My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend:Part 2 By Katesnk  (อ่าน 183319 ครั้ง)

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #30 เมื่อ18-08-2007 16:48:47 »

บทที่ 4


“นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันไงครับ จำได้ไหม”

เด็กหนุ่มจ้องมองผมด้วยแววตาสดใส ผมเพ่งมองเจ้าเด็กลูกครึ่งตรงหน้า รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ผมก็ยังคงจำเขาไม่ได้อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะเขาคงจะเปลี่ยนแปลงไปมากหรือไม่ก็เป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดในเรื่องตอนนั้นมากนัก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะจดจำอะไรกับเรื่องที่ผ่านมาในอดีตสักเท่าไหร่ ผ่านไปแล้วก็เลยไป   แล้วเรื่องนี้มันก็ผ่านมาตั้ง 4 ปีแล้วด้วย ความทรงจำที่มีอยู่มันจึงไม่ค่อยแจ่มชัดนัก

“แหม มันก็พอจะคุ้นๆอยู่บ้าง แต่สำหรับตัวนายน่ะ ยังคงลางเลือน ฉันนึกหน้านายไม่ออกเหมือนกัน มันนานมากแล้วนะ ตอนนั้นมันก็มืดด้วย  แล้วนายก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนี้นี่”

ผมสารภาพกับเขาไปตรงๆ แย่จังที่ความทรงจำในเรื่องผู้คนของผมไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

“ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าคุณคงจำผมไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมเด็กกว่านี้ ยังตัดผมสั้นเกรียนเป็นนักเรียนม.ต้นอยู่เลย แต่ผมจำคุณได้เสมอเลย นี่แหละครับเป็นความประทับใจครั้งแรกที่ผมได้เจอคุณ เอ้อ ตอนนั้นผมเคยเรียกคุณว่าพี่ แต่ตอนนี้ขอเรียกว่าเรียวเฉยๆนะครับ” เขาทำเสียงอ้อน

“ทำไมล่ะ” ผมถาม  นึกในใจว่า ไอ้เจ้านี่ปีนเกลียวจริง

“ก็เพราะว่า ไม่ได้อยากเป็นพี่น้องนี่ครับ อยากเป็นคนรักของเรียว อยากทำให้เรียวรักผมมากๆ และยอมเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น อยากจะทำให้ทุกวันของเรียวเป็นวันที่มีความสุข แล้วผมก็อยากจะมีอะไรกับเรียวทุกๆวันเลยอ่ะครับ”

เขาทำหน้าอายๆขณะพูดความรู้สึกในใจกับผม ผมส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

“เพ้อเจ้อ ฝันเฟื่องไปหน่อยแล้วมั้ง ความรักมันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวเหรอ แค่ชอบใครพึงใจใคร ก็จับมามัดเพื่อให้เขายอมรับในสิ่งที่ตนเองต้องการงั้นเหรอ”

“ผมจริงใจไม่ได้ล้อเล่น แล้วก็ไม่คิดว่าความรักเป็นเรื่องง่ายหรือยาก ผมทำทุกอย่างเพียงเพราะผมคิดว่าผมต้องทดแทนบุญคุณที่เรียวทำดีต่อผมนะครับ”

ผมแค่นยิ้ม เมื่อฟังในสิ่งที่เขาพูดจบ

 “นี่เหรอ สิ่งตอบแทนที่นายจะทำให้กับฉัน มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด ถ้ารู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ และต้องชดใช้ให้ได้ ก็มีวิธีการตั้งมากมายที่จะทำ ไม่เห็นจะต้องเอาตัวมาเกี่ยวข้อง หรือบังคับขู่เข็ญให้คนคล้อยตามในสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย”

“สำหรับผมแล้ว วิธีนี้ดีที่สุดครับ ได้ตอบแทนเรียวไปด้วย แล้วก็ยังได้อยู่กับเรียวฉันท์คนรัก ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความสุขไปได้มากกว่านี้แล้ว เหมือนยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสองตัว”

ใบหน้าของเขายิ้มละไม ดูมีความสุขเหมือนคนที่เดินทางมาไกลแสนไกล และได้พบกับจุดหมายปลายทางที่ต้องการบรรลุ

“ไม่ว่าอย่างไร นายก็ยังคงยืนกรานที่จะให้ฉันเป็นแฟนกับนายให้ได้ใช่ไหม”

ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดรำคาญใจสุดขีด

“ใช่ครับ” เขายิ้มกริ่ม

 “ไม่ได้หรือครับ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นผิดหวัง เมื่อเห็นผมทำหน้าเบ้

 “ผมตอบแทนเรียวด้วยความรัก ความภักดีไม่ได้หรือครับ” เขาถามเสียงเศร้าๆ

“ไม่ได้ชอบแบบนี้” ผมบอกเขาอย่างเซ็งๆ

“งั้นถ้าผมทำกับข้าว ซักผ้า ทำความสะอาดห้องให้ด้วยล่ะครับ เรียวจะยอมเป็นแฟนผมได้ไหม” เขาพยายามอ้อนต่อ แต่ไม่ได้ผลหรอก ผมไม่ใจอ่อน

“บ้านะสิ ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมาทำอะไรให้ทำไมมากมาย”

“นั่นน่ะสิ ก็ตัดสินใจยอมรับสิครับ ผมจะได้ทำทุกๆอย่างให้คุณน่ะ ผมเต็มใจทำให้เรียวนะครับ เอ ถ้าคุณคิดว่ามันยังไม่พอ ผมทำอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกเอาไหม เอ็อ ถ้าผมเพิ่ม ใช้ปากกับมือให้ทุกวันล่ะครับ จะทำให้ยอมรับผมเป็นคนรักได้ไหมน๊า”

ผมคอตกเมื่อฟังข้อต่อรองแบบเอาแต่ใจตัวของเขา ดูสิ คิดมาได้อย่างไร ขืนรับไปก็เสียเปรียบ เสียหาย เสียเชิงชายหมด แต่ละอย่างที่บอกมา มีแต่เขาเองเท่านั้นที่เห็นว่าดี เพราะได้ประโยชน์ไปคนเดียวเต็มๆ แต่ผมสิ ผมจะเป็นอย่างไรถ้าต้องฝืนใจรับข้อเสนอของเจ้าเด็กลามกนี่

ผมคงไม่เหลือมาดหนุ่มหล่อผู้เป็นที่คลั่งไคล้หมายปองของสาวๆทั้งหลายเป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจกับความที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยของไอ้เด็กลูกครึ่งคนนี้ นึกโทษตัวเองในใจว่า ไปยุ่งกับเรื่องราวของเขาทำไมหนอ น่าจะส่งตัวหมอนี่ให้กับพี่ชายไปซะ ป่านนี้เขาคงจะอยู่กินครองรักกันอย่างเป็นสุข และผมก็ไม่ต้องมากลายเป็นเหยื่อของเจ้าเด็กคนนี้

เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม เอียงหน้ามาซบบนบ่าผมอย่างอ้อนๆ มือโอบเอวผมไว้หลวม  ผมรู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายตัวโตๆมาทำท่าอ้อนแบบเด็กๆใส่

“ได้ไหมครับ” เขาถามย้ำ ผมเลยพูดเกือบเหมือนตะคอกใส่

“ไม่ได้”

เขาทำหน้าตกใจและผิดหวัง แต่แล้วก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ส่งยิ้มให้กับผมแบบกล้าๆกลัวๆ

“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อรองเรื่องบ้าๆแบบนี้นะ เรื่องของความรักมาล้อเล่นแบบนี้ได้ไง ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้ นายไม่ต้องมายัดเยียดตัวเองให้กับฉันหรอก ฉันไม่ต้องการ”

ผมพูดแรงๆใส่เขา หวังให้เขาสูญเสียกำลังใจ และปลดปล่อยผมไปหากเขาเห็นว่าไม่มีหวัง แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะรามือ เขากลับโต้ตอบผมอย่างใจเย็น

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #31 เมื่อ18-08-2007 16:50:08 »

“ผมรู้ครับเรียว ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจกันไม่ได้ง่ายๆ มันต้องอาศัยเวลา ผมอาจจะพูดเร็วเกินไป เนื่องจากความใจร้อนของตัวเอง แต่ผมคิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น รักเรียวมาตั้งแต่แรกเห็น ทนทรมานอยู่ตลอดเวลาที่คิดว่ากำลังรักผู้ชายด้วยกัน

ทั้งๆที่ผมเพิ่งหนีเหตุการณ์ที่ไอ้พี่บ้าจะข่มขืนผม ไม่ยอมรับพี่บอย ไม่ต้องการให้มันมายุ่งกับผม ขณะเดียวกันผมกลับคิดถึงเรียวตลอดเวลา และอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเรียว อยากให้เรียวเป็นของผม”

“ ผมสับสนมากเลยนะครับตอนนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป แล้วเราได้เจอกันในครั้งต่อๆมา ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า ผมรักเรียวแน่นอน และประสงค์จะใช้ชีวิตคู่กับเรียวเยี่ยงสามีภรรยาทั่วไป ยิ่งคิดถึงเรียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากได้ตัวเรียวมากเท่านั้น พอได้โอกาสก็เลยเอาแต่จะบังคับ ไม่ได้ทำให้คุณได้เตรียมพร้อมก่อนเลย เรื่องนี้ผมต้องขอโทษนะครับ”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าจริงจัง ดวงตาที่มองผมมีความหมายลึกซึ้ง ผมเห็นความรักที่มีต่อผมอย่างมากมายในดวงตาคู่นั้น ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นสายตาวิงวอนขอร้องของเขา

“ยังไงก็ตาม เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องมาตอบแทนฉันแบบนี้หรอก แค่ช่วยเหลือครั้งเดียวเอง นายปล่อยฉันก็หายกันแล้วล่ะ ฉันไม่ทวงบุญทวงคุณหรอก”

“ไม่นะครับ ยังมีครั้งอื่นๆอีกที่ช่วยผมไว้ คุณดีกับผมมากมาย จนผมคิดว่า ผมคงไม่มีวันจะปล่อยคุณไปไหนหรอก ผมต้องทำให้คุณมีความสุขให้ได้ เพราะคุณดีกับผมจริงๆ”

เรื่องอะไรอีกล่ะ ผมคิดในใจ นี่ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหมอนี่ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเหรอ ยังมีครั้งอื่นๆที่ผมจำไม่ได้อีกหรือไงนะ มิน่าล่ะ ผมถึงได้ซวยอย่างนี้ เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนแปลกหน้า แถมซ้ำตัวเองยังจำไม่ได้อีก

 คราวต่อไป จะช่วยเหลือใครต้องพิจารณากันให้มากสักหน่อยแล้ว แถมอาจจะต้องจดไว้ให้หมด กันลืม เดี๋ยวใครมาตอบแทนบุญคุณผมด้วยวิธีเดียวกับที่หมอนี่ทำ ผมจะได้มีทางหนีทีไล่ถูก แต่ว่าทำไมต้องเป็นกับผู้ชายด้วยกันนะ พวกผู้หญิงที่ผมเคยทำความดีต่อเขาน่ะ ไม่คิดจะตอบแทนผมแบบนี้บ้างเหรอ ผมจะได้ยอมรับอย่างเต็มใจ ไม่ต้องมานั่งกล้ำกลืนฝืนทนอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

“ก็เล่ามาให้หมดสิ จะกั๊กเอาไว้ทำไม” ผมถามด้วยความฉุนเฉียว

“ไม่อาว เหนื่อยแล้วก็ง่วงนอนด้วย มาคุยตอนนี้ เดี๋ยวจะคุยไม่รู้เรื่องนะครับ ให้ผมนอนพักสักแป๊บนะ สัญญาว่า ถ้าได้นอนเต็มอิ่มแล้ว จะไม่งอแงอีก จะเล่าให้คุณฟังทั้งหมด แล้วก็จะปล่อยคุณไปโดยดี ถ้าเราตกลงกันได้ นะครับ นะ”

เขาส่งเสียงอ้อน แล้วยิ้มใส่ตาผม ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เขาทำไม่รู้ไม่ชี้กับน้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดของผม จนผมชักรู้สึกอ่อนใจกับหมอนี่ที่ดื้อด้าน ไม่ยอมเข้าใจอะไร ในขณะเดียวกันผมก็กำลังนึกถึงวิธีที่จะหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้

“นี่จะนอนอย่างนี้ได้ไง แล้วฉันล่ะ จะปล่อยไว้อย่างนี้เหรอ นายมัดฉันทั้งคืนเลย ฉันเมื่อยนะ เจ็บมือไปหมดแล้ว”

ผมขยับตัวไปกระแทกเขาเพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้น เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมอง แล้วยิ้มยียวน

“ถ้าสัญญาว่าจะไม่ชกหน้าผม แล้วก็ไม่หนีไป ผมจะปล่อยคุณให้เป็นอิสระ”

“เอาสิ ฉันไม่หนีหรอก”

ผมรีบให้สัญญา แต่ในหัวสมองคิดแผนการหนีอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แล้วจ้องมองผมเหมือนปรามอยู่ในทีว่า อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด แต่ผมแกล้งทำหน้าใสซื่อเพื่อให้เขาตายใจ แล้วยิ้มแบบประจบประแจงให้เขา เขายิ้มตอบ หน้าตาของเขาเหมือนเด็กๆที่ได้รับรางวัลที่ถูกใจ

“แหม ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว ใจผมละลายเลยรู้มั๊ย ไม่ปล่อยไม่ได้แล้วล่ะ”

เขาพูด พร้อมกับแก้มัดมือข้างขวาผม เขายึดมือผมไว้ทันทีที่เป็นอิสระ แล้วพลิกข้อมือผมไปมา

“แดงหมดเลย น่าสงสารจัง คงจะเจ็บมาก ผมทำให้หายเจ็บนะครับ” เขาดึงมือผมขึ้นมาจูบ แล้วใช้ลิ้นเลียไปรอบรอยแดงๆนั้น ผมพยายามชักมือกลับ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

“นี่อย่าทำอย่างนี้สิ สกปรกออก”

“ไม่หรอกครับ ไม่กลัวเลย เพราะคุณเป็นคนรักความสะอาด ผมรู้นะ”

“ฉันพูดผิด ฉันจะบอกว่า ขยะแขยงออก นายทำตัวเหมือนหมาเลย มาเลียมือเลียไม้” 

แรงไปหรือเปล่านะ ที่ว่าเขาอย่างนั้น รู้สึกไม่ชอบใจที่เปรียบเขาเป็นหมูเป็นหมา แต่เจ้าความโมโห แกมหมั่นไส้ในสิ่งที่เขาทำกับผม มันบอกให้ผมหันหลังให้กับความรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีต่อเขา

“จริงๆแล้วก็อยากเกิดมาเป็นหมาตัวโตๆเหมือนที่คุณเลี้ยงไว้ที่บ้าน จะได้ตามคุณไปไหนมาตลอด ได้อยู่ข้างๆคุณ ได้นอนเตียงเดียวกันด้วย ได้คอยปกป้องคุ้มครองภัยให้คุณ แถมซ้ำผมยังจะได้รับความรักจากคุณด้วย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทางกระตือรือล้น อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าแววตาของเขาที่จ้องมองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเทิดทูนที่มีต่อผม  ผมรีบสลัดความรู้สึกดีต่อเขาออกไปจากใจ คิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม เรื่องอะไรจะปล่อยให้เรื่องผิดธรรมชาตินี้เกิดขึ้น อย่างน้อย ถ้าเขาเห็นว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร ผมก็ไม่เล่นด้วย เจ้านี่ จะได้เลิกพยายามเสียที

“พูดมาก ฉันไม่ได้รักหมาถึงขนาดนั้นหรอก”

พูดไปแล้วก็นึกเอะใจว่าเจ้าหมอนี่รู้ได้ไงว่าผมเลี้ยงหมาตัวโตๆเอาไว้ แล้วก็ใจหายแวบ เมื่อคิดว่า เจ้าหมอนี่คงจะสะกดรอยตามผมไปหลายที่โดยที่ผมไม่รู้ มิน่าล่ะ เขาถึงได้รู้เรื่องของผมมากมาย ร้ายนักนะเจ้าหมอนี่

“อีกข้างหนึ่งล่ะ”

ผมบุ้ยใบ้ไปที่มืออีกข้างหนึ่ง เด็กหนุ่มปล่อยมือผม แล้วรีบกุลีกุจอ เอื้อมไปแก้มัดมือให้ผมอีกข้าง ด้วยท่าทางแบบนี้ มันจึงทำให้ลำตัวส่วนหนึ่งของเขาพาดผ่านไปบนลำตัวของผม

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เขานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงตรงหว่างขาข้างหน้าผม ยิ้มประจบประแจง ท่าทางของเขาเหมือนเจ้าหมาที่ปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างถูกต้อง แล้วกำลังนั่งสองขา รอรับของรางวัลจากเจ้านายอยู่ ผมล่ะอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเสียเหลือเกิน

   “เอาล่ะ นายก็นอนไปสิ ง่วงไม่ใช่หรือ เมื่อคืนก็เฝ้าฉันมาทั้งคืน คงจะเพลียแย่”

ผมบอกเขา ทำท่าหวังดีสุดฤทธิ์

   “แล้วคุณละครับ”

   “ขอนั่งพักสักหน่อยนะ”

   “ไม่เอานอนด้วยกันนะ”

เขาไม่พูดเปล่า กลับรวบตัวของผมไว้ในวงแขน แล้วโน้มตัวลงนอน ผมดิ้นหนีด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่สามารถหนีจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขาได้ อีกอย่างตัวเขาก็หนากว่าผม พนักงานออฟฟิศธรรมดา ที่ออกกำลังกายบ้างบางครั้ง จะไปสู่คนที่หล่อล่ำกล้ามใหญ่อย่างเจ้าเด็กนี่ได้ไง

“นี่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ จะบ้าเหรอ ฉันไม่นอนนะ”

“ผมนอน แต่คุณไม่นอนได้ไงล่ะ คุณก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”

เขาพูดยิ้มๆ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ผมคิดว่า เขาคงรู้ว่าผมจะหาทางหนี ก็เลยตัดหนทางผมซะ แต่ไม่เป็นไร ผมจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อนพอเขาหลับสนิทแล้วผมค่อยหนี คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยหยุดดิ้น แต่ก็ใช้สองมือกุมไว้ที่หว่างขาตัวเอง เพราะกลัวว่าเจ้าเด็กคนนี้ จะซุกซนวุ่นวายกับร่างกายของผมอีก

“เชื่อผมนะครับ นอนเฉยๆนะ แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง อย่าดื้อ ”

เขาพูดเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก เชอะ ใครกันวะ ที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจ

“ผมไม่ทำอะไรกับน้องชายคุณแล้วล่ะ วางใจเถอะนะ ถึงแม้ว่าผมจะชอบที่จะสัมผัสเขาก็ตาม แต่ตอนนี้ผมง่วง ผมขอแค่กอดเฉยๆพอนะ”

โจรเจ้าเล่ห์โอบกอดผมแนบชิด ขาข้างหนึ่งของเขาก่ายเกยมาทับขาข้างหนึ่งของผมไว้ ศีรษะของเขาแนบชิดกับศีรษะของผม จมูกของเขาอยู่ใกล้ซอกคอของผมมาก จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆซึ่งเป่ารด ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็ถูกรั้งกลับเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ผมจึงได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ โดยมีเด็กหนุ่มตระกองกอดอยู่ด้านหลัง

ผมรอจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาเข้าสู่ภาวะของห้วงนิทรา ผมพยายามจะขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เอามือแกะสองแขนที่โอบรอบตัวผมออก  แต่ก็ไม่สามารถแกะได้หลุด แม้ผมจะลองพยายามอยู่หลายครั้ง แขนคู่นั้นก็กลับยิ่งรัดแน่น ผมเอี้ยวศีรษะไปมองก็เห็นใบหน้าที่กำลังหลับของเขา ไม่มีร่องรอยพิรุธใดๆปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ แต่ทำไมผมจึงคิดว่า เขาแกล้งหลับโดยที่ไม่ยอมปล่อยผมก็ไม่รู้

หลังจากใช้ความพยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถดิ้นหนีได้พ้น ผมจึงทำได้แต่เพียงนอนนิ่งๆ สักพักผมก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วก็ผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างนั้น

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #32 เมื่อ18-08-2007 16:51:44 »

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่ากำลังอยู่ในทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วงบานสะพรั่ง ตัดกับสีเขียวเข้มของใบ และกลมกลืนไปกับท้องฟ้าสีคราม ฝูงวัวตัวอ้วนๆสีขาว มีลายแต้มสีชมพู วิ่งไล่กันไปมาในทุ่งหญ้าข้างๆกัน ผมยืนมองด้วยความเพลิดเพลิน แล้วก็สังเกตเห็นว่า ในฝูงวัวเหล่านั้นไม่มีตัวเมียเลยแม้แต่ตัวเดียว ผมละสายตาจากฝูงวัวฝูงนั้น แล้วหันไปมองทางด้านขวา มือของตัวเอง ถัดจากทุ่งดอกไม้สีม่วง เป็นเนินดินสูงขึ้นไปบนนั้นเป็นทุ่งดอกทานตะวันที่กำลังบานหันหน้ารับแสงตะวันมองไปทางไหนก็เห็นสีเหลืองเจิดจ้าละลานตา

