มิอาจก้าวล่วง
** For explicit (updated) version please visit
https://bit.ly/340sIcE **
บทหนึ่ง ตราชูเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม
"แต่ถ้าคนอ่านค่าเอียงก็จบ"
เดือนตุลาฟังคำเปรียบเปรยเพียงผ่าน มองเอกสารข้อร้องเรียนประจำวันในมือต่อไปโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงบ่นเลื่อนลอย ก็ถ้าให้เทียบแล้วของในมือเขามีความสำคัญมากกว่าตั้งเยอะ
"งามหน้า นี่หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยติดต่อพี่มาสองรอบแล้ว"
"แล้วทำไมไม่ให้สัมภาษณ์ล่ะครับ"
"ไม่ใช่หน้าที่ไหม พี่เป็นแค่รักษาการประธาน"
"แต่คนสร้างเรื่องคือประธานนี่ครับ" มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยยามนึกถึงบุคคลที่สาม ผู้ชายแสนโง่เขลาที่ไม่สามารถควบคุมอำนาจให้อยู่ในการดูแลได้ "...อ้อ เป็นอดีตไปแล้ว"
กระดาษเอสี่ในมือถูกสลับเปลี่ยนรวดเร็วตามความเคยชิน ข้อเรียกร้องแผ่นล่างสุดเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทระหว่างกลุ่มกิจกรรมสองกลุ่มที่มีจุดประสงค์และวิธีดำเนินการที่คล้ายคลึงกัน ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องด่วนเสียด้วย อย่างนี้เขาก็ต้องเรียกประชุมวาระพิเศษอีกแล้วสินะ พวกสายวิทย์จะต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้งแน่
หยิบตราปั๊มขึ้นมาประทับคำว่าด่วนลงไปแล้วแยกเอาไว้ต่างหาก เช็กเอกสารทั้งหมดในมืออีกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
"ไม่ค่อยออกอาการเลยนะน้องตุล"
คนเป็นน้องยกไหล่ขึ้น "ผมไม่โอเคกับพี่ต้นหลิวมาตั้งแต่แรกแล้วครับ"
"ปีหนึ่ง?"
"เอาให้ชัดก็คือตั้งแต่ปีหนึ่งรอบแรก" เล่าสบายๆ ตามประสาคนคุ้นเคยกันมานาน ตุลเดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวทางซ้ายของรุ่นพี่ปีสี่อย่างมัจฉ์
"ชัดเจนเว่อร์"
"แล้วนี่ไม่ต้องอ่านหนังสือเหรอครับเลยมาวุ่นวายที่นี่ได้"
ปรายตามองคนที่ควรจะหมกตัวอยู่กับกองหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการสอบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รักษาการประธานของตุลาการนักศึกษาสะดุ้งโหยงให้กับคำพูดเชือดเฉือนไม่มีไว้หน้า แม้ว่าจะได้ยินมานานแต่ก็บอกเลยว่าคงไม่สามารถทำใจยิ้มรับให้กับน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นนั้นได้
"ก็เรื่องนี้มันน่าเครียดกว่า พี่ก็กังวลไง"
"แต่องค์คณะคนอื่นเขาไม่มีใครสนใจเลยนะครับ"
"ก็ว่าไปนั่น ลงทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งโซเชียลเบอร์นั้นใครจะไม่รู้" จังหวะพูดถึงหนังสือพิมพ์ก็ปัดกองกระดาษเปื้อนหมึกที่ถูกทิ้งเอาไว้บนเบาะไปบนพื้น ตัวอักษรขนาดใหญ่ทำตัวหนาอ่านได้ใจความว่าเป็นเรื่องน่าอัปยศที่องค์การเกี่ยวกับความยุติธรรมกลับถูกแฉในประเด็นความเท่าเทียมและไม่เลือกข้าง "ต้นหลิวมันเป็นยังไงบ้างอะตอนนี้"
"ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ตัวเองทำครับ"
ที่น่าอับอายกว่าสิ่งใดคือบุคคลกระทำผิดคือ 'ประธาน' สูงสุดบนบัลลังก์
"แค่โดนปลดกลางอากาศก็โหดแล้ว พี่สงสารจัง"
"เอาตามความรู้สึกผมแล้วพี่ไม่ได้สงสารเหมือนอย่างที่ปากบอกเลยนะครับ"
ด้วยความที่อยู่กันมานานพอสมควรจนเรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจ ยิ่งเป็นประเภทที่มีศัตรูคนเดียวกันแล้วยิ่งเข้ากันได้ดีขึ้นไปอีก ต้นหลิวที่พวกเขากำลังพูดถึงคืออดีตประธานตุลาการนักศึกษาที่เพิ่งมีข่าวฉาวเกี่ยวกับคำตัดสินในคดีพิพาทด้วยอคติ โดยมีหลักฐานเป็นแชตตอบโต้ระหว่างตนเองกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง ยังไม่รวมกับที่ลือกันว่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับทางสภานักศึกษาเพื่อให้มีการออกกฎที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดอีก
"สงสารที่อนาคตดับแน่ แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยสังคมเราก็ไม่ต้องมีคนตรรกะพังๆ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งไง"
"แล้วยังกล้ามาบอกว่าผมไม่ค่อยเก็บอาการ"
"เนี่ย ปากร้ายอย่างนี้ไงคนอื่นถึงมองว่าเราน่ากลัว"
"อยู่มานานก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเองหน่อยสิครับ" องค์การที่มีสมาชิกอยู่ในองค์กรแค่เก้าชีวิต แต่คนเกลียดหลายเท่าตัวนัก "พี่มัจเป็นคนสอนผมเอง"
ถ้าเทียบจำนวนปีแล้วบอกเลยว่ามัจฉ์เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ นักศึกษาจากฝั่งศิลปศาสตร์ที่สนใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมมาตั้งแต่ปีหนึ่งและเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ขึ้นเป็นประธานรักษาการทั้งที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ เป็นการพิสูจน์ว่าบางครั้งโลจิกไม่ได้จำเป็นต้องมาจากคนเรียนตรงสายเสมอไป
"น้องตุลใจร้าย เออ เอาแต่คุยจนลืมเลยว่าตั้งใจมาบอกอะไร"
"อะไรครับ"
"มหาวิทยาลัยเลือกคนเข้ามาแทนได้แล้วนะ"
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดยพลัน ปกติแล้วกระบวนการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ยิ่งเป็นการเข้ารับตำแหน่งนอกรอบที่ไม่ได้เริ่มต้นพร้อมกับคนอื่นแล้วด้วย ตุลคิดเอาไว้ว่ากว่าจะมีคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ก็คงเกือบหมดวาระในรอบนี้
"ทำไมเร็ว"
"ก็คงตั้งใจเอามาเคลียร์เรื่องนี้โดยเฉพาะแหละ"
อ่านไม่ออกเลยว่าผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังทำอะไรอยู่ "ใครครับที่จะเข้ามาใหม่"
"ไม่ใช่เข้าใหม่ กลับมาต่างหาก"
แย้มยิ้มของรุ่นพี่ปีสี่ไม่น่าไว้วางใจแม้แต่น้อย
"สัทธาจะกลับมาแล้วนะ" มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทความรู้ไม่ต่างจากที่อื่น หากหนึ่งระบบที่กลายเป็นความแตกต่างและไม่มีใครสามารถทำได้เหมือนคือการสร้างการปกครองจำลองจากการบริการงานระดับประเทศ
บริหาร - นิติบัญญัติ - ตุลาการ
สามเสาหลักตามทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจที่ดีในระบอบประชาธิปไตย สองชื่อแรกเป็นที่คุ้นเคยของนักศึกษาอยู่แล้วอย่างองค์การนักศึกษาและสภานักศึกษา หากเสาที่สามต่างหากที่เป็นความโดดเด่นของระบบการปกครองที่นี่
องค์การนักศึกษาเป็นตัวแทนในการบริหารกิจการและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษา
สภานักศึกษาคอยดูแลในส่วนของการร่างและออกกฎหมาย รวมถึงสิทธิและสวัสดิการของนักศึกษา
และ
ตุลาการนักศึกษาที่มีอำนาจและหน้าที่ในการตัดสินข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบ รวมทั้งตรวจสอบการทำงานของสองเสาก่อนหน้าให้ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น
เพราะนโยบายหลักของสภามหาวิทยาลัยต้องการให้นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด มันเลยเกือบเรียกได้ว่าการบริหารงานที่เกี่ยวข้องถูกดำเนินโดยผู้ปฏิบัติงานจริง แม้ว่าจะมีช่องว่างให้ได้ปวดหัวบ้างเป็นบางครั้งแต่ระบบนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในภาพรวม
'ตุลาการนักศึกษา' ประกอบไปด้วยองค์คณะเก้าคนที่ถูกคัดเลือกจากจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไม่จำกัดชั้นปี มีวาระหนึ่งปีและจะต้องคัดเลือกใหม่เสมอในรอบถัดไป หากมีเหตุสุดวิสัยอันเป็นผลให้ตุลาการคนหนึ่งคนใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ก็จะต้องมีการคัดเลือกใหม่ทันที
'ก็แค่พวกขี้โอ่ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่า'
'ท่านอย่างนั้น ท่านอย่างนู้น ท่านอย่างนี้'
'สูงนักระวังตอนตกลงมา' เดือนตุลาได้ยินคำพวกนั้นมาจนเบื่อแล้วล่ะ
จะค้านก็ไม่อยากอ้าปากเพราะรู้ว่าบางคนก็แสดงตนสะท้อนถ้อยคำพวกนั้นไม่มีผิด
"ได้ข่าวว่าพี่ธรรมจะกลับไปอยู่ฝั่งนั้นเหรอ"
เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนเล่มหนา พยักหน้าให้พลางเก็บเอาสัมภาระที่ดูเกะกะเต็มโต๊ะไปหมดมาไว้ข้างตัวเอง เพื่อนสนิทคนเดียวในคณะของเดือนตุลาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยเลือกที่จะถามต่อในสิ่งที่ยังสงสัย
"ทำไมกลับไปนะ นึกว่าเขาแฮปปี้กับฝั่งสภาแล้ว"
"อยากรู้คงต้องถามมหา’ลัย นี่คนอื่นยังสงสัยอยู่เลยว่าเพราะอะไรถึงแต่งตั้งเร็ว" ตำแหน่งที่ผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนตั้งแต่การส่งชื่อในคณะ ให้อาจารย์คัดเลือกภายในหนึ่งรอบ จากนั้นแล้วต้องผ่านการเห็นชอบจากสภานักศึกษาด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสามในสี่ ก่อนจะจบลงที่การอนุมัติแต่งตั้งจากกรรมการของมหาวิทยาลัย
ถึงบอกว่าเลือกวันนี้ได้ตอนเกือบหมดวาระ
มันค่อนข้างยุ่งยากและกินเวลานาน เดือนตุลาเองมองว่ามันไร้สาระและมากขั้นตอนจนเกินไป ที่ต้องให้ผ่านสภานักศึกษาก่อนนี่โคตรผิดหลักความเป็นอิสระของตุลาการ นี่ก็พยายามเข้าใจว่าที่ต้องให้ผ่านสภาเพราะอยากให้มันยังคงความเป็นงานของนักศึกษาอยู่ แต่เอาจริงสามในสี่นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะ
ยังไม่รวมกับเกมการเมืองภายใน นี่ก็หนึ่งในช่องว่างที่เห็นชัดแต่ไม่มีใครแก้ไขได้ เพราะถ้าไม่ผ่านขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดมันหมายถึงการตีกลับไปเริ่มต้นใหม่ เห็นว่าจำนวนองค์คณะที่น้อยที่สุดที่เคยเจอคือสามคน ที่เหลือติดอยู่ตามขั้นบันไดอันสูงชันนั่นแหละ
"เพราะเคยเป็นมาแล้วหรือเปล่า เอาจริงคือแค่เห็นลิสต์ผลงานก็แทบไม่มีอะไรให้ค้านอะ"
"อาจจะ ไม่รู้เหมือนกัน"
"ล่ะคนอื่นเป็นไง พนันว่ามีคนใกล้เป็นบ้า"
นึกตามว่าสมาชิกที่เหลือในองค์คณะแสดงออกอย่างไรบ้างยามเขาประกาศเรื่องบุคคลที่จะเข้ามาแทนที่ในอีกหนึ่งเก้าอี้ว่างที่เหลือ
"หลายคนอยู่"
"พวกโจทก์เก่าน่ะสิ"
เด็กคณะนิติศาสตร์หนีกฎหมายและงานที่เกี่ยวข้องไม่พ้น เดือนตุลากับปลายเจตน์ก็เช่นกัน เพื่อนเขาเคยเป็นอนุกรรมการช่วยในการร่างกฎหมายของฝั่งสภานักศึกษา รวมถึงเคยโดนลากให้มาช่วยอ่านคำร้องและหาหลักระเบียบการที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง
ส่วนตัวเองเป็นหนึ่งในองค์คณะตุลาการนักศึกษา อยู่มาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งจนถึงทุกวันนี้
"พี่ธรรมมีใครรักด้วยเหรอ" ไม่ใช่การประชดประชัน มันคือเรื่องจริง
"อย่างน้อยก็แก๊งก์คนป่าไง" มีการยกมือขึ้นมาทำเป็นตัววีที่หักงอ เบ้ปากยามกล่าวถึงกลุ่มที่ไม่รู้จะเรียกอย่างไรให้ตรงตามบุคลิกของพวกเขาเหล่านั้น "เนี่ย เลิกเรียนกันแล้วมั้งถึงลงมาสูบบุหรี่"
พยักเพยิดไปด้านหลัง ภาพที่ชินตามาตั้งแต่แรกทำให้เขาไม่หันกลับไปมองตาม พนันได้เลยว่าต้องมีกลุ่มพี่ปีสี่ท่าทางไม่รับแขกอยู่ตรงนั้น มีหลายรูปแบบตั้งแต่ผมยาวเกือบกลางหลัง ไว้หนวดครึ้ม แต่งตัวตาลุงด้วยเสื้อค่ายฟรีกับกางเกงขาบาน ลากยาวไปถึงแบบแต่งตัวดีทุกกระเบียดนิ้วแต่ดันเสพติดพืชใบเขียวขั้นหนัก
พอจบคลาสก็จะลงมาสุมกันอยู่ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากตึกเพื่อเปิดวงสูบยาเส้น ควันขโมงจนกลายเป็นจุดต้องห้ามเข้าไปใกล้สำหรับคนอื่น เดี๋ยวนี้ดีหน่อยเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันบ้างแล้วเลยลดเรื่องกลิ่นแต่ไปเพิ่มเรื่องควันแทน
"แต่ไม่มีว่าที่ตุลาการนักศึกษาเลยแฮะ"
"เถียงกับอาจารย์ไม่จบล่ะสิ"
"มั้ง ขึ้นเรียนกันเถอะ อาจารย์น่าจะใกล้ถึงแล้ว"
พยักหน้าเห็นด้วย ปิดประมวลเล่มหนาที่หยิบมาอ่านคู่กับหนังสือเรียน ยัดของทุกอย่างใส่ลงไปในถุงผ้าสกรีนโลโก้มหาวิทยาลัยที่ได้ฟรีจากการไปช่วยงานสักงานสมัยปีหนึ่ง ทนมือทนแดดแต่อมน้ำ ข้อดีของมันคือเก็บของได้เยอะจนนึกว่ากลับไปเรียนสมัยประถม
ตึกเรียนคณะนิติศาสตร์อยู่ลึกสุดในรั้วมหาวิทยาลัย ที่นี่เราไม่ค่อยได้ใช้ตึกเรียนส่วนกลางเพราะทุกคณะมีตึกส่วนตัวเอาไว้รองรับเพียงพออยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าตลอดสี่ปีถ้าไม่ขวนขวายออกไปหาวิชาคณะอื่นเรียนเองก็จงเฉาตายอยู่ที่นี่ไปซะเถอะ
เราเรียนที่ชั้นสามเลยเดินไปทางบันไดหนีไฟแทนการใช้ลิฟต์
"เอาจริงคือนึกว่าจะดีใจที่พี่ธรรมกลับมา"
"ทำไม?"
"ไอดอลมึงไม่ใช่เหรอ พี่ธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ซิ่วมาอยู่คณะนี้ก็เพราะพี่เขานี่"
ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ต้องเก็บเอาไว้ เดือนตุลาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ครั้งแรกที่คณะทันตแพทยศาสตร์ ก่อนจะลาออกเมื่อเรียนไปได้เทอมครึ่งแล้วสมัครเข้าเรียนใหม่ในคณะนิติศาสตร์แทน ส่วนปลายเจตน์เรียนคณะบัญชีมาก่อนแล้วก็เลือกซิ่วเพราะบ้านอยากให้เรียนสายกฎหมายเหมือนลูกคนอื่น
"กูโตขึ้นแล้วมั้ง ตอนนั้นมันความคิดเด็กๆ อะมึง"
แค่รู้สึกว่าเขาห่างไกล...จนยอมทำทุกทางเพื่อให้ก้าวเข้าไปใกล้ได้มากขึ้น
"สองปีก่อนนี่เด็กกว่านี้เท่าไหร่เชียว" ตอนนี้ตุลเรียนชั้นปีที่สอง
"เยอะอะ เอาจริงคือมาอยู่ตุลาการนี่กูเจออะไรเยอะมากเลย"
ตั้งแต่สงครามจิตวิทยาการแต่งตั้ง ผ่านทุกด่านมาแล้วก็ต้องเจอระบบอาวุโสและคุณวุฒิภายใน มีกันไม่ถึงสิบหน่อตอนเลือกประธานก็ยังมีปัญหาจนเกือบได้ล้มการเลือกตั้งทั้งหมด พอทำงานจริงก็ได้เจอกับเรื่องเส้นสายและความสัมพันธ์ในเชิงลึกอีก
จนทุกวันนี้คิดว่าหน้ากากของตัวเองถูกแต่งแต้มเอาไว้สวยงามจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวอีกแล้ว
"แค่ฟังที่บ่นก็พอเข้าใจอยู่ เพราะงั้นกูเลยไม่อยากทำงานพวกนี้"
เปิดประตูด้านหลังห้องเผื่อเอาไว้ไม่ให้เป็นการรบกวนอาจารย์ หน้าห้องว่างเปล่าแทนการบอกว่าพวกเขายังมาทันคลาสเรียนวิชาอาญาภาคความผิดในวันนี้ ตุลเดินไปนั่งเก้าอี้แถวที่สามช่วงตรงกลางอันเป็นทำเลที่กำลังดีสำหรับการเรียน มีปลายนั่งข้างซ้ายเหมือนอย่างทุกที
ไม่ได้สุงสิงกับเพื่อนร่วมรุ่นตามประสาคนไม่ได้ทำกิจกรรมในคณะเลยสักอย่างเพราะข้ามขั้นขึ้นไปทำระดับมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่แรก แต่ก็เริ่มต้นด้วยการถูกล่อลวงให้ติดกับล่ะนะ
"ดีแล้ว หนีไปซะ"
"แน่นอน ปล่อยให้มึงทำงานปวดประสาทไปคนเดียว" มองแรงใส่คนทำหน้าเหนือกว่า มุมปากที่ยกขึ้นข้างหนึ่งน่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา "คิดบ้างไหมว่าอยากปล่อยมือเมื่อไหร่"
แม้จะเป็นการดำรงตำแหน่งปีต่อปี คนที่เคยทำงานมาก่อนแล้วย่อมได้รับความไว้วางใจให้รับหน้าที่หากแจ้งความประสงค์ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ไม่ถึงกับว่าเป็นการต่ออายุงานอัตโนมัติแต่ว่าการพิจารณาของภาคส่วนต่างๆ ก็จะลดระดับความยุ่งยากลงไปมากพอสมควร
"ตอนนี้ยังสนุก เรื่องพี่ต้นหลิวนี่ไม่รู้จนจบจะได้เจออีกไหม"
กลายเป็นเรื่องคุยขำขันในหลายส่วนของคณะ มันก็เกิดขึ้นจากการทำตัวเองทั้งนั้น ตุลเชื่อว่าถ้าทำหน้าที่เงียบๆ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว เอาเข้าจริงสภาที่ว่าไม่ค่อยมีตัวตนมาเจอฝ่ายตุลาการเข้าไปนี่แทบเรียกได้ว่าล่องหนไม่มีที่ยืน ถ้าไม่ได้กลายมาเป็นคู่ความในคดีก็คงไม่เห็นหน้าคนทำงานส่วนนี้สักครั้ง
ต่างจากบางคนที่ไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงบทบาทของตัวเองอย่างถ่องแท้
อยากจะได้หน้าก็ไปอยู่องค์การฝ่ายบริหารสิ มาอยู่ฝ่ายตัดสินความผิดทำไม
"เรื่องพี่ต้นหลิวนี่พีกจริง ไม่รู้กล้ามาเรียนหรือยัง"
"ไม่ได้ตาม แต่คิดว่าคนที่ไม่ฟังใครอย่างนั้นไม่น่าจะมาง่ายๆ"
ทะนงในตำแหน่งของตน
โดยหลงลืมว่ามันไม่คงอยู่นิรันดร์
ข้อกำหนดเรื่ององค์คณะของตุลาการนักศึกษาระบุเอาไว้ชัดเจนว่าสี่ในเก้าคนต้องเป็นนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ นั่นหมายถึงว่าเกือบครึ่งหนึ่งจะต้องเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างในตึกคณะแห่งนี้ อาจจะดูลำเอียงแต่มันก็ยังมีเหตุผลเบื้องหลังที่พอรับฟังได้อยู่
ตามสถิติที่ผ่านมาส่วนใหญ่ตำแหน่งประธานองค์คณะก็เลยไม่พ้นเด็กสองคณะนี้ จะมีแตกต่างบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ค่อยพ้นสายสังคม ถ้าได้ตำแหน่งมาแล้วไม่ได้ออกตัวแรงให้ใครหมั่นไส้มันก็ดีไป น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นกับต้นหลิวอดีตประธานคนล่าสุด
ทั้งอวดตนและเจ้ายศเจ้าอย่าง ป่าวประกาศว่าตนมีอำนาจในมือแค่ไหนจนคนอื่นพาลรำคาญไปหมด ยังไม่รวมกับพิธีรีตรองและตำแหน่ง 'ท่าน' ที่ต้องใส่เอาไว้ตรงหน้าชื่ออีก
ถึงบอกว่าคนอย่างนี้ออกจากตำแหน่งได้ก็ดีไง
"ปีสี่ไม่ต้องเข้าเรียนหมดเลยนี่ พนันปะว่าโผล่มาอีกทีวันสอบเลย" วิชาของคณะส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บคะแนนระหว่างทางรวมถึงไม่มีชิ้นงาน ทั้งหมดคือการสอบแบ่งกลางและปลายภาคแล้วแต่ผู้สอน "แต่เอาจริงต้องขอบคุณพี่เขานะ คนในเฟซกูเพิ่งรู้ว่ามีฝ่ายตุลาการเพราะเรื่องนี้หลายคนเลย"
ไม่แปลกใจเลยสักนิด ก็บอกแล้วว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานเบื้องหลังทั้งหมดไม่ได้ออกหน้าให้ใครเห็น ยิ่งถ้าไม่มีข้อทะเลาะเบาะแว้งอะไรยิ่งไม่ต้องรู้จักเข้าไปใหญ่ เหมือนมีชื่อเอาไว้ให้คุ้นๆ ว่ามีคนเคยมาประชาสัมพันธ์ตอนแนะนำกลุ่มกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตอนวันแรกเข้าเท่านั้น
"ที่จริงไม่ต้องรู้ก็ดีอะ กูขี้เกียจรับเรื่อง"
"อู้งานเหรอ"
"งั้นมั้ง ...นี่อาจารย์ไม่ได้แคนเซิลคลาสใช่ไหมเนี่ย"
เลยเวลาเข้าเรียนมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว ตอนนี้เพื่อนในห้องก็เริ่มอยู่ไม่สุขกันทั้งหมด เดือนตุลาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าเด็กแถวหน้าสุดในการลุกออกไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำคณะ แต่ส่วนมากแล้วถ้าเกินครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ก็เป็นอันรู้กันว่าไม่ต้องรอ
"กูว่าใช่"
"ไม่อยากเมกอัปคลาสอะ..." เรื่องที่น่าเบื่อที่สุดคือการนัดเรียนเพิ่มเติมในช่วงเย็นหรือไม่ก็เสาร์อาทิตย์ มันควรเป็นเวลาพักผ่อนสมองต่างหากนะ "ช่วงนี้กูไม่ว่างด้วย เรื่องเวรตะไลนี่แหละ"
"งั้นก็รอดูต่อไป"
"น้องๆ ครับ อาจารย์พิมพ์ประภาฝากมาบอกว่าเลทชั่วโมงหนึ่งนะ แกรถเสียบนทางด่วน"
เสียงประกาศทุ้มนุ่มน่าฟังเรียกให้ทุกคนหันไปทางผู้ชายตรงโต๊ะสอนเป็นตาเดียว ตุลทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจนี่เกือบจะหลุดคำหยาบคายออกมาแล้ว จบการประชาสัมพันธ์ชายคนเดิมในชุดสบายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไรก็วางไมค์ลงแต่ไม่ได้ออกจากห้องไปเลย ปลายทางหลังจากนั้นคือเก้าอี้ด้านหน้าตัวที่เขานั่งอยู่
คิดแล้วว่าไม่น่ารอด
"ว่าไงน้องตุล"
ลอบถอนหายใจไม่ให้ผิดสังเกต "สบายดีครับพี่ฟีน"
"พี่ก็สบายดีเหมือนกัน" อยากจะสวนกลับไปว่าไม่ได้ถาม และไม่อยากรู้ด้วย "นี่รู้แล้วใช่ไหมว่าธรรมจะกลับไปทำงานด้วย"
ถ้าเป็นคณะอื่นไม่ว่าใครจะขึ้นมาทำงานก็ช่างหัวมัน แต่นี่มันคณะที่เกี่ยวข้องโดยตรงแบบไม่มีทางตัดออกจากกันได้นี่นา เป็นข้อมูลที่รู้โดยทั่วกันว่าในหนึ่งปีมีใครที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง รวมถึงใครที่ถูกปลดออกไปบ้าง ยิ่งกับการแต่งตั้งกลางปีที่มีเบื้องหลังไม่ค่อยปกติด้วย
"ครับ ได้รับเอกสารแต่งตั้งแล้ว"
ทุกขั้นตอนรวดเร็วเสียจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคณะทำงานเดียวกับที่เคยยื่นเรื่องขอเบิกงบประมาณประจำปีไป อันนั้นนี่ผ่านไปเทอมหนึ่งแล้วเรื่องทั้งหมดก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด
"ถ้ามีอะไรสนุกๆ ก็อย่าลืมเอามาเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ"
"ตอนนี้ที่สนุกที่สุดก็น่าจะเป็นร่างระเบียบใหม่ของพี่มากกว่านะครับ" เชือดเฉือนด้วยเรื่องที่เป็นท็อปปิกใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ก็ร่างระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของนักศึกษาที่มีเสียงเล่าอ้างว่าพี่ต้นหลิวมีส่วนเกี่ยวพันในการล็อกบางคุณสมบัตินั่นแหละนะ
"เมื่อไหร่น้องตุลจะเลิกใจร้ายกับพี่อะ"
"ก็ตอนที่พี่เลิกพยายามแทรกเข้ามายุ่งกับฝั่งนี้มั้งครับ"
ส่วนสำคัญที่สุดของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือนอกจากจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงแล้ว ตำแหน่งประธานกรรมาธิการของฝ่ายกฎระเบียบและวินัยของสภานักศึกษานั่นสร้างความน่ารำคาญใจให้เสมอไม่เคยเปลี่ยน
การเมืองก็คือการเมือง
ปีแรกที่เข้ามาเป็นเพียงเด็กน้อยไร้อาวุธป้องกันตัว พอเริ่มเข้าปีที่สอง (หรือการกลับมาเรียนปีหนึ่งใหม่อีกครั้ง) ก็เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าเพราะอะไรถึงมีคนเคยเตือนเขาเอาไว้เช่นนี้ ถึงจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติอย่างที่บอกว่าไว้ในทฤษฎีมันก็ยังมีคนพยายามเข้ามา 'ตีสนิท' อยู่ไม่ขาด
"หือ พี่ทำอะไรเหรอ"
รอยยิ้มพราวระยับนั่นแหละคือสิ่งแรกที่ทำให้เดือนตุลาตั้งธงในใจเอาไว้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ พี่ทิชากรหรือที่ชื่อเล่นว่าฟีนทำงานให้ฝั่งสภานักศึกษามาตั้งแต่แรกเข้า ไต่เต้าจากตำแหน่งอนุกรรมการขึ้นเป็นประธานกรรมาธิการที่ทรงอำนาจที่สุดในสภาได้ภายในเวลาปีครึ่ง
"พี่ก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ"
"แปลกจัง ทำไมน้องตุลถึงใส่ร้ายพี่อย่างนี้นะ"
"ฟีน ไปกินข้าวได้แล้ว" เสียงที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นสักนิด เขาฝืนเงยขึ้นไปมองหน้าของคนมาใหม่ช้าๆ และเลี่ยงที่จะไม่สบเข้ากับสายตาข้างหลังกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมสีดำ
ผู้ชายผมยาวระต้นคอไม่เป็นทรง มีไรหนวดขึ้นเล็กน้อยตามประสาคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง เสื้อผ้าก็เป็นสไตล์คุณลุงไม่ได้ดูดีอะไร มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำแบบเอากลับมาใช้ใหม่ได้ส่วนอีกข้างก็แบกหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาเอาไว้ไม่ปล่อย กลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามไปแล้วล่ะนะ
"เคๆ แล้วนี่ไม่ทักอะไรคนร่วมงานหน่อยเหรอ"
ท่าการขยับหน้าเล็กน้อยดูไม่มีความใส่ใจข้างใน "ยังไม่ใช่คนร่วมงาน"
สัทธาไม่เคยเห็นเขาในสายตาเช่นเดิม
***
ความจริงแล้วเรื่องนี้อยู่ในแผนการแต่งก่อน
× ไม่มีความจริงในความจริง × ค่ะ แต่ว่าเจ้าก็เลือกไปแต่งทางนั้นก่อน เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่หมดพลังใจแต่งไปก่อนก็เลยเอามาลงกดดันตัวเองไว้ค่ะ
เนื้อหาจะไม่หนักในเรื่องของความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ไปหนักเรื่องอื่นแทน (หัวเราะ) เปิดมาก็น่าจะพอเดาได้เนอะว่าไปทางไหน ขอให้เจ้าลงได้จบแบบที่ไม่หายไปก่อนนะคะ (ฮา)
#มิอาจก้าวล่วง