ต้นเดือนสาม ลมหนาวโกรกมารุนแรงขึ้น กังหันหมุนหวือๆ ตลอดวัน หรือชีวิตก็เช่นนี้ ไม่มีแน่แท้ เอาแน่อะไรไม่ได้ เหมือนกังหัน เหมือนดินฟ้าอากาศหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
ไม่มีพวกชาวบ้านรวมกลุ่มกันมาขับไล่ที่โรงเรียนอีกแล้ว แต่ข่าวคาวของคนึงและเลอมานก็ยังคงแพร่กระจายออกไป ดังเนื้อร้ายที่ยากจะหายาวิเศษใดมาถ่ายถอน กระพือพัดไปราวไฟลามทุ่ง ชื่อของพวกเขาติดอยู่ที่ริมฝีปากคนทั้งปวง ทะยานจากปากนี้ไปสู่ปากนั้น
ในวงเหล้า.. ไม่ว่าจะวงเหล้าโรงกับแม่โขงในตลาด ไปยันถึงใต้ร่มมะม่วงใบหนาริมนาอันเป็นที่ชุมนุมคอเหล้าเถื่อนแลหัวเหล้าสาโท ไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องนี้ ในวงไพ่.. ตั้งแต่วงไพ่ท้ายตลาด ไปจนถึงวงไพ่คุณนายเมียปลัด เมียผู้ว่า เมียนายอำเภอ เมียอธิการ ลมปากพาเรื่องฉาวโฉ่ไปไกลราวติดปีกบิน ไปไกลจนถึงกระทรวงศึกษาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก..
..ไปไกลจนถึงวังบูรพวงศ์ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป..
ขอบฟ้าด้านตะวันออกกวาดม่านสีดำออก แสงสีเงินทองระยิบระยับพร้อมกับวาดโค้งทาบทาไปบนเวิ้งฟ้า เสียงไก่ขันดังวะแว่ว อรุณรุ่งของวันใหม่มาถึงแล้ว
ทุกสิ่งสงบ..สวยงาม..เช่นปกติ หามีใครรู้เลยว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตอาจารย์ผู้ต่ำต้อยให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
รถจี๊ปเปิดประทุนสองคันห้อตะบึงมาตามถนนโรยกรวด ชาวนาที่กำลังลงแรงอยู่ในทุ่งต่างชะงักเงยหัวมอง เปิดงอบดูเห็นสีกากีนั่งมาด้วยคันละสองสามนาย ส่วนรถที่ตามหลังมานั้นเล่า งามสง่าหาใดเปรียบ มันเป็นรถที่ชาวบ้านแถวนี้จะเห็นกันแค่ในหนังขายยา สีดำเงาวับสะท้อนเปลวแดด ทรวดทรงหน้าตาหรูหราบ่งบอกฐานะผู้อยู่ในรถได้เป็นอย่างดี
มหาเศรษฐีหรือเจ้านายท่านใดอยู่ในรถคันนั้น
ขบวนรถเลี้ยวเข้าไปในโรงเรียนฝึกหัดครูก่อนจอดนิ่ง ฝุ่นตลบลอยฟุ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๕ นายเร่งร้อนลงจากรถก่อนกรูขึ้นไปบนอาคารเรียนไม้ เสียงเครื่องยนต์ครางฮึ่มฮั่มเรียกอาจารย์ปรีชาออกมาจากห้องผู้อำนวยการ
คนึงกำลังสอนอยู่หน้าชั้น ตอนที่เสียงเคาะบานประตูดังขึ้น แล้วทั้ง ๕ นายก็ย่ำกึงกังเข้ามาในห้องเรียนโดยไม่รอให้ใครอนุญาต
หัวใจเขาหล่นวูบเหมือนถูกใครเอาหินถ่วง เหล่านักเรียนถึงกับตกตะลึง บ้างนั่งนิ่งเป็นหิน บ้างกรูกันไปอออยู่ท้ายห้อง เสียงโต๊ะเก้าอี้ดังครืดคราด
จ้อย สันติ สง่า มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“อาจารย์คนึง วนาสัยใช่ไหม” เสียงทุ้มห้าวทรงอำนาจถามเขา “ขอเชิญไปให้ปากคำที่โรงพักด้วย”
หม่อมราชวงศ์เลอมานที่สอนอยู่ห้องข้างๆ พรวดพราดเข้ามา ได้ยินประโยคสุดท้ายเต็มสองรูหู
“ข้อหากระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษา” หลายคนฮือฮา กระดาษใบหนึ่งกางออกตรงหน้า อาจารย์หนุ่มรับมาด้วยมือสั่นเทา
ตำรวจที่มายัดเยียดข้อหาให้เขา มีช่อชัยพฤกษ์สองชั้นบนกระบังหมวก บนไหล่นั้นเล่า.. ดาวสองดวงใต้พระมงกุฎและ.. นั่น สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงอำนาจสั่งการอันยิ่งยศ..
ช่อนายพล..
ผู้ที่พานายตำรวจระดับนี้มาลากคอผู้ต้องหาคดีเล็กๆ ยศศักดิ์และอำนาจจะยิ่งใหญ่ปานใด
“อะ..อะไรกัน!” เลอมานตะโกนถามแปร่งปร่า ถลันมายืนเคียงข้างชายคนรัก “ใครเป็นคนแจ้งความ!”
“ฉันนี่แหละ!” เสียงแหลมสูงดังขึ้น ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว สุภาพสตรีสูงวัยในเสื้อผ้าราคาแพงก้าวฉับๆ เข้ามาในห้อง เหล่านักเรียนครูฮือฮา
หม่อมดารา บูรพวงศ์ ชายาในกรมหลวงบูรพพิบูลย์ศักดิ์ หม่อมย่าของเลอมาน!
เหมือนฟ้าแปลบลงมาเดี๋ยวนั้น มันเสียวปลาบไปถึงก้นบึ้งหัวใจชายต่ำต้อย ความวิปโยคโบยบินมาหาคนึงก่อนลมหนาวเดือนกุมภาจะจากไปเสียแล้ว
“ปรีชา! พาหลานฉันไปที่อื่น!” สิ้นเสียงบัญชา อาจารย์ใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังทำหน้าอึกอัก หากพอสายตาคมกริบตวัดเข้าทีเดียว ก็จนใจดึงแขนราชนิกูลหนุ่มออกไปจากห้อง
“เล็กไม่ไป! หม่อมย่าจะทำอะไร!” เลอมานพยศเหลือร้าย ทั้งดิ้นรนทั้งสะบัดแขนจนอาจารย์ปรีชาแทบต้านทานไม่ไหว
“อย่าทำเสียเรื่อง!” ร้อนถึงท้าวเธอต้องลงมือเอง มือเหี่ยวย่นบีบต้นแขนหลานรักแน่น กระซิบลอดไรฟัน “นี่ย่ากำลังช่วยเราอยู่นะตาเล็ก”
“ไม่เป็นไร..” เสียงที่ทำให้หนุ่มน้อยสงบลงได้กลับเป็นเสียงแผ่วหวิวของคนึง เขาพยายามกล้ำกลืน แต่มันคงตะกุกตะกักเพราะอื้ออึงไปหมดข้างใน หนทางข้างหน้ามืดมน.. ไม่เห็นทาง.. “เล็กไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวครูจัดการเอง”
เลอมานถูกพาตัวออกไปไม่ทันไร หม่อมดาราก็เปิดฉากบริภาษดุเดือด ต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ไม่รวมพวกที่มาออกันอยู่หน้าประตูสอดรู้สอดเห็น
“เสียแรงที่ไว้ใจฝากให้ดูแลหลานฉัน ไม่นึกเลยว่าจะทำเรื่องบัดซบเสียเองแบบนี้!” สายตาคุโชนเหมือนจะลุกไหม้มาในอากาศ “แกล่อลวงหลานฉันใช่ไหม! เป็นความจริงใช่ไหม!”
ดั่งลานประหารกลางธารกำนัล หากคนึงไม่เห็นภาพใด ไม่เห็นหน้าใคร ทุกอย่างลางเลือนไปหมด ที่แจ่มชัดในหัวใจมีเพียงรอยยิ้มและดวงตาใสกระจ่างของหม่อมราชวงศ์เลอมานเท่านั้น
หนูเล็กของครู...
“ครับ” คนึงยอมรับ เสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบนั้นหนักแน่นนัก “คุณชายเล็กไม่เกี่ยว ผมเป็นคนล่อลวงเขาเอง”
“นั่นไง! ยอมรับจนได้!” ท้าวเธอชี้นิ้วกราดเกรี้ยว หากในความเกรี้ยวกราด ดวงตามีแววสาสมใจ “ผู้การ! จับมันไปเลย!”
จากนั้น.. มีสัมผัสของโลหะเย็นๆ รอบข้อมือ เสียงใครสักคนพูดปาวๆ ข้างหู.. คุณมีสิทธิที่จะให้การ.. ถ้อยคำของคุณจะถูกใช้เป็นพยานหลักฐาน.. ปรึกษาทนายความ.. อะไรสักอย่างยืดยาว ผ่านไปเหมือนลมผ่านหู
ปล่อยชีวิตไปตามแต่ชะตากรรมจะนำพา
อาจารย์หนุ่มอนาคตไกลถูกตำรวจควบคุมตัวไปยังรถที่จอดรออยู่ท่ามกลางประจักษ์พยานมากมาย ทั้งครูและนักเรียน บ้างเวทนา บ้างอดกังขามิได้ ด้วยรู้ทั้งรู้ว่าความจริงคืออะไร ทว่าไม่มีใครกล้าปริปาก
จ้อยวิ่งตามฝูงคนลงมาถึงข้างล่าง ดวงตาที่มองอาจารย์นั้นแดงก่ำ น้ำตาคลอรื้น
หม่อมราชวงศ์เลอมานวิ่งจนฝุ่นตลบมาหาชายคนรัก กลับถูกตำรวจกีดกันไว้ อาจารย์ปรีชาพยายามรั้งให้กลับเข้าห้องไป
“อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรผิด! เราไม่ได้ทำอะไรผิด!” เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียง เพียงเห็นห่วงโลหะบนข้อมือที่เคยเกาะกุมกันและกัน
รอยยิ้มที่หันไปแห้งแล้ง คนึงรู้สึกถึงรอยชื้นในดวงตา อยากจะเอื้อมมือไปกุมมือบอบบางคู่นั้นไว้ อยากจะกางแขนปกป้อง อยากจะเป็นปราการให้ความปลอดภัย แต่สองมือถูกตีตรวนไว้อย่างนี้
ตะวันดวงน้อย วงหน้าละมุนดั่งแสงสูรย์ส่องหล้า ยามนี้มีน้ำตารินรดลงสองแก้ม
สิ่งเดียวที่ไม่มีวันปล่อยไป จะถนอมปกป้องไว้ตราบชีวีจะหาไม่ คืออนาคตและศักดิ์ศรีของเจ้า ยอดดวงใจของครู
*******************************
เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเขียนรายงาน เสร็จสรรพแล้วอ่านดังๆ ให้จำเลยฟัง จากนั้นส่งปากกาลูกลื่นให้เซ็นชื่อรับสารภาพ คนึงเซ็นทันทีแบบไม่ต้องคิด
“ดีแล้วที่สารภาพ” หม่อมดารากอดอกยืนดูอยู่ไม่ห่าง “ฉาวโฉ่ไปคนเดียว อย่าลากหลานฉันไปแปดเปื้อนด้วย”
“รับสารภาพเสียก็ดี” พลตำรวจตรีอดีตลูกน้องจอมทัพผู้ถูกชายาท่านสั่งให้ไปควบคุมตัวจำเลยว่าพลางลงนามบนกระดาษ “จะได้ลดโทษเป็นเบา”
“โทษเบาที่ไหน!” ชายาในเสด็จกรมหลวงบูรพฯ แหวขึ้นทันควัน “ทั้งข้อหาล่อลวง ซ้ำยังทำผิดวินัยครูอย่างร้ายกาจ อย่างไรฉันก็ยอมไม่ได้!”
หม่อมดารารับสั่งให้ตำรวจขังคนึงไว้ แม้ตำรวจบอกควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เพียง ๔๘ ชม. ท้าวเธอว่าต่อให้ ๑ ชั่วโมงก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบให้ได้
“ยื่นเรื่องต่อศาลให้เร็วที่สุด! จะปล่อยให้หลานฉันและชื่อเสียงตระกูลบูรพวงศ์เสื่อมเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้!”
ดวงตาเกลียดชังสุดแสนหันมองอาจารย์หนุ่มที่กำลังถูกคุมตัวไปห้องขัง “ความคิดถึงบาปบุญคุณโทษไม่หลงเหลืออยู่ในหัวจิตหัวใจแล้วหรือ”
ลูกกรงเหล็กเปิดออก และแล้ว.. ตะรางดวงใจ คือป้ายสุดท้ายของคนึง วนาสัย ชายหนุ่มหงายฝ่ามือชื้นเหงื่อขึ้นดู พบว่ามันซีดขาวแทบไร้สีเลือด ด้วยมือข้างนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะคว้าอิสรภาพและศักดิ์ศรีในชีวิตตนกลับมาได้ไหม เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกมืดมิด เสียงร้องของปีศาจดังขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาและฉุดกระชากลากดึงอนาคตของเขาไป
พื้นห้องขังเย็นเยียบกระตุ้นเตือนให้เขาสำนึกในเหล่ากออันต่ำต้อยของตน ได้แต่ก้มหน้ากัดฟันนิ่ง เลอมานคือปลายทางแห่งความปรารถนา คือแก้วตาดวงใจ เดือนหงายคืนนั้นเราสัญญาต่อกันว่าครบกำหนดแล้วเลอมานจะอยู่เป็นครูที่นี่ต่อไป จะร่วมชีวิตกันด้วยความดีงามและมั่นคง
คงเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง..
*******************************
อาจารย์ปรีชานั่งกุมขมับอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไอเย็นจากลมหนาวโชยชายผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาไม่ได้ทำให้ความร้อนรุ่มในใจบรรเทาลงสักนิด ปลายนิ้วนวดหว่างคิ้วที่มุ่นเขม็ง จากนี้จะทำอย่างไรดี ฝ่ายหนึ่งก็อาจารย์ที่รักและเอ็นดูเหมือนลูกหลาน อีกฝ่ายก็มารดาของเพื่อนรัก
“เฮ้อ...” คนกลัดกลุ้มระบายลมหายใจ ไหนจะหม่อมราชวงศ์เลอมานที่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง กลัวเหลือเกินว่าอารมณ์ชั่ววูบจะดลใจให้คิดอะไรตื้นๆ ตามประสาวัยรุ่น ดีที่เจ้าจ้อยมาขอเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน อย่างน้อยก็ยังวางใจไปได้ชั่วครู่ชั่วยาม
แล้วต่อจากนี้จะทำอย่างไรดี...
“ผอ.ครับ” อาจารย์ประพนธ์กระหืดกระหอบเข้ามา “มีเจ้าหน้าที่จากเขตมาขอพบ”
ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดครูลุกขึ้นต้อนรับชายหนุ่มในชุดข้าราชการสีกากี
“สวัสดีครับ ผมเป็นตัวแทนมาจากสำนักงานก.ค.ศ.” ผู้มาเยือนแนะนำตัวเสร็จสรรพ ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ผู้ฟังชาวาบไปทั้งร่าง แม้จะนึกไว้แล้วว่าวันใดวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องแบบนี้
“คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย มีมติให้ปลดอาจารย์คนึง วนาสัยออกจากราชการ”
โปรดติดตามตอนต่อไปแหม... แค่คนสวยจะอัพนิยาย พายุฤดูร้อนก็บุก ๓๔ จังหวัด คึ่ๆๆๆๆ
เรื่องไอ้ลอยตัดฉึบให้ค้างคาใจเล่น ไว้อ่านเต็มๆ เรื่องหน้าละกันเน้อ
ขอบคุณคนอ่านที่ทวงถามเสมอมิได้ขาด ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกึ่งกรรโชก
ฝากคนโน้นคนนี้มาถามมั่งก็มี ดอกไม้ดีใจที่สุด ขอบคุณนะฮะที่ยังรอคอยกันเสมอมา
ตอนหน้าจบแล้วนะฮะ อ๊ะ..ยังไม่รวมบทส่งท้าย ตอนพิเศษและไซด์สตอรี่มากมายก่ายกองนะ
(แล้วมันต่างกันตรงไหนอ่ะ ไม่รู้ไม่ชี้ เรียกให้ดูเยอะๆ ไว้ก่อน คึ่ๆๆๆ)
รักคนอ่านนะฮะ
ดอกไม้
๒๗ มี.ค. ๖๐