ในทุ่งสีเหลืองสดใสนั้น ผมเห็นเดียร์ยืนอยู่ท่ามกลางดอกทานตะวัน เขาอยู่ในชุดแต่งตัวประหลาดๆไม่เข้ากับบรรยากาศที่ร้อนแรงจากแสงของดวงอาทิตย์  เด็กหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงหนังรัดรูปสีดำ มีบูทยาวมาถึงครึ่งน่องมีเข็มขัดหนังเจาะรูคาดอยู่ที่เอว ท่อนบนใส่เสื้อหนังแขนกุดปกปิดลำตัวซีกหนึ่ง อีกครึ่งเปลือยเปล่า มีเพียงสายหนังคาดทับลำตัวท่อนบนด้านหน้าไขว้ไปทางด้านหลังรัดแนบลำตัวอยุ่ 4 เส้น

เขากวักไม้กวักมือเรียกผมให้ขึ้นไปหาเขาที่ทุ่งดอกทานตะวันนั้น แต่ผมแกล้งทำเป็นเดินเฉยๆ ไม่สนใจเขา แต่ก็ยังได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกลงมา ผมออกวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับทุ่งทานตะวันจนกระทั่งไปเจอ ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้สีม่วงที่ขึ้นอยู่อีกฝากหนึ่งด้านทิศใต้ ที่นั่นผมเจอคนตัวเล็กๆ6-7คนท่าทางเหมือนคนแคระกำลังยืนล้อมวงอยู่ตรงแท่นหินที่ยกสูงขึ้น บนนั้นมีโลงศพที่ทำด้วยแก้วตั้งอยู่ ผมเดินเข้าไปหากลุ่มคนแคระเหล่านั้นด้วยความสนอกสนใจ

คนแคระทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นยอมแหวกทางให้ผมก้าวเข้าไปโดยดี ผมเดินตรงไปที่แท่นซึ่งมีโลงแก้วตั้งอยู่ ข้างในนั้นมีที่นอนกับหมอนสีชมพูวางอยู่ท่าทางนุ่มน่านอน ผมรู้สึกง่วงงุนขึ้นมากระทันหัน ปรารถนาจะเอนกายลงไปพักผ่อนยังที่นอนในโลงแก้วนั้น ใจสั่งกายจึงทำตาม ผมปีนขึ้นไปบนแท่น แล้วก้าวลงไปในโลงนั้น แล้วล้มตัวลงนอน ความยาวของโลงแก้วนั้นพอดีกับตัวผม ที่นอนก็แสนนุ่มสบายอย่างที่คิดไว้ ผมหลับตาลง แต่หูก็ยังแว่วเสียงทุกสรรพสิ่ง ผมได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน และแล้วเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามาในโสตประสาทของผม มันเป็นเสียงสั่นสะเทือนของพื้นดิน เหมือนสัตว์บางชนิดกำลังวิ่งด้วยความเร็ว เสียงนั้นมาหยุดลงใกล้ๆกับโลงแก้วที่ผมนอนอยู่ มีเสียงดังตุ๊บ คล้ายๆมีของบางอย่างหล่นมาบนพื้นดิน ได้ยินเสียงเดิน เสียงพูด แต่เสียงร้องไห้หยุดไปแล้ว

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกสบายๆ ไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมา มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น จู่ๆก็มีมืออุ่นๆของใครบางคนมาประคองหน้าของผมไว้ ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ใกล้ๆใบหน้าของผม และแล้วปากนุ่มๆของคนลึกลับก็สัมผัสกับปากผมเนิ่นนาน ผมเผยอปากตอบรับ ลิ้นอุ่นๆลิ้นหนึ่งก็แทรกเข้ามา

จูบที่อ่อนหวานแต่ร้อนแรงอยู่ในทีปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ภาพๆหนึ่งปรากฏขึ้นในครองจักษุ เจ้าชายหนุ่มหล่อ ในชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศแบบเจ้าชายในยุคโบราณยืนยิ้มให้กับผม ยิ้มที่แสนคุ้นตา ยิ้มประจบประแจงแบบเด็กๆที่บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าของรอยยิ้มเป็นคนอารมณ์ดี และแสนจะขี้เล่นกวนประสาท  ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่มองมายังผมเต็มล้นไปด้วยแรงปรารถนา

ผมผลุดลุกขึ้นนั่งทันที ที่ตระหนักว่าเจ้าของรอยยิ้มก็คือคนเดียวที่ยืนกวักมือเรียกผมตอนเดินผ่านทุ่งทานตะวัน และเป็นคนเดียวกับที่จับตัวผมมากักไว้ เขาเอื้อมมือมาจะคว้าแขนผม แต่ผมไวกว่า รีบกระโจนพรวดออกจากโลงแก้ว และวิ่งหนีไปตามทางซึ่งเป็นรอยเกวียนไปสู่ถนนทางด้านเหนืออย่างไม่คิดชีวิต

ไม่รู้ว่าผมวิ่งไปไกลเท่าไหร่ และนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสองขาปวดไปหมด เท้าของผมเริ่มระบม ท้องผมร้องจ๊อกๆด้วยความหิว แต่ผมก็จำต้องวิ่ง วิ่งหนีไปให้ใกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ้นจากโจรเจ้าเล่ห์ที่คอยแต่จะจ้องทำลายความเป็นชายของผม

ผมวิ่งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะดุดก้อนหินล้มลงตรงไหล่ทางที่ข้างๆเป็นเหวลึก ผมกลิ้งตกลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง และหล่นลงบนทุ่งหญ้านุ่มที่มีใบเป็นรูปหัวใจสารพัดสี ที่กลางทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่กลางทุ่ง กำลังผลิดออกออกผลเป็นรูปหัวใจสีแดงเต็มต้น ผมเดินฝ่าดงหญ้า ตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้น แล้วหยุดยืนที่ตรงโคนต้น แล้วแหงนหน้าขึ้นมองไปยังกิ่งที่มีผลไม้รูปหัวใจห้อยเป็นพวงเต็มพรืดไปหมด ความหิวทำให้ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปปลิดหัวใจสีแดงลงมาผลหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ สีแดงสุกปลั่ง ท่าทางแก่จัด เพราะมีรอยปริอยู่ตรงหัวที่เป็นหยัก ผมเอามือบิมันออกจากกัน ข้างในเป็นเนื้อสีขาว มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

ผมลองกัดชิมดู อื้ม รสชาติหวานหอมชื่นใจ ผมเลยกัดกินมันจนหมด แล้วเกิดความติดใจในรสชาติอยากจะกินอีก จึงเอื้อมมือไปเด็ดลงมาอีกหลายลูก และก่อนที่ผมจะทันได้จัดการกับเจ้าผลไม้ที่ผมเด็ดลงมา หมอกควันสีรุ้งก็โพยพุ่งขึ้นต่อหน้า ทันทีที่หมอกจากลง ร่างงดงามแต่น่ากลัวร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา

ปีศาจหนุ่มผิวสีทองยืนตระหง่านง้ำอยู่ตรงหน้าผม ร่างกายสูงสง่ามีปีกขนนกสีดำขนาดใหญ่งอกมาจากแผ่นหลังทั้งสองข้าง ใบหน้าคมเข้มดุดันแต่ก็งดงาม ผมรู้สึกคุ้นตากับใบหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ฟันขาวแข็งแรง รอยเคราเขียวครึ้มที่สองข้างแก้ม หรือผมหยิกสลวยสีน้ำตาลที่คลอเคลียไหล่ ช่างเหมือนใครบางคนที่ผมเคยเห็น

ขณะที่ผมกำลังตกตลึงกับร่างตรงหน้าที่โผล่ขึ้นมาโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ปีศาจหนุ่มตนนั้นก็แสยะยิ้มHereมเกรียม แล้วพูดขึ้นมาว่า

“ผลไม้ชนิดนี้ผู้ที่จะกินได้ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการเท่านั้น ซึ่งการที่เป็นผู้มีรักแท้ที่มั่นคงซื่อสัตย์กับคู่รักของตนเท่านั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีบุญควรคู่ เจ้าน่ะ มีรักแท้ให้กับใครบ้างหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ กำลังงง ว่ามีผลไม้แบบนี้ด้วยเหรอ ที่คนกินจะต้องเป็นคนที่กำลังมีความรักเท่านั้น เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินครั้งนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ

“เจ้าคนไร้รัก ไร้หัวใจ ตามประวัติของเจ้า บ่งบอกว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ไม่เคยมีความรักให้กับใคร แถมซ้ำเจ้ายังไม่รับรักคนที่เขาสู้อุตส่าห์หลงรักเจ้า ทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจ เจ้านี่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้กินผลไม้นี้”เขาทำเสียงดุHereมเกรียมใส่ผม

“แต่ผมหิวนี่ครับ แล้วก็กินไปแค่ลูกเดียวเอง”

ผมบอกไปตามความจริง แต่เขากลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรีย้ว

เจ้าคนขี้ขโมย บังอาจมากที่มาขโมยผลไม้แห่งรักนิรันดร์ไปกินโดยอนุญาต เจ้าจะต้องถูกลงโทษให้สาสมกับความผิดที่เจ้าได้ก่อไว้”

“ผมซื้อก็ได้นะ เท่าไหร่ล่ะ ผมยินดีชดใช้ให้”

“คิดผิดแล้ว ผลไม้ชนิดนี้ไม่มีขาย แต่จะแจกกินฟรี สำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเท่านั้น”

“แล้วผมจะทำอะไรได้บ้างล่ะเป็นการขอโทษ” ผมถามปีศาจตนนั้น

   “เจ้าจะต้องถูกกินบ้าง เป็นการลงโทษ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงดุดัน

   “โอ้ย ผมไม่มีอะไรจะให้กินหรอก เนื้อไม่อร่อยด้วย”

   “ข้าไม่ได้หมายถึงเนื้อตัวของเจ้า”

   “งั้นหมายถึงอะไรล่ะ”

   “ผลไม้แห่งความสุขสันต์นั่นไง ที่เจ้าพกติดตัวมาด้วย ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยการกินมันเดี๋ยวนี้”

   ปีศาจหนุ่มพูดพร้อมกับใช้นิ้วมือชี้ไปที่ของสงวนของผม และแล้วเสื้อและกางเกงของผมก็ฉีกขาดออกจากตัวเป็นชิ้นๆ เหมือนมีมือลึกลับที่มองไม่เห็นมากระชากมันออกไป ร่างกายของผมเปลือยเปล่าไม่มีอาภรณ์ปกปิดแม้แต่ชิ้นเดียว ผมรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเอามือปิดน้องชายของตัวเองไว้ ปีศาจตนนั้นย่างสามขุมเข้ามาหา โบกสะบัดมือไปมา สักครู่ก็มีลมแรงกระพือขึ้น และหอบเอาผมลอยขึ้นไป แล้วก็ทิ้งดิ่งลงมาที่เตียงนอนในฮาเร็มที่ไหนสักแห่ง ผมมัวแต่จุกแอ่กที่ตกลงมาอย่างกระทันหัน จึงไม่ทันหนีปีศาจตนเดิมที่ตามเข้ามาประชิดถึงเนื้อถึงตัวผม เขาร่ายรำโบกมือไปมา แขนและขาของผมก็กางออก เชือกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน เลื้อยมาพันธนาการมือและขาของผมไว้ บัดนี้ผมนอนอยู่ในท่าตัว “เอ็กซ์” แบบวันแรกที่ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่นายเดียร์คุมขังผมไว้

   เสียงหัวเราะคุ้นหูดังขึ้นมาจากปีศาจตนนั้น ผมหันไปมอง ก็เห็นเขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของผม ในมือถือผมไม้รูปหัวใจเอาไว้ เขาค่อยๆบิมันออก กลิ่นของมันหอมยวนยั่ว ผมเผลอสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด หลับตาพริ้มอยากจะเก็บเอาสัมผัสที่ได้รับทางกลิ่นนั้นเอาไว้ พอลืมตาตื่น ก็เห็นผลไม้นั้นยื่นมาใกล้ริมฝีปาก ปีศาจหนุ่มทำท่าให้ผมอ้าปากเพื่อกินมันลงไป กลิ่นที่หอมหวล กับรสชาติที่แสนอร่อยที่ผมได้เคยลิ้มรส ยั่วใจจนผมต้องอ้าปากแล้วกลืนเจ้าผลไม้นั้นลงไป ปีศาจตนนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วก้มศีรษะลงตรงกลางลำตัวของผม

ลิ้นอุ่นๆของเขาลากผ่านไปบนนวลเนื้อน้องชายของผม ผมแอ่นตัวด้วยความเสียวซ่าน ชั่วขณะหนึ่ง ตาของผม กับปีศาจหนุ่มสบกันอย่างจัง เขาส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผม ปีศาจรูปหล่อที่มีดวงตาหวานฉ่ำและเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง กำลังจ้องมองผมอย่างไม่วางตา

   ร่างกายของผมบางส่วนถูกทำให้อบอุ่นอยู่ในปากของปีศาจตนนั้น เขาหยอกเอินน้องชายของผมด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความชำนิชำนาญ เขาปลดปล่อยจิตวิญญาณของผมให้เป็นอิสระ ความรู้สึกของผมล่องลอย ร่างกายเคลื่อนไหวคล้อยตามการนำทางของปีศาจตนนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจ สักพัก ผมก็ผวาเฮือก พร้อมๆกับที่ร่างกายปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างออกมาเต็มที่ ผมหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข สุขที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งมวลออกไปจนหมด ร่างกายของผมเริ่มผ่อนคลายขึ้น แขนขาเลิกเกร็ง หัวใจที่เต้นรัวเร็วเมื่อครู่กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ

ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่นอนนิ่งๆนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตาของผมมองไปยังเพดาน แล้วก็ตระหนักว่า ผมยังคงอยู่ในห้องที่เดียร์จับผมมาขังไว้ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ผมคงจะเครียดมากไปหน่อย เลยฝันเสียเป็นตุเป็นตะ ผมยิ้มให้กับตัวเองกับความฝันบ้าๆนั้น แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความฝันช่างสุดท้าย มันดูเหมือนจริงมากเหลือเกิน ผมยังคงรู้สึกได้ว่าร่างกายท่อนล่างของผมถูกจับต้องด้วยมือและปากจริงๆ เป็นมืออุ่นๆของคนที่มีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้เย็นชืดเป็นมือปีศาจ รู้สึกได้ถึงความเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้น และถึงแม้ว่ามันจะได้รับการปลดปล่อยออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกอิ่มเอมก็ยังคงติดตรึงอยู่ ความเสมือนจริง ทำให้ผมแยกแยะไม่ออก ว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

ผมเอี้ยวตัวไปมองด้านข้างที่เดียร์นอนอยู่ เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น แล้วมือสองข้างผมก็เป็นอิสระไม่ได้ถูกพันธนาการแต่อย่างใด หมอนั่นไปไหนก็ไม่รู้ อาจจะอยู่ที่ห้องน้ำ หรืออาจจะออกไปข้างนอก ผมร้องฮูเล่ฮ่าฮ่าในใจ นี่เป็นโอกาสดีแล้วสิ ที่ผมจะได้หนีออกไป ผมดีดตัวขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องผงะหงายหลังกลับลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง เมื่อเห็นเดียร์นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาของผมโดยมีน้องชายของผมเป็นตัวประกันอยู่ในมือของเขา  เขาเงยหน้ามองผมอยู่ก่อนแล้ว และยิ้มให้ผมอย่างแสนรัก ก่อนจะก้มลงลิ้มรสน้ำหยดสุดท้ายที่ติดอยู่บนร่างกายส่วนนั้นของผม

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #33 เมื่อ18-08-2007 16:54:02 »


หุหุหุ.....รักแท้ย่อมไม่หวั่นไหวง่ายๆ.. :m3:..เชียร์เรียวสุดใจเรย   :a1:

รออ่าต่อนะจร๊า....สู้ๆ นะ   :a2:

OhhO16

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #34 เมื่อ18-08-2007 17:36:17 »

 ชอบทั้งเดียร์ ทั้งเรียว เอารูปตัวละครมาให้ดูด้วยจิครับ 

เหมือนจำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่า พี่เคท เคยบอกว่าใครเป้นเรียว ใครเป้นเดียร์อ่ะ
 

จะได้จิ้น ถูก  55555+ :m10: :m10: :m25: :m25:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #35 เมื่อ18-08-2007 19:50:38 »

ฝันเป็นจิง  :m11:  :m11:

รออ่านต่อจ้า  :m3:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #36 เมื่อ20-08-2007 11:42:22 »

บทที่ 5

ผมสบถออกมาด้วยความโกรธ อารมณ์หวาบหวิวเมื่อครู่มลายหายไปโดยสิ้นเชิงมีแต่ความโกรธเข้ามาแทน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ผมถูกลวนลามทางเพศทั้งความฝันและในเรื่องจริงๆพร้อมๆกันเลยหรือเนี่ย บ้าชะมัดเลย

“เฮ้ย อะไรเนี่ย คอยจ้องจะฉวยโอกาสตลอดเวลาเลยนะ”

ผมต่อว่าเขาด้วยความแค้นเคือง นึกโมโหเด็กหนุ่มที่ชอบลวนลามผมตามอำเภอใจ โดยไม่แคร์บ้างเลยว่าผมจะรู้สึกอย่างไร เด็กหนุ่มใช้ผ้านุ่มๆทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนจะนุ่งกางเกงให้ แล้วเลื่อนตัวมานอนข้างๆ เขาซุกหน้ามาซบที่ไหล่ของผม แล้วกอดผมไว้ แนบแน่น

“ขอโทษจริงๆครับ อย่าโกรธผมเลยนะครับเรียว”

เขาทำเสียงออดอ้อน เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้ว กำลังอ้อนไม่ให้ผู้ใหญ่ลงโทษ

“ผมไม่ได้คิดที่จะฉวยโอกาสลวนลามคุณเลย พอดีผมลุกไปเข้าห้องน้ำ เห็นคุณกำลังหลับสบาย ก็เลยปล่อยให้นอนต่อ ไม่อยากปลุก กลับเข้ามาอีกที ก็เห็น น้องชายของเรียวกำลังตื่นตัวอยู่ ผมก็เลยคิดว่าอยากจะช่วยปลดปล่อยอารมณ์ของคุณ จะได้นอนหลับสบายๆไงครับ คิดว่าจะทำให้เสร็จก่อนที่เรียวจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันจนได้”

เขาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ผมยังคงโกรธเขาอยู่ ผมสะบัดตัวหนีจากการกอดของเขาแล้วลุกขึ้นนั่ง เขาผวาลุกตาม

“นายเห็นฉันเป็นของเล่นของนายเหรอ คิดจะทำอะไรก็ทำ เคยให้ความใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม”

“ทำไมผมจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของเรียวล่ะครับ ผมกำลังพยายามทำให้คุณพอใจ ผมอยากให้คุณมีความสุข ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นของเล่นเลย คุณเป็นรักแท้ของผม การที่ผมชอบสัมผัส แตะเนื้อต้องตัวคุณ เป็นเพราะว่าผมรักคุณมาก จนยั้งใจไม่ไหว ผมอยากให้คุณได้รับรู้เอาไว้ ว่าผมรักคุณมากจริงๆนะครับ”

“ถ้ารักจริง ก็ปล่อยฉันไปสิ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“ถ้าปล่อยไป คุณก็จะหนีผมไปอีก ผมใช้เวลาหลายปีกว่าจะตามหาคุณเจอ เมื่อเจอแล้วก็เฝ้าติดตามคุณมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ เวลาคุณไม่สบายใจ ผมอยากเข้าไปปลอบประโลม อยากจะเข้าไปดูแลคุณบ้าง อยากจะสารภาพกับคุณว่าผมรักคุณมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่กล้า กลัวว่าคุณจะรับไม่ได้ คราวนี้ผมกล้ามากขึ้นที่จะบอกความจริงกับคุณว่ารักคุณมากแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะเกลียดชังผมหรือเปล่าก็ตาม แต่ผมตั้งใจไว้แล้วว่า ผมจะทำให้คุณเห็นความสำคัญของผมให้ได้ ถึงจะนานเพียงไร ผมก็จะพยายามครับ”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาที่มองผมฉายแววมุ่งมั่น ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นหน้าเด็กลูกครึ่งคนนี้ รู้สึกสับสนในใจ เริ่มแรก ผมนึกกลัวเด็กหนุ่มคนนี้ กลัวว่าเขาจะคิดร้ายต่อตัวผม ในเวลาต่อมา เมื่อได้รับรู้ถึงวัตถุประสงค์ของการที่เขาลักพาตัวผมมาที่นี่ ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก แต่เป็นความกลัวคนละอย่างกับตอนแรก ผมกลัวความมุ่งมั่นจริงจังของเขา กลัวความรักที่เขามีต่อผม กลัวว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิม

ผมกลัวเด็กหนุ่มคนนี้จะเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผม ใครจะรู้ เขาอาจจะทำให้ผมต้องยุ่งยากในวันข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ผมยังกลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเกย์แบบเขา  หากว่าเขามาใกล้ชิดผมมากๆ ที่สำคัญผมกลัวการสัมผัสจากเขา ที่คอยจ้องจะฉวยโอกาสแตะต้องเนื้อตัวผมตลอดเวลา อันที่จริงผมกลัวการยอมรับความจริงมากกว่า ว่าการที่ผมโกรธเจ้าวายร้ายตนนี้ เพราะผมเองตระหนักว่า ผมรู้สึกดีกับการทุกสิ่งที่เขาทำเป็นเรือนกายของผม ผมยังรู้สึกโกรธตัวเองด้วย ที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาสัมผัสแถมซ้ำยังเกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย ทั้งๆที่ผมสามารถที่จะขัดขืนเขาได้ แต่ผมก็ไม่ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอในการต่อสู้กับอารมณ์ดำกฤษณาภายใน

“นอนอิ่มแล้วใช่ไหม งั้นอย่าเสียเวลาเลย รีบเล่าให้จบ ฉันจะได้ไปๆจากที่นี่เสียที”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด เขามองผมตาละห้อย

“อยากไปจากผมถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ ไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากเห็นหน้านายอีกต่อไป”

เขาเม้มปากแน่น หน้าตาเศร้าสร้อย จนผมอดรู้สึกสงสารไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเป็นใจแข็ง ถึงแม้ผมจะรู้ว่าเขาทำอย่างนี้ก็เพราะรัก แต่ผมก็ไม่อยากตามใจเขา จนทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง ผมไม่อยากเป็นเกย์ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมชอบผู้หญิง ผมตะโกนก้องในใจเพื่อปลุกสำนึกแห่งความเป็นเพศชายให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน การกระทำที่เสียเกียรติอย่างที่หมอนี่กำลังทำอยู่

“ไม่มีกำลังใจเล่าเลย” เขาทำเสียงเหมือนกับว่ากำลังเผชิญเรื่องที่ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง

“นี่อย่าลีลาน่า”

ผมเริ่มหงุดหงิด

“ขอจูบให้กำลังใจหน่อยสิ”

อยู่ๆก็ร้องขอในสิ่งที่ผมฟังแล้วแทบหงายหลัง นึกโมโหอยู่ในใจกับความดื้อด้านของเจ้าหมอนี่ ขนาดผมด่า หรือ ทำท่าให้รู้ว่ารังเกียจเขาขนาดนี้ เขาก็ยังทำหน้าทะเล้น ไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์ของผมอีก ผมล่ะเชื่อจริงๆ ทำไมถึงได้มึนขนาดนี้นะ

ผมอ้าปากขยับจะด่าเขา แต่ช้ากว่าเจ้าหมอนี่ซึ่งยื่นมือมาประคองใบหน้าของผม ดูเหมือนว่าเขาจะคอยจ้องที่จะหาโอกาสล่วงเกินผมอยู่ก่อนแล้ว เขาก้มหน้าลงมาแล้วจูบประทับที่ริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว แล้วแทรกลิ้นเข้าไป มันเป็นจูบที่นุ่มนวลอ่อนหวาน มีความโหยหาอยู่ในรสจูบนั้น เขาจูบผมจนผมแทบจะหายใจหายคอไม่ออก ท่วงทีและลีลาของเขาช่างดูคุ้นเสียเหลือเกิน เหมือนผมเคยโดนจูบแบบนี้มาก่อน ......ผมจำได้แล้ว ในฝันนั้นไง ผมโดนจูบแบบนี้ ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ เหมือนกับตอนที่ผมถูกล่วงเกินโดยเจ้าปีศาจนั่น ผมสะดุ้งเมื่อคิดว่า เจ้าหมอนี่คงไม่ใช่แค่ซุกซนกับน้องชายของผมแค่นั้น คงขโมยจูบจากผมด้วยแน่เลย
ผมรีบผลักเขาออกไปให้พ้นตัว แล้วใช้หลังมือเช็ดปาก เขายิ้มใส่ตาผม เป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ แสนกล น่าหมั่นไส้

“นี่ เกินไปแล้วนะ จาบจ้วงทำตามใจตัวเอง ขออนุญาตหน่อยก็ไม่ได้”

ผมต่อว่าเขาด้วยความโมโห ความโกรธแล่นขึ้นมาจนแทบจะจุกหน้าอก

“กลัวว่า ขอแล้วจะไม่ได้เลยต้องขโมยเอาอ่ะ”

เขาแลบลิ้น ทำท่าเหมือนสำนึกผิด แล้วอยากให้ผมยกโทษ แต่เชื่อเถอะ หมอนี่ไม่มีทางสำนึกผิดได้หรอก พอผมเผลอ หมอนี่ก็จะลวนลามผมใหม่อีก ไว้ใจไม่ได้เลย กว่าเขาจะปล่อยตัวผมไป ผมมิต้องสูญเสียความเป็นชายหรือ

“ฉันไม่อยากฟังแล้ว อยากจะอาบน้ำ เพราะตัวฉันมันแปดเปื้อนเต็มที สกปรกไปหมดแล้ว”

ผมบอกเขาด้วยความโมโห รู้สึกเหนียวตัวไปหมด เพราะเหงื่อชุ่มโชก ทั้งๆก่อนหน้านั้นเขาก็เช็ดตัวให้ผมแล้ว แถมซ้ำในห้องนี้อากาศก็ถ่ายเทดี แล้วเขายังเปิดพัดลมไว้ให้ด้วย แต่ผมก็ยังร้อนอยู่ อาจจะเป็นเพราะมีเขามาอยู่ใกล้ๆทำให้อึดอัด แล้วเขายังล่วงเกินร่างกายผมถึงสามครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกตัวว่ามีมลทิน แล้วอยากจะชำระล้างมันออกไปให้หมดจากตัว เด็กหนุ่มทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“ผมเช็ดตัวให้นะ”

“ไม่ต้อง ฉันอยากจะอาบน้ำแบบอาบจริงๆในห้องน้ำ ในห้องนี้มีใช่ไหม ห้องน้ำน่ะ แล้วฉันก็ปวดฉี่ด้วย อยากเห็นฉันราดตรงนี้เหรอ”

“อ่ะ งั้นก็ได้ ผมลืมนึกไปเลยว่าจับคุณมามัดไว้ทั้งคืน คุณอาจจะอยากเข้าห้องน้ำเพื่อปลดทุกข์บ้าง เดี๋ยวผมปล่อยคุณนะ”
เขาเอื้อมมือมาแก้มัดที่ขาทั้งสองของผม แล้วนั่งยิ้มตาเป็นประกายสุกใส ผมหันหนี่ไปทางอื่น สะบัดขา สะบัดมือ บิดตัว ไล่ความเมื่อยขบ

“ห้องน้ำไปทางไหน” ผมถามเขา

“ทางนี้ครับ” เขาชี้มือไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านใน

“เดี๋ยวผมพาไปนะ”

เขาลุกขึ้น แล้วฉุดมือผมให้ลุกลงจากเตียง เด็กหนุ่มพาผมไปที่ห้องน้ำ ผมเดินก้าวเข้าไปในนั้น โดยมีเขาก้าวตามไปด้วย ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ

“ตามเข้ามาทำไม”

“มาอยู่เป็นเพื่อนครับ”

“จะบ้าเหรอ ฉันจะอาบน้ำนะ ไม่ต้องมาตามถึงขนาดนั้นก็ได้นี่”

“กลัวคุณหนีผมครับ”

ผมหัวเราะอย่างปวดใจ แล้วมองไปรอบห้องน้ำ มันเป็นห้องน้ำที่กว้างพอสมควร มีชักโครก มีอ่างล้างหน้า และมีส่วนที่ใช้สำหรับอาบน้ำ มีฝักบัวอยู่ตรงผนัง มีช่องระบายอากาศอยู่เหนือศีรษะ นอกนั้นเป็นผนังทึบตัน นอกจากประตูแล้ว ไม่มีทางออกไหนอีก

“จะบ้าเหรอ ฉันจะหนีไปตรงไหนได้”

“กลัวคุณจะหนีผมไปด้วยการทำร้ายตัวเองครับ”

เขาบอกผมยิ้มๆ ยังไม่มีทีท่าจะขยับออกไป

“อีกอย่างก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณด้วย เผื่อว่าเรียวอาจจะต้องการให้ผมช่วย”

“เช่นขัดหลัง หรือถูตัวให้ใช่ไหม” ผมดักคอ

“ถูกต้องแล้วครับ” เขาทำหน้าทะเล้น

“เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ฉันคงไม่มีทางไล่นายไปได้แน่ เพราะยังไงนายก็จะดื้อรั้นอยู่ในนี้ให้จงได้ ฉันล่ะเหนื่อยกับนายจริงๆ”
ผมบอกด้วยความระอาใจ นึกปลงว่า ตราบใดที่ผมยังไม่สามารถพ้นไปจากห้องนี้ได้ ผมก็ไม่สามารถที่จะหนีจากการตามตื้อกวนใจของเด็กคนนี้ได้เช่นเดียวกัน คิดได้อย่างนั้นผมก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ

“หันไปสิ จะมองทำไม”

ผมแหวใส่เขาเมื่อเห็นเจ้าเด็กปีศาจยืนกอดอกพิงกำแพงด้านหนึ่งมองดูผมด้วยสายตาหวานเยิ้ม เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผม แล้วตอบกวนๆว่า

“จะอายทำไมหรือครับ เราผู้ชายด้วยกัน แล้วผมก็เห็นร่างกายคุณจนหมดแล้ว ตอนที่เช็ดตัวให้ ร่างกายคุณก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรนี่ ยังเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ ไม่ต้องอายหรอกครับ”

“นายไม่อาย แต่ฉันอาย ไม่ได้หน้าด้านเหมือนนายนี่”

ผมเป็นฝ่ายหันหลังให้ แล้วถอดเสื้อผ้าออกจนหมดจากตัว เด็กหนุ่มก้มลงหยิบเสื้อผ้าผมมาถือไว้ แล้วยืนรอขณะที่ผมก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ผมเปิดน้ำแรงๆ หวังให้สายน้ำช่วยพลางตัวผมจากสายตาเขา สายน้ำที่เย็นฉ่ำทำให้อารมณ์ผมเริ่มสงบลง มีเสียงผิวปากเป็นเพลงมาจากคนที่ยืนมองผมอยู่ด้านหลัง ช่างเถอะ ผมคิด อยากมองก็มองไป ผมไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไปแล้ว

ผมอาบน้ำ สระผมด้วยความสบายใจ พอตัดความคิดเรื่องที่ถูกมองอยู่ออกไปจากสมอง ผมก็หมดกังวล ใช้เวลาในการอาบน้ำอย่างเต็มที่ ประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หันมาอีกที ก็เห็นเดียร์ยืนถือผ้าขนหนูรอผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเอื้อมมือจะไปรับ แต่เขากลับกางผ้าขนหนูออก แล้วนำมันมาห่อหุ้มตัวผมไว้ โดยที่เขาเข้ามาโอบซ้อนตัวอยู่ด้านหลังผม แขนอ้อมไปด้านหน้า เขารั้งตัวผมไว้แนบชิดร่างกายของเขา ผมได้ยินเสียงหายใจแรงๆจากเขา รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นโครมครามบนแผ่นหลังของตนเอง ร่างกายบางส่วนของเขาตึงเขม็งจนดุนดันตรงแถวๆก้นของผม ผมรู้สึกตกใจในอากัปกริยาของเขา พยายามจะดิ้นหนี แต่เขาก็กอดผมไว้จนแน่น

“ผมไม่ทำอะไรเรียวหรอกครับ ผมสัญญานะ แค่อยากกอดเอาไว้แบบนี้นานๆ”

เขากระซิบเสียงพร่า ใบหน้าของเขาแนบชิดกับใบหน้าด้านข้างของผม เขากดจมูกลงแล้วฝังไว้ที่ลำคอผมเนิ่นนาน ด้วยท่าทีแบบนั้น มันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เลือดฉีดพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย

ตัวของเขาสั่นระริกจนผมรู้สึกได้ เสียงครางอู้อี้เล็ดรอดออกมาจากปากของเขา ดูเหมือนเขากำลังพยายามสะกดกั้นอารมณ์พิศวาสที่มันก่อตัวขึ้น ผมรู้ดี เพราะผมเคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาก่อน เวลาที่เรารู้สึกอยากจะปลดปล่อยอารมณ์ แต่ต้องสะกดมันเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานยิ่ง ด้วยเหตุนี้ผมจึงยืนนิ่งให้เขากอด และจูบที่ซอกคอของผมอย่างนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งอารมณ์ของเขาสงบลง

“ไม่ง่ายเลยยอดรักของผม”

เขาพูดหลังจากคลายวงแขนแล้ว เขาจูบผมที่ข้างแก้ม แล้วก็ผละออกจากตัวผม

“การที่ต้องฝืนใจทนเฉย ทั้งๆที่เห็นคุณเปลือยอยู่ตรงหน้า อยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบ อยากเข้าไปอยู่ในตัวคุณ ให้กายเราสองคนแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ไม่สามารถทำได้ มันเป็นเรื่องที่ทรมานมากใจอย่างมากเลยรู้มั๊ย แต่ผมอยากให้เรียวยอมรับผม ไม่อยากทำร้ายหัวใจตนเองด้วยการทำลายคนที่เรารักเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่อยากถูกเรียวเกลียดเลย อยากให้เราตกลงกันได้ อยากให้เรียวเป็นแฟนผม ผมจะได้ไม่ต้องทรมานใจแบบนี้”

น้ำเสียงของเขาดูเศร้าเสียเหลือเกิน จนผมรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย คำพูดเผ็ดร้อนที่เตรียมจะขุดออกมาด่าเด็กหนุ่ม ถูกกลืนลงคอกลับไปจนหมด ผมใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนตัว และศีรษะจนแห้ง จากนั้นก็รับเสื้อผ้าจากเขาที่ยื่นมาให้เอามาแต่งตัว

เราสองคนก้าวออกจากห้องน้ำ โดยที่เขาเดินนำออกมา ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร ผมยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้อง ไม่รู้จะทำอะไร จะนั่งหรือยืนตรงไหนดี เด็กหนุ่มลูกครึ่ง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจับผมมัดไว้เหมือนเดิม

ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเครื่องแป้งในห้องเขา แล้วหยิบหวีขึ้นมาหวีผม โดยที่เดียร์เดินไปนั่งบนเตียง ผมมองเขาผ่านกระจก ก็เห็นเด็กหนุ่มทำตาเหม่อลอย สักพักหนึ่งเขาก็หันมาจ้องมองผม ตาของเราสบกันในกระจก และแล้วคำพูดมากมายก็หลั่งไหลออกมาจากปากของเขา

“หลังจากที่คุณส่งผมที่บ้านของไอ้น้อยเพื่อนผมแล้ว ผมก็ได้อาศัยนอนบ้านมันประมาณ 2คืน โดยที่ไม่ได้ย่างกรายไปโรงเรียนเลย ไอ้น้อยเล่าให้ฟังว่าคุณครูเมตตาซึ่งเป็นครูประจำชั้นของผม ถามว่าผมไปไหน เพราะเห็นว่าใกล้จะสอบแล้ว แกไม่อยากให้ขาดเรียน เพราะกลัวว่าผมจะไม่ผ่าน ตกซ้ำชั้น เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่ผมก็ตั้งใจเรียนเสมอ ไอ้น้อยก็เลยเล่าเรื่องที่ผมหนีออกมาจากบ้านให้คุณครูฟัง คุณครูจึงไปขอร้องครูใหญ่ ให้ไปคุยกับป้าของผม ว่าอย่าเอาเรื่องเอาราวกับเด็ก เพื่อที่จะให้ผมได้เรียนต่อ

วันที่นัดเจอกัน ผมไปด้วย พอป้ากับพี่ชายเจอหน้าผมเท่านั้น ก็จะถลันเข้ามาตบตี หาว่าผมโกหก สร้างเรื่อง แต่ครูใหญ่กับครูประจำชั้นของผมห้ามไว้ก่อน จากนั้นพวกเขาก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องของผม ครูใหญ่อยากให้ผมเรียนให้จบชั้น ม.2 ไปก่อน โดยทุนของโรงเรียน ซึ่งคุณครูประจำชั้นของผมจะรับผมไปอุปการะ แกเป็นโสดแล้วก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียน หากผมไปอยู่ที่นั้นผมก็จะปลอดภัย ได้เรียนหนังสือ แล้วยังได้ช่วยดูแลบ้านพักเป็นหูเป็นตาให้ครูเมตตาได้ด้วย แรกๆป้าของผมจะไม่ยินยอม ครูของผมเลยขู่จะเอาเรื่องที่ลูกชายของป้าจะข่มขืนผม ป้าแกก็เลยต้องยอม แบบฮึดฮัดไม่พอใจ”

“ผมเรียนจนกระทั่งจบ ม.2 โดยทุนของโรงเรียน ซึ่งผมต้องช่วยทำงานพิเศษในห้องสมุด และช่วยปิดเปิดโรงเรียน แล้วผมยังต้องช่วยคุณครูประจำชั้นทำงานบ้านด้วย เพราะผมไปอาศัยบ้านแก ถึงแม้การเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จะหนักหนาสาหัสสำหรับเด็กอายุ 14 อย่างผม แต่ผมก็รู้สึกพอใจ เพราะคุณครูดีกับผมมาก ท่านให้ความเอ็นดูกับผม เหมือนครูทั่วๆไปที่หวังดีกับศิษย์ ผมรู้สึกเคารพรักในตัวของท่านมาก”

“ช่วงปิดเทอมก่อนจะขึ้น ม.3 ครูประจำชั้นของผมก็ถูกย้ายให้เข้ากรุงเทพฯ แล้วเหมือนนกรู้ ป้ากับพี่บอยมาหาครูประจำชั้นของผม เพื่อรับตัวผมคืนกลับไปเลี้ยงดู แต่ผมยืนกรานกับครูของผมว่า ผมจะไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ครูบอกผมว่าครูไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ เนื่องจากครูเองก็ต้องถูกย้ายไปทำงานที่อื่นเหมือนกัน ผมคงต้องกลับไปอยู่กับพวกเขา ซึ่งครูเองก็เชื่อว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรผมแล้ว เพราะครูใหญ่รู้เรื่องนี้แล้วคงจะช่วยผมได้อีกแรง”

“แต่ผมไม่ได้เชื่อป้ากับพี่บอยอย่างที่ครูเชื่อ หลังจากที่ครูประจำชั้นของผม ขอเวลาสักสองวันให้ผมเตรียมใจ และเก็บข้าวของ ผมก็แอบหนีออกมาอีก ผมไม่ได้หวนกลับไปหาเจ้าน้อย หรือครูประจำชั้นผมอีกเลย เพราะผมไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน ผมกลัวว่าพี่บอย และป้าของผมจะตามไปอาละวาดใส่คนเหล่านั้น ผมจึงหนีไปอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทางจนกระทั่งไปเจอเข้ากับเฮียเข้มเข้าพอดีที่ท่ารถบขส”

“ผมกำลังจะหาทางเล็ดลอดหนีขึ้นรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ส่วนเฮียเข้มมาตามตัวเด็กของแกที่หนีเข้ากรุงเทพเหมือนกัน เฮียเข้มแกเป็นเจ้าของค่ายมวยเล็กๆที่ชอบจัดให้นักมวยในสังกัดขึ้นชกโชว์ที่พัทยา แกเจอผมนั่งซึมๆอยู่ในศาลาที่พักผู้โดยสารก็ปรี่เข้ามาคุยกับผมทันที  แกบอกตอนหลังว่า ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าแกได้ค้นพบเพชรในตมแล้ว แกว่าผมหน่วยก้านดี เหมาะที่จะปั้นให้เป็นนักมวยในสังกัดของแก โดยจะเริ่มจากรุ่นเล็กๆไปก่อน พอร่างกายผมใหญ่โตแข็งแรงขึ้น ก็ค่อยเปลี่ยนรุ่นชกไปเรื่อยๆ แกชวนผมมาอยู่ด้วย และรับจะอุปการะเลี้ยงดูผม

ผมเห็นว่าไหนๆก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว ไปอยู่กับแกได้ที่อยู่ที่กิน แถมซ้ำยังมีอาชีพติดตัวด้วยยิ่งดีไปกันใหญ่ เพียงแต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะกลายมาเป็นนักมวยหาเลี้ยงชีพ แต่เมื่อคิดอีกทีก็คิดว่าอาชีพนี้ไม่น่าเสียหายอะไร อีกอย่างผมจะได้เรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว ไว้ต่อสู้กับคนที่คิดจะมาทำร้ายผมด้วย ผมเลยยินยอมพร้อมใจไปอยู่กับแก”

“ที่นั่น ผมได้เจอไอ้น้อยเพื่อนรักของผม มันมาหางานพิเศษทำในช่วงปิดเทอมด้วยการเป็นนักมวย ที่มันเลือกทำงานนี้ เพราะพ่อมันก็เป็นนักมวยเหมือนกัน แต่พ่อมันถูกชกตายคาเวที ไปไม่ถึงฝั่งฝัน มันเลยคิดที่จะสานต่ออุดมการณ์ของพ่อมันด้วยการเป็นนักมวย แล้วตั้งใจว่าจะต้องก้าวไปให้ใกลและคว้าแชมป์โลกมาให้ได้”

“ผมกับไอ้น้อยฝึกเรียนมวยไทยที่ค่ายของเฮียเข้ม ถึงแม้แกจะเป็นคนที่ดุดัน แต่แกก็ใจดีกับพวกผมมาก แกเป็นคนขี้โวยวายเสียงดัง ชอบด่านักมวยของแก แต่ก็ไม่มีใครโกรธ เพราะทุกคนรู้ว่าแกรักและหวังดีกับพวกเรามาก อยากให้พวกเราเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง แกเที่ยวพาพวกเราไปชกในที่ต่างๆ

รวมทั้งรับเชิญไปชกโชว์ให้ฝรั่งดูในบาร์แถวพัทยา หากใครมีวี่แววดี แกก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ได้เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ บางคนที่เริ่มมีชื่อเสียง ก็มีคนมาแย่งไปอยู่ที่ค่ายของตนเอง พวกนั้นเห็นว่าไปอยู่ค่ายใหญ่ๆ ได้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ออกจากค่ายแกไป คนแล้วคนเล่าที่ทำให้แกต้องเสียใจ แต่แกก็ไม่เคยวิตกกังวล แกกัยังเดินหน้าปั้นคนต่อไปเรื่อยๆ”

“ไอ้น้อยเป็นคนแรกที่ได้ขึ้นชกบนเวที เนื่องจากไอ้น้อยเป็นคนที่มีรูปร่างบึกบึน แม้จะเตี้ยล่ำก็ตาม ไอ้น้อยมีใบหน้าที่โหดสะใจ ถึงแม้ภายใต้ใบหน้าที่ดุดันจะซ่อนความอ่อนไหวขี้กลัวไว้ก็ตาม แต่พอขึ้นเวทีแล้ว ไอ้น้อยจะทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ มันเป็นนักมวยที่ชกได้ดุดันมาก คู่ของมันที่ชกด้วย ต้องบอบช้ำไปตามๆกัน ถึงแม้ว่ามันจะอายุเพียงแค่ 15 ปี เป็นมวยเด็ก แต่มันก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่แล้วก็อายุมากกว่ามันได้หลายปี”

“ตอนที่เกิดเรื่องกับไอ้น้อย ผมยังเรียนรู้กลวิธีการชกอยู่ ถึงแม้เฮียเข้มจะบอกว่าผมหน่วยก้านดี เหมาะที่จะชกมวย แต่ผมยังใจไม่กล้าพอ อาจจะเป็นเพราะผมเคยถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนอื่น ตราบจนกระทั่งไอ้น้อยโดนซ้อมปางตาย ทำให้ผมเกิดความฮึดขึ้นมา”

“เพราะไอ้น้อยเป็นนักมวยดุดัน แล้วชกชนะคู่ต่อสู้หลายครั้ง ทำให้มันเริ่มมีชื่อเสียง มีการคาดหวังกันว่าหากไอ้น้อยสั่งสมประสบการณ์ด้วยการขึ้นชกไปเรื่อยๆ แล้วข้ามไปชกที่เวทีในกรุงเทพเพื่อหาชื่อเสียง จากนั้นก็ไปต่อยมวยสากล ไอ้น้อยจะเป็นนักชกที่เรียกคนดูได้มากที่สุด แล้วก็อาจจะสามารถขึ้นชกในเวทีมวยระดับโลกได้

เพราะไอ้น้อยเป็นนักมวยที่มีน้ำอดน้ำทนสูง หมัดนัก และลีลาสวยงาม แม้จะยังเด็กอยู่ แต่ก็มีแววอนาคตใกล ค่ายมวยหลายค่ายเลยต้องการตัวไอ้น้อยไปอยู่ด้วย เสนอเงินทองของล่อใจให้มันมากมาย แต่มันก็ไม่ยอมไปอยู่ เพราะมันรักเฮียเข้ม แล้วเขาก็รักมันด้วย มันอยากตอบแทนเฮียเข้มที่ทำให้มันมีชื่อเสียง การปฏิเสธของไอ้น้อยสร้างความไม่พอใจให้กับค่ายมวยยักษ์ใหญ่ในถิ่นนี้มาก จึงมีความพยายามมากมายที่จะล้มไอ้น้อยให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ก็ตาม นัยว่าเพื่อตัดหนทางการเติบโตในเส้นทางมวยของมัน”

“มีนักมวยที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดถูกส่งขึ้นมาต่อสู้กับไอ้น้อย ตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่ามวยเด็กๆอย่างพวกเรา เป็นที่สนใจของคนได้มากขนาดนี้ จนถึงขั้นที่จะจ้องทำร้ายกัน แต่ถึงแม้จะใช้วิธีใหนจัดการกับไอ้น้อยก็ตาม ไอ้น้อยก็สามารถเอาชนะคนพวกนั้นมาได้ จนเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ”

“วันหนึ่งมีสมุนของผู้มีอิทธิพลในวงการมวยมาติดต่อกับเฮียเข้มให้ล้มมวยให้กับนักมวยหน้าใหม่ในค่ายของเขา เขากะจะปลุกปั้นเด็กของเขาให้ก้าวขึ้นไปสู่เวทีแชมป์โลก แล้วอยากให้ไอ้น้อยเป็นฐานในการแผ้วถางทางไปสู่เป้าหมาย แต่เฮียเข้มกับไอ้น้อยปฏิเสธ และสามารถดับความฝันของเจ้าเด็กคนนั้นไม่ให้สามารถไต่เต้าไปสู่ความฝันของผู้มีอิทธิพลคนนั้นได้กลางเวที ภายในยก 2 นั่นเอง ผู้มีอิทธิพลคนนั้นโกรธมาก เพราะเขาเสียเงินเสียทองให้กับเด็กคนนี้มาก แล้วแถมซ้ำก็เล่นพนันข้างคนของเขาหลายแสนบาท เมื่อไอ้น้อยทำให้เขาขายหน้า ปฏิบัติการเด็ดชีพจึงเกิดขึ้น”


abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #37 เมื่อ20-08-2007 11:44:59 »

“ผมกลับมาจากการไปวิ่งออกกำลังกายกับเพื่อนนักมวย มาถึงก็พบไอ้น้อยนอนจมกองเลือดพร้อมๆกับเฮียเข้มในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างของเพื่อนพร้อมๆกับความรู้สึกคั่งแค้นอย่างรุนแรงที่เห็นเพื่อนรักถูกกระทำ”
“ไอ้น้อยเพื่อนผมกับเฮียเข้ม มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่มันเข้าค่ายมวยมา โดยที่คนอื่นไม่เคยรับรู้ แม้กระทั่งผมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมันก็ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องความสัมพันธ์นี้ วันนั้นมันกับเฮียเข้มอยู่ด้วยกันสองคนในบ้านพักซึ่งอยู่ในค่ายมวย วันนั้นเฮียเข้มใจดีอนุญาตให้นักมวยได้พักผ่อนกันบ้างหลังจากฝึกซ้อมกันมาทุกวัน แต่ผมกับเพื่อนนักมวยบางคนออกไปวิ่งแถวชายทะเล ทิ้งให้เฮียเข้มกับไอ้น้อยอยู่กันตามลำพัง ซึ่งตอนหลังผมมาลำดับเหตุการณ์ดูก็รู้ว่านั่นคือแผนที่เฮียเข้มจะได้อยู่กับไอ้น้อยตามประสาคนรักกัน”

“ขณะที่คนทั้งคู่กำลังร่วมรักกันอยู่ ก็มีกลุ่มคนใส่หมวกไหมพรมคลุมหน้าบุกเข้ามาทำร้ายคนทั้งคู่ถึงในบ้าน พอไม่มีนักมวยอยู่ในค่าย จึงเหมือนทางสะดวกที่คนกลุ่มนั้นจะทำอะไรได้โดยง่าย พวกมันทำลายข้าวของในบ้านแตกหักเสียหาย พังเวทีมวยที่เราใช้ฝึกซ้อมกัน ขนข้าวของอุปกรณ์ที่ใช้ซ้อมออกมาทุบทิ้ง แถมซ้ำยังลงมือซ้อมคนทั้งสองโดยเน้นหนักไปที่ไอ้น้อยจนบาดเจ็บสาหัส พวกมันทุบมือไอ้นอ้ยทั้งสองข้าง แถมซ้ำยังกระทืบกล่องดวงใจไอ้น้อยจนแหลกเหลว ไอ้น้อยต้องนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลถึง 2 เดือน กว่าจะหายเป็นปกติ”

“ส่วนเฮียเข้มอาการไม่หนักมาก แต่แกก็ได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างสุดซึ่งที่เห็นไอ้น้อยต้องมารับเคราะห์ แกกลายเป้นคนเซื่องซีมไม่พูดไม่จากับใคร เวลาไปเข้าค่ายมวยก็จะนั่งเงียบไม่ดุด่าพวกนักมวยเหมือนเดิม ทุกคนสงสารเห็นใจแก ทุกคนทำตัวสงบเสงี่ยมขยันซ้อม ไม่ทำให้แกต้องลำบากใจ หลายคนยุให้แกแจ้งความเพื่อเอาเรื่อง แต่แกปฏิเสธ แกรู้ดีว่าไม่สามารถไปต่อกรกับอิทธิพลเถื่อนได้ อีกอย่างแกไม่อยากให้ใครมาล่วงรู้ว่า ไอ้น้อยนักมวยสุดยอดด้านความดุดันขวัญใจชาวประชา เป็นพวกรักร่วมเพศ แกยังคงหวังว่าไอ้น้อยจะกลับมาทำหน้าที่นักมวยได้ แต่สิ่งที่แกหวังไม่สามารถเป็นจริงได้เลย เพราะผลจากการบาดเจ็บครั้งนั้นทำให้ไอ้น้อยไม่สามารถที่จะขึ้นชกมวยได้อีกต่อไปแล้ว”

“สิ่งที่ไอ้น้อยกับเฮียเข้มได้รับ ปลุกไฟอาฆาตในกายผมให้คุโชน ผมตัดสินใจฝึกฝนตัวเองจนร่างกายแกร่งขึ้น แล้วเตรียมจะขึ้นชกเพื่อล้างแค้นให้กับไอ้น้อยเพื่อนผม หลังจากที่เพื่อนผมไปรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้มีอิทธิพลคนนั้นก็ปั้นเด็กใหม่ขึ้นมา ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความดุดันไม่แพ้ ไอ้น้อย เขาชกชนะกวาดเงิน และรางวัลมามากมาย เด็กคนนี้ถูกหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ก้าวเข้าสู่วงการมวยระดับสากลต่อไป”

“การชกกันครั้งแรกของผม เป็นการชกโชว์ในบาร์แถวพัทยา คู่ต่อสู้ของผมอายุมากกว่าผม 2 ปี เตี้ยแต่ล่ำกว่าผม หน้าเหลี่ยม จมูกแบน เขาเป็นนักชกที่อาศัยเรี่ยวแรงเป็นตัวทำคะแนนในการชก แต่ไร้สมอง แรงดีตอนต้น ปลายแผ่วส่วนตัวผมนั้นอาศัยจังหวะการเต้นฟุตเวิร์คของผมหลบหลีกจนทำให้ตัวเองบอบช้ำน้อยที่สุด จนผมสามารถเอาชนะคะแนนเขาได้เมื่อยื้อไปจนครบยก เนื่องจากเขาหมดแรงไปก่อน เลยถูกผมซัดเอาฝ่ายเดียวในยกท้ายๆ”

“หลังจากนั้นผมก็ขึ้นชกอีก หลายครั้งเพื่อหาเงินมาทำค่ายมวยให้เฮียเข้มใหม่ หลังจากที่ค่ายแกถูกคนใจช่วยทำลาย แล้วแกเสียศูนย์ไปพัก แกก็กลับมาสู้เหมือนเดิม แกมุมานะฝึกฝนพวกเรา และส่งขึ้นเวทีมวยหลายเวที นักมวยในค่ายแกหลายคนชกชนะได้เงินมาปรับปรุงค่ายใหม่ ตอนนั้นผมย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่แล้ว เพราะเฮียเข้มไปขอร้องผู้ใหญ่บางคนที่เคยรู้จักให้ช่วยเหลือเรื่องโรงเรียนของผม ทำให้ผมได้เรียนต่อโดยที่ป้าและพี่บอยไม่สามารถมายุ่งได้ เพราะกลัวเฮียเข้มกับพวกนักมวยในค่ายแก และผู้ใหญ่คนนั้น เมื่อปัญหาเรื่องเรียนหมดไป ทำให้ผมเลิกกังวลแล้วมีกระจิตกระใจที่จะซ้อมมากขึ้น”

“เฮียเข้มพาผมและเพื่อนตระเวนท้าชกไปในที่ต่างๆแถบภาคตะวันออก มีเวทีมวยที่ไหนแกพาไปที่นั่น จนชื่อเสียงค่ายมวยของแกเริ่มเป็นที่รู้จัก เพราะนักมวยหลายคนชกชนะสร้างความประทับใจให้กับคนดู ตัวผมเองเวลาขึ้นชกแต่ละครั้งก็สามารถเอาชนะได้ด้วยลีลาที่พลิกพลิ้ว หมัดผมไม่หนักเท่าไอ้น้อย แต่ผมก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยลีลาการลบหลีก และการต่อยที่สวยงาม ผมได้ฉายาว่าไอ้หนูจอมลีลา คนเริ่มพูดถึงผมมากขึ้น จนชื่อของผมไปเตะหูผู้มีอิทธิพลคนนั้น แล้วก็เหมือนเดิม เขาส่งคนมาทาบทามให้ผมไปอยู่ด้วยหลังจากที่ได้ไปนั่งดูผมชกมาสองสามครั้ง”

“ผมตอบปฏิเสธสิ่งที่เขานำเสนอ ทำให้เขาโกรธมาก แล้วกล่าวคำอาฆาต หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จัดนักมวยในสังกัดของเขาให้มาชกกับผม เพื่อต้องการตัดหนทางแห่งอนาคตไม่ให้ผมเติบโตในวงการมวย แต่ผมไม่แคร์เท่าไหร่ ผมไม่อยากจะเป็นนักมวยแชมป์โลก ผมแค่ต้องการแก้แค้นให้ไอ้น้อยกับเฮียเข้มมากกว่า และนี่ก็ได้โอกาสแล้วที่จะหักหน้าผู้มีอิทธิพลคนนั้น ข่าวว่าเขาเดิมพันว่านักมวยจอมโหดของเขา จะสามารถหักกระดูกผมได้ตั้งแต่ยกแรก เขาเดิมพันในวงเงินสูงมาก เพราะเชื่อมั่นในตัวนักมวยที่เขาปลุกปั้นมา”


“ผมปฏิญาณกับตัวเองว่าผมจะต้องเอาชัยชนะกลับมาเป็นของขวัญให้กับไอ้น้อยให้ได้  หากผมทำสำเร็จ ผู้มีอิทธิพลในวงการมวยคนนั้นจะได้รับรู้ความพ่ายแพ้อีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สาหัส เพราะเขาจะต้องสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากให้กับการเดิมพันครั้งนี้”

“ไอ้น้อยมาให้กำลังใจผมทุกวันหลังจากออกจากโรงพยาบาล มันไม่สามารถชกมวยได้แล้ว แล้วก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกด้วย มันอยู่กับเฮียเข้มที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ ยกเว้นแต่พวกนักมวยบางคนและผมเท่านั้นที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ เวลาที่ผมเห็นไอ้น้อยทีไร

ผมอดสงสารมันไม่ได้ มันถูกทำร้ายที่มือและแขน จนทำให้ไม่สามารถที่จะใช้มือออกแรงหนักๆ อวัยวะเพศของมันถูกตัดขาดออกไป มันจึงมีสภาพอะไรไม่ต่างกับขันที แต่มันก็ยังมองโลกในแง่ดี ตามประสาคนไม่ค่อยคิดอะไรมากอย่างมัน ผมชอบดึงมันมากอด แล้วก็ให้คำมั่นสัญญาว่า ผมจะจัดการกับพวกคนใจชั่วให้มันให้ได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเล่นงานพวกมันด้วยกฎหมาย ก็ขอให้มันหมดหวังในเส้นทางมวย อย่างที่พวกมันทำกับคนอื่น”

“ไอ้น้อยช่วยผมฝึกซ้อม โดยสอนเทคนิคการปล่อยหมัดที่หนักหน่วงให้ ผมทำได้ไม่ดีเท่ามัน แต่หมัดผมก็นับว่าหนักพอควร ผมฝึกซ้อมทุกวันโดยไม่หยุดพัก วันละหลายๆชั่วโมง เพื่อเตรียมร่างกายให้แข็งแกร่ง ผมเฝ้ารอวันที่ผมจะได้ขึ้นชกกับนักมวยคนที่ขึ้นมาแทนที่ไอ้น้อย ได้ข่าวว่าหมอนี่หมัดหนักไม่ใช่เล่น แต่ถึงจะเก่งแค่ไหน ผมก็จะต้องโค่นเขาลงให้ได้ เพื่อดับความฝันของผู้มีอิทธิพลผู้นั้น”

“และแล้ววันนั้นก็มาถึง ผมได้ขึ้นชกกับนักมวยในสังกัดของผู้มีอิทธิพล ณ เวทีชั่วคราวที่จัดขึ้นมาริมหาดพัทยาในงานเทศกาลสงกรานต์ มีนักมวยที่ผู้มีอิทธิพลท่านั้นส่งหลายคู่ รวมทั้งนักมวยที่เป็นคู่ชกของผม คู่ของเราเป็นคู่ก่อนการแข่งขันของนักมวยรุ่นใหญ่

ถึงแม้จะเป็นมวยคั่นเวลา แต่ผู้มีอิทธพลท่านนั้นก็หวังเอาไว้มาก แถมซ้ำยังเล่นเดิมพันไว้เยอะด้วย เพราะเขาหวังที่จะปั้นนักมวยคนนี้ให้โด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก นักมวยคนนี้ผ่านประสบการณ์ชกมาอย่างชกโชน เขาอายุมากกว่าผม และดูแข็งแกร่งกว่ามาก ลำตัวหนาล่ำ เหมือนวัวควาย หน้าตาHereมเกรียม ต่างจากผมซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ตามชาติพันธ์ของผม

แต่ก็ยังนับว่าบางกว่าเขาเมื่อเทียบกับความบึกบึนที่เขามี ผมคงต้องอาศัยลีลาชั้นเชิงที่พลิ้วไหว มากกว่าจะใช้พละกำลัง แล้วอาศัยจังหวะเหมาะๆชกเก็บคะแนนไป นักมวยคนนี้ได้ชื่อว่าหมัดหนัก แล้วก็สามารถน๊อคคู่ต่อสู้ได้ในยกต้นๆ ยังไม่เคยชกจนกระทั่งครบยกสักครั้ง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องทำการบ้านมาอย่างหนัก ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถประคองตัวให้รอดไปจนถึงยกสุดท้าย แล้วเป็นฝ่ายทำคะแนน โดยไม่เพลี่ยงพล้ำถูกน๊อคไปตั้งแต่ยกต้นๆ”

“เมื่อการชกเริ่มขึ้น เขาย่างสามขุมเข้ามาหาผมอย่างดุดัน ส่วนผมก็เต้นฟุทเวิร์คหนีไปรอบๆ แล้วคอยจ้องหาโอกาสปล่อยหมัดแย็บไปเรื่อยๆ รอจังหวะที่เขาการ์ดตกเพื่อที่นะชกเข้าที่ใบหน้าจังๆ ดูเหมือนว่าเขายังใจเย็นอยู่ พยายามที่จะก้าวตามผมไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางคลุกวงในกับผมจะได้ปล่อยหมัดที่หนักหน่วงเข้าสู่ลำตัว ซึ่งจากการที่ผมติดตามศึกษาการชกของเขา รู้ดีว่า เขาเป็นคนที่หมัดหนักมากๆ และเคยต่อยเข้าลำตัวและท้อง จนนักมวยบางคนถึงกับช้ำในมาแล้ว”



“ผมรู้ดีว่าเขากำลังหาทางเผด็จศึกผมในยกต้นๆ แต่ผมก็ฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปอยู่ในเกมส์ของเขา หากผมต้องการเอาชนะ ผมต้องดึงให้เขามาเล่นตามเกมส์ผมให้ได้ ผมจึงพยายามที่จะไม่เข้าใกล้เขามากเกินไป ได้แต่ถอยหนี หลบหลีกหมัด แล้วสวนเข้าที่ลำตัวบ้าง ท้องบ้าง ใบหน้าบ้างยามที่เขาเผลอ อาศัยที่ผมแขนขายาวกว่า จึงสามารถที่จะปล่อยหมัด เข่า หรือแม้กระทั่งเตะ โดยไม่ต้องเข้าใกล้ตัวมากนัก”

“ผมเจอหมัดเขาจังๆเมื่อเข้ายกที่สอง รู้สึกมึนมาก เพราะเขาหมัดหนักจริงๆ แต่ผมก็พยายามที่จะใช้สติที่พอจะมีอยู่พาตัวเองให้รอดจนกระทั่งครบยก พอขึ้นยกถัดไปผมก็พยายามที่จะให้เขาเข้าถึงตัวได้น้อยที่สุด แต่ดูเหมือนเขาจะมุทะลุมากขึ้น ไล่บดขยี้ผมบนเวที

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาต้อนผมจนไปติดมุมแล้วปล่อยหมัดฮุกเข้าแถวลำตัวผมจนจุกไปหมด กว่าจะแยกตัวออกมาได้ก็เกือบจะน่วม แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ยอมล้มลงง่ายๆ ยิ่งตอนพักยกผมเหลือบไปเห็นแววตาเย้ยหยันจากผู้มีอิทธิพลคนนั้น สลับกับเห็นแววตาของเฮียเข้ม และ ไอ้น้อยที่มองมาอย่างเอาใจช่วย ทำให้ผมฮึดสู้ ผมรู้ว่า คะแนนของผมเป็นรองนักมวยหมัดหนักคนนี้ แต่คะแนนของเราก็ห่างกันไม่มากนัก เพราะผมก็เก็บคะแนนจากการชกเขาได้มากเหมือนกัน”

“ด้วยความที่เขาจ้องจะตะบันหน้าผมตลอดเวลา ทำให้เขาหลุดเข้ามาในกับดักของผม ผมล่อเป้าให้เขาชกซ้าย ต่อยขวา เตะ จนแทบจะหมดแรง ในขณะที่ผมก็อาศัยความว่องไวหลบหลีกและชกป้องกันตัวเองบ้าง และถลุงเขาบ้างเมื่อเขาเริ่มจะอ่อนแรงการ์ดตก ปลายยกท้ายๆเราแลกหมัด ศอกกันบนเวที ผมอาศัยความสูงที่ได้เปรียบใช้ทั้งเข่าและศอกเล่นงานเขา

ในขณะที่เขาเองก็พยายามจะใช้หมัดของเขาเล่นงานผมให้หมอบ แต่ผมก็จะหลบหลีกไม่ให้โดนจังๆ แต่กระนั้นเวลาที่หมัดมันเฉียดไปตามใบหน้ามันก็ส่งผลให้หน้าผมสั่นไปตามแรงที่กระแทกมาได้เหมือนกันเขายังคงเชื่อมั่นในพละกำลังของตนเอง จึงลุยดะมาแบบนักมวยโง่ๆ ป่ายมือซ้ายขวาไล่ตามผมซึ่งเต้นไปรอบๆ

พอเขาเผลอผมก็ทิ่มหมัดเข้าหน้าและลำตัว มีโอกาสเตะได้เตะ ฟันศอกได้ก็ฟัน จนในที่สุดเขาก็เริ่มที่จะต่อยผมพลาดเป้า เขาโถมพละกำลังเฮือกสุดท้ายกอดรัดพันตูกับผมบนเวที ทั้งเขากับผมแลกหมัดใส่กันไม่ยั้ง ถึงแม้เขาจะดูอ่อนแรงแต่หมัดเขาก็ยังหนักมาก ทิ่มท้องผมแต่ละทีจุกจนตัวงอ”

“และแล้ววินาทีแห่งชัยชนะของผมก็มาถึง เขาเดินหน้าHereมเกรียมรุกไล่จะบดขยี้ผมบนเวที แต่ผมสังเกตเห็นแล้วว่าเขาช้าลงมาก เนื่องจากถูกยื้อมาหลายยก แล้วเขาก็พยายามใช้เรี่ยวแรงอย่างมาก ซ้ำยังถูกผมใช้ทั้งเข่าและศอกเล่นงาน แถมด้วยอีกหลายหมัด

คนที่แข็งแกร่งอย่างเขาก็ถึงกับหมดแรงได้เหมือนกัน โอกาสมาถึงเมื่อการ์ดของเขาเริ่มตกลงมากันตรงหน้าอก ปล่อยหน้าโล่ง ผมแย็บเข้าที่หน้าเขา และฮุคเข้าปลายคางเต็มเหนี่ยว เขาเซถลา ผมรีบตามไปซ้ำ ขึ้นเข่าลงศอกจนเขาถลาเหมือนนกปีกหัก แต่ก็ยังไม่ยอมล้ม พยายามจะพยุงกายให้อยู่บนเวที แต่ผมไม่รอช้า หลังจากปล่อยหมัดเข่าเป็นชุด ก็ถึงเวลาขึ้นสุดท้าย ผมกระโดดตัวลอยกระแทกเข่าไปที่ปลายคางของเขา และฟันศอกลง เขาล้มครืนไม่เป็นท่า กรรมการนับสิบแล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา”
“เสียงเฮ และเสียงโห่ดังขึ้นรอบทิศทาง คนที่เล่นข้างนักมวยรองบ่อนอย่างผมดีใจจนทั่วหน้า ในขณะที่คนเล่นข้างนักมวยหมัดหนักกลับหัวเสียเพราะต้องสูญเงินเดิมพัน ผมหันไปยังที่นั่งที่ผู้มีอิทธิพลคนนั้นนั่งอยู่ เขามองผมด้วยแววตาโกรธแค้น ชี้หน้าผมแล้วก็ขยับปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมยิ้มเยาะ แล้วชูกำปั้นให้เขาด้วยความสะใจที่ผมล้างอายให้กับไอ้น้อย เฮียเข้ม และค่ายของแกได้”

“ผมเอาเงินค่าตัวที่ได้มา ไปเลี้ยงข้าวเพื่อนๆที่ร้านอาหารริมทะเล เฮียเข้มบอกกับพวกเราว่า แกจะเอาเงินเดิมพันที่ได้มาไปพัฒนาค่าย แต่คราวนี้แกจะไปทำค่ายมวยในกรุงเทพฯ พวกเราดีใจกันมาก เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่เคยเข้ามาสัมผัสในกรุงเทพมาก่อน เฮียเข้มกล่าวขอบคุณผมและนักมวยทุกคนที่สร้างชื่อให้กับค่ายมวยของแก แล้วก็ให้สัญญาว่าจะผลักดันให้พวกเรามีชื่อเสียงต่อไป”

“เกือบเที่ยงคืนที่พวกเราแยกย้ายกันกลับ เฮียเข้มกลับบ้านพร้อมกับไอ้น้อย ส่วนผมและนักมวยคนอื่นๆจะเข้าไปเที่ยวกันที่พัทยาใต้ เราอยากจะคลายเครียดกันบ้างหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการชกมาทั้งตลอดจนถึงวันแข่งขัน โดยเฉพาะผมที่เพิ่งเสร็จจากการชกมาหมาดๆ เลยอยากจะพักผ่อนบ้าง พวกเราจึงพากันไปเที่ยวเธค แล้วก็ดิ้นกันกระจาย ปล่อยอารมณ์กันเต็มที่โดยไม่มีใครได้สำเหนียกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา”

“และแล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมๆกับไฟดับพรึ่บลง ผมและเพื่อนๆนักมวยหนีตายกันอลหม่าน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องรีบไปให้พ้นๆจากสถานที่แห่งนี้ พวกเราโกยอ้าวออกมาจากเธค โดยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งวิ่งตาม ตอนแรก ผมนึกว่าพวกนั้นหนีตายมาพร้อมๆกับเรา

แต่ที่ไหนได้ พวกนั้นมีอาวุธครบมือ ทั้งมีด ไม้ และปืน วิ่งตามพวกเราไปติดๆอย่างไม่ลดละ ในช่วงวิกฤติแบบนั้นผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะคิดว่าคนพวกนั้นคือใคร แล้วต้องการทำร้ายพวกเราทำไม ความจำเป็นที่จะเอาตัวรอดสั่งการให้ออกวิ่ง วิ่ง วิ่ง  พวกผมซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 คน ต่างแยกย้ายหนีเอาตัวรอด แต่คนพวกนั้นก็กระจายกำลังกันออกติดตามอย่างไม่ลดละ”

“ผมเองวิ่งหนีไปทางชายหาดที่มีต้นมะพร้าวปลูกเรียงราย พยายามใช้ความมืดพลางตัวเพื่อหลบหลีก  แต่พวกมันก็ตามมาอย่างกระชั้น แถมซ้ำยังยิงปืนใส่ผมอีกด้วย แต่คลื่นและลมที่พัดเข้าสู่ชายฝั่ง ได้กลบเสียงปืนให้กลายเป็นเสียงคำรามเบาบาง จนถ้าไม่เงี่ยหูฟังดีๆก็จะไม่ได้ยิน แต่ผมก็เล็ดลอดมาได้ ด้วยการใช้ต้นไม้เป็นเกราะกำบัง และการวิ่งอย่างรวดเร็ว ผมเป็นนักกีฬาและวิ่งเป็นประจำทุกวัน ร่างกายผมย่อมทนทาน และรวดเร็วกว่าคนพวกนั้นเป็นสิบเท่า ผมโกยแบบใส่ตีนหมาไม่ยั้งสักพัก ก็ตัดสินใจจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนเพื่ออาศัยความพลุกพล่านของผู้คนเป็นที่พรางตา”

“จังหวะที่ผมกำลังจะวิ่งข้ามถนนนั้น เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมๆกับอาการเสียวแปลบที่ ชายโครง ผมทรุดฮวบลงกับพื้น รู้ตัวแล้วว่าถูกยิงจากปืนในมือของพวกนักเลงกลุ่มนั้น แต่ไม่มีเวลาสำรวจบาดแผลเพราะหูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมา

ผมตะกายลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กัดฟันแน่น พยายามส่งใจไปที่บาดแผลบังคับไม่ให้มันเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจในวินาทีนั้นที่จะวิ่งข้ามถนนอย่างรวดเร็ว ผมเห็นรถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล ผมกะระยะว่าหากผมโดดข้ามถนน มันก็คงจะสามารถไปได้ถึงอีกฝั่งก่อนที่รถคันนั้นจะมาถึงตัว แถมซ้ำรถคันนั้นยังจะสามารถเป็นเกราะกำบังให้ผมได้ด้วย”

“เสียงรถเบรกดังลั่น ผมยืนตัวแข็งทื่อกลางถนนอีกครั้ง การกะจังหวะของผมผิดพลาด รถมาถึงตัวผมก่อนที่ผมจะก้าวข้ามพ้น มีเสียงเอะอะดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปมอง ก็เห็นชายฉกรรจ์จำนวน 7-8 คนในมือถืออาวุธกำลังวิ่งตรงเข้ามา ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วแทรกตัวเองเข้าไปนั่งข้างในรถคันนั้นทันที พร้อมร้องสั่งให้คนขับรีบออกรถ”

“คนขับเป็นผู้หญิงสาวสวย อายุอานามคงไม่น่าเกิน 25 ปี  เธอไม่ยอมออกรถแต่หันมาโวยวายไล่ผมลงจากรถของเธอ ผมต้องอ้อนวอนขอร้องให้หญิงสาวคนนั้นขับรถออกไปก่อนแล้วจะอธิบายให้ฟังทีหลัง แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่โวยวายท่าเดียว

ผมเหลือบมองไปด้านข้างรถตรงที่เป็นชายหาด และเห็นชายคนหนึ่งกำลังทำท่าเล็งปืนมาที่รถของหญิงสาวคนนั้น ผมจึงร้องให้เธอหันไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอหวีดร้องแล้วรีบกระชากรถออกโดยแรงจนผมเกือบหัวทิ่ม”

“ผมหันหลังไปมองในกระจก ก็เห็นคนพวกนั้น ยิงปืนไล่หลังมาก แต่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออกมาเร็วมากด้วยความตกใจ ทำให้สามารถรอดพ้นไปได้ แต่กระนั้นกระสุนปืนก็ยังสามารถเจาะเข้ากับตัวรถด้านหลังไปหลายแผล

เธอเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนรถเคลื่อนไปด้วยความเร็วทั้งๆที่อยู่บนถนนที่ยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและรถจากที่สัญจรไปมา จนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ท่าทางของเธอเหมือนคนที่ตกอยู่ในความกลัวจนกระทั่งสติแตก ไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2007 14:43:25 โดย º★*.๑۩۞۩๑..*ღ• »

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #38 เมื่อ20-08-2007 13:40:13 »

 :o :o....แล้วไงต่อ่ะ   แม่ ญ คนนั้นเปงใคร

ค้างอย่างแรงอ่ะ   :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #39 เมื่อ20-08-2007 14:32:59 »

ความหลังซับซ้อนและเยอะมากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #39 เมื่อ: 20-08-2007 14:32:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #40 เมื่อ20-08-2007 14:51:11 »

แล้วหญิงคนนั้นจะเกี่ยวข้องกะเรียวป่าวหว่า  :m21:  :m21:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #41 เมื่อ20-08-2007 20:44:27 »

บทที่ 6

“ใจเย็นๆน่าที่รัก มันตามมาไม่ทันแล้ว รถความเร็วลงได้แล้ว เราอยู่ในเมืองนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้น จากที่นั่งด้านข้างคนขับ มันทำให้ผมรู้ว่านอกจากผมและหญิงสาวคนขับแล้วยังมีผู้ชายอีก 1 คนนั่งมาในรถด้วย หญิงสาวชะลอความเร็วลง แต่ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่ผู้ชายคนนั้น แล้วก็ต่อว่าต่อขานว่าเขามัวแต่กินเหล้าเมา จนต้องให้เธอมาขับรถแทน

นี่ถ้าเธอไม่ขับเร็วอย่างนี้ คงได้ตายกันหมด แล้วก็หันมาด่าผมฉอดๆ ว่าเป็นเพราะผมที่ลากเธอกับคนรักเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ด้วย เธอไล่ให้ผมลงจากรถ แต่แฟนหนุ่มของเธอห้ามไม่ให้หยุดรถ เพราะเดี๋ยวพวกนั้นตามมาทัน เธอเลยกลัว ไม่ยอมจอดให้ผมลง แต่ก็นั่งบ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นต้องทำเสียงเข้มไม่ให้เธอพูด นั่นแหละเธอถึงเงียบลงได้ แต่ก็ยังทำหน้าง้ำอยู่”

“คนพวกนั้นเป็นใครเหรอน้องชาย”

เขาถามผมโดยไม่หันมา อุปทานหรือเปล่าไม่ทราบผมรู้สึกว่าเสียงเขาคุ้นหูเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

“ไม่ทราบครับผมไม่รู้จักคนพวกนั้นเลย” ผมบอกเขาไปตามตรง

“อยู่ๆพวกนั้นก็ตามไล่ล่าผม”

“แล้วพวกนั้นตามไล่ฆ่านายมาจากที่ไหนล่ะ” เขาถามอีก

“จากในบาร์ครับ ผมไปเที่ยวกับเพื่อนๆมาหลังจากเลิกงาน..........”

ผมไม่ได้บอกออกไปว่าผมเป็นนักมวย เพราะกลัวว่าเขาจะหาว่าผมขี้ขลาดเป็นนักมวยแท้ๆแต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแทนที่จะต่อสู่ แต่แหม มากันเป็นโขยงพร้อมอาวุธครบมือขนาดนั้น ต่อให้เป็นนักมวยที่เก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดทั้งนั้นแหละ รักษาชีวิตตัวเองไว้ดีกว่าจะยอมรักเกียรติโดยที่ต้องเอาตัวไปรับกระสุน

“เรากำลังเต้นอยู่ดีๆก็เผอิญมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วไฟก็ดับลง จากนั้นความชุลมุนก็เกิดขึ้น ผมกับเพื่อนวิ่งหนีออกมา แล้วพวกนี้ก็วิ่งไล่ล่าผมกับเพื่อน เขามากันกลุ่มใหญ่มากครับ เราเลยหนีอย่างเดียวครับ” ผมเล่าไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

“จะมีอะไรล่ะคะที่รัก นอกจากเขม่นหน้ากัน หรือไม่ก็เมาเหยียบเท้ากัน ไม่ก็เหล่หญิงคนเดียวกัน วัยรุ่นสมัยนี้ก็ดีแต่หาเรื่อง”

สาวคนขับพูดอย่างเหยียดๆ ท่าทางคงจะยังไม่หายโกรธผมที่ตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายๆโดยไม่ตั้งใจ

“เปล่านะครับ พวกผมเต้นกันอยู่ดีๆไม่ได้ไปหาเรื่องกับใคร แล้วตอนที่อยู่กันในบาร์ก็ไม่ได้ถูกใครเขม่นด้วยครับ ถึงเราจะเฮฮากัน แต่ก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ไปสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ใครเลยนะครับ”

ผมบอกเขา พลางนิ่วหน้า รู้สึกเจ็บแปลบที่ชายโครง ผมเอามือไปแตะดูก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากแผลรอยกระสุนบนเสื้อ ผมเผลอเอามือกดแน่นตรงรอยนั้นเพื่อระงับความเจ็บปวด

“แล้วนี่เราจะไปไหนล่ะ”

“เอ้อ”

ผมอับจนคำตอบ ไม่รุ้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี จะกลับไปที่ค่ายมวยที่พำนักก็กลัวว่าไอ้พวกนั้นจะตามผมไปที่นั่น แล้วหาโอกาสทำร้ายเฮียเข้มกับไอ้น้อยอีก หลังจากที่นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ไปมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมชักจะเริ่มมั่นใจแล้วว่า คนพวกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับผุ้มีอิทธิพลในวงการมวยแห่งภาคตะวันออกคนนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะจงใจไล่ฆ่าพวกผมทำไม เหมือนตั้งใจจะกวาดล้างให้สิ้นซาก ไม่ต้องมีนักมวยในสังกัดกันเลย

ผมได้แต่นึกหวังในใจว่า เฮียเข้มกับไอ้น้อย รวมถึงเพื่อนนักมวยในค่ายที่ไม่ได้ไปด้วย คงจะปลอดภัย และสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับค่ายมวยของเราได้ แล้วก็นึกภาวนาให้เพื่อนๆที่ประสบชะตากรรมเดียวกันสามารถที่จะหลบหลีกได้จนปลอดภัย

ความเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นมา ผมกัดกรามแน่น เพื่อระงับความเจ็บปวด รู้สึกตาลายจนมองอะไรพร่ามัวไปหมด หูอื้อจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนนั้นที่ถามย้ำอีกครั้ง

“ว่าไงล่ะน้องชาย อยากไปไหน พวกเราจะได้ไปส่งให้”

“นี่เรียวคะ ทำไมไปพูดอย่างนั้นล่ะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวดีกว่านะคะ ส่งเขาที่ข้างทางตรงไหนก็ได้ แล้วเราก็รีบกลับกรุงเทพกันดีกว่านะคะ”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ แซนดี้” เสียงของฉายหนุ่มเจือด้วยแววตำหนิ

“คุณก็เห็นว่าน้องชายคนนี้ หนีการตามไล่ล่าจากพวกคนร้ายมา จะปล่อยเขาทิ้งๆขว้างๆไว้ข้างทางได้ยังไง เดี๋ยวเกิดคนพวกนั้นตามมาเจอเข้าก็แย่น่ะสิ”

“ก็เรื่องของเขาสิคะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย นี่ถ้าเขาไม่กระโดดขวางถนนแล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถเราแบบนี้ เรื่องยุ่งยากนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก เราก็คงจะกลับถึงกรุงเทพไปตั้งนานแล้ว คุณอย่ามัวมาห่วงคนอื่นเลยค่ะ เรียว เอาตัวเองให้รอดเถอะ แค่นี้ก็เมาจะแย่อยู่แล้ว”

“ผมไม่ได้เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนั้นหรอก แค่มึนๆเท่านั้นเองนะแซนดี้ แต่ผมก็พอจะมีสติรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”

“อย่างเช่น การเอาตัวเข้าไปแส่เรื่องของชาวบ้านอย่างนี้เหรอคะ” หล่อนเริ่มแหวใส่เขาอีก

“ผมทำเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เด็กคนนี้กำลังเดือดร้อนนะ แล้วบังเอิญเราผ่านมาเจอพอดี จะนิ่งดูดายได้ไง”

“คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะเข้า ที่พร้อมจะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องชาวบ้านแบบเดียวกันกับคุณ ทำไมต้องเป็นเราล่ะคะ ทำไมต้องเป็นคุณทุกครั้งที่ชอบยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคุณแม้แต่นิดเดียว การกระทำของคุณมันทำให้เราสองคนเดือดร้อนนะคะ”

“แค่กลับกรุงเทพล่าช้ากว่าที่ควรเนี่ยนะ” ชายหนุ่มย้อนถาม

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว คุณไม่คิดหรือคะว่าถ้าพวกนั้นตามล่าเราบ้างล่ะ ที่ไปขัดขวางการทำงานของพวกเขา แล้วถ้ามันจำเลขทะเบียนรถของแซนดี้ได้ แล้วตามหาตัวแซนดี้ แล้วมาฆ่าปิดปากล่ะคะ คุณจะว่าไง”

เสียงหญิงสาวบ่งบอกถึงความโกรธเคือง แฝงด้วยความหวาดหวั่น

“ผมว่าคงไม่หรอก อย่าคิดมากเลยน่าที่รัก คุณขับรถออกตัวแรงขนาดนั้น แล้วขับเร็วมากจนกระทั่งถ้าผมไม่บอกให้คุณขับรถดีๆ คุณคงขับรถชนชาวบ้านวินาศสันตะโรแน่ๆ ทั้งๆที่เป็นถนนที่มีรถราวิ่งกันไปมา คุณก็ปาดซ้ายปาดขวาอย่างรวดเร็ว พวกนั้นคงไม่มีทางมองตามเลขทะเบียนคุณได้ทันหรอก แล้วอีกอย่างแถวนั้นก็ค่อนข้างมืดด้วยนะ”

“แล้วทำไมคุณไม่ลงมาขับรถเองล่ะคะ ให้แซนดี้ขับทำไม”

หญิงสาวต่อว่าเสียงงอนๆ

“ผมแค่ต้องการเคารพกฎข้อบังคับของตำรวจต่างหาก แต่ถ้าคุณเห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากถึงขนาดที่เราต้องมานั่งทะเลาะกันล่ะก็ ผมขับให้ก็ได้” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงฉุนโกรธ

แล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นทะเลาะกันอีกครั้งโดยที่สาวเจ้ายังคงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เธอต่อว่าต่อขานเขาที่พาเธอมาพัทยาทั้งที ก็เอาแต่ทำงาน แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆในผับดื่มกินจนกระทั่งเมามาย โดยไม่สนใจเธอที่มาด้วย แถมซ้ำยังให้เธอต้องมาร่วมในเหตุการณ์ที่น่าอันตรายเพียงเพราะเขาใจดีไม่กล้าขับรถผ่านไป

เธอต่อว่าที่เขาเอาแต่สนใจเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเอาอกเอาใจเธอเลย เขาก็โต้ตอบว่า เขามาพัทยาบ่อยๆ เพราะเขาต้องมาติดต่อเรื่องงานการ เพราะเขาดูแลภูมิภาคแถวนี้ ซึ่งเธอก็รู้ดีอยู่แล้ว การที่เขาพาเธอมาด้วย ก็เพราะเธอบ่นว่าเหงา ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว เขาก็เลยพามาด้วย

ทั้งๆที่ก็บอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่ามาทำงาน ซึ่งเขาก็พยายามที่จะงานให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะได้พาเธอมาเที่ยวด้วย แล้วการที่เขาช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก เขาพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบยังคงขับรถกระชากๆด้วยอารมณ์โกรธที่คุกรุ่น จนกระทั่ง ชายหนุ่มที่นั่งด้านข้างเธอต้องบอกให้หยุดรถ เพราะเขาจะลงไปขับเอง เธอจึงเบรกรถอย่างแรง จนหน้าทิ่มไปตามๆกัน

ตลอดเวลาเหล่านั้น ผมเอนตัวลงกับเบาะแล้วนั่งนิ่งๆฟังคนทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างสงบ ไม่มีแรงจะพูดเพื่อขอโทษที่รบกวนพวกเขา หรือแม้แต่จะเอ่ยปากให้พวกเขาจอดรถเพื่อปล่อยผมลง แม้กระทั่งตอนนี้ ซึ่งรถได้จอดสนิทลงแล้ว เสียงสบถของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นอย่างโกรธ พร้อมกันนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น เขาลงจากรถและอ้อมไปด้านข้างคนขับ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งนิ่งๆตาคว่ำ หน้างอง้ำ

มีอะไรอุ่นๆไหลซึมเปรอะเสื้อของผมจนเปียกไปหมด ผมยกมือข้างที่กดอยู่ตรงชายโครงขึ้นมาดู เห็นเลือดตัวเองไหลเลอะเต็มฝ่ามือ ผมรู้สึกหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม ความปวดร้าวแผ่ซ่านจากบาดแผลแล่นไปทั่วตัว ตาลาย หูอื้อ สมองอึงอลไปหมด ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังแว่วๆ

มีเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ผมพยายามจะมอง สิ่งที่ผมเห็นเพียงลางๆคือหญิงสาวคนนั้นลงจากรถไปอย่างกระฟัดกระเฟียด โดยที่มีชายหนุ่มคนนั้นก้าวขึ้นมานั่งแทนที่คนขับ เขานั่งก้มหน้า มือกำอยู่ตรงพวงมาลัย รอจนกระทั่งแฟนสาวของเขาเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างๆแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอี้ยวคอมาทางผม

“เฮ้ย เป็นอะไรไปน่ะ น้องชาย หน้าตานายซีดเซียวมาก ไม่สบายหรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

น้ำเสียงแสดงความกังวลใจเมื่อมองเห็นหน้าผม เขาเปิดไฟในรถขึ้นเพื่อมองผมชัดๆ

“นี่อย่ามาเป็นอะไรในรถฉันนะ” เสียงหญิงสาวดังขึ้น

“นายถูกยิงนี่นา”

น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นตกใจเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวผม

“แย่แล้วสิ เรียวคะ ทำไงดี เขาจะตายในรถเราไหมคะ บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง เกิดตายขึ้นมาจะซวยกันใหญ่”

“ป..ล่อ...ย....ปล่อย ผมลง...แถ....ว แถวนี้ ก็.ได้...ครับ”

ผมบอกเขาอย่างอยากเย็น ชายหนุ่มทำเสียงดุใส่ผม

“ใครจะทำอย่างนั้นเล่าไอ้น้องชาย อย่างงั้นมันก็ใจดำเกินไปแล้ว เอางี้เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่โรงพยาบาลนะที่ใกล้ที่สุดดีกว่านะ”

เขาหันกลับไปแล้วออกรถทันทีมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอย่างเร็ว

“นี่คุณกำลังขับรถอย่างเร็วเลยนะ ไม่กลัวตำรวจจับแล้วเหรอ ทั้งกินเหล้า ทั้งขับรถเร็ว”

“แซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ จะรอช้าได้ไง อีกอย่างผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมามายไม่รู้เรื่องนี่ บอกกี่ครั้งแล้ว ผมยังขับได้สบายเห็นไหม ถ้าโดนจับจริงผมว่า ตำรวจคงจะเห็นใจเพราะรถเรามีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย”

“เรื่องมันชักจะยุ่งไปใหญ่แล้วนะคะเรียว หากพาเขาไปโรงพยาบาล พวกนั้นจะไม่กักตัวเราไว้หรือคะว่าเราเป็นคนทำร้ายเขา ”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

“เอาน่า ถึงแล้วค่อยว่ากันนะ”

เขาพูดอย่างใจเย็น ทั้งๆที่ขับรถเร็วอย่างกับพายุเหมือนคนใจร้อน ดีนะ ที่ออกมายังเส้นสุขุมวิทกันแล้ว ผมรับรู้จากความคุ้นเคยที่มีต่อสถานที่

“ปล่อยเขาไว้ใปไม่ดีกว่าหรือคะ แล้วเราก็กลับกัน พร้อมทั้งลืมเรื่องทั้งหมดนี่ซะ แซนดี ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเลย” เธอขอร้องเขา

“ไม่ได้หรอกแซนดี้ นี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย เรารับเขาขึ้นรถมาแล้ว ตอนนี้เขาถูกยิงอาการหนักมาก ถ้าไม่ช่วยเขาอาจจะตายได้”

เขาไม่ยอมฟังคำขอร้องของแฟนสาว

“กลับถึงกรุงเทพแล้ว เราคงต้องคุยกันหน่อยนะคะเรียว”

“เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รับเขาขึ้นรถมาแล้ว ก็ต้องไปส่งเขาให้ถึงไปส่งเขาให้ถึงที่หมาย เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

เขาตอบเสียงเรียบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรง

“อย่ามาทำให้รถของแซนดี้เปื้อนเลือดแล้วกัน รถเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เดี๋ยวจะซวย”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่เปลือกตาทั้งสองข้างของผมจะปิดลง

“ผมมาฟื้นตัวอีกทีหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน หมอได้ผ่าตัดเอากระสุนออกจากชายโครงของผมแล้ว โชคดีที่พวกนั้นยิงพลาดเป้าไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญแต่อย่างใด ไม่งั้นผมคงจะไม่สามารถมีชีวิตได้จนถึงทุกวันนี้ ผมนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลนานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะกลับไปบ้านพักที่ค่ายมวย

เฮียเข้มกับไอ้น้อยรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลเมื่อผมนอนในโรงพยาบาลผ่านไปแล้วสามวันตอนแรกแกนึกว่าผมตายแล้ว เพราะนักมวยที่ไปด้วยกันกับผมในวันนั้น เหลือรอดกลับมาแค่ 4 คน และถูกยิงตายหนึ่งคน พวกนั้นบอกว่าผมหายไป แล้วก็พยายามออกตามหาผม ตามสถานที่ต่างๆที่คิดว่าผมจะไปหลบซ่อนตัว ก็เลยคิดว่าผมคงถูกฆ่าตายแล้ว ไม่มีใครคิดว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลแล้วรอดตายสักคน”

“เฮียเข้มดีใจมากที่ผมยังมีชีวิตรอดอยู่ ไอ้น้อยมาบอกผมว่าเฮียเข้มได้ไปแจ้งที่สถานีตำรวจว่านักมวยในสังกัดเสียชีวิตเพราะถูกยิง แกสงสัยว่าเป็นฝีมือของผู้มีอิทธิพล แต่ตำรวจบอกว่าหลักฐานอ่อนเอาผิดไม่ได้ อาจจะเป็นการตีกันธรรมดาในผับ ในบาร์ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจจะเกิดการเขม่นกันขึ้นได้

แต่ตำรวจก็รับปากว่าจะคลี่คลายคดีให้ ระหว่างนี้แกก็เลยรอให้ตำรวจจัดการ แต่ในใจแกก๊คิดว่าเรื่องนี้ก็คงจะเงียบตามเคย เพราะผู้มีอิทธิพลในวงการมวยภาคตะวันออกท่านนี้เป็นผู้ที่มีเส้นสายใหญ่โต และรู้จักคนมากมาย ไม่มีใครกล้ายุ่ง”

“ผมเพิ่งมารู้จากนางพยาบาลที่ดูแลผมในภายหลังว่า คืนวันเกิดเหตุ  ทางโรงพยาบาลได้รับตัวผมไว้เป็นคนไข้ฉุกเฉิน ซึ่งมีชาย-หญิงสองคนเป็นผู้พามา โดยได้แจ้งว่าผมถูกยิงจากคนกลุ่มหนึ่ง มีตำรวจมาสอบปากคำสองคนนั้น แล้วก็ปล่อยตัวพวกเขาไปเมื่อเห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง และบอกว่าอาจจะเรียกมาเป็นพยานในภายหลัง ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง แต่หญิงสาวที่มาด้วยแสดงอาการไม่พอใจจนออกนอกหน้า”

“ชายหนุ่มคนนั้น ลงชื่อเป็นเจ้าของไข้ผม เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ไหนมีญาติหรือเปล่า แถมซ้ำยังให้ทางพยาบาลส่งบิลค่ารักษาไปเก็บที่เขาด้วย นางพยาบาลคนเดิมบอกว่า ท่าทางแฟนสาวของเขาจะไม่พอใจมาก แสดงความโกรธให้เห็นจนออกนอกหน้า เธอไม่พอใจที่แฟนของเธอช่วยเหลือผม รวมถึงออกค่ารักษาให้ด้วย ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็บอกว่า ไม่เป็นไร คนเดือดร้อนมาก็ต้องช่วยเหลือ เขาทนนิ่งดูดายไม่ได้หรอก หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็จากไป”

“ผมขอชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของชายหนุ่มที่ช่วยเหลือชีวิตผมไว้เพื่อที่จะโทรไปขอบคุณเขา แต่นางพยาบาลให้ได้แต่ชื่อ และที่อยู่ที่ทำงานของเขาเท่านั้น ผมอ่านทวนชื่อของเขาหลายครั้ง “เรียว รัตนมณี” ชื่อสั้นๆแต่เป็นชื่อที่ผมคิดว่ามันเพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

ผมนึกถึงตอนที่ผมนั่งอยู่ในรถ ผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อแฟนของเธอหลายครั้งด้วยชื่อนี้ เสียงของเขาก็ดูคุ้นหูเหลือเกิน ใหนจะหน้าตาที่ผมเห็นลางๆนั้นอีก ถ้าความรู้สึกไม่ได้หลอกตัวเองเพราะว่าผมเจ็บปวดบาดแผลมากเกินไป ผมก็คิดว่าเขากับคนที่เคยช่วยชีวิตผมตอนที่ผมหนีออกจากบ้านมาคราวนั้น น่าจะเป็นคนเดียวกัน

ผมยิ้มให้กับตนเอง นึกแปลกใจว่า ทำไมมันจึงบังเอิญแบบนี้หนอ เขาช่วยผมไว้ถึงสองครั้งแล้ว เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาชัดๆ เพราะผมกำลังหูอื้อ ตาลายจากการบาดแผลที่มันทวีความเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมอยู่ในภาวะปกติกว่านั้นก็ดีสิ จะได้ขอบคุณเขาแล้วบอกว่าผมคือใคร ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่า แต่ผมน่ะ จำหน้าตาและน้ำเสียงเขาได้จนขึ้นใจ”

อยู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดเล่า เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่หน้ากระจก แล้วถอดเสื้อออกจากตัว ผมมองเขาเลิ่กลั่ก ก็เห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มหวานให้กับผม

“นี่เห็นไหม รอยแผลเป็นจากการถูกยิงคราวนั้น”

เดียร์ชี้ให้ผมดูรอยแผลเป็นบนผิวหนังตรงแถวชายโครงที่เกิดจากกระสุนปืนที่เข้าไปฝัง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้จะทำอะไรผมอย่างที่คิด แต่ผมก็คิดไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก เพราะเขาเดินเข้ามาหาผม แล้วสวมกอดผมไว้แนบแน่น โน้มตัวลงมาแล้วเอาหน้าซุกไว้ที่ไหล่ของผม เขาแอบหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“เรียวเป็นคนจิตใจดีจริงๆ ช่วยผมถึงสองครั้งสองครา”

เขาขโมยจูบผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อว่า

“ผมเริ่มรู้สึกว่ารักคุณมากตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าคุณช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้ผม สองครั้งแล้วที่คุณช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วก็บังเอิญเสียด้วยที่คนๆนั้นดันเป็นผม”

เขาบอกความรู้สึกในใจที่เขามีต่อผมอีกครั้ง

“นี่ไง ฉันถึงคิดว่ามันเป็นความซวยของฉันจริงๆ ที่ดันไปเจอนายตั้งสองรอบ”

ผมโต้ตอบเขาไปอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา

“ไม่ใช่ครับ เรียวคิดดูดีๆนะ นี่อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ ชาติก่อนเราต้องเคยทำบุญร่วมกันมา เราอาจจะเป็นแฟนกันมาก่อน แล้วก็สาบานกันว่าจะมาเจอกันอีกในชาติต่อๆไป ไม่อย่างนั้นทำไมเราต้องเจอกันโดยบังเอิญล่ะครับ ทำไมคุณต้องมาที่พัทยานั่นในวันนั้น แล้วทำไมแฟนคุณคนนั้นต้องผ่านเส้นทางนั้นด้วย ทุกอย่างมันดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่จงใจมาก ผมน่ะนะเชื่อว่าเราต้องเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ผมคิดว่าผมจำได้แล้วว่าเราน่ะต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ แต่คุณน่ะยังจำไม่ได้”

“พูดบ้าบออะไรของนายเนี่ย”

ผมถามเขา นึกรำคาญการทึกทัก พูดเองเออเองของหมอนี่ เดียร์กระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นเขา จากนั้นก็จูบที่แก้มผมแรงๆ ก่อนใช้ลิ้นไซร้เข้าไปตรงติ่งหู และใบหูด้านใน จนผมขนลุกซู่

“เรียวนี่ ดื้อจริงๆเลย ยอมรับซะก็สิ้นเรื่องว่านี่คือชะตากรรมของเราสองคน เราเกิดมาเพื่อที่จะรักกันและกัน คุณถึงต้องบังเอิญมาช่วยผมอยู่เรื่อยๆไงครับ”

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจยืดยาว

“พูดกับนายทีไร มีแต่เรื่องปวดหัว เพราะนายหน้าด้านเหลือเกิน คนเขาไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ก็ยังจะพยายามอยู่ได้ เป็นฉันถอดใจ ไม่มายุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว”

“ผมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอกครับ อดีตนักมวยอย่างผม ฝึกฝนร่างกายยอมรับสภาพความเจ็บปวดมาเยอะ จิตใจก็เคยถูกทำร้ายมาแล้ว ผ่านเรื่องร้ายแรงมาก็เยอะ แต่ผมก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ สำหรับเรื่องแค่นี้ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆอยู่แล้ว จะไม่มีวันถอยหนีจนกว่าคุณจะยอมรับรักผม ยอมเป็นแฟนผม ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน หรือใช้เวลานานเท่าใดที่จะเปลี่ยนจิตใจคุณ ผมก็จะพยายามทำจนสุดความสามารถเลย”

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดซ้ำ เบื่อแล้ว ว่าแต่จบหรือยังล่ะ เรื่องเล่าเช้านี้ของนายน่ะ”

ผมเหน็บแนมเขา พลางขยับตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดของเขา แต่ก็ไม่สามารถคลายอ้อมแขนของเขาได้
“ยังไม่หมดหรอกครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณยังไม่รู้”

“เล่ามาสิจะมาอมพะนำอยู่ทำไม”

ผมเร่งให้เขาเล่าออกมาให้หมด เพราะอึดอัดกับสภาพการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนไม่ว่าผมอยู่ตรงไหน ก็ไม่วายจะถูกลวนลามจากเขาจนได้

“ไม่หิวข้าวเหรอครับ” เขาถามผม

“ก็กินแล้วนี่”

“นั่นมันอาหารเช้า นี่มันก็บ่ายจวนจะเย็นแล้ว คุณเพิ่งมีอาหารตกถึงท้องแค่มื้อเดียว ไม่ได้นะครับเสียสุขภาพแย่ เดี๋ยวผมจะทำอาหารให้ทานนะครับ หรือถ้าไม่ชอบจะให้ผมออกไปซื้ออาหารข้างนอกให้ทานก็ได้”
เขาอิงศีรษะซุกซบกับผม ตอนแรกผมตั้งท่าจะปฏิเสธ เพราะนึกโมโหการท่ามาก ยืดเยื้อของเด็กหนุ่ม

ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าการที่เขาไม่เล่าจนหมด แล้วกั๊กเอาไว้ เป็นเพราะเขาหาทางที่จะอยู่กับผมให้มากที่สุด เพื่อจะได้ลวนลามผมตามอำเภอใจ เพราะเขาก็คงจะคิดแบบเดียวกับผมว่า เมื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ผมอีก แต่แล้วความคิดผมก็สว่างวาบขึ้น หากผมให้เขาออกไปข้างนอกอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารมาให้ผมทาน ผมก็จะมีเวลาหนีไปจากที่นี่ได้ คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยรีบรับมุขทันที

“อื้อ จริงสินะ ชักเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ”

“เห็นไหม ว่าแล้วว่าคุณต้องหิว กินอะไรดีครับ ผมทำให้กินเอาไหม”

เขาจูบแก้มผมอย่างรักใคร่อีกครั้ง ผมพยายามขืนตัวหนี แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงกอดไม่ปล่อย

“ไม่เอา ไม่อยากจะท้องเสีย ไปซื้อมากินดีกว่า”

“เรียวล่ะก็ ผมทำอาหารอร่อยนะครับ แต่ไม่เป็นไร ไปซื้อกินก็ได้ ว่าแต่อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

ผมพยายามนึกถึงรายชื่ออาหารที่จะกิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำ เพื่อจะได้ถ่วงเวลาให้เขาไปนานๆหน่อย

“ต้มยำรวมมิตร , ยำปลาหมึก , คะน้าปลาเค็ม , พะแนงหมู , แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย , กระเพราไข่เยี่ยวม้า , ทอดมันกุ้ง ........”

ผมบอกเมนูอาหารมื้อเย็นตามแต่จะนึกได้ เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาที่ผมสังเกตเห็นจากในกระจก บ่งบอกว่าเขารู้เท่าทันผมทุกอย่าง เขาแกล้งกดจมูกลงบนซอกคอผมแรงๆแล้วจูบแบบเน้นๆก่อนจะผละออกจากผมอย่างเสียดาย

“ทั้งหมดนี้แหละที่อยากกิน เอ้อ.....เยอะไปหน่อย แต่มันรู้สึกหิวน่ะ ของพวกนี้ก็ของชอบด้วย นายไปซื้อให้ได้ไหมล่ะ”

ผมถามอย่างท้าทาย เขายิ้มกริ่ม

“ถ้าหากยอดรักของผมคิดว่าจะทานอาหารพวกนี้หมดล่ะก็ ผมก็ยินดีที่จะไปซื้อมาให้ทานนะครับ แต่ว่าเราต้องไปซื้อด้วยกันนะ”

“หา........”

ผมอุทานอ้าปากค้าง นึกงงกับเจ้าหมอนี่ เขาคิดอะไรของเขากันแน่นะ

“ไปด้วยกันจะได้ช่วยกันเลือกน่ะ”

“นายกลัวว่าถ้าทิ้งฉันไว้ที่นี่ ฉันจะหนีนายเหรอ”

ผมถามเขาไปตามตรง เพราะไม่แน่ใจว่า การที่เขาไม่ทิ้งผมไว้ตามลำพัง เป็นเพราะกลัวว่าผมจะหนีอีกหรือเปล่า แต่การที่เขาพาผมไปด้วย มันก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าผมจะไม่หนีนี่นา เด็กหนุ่มส่ายหน้า แล้วพูดยิ้มๆกับผม

“ไม่กลัวหรอกครับ เพราะถ้าผมจะทิ้งคุณไว้ที่นี่ ผมก็คงจะจับคุณมัดไว้อย่างเดิม อาจจะโปะยาสลบคุณอีกครั้ง แล้วล๊อคห้องไว้ให้แน่นหนา คุณก็หนีไปไหนไม่ได้แล้วครับ”

จริงสินะ ผมคิด เขาสามารถที่จะทำอย่างนั้นก็ได้หากจะทำ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น

“ทำไม” ผมถามเขาอย่างสงสัย

“เพราะว่า.........” เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาที่จริงใจ

“ผมไม่ได้จับคุณมาเพราะเจตนาไม่ดีนะสิ ผมทำอย่างนี้เพียงเพราะว่าอยากจะมีโอกาสใกล้ชิดกับเรียว อยากจะขอร้องให้คุณเป็นคนรักของผม การมัดคนรักให้สิ้นอิสรภาพมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง    ผมไม่อยากทำให้คุณเกิดความอึดอัดรำคาญใจน่ะครับ”

“แล้วการให้ฉันออกไปด้วยกับนายเนี่ย มันจะดีกว่าหรือ”

ผมหยั่งท่าทีของเขา ดูว่าเขาคิดอย่างไร และมองหาว่าจะมีช่องทางหรือโอกาสให้ผมหนีได้มากน้อยแค่ไหน

“อื้อ ...ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันจะดีกว่าหรือแย่กว่า ผมแค่อยากปล่อยให้เรียวได้เป็นอิสระบ้าง ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก ยืดแข้งยืดขา รับอากาศดี ไม่ต้องมาอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆแบบนี้ อยากไปเลือกซื้อกับข้าวที่เรียวชอบ มากินกันสองคน ผมไม่กลัวหรอกครับว่าเรียวจะคิดหนีหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยๆผมก็ได้แสดงให้เรียวได้รู้ว่า ผมจริงใจกับเรียวแค่ไหนนะครับ แล้วผมก็คิดว่าเรียวคงไม่อยากทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้แน่ๆ”

เด็กหนุ่มตอบผมด้วยท่าทางสบายๆ ไม่รู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของตัวเอง มาแปลกแฮะ ผมคิด มัดผมได้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่บทจะใจดีก็ปล่อยผมซะดื้อๆงั้นแหละ แถมซ้ำไม่กลัวด้วยว่าผมจะหนีหรือไม่ ช่างมั่นใจเสียจริงว่าถ้าเขาดีกับผม แล้วผมจะต้องดีกับเขาตอบแทนด้วยการไม่ฉวยโอกาสหนีไป

“ไปกันเถอะครับ”เด็กหนุ่มหันไปเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองใส่กระเป๋าสะพายเรียบร้อย แล้วจึงหันมาหาชวนผม

“จะไปทั้งยังงี้เลยเหรอ”

ผมใช้สายตาจับจ้องที่ลำตัวท่อนบนของเขาที่เปลือยเปล่า เป็นการบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาไม่อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะออกไปข้างนอกได้ เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาสวมใส่ แล้วเดินตรงไปที่ประตูห้อง แล้วหยุดยืนรอจนกระทั่งผมเดินไปถึงตัวเขา เขาจึงเปิดออก ทันทีที่ประตูแง้มออกกว้าง เขาก็คว้าข้อมือผมไว้ เหมือนกลัวว่าผมจะหนี

“ไหนบอกไม่กลัวไงล่ะ”

เขายิ้มใส่ตาผม

“กันไว้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะตามแก้สถานการณ์ไม่ทัน”

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #42 เมื่อ20-08-2007 21:39:21 »

จะรอดมั๊ยน๊าาา  :m21: :m21: :m21:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #43 เมื่อ20-08-2007 22:00:29 »

รอลุ้นต่อไป ว่าแล้วว่าต้องเกี่ยวกับเรียวอีกแน่ๆ  :m9:  :m9:

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #44 เมื่อ20-08-2007 22:17:13 »

  :o อะโห ลุงแน๋ว รีบโพสต์มากมาย ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ค่ะ  เดี๋ยวแฟนๆจะอ่านไม่ทันกัน  :m17:  อาโฮ่ๆๆๆๆ  คริคริคริ ยังไงก็อย่าลงเร็วมากนะคะ  :m26: พี่เคทยังแต่งเรื่องใหม่ๆไม่ถึงไหนเลย  :m29:  เดี๋ยวหมดนิยายแว้วววววว พี่เคทมีเรื่องใหม่ต่อให้ไม่ทันนะ  :m2:
อิอิอิ 

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #45 เมื่อ20-08-2007 22:35:15 »

 :m3: อิอิ ที่แท้ก็มีปมหลังถึงขนาดเคยช่วยชีวิตไว้เลยน่ะเนี่ย

แล้วอีกเรื่องที่ยังไม่เล่าก็คงเด็ดไม่แพ้กันแน่ๆเลย รอๆๆๆๆๆๆอ่านต่อนะค้าบบบบบ

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #46 เมื่อ20-08-2007 22:44:04 »

หุ หุ ลงชื่อรออ่านต่อครับ

 :m3:

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #47 เมื่อ21-08-2007 02:59:05 »

 :m3: :m3:....พรมลิขิตบันดาลชักพา.....โฮะๆๆๆ   

จะเจอกันอีกไหมเนี่ยะ....รออ่านต่อนะจร๊า ...สนุกมากๆ เลยเรื่องนี้   :a9:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #48 เมื่อ21-08-2007 08:36:54 »

o13  มาให้กำลังใจแน๋ว...   :m9:
แม๋ๆน้องเดียร์... ถูกพี่เรียว ช่วยตั้งก่าเด็กจนเป็นหนุ่ม :m4:
พอเป็นหนุ่มปุ๊บ กลับตอบแทน ด้วย การ ฉุดมาเป็นแฟนเดียร์ ซะนี่ เอิ้กๆ  :m3:


:m1:  ร้ายเจงๆ แต่ชอบน้องเดียร์ ชะมัด   :m1:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #49 เมื่อ23-08-2007 12:06:08 »

บทที่ 7

เด็กหนุ่มพาผมออกมาจากห้องของเขา ผมเหลียวมองไปรอบๆ ตึกที่พักของเดียร์มีสภาพคล้ายแฟลตรูปทรงตัวโอ มีช่องว่างโล่งตรงกลางกั้นห้องพักด้านซ้ายขวา ห้องของเด็กหนุ่มอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร ห้องริมสุดติดกับทางเดินไปสู่บันไดทางลง ไม่มีลิฟท์ ต้องเดินลงไปเอง ผมรู้สึกทึ่งที่เด็กหนุ่มสามารถพาผมขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ตอนนั้นผมถึงยาสลบโปะจนไม่มีสติ แสดงว่าเขาต้องอุ้มผมขึ้นมาแน่ๆ ผมได้กลิ่นทะเล ลอยมาจากที่ไกลๆ ผมรู้แล้วว่าผมต้องอยู่ในจังหวัดที่ติดกับชายทะเลที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

มีคนเดินผ่านไปผ่านมาสวนกันกับผม และเขา น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งๆที่มีโอกาสจะทำได้ อาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร นอกเหนือจากการขอความรักจากผมแล้ว เขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะทำร้ายร่างกายผมให้บาดเจ็บเลย ที่สำคัญเขาก็ไว้เนื้อเชื่อใจผม จนไม่คิดแม้แต่จะยอมคุมขัง กลับปล่อยให้ผมออกมาข้างนอกกับเขา โดยเพียงแค่จับมือผมไว้เท่านั้น

“เราไปห้างที่อยู่ใกล้ๆนี้กันนะครับ ไม่ใช่ห้างใหญ่โตเท่าในกรุงเทพนะ แต่ก็มีหลายอย่างที่เราจะหาซื้อได้ ที่ตรงสวนอาหารก็น่าจะมีสิ่งที่เรียวต้องการ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเรียวยังจะอยากกินแบบที่เรียวพูดเมื่อกี้อีกหรือเปล่า แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจ เราก็ไปกินสุกี้ หรืออาหารฟาสต์ฟูดส์ อื่นๆก็ได้ หรืออยากไปกินอาหารทะเลกันดี ผมรู้จักร้านอาหารทะเลเจ้าอร่อยๆนะครับ อยากไปกินไหม”

เขาชวนคุยจ้อ ทำท่าทางประจบประแจงผมสุดฤทธิ์ ผมมองความกระตือรือร้นที่เขามีต่อผม แล้วก็ต้องถอนหายใจ เด็กหนุ่มคนนี้ดูท่าทางแล้ว ไม่ใช่คนที่มีพิษภัยอะไร เขาไม่ใช่คนที่ร้ายกาจ ชีวิตของเขาตามที่เล่ามาก็น่าสงสาร การที่เขามาเกาะติดกับผมแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องการใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ อยากให้มีใครสักคนที่รักเขาจริงๆ แต่โชคร้ายที่เขาดันมาเลือกคนผิด ถ้าหากว่าเขาไม่คิดกับผมแบบคนรัก ผมอาจจะใจอ่อนดีด้วยกับเขา และคบหาเขาเป็นเพื่อนอีกคนของผมก็ได้

“ว่าไงดีครับ” เขาเลิกคิ้วถามผม ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มละไมฉาบไปทั่ว

“ไปกินบรรยากาศแถวชายทะเลก็ได้”

อยู่ๆผมก็เกิดอยากนั่งพักผ่อนริมทะเลแบบสบายๆขึ้นมา ความคิดที่จะหนีมลายไปจากสมองของผม

“ได้เลยครับ นี่ก็เย็นแล้วนะครับ ถ้าเรารีบไป เราก็จะได้เลือกที่นั่งที่สามารถมองเห็นทะเลได้ใกล้ที่สุดนะครับ ถ้าไปช้า จะไม่ได้ที่นั่งที่ต้องการ งั้นเรารีบไปกันดีกว่านะครับ”

“แล้วเราจะไปไงกันล่ะ” ผมถามเขา หลังจากลงมายืนกันข้างล่างแล้ว

“ไปรถคุณดีไหมครับ” เขาเสนอ

“นายจะขับเหรอ” ผมถามเขา

“ให้คุณขับดีกว่าครับ รถของคุณ แค่ตอนขับพาคุณจากกรุงเทพมาที่พัทยานี้ ก็กลัวว่าจะไปทำให้รถคุณเสียหายจะแย่แล้ว” เขาบอกอย่างเกรงๆ

“ไม่กลัวว่าฉันจะขับกลับบ้านเหรอ”

ผมหยั่งเชิงดูว่าเขาจะพูดยังไง เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มกริ่ม ตาเป็นประกายแพรวพราว

“ดีสิครับ ไปบ้านเรียวก็ได้ หรือไปที่ไหนๆก็ได้ ทุกๆที่ที่มีคุณอยู่ ที่นั้นต้องเป็นที่ที่มีความสุขที่สุดสำหรับผมครับ”

ผมถอนหายใจกับความดื้อดึงของเจ้าหมอนี่เหลือเกิน นี่ถ้าไม่ได้ความรักจากผม คงจะตื้อไม่เลิกราเป็นแน่
“เอากุญแจมาสิ”

ผมบอกเพื่อเป็นการตัดบท ไม่อยากต่อปากต่อคำ รู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางสลัดเจ้าหมอนี่พ้น คงจะต้องใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ค่อยๆพูดเพื่อให้เขายอมรามือจากผมไปเอง

เด็กหนุ่มล้วงกุญแจรถของผม จากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ พร้อมกับเดินนำผมไปตรงลานจอดรถใต้ต้นไม้ที่เขาจอดรถผมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน ผมเปิดประตูรถด้านข้างคนขับขึ้นไปนั่ง เด็กหนุ่มเปิดประตูรถอีกข้าง แล้วก้าวขึ้นมานั่งคู่ ตลอดเวลาเหล่านั้นเขาทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ท่าทางเขาเหมือนเด็กๆ ถึงแม้จะตัวโตกว่าผู้ใหญ่บางคน รวมถึงผมด้วย และผ่านอะไรในชีวิตมามากมาย แต่ความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง ก็ยังเป็นเด็กตามอายุอยู่

“ยิ้มอะไร” ผมถามอย่างพาลๆที่เห็นเขาทำหน้าระรื่นอยู่ได้

“ยิ้มให้กับความสุขของตัวเองครับ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดคุณตลอดเวลาแบบนี้ ฝันมานานมากแล้ว พอมีโอกาสเป็นจริง ก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้ครับ”

สายตาที่มองผมเปล่งประกายความรักที่ลึกล้ำจนผมต้องเบือนหน้าหนี หันมาให้ความสนใจกับการขับรถ ผมลืมเรื่องที่จะขับรถหนีไปโดยสนิทใจ บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่ทำเมื่อมีโอกาส ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่เขาลักพาตัวผมมา รวมถึงข้อต่อรองบ้าบอที่เขาขอร้องผม แม้ว่าผมจะต้องการอิสรภาพเพียงไร แต่ผมก็คิดว่า หากผมหนีไปดื้อๆ โดยไม่พยายามที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ ผมก็คงจะไม่มีวันหนีเด็กคนนี้ไปได้ตลอดชีวิต

ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะผมเองก็เคยเป็นมาก่อน เคยรักใครบางคนมากๆ และพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนๆนั้นมาเป็นของตัวเอง ไม่ยอมล้มเลิก จนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย เด็กลูกครึ่งคนนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับผม โดยเฉพาะความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า เพียงแต่ว่าความพยายามของเขามันจะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผมลงได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ถ้าผมแสดงให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานเขาคงจะถอดใจ เมี่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่คิดที่จะหนีไปไหน แต่กลับหันหน้ามาเผชิญกับเขาเพื่อทำให้เขายอมรับความจริงให้ได้

เด็กหนุ่มบอกทางผมจนกระทั่งถึงร้านอาหารที่เขาจะชวนผมมาทาน เดียร์บอกกับผมว่าร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนนักมวยของเขาที่ชื่อน้อย เพิ่งจะเปิดใหม่ได้ไม่นานนักหลังจากที่เลิกราจากการชกมวย เนื่องจากการถูกลอบทำร้ายคราวนั้นจนไม่สามารถจะชกมวยได้ต่อไป

ตอนที่เดียร์เดินนำผมเข้าไปในร้าน มีผู้หญิงรูปร่างเตี้ยล่ำ ตัวใหญ่ ผิวคล้ำ ผมยาวประบ่า แต่งหน้าเข้มจัด ยืนอยู่ในร้านตรงแคชเชียร์ ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นพวกกระเทยแต่งหญิงแน่นอน เขารีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ ผมเห็นคนทั้งคู่สวมกอดกันด้วยความดีใจ

“มาได้ไงกันฮะ ไอ้หนูจอมลีลา”

“อื้อ เพิ่งมาเมื่อคืนวาน อ้อ เมื่อวานฉันไปขอยืมห้องนายใช้นะ ตามที่โทรมาขอไว้น่ะ”

เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณเพื่อนกระเทย ผมเลยเพิ่งรู้ว่าห้องในแฟลตแห่งนั้นเป็นห้องของเพื่อนของเดียร์ที่เขาขอขืมมาเพื่อจับตัวผมไปขังนั่นเอง มันทำให้ผมสงสัยว่า สองคนนี้สมคบคิดกันหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นหน้าซื่อๆของน้อย ก็เลยคิดว่า อาจจะเป็นความคิดของเด็กนี่คนเดียวก็ได้

“แล้วนี่พาใครมาด้วยล่ะ”

กระเทยคนนั้นหันมามองผม แล้วทำหน้ายิ้มๆ แบบรู้ทัน ผมหันไปมองเดียร์ ก็เห็นเขาทำหน้าอายๆ เขาหันไปพูดกับน้อยว่า

“น้อย นี่คุณเรียวนะ คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังน่ะ ว่าช่วยชีวิตฉันหลายครั้งแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันมาหาผม และแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนนักมวยของเขา

“เรียวครับ ผมจะแนะนำให้รู้จักครับ นี่น้อยเพื่อนผม”

“ว้าว” น้อยร้องอุทาน

“คุณเองหรือคะที่เป็นนางฟ้าประจำตัวของนายเดียร์ หน้าตาดีแบบนี้นี่เอง มิน่า นายเดียร์ถึงได้คลั่งนัก คลั่งหนา จะเป็นจะตายเพราะคิดถึงคุณน่ะ”

กระเทยตัวล่ำเดินวนรอบตัวผม แล้วส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่น จนผมเกิดความอาย แล้วรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดูเหมือนเดียร์จะคอยจับตามองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมยืนนิ่ง เดียร์ก็คว้าแขนน้อยเอาไว้ แล้วกระซิบอะไรบางอย่างข้างๆหูซึ่งน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผม เพราะผมเห็นน้อยอ้าปากค้างตาโต มองมาที่ผม หลังจากนั้นก็ไม่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดใส่ผมอีกแต่พาเราสองคนไปเลือกที่นั่งที่ดีที่สุดตรงศาลาท่าน้ำที่ยื่นออกไปตรงป่าโกงกางที่ขึ้นหนาแน่น โดยห่างจากนั้นออกไปไม่ไกลก็เป็นทะเล เราสามารถได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าสู่ฝั่งแว่วๆ

แทนที่เดียร์จะนั่งตรงกันข้ามกับผม เขากลับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ โดยที่ให้ผมนั่งด้านในส่วนตัวเขานั่งด้านนอก เป็นการกันไม่ให้ผมหนีไปไหน ผมมองเขาอย่างเคืองๆ แต่เด็กหนุ่มทำหน้ายิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ
น้อยเชิญชวนให้เราทานอาหารที่ขึ้นชื่อของร้านหลายอย่าง เดียร์หันมาถามความคิดเห็นของผม แล้วก็พูดเชียร์ให้ผมเลือกสั่งอาหารตามที่น้อยแนะนำ โดยบอกว่าพ่อครัวที่นี่ฝีมือดีมาก ถึงแม้ว่าร้านน้อยจะเป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีคนเข้ามากินเยอะมาก

“เอาปูผัดผงกระหรี่ กุ้งอบวุ้นเส้น โป๊ะแตก ปลาหมึกผัดไข่เค็ม กุ้งเผา ปูเผา นะ”

เดียร์ร้องสั่งเพื่อนกระเทย น้อยจดออร์เดอร์เสร็จ ก็เดินไปยังครัว ปล่อยให้ผมกับเด็กหนุ่มนั่งกันตามลำพังสองคน ผมมองหน้าเดียร์พลางถามเขาว่า

“จะทานหมดเหรอ”

“อืม ต้องหมดสิครับ เมื่อกี้เรียวบ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอ ร้านนี้อาหารเขาอร่อยมากนะครับ เรียวทานแล้วจะต้องติดใจแน่ๆเลย อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงเรียวเอง”

เด็กหนุ่มทำท่าวางก้ามเป็นเสี่ยใหญ่

“หมดนี่ก็คงจะหลายพันแน่ นายมีเงินเหรอ”

“มีครับ ผมเตรียมเงินมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลย”

“หา.....” ผมอุทานอย่างงงงวย

“เตรียมการเรื่องฉันเนี่ยนะ”

เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาหยี ก่อนจะรับสารภาพอย่างอายๆว่า

“ครับ มันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งอ่ะ ผมพร้อมทุ่มทุนสุดชีวิตเพื่อให้ได้เรียวมาเป็นแฟน จริงๆแล้วก็เตรียมเงินไว้สำหรับพาเรียวไปเลี้ยงฉลองที่เราจะได้เป็นแฟนกัน แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้แต่แรก ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร เลี้ยงตอนนี้ก็ได้ ถ้าเราได้เป็นแฟนกันแล้ว ผมค่อยมาเลี้ยงเรียวอีกครั้งนะครับ”

“คงไม่มีงานเลี้ยงครั้งหน้าแน่” ผมประกาศก้อง

“แหมเรียวล่ะก็........อย่าเพิ่งมั่นใจอย่างนั้นสิครับ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้นะ”

“แต่ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่ นายหาคนรักผิดคนแล้ว”

“ผมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจเหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆด้วย เรามาลองกันสักตั้งดูใหม ถ้าเรียวยอมเป็นแฟนผม ผมจะทำให้เรียวรักผมให้ได้เลย คอยดูสิ” เด็กหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ

“ไม่มีวันที่ฉันจะไปตกลงเรื่องบ้าๆแบบนี้หรอก” ผมบอกเขาอย่างมั่นใจเช่นกัน

“คอยดูกันไปแล้วกัน”

เขาบอกอย่างมีเลศนัย ผมมองเขาด้วยสายตาคลางแคลง นึกในใจว่า หมอนี่ มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรหรือเปล่า เขากำลังคิดจะทำอะไรกับผมนะ

“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ที่รักของผม”

เขาพูดเสียงอ้อน ทำตาหวานเยิ้มใส่ผมอีกแล้ว เขาเอื้อมมือมาดึงมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะไปกุมไว้ แล้วยกมันขึ้นมาจูบ ผมพยายามจะชักมือหนี แต่มือของเขาจับมือผมแน่นเหลือเกิน จนผมละความพยายามปล่อยให้เขากุมมือผมไว้แบบนั้น

“อาหารมาแล้ว”

เขาร้องบอกพลางปล่อยมือผม แล้วถูไม้ถูมือ เป็นท่าเตรียมพร้อมให้รู้ว่าถึงเวลาลงมือกินข้าวปลาอาหารกันได้แล้ว เด็กหนุ่มแกะปูแกะกุ้งใส่จานให้ผม เขาเอาอกเอาใจผมจนเหมือนว่าเราเป็นคู่รักกัน เขาจะคอยตักโน่นตักนี่ให้ผมตลอดเวลา ห้ามก็ไม่ฟัง ยังคงทำท่ากระตือรือร้นเต็มอกเต็มใจบริการอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าผมจะรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็อดที่จะรู้สึกดีๆกับเขาไม่ได้

ผมรู้สึกเจริญอาหารอย่างมาก กินทุกอย่างจนหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหิวจริงๆ หรือเพราะบรรยากาศที่เงียบสงบ สบายๆของสถานที่ หรือเป็นเพราะมีคนเอาอกเอาใจจนไม่ต้องทำอะไรเลยกันแน่ รู้แต่ว่าผมอิ่มจนพุงกาง

“นี่นี่ มีอาหารติดตรงปากเรียวน่ะ ผมเช็ดให้นะ”

เขา ชี้ตรงมุมปากตนเอง ผมมองหาทิชชู่ที่จะมาเช็ดปาก แต่ก็ช้าไปกว่าเดียร์ซึ่งกระเถิบเข้ามาจนชิดตัวผม แล้วก่อนที่ผมจะทันห้าม เขาก็ก้มหน้าลงมา แล้วแลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากของผม แล้วกลืนเจ้าเนื้อปูเข้าปากตนเอง เขายังไม่ยอมผละออกง่ายๆ แต่กลับจูบที่ปากของผม แล้วใช้ลิ้นไล่ไปตามแนวปาก

“เอาล่ะ สะอาดแล้วครับ”

เขาผละออก แล้วมองผมยิ้มๆ ผมมองเขาอย่างเคืองๆ เอาทิชชู่เช็ดปากแรงๆหลายครั้ง เขายิ้มที่เห็นผมทำกริยาอย่างนั้น แล้วเหมือนว่าเขาจะแกล้งที่ผมทำท่ารังเกียจเขา เขาใช้มือข้างหนึ่ง โน้มคอผมให้เข้ามาใกล้ แล้วอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงจูบผมอย่างหนักหน่วงและแทรกลิ้นเข้าไปในปากที่กำลังอ้าเผยอของผมอย่างรวดเร็ว

ผมพยายามผลักเขาออก แต่ก็เหมือนกับผลักก้อนหิน เพราะเรี่ยวแรงของผมไม่เพียงพอที่จะขยับเขยื้อนร่างนั้นได้

เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้แนบอก ยังไม่หยุดจูบผม จูบของเขาอ่อนหวานและเรียกร้องอยู่ในทีจนผมขนลุกซู่ไปหมด ความวาบหวามก่อตัวขึ้นภายใน แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เขาก็เป็นฝ่ายผละออกเอง เด็กหนุ่มมองผมตาละห้อย เหมือนไม่อยากจะปล่อยผมไปง่ายๆ

ผมเหลียวมองไปรอบตัว กลัวว่าจะมีคนมองอยู่ แต่โชคดีที่บริเวณศาลาที่ผมกับเขานั่งอยู่ค่อนข้างจะลับสายตาคน มีกิ่งก้านของต้นโกงกางปิดบังเราสองคนไว้จากคนอื่นๆ

“ฉวยโอกาสตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกนาทีเลย.........”

ผมต่อว่าเขาเสียงขุ่น เขากลับทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ผม แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า

“เรียวก็เหมือนกัน ไฟจุดติดง่ายตลอดเวลาเลย อยากรู้เหมือนกันนะ ถ้าผมพยายามต่อไป เรียวจะให้ผมทำทุกอย่างหรือเปล่า”

“ไม่มีทาง”

ผมตอบ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน หลายครั้งแล้วที่เวลาเขาแตะต้องตัวผม ที่ผมมักจะรู้สึกมีอารมณ์หวั่นไหวตามไปด้วย น่ากลัวมากเลยที่ความรู้สึกแบบนี้วนเวียนอยู่ในความนึกคิดของผม ซึ่งส่งผมมาสู่ร่างกาย  และที่น่าตกใจคือ ผมเองก็พร้อมจะสนองตอบเขาทุกครั้งที่เขาสัมผัส

“คุยอะไรกันอยู่หรือจ๊ะ หนุ่มๆ”

เสียงห้าวๆที่พยายามจะบีบให้แหลมเล็กดังขึ้นมาก่อนตัว และแล้วร่างเตี้ยร่ำในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงสีสันฉูดฉาดก็นวยนาดขึ้นศาลามา

“อาหารอร่อยไหมคะ คุณเรียว”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ เจ้าหล่อนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างถูกใจ

“จริงหรือคะ แหม ดีใจจัง ดูสิ ทานกันจนหมดเกลี้ยงเลย จะทานอะไรอีกไหมคะ”

คราวนี้ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะรู้สึกอิ่มจนตื้อไปหมด  อยากกลับไปที่พักแล้ว เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆที่ยังคั่งค้างกันอยู่

“งั้นเอาไว้วันหลังก็ได้ เดี๋ยวให้เดียร์พาคุณเรียวมาทานอีกก็แล้วกัน”

“คงไม่ได้มาอีกแล้วล่ะครับ”

ผมบอกเขา น้อยทำตาโต อ้าปากค้าง แล้วหันไปมองหน้าเดียร์ก็เห็นเขากำลังทำหน้าจ๋อยๆอยู่ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับน้อยอย่างเศร้าๆ ดูเหมือนว่าน้อยจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้ดี โดยที่เดียร์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบาย

“ไม่เป็นไรค่ะ หากวันหน้าวันหลังผ่านมาทางนี้ก็มาแวะได้ น้อยยินดีต้อนรับเสมอค่ะ”

“ครับ”

ผมรับคำเพื่อจบการสนทนา แต่น้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปง่ายๆ เขากลับนั่งลงตรงข้ามผมและเดียร์

“เดียร์เล่าเรื่องของเขากับน้อยให้ฟังหรือยังคะ” เขาเอ่ยปากถามผม

“เล่าแล้วครับ เขาบอกว่าคุณสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่วไปต่อยมวยด้วยกัน”

“ค่ะ แต่น้อยโด่งดังก่อนเขานะคะ เขาน่ะเพิ่งมาดังขึ้นตอนที่น้อยมีเรื่องตอนนั้น จนชกมวยไม่ได้ นี่ถ้าไม่เกิดเรื่อง น้อยก็โด่งดังในเวทีระดับชาติไปแล้ว”

แววตาของน้อยหม่นหมองลง เขาก้มหน้าเพื่อเก็บงำความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจว่า

“เรื่องร้ายแรงมันผ่านไปแล้วนะครับ ตอนนี้คุณก็มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

น้อยเงยหน้าขึ้น

“ทำร้านอาหารก็สนุกดี ไม่ต้องเจ็บตัว เหนื่อยเหมือนกัน แต่มันเหนื่อยคนละแบบค่ะ”

“เป็นไงมาไงล่ะครับ ถึงได้มาทำร้านอาหารได้”
น้อยหันไปสบตาเดียร์เป็นเชิงถามความเห็น เดียร์พยักหน้า น้อยจึงหันมาถามผมว่า

“เดียร์เล่าเรื่องราวของเขากับน้อยให้ฟังถึงตอนไหนแล้วล่ะค่ะ”

ผมหันไปมองหน้าเบียร์ซึ่งนั่งมองหน้าผม และยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

“ตอนที่เขาบาดเจ็บเพราะถูกยิง”

“อ๋อ .....” น้อยลากเสียงยาว ก่อนจะจีบปากจีบคอเล่าต่อ

“หลังจากที่เดียร์ชกชนะนักมวยของผู้มีอิทธิพลในวงการมวยคนนั้น แล้วถูกตามไล่ล่า จนกระทั่งถูกยิงจนบาดเจ็บ ถ้าไม่ได้คุณเรียวช่วย เขาก็คงจะตายอย่างหมาข้างถนน ตอนนั้นน้อยอยู่ที่ค่ายมวย กับเฮียเข้ม และเพื่อนนักมวยอีก 4-5 คน กำลังรอเดียร์กับนักมวยคนอื่นๆที่ไปเที่ยวด้วยกันกับเขากลับมา

เรารู้สึกเป็นห่วงที่เขาหายไปนาน ไม่ยอมโทรกลับมาบอกว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร โทรไปก็ไม่รับสาย  ซึ่งโดยปกติ เดียร์จะโทรมาบอกตลอด แต่นี่ไม่โทร ผิดสังเกตมาก พวกเราก็คิดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพวกของเดียร์แน่ๆ จึงจะพากันออกไปตาม ก็พอดีมีพวกนักเลงโผล่เข้ามาอีกแบบวันก่อน เราก็เลยต่อสู้กับพวกมัน

สักพักนักมวยที่ที่ไปกับเดียร์ก็กลับมาในสภาพที่สะบักสบอม พวกเราต่อสู้กับพวกอันธพาลเหล่านั้น ป้องกันไม่ให้มันมาทำลายค่ายมวยของเรา ส่วนน้อยก็เล็ดลอดเข้าไปในบ้านโทรศัพท์เรียกตำรวจมาช่วย”

“หลังจากที่ได้ยินเสียงรถตำรวจแล่นเข้ามา พวกมันก็พากันหลบหนี พวกเราไปให้ปากคำกันที่โรงพัก แจ้งความตามหาตัวเดียร์ แล้วก็ออกติดตามเขาตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่ไม่เจอ คิดว่าคงจะคลาดกันกับคุณ ตอนนั้นพวกเราใจเสียคิดว่าเดียร์ตายแล้ว เพราะมีนักมวยตายไปหนึ่งคน เฮียเข้มแจ้งความกับตำรวจเพื่อให้ตามหาตัวคนร้ายมาจัดการ และตามหาเดียร์ให้ได้”

“ทางโรงพยาบาลที่เดียร์ไปรักษาโทรมาหาพวกเราหลังจากนั้น บอกว่ารับตัวเดียร์เป็นคนไข้ โดยมีญาตของเดียร์ออกค่ารักษาพยาบาลให้แล้ว พวกเราก็คงว่าใครคือญาตคนนั้นของเดียร พอเดียร์ฟื้น เขาก็เล่าให้ฟัง เขาได้ชื่อคุณมาจากนางพยาบาลเวรนั่นแหละ เพราะคุณบอกให้พยาบาลคนนั้นดูแลเดียร์อย่างดี แล้วคุณก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ ในกรณีที่เดียร์ไม่มีญาติแล้วไม่มีใครช่วยในเรื่องค่ารักษา เดียร์เขาก็เลยเก็บเบอร์นั้นไว้ กะว่าถ้ามีโอกาสเขาจะไปขอบคุณคุณเรียว”

“หลังจากเดียร์หายแล้ว แต่เราก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ว่าใครคือคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง เฮียเข้มแกเลือดขึ้นหน้าที่มาทำกับค่ายมวย และคนของแกถึงสองครั้ง แกก็เลยเดินเรื่องจี้ตำรวจ โดยให้ผู้ใหญ่ที่แกรู้จักช่วย

แต่ดูเหมือนว่าความยุติธรรมยังยื่นมือไปจัดการกับคนชั่วไม่ถึง เพราะเฮียเข้มได้รับการขอร้องจากผู้ใหญ่คนนั้น ซึ่งถูกบีบบังคับจากผู้มีอำนาจบางคนให้วางมือจากเรื่องนี้ซะ มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องเดือดร้อนกับตัวเอง และคนที่ตัวเองรัก ถ้าหากไม่เอาเรื่อง ก็จะให้เงินเฮียเข้มมาก่อนหนึ่งเป็นการลงทุนทำอะไรก็ได้ โดยแลกกับนักมวยและคำสัญญาของเฮียเข้มที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมวยอีก

เฮียเข้มแกเห็นกับครอบครัว และพวกนักมวยที่แกปั้นมา ไม่อยากให้พวกนั้นเดือดร้อน ก็เลยยินยอมทำตาม ทั้งๆที่งานนี้เป็นงานที่แกชอบที่สุด หลังจากนั้นเฮียเข้มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครติดต่อแกได้เลย มีคนบอกว่าแกไปอยู่เมืองนอกกับลูกหลานแก เฮียเข้มทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ แม้แต่ฉันซึ่งแกบอกว่ารักมาก แกมอบทุกอย่างให้คนอื่นไปหมด ทั้งนักมวย และ
ค่ายมวย ตกเป็นของผู้มีอิทธิพลคนนั้น”

“เดียร์เป็นนักมวยในค่ายเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมไปก้มหัวให้ผู้มีอิทธิพลคนนั้น เขาไม่อยากเป็นเครื่องมือให้โจรถ่อย ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเถื่อน แต่เพื่อรักษาชีวิตให้รอด เขาก็ใหสัญญากับผุ้มีอิทธิพลท่านนั้นว่าจะไม่ยอมเหยียบย่างเข้าวงการอีก”

“ส่วนน้อยชกมวยไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเฮียเข้มจากไป น้อยก็เคว้งคว้างเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ไม่รู้จะทำอะไร จะเข้าไปเรียนต่อก็ทำไม่ได้ เพราะตอนเป็นนักมวย น้อยไม่ได้เรียนต่อแบบเดียร์ซึ่งรักการเรียน แม้จะเป็นนักมวย ก็ยังคงเรียนหนังสือต่อไปด้วย เมื่อไม่ได้ชกมวย เดียร์กับน้อยก็ไม่รู้จะไปทำอะไร

พอดีน้อยมีเพื่อนทำงานอยู่คณะโชว์ แบบคาบาร์เรต์ขของสาวประเภทสอง  ตัวแสดงตลกคนหนึ่งของเขาไปแต่งงาน ทำให้ไม่มีใครแสดง เขาเลยให้น้อยไปลอง น้อยก็เอาเดียร์พ่วงไปด้วย ตกลงเราเลยได้งานเต้นโชว์ น้อยเป็นพวกเต้นโชว์ตลก แต่เดียร์เขาหุ่นดี หน้าตาหล่อเหลา ถึงจะอายุน้อย แต่โครงสร้างร่างกายสูงใหญ่พอๆกับหนุ่มไทยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็ได้เต้นโชว์ร่วมกับนางโชว์กระเทยสวยๆน่ะ”

น้อยหยุดเล่าแล้วหันมายิ้มให้กับเพื่อนหนุ่ม เดียร์ทำหน้าอายๆ หันมามองผม คงอยากรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร ที่เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักมวยที่ไล่ถลุงคู่ต่อสู้บนเวที กลายมาเป็นนักเต้น ในคณะคาร์บาเรต์ที่มีกระเทยแปลงเพศเป็นตัวชูโรง ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม พยายามจะจินตนาการให้ได้ว่า ถ้าเด็กคนนี้สวมส้นสูง ใส่วิก และแต่งชุดเซ็กซ์ซี่ จะเป็นอย่างไรหนอ

“เดียร์เขาไม่ได้แต่งชุดเป็นผู้หญิงหรอกค่า” น้อยพูดยิ้มๆ

“ท่าทางเขาไม่ให้ เขาออกแข็งๆ ไม่นุ่มนวล กระตุ้งกระติ้ง น้อยต่างหากได้แต่งเป็นผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงแบบตลกๆ ส่วนเดียร์เขาจะแต่งเป็นผู้ชายน่ะแหละ เต้นก็เป็นแบบผู้ชาย แค่แต่งหน้าแต่งตาให้ขึ้นกับแสงไฟเท่านั้น”
น้อยเฉลย ผมถอนหายใจที่ภาพที่ผมคิดไว้มันไม่เป็นจริง เป็นเกย์ก็แย่แล้ว แต่เป็นกระเทยนี่สิ วันดีคืนดีเกิดนายนี่คิดจะแปลงเพศเป็นผู้หญิงขึ้นมา แล้วคอยตามนัวเนียผม ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดลั่นดังไปสามบ้านแปดบ้าน ทำท่าเง้างอนกระฟัดกระเฟียดแบบผู้หญิงใส่ คงได้วุ่นวายขายหน้าพิลึก

“ตอนเขาเป็นนักมวย ก็ได้ชื่อว่าเป็นไอ้หนูจอมลีลาอยู่แล้ว พอได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับการเต้นรำ ก็ดูเหมือนว่าจะไปกันได้ดี เขาเต้นเก่งมากเลยนะคะ คุณต้องไปดูเขาเต้น ท่าเต้นของเขาสวย และแข็งแรงมากเลยค่ะ”

น้อยพูดถึงเพื่อนหนุ่มของตนเองด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ

“ผมไม่ค่อยชอบดูไปดูพวกการแสดง หรืออะไรเท่าไหร่หรอกครับ ไม่ชอบที่ๆมีคนเยอะๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย นานๆครั้งจะไปกับพวกเพื่อนบ้าง หรือ ลูกค้าบ้างน่ะครับ”

ผมบอกเขาไปตามตรง


“แหมน่าเสียดายนะคะ ที่คุณไม่ได้ไปดู แต่ตอนนี้ เดียร์เขาก็ไม่ได้แสดงร่วมกับคณะแล้วค่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น คือมีคนมาชอบเดียร์นะคะ แต่เดียร์เขาไม่ชอบ เขาก็มาหาเรื่อง จนเดียร์อยู่ไม่ได้  น้อยเองก็ลาออกมาพร้อมๆกันกับเดียร์นะคะ น้อยเก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง จากการชกมวย และแสดงโชว์ น้อยก็เลยเอาไปผ่าตัดทำนม แปลงเพศมา ก็คิดอยู่นานเหมือนกันค่ะ ว่าดีหรือเปล่าที่จะทำแบบนี้ แต่การไปทำงานในคณะโชว์นั้นมันทำให้น้อยได้รู้ว่า อะไรคือสิ่งที่น้อยต้องการ”

มีรอยยิ้มฉาบระบายบนใบหน้าน้อย เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข

“พอดีว่า ตอนที่น้อยถูกคนทำร้าย มันได้พรากเอากล่องดวงใจของน้อยไปด้วย ไหนๆก็เป็นผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีอวัยวะเพศเหมือนคนอื่นเขาอีกต่อไป แล้วใจเราก็ไม่ใช่ผู้ชายแท้ อีกอย่างน้อยคิดว่าน้อยอยากเป็นผู้หญิง อยากแต่งงานมีครอบครัว อยากอยู่ร่วมกับคนที่รักค่ะ มันก็เลยทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ก่อนทำน้อยก็ปรึกษาเดียร์นะคะ แต่เขาก็บอกว่า ถ้าอะไรคือสิ่งที่น้อยชอบ น้อยต้องการ น้อยก็ทำไปเถอะ”

ผมหันไปมองหน้าเดียร์อย่างค้นคว้า เด็กหนุ่มคนนี้ คลุกคลีตีโมงอยุ่กับเพื่อนที่เป็นเกย์ กระเทย แถมซ้ำยังเคยทำงานเป็นนักเต้นในคณะแสดงโชว์ของสาวประเภทสอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเบี่ยงเบนทางเพศกลายเป็นเกย์ก็ได้

“หลังจากแปลงเพศเสร็จ น้อยก็ไปทำงานในร้านอาหาร บาร์เบียร์แถวพัทยา จนกระทั่งได้เจอกับ จอห์นนี่ ทหารอเมริกันนิโกร แล้วก็เกิดเป็นความรักกัน พอเขาปลดประจำการจากการเป็นทหาร เขาก็มาเมืองไทย เราก็อยู่กินด้วยกัน แล้วก็มาเปิดร้านอาหารที่นี่ด้วยกันค่ะ ส่วนเดียร์ก็เข้ากรุงเทพฯไปตามหาความฝันของตนเอง ความฝันของเขามีเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น คือการตามหาคนรัก และการเป็นนักเต้น เขาไม่อยากเป็นนักมวยอีกต่อไป เขาค้นพบว่าอาชีพนักเต้นรำ คือสิ่งที่เขารัก พอๆกับชายหนุ่มคนที่ช่วยเขาคนนั้นเลยค่ะ”

น้อยหันมายิ้มให้กับเพื่อนหนุ่ม เดียร์หน้าแดงก่ำมองผมอย่างอายๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มอึดอัดขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจความรู้สึกของผม เพราะเห็นเขาหันไปสบตาน้อยเป็นทีให้หยุดพูด น้อยคงยังไม่รู้ตัว จีบปากจีบคอต่อไป

“พอน้อยเห็นหน้าคุณเท่านั้น ก็รู้เลยว่า ทำไมเดียร์ถึงชอบคุณนักหนา ก็คุณน่ะ นอกจากจะใจดี แล้วก็ยังหล่อด้วยนะคะ ถ้าเป็นน้อย น้อยก็ยอมสู้ตายถวายชีวิตเลยค่ะ ฮิฮิฮิ”

น้อยหัวเราะอย่างชอบใจ ผมนั่งกระสับกระส่าย อยากจะลุกหนีออกไปจากวงสนทนา นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนะ ผมฟังเรื่องแบบนี้จากเจ้าเด็กลูกครึ่งนี่ มาเป็นสิบรอบแล้ว นี่ยังจะต้องมาทนฟังเรือ่งแบบนี้จากเพื่อนของเขาอีก นี่เป็นการจัดฉากจากนายเดียร์หรือเปล่า พอรู้ว่าตนเองทั้งพูดทั้งทำกับผมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ก็เลยหาทางให้เพื่อนช่วยพูดให้แทน ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกหว่านล้อมให้ทำใจยอมรับกับความรักที่เด็กนี่มอบให้อย่างไรก็ไม่รู้

“เรื่องของความรัก มันบังคับหรือฝืนใจกันไม่ได้หรอกครับ”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-08-2007 12:06:08 »





meeza31

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #50 เมื่อ23-08-2007 15:27:05 »

พึ่งได้เข้ามาอ่านสนุกมากเลยสู้ๆนะเดียเป็กำลังใจให้คับผม

ออฟไลน์ สาวตัวกลม

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #51 เมื่อ23-08-2007 15:37:59 »

ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :m1:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #52 เมื่อ23-08-2007 16:28:06 »

คนที่จะเป็นคู่กันเนี่ย ยังไงมันก็เป็นคู่กัน

รออ่านต่ออยู่ค๊าบบ  :m11:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #53 เมื่อ23-08-2007 17:54:02 »

ยังไม่เปิดใจ รอลุ้นต่อไป  :a11:  :a11:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #54 เมื่อ23-08-2007 20:55:30 »


“เรื่องของความรัก มันบังคับหรือฝืนใจกันไม่ได้หรอกครับ”


เห็นด้วยๆๆ   :m21: :m21:
ฝืนใจให้รักไม่ได้ แต่ก็ฝืนใจให้เลิกรักไม่ได้เหมือนกัน  :m26: :m26:
 :m18: :m18: :m18:

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #55 เมื่อ24-08-2007 18:11:45 »

เดียร์สู้ๆๆๆ...เดียร์สู้ๆๆๆ...เดียร์สู้ๆๆๆ 555+   :m18: :m18: :m18:

ความรักชนะทู๊กกกกกกก สิ่ง   :a9: :a9: :a9: :a9:


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #56 เมื่อ27-08-2007 22:32:45 »

ลืมเรื่องนี้แล้วหรอ อยากอ่านแย้ว  :m17:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #57 เมื่อ27-08-2007 22:47:30 »

แน๋วที่ร๊ากกกกก ลืมเรื่องนี้แล้วหรอจ๊ะ

กำลังติดพันอ่ะ มาด่วนเลย :m5:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #58 เมื่อ27-08-2007 23:44:51 »

ก็รอคนมาเม้นท์อยู่อ่ะ มีแต่คนอ่านไม่มีคนเม้นท์  :a14:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
Re: My First Boyfriend:Part 1 By Katesnk
«ตอบ #59 เมื่อ28-08-2007 00:06:06 »

เค้าเม้นท์ตาหลอดเลยนะ เห็นใจเค้านะ นะ นะ

มาต่อซะทีดิ :impress:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด