ต้นน้ำวิ่งออกทางหลังบ้าน ผ่านสวนผลไม้ที่ทิ้งร้างจนรกรัง ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่เขาฝากธุลีของบุพการีของตนและจินไห่ไว้ในอ้อมกอดของรากไม้อายุหลายสิบปี ปีนผ่านรั้วลวดหนามผุพังที่กั้นระหว่างสองพื้นที่ วิ่งไปจนถึงบ้านที่เขาแสนจะผูกพันแม้จะเคยมาฝังตัวอยู่ไม่นาน
“ต้นน้ำ?” จินไห่ที่กำลังจะเดินไปร้านอาหารของตนเอ่ยทักคนที่วิ่งจากทางสวนหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตา รอบขอบดวงตาที่แดงก่ำจนเหมือนโดนกำปั้นใครทุบอย่างแรงหลายครั้ง ดวงตาที่สับสนทำให้จินไห่วิ่งเข้าไปโอบรั้งร่างที่สั่นเทิ้มไว้ในอกอุ่นทันที
ฮือ…..
เสียงสั่นเล็กๆนั้น ที่จินไห่ ไม่เคยได้ยิน ทำให้เขาสังหรใจไม่ดี เขาเคยคิดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้ง เขาเคยจำลองมันในความคิดหลายรอบ เรื่องที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร เรื่องที่พี่ออมไม่ควรจะทราบก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสม
เขาพยายามคิดหลายแบบว่าจะบอกแม่ของต้นน้ำอย่างไรถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและต้นน้ำแต่สุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วยคำว่าเสียใจแบบนี้
‘มันยังไม่ถึงเวลา’
เขาคิดย้ำในใจขณะที่ยืนลูบศรีษะคนตรงหน้า
“แม่……แม่เขา” ต้นน้ำที่กำลังสับสนว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังกล่าวขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เพียงเท่านี้จินไห่ก็ได้ข้อยืนยันชัดเจน
“แม่ต้นน้ำรู้เรื่องของเราแล้วใช่ไหม?” จินไห่พูดเสียงเรียบ
“ทำไมพี่รู้?!?” ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าประหลาดใจที่ทั้งใบหน้าแดงก่ำไปหมด
“ก็พอจะสังเกตได้ตั้งแต่พี่ลงมาเจอแม่ของต้นน้ำแล้วล่ะ พี่ออมมาก่อนเวลามาก แล้วก็…นิ่งเกินไป….มันสัมผัสได้น่ะ!” ต้นน้ำกลับประหลาดใจที่ทำไมเขาไม่รู้สึกเลย
“ผมขออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?” ต้นน้ำเช็ดน้ำตาที่ไหลโดยไม่ตั้งใจและมองหน้าคนรักของเขาด้วยดวงตาแดงช้ำ
จินไห่มองสีหน้าคนตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด ความเจ็บนี้แล่นไปที่กลางอกเหมือนเข็มนับสิบทิ่มแทงหัวใจของเขา แต่ครั้งนี้เขาจะเอาเพียงอารมณ์อ่อนไหวตรงหน้ามาเคลือบแคลงการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ เขาจะต้องเคลื่อนไหวต่อเหตุการณ์นี้อย่างระมัดระวัง
“ไม่ได้ น้องจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง” จินไห่กัดฟันพูดตรงข้ามกับใจจริงที่อยากรั้งคนตรงหน้าไว้โดยที่ไม่สนใจคนเป็นแม่
“ทำไมล่ะครับ แม่เขาไม่เข้าใจ แม่ตั้งใจจะแยกเราจากกันนะครับ!!” ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ วัยรุ่นอย่างเขาต้องการเพียงความสุขตรงหน้าเท่านั้น
“อยากแก้ปัญหาตรงนี้ไปด้วยกันไหม?” จินไห่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาลูบผมต้นน้ำอย่างนุ่มนวล ต้นน้ำทำได้แค่พยักหน้า แต่ภายใจเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่เข้าใจว่าการกลับไปอยู่บ้านกับแม่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รังแต่จะทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกจากกัน
“เชื่อพี่นะ กลับไปเป็นลูกที่ดีก่อน อย่าหนีปัญหา เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เราต้องคุยกันด้วยเหตุผล” จินไห่ยิ้มบางๆที่มุมปาก ปากก็พูดไปแต่ในสมองกลับว่างเปล่า เขารู้ดีว่าแม่ของต้นน้ำเป็นคนเด็ดเดี่ยวเช่นไร ด่านอุปสรรคนี้ มันยากเกินกว่าที่เขาจะใช้เวลาคิดอันสั้น
จินไห่พยายามอย่างหนักจนกระทั่งต้นน้ำตัดสินใจเดินกลับบ้านไปโดยดี โดยมีเงื่อนไขจากจินไห่ว่า ห้ามมีปากเสียงกับแม่ตนเองเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการกล่อมด้วยเหตุผล
หลังจากวันนั้น จินไห่ก็ไม่พบหน้าต้นน้ำอีกเลย ไม่แม้แต่จะสื่อสารถึงกันทางโทรศัพท์หรือข้อความ
…………….