตัวเอง ไม่เห็นจะแปลกถ้าผู้ชายอย่างผม จะแสวงหาความสุขทางเพศรสที่ตื่นเต้น โดยไม่จำเป็นต้องสนว่าผู้ที่ปลดเปลื้องให้อีกฝ่ายจะเป็นใคร หรือ เพศใด



ผมสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าเต็มปอด หลังจากที่เดียร์ถอนริมฝีปากออก เขามองหน้าผมด้วยดวงตาหวานเยิ้ม ยิ้มให้ผม แล้วค่อยๆดันตัวของผมนอนลงบนโซฟา เลิกเสื้อยืดของผมขึ้น จากนั้นเขาก็โน้มลงมาแล้วเกลือกกลิ้งใบหน้าไปมาเข้ากับแผ่นอกของผม เขาจูบฟอนเฟ้นไปทั่วแล้วค่อยเลื่อนลงต่ำมาที่หน้าท้อง เด็กหนุ่ม เงยหน้าขึ้นมองดูผม เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทำท่าขัดขืนอะไร เขาก็ดึงกางเกงผมออกมากองไว้ตรงหน้าขา และเริ่มปฏิบัติการโอษฐ์กามกับผม



เหมือนร่างกายจะประทุออกจากกัน ด้วยความร้อนรุ่มที่อยู่ภายใน ผมเกร็งตัวด้วยความซ่านสยิว เมื่อร่างกายส่วนนั้นของตัวเองลับหายเข้าไปในปากของเดียร์ เขาโอบอุ้มให้ความอบอุ่นกับน้องชายตัวน้อยของผม ทั้งหยอกเอิน และ ยั่วเย้าอยู่ในที ด้วยปากและลิ้นที่พลิกพลิ้วชำนาญชาญ มือที่ใช้สัมผัส ก็สร้างความปั่นป่วนรัญจวนใจจนถึงขีดสุด



เด็กหนุ่มลากลิ้นไปตามลำตัวน้องชายของผม ก่อนจะวนลิ้นตวัดกลับมาที่ส่วนหัว แล้วดูดเม้มคล้ายทารกน้อยที่กำลังรีดนมออกจากเต้าของมารดา มือที่เคล้นคลึงขึ้นลง ให้น้ำหนักที่นุ่มนวลและรุนแรงควบคู่กันไป เขาเฝ้าเพียรปฏิบัติต่อร่างกายส่วนนั้นของผม ดังกำลังรูดเมือกออกจากปลาไหล ผมเกร็งตัวก้นลอยแทบไม่ติดเบาะ และแล้วเมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านจนไม่อาจจะควบคุมได้ ผมก็เอื้อมมือไปรั้งศีรษะของเดียร์ไว้ และกดให้แนบกับร่างกายส่วนล่างของผมมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างที่ต้องการจะทำ โดยไม่ผลักไสอีกต่อไป เพื่อเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ทั้งของตัวผมและตัวเขาเอง



ในเวลาไม่นาน ของเหลวขุ่นข้นจากอารมณ์ดำฤษณาของผม ก็ทะลักทลายให้เดียร์ได้ดูดกลืนจนหมดสิ้น ผมหอบสะท้าน หน้าตาเนื้อตัวร้อนวูบวาบ ใบหน้าหล่อเหลาของเดียร์ยังอยู่ที่ท้องน้อยของผม แต่ดวงตาวาววามนั้นจ้องผมไม่วางตา ผมพยักหน้าให้เดียร์เป็นนัยๆให้เขาได้รู้ว่า ผมบรรลุถึงจุดแห่งความสุขสมแล้ว มือที่กดศีรษะเดียร์เมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นลูบไล้เรือนผมหยิกสลวยของเขาไปมาแทนคำขอบคุณ


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 20:01:31
“สงบใจลงบ้างเถอะ”


ผมบอกเขา อันที่จริงก็ถือโอกาสบอกตัวเองด้วยเหมือนกัน


“อยากทำง่ะ”


เดียร์เริ่มทำน้ำเสียงงอแง ตัวของเขาหายสั่นแล้ว บางส่วนของร่างกายที่แนบชิดอยู่กับสะโพกของผมก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่เขาก็ยังไม่ยอมคลายมือออกจากการกอดรั้งผมไว้ ผมเองก็นอนเฉย ปล่อยให้เขาแนบชิดอยู่บนตัวผมในสภาพนั้น ไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าจะไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเขาให้กลับคืนมาอีก นึกหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ตอนที่ผมกับเดียร์กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ปรารถนา ถ้าหากว่าเขาไม่เป็นฝ่ายหยุดเสียก่อน แล้วทำต่อ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเหตุการณ์จะลงเอยอย่างไร


“ใจร้ายจังเลย สัญญาบ้าบออะไรเนี่ย”


เดียร์กระซิบข้างหูผม น้ำเสียงโกรธๆ ทว่าไม่จริงจังนัก ดูเหมือนเป็นคำตัดพ้อของเด็กที่ถูกขัดใจเสียมากกว่า


“ทำไม มีปัญหาอะไรเหรอ”ผมพูดอย่างกวนๆตอบกลับไป

“ก็เรียวน่ะ คิดคำสัญญาขึ้นมาแบบนี้ได้ไง มันไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แถมซ้ำยังปฏิบัติได้ยากอีก คนรักกัน อยู่ใกล้กัน มันจะอดใจไม่ให้มีอะไรกันได้อย่างไง ทำอย่างนี้ เหมือนฆ่ากันชัดๆ”


เด็กหนุ่มกล่าวหาผม ผมพยายามจะมองหน้าเขาขณะโต้ตอบ แต่ก็ทำได้ไม่ง่ายนัก ในสภาพที่เดียร์นอนทับผมอย่างที่เป็นอยู่นี้ ยิ่งขยับ แก้ม คาง และปากของผม ก็ยิ่งใกล้ชิดกับใบหน้าของเดียร์มากยิ่งขึ้น


“จะมาบ่นอะไร ที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้ ก็ถือว่าทำนอกเหนือกว่าที่ตกลงกันแล้ว ฉันน่ะ น่าจะเป็นฝ่ายโวยวายมากกว่านายนะ”


ผมสวนกลับ เดียร์หัวเราะก๊ากไอ้ที่ตั้งท่าจะงอแงเมื่อครู่กลายเป็นทำท่าทะเล้นขึ้นมา


“ใครบอก เมื่อกี้น่ะ ถูกต้องตามสัญญาเป๊ะเลย ถ้าเรียวสมยอม ผมก็สามารถแตะต้องเรียวได้นี่นา แต่เอ จะว่าไปแล้ว ถ้าเรียวยอมโดยไม่ขัดขืนนี่ ผมก็น่าจะทำต่อได้เรื่อยๆใช่ไหม อ๊ากกก.....”


อยู่ๆเดียร์ก็ผลุดลุกขึ้นนั่ง เอามือกุมศีรษะ ทำท่าเสียดาย เหมือนได้ปล่อยอะไรดีๆให้หลุดลอยไป ผมรีบตะกายขึ้นมานั่งตามเดิม แล้วเลื่อนกางเกงขึ้นมาสวมใส่จนเรียบร้อย


“เป็นบ้าอะไร อยู่ๆก็ร้องขึ้นมา”


ผมว่าเขา พลางถอยหนีไปนั่งจนชิดอีกมุมด้านหนึ่งของโซฟา


“นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้ เรียวกำลังอยู่ในภาวะยินยอมผมแท้ๆ ผมไม่น่าหยุดการกระทำของตนเองเลย แถมซ้ำเรียวก็ไม่ได้ขัดขืนด้วย ถ้าผมไปต่อเรื่อยๆ เรียวก็อาจจะกลายมาเป็นของผมแล้วก็ได้ แถมผมก็ไม่ผิดสัญญาอีกด้วย”
เด็กหนุ่มทำท่าฟูมฟายเสียดมเสียดาย ที่เขาปล่อยให้ลูกแกะอย่างผมหลุดมือไป เด็กหนุ่มหันมาจ้องผมที่นั่งซุกอยู่ที่ด้านหนึ่งของโซฟา แล้วทำหน้าหื่นๆพร้อมแสยะยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ให้ผม ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า


“งั้นเอาเป็นว่า ช่วงเวลาเมื่อกี้ เป็นการพักให้น้ำแล้วกัน ตอนนี้อ่ะ ผมขอต่อเลยนะ”


ไม่พูดเปล่า เดียร์รีบกระเถิบมาใกล้ แต่ผมชิงลุกหนีขึ้นมาก่อน


“พอแล้ว อย่ามาเรียกร้องไปมากกว่านี้ เดี๋ยวนายจะโดนดีไม่ใช่น้อย รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็เอาผ้าเปียกๆไปซักไปปั่นให้แห้งเสียทีไป๊”


ผมร้องสั่งเดียร์ เขาทำหน้างอ เมื่อผมไม่ยอมเออออไปกับเขาด้วย


“ใจร้ายที่สุด คนอะไรหน้าตาก็ดี ใจดำชะมัด ดูสิ ปล่อยให้เราค้างเติ่งอยู่ได้คนเดียว ไม่ช่วยกันบ้างเลย ทั้งๆที่เราก็สู้อุตส่าห์ทำให้หายอารมณ์เปลี่ยวแล้ว”


เขาทำเสียงโวยวายเป็นเด็กๆ แต่ผมไม่ยอมใจอ่อน กลับชี้มือไปที่ประตูห้องน้ำตรงข้างห้องครัว แล้วพูดแบบไม่ใส่ใจกับเขาว่า


“โน่นเลย ไปแก้ปัญหาเอาเองในนั้น แล้วอย่ามาทวงบุญคุณกับเอากับฉันในเรื่องแบบนี้ ใครเขาไปบังคับให้นายมาทำกันล่ะ นายมาล่วงเกินเอากับฉันต่างหาก ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ถือโอกาสฉีกสัญญาทิ้ง”


“โธ่ โธ่ เวรกรรมจริงๆ”


เดียร์แสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้า แต่รู้สึกว่า กริยาท่าทางกับใบหน้าจะไม่ไปด้วยกันสักเท่าไหร่


“คำก็ฉีกสัญญา สองคำก็ขู่ว่าจะเลิกรากันไป ใจคอทำด้วยอะไรหนอ ไหงไม่เห็นใจกันบ้างเล้ย มีแฟนหล่อ น่ารัก นิสัยดี พะเน้าพะนอเอาใจเก่งอย่างผมเนี่ย ยังจะใจจืดใจดำได้ลงคอ จะใจแข็งไปถึงไหนกันน๊า”


เด็กหนุ่มทำเป็นบ่นกระปอดกระแปด แต่แววตาที่มองผมกลับขี้เล่นยั่วเย้าอยู่ในที หมอนี่ จะโกรธเป็นบ้างไหมน๊า ไม่ค่อยจะเคยเห็นเลย นับตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกับเขามา มีแต่ทำหน้าตาทะลึ่งทะเล้นตลอด ทำเหมือนกับว่าชีวิตนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้มีแต่ความสุขไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจมาแผ้วพาล


“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ฉันก็จะขึ้นไปบนห้องบ้างเหมือนกัน”


ผมบอกเขาน้ำเสียงเฉยเมย อันที่จริง อยากขำท่าทางของเขามากกว่า แต่กลัวเจ้าหมอนี่ได้ใจ เลยต้องแสร้งทำเป็นปั้นปึ่ง แต่ดูเหมือนเดียร์จะรู้ว่าผมก็ไม่ได้หมั่นไส้ หรือโกรธเขาจริงจังตามท่าทางและปากที่ว่า เขาก็เลยทำเป็นไม่ใส่ใจคำพูดของผมบ้าง เด็กหนุ่มปรายตามองผมผ่านม่านขนตาดกหนาของเขา แล้วแกล้งทำเป็นวางท่าเชิ่ดคอแข็ง เหมือนพวกกะเทยทั่วไปที่ผมเคยเห็น ทำปากยื่นล้อเลียนคำพูดของผม จนสิ่งที่ผมสู้อุตส่าห์อดกลั้นมานานทะลักทลายออกมาให้เขาเห็น ผมหัวเราะก๊ากออกมาด้วยความขำ หยิบหมอนขึ้นปาใส่เขาเพื่อแก้เก้อที่ตัวเองเผลอหัวเราะออกมา เดียร์หัวเราะตามผมบ้าง ใบหน้าหล่อเหลาเวลายิ้มดูสดใสสบายตายิ่งนัก ผมมองตามจนเพลิน


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 20:03:57
“นายนี่มันทะลึ่งได้ใจจริงๆเลย ขอเชิญนายบ้าไปคนเดียวแล้วกัน ฉันจะไปบนห้องล่ะ แล้วก็อย่าริเดินตามขึ้นมานะ ฉันเตะตกกระไดไม่รู้ด้วย”


ผมขู่เขา เดียร์ทำท่าหงอ ไหล่ ห่อ คอตก ก้มหน้างุดๆ อยู่ตรงโซฟา มือเอานิ้วชี้แตะกันไปมา


“กลัวจังเลยอ่ะ คนอะไร หน้าหวาน แต่ดุ๊ ดุ”



ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ รีบหันหลังกลัวว่าเดียร์จะเห็นความอ่อนแอในใจผม ที่นับวันมันจะทำลายเกราะกำบังที่ผมสร้างขึ้นมาขวางกั้นระหว่างผมกับเด็กหนุ่ม ทั้งๆที่เราก็รู้จักกันได้ไม่นาน แถมซ้ำยังอยู่ภายใต้สถานการณ์การคบกันที่แปลกประหลาด แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ทำให้ช่วงเวลาของผมสนุกสนานไม่เบื่อหน่าย จนผมรู้สึกกลัวว่า วันหนึ่งผมจะเคยชินจนไม่สามารถปลีกตัวออกไปจากเรื่องนี้ได้



เดียร์ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาไม่ยอมขยับในสภาพที่นุ่งกางเกงในอยู่ตัวเดียว เขาทำให้ผมไม่กล้าที่จะเหลียวกลับไปมองอย่างเต็มตา ผมจึงทิ้งเขาไว้อย่างนั้น คิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเองนั่นแหละ หมอนี่คงไม่เดินเปลือยในบ้านผมเป็นแน่ เพราะเขาคงรู้ว่า เขามีลิมิตแค่ไหนในการก้าวล่วงล้ำสู่ความเป็นส่วนตัวของผม



ผมเดินขึ้นไปบนห้อง ตั้งใจจะเปลี่ยนกางเกงในที่มันเลอะเฉอะแฉะออกเอามาซัก เจ้าเด็กบ้านั่น ทำเอาผมเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ถึงแม้ว่าเขาจะทำความสะอาดให้ผมเรียบร้อย แต่ก็มีบ้างที่กระเซ็นกระสายจนเปียกชุ่มกางเกง จนผมต้องเปลี่ยนใส่ตัวใหม่ พอล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พอจะเหลียวหาตะกร้าผ้า ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ผมได้เอาไปทิ้งไว้ที่ลานซักล้างก่อนที่จะไปเปิดประตูให้เดียร์เข้ามาเมื่อตอนเช้านี้ ผมจึงเดินหอบเสื้อผ้าที่จะเอามาซัก ลงบันไดมายังห้องชั้นล่าง เดียร์ไม่อยู่ในห้องรับแขกแล้ว ผมรู้สึกโล่งใจจนบอกไม่ถูก แต่เมื่อผมเดินออกมายังลานซักล้าง ผมก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น



เดียร์ยืนหันหลังให้กับผม มีตะกร้าผ้าว่างเปล่า อยู่ข้างตัว มันเป็นตะกร้าที่ผมเอามาวางไว้เมื่อเช้านี้ เด็กหนุ่มคงจะจัดการเอาผ้าลงเครื่องให้กับผม ขณะที่เดียร์กำลังหยิบเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของผมขึ้นมาถือ ผมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นของที่อยู่ในมือเขาเป็นกางเกงในตัวที่ผมใส่นอนตอนฝันเปียกเมื่อเช้านี้ ก่อนที่เขาจะหย่อนมันลงถัง ผมเห็นเดียร์ทำสิ่งที่ผมต้องอึ้ง ด้วยการยกกางเกงตัวนั้นขึ้นมาดม ผมปราดเข้าไปหาเขาทันที แล้วทำมือเป็นมะเหงกเขกหัวเดียร์ดังโป๊ก



“ไอ้เด็กโรคจิต” ผมต่อว่าเขาเสียงไม่เบาเลย

“อารายอ่ะ”


เขาครำหัวป้อยๆ ท่าทางงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงมาเขกหัวเขา


“ดมไปได้ยังไง กางเกงในคนอื่น ใช้แล้วด้วยอีกต่างหาก ประสาทหรือเปล่า”

“คนอื่นที่ไหน ของแฟนตัวเอง ทำไมจะดมไม่ได้ หอมดีด้วย”

“บ้าหรือไง ของใช้แล้ว สกปรกจะตาย”

“เมื่อกี้ ก็ทั้งดูด ทั้งกิน ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน แล้วนี่ก็แค่ดมเอง ไม่สกปรกหรอก เรียวเป็นคนสะอาดจะตาย กลิ่นหอมทั้งตัวแม้กระทั่งจุดซ่อนเร้นแบบนั้นอ่ะ กลิ่นยังเร้าใจเลย”


เขายังเถียง ทำท่าดื้อตาใส ผมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับเด็กคนนี้เสียจริง
“ลามก สกปรก โรคจิตอีกด้วย”

“อ๊ากกกกกกก ด่าเป็นชุดเลย ไม่ใช่ซะหน่อย ทั้งสามอย่างที่ว่านั่นน่ะ กล่าวหาเสียจริง”


เด็กหนุ่มต่อปากต่อคำกับผมไม่ลดละ

“ทำไมจะไม่ใช่ คนดีๆที่ไหนจะทำกัน มีแต่พวกโรคจิตเท่านั้น ถึงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับฉันและคนอื่นไม่คิดหรอกนะว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา”


ผมกล่าวหา แต่เดียร์ก็พยายามแก้ตัว


“ไม่หรอก คนอื่นก็เป็นนะ ไม่ใช่ผมคนเดียว พวกชอบดมกางเกงใน สะสมกางเกงในก็เยอะอ่ะ ผมไม่ใช่อย่างพวกนั้นสักหน่อย”

“แต่นายก็ทำเหมือนคนพวกนั้นนั่นแหละ แล้วนี่ทำมานานแล้วเหรอ”

“ไม่อ่ะ ครั้งแรกเลยนะที่ทำ เห็นว่าเป็นของเรียว เลยอยากชิดใกล้ให้มากกว่านี้ อยากสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรียว ทดแทนการที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน”

“บ้า”


ผมด่าเขาอีก รู้สึกอายกับเรื่องที่เดียร์พูด หมอนี่หาวิธีอื่นที่จะได้ใกล้ชิดผมไม่ได้หรือไงนะ ทำไมต้องมาทำวิธีแบบเดียวกับพวกโรคจิตด้วยล่ะ


“ผมให้สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ผมทำแค่เพราะอยากจะรู้ว่า เวลาดมกางเกงในของเรียวแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง จะรู้สึกอะไรบ้างไหม เพราะเคยดมแต่ของตัวเอง เวลาที่ไปไหนนานๆ แล้วเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนน้อยชิ้นอ่ะ แต่กลิ่นของตัวเอง มันก็คุ้นไปแล้ว เลยอยากจะดมของคนที่ตัวเองรักบ้างน่ะ”


“โรคจิต…… แล้วไง....... ดมแล้วรู้สึกอย่างไรเหรอ”

“หอม”


เดียร์สูดลมเข้าเต็มปอด ทำท่าชื่นอก ชื่นใจเหมือนได้กลิ่นอากาศที่บริสุทธิ์


“เจ้าคนบ้า”

“จริงนะ กลิ่นเนื้อตัวหอมๆของเรียวติดมากับเสื้อผ้าด้วย ชอบจังเลย อยากดมอีก แต่จากเจ้าตัวจริงๆ ไม่อยาก
ได้แค่สัมผัสกลิ่นเอากับเสื้อผ้าอ่ะ”


เด็กหนุ่มทำตาเจ้าชู้ใส่ผม


“แล้วนั่นทำอะไรอ่ะ จะซักผ้าให้ฉันหรือไง”


ผมไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเรื่องพูดซะงั้นแหละ เดียร์เหลือบตาลงมองที่เครื่องซักผ้า แล้วก็มองกางเกงในของผมที่ยังอยู่ในมือเขา ผมยังไม่ได้แย่งมันกลับคืนมา ผมมองตามสายตาเขา หน้าร้อนวูบ รีบแย่งชิ้นส่วนนั้นมาจากมือเขา เดียร์คืนให้ผมแต่โดยดี เขายิ้มให้ผม หูตาแพรวพราว จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเขา เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับผมว่า


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 20:05:35
“ครับ ก็เห็นว่าถ้าซักแค่สองตัวก็เปลืองไฟ และผงซักฟอก ผมเห็นผ้าคุณเต็มตะกร้าเลย มีทั้งเสื้อทำงานและเสื้อผ้าอยู่บ้าน ก็เลยคิดว่าน่าจะซักให้คุณด้วย คุณจะได้มีใส่ แดดก็กำลังดีด้วย ซักแป๊บเดียวก็คงจะแห้ง จะได้เอามารีดต่อ นี่ก็วันอาทิตย์แล้ว ขืนไม่ซักให้เสร็จ ค่ำมืดไปเสียก่อน คุณจะไม่มีผ้าใส่ไปทำงานน่ะครับ”



ผมได้ฟังคำพูดของเขา แล้วก็ใจอ่อนยวบยาบเป็นขี้ผึ้งที่ถูกลนไฟ เจ้าเด็กบ้านี่ คิดห่วงใยผมอยู่ตลอดเวลา ผมเสียอีก ที่ทำตัวไม่ค่อยดีกับเขาสักเท่าไหร่


“ขอบใจนะ ที่ช่วยทำให้ นี่เดี๋ยวตั้งเวลาเอาก็ได้ แล้วก็ไปนั่งพักในบ้าน หรือหาอะไรทำซะ เห็นเอาหนังสือมาอ่านนี่นา ใกล้จะสอบแล้วเหรอ”


“อื้มครับ อีกไม่กี่เดือน ก็เลยอ่านไปเรื่อยๆ เวลาว่างอ่ะครับ เพราะว่าผมทำงานเยอะกลัวจะไม่มีเวลานะครับ”

“งั้นก็ไปหาที่เงียบๆนั่งอ่านนะ ส่วนฉันก็จะไปทำงานต่อแล้วล่ะ”


ผมเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่เดียร์กระวีกระวาดตามมาติดๆ


“นี่ใกล้จะเที่ยงแล้วล่ะ ผมไปเข้าครัวทำกับข้าวนะ”


เด็กหนุ่มบอกผม แล้วแยกตัวเข้าห้องครัวไป แทนที่ผมจะแยกไปนั่งที่ห้องรับแขกที่ผมเอางานมากองไว้ ผมกลับเดินตามหลังเดียร์ตรงไปห้องครัวด้วย คิดอยากจะช่วยทำอะไรบ้าง ไม่อยากงอมืองอเท้ารอให้เขาทำให้กินอย่างเดียว


“ไปทำงานต่อสิครับเรียว เดี๋ยวผมทำเองได้”


เขาห้ามผมไม่ให้เข้าครัวของผมเองเสียแล้ว แต่ผมไม่ยอมเอาเปรียบเด็กนี่หรอก นึกสงสารเขาขึ้นมา ที่มาทำอะไรต่ออะไรให้ โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ตอบแทนอะไรเขามากมายเลย


“ไม่เป็นไร ทำมาตั้งแต่เช้าแล้ว เลยเบื่ออ่ะ เดี๋ยวฉันช่วยนายทำกับข้าว พอกินเสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยไปทำงานต่อก็ได้”


“งั้นก็ได้ครับ”


เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม


“ไหนดูสิครับ มีอะไรที่จะทำอะไรได้บ้าง”


เดียร์เปิดดูตู้เย็นที่แช่ของที่เขาซื้อมา ยังเหลือผักกะหล่ำปลี ผักกาดขาว และพวกเนื้อสัตว์เหลืออยู่จากการทำอาหารตอนเช้า


“ทำผัดผักรวมมิตรใส่กุ้ง แกงจืดไข่ ปลาหมึกทอดกระเทียมพริกไทย ดีกว่านะครับ ง่ายดี”


เด็กหนุ่มหันมาบอกผม หลังจากสำรวจดูข้าวของที่มีอยู่ ผมพยักหน้าเป็นการตอบตกลง จากนั้นเราสองคนก็แบ่งงานกันทำ ผมช่วยเดียร์ล้างผัก และเนื้อสัตว์ ส่วยเดียร์จัดการปรุงอาหาร เขาคุยกับผมหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการเรียนของตัวเอง และเรื่องงานการที่ทำ ส่วนใหญ่เดียร์จะผูกขาดการพูดเสียมากกว่า
ผมได้รับรู้ว่า เดียร์เรียนอยู่ที่รามคำแหง เป็นนักศึกษาใหม่ปีหนึ่ง เขาเลือกเรียนคณะศึกษาศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ ด้วยความที่อยากจะฝึกฝนภาษาให้เก่ง เพื่อจะได้มีโอกาสไปทำงานที่เมืองนอก แล้วก็หาโอกาสออกตามหาพ่อด้วย เขาไม่รู้ว่าพ่อเขาเป็นใคร มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว เขามีเพียงแค่รูปถ่ายจำนวนหลายใบของบรรดาคนที่เคยนอนกับแม่ก่อนที่จะคลอดเขาออกมา ซึ่งแม้แต่แม่ของเขาก็ไม่รู้ว่า คนไหนกันแน่ คือพ่อผู้ที่ให้กำเนิดเดียร์ แม้จะรู้ว่าความหวังมีเพียงน้อยนิดในการที่จะตามหาพ่อ และเดียร์เองก็ไม่ได้คาดว่าตนเองจะมีโอกาสได้เจอ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจะลองพยายามดู



เวลาที่เดียร์พูดถึงเรื่องเหล่านี้ให้ผมฟัง ท่าทางเขาดูไม่เหมือนคนที่มีความทุกข์เลย ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ในขณะที่ผมเองกลับเป็นฝ่ายหดหู่ เมื่อรับรู้ความทุกข์ยากในอดีตของเขา พอผมถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตทีเป็นแบบนี้ เขากลับยิ้มให้ผม แล้วบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่มันหนักหนาสาหัสอะไร เขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้



“ผมน่ะ ถึงแม้จะเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของป้าแท้ๆ แต่เขาก็ไม่เคยรักผมเหมือนลูกเหมือนหลาน มีแต่จะใช้กำลังตบตี พอหนีมาอยู่ตามลำพัง ก็ต้องพยายามที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้แล้ว ดังนั้นถึงแม้จะมีความทุกข์ใจแค่ไหน ก็จะแสดงออกให้ใครรู้ใครเห็นไม่ได้ ต้องพยายามเข้มแข็ง ทำตัวร่าเริงอยู่เสมอ ปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวัน ก็ต้องขจัดมันออกไปให้สิ้นซาก จะมาแบกรับมันตลอดเวลาไม่ได้ ไม่มีใครช่วยแก้ นอกจากตัวเอง”



นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มตอบผม มันทำให้ผมรู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม สงสาร และเห็นใจเขามากขึ้น เด็กคนนี้เป็นคนที่เข้มแข็งพอสมควร เขาแสร้งทำตัวเป็นร่าเริง ทั้งๆที่บางครั้งก็เจ็บปวดรวดร้าวในใจ เขาเป็นคนที่ขาดแคลนซึ่งความรัก และพยายามที่จะโหยหามันมาตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ต้องพบกับความผิดหวัง แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ และครั้งนี้ เขาก็พยายามจะทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้ได้ความรักจากผม ไม่อยากให้เขาพบกับความผิดหวังอีกเลย แต่ผมก็ไม่สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้อยู่ดี



คุยกันไปสักพัก อาหารทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมขึ้นโต๊ะ กลิ่นของมันหอมหวนชวนกินเป็นอย่างยิ่ง แถมซ้ำรสชาติก็อร่อยมาก จนผมเองแอบติดใจในฝีมือการปรุงของเขา เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหารจริงๆ


เด็กหนุ่มกุลีกุจอเอาอกเอาใจผมสารพัดอย่าง ทั้งตักข้าว รินน้ำมาเสิร์ฟให้ ดูท่าทางเขามีความสุขที่ได้บริการรับใช้ผม บางครั้งก็เอามือเท้าคางจ้องมองพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนผมรู้สึกเขินที่เขาปฏิบัติกับผมเหมือนคนรักอย่างนี้



เขาไล่ให้ผมออกไปให้พ้นครัว ทันทีที่เราสองคนทานข้าวกันอิ่มแล้ว เดียร์อาสาล้างถ้วยชามและทำความสะอาดห้องครัวเองอีกครั้ง เขาให้ผมกลับไปนั่งทำงานตามเดิม จะได้เสร็จไวๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆขณะอยู่ด้วยกัน


พอเดียร์ล้างจานเสร็จ ก็เข้ามาหาผมในห้องรับแขก ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวข้างๆผม นั่งเงียบๆไม่พูดไม่จา ผมนั่งทำงานไปสักพัก พยายามไม่สนใจเขา เพราะเกรงว่าเขาจะทำให้จิตใจผมว่อกแว่ก สมาธิไม่จดจ่อกับงาน หลังจากที่ผมพิจารณาอนุมัติงานตรงหน้าและเก็บใส่ซองเสร็จเรียบร้อย เมื่อหันไปมองอีกที ก็เห็นเด็กหนุ่มหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว



เดียร์นอนทอดตัวไปตามความยาวของโซฟา ลมหายใจสม่ำเสมอ ใบหน้าอ่อนเยาว์ มีรอยยิ้มระบายจางๆ ตาหลับพริ้ม ผมปล่อยให้เด็กหนุ่มนอนอยู่ในสภาพแบบนั้น ส่วนตัวเองเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อเอาซองงานไปเก็บ เมื่อลงมาอีกครั้ง เดียร์ยังคงหลับอยู่ ผมเดินไปนั่งที่โซฟาตรงกันข้ามกับเขา นั่งมองเด็กหนุ่มที่นอนนิ่งเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วๆ ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะเท่านั้น



ผมหลับตาลงบ้าง ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักติดต่อกันตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ผมปรารถนาที่จะได้รับการพักผ่อนบ้าง แต่ในเมื่อเดียร์ยังคงอยู่ในบ้านผมแบบนี้ ผมจึงไม่สามารถทิ้งเขาให้อยู่เพียงลำพัง โดยที่ตนเองขึ้นไปนอนบนห้องของตัวเองได้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นขโมย หรือพวกนักย่องเบาที่จะมาฉกฉวยทรัพย์สินของผมไป เพราะผมเองก็ไม่มีของอะไรที่มีค่าสำหรับเขา ผมแค่อยากนั่งอยู่เป็นเพื่อนเด็กคนนี้ เพื่อทดแทนหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำให้กับผม



ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถตอบแทนด้วยการรักเขาแบบคู่รักอย่างที่เขาต้องการ แต่ผมก็สามารถรักเขาแบบเพื่อนร่วมโลก หรือ แบบพี่น้องกันได้ อย่างน้อยๆ เด็กนี่ ก็จะได้รู้สึกสบายใจ ที่ความรักที่เขาทุ่มเทให้กับคนอื่น ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาบ้าง แม้จะอยู่ในรูปแบบอื่นก็ตาม


ความคิดของผมล่องลอยไปไกล สักพัก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ลางเลือน เมื่อผมผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

************
 :m29: เหอเหอ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยัง... อารายน้า :m28:
แล้วเรียวเราจะเหลือเหรอ อิอิ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 17-12-2008 21:18:56
ขอบคุณพี่เคทมาก ๆ เลยครับที่แต่งนิยายสนุก ๆ มาให้ได้อ่านกัน

ผมติดตามผลงานพี่เคทมาหลายเรื่องแล้วแต่ว่ายังไม่มีโอกาสได้คอมเมนต์ให้กำลังใจเลย

(หลบมุมอยู่นานวันนี้ได้ออกมาเผยตัวซักที  :z1:)

ขอมาประเดิมที่เรื่องนี้เลยละกัน

ขอบคุณคนโพสทุกคนที่ช่วยมาโพสเรื่องนี้ด้วยนะครับ ( ที่รักของ... + SuMoDevil + ไต๋ )

จะคอยติดตามและเป็นกำลังใจให้นะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-12-2008 21:39:47
 :กอด1: มา+1ให้กับไข่ฟองใหม่ อิอิ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 17-12-2008 21:50:00
จิ้มพี่แอน  :z1: เดี๋ยวอ่านก่อน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~Kalianeko~ ที่ 17-12-2008 22:39:49
อ่านรวดเดียวเลย


สนุกดีจังคับ


เรียวนี่ใจแข็งจังเลยนะ


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 18-12-2008 03:12:21
 :o211:  อ๊ากกกกกกกก   ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย

ตอนนี้จะเป็นแพนด้าแล้ว

 o14 ขอบคุณไต๋ที่ +1 ให้ครับ

เปิดซิงเค้าไปด้วยอ่ะ ... เอาผู้ใหญ่มาสู่ขอด้วยนะ :-[

(หยุดอ่านชั่วคราวไปแต่งตัวรอไต๋มาสู่ขอดีฝ่า  555+ :oni1:)

+1 ให้เป็นของหมั้นนะครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 18-12-2008 16:12:25
อ๊ากเดียร์ทำถึงขนาดนี้แล้ว

พี่เรียวไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ

เดียร์ออกจะน่ารัก หันมามองน้องเดียร์บ้างเถอะ


รอลุ้นคู่นี้อยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 18-12-2008 18:29:28
ขอบคุณจ่ะ

คนโป๊ดใจดี :กอด1:

รักคนแต่งด้วย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-12-2008 19:13:24
 :m26: ไม่อยากจะบอกเลยว่าพี่เรียวนะ น้ำหยดใช่ไม่ได้ผล
รุ่นนี้ของเค้าดีจริงๆ ต้องน้ำตกอยากเด่ยวดิ อิอิ :3123:


บทที่ 13




ผมสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อมีเสียงเรียกอยู่ข้างๆหู เมื่อผมลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเดียร์นั่งหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตรงที่เท้าแขนโซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่

โดยเขาโน้มตัวลงมาใกล้มากจนหน้าเกือบจะแนบชิดกับหน้าของผม


“ผมทำอาหารเย็นเสร็จแล้วครับ ไปทานกันเถอะ”


เขาบอกผมด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง มันบอกเวลา 6 โมงกว่าแล้ว ผมหลับไปนานมาก ตั้งแต่บ่าย เกือบ สามชั่วโมงทีเดียว


“ตื่นนานหรือยัง”


ผมถามเขา พลางขยับตัว เดียร์จึงยืดร่างขึ้นนั่งตัวตรง เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผมอีกครั้ง


“สักชั่วโมงกว่าๆได้แล้วครับ เห็นเรียวกำลังหลับสบายอยู่ เลยไม่อยากปลุก แล้วก็เห็นว่ามันเย็นแล้วด้วย

ผมกลัวว่าเรียวตื่นมาจะหิว เลยไปทำกับข้าวมาให้ทานครับ ไปทานกันเลยนะ ”


“ตื่นมาก็จะกินเลยเหรอ ทำอย่างอื่นก่อนดีไหม นอนแล้วกิน กินแล้วนอน อ้วนตายกันพอดี”



ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ นึกขำที่วันนี้ ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรมากมายเท่าไหร่ นอกจากทานอาหารที่เดียร์ปรุงให้ นั่งทำงาน แล้วก็นอน

ดูเหมือนว่าวันแรกของการอยู่ด้วยกัน มันไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจทำกันสักเท่าไหร่


“แหม เรียวอ่ะ อ้วนอีกนิดหนึ่งก็ดีนะ ผมว่า เรียวน่ะ ผอมบางไปหน่อย ต่างจากที่ผมเคยเห็นเรียวครั้งแรกๆเลยนะครับ

ตอนนั้นมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ สงสัยคงจะทำแต่งาน ข้าวปลาไม่ค่อยได้กินสิเนี่ย ต้องปฏิวัติการกินเสียใหม่

ผมไม่ยอมให้คนรักของผมผอมหรอกครับ เสียชื่อพ่อครัวฝีมือดีหมด”



“ว่าเข้าไปนั่น อุปโลกน์ให้ฉันเป็นคนรักของนายยังไม่พอ ยังจะแอบอ้างว่าเป็นพ่อครัวฝีมือดีอีก นิสัยแอบอ้างนี่แก้ไม่หายจริงๆ”


ผมว่าเขาขำขำ ไม่มีเจตนาจะด่าอย่างจริงจัง แค่อยากหยอกเอินเขาเล่นมากกว่า ด้วยหมั่นไส้เด็กหนุ่มที่ชอบคิดอะไรไปเองฝ่ายเดียว

“แต่ก็อร่อยจริงๆใช่ไหมล่ะ เอาเถอะไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ว่าผมเป็นพ่อครัวที่ดี ขอแค่ให้เรียวกินอาหารฝีมือผมแล้วถูกปากก็พอ เรื่องอื่นผมไม่สนใจ จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

“อ๊ะ ยอมแพ้ไม่ดึงดันแล้วเหรอ เห็นทุกทีก็เถียงจะเอาชนะให้ได้นี่นา”

“ก็ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะบ้างจะเป็นไรไป ยังไง ถ้าแพ้ ก็แพ้ให้กับคนรักของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหรอก”


เดียร์ยิ้มยั่ว เขารู้ว่าผมแกล้งว่าเขา แล้วเขาก็นึกสนุกที่จะได้โต้ตอบผมเอาคืน

“ฉันไปล้างหน้าก่อนแล้วกัน”


ผมบอกกับเขา รู้ดีว่าโต้ตอบไปอย่างไร เจ้าเด็กบ้านี่ ก็จะย้อนคำพูดให้มาเข้าตัวผมจนได้


“ครับ งั้นผมจัดโต๊ะรอเลยนะ”


เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปที่ห้องครัว แล้วลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะ พอผมล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินมาร่วมวงกินข้าวกับเขา

เดียร์ชวนผมคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุด ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไป เช่นถามว่า เวลาว่างนอกจากทำงานแล้ว ผมทำอะไรบ้าง ชอบดูหนังไหม

หนังที่ผมชอบคือเรื่องอะไร คนไหนเป็นดาราคนโปรด เพลงที่ชอบ หนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่า คำถามเขามีมากมาย

ส่วนผมก็เลือกตอบเท่าที่อยากจะบอกกับเขา อันไหนที่เป็นคำถามลึกมากไป ผมก็เว้นไว้ ไม่ตอบคำถาม ซึ่งเด็กหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้ให้ผมรำคาญใจ



อาหารมื้อค่ำเสร็จภายในเวลา 1 ทุ่ม เมื่อรวมเวลาล้างจานทำความสะอาดครัว อีกครึ่งชั่วโมง ก็ยังคงเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลานอน

ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องอยู่กับเดียร์สองต่อสอง งานก็ทำไปจนเสร็จหมดแล้ว แถมซ้ำวันนี้ผมก็สัญญาไว้แล้วว่า เขาสามารถมานอนค้างได้

จะไล่เขาไปก็ใช่ที่ จะขึ้นไปนอนเลย ก็นอนไม่หลับ กิจกรรมที่จะทำเพื่อฆ่าเวลาก็ไม่มี นอกจากดูทีวี ซึ่งตามปกติ ผมไม่ค่อยชอบดูเท่าไหร่

แต่วันนี้ ผมกลับไปนั่งอยู่หน้าจอทีวี เพื่อให้สิ่งที่อยู่บนจอดึงดูดความสนใจของผมไม่ให้จดจ่ออยู่แต่เรื่องของเจ้าเด็กหน้าทะเล้นคนนี้



“ผมชอบดูละครเกาหลีเรื่องนี้จัง ที่ชอบเพราะว่ามีเคล็ดลับวิธีทำอาหารด้วย ส่วนเนื้อหาก็เข้มข้นดี

ไม่เหมือนละครน้ำเน่าของไทยเท่าไหร่เลย มีแต่เรื่องชิงรักหักสวาท น่าเบื่อจะตาย”


เดียร์เปิดปากคุย หลังจากที่ละครจบลง และโฆษณามาคั่น เขานั่งดูกับผมด้วย เพราะไม่มีอะไรจะทำเหมือนกัน



“เหรอ ฉันไม่ค่อยได้ดูละครสักเท่าไหร่หรอก ไม่ค่อยมีเวลา ถ้าดูก็จะเป็นพวกข่าวมากกว่า”


ผมบอกเด็กหนุ่มไปตามตรง ชีวิตที่ผ่านมาของผม มีแต่เรื่องงานสุมหัว จนแทบไม่มีเวลาหายใจอยู่แล้ว เรื่องหนังเรื่องละครแทบไม่ต้องพูดถึงเลย


“น่าจะหาเรื่องสนุกๆทำบ้างนะครับ มีแต่งาน แต่งาน จะทำให้เรียวเครียด และ หดหู่ลงไปเรื่อยๆนะครับ”
น้ำเสียงของเดียร์แฝงไว้ด้วยความห่วงใย


“คราวหน้า เราไปหาอะไรทำสนุกๆกันดีกว่า อย่างเช่น ไปเที่ยวกัน ไปดูหนัง อะไรแบบนี้ เรียวจะได้ผ่อนคลายบ้างไงครับ ดีไหม”


ผมมองตาคนพูด และเห็นความจริงใจอยู่ในนั้น เดียร์ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ผมละสายตาจากเดียร์และผลุดลุกขึ้น

เนื่องจากเริ่มรู้สึกตัวว่าชักจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของเดียร์อีกแล้ว จึงต้องพยายามปลีกตัวออกไปจากสถานการณ์ที่ชวนให้ลำบากใจอย่างนี้



หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-12-2008 19:14:25
“ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะจะนอนแล้ว นายจะดูต่อหรือว่าจะอาบน้ำก็ได้ มีห้องน้ำอยู่ข้างๆครัวที่เปิดออกไปสู่ลานซักล้าง มีสบู่ ยาสระผม ยาสีฟันอยู่ในนั้น

อ้อ ....ไม่ต้องสินะ นายเตรียมมาแล้วนี่ งั้นถ้าจะไปอาบน้ำก็ไปตรงนั้นแล้วกัน”



ผมบอกเขาก่อนที่จะเดินไปยังบันไดที่ทอดไปสู่ชั้นบน เดียร์พูดอ้อนๆขึ้นมา


“อาบข้างบนด้วยคนไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ ........อาบที่ห้องนั้นน่ะดีแล้ว”


ผมบอกพลางรีบเดินขึ้นไปข้างบนทันที เมื่อกลับลงมาอีกครั้ง เพื่อที่จะมาเอาน้ำไปเก็บไว้ดื่มในห้องนอนสักขวด

ก็เจอเดียร์ยืนรีดผ้าอยู่ในห้องรับแขก ตาก็มองไปที่จอทีวี ตอนแรกผมคิดว่าเขารีดผ้าให้ตัวเอง แต่เมื่อมองชัดๆก็รู้ว่า เสื้อผ้าที่รีดและพาดไว้ที่โซฟา

เป็นเสื้อผ้าของผมทั้งนั้น ผมก็ตกใจ รีบเดินเข้ามาร้องบอกให้เขาหยุดการกระทำของตนเองเดี๋ยวนี้



“ใกล้จะเสร็จแล้วครับ นี่ตัวสุดท้ายแล้ว”


เด็กหนุ่มบอกผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผมทำหน้าดุใส่เขา รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยที่เด็กหนุ่มทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ปรึกษาผม


“ใครบอกให้มารีดเสื้อให้ฉัน”

“โกรธหรือครับ”


เขายิ้มหวาน ทำท่าประจบประแจง อธิบายให้ฟังถึงสาเหตุที่มายืนรีดผ้าให้ผม



“ผมกำลังจะไปอาบน้ำพอดี เห็นผ้ายังตากอยู่หลังบ้าน มันแห้งหมดแล้วครับ แล้วก็โชคดีที่ยังไม่โดนน้ำค้างให้เปียกชื้น

เห็นเป็นเสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานก็เลยเอามารีดช่วงที่เรียวขึ้นไปอาบน้ำนะครับ เพราะนี่มันก็มืดค่ำแล้ว กว่าเรียวจะอาบน้ำแล้วลงมารีด ก็ดึกดื่นกันพอดี

กลัวว่าจะไม่มีใส่สำหรับพรุ่งนี้ เลยเอามารีดให้ครับ ผมไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าไหม้หรือเสียหายเลยนะ ระมัดระวังอย่างดีเลย เนียนเรียบ ไม่มีจีบซ้ำหลายจีบ รับรองได้

ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน ว่าแต่เรียวโกรธผมด้วยเรื่องนี้หรือครับ ทำไมล่ะ”



ผมส่ายหน้า จริงๆแล้วผมไม่ได้โกรธเด็กหนุ่มคนนี้หรอก เพียงแค่รู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำให้ผมมันมากมายจริงๆ จนผมนึกอดเคืองตัวเองไม่ได้

ที่ไม่สามารถตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ ความโกรธเลยทำให้ผมเกิดพาลเขาขึ้นมา เมื่อไหร่จะเลิกมาทำดีให้ผมรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อเขาเสียที



“ทำไมต้องมาทำอะไรให้ฉันมากมายแบบนี้ ในเมื่อฉันก็สามารถทำเองได้”



ผมต่อว่าเขาโดยไม่มองหน้า กลัวจะเผลอแสดงความอ่อนแอในใจของตัวเองออกมาให้เห็น



“โกรธด้วยเรื่องแบบนี้เองหรือครับ ผมก็บอกเรียวแล้วไง ที่ผมมานี่ ทำเรื่องทุกอย่างให้เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัวเรียว บังคับให้เซ็นสัญญาเป็นแฟน เอาอกเอาใจทำโน่นทำนี่ให้ ก็เพราะว่าผมรักเรียวมากจริงๆ รักตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

ตอนที่คุณช่วยผมวันนั้น และการให้ความช่วยเหลือในเวลาต่อมา ทำให้ผมได้ตระหนักว่า คุณมีค่าสำหรับผมมากมายแค่ไหน

ถ้าไม่มีคุณ ผมก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้ยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ เรียวทำให้ผมรู้ว่า ในโลกนี้ ยังมีคนที่ปรารถนาดีกับคนอื่นอย่างจริงใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน

เรียวทำให้ผมมองเห็นโลกในมุมมองที่เปลี่ยนไป ผมเริ่มรู้สึกอยากมีความรัก อยากมีใครสักคนที่ผมมอบความรักให้ แล้วคนๆนั้นก็คือเรียว เข้าใจไหมครับ

ที่ผมทำลงไปนี้ ยังน้อยกว่าที่คุณได้ทำให้กับผมอีก ผมน่ะ อยากจะเป็นคนที่สำคัญในชีวิตของเรียว อยากทำให้เรียวรักผมให้จงได้

ผมขอร้องล่ะ ผมมีเวลาแค่ 6 เดือนนี้เท่านั้น ปล่อยให้ผมทำให้เต็มที่ได้ไหมครับ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เรียวไม่มีใจให้ผมบ้าง

ผมก็จะไปจริงๆตามสัญญา ไม่ฉุดรั้งคุณไว้อีกต่อไป แล้วก็จะไม่มาให้คุณเห็น หรือ มาทำเรื่องวุ่นวายรบกวนคุณอีกเลย”



คำพูดและแววตาที่จริงใจของเขาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ยอมแพ้ให้กับความตั้งใจจริงของเขา คิดว่า คงต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไป

ให้เจ้าเด็กนี่ได้ทำอย่างที่ เด็กหนุ่มรีดเสื้อตัวสุดท้ายให้ผมเรียบร้อยแล้ว กำลังเก็บเตารีดและที่รองรีด และ นำมันไปวางไว้ข้างๆตู้โชว์ตรงประตูหน้าห้องครัว

หยิบผ้าแขวนไว้ในไม้แขวนเสื้อที่เอามาจากตะกร้า ก่อนจะเดินมาหาผม แล้วยื่นเสื้อผ้าที่รีดไว้ให้ ผมรับมาถือไว้ในมือ

“เสร็จแล้ว ก็ไปอาบน้ำนอนได้แล้วนะ นอนตรงโซฟานี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้”

“อ๊ะ ไม่ได้นอนด้วยกันข้างบนหรอกเหรอครับ”


เด็กหนุ่มท้วงเสียงหลง ผมตอบกลับเสียงเครียดๆว่า


“นอนตรงนี้น่ะดีแล้ว ฉันไม่ชอบให้ใครมานอนด้วย อึดอัดน่ะ”

“ให้ผมนอนค้างด้วย มันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่คนรักกันต้องนอนด้วยกันไม่ใช่หรือ ผมเป็นคนรักของเรียว ก็ต้องได้นอนในห้องด้วยสิ

ทำไมต้องแยกกันนอนละ ทำไมต้องให้ผมนอนที่โซฟา แล้วเรียวหนีไปนอนในห้องด้วย แบบนี้ จะดีหรือครับ”



ผมชักจะเหงื่อตกกับการที่จะต้องอธิบายซ้ำไปซ้ำมาให้หมอนี่เข้าใจ เด็กนี่ เอาแต่ใจตัวเอง และไม่เคารพการตัดสินใจของคนอื่นบ้าง

คิดเองเออเอง พยายามจะให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่คำนึงเลยว่าจะไปกระทบคนอื่นอย่างไร อย่างในกรณีนี้เป็นต้น ทำไมไม่เข้าใจเอาเสียเลยนะว่า

ผมไม่มีทางที่จะให้เขามานอนด้วยอย่างเด็ดขาด ขนาดอยู่ห่างกัน หมอนี่ยังฉวยโอกาสลวนลามผมตามอำเภอใจ

ขืนอยู่ใกล้ เขาคงใช้กำลังบังคับทำมิดีมิร้ายกับผมเป็นแน่ แล้วผมหรือจะสามารถไปสู้รบปรบมือกับเขาได้ อีกอย่างผมกับเขาต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่

มานอนร่วมเตียงเดียวกัน คนรู้เข้าก็จะคิดไปกันใหญ่ แค่เขามาขลุกอยู่ด้วยทั้งวันแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านรอบข้างจะมีใครมาเห็นบ้างหรือเปล่า

ขี้เกียจต้องมานั่งตอบคำถามใครต่อใคร ไม่อยากโกหก แล้วก็ไม่อยากอธิบายเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น



“ถ้าเรื่องมาก คราวหลังจะไม่อนุญาตให้มานอนค้างแล้ว จะให้มาแบบไปเช้าเย็นกลับ”


ผมขู่เขา ซึ่งก็ได้ผล เดียร์หยุดทำท่าง๊องแง๊ง แต่สักพัก ก็หาเรื่องใหม่มาอ้อนผมจนได้


“ก็ได้ นอนตรงนี้ก็ได้ แต่ว่า เรียวต้องมีกู๊ดไนท์คิสด้วยนะครับ”


ผมไม่ตอบเขา แต่เดินขึ้นไปบนห้อง เด็กหนุ่มเดินตามขึ้นบันไดมาด้วยติดๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมลง ผมหันมาทำหน้าเคืองๆใส่เขา


“บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าห้ามตามขึ้นมาบนห้อง นี่มันพื้นที่ส่วนตัวของฉันนะ”

“ก็เรียวยังไม่ได้กอด หรือ จูบผมเป็นการกล่าวราตรีสวัสดิ์นี่ครับ ผมเลยตามขึ้นมาทวง”


ใบหน้าอ่อนเยาว์มีแววดื้อดึง ท่าทางคงอยากจะให้ผมตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ แต่ไม่มีวันเสียล่ะ ผมไม่ใจอ่อนให้ง่ายๆหรอก เดี๋ยวเด็กนี่จะเคยตัว

พอผมเปิดประตูได้ ก็รีบเข้าห้อง แล้วล็อคกลอนทันทีกลัวว่าเขาจะตามเข้ามา ผมเดินไปที่เตียง แล้วหยิบหมอนหนุนมา 1 ใบ แล้วก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

เอาผ้าที่เขารีดแขวนไว้ แล้วหยิบผ้าห่มนวมชุดใหม่ที่ผมซื้อมาเก็บไว้ สำหรับบริการเพื่อนๆที่มาพักบ้านผมออกมา จากนั้นก็หอบของทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน

แล้วก็เดินไปเปิดประตู เด็กหนุ่มยืนจังก้า รอผมอยู่ที่หน้าห้อง สีหน้ากระวนกระวาย พอเห็นผม เขาก็ยิ้มให้ แล้วอ้าแขนออกมา


“บอกลา ราตรีสวัสดิ์ ผมก่อนนะ กอดหรือจูบก็ได้ นะ นะ นะคร้าบบบ”



ผมไม่ทำทั้งสองอย่าง แต่วางหมอนและผ้าห่มนวมไว้บนแขนที่ยื่นออกมานั้น พลาง แตะมือเด็กหนุ่มเบาๆ เดียร์ร้องโวยวาย



“เมื่อกี้นี้มันอะไรกันหรือครับเรียว ที่แตะเมื่อกี้ แทนคำว่าราตรีสวัสดิ์เหรอ แต่ว่า มันไม่ใช่ที่อยากได้นี่ครับ

ทำไมล่ะ จะแยกกันไปนอนแล้ว อยากให้นอนหลับฝันดี ต้องกอด และจูบกันสิ ไม่ได้นอนบนเตียงเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้นอนในห้องด้วย

ผมยังยอมเรียวได้เลยนี่ครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากหลับอย่างมีความสุขนะ กอดผมนิด จูบผมหน่อย จะเป็นอะไรไปล่ะครับ”



ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังเอียงคอมองผม ผ่านผ้าห่มนวมหนาหนักที่ถืออยู่ นึกรำคาญปนขำกับความดื้อดึงเอาแต่ใจของเขา

เด็กนี่ชอบสร้างความยุ่งยากใจให้ผมเสียจริง ผมหันหลังเอาดื้อๆ ฉวยจังหวะที่เด็กหนุ่มมีของเต็มมือ และมัวแต่โวยวายอยู่ รีบเปิดประตูห้องนอน และล็อคกลอนอย่างรวดเร็ว

ผมยังไม่ได้เดินไปยังเตียงนอนทันที แต่ยืนนิ่ง เอาลำตัวด้านหลังพิงประตูไว้ หูก็พยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้นข้างนอก มีเสียงทุบประตูแล้วก็เสียงโวยวายตามมา



“เปิดประตูสิครับ มาราตรีสวัสดิ์ผมก่อน เมื่อกี้น่ะ แตะมือผม หน่อยเดียวเอง มีผ้านวมกันอีกตั้งคืบ ไม่เห็นจะได้รับความอบอุ่นจากกันเลย

ทำไมใจร้ายแบบนี้ล่ะ วันนี้ผมทำอะไรให้เรียวตั้งหลายอย่างนะ ทำดีกับผมบ้างไม่ได้หรือไง ผมไม่ขออะไรที่เรียวทำไม่ได้สักหน่อย

จูบผม กอดผมแค่เนี้ย ช่วยทำให้ผมชื่นใจบ้างได้ไหม”


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-12-2008 19:15:33
เดียร์โวยวายร่ายยาวเป็นชุด ผมยืนฟังอย่างขำๆ ทีแรกรู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเจ้าเด็กนี่ทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมรู้สึกตลกที่ได้เห็นเขาพยายามทำทุกอย่างที่จะให้ผมยอมรับว่าเขาเป็นคนสำคัญ วิธีการที่ทำก็แสนจะบ้าบอพิลึกพิลั่น บางครั้งก็เอาใจผมทำนั่นทำนี่ให้

บางทีก็แสนงอนกระเง้ากระงอด หรือไม่ก็โวยวายเอาแต่ใจตัวเอง แต่ส่วนมากก็ทำท่าออดอ้อนจนน่ารำคาญ แต่ไม่ว่าผมจะด่าเขากลับ

หรือโต้ตอบร้ายๆอย่างไร เขาก็ไม่เคยโกรธผมสักครั้งเดียว มีแต่เพิ่มความพยายามมากยิ่งขึ้นไปอีก
เสียงบ่นโวยวาย และเสียงทุบประตูเงียบไปแล้ว

ผมยืนนิ่งฟังสักประมาณ 10 นาที เมื่อไม่ได้ยินเสียงของความเคลื่อนไหว ของคนที่อยู่หน้าห้องของผม ทำให้ผมเข้าใจว่า

เจ้าเด็กนั่นคงยกธงขาว และกลับลงไปนอนข้างล่างแล้ว ผมจึงค่อยๆเปิดประตูออกมา แต่ผิดคาด เดียร์ยังคงอยู่หน้าห้องผม

แต่เปลี่ยนจากการยืนเป็นนั่งกอดเข่าทำหน้าง้ำ ตาจ้องเป๋งมาที่ประตู พอเห็นผมเท่านั้น เด็กหนุ่มก็เอ่ยถ้อยคำตัดพ้อ เสียงเครือคล้ายคนที่กำลังจะร้องไห้



“คนใจร้าย ใจดำ คืนนี้ผมต้องฝันร้ายแน่ๆเลย”

“แล้วจะให้ทำไง”


ผมถามอย่างอ่อนใจ เดียร์เม้มปากแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย


“เดินมาใกล้ๆผมหน่อยสิ อยากเห็นหน้า จะได้นอนหลับฝันดี”


เดียร์ขอร้องผม ผมมองหน้าจืดจ๋อยนั้น แล้วเกิดสงสารขึ้นมา จึงเดินมานั่งยองๆตรงหน้าเขา


“เอ้า เห็นหน้าฉันแล้ว ก็ลงไปนอนซักทีสิไป๊”

“ไม่อ่ะ”

“เฮ้ย......แล้วจะเอายังไงกันแน่วะ”


ผมชักฉุน เดียร์มองหน้าผมด้วยดวงตาเว้าวอน


“กอดหรือจูบผมหน่อยได้ไหมครับ แบบที่คนรักเขาทำกันนะ ไม่งั้นผมไม่ยอมไปนอนจะนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลย”


ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม นึกเคืองที่เจ้านี่พูดจาไม่รู้เรื่อง แถมซ้ำยังมาข่มขู่ผมด้วย แต่เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนที่มองตอบกลับมา ก็นึกโกรธไม่ลง


ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ที่ตัวเองเริ่มจะใจอ่อนให้เด็กบ้านี่อีกแล้ว


“แปลว่า ถ้าจูบแล้ว นายจะไปนอนใช่ไหม”


ผมถาม เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ ตาเริ่มมีประกายแห่งความหวัง


“จูบตรงไหนก็ได้ใช่ไหม”

“ครับ”



แววตาที่มองผม เริ่มหยาดเยิ้ม มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขา


“งั้นก็ได้”
ผมตกลงอย่างเสียไม่ได้ คิดว่า ช่างมัน ขืนไม่ทำตาม คืนนี้คงนอนไม่เป็นสุขแน่ เพราะต้องนั่งกังวลใจถึงเจ้าเด็กนี่ที่นั่งอยู่หน้าห้องผมทั้งคืน

หากว่าผมไม่ยอมจูบหรือกอดเขาตามที่เด็กนี่ขอมา เดียร์ยิ้มแก้มแทบปริ หูตาเป็นประกายแพรวพราว ท่าทางกระตือรือร้น

เขายื่นหน้ามาหาผม หลับตาพริ้ม รอเวลาที่ผมจะมอบจุมพิตให้ ผมยื่นมือไปยังศีรษะของเดียร์ทางด้านหลัง

นิ้วมือแทรกไปตามเรือนผมหยิกสลวยหนานุ่มมือนั้น

ก่อนจะรั้งศีรษะเขาเข้ามาหาแล้วบรรจงแตะริมฝีปากไปที่หน้าผากเขาเบาๆ และผละออกอย่างรวดเร็ว

เดียร์ลืมตาขึ้นทำหน้าเหรอหรา อ้าปากเตรียมจะพูด แต่ผมตัดหน้าเสียก่อน



“ให้ได้เท่านี้ อย่าต่อรองมาก ไม่งั้นคราวหน้าจะไม่ได้อะไรเลย”

“ครับ”



เด็กหนุ่มรับคำอย่างเสียดาย ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มให้ผมอย่างประจบประแจง จนผมนึกหมั่นไส้

เจ้าเด็กนี่บทจะเรื่องมาก ก็เรียกร้องนั่นนี่วุ่นวายน่ารำคาญ แต่บทจะเข้าใจอะไรขึ้นมา ก็ง่ายซะจนเล่นเอาผมงงไปเลย



“เดี่ยวผมจะลงไปนอนข้างล่างแล้ว ฝันดีนะครับเรียว”


“พรุ่งนี้ไปส่งหนังสือพิมพ์หรือเปล่า ให้ฉันปลุกให้เอาไหม”


“อย่าเลยครับ เรียวนอนให้สบายเถอะ ผมตื่นเองได้ ผมจะออกไปเองตอนเช้ามืดนะครับ ไม่ต้องไปรอเปิดปิดประตูให้หรอก

เดี๋ยวผมออกไปเอง แล้วจะซ่อนกุญแจไว้ให้นะครับ”



เด็กหนุ่มบอกกับผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตอนที่ผมเดินลงมาข้างล่าง มันเป็นเวลาหกโมงเช้าของวันใหม่แล้ว

เด็กนี่ยังนอนหลับอุตุบนโซฟาอยู่เลย ผมต้องปลุกเขาด้วยการดึงหมอนและผ้าห่มออก แล้วก็ใช้หมอนฟาดที่ไหล่เขาแรงๆเพื่อให้เขาตื่น

เดียร์ทำท่าอิดออดไม่ยอมไปทำงาน ผมต้องดุเขา และบอกว่าถ้าทำตัวเกเรเหลวไหล จะไม่ให้นอนค้างอีก นั่นแหละ

เขาถึงเด้งตัวขึ้นจากโซฟา อาบน้ำอาบท่า และแต่งตัวออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว



อาทิตย์ที่สองของการทำงานในเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่งานค่อนข้างหนักกว่าอาทิตย์แรก เพราะตัวแทนเริ่มทยอยส่งงานเข้ามาเรื่อยๆ

เนื่องจากบริษัทอัดโปรโมชั่นคุณวุฒิของรางวัลเข้าไปมากเพื่อเป็นการเร่งยอด ทำให้ฝ่ายขายวิ่งกันขาขวิด ขายเข้ามามากมาย

จนพวกที่ทำงานฝ่ายพิจารณารับประกันอย่างพวกผมแทบไม่มีเวลาได้ว่างเว้นสำหรับการหายใจ



วิถีการดำเนินชีวิตของผมก็ยังคงเหมือนเดิม ตื่นไปทำงานแต่เช้าตรู่ แล้วก็ทำงานจนโงหัวไม่ขึ้น ตอนเที่ยงก็ไปทานข้าวที่ร้านบ้านคุณป้าตามคำชวนของเจ้าสันต์

ได้อาหารพิเศษ จานใหญ่กว่าคนอื่น และมีอาหารเพิ่มมาให้โดยคิดเงินในราคาเท่าเดิม ผมยังไม่มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้ช่วยกุ๊ก

พอๆกับไม่มีเวลาไปเที่ยวที่ร้านกาแฟตามคำเชิญของเจ้าสันต์ซึ่งยังคงเดินหน้าหาความจริงให้ได้ ว่าใครกันหนอ

คือกุ๊กที่ทำอาหารมาให้ผมทานเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น เจ้าสันต์คืนดีกับน้องแซ่บแล้ว โดยที่ผมเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยให้

มันดีใจมากที่น้องแซ่บไม่โกรธมัน สองคนนั่นชวนกันไปเที่ยวบ่อยมาก พักหลังๆนี้ เจ้าสันต์ไม่มารบกวนหรือทำตัววุ่นวายกับผมอีกเลย

ซึ่งก็ดีไปอย่าง เพราะผมเองก็ไม่มีเวลาพอที่จะพูดคุยกันมันด้วย


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-12-2008 19:19:08
เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจยังคงส่งหนังสือพิมพ์และอาหารเช้าให้ผมอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวนี้ผมทานอาหารเช้าที่เดียร์ซื้อมาให้ไม่วางทิ้งขว้าง

หรือให้คนอื่นกินเหมือนก่อน รู้สึกสงสารเขาหากผมทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้

เจ้าเด็กนี่คงเสียใจแน่เพราะเขาอุตส่าห์ทำให้ผมโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เงินทองก็ไม่เคยคิดกับผมแม้แต่บาท แม้แต่สตางค์แดงเดียว

ผมรู้ว่าเขาเองก็ต้องเก็บเงินไว้เพื่อกินใช้ส่วนตัว แต่เขาก็อุตส่าห์เจียดเงินส่วนหนึ่ง มาซื้ออาหารการกินให้ผม ความห่วงหาอาทรที่เด็กหนุ่มมีให้

ทำให้ผมทำตัวเฉยชากับเขาไม่ลง



เดียร์โทรศัพท์มาคุยกับผมทุกวัน บางครั้งก็วันละ สองครั้ง เช้าบ้าง เย็นบ้าง บางทีก็ตอนกลางคืนก่อนนอน เขามักจะใช้โทรศัพท์สาธารณะเสียเป็นส่วนใหญ่

เดียร์มักจะหอบเหรียญบาทเพื่อเอาไว้โทรศัพท์มาหาผม สลับกับการใช้บัตรโทรศัพท์ สุดแท้แต่ว่าเขาจะเจอตู้ในลักษณะใด

เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ เนื่องจากโทรศัพท์ของเขาถูกผมทำมันพังเสียแล้ว ด้วยความโมโหในตอนนั้น ผมรู้สึกสงสารเด็กหนุ่ม

จึงบอกกับเขาว่า จะพาเขาไปซื้อโทรศัพท์ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ แล้วพาเขาไปหาอะไรทานเพื่อตอบแทนที่เขามาทำกับข้าวให้ผมกินที่บ้าน

เจ้าเด็กลูกครึ่งดีอกดีใจยกใหญ่ที่จะได้ไปเที่ยวกับผม ถึงแม้ว่ามันจะแค่การเดินไปเลือกซื้อมือถือด้วยกันก็ตาม



อันที่จริง ผมก็แอบยอมรับกับตัวเองว่า ในบางครั้ง ยามที่ผมเครียดๆกับเรื่องงาน เวลาที่เดียร์โทรมา

มันทำให้ช่วงเวลาที่ยุ่งยากของผมเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาที่รื่นรมย์ขึ้น เหมือนกับผมได้หลุดออกไปจากโลกที่เต็มไปด้วยความกดดันและการแข่งขัน

เดียร์มักจะชวนคุยกับผมด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ถ้อยคำห่วงใยที่มีให้ผมเสมอ

แรกๆผมก็รำคาญที่เขาทำตัวเหมือนเป็นบุพการีของผมที่คอยสั่งนั่นเตือนนี่อยู่ตลอด เช่น


“เรียวทานข้าวเช้าหรือยัง ครับ ต้องกินนะ อาหารเช้าดีต่อสุขภาพนะ”

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ ยังทำงานต่ออีกเหรอ นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะ”

“วันนี้ทำอะไรบ้างหรือครับ ทำงานตลอดเวลาเลยเหรอ หาเวลาพักผ่อนบ้างก็ดีนะ”

“ทำไมเรียวไม่ดูแลสุขภาพของตัวเองเลย ผมเป็นห่วงรู้ไหม เรียวน่ะ ทำแต่งาน ไม่สนอะไรเลย แม้แต่ร่างกายของตนเอง

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมบ่นได้ไง ผมรักเรียวมาก ก็ห่วงเรียวมากรู้ไหม”


“ถ้าผมอยู่กับเรียว จะไม่ปล่อยให้เรียวอดอยากแน่ๆ น้ำในตู้เย็นของเรียว ข้าวในหม้อ กับข้าวบนโต๊ะ ต้องมีอยู่เต็มเสมอ

ในเมื่อเราทำงานหนัก เราก็ต้องเอาใจใส่กับสุขภาพกายและใจของเราด้วย ไม่งั้นเราจะทำงานหนักไปเพื่ออะไรครับ ได้เงินมาก็เอามารักษาตัวงั้นเหรอ”


“เรียว ออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า นิดหน่อยก็ยังดีนะ ร่างกายจะได้แข็งแรง”



และยังมีอื่นๆอีกมากมาย ที่เด็กหนุ่มจะสรรหามาบ่นมาพูดกับผม แต่ก็ล้วนแล้วแต่ออกมาจากความห่วงใยที่เขามีให้ จึงทำให้ผมนึกโกรธหรือหมั่นไส้เขาไม่ลง

ในขณะที่ผมค่อยๆเริ่มรู้สึกดีที่มีใครมาห่วงใยเราขนาดนั้น หลังจากที่ไม่มีมานานมากแล้ว

เดียร์ทำให้ผมเริ่มมองเห็นมุมมองแห่งความสุขจากการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้มองโลกในแง่ดีเสียเหลือเกิน

เขาสามารถทำตัวกลมกลืนและมีความสุขได้กับทุกสิ่ง แทบจะไม่มีครั้งไหนที่เขาจะบ่นให้ได้ยิน ยกเว้นแต่เรื่องของผมเท่านั้น

แต่ก็เป็นการบ่นที่ผมไม่เกิดความรู้สึกรำคาญอีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่าคนที่เอาแต่บ่นว่าอยู่ตลอดเวลาคนนี้ ห่วงใยผมมากแค่ไหน

****************************
 :z3: ขอโทษที บทที่ 11 กับ 12 มันรวมกันไปแล้วลืมแยกให้ ไม่โกรธเค้านะ :m17:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-12-2008 20:15:40
อ่านอีกรอบก็ยังสนุก  :กอด1: :กอด1:

สู้เค้านะคนโพสต์ หนทางยังอีกยาวไกล  :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~Kalianeko~ ที่ 18-12-2008 22:27:00
เริ่มใจอ่อนแล้วสินะคับเรียว


55555


ก็เดียร์เอาใจซะขนาดนั้น   เป็นใครก็ต้องใจอ่อนบ้างล่ะน้า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 19-12-2008 14:52:57
รอลุ้นให้เรียวใจอ่อนเสียที

เดียร์ออกจะน่ารัก

ถ้าให้เดียร์ออกไปจากชีวิตเรียว แล้วเรียวคิดว่าตัวเองจะไม่เสียใจทีหลังเหรอ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-12-2008 17:35:21
 :3123: มาแล้วจ้า มาแล้ว มาทุกวันจ้า :m20:

บทที่ 14



“นี่ นี่ ดีจังเลย ที่ได้มาเที่ยวกับเรียวจริงๆ ยังกับฝันไปแน่ะ นึกว่าคุณจะหลอกผมเสียแล้ว”


เดียร์ตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อผมพาเขาไปเที่ยวห้างจริงๆตามที่สัญญาเอาไว้ วันนี้เดียร์แต่งตัวซะหล่อเท่ห์

ร่างสูงๆของเขาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดแขนยาว กับรองเท้าผ้าใบ ใส่หมวกแก๊ปสีเดียวกันกับกางเกงยีนส์

หน้าตาอ่อนเยาว์ยิ้มแป้นไม่ยอมหุบ คล้ายๆเด็กที่ได้สิ่งที่ตนเองถูกใจ



เด็กหนุ่มมาปลุกผมตั้งแต่ตีห้าของวันอาทิตย์ ผมยังงัวเงียอยู่เลย เขากุลีกุจอทำข้าวต้มปลากับกุ้งให้ผมทานตั้งแต่เช้า

แล้วก็นั่งคอยอย่างกระวนกระวายในห้องรับแขก ระหว่างรอก็กวาดบ้านถูบ้านให้ผม กรอกน้ำจนเต็มตู้เย็น เอาขยะไปทิ้งนอกบ้านให้

หาข้าวให้เจ้าหญิงกิน และเล่นกับมันไปพลางๆ รอเวลาให้ผมแต่งตัวจนเสร็จ พอสัก 9 โมง ครึ่ง ผมก็พร้อมที่จะออกไปกับเด็กหนุ่ม

ผมพาเขาไปยังห้างใหญ่ที่มีศูนย์บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนมือถืออยู่บนชั้น 4 หลังจากได้ที่จอดรถแล้ว ผมจึงพาเขาขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน

เด็กหนุ่มเดินตามนัวเนียผมไม่ยอมห่าง จนผมเกิดอารมณ์หลายอย่าง ทั้งรำคาญ หมั่นไส้ และนึกตลกที่เจ้าเด็กนี่ เกาะผมแจเหมือนลูกมากับพ่อแม่ มากกว่าจะเหมือนคู่รัก

อาจจะเป็นเพราะข้อความสัญญาที่ว่า ห้ามแตะต้องผมในที่สาธารณะ ทำให้เขาไม่ค่อยกล้าที่จะถึงเนื้อถึงตัวผมมากนัก

ก็ดีไปอย่างเจ้าเด็กนี่ ไว้ใจได้เสียที่ไหน เผลอเป็นกอด เป็นจูบ ฉวยโอกาสค้ากำไรเอากับผมตลอดเวลา



“แค่ไปซื้อมือถือด้วยกันนี่นะ อะไรจะดีใจเว่อร์ขนาดนี้”


ผมขำแกมหมั่นไส้ เลยต้องพูดแขวะซะหน่อย อยากทำโอเว่อร์แอ็คชั่นดีนัก


“ก็นั่นแหละ ออกไปไหนด้วยกันก็เหมือนได้เที่ยวกันนั่นแหละ ที่ไหนก็ช่าง มีเรียวที่ไหน ผมก็มีความสุขได้ทั้งนั้นอ่ะครับ อิอิ”


เดียร์ตอบกลับมา พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนผมต้องยิ้มตาม เด็กบ้าอะไรไม่รู้ หน้าเป็นอยู่ได้ ไม่มีความทุกข์ใจบ้างหรือไงนะ


“อยากได้รุ่นไหน เลือกไว้แล้วหรือยัง”

“อยากได้รุ่นที่มันถ่ายวิดีโอ กับถ่ายภาพนิ่งได้ด้วยอ่ะครับ อันเก่าก็ถ่ายได้ แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันจะแพงนะ เสียดายตังค์

เรียวเก็บไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า สำหรับผมอ่ะ เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือการได้โทรพูดคุยกับเรียวเท่านั้น ไม่ค่อยได้ใช้ทำอย่างอื่น เอาแค่รุ่นธรรมดาก็ได้ครับ”


เดียร์มีท่าทีเกรงอกเกรงใจจนเห็นได้ชัด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ดีว่าเดียร์ไม่ต้องการรบกวนผม แต่ในเมื่อผมทำความเสียหายให้กับโทรศัพท์เครื่องเก่าของเขา

ผมต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการซื้อของในรุ่นเดิม แบบเดิม หรือไม่ก็ต้องเป็นรุ่นที่ดีกว่า

อย่างน้อยๆตัวเองก็จะได้สบายใจขึ้นที่ได้ทำอะไรบางอย่างไถ่โทษให้กับความผิดของตัวเอง


“ไม่เป็นไรหรอก เลือกรุ่นที่นายชอบเถอะ อยากได้รุ่นไหนก็บอก ไม่ต้องมาเสียดายเงินแทนฉันหรอก

ฉันทำเครื่องนายพัง ฉันต้องรับผิดชอบในการหามาทดแทนให้นายอยู่แล้ว อย่าได้เกรงใจไปเลย”



ผมบอกเขา เดียร์มองหน้าผม แล้วกล่าวขอบคุณออกมาเบาๆ ผมยิ้มให้เด็กหนุ่มด้วยความจริงใจ เดียร์ส่งยิ้มหวานตอบกลับมาให้ผม

จนผมต้องรีบเบือนหน้าหนี ด้วยไม่อยากอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองหวั่นไหว



เราสองคนเดินวนดูมือถือหลายร้าน มีมือถือหลายแบบหลากสี ขนาดต่างกันไป รวมทั้งมีเบอร์สวยๆให้เลือกด้วย แต่ต้องประมูลกันด้วยราคาแพงๆ


เดียร์ชี้ให้ผมดูป้ายที่เขียนเบอร์สวยๆให้ผมดูป้ายหนึ่งแล้วหัวเราะใหญ่เลย ผมมองตาม เห็นเป็นเบอร์ 086 ตามด้วยหมายเลข 969-6969

ผมหน้าแดง แล้วหันมาทำตาดุใส่เขา ด่าว่าไอ้เด็กทะลึ่ง เดียร์หัวเราะก๊ากไม่ยอมหยุด ทำท่าว่าอยากประมูลเลขนี้จะเอาไว้ใช้โทรหาผมคนเดียว

ผมเลยเขกหัวเขาโป๊กหนึ่ง เด็กหนุ่มหยุดหัวเราะ คลำหัวป้อยๆ แล้วแสร้งทำหน้าตาน่าสงสารใส่ผม น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก


เลือกไปเลือกมาเด็กหนุ่มก็ได้โทรศัพท์รุ่นที่ถูกใจ เป็นรุ่นที่ ถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอได้ด้วย แต่ราคามันเกือบสองหมื่นบาท

เดียร์มองหน้าผม จากนั้นก็หยิบมือถือ รุ่นธรรมดา ราคา พันกว่าบาทมาถือไว้ แล้วบอกผมว่าเขาจะเอาอันนี้ ผมเลยตีมือเขาไปทีหนึ่ง

แล้วก็ฉวยรุ่นที่เขาอยากได้มากๆ ส่งให้พนักงานขาย ต่อรองราคากันเสร็จสรรพ ผมก็ให้เดียร์เลือกเบอร์ที่ชอบ

เดียร์ใช้เวลาในการเลือกเบอร์จากในลิสต์ยาวเหยียดที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็หันมายิ้มให้ผม


“เอาเบอร์นี้แล้วกัน เบอร์เดียวกับมือถือของเรียวเลย แต่คนละ 0 เท่านั้น ฟลุ๊คจริงๆเลยครับ สงสัยว่าเป็นพรหมลิขิตแน่ๆ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องจำเยอะไงครับ”

“ตามใจ”


ผมไม่ได้ว่าอะไร เขาอยากจะได้เบอร์ไหนก็เรื่องของเขา ผมไม่ใส่ใจในรายละเอียดพวกนี้อยู่แล้ว ถึงยังไงผมก็คงไม่โทรไปหาเขาหรอก


“ใจดีจังเลย”


เด็กหนุ่มทำท่าประจบประแจง หลังจากที่ผมจ่ายเงินค่าซื้อโทรศัพท์ให้เขาแล้ว เขาเดินนัวเนียใกล้ผมไม่ยอมห่าง

“ราคาแพงกว่ารุ่นที่ผมซื้อมาอีกนะครับ เดี๋ยวผมทำงานเก็บเงินใช้ให้นะ”


เขาบอกผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจเหมือนเดิม


“ไม่ต้องหรอก จะมาคืนเงินให้ฉันทำไม”

“ก็เสียดายเงินแทนเรียวนี่ครับ ราคาตั้งเกือบ 2 หมื่น เครื่องที่ผมซื้อมาน่ะ ราคาแค่หมื่นต้นๆเอง ผมไม่อยากเอาเปรียบเรียวนี่ครับ”


ผมรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เจ้าเด็กนี่ นอกจากจะห่วงใยผมแล้ว เขายังไม่เคยทำอะไรที่จะเป็นการเอาประโยชน์เรื่องเงินทองจากผมเลยสักครั้ง


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-12-2008 17:36:11

“หิวไหม”


ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามเขาน้ำเสียงอ่อนโยน


“นี่มันจะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวนายมื้อหนึ่งตามสัญญา”

เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ


“ดีจังเลยอ่ะ ได้มาเที่ยวแล้วก็ได้กินข้าวกับเรียวอีก มีความสุขจัง”

“เว่อร์อีกแล้ว สัญญาว่าจะพามา ฉันก็ทำตามแล้วไง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษสักหน่อย”


เดียร์ทำปากยื่น เมื่อผมพูดเป็นทำนองไม่ใส่ใจเขาแบบนั้น


“แหม ได้โอกาสมาเที่ยวกับเรียวทั้งที จะช่วยสร้างบรรยากาศแบบคู่รักกันให้หน่อยก็ไม่ได้ ใจแข็งจังนะครับ”

“ก็ฉันไม่ใช่คู่รักของนายจริงๆนี่นา ก็แค่ทำสัญญาร่วมกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆซะหน่อย นายก็อย่าเพ้อเจ้อให้มันมากนักเลย

ผิดหวังมาจะเสียใจเปล่าๆ แล้วจะมาโทษฉันก็ไม่ได้ด้วย เพราะบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”


ผมดับความฝันเด็กหนุ่ม แว่บหนึ่งที่ผมเห็นประกายตาของเดียร์หม่นวูบ จากนั้นก็กลับคืนมาสู่ภาวะร่าเริงเหมือนดังปกติที่เคยเป็น


“คร้าบ บอกมาเป็นล้านครั้งเห็นจะได้ ผมก็แค่หวังว่าเรียวจะใจอ่อน ก็แค่นั้นเอง แต่ไม่เป็นไรครับ ผมจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ

ไม่ใจอ่อนวันนี้ ก็คงจะใจอ่อนในวันใดวันหนึ่งข้างหน้านั่นแหละครับ ผมจะรอจนกว่าวันนั้นจะมาถึง ไม่มีวันที่ผมจะยอมพ่ายแพ้ไปก่อนหรอกครับ”


เด็กหนุ่มตอบผมด้วยท่าทีมุ่งมั่น ดวงตาฉายแววแห่งความหวัง น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้ในใจ แม้จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิดทั้งหมด

แต่ผมกลับมีความรู้สึกดีกับเดียร์มากขึ้น เขาเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความพยายามอย่างมากในการที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่ละทิ้งความฝันมันไปง่ายๆ

กล้าพูดกล้าคิดอย่างที่ตนเองรู้สึก ผมเสียอีกที่บางครั้งก็ไม่ค่อยกล้าจะพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการออกมา เหมือนตอนที่คบกับอรจิรา

ผมอยากแต่งงานกับเธอมาก แต่ความที่ผมยังมีฐานะไม่มั่นคงเพียงพอ ผมจึงรีรอที่จะพูดกับเธอ เพราะไม่อยากให้เธอมาเจอกับความยากลำบาก

แต่พอผมคิดว่าตัวเองพร้อม เธอก็มีคนอื่น ซึ่งร่ำรวยกว่าผมหลายเท่านัก ความไม่กล้าเปิดเผยใจตัวเอง ทำให้ผมพลาดเรื่องดีๆในชีวิตไปมากมาย



ผมสลัดความคิดคำนึงถึงอรจิราออกไป หันกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง จะมัวคิดถึงคนที่เขาไม่เคยแคร์เราอยู่ทำไม

ในเมื่อยังมีอีกตั้งคนหนึ่งที่รักผมจนหมดใจ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ต้องการเป็นแฟนกับเขาก็ตาม แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่า

เขาน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของผมได้ เพื่อนที่ทำให้ผมหายเหงา คลายจากความเศร้า ความทุกข์โศกทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังเผชิญอยู่


“อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ผมเอ่ยปากถามเดียร์ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยน อยากตอบแทนเด็กหนุ่มด้วยการพูดจาดีๆกับเขาบ้างสักครั้ง

“เรียวเลือกแล้วกัน เรียวกินอะไร ผมก็กินอย่างนั้นน่ะครับ”

“ฉันเลี้ยงนาย นายก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกสิ ถ้าให้ฉันเลือก เดี๋ยวไม่ถูกปากนายจะว่าไง ไม่ต้องเอาใจฉันมากมายถึงขนาดฉันกินอะไรนายกินด้วยหรอก

มันน้ำเน่ามาก ฟังแล้วอยากจะอ้วก ไม่ต้องมาทำหวานใส่หรอก ฉันเลี่ยน”


ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะเขา เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก ทำหน้าทะเล้นใส่ผม


“ไม่ไหวเลยเรียวนี่ ไม่โรแมนติกเลยจริงๆ เฮ้อ ก็ได้ครับ ผมอยากจะกินส้มตำอ่ะ ส้มตำปูปลาร้าด้วย กับไก่ย่าง แต่ที่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าเรียวจะทานไม่ได้

แล้วก็กลัวว่ามันจะไม่เหมาะกับการออกเดทของเราน่ะครับ”



ผมอดที่จะขำตามไปด้วยไม่ได้ เออจริงสิ กินส้มตำปูปลาร้า ในการออกเดทครั้งแรกระหว่างผมกับเขา ( ตามที่เดียร์เข้าใจ)

มันดูแปลกๆพิลึกนะ ผมเองก็ทานเผ็ดไม่ค่อยจะได้เสียด้วยสิ อีกทั้งก็เป็นคนธาตุอ่อน กินของอะไรที่สุกๆดิบๆก็พาลจะท้องเสียขึ้นมาทันที

สงสัยคงต้องเปลี่ยนเป็นเมนูอื่นน่าจะดีกว่า



“ถ้าจะให้ผมชอบจริงๆนะ ผมชอบที่จะกินข้าวกับเรียวที่บ้านมากกว่า เราซื้อของกลับไปทำกินที่บ้านกันดีไหม เรียวอยากกินอะไรผมก็จะทำให้ ประหยัด และกินได้เยอะกว่าด้วย”

เดียร์เสนอไอเดีย แต่ผมไม่เห็นด้วย


“กว่าจะถึงบ้าน ก็หิวตายกันพอดี อีกอย่างนะ ฉันบอกว่าฉันจะเลี้ยงนาย ดังนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินในกระเป๋าฉัน ฉันเลี้ยงนายได้

ถ้าไปกินที่บ้าน นายทำให้ฉันกิน จะเรียกว่าเลี้ยงได้ไงล่ะ ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาสิ้นเปลืองเวลา ทำอาหารเลี้ยงตัวเองหรอก”


“แต่เรียวจ่ายค่าโทรศัพท์ไปแล้วตั้ง 19500 บาท ถ้าพาไปกินอีก ก็คงจะหมดไปเยอะมาก เราซื้อกับข้าวไปทำกินกัน

ก็ยังสามารถทำกินต่อมื้อเย็นได้อีกนะครับ ไม่ต้องไปเบียดเสียด แย่งโต๊ะอาหารกับใครอีก”


ด็กหนุ่มแย้งผมกลับ ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างเกรงใจที่ผมจ่ายเงินซื้อโทรศัพท์ให้เขาตั้งเยอะเลยไม่กล้าจะรบกวน

แต่ผมไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ เพราะรู้ดีว่า กลับบ้านไป ผมก็ต้องอยู่กับเขาตามลำพัง นึกหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบคราวที่แล้ว

ซึ่งเดียร์คงไม่ยอมอดกลั้นปลดปล่อยผมให้รอดมือเขาเป็นแน่



ถึงแม้ว่าจะมีข้อสัญญาผูกมัดว่าเขาจะไม่ทำอะไรให้เกินเลย แต่มันก็ดันมีช่องว่างไว้ด้วยว่าถ้าผมเต็มใจ เขาก็สามารถจะล่วงเกินผมได้

ที่กลัวก็คือใจของผมเอง เพราะมันชอบหวั่นไหวเวลาที่ถูกเด็กหนุ่มคนนี้สัมผัส ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

รู้แค่เพียงว่า การโลมไล้ของเขาสร้างความปรารถนาขึ้นมาในกายของผมแทบทุกครั้ง


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-12-2008 17:37:05

“เอางี้ ไปกินที่ฟู้ดคอร์ท ตรงชั้น 6 กันดีกว่า ประหยัด แล้วก็มีอาหารให้เลือกหลากหลาย

นายอยากกินอะไรก็กินไป ฉันเลี้ยงไม่อั้น มันคงไม่ทำให้กระเป๋าฉันฉีกอย่างที่นายกังวลกระมัง เสร็จแล้วฉันจะแถมด้วยการดูหนังกับนายสักรอบเป็นไง

นี่เกินกว่าที่สัญญานะ แต่ฉันเองก็ไม่อยากเอาเปรียบนายเหมือนกัน”



ในที่สุดผมก็เจอทางออกในการแก้ปัญหา ผมได้เลี้ยงเขากลับคืน แถมซ้ำยังไม่ต้องกลับบ้านไปขลุกอยู่กับเขาอีก

อย่างน้อยๆการอยู่ในโรงหนังก็น่าจะดีกว่าไปอยู่กับเด็กนี่สองคนที่บ้านล่ะ



เดียร์ตอบตกลงด้วยอาการกระดี๊กระด๊า คงเป็นเพราะผมยอมที่จะไปดูหนังกับเขาทั้งๆที่เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนั้น

เด็กหนุ่มเดินตามผมไปที่ฟู้ดคอร์ทอย่างร่าเริง ผมอนุญาตให้เขาสั่งส้มตำไก่ย่างมากินได้อย่างที่เขาต้องการ เขาทำท่าอิดออด

พอผมถามว่าเป็นอะไร เขาก็บอกว่ากลัวมีกลิ่นปาก เกิดได้จูบกับผมขึ้นมา เดี๋ยวผมจะรังเกียจไม่ยอมให้จูบ ผมเลยเขกหัวเขาไปทีหนึ่ง

เด็กหนุ่มคลำหัวป้อยๆ แล้วบอกว่า ผมน่ะ ทำร้ายร่างกายเขาอยู่เรื่อยเลย เขกหัวเขามากๆ ถ้าเขาความจำเสื่อม จำผมไม่ได้จะทำอย่างไรล่ะ

ผมเลยบอกว่าดีแล้ว จะได้ฉวยโอกาสยกเลิกสัญญาเสียเลย เดียร์ยิ้มยั่ว แล้วก็บอกผมหน้าทะเล้นว่า ไม่มีทางที่เขาจะลืมผมได้หรอก

ถึงอย่างไร เขาก็จะต้องทำให้ผมรักเขาให้ได้ แล้วผมก็จะต้องยอมเขาทั้งกายและใจ

ผมหมั่นไส้ท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขาอย่างมาก ยกมือขึ้นจะเขกกะโหลกเขาอีกครั้ง แต่เดียร์รีบเผ่นแผล็วจากไปเสียก่อน




หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมก็พาเดียร์ไปดูหนังตามที่สัญญาไว้ หนังที่เลือกดูเป็นหนังรักโรแมนติกเป็นหนังญี่ปุ่นเรื่อง Be With You

เรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง กับลูกชายซึ่งอยู่กันสองคน คนพ่ออยู่กับความหลังฝังใจถึงภรรยาที่ตายไป เหตุการณ์ย้อนไปตอนอดีต

ตอนที่ลูกเขาอายุได้สัก 10 ขวบ ซึ่งแม่เขาสัญญาว่าในวันที่ฝนตก แม่เขาจะกลับมา ลูกก็พยายามทำทุกอย่างที่จะให้แม่มาอยู่กับตนในช่วงฤดูฝน

ไม่ว่าจะเป็นการห้อยตุ๊กตาไล่ฝนกลับหัว หรือ หาของที่สองแม่ลูกเคยซ่อนไว้ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเป็นประตูเชื่อมโยงคนสองคนเข้าหากัน

และแล้วแม่ก็กลับมา มาใช้ชีวิตอยู่ด้วย แต่แม่จำอะไรไม่ได้เลย ว่าเป็นภรรยา หรือ เป็นแม่ของใคร ทั้งหมดใช้ชีวิตร่วมกันใหม่อีกครั้ง

และแล้วฤดูฝนก็สิ้นสุดลง ถึงเวลาที่แม่ต้องจากไป ก่อนจะจากไป แม่มอบบันทึกไว้ให้ลูกเล่มหนึ่ง ซึ่งบันทึกนั้นเปรียบดังเครื่องไทม์แมชชีน

ซึ่งจะทำให้รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แล้วแม่ก็จากไปจริงๆ เมื่อพ่ออ่านบันทึกจึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว แม่ที่กลับมาหาในตอนฤดูฝน

ก็คือ สาวน้อยคนหนึ่งที่แอบหลงรักพ่อมานาน แอบดูแลมาตลอด รักแต่ไม่กล้าพูดอะไรกัน จนวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเกิดอุบัติเหตุ

และปาฏิหาริย์ได้นำเธอมาสู่โลกอนาคต ที่คนทั้งคู่ได้แต่งงานกันและมีลูก ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

เมื่อตอนที่เธอกลับไปสู่โลกปัจจุบันของเธอ เธอได้รับรู้แล้วว่า ถ้าแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ที่เธอรัก เธอจะต้องเสียชีวิต

แต่ความตายที่จะมาถึงนั้นไม่ได้ทำให้เธอหวั่นไหว เธอเลือกที่จะแต่งงานกับเขา ทั้งที่รู้ดีว่า วันข้างหน้าของตัวเองจะเป็นอย่างไร

มันเป็นหนังที่แสดงออกถึงความรักแท้ที่คนๆหนึ่งจะมีให้กับคนที่ตนรัก


เดียร์ดูหนังด้วยความซาบซึ้ง และอินจัดไปกับตัวละครและเนื้อเรื่อง ผมเห็นเขายกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆตลอดเวลา

คงจะรู้สึกสะเทือนใจไปกับภาพและเสียงบนจอภาพยนตร์ มีเสียงฟืดฟาดให้ได้ยิน เมื่อผมหันไปมองก็เห็นเดียร์น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม เขาพยายามที่จะไม่ให้ผมเห็น


“ไหนบอกเป็นลูกผู้ชาย จะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นไง”


ผมพูดหยอกเย้า หลังจากที่เราออกมาจากโรงหนังกันแล้ว เดียร์หันหน้าซึ่งมีดวงตาบวมช้ำ และจมูกที่แดงก่ำ เพราะร้องไห้ มาทางผม เขายิ้มอายๆ


“สงสารตัวละครในเรื่องน่ะครับ สงสารลูก สงสารพระเอก แล้วก็ซาบซึ้งกับความเสียสละของนางเอกจัง ผมชอบมากเลยครับ หนังเรื่องนี้

ขอบคุณนะที่พามาดู รู้สึกดีจังเลย ได้รับรู้เรื่องราวของความรักที่บริสุทธิ์แบบนี้ ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลยนะ

ผมน่ะไม่ได้ต่อสู้เรื่องราวของความรักแต่เพียงลำพังคนเดียวเลยนะ ยังมีคนที่บูชาความรักอีกหลายคนที่ทำอย่างผม

เห็นไหมเรียว ผมน่ะ ไม่ได้แปลกประหลาดสักหน่อย ถ้าเป็นผม ผมก็จะทำอย่างนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าการที่ผมรักเรียว อาจจะทำให้ผมต้องตายไป ผมก็ยินดี

ขอเพียงให้ผลตอบแทนที่ผมจะได้รับคือ ความรักของเรียวที่มีกลับคืนมาให้ผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างให้ได้มันมาครับ”



คำพูดมากมายพรั่งพรูมาจากปากของเด็กหนุ่ม เป็นถ้อยคำที่บ่งบอกถึงความรักลึกซึ้งที่เขามีต่อผม มองหน้าเดียร์ทีไร ผมก็อดหวั่นไหวไม่ได้

ทำไมคนที่ทำดีให้ผมจึงกลับกลายมาเป็นเด็กหนุ่ม ที่อ่อนเยาว์ทั้งอายุ และประสบการณ์ แต่มีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างเขาคนนี้

แล้วผมจะก้าวข้ามเส้นบางๆของความแตกต่างระหว่างการรักเพศเดียวกัน กับรักต่างเพศไปได้อย่างไร



“อย่าอินไปกับหนังให้มาก หนังจะสร้างอย่างไรก็ได้ ชีวิตจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้น ไม่มีใครทำอะไรเพื่อคนอื่นหรอก”


ผมดึงเดียร์ให้ออกมาจากโลกแห่งความเพ้อฝัน มันจะดีทั้งตัวเขาเอง และก็ตัวของผมด้วย ถ้าเขาหวังมาก แล้วผมไม่สามารถสนองตอบเขาได้

เขาอาจจะได้รับความเจ็บปวดกระทบกระเทือน ผมไม่อยากทำร้ายเขา ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากฝืนใจตัวเองด้วย



“แต่ผมเชื่อว่า หนังบางเรื่อง ก็สร้างมาจากชีวิตจริงครับ ต้องมีใครบางคนรักใครคนหนึ่งอย่างมากมาย และยินยอมทำได้ทุกอย่างแม้แต่การเสียสละชีวิตตนเอง

ไม่งั้นเขาจะสร้างหนังแบบนี้ขึ้นมาทำไมล่ะครับ ถ้ามันไม่มีมูลความจริงหรือไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ก็เท่ากับหลอกคนดูสิครับ

ผมน่ะ เชื่อมั่นศรัทธาในความรัก ผมจะพิสูจน์ให้เรียวเห็นว่า ผมมีรักแท้ให้เรียวแค่ไหน ผมสามารถทำทุกอย่างให้เรียวได้จริงๆ คอยดูต่อไปนะครับ แล้วคุณจะต้องเชื่อคำพูดของผม”



เด็กหนุ่มบอกอย่างมุ่งมั่น ผมกลับเป็นฝ่ายถอดใจเสียเอง รู้สึกว่าความพยายามที่จะให้เขาเปลี่ยนใจไม่เคยสัมฤทธิ์ผล

ไม่ว่าจะพูดตัดหนทางอย่างไร เด็กหนุ่มก็แก้ได้หมด ดูเหมือนว่าเขาปลุกเร้าให้ตนเองมีกำลังใจที่ดีอยู่ตลอดเวลา จนไม่หวั่นไหวกับอุปสรรคทั้งปวง

ผมขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่ม เลยรีบเดินหนีไปที่ลานจอดรถ โดยมีเด็กหนุ่มเดินตามมาติดๆ

เด็กหนุ่มดูเหมือนจะรู้ทันว่าผมกำลังพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจจริงๆของเขา ก็เลยพูดดังๆให้ผมได้ยินว่า



“หนีอะไรก็หนีได้ แต่คุณไม่มีทางหนีหัวใจของตนเองได้หรอกครับเรียว สักวันหนึ่ง ผมจะทำให้คุณหันมารักผมให้ได้”


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-12-2008 17:38:09
ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด เดินจ้ำอ้าวๆไปจนถึงรถที่จอดไว้ เปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไปนั่งด้านคนขับ

โดยมีเดียร์วิ่งไปเปิดประตูด้านข้างก้าวขึ้นไปนั่งอย่างลุกลี้ลุกลน พอขึ้นมาได้ ก็โวยวายเสียงแจ้ว


“แหม จะรีบไปไหนเหรอครับ ทนฟังไม่ได้เหรอ หรือว่าผมพูดจี้ใจดำเรียวเข้าให้แล้ว”

“ขี้เกียจฟังคำพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้ของนายอ่ะ”


ผมทำท่าเบื่อหน่ายใส่เขา เดียร์หน้ามุ่ย ทำปากยื่นปากยาวใส่ผม


“ทั้งปีเล้ย ไม่มีจินตนาการ ไม่มีความฝัน ไม่เชื่อในอานุภาพ และความมหัศจรรย์แห่งความรักบ้างเล้ย หัวใจเรียวทำด้วยอะไรน้า ทำไมมันถึงได้เย็นชาอย่างนี้ เฮ้อออออออออ”


เดียร์ทำเป็นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่หน้าตากลับยิ้มละไม คงไม่ได้นึกเบื่อที่ผมทำท่าไร้อารมณ์กับเขา

อาจจะรู้สึกสนุกด้วยซ้ำกระมัง ที่สามารถพูดยั่วเย้าและต้อนผมจนมุมจนได้ เวลาเขาเล่นมุขรักผมนักรักผมหนาทีไร

ผมมักจะเถียงเขากลับไม่ได้ทุกที ยิ่งเห็นหน้าตาใสซื่อ ประกายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก และความหวัง ผมยิ่งโกรธไม่ลง


“จะกลับบ้านแล้วเหรอครับ ดีจังเลย แต่ว่า แวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อนกลับบ้านดีไหมครับ วันนี้ผมว่าจะทำมักกะโรนีผัดผงกะหรี่ ให้ทานอ่ะ เพิ่งได้สูตรมา

ลองทำกินเองก็อร่อยดี แล้วจะทำพายบลูเบอรี่ให้กินด้วย ผมดูจากในทีวีมาเห็นว่าน่ากินดี เลยคิดว่าจะลองทำกินเองดูบ้างครับ เพราะกรรมวิธีก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลยครับ”


เดียร์เปลี่ยนเรื่องพูดเฉยเลย ผมอดหัวเราะไม่ได้ เลยขำออกมาดังๆ


“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรบ้างเลยหรือไงนะ”

“แหม อยู่ใกล้คนรักของตัวเอง จะทำหน้าบึ้งตึงไปทำไมกันล่ะครับ ผมอ่ะ มีเวลาแค่หกเดือนที่จะทำให้เรียวมารักผมให้ได้

ก็ต้องพยายามโกยคะแนนสุดฤทธิ์ จะมาทำเป็นหงุดหงิดขี้โมโหไม่ได้หรอก เป็นฝ่ายรักเขาก่อน ก็ต้องอดทนอย่างนี้แหละ

ไว้เรียวรักผมมากๆแล้ว คราวนี้ผมค่อยเล่นตัวให้เรียวง้อบ้างก็แล้วกัน เป็นการเอาคืน”


เขาพูดยิ้มๆ ผมมองหน้าทะเล้นนั้น แล้วรู้สึกขวางหูขวางตายิ่งนัก เจ้าเด็กปิศาจคนนี้ มีใบหน้าและแววตาที่รบกวนจิตใจผมเสียจริง

นี่ไม่นับรวมกริยาอาการที่เขาปฏิบัติต่อผม บางทีก็รู้สึกดี บางทีก็รู้สึกหมั่นไส้ จนผมไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่


“ไม่มีทาง รอไปเถอะ อีกสิบชาติ กว่าที่ฉันจะใจอ่อน”


ผมบอกเขาอย่างมั่นใจตนเอง แน่นอน เดียร์ก็ตอบมาแบบเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองเช่นกัน


“คอยดูก็แล้วกัน เคยได้ยินไหมครับ น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน หัวใจของเรียว ที่มาเจอความรักที่ทุ่มเทและจริงจังของผม

จะทนทานไม่รักผมได้ ก็ให้มันรู้ไปสิครับ ถึงวันนั้น ผมจะแจกโล่หัวใจหินให้เรียวเอง อิอิ”

เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ ผมค้อนเด็กหนุ่ม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอากัปกิริยาหนึ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน พอรู้ตัวว่าทำท่าอะไรลงไป

ผมก็รีบปั้นหน้าเป็นเคร่งขรึม กลบเกลื่อนความตระหนกตกใจของตนเองที่เผลอทำกริยาเหมือนที่ผู้หญิงเขาทำกันออกไป

แต่มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาเจ้าเล่ห์ของไอ้เด็กบ้านี่ไปได้ ดูเหมือนว่าเขาจะคอยจ้องมองผมทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหว

เขายื่นหน้ามาใกล้ แล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา



“เรียวครับ เมื่อกี้เรียวทำท่าเหมือนผู้หญิงเลยนะ นี่ถ้าคนอื่นมาเห็นเขาจะเรียกว่าสาวแตกนะครับ แต่ผมรู้ว่าเรียวน่ะไม่ใช่หรอก

ดูยังไงก็ไม่ใช่ เพราะเรียวน่ะ ไม่ใช่เกย์อย่างพวกผม แถมซ้ำเรียวก็ไม่ใช่คนที่แกล้งแอ๊บแมนด้วย เรียวแค่หมั่นไส้ผมเท่านั้นใช่ไหมครับ

อย่าทำท่าแบบนี้ให้คนอื่นเห็นเชียวนะ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิดกัน ไปเจอคนทั่วๆไปน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไปทำให้พวกเกย์เห็นระวังจะโดนจีบ

ผมน่ะไม่ยอมให้เรียวกับใครหรอกนะ เรียวเป็นของผมคนเดียวก็พอ”



“อย่ามาพูดบ้าๆหน่อยเลย”


ผมด่าเขา ในใจก็แอบคิดตามว่า ผมทำท่าอย่างนั้นจริงๆหรือ บ้าน่ะสิ เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจนี่พูดเพื่อให้ผมเป็นพวกเดียวกับเขาหรือไง

ใครจะไปเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว สาวแตกแบบที่ว่า ที่ผมค้อนเขาเมื่อครู่ มันเป็นอาการของผู้หญิงก็จริง แต่ผมก็เห็นผู้ชายบางคนก็ทำ

หรือว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกแอบจิตแบบที่เดียร์ว่าจริงๆ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนๆหนาวๆ การที่นายเดียร์มาอยู่ใกล้ผมมากๆมันสามารถถ่ายทอดความเป็นเกย์จากเขามาสู่ผมได้หรือเปล่านะ

เหมือนกับโรคติดต่อเลย ติดต่อได้ทางการสัมผัส และ พูดคุยกัน ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว


“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับนาย อย่ามาโมเม”

“ไม่ได้ว่า ว่าเป็นสักหน่อย ผมก็ไม่ชอบให้เรียวเป็นเกย์หรอก เดี๋ยวเกิดติดใจขึ้นมา แล้วจะไปมีคนอื่น นอกจากผม มันจะยุ่ง แค่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่รักเกย์อย่างผมก็พอแล้วครับ”

“มีด้วยเหรอ ผู้ชายธรรมดา ที่รักเกย์ แต่ไม่เป็นเกย์น่ะ”

“มีสิ มีดาราคนหนึ่ง เป็นกะเทยแปลงเพศแล้ว แต่งงานกับผู้ชายแท้ๆ เขารักและแต่งงานกับเธอทั้งๆที่เขารู้ว่าเธอเป็นผู้ชายมาก่อน แต่เขาก็แต่งงานด้วย เขาก็ไม่เห็นเป็นเกย์นี่ครับ”



เดียร์เอ่ยอ้างถึงดาราคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการเพราะแสดงภาพยนตร์เกี่ยวกับกีฬา เพื่อยืนยันคำพูดของเขา ผมกลับไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้


“เขารักที่คนๆนั้นอยู่ในคราบผู้หญิงหรือเปล่า”


“เปล่า เขารักเธอที่หัวใจต่างหาก ไม่ใช่ร่างกาย แล้วผมก็หวังว่า ผู้ชายแท้ๆอย่างเรียว จะรักผมที่หัวใจ มากกว่าจะมองว่าผมเป็นเพศไหนเหมือนกัน”

“คงไม่คิดถึงขนาดให้ฉันแต่งงานกับนายด้วยหรอกนะ”

“ไม่หรอกครับ แค่รักผมเท่านั้นก็พอ ที่พูดแบบนี้ หมายความว่าไงล่ะครับ แปลว่า จะอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องแต่งใช่ไหมครับ สบายอยู่แล้ว ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”




หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-12-2008 17:38:58
เจ้าเด็กลูกครึ่งปิศาจยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับผม ส่งสายตาหวานฉ่ำให้ ผมทำหน้าเซ็งๆ คุยกับหมอนี่ทีไรก็เข้าตัวเองทุกที

โต้ตอบอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ หมอนี่ไม่เคยสะทกสะท้านกับคำพูดของผมแม้แต่น้อยนิด การถกเถียงกับเขามีแต่จะทำให้ผมหงุดหงิดและสับสนในใจมากยิ่งขึ้น


“ไปซื้ออาหารสดและของกินที่ห้าง...........แล้วกัน”


ผมเปลี่ยนเรื่องพูด โดยการบอกชื่อห้างที่จะพาเขาไปเดินเลือกซื้อข้าวของที่จะนำมาทำเป็นอาหารเย็น

เด็กหนุ่มก็ปรับเปลี่ยนท่าทีเช่นกัน เขาหันมาคุยจ้อถึงอาหารที่จะทำให้ผมกินเป็นมื้อเย็น เอาสมุดขึ้นมาจดรายการของอาหารที่ต้องซื้อ



พอถึงห้าง เดียร์ก็ไปลากรถเข็นมาคันหนึ่ง แล้วเดินนำผมไปยังแผนกอาหาร หยิบโน่น เลือกนี้ใส่รถเข็นด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว

ผมเองยังอดรู้สึกเพลินไปด้วย เมื่อมองตามเขาไป เดียร์มีความชำนาญในการเลือกซื้อของที่จะมาใช้ในการปรุงอาหารมาก

เขาเลือกปูสดๆเพื่อมาทำผัดผงกระหรี่ให้ผมทาน เลือกผักที่จะใช้ประกอบ โดยดูเอาที่ใหม่สด ปลอดสารพิษ ผมนึกสนุกไปกับเขาด้วย

โดยการเลือกซื้ออาหารสดนอกเหนือจากที่จะทำกินสำหรับเย็นนี้ ผมเห็นว่า ไหนๆก็เลี่ยงที่จะไม่ให้เดียร์มาบ้านได้แล้ว เพราะมีการตกลงทำสัญญากันไว้

ดังนั้น ผมก็ควรจะมีของติดตู้เย็นเอาไว้บ้าง เด็กหนุ่มจะได้ไม่ต้องไปซื้อให้สิ้นเปลืองเงินทองของตัวเอง



ผมไหว้วานให้เด็กหนุ่มเลือกให้ เพราะผมเองก็เลือกไม่เป็นเพราะไม่เคยทำอาหารกินเอง คนโสดอย่างผมกินแต่ข้าวนอกบ้าน

แต่ที่มีอุปกรณ์ครัวมากมาย เพราะผมเตรียมไว้สำหรับการแต่งงานระหว่างผมกับอรจิรา ผมหลอกให้เธอไปเดินซื้อเป็นเพื่อนผม

ซึ่งผมคิดว่าเธอรู้ความหมายดีว่าผมต้องการสื่ออะไร แต่ในที่สุดเธอก็หนีผมไปมีคนอื่น แต่ช่างมันเถอะ อย่างไรผมก็มีโอกาสได้ใช้เครื่องครัวนั้น

แถมซ้ำยังมีคนมาคอยทำอาหารให้กินอีกด้วย



เด็กหนุ่มกุลีกุจอเลือกอาหารสดให้ผม มีจำพวกปลา เนื้อหมู เนื้อไก่ ผมซื้อพวกไส้กรอก หมูยอ แหนม ลูกชิ้นมาเก็บไว้ด้วย

จากนั้น เราสองคนก็พากันไปเลือกซื้อพวกอาหารแห้งบ้าง ผมให้เดียร์ตัดสินใจว่าในครัวผมควรจะมีอะไรบ้าง

ท่าทางเขาดูปลาบปลื้มที่ผมมอบความไว้วางใจให้กับเขา ในการเป็นผู้กำหนดเรื่องอาหารการกิน จนผมอดยิ้มด้วยความเอ็นดูเขาไม่ได้

เดียร์หยิบพวกเส้นหมี่ สปาเกตตี้ มักกะโรนี ใส่ไว้ในรถ มีปลากระป๋อง น้ำพริกเผา กะปิ น้ำปลา ข้าวสาร น้ำตาลทราย ผงปรุงรส และ ของที่เก็บไว้กินได้นานๆอีกหลายชนิด

ตลอดเวลาเหล่านั้น เดียร์นัวเนียใกล้ชิดผมตลอดเวลา ถามโน่น ถามนี่ ว่าผมชอบกินอะไร รสชาติแบบไหน บางอย่างเขาก็เห็นด้วย

บางอย่าง ก็แนะนำให้ใหม่ บางอย่างเป็นของมาจากเมืองนอก เขาก็จะแนะนำของที่ทำจากไทย คุณภาพใกล้เคียงแต่ราคาถูกกว่ามาให้

ดูท่าทางเขาเป็นคนที่มีความรู้ค่อนข้างเยอะในเรื่องเกี่ยวข้องกับอาหารจนผมรู้สึกทึ่ง



ขณะที่เราวนเวียนอยู่ ตรงชั้นวางอาหารกระป๋อง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังเข็นรถเข็นเดินตรงมาที่ผมและเดียร์กำลังเลือกซื้อของอยู่

ผมชะงักเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเป็นใคร ฝ่ายหญิงก็มีอาการไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่
“อ้าว คุณเรียวซื้อของเยอะแยะเชียว ที่บ้านจะจัดงานเหรอ”


ชายท่าทางภูมิฐานเอ่ยทักทายผมด้วยใบหน้าแสดงความเป็นมิตรไมตรี ผิดกับอดีตคนรักของผม ที่ยืนหน้าเชิด ปิดปากเงียบ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำทักทาย หรือยิ้มแย้มให้


“เปล่าครับ แค่ซื้อไปเก็บเอาไว้ นานๆจะมาซื้อของซักทีน่ะครับ คุณอนันต์ ก็มาซื้อของเหมือนกันเหรอ”


ผมเสมองไปที่รถเข็นที่ว่างเปล่าของเขา ไม่อยากจะมองหน้าอรจิรา เพราะผมไม่เห็นมิตรภาพอยู่บนใบหน้าสวยๆนั่น

เออ หนอ เลิกกันไป โดยที่เธอเป็นฝ่ายบอกเลิกผมเอง ผมน่าจะเป็นฝ่ายแค้นใจมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมเธอถึงปั้นปึ่งขึ้งโกรธผมนัก

หรือว่าสิ่งที่เธอทำนั้น มันเพื่อต้องการที่แสดงให้คนรักใหม่ของเธอได้รู้ว่า ผมและเธอไม่เคยรู้จักสนิทสนมเกินเลยนอกเหนือไปจากการเป็นคนที่ทำงานในบริษัทเดียวกันเท่านั้น


“ครับ พอดีว่า เราจะซื้อของใช้ไว้ในครัวเรือนของเราครับ แต่เดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงแถวนี้ พอเห็นคุณเข้า ก็เลยแวะเข้ามาทักเสียหน่อย

ตอนแรก อร เขาก็ไม่อยากเข้ามา กลัวว่า จะเป็นการรบกวนคุณน่ะครับ”


คุณอนันต์บอกยิ้มๆ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานในตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องทอง

แต่ในเรื่องคนหรือเรื่องของความรัก เขากลับไว้ใจคนอื่นง่ายๆ ดูก็รู้ว่า อรจิรา รังเกียจการที่จะมาเจอผมแค่ไหน แต่เขากลับมองไม่ออก



ผมพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงยังไง ผมก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้แล้ว เธอไม่มีวันรู้สึกดีกับผมอีกต่อไป

ในเมื่อผมไม่อาจทำให้เธอกลับมารักผมได้ดังเดิม ผมก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความจริง ผมไม่อาจจะก้มหน้า ทำตัวเป็นคนขี้แพ้ต่อไปได้

ความรู้สึกมันบอกให้ผมยืนหยัดต่อสู้กับความจริงอันปวดร้าว เพื่อความเข้มแข็ง และเพื่อศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมองอรจิรา

ก็เห็นเธอมองผมอย่างเหยียดๆอยู่ก่อนแล้ว พอเธอเห็นผมมองตอบ เธอก็หันหน้าไปหาชายคนรักกระเป๋าหนักของเธอ แล้วทำน้ำเสียงอ้อนๆ


“ก็จริงนี่คะ บางที คุณเรียวน่ะ เขาคงอยากจะใช้เวลากับการเลือกซื้อข้าวของโดยไม่มีใครรบกวนเหมือนอย่างเช่นเราสองคนก็ได้นี่คะ

เดี๋ยวเราแยกกับคุณเรียวตรงนี้ดีกว่า ของที่เราต้องการยังไม่ได้เลย เรามีเวลาไม่มากนักนะคะ เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเลือกกระเบื้องสำหรับปูห้องน้ำที่บ้านหลังใหม่ของคุณด้วย”



ก่อนที่คุณอนันต์จะพูดอะไรออกมา เจ้าเด็กลูกครึ่งซึ่งเมื่อครู่กำลังสาละวนอยู่กับการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง ก็เดินเข้ามาหา

เขาแตะแขนผมเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงว่า


“นี่เรียวดูนี่สิครับ ว่าผมเจออะไร ปลาทูน่า ในน้ำมันพืช กับปลาทูน่าในน้ำเกลือครับ รู้ไหม เราสามารถเอาปลาทูน่าไปทำแกงเขียวหวานกินได้นะ

ผมทำเป็นด้วยล่ะ นี่เราซื้อไปสักสองกระป๋องดีกว่าเนอะ ไว้คราวหน้าผมจะทำให้ทาน กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือขนมจีนก็อร่อยเลยล่ะ”

*******************************
 :m16: รมณ์เสียเว้ย รมณ์เสีย เจอแฟนเก่า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-12-2008 17:42:06
จิ้มๆ พี่แอน  :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-12-2008 19:14:28
เข้ามาเป็นหน้าม้าให้คุณแอน  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 19-12-2008 19:57:29
 :o8:

มีหน้าม้าแล้วขอเปลี่ยนตัวเองเป็นหน้าหมาแทนละกัน

เป็นกำลังใจให้นะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~Kalianeko~ ที่ 19-12-2008 20:35:14
เดียร์นี่จ่ายตลาดเก่งจัง


เรียวเองก็ดูหวั่นไหวแล้วนี่น่า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 20-12-2008 02:58:02
อ่านกี่ทีๆๆ ก้อหมั่นไส้ ยัยอรจีรา เค่อะ  :beat:

6969 เลขจ๋วยโนะ  เดียร์น่าจะไปประมูลมาใช้นะเนี่ย คึคึ  :z1:

พ่อบ้าน พ่อเรือนแบบเน้  ... ปี้เรียว ไม่ร๊าก ก้อแย่แล้ว  อิอิ   :z2: 

 
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: TinaJunior ที่ 20-12-2008 12:38:54
ตามอ่านคับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-12-2008 21:20:42
 :sad4: ขอโทษโพสผิดตอน
มาใหม่ให้ละ


บทที่ 15




อรจิราเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ เธอมองผมกับเดียร์สลับกันไปมา ดวงตาจ้องจับผิด เดียร์ยังคงไม่รู้ตัว เขานัวเนียชิดใกล้ผม

เอาปลากระป๋องมายื่นให้ผมดู แล้วก็พูดไปเจื้อยแจ้ว ไม่ได้สนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า อดีตคนรักของผมมองเราสองคนไม่วางตา

สักพักใบหน้าสวยๆนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยัน เธอไม่พูดอะไร แต่ในความรู้สึกของผมบอกว่า มีบางอย่างที่อรจิราอยากจะพูดออกมา

เพียงแต่เธอคงไม่แน่ใจ และเรื่องนั้นต้องไม่ดีอย่างแน่นอน ถ้าให้เดากัน เรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่คงไม่พ้นเรื่องของผมกับเดียร์เป็นแน่

เธออาจจะไม่รู้ว่าเดียร์คือใคร แต่ผมคิดว่าเธอคงกำลังสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเด็กหนุ่มคนนี้ และคงจะหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่


“คุณอนันต์คะ ท่าทางคุณเรียวคงไม่ว่างซะแล้วค่ะ เราไปกันเถอะ”

อรจิราหันมาพูดกับคุณอนันต์ ทำท่าเหมือนหวังดี ไม่อยากรบกวนผม


“เดี๋ยวเราต้องไปก่อนนะ ซื้อของเสร็จก็ต้องไปอีกที่หนึ่งน่ะครับ วันหลังค่อยคุยกัน”

เขาบอกผมด้วยท่าทางเกรงใจ ไม่มีทีท่าวางโต ผิดกับแฟนเก่าของผมที่ทำท่าเชิดหยิ่ง กาลเวลาทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

อรจิราเดินคล้องแขนคุณอนันต์เดินจากไป แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่วายเหลียวหลังมามองผมและยิ้มเยาะให้

สายตาของเธอที่มองมามันเหมือนจะพูดกับผมเป็นนัยว่า หาใหม่ได้แค่นี้เองเหรอ พลาดจากฉัน ก็ไปมีแฟนเป็นผู้ชาย ช่างน่าสมเพช เวทนาจริงๆ



ผมรู้สึกหน้าชา เมื่อมองสบตาที่ดูหมิ่นดูแคลนนั้น เธอคงเข้าใจว่า ผมกับเดียร์เป็นแฟนกัน เพราะเจ้าเด็กนี่ก็นัวเนียใกล้ชิดกับผมไม่ยอมห่าง

ทำท่าเหมือนว่าเป็นคู่รักของผม อยู่ดีๆ อารมณ์โกรธผมก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ผมนึกเกลียดเจ้าเด็กลูกครึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆผม

เพราะเขาทีเดียวที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ ทำให้ผมถูกคนรักเก่า มองอย่างหยามเหยียด

เธอคงคิดว่าผมสิ้นท่า คว้าใครมาเป็นแฟนไม่ได้ เลยต้องกลายมาเป็นเกย์แน่ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งชังน้ำหน้าเดียร์ขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ


“เพื่อนของเรียวหรือครับ”

เดียร์ถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายังไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าผมเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว


“ผู้หญิงคนนั้นสวยดีนะครับ แต่แววตาร้ายๆยังไงไม่รู้ ทำท่าเชิด คอตั้ง จนผมนึกกลัวว่าคอเจ้าหล่อนจะเคล็ดเสียก่อน

แต่เพื่อนอีกคนของเรียวท่าทางดูใจดีจังเลย ผมว่าไม่ค่อยเหมาะสมกันสักเท่าไหร่ คู่นี้ท่าจะไปกันไม่ค่อยยืดนะ”



เด็กหนุ่มออกความเห็นพาดพิงไปถึงคนรักเก่าของผม สงสัยเดียร์คงจะไม่ค่อยชอบอรจิราเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะการวางตัวของอรจิรานั่นเอง

ที่ทำให้คนอื่นไม่ชื่นชมเธอสักเท่าไหร่ ทั้งที่ภาพลักษณ์ของเธอในสายตาคนภายนอก คือ สวย และ อ่อนหวาน และเป็นคนเก่งในเรื่องการงานพอตัว

“เรื่องของเขา จะไปยุ่งทำไม”


ผมพูดกับเดียร์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา เดียร์ชะงัก มองหน้าผม ตอนนี้เขาคงเริ่มผิดสังเกตกับอากัปกิริยาของผมที่เปลี่ยนไป

เพราะเมื่อครู่ผมยังพูดคุยยิ้มแย้มกับเขาตอนเลือกซื้อข้าวของด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับเคร่งเครียด จนแม้แต่ตัวผมเองยังรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่โกรธที่พุ่งพล่าน



เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรเลยหลังจากนั้น เขาเดินตามผมมาเงียบๆ ไม่ชวนคุย หรือเซ้าซี้ให้น่ารำคาญใจ

เขาคงรู้แล้วว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ก็เลยไม่อยากจะทำอะไรให้ผมโกรธมากยิ่งขึ้น



พอเราสองคนเดินผ่านตู้แช่ไอศกรีม เดียร์ก็หยุดยืนมอง ทำท่าละล้าละลัง ผมมองเขาอย่างนึกเคือง เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก

จะกินอะไรก็หยิบๆมาซะก็สิ้นเรื่อง มัวแต่รีรออยู่ได้ ผมขัดใจเลยถามเขาว่า จะเอาอะไร เขาก็บอกว่าอยากได้ไอศกรีม เพื่อเอาไว้กินหลังอาหารเย็น

ท่าทางเขาลังเลว่าควรจะหยิบหรือไม่หยิบดี ผมซึ่งกำลังหงุดหงิดอยู่แล้วเลยสั่งเขาเสียงห้วน ให้เลือกมาอย่างที่ต้องการ อย่าร่ำไร

เดียร์มองหน้าผมอย่างงงๆ เขาคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่เดียร์ก็ไม่พูดอะไร เขาปล่อยให้ผมงุ่นง่านอยู่คนเดียว โดยไม่พยายามจะเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ใดๆทั้งสิ้น



หลังจากได้ไอศกรีม รสชาติที่ต้องการ เขาก็พาผมไปซื้อคุ้กกี้ที่จะใช้ทำพาย และ แยมบลูเบอรี่ รวมถึงอุปกรณ์ทำเค้กต่างๆ

เราใช้เวลากับการเลือกของทุกอย่างเกือบชั่วโมงครึ่ง ผมเดินจนขาล้าแล้ว เพราะวันนี้เดินทั้งวัน ทั้งซื้อมือถือ และ ซื้อกับข้าว

อยากกลับไปพักผ่อนอยู่กับบ้าน วันนี้วุ่นวายจนเกินพอแล้ว



แต่ดูเหมือนว่าวันอันเลวร้ายของผมยังไม่ยอมสิ้นสุดลงทีเดียว ขณะที่เดียร์กับผม เข็นรถที่ใส่ข้าวของที่ซื้อตุนไว้จนเพียบมายังรถที่จอดไว้

ก็ให้มีอันต้องไปจ๊ะเอ๋ กับผู้บริหารฝ่ายขายที่มีเรื่องมีราวกับผม เรื่องที่เขาขายประกันให้กับเกย์ในวงเงินสูงมาก แล้วผมไปตัดในเรื่องสุขภาพออก

เพราะเขาซื้อไว้เยอะแล้วจากบริษัทอื่น และเข้าข่ายมีความเสียงที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจเกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตของเขา



ผู้บริหารคนนั้นเดินมาตามทางในที่จอดรถ กับผู้ชายอีกคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเกย์เหมือนกันกับเขา ทั้งคู่แสดงออกเหมือนกับเป็นคู่รักกัน

พอเห็นเราสองคน ผู้บริหารคนนั้นก็ทักทายผม และ หันหน้ามามองเดียร์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เหมือนสุนัขจิ้งจอกที่มองเห็นเหยื่อที่อ่อนแอกว่า

เขามองเราสองคนแล้วยิ้มแบบที่ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า เขาคิดว่าผมกับเดียร์ก็เป็นคู่เกย์เหมือนกัน รอยยิ้มนั้นมันทำให้ผมหน้าชาไปทั้งแถบ

มันดูเย้ยหยันพิกล ตอนที่กำลังจะลาจากกัน เขาเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วกระซิบเบาๆให้ได้ยินว่า ทีนี้ผมคงเข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว

และหวังว่าเคสที่กำลังมีปัญหากันอยู่ ผมจะช่วยอนุมัติให้มันผ่านไปด้วยดี จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วเดินจากไป
ผมขบกรามแน่น

อะไรมันจะซวยขนาดนี้นะ ทั้งคนรักเก่า และ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ทำไมต้องพากันมาที่ห้างแห่งนี้ด้วย

อารมณ์ของผมพลุ่งพล่าน โกรธจัด จนพาลไปทั่ว นึกโทษเดียร์ที่ทำให้ผมตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ โกรธเขาที่ชวนผมมาซื้อของ

ทั้งที่ควรจะกลับบ้านไปได้แล้ว แถมซ้ำยังมาคอยอยู่ใกล้ให้คนเข้าใจผิดอีกด้วย


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-12-2008 21:21:36
พอเอาของใส่หลังรถจนหมด ผมก็ขึ้นมาขับรถ นั่งหน้าบึ้งหน้าตึงไปตลอดทาง ไม่พูดไม่จา

เดียร์เองก็ฉลาดพอที่ใช้ความเงียบเป็นเครื่องมือที่ทำให้อารมณ์ของผมค่อยๆสงบลง แต่วันนี้ผมหงุดหงิดจนเกินพอแล้ว

ผมไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายทำให้ผมอารมณ์เสียอีก ถึงแม้ว่าเดียร์จะนั่งอยู่เฉยๆ ผมก็ยังไม่หายโมโหเขาอยู่ดี ดังนั้นพอขับรถถึงบ้าน ผมก็ไล่เขาลง



“กลับไปซะ วันนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”

ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา เดียร์ซึ่งนั่งเงียบมานาน ได้ฤกษ์ที่จะเปิดปากขึ้นมา


“ทำอย่างงี้ได้ไงล่ะ ก็ไหนบอกว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน แล้วทำไมถึงกลับคำ ไล่ผมกลับบ้านอย่างนี้ ทั้งที่เราก็อุตส่าห์ไปเดินเลือกซื้อข้าวของกันมา”

“ไว้วันหลังแล้วกัน ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ และก็ไม่หิวด้วย”

น้ำเสียงของผมเย็นชา


“เป็นอะไรไปหรือครับเรียว โกรธใครมาเหรอ สองคนนั่นที่เราเจอในห้าง หรือ ว่าผู้ชายสองคนที่เราเจอเขาที่ลานจอดรถ”

เด็กหนุ่มพยายามหาสาเหตุของการอารมณ์ไม่ดีของผม แต่ผมพูดปดใส่เขา


“ไม่มีอะไร ไม่มีใครทำให้ฉันโกรธหรอก”

“โกหก พวกนั้นต้องทำให้คุณอารมณ์เสียแน่ๆ โกรธคนอื่น แล้วมาพาลผมทำไม ผมทำอะไรให้เรียวล่ะ แล้วทำไมต้องมาทำลายช่วงเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันไป

ไม่พอใจพวกเขาก็ไปแสดงต่อคนพวกนั้นสิ มาทำใส่ผมทำไม”



น้ำเสียงของเด็กหนุ่มมีแววตัดพ้อ คำพูดของเดียร์ทำให้ผมคิดได้ จริงสิ เขาไม่ได้ทำอะไรให้ผมสักหน่อย ทำไมผมต้องไปโกรธเขาด้วย

ถึงจะสงสัยตัวเองว่าโกรธเขาทำไม มันก็ไม่ช่วยให้ผมคลายความโกรธลง ผมยังคงโกรธอยู่

คล้ายๆกับว่าผมต้องการหาแพะสักตัวเพื่อมารองรับอารมณ์โกรธของผม และเขาช่างอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ


“ตกลงนายไม่กลับใช่ไหม”

ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ยังแสดงความโกรธอยู่ เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ


“ไม่กลับ วันนี้เป็นวันของผม ผมจะอยู่กับเรียว ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม คุณจะโกรธ จะกราดเกรี้ยว จะโวยวาย จะหงุดหงิด ยังไงก็เชิญ

แต่ผมจะไม่ยอมให้วันของผมเสียไปเปล่าๆเพราะเรื่องแบบนี้แน่ ดังนั้น ผมจะไม่ไปจากบ้านคุณจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับแสดงออกถึงความดื้อดึง จะทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าสมควร



“ก็ได้” ผมก้าวลงจากรถ และพูดเสียงค่อนข้างดังท้าทายเขา

“ยังไงนายก็จะไม่ไปใช่ไหม ไม่ว่าฉันจะโกรธ หรือโมโหอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยจะดี ถ้าอยากจะให้ฉันเป็นปกติ

นายก็ช่วยฉันสิ เห็นบอกอยู่เสมอไม่ใช่เหรอ ว่ายินดีทำทุกอย่างเพื่อฉัน งั้นมานี่เลยมาช่วยทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นเดี๋ยวนี้เลย”


ผมคว้าแขนเขากระชากให้เดินตาม เปิดประตูบ้าน และลากเขาเข้ามาข้างใน จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอน

แล้วดึงแขนเดียร์พาไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ปลดเข็มขัดกางเกงออกจากกัน รูดซิบลง และชี้นิ้วสั่งเขา


“ถ้านายแน่จริงอย่างปากว่า ทำให้ฉันหายโกรธสิ ทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์ดีและผ่อนคลายมากขึ้น บางทีถ้านายทำดี ทำเก่ง ฉันอาจจะทบทวนเรื่องการรับนายเข้ามาในใจฉันก็ได้”



ความโกรธที่พุ่งพล่านจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามแท้ทีเดียว ที่ทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น เดียร์มีสีหน้าหม่นหมอง

แววตาที่เขามองผมเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำหน้าตาแบบนั้น แต่ความงุ่นง่านที่ถูกหยามเกียรติลูกผู้ชาย

ทำให้ผมโกรธจนขาดสติ ไม่นึกอะไรมากไปกว่าการทำอะไรก็ได้ที่จะประชดประชันตัวเองและคนทั้งโลก
อยากคิดว่าผมเป็นเกย์

อยากให้ผมชอบผู้ชายด้วยกันนักใช่ไหม ลองดูก็ได้ ดูสิว่าเดียร์จะเก่งขนาดไหน แน่พอที่จะทำให้ผมเปลี่ยนใจเดี๋ยวนี้ได้เลยหรือเปล่า

ในเมื่ออยากเห็นในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็นผมก็จะทำให้พวกเขาสมใจ



“ทำแบบนี้จะดีหรือครับ เรียวคิดว่าจะช่วยแก้อารมณ์โกรธที่คุกรุ่นในใจคุณได้เหรอ”

เด็กหนุ่มมองผมอย่างค้นคว้า ผมจ้องตอบ ความโกรธยังไม่จางลงจากใจ ยิ่งเห็นเขาพูดแบบนี้ ผมกลับยิ่งอยากท้าทาย


“ไม่กล้าใช่ไหม ความสามารถไม่พอล่ะสิ ทีหลังก็อย่ามาพูดว่ายินดีทำทุกอย่างเพื่อฉัน ทั้งที่นายก็ทำไม่ได้อย่างปากว่า”

“งั้นหรือครับ เรียวต้องการแบบนี้ใช่ไหม ได้เลยครับ ผมจะทำให้เรียวอย่างที่ต้องการ เกิดอะไรขึ้นมา อย่ามาโทษผมนะครับ เพราะเรียวเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ผมทำเอง”



เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งระหว่างขาของผม เขาปลดกางเกงผมออกจากตัว รูดลงมาถึงข้อเท้า แล้วก้มหน้าลงไป เดียร์ใช้ปากและลิ้นสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่น้องชายของผม

และใช้มือลูบไล้คลึงเคล้น ผมเอนตัวพิงพนักเบาะ และแอ่นสะโพกขึ้นเพื่อให้เขาได้อย่างเต็มที่ ปิดเปลือกตาลง เพื่อซ่อนความหงุดหงิด และความละอายไม่ให้เขาเห็น



ร่างกายส่วนนั้นของผมถูกเดียร์กลืนหายเข้าไปในปาก เขาหยอกล้อกับมันเป็นเวลานาน ดูเหมือนเขาใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปลุกเร้าอารมณ์ของผม

แต่ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์ เพราะน้องชายของผมกลับหลับใหลไม่ยอมรับรู้ถึงการกระตุ้นภายนอกที่เดียร์ทำอย่างต่อเนื่อง



ผมลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นเดียร์มองผมอยู่ก่อนแล้ว คิ้วของเขาขมวดมุ่น ท่าทางเริ่มหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าร่างกายของผมยังคงอ่อนปวกเปียก

ผมหัวเราะเยาะหยันเดียร์ออกมาดังๆ ก่อนจะพูดเสียงเย็นชาใส่เขา


“อ่อนหัด มีฝีมือแค่นี้เองน่ะเหรอ ไอ้หนูเอ๊ย”


มีสีแดงเรื่อเข้มขึ้นที่หน้าของเด็กหนุ่ม แม้ว่าเขาจะมีสีผิวออกน้ำตาลทอง แต่ผมก็สามารถมองเห็นได้ ดวงตาของเด็กหนุ่มดูกร้าวขึ้น

เขาก้มหน้าลงไปทำต่อ ลงมือและปากหนักขึ้น แต่นั้นก็ไม่ช่วยให้ผมเกิดอารมณ์แต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเราทั้งคู่ต่างก็หงุดหงิด

อารมณ์ของผมยังคงขุ่นมัวจากสิ่งที่เจอ ส่วนเดียร์คงนึกโกรธที่เขาไม่สามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้เหมือนเดิม


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-12-2008 21:22:31

“ทำไมวันนี้ถึงไม่มีอารมณ์เหมือนครั้งก่อนๆนะ”


เขาถอนริมฝีปากออกจากน้องชายผม พึมพำเบาๆอย่างไม่เข้าใจ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มองจ้องผมด้วยแววตาที่บอกอารมณ์หลากหลาย

แล้วเกิดตัวสั่นระริกขึ้นมา ไม่ใช่จากอารมณ์ปรารถนา แต่จากความพยายามจะดับโทสะของตัวเองลง เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันบ้ามาก

ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ผมโกรธคนเดียวไม่พอ แต่กลับลากคนอื่นให้มาอารมณ์เสียแบบเดียวกับตัวเองด้วย

โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่พยายามที่จะทำดีกับผมทุกอย่าง นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมถึงต้องไปลงเอากับเดียร์ด้วย



อันที่จริงมันไม่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มนี่โดยตรงหรอก แค่ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นไอ้ขี้แพ้ ที่ถูกแฟนเก่าเยาะเย้ยด้วยสีหน้าและแววตา ก็เลยเกิดโมโหขึ้นมา

แถมซ้ำยังมาเจอผู้บริหารที่เป็นคู่ปากคู่ปรับกับผมอีก คำพูดถากถางของเขาทำให้ผมไม่พอใจ เขาเห็นว่าผมเป็นพวกเดียวกับเขาไปแล้ว

และกำลังพยายามใช้สิ่งที่เขาเข้าใจไปเองมาต่อรองเพื่องานของตน ซึ่งผมคิดว่ามันออกจะเกินไปหน่อย แล้ว
ส่วนที่ผมโกรธเดียร์อาจจะเป็นเพราะเขาไม่พูดอะไรเลยต่างหาก


ผมอยากได้ยินคำพูดปลอบประโลมจากปากใครสักคน คำพูดที่ทำให้ผมมีกำลังใจและเข้มแข็งขึ้น สามารถที่จะยืนหยัดกับสิ่งที่ผมเห็นว่าถูกต้อง

ตามปกติเด็กนี่จะพูดคุยอยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้กลับเอาแต่เงียบ ซึ่งมันอาจจะเป็นความผิดของผมด้วยส่วนหนึ่งที่หน้าบึ้ง และอารมณ์เสียจนเขาไม่กล้าเข้าหน้า



“เด็กโง่เอ๊ย” ผมว่าเขา

“เวลาที่หงุดหงิดไม่สบายใจ ต่อให้พยายามอย่างไร มันก็ไม่มีอารมณ์หรอก นายนี่มันอ่อนหัดอย่างที่ฉันว่าจริง”

ผมดึงตัวเขาขึ้นมาจากส่วนล่างของร่างกายผม แล้วกอดเขาไว้ แค่นี้ก็พอแล้ว ผมรับรู้ถึงความพยายามที่เขาจะทำให้ผมรู้สึกดีแล้ว ไม่ต้องทำไปมากกว่านี้หรอก



“ขอโทษนะ ที่หงุดหงิดใส่ ฉันมันบ้าไปเองแหละ”


เดียร์กอดตอบผมอย่างแนบแน่น เขายังคงไม่พูดอะไรเช่นเคย แต่ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากตัวเขามาสู่ตัวผม มันบอกอะไรได้มากมาย

หัวใจของผมแนบกับอกด้านขวาของเขา และหัวใจของเขาแนบอยู่ที่หน้าอกด้านขวาของผมเช่นกัน มันเต้นระรัวในตอนแรก แล้วค่อยๆเต้นช้าลงสู่ระดับปกติ

เด็กหนุ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน



“เรียวครับ คราวต่อไป อย่าโมโหแล้วทำแบบนี้อีกนะ ผมน่ะชอบอยู่หรอกที่ได้ทำกับเรียว แต่ถ้าทำเพราะเรียวต้องการประชด

ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกที่อยากจะทำจริงๆ ผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ ทำแบบนี้ไม่ดีกับทั้งตัวเอง แล้วก็ยังทำร้ายคนอื่นด้วย

ผมน่ะเข้าใจเรียวครับว่าเรียวคงโกรธคนพวกนั้น ก็เลยมาระบายกับผม ซึ่งผมก็ยินดีถ้าหากมันจะช่วยทำให้คุณดีขึ้น

ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียวหงุดหงิดได้ขนาดนั้น แล้วผมก็ไม่อยากจะรู้ด้วย แต่อยากจะขอร้องให้เรียวลืมมันไปเสียเถอะนะครับ

อย่าได้เก็บมาคิดอีกเลย มันจะทำให้คุณไม่สบายใจเปล่าๆ”
ผมกอดเขาแน่นเข้า รู้สึกขอบคุณเด็กหนุ่ม คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา ทำให้อารมณ์ของผมแช่มชื่นขึ้น มันมีความรักและหวังดีปนอยู่ในคำกล่าวเหล่านั้นของเขา


“ไปทำกับข้าวกันเถอะ เห็นบอกว่า วันนี้จะทำมักกะโรนีผัดผงกะหรี่ให้ฉันกินนี่ ทำให้อร่อยๆนะ จะเตรียมท้องรอ”



ผมคลายมือออกจากการกอดรัดเดียร์ ดันตัวเด็กหนุ่มออกจากตัว แล้วจัดการสวมกางเกงที่ถูกเดียร์ปลดออกไปกองที่ข้อเท้า

ยิ้มให้เขาก่อนที่จะลุกขึ้น เดียร์ยิ้มตอบ เราต่างคนต่างมองหน้ากัน มีความเข้าอกเข้าใจเกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา


ใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมาสดชื่นตามปกติ เขาเดินตามผมเข้าไปในครัวติดๆ


เราสองคนช่วยกันทำอาหารมื้อเย็น และนั่งกินด้วยกันเงียบๆ เดียร์ไม่ชวนคุยเหมือนเดิม แต่คอยยิ้มให้กำลังใจผมตลอดเวลา

ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะผมยังรู้สึกละอายกับสิ่งที่ทำเมื่อตอนบ่ายอยู่เลยไม่อยากจะพูดอะไรมาก เดี๋ยวอารมณ์ที่สงบลงแล้วจะคุกรุ่นขึ้นมาอีก



หลังอาหารมื้อนั้น ผมช่วยเขาล้างจานเสร็จ ก็ขอตัวขึ้นนอนเลย เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องงอแง ขอให้ผมกอดเขาเหมือนเคย

ดูเหมือนเขาจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ว่าในยามนี้ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวจะดีที่สุด ผมเอาผ้าห่มนวมกับหมอนลงมาให้เขา แล้วก็กลับเข้าห้อง

ตั้งใจว่าจะหลับแต่หัวค่ำ พักผ่อนสักหน่อย น่าจะทำให้ผมตื่นมาด้วยสมองที่ปลอดโปร่ง แต่หลังจากที่พลิกซ้ายพลิกขวา พยายามข่มตาให้หลับอยู่เกือบชั่วโมงก็ไม่เป็นผล

ผมเลยลุกขึ้น แล้วออกจากห้อง เดินลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรมากินแก้เซ็งแล้วไปนั่งดูทีวีระหว่างรอให้ตัวเองง่วง

ผมไม่อยากพึ่งยานอนหลับ แล้วก็ไม่คิดว่าการกินอะไรก่อนนอน จะช่วยให้ผมหลับสบายขึ้น แต่เนื่องจากผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีกว่านี้

จึงเลือกที่จะดูทีวีกับกินของว่างเป็นคำตอบสุดท้าย



ตอนที่ผมเดินลงมาผมไม่ได้มองไปที่ห้องรับแขกที่เดียร์นอนอยู่ แต่ตอนเดินกลับออกมาจากห้องครัว ผมสังเกตว่าท่ามกลางความมืดสลัว

มีแสงสว่างลอดออกมาจากเครื่องรับทีวีที่อยู่ในห้องรับแขก เจ้าเด็กบ้านั่น นอนหลับโดยลืมปิดทีวีหรือเปล่านะ
ผมเดินตรงมาที่โซฟาที่เดียร์ใช้อาศัยเป็นที่นอน

ปรากฏว่าเด็กหนุ่มไม่ได้หลับอย่างที่ผมเข้าใจ เขากลับนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นห้อง โดยเอาหลังพิงกับด้านหน้าของโซฟา ตาจ้องเป๋งไปที่ภาพบนจอที่วี

ในขณะที่มือจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่เขามักจะพกติดตัวไปด้วยเสมอๆ ท่าทางตั้งอกตั้งใจมากกับสิ่งที่ตนเองทำ

ผมอดอมยิ้มไม่ได้ พลางนึกสงสัยว่าดึกแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ยังมัวมาทำอะไรอยู่หน้าจอทีวีหนอ กำลังเรียนหนังสือจากสื่อการเรียนประเภทวิดีโอหรือเปล่า

หรือว่า เป็นโปรแกรมเรียนภาษาอย่างที่เขาบอกว่าเขากำลังเรียนอยู่ ความสนใจใคร่รู้ทำให้ผมนั่งลงบนโซฟา ใกล้ๆกับที่เขานั่ง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง


“ทำอะไรอยู่น่ะ เรียนหนังสืออยู่เหรอ”


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-12-2008 21:23:35

เดียร์สะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงผม เขาหันมามอง ท่าทางตกใจมาก


“เรียว ทำไมยังไม่นอนอีกครับ”

“นอนไม่หลับ อาจจะหงุดหงิดจนเกินกว่าที่จะนอนได้มั้ง”

ผมบอกเขายิ้มๆ อันที่จริงผมหายโกรธกับเรื่องเมื่อตอนกลางวันแล้ว แต่อยากแหย่เขา


“อื้อ อย่าเก็บเรื่องไม่สบายใจเก็บไว้กับตัวนานๆนะครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพกาย และใจของเรียวอ่ะ”


น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแฝงไว้ด้วยความกังวลใจ เขาคงคิดว่าผมยังไม่หายโกรธจริงๆ ความห่วงใยที่เขามีต่อผม ทำให้ผมอดที่จะรู้สึกดีกับเขาไม่ได้ ผมยิ้มให้เด็กหนุ่ม


“ฉันรู้น่า มันไม่เกิดขึ้นอีกแล้วล่ะ ฉันแค่หงุดหงิดกับเรื่องบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้หายแล้ว เออ แล้วนายทำอะไรอยู่เหรอ เห็นกำลังจดยิกๆเลย ภาษาอังกฤษเหรอ”



ผมถามเด็กหนุ่ม เดียร์หลบตาผม พูดอ้ำๆอึ้งไม่เต็มเสียง ว่ากำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ผมยิ้มให้เขาอย่างนึกเอ็นดู

เสียงโทรทัศน์ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เป็นคำสนทนาภาษาอังกฤษ มีคำบางคำที่ผ่านเข้ามาแล้วสะกิดใจผม ทำให้ผมต้องหันไปมองภาพบนจอโทรทัศน์ที่กำลังเปิดอยู่

แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสิ่งที่เดียร์บอกว่ากำลังศึกษาอยู่



ภาพที่เคลื่อนไหวบนจอ เป็นภาพของฝรั่ง ชายหนุ่มสองคน กำลังพูดคุยกัน ออกไปในทางที่ส่อไปถึงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กัน

จากนั้นหนุ่มทั้งสองก็โผเข้ากอดรัดกันด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงจนล้มลงไปนอนบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคู่จูบกันอย่างหื่นกระหาย

ลูบไล้คลึงเคล้ากันอย่างเมามัน จากนั้นหนุ่มคนที่อยู่ด้านบน ก็เลื่อนตัวลงมาที่กลางลำตัวของอีกคนหนึ่ง แล้วปลดกางเกงลง

จากนั้นก็จัดการกับร่างกายส่วนนั้นของหนุ่มที่นอนอยุ่บนเตียง



ใบหน้าของผมร้อนวูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มีความรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังตื่นตัวขึ้น ผมตกตะลึงเมื่อสำเหนียกได้ว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพราะผมได้บังเอิญเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น นั่นคือ การมีเซ็กส์กันระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย ภาพบางอย่างมันช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน

โดยเฉพาะตอนที่หนุ่มคนแรกกำลังใช้ปากทำโอษฐกามให้กับคู่ของตน พลันผมก็นึกถึงสิ่งที่เดียร์ทำกับน้องชายของผมขึ้นมา

ผมหันไปมองเดียร์ทันที ก็เห็นเดียร์จ้องมองผมด้วยดวงตาแวววาวอยุ่ก่อนแล้ว


เขายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับผม ตามองต่ำลงไปที่กางเกงนอนซึ่งน้องชายของผมกำลังพองตัวดันขึ้นมา ผมตัดสินใจลุกขึ้น

แต่ก็ช้าไปกว่าเดียร์ เด็กหนุ่มคว้าข้อมือของผมเอาไว้ แล้วฉุดให้นั่งลงอีกครั้ง ก่อนที่จะพลิกตัวมาแทรกอยู่ตรงหว่างขาของผม


“เรียวมีอารมณ์แล้วเหรอครับ ผมช่วยปลดเปลื้องให้นะ”

“ไม่”


ผมปฏิเสธ ขยับตัวจะลุกหนี แต่เดียร์ใช้สองมือโอบเอวผมไว้ แล้วแนบหน้ามาซบอยู่ตรงหว่างขาของผม เขาแตะริมฝีปากเบาๆลงไปตรงส่วนที่โป่งพองนั้น

“ให้ผมทำนะ แก้ตัวจากเมื่อตอนกลางวันที่ผมทำพลาด”

“ขอโทษนะ กับเรื่องเมื่อกลางวัน ฉันกำลังโกรธ เลยท้าทายออกไปน่ะ”

“ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ผมแค่อยากจะทำให้เรียวได้รู้ว่า ผมไม่ใช่ไอ้เด็กอ่อนหัดอย่างที่คุณเข้าใจ ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้คนเห็น ว่าผมทำให้คุณมีความสุขได้จริง”



เด็กหนุ่มเอามือข้างหนึ่งมาเขียนรูปหัวใจขยุกขยิกลงไปบนน้องชายของผมหลายดวง


“นะครับ ผมอยากลองอีกครั้ง ว่าที่ผมทำไม่สำเร็จ เป็นเพราะว่าคุณโกรธจนไม่มีอารมณ์ หรือ เป็นเพราะว่าผมมันไร้ฝีมือจริงๆ

ถ้าผมทำให้คุณมีความสุขไม่ได้ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอีกต่อไป ขอลองดูแค่ครั้งนี้นะครับ”



เขาเป่าลมหายออกจากปากรินรดน้องชายของผม จนอุ่นวาบ ดูเหมือนยิ่งไปเร่งให้เรียวน้องคึกคักขึ้นมาอีก ผมเบือนหน้าหนีเขา

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ภาพบนจอก็ตามมาหลอกหลอน จนผมต้องหันกลับมามองเขาอีกครั้ง เดียร์มองผมด้วยดวงตาอ้อนวอน จนผมเกิดความสับสนในใจ


อะไรบางอย่างสั่งให้ผมพยักหน้าให้เขา ไม่ใช่เพราะคำพูดที่ว่า เขาจะไม่ทำอีกต่อไป หากทำไม่สำเร็จ แต่มันอาจจะเกิดเพราะอารมณ์ปรารถนาที่กำลังก่อตัวขึ้น

เดียร์ยิ้มให้ผมอย่างพึงพอใจ เขารูดกางเกงนอนของผมลงไปกองที่ข้อเท้า และก้มหน้าลงมาหยอกล้อน้องชายของผม ที่คึกคักเต็มไม้เต็มมือของเขา



ผมแหงนหงายใบหน้าพิงกับพนักเบาะ ก้นลอยแทบไม่ติดพื้น รู้สึกเกร็งไปหมดด้วยความซ่านสยิว เดียร์ใช้สองมือช้อนสะโพกของผมไว้ และบีบเคล้นไปมา

ลิ้นของเขาพลิกพลิ้ว เด็กหนุ่มลากลิ้นไปทั่วลำตัวน้องชายของผม และเลื่อนต่ำมาตรงก้นกบ เขาฉกลิ้นแลบเลียลงไปตรงปากช่องทางนั้น

ผมสะดุ้งเฮือก ผงกศีรษะขึ้น ก็เห็นเดียร์ส่งยิ้มตาหวานฉ่ำมาให้ ผมกดศีรษะของเขาลงมาที่ท้องน้อยของผมมากขึ้น แล้วเด้งเอวสวนขึ้นไป

ความปรารถนาที่ต้องการได้รับการปลดเปลื้องอารมณ์มีอยู่ท่วมท้น ผมถึงกับครางกระเส่า ไม่เป็นภาษา เมื่อเดียร์ดูดเน้นน้องชายของผมแรงๆสองสามครั้ง

ในเวลาไม่นาน ผมก็บรรลุถึงจุดหฤหรรษ์จนทะลักทลายความสุขออกเต็มปากเด็กหนุ่ม



“ในที่สุดผมก็กู้ศักดิ์ศรีของผมคืนมาจนได้ ทีนี้ก็ยอมรับได้แล้วนะครับว่าผมสามารถทำให้เรียวมีความสุขได้จริงๆ”


ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มยั่ว ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ผมยิ้มด้วยจำนนต่อความเป็นจริง เด็กหนุ่มคนนี้ สามารถปลุกเร้าอารมณ์ผมให้เตลิดเพริดไปกับความสุขทางเพศรสที่เขามอบให้

ผมยอมรับอย่างไม่ละอายว่า ผมถึงจุดสุดยอดทุกครั้งที่เด็กหนุ่มใช้ปากให้กับผม ต่างจากที่ผมเคยถูกทำโดยแฟนสาวและผู้หญิงคนอื่นๆ

พวกเธอไม่เคยทำให้ผมรู้สึกซาบซ่านวาบหวิวแบบที่เดียร์ทำให้ผมมาก่อนเลย


“คราวหลังเรียกใช้บริการผมอีกได้นะครับ”


เดียร์ทำเป็นยืดอกด้วยความภาคภูมิใจตนเอง ผมอดที่จะหมั่นไส้เด็กหนุ่มไม่ได้ เจ้าเด็กบ้านี่ ทำเป็นทะเล้นอีกแล้ว

แต่ก็เพราะว่าความหน้าเป็น ทะเล้น ทะลึ่งของเขามิใช่หรือที่ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีไปด้วย


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-12-2008 21:24:32

“น่าจะทำเป็นอาชีพเสริมนะ ท่าทางภูมิใจในฝีมือตัวเองเหลือเกิน”


เด็กหนุ่มละมือจากกางเกงนอนที่สวมใส่ให้ผมตามเดิม ทำตาโตใส่ผม เมื่อได้ยินคำค่อนขอดนั้น เขาโต้ตอบผมด้วยการย้อนถามน้ำเสียงทะเล้นทะลึ่งว่า


“หรือว่าเรียวไม่เห็นด้วยล่ะครับ”

“แล้วไอ้ที่เปิดดูหนังโป๊ แล้วมานั่งจดน่ะ มันคืออะไรล่ะ จดข้อมูลเกี่ยวกับอะไรเหรอ วิธีการมีเซ็กส์หรือไง ถ้ามั่นใจแล้วทำไมต้องจดด้วย”


ผมถามเขาจี้ใจดำ เด็กหนุ่มทำท่าอายๆ



“ก็เมื่อตอนบ่ายอ่ะ เรียวทำเอาผมสูญเสียความมั่นใจไปมากเลย ที่เรียวไม่เกิดอารมณ์ ผมก็เลยคิดว่า ผมอาจจะมือตก หรือว่า ทำเทคนิคอะไรผิดพลาดไป

ก็เลยมาเปิดหนังโป๊ดู เพื่อศึกษาข้อมูลดูอ่ะครับ ว่าผมได้หลงลืมอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า กะว่าจะดูเงียบๆคนเดียว

ไม่คิดว่า เรียวจะลงมาเจอ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะพอเรียวได้ดูเรียวก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา มันทำให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองให้หายสงสัยเสียที

คราวนี้ผมรู้แล้ว ว่าผมเก่งพอตัวเลยล่ะ ไม่งั้นคงทำให้เรียวมีความสุขครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้หรอก”



เขาทำท่าปลาบปลื้ม ผมเลยได้ทีที่จะแหย่เขาเรื่องที่เขาไม่สามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้


“แต่เมื่อกลางวันน่ะไม่ได้เรื่องเลยนะ”

“แหม ก็ตอนนั้นอ่ะเรียวโกรธอยู่เลยไม่มีอารมณ์นี่”


เขาแย้งเสียงหลง ผมยักไหล่


“นั่นแหละ ถ้ามีฝีมือจริงๆ ต่อให้ฉันอารมณ์เสียแค่ไหน ถ้านายเก่งจริงตามปากว่า ก็คงสามารถทำให้ฉันเคลิบเคลิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาได้”


เด็กหนุ่มหรี่ตามองผมอย่างประเมินสถานการณ์ แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้าระรื่นขึ้นมาทันที


“เอ๊ะ ที่พูดนี่หมายความว่าไงหรือครับ เป็นการพูดเปิดทางให้ผมหรือเปล่า ว่าสามารถทำกับเรียวได้ทุกสภาวะอารมณ์ ช่วยยืนยันอีกทีสิ ว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง”

“โรคคิดไปเองฝ่ายเดียว กำเริบอีกแล้วล่ะสิ งั้นเชิญอยู่กับตัวเองไปแล้วกัน ฉันไปล่ะ”


ผมลุกขึ้น ไม่อยากอยู่คุยต่อ เพราะคุยทีไรเข้าตัวเองทุกที


“หนีความรู้สึกตัวเองอยู่เรื่อยเลย เรียวน่ะ ชอบหลอกตัวเองอยู่ได้ ทำไมไม่ยอมรับกับตัวเองบ้างล่ะครับว่าตัวเองน่ะเหงามากๆ”


เด็กหนุ่มลุกตาม แล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“ใครกัน ฉันไม่เคยเหงาเลยสักครั้ง”

“แต่ตาเศร้าๆของเรียวมันฟ้อง มันคอยจะบอกผมว่า เรียวอยากมีใครสักคนมาอยู่ด้วย ผมถึงอาสาไงครับ อยากอยู่ข้างๆเรียวไปตลอดไปนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่คนเดียวได้”


ผมปฏิเสธเด็กหนุ่ม ด้วยไม่เคยที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างที่เขาว่า

“คงจะนานมากสินะครับ กับการที่ไม่มีใครเลย”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วยล่ะ อยู่ๆก็พูดแบบนี้ นายกำลังจะบอกอะไรฉันเหรอ”

“เรียวน่ะ ไม่มีใครอยู่ด้วยนานมาก จนทำให้ลืมวิธีที่จะอ้อนคนอื่นไปแล้วใช่ไหมครับ อ้อนแบบคนรักเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ก่อนหน้านั้นเรียวอาจจะไม่มีใครเลย แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่เพื่อเรียว จะเป็นไรไปล่ะครับ ถ้าจะลองเริ่มต้นใหม่

ผมยินดีที่จะเป็นตัวทดลองให้เรียวได้ทดสอบการอ้อนคนอีกครั้ง โดยไม่คิดค่าเสียเวลาเลยครับ”



น้ำเสียงออดอ้อน แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย กับสีหน้าและแววตาที่จริงใจของเขา มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอีกแล้ว

ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่อาจจะทำใจยอมรับในสิ่งที่เขาพูดได้ ผมไม่ได้เหงามากขนาดนั้นหรอก ผมยังอยู่คนเดียวได้

แล้วทำไมผมจะต้องไปอ้อนเจ้าเด็กนี่ด้วย พิลึกจริงเชียว ให้ผู้ชายต่อผู้ชายมาอ้อนกันนี่นะ เป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง


“บ้า”

“นะครับ ลองอ้อนผมดู ขอร้องผม ในสิ่งที่เรียวอยากได้ แล้วผมจะให้ในสิ่งที่เรียวต้องการ”

“งั้นฉันต้องการให้นายไปนอนได้แล้ว อย่าหมกมุ่นกับเรื่องทางเพศให้มันมากนักนะ เป็นเด็กเป็นเล็ก หนังสือหนังหายังต้องเรียน

ยังต้องมีอนาคตอีกไกล มัวแต่ใส่ใจอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆอยู่ได้ เดี๋ยวเรียนไม่จบจะรู้สึกหรอก นี่ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน”


“อ๊า ใช้ไม่ได้เลย นี่ไม่ใช่วิธีการอ้อน มันเป็นการออกคำสั่งกัน เรียวลองใหม่อีกทีสิครับ พูดแบบนี้ก็ได้……

เดียร์จ๋า ดึกแล้วนะคนดี ไปนอนพักผ่อนได้แล้ว เป็นห่วงรู้มั๊ย……พูดแบบนี้อ่ะครับ เป็นไหม”



เด็กหนุ่มทำเสียงอ่อนเสียงหวานสอนให้ผมพูดตาม ผมอดหัวเราะไม่ได้


“ใครจะไปพูดแบบนั้น เจ้าเด็กบ้า ฟังแล้วอยากจะอ้วกมากกว่า ไม่เห็นว่ามันจะดูซาบซึ้งตรงไหนเลย”

“โห เรียวลองพูดดูสิ ผมชอบนะ หวานๆซึ้งๆ เวลาพูดให้กัน ไม่ใช่คำพูดห้วนๆแบบที่เรียวพูดกับผมบ่อยๆ ผม

ชอบฟังถ้อยคำแสดงความห่วงใย แล้วก็ชอบพูดด้วย ถ้าเป็นผมนะ ผมจะพูดกับเรียวแบบนั้นแหละ”


“ไม่เอาหรอก ฟังเองยังรู้สึกตลกเลย ถ้าให้พูดคงทำให้คลื่นไส้แน่”

“ใจร้าย ไม่โรแมนติกเลย เรียวนี่ แต่ผมไม่ละความพยายามหรอก ผมต้องทำให้เรียวพูดหวานๆให้ได้ คอยดูต่อ
ไปสิ”


เด็กหนุ่มบอกอย่างมาดมั่น

“ไม่มีทางหรอก เชิญฝันต่อไปเถอะ”


ผมบอกเขา ไม่คิดว่าจะมีวันนั้นสำหรับตัวเอง วันที่ต้องพูดจาหวานแหววกับผู้ชายด้วยกัน


“เรียวครับ ดึกแล้วนะครับ ไปนอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆนะ แล้วฝันถึงผมด้วยล่ะ ผมจะคอยดูแลคุณแม้กระทั่งในความฝัน

จะช่วยทำให้คุณได้รับความสะดวกสบายเต็มที่เลย ผมรักและห่วงใยคุณมากเลยนะครับยอดรักของผม”



เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมนึกขำในใจที่เดียร์เอ่ยปากให้ผมไปนอน ทั้งๆที่ผมเป็นเจ้าของบ้านนี้ แล้วก็เป็นผู้ใหญ่กว่า

แถมซ้ำผมยังไล่ให้เขาไปนอนก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นกับผมอีกด้วย อีกทั้งคำพูดของเขาก็ดูตลก ดูเชย ยังกับลิเกแน่ะ


“งั้นฉันไปนอนแล้วนะ นายก็ปิดโทรทัศน์แล้วก็นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ เดี๋ยวก็ไปสายอีก
หรอก”


เด็กหนุ่มมองผม ยังไม่ยอมขยับตัว ผมมองหน้าเขางงๆ


“ไม่กอดและจูบราตรีสวัสดิ์เหรอ รออยู่นะ”


ในที่สุดเด็กหนุ่มก็พูดสิ่งที่ต้องการออกมา ผมยืนนิ่ง ชั่งใจว่าจะให้ตามที่เขาขอหรือไม่ แต่พอสบตาที่มองมา
อย่างมีความหวัง

ผมก็ใจอ่อน ดึงตัวเขามากอดเร็วๆ แล้วก็ผลักออก เดียร์กะพริบตาปริบๆ จ้องผมอย่างงงๆ


“อะไรเนี่ย กอดแค่นี้เองเหรอ”

“พอแล้ว ให้ได้แค่นี้ อย่าหวังอะไรให้ไกลเกินตัวนักเลย”

“ใจร้าย ไม่น่ารักเลย”

“ช่วยไม่ได้ ไม่ได้ให้มารักด้วย รู้ว่าฉันไม่ดีพอ ก็ตัดใจซะเถอะ”


ผมยักไหล่ ทำเป็นไม่ใส่ใจกับท่าทีงอแง แบบเด็กๆนั่น เดียร์สั่นหัวไปมา


“ไม่มีวัน ไม่ยอมแพ้หรอก วันหนึ่งข้างหน้า คุณจะรักผมหมดใจ แล้วยอมกอด จูบผมด้วยตัวเอง และจะอ้อนพร้อมกับพูดคำหวานหูกับผมด้วย”


เขาประกาศก้อง ผมเบะปากยักไหล่ ไม่เชื่อว่าจะมีวันนั้น พลางหันหลังเดินกลับขึ้นห้องนอนของตัวเอง


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-12-2008 21:32:39
เช็อะ อิจฉาตาเรียว  :man1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 20-12-2008 23:00:35
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

เค้าโกรธไต๋แล้ว ฮือ ๆๆๆ

อ่านไม่ทันซักที  โพสมาเยอะแยะไปหมดเลย

(เอ๊ะน้อยไปก็บ่น  เยอะไปก็บ่น  :beat: :beat: :beat:)

แต่ยังไงก็ยังจะอ่านต่อไป

สุขี สุขี  :m1: :m1: :m1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 21-12-2008 14:07:59
โอ๋ไม่โกรธนะAsahi โพสวันละตอนไง  :z1:

บทที่ 16



วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไปๆมาๆผมก็คบกันเป็นแฟนกับเดียร์ได้สามอาทิตย์แล้ว เป็นสามอาทิตย์ที่ชุลมุนวุ่นวายพอสมควร

ผมต้องปรับตัวปรับใจให้เข้ากับความเคยชินใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นตื่นขึ้นมาก็มีหนังสือพิมพ์และอาหารเช้ามาห้อยไว้ตรงประตูรั้วทุกวัน

ยกเว้นวันอาทิตย์ที่เดียร์จะมาหาผม พร้อมทำอาหารให้ทาน นอกจากนี้เดียร์ยังโทรศัพท์มาหาวันละ สองถึงสามครั้ง ตามเวลาอาหาร 3 มื้อ และก่อนนอน

เรื่องที่พูดคุยส่วนใหญ่ ก็จะเป็นในลักษณะให้ผมทำโน่น ทำนี่เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพตนเอง คำพูดขอร้อง กึ่งสั่งการให้ผมทานข้าว เยอะๆ พักผ่อนให้มากๆ

อย่านอนดึก ดื่มน้ำบ่อยๆ เป็นสิ่งที่ผมได้ยินประจำตลอดสามสัปดาห์นี้


ไหนจะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งเดียร์คอยนัวเนียเอาอกเอาใจทำกับข้าว กับปลาให้ผม ล้างถ้วยชาม ทำความสะอาดบ้านช่องให้

ผมต้องแย่งเด็กหนุ่มทำแทบทุกครั้ง เพราะไม่อยากเอาเปรียบเขา ตามปกติ เวลาที่ผมอยู่บ้านคนเดียว ผมจะค่อยๆทำไปเรื่อยๆ

ไม่ได้ซีเรียสว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เพราะถึงอย่างไรผมก็สามารถทำได้อย่างเรียบร้อยภายใน 1 วัน แต่เมื่อมีเดียร์มาช่วยทำนั่นทำนี่

ก็เลยทำให้งานมันเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผมสบายอย่างบอกไม่ถูก


และที่ทำจนเป็นประจำ ทุกครั้งที่เจอกันคือก่อนนอนทุกคืน เจ้าเด็กบ้านั่น จะเรียกร้องให้ผมกอดหรือจูบเขา ถ้าไม่ได้ ก็จะงอนไม่ยอมนอน

แรกๆผมก็รำคาญที่เจ้าเด็กนี่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักโต พยายามที่จะไม่สนใจคำขอของเขา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งดีๆที่เขาทำให้ ผมก็ใจแข็งไม่ลง

กอดตอบเขาบ้างโดยนึกเอาว่ากำลังกอดน้องชายคนหนึ่ง



ดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยพอใจนักที่ผมกอดอย่างไร้อารมณ์ ทว่าเด็กหนุ่มก็บังคับผมไปมากกว่านี้ไม่ได้ เขาจำต้องยอมรับเท่าที่ผมหยิบยื่นให้

พร้อมทั้งประกาศว่าเขาจะทำให้ผมรักเขา เห็นความสำคัญกับเขาให้ได้ในวันหนึ่งทุกครั้ง ซึ่งผมก็ทำเป็นเฉยกับเป้าหมายที่ลั่นวาจาไว้นั้น

ไม่อยากสนับสนุนให้กำลังใจ หรือด่าทอให้ห่อเหี่ยว การเงียบเฉยของผมดูเหมือนจะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงได้ดีที่สุด



ในขณะที่ผมวุ่นวายอยู่กับการปรับตัวให้เคยชินกับการกวนใจของเดียร์ งานที่ผมทำอยู่ก็ทวีความหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ

เคสที่ส่งเข้ามาใหญ่ขึ้นและยากต่อการพิจารณามากกว่าเดิม เนื่องจากตัวแทนเร่งทำยอดให้มาก จึงขายประกันในวงเงินสูงๆ

ซึ่งคนที่จะมีเงินขนาดนั้น ก็เป็นพวกคนร่ำรวย อายุมากๆ ที่ทำแต่งานไม่ค่อยสนใจเรื่องการออกกำลังกายหรือการดูแลตัวเอง

แถมบางคนยังเสี่ยงภัยจากโรคด้วย ผมได้รับโทรศัพท์ไม่ว่างเว้นในแต่ละวัน จนต้องโอนสายไปให้เลขารับเรื่องแทน

ทั้งผู้บริหารและตัวแทนที่ผมปฏิเสธเคสของเขา หรือลดวงเงินลูกค้า พากันโทรมาด่า หาว่าผมตัดหนทางพวกเขา

บางคนด่าหยาบคาย บางคนขู่จะฟ้องหัวหน้าของผม แม้ว่าผมจะพยายามอธิบายโดยยกเหตุผลต่างๆมาอ้าง พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง

แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่หวั่นไหว ยังคงเดินหน้าทำงานบนความถูกต้องตลอดเวลา จะมีอนุโลมบ้าง ถ้ามันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก

แต่ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงผมก็ยินดีที่จะปะทะฝ่ายขายเหล่านั้น ดีกว่าปล่อยให้การประกันชีวิตกลายเป็นเรื่องพนันขันต่อ โดยมีชีวิตคนเป็นเดิมพัน

ตลอดทั้งอาทิตย์ผมเครียดอยู่กับงาน แถมยังถูกกดดันจากฝ่ายขาย และเจ้านาย ถึงแม้ว่าผมจะยืนอยู่บนความบริสุทธิ์ยุติธรรม

แต่เจ้านายเบื้องบนกลับเห็นว่าควรอนุโลมบ้าง เพราะหากตึงเกินไป ฝ่ายขายก็จะไม่ยอมส่งงานเข้ามา ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อยอดขายของบริษัทด้วย

ซึ่งผมก็ให้ข้อมูลกับเจ้านายของผมไปว่า ผมยินดีที่จะพิจารณาด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างที่สุด แต่ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆผมก็ไม่สามารถให้ได้

เพราะนั่นอาจจะหมายถึงความเสียหายที่บริษัทจะได้รับ คำตอบของผมแม้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกใจเจ้านายกับพวกฝ่ายขายนัก

กระแสเสียงที่ก่นด่าผมก็ยังมีอยู่ต่อไป ซึ่งผมก็พยายามอดทนปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด โดยไม่ปริปากโต้ตอบ



บางครั้งก็จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเบื้องบนทั้งๆที่รู้ว่ามันน่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่ว่าอะไร

และมีนโยบายผ่อนปรนมาอย่างนี้ เพื่อเร่งยอดขาย ผมก็จำเป็นต้องหลับตา ปล่อยให้มันผ่านๆไป คิดเสียว่า ผมไม่ใช่เจ้าของบริษัท

เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าควรจะเป็นอย่างไร ก็คงจะต้องเป็นไปตามนั้น ผมไม่อาจฝืนได้



นอกเหนือจากความวุ่นวายเรื่องการงาน และการปรับตัวเมื่ออยู่กับเดียร์แล้ว ผมยังได้รู้จักพ่อครัวคนที่ทำอาหารให้ผมมากเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้เช่นกัน


เรื่องของเรื่องคือ ผมรู้สึกเครียดกับงาน และคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หรือฝ่ายขาย อยากจะหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลาย

ตอนแรกคิดว่าจะไปเมาตามผับตามบาร์ สำนึกส่วนดีก็บอกผมว่า ในเมื่อผมตั้งใจเลิกยุ่งเกี่ยวกับเหล้าเบียร์แล้วจะหวนกลับไปทำไมอีก หาอย่างอื่นทำดีกว่า



ดังนั้นพอเจ้าสันต์มาชวนให้ไปนั่งในร้านกาแฟที่มันเคยชวนผมไปหลายครั้ง ผมก็เลยตอบตกลงทันที

มันรับประกันว่าคราวนี้ ผมได้เจอกับผู้ช่วยกุ๊กคนนั้นแน่ เพราะน้องแซ่บสืบมาแล้ว ว่าเขาอยู่ร้านในวันที่เราไปแน่นอน



ผมเจอเดียร์ที่ร้านนั้น ปริศนาที่ค้างคาใจมานานได้ถูกคลี่คลายลง ทันทีที่ผมเห็นหน้าเขา ผมก็เข้าใจทันทีว่า ทำไมผมถึงได้รับสิทธิพิเศษ

ได้กินอาหารมากมาย มากกว่าใคร เจ้าเด็กบ้านี่ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านบ้านคุณป้านั่นเอง เขาคอยเอาใจใส่ทำอาหารอร่อยๆให้ผมกิน

วันไหนที่ผมไม่ลงไปเขาก็จะฝากอาหารมากับเจ้าสันต์มาให้ผมทาน



ผมรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจต่อสิ่งที่เด็กหนุ่มทำกับผม พลางนึกสงสัยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเขามาทำงานที่นี่ได้ไง

รู้ได้ไงว่าผมชอบมาทานอาหารที่นี่ ทำไมเขาถึงสามารถทำอาหารให้ผมได้มากมาย แถมซ้ำก็ไม่เอาเงินด้วยในบางครั้ง

เขาเอาเงินจากที่ไหนมาจ่าย หรือว่ายอมโดนหักเงินเพื่อผมอีก เจ้าเด็กโง่เอ๊ย ทำไมถึงต้องมาทำอะไรมากมายเพื่อผมด้วย

แล้วถ้าผมไม่รักเขาตอบล่ะ เขาจะว่ายังไง จะเสียใจมากมายแค่ไหนกันนะ ไม่อยากจะคิดเลย



หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 21-12-2008 14:08:46

สันต์แนะนำผมให้รู้จักกับเด็กหนุ่ม ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกับเดียร์ แล้วก็แอบขยิบตาให้เด็กหนุ่มรู้เป็นนัยๆจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูก

ผมไม่ต้องการให้เพื่อนผม และ เด็กที่ชื่อแซ่บล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา มันอาจจะเป็นผลเสียต่อผมในวันข้างหน้าก็ได้




เจ้าสันต์อาศัยช่วงจังหวะที่ร้านคนไม่ค่อยเยอะ ชวนเด็กหนุ่มมาพูดคุยด้วย มันยิงคำถามเป็นชุดเลย ว่าเดียร์รู้จักผมหรือเปล่า

ทำไมถึงได้ทำอาหารให้ผมมากมายเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่น ชอบผมอยู่ใช่ไหม แล้วชอบผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงได้มาทำงานที่นี่

ผมเห็นเด็กหนุ่มกรอกตาไปมา มีรอยยิ้มอยู่มุมปาก ท่าทางนึกสนุกกับเกมส์ยี่สิบคำถามของเจ้าสันต์ ผมลุ้นอยู่ในใจ

ขออย่าให้เจ้าเด็กนี่สร้างความยุ่งยากให้ผมอีกเลย แค่นี้ผมก็หัวปั่นพอควรแล้ว เจ้าประคู้ณ




คำตอบของเดียร์ทำให้ผมโล่งใจ เขาบอกกับเจ้าสันต์ว่า เขามาทำงานที่นี่ได้หลายเดือนแล้วไม่เคยรู้จักกับผมเป็นการส่วนตัวมาก่อน

แต่เคยเห็นหน้าผมบ่อยๆ รู้ว่าผมมากินข้าวที่ร้านบ้านคุณป้าประจำ แล้วผมก็ชอบทานเยอะด้วย พอดีว่าเดียร์เพิ่งหัดทำอาหาร

ก็เลยอยากลองทำอาหารหลายๆแบบ ซึ่งพอทำมาให้ผมก็กินจนหมด เขาเลยทำพิเศษให้ผมเรื่อยๆ เป็นการฝึกปรือฝีมือ

บางคำถามเด็กหนุ่มก็ไม่ตอบ ถ้าเห็นว่ามันล้วงลึกเกินไป เขาก็จะปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลอย่างสุภาพ




แม้เจ้าสันต์จะไม่ค่อยเชื่อถือในคำตอบเท่าใดนัก แต่เขาก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ เพราะเดียร์เองก็แสดงท่าทีว่าไม่อยากตอบคำถามอะไร

พอจบรายการสัมภาษณ์เดียร์ก็ขอตัวไปทำงาน พอลับหลังเด็กหนุ่ม สันต์ก็หันมาพูดกับผม




“ให้ตายเถอะ ฉันไม่เชื่อคำพูดของเด็กคนนี้เลย ฉันคิดว่ามันมีบางอย่างที่เขาปกปิดอยู่ เป็นไปได้ไง เหตุผลที่ทำอาหารให้นายกินมากกว่าคนอื่น เพราะนายกินจุ

ชั้นต่างหากที่กินจุ นายกินข้าวน้อยกว่าฉันอีกนะเรียว แล้วถ้าจะลองฝีมือทำอาหาร ทำไมต้องลองกับนายคนเดียวอ่ะ

ทำไมไม่ทำให้ฉันกินบ้างล่ะ อย่างนี้มันเลือกที่รักมักที่ชังนี่ น่าสงสัยจริงๆ”




ผมหัวเราะก๊ากกับการพยายามเป็นนักสืบของมัน สิ่งที่มันคิดใกล้เคียงกับความเป็นจริง เดียร์เป็นคนที่โกหกไม่แนบเนียนเลย

ผมรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาอยากจะเปิดเผยว่าเขารู้จักกับผม และเราสองคนตกลงที่จะเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาเกรงว่าผมจะได้รับความลำบาก

เขาก็เลยจำใจต้องโกหก แต่เป็นการโกหกที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย




“นายมันขี้ระแวงจริงๆเลย เขาจะมาโกหกนายเล่นทำไมล่ะ อีกอย่างฉันกับเด็กนั่นก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวนี่นา

แล้วทำไมเขาจะต้องมาทำอาหารให้ฉันกินเยอะๆด้วย เหตุผลที่เขาบอกพวกเรา ฉันก็ว่ามันฟังดูสมเหตุสมผลดีนะ หรือว่านายคิดว่ามันมีเหตุผลอื่น”

“ก็มันไม่แนบเนียนนี่นา ฉันเลยไม่ค่อยอยากจะเชื่ออ่ะ”

เจ้าสันต์ตอบผมเสียงอ่อยๆ


“เฮ้อ นายเห็นฉันคบกับใครเหรอ ตอนนี้ฉันอกหักอยู่นายก็รู้ อีกอย่างฉันไม่ใช่พวกชอบผู้ชายด้วยกันนี่ ทำไมถึงมาสงสัยกันล่ะ”

ผมพยายามพูดเบี่ยงประเด็นออกไป ไม่อยากให้เจ้าสันต์จับแพะมาชนแกะ จนประมวลเหตุการณ์ต่างๆได้ถูกต้อง

มันน่าอันตรายน้อยเสียเมื่อไหร่ หากบังเอิญมีใครมารู้เรื่องข้อสัญญาของเราสองคน ผมไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้านด้วยเรื่องแบบนี้


“ก็ไม่มีหรอก .........ยังไม่เคยเห็นอ่ะ.............แต่ก็ไม่แน่นี่หว่า บางทีนายอาจจะกำลังมีใครบางคนอยู่ โดยไม่บอกฉัน แล้วคนๆนั้นอาจจะเป็นผู้ชายก็ได้”



คำพูดของเจ้าสันต์เล่นเอาผมแทบสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ ถ้อยคำของมันแทงใจดำของผมอย่างจัง เริ่มรู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาเสียแล้ว

คราวหลังจะไปไหนมาไหนต้องระวังตัวเป็นพิเศษให้มากกว่านี้ เจ้านี่ยิ่งชอบสืบค้นอยู่ด้วย เดี๋ยวเกิดเจอผมกับเดียร์ขึ้นมา คราวนี้จะแก้ตัวกันไม่ออก

นี่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ผู้บริหารฝ่ายขายคนนั้น กับอรจิราที่ไปเห็นผมเดินกับเดียร์ที่ห้างสรรพสินค้า ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ออกมาให้ผมอึดอัดใจ

แต่ถึงจะพูด ผมก็ไม่ใส่ใจ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าผมกับเดียร์เป็นแฟนกันจริงๆ เราสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยให้ใครเห็น

และผมก็ไม่เคยมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศมาก่อน ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า คงไม่มีใครใส่ใจกับคำพูดของพวกเขาที่หากบังเอิญมันหลุดออกมาเป็นแน่



พอได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองในวันอาทิตย์ที่เดียร์มาหาที่บ้าน ผมก็ซักถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร

เด็กหนุ่มเล่าให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบังว่า เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ลาออกจากการเป็นนักแสดงโชว์คาร์บาเร่ต์เพราะไม่อยากเจอกับเสี่ยคนนั้นอีกแล้ว

เขาก็เดินทางมากรุงเทพ ตั้งใจจะมาแสวงโชคในเมืองกรุง โดยระหว่างที่ยังหางานทำอยู่ เขาก็มาพักอาศัยโดยเช่าห้องอยู่กับเพื่อนที่เป็นเกย์คนหนึ่ง

ซึ่งเคยเป็นนักแสดงโชว์ในคาร์บาเรต์เหมือนกัน แต่ออกมาก่อน แล้วเข้ามาทำงานเป็นนักเต้นในบาร์ผู้ชายย่านรามคำแหง

เดียร์ก็เคยมาเต้นโชว์ด้วยเหมือนกันบางครั้ง แต่ตอนหลังเลิกไปแล้ว เนื่องจากเดียร์ไม่ชอบคนที่มาเที่ยว เพราะนักเที่ยวราตรีบางคน

ซึ่งมีทั้งผู้หญิงอารมณ์เปลี่ยว สาวไซด์ไลน์ หรือแม้แต่พวกเกย์ ชอบจ้องแต่จะชวนเขาไปนอนด้วย โดยเสนอเงินให้มากมาย

เพื่อแลกกับการมีเพศสัมพันธ์ชั่วครั้ง บางคนก็ถึงขนาดเอ่ยปากจะเลี้ยงดู ให้รถ ให้บ้าน ให้ชีวิตที่มีความสุขไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป

แต่เดียร์ไม่ชอบชีวิตแบบนี้ จึงปฏิเสธคนเหล่านั้น และไม่ยอมไปเต้นอีกเลย



เดียร์ได้งานในร้านอาหาร เป็นพนักงานเสิร์ฟ รายได้ไม่มาก แต่ก็พอประทังชีวิตไปได้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่หยุดตัวเองแค่นั้น

เขาเข้าไปช่วยงานในครัวด้วย ทุกครั้งที่มีโอกาส ตอนอยู่ที่พัทยา เขาก็เคยทำอาหารเลี้ยงทั้งตัวเอง และนักมวยในค่ายมาแล้ว ซึ่งฝีมือก็พอใช้ได้

แถมซ้ำยังมีโอกาสได้ไปทำงานในร้านอาหารของเจ้าน้อยเพื่อนรักในช่วงแรกๆที่เขาเปิดร้านใหม่ ก็พอจะได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารจากพ่อครัวที่น้อยจ้างมาด้วย

ฝีมือของเด็กหนุ่มก็เริ่มพัฒนาขึ้น พอมีโอกาสเข้ามาช่วยงานในครัวที่ร้านอาหารในกรุงเทพ ก็ทำให้เพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้น

จนเจ้าของร้านให้ลองทำอาหารดูบ้าง ปรากฏว่ามีคนติดใจ จึงได้เลื่อนชั้นจากคนเสิร์ฟอาหารมาเป็นผู้ช่วยกุ๊ก แต่ทำได้ไม่นาน ก็ต้องออก

เพราะว่าพ่อครัวที่สอนเขามากับมือ เกิดอิจฉาเขา กลัวว่าเขาจะเด่นเกินหน้าขึ้นมา



หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 21-12-2008 14:09:33

ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากเป็นศิษย์คิดล้างครู เดียร์จึงลาออก แล้วหางานใหม่ ระหว่างนั้นก็ตามหาผมไปด้วย

เขาเคยไปดักรอที่หน้าบริษัทหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเห็นผมเดินออกมาจากบริษัทกับเจ้าสันต์ ซึ่งตอนแรก

เขาเข้าใจว่าเป็นแฟนผม เพราะเราสนิทกันมาก เจ้าเด็กนี่ยอมรับกับผมว่า เขาเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมา เลยสะกดรอยตามผมกับเจ้าสันต์ไป

จนถึงร้านอาหารบ้านคุณป้า เขาตามเราไปเกือบทุกวัน เลยรู้ว่าร้านนี้เป็นร้านที่เรานั่งประจำ เด็กหนุ่มแสร้งเข้าไปข้างในร้านและสั่งอาหารมากิน

โดยเลือกที่นั่งใกล้ๆกับผม คอยสังเกตสังกาผมตลอดเวลา เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นว่า เจ้าสันต์กับผมเป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น

ไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่เขาสงสัย นอกจากนี้เขายังได้รู้พฤติกรรมการกินของผมด้วย ว่าผมชอบกินอะไรเป็นพิเศษ

เขาพยายามจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมให้ได้มากที่สุด




เด็กหนุ่มสะกดรอยตามผมได้สักสองอาทิตย์ พอดีทางร้านกำลังหาคนมาทำงานในครัวเพิ่ม เนื่องจากผู้ช่วยคนเก่าลาออกไป

เหลือแค่กุ๊กสองคนเท่านั้น ทำอาหารกันแทบไม่ทัน จนลูกค้าบ่น เดียร์เลยไปสมัครงาน เพราะอยากมีรายได้มาจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านรวมทั้งค่ากินอยู่

และยังอยากใกล้ชิดกับผมด้วย คุณป้าเจ้าของร้าน ตกลงรับเดียร์เข้ามาทำอาหารหลังจากได้ลองชิมฝีมือของเดียร์แล้ว แต่ก็ยังไม่ให้ปรุงอาหารในทันที


คุณป้ามอบหมายงานเป็นลูกมือช่วยหั่นเนื้อสัตว์ ล้างผัก จนกระทั่งชินกับเครื่องไม้เครื่องมือ และ รู้งานในครัวแล้ว จึงมอบหมายให้เดียร์ช่วยทำอาหารให้


แรกๆ เดียร์ไม่กล้าปรุงอาหารให้ผมทาน เพราะไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง แต่ก็แอบๆดูออเดอร์จากโต๊ะที่ผมสั่ง แล้วก็สังเกตวิธีที่พ่อครัวปรุง

จากนั้นก็แอบสอบถามพนักงานเสิร์ฟว่า ผมพึงพอใจหรือไม่ อะไรที่ผมชอบ เขาก็จะแอบไปจำสูตรและวิธีการมาจากคนที่ปรุง

แต่หากอันไหนที่ผมไม่พอใจ เขาก็จะคิดค้นวิธีการปรุงใหม่ และทดลองชิมเอง และให้คนอื่นชิมด้วย จนได้รสที่กลมกล่อมที่คาดว่าผมจะพอใจ

เมื่อมั่นใจในฝีมือตัวเองแล้ว เขาจึงเริ่มลงมือทำให้ผมทาน




โดยตลอดเวลาเหล่านั้น ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเด็กหนุ่มทำงานอยู่ที่นี่แล้ว และผมกำลังถูกจับตามองอยู่ ความที่ผมไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร

และไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเจอเหตุการณ์ถูกลักพาตัวไปขอความรักจากเด็กหนุ่มซึ่งผมเคยช่วยเอาไว้ ทำให้ผมไม่ระมัดระวังตัวเอง

หลังจากได้รับอิสรภาพซึ่งแลกกับการที่ต้องกลายมาเป็นแฟนของเดียร์ เวลาที่ผมมากินข้าวที่ร้านนี้ ผมก็ไม่เคยเฉลียวใจมาก่อนเลย

ว่าคนที่คอยทำอาหารให้ผมกินมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือเด็กหนุ่มที่จับตัวผมไปนั่นเอง


“แล้วทำไมถึงไม่บอกกันตั้งแต่แรกว่าเป็นนาย ปล่อยให้ฉันสงสัยอยู่ได้”

ผมต่อว่าเขา เดียร์ยันกายขึ้นจากการนอนพังพาบข้างๆผม พลางส่งสายตาอ้อนๆมาให้


“ก็ผมไม่อยากให้คุณคิดมาก กลัวคุณจะด่าหาว่าผมคอยสอดแนมคุณอยู่ตลอดเวลาน่ะครับ อีกอย่าง ถ้าคุณรู้คุณอาจจะไม่ยอมกินอาหารที่ผมทำก็ได้”

“ทำยังกับว่า ตอนนี้รู้แล้ว จะกินงั้นแหละ แล้วที่บอกว่าไม่ได้สอดแนมน่ะ การตามฉันมาตลอด ทุกที่ทุกเวลา อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรกันล่ะ”
เดียร์ยิ้มเขินๆ เมื่อฟังสิ่งที่ผมพูดจนจบ เด็กหนุ่มตอบกลับมาด้วยคำอธิบายยืดยาว

“ผมขอโทษนะ แต่ถ้าไม่ตามก็ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเรียวสิ แล้วผมก็ต้องมาคอยนั่งกลุ้มใจ กับความคิดที่ว่าคุณมีแฟนแล้ว

ตอนเจอคุณที่พัทยา เห็นคุณไปกับผู้หญิง ก็คิดว่าคนนั้นต้องเป็นแฟนคุณแน่ๆ แต่ผมไม่เห็นคุณไปกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลยตอนอยู่กรุงเทพ

มีแต่ไปไหนมาไหนกับคุณสันต์ ผมก็นึกว่าคุณเป็นแฟนกับเขา แอบดีใจ และเสียใจไปพร้อมกัน”



“......ดีใจเพราะคิดว่าคุณคงจะมีใจให้กับผู้ชายด้วยกันบ้าง แต่เสียใจที่คิดว่าคนๆนั้นเป็นแฟนคุณ และผมคงไม่มีโอกาส

พอรู้ว่าคุณกับเขาคนนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน ผมดีใจมากเลยนะรู้ไหม คิดว่าโชคดีมากแค่ไหนที่คุณยังไม่มีคนอื่น ผมอาจจะมีสิทธิได้ครอบครองหัวใจคุณ

และเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ผมจำเป็นต้องผูกมัดตัวคุณไว้กับผมให้ได้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

พอดีไปอ่านเจอในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “เสียงเรียกของความรัก” ที่ตัวเอกที่เป็นฝ่ายรับ ถูกจับใส่กุญแจมือ เพื่อขอความรัก

แผนการที่จะลักพาตัวคุณมันก็เลยเกิดขึ้นมาในหัวสมองทันทีเลยอ่ะ......”


“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง บ้าการ์ตูนไปหน่อยมั้งเรา แต่ในชีวิตจริงมันไม่สมหวังเหมือนในการ์ตูนหรอกนะ”

“ครับ”


เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับ แต่ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ยังคงมีรอยยิ้ม


“ในการ์ตูน เขาต่างก็เป็นเกย์ด้วยกัน มันก็เลยง่ายนะครับ แต่ว่า ในชีวิตจริงแล้ว มันยากตรงที่ เรียวน่ะ ไม่ได้เป็นเกย์เหมือนอย่างที่ผมเป็น

ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันใช่ไหมครับ ถ้าจะมีก็คงจะมีกับผมเป็นคนแรก แต่ข้อนั้น เราสองคนต่างก็เสมอภาคกันนะ

เพราะผมก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน จะมีบ้างที่มีคนมาใช้ปากให้ แต่นอกนั้นยังไม่เคยเลยครับ ผมไม่ชอบ

ถ้าไม่ใช่กับเรียวแล้ว ผมไม่ยอมมีอะไรกับใครทั้งนั้นล่ะ”



หน้าสีน้ำตาลทองนั้นแดงเรื่อขึ้นมา ด้วยเลือดที่ไปหล่อเลี้ยง เขายิ้มให้ผมอย่างอายๆ ผมยิ้มให้เขา ช่วยไม่ได้ที่เกิดเอ็นดูเด็กบ้านี่ขึ้นมา

รู้สึกภูมิใจที่ได้ยินประโยคท้ายของเขา แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดเพื่อให้ผมพอใจหรือเปล่า ท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่ไม่มีประสบการณ์เลย


“แต่นายใช้ปากกับมือ เหมือนคนที่เชียวชาญทางด้านนี้เลยนะ เหมือนกับเคยผ่านศึกสังเวียนมาเป็นร้อยๆครั้งแน่ะ ไม่ต้องมาโกหกเลย

จะเคยมีอะไรกับใครมาฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก มันไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”


ผมว่ายิ้มๆ เด็กหนุ่มทำตาโต หน้าตาปลาบปลื้ม


“เดี๋ยวนะครับ เอาประโยคแรกก่อน ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม คุณว่าผมทำได้เชี่ยวชาญมาก แปลว่าผมเก่งสินะ

ทำให้เรียวเกิดอารมณ์และถึงจุดสุดยอดได้ทุกครั้งเลยใช่ไหมครับ”



ซวยล่ะสิ ผมคิดในใจ ดันพูดไปเข้าทางเด็กหนุ่มจนได้ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าหมอนี่ เป็นโรคเข้าข้างตัวเอง แต่ผมก็ดันพลาดพูดเหมือนชมเขาขึ้นมา

คราวนี้ คงขยันทำกับผมยกใหญ่แน่


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 21-12-2008 14:10:14
“เออ เออ....”

ผมยอมรับก็ได้ ไม่อยากโกหกตัวเอง ขืนทำอย่างนั้น เจ้าหมอนี่ ก็ต้องหาทางพิสูจน์เอาจนได้ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันไม่จริง

สู้ๆยอมรับไปซะก็สิ้นเรื่อง บางทีเมื่อเขาเห็นว่าเขาสามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้แล้ว ความกระตือรือร้นที่จะทำซ้ำๆเพื่อเอาชนะผมอาจจะลดน้อยลงไปจากเดิมก็ได้

ซึ่งผมก็จะปลอดภัยจากเขามากขึ้น เดียร์หน้าบานเป็นจานเชิง ขยับเข้ามาจนชิด แล้วทำมาเป็นพูดกระซิบกระซาบเสียงอ่อนเสียงหวานข้างหูผม



“จริงๆนะ ดีจังเลยที่เรียวชอบ อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย คราวต่อไป ผมจะทำให้เรียวมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ เชื่อมือผมเถอะ”


นั่นประไร นึกแว่บๆอยู่เหมือนกันว่าอาจจะไม่ได้ผล หมอนี่ ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็วกเข้ามาด้วยเรื่องแบบนี้จนได้


“แหม ผ่านศึกมาเยอะสิท่า ถึงได้เชื่อมือตัวเองขนาดนั้น”

อดไม่ได้อีกเหมือนกันที่จะเหน็บเขา เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ


“มันดูเหมือนว่าผมผ่านศึกมาโชกโชนอย่างนั้นเหรอ อยากจะรับสมอ้างจังเลยครับ แต่ขอปฏิเสธดีกว่า ผมบอกแล้วไง ว่า ถ้าไม่ใช่เรียวแล้ว

ผมไม่ทำให้ใครหรอก ที่เห็นว่าผมดูเก่งนี่ ผมมีเทคนิคนิดหน่อยครับ ถ้าเรียวอยากรู้ผมก็จะบอกให้ แต่แลกกับหอมแก้มเรียวครั้งหนึ่งนะ”


เดียร์ทำหน้าตากรุ้มกริ่มเหมือนคนเจ้าชู้


“งั้นก็ไม่ต้องเล่าหรอก ฉันไม่อยากรู้สักเท่าไร เพราะถึงยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”


ผมทำท่าไม่สนใจ เด็กหนุ่มนั่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง และแล้วด้วยความว่องไว เขาก็โน้มตัวเข้ามาหาผม เอาจมูก


มาแตะที่แก้ม แล้วหอมผมฟอดใหญ่


“ตอนนี้ผมอยากเล่าแล้วอ่ะ”

“เออ .......ก็หอมไปแล้วนี่หว่า ก็เล่ามาเลยสิ อย่าอ้อมค้อม”


ผมใช้หลังมือเช็ดที่แก้มไปมา พลางมองเด็กหนุ่มอย่างเคืองๆ เดียร์มองตอบมาด้วยดวงตาใสซื่อ เขายิ้มอ้อนๆให้ผม

ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปยังห้องครัว เขาเดินกลับมาพร้อมกับกล้วยหอม แตงกวา และไส้กรอกที่เขาซื้อมาฝาก

ผมมองเขาอย่างงงๆ เดาไม่ถูกว่าหมอนี่ถือของพวกนั้นติดมือมาด้วยทำไม เกิดหิวขึ้นมา หรือว่า จะเอามาให้ผมทานกันนะ


“ผมน่ะ เตรียมการยกใหญ่เลยนะ ตอนที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นแฟนคุณให้ได้ คิดว่าทำอย่างไรดี เรียวถึงจะประทับใจ

ถ้าเป็นแฟนกันเฉยๆมันก็คงจะน่าเบื่อ แต่ถ้าเรามีอะไรกันบ้าง แล้วผมทำให้เรียวพอใจ เรียวก็อาจจะยอมรับผมเป็นแฟนได้ด้วยความเต็มใจ

แต่ผมน่ะคิดว่าตัวเองคงถูกสร้างมา เพื่อมีเซ็กส์กับคุณเท่านั้นนะครับ ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากมีกับใครทั้งนั้น นอกจากคุณคนเดียว

มันทำให้ผมไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อนเลย แต่ผมอ่ะ จะทำตัวเป็นไก่อ่อนไม่ได้ ผมก็เลยต้องศึกษาข้อมูลนิดหน่อย

ด้วยการเอาวิดีโอมาดู แล้วก็ศึกษาทดลองด้วยตนเอง.....”
อยู่ๆเด็กหนุ่มยื่นกล้วยมาตรงหน้าผม ยิ้มจนตาหยี

“นี่ไงครับ ครูของผม”



ผมมองเด็กหนุ่มค่อยๆปอกเปลือกกล้วยออกอย่างงงๆ ในใจก็จินตนาการไปต่างๆนาน ภาพเดียร์กับกล้วยในรูปแบบลามกต่างๆผุดพรายขึ้นในหัว

จนผมอดที่จะรู้สึกตกใจกับความคิดบ้าบอในหัวสมองของตนเองไม่ได้



เขาปอกเปลือกแค่ครึ่งหนึ่ง และถือกล้วยมาใกล้ๆปากตัวเอง ทำตาเซ็กซี่เย้ายวนใส่ผม ก่อนที่จะตวัดลิ้นเลียเบาๆ

แล้วห่อปากเป็นรูปตัวโอแล้วอมกล้วยไว้หลวมๆ ดึงเข้าดึงออกไปมา ผมมองเด็กหนุ่มแสดงบทบาทสมมุติการเรียนรู้วิธีใช้ปากทำโอษฐกาม

กับคุณครูกล้วยหอมของเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ ใครจะบ้าไปทำอะไรพิเรนทร์ขนาดนั้น



เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังบอกผมอยู่ เด็กหนุ่มหยุดใช้ปากกับกล้วยหอมนั้น กัดกลืนกินมันลงไป จนหมดลูก แล้วหันมายิ้มให้ผม


“ผมจินตนาการให้มันเป็นเรียวน้อยของคุณอ่ะครับ ดูหนังเอ็กซ์ไปด้วย ก็ทำกับกล้วยตามไปด้วย แต่ว่ากล้วยอ่ะ มันนิ่มเกินไปนะครับ

พอผมเม้มแรงๆก็เละ บางครั้งก็หักเข้าคอผมไปเลย เรียวน้อยที่เป็นกล้วยหอม จึงมีจุดจบในท้องผมแทบทุกครั้งเลยอ่ะครับ”



ผมนึกขำในใจกับคำพูดซื่อๆนั้น นึกเดาได้ทันทีว่า แตงกวากับไส้กรอกที่เขาถือมาด้วย คงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทดลองมีเซ็กส์ของเด็กหนุ่มแน่ๆ


“แตงกวากับไส้กรอกนั่นก็คงจะเป็นครูของนายด้วย ใช่ไหม”


ผมถามคำถามล้อเลียนเขา เด็กหนุ่มอายจนหน้าแดง


“เอ้อ.....ก็ใช่ครับ คือ หลังจากที่กล้วยหอมมันหลุดลื่นเข้าคอ กลายเป็นอาหารที่ทำให้ผมจุกแน่นท้องทุกครั้ง ผมก็มาคิดได้ว่า

แตงกวาน่ะ ก็มีรูปทรงคล้ายอวัยวะเพศชายเหมือนกัน แถมซ้ำ ยังเป็นตอนแข็งตัวด้วย ผมก็ลองเอามาใช้ดูอ่ะครับ

แต่ว่า มันออกจะแข็งเกินของจริงไปหรือเปล่าไม่รู้ หรือว่าผมยังไม่ชำนาญพอก็ไม่ทราบ ปากเปิกผมแทบพัง เพราะแรงกระแทกอ่ะครับ

ผมเลยเลิกใช้ แตงกวา หันมามองหาอย่างอื่นแทน”


คราวนี้ผมทนไม่ไหว ถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา เดียร์ทำปากยื่นใส่ผม แล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ เจ้าเด็กบ้านี่ ทำไมมันช่างทำเรื่องบ้าบอได้ถึงขนาดนี้นะ


“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยากทำให้เรียวมีความสุขนะ ผมไม่ลงทุนขนาดนี้หรอก”

“แล้วทำไมไม่ไปมีอะไรกับคนอื่นซะเลยล่ะ”


ผมย้อนถามเด็กหนุ่ม


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 21-12-2008 14:11:58

“บอกแล้วไงล่ะครับ ครั้งแรกของผม ต้องเก็บไว้มีกับเรียวคนเดียวเท่านั้นนะ ผมไม่ทำให้ใครหรอก

แต่ว่า ผมก็ยอมรับว่า น้องชายของผมน่ะ ผมไม่สามารถรักษาไว้ให้กับเรียวได้ มีคนเคยมาใช้ปากกับผมแล้วครับ แค่ปากเท่านั้นเอง

ผมน่ะแค่อยากรู้ว่า เขาทำกันอย่างไร ดูในหนังเอ็กซ์ มันก็ไม่เหมือนกับเจอด้วยตัวเอง พอมีคนมาขอทำให้ผม ก็เลยยอมให้เขาทำอ่ะ

เขาก็เก่งใช้ได้นะ ทำให้ผมมีความสุขได้ ผมก็ถือว่าเขาเป็นครูเหมือนกัน ผมจำท่วงท่าลีลาของเขาไว้จนหมดเลย

แล้วก็นำมาประยุกต์ใช้กับครูคนสุดท้าย ครูไส้กรอกอ่ะครับ.......”



เดียร์หยุดพูดแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม



“ไส้กรอกมันเป็นอะไรที่เหมือนกับมังกรน้อยของผู้ชายเลยนะครับ ทำจากเนื้อบดอัดเป็นแท่งๆคล้ายผิวเนื้อมนุษย์อ่ะ

มีหลายขนาดให้เลือกด้วยอ่ะครับ ผมน่ะ ต้องอาศัยจินตนาการเข้าช่วย ว่าขนาดของเรียวอ่ะ เท่าไหร่กันหนอ มันควรจะเป็นฟุตลอง

หรือ ขนาดธรรมดา หรือว่าบิ๊กไซส์ดี ในที่สุดผมก็เลือกเอาไส้กรอกชีสอ่ะครับ เพราะว่ามันน่าจะใกล้เคียงของจริงมากที่สุดอ่ะครับ

ก็เลือกขนาดที่พอเหมาะนะครับ แล้วก็เอามาฝึกหน้าจอทีวีที่ฉายหนังเอ็กซ์ทุกๆวันอ่ะครับ จนกระทั่งมั่นใจว่า ฝีมือตัวเองใช้ได้แน่นอนอ่ะครับ

เลยเริ่มลงมือปฏิบัติการ ตอนที่จับคุณมา แล้วทำให้คุณครั้งแรก ผมตื่นเต้นมากเลยนะครับ กลัวว่าผมจะทำผิดพลาด

แต่พอชีสไหลออกจากไส้กรอกของเรียวอย่างมากมาย ผมก็คิดว่า ผมทำสำเร็จแล้ว ดีใจมากที่สุดเลยครับ”




ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มกลับแกะไส้กรอกออกจากถุงพลาสติก และลงมือแสดงให้ผมดู ลีลาท่าทางเหมือนกับที่เขาทำกับเรียวน้อยของผมไม่ผิดเพี้ยน

ผมมองเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก พลันภาพเหตุการณ์ที่เดียร์เคยโอ้โลมลูบไล้น้องชายของผมก็แว่บเข้ามาสู่สมอง

ทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบไปทั่วตัว และปวดหน่วงๆที่ตรงท้องน้อย อะไรบางอย่างบอกผมว่า น้องชายของผมกำลังตื่นขึ้นมาเต้นดึ๋งดั๋งอยู่ในกางเกง

ผมรีบเอามือไปวางพาดบนตัก แต่เดียร์ซึ่งตาไวมองเห็นน้องชายของผมที่กำลังคึกคักอยู่ ยื่นมือมาจับข้อมือผมไว้

แล้วดึงมือผมออก เขามองจ้องเข้าไปในดวงตาผม กระซิบเสียงพร่า



“ให้ผมทานชีสเถอะนะครับยอดรัก ผมหิวอยู่พอดี เรียวเองก็จะได้สบายตัวด้วยไงครับ”


น่าแปลกที่ไม่มีคำพูดปฏิเสธใดๆออกจากปากผม เพลิงปรารถนาในกายบอกให้ผมยินยอมให้เดียร์ปลดปล่อยตัวเองออกจากความทุกข์ทรมานจากอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน


เด็กหนุ่มยิ้มให้ ก่อนจะโน้มตัวลงไปยังร่างกายส่วนล่างของผม แล้วก็เหมือนทุกๆครั้ง เด็กหนุ่มใช้ความจัดเจนที่มีอยู่ ทำให้ผมทะลักทลายความสุขออกมา

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ประสบการณ์ของเขาได้มาจากบรรดาอาจารย์ที่ไร้ชีวิตจิตใจรวมถึงสื่อวิดีโอลามกพวกนั้นพวกนั้น

เจ้าเด็กบ้านี่ช่างเป็นคนที่เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีการประหลาด แถมซ้ำยังสามารถทำได้ดีอีกด้วย
**********
 :amen: วันละตอนนะ พ่อจอมเจ้าชูเซน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 21-12-2008 15:14:43
สุดยอดเลยน้องเดียร์

ฝึกทุกอย่างเพื่อเรียวโดยเฉพาะ

อ๊ากกกกกกกก :haun4: เรียวฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 21-12-2008 15:28:07

 :amen: วันละตอนนะ พ่อจอมเจ้าชูเซน



 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ชมกันยังงี้ก็ม้วนต้วนเลยดิ๊ ไต๋ ก็

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-12-2008 19:10:37
เจ้าเด็กร้ายกาจ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 22-12-2008 08:27:42
ขอบคุณค่ะ ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 22-12-2008 17:43:51
ขอบคุณค่ะ ติดตามอยู่นะคะ
:haun4: รอคนเดียวมันอันตรายนะครับ  เดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: rayjikung ที่ 22-12-2008 18:09:27
เจอแล้ววววววววว!!~~

นิยายที่ตามหามานาน

สนุกมากมายเลยอะ เรื่องเนี้ย

เคยอ่านแต่ไม่จบ

อ่านอีกทีก้ไม่เปนไร

ชอบๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆ เลยอะ

มาลงให้ทุกตอนจนจบนะคร้าบบบบ

จะเปนกำลังใจให้ ^^
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-12-2008 21:34:57
 :3123: รักคนอ่าน วันนี้ต้องขอโทษด้วย

เหนื่อยมาก พรุ่งนี้นะต่อให้ 2 ตอนเลย :z10:


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 22-12-2008 21:42:39
^

^

จิ้มพี่แอนก่อน

เดี๋ยวคืนนี้ตามมาอ่านนะคะ

เหนื่อยก็พักบ้างนะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 22-12-2008 21:44:45
:3123: รักคนอ่าน วันนี้ต้องขอโทษด้วย

เหนื่อยมาก พรุ่งนี้นะต่อให้ 2 ตอนเลย :z10:



ครับไต๋เซนขอโทษที่ทำให้ไต๋ต้องเหนื่อย วันนี้ก็นอนหลับให้สบายนะครับ  :m23:

เดี๋ยวเซนจะกล่อมให้นอน

.
.
.

ไม่นะครับไต๋ไม่ดื้อน๊า ...  :teach:

ไหนว่าเหนื่อยไง ...

ก็ได้ครับแต่จะมาหาว่าเซนรังแกไม่ได้นะครับลูกแมวน้อยของพี่  :haun4:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:02:46
 o22 กูว่าแล้วทำมั้ยถึงเหนื่อย
 :angry2:นายนี้เองอาซาฮีมาแอบเข้าฝัน
 :sad4:หลอกหลอนเค้า เลยนอนไม่หลับเลย

บทที่ 17



นาฬิกาที่ข้อมือผมบอกเวลา สี่ทุ่มกว่าแล้ว ตอนที่ผมเจอเดียร์นั่งหลับอยู่ที่หน้าบ้านพักของผมในท่านั่งกางขาเหยียดยาว

ข้างๆมีกระเป๋าสะพายใบที่เขาถือประจำ กับถุงใส่ผัก ผลไม้ ผมเขย่าตัวเรียกเขา 2-3 ครั้ง เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมา ทันทีที่เห็นผม เขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้


“กลับมาแล้วหรือครับ วันนี้มาช้าจังเลยนะครับ งานเยอะเหรอ”

“อื้อ มีประชุมทั้งวันเลย งานไม่เสร็จก็เลยเคลียร์งานอยู่จนมืดค่ำ ว่าแต่นายเถอะ มาทำอะไรแถวนี้ วันนี้มันวันพุธนี่นา ไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์สักหน่อย”

ผมซักถามเขาด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มทำหน้าทะเล้น


“แหม เรียวก็ อย่าเคร่งครัดกับเงื่อนไขสัญญาเลยได้ไหมครับ พอดีวันนี้เพื่อนผมมันขอแลกกะบ่ายกับผมอ่ะครับ

เพราะมันต้องไปติดต่องานราชการ ผมอยู่ร้านคุณป้า เสร็จแล้ว ก็มาทำงานต่อที่ร้านกาแฟจนถึงสองทุ่ม เลิกงานแล้ว ยังไม่อยากกลับบ้าน

คิดถึงเรียวมาก อยากมาหา มากินข้าวด้วยโทรไปหาคุณตั้งหลายครั้ง เรียวก็ไม่ยอมรับสายผม พอโทรไปที่บริษัท เลขาก็บอกว่าคุณติดประชุม

ก็เลยคิดว่าคงจะทานข้าวข้างนอกกันไม่ได้ คุณคงหิว เลยอยากทำอาหารให้เรียวทานน่ะครับ ผมเลยไปซุปเปอร์มาเก็ตมา

ซื้อข้าวของมาหลายอย่างเลย เรียวหิวหรือยังครับ”



ความห่วงใยเปี่ยมล้นอยู่ในคำพูดของเขา จนผมอดที่จะรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ ผมพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มเป็นเชิงยอมรับ เขายิ้มจนตาเป็นรูปสระอิ

“นั่นไง นึกแล้ว เดี๋ยวผมจะทำกับข้าวอร่อยๆให้กินเยอะๆเลยครับ ว่าแต่เข้าบ้านกันได้หรือยังครับ อยู่ตรงนี้ ยุงเยอะจัง”

เขากุลีกุจอลุกขึ้น ปากก็คุยจ้อ


“พี่ที่อยู่บ้านตรงข้ามใจดีมากเลยนะ เขาเห็นผมมารอคุณตั้งนาน เลยชวนเข้าไปนั่งในบ้าน แต่ผมเกรงใจไม่อยากไปกวนเขา

แล้วอยากดักรอคุณที่นี่ด้วย เลยปฏิเสธไป พี่เขาก็เลยเอายาทากันยุงมาให้อ่ะ ผมก็เลยสามารถนั่งรอคุณได้ โดยไม่โดนกัดมาก”



“อ๋อ พี่สมชายน่ะ เขาเป็นคนนิสัยดีนะ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับเพื่อนบ้านรอบข้าง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย ลูกเขาก็น่ารักดี ฉันน่ะ ชอบไปเล่นกับลูกเขาบ่อยๆ

แต่ภรรยาเขาจะขี้หึงมาก ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายเข้าใกล้สามีเขาไม่ได้เลย พักหลังฉันเลยไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเขาสักเท่าไหร่ นายก็ระมัดระวังไว้บ้างก็แล้วกัน”



ผมเตือนเด็กหนุ่มเป็นนัยๆ อันที่จริง ไม่ใช่เพราะเรื่องแฟนของพี่สมชายขี้หึงอย่างเดียวหรอก เธอยังเป็นขาเม้าท์อีกด้วย

การที่เดียร์มาบ้านผมบ่อยๆ แล้วมานอนค้างด้วย อาจจะทำให้แฟนของพี่สมชายสงสัยใคร่รู้ และอาจจะคอยจับตามองเพื่อสืบเรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ด้วย

ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้วยกันตลอดคืนวันอาทิตย์ มันเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าสงสัยน้อยเสียเมื่อไหร่
ตัวผมเองก็เป็นโสด ยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว อยู่ตัวคนเดียว มีเด็กหนุ่มคนเดิมมาหาเป็นประจำ

แถมซ้ำเจ้านี่ ยังเป็นคนเดียวกับเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ส่งอาหารเช้าให้ผมทุกวันด้วย เวลาที่เจ้าบ้านี่ มาหาผมทีไร

เขาก็จะนัวเนียชิดใกล้ คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง ทั้งทำกับข้าว ล้างถ้วยชาม เก็บกวาดถูบ้านผม ล้างรถ อาบน้ำให้สุนัข ซักผ้า รีดผ้า

ทำตัวเหมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้านนี้ ผมจะบ่นว่าก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด สมควรจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่มีน้ำใจต่อผม

ก็เลยทำให้ผมปล่อยเลยตามเลย อยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ได้หวงห้าม แรกๆก็กลัวว่าคนข้างบ้านจะคอยสอดแนม และพูดจาถามไถ่ ให้ผมอับอายอึดอัด

แต่การอยู่แบบตัวใครตัวมันของคนกรุงเทพฯ ทำให้ไม่มีใครสนใจใคร ทำให้ผมสบายใจไปได้เปลาะหนึ่ง

จะมีก็แต่บ้านของพี่สมชายที่อยู่ตรงข้ามบ้านของผมเท่านั้น ที่ชอบสนใจเรื่องของชาวบ้าน โดยเฉพาะเมียของเขาที่ยิ่งกว่าลำโพงของชุมชนเสียอีก

การที่เขามาเห็นเดียร์แบบนี้ ยิ่งไม่ค่อยน่าไว้ใจใหญ่ ลางสังหรณ์บอกว่า วันข้างหน้าผมต้องเจอกับความวุ่นวายแน่นอน



ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ร้อนอะไรนัก เขารับกุญแจบ้านมาจากผม เปิดประตูรั้วอ้ากว้างให้ผมเอารถเข้าไปจอด

จากนั้นก็ปิดประตูรั้ว และเดินหิ้วถุงใส่ผักผลไม้ ตามผมเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีที่ร่าเริง

“หวังว่าวันนี้คงไม่ได้ซื้อ กล้วย หรือ ไส้กรอกมาด้วยหรอกนะ”

ผมแกล้งแซวเขา เด็กหนุ่มยิ้มแย้ม ทำหน้าทะเล้น

“เรียวคิดถึงเรื่องเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือครับ หรือว่าอยากจะให้ผมทานไส้กรอกชีสของเรียวอีก

ผมชอบทานนะ ไส้กรอกชีสของเรียวอร่อยมาก ทานกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย”



คนปากดีแบบนี้ต้องโดนมะเหงกเขกกบาลซะบ้าง หมั่นทะลึ่งเกินเด็กเหลือเกิน เดียร์คลำหัวป้อยๆ โวยวายเสียงหลง


“อ๊า ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เขกหัวผมทำไมอ่ะครับ ก็เรียวถามเองอ่ะ ผมก็นึกว่าเรียวอยากให้ผมทำแบบวันนั้นอีก แล้วผมก็พูดจริงนะ

ผมชอบทำแบบนั้นกับเรียวที่สุดเลย ถ้าได้ทำทุกวันก็ดีน่ะสิ พูดแล้ว ก็อยากทำ อยากทำอีกอ่ะ”



ด้วยความหมั่นไส้ที่เดียร์แสร้งทำเป็นง๊องแง๊ง เหมือนเด็กที่กำลังร้องขอในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่อาจให้ได้ ผมจึงยกเท้าถีบก้นเดียร์เบาๆ

เด็กหนุ่มทำท่าเซถลาไปชนกับโซฟาประหนึ่งว่าผมออกแรงกับเขามากจนเกินไป เดียร์หันมามองผม แล้วก็หันกลับไปวางข้าวของในมือลงบนโต๊ะกลาง

ก่อนจะหันกลับแล้วพุ่งเข้ามาหาผมใหม่ ผมช้ากว่าเขาอีกแล้ว ไม่ทันคิดว่าเจ้าเด็กบ้าจะโต้ตอบกลับ จึงถูกเขารวบตัวไว้ในวงแขนได้โดยง่าย


“ผมน่ะ ไม่ชอบให้ใครมารังแกนะ คนที่ทำร้ายผม ต้องโดนเอาคืน แต่นี่เป็นเรียว คนที่ผมรักมากที่สุด

ดังนั้น ผมจะละเว้นโทษตายให้ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าหวังว่าผมจะใจดีปล่อยให้รังแกผมได้ตามสะดวก”


เดียร์แสร้งทำเป็นขู่ผม แต่ตาที่มองมากลับหวานเยิ้ม


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:03:37
“จะทำอะไร”

ผมเสียงแข็งกลับ จ้องเขาตาเขม็ง หวั่นใจว่าหมอนี่จะเล่นพิเรนทร์อีก

“ก็ทำอย่างนี้ไง”

เดียร์ก้มหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว และจูบประทับที่ริมฝีปากของผม เขาพยายามเปิดปากผมด้วยปากของเขา

แม้ว่าผมจะพยายามเม้มปากให้สนิท แต่จูบที่เรียกร้องของเดียร์สามารถทำให้ปากผมเผยอออกจนได้ ลิ้นนุ่มๆสอดเข้ามาในปาก

และกระหวัดเกี่ยวพันกับลิ้นของผม เขามอบจูบที่หวานล้ำให้ จนผมอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อตนเองได้จูบโต้ตอบเดียร์อย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน


“นายผิดสัญญาอีกแล้วนะ”

ผมผลักเขาออกไปให้พ้นตัวอย่างรวดเร็วทันทีที่ตระหนักว่าตนเองได้เผลอตัวทำอะไรลงไป ผมใช้หลังมือเช็ดที่ริมฝีปากของตนเอง

เหมือนจะให้รอยจูบของเดียร์เมื่อสักครู่ลบเลือน ดวงตาของเด็กหนุ่มหลุบต่ำลงที่ริมฝีปากผม ท่าทางอาลัยอาวรณ์


“คิดดูดีๆนะครับ เรียว ผมผิดสัญญาที่ไหน คุณเองก็ยินยอมพร้อมใจด้วยนี่นา”

เขาพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ ผมอึ้งอย่างยอมจำนน ไม่อาจจะกล่าวหาเขาได้อีก แต่กระนั้นความรู้สึกของผู้ชายแท้ๆที่ถูกผู้ชายที่เป็นเกย์ล่วงเกิน

มันบอกให้ผมต้องแสดงออกด้วยการปั่นปึ่งใส่เขา เพื่อให้รู้ว่า ผมไม่พอใจในสิ่งที่เขาทำ


“นายมันเป็นคนชอบฉวยโอกาสจริงๆ เผลอเป็นไม่ได้”

เด็กหนุ่มขยับเข้ามาหา ทันทีที่สิ้นคำต่อว่าของผม แต่ผมเบี่ยงตัวหนี แล้วเดินมานั่งที่โซฟา เดียร์เดินตามเข้ามาหา แล้วส่งสายตาอ้อนมาให้

“เพราะรักน่ะครับ เลยอดใจไม่ไหวจริงๆ ผมน่ะ แทบจะรอเวลาที่จะให้เรียวรักผมด้วยใจจริงไม่ได้เลยอ่ะครับ”

“จะมีวันนั้นด้วยเหรอ”


ผมพูดเสียงเยาะ เด็กหนุ่มมองหน้าผม แววตาหม่นลง แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงตาคู่นั้นก็กลับมาฉายประกายกล้า

“มีสิครับ ผมเชื่อว่าวันนั้นมีจริง วันที่เรียวเห็นว่าผมเป็นคนที่สำคัญที่สุด วันที่ผมจะได้อยู่กับเรียวอย่างมีความสุข มันอยู่ไม่ไกลหรอกครับ”


น้ำเสียงที่มุ่งมั่นจริงจังที่ผมได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ช่างกัดกร่อนจิตใจของผมเสียเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้ยินใจของผมก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นทุกที

ผมไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่เขาว่า มันจะมีจริงหรือไม่ ระหว่างเขากับผมใครจะเป็นผู้พ่ายแพ้ไปเสียก่อน อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มเลย

ผมเองก็รอวันนั้นเหมือนกัน ด้วยอยากรู้ว่า ใจของผมจะแกร่งเพียงพอแค่ไหน หรือจะเอนไหวไปกับความสุขกายสุขใจที่เด็กหนุ่มคนนี้ปฏิบัติต่อผม

เวลาที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ครบ 1 เดือนเต็มที่เด็กหนุ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิต ผมยอมรับว่าบางครั้งเขาก็ทำให้ผมมีความสุขได้เหมือนกัน
“อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย ไปทำกับข้าวเถอะ มันดึกมากแล้ว ฉันหิวแล้วล่ะ นายเองก็คงจะหิว รีบทำกับข้าว แล้วจะได้มาทานด้วยกัน”


ผมบอกเขาเป็นการตัดบท เดียร์มีสีหน้าท่าทางที่กระตือรือร้นขึ้นมาทันที เขารับเขา แล้วรีบกุลีกุจอ ถือถุงผักผลไม้ตรงเข้าไปยังในครัว

ผมอดส่งยิ้มตามหลังเด็กหนุ่มไม่ได้ เด็กหนอเด็ก เดี๋ยวก็ทำหน้าน้อยใจ เดี๋ยวก็ทำเข้มแข็งมุ่งมั่น ตอนนี้ก็ทำร่าเริงกระดี๊กระด๊าอีกแล้ว

เจ้าเด็กนี่ดูๆไปก็น่ารักดีเหมือนกันนะ เสียดายจังที่เป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง แล้วมาทำให้ผมมากมายขนาดนี้ ผมคงหลงรักเขาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ


“ทานอาหารเสร็จแล้วดูหนังด้วยกันนะครับ”

เด็กหนุ่มเอ่ยเชิญชวนผม ขณะที่เรานั่งทานอาหารด้วยกัน

“จะบ้าเหรอเดียร์ นี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว ไม่กลับบ้านกลับช่องหรือไง”

“ก็มันยังไม่อยากกลับนี่ครับ เพิ่งจะห้าทุ่มเอง ไม่ดึกเท่าไหร่หรอก แล้ววันนี้นะ ผมไปซื้อวีซีดีมาครับ เป็นหนังน่าสนใจดี ก็เลยอยากซื้อมาดูกับคุณด้วยอ่ะครับ”

“เรื่องอะไร หวังว่าคงไม่ใช่หนังโป๊นะ”

“เปล่าครับ แต่เป็นหนังเกย์อ่ะครับ มีหลายเรื่องจากหลายชาติอ่ะครับ แต่เป็นหนังดี สนุกด้วย อยากให้เรียวได้ดูบ้างน่ะครับ เพื่อเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ”

“แล้วทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วย”

“คุณจะได้เข้าใจคนที่เป็นเกย์มากขึ้นไงครับ จะได้รู้ว่าเกย์คิดแบบไหนน่ะครับ”

“ไม่เห็นจะต้องอยากเข้าใจพวกนายเลย ไม่เอาล่ะ ถ้านายอยากดู ก็ดูไปคนเดียวเถอะ ฉันง่วงแล้ว จะไปนอนล่ะ

อ้อ วันนี้น่ะ ห้ามนอนที่นี่นะ ไม่ใช่วันของนาย สัญญาต้องเป็นสัญญา ดังนั้นถ้านายจะดูหนังที่นี่ ฉันก็ไม่ว่า ขอเพียงดูเสร็จ ออกไปแล้ว ก็ล็อคประตูให้ด้วยแล้วกัน”

“เรียวอ่ะ ใจร้าย แล้วก็ทำตัวเย็นชาอีกแล้ว ก็ได้ครับ ผมไม่ดูก็ได้นะ ผมกลับก็ได้ ถ้าเรียวไม่อยากให้ผมอยู่

แต่ผมจะทิ้งหนังพวกนี้ไว้ที่นี่แล้วกัน เผื่อว่าเรียวอยากจะดูอ่ะครับ มันเป็นหนังดีมากนะ ถ้าลืมว่ามันเป็นหนังเกย์

หนังมันให้ข้อคิดดีๆหลายเรื่องเลย เรียวดูแล้วอาจจะชอบก็ได้”


น้ำเสียงคนพูดบ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจเต็มที่ แต่กระนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อผม แม้ว่ามันจะดูเหมือนกับยัดเยียดไปหน่อยก็ตาม

เฮ้อ ทำหน้าตากับน้ำเสียงละห้อยละเหี่ยแบบนี้ผมเองก็อดสงสารไม่ได้

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องทิ้งไว้หรอก ฉันจะดูกับนายก็ได้ แต่ว่าเรื่องเดียวพอ แล้วนายต้องสัญญาด้วยว่า ดูเสร็จแล้วก็จะกลับไปบ้าน ไม่วุ่นวายกวนใจฉันอีก”


ในที่สุดผมก็ใจอ่อนยอมตามใจเจ้าเด็กบ้านี่จนได้ ผมหาเหตุผลให้ตัวเองว่าเพราะอะไรถึงตกลงไปแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะอาหารมื้ออร่อยที่เขาช่วยทำให้ผมทาน

ความเอาใจใส่ห่วงใยในตัวผมที่เขามีให้เสมอ ดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง สิ่งเหล่านี้กระมังที่คอยเตือนผมให้ทำดีกับเขาบ้าง


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:04:13
การดูหนังกับเจ้าเด็กนี่สักเรื่อง คงไม่ทำให้เกิดความเสียหายมากมายหรอกนะ ถึงแม้จะเป็นหนังเกย์

ก็ใช่ว่าดูแล้วจะเบี่ยงเบนเป็นพวกเขาไปเลยเสียเมื่อไหร่ บางทีผมอาจจะเข้าใจคนพวกนี้มากขึ้นอย่างที่เดียร์ว่าก็ได้



เดียร์มีสีหน้าแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มกว้างให้ผม ทำท่าร่าเริงเหมือนเด็กๆ ผมมองเขาอย่างนึกเอ็นดู

เด็กหนุ่มคนนี้มักจะมีรอยยิ้มบนหน้าเสมอ ไม่ว่าจะดีใจ หรือแม้ว่ากำลังเสียใจเขาก็จะพยายามยิ้มตลอด

ดูเหมือนว่าเดียร์พยายามจะต่อสู้กับอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการด้วยความมุ่งมั่นและการมองโลกในแง่ดี

เห็นเขาเป็นแบบนี้ ใจผมก็ยิ่งอ่อนแอหวั่นไหว เริ่มรู้สึกนิยมชมชอบเจ้าเด็กนี่มากยิ่งขึ้น จนต้องเตือนตัวเองหลายครั้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรา เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น



หลังจากที่เดียร์ล้างถ้วยชาม เก็บกวาดห้องครัวเรียบร้อย ส่วนผมก็อาบน้ำเสร็จแล้ว เราสองคนก็มานั่งดูหนังกันที่ห้องรับแขก

เดียร์อ้อนขอมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับผม แรกๆก็นั่งคนละมุม แต่พอดูไปดูมา เด็กหนุ่มก็เลื้อยตัวลงนอนเรื่อยๆ

จนกระทั่งศีรษะของเขาแทบจะเกยขึ้นมาบนหน้าตักผมอยู่แล้ว ผมไม่ว่าอะไรเขา นอกจากนั่งเฉย และให้ความสนใจกับเนื้อหนังที่อยู่บนจอ



หนังที่เดียร์นำมามีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เขาอธิบายให้ผมฟังเป็นฉากๆว่าหนังที่เขานำซื้อมาดูนั้นมีอะไรบ้าง

เริ่มด้วยหนังดังจากประเทศจีน นำแสดงโดย เลสลี่จาง กับ เหลียงเฉาเหว่ย ชื่อเรื่อง Happy Together

หนังวัยรุ่นจีน เรื่อง Formula 17 หนังโรแมนติกดราม่าอย่าง Lan yu หนังรัสเซียเรื่อง You I love

หนังกลิ่นอายละตินอเมริกันอย่าง Bad education หนังอเมริกันและเนเธอร์แลนด์อย่าง Mysterious skin

หนังสิงคโปร์ Rice Rhapsody ยังมีหนังที่มีดาราสุดหล่อขวัญใจสาวๆอย่าง โคริน ฟาร์เรล

ที่แสดงเป็นหนุ่มเกย์ในเรื่อง A home at the end of the world หรือแม้แต่หนังของเกี่ยวกับกะเทยที่ผ่าตัดแปลงเพศ

แต่หมอกลับทำให้ไม่สมบูรณ์แบบ จะหญิงก็ไม่ใช่จะชายก็ไม่เชิงอย่างเรื่อง Hedwig and the angry inch

ที่ตัวผู้กำกับลงทุนเป็นดารานำแสดงเสียเอง มีหนังเกี่ยวกับเกย์นักเต้นอย่างเรื่อง The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert

และหนังซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Queer as folks อีกด้วย



นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชื่อเรื่องที่ผมจำได้แทบไม่หมด ดูเหมือนเดียร์จะไปกว้านซื้อหนังเกย์ทุกเรื่องมาดูโดยเฉพาะ

เขาบอกกับผมว่า หนังบางเรื่องดูแล้วก็ทำให้เกิดกำลังใจมีความหวัง ในขณะที่หนังบางเรื่อง ก็สะท้อนด้านที่มืดหม่นออกมา

เมื่อดูแล้วแทนที่จะห่อเหี่ยว กลับยิ่งต้องสร้างภูมิต้านทางด้านจิตใจให้มากยิ่งขึ้น การเอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวเอง

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ จะมีความสุข หรือ มีความทุกข์ เรากำหนดได้ทั้งนั้น ดูหนังดูละคร แล้วก็ย้อนตัวเอง

ถ้าสามารถจัดการกับชีวิตได้ดี เราก็จะพบกับความสุข แฮปปี้เอนดิ้งไปตลอดกาล


“เรียวอยากดูเรื่องอะไรดีครับ”
ขาถามด้วยความกระตือรือร้น หลังจากที่อธิบายเรื่องย่อคร่าวๆของแต่ละเรื่องให้ผมฟังจนหมดแล้ว

ผมส่ายหน้าอย่างงงๆ ความที่ผมไม่ค่อยได้ดูหนังมานานมากแล้ว อย่าว่าแต่หนังเกย์พวกนี้เลย หนังแอคชั่น หรือหนังดังๆทั้งหลายที่เข้าโรงอยู่ตอนนี้

ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลย ดังนั้นถ้าหากถามผม ก็คงจะตอบไม่ได้ว่าเรื่องไหนน่าสนใจกว่ากัน


“งั้นเราอย่าดูหนังที่มันหนักๆเลยนะ ดูหนังที่สบายๆใสๆไปก่อน เรียวจะได้ปรับอารมณ์ความรู้สึกได้ เอาหนังวัยรุ่นเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

เด็กหนุ่มหยิบแผ่นดีวีดีของหนังเรื่อง formula 17 ใส่เข้าไปในเครื่องเล่น จากนั้นก็ล้มลงนอนเหยียดยาวข้างๆผมตามเดิม


โจวเทียนไฉเด็กหนุ่มบ้านนอกวัย 17 ปีได้ใช้เวลาในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เข้ามาท่องเที่ยวในกรุงไทเป

โดยพักอยู่กับเพื่อนหนุ่มนิสัยออกสาวอย่างเหวินหยู โดยส่วนตัวนั้น เทียนเชื่อว่า เซ็กส์ควรเกิดขึ้นพร้อมๆกับความรักเท่านั้น

แต่นั่นดูจะไม่ใช่อุดมคติ ที่จะไปกันได้กับผู้คนในเมืองใหญ่อย่างไทเปเลย เพียงแค่การนัดเที่ยวครั้งแรก เขาก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่า

การหารักแท้ในเมืองนี้ ดูจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนัก



ตลอดฤดูร้อนนี้ เทียนต้องพบกับแบบทดสอบต่างๆนานา ที่ล้วนแล้วแต่มาในรูปของผู้ชายรูปงาม ที่ยั่วยวนต่อการเสียตัวยิ่งนัก

แต่ก็คงไม่มีบททดสอบใดที่น่าหวั่นเกรงไปมากกว่า ไป๋เถียน-หนาน หนุ่มเจ้าชู้ที่เชี่ยวชาญในการฟันแล้วทิ้งจนขึ้นชื่อลือชาในหมู่เกย์ไทเป

คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนักหรอก ถ้าบังเอิญเทียนจะไม่ได้พบกับไป๋เถียนหนานบ่อยครั้ง ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ ดูเหมือนฝ่ายไป๋จะสนใจเทียนอยู่ไม่ใช่น้อย


ขณะเดียวกันเทียนก็รู้สึกใจหวิวๆเมี่ออยู่ใกล้ไป๋เถียนหนานด้วยเช่นกัน แล้วในวันหนึ่งหนุ่มน้อยเทียนก็ไปหาไป๋ถึงบ้าน

และมีอะไรกันด้วยความรัก แต่เมื่อเพลิงพิศวาสดับมอดลงในตอนเช้า ไป๋ซึ่งกลัวการผูกมัดก็กล่าวคำล่ำลา ทำให้เทียนช้ำใจ

จนคิดกลับบ้านนอก กว่าที่ไป๋จะรู้ใจตนเอง เขาก็เกือบจะเสียเด็กหนุ่มไป



ทั้งหมดนั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนัง แม้ว่าผมจะเลยวัยรุ่นมาแล้ว แต่การได้ดูหนังที่มีกลิ่นไอของความใสซื่อของหนุ่มวัยรุ่นบ้านนอกคอกนา

ที่บูชารักแท้ ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ ไพล่นึกไปถึงเจ้าเด็กที่นอนอยู่ข้างๆผม เด็กบ้านี่ก็บูชารักแท้เหมือนกัน

พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักมา ต่างกันที่ว่า เดียร์ไม่ได้ใสซื่อแบบเทียน แต่เจ้าเล่ห์แสนกลกว่า อายุต่างกันแค่ปีเดียว

แต่เจ้าเด็กลูกครึ่งกลับสามารถวางแผนแบล็คเมล์จนผมติดกับยอมทำสัญญาเป็นแฟนด้วย แล้วผมก็ยังเชื่ออีกว่า

ต่อให้ผมด่าว่าเดียร์หรือร้ายกาจกับเขายิ่งกว่าไป๋ ก็ไม่มีทางทำให้เด็กหนุ่มถอดใจยอมพ่ายแพ้ เลือดนักสู้มันไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของเขา

เดียร์ไม่มีวันยอมรามือให้กับอุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามา คนอย่างเขาคงฮึดสู้จนกว่าจะได้ยินเสียงระฆังหมดเวลาเป็นแน่

ตัวแสดงในเรื่องเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ หน้าตาของเด็กหนุ่มคนที่เล่นเป็นเทียนก็ดูน่ารักใสซื่อดี ในขณะที่คนแสดงเป็นไป๋ก็มีใบหน้าที่ดูหล่อเหลา

ใบหน้าตอนยิ้มก็ดูน่ารัก ผมอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆก็เกิดนิยมดาราชายขึ้นมา หวังว่าผมคงไม่กลายพันธุ์กลายเพศหรอกนะ


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:04:52

“เอ๊ะ น้องชายคุณโตขึ้นอีกแล้วครับ สงสัยจะมีอารมณ์ ผมช่วยนะครับ”

ผมสะดุ้งเฮือก ก้มลงมองที่กางเกงนอนของตัวเอง ใช่จริงๆด้วย น้องชายของผมเกิดคึกคักขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

หลังจากที่หนังฉายถึงฉากพิศวาสระหว่างไป๋กับเทียน มันไม่ได้โจ๋งครึ่มแบบหนังเอ็กซ์เกย์ที่เดียร์เอามาดูเมื่อวันอาทิตย์ก่อนโน้น

แต่มันก็มีอิทธิพลต่ออารมณ์ปรารถนาของผม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น สองครั้งแล้วที่เห็นผู้ชายมีอะไรกันแล้วผมดันเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา

นี่ผมผิดปกติไปรึเปล่านะ ไม่ได้การเสียแล้ว ผมควรจะหนีไปจากสถานการณ์ล่อแหลมตรงนี้ดีกว่าก่อนที่จะเกิดอะไรที่ไม่งามสำหรับตัวเอง



ขณะที่ผมเตรียมจะลุกหนีจากโซฟา แต่ความที่มัวแต่เงอะงะตกใจและสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาเมื่อดูหนังเกย์

ทำให้ผมเคลื่อนไหวร่างกายช้าไปกว่าเจ้าเดียร์ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆผม ดูเหมือนเจ้าหมอนี่คอยมองหาโอกาสที่จะได้เล่นงานน้องชายของผมอยู่ตลอดเวลา


พอเรียวน้อยเริงร่าเข้าทางเขาเมื่อไหร่ เจ้าเด็กนี่ก็อาสาเล่นด้วยกับน้องชายของผมทันที


เดียร์ไถลตัวลงนั่งกับพื้นอย่างว่องไว ปราดเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าผม แล้วเอื้อมมือจะมา รูดกางเกงนอนผมลง ผมพยายามผลักไสเขา ร้องปฏิเสธพัลวัน


“ไม่เอานะเดียร์ ฉันไม่ทำนะ”

“แต่ว่า คุณกำลังมีอารมณ์อยู่นะ ไม่ปลดปล่อย เดี๋ยวก็ปวดท้อง นอนไม่หลับหรอก”

“จะทำอะไรกันบ่อยๆ ฉันไม่ใช่ของเล่นที่นายจะมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้นะเดียร์”


ผมทำเสียงแข็งใส่เขา จ้องเด็กหนุ่มตาเขม็ง มือก็คอยจับมือไม้เด็กหนุ่มไว้ ไม่ให้ยุ่มย่ามกับน้องชายของผม

เดียร์จ้องตอบผม แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลทว่าจริงจัง


“ผมไม่เคยมองเรียวเป็นเหมือนของเล่นเลยนะครับ ที่ผมอาสาจะทำให้ ก็เพราะว่าผมรู้ว่าเรียวเองก็มีความปรารถนาซ่อนเร้นอยู่

เรียวอยู่คนเดียวมานาน ทำแต่งาน ไม่ได้เที่ยวเตร่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน แฟนก็ไม่มี บางครั้งเกิดอารมณ์ก็ต้องทนเก็บกดไว้ ไม่มีใครคอยช่วย”


เดียร์หยุดพูดเพื่อจ้องมองผม เมื่อเห็นผมนั่งฟังทำหน้าเฉยเมย เขาก็พูดต่อ


“คนเราเมื่อถึงเวลาอยาก แต่ไม่ได้กินนี่มันหงุดหงิดนะครับ แล้วพาลจะอารมณ์เสียออกมาได้ง่ายๆ ผมไม่อยากให้เรียวของผมเปลี่ยนจากคนใจดี

กลายมาเป็นขี้หงุดหงิดขี้โมโหง่าย อยากให้เรียวปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องราวไม่สบายใจทั้งปวง อยากให้เรียวมีความสุข

การมีเซ็กส์ก็ช่วยให้ทำให้คนเราอารมณ์ดี และมีอายุยืนนะครับ ผมจึงอาสาที่จะคอยช่วยเหลือเรียวยังไงล่ะครับ”

“แต่ฉันไม่อยากทำนี่”


ผมยังยืนกรานปฏิเสธ แม้จะรู้ว่าเดียร์หวังดี แต่ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มันบ่อยมากเกินไปไหม ที่ผมหงุดหงิด
นั่นไม่ใช่เพราะผมไม่ได้มีเซ็กส์ แต่มันเกิดจากการที่ผมอยากมีเซ็กส์ต่างหาก และที่น่ากลัวมากกว่านั้นคือ

ผมเริ่มที่จะรู้สึกว่า เวลาที่ผู้ชายอย่างเขามาแตะต้องของสงวนของผม จากที่เคยรังเกียจขยะแขยง มันกลับกลายเป็นความพึงพอใจ

หากผมยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผมคงเผลอใจยอมมีอะไรกันกับเขาเป็นแน่ ฟ้าคงผ่าตายเลย

ถ้าผู้ชายอย่างผมเกิดอยากจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันขึ้นมา

“ผมไม่เชื่อในสิ่งที่เรียวพูดหรอกครับ ตาเรียวมันฟ้องว่าต้องการเหมือนกัน แต่ที่ปฏิเสธ เป็นเพราะว่าผมเป็นผู้ชายใช่ไหม

เรียวติดแค่ตรงนี้เอง ตรงที่ผมมีเพศเดียวกับคุณ ทำไมเรียวไม่ลองหลับตาดูล่ะครับ ไม่ต้องมองผม ปล่อยตัวปล่อยใจตามสบาย

ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมา แล้วเรียวก็จะพบแต่ความสุขจากการถูกสัมผัสน่ะครับ”



แววตาที่จ้องมองมา เปล่งประกายกล้าจนผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสู้สายตา เพราะกลัวว่า ความรู้สึกที่แท้จริงในใจมันจะฟ้องออกมาให้เด็กหนุ่มจับได้เรื่อยๆ

ที่เดียร์พูดมาถูกต้องที่สุดเกือบจะทุกเรื่อง ใช่สิ ผมน่ะ ไม่มีแฟนมานานแล้ว แถมซ้ำยังไม่ได้นอนกับใครตั้งแต่เลิกกับอรจิรา

ช่วยตัวเองเพื่อปลดเปลื้องอารมณ์ก็ไม่ได้ทำ เกิดอารมณ์ขึ้นมาทีไรก็ต้องรีบหาอย่างอื่นมาทำให้มันวุ่นวายจะได้ลืม

และเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ เพราะยิ่งคิดยิ่งหมกมุ่น ความปรารถนายิ่งรุนแรง จะออกไปเที่ยวผู้หญิง ก็กลัวติดโรคไม่ปลอดภัย

จะหาผู้หญิงคนใหม่มาเป็นแฟน ก็กลัวการผูกมัด และกลัวจะมีปัญหาแบบเดียวกับที่เจอกับอรจิรา ความกังวลในในเรื่องเหล่านี้ทำให้ผมเข็ดขยาด

ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับใคร แม้จะเป็นความสัมพันธ์ชั่วครั้งก็ตาม



อารมณ์ใคร่ที่ถูกเก็บกดไว้ในเบื้องลึก ค่อยๆปรากฏออกมาให้เห็นทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่เดียร์เข้ามาเปิดทาง

เขาทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่อยากจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครก็ได้เพื่อเป็นการปลดปล่อยตัวเองบ้าง และในบางครั้งเขาทำให้ผมคิดอยากจะลองมีอะไรกับเขา

ความคิดอันน่าตกใจนี้ มันวูบวาบเป็นพักๆ ทำให้ผมต้องสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง ไม่อยากจะรับความหวังดีจากเขาไปมากกว่านี้

กลัวว่าจะอดใจไม่ไหว แล้วทำสิ่งที่ทำลายความเชื่อของตัวเองขึ้นมา ในเมื่อผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ชายควรมีอะไรกับผู้หญิงเท่านั้น

แม้มิได้รังเกียจพวกคนรักเพศเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ต้องการเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมนี้อย่างแน่นอน



เด็กหนุ่มกลับขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆผมตามเดิม แต่คราวนี้ขยับเข้ามานั่งจนชิด เดียร์ใช้สองมือประคองใบหน้าผมให้หันมาหา

แล้วมองเข้าไปในตาผม พลางพูดเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบ


“หลับตานะครับเรียว ปลดปล่อยตัวเองจากความหวั่นเกรงทั้งหลาย แล้วเปิดประตูหัวใจเอาไว้ อย่ากังวลกับอะไรทั้งนั้นนะครับ”



เดียร์ไล้หัวแม่มือไปตามแนวริมฝีปากของผมเบาๆ ผมสบตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเทิดทูนของเขา แล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย

มีเสียงหัวเราะเบาๆแว่วมาให้ได้ยิน จากนั้นผมจึงสัมผัสได้กับลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้ม เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้ามาหาผม

และฝังจมูกซุกไซร้ที่ใบหน้าและลำคอจนผมสะท้านเยือก เขาใช้สองมือสัมผัสผมอย่างแผ่วเบา ทว่าเร่าร้อน เดียร์ใช้มือหนึ่งโอบไหล่ผมไว้

ดันให้เอนเข้ามาหาเขา มืออีกข้างก็สอดเข้ามาข้างในเสื้อนอน และลูบไล้ไปตามแผ่นอกของผม มันสร้างความรุ่มร้อนให้เกิดขึ้นในกาย

ยามที่เขาลากมือผ่านไปตามส่วนต่างๆ ผมถึงกับครางฮือ เมื่อเดียร์เคลื่อนมือลงต่ำไปจนถึงท้องน้อย เขาค้างมือเวียนวนลูบไล้อยู่แค่ตรงนั้น


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:05:44
ปากของผมถูกเปิดออกด้วยริมฝีปากของเขา เดียร์สอดลิ้นอุ่นๆแทรกเข้ามาภายใน และพลิกลิ้นอย่างชำนิชำนาญ

ถึงแม้ว่าผมจะหลับตา ไม่ได้มองดูการกระทำของเขา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งอกตั้งใจที่เด็กหนุ่มแสดงออกต่อผม

เขามอบจูบที่หวานล้ำให้ ผมจำได้อย่างลางเลือนว่าตัวเองก็จูบโต้ตอบเขาด้วยเช่นกัน เราแลกลิ้นกันพัลวัน

ความตะขิดตะขวงใจที่ต้องจูบกับผู้ชายแต่ก่อนเก่ามลายหายไปสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมหลับตาจนไม่สามารถมองเห็นความเป็นชายของเขา

หรือเพราะรสจูบที่เร้าอารมณ์กันแน่ ที่ทำให้ผมตอบสนองเขาอย่างสมกัน



มือของเด็กหนุ่มสอดเข้ามาในกางเกงนอนของผม และกอบกุมน้องชายตัวน้อยของผมไว้ เดียร์ลูบไล้คลึงเค้นไปตามลำตัวเรียวน้อยอย่างอ่อนโยน

จากนั้นเขาก็งัดเจ้าหนูน้อยที่กำลังเริงร่าของผมให้ออกมาเต้นดึ๋งดั๋งเต็มไม้เต็มมือเขาข้างนอก

“ไวไฟจังเลยนะครับ เรียวนี่ปลุกเร้านิดเดียวก็มีอารมณ์แล้ว ดีจังเลยครับ”


เสียงกระซิบแผ่วจากปากของเรียว ทำให้ผมได้สติ เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นหน้าของเดียร์ลอยอยู่ใกล้แค่คืบ

เขาก้มลงจะฝังจมูกลงที่ซอกคอเหมือนเมื่อครู่ที่เขาทำจนผมเกิดความเคลิบเคลิ้ม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนีได้ทัน พยายามจะขยับตัวออก

แต่ไม่ถนัด เนื่องจากร่างกายส่วนหนึ่งของผม เอนอิงไปซบอกเขา และในมือของเด็กหนุ่มยังมีน้องชายของผมเป็นตัวประกันอยู่

“อย่าทำเลย”

ผมขอร้องเขา อกใจสั่นไหว เดียร์ยิ้มให้ผมอย่างปลอบประโลม เขาคงรู้ว่าอารมณ์ของผมสะดุดลงหลังจากได้ยินคำพูดนั้นของเขา และเด็กหนุ่มกำลังพยายามจะเริ่มมันใหม่


“ไม่เป็นไรหรอกครับเรียว ถึงแม้ว่ามันจะไม่อยู่ในสัญญาของเราก็ตาม แต่ผมยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจนะครับ

ถ้าเรียวปล่อยให้อารมณ์ค้าง จะทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น เรียวเห็นด้วยไหมครับว่าหลายคืนที่ผ่านมานี้

เรียวหลับฝันดี เพราะว่ามีผมคอยทำให้เรียวมีความสุข แล้วเรียวก็ไม่ต้องมาขอบใจผมด้วย ผมยินดีบริการตราบเท่าที่เรียวต้องการน่ะครับ ดังนั้นเชิญใช้ผมได้เลย ครับ”



เขาทำเป็นไขสือ ไม่ใส่ใจกับสาเหตุที่ทำให้ผมหมดอารมณ์ พลางยิ้มหวานประจบ ผมนึกชังรอยยิ้มแบบนั้นของเขาจัง

มันเหมือนรอยยิ้มของเด็กๆ ดูใสชื่อ บริสุทธิ์ แต่จริงๆแล้ว เจ้าของรอยยิ้มนั้นดูเจ้าเล่ห์แสนกลเสียเหลือเกิน



ผมทำหน้าบึ้งใส่เขา ใครจะไปเห็นด้วยกับคำพูดแบบนั้นของเขาเล่า การที่ผมไม่ยอมให้เขาทำ มันไม่เกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหรอก

มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมมากกว่า ผมเป็นผู้ชาย จะให้ผมชื่นชอบ การถูกเล้าโลมจากผู้ชายด้วยกันได้ยังไง

มันต้องเป็นการกระทำจากพวกผู้หญิงมากกว่าที่จะทำให้ผมมีอารมณ์ได้.....


ทว่า.....มันไม่จริงหรอก .......ในที่สุดผมก็ให้คำตอบของตัวเอง ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น ผมก็ดันผ่ามีอารมณ์กับผู้ชายด้วย

ดังนั้นเมื่อเดียร์ไม่ยอมหยุดขยับมือ แถมซ้ำยังทำเป็นมึนกอดจูบลูบไล้ผมอีกครั้ง ผมจึงเผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาทำกับผมอย่างที่เคยทำมาอีกจนได้

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:06:01
บทที่ 18



ผมสงสัยมานานมาแล้วว่า หลังจากที่เดียร์ปลดเปลื้องอารมณ์ใคร่ให้ผมแล้วตัวเขาล่ะ เกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้างไหม

เขาทำอะไรให้ตัวเองบ้าง เพราะทุกครั้งที่เดียร์ช่วยให้ผมถึงสวรรค์ เขาจะพูดคุยยิ้มแย้มกับผมด้วยความภาคภูมิใจที่สามารถทำให้ผมเสร็จได้ทุกครั้ง

ยกเว้นครั้งเดียวตอนที่ผมโกรธ จากการสังเกตของผม พบว่าเดียร์มักจะเดินเข้าห้องน้ำ แล้วหายเข้าไปสัก 15 นาที ก่อนจะออกมาด้วยสีหน้าสดชื่นรื่นเริง

ผมเข้าใจเอาว่า เขาคงเข้าไปช่วยเหลือตัวเองในห้องน้ำ แต่ก็ไม่กล้าถามให้แน่ใจ จนกระทั่งคืนนั้น หลังจากที่เขาปฏิบัติภารกิจให้ผมเสร็จ ผมอดไม่ได้จึงถามเขาขึ้นมา


“นายช่วยฉันแล้ว จากนั้นนายทำอะไรให้กับตัวเองบ้าง”

“อะไรหรือครับ”

เดียร์เงยหน้าขึ้นจากการเลียนิ้วมือที่เลอะคราบน้ำรักของผม ลิ้นสีชมพูของเด็กหนุ่มกวาดไปทั่วนิ้วจนสะอาด ขณะที่ตาจับจ้องมองว่าผมจะพูดอะไรต่อ

“นายมีอารมณ์บ้างหรือเปล่า เวลา เอ้อ.....เวลาที่นายทำให้ฉัน”

เด็กหนุ่มหัวเราะ

“มีสิ มีมากด้วย จนบางครั้งนึกอยากจะปล้ำคุณแล้วจัดการคุณเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้านะครับ กลัวว่าคุณจะ
โกรธผม

อยากให้เรียวยินยอมพร้อมใจด้วยตนเองดีกว่า ผมกลัวตัวเองเหมือนกันว่าจะเผลอบังคับขืนใจเรียวขึ้นมา จึงต้องหยุดตัวเองไว้ก่อน

ไม่อยากทำกับคนที่ไม่เต็มใจอ่ะครับผมน่ะก็เลยต้องช่วยตัวเองทุกครั้งในห้องน้ำบ้านเรียวนี่แหละ บางทีก็อาบน้ำไปพร้อมกันเลย

มันจะได้ดับความร้อนรุ่มในกายลง แล้วก็ได้แต่หวังว่าในวันหนึ่ง ผมจะได้ทำกับเจ้าของบ้านนี้บ้าง”


“ดีแล้วที่คิดได้ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยโดยที่ฉันไม่ได้ยินยอม อย่าคิดอะไรให้มันไกลเกินเอื้อมมากนักนะ หวังมากไป

ถ้าไม่ได้จะเสียอารมณ์ไปเปล่าๆ เพราะฉันน่ะ ไม่ยอมมีอะไรกับนายเด็ดขาด เลิกฝันได้เลย”

เดียร์ยิ้มยั่ว ทำหน้าล้อเลียน


“ท่าทางมั่นใจเหลือเกินนะครับ ว่าจะไม่ใจอ่อน เห็นเรียวยืนยันแข็งขันแบบนี้ ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอกครับ ผมน่ะ จะต้องทำให้เรียวยอมเป็นของผมให้จงได้”

“ไม่มีทาง ฉันเป็นผู้ชาย ฉันไม่ยอมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันหรอก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทำ หรือเป็นฝ่ายโดนทำ นายควรจะไปหาคนอื่น”


ปากก็บอกว่ามั่นใจ แต่ในส่วนลึกกลับไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเองสักเท่าไหร่ การโต้ตอบของผมที่พูดออกไปเพียงเพราะต้องการเอาชนะเด็กหนุ่ม

และเหมือนเป็นการประกาศกร้าวกับตัวเอง เพื่อสั่งจิตมิให้หลงระเริงไปกับการปลุกเร้าอารมณ์ของเขา ผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสามี หรือ ภรรยาของผู้ชายด้วยกัน

ผมจะไม่มีวันยอมให้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด

“ผมไม่ไปไหนหรอก เพราะว่าผมเห็นเส้นชัยแล้ว อีกไม่นานเรียวต้องรักผมแน่ๆ”

เด็กหนุ่มทำตาเจ้าเล่ห์ จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ จึงเหยียดเท้าออก และยันคนนั่งใกล้ให้ออกไปห่างๆตัว เขาแสร้งทำตัวแข็งไม่ขยับเขยื้อน

ผมจึงออกแรงอีกนิดหน่อยเพื่อถีบเขาลงจากโซฟา ตั้งใจจะแกล้งเขาเล่น เด็กหนุ่มรับมุขผมด้วยการทำเป็นไถลตัวเลื่อนจากเบาะลงไปนั่งกองกับพื้นห้อง

ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาทำเป็นโกรธใส่ผม


“รังแกอีกแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า เลยแกล้งได้แกล้งเอาหรือครับ อยากโดนแบบเมื่อสักครู่นี้อีกใช่ไหม คราวหน้าถ้าแกล้งผมอีก

ผมจะไม่อยู่เฉยแล้วนะครับ ผมจะกอด จูบ เรียว เอาคืนให้เท่ากับที่เรียวทำกับผม หรือ มากกว่าเลยล่ะ”


หน้าของเดียร์มีรอยยิ้มยียวนประดับอยู่ที่ริมฝีปาก สายตาที่มองผมมีแววหยอกเย้า ผมมองหน้าเจ้าเล่ห์นั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

เจ้าบ้านี่ ทำไมชอบทำหน้าแบบนี้ใส่ผมนักนะ รู้หรือเปล่าว่าถ้าทำหน้าแบบนี้แล้ว มันทำให้หน้าตาของเขาดูน่ารักมาก

เหมือนโจรเจ้าเล่ห์ที่รูปหล่อบาดตาบาดใจ ทั้งร้ายทั้งน่ารัก เห็นแล้วก็รู้สึกหวั่นไหวทุกที พอคิดแบบนี้ทีไร

ผมก็ยิ่งตกใจว่าทำไมตัวเองถึงนิยมชมชอบหมอนี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่นะ นี่ผมกำลังเป็นบ้าไปหรือเปล่า

อย่าบอกนะว่าผมเทใจให้เขาแล้ว



ไม่จริงหรอก ผมบอกตัวเอง ผมคงไม่ได้ชอบเดียร์แบบคนรักอย่างที่นึกกลัว ถ้าจะชอบก็คงเพราะเด็กคนนี้ทำให้ผมมีความสุข อยู่ด้วยแล้วสบายใจ

แม้เขาจะทำนัวเนียอยู่กับผม และทำตัววุ่นวายให้ปวดหัวเล่น แต่เจ้าหมอนี่ก็เป็นคนนิสัยดี น่ารัก ความขี้อ้อน ชอบประจบเอาใจทำให้ผมเกิดความเอ็นดูเด็กนี่อย่างมาก

อีกทั้งความมุ่งมั่น ความกระตือรือร้น กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมอดที่จะมองโลกด้านดีตามเขาไปด้วยไม่ได้



เดียร์น่าจะเหมาะเป็นน้องชายของผมมากกว่า ผมเองก็เป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องที่คลานตามกันมา แถมซ้ำพ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว

มีน้องชายน่ารักที่คอยปรนนิบัติ ทำทุกอย่างให้ก็น่าจะดี ถ้าความสัมพันธ์เป็นในรูปแบบนี้ ผมก็พอจะลดความกังวลใจได้บ้าง

ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่งของผมดีกว่า ตอนแรก เดียร์อาจจะไม่ยินยอม

แต่ผมต้องพยายามปรับเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของเขาให้ได้ โดยที่ตัวผมเองก็ต้องระมัดระวังไม่เผลอเปลี่ยนใจไปชอบเขาแบบแฟนเสียก่อน


“ทำมาขู่เจ้าของบ้านเหรอ กลับไปเลย นายเดียร์ นี่มันก็ดึกแล้ว สัญญาต้องเป็นสัญญา”


ผมไล่เด็กหนุ่มกลับ โดยใช้สิทธิของการเป็นเจ้าของบ้านและอ้างคำพูดที่ตกลงกันไว้ เดียร์ทำหน้างอนๆเหมือนเด็กถูกขัดใจ

แต่เมื่อเห็นผมทำท่าเคร่งขรึมเข้าใส่ เขาก็ยินยอมโดยดี

“กลับก็ได้ แต่ว่า เรียวต้องกอดลาผมก่อนนะ”

เขาเดินเข้ามาหาผม ยิ้มให้อย่างอ้อนๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการเรื่องมากของเขา ก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มและกางมือออกสวมกอดเขาไว้หลวมๆ

เดียร์ทำปากจิ๊จ๊ะ จากนั้นก็โอบสองแขนไว้รอบไหล่ผม และซุกหน้าตรงที่ต้นคอ

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:06:28
“เรียวนี่ ไม่ได้เรื่องจริงๆเลย กอดคนรัก เขาต้องกอดแน่นๆแบบนี้รู้ไหม ความอบอุ่นมันจะได้ถ่ายเทถึงกันได้

กอดแบบเรียว มันดูห่างเหิน ไม่สนิทใจอ่ะครับ คราวหลัง ต้องกอดแบบนี้นะ ถ้าเรียวไม่กอด ผมจะเป็นฝ่ายกอดเรียวให้แน่นๆเอง”

เขากระซิบที่ข้างหู และก่อนที่จะผละออก เดียร์ก็จูบเบาๆที่ข้างแก้มของผม


“ฝันดีนะครับที่รัก คิดถึงผมบ้างนะคืนนี้”


เด็กหนุ่มใช้มือไล้แก้มข้างที่เขาเพิ่งจูบไปเมื่อสักครู่อย่างแผ่วเบา เขายิ้มหวานให้ผม จากนั้นก็เก็บสัมภาระของตัวเองเข้ากระเป๋าสะพาย

ผมไปส่งเขาที่รั้วหน้าบ้าน ลมพัดแรง กระโชกจนใบมะม่วงที่ผมปลูกไว้หน้าบ้านร่วงกราว ท่าทางเหมือนฝนกำลังจะตก

ผมรีบบอกให้เด็กหนุ่มกลับบ้าน เดี๋ยวฝนตกมาจะลำบาก เด็กหนุ่มทำท่าอาลัยอาวรณ์ไม่อยากไป แล้วจู่ๆเขาก็เดินเข้ามากอดผมแล้วจูบที่แก้มผมอีก


“ไม่อยากไปเลยอ่ะ อยากอยู่ด้วยกันอีก แต่ก็ต้องกลับตามสัญญา เมื่อไหร่ที่เราจะอยู่ด้วยกันโดยที่ผมไม่ต้องรีบกลับก็ไม่รู้”


เด็กหนุ่มพูดเสียงเศร้าๆ ผมยิ้มให้เขา อย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พลางดันหลังให้เขารีบไปก่อนฝนจะตก เด็กหนุ่มยิ้มให้ผม แล้วก้าวเดินจากไป

ผมยืนส่งเขาที่หน้าบ้าน จนกระทั่งเห็นเขาเรียกมอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งหน้าปากซอยได้แล้ว จึงหันหลังกลับ ช่วงจังหวะนั้นเองที่ผมเห็นเงาตะคุ่มอยู่ตรงประตูบ้านที่ฝั่งตรงข้าม

เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่สมชายยืนมองผมอยู่ที่หน้าบ้าน ท่าทางเหมือนคนเพิ่งจะกลับ เพราะผมเห็นเขายังอยู่ในเสื้อผ้าชุดทำงาน น่าแปลกที่วันนี้พี่สมชายไม่ได้เอารถไปทำงานเหมือนเคย


“เพิ่งกลับเหรอครับพี่”

ผมทักทายเขาอย่างคนคุ้นเคยกันดี พลางนึกสงสัยในใจว่า เขายืนอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง ทำไมผมจึงไม่เห็นเขาเลย

แล้วเขายืนอยู่นานพอจนทันได้เห็นเดียร์กอดและจูบผมไหมหนอ

“ช่าย งานเยอะอ่ะ วันนี้ไม่ได้เอารถไปด้วย แฟนเขาเอาไปใช้ เลยกลับดึกเข้าไปใหญ่”

เขาตอบผม ท่าทางพี่สมชายเหมือนกำลังมีพิรุธ ผมมองดูพี่สมชายเห็นท่าทางที่ยืนดูคล้ายคนเมายังไงไม่รู้

“ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”

ผมตัดบทเพียงแค่นั้น ได้ยินพี่สมชายตอบรับกลับมาว่าเขาจะเข้าบ้านเองเช่นกัน เมื่อเข้ามายืนในบ้านผมก็อดครุ่นคิดไม่ได้ นึกหวั่นใจกลัวว่าพี่สมชายจะเห็นผมกับเดียร์แล้วคิดไปต่างๆนานา ไม่อยากให้แกเอาไปพูดวิพากษ์วิจารณ์เสียๆหายๆในภายหลัง ถึงแม้แกจะไม่มีประวัติเป็นพวกช่างเม้าท์ก็ตาม แต่แกอาจจะเผอเรอไปพูดกับเมีย แล้วเมียเอาไปโพนทะนาต่อก็ได้ ใครจะรู้ ยิ่งคิด ก็ยิ่งเกิดความโมโหขึ้นมา ที่ไม่น่าพลาดให้เดียร์กอดจูบตามอำเภอใจเลย แถมซ้ำยังไปทำให้คนอื่นเห็นอีกด้วย เจ้าตัวน่ะไม่เสียหายหรอก อาจจะชอบด้วยซ้ำ เพราะอยากจะแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมเสียเหลือเกิน แต่ผมสิ หนุ่มโสด ที่พัวพันนัวเนียอยู่กับเกย์ คนต้องหาว่าผมเป็นเกย์ด้วยแน่ๆ


แล้วดูสิ ทิ้งถุงใส่วีซีดีหนังเกย์ที่ซื้อมาไว้ที่นี่อีก คงกะจะให้ผมเอาไว้ดูเพื่อเปลี่ยนใจผมกระมัง เจ้าหมอนี่เอาแต่ใจตัวเองที่สุด คิดว่าจะเปลี่ยนใจคนอื่นให้เป็นอย่างตัวเองได้เหรอ คอยดูนะ หากเจ้านี่ โทรมาหาเมื่อไหร่ จะด่าให้แสบไปเลย


ผมคิดในใจด้วยความฉุนเฉียว หยิบถุงใส่หนังแผ่นของเดียร์ไปวางไว้ในตู้ที่เก็บซีดี แล้วทำหน้าขึ้งโกรธใส่อากาศที่ว่างเปล่ารอบตัว พยายามนึกให้เป็นตัวเจ้าเด็กนั่น อยากให้มาอยู่ตรงหน้า จะได้พูดคุยเจรจา ห้ามปรามไม่ให้ทำอะไรตามใจตัวเองอีกต่อไป ผมพยายามนึกถึงข้อห้ามต่างๆที่จะใส่เพิ่มเข้าไปในสัญญาระหว่างเรา ไม่รู้ล่ะ ถึงจะตกลงกันแล้ว ผมก็จะใส่เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อความสงบสุขในชีวิตของตนเอง ไม่อยากให้ใครตราหน้าว่า เป็นพวกเบี่ยงเบนทางเพศ ชอบไม้ป่าเดียวกัน


สีหน้าเยาะเย้ยของอรจิรา ที่มองผมในวันนั้น รวมถึงคำพูดของผู้บริหาร และสายตาอยากรู้อยากเห็นของยามในคืนที่เดียร์ไปหาผมที่สำนักงานมันคอยหลอนจิตใจผมตลอดเวลา แม้จะยังไม่มีใครพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ลางสังหรณ์บอกผมว่า ในไม่ช้าไม่นาน เรื่องร้ายๆคงจะเกิดขึ้นกับผมอย่างแน่นอน


เสียงคำรามครืนโครมดังแว่วมาไกลๆจากข้างนอก ฝนตกแล้ว ท่าทางจะตกหนักเสียด้วย มีฟ้าแล่บแปลบปลาบ สลับกับฟ้าผ่าเป็นระยะ ผมปิดหน้าต่างห้องรับแขกด้วยกลัวว่าฝนจะสาดเข้ามา หลังจากตรวจตราความเรียบแล้วภายในบ้านแล้ว ผมก็กลับขึ้นห้องนอน แต่ยังไม่หลับ ใจคิดไปถึงเรื่องของตัวเองและเด็กหนุ่ม นึกอยากจะให้เจ้าบ้านั่นโทรมาไวไว จะได้พูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเสียที ป่านนี้จะกลับไปถึงบ้านหรือยังก็ไม่รู้ ฝนก็ดันมาตกอีก ตามปกติ ถึงบ้านแล้ว จะโทรมาตลอด แต่จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะโทรกลับมา สงสัยฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว คงจะทำให้การจราจรติดขัด กลับบ้านช้าแน่ๆ คงต้องรออีกสักพัก


แต่แล้วผมก็ไม่มีโอกาสจะได้ด่าหรือพูดคุยกับเดียร์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เนื่องจากไม่มีโทรศัพท์จากเด็กหนุ่มตลอดอาทิตย์นั้น อันที่จริง หลังจากเขากลับออกไปเมื่อวันพุธที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา ไม่โทรมาหา ไม่มาให้เห็นหน้า หรือกวนใจอีกเลย สิ่งใดที่เคยทำเป็นประจำเขาก็งดไปจนน่าสงสัย เดิมเคยมาส่งหนังสือพิมพ์กับอาหารเช้าให้ทุกวัน ก็กลับไม่มาดังปกติ


ตั้งแต่เริ่มคบหาเป็นแฟนกันตามสัญญา เจ้าเด็กนี่ก็มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมในการคุ้นเคยที่จะมีเขา เวลาที่ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดผมจะเปิดหน้าต่างมองลงไปข้างล่างที่ประตูรั้วด้านหน้าเพื่อรอใครบางคนเป็นประจำ แต่ในเช้าวันพฤหัสบดีกลับไม่มีเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนที่กวนอารมณ์ของผม จะมีก็แต่เด็กส่งหนังสือพิมพ์คนเก่าที่เคยส่งแต่บ้านอื่น ไม่ใช่บ้านของผม เพราะแต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยรับหนังสือพิมพ์ที่บ้านอยู่แล้ว


ที่ร้านอาหารบ้านคุณป้า ในช่วงสองวันสุดท้ายในสัปดาห์ที่ผมไปกินข้าวพร้อมกับเจ้าสันต์ ผมได้ทานอาหารในจานเท่ากับคนปกติ ไม่มีพิเศษ แถมซ้ำรสชาติก็ต่างไปจากเดิม เจ้าแซ่บให้ความกระจ่างกับผม เมื่อถูกเจ้าสันต์ซักด้วยความสงสัยความเดียร์ไม่มาทำงานได้สองวันแล้ว ไม่โทรมาบอกด้วย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ที่ร้านกาแฟก็ไม่ได้ไปทำด้วย

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 12:07:06
ผมฟังสิ่งที่แซ่บบอก ในใจก็คิดไปต่างๆนานา เจ้าเด็กนี่ไปอยู่เสียที่ไหนกันหนอ ทำไมไม่ติดต่อส่งข่าวคราวให้ใครๆรู้บ้าง

จะไปไหนมาไหนทำไมไม่บอก เล่นหายเงียบไปอย่างนี้คนจะติดต่อเขาได้อย่างไร หนีงานไปเที่ยว ขี้เกียจทำงาน หรือว่า ติดธุระอื่น

หมอนี่ดูท่าทางไม่เหมือนคนที่ไม่รับผิดชอบต่อการงาน เขาเป็นคนขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ แถมซ้ำยังทำงานมากมายหลายอย่าง

เก็บเงินเก็บทองไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเองสำหรับการอยู่กรุงเทพฯ ดังนั้นการที่เขาหายไปอาจจะด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจะรู้



ช่างปะไร ไม่เห็นจะอยากใส่ใจเลย ไม่มาให้เห็นก็ยิ่งดีใหญ่ มาทีไรก็ชอบทำให้วุ่นวายขายหน้า แถมซ้ำยังชอบทำอะไรรุ่มร่ามไม่ค่อยระมัดระวัง

คนอื่นจึงเห็นผมกับเขาสองคนจนได้ เจ้าเด็กนั่นจะไปไหนหรือทำอะไรก็ไม่เห็นว่าผมจะต้องไปวิตกทุกข์ร้อนอะไรนี่นา

เอาเวลาที่จะไปคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ไปทำงานทำการของตนเองดีกว่า งานยิ่งเยอะอยู่ด้วย
น่าแปลกที่สองวันที่เหลือ งานไม่ได้ยุ่งอย่างที่คิด

อาจจะเป็นเพราะสามวันที่ผ่านมา ผมกับลูกน้องในฝ่ายช่วยกันทำงานอย่างหนัก กลับบ้านกันจนดึกจนดื่น เลยทำให้มีงานคั่งค้างไม่มากนัก

เมื่อสำรวจดูปริมาณงานที่เหลืออยู่ว่ามันสามารถทำได้ในเวลาปกติ ไม่จำเป็นต้องอยู่ดึก ผมจึงอนุญาตให้ลูกน้องกลับบ้านตามเวลาเลิกงาน

เนื่องจากรู้สึกสงสารลูกเมีย และ คนในครอบครัวของพวกเขา ที่ต้องมานั่งถ่างตารอการกลับมาบ้านทุกวัน ไม่อยากให้ปัญหาครอบครัวเกิดขึ้น

จากการที่พวกเขาต้องมาทุ่มเทให้กับงานจนไม่มีเวลาให้กับตัวเองและคนในครอบครัว ผมเป็นคนโสดจึงสามารถทำอย่างนั้นได้

แต่ลูกน้องบางคนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว หรือคนที่ยังโสดแต่มีแฟน พวกเขาต้องการเวลาที่เป็นส่วนตัวบ้าง ขืนบ้างานอย่างผม คงทำให้สถาบันครอบครัวล่มสลายแน่



พอกลับบ้านเร็วขึ้น ก็ไม่มีอะไรทำเหมือนเดิม ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่หน้าจอทีวี ดูหนัง ดูละคร เกมส์โชว์ที่ไร้สาระไปวันๆ เพื่อฆ่าเวลา ผมไม่ค่อยได้ออกเที่ยวนานแล้ว รู้สึกไม่สนุกที่จะไป แม้ว่าเจ้าสันต์จะพยายามชักชวนลากจูงอย่างไร ผมก็ปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง รู้สึกว่าหมดวัยที่จะไปเที่ยวเตร่เฮฮาแล้ว อีกอย่างผมก็พยายามเลี่ยงสถานที่ที่มีแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มน้ำเมาทุกชนิด ไม่อยากจะเสียคนเหมือนเมื่อก่อน ที่เมาหัวราน้ำยามที่อกหัก ครั้งเดียวสำหรับการใช้ชีวิตที่ดำดิ่งลงสู่ห้วงทุกข์ ก็เพียงพอแล้ว ผมไม่ต้องการจะหวนกลับไปหามันอีก ดังนั้นผมจึงชอบที่จะหมกตัวอยู่กับบ้านมากกว่า



แต่ชีวิตผมมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เด็กบ้านั่น ทำให้ผมไม่คุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวอีกต่อไป ตอนที่นั่งเหงาๆอยู่ในบ้าน อยู่ดีๆผมก็ดันนึกถึงเจ้าเด็กบ้านั่นขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ภาพของเจ้าเด็กนั่นแว่บเข้ามาในสมองแล้วก็คงอยู่แบบนั้น หน้าทะเล้นและยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผมเคยเห็นจนชินตา แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นมันอีก ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่เดียร์จะต้องมาค้างที่บ้านเป็นประจำ แต่นี่จะปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะโผล่มา ตามปกติ ทุกๆเช้ามืดวันอาทิตย์ เดียร์จะมากดออดและคอยอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความกระตือรือร้น ในมือถือกับข้าวมากมายมาฝาก พอวางของเสร็จก็จะเข้ามากอด นัวเนียไม่ยอมห่าง ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า เดิมทีผมรู้สึกรำคาญที่เขาเข้ามาชิดใกล้ มันทำให้ผมไม่เป็นอิสระ แต่เมื่อไล่แล้วเจ้าเด็กนี่ไม่ยอมไป แถมซ้ำยังมาอยู่ใกล้ๆผมมากยิ่งขึ้น นานเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน ผมไม่ได้รังเกียจที่จะมีเขาอยู่ในบ้านอีกต่อไป แถมซ้ำผมยังมีความรู้สึกดีๆให้กับเขาอีก เวลาที่ผมถูกเขากอดหรือสัมผัสมากๆเข้ามันเหมือนมีความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามา เหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างในฤดูหนาวที่เงียบเหงา ช่วยละลายความเย็นเฉียบที่เกาะอยู่ในใจผม



จะว่าไปแล้วผมก็ยอมรับว่า ในส่วนลึกของจิตใจผมนั้นรู้สึกดีที่มีเดียร์อยู่ด้วย วันไหนที่เดียร์ไม่โทรมา หรือโทรมาช้า ก็จะหงุดหงิด ตอนเช้าๆของทุกวัน หรือแม้กระทั่งวันอาทิตย์ ผมก็คอยแต่ชะเง้อ ชะแง้มอง ดูว่าเดียร์จะมาเมื่อไหร่ พอเด็กหนุ่มมาหาตามที่ได้สัญญากันไว้ ผมก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เพื่อปกปิดอาการดีใจที่ได้เห็นหน้าเขาของตนเอง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงเกิดอารมณ์หงุดหงิดง่ายแบบนี้ รู้แต่ว่าจะเป็นบ่อยหากว่าเดียร์หายไปโดยไม่บอกกล่าว



ถ้าวันไหนที่เดียร์ไม่โทรมา เขาก็จะโทรมาหาผมแบบดับเบิ้ลในวันถัดไป เดิมเคยโทรมาวันละสามครั้ง ก็จะกลายเป็นวันละหกครั้ง เหตุผลของเขาก็คือ เพื่อชดเชยกับวันที่เขาไม่ได้โทรมาหาหาผม เหตุผลของคนเจ้าเล่ห์ที่เรียกรอยยิ้มของผมตลอดเวลา เดียร์จะไม่ยอมเสียเปรียบผมด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ หากเขาคิดว่านั่นคือสิทธิที่เขาควรได้จากผม เขาก็จะเรียกร้องเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย



เขาเคยบอกผมว่า เขาอยากจะมาหาผมตั้งแต่เที่ยงคืนของวันเสาร์ต่อเช้าของวันอาทิตย์เลย เพราะอยากจะอยู่กับผมแบบเต็ม 24 ชั่วโมง แต่ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะรบกวนเวลาของผม ซึ่งผมก็มักจะเถียงกับเขาว่า เขาก็อยู่กับผมเกิน 24 ชั่วโมงเหมือนกัน เพราะผมไม่ได้ไล่เขากลับตอนเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ แต่ให้เขานอนที่บ้านผมด้วย จนกระทั่งเช้า แถมบางวันยังเกิน 24 ชั่วโมงอีก เพราะเขาตื่นสาย ถึงแม้ผมจะอ้างแบบนี้กับเขา แต่เด็กหนุ่มนั่นก็ยังดื้อตาใส เถียงเพื่อให้ได้อยู่กับผมเกินกว่า 24 ชั่วโมงทุกครั้ง



แม้จะรู้ว่าผมไม่มีทางให้ เขาก็ยังพยายามพูดเพื่อให้ผมใจอ่อน ความดื้อ และ เกเรแบบเด็กๆของเขามันทำให้ผมเกิดความรู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดูในตัวเขายิ่งนัก เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ผมตระหนักในคุณค่าของตนเอง ว่ายังมีคนที่รักและอยากอยู่กับผม ถึงขั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ เขาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นหลังจากสูญเสียความมั่นใจไปจนหมดแล้วเมื่อคบกับอรจิรา ความเอาใจใส่ที่เขาทุ่มเทมีให้กับผม ทำให้ผมนิยมชมชอบเด็กบ้านั่นเรื่อยๆ



แต่วันนี้เด็กหนุ่มไม่มา ทั้งที่เขาดิ้นรนตลอดเวลาที่จะได้อยู่กับผม ไม่รู้ว่าหายไปไหน ไปทำอะไร ไม่มีแม้แต่กระทั่งโทรศัพท์มาบอกมากล่าวกันบ้าง ผมเดินวนไปเวียนมาอยู่ในบ้าน เหมือนหนูติดจั่น ไม่เป็นอันทำการทำงานอะไร ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินเลยสักมื้อ ตั้งแต่เช้ามาแล้วที่ผมครุ่นคิดกังวลว่าทำไมเด็กหนุ่มยังไม่มาหาอีก เดียร์ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย โดยปกติ ผมจะไล่ยังไงก็ไม่เคยไป มีแต่จะอ้อนวอนขออยู่ต่อ นี่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ส่งข่าวมา ผมว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่



มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับหมอนี่หรือเปล่านะ จะไปถูกใครทำร้ายอีกหรือเปล่า หมอนี่ยิ่งชอบมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย อาจจะกำลังหนีการตามไล่ล่าของพวกคนใจร้ายอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่ก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ใครจะคอยช่วยเหลือ นี่ถ้าผมอยู่ด้วย ก็อาจจะพอช่วยได้บ้าง แม้จะไม่ถึงขนาดต่อยตีเพื่อช่วยเหลือเขา แต่ผมก็สามารถพาเขาขึ้นรถหนีได้ เหมือนที่เคยช่วยเขาไว้ด้วยวิธีนี้ในอดีต



โอ๊ย ไม่อยากคิดให้มันร้ายๆเลย บางทีอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้ ผมอาจจะหงุดหงิดและเครียดไปหน่อยที่ไม่เห็นหน้าเขา แต่การที่เดียร์หายไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปพบกับอันตรายนี่นา เด็กนั่นแกร่งพอสมควรและเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มันเสี่ยงหรอก ประเด็นนี้ตัดไปได้เลย



ถ้างั้นเป็นไปได้หรือเปล่าว่าที่หายไปเพราะมีงานคอนเสิร์ต หรืองานเปิดตัวสินค้าที่เขาต้องไปเต้นโชว์ให้ หมอนี่เคยบอกผมว่ารักการเต้นรำมาก ช่วงนี้ศิลปินหลายค่ายออกเทปใหม่ชนกันเยอะ เห็นโปรโมทตามสื่อต่างๆมากมาย ผมยังได้ยินแว่วๆว่ามีนักร้องหลายคนจะเปิดคอนเสิร์ตเพื่อเพิ่มยอดขายให้เทปตัวเอง เด็กนี่อาจจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเต้นให้กับนักร้องคนไหนก็ได้



หรือว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้มีการสอบกันนะ เขาเลยเก็บตัวอ่านหนังสือไม่ไปทำงาน ผมมักจะเห็นเขาหอบหนังสือใส่เป้มาด้วยทุกครั้งเวลามาเจอผม แต่ไม่เคยได้อ่านสักที เพราะเขามัวแต่วุ่นวาย จัดโน่น จัดนี่ ทำกับข้าว และทำความสะอาดบ้านให้ผม ไหนจะงานประจำของตนเอง เขาคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เลยต้องหาเวลาทุ่มเทกับมันก่อนไปสอบก็ได้



แล้วถ้าเป็นเหตุผลเพียงแค่นั้น ทำไมเด็กนั่นจึงไม่โทรมาบอกกล่าวล่ะ ผมไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากสักหน่อย อีกอย่างถ้าเขาจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย แต่เอ ไม่เกี่ยวจริงเหรอ แล้วที่ผมเก็บมาครุ่นคิด ถามเองตอบเอง แบบนี้ มันคืออะไรกันล่ะ มันจะบอกว่า ผมไม่ใส่ใจในตัวเขาเลยงั้นเหรอ ไม่ล่ะ ผมไม่อาจจะโกหกตัวเองแบบนั้นได้ ใจของผมมันบอกว่า ผมห่วงเด็กหนุ่มจริงๆ ยิ่งกังวล ก็ยิ่งเครียด แล้วก็กลายเป็นหงุดหงิด ยิ่งเขาไม่ติดต่อกลับมา ปล่อยให้ผมวิตกอยู่อย่างนี้ ผมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่



หรือว่า เด็กนี่จะเปลี่ยนใจ เลิกยุ่งกับผมแล้วหนอ คงเห็นว่าเปลี่ยนใจผมได้ยาก ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่มีใครกวนใจ แต่เอ มันจะดีจริงๆนะเหรอ ถ้าเขาไม่รักผมเหมือนเดิม ไม่มาหาผมอีก ไม่วุ่นวายกับผม ไม่มานัวเนียชิดใกล้ ไม่มาทำดื้อดึง เอาแต่ใจตัวเอง หรือทำตัวให้ผมด่าอย่างเคย ผมจะมีความสุขได้จริงๆเหรอ ผมเองก็ไม่อาจจะตอบแบบฟันธงลงไปได้ว่าผมต้องการให้เป็นแบบไหน หรือว่า จริงๆแล้วผมน่ะ ไม่ได้อยากให้เขาไปห่างไกลจากผมอย่างที่ปากเคยผลักไส หรือว่าจริงๆแล้ว ผมน่ะ อยากอยู่ใกล้เขาเท่าๆกับที่เขาอยากอยู่ใกล้ๆกับผม อะไรกันแน่คือความต้องการที่แท้จริง ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย



ความคิดของผมวนเวียนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่โทรมา หรือว่าต้องรอให้ผมโทรไป ไม่นะเรื่องอะไรที่ผมต้องโทรไปล่ะ จะไปไหนก็เรื่องของเขานี่ แต่เอ๊ะ ถ้าผมไม่แคร์ แล้วผมหงุดหงิดกังวลใจเรื่องของเดียร์ทำไมล่ะ ผมน่าจะใจสงบมากกว่านี้นี่



ว่าแต่ทำไมผมถึงไม่ยอมโทรไปหาเขากันนะ อย่างน้อยเขากับผมก็เป็นคนรู้จักกัน เด็กหนุ่มทำอะไรให้ผมอย่างมากมาย คอยเป็นห่วงเป็นใยผมตลอดเวลา เขาหายไปอย่างนี้ผมก็น่าจะโทรไปถามข่าวคราวบ้าง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รักชอบเขาก็ตาม แต่เราก็รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมโลก ห่วงใยกันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก
ใจเป็นนายกายเป็นบ่าวอย่างที่ใครว่าไว้จริงๆ ใจผมคิดอะไร มือผมก็ไปตามนั้น ความที่คิดกังวลใจเกี่ยวกับตัวเขา ทำให้ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจดๆจ้อง พลางกดที่ phone book แล้วใช้นิ้วกดไล่เบอร์ไปเรื่อยๆ จนถึงเบอร์เขา ผมหยุดนิ่งชั่งใจว่าควรจะกดไปหรือไม่ ความรู้สึกหลายอย่างต่อสู้กันอยู่ในใจ จะโทรหรือไม่โทรดี โทรไป เด็กนั่นจะคิดมาก หาว่าผมสนใจเขาหรือเปล่า ถ้าไม่โทรไป ก็จะใจดำเกินไปไหม คนหายไปทั้งคน ไม่ถามไถ่กันบ้างเลย



มีเสียงกริ่งดังขึ้นยาวนานจากหน้าประตูบ้าน ผมยิ้มขึ้นมาทันที รู้สึกตื่นเต้นดีใจ คงเป็นนายเดียร์แน่ แต่แล้วผมก็รีบหุบยิ้มปั้นหน้าเครียด ไม่อยากให้เขารู้ว่าผมรื่นเริงแค่ไหนที่จะได้เจอเขา ความโกรธที่เขาไม่โทรมา ทำให้ผมต้องการเอาคืนกับเขาบ้าง ในเมื่อเขาไม่ใส่ใจจะโทรมา ผมก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องรีบร้อนไปเปิดประตูต้อนรับเขา ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟา ปล่อยให้เวลามันผ่านไปสัก 15 นาที จากนั้นก็แสร้งทำเป็นเดินไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้า เดียร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขายิ้มทันทีที่เห็นผมเดินมา แต่ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าวันนี้เขาดูไม่ปกติเหมือนกับทุกวัน ใบหน้าหล่อเหลาสีน้ำตาลทองของเขา กลับดูซีดเซียว ผมหยิกสลวยดูรุงรังปิดหน้าปิดตา หนวดเคราเขียวครึ้ม ท่าทางเซื่องซึมไม่ร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น ในมือไม่ได้ถือข้าวของสำหรับทำกับข้าว มีแต่กระเป๋าเป้ที่ห้อยอยู่ที่ไหล่อย่างหลวมๆ พอผมเปิดประตูรับเขาเข้ามา เด็กหนุ่มก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ผมตกใจมาก ถลาเข้าไปประคองเขายืนขึ้น ตัวเขาหนักมากจนผมแทบจะพาเขายืนทรงตัวไม่ไหว ผิวกายร้อนเป็นไฟ ผมจับแล้วถึงกับสะดุ้ง


“นี่เราไม่สบายเหรอเนี่ย”

**************************
 :call: 2 ตอนตามสัญญานะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 23-12-2008 15:51:55
กรี๊ดสองตอนรวด

จุใจมากเลยค่ะ

น้องเดียร์หายไปอย่างนี้ เรียวเริ่มคิดถึงแล้วสิ

เริ่มรู้ใจตัวเองหรือยังเรียว
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: MiTo™ ที่ 23-12-2008 17:28:10
 o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-12-2008 19:11:16
 :z1: จะหาแบบเดียร์สักคน  :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-12-2008 20:36:01
:z1: จะหาแบบเดียร์สักคน  :z1:
เผื่อคนนะพี่ THIP นะนะ
อิอิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-12-2008 21:06:19


ชอบเดียร์มากมายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

 :-[
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 23-12-2008 21:13:13
:z1: จะหาแบบเดียร์สักคน  :z1:
เผื่อคนนะพี่ THIP นะนะ
อิอิ :กอด1:
:m16: แล้วไอ้ผู้ชายคนนี้มันไม่ดีตรงไหนเลยต้องหาคนใหม่ บอกมาดิ๊

:pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 23-12-2008 21:25:36
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 23-12-2008 22:05:31
งี้แล่ะ ปู้ใหญ่ปากแข็งโนะ   

เดียร์ไม่สบาย พี่เรียว ต้องคอย ดูแลอ๊ะป่ะ  คิคิ    :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: baddy ที่ 24-12-2008 00:55:13
ผู้ชายอย่างเดียร์เนี๋ย.................หาได้แถวไหนหรอค่ะ  :-[ จะได้ไปหาเอามาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวบ้าง อิอิ
 
    เป็นกำลังใจให้คนแต่งและคนโพสค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-12-2008 09:02:31
:z1: จะหาแบบเดียร์สักคน  :z1:
เผื่อคนนะพี่ THIP นะนะ
อิอิ :กอด1:
:m16: แล้วไอ้ผู้ชายคนนี้มันไม่ดีตรงไหนเลยต้องหาคนใหม่ บอกมาดิ๊

:pig4:

:haun4: เหอๆๆ ก็เพราะมันดีไปหมดไง ที่เหลืออยู่นี้ไม่รู้อะไร
เลยต้องหาใหม่เผื่อๆไว้ อิอิ :laugh3:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Asahi ที่ 24-12-2008 14:40:12
^
|
|
 :m19:
มีของดีไม่ีรีบคว้า ระวังหมามันจะคาบไปแด๊กซ์ !!!~

 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-12-2008 15:35:42
 :z3: ให้มันหมดปายยยยยยยยยยยยยย

บทที่ 19



เขามองผมด้วยดวงตาสะลึมสะลือ ตระกองกอดผมเอาไว้เหมือนจะให้ผมเป็นหลักยึดเหนี่ยวไม่ให้เขาล้ม

ผมประคองเขาเข้าไปในบ้าน แล้วพาเขามานอนตรงโซฟา เพราะผมคงไม่สามารถพาเขาขึ้นไปนอนข้างบนได้ไหว เนื่องจากตัวเขาหนักมากเหลือเกิน

ผมขึ้นไปเอาหมอนกับผ้าห่มที่เขาใช้ประจำเวลามาบ้านนี้มาให้เขา แล้วก็เดินเข้าไปในครัว เอาผ้าขนหนูที่ติดมือมาด้วยใส่น้ำในกะละมัง


“ขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีว่าผมไม่สบายเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา วันที่ผมมาหาคุณน่ะครับ ออกจากบ้านฝนก็ตกพอดี

ฝนตกตลอดทางเลย รถแท็กซี่ไม่ยอมเข้าไปส่งด้วย เพราะว่าน้ำท่วมซอย ผมเลยต้องลุยน้ำเข้าบ้าน ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่สบาย

แต่ก็พยายามแข็งใจไปทำงานทั้งๆที่เป็นไข้ แต่ก็ไปไม่ไหว เลยต้องขอลางานครับ ตั้งใจว่าจะนอนพักสักวัน แต่ปรากฏว่านอนซมอยู่ตั้งสองวันแน่ะครับ…………”


“เมื่อวานนี้พอจะลุกได้บ้าง ก็มีงานเต้นโชว์เร่งด่วนเข้ามา พอดีเขาขาดคนเต้นคนหนึ่งครับ เลยนึกถึงผมได้ จะปฏิเสธก็กลัวจะเสียงานอื่นเลยต้องรับ

เต้นทั้งวันเลยครับ เหนื่อยมาก เต้นทั้งที่เป็นไข้เลย กลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ก็ดึกมากแล้ว เพลียมาก ไข้กลับมาซ้ำอีก วันนี้ก็นอนหลับไปทั้งวัน

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมต้องมาหาคุณที่บ้าน วันนี้เป็นวันของเราสองคน ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่อยากให้คุณรอนาน

แล้วก็ไม่อยากจะเสียวันของเราไปด้วยครับ”



เขาอธิบายถึงสาเหตุที่เขาหายหน้าหายตาไปอย่างยืดยาวให้ผมฟังด้วยเสียงที่แหบแห้ง ก่อนจะไอโขลกออกมา

ผมนั่งนิ่งไม่ตอบอะไรเขา ได้แต่ก้มหน้าก้มตาบิดผ้าชุบน้ำให้หมาดๆ


“ไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ โกรธผมหรือครับ ขอโทษทีนะ ที่ไม่ได้โทรมาบอก ทำให้คุณกังวลใจหรือเปล่าไม่รู้ ผมหมดแรงจริงๆเลยครับ โทรมาหาไม่ไหวจริงๆ”


เด็กหนุ่มขอโทษขอโพย และพยายามสบตาผม แววตาของเขาเศร้าสร้อย มีความเสียใจอยู่ในนั้น


“นี่ ถ้าไม่สบายนะ ก็ไม่ต้องลำบากมาหาฉันหรอก”


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะดุเขา ขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาให้เดียร์ จากนั้นก็วางมันลงบนศีรษะร้อนรุมนั้น


“อยากมานี่ อาทิตย์หนึ่ง จะได้อยู่กับคุณ แค่ วันเดียวเอง นอกนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้มาหา ถ้าผมไม่มา ก็ต้องรอไปจนถึงอาทิตย์หน้าโน่นแน่ะ

รอไม่ไหวหรอก ไม่ว่าจะป่วยหนักแค่ไหน ก็ต้องตะเกียกตะกายมาเจอหน้าเรียว มาคุยด้วย แม้ว่าเรียวจะรังเกียจผมก็ตาม

แต่ก็ยังอยากมาอยู่ดีครับ ขอแค่ได้อยู่ด้วยใกล้ๆ ก็พอแล้ว”



เขาบอกผมเสียงสั่นเครือ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมมองหน้าเขา ใจอ่อนยวบ รู้สึกได้ถึงความรักความภักดีที่เขามีต่อผมอย่างลึกซึ้ง

ผมเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าที่ไม่อยากอยู่ใกล้ ที่ไล่ออกไปให้พ้น

เพราะไม่อยากให้ใจตนเองมันถลำลึกไปมากกว่านี้ ยิ่งเขามาคอยนัวเนียอยู่ใกล้ ผมก็ยิ่งลำบากใจ กลัวตัวเองจะไปหลงรักเขาเข้าให้


“จะบ้าเหรอ ถ้ามาไม่ได้ก็บอกมา ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา บอกว่าให้มาได้แค่วันอาทิตย์ก็จริง

แต่ถ้ามาไม่ได้ ก็มาชดเชยวันอื่นแทนก็ได้ มาทั้งๆที่ป่วยแบบนี้ ก็มาเป็นภาระฉันเปล่าๆ ไม่อยากดูแลคนป่วยหรอก น่าเบื่อจะตาย”


ความสงสารเห็นใจ ทำให้ผมเอ่ยปากอนุญาตเขาให้มาหาผมในวันอื่นๆได้ พอพูดออกไปแล้วก็กลัวว่าเขาจะได้ใจ และคิดมากว่าผมยินยอมเขา

เพราะห่วงใยรักใคร่ จึงแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อๆที่เขามารบกวนผม เพื่อซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ ไม่ให้มันแสดงออกมา


เดียร์หน้าระรื่นขึ้น ตาแห้งผากนั้นกลับหวานฉ่ำ เด็กหนุ่มคว้ามือผมมากุมไว้ ยกขึ้นมาจูบ แล้ววางมันไว้แนบอกตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา

ใบหน้าซีดเซียวด้วยพิษไข้นั้นมีรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข


“ดีจังเลยครับ ให้ผมมาวันอื่นๆได้จริงๆนะ”

“ทดแทนวันที่มาไม่ได้ต่างหาก”

ผมตอกย้ำลงไปอีก ไม่อยากให้เข้าใจผิด

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะฮะ ที่จะให้ผมมาได้ทุกวัน เอากุญแจให้ผมมาก็ได้ฮะ จะได้ไม่ต้องมากด
กริ่งเรียกบ่อยๆ

หรือถ้าไม่อยากให้ผมมาทุกวัน ก็ให้ผมอยู่ที่นี่เลยก็ได้”



ดูเหมือนเจ้าบ้านี่ จะไม่เคยแม้แต่ทำความเข้าใจว่าผมพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยงการอยู่กับเขา ไม่เคยสักครั้งที่เดียร์จะใส่ใจในคำพูดที่เขาคิดว่าไม่ได้ประโยชน์

เขาจะเลือกแต่ข้อความที่จะทำให้เขาได้เปรียบ ได้อยู่ใกล้ๆผมมากยิ่งขึ้น ผมมองใบหน้ายิ้มๆนั้น แล้วก็ดุเขา

“คนป่วยอะไรเนี่ย พูดมากอยู่ได้ น่ารำคาญ นี่ก็ดึกแล้ว พักผ่อนได้แล้ว”

“ให้ผมนอนตรงนี้หรือครับ”

เด็กหนุ่มทำหน้าละห้อยละเหี่ย

“ก็ใช่น่ะสิ นายคิดว่าฉันจะให้นายไปนอนที่ไหนได้ล่ะ”

“แต่นอนตรงนี้มันไม่ค่อยสบายนะครับ โซฟาก็สั้นกว่าตัวผม ให้ผมไปนอนบนเตียงในห้องเรียวไม่ได้เหรอ”


เขาทำเสียงอ้อนจนผมรู้สึกหมั่นไส้ คนป่วยท่ามากแบบนี้ น่าเตะสักพลั่กมากกว่าที่จะพยาบาลให้หาย


“ไม่ได้หรอก นอนตรงนี้น่ะดีแล้ว ข้างบนนั่น เป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉันห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

ผมบอกเสียงแข็ง เรื่องอะไรจะให้เจ้าเด็กบ้านี่ ล่วงล้ำเข้าไปบนห้องส่วนตัวของผม   

“แต่ว่า มันนอนลำบากจริงๆนะครับ”

เขายังดื้อ ไม่ยอมนอนที่โซฟาในห้องรับแขก

“แค่ตอนธรรมดาๆไม่เจ็บไม่ไข้ เวลานอนทีไรผมก็รู้สึกปวดเมื่อยตัวไปหมด แต่ตอนนี้ผมป่วยนะครับ อยากนอนพักผ่อนในที่สบายๆจะได้หายไวๆอ่ะ

ถ้าผมนอนข้างล่างนี่ ตอนกลางคืนเกิดจับไข้หนักขึ้นมา เรียวก็จะไม่ได้รู้ได้เห็น อาการก็จะยิ่งแย่หนัก ไปหาหมอไม่ทัน

หรือว่า จริงๆแล้ว เรียวไม่ได้อยากให้ผมหายไวๆ เพราะอยากให้ผมอยู่ที่นี่กับเรียวใช่ไหม”


มาอีกแล้ว มุขเข้าข้างตัวเองของหมอนี่ ขนาดไม่สบาย ตัวร้อน เสียงแหบแห้งแบบนี้ ก็ยังไม่วายเจ้าเล่ห์ ที่พูดยืดยาวทั้งหมด

ก็เพียงเพื่อให้ผมยอมทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าเด็กนี่เกเรจริงๆทั้งตอนดีและตอนเจ็บไข้ได้ป่วย น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

ผมยิ้มขำความเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวของเขา ไม่ได้รู้สึกโมโหเลยสักนิดที่เขาทำท่างอแงเหมือนเด็ก ทั้งที่ตัวโตกว่าผมตั้งเยอะ

ไม่รู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะแสดงอาการแบบนี้ออกไปไหมหนอ แล้วคนอื่นจะรำคาญแบบผมไหม ไม่สิ คงไม่รำคาญผมเองยังไม่รู้สึกรำคาญเลย

ถ้าผมไม่ชอบ ผมจะยิ้มทำไม เด็กบ้าเอ๊ย นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ ทำไมผมถึงโกรธเขาไม่ลงเลย เป็นเพราะความสงสารที่เห็นว่าเขาไม่สบาย

หรือเป็นเพราะว่าผมตระหนักกันตัวเองว่าคิดถึงเขากันแน่นะ หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน


“ว่ายังไงครับ เรียวอยากให้ผมหายดี หรืออยากให้ผมป่วยแล้วนอนซมอยู่กับบ้านของเรียวแบบนี้อ่ะครับ”

เด็กหนุ่มรอฟังคำตอบ ตาละห้อย แต่ดูแล้วน่าหมั่นไส้ มากกว่าน่าสงสาร

“เอาล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากให้นายมาป่วยตายที่บ้านนี้ ถ้าการขึ้นไปนอนในห้องฉัน มันจะช่วยให้นายสบายตัวหายป่วยตามที่นายคิด ก็ไปนอนข้างบนก็ได้ แต่ต้องมีข้อตกลงกันนะ”


ไม่มีทางเสียหรอกที่เด็กนี่จะได้อะไรมาโดยง่าย ผมหาทางจำกัดพฤติกรรมการเอาแต่ใจตัวของเขา ไม่ให้ย่ามใจจนเกินไปด้วยการอ้างถึงข้อตกลงที่จะทำร่วมกัน

“อะไรหรือครับ”

เดียร์ทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที มองผมตาแป๋ว

“ข้อแรก หากนายลุกเดินไปไหว ฉันก็จะให้นายขึ้นไปนอนข้างบน เพราะฉันไม่แบกตัวนายไปแน่ ตัวหนักจะตาย

ข้อสอง เวลาที่นอนในห้องของฉัน ก็ห้ามรุ่มร่าม ทำตามอำเภอใจ ห้ามแตะข้าวของ หรือแม้แต่เนื้อตัวของฉัน โดยไม่ได้รับอนุญาต

แล้วข้อสาม ขอให้นายทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า ที่ฉันยอมให้นายขึ้นไปนอนบนเตียงของฉัน ในห้องของฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่า

ฉันเกิดเปลี่ยนใจ พิศวาสนายขึ้นมา แต่ที่ทำไปเพราะเห็นแก่เพื่อนร่วมโลกตาดำๆที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย

แล้วข้อสุดท้าย นายต้องกินยาให้ที่ฉันเอามาให้ด้วย จะได้ฟื้นไข้เร็ว ถ้าหากนายหายแล้ว ก็จะได้กลับไปซะที แค่นี้แหละ ทำได้ไหม”



เด็กหนุ่มมองผมตาเป็นประกายแพรวพราว เขายกมือผมมาจูบอีกครั้ง ทำท่าดีอกดีใจที่ผมอนุญาตให้เขารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวของผม

“รับทราบแล้วยินดีปฏิบัติตามครับ ขึ้นไปนอนตอนนี้เลยนะ ผมง่วงแล้ว”


เขารีบผลุดลุกขึ้นจะยืน แต่ความที่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป เด็กหนุ่มเลยเซถลาจนผมเกือบจะคว้าตัวไว้ไม่ทัน

เด็กหนุ่มพิงร่างไว้กับผม หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ผมอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่วายจะบ่นเขา


“รีบร้อนอะไรกันนักหนา เห็นไหม เกือบจะล้มไปแล้ว ถ้าฉันรับไว้ไม่ทันจะทำไง ตัวนายก็ใช่ว่าเบา ล้มมาทีแขนฉันแทบยอกเลย

เอาล่ะ เก่งนักนี่ ขึ้นไปเองแล้วกัน ฉันไม่ประคองนะ ระวังตัวด้วย บันไดมันขัดมันเดี๋ยวจะลื่น ถ้านายขึ้นไปเองได้ ฉันจะให้นายนอนในห้องด้วยตามสัญญา”


ผมกระตุ้นให้เด็กหนุ่มตื่นตัวด้วยการท้าทาย พลางดันตัวให้เขายืนขึ้น ผละออกจากเขาแต่ก็ยืนคุมเชิงอยู่ กลัวว่าเขาจะล้มโครมลงมาด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า

เหมือนจะดูว่าใจดำที่ไม่ยอมช่วยประคองเด็กหนุ่มที่กำลังป่วย แต่ผมไม่ได้คิดจะให้เขาขึ้นไปบนนั้นตั้งแต่แรก ในเมื่อร้องขอให้ผมอนุญาต

เขาก็จะต้องพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าเขาขึ้นไปบนห้องผมเองได้จริง อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกดีมากกว่าการที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาขี้นไปนอนด้วยโดยไม่ขัดขืน

แบบนั้นน่ะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังทอดสะพานให้อย่างไรไม่รู้ แล้วเด็กนี่เมื่อขึ้นไปแล้ว จะทำอะไรมิดีมิร้ายกับผมหรือเปล่า

ป่วยขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีแรง เกิดทำบ้าๆขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะขัดขืนเขาได้ไหม


ลูกฮึดของเจ้าหมอนี่มีอยู่มากโข ทั้งๆที่ตัวเองเดินซวนเซแทบจะล้มอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังพยายามที่จะขึ้นไปบนห้องให้ได้ เขาค่อยๆเกาะราวบันไดไต่ขึ้นไป

ได้ไม่กี่ขั้นก็หอบแฮ่ก ซึ่งตามปกติเด็กหนุ่มคนนี้ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว แต่นี่เพราะว่าเขาไม่สบายมาก ร่างกายจึงดูอ่อนแอ

แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาคงตั้งใจที่จะไปนอนกับผมให้ได้ เขาจึงไม่ยอมละความพยายาม ผมมองเขาแล้วก็นึกสงสารขึ้นมา

อยากเข้าไปช่วย ก็ตะขิดตะขวงใจว่า กำลังร่วมมือให้เขาเข้าห้องนอนของตัวเองง่ายดายไปหรือเปล่า เลยปล่อยให้เขาขึ้นไปด้วยตัวเองอย่างนั้น



เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างมีชัยให้ผม เมื่อเขาสามารถเดินขึ้นไปยืนอยู่หน้าห้องผมได้สำเร็จ ผมยิ้มตอบ และยกนิ้วหัวแม่โป้งทั้งสองมือให้เขา

เปิดประตูพาเขาเข้าไปในห้อง เดียร์กวาดตาไปรอบๆทำสีหน้าชื่นชม


“ห้องของเรียวตกแต่งได้สวยมากเลยนะครับ ผมชอบเตียงนอนของเรียวที่มีเสาสี่มุมนั่นจัง และมุ้งบางๆนั้นด้วย

ให้ความรู้สึกคลาสสิคยังไงไม่รู้ เหมือนอยู่ในฮาเร็ม หรือในห้องนอนของชนชั้นสูงน่ะครับ เอ หรือว่าเรียวแต่งห้องไว้รอเจ้าชายมาประทับกันนะ”

“เจ้าชายอะไร ฉันเป็นผู้ชายนะ ต้องรอเจ้าหญิงถึงจะถูกสิ”


ผมว่าเขาอย่างขำๆ เจ้าเด็กคนนี้ คิดอย่างไรกันนะ ถึงอยากจะให้ผมเป็นผู้หญิงเสียเหลือเกิน หรือว่าเขาคิดอยากจะให้ผมเป็นฝ่ายรับมาตลอด

โดยที่เขาจะมารุกผมเสียเอง บ้าไปหน่อยแล้วมั้งถ้าจะคิดแบบนี้


“ผมก็เป็นเจ้าชายเหมือนกัน ไม่ใช่เจ้าหญิง แต่ไม่เป็นไรหรอกผมไม่ถือ ผู้ชายกับผู้ชายนอนด้วยกันได้ครับ ไม่มีใครว่า ตำรวจไม่จับ

งั้นขอให้เจ้าชายนอนเตียงแสนสวยนั้นเลยนะครับ ขอแค่พักผ่อนให้ร่างกายสดชื่นเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเจ้าของเตียงอยากให้ผมนอนอยู่ด้วยตลอดไป ผมก็ไม่ขัดข้องหรอกครับ”


ดูเอาสิ ไม่สบายขนาดนี้ยังจะทำปากดี ปากเก่ง พูดอะไรแต่ละอย่าง ก็เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เบื่อแต่ก็สนุกทุกครั้งที่ได้ฟังเด็กนี่พูด

รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่บ้าดีที่ต้องมาฟังคนที่คิดเอง เออเองอยู่ตลอดเวลา แถมซ้ำหน้าไม่อาย ไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าเสียด้วย จนคนที่ว่าต้องรามือไปเอง



หลังจากจัดที่ให้เดียร์ได้นอนลงบนเตียงของผมในอีกมุมหนึ่งแล้ว ผมก็ขอตัวลงไปข้างล่างเพื่อจะหายามาให้เขาทาน

เด็กหนุ่มบอกกับผมว่า เขายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน รู้สึกหิวมาก รบกวนให้ผมหาอะไรให้เขาทานด้วยได้ไหม

ผมรู้สึกรำคาญใจที่ต้องมาปรนนิบัติเด็กหนุ่ม แต่พอคิดถึงสิ่งที่เขาทำให้ผมตั้งมากมาย ก็เลยต้องรับปากว่าจะทำให้เขา

เด็กหนุ่มพร่ำบ่นขอบคุณผม ดวงตาเป็นประกาย รู้สึกว่าเขาจะดีอกดีใจมากที่ผมทำอะไรให้เขา


ความที่ผมไม่ค่อยถนัดในเรื่องการทำอาหาร ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เขากินดี ผมจึงเอาข้าวต้มสำเร็จรูปที่ซื้อตุนไว้คราวที่ไปห้างด้วยกัน

เอามาใส่ถ้วยแล้วเทน้ำร้อนใส่ พอสุกได้ที่ผมก็ถือถาดใส่ข้าวต้ม น้ำเปล่า และยามาให้เขาทาน



เด็กหนุ่มหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย ผมเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดให้แห้งมาวางไว้บนหน้าผากของเขาเพื่อลดไข้ แล้วจึงเข้านอน

คืนนั้นผมกับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน โดยมีหมอนคั่นกลาง



ดึกสงัดประมาณตีสองกว่าๆ ผมต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงครางจากเขา จึงลุกขึ้นมาดู เห็นเขานอนตัวสั่น พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์

ผมลุกไปปรับอุณหภูมิของแอร์ในห้อง แต่เขาก็ยังร้องครางตัวสั่นเทาอยู่ดี ผมจับตัวเขาดู ตัวเขาร้อนจัด แต่เขาก็ยังบ่นว่าหนาว

ผมจึงเอาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้เขาใหม่เพื่อให้ความร้อนในตัวของเขาลดลงอีก



และหลังจากที่ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็ล้มตัวลงนอน โดยรั้งตัวเขามากอดไว้แนบอก เพื่อให้ไอความร้อนจากร่างกายผมส่งผ่านไปยังตัวเขา

ตัวของเด็กหนุ่มไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว เขาซุกเข้าหาและโอบแขนไว้รอบตัวผม ตอนแรกผมนอนนิ่งตัวแข็งทื่อ นึกว่าเจอเด็กหนุ่มทำมารยาใส่เข้าให้แล้ว

แต่เมื่อพิจารณาดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ซีดเซียวนั่นก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เขานอนหลับตาพริ้ม หายใจสม่ำเสมอ ดูเหมือนคนที่ไม่ได้สติจากการอ่อนเพลีย

มากกว่าที่จะมาแกล้งกัน ผมหลับตาลงบ้าง รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน หิวด้วย แต่ไม่อยากกินอะไรแล้ว อยากนอนพักข้างๆเด็กหนุ่มคนนี้ แล้วหลับไปพร้อมๆกัน



เช้าแล้ว ผมรู้สึกปวดหัวตุ๊บๆ ลืมตาแทบจะไม่ขึ้น แต่ความรู้สึกบอกให้ผมต้องรีบลุกขึ้นโดยด่วน เพราะวันนี้เป็นเช้าวันจันทร์เริ่มต้นการทำงานวันแรกของสัปดาห์

ผมไม่อยากไปสาย เพราะอยากจะทำงานให้เสร็จๆ จะได้ไม่ต้องอยู่ดึกมาก ตอนที่ผมเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็พบว่าเด็กหนุ่มนอนมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยตาโตแป๋วแหวว

ตัวของเขาแนบอยู่ชิดใกล้ โดยมีอ้อมแขนของผมโอบรอบร่างเขาไว้ ผมรีบผละออก


“อรุณสวัสดิ์ครับ เรียว”

เขายิ้มทักทาย ใบหน้าอ่อนเยาว์แลดูสดใส แทบจะไม่เหลือริ้วรอยของความป่วยไข้ให้เห็น ผมเสียอีกที่กลับรู้สึกว่าตัวร้อนรุม

“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเตียงแล้วก็อ้อมกอดที่อบอุ่น”

“เมื่อคืนนายบ่นว่าหนาว ห่มผ้าให้ กับลดแอร์แล้ว นายก็ยังตัวสั่นอยู่ดี ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยกอดให้เพื่อให้นายคลายหนาว

แต่ก็อย่าคิดมากว่าฉันพิศวาสนายนะ แค่ช่วยให้นายไม่ต้องป่วยหนักไปมากกว่านี้น่ะ”


ผมรีบสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นระหว่างผมกับเขาโดยเร็ว


“ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ กับความช่วยเหลือนี้ของเรียว”

เด็กหนุ่มยิ้มละไม สบตาผมด้วยแววตาพราวระยับของเขา

“ค่อยยังชั่วแล้วหรือยังล่ะเราน่ะ”

พร้อมกับคำพูด มือของผมก็เอื้อมไปแตะหน้าผากเขา มันยังคงอุ่นๆอยู่ ไม่ร้อนจัดแบบเมื่อวาน แสดงว่าเขาอาการดีขึ้นมากแล้ว

“คิดว่างั้นนะครับ แต่ก็มึนหัวนิดหน่อยนะครับ”

เด็กหนุ่มจับมือข้างนั้นของผมไว้ แล้วดึงขึ้นมาหอมที่หลังมือของผม เขาจูบที่นิ้วนางข้างซ้ายที่ผมสวมแหวนที่เขาให้เอาไว้

ก่อนที่จะพลิกให้หงายขึ้น และจูบตรงใจกลางฝ่ามือนั้น เขาช้อนตาขึ้นมองผม เผยให้เห็นความจงรักภักดีอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ผมถอนหายใจ และดึงมือออกเบาๆ เด็กหนุ่มยินยอมปล่อยแต่โดยดี

“เรียวใส่แหวนของผมด้วย ดีใจจังเลยครับ”

“เพิ่งจะเห็นหรือไง”

“เห็นนานแล้ว แต่ที่ไม่ทักตั้งแต่แรก กลัวว่าพอทักไป เรียวจะถอดมันอ่ะครับ อยากให้เรียวใส่แหวนวงนี้ไปตลอด

อยากเห็นมันติดนิ้วของเรียวอย่างนี้ ไม่อยากให้เรียวทิ้งขว้างมันอ่ะครับ”


สายตาของเด็กหนุ่มที่มองมา มีแวววิงวอนขอร้อง เขาคงกลัวว่าผมจะถอดแหวนของเขา ผมมองหน้าเดียร์ ไม่ตอบคำถามนั้น แต่เสพูดไปเรื่องอื่น


“นายนอนพักที่บ้านฉันอีกสักหน่อยแล้วกัน หายแล้วค่อยกลับบ้านนะ อยากทานอะไรก็ทำเอา ถ้าลุกไหว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็โทรสั่งให้ร้านอาหารแถวนี้มาส่งก็ได้นะ เอาไหมฉันมีเบอร์”

เดียร์ทำตาโต หูพึ่ง เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ได้จริงๆเหรอครับ ให้ผมนอนที่บ้านเรียวได้อีกวันหนึ่งเหรอ ทำไมใจดีจังอ่ะ”

“จะนอนหรือเปล่า ไม่นอนก็ได้นะ ไม่ได้ว่าอะไร แค่เห็นว่าเมื่อวานนี้นายมาเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่ครบตามวันที่สัญญา ฉันเลยให้นายนอนต่อ ถ้าคิดว่าจะกลับบ้านก็ไม่ว่ากัน”

ผมตอบเด็กหนุ่มไปอย่างเย็นชา เดียร์ทำหน้าอ้อน

“นอนสิ อยากนอนครับ ก็ยังไม่ค่อยหายเลยอ่ะ ปวดหัวจัง คงกลับบ้านไม่ไหวอ่ะครับ”

เดียร์ทำเป็นยกมือกุมหัว ท่าทางสำออยเหมือนป่วยหนักเสียเต็มประดา ผมมองหน้าเจ้าเล่ห์นั้นยิ้มๆ พลางลุกขึ้นจากที่นอนเตรียมจะไปอาบน้ำแต่งตัว

เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ตามลำพังในห้อง จึงเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อคลุมนอนมาสวมทับ ก่อนเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเดียร์ไล่หลังมา

“ไม่ต้องอายหรอกครับเรียว ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร แล้วผมก็เคยเห็นของเรียวจนหมดแล้วด้วย อีกอย่างผมก็ไม่สบาย ไม่มีแรงกวนเรียวหรอกนะครับ”

คนป่วยอะไรกันเนี่ย ตะโกนเสียงเจื้อยแจ้วได้ขนาดนี้ ผมคิดอย่างขำๆ บ้าน่ะสิ ถึงจะเคยเห็นเรือนร่างผมมาแล้วก็ตาม

แต่ก็ใช่ว่าจะต้องมาเปลือยกายให้เขาเห็นซ้ำอีกนี่ หมอนี่ไว้ใจได้เสียที่ไหน ถึงจะนอนแหม่บ ไม่มีแรงลุกขึ้นมา แต่ปากแล้วก็ตา ก็ยังทำงานได้นี่นา

ผมไม่อยากให้ตาเจ้าเล่ห์นั้นมองตามผมตอนโป๊ แล้วก็ไม่อยากได้ยินเสียงพูดเกี่ยวกับร่างกายหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับตัวผมทั้งนั้น

สงสัยต้องเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำเสียแล้ว



แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ เดียร์ก็หลับไปอีกแล้ว ผมเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ยืนมองอยู่ตั้งนาน

ก็เห็นเด็กหนุ่มนอนหลับตาพริ้ม ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง ท่าทางจะไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ สงสัยจะไม่มีแรงอย่างที่ว่าจริงๆ

คงไม่สามารถกวนใจผมได้แล้วมั้ง เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมจึงแต่งเนื้อแต่งตัวโดยไม่ต้องมานั่งระมัดระวังอีกต่อไป


“วันนี้กลับดึกไหมครับ”

เสียงใสๆถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมสะดุ้ง หันไปที่เตียงก็เห็นเขานอนตะแคงข้าง มองผมตาแป๋ว มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่ทั่วใบหน้า

ชักเริ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกหมอนี่แอบมองมาโดยตลอด เจ้าเด็กบ้านั่นแสร้งทำเป็นหลับ เพื่อให้ผมตายใจ แล้วก็นอนดูผมโป๊ด้วยความเพลิดเพลิน

ผมสำรวจความเรียบร้อยของตนเองที่หน้ากระจก ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียง แล้วทำมือเป็นมะเหงกเขกหัวคนที่นอนป่วยดังโป๊กใหญ่ เขาทำหน้าเบ้ เอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ


“ดูเพลินเลยนะ ไอ้คนโรคจิต”

เด็กหนุ่มยิ้มเขินๆ เหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทำผิด เขาดึงมือข้างที่สวมแหวนของผมมาแนบแก้มตนเอง แล้วก็จูบอย่างรักใคร่

ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงอ้อนที่ทำให้โกรธไม่ลงว่า


“ก็แหม ผู้ชายคนที่ตัวเองรัก โป๊ทั้งที ก็ต้องดูกันนิดหน่อยอ่ะ เรียวน่ะ ถึงจะผอมเพรียวบางไปหน่อยก็ตาม แต่ก็หุ่นดีเหมือนกันนะ

ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย เมื่อกี้อ่ะ ถ้ามีแรงสักหน่อยนะ ผมจะเข้าไปกอดให้สมกับความคิดถึงเลย”

ผมดึงมือออกแล้วผลักที่หน้าผากเขาเบาๆ พลางพูดหยอกล้อใส่เขา

“ดีแล้ว ที่ไม่คิดจะทำ ไม่อย่างนั้นฉันเตะนายกลิ้งแน่ๆ”

“เรียวไม่ทำหรอก ผมรู้ เรียวใจดีจะตาย”


ท่าทางออดอ้อนประจบประแจงที่เดียร์ทำต่อผม ทำให้ใจอ่อนยวบ ผมยิ้มให้เขา แล้วถามว่า เขาจะทานข้าวต้มไหม จะได้ทานยา

ตอนแรกเขาปฏิเสธ บอกเกรงใจผม แต่เมื่อผมทำเสียงดุใส่เขาว่า ไม่ทานข้าว แล้วจะหายได้ยังไง ถ้าไม่อยากหาย ก็กลับไปตายที่บ้านซะ อย่ามาตายที่นี่

เด็กหนุ่มก็เลยยอมทาน แต่ก็บ่นกระปอดกระแปดว่า ถ้าห่วงเขา ก็ไม่จำเป็นต้องดุว่าแรงๆนี่นา ทำท่าไม่ใยดีแบบนี้

มันทำให้เขาหัวใจสลาย ผมเลยอดที่จะหัวเราะคำพูดของเขาไม่ได้



ทำข้าวต้มให้เดียร์ และรอดูจนกระทั่งเขาทานยาเสร็จแล้ว ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีประชุม หรือมีโทรศัพท์มากวนใจ

ผมจึงสามารถพิจารณางานที่กองอยู่บนโต๊ะได้ในเวลาอันรวดเร็ว ยังเหลือใบคำขอที่ต้องพิจารณาอีกไม่มาก วันนี้ผมคงสามารถกลับบ้านได้เร็ว

นึกห่วงเจ้าเด็กบ้านั่น ป่านนี้จะเป็นอย่างไงบ้างหนอ ค่อยยังชั่วหรือยังก็ไม่รู้ ลุกขึ้นมาได้แล้วหรือว่ายังนอนซมอยู่บนเตียง แล้วกินข้าวปลาอาหารได้กินหรือยังนะ

ไหนจะยาอีก ไม่ได้อยู่คุม ก็ไม่รู้ว่าจะกินยาตามที่สั่งไว้หรือไม่ เฮ้อ เจ้าเด็กบ้านี่ ทำให้ผมกังวลใจจนแทบจะไม่มีกระจิตกระใจทำงาน   



ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมโทรไปหาเขาที่มือถือ แต่เขาไม่ยอมรับสาย อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ เดี๋ยวตอนบ่ายผมค่อยโทรไปอีกทีแล้วกัน

หากโทรไปบ่อยเดี๋ยวเขาจะคิดมาก ว่าผมห่วงเขา ซึ่งที่จริงผมก็ห่วงน่ะแหละ แต่ไม่อยากจะให้เดียร์รู้ เดี๋ยวได้ใจแล้วจะทำตัววุ่นวายกับผมไม่หยุดหย่อน



ประมาณสักบ่ายสาม หลังจากที่ผมเคลียร์งานชุดที่สองบนโต๊ะจนหมด ผมจึงโทรไปหาเดียร์อีกครั้ง เขาไม่ยอมรับสายอีกเช่นเดิม

ผมโทรไปหลายรอบก็ยังได้ผลเหมือนเดิม เริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาว่า ทำไมเขาถึงไม่รับสาย

หรือว่าจะไม่สบายหนักยิ่งกว่าเดิมอีกจนไม่สามารถลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ได้กันนะ ผมชักเป็นห่วงเขาขึ้นมาเสียแล้วสิ



ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เลยวางมือจากงาน แล้วเดินออกมานอกห้อง แวะพูดคุยให้กำลังใจลูกน้อง แล้วก็เดินตรงไปยังแคนทีน เพื่อชงกาแฟกินสักแก้ว

ไม่อยากใช้เลขาให้เอามาให้ เพราะเห็นว่างานเขาเยอะมาก อีกอย่างผมก็อยากจะเดินไปเดินมา ให้หายเครียดจากเรื่องงานและเรื่องเจ้าเด็กนั่นด้วย

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-12-2008 15:36:32
ศักดิ์ชายเพื่อนเก่าแก่ เดินมาเจอผมตรงทางไปห้องน้ำพอดี เราต่างยิ้มให้กัน ผมรู้จักเขาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กอนุบาล เรียนอยู่ห้องเดียวกัน

แล้วก็เรียนด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย แถมซ้ำเขายังเคยเป็นเพื่อนบ้านของผมตั้งแต่สมัยเด็กๆ เพิ่งจะมาแยกกัน ตอนที่ผมเรียนจบแล้วพ่อผมก็มาจากไป

แม่ขายบ้านเก่าแล้วออกมาอยู่ที่แฟลตแถวห้วยขวางเนื่องจากบ้านเก่าอยู่ไกลถึงรังสิต ไกลจากสถานที่ทำงานของแม่


แล้วพอแม่ตายแล้ว ผมจึงออกจากแฟลตนั่น แล้วมาซื้อบ้านใหม่ที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ เราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยนับจากจบมหาวิทยาลัย

น่าแปลกที่ผมมาเจอเขาอีกที่บริษัทแห่งนี้ โดยเขาทำงานอยู่ฝ่ายตรวจสอบ ซึ่งผมต้องติดต่องานด้วยประจำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอกันอีก


เขาเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกคนนอกจากเจ้าสันต์ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเขาบ่อย เนื่องจากว่า เขาแต่งงานแล้ว มีภรรยาและลูกที่น่ารัก

เขาเพิ่งแต่งงานได้แค่สองปี ผมมีโอกาสไปงานแต่งงานของเขาด้วย ลูกของเขาเพิ่งคลอดเมื่อห้าเดือนที่ผ่านมา

เขาค่อนข้างจะเห่อลูกของเขามาก พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องลูกตลอดเวลา ศักดิ์ชาย เคยชวนผมไปบ้านเขาเพื่อไปเยี่ยมเมียและลูก

แต่ผมก็ยังหาโอกาสไปไม่ได้สักที แต่ก็สัญญาว่า จะไปบ้านเขาสักครั้ง



ศักดิ์ชายออกมาจากห้องน้ำ แล้วตอนที่ผมเพิ่งวางโทรศัพท์จากการโทรไปหาเดียร์ เจ้าเด็กนั่นไม่ยอมรับสายอีกแล้ว

ผมยิ่งเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น นึกเป็นห่วงเจ้าเด็กนั่นที่นอนอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่มีใครดูแล ไม่รู้ว่าเขาจะไข้กลับมาอีกหรือเปล่า

การที่เขาไม่รับสาย อาจจะเป็นไปได้ว่า สลบไสลไม่ได้สติอยู่ก็ได้ ความที่ผมมัวแต่ใจจดใจจ่อยู่กับเด็กบ้านั่น เลยไม่ทันได้เห็นว่าศักดิ์ชาย

เดินเข้ามาใกล้และพูดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเขาพูดซ้ำ ผมจึงได้ยิน


“วันศุกร์นี้ วันเกิดฉัน จะจัดงานวันเกิดกันที่บ้าน นายไปด้วยนะ”

“อื้อ....ได้สิ”


ผมรับปากอย่างไม่ลังเล จะได้ฉวยโอกาสเยี่ยมเยียนเมียและลูกของเขาด้วย ศักดิ์ชายมองผมนิ่งนาน เขายิ้มให้ผม ก่อนจะเดินจากไป


ผมกลับเข้าไปทำงานต่อ ด้วยใจที่ยังคงเป็นกังวล การที่ผมติดต่อเจ้าเด็กบ้านั่นไม่ได้ ทำให้ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า

ผมจินตนาการภาพที่เขาป่วยหนักสลบไสลไม่ได้สตินอนอยู่กับบ้านโดยไม่มีใครรับรู้ แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา พยายามตั้งสติกับงานที่ทำตรงหน้า

แต่ดูเหมือนว่า มันไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าที่งานตรงหน้าจะสำเร็จลุล่วงไป เมื่อยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา

ก็พบว่า เวลาล่วงเลยไปจนถึง หกโมงแล้ว ตั้งใจจะกลับบ้านเร็วๆ เพื่อไปดูเจ้าเด็กบ้านั่นสักหน่อย กลับเลิกงานช้าจนได้



ตอนที่ผมเปิดประตูบ้านเข้าไป ก็พบว่าบ้านไม่ได้ล็อค คนป่วยที่น่าจะนอนอยู่บนเตียง ของผมกลับมานอนคุดคู้อยู่บนโซฟาที่เขาอาศัยนอนเป็นประจำเวลามาบ้านนี้

เขานอนหลับสนิท โดยมีเจ้าหญิง สุนัขแสนรู้ของผม นอนหมอบอยู่ตรงพื้นเป็นเพื่อน ทันทีที่เห็นหน้าผม เจ้าหญิงก็ส่งเสียงร้องดังออกมา

แล้ววิ่งมาคลอเคลีย เสียงของมันปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้น เดียร์ผลุดลุกขึ้นนั่งทันที เขาส่งยิ้มหวานจ๋อยมาให้ผม พูดทักทายด้วยความกระตือรือร้น



“กลับมาแล้วหรือครับ ทำไมกลับมาค่ำจังเลยอ่ะ งานเยอะเหรอ เหนื่อยไหมครับ ผมทำกับข้าวไว้รอนะ ป่านนี้คงเย็นหมดแล้ว หิวไหมครับ ทานเลยไหม เดี๋ยวผมไปอุ่นให้”

ผมไม่ตอบทุกคำถามของเขา ได้แต่เดินมาหยุดยืนอยู่ที่โซฟา แล้วเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเด็กหนุ่ม ความร้อนในตัวของเขาลดลงแล้ว หน้าตาหล่อเหลานั้นก็ดูสดใสขึ้น

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ฉันโทรมาหลายรอบ”

“เรียวโทรมาเหรอ สงสัยผมคงหลับอยู่มั้งครับ เลยไม่ได้ยิน”

“หลับบ้าอะไรทั้งวัน”

ผมถามเขาเสียงขุ่น เดียร์อึกอัก

“ก็....ไม่เชิงว่าหลับทั้งวันหรอกครับ พอดีตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงๆ ก็ลงมาข้างล่างนี่แหละ ไม่ได้เอาโทรศัพท์ลงมาด้วยอ่ะครับ”

“วันนี้ทำอะไรบ้าง”

ผมถามเขาอย่างซักไซ้ เดียร์ทำตาโต จ้องมองผมอย่างงงๆ

“เอ้อ ......ก็หลายอย่างอ่ะครับ ทำไมเหรอ”

“ตอบมาก่อน......บอกมาให้หมดทุกอย่างเลย”

“ก็งานบ้านนิดหน่อย ช่วยกวาดบ้าน ถูบ้านให้เรียว อาบน้ำให้เจ้าหญิง เอาข้าวให้กิน เอาขยะไปเท ซักผ้า รีดผ้าให้ แล้วก็ทำอาหารเย็นรอให้เรียวมาทานอ่ะครับ”

เด็กหนุ่มตอบผม ดวงตาของเขาใสชื่อ และจริงใจ ผมกำหมัดแน่น และยกขึ้นเตรียมจะเอากำปั้นทุบหัวเขา เดียร์ย่นคอ หลับตาปี๋

ผมเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายเขา แต่คลายมือออก แล้วลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา


“เจ้าเด็กบ้า ที่พูดมาทั้งหมดน่ะ มันไม่ใช่งานนิดหน่อยเลย มาทำให้ฉันทำไม นายยิ่งไม่สบายอยู่นะ เดี๋ยวป่วยไข้ขึ้นมาอีกมันจะแย่”

ผมทำน้ำเสียงดุๆใส่เขา มันไม่ได้มาจากความโกรธ แต่มาจากความห่วงใยมากกว่า


“ก็ตอนที่ผมตื่นมาน่ะ มันค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว และผมก็ไม่อยากนอนอยู่บนเตียงคนเดียวนานๆ ยกเว้นแต่ว่า ถ้ามีเรียวอยู่ด้วยก็ถึงไหนถึงกัน

แหม....ทำตาดุใส่เชียว ล้อเล่นไม่ได้เหรอครับ ผมเลยคิดว่าจะมานอนเล่นข้างล่าง แต่มันเบื่อ เลยอยากหาอะไรทำแก้เซ็งอ่ะ

มองไปมองมา เห็นผ้าเต็มตะกร้า เจ้าหญิงก็มอมแมม ข้าวก็ไม่ได้กิน ก็เลยจัดการให้หมดเลยอ่ะครับ พอดีมันเย็นแล้วก็เลยคิดว่าเรียวกลับมาบ้านคงหิว เลยทำกับข้าวรออ่ะครับ”

“มิน่าล่ะ ฉันโทรหานายทั้งวันเลย แต่นายก็ไม่รับสาย เด็กโง่เอ๊ย ขอบใจมากนะ ที่คอยทำอะไรให้ตลอดเวลา แต่คราวหลังไม่ต้องทำหรอก

พักผ่อนให้เยอะๆ จะได้หายไวไวนะ อย่าทำให้ใครเขาเป็นห่วงไปมากกว่านี้อีกเลยนะ”

ผมบอกเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“เรียวเป็นห่วงผมเหรอ ใจดีจังเลย”

เดียร์ดึงมือผมที่ลูบศีรษะของเขามาหอม และจูบไปมา ผมยอมให้เขาทำโดยไม่ขัดขืน รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่เขาไม่สบาย เขาก็สามารถทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความสุขที่แท้จริงของการให้ มันทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองในตัวเขาไปทีละนิด

“แล้วนายกินข้าวหรือยังล่ะ”

ผมไม่ตอบคำถามที่เข้าตัวนั้น เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ ตาเป็นประกาย

“ยังเลยครับ ตอนเย็นนี้ยังไม่ได้กิน รอทานพร้อมเรียวครับ แต่เช้ากับกลางวันกินแล้ว และกินยาตามที่สั่งแล้วด้วยนะ”

“งั้นก็ดีเลย ไปทานข้าวเย็นกัน แต่รอฉันแป๊บนะ ฉันขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะลงมาทานด้วย”

“ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปอุ่นอาหารเตรียมไว้เลยนะ”

เดียร์กระวีกระวาดไปที่ห้องครัว ส่วนผมขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น ลงมาอีกที อาหารทุกอย่างก็พร้อมวางบนโต๊ะ

เดียร์ทำกับข้าวให้ผมทานอย่างมากมาย จนผมอดที่จะซึ้งในน้ำใจของเด็กหนุ่มไม่ได้ ดูสิ ขนาดไม่สบาย ยังอุตส่าห์มาทำอะไรต่ออะไรให้ผมอีก

ทำไมเขาจึงไม่เป็นผู้หญิงจริงๆหนอ ผมจะได้รักเขาได้อย่างสนิทใจ ไม่ต้องมัวกังวลเกี่ยวกับความถูกต้อง และ มาตรฐานที่สังคมกำหนด



ค่ำวันนั้น เป็นการทานมื้อเย็นที่มีความสุขสำหรับผม และผมก็คิดว่าเขาเองก็มีความสุขด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกมีความสุข

เพราะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจกับสิ่งต่างๆที่เดียร์ทำให้ในวันนี้ รู้สึกดีที่เขาพยายามทำทุกอย่างให้ผมด้วยความรัก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจุดจบของความเพียรพยายามของเขาคืออะไร

แต่เขาก็ยังทำ นับว่ามีความอดทนที่สูงมากทีเดียว ส่วนเดียร์คงมีความสุข ที่ได้นั่งทานข้าวเย็นไปพร้อมๆกับผม

แถมซ้ำผมยังใจดี อนุญาตให้เขานอนพักต่อที่บ้านของผมได้อีก 1 คืน แม้ว่า คราวนี้ เขาจะต้องระเห็จลงไปนอนที่โซฟาเหมือนเดิมก็ตาม

แต่เดียร์ก็ไม่ปริปากบ่น กลับทำท่ากระดี๊กระด๊า เริงร่าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ มองยังไง ก็เหมือนไม่ใช่คนป่วย จนผมแทบจะถอนคำพูด ไล่เขากลับบ้านซะด้วยซ้ำ


หลังจากช่วยเดียร์ล้างจานชาม และเก็บกวาดห้องครัวเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็มานั่งดูทีวีกันก่อนจะนอน อันที่จริง ผมไม่อยากดูสักเท่าไหร่

อยากให้เขานอนพักผ่อนให้มากๆ แต่เจ้าเด็กบ้านี่ ทำท่าออดอ้อน ขอให้ผมนั่งเป็นเพื่อนก่อน เพราะเขายังไม่อยากจะหลับตอนนี้

ผมเห็นหน้าป่วยๆเพลียๆ ของเขาแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ตกปากรับคำ นั่งเล่นเป็นเพื่อน เพราะเห็นแก่ความดีที่อุตส่าห์ทำอะไรให้หลายอย่างทั้งที่ยังไม่หาย

หารู้ไม่ว่า เด็กเจ้าเล่ห์ วางแผนการณ์ที่จะอยู่ใกล้ชิดผม เลยสำออย แกล้งทำเป็นป่วยหนัก เรียกร้องความสงสาร

พอผมไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขกกับเขา เดียร์ ก็รีบมานอนหนุนตัก ไล่ก็ไม่ไป ทำเป็นดื้อตาใส ออเซาะเสียงอ่อนเสียงหวาน


“ขอนอนแป๊บเดียวนะครับ เดี๋ยวผมก็หลับแล้วนะ เวลาไม่สบาย ผมน่ะ อยากให้คนที่ผมรักมาอยู่ใกล้ๆอ่ะครับ มันอบอุ่นดี และปลอดภัยดีนะครับ”


ไม่รู้เป็นเพราะคำพูดประโยคนั้น กับท่าทางอ้อนๆของเดียร์หรือเปล่า ที่ทำให้ผมปล่อยเลยตามเลยให้เขาหนุนตักได้ตามสบาย

เดียร์ยิ้มกริ่ม วางหัวพาดไว้กับตักผม นอนตะแคงข้าง แล้วดึงมือของผมมากุมไว้ ผมไม่รู้จะทำอะไรดี จะนั่งเฉยๆ โดยมีเจ้าบ้านี่นอนหนุนตักอยู่ก็ดูขัดเขิน

เลยเอารีโมตมากดปุ่มดูทีวีฆ่าเวลาไปพลางๆจนกว่าเดียร์จะหลับ แต่ผมคาดผิด คนป่วยคนนี้ นอกจากจะไม่หลับง่ายๆดังปากว่าแล้ว ยังพูดคุยเสียงเจื้อยแจ้วอีกด้วย


“ความรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โลกเคลื่อนไหว พลังแห่งรักจะพาเราไปสู่ทางที่สวยงาม”

อยู่ๆเดียร์ก็ร้องเพลงขึ้นมา ผมจึงแสร้งว่าเขาเสียงขุ่น

“นี่ตกลงจะดูทีวีหรือจะร้องเพลง”

“ทั้งสองอย่าง ก็ในทีวีอ่ะ มันเป็นรายการเพลงนี่ครับ เรียวไม่ทันได้สังเกตเหรอ เพลงนี้อ่ะ เพราะออก ผมชอบ
จังเลย ความหมายดีน๊า.....”


จริงสิ ผมเปิดทีวีไปยังงั้นเอง แต่ความสนใจผมไม่ได้อยู่ที่จอตรงหน้า แต่มาอยู่ที่คนนอนหนุนตักนี่มากกว่า ผมมองหน้าหล่อเหลาที่ช้อนตาขึ้นมองผม แล้วก็เผลอยิ้มออกมา

“นายนี่มันทะเล้นจริงๆเล้ย ไม่สบายแล้วยังจะมาทำเป็นอารมณ์ดีอยู่ได้”

“ก็เวลาไม่สบายแบบนี้ มันดีจริงๆนี่นา เรียวยอมทำอะไรให้ตั้งหลายอย่างแน่ะ ถ้าสบายดี เรียวก็คงไม่ทำให้หรอก

ดูสิ ถ้าผมเป็นปกติ เรียวจะยอมให้ผมนอนหนุนตักเรียวเหรอ แต่ตอนนี้ผมป่วย เรียวเลยใจดีอ่ะ ยอมทำทุกอย่างที่ผมขอร้อง

ผมรู้นะ จริงๆแล้วเรียวเป็นคนใจดี ขี้สงสาร ชอบใจอ่อน กับคนที่อ่อนแอด้วย เพียงแต่ว่า เรียวชอบทำตัวเข้มแข็งกับผม

เพราะเรียวไม่อยากจะหลวมตัวมารักเกย์อย่างผมต่างหาก”

เด็กหนุ่มพูดไป ก็จูบมือผมไปมา ผมพยายามจะดึงมือกลับแต่เขารั้งไว้

“รู้เหมือนกันนี่ ว่าฉันคิดอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้ฉันลำบากใจสิ”

สบช่องพอดี ผมเลยพูดขึ้นมา เพื่อให้เขาเลิกตอแยผมเสียที เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี ไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะยอมแพ้ เขาโต้ตอบผมทันควัน

“ไม่อ่ะ เรียวแค่ลำบากใจ แค่ตอนที่เกิดความสับสนในใจขึ้นมาแค่นั้นแหละ พอเริ่มรักผมแล้ว ก็หายเองล่ะนะ ดังนั้นผมไม่ยอมแพ้หรอก

ผมจะสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นให้จงได้ ไม่ว่าเรียวจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ คอยดูต่อไปสิ”


เมื่อเด็กหนุ่มยืนกรานด้วยความมั่นอกมั่นใจแบบนั้น ผมเลยคร้านที่จะเถียง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเถียงเอาแพ้ หรือ ชนะ

เด็กนี่ดื้อรั้นพอสมควร เขาต้องพยายามทำทุกอย่างตามที่ลั่นวาจาไว้ให้จงได้ สิ่งที่ผมจะทำคือแค่ไม่หลวมตัวไปติดกับดักเสน่หาที่เขาล่อไว้

และต้องไม่ให้โอกาสเขาทำตามใจตัวเองในการที่ล่วงเกินผม แค่สองสิ่งนี้มันทำได้ไม่ยาก หากคิดจะทำ แต่สิ่งที่ผมตอบไม่ได้ คือ ผมอยากจะทำจริงๆหรือเปล่า


กว่าที่เดียร์จะนอนได้ ก็เลยเที่ยงคืนมาโขแล้ว เขานอนหนุนตักผม พูดคุยสารพัดเรื่อง แล้วเสียงก็เริ่มแผ่วเบาลง จนเงียบไปในที่สุด

ผมพยายามขยับตัวลุกขึ้นก็เกรงว่าเขาจะตื่น แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะเดียร์นอนไม่ไหวติง ผมจึงต้องนั่งอยู่อย่างนั้น

เปิดดูทีวีเกือบทุกช่อง ก่อนจะหลับไปในที่สุด เลยเป็นว่าทั้งผมและเขาไม่ได้นอนแยกจากกันเลย ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


“ตื่นได้แล้วครับ เรียวคนดี”

*************************
c u tomorrow :3123:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-12-2008 18:41:31
(http://i200.photobucket.com/albums/aa319/teerak_photos/Merry_Christmas_Glitter_Wreath.gif)
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-12-2008 18:52:06
 :z1: มาดูคนป่วยขี้อ้อน  :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-12-2008 22:09:50
Merry Christmas & Happy New Year 2009 :3123:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 24-12-2008 22:26:54
Merry X'Mas

(http://www.free4up.com/out.php?i=11261_untitledetyr.JPG)





 :กอด1:พี่แอน

เทคแคร์ตัวเองด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 25-12-2008 00:37:24
Merry X'mas and Happy Birthday N' Dear

ครบรอบวันเกิดน้องเดียร์วันนี้ค่ะ (ฮ่าฮ่าฮ่า) ในนิยายเรื่องนี้ เดียร์เกิดวันที่ 25 ธันวาค่ะ เดียร์จึงเป็นของขวัญวันคริสต์มาสของเรียวค่ะ สุขสันต์วันเกิดน้องเดียร์นะคะ อิอิอิ  :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 25-12-2008 01:01:00
Happy Birthday เดียร์คับ :mc4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-12-2008 17:09:11
  :z1: มาละจ้า




บทที่ 20


เสียงกระซิบที่รื่นหูดังขึ้น ผมสะดุ้งตกใจตื่น เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นเดียร์นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ

ใบหน้าของเขาใกล้กับหน้าของผม จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดแถวลำคอ

“เช้าแล้วนะครับ ที่รัก”

เขาทักทายผมเสียงอ่อนเสียงหวาน ดวงตาที่จ้องมองผมเป็นประกายแพรวพราว ไม่มีอาการป่วยไข้หลงเหลือให้เห็น

“หายดีแล้วเหรอ”

ผมถามอย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มพยักหน้า ยิ้มแป้น

“ผมคิดว่าผมหายแล้วล่ะครับ แต่รู้สึกเหมือนว่า เรียวน่าจะไม่สบายนะ”

เด็กหนุ่มพูดพลาง เอามือมาอังหน้าผากผม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป มีความห่วงกังวลอยู่ในแววตาคู่นั้น

“ก็คงจะติดจากนายนะสิ”

ผมจามขึ้นมา พยายามจะลุกจากที่นั่ง รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว แล้วก็ปวดหัวไปหมด แต่ก็แข็งใจฝืนยืนขึ้น ไม่
อยากทำท่าอ่อนแอให้เด็กบ้านี่เห็น

“ไม่เป็นไรมากหรอกน่า ถึงฉันจะผอมกว่านาย แต่ฉันก็แข็งแรงนะ”

“แต่เมื่อกี้ลองจับหน้าผากเรียวดูแล้ว เรียวตัวร้อนๆนะครับ”

เดียร์มีทีท่ากังวล ผมมองสบตาเด็กหนุ่ม แล้วรีบเบือนหน้าหนี กลัวใจตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อความห่วงหาอาทรของเขา

“บอกว่าไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรสิ เดี๋ยวกินยา แล้วจะออกไปทำงาน ส่วนนายเมื่อหายป่วยแล้ว สมควรจะกลับบ้านไปทำงานทำการได้แล้ว”

ผมถือโอกาสไล่เขา เดียร์ทำปากยื่น ร้องอุทธรณ์ว่า

“แหม พอตื่นขึ้นมา ก็ทำท่าไม่อยากเห็นให้ผมอยู่ด้วยขึ้นมาเชียว หวงเนื้อหวงตัวจังเลย เรียวนี่ น่าน้อยใจเชียว”

“ก็ฉันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก ไม่เคยให้ความหวังอะไรนายสักหน่อย นายน่ะแหละคิดเองเออเองทั้งนั้น ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งกับพวกเกย์สักหน่อย”

เด็กหนุ่มฟังผมพูดจบ ก็ทำตาเป็นประกาย ยิ้มทะเล้นจนน่าหมั่นไส้

“นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการ การที่เรียวหวงเนื้อหวงตัวแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน แปลว่า ไม่มีผู้ชาย หรือ เกย์หน้าไหนได้มีโอกาสมาแตะต้อง หรือยุ่งเกี่ยวกับเรียวของผม แสดงว่าเรียวยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ มีแต่ผมคนเดียวที่มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้น ผมยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากเลยนะ เลยคิดว่าจะต้องรีบทำให้เรียวใจอ่อน ยอมเป็นของผมให้ได้ ผมอ่ะกะจะถนอมเรียวไว้เป็นของผมตลอดไปเลยอ่ะ”


ผมรีบเดินหนีขึ้นห้องหลังจากเดียร์พูดจบ ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังไล่หลังมา ผมแอบยิ้มให้กับตัวเอง เจ้าเด็กบ้านี่ ทำท่าราวกับว่าเราสองคนเป็นคู่รักกันงั้นแหละ ทั้งพูดจาหยอกเย้า แทะโลม เกี้ยวพาราสี นึกว่าตัวเองเป็นชายหนุ่มที่กำลังติดพันหญิงสาวอยู่หรือไงนะ


ถึงผมจะดูผอมเพรียวแต่ผมก็มีความสูง และขนาดร่างกาย เท่ากับชายหนุ่มที่ทำงานในออฟฟิศหลายคน ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางเหมือนผู้หญิงสักหน่อย แล้วก็เคยมีอะไรกับผู้หญิงหลายคนด้วย แล้วทำไมเด็กนี่จึงมาดูแลเทคแคร์ผมอย่างกับว่าเป็นหญิงสาวที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นะ เจ้าบ้าเอ๊ย ผมอดขำความคิดของเดียร์และเริ่มจะหวั่นใจไม่ได้ หากนายเดียร์ทำอย่างนี้กับผมบ่อยๆ ผมจะกลายเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นได้หรือเปล่านะ ชักนึกกลัวซะแล้วสิ


หลังจากใช้เวลาในห้องน้ำนานร่วม ครึ่งชั่วโมง ทั้งอาบน้ำ และคิดอะไรเรื่อยเปื่อย บวกกับการแต่งเนื้อแต่งตัวอีก ครึ่งชั่วโมง ก็พอที่จะถ่วงเวลาไม่ให้ผมต้องเจอหน้ากับเจ้าเด็กลูกครึ่งที่ชอบก่อกวนอารมณ์ความรู้สึกของผมอีก พอลงมาจากห้อง ก็พบว่า เด็กหนุ่มเก็บข้าวเก็บของออกไปแล้ว โดยทิ้งโน้ตไว้ที่ห้องครัว และที่โต๊ะอาหารไว้ด้วย


เขาทำโจ๊กให้ผมทาน โดยใช้โจ๊กสำเร็จรูปที่เราไปซื้อกันมา เขาใส่หมูสับ กับไข่ให้ผมด้วย โน้ตเล็กๆที่มีลายมือสวยๆของเขาบอกให้ผมทานอาหารแล้วทานยาตามด้วย จะได้หายไวๆ เขาเป็นห่วงผมมาก อยากอยู่ดูแล แต่เกรงว่าผมจะไม่อนุญาต ส่วนตัวเขาขอออกไปทำงานก่อน ผมอ่านโน้ตแล้วอมยิ้ม แม้กระทั่งขณะทานโจ๊กที่เดียร์ทำให้ นึกภาพเขารีบอาบน้ำแล้วออกไปข้างนอก ไปส่งหนังสือพิมพ์ จากนั้นก็แต่งตัวไปร้านครัวคุณป้า เพื่อทำหน้าที่เป็นคนปรุงอาหาร แล้วจบลงที่ร้านกาแฟเป็นที่สุดท้าย เขาคงยุ่งวุ่นวายจนหัวปั่น ต้องทำงานชดเชยที่หยุดไป เนื่องจากป่วยเสียหลายวัน ไม่ได้ทำงานทำการก็ทำให้ขาดรายได้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของเขามาก



นึกสงสารเห็นใจอยู่ครามครัน อยากจะยื่นมือไปช่วยเหลือ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะให้มาอยู่ด้วยในบ้าน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ก็นึกหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมต้องให้คนแปลกหน้าที่รู้จักกันไม่กี่อาทิตย์ มานอนที่บ้านด้วย แถมซ้ำยังเป็นคนที่ลักพาตัวผม บังคับทางอ้อมให้ยอมเป็นแฟนกับเขา จนผมอึดอัดใจทำอะไรไม่ค่อยจะถูกเมื่ออยู่ใกล้เด็กคนนี้ ถ้าผมยินยอมให้เขามาอยู่ด้วย ความยุ่งยากต่างๆอาจจะตามมาในภายหลังก็ได้ คิดไปคิดมาก็เลิกยุ่งกับเด็กนี่ดีกว่า ให้เขาช่วยเหลือตัวเองนั่นแหละ ดีแล้ว



วันนี้ผมนึกครึ้มใจที่การพิจารณารับประกันของผมเป็นไปด้วยดี ไม่ติดขัดอะไร เคสที่ผมรับมาพิจารณา เป็นการทำประกันทั้งครอบครัว พ่อแม่ และลูกอีกสองคน ซึ่งไม่อยากต่อการพิจารณานัก แม้จะเป็นเคสที่มีวงเงินที่สูงมาก แต่ลูกค้าสุขภาพดีกันทุกคน หัวหน้าครอบครัวเป็น คนหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แถมซ้ำยังเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงสังคมอีกด้วย



เคสพ่อแม่ลูกนี้ เป็นของผู้บริหารคนที่มักจะมีปากเสียงกับผมบ่อยๆ แล้วก็เป็นคนเดียวกับที่เจอผมกับเดียร์ที่ห้างวันนั้น เขาคอยติดตามถามไถ่เป็นระยะ ว่าผลการพิจารณาจะออกมาว่าอย่างไร เนื่องจากเป็นการทำประกันที่มีการเก็บเบี้ยประกันจำนวนมาก หากผ่านการอนุมัติ นั่นหมายถึงตัวเลขผลงานของเขาจะเพิ่มสูงขึ้น พอผมแจ้งผลให้เขาทราบ เขาก็ดีอกดีใจพูดคุยกับผมอย่างดี ลืมเรื่องบาดหมางระหว่างเราไปเสียสิ้น เขาแฮปปี้ ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย ไม่อยากจะทำงานไปแล้วมีใครมาคอยด่าตลอดเวลา ถึงแม้จะทำใจไว้แล้วว่า งานอย่างนี้ ต้องมีทั้งคนรักและคนชัง แต่ถูกด่าบ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน



ความที่ผมอารมณ์ดี กอปรกับงานเสร็จเร็วด้วย ผมจึงชวนเจ้าสันต์ไปทานข้าวที่ร้านครัวคุณป้า ตั้งแต่ 11.45 ออกก่อนเวลานิดหน่อย เพราะไม่อยากแย่งกันลงลิฟท์ และเบียดเสียดผู้คนแย่งกันทานอาหาร แล้วก็รอคิวนานๆ พอดีเจอศักดิ์ชาย กำลังจะไปทานข้าวพอดี ผมจึงชวนเขาไปด้วย



ไม่รู้ว่าวันนี้ พ่อครัวตัวดี จะหายป่วยไข้ จนสามารถทำอาหารได้อร่อยเหมือนเดิมหรือเปล่าน้อ อยากรู้จังเลย เมื่อเช้ากินโจ๊กฝีมือเขา มันก็อร่อยดี แต่พิสูจน์ไม่ได้เท่าไหร่ เพราะมันเป็นโจ๊กที่เขาปรุงมาสำเร็จแล้ว เติมนั่นนิดนี่หน่อย ก็อร่อยได้ แต่ ฝีมือการทำอาหารหลังจากป่วยของเจ้าเด็กบ้านั่นสิ ยังคงคุณภาพไว้อย่างที่เป็นมาหรือไม่ ผมไม่อาจจะรู้ได้



อันที่จริงมันไม่น่าจะเกี่ยวกันหรอก กับป่วยหรือไม่ป่วย แล้วจะทำอาหารได้ดีหรือเลวลง หากฝีมือดีอยู่แล้วก็คงจะทำอาหารได้ดีเหมือนเก่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ดลใจผมให้วนเวียนคิดแต่เรื่องของเขา คิดนั่นคิดนี่ไปมา จนเกิดความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องตัวเขาไปเสียทุกอย่าง พอได้สติขึ้นมา ก็นึกได้ว่า ผมคิดเพ้อเจ้อเลื่อนลอยไปถึงเขามากเกินไปเสียแล้ว ไม่อยากให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับผมเลย



พ่อครัวเอกออกมาเสิร์ฟอาหารด้วยตัวเองเลยวันนี้ ทำหน้าแป้นแล้น ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม เขาทำน้ำพริกปลาทู พร้อมไข่ชะอม และผักลวกให้ผมทาน มีแกงจืดกับผัดผักมาให้ทานด้วย แถมซ้ำยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำอาหารเพิ่มให้เจ้าสันต์อีกด้วย ศักดิ์ชายมองอาหารที่จานของเราสองคนด้วยความอิจฉา ถามไถ่ใหญ่เลยว่า พวกผมสองคนเป็นลูกค้าวีไอพีเหรอ ถึงได้พิเศษ



เจ้าสันต์ถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา แล้วก็เล่าให้เพื่อนเก่าของผมฟังว่า เขาเองก็เคยคิดแบบที่ศักดิ์ชายคิดเหมือนกัน ถึงขนาดลงทุนไปสืบ แต่ก็ไม่มีอะไร พ่อครัวคนนี้อยากฝึกปรือฝีมือเท่านั้น แต่ไม่วายแอบหยอดว่าสงสัยพ่อครัวจะชอบผม ศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนได้ยินเรื่องที่น่าแปลกใจ แววตาที่มองผมเหมือนจะคาดคั้นว่าจริงหรือเปล่า ผมไม่ตอบคำถาม แต่พูดว่า อย่าไปเชื่ออะไรกับเจ้าสันต์มากนัก เจ้านี่ชอบคิดไปเอง ศักดิ์ชายทำสีหน้าแบบโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด



ทานข้าวเสร็จผมก็กลับมาทำงานต่อ ใบคำขอเอาประกันที่มีให้ผมพิจารณาในรอบบ่าย เป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่า ในรอบเช้า มีแต่ลูกค้าสูงอายุที่ทำประกันเข้ามาในวงเงินสูงมาก และเป็นการซื้อประกันแบบซิงเกิ้ลพรีเมี่ยมด้วย ดูเหมือนว่าบริษัทจะไม่เสี่ยงอะไร เพราะลูกค้าจ่ายเงินก้อนเดียวเข้ามา โดยไม่สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพได้ แต่ในแง่ของความเป็นธรรมกับลูกค้า หากเขาจ่ายเงินเข้ามาก้อนใหญ่ แล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เงินที่เขาได้จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เขาเสียไป ผมจึงต้องการหลักฐานข้อมูลต่างๆเพื่อมาประกอบการพิจารณาอย่างเที่ยงธรรมและถูกต้องตามหลักเกณฑ์



กว่าจะพิจารณาเสร็จ ก็เล่นเอาผมปวดหัวไปหมด หัวผมเหมือนจะระเบิดออกจากกัน รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ตัวร้อนรุมรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ อันที่จริงก็รู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เช้าวันจันทร์แล้ว แต่ผมคิดว่า คงเป็นเพราะนอนน้อย และเครียดจากการทำงานมากกว่า จึงทำให้รู้สึกเพลีย พอเมื่อเช้าเป็นอีก ก็ตั้งใจว่าจะกินยา แต่ก็มาลืมซะก่อน พอดีมีงานเข้ามาให้ทำตลอด ผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไปสนิท ตั้งใจว่ากลับถึงบ้าน อาบน้ำ ทานข้าว แล้วก็จะกินยา แต่ความตั้งใจของผมก็มีอันถูกละเลยไป เมื่อกลับถึงบ้าน แล้วผมก็คลานขึ้นเตียงด้วยความอ่อนเพลีย ตั้งใจจะนอนเล่นๆเพื่อให้หายเหนื่อย แต่ก็ดันผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ



ผมไปทำงานในวันพุธและวันพฤหัสบดี ด้วยร่างกายที่อ่อนล้า มีประชุมเรื่องสินค้าตัวใหม่ที่จะขายโดยผ่านช่องทางธนาคาร ผมในฐานะตัวแทนจากฝ่ายพิจารณารับประกันต้องเข้าไปประชุม ร่วมด้วย ฝ่ายสินไหมซึ่งเจ้าสันต์ซึ่งย้ายจากงานเดิมที่ดูแลเรื่องการตรวจสอบ มาดูแลเกี่ยวกับการจ่ายสินไหมให้กับธุรกิจประกันผ่านแบงค์ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายคณิตศาสตร์ ฝ่ายการตลาด และ ฝ่ายที่ดูแลเกี่ยวกับช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแบงค์ นอกจากนี้ยังมีฝ่ายตรวจสอบเข้ามาร่วมด้วย ซึ่ง ครั้งนี้เขาส่งศักดิ์ชายเป็นตัวแทนมาร่วมประชุม กลายเป็นว่า ผมและเพื่อนๆอีกสองคน ต้องมาประชุมถกเถียงกันในสินค้าตัวใหม่ที่จะวางตลาด



ทางฝ่ายการตลาด ขอร้องให้ทางผมปรับกฎเกณฑ์ในการพิจารณาให้เข้มงวดน้อยลงกว่าเดิม เนื่องจากฐานตลาดลูกค้าที่มาออมเงินกับธนาคาร เป็นพวกที่ไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก อีกอย่าง ผู้ที่ทำหน้าที่ขายก็คือพนักงานแบงค์ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องประกันมากนัก แถมซ้ำ สินค้าที่ขายผ่านแบงค์ก็มีตั้งหลายตัว แล้วพนักงานธนาคารจำเป็นต้องทำยอดขายให้กับธนาคารด้วย หากขายอะไรที่มันยากๆ กฎเกณฑ์เยอะก็จะสร้างความลำบากให้เกิดขึ้น ทำให้ยอดขายไม่เติบโตอย่างที่ต้องการ



เราประชุมกันนานมากใช้เวลาถึงสองวันเต็ม จนผมเครียดไปหมด ต่างถกเถียงยกเอาเหตุผลที่ดีกว่าของตัวมาหักล้างกัน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่จะได้ประโยชน์สูงสุดกับบริษัท โดยเราจะลดเงื่อนไขการพิจาณารับประกันให้เหลือน้อยลง และง่ายมากขึ้น แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีการจำกัดวงเงินต่อกรมธรรม์ว่าซื้อสูงสุดได้เท่าไหร่ หากเกินกว่าที่กำหนด เงื่อนไขกฎเกณฑ์ก็จะปรับมาสุ่ปกติ โดยที่ลูกค้าสามารถซื้ออนุสัญญาที่ต้องการได้ทุกตัว กว่าจะตกลงกันได้ ก็เล่นเอาทุกคนเหนื่อยอ่อนไปตามๆกัน



ด้วยความที่งานยุ่งมาก แถมซ้ำยังประชุมเครียดด้วย ผมจึงไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจพูดคุยกับเดียร์มากนัก เวลาที่เขาโทรมาผมก็คุยได้แป๊บเดียวก็ตัดบท ผมเหนื่อย และเพลียมาก ไม่อยากแม้แต่จะขยับปาก ใจอยากจะทำงานให้เสร็จๆ ไม่อยากให้คั่งค้าง เพราะกลัวงานอนุมัติไม่ทัน บริษัทก็จะไม่มีเงินเข้ามา หลังจากเลิกประชุมในแต่ละวัน ผมก็จะอยู่เคลียร์งานจนดึกจนดื่น กลับเข้าบ้านอาบน้ำเสร็จก็คลานขึ้นเตียง หลับสนิท ลืมทานข้าว ทานยาเพื่อให้หายป่วย



พอถึงวันศุกร์ ผมก็แทบจะทรงกายไม่ไหว แต่ก็พยายามที่จะฝืนใจไปทำงานทั้งๆที่ตัวร้อน และเพลียมาก ผมขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานไม่ยอมออกไปไหน จนกว่างานจะเสร็จ



เจ้าสันต์รับหน้าที่เป็นคนซื้อข้าวแทนผม ซึ่งเขาก็ไปทานที่ครัวคุณป้าเหมือนเดิม เดียร์รับรู้แต่เพียงว่า งานผมยุ่งจนไม่มีเวลาทานข้าว เขาก็ฝากอาหารมาให้ผมจนเยอะแยะ มีการโทรศัพท์มาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ผมก็ตอบเขาไปว่า ไม่มีอะไรมาก แค่งานยุ่งเท่านั้น สงสัยอาจจะต้องหอบงานไปทำที่บ้านด้วย เขาแสดงความเห็นใจออกมา แล้วบอกว่าถ้าไม่สบายก็บอกเขานะ เขายินดีมาดูแลผมที่บ้าน ผมบอกเขาว่าไม่ต้อง ผมไม่เป็นอะไรมาก เมื่อเห็นผมยืนยันเสียงแข็งแบบนั้น เดียร์เลยบอกกับผมว่าจะไม่กวนแล้ว ให้ผมทำงานตามสบาย เขาจะไม่โทรมาหาจนกว่าจะถึงวันเสาร์เพื่อให้ผมทำงานได้ตามสบาย ผมกล่าวขอบคุณเขา ที่ทำอาหารให้ แล้วก็ขอตัวทำงานต่อ




ศักดิ์ชายเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมป่วย เพราะในตอนประชุมผมจะนั่งติดเขาตลอด และเขามักจะสังเกตอาการของผมตลอดเวลา เวลาที่ผมเครียด เขาก็จะพูดคุยให้ใจเย็น ๆ พยายามจะชวนผมให้ไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายหลังเลิกงาน แต่ผมปฏิเสธไป บอกเขาว่าอยากนอนมากกว่า แล้วผมก็รู้สึกเกรงใจภรรยาและลูกของเขาด้วย ไม่อยากชวนให้เขาเถลไถล เดี๋ยวจะมีเรื่องผิดใจกันในครอบครัวไปเสียเปล่าๆ


“กลับบ้านไปนอนเสียนะ แล้วกินยาด้วย พรุ่งนี้วันเกิดฉัน นายอย่าลืมไปให้ได้ล่ะ”

ศักดิ์ชายโทรมาหาผมตอนค่ำของวันศุกร์ เขาเลิกงานแล้ว แต่ยังอยู่ต่อ เพื่อเช็คเมล์งานต่างๆ เขาออกไปก่อนผมครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็หอบงานออกมา ตั้งใจกะจะเอากลับไปทำที่บ้าน แต่ผมกลับไม่ได้ทำ เพราะทันทีที่หัวถึงหมอน ผมก็หลับสนิท แล้วไปตื่นเอาตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น



เพื่อนเก่าของผมโทรมานับสิบรอบ แต่ผมไม่ได้ยินเนื่องจากหลับไปนานมาก ด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกว่าหัว
ตื้อ หนักไปหมด ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว ร้อนวูบที่หนังตา และเนื้อตัว ขนาดลุกไปห้องน้ำ ยังเซถลาต้องยึดประตูไว้ รู้สึกว่าห้องมันหมุนติ้วไปหมด ผมคลานกลับขึ้นเตียง และคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ถึงได้รู้ว่าศักดิ์ชายโทรมา แต่ผมไม่ได้โทรกลับไป ดูจากเวลาในมือถือ ก็รู้ว่า เลยเวลานัดไปมากแล้ว ผมพลาดนัดกับเขาจนได้ ศักดิ์ชายคงโทรมาต่อว่า แต่ช่างเถอะ เอาไว้โทรไปขอโทษเขาทีหลัง วันนี้ผมรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ อยากนอนพักมากกว่า



ตื่นมาอีกที เมื่อได้ยินทั้งเสียงโทรศัพท์และเสียงกดกริ่งขึ้นมาพร้อมกัน ผมเหลือบดูนาฬิกาตรงหัวเตียงมันบอกเวลา 6.45 น.แต่เมื่อดูจากแสงสว่างที่ลอดเข้ามาในห้อง มันบอกให้ผมรู้ว่า นี่เป็นเวลาเช้าของอีกวัน ไม่ใช่เย็นวันเสาร์แต่อย่างใด และเสียงกริ่งหน้าประตูบ้านนั่น คนที่จะกดคงไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าเดียร์ เด็กบ้าที่คอยมากวนประสาทผมทุกเช้าวันอาทิตย์นั่นเอง แต่วันนี้ เขามาสายไปหน่อยนะ ตามปกติ จะมาตั้งแต่ ยังไม่ทันจะหกโมงเลย เอ หรือว่า มายืนรอตั้งนานแต่ผมไม่ได้ยินเสียงกริ่งกันแน่


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-12-2008 17:10:09

ผมซวนเซลุกขึ้น รู้สึกดีใจที่เด็กหนุ่มมาหา เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกๆวันที่ได้เจอกัน บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงดีอกดีใจแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกนึกถึงเขา หรือ ว่า เป็นเพราะผมไม่สบาย เลยอยากให้มีใครบางคนมาอยู่เป็นเพื่อน ผมเองยังตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าผมกระตือรือร้นที่จะไปเปิดประตูรับเขาด้วยไม่อยากให้เด็กหนุ่มรอนาน


“เป็นไงบ้าง”

ผิดคาดแหะ คนที่ผมเปิดประตูรับกลับกลายเป็นศักดิ์ชายที่ยืนยิ้มอยู่ ในมือของเขามีกระเช้าผลไม้ ข้าวกล่อง และนมสด ดูเหมือนมาเยี่ยมเยียนคนไข้ที่ป่วยหนักยังไงไม่รู้ ผมรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่คนที่ผมคิดถึงไม่มาตามเวลาที่ได้สัญญาไว้ นึกเดือดปุดๆในใจ สงสัยว่าเจ้าเด็กบ้านั่นไปอยู่เสียที่ไหนกัน


“นายเองเหรอ เข้ามาก่อนสิ”

ผมทักทายเขาด้วยเสียงแหบแห้ง พลางเชิญชวนให้เขาเข้าบ้าน แล้วเดินหน้ามุ่ยนำหน้า ความที่หงุดหงิดที่คนที่ยืนหน้าประตูไม่ใช่คนที่อยากเจอ บวกกับอาการไข้ของตนเอง ทำให้ผมสะดุดก้อนหินจนเซถลา ศักดิ์ชายรีบเอื้อมมือมาฉุดผมไว้


เขาทำท่าจะประคองตัวผม แต่ผมเกิดรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา จึงเบี่ยงตัวหนี แล้วบอกว่าเดินได้ไหว ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้ ผมเองก็เคย กอดคอ โอบไหล่ เตะตูดศักดิ์ชายมานับไม่ถ้วน เพราะเราสนิทกันมาก แต่ครั้งนี้ทำไมผมถึงไม่อยากให้เขาจับก็ไม่รู้ ใจดันนึกไปถึงคำพูดของเดียร์ที่พูดไว้เมื่อวานเรื่องการหวงเนื้อหวงตัวของผมเสียอีก เลยทำให้ผมไม่อยากให้ใครแตะตัวขึ้นมา


“นายไม่สบายหรือเปล่า แล้วกินข้าว หรือกินยาหรือยัง”

ศักดิ์ชายถามผมด้วยความห่วงใย ผมส่ายหน้า แล้วบอกว่า ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวันศุกร์แล้ว หลับไป
ตลอดไม่ตื่นเลย นอกจากผมจะไม่ได้กินแล้ว เจ้าหญิงก็พลอยไม่ได้กินอะไรไปกับผมด้วย ตอนผมเดินออกไปเปิดประตู เห็นมันครางหงิงๆ อย่างน่าสงสารมาก อาหารเม็ดที่ผมใส่ให้ มันคงกินจนหมดไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานนี้



เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ส่ายหน้า เขาเอามือมาจับหน้าผากผมเบาๆ แล้วก็ร้องลั่น เขาบอกว่าผมตัวร้อนมาก ต้องพักผ่อนให้เยอะๆ แล้วทานยาด้วย ตอนแรก เขาว่าจะขับรถพาผมไปหาหมอ แต่ผมไม่ยอมไป ในส่วนลึกผมกลัวว่า ถ้าเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์นั้นมาที่นี่แล้วไม่เจอผม เขาจะเข้าใจผิดคิดว่าผมไม่รักษาสัญญา ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจแบบนั้น



ศักดิ์ชายส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของผม เขาบอกให้ผมไปนอนบนห้อง แต่ผมขอนอนที่โซฟา เขาเลยยอมตามใจ ไม่โต้เถียง เพื่อนเก่าของผมเอาข้าวมันไก่ที่อุตส่าห์ซื้อมาไปใส่จานมาให้ แต่ผมทานไปได้นิดเดียว ก็ไม่นึกอยากจะทานต่อ ใจนึกถึงอาหารฝีมือเดียร์ขึ้นมา ข้าวมันไก่เจ้านี้ รสมือสู้โจ๊กธรรมดาๆ ของเดียร์ไม่ได้เลย
หลังจากบังคับให้ผมทานข้าวให้หมดไม่ได้ ศักดิ์ชายก็ละความพยายาม เขาขอให้ผมทานยาจะได้พักผ่อน ผมเห็นว่าเพื่อนหวังดี เลยยอมกินยา เพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงมากกว่านี้ เพื่อนเก่าของผม อาสาอยู่เป็นเพื่อน ผมเห็นว่า ไม่เสียหายอะไร แล้วเราก็นั่งคุยกันข้างล่างด้วย ผมจึงอนุญาตให้ศักดิ์ชายอยู่ต่อ



เราคุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการรื้อฟื้นเรื่องราวสมัยที่เรายังเรียนอยู่ด้วยกันมาพูดคุย เรื่องครอบครัวของเขา ท่าทางศักดิ์ชายมีความสุขมากเมื่อพูดถึงลูก แต่เมื่อถามถึงเมียของเขา ศักดิ์ชายก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบอะไรมาก บอกแต่ว่าเมียเขาเป็นคนนิสัยดีน่ารัก เขาน่ะสิ ไม่คู่ควร พอผมถามว่ามันเรื่องอะไรกันถึงได้พูดอย่างนี้ เขาก็ไม่ยอมตอบ แต่เสไปพูดเรื่องอื่นๆ ท่าทางเขามีลับลมคมในเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ตาที่มองผมก็ดูเศร้าจนผมรู้สึกได้



“เมื่อวานฉันโทรหานายตลอด กลัวว่านายจะลืมวันเกิดฉัน แล้วนายก็ลืมจริงๆ ติดต่อนายไม่ได้เลย คิดอยู่แต่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่า เมื่อวันศุกร์เห็นท่าทางไม่ค่อยดีอยู่ด้วย เลยสงสัยว่านายไม่สบายแน่ๆ ที่มานี่ กะจะมาดูว่านายเป็นยังไง ถ้าสบายดี ก็กะจะต่อว่า ว่าทำไมไม่ยอมไป แต่ถ้านายป่วยจริงๆ ตั้งใจว่า จะพานายไปหาหมอน่ะ”


สันต์บอกกับผม ท่าทางดูเป็นห่วงเป็นใยมาก ผมสบตาที่มองมาอย่างจริงใจ แล้วยิ้มให้เขา


“โทษทีนะ ฉันรู้สึกไม่ไหวจริงๆ มันเหนื่อยแล้วเพลียมากเลย เห็นมิสคอลของนายแล้ว อยากจะโทรกลับไปหา
เหมือนกันนะ แต่ว่าลุกไม่ไหว เอาไว้ฉันจะแก้ตัวไปบ้านนายวันหลังนะ”


ผมบอกกับเขา รู้สึกผิดจริงที่ไม่ได้ไปร่วมงานวันเกิดของศักดิ์ชายทั้งที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เจ้าเพื่อนเก่าร่วมโรงเรียน วางมือบนต้นขาของผมแล้วบีบเบา มองตาผมนิ่งนาน ผมเห็นประกายบางอย่างที่คุ้นเคยจากแววตาของเขา มันคล้ายกับแววตาของเดียร์ไม่มีผิด ทำไมเขาต้องมองผมแบบนี้ด้วยนะ หรือว่าผมคิดมากเกินไป ศักดิ์ชายไม่มีวันเหมือนกับเดียร์อย่างแน่นอน


“กินข้าวไปแค่นั้น จะอิ่มเหรอ”

ศักดิ์ชายถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมเอามือลูบท้อง อันที่จริงผมก็รู้สึกหิวอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก ยังไม่อยากจะกินตอนนี้ เหมือนกับว่าผมรอใครบางคนมากินด้วยมากกว่า ใครคนนั้น ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกัน นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ยังไม่โผล่หน้ามาอีก ตามปกติ เขาไม่เคยเหลวไหลขนาดนี้ ยกเว้นแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งเขาป่วย หวังว่า คงไม่กลับไปเป็นไข้อีกนะ


“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แล้วนายล่ะ อยากกินอะไรหรือเปล่า จัดการได้เลยนะ ในครัวมี ของสดของแห้งอยู่ หรือจะสั่งแถวๆนี้ก็ได้”


“ฉันกินอิ่มมาจากบ้านแล้ว ตอนกลางวันก็ไม่ทานอะไรมาก กลัวอ้วนน่ะ เออก่อนมานี่ฉันซื้อพวกผลไม้ และนมมาให้นายด้วยนะ ถ้านายไม่อยากกินข้าว ก็ทานผลไม้ หรือทานนมก็ได้ ฉันไปทำมาให้เอาไหม”


ผมมองหน้าศักดิ์ชาย ใจอยากปฏิเสธ กลัวว่าตนเองจะอิ่มก่อน เดี๋ยวเดียร์มาจะงอแง หาว่าผมไม่ยอมรอ ผมขี้เกียจฟังคำโวยวายน้อยอกน้อยใจของเขา จึงไม่อยากกินอะไรเข้าไปเยอะๆ แต่เมื่อมองเห็นแววตาจริงใจของเพื่อน มันก็ทำให้ผมต้องยอมตามใจเขา กินแค่นมก็แล้วกัน คงไม่ทำให้ผมอิ่มไปมากมายจนทานอะไรอีกไม่ได้หรอก


“ฉันทานแค่นมแล้วกันนะ ยังไม่หิวมากซักเท่าไหร่”

ผมบอกเขาไปถึงความต้องการของตนเอง ศักดิ์ชายเดินไปที่ห้องครัว ที่เขาวางข้าวของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบนมมาให้ผมกล่องหนึ่ง โดยไม่ลืมที่จะหยิบแอปเปิลติดมือมาสองลูก


เขายื่นนมกับแอปเปิลให้ผม สีหน้าของเขาแสดงความพึงพอใจเมื่อเห็นผมทานนมจนหมด แล้วพยายามคะยั้นคะยอให้ผมทานแอปเปิลที่ถืออยู่ในมือ แต่ผมยังไม่ยอมทาน บอกเขาว่า ยังไม่หิว เขาก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ
ผมคุยกับศักดิ์ชายไปเรื่อยๆ แต่ตาสอดส่ายไปยังประตูหน้าบ้าน หูก็พยายามเงี่ยหูฟังสรรพเสียงต่างๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหญิง อยู่หน้าบ้าน ไม่เห่า เอาแต่นอนหลับ เสียงกริ่ง หรือ เสียงโทรศัพท์ก็ไม่ดังให้ได้ยิน ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ



ศักดิ์ชัยไม่ยอมกลับบ้านไปง่ายๆ เขาชวนผมคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยๆ ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง ไม่ค่อยจะมีอารมณ์พูดคุยกับเขา เพราะมัวแต่กังวลใจถึงใครบางคนอยู่ แต่เพื่อนของผมไม่รู้หรอก เขาคิดว่าเป็นเพราะผมไม่ค่อยสบายมากกว่า เขาเลยไม่ถือสาอะไร แถมซ้ำอาสาจะอยู่เป็นเพื่อนอีก แม้ผมจะบอกว่าผมอยู่ได้ ให้เขากลับบ้านไปซะ เดี๋ยวลูกเมียจะเป็นห่วง เขากลับบอกว่า เมียกับลูกไปเที่ยวบ้านแม่ยายกว่าจะกลับมาก็คงเย็น ตัวเขาเองไม่ถูกกับแม่ยาย เลยไม่ได้ไปด้วย อีกอย่างเขาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน อยู่กับผมดีกว่า ได้มีโอกาสพูดคุยรื้อฟื้นความหลังกัน หลังจากที่ไม่ค่อยได้เจอ และ พูดคุยนานๆแบบนี้



ผมรู้ว่าเขามีความปรารถนาดีต่อผม แถมซ้ำยังเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ก็เลยไม่อยากจะขับไล่เขาไปให้พ้นบ้าน คิดในใจเอาเองว่า เขาคงจะกลับไปเองมั้ง หากเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรจะทำ แต่ในใจก็นึกหวั่นว่า หากเดียร์มาเจอ เจ้าเด็กบ้านั่นจะโกรธหรือเปล่า แล้วถ้า ศักดิ์ชัยเจอเดียร์ เขาจะคิดอะไรไกลเลยเถิดไปไหม โดยเฉพาะเขาเองก็เคยเจอหน้าเดียร์ที่ร้านอาหารบ้านคุณป้า ซึ่งเจ้าสันต์ ได้แสดงความกังขา เกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ แล้วผมทำเป็นเฉยๆ ผมว่าเขาต้องโยงเรื่องราวต่างๆได้แน่ๆ แล้วทีนี้เรื่องของผมก็จะกลายเป็นหัวข้อนินทากันในที่ทำงานสนุกปากแน่นอน



ไม่รู้สิ ผมไม่อยากจะคิดมาก ถ้าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด แต่ผมเชื่อมั่นว่า ศักดิ์ชาย เพื่อนผม คงไม่ใช่คนปากสว่างแบบนั้น อีกอย่าง หากเจ้าเด็กเดียร์นั่น ไม่ทำตัวนัวเนีย เป็นเจ้าเข้าเจ้าของผม ศักดิ์ชาย ก็อาจจะคิดว่า เด็กเดียร์เป็นแค่คนรู้จักธรรมดา ที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านก็ได้ ส่วนเรื่องที่ผมแสร้งทำเป็นไม่สนิทกับเดียร์ที่ร้านอาหาร ไว้ค่อยอธิบายให้ศักดิ์ชายฟังอีกที หากมันถามขึ้นมา



เวลาล่วงเลยจากเที่ยงเป็นบ่าย ยังไม่มีวี่แววของเจ้าเด็กปากเก่ง บางทีวันนี้ เจ้าบ้านั่น อาจจะมีธุระกระมัง จนไม่สามารถมาได้ แล้วผมก็เคยบอกกับเขาไปแล้วว่า ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องมา ผมให้เขาชดเชยในวันอื่นได้ แต่ถ้าจะไม่มา ก็น่าจะบอกกัน ผมจะได้ไม่ต้องรอ เบอร์โทรผมก็มี โทรมาก็ได้ ปกติก็โทรหามาแทบจะสามเวลาหลังอาหาร ทีวันนี้กลับไม่โทร ผมคิดอย่างหงุดหงิด และเริ่มที่จะไม่อยากคุยกับศักดิ์ชายขึ้นมาดื้อๆ

“นายจะกลับเมื่อไหร่เหรอ”


อยู่ๆผมก็ถามเขาขึ้นมา เพราะเห็นว่า เขาไม่มีทีท่าว่าจะลากลับซะที

“ทำไมเหรอ นายเบื่อที่จะคุยกับฉันเหรอ”

“เปล่า ฉันแค่ง่วง แล้วก็อยากพักผ่อนน่ะ”

“ก็เอาสิ นายนอนเลยก็ได้ ฉันอยู่เป็นเพื่อนนายได้ ไม่ได้รีบอะไร”

“เออ แต่ว่า วันนี้ มีคนจะมาหาที่บ้านน่ะ”


ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป ศักดิ์ชายทำหน้าเหรอหรา ถามผมว่า ผมนัดใครเหรอ ผมตอบแค่ว่า น้องที่รู้จักคนหนึ่ง เขาบอกไว้แล้วว่าจะมาเยี่ยมเยียนวันนี้ แต่ยังไม่มาเลย ศักดิ์ชายถามผมว่าผู้หญิงผู้ชาย ผมมองหน้าเขา แล้วตอบไปว่า น้องผู้ชาย เพื่อนเก่าของผมนิ่วหน้า เหมือนผมจะเห็นความไม่พอใจฉายแว่บในดวงตาของเขา พอผมจ้องมอง ศักดิ์ชายก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม


“เดี๋ยวฉันก็ไปแล้วล่ะ จะอยู่รอจนกว่านายจะหลับก่อนน่ะ”

“ฉันง่วงมากเลย จะนอนแล้วล่ะ นายจะกลับก็กลับเถอะ”

“ไม่เป็นไร นายนอนก่อน แล้วฉันค่อยกลับ”

“อื้อ งั้นฉันนอนก่อนล่ะ รบกวนนายช่วยล็อคประตูบ้านให้ด้วยนะ”


ผมตัดบทด้วยการปิดเปลือกตาลง ไม่อยากจะโต้เถียงกับศักดิ์ชายอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่า เจ้าเพื่อนคนนี้ของผมก็เป็นคนที่ดื้อพอสมควรเหมือนกัน ลองว่ามันคิดจะทำอะไรแล้ว มันต้องทำให้ได้ นานมาแล้วมันคอยห่วงใยผมตลอดเวลา ไม่ว่าผมจะเพลียจากการอ่านหนังสือสอบอย่างหนัก ไม่สบาย หรือ ไปเมามาจนอ้วก เจ้าศักดิ์ชาย ก็จะคอยดูแลผมแทบทุกครั้ง สิ่งดีๆที่มันทำให้กับผม ยังคงซึ้งใจอยู่ไม่รู้ลืม มันเป็นเพื่อนแท้อีกคนของผม นอกเหนือจากเจ้าสันต์ แล้วผมก็รักมันด้วย ผมจึงไม่อยากให้ความหงุดหงิดจากเรื่องของเดียร์มาทำลายมิตรภาพระหว่างผมกับศักดิ์ชายลงไป



เป็นเพราะความเพลีย และ อาการไข้ที่รุมเร้า ทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย มาสะดุ้งตื่นอีกที เมื่อมีอะไรเย็นๆมากระทบผิวหนังตรงแผ่นอก ผมลืมตามอง ก็เห็นศักดิ์ชาย นั่งยิ้มอยู่ ในมือถือผ้าชุบน้ำเย็นๆ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ผม เสื้อนอนที่ผมใส่อยู่ถูกปลดกระดุม และแบะออก ผมรีบยันกายลุกขึ้นนั่ง ร้องดังลั่น


“เฮ้ย นายไม่ต้องมาทำแบบนี้หรอก”

ศักดิ์ชายเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“ทำไมล่ะ ก็นายตัวร้อน ฉันเลยเช็ดตัวให้นาย ไข้จะได้ลดไง”

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า”

ผมบอกเขาเสียงหงุดหงิด รู้สึกไม่ชอบที่ศักดิ์ชายมาเช็ดเนื้อตัวให้

“นี่นายไม่พอใจเหรอ เป็นอะไรไปน่ะ เกิดหวงตัวอะไรขึ้นมาวะ ทุกทีฉันก็ทำให้นายประจำ ตอนที่นายไม่สบายน่ะ แล้วตอนนี้ฉันก็ทำในสิ่งเดิมๆที่เคยทำมาก่อน ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักหน่อย หรือนายกลัวว่าฉันจะปล้ำนายวะ”


ท้ายประโยค ศักดิ์ชายทำเสียงหยอกล้อ


“ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องอะไรฉันจะไปกลัวว่านายจะปล้ำฉันวะ ผู้ชายด้วยกัน ทำอย่างนั้นก็ได้ฟ้าผ่าตายห่าสิ”
**********
เจอกันพรุ่งนี้น้า :bye2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-12-2008 17:24:56
ตาเดียร์มาเห็นเข้าละเอ้ย  งานเข้าแน่  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-12-2008 17:57:53


ทิพพูดถูก!


(http://i132.photobucket.com/albums/q8/oaw_eang/Catoon/x-mas.jpg)
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: rayjikung ที่ 25-12-2008 19:47:56
เย้ๆๆ  ตามอ่านจนทันแล้วว

จะรออ่านพรุ่งนี้น้าค้าฟ^^

สนุกมากๆๆๆๆๆๆ+ เลย

อ่านสองรอบแล้ว 55+
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 26-12-2008 01:07:02
เอานายศักดิ์ชายไปเก็บด่วน ฉวยโอกาสนะเนี่ย ฮึ่มๆๆ  :m16:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 26-12-2008 01:37:23
อันตรายแล้วเรียว
เป็นหวัดเป็นไข้จะเอาแรงที่ไหนไปต้านทานละคับ
น่าเป็นห่วงๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 26-12-2008 08:47:41
ถ้าเดียร์มาเจอกำลังเช็ดตัวให้กันเนี่ย งานเข้าแน่ๆเรียว...

ขอบคุณ..คนโพสมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-12-2008 16:16:50
  o22 งานเข้าแล้วเรียว

บทที่ 21



ผมตอบเขาแบบไม่เต็มเสียง ใจก็นึกละอายที่ผมเองเคยทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำกับผู้ชายด้วยกัน แถมซ้ำผมยังรู้สึกพึงพอใจ และมีความสุขที่ถูกแตะต้องเนื้อตัวเสียด้วยสิ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่ศักดิ์ชายแตะผมถึงไม่ชอบ


“ถ้าไม่กลัว ก็มาให้ฉันเช็ดตัวเสียดีๆ นายจะได้หายไข้ไง มามะคนดี มาหาพี่มา”


ศักดิ์ชาย กระเถิบเข้ามา แล้วทำหน้าหื่นๆใส่ผม ผมหัวเราะ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นเจ้านี่พยายามจะหยอกล้อผมเล่น ผมลุกขึ้นจากโซฟา จะเดินหนี แต่ศักดิ์ชายโถมเข้ามาหา เราทั้งคู่เลยล้มกลิ้งลงไปบนพื้นในสภาพที่เพื่อนเก่าเกยก่ายอยู่บนตัวผม เราต่างหัวเราะให้กัน ครู่หนึ่ง ศักดิ์ชายก็หยุดหัวเราะ เขามองตาผม ทำตาหวานซึ้ง แล้วก้มหน้าเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้รู้ว่าศักดิ์ชายกำลังจะเล่นอะไรกับผม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างห้วนๆ


“ขอโทษนะ กำลังทำอะไรกันอยู่มิทราบครับ”


ผมหันหน้าไปทางประตูอย่างดีใจ กำลังจะยิ้มให้เดียร์ แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่จ้องมาที่ผมกับศักดิ์ชาย กับแววตาที่เป็นประกายโกรธขึ้งเลยต้องรีบหุบยิ้ม ผมผลักศักดิ์ชายออกจากตัว แล้วรีบลุกขึ้น เดินไปนั่งบนโซฟา แล้วถามเขาด้วยสีหน้าเฉยชา


“เพิ่งมาเหรอ ไปไหนมาล่ะ”


เดียร์ไม่ตอบ แต่รีบเดินมานั่งข้างๆผมที่โซฟาทันที ปล่อยให้ศักดิ์ชายเดินไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม


“น้องชายคนนี้คือคนที่นายบอกว่าจะมาหา แต่ยังไม่มาใช่ไหม”


ศักดิ์ชายหันมายิ้มให้กับเดียร์ แต่มันเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆยังไงไม่รู้ เดียร์หันมาจ้องหน้าผมตาขุ่น ผมแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้


“ผมมีธุระนิดหน่อยนะครับ เลยมาสาย ไม่ยักจะรู้ว่า คุณเรียวเขามีแขกมาหาอยู่ก่อนแล้ว ถ้ารู้ผมคงไม่มารบกวน”


เด็กหนุ่มพูดเสียงห้วน


“อ๋อ ก็เพื่อนไม่สบาย ฉันก็ต้องมาเยี่ยมเป็นธรรมดาสิ เราสนิทกันมากเลย เวลาเขาป่วยทีไร ฉันนี่แหละที่อยู่
ข้างๆเขา”


“เหรอครับ ผมไม่ยักรู้ เพราะคุณเรียวไม่เคยเล่าให้ฟัง”


เดียร์หน้าเข้มขึ้น ตายังจ้องผมเขม็ง สลับกับมองจ้องศักดิ์ชาย ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นอยู่ในตัวของเด็กหนุ่ม ท่าทางเจ้าเด็กบ้านี่ คงไม่ค่อยพอใจเพื่อนผมอยู่มาก และดูเหมือนว่าศักดิ์ชายจะรู้ตัว เพราะเขาก็ทำท่าเหมือนพร้อมจะต่อกรกับเด็กหนุ่ม


“ทำไมเขาจะต้องเล่าให้เธอฟังด้วยล่ะ เธอสนิทกับเขาเหรอ”


ศักดิ์ชายถามเดียร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าสำเนียงแฝงด้วยความเยาะหยัน ผมเห็นเดียร์เม้มปากแน่น ก่อนจะเหยียดออกแล้วยิ้มแย้มแบบเสแสร้งไม่แพ้กัน


“ก็สนิทพอสมควรอ่ะครับ ลองถามเรียวดูสิครับ ว่าเรารู้อกรู้ใจกันแค่ไหน”


ศักดิ์ชายขมวดคิ้ว มองมาที่ผมอย่างต้องการคำตอบ ผมยักไหล่ ไม่พูดว่าอะไร เจ้าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผมเลยหันมาปะทะคารมกับเดียร์ต่อ


“จริงอ่ะ ไม่ยักกะรู้มาก่อนเลยนะ แต่เอ รู้สึกคุ้นหน้านายเหมือนกันนี่ ที่ไหนหว่า........”


เพื่อนผมทำท่านึก สักครู่มันก็ดีดนิ้วเปาะ ร้องขึ้นมา


“จำได้แล้ว นายคือผู้ช่วยกุ๊กที่มาเสิร์ฟอาหารด้วยตัวเองที่ร้านอาหารบ้านคุณป้านี่เอง โถ น้องชาย นึกว่าคุ้นหน้านายที่ไหน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


ศักดิ์ชายหงายหน้าหัวเราะ เด็กหนุ่มหน้าตึง ประกายตาวาวโรจน์


“มิน่าล่ะ เจ้าสันต์ถึงได้สงสัยนักสงสัยหนาว่าทำไมพ่อครัวร้านอาหารจึงเอาใจใส่ลูกค้าบางคนเป็นพิเศษ ที่แท้นายรู้จักกัน ก็เลยทำอาหารให้กินกันเยอะแยะกว่าคนอื่นนี่เอง อย่างนี้ฉันก็คิดอิจฉาไม่ได้แล้วสิ จริงไหม เรียว นายมีคนรู้จักเป็นพ่อครัวนี่นา นายไม่อดตายแน่ ดูสิ ดูแลกันที่ร้านอาหารไม่พอ ยังมาดูแลกันถึงบ้านอีก”



เจ้าเพื่อนผมมันปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ แล้วถามผมด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ผมไม่ชอบเลยที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากมัน ดูเหมือนว่าศักดิ์ชายกำลังจะทำตัวใกล้เคียงกับผู้ร้ายในทีวีไปทุกทีแล้ว ผมหันไปมองหน้าเดียร์เห็นเขาขยับปากจะโต้ตอบ ผมเลยส่งสายตาบอกเขาให้หยุดพูด ผมจะพูดเอง แต่เขาหลบตาไม่มองผม และแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน



“แล้วถ้าลูกค้ากับคนทำอาหารรู้จัก และสนิทสนมกันมันผิดมากหรือครับ หรือว่ามันจำกัดแค่เพื่อนเก่าเท่านั้นถึงจะสนิทสนมกันได้ ผมว่ามันเป็นความคิดที่หัวโบราณมากเลยนะครับ ”



ก่อนที่สองคนจะปะทะคารมไปมากกว่านั้น ผมเห็นว่าควรจะต้องยุติมันเสียก่อน ไม่อยากให้ใครมาทะเลาะกันในบ้านของผม



“หยุดเสียทีทั้งสองคนนั่นแหละ ใช่แล้วล่ะศักดิ์ที่นายเข้าใจมันถูกต้อง ฉันกับเดียร์รู้จักกัน แต่ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ที่พ่อครัวกับลูกค้าจะรู้จักกันนอกจากในร้านอาหาร นายคิดอะไรมากไปหรือเปล่า เดียร์เห็นฉันไปทานร้านอาหารที่ร้านเขาบ่อยๆ ก็เลยทำให้พิเศษ ในฐานะลูกค้าประจำ แล้วนี่ได้ข่าวคงได้ข่าวว่าฉันป่วย ก็เลยมาเยี่ยมน่ะ ใช่ไหมเดียร์”



ผมหันไปหาเสียงสนับสนุนจากเดียร์ ส่งสายตาบอกเขาว่าผมไม่ต้องการให้เกิดเรื่อง เดียร์มองหน้าผม แล้วหันมายิ้มให้ศักดิ์ชาย ซึ่งเป็นยิ้มที่เสแสร้งแกล้งดีด้วยสุดๆ



“ใช่ครับ ผมได้ยินมาว่าคุณเรียวป่วย ก็เลยมาหา ซื้ออาหารมาทำให้ทานด้วย คุณจะอยู่ทานด้วยก็ได้นะครับ อยากลองทำให้ทานอ่ะ เห็นไปที่ร้าน แล้ววันนั้น พ่อครัวอีกคนทำอาหารให้คุณ ก็เลยอาจจะยังไม่เคยทานอาหารฝีมือผม จะได้รู้ว่าเป็นไง บางทีอาจจะติดใจมาทานบ่อยๆก็ได้”



ศักดิ์ชายยิ้มกริ่ม ทั้งที่รู้ว่าเดียร์ชวนไปงั้นๆ แต่เจ้าเพื่อนผมมันทำท่าไม่ยอมแพ้


“แหม จะพลาดโอกาสดีอย่างนี้ได้อย่างไงล่ะ น้องชาย ดีเหมือนกัน เมื่อกี้นายก็ทานข้าวไปนิดเดียวเองนี่เรียว กินข้าวเสร็จ จะได้กินยาแล้วก็พักผ่อนเสียที”



ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าศักดิ์ชายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้ต่อล้อต่อเถียงกับเดียร์แบบนี้ ทั้งที่คนทั้งคู่ก็ไม่รู้จักกัน เห็นหน้ากันแค่เพียงครั้งเดียว แต่ทำไมตั้งท่าห้ำหั่นกันโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือแบบนี้หนอ



“ฉันไปช่วยเธอทำอาหารในครัวแล้วกันนะเดียร์”


ด้วยความที่อยากจะพูดคุยกับเดียร์ให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ขอร้องให้เขาเลิกทำตัวหงุดหงิดต่อหน้าเพื่อนผมเสียที ทำให้ผมอาสาที่จะไปช่วยเขาทำงานในครัว แต่เจ้าศักดิ์ชายซึ่งไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ ดันมาทำเป็นกีดกันไม่ให้ผมกับเดียร์ได้อยู่ด้วยกัน



หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-12-2008 16:17:49
“นายจะไหวเหรอเรียว นายไม่สบายแล้วก็ตัวร้อนมากนะ ตอนที่ฉันเช็ดตัวให้นายเมื่อกี้ นายตัวร้อนอย่างกับไฟเลย เคลื่อนไหวมากๆเดี๋ยวจะวิงเวียนเป็นลมเป็นแล้งไปนะ”


เด็กหนุ่มหันขวับมาจ้องมองผม สายตากร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขายื่นมือมาแตะแขนผม แล้วเลื่อนมากุมมือไว้


“จริงด้วย เรียวตัวร้อนมากเลย นอนพักก่อนดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวผมทำคนเดียวได้ ทุกทีผมก็ทำให้เรียวทานมาตลอดนะครับ”


เดียร์จงใจพูดเน้นย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความสนิทสนมระหว่างผมกับเขา ศักดิ์ชายหูผึ่ง ตาเป็นประกาย เหมือนกันกำลังได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรเด็ดๆที่ไม่ควรพลาด ส่วนผมกับหน้าชา และเริ่มหงุดหงิดที่เดียร์วางท่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมมากเกินไป ผมชักมือออกจากการเกาะกุมของเขา ทำหน้ามุ่ย เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมามากกว่าเดิม


“อื้อ ท่าทางจะสนิทกันจริง แล้วนี่ก็คงไม่ใช่ครั้งแรกที่นายต้อนรับพ่อครัวมาบ้านใช่ไหม”


ศักดิ์ชายหันมาถามผมเสียงเยาะ อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมคิดว่าศักดิ์ชายทำท่าเหมือนหวงๆผมด้วยเช่นกัน แต่ผมนึกไม่ออก ว่าทำไมเพื่อนสมัยเรียนอนุบาลของผม จึงทำแบบนั้น


“แหมคุณนี่ก็เดาเก่งไม่ใช่เล่นนะครับ น่าจะซื้อหวยนะ คงจะถูกรางวัลใหญ่แน่”


เด็กหนุ่มตอบไม่ตรงคำถาม แต่สิ่งที่เขาพูดก็คงจะเพียงพอที่จะทำให้ศักดิ์ชายเดาไปได้ไกลโข ผมรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้ รู้สึกทนฟังไม่ไหวแล้ว จึงโพล่งขึ้นมา


“ฉันจะขึ้นไปนอนแล้วล่ะ รู้สึกเพลียและปวดหัวมาก ไม่อยากคุยแล้วก็ไม่อยากทานอะไรอีกแล้ว นายสองคน
กลับไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”


ผมลุกขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา ศักดิ์ชายลุกตามมา แล้วส่งเสียงถามด้วยความห่วง


“เฮ้ย เรียว เป็นอะไรไปเหรอ รู้สึกปวดหัวไม่สบายใช่ไหม ถ้างั้นฉันพาไปส่งที่ห้องนะ”

เดียร์ลุกขึ้นบ้าง เขาทำตาขวางใส่ศักดิ์ชายก่อนจะพูดเสียงห้วนๆใส่


“ไม่ได้ยินหรือครับ เรียวบอกว่าอยากพักผ่อน อยากอยู่คนเดียว คุณน่ะ มานานแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้วครับ”

“ฉันได้ยินน้องชาย ไม่ต้องขยายความหรอก นายเองก็ต้องกลับด้วยเหมือนกัน ”

“ผมเพิ่งมา แล้วเรียวก็ยังไม่ได้ทานอะไรด้วย ผมจะทำอาหารให้เรียวทานก่อน แล้วถึงค่อยไป ส่วนคุณน่ะ กลับบ้านไปเถอะครับ ทิ้งภาระเรื่องการดูแลเรียวให้ผมทำเองดีกว่า”



เดียร์วางท่าใส่ศักดิ์ชาย เจ้าเพื่อนเก่ากรอกตาไปมา จากนั้นก็หันมาทำหน้าล้อเลียนผม


“เอ สงสัยนายจะไม่ได้พักผ่อนอย่างที่นายตั้งใจแล้วละมั้งเรียว ท่าทางน้องชายคนนี้คงจะพยายามที่จะปรนนิบัติพัดวีให้นานหายป่วยไข้โดยเร็วน่ะ”


ผมกุมศีรษะ นึกเบื่อสองคนนี่ขึ้นมากะทันหัน จึงเอ่ยปากไล่ด้วยเสียงอันดัง


“น่ารำคาญจริงๆ พูดอะไรกันก็ไม่รู้ อย่าหาว่าโง้นงี้นะ กลับไปซะทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันจะนอนแล้ว โทษที ที่ทำมารยาทไม่ดีใส่ แต่อยากพักผ่อนจริงๆ หวังว่าคงจะเข้าใจ”


พูดจบผมก็เดินจากไปเพื่อที่จะขึ้นไปที่ห้องชั้นบน ทิ้งให้สองคนนั่นยืนงงกันอยู่ ผมไม่ชอบที่พวกเขาเป็นแบบนี้ ผมไม่ชอบที่จะเป็นต้นเหตุให้ใครมาทะเลาะกัน การที่ผู้ชายสองคนมาทะเลาะกัน ชิงดีชิงเด่นต่อหน้าผม มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ


“งั้นฉันกลับแล้วนะ ดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน เดี๋ยวฉันค่อยโทรมาถามอาการนายอีกที”



ศักดิ์ชายพูดตามหลังมา แต่ผมไม่ได้หันหลังกลับฟัง รู้ตัวว่าทำกริยาไม่งาม แต่ผมหงุดหงิดจนทนไม่ไหวแล้ว อยากขึ้นไปนอนพัก แล้วหลับไปเลย ไม่ต้องมารับรู้เรื่องที่ทำให้ปวดหัวไปมากกว่านี้



พอเข้าห้อง ผมก็ล็อคกลอนประตู แล้วก็คลานขึ้นเตียง รู้สึกเหนื่อย และเพลียอย่างบอกไม่ถูก ลองจับตัวเองดูก็พบว่าเนื้อตัวร้อนผ่าว ปวดหัวตุ๊บๆ เอามือควานไปที่หัวเตียงเพื่อหายา ก็ไม่พบ นึกขึ้นได้ ว่ามันอยู่ข้างล่างตอนทานข้าวเช้ากับศักดิ์ชาย ถึงแม้จะรู้สึกไม่สบาย แต่ผมก็ยังไม่อยากลงไปเอายาตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นไปกันแล้วหรือยัง ผมนอนรอสักพัก จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองปวดหัวจนทนไม่ไหว ก็เลยพยายามฝืนใจลุกขึ้นจากเตียง เพื่อจะลงไปข้างล่าง



พอเปิดประตูห้อง ผมก็เจอเดียร์ยืนหน้าบูดบึ้งรออยู่ก่อนแล้วที่ด้านหน้า พอเห็นหน้าผมเท่านั้นเด็กหนุ่มก็เปิดฉากต่อว่าต่อขาน


“ผมโทรมาตั้งหลายครั้งเรียวก็ไม่รับสาย ตั้งแต่วันเสาร์แล้วนึกเป็นห่วง เพราะเห็นคุณไม่ค่อยสบายตั้งแต่วันจันทร์ วันนี้ก็โทรมาแต่เช้ามืดเพื่อจะบอกว่า ผมมีซ้อมเต้นตอนเช้า อาจจะมาได้บ่ายๆเย็นๆ ผมไม่นึกเลยว่า พอผมไม่มา คุณก็มีคนอื่น”



“บ้าหรือไงนี่ ก็ฉันไม่ค่อยสบาย นอนไม่ตื่นตั้งแต่วันศุกร์แล้ว เพิ่งจะตื่นมานี่แหละ ฉันก็เลยไม่ได้รับสายนาย แล้วทำไมต้องมาโกรธมากมายแบบนี้ ก็บอกแล้วไงว่าถ้ามาไม่ได้ ก็มาวันอื่น”


ผมชักโมโห เลยโต้ตอบไปบ้าง


“จะได้อยู่กันสองคนกับไอ้บ้านั่นโดยไม่มีผมเป็นกว้างขวางคอใช่ไหม”


เขาถามผมอย่างโกรธๆ


“ฉันไม่อยากทะเลาะนะ ถ้าจะทำอย่างนี้ก็กลับบ้านไปซะดีกว่า อารมณ์ดีค่อยมาพูดกัน”


“ไม่ ผมไม่ยอมไปทั้งที่เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”


เด็กหนุ่มลูกครึ่งทำท่าดื้อดึง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกรำคาญที่ต้องมาพูดคุยด้วยเรื่องแบบนี้ เหมือนกับการต้องมานั่งแก้ตัวกับแฟนที่ขี้หึงอย่างร้ายกาจ จนไม่ยอมแยกแยะว่าคนที่เขาไม่พอใจคือเพื่อนของเราไม่ใช่ใครบางคนที่สำคัญอย่างที่เข้าใจ


“งั้นก็ว่ามา”


ผมรู้สึกหัวหมุนติ้วๆ จนต้องเอนตัวเองพิงประตูไว้ แข็งใจคุยกับเขาต่อเพื่อให้เรื่องมันจบ


“ต่อไปนี้ ห้ามไม่ให้คนๆนั้นเข้ามาในบ้านของเรียวอีกนะครับ”


เดียร์ยื่นคำขาดกับผม แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งผมไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมกับเขาแค่มีสัญญาเป็นแฟนกันเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่เจ้าของของผม



“เดี๋ยวก่อนนะ คนนั้นที่นายว่ามันเพื่อนร่วมงานของฉันนะ จะไปห้ามเขาได้ไง เขาเห็นว่าฉันไม่สบายเขาก็มาเยี่ยม แล้วเขาก็เคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง สมัยที่เรายังเรียนด้วยกัน ศักดิ์ชายเป็นเพื่อนฉันนะ ทำไมนายต้องมาหึงหวงอะไรแบบนี้ด้วย ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”



“คนที่จะเป็นห่วงเป็นใยในตัวของเรียวได้น่ะ มีแค่ผมคนเดียวก็พอแล้ว เรียวครับ มีแค่ผมคอยดูแลเอาใจใส่ไม่
พอหรือครับ”



เด็กหนุ่มพูดอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ทุกทีผมขำเขา แต่คราวนี้ผมไม่สนุกด้วยแล้ว


“นายพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วนะเดียร์ ฉันไม่อยากคุยด้วยแล้ว”

“ทำไมจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมแค่ขอให้เรียวให้ความสำคัญกับผมคนเดียวก็พอแล้ว ห้ามยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ห้าม
ให้คนอื่นเข้ามาในบ้านเด็ดขาดนอกจากผม ทำได้ไหมครับ”

คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้โทสะของผมเริ่มมากขึ้น รู้สึกว่าครั้งนี้เขาขอเกินไปหน่อยแล้ว


“แล้วทำไมฉันถึงต้องทำตามใจนายแบบนั้นด้วย ถึงแม้ว่าเราจะทำการตกลงคบกันอยู่ก็ตาม แต่นั่นมันก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในระยะเวลา 6 เดือน ในสัญญานั้นไม่ได้ห้ามฉันคบเพื่อนหรือปฏิเสธคนอื่นๆนี่ แล้วไอ้สัญญาบ้าบอนั่น นายก็ฉวยโอกาสเล่นเล่ห์กระเท่เอากับฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ยินยอมก็ได้ แต่ฉันเห็นว่าเมื่อนายไม่ทำแบบที่นายขู่ ฉันก็ควรจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับนาย ที่นายได้มีโอกาสมาบ้านฉัน มาวุ่นวายในชีวิตของฉันแบบนี้ ก็แค่เพียงเพราะฉันทำตามสิ่งที่สัญญาไว้กับไอ้กระดาษแผ่นเดียวนั่นไม่ใช่หรือไง”



ผมชักฉุน เลยโต้ตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว เดียร์มีดวงตาที่กร้าวขึ้น พูดเกือบเป็นตะคอกใส่ผมเสียงดัง


“ถึงจะยังไงก็ตาม ผมก็ขอห้ามขาดไม่ให้คุณพาใครเข้ามาในบ้านนี้อีก”

“ฉันไม่เชื่อนาย ฉันจะทำอย่างที่ฉันคิดว่าถูกต้อง”

“บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ได้สิ หรือเรียวอยากจะลองดูว่า ถ้าเรียวทำอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เอาสิ ผมจะทำให้เรียวได้เห็น”


เด็กหนุ่มทำหน้าถมึงทึงใส่ผม ท่าทางโมโหมาก เขารวบผมไว้ในอ้อมแขน แล้วลากกลับเข้ามาในห้องนอน ผม
พยายามดิ้นหนี แต่ความที่อ่อนแรงจากการเป็นใคร กอปรกับร่างกายที่บอบบางกว่าเด็กหนุ่มจึงทำให้ผมขัดขืนเขาไม่ได้ ถูกลากตัวปลิวมาที่เตียง เด็กหนุ่มผลักผมลงไปบนที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อมผม หน้าตาแดงก่ำ อารมณ์พลุ่งพล่านไปด้วยโทสะ



ผมไม่เคยเห็นเขาโกรธจัดอย่างนี้มาก่อน ก็เลยนอนนิ่งอึ้ง มัวแต่ตกตะลึงที่เห็นอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปเลยไม่ได้ห้ามปรามเมื่อเขากระชากเสื้อนอนของผมจนขาดติดมือ เขาฉีกทึ้งมันออกจากตัวจนหมด จนผมเปลือยเปล่าท่อนบน



เขารวบแขนผมไว้ แล้วคว้าเนคไทจากคอเสื้อเชิ้ตของผมที่วางพาดอยู่ข้างเตียงมามัดมือของผมไว้ทั้งสองข้าง แล้วล่ามไว้กับเสาเตียง จากนั้นก็ก้มลงมา จูบไซร้ไปทั่วซอกคอและใบหน้าของผมอย่างรุนแรง ผมทั้งตกใจ ทั้งไม่พอใจที่เดียร์ก้าวข้ามคำสัญญาระหว่างเรา ว่าจะไม่แตะต้องตัวผมหากผมไม่ยินยอม


“เอ๊ะ เดียร์ เป็นอะไรน่ะ อยู่ดีๆกับมาทำกับฉันแบบนี้ จะทำร้ายฉันหรือไง ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเราสองคนมีเรื่องกันแน่”

ผมร้องบอกเขา แต่เดียร์ยังไม่ยอมหยุดการกระทำของตนเอง


“นายทำอะไรลงไปน่ะเดียร์ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

ผมพยายามยับยั้งเขาอีกครั้ง แต่เดียร์ทำเป็นหูทวนลม ก้มหน้าก้มตาจูบ และเคล้าคลึงผมอย่างบ้าคลั่ง ผมพยายามพูดดีๆกับเขา


“นายทำแบบนี้ไม่ดีเลยรู้ไหม เราตกลงกันแล้ว หยุดทำเสียทีเถอะนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

“ไม่มีทาง”


เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงอู้อี้ เนื่องจากปากและจมูกของเขากดอยู่ที่ลำคอของผม เขาจูบแล้วดูดเน้นอย่าง
แรง จนผมต้องห่อปากด้วยความเจ็บปนซ่านกระสันต์ แต่ถึงกระนั้นผมก็มีสติเพียงพอที่จะไม่ปล่อยให้ดำฤษณาเข้าครอบงำในภาวะที่เราไม่เข้าใจกันแบบนี้ ผมจึงพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เพื่อให้เขาอ่อนลง


“คุยกันก่อนดีมั้ยเดียร์ นายกำลังจะทำให้เรื่องระหว่างเรามันยุ่งยากลงเพราะความโมโหของตัวเอง ฉันไม่ชอบเลยแบบนี้นะ”


“ผมก็ไม่ชอบในสิ่งที่คุณทำเหมือนกัน”

เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตามีประกายแค้นเคือง ก่อนจะก้มลงดูดเน้นที่ยอดอกของผม ผมแอ่นตัวขึ้นด้วยความรู้สึกซาบซ่าน แต่ปากก็ร้องประท้วงออกไป หวังจะหยุดการกระทำของเขา


“ปล่อยฉันนะ เดียร์ นายกำลังทำผิดสัญญารู้ตัวไหม”

“คุณเองก็ทำผิดสัญญา คุณพาคนอื่นเข้ามา ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องหยุดเพื่อทำตาม”

“แค่เพื่อนฉันมาบ้านเนี่ยนะที่ทำให้นายโมโห”

ผมถามเขาอย่างงงงวย รู้ว่าเดียร์รักและหวงผมมากแค่ไหน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเกิดกับศักดิ์ชาย ไม่เกิดกับเจ้าสันต์ ทั้งที่เจ้าสันต์ไปกับผมบ่อยกว่าศักดิ์ชายเสียอีก แถมเป็นเกย์เห็นๆ



“ในวันที่เราตกลงกันว่าจะเป็นของผมคนเดียวเท่านั้นเนี่ยนะ แถมซ้ำยังละเมิดสัญญาที่บอกว่า คุณจะไม่พาคนอื่นมาบ้านด้วย เราสัญญากันไว้แล้ว ข้อตกลงมีให้เห็นชัดเจน”


เขาคำรามเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธๆ พร้อมกับลงโทษผมต่อด้วยการดูดเน้นไปทั่วแผ่นอกผมอย่างรุนแรง ผมร้องห้ามเขาเสียงสั่น

“นายกำลังจะทำให้ผิวหนังฉันเป็นรอยนะ หยุดทีเถอะ”

เดียร์หัวเราะหึหึ ไม่ยอมหยุด แถมซ้ำยังเลื่อนตัวขึ้นมาจูบซุกไซร้แถวซอกคอของผม และดูดแรงๆเหมือนจะแกล้งให้ผมเจ็บ ผมครางอืออยากจะผลักไสเขาออกจากตัวแต่ก็ไม่มีแรง


“ดีแล้ว ทุกคนจะได้รู้ว่า คุณมีแฟนแล้ว จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับยอดรักของผมอีก”

“เดียร์ คนที่นายกำลังหึงอยู่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนเก่าสมัยเรียนของฉันนะ แล้วเขาก็มาเยี่ยมฉันเพราะว่าฉันป่วยอยู่ นายก็รู้ดีนี่ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่หายไข้เลยนะ นายน่าจะเข้าใจแล้วก็เลิกทำแบบนี้กับฉันได้แล้ว”
ผมพูดจากับเขาดีๆ พยายามเตือนสติเขา เพื่อให้เขาหยุดความโมโห แล้วจะได้ปล่อยผมไป



“ผมรู้ครับเรียวว่าคุณไม่สบาย แต่ผมก็บอกกับคุณแล้วในวันศุกร์ว่าขอผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ แต่คุณก็ไม่ยอมให้ผมอยู่ดูแล แต่ในขณะเดียวกันคุณกลับอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาบ้านนี้ ทั้งๆที่ผมก็ขอร้องคุณแล้ว มีการทำสัญญากันชัดเจนด้วย”


“แต่เขาเป็นเพื่อนนะ พอรู้ว่าฉันไม่สบายเขาก็เลยมาหา ฉันคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมฉันถึงจะต้องไล่เขาไป”
ผมบอกเขาให้เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากการจูบไซร้ซอกคอของผม เขามองตาผมด้วยแววตาตัดพ้อ ทำปากยื่น หน้างอง้ำ ยังคงไม่พอใจอยู่


“ผมไม่ชอบเพื่อนคุณคนนี้นะ ทำไมต้องเป็นเพื่อนชายคนนี้ล่ะ”

“ทำไมล่ะเดียร์ อย่าบอกนะว่านายกำลังหึงฉันกับเพื่อนผู้ชายคนนี้”

ผมถามเขาอย่างขำๆ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง

“ผู้ชายที่ไหนกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมอนี่เป็นเกย์ ผีมองผีด้วยกันก็รู้”

“ฮ้า พูดเป็นเล่นไปน่าเดียร์ เพื่อนฉันคนนี้น่ะเหรอเป็นเกย์ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล จนปัจจุบัน แล้วมันก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วย ไม่เห็นว่ามันจะสนใจผู้ชายคนไหนเลย นายหึงจนหน้ามืดตามัวหรือเปล่า”


ผมถามเขาด้วยความคลางแคลงใจ เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้หึงผมจนไร้เหตุผลหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมแย่แน่เลย เพราะหมอนี่คงหวงผมทั้งกับเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชาย ไม่ยอมให้ไปยุ่งเกี่ยวกับใคร ขนาดแค่เราคบกันยังไม่ถึงเดือนเลย นายเดียร์ยังแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมขนาดนี้ แล้วนี่ยังเหลือเวลาที่เราจะคบกันอีกตั้ง 5 เดือน ผมจะทนกับอารมณ์หึงหวงของเขาได้ไหมหนอ

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-12-2008 16:18:48

“เชื่อผมสิ ผมเป็นเกย์ผมรู้ดี ว่าใครเป็นไม่เป็น ผมเห็นสายตาที่เขามองเรียว มันไม่ต่างจากสายตาที่ผมมองคุณ ผมคิดว่าเขารักคุณนะ เพียงแต่ว่า ด้วยความที่เป็นเพื่อน กับการที่เขาเก๊กแมนไม่เปิดเผยตัวเอง แล้วเขาก็แต่งงานแล้ว ทำให้เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นได้รู้ แต่ไม่มีทางรอดสายตาผมไปได้หรอก นี่ไง ถึงทำให้ผมหึงหวง ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้กับทุกคนนะ เรียวอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมจะเป็นเฉพาะกับคนที่คิดเชิงชู้สาวกับคุณเท่านั้นแหละ”



เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาของเขาอ่อนแสงลง ไม่มีความโกรธเกรี้ยวอยู่ในนั้น ขณะที่อธิบายให้ผมฟัง


“ผมแค่กำลังพยายามที่จะให้ช่วงเวลาที่เราเป็นแฟนกันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด และไม่อยากให้มีอุปสรรคขัดขวางใดๆมากั้นกลางระหว่างเราสองคน ดังนั้นผมจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นใครบางคนมาจีบ หรือ พยายามจะจับคุณ ในฐานะแฟนกัน ผมจำเป็นต้องปกป้องคุณเอาไว้จากเรื่องเหล่านั้นครับ”


ผมมองหน้าเขา แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“เอาละ ถ้างั้นคราวต่อไปฉันก็จะระมัดระวังให้มากขึ้นนะ ว่าแต่ว่า ตอนนี้นายหายโกรธฉันแล้วใช่ไหม ถ้าหายแล้วก็ช่วยลงจากตัวฉันไปซะที ฉันอึดอัด”


เขาส่ายหน้า แววตาเปลี่ยนมาดุดันเหมือนเดิม


“ไม่ได้ คืนนี้ผมไม่ปล่อยคุณไปไหนทั้งนั้น คุณทำผิดสัญญา ผมจำเป็นต้องลงโทษคุณ มิฉะนั้นแล้ว คุณจะทำเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจอย่างนี้อีก”


เขาก้มหน้าลงมาอีกครั้ง พยายามจะจูบปากผม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนี

“เราสัญญากันแล้วนะเดียร์ ”

“ในกรณีอย่างวันนี้ ถือว่าสัญญาเป็นโมฆะครับ”

“แต่มันเป็นความเข้าใจผิดกันแค่นั้นนะเดียร์ แล้วฉันก็ไม่มีเจตนาจะทำอย่างนั้นนะ แล้วฉันก็สัญญาว่า ฉันจะไม่ทำอีก โอเคมั้ย”


ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่อารมณ์ดำฤษณาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เดียร์ปิดปากที่กำลังอ้าค้างของผม ด้วยจูบของเขา เด็กหนุ่มลูกครึ่ง บดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างหนักหน่วง เขาเปิดปากผมด้วยปากของเขาอีกครั้ง และแทรกลิ้นเข้าไป ลิ้นของเขาควานเข้าไปในปากของผม ทำให้ผมขนลุกซู่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จูบของเขาให้รสชาติที่ดุดัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความวาบหวามรัญจวนใจ แรกๆผมเองก็พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้แค่ความปรารถนาที่โหมพัดอย่างรุนแรงในกายของผม เผลอจูบโต้ตอบเขาไปอย่างลืมตัว



เดียร์ชะงักนิดหนึ่ง มองหน้าผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสในนั้น เขายิ้มให้กับผม แล้วก็ก้มลงมาดูดริมผีปากผมใหม่ มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกและหน้าท้อง มันทำให้ผมรู้สึกเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่ว เขาระดมจูบผมจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งในท่าที่คร่อมตัวผมไว้ เขาดึงกางเกงนอนพร้อมกับกางเกงในออกไปจากตัวผม นั่นแหละ สติสตังผมถึงได้คืนกลับมา ผมขยับลุกหนี แต่เขาก็โถมตัวกลับเข้ามาอีกครั้ง แล้วกดตัวผมไว้บนที่นอน โดยที่เขาคร่อมทับตรงหน้าขา เขาโน้มตัวลงอีกครั้ง แล้วใช้สองมือยันไว้บนที่นอนข้างตัวผม


“นายจะมาแตะต้องฉันไม่ได้ ถ้าฉันไม่ยินยอมนะ”


ผมพยายามขู่เขา โดยยกเอาคำสัญญาขึ้นมาอ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เดียร์ยังคงเดินหน้ารุกรานผมต่อไป


“แล้วอย่างนี้เรียกว่าสมยอมไหมครับ”


เขาคว้าหมับที่น้องชายที่กำลังตื่นตัวของผม แล้วคลึงเคล้าแรงๆ ก่อนจะก้มลงมาไซร้หน้าอกและใช้ลิ้นเลียที่ตุ่มเนื้อบนยอด ผมครางอือด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน รู้สึกพึงพอใจต่อการสัมผัสที่ปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของผมที่อยู่ภายใน แต่สำนึกหนึ่งก็บอกให้ผมหยุดการกระทำของเขาเสีย ก่อนที่จะเหตุการณ์จะเลยเถิดไปมากกว่านี้


“เดียร์ ฟังฉันให้ดีนะ หากนายทำอะไรฉันมากกว่านี้ล่ะก็ ฉันจะไม่ยอมยกโทษให้นายเด็ดขาดเลย ฉันจะเกลียดนายไปจนวันตายทีเดียว”
*************************
 :call: ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: MiTo™ ที่ 26-12-2008 18:20:53
เอาเลยเดียร์ พี่เรียวไม่โกรธหรอก
 :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 26-12-2008 18:51:27
เรื่องนี้ดีจริงๆครับ สนุกมากเลย

จำได้ว่าอ่านแล้วติดเรื่องนี้มาก   :L2:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 26-12-2008 21:04:36
ลุ้นๆๆ....เรียวจะรอดหรือไม่รอดงานนี้

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 26-12-2008 21:05:51
และแล้วน้องเดียร์ ก้อทนไม่ไหว ปล้ำพี่เดียร์เข้าให้แล้ว คึคึ :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-12-2008 01:01:26
รอด รึ ไม่รอด  o18 o18
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 27-12-2008 04:28:33
ปล่อยเรียวเถอะนะเดียร์ ยังมีโอกาสอีกตั้ง5เดือน


[/me]ไขว้นิ้ว.
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 27-12-2008 17:40:36
 :haun4: มาหื่นแล้ว


บทที่ 21



ผมตอบเขาแบบไม่เต็มเสียง ใจก็นึกละอายที่ผมเองเคยทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำกับผู้ชายด้วยกัน แถมซ้ำผมยังรู้สึกพึงพอใจ และมีความสุขที่ถูกแตะต้องเนื้อตัวเสียด้วยสิ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่ศักดิ์ชายแตะผมถึงไม่ชอบ


“ถ้าไม่กลัว ก็มาให้ฉันเช็ดตัวเสียดีๆ นายจะได้หายไข้ไง มามะคนดี มาหาพี่มา”


ศักดิ์ชาย กระเถิบเข้ามา แล้วทำหน้าหื่นๆใส่ผม ผมหัวเราะ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นเจ้านี่พยายามจะหยอกล้อผมเล่น ผมลุกขึ้นจากโซฟา จะเดินหนี แต่ศักดิ์ชายโถมเข้ามาหา เราทั้งคู่เลยล้มกลิ้งลงไปบนพื้นในสภาพที่เพื่อนเก่าเกยก่ายอยู่บนตัวผม เราต่างหัวเราะให้กัน ครู่หนึ่ง ศักดิ์ชายก็หยุดหัวเราะ เขามองตาผม ทำตาหวานซึ้ง แล้วก้มหน้าเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้รู้ว่าศักดิ์ชายกำลังจะเล่นอะไรกับผม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างห้วนๆ


“ขอโทษนะ กำลังทำอะไรกันอยู่มิทราบครับ”


ผมหันหน้าไปทางประตูอย่างดีใจ กำลังจะยิ้มให้เดียร์ แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่จ้องมาที่ผมกับศักดิ์ชาย กับแววตาที่เป็นประกายโกรธขึ้งเลยต้องรีบหุบยิ้ม ผมผลักศักดิ์ชายออกจากตัว แล้วรีบลุกขึ้น เดินไปนั่งบนโซฟา แล้วถามเขาด้วยสีหน้าเฉยชา


“เพิ่งมาเหรอ ไปไหนมาล่ะ”


เดียร์ไม่ตอบ แต่รีบเดินมานั่งข้างๆผมที่โซฟาทันที ปล่อยให้ศักดิ์ชายเดินไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม


“น้องชายคนนี้คือคนที่นายบอกว่าจะมาหา แต่ยังไม่มาใช่ไหม”


ศักดิ์ชายหันมายิ้มให้กับเดียร์ แต่มันเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆยังไงไม่รู้ เดียร์หันมาจ้องหน้าผมตาขุ่น ผมแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้


“ผมมีธุระนิดหน่อยนะครับ เลยมาสาย ไม่ยักจะรู้ว่า คุณเรียวเขามีแขกมาหาอยู่ก่อนแล้ว ถ้ารู้ผมคงไม่มารบกวน”


เด็กหนุ่มพูดเสียงห้วน


“อ๋อ ก็เพื่อนไม่สบาย ฉันก็ต้องมาเยี่ยมเป็นธรรมดาสิ เราสนิทกันมากเลย เวลาเขาป่วยทีไร ฉันนี่แหละที่อยู่
ข้างๆเขา”


“เหรอครับ ผมไม่ยักรู้ เพราะคุณเรียวไม่เคยเล่าให้ฟัง”


เดียร์หน้าเข้มขึ้น ตายังจ้องผมเขม็ง สลับกับมองจ้องศักดิ์ชาย ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นอยู่ในตัวของเด็กหนุ่ม ท่าทางเจ้าเด็กบ้านี่ คงไม่ค่อยพอใจเพื่อนผมอยู่มาก และดูเหมือนว่าศักดิ์ชายจะรู้ตัว เพราะเขาก็ทำท่าเหมือนพร้อมจะต่อกรกับเด็กหนุ่ม


“ทำไมเขาจะต้องเล่าให้เธอฟังด้วยล่ะ เธอสนิทกับเขาเหรอ”


ศักดิ์ชายถามเดียร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าสำเนียงแฝงด้วยความเยาะหยัน ผมเห็นเดียร์เม้มปากแน่น ก่อนจะเหยียดออกแล้วยิ้มแย้มแบบเสแสร้งไม่แพ้กัน


“ก็สนิทพอสมควรอ่ะครับ ลองถามเรียวดูสิครับ ว่าเรารู้อกรู้ใจกันแค่ไหน”


ศักดิ์ชายขมวดคิ้ว มองมาที่ผมอย่างต้องการคำตอบ ผมยักไหล่ ไม่พูดว่าอะไร เจ้าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผมเลยหันมาปะทะคารมกับเดียร์ต่อ


“จริงอ่ะ ไม่ยักกะรู้มาก่อนเลยนะ แต่เอ รู้สึกคุ้นหน้านายเหมือนกันนี่ ที่ไหนหว่า........”


เพื่อนผมทำท่านึก สักครู่มันก็ดีดนิ้วเปาะ ร้องขึ้นมา


“จำได้แล้ว นายคือผู้ช่วยกุ๊กที่มาเสิร์ฟอาหารด้วยตัวเองที่ร้านอาหารบ้านคุณป้านี่เอง โถ น้องชาย นึกว่าคุ้นหน้านายที่ไหน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


ศักดิ์ชายหงายหน้าหัวเราะ เด็กหนุ่มหน้าตึง ประกายตาวาวโรจน์


“มิน่าล่ะ เจ้าสันต์ถึงได้สงสัยนักสงสัยหนาว่าทำไมพ่อครัวร้านอาหารจึงเอาใจใส่ลูกค้าบางคนเป็นพิเศษ ที่แท้นายรู้จักกัน ก็เลยทำอาหารให้กินกันเยอะแยะกว่าคนอื่นนี่เอง อย่างนี้ฉันก็คิดอิจฉาไม่ได้แล้วสิ จริงไหม เรียว นายมีคนรู้จักเป็นพ่อครัวนี่นา นายไม่อดตายแน่ ดูสิ ดูแลกันที่ร้านอาหารไม่พอ ยังมาดูแลกันถึงบ้านอีก”



เจ้าเพื่อนผมมันปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ แล้วถามผมด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ผมไม่ชอบเลยที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากมัน ดูเหมือนว่าศักดิ์ชายกำลังจะทำตัวใกล้เคียงกับผู้ร้ายในทีวีไปทุกทีแล้ว ผมหันไปมองหน้าเดียร์เห็นเขาขยับปากจะโต้ตอบ ผมเลยส่งสายตาบอกเขาให้หยุดพูด ผมจะพูดเอง แต่เขาหลบตาไม่มองผม และแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน



“แล้วถ้าลูกค้ากับคนทำอาหารรู้จัก และสนิทสนมกันมันผิดมากหรือครับ หรือว่ามันจำกัดแค่เพื่อนเก่าเท่านั้นถึงจะสนิทสนมกันได้ ผมว่ามันเป็นความคิดที่หัวโบราณมากเลยนะครับ ”



ก่อนที่สองคนจะปะทะคารมไปมากกว่านั้น ผมเห็นว่าควรจะต้องยุติมันเสียก่อน ไม่อยากให้ใครมาทะเลาะกันในบ้านของผม



“หยุดเสียทีทั้งสองคนนั่นแหละ ใช่แล้วล่ะศักดิ์ที่นายเข้าใจมันถูกต้อง ฉันกับเดียร์รู้จักกัน แต่ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ที่พ่อครัวกับลูกค้าจะรู้จักกันนอกจากในร้านอาหาร นายคิดอะไรมากไปหรือเปล่า เดียร์เห็นฉันไปทานร้านอาหารที่ร้านเขาบ่อยๆ ก็เลยทำให้พิเศษ ในฐานะลูกค้าประจำ แล้วนี่ได้ข่าวคงได้ข่าวว่าฉันป่วย ก็เลยมาเยี่ยมน่ะ ใช่ไหมเดียร์”



ผมหันไปหาเสียงสนับสนุนจากเดียร์ ส่งสายตาบอกเขาว่าผมไม่ต้องการให้เกิดเรื่อง เดียร์มองหน้าผม แล้วหันมายิ้มให้ศักดิ์ชาย ซึ่งเป็นยิ้มที่เสแสร้งแกล้งดีด้วยสุดๆ



“ใช่ครับ ผมได้ยินมาว่าคุณเรียวป่วย ก็เลยมาหา ซื้ออาหารมาทำให้ทานด้วย คุณจะอยู่ทานด้วยก็ได้นะครับ อยากลองทำให้ทานอ่ะ เห็นไปที่ร้าน แล้ววันนั้น พ่อครัวอีกคนทำอาหารให้คุณ ก็เลยอาจจะยังไม่เคยทานอาหารฝีมือผม จะได้รู้ว่าเป็นไง บางทีอาจจะติดใจมาทานบ่อยๆก็ได้”



ศักดิ์ชายยิ้มกริ่ม ทั้งที่รู้ว่าเดียร์ชวนไปงั้นๆ แต่เจ้าเพื่อนผมมันทำท่าไม่ยอมแพ้


“แหม จะพลาดโอกาสดีอย่างนี้ได้อย่างไงล่ะ น้องชาย ดีเหมือนกัน เมื่อกี้นายก็ทานข้าวไปนิดเดียวเองนี่เรียว กินข้าวเสร็จ จะได้กินยาแล้วก็พักผ่อนเสียที”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 27-12-2008 17:41:16

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าศักดิ์ชายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้ต่อล้อต่อเถียงกับเดียร์แบบนี้ ทั้งที่คนทั้งคู่ก็ไม่รู้จักกัน เห็นหน้ากันแค่เพียงครั้งเดียว แต่ทำไมตั้งท่าห้ำหั่นกันโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือแบบนี้หนอ



“ฉันไปช่วยเธอทำอาหารในครัวแล้วกันนะเดียร์”


ด้วยความที่อยากจะพูดคุยกับเดียร์ให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ขอร้องให้เขาเลิกทำตัวหงุดหงิดต่อหน้าเพื่อนผมเสียที ทำให้ผมอาสาที่จะไปช่วยเขาทำงานในครัว แต่เจ้าศักดิ์ชายซึ่งไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ ดันมาทำเป็นกีดกันไม่ให้ผมกับเดียร์ได้อยู่ด้วยกัน



“นายจะไหวเหรอเรียว นายไม่สบายแล้วก็ตัวร้อนมากนะ ตอนที่ฉันเช็ดตัวให้นายเมื่อกี้ นายตัวร้อนอย่างกับไฟเลย เคลื่อนไหวมากๆเดี๋ยวจะวิงเวียนเป็นลมเป็นแล้งไปนะ”


เด็กหนุ่มหันขวับมาจ้องมองผม สายตากร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขายื่นมือมาแตะแขนผม แล้วเลื่อนมากุมมือไว้


“จริงด้วย เรียวตัวร้อนมากเลย นอนพักก่อนดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวผมทำคนเดียวได้ ทุกทีผมก็ทำให้เรียวทานมาตลอดนะครับ”


เดียร์จงใจพูดเน้นย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความสนิทสนมระหว่างผมกับเขา ศักดิ์ชายหูผึ่ง ตาเป็นประกาย เหมือนกันกำลังได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรเด็ดๆที่ไม่ควรพลาด ส่วนผมกับหน้าชา และเริ่มหงุดหงิดที่เดียร์วางท่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมมากเกินไป ผมชักมือออกจากการเกาะกุมของเขา ทำหน้ามุ่ย เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมามากกว่าเดิม


“อื้อ ท่าทางจะสนิทกันจริง แล้วนี่ก็คงไม่ใช่ครั้งแรกที่นายต้อนรับพ่อครัวมาบ้านใช่ไหม”


ศักดิ์ชายหันมาถามผมเสียงเยาะ อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมคิดว่าศักดิ์ชายทำท่าเหมือนหวงๆผมด้วยเช่นกัน แต่ผมนึกไม่ออก ว่าทำไมเพื่อนสมัยเรียนอนุบาลของผม จึงทำแบบนั้น


“แหมคุณนี่ก็เดาเก่งไม่ใช่เล่นนะครับ น่าจะซื้อหวยนะ คงจะถูกรางวัลใหญ่แน่”


เด็กหนุ่มตอบไม่ตรงคำถาม แต่สิ่งที่เขาพูดก็คงจะเพียงพอที่จะทำให้ศักดิ์ชายเดาไปได้ไกลโข ผมรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้ รู้สึกทนฟังไม่ไหวแล้ว จึงโพล่งขึ้นมา


“ฉันจะขึ้นไปนอนแล้วล่ะ รู้สึกเพลียและปวดหัวมาก ไม่อยากคุยแล้วก็ไม่อยากทานอะไรอีกแล้ว นายสองคน
กลับไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”


ผมลุกขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา ศักดิ์ชายลุกตามมา แล้วส่งเสียงถามด้วยความห่วง


“เฮ้ย เรียว เป็นอะไรไปเหรอ รู้สึกปวดหัวไม่สบายใช่ไหม ถ้างั้นฉันพาไปส่งที่ห้องนะ”

เดียร์ลุกขึ้นบ้าง เขาทำตาขวางใส่ศักดิ์ชายก่อนจะพูดเสียงห้วนๆใส่


“ไม่ได้ยินหรือครับ เรียวบอกว่าอยากพักผ่อน อยากอยู่คนเดียว คุณน่ะ มานานแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้วครับ”

“ฉันได้ยินน้องชาย ไม่ต้องขยายความหรอก นายเองก็ต้องกลับด้วยเหมือนกัน ”

“ผมเพิ่งมา แล้วเรียวก็ยังไม่ได้ทานอะไรด้วย ผมจะทำอาหารให้เรียวทานก่อน แล้วถึงค่อยไป ส่วนคุณน่ะ กลับบ้านไปเถอะครับ ทิ้งภาระเรื่องการดูแลเรียวให้ผมทำเองดีกว่า”



เดียร์วางท่าใส่ศักดิ์ชาย เจ้าเพื่อนเก่ากรอกตาไปมา จากนั้นก็หันมาทำหน้าล้อเลียนผม


“เอ สงสัยนายจะไม่ได้พักผ่อนอย่างที่นายตั้งใจแล้วละมั้งเรียว ท่าทางน้องชายคนนี้คงจะพยายามที่จะปรนนิบัติพัดวีให้นานหายป่วยไข้โดยเร็วน่ะ”


ผมกุมศีรษะ นึกเบื่อสองคนนี่ขึ้นมากะทันหัน จึงเอ่ยปากไล่ด้วยเสียงอันดัง


“น่ารำคาญจริงๆ พูดอะไรกันก็ไม่รู้ อย่าหาว่าโง้นงี้นะ กลับไปซะทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันจะนอนแล้ว โทษที ที่ทำมารยาทไม่ดีใส่ แต่อยากพักผ่อนจริงๆ หวังว่าคงจะเข้าใจ”


พูดจบผมก็เดินจากไปเพื่อที่จะขึ้นไปที่ห้องชั้นบน ทิ้งให้สองคนนั่นยืนงงกันอยู่ ผมไม่ชอบที่พวกเขาเป็นแบบนี้ ผมไม่ชอบที่จะเป็นต้นเหตุให้ใครมาทะเลาะกัน การที่ผู้ชายสองคนมาทะเลาะกัน ชิงดีชิงเด่นต่อหน้าผม มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ


“งั้นฉันกลับแล้วนะ ดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน เดี๋ยวฉันค่อยโทรมาถามอาการนายอีกที”



ศักดิ์ชายพูดตามหลังมา แต่ผมไม่ได้หันหลังกลับฟัง รู้ตัวว่าทำกริยาไม่งาม แต่ผมหงุดหงิดจนทนไม่ไหวแล้ว อยากขึ้นไปนอนพัก แล้วหลับไปเลย ไม่ต้องมารับรู้เรื่องที่ทำให้ปวดหัวไปมากกว่านี้



พอเข้าห้อง ผมก็ล็อคกลอนประตู แล้วก็คลานขึ้นเตียง รู้สึกเหนื่อย และเพลียอย่างบอกไม่ถูก ลองจับตัวเองดูก็พบว่าเนื้อตัวร้อนผ่าว ปวดหัวตุ๊บๆ เอามือควานไปที่หัวเตียงเพื่อหายา ก็ไม่พบ นึกขึ้นได้ ว่ามันอยู่ข้างล่างตอนทานข้าวเช้ากับศักดิ์ชาย ถึงแม้จะรู้สึกไม่สบาย แต่ผมก็ยังไม่อยากลงไปเอายาตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นไปกันแล้วหรือยัง ผมนอนรอสักพัก จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองปวดหัวจนทนไม่ไหว ก็เลยพยายามฝืนใจลุกขึ้นจากเตียง เพื่อจะลงไปข้างล่าง



พอเปิดประตูห้อง ผมก็เจอเดียร์ยืนหน้าบูดบึ้งรออยู่ก่อนแล้วที่ด้านหน้า พอเห็นหน้าผมเท่านั้นเด็กหนุ่มก็เปิดฉากต่อว่าต่อขาน


“ผมโทรมาตั้งหลายครั้งเรียวก็ไม่รับสาย ตั้งแต่วันเสาร์แล้วนึกเป็นห่วง เพราะเห็นคุณไม่ค่อยสบายตั้งแต่วันจันทร์ วันนี้ก็โทรมาแต่เช้ามืดเพื่อจะบอกว่า ผมมีซ้อมเต้นตอนเช้า อาจจะมาได้บ่ายๆเย็นๆ ผมไม่นึกเลยว่า พอผมไม่มา คุณก็มีคนอื่น”



“บ้าหรือไงนี่ ก็ฉันไม่ค่อยสบาย นอนไม่ตื่นตั้งแต่วันศุกร์แล้ว เพิ่งจะตื่นมานี่แหละ ฉันก็เลยไม่ได้รับสายนาย แล้วทำไมต้องมาโกรธมากมายแบบนี้ ก็บอกแล้วไงว่าถ้ามาไม่ได้ ก็มาวันอื่น”


ผมชักโมโห เลยโต้ตอบไปบ้าง


“จะได้อยู่กันสองคนกับไอ้บ้านั่นโดยไม่มีผมเป็นกว้างขวางคอใช่ไหม”


เขาถามผมอย่างโกรธๆ


“ฉันไม่อยากทะเลาะนะ ถ้าจะทำอย่างนี้ก็กลับบ้านไปซะดีกว่า อารมณ์ดีค่อยมาพูดกัน”


“ไม่ ผมไม่ยอมไปทั้งที่เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”


เด็กหนุ่มลูกครึ่งทำท่าดื้อดึง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกรำคาญที่ต้องมาพูดคุยด้วยเรื่องแบบนี้ เหมือนกับการต้องมานั่งแก้ตัวกับแฟนที่ขี้หึงอย่างร้ายกาจ จนไม่ยอมแยกแยะว่าคนที่เขาไม่พอใจคือเพื่อนของเราไม่ใช่ใครบางคนที่สำคัญอย่างที่เข้าใจ


“งั้นก็ว่ามา”


ผมรู้สึกหัวหมุนติ้วๆ จนต้องเอนตัวเองพิงประตูไว้ แข็งใจคุยกับเขาต่อเพื่อให้เรื่องมันจบ


“ต่อไปนี้ ห้ามไม่ให้คนๆนั้นเข้ามาในบ้านของเรียวอีกนะครับ”


เดียร์ยื่นคำขาดกับผม แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งผมไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมกับเขาแค่มีสัญญาเป็นแฟนกันเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่เจ้าของของผม



“เดี๋ยวก่อนนะ คนนั้นที่นายว่ามันเพื่อนร่วมงานของฉันนะ จะไปห้ามเขาได้ไง เขาเห็นว่าฉันไม่สบายเขาก็มาเยี่ยม แล้วเขาก็เคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง สมัยที่เรายังเรียนด้วยกัน ศักดิ์ชายเป็นเพื่อนฉันนะ ทำไมนายต้องมาหึงหวงอะไรแบบนี้ด้วย ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”



“คนที่จะเป็นห่วงเป็นใยในตัวของเรียวได้น่ะ มีแค่ผมคนเดียวก็พอแล้ว เรียวครับ มีแค่ผมคอยดูแลเอาใจใส่ไม่
พอหรือครับ”



เด็กหนุ่มพูดอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ทุกทีผมขำเขา แต่คราวนี้ผมไม่สนุกด้วยแล้ว


“นายพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วนะเดียร์ ฉันไม่อยากคุยด้วยแล้ว”

“ทำไมจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมแค่ขอให้เรียวให้ความสำคัญกับผมคนเดียวก็พอแล้ว ห้ามยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ห้าม
ให้คนอื่นเข้ามาในบ้านเด็ดขาดนอกจากผม ทำได้ไหมครับ”

คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้โทสะของผมเริ่มมากขึ้น รู้สึกว่าครั้งนี้เขาขอเกินไปหน่อยแล้ว


“แล้วทำไมฉันถึงต้องทำตามใจนายแบบนั้นด้วย ถึงแม้ว่าเราจะทำการตกลงคบกันอยู่ก็ตาม แต่นั่นมันก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในระยะเวลา 6 เดือน ในสัญญานั้นไม่ได้ห้ามฉันคบเพื่อนหรือปฏิเสธคนอื่นๆนี่ แล้วไอ้สัญญาบ้าบอนั่น นายก็ฉวยโอกาสเล่นเล่ห์กระเท่เอากับฉัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ยินยอมก็ได้ แต่ฉันเห็นว่าเมื่อนายไม่ทำแบบที่นายขู่ ฉันก็ควรจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับนาย ที่นายได้มีโอกาสมาบ้านฉัน มาวุ่นวายในชีวิตของฉันแบบนี้ ก็แค่เพียงเพราะฉันทำตามสิ่งที่สัญญาไว้กับไอ้กระดาษแผ่นเดียวนั่นไม่ใช่หรือไง”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 27-12-2008 17:42:42

ผมชักฉุน เลยโต้ตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว เดียร์มีดวงตาที่กร้าวขึ้น พูดเกือบเป็นตะคอกใส่ผมเสียงดัง


“ถึงจะยังไงก็ตาม ผมก็ขอห้ามขาดไม่ให้คุณพาใครเข้ามาในบ้านนี้อีก”

“ฉันไม่เชื่อนาย ฉันจะทำอย่างที่ฉันคิดว่าถูกต้อง”

“บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ได้สิ หรือเรียวอยากจะลองดูว่า ถ้าเรียวทำอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เอาสิ ผมจะทำให้เรียวได้เห็น”


เด็กหนุ่มทำหน้าถมึงทึงใส่ผม ท่าทางโมโหมาก เขารวบผมไว้ในอ้อมแขน แล้วลากกลับเข้ามาในห้องนอน ผม
พยายามดิ้นหนี แต่ความที่อ่อนแรงจากการเป็นใคร กอปรกับร่างกายที่บอบบางกว่าเด็กหนุ่มจึงทำให้ผมขัดขืนเขาไม่ได้ ถูกลากตัวปลิวมาที่เตียง เด็กหนุ่มผลักผมลงไปบนที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อมผม หน้าตาแดงก่ำ อารมณ์พลุ่งพล่านไปด้วยโทสะ



ผมไม่เคยเห็นเขาโกรธจัดอย่างนี้มาก่อน ก็เลยนอนนิ่งอึ้ง มัวแต่ตกตะลึงที่เห็นอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปเลยไม่ได้ห้ามปรามเมื่อเขากระชากเสื้อนอนของผมจนขาดติดมือ เขาฉีกทึ้งมันออกจากตัวจนหมด จนผมเปลือยเปล่าท่อนบน



เขารวบแขนผมไว้ แล้วคว้าเนคไทจากคอเสื้อเชิ้ตของผมที่วางพาดอยู่ข้างเตียงมามัดมือของผมไว้ทั้งสองข้าง แล้วล่ามไว้กับเสาเตียง จากนั้นก็ก้มลงมา จูบไซร้ไปทั่วซอกคอและใบหน้าของผมอย่างรุนแรง ผมทั้งตกใจ ทั้งไม่พอใจที่เดียร์ก้าวข้ามคำสัญญาระหว่างเรา ว่าจะไม่แตะต้องตัวผมหากผมไม่ยินยอม


“เอ๊ะ เดียร์ เป็นอะไรน่ะ อยู่ดีๆกับมาทำกับฉันแบบนี้ จะทำร้ายฉันหรือไง ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเราสองคนมีเรื่องกันแน่”

ผมร้องบอกเขา แต่เดียร์ยังไม่ยอมหยุดการกระทำของตนเอง


“นายทำอะไรลงไปน่ะเดียร์ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

ผมพยายามยับยั้งเขาอีกครั้ง แต่เดียร์ทำเป็นหูทวนลม ก้มหน้าก้มตาจูบ และเคล้าคลึงผมอย่างบ้าคลั่ง ผมพยายามพูดดีๆกับเขา


“นายทำแบบนี้ไม่ดีเลยรู้ไหม เราตกลงกันแล้ว หยุดทำเสียทีเถอะนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

“ไม่มีทาง”


เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงอู้อี้ เนื่องจากปากและจมูกของเขากดอยู่ที่ลำคอของผม เขาจูบแล้วดูดเน้นอย่าง
แรง จนผมต้องห่อปากด้วยความเจ็บปนซ่านกระสันต์ แต่ถึงกระนั้นผมก็มีสติเพียงพอที่จะไม่ปล่อยให้ดำฤษณาเข้าครอบงำในภาวะที่เราไม่เข้าใจกันแบบนี้ ผมจึงพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เพื่อให้เขาอ่อนลง


“คุยกันก่อนดีมั้ยเดียร์ นายกำลังจะทำให้เรื่องระหว่างเรามันยุ่งยากลงเพราะความโมโหของตัวเอง ฉันไม่ชอบเลยแบบนี้นะ”


“ผมก็ไม่ชอบในสิ่งที่คุณทำเหมือนกัน”

เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตามีประกายแค้นเคือง ก่อนจะก้มลงดูดเน้นที่ยอดอกของผม ผมแอ่นตัวขึ้นด้วยความรู้สึกซาบซ่าน แต่ปากก็ร้องประท้วงออกไป หวังจะหยุดการกระทำของเขา


“ปล่อยฉันนะ เดียร์ นายกำลังทำผิดสัญญารู้ตัวไหม”

“คุณเองก็ทำผิดสัญญา คุณพาคนอื่นเข้ามา ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องหยุดเพื่อทำตาม”

“แค่เพื่อนฉันมาบ้านเนี่ยนะที่ทำให้นายโมโห”

ผมถามเขาอย่างงงงวย รู้ว่าเดียร์รักและหวงผมมากแค่ไหน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเกิดกับศักดิ์ชาย ไม่เกิดกับเจ้าสันต์ ทั้งที่เจ้าสันต์ไปกับผมบ่อยกว่าศักดิ์ชายเสียอีก แถมเป็นเกย์เห็นๆ



“ในวันที่เราตกลงกันว่าจะเป็นของผมคนเดียวเท่านั้นเนี่ยนะ แถมซ้ำยังละเมิดสัญญาที่บอกว่า คุณจะไม่พาคนอื่นมาบ้านด้วย เราสัญญากันไว้แล้ว ข้อตกลงมีให้เห็นชัดเจน”


เขาคำรามเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธๆ พร้อมกับลงโทษผมต่อด้วยการดูดเน้นไปทั่วแผ่นอกผมอย่างรุนแรง ผมร้องห้ามเขาเสียงสั่น

“นายกำลังจะทำให้ผิวหนังฉันเป็นรอยนะ หยุดทีเถอะ”

เดียร์หัวเราะหึหึ ไม่ยอมหยุด แถมซ้ำยังเลื่อนตัวขึ้นมาจูบซุกไซร้แถวซอกคอของผม และดูดแรงๆเหมือนจะแกล้งให้ผมเจ็บ ผมครางอืออยากจะผลักไสเขาออกจากตัวแต่ก็ไม่มีแรง


“ดีแล้ว ทุกคนจะได้รู้ว่า คุณมีแฟนแล้ว จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับยอดรักของผมอีก”

“เดียร์ คนที่นายกำลังหึงอยู่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนเก่าสมัยเรียนของฉันนะ แล้วเขาก็มาเยี่ยมฉันเพราะว่าฉันป่วยอยู่ นายก็รู้ดีนี่ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่หายไข้เลยนะ นายน่าจะเข้าใจแล้วก็เลิกทำแบบนี้กับฉันได้แล้ว”
ผมพูดจากับเขาดีๆ พยายามเตือนสติเขา เพื่อให้เขาหยุดความโมโห แล้วจะได้ปล่อยผมไป



“ผมรู้ครับเรียวว่าคุณไม่สบาย แต่ผมก็บอกกับคุณแล้วในวันศุกร์ว่าขอผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ แต่คุณก็ไม่ยอมให้ผมอยู่ดูแล แต่ในขณะเดียวกันคุณกลับอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาบ้านนี้ ทั้งๆที่ผมก็ขอร้องคุณแล้ว มีการทำสัญญากันชัดเจนด้วย”


“แต่เขาเป็นเพื่อนนะ พอรู้ว่าฉันไม่สบายเขาก็เลยมาหา ฉันคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมฉันถึงจะต้องไล่เขาไป”
ผมบอกเขาให้เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากการจูบไซร้ซอกคอของผม เขามองตาผมด้วยแววตาตัดพ้อ ทำปากยื่น หน้างอง้ำ ยังคงไม่พอใจอยู่


“ผมไม่ชอบเพื่อนคุณคนนี้นะ ทำไมต้องเป็นเพื่อนชายคนนี้ล่ะ”

“ทำไมล่ะเดียร์ อย่าบอกนะว่านายกำลังหึงฉันกับเพื่อนผู้ชายคนนี้”

ผมถามเขาอย่างขำๆ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง

“ผู้ชายที่ไหนกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหมอนี่เป็นเกย์ ผีมองผีด้วยกันก็รู้”

“ฮ้า พูดเป็นเล่นไปน่าเดียร์ เพื่อนฉันคนนี้น่ะเหรอเป็นเกย์ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล จนปัจจุบัน แล้วมันก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วย ไม่เห็นว่ามันจะสนใจผู้ชายคนไหนเลย นายหึงจนหน้ามืดตามัวหรือเปล่า”


ผมถามเขาด้วยความคลางแคลงใจ เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้หึงผมจนไร้เหตุผลหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมแย่แน่เลย เพราะหมอนี่คงหวงผมทั้งกับเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชาย ไม่ยอมให้ไปยุ่งเกี่ยวกับใคร ขนาดแค่เราคบกันยังไม่ถึงเดือนเลย นายเดียร์ยังแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมขนาดนี้ แล้วนี่ยังเหลือเวลาที่เราจะคบกันอีกตั้ง 5 เดือน ผมจะทนกับอารมณ์หึงหวงของเขาได้ไหมหนอ



“เชื่อผมสิ ผมเป็นเกย์ผมรู้ดี ว่าใครเป็นไม่เป็น ผมเห็นสายตาที่เขามองเรียว มันไม่ต่างจากสายตาที่ผมมองคุณ ผมคิดว่าเขารักคุณนะ เพียงแต่ว่า ด้วยความที่เป็นเพื่อน กับการที่เขาเก๊กแมนไม่เปิดเผยตัวเอง แล้วเขาก็แต่งงานแล้ว ทำให้เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นได้รู้ แต่ไม่มีทางรอดสายตาผมไปได้หรอก นี่ไง ถึงทำให้ผมหึงหวง ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้กับทุกคนนะ เรียวอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมจะเป็นเฉพาะกับคนที่คิดเชิงชู้สาวกับคุณเท่านั้นแหละ”



เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาของเขาอ่อนแสงลง ไม่มีความโกรธเกรี้ยวอยู่ในนั้น ขณะที่อธิบายให้ผมฟัง


“ผมแค่กำลังพยายามที่จะให้ช่วงเวลาที่เราเป็นแฟนกันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด และไม่อยากให้มีอุปสรรคขัดขวางใดๆมากั้นกลางระหว่างเราสองคน ดังนั้นผมจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นใครบางคนมาจีบ หรือ พยายามจะจับคุณ ในฐานะแฟนกัน ผมจำเป็นต้องปกป้องคุณเอาไว้จากเรื่องเหล่านั้นครับ”


ผมมองหน้าเขา แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“เอาละ ถ้างั้นคราวต่อไปฉันก็จะระมัดระวังให้มากขึ้นนะ ว่าแต่ว่า ตอนนี้นายหายโกรธฉันแล้วใช่ไหม ถ้าหายแล้วก็ช่วยลงจากตัวฉันไปซะที ฉันอึดอัด”


เขาส่ายหน้า แววตาเปลี่ยนมาดุดันเหมือนเดิม


“ไม่ได้ คืนนี้ผมไม่ปล่อยคุณไปไหนทั้งนั้น คุณทำผิดสัญญา ผมจำเป็นต้องลงโทษคุณ มิฉะนั้นแล้ว คุณจะทำเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจอย่างนี้อีก”


เขาก้มหน้าลงมาอีกครั้ง พยายามจะจูบปากผม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนี

“เราสัญญากันแล้วนะเดียร์ ”

“ในกรณีอย่างวันนี้ ถือว่าสัญญาเป็นโมฆะครับ”

“แต่มันเป็นความเข้าใจผิดกันแค่นั้นนะเดียร์ แล้วฉันก็ไม่มีเจตนาจะทำอย่างนั้นนะ แล้วฉันก็สัญญาว่า ฉันจะไม่ทำอีก โอเคมั้ย”


ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่อารมณ์ดำฤษณาของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เดียร์ปิดปากที่กำลังอ้าค้างของผม ด้วยจูบของเขา เด็กหนุ่มลูกครึ่ง บดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างหนักหน่วง เขาเปิดปากผมด้วยปากของเขาอีกครั้ง และแทรกลิ้นเข้าไป ลิ้นของเขาควานเข้าไปในปากของผม ทำให้ผมขนลุกซู่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จูบของเขาให้รสชาติที่ดุดัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความวาบหวามรัญจวนใจ แรกๆผมเองก็พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้แค่ความปรารถนาที่โหมพัดอย่างรุนแรงในกายของผม เผลอจูบโต้ตอบเขาไปอย่างลืมตัว



เดียร์ชะงักนิดหนึ่ง มองหน้าผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเพลิงพิศวาสในนั้น เขายิ้มให้กับผม แล้วก็ก้มลงมาดูดริมผีปากผมใหม่ มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกและหน้าท้อง มันทำให้ผมรู้สึกเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่ว เขาระดมจูบผมจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งในท่าที่คร่อมตัวผมไว้ เขาดึงกางเกงนอนพร้อมกับกางเกงในออกไปจากตัวผม นั่นแหละ สติสตังผมถึงได้คืนกลับมา ผมขยับลุกหนี แต่เขาก็โถมตัวกลับเข้ามาอีกครั้ง แล้วกดตัวผมไว้บนที่นอน โดยที่เขาคร่อมทับตรงหน้าขา เขาโน้มตัวลงอีกครั้ง แล้วใช้สองมือยันไว้บนที่นอนข้างตัวผม


“นายจะมาแตะต้องฉันไม่ได้ ถ้าฉันไม่ยินยอมนะ”


ผมพยายามขู่เขา โดยยกเอาคำสัญญาขึ้นมาอ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เดียร์ยังคงเดินหน้ารุกรานผมต่อไป


“แล้วอย่างนี้เรียกว่าสมยอมไหมครับ”


เขาคว้าหมับที่น้องชายที่กำลังตื่นตัวของผม แล้วคลึงเคล้าแรงๆ ก่อนจะก้มลงมาไซร้หน้าอกและใช้ลิ้นเลียที่ตุ่มเนื้อบนยอด ผมครางอือด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน รู้สึกพึงพอใจต่อการสัมผัสที่ปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของผมที่อยู่ภายใน แต่สำนึกหนึ่งก็บอกให้ผมหยุดการกระทำของเขาเสีย ก่อนที่จะเหตุการณ์จะเลยเถิดไปมากกว่านี้


“เดียร์ ฟังฉันให้ดีนะ หากนายทำอะไรฉันมากกว่านี้ล่ะก็ ฉันจะไม่ยอมยกโทษให้นายเด็ดขาดเลย ฉันจะเกลียดนายไปจนวันตายทีเดียว”
***************************
 :impress2: เรียวบอกเค้าจะไม่ยอมแล้วนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 27-12-2008 17:44:45
โปรดติดตามตอนต่อไปหื่นได้เลือด :a2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-12-2008 18:03:50
ซ้อมรอตอนหื่น  :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 27-12-2008 21:29:30
ตอนที่ 21 ลงซ้ำหรือเปล่าค่ะ....

รอตอนต่อไป..และขอบคุณค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 28-12-2008 01:04:08
นั่นสิคะลงซ้ำหรือเปล่า

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ รอดูน้องเดียร์หื่นค่ะ

ดูสิพี่เรียวต้านได้ไหม
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 28-12-2008 02:14:30
 :sad4: แก้ไขด่วนคับ เด๋วใจขาดก่อน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-12-2008 06:47:34
 :o12: ขอโทษเค้าผิดไปแล้ว

บทที่ 22



เดียร์ชะงัก เขาเงยหน้าจากยอดอกที่กำลังเคล้าคลึงอยู่ แล้วมองตาผม แววตาของเด็กหนุ่มมีความอวดดื้อถือดี เหมือนเด็กที่ต้องการเอาชนะผู้ใหญ่ที่ห้ามไม่ให้ตนเองทำโน่นทำนี่ โดยเอาเงื่อนไขของสัมพันธภาพมาขู่


“พูดอะไรน่ะครับ เรียวเองก็เริ่มพอใจแล้วไม่ใช่เหรอ ดูสิ ร่างกายของคุณตื่นตัวเปิดรับผมออกขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อความรู้สึกของตัวเองบ้าง ของแบบนี้ ถ้าถูกสัมผัสลูบไล้บ่อยๆ แล้วก็มีใจด้วย มันก็ต้องรู้สึกบ้างอยู่แล้วล่ะ ถ้าปล่อยให้ผมทำต่อไป เรียวก็จะมีโอกาสถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกันนั่นแหละ”


เด็กหนุ่มกอบกุมของหวงของผมไว้ในมือข้างหนึ่ง และปลุกเร้าจนมันพองตัวยิ่งขึ้น เขาเลื่อนตัวลงต่ำ แล้วจัดการน้องชายที่เริงร่าของผมด้วยมือและปาก ผมแอ่นตัวด้วยความสุขแบบเสียวซ่าน สักพักเดียร์ก็ถอนริมฝีปากออก แล้วก็มองหน้าผมด้วยดวงตาที่หยาดเยิ้ม พลางลุกขึ้นนั่ง โดยที่ยังคร่อมตัวผมอยู่



“เรื่องนี้น่ะ ไม่ใช่การสมยอม รู้แล้วใช่ไหม นายกำลังใช้กำลังบังคับฉันอยู่นะ”



ผมพยายามขู่เขา รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองกำลังสั่น ความรู้สึกปรารถนาที่จะได้รับการโลมไล้จากเดียร์ทวีความรุนแรงขึ้น แทบจะบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายที่มีอยู่ จิตใจของผมกำลังต่อสู้กัน ทั้งต้องการเดียร์ให้ช่วยปลดเปลื้องอารมณ์ใคร่ให้ผม ทั้งอยากผลักไสเขาให้ไปไกลจากตัว ด้วยอายเหลือเกินที่จะยอมรับว่า ผมเองก็ต้องการเขาเหมือนกัน



เดียร์ทำเป็นเฉย ไม่ฟังสิ่งที่ผมพูด เขาค่อยๆปลดกางเกงชั้นในที่ใส่ไว้ออกจากตัว ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเมื่อเห็น บางส่วนร่างกายของเขาที่ผงาดง้ำ เขามีเรือนร่างที่ใหญ่โตสมกับที่มีเลือดต่างชาติอยู่ครึ่งหนึ่ง



“นี่นายไม่ยอมฟังที่ฉันพูดใช่ไหม ไม่สนใจการตัดสินใจของฉัน เท่ากับนายทำผิดเงื่อนไขนะ ฉันมีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาได้นะ แล้วเราก็จะไม่ต้องมาเจอกันอีกต่อไป



ผมขู่เขาอีกด้วยเสียงที่ดังลั่นกว่าเดิม ไม่อาจจะทำใจเย็นปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เดียร์ชะงัก เขาทาบร่างของเขาลงมาบนตัวผม แล้วก็สวมกอดผมไว้ ร่างกายของเขาสั่นเทา ผมรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามระงับทั้งอารมณ์โกรธที่มีต่อผม และความปรารถนาที่ก่อตัวอยู่ภายใน



“ไม่นะครับเรียว.......อย่าเลิกกับผมนะครับ ผมขอโทษ ผมหึงมากไปหน่อย”

“ปล่อยมือฉันสิ”


เดียร์ลุกขึ้น แล้วแก้มัดออกจากมือผมอย่างว่าง่าย เขาจูบที่ข้อมือที่เป็นรอยแดงของผมเบาๆ อย่างทะนุถนอม เอาหน้าของตัวเองแนบกับฝ่ามือของผมไปมา


“ขอโทษครับ ที่ทำให้เรียวเจ็บตัวอีก ทั้งๆที่สัญญาแล้วว่าจะไม่ทำร้ายคุณ”

“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายไม่ได้อยากทำแบบนั้น นายแค่เข้าใจผิดไปเอง ช่างมันเถอะใครๆก็พลาดได้ทั้งนั้น


ตอนนี้ทั้งผมและเรียวอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า อยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคู่ อยู่ดีๆสายตาของผมก็ไปจับจ้องเข้าที่ร่างกายท่อนล่างของเขาโดยบังเอิญ มันยังไม่ได้สงบลงทั้งหมด ผมสะดุ้งเมื่อรู้ว่ามองน้องชายของเขานานมาก
รีบเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าเดียร์กำลังมองที่ซอกคอของผมอยู่ เขาเอื้อมมือมาสัมผัสเบาๆ


“แดงหมดเลย ขอโทษทีนะครับ”

“ก็นายนั่นแหละ กัดเข้ามาซะเต็มแรง”


อยู่ๆเดียร์ก็ก้มหน้าลงไปที่ซอกคอผม แล้วก็จูบเบาๆ จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียบริเวณนั้นจนผมขนลุก ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่ากลับมาอีกครั้ง เดียร์พูดเสียงกระเซ่าขึ้นมาว่า


“ผมอยากทำครับเรียว ขอผมเถอะนะ อย่าห้ามผมเลย ใจจะขาดแล้ว ช่วยผมหน่อยนะครับ แล้วผมก็จะช่วยเรียวด้วย เราจะมีความสุขด้วยกันนะ”


ผมนอนนิ่ง ได้แต่มองสบตาของเด็กหนุ่มที่มองมาอย่างเว้าวอน จนถ้อยคำที่จะพูด อยากจะปฏิเสธก็พูดไม่ออก ไอ้เจ้าความรู้สึกวูบวาบที่ทำให้ผมปวดหนึบแถวท้องน้อยมันบอกให้รู้เป็นนัยๆว่าผมเองก็กระหายในรสสัมผัสของเดียร์ไม่น้อยไปกว่ากัน


“ถ้าไม่พูดอะไรเลย ผมจะถือว่าคุณอนุญาตให้ผมทำนะครับ”

เขายิ้มให้กับผม ก่อนที่จะโน้มตัวลงมากอด แล้วจูบซุกไซร้ผมใหม่

“เป็นของผมนะครับ ยอดรัก”

เขากระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหู

“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะเดียร์”

ผมพยายามปฏิเสธ แต่เสียงนั้นเบาเหลือเกิน เริ่มรู้สึกได้ว่าพลังในการต่อต้านดูจะอ่อนด้อยให้กับความ
ปรารถนาในรสสัมผัสที่ดูจะทวีขึ้นทุกขณะที่นิ้วมือของเดียร์แตะต้องร่างกายของผม


“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ อย่ากังวลใจนะครับ ปลดปล่อยตัวเองออกไปนะ”

เขากระซิบอยู่ข้างแก้ม มือไม้ของเขาเปะปะไปทั่วตัว จากนั้นก็เลื่อนมาที่น้องชายของผมใหม่ เขาลูบไล้ขึ้นลงด้วยความอ่อนโยน พอเริ่มจะตื่นตัวอีกครั้ง เขาก็เคลื่อนไหวมืออย่างรวดเร็ว จนอารมณ์ของผมพลุ่งพล่านอย่างที่สุด ความรู้สึกวาบหวามกับความรู้สึกอยากรู้อยากลองทำให้ผมไม่ได้เอ่ยถ้อยคำประท้วงใดๆออกไป เมื่อเดียร์แยกขาผมออกจากกัน เขายิ้มหวานให้ผม ดวงตาของเขาที่มองมาเหมือนเป็นคำมั่นสัญญาของเขาที่บอกว่าเขาจะปฏิบัติต่อผมอย่างอ่อนโยน เขาพูดเหมือนเสียงกระซิบว่า


“ไว้ใจผมนะครับยอดรัก”



เดียร์ลูบไล้น้องชายผมไปมาจนพองตัวขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเลื่อนนิ้วต่ำลงแล้วแทรกนิ้วของเขาลงไปในซอกหลืบที่เร้นลับ ผมสะดุ้งสุดตัว ครางอือ ตัวแอ่นขึ้นตามจังหวะการเคลื่อนไหวนิ้วของเดียร์ เด็กหนุ่มจูบซุกไซร้ผมอย่างรักใคร่ เขาพยายามประคับประคองอารมณ์ของผมให้ดำดิ่งสู่ห้วงหฤหรรษ์พร้อมกันกับเขา ท่วงทีของเดียร์ทั้งอ่อนโยนและเรียกร้องจนผมสั่นไปทั้งตัว



และแล้วช่วงวินาทีที่ผมจะไม่ลืมเลือนเลยก็มาถึง ในอึดใจหลังจากที่เดียร์ถอนนิ้วออก เด็กหนุ่มก็ช้อนก้นผมขึ้น แล้วค่อยๆแทรกเรือนกายอันใหญ่โตของเขาเข้ามาในฝังแน่นในบั้นท้ายของผม ผมผวาเฮือกด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนร่างกายจะฉีกออกจากกัน หลับตาแน่น นิ่วหน้า อยากให้ช่วงเวลานี้มันสิ้นสุดลงโดยเร็ว เดียร์ดันน้องชายของเขาเข้ามาจนหมด ผมรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก ความปวดร้าวแล่นผ่านจากตรงจุดที่ผมกับเดียร์เป็นหนึ่งเดียวกันมาสู่ช่องท้องและหน้าอก จนทำให้ผมหายใจแทบไม่ออก ผมกัดฟันแน่นเพื่อให้ช่วยระงับความเจ็บปวดนั้น มือทั้งสองข้างขยำผ้าปูที่นอนแน่น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ผู้หญิงที่ผมเปิดบริสุทธิ์ทุกคน จะรู้สึกแบบเดียวกับผมไหมนะ



เด็กหนุ่มหยุดนิ่ง แล้วโน้มตัวลงมากอดผมไว้ แล้วจูบซุกไซร้ผมอีกครั้ง สัมผัสของเขาสร้างความรัญจวนใจให้กับผมอย่างมาก ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย เขาช่างรู้จุด รู้ใจผมไปทุกอย่าง ว่าทำตรงไหน ผมถึงจะประทับใจ สัมผัสตรงไหนที่ทำให้ผมรู้สึกสุขสุดๆ



เดียร์ใช้ท่อนแขนของเขายกขาผมขึ้น แล้วเคลื่อนไหวสะโพกจากช้าๆ และเร่งให้เร็วขึ้น ผมแอ่นสะโพกสูงขึ้นรองรับแรงกระแทกของเดียร์ที่ส่งลงมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ความซาบซ่านที่บังเกิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมผวากอดเขาไว้แน่น อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ถอนตัวเองออกมาจนร่างกายของเขาเกือบจะหลุดออกจากตัวผม แต่แล้วเขาก็ลงน้ำหนักร่างกายกลับเข้าไปใหม่เต็มๆแรง จนผมรู้สึกจุกมาก เดียร์ยิ้มหวานให้ผม แล้วก้มลงดูดเน้นที่ติ่งเนื้อบนยอดอกผมอีกครั้ง ลิ้นของเด็กหนุ่มแลบเลียไปทั่ว มือทั้งสองก็เคล้าคลึงอยู่บนเรือนกายของผม สร้างความป่วนปั่นรัญจวนไม่หยุดยั้ง



“ไม่ไหวแล้ว เดียร์ ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว”


ผมร้องบอกเขาเสียงกระเส่า รู้สึกเจ็บปวดที่บั้นท้ายปนกับความหฤหรรษ์ อารมณ์ของผมถูกเดียร์ปลุกเร้าจนเตลิดถึงขีดสุด รู้สึกตาพร่าพราย เนื้อตัวร้อนผ่าวด้วยเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างด้วยความตื่นเต้น เด็กหนุ่มไม่ตอบ ยังคงเร่งเครื่องต่อไป ได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ของเขาที่พ่นออกมา กับร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อ หลังจากนั้นเขาก็ถอนสะโพกตนเองออกไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกคิดว่า ทุกอย่างมันได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เขากลับพลิกตัวผมให้คว่ำหน้าลงอยู่ในท่าคลาน แล้วใช้สองมือรั้งสะโพกผมให้โด่งขึ้น ก่อนที่จะแทรกเรือนกายอันใหญ่โตเข้ามาอีกครั้ง เขาเริ่มจากจังหวะเนิบช้า พร้อมกับเร่งความเร็วและแรงขึ้น



เด็กหนุ่มจับเอวผมไว้ด้วยมือทั้งสอง แล้วเคลื่อนไหวด้วยการกระแทกร่างกายของเขาเข้ามาในบั้นท้ายของผมแรงมาก และถี่ยิบ ผมจุกมากจนทนแทบไม่ไหวแล้ว พยายามที่จะถอยหนี แต่เดียร์ก็รั้งเอวผมไว้แน่น แล้วก็เคลื่อนไหวสะโพกของเขาเเรงกว่าเดิม ร่างกายของเขาใหญ่โตเหลือเกิน เวลาที่เขาเคลื่อนไหวเข้าออกในตัวของผมแต่ละครั้งผมเจ็บปวดแทบขาดใจ แต่กระนั้นมันก็ยังมีความรู้สึกดีอย่างอื่นๆแฝงอยู่ด้วย เป็นความดื่มด่ำกำซาบซ่าน ร่างกายของผมเกร็งเขม็งร่อนผ่าวด้วยความปรารถนา เหงื่อกาฬไหลชุ่มเนื้อตัว



ผมอ้าปาก หายใจหอบถี่ มือขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่นจนแทบจะแหลกเละคามือผม พยายามให้สิ่งเหล่านั้นช่วยแบ่งเบาความรู้สึกเจ็บปวดปนความหฤหรรษ์ที่ผมมีอยู่ ณ ตอนนี้ ผมรู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็อยากหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง อีกใจหนึ่งก็อยากจะให้เขาดำเนินต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุด แล้วในที่สุดอำนาจแห่งความพิศวาสก็เข้าครอบงำ ทำให้ผมยินยอมให้เดียร์ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา



เดียร์เองก็มีสภาพไม่ต่างจากผม เขาเต็มไปด้วยอารมณ์พิศวาสที่ท่วมท้น ขณะที่เคลื่อนไหวร่างกายส่วนล่างของตนเอง เขาก็กอดจูบเล้าโลมผมปลุกเร้าให้เคลิบเคลิ้มอยู่ตลอดเวลา ปากก็ครวญครางพร่ำเรียกชื่อผมนับร้อยครั้ง ดวงตาที่จ้องมองผมมีความปรารถนามากมายอยู่ในนั้น เขาโหมจังหวะมากยิ่งขึ้น ดันจนผมหัวสั่นหัวคลอน



ผมรู้สึกอึดอัดคับแน่นบริเวณบั้นท้ายของตัวเองจึงเอื้อมมือไปข้างหลังพยายามที่จะผลักเขาออกไปให้พ้นตัว เพราะผมไม่อาจจะทนรับความเจ็บปวดได้อีกต่อไป แต่เดียร์จับมือผมไขว้ไว้ แล้วกระแทกตัวเขาเข้ามาในกายผมถี่มาก จนผมต้องสะบัดหัว ร้องครางเสียงดังลั่น


“ โอยย เดียร์ ฉันเจ็บ หะหะ”


เด็กหนุ่มผ่อนการเคลื่อนไหวร่างกายให้เนิบช้าลง และนุ่มนวลขึ้น ดวงตาที่จับจ้องผมดูเย้ายวนหวานฉ่ำ ผมบอกเขาเสียงสั่น


“เบาๆหน่อยได้ไหมเดียร์ ฉันเป็นไข้อยู่นะ จะทนไม่ไหวแล้ว”


เดียร์แนบตัวมาที่หลังผม เอาลิ้นเลียหู กระซิบเสียงพร่า

“นุ่มนวลแบบนี้ชอบมั้ยครับ รู้สึกเป็นสุขไหม”


ผมพยักหน้า ไม่อยากโกหกเด็กหนุ่มให้เขาเสียกำลังใจ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ เจ็บปวดเพราะเป็นครั้งแรก แถมซ้ำยังมีอะไรกับเขาตอนที่ตัวเองเป็นไข้หนักด้วย แต่เดียร์ก็สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผม เขาทำให้ผมมีความสุขอย่างมากจนไม่กล้าที่จะปฏิเสธความจริงที่ว่า ผมเองก็ปรารถนาในตัวเขามากเช่นกัน


“ผมรักคุณมากเหลือเกิน ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณมีความสุขมากๆเลยครับ”


เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผมเมื่อเห็นว่าผมพึงพอใจในสิ่งที่เขาทำให้ เขาเลยกระแทกตัวเข้ามาเต็มเหนี่ยว เล่นเอาผมสะดุ้ง เหงื่อบนใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มหยดต้องลงบนหลังของผม เขาจูบผมเบาๆที่ข้างแก้มแล้วกระซิบบอกว่าเขาจะขอเปลี่ยนท่าทางอีกครั้ง ผมพยักหน้ายอมให้เขาทำ



หนุ่มหน้าหล่อยกขาผมขึ้นข้างหนึ่ง ผมเสียววาบก้มหน้าหลับตาปี๋ตลอด มือขยำผ้าปูที่นอนไว้แน่น เดียร์เปลี่ยนมาเป็นท่าเดิมคือจับผมนอนหงายขึ้น จากนั้นเขาสอดมือไว้ใต้ขา เคลี่อนไหวร่างกายถี่ยิบ เด็กหนุ่มก้มลงมาจูบผมที่ปาก เราแลกลิ้นกันนัวเนีย โดยที่ผมโอบกอดเขาไว้แน่น มือข้างหนึ่งซุกไซร้ที่เรือนผมหยิกสลวยของเขา แล้วเดียร์ก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดุจกระซิบว่า



“เป็นเมียของผมนะ ยอดรัก”


ผมมองเขาตาปรือ หูได้ยินคำนั้นเต็มๆ รู้สึกทะแม่งๆแล้วก็คิดว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาพูดแน่นอน แต่ไม่ได้คัดค้านอะไร ในตอนนี้อารมณ์ผมเตลิดจนถึงขีดสุดแล้ว ความต้องการเพียงสิ่งเดียวคืออยากให้เดียร์ปลดเปลื้องผมจากอารมณ์ปรารถนาให้หมด



เด็กหนุ่มรูปหล่อยืดตัวขึ้น แล้วเคลื่อนไหวเร็วมากขึ้นอีก ผมได้แต่หลับตา ร้อง อัก อัก ตามแรงกระแทกของเขา ไม่กล้ามองหน้า รู้สึกร้อนผ่าววูบวาบไปทั่วทั้งตัว รู้สึกเดียร์จูบไซร้ที่ข้างคอผมแล้วก็พึมพำขออนุญาตผมเสียงกระเส่า


“ผมจะออกแล้วนะครับ ขอออกในตัวของเรียวนะ”


ผมปรือตามองเขาแล้วก็พยักหน้า ในใจก็รอคอยวินาทีที่สำคัญที่เขาและผมจะเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ เดียร์ยิ้มหวานให้ผม แล้วดูดปากผมอีกครั้งเนิ่นนานทีเดียวกว่าจะถอนริมฝีปากออก จากนั้นเขาก็โหย่งตัวขึ้น ถอยออกไปจากตัวผมเกือบสุดแล้วก็กดตัวลงมาแบบเน้นๆจนเจ้ามังกรตัวเขื่องของเขาหายลับเข้าไปในถ้ำของผมจนหมด ผมรู้สึกจุกมาก อ้าปากร้องคราง หน้าเงยหงายขึ้น สะโพกลอยจากพื้น หลังแอ่น ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม ก็เห็นเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มยวนยั่วให้ผมส่ายสะโพกเบียดบดไปมากับสะโพกของผม ใบหน้าหล่อเหลาของเขากับผมหยิกสลวยชื้นไปด้วยเหงื่อ มันหยดลงมาโดนหน้าผม เขายิ้ม แล้วก็ใช้นิ้วปาดมันออกจากใบหน้าให้



เดียร์หายใจหอบถี่ ท่าทางเหมือนคนที่ทำงานใช้แรงมาอย่างหนัก ตรงกันข้ามกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างสุขสมหวังฉาบฉายอยู่เต็ม เขายิ้มหวานให้ผม ก่อนจะก้มลงมาจูบผมที่ปากอีกครั้ง เรานัวเนียจูบกันอีกโดยที่ไม่มีใครยอมใคร เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่สงครามจูบจะสงบลง เดียร์ไล้นิ้วมือไปตามปากผมที่เขาเพิ่งบดขยี้มาเมื่อครู่ หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ฟุบลงบนตัวผม



ผมพยายามผลักไสให้เด็กหนุ่มเอาน้องหนูของเขาออกไป แต่เดียร์กลับยึดมือผมเอาไว้ แล้วจับมาโอบรอบเอวเขา เด็กหนุ่ม แช่นิ่งอยู่ในตัวผมอย่างนั้น จนกระทั่งน้องชายของเขาอ่อนแรงลง แต่เขายังตระกองกอดผมอยู่ โดยที่จ้องมองผมไม่วางตาด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม และหน้าที่มีเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เลื่อนตัวลงมานอนข้างๆ



“เจ็บไหมครับ คนดีของผม”


เดียร์กระซิบถามหลังจากทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปแล้ว ผมยังคงมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่เลยได้แต่นอนนิ่งเฉย ไม่ตอบอะไรไป


“ตอนนี้คุณเป็นของผมแล้วนะ”


เขาจูบที่ซอกคอผม จนผมขนลุกกรูเกรียว และแล้วเดียร์ก็หลั่งน้ำตาออกมา เขากอดผมไว้แนบอกของตนเองแล้วร้องไห้ ในขณะที่ผมกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ นึกงงว่า เจ้าเด็กนี่จะมาร้องไห้หาพระแสงอะไร เขาเป็นคนล่วงเกินผม มาปล้นเอาความเป็นชายของผมไป เขาน่าจะดีใจที่ได้ผมอย่างที่เขาต้องการ คนที่สมควรจะต้องร้องไห้ น่าจะเป็นผมมากกว่า



ตลอดชีวิตของผมในระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่เลยที่จะคิดว่าจะต้องมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน หนำซ้ำเป็นฝ่ายถูกกระทำย่ำยีด้วย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ใจนึงก็อยากจะร้องไห้คร่ำครวญที่ตนเองถูกบังคับขืนใจ แต่ความรู้สึกบางอย่างก็บอกให้รู้ว่า ผมเองก็ยินดีที่จะให้มันเกิดแบบนั้น ทำไมผมจึงไม่ขัดขืน ทั้งๆที่ผมน่าจะสามารถทำได้ ผมแค่เป็นไข้ ตัวร้อนอ่อนเพลีย แต่ผมก็คิดว่าตัวเองมีแรงพอที่จะขัดขืนเขา ปากของผมก็ร้องตะโกนหยุดยั้งเขาได้ ถ้าจะทำ แต่ผมกลับปล่อยให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ที่น่าแปลกและน่าอับอายคือ ผมกลับพึงพอใจเสียอีกที่ถูกกระทำ รู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



“อื้อ อย่าพูดเลยดีกว่า รู้สึกอย่างไรไม่รู้ งง และสับสนตัวเองอยู่นี่ว่าฉันยอมนายไปได้ไง”


ผมบอกเขาไปตามตรงว่ารู้สึกอย่างไร เด็กหนุ่มน้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล


“ร้องไห้ทำไม เป็นสาวพรหมจรรย์งั้นเหรอ ประสาทหรือเปล่า ฉันน่าจะเป็นฝ่ายร้องไห้มากกว่า ฉันไม่ได้เป็นคน
ทำนายซะหน่อย มีแต่นายน่ะมาทำฉัน”


พอเห็นเดียร์ทำตัวเป็นดาราเจ้าน้ำตา ผมเลยอดพูดแขวะไม่ได้


“มันเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มนะครับ ดึใจมากๆเลยที่ผมกับเรียวเป็นของกันและกันแล้วคิดมาตลอดว่ามันต้องดี ซึ่งมันก็ดีอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆด้วย”


เขาพึมพำเสียงสะอื้น เวลาที่มีเด็กตัวใหญ่ๆมาร้องไห้ แนบอกแบบนี้ก็ดูตลกดีเหมือนกัน


“พูดอะไรของนาย แล้วสิ่งไหนเหรอที่เรียกว่าดี”

ผมถามอย่างงงๆ

“การมีอะไรกับคุณไงครับ มันดีจริงๆนะ ผมเคยฝันไว้ว่ามันจะต้องเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษทีเดียว ถ้าหากได้มีอะไรกับคนที่ผมหลงรักมาโดยตลอด แต่เมื่อได้มีโอกาสจริงๆ มันกลับเป็นความรู้สึกที่แสนมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่นึกเลยว่ามีการอะไรกันกับคนรักมันจะให้ความรู้สึกที่ดีอย่างนี้ คิดแล้วก็อยากทำอีกครั้งจังเลยอ่ะครับ เรียวเห็นด้วยกับผมไหม ”


เด็กหนุ่มพรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมา ฟังแล้วเหมือนคำพร่ำเพ้อของสาวบริสุทธิ์มาก


“ตลกน่า ตีความข้างตัวเองอีกแล้ว ชอบคิดหรือทำอะไรที่ตัวเองได้ประโยชน์ทุกทีเลยนะ”

“จริงๆนะครับ ผมรู้สึกดีจริงๆนะ ที่ได้มีอะไรกับเรียวนะ อยากทำอีกบ่อยๆจัง เรียวเองก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอครับ แล้วไม่คิดว่าเราสองคนจะมีอะไรกันอีกในครั้งต่อๆไปหรือไง”


“บ้าเหรอ”

ผมว่าเขาด้วยความหมั่นไส้ ใครจะอยากมีอะไรด้วย ตัวใหญ่ยังกับยักษ์ มีอะไรด้วยแค่ครั้งเดียวก็เจ็บมากแล้ว ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเดินไปทำงานได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ


“ไม่บ้าหรอก ผมน่ะได้ทำกับเรียวครั้งแรกแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่พอ อยากทำครั้งต่อๆไป รู้สึกดีจริงๆที่ได้เป็นเจ้าของคุณ ดีจริงๆ ที่ตัดสินใจว่าจะมีอะไรกับคุณคนเดียว”


เขาจูบผมที่ข้างแก้ม มือก็ลูบไล้แผ่วเบาตรงสะโพกของผม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ จนผมชักงง และเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง


“อย่าบอกฉันนะ ว่านายไม่เคยทำเรื่องอย่างนี้มาก่อน”


เดียร์นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ เอาแต่กอดผมไว้ จนผมต้องถามซ้ำอีกครั้ง เขาจึงยอมรับกับผมอายๆว่าเขาไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนเลย นอกจากกับผมคนแรก หน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำมากเมื่อตอบคำถามผม


“จริงๆอ่ะ ทั้งกับผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่เคยมีอะไรด้วยมาก่อนเหรอ”

ผมทวนคำตอบของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาพยักหน้า แล้วยิ้มอายๆ

“ฉันเป็นคนแรกที่นายมีอะไรด้วยเนี่ยนะ”

อยากที่จะทำใจยอมรับจริงๆว่าผมเสียตัวให้กับเกย์ที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน

“ใช่แล้วครับ”


เวร นอกจากว่าเดียร์จะกลายเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตของผม เขากลับเลือกที่จะมีอะไรครั้งแรกกับผมด้วยเช่นกัน ผมอยากจะหัวเราะให้กับเรื่องตลกอย่างนี้นัก แต่ก็หัวเราะไม่ออก


“มิน่าล่ะ ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”


ในที่สุดผมก็พยายามแค่นหัวเราะออกมาจนได้ แถมด้วยการพูดจาดูถูกเขา เหมือนกับเป็นอุปาทาน ผมรู้สึกระบมก้นขึ้นมาทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ หนอยไอ้เด็กบ้า ไม่มีประสบการณ์นี่เอง มิน่าเล่นเอาบั้นท้ายผมเกือบพัง เด็กหนุ่มหน้าจืดจ๋อย ถามผมเกือบจะในทันทีที่พูดจบ


“จริงเหรอ ผมทำได้ห่วยขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่ประทับใจบ้างเลยหรือไง”

“ช่าย”


ความจริงสิ่งที่เดียร์ทำไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดหรอก เขาทำให้ผมมีความสุข เสียอย่างเดียวที่การไม่มีประสบการณ์ของเขา ทำให้ครั้งแรกผมเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้


“อ๊า แต่จากที่ผมทำกับเรียวอ่ะ เหมือนเรียวเคยมีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกเลยนี่ครับ ของๆเรียวยังคงฟิตปั๋งอยู่เลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรียวจะมีประสบการณ์มาก่อน กับใครหรือครับ ศักดิ์ชายเหรอ แล้วเขาทำดีมากกว่าผมอีกหรือไง”


เขารัวคำถามใส่ผม ท่าทางหึงหวง


“เอ้า เอาเข้าไปจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว จะบ้าหรือไง เพื่อนกันฉันจะไปมีอะไรกับมันได้ไงเล่า ฉันไม่เคยมีอะไรกับใครทั้งนั้น นายเองก็น่าจะรู้ดีนี่ ฉันชอบที่ไหนเวลาที่นายมาแตะต้อง มีแต่นายเองแหละที่ลวนลามฉันตลอด ที่ฉันบอกว่านายห่วยอ่ะ มันเป็นการเปรียบเทียบกับตัวฉันเองเวลาที่ฉันมีอะไรกับผู้หญิงด้วยกันอ่ะ ขอบอกว่านายน่ะ ไร้ฝีมือมาก”



ไม่อยากจะบอกเขาไปแบบนั้นเลย มันให้ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงสาวบริสุทธิ์ที่หวงเนื้อหวงตัว ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน นอกจากเด็กหนุ่มเป็นคนแรก แต่ไอ้ครั้นจะไม่พูดอะไรเลย ก็กลัวว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่จะหาว่าผมเจนจัด เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน



“มันเป็นยังไงอ่ะครับ ต่างกันหรือเปล่า ระหว่างตอนที่ผมใช้ปาก กับตอนที่ผมใส่เข้าไปในตัวเรียวอ่ะครับ บอกผมหน่อยได้ไหม ผมอยากรู้อ่ะ”



เดียร์เซ้าซี้ให้ผมพูด ทำท่าอยากรู้อยากเห็น ผมส่ายหัวไม่อยากพูด พลิกตัวตะแคงข้าง ไม่อยากหันไปเผชิญหน้าเขา แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมให้ผมหลบเลี่ยงการสนทนา เขาเอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้ แล้วเหนี่ยวให้เข้ามาหา ลุกขึ้นมาคร่อมผมไว้ แล้วใช้ขาก่าย ล็อคไว้ไม่ให้หนี พยายามให้ผมพูด



“ตอบผมหน่อยสิครับ กังวลใจนะเนี่ย”


เขาทำหน้าวิงวอนให้ผมช่วยไขข้อข้องใจ ผมอดขำไม่ได้ ที่เด็กนี่จริงจังกับเรื่องที่ผมพูดอย่างมาก เขาคงไม่อยากดูเป็นคนไร้น้ำยาต่อหน้าผม มันเป็นความรู้สึกของผู้ชายทุกคน ที่อยากให้คนรักของตัวพึงพอใจในเซ็กส์ที่มอบให้ หากเมื่อไหร่ก็ตามที่คนที่เรามีอะไรด้วย ไม่พอใจในฝีไม้ลายมือของเรา มันทำให้รู้สึกย่ำแย่มากๆ ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนจึงเข้าใจเขาดี


“ก็มันเจ็บมากน่ะสิ นายไม่มีศิลปะเลย ใส่ไม่ยั้งอย่างเดียว ฉันน่ะ ไม่เคยมาก่อนเลยนะ นายทำไมไม่ทำเบาๆหน่อยล่ะ เผื่อที่คู่ของนายจะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้น ถามจริงๆเถอะ ที่นายทำกับฉันนี่ เอาฉันเป็นตัวลองผิดลองถูกหรือไง”


ผมบอกด็กหนุ่มไปตรงๆ ตบท้ายด้วยการตั้งคำถามเอากับเขา เดียร์ทำตาโตรีบปฏิเสธพัลวัน


“เปล่าน๊า ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมแค่อยากจะมีอะไรกับเรียวเพื่อผูกพันเราสองคนไว้ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทำสักที เพิ่งจะมีคราวนี้แหละที่เหตุการณ์มันเป็นใจ แล้วเรียวก็ยินยอมผม ไม่ขัดขืนอ่ะครับ”


เด็กหนุ่มพลิกตัวผมมากอดไว้ในวงแขน จับศีรษะของผมซุกซบไว้ที่ไหล่ของเขา


“ผมยอมรับครับว่าผมเองก็มีเรียวเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตผม เท่าๆที่เรียวก็คงจะมีผมเป็นผู้ชายคนแรกเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีประสบการณ์มาซะทีเดียวนะครับ ผมเคยลองทำมาแล้วบ้างกับเรียวจังอ่ะครับ”


“เรียวจัง .......... ใครเหรอ”


รู้สึกสงสัยครามครัน ไหนบอกว่ามีผมคนแรกไง แล้วเรียวจังนี่เป็นใครกัน หนอยแน่ะ ชื่อเหมือนผมด้วย ท่าทางจะเป็นคนญี่ปุ่น เจ้าหมอนี่ร้ายไม่เบา แถมริอ่านโกหกอีกด้วย เดียร์มองหน้าผม ท่าทางเขินจัด หน้าแดงก่ำ ทำเป็นพูดอุบอิบอธิบายให้ผมฟัง เสียงเบา แทบไม่ได้ยิน



“ตุ๊กตายางครับ เจ้าน้อยเพื่อนผมมันฝากแฟนซื้อมาให้ ตอนแฟนมันกลับมาจากเมืองนอก พอมันล่วงรู้แผนการของผม ว่าผมคิดจะทำอะไรกับเรียว มันเลยร่วมมือกับผมครับ แต่มันกลัวว่าผมจะทำอะไรกับเรียวไม่เป็น เพราะผมไม่ยอมมีอะไรกับใครเลยสักคน มันเลยเอาไว้ให้ผมเอาไว้ใช้เป็นคู่ซ้อม ผมเห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนเรียวมาก เลยตั้งชื่อว่าเรียวจังอ่ะครับ”



ผมหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ขำเจ้าเด็กนี่ที่สุดเลย ดูทีรึไม่มีประสบการณ์แต่ก็ยังพยายามที่จะทำตัวเป็นผู้ช่ำชองในเรื่องเซ็กส์เพื่อให้ผมประทับใจ เขา รู้สึกเอ็นดูเจ้าเดียร์มาก แต่ไม่กล้าภาคภูมิใจตัวเองที่เด็กนี่ไม่ยอมมีอะไรกับคนอื่นนอกจากผม


“ใจร้ายจังอ่ะ เรียวหัวเราะเยาะผมหรือครับ”


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-12-2008 06:52:43
อาการที่เป็นหลังจากโพสเสร็จ
 :haun4: :jul1: :m25:

 :m2:ดีใจกะเดียร์ด้วยหลังจากที่พยายามอยู่นาน

 
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-12-2008 07:26:18
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: rayjikung ที่ 28-12-2008 11:54:11
ได้กันแล้ว!!!      :oo1:

5555555
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 28-12-2008 13:00:04
 :man1:

เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ

นับถือ

 o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 28-12-2008 13:21:58
สวัสดีค่ะพี่เคท  เพิ่งตามอ่านค่า ตอนถึงถึง page 12 อิอิ ^^

ชอบเดียร์จัง  น่ารักและน่าสงสารมากๆๆๆๆอ่ะ   เรียวก็ใจแข็งเหลือเกิน   เย็นชาเกินไปแล้วนะ 
เป็นเราหน่อยไม่ได้   จะจับตัวเองใส่พานถวายเลย  อาหุๆ :z1:


เป็นกำลังใจให้นะคะ  ขอบคุณคุณคนโพสต์ด้วยนะคะ   :L2:



....  เห็นเม้นต์ตอนล่าสุดเพื่อนๆบอกว่า  เรียว เสร็จ เดียร์แว้ววววววววววววววววววว   อิอิ   กรี๊ดดดดดด 
ต้องรีบอ่านแล้ว :haun5: 
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 28-12-2008 15:26:27
 :mc4:ฉลองค่ะต้องฉลอง

ในที่สุดเดียร์ก็ได้ตัวเรียวแล้ว

อุตส่าห์รอคอยมานาน สมหวังแล้วหนอเดียร์

ได้พี่เรียวแล้วห้ามทิ้งห้ามขว้างพี่เรียวนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-12-2008 18:26:49
 :call: นับถือเก่งเน้อนายเดียร์ของเรา อิอิ


บทที่ 23



เด็กหนุ่มต่อว่าผม ท่าทางงอนๆ


“ก็มันขำนี่นา นายมีคู่ซ้อมเป็นตุ๊กตามิน่าล่ะ ถึงทำเป็นแต่ไม่รู้จังหวะไม่บันยะบันยังเอาเสียเลย จนก้นฉันแทบจะพังหมดแล้ว”


เดียร์เอามือมาลูบไล้สะโพกเปล่าเปลือยของผม แล้วก็ซุกจมูกไว้ที่ข้างแก้ม ทำท่าออดอ้อนเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วมาอ้อนผู้ใหญ่ไม่ให้โกรธตัวเอง


“ขอโทษครับ คราวหลังผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว จะทำกับเรียวนุ่มนวลที่สุดเลยนะครับ”


“อย่าเลย ไปฝึกฝีมือมาใหม่เถอะ แล้วค่อยมาว่ากัน เผื่อว่าฉันจะได้มีอารมณ์มากกว่านี้”
หลุดคำพูดออกไปแล้ว ก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองยิ่งนัก สิ่งที่ผมบอกเขา มันดูเหมือนเชิญชวนให้เขาทำกับผมในครั้งต่อไป


“ไม่ชอบคนไม่มีประสบการณ์เหรอครับ”


เขาถามผม ท่าทางน้อยอกน้อยใจ ดูสิ ถามออกมาได้ ถ้าเป็นผู้หญิง ผมก็ชอบนะที่จะได้ยุ่งเกี่ยวกับสาวบริสุทธิ์ เพราะดูน่าตื่นเต้นดี แต่ในบางครั้งผมกลับชอบคนที่มีประสบการณ์ ถ้าเพียงจะสนุกด้วยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำนี่สิ ผมจนคำตอบไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ถึงจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าผมอยากจะมีอะไรกันกับเขา



“อยากให้ผมมีประสบการณ์เยอะๆเหรอครับ ก็ทำได้นะ แต่คุณต้องร่วมมือกับผมนะครับเพราะนอกจากเรียวแล้ว ผมไม่คิดอยากจะมีอะไรกับใครอีก”


เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน


“บ้านะสิ นายก็ไปฝึกปรือกับเรียวจังสิ”

“พังไปแล้วอ่ะครับ เมื่ออาทิตย์ก่อนเองอ่ะ”


เดียร์ตอบเบาๆ ท่าทางอายมาก ผมหลุดหัวเราะก๊ากออกมา


“ทำไมเป็นแบบนั้นอ่ะ”

“ก็.....” เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ นิ่งอึ้งอยู่นาน กว่าจะสารภาพออกมา

“ผมอ่ะ ตั้งแต่ได้ใช้ปากไปกับเรียวน้อยแล้ว กลับไปบ้านผมก็มีอารมณ์อีก ก็เลยไประบายกับเรียวจังบ่อยๆอ่ะครับ ยิ่งคิดถึงเรียวมากเท่าไหร่ เรียวจังก็ทำงานหนักมาก เพราะเขาเป็นตัวแทนของคุณ ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีอารมณ์อยากมีอะไรกับเรียวทุกวันเลย แต่ว่าผมก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ตลอด มีแต่เรียวจังอ่ะครับที่เขาเข้าใจผม ยอมให้ผมมีอะไรด้วย ผมก็ใช้เขาเป็นตัวแทนเวลานึกถึงเรียวอ่ะครับ เขาก็เริ่มป่วย ร่างกายก็แย่ลง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เขาก็เสียชีวิตไปแล้วอ่ะ คาอกผมเลยอ่ะครับ......”



ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุดยั้ง ขำท่าทางและการพูดจาของเด็กหนุ่มลูกครึ่งมาก ดูท่าทางเขาจะอาลัยอาวรณ์เจ้าตุ๊กตายางที่ชื่อเรียวจังเหลือเกิน ทำอย่างกับว่าเจ้าตุ๊กตานั่นมีชีวิต



“โถ พ่อหนุ่มพลังม้า ก็ดูที่นายทำกับฉันสิ ฉันพอจะเดาได้เลยนะ ว่าเรียวจังของนายเจออะไรมาบ้างอ่ะ แล้วตัวนายก็ใหญ่โตขนาดไหน ใส่แรงเยอะขนาดนั้น ถ้าเขาเป็นคน ป่านนี้คงต้องเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ครั้งแรกๆแล้ว”


“แต่เรียวจังเขาก็ตายเพื่อที่จะหลีกทางให้ผมกับเรียวได้มีความสัมพันธ์กันจริงๆนะครับ นับว่าเขาเสียสละมากจริงๆนะ ฉะนั้น เราสองคนอย่าให้การตายของเรียวจังสูญเปล่าเลยนะครับ เราสองคนมาร่วมมือกันทำสิ่งมหัศจรรย์แห่งรักให้เกิดขึ้นดีกว่า ดีไหมครับ”


เด็กหนุ่มดึงไม้ดึงมือผมไปกุม ยิ้มหวานให้ เมื่อกี้ยังทำท่าเศร้าสร้อยอยู่เลย แต่ตอนนี้มีท่าทีระริกระรี้ เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ดวงตาเปี่ยมประกายความหวัง จนผมอดรู้สึกหมั่นไส้เด็กหนุ่มไม่ได้


“และแล้วไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ก็ต้องการจะสรุปตรงจุดนี้ใช่ไหม มาอีกแล้วไอ้มุขเข้าข้างตัวเองเพื่อหาประโยชน์นี่ เบื่อจะฟังแล้ว หามุขอื่นเถอะ”


ผมพูดดักคอเขาอย่างขำๆ พลางแกะมือเขาออกจากตัว พยายามจะลุกขึ้น เด็กหนุ่มทำหน้าเหรอหรา รีบถามผมว่าจะไปไหน ผมบอกเหนียวตัว เพราะเหงื่อออกเยอะมาก อยากไปห้องน้ำ เด็กหนุ่มกลับบอกผมว่าเหงื่อออกแบบนี้สิดี จะได้หายไข้ จากนั้นเขาก็ฉุดแขนผมให้กลับลงมานอนด้วยใหม่ พลางขึ้นมาคร่อมทับ แล้วซุกจมูกลงตรงซอกคอของผม แล้วดูดเบาๆ เล่นเอาผมสะท้านไปทั้งตัว พยายามจะผลักเขาออก แต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง



“เดียร์ ปล่อยเถอะ ฉันรู้สึกไม่สบายตัวจริงๆนะ อยากชำระล้างร่างกายให้สะอาด”


“แต่เรียวเป็นไข้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ ดูสิ ตัวยังร้อนอยู่เลย อาบน้ำแล้วเดี๋ยวไข้กลับมาอีกหรอก ผมเช็ดตัวให้ดีกว่าไหมครับ”


เด็กหนุ่มเอามือแตะที่หน้าผากผมเบาๆ เขาขมวดคิ้วเมื่อรับรู้ถึงความร้อนภายในร่างกายของผม แล้วก็แสดงความห่วงใยขึ้นมา ด้วยการอาสาจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ผมเลยค่อนขอดเขาไปว่า


“เมื่อกี้นายยังไม่เห็นจะสงสารฉันเลย ขนาดบอกว่าเป็นไข้ ก็ยังไม่ยอมรามือเลย ทีตอนนี้กลัวว่าฉันจะไข้ขึ้น พูดตอนนี้มันสายไปหรือเปล่า”


“ก็แหม ตอนนั้นมันโมโหอยู่นี่ครับ แล้วก็ได้โอกาสแล้วด้วยอ่ะ ถ้าผมไม่ชิงลงมือมีอะไรกับเรียวก่อน ผมก็วางใจไม่ได้ ดูท่าทางเพื่อนคุณคนนั้น ก็ชอบคุณไม่น้อยเหมือนกัน ผมไม่ปล่อยโอกาสให้เขาทำอย่างนั้นกับเรียวหรอก เลยต้องตีตราจองไว้ก่อนอ่ะครับ”


เขารีบอธิบายให้ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ทำลงไป ผมมองสบตาเขา แล้วกล่าวเสียงเข้มขึ้นมา


“อ๋อ เป็นอย่างนี้เองเหรอ นายถึงพยายามจะฝืนใจฉันทั้งที่ไม่สบาย เป็นไข้หนัก คราวหน้าคราวหลังอย่าทำแบบนี้กับฉันอีกนะเดียร์ ฉันไม่ยอมปล่อยให้นายทำแบบนี้แน่ ถือว่าเป็นข้อห้ามอีกข้อหนึ่งแล้วกัน ห้ามหึงหวงฉันจนเกินเหตุนะ ฉันพูดอะไรก็เชื่อกันบ้าง แล้วอย่าโมโหหึงแล้วฝืนใจฉันอีก เพราะว่ามันอาจจะทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันจากนี้ไปอย่างยากลำบากน่ะ”


“ครับ ตอนนี้เรียวเป็นของผมแล้ว ผมไม่ต้องหึงอีกแล้วล่ะ ใครก็มายุ่งกับเรียวไม่ได้แล้ว ”


เดียร์ผงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย เขากอดผมไว้ในอ้อมแขน แล้วจูบซุกไซร้ที่ซอกคอผมอย่างเมามัน จนผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่ออารมณ์ของผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีก


“ปล่อยฉันไปอาบน้ำเถอะนะ ฉันไม่เป็นไรหรอก อาบน้ำแล้ว ก็จะกินยาแล้วนอนล่ะ”

“งั้นผมไปอาบน้ำด้วยคนนะ”


เขาผละจากผม กระวีกระวาดลุกขึ้น แล้วยื่นมือมาให้ผมจับ ผมมองร่างเปลือยเปล่าของเขาที่ยืนอยู่ข้างเตียงแล้วก็เบือนหน้าหนี ถึงแม้ว่าบางส่วนมันจะสงบลงแล้ว แต่ผมก็ยังนึกครั่นคร้าม แม้ผมจะเคยเปลือยกายต่อหน้าผู้ชายมาบ้าง แต่นั่นมันก็สมัยเรียน รด.ที่ต้องอาบน้ำกันอย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยมีใครมาสังเกตสังกาใคร แล้วก็อยู่กันแบบยกโหล ไม่ใช่สองต่อสอง แถมยังหลังจากที่เราเพิ่งเสร็จสิ้นการมีอะไรด้วยกันอีก



ถึงยังไงผมก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี การมีอะไรกับผู้ชายนี่ ผมไม่คิดมาก่อนด้วยซ้ำ พยายามหาเหตุผลมาลบล้างความรู้สึกผิดในใจ กับความกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นเกย์ตามเด็กหนุ่มคนนี้ไป ทำให้ผมพยายามที่จะอยู่ห่างจากเขา แต่ยิ่งหนี เขาก็ยิ่งตามติด ทั้งออดอ้อนนัวเนียไม่ยอมห่าง นิสัยแบบเด็กๆของเดียร์บางครั้งก็ดูน่ารำคาญ แต่บางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกดี ยิ่งเขาทำราวกับว่าผมเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขาเท่าไหร่ ผมก็เทใจเอ็นดูเขามากยิ่งขึ้น



เมื่อไม่อาจจะอยู่ตามลำพังได้ ผมจึงปล่อยให้เดียร์ตามไปโดยดี เขาแทบจะประคองผมไปห้องน้ำด้วยซ้ำ หากว่าผมไม่ทำตาดุๆใส่เขา เดียร์ยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบ ตาจ้องมองเรือนร่างของผมไม่วางตา ผมขี้เกียจจะด่าเขา เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างมันออกมาจากใจที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม เลยไม่อยากถือสา แล้วก็ไม่อยากให้ความสำคัญมากจนกลายเป็นเรื่องใหญ่



แต่ผมคิดผิด สำหรับเจ้าเด็กบ้านี่ การนิ่งเฉยคือการยอมรับ หลังจากที่เขาก้าวตามผมไปยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวด้วยกัน เขาก็ทำตัวเกะกะ พยายามจะช่วยผมด้วยการฟอกเนื้อฟอกตัวให้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาดึงสบู่เหลวไปจากมือผม เทลงบนฝ่ามือ แล้วละเลงทำความสะอาดให้ผมทั่วตัว อ้อยอิ่งเนิ่นนานอยู่แถวร่างกายท่อนล่างของผม และแล้วนิ้วซุกซนของเดียร์ก็แทรกชอนไชเข้ามาในเรือนกายของผมอีกครั้ง



ผมสะดุ้งโหยง หนีบก้นเต็มที่ เดียร์ทำหน้าทะเล้น มองผมด้วยดวงตายวนยั่ว แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ก้มต่ำลงมาแนบชิดกับใบหน้าของผม เขาใช้สองนิ้วเชยคางผมแหงนหงายขึ้นเพื่อรับจุมพิตจากเขา



แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติเรียกร้อง เรามีอะไรกันอีกครั้งภายใต้สายน้ำที่ชุ่มฉ่ำนั่น คราวนี้เดียร์สำรวจร่างกายของผมอย่างอ่อนโยนนุ่มนวลไม่เน้นพลังเหมือนเก่า ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะปฏิเสธ เพราะใจรับไม่ได้กับการที่จะยอมรับว่าผมได้มีอะไรกับผู้ชายไปแล้ว แต่ไอ้เจ้าความรู้สึกหวาดหวั่นนั่นมันผสมผสานไปกับความรู้สึกอยากรู้อยากลอง และอำนาจฝ่ายหลังมีมากกว่า เหมือนว่าร่างกายของผมเปิดรับเดียร์ให้โอกาสเขาได้แก้ตัวอีกครั้ง ทำให้ผมยอมตามใจเขา โดยที่ไม่ขัดขืน แถมซ้ำยังร่วมไม้ร่วมมือให้เดียร์ล่วงเกินตัวเองอย่างเต็มอกเต็มใจ ผมทะลักทลายความสุขใส่ปากของเดียร์จนหมด เขารับแล้วกลืนมันลงไปด้วยความเต็มอกเต็มใจยิ่ง ท่าทางสุขสุดขีด



เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เราสองคนจะออกมาจากห้องน้ำ ผมตัวสั่นเทาอยู่ในผ้าขนหนูผืนใหญ่ ที่เดียร์ห่อหุ้มร่างของผมไว้ เขาพาผมมานั่งหน้าโต๊ะแต่งตัว เอาผ้าขนหนูมาซับน้ำจากร่างกายและศีรษะผมจนแห้งหมาด จากนั้นเขาก็ช้อนร่างผมมาอุ้มไว้ในวงแขน แม้ผมจะขัดขืนเขาด้วยการดิ้นหนี แต่เด็กหนุ่มก็ใช้แขนแข็งแรงล็อคตัวผมไว้จนได้ แล้วก็พามาวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนมาให้ผมใส่ชุดหนึ่ง



เดียร์ไม่ยอมยื่นมาให้ผมใส่ในทันที เขาก้าวขึ้นมานั่งบนเตียงกับผม ทั้งๆเนื้อทั้งตัวเดียร์กับผมมีเพียงผ้าขนหนูพันกายท่อนล่างเอาไว้ เดียร์ยิ้มหวานให้ผม ทำท่าประจบประแจง แล้วถามเสียงอ้อนๆว่า


“เมื่อกี้ดีขึ้นแล้วหรือยังครับเดียร์ ผมเก่งขึ้นบ้างไหม”


“ยังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม”


ผมแสร้งว่า เดียร์ทำหน้างอ ท่าทางไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด


“แต่เรียวร้องดังลั่นห้องน้ำเลยอ่ะ แถมจูบโต้ตอบผมตลอดเวลาเลยนะ อย่างนี้จะบอกว่าผมไร้ฝีมือ จนเรียวไม่เกิดอารมณ์อีกเหรอ”


เขาทำท่าน้อยใจที่ผมไม่พูดความจริง ผมอดยิ้มให้เขาไม่ได้


“ก็ได้ ดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังต้องปรับปรุงอยู่ดี”


“ถ้างั้นขอแก้มืออีกทีได้ป่ะครับ ผมนึกได้เมื่อกี้นี่เอง ว่ามันยังขาดเทคนิคบางอย่างอ่ะ”


เขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ผมรีบถอยกรูดไปยังหัวเตียง เอาก้นเบียดกับพนักไว้ ร้องด่าเด็กหนุ่มในใจอื้ออึง เจ้าเด็กบ้า โลภโมโทสัน ไม่รู้จักพอ เห็นผมไม่ว่าอะไร ก็ขอได้ขอเอา สองครั้งนี่ก็มากไปแล้ว ยังจะมาขอมีอะไรด้วยเป็นครั้งที่สามอีก



นึกว่าเป็นหนุ่มพลังม้าไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย หรือไง ทำอะไรไม่เคยเห็นใจคนอื่น เขาเป็นฝ่ายทำ ผมเป็นฝ่ายเจ็บตัว อย่างนี้มันไม่ยุติธรรมนี่นา ลองให้ผมเป็นฝ่ายทำบ้างสิ เขาจะได้รู้จักว่าเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร แต่ผมไม่ทำอย่างที่เขาทำหรอก ผมมีประสบการณ์แล้ว ผมเรียนรู้มามากว่า การทำให้คนรักของตัวมีความสุข ต้องนุ่มนวลอย่างไร แล้วเวลาไหนควรจะเร่งเร้า เวลาไหนควรจะรุนแรง เจ้าเด็กอ่อนหัดนี่ต้องเรียนรู้จากผมอีกเยอะ
ผมสะดุ้ง นี่แปลว่า ผมกำลังคิดที่จะมีอะไรกับเขาเหรอ คงไม่ใช่หรอก ผมแค่คิดเผื่อเอาไว้สำหรับวันข้างหน้า ถ้า เราจะต้องมีอะไรกันอีก ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายเจ็บก้นคนเดียวหรอก นายเดียร์ต้องโดนด้วย เขาจะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น โธ่โว้ย ไม่ได้อีกนั่นแหละ การคิดแบบนั้นไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่ ผมไม่ได้อยากเป็นเกย์ ไม่ได้อยากมีอะไรกับเกย์ด้วย ผมต้องท่องเอาไว้ จะได้ไม่ลืม ผมเป็นลูกผู้ชาย ต้องมีอะไรกับผู้หญิงเท่านั้น การมีอะไรกับเกย์เป็นเรื่องเสียเกียรติ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอีก



“อย่ามาฝึกกับฉันเลย ไปฝึกกับตุ๊กตายางเหมือนเดิมดีกว่า เอาไหม ฉันจะซื้อให้ ราคาเท่าไหร่ล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถึงแพงฉันก็จะซื้อให้ หรือจะเอาแบบเรียวจังอีก ฉันซื้อได้นะ”


ผมทำเป็นใจดีกับเด็กหนุ่ม อันที่จริง เพื่อหาหนทางเลี่ยงหนีมากกว่า


“ไม่เอาอ่ะครับ เรียวจังร่วมไม้ร่วมมือ ไม่ทำตัวยุ่งยากก็จริง แต่ว่า เรียวจังที่เป็นตุ๊กตาสู้เรียวตัวเป็นๆไม่ได้ เรียวจังไม่ด่า ไม่เคยร้อง หรือขัดขืน แล้วก็บอกผมไม่ได้ว่าใกล้จะถึงสวรรค์แล้วหรือยัง เอาแต่นอนนิ่งเป็นท่อนไม้ บางครั้งก็เล่นเอาหมดอารมณ์ได้เหมือนกัน”


เขาทำตาเยิ้มใส่ผม ก่อนจะพูดต่อ


“แต่เรียวของผมนี่ ร้องได้ ดิ้นได้ทุกอย่างเลยครับ แถมจูบโต้ตอบผมเก่งมากอีกด้วย เนื้อตัวของเรียวก็น่าจับที่สุด ตัวหอมมากๆเลย น้องชายของเรียวจังก็มีชีวิตจิตใจ สู้ไม้สู้มือผมตลอด จนผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่พยายามจะเอาชนะเรียวน้อย เวลาผมสามารถปราบเขาลงได้อย่างราบคาบ จนเขาคอตกน้ำลายฟูมปาก มันเป็นภาพที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดอ่ะครับ ตอนนี้ผมมีเรียวจริงให้กอด ผมไม่ไปสนเรียวจังตัวปลอมอีกหรอกครับ”
`   

“ลามก”


ผมว่าเขา เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาหยี พลางกระเถิบเข้ามาใกล้อีก พอเห็นว่าผมจะก้าวหนีลงจากเตียง เด็กหนุ่ม ก็คว้าตัวผมไว้ได้ทัน และดึงทีเดียว ผมก็ปลิวมาทาบอยู่บนตัวของเขา เด็กหนุ่มรีบพลิกให้ผมอยู่ใต้ร่างของเขา และยิ้มหวานให้


“อยู่ใกล้คนรักที่น่าฟัดแบบนี้ ไม่ลามกไม่ได้หรอกครับ”


เด็กหนุ่มยิ้มกรุ่มกริ่ม แล้วอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมไม่สามารถปัดป้องได้ เดียร์ก็ก้มลงมาฝังจมูกเข้าที่ซอกคอผมก่อนจะสูดเอากลิ่นกายผมเข้าไปฟอดใหญ่ เดียร์แกล้งผมด้วยการดูดเน้นไปตรงนั้นตรงนี้ ทั้วทั้งลำคอและแผ่นอก มือซุกซนเริ่มไม่อยู่นิ่ง สอดเข้ามาตามรอยแยกของผ้าขนหนูแล้วลูบคลำเด็กน้อยใต้ร่มผ้าของผม จนคึกคักตื่นเต้นอีกครั้ง



เดียร์เลื่อนตัวลงมาหาแล้วกระตุกปมผ้าเช็ดตัวของผมออกเบาๆ จากนั้นใบหน้าหล่อเลาของเขาก็ฝังอยู่กลางลำตัวของผม


“ไหนดูสิ ว่าเป็นอะไรมากไหม ผมจะเยียวยาให้หายเจ็บเลย”


เด็กหนุ่ม ช้อนก้นผมขึ้น แล้วใช้ลิ้นแลบเลียไปตรงที่ที่เขาทำให้ผมเจ็บจนระบม เดียร์ใช้ลิ้นอยู่บริเวณนั้นเนิ่นนาน ผมต้องแอ่นตัวด้วยความซ่านสยิว เด็กหนุ่มยิ้มให้ผม ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปปลุกเร้าความรู้สึกให้ผมอีกครั้ง



ทุกอย่างหมุนเวียนไปเหมือนกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เราสองคนผนึกเป็นร่างเดียวกันอีกครั้ง โดยที่ผมไม่ได้ขัดขืนอะไรอีกเช่นเคย ร่างกายของผมเปิดรับการรุกรานจากเขาเต็มที่ด้วยความกระสันต์ซ่าน เด็กหนุ่มอ่อนโยนกับผมมากกว่าเดิม คราวนี้เขาเรียนรู้วิธีการเร่งเร้าและผ่อนปรนให้กับผม ทำให้ผมรู้สึกสุขถึงขีดสุด
ตอนที่เดียร์ถอนตัวออกไปจากผมนั้น ผมหมดสิ้นเรี่ยวหมดแรงจนต้องนอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมกอดของเขา เด็กหนุ่มเวียนจูบผมไปมาด้วยความรักใคร่ สักครู่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน จากผมและเขา มันเป็นเสียงท้องที่ร้องอุทธรณ์ด้วยความหิว เพราะเราสองคนยังไม่ได้ทานข้าวกันตั้งแต่เย็น สำหรับผมแล้ว ตั้งแต่นอนซมเมื่อวันศุกร์ก็ได้ทานอะไรน้อยมาก แต่เพราะมีเรื่องอื่นเข้ามาวุ่นวายจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปสนิท พอทุกอย่างสงบลง ความหิวก็บังเกิด เราสองคนมองตากันแล้วหัวเราะ จากนั้นก็หาเสื้อผ้ามาสวม แล้วเดินลงไปหาอะไรกินข้างล่างพร้อมกัน



เดียร์ทำอาหารให้ผมอย่างมากมาย แต่เนื่องจากผมยังเพลียเพราะผิดไข้ ทำให้ผมทานอะไรได้ไม่มาก แต่เด็กหนุ่มเป็นเทศบาลกวาดจนเกลี้ยง เขากินได้น่าอร่อยมาก ท่าทางเหมือนคนหิวจัดหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนัก ผมอดยิ้มให้เขาไม่ได้



หลังจากทานอาหารเสร็จ และเก็บกวาดเรียบร้อย ผมเอายามาทาน แล้วก็ขึ้นบันไดไปยังห้องนอน โดยมีเดียร์เดินตามผมต้อยๆ หน้ายิ้มละไม


“ไปนอนได้แล้ว”

ผมบอกเขา เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ครับ ก็จะไปนอนอยู่นี่ไง เปิดประตูสิครับ ผมจะได้พาคุณนอนด้วย”

ผมยกมือห้าม พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วน

“ใครบอกว่าฉันจะให้นายนอนด้วย นี่มันห้องของฉัน นายมาส่งแค่นี้แล้วก็ไปได้แล้ว ที่นอนของนายอยู่ตรง
โซฟาในห้องรับแขกโน่น ไม่ใช่ข้างบนนี่”


เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ทำท่าทางเหมือนเด็กที่ดีใจได้ของเล่น แล้วจู่ๆก็ถูกกระชากกลับคืนไป


“อ๊า อะไรกันครับ ทำไมผมต้องลงไปนอนข้างล่างด้วยอ่ะ ก็เมื่อกี้เรายังนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงอยู่เลย ทำไมถึงไล่ผมไปเสียล่ะ เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่มันไม่มีความหมายเลยเหรอ”


“พูดมากน่า บอกให้ไปนอนข้างล่างก็ไปสิ”

“ก็มันเพราะอะไรล่ะครับ ผมอยากรู้ ทั้งๆที่เราก็มีอะไรด้วยกันแล้ว แต่ทำไมผมจึงไม่สามารถนอนในห้องของเรียวได้อ่ะ”


เขาคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ เหมือนเด็กที่กำลังงอแง จะแย่งเอาของที่เสียไปคืนมา


“ฉันไม่ชอบนอนกับคนอื่น เคยนอนคนเดียวมาตลอด ไม่ชินกับการมีคนอื่นอยู่ในเตียงด้วย ต้องขอโทษทีนะ”

“ไม่เอาอ่ะเรียว เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนะ ผมเป็นอะไรกับเรียวอ่ะ บอกมาสิ เป็นสามีของเรียวแล้วนะ เมื่อกี้นี้ผมเข้าๆออกในตัวเรียวตั้งหลายครั้ง แล้วเรียวก็ยอมให้ผมทำทุกอย่างอ่ะ จะมาไล่กันง่ายๆ ผมไม่ยอมหรอก
คนเป็นเมียอ่ะ ทำอย่างนี้กับสามีได้ยังไง”

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-12-2008 18:27:12

เด็กหนุ่มพูดสองคำนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำ โดยไม่รู้สึกอะไรสักนิด ส่วนผมกลับรู้สึกประดักประเดิดเมื่อเขาบอกกับผมว่าเขาเป็นสามี แล้วผมก็เป็นเมียเขา ผมรู้สึกขนลุกยังไงบอกไม่ถูกก่อนหน้านั้นเคยทำหน้าที่เป็นสามีคนอื่น ไม่เคยนึกเลยว่า พอหลายเดือนให้หลัง ผมกลับต้องมีสภาพเป็นเมียของคนที่เป็นเกย์


“ไปเรียกร้องเอาที่อื่นเถอะ ฉันไม่ใช่เมียนาย ไปนอนได้แล้ว อย่ามากวนฉันนะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”


ผมไล่เขาเสียงแข็ง เดียร์งอแง ท่าทางน้อยอกน้อยใจเต็มที่ ผมไม่สนใจเปิดประตูห้อง แล้วก้าวเข้าไป หันมาทำตาดุใส่เดียร์ที่เขาพยายามจะตามเข้ามา เขาทำงอ คิ้วขมวดมุ่น ตาแดงๆ ผมปิดประตูต่อหน้าเขา ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป


“ใจร้าย ใจดำที่สุด เมื่อกี้ก็มีความสุขด้วยกันแท้ๆ แต่ทิ้งผมให้นอนคนเดียวเฉยเลย”


เด็กหนุ่มโวยวายอยู่นอกห้อง แต่ได้ยินเข้ามาถึงข้างใน เขาตบประตูปึงปัง


“ออกมารับผมไปนอนด้วยคนสิครับ เรียว อย่าให้ผมอยู่ข้างล่างเลย ผมเหงานะ”


“.........”


“จูบราตรีสวัสดิ์ก็ยังไม่ได้ทำ กอดก็ยังไม่ได้กอดเลย แล้วผมจะนอนยังไงเนี่ย”


“........”


“เรียวไม่สบายอยู่ในนั้นคนเดียว เดี๋ยวถ้าเกิดป่วยหนักขึ้นมา จะทำอย่างไร ผมเข้าไปดูแลไม่ได้ด้วยอ่ะ ให้ผม
เข้าไปเถอะนะ ผมสัญญาว่าจะไม่กวนเรียวเลยจริงๆนะ”


“.........”


“เรียวอ่ะ ทำไมใจร้ายแบบนี้ ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ทิ้งให้ผมนอนหนาวอยู่ข้างนอกคนเดียวได้ไง ในวันที่เราเพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขมาด้วยกันอ่ะ”


“.........”


“ถ้าเรียวไม่ให้ผมเข้าไป ผมจะนอนเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างนี้นะ อย่างน้อยๆ ผมก็ได้อยู่ใกล้ๆเรียวคนที่ผมรัก แล้วถ้าหากมีอะไร ผมจะได้ช่วยเหลือเรียวได้อ่ะ”



ผมตัดสินใจเปิดรับเด็กหนุ่มเข้ามา หลังจากที่ยืนเงียบ เอาหลังพิงประตู ฟังคำพูดโวยวายของเขามาตั้งนาน รู้สึกรำคาญถ้าหากเจ้าบ้านี่ จะรบกวนผมทั้งคืนด้วยเสียงอันดัง จึงตัดใจยอมให้เขามานอนด้วย เด็กหนุ่มยิ้มอย่างประจบประแจง ส่งตาหวานเชื่อมมาให้ ท่าทางระริกระรี้ เมื่อผมยอมให้เขาเข้ามานอนในห้องได้ เดียร์เดินตรงเข้ามานัวเนียจะกอดผม แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ เดินไปที่เตียงนอน แล้วเอาหมอนข้างมาคั่นกลาง



“นายนอนข้างนั้น ฉันนอนข้างนี้ ห้ามมารบกวนฉันยามดึกยามดื่น ฉันเหนื่อย และเพลียมากแล้ว อยากนอนพัก ห้ามนอนกรน ห้ามเปิดไฟ และลุกเสียงดังเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”


“คร๊าบบบบบบ”


เดียร์รับคำเสียงอ่อนเสียงหวาน จากนั้นก็รีบก้าวขึ้นเตียง เหมือนกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจ ผมดับไฟในห้องจนหมด อาศัยเพียงแสงไฟนีออนจากเสาไฟฟ้าข้างถนนที่ส่องลอดเข้ามาตรงหน้าต่าง จากนั้นก็ก้าวขึ้นเตียงแล้วพยายามข่มตาลง แต่ผมไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้


“อย่าพลิกตัวไปมาสิ รบกวนสมาธิฉัน เดี๋ยวนอนไม่หลับ”

“คร๊าบบบบบผม”



เสียงพลิกตัวหายไป แต่เสียงถอนหายใจกลับดังขึ้นแทน


“ถอนหายใจเฮือกๆทำไม หายใจไม่ออกหรือไง”

“เปล่าครับ”


เด็กหนุ่มตอบมาเสียงอู้อี้ เหมือนคนที่เอาหมอนอุดปากอุดจมูกไว้


“ถ้างั้นก็อย่าถอนหายใจบ่อยสิ คนจะหลับจะนอน บอกแล้วว่าอย่ารบกวน”


“ก็มันนอนไม่หลับนี่ครับ”


เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ


“ทำไมอีกล่ะ”


ผมชักรำคาญความเรื่องมากของเขาแล้ว


“ไม่ได้เอาตุ๊กตาหมูเรียวจังมาอ่ะครับ ตามปกตินอนกอดทุกคืน แต่คืนนี้ไม่ได้กอดมันโหวงเหวงอ่ะครับ นอนไม่หลับเลย”


“เรื่องมากจังเลยนะ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”


“ก็อยู่ด้วยกันทุกคืนนี่ เรียวให้ผมกอดแทนหมูเรียวจังได้ไหมอ่ะครับ นะนะ”



เขาทำเสียงอ้อน ผมถอนหายใจ ไม่พูดอะไร นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าอนุญาตให้เขาเข้ามานอนด้วยเลย เด็กหนุ่มใช้มุขเดิมๆหยั่งเชิงกับผมว่า ถ้าไม่ตอบ แปลว่ายอมรับนะ ผมก็เฉยอีก แต่แว่วได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสจากปากเขา จากนั้นหมอนข้างก็ถูกดึงออก แล้วแขนแข็งแรงก็เอื้อมมารั้งผมไว้แนบกับอกอุ่นๆของเขา



“ถ้าทำแบบนี้ ผมนอนหลับแน่ๆครับ แล้วก็จะไม่ลุกมากวนคุณอีก เรียวเองก็หลับในอ้อมแขนผมนี่แหละ ผมจะคอยดูแลคุณทั้งคืนเลยนะครับ”


เป็นครั้งแรกที่ผมหัวใจอุ่นขึ้น ด้วยถ้อยคำที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยนั้น เด็กหนุ่มซุกจมูกลงที่ซอกเขาของผมแล้วหอมฟอดใหญ่ ก่อนจะแตะปากลงไปเบาๆตรงตำแหน่งที่เขาหอม แล้วจูบอย่างรักใคร่ ผมขนลุกเกรียว รู้สึกสุขสงบอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่เขาจะหลับไป เด็กหนุ่มพึมพำข้างหูผมเบาๆ


“ฝันดีนะจ๊ะ เมียจ๋า”


ชิชะ ใครเป็นเมียของนายกัน ผมคิด โมเม ขี้ตู่ที่สุด อย่านึกนะว่ามีอะไรด้วยถึงสามครั้ง จะเปลี่ยนใจผมให้กลายเป็นเกย์ไปได้ ผมไม่มีวันเป็นในสิ่งที่เขาต้องการหรอก คอยดูต่อไปสิ



เสียงหายใจของเดียร์ทอดยาวสม่ำเสมอ ผมเอี้ยวตัวมองใบหน้าหล่อเหลานั่น จากแสงไฟที่ส่องเข้ามา ทำให้มองเห็นดวงหน้าของเขาอย่างชัดเจน เขาหลับตาพริ้ม ขนตางอนยาวเป็นแพดกหนาทาบผิวแก้ม เหมือนพัดที่คลี่ออก มีรอยยิ้มระบายจางๆอยู่ที่มุมปาก สองแขนของเขายังโอบกอดผมไว้แนบแน่น



ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่สามารถข่มตาลงได้ รู้สึกสับสนในใจอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตผมจากนี้จะเป็นยังไงหนอ การพลาดมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เนื่องจากอารมณ์พาไป มันจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรตามมาหรือเปล่านะ ไม่น่าปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย



ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายหายวับไปกับความอยากรู้อยากลองของตัวเอง ต่อจากนี้ไป ผมจะมองหน้าใครได้ ทั้งอรจิรา และผู้บริหารคนนั้น ไหนจะเจ้าสันต์ และศักดิ์ชายอีก หากรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะปฏิบัติต่อผมอย่างไร จะชิงชังรังเกียจไม่คบด้วยหรือเปล่า หรือจะนินทาว่าร้ายให้เสียหายต่อหน้าที่การงาน ทำให้ผมถูกดูหมิ่นดูแคลน ไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากคนทั่วไป



ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม แต่ผมก็ไม่อยากจะโทษว่าเป็นความผิดของเดียร์ทั้งหมด เด็กหนุ่มคนนี้รักผม เขาตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกของตนเอง เมื่อเขาต้องการทำอะไร ยากเย็นแค่ไหนก็ต้องทำให้สำเร็จจงได้ ผมน่ะแหละที่ไม่ยืนกรานบนสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ปล่อยให้อารมณ์ใคร่เข้าครอบงำ โดยไม่คิดถึงผลเสียที่มันจะตามมา แล้วก็มานั่งเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ผมคิดว่าผมไม่มีวันกลับมาเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองเหมือนเดิมอีกแล้ว



แต่เสียงหนึ่งก็บอกกับตัวผมว่า สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายอะไร มีถมเถไปที่ผู้ชายที่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน ตอนหลังก็แต่งงาน มีครอบครัวที่มีความสุข เขาแค่หาประสบการณ์ใหม่ๆในเรื่องเซ็กส์เท่านั้น ไม่ได้กลายเป็นเกย์ตามไปด้วย มันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะมีความสุขให้กับตัวเอง ยิ่งเป็นผู้ชายแบบผม ยิ่งไม่เสียหายอะไร การคิดแบบนี้มันดีตรงที่ช่วยทำให้ผมรู้สึกรังเกียจตัวเองน้อยลง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ค่อยชอบใจอยู่ดี



คำเรียกขานที่เดียร์เรียกผมว่า “เมีย” ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท นี่ผมกลายเป็นเมียของเขาไปแล้วจริงๆเหรอ บ้าน่า ผู้ชายต่อผู้ชายมีอะไรกันแล้วจะเรียกกันว่า เป็นผัวเป็นเมียได้ไง ถ้าไม่เรียกคำนี้ แล้วผมเป็นจะเป็นอะไรล่ะ “คู่ขา” งั้นเหรอ คำนี้ก็ไม่ดีอีก “คู่เกย์” ก็ยิ่งไม่ใช่ ผมไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย แล้วทำไมผมต้องเป็นฝ่ายถูกทำด้วย ทำไมผมไม่เป็นฝ่ายรุกเขาบ้างล่ะ โอ๊ย ถ้าคิดจะเป็นฝ่ายทำเขา ก็แสดงว่าผมต้องยอมให้มีครั้งต่อไปอีกสิ แปลว่าผมอยากได้เขา แล้วเขาจะกลายมาเป็นเมียของผมหรือเปล่า ไม่เอานะ เมียที่เป็นผู้ชาย ผมไม่เห็นจะชอบเลย แต่ว่า ถ้าผมไม่ทำแต่ ปล่อยให้เขาทำ ผมก็จะกลายเป็นเมียของเขา ไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่ดีทั้งสองอย่าง ผมไม่ได้อยากเป็นทั้งสามีหรือเมียของเกย์ ทำไมเรื่องพวกนี้มันจึงได้วุ่นวายและยากเกินกว่าความเข้าใจของผมนะ



ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ด จนต้องหลับตาลง ช่างมัน ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ต้องพยายามระมัดระวังตัวขึ้น ไม่เข้าใกล้เจ้าเด็กนี่มากจนเกินไป ต้องไม่ใจอ่อนเวลาเขามาทำออดอ้อนใส่ ไม่สงสาร ไม่เห็นใจ หรือนึกเอ็นดูเขาทั้งนั้น ต้องรักตัวเอง จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง



หลังจากหลับยาวไปตื่นเอาตอนเที่ยง ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้น หัวหน้าผมโทร
มาถามไถ่ว่าทำไมผมถึงไม่ไปทำงาน ผมตอบเขาไปด้วยเสียงแหบแห้งว่าไม่สบายมาก เขาไม่ว่าอะไร เขาเจอศักดิ์ชาย แล้วเจ้านั่นบอกเขาว่าผมไม่สบายมาก หัวหน้าบอกให้ผมพักผ่อนให้มากๆ ผมกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นก็โทรไปหาผู้ช่วยของผม ให้ช่วยดูแลให้เด็กๆในแผนกทำงานกันให้เรียบร้อย สั่งจุ๋มให้ตรวจดูอีเมล์ของผม และข่าวสารต่างๆ อะไรสำคัญมาก ก็ให้ใส่แฟ้มไว้ ผมจะเข้าไปดู สั่งงานเสร็จผมก็วางหู นอนหมดแรงอยู่บนเตียง



เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง วันนี้เขาบอกผมว่าเขาลางานมาดูแลผม เนื่องจากผมไม่สบายมาก ตัวร้อน เขาต้มข้าวต้มมาให้ทาน ดูแลผมให้ทานยา แล้วก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ จากนั้นก็ปล่อยให้ผมนอนพัก ส่วนตัวเขาช่วยไปทำความสะอาดบ้าน และดูแลเรื่องข้าวน้ำให้เจ้าหญิง ท่าทางของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความสดชื่น ต่างจากผมซึ่งงอมด้วยพิษไข้ต้องนอนซมอยู่บนเตียง เดียร์เข้ามาดูผมเป็นระยะ มาคลอเคลีย กอดจูบ ไม่กลัวว่าจะติดไข้ตามไปด้วย



ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่เด็กหนุ่มดูแลผมด้วยความเป็นห่วง เขาพูดหวานๆ และยิ้มให้ผมตลอด เห็นหน้าเขาแล้วผมรู้สึกมีความสุข ชีวิตที่เหงาๆของผม ตั้งแต่รับเด็กนี่เข้ามา ดูวุ่นวายระคนตื่นเต้น รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่า เมื่อมีคนมาให้ความสำคัญกับเราอย่างที่เดียร์กำลังทำกับผม เขาเอาใจใส่ดูแลผมอย่างดี ทำตัวเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลทุกอย่างเพื่อให้ผมสบายใจ



สำหรับเขาแล้ว ผมคงเป็น “เมีย” ที่เขารักมาก แล้ว สำหรับผมล่ะ จะยอมรับสภาพการเป็น “เมีย” ที่เขายัดเยียดให้ได้อย่างพึงพอใจล่ะเหรอ ผมไม่กล้าตอบตัวเอง นึกหวั่นกับวันข้างหน้า ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกหลายอย่างขัดแย้งกันอยู่ในใจ จะปล่อยเลยตามเลย หรือจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดี



เอาไว้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าแล้วกัน รอให้ผมหายป่วยแล้วค่อยมาคิดอีกที ตอนนี้ขอมีความสุขที่เป็นคนป่วยแล้วมีคนดูแลดีกว่า เดียร์พร้อมและเต็มใจที่จะปรนนิบัติผมอย่างเต็มที่ ผมก็ควรจะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ต้องการ ในเมื่อต่างคนต่างได้ประโยชน์ ก็อย่าทำอะไรหักหาญน้ำใจเขาดีกว่า การมีคนอยู่เคียงข้างยามเหงา ย่อมดีกว่าอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีใคร ผมไม่ควรจะคิดอะไรให้มันวุ่นวายนัก คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็หลับตาลงอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มที่รักผมมากที่สุด




จบภาคสอง

*******************
 :z1: จบแล้วจ้าเด่ยวขึ้นกระทู้ใหม่ภาค 3 นะ
 :bye2: แล้วเจอกันจ้าาาาาาาาาาาา
.
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 28-12-2008 22:20:36
ขอบคุณค่ะ เลือดแทบหมดตัวกันเลยทีเดียว

รอภาค 3  :mc4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-12-2008 13:47:51
เจอกันภาค 3  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 29-12-2008 15:31:12
วิ่งมารอภาคสามด้วยคนค่ะ

พร้อมกับร่วมไว้อาลัยให้เรียวจัง ที่ต้องพลีชีพในหน้าที่

ไปดีเถอะนะเรียว

เสียสละเรียวจังเพื่อได้นอนกับเรียวตัวจริง

ฟังแล้วสงสารเรียวจังเหมือนกันเนอะ (คิดแล้วเหอะๆๆ เรียวจังท่าทางจะโดนใช้งานสมบุกสมบันจนคุ้มเลยล่ะ)
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 29-12-2008 16:13:13
ในที่สุด เสร็จจนได้เรียวจัง
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 29-12-2008 18:12:49
ว้าววว   จบภาค2  แล้วรอภาค3  นะคะ 

ขอบคุณคุณไต๋นะคะ  ที่โพสต์ให้อ่าน  สงสัยนิดนึง  เห็นไต๋rep. แล้วชอบใช้ตัวหนังสือสีเหลือง  มีนัยยะอะไรรึเปล่าคะ    o18   สงสัยเป็นคนที่ชอบสีเหลืองน่าดู   :กอด1:   


เดียร์น่ารักกกกกกกกกกกก  จุ๊บ   :pighaun:

หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 29-12-2008 19:48:26
 :z13: จิ้มWOON-Yก่อน
ก็ทำให้ถามไง อิอิ :eiei1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 29-12-2008 22:01:14
ภาค 2 จบแล้ว

ขอบคุณพี่ปี้แอน สุดสวย

น้องเดียร์ ทำสำเร็จแย้วโฮ่ะๆ

ถึงแม้ จะตะบี้ตะบัน เหมือนม้าศึก ที่เพิ่งออกรบครั้งเเรก  ก้อตาม  อิอิ   :z1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 30-12-2008 10:37:44
สวัสดีค่ะพี่เคท  เพิ่งตามอ่านค่า ตอนถึงถึง page 12 อิอิ ^^

ชอบเดียร์จัง  น่ารักและน่าสงสารมากๆๆๆๆอ่ะ   เรียวก็ใจแข็งเหลือเกิน   เย็นชาเกินไปแล้วนะ 
เป็นเราหน่อยไม่ได้   จะจับตัวเองใส่พานถวายเลย  อาหุๆ :z1:


เป็นกำลังใจให้นะคะ  ขอบคุณคุณคนโพสต์ด้วยนะคะ   :L2:



....  เห็นเม้นต์ตอนล่าสุดเพื่อนๆบอกว่า  เรียว เสร็จ เดียร์แว้ววววววววววววววววววว   อิอิ   กรี๊ดดดดดด 
ต้องรีบอ่านแล้ว :haun5: 

ขอบคุณมากๆค่ะ ที่เป็นกำลังใจให้กับนิยายเรื่องนี้ และขอบคุณที่ชอบเรียวกับเดียร์ค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 30-12-2008 10:45:55
ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามเรื่องราวของเรียวกับเดียร์มาตลอดนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ และหวังว่าทุกคนจะสนุกสนานกับฟิคเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 30-12-2008 12:40:03
+1 สำหรับคุณเคทนะคะ   สำหรับนิยายดีๆที่เอามาเผื่อแผ่ให้ได้อ่านกัน   แล้วก็ขออวยพรปีใหม่ไปพร้อมๆกันเลย  สุขสันต์วันปีใหม่  ขอให้เป็นปีดีๆสำหรับคุณเคทนะคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 30-12-2008 13:55:50
ขอบคุณมากๆค่ะ มีนิยายเรื่องใหม่ๆอีกมากมายที่อยากเอามาลงค่ะ ช่วงหนึ่งหายไปจากที่นี่ไม่ได้ไปลง เพราะมีภารกิจหนีตามหนุ่มที่รักสองคน ฮ่าฮ่าฮ่า เลยหายไปช่วงหนึ่งตอนนี้กลับมาแล้ว ค่ะ มาทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง และเพื่อลบความดูถูกของคนใจแคบบางคน (ไม่ใช่คนในเวปนี้นะคะ)
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 30-12-2008 17:02:04
:z13: จิ้มWOON-Yก่อน
ก็ทำให้ถามไง อิอิ :eiei1:


O.K ค่ะพี่ไต๋    (เนียนเรียก o18)เข้าใจละ   :o    >>> o12     


สวัสดีค่ะพี่เคท  เพิ่งตามอ่านค่า ตอนถึงถึง page 12 อิอิ ^^

ชอบเดียร์จัง  น่ารักและน่าสงสารมากๆๆๆๆอ่ะ   เรียวก็ใจแข็งเหลือเกิน   เย็นชาเกินไปแล้วนะ 
เป็นเราหน่อยไม่ได้   จะจับตัวเองใส่พานถวายเลย  อาหุๆ :z1:


เป็นกำลังใจให้นะคะ  ขอบคุณคุณคนโพสต์ด้วยนะคะ   :L2:



....  เห็นเม้นต์ตอนล่าสุดเพื่อนๆบอกว่า  เรียว เสร็จ เดียร์แว้ววววววววววววววววววว   อิอิ   กรี๊ดดดดดด 
ต้องรีบอ่านแล้ว :haun5: 

ขอบคุณมากๆค่ะ ที่เป็นกำลังใจให้กับนิยายเรื่องนี้ และขอบคุณที่ชอบเรียวกับเดียร์ค่ะ

ชอบมากค่ะพี่เคท  อ่านไปยิ้มไปกับความน่ารักของเดียร์  อิอิ   

+1  ให้พี่เคท
+1  ให้พี่ไต๋ด้วยค่ะ   จุ๊บบ :o8:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 31-12-2008 18:03:28
พี่ไต๋คะ  ขึ้นทู้ใหม่ยังอ่ะ  ?  หรือยังไม่ขึ้น  วุ่นหาไม่เจออ่ะ   :m26:

คิดถึง  DEAR+RYO  แว้วววววววววววว   :m11:

สวัสดีใหม่ค่า   :L1:


หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 01-01-2009 01:32:04
(http://i242.photobucket.com/albums/ff298/akapong999/glitter/newyear/09-12-2008_06.gif)
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 08:12:43
 :z2: ยังจะวันนี้จะขึ้นกระทู้ใหม่ ภาค3 ตอนเย็นๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 02-01-2009 12:21:25
ขอบคุณน้องไต๋ค่ะ สำหรับภาคสาม ถ้าน้องไต๋จะขึ้นใหม่ ช่วยลากลิงค์นี้ไปโพสต์ด้วยเน้อ จะได้ตามอ่านกันได้ถูกจ้า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-01-2009 14:19:25
daimond are forever
ผม เคย อ่านเรื่อง นี้ ที่ ไหน สักแห่งหนึ่ง

แต่ก็จามม่ายได้

จามได้แค่ว่า  อ่านได้ แค่ ตอนแรก แล้ว หายไปเรย


แล้ว มาเจอ อีกที ที่ นี่

อ่านรวดเดียว จบ เรย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 05-01-2009 21:26:44
 o13
 :oo1:
 :m25:
 :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 08-01-2009 14:45:55
ขอบคุณคนโพสต์และทุกๆคนมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: tuktukta ที่ 08-01-2009 15:49:03
และแล้วเราก้อตามจนเจอ

อ่านค้างมาจากที่อื่น แต่มาเจอในนี้จนได้

เปนกำลังใจให้เดียร์มานานและ ในที่สุดเรียวก้อใจอ่อนซะที

เสียดายมากเลยอ่ะ ที่ซื้อหนังสือได้แค่เล่ม 1 เล่มเดียวเอง

เมื่อไหร่เล่ม 2 เล่ม 3 จะตามมาอ่ะค่ะ รออยู่นะค๊า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: everytime ที่ 28-03-2009 20:02:40
 :pighaun: คืนเดียวก็ 3 รอบแล้ว  :laugh:



 :impress2: ไปอ่านภาค 3 ก่อนนะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: jele ที่ 30-03-2009 14:25:29
 :haun4:

สนุกอิอิ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 16-04-2009 03:00:35
ภาค3ก่ะมันส์ :haun4:
 o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 22-12-2009 10:47:40
สนุกมากกกกกกกก  ชอบๆๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: No_Idea ที่ 04-01-2010 22:58:04
มารอภาคสามนะคะ ว่าแต่เดียร์นี่หื่นใช้ได้เลยนะ 555
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: harusame ที่ 12-01-2010 23:51:10
อ่าาา หนุกดี ๆ แต่ว่ายังไม่ได้อ่านภาค 1 เลยอ่ะ //เคร้าา
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 26-01-2010 21:26:41
สนุกมากเลยค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Phelyra ที่ 23-02-2010 11:24:09
ขอบพระคุณมากค่ะพี่ Katesnk และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องค่ะ  o1 o1 o1
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: darkeyes1 ที่ 23-04-2010 03:07:35
น่ากลัวจัง  เริ่มมาก็ดูแนวกักขังขืนใจ  มีการขู่  มีการอาศัยนิสัยเขอเป็นเครื่องมือ แล้วก็จบที่ตอนนี้  เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 24-04-2010 19:55:18
 o13

 o13

 o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Nanzari ที่ 01-05-2010 11:28:44
สนุกจัง  o13
จะไปอ่านภาคสามต่อ  :L2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Laxxeez ที่ 22-05-2010 14:24:25
ขอบคุณนะคับเป็นเรื่องแรก ๆ ที่ได้อ่านเลย แต่มาจบที่เว็บนี้ o13
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Annetemis ที่ 22-06-2010 09:50:43
ขอบคุณค่ะพี่เคท :3123:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 17-08-2010 16:10:54
ToT
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 up!ทุกวันจ้า By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kokikung ที่ 18-08-2010 19:54:50
สนุกมากกกกกกก

อ่านไปฮาไป

ฮาหลายๆๆอย่างเดียร์ทุ่มสุดตัวจริงๆๆๆๆ

เรียวยอมรับรักสะทีสิ

มารอภาค3
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 08:27:50
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Fill ที่ 18-04-2011 00:19:31
Nice!
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: nishiauey ที่ 18-11-2011 11:25:24
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 18-11-2011 16:10:14
น่ารักอ่ะ ฮ่าด้วย
สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: puu142 ที่ 22-11-2011 11:56:36
             
.................อ่านจบทั้ง 2 ภาค  แล้วครับ...................เขียนได้ดีครับ.................ขอขอบคุณนะครับที่แต่งนวนิยายดีๆ ให้ได้อ่าน

ตอนนี้ก็รอติดตามผลงานภาคที่  3 อยู่    คิดว่าไม่น่าจะนานใช่มั๊ยครับ.................
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 24-11-2011 17:25:32
เดียร์คงรักเรียวมากกกกกกกก

แต่จับมาแบบนี้มันก็ไม่ควรเท่าไร แต่ก็ดีน่ะนะจะอยู่ใกล้กัน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 25-11-2011 02:59:59
นับถือในความพยายามของเดียร์จริงๆ

แต่ละเรื่องที่ทำ ก็ทำเพื่อเอาในเรียวทั้งนั้น

ขอบคุณนะคร๊าบบบบบบ ^^

ปล.อยากทานอาหารฝีมือเดียร์จัง
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Number1_90 ที่ 07-12-2011 17:32:10
ผู้ชายเเบบเดียร์นี่หาได้ที่ไหนอ่ะ

เป็นคนดีมากกกกก  :m3: :m3:

เป็นเราคงใจอ่อนเเล้วอ่ะ ทำดีกับเรียวทุกอย่าง

รอภาค 3 นะคะ  :z2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: TinyB ที่ 26-06-2012 08:42:08
อ่า ตามอ่านตั้ง3วัน ภาค1และ2 สนุกมากเลย
พี่เรียวใจแข็งเป็นบ้าอ่ะ แต่สุดท้ายก็เสร็จเดียร์จนได้ คึคึิ  :o8:

เสร็จด้วยความสมยอมด้วย ถือว่าไม่ผิดกฎ  :m11:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: rukmak ที่ 01-07-2014 20:51:49
สนุกจังเลย :pig4:
 เรียวนี่ใจแข็งได้โล่เลย    :z3:  บางทีก็สงสารเดียร์ 
เดียร์น่ารักแสนดี ต่อเรียวขนาดนี้ :-[  อ่านภาค3ต่อดีกว่า
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 23-08-2014 16:55:33
กว่าเดียร์จะได้กินเรียวนีนานมาก เป็นเราท้อไปแล้ว

สนุกดีค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: risanana ที่ 25-08-2014 12:34:13
อ๊ากกก ไอ้หนูเดียร์ลูกชายช้าน นี่ขนาดครั้งแรกแกยังลีลาพริ้วซะตับเป็ดตับห่านขนาดนี้ แกเก่งอ่ะลูกแม่เชื่อว่าถ้าแกฝึกปรือฝีไม้ลายมือต่อไปอีกไม่นานแน่ลูกแกต้องได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้แหงแซะ :m25: :katai2-1: แม่ปลาบปลื้มภูมิใจในตัวแกมากลูกชาย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 25-08-2014 22:42:03
อยากมีมายเดียร์งี้บ้างอ่ะ รักมาก ดูแลดีมาก สม่ำเสมอมาก คือรักแบบเทิดทูนด้วย
ทั้งรักและเกรงใจ พระเอกเราเอาอยู่หมัดนะ เพราะใจสู้มาก คนอ่านยังท้อแทน
ก็พี่เรียวโคตรจะใจแข็ง โคตรจะคิดมาก โคตรจะปิดกั้นตัวเอง ปล่อยตัวตามสบายและรับใครสักคนเข้ามาเถอะ มันดีเห็นไหม
เดียร์นี่ขี้หึงมาก ถ้าไท่หึงวันนี้คงอีกนานกว่าจะได้กินเรียว ความหึงพาไป~~~ ให้คนอ่านได้ฟิน 555

ขอบคุณค่ะ ไปอ่านภาคต่อไปต่อ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: navintazaza ที่ 16-09-2014 12:43:25
ชอบมากๆครับ อ่านแล้วฟินนนน :impress2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 06-11-2014 09:58:07
ยอมให้กับความพยายามของเดียร์

เรื่องนี้สนุกและน่ารักครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 30-06-2015 13:22:32
จิ้มไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 30-06-2015 13:32:50
สนุกมากค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Patty11111 ที่ 27-07-2015 04:11:36
 :a5:Good
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 16-08-2015 00:54:52
นี้ละนะเริ่มด้วยความซึ่งใจจากการได้รับความช่วยเหลือ ก่อเกิดเป็นความรัก ดันโตมาไปจับคุณพี่มาขอความรักเข้าไปอีก

ขอให้คำจำกัดความส่วนตัวกันเรื่องนี้ว่า ใจกล้า หน้าด้าน จมตื้อเท่านั้นที่จะทำให้สำเร็จผม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 01-02-2016 12:55:44
หยอดเข้าไป ให้หินมันกร่อน เดีนร์ต้องใช้น้ำกรด หุหุหุ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: spsygk ที่ 25-11-2017 01:47:52
รอภาคสามๆๆ :katai3: :katai2-1: