Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23  (อ่าน 13519 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็นะ   รู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานแม่ก็จะมา  เจ้าต้นน้ำยังหน้ามืดตามัวจะเล่นจ้ำจี้กับพี่ไห่ให้ได้   ทั้ง ๆ ที่พี่ไห่ก็ห้ามแล้ว  เป็นไงหล่ะ  ชิส์

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ต้นน้ำวิ่งออกทางหลังบ้าน ผ่านสวนผลไม้ที่ทิ้งร้างจนรกรัง ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่เขาฝากธุลีของบุพการีของตนและจินไห่ไว้ในอ้อมกอดของรากไม้อายุหลายสิบปี ปีนผ่านรั้วลวดหนามผุพังที่กั้นระหว่างสองพื้นที่ วิ่งไปจนถึงบ้านที่เขาแสนจะผูกพันแม้จะเคยมาฝังตัวอยู่ไม่นาน

“ต้นน้ำ?” จินไห่ที่กำลังจะเดินไปร้านอาหารของตนเอ่ยทักคนที่วิ่งจากทางสวนหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตา รอบขอบดวงตาที่แดงก่ำจนเหมือนโดนกำปั้นใครทุบอย่างแรงหลายครั้ง ดวงตาที่สับสนทำให้จินไห่วิ่งเข้าไปโอบรั้งร่างที่สั่นเทิ้มไว้ในอกอุ่นทันที

ฮือ…..

เสียงสั่นเล็กๆนั้น ที่จินไห่ ไม่เคยได้ยิน ทำให้เขาสังหรใจไม่ดี เขาเคยคิดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้ง เขาเคยจำลองมันในความคิดหลายรอบ เรื่องที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร เรื่องที่พี่ออมไม่ควรจะทราบก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสม

เขาพยายามคิดหลายแบบว่าจะบอกแม่ของต้นน้ำอย่างไรถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและต้นน้ำแต่สุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วยคำว่าเสียใจแบบนี้

‘มันยังไม่ถึงเวลา’

เขาคิดย้ำในใจขณะที่ยืนลูบศรีษะคนตรงหน้า

“แม่……แม่เขา” ต้นน้ำที่กำลังสับสนว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังกล่าวขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เพียงเท่านี้จินไห่ก็ได้ข้อยืนยันชัดเจน

“แม่ต้นน้ำรู้เรื่องของเราแล้วใช่ไหม?” จินไห่พูดเสียงเรียบ

“ทำไมพี่รู้?!?” ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าประหลาดใจที่ทั้งใบหน้าแดงก่ำไปหมด

“ก็พอจะสังเกตได้ตั้งแต่พี่ลงมาเจอแม่ของต้นน้ำแล้วล่ะ พี่ออมมาก่อนเวลามาก แล้วก็…นิ่งเกินไป….มันสัมผัสได้น่ะ!”  ต้นน้ำกลับประหลาดใจที่ทำไมเขาไม่รู้สึกเลย

“ผมขออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?” ต้นน้ำเช็ดน้ำตาที่ไหลโดยไม่ตั้งใจและมองหน้าคนรักของเขาด้วยดวงตาแดงช้ำ

จินไห่มองสีหน้าคนตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด ความเจ็บนี้แล่นไปที่กลางอกเหมือนเข็มนับสิบทิ่มแทงหัวใจของเขา แต่ครั้งนี้เขาจะเอาเพียงอารมณ์อ่อนไหวตรงหน้ามาเคลือบแคลงการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ เขาจะต้องเคลื่อนไหวต่อเหตุการณ์นี้อย่างระมัดระวัง

“ไม่ได้ น้องจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง” จินไห่กัดฟันพูดตรงข้ามกับใจจริงที่อยากรั้งคนตรงหน้าไว้โดยที่ไม่สนใจคนเป็นแม่

“ทำไมล่ะครับ แม่เขาไม่เข้าใจ แม่ตั้งใจจะแยกเราจากกันนะครับ!!” ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ วัยรุ่นอย่างเขาต้องการเพียงความสุขตรงหน้าเท่านั้น

“อยากแก้ปัญหาตรงนี้ไปด้วยกันไหม?” จินไห่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาลูบผมต้นน้ำอย่างนุ่มนวล ต้นน้ำทำได้แค่พยักหน้า แต่ภายใจเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่เข้าใจว่าการกลับไปอยู่บ้านกับแม่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รังแต่จะทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกจากกัน

“เชื่อพี่นะ กลับไปเป็นลูกที่ดีก่อน อย่าหนีปัญหา เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เราต้องคุยกันด้วยเหตุผล” จินไห่ยิ้มบางๆที่มุมปาก ปากก็พูดไปแต่ในสมองกลับว่างเปล่า เขารู้ดีว่าแม่ของต้นน้ำเป็นคนเด็ดเดี่ยวเช่นไร ด่านอุปสรรคนี้ มันยากเกินกว่าที่เขาจะใช้เวลาคิดอันสั้น

จินไห่พยายามอย่างหนักจนกระทั่งต้นน้ำตัดสินใจเดินกลับบ้านไปโดยดี โดยมีเงื่อนไขจากจินไห่ว่า ห้ามมีปากเสียงกับแม่ตนเองเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการกล่อมด้วยเหตุผล

หลังจากวันนั้น จินไห่ก็ไม่พบหน้าต้นน้ำอีกเลย ไม่แม้แต่จะสื่อสารถึงกันทางโทรศัพท์หรือข้อความ

…………….

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ก็นะ   รู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานแม่ก็จะมา  เจ้าต้นน้ำยังหน้ามืดตามัวจะเล่นจ้ำจี้กับพี่ไห่ให้ได้   ทั้ง ๆ ที่พี่ไห่ก็ห้ามแล้ว  เป็นไงหล่ะ  ชิส์

วัยรุ่นก็อย่างนี้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทที่ 21

Over the rainbow




หนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากที่ต้นน้ำบุกมาถึงบ้านเพื่อบอกข่าวร้ายเรื่องความไม่พอใจของแม่ของเขากับความสัมพันธ์ของต้นน้ำและจินไห่

หนึ่งสัปดาห์ที่จินไห่กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดหาทางออกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องของพวกเขา

สามวันแล้วที่เขาเดินไปพบกับแม่ของต้นน้ำ แต่พี่ออมแทบจะไม่มองหน้าเขาเลย ทำตัวยุ่งตลอด ด้วยภาระงานของทั้งสองทำให้มีโอกาสพบกันน้อยมาก แม้จะไปยืนรอเพื่อขอพบ แต่จินไห่กลับไม่เป็นที่ต้อนรับเหมือนเคย

จินไห่คิดหาทางอื่นไม่ออกเลยว่าจะแก้ปมตรงนี้อย่างไร เรื่องครอบครัวเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดของเขา จินไห่เข้าใจวัฒนธรรมของคนเชื้อสายจีนเป็นอย่างดี มันไม่มีทางที่แค่คำพูดจะแก้ปัญหาได้ เพราะอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก

สิบวันผ่านไปที่จินไห่ไม่ได้พบต้นน้ำเลย แม้เขาจะแอบออกไปรอที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วก็ตาม มันเงียบสงบไม่มีแม้เสียงลมพัดโบกใบไม้

จินไห่ติดต่อไปหาไอซ์แต่เขาก็ไม่ทราบข่าวคราวของต้นน้ำเช่นกัน เพราะไอซ์ก็คิดว่าต้นน้ำน่าจะสิงอยู่ที่บ้านจินไห่ไม่ไปไหน ไอซ์ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ขะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของต้นน้ำที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันอย่างเปิดเผย แม้แม่ของต้นน้ำจะไม่ชอบใจที่รบกับไอซ์ แต่พอนานวันเข้าแม่ก็เข้าใจ ไอซ์จึงรับปากว่าจะช่วยสืบข่าวมาให้

วันนี้คือวันที่ครบสองสัปดาห์พอดี จินไห่เตรียมเคลียร์งานทั้งหมดและฝากฝังทุกอย่างไว้ที่ผู้จัดการร้านของเขา วันนี้เขาจะต้องคุยกับแม่ของต้นน้ำให้รู้เรื่อง โดยมีไอซ์เป็นผู้คิดแผนอันแยบยลให้

ไอซ์นัดแนะจินไห่ให้ไปที่ผับของนีโน่ เจ้าพ่อแหล่งเที่ยวยามราตรี ครั้งที่ฟังจินไห่ก็สงสัยว่าให้ไปทำอะไรที่นั่นกัน จนกระทั้งได้รับการแถลงไขจากจ้าวแผนการอย่างไอซ์ว่า…

พี่โน่ได้ช่วยเชิญแม่ของต้นน้ำออกมาเพื่อขอคุยเรื่องธุรกิจ ทำทีว่ามีแผนจะขยายร้านและอยากให้แม่ของต้นน้ำดูแลเรื่องวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมด ซึ่งหากฟังจากโครงการแล้ว หากสนทนาภาษาธุรกิจสำเร็จ ที่ร้านจะได้กำไรก้อนโตเลยทีเดียว การวางแผนทั้งหมดเป็นการร่วมมือระหว่างไอซ์และนีโน่ (ไม่รู้ว่าสองคู่ปรับนี่มาญาติดีกันได้ยังไง?)

จินไห่ไปถึงตรงกับเวลานัดหมาย ณ ส่วนหนึ่งของผับซึ่งนีโน่เป็นเจ้าของอยู่ ขณะนี้ผับยังคงเงียบเหงาและร้างผู้คนเนื่องจากยังเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ จินไห่พบว่าแม่ของต้นน้ำที่อยู่ในชุดเรียบร้อยเป็นทางการนั่งหันหลังให้กับเขาที่โต๊ะวีไอพีของร้าน ผมที่หวีเรียบและมัดไปทางด้านหลังแบบครึ่งศรีษะช่างรับกับใบหน้าที่สดใสของเธอ ต้นน้ำคงได้โครงสร้างหน้าที่แสนสดใสจากเธอคนนี้

เขาพบว่าตอนนี้ นี่โน่ผู้เป็นเจ้าของร้านกำลังนั่งสนทนาด้วยท่าทีสบายอยู่ฝั่งตรงข้าม และยกยิ้มมุมปากขึ้นทันทีที่เห็นจินไห่เดินเข้ามาในระยะสายตา

“สวัสดีครับ พี่ออม ในที่สุดเราก็ได้เจอกันนะครับ” จินไห่กล่าวอย่างสุภาพ

“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ” แม่ของต้นน้ำเอ่ยขึ้นขณะที่ยังคงหันหน้าให้กับคู่สนทนาก่อนหน้า

“หมดธุระของผมแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ แต่เรื่องที่ผมจะให้พี่มาช่วยผมเรื่องจัดหาวัสดุก่อสร้างเป็นเรื่องจริงนะ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องติดต่อไป” นีโน่พูดจบก็ยกมือไหว้อย่างสุภาพ ก่อนที่ยืนขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทและเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ขอบคุณครับพี่โน่” จินไห่กล่าวอย่างสุภาพและก้มหัวให้

“ไม่นึกว่าน้องไห่สนิทชิดเชื้อกับผู้มีอิทธิพลอย่างนี่โน่” แม่ของต้นน้ำพูดเสียงดังเมื่อจินไห่นั่งลงแทนที่คู่สนทนาก่อนหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผมเคยทำงานกับพี่โน่ครับ แล้ววันนี้…. ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ครับ!!” จินไห่ก้มลงเกือบชิดกับพื้นโต๊ะตรงหน้าหลังพูดจบประโยค

หญิงสาววัยกลางคนเริ่มดึงหน้าตึง รูปปากที่เคยยกยิ้มเมื่อครู่กลับนิ่งและปิดสนิท บรรยากาศภายในผับยามบ่ายกลับเย็นเยียบและดูมืดลงเล็กน้อย เหมือนหญิงตรงหน้าจินไห่คนนี้สามารถปรับเปรียบบรรยากาศโดยรอบได้ดังใจ

จินไห่กลืนน้ำลายหนืดลงคอเฮือกใหญ่ ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆแผ่มาจากบรรยากาศจนถึงกับขนลุกขึ้นมา

“ผมอยากคบกับต้นน้ำจริงๆ ครับ ผมสาบานว่าจะดูแลเขาอย่างดี ผมรักต้นน้ำครับ” จินไห่กลั้นใจพูดด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี แต่เสียงที่หลุดออกมากลับมีอาการสั่นอยู่ที่ท้ายประโยค

อีกฝ่ายยังรงดึงหน้านิ่ง ดวงตาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาเขาเหมือนจะพยายามเสาะหาความจริงใจจากสิางที่จินไห่พูด จินจึงทำได้เพียงจ้องมองกลับอย่างแน่วแน่ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของเขา

คนเป็นแม่กลับทำได้แค่ถอนหายใจหลังจากที่จ้องลึกเจ้าไปในดวงตาอีกฝ่ายแบบแทบจะไม่กระพริบตา

“พี่ออมครับ ผม….จริงใจนะครับ ผม…..หลงรักต้นน้ำมานานแล้วครับ ทีแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว แต่…..เมื่อน้องเขา….. ยอมรับหัวใจของผม…… ผมก็เลย…..” จินไห่ก้มหัวไปมาระหว่างพูดจนคู่สนทนาได้แต่กุมศรีษะ

“พอเถอะ…. พี่ว่า…..” คนเป็นแม่ตอบสั้นๆ และเบา

“ไม่ครับ!! ไม่ ผม……”

“พี่ว่า เราไม่ต้องพูดอะไรกันแล้วนะ พี่…..”

“พี่ออม ผมขอร้องครับ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมยอมทุกอย่างให้ผมได้คบกับต้นน้ำเถอะครับ!!” จินไห่ไม่ยอมแพ้

“พอเถอะ!” อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วผ่อนลมหายใจลงพื้นโต๊ะอย่างแผ่วบาง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“ไม่ครับ ผมไม่พอ ผมจะพูดกับพี่จนกว่าจะเข้าใจ!!”  จินไห่เงยหน้าขึ้นมาเสียงดังใส่คนตรงหน้าอย่างจริงจัง แน่นอนว่าสร้างความแปลกใจแก่ผู้หญิงวัยกลางคนๆนี้อย่างมาก มันแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน

“เออๆ รู้แล้ว พี่หมายถึง พี่คงพอเรื่องแกล้งน้องแล้วล่ะ!!” แม่ของต้นน้ำผ่อนลมหายใจอีกครั้งด้วยด้วยรูปปากอมยิ้มกับอาการหน้าเหวอของคนหน้าสวยตรงข้าม

“หา!!!” คือคำอุทานเพียงคำเดียวที่คนหน้าเหวอคิดออก

“ใจเย็นๆ แล้วก็ฟังพี่นะ พี่พนันกับไอ้เจ้าต้นน้ำไว้น่ะ” แม่ของต้นน้ำยกมือขึ้นเชยคางเท้าโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ในที่สุดเกมน่าเบื่อและเปลืองพลังงานแบบที่เธอคิดเองนั้นจะได้สิ้นสุดลงเสียที

“เอ๊ะ!” จินไห่ตามกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ทัน

“โอเค งงแบบนี้ก็แปลว่าลูกพี่มันไม่ได้บอกอะไรน้องไห่อย่างที่ตกลงกัน” แม่ของต้นน้ำมองคนตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ อากัปกิริยาของจินไห่เป็นไปตามที่เธอคาดเดาไว้

“ผมไม่เข้าใจ?” จินไห่ทรุดตัวนั่งลงหลังจากที่ลุกขึ้นโวยวายมาพักใหญ่

“แล้วเธออยากพูดอะไรกับพี่ล่ะ?” มีรอยยิ้มจางๆ จากคนเป็นแม่

“ผมอยากให้พี่เข้าใจในความรักของผมกับต้นน้ำ เรารักกัน อยากให้พี่รู้ว่าผมจะดูแลต้นน้ำอย่างดี ผมรักต้นน้ำด้วยใจจริง”

สีหน้าขึงขังของคนพูดทำให้คนเป็นแม่ใจบางลงไปมาก

“แต่เธอก็ปิดคนเป็นแม่อย่างพี่ได้ตั้งนาน ทั้งๆ ที่พี่เปิดโอกาสให้ตั้งหลายครั้งแล้ว”  ผู้เป็นแม่จ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย

จินไห่หน้าเย็นไปครึ่งซีกเหมือนเลือดไม่ไปเลี้ยงเพราะแววตาคนตรงหน้า
“พี่รู้เมื่อไหร่?”

“ประเด็นมันไม่ใช่ว่าพี่รู้เมื่อไหร่ ประเด็นคือ คิดว่าเมื่อไหร่จะบอกพี่ แบบนี้มันไม่จริงใจเลย เธอคิดว่าพี่เป็นมนุษย์ป้าโลว์เทค อย่างนั้นหรือ? คนเป็นแม่ยุคนี้ต้องหัดเล่นพวกโซเชียลเน็ตเวิร์คไว้นะ ไม่งั้นจะตามลูกไม่ทัน … ตอนแรกไม่เชื่อหรอกนะ แต่ลูกชายพี่มันก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องน้องเท่าไหร่นี่นะ”

ฟังแบบนี้แล้วจินไห่ถึงกับกำหมัดแน่น อยากโขกกระโหลกแฟนเด็กของเขาสักสองสามที ที่ทำอะไรไม่ระวังจนเรื่องบานปลาย

“แล้วพี่ออมยอมรับเรื่องพวกผมได้ไหมครับ?” จินไห่ถามต่อด้วยอาการใจเต้นตุบตับคับอก

“แล้วเธอคิดว่าไง?!?”

“มันอาจเป็นเรื่องรับได้ยากนะครับ สังคมก็ยังไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่….. รักลูกชายพี่จริงๆนะครับ รักมาก รักจนขาดไม่ได้”

“ภาษาไทยเธอดีขึ้นมากเลยนะ แต่คงดูละครไทยเยอะไปหน่อยนะ เลี่ยนเชียว ถามให้คิดอีกนิดนะ หากพี่ไม่โอเคพี่จะเล่นเกมส์พนันทั้งๆ ที่รู้ว่าจะแพ้ทำไม? รู้ไหมว่าพี่พนันกับลูกของพี่ไว้ว่าอย่างไร?”

จินไห่สั่นหน้าแต่ก็ยังไม่รู้สึกใจชื้นขึ้นสักเท่าไหร่

“หนึ่งเดือน ห้ามพบ ห้ามเจอ จนกว่าจินไห่จะเดินมาคุยกับพี่และทำให้พี่ยอมรับในความสัมพันธ์นี้ให้ได้! เห็นไหมง่ายจะตาย!” แม่ของต้นน้ำยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเลห์

“โห…แต่พี่เล่นไม่ยอมพบผมเลย หนีผมตลอด หากผมไม่ร่วมมือกับไอซ์ และพี่โน่ผมจะได้เจอพี่ไหมเนี่ย?”

“นั่นเป็นเรื่องของความจริงใจและความอดทน หากรักลูกพี่จริง น้องไห่ต้องทำให้ได้”

“ผมใช้เวลาตั้งเกือบสามสัปดาห์เลยนะกว่าจะได้คุยกับพี่!! แล้วแฟนผมล่ะ”

“อะแฮ่ม!! พี่ยังไม่อนุญาตเลย อย่าเพิ่งใจร้อน! พี่ส่งต้นน้ำไปอยู่บ้านญาติที่ต่างจังหวัดหนึ่งเดือน ยึดโทรศัพท์ไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเธอเล่นโกง!!”

“พี่ออม เข้าใจพวกผมจริงๆ ใช่ไหมครับ ทำไมถึงได้ขัดขวางพวกผมขนาดนี้!!”

“พี่เข้าใจสิ พี่ศึกษาจากพวกซีรีย์มาเยอะเลย จนพี่จะกลายเป็นสาววายอยู่แล้ว พี่ค้นพบว่าผู้ชายๆ ก็มีโมเม้นต์อะไรพวกนี้ด้วย แต่พี่อยากจะรู้ว่าพวกเธอรักกันจริงแค่ไหน สามารถทนต่อความยากลำบากกันได้มากน้อย แค่ไหน น้องก็บอกเองว่าสังคมยังไม่ได้ยอมรับเรื่องพวกนี้ได้สักเท่าไหร่ พี่มีลูกชายคนเดียวนะ พี่ไม่อยากให้เขาต้องทุกข์กับสิ่งที่เขาเลือกในวันนี้ แล้วไปพบว่าตัวเองเลือกเส้นทางผิดในภายหลัง น้องไห่เข้าใจพี่ใช่ไหม?”

หลังจากฟังคนเป็นแม่ร่ายยาว เขาพยักหน้าเข้าใจจากใจจริง เพราะเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองรับรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเรื่องจริง

จินไห่ลุกขึ้นยืนและคุกเข่าลงตรงหน้าผู้หญิงผู้เป็นแม่ที่เข้มแข็งคนนี้ เขาจ้องมองไปที่ดวงตาอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

“ผมจะดูแลลูกชายพี่อย่างดีครับผมสัญญา”
คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเอ็นดูได้

“จ้ะ พี่รู้ตั้งแต่ประโยคแรกที่น้องเอ่ยขึ้นมาแล้วล่ะ รู้ตั้งแต่พี่ได้คุยกับลูกชายอย่างเปิดอก มันยากนะที่จะยอมรับ แต่พี่ก็อยากให้ลูกมีความสุขในแบบที่เขาเลือกเอง แค่นั่นแหละความสุขของคนเป็นแม่” แม่ของต้นน้ำยกมือขึ้นลูบบ่าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

“ขอบคุณครับ” จินไห่เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นแม่อย่างซาบซึ้ง เขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้

“เฮ้อ…. มันยากนะ พี่บอกเลย การที่ดันมีผู้ชายมาเป็นแฟนลูกชายตัวเองแบบนี้ อะไรที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ พังครืนลงมาเลย พี่นะอุตส่าห์เก็บเงินเก็บทองไว้ให้มันเผื่อมันจะเอาไปเป็นสินสอด ไปขอเมียเข้ามาช่วยกันดูแลบ้าน มีหลานให้อุ้มสักสองคน นี่พี่นะถึงขั้นคิดเผื่อไว้ด้วยนะว่าควรจะมีห้องเพิ่มสักห้อง เผื่อมันไปทำเขาท้อง เป็นแม่วัยรุ่นสมัยนี้นี่มันปวดหัวจริงๆ!!” แม่ของต้นน้ำบ่นยาวพลางกุมขมับ

“ขอโทษนะครับ….” จินไห่หน้าซีดพูดเสียงอ่อย

“ตายจริง! พี่ขอโทษ! บ่นเยอะไปหน่อย เฮ้อ!! แต่พี่ก็เข้าใจนะ หลังจากศึกษามาเยอะ แล้วเราก็รู้จักกันมานาน พี่ว่าพวกงานบ้านงานเรือน น้องไห่นี่เก่งกว่าผู้หญิงหลายคนอีกนะ พี่โอเคกับจุดนี้มาก ดีกว่าไปคว้าผู้หญิงที่ดีแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ แบบนั้นไม่ได้… ว่าแต่ไม่เอายัยหมวยที่พี่แนะนำจริงๆเหรอ สวยน่ารักแถมขยันอีกต่างหาก!!” แม่ของต้นน้ำฉีกยิ้มที่ท้ายประโยค

“พี่ออม…..!!” จินไห่รู้ว่าอีกฝ่ายล้อเล่นหลังจากที่กล่าวชื่นชมตัวเองเลยตอบกลับอย่างเขินๆ

“ล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้ อีกอย่าง…. เลิกเรียกพี่ออมได้แล้วนะ เรียกแม่เหมือนเจ้าต้นน้ำก็ได้”

“ครับ! พี่…… เอ่อ…… คุณแม่” จินไห่รีบเปลี่ยนคำเรียกทันทีที่เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“เออ!! ว่าแต่…. ใครเป็นเคะ ใครเป็นเมะล่ะ?!?”  แม่เขยหมาดๆ ก้มหน้าลงมาแซวข้างหู

“เอ่อ… พี่ออม เอ้ย!! คุณแม่ครับ เรื่องนี้มัน!!”  จินไห่เขินโวยหน้าแดง

“โอเค อายก็ไม่เป็นไร แค่พี่ก็พอดูออกแหละ! หมดธุระแล้วไปหาอะไรเย็นๆ กินก่อนกลับบ้านเถอะนะ”  ผู้เป็นแม่เหยียดยืดขึ้นเต็มความสูง

“โหย… ไม่เห็นมีอะไรดราม่าเลย อุตส่าห์ไลฟ์สดในเฟซบุ๊คขนาดนี้” เจ้าของร้านตัวเล็กที่ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมาโผล่พรวดออกมาจากเงามืด

จินไห่รีบหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเปิดดูจึงพบว่าไลฟ์นี้มีคนเข้ามากูมากกว่า สี่พันคน เขารีบหันไปหาผู้เป็นแม่ของแฟนที่เพิ่งจะยอมรับเขาทันที

ด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดที่แม้แต่เจ้าของร้านผู้ทรงอิทธิพลอย่างนีโน่ถึงกลับรีบปิดไลฟ์และเก็บมือถือทันที หลังจากนั้นก็โดนคุณแม่สุดห้าวอย่างคุณออมเจ้าของกิจการค้าวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด สวดยับถึงความไม่เป็นผู้ใหญ่ของนีโน่และผู้ร่วมขบวนการอย่างไอซ์ (เป็นอีกครั้งที่จินไห่งงว่าไปสนิทกันตอนไหน?)

หลังจากวันนั้นทุกคนถูกกำชับว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้คนที่อยู่ไกลไร้การสื่อสารอย่างต้นน้ำรู้อย่างเด็ดขาด จนกว่าจะครบกำหนด หนึ่งเดือน ส่วนจินไห่เองก็ต้องร่วมทดสอบความอดทนต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด ถึงแม้จะได้รับการยอมรับแล้วแต่ข้อตกลงก็คือข้อตกลง หากผ่านพ้นช่วงนี้ไปไม่ได้ แม่ของต้นน้ำก็ยังไม่สามารถไว้ใจให้คบหากันต่อไปได้

จินไห่จึงได้แต่อดทนรอต่ออีกสัปดาห์กว่าๆ มันเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าที่เขาคิดมาก แต่ก็เป็นการรออย่างสุขใจ

……………………..

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


เวลากว่าหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้าดุจเต่าคลาน ความเปลี่ยวเหงาและคิดถึงใครสักคนมันช่างทรมานเหมือนโดนแช่อยู่ในน้ำเย็นท่ามกลางพายุหิมะที่ขั้วโลกใต้

ไม่เคยคิดเลยว่าจะทรมานขนาดนี้ ยิ่งระหว่างที่เดินทางกลับจากบ้านญาติที่เชียงราย เขาอยากให้รถที่นั่งอยู่ตอนนี้มันเหาะได้เสียเหลือเกิน ต้นน้ำเหม่อมองออกไปด้านนอกตัวรถ ผ่านความมืดมิดของทุ่งนาสุดสายตา แสงดาวที่แข่งกันขับแสงเพราะเป็นคืนข้างแรม ลมหนาวของเครื่องปรับอากาศของรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ยิ่งทำให้รู้สึกทรมาน เขาแทบนอนไม่หลับ ต้นน้ำคิดถึงหน้ามารดาของตนเองที่กล่าวท้าทายเขาไว้ตอนที่เขาเริ่มต่อต้านอำนาจแม่

ผลที่ได้คือ แม่ยังคงยืนกรานถึงความไม่เหมาะสมและไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ แล้วยังจะท้าทายเขากลับโดยพนันในสิ่งที่ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วมันช่างยากเย็นจนแทบจะเป็นไปไม่ได้

‘พนันกับแม่แกไหมล่ะ พรุ่งนี้เก็บกระเป๋าไปอยู่กับอากู๋แกที่เชียงราย หนึ่งเดือน หากระหว่างนี้ พี่ไห่ของแกกล้าที่จะมายื่นอกรับเรื่องความสัมพันธ์ของพวกแก และโน้วน้าวแม่แกให้เห็นด้วยได้ แม่จะยอมให้แกคบกัน!! แต่มีเงื่อนไข สองข้อ หนึ่งคือ ยึดโทรศัพท์ สองคือ ห้ามติดต่อกันเด็ดขาด หากแม่รู้ แม่จะปรับแกแพ้ทันที!!’

เสียงแม่ของเขายังจำได้ขึ้นใจ มันยังดังก้องอยู่ในฝันทุกคืน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง หลังจากที่นิ่งไปหลายนาที การตัดสินใจครั้งนี้ของเขานับเป็นเรื่องที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยตัดสินใจมาทั้งชีวิต แม้จะนั่งนึกเสียใจตลอดทุกคืนในที่ทุระกันดารอย่างรีสอร์ตของอากู๋ของเขาที่เชียงราย

มันช่างเหมาะเจาะเกินไปที่แม่เขาท้าทายเขาด้วยวิธีนี้เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนงานในรีสอร์ตขาดพอดี ต้นน้ำเลยต้องไปทำงานทั้งดูแลลูกค้ายันเป็นคนช่วยซ่อมแซมต่อเติมรีสอร์ตสไตล์รักษ์โลกที่ดินแดนที่เหมือนโลกที่สามอันห่างไกลอย่างรีสอร์ตแห่งนี้

อย่าว่าแต่สัญญาณโทรศัพท์เลย ไฟฟ้ายังต้องจำกัดการใช้งานเสียด้วยซ้ำ แบบนี้มันเหมือนส่งเขามาลงโทษมากกว่า

ไม่รวมถึงความกังวลเรื่องแฟนที่อยู่ห่างไกลของเขาอีก ต้นน้ำรู้จักนิสัยจินไห่ดี การไปเผชิญหน้ากับแม่ของเขาด้วยเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเขาอยู่ด้วยแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วอย่าไปคาดหวังว่าจะเถียงชนะแม่เขาเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะสู้เหตุผลกับแม่เรื่องนี้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ ต้นน้ำถึงกับผ่อนลมหายใจออกแทบจะหมดปอด

งานนี้มันขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ เลยทีเดียว แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่ลัดที่สุด ทรมาน 1 เดือนแลกกับความสุขของชีวิตที่เหลือ

ต้นน้ำรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องอนาคตเขาคงไม่อาจทราบได้ว่าความรักของเขาจะเป็นอย่างไรต่อ เขารู้แต่ว่าจินไห่มาช่วยเติมเต็มช่องว่างที่หายไปของเขา ความอบอุ่นจากผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยได้ความรู้แบบนี้จากใครเลย หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้เขาได้ไตร่ตรองนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งความรู้สึกที่เกิด ทำให้เขารู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องบนเตียงที่จินไห่มอบความสุขให้เขาได้อย่างล้นเหลือ ใบหน้าสวยๆ ที่มองได้ไม่เบื่อ การเอาใจใส่ดูแลที่เขาไม่เคยได้จากใครมาก่อน แต่ยังมีความสุขใจเพียงที่ได้อยู่ใกล้กัน มันก็ทำให้เขาไมาอยากจากไปไหน

ยิ่งคิดแบบนี้ได้ ยิ่งทำให้เขาทรมานมากขึ้นเมื่อมองไปที่รอบด้าน มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ คนที่ทำให้เขาสุขใจไม่ได้แนบชิดไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่ได้แม้ได้ยินเสียง ทำไมเรื่องเพียงแค่นี้ถึงทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้ แม้แต่ขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านอยู่ตอนนี้ เขายังเจ็บหน่วงที่หน้าอกทุกครั้งที่นึกถึง ต้นน้ำถึงกับขยำเสื้อที่หน้าอกตัวอย่างไม่รู้ตัว

แสงไฟที่ริมข้างทางวิ่งเข้ามาปะทะใบหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดหลายชั่วโมงสลับกับความมืดของชนบทอยู่หลายชั่วโมง ไม่ทำให้เขาอ่อนเพลียเลย มีเพียงความตื่นเต้นตกค้างอยู่ในร่างกายจำนวนมาก เขาอยากทราบว่าผลลัพธ์ของการเดิมพันครั้งนี้จะเป็นเช่นไร เขาถึงกับวิงวอนต่อวิญญาณของพ่อตนเองและพ่อของจินไห่ช่วยดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผล แม้ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ

เขานั่งภาวนาอยู่ซ้ำๆ จนกระทั้งความอ่อนเพลียต่อการเดินทางไกลและความอ่อนล้าจากการทำงานหนักตลอดทั้งเดือนได้พรากความกระตืนรือร้นและความตื่นเต้นเหล่านั้นไป จนกระทั้งเหลือแต่ความมืดมิด

แสงไฟสลัวจากนีออนบนรถขนส่งกึ่งเก่ากึ่งใหม่แยงเข้าผ่านเปลือกตาที่ปิดไปอย่างไม่ตั้งใจ รวมกับเสียงอื้ออึงจากผู้ร่วมเส้นทาง แม่จะมีคนเพียงบางเบาเพราะไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่ก็ดังพอให้ต้นน้ำรู้สึกตัว

สิ่งแรกที่ต้นน้ำทำหลังจากตื่นขึ้นมาคือการมองออกไปชมวิวที่นอกหน้าต่างรถบานใหญ่ ตอนนี้ความสว่างที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก กำลังคืบไล่ราตรีมากขึ้นเรื่อยๆ รูปร่างทิวทัศน์ต่างๆที่เคยถูกปกปิดโดยราตรีก็ค่อยๆ เผยให้เห็นสถานที่รอบข้างที่คุ้นตามากขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาหลับไปยาวนานเท่าไหร่ แต่ทิวทัศน์ที่คุ้นตาเหล่านี้ทำให้รู้ว่าเขาใกล้ถึงถิ่นที่เขาจากมาแล้ว

ในที่สุดต้นน้ำก็กลับมาถึงหน้าบ้านของจินไห่แทนที่จะกลับไปที่บ้านของตนเองก่อน เขามองวันที่ที่แสดงอยู่บนโทรศัพท์ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อทบทวนว่าช่วงเวลาของการเดิมพันได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้จะไม่ได้ไปฟังคำตัดสินจากมารดาตนเอง เขาก็มั่นใจในตัวจินไห่มากพอที่จะเดินทางมาพบคนที่เขารักและคิดถึงสุดหัวใจ เขาวาดภาพไว้ในใจแล้วว่าจะทำอะไรกับแฟนของเขาบ้างเมื่อได้เจอหน้ากัน แล้วค่อยถามถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ต้นน้ำไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเขาอยู่ๆก็หายไปโดยไม่ได้กล่าวลาหรือบอกเหตุผลที่หายไป เขาคิดว่าจินไห่ที่ให้อภัยเขาได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ต้นน้ำหอบเป้ใบใหญ่เดินเข้าร้านไปโดยที่คนงานในร้านไม่ได้ทันสังเกตุ กว่าพวกเขาจะรู้ตัวและพยายามขัดขวางคนหอบของพะรุงพะรังที่คุ้นเคยคนนี้ ต้นน้ำก็เดินไปถึงห้องครัวที่จินไห่มักจะใช้ช่วงเวลานี้อยู่ในครัวเสมอเพราะตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบและเครื่องครัวว่าพร้อมให้บริการหรือไม่

“สุดยอดเลยคะพี่ไห่ หมวยไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเอามาทำอะไรแบบนี้ได้!!” เสียงใสๆของหญิงสาวดังขึ้นจนเท้าของต้นน้ำสะดุดหยุดนิ่ง

“วัตถุดิบที่ดีเป็นเรื่องสำคัญครับ ที่เหลือก็แค่ปรุงให้ถูกต้อง” เสียงชายหนุ่มที่เขาถวิลหาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาดังขึ้นเป็นคู่สนทนา

“อันนี้อะไรน่ะคะ?” ต้นน้ำสาวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้นและเริ่มมั่นใจว่าเสียงหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นเสียงของลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง ‘ยัยหมวยร้านข้าวสาร’

“ลองชิมดูสิ” จินไห่ใช้ช้อนยาวตักอาหารบนจานเปลขนาดใหญ่และบรรจงป้อนไปที่ปากอันอวบอิ่มสดใสของสาวสวยวัยแรกแย้ม เธออ้าปากให้อาหารเข้าปากอย่างขวยเขิน พร้อมใช้มือจับมืออีกฝ่ายที่ด้ามช้อนเพื่อส่งให้ช้อนออกจากปากอย่างนุ่มนวล

“อร่อยมากเลยคะ ปกติหมวยไม่ชอบกินปลานึ่งเสียเท่าไหร่แต่นี่มันสุดยอดเลยคะ” สาวหมวยยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจพร้อมเคี้ยวช้าๆ อย่างมีมารยาท
ภาพทั้งหมดตรงหน้าถูกส่งเข้าสู่สมองของต้นน้ำอย่างรวดเร็ว แต่อาการเจ็บปวดกลับเกิดขึ้นกับหัวใจพร้อมๆ กัน ความเจ็บปวดที่แล่นทำร้ายหัวใจแบบนี้มันช่างหนักหน่วงและทรมาน

เขายืนนิ่งไปอีกพักใหญ่กับภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองชายหญิงสนิทกันขนาดนั้น การแตะต้องตัวกันอย่างไม่ระมัดระวังตัวในที่มิดชิดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน หรือที่ผ่านมาหนึ่งเดือนเกิดอะไรขึ้นที่เขาไม่รู้ หรือเพียงหนึ่งเดือนก็มีอะไรเกิดขึ้นกับความรักที่เขาคิดว่ามั่นคงหนักหนา หรือมันจะเป็นอย่างที่แม่เขาบอกในตอนเดิมพันว่าความรักของพวกเขาก็อาจะแค่ความใคร่ ของคนเหงาสองคน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

ดวงตาที่ร้อนผ่าวกำลังพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำที่เขาไม่เคยคิดว่าจะหลั่งกับเรื่องพรรณนี้ เขาปาดมันไม่ให้ไหล เขาเป็นลูกผู้ชายเขาต้องเข้มแข็ง

“เฮียไห่ครับ ขอโทษนะครับ ผมพยายามห้ามแล้ว!!”
เสียงลูกน้องในร้านอาหารดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้คู่สนทนาประหนึ่งนกคู่รักรู้สึกตัวจากภวังค์ของทั้งสองหันมาเห็นต้นน้ำที่มีสีหน้าเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะสลายอยู่ตรงหน้า

“ต้น….น้ำ” จินไห่มีสีหน้าตกใจกับภาพที่เห็น

ต้นน้ำเดินถอยหลังไม่รู้ตัว และสาวเท้าวิ่งออกจากร้านแบบไร้เป้าหมาย

………

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

………

ต้นน้ำรู้ตัวอีกทีตัวเองก็วิ่งมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่บ้านของตนเอง มันกลายเป็นเรื่องเคยชินเสียแล้วที่เขามักจะมายืนมองต้นไม้ต้นนี้เวลาที่เขารู้สึกเหงา หรือคิดอะไรไม่ออก

นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เขาต้องมาทำความสะอาดและอยู่ใต้ร่มไม้นี้เสมือนเป็นพื้นที่ในห้องของตนเอง ยิ่งได้รู้ความเป็นมาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับเงาครึ้มตระหง่านสง่างามต้นนี้

เหมือนเช่นทุกครั้งที่ส่วนหนึ่งของใต้ร่มไม้นี้มักจะมีเศษของเส้นไหว้ที่หลุดรอดจากการกัดแทะของสัตว์โลกขนาดเล็กที่อาศัยตามร่มไม้สวนภายในพื้นที่นี้แวะมากัดกินเหมือนเป็นบุพเฟ่ตามเวลา

ด้วยความไม่สบอารมณ์จากภาพบาดตาตรงหน้าเมื่อครู่ ตอนนี้ต้นน้ำเห็นอะไรก็ดูขัดตาไปหมด เขาจึงหยิบจานกระดาษที่มีเศษซากผลไม้ที่คาดว่าจะเป็นแอปเปิลเหวี่ยงไปอีกด้านหนึ่งของต้นไม้เผื่อว่าอารมณ์ผลุนพล่านจะได้หายไปบ้าง พร้อมตะโกนโวยวาย ยิ่งที่ได้รู้ว่าไม่มีใครคิดแม้จะตามมาปรับความเข้าใจกับเขา ต้นน้ำก็ยิ่งหงุดหงิด

“โอ้ย!!”

เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากทิศที่เขาโยนซากของเซ่นไหว้ไป

“ใครน่ะ?” ต้นน้ำรู้สึกตกใจที่เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“ถ้าจะมาไหว้ก็อย่างเหวี่ยงของเก่ามั่วทั่วสิ” ชายหนุ่มวัยประมาณมัธยมปลายเดินออกมาจากมุมอับพร้อมทั้งปัดเสื้อผ้าไปมา

“นี่มันสวนบ้านกู กูจะทำอะไรก็เรื่องของกู” ต้นน้ำพูดให้คนแปลกหน้าเข้าใจถึงสถานการณ์

“ฉิบหายแล้ว!!” ชายแปลกหน้าพูดจบก็เตรียมโกยอ้าว

“เดี๋ยว!! เอาของๆมึงกลับไปด้วย!!” ต้นน้ำคว้าจับคอเสื้อดีไซน์แปลกตาของอีกฝ่ายหนึ่งได้ทัน พร้อมชี้ไปทางของเซ่นไหว้จานใหญ่ใต้ต้นไม้ใกล้กับเด็กวัยรุ่น

“เฮ้ย!! ไม่ใช่ของผม!!” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธด้วยท่าทีกลัวเกรง แววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ส่งมาให้เขานั่น ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว เพราะมันช่างเหมือนกับคนที่ทำให้เขาเสียใจ

“ไม่ใช่ของมึง?!? มึงไม่ได้มาไหว้ขอความรักเฮงซวยเหมือนคนอื่นเหรอวะ?!? แล้วมึงเข้ามาในเขตบ้านกูทำไม? หรือเป็นขโมย!! กูจะได้แจ้งตำรวจ!!” ต้นน้ำเหวี่ยงชายร่างเล็กบอบบางคนนั่นไปที่ตีนต้นไม้ที่แข็งหยาบ ชายร่างเล็กร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ้ยยย พี่อารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาพาลผมดิวะ!” ฝ่ายที่ล้มลุกคลุกคลายจนเปรอะดินไปครึ่งตัวโวยกลับ

“กูไม่ได้พาลมึง แต่มึงเป็นขโมย!!” ต้นน้ำโดนจี้ใจดำ

“ผมไม่ใช่ขโมย ผมมา…..…ขอพร”

“ไอ้เด็กแก่แดด ริอาจมีความรัก นะมึง!! แล้วไอ้เรื่องขอพรนี่แม่งงมงายสัดๆ!!” ต้นน้ำชี้หน้าอีกฝ่าย

“พี่ก็แก่กว่าผมไม่เท่าไหร่มั้ง ก็ยังเด็กเหมือนกันล่ะวะ!” ต้นน้ำโดนอีกฝ่ายจี้ใจดำอีกรอบ

“สงสัยกูต้องสั่งสอนมารยาทมึงสักหน่อยแล้ว!!” ต้นน้ำคว้าคอเสื้อยวบๆ ของอีกฝ่ายรั้งลอยขึ้นมา ส่วนอีกมือก็ง้างรอเตรียมเหวี่ยงหมัดใส่ให้สาแก่ใจ อย่างน้อยก็ได้ระบายอารมณ์ที่มันคั่งค้างอยู่

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ พี่ผมขอโทษ ถ้าพี่อกหักมาก็ลองขอพรกับเจ้าพ่อไม้ใหญ่ดูสิ”

“เขาเรียกกันแบบนั่นเหรอวะ?!?” ต้นน้ำฟังแล้วก็รู้สึกขำขัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนภายนอกเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่าอะไร พูดจบเขาก็คลายมือตัวเองและมองขึ้นไปถึงยอด ต้นไม้นี้มีใบหนาครึ้มขึ้นมากจนแทบจะบดบังแสงแดดที่ส่องลงมาถึงพื้นดินใต้ต้นไม้จนหมด

“ดูก็รู้ว่าเพิ่งอกหักมา พี่ลองขอพรดูไหม?” เด็กมัธยมกล่าวเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“กูว่ากูไม่คุ้นหน้ามึงเท่าไหร่ บ้านมึงอยู่แถวนี้เหรอวะ?!?” หลังจากที่ใจเย็นลงบ้างเขาก็พินิจหน้าอีกฝ่ายก็พบว่าไอ้เด็กนี่ก็หน้าตาไม่ขี้ริ้ว แถมสำเนียงการพูดก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น

“ผมเพิ่งย้ายมาน่ะครับ”

“แล้วมึงรู้เรื่องต้นไม้นี้ได้ยังไง!”

“คนที่อยู่ก่อนเขาเล่าให้ฟัง”

“มีความรักน่ะสิเรา?” ต้นน้ำมองสีหน้าและแววตาคนตรงหน้าออก

“อือ..” เด็กหน้าขาวมันก็แต่พยักหน้า

“แล้วนี่มาขอ แล้วขอเสร็จยัง กูจะให้มึงกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย กูไม่มีอารมณ์จะมาดุคนอย่างพวกมึงแล้ว!!”

“ผมมาแก้บนต่างหาก ผมสมหวังแล้ว”

“เฮ้ยจริงดิ! เชี้ย!! ของจริงเหรอวะ?!?” สีหน้าเจ้าของบ้านแปลกใจออกนอกหน้า

“ลองขอพรสิ!” เด็กวัยรุ่นพยักหน้าเป็นเชิญชวนให้อีกฝ่ายลองดู

“……..” ต้นน้ำลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็ยอมคุกเข่า ก้มหน้า หลับตาขอพร ให้ทุกอย่างที่เขาเห็นในวันนี้เป็นเรื่องไม่จริง ขอให้แม่ยอมรับความรักของเขา

“แล้วมึงขอพรไปว่าอะไรวะ?!?” ต้นน้ำลืมตาขึ้นมาและหันไปหาคนที่เป็นเหมือนเพื่อนใหม่ของเขา

ว่างเปล่าและเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมและใบไม้เสียดสีกันท่ามกลางแดดยามสายเท่านั้น

“เฮ้ย!! กูไม่ขำ มึงหลบกูเพื่อ?!? กูไม่ทำอะไรมึงหรอก ออกมาเหอะ!?!”
ต้นน้ำหันซ้ายและขวา เขาก็เจอแต่ภาพทิวทัศน์เดิมๆ แต่ไร้วี่แววไอ้เด็กคลั่งรักนั่น

“เอ้ยไอ้…. เชี้ย!! ชื่ออะไรวะ แม่งไปไม่ลามาไม่ไหว้ อย่าให้กูเจออีกรอบนะ!!”ต้นน้ำพูดไปพลางค้นหาอีกฝ่ายไปด้วย

“พูดอยู่กับใครน่ะลูก?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง

ต้นน้ำที่ไม่คิดว่าจะเจอกับแม่ตัวเองเวลานี้ถึงกับสะดุ้งตัวโยนไปด้านหน้าเล็กน้อย

ความจริงเขาอยากทราบความคืบหน้าตลอดหนึ่งเดือนกับแฟนตัวเองมากกว่า แต่ในเมื่อเห็นภาพที่เป็นคำตอบแบบนั้น เขาก็คงไม่จำเป็นต้องไปถามแล้ว เวลาหนึ่งเดือนมันสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้ขนาดนี้เลยหรือนี่?

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“ทำไมถึงแอบเข้ามาทางหลังบ้าน ทำตัวเหมือนพวกมาขอพรต้นไม้ แล้วเมื่อครู่ที่แม่เห็นคนคุกเข่าขอพรคือแกเอง?!?” แม่เขาชี้หน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ผมแค่ก้มไปเก็บของ!!” ต้นน้ำแก้ตัวไปด้วยใบหน้าที่ร้อนแดงเพราะไม่คิดว่าแม่เขาจะจับได้

“มาถึงก็เข้าบ้านสิ มานั่งตรงนี้เพื่ออะไร? แล้วทำหน้าให้มันดีหน่อย ยังกับคนอกหัก!!” แม่เขาทัก

“ใช่สิ!! แม่คงรู้เรื่องแล้วสิ!!” ดวงตาของต้นน้ำลดประกายแสงลงอย่างชัดเจน แม้แต่แม่ของเขายังรู้สึกได้

“เป็นอะไรของแกอีกเนี่ย อย่าบอกนะว่าแอบไปหาน้องไห่ก่อนมาเจอแม่!!” แม่เสียงดังขึ้น

“ใช่!! ผมไปมา แม่รู้เรื่องมานานหรือยัง?” ต้นน้ำหลบหน้าและพูดเสียงสั่น แม่ต้นน้ำที่เห็นดังนั้นก็แอบยิ้มมุมปาก

“รู้เองก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องบอก เดือนหน้าหาชุดดีสักชุดนะ จะได้ไปงานหมั้นของพี่หมวยมัน!!” แม่ย้ำชัด

“………..” ต้นน้ำไม่ตอบอะไร เขากำหมัดแน่น นึกเสียใจว่าเขาเสียเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไปเพื่ออะไร เพื่อให้เขาต้องสูญเสียคนที่เขารักอย่างนั้นหรือ? ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากกลางอก ได้ไหลเวียนไปตามกระแสเลือดแล่นไปทั่วทั้งร่าง อยู่ๆ  ขาเขาก็หมดแรง เขาล้มลงคุกเข่าที่พื้นดินตรงหน้า ดวงตาของเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแทบมองอะไรไม่เห็น มันพร่ามัวไปหมดจากหยาดน้ำที่ทยอยเอ่อล้นออกมา เขาอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ แต่มันไม่มีเสียง อากาศมันหนักอึ้งและอุดตันเส้นทางหายใจไปหมดจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก มันทรมานจนเขาอยากจะหยุดหายใจและหายไปจากตรงนี้

“พี่ออม เห็นต้นน้ำไหมครับ?!?” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางหน้าบ้านของเขา

ต้นน้ำพยายามเข้มแข็ง เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าและคายออกมาเพื่อให้กลับสู่สภาวะปกติในเร็วที่สุด แต่มันไม่ง่ายเลย ยิ่งคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้มาอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ เขาเพิ่งจะเคยเป็นแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเคย

“นั่นไง!! มันทำตัวแปลกๆ อยู่ตรงนั้นไง!!” เสียงแม่เขาสนทนากับผู้มาใหม่

“ต้นน้ำมาอยู่นี่เอง ไม่ฟังพี่อธิบายเลย วิ่งมาเร็วขนาดนี้ พี่วิ่งตามแทบไม่ทันเลย” จินไห่พูดผสมหอบจนหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า เขามีก้มลงสูดหายใจระหว่างประโยคด้วย ทำให้คำพูดดูทุลักทุเลมาก

“ไม่… ต้อง… แล้ว แม่ผม…. อธิบายหมดแล้ว…. ยินดีด้วยนะครับ” ต้นน้ำเองก็ไม่ต่างกัน เขาหันหลังพูดกับจินไห่ และแต่ละถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็ทำได้ลำบากไม่แพ้กัน

คนที่มีความสุขน่าจะมีเพียงคนเดียว ณ ที่นี้ คงเป็นแม่ต้นน้ำที่ยืนอมยิ้มจนหุบไม่อยู่

“พี่ออมบอกอะไรเขากันเนี่ย!?!” จินไห่หันมาหาต้นเหตุทันที เพราะดูจากท่าทางของทั้งคนแม่และคนลูกแล้วก็พอจะเดาได้

“อะไร?!? พี่ก็พูดความจริง ก็เรื่องงานหมั้นของยัยหมวยไง!?!”  คนเป็นแม่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ผสมอมยิ้มอย่างมีความสุข

“โอ้ย! พี่ออม….. ผมล่ะเชื่อพี่เลย…!!” จินไห่เกาหัวจนผมยุ่งไปครึ่งศรีษะ

“ผมยินดีกับพี่ด้วยนะ…. แต่ผมคงไม่ไปงานหมั้นของพี่ไห่กับพี่หมวยนะ” ต้นน้ำรวบรวมพลังและพูดออกมาจนจบประโยค จนน่าจะเผลอกัดปากตนเองเสียเลือดออกด้วย พูดจบเขาก็สาวเท้าออกเพื่อเตรียมวิ่งกลับไปเลียแผลใจที่ห้องตนเอง

“เดี๋ยว!!” จินไห่คว้าแขนอีกฝ่ายได้ทัน

“ใครหมั้นกับใคร นี่มันไปกันไปใหญ่แล้ว!! มันก็ใช่! จะมีงานหมั้นเกิดขึ้น….น้องหมวยถึงต้องเตรียมตัวไง”

“เตรียมกันมาเป็นคุณนายที่ร้านอาหารแล้วล่ะสิ!!” ต้นน้ำพยายามสะบัดมืออีกฝ่ายให้ปล่อยแต่จินไห่ใช้แรงทั้งหมดกำท่อนแขนอีกฝ่ายจนแน่น ท่อนแขนของต้นน้ำมีการการเลือดขังแดงก่ำรอบมือของจินไห่

“ฟังนะ!! น้องหมวยให้พี่สอนเรื่องเข้าครัวน่ะ เห็นว่าแม่ของอนาคตสามีเขาเข้มงวดเรื่องพวกนี้ พี่ออมก็เลยแนะนำพี่ให้มาสอนทำอาหารจีน!! แล้วที่ไม่ใครเข้ารบกวนเพราะน้องหมวยขอไว้น่ะ” จินไห่ตะโกนสุดเสียง

“เดี๋ยวนะ.?!?!?  แม่พี่เสียแล้วนี่?” ต้นน้ำหวนนึกและถามโพล่งออกไปด้วยสีหน้างุนงง

“ก็แปลว่า ไม่ใช่พี่ไง น้องหมวยเขามีคนรักอยู่แล้ว!!” จินไห่ค่อยๆ คลายมือเมื่อเห็นว่ารั้งอีกฝ่ายได้แล้ว

“อ้าว……เดี๋ยวนะ!!!! แม่!!!!” ต้นน้ำหันไปทางแม่ตนเองที่กำลังขำจนกุมท้องตนเองจนปวดเกร็งไปหมด

“ก็แกมันน่าแกล้งเองทำไม” แม่ของต้นน้ำหันมาเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะเรื่องขำขันตรงหน้า

“แม่!!!” ต้นน้ำรู้หัวร้อนขึ้นมาทันที

“จะไปโทษแม่ได้ยังไง!! ก็ตัวเองด่วนสรุปไปเอง!! แล้วทำแบบนี้จะให้พี่วางใจใช้ชีวิตคู่กับเราได้ยังไง?!?” จินไห่ยกมือขึ้นสัมผัสศรีษะของต้นน้ำ ความอบอุ่นของมือหยาบทำให้ต้นน้ำรู้สึกสงบลงมาก

“ก็คนมันคิดถึง มันทรมานนะที่ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งเดือน แต่ภาพแรกที่เจอดันไปเจอเมียตัวเองไปอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่นต่อหน้าแบบนี้ใครมันจะโอเควะ” ต้นน้ำบ่นพึมพำ

“ไอ่เด็กหัวร้อนเอ้ย!” จินไห่ขยี้ศรีษะต้นน้ำอย่างแรง จนต้นน้ำร้องโอย

“แม่แล้วยังไง ผลล่ะ!!” พอเริ่มสบายต้นน้ำหันไปหาแม่ขี้แกล้งของเขาทันที

“น้องไห่พี่เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าลูกพี่มันจะพร้อม หายไปเดือนหนึ่ง ความคิดของมันยังไม่พัฒนาเลย!!!” แม่ของเขาหันไปพูดกับจินไห่พร้อมส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย

“นั่นสิครับ” จินไห่ตอบกลับพร้อมๆ กับที่ต้นน้ำหันซ้ายหันขวามองหน้าผู้ใหญ่สองคนคุยกันเรื่องที่เขาปะติดปะต่อไม่ได้

“ไอ้เด็กโง่!! พี่ไห่เขาก็บอกคำตอบกับเราตั้งแต่แรกแล้วยังจะโง่อีก และการที่แม่ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาหาแกแบบไม่ห้ามอะไรนี่ก็น่าจะบอกอะไรได้เยอะแล้วนะ!!” สีหน้าคนเป็นแม่ที่หมั่นเขี้ยวคนที่ทั้งโง่และบ้าอย่างลูกชายเธอ อยากจะเอาทั้งสองหมัดบีบขมับให้หายโง่

“แปลว่า….แม่โอเค!!” สีหน้าลิงโลดฉายเข้าสู่ใบหน้าที่ซูบผอมจากการทำงานหนักทันที

ไม่ทันที่จินไห่จะตั้งตัวต้นน้ำก็ทิ้งสัมภาระทุกอย่าง กระโดดกอดคอและกดริมฝีปากลงไปที่แก้มและริมฝีปากของคนรักตัวเองอย่างที่ไม่อายสายตาคนเป็นแม่ จินไห่ที่เหมือนเก็บกดจากความคิดถึงมานานก็เผลอตอบรับดูดดื่มจนแม่ของต้นน้ำโวยวายเสียงดัง

ไม่นานเสียงจวบจาบก็หยุดลงพร้อมเสียงหายใจหอบถี่ของชายหนุ่มสองวัย และใบหน้าที่ร้อนผ่าวของคนเป็นแม่

“แม่ขอนะ… ถึงจะศึกษามาเยอะ แต่ก็ไม่พร้อมกับการเจอต่อหน้านะ” แม่ของต้นน้ำบ่ายหน้าและยกมือขึ้นทำท่าห้าม

“ขอโทษครับ ผมจะระวัง” จินไห่ก้มหัวขอโทษ

“ว่าแต่….ตอนแม่เดินมา แม่เห็นเด็กวัยรุ่น ผมเกรียน หน้าขาวๆ วิ่งหนีไปไหมครับ?” ต้นน้ำหยิบสัมภาระขึ้นมาปัดเศษดิน

“แม่เห็นแกยืนทำท่าแปลกๆ อยู่คนเดียวนี่แหละ” แม่ของเขาตอบกลับมาด้วยท่าทีปกติ

“………..” ต้นน้ำไม่พูดอะไรนอกจากมองไปที่หน้าของจินไห่ส่งสายตาสงสัยมาทางเขา อยู่ๆ เขาก็ขนลุกไปทั้งตัว เพราะดวงตาที่จ้องมองมาทางเขามันช่างคล้ายกับเด็กคนนั้นเสียจริง

“ไม่ทันไรก็ถามหาคนอื่นแล้วเหรอ?” จินไห่นิ่วหน้า

“จะบ้าเหรอ…… ” ต้นน้ำนึกขึ้นได้แต่ก็ไม่กล้าพูดตอบกลับ เพียงแต่พยายามชวนให้ทุกคนกลับเข้าบ้าน ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งขนลุก

…………………

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทที่ 22

Now and forever



เสียงกริ่งบอกหมดเวลาคาบสุดท้าย ต้นน้ำที่เดินออกจากห้องประชุมประจำคณะ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปมากประกอบกับขอบตาที่ดำลึกและคล้ำอ่อนล้า ทำให้สภาพหนุ่มเพลย์บอยเมื่อสมัยปีสองปีสามหมดสภาพไปจนแทบจำไม่ได้

“เฮ้ย!! เป็นไงบ้าง งานพรีเซ่นต์จบของมึง คนสุดท้ายของปีเลยนะมึง” ไอ้ต้นกล้าที่นั่งคล่อมไอ้เฟรมอยู่ที่หน้าห้องประชุมเอ่ยทักเสียงดัง และยังมีเพื่อนๆ คนอื่น อย่างไอ้ไอซ์และวัยรุ่นในชุดนักศึกษาเต็มยศแบบที่ไม่คุ้นตานั่งอยู่กับพื้นไม่ห่างกันแอบฟังคำตอบด้วยใจระทึก เพราะตอนนี้ทุกคนผ่านงานพรีเซ็นต์ผลงานจบการศึกษาหมดแล้ว เหลือเขาเป็นคิวสุดท้ายที่ต้องโดนอาจารย์ประจำคณะเข้าห้องประชุมชำแหละไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน

“เชี้ย…. มึง…..” สีหน้าหมองๆ และถ้อยคำไร้นำหนักและสั่นเครือลอยออกจากปากจนทำให้เพื่อนหลายคนกลืนน้ำลายเสียงดัง เพื่อนผู้หญิงบางคนถึงขั้นน้ำตาไหลไปก่อนแล้ว

“กู……..กู…… ผ่านฉลุยว่ะ!!!” ต้นน้ำจบด้วยคำพูดเสียงดังและโยนตัวเองขึ้นเหนือพื้น และชูหมัดขึ้นเหนือศรีษะ

สิ่งที่เพื่อนตอบกลับมาคือ เสียงโห่ร้อง และ โยนอะไรก็ตามที่อยู่ใกล้มือมาที่ไอ้คนที่มันทำท่ากวนบาทาตรงหน้า

“โห่เชี้ยอะไร!! แบบนี้มันต้องฉลองดิวะ!!!” ทุกคนโห่ร้องกับคำพูดของต้นน้ำ เพราะเขานัดกับเพื่อนๆในชั้นปีไว้ว่า หากทุกอย่างจบแล้ว เขาจะปิดร้านอาหารฉลองโต้รุ่ง และแน่นอน ร้านที่เขาปิดก็คือร้านอาหารแฟนเขานั่นแหละ!

แสงสีเหลืองอมส้มส่องสว่างไปทั่วบริเวณร้านอาหารที่ปลูกท่ามกลางสวนผลไม้ที่มีการจัดการต้นไม้อย่างมีระเบียบ ปะปนกับทางเดินที่ยกจากพื้นทำด้วยไม้เนื้อแข็งสีธรรมชาติและจัดโต๊ะอาหารตามพื้นที่ข้างทางเดินไปตลอดทั้งสวนขนาดกลาง ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องการตกแต่งร้านได้สวยงามเป็นธรรมชาติเพราะแทนทีจะตัดต้นไม้เพื่อสร้างร้านอาหารกว้างๆ และเพิ่มโต๊ะเข้าไปให้ดูแออัด กลับสร้างทางเดินและจัดวางโต๊ะอาหารไปตามทางเดินเหล่านั้น แต่ละโต๊ะจะอยู่ภายใต้หลังคาใสอาคลิลิกแข็งทนทานขนาดย่อมคล้ายศาลาในสวนแบบอังกฤษ ประดับด้วยไฟในสวนสีวอร์มไวท์จำนวนมาก ทั้งหมดได้มาจากความคิดของสถาปนิกอนาคตไกลจบใหม่จากรั่วมหาวิทยาลัย จนได้รับการรีวิวจากหนังสือบ้านและสวนหลายสำนักพิมพ์

(หนุ่มน้อยเจ้าของการออกแบบให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้แรงบันดาลใจจากความรัก และภาพถ่ายที่ปรากฏในทุกหนังสือเป็นรูปเขายืนกุมมือเจ้าของร้านอาหารด้วยใบหน้ามีความสุข)


เพื่อนๆ ของต้นน้ำทยอยเดินทางมาถึงงานเลี้ยงซึ่งหลายคนมาก่อนเวลานัดหมาย ไม่ใช่ว่าต้องการมาให้ตรงเวลา แต่เพราะทุกคนได้เห็นภาพอัศจรรย์บนอินสตราแกรม ของหนุ่มฮอตอย่างไอซ์ที่ส่งภาพคลิปสั้นๆ ออกมา

ภาพที่คนที่เรียกว่าขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างต้นน้ำ ขยันขันแข็งช่วยเตรียมงานเลี้ยงกับเจ้าของร้านอาหารหน้าตาดี ซึ่งส่วนใหญ่ต้นน้ำจะถูกใช้งานให้ทำ แต่ด้วยใบหน้าที่เต็มใจและจริงจังของต้นน้ำ ทำให้ทุกคนแห่อยากมาดูด้วยตาตนเอง

“พวกมึงจะรีบมาเพื่อ!?!?”  เสียงหงุดหงิดของต้นน้ำดังแหวกอากาศมาทางเพื่อนๆ ที่ยืนรอนั่งรอ กองกันอยู่ตรงส่วนต้อนรับหน้าร้านอาหาร

“มาก่อนเวลาก็ว่าพวกกูอีก!!” ไอ้ต้นกล้าผู้มีฝีปากกล้าหนึ่งในเพื่อนสนิทโต้ขึ้นมา

“งั้นพวกมึงทำตัวให้เป็นประโยชน์เลย มาช่วยกูจัดจานเลย!!” ต้นน้ำคิ้วขมวดใส่ไอ้เพื่อนปากสุนัข

“ไม่ล่ะ ไปขัดแข้งขัดขามึงเปล่าๆ มึงดูคล่องกว่าพวกกูเยอะ!!” ต้นกล้าสวนกลับด้วยใบหน้าทะเล้น

“สัด!! แทนที่พวกมึงจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกู มึงมาช่วยกูทำงานดีกว่าไหม? จะแดกไหมอ่ะ เหล้าน่ะ!?!” ต้นน้ำเดินมาโวย

“เออๆ ช่วยก็ได้ ผัวเจ้าของร้านมาสั่งทั่งที่!!”

“สัด!!” ต้นน้ำเดินตรงรี่มาที่ต้นกล้าผู้ชอบแกว่งปากหาเท้าเป็นประจำ เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเชิดขึ้นจนยับยู่ พร้อมพูดอย่างจริงจัง
“คนที่มีสิทธ์พูดคำว่าผัวกับพี่ไห่มีกูคนเดียวโว้ย!!”
ต้นน้ำรู้ว่า ไม่ว่าจะผ่านมานายเท่าไหร่ แต่สถานะ ‘เมีย’ ของจินไห่นั้น ตัวจินไห่เองก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่สบายหูเท่าไหร่ หรือจะอาย หรือจะฟังแล้วแปลกหูเกินไป จินไห่จึงทำหน้ายิ้มยากทุกครั้งที่ได้ยิน

ต้นกล้าเห็นอีกฝ่ายจริงจังจึงยอมยกมือขี้นเป็นเชิงยอมแพ้

หมับ!!

เฟรมอดีตกัปตันทีมบาสเกตบอล ประจำมหาวิทยาลัย เดินมาจากทิศไหนก็ไม่รู้ ยกมือขึ้นคว้าข้อมืออีกฝ่ายและใช้แรงบังคับให้ต้นน้ำลดแขนตนเองลง

“มึงก็รู้ว่ามันชอบกวนตีนมึง ทำไมมันจะไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบให้ใครเอ่ยเปรียบพี่ไห่อละมึงแบบนั้น อย่าลืมสิว่าพวกกูอยู่ด้วยตลอดสองปีที่มึงคบกันนะ อย่าไปถือสามันเลย!” เฟรมพยายามไกล่เกลี่ย และทุกครั้งก็มักจะได้ผล

“มึงนี่ ช่วงหลังๆ มานี่มึงถือหางมันตลอดเลยนะ” ต้นน้ำปล่อยแขนเสื้อและลดมือลง พลางมองหน้าไอ้คนห้ามปรามกับไอ้คนปากสุนัขสลับกัน สองคนนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกย้ายไปจากตรงนั้น

ส่วนไอซ์ ไอ้แฝดนรกของเฟรมได้แค่อมยิ้มหัวเราะคืกคักอยู่อีกมุมหนึ่ง

“พวกมึงมีอะไรปิดบังกูแน่นอน เดี๋ยวค่อยมาคิดบัญชี ว่าแต่มึง! ไอ้ไอซ์ อย่ามาเนียนเลย มาช่วยกูเดี๋ยวนี้!!” ต้นน้ำชี้หน้าไอ้คนที่กำลังจะแหวกฝูงเพื่อนที่ทยอยมามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหนีงาน

“หยุดเลยเรา ไปใช้พวกนั้นได้ยังไง พวกนั้นเขาเป็นแขก เขาจ่ายเงินนะ มาช่วยทางนี้ให้เสร็จเลย” เสียงเจ้าของร้านดังมาจากที่ไม่ไกล ผมดูชี้ฟูเล็กน้อย แต่หน้าตาดูสดใสกว่าทุกที

“โหย…พี่ไห่!! ผมก็จ่ายเงินนะ ก็หารเท่าๆกันนั่นแหละ!!” ต้นน้ำหันมาโวย

“ต้นน้ำก็รู้นะว่าพี่ใช้เราในฐานะอะไร!?! หยุดบ่นแล้วมาช่วยทำเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น………” คำพูดทิ้งท้ายและสีหน้าจริงจังของพี่ไห่ที่ไม่มีใครเคยเห็น ทำให้ผู้หญิงในคณะฯ ถึงกับมีเสียวหวีดเล็กๆ ออกมา

ส่วนต้นน้ำทำได้เพียงก้มหน้าและเดินไปทำงานต่อเท่านั้น

………………….


งานฉลองตามสไตล์เด็กสถาปัตย์ฯ ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องความโลดโผนสุดเหวี่ยง อาหาร เครื่อมดื่ม ของมึนเมาจัดเต็มมีหมดทุกชนิด ตั้งแต่ของไทยจนถึงของนอก ทีเด็ดสุดในงานคือ เหล้าเหมาไถที่หายากจากประเทศจีน ที่จินไห่เก็บไว้อย่างดี แต่สุดท้ายก็ทนการรบเร้าจากแฟนเด็กสถาปัตย์ไม่ไหว จนต้องขนออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มรสความหอมหวนแต่แรงที่บ่มเพาะมาหลายสิบปี ความร้อนที่ไหลลงจากคอลงสู่กระเพาะมันช่างเป็นรสชาติที่ยากจะลืมของทุกคน เพราะขนาดที่คนไม่เคยดื่มเหล้ารสแรงยังต้องขอดื่ม สร้างความประทับใจและครื้นเครงให้กับทุกคนในงานได้อย่างดี

วันนี้ต้นน้ำขออนุญาตจินไห่เป็นพิเศษในการปล่อยตัวเองให้สุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้จบการศึกษาวันนี้ เพราะที่ผ่านมาต้นน้ำจะโดนปรามไม่ให้เกียร์ว่างกลับบ้านเด็ดขาด ต้องมีสติกลับบ้านทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับเพื่อน ด้วยเหตุนี้แม่ของต้นน้ำจึงค่อนข้างไว้ใจ ฝากให้จินไห่ดูแลต้นน้ำให้เพราะ คำมั่นที่ต้นกล้าให้ไว้กับจินไห่มันกลับศักดิ์สิทธ์กว่าผู้เป็นแม่น่ะสิ แม่ต้นน้ำมักจะบ่นเชิงน้อยใจตลอดว่า ‘ไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดแม่ แต่แค่จินไห่พูดเสียงเข้มคำเดียวกลับเชื่อฟังอย่างกับอะไรดี’

หลังจากจินไห่รับปากต้นน้ำไปเรื่องปาร์ตี้งานจบการศึกษา จึงยื่นเงื่อนไข สองข้อ หนึ่งคือ ต้องจัดงานที่ร้านของเขาเอง สองต้นน้ำจะต้องช่วยเตรียมงาน และแน่นอนว่าต้นน้ำรับปากทันทีพร้อมกระโดดเข้ากอดจินไห่จนแทบจะล้มทั้งยืน

“ไอ้น้ำ กูถามจริง กูรู้มาว่า เหล้าไหนี้พี่จินไห่หวงมาก มึงเอามาให้พวกกูได้ชิมได้ยังไงวะ?” ไอ้ไอซ์ที่เริ่มมีอาการเมาตั้งแต่หัวค่ำ เดินมาถามต้นน้ำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีเลือดฝาด

“ความลับ แต่กูบอกเลย….คุ้มทุกท่วงท่า แม่งอร่อยฉิบหาย” ต้นน้ำคนที่คอแข็งสุดในกลุ่ม ยกแก้วไปกระแทกกับแก้วของผู้ที่เดินมาทักอย่างไอซ์

“เชี้ย!! กูรู้แล้ว กูไม่น่าถามมึงเลย น่าจะรู้ว่ามึงมันหน้าไม่อาย!” ไอซ์กระดกแก้วที่มีน้ำสีอำพันเข้าปากจนหมด

“ไอ้ฝรั่ง! แล้วมึงมีอะไรปิดบังกูป่าวเนี่ย!?!” ต้นน้ำเรียกเพื่อนคนนี้แบบนี้เสมอเวลาฝากสติไว้กับสุรา

“เรื่อง?!?” ไอซ์ย้อนถามด้วยใบหน้างงๆ

“กูรู้นะว่าเหล้าวันนี้มันเยอะกว่างบที่พวกเราช่วยกันออก มึงมีสปอนเซอร์ใช่ไหม? มึงไปเอาของพวกนี้มาจากไหนเยอะแยะ!?!??” ต้นน้ำกอดคออีกฝ่ายไม่ให้หลบตา

“เชี้ย! รู้ดี!! แต่กูไม่บอก!!” ไอซ์มีอาการบ่ายเบี่ยง

“สัด!! ไม่ต้องปิดบัง กูเป็นคนช่วยเตรียมงาน กูรู้นะว่าเหล้า ไวน์ พวกนี้มาจากไหน!! มีไม่กี่คนในจังหวัดนี้ที่หาเหล้าดีๆ ได้มากขนาดนี้ กูเห็นมันขนมาให้ถึงที่ ไอ้พี่นี….” คนคอแข็งกว่าถูกไอซ์ใช้มือยกขึ้นปิดปาก

“รู้แล้วก็เงียบๆ ไอ้สัด!!” ไอซ์มีอาการลนลาน

“มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ต้นน้ำใช้แรงที่เยอะคว้ามืออีกคนออกจากปากตนเอง

“ถึงเวลามึงก็รู้เอง!” ไอซ์พูดจบก็เดินหนีไปสนุกสนานกับเพื่อนคนอื่นต่อ

จากคำพูดทิ้งท้ายของไอ้ไอซ์เพื่อนยากของเขาไม่เกินหนึ่งนาที สปอนเซอร์หลักอย่างไม่เป็นทางการ นักเลงตัวเล็ก นี่โน่ก็ปรากฏกายและตรงรี่ไปที่โต๊ะที่ไอ้ไอซ์สถิตอยู่ทันที จากภาพที่ต้นน้ำเห็นมันจึงเข้าใจได้ไม่ยากเพราะมีไอ้คนหวงก้างอย่างไม่ปิดบังอย่างพี่นีโน่ยืนแผ่รังสีอำมหิตอยู่ไม่ไกลขนาดนั้น ทำให้ต้นน้ำได้คำตอบได้อย่างไม่ยากเย็น

“โชคดีนะมึง!” ต้นน้ำยกแก้วไปทางไอซ์เสมือนดื่มไว้อาลัยกับอิสระทางความโสดของผู้ชายลั่นล้าอย่างไอซ์

ต้นน้ำแวะเวียนไปดูความเรียบร้อยของทุกโต๊ะว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่ พร้อมเดินชนแก้วกับเพื่อนทุกคน สนุกสนานให้เต็มที่ให้สมกับหกปีที่เรียนกันมาอย่างยากลำบาก เต็มที่ก่อนที่ทุกคนจะเข้าสู่สภาวะเตะฝุ่นหรือเดินไปตามความฝันของตนเองแต่ละคน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสามารถมาเจอกับครบๆ แบบนี้อีก

ในที่สุดก็แวะมาถึงโต๊ะที่อยู่ไกลที่สุด ที่ซึ่งมีเพื่อนสนิทอีกสองคนนั่งประจำอยู่เพื่อนอีกสองสามคนที่ต้องการความสงบหน่อย

“หลบมาอยู่ตรงนี้ไม่สมกับเป็นมึงเลยไอ้กล้า!!” ต้นน้ำยกแก้วขึ้นรอในขณะที่ต้นกล้าก็ยกแก้วที่มีเครื่องดื่มมีฟองสีอำพันใสขึ้นชนอย่างอัตโนมัติ เสียงแก้วปะทะกันดังจนไปเตือนสติอีกคนที่กึ่งใจลอยอย่างไอ้เฟรมยกแก้วขึ้นมาชนเป็นแก้วที่สามอย่างลนลาน

“กูมาอยู่เป็นเพื่อนไอ้เฟรมมัน” ต้นกล้าพูดก่อนกระดกแล้วทรงสูงเทน้ำเมาผสมฟองเข้าปากไปเกือบครึ่งแก้ว

“อย่าบอกนะว่ามาหลบเจ๊นิ่มน่ะ พวกมึงก็เลิกกันแล้ว มึงจะกลัวอะไรกันอีกวะ!?” ต้นน้ำนั่งลงข้างเฟรม

“มึงรู้จักเพจ ‘ดาวจะแฉ’ ไหม?” เฟรมพูดขึ้นหลังจากกระดกวิสกี้ออนเดอะร็อคจนหมดแก้ว

“เฮ้ยๆๆ มึงจะรีบเมาไปไหนวะ?” ต้นน้ำยกมือขึ้นกดแก้วขิงเฟรมให้ลดต่ำลง

“เออ!! รู้จักดิวะ ใครๆ ในมหาวิทยาลัยเราก็ติดตามทั้งนั้น ก็แม่งมีแต่ข่าวฉาวๆ มนุษย์เผือกเต็มมหาวิทยาลัยก็เลยเพลิดเพลินเลยมึง แต่มึงก็รู้จักเจ้าของเพจดีนี่หว่า เมียเก่ามึงไง!!” ต้นน้ำพูดไปรินเหล้าผสมน้ำเปล่าไปพลาง

“ก็กูกับเขาจบกันไม่ดี มันก็เลย….” เฟรมอ้ำอึ้ง

“มึงก็เลยร้อนตัว แม่งก็เรื่องเดิมๆ ป่าววะกูก็เคย มึงไม่ต้องไปแคร์ เดี๋ยวแม่งก็จบ เปิดตัวแฟนใหม่แม่งเลย กูอยากรู้ว่ามันจะทำอะไรได้?” ต้นน้ำชูแก้วขึ้นไปทางเพื่อนสนิททั้งสอง แต่ไม่มีใครชนตอบ

“มึงแม่งไม่เข้าใจ!!” เฟรมโอดพลางส่ายหน้า

“ไม่เข้าอะไร กูนี่โคตรเข้าใจ อีกอย่างที่กูโดนแฉเนี่ยตอนกูมีแฟนเป็นผู้ชายนะ หรือว่ามึงอยู่ในสถานการณ์เดียวกับกู!!” ต้นน้ำพูดจบก็จิบเหล้าให้หายคอแห้ง แต่เพื่อนทั้งสองของเขากลับหน้าซีดลงกว่าเดิม

“พวกมึงมีพิรุธ!!” ต้นน้ำชี้หน้าเพื่อนทั้งสองสลับไปมา

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

(ต่อ)

“ไอ้เชี้ยเฟรม แม่มึงมาสอดแนมอีกแล้ว เชี้ย!! อย่างกับปาปารัสซี่!!” ไอ้ไอซ์ที่วิ่งแทรกทุกคนเข้ามากลางวงสนทนาจนลืมไปว่าต้นน้ำอยู่ข้างๆเฟรมพี่ชายฝาแฝดของเขา

“พวกมึงมีอะไร ปิดบังกูอีกแล้วใช่ไหม!!??” ต้นน้ำชี้หน้าครบทุกคนโดยพร้อมเพียง

“ปล่าวว!!” ไอซ์ผู้มาใหม่ตอบเสียงสูง

“ชัวร์สัด เล่ามาให้หมด!!” ต้นน้ำตบโต๊ะเสียงดัง แต่โชคดีดีที่ทั้งปาร์ตี้ทุกคนต่างโหวกเหวกโวยวายกันทุกโต๊ะเลยไม่มีใครสนใจพวกเขา

“กูว่าอย่าปิดมันเลยดีกว่า” ไอซ์หันไปหาคนเห็นด้วยจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคน

เฟรมกับต้นกล้ามองหน้ากันด้วยท่าทีเหนื่อยใจ พวกเขาผ่อนลมหายใจออกพร้อมกันและพยักหน้าให้ไฟเขียวไอซ์เป็นคนเล่า

“ขอบใจว่ะ เชี้ย!! กูแม่งจะอกแตกตายมึงก็รู้ว่ากูเก็บความลับไม่เก่ง!!” ไอซ์ยิ้มอย่างโล่งอก

“แน่ใจ กูว่ามึงปิดเก่งอยู่นะ อย่างเรื่องของมึงกับไอ้พี่นีโน่นั่นไง!!” ต้นน้ำกล่าวขัดด้วยสีหน้ายียวน

“มึงจะให้กูเล่าให้ฟังไหม?” ไอซ์ตาเขียวใส่ไอ้เพื่อนช่างขัด

“นี่มึงยังไม่เล่าให้มันฟังอีกเหรอ?!?” ต้นกล้าแทรกขึ้นมา

“จะเล่าทำไมกูว่ามันรู้อยู่แล้ว แต่แกล้งแหย่ให้กูเฉลยอยู่นั่นแหละ อย่าลืมว่าพี่ไห่สนิทกับพี่โน่จะตาย และเรื่องของพวกมึงกูว่ามันก็น่าจะรู้อยู่แล้ว!” ไอซ์หันไปทางไอ้คนปากดีอย่างไอ้ต้นกล้า

“เออ! กูรู้อยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจเลย เลยอยากให้มึงเล่าให้ฟังเองน่ะ” ต้นน้ำพูดขึ้นพลางยกแก้วเครื่องดื่มสีใสปนเหลืองอ่อนกรอกเข้าปาก

“อ้าววว!!” เฟรมและต้นกล้าเหวอพร้อมกัน

“นั่นไง! กูว่าแล้วว่าไอ้น้ำมันรู้อยู่แล้วว่า มึงสองคนแอบคบกัน!” ไอซ์พูดยืนยันและยิ้มว่าสิ่งที่เขาเดาไว้ถูกต้อง

“ก็พวกมึงเปลี่ยนไปน่ะ เมื่อก่อนกูก็แค่สงสัยนะว่าทำไมไอ้ต้นกล้ามันถึงยอมมึงคนเดียวทั้งๆที่แม่งโคตรจะเอาแต่ใจ โค้ชด่ามันยังไม่กลัวเลย แต่พอแค่มึงค้อนใส่ แม่งกลัวเยี่ยวจะราด และยิ่งหลัง ๆ มึงแม่งหายไปด้วยกันบ่อย ๆ ไหนจะเพจ ‘ดาวจะแฉ’ นั่นอีก ถึงจะเป็นชื่อย่อ ถึงจะเบลอหน้ายังไงกูก็จำพวกมึงได้นะเพื่อน แต่กูแต่ไม่รู้ว่ามันยังไง เมื่อไหร่เท่านั่นแหละ”  ต้นน้ำเล่า

“เรื่อง….นั้น….เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ห่วงเรื่องยัยนั่นแหละ เพราะกูแค่รู้สึกไม่ใช่แล้วก็เลย…..ต้องรีบปล่อยมือ…” เฟรมพูดด้วยเสียงอันอ่อนเบา มีความรู้สึกผิดในน้ำเสียง

“มึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่า หากยัยพี่นิ่มยังมีนิสัยแบบนี้อยู่ สักวันพวกมึงจะไปกันไม่รอด… ก็ไม่น่าเชื่อนะที่มึงจะเป็นคนบอกเลิกก่อน กูนึกว่ายัยพี่นิ่มจะบอกเลิกก่อนเสียอีก ตามนิสัยของเธอล่ะนะ มึงที่อุตส่าห์จีบจนติดได้เนี่ย กูละยอมใจมึงเลย ผู้หญิงแบบนั้น” ต้นน้ำส่ายหน้าพอเล่ามาถึงจุดนี้

“เอาไงดี?” ต้นกล้าเอ่ยขึ้น

“กูรู้!” ต้นน้ำยืนขึ้น

“ยังไง?!?” เฟรมเงยหน้าขึ้นถาม

“นี่ไง”! ต้นน้ำชูแก้วขึ้นและหันไปทางเพื่อนทั้งลาน

“พวกมึง ไอ้เฟรมกับไอ้ต้นกล้า พวกมันแอบคบกัน!!” ต้นน้ำตะโกนลั่นร้าน

“ไอ้เชี่ยน้ำ!! มึงทำเชี้ยอะไร?!?” เฟรมลุกขึ้นดึงชายเสื้ออีกฝ่ายให้นั่งลงแต่ยังไม่ทันที่ต้นน้ำได้นั่งลงเสียงของคนทั้งลานก็ตะโกนกลับมาโดยพร้อมเพรียงกัน

“พวกกูรู้แล้ว!!”

“หา?!?!” เฟรมและต้นกล้ามีสีหน้าที่ตกใจปนแปลกใจ โดยมีสายตาเจ้าเล่ห์และแสบสันต์มองมาที่พวกเขาจากต้นกล้า

“พวกกูรู้กันหมดแหละ แต่แค่ไม่พูด!! ดังนั้นมึงไม่ต้องกังวลอะไร ทุกคนลงความเห็นว่า ไอ้เฟรม! มึงควรจะเลิกกับพี่นิ่มตั้งนานแล้วสัด!! ทั้งคณะไม่มีใครชอบเลย อยู่กับยัยพี่นิ่ม มึงมีแต่ความทุกข์ พวกกูเข้าใจและเป็นกำลังใจให้ดังนั้น …… เปิดตัวไปเลย ไม่ต้องสนใจ พวกกูโอเค!!” ต้นน้ำเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิททั้งสองคน ในขณะที่คนทั้งลานต่างชูแก้วขึ้นมาและยิ้มให้

เฟรมและต้นกล้าต่างมองตากันและสื่อสารกันโดยไร้คำพูด ทั้งสองต่างข่มตาลงพักใหญ่ก่อนที่จะหันมองกันอีกครั้ง เฟรมเอื้อมมือไปจับมือของต้นกล้าที่สั่นและเย็นเยียบ

“แต่พ่อกูฆ่ากูแน่!!” ต้นกล้าเอ่ยขึ้น ต้นน้ำได้ยินก็เพิ่งนึกได้ว่าพ่อมันเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุ และการเลี้ยงลูกด้วยลำแข้ง ถึงต้นกล้ามันจะปากหมาใจนักเลง แต่ก็ไม่เคยเห็นมันนอกลู่นอกทางเลยสักครั้งเพราะพ่อมันดุมาก

“กูจะอยู่ข้างๆ มึงเอง กูมั่นใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปได้ ดูอย่างไอ้น้ำสิ มันยังให้แม่และครอบครัวคนจีนยอมรับได้เลย!” เฟรมบีบมือต้นกล้าแน่น เขาส่งสายตาที่เหมือนส่งพลังให้อีกฝ่ายก่อนที่จะโน้มตัวไปใกล้หน้าอีกฝ่ายจนกระทั่งหน้าของเฟรมและต้นกล้าชนกันสนิท

ต้นกล้าเม้มปากแน่นและคิดทบทวนร้อยแปดพันเก้ารอบแต่สุดท้ายแล้วพอเห็นสายตาที่แน่วแน่จากคนรักของตนก็ผ่อนลมหายใจออกและยอมแพ้กับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน

“เออ” ถ้อยคำสั้นๆ พร้อมโน้มศรีษะตนเองไปรับริมฝีปากสีชมพูของหนุ่มลูกครึ่งที่รอรับอยู่

จูบที่ดูดดื่มของทั้งสองท่ามกลางงานปาร์ตี้จบการศึกษา ที่ ๆ ทุกสายตาในงานเพ็งมองมาด้วยแววตาโล่งอกและแสดงความยินดี

ต้นน้ำที่เห็นช่วงเวลาสำคัญตรงหน้าเป็นโอกาสเอาคืนรุ่นพี่อดีตดาวมหาวิทยาลัยอย่าง ‘นิ่ม’ ก็หยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพเป็นวิดีโอ และแชร์ใส่เพจ  ‘ดาวจะแฉ’ ทันที พร้อมแคปชั่น ‘ประกาสเปิดตัวคู่รักคู่ใหม่ที่หลายคนอิจฉา ไปติดตามความฟินต่อจากนี้ที่เฟสบุ๊คส่วนตัวของพวกเขานะครับ’

(เรื่องนี้ดังไปทั่วมหาวิทยาลัยข้ามปีเลยทีเดียว)

ต้นกล้าทันทีที่เห็นก็โวยวายและวิ่งไล่เตะต้นน้ำทั่วปาร์ตี้ โชคดีที่เฟรมและไอซ์ห้ามทัน

“พ่อมึงไม่เล่นโซเชี่ยลนะ จะกลัวทำไม” เฟรมทักขณะกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

“แต่ลงเพจดังขนาดนี้ มันต้องมีป้าข้างบ้านมาฟ้องชัวร์” ต้นกล้าเขย่าไหล่ตนเองและพยายามโวยวายเหมือนเด็ก

“ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีนะมึง จะได้เปิดตัวกับพ่อมึงเลย” ต้นน้ำพูดขึ้นในระยะที่มือเท้าต้นกล้าเอื้อมไม่ถึง เพราะตอนนี้ต้นกล้าวาดมือวาดเท้าไปทางต้นน้ำอย่างไม่ลดละ

“ใจเย็นๆ กูเห็นด้วยกับไอ้น้ำนะ เดี๋ยวถึงเวลาพวกกูจะช่วยเอง” ไอซ์ที่พยายามร่วมมือกับพี่ชายจับคนรักของเขาพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ใช่กูก็เห็นด้วย เราจะปิดพ่อมึงได้นานสักเท่าไหร่วะ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้นสักวัน วันนี้เราเรียนจบแล้ว เดี๋ยวก็มีงานทำดูแลตัวเองได้ พ่อมึงต้องเข้าใจสักวัน”

“แม่ง… พวกมึงก็พูดง่าย… มึงไม่ได้รู้จักพ่อกูดีสักคน… อีกอย่างกูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูเป็นเกย์หรือเปล่า กูนึกภาพกูจูบผู้ชายคนไหนไม่ได้เลยนอกจากไอ้เฟรม มันเป็นคนเดียวที่กูรู้สึกแบบนี้” ต้นกล้าบ่นพึมพำแต่ก็สงบลงบ้างแล้ว

“เรื่องนี้กูโคตรเข้าใจ กูก็เหมือนกัน หากไม่ใช่พี่ไห่กูก็ทำแบบนั้นกับใครไม่ได้ว่ะ กูแค่รู้สึกความรักมันไม่มีพรมแดนหรือนิยามอะไรนะ กูว่าสักวันพ่อมึงต้องเข้าใจ” ต้นน้ำเดินมาใกล้อีกฝ่ายและตบบ่าเพื่อนของเขาเบาๆ

“เออ! กูข้องใจมานานแล้ว ระหว่างมึงสองคนใครขึ้นใครวะ!!” ไอซ์พูดขึ้นหลังปลดล็อกความลับระหว่างสองคนนี้แล้วเรียบร้อย เรื่องที่เขาสงสัยจนแทบอกแตกในที่สุดก็จะได้รับการเฉลยเสียที

“เอ่อ… เรื่องนั้น… พวกกู… ยังไม่เคย…” เฟรมที่กำลังคิดว่าจะตอบคำถามน้องชายฝาแฝดตัวเองดีไหม พูดกระท่อนกระแท่นเสียงค่อย

“เชี้ย!!” คำอุทานของสองหนุ่มเพื่อนซี้ที่เหลืออย่างต้นน้ำและไอซ์อุทานขึ้นพร้อมกัน

“หื่นๆ อย่างไอ้กล้า ประสบการณ์เยอะอย่างไอ้เฟรมเนี่ยนะ ไม่ได้ฟังจากปากมึงนี่กูแทบไม่เชื่อเลยนะ” ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้หลังจากเสียงดังเมื่อครู่ทำให้เพื่อนๆโต๊ะข้างๆ ออกอาการอยากเผือก ต้นน้ำเลยจัดการโบกมือบอกเพื่อนว่าไม่มีอะไร เพื่อให้ทุกคนกลับไปฉลองที่โต๊ะของตัวเอง

“สัด! เห็นแบบนี้กูยังจิ้นนะมึง!! กูไม่รู้จริงว่ะว่ามันจะเริ่มจริงๆ ยังไง แล้วแบบไหนมันจะเหมาะ คือกูยังไม่กล้าจริงๆ!” ต้นกล้าผ่อนสมหายใจแสดงสีหน้ากังวล

“คือกูก็ไม่เคยกับผู้ชายเว้ย!! แม้มึงจะพยายามอธิบายแล้วก็เหอะ แต่ก็ต้องใช้เวลาว่ะ เรื่องแบบนี้!!” เฟรมมองหน้าน้องชายด้วยแววตาจริงจัง พลางยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักที่เพิ่งเปิดตัวหมาดอย่างอ่อนโยน

ต้นกล้าที่แสดงความอายออกทางสีหน้าพยายามใช้มือปิดสีเลือดบนใบหน้า เป็นอากัปกิริยาที่ต้นน้ำกับไอซ์ไม่เคยเห็นมาก่อนจนแอบคิดตรงกันว่า ‘อยากแกล้งฉิบหาย’ พวกเขารู้ความในใจที่สื่อออกจากสายตาอีกฝ่ายออกเนื่องจากเป็นเพื่อนกันมานาน

“หยุดเลยพวกมึง!!”  ดูเหมือนจะมีคนรู้ทันสายตาของพวกเขา เฟรมรีบขึ้นเสียงดุใส่

“เออๆ ไม่สนุกเลย!!” ต้นน้ำเห็นเฟรมออกโรงปกป้องอีกฝ่ายจนเขาหมดอารมณ์ที่จะแกล้ง ไอซ์ที่รู้จักนิสัยจริงจังของพี่ชายตนเองดี ก็เลยขอตัวไปสนุกกับเพื่อนโต๊ะอื่นต่อ

แต่จากท่าทางของทั้งเฟรมและต้นกล้า ทำให้ต้นน้ำเองก็พอจะรู้แล้วว่าใครจะเสร็จใครจึงได้แต่ยกเครื่องดื่มที่เหลือในแก้วเข้าปาก และมองคนหน้าด้านหน้าทนอย่างไอ้ต้นกล้า เสียอาการอยู่ตรงหน้าอย่างสุขใจพลางคิดหาทางแกล้งไอ้สองคนนี้วันหลัง

“มึงลองไปปรึกษาพ่อมึงสิ กูว่าในค่ายทหารก็ต้องมีแบบนี้บ้างล่ะ?” ต้นน้ำเหมือนจะห้ามปากตัวเองไม่อย

“หยุดเลยมึง!!” เฟรมชี้หน้าต้นน้ำ ส่วนต้นน้ำก็ทำท่ารูปซิปสมมติที่ริมฝีปาก

ไม่นานจากที่ภาพชุดนั้นโพสต์ลงเฟซบุ๊คและถูกแชร์ออกไปโดยบรรดาเพื่อนๆ ในคณะฯ จนกระทั่งยอดแชร์เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เสียงหวีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังมาจากหน้าร้านไกลๆ ต้นน้ำมองไปทางต้นเสียงและยกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ และหันกลับไปมองคู่รักที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมยักคิ้วให้อีกหนึ่งครั้งทิ้งท้าย ก่อนที่ล่าถอยออกมาจากโต๊ะและให้เฟรมนั่งปลอบใจต้นกล้าที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเขากับพ่อของเขา

……………….

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ก็นะ พยายามเขียนปิดทุกปมที่ผูกไว้เยอะจนลืม 5555+
ใกล้จบเสียแล้ว แต่ก็เขียนเผื่อตอนพิเศษไว้ด้วยครับ ด้วยความคันมืออยากเขียนเรื่องของคนอื่นๆ ในแก๊งด้วย ก็เลยพยายามจะปิดปมของทุกคนให้หมดนะครับ
ขอบคุณสำหรับนักอ่านทุกท่าน

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

……………….

เสียงร่ำลาในยามเที่ยงคืนดังไปทั่วร้าน สภาพร่างกายหลายๆ คนกลายเป็นคนละคนกับช่วงหัวค่ำชัดเจน เด็กคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คือ ที่สุดของการจัดปาร์ตี้ คนที่เบาที่สุด คือคนที่พอจะประคองตนเองให้ยืนและเดินอยู่ได้ บางคนยืนกอดคอกับเพื่อนร้องห่มร้องไห้เสียจนใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำตา บางคนที่อาการหนักหน่อยก็สิ้นสติสลบฟุบหมอบคาโต๊ะที่เต็มไปด้วยคราบเหล้าและอาหารที่เหลืออยู่ บางคนถึงขั้นโอบกอดพูดคุยกับโถชักโครกอย่างหมดแรง และที่หนักที่สุดน่าจะเป็นคนที่โวยวายว่าตัวเองไม่เมาขออยู่กินดื่มต่อทั้งๆที่หมดเวลาตามที่ตกลงกับทางร้านไว้ คนแบบนี้แหละน่าจะเป็นพวกที่เมาที่สุด และหนึ่งในสามคนที่เป็นแบบนั้นคือ ต้นน้ำ ต้นกล้า และไอซ์ สามทหารเสือที่เป็นแบบนี้ทุกงาน ไม่สว่างไม่สงบ

เนื่องจากทางร้านต้องรีบเคลียร์ทำความสะอาดร้านเพื่อเปิดบริการในตอนเช้า จึงต้องปิดตรงเวลา จินไห่ที่ไม่ขอเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยถึงกับอดสงสารลูกน้องตัวเองไม่ได้ เพราะสภาพต่างจากพายุพัดผ่านนิดเดียว

“เฟรม แล้วเพื่อนกลับยังไงกัน?” จินไห่ที่เห็นสภาพเพื่อนของแฟนตัวเองก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ หากบ้านของเขากว้างใหญ่พอก็จะขอให้นอนพักมันเสียที่นี่ทั้งหมดนั่นแหละ

“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไอ้พวกนี้มันไปเช่าห้อง ที่โรงแรมแถวนี้แล้วครับ เผื่อจะไปต่อกันที่ห้อง ส่วนคนไม่ไหวก็จะได้ไม่ต้องเดินทาง พวกผมมีประสบการณ์รับมือเรื่องแบบนี้เป็นปกติครับ” เฟรมตอบด้วยน้ำเสียงปกติพลางพยายามดีงสติคนรักตัวเองให้สงบสติอารมณ์หน่อย ต้นกล้าแม้จะดูห้าวจนแทบไม่ฟังใคร แต่พอรู้ว่าใครกำลังใช่มือโอบรอบท้ายทอยตัวเองอยู่อย่างแรงก็แทบจะกลายเป็นเด็กห้าขวบที่เชื่อฟังบิดาตนเองก็ไม่ปาน ต้นกล้าหยุดโวยวายและยืนโอนเอนไปมาด้วยฤทธิ์น้ำเมาอย่างสงบ

“ไอ้เชี้ย…กล้า ไอ้อ่อน แค่นี้ก็กลัวผัว ดูพี่เป็นตัวอย่างไอ้น้อง พี่ไห่ ผมขอไปต่อกับเพื่อนนะ!” ต้นน้ำเดินโซเซมาตบบ่าต้นกล้าที่เงียบสงบ และหันไปหาจินไห่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“ก็ไปสิ แล้วก็ไม่ต้องกลับมานอนที่นี่สักสัปดาห์หนึ่ง โอเคไหม?” จินไห่พูดด้วยสีหน้าเครียดแต่ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคนรักวัยรุ่นผิวสีแดงอย่างกับผลมะเขือเทศไปทั้งตัว

“คราบบบบ” ต้นน้ำตอบลากเสียง

“ไอ้สัด!! ว่าแต่กู กลัวเมียนี่หว่า!!”  ต้นกล้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาสมเพช

“เขาห่วงกูโว้ย!!” ต้นน้ำตอบกลับด้วยใบหน้ายียวน

“พอๆ กลับกันได้แล้ว” เฟรมเหนื่อยกับไอ้พวกปากกล้าพวกนี้เลยขอยุติการต่อล้อต่อเถียง เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้มันโอ่ใส่กันเมื่อไหร่ก็ยาวเมื่อนั้น

“คร๊าบบบ” ต้นกล้าเลียนแบบเพื่อน

“ล้อเล่นกูเหรอ สาดดด” ต้นน้ำเหวี่ยงใส่

“ต้นน้ำ พอได้แล้ว ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่ต้องช่วยน้องๆ เก็บร้าน เกะกะ!!” จินไห่ดุใส่

“คร๊าบบบบบ” ต้นน้ำพูดเสียงเดิมอีกครั้งและยอมเดินกลับบ้านแต่โดยดี ก่อนจากได้แต่ชักสีหน้าใส่ไอ้ต้นกล้า ที่ดูเหมือนจะอ้อนเฟรมให้ไปต่อกับเพื่อนๆได้


…………….

จินไห่ที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำความสะอาดใหญ่ในร้านอาหารที่เสมือนเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เศษอาหารที่กระจัดกระจายเต็มพื้นที่และจานชามที่ไปอยู่ในที่ไม่ควรจะอยู่นั้นมากมายจนเก็บแทบไม่หมดในหนึ่งชั่วโมง

จินไห่ได้แต่เอ่ยปากบ่นไประหว่างทำงานไปด้วย และขอโทษลูกน้องที่มาทำงานนอกเวลาให้กับเขาไปด้วย

ทีมงานในร้านของจินไห่นั้นนิสัยดีทุกคน ไม่มีใครบ่นหรือตำหนิลูกค้าเลย มีแต่ช่วยปรามเจ้านายให้ใจเย็นๆ มากกว่า

นาฬิกาที่แขวนที่ฝาบ้านบอกเวลาว่าเลยตีสองมาเกินครึ่งทางแล้ว วันนี้เป็นวันที่เขาทำงานดึกที่สุดเท่าที่เคยทำมา ร้านนี้ถูกเหมาร้านจัดแบบนี้ค่อนข้างบ่อย แต่ปาร์ตี้วันนี้ถือว่าหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เขาเคยจัดมาแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันช่วยเพิ่มสีสันในชีวิตให้กับเขาไม่น้อย พลางนึกถึงวีรกรรมห่ามๆ หลากหลายที่เกิดขึ้นวันนี้ ทำให้อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เด็กสมัยนี้จัดปาร์ตี้ได้สุดเหวี่ยงกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากโข

จินไห่พาร่างที่เหนื่อยล้าเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างช้าๆ พลางตรวจสอบความเรียบร้อยในบ้านไปด้วยเพราะต้นน้ำที่เทน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าร่างกายแบบเต็มที่ได้เข้ามาในบ้านก่อนเขา

สภาพภายในบ้านยังคงเรียบร้อยดี บ้านยังคงเป็นระเบียบเช่นเดิม เขามองรอบๆด้วยความชื่นชมเพราะหลังจากปรับปรุงบ้านล่าสุดจากฝีมือการออกแบบของต้นน้ำ ก็ทำให้บ้านน่าอยู่และดูดีขึ้นมาก เขาอดที่จะภูมิใจกับความเก่งของแฟนตัวเองไม่ได้

ความสุขและความอบอุ่นในใจบังเกิดขึ้นมาและเอ่อล้นมาทางใบหน้าที่ชื่นมื่นท่ามกลางแสงสลัวภายในบ้านที่ออกแบบมาในสไตล์ที่เขาเห็นชอบ

จินไห่เดินมาถึงหน้าห้องที่เงียบสงัด ไร้เสียงใดๆ แทรกผ่านประตูออกมา ความมืดสลัวได้แวดล้อมเขาไว้ ไม่มีแสงใดๆเล็ดลอดออกจากห้องนอนของเขา จินไห่บิดลูกบิดรูปตัวแอลอย่างช้าๆ และเงียบที่สุด

ภายในห้องที่ไร้แสงสว่างใดๆ จากเครื่องกำเนิดแสงไฟฟ้าทุกชนิด มีเพียงแสงสว่างจากเทียนอโรม่าขนาดใหญ่ กลิ่นวนิลาและไม้ธีกวู๊ดที่จินไห่ชื่นชอบ ห้องตอนนี้เลยอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมของเทียนแทนที่กลิ่นจากแอลกอฮอล์ ต่างจากที่จินไห่คิดไว้มาก

จินไห่มองไล่ไปที่เตียงนอนขนาดคิงไซส์ ที่ถูกออกแบบให้มีความสูงไม่เกินหนึ่งฟุต สายตาปรับกับแสงสว่างของห้องได้แล้วของเขา มองเห็นเงาร่างที่นอนเปลือยอกห่มผ้าไว้เพียงถึงเอว แสงเทียนที่พริ้วไหวไปตามแรงลมของเครื่องปรับอาการที่ถูกฝังไว้บนเพดานตามการออกแบบของคนที่นอนอยู่ ทำให้เห็นรูปร่างของลอนกล้ามเนื้อเนียนตั้งแต่เนินอกจนถึงท้องน้อย

จินไห่ยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนที่กวาดตามองไปรอบห้องที่เสื้อผ้าของชายที่นอนหลับสนิทตรงหน้าต่างกระจัดกระจายไปทั่วห้องอย่างไร้ระเบียบเหมือนเคย จินไห่ส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำออกมา

‘เกือบดีแล้วนะ แต่อย่างน้อยก็อาบน้ำเรียบร้อยล่ะนะ’

หลังจากเก็บห้องและอาบน้ำชะล้างความเหนื่อยล้าออกไปเรียบร้อย จินไห่มองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงที่บอกเวลาว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องลุกไปซื้อวัตถุดิบเสียแล้ว จินไห่รีบล้มตัวลงนอนทันที และตั้งใจว่าจะรีบนอนให้เร็วที่สุด จินไห่คิดในใจว่าช่างโชคดีที่ไอ้คนขี้หื่นข้างๆ หมดฤทธิ์ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงลุกไปตลาดเช้าไม่ไหวแน่ๆ

หมับ!!

ความคิดว่าโชคดียังไม่ทันจะสิ้นสุดดี มือใหญ่หยาบข้างหนึ่งโน้มลงมารวบรอบตัวเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว จินไห่ตกใจจนตัวโยนเกือบขยับออกจากที่นอน โชคดีที่มือนั่นยังรวบแน่นไว้ จึงไม่ขยับไปไหนไกล

“ผมรอตั้งนาน” เสียงงัวเงียดังขึ้นไม่ไกล

“เฮ้ย! ทำไมยังไม่นอน?” จินไห่พยายามขยับหนี

“ก็รอฉลองกับพี่!” ต้นน้ำรวบตัวอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม

“ฉลอง?!?” จินไห่จินตนาการถึงคำนี้ไม่ออกว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง และตั้งใจว่าจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น

เพียงแค่ชั่ววูบหลังจากประโยคในความคิดเรียบเรียงเสร็จ ปากของจินไห่ที่กำลังจะเอ่ยดุแฟนบัณฑิตจบใหม่ ที่มีอารมณ์อย่างว่าแบบไม่รู้จักเวลา ช่องปากของเขาก็ถูกอุดด้วยริมฝีปากอีกฝ่าย ต้นน้ำเล้าโลมด้วยลิ้นที่อ่อนชุ่มอุ่นและริมฝีปากที่ขบและคลอเคลียริมฝีปากของจินไห่อย่างร้อนแรง เสียงของจินไห่จึงออกมาเพียงอู้อี้เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นจินไห่ก็พยายามที่จะไม่ขัดขืน เขาพยายามฝืนไม่ให้ลิ้นและริมฝีปากของอีกฝ่ายมีโอกาสรุกล้ำเข้ามามากกว่านี้ พร้อมพยายามฝืนตัวแข็งขืนไม่ให้อีกฝ่ายรวบกอดเขาโดยง่าย แต่ถึงจะพยายามอย่างหนักแต่ก็สู้กระทิงหนุ่มผู้เร้าร้อนไปด้วยไฟราคะไม่ได้

ลมหายใจที่อุ่นอ้าวปะปนไปด้วยกลิ่นสุราหลากหลายแบบในปาร์ตี้ถูกป้อนอัดเข้าช่องปากและจมูกอย่างต่อเนื่อง กลิ่นมันรุนแรงจนเหมือนกับแต่สูดอากาศเข้าปอดก็สามารถทำให้เมามายได้ ไม่รู้ว่าไอ้กระทิงเปลี่ยวตรงหน้าทำไมถึงยังมีแรงมหาศาลได้ขนาดนี้

ยิ่งเล้าโลมนานไปเท่าไหร่ ต้นกล้าก็ยิ่งดุดันมากขึ้น สวนทางกับจินไห่ที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงทั้งความเหนื่อยล้า และแรงอารมณ์ใคร่ที่ถูกพัดโหมจนแทบจะไหม้ตายคาอกอีกฝ่าย

ไม่เกิน สิบนาที จินไห่ก็อ่อนแอ…..

จินไห่คล้อยตามการนำของต้นน้ำอย่างช้าๆ ค่อยๆ ปล่อยตัวเองไปตามจังหวะมือและริมฝีปากของอีกฝ่าย จนในที่สุดเสื้อผ้าของเขาก็หลุดร่อนออกจากร่างกายเหมือนผีเสื้อที่ค่อยกางปีกออกจากดักแด้อย่างช้าๆ รูปร่างที่ลีนเป็นลอนกล้ามตามธรรมชาติ ผิวที่ขาวเนียนท่ามกลางแสงเทียนสะท้อนจนเหมือนเรืองแสงออกมา ทำให้ต้นน้ำแทบจะหยุดหายใจกับความงามตรงหน้า เขาไม่เคยติดเลยว่าเขาจะปรารถนาผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ จนเขาไม่สามารถอดใจที่จะวาดมือตนเองไปตามเรือนร่างด้านล่างตนเองไม่ได้

จินไห่ที่ถูกลูบไล้ด้วยความอ่อนโยนด้วยมือที่หยาบใหญ่แต่กลับทำให้เขารู้สึกกระสันต์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกเพียงพอกับการแค่ได้สัมผัสจากอีกฝ่าย กลับกันยิ่งทำแบบนี้ เขายิ่งรู้สึกต้องการอีกฝ่ายมากขึ้นจนแทบอดกลั้นใจตนเองไม่ไหว หัวใจที่กลางอกมันเต้นแรงจนเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หน้าอกของเขาเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งได้มองคนด้านบนที่มองเขาด้วยสายตาเสือที่จ้องพร้อมขย้ำเหยื่อ มันแวววาวสั่นไหวตามแสงเทียนยิ่งทำให้เขาหมดสิ้นความอดกลั้น ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเริ่มก่อนเลยสักครั้ง เพราะจินไห่อายกับการแสดงออกกับเรื่องแบบนี้ แต่วันนี้มันเหมือนถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เขาพร้อมจะโยนตัวเองออกจากกรอบที่เขาล้อมไว้ เขาโยนมือข้างหนึ่งมาจับท้ายทอยคนด้านบนและบังคับให้อีกฝ่ายโนบตัวลงมาให้เขาใช้ลิ้นร้อนสัมผัสที่ใบหูพลางกระซิบ

“รีรออะไรอยู่ เอาเข้ามาเสียทีสิ พี่จะไม่ไหวแล้วนะ!!”

ต้นน้ำอมยิ้มและหัวเราะในคอคิดในใจได้เพียงคำว่า ‘น่ารัก’ สักล้านคำในเสี้ยววินาทีนั้น และเขาก็ไม่รอที่จะปฎิบัติการขั้นถัดไปทันที

ต้นน้ำล้วงบางอย่างที่ใต้หมอน ถุงยางและเจลหล่อลื่นอยู่บนมือเขาเหมือนต้นน้ำมีกระเป๋ามิติที่สี่ ของแมวแห่งโลกอนาคตอยู่ใกล้มือ ต้นน้ำจัดการแกะซองฟรอยสีเงินวาวขนาดพอดีมือจับแผ่นกลมที่มีกลิ่นหอมลงสวนจุดกระสันต์จนสุดความยาว จินไห่มองกี่ครั้งก็ทึ่งกับของชิ้นนี้ที่มีขนาดกระทันรัดแต่สามารถสวมลงชิ้นส่วนขนาดไม่ธรรมดาของเด็กนั่นได้อย่างพอดิบพอดี

อืม…

จินไห่เผลอครางในลำคอเพราะไม่ทันตั้งตัวที่ถูกของเหลวเย็นเยียบและลื่นข้นสัมผัสปราการด่านหลังของตนอย่างชำนาญ

ต้นน้ำไม่รอช้า เข้าค่อยๆ สอดนิ้วชี้ลงไปที่ช่องแคบนั่นอย่างช้าๆ ขยับมือเข้าออกพอให้จินไห้ส่งเสียงแปลกๆ ในลำคอออกมา พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็ค่อยเพิ่มจำนวนนิ้วเป็นสอง เป็นสาม จนจินไห่ร้องอย่างเจ็บปวด

“โอ้ย!! ทำไมวันนี้รีบจัง!!” จินไห่โวยด้วยเสียงอันแตกพร่า

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว ผมขอล่ะนะ”สิ้นประโยค ต้นน้ำจับอีกฝ่ายยกขาสูง ใช้บ่าของเขาเองวางขาขาวๆของคนเบื้องล่างอย่างเหมาะเจาะ ต้นน้ำใช้อาวุธประจำกายค่อยๆเบียดบดช่องแคบเบื้องล่างอย่างยากเย็น ขั้นตอนนี้ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เขาก็ไม่กล้าที่จะทะลวงเข้าไปเลยสักที อย่างไรเขาก็เป็นห่วงคนเบื้องล่างอย่างมาก เพราะหน้าตาของจินไห่ตอนนี้มันมันทำให้เขารู้สึกอยากจะหยุดทุกอย่างเสียตอนนี้ แต่อีกใจหนึ่งมันก็มีความต้องการค้ำคออยู่

“เอาเลย…พี่ไหว…” จินไห่พยักหน้าพูดเสียงสั่น

ช่วงที่พูดนั้น ส่วนยอดของต้นน้ำได้เข้าไปบ้างแล้ว ความอึดอัดและแน่นหน่วงทำให้ต้นน้ำตัดสินใจขยับสะโพกดันเข้าสุดแรง

ต้นน้ำสั่นไปด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นในขณะที่ที่จินไห่ กัดฟันที่จะไม่ร้อง ร่างสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวดแรกแปลบเข้าไปทั่วทั้งร่าง

ต้นน้ำที่เห็นดังนั้นจึงก้มลงโอบกอดอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“พี่โอเค….” จินไห่ตอบรับการพรมจูบของอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน

“เราค่อยๆไปพร้อมกันนะครับ” ต้นน้ำกระซิบกรอกหูจินไห่ด้วยเสียงที่แสดงถึงความรักและความต้องการอันท่วมท้น พลางขยับสะโพกอย่างช้าๆ จนกระทั่งคนเบื้องล่างเริ่มขยับตามจังหวะรักของต้นน้ำ และเริ่มออกเสียงที่บอกถึงความพึงใจออกและดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะที่เร่งขึ้นของต้นน้ำ

เมื่อต้นน้ำเห็นคนเบื้องล่างเริ่มหลุดไปสู่ความหฤหรรษ์ที่เขามอบให้แล้ว เขาจึงบรรเลงทุกกระบวนท่าที่เขาคิดอยากจะทำมานานแล้ว แต่ไม่กล้า เพราะหวั่นเกรงแฟนเขาคนนี้จะหวาดหวั่น แต่ด้วยอารมณ์ตอนนี้ของจินไห่ ต้นน้ำเดาว่าจะให้เขาทำอะไรตอนนี้น่าจะได้ทุกอย่าง เขาจึงไม่รอช้ารีบปฎิบัติกิจกามตามที่นึกไว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มย่องอย่างเจ้าเล่ห์และสุขใจ

……….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :hao6:
กลายร่างเป็นเสือหิวเสือโหยเชียว
 :hao3:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

แสงแดดยามเช้าที่พยายามแทรกตัวเจ้ามาผ่านผ้าม่านสีทึบที่ถูกออกแบบมาให้คนตื่นสายอย่างต้นน้ำหลับสบาย แม้จะผ่านการทัดทานจากจินไห่หลายครั้งหลายหน แต่ต้นน้ำก็มีวิธีโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเห็นด้วยจนได้ และสิ่งที่ทำให้ผ่านการอนุมัติจากจินไห่ก็คือลวดลายต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะการทอที่บางกว่าส่วนอื่น ทำให้ผ้าม่านที่ถูกแขวนบริเวณหน้าต่างทิศตะวันออก มีลวดลายที่ขีดเขียนโดยแสงธรรมชาติสวยงาม แม้จินไห่จะไม่ชอบห้องที่มืดเกินไปแต่ก็คงต้องยอม

เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ต้นน้ำตื่นก่อนอีกฝ่าย เขาเอนกายมองคนที่นอนกึ่งเปลือยข้างๆ อย่างสมใจ มีเพียงไม่กี่ครั้งที่จินไห่จะยอมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างเปลือยเปล่าแบบนี้ เพราะไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ดึกดื่นเพียงใด ยามเสร็จกิจรัก จินไห่จะลุกไปทำความสะอาดและแต่งตัวชุดนอนเต็มชุดเพื่อเข้านอน และไม่วายที่จะเคี่ยวเข็ญให้ต้นน้ำทำเหมือนกัน แต่เมื่อวานจินไห่คงเหนื่อยมากจนไม่มีแก่ใจทำกิจวัตร

แสงสลัวยามสายที่สองผ่านผ้าม่านทำให้เห็นผิวพรรณที่แดงเป็นจ้ำไปทั่วร่างผิวเนียนขาว ต้นน้ำเผลอเอามือไปไล้ลูบและพลางเอ่ยคำขอโทษอีกฝ่ายที่รุนแรงไปหน่อยเมื่อคืน แต่มันก็เป็นคืนหนึ่งที่ดีที่สุดของเขา  ไม่รู้ว่าอะไรทำให้จินไห่ยอมเขาทุกอย่างขนาดนั้น

หลังจากชื่นชมผลงานของตน ต้นน้ำที่เห็นอาการขนลุกของอีกฝ่ายก็ดึงผ้าห่มจากที่พาดถึงช่วงท้องดึงมาจนถึงช่วงคอให้อบอุ่นขึ้น โดยไม่รู้ว่าจินไห่รู้สึกหนาวหรือรู้สึกถึงกลิ่นอายความหื่นกระหายจากเขากันแน่

ต้นน้ำที่เปลือยเปล่าลุกขึ้นยืดเหยียดกาย กิจกรรมเมื่อคืนทำให้เขาเองก็เคล็ดขัดยอกไม่น้อย มีอาการเหมื่อยล้ากล้ามเนื้อขาไม่เบาเหมือนกัน ระหว่างที่กำลังเดินเหยียดกายไปทั่วห้องอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่ต้องการรบกวนคนขี้เซาบนเตียง (สงสาร) ดวงตาของเขาก็บรรจบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีน้ำเงินเข้มบนโต๊ะทำงาน จำนวนสองกล่อง เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนมันวางอยู่ตรงหรือไม่  เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน  ด้วยความอยากรู้จึงเดินไปเปิดดู แล้วเขาก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นแหวนเกลี้ยงฝังเพชรแบบพอดีวงอยู่ในกล่อง กล่องละวง การออกแบบเหมือนกันทั้งสองวง ด้านในของแหวนมีภาษาจีนสลักอยู่ ซึ่งเขาก็อ่านมันไม่ออก ในหัวมันสับสนไปหมด ขนาดของทั้งสองวง มีอยู่วงหนึ่งมันเล็กเกินกว่าที่เขาจะใส่ได้ และ จินไห่เองก็ไม่น่าจะใส่ได้ มันเหมือนแหวนไซส์ผู้หญิง!!

“เชี้ย!!!” ต้นน้ำคิดอะไรไม่ออกนอกจากอุทานออกมาเสียงดัง
มันมีอะไรที่เขายังไม่รู้อยู่อีกหรือ จินไห่ปิดบังอะไรเขาอยู่ ต้นน้ำวางกล่องทั้งสองลงที่เดิมอย่างบรรจง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำอะไรน่ะ” เสียงของคนงัวเงียบนเตียงดังขึ้น

“ไม่! ไม่มี อะไร” ต้นน้ำตอบด้วยอาการลนลานตกใจ

“……” คนบนเตียงนอนนิ่งไม่ได้ตอบอะไร แต่ต้นน้ำรู้สึกถึงการถูกจ้องมองจากบนเตียงนั้นจนต้องรีบกลับไปมุดผ้าห่มบนเตียงต่อ

ในขณะที่ต้นน้ำกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวจนสับสนวุ่นวายไปหมด เขารู้สึกได้หัวเขาร้อนจนควันแทบพุ่งออกจากหู จินไห่ที่นอนนิ่งมาได้พักใหญ่ จู่ๆก็ลุกพรวดขึ้นมาทั้งที่เนื้อตัวล้อนจ้อน

“เห็นแล้วสินะ?” จินไห่พูดขึ้นลอยๆ หลังจากมองไปที่โต๊ะทำงานในห้อง

“หะ….เห็นอะไร?” ต้นน้ำตีมึนและยังคงมุดศรีษะอยู่ในผ้าห่มผืนหนา

“ไม่อยากให้มาเจออะไรแบบนี้ตอนนี้เลย…” จินไห่เดินออกจากเตียงไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมานั่งข้างๆ คนที่มุดผ่าห่มอย่างอึดอัด

“……..” ในหัวของต้นน้ำตอนนี้คิดอะไรไปไกลมาก หรือนี่คือเหตุผลที่จินไห่สุดเหวี่ยงกับเขาเมื่อคืน หรือมันคือการทำเพื่อการลาจาก จินไห่ของเขา กำลังถูกจับคลุมถุงชน หรือมีใครมาล่อลวงพี่เขาให้แต่งงานด้วย

“คือ… เรื่อง….ของ… บนโต๊ะ พี่ ขอ…โทษนะ” จินไห่มีน้ำเสียงสำนึกเสียใจเจือปนจนต้นน้ำรู้สึกได้

“พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พี่จะทิ้งผมไม่ได้นะ ถ้าพี่จะแต่งงานก็ต้องแต่งกับผมนี่แหละ!!” ต้นน้ำลุกพรวดขึ้นมาโวยวายด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่จินไห่เคยเห็น

“เด็กโง่……. ที่พี่ขอโทษน่ะคือเรื่องขนาดแหวนน่ะ พี่ว่าทางร้านคงเข้าใจอะไรผิดมันก็เลยเล็กขนาดนี้…” จินไห่พูดไปหัวเราะในลำคอไป ด้วยความเอ็นดูคู่รักตนเอง และจบท้ายด้วยลั่นก๊ากออกมาลั่นห้อง

“หา?!?! อะไรของพี่น่ะ?” ต้นน้ำรู้สึกอายเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรออกบ้างแล้ว

“พี่เห็นว่าเราเรียนจบแล้วก็เลยอยากจะหาของขวัญให้น่ะ พี่คิดว่าแหวนวงนี้มันสวยดี พี่ชอบนะ ไม่รู้ว่าน้องชอบหรือเปล่า?” จินไห่ปาดน้ำตาที่ไหลออกมา น้ำตาจากเสียงหัวเราะเมื่อครู่ก่อนที่จะตอบและยื่นแหวนหนึ่งในสองวงให้อีกฝ่ายดู

“พี่ให้อะไรมาผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมพี่ต้องซื้อมาตั้งสองวง?” ต้นน้ำส่งสายตางอแงใส่อีกฝ่ายก่อนตอบ

“ก็เขาไม่ขายวงเดียว…..” จินไห่ตอบเสียงเบา

“ทำไมล่ะ?”

“ก็มันเป็นแหวนแต่งงาน เขาออกแบบเพื่อคนที่จะเข้าพิธี….. เขาเลยไม่ขายวงเดียว….”

“ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนๆ กันเนี่ยนะ!” ต้นน้ำชูแหวนวงนั้นขึ้นมาส่องพินิจในระยะใกล้อีกครั้ง มันก็ไม่มีอะไรพิเศษ มันก็เหมือนกับอีกวงทุกอย่าง (เท่าที่เห็น)

แหวนวงเกลี้ยงที่มีรอยลวดลายที่ขอบรอบวงอย่างเรียบง่าย บนแหวนฝังเพชรเม็ดขนาดพอดีกับแหวนอย่างปราณีตจนเกือบเป็นเนื้อเดียวกับแหวน สังเกตดีๆ จะเห็นลวดลายสีแดงสดอยู่ด้านในวงที่มองไกลๆ จะคล้ายเส้นไหมพรมที่แดงที่บรรจงฝังอยู่ภายใน แต่จริงๆ มันคือไพลินสีแดงเม็ดเล็กที่ฝังไว้ในตัวเรือนอย่างวิจิตร

“ใช่มันเหมือนกัน แต่ดูนี่สิ” จินไห่ตอบเสียงนุ่มและหยิบแหวนอีกวงหนึ่งออกมา จินไห่แบมือขอแหวนอีกวงจากต้นน้ำ หลังจากได้รับมันมาไว้บนมือ จินไห่ใช้นิ้วที่เรียวยาวบรรจงทาบแหวนทั้งคู่ขนานกันและเริ่มหมุนแหวนสองวงนั้นเบียดกันอย่างช้าๆ ผ่านไปพักหนึ่ง แหวนทั้งสองก็ประสานกันอย่างพอดี

“ว้าว.. มันทำแบบนี้ได้ด้วย!!” ต้นน้ำตื่นเต้นเมื่อเห็นแหวงวงนั้นใหญ่ขึ้นและเพชรที่ฝังอยู่ทั้งสองวงหมุนมาบรรจบตรงกันพอดี บ่งบอกว่างานฝีมือปราณีตขนาดไหน

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ” จินไห่กล่าวจบก็พลิกแหวนให้ต้นน้ำดูลวดลายด้านในที่เหมือนเส้นด้ายสีแดงหมุนวนและผูกติดกันอย่างพอเหมาะพอดี

“ด้ายแดง…… สวยดีนะ แต่พี่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?” ต้นน้ำมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแซวๆ

“ก็ไม่เคยเชื่อ… จนกระทั้งมาเจอต้นน้ำ” เสียงเรียบๆ และมีความหมายลึกซึ้งจากจินไห่ทำให้หัวใจต้นน้ำพองโตจนแทบระเบิด

“พูดเหมือนจะขอแต่งงาน” ต้นน้ำได้แต่หน้าแดง

“แล้วขอได้ไหมล่ะ” จินไห่ยิ้มหวานใส่


“ขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ ไม่ต้องขอแล้ว!!” ต้นน้ำยื่นมือข้างซ้ายให้จินไห่

จินไห่ยิ้มแล้วก็จัดการแยกแหวนวงสวยออกเป็นสอง แล้วบรรจงสวมลงนิ้วนางอีกฝ่าย แต่ก็สวมลงไปได้แค่ครึ่งทางเพราะแหวนมันเล็กเกินไป

“ฮะฮะฮะ เดี๋ยวพี่ไปปรับให้ใหม่ก่อนดีกว่า” จินไห่หัวเราะลั่น พร้อมกับต้นน้ำ

“งั้นผมขอสวมให้พี่ก่อนก็แล้วกัน แล้ว….ก็…… เราก็มาเข้าหอกันต่อเลยนะ!” ต้นน้ำดวงตาวูบวาบส่องประกาย พลางคว้าแหวนอีกวงมาสวมอีกฝ่ายอย่างพอดีพอเหมาะ หลังจากนั่นจินไห่ก็โดนสวมกอดอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจากต้นน้ำกดลงบนริมฝีปากเขาอย่างทะนุถนอม แม้ต้นน้ำจะไม่ได้ใช้แรงอะไรกดดันอีกฝ่ายมากมายแต่ด้วยอารมณ์พาไปทำให้ทั้งคู่กำลังทำพิธีเข้าเรือนหอกันอีกรอบในช่วงสายของวัน

……….

จบ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
สัปดาหหน้า ขอเพิ่ม บทเสริม

Hot and cold

นะครับ คันมืออยากเขียนเพิ่ม

โปรดติดตาม กันด้วยนะครับ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทเสริม

น้ำแข็งกับไฟ
Hot and Cold


“เชี้ยๆๆๆๆ” ผมสบถซ้ำไปซ้ำมา เมื่อรู้ว่าแผนการที่ตัวเองวางไว้ มันมีแต่ตัวแปรน่าผิดหวังกับทริปเกาะช้าง เกาะสวรรค์

“บ่นอะไรของมึงงึมงำๆ ไม่พอใจก็ออกไปนอนนอกห้อง!!” นีโน่ที่นั่งอยู่โซฟามุมห้องโวยออกมา

ผมที่ยืนถือข้าวของที่ถูกโยนออกจากห้องพักตนเองกับพี่กวี โดยฝีมือแฟนตัวจริงเสียงจริงอย่างไอ้พี่ชัย ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตนเองแบบนี้ ยิ่งต้องโดนไล่มานอนกับไอ้เตี้ยจอมเผด็จการนี่ยิ่งทำให้ใจรู้สึกห่อเหี่ยว

“ให้กูเดา…… แผนล่มสินะ….” ไอ้พี่นีโน่ปากสุนัขจรลั่นออกมาเสียงดังพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเตี้ยๆ ของมัน ใครจะไปคิดว่า การได้ใกล้ชิดกับพี่กวีเป็นของแถมแบบนี้จะถูกขัดโดยไอ้ตี๋หน้าหล่ออย่างไอ้พี่ชัยแฟนของพี่กวีที่อยู่ๆก็โผล่มา

ส่วนผมที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ทำได้เพียงเก็บของต่างๆ เข้าที่และเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่กำลังที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นขวดวิสกี้ทรงเหลี่ยมพาดด้วยกระดาษสีฟ้าเข้ม และโลโก้รูปคนเดิน ‘เฮ้ย พ่อจอห์นนี่ นี่นา’ ผมคิดในใจด้วยความเปรี้ยวปาก วิสกี้ที่ได้แต่มองอยู่บนหิ้งของแม่ตัวเองที่บ้าน กลับมาอยู่ต่อหน้านี้แล้ว

“เอาหน่อยไหม?” คนที่นั่งจิบออนเดอะร๊อคเงียบๆ เอ่ยชวน

มีหรือว่าผมจะสนใจว่าใครจะเป็นคนชวน แม้จะเป็นอริกันมาแต่ปางก่อน แต่คนเรามันจะปรองดองกันได้ด้วยน้ำเมาที่เลิศรสนี่แหละ

หลังจากหาคำให้ตัวให้กับตนเองในหัว ผมก็รีบพาตัวเองไปนั่งใกล้ๆ และหยิบแก้วที่คว่ำอยู่ไม่ไกลขึ้นมาวางเตรียมพร้อม

“กูไม่นึกว่ามึงจะมาจริงๆ มารยาทน่ะรู้จักไหม มึงควรจะปฏิเสธนะ” ไอ้คุณพี่นีโน่ที่ตอบได้กวนเบื้องล่างจนอยากจะเอาทาบหน้าสักที กวนกันไม่หยุดแบบนี้ ถึงจะแก่กว่าก็ไม่สนใจ พร้อมจะวิวาทนะโว้ย

ผมทำนิ่วหน้าตอบไปทันที
“ขี้เหนียวว่ะ” ผมตอบกลับไปแบบทิ้งความเคารพทั้งหมดไว้ที่พื้น

“มึงควรจะขอผู้ใหญ่ดีๆ ไม่ใช่กวนตีน!!” ไอ้คนที่ตัวเล็กกว่าคิ้วขมวดและแผ่รังสีอันตรายออกมา

‘เออ กูลืมไปว่ามึงระดับมาเฟียประจำจังหวัด’ ผมคิดพลางส่งยิ้มแห้งให้กลับไปเป็นเชิงขอโทษ

“กูก็อุตส่าห์เก็บไว้ดื่มเวลา…….” เสียงของนักเลงเงียบไปขณะถือขวดเหลี่ยมทรงสูงราคาแพงไว้ในมือข้างหนึ่ง

“พี่ต้องตัดใจกับพี่กวีได้แล้วนะ ผมยังทำได้แล้วเลย” ผมพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าหมองลง

“เรื่องกวีกูปลงแล้วโว้ย กูว่ากูน่าจะพูดคำนั้นกับมึงมากกว่านะ ไอ้มดแฝงพวงมะม่วง!!” พูดจบเขาก็รินน้ำสีอำพันเข้มลงแก้วผม พร้อมส่ายหน้า

“ผมก็ทำใจได้แล้ว เพียงแต่….ได้ใกล้ชิดมันก็มีความสุขดี” ผมตอบจบก็กรอกน้ำในแก้วเข้าปากจนหมด

“มึงนี่ดื่มเสียดายของ ใครเข้ากรอกวิสกี้แบบนี้เข้าไปทีเดียว ไอ้เด็กปากดี!!!”  นีโน่ตวาด

“เหล้านะกินแบบไหนมันก็เมาเหมือนกันแหละ และผมก็ไม่ได้ปากดี เรามันก็เหมือนกันแหละ เป็นไอ้ขี้แพ้เหมือนกัน!! ถึงได้มาจบด้วยเหล้าแบบนี้ไง!!” เหมือนคำพูดของไอ้คนตรงหน้ามันจี้ใจดำยังไงไม่รู้ ผมเลยเผลอโวยใส่เข้าให้ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองหาเรื่องตายก็ตอนที่ไอ้เตี้ยตรงหน้ามันก้มหน้านิ่ง

“กูว่าเราดื่มกันเงียบๆ เหอะ จะกินอะไรก็เรื่องของมึง กูมีอีกหลายขวด!” พูดจบคนที่ส่งบรรยากาศน่ากลัวออกมาก็รินเหล้าให้อีกแก้ว

ผมซึ่งได้กลิ่นอายนั่นจนขนลุกก็ได้แค่รับแก้วที่มีวิสกี้ออนเดอะร็อค แล้วกรอกเข้าปากไปเงียบๆ

“กวีเขาทำให้กูนึกถึงคนๆหนึ่ง” คนรูปร่างเล็กกว่ามองน้ำแข็งทรงกลมที่กลิ้งไปมาในของเหลวสีอำพันระหว่างเอ่ยขึ้นมา

ส่วนผมก็ได้แต่คิดว่า ‘ก็ไหนเราจะดื่มกันเงียบๆไง!’  พอไอ้เตี้ยนั้นพูดขึ้นด้วยท่าทางแบบนั่น เลยยิ่งทำให้ผมสนใจขึ้นมา ผมหยุดดื่มและมองไปที่คนพูดแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามอะไร เพราะนั่นมันอันตรายเกินไป

ผ่านไปพักใหญ่ไอ้คนที่เอ่ยขึ้นมาให้สงสัยมันก็ไม่พูดอะไรต่อสักที ได้แต่มองแก้วเปล่าๆ กับน้ำแข็งก้อนกลมที่กลิ้งไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกและแรงเหวี่ยงของคนถือแก้ว

ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะระเบิดคำพูดออกมา ผมแก้ปัญหาโดยการคว้าขวดเหล้าที่พร่องไปเกินครึ่ง เทน้ำอำพันกลิ่นหอมลงไปในแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งแก้วนั่น

“แต่มันก็นานมาแล้ว กวีทำให้กูนึกถึงใครบางคนที่กูคิดว่ากูลืมเขาได้แล้ว ………” นักเลงวัยกลางคนกระดกแก้วที่เพิ่งถูกรินมาครึ่งค่อนแก้วเข้าปาก พริบตาเดียวแก้วนั่นก็เหลือแต่น้ำแข็งเช่นเดิม น้ำแข็งที่พร้องลงตามอุณหภูมิห้องและวิสกี้ทำให้เสียงของแข็งที่กระทบกันในแก้วดังขึ้น สุดท้ายผมจึงต้องทำการเทน้ำสีอำพันนั่นลงไปในปริมาณเดิม

สรุปผมกลายเป็นเด็กเทเหล้าไปเสียอย่างนั้น แต่ก็ไม่กล้าโวยวาย กลัวสลบไปไม่รู้เรื่องและตื่นมาพร้อมรอยช้ำ เคยได้ข่าวบ่อยๆว่าไอ้นักเลงตัวจ้อยนี่หมัดหนักยังกะช้างสาร ถึงกับเคยได้ฉายา ‘โน่เปรี้ยงเดียวจอด’

“กูว่ามึงก็มีอะไรคล้ายๆ กวีนะ แต่ไอ้ความกวนบาทาของมึงทำให้กูรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย ไอ้หน้าฝรั่งของมึงเนี่ย เห็นทีไรกูของขึ้นทุกที คันมือคันไม้อยากออกแรง” นีโน่ตาเขียวใส่และแผ่รังสีน่ากลัวออกทางผมเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวเองไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้ ได้แต่ยิ้มเจื่อนและหลบตาไอ้นักเลงโตตรงหน้า

“เอาเถอะ ที่ผ่านมามึงก็ไม่ได้เลวร้าย เรื่องเดียวที่ขัดใจกูก็แค่เสือกมาชอบคนเดียวกับกู!!” พูดขู่จบก็กระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งกรึ๊บ

“ผม…ก็ยอมถอยออกมาแล้วไง ผมกับพี่กวีก็แค่พี่น้องกันเท่านั้นแหละครับ” อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากพูดสุภาพกับคนตรงหน้าขึ้นมาเลย ปกติแทบจะไม่เคย

“และนั่นก็เป็นข้อดีของมึง กูเคยคิดว่าหากมึงยังไม่เลิกตามรังควานกวีอีก กูจะสั่งสอนให้ ถึงกูจะไม่ได้กวีเป็นแฟน แต่กูก็รักจริงนะเว้ย!!” พูดจบนีโน่ก็วางแก้วที่เหลือน้ำแข็งเพียงน้อยนิดกระแทกกับโต๊ะตรงหน้าดังปัง!!

“ถึง….. ผมจะบ้า แต่ก็ไม่โง่นะครับ ถึงจะดูไม่ออกว่าใครรักใครเรื่องแบบนี้มันฝืนกันไม่ได้นี่ครับ” ผมรีบจัดแจงเติมน้ำแข็งทรงกลมขนาดพอดีแก้ว ที่ตักได้จากกล่องเก็บอุณหภูมิไม่ไกล เติมลงไปพร้อมรินวิสกี้ไม่ให้ขาด

“ดี!! ดื่มให้กับความอกหักของเราสองคนที่ถูกไอ้ชัยแย่งไป!!” คนตรงหน้าที่ดูจะมีอาการเมามายยื่นแก้วมาตรงหน้าผม

เมื่อเห็นบรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย ผมก็เลยตามน้ำไปเลย ชนแก้วแล้วแก้วเล้า จากหนึ่งขวดเป็นสองขวด จากสองเป็นสาม จนผมเลิกที่จะนับมันแล้ว และสติผมก็โบยบินไปจากผม

………

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
………

แสงไฟที่แยงตาและอาการปวดศรีษะที่หนักอึ้ง ทำให้การลืมตาตื่นเป็นเรื่องที่ยาก อาการภาพตัดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเวลาดื่มจัดกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมไปแล้ว เพราะผมเป็นประเภทเรื่องเรียนที่ว่าหนัก เรื่องเล่นต้องหนักกว่า แต่อาการที่ตื่นมาพร้อมเสื้อผ้าของตัวเองถูกเหวี่ยงออกจากร่างไปอยู่ต่างมุมห้องนี่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นครั้งแรก

“เป็นไปไม่ได้” ผมบ่นพึมพำด้วยความตระหนก ยิ่งได้รู้ว่าตัวเองอยู่ร่วมห้องกับใครเมื่อคืน ยิ่งอยากจะตะโกนให้ลั่นห้อง ผมย้ำกับตัวเองเสมอว่า มีแต่เรื่องเซ็กส์เท่านั้น ที่จะไม่ยอมให้ขาดสติ เพราะ
1 กลัวเสียชื่อว่า ‘เด็ด’ เพราะขาดสติ
2 กลัวตัวเองไม่ป้องกันเพราะขาดสติ
3 กลัวจำไม่ได้ว่า มีเซ็กส์กับใคร และแบบไหน ของแบบนี้มันต้องจำเป็นประสบการณ์ชีวิต จะรุกจะรับ มันต้องจำให้ขึ้นใจ

ก่อนที่จะสติแตกไปกว่านี้ ผมเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ห้องและพบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ แต่ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ผมเลยเดาว่าไอ้นักเลงไซส์เอส มันคงเข้าไปอาบน้ำอยู่

หลังจากนั้นผมจึงสำรวจร่างกายตนเองจนทั่วก็พบว่ามันไร้ริ้วรอยการสัมผัส ไม่รู้สึกถึงการรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้าม แม้จะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี

ผลั่ก!!

เสียงประตูห้องน้ำเปิดเข้าไปเผยให้เห็นชายวัยกลางคน ไซส์เอส เดินสวมคาดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่กว่าตัวเองไว้บริเวณต่ำกว่าเอวลงไป เผยให้เห็นเม็ดหยดน้ำพรายไปทั่วร่าง ร่างกายที่ผ่านการดูแลและออกกำลังเป็นอย่างดี ทำใหเห็นหุ่นที่ลีนสวย กล้ามเนื้อชัดเจน ผิวที่ขาวแบบคนเชื้อสายจีนนั่นมันก็เนียนสวยเกินกว่าคนที่ผ่านการวิวาทมานักต่อนัก แม้จะมีรอยแผลเป็นบ้างทั่วไป แต่ก็แทบกลืนไปผิวขาวนั่น กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนจ้องกลับมาเช่นกันก็แอบคิดว่าทำไมตัวเองไปเผลอจ้องคน ๆ นี้ มากขนาดนี้วะ

“กูรู้ว่ากูหล่อ หุ่นดี กูว่ากูชินกับการโดนจ้องแบบนี้แล้วนะ แต่กับมึงนี่กู…ไม่คุ้นว่ะ หากอยากดูมากกว่านี้ก็บอกนะ เดี๋ยวกูปลดผ้าให้ดู บอกให้รู้ไว้ก่อนว่ามันไม่เล็กเหมือนส่วนสูงกูนะ”

“ใครจะไปอยากมองฟะ!!” ผมสวนกลับไปด้วยอาการร้อนที่ใบหน้า

 เจ้าพ่อไซส์มินิได้แต่ยิ้มกวนๆ กลับมา ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าที่บรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายมันเปลี่ยนไป

“เดี๋ยวนะ!! เมื่อคืน… มึงทำอะไรกูหรือเปล่า?!?” ผมนึกขึ้นได้รีบโกยผ้าห่มโอบกระชับขึ้น

“เด็กน้อยเอ้ย!! มึงเมาโวยวายว่าร้อน และถอดเสื้อกระจัดกระจายเองนะ อย่ามาใส่ความกู!!” อีกฝ่ายตอบขณะสวมเสื้อผ้า

“อ้าว! เหรอ?” ผมตอบออกไปแบบเหวอ ๆ แม้ว่าผมจะไม่มีความทรงจำเหล่านั้นในหัวเลยตอนนี้

“ถามจริงนะ ร่างกายมึงผ่านอะไรมาเยอะขนาดที่ว่าโดนรุกแล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ?!?” หนุ่มวัยกลางคนที่หัวยุ่งพันกันกึ่งเปียกหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้มยียวน

“กูไม่เคยโว้ย!!” แม้จะโดนคนวัยเลขสามสบประมาทแบบหยอกเย้า แต่ไอ้คนตรงหน้าที่มีสภาพร่างไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกเขินแปลกๆ เหมือนกัน มันรู้สึกเขิน ๆ ยังไงไม่รู้ ปากเคยบอกไม่คิดอะไร แต่แค่เจอมันเปลือยอกตรงหน้าทำไมใจกูต้องสั่นขนาดนี้ด้วยวะ อดยอมรับไม่ได้ว่า ข่าวลือที่มีคนมาอ่อยให้ถึงที่ทุกวันน่าจะจริง ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาอ่อนกว่าวัยน่ารัก แถวยังรวยอีกต่างหาก

“เฮ้ย!! เห็นมึงยิ้มลอยๆ แบบนี้แล้วกูสยองวะ!!” นีโน่ตวาดใส่ผมที่กำลังเหม่อมองคนเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา

‘เชี้ย!!’ ผมสบถในใจ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรวะ! ทั้งที่เมื่อก่อนเกลียดมันจะเป็นจะตาย แค่นั่งสนทนากันดีๆ คืนเดียวใครมันจะไปคิดว่าจะกระทบจิตใจขนาดนี้ แม้ว่าตอนนี้ไอ้คนตัวเล็กตรงหน้ามันจะกลับมากวนบาทาเหมือนเดิมก็เถอะ

“โอ้ยยย” สุดท้ายก็ตัดบทโวยวายวิ่งเข้าห้องน้ำไป ปลายตาก็แอบเห็นหน้าไอ้พี่นีโน่ที่ยิ้มเยาะผ่านช่องบานประตูห้องน้ำที่ค่อยๆ ปิดแคบลง

……………

ผ่านช่วงเวลาแสนสุข หยุดสุดสัปดาห์ที่รีสอร์ทหรูที่เกาะช้างผ่านไปได้หลายสัปดาห์ แต่ภาพจำของคนตัวเล็กผิวขาวในสภาพเปลือยอกผมยุ่งเหมือนเด็กๆนั้นก็ยังคงหลอกหลอนตัวผมอยู่จนแทบจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ความต้องการบางอย่างภายในสมองทำให้รู้สึกโหยหาสัมผัสบางอย่างตลอดเวลา

มันเป็นอย่างนั้นมาตลอดทุกช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว ช่วงนี้ผมก็เลยจะติดเพื่อนตลอดเวลา แต่เพื่อนสนิทที่สุดของผมอย่างไอ้ต้นน้ำก็ดันติดเมียวัยผู้ใหญ่ของมันเสียจนไม่เคยเห็นหน้ามันเลยนอกจากเวลาเรียน

ส่วนพี่ชายผมและเพื่อนสนิทของมัน(ต้นกล้า) ก็ดูจะมีโปรเจ็คลับบางอย่างตั้งแต่ผมหายไปเที่ยวสุดสัปดาห์กับไอ้ต้นน้ำ ซุบซิบกันอยู่สองคนและหายไปด้วยกันบ่อยๆ จนผมหมดความสนใจเพราะลำพังเรื่องความสับสนของตนเองก็กลุ้มใจมากพออยู่แล้ว

“เมื่อคืนกูถึงกับเก็บไปฝันเลยนะมึง!!” ผมพูดขึ้นขณะทำงานกลุ่มกับไอ้ต้นน้ำใต้ตึก หลังเลิกเรียน

“กับคนที่มึงบอกว่าเกือบได้กันตอนเมาอ่ะนะ?!?” ไอ้ต้นน้ำที่นั่งก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานกลุ่ม รีบร้อนจนผิดปกติ ตอบผมกลับมาแบบไม่ตั้งใจ

“เออดิ!! เชี้ย!! ในฝันแม่งเหมือนจริงฉิบหาย กูโน้มไปจูบกับมันแบบแลกลิ้นเลยนะเว้ย ซึ่งปกติ หากไม่ชอบจริงกูไม่ทำ!  อ้าว! ไอ้สัด นี่มึงฟังกูไหมเนี่ย?” ผมที่กำลังเล่าอาการแปลก ๆให้เพื่อนสนิทฟังหวังจะขอระบายออกบ้าง แต่กลับเห็นมันนั่งพิมพ์ตอบไลน์กับแฟนมันยาวเหยียด

“เออๆ กูได้ยิน แล้วไงต่อวะ!” ไอ้ต้นน้ำที่พูดไปพิมพ์ไป ตอบกลับมา สายตาของมันไม่มองแม้แต่ผมที่กรอกตาใส่มัน

“เออๆ ช่างแม่ง รีบทำเหอะ กูรำราญลูกตา เหม็นคนหลงเมีย” ผมกรอกตาแบบเล่นใหญ่และกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กับโจทย์การออกแบบทรงไทยประยุกต์

ในขณะที่งานใกล้จะเสร็จ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังลั่น สั่นอยู่ในกางเกงจนผมสะดุ้ง ช่วงนี้สภาพจิตใจผมไม่ค่อยอยากคุยกับใครก็เลยตั้งบล็อกหนุ่มในสังกัดไปก่อนชั่วคราว ดังนั้นคนที่โทรศัพท์มาก็น่าจะเป็นเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวเท่านั้น

หน้าจอที่ปรากฏหญิงผิวสีแทนหน้าตาสวยสดและชื่อที่ขึ้นมาคือ ‘แม่’ ทำให้ผมรีบเลื่อนมือไปกดรับทันที

“คร๊าบบบบ” ผมตอบลากเสียงไปจะได้รู้ยุ่งกับการทำงานอยู่ไม่ใช่เที่ยวเล่นถึงยังไม่กลับบ้าน

“พี่ชายเธออยู่ไหนเนี่ย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ” พอจบประโยคเสียงสดใสที่ปลายสาย ผมก็เงยหน้ากวาดตามองหาไอ้คนถูกคลอดออกมาก่อนไม่กี่นาทีทันที

“ไม่เห็นเหมือนกันครับ เมื่อกี้ยังนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันอยู่เลย!!” ผลที่ได้จากการมองภาพกว้างคือผู้คนบริเวณลานกว้างใต้อาคารเรียนเริ่มเบาบางลงแล้ว และพี่ชายฝาดแฝดของตัวเองก็หายสาปสูญไปกับสายลม ไม่ใช่สิ! ไปกับไอ้ต้นกล้าอีกแล้ว!!

“อย่าลืมนัดกับแม่นะ แม่เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้วนะ!!” และแล้วความทรงจำในสมองของผมก็ถูกรื้อค้นและจัดเรียงใหม่ จริงสิ!! แม่บอกจะพาคนที่แม่กำลังคบหา (หรืออนาคตพ่อเลี้ยง) มาแนะนำให้รู้จัก

“ไม่ลืมครับ” ปากว่าอย่างนั้น แต่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะใจลอยบ่อยๆ เลยลืมเรื่องที่แม่พูดย้ำบ่อยๆ เรื่องนี้เสียสนิท

แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวครับ หลังจาก แดดดี้ ที่เป็นคนต่างชาติเสียชีวิต แม่ผมก็ย้ายภูมิลำเนากลับมาที่บ้านเกิดตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย ชีวิตที่คุณแม่ยุ่งวุ่นวายกับการบริหารธุกิจส่วนตัวจากศูนย์จนกลายเป็นบริษัทโลจิสติกส์ขนาดย่อมที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ค้ามากมายในตัวจังหวัด และส่วนหนึ่งของความสำเร็จก็มาจาก ผู้ชายปริศนาคนนี้นี่เอง

แม่ผมไม่เคยเปิดเผยตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าคบหาดูใจอยู่กับใคร แม่พูดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วให้ฟังว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว และคงจะยอมรับคนๆ นั้นเร็ว ๆ นี้

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เลยอยากจัดการให้รู้จักลูกๆ ของแม่เสียหน่อย โชคดีที่ตั้งแต่เขาคนนั้นเริ่มต้นจีบแม่ของผม เขาก็รู้ดีว่า แม่มีลูกติดเป็นฝาแฝด 2 คน แต่เขาก็ยังเดินหน้าจีบแม่ผมต่ออย่างไม่ลดละ จนสำเร็จ เพราะถือว่าเป็นรักแรกของเขาคนนั้น ผมโคตรนับถือคนที่มาจีบแม่ผมเลย ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าเพราะเป็นรุ่นน้อง แต่เขาก็ยอมรับในความเป็นแม่ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่แม่ผมแม้จะยังสวยอยู่แต่ก็ต่างจากเมื่อก่อนมาก ทั้งการแต่งกายและการพูด ( เคยได้ยินแม่บ่นให้ฟังบ่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม)

ผ่านไปหลายสิบนาทีหลังจากที่แม่โทรศัพท์มาตาม ผมกับไอ้ต้นน้ำรีบเค้นสมองออกแบบงานให้มันเสร็จๆ ไปก่อนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะอย่างไรเวลาขึ้นไปถึงมืออาจารย์ดอกเตอร์คนเก่งของคณะฯ ก็คงไม่แคล้วได้กลับมาแก้ยกหลังอยู่ดี
 
ผมรีบเก็บของอย่างลวกๆ ใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน พร้อมหันหน้าไปชวนไอ้ต้นน้ำมันกลับด้วย แต่สิ่งที่เห็นคือมันโบกมือลาและเผ่นหนีหายไปในชั่ววินาที

ผมสบถด่าใส่หลังของไอ้เพื่อนหลงเมียอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือไม่ เพียงอยากระบายอารมณ์ใส่อากาศและฝุ่นที่มันทิ้งไว้ก็เท่านั้น

‘ฉิบหาย!!’ ผมมองนาฬิกาพร้อมสบถเสียงดังลั่น เพราะมันถึงเวลานัดหมายของแม่แล้ว ผมไม่รอช้ารีบโกยแน่บออกจากอาคารเรียนเช่นกัน แสงไฟริมถนนในมหาวิทยาลัยเริ่มเรืองแสงแล้ว ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีเพื่อเข้าสู่ยามราตรี และผมที่พยายามไปให้ทันเวลานัดหมายด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ เพราะค่าขนมเดือนหน้ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากแม่ของผมไม่พอใจ มันอาจจะขาดหายได้รับไม่ครบได้

………………..

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

………………..

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายหรือโชคดีของผม ที่วิ่งออกจากอาคารเรียนได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจออย่าง ‘ไอ้คุณพี่นีโน่’

มันบอกว่าเห็นผมวิ่งหอบแฮ่ก มันก็เลยขับรถมาวิ่งขนาบถามอย่างสงสัยว่าผมจะรีบร้อนไปไหน?

ส่วนผมซึ่งไม่มีเวลาไปต่อล้อต่อความกับไอ้คนยียวนกวนประสาท ไม่คิดแม้แต่จะถามด้วยว่ามันมาทำอะไรแถวนี้

“จะรีบกลับบ้าน มีนัด!!” ผมตอบแบบขอไปที ส่วนสายตามองหารถรับจ้างแบบไหนก็ได้ที่เจอเร็วที่สุด

“บ้านอยู่แถวไหนล่ะ กูว่างเดี๋ยวขับไปส่งให้ ท่าทางมึงดูรีบ” อีกฝ่ายยิ้มกวนๆกลับมา ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดจนอยากวิ่งหนี แต่เจอข้อเสนอที่น่าสนใจเลยยังสับสนอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรเกรงใจ” ผมวิ่งต่อไปและเลิกสนใจคนที่ยิ้มอย่างกวนบาทาใส่หน้าผม

“ กูจะไปแถว XxxxX มึงจะไปกับกูไหมล่ะ ป่านนี้แล้วหารถยากนะ อย่างน้อยก็ไปต่อรถที่ไหนที่กูขับผ่านก็ได้” ไอ้รอยยิ้มกวนๆ นั่นมันยังประทับอยู่บนใบหน้าขาวๆ ของไอ้นักเลงไซส์เอส

“อืมมมมมม” ผมลังเล เพราะแถวนั้นมันบ้านผมเลยนี่หว่า สะดวกและรวดเร็วกว่าหารถเองแน่นอน ข้อเสนออันนี้ทำให้ต้องชั่งใจกับการนั่งรถไปกับอริพอควร

สุดท้ายผมก็ต้องยอมลดตัวมานั่งรถกับไอ้นักเลงน้าเด็กจนได้เพราะหลังจากวิ่งไปที่ป้ายรถก็พบว่ารถเที่ยวเวลานี้ได้ขับออกไปต่อหน้าต่อหน้า จะให้รออีก 20 นาทีน่าจะไม่ไหว ก่อนที่ไอ้พี่โน่มันจะเปลี่ยนใจผมเลยตัดสินใจยอมเรียกชื่อมันและขอเดินทางไปด้วย

ในขณะที่ผมเหงื่อไหล เสื้อผ้าเปียกปอนปานเดินฝ่าฝนที่ตกหนักมา ทั้งใบหน้า ทั้งเส้นผม ทั้งเสื้อต่างเปียกปอนไปด้วยเหงื่อที่ส่งกลิ่นวัยฮอร์โมนออกมาทั้งตัวรถคันหรูของผู้ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของจังหวัด รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้เบาะหนังสีแดงซับเหงื่อไปเต็มที่ และเบาะน่าจะเปียกไปหมด แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันดันเต็มใจให้ผมขึ้นมาเอง

สายตาอันเฉียบคมของคนขับมองเหล่มาทางผมหลายรอบ ริมฝีปากที่ขบกัดกันจนแสดงออกจากการนั่งมองอยู่ที่นั่งข้างคนขับรู้ได้ทันทีว่าไอ้พี่โน่น่าจะอึดอัดอยากจะต่อว่าผมแน่ๆ ที่มาทำเบาะรถราคาแพงของมันเปอะเหงื่อและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยคละคลุ้งในรถ

เฮ้ออออ

เสียงผ่อนลมหายใจของคนขับดังออกมาเป็นทางยาว เขาหยุดรถพลางยื่นมือมาทางผมส่วนผมที่ได้แต่ตระหนกจึงทำได้แค่ยกเข่าขึ้นและเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางหนึ่ง ลำตัวแนบกับประตูรถ

“ขวัญอ่อนนะมึง กูไม่ได้คิดต่ำๆ อย่างจะขืนใจมึงบนรถหรอกนะ” ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะท่าทางของผมพลางยื่นมือไปถึงลิ้นชักด้านหน้าผม และหยิบผ้าหนานุ่มผืนเล็กโยนให้ผม และยื่นมือไปปรับลมเครื่องปรับอากาศให้แรงขึ้น

“เอ๊ะ!!!” ผมอุทานสั้นๆและงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เช็ดเหงื่อซะ ถ้าขึ้นรถตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาเหนื่อยขนาดนี้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กก็หัดเชื่อฟังผู้ใหญ่บ้างเหอะว่ะ อายุขนาดกูนี่เป็นพ่อมึงได้เลยนะเว้ย!!”  อีกฝ่ายพูดขึ้นขณะเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวต่อไป

“ออ… ขอ…ขอบคุณ…ครับ” ผมไม่เคยเจอมันทำดีแบบนี้ใส่เลยก็เลยประหลาดใจจนเกือบช้อค

นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากเกาะช้าง นอกจากผมจะไม่เคยเห็นมันมาป้วนเปี้ยนแถว พี่จินไห่แฟนเพื่อนผมแล้ว มันก็เหมือนหายไปจากสารบบผมเลย แต่กลับกันผมกลับอยากให้มันมาป้วนเปี้ยนวุ่นวายเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันหลบหน้าผม หรือจริงๆ แล้วมันก็ปกติอยู่แล้วที่เราจะไม่เจอหน้ากัน เพราะเราสองคนต่างไม่ชอบหน้ากันเพราะความหลังในอดีต

ผมคิดอย่างใจลอยจนเผลอมองหน้าคนขับรถวัยกลางคนหน้าเด็ก และต้องรีบหลบตาเมื่อมันมองกลับมา ผมนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว อาการแบบนี้มันไม่ใช่ ใช่ไหม?

“หน้ากูเหมือนหน้าพ่อมึงรึไง?” นั่นไง มันปล่อยหมาใส่ผมอีกแล้ว

“…….” ผมมองค้อนมันกลับไปด้วยไร้คำพูดแต่ไม่อยากตอแยกับสารถี วันนี้ผมต้องพึ่งมัน คงต้องยอมลดลาวาศอกไปก่อน แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ผมเห็นมันยกมุมปากยิ้มกับท่าทางเกร็งๆ ของผม หลังจากนั้นผมก็พยายามแอบมองอีกครั้ง หน้ามันก็นิ่งและมีสมาธิกับการขับรถ สงสัยผมคงตาฝาด

หลังจากไอ้คนขับพยายามใจดีเอ่ยปากจะไปส่งผมถึงบ้าน และปฏิเสธคำปฏิเสธของผมนับไม่ถ้วน ผมรู้ว่าคนดื้อดึงิย่างมันคงไม่ยอมผมง่ายๆ สุดท้ายจึงต้องตกลงให้ไอ้นักเลงไปส่งผมจนได้ ผมจึงได้บอกทางคนขับรถที่ท่าทางจองหองอย่างละเอียด ไม่นานรถคันสปอร์ตคันหรูก็มาจอดที่หน้ารั่วบ้านผมอย่างทันเวลาฉิวเฉียด

“นี่…..บ้านมึง?” คนตัวเล็กเลื่อนกระจกรถเคลือบด้วยฟิล์มเซลามิกสีชาลงมาและพินิจบ้านเลขที่ตัวโตที่กำแพงรั่วสีขาวของบ้านผม

“ใช่! ทำไม? บ้านผมสวยละสิ?” ผมกวนประสาทกลับไปพร้อมยกมือขึ้นเพื่อปลดเปิดประตูรถ แต่มีเพียงเสียงที่ดังคลิก และประตูรถยังคงปิดสนิทอยู่

“………. เล็กกว่าที่คิด!”  คนตัวเล็กนิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่สมกับเป็นมันกลับมา

“ปลดล็อกประตูสิ!! แล้วผมจะลงยังไง ยิ่งรีบๆ อยู่!!” ผมคิ้วขมวดใส่กับอาการนิ่งๆ ของไอ้นักเลงไซส์เอส

ปิ๊ปๆๆๆ

นอกจากจะไม่ตอบแล้ว ไอ้คุณโน่มันยังกดไปที่พวงมาลัยรถ เสียงบีบแตรรถดังลั่น รถคันเล็กแต่มีเสียงที่ทรงพลังกว่าที่คิด

“เฮ้ย!! ทำอะไรน่ะ!!” ผมตกใจร้องเสียงหลง

ครืนนนนน

พักใหญ่เสียงประตูอัตโนมัติของบ้านผมก็เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วรถคันหรูก็ขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถบ้านผมอย่างเป็นระเบียบ

หลังจากลงมาจากรถได้ผมถึงขั้นโวยวายใส่มันว่าถือวิสาสะเข้ามาในบ้านคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไร  ถึงแม้จะแปลกใจว่าทำไมแม่ถึงเปิดประตูรีโมทให้มันเข้ามาแต่โดยดีก็ตาม

ไอ้นักเลงไซส์เอสนั่นมันไม่ตอบคำถามอะไรนอกจาก ยิ้มและจัดทรงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่ามันแต่งตัวดีกว่าปกติมาก

“เฮ้ย!! ถามก็ตอบสิวะ?” ผมเดินไปตรงหน้ามันด้วยความหงุดหงิดในใจจนล้นออกมาทางสีหน้า

“นี่มึงไม่คิดจะชวนแขกเข้าบ้าน?” มันตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“แขก!?!” ผมทวนคำอย่างประหลาดใจ

“Amazing!! ไม่นึกเลยว่าโน่จะมาตรงเวลานะเนี่ย?” เสียงของแม่ผมดังมาจากประตูหน้าบ้านทรงยุโรป

“ก็ วันนี้เป็นวันพิเศษนี่นะ” คนตัวเล็กตอบคำถามแม่ผมด้วยการมองข้ามศรีษะผมไป แล้วผมก็โดนเมินโดยสมบูรณ์แบบ และที่ช้อกไปกว่านั้นคือ แม่ผมดูสนิทสนมกับมันมาก

“แหม…..โน่ล่ะก็ ยังไม่ถึงเวลาจะมาดีใจอะไร ยังไงก็ต้องผ่านลูกก่อนนะ” แม่ผมยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
 ผมมองด้วยความรู้สึกสับสน

“อ้าวววว ไอซ์ มาแล้วก็ไม่ทักไม่ทายเลยนะ where’re your manner?!?”  แม่ที่เหมือนเพิ่งมองเห็นผมกล่าวทักพร้อมคิ้วขมวด ปฏิกิริยานี่มันต่างกันจังครับ ผมรีบกล่าวทักทายมารดาทันที

“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์ไปรับลูกชายให้” แม่ยิ้มไปทางคนตัวเล็กที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปใกล้

“อ้าว! ทำไมเหลือคนเดียวล่ะ ไอซ์! พี่ชายล่ะ?” หลังจากผมทราบว่าทำไมไอ้คุณพี่โน่ไปปรากฏกายที่มหาวิทยาลัยของผมได้อย่างไรแล้ว ผมก็ต้องอึ้งกับคำถามแม่อีก เพราะผมเองก็ไม่รู้ผมนึกว่ามันอยู่กับแม่เสียอีก ปกติมันเป็นคนที่ไม่เคยผิดนัดแม่เลยต่างจากผมมาก

“พอไปถึงก็เหลือไอ้เด็กดื้อนี่คนเดียวนะ” นีโน่ตอบกลับแม่ผม

“ตายจริง ไม่เป็นไร เดี๋ยวมนจัดการเอง ไหนๆ ก็ต้องรออยู่ดี”

“อยู่พร้อมหน้ากันดีกว่านะ จะได้คุยทีเดียว” นีโน่ยิ้มกว้างให้แม่ผม ส่วนแม่ผมก็มีอาการหน้าแดง

หรือว่า………. ผมละไว้ไม่กล้าคิดต่อ แต่มาถึงขึ้นนี้แล้วคงคิดได้อย่างเดียว……

ผมใช้โอกาสที่แม่กำลังกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อพี่ชายฝาแฝดของผม รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องของตนเองเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อหมาดๆ และเริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ผมรีบทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 10 นาที ก่อนที่แม่จะเริ่มบ่นใส่อีกครั้งหลังจากวางหูแล้วไม่ผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอกินมื้อค่ำครั้งสำคัญด้วยกัน

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมเดินลงบันไดมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่สนทนากันอย่างสนุกสนาน ผมเดินมาถึงที่ห้องนั่งเล่นของตัวบ้านถึงได้เห็นความสนิทสนมกันอย่างมากทั้งสองฝ่าย ทั้งแม่และเพื่อนตัวเล็กของแม่นั่งใกล้กันจนจะเรียกได้ว่า ‘ซ้อน’ แม่เปิดเผยรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ผมไม่เคยเห็นมานานแล้วตั้งแต่ ‘แดดดี้’ ของผมยังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกวูบวาบเกิดขึ้นที่กลางอกไหลลงมาถึงช่วงท้อง จนกระทั้งผมต้องท่องไว้ว่านี่คือความสุขของแม่ ผมต้องเคารพการตัดสินใจของแม่

เสียงปีปแตรดังลั่นจากนอกรั่วของบ้าน ไม่ทันให้แม่เอ่ยปากขอ ผมจึงอาสาไปเปิดสวิตซ์ประตูอัตโนมัติให้เปิดออก ผมเดาจากท่าทางของแม่ออกว่าต้องการอะไร พลางสงสัยว่าแขกของแม่ไม่ได้มีคนเดียวหรือนี่?

รถคันหรูอีกหนึ่งคันถูกขับเข้ามาจอดในพื้นที่ๆ เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล คนที่ลงมาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนผมยังกับส่องกระจก ยกเว้นไฝที่ติ่งหูของมัน

“มากับใครวะ?” ผมถามพลางสำรวจรถหรูป้ายแดง

“กูก็ไม่รู้ แม่บอกให้มากับเขาด้วย” พี่ชายฝาแฝดก็ทำหน้าประหลาดใจเช่นกันที่เห็นรถหรูอีกคันจอดอยู่ในรั่วบ้าน พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถาม ด้วยความเป็นพี่น้องกัน ผมจึงตอบกลับไปด้วยการส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจ และขยับหน้าสื่อว่าให้ไปดูข้างในเองก็จะเข้าใจ

“โอโห…. เห็นว่าฝาแฝดจะสื่อใจถึงกันได้น่าจะจริงนะ ทำท่าเหมือนพูดกันด้วยกระแสจิตเลย” ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมพูดด้วยใบหน้าร่าเริงและตื่นเต้น

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” พี่ชายผม เฟรมตอบอย่างสุภาพ

“อ้าวเหรอ!?! เออ… น้าลืมแนะนำตัวเลย น้าชื่อโต้งนะ เป็น…เอ่อ…. เพื่อนเก่าแม่พวกเธอเอง” คนที่เพิ่งแนะนำตัวยิ้มและยื่นมือมาทักทายแบบชาวตะวันตก

พี่น้องมองหน้ากันและไหว้ตอบกลับไปอย่างไทย อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะแห้งๆ และพูดแก้ตัวประมาณว่าเคยชิน เวลาหน้าแบบคนตะวันตกเหมือนพวกเขาทั้งสองก็จะเผลอตัวทักทายแบบนี้ไม่ได้

หลังจากแนะนำตัวแบบไม่เป็นทางการแล้วพวกผมพี่น้องพาแขกอีกคนเข้ามาในตัวบ้าน แม่ของผมที่มีสีหน้าสดใสกว่าทุกวันจัดการเชิญแขกทั้งสองไปที่โต๊ะอาหารที่จัดเตรียมมื้อเย็นแบบชาวตะวันตกซึ่งจัดตกแต่งอย่างปราณีต ผมซึ่งไม่เคยเห็นแม่เข้าครัวทำมื้อเย็นมานานถึงกับอ้าปากค้าง บรรยากาศเก่าๆ สมัยที่แดดดี้ยังมีชีวิตอยู่หวนกลับคืนมา

แขกทั้งสองของแม่ผมก็มีสีหน้าที่ทึ่งกับอาหารตรงหน้าไม่น้อยพลางส่งเสียงชื่นชมออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน

“ว้าว! ไม่นึกว่าสาวห้าวอย่างเธอจะเป็นแม่ศรีเรือนได้!?!” คนตัวเล็กกล่าวตัดหน้าคนตัวท้วม

“จริงด้วย ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าทำอาหารเป็น” คนตัวท้วมเสริม

“ความรักน่ะนะ มันทำให้คนเปลี่ยนได้ทุกอย่างแหละ อีกอย่างอยู่ต่างประเทศน่ะ ทำอาหารทานเองมันประหยัดกว่านี่นา แล้วนี่ก็อาหารทั่วๆไปเอง” คนเป็นแม่ที่พูดไปยิ้มไปเปี่ยมไปด้วยรังสีความสุขแผ่ออกมา

‘บ้ายอแหละรู้สึกได้ผมคิด’ ผมคิดจบก็พบว่าแม่ผมหัดมามองตาขวางเหมือนรู้ว่าผมแอบนินทาในใจ สงสัยผมกรอกตาชัดไปหน่อย

ผมเลยแก้ขัดโดยการมองไปทั่วโต๊ะอาหารและกล่าวชมแม่เสียงดังทันที จนกระทั้งแม่เลิกแผ่รังสีอำมหิตมาทางผม ผมจึงได้หายใจได้ทั่วท้อง

ในระหว่างมื้ออาหาร แขกทั้งสองคนต่างชื่นชมรสชาติฝีมืออาหารของคุณแม่ของผมอย่างไม่ขาดปาก จนถึงขั้นไอ้นักเลงโตไซส์เอสถึงขั้นขอสูตรไปเพื่อสร้างเมนูใหม่ที่ร้าน ซึ่งก็แน่นอนที่แม่ผมจะไม่ให้!

ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสาม กำลังสนุกสนานกับการกินมื้อค่ำฉันท์เพื่อนที่ระลึกถึงความหลัง เรื่องแล้วเรื่องเล่า จนทำให้ผมรู้ว่าทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย ก่อนที่แม่ผมจะได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่อเมริกา และไปตั้งรกรากมีครอบครัวที่นั่น ผมและพี่ชายต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าการที่แม่เอาพวกเรามานั่งร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ทั้งสองนี้คืออะไร แล้วคนไหนล่ะที่เป็นคู่หมั้นของแม่พวกเราตามที่แม่บอกไว้

“ทำไมตอนนั้น โน่ถึงไม่ขอเราเป็นแฟน หากมาขอกัน เราอาจจะไม่ไปก็ได้นะ” เสียงของแม่ผมดังขึ้น เป็นประโยคเดียวที่ผมดันตั้งใจฟังที่สุดในบทสนทนาฉันท์เพื่อน

“มันอนาคตเธอไหม อยู่กับเรามันจะไปมีอนาคตอะไร?” นีโน่ยกแก้วไวน์สีแดงก่ำขึ้นซดจนหมด

“ตอนนั้นเราก็หวังนะว่านายจะทำ” แม่ผมตอบด้วยสายตาแวววาวและจ้องไปที่คนตัวเล็กอย่างคาดคั้น

ในระหว่างที่คนตัวเล็กนิ่งเงียบไป ผมซึ่งเหมือนอยู่ในห้วงเวลาที่เดินหนืดช้าเหมือนเต่าเดินจมลงในปลัก กลับมีความรู้สึกเสียววูบวาบไปทั้งทรวงอก เหมือนกำลังคาดหวังกับคำตอบของคนตรงหน้า

“เธอพูดเล่นอะไรเนี่ย? ฉันรู้นะว่าคนที่เธอแอบชอบน่ะเป็นใคร ก็ไอ้โต้งนี่ไง ฉันรู้นะว่าที่เธอตัดสินใจหนีไปต่างประเทศจนแทบจะไม่ลาพวกเราเพราะไอ้โต้งมันมีแฟนเป็นสิบ แต่ไม่เคยสนใจเธอเลย!” คนตัวเล็กพูดอย่างรู้ทันและยกยิ้มมุมปากมองอย่างได้ชัยในเกมประลองฝีปากนี่

“เกลียดจริง รู้ทัน!!” แม่ของผมผ่อนหายใจก่อนจะตอบ
ส่วนคนที่ถูกพูดถึงได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่พูดอะไร นอกจากหน้าแดงก่ำไปด้วยพิษไวน์ร้อนแรงราคาเหยียบหมื่น

“เออ! ว่าแต่ ไม่คิดจะบอกอะไรลูกชายเธอหน่อยหรือ พวกนั้นนั่งงจนกินอะไรไม่ลงแล้ว!!” คนตัวเล็กมาทางจานของสองพี่น้องที่แทบไม่พร่องเลยเพราะยังสงสัยถึงจุดประสงค์ของการทานอาหารมื้อนี้ร่วมกัน

แม่ผมทำท่าทางเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เหมือนเธอลืมจุดประสงค์ของวันนี้ไปเสียเฉยๆ เมื่อไวน์ดีๆ เข้าปาก และการสนทนาดีๆ กับคนถูกคอ

“เด็ก ๆ ความจริงแม่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตอะไรลูก ๆ เลย แต่ในเมื่ออนาคตที่พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ราบรื่นมีความสุข การที่แม่จะบอกกับพวกเราก่อนก็เป็รเรื่องจำเป็น” แม่พูดจบก็หันไปยิ้มกับชายสองคนที่นั่งขนาบข้างของเธอ ยกมือทั้งสองขึ้นกุมมือข้างหนึ่งของแต่ละคนอย่างแผ่วเบา พลางขยำช้าๆ อย่างวุ่นวายใจ แม่ยังคงทิ้งให้อากาศแห่งความงุนงงสงสัยอบอวลเต็มห้องรับประทานอาหารสีเอิร์ธโทน

อาการที่แม่มองชายทั้งสองสลับไปมาด้วยความว้าวุ่นใจมันชวนให้คิดไปร้อยแปดประการ ความเป็นไปได้หลายหลายอย่างผุดขึ้นมาในใจผมจนผมแทบคลั่ง แต่ก็ต้องสะกดมันเอาไว้

หากเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ผมอาจจะได้พ่อเลี้ยงทีเดียวสองคน มันออกจะหลุดโลกไปหน่อย แต่สมัยนี้อะไรมันก็เป็นไปได้เหมือนในข่าวที่นำเสนอตามโซเชี่ยลมีเดีย ผมกำหมัดแน่น ในใจกลับรู้สึกเสียดร้าวรานไปหมดขณะมองหน้าไอ้คนตัวเล็กที่เริ่มใช้มืออีกหนึ่งฝั่งที่ว่างยกขึ้นมาเกาะกุมมือของแม่ผม

ผมว่าช่วงเวลานี้มันเหมือนจะสั้น แต่กับผมแล้วมันกลับยึดยาวออกไปจนมองภาพทุกอย่างเหมือนเคลื่อนไหวช้าลง ผมเกลียดไอ้ความรู้สึกแบบนี้จัง และรู้สึกความอดกลั้นผมจะหมดก่อนที่แม่จะเอ่ยปากพูดเล็กน้อย อาจเพราะผมไม่อยากได้ยินสิ่งที่ตรงกับสิ่งที่คิดไว้

“ไม่เอา!!”  ผมพูดเสียงดังอย่างเอาแต่ใจ

ทุกคนในห้องเงียบและมองผมเป็นตาเดียว

“ผมรับไม่ได้!!” ผมกวาดสายตาไปทางคนตัวเล็กที่มองผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ก็คิดอยู่ว่ารสนิยมคุณน่ะมันแปลกๆ  แต่แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอวะ!” ผมรีบหันไปพูดกับคนตัวเล็กเพราะกลัวว่าแม่จะเอ่ยห้ามเสียก่อน

“หนึ่งหญิง สองชาย ถึงผมจะรักแม่ แต่แบบนี้มันเกินไปไหมครับ?!?” ผมมองแม่พร้อมน้ำในตาที่ไหลลงมาหนึ่งหยดแบบไม่ตั้งใจ ผมสับสนไปหมดไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นหน้าไอ้คนตัวเล็กที่ยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ผมยิ่งรู้สึกเหมือนมีข้อเหลวร้อนไหลปรี๊ดขึ้นทะลุก้านสมอง

“ใจเย็นก่อน แม่แค่….” แม่ลุกขึ้นยืนปรามผม ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

ผมไม่ฟังอะไรผมลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องรับประทานอาหารทันที

“เฮ้ย!! เดี๋ยว!! มึงควรจะฟังแม่มึงให้ดีๆ ก่อนนะ!!” นักเลงตัวเล็กแสดงพลังเสียที่ทรงอำนาจจนทำให้ผมชะงักฝีเท้าลงชั่วหนึ่ง

“ฉันไม่น่าใช้วิธีนี้เลย ลูกคงมองฉันไม่ดีแล้ว” ผมหันไปมองตามเสียงของมารดาตนเอง และเห็นแม่ฟุบลงไปอิงกับชายร่างท่วม ในขณะที่ที่มือยังจับมือของคนตัวเล็กอยู่

ผมไม่ต้องการเห็นอะไรอีกแล้ว ผมเดินสุดฝีเท้าก้าวออกไปนอกบ้านทันที

ทันทีที่ก้าวออกจากบ้าน ยังไม่ทันพ้นสวนหน้าบ้านตนเอง ในใจก็เริ่มสงบลงบ้าง พร้อมทบทวนสิ่งที่ตนเองทำ ลมเย็นแผ่วพัดกระทบใบหน้าและทิวทัศน์ของบ้านหลังใหญ่ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของผู้เป็นมารดา ฝีเท้าผมหยุดลงและได้คิด

ความงี่เง่าแบบนั้นที่ไม่เคยทำมาก่อนทำให้ผมตอนนี้หน้าชาไปหมด ผมทำให้แม่เสียใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเสียใจมากเช่นกัน ผมควรจะฟังแม่ให้จบ ผมควรจะเข้าใจแม่ที่สุด แม่ที่เสียสละทุกความสุขเพื่อเลี้ยงพวกเขามาอย่างดีที่สุดโดยลำพังแบบนี้

“เฮ้ย!! ไอ้ลูกเนรคุณ มึงควรจะสนับสนุนความสุขของแม่มึงเองนะ ไม่ใช่ทำนิสัยเชี้ยๆ แบบนี้!!” เสียงของผู้ใหญ่ตัวเล็ก ผู้ที่จะเป็นหนึ่งในคนรักของแม่ตามความเข้าใจของผมดังมาจากทิศทางหนึ่งด้านหลัง

ผมนิ่งและเดินออกห่างจากต้นเสียงที่รู้สึกว่าอยู่ไม่ไกลแม้จะไม่หันไปมองก็ตาม

“เฮ้ย! ผู้ใหญ่กำลังพูดด้วย อย่าทำนิสัยเชี้ยๆ แล้วเดินหนีสิวะ!!” คนตัวเล็กสามารถคว้าแขนผมให้หยุดฝีเท้าลงได้ทัน

“โถ่….โว้ย!! มึงจะไปเข้าใจอะไร!!” ใจที่เย็นสงบลงเมื่อครู่ของผมมันกลับโหมขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายโดนตัว

“ใจเย็นไอ้สัด!!” เสียงของไอ้เตี้ยนักเลงโตดังขึ้นพร้อมกับเสียงหมัดแหวกอากาศเข้าปะทะกับสันกรามของผม เสียงดังเปรี๊ยะ และวิ้ง… ดังไปทั่วโสตของผม ผมหวืดล้มลงด้วยเพราะพยายามจะหลบการปะทะต้านกับหมัดโดยการปล่อยตัวเองไปตามทิศทางเดียวกับหมัดที่พุ่งตรงมา แม้จะหลบไม่พ้น แต่หน้าผมก็คงไม่เจ็บช้ำมาก

แขนที่อีกฝ่ายยังดึงรั้งไว้ยังถูกอีกฝ่ายเกาะกุมอยู่ ทำให้ศรีษะผมไม่ได้กระแทกพื้นรุนแรงแต่ก็อยู่ในท่าที่ทำให้แขนบิดไปในทางที่ทำให้ผมร้องเสียงดังได้

เหมือนอีกฝ่ายจะตกใจมากจึงรีบปล่อยมือทำให้ร่างผมหล่นลงกระแทกพื้นดังพั่บ

“หุบปากแล้วฟังกู!!” ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากด่าไอ้ผู้ใหญ่ส่วนสูงเท่าหัวไหล่ ก็ถูกอีกฝ่ายตวาดเสียก่อน

ผมนิ่งไปพักใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดจนหน้ายู่ยี่ไปหมด ท่าทางก็เป็นคนที่ไม่ได้พูดบรรยายเก่งเหมือนกับแม่ผม

“มีอะไรคุณพ่อเลี้ยง!!” ผมเอ่ยขึ้นสั้นๆ แผ่วเบา ความรู้สึกภายในช่องท้องมันปั่นป่วนไปหมด เกลียดไอ้ความรู้สึกแบบนี้ฉิบหาย

“เฮ้อ….. กูกะแล้วว่ามึงต้องเข้าใจแบบนี้ ก็แม่ตัวดีของมึงก็ชอบแกล้งลูกเสียเหลือเกิน ไอ้นิสัยแบบนี้มันคงส่งต่อเป็นกรรมพันธุ์” คนที่ยืนค้ำเขาอยู่พูดพลางผ่อนลมหายใจ

“หมาย….หมายความว่าอย่างไร?” ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งและจ้องไปในแววตาอีกฝ่าย พลางลูบหน้าส่วนที่ชาและเริ่มรับความรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ

“เรื่องมันยาว” คนตัวเล็กทำสีหน้าลำบากใจ

“ก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน มีเวลา” ผมทำตัวดื้อใส่ และลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยิ่งทำให้เห็นว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าอย่างไรชัดขึ้น

“แม่ลูก เหมือนกันฉิบหาย…” นีโน่บ่นงึมงำ ทำให้เขามีอาการเหมือนเด็กวัยรุ่นที่โดนเพื่อนเซ้าซี้ให้เล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง

ในที่สุดตาลุงนีโน่ ก็ยอมเล่าให้ฟังแบบย่อๆ ใจความไม่มีอะไรมาก แม่ของผมบังเอิญได้กลับมาทำธุรกิจร่วมกับลุงโต้ง อดีตคนที่เคยแอบหลงรักเมื่ออดีต ยิ่งทำงานใกล้ชิดกัน ความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมา ยิ่งพอได้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งโสด ยิ่งร้อนใจ จนกระทั่งได้มาเจอกับตาลุงตัวเล็ก นีโน่โดยบังเอิญ ทำให้แก๊งสามคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

แน่นอนในช่วงแรกแม่ผมรู้ดีว่านีโน่เคยแอบรักตัวเองมาก่อนก็เลยพยายามเลี่ยงๆ การคบค้ามาตลอดเพราะใจมันฝืนกันไม่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแสนดีแค่ไหน ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

เพื่อความไม่อึดอัด แม่ผมเลยนัดคุยกับตาลุงตัวเล็กคนเล่าเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนคนเล่าก็เล่าไปหัวเราะไปเพราะความจริง นีโน่เองก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพียงแต่ติดนิสัยตามใจเพื่อนผู้หญิงคนนี้เท่านั้นเอง แม้จะยอมรับว่ามีหวั่นไหวบ้างแต่ก็ไม่อยากฝืนใจใคร (จ้า พ่อคนเลือกได้ ผมแอบคิดในใจ)

หลังจากได้เปิดใจกันระหว่างแม่ของผมกับตาลุงตัวเล็ก ก็ทำให้รู้ว่า ความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลุงโต้งยังคงเหมือนเดิม สุดท้ายเลยหลายเป็นว่า นีโน่เลยช่วยในแผนการแกล้งจีบของแม่ ทำให้ลุงโต้งฮึดขึ้นมา ยอมเปิดใจว่ารักชอบแม่เช่นกัน แต่เพื่อให้แน่ใจว่า ลุงโต้งจะเลิกเจ้าชู้ นีโน่จึงจัดแจงวางแผนดูเชิงโดยการให้มีการแข่งกันจีบแม่ของผมใหม่อีกครั้ง และวันนี้คือวันที่แม่ตัดสินใจ

ความจริงคือ คนเล่าเรื่องรู้ แม่ผมรู้ แต่แค่อยากจะแกล้งลุงโต้ง และลูกๆ อย่างพวกผมเท่านั้นเอง แม่ผมตัดสินใจเลือกลุงโต้งมาตั้งแต่เริ่มแล้วต่างหาก

“นี่ลุงก็แอบหวังลึกๆ อยู่เหมือนกันดิใช่ไหม?” ผมพูดแทรกขึ้นหลังจากอีกฝ่ายเล่าจบ จากการวิเคราะห์จากน้ำเสียงและสีหน้าการเล่า

“หึ! ก็ยอมรับนะว่ามีบ้าง รักแรก มันก็หวั่นไหวกันบ้าง กูบอกเลยว่าช่วงแผนการกูรุกจีบแบบจริงจังเลย แต่อย่างว่านะ….” คนตัวเล็กพูดเสียงเอื่อยและเสียงก็ได้หายที่ท้ายประโยคพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไป

ผมเองยอมรับเลยว่าสับสนกับภาพตรงหน้ามาก

การได้เห็นมุมอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบแปลกๆ เหมือนกัน หัวใจผมมันเต้นโครมคราม ความร้อนแฝงในร่างกายมันค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นจนใบหน้าร้อนไปหมด

“หายบ้าหรือยัง?” คนตัวเล็กหันมายิ้มในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ผมชะงักตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความประทับใจ

ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนผมหลงไหลศัตรูหัวใจคนแรกของตนเองอย่างนั้นหรือ?

“เออ!” ผมตอบห้วนๆ เพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง และหันหลังเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่มองคนที่เดินตามหลังเขามา

…………

ออฟไลน์ กัณฐ์ตังค์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อะไรอ่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย จะจบเเล้ว เหมือนความสัมพันธ์ดำเนินมาเเค่10%เอง สมุทรเพิ่งเปิดใจเอง จะจบเเล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด