พิมพ์หน้านี้ - Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2020 10:45:34

หัวข้อ: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2020 10:45:34
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท

          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2020 11:11:33
Shonennihon

หายไปนานหลายเดือนเลยครับ ช่วงนี้งานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาเขียนให้เรียบร้อยเสีย บวกกับการคิดพลอตเรื่องไว้มากมาย กว่าจะมาสรุปเป็นนิยายเรื่องนี้ใช้เวลาเป็นเดือนเหมือนกัน ตอนนี้ผมเริมลงมือเขียนแล้วครับ ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า  แต่ก็ขอให้ชอบกันนะครับ เป็นเรื่องในความคิดที่จะเขียนมาเป็นปีแล้ว ขอให้ทุกคนชอบนะครับ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2020 11:12:19

ลำนำสมุทรใต้มหาพฤกษา

ต้นน้ำ

“ต้นน้ำ!”

นั่นชื่อผมเอง และนั่นก็เสียงแม่ผมเอง แม้จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมา 2 ปีแล้ว แม่ก็ยังจิกหัวใช้ผมยังกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่คนงานในบ้านเยอะแยะ บ้านผมเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ถือว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเลย คนงานในบ้านเยอะแยะไปหมด แต่แม่ก็เลือกที่จะใช้ผมทำงานอย่างติดปาก

โดยเฉพาะหน้าที่นี้ หน้าที่การไปเก็บกวาดสวนหลังบ้าน เพื่อนผมหลายคนอาจจะบอกว่า แค่นี้เอง! ทำๆไปเถอะ!! ทุกครั้งที่ผมบ่นให้ฟัง

แต่ก็นั่นแหละ! พวกมันไม่เคยเห็นสวนหลังบ้านผมนี่นา หลังบ้านผมเป็นที่ดินของบรรพบุรุษครับ พวกท่านปลูกสวนผลไม้ทำมาหากินจนส่งลูกไปเรียนจนจบวิศวะ และกลับเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างและร้านขายวัสดุก่อสร้างใหญ่โต นั่นก็คือพ่อผมเอง แต่ตอนนี้คงเหลือแต่ร้านขายวัสดุก่อสร้างเท่านั้นตั้งแต่พ่อเสียไปได้สองปีด้วยโรคมะเร็ง (แม่คนเดียวทำไม่ไหว เลยขายกิจการให้หุ้นส่วนไปทั้งหมด)

กลับมาที่สวนที่เล่าค้างไว้  บ้านผมมีต้นไม้ใหญ่อยู่ท้ายสวนซึ่งติดกับที่ดินอีกแปลงที่เป็นสวนเหมือนกัน ด้วยมีตำนานที่เล่าต่อๆ กันถึง เทพยดาที่สถิตย์อยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น จะดลบรรดาลให้สำเร็จ เรื่องความรักจึงมักจะมีคนแอบลอบเข้ามาบนบานสานกล่าว ที่ใต้ต้นไม้จึงเต็มไปด้วยธูปและเทียน ของเซ่นไหว้มากมาย นั่นเป็นเหตุให้แม่ต้องใช้ผมไปจัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยเป็นประจำ วันนี้ก็เช่นเดิม

“ต้นน้ำ!!” เสียงของแม่ที่เข้มขึ้นหลังจากที่ผมทำหูทวนลมไม่สนใจและนั่งกดจอยสติ้กเครื่องเล่น PS4 อย่างเมามันส์

“ครับบบบ” ผมรับตะโกนตอบกลับ เพราะไม่อยากให้แม่อารมณ์เสียก่อนมื้อเย็น เพราะจะส่งผลกับรายการอาหารมื้อเย็นทันที ผมเคยเจอมื้อเย็นที่มีเพียงข้าวต้มกับเกลือมาแล้ว

‘ไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน!!’ เสียงของแม่ในตอนนั้นยังดังอยู่ในโสตประสาท

“ได้ยินแล้วก็ลงมา!!” เสียงของแม่ที่ดังผ่านพื้นชั้นสองทำให้ผมต้องรีบหยุดเครื่องเล่นเกมและเดินออกจากห้องทันที

“ครับแม่ ผมอ่านหนังสืออยู่” ผมที่เดินไปเจอหน้าแม่ที่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสองรีบตอบออกไปเสียงเรียบ

“แม่ไม่ได้โง่นะ! เสียงเกมส์แกดังลั่นมาถึงข้างล่าง คิดอยู่ว่าถ้าไม่ลงมาจะไปสับสวิตช์ปิดไฟฟ้าชั้นสองเสียเลย!!” แม่สวนกลับมา

“แม่จะให้ผมทำอะไร?” ผมรีบถามเปลี่ยนเรื่องหลังจากโดนแม่จับโกหกได้

“ไปจัดการใต้ต้นไม้นั่นที แม่เห็นคนไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น เจอธูปเจอเทียนก็จัดการเก็บให้หมดด้วย!!  ชั้นไม่อยากให้ไฟไหม้บ้าน!!” แม่โวยวายพลางชี้ไปทางทิศหลังบ้าน

“แม่ สวนเราออกจะกว้าง ไหม้ยังไงก็ไม่ถึงบ้าน” ผมบ่นอุบอิบ

“ต้นน้ำ!” แม่ผมเอ่ยเสียงขุ่น

“โอเคๆ เดี๋ยวผมจัดการให้ ทำไมแม่ไม่เปิดให้เขาเข้ามาสักการะบูชาไปเลย เก็บเงินคนละร้อยสองร้อยบาท รวยไม่รู้เรื่อง!!” ผมพูดพลางเดินออกห่างจากแม่

”ฉันไม่ตัดทิ้งก็บุญแล้ว หากพ่อแกไม่สั่งเสียไว้ว่า รักต้นไม้ในสวนมาก อย่าตัดเพราะบรรพบุรุษปลูกไว้ ฉันตัดให้มันจบๆไป”  แม้ว่าตอนที่แม่กล่าวจะมีน้ำเสียงหงุดหงิดมากก็ตาม แต่ก็มีสีหน้าที่เศร้าสร้อยลงจนเห็นได้ชัด

ผมเห็นก็เศร้าตามไปด้วยเพราะความคิดถึงพ่อ พ่อรักสวนผลไม้หลังบ้านมาก แม้ไม่ได้ปลูกขายแล้ว ท่านก็ดูแลของท่านอย่างดี ออกดอกออกผลก็แจกญาติพี่น้องกับคนงานหมด

“รีบไปเถอะ หากแกยังอยากให้พวกต้นไม้ที่พ่อแกรักยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ไหม้เป็นตอตะโกเสียก่อน”  แม่เหมือนมีน้ำตาคลออยู่ก่อนที่จะปลีกตัวไปดูแลหน้าร้านที่ตอนนี้ลูกค้ากำลังเข้ามามากขึ้นในช่วงสุดท้ายของวัน

ผมจึงจัดแจงเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อม ถังน้ำ ถุงขยะ ไม้กวาดถุงมือ ที่ผมมีเตรียมไว้เป็นประจำในการไปรบรากับบรรดาข้าวของที่กองอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น

เหมือนเช่นทุกวันที่ผมมักจะเดินชมนกชมไม้ไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐมอฐสีแดงเรียงกันเป็นแนวยาวทอดจากตัวบ้านไปจนถึงท้ายสวน ที่สุดทางเดินนี่ก็คือต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในสวน ผมก็ไม่แน่ใจว่าต้นอะไร ไม่เคยมีผลให้เห็นอะไรนอกจากดอกสีส้มสดในทุกหน้าร้อน

ผมมักจะเดินร้องเพลงเสียงดังไปด้วยเพราะจะได้บอกใบ้ให้คนนอกที่เข้ามาบูชาต้นไม้ต้นนี่หลบหนีไปก่อน ผมไม่อยากมีอาการอึดอัดเวลาต้องเอ่ยปากไล่คนพวกนั้น บางคนถึงขั้นตกใจวิ่งหกล้มหัวแตกมาแล้วก็มี เสียงผมก็ไม่ได้ดีอะไรมาก ร้องได้ก็ไม่กี่เพลง เพียงแค่นึกอยากร้องอะไรก็ร้องออกมาดัง บางครั้งผมก็ยังร้อง ‘เพลงช้าง’ ก็มีมาแล้ว

วันนี้ผมจะรีบไปเล่นเกมต่อเลยเร่งฝีเท้าและใช้ไม้กวาดเคาะถังน้ำไปพลางเดินไปพลาง เผื่อว่าจะมีคนได้ยินแล้วจะได้หนีไปก่อน

แต่วันนี้ทุกอย่างดูเงียบสงบกว่าที่คิด และวันนี้กลับเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายตกใจเสียเอง หรือจะเรียกว่าตกตะลึงดี

ที่เนินเตี้ยๆ ใต้ต้นไม้ต้นนั้น มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ผิวขาว ผมสีดำยาวและมัดไว้หลวมๆที่ท้ายทอย ลมแดดร่มรื่นยามเย็นพัดโชยให้ไรผมโปกปลิวเบาๆ  ใบหน้าเรียวยาว ขาวเนียนจนเกือบโปร่งใสนั้น หลับตาพริ้ม ท่วงท่าการยืนที่มั่นคง บวกกับส่วนสูงที่สูงจนเกือบถึงกิ่งที่เตี้ยที่สุดของต้นไม้นั่น มันสวยงามจนแทบละสายตาไม่ได้กับทรวดทรงที่ได้สัดส่วนเหมือนเขามองภาพวาดของศิลปินชิ้นเอง

การแต่งกายที่ธรรมดานั่นไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้ดูธรรมดาลงไปเลย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวสะอาดตากับการเกงยีนส์ทรงกระบอกเล็กดูเป็นของมีราคาขึ้นมาทันที

สองมือของชายคนนั้นเหมือนถือบางสิ่งอยู่ในมือ บางอย่างมองจากระยะของผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้ หรือจะเป็นอาวุธ อย่าบอกนะว่าผู้ชายหน้าสวยคนนี้จะเป็นโจร!

ก่อนที่ผมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อแจ้งแม่ของผมถึงเหตุด่วนเหตุร้ายที่ผมเจอ ชายหน้าสวยคนนั้นก็ยกอุปกรณ์ในมือข้างหนึ่งลักษณะเหมือนเนื้อไม้สีเข้ม เขาวางสิ่งนั้นไว้บนบ่าและใช้คางหนีบที่ปลายสิ่งของชิ้นนั้น พร้อมอีกมือหนึ่งที่วาดขึ้นมาพร้อมกับไม้เรียวยาวขนาดยาวประมาณข้อศอกขึ้นมาประกบไว้ด้านบนของสิ่งนั้นที่วางบนบ่า

เพียงชั่วพริบตากลังจากนั้น เสียงที่เกิดจากการเสียดสีของสิ่งของทั้งสองสิ่งก็บรรเลงออกมากลายเป็นเสียงที่ไพเราะจับใจ

ผมไม่เคยรู้เลยว่าของสิ่งนั้น (ที่มารู้ทีหลังว่าไวโอลิน) มันจะสามารถสรรสร้างทำนองที่เหมือนเสียงสวรรค์ขนาดนี้ได้

มือที่ถือโทรศัพท์สมาร์ทของผม จากที่ตั้งใจจะกดโทรศัพท์หาแม่ กลับเปลี่ยนโหมดมาเป็นการบันทึกภาพ ภาพของชายคนหนึ่งที่กำลังบรรเลงเสียงสวรรค์ให้เขาและเหล่าธรรมชาติทั้งมวลที่อยู่ ณ ที่นี้

ท่วงท่าในการใช้มือสอดประสานกับจังหวะดนตรี การเคลื่อนไหวร่างกายต่างๆ ล้วนสอดประสานกับเสียงที่บรรเลง ดวงตาที่หลับพริ้มไปกับสมาธิของดนตรีที่บรรเลง ทำให้ภาพตรงหน้า มันสวยงามจนผมหยุดเท้าตัวเองที่ก้าวเข้าใกล้ภาพเหล่านั้นไม่ได้ ผมยืนดูการแสดงนั้นไปเรื่อยๆ จนเสียงดนตรีหายไป มือที่เคยถือกล้องเพื่อบันทึกที่น่าประทับใจนี้ก็ถูกลดลงไปตอนไหนก็ไม่ทราบ ผมหลงไปกับภาพตรงหน้า หัวใจกระตุกสั่นไหวเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพตรงหน้าทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง จนกระทั้ง

“นายเป็นใคร?” ชายที่แสดงการเล่นดนตรีที่แสนมหัสจรรย์นั่นเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เขาหลุดออกจากภวังค์บรรเลงดนตรี

ดวงตาคมกริบที่มองมาทางผมทำให้ใจไหววูบจนต้องเกือบลืมหายใจ ผมทำได้แต่กลืนน้ำลาย และยิ้มเฝือนตอบกลับไป

..........



จินไห่ อรรณพ


ผมนั่งมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์รุ่นล่าสุดที่เพิ่งซื้อมา แต่ความคมชัดของภาพมันเบลอไปหมดไม่ชัดเจน ไม่ใช่เพราะคุณภาพของภาพและไม่ใช่คุณภาพของโทรศัพท์ แต่เป็นเพราะน้ำที่หล่อเลี้ยงในตามันเอ่ออยู่ และพร้อมที่จะไหลนองหน้าเป็นสาย

ผมปาดน้ำตาที่ไหลลงไปที่แก้มที่ตอนนี้คงเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดฝาดเพราะผมปาดน้ำตาติดต่อกันหลายครั้ง

ในบางช่วงของชีวิต ก็ต้องยอมอ่อนแอบ้าง ผมคิด

ผมใช้นิ้วโป้งมือข้างที่เพิ่งปาดน้ำตาสัมผัสไปที่รูปถ่ายครอบครัวบนหน้าจอ รูปที่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้อยู่ร่วมกัน ใจที่ไหวหวั่นสั่งให้นิ้วมือปัดรูปนั้นไปทางซ้ายเพื่อเปลี่ยนภาพ มาเป็นรูปผู้หญิงผมยาว ยิ้มสวยผิวสองสี  วงหน้าที่แสนสดใสจนทำให้ผมยิ้มตามได้ทุกครั้งที่เห็น...แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว มันทำให้ผมเศร้าไปมากกว่าเดิม

ผมตัดสินใจปิดหน้าจอโทรศัพท์และลดมือลงไปเพื่อเอาเครื่องโทรศัพท์แผ่นบางนั้นโยนลงกระเป๋ากางเกง

“เลิกเศร้าได้แล้ว ชีวิตมันต้องเดินต่อ!” ผมบอกตัวเองแบบนั้น

สายตาของผมทอดยาวไปจนสุดผืนดินที่เป็นมรดกของพ่อที่ให้ไว้ พื้นดินหลายไร่ของบรรพบุรุษที่เหลือไว้ให้ เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล และผ่านเรื่องราวมากมาย ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่

เขายังจำภาพสมัยเด็กที่เขามักจะมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ เรือกสวนที่มีไม้ผลต้นใหญ่ยืนตระหง่านเป็นทิวแถวอย่างมีระเบียบ แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับเหลือเพียงที่รกร้างกับต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกสูงเทียมเข่า

ผมมองความเปล่าเปลี่ยวเหล่านั้นด้วยสายตาที่เปียกชุ่ม จนกระทั่งไปสะดุดที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สุดปลายที่ดินผืนนี้ ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

ภาพในหัวของผมผุดภาพๆหนึ่งขึ้นมาอย่างตั้งใจ ผมจึงรีบเปิดค้นกระเป๋าสะพายตนเองอย่างร้อนรน จนกระทั้งผมเจอสิ่งที่ค้นหา สิ่งที่ผมพกติดตัวไปไหนมาไหนอย่างตั้งใจ

มันคือสมุดบันทึกของคุณพ่อ พ่อที่ผมเคารพรักสุดหัวใจ พ่อที่จากไปก่อนวัยอันควร พ่อผมทิ้งสมบัติไว้ให้ผมมากมาย แต่กลับมีเพียงชิ้นนี้ที่ผมบังเอิญไปเจอมันในกล่องของส่วนตัวของคุณพ่อ แล้วมันทำให้ผมหลงเสน่ห์มันอย่างประหลาด

มันเป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือของพ่อ กระดาษสีเหลืองเก่าซีด เริ่มจะกรอบเปื่อย บวกกับภาพวาดประกอบระดับศิลปินชื่อดังของพ่อ ทำให้หนังสือเล่นนี้เหมือนวรรณกรรมชิ้นเอกที่มีเล่มเดียวในโลก บันทึกเล่มนี้ทำให้ผมนึกถึงพ่อ มันเหมือนพ่อยังคงอยู่กับผม บันทึกเป็นภาษาไทยทั้งหมด ทำให้ผมซึ่งไม่ได้แตกฉานภาษาไทยมีปัญหากับการแปลความพอควร ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องของพ่อ และเป็นเรื่องราวช่วงวัยรุ่นของพ่อที่ประเทศไทย มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก เรื่องรักแรกของพ่อ แต่เสียดายพ่อไม่ได้เอ่ยชื่อหรือลักษณะของคนรักเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าต้องสวยระดับแม่ของผมแน่ๆ เป็นคิดเข้าข้างตนเองของผม คนที่ทำให้พ่อหลงรักจนลืมไม่ลงนี้คือใครกัน ผมเองก็อยากจะทราบ

ผมนั่งพลิกเปิดบันทึกของพ่อไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังจนกระทั้งไปเจอภาพวาดที่ใกล้เคียงกับภาพที่ปรากฏในคลองสายตาของเขาตอนนี้ถึงขนาดที่ว่าผมยกสมุดเล่นนั้นมาเปรียบเทียบกัน แม้ขนาดและรูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ผมมั่นใจว่ามันเป็นต้นเดียวกันแน่ๆ

ร่างกายไวกว่าความคิด ผมรู้ตัวอีกทีก็หยิบไวโอลินประจำกายพร้อมสมุดบันทึกบุกฝ่าพงหญ้า ข้ามรั่วไปยืนใต้ต้นไม้ต้นนั่นเสียแล้ว

รูปวาดในสมุด จะมีรูปวาดของต้นไม้ต้นนี้ทุกบททุกตอน แต่ภาพที่วาดนั้นไม่ซ้ำกันเลย เป็นภาพต้นไม้ต้นนี้ในมุมต่างๆ ภายใต้แสงและเงาที่แตกต่าง

ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบผิวขรุขระของลำต้น ลูบไปบนอักขระที่ถูกสลักไว้กลางลำต้นที่เลือนลางไปตามกาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างในบันทึกเล่มนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ลักษณะภูมิประเทศบริเวณนี้ก็เหมือนกับที่บรรยายไว้ในสมุดบันทึกทุกอย่าง มันทำให้ผมนึกถึงข้อความบางช่วงในบันทึกที่เขาประทับใจที่สุด แล้วผมก็เปิดหีบไวโอลินขึ้นมาสีเป็นเสียงที่ผุดขึ้นมาในสมอง ท่วงทำนองมันค่อยๆ ไหลบ่าออกมาจนแทบจดจำได้ไม่หมด ผมหลับตาเพ่งสมาธิไปกับท้วงทำนองในใจ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเล่นมันออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ผมเผลอหลงเข้าไปอยู่ในเมโลดี้เหล่านั้น จนกระทั้งรู้สึกถึงใครบางคนบริเวณนั้น ผมหยุดเล่นและลืมตาทันที เด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดลำลอง ทรงผมทันสมัย รูปหน้าหมดจด ยืนหลับตาเหมือนหลงเข้าไปความไพเราะของบทเพลงที่ผมเพิ่งบรรเลง

“นายเป็นใคร?” ผมถามออกไปด้วยความตกใจ แต่ไม่รู้ว่าเพราะความแปลกของสำเนียงภาษาไทยของผมหรือเปล่า ทำให้ชายวัยรุ่นตรงหน้าถึงมีอาการแปลกใจและไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ของผม จนกระทั้งผมกำลังจะเอ่ยปากถามอีกที

“นายนั่นแหละ! เป็นใคร!” เสียงของหนุ่มวัยรุ่นตอบสวนมา
“นี่มันพื้นที่สวนบ้านผม คุณไม่ควรเข้ามา!!” ชายวัยรุ่นพูดออกมาด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก

......................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 21-09-2020 19:22:23
อ้าว! ยังไงละเนี้ย ต่างคนต่างเด๋อใส่กัน คู่นี้ดูท่าจะชลมุน 55555 ต้นไม้ต้นนี้มีความสำคัญฉไหนหนอ รอตอนต่อไปเลยค่ะ สนุกดีนะ น่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 21-09-2020 21:08:53
จิณไห่​ ชอบชื่อนี้จังค่ะ​ ❤️  :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-09-2020 16:45:49
บทที่ 1

เรื่องของเรื่อง



“เธอไม่เคยแคร์ฉันเลยใช่ไหม?” เสียงหญิงสาวเกรี้ยวกราดดังขึ้น

“อะไรของเธอเนี่ย? อยากมาดูหนังก็พามาแล้วไง!” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีคิ้วคมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาหยิบตั๋วหนังแถวฮันนี่สวีทที่แพงสุดในโรงภาพยนตร์ขึ้นมาแสดงตรงหน้า

“แล้วพีชนัดกี่โมง?!?” พีชสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ตอนนี้คิ้วของเธอเริ่มผูกกันเกือบจะเป็นโบว์แล้ว

“เอ่อ...... 11 โมง....” ชายหนุ่มตอบไม่เต็มเสียง

“แล้ว ‘ต้นน้ำ’ มากี่โมง!?!” หญิงสาวยังคงเพิ่มเสียงขึ้น

“ก็ผม... ต้องไปซ้อมกีฬากับเพื่อนก่อนนี่นา!!” ต้นน้ำทำหน้าครุ่นคิดก่อนตอบ เขามักจะใช้ข้ออ้างนี้กับสาวๆของเขาเสมอ ในฐานะนักกีฬาของมหาวิทยาลัย เขาใช้ชื่อเสียงตรงนี้อ้างจนเป็นนิสัย

“แล้วเพื่อนของหมาตัวไหนมันอัพไอจีสตอรี่ ว่าไปนั่งจีบลีดฯ มอน้องใหม่อยู่!!” พีชยกหน้าจอโทรศัพท์ที่มีภาพเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าชัดเจน

‘ไอ้เชี้ยไอซ์! ไอ้เพื่อนเลว!!’ ต้นน้ำยกยิ้มแบบฝืนๆ ไปให้หญิงสาวที่กำลังคบหาตรงหน้า พร้อมสบถด่าเพื่อนในใจ

เพี๊ยะ!!

เสียงฝ่ามือเล็กปะทะกับใบหน้าขาวใสของหนุ่มร่างสูงสไตล์นักกีฬาอย่างจัง

“เธอมันก็มีดีแค่หน้าตา เธอมันไร้หัวใจ ถามจริงเธอเคยรักใครบ้างไหม?” พูดจบสาวร่างเล็กโยกย้ายร่างเล็กๆ ของเธอหนีจากชายตรงหน้าทันที

“เดี๋ยวครับพี่พีช!” ต้นน้ำที่ชำนาญเกมจีบสาว เดินเกมรุกเพื่อขอคืนดีทันที เขารู้ว่าสาวรุ่นพี่ปีสี่คนนี้ชอบให้เรียกสรรพนามแบบไหน เสียงอ้อนๆแบบไหน

“ปล่อย!!” สาวเจ้าเสียงแข็ง

“ต้นน้ำผิดไปแล้ว ยกโทษให้ต้นน้ำเถอะนะ” เสียงออดอ้อนแบบไม่แคร์สื่อดังออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่พีชกลับทำท่าข่มตาและสะบัดมือทิ้งทันที

“นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว มันจะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว!!” แพรวสะบัดหน้าใส่ต้นน้ำอย่างไม่ใยดี

ต้นน้ำทำได้แค่เกาหัวมองภาพสาวน้อยเดินจากไปจนสุดตา

“เสียเงินฟรีๆ อีกแล้วสิ” ต้นน้ำเกาหัวมองตั๋วหนังราคาแพงในมือ

เขามองชื่อของภาพยนต์รักหวานซึ้งที่ปรากฎอยู่บนตั๋วราคาเกือบพันบาท

“ไม่ใช่แนวว่ะ” ต้นน้ำเบ้ปาก ส่ายหน้าแล้วจึงเดินไปที่บริเวณเครื่องบริการขายตั๋วอัตโนมัติ เขาพิจารณาผู้คนที่เข้าไปซื้อตั๋วอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเดินทักสาวสวยกลุ่มหนึ่งพร้อมยื่นตั๋วชุดนั้นให้สาวกลุ่มนั้นอย่างไม่ลังเล ด้วยความที่เป็นคนที่พอมีคนรู้จักบ้าง ทำให้สาวน้อยกลุ่มนั่นรับไว้ด้วยความปลาบปลื้ม ต้นน้ำเดินจากมาทันทีที่เสร็จสิ้นภาระกิจ

‘ทำไมผู้หญิงถึงได้วุ่นวายเรื่องความรักกันจัง แค่มีความสุขทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันมันก็น่าจะพอหรือเปล่าวะ?’ คนร่างสูงโปร่งบ่นพึมพำขณะเดินออกจากพื้นที่โรงภาพยนตร์

ต้นน้ำนักศึกษาปีสาม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัด ผู้เคยเป็นถึงอดีตเดือนมหาวิทยาลัยที่มีสถิติโหวตสูงสุดในประวัติศาสตร์ของการประกวด มีแฟนมานับไม่ถ้วนทุกคณะ ทุกชั้นปี แต่ไม่มีใครทนคบอยู่เกินสามเดือนเลย สาวๆ หลายคนพยายามมาทำลายสถิติ มีทั้งที่ต้นน้ำเป็นคนไปจีบเอง และคนที่เสนอตัวให้ แต่ก็ไม่มีใครอยู่กับเขาเกินสามเดือนเลย มันเป็นเลขอาถรรพ์สำหรับเขาไปแล้ว

“ไอ้เชี้ยต้นน้ำ มึงนี่เอาอีกแล้วหรือวะ?!” เสียงของไอซ์เพื่อนสนิทของเขาดังขึ้นทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาในระยะสิบเมตร

“เพราะใครล่ะไอ้สัด แม่ง!!” ต้นน้ำทำสายตาดุใส่เพื่อนสนิท

“ก็มึงไม่จริงจังกับพี่พีชเอง ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไอ้คนที่ดีแต่เรื่องหน้ากับเรื่องบนเตียงน่ะ!!” ไอซ์พูดพลางหลบฝ่ามือที่วาดผ่านอากาศเล็งมาที่ศรีษะตนเอง

“สัด!! กูยังซิง กูรักษาพรหมจรรย์” ต้นน้ำทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเพื่อนสนิท พื้นที่ๆ เขากับเพื่อนมักจะมาสิงอยู่เป็นประจำคือ ม้านั่งข้างสนามบาสเกตบอลกลางแจ้งในมหาวิทยาลัย

“นักพรากพรหมจรรย์เสียล่ะมากกว่า กูว่ามึงเลิกนิสัยเหี้ยๆ นี้เหอะ ก่อนที่สักวันมึงจะเป็นพ่อคนไม่รู้ตัว!!” ไอซ์เตือนสติเพื่อน

“กูป้องกันดีน่า พวกนั้นก็ต้องการ กูก็แค่สนองไหมวะ! อีกอย่างมันผิดที่พวกนั้นมาเติมเต็มช่องว่างในใจกูไม่ได้เอง อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิก!!” ต้นน้ำมองไปที่ท้องฟ้าอย่างสบายใจ เขาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่แสนปกติธรรมดา

“มึงมีด้วยหรือวะ? ไอ้รูโหว่ในจิตใจเนี่ย! กูว่ามึงไม่มีหัวใจเลยมากกว่า!” ไอซ์ผู้ซึ่งรู้ไส้ทุกขดของเขาอย่างดีพูดสวนมา

“เกลียดแม่ง! รู้ทัน เอาจริงๆ กูก็เคยนะ...”  ต้นน้ำค่อยๆลดเสียงลงเมื่อสายตาของเขาไปปะทะกับสาวทรงเนื้อนมไข่อย่าง ‘นิ่ม’ แฟนสาวรุ่นพี่ของหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา

“เฟรมล่ะ?” น้ำเสียงแบบถือตัวสอบถามไปยังน้องชายฝาแฝดของแฟนตัวเอง

“พวกผมไม่ใช่แฝดสยามนะ ที่จะได้ตัวติดกัน แล้วพวกผมก็ไม่มีญาณทิพย์ที่สื่อถึงกันได้นะ ปกติเห็นตัวติดกันตลอดมาถามแบบนี้ผมถึงกับตอบไม่ถูกเลยนะเนี่ย” คำตอบของไอซ์ที่ทำให้สาวสวยอดีตดาวมหาวิทยาลัยผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

“นายนี่มันตอบสั้นๆ ไม่เป็นเลยใช่ไหม? เมื่อไหร่จะเลิกยียวนกวนประสาทฉันเสียที” ไอซ์ที่ได้ยินเสียงบ่นของอนาคตพี่สะใภ้ถึงกลับกรอกตาไม่สนใจฟัง

“นายก็ด้วย ฉันไม่น่าแนะนำให้นายรู้จักยัยพีชเลย ไอ้คนไม่มีหัวใจ!!” ในที่สุดจุดประสงค์ของสาวสวยทรงโตก็ปรากฏ ทั้งสองคนรู้ว่านิ่มไม่น่าจะมาถามหาคนของตัวเองกับพวกเขาเพราะไอ้เฟรมน่ะทั้งรักแฟน กลัวแฟนอย่างกับอะไรดี คิดหรือว่ามันไปไหนแล้วจะไม่รายงานแฟนขี้หึงของตนเอง

“ผมก็เคยบอกแล้วว่า ผมน่ะ believe in fuck, not believe in love ดังนั้นหากจะด้วยกันยาวๆ ก็ต้องเข้าใจข้อนี้นะ!!” ต้นน้ำพูดขึ้นมาต่อหน้านิ่มกลับไปด้วยยิ้มที่แสนเจ้าเลห์

“ชิ! ใครจะคิดว่านายหมายความแบบนั้นจริงๆ!! ฉันไปดีกว่า ฉันเอาเวลาไปปลอบยัยพีชดีกว่า คอยดูนะฉันหาให้นางใหม่แล้วดีกว่า เดือนมหาวิทยาลัยง่อยๆ อย่างแกเลย!!” นิ่มโกรธกระฟัดกระเฟียดเดินห่างออกไป

“เจ๋งว่ะ!! สยบยัยพี่นิ่มด้วยไม่กี่ประโยค ปกติกูเจอยัยนั่นเมื่อไหร่ ต้องแพ้ปากนางทุกทีเลยว่ะ”  ไอซ์หันไปหาต้นน้ำด้วยสีหน้าทึ่ง

“กูรู้ว่ามึงน่ะเกรงใจ ไอ้เฟรม หากเอาจริงยัยนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ฝีปากอย่างมึงหรอก!!” ต้นน้ำสวนกลับ

“ยกย่องกูเกินไปแล้ว ว่าแต่ที่มึงพูดเมื่อกี้จริงอ่ะ มึงเพิ่งไปเดทกันไม่กี่ครั้งเอง นี่มึงได้กับพี่พีชแล้วหรือวะ??” ไอซ์สงสัย

“บ้าเรอะ! กูก็มีกฏของกูนะ กูไม่ได้มั่วขนาดนั้น!! ถึงพี่พีชจะพยายามยั่วกูหลายครั้งก็เถอะ ไม่ไหวว่ะ กูคุยด้วยก็รู้แล้วว่าจะมีแต่ปัญหา” ต้นน้ำเล่าพลางส่ายหน้าไปพลาง

“ผู้หญิงก็อย่างนี้” ไอซ์เสริม

“จ้า พ่อยอดชาย มึงเป็นประเภทสนแต่ผู้ชายนี่หว่า” ต้นน้ำเหล่มองคนข้างๆ

“พูดว่า กูไม่ได้จำกัดเรื่องเพศดีกว่า แต่ผู้ชายมันคบกันง่ายกว่านี่หว่า มึงน่าจะลองนะ”

“ไม่ๆ กูว่าไม่ดีกว่า ไม่ใช่ว่ากูอคตินะ แต่มันไม่ใช่แนวว่ะ กูนึกภาพตัวเองไม่ออกจริงว่ะ!!” ต้นน้ำปฎิเสธเสียงแข็ง

“สนามก็ว่างทำไมพวกมึงไม่ลงไปเล่นวะ?” เสียงจากด้านข้างสนามไม่ไกลดังแทรกบทสนทนาของเพื่อนสนิททั้งสอง คนที่มาด้วยท่าทางสุดคูลแบบนักกีฬามหาวิทยาลัยคือ ‘ไอ้เฟรม’ พี่ชายฝาแฝดของไอซ์นั่นเอง 

หากเป็นทั่วไปคงจะแยกพี่น้องสองคนนี้ไม่ออก เพราะหน้าเหมือนกันอย่างกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ส่วนสูงก็ไล่เลี่ยกัน บวกกับความที่หน้าตาเป็นลูกครึ่งชาติตะวันตก จึงทำให้สองคนนี้โดดเด่นมาก ที่สำคัญพวกมันดันเรียนคณะเดียวกัน

“พี่นิ่มล่ะ เจอกันหรือยัง?” ต้นน้ำถามทันทีที่เห็นหน้าบอยเฟรนด์คนคูลของนิ่มอดีตดาวมหาวิทยาลัยทรงโต
“ถามทำไมว่ะ กูเพิ่งแยกกันเมื่อเย็นนี้เอง เห็นบอกว่าจะไปปลอบใจเพื่อนอะไรสักอย่าง” เฟรมตอบไปพลางเปลี่ยนไปสวมรองเท้าหุ้มข้อเพื่อลงสนามซ้อมกับเพื่อนๆ

ต้นน้ำกับไอซ์ มองหน้ากันเป็นเชิงรู้กัน เพราะรู้อยู่แล้วว่านิ่มเป็นคนอย่างไร

“ไม่มีอะไร แค่ถาม ก็ปกติเห็นพี่นิ่มตามติดมึงแจเลย ขนาดมึงมาเล่นบาสฯ ยังตามมานั่งเล่นโทรศัพท์รอที่ข้างสนาม” ต้นน้ำตอบกลับไปเป็นเชิงล้ออีกฝ่าย

“ตามติด.... ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย!” เฟรมเถียงกลับแบบติดตลก

ไอซ์ที่ได้ยินพี่ชายตัวเองตอบแบบนั้นได้แต่หลบหน้ากรอกตา

“ว่าแต่พวกมึงจะอู้อะไรให้อายเด็กวะ ลงสนามได้แล้ว ปีนี้ปีสุดท้ายแล้วนะ กูยังอยากได้แชมป์ปิดท้าย” เหตุเพราะปีสี่มักจะโดนห้ามไม่ให้ลงแข่งเพราะเวลาซ้อมน้อยลงแล้ว งานของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์นั้นใครๆก็รู้ว่าโปรเจ็คจบมันโหดร้ายขนาดไหน เฟรมจึงอยากทิ้งชื่อไว้ว่าช่วงที่เขาอยู่ในทีมช่วยให้ทีมชนะเลิศสามปีซ้อน

“เฮ้ยๆ กูบอกแล้วไงว่าวันนี้กูงด กูมีนัด” ในขณะที่ไอซ์พยักหน้าและเตรียมตัวลงสนาม แต่ต้นน้ำกลับปฏิเสธเสียงดัง

“อ้าว! ก็กูเห็นมึงเสนอหน้ามาที่สนามก็นึกว่ามึงเปลี่ยนใจแล้ว!!” เฟรมสวน

“อย่าให้กูพูดเลยครับคุณเพื่อน อยู่ๆ เงินก็ลอยหายวั่บไป หนังก็ไม่ได้ดู สาวก็ทิ้ง.... กูไม่มีที่ไปเลยเดินมานั่งแง่กอยู่กับผู้ชายเหม็นเหงื่ออย่างพวกมึงไง” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจแรงๆหลายรอบจนลมพัดผมหน้าม้าของเฟรมไหวไปมา

“เออๆ ช่างแม่ม! หากมึงไม่ใช่ฝีมือดีอยู่แล้วกูให้ยืมรองเท้าสำรอง ชุดสำรอง และลากลงมาซ้อมด้วยแล้ว!! อยากนั่งก็แล้วแต่มึงเลย พวกกูไปแล้ว!!” เฟรมพูดจบก็ลากน้องชายฝาแฝดตัวเองลงสนาม

“อ้าว! เชี้ยแล้ว” ต้นน้ำทำท่าทางลังเลเล็กน้อยหลังเฟรมพูดจบประโยค การที่คนไฮเปอร์อย่างเขาจะมานั่งคนเดียวแบบนี้มันก็ใช่ที่ ก่อนที่เพื่อนฝาแฝดทั้งจะลงถึงสนาม เขารีบกระโดดลงไปคว้าคอไอ้เฟรมและขอยืมชุดสำรองทันที

............


เป็นธรรมเนียมของทุกครั้งหลังซ้อมบาสเกตบอลจบลง ทุกคนในทีมจะไปจบลงที่ร้านอาหารที่ไหนสักแห่ง วันนี้ทุกคนจึงตกลงไปที่ร้านคาเฟ่กึ่งร้านอาหารสไตล์บ้านสวน บรรยากาศดีแถวบ้านของต้นน้ำ ต้นน้ำพยายามคัดค้านเพราะเวลาไปกับพวกคนในทีมมีแต่ความวุ่นวาย เอะอะเสียงดัง จะไปทำลายบรรยากาศดีๆของร้านเสียเปล่าๆ แต่ไอ้พวกคนในทีมไม่ฟังการทัดทานของต้นน้ำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นที่รู้กันว่าช่วงนี้ของทุกวัน ร้านนั้นจะมีแต่สาวๆ สวยๆ ไปนั่งชิลอยู่

“อย่ามากั๊กไอ้ต้นน้ำ กูรู้ว่ามึงไปบ่อย จะเก็บไว้กินคนเดียวใช่ไหม? สาวๆพวกนั้น” ไอ้กล้า หนึ่งในสมาชิกของทีมที่มีความเจ้าชู้ คารมดีที่สุดคนหนึ่งของทีม หรือชื่อเต็มๆ ของมันต้นกล้า ที่ไม่ได้ตัวเล็กตัวน้อยเหมือนชื่อของมัน มันคือไม่ได้สูงที่สุดในทีมแต่มันเป็นคนที่กล้ามหนาที่สุดในทีมต่างหาก (ไม่รู้ว่ามันจะเล่นกล้ามให้ตัวใหญ่ขนาดนั้นไปเพื่ออะไร โค้ชด่ามันประจำแต่มันก็ไม่สนใจ)

“ก็กูรู้จักพี่เจ้าของร้านโว้ย กูกลัวพวกมึงไปทำลายบรรยากาศร้านพี่เขา สัด!!” ต้นน้ำสวนและพยายามหนีจากมือของไอ้ต้นกล้าที่พยายามจะมาขยี้หัวของเขา

“กูล่ะเบื่อผัวเมียคู่นี้จริงๆ จู๋จี๋กันอีกแล้ว ไอ้สองต้น” ไอซ์ที่มักจะคอยแซวเขาเรื่องนี้ประจำเดินมาเห็นพอดี

“ผัวเมีย พ่อง!!” ต้นน้ำด่ากลับทันที เขายอมรับว่าสนิทกับต้นกล้ามากจนใครๆมักเข้าใจผิด ด้วยความที่เข้าทีมมาพร้อมกัน ชื่อเล่นคล้ายกัน นิสัยใกล้เคียงกันจึงสนิทกันได้เร็ว

“กูขอเป็นผัวได้ป่ะ?” ต้นกล้าเดินเข้ามากอดคอใกล้ชิด

“ไอ้สัด!! กูไม่ขำ!!” ต้นน้ำแหว่งแขนล่ำๆของต้นกล้าทิ้งไปข้างลำตัวเจ้าของเช่นเดิม

“อย่าอายสิวะ ฮ่าฮ่าๆ” ไอซ์แซวเสียงดัง ซึ่งทำให้คนทั้งทีมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงส่งเสียงหัวเราะครืน

“ให้กูเอาเท้าลูบปากมึงหน่อยเหอะ! มุกแบบนี้กูไม่ขำ!! อยู่ในร้านนั้นห้ามเล่มมุกนี้ด้วย ไม่งั้นกูตัดเพื่อน!!” ต้นน้ำสบถพลางชี้หน้าไอซ์จริงจัง

“เชี้ย! แม่งเอาจริงว่ะ วันนี้ไม่ตบมุกกับพวกกูด้วย นี่มีงกลัวเสียภาพลักษณ์กับสาวๆ ขนาดนั่นหรือวะ?” ต้นกล้ายิ้มอย่างมีเลศนัย

“หรือมึงจะลอง!!” ต้นน้ำขู่

“เออๆ กูยอม เป็นผัวก็ต่องเคารพเมียสินะ” ต้นน้ำส่ายหย้าผายมือเป็นเชิงยอมแพ้

“ไอ้สัด!!” ต้นน้ำกำหมัดอย่าเหลืออด พร้อมที่จะเดินไปปะทะกับเพื่อน ปากเสียตรงหน้า

“พวกมึงช่วยสำรวมได้ไหมวะ!! จะถึงร้านแล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้แดกเหมือนคราวที่แล้วอีก!!” เฟรมที่เป็นกัปตันทีมเปล่งเสียงเข้มเพื่อห้ามทัพ แม้เขารู้ว่าพวกนี้มันก็แค่ทะเลาะกันตามประสาเด็กผู้ชาย ที่พักเดียวมันก็หายโกรธ เพราะแค่ระหว่างเดินจากลานจอดรถมาร้านอาหารแค่นี้ก็ทะเลาะกันได้มันเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว เดี๋ยวต่อยตีเดี๋ยวดีกันของคู่นี้กลายเป็นกิจวัตรจนชินตา และที่เฟรมบอกให้พวกมันหยุดเพราะครั้งล่าสุดก็ต่อยตีกันร้านอาหารร้านหนึ่งพังไปแถบหนึ่งจนโดนแบนไม่ให้เข้าร้านอีกต่อไป เฟรมกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเลยรีบห้าม

ทั้งสองทำปากสบถใส่กันแต่ก็ยอมแยกย้ายแต่โดยดี ไอ้ต้นกล้าแม้ว่ามันจะห้าวเป้งแค่ไหน แต่คนเดียวที่มันยอมสยบและไม่มีปากเสียงด้วยเด็ดขาดคือ ‘ไอ้เฟรม’ โดยที่ทุกคนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร?

ในที่สุดทั้งกลุ่มนักกีฬาก็เดินมาถึงร้านที่บรรยากาศดีที่สุดร้านหนึ่งในตัวจังหวัด ร้านคาเฟ่กึ่งอาหารร้านนี้ปลูกสร้างด้วยสไตล์มินิมอลลิตส์ เรียบง่าย ประดับตกแต่งไฟสไตล์เรทโทรสีส้มนวลทั้งร้าน มีอีกทั้งมีโซนเอ้าท์ดอร์ ที่ได้ชื่นชมบรรยากาศสวนธรรมชาติรอบร้านอย่างลงตัว ที่นี่มีตั้งแต่ อาหารกินจริงจังจนอาหารกินเล่น ชากาแฟครอบจักรวาล

ทั้งทีมที่เคยมาแล้วสองสามครั้งก็ยังอดทึ่งในความสวยลงตัวของร้านไม่ได้ แต่ละเดือนร้านจะปรับเปลี่ยนแนวโทนการแต่งร้านเรื่อยๆ ดังนั้นไม่ว่าจะมากี่ครั้งก็อดชื่นชมความเอาใจใส่เจ้าของร้านไม่ได้

“สวัสดีครับพี่จินไห่” ต้นน้ำไหว้คนที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าร้านอย่างสุภาพนอบน้อม จนคนทั้งทีมอดที่กรอกตากับกิริยาที่หาได้ยากแบบนี้ไม่ได้

“อ้าว! ต้นน้ำสวัสดี มากินข้าวกับเพื่อนเหรอ? โอเคๆ มาเลยๆ เดี๋ยวพี่ให้ลูกน้องจัดเตรียมให้ วันนี้ค่อนข้างแน่นแต่พี่หาให้ได้!!”  เจ้าของร้านคนหล่อยิ้มสวยต้อนรับขับสู้อย่างสนิทสนม

ทุกคนในทีมเดินเข้ามาในร้านท่าทีเริงรื่นกับอาหารตาภายในร้าน ที่เต็มไปด้วยสาวน้อยสาวใหญ่หน้าตาดี ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าสามในสี่ส่วน

ส่วนเหตุผลที่ร้านนี้จำนวนลูกค้าแน่นขนัดขนาดนี้ ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด มันมาจากเจ้าของร้านลูกครึ่งใต้หวั่นหน้าตาดี หุ่นแน่นน่าขย้ำอย่างคุณจินไห่นั่นเอง

เขาไม่ใช่มีดีแต่หน้าตานะ แถมยังเป็นนักดนตรีที่มีฝีมือโดดเด่นอีกด้วย

ยิ่งช่วงสามทุ่มก่อนร้านจะปิด เจ้าของร้านหน้าหยกจะมาบรรเลงดนตรีสดให้กับลูกค้าทุกคนเป็นการขอบคุณด้วย อันนี้ถือเป็นไฮไลต์สำหรับสาวๆ ทุกคนเลย เพราะคุณจินไห่สามารถเล่นดนตรีได้เกือบทุกชนิด แต่ละวันก็จะเล่นไม่ซ้ำกันเลย เขาจะเล่นประมาณเกือบชั่วโมงให้คนฟังฟินกันยาวๆ แบบไม่มีหยุดพัก

ลีลาการเล่นดนตรีที่ถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเพลงทำให้สาวหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเหงื่อผุดพลายเวลาที่เขาเล่นด้วย สะท้อนกับแสงไฟสีส้มภายในร้านมันช่างเป็นภาพที่เหมือนจิตกรชื่อดังลงพู่กันอย่างตั้งใจ หลายคนมาเพื่อสิ่งนี้มากกว่าอาหารที่เสริฟเสียอีก (แม้ว่าอาหารจะอร่อยมากก็ตาม)

อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ผู้ชายมองการแสดงของจินไห่เองก็มีเสียอาการด้วยเช่นกัน เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ไว้ผมยาวได้น่ามองมาก เรียกว่าสวยก็ไม่ผิด

ต้นน้ำเองก็เป็นหนึ่งในผู้ชายเหล่านั้นที่เสียอาการทุกครั้งที่ดูการแสดงของพี่จินไห่ พี่ชายที่มีพื้นที่บ้านติดกับหลังบ้านของเขา ผู้ชายที่ทำให้เขาสงสัยในรสนิยมตัวเองเสมอ

เสร็จสิ้นอาหารมื้อค่ำที่แสนสนุก ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้นน้ำคาดการณ์ไว้ บรรดาผองเพื่อนในทีมของเขาไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง จากมื้ออาหารค่ำที่กินร่วมกันหลังซ้อม กลายเป็นปาร์ตี้ย่อมๆ จนในที่สุดกลายเป็นงานบันเทิงเต็มรูปแบบ หลังจากที่ของเหลวสีอำพันรสฉุนถูกฉีดเข้ากระแสเลือด ทุกอย่างก็เละเทะอย่างเคย จนทุกคนที่อยู่โต๊ะข้างเคียงต้องย้ายหนี

ต้นน้ำเป็นเพียงคนเดียวที่ยังรักษาสติอยู่ได้ เพราะด้วยความที่เกรงใจพี่จินไห่จึงได้แต่ทำหน้าที่ห้ามปรามเพื่อนๆ ไม่ให้เลยเถิดจนเหนื่อยยิ่งกว่าซ้อมกีฬา

หลังจากทยอยเตะไอ้พวกคออ่อน เมาแล้วเลื้อยไปเรื่อยให้กลับบ้านไปทีละคนจนหมด เขาถึงได้แต่สบถกับตัวเองเสียงดังถึงไอ้พวกเพื่อนเฮงซวยทั้งหลายที่สร้างภาระให้กับเขา แต่ในทางกลับกันหากไม่ใช่ว่าเป็นที่นี่แล้วล่ะก็ เขาเองก็คงไม่ต่างจากพวกมัน ที่รุ่งเช้าอาจจะไปอยู่บ้านเพื่อนในทีมคนใดคนหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

เหตุผลที่เขาเกรงใจพี่จินไห่มากๆ น่ะหรือ? เพราะพี่จินไห่เป็นคนโปรดของแม่น่ะสิ ตั้งแต่พี่จินไห่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านที่นี่ซึ่งมีพื้นที่ติดกับบ้านของเขา หลังจากที่พี่จินไห่เข้าทักทายและขอโทษเรื่องที่เขาเข้ามาบุกรุกที่ดินในสวนหลังบ้านผม แม่ผมก็ปลื้มเขาจนแทบอยากจะพาเข้าบ้านมาดูแลเสียเอง เอ็นดูพี่เขามากกว่าต้นน้ำมี่เป็นลูกเสียอีก จนบางทีถึงกับออกปากเตือนแม่ว่า ไม่ได้อยากได้พ่อเลี้ยงหนุ่มขนาดนั้น

‘ฉันแค่เอ็นดูยะ!’ แม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงมีโทสะทุกครั้งที่ต้นน้ำพูดกับแม่ของเขาลักษณะแบบนี้

(พี่จินไห่บอกเขาชอบต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ไม่รู้ว่าชอบเพราะอะไร เพราะผมมองต้นไม้ต้นนี้มันน่ากลัวจะตาย ต้นไม้ต้นใหญ่ดูเก่าแก่หลังบ้านต้นนี้ มันดูมืดสลัวและบรรยากาศอืมครึมตลอดเวลา ไหนจะบรรดาของเซ่นไหว้เหล่านั้นอีก)

“มายืนบ่นอะไรตรงนี้!!” พี่จินไห่เจ้าของเสียงเสน่ห์พูดถึงที่ด้านหลังจนต้นน้ำต้องหันไปทางต้นเสียงทันที

“ครับๆ ป่าวครับ แต่เหนื่อย” ต้นน้ำบ่นอุบ

“ทีหลังก็สนุกกับเพื่อนๆไปก็ได้ พี่โอเค พี่ชอบนะ ร้านครึกครื้นดี” พี่จินไห่ยิ้มให้เห็นฟันเรียงตัวสวย

“ผมเกรงใจน่ะครับ เดี๋ยวแม่ผมรู้เข้าว่าผมมารบกวนพี่จินไห่ผมมีหวังโดนต่อว่าไปหลายวันจนหูชา” ต้นน้ำส่ายหน้า

“เรียกชื่อจีนพี่ให้ลำบากทำไม เรียกชื่อไทยก็ได้ พี่ไม่อยากให้ฟังดูเป็นคนต่างชาติน่ะ” จินไห่ยิ้มอย่างเขินๆ

“อรรณพน่ะนะครับ เรียกยากกว่าอีก” หลังจบคำของต้นน้ำ ที้งคู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“อ้าว! งั้นเหรอ?” จินไห่หัวเราะไปด้วยพูดไปด้วย

“ก็ใช่น่ะสิครับ” ต้นน้ำยิ้มแบบขัดเขิน เวลาพี่จินไห่หัวเราะนี่ยิ่งทำให้เขาใจสั่นแบบแปลกๆ  เขาต้องพยายามทำตัวให้ห่างจากพี่จินไห่มากกว่านี้แล้ว

“ผมไปก่อนนะ” ต้นน้ำรีบขอตัว

“เอ่อ..... ต้นน้ำ.... พี่มีเรื่องจะขอร้อง... คุยกับพี่ก่อนได้ไหม?” จินไห่มีสีหน้ากังวลขึ้นเล็กน้อย

“อ่า.... ได้ครับ” ด้วยความเกรงใจมารดาตนเองเลยปฏิเสธคนๆนี้ไม่ลง

จินไห่พาต้นน้ำเดินเข้าในสวนใกล้กับร้านอาหาร ที่จัดตกแต่งประดับประดาไปด้วยต้นไม้สวยงามและแสงไฟสีส้มอ่อนหลากหลายขนาด

“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” ต้นน้ำเปิดบทสนทนาก่อนขณะที่จินไห่มีอาการเดินวนกระสับกระส่าย

“เอ่อ.... พี่มีเรื่องจะขอร้อง คือ... ยังไงดี พี่จะเล่ายังไงดีนะ....” จินไห่มีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ทำท่าเหมือนจะมาขอผมเป็นแฟนอย่างนั้นแหละ” ต้นน้ำพูดติดตลกเพราะอาการของพี่บ้านข้างเคียงคนนี้ไม่ต่างจากสาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังจะสารภาพรักกับเขา คนมีประสบการณ์อย่างเขาถึงกับล้อเลียนท่าทางของอีกฝ่าย

”ก็เออนะสิ!!” จินไห่หลุดปากออกมาด้วยสีหน้ากังวล

“อะไรนะ?!?!” ต้นร้องเสียงหลง


………………………………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 12-10-2020 13:25:36
บทที่ 2

เรื่องที่อยากจะขอ


“อะไรนะ?!?!”

ต้นน้ำไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนที่เนื้อหอมในหมู่หญิงสาวอย่างจินไห่ไม่น่าจะสนใจคบหาผู้ชาย

“เฮ้ยๆ ไม่ใช่ๆ อย่าเพิ่งเข้าใจ คือ แบบ... อยากให้มาเป็นแฟนหลอกๆ น่ะ ช่วยมาเป็นไม้กันหมาให้พี่หน่อย!” จินไห่เลิ่กลั่กถึงขนาดโบกไม้โบกมือในอากาศไปมา

“อืม..... ไม่เข้าใจ...... แต่ภาษาไทยพี่ดีขึ้นเยอะเลยนะ” ต้นน้ำมีสีหน้างุนงงปนตกใจ แต่ก็ชื่นชมสำนวนการพูดเปรียบเปรยของอีกฝ่ายไม่ได้ หากเป็นเมื่อเกือบสองปีก่อน ขนาดพูดให้ชัดยังยาก

“ขอบใจ เดี๋ยวก่อน!! เดี๋ยวพี่อธิบายเพิ่มนะ คือ.... แฟนเก่า ที่เลิกกันมาหลายปีแล้ว จะมาเที่ยวที่นี่น่ะ คือ.... จะมาขอค้างที่บ้านด้วย พี่ไม่อยากให้ตัวเองกลับไป.....” จินไห่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเวลาเล่าถึงเรื่องนี้

“กลัวถ่านไฟเก่ามันคุ!?” ต้นน้ำต่อคำอมยิ้ม

“เออๆ นั่นแหละ มันจบไม่ดีเท่าไหร่ คือ....ซับซ้อนน่ะ พี่ไม่อยากใกล้ชิดเธอมากเกินไป กลัวจะเสียใจทีหลัง.....” จินไห่เล่าต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา

“ทำไมพี่ไม่ไปขอร้องบรรดาแฟนคลับพี่ล่ะ ผมว่าพวกหล่อนคงจะยินดีเลยล่ะ” ต้นน้ำเสนอความคิดอย่างหน้าชื่น

“อืม.... พี่มีเหตุผลของพี่ อีกอย่าง.... พี่ไม่อยากให้มันดูเป็นศึกชิงนายน่ะ ผู้หญิงตีกันมันไม่ดีใช่ไหม? เอาคนที่มีความรู้สึกดีกับเรามาร่วมแผนด้วยมัน แผนมันจะแตกง่ายน่ะสิ!” ประโยคนี้ทำให้ต้นน้ำต้องมองคนๆนี้ใหม่เสียแล้ว เป็นคนช่างวางแผนเสียจริง ละเอียดรอบคอบกว่าที่คิด

“แล้วมาคบกับผู้ชายนี่มันดีกว่ายังไง?!?” ต้นน้ำถามออกไปด้วยสีหน้ากวนบาทา

“มันแยบยลเด็ดขาดกว่านะ การที่พี่ประกาศกับเขาไปเลยว่าคบกับผู้ชายก็แปลว่าพี่เปลี่ยนรสนิยมแล้ว เธอจะได้เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ไง” จินไห่เสริมให้ประโยคแรกดูมีเหตุผลขึ้นไปอีก

“อืม....... ผม.....แบบ..... มองภาพตัวเองแบบนั้นไม่ออกว่ะ” ต้นน้ำพยายามปฏิเสธ

“เฮ้ย! ไม่ต้องคิดมาก แบบธรรมชาตินี่ล่ะ แบบว่าเราก็สนิทกันอยู่แล้ว ก็แค่มาหาพี่บ่อยๆมาค้างบ้านพี่บ้าง ก็โอเคแล้ว ที่เหลือก็ improvise เอา” จินไห่เสริมเติม

“อิม... อิมอะไรนะ?!?” ต้นน้ำตามไม่ทัน

“Impr....... เออ! ช่างเหอะ ค่อยไปดูที่หน้างานเอา ผู้ชายคบกันมันไม่สวีทอะไรเยอะไม่ใช่เหรอ?” จินไห่ถอนหายใจกับอนาคตสถาปนิกหนุ่มที่อ่อนภาษาต่างประเทศอย่างมาก

“ผมจะรู้ได้ไง ผมไม่เคยคบกับผู้ชาย” ต้นน้ำคว่ำปาก
“ก็เหมือนในซีรี่ย์ไง! พี่ศึกษามาบ้าง” จินไห่โอ่

“ผมไม่เคยดู!!” ต้นน้ำสวนครับ

“แล้วจะช่วยพี่ไหมเนี่ย? ช่วยหน่อยสิ พี่หาใครไม่ได้แล้ว ต้นน้ำเคยมีแฟนมาตั้งหลายคน ไม่ยากหรอก!” จินไห่โน้มน้าวเต็มที่

“อืม.......” ต้นน้ำพยายามหาคำปฏิเสธ แต่พอเห็นหน้าที่ดูเดือดร้อนตรงหน้าก็พูดไม่ออก

“น่านะ!! ช่วยพี่หน่อย!!” จินไห่ใช้สองมือเขย่าแขนทั้งสองข้างของต้นน้ำเบา ทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น หัวใจเจ้ากรรมของต้นน้ำก็ดันเต้นระรัวไม่รู้จักเวลา เขายอมรับว่าภาพตรงหน้ามันน่ารักไม่น้อย ผู้ชายที่ตัวสูงพอๆกับเขากลับทำตัวเหมือนสูง 160 เซ็นติเมตร

“แล้วผมจะได้อะไร?” ต้นน้ำพยามหลบหน้าที่เริ่มขึ้นของตนเอง

“จ้างเลยก็ได้ วันละ1,000 บาท” จินไห่ยิ้มอย่างมีความหวัง

“ข้าวอีกวันละมื้อ!!” ต้นน้ำยิ้มอย่างลิงโลดเพราะช่วงนี้ยอมรับว่าเงินขาดมือเพราะเปย์สาวไปเยอะ ช้อตทุกเดือน ไม่รู้ติดหนี้ไอ้ไอซ์ไปกี่บาทแล้ว( น่าจะเกือบหมื่น) เรียนสถาปัตย์ก็ใช้เงินเยอะนะ แต่งานเปย์สาวมันก็จำเป็น

“กินร้านพี่ฟรีเลยทุกมื้อ!!” จินไห่เอาของอร่อยเข้าล่อ

“ต้องห้ามให้แม่ผมรู้!!”

“ได้!!”

“กี่วัน?”

“หนึ่งเดือน”

“ห้าาาาา!!!!”


..................


“แม่งเอ้ยยยย!!”
ต้นน้ำสบถออกมาหลังจากทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักมาพักใหญ่

“เป็นเชี้ยอะไร!!” ไอซ์แฝดผู้น้องหนึ่งในเพื่อนสนิทของต้นน้ำเดินมาลูบที่ท้ายทอยต้นน้ำอย่างรุนแรง

“ก็เรื่องที่กูเล่าให้ฟังเมื่อวานนั่นแหละ!!” ต้นน้ำเล่าทุกเรื่องให้ไอซ์ฟังเกือบจะทุกเรื่องเพราะเป็นที่สนิทที่สุดในกลุ่ม และเป็นคนที่รับฟังเขามากที่สุดในกลุ่มเช่นกัน

“คิดมาก!! แค่เดือนเดียว เป็นกูนะ จะสามเดือนกูก็โอเค พี่ไห่นี่แบบที่กูชอบเลยนะ ถ้าเขามาขอกูนะ กูจะไปนอนด้วยทุกคืนเลย แค่กอดกูก็เอา!” ไอซ์ทำท่าเคลิ้มภายใต้เหงื่อที่ไหลเป็นน้ำฝน

“มึงก็พูดได้สิ!!” ต้นน้ำค้อนใส่ไอซ์

“แล้วเรื่องแค่นี้ก็ไม่ควรมาแอบอู้นะ! เห็นไหมเนี่ยเพื่อนๆ เขาซ้อมกันจะเป็นจะตาย!!” ไอซ์ใช้ฝ่ามือลูบศรีษะต้นน้ำอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น

“โอ้ย!! ไอ้สัด เจ็บนะ กูขอทำใจก่อนได้ไหม? เชี้ย! จริงสิ มึงมาเปลี่ยนตัวกับกู!!” ต้นน้ำดึงชายเสื้ออีกฝ่าย

“มึงนี่!! คิดหน่อยเพื่อน คิด!!”

“คิดเชี้ยอะไร!! กูเป็นผู้ชายนะ จะให้แสดงเป็นแฟนกับผู้ชายเนี่ยนะ!!”

“นั่นแหละ! กูถึงบอกให้มึงคิดไง!! เพราะมึงเป็นผู้ชายนี่แหละ พี่เขาถึงจะให้มึงไปแสดงเป็นแฟนเขาไง พี่เขาก็บอกเองว่า ไม่อย่างให้ความหวังกับใคร ยังไงมึงก็ไม่สนใจพี่เขาอยู่แล้วไง!!”

“..........” ต้นน้ำกลับไปทำสีหน้าครุ่นคิดอีกรอบ

“เป็นตัวของตัวเองไปเหอะ ยังไงมึงก็รู้จักพี่เขาดี ก็แค่ทำตามปกติ แค่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็น่าจะพอนะ อยากไปพยายามมันจะดูเฟค!!” ไอซ์ให้กำลังใจเพื่อนพร้อมตบบ่า

“แล้ววันนี้กูต้องไปเจอแฟนพี่เขาด้วยแล้วไง ตื่นเต้นฉิบหาย กูจะทำแผนพี่เขาแตกไหมวะ?” ต้นน้ำมีสีหน้ากังวลแทนที่

“วันนี้!! ไหนมึงบอกสัปดาห์หน้า!!” ไอซ์มีสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก

“นางบอกว่ามาเซอร์ไพรส์....” นางคือสัพนามที่รู้กันดีแทนแฟนเก่าพี่จินไห่

“เชี้ย!! กูติวให้มึงไม่ทันแล้วแน่ๆ!!” ไอซ์กุมขมับ

“นั่นแหละที่กูกังวล” สีหน้าต้นน้ำตอนนี้เหมือนจะร้องไห้

“งั้นกูขอไปลาโค้ชแปปนะ เดี๋ยวกูมาคุยด้วย!!” พูดจบไอซ์ก็เดินหายไป

................

การฝึกมีแฟนผู้ชายแบบครึ่งๆ กลางๆ จากเพื่อนสนิท ไม่ได้ทำให้ต้นน้ำสบายใจขึ้นมาเท่าไหร่ แค่ให้นึกภาพตัวเองหอมแก้ม จับมือผู้ชายตัวเขื่องอย่างพี่จินไห่ก็นึกถาพไม่ออกแล้ว

เขามักกังวลกับเรื่องวิธีปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้ามในฐานะแฟน เขาต้องปฏิบัติแนวไหน เขาไม่ทีทางทำท่าทางเป็นเมียพี่จินไห่แน่นอน เพราะที่ผ่านมาเขาทำหน้าที่เสมือนสามีที่ดีเสมอกับคนที่เขาคบด้วยทุกคน

‘ไอ้โง่!! มึงอย่าเอาบรรทัดฐานโบราณแบบนั้นมาเทียบกับความสัมพันธ์สมัยใหม่สิวะ!! อย่าเอาเรื่องบนเตียงมาวัดเรื่องของการที่คนสองคนดูแลและแสดงออกต่อกัน!!’ เสียงของไอ้ไอซ์ยังดังก้องในหัว เพราะมันเล่นพูดเสียหลายรอบที่ผมทำหน้าตาแปลกๆใส่มัน

“เชี้ยเอ้ย! เอาไง เอากัน!!” ต้นน้ำพูดกับตัวเองที่หน้าร้านอาหารกึ่งคาเฟ่

ต้นน้ำเดินก้าวเท้าเข้าร้านแบบสั่นๆ เขารู้ว่าเท้ามันเบาหวิว พื้นมันโคลงเคลง หัวใจสั่นระรัว เขาเกลียดการเล่นละคร เขารู้เพราะด้วยหน้าตาของเขาเป็นธรรมดาที่จะมีรุ่นพี่ชวนไปเล่นละครเวทีของมหาวิทยาลัย เขากล้าแสดงออกนะ เรื่องการพูดหน้าชั้นเรียนนี่ถือเป็นง่ายสำหรับเขา แต่การแสดงละครมันต่างกัน เขาแสดงออกในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ หรือไม่จริงมันยากมาก สุดท้ายก็ต้องลาออกเพราะทนเห็นตัวเองเป็นพระเอกหุ่นกระบอกไม่ไหว

“อ้าว!! น้องต้นน้ำ คุณไห่รออยู่ในบ้าน เห็นว่ามีแขกด้วยนะ โคตรสวย!!” พี่โอบผู้จัดการร้านพูดกับต้นน้ำทันทีที่เจอหน้าเขา

ต้นน้ำทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้สึกกระตือรือร้นในการเจอคนสวย

............

“ขอโทษนะครับพี่ คือผมติดซ้อมบาสฯ น่ะโค้ชไม่ปล่อยพวกผมเสียที” ต้นน้ำมาช้ากว่าเวลานัดมากเลยพยายามหาข้อแก้ตัวที่คิดว่าดีที่สุดขณะที่เปิดประตูบ้านเพื่อไปที่ห้องรับแขก เขาพยายามตะโกนแบบไม่ต้องเกรงใจ เหมือนเขาทำเป็นปกติ ทำตัวเหมือนเป็นแฟนของพี่จินไห่ ตี๋หล่ออินเตอร์ที่ถือว่าเป็นสามีของจังหวัด

“อ้าว! พี่ก็นึกว่าเราจะทิ้งพี่เสียแล้ว” จินไห่เดินมาจากห้องรับแขกไม่ไกลและจ้องอีกฝ่ายอย่างอาฆาตวาบหนึ่งก่อนเดินเข้ามากอดคอและยิ้มอย่างชื่นมื่น

‘โห..... สุดยอด แสดงละครเก่งไม่เบา’ ต้นน้ำคิดพลางเดินตามการลากจูงของอีกฝ่าย

“นี่ไง! คนที่พี่เล่าให้ฟัง!” จินไห่กล่าวแนะนำพลางกระชับวงแขนให้อีกฝ่ายเข้าใกล้เขามากขึ้น จนต้นน้ำอดที่จะชักสีหน้าไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักกันมา ครั้งนี้ถือว่าเขาได้ใกล้ชิดพี่จินไห่มากที่สุด

ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของสาวสวยผมยาวมัดทรงหางม้าจนส่งกระแสแห่งความสงสัยมาถึงผู้ชายทั้งสองคน

“พี่เนี่ย! พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้พี่แสดงความรักต่อหน้าคนอื่น!” ต้นน้ำพูดจบก็เลื่อนศอกไปปะทะกับซี่โครงอีกฝ่ายอย่างจังจนจินไห่อดที่จะร้องโอยด้วยความเจ็บปวดไม่ได้

สีหน้าของสาวเจ้าคลายความสงสัยลงไปเล็กน้อย
“เออๆ พี่ขอโทษ จริงสิ! พี่ลืมไปเลย พี่คนสวยคนนี้คือ เสี่ยวหยู๋ ...”

“เป็นแฟนเก่า!!” เสี่ยวหยู๋คนสวยโพล่งออกมาเสียงดังตัดกับเสียงแนะนำตัวของจินไห่ซึ่งก็ทำให้จินไห่มีสีหน้าตกใจไม่น้อย

“แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” จินไห่รีบเสริมทันที

“ก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนแล้วนี่ อยากเป็นเหมือนเดิมมากกว่า” เสี่ยวหยู๋บ่นพึมพำ

“อะไรนะครับ” ต้นน้ำแม้จะพอจับใจความได้บ้างแต่ก็ถามกลับไปตามการตอบสนองปกติ

“ไม่มีอะไรคะ พี่ก็พึมพำไปเรื่อย.... ว่าแต่... ไม่เหมือนที่จินไห่เล่าให้ฟังเลยเนอะ ไหนว่า น้องเขาเข้ามาจีบก่อนไง รุกหนักเลยต้องยอมแพ้....” สายตาสงสัยจ้องมองมาอีกรอบ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า... พี่เขาบอกแบบนั้นเหรอครับ....” ต้นน้ำหัวเรากลบเกลื่อน

“พี่จินไห่เนี่ย ผมก็บอกพี่อยู่ว่าผมไม่ชอบเล่าเรื่องนี้ให้คนที่ผมไม่สนิทฟัง ผมอาย...” ต้นน้ำหันไปยิ้มเย็นๆใส่จินไห่ ที่ยิ้มตอบกลับมาไม่ต่างกัน

“แหมๆ พี่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล พี่ต้องอยู่อีกตั้งสองเดือน เดี๋ยวเราก็สนิทกันแล้ว ไม่ต้องเขินพี่หรอก!” เสี่ยวหยู๋ยิ้มหวานตอบกลับมา

“สองเดือน!!” ต้นน้ำหันไปทางสวยสายผมหางม้าและรีบหันไปหาจินไห่อย่างตัองการคำอธิบาย

“เอ่อ... พี่ก็เพิ่งรู้...” จินไห่ตอบเสียงสั่น

“เอาน่าๆ พี่สาวคนนี้ใจกว้างพอ ไม่มาแย่งคืนหรอกน่า ไม่ต่องรีบหึง” สาวเจ้ายิ้มเจ้าเล่ห์มาทางต้นน้ำ และพูดต่อเบาๆว่า “แต่อย่าเผลอนะ”

‘เชี้ยแล้วไง พี่จินไห่เจอของจริงแล้วไงล่ะ!!’ ต้นน้ำคิดในใจ เขาจะไปต่อกรอะไรกับผู้หญิงที่ฉลาดและสวยคนนี้ได้

“เหนื่อยแล้ว ห้องนอนพี่ไห่ไปทางไหนน่ะ จะได้ไปเก็บข้าวของ” เสี่ยวหยู๋ยืดตัวบิดขี้เกียจ

“ หมายความว่าไง?” ต้นน้ำถามอย่างสงสัย

“ก็พี่น่ะกลัวผีจะตาย พี่ไห่ก็รู้จะให้พี่นอนคนเดียวในบ้านที่ไม่คุ้นเคยได้ยังไง?” เสียวหยู๋ทำเสียงออดอ้อน ทรวดทรงของเธอตอนยึดตัวตรง ทำให้ต้นน้ำยอมรับว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศไม่น้อย

“ต้นน้ำหึงพี่เหรอ?” เสี่ยวหยูหันมามองเขาด้วยหางตา

“ใครจะไป......!!!” ในใจของต้นน้ำตะโกนลั่น ‘ใครจะไปหึงไอ้ยักษ์ปักลั่นนั่น!!’ แต่เหมือนเขารู้ว่าไม่ควรจึงหยุดและยิ้มอย่างใจเย็น

“ไม่หึงหรอกครับ ผมเชื่อใจ” ต้นน้ำรีบตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น

“ไม่ได้หรอก!!” จินไห่รีบพูดสวนขึ้นมา

“ทำไมล่ะ?!?” สาวเจ้าทำท่างอแง

“เตียงพี่เต็มแล้ว!!” จินไห่กล่าวเสียงเข้ม

“ไม่เข้าใจ!!” เสี่ยวหยู๋มีน้ำเสียงไม่พอใจ

“ก็เพราะเตียงพี่มีต้นน้ำนอนด้วยทุกคืน!! แล้วพี่ก็จัดห้องรับรองให้แล้วด้วย!!” จินไห่ตอบกลับทันควัน ส่วนต้นน้ำได้แต่แอบทำหน้าเหวออยู่ในใจ

‘เชี้ยแล้ว!! ไอ้พี่จินไห่ มึงช่วยปรึกษากูด้วยนะ!!’ ต้นน้ำสบถในใจอีกยาว

เสี่ยวหยู๋แม้จะทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมเดินตามจินไห่ที่หิ้วกระเป๋าเดินทางเดินนำหน้าไป ตัดตัวเองไปจากบทสนทนาที่ดูท่าทางจะยืดเยื้อและอึดอัดเพื่อพาสาวเจ้าไปพักที่ห้องรับรองที่จัดเตรียมไว้ให้

........

“พี่บอกแม่เราให้แล้วนะ” จินไห่พูดขึ้นขณะถอนหายใจแบบโล่งอก เหมือนเพิ่งผ่านพ้นมรสุมลูกแรกไปได้

“ไอ้พี่จินไห่ มึงไม่เคยบอกน้องเลยนะว่าต้องมานอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน!!” ต้นน้ำโวยลั่น เพราะตอนนี้เขาถูกลากเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับหนุ่มตี๋อินเตอร์หุ่นลีน

“จะโวยวายทำไมวะก็ผู้ชายด้วยกัน พี่ขอร้องเถอะนะ นะ!” จินไห่ที่เพิ่งเคยได้ยินน้องบ้านติดกันอย่างต้นน้ำขึ้นกูมึงก็เข้าใจถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายทันที

ต้นน้ำพอฟังอีกฝ่ายผ่อนเสียงลงนุ่มก็ใจเย็นลงและมองสำรวจห้องจนทั่ว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาบ้านนี้ และยิ่งห้องนอนไม่ต้องพูดถึง ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้เข้ามา เขาเคยแต่ได้ยินบรรดาเพื่อนผู้หญิงของเขาต่างใฝ่ฝันมโนไปว่าตนเองได้เข้ามาในห้องนี้ด้วยจินตนการต่างๆ นานา จนต้นน้ำเองก็อดเขนลุกไม่ได้ว่าจินตนาการของสาวน้อยเหล่านั้นก็น่ากลัวไม่แพ้ชายฉกรรณ์เลยทีเดียว

ภายในห้องประดับตกแต่งสไตล์มินิมอลลิตส์ เรียบง่าย แต่ก็ดูแพง ทุกอย่างเป็นโทนน้ำตาลอ่อน เตียงที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นไม้แบบโบราณไม่มาก ผ้าปูเตียงสีเอิร์ธโทน มีโต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือ โคมไฟที่ถูกวางอย่างพอดีเหมาะเจาะไปหมดทุกมุม เป็นคนรสนิยมดีกว่าที่คิด

“ว่าไง? น่านอนใช่ไหม?” จินไห่พูดถึงทำลายบรรยากาศ

“น่านอ..... เอ้ย!! ไม่นะ ผมไม่นอนเตียงเดียวกับพี่นะ!!” ต้นน้ำรีบปฏิเสธ เขาค่อนข้างหวั่นไหวกับรูปลักษณ์ของจินไห่อยู่แล้ว เขายังไม่อยากทดสอบความรู้สึกตัวเองด้วยการเพิ่มการสัมผัสเข้าไปด้วย เขายังชอบผู้หญิงอยู่ เนื้อนุ่ม เนินหน้าอกขาวๆ ยังคงเร้าอารมณ์เขาอยู่ เขาพอใจกับความรู้สึกตรงนั้นดีอยู่แล้ว

“ขี้โวยวายจริง!! เบาๆ หน่อย บ้านพี่ผนังมันบางเดี๋ยวเสี่ยวหยู๋ก็ได้ยิน เสียแผนพอดี!!” จินไห่เดินเข้ามาใกล้และหรี่เสียงตัวเองลง แต่ดวงตาจ้องมาที่ต้นน้ำเขม็ง

“ งั้นผมกลับบ้าน ไหนๆ วันนี้แฟนเก่าพี่ก็น่าจะหลับแล้ว!” ต้นน้ำคว้ากระเป๋าที่วางไว้ก่อนหน้านี้เตรียมตัวใช้ทักษะวิ่งเร็วของเขา

“เดี๋ยวสิ!! ตอนเช้ามันก็ไม่เนียนน่ะสิ เอาอย่างนี้ พี่มีที่นอนสำรองในตู้ ต้นน้ำก็นอนข้างเตียงนี่ก็แล้วกัน!!” จินไห่ต่อรอง พร้อมคว้าจับอีกฝ่ายความเร็วที่เหนื่อว่า

“พี่เป็นเดอะแฟลชเรอะ เร็วโคตร!!” พูดจบเขาต้องรีบใช้มือที่ชุ่มเหงื่อแกะนิ้วมืออีกฝ่ายออกจากท่อนแขนตัวเอง เป็นมือที่ใหญ่และทรงพลังมาก

“เอาน่า พี่ขอ....” จินไห่ทำเสียงออดอ้อน

“...... แต่ผมไม่มีชุดเปลี่ยน พรุ่งผมมีเรียนแต่เช้า!!” ต้นน้ำมีท่าทางโอนอ่อนมากขึ้น

“พี่เตรียมไว้แล้ว นี่ไง!!” จิตไห่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่มีชุดนอนสีขาวพับไว้เรียบร้อยกองหนึ่ง

“ผมไม่ใช้ตัวเดียวกับพี่นะ!!” ต้นน้ำทำตัวเรื่องมาก เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

“เออน่า นี่ของมึงคนเดียวเลย พี่ซื้อมานานแล้วไม่ได้ใส่ จะทำตัวเป็นแฟนกันมันก็ต้องเนียนหน่อยสิ!” จินไห่ยักคิ้วให้ ส่วนต้นน้ำก็เผลอใจสั่นกับผู้ชายตรงหน้าแบบไม่รู้ตัว

“ผม.... เอ่อ... แล้วผ้าเช็ดตัวล่ะ ผมจะอาบน้ำยังไง?” ต้นน้ำทำตัวเรื่องมากไปอีก

“เอ้านี่ และก็ได้เวลาไปอาบน้ำแล้ว ห้องน้ำอยู่ทางนั้น!” จินไห่โยนผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดให้ต้นน้ำพร้อมชี้ทางไปห้องน้ำให้ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

“เอ่อ....” ต้นน้ำยืนมองผ้าผืนน้อยที่ถูกโยนมาให้ด้วยท่าทีอึ้งๆ  ไม่ว่าเขาจะอิดออดยังไง อึกฝ่ายก็ไม่ย่อท้อจะให้เขาค้างให้ได้

“ยังไม่ไปอีก หรือต้องให้พี่อุ้มไป?” จินไห่ยิ้มกว้าง

“เฮ้ยๆ ไม่ต้อง ผมไปเองได้!!” ต้นน้ำรีบดีดตัวเองออกจากจุดเดิมไปที่ห้องน้ำทันที

พอหลังจากผลัดเสื้อผ้าเก่าออก และอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ต้นน้ำถึงเพิ่งได้สังเกตว่า ผ้าผืนน้อยที่เขาได้มานั้น มันผืนเล็กกว่าที่เขาคาดมาก พันรอบเอวได้หมิ่นเหม่ รัดจนติดผิวถึงจะรั้งไว้อยู่ ความยาวก็พอดีหัวเข่า ‘นี่มันอะไรกันวะ? แกล้งกันไหมเนี่ย?’ เขาคิดเมื่อมองสภาพตัวเองในกระจก

“พี่จินไห่.... หยิบเสื้อผ้าให้ผมหน่อย ผ้าผืนน้อยของพี่มันห่อผมแทบไม่มิด!!” ต้นน้ำแง้มประตูและพูดขอความช่วยเหลือ

“อายอะไรวะ ผู้ชายด้วยกัน” จินไห่ส่ายหน้า มองไปทางประตูห้องน้ำด้วยท่าทางขบขัน

“มันหนาว!!” ความจริงการแก้ผ้าอาบน้ำระหว่างเพื่อนนักกีฬาด้วยกันมันแสนจะเป็นเรื่องธรรมดาของต้นน้ำ แต่ไม่รู้ทำไมกับพี่จินไห่เขาถึงได้รู้สึกเขินขนาดนี้

“โอเคๆ พี่คงเปิดแอร์เลยเย็นเกินไปสินะ พี่ก็อยู่ตัวคนเดียวในห้องก็เลยติดนิสัย ไม่ค่อยใส่อะไรตอนทำธุระส่วนตัวน่ะ ผ้าเช็ดตัวก็เลยมีแบบประหยัดพื้นที่การเก็บ” จินไห่อธิบายยาวพร้อมกับหยิบชุดนอนยื่นให้อีกฝ่าย ต้นน้ำก็เปิดประตูอ้าออกมาเพื่อให้หยิบชุดนอนที่จินไห่ยื่นให้

“หุ่นก็ดี อายอะไรวะ?” จินไห่แซวอีกฝ่ายขณะมองเห็นเรือนร่างเปลือกอกและผ้าผืนน้อยที่รัดอยู่ช่วงร่างที่เน้นทรวดทรงชัดเจน

“โรคจิตป่าวเนี่ย!! แล้วอย่าบอกนะว่าแก้ผ้านอน!!” ต้นน้ำตะโกนออกจากห้องน้ำหลังจากรับเสื้อผ้าและปิดประตูปัง!!

จินไห่หัวเราะลั่นกับอาการไร้เดียงสาของคนที่ดูจะไม่ไร้เดียงสา

หลังจากที่ต้นน้ำออกมาจากห้องน้ำโดยแต่งตัวชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวที่เกือบจะโปร่งแสงออกมาเรียบร้อย จินไห่ก็ยกยิ้มมุมปากกับสิ่งที่เห็น และเดินสวนเข้าห้องน้ำไป

และแล้วก็เป็นไปตามเป็นไปตามคาด จินไห่ที่เข้าห้องน้ำตัวปลิวเดินออกมาด้วยการใช้ผ้าผืนน้อยที่แทบจะปิดบังส่วนสำคัญไม่ได้เดินออกมาทั้งใช้มือพยุงผ้ารั้งไว้ที่จุดใต้สะดือแค่นั้น

“เฮ้ย!!” ต้นน้ำที่นั่งเล่นโทรศัพท์เรื่อยเปื่อยตรงบริเวณที่นอนสำรองซึ่งจัดไว้ข้างเตียงใกล้ห้องน้ำ เขาเหลือบตาไปมองถึงกับร้องลั่น

“เออ โทษทีว่ะ พี่เคยชิน งั้นช่วยโยนชุดนอนบนเตียงให้พี่หน่อยสิ!!” จินไห่กล่าวด้วยท่าทีธรรมดามากๆ

“เอาไปเลย!!” ต้นน้ำรีบลุกไปคว้าชุดนอนที่พับเตรียมไว้บนเตียงและเหวี่ยงชุดนอนไปทางคนร้องขอที จินไห่ได้แต่หัวเราะท่าทีของอีกฝ่ายอย่างขบขันปนเอ็นดู ต้นน้ำไม่เข้าใจตนเองอีกเช่นเดิมว่า ปกติเขากับเพื่อนๆ ก็แทบจะเปลือยเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำในชมรม เขาก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย

‘เราไม่สนิทกันขนาดนั้นป่าววะ!! มันก็เลยแปลกๆ!’ เขาคิดขณะที่ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“เออ! แล้วพี่บอกแม่ผมยังไงเนี่ย ผมถึงมาค้างบ้านพี่ได้!!” ต้นน้ำรีบถามเรื่องที่ค้างคาใจ

“ก็แค่บอกว่ามีเรื่องให้ช่วย” จินไห่เดินออกมาด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกับเขา แต่ออร่ามันต่างกันมาก จินไห่เป็นคนที่ใส่อะไรก็ดูดีดูแพงไปหมด

“แค่เนี้ย!!” ต้นน้ำทำหน้าแปลกใจสุดๆ เพราะเขาเองการจะขอไปค้างบ้านเพื่อนมันยากยิ่งกว่าสร้างเขื่อน

“อืม” จินไห่ตอบสั้นๆ

“อะไรวะ?!?” ต้นน้ำบ่นพึมพำกับตนเอง
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 2)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-10-2020 15:05:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

เนื้อเรื่องน่าสนใจ

แต่...

อ่านไปอ่านมา  งงกับตัวละคร

พีชกับแพรวนี่คนเดียวกันป่ะ?
นิ่มนี่สรุปเป็นดาวหรือเดือน?
ต้นน้ำต้นกล้าตอนคุยกัน  สับสนว่าประโยคนั้นใครพูดกันแน่?
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 2)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-10-2020 15:22:19
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-10-2020 10:15:16
ขออภัยกับชื่อตัวละครนะครับ เพราะ มาเปลี่ยนเอาตอนโค้งสุดท้ายก่อนลง เลยเบลอๆ 55555
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-10-2020 22:50:13
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-10-2020 12:39:56
บทที่ 3

คืนแรก




ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่ชายทั้งสองคน หมดเรื่องที่คุยกันและตั้งท่าจะนอน เสียงเคาะประตูที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ เพราะภายในบ้านนอกจากพวกเขาทั้งสองคนก็มีแต่อดีตแฟนสาวหุ่นอึ๋มของจินไห่เท่านั้น ดังนั้นจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากตัวต้นเหตุที่ให้ทั้งสองมาอยู่ห้องเดียวกันในคืนนี้

“รู้นะว่ายังไม่ได้นอน เมื่อสักครู่ยังได้ยินเสียงคุยกันอยู่เลย!!” เสียงจากภายนอกห้องดังขึ้นแทรกประตูเข้ามา จินไห่มีอาการหน้าซีดขึ้นทันทีเพราะไม่รู้ว่าคนนอกห้องจะได้ยินการสนทนาของเขาแค่ไหน

“น้องนอนไม่หลับน่ะ อยู่ต่างที่ต่างถิ่นจะให้ผู้หญิงตัวเล็กนอนอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคยได้อย่างไรล่ะ คืนนี้ขอไปนอนด้วยได้ไหมพี่ไห่?” เสียงหวานๆ ของสาวน้อยหน้าห้องดังแทรกเข้ามา ทำให้ชายทั้งสองเริ่มมีอาหารลนลาน

‘มานี่ มานอนบนเตียง!!’ จินไห่โบกไม้โบกมือเรียกอีกฝ่ายที่อยู่บนที่นอนสำรองพร้อมด้วยเสียงกระซิบอย่างร้อนรน

ต้นน้ำสบถด้วยรูปปาก ‘วอท เดอะ ฟัด!!’ ใส่คนบนเตียงแต่สุดท้ายก็ยอมพาตัวเองขึ้นไปบนเตียงแต่โดยดี ส่วนจินไห่รีบไปจัดการพับที่นอนสำรองอย่างลวกๆ และรีบโยนเข้าไปในตู้เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่

“พี่ไห่! พี่ไห่! สงสารน้องหน่อย มาเปิดประตูให้เข้าไปหน่อยนะ คืนเดียวเอง!!” สาวเจ้าไม่ยอมแพ้พร้อมเคาะประตูห้องรัว

ต้นน้ำพาลคิดไปว่าผู้หญิงคนนี้โรคจิตไม่น้อย

“เดี๋ยวก่อน พี่ขอแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน!!” จินไห่ตะโกนไปพร้อมกับปลดกระดุมตัวเองออกหนึ่งเม็ดเผยให้เห็นแผงอกขาวแน่นได้รูป และใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมต้นน้ำออกเช่นกันอย่างรวดเร็ว

‘เฮ้ย!!’ ต้นน้ำร้องอุทานระดับเสียงกระซิบด้วยความแปลกใจว่าไอ้คนที่ดูเรียบร้อยแบบนี้ทำไมมีสกิลการปลดกระดุมเสื้อคนอื่นเร็วปานนี้

‘เอาน่าจะได้เนียน’ จินไห่กระซิบกระซาบพร้อมขยิบตา

“จะอายอะไรคะพี่ เราก็เคยเห็นอะไรๆ กันหมดแล้ว” เสี่ยวหยู่พูดกรอกใส่ประตูด้วยน้ำเสียงที่ดูยั่วยวน

ต้นน้ำถึงกับกลืนน้ำลาย นี่สินะโลกของผู้ใหญ่ คนสวยที่โตแล้วพูดอะไรน่าอายแบบนี้ได้หน้าตาเฉย

“แต่พี่ไม่ได้อยู่คนเดียว!! เสี่ยวหยู๋คงเข้าใจนะ!!” จินไห่โต้กลับทันที

ต้นน้ำได้แต่ขมวดคิ้วใส่คนบนเตียงข้าง แต่นอกจากจินไห่จะไม่สะทกสะท้านแล้ว เขายังใช้มือยีหัวต้นน้ำให้ยุ่งเหยิง หลังจากนั้นก็ยีหัวตัวเองต่อ และเดินไปเปิดประตู

สิ่งที่เห็นหลังประตูที่เปิดแง้มออกคือ หญิงสาวหน้าใสที่แต่งชุดนอนที่ดูยั่วยวน บางเบาจนเกือบเห็นเรือนร่างที่อยู่ข้างใน

ต้นน้ำที่หันไปเห็นถึงกับดวงตาเบิกกว้าง น้องชายของเขารู้สึกคึกคักขึ้นมานิดหน่อย (ต้องโทษความสมบูรณ์แข็งแรงของตัวเอง)

“เธอใส่ชุดอะไรของเธอเนี่ย!!”  จินไห่ตกใจ

“ก็ชุดนอน” เสี่ยวหยู๋ใช้นิ้วมือหยิบจับเนื้อผ้า ลูบไล้ไปมาเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้น ลายลูกไม้ภายในชุดนอนแบบเดรสยาวนั่นลอยเด่นขึ้นมา จนทำให้หัวใจเด็กหนุ่มอย่างต้นน้ำถึงกับสั่นระทึก สิ่งแรกที่เขานึกออกคือการดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มปกปิดช่วงล่างที่คึกคักไม่รู้เวลา

จินไห่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

“น้องไม่ได้มากวน.... ใช่ไหม?” การเน้นและเว้นวรรคของสาวเจ้าที่มีสายตาสำรวจหนุ่มทั้งสองด้วยแววตากึ่งเสียใจนั้นชวนให้น่าคิดมาก

“กวนสิ!!” จินไห่ตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นที่พาลให้เข้าใจผิด

“พี่จินไห่!!” ปฏิกิริยาอัตโนมัติของต้นน้ำเพื่อแก้ตัว

“จะอายทำไม! เป็นแฟนกันก็ต้องมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันมันปกติ!!” จินไห่หันไปหาต้นน้ำบนเตียงที่ทำท่าฉุนเฉียวกับคำพูดอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร เพราะโดนเพื่อนสอนหลักสูตรเร่งรัดว่า

‘ไม่รู้อะไรอย่าเถียงให้มีพิรุธ เออๆ ออๆ ไม่อย่างนั้นแผนแตก!!’

ตอนนี้หน้าฝืนยืมยอมรับคำพูดอีกฝ่าย ทำให้จินไห่ได้แต่หัวเราะต้นน้ำในใจ

“ว้าย ใครเป็นบทบาทไหนบอกได้ไหม? ตื่นเต้นจัง แต่ให้เดานะ....” เสี่ยวหยู๋ถือโอกาสทีเผลอเดินฝ่าเข้ามาในห้องเพื่อมานั่งบนเตียงข้างต้นน้ำ

ต้นน้ำทำได้แค่สะดุ้ง ตัวเกร็งขยับถอยไปอีกทาง เพราะเนื้อนมไข่ ขาวนวลเข้าใกล้ให้เห็นมากกว่าเดิม ต้นน้ำตกใจจนไม่สามารถตอบอะไรได้

“ไม่ใช่เรื่องของเธอนะ มันเสียมารยาทนะ ต้นน้ำเขาไม่รู้จักเธอเสียหน่อย คงไม่สนิทใจพอที่จะพูดขนาดนั้น!!” จินไห่ดุอีกฝ่าย

“เดี๋ยวก็สนิทเนอะ?” เสี่ยวหยู๋หันมาทางต้นน้ำเพื่อขอความเห็น

“ไม่ต้องนอกเรื่อง ออกไป!! ยังไม่ได้อนุญาติเลยนะ!!” จินไห่เสียงเข้ม

“แหม..... เนี่ยน่า ให้เดา......พี่ว่า... พี่จินไห่ต้องรุกอยู่แล้ว เพราะสมัยเป็นแฟนกันเนี่ย พี่เขาสุดยอดเลย บางคืนนะแทบไม่ได้นอนเลย อึดอะไรขนาดนั้น พี่นี่แสบไปถึงมดลูกเลย!!” เสี่ยวหยู๋ไม่ได้สนใจคำดุของอดีตแฟนเลย หันไปเม้าส์มอยต่ออย่างจงใจ

“เสี่ยวหยู่!!” จินไห่ตวาด เพราะเขาเห็นหน้าต้นน้ำเหรอหรา ทำตัวไม่ถูกอยู่ ไม่ใช่เพราะคำพูดของสาวสวยข้างๆ แต่เป็นอาการที่สาวเจ้าขยับเข้ามาเกาะแขนและใช่สองเต้าทรงโตถูไปมากับต้นแขนต้นน้ำ

‘โวยยยยยย อดทนไว้ โว้ยยยยย’ ต้นน้ำสบถในใจ

“พี่ไห่น่ะ... หยู๋ขอนะแค่คืนเดียวเอง จะนอนอย่างเดียวไม่พูดแล้ว” เสี่ยวหยู่ทำท่าออดอ้อนและเค้นน้ำในตาให้คลอเกือบล้นออกมา

“เฮ้อ....... คืนเดียวนะ!!” จินไห่ผ่อนลมหายใจยาว เขาใจอ่อนกับภาพตรงหน้า เสี่ยวหยู๋รู้จุดอ่อนของเขา ‘น้ำตาผู้หญิง’ จินไห่ทำได้แค่เดินเข้ามาจัดเตรียมที่นอนให้เสี่ยวหยู่ และกำชับหนักแน่นว่าให้นอนเท่านั้น ห้าพูดห้ามคุย ห้ามรบกวนพวกเขาบนเตียงเด็ดขาด

เสี่ยวหยู๋รับปากหนักแน่น และพูดทิ้งท้ายออกมาว่า

“รักแฟนหวงแฟนเหลือเกินนะพี่ หยู๋ไม่คิดจะแอบเอายาฆ่าแมลงกรอกปากแฟนเด็กพี่เสียหน่อย”

น้ำเสียงเหมือนทีเล่นแต่สายตาที่มองมากลับตรงกันข้าม ทำให้ต้นน้ำแทบนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะกลัวตัวเองเป็นศพบนที่นอน

...................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 3)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-10-2020 18:38:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผู้หญิงอะไร  หน้าด้านจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 4) 1 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-11-2020 11:49:50
บทที่ 4

โอ้ย.....หัวใจ ทำงานหนักไปแล้ว



ต้นน้ำเดินกลับจากบ้านพี่จินไห่ไปบ้านตนเองด้วยท่าทางเร่งรีบ เพราะต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปเรียนรอบเช้าที่มหาวิทยาลัย

ใจหนึ่งอยากหยุดนอนอยู่บ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่นึกถึงหน้าอาจารย์สุดโหดในคาบแรกแล้ว ต้นน้ำจึงต้องกล้ำกลืนกัดฟันไปเรียนทั้งที่ตาโบ๋ลึกเป็นนกฮูกแบบนี้

“อ้าว!! ไอ้ต้นน้ำ ทำไมมึงโทรมขนาดนี้วะ?” ไอ้เฟรม ไอ้เพื่อนแฝดผู้พี่ผู้ติดแฟนเหมือนติดยา ร้อยวันพันปีไม่เคยทักกัน วันนี้ดันทักกันเสียเสียงดัง
“ไอ้เชี้ยไอซ์!!” ผมเหล่มองแฝดผู้น้องที่หลบอยู่หลังพี่ชายมันอย่างอาฆาต

“โทษเพื่อน มันหลุดปาก ฮ่าฮ่าฮ่า....” ไอ้ไอซ์ยิ้มเจื่อนๆโผล่หน้ามาจากด้านหลัง นิสัยปากพล่อยของมันแก้ไม่หายจริง แต่ต้นน้ำก็คิดว่าผิดเองที่ไม่เคยจำ มีอะไรก็ปรึกษามันตลอด

ต้นน้ำแค่เห็นหน้ามันก็อยากจะใช้เท้าลูบหน้ามันทันที แต่ด้วยความที่มันเป็นกีฬาที่เก่งพอตัว การถีบมันให้โดนจึงเป็นเรื่องยากกับร่างกายที่อ่อนเพลียของเขา

ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะจับมันมาถามว่าพี่ชายมันรู้แค่ไหน?
"เออ กูรู้น่ากูบอกแค่ว่า พี่เขาเอามึงไปเป็นไม้กันหมาเฉยๆ แต่ไม่ได้บอกเรื่องที่มึงหลอกไปเป็นแฟนพี่เขาน่ะ และกูกำชับแล้วว่าอย่าไปบอกใคร!!" ไอ้ไอซ์พูดขึ้นขณะโดนคว้าคอเสื้อได้ ส่วนต้นน้ำก็โล่งใจมาเล็กน้อย เพราะถึงจะเป็นพี่น้องกัน ไอ้เฟรมเป็นคนที่เก็บความลับเก่งคนหนึ่ง

“นี่พี่มันถึงกับทำมึงไม่ได้นอนเลยเหรอ? ร้ายไม่เบาเลย” ไอ้เฟรมพูดขึ้นมาขณะที่ต้นน้ำหอบจากการวิ่งไล่ไอซ์ไปรอบๆ พื้นที่ใต้อาคารเรียน

เชี้ยแล้วไง ไอ้คนพูดไม่เก่งนี่ถึงเวลาพูดทีก็อยากเอาบาทาลูบปากมันไม้น่อยเหมือนกันสำหรับไอ้แฝดผู้พี่

“ที่เมื่อคืนกูแทบไม่ได้นอนเลย เพราะยัยแฟนเก่าของพี่เขาต่างหาก!” ต้นน้ำพักหายใจพักใหญ่ก่อนจะอธิบาย

“โห... นี่มึง.... อย่าบอกนะว่า..... แซนวิช!!” ไอ้ไอซ์ ไอ้คนปากหมาของคณะฯ หากมันไม่ได้หน้าตาดีและคารมเป็นเอก ป่านนี้คงกลายเป็นศพเพราะปากมันไปนานแล้ว

“อวัยวะเพศพ่อมึงสิ!! คิดแต่เรื่องต่ำๆ นะมึงเนี่ย!!” ต้นน้ำอาศัยทีเผลอ สบัดมือโบกกระโหลกมันไปเสียงดัง พั่บ!

“โอ้ย!! ก็มึงเล่าสองแง่สองง่ามเอง!!” ไอซ์ลูบศรีษะตัวเองเพราะความเจ็บ

“ก็เพราะสมองลามกของมึงไง ถึงได้คิดแบบนั้น!!” ต้นน้ำสวน

“ไอ้ต้นน้ำ แต่กูก็คิดนะมึง!!” ไอ้เฟรมยกมือสนับสนุน

“เออๆ กูผิดเองครับ งั้นกูขอเปิดการ์ดอธิบาย!” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจยาว โชคดีที่ไอ้ปากสุนัขอีกคนอย่างไอ้ต้นกล้าไม่มา ไม่อย่างนั้นได้ประสมโรงเห่าหอนเป็นหมู่คณะ หลังจากผ่อนลมหายใจใส่คณะตลกเพื่อนโป๊ะป๊ะตรงหน้า ต้นน้ำก็เริ่มเล่าทันที

เมื่อคืนหลังจากทุกอย่างสงบเนื่องจากพี่จินไห่ใช้เสียงเข้มข่มทุกคนให้นอนเพราะเขาง่วงมากแล้ว ต้นน้ำถูกพาตัวมานอนอีกฟากหนึ่งของเตียงคนละฟากกับหญิงสาวแฟนเก่าที่นอนอยู่บนที่นอนสำรองบนพื้น

แต่เนื่องจากคำพูดที่แสนน่ากลัวจากแฟนเก่าของคนที่มันนอนสบายใจหลับสนิทไปแล้ว ทำให้ต้นน้ำแทบจะนอนไม่หลับเพราะกลัวตื่นมาไม่สมประกอบหรือตัวเองกลายเป็นศพ ซ้ำร้าย ไอ้คนที่คนอยู่บนเตียงด้วยกันมันยังนอนดิ้นได้อย่างหน้ากลัว ทั้งพลิกตัวเข้ามาใกล้ เอามือเอื้อมมาทั้งก่ายทั้งกอด ลมหายใจที่ราดรดลงมาโดนใบหน้าของเขามันอุ่นชื้นไปหมด ไหนจะกลิ่นตัวหอมอ่อนๆ ของสบู่เหลวซึ่งก็น่าจะเป็นยี่ห้อเดียวกับที่เขาอาบ ทำไมมันหอมติดจมูกขนาดนี้

ต้นน้ำเคยได้ยินว่า คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนอื่นจะมีกลิ่นพิเศษที่เรียกว่าฟิโรโมนอยู่ มันกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศให้เพศตรงข้าม บางกรณีก็เพศเดียวกันด้วย พี่จินไห่มีเสน่ห์ดึงดูดคนทุกเพศ ดังนั้นพี่จินไห่จะมีไอ้ฟิโรโมนเยอะเนี่ยก็ไม่น่าจะแปลก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะไม่รังเกียจแล้ว เขายังสบายใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของจินไห่ด้วย (ซึ่งในส่วนนี้เขาขอเก็บไว้ในใจไม่พูด พูดแต่เพียงว่ายิ่งใกล้ชิดแบบนี้เขายิ่งระแวงไอ้พี่จินไห่ ยิ่งนอนไม่หลับ ทั้งที่ความจริง เขากลัวตัวเองเผลอใจไปมากกว่านี้)

ด้วยความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ทั้งเรียนและเล่นกีฬา ต้นน้ำที่เริ่มจะเคลิ้มหลับหลังจากที่พยายามผลักจินไห่พลิกตัวออกห่างได้สำเร็จ

ต้นน้ำคิดว่ามันคงจบแล้วแต่ก็เจอบางสิ่งคุกคามเวลานอนของเขาอีก เพราะในกลางดึกต้นน้ำก็ถูกสัมผัสลึกลับเข้ามาคุกคามมาจากอีกฟากของเตียง

ครั้งแรกที่ต้นน้ำรู้สึกตัว เขาคิดว่าตัวเองฝันไป สัมผัสเหมือนมือที่อ่อนนุ่มสอดแทรกเข้ามาใต้ผ้าห่ม ลูบไล้ไปตามต้นขาไล่ย้อนขึ้นมาจนถึงโคนขา สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเอว

มืออุ่นนุ่มนั้นได้หยุดนิ่งอยู่บริเวณขอบกางเกงผ้าฝ้าย ด้วยความที่ติดว่าตัวเองกำลังฝันจึงได้ปล่อยให้สัมผัสต่อมาเข้ามาคุกคามมากขึ้น เขารู้สึกถึงตัวตนของใครสักคนที่สัมผัสนุ่มเนียนแทรกตัวเข้ามานอนอยู่ขนานกับเขาอีกข้าง

ตอนนี้ต้นน้ำเริ่มรู้สึกแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เพราะความอบอุ่นเนียนนุ่มจากผู้มาใหม่นั้นเริ่มบดเบียดร่างกายของตัวเองเข้ามามากขึ้น สัมผัสจากเงามืดปริศนานั้นค่อยๆ ลูบไล้ลงต่ำไปที่เป้ากางเกง

ต้นน้ำสะดุ้งเฮือก แต่ก็ไม่กล้าตื่น เพราะเขารู้ว่าใครที่กำลังเคลื่อนไหวในความมืดอยู่ ‘หน้าอกโตขนาดนี้ คงจะเป็นแฟนเก่าสุดเซ็กซี่ของคนที่นอนอีกฟากหนึ่งแน่นอน’

ความคึกคักของวัยหนุ่มของต้นน้ำทำให้อะไรที่ถูกสาวสวยลูบไล้อยู่เริ่มขยายใหญ่ เขาสองจิตสองใจอยู่ว่าจะปลุกคนข้างให้มาช่วยหยุดพฤติกรรมแปลกนี้ หรือปล่อยเลยตามเลยดี เขาเองก็ไม่ได้ปลดปล่อยมาหลายวันแล้ว

พรึ่บ!!

เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมาก แสงไฟถูกเปิดจากโคมไฟข้างเตียง จินไห่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียง นิ่วหน้าด้วยอารมณ์ที่ทำให้อากาศในห้องร้อนขึ้นมาไม่รู้ตัว

“อธิบายมา!!” จินไห่เสียงเข้มและมองคนที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด

“เอ่อ.......คือ...” ต้นน้ำสะดุ้งผุดตัวเองขึ้นยืนอย่างรวดเร็วประหนึ่งมีสปริงขนาดใหญ่ดีดขึ้นมา แต่ด้วยความที่น้องชายของเขามันโตเต็มที่ก็เลยต้องล้มตัวลงนั่งและเอาผ้าห่มปิดไว้

“ไม่ใช่ต้นน้ำ พี่หมายถึงเสี่ยวหยู๋!!” สายตาของจินไห่โฟกัสไปที่สาวสวยที่ลุกขึ้นนั่งเสยผมหน้านิ่ง

“ก็แค่อยากพิสูจน์!” เสี่ยวหยู๋มองไปที่สิ่งที่ถูกปกคลุมใต้ร่มผ้าห่ม และมองขึ้นไปสบตาจินไห่

“พิสูจน์อะไร?!?” จินไห่ขึ้นเสียง

“พิสูจน์แฟนเก๊ๆของพี่ไง เด็กคนนี้ไม่ใช่เกย์เสียหน่อย พี่ก็ไม่เคยชอบผู้ชายเสียหน่อย จะมามีแฟนเป็นผู้ชายได้ไง!” เสี่ยวหยู๋ พูดสวน

“เชี้ย!!!!!” เล่ามาถึงตรงนี้ ไอ้ไอซ์ถึงกับอุทานออกมาเสียงดังลั่นกลางวงสนทนา

“ผู้หญิงคนนี้แม่งแรงว่ะ ลงทุนขนาดนี้เลยหรือวะ!!?” ไอ้เฟรมร่วมประสมโรงด้วย

“รู้หรือยังว่ากูต้องเจอกับอะไร?” ต้นน้ำขยี้หัวตัวเองครั้งใหญ่

“แล้วมึงทำไงต่อ?” ไอซ์ถามเพื่อนต่อทันที สีหน้าเหมือนลุ้นละครหลังข่าว ดูมันจะสนุกมากกว่าเห็นใจ (ไอ้เพื่อนเลว)

“กูก็พยายามแก้ตัวช่วย ว่ากูนึกว่าเป็นพี่จินไห่ทำ แต่ยัยนมโตนั่นพูดยังไงก็ไม่เชื่อ พี่จินไห่ก็ช่วยพูดแก้ต่างให้ว่า เป็นเรื่องปกติที่เขาจะนอนละเมอทำแบบนั้น แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งจนด้วยหลักฐานเพราะยัยนั่นดันเอาหน้าอกอวบอิ่มนั่นถูไปมากับต้นแขนกู เป็นเกย์ไม่น่าจะมีอารมณ์กับนมผู้หญิง! เท่านั้นแหละ..........” เสียงต้นน้ำขาดห้วงไป

“ยังไงต่อไอ้บ้ากาม?!?” ไอ้เฟรมเซ้าซี้ถามด้วยแววตาอิจฉานิดหน่อย

“บ้ากามพ่อง!! ไม่มีอะไร!! ก็แค่กว่าจบการเถียงกันจบกูแทบไม่ได้นอน!” ต้นน้ำมีอาการ้อนหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด

“เดี๋ยวๆ มึงยังไม่เล่าเลยว่าทำไมยัยแฟนเก่าโรคจิตนั่นถึงยอมรามือ ทำขนาดนี้ไม่น่ายอมล้มเลิกง่ายๆ” ไอซ์ผู้มีสมองฉับไวรีบถามถึงประโยคที่หายไป

“เชี้ย!! ไม่มีอะไร พี่จินไห่ก็แค่โวยวายไล่ยัยนั่นออกไปหากไม่เชื่อคำพูดของเขา ยัยนั่นก็สงบไปเอง!! สายแล้วรีบไปเรียนเหอะ เดี๋ยวมึงเจออาจารย์ทำโทษอีก!!” ต้นน้ำโวยวายแล้วเดินนำไปที่ห้องเรียน ปล่อยให้เพื่อนทั้งโต๊ะสงสัยการทำตัวแปลกๆของอีกฝ่าย

“แปลก....” ไอซ์พูดลอยขึ้นมาหลังจากมองด้านหลังเพื่อนตัวเองที่มีพฤติกรรมแปลก

“ไม่แปลกหรอก ไอ้ต้นนำ้มันก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบคิดอะไรแปลกๆ” พี่ชายฝาแฝดเสริม

ต้นน้ำพยายามก้าวเท้าให้เร็วและพยายามไม่ให้นึกถึงภาพและสัมผัสสุดท้ายของบทสรุปของเรื่องเมื่อคืนวาน

ภาพที่เขาถูกดึงเข้าไปจูบที่ริมฝีปากอย่างหนักหน่วงและลึกล้ำ สัมผัสที่เขารู้สึกแหยงๆในครั้งแรก และกลับรู้สึกคล้อยตามในเวลาต่อมา

‘คนอะไรจูบเก่งชะมัด’ ต้นน้ำเผลอคิดอย่างนั้นหลังจากจินไห่ถอนปากออก และต้องตกใจอย่างหนักที่ตัวเองเผลอคิดไปแบบนั้น

แต่นั่นก็ทำให้เรื่องในคืนนั้นจบลง เสี่ยวหยู๋ยอมเลิกราและกลับไปนอนห้องของตัวเอง ส่วนเขาก็ถูกจินไห่สั่งให้เงียบก่อนตลอดทั้งคืน

สรุปว่ามันเป็นคืนที่อึดอัดที่สุดในชีวิตของเขา

...............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 4) 1 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-11-2020 12:38:50
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 5) 2 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-11-2020 05:52:13
บทที่ 5

หัวใจคงได้วายสักวัน



ต้นน้ำกำลังคิดว่าเขาตัดสินใจผิดอย่างมาก ที่เผลอหลุดปากไปเล่าให้ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของเขาฟัง

ไอ้เฟรม ไม่เท่าไหร่..... หลังจากเรียนจบมันก็ตรงรี่ไปหาแฟนสาวอดีตดาวมหาวิทยาลัยทันทีเหมือนติดปีก เพราะหายไปเร็วมาก

ไอ้ต้นกล้า ไอ้ปากสุนัขประจำกลุ่ม มันยังไม่รู้เรื่องอะไรซึ่งเป็นเรื่องดี หลังจากที่มันเห็นไอ้เฟรมหายไปจากสายตา มันก็วางแผนเตรียมโดดซ้อมกีฬาของนักกีฬามหาวิทยาลัยทันที

เหลือไอ้ขาเผือกประจำกลุ่ม ไอ้ไอซ์ ผู้ซึ่งยิ้มอย่างมีนัยยะ ตลอดเวลานับตั้งแต่คลาสสุดท้ายจบลง

“เฮ้ย....” ไอ้ไอซ์เอ่ยทักจากทางด้านหลังซึ่งผมกำลังหนีมันอยู่ มันล้วงความลับเก่ง มันเป็นคนหัวดีที่มีนิสัยที่นักสืบยังต้องอาย

“กูไม่มีอะไรปิดบังนะสัด!!” ต้นน้ำรีบพูดขึ้น

“เชี้ยอะไรของมึง!! สนามบาสฯน่ะ มันทางนี้โว้ยมึงจะเดินไปไหนของมึง!!” ไอซ์สวนกลับมาพร้อมใช้มือชี้ไปที่แยกทางซ้าย

“เออ... กูแค่จะแวะไปห้องน้ำที่ตึกคณะวิทย์ฯ ก่อน” ตึกวิทย์ฯ เป็นอาคารหลังใหม่ที่สุด เหมาะแก่การไปนั่งชิลๆปลดทุกข์ที่ใครๆ ก็รู้แต่ต้นน้ำก็แค่พูดแก้เขิน

“งั้นมึงยิ่งไปผิดทาง ตึกวิทย์ฯ อยู่ทางขวา!” ไอซ์ชี้ไปอีกทาง

เชี้ย!! วันนี้กูเป็นอะไรวะ?!? ต้นน้ำคิดในใจ

“มึง....มีอะไรปิดบังกูใช่ไหม? เมื่อวานมีเรื่องมากกว่านี้ใช่ไหม?” ไอซ์มีสายตาคาดคั้น

“ไม่นี่” พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นและขึ้นสูง ไม่งั้นไอ้โคนันที่กลับชาติมาเกิดนี่มันคงจับได้

“ใช่แน่เหรอ..... หรือว่าพี่จินไห่... เขาจับมึงทำเมียแล้ว!!” ไอซ์เดินเข้ามาใกล้และสำรวจบั้นท้ายเพื่อนสนิท

“ทำเมียพ่อง!! มันแค่จูบกูโว้ย!!  เชี้ย!! เสร็จมัน!!” ต้นน้ำทำสีหน้าเจ็บใจ

“มึงก็รู้ว่ามึงไม่เคยเก็บความลับกับกูได้!” ไอซ์ยิ้มเยาะ

จริง!! ต้นน้ำคิดในใจ

“ว่าแต่แค่ประกบปาก หรือ แลกลิ้นล่ะ” ไอซ์ถามต่อแบบไม่ให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ

“เชี้ย!! เบาๆ เดี๋ยวกูเสียความนิยมหมด! แล้ว...... มันต่างกันยังไงวะ จูบก็ตือจูบ เพื่อให้ยัยนั่นมันยอมหุบปากแล้วแยกย้ายไปนอนกันเสียที!!” ต้นน้ำลากเพื่อนไปทางสนามบาสเกตบอล เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางหลักที่ผู้คนเริ่มพลุ่กพล่าน

“ต่างสิวะ!! กูถามหน่อย มึงไม่ใช่เกย์ มึงไม่เคยสนใจผู้ชาย มึงจะชอนไชลิ้นมึงเข้าไปในปากผู้ชายอีกคนไหมวะ ถึงมันจะหล่อเทพขนาดไหนก็เถอะ!!” ไอซ์อธิบายหน้าเครียด

“เออว่ะ” ต้นน้ำต้องรีบเห็นด้วยเพราะขณะนี้ใบหน้าและริมฝีปากของไอ้เพื่อนลูกครึ่งหน้าตาดีอย่างไอ้ไอซ์อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายขนาด ต้นน้ำยังอยากจะรีบดันมันออกไปไกลๆเลย

นึกขึ้นได้อย่างนี้ต้นน้ำรีบขยับศรีษะออกห่างจากเพื่อนตัวเองทันที

“นี่ๆ กูก็เลือกนะ ถึงกูจะชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงแต่กูก็ทำแบบนั้นกับผู้ชายทุกคนนะมึง เอ้างี้มึงก็หล่อนะ แต่แค่กูคิดว่าจะต้องจูบกับมึงนี่กูก็ขนลุกแล้ว มันไม่ใช่ว่ะ”  ไอซ์ทำหน้าเหยียดเพื่อแสดงจุดยืน

“.........” ต้นน้ำยกมือสัมผัสริมฝีปากตนเอง เขายังคงรู้สึกถึงไออุ่นจากรสลิ้นของจินไห่อยู่เลย แต่แปลกเขากลับไม่ได้รังเกียจอย่างที่ไอซ์อธิบาย

“ทำท่าทางเหมือนโดนมากกว่านั้น?” หน้าไอ้นักสืบอย่างไอ้ไอซ์กลายเป็นไอ้หน้าลามกกวนบาทาเหมือนเคย

“แค่จูบหลอกๆโว้ย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แค่นี้กูก็รู้สึกแย่ฉิบหายแล้ว อย่าให้กูต้องนึกถึงมันอีกได้ไหมวะ!” ต้นน้ำทำเสียงเกรี้ยวกราดกลบเกลื่อน และเดินนำหน้าไป

“หนีอะไรก็หนีได้นะ แต่หนีใจตัวเองไม่ได้นะโว้ย!!” ไอซ์ตะโกนไล่หลังไป

“สัด!!” ต้นน้ำหันหลังไปด่าไอ้เพื่อนเลวคำใหญ่

ต้นน้ำเดินจ้ำอ้าวไปทางสนามกีฬาเพื่อฝึกซ้อมประจำวัน แต่ในใจกลับรู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างประหลาด ตอนเช้าเขาก็ต้องรีบตื่นเพื่อหลบหน้าจินไห่ ตามสัญญาเขาต้องไปนอนที่นั่นทุกวันตลอดช่วงที่แฟนเก่าของจินไห่อยู่ เขาไปแค่คืนแรกก็อยากจะฉีกสัญญาทิ้งแล้ว

ไอ้ความรู้สึกน่ารำคาญนี่มันคืออะไรวะ?!? ต้นน้ำคิดตลอดทางจนถึงสนามซ้อม

£&£&£&£&£¥$€

เสียงริงโทนดีงขึ้นพร้อมกับชื่อของคนที่เขากำลังนึกถึงตลอดการเดินมาถึงสนามซ้อม

“เชี้ย!!” เขาอุทานออกมาแต่ก็ไม่รับสาย

จินไห่โทรศัพท์มาหาอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายส่ง sms มาหาด้วยข้อความที่ว่า

‘รีบมานะที่รัก จะรอกินข้าวด้วย น้องต้องมาตามนัดนะอย่าลืม’

‘ใครที่รักมึง!! กูไปสัญญาอะไรกับมึง!!?!’ ต้นน้ำคิดในใจและแสดงความโกรธทางสีหน้าชัดเจน  กระทั้งไอ้ไอซ์สังเกตเห็น

แต่เขาก็ลูกผู้ชายพอที่จะต้องทำตามคำพูดให้ได้ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่จะไปสานต่อแผนให้จบ

“เอาว่ะ อีกแค่สองเดือน!! มันจะสักเท่าไหร่กัน” ต้นน้ำบ่นพึมพำในใจ

..........................

ต้นน้ำเดินเนิบนาบเข้าไปในร้านอาหารขนาดกลางบรรกาศดีที่ห้อมล้อมไปด้วยแมกไม้เล็กใหญ่นานาพันธุ์ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ทุกต้นที่อยู่ใกล้บริเวณร้านอาหารล้วนถูกตัดแต่งอย่างพองาม ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก

ชายหนุ่มที่สูงเกือบสองเมตรเดินมองซ้ายขวาอย่างคนไม่มั่นใจ วันนี้เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร ใครจะรู้ว่าการแสดงละครตบตาต่อหน้าแฟนเก่าของคนรู้จักที่มีบ้านติดกันจะทำความลำบากใจให้เขาขนาดนี้

ครั้งแรกที่คิดว่ามันง่าย แต่เปลี่ยนที่นอน มาอยู่กับพี่ชายคนหนึ่งแบบสบายๆ กลับกลายเป็นถูกเกณฑ์เข้ามาอยู่ในสงครามประสาทระหว่างแฟนเก่า แค่เขาคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเสียแล้ว เมื่อวานวันแรกยังโดนต้อนรับเสียขนาดนั้น วันนี้เขาจะโดนอะไรบ้างเนี่ย!

“ต้นน้ำ! ต้นน้ำ! ทางนี้!” ยังไม่ทันได้เตรียมใจดี เสียงของนายจ้างก็ดังขึ้น จินไห่โบกมือเรียกเขาจากทางอีกด้านหนึ่งของร้านที่เป็นพื้นที่โต๊ะภายนอกอาคาร

ต้นน้ำฝืนยิ้มและโบกมือทักทายกลับ ในระหว่างที่เขาเดินไปทางที่จินไห่เรียก พนักงานทุกคนที่น่าจะคุ้นเคยกับเขาดีเพราะเป็นลูกค้าประจำ และบ้านก็อยู่ใกล้กับร้าน กลับส่งสายตาแปลกๆ มาที่เขา บ้างก็กระซิบ บ้างก็เดินมายิ้มทักทายแบบสนิมสนมกว่าเคย บางคนถึงขั้นเดินมาเหมือนฝากเนื้อฝากตัวด้วย

“อะไรของลูกน้องพี่วะ? วันนี้แปลกๆ ทุกคน”  ต้นน้ำที่เพิ่งเดินไปถึงจุดหมายรีบเอ่ยปากถามเจ้าของร้านทันที

“ก็เรื่องที่อยากจะมาบอกกับเราวันนี้ก็เรื่องนี้แหละ นั่งลงก่อนสิ หิวหรือยัง กินก่อนค่อยคุย” จินไห่ยิ้มกว้างและเชื้อเชิญต้นน้ำให้นั่งเก้าอี้ข้างๆ เขา

“ผมนั่งตรงนั้นดีกว่า” ต้นน้ำชี้ไปที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง

“ไม่ได้ นั่นที่นั่งของเสี่ยวหยู๋” จินไห่บอกสั้นๆ หน้านิ่วเล็กน้อย

“ผมจะกินลงไหมเนี่ย? เมื่อคืน ผมก็นอนแทบไม่หลับ!” ต้นน้ำบ่นพึมพำ

“ก็เพราะอย่างนั้นพี่เลยเลี้ยงอาหารเราวันนี้ไง!” พี่จินไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเคย

“อืม.... ก็ได้.... แต่ทำไมต้องมากินกับแฟนเก่าพี่วะ มันไถ่โทษตรงไหน เหมือนโดนทำโทษมากกว่า!!” ต้นน้ำบ่นเพิ่มขณะล้มตัวลงนั่ง

“ถึงนัดให้มากินก่อนไง ยัยนั่นไปเที่ยวแถวนี้เดี๋ยวก็คงกลับ รีบกินเหอะ!” จินไห่ผายมือไปที่โต๊ะอาหารที่ต่างเป็นของชอบของต้นน้ำทั้งสิ้น

ต้นน้ำชอบรสมือของร้านนี้ เวลาแม่เขาขี้เกียจทำกับข้าวก็มักจะให้มาสั่งให้ร้านนี้ไปส่งที่บ้าน ไม่แปลกใจที่จินไห่จะรู้ว่าเขาโปรดปรานเมนูไหนบ้าง

“งั้นไม่เกรงใจละนะ” พูดจบเขาก็ตักกับข้าวตรงหน้าลงจานตัวเองอย่างกับคนหิวโหยไม่เคยเจออาหารมานาน ต้นน้ำแอบเห็นจินไห่ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

“ขอโทษนะครับ รับน้ำอะไรดีครับ” ต้นน้ำเงยหน้าจากจานข้าวมาทางต้นเสียง เขาพบบริกรหนุ่มยิ้มหวานใส่เขาอย่างนอบน้อมที่สุด เขารู้สึกว่ามันผิดปกติ

“น้ำ.... เปล่าก็พอครับ” ต้นน้ำตอบไปด้วยสีหน้าสงสัย

“ครับ แล้วจะรีบนำมาเสริฟให้นะครับ” พูดจบบริกรหนุ่มก็โค้งรับและรีบวิ่งเข้าไปที่บาร์น้ำทันที

“เนี่ยๆ มันแปลกนะพี่!! ลูกน้องพี่มันแปลกๆ ป่าววะ?” ต้นน้ำรีบหันไปถามเจ้าของร้านที่นั่งยิ้มมุมปากอยู่ข้างๆทันที

“ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะเคารพแฟนเจ้าของร้าน” จินไห่พูดเรียบๆ ตอบกลับมา

“อ้อ....” ต้นน้ำรับฟังและกลับไปจัดการ าหารตรงหน้าต่อ

“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ!! อย่าบอกนะว่า!!”

“ใช่! พี่บอกทุกคน อยากจะให้สมจริงก็ต้องให้ทุกคนรู้สิจริงไหม?”

“เชี้ยๆๆๆๆๆ” ต้นน้ำทำได้แต่สบถเบาๆ

ภาพพจน์ของเขา พังพินาศหมดสิ้นแล้ว!!!

..................

มื้อเย็นของต้นน้ำผ่านไปอย่างลำบากใจ หลังจากได้รู้ว่าคนทั้งร้านรู้ถึงความสัมพันธ์(ปลอมๆ)ของเขาและเจ้าของร้านหน้าหล่อ ลูกจ้างในร้านทุกคนมีท่าทีเกรงอกเกรงใจเขามากกว่าปกติ มากกว่าลูกค้าทั่วไป โดยเฉพาะลูกจ้างผู้หญิงในร้านที่บ้างก็กล่าว ‘เสียดาย’ ไม่ขาดปาก บางคนถึงขั้นแอบมองแรงใส่เขาด้วยความอิจฉา

มันเป็นสถานะที่เขาไม่เคยอยากได้......

ต้นน้ำถูกพาเดินเข้ามาในบ้านของจินไห่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านมากนัก  เพราะอยู่ในรั่วเดียวกันกับร้านอาหาร หลังจากที่ถูกอดีตแฟนสาวของเจ้าร้านเท ไม่ยอมมาร่วมวงกินมื้อค่ำด้วย โดยให้เหตุผลง่ายๆ ว่า

‘ยังเที่ยวไม่เสร็จ ขอหาอะไรกินเองก็แล้วกัน’

ต้นน้ำรู้สึกเสียเที่ยวแต่ก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องปั้นหน้าเป็นคนหวงแฟน(ปลอมๆ) ต่อหน้าผู้หญิงที่สวยแต่สุดแสนจะมีนิสัยร้ายกาจ

‘พี่เสี่ยวหยู๋’ มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ทรวดทรงองค์เอวช่างสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยนิสัยที่โผงผางเอาแต่ใจ จึงทำให้เสน่ห์เหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจของต้นน้ำ เขาชอบผู้หญิงเรียบร้อยเอาใจเก่งมากกว่า แต่ที่ผ่านเขาไม่เคยเจอเลย

“ถามจริงพี่!?! พี่บอกแบบนั้นได้หน้าตาเฉยเลยหรือวะ? แล้วลูกน้องพี่เขาไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ?” ต้นรู้สึกหวุดหงิดในใจจนต้องระเบิดถามออกมา

“ระวังภาษาหน่อยพูดกับผู้ใหญ่!” จินไห่มีนิสัยเหมือนคนแก่ทั้งที่อายุแค่ 30

“เอ่อ....ครับ” ต้นน้ำรู้สึกกลัวกลัวสีหน้าที่ดูจริงจังนั่นนิดหน่อย

“เฮ้อ.... ก็นิดหน่อย แต่สมัยนี้ก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ? คนเรามันก็เปลี่ยนรสนิยมกันได้” อยู่ๆ ก็มีความคิดทันสมัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่นะหว่างที่พูดจินไห่ก็ไม่ได้มองมาที่ต้นน้ำตรงๆ เขากลับส่องกระจกจัดแต่งทรงผมอยู่

“สำหรับผมมันก็แปลกอยู่ดี...” ต้นน้ำบ่นงึมงำและล้มตัวลงนั่งที่โซฟาที่วางอยู่ใกล้ประตูทางเข้า

“งั้นพี่ไปดูแลร้านก่อนนะ” หลังจากปล่อยให้เดดแอร์อยู่พักใหญ่ จินไห่ก็ขอตัว

“เดี๋ยวดิพี่ งั้นวันนี้ผมก็กลับบ้านได้แล้วสิ” ต้นน้ำลึกขึ้นบิดขี้เกียจ

“ไม่ได้!! พี่ไม่อยากอยู่กับเสี่ยวหยู๋ สองต่อสอง!!” จินไห่หน้าเข้มหันมา

“โธ่... ที่แท้พี่ก็กลัวใจอ่อน แล้วก็อยากมีผมเป็นไม้กันหมาใช่ไหม?” ต้นน้ำล้อเลียน

“ไม่ใช่! พี่แค่ไม่อยากต่อเรื่องราวที่มันจบไปแล้ว ไม่อยากให้ความหวังใคร!!” จินไห่เสียงเข้ม

“เออๆ ก็ได้ แค่นี้ต้องดุด้วย!!” ต้นน้ำทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

“........” จินไห่นิ่ง เขามีคำพูดเป็นร้อยในหัวแต่อธิบายออกมาไม่ได้ ทำแค่นิ่วหน้าเท่านั้น

“ผมอยู่ก็ได้ วันนี้เตรียมเสื้อผ้ามาแล้วด้วย วันนี้ผมเกือบไปเรียนสายเลยนะเนี่ย ว่าแต่ถามจริงนะ พี่ไปพูดยังไงกับแม่ผมวะ ถึงได้ให้ผมมานอนบ้านพี่ได้ตั้งหลายรืนแบบนี้!!” ต้นน้ำล้มตัวลงนอนกับโซฟาพลางปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ดขณะบ่นไปด้วย

“ก็เหมือนกับที่บอกกับที่ร้านนั่นแหละ” พูดจบจินไห่ก็เดินออกไปจากบ้านทันที

“อะไรนะ!!” ต้นน้ำร้องเสียงสูง

..................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 5) 2 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-11-2020 19:56:06
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 5) 2 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-11-2020 10:43:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 6) 8 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-11-2020 11:41:23
บทที่ 6

ตัวหนังสือที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึก



ทันที่ต้นน้ำอาบน้ำเสร็จ เขารีบติดต่อไปหาแม่เขาทันที

“แม่! ผมถามหน่อย ไอ้พี่จินไห่เขาบอกแม่ว่าไงเหรอแม่ถึงอนุญาติให้ผมมานอนค้างบ้านเขาอย่างเนี่ย?” ต้นน้ำบรรจงกรอกคำพูดใส่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาด้วยคำพูดที่คิดเอาไว้อย่างดี เพราะต้องการตรวจสอบว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของจินไห่นั้น จริงแท้แค่ไหน

“อรรณพบอกว่าต้องการแก” แม่ของเขาประหยัดคำพูดกว่าที่คิด ไอ้คำตอบนี้มันทำให้เขาคิดไปได้ไกลมาก แม่มักจะเรียกจินไห่ด้วยชื่อไทยเพราะแม่บอกว่าชื่อจีนมันออกเสียงยาก

“มันแปลว่าอะไรเนี่ยแม่? อย่าบอกนะว่าเขาพูดแค่นี้แม่ถึงกับจัดกระเป๋าส่งลูกชายตัวเองมานอนกับเขา!!” ต้นน้ำกำลังมองกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองใบใหญ่ที่แม่เขาส่งมาให้จากคำบอกเล่าของเจ้าของบ้าน

“แกก็พูดอะไรเสียน่าเกลียด ไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย เด็กบ้า!! แล้ววันนี้คุยงานกับพี่เขาเสร็จแล้วเหรอ?” แม่หัวเราะเชิงล้อเลียนกับคำพูดที่ลูกชายตนเองใส่โทรศัพท์

“งาน? งาน..... อะไร?” ต้นน้ำเริ่มสับสน สรุปว่าไอ้พี่จินไห่มันคุยอะไรกับแม่เขาวะ?

“เด็กคนนี้! ก็งานที่พี่วานเราไปช่วยปรับปรุงร้านกับปรับปรุงบ้านไง ก็เรียนสถาปัตย์ไม่ใช่หรือไง? พี่เขาเห็นงานที่เราออกแบบหน้าร้านให้แม่ใหม่แล้วชอบก็เลยขอตัวเราไป แต่ช่วงกลางวันลูกก็เรียน ช่วงเย็นพี่เขาก็ยุ่งกับงานเปิดร้านอาหาร ก็เลยว่างคุยกับเราดึกๆ พี่เขาก็เลยขอตัวเราไปคุยเรื่องงาน เขากลัวจะดึกไปก็เลยขอตัวเราไปค้างเลย พี่เขาจ้างด้วยนี่ แม่เลยอนุมัติเลย!” แม่เริ่มไม่ประหยัดคำพูดเหมือนปกติ แสดงว่าละครที่ดูอยู่คงกำลังฉายโฆษณาอยู่แน่นอน
 
เฮ้ออออออ ความรู้สึกโล่งอกแผ่เข้ามาในใจ

“ได้เงินเท่าไหร่แบ่งแม่ด้วยนะ ถือว่าเป็นค่าแนะนำ!” แม่พูดต่อพร้อมหัวเราะ

“อ้าวแม่!! ไม่ใช่แล้ว” ต้นน้ำอุตส่าห์จะเก็บเงินเที่ยวช่วงปิดเทอมถึงกับอารมณ์เสีย

“ละครมาแล้ว ทำงานไปอย่าอู้!!” แล้วแม่ก็วางสายไป ทิ้งให้ต้นน้ำอยู่ในห้องที่เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงวี่....เข้าหู

เขากวาดตาดูในห้องที่เรียบง่ายนี้ ห้องที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบจำกัด ไม่มีแม้โทรทัศน์ มีเพียงลำโพงบลูทูธเครื่องเล็กอยู่เท่านั้น

“คนแบบไหนวะถึงได้อยู่ในห้องแบบนี้ได้?” ต้นน้ำบ่นงึมงำกับตัวเอง

ต้นน้ำวางโทรศัพท์มือถือที่แสดงเวลา 21:00  ลงที่เตียง หลังจากที่เขาสำรวจโซเชี่ยลมีเดียไปหมดทุกซอกทุกมุมจนเบื่อแล้ว ห้องที่ไม่มีสื่อบันเทิงอะไรเลยแม้แต่คอมพิวเตอร์ทำให้เขาเริ่มสำรวจห้องของจินไห่แก้เบื่อ

“เดาว่าสาวน้อยสาวใหญ่ที่กรี๊ดพี่จินไห่อยู่เนี่ย น่าจะไม่เคยเข้ามาถึงห้องนอนแน่เลย จะรู้ไหมวะว่า เป็นคนที่โคตรน่าเบื่อแม้แต่ในห้องนอน” ต้นน้ำกวาดตามองไปรอบห้องอย่างละเอียด ยิ่งได้นับเฟอร์นิเจอร์ในห้องด้วยแล้ว มันมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ทั้งที่ห้องกว้างขวางขนาดนี้

ในห้องมีแค่เตียงขนาด 5 ฟุตยกสูงจากพื้นไม่เกินหนึ่งฟุตสีไม้โอ๊คไปทางน้ำตาลอ่อน ชุดโต๊ะเก้าอี้ทำงานเก่าๆ โคมไฟ ตามจุดต่างๆ ชั้นหนังสืออีกสามตู้ที่หันสันหนังสือออกมาอย่างเป็นระเบียบ ทำให้เห็นว่าหนังสือที่วางอยู่ส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน

ต้นน้ำเดินไปหยิบหนังสือเหล่านั้นมาพลิกดูบางส่วนด้วยความสงสัย เขาเห็นแต่หนังสือเรียงยาวเป็นพรืด แทบจะไม่มีรูปภาพเลย ทำให้ความสนใจของเขาหมดลง

เขาเดินลัดเลาะเรื่อยเปื่อยไปจนถึงโต๊ะทำงาน ที่มีเครื่องเขียนและสมุดบันทึกวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ และสายตาของเขาก็ไปสะดุดที่สันสมุดเล่มหนึ่งที่ทำจากหนังเก่าๆ มันโดดเด่นออกมาจากกองหนังสือที่วางทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ด้วยความสงสัยต้นน้ำจึงเอื้อมมือไปหยิบสมุดเล่มเก่าเล่มนั้นออกมาจากกอง

ก่อนจะเปิดอ่าน เขาต้องแน่ใจเสียก่อนว่าเขาจะไม่โดนต่อว่าจากเจ้าของสมุด เขารู้ว่ามันไม่ดีที่ไปแอบอ่านสมุดบันทึกของคนอื่น แต่เขาเบื่อนี่นา ช่วยไม่ได้ เขาจึงหันซ้ายหันขวา เงี่ยหูฟังเสียงต่างๆ รอบตัว หลังจากแน่ใจแล้วเขาก็เตรียมพลิกเปิดดูเนื้อหาด้านในทันที

ก่อนเปิดต้นน้ำสัมผัสที่ปกด้านนอกที่เก่าจนซีด และมีรอยยับตามลักษณะของสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์จนเรียกว่าโบราณวัตถุก็น่าจะได้แล้ว เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่าบอกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจว่าเคยเห็นสมุดเล่นนี้ที่ไหนมาก่อน

ต้นน้ำพลิกเปิดหน้าแรก กระดาษด้านในล้วนเปลี่ยนสีเป็นสีขาวอมเหลือง สัมผัสที่สันกระดาษมันเป็นลอนคลื่นไม่เรียบ กระดาษมีลักษณะยับยู่บอบบางจนเขาต้องเปลี่ยนมาวางมันไว้บนโต๊ะเพื่อที่จะได้เปิดอย่างระมัดระวังมากขึ้น

หน้าแรกเป็นเพียงกระดาษเปล่า เว้นว่างไว้ มีเพียงลายเซ็นซึ่งต้นน้ำเดาว่าน่าจะเป็นของเจ้าสมุดเล่มนี้ แม้ว่าหมึกที่เขียนจะซีดจาง แต่ลายเส้นที่บรรจงลากน้ำหมึกให้ประกอบเป็นลายเซ็นอันนี้ช่างมีเสน่ห์ ลายเซ็นแนวตั้งที่ร้อยเรียงเป็นเหมือนลวดลายที่สวยงาม ทำให้ต้นน้ำอดที่จะชื่นชมไม่ได้ แม้ว่าจะเขียนด้วยภาษาที่เขาไม่รู้จักแต่เขาก็รู้สึกว่ามันสวยมาก

พลิกไปอีกหน้า เขาก็พบกับรูปวาดที่ร่างด้วยดินสอและตัดเส้นด้วยหมึกสีดำบางๆ เป็นภาพทิวทัศน์ที่ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่บนเนินเตี้ยๆ และ ทิวแถวต้นไม้ขนาดกลางอยู่ทางด้านหลัง เขาสังเกตเห็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่ในภาพเบื้องหลังทิวแถวต้นไม้เหล่านั้น แม้ภาพจะเหมือนยังร่างไม่เสร็จแต่องค์ประกอบต่างๆ ในภาพกลับสมบูรณ์แบบเหมือนถูกรังสรรค์ด้วยจิตรกรชื่อดัง

ในขณะที่เขามัวแต่ประทับใจและอิจฉาการลงรายละเอียดลายเส้นเหล่านั้น เขาก็รู้สึกคุ้นกับภาพตรงหน้าอย่างประหลาด ต้นน้ำถึงกับใช้นิ้วลูบไปตามรายละเอียดต่างๆ อย่างไม่ตั้งใจ

“นี่มันเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หลังบ้านเราเลย!!” เขาอุทานออกมา หลังจากนั้นก็หยิบสมุดปกหนังเล่มเก่าไปที่หน้าต่าง และพยายามเปรียบเทียบกับทิวทัศน์ที่คุ้นเคยในยามราตรี

“อืม.... ดูคล้าย แต่ต้นไม้ต้นนั้นมันใหญ่กว่าและใบน้อยกว่า.... หรือว่าใช่วะ.....?...” ด้วยความเป็นคนขี้เบื่อ เขาส่ายหน้า ‘ช่างมัน’ ในใจ และเดินไปนั่งที่เดิมเพื่อพร้อมที่จะเปิดดูหน้าถัดไป

ต้นน้ำอ่านลายมือที่เขียนด้วยภาษาไทย เป็นลายมือที่สวยกว่าเขาสักล้านเท่า ครั้งแรกที่มองนึกว่าเป็นการพิมพ์เพราะทุกตัวอักษรมีความบรรจงและเขียนได้มีรูปแบบที่แน่นอน น้ำหนักสม่ำ เพียงแค่นั่งมองลายมือเขารู้สึกเพลินตาเสียแล้ว

“ดูจากความเก่าของสมุดเล่มนี้ คงไม่ใช่ลายมือของพี่จินไห่ชัวร์!” ต้นน้ำพูดกับตัวเองอย่างมั่นใจ แม้เขาจะไม่เคยเห็นลายมือของจินไห่เลยก็ตาม เขาไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าคนๆนั้นเขียนภาษาไทยได้ ลำพังพูดไทยยังจะพูดไม่ค่อยชัดเลย

หลังจากคิดเข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพเพราะไม่อยากรู้สึกผิดที่ไปอ่านสมุดบันทึกของจินไห่ หากเป็นของคนที่ไม่รู้จักมันก็อีกเรื่อง!!

ต้นน้ำเริ่มอ่านจากย่อหน้าแรก และติดพันจนอ่านไปถึงย่อหน้าสุดท้ายของบทแรกในสมุดเล่มนั่น เขายอมรับว่าเป็นครั้งที่เขาตั้งใจอ่านหนังสืออื่นที่ไม่ใช่หนังสือเรียนนานขนาดนี้  มันเป็นภาษาที่อ่านง่ายสละสลวย และคำบรรยายต่างๆ ของคนเขียน ทำให้เขาดำดิ่งไปสู่ความทรงจำของคนเขียน เขาไม่สามารถหยุดอ่านได้

เขาไล่สายตาไปตามประโยคต่างๆ ที่เขียนลงในไป จนจบบทแรก

“นี่มัน... นิยาย หรือ.. ไดอารี่.... น่าจะเป็นอย่างหลัง แม้ไม่ปรากฎชื่อคนเขียนและข้อมูลอ้างอิงต่างๆ ในสมุดเล่มนี้ แต่เขาก็แน่ใจว่าใช่

การเขียนแทนตัวเองที่ล้ำลึกจนเขาอยากจะรู้จักคนเขียน เพราะนอกจากจะเขียนหนังสือดีแล้ว ยังมีภาพประกอบที่มีฝีมือที่ขนาดว่าเขาเรียนสถาปัตย์ยังรู้สึกอาย บทแรกบรรยายถึงความเปลี่ยนแปลง คนเขียนที่แทนตัวเองว่า ‘ผม’ ตลอดทั้งเรื่องเล่าถึงการหย่าร้าง และการโยกย้ายภูมิลำเนา การพยายามปรับตัวต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องภาษา เขาจึงตั้งใจเขียนบันทึกเพื่อเป็นการฝึกการเขียนภาษาไทย

ต้นน้ำอ่านถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ สมุดเล่มนี้คือคนที่ต้องการฝึกการเขียนจริงๆเหรอ? มันจะน่าเศร้าไปหน่อยหรือเปล่า? เพราะเขาเขียนภาษาไทยมาทั้งชีวิตยังเขียนให้ลายมือสวยเท่านี้ไม่ได้เลย

ในขณะที่ต้นน้ำกำลังจะพลิกไปบทถัดไป หูสุนัขของเขาก็ได้ยินเสียงกุกกักจากภายนอกห้องไม่ไกล เขาจึงรีบเก็บทุกอย่างลงที่เดิม ทำให้เหมือนก่อนที่เขาจะรื้อค้น และรีบรี่กลับไปนอนเปิดโทรศัพท์ยี่ห้อดังเพื่อแกล้งทำเป็นสนใจโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่เพิ่งเปิดขึ้นมา

แกร็ก! 

เสียงกลอนประตูถูกปลดออกดังกังวาล แต่ผู้ที่เข้ามากลับไม่ใช่เจ้าของห้องแต่เป็นอดีตแฟนสาวที่มีอาการหน้าแดงเล็กน้อย

“เฮอะ! นึกว่าไม่มีใครอยู่!” เสียงยียวนของฝ่ายหญิงที่ปนความรู้สึกผิดหวังรวมอยู่ด้วย

“สวัสดีครับ” ต้นน้ำทักทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ

“.........” อดีตแฟนสาวของเจ้าของห้องไม่ได้ตอบกลับทำแค่จ้องมองมาที่ต้นน้ำอย่างขุ่นเคือง ต้นน้ำเห็นอีกฝ่ายไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีด้วยเลยจึงกลับไปสนใจหน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเองทันที

“ไอ้พวกแย่งแฟนคนอื่น!!” เสี่ยวหยู๋พูดออกมาเสียงดังและจ้องมาที่ต้นน้ำอย่างโกรธเคือง

“เดี๋ยวนะพี่! ผมไปแย่งแฟนพี่ตอนไหน? ตอนพวกเราคบกัน พี่จินไห่ก็โสด!!” วันนี้ต้นน้ำถูกไอซ์เคี่ยวเข็ญเรื่องนี้มาพอควร ทำให้การโต้ตอบออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในใจนั่นสุดแสนจะเขินอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ดีนะที่ตรงนี้ไม่มีคนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าพูด

“ไอ้พวกผิดเพศ ไอ้พวกหนักแผ่นดิน กูจะทวงของกูคืนให้ได้คอยดู!” มาถึงประโยคนี่ทำให้ต้นน้ำรู้ว่าผู้หญิงคนตรงหน้าเขามีน้ำเมาในกระแสเลือดระดับหนึ่งเลยทีเดียว เมาตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย

แต่คำพูดนี้ทำให้ต้นน้ำโกรธจนแทบห้ามตัวเองไม่ไหว เขามีเพื่อนประเภทนี้เยอะ และเป็นคนดีทุกคน โดยเฉพาะไอ้ไอซ์ที่เขาพึ่งพาได้เสมอ เขารักเพื่อนของเขามากจนห้ามร่างกายตนเองไม่อยู่

“ถ้าทำได้ก็ลองดิ!! จะได้รู้ว่าใครเด็ดกว่า!!” ต้นน้ำถลาไปที่ประตู เขาจับบานประตูง้างออก ใช้มือดันร่างของสาวทรงโตถอยห่างไปและพูดใส่หน้าเสียงดัง ก่อนที่จะเหวี่ยงประตูปิดใส่หน้าเสี่ยวหยู๋เสียงดัง

ต้นน้ำไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั่นจะทำหน้ายังไง แต่ตัวเขาเองนี่แหละจะทำหน้ายังไงต่อจากนี้ หากต้องเจอกับผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง สงสัยเขาคงจะอินกับบทบาทมากไปหน่อย

แกร็ก!!

เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นอีกครั้ง ต้นน้ำรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ใจก็ตุ่มๆ ต่อมๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเข้ามาหาเรื่องเขาอีก (ว่าแต่ยัยนั่นมีกุญแจห้องนี้ได้ยังไงหว่า?)

“ร้ายเหมือนกันนิเรา!!” เสียงเจ้าห้องดังขึ้นพร้อมเสียงปิดประตู ต้นน้ำหันไปเจอกับรอยยิ้มกรุ้มกริ้มที่ชวนให้หงุดหงิดอยู่บนใบหน้าเจ้าของห้อง


‘โว้ยยยยยย มันได้ยินอะไรบ้างวะ?!?!’ ต้นน้ำคิดในใจจนเผลอขยี้หัวตัวเองอย่างแรง

“แสดงได้สมบทบาทแบบนี้สมควรให้รางวัล” จินไห่เดินเข้ามาใกล้ต้นน้ำจนเขาตั้งตัวไม่ติด แต่พอได้ยินก็เผลอดีใจ คิดไปไกลถึงโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่

“อย่างนี้ค่อยคุ้ม.... ค่า....หน่อย....” เสียงของต้นน้ำค่อยๆ ขาดห้วงเพราะหลังจากที่หันไปหาเจ้าของห้อง เขากลับเจอใบหน้าที่ยกยิ้มร้ายในระยะประชิด

“งั้นจัดเลยป่ะ?” จินไห่พูดพร้อมขยับหน้าลดช่องไฟระหว่างกัน

“เฮ้ย!!!” ต้นน้ำหน้าซีดเผือด ร้องเสียงหลงและขยับถอยห่างอย่างทุลักทุเล

“ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กน้อยเอ้ย ล้อเล่นแค่นี้จริงจังไปได้” จินไห่นั่งลงที่เตียงหัวเราะตัวงอ

“โหย....พี่ มันใช่เวลาไหมเนี่ย?” คนที่ถอยหลังจนเกือบตกเตียงโวยลั่น

“ขอโทษๆ พี่ก็เห็นทุกอย่างไปได้สวยก็เลยอารมณ์ดีไปหน่อย” จินไห่เหยียดตัวตรงและบิดขี้เกียจเล็กน้อย

“แล้ว... ทำแบบนี้ไปทำไมว่ะ ไม่ใช่ว่าอยากจะพิสูจน์อะไรนะครับ แบบแกล้งยั่วให้หึงและดึงกลับมาคืนดีอะไรแบบเนี่ย” ต้นน้ำพูดจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง การจีบสาวมีกลายรูปแบบ การง้อแฟนก็มีหลายรูปแบบเช่นกัน คนประสบการณ์สูงอย่างต้นน้ำย่อมรู้ดี

“พี่...กับเขา.... สำหรับพี่มันไม่มีทางเหมือนเดิมแล้วล่ะ.... อยากให้มันจบๆ ไปมากกว่า....” จินไห่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที อารมณ์ดิ่งลงสุดจนทำให้บรรยากาศในห้องเย็นมืดลงทันที

“.........” ต้นน้ำปรับตัวตามบรรยากาศไม่ทันจึงได้แต่นิ่งเงียบ

“ว่าแต่... พี่ไม่อยู่เล่นซนอะไรหรือเปล่า?” จินไห่ปรบมือเสียงดัง และหันไปสำรวจห้องแทน พร้อมขยับนั่นโน่นนี่รอบตัวจนต้นน้ำไม่สบายใจ เพราะตัวเขาก็แอบรื้อของส่วนตัวของเจ้าของห้องมาอ่านอยู่นานสองนาน

“เปล่าครับ ผมก็เล่นโทรศัพท์อยู่บนที่นอนเฉยๆ” ต้นน้ำกล่าวตอบไปด้วยด้วยความกระล่อนเช่นปกติ เขาหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือทันทีโดยไม่มองจินไห่แม้แต่น้อย

จินไห่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีผิดแปลกอะไร รวมกับที่ห้องก็อยู่ในสภาพดีเช่นเดิมจึงไม่มีแก่ใจจะต่อความยาวสาวความยืด เดินไปจัดสิ่งของรอบๆ ให้เข้าทีเข้าทางตามกิจวัตรของเขา

จินไห่เป็นคนเจ้าระเบียบมาก แม้ว่าเขาจะหยิบอะไรในห้องช่วงกลางวันและวางกลับที่เดิมดีแค่ไหน แต่เวลาก่อนนอนเขาจะจัดการจัดระเบียบห้องเขาอีกรอบเป็นกิจวัตร

ต้นน้ำที่แอบมองก็เผลอที่จะผ่อนลมหายใจกับอาการทางจิตเล็กน้อยของจินไห่ไม่ได้ และยิ่งอีกฝ่ายที่ไปจัดกองหนังสือตรงนั้นเขาก็เกิดอาการเหงื่อตกอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั้งจินไห่หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป เขาจึงค่อยโล่งใจ

คืนนี้ไม่มีเสี่ยวหยู๋มาวุ่นวายด้วย อาจเป็นเพราะเมา หรืออาจเป็นเพราะที่ต้นน้ำพูดกับเธอ หรือเพราะเธอกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ก็ทำให้ค่ำคืนนี้สงบสุขขึ้นมาก ระหว่างที่รอเจ้าของห้องอาบน้ำ ต้นน้ำก็กุลีกุจอหาที่นอนสำรองซึ่งมันควรจะอยู่ในตู้เสื้อผ้าแบบบิ้วท์อินที่มุมห้อง แต่มันกลับอันตรธานหายไปเสียอย่างนั้น

“พี่จินไห่ที่นอนสำรองไปไหน?” ต้นน้ำรีบถามทันทีที่เจ้าของห้องออกมาจากห้องน้ำในสภาพกึ่งเปลื่อย

“เอาไปซัก” คำตอบที่ออกจากปากที่เหมือนไม่ตั้งใจของจินไห่ขณะที่เขายกผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาขยี้ศรีษะที่เปียกชุ่มเบาๆ

“หา!! ทำไม? แล้วมีอีกไหมครับ?” ต้นน้ำทำสีหน้าตกใจซึ่งทำให้จินไห่ที่อยู่ถายใต้ผ้าขนหนูผืนเล็กยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตุ

“มี! อยู่ห้องนอนแขก แต่เสี่ยวหยู๋พักอยู่” จินไห่พูดไปพลางเดินแขวนผ้าเช็ดตัวผืนน้อยไปพาดที่ราวไม่ไกลจากห้องน้ำ

“อ้าว..... อย่างนี้ก็ไปเอาไม่ได้ดิ!!” ต้นน้ำทำหน้าเหวอกว่าเดิม

“อืม! วันนี้ก็นอนกับพี่จะเป็นไรไปวะ! ก็เสี่ยวหยู๋เขาทำน้ำส้มหกใส่ตอนเช้านี่ พี่ก็ต้องเอาไปซักสิวะ!” จินไห่ยืนนิ่งมองหน้าเด็กเจ้าปัญหาตรงหน้า

“น้ำส้ม?”

“เสี่ยวหยู๋เขามาเสิร์ฟอาหารเช้าน่ะ”

“เสริฟ์พร้อมตัวด้วยหรือเปล่า?”

“เห็นท่าทางเสี่ยวหยู๋ก็น่าจะรู้นะ ว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง?” จินไห่พูดจบก็ดึงกางเกงที่เขาเตรียมไว้บนเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจกขึ้นมาใส่แบบไม่ระวังตัวเท่าไหร่

ต้นน้ำพยักหน้าและคิดตาม

“อย่างนี้ผมก็ต้องนอนบนเตียงอีกล่ะสิ!!” ต้นน้ำทำสีหน้าไม่พอใจ

“ทำไม? กลัวอะไร กลัวพี่จะปล้ำเราหรือไง?” จินไห่ขยับตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะได้กลิ่นสบู่อาบน้ำที่หอมสดชื่นแบบกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ จินไห่ที่ใส่เพียงกางเกงนอนขายาวผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนบางเบา ท่อนร่างช่วงบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นอกแน่นพองาม รูปร่างที่ปราดเปรียว มีกล้ามเนื้อกำลังดี ตุ่มเนื้อเด่นที่กลางอกเป็นสีชมพูระเรื่อสวยงาม ทุกอย่างของร่างกายคนตรงหน้ามันดูพอดีไปเสียทุกอย่าง ผิวที่เนียนเรียบขาวสว่าง ทำให้ต้นน้ำอดที่วางตาไปกับสิ่งเหล่านั้นไม่ได้

เป็นครั้งแรกที่เขามองผู้ชายเปลือยอกแล้วรู้สึกแบบนี้ รู้สึกอยากยื่นมือไปสัมผัส ลมหายใจตัวเองกระชั้นถี่ เลือดถูกสูบฉีดไปที่ใบหน้ามากขึ้นจนอุ่นร่อนขึ้นมา

“ทำอะไร? ถอยไปเลย! ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น!” ต้นน้ำพูดไล่แต่อีกฝ่ายกลับยืนยิ้มนิ่งเฉย ต้นน้ำเลยตัดสินใจใช้มือทั้งสองข้างผลักหน้าอกอีกฝ่ายให้ถอนห่างไปพร้อมเร่งฝีเท้ากระโดดขึ้นเตียง

จินไห่ส่ายหน้าและเดินไปหยิบเสื้อมาใส่ เขามองไปทางคนที่เพิ่งโดดขึ้นเตียงซึ่งตอนนี้เตรียมตัวนอนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินไปปิดไฟ

หลังจากไฟในห้องดับลง ห้องทั้งห้องมืดลงและดูสงบเงียบขึ้นมาก แต่ต้นน้ำมีคำถามคาใจจึงรีบถามคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนข้างเขาทันที

“ไปบอกแม่ผมแบบนั้นจะดีหรือครับ? ผมไม่ได้ช่วยพี่ออกแบบบ้านกับร้านพี่เสียหน่อย?” ต้นน้ำพูดขึ้นเป็นเชิงถามอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หลับ

“อ้าว! รู้แล้วเหรอ?” เสียงที่พูดขึ้นรู้เลยว่าอีกฝ่ายยิ้มเยาะอยู่ในความมืด ทำไมพี่จินไห่ถึงชอบแกล้งเขาขนาดนี้

“ผมก็ต้องคุยกับแม่นะ บ้านอยู่แต่ตรงนี้เอง” ต้นน้ำตอบอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ

“งั้นมาช่วยพี่ออกแบบจริงๆ สิ งานนี้พี่ให้ต่างหาก” จินไห่หัวเราะในลำคอ

“โห......” แค่ต้นน้ำคิดก็ขี้เกียจแล้ว งานที่อาจารย์สั่งก็เยอะจนแทบจะทำไม่เสร็จอยู่แล้ว หางานมาให้เพิ่มอีก เขาน่าจะไม่ไหว

“หรือจะให้บอกพี่มนตรงๆล่ะ ว่ารับจ้างมาเป็นแฟนพี่น่ะ” จินไห่รู้สึกสนุกที่หยอกไอ้เด็กขี้โวยคนนี้

“โอย! พอๆ เลย เอาอย่างนั้นก็ได้ แค่นี้ก็แปลกพอแล้ว นอนเหอะ!” ต้นน้ำพลิกตัวตะแคงอีกข้างอย่างไม่พอใจ

“แล้วก็..... ห้ามไปบอกใครนะ เรื่องนี้ให้รู้กันแค่สองคนล่ะ” จินไห่กำชับก่อนจะเงียบลง

“อ่า....ครับ”  ซวยแล้วครับเพราะต้นน้ำเล่นบอกเพื่อนในกลุ่มไปแล้ว หวังว่าไอ้ไอซ์มันคงไม่ปากมากกับพี่ชายมันนะ

.........................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 5) 2 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-11-2020 19:20:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 7) 23 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-11-2020 05:55:23
บทที่ 7

บททดสอบความแฟน



ต้นน้ำกำลังเก็บกวาดพื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านเหมือนเช่นทุกสัปดาห์ที่ถูกไหว้วานจากแม่ให้มาทำ (กึ่งบังคับ)

เครื่องเซ่นมากมายที่ถูกนำมาถวายแด่เจ้าพ่อต้นไม้แห่งรักต้นนี้มันเยอะขึ้นทุกที ต้นน้ำไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงต้องลงทุนกันขนาดนี้ แล้วทำไมพ่อของเขาถึงผูกพันธ์กับต้นไม้ต้นนี้ขนาดนี้ (ทั้งที่ตัดไปก็น่าจะจบ)

ขนาดที่ว่าพ่อของเขาสั่งเสียก่อนเสียว่าห้ามตัดเด็ดขาด ต้นน้ำเดาว่าพ่อคงบนบานอะไรเกี่ยวกับคุณแม่สุดสวยของเขาหรือเปล่านะ ถึงไม่กล้าให้ตัด

ระหว่างที่กำลังเก็บกวาดอย่างขมักเขม่น ต้นน้ำไม่อยากเสียเวลากับที่นี่มากนักเพราะมีนัดกับดาวคณะมนุษย์ศาสตร์ตอนหนึ่งทุ่ม ระหว่างที่เก็บเศษก้านธูปสีแดงที่โปรยปรายปักอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่นั่น ปลายตาของเขาก็ไปสะดุดที่เงาร่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ที่รั่วฝั่งที่ติดกับสวนรกร้างไร้คนดูแลที่มีพื้นที่ติดกัน

ต้นน้ำถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวด้วยความตกใจ เพราะเขาเห็นชายหนุ่มผมยาวที่มัดผมที่ยาวเลยบ่าไปทางด้านหลังรวบตึงบริเวณด้านหน้าเผยให้เห็นวงโค้งเว้าของไรผมที่สวยได้รูป วงหน้าที่ขาวสว่างตัดกับเงาไม้รำไรทางด้านหลังช่วงเย็นแบบนี้ใครไม่ตกใจก็แปลกแล้ว และที่สำคัญคนๆนั้นถือเสียมด้ามยาวและหอบย่ามสัมภาระใบใหญ่มาด้วย ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก

“โหยพี่!! มายืนทำอะไรตรงนี้เนี้ย!!” ต้นน้ำรีบโยนคำทักทายไปทันทีที่เขาเห็นว่าเป็นใคร คนๆนี้ยืนอยู่อีกฝั่งของรั่วลวดหนามโทรมๆ อยู่ทางฝากที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่ปล่อยให้รกร้างมานาน แม่เขาบอกว่าเป็นเจ้าของคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ ที่แม่รู้เพราะเขาคนนั้นเดินมาทักทายแม่ของเขาแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน และมาขอโทษล่วงหน้า หากการปรับปรุงพื้นที่ของเขาที่อาจจะรบกวนเพื่อนบ้านอย่างเรา

หลังจากทักทายด้วยความตกใจไป แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งเงียบ เขาเหม่อมองต้นไม้ต้นนี้เหมือนเมื่อครั้งที่ต้นน้ำเจอเขาคนนี้เป็นครั้งแรก

“เฮ้! พี่ครับ” ต้นน้ำทักทายอีกครั้ง

“เอ่อ... อ้อ สวัสดีครับ” อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

“พี่มาทำอะไรเนี่ย? เย็นป่านนี้แล้ว?” ต้นน้ำมองไปที่เสียมที่อีกฝ่ายถือมาด้วย ต้นน้ำแอบเสียใจนิดหน่อยเพราะเขาอยากให้อีกฝ่ายถือไวโอลินมามากกว่า เขายังติดใจเสียงดนตรี เสียงและทำนองเหล่านั้นติดอยู่ในใจเขาไม่เลือน

“เอ่อ.......คือ......” อีกฝ่ายพูดอ้ำอึ้งเหมือนคิดคำพูดไม่ออก เขายกมือที่กำเสียมแน่นขึ้นมาแบบเก้ๆกังๆ

ต้นน้ำนึกได้ในทันทีถึงคำพูดของแม่ของเขาที่ฟังผ่านๆช่วงมื้อเย็นไม่กี่วันก่อน ชายคนนี้พูดภาษาไทยไม่เก่ง เหมือนเป็นลูกครึ่งใต้หวัน
“มาขุดดิน หรือมาถางหญ้าใช่ไหมครับ?” เขาทายจากท่าทางของคู่สนทนาไปเรื่อย แม้มันจะดูแปลกและผิดจุดประสงค์ของเสียมไปบ้าง มันไม่น่าใช้ถางหญ้าได้ แต่ก็ช่างเถอะ ที่ใต้หวันคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้

อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นคำตอบหลังจากคิดอยู่สักพักใหญ่
(สรุปเข้าใจกูไหมเนี่ย ต้นน้ำคิด)

“ขอเข้าไปได้ไหม?” คราวนี้อีกฝ่ายพูดค่อนข้างชัด ต้นน้ำพยักหน้าเป็นการตอบแทนเพราะไหนๆก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ก็คงจะเป็นไม่จำเป็นต้องห่วงอะไร อีกอย่างแม่เขาก็แสดงออกว่าเอ็นดูเจ้าของที่ดินหลังบ้านนี้มาก

หลังจากชายคนนั้นเข้ามาถึงใต้ต้นไม้ เขาก็เอาแต่สอดส่องดูต้นไม้ต้นนั้นอย่างละเอียด สงสัยว่าคงเป็นคนรักต้นไม้มาก

“ต้น....อะไร?” ชายคนนั่นถามด้วยถ้อยคำที่ช้าเนิบนาบเหมือนพยายามสะกดคำไม่ให้เสียงเพี้ยน (แต่ก็เพี้ยน)

“ผมก็ไม่รู้ครับ ว่าแต่พี่ชื่ออะไรน่ะ จะให้ผมเรียก ‘พี่ๆ’ อย่างเดียวมันอึดอัดเหมือนกันนะ” ต้นน้ำตอบและพยายามจะผูกมิตร

“หลงจินไห่” เขาหันมาพูดชื่อที่ไม่ใช่ภาษาไทย
“แต่คุณย่าชอบเรียก อานนอบ” การพยายามสะกดคำของอีกฝ่ายทำให้ดูน่าเอ็นดูไม่น้อยเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดพูด

“อะไรนะ ชื่อไทยพี่เหรอ?”

“ใช่ อานนอบ” ไม่เพียงแค่พูดแต่กลับเดินเข้ามาใกล้จนชิดไม่มีช่องไฟ สายตาที่จ้องเข้ามาในดวงตาของต้นน้ำเหมือนมีประกายไฟเล็กๆระยิบอยู่ภายใน ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อโน้มใกล้เข้ามา เส้นเลือดในตัวของเขาสูบฉีดจนแทบจะระเบิดออก

“เฮ้ยยยยย” ต้นน้ำร้องเสียงดัง เขารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นเคย เขาผ่อนลมหายใจออกมา มันคือความฝัน สงสัยเขาคงจะอ่านสมุดเล่มนั้นมากไป ลายเส้นรูปตันไม้สวยๆเหล่านั้น มันคงหลอนเข้าไปถึงในฝัน

แต่ก็แปลกที่เหตุการณ์ในฝันมันตรงกับเรื่องจริงที่เขาได้เจอกับพี่จินไห่ช่วงแรกๆ สมัยยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เมื่อครั้งที่พี่จินไห่ยังพูดภาษาไทยไม่แข็งแรงเสียด้วยซ้ำ ผิดตรงที่ฉากสุดท้ายมันไม่เหมือนในฝัน ต้นน้ำจำได้ว่าวันนั้นจบลงด้วยที่เขาพยายามจะสะกดชื่อภาษาไทยของพี่จินไห่ จนสุดท้ายก็ได้ความว่า ‘อรรณพ’ อย่างทุลักทุเล

ต้นน้ำนึกถึงก็ขบขำกับอดีตของเจ้าห้องที่เขานอนอยู่ ช่วงนั้นพี่จินไห่เด๋อด๋าไปหมด ไม่ได้ดูคูลเหมือนปัจจุบัน ต้นน้ำเห็นว่ายังเช้าอยู่ก็เลยขอนอนกลิ้งเกลือกต่ออีกหน่อยบนเตียง ไม่ได้อยู่บ้านตัวเองทั้งที่ เพราะปกติแม้ว่าต้นน้ำจะไม่มีเรียนในช่วงเช้าก็ตาม แม่ของเขาก็จะมาปลุกไปช่วยทำงานอยู่ดี (แม่บอกว่าค่าเล่าเรียนเขามันแพง ต้องช่วยทำงานให้คุ้ม แม่คนอื่นจะคิดแบบแม่เขาไหมนะ?)

ต้นน้ำกลิ้งไปได้แค่เพียงครึ่งตัวเขาก็พบอุปสรรคขวางอยู่ สิ่งกีดขวางที่ปกติ ไม่ควรจะมีอยู่ในช่วงเวลานี้ เพราะเมื่อวานมันก็ไม่มี ต้นน้ำแทบจะพลิกตัวกลับไม่ทันเมื่อใบหน้าของเขาเกือบจะไปชนกับใบหน้าของเจ้าของเตียง เขากลิ้งถอยห่างออกไปเกินหนึ่งรอบ ทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขานอนหนุนศรีษะอยู่เมื่อครู่ก็คือแขนเรียวๆของเจ้าของเตียง เขาไม่คิดว่าตื่นมาจะเจอภาพที่เหมือนในฝันแบบนี้ ทำให้เขาถึงกับวางตัวไม่ถูกรีบลุกขึ้นนั่ง

เสียงขลุกขลักของต้นน้ำทำให้เจ้าของเตียงตื่น เขาขยี้ตาและมองเด็กวัยรุ่นทำท่าทางตื่นตกใจอยู่บนเตียงของเขา จินไห่ยกยิ้มที่มุมปากเพราะมองว่าเป็นภาพที่น่าขำดี เด็กผู้ชายท่าทางแมนๆ แบบนี้ทำท่าเหมือนโดนขืนใจแบบนี้ดูน่ารักไปอีกแบบ

“เป็นอะไร ทำหน้าตาแปลกๆนะ” จินไห่ถามไปอมยิ้มไป

“เอ่อ.... พี่... วันนี้นอนตื่นสายจัง แม่เคยบอกว่าพี่เป็นคนตื่นเช้ามากนี่นา” ต้นน้ำนึกอะไรไม่ออกนอกจากคำที่แม่ของเขามักชื่นชมจินไห่ให้ฟังบ่อยๆถึงความขยันขันแข็ง

“ก็ใครให้เด็กบางคนมันนอนทับแขนพี่ แถมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นเสียทีล่ะ” จินไห่พูดจบอีกฝ่ายก็หน้าแดงขึ้นมาทันที และสงสัยในตัวเองว่าเขาจะทำตัวเป็นสาวแรกแย้มแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“แล้วผมไปนอนทับแขนพี่ทำไม แล้วทำไมพี่ไม่ดึงออก” ต้นน้ำเริ่มลนลานจนตัวเองรู้สึกแปลกใจ หากว่าเป็นเพื่อนของเขาแกล้งกันแบบนี้เขาคงถีบมันตกเตียงไปแล้ว

“เห็นเหมือนนอนฝันดี พี่เกรงใจเลยไม่กล้าปลุก สุดท้ายพี่ก็เผลอหลับต่อจนสายเลย” จินไห่หัวเราะที่ท้ายประโยค

“เจ็ดโมงเช้านี่ยังไม่เรียกสายนะสำหรับผม”  ต้นน้ำตอบแก้เขินหลังจากมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

“สายสำหรับพี่นะ ปกติพี่ต้องไปจ่ายตลาดเตรียมวัตถุดิบเองตั้งแต่ตีห้า” จินไห่พูดพลางมองนาฬิกาที่หัวเตียง พูดจบเขาก็ดีดตัวเองและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นนุ่งผ้าเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของต้นน้ำที่ทึ่งกับความคล่องแคล้วกระฉับกระเฉงแบบนี้

“เออ.. ต้นน้ำเรียนกี่โมง ถ้าเรียนเช้าก็ไปอาบน้ำก่อนได้นะ!” จินไห่หยุดฝีเท้าที่จะเดินเข้าห้องน้ำแล้วหันมาทักนักศึกษาบนเตียง

“อืม.. ไม่เป็นไรครับ พี่อาบก่อนเหอะ ผมยังมีเวลา”  ต้นน้ำเหมือนถูกขัดจังหวะในการชมลีลาการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงหน้าที่เหมือนมายากล พอได้สติก็ตอบกลับไปแบบไม่คิดอะไร เพราะเขาไปสายเป็นประจำอยู่แล้ว

“งั้นรึ... แต่หากรีบมากมาอาบน้ำพร้อมพี่ได้นะ พี่หาคนถูหลังอยู่นะ” จินไห่ทำท่าเชิญชวน

“จะบ้าเรอะพี่!!” ต้นน้ำตอบกลับไปเสียงหลง

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่น แล้วจะอายอะไรวะผู้ชายด้วยกัน!!” จินไห่หัวเราะอย่างเปิดเผย ต้นน้ำเองก็เพิ่งเคยเห็นจินไห่หัวเราะขนาดนี้

“เราสนิทกันขนาดนั้นเหรอวะพี่” ต้นน้ำขมวดคิ้ว แต่ในใจมีอาการสับสนบางอย่าง เขาก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเขินอายกับผู้ชายคนนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ ตอนอยู่มหาวิทยาลัย หลังซ้อมกีฬาเสร็จก็ต้องอาบน้ำในห้องอาบน้ำรวม การเห็นผู้ชายโป๊เปลือย มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาเลย

‘ใช่ๆ ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไรวะ? แต่กูจำเป็นต้องอาบกับเขาไหมวะ?’ ต้นน้ำคิดในใจระหว่างล้มตัวลงนอนไม่สนใจเจ้าของห้องที่พูดจาเย้าแหย่มากเกินปกติ

...................

ตั้งแต่คาบแรกจนถึงคาบสุดท้ายของการเรียน ต้นน้ำมีท่าทางขาดสมาธิจนกระทั้งไอซ์เพื่อนซี้ยูนิเซ็กส์ของเขาสังเกตได้ชัด แต่ไอซ์ก็ไม่อยากทักเพราะเขาเองก็มีงานต้องส่งอาจารย์อยู่หลายอย่าง จึงตั้งเป้าว่าจะถามเพื่อนของเขาในช่วงที่ทำงานเสร็จสิ้นเรียบร้อย

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในจำนวนไม่กี่วันนับตั้งแต่เปิดเทอมมาที่ต้นน้ำอยู่ทำงานกับเพื่อนจนดึก ปกติต้นน้ำมักจะมีนัดออกเดทกับสาวๆ ทุกช่วงหัวค่ำ เพราะคาดหวังว่าหลังจากเดทจบก็น่าจะได้ไปส่งสาวกลับห้อง หากเดทไปได้สวย เขาอาจจะมีโบนัสแถมท้ายก่อนกลับบ้าน หลังที่เห็นต้นน้ำเอื่อยอ่อยกับงานตรงหน้าที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จเสียที ยิ่งทำให้ไอซ์รู้สึกแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เขาห้ามความเผือกของตนเองจนกระทั่งเขาประกอบโมเดลที่เขาออกแบบชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้น

“มึงเป็นเชี้ยอะไร?” ไอซ์เดินมาตบบ่าเพื่อนของเขา

“เปล่านี่!” ต้นน้ำแสดงสีหน้าตรงกันข้ามพร้อมถอนหายใจแบบไม่รู้ตัว

“มึงน่าจะรู้ว่ามึงไม่เคยปิดกูอยู่!” ไอซ์ไม่ยอมหยุดอยู่นั่นเพราะเขารู้ว่ามันต้องมีอะไรคาใจเพื่อนเขาอยู่ ปกติต้นน้ำเป็นคนไม่คิดมาก ยิ่งเรื่องความรักนี่ยิ่งไม่เคยคิดเลย เพราะเป็นประเภทขอมีความสุขเป็นวันๆ ไม่ชอบวางแผนอนาคตอะไรพวกนี้ (ไม่แปลกที่คบใครได้ไม่นาน)

“ไม่มีอะไรหรอกมึง มันแค่ไม่มีเดทก็เลยหงอย!”  ต้นกล้าที่กำลังถึงทางตันในงานของตนเองจึงเริ่มอยากผ่อนคลายโดนการแหว่งปากหาเท้าเล่น เพื่อนปากหมาอันดับสองของเขาเริ่มเปิดศึก (ไอ้อันดับหนึ่งก็ไอ้ไอซ์นี่แหละ)

“มึงรีบทำงานให้เสร็จดีไหม กูเห็นมึงตั้งโครงอยู่นานแล้ว!!” ต้นน้ำซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับต้นกล้าสวนกลับทันที

“พวกมึงก็พอกันนั่นแหละ!! ไอ้กล้า มึงควรจะแก้ตรงมุมซ้ายก่อนไหม มันไม่เหมือนในแบบร่างของมึงเลย!!” ไอซ์ผู้มีมันสมองดีกว่าทุกคนในกลุ่มมองปราดเดียวก็แก้ไขโครงงานของอีกฝ่ายได้รีบพูดให้เพื่อนปากหมาหยุดไปมีสมาธิกับงานตนเองก่อน

“เออ! จริงว่ะ” แล้วต้นกล้าก็กลับไปที่งานตนเองต่อ ทำให้ไอซ์สามารถคุยกับต้นน้ำต่อได้


“เดี๋ยว!! มึงเป็นเชี้ยอะไร?” ไอซ์คว้าแขนคนที่กำลังจะเดินหนีตนเองไปกลับมานั่งที่เดิม ด้วยถ้อยคำที่เบากว่าเดิม

“กูไม่พูดตรงนี้!”  ต้นน้ำกระซิบกลับและมองไปทางเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ที่กำลังชุลมุนกับงานตรงหน้า

“งั้นไปหาน้ำแดกกัน!” ไอ้คนหน้าฝรั่งแต่กลับพูดแต่ศัพท์พ่อขุนรามฯ ลากเพื่อนสนิทหน้าเครียดของเขาออกจากห้องด้วยความเร็วที่เดินกว่าคนอื่นจะทักทัน

“เล่ามา มึงไม่กล้าสู้หน้าแฟนพี่เขาอีกแล้วเหรอวะ? คราวนี้ทำอะไรอีก!!” ไอซ์เริ่มก่อนอย่างคนรู้ทัน เขารีบเปิดประเด็นทันทีที่ออกห่างจากห้องมาได้นะดับหนึ่ง เขารู้ว่าเพื่อนต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างในใจ เรื่องที่ปัจจุบันเขารู้คนเดียว

“..........” ต้นน้ำลังเลที่จะพูด เพราะเขาเองก็เริ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

“เอาไงเนี่ยมึง กูอุตส่าห์รีบทำงานเพื่อมาเป็นที่ปรึกษาให้มึงเลยนะ!!” ไอซ์โอบไหล่เพื่อน

“มึงชอบเผือกเรื่องชาวบ้านมากกว่า” ต้นน้ำตอบกลับหน้านิ่ง

“อ้าว! ไอ้สัด งั้นกูไปแล้ว!” ไอซ์ถอนมือออกจากไหล่ และพร้อมจะก้าวท้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ทันที

“อ้าว!! สักเดี๋ยวสิ ช่วยทำตัวอยากเผือกเหมือนเดิมก่อนสิมึง” ต้นน้ำรั้งเพื่อนสนิทเขาไว้

“ปากแบบนี้กูจะอยากช่วยมึงดีไหมเนี่ย?!” ไอซ์คิ้วขมวดเพียงพักใหญ่ก็กลับมายิ้มเช่นเดิม

“ว่ามา จะปรึกษาอะไรพ่อก็ว่ามาลูก!” ไอซ์กลับมากอดคออีกฝ่ายอีกครั้ง ต้นน้ำครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยปากถาม

“กูไม่สบายใจที่พี่หยู๋แกเงียบแบบแปลกๆว่ะ กูว่าเป็นลมสงบก่อนพายุเข้าชัวร์ กูกลัวรับมือไม่ไหว” ต้นน้ำพูดไม่ตรงกับที่คิดเท่าไหร่ ใครจะไปกล้าถามว่าเวลาอยู่กับผู้ชายแล้วรู้สึกขนลุกตื่นเต้น หน้าอกหวิวๆ แล้วมันคืออะไร ต้นน้ำกลัวคำตอบพอควรจึงขอเก็บไว้ก่อน แล้วไหนจะท่าทางแปลกๆของพี่จินไห่อีก

“กูก็นึกว่าเรื่องอะไร กูว่าไม่มีอะไรหรอก แค่จำให้ได้ว่าบรรดาแฟนเก่าของมึงมีทีท่าอย่างไรเวลามึงคบซ้อนน่ะ แล้วมึงก็ทำตามแค่นั้นกูว่าตรงนี้มึงประสบการณ์เยอะกว่ากูนะ!!” ไอซ์อธิบายด้วยท่าทีจริงจังเหมือนกำลังติวหนังสือให้เพื่อน

“สัด!! เดี๋ยวนะ!! กูบอกไปหลายรอบแล้วว่ากูคบทีละคน!!” ต้นน้ำเถียง

“แต่มึงคุยได้หลายคน!!” ไอซ์สวนกลับ

“แค่คุยป่าววะ!”

“สำหรับกู! คือเรื่องเดียวกันคือมึงกำลังนอกใจ!!!”

“..........” ต้นน้ำจนด้วยเกล้า ไม่เคยเถียงไอ้ฝรั่งนี่ออกเลยสักครั้ง แทงใจดำเสียจนพูดไม่ออก

“ถ้าเรื่องแค่นี้กูว่ามึงไม่น่าจะกลุ้มนะ กูก็นึกว่าจริงๆ แล้วพี่จินไห่ก็จะจีบมึงจริงๆ นี่แหละแต่เอาสถานการณ์แบบนี้มาอ้าง เอาตัวใกล้ชิดมึง แล้วมึงก็เสือกหวั่นไหวเสียอีก!!” ไอซ์ประเมินสถานการณ์ออกมาได้ตรงกับใจต้นน้ำมาก แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา นี่มันเป็นพวกมีญาณทิพย์หรืออ่านใจคนได้วะเนี่ย

“สัด!! มันจะเป็นไปได้ไงวะ อย่างเมื่อวานแฟนเก่าพี่เขาก็กลับดึกแถมเทไม่มากินข้าวด้วย ปล่อยกูนอนอยู่คนเดียวตั้งนานกว่าจะขึ้นมานอนด้วย ให้กูกลับก็ไม่ยอม” ต้นน้ำเผลอบ่น

“มึงพูดเหมือนอยากอยู่กับพี่เขานานๆ อย่างนั้นแหละ!!” ไอซ์แซว

“ไม่ใช่โว้ย ในห้องพี่เขาแม่งไม่มีอะไรทำ กูเบื่อ จะนอนเลยก็ไม่กล้า เดี๋ยวเจอยัยผู้หญิงโรคจิตนั่นฆ่าเอา!!” ต้นน้ำโวยวาย

“เออๆ กูแซวเล่นเฉยๆ หากเป็นอย่างนั่นจริงกูละเสียดาย ทำไมพี่เขาไม่มาทาบทามกูวะ กูจะเล่นให้สมบทบามเลย” ไอซ์หัวเราะ

“เอาคนอย่างมึงไปเป็นแฟน กูว่ามึงไม่เหมาะกับพี่เขาเลยวะ มึงมีดีอะไรวะถึงได้ขอคนอย่างมึงไปเป็นแฟน ถึงจะหลอกๆ ก็เหอะ” ไอซ์มองต้นน้ำด้วยหางตา

..............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 7) 23 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-11-2020 09:30:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 7) 23 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-11-2020 21:34:24
 :oo1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 8) 28 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-11-2020 16:44:11
บทที่ 8

ปัจจัยที่เพิ่มขึ้น


ต้นน้ำนึกถึงคำพูดของไอ้ไอซ์เมื่อช่วงหัวค่ำ ทำให้ความมั่นใจในตัวเองเริ่มสั่นคลอน เขาถามตัวเองวนซ้ำไปมาว่าทำไมพี่จินไห่ถึงได้เลือกเขาให้มาเป็นแฟนกำมะลอให้กับตนเอง ทั้งๆที่เขาเองก็คิดว่ามีคนอื่นที่น่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าเขามากมาย เขาเองก็ไม่ได้เรียกว่าสนิทอะไรกับพี่จินไห่มากมายนัก

หากไม่เพราะว่าเขาต้องไปทำความสะอาดใต้ต้นไม้ต้นนั่นบ่อยครั้ง เขาก็คงไม่น่าจะได้เจอพี่จินไห่ที่ไหนเลย ทุกครั้งที่พูดคุยกันเขาก็มักจะสนทนากันใต้ต้นไม้ต้นนั้น

หลังจากนึกมาถึงจุดนี้ เขาถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าการที่เขาได้เจอพี่จินไห่ที่บริเวณต้นไม้ต้นนั่นบ่อยๆ น่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคาใจสงสัยก็มาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น

ต้นน้ำก็ไม่รู้ว่ามันเชื่อมโยงยังไง แต่ความสงสัยของเขามันพอกพูนขึ้นมาจนเขาลืมความคิดแรกไปจนหมดสิ้น เขาอยากรู้เรื่องสมุดบันทึกภาพสวยเล่มนั้นมากกว่า เพราะเหตุนี้จึงทำให้อยากอ่านสมุดเล่มนั้นอีกครั้ง

ต้นน้ำคิดได้ก็เร่งฝีเท้าไปที่บ้านของแฟนกำมะลอตัวเองทันที

“เปลี่ยนเสื้อผ้า เราจะต้องไปที่อื่นกัน” จินไห่ที่แต่งตัวดูดีกว่าปกติเอ่ยชวนต้นน้ำทันทีที่เดินเข้าประตูบ้าน

“หา?!? ไปไหน แล้วพี่ไม่ต้องเฝ้าร้าน?” ต้นน้ำถามด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูก

“พี่จะจ้างผู้จัดการร้านทำไม หากต้องดูแลร้านทุกวันเอง ที่ลงไปดูแลร้านเองก็เพราะชอบ”  จินไห่คิ้วขมวด

“ถามนิดเดียว ตอบเสียยาว แล้วไปไหนล่ะพี่?” ต้นน้ำทำท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย

“ไป Way to heaven” จินไห่พูดเสียงเรียบ

“หา!!” ที่ต้นน้ำรู้สึกตกใจเพราะที่พี่จินไห่พูดชื่อออกมามันคือผับชื่อดังที่สุดของจังหวัด

................

หลังจากต้นน้ำวิ่งไปเอาเสื้อผ้าดีๆ จากที่บ้าน เพื่อมาผลัดเปลี่ยนที่บ้านจินไห่ ทำให้การไปถึงที่หมายล่าช้าไปมาก แต่จินไห่ก็เข้าใจต้นน้ำเพราะแม่ของต้นน้ำเตรียมแต่ชุดนอนและชุดนักศึกษาใส่กระเป๋ามาให้เท่านั้น (สงสัยกลัวต้นน้ำหนีเที่ยว)

ดังนั้นกว่าจะมาถึงสถานที่แห่งนี้ก็แน่นขนัดไปหมดแล้ว หลายคนรู้ว่าหากไม่จองโต๊ะก่อน หรือรีบมาแต่หัวค่ำอย่าหวังว่าจะได้เข้ามาเที่ยวที่นี่เลย

“ลืมถามไปเลย พี่มาที่นี่ทำไมอ่ะ? ผมไม่เคยรู้ว่าพี่เป็นคนชอบเที่ยวอะไรแบบนี้” ต้นน้ำถามทันทีที่จินไห่จอดรถเรียบร้อย ที่เขาถามเพราะเขาเองก็มาบ่อย แต่ไม่เคยเจอพี่จินไห่เลย (เคยคิดว่าหากหยุดมาเที่ยวสักเดือนเขาน่าจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้)

“จำไม่ได้เหรอว่าพี่เคยทำงานที่นี่” จินไห่ตอบแบบผ่านๆ

“มาทำงานกับมาเที่ยวันไม่เหมือนกันหรือเปล่าครับ?” ต้นน้ำเริ่มเหลืออดกับการตอบไม่ตรงคำถามของอีกฝ่าย ยิ่งอยู่ด้วยเขายิ่งไม่เข้าใจ

ไอ้เรื่องที่จินไห่เคยทำงานที่นี่ ทำไมเขาจะจำไม่ได้ในเมื่อต้นน้ำเองเป็นคนแนะนำให้เขามาสมัครงานเป็นนักดนตรีที่นี่ในช่วงเขากำลังว่างงานก่อนมาเป็นเจ้าของร้านอาหารเหมือนเช่นทุกวันนี้

“ไม่รู้ เสี่ยวหยู๋เขาอยากให้มาเที่ยวด้วย” จินไห่เดินนำไปสักสองสามก้าวเขาก็เหมือนนึกอะไรได้หยุดฝีเท้าลง

“ไม่ใช่แฟนกันแล้ว ทำไมพี่ยังตามใจพี่เขาอีกว่ะ เป็นผมไม่อยากมาก็ไม่มา...... อะไรครับ?” ระหว่างต้นน้ำกำลังบ่นพี่ชายข้างหลังบ้าน เขาก็ต้องแปลกใจที่อีกฝ่ายหยุดฝีเท้าและหันมาหาเขา

“ก็.... เราเป็นแฟนกัน.... ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนกันหน่อย” จินไห่เกินมาใกล้โก่งแขนงอศอกเล็กน้อยเป็นการเชิญชวนอีกฝ่ายให้มาคล้องแขนกัน

“.....ทำอะไรของพี่ ผมไม่ใช่สาวน้อยที่จะมาทำอะไรแบบนี้!!” ต้นน้ำถอยไปครึ่งก้าวโวยวาย

“ก็ทำให้มันสมบทบาทหน่อย พี่กลัวว่ามันจะไม่เนียน แค่มาด้วยกันมันไม่น่าจะเนียนพอ มันต้องมี สกินชิพกันบ้าง แฟนกันไม่ทำกันบ้างมันน่าสงสัย” จินไห่กระชากมืออีกฝ่ายมาคล้องแขนตัวเอง

“เฮ้ยพี่ พี่จูบปากผมวันนั้นมันไม่พอเหรอครับ!” ต้นน้ำสะบัดแขนออกและถอยห่างไปนิด เขารู้สึกแก้มร้อนฉ่าขึ้นมาดื้อๆ

จินไห่เห็นก็ยิ้มมุมปากส่ายหน้ากับพฤติกรรมแบบสาวน้อยตรงหน้า
‘ไหนว่าไม่ใช่แต่ทำไมตัวใสๆจังวะ’ จินไห่คิดในใจ

“โดนจับได้มันไม่คุ้มนะ ช่วยพี่หน่อย เดี๋ยวพี่พามาเลี้ยงอีกคืนเลยเอ้า!!” จินไห่ทำเสียงขอร้อง

“ผมเอาเพื่อนมาด้วย พี่ก็ต้องเลี้ยงนะ!” ต้นน้ำสวนทันที

“เออ! จะเอากี่คนก็เอามา!!” จินไห่ตอบกลับแบบไม่คิดมาก

“แค่เดินข้างๆ และโอบไหล่พอป่าว....? ให้คล้องแขนมัน...อืออออ.” ต้นน้ำอ้ำอึ้ง

“............” จินไห่มีท่าทีคิดทบทวน

“โห....พี่.... เพื่อนผมมันก็มีแฟนเป็นผู้ชายมันยังไม่ทำอะไรหนุงหนิงขนาดนี้เลยพี่” ต้นน้ำเสริม ให้เหตุผลที่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องยอม โชคดีที่มีเพื่อนอย่างไอ้ไอซ์ แต่เขาก็ไม่เคยรู้ว่าคู่อื่นเขาทำกันยังไงนะ

“ก็ได้” ในที่สุดจินไห่ก็ยอมตกลง ต้นน้ำจึงเดินไปข้างๆ ให้จินไห่โอบไหล่อย่างเก้ๆกังๆ

...............

การก้าวเข้ามาในร้านไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะจินไห่รู้จักทุกคนในร้านเป็นอย่างดี พวกเขาทั้งสองคนสามารถเดินเคียงคู่โอบไหล่ผ่านคิวแถวตรวจบัตรประชาชนและตรวจสอบความปลอดภัยที่จุดรักษาความปลอดภัยที่ด้านหน้าร้านได้อย่างง่ายดาย

หากเป็นเวลาอื่นต้นน้ำที่สามารถทำเหมือนมีสิทธิ์วิไอพีแบบนี้คงยืดอกเดินเข้าร้านอย่างภูมิใจ แต่เมื่อต้องมาเป็นคู่ควงกับผู้ชายแบบนี้เขาเลยทำได้แต่รีบๆ เดินผ่านๆ ไปโดยหลีกเหลี่งการสบตาคนในแถวที่กำลังยืนรอต่อคิวตรวจสอบความปลอดภัยและที่นั่งอย่างเร็วที่สุด

หลังจากผ่านประตูที่มีม่านลมเย็นพัดลงมาให้หนาวไปทั่วถึงแผ่นหลัง ทำให้ต้นน้ำเผลอกอดอกตัวลูบแขนตัวเองไปมา (ไม่น่าใส่เสื้อเชิ้ตตัวบางตัวนี้มาเลย เวลามันน้อยทำให้มีเวลาคิดไม่เยอะ หยิบเสื้อตัวใหม่มาโดยไม่ได้คิดว่าอากาศภายในร้านจะหนาวเย็นขนาดนี้)

จินไห่ที่เห็นจึงพยายามถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้มให้ แต่ต้นน้ำรีบปฏิเสธเสียก่อน ปากก็บอกว่า
‘ผมไม่ใช่สาวน้อย จะได้มาทำอะไรแบบนี้’ แต่จินไห่ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากเห็นอีกฝ่ายปฏิเสธ เขาก็ใส่มันกลับเข้าที่เดิม ความจริงต้นน้ำก็เห็นว่าเสื้อยืดแขนสั้นของจินไห่ที่สวมอยู่ภายในเสื้อแจ็คเก็ตก็ไม่ได้หนากว่าที่เขาใส่อยู่เท่าไหร่ ควรจะห่วงตัวเองก่อนนะ เพราะหลังจากที่ต้นน้ำไปนอนร่วมห้องกับจินไห่มาแล้วสองคืนทำให้รู้ว่าจินไห่เป็นคนขี้หนาวพอสมควรเลย (คนอะไรเปิดเครื่องปรับอากาศแค่ 26 องศา แต่ห่มผ้าเสียมิดชิด แถมยังตั้งกฏไม่ให้ปรับอุณหภูมิอีกต่างหาก)

จินไห่ไม่รอให้บริกรเข้ามาทักทายเพื่อหาพื้นที่ให้ เขาเดินตรงรี่ไปที่ทางซ้ายของร้านทันที ทำให้เห็นอดีตแฟนสาวของจินไห่นั่งอยู่ที่โซฟาบุนวมหรูหราด้วยพื้นผิวเป็นหนังประดับคริสตัลฝังอยู่ตามพนักสวยงาม เธอสวมชุดเดรสสั้นสีแดงเสมอเข่า โดยรวมแล้วเธอเป็นคนที่มีรสนิยมดีมากๆ เลย ต้นน้ำมองไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชุดเดรสสีแดงรัดตึงอยู่อย่างห้ามสายตาไม่ได้ โดยเฉพาะการนั่งไขว้ห้างที่หากไปนั่งกลางที่สว่างไสวกว่านี่คงเห็นไปถึงไหนถึงไหน ต้นน้ำแอบเสียดายที่พื้นที่ตรงนี้มันอยู่ห่างแสงไฟไปหน่อย

“สวัสดีจ๊ะพี่ไห่” เธอยิ้มกว้างทักทายชายหนุ่มที่เดินนำหน้าต้นน้ำอย่างสดใส

“สวัสดีน้อง...... อืม... นั่งก่อนสิ” รอยยิ้มแสแสร้งปรากฏชัดบนใบหน้าสวยๆนั่น และการผายมือไปที่เก้าอี้เสริมรูปร่างนั่งไม่สบายที่อยู่นอกสุด ทำให้คะแนนความสวยของเสี่ยวหยู่ในใจต้นน้ำหายไปหมดเกลี้ยง เขารู้สึกเสียลูกตาที่ไปมองเธออย่างพิศวาสก่อนหน้านี้

“เห็นพี่ไห่ดูเหนื่อยๆ เลยอยากให้มาเที่ยวคลายเครียดบ้างน่ะคะ”  เสี่ยวหยู๋คว้าแขนจินไห่ไปกอดทันที่จินไห่นั่งบนโซฟาสุดหรูข้างๆ เธอ

“พื้นที่ตรงนี้ เขาไว้ให้สำหรับวีไอพีของร้าน ทำไมเสี่ยวหยู๋ถึงมานั่งได้ล่ะ?” จินไห่แปลกใจเพราะลำพังตัวเขาเองเคยมานั่งตรงนี้นับครั้งได้ เฉพาะเวลาที่คนวีไอพีชวนมานั่งด้วยเท่านั้น

“ก็บังเอิญไปรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะ” เสี่ยวหยู๋ผู้ยกแก้วขึ้นมาชูใส่จินไห่และพูดอย่างภูมิใจ

“หา! อะไรนะ!” จินไห่และต้นน้ำอุทานขึ้นพร้อมกัน

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นล่ะ จินไห่ แล้วก็..ไอ้แก่แดด!!” เสียงปริศนาที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ต้นน้ำเย็นหลังวาบ เพราะเป็นของคนที่เขามีความหลังที่ไม่ค่อยดีต่อกันเท่าไหร่

“พี่โน่... สวัสดีครับ” จินไห่ยกมือพนมไหว้คนที่เพิ่งเดินเข้ามา ไม่ต่างอะไรกับต้นน้ำที่ยกมือไหว้หน้าเจื่อนๆ

“อ้าว! พี่สองคนรู้จักกันเหรอ?” เสี่ยวหยู๋มีสีหน้าประหลาดใจแบบเกินเบอร์ในแบบของเธอ หากไม่ใช่เพราะหน้าหมวยๆสวยๆ คงมีแต่คนหมั่นไส้

“พี่ก็นึกว่าเสี่ยวกยู๋รู้อยู่แล้ว?” เจ้าของร้านยกยิ้มมุมปากอย่างรู้เชิงอีกฝ่าย

“ไม่รู้หรอก จะไปรู้ได้ยังไง หยู๋เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่สองสามวัน”  หญิงสาวคนสวยเล่นหูเล่นตาจนผู้ชายบริเวณนั้นยิ้มออกมาไม่รู้ตัว แต่กลับคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบทสนทนา เขายิ้มออกมาอีกแบบ

ต้นน้ำพยายามทำตัวเรียบร้อยที่สุด เงียบที่สุดเพราะไม่อยากไปแซะแผลเก่าระหว่างเขากับนีโน่ เจ้าของผับที่ดังที่สุด ใหญ่ที่สุดในจังหวัด ไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อดังอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลของจังหวัด นีโน่เป็นผู้ชายตัวเล็กที่มีส่วนสูงไม่เกินคางของต้นน้ำ (เขาสูง180 ซ.ม.) แต่ถึงจะตัวเล็ก ต้นน้ำเคยได้ยินข่าวว่าตอนสมัยหนุ่มๆ คนๆนี้ก็เป็นนักเลงที่ไม่มีใครกล้าท้าตีท้าต่อยด้วย เขาก็เกิดไม่ทันช่วงนั้น แต่ได้ยินมาว่า ‘หมัดเดียวจอด’ แสดงว่าคงจะหมัดหนักมากๆ หรือชั้นเชิงมวยดีก็ไม่รู้ (ต้นน้ำเองก็ไม่กล้าลอง)

“ต้นน้ำ” นีโน่ผู้แต่งตัวเหมือนวัยรุ่น หน้าตาที่เหลี้ยงเกลานั้น ทำให้หลายคนเดาอายุไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงที่ดุดันที่เรียกชื่อต้นน้ำอยู่ มันให้ความรู้สึกคนละแบบกับหน้าตาเลย

“ครับ!พี่โน่” ต้นน้ำขานรับแทบจะทันที เพราะตอนนี้ดันเอาตัวเองเข้ามาอยูในพื้นที่ของนี่โน่ (ปกติคนมันเยอะ เลยไม่เคยเจอกันเลย)

“พอเห็นมึงอยู่ตรงนี้กูเลยรู้เลยว่า เรื่องมันเป็นมายังไง!! ไอ้พวกที่ชอบแย่งของคนอื่น ยังไงก็ไม่ทิ้งสันดานหรอกใช่ไหม?” นี่โน่จ้องเขม็งมาทางต้นน้ำจนเขาเสียวสันหลังขนลุกไปหมด อยากจะหายตัวไปจากจุดนี้

“เรื่องมันก็นานมาแล้วพี่ แล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย ผมไม่รู้ด้วยว่าพี่ก้อยเขาควงพี่อยู่น่ะ!!” ต้นน้ำแก้ตัวพัลวัน

“มึงมาเอากันในห้องกู นี่มึงไม่รู้หรือว่ามึงโง่เหอะไอ้เด็กเปรต!!” นีโน่ขึ้นเสียงจนคนรอบข้างเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

“ผมขอแก้ข่าวได้ไหมครับว่า วันนั้นผมกับพี่ก้อยยังไม่ถึงขั้นนั้น แล้วผมไม่รู้จริงๆว่านั้นห้องใคร! แล้วไหนว่าพี่จะไม่เอาเรื่องไง” ต้นน้ำยกแขนขึ้นป้องหน้าตัวเองเพื่อป้องกันตัว

“แต่มึงมาทำกับน้องเขาอีกนี่ไง กูเลยว่าจะสั่งสอนมึงให้เข็ดจำ!!” นีโน่พูดจบก็ก้าวปราดเข้ามาอย่างกับลูกกระสุนที่ยิงออกจากปลายปืน

แต่จินไห่เข้ามาขวางไว้ได้ทัน

“จินไห่ หลบ! พี่จะสั่งสอนมัน” นีโน่กำหมัดขวาสยบยักษ์ที่เล่าขานกันว่าหมัดเดียวได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่นอน

ต้นน้ำเห็นก็ได้แต่หน้าซีด และเตรียมตัวจะหนีหากคนตัวเล็กนักเลงโตคนนี้มาถึงตัวจริงๆ แต่โชคดีที่พี่จินไห่เข้ามาขวางไว้

เสี่ยวหยู๋ที่ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายขนาดนี้ถึงกับตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทีแรกเสี่ยวหยู๋แค่อยากจะให้จินไห่หึงหวงที่เธอมีคนมาสนใจ เป็นถึงเจ้าของผับที่ทรงอิทธิพล และแค่จะอาศัยนีโน่สั่งสอนคนที่แย่งแฟนตัวเองไปอย่างต้นน้ำ อย่างน้อยจะได้พิสูจน์ว่าจินไห่กับต้นน้ำเป็นแฟนกันจริงหรือเปล่า? เพราะตนเองก็สงสัยมาตลอดว่าสองคนนี้ไม่น่าจะสามารถหลอกตัวเองได้

“พี่นีโน่ฟังก่อน! ผมว่าเรื่องที่เสี่ยวหยู๋เล่าอาจจะทำให้พี่สับสนกับ time line นะครับ” จินไห่พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เลยพยายามไกล่เกลี่ยเพราะอคติของนีโน่กับต้นน้ำมันเป็นเหมือนแก้วที่น่าจะประสานกันยาก

“คนมันเหี้ย ยังไงมันก็เหี้ย พี่ขอร้องล่ะ ช่วยมองเห็นมันเป็นกงจักรเถอะ มันไม่ใช่ดอกบัวเหมือนอย่างรูปร่างภายนอกของมันหรอกนะ!!” นีโน่พูดจบก็คิดจะเดินฝ่ามือของจินไห่เข้าไปแต่จินไห่คว้าตัวรั้งไว้ได้ทัน

“กงจักร?” จินไห่ถามอย่างไม่เข้าใจ

“...ก็....คือ.....คนที่.. โอย.,,, น้องไห่ ถามซะพี่หมดอารมณ์จะโกรธเลย! เอาเป็นว่ามันไม่ดีอย่างที่รูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลาของมันหรอก!!” นีโน่โวยพลางถอยหลังไปครึ่งก้าว

“อ้อ! แต่ว่าพี่ฟังผมอธิบายก่อน ผมกับเสี่ยวหยู๋น่ะเลิกกันมาเป็นปีแล้ว ส่วนเรื่องที่ผมคบกับน้องต้นน้ำเป็นเรื่องหลังจากนั้น ต้นน้ำไม่ได้แย่งผมมาจากใคร!!” จินไห่อธิบายต่ออย่างใจเย็น

“เออ! งั้นก็แล้วไป..... นั่นมันก็เรื่องหนึ่ง!” นีโน่ชี้ไปทางต้นน้ำอีกครั้ง คราวนี้ต้นน้ำถึงกับสะดุ้ง

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อก่อน ก็ไหนพี่บอกว่าพี่ไม่ได้จริงจังก้อยไง แล้วก็ถือว่าจบกันไป” จินไห่อธิบายเพิ่ม

“ไม่เคยมีใครมายุ่งกับคนของกู ช่วงที่กูยังคบอยู่!!” นีโน่มองเด็กตัวโย่งที่อยากจะแทรกแผ่นดินหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย

“พี่นีโน่ครับ ผมขอเถอะนะ เขาเป็นแฟนผมแล้วนะ” จินไห่โอบไหล่อีกฝ่ายให้ใจเย็น

“นั่นมันก็เรื่องหนึ่ง ยังเหลืออีกเรื่องที่กูอย่างคิดบัญชีกับมัน!!” นีโน่แม้จะมีท่าทางใจเย็นลงแล้วแต่ก็ยังแผ่รังสีอำมหิตใส่ต้นน้ำไม่ขาดสาย

“เรื่องอะไรครับ?” จินไห่ถามอย่างงงๆ ท่ามกลางวงสนทนาอย่างต้นน้ำและเสี่ยวหยู๋

“มันบังอาจแย่งน้องไห่ไปจากพี่!!” นีโน่พูดจบก็ยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของจินไห่อย่างเอ็นดู

‘เชี้ย!!!! อันนี้โคตรพีค อะไรมันจะซวยเท่านี้วะ!!’ ต้นน้ำคิดในใจเสียวสันหลังวาบ

ในขณะที่เสี่ยวหยู๋ได้แต่ตาค้างกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ผู้ชายแถวนี้นี่มันอะไรวะเนี่ย!!

............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 8) 28 NOV 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-11-2020 20:24:30
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....เดาโพยากจริงหว่ะ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่1 - 9.1) 8 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-12-2020 11:54:59
บทที่ 9

เริ่มต้นชีวิตที่วุ่นวาย


คืนนี้เป็นการเที่ยวผับครั้งแรกที่ไม่สนุกที่สุดของต้นน้ำ นอกจากจะมีโอกาสวูบโดยไม่เจตนาหลายต่อหลายครั้ง เขาต้องตัวติดกับพี่จินไห่แจจนคนทั้งผับได้บทสรุปความสัมพันธ์ของเขากับจินไห่ไปแบบเบ็ดเสร็จเรียบร้อย (เวลาอยู่ใกล้พี่จินไห่ทำให้เขาปลอดภัยจากเจ้าของผับอารมณ์ร้อนไง)

แม้ว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เสี่ยวหยู๋วางแผนไว้ เพราะนีโน่แม้จะอยู่ข้างๆ เสี่ยวหยู๋ตลอดเหมือนมาเดทกัน แต่นีโน่ก็จ้องมองไปที่คู่ของจินไห่และต้นน้ำตลอดเวลา นีโน่ทำเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างทุกครั้งที่ต้นน้ำหันไปสบตา

ถึงอย่างนั้น เสี่ยวหยู๋ก็ได้เพิ่มศัตรูความรักปลอมๆนี้ มาอีกหนึ่งคนเพราะในระหว่างที่บรรยากาศรอบข้างที่กินดื่มและร้องเต้นกันอย่างสนุกสนาน แต่บรรยากาศโต๊ะนี้เหมือนปกคลุมด้วยรังสีบางอย่างที่ทำได้แค่ดื่มกันเงียบๆ และแสร้งทำเป็นคุยกันอย่างสนิทสนม แต่เสี่ยวหยู๋รับรู้ได้ เพราะบางครั้งนีโน่ก็พูดติดตลกด้วยมุกประมาณว่า จะทำให้ทั้งสองเลิกกันให้ได้ และจะทวงจินไห่คืน ประสาคนเริ่มมีน้ำเมาเข้าสู่ร่างกาย

แต่ต้นน้ำรู้ว่าพี่นีโน่ไม่ได้เมาจริง คนที่คอแข็งยิ่งกว่าเหล็กไหลในตำนานอย่างพี่นีโน่ไม่มีทางเมาเพียงแค่วิสกี้ออนเดอะร็อคไม่กี่แก้ว

ต้นน้ำขอตัวก่อนโดยอ้างว่าตนเองมีเรียนแต่เช้า ส่วนจินไห่ได้โอกาสจึงขอตัวกลับบ้างโดยอ้างว่าจะมาส่งแฟน (ไม่ต้องเลยไอ้ตัวดี หาเหามาใส่หัวเขาเพิ่มอีก คราวที่แล้วก็รอดตายมาได้ คราวนี้น่าจะไม่รอดแล้ว)

“อะไรกันวะพี่!! ทำไมเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ มีอะไรที่ผมต้องรู้เรื่องของพี่อีกไหม!!??” ต้นน้ำโวยวายทันทีที่เข้าไปนั่งรถของจินไห่

“พี่นีโน่แกเคยจีบพี่สมัยพี่ยังทำงานให้แกน่ะ พี่โดนรุกหนักเลยบอกไปว่า พี่ไม่ชอบผู้ชาย และยังไงก็จะไม่มีทางชอบด้วย! และพี่คิดว่าเรื่องนี้มันก็นานมาแล้ว มันไม่น่าจะมีอะไรเลยไม่ได้บอก” จินไห่อธิบายหลังพวงมาลัยเสียงเรียบ

“มีดิพี่ มีมากเลย! ยิ่งกับผมด้วยนะ ยิ่งตอนนี้พี่บอกเป็นแฟนกับผมที่เป็นผู้ชาย คราวนี้พี่โน่ก็ยิ่งมีหวังไปอีก!!” ต้นน้ำเสียงดังส่วนมือไม้ก็โปกเคลื่อนไหวไปมาอย่างควบคุมไม่ได้

ไม่ได้มาเป็นเขาคงไม่เข้าใจ กิตติศัพท์ความโหดของพี่นีโน่มันไม่ธรรมดาเลย

“อืม.... พี่ลืมคิดไปเลย...” จินไห่ทำท่าคิดแบบใจเย็น

“ยกเลิกตอนนี้ทันไหมเนี่ย...” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจและหน่ายกับอาการทองไม่รู้ร้อนของคนข้างๆ

“พี่ว่าไม่ทันแล้วแหละ” จินไห่หันกลับมาตอบ

“ผมก็ว่างั้น” ต้นน้ำคิดพักใหญ่ก่อนจะหันมาตอบแบบหน้าเสีย ขี่หลังเสือแล้วคงลงยาก ใจหนึ่งของเขาอยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบเสียวันนี้เลย แต่พอมาเห็นใบหน้าที่วิตกกังวลของอีกฝ่ายตอนนี้ก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ทั้งที่ใจก็พยายามทำตัวเป็นไร้หัวใจมานานเพราะความผิดพลาดในครั้งนั้น กับผู้หญิงคนเก่าของนีโน่ ที่เคยหลอกเขาจนเกือบตาย

................

กว่าจะกลับถึงห้องนอนของพี่จินไห่ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบห้าทุ่ม พี่จินไห่ขอตัวไปดูลูกน้องตนเองปิดยอดประจำเดือนซึ่งเขากลัวว่าปล่อยให้ลูกน้องทำกันเองน่าจะดึกเกินไป จึงขอตัวไปช่วยและบอกให้ต้นน้ำนอนก่อนได้เลย

ต้นน้ำได้โอกาสจึงได้แอบย่องไปที่โต๊ะเพื่อไปแอบอ่านบันทึกเล่มนั้นอีกครั้ง เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะลายเส้นภาพวาดที่สวยงามในนั้นหรือว่าตัวหนังสือสวยๆที่เล่าเรื่องต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ที่ทำให้เขารู้สึกอยากอ่านต่ออย่างมาก

ต้นน้ำค่อยๆเลื่อนบันทึกปกหนังเก่าๆนั้นออกจากกองหนังสือบนโต๊ะ มันแทรกตัวอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางสมุดบันทึกหลายเล่ม เขาพลิกเปิดทันทีอย่างไม่รีรอ เพราะเขารู้ว่าวันนี้เขาคงมีเวลาอ่านไม่มาก

บทที่สองของสมุดบันทึก ยังคงเริ่มต้นด้วยภาพวาดที่ใช้ดินสอร่างอย่างละเอียดทั้งแสงและเงา เป็นรูปบ้านที่คล้ายกับบ้านจินไห่มากเพียงแต่รูปทรงดูธรรมดากว่ามาก  ลายเส้นเหล่าถูกลากทับซ้อนกันไปมาอย่างจงใจ มีน้ำหนักที่เน้นหนักและบางเบากันแต่ละจุดอย่างมีเสน่ห์ ต้นน้ำไม่รู้จักศิลปะอะไรมากมายนัก แต่ในฐานะของสถาปนิกในอนาคต เป็นการลงรายละเอียดได้สมจริงและปราณีตดีจริงๆ

เขาพลิกไปหน้าถัดไปที่เป็นตัวหนังสือเรียงรายยาวเหยียด แต่ที่ต้นน้ำแปลกใจมากๆก็คือ เขาไม่ใช่คนรักการอ่าน แต่ลายมือตรงหน้ามันกลับน่าอ่านอย่างกับต้องมนต์ เขาเคยพยายามลองเขียนให้ได้แบบนี้บ้าง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า  เขาคิดไม่ออกเลยว่าคนที่เขียนสมุดเล่มนี้น่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นแน่ ไม่ก็ศิลปินที่โด่งดังก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในวงการศิลปะ

หลังจากรู้สึกชื่นชมเสร็จเขาก็ตั้งใจอ่านทันที บทนี้กล่าวถึงความเหงาของเจ้าของบันทึก ความทุกข์ระทมต่างๆจากการไกลถิ่นฐานเดิมของตนเอง ความเหงาที่ขาดเพื่อน ความยากลำบากในการปรับตัวอีกสารพัด แต่แล้วเขาได้เจอใครคนหนึ่งที่มอบมิตรภาพให้กับเขา

เจ้าของบันทึกเล่าว่าการที่เขาพูดไทยไม่ชัดมันเป็นอุปสรรคในการหาเพื่อนมากแค่ไหน การโดนกลั่นแกล้งจากคนรุ่นเดียวแถวบ้านหลังที่เขาอยู่

และในระหว่างที่เขาเดินเรื่อยเปื่อยไปจนเลยอาณาเขตบ้านตนเอง เขาก็ได้เจอกับหัวโจกประจำกลุ่มเด็กวัยรุ่นแถวหมู่บ้านนี้ แม้คนๆจะไม่เคยแกล้งเขาตรงๆ แต่ก็นิ่งเฉยกับการกระทำของเพื่อนๆตนเองจึงเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

ในขณะที่เจ้าของบันทึกจะเลี่ยงเส้นทางที่ตัดผ่านหัวโจกคนนั้น ก็โดนอีกฝ่ายเรียกรั้งให้หยุดไว้ เขาโดนเรียกให้เข้าหา และถามว่าเข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านของหัวโจกคนนี้ได้ยังไง

เจ้าของบันทึกบรรยายว่าแทบจะไม่สามารถตอบคำถามได้เพราะกลัวจนลนลาน ในทางกลับกันอีกฝ่ายกลับเดินมาหาเขาและพยายามเล่นตลกให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย นอกจากจะไม่โดนว่าแล้ว เจ้าของบันทึกยังพบว่าหัวโจกคนนี้คุยสนุกมากเลยทีเดียว และทำให้ได้รู้อีกว่าการที่เขามาเป็นหัวโจกพวกนักเลงหัวไม้ที่ชอบรังแกคนอื่นเพราะตกบันไดพลอยโจน เขาก็แต่เตะต่อยเก่งแค่ไม่คิดจะหาเรื่องใคร เขาแค่ทำตัวตามน้ำแล้วก็เฉยๆไป

หลังจากที่ได้คุยกันทำให้หัวโจกคนนั้นรู้สึกถูกใจเจ้าของบันทึก จึงบอกว่าจะช่วยปกป้องให้เองเพราะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน และนั่นทำให้ชีวิตของเจ้าของบันทึกในประเทศไทยง่ายขึ้นมามาก ทำให้เขารักการที่จะอยู่ที่นี่


ต้นน้ำอ่านจนถึงหน้าสุดท้ายของบทที่สอง และพบว่าเจ้าของบันทึกวาดรูปต้นไม้ในมุมมองจากมุมล่างเหมือนภาพที่เจ้าของบันทึกมองขึ้นฟ้าภายใต้ต้นไม้ต้นนั้น มันเป็นภาพที่ให้รู้สึกสดใสและสดชื่นมากกว่าภาพในบทแรกมาก บ่งบอกถึงอารมณ์คนวาดเป็นอย่างดี ต้นน้ำใช้นิ้วสัมผัสลายเส้นดินสอที่บรรจงวาดลงบนกระดาษแผ่นหน้าที่ตอนนี้เริ่มเก่าเหลือง มันดีมากจนเขาเกือบจะสัมผัสถึงอารมณ์ของผู้วาดที่ตกค้างอยู่ในภาพวาด เขาเหม่อมองมันอย่างไม่ตั้งใจ จนกระทั้งได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ต้นน้ำรีบปิดบันทึกและเก็บไว้ที่เดิมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าห้องแล้ว ต้นน้ำไม่สามารถขยับตัวไปที่เตียงได้ทันแน่นอน เขารีบเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดเกมส์ที่เขาเล่นเป็นประจำขึ้นมาทันที ในขณะที่เกมกำลังโหลดข้อมูลเพื่อเข้าเกม คนที่อยู่หน้าประตูก็ผลักประตูเข้าห้องมา

“อ้าว! ทำไมยังไม่นอน?” จินไห่ที่หัวกระเซิงจากการไปตรวจสอบบัญชีมาเอ่ยทักด้วยหน้าตามึนตึง ทำให้ต้นน้ำรู้ว่าจินไห่น่าจะไม่ถนัดงานบัญชีเอาเสียเลย

“เพิ่งไปเจอเหตุการณ์เฉียดตายมา ผมขอเรื่อยเปื่อยก่อนได้ไหมครับ?”  ต้นน้ำตอบไปด้วยอาการสั่นไหวในใจ กลัวอึกฝ่ายจะจับได้ว่าเขาแอบมาอ้านบันทึกบนโต๊ะของจินไห่ ถึงต้นน้ำจะรู้ว่ามันไม่ใช่ของเจ้าของห้องก็เถอะ แต่มันก็ดูไม่ดีอยู่ดี

“ดึกแล้ว! ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?” จินไห่เดินเข้ามาทิ้งตัวลงที่เตียง

“โห พี่ ผมก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละ อึดอัดจะแย่ใครจะไปทนอยู่ได้นาน!!” ต้นน้ำลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ

“แต่พี่จะนอนแล้วนะ วันนี้ไม่ไหวแล้ว ขออาบน้ำก่อนนะ” จินไห่พูดจบเขาก็ค่อยๆทรงตัวลุกขึ้นคล้ายอาการคนหมดแรง กว่าจะเหยียดตัวตรงได้ก็ใช้เวลามากกว่าปกติ

ต้นน้ำเพิ่งสังเกตว่าหน้าของจินไห่แดงเรื่อ ดวงตาปรือคล้ายจะปิดลงมาเหมือนเปลือกตามันหนักมากจนไม่สามารถจะยกขึ้นลืมตาได้เต็มที่

“อ้าว! เฮ้ย! พี่จินไห่ พี่เมานี่หว่า!!” และแล้วความก็แตก ใครจะคิดว่าอดีตนักดนตรียามราตรีในผับชื่อดังอย่างเขาจะคออ่อน!

จินไห่พยายามไม่แสดงอาการมึนเมามาได้ตั้งนาน สุดท้ายความก็แตก ที่เขามาถึงและขอตัวออกห่างเพราะพยายามทำตัวเข้มแข็งไม่ให้ใครรู้เรื่องแบบนี้ ตอนแยกตัวไปดื่มน้ำและกาแฟร้อนมาระดับหนึ่งแล้ว และไปเดินตรวจร้านเล่นหลายรอบถึงดีขึ้น ที่ผ่านมาเขาเอาตัวรอดมาได้ตลอดสมัยทำงาน แต่เมื่ออยู่ในวงเหล้าที่ต้องการเอาใจเจ้าของผับอย่างนีโน่ที่พร้อมจะบวกกับแฟนอุปโลกของตนเอง มันก็เลยเกินลิมิตไปหน่อย

“มันดึกแล้วกูก็แค่ง่วงไหม?!?” จินไห่สวนด้วยพยายามปกปิด

ต้นน้ำได้แต่ยิ้มแบบรู้ทัน เขามีเพื่อนปากดีแบบนี้เยอะ พูดเก่ง ทำตัวเก่งแต่แม่งคออ่อนทุกคน ตัวอย่างเช่น ไอ้ต้นกล้า

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนเลยครับจะได้สดชื่น สดใสขึ้น” ต้นน้ำผายมือเชิญให้เจ้าของห้องไปทำธุระก่อน

ไม่กี่นาที เจ้าของห้องก็เดินออกจากห้องน้ำเสร็จกิจด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น ต้นน้ำไม่ได้ทักอะไรเพราะรู้ว่าจินไห่น่าจะกำลังเขินทำตัวไม่ถูกที่ต้นน้ำจับไต๋ได้ เขาเลยเดินสวนเข้าห้องน้ำไป


ต้นน้ำอาบน้ำไม่นานเท่าไหร่ พออกมาจากห้องน้ำเขาก็พบว่าจินไห่นอนหลับสนิทไปแล้วด้วยสีหน้าและท่าทางเหมือนเด็กห้าขวบ ทำให้ต้นน้ำแอบขบขันกับภาพตรงหน้าไม่ได้ เพราะปกติจินไห่จะเป็นคนประเภทเรียบร้อยและดึงหน้าตลอดแม้แต่เวลานอน

ต้นน้ำเองก็เพลียมากจึงขอเดินไปนอนบนเตียงที่นุ่มสบายกว่าที่นอนสำรองที่วันนี้จินไห่ไม่ได้เตรียมมากองไว้ให้ที่ข้างเตียง

หลังจากปิดไฟและขยับลงเตียงอย่างแผ่วจนนอนเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย แม้เขาจะติดว่าตนเองเริ่มชินแล้วแต่ต้นน้ำก็ยังรักษาระยะห่างกับจินไห่พอสมควร อาจด้วยความเกรงใจเจ้าของเตียงบวกกับไม่อยากใจสั่นแบบไม่จำเป็น เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไรมากมายกับพี่ชายคนนี้หนักหนา

ควับ!! หมับ!!

ต้นน้ำถูกมือหนาหยาบคว้าเข้าที่ไหล่ แขนของคนที่นอนข้างๆ พาดลงบนหน้าอกของเขาอย่างแรง

สิ่งแรกที่ต้นน้ำทำคือสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาคิดว่าหากไอ้ไอซ์เพื่อนเขามาเห็นคงหัวเราะขำจนกลิ้งไปกลิ้งมา ขนาดที่ว่าตัวเองไม่เห็นแต่คิดเป็นภาพในใจก็คิดว่าเป็นภาพที่ตลกมากแน่ๆ

“พี่จินไห่! เฮ้! พี่ๆ!!” ต้นน้ำเขย่าตัวคนที่กอดเขาด้วยการออกแรงดันที่ไหล่ข้างที่สัมผัสกับอกของอีกฝ่าย

แต่ผลตอบรับคือ เงียบ......... อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกตัว ไม่แม้แต่ขยับ และเปลี่ยนลมหายใจ.....

“คนเรามันจะหลับได้ลึกขนาดนี้หรือวะ!!” ต้นน้ำทำได้แค่บ่นงึมงำ

ในขณะที่เขากำลังคิดจะเพิ่มเสียงและออกแรงปลุกอย่างจริงจังนั้น (ใครจะไปนอนหลับลงวะสภาพนี้!! ต้นน้ำคิดในใจ)  จินไห่ก็กระชับแขนข้างที่โอบไหล่ ใช้คางเชยไปที่ไหล่ต้นน้ำ จมูกของจินไห่ชนและแช่อยู่ที่แก้มของอีกฝ่ายจนต้นน้ำรู้สึกถึงน้ำหนักรูปร่างของจมูกที่แทงลงไปที่แก้ม ลมหายใจอุ่นๆ ที่ประสมกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ปะทะใบหน้า

ต้นน้ำก็ตัวแข็งทื่อ เขาไม่ขยับด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดว่าจินไห่จะกล้าทำกับเขาแบบนี้ เลือดอุ่นๆ สูบฉีดไปทั่วร่างโดยเฉพาะที่ใบหน้า และเหมือนมีไฟฟ้าประจุอ่อนๆ ไหวเวียนไปทั่วท้องและหน้าอก

‘เราจะรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายไม่ได้!!’ ต้นน้ำกู่ร้องในใจ ก่อนที่จะกลั้นใจใช้แรงที่มีอยู่ตอนนี้ผลักอีกฝ่ายให้ถอยหงายกลับไปที่เดิม!

ต้นน้ำลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งเตรียมจะโวยวายใส่จินไห่ เพราะด้วยแรงขนาดนี้อีกฝ่ายต้องตื่นแน่นอน ทันทีที่ต้นน้ำหันไปก็พบว่าจินไห่นั้นยังคงนอนหลับไม่ได้สติ ต้นน้ำรู้สึกทึ่งกับการนอนของจินไห่ (หรือเมามาก)

“ลากไปฆ่าจะรู้ตัวไหมเนี่ย?” ต้นน้ำบ่นอุบอิบ

หลังจากมองจินไห่นอนแน่นิ่งอยู่นาน ต้นน้ำจึงตัดสินใจนอนต่อ แต่เพียงครู่เดียวก็มาเจอเหตุการณ์เดิมอีก ครั้งนี้ต้นน้ำค่อยๆ ยกแขนและพลิกตัวของอีกฝ่ายไปเพราะต้นน้ำคิดว่า จินไห่คงเมามากคิดว่าเขาเป็นหมอนข้าง แต่ไม่ช้าจินไห่ก็พลิกกลับมาที่เดิมอีก เหตุการณ์แบบนี้เกิดซ้ำๆอีกสามรอบ จนกระทั้งต้นน้ำตัดใจยอมแพ้กับการดิ้นของอีกฝ่ายและยอมแพ้ต่อหนังตาที่หนักจนแทบยกไม่ขึ้น และเขาก็ต้องนอนหลับไปทั้งๆที่กำลังทำตัวเป็นหมอนข้างของจินไห่

.....................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 9.1) 8 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-12-2020 13:06:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่จินไห่นี่หลับจริงหรือแกล้งเนียน?
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 9.2 จบตอน) 14 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-12-2020 11:33:51
แสงแดดที่เริ่มสาดส่องเข้ามาตามองศาของดวงอาทิตย์ในยามสายของวันไหม่ ต้นน้ำรู้สึกตัวจากความเข้มของแสงภายในห้อง และอุณหภูมิของห้องที่สูงขึ้น เม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดพลายออกมาตามผิวหนังทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อหาสาเหตุ เพราะนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศไม่น่าจะรู้สึกร้อนขนาด

หลังจากดวงตาเริ่มปรับแสงได้เขาก็พบกับสาเหตุของเม็ดเหงื่อที่ผุดในเวลานี้ ท่อนแขนที่ยาวขาวเนียนได้พาดทับลำตัวเขาพร้อมผ้าห่มหุ้มแขนท่อนนั่นอยู่เป็นช่วงๆ หลังจากที่พยายามขยับตัวถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เพียงแขนเท่านั้นที่พาดมากอดรัดเขาแน่น แต่เป็นท่อนขาอีกข้างที่ทำหน้าที่เดียวกันอยู่

ต้นน้ำนึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ทันทีที่ไอ้คนคออ่อนเจ้าห้องมันบังคับเขาเป็นเสมือนหมอนข้างบนเตียง ต้นน้ำกระแอมในคอให้โล่งเพราะเขาคิดว่าได้เวลาใช้เสียงปลุกให้คนข้างตื่นอย่างไม่ต้องเกรงใจแล้ว แม้จะแปลกใจว่าปกติจินไห่จะเป็นคนตื่นเช้ามาก เวลาแบบนี้จินไห่จะไปดูแลงานที่ร้านอาหารแล้วก็เถอะ

“เฮ้ยยย” ต้นน้ำร้องขึ้นทันทีที่หันไปข้างที่เจ้าของห้องนอนหลับไม่ได้สติ เพราะใบหน้าอีกฝ่ายมันใกล้เขามากจนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายเป่ามากระทบหน้าได้ ริมฝีปากของเขาก็อยู่ในองศาเดียวกับคนที่หลับไม่ได้สติ

ดูท่าทางเสียงอุทานของเขาจะไม่สามารถไปกระตุ้นปลุกอีกฝ่ายได้เพราะนอกจากจะไม่ขยับตัวแล้ว จินไห่ยังหายด้วยความถี่ปกติ

“คนอะไรมันจะขี้เซาได้ขนาดนี้วะ!!” ต้นน้ำบ่นพร้อมผ่อนลมหายใจด้วยความอึดอัด

เพียงครู่เดียวจากที่ลมหายใจที่ผ่อนออกมาด้วยความอึดอัดของต้นน้ำไปสัมผัสอีกฝ่ายแรง ทำให้คนขี้เซาเริ่มขยับใบหน้าและค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ทำไมมานอนใกล้พี่จัง?” ประโยคแรกที่แสนงัวเงียของจินไห่ ที่ทำให้ต้นน้ำรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจนเกินจะอดกลั้นได้

“พูดแบบนี้นี่จงใจกวนตีนผมใช่ไหมเนี่ย” ต้นน้ำรู้สึกได้เลยว่าเลือดขึ้นหน้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง

“อ้อๆ เออๆ พี่ขอโทษ” จินไห่ดูสภาพการนอนของตนเองจึงรีบถอนทุกอย่างออกจากลำตัวของอีกฝ่าย

ต้นน้ำที่ได้เป็นอิสระจากอีกฝ่ายถึงกับร้องออกมาอย่างโล่งใจ และบิดขี้เกียจโดยการถีบผ้าห่อมออกจากตัวเองให้หมดเพื่อรับอากาศเย็นที่เป่ามาจากเครื่องปรับอากาศที่หัวเตียง

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือเรื่องปกติยามเช้าของเพศชาย ที่จะมีอาการ ‘เคารพธงชาติ’ ทำให้ต้นน้ำรีบลุกขึ้นนั่งทันที

“นี่ต้นน้ำ ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ใช่ไหม?” จินไห่เห็นทันจึงได้รีบแซวทันที

“จะบ้าเรอะพี่ มันเรื่องปกติของผู้ชายหรือเปล่าวะพี่?” ต้นน้ำตอบอย่างรนราน เพราะเอาเข้าจริง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเรื่องปกติยามเช้าหรือเพราะที่ได้ใกล้ชิดกับคนที่นอนกอดเขาทั้งคืน ต้นน้ำพยายามข่มใจนึกถึงเรื่องอื่นเพื่อให้น้องชายตัวเองสงบ

จินไห่หัวเราะร่า ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นนั่ง ต้นน้ำเห็นดังนั้นก็เลยรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เพราะไม่ต้องการรู้ว่า อวัยวะของพี่จินไห่จะทำกิริยาเดียวกับเขาหรือเปล่า และพฤติกรรมแบบนี้เป็นอีกหลายพฤติกรรมที่เขาไม่เข้าใจตัวเองตั้งแต่มาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็ไม่รอช้าที่จะรีบแผ่นออกจากสถานการณ์ที่น่าอายนี้ โดยการรีบออกจากที่นี่และบึ่งไปมหาวิทยาลัยทันที

“พี่ให้ลูกน้องเตรียมมื้อเช้าให้แล้ว กินด้วยกันก่อนไปสิ” จินไห่ตะโกนจากห้องน้ำขณะอาบน้ำ

“ครับ เอ่อ... วันนี้ผมรีบเตรียมพรีเซ็นต์งานผมขอลงไปกินก่อนนะครับ” ต้นน้ำรับตอบไปด้วยท่าทีอึกอัก

“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่รีบตามไป” จินไห่ตะโกนทิ้งท้ายตอบกลับมา แต่ต้นน้ำไม่ตอบกลับ รับเผ่นออกจากห้องไปที่ร้านอาหารทันที

เนื่องจากร้านคาเฟ่ของจินไห่มีบริการอาหารเช้าด้วยตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 10 โมงเช้า จินไห่ซึ่งเป็นเจ้าของร้านจึงสั่งให้แม่ครัวเตรียมให้เขาด้วยทุกเช้าจนเป็นกิจวัตร หลังจากที่ต้นน้ำได้มาอยู่กับจินไห่แล้วจึงโดนบังคับทำกิจวัตรนี้ร่วมกับเขาด้วย แม้ปกติต้นน้ำแทบจะไม่เคยกินมื้อเช้าเป็นกิจลักษณะแบบนี้เลย

“ปกติเฮียจินไห่เป็นคนตื่นเช้ามากๆ ปกติจะไปจ่ายตลาดเองทุกครั้งแต่วันนี้มันแปลกนะที่เขาไม่ไปตลาดเพื่อเลือกซื้อของสดเองแบบนี้ เมื่อเช้ามืดอุตส่าห์โทรศัพท์ไปปลุกแต่กลับยอมปล่อยให้พวกเราไปซื้อกันเอง และบอกว่าจะขอมาตรวจทีหลัง สงสัยจะติดแฟนคนนี้มาเลยเนอะ”

“ก็แหม... ทั้งเด็กทั้งน่ารัก เป็นใครก็อยากกอดอยากฟัดนานๆ แหละ”

“ว้ายๆๆๆๆ”

นี่คือเสียงของเหล่าพนักงานในคาเฟ่ของร้านที่กำลังจับกลุ่มนิทาเจ้านายอย่างสนุกปากโดยที่ไม่รู้ตัวอย่าง ต้นน้ำเดินเข้ามาในระยะได้ยินแล้ว

ต้นน้ำยังไม่ชินสักทีเวลาที่คนอื่นพูดถึงตัวเอง เหมือนเขาเป็นอีหนูเมียเด็กอะไรประมาณนี้

“อย่างกูมันต้องผัวสิวะ ไม่ใช่เมียเด็ก” ต้นน้ำเผลอคิดดังหงึมงำอยู่ในคอ และก็ต้องแปลกใจกับความคิดชั่ววูปของตนเอง  เขาสะบัดหน้าให้ทิ้งความคิดแปลกๆนี้ออกไปและเดินตรงไปที่โต๊ะมื้อเช้าที่ทางพนักงานของร้านเตรียมไว้ให้

ต้นน้ำกินไปได้ครึ่งทางจินไห่ที่แต่งกายเรียบง่ายแต่ดูดีทุกมุมก็มาถึงโต๊ะอาหาร ซึ่งระหว่างที่ต้นน้ำกำลังขบเคี้ยวอาหารเช้าแสนอร่อยตรงหน้าเขาก็คิดถึงคำพูดของพนักงานที่กำลังพูดถึงพวกเขาอย่างสนุกปาก ว่ามันมีอะไรที่มันไม่ถูกต้องอยู่ มันแปลกๆ จนกระทั้งมาเห็นใบหน้าขาวตี๋ข้างหน้าที่ยิ้มจนตาเล็กตี่เมื่อเห็นเขากำลังเอร็ดอร่อยกับมื้อเช้า

“พี่จินไห่ ปกติพี่ไปซื้อวัตถุดิบเองทุกเช้าเหรอครับ?” ต้นน้ำเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย

“อืม…ใช่ เพราะแม่พี่เคยบอกว่าอาหารที่อร่อยจะต้องมาจากวัตถุดิบที่ดี ดังนั้นพี่จึงไปเลือกซื้อด้วยตัวเองทุกครั้ง” จินไห่ยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี

“เหรอครับ…” ต้นน้ำมีสีหน้าอึดอัดขึ้นมา

“ทำไม อยู่ๆก็มาถามพี่แบบนี้ทำไม?” จินไห่มองมาที่ต้นน้ำด้วยท่าทีสงสัย

“แล้วทำไมวันนี้พี่ไม่ได้ไปล่ะครับ” ต้นน้ำตัดสินใจถามต่อทันที

“ก็… พี่ตื่นสายนี่นา เมื่อวานพี่เหมือนจะเมานะ ต้นน้ำน่าจะรู้”  จินไห่หัวเราะทิ้งท้าย

“แต่ลูกน้องพี่ฝึกมากับมือ ลองชิมดูสิ อาหารสดใหม่น่ากินทั้งนั้นใช่ไหม?” จินไห่พูดพลางผายมือไปบนโต๊ะที่มีอาหารสีสันน่ากินสดใหม่สมกับที่จินไห่คุยไว้

ต้นน้ำจึงลงมือกินต่อเหมือนไม่เคยมีบทสนทนาก่อนหน้านี้

…………

“เชี้ย!! กูว่ามีกลิ่นแล้วว่ะ!!” ไอ้ไอซ์โพล่งขึ้นมาที่โต๊ะอาหารมื้อเที่ยง

“ไอ้สัด!! เบาๆ!!” ต้นน้ำที่แทบจะลอยตัวไปคว้าปากที่ส่งเสียงเหมือนลำโพงโรงอาหารของเพื่อนสนิท พร้อมมองไปรอบๆ เขาเห็นเพื่อนที่มากินมื้อเที่ยงด้วยกันยังคงเดินเลือกซื้ออาหารอยู่ก็โล่งใจ ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมใช้มือข้างถนัดโบกใส่ท้ายทอยเพื่อนสนิทอย่างแรง

“พอเลย กูหายใจไม่ออก ไอ้สัด!” ไอซ์ปัดมือที่อุดริมฝีปากเขาออกอย่างรวดเร็ว

“ก็ใครใช้ให้มึงแหกปากเสียลั่นเดี๋ยวคนก็หันมาสนใจกูหมด โดยเฉพาะไอ้สัดต้นกล้า เดี๋ยวแม่งถามมาก!” ต้นน้ำซุบซิบหน้าเข้มใส่ไอซ์ผู้ทำหน้ายิ้มกริ่มแบบไม่รู้ร้อนหนาว

“กูว่าไม่ทันแล้ว พี่จินไห่ของมึงนี่ก็ไม่ธรรมดานะ” ไอซ์ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเหมือนเดิม ทะเล้นจนอยากเอาบาทาลูบหน้าเสียที

“มึงหมายความว่าไง?” ต้นน้ำรู้สึกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง

“มึงถามคนที่อยากจะถามมึงใจจะขาด อยู่ด้านหลังมึงนั่นไง!!” ไอซ์ยิ้มชั่วร้ายและชี้ไปทางด้านหลังต้นน้ำ

“เชี้ย!!!” ต้นน้ำอุทานตกใจ เพราะเห็นหน้าไอ้ต้นกล้าอยู่ใกล้แค่คืบ คนอะไรจะเร็วขนาดนี้เมื่อสักครู่มันยังอยู่ตั้งร้านข้าวแกงริมสุด

“ไอ้ต้นน้ำ มึงมีอะไรจะสารภาพไหม?” ต้นกล้าถามหน้าเครียด

“สารภาพเชี้ยอะไร!! ไม่มี!!” ต้นน้ำหัวขาวโพลน ไอ้ต้นน้ำมันไปรู้อะไรมา แต่ตัวเขาต้องเนียนไว้ก่อน

“กูได้ข่าวว่า..... มึงมีผัวแล้ว!!” ต้นกล้าทำหน้าทะเล้นใส่คนที่เริ่มหน้าซีด ที่ได้แต่คิดว่า ‘กูพลาดตรงไหน?’

“ผัวพ่อง!! ข่าวเชี้ยอะไรโคตรมั่ว! มึงไปเอามาจากไหน!” ต้นน้ำที่พยายามยื้อปฏิเสธหน้ามึนต่อไป

“เพจ’ผัวทิพย์’ ของคนในมหาวิทยาลัยไง!!” ต้นน้ำแต่ได้ฟังคำตอบจากปากเพื่อน ใจก็หล่นไปที่พื้น เพราะเพจดังเพจนี้ ตั้งขึ้นจากการรวมตัวของสาวฮอตของมหาวิทยาลัย และหนึ่งในนั้นก็คือรุ่นพี่สาวสุดสวยอย่างนิ่มอดีตดาวมหาวิทยาลัยและ แฟนสาวสุดสวยของไอ้เฟรมและพีชอดีตแฟนสาวของเขานั่นเอง (ถึงจะคบกันไม่นานแต่ก็รู้กันทั้งมหาวิทยาลัย)

“เชี้ย!! มึงไปเชื่อไอ้เพจไร้สาระ มโนไปวันๆ แบบนั้นหรือวะ!!” ต้นน้ำรีบสวนกลับ

“แต่กูมีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้!!” ต้นกล้าตอบอย่างมั่นใจ

“ใครวะ!!?? อย่าบอกว่าเป็นพี่นิ่มกับพี่พีช กูว่าไม่น่าเชื่อถือสุดๆ และมึงก็รู้ว่าเพราะอะไร” ต้นน้ำถามตาขวาง

“ไม่ใช่!!” ต้นกล้าตอบกลับทันควัน

“แล้วใครวะ?!?” ต้นน้ำมีอาการวูบวาบที่ท้อง

“ไอ้เฟรม เพื่อนรักมึง!!” ต้นน้ำยอมรับว่าเขาสนิทกับไอ้ฝาแฝดคู่นี้มาก แต่คนเงียบๆ อย่างไอ้เฟรม ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น!

“มึงเหรอ!!” ต้นน้ำหันไปหาคนที่ตามมาสมทบทันเวลาพร้อมถือจานก๋วยเตี๋ยวที่ร้อนจนควันพวยพุ่ง

“สัด!! ไอ้กล้า มึงนี่ชอบหาเหาให้กูจริงเชียว!!” คนมาหลังสุดอย่างเฟรม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฟังใจความทั้งหมด แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะคนที่ชอบแกว่งปากหาเท้าอย่างไอ้ต้นกล้า มันหุบปากไม่เป็นอยู่แล้ว

“เป็นมึงจริงๆ มึงเป็นคนให้ข่าวเมียมึง? มึงเอาอะไรมาพูดวะสัด!!” ต้นน้ำพยายามใจเย็นเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจ ระหว่างพูดรีบทำท่าทางให้เพื่อนทั้งกลุ่มนั่งลง

“ไอ่ห่า! ฟังกูก่อนไหม?” เวลาเจอไอ้หน้าฝรั่งด่าด้วยถ้อยคำสมัยพ่อขุนรามฯ ก็ยังไม่ชินเสียที ไม่รู้ใครสอนมันถึงเก่งขนาดนี้

“ว่ามา!” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจ ข่มตาข่มใจให้ใจเย็น แต่เท้าของเขาก็เหยียบเท้าของไอซ์ไว้ เพราะมันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องทุกอย่าง หวังว่ามันจะไม่หลุดปากบอกพี่ชายฝาแฝดมัน และหากหลุดปากจริงไอ้เฟรมก็ไปหลุดปากไปบอกแฟนมันอีกที อันนี้คือเท่าที่ต้นน้ำคิด

“เฟรม มึงก็รีบพูดสิวะกูเจ็บ!!” ไอซ์โอด

“เจ็บ?” เฟรมสะดุดและงงกับฝาแฝดตัวเอง

“เอาเหอะ! รีบเล่า กูอยากฟังจะแย่แล้ว!” คนที่มีความสุขที่สุดคงไม่พ้นไอ้ต้นกล้า หน้าตาก็ดีนะ แต่นิสัยนี่สุดๆ มันถึงไม่มีแฟนเสียที

“มึงน่ะ หุบปากไปเลย! สัด!! เงียบๆ ไป เดี๋ยวมันก็ไปรู้จากคนอื่นแล้ว!!” เฟรมวาดสายตาดุใส่ไอ้กล้าที่ร่าเริงจนอย่างทุบหลังสักที

“อ้าว! รู้จากเพื่อนนี่แหละ อายน้อยสุดแล้ว!” ต้นกล้ายังไม่หยุดพล่ามไปเรื่อย

“ยังอีก!!” เฟรมเหลืออดทำเสียงเข้ม



“เออๆ ก็ได้วะ” พูดจบต้นกล้าก็จ้วงข้าวมื้อเที่ยงเข้าปาก

“แล้วกูจะเริ่มจากตรงไหนดีวะ?” เฟรมนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะเริ่มเปิดปาก ประโยคแรกออกจากปากเขาคือ “เมื่อคืนที่ผับ....”

เฟรมไปเที่ยวกับบรรดาแก็งสาวสวยของนิ่ม และนิ่มเองที่บังเอิญไปเจอเหตุการณ์ของต้นน้ำในผับเข้า จึงเดินมาถามเฟรมเพื่อชี้ตัวว่า คนที่นั่งอยู่บนที่นั่งวีไอพีนั่นใช่เพื่อนสนิทของเฟรมหรือไม่ เฟรมซึ่งไม่เคยโกหกแฟนตัวเองจึงตอบไปตรงๆ ว่าใช่ และมหกรรมนักสืบสาวมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นขึ้น สาวสวยแอดมินเพจ ‘ผัวทิพย์’ ทำหน้าที่ได้เหลือเชื่อมากๆ เพียงคืนเดียวก็สามารถสืบทั้งเรื่องที่ผับดังและเรื่องที่ร้านอาหารของจินไห่ได้ทีละเล็กละน้อยจนประกอบกันเป็นข่าวพาดหัวเพจประจำเช้าวันนี้พร้อม ภาพมื้อเช้าระหว่างเขากับจินไห่ที่ร้านอาหาร

“กูรู้ว่าพี่เขาอาจจะทำเกินกว่าเหตุ เดี๋ยวคนก็ลืมแล้วมึง เรื่องมันแค่เม้าส์สนุกๆ ใช่ไหมล่ะ” เฟรมต่อท้ายหลังจากเล่าจบ แต่ต้นน้ำกลับนิ่งผิดปกติ

ที่เขานิ่งเพราะอึ้งและรู้สึกทุกอย่างที่เขาสร้างมันพังลงมาต่อหน้า ภาพพจน์เพลย์บอยรูปหล่อ จบกัน!!

.....................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 9.2 จบตอน) 14 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-12-2020 16:18:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 10 ตอน 1) 21 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-12-2020 16:10:13
บทที่ 10

ขึ้นหลังเสือ


เพจ “ผัวทิพย์” ของพี่นิ่มและผองเพื่อนอดีตดาวคณะฯต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนั้น เป็นเพจที่ฮิตขึ้นเทรนระดับประเทศเลยก็ว่าได้เพราะเพจนี้มีหน้าที่เสาะแสวงหาผู้ชายทุกวัยที่หน้าตาดี มีเสน่ห์มาให้บรรดาลูกเพจได้ชื่นชม โดยไม่สนว่าจะมีเจ้าของ หรือเพศสภาพแบบใด เกย์ ทอมได้หมด หากสามารถให้ลูกเพจมโนเป็น ‘ผัวทิพย์’ ได้ ก็จะได้มีโปรไฟล์และรูปเท่ๆในเพจนี้

ต้นน้ำเองก็เคยฮอตมากในเพจนี้ ฉายาเพลย์บอยไร้หัวใจก็มาเพจนี้ จนกระทั้งเมื่อวาน เพจได้ทำการสื่อสารแนวใหม่ ตั้งคอนเทนต์แหวกแนวเพจว่า ‘คู่วาย คู่จริง’

คอนเทนต์นี้สร้างกระแสความฮือฮาได้ดีพอควร แม้จะใช้ชื่อย่อและเบลอรูปไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่พ้นพวกโคนันปากหอยปากปู ที่เม้าส์เดากันจนกลายเป็นข่าวติดกระแสครั้งใหญ่ภายในไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้า

และนั่นเป็นสาเหตุให้ต้นน้ำใช้ชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยได้อย่างยากลำบาก เพราะยิ่งคนที่เขาเป็นข่าวด้วยเป็นหนึ่งใน ‘ผัวทิพย์’ ที่ฮิตฮอตร้อนแรงยิ่งไปกว่าเขาเสีย ดูท่าทางการตัดสินใจช่วยเหลือพี่ชายใกล้บ้าน จะสร้างความเสียหายมากกว่าที่เขาคิด

“เชี้ย!!!” ต้นน้ำที่แชมพูหลุดจากมือกลิ้งหล่นออกจากพื้นที่อาบน้ำฝักบัวภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านักกีฬา ซึ่งสร้างเป็นฉากปูนเปลือยโดยไม่มีประตูใดๆกั้น

“ก้นสวยนี่หว่า ว่าแต่มึงหรือพี่เขาวะที่โดน?” ไอ้ต้นกล้าปากหมาแซวต้นน้ำที่เปลือยกายออกมาจากพื้นที่ฝักบัวออกมาเก็บขวดแชมพู

“ไอ้สัด!! เดี๋ยวกูปาด้วยขวดแชมพู” ปากพูดว่า ‘เดี๋ยว’ แต่ต้นน้ำยกขวดแชมพูเหวี่ยงขึ้นเหนือศรีษะเรียบร้อยแล้ว และใจก็คิดจะเหวี่ยงไปโดนปากไอ้เพื่อนปากหมาที่แอบส่องเขาทางด้านหลังจริงๆ

หมั่บ!!

ข้อมือของต้นน้ำถูกคว้าจับไว้แน่น

“ไอ้ต้นน้ำ!! เดี๋ยวไอ้เชี่ยนี่ก็ตายหรอก ขวดแชมพูมึงไม่ใช่อันเล็กๆ ไม่ตายก็เจ็บ กูยังอยากให้มันแข่งในช่วงกีฬามหาวิทยาลัยนะโว้ย!!” เฟรมที่เดินมาจากที่ใดไม่ทราบโผล่มาได้จังหวะ

ส่วนต้นกล้านั้นได้เดินออกห่างจากระยะขว้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในบริเวณห้องอาบน้ำรวมเพราะมันก็ยังอาบไม่เสร็จฟองยังเหลือเต็มตัว

“กูไม่รู้ว่าจะโกรธมันหรือโกรธมึงก่อนเลย!!” ต้นน้ำสะบัดมือให้หลุดจากการจับของเฟรมและเดินเข้าไปอาบน้ำต่อ

“ไอ้กล้า มึงมาอาบน้ำให้เสร็จ และเอาปากหมามึงกลับบ้านไปเลย หากไม่อยากให้ไอ้น้ำมันเอาเท้าลูบปากมึง และกูขอสั่งห้ามให้มึงล้อมันเรื่องนี่อีกด้วย!!” เฟรมซึ่งเป็นถึงกัปตันทีม ผู้ที่มีพลังเสียงดุดันแม้จะไม่เหมาะกับตาสีสวยคู่งามของเขาก็ตาม ขนาดว่าอยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ แบบนี้อยู่ยังรู้สึกถึงออร่าผู้นำเลย

“ครับ! ท่านกัปตัน!! ผมจะปฏิบัติตามครับ!!” ต้นกล้าที่เปิดฝักบัวให้น้ำราดลวกๆ ออกมาทำท่าเคารพแบบทหารด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า และโผเข้ากอดกัปตันทีมทันที

“อย่าโกรธเราน๊า” ต้นหล้าทำเสียงอ้อนเลียนแบบแฟนของเฟรม ซึ่งก็ทำให้ต้นน้ำรู้สึกขบขันและอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

“ไอ้สัด ปล่อย!! มึงจะโดนกูซัดสักเปรี้ยงก่อนนะ ไอ้กล้า!!” เฟรมสะบัดตัวขณะที่ต้นกล้ารีบปล่อยและวิ่งเข้าห้องน้ำไปเพราะกลัวเจอขาฟาดเข้าที่ลำตัวเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาล้อเลียนเฟรม

“อารมณ์ดีแล้วสิมึง?” เฟรมถามต้นกล้าขณะที่เขาเห็นต้นกล้ายิ้มออกมาได้บ้างแล้วในวันนี้

“ยัง!!” ต้นน้ำตอบห้วนๆกลับไปพร้อมหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาเช็ดตัว

“เชี้ย!! มึงก็รู้ว่า ข่าวในเพจนั่น มันจะดังอยู่สักกี่วัน?ไม่ใช่เรื่องจริงมึงก็อย่างไปกลุ้มใจสิวะ ส่วนไอ้กล้าปากหมานี่มึงยังไม่ชินอีก เดี๋ยวมันมีเป้าหมายใหม่มันก็เลิกวอแวมึงเอง”

“.......” ต้นน้ำรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันไม่จริงแต่เขาปฏิเสธไม่ได้ไง!!

“ทำไมมึงเงียบไป.... หรือว่า” เฟรมมีท่าทีสงสัยกับปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท

“ไม่มีอะไรหรอก! มันก็แค่กลัวสาวที่มันกำลังจีบเข้าใจผิดน่า!” ไอซ์ผู้ช่วยชีวิต ผู้ซึ่งแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วได้เข้ามาขัดจังหวะพอดี

“มึงเล็งใครใหม่วะ? คณะอะไร มอเราหรือเปล่า?” ไอ้ต้นกล้าที่เปลือยอกเดินมาร่วมวงในระยะที่อาวุธของเฟรมเอื้อมถึงเลยใช้มือโบกศรีษะไปหนึ่งทีเสียงดังสนั่น

“โอ้ย!! อะไรของมึงเนี่ย!!” ต้นกล้าโวยลั่น

“กูขอบอกมึงเลยว่า ห้ามเข้าใกล้ไอ้น้ำมันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ไม่งั้นมึงโดนซ่อมจากโค้ชแน่!! กูจะบอกโค้ชให้มึงคลานกลับบ้านเลย” เฟรมเอ่ยคำประกาศิตที่ทำให้ไอ้ต้นกล้าหงอยและถอยห่างอย่างไม่บอกกล่าวซ้ำสอง

“เอาล่ะ! ไอ้ตัวป่วนไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เราสามคน มึงมีอะไรจะบอกกูไหม?” เฟรมจ้องน้องชายฝาแฝดตนเองและเพื่อนสนิทอีกคนอย่างต้องการคำตอบ

“...... ไม่..... กูไม่มี....” ต้นน้ำตอบเสียงอ่อยแต่พยายามจ้องกลับด้วยความจริงจังว่าเขาไม่มีอะไรต้องปิดบังจริงๆ

ส่วนไอ้ไอซ์ได้สั่นหน้าตอบไป เหมือนสื่อจิตถึงกันได้

“เฮ้อ.... มีอะไรก็เล่าให้กูฟังได้นะเว้ย ยังไงมึงก็เพื่อนกู กูรับได้นะ”  เฟรมถอนหายใจ เดินเข้ามาโอบไหล่ต้นน้ำ

“มึงหมายความว่าไง?!?” ต้นน้ำใจสั่น

“ขนาดน้องชายกู กูยังรับได้เลย!” เฟรมพูดลอยๆ

“........” ต้นน้ำเงียบทำท่าคิด

“เฮ้อ.... มึงก็รู้ว่า ร้านพี่จินไห่น่ะ ฮิตจะตาย แล้วพวกพนักงานและบริกรที่นั่นก็ช่างพูดไม่น้อย มึงคิดว่าจะเก็บความลับพวกนี้ได้นานเหรอวะ?” เฟรมถอยห่างให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายบ้าง

“หากมึงสารภาพกับกูมา มึงกับพี่จินไห่มีอะไรมากกว่าที่มึงบอกกูหรือเปล่า กูจะได้ไปบอกพี่พีชกับนิ่มให้ตัดใจจากมึงดีๆ ไม่จองเวรกันอีก กูเป็นคนกลางกูลำบากใจนะมึง!” เฟรมระบายต่อ

“คืองี้นะ....คือ.....” ต้นน้ำรู้สึกอึดอัดเมื่อเพื่อนทำตัวแบบนี้ จึงพร้อมที่จะสารภาพ

“มึง! คิดดูก่อนนะ ก่อนจะตอบอะไรออกไป” ไอซ์พุ่งเข้าไปจับไหล่ต้นน้ำและกำแน่น

“เฟรม!! กูว่ามึงพอแค่นี้เถอะ แค่นี้มันก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว!” ไอซ์หันไปต่อว่าพี่ชายฝาแฝด

“เออๆ กูขอโทษ เชี้ย ก็กูเครียดนี่หว่า กูได้ยินพี่นิ่มนั่งเม้าส์กับเพื่อนเขาสนุกปากเลย แถมกูอยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่าง นี่กูก็พยายามช่วยแล้วนะ ไม่งั้นโดนพาดหัวว่า ‘แอ๊บแมนไปจีบสาว’ แล้วล่ะมึงน่ะ กูว่าอันนั้นแรงกว่าอีก!!” เฟรมระบายต่อยาว แสดงว่าเขาห่วงเพื่อนไม่น้อยเหมือนกัน

ต้นน้ำหลังจากที่เห็นเพื่อนห่วงตนเองขนาดนี้ก็ต้องการจะเล่าให้ฟังทุกอย่างแต่โดนไอซ์บีบไหล่ไว้เสียแน่นจนกระทั้ง เฟรมขอตัวจากไปเพราะใกล้ถึงเวลานัดหมายกับแฟนสาวแล้ว

“มึงห้ามกูทำไม? ไอ้เฟรมมันหวังดี มันอาจจะช่วยคุยกับพี่นิ่มพี่พีชได้!” ต้นน้ำโวยวายด้วยน้ำเสียงแบบซุบซิบ

“มึงรู้จักกิตติศักดิ์พี่นิ่มดี มึงก็รู้ว่าไอ้เฟรมมันซื่อ มันหลงแฟนมันจะตาย ขืนมึงเล่าให้มันฟัง กูว่าเรื่องมันจะแย่กว่า แทนที่มึงจะช่วยพี่จินไห่ได้ มึงจะโดนเขาเกลียดด้วย!!” ไอซ์สวนด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน

“เออว่ะ!!” โชคดีที่เขามีไอซ์ผู้ชาญฉลาดไม่อย่างนั้น ที่เขาลงทุนที่ผ่านมาทั้งหมดก็สูญเปล่า แต่.... ชื่อเสียงเขาล่ะ ต้นน้ำได้แต่เกาศรีษะอย่างแรง เพราะความโลภของตัวเองแท้ๆ

....................

ต้นน้ำรีบเร่งกลับไปที่บ้านของจินไห่ เพราะเขาได้รับข้อความ ‘code red’ จากแฟนกำมะลอของเขา คราวนี้มาเป็นข้อความสั้นๆ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขาเคยตกลงกันไว้หากมีเหตุจำเป็นต้องเรียกตัวเพื่อขอความช่วยเหลือโดยด่วน

ต้นน้ำจ้องไปที่ข้อความนั่นซ้ำไปมา เหมือนมันจะมีข้อความอะไรงอกเพิ่มขึ้นมาให้เขาทราบว่าแฟนกำมะลอของเขากำลังเผชิญอะไรอยู่

ในที่สุดต้นน้ำก็เดินจนถึงชานของบ้านจินไห่ เขาพบว่าจินไห่เดินวนไปมามีสีหน้าเครียดจนเขารู้สึกไม่ดีจนอยากเดินหนีไป

แต่อนิจจา โชคไม่เข้าข้าง กิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่แถวบ้านดันตกลงมาตรงเบื้องหน้าเขา ต้นน้ำร้องอุทานอย่างตกใจและถอยหลังไปครึ่งก้าว นั่นเป็นเหตุให้จินไห่หันกลับมาพบเขาพอดี

สีหน้าที่กลัดกลุ้มของจินไห่ดูสว่างขึ้นมาทันทีหลังจากเจอหน้าตี๋ตาโตของต้นน้ำ ทั้งที่เมื่อครู่ดูหม่นหมองจนน่ากลัว

“ต้นน้ำ” จินไห่ตะโกนทักด้วยน้ำเสียงดีใจ

“อะไรกัน น้ำเสียง ท่าทางแบบนี้น่ะ?” ต้นน้ำรู้สึกตรงกันข้ามกับจินไห่ เพราะเขารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่

“พี่มีเรื่องรบกวน และไม่อยากให้ต้นน้ำปฏิเสธด้วย” จินไห่พูดตรงไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย

“งั้นขอปฏิเสธเลยได้ไหม! เพราะเรามีเรื่องต้องคิดบัญชีกัน!!” ต้นน้ำทำสีหน้าเครียดใส่จินไห่

“อะไรกันวะ? พี่ยังไม่ได้พูดเลย!! จะมาโกรธกันแบบนี้ได้ยังไง?” จินไห่ได้แต่ทำหน้างงงวยกลับไป เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า การที่เขากำลังจะขอร้องเรื่องคอขาดบาดตายตรงหน้า แต่ยังไม่ทันพูดก็โดนอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดใส่

“ก็ไอ้คำพูดแบบไม่คิดกับลูกน้องของพี่ไง!! ตอนนี้เลยกลายเป็นเขารู้กันทั่วโรงเรียน ไม่ใช่สิ!! ทั้งจังหวัดไปแล้วมั้ง!!” ต้นน้ำโวย และเล่าให้ฟังเรื่องที่เขาเจอมาในวันนี้ทั้งหมด

“เออว่ะ! พี่ไม่ทันคิดเรื่องนี้!!” จินไห่ยอมรับและทำหน้าเหมือนลูกหมาโดนดุ เขาดูมีท่าทางคิดมาก และเงียบไป ผิดจากท่าทีกระตือรือร้นเมื่อครู่

“เออๆ ช่างมันเถอะ แต่ผมขอไม่ตกลงอะไรกับคำขอของพี่ได้ไหม?”  ต้นน้ำรีบกลับมาที่เรื่องคุยค้างไว้ต่อทันที เขาอยากพักกับเรื่องแบบนี้ก่อนที่จะทนไม่ไหว หวังว่าเรื่องนี้แม่เขาคงยังไม่รู้เรื่อง

“อืม..... ก็ได้” จินไห่หน้าหมองลงทันที

“วันนี้ผมไม่หิวนะ ผมขอนอนเลยก็แล้วกัน” พูดจบต้นน้ำก็เดินขึ้นห้องนอนทันที

ต้นน้ำเกลียดการเห็นน้ำตาหรือลูกอ้อนของหญิงสาวที่สุด เขามักจะเดินหนีแฟนคนก่อนๆ ทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะเขามองว่าตนเองต้องเป็นคุมสถานการณ์ในการคบกันตลอดเวลา มันเข้าใจง่ายกว่าสำหรับเขา เพราะครอบครัวของเขาพ่อและแม่เป็นคนที่มีเหตุผลในการคุยกันเสมอ ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้แม่เองจะเป็นฝ่ายใส่อารมณ์ในการสนทนาหลายครั้ง แต่เจอความสุขุมและนิ่งเฉยของพ่อเขาเข้า ทุกอย่างก็คลี่คลาย จนบางครั้งเขาก็เคยสงสัยว่าแม่เคยเป็นลูกจ้างพ่อหรือเปล่า ทำไมถึงยอมให้พ่อได้มากขนาดนี้? แต่แปลกที่พ่อรักผมมากจนถึงขั้นตามใจทุกอย่าง และเป็นเรื่องเดียวที่แม่ยอมไม่ได้ที่จะเลี้ยงอย่างตามใจ

ต้นน้ำคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่อาบน้ำจนกระทั่งโดดขึ้นมานอนเอกเขนกบนเตียง เขาแปลกใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องรีบหลบหน้าจินไห่ด้วย ทั้งๆที่เขาควรจะทำเป็นไม่สนใจไอ้หน้าอมทุกข์นั่น

ต้นน้ำขยี้ศรีษะตนเองหลายครั้งจนผมที่หมาดอยู่เริ่มแห้ง ทำอย่างไรเขาก็ลบภาพใบหน้าแบบนั้นออกจากหัวไม่ได้ ใบหน้าที่เป็นกังวลแบบสุดๆของผู้ชายวัยที่ใกล้จะกลางคนตัวสูงบักลั่นแบบนั่น มันไม่ควรเป็นสิ่งที่เขาควรนึกถึง

เด็กหนุ่มหัวยุ่งที่นอนอยู่บนเตียงได้เพ่งมองนาฬิกาและรำพันกับตัวเองว่าคนที่เขานึกถึงน่าจะยังยุ่งกับธุรกิจร้านอาหารของตนเองอยู่เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน เขาจึงเดินไปที่โต๊ะหนังสือเหมือนวันที่ผ่านๆมา เขาค้าหาสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ถูกทับอยู่ในกองหนังสือบนโต๊ะที่ดูเป็นระเบียบเหมือนของทุกชิ้นในห้องนอน หลังจากพบเขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดอ่านต่อเหมือนคนกำลังติดนิยายที่ตนเองชื่นชอบ

ต้นน้ำไม่เคยอ่านนิยาย แต่สิ่งที่เขียนอยู่ในสมุดบันทึกเล่มนี้ เขาแน่ใจได้เลยว่าต้องเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกได้แน่นอน

บทต่อไปเจ้าของบันทึกได้เล่าเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในโรงเรียนมัธยมที่เปิดโดยสมาคมคนจีนโพ้นทะเล การปรับตัวไม่ยากเท่าที่คิดกับเรื่องการเรียน เพื่อนฝูง แต่วัฒนธรรมกับอาหารนี่เป็นอีกเรื่อง เขายังไม่รู้สึกเคยชินเสียที คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ เพื่อนเยอะขึ้นก็จริงแต่เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่งเท่าไหร่ เลยหาเพื่อนสนิทจริงๆ ยาก แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะปรับตัวได้เยอะมากแต่สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดสองสิ่ง

หนึ่งคือ อาหาร
สองคือ การถูกจ้องรังแกจากกลุ่มนักเลงหัวโจก

อย่างที่สองทำให้ชีวิตเขาลำบากที่สุด เพราะยิ่งทำให้เพื่อนไม่ค่อยมียิ่งจะไม่เข้าเพราะไม่อยากโดนแกล้งไปด้วย เจ้าของบันทึกเคยคิดว่า ชีวิตเขาน่าจะง่ายขึ้นมากหลังจากเขาได้เริ่มสนิทกับหัวโจกนักเลงในโรงเรียน แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเท่าไหร่ เพราะพวกนักเลงเหล่านั้นจะไม่แกล้งเขาเฉพาะเวลาที่หัวโจกคนนั้นอยู่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น เขาก็ยังคงโดนแกล้งเหมือนเช่นเคย เพียงเพราะเขาแตกต่างแค่นั้นเหรอ? เป็นคำถามที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ ในบันทึก

มาถึงตรงนี้เจ้าของบันทึกได้วาดภาพตัวเองไว้บนหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง เป็นภาพนักเรียนผอมบางเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ากระเซิงไม่เป็นทรง ดวงตาไร้แววมีความสุข เป็นการร่างด้วยดินสอหลากหลายความเข้มที่ให้อารมณ์หงุดหงิดปนเศร้า และดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก

เจ้าของบันทึกน่าจะไปเป็นศิลปินวาดภาพ ต้นน้ำคิดในใจขนาดจ้องภาพนั่นไม่วางตา

ต้นน้ำอ่านต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา อย่างน้อยวันนี้เขาต้องอ่านให้จบบทก่อนจินไห่จะขึ้นห้อง เขาไม่อยากติดพันค้างคา

เจ้าของบันทึกที่รู้สึกผูกพันและชอบความสงบภายใต้ต้นไม้ท้ายสวนก็ได้มานั่งวาดรูปเล่นตามประสาคนเพื่อนน้อยในวันหยุด และก็ได้เจอกับหัวโจกคนเดิม และผู้หญิงวัยกลางคนที่มีแววตาสดสวยคู่หนึ่งซึ่งคล้ายกับหัวโจกคนนั้นมาก

หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยทักและแนะนำตัว เขาจึงรู้ว่าเป็นมารดาของหัวโจกคนนั้น เธอถามว่าลูกชายของเธอยังไปทำความลำบากให้เขาอยู่หรือเปล่า พร้อมโขกหัวลูกชายตนเองอย่างแรง ภาพได้อยู่ตรงหน้ามันขบขันจนเจ้าของบันทึกบรรยายไว้อย่างละเอียดจนต้นน้ำเผลอยิ้มออกมา

จากการสนทนาฉันท์เพื่อนบ้านจึงให้ทราบว่า ที่หัวโจกคนนั้นเข้ามาดีด้วยก็เพราะโดนแม่ของตนเองบังคับมา เพราะแม่ของพวกเขาทั้งสองรู้จักกัน แม้ว่าความเป็นจริงเจ้าของบันทึกจะยังคงโดนแกล้งจากกลุ่มของหัวโจกเพื่อนบ้าน เจ้าของบันทึกก็ยังคงโกหกต่อหน้าแม่ของหัวโจกไปว่า เขาไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งแล้ว และหัวโจกคนนั้นก็ยังเพื่อนที่ดีกับเขาด้วย

หลังจากคุยสัปเพเหระ จนได้เวลามื้อเย็น คนเป็นแม่ก็ขอตัวไปเตรียมสำรับสำหรับครอบครัวก่อน เหลือทิ้งไว้แต่ลูกชายนักเรียนหัวไม้ ซึ่งเวลาอยู่ต่อหน้าแม่ของเขาจะเรียบร้อยผิดปกติ แต่กลังจากลับหลังมารดาตนเอง ในบันทึกบรรยายว่าสามารถใช้มือกำคอเสื้อของเจ้าของบันทึกและยกเขาขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างสบาย และพูดใส่เจ้าของบันทึกอย่างใจเย็นว่า

“เข้าใจพูดนะ กูยังคิดอยู่เลยว่ามึงเป็นคนขี้ฟ้อง กูจะต้องจัดการมึงหนักๆ สักรอบ!!” แววตาดุดันนั้นทำให้เจ้าของบันทึกรู้สึกกลัวจนวาดใบหน้าคนที่มีแววตาน่ากลัวแทรกลงมาด้วย

พูดจบนักเลงหัวไม้ก็ปล่อยเขาลงมาที่พื้นอย่างดี แต่เสื้อยืดของเจ้าของบันทึกมีแต่รอยย่นยู่ยี่จนเขาคิดหาคำไปแก้ตัวกับแม่เขาเองไม่ออก

นักเลงหัวไม้ที่กำลังเดินจากไปได้หันมามองหน้าเขา และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเคย

“ขอบใจมึง” คำที่เจ้าของบันทึกไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากอีกฝ่าย ใบหน้าที่เกรี้ยวกราดนั่น ปรับเปลี่ยนเป็นแววตาที่อ่อนโยนและเปื้อนยิ้มที่สดใส ใบหน้านี้ทำให้เจ้าของบันทึกบรรยายถึงอาการใจสั่นและตราตรึงอยู่ในความทรงจำ แต่แปลกที่เจ้าของบันทึกกลับไม่ยอมวาดภาพความประทับอันนั้นไว้

คำบรรยายที่เหลือของบันทึกก็เล่าว่า นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยโดนแกล้งอีกเลย แต่ที่แปลกคือเขาแทบไม่เคยเห็นนักเลงหัวโจกคนนั้นอีกเลย แม้แต่ที่ต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน

............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 10 ตอน 1) 21 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-12-2020 20:58:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่10 ตอน 2) 30 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-12-2020 12:22:10

ต้นน้ำอ่านจบด้วยรอยยิ้ม เขาสัมผัสถึงมิตรภาพที่กำลังก่อเกิดขึ้นผ่านตัวอักษร การปรับตัวไปตามการเติบโตของเจ้าของบันทึก ภาพสวยๆและลายมือที่งดงาม มันดึงให้เขาอ่านได้อย่างไม่มีเบื่อ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่ม

หลังจากที่มองนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือ เขาก็ต้องตกใจเพราะเวลาประมาณนี้มักจะเป็นเวลาที่เจ้าของห้องกำลังจะกลับขึ้นมา  ต้นน้ำรีบจัดการเก็บบันทึกเล่มนั้นไว้ที่เดิมจัดระเบียบโต๊ะหนังสือให้เรียบร้อย และรีบกระโดดขึ้นเตียงมานอนทันที

ผ่านมาได้หลายวันแล้วที่ต้นน้ำยอมนอนร่วมเตียงกับจินไห่ เขาแอบแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกชินแบบนี้ อาจเป็นเพราะที่นอนของจินไห่นั้นมันนอนสบายกว่าที่นอนสำรองมากมายนัก รวมถึงจุดที่ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศที่ตกลงตรงจุดที่เขานอนพอดี และการมีคนนอนอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายตัวสูงยาวขนาดนั้นก็ตาม (ต้นน้ำชอบแนวผู้หญิงรูปร่างเล็ก น่ารักมากกว่า)

ระหว่างนอนคิดอะไรเพลินอยู่นั่น ประตูก็ถูกผลักเข้า แต่คนที่เข้ามากลับเป็นผู้หญิงผมยาวสลวยไพล่หลัง วงหน้าสะสวยที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันอย่างเหมาะเจาะนั้นสลายยิ้มทันทีที่เห็นเขานอนอยู่เตียงแทนที่จะเป็นเจ้าของห้อง

“อ้าว! พี่ไห่ยังไม่มาหรอกรึ?” เสี่ยวหยู๋พูดขึ้นลอยๆมากกว่าต้องการคำตอบ ส่วนต้นน้ำนั้นพยายามทำตัวไม่สนใจอีกฝ่าย

“งั้น....ระหว่างรอ พี่คุยกับเราก่อนก็ได้ฆ่าเวลา” เสี่ยวหยู๋พูดจบก็เดินเข้าห้องพร้อมปิดประตู เธอเดินไปรอบๆ ห้องจนกระทั้งเธอหาที่นั่งเหมาะเจาะลงได้คือที่ปลายเตียง

ต้นน้ำขยับตัวขึ้นนั่งบนที่นอน และพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเขาและเธอ

“แหม..... ระวังตัวจังนะ พี่ไม่กัดหรอกน่า!” เสี่ยวหยูยิ้มอย่างมีเลศนัยไปทางชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง

ถึงแม้ว่าวันนี้การแต่งกายของเสี่ยวหยู๋จะดูมิดชิดกว่าทุกวันที่เขาเจอ แต่เขาก็เริ่มไม่รู้สึกไว้ใจผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ยิ่งตอนนี้เขาต้องระวังมากขึ้น ต้นน้ำรู้สึกแบบนั้น

“เตรียมตัวหรือยัง?” เสี่ยวหยู๋ถามขึ้นขณะหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาเช็ดถูที่หน้าจอ

“เตรียม?” ต้นน้ำแสดงอาการงงจนออกนอกหน้า

“อ้าว! พี่ไห่ยังไม่ได้บอกเหรอ.... อืม.... สงสัยจะยุ่ง..... ไม่เป็นไร พี่จะบอกเอง..... แต่.... กลัวพี่ไห่จะโกรธจัง ...... งั้นให้พี่ไห่มาบอกเองดีกว่า!” ต้นน้ำรู้สึกว่าเสี่ยวหยู๋เล่นเกมเก่ง มันทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมา หน้าอกของเขาเริ่มร้อนรน

“เรื่องนั้นผมเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วครับ!!” ต้นน้ำกล่าวอย่างหมั่นไส้ในท่าทีของอีกฝ่าย

“ก็ดี!! เรื่องราวต่างๆ จะได้ลงตัวเสียที เราจะได้เข้าใจกันนะ” เสี่ยวหยู๋ยิ้มมุมปากอย่างน่าสงสัย

“อ้าว!! เสี่ยวหยู๋กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาจากทางประตู

“เพิ่งมาถึงคะ เลยกะจะมาทักทายแฟนพี่หน่อย อยากให้น้องเขาสบายใจก่อนที่จะไปด้วยกัน” เสี่ยวหยู๋ยิ้มหวานท่าทางอ่อนโยนขึ้นมาทันที

“??????” ต้นน้ำทำหน้างงใส่อีกฝ่าย

“คือ.... ต้นน้ำ... เขา....” จินไห่อ้ำอึ้ง

“ผมเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วครับ!! พี่จินไห่ไม่ต้องห่วงนะครับ” ต้นน้ำพูดแทรก

“งั้นก็ดีนะ ลาเรียนได้ก็ดี จะได้ไปสนุกด้วยกัน!! ไปก่อนล่ะวันนี้เพลียจัง พี่ไห่คะ หยู๋ไปนอนก่อนนะคะ” เสี่ยวหยู๋โบกมืออำลาก่อนออกจากห้อง และพูดกับพี่จินไห่ด้วยภาษาจีน ยิ่งทำให้ต้นน้ำที่งงอยู่แล้ว งงหนักกว่าเดิมอีก

“พี่ดีใจนะที่ต้นน้ำตกลง” จินไห่หันมายิ้มให้อีกฝ่าย

“เดี๋ยวก่อนนะพี่ ผมกำลังงงอยู่ว่าพวกพี่พูดถึงอะไร? ผมก็แค่ตามน้ำไป จะได้ประชดยัยแฟนเก่าโรคจิต!!” ต้นน้ำเผยสีหน้าไม่พอใจขี้นมาทันที สำนึกเสียใจที่ตนเองตัดสินใจโต้ตอบแบบนั้น

......................


“สัปดาห์หน้ากูลานะ!” ต้นน้ำเดินมาบอกเฟรมและเพื่อนร่วมทีมหลังจากเดินไปบอกโค้ชของทีม

“มึงจะไปไหน?” เฟรมพูดสวนขึ้นมาทันที

“เอ่อ... ต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดนิดหน่อย” ต้นน้ำตอบเสียงอ่อย

“อย่างนี้ก็ได้ไปเที่ยวดิวะ ทำไมมึงทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลย!” ไอ้ต้นกล้าถามแทรกขึ้นมา แต่โดนสายตาพิฆาตจากเฟรมกัปตันทีม มันจึงได้แต่แทรกตัวกลับไปที่เดิม

“เออ! จริงด้วย” เฟรมหันถามต่อ

“ก็กูโดนบังคับปะวะ!” ต้นน้ำพูดเสียงอ่อย

“ใครวะจะไปบังคับมึงได้ แม่มึง? ไม่น่าจะใช่เพราะกูเห็นมึงโดดงานที่บ้านออกจะบ่อย!!” เฟรมตอบกลับมาอย่างรู้ทัน

“ก็ไอ้......” ต้นน้ำเสียงขาดห้วงทันทีที่เห็นสายตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งมาที่ตนเอง สายตาของไอ้ไอซ์ เขารู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้จับใจ ไอซ์มันไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากงานนี้เลย แต่มันเป็นคนที่ช่วยเพื่อนแบบสุดตัว เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก

“อะไรของมึง? อยู่ก็เงียบ!” เฟรมทำหน้าแปลกใจกับอาการแปลกๆของเพื่อน

“ไม่มีอะไร บ่นไปก็เท่านั้นก็ดันรับปากไปแล้ว” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกมาและเดินหลบไปนั่งอีกมุมหนึ่งก่อนการซ้อมกีฬาประจำวันจะเริ่มขึ้น

“สัด!! มึงนี่ไม่เหมาะกับงานแบบนี้เลยนะ!!” ไอซ์แอบแยกตัวมาคุยกับต้นน้ำระหว่างการวอร์มอัพ

“อือ!! กูก็ว่างั้น!!” ต้นน้ำตอบแบบเพลียหัวใจ

“ไอ้คนปลิ้นปล้อนแบบมึงเนี่ยนะ!” ไอซ์พูดปนขำ

“สัด!! กู... ไม่รู้ว่ะ.... แบบนี้มันไม่ใช่แนว แม่งไม่สนุกเลย” ต้นน้ำรำพันไปเรื่อยพร้อมถอนใจ

“เลิกซ้อมเรามีเรื่องต้องคุยกัน!! เล่ามาให้หมด!!” ไอซ์ตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆและหยักคิ้วให้เหมือนเป็นเรื่องสนุก ต้นน้ำรู้สึกว่าเพื่อนของเขาน่าจะสนุกกับสถานการณ์แบบนี้มากกว่าเป็นห่วงเขา

..............

หลังจากสบโอกาสที่ต้นน้ำกับไอซ์ได้อยู่กันสองคนโดยทำทีว่าจะไปติวหนังสือต่อ (ทุกคนรู้ว่าการติวหนังสือกับไอซ์เป็นเรื่องที่ไม่น่าภิรมย์แม้แต่น้อย เพราะมันเป็นครูที่แย่และปากเสียมาก แม้ความรู้จะเยอะขึ้นแต่คุณจะต้องเสียกำลังใจในการเรียนไปเลย จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครมาด้วย)

ต้นน้ำเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง

“หา!! เขาให้มึงไปเที่ยวต่างจังหวัดกับพวกเขาสามคืน!!” ไอซ์ทำท่าทีตกใจ พวกเขาที่ไอซ์พูดถึงก็คือ จินไห่ นีโน่ เจ้าพ่อหนุ่มและอดีตแฟนสาว เสี่ยวหยู่

“ไงล่ะ!! มึงรู้หรือยังว่าทำไมกูถึงได้กลุ้ม!! แค่ยัยโรคจิตคนเดียวไม่พอ ยังมีไอ้คนน่ากลัวอย่างพี่โน่อีก กูไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนนั่นเขาคิดอะไร!!” ต้นน้ำรู้สึกได้ระบาย

“นั่นสิ...... แล้วทำไม ไม่ให้แฟนมึงเขาปฏิเสธล่ะ? เอ่อ... กูหมายแฟนปลอมๆ พี่จินไห่น่ะ” ไอซ์รีบเปลี่ยนคำพูดทันทีที่สัมผัสถึงรังสีอำมหิตจากเพื่อนสนิท

“เพื่อน! กูไม่ขำ... กูก็บอกเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าขัดหุ้นส่วนของร้าน” ต้นน้ำเกาหัวตัวเองอย่างจนปัญญา

“เดี๋ยวนะอย่าบอกนะว่า ไอ้พี่โน่มันมีหุ้นส่วนที่ร้านนี้ด้วย!! รวยไปไหนวะ! พอฟังอย่างนี้ก็พอจะนึกภาพออกเลยว่าทำไม พี่จินไห่ถึงมีเงินเปิดร้านได้ใหญ่โตขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่ปี หรือว่ามันทำไปเพราะหวังเครมพี่จินไห่เหรอวะ?” ไอซ์วิเคราะห์ไปเรื่อยจนกระทั้งประโยคสุดท้ายที่ได้คำตอบจากใบหน้าของต้นน้ำในทันที

“เชี้ย!! แม่งเล่นใหญ่ตลอด!!” ไอซ์ตบมือเสียงดังหนึ่งฉาด

“มึงพูดเหมือนมึงรู้จักพี่เขาดีอย่างนั่นแหละ!” ต้นน้ำทำสีหน้าแปลกใจกับท่าทางมั่นใจของอีกฝ่าย

“ก็นิดหน่อย....”  ไอซ์ยักคิ้ว

“........” ต้นน้ำมองหน้าไอซ์เหมือนอยากได้คำตอบ

“ว่างๆ เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง เอาเรื่องของมึงให้เรียบร้อยก่อนดีไหม? สรุปว่าเป็นดับเบิ้ลเดท? พี่นีโน่มันจะจีบยัยนมโตนั่นจริงๆ เหรอ?” ไอซ์รีบลากกลับมาเรื่องปัญหาก่อน เดี๋ยวจะคุยกันนานไป


“กูก็ไม่รู้ว่ะ.... แต่เขาจองบ้านวิลล่าสระน้ำไว้ มีสองห้องนอนเอง แปลว่า สองคนนั้นก็ต้องนอนห้องเดียวกันดิ!” ต้นน้ำพยายามนึกถึงรายละเอียดที่จินไห่เล่าให้ฟัง

“ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก นี่มึงทำบุญด้วยอะไรวะ? ถึงได้มาเจอพี่จินไห่แบบนี้! เท่าที่ฟังเหมือนไม่มีปัญหา แต่มาคิดดูดีๆ แล้วแม่งปัญหาโตคตรเยอะ!” ไอซ์วิเคราะห์พร้อมผ่อนลมหายใจเบาๆ

“กูถึงได้มาปรึกษามึงไง!!” ต้นน้ำหันมาด้วยใบหน้าหมาโง่ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ

“เชี้ย!! โคตรสร้างภาระ!! แต่…กูก็ชอบนะ สนุกดี ยิ่งมีตัวละครเพิ่มอย่างไอ้พี่โน่ กูยิ่งตื่นเต้น” ไอซ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“กูควรจะกลัวมึงด้วยไหมเนี่ย?” ต้นน้ำเอ่ยทักใบหน้าที่มีรอยยิ้มปนความสนุกสนานบนความทุกข์ของเขา

“เอาน่า! มึงไม่มีทางเลือก นอกจากทำตามที่กูบอก ส่วนกูเองก็ช่วยมึงอีกทางด้วย!!” ไอซ์ตบบ่าเพื่อนเบาๆ

“ยังไงว่ะ?” ต้นน้ำตามไม่ทันจริงๆ ไอซ์เป็นคนทั้งหัวไวและเจ้าเล่ห์จนตัวเขาเองรู้สึกโชคดีที่มีมันเป็นเพื่อน

“เออน่าเดี๋ยวกูบอก ยังมีเวลา แค่นี้นะ กูมีนัด!” ไอซ์พูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ต้นน้ำรู้สึกงงและเคว้งคว้าง

.................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 10 ตอน 2) 30 ธ.ค. 20
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-12-2020 16:07:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 11 ) 11 ม.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-01-2021 08:53:43
บทที่ 11

ช่วงเวลาแห่งความสับสนปะปนวุ่นวาย



อีกสัปดาห์หนึ่งกว่าจะถึงวันนัดหมายของการไปเที่ยวเกาะช้างครั้งแรกในชีวิตของต้นน้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลับไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปแม้แต่น้อย เพราะคนที่ไปด้วยเหล่านั้นแค่คิดก็ไม่สนุกด้วยแล้ว

การที่ต้นน้ำต้องไปแสดงละครตลอดเวลา 24 ชั่วโมงนี่ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในลำไส้ จนเกิดอาการไม่อยากอาหาร มาหลายมื้อแล้วและคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกจนถึงวันที่ออกเดินทาง

จินไห่ซึ่งเห็นอาการของต้นน้ำที่แสดงความไม่สบายใจออกมาทางสีหน้าท่าทางก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เขาเดินมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอยู่บ่อยครั้ง

ส่วนต้นน้ำก็ตอบกลับไปแบบกลายๆ หลายครั้งว่าไม่เป็นไร มันคือเป็นความรับผิดชอบของเขาเองที่รับปากว่าจะช่วยจินไห่ก็คงต้องช่วยให้ถึงที่สุด โดยต้นน้ำพยายามคิดถึงวันดีๆ หลายๆครั้งที่จินไห่เคยช่วยเขาไม่ให้โดนแม่ของตนเองดุอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงเงินค่าตอบแทนที่พี่จินไห่ได้ให้มาก่อนแล้วล่วงหน้า ตอนนี้เขาเคลียร์หนี้สินจนหมดสิ้นแล้ว ต่อไปก็จะเป็นเงินเก็บแล้ว ต้นน้ำพยายามคิดถึงเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

ส่วนเรื่องสาวๆ ในอนาคตหลังจากที่เรื่องนี้จบลง ค่อยไปคิดเอาก็แล้วกันว่า เขาจะหาแฟนได้อีกไหม? แต่ขนาดไอซ์ซึ่งมันประกาศตัวชัดว่าชอบผู้ชายมากกว่า มันยังมีผู้หญิงเข้าหาไม่ขาด เรื่องนี้น่าจะพอสบายใจได้ (แต่ไอซ์มันหล่อโคตรๆ แบบลูกครึ่งตะวันตกแต่กับต้นน้ำเขาหล่อแบบตี๋ๆ มันจะเทียบกันได้หรือเปล่านะ ต้นน้ำกังวลไปเรื่อยเปื่อย)

ต้นน้ำสังเกตอาการของจินไห่ช่วงหลังๆ มานี้ก็แปลกไปจากเดิม เขาดูอารมณ์ขึ้น ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำไมคนนี้ถึงได้ยังใจเย็นขนาดนี้อยู่ได้ ยิ่งพอได้คำตอบจากต้นน้ำบ่อยๆ ว่าไม่เป็นไร ยังไงก็ไม่เปลี่ยนแผน จินไห่ก็ยิ่งทำตัวเป็นปกติไม่มีความกังวลหลังจากนั้น หรือมีแต่ต้นน้ำคนเดียวท่ีคิดมาก

“เราซ้อมกันหน่อยไหม?” จินไห่พูดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นมื้อเย็น

“ห๊ะ?!?!”  ต้นน้ำทำหน้าแปลกใจ

“ก็จะไปเที่ยวกันอยู่แล้ว อยู่ในสายตาของพวกที่ชอบจับผิดตลอดเวลา ไม่กลัวความแตกเหรอ ยิ่งพี่โน่ยิ่งเป็นคนฉลาดมากเสียด้วย” จินไห่อธิบายหน้านิ่ง

“.......ก็จริงของพี่.....” เป็นเรื่องที่ต้นน้ำไม่อาจปฏิเสธได้เลย เพียงแค่ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แค่มองตานีโน่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่อย่างงั้นคงอยู่ในจุดนั้นนานขนาดนี้ไม่ได้แน่

“แล้วเราควรจะเริ่มจากไหนก่อนดี เพราะเท่าเพื่อนผมที่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนนี่ มันก็บอกผมตลอดว่า แฟนผู้ชายไม่เหมือนแฟนผู้หญิง มันไม่ต้องเทคแคร์อะไรมาก พูดกันตรงๆ เหมือนเพื่อนได้ ก็เหมือนคนที่สนิทกันมากแค่นั้น!” ต้นน้ำพยายามนึกถึงคำพูดที่เพื่อนเขาช่วยติวให้

“พี่ก็ไม่รู้ว่า พี่ก็ไม่เคยคบผู้ชาย เสี่ยวหยู๋ก็แฟนคนเดียวของพี่นี่แหละ.... ส่วนใหญ่พี่จะเทคแคร์เขามากกว่า.....” จินไห่มีความรู้สึกหัวสมองมันตันๆ และเขินๆ

......... ทั้งสองอยู่ในความเงียบกันครู่ใหญ่ ต่างคนต่างนึกถึงเรื่องที่จะทำต่อไปไม่ออก

“โอเค......งั้น....” จินไห่เริ่มก่อน
“เราเริ่มจากอะไรง่ายๆ ก็แล้วกัน ข้อมูลประเภท ชอบอะไรไม่ชอบอะไรดีไหม? เรื่องแบบนี้คนเป็นแฟนกันมันต้องรู้ลึกรู้จริง!” จินไห่เสนอความคิด

“มันไม่เห็นยากเลยพี่!” ต้นน้ำไม่เห็นด้วย

“จริงน่ะ? งั้น... ลองเริ่มกันดู!! อาหารที่ชอบและไม่ชอบ?” จินไห่ท้าทาย

“พี่ชอบอาหารรสหวาน ของคาวน่าจะไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ของหวานน่าจะกินได้ทุกชนิด แต่ที่เห็นกินบ่อยน่าจะเป็นไข่ม้วนหวานแบบญี่ปุ่น อันนี้น่าจะเป็นของโปรดเลย ส่วนของที่ไม่ชอบก็คงเป็นต้นหอม โดยเฉพาะตรงหัว เห็นเขี่ยออกเป็นประจำ! เป็นไงใช่ไหมพี่?” ต้นน้ำยิ้มอย่างมีชัย

“.......เออ.... ใช่......” จินไห่ยอมรับอย่างแปลกใจ ที่เด็กคนนี้ช่างสังเกตเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ในการกินอาหารร่วมกัน

“คราวนี้แล้วผมล่ะ?” ต้นน้ำเริ่มรู้สึกสนุก

“ต้นน้ำ ชอบกินอาหารรสจัด ของเผ็ดนี่จะชอบเป็นพิเศษ เช่นพวกผัดพริกขิง ผัดพริกแกงแดงๆ นี่เห็นจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ ของที่ไม่ชอบน่าจะเป็นอาหารประเภทปลา เพราะไม่เคยเห็นแตะเลย ใช่ไหม?” จินไห่ตอบด้วยท่าทีมั่นใจ

“โอโห....มันใช่เลยว่ะ พี่สมัครไปเป็นนักสืบเถอะวะ!” ต้นน้ำชื่นชมอีกฝ่าย

“งั้น....อากาศล่ะ พวกฤดูกาล อุณหภูมิอะไรแบบนี้” จินไห่เริ่มประเด็นถัดไป

“อืม.... เรื่องฤดูที่ชอบ ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ที่ไม่ชอบนี่มั่นใจเลยครับว่า ฤดูหนาว เพราะพี่ไม่ชอบอากาศเย็นอย่างมากเลย สังเกตุจากการปรับอุณหภูมิในห้องก็รู้” ต้นน้ำนึกอยู่สักครู่ก่อนตอบ

“อืม...ใช่ พี่ไม่ชอบฤดูหนาว รู้มันทรมานเวลาเจออากาศเย็น ผิวก็แห้ง อาบน้ำก็ลำบาก พี่เป็นชอบอาบน้ำมาก” พูดถึงตรงนี้จินไห่ก็หยุดมองหน้าต้นน้ำที่เริ่มทำหน้าสงสัยในข้อมูลที่ล้นเข้ามาในหัว

“แค่อยากบอกให้รู้น่ะ.... แล้วก็... พี่ชอบฤดูฝน.... เหมือนต้นน้ำไง....” จินไห่พูดต่อและยิ้มมุมปากปิดท้ายประโยค

“เฮ้ย!! เหมือนกันเลย ผมก็ชอบฤดูฝนนะ ผมชอบเวลาฝนตก มันเย็นแบบชุ่มช่ำดี ผมชอบมองตอนฝนตกนะ มันรู้สึกทำให้จิตใจสงบดี ...ว่าแต่พี่รู้ได้ไง?” ต้นน้ำมีสีหน้าแปลกใจกับประโยคของอีกฝ่าย

“ก็งานออกแบบของเราไง เวลาพี่มองไปที่งานของเรา มันทำให้พี่นึกถึงฝนตกพรำๆ รู้สึกถึงความเย็นของสายน้ำที่มาจากฟากฟ้า...”  จินไห่ทำท่านึกถึงอะไรบางอย่างในหัว

“เว่อไปป่ะพี่! แต่มันก็ถูกนะ ร้านที่ผมออกแบบให้แม่และเพื่อนๆของแม่ ผมก็ได้แรงบันดาลใจจากตอนผมนั่งดูฝนตกจากที่ต่างๆ ....ว่าแต่พี่เคยเห็นงานผมกี่งานเนี่ยถึงได้เดาได้ตรงแป๊ะแบบนี้” ต้นน้ำรู้สึกเหมือนมีแฟนคลับตามชื่นชมผลงานตนเอง รู้สึกปลื้มแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะนอกจากงานที่ส่งอาจารย์และงานที่แม่ฝากให้ทำ(แบบไม่ได้เงิน) จินไห่ไม่น่าจะเคยเห็น

“ตอนพี่ไปขอความช่วยเหลือกับแม่ของเรา แม่เราก็เลยเอาพวกแบบร่างต่างๆ ของเราให้ดูน่ะ สวยๆ ทั้งนั้นเลย” จินไห่ชื่นชมอย่างจริงใจ ทำให้ต้นน้ำอดที่จะเขินตามไม่ได้

“แหม.... ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แบบร่างที่อยู่ใน.......” ต้นน้ำเกือบจะหลุดปากถึงบันทึกเล่นนั้น โชคยังดีที่เขารู้ตัวทันเสียก่อนจึงห้ามปากตนเองได้ทัน

“อะไรเหรอ? แบบร่างที่ไหน?” จินไห่สงสัยจึงรีบถาม เพราะสีหน้าของต้นน้ำมันดูอึดอัดแบบแปลก

“แบบร่างของ... ของ.... ไอ้ไอซ์น่ะ คนนั้นน่ะแทบไม่เคยโดนแก้เลย” ต้นน้ำติดคำตอบเท่าที่จะหาได้ในหัวตอนนี้ แต่อย่างน้อยมันก็เรื่องจริงล่ะ

“อ้อ.... สงสัยต้องขอดูหน่อยแล้ว” จินไห่พยักหน้าอือออ

“ฮ่าฮ่าฮ่า.....ครับ”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ผลัดกันทายโน่นนั่นนี่ ไปอีกเกือบสองชั่วโมง ด้วยสีหน้าสนุกสนาน จนคนงานในร้านต่างพากันแอบเก็บภาพเจ้านายที่ยิ้มยากของตนเองไปหลายภาพ บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ในร้านแห่งนี้


เช้าอันสดใสเริ่มต้นด้วยเสียงนกกระจอกร้องเสียงดังใกล้กับหน้าต่างห้องนอน เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่เหมือนนกทั้งฝูงรุมจิกกันทำให้ต้นน้ำนอนต่อไปไม่ไหว แม้มันจะยังเช้ามากอยู่ ดวงตาของเขาลืมขึ้นมากระทบกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า เป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ในวันหยุดของเขา เสียงนกตัวนั้นยังร้องระงมอื้ออึงจนเหมือนมันจะขาดใจ เขาจึงตัดสินไปทำอะไรสักอย่างกับไอ้นกตัวที่ปลุกเขาตั้งแต่เช้าวันหยุดแบบนี้

นับวันเขาเริ่มจะเคยชินกับการนอนค้างที่นี่ มันเหมือนบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้ว คุ้นเคยกับการนอนสองคนและตื่นมาบนที่นอนแต่เพียงลำพัง เพราะเจ้าของห้องต้องออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับร้านอาหารในตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอ

ต้นน้ำลุกขึ้นยืนและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นภาพบ้านของเขาจากที่ไกลๆ หลังคาสีเทาซีดที่กระทบแสงแดดนั่น ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในบันทึกที่เขาอ่านบางส่วนบางตอน ที่มักจะบรรยายบรรยากาศยามเช้าที่แสนเหงาของเจ้าของบันทึกกับมื้อเช้าที่ทำขึ้นเองเพราะมารดาของเจ้าของบันทึกยุ่งเกินกว่าจะทำให้กิน การต้องอยู่กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสำหรับต้นน้ำนั้นเขาเข้าใจดี และไม่เรียกร้องอะไรจากแม่ของเขาด้วยเพราะเขารู้ดีว่าแม่ของเขาทำดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยแม่ของเขาต่อให้ยุ่งอย่างไรก็ต้องกินมื้อเย็นกับเขาทุกวัน ซึ่งช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาก็มักจะแวะไปหาแม่เพื่อขอทานมื้อเย็นด้วย

ต้นน้ำเดินมาจนถึงริมหน้าต่าง เขามองหาที่มาของเสียง แล้วก็พบว่ามีนกตัวน้อยบาดเจ็บพยายามกระพืบปีกเพื่อบินแต่ก็ร้องด้วยความเจ็บปวด และยังมีนกอีกตัวหนึ่งที่กระโดดและบินวนไปมาโดยรอบ ภาพที่เห็นทำให้ต้นน้ำที่กำลังควันออกหูจากความรำคาญเสียงรบกวนดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้ง เขาพยายามมองหาอะไรบางอย่างในห้องเพื่อช่วยนกบาดเจ็บตัวนั้น ระหว่างที่มองไปทั่ว เขาก็สังเกตุเห็นว่านกอีกตัวนั่นมีการบินไปที่อื่นเป็นระยะๆ ต้นน้ำจึงพยายามมองตามทิศทางที่นกตัวนั้นบินไปๆกลับๆ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นรังของมันที่ซอกใต้หลังคาบ้านไม่ไกล 

ต้นน้ำพยายามปีนขึ้นไปส่องที่รัง เขาก็พบว่าที่รังมีไข่นกอยู่จำนวนหนึ่ง และนั่นเป็นเหตุผลให้ต้นน้ำต้องรีบช่วยเหลือนกสองตัวนั้น

เขานึกถึงอุปกรณ์ต่างๆ ง่ายๆ ที่บ้าน เอามาทำเป็นบ้านนกแบบง่ายๆ และวางไว้ตรงหลังคาชั้นหนึ่งใกล้หน้าต่างห้องนอน เขารีบปีนลงไปช่วยนกน้อยที่บาดเจ็บมาทำแผลให้และนำนกตัวนั้นไปวางไว้ที่รังใกล้ไข่ของพวกมัน ท่ามกลางภาระกิจจิกกัดของนกอีกตัวหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจช่วยชีวิต เขาสัญญากับตัวเองว่าจะหาวัสดุที่ดีกว่านี้มาทำบ้านนกให้

นึกได้ดังนั้นเขาก็หอบกระบอกม้วนแบบร่างของเขาขึ้นมาวางบนโต๊ะ หยิบม้วนปึกกระดาษจากด้านในออกมา และกางออก เขาเริ่มออกแบบทันที รูปร่างคือทรงบ้านนก ที่น่าจะเข้ากับตัวบ้าน ที่เขาออกแบบให้กับจินไห่ใหม่ ถึงแม้ว่าเขาจะมีเวลาน้อย แต่เขาก็พยายามร่างออกแบบบ้านตามที่เจ้าของบ้านได้จ้างเขาไว้ อย่างจำยอม

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ต้นน้ำเองก็ไม่ทราบ เขารู้แต่ว่าแสงแดดอ่อนๆ ที่เคยส่องเข้ามาตอนนี้กลายเป็นลำแสงพิฆาตที่ร้อนแสบผิวไปเรียบร้อยแล้ว เครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้เพียง 25 องศาเซลเซียส ตอนนี้เริ่มทำให้เขาร้อนเสียแล้ว เขารู้สึกถึงความมันบนใบหน้าและเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่แผ่นหลัง เขามักจะลืมเวลาขณะที่กำลังร่างแบบที่ตนเองชอบทุกครั้ง หลังจากมองนาฬิกาเขาจึงคิดว่าควรจะพาตนเองไปอาบน้ำได้แล้ว นึกได้ดังนี้เขาก็ลุกขึ้นและเดินเข้าห้องน้ำทันที

วันนี้มีเรียนช่วงสายบวกกับที่เขาตื่นเช้า ทำให้ต้นน้ำมีเวลาทำอะไรต่างๆ ในช่วงเช้าอย่างไม่เร่งรีบ ต้นน้ำเดินออกจากห้องอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ เขาเริ่มจะทำตัวเองเป็นเจ้าของห้องเข้าไปทุกที เริ่มปล่อยตัวตามสบายมากขึ้น ตราบใดที่ไม่ทำให้ห้องรก เขาก็จะไม่โดนจินไห่บ่นให้รำคาญ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาลืมตัวจึงเดินแก้ผ้าออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบเห็นคนร่างสูงบางเจ้าของห้องยืนส่องแผ่นร่างแบบของเขาพร้อมพลิกไปมาอย่างระมัดระวัง

“เฮ้ย....!!” ต้นน้ำร้องเสียงหลงพลางคว้าผ้าผืนน้อยที่พาดคอมาปกปิดส่วนสำคัญของเขา

“ลายเส้นไม่คมเท่าไหร่?” เจ้าของเสียงเสียบเหลือบขึ้นมามองต้นน้ำวาบหนึ่งก่อนจดจ่อไปที่กระดาษแผ่นใหญ่ตรงหน้าอีกครั้ง

“แหม.... ทำเหมือนพี่วาดรูปเก่งเลยนะ..” ต้นน้ำพูดสวนออกไปแต่ในใจก็คืดลุ้นว่าจินไห่จะเห็นเขาเปลือยเมื่อครู่หรือเปล่า?

“พูดเหมือนเคยเห็นพี่วาดรูป...” จินไห่ตอบพลางไล่ระดับสายตาขึ้นมามองเสียงคนที่เด็กกว่ากำลังเหมือนโกรธที่โดนดูถูก

“ก็เพราะไม่เคยเห็นเลยไง ก็เลยบอกได้ว่าพี่น่าจะวาดรูปไม่เป็น” ต้นน้ำตอบสวนไปในขณะที่พยายามขยับตัวไปหาเสื้อผ้าใส่ให้เรียบร้อย

“หึ..!! ก็ถูก! พี่มันวาดภาพห่วยมากเลยทั้งๆ ที่มีพ่อเป็นถึงจิตรกรชื่อดัง”  จินไห่พูดด้วยสายตาเหม่อลอยและเจ็บปวด เหมือนสิ่งๆ นี้ไปกระแทกแผลเก่าของเขาเข้า

“อ่า..... ขอโทษนะพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ....” ต้นน้ำมีสีหน้าสำนึกผิด เพราะเขากำลังทำให้ชายตรงหน้าคิดถึงคนที่จากไปไม่มีวันหวนกลับ

“ไม่เป็นไร พี่ผิดเองแหละ พี่มักจะวิจารณ์อะไรตรงๆ ควรจะคิดให้ดีก่อนพูด ความจริงพี่จะบอกต่อว่า แต่ความคิดสร้างสรรค์น่าสนใจดี พี่ชอบนะ!” จินไห่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา

“จริงหรือครับ พี่ชอบเหรอครับ? ผมนี่เพิ่งจะคิดไปแบบสดๆ เลย” ต้นน้ำเผลอดีใจจนผ้าผ่อนเกือบหลุด

“หึหึ เด็กน้อย ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนก็ได้นะ” จินไห่ยิ้มพร้อมกับภาพขบขันตรงหน้าพร้อมพูด

“ตรงส่วนไหนของผมครับที่เป็นเด็กน้อย!!” ส่วนต้นน้ำที่เถียงกลับแต่ใบหน้ากลับเขินแดงและรีบแต่งตัวให้เสร็จต่อไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายโต้ตอบกลับมา อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในหุ่นนักกีฬาของตนเอง ทำไมอีกฝ่ายได้ชอบบอกว่าเขาเป็นเด็กอยู่บ่อยครั้ง ถ้าในเรื่องร่างกายเขาบอกได้เลยว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

หลังจากต้นน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายังคงมองเห็นเจ้าของห้องยังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าอารมณ์ดี วงหน้าที่พินิจพิเคราะห์แบบร่างของเขาอย่างมีความสุขภายใต้แสงแดดที่ส่องมาเบื้องหลังเรืองรองนั้นมันเหมือนภาพเทวดาตามโบสถ์คริสตจักรเลย ต้นน้ำเห็นแล้วอยากหยิบดินสอมาร่างภาพพวกนี้ไว้ แต่ในเมื่ออุปกรไม่พร้อมเขาเลยขอจดจ้องเพื่อจดจำรายละเอียดตรงหน้าไว้อย่างตั้งใจ

“เหม่ออะไร?” จินไห่เงยหน้าขึ้นมามองต้นน้ำที่มองตนอย่างไม่วางตา

“ไม่มีอะไรครับ แค่รู้สึกว่ามันสวยดี” ต้นน้ำพลั้งปากตอบไป

“อะไรสวย?” จินไห่มีสีหน้าไม่เข้าใจกับคำตอบของอีกฝ่าย

“อ๋อ... เปล่าครับ เอ่อ.....แค่รู้สึกแสงด้านหลังมันสวยดี” ต้นน้ำรีบหันไปมองทางอื่นและตอบอย่างเลิ่กลั่ก เขาสงสัยตัวเองว่าทำไม ไม่กล้าสู้หน้าจินไห่ตอนนี้

“แปลกคนจริง เด็กคนนี้” จินไห่ยิ้มและผ่อนลมหายใจเบา

“ผมไม่เด็กแล้วนะ ผมกับพี่ก็อายุห่างกันไม่เท่าไหร่!!” ต้นน้ำรู้หงุดหงิดกับคำว่าเด็กมากขึ้นทุกทีไม่รู้ทำไม

“จ้าๆ ได้ๆ ไม่เด็กแล้ว แต่อย่างน้อยอายุพี่ก็ใกล้เลขสามแล้วนะ”

“หน้าพี่ยังไม่น่าจะถึงนะ!” ต้นน้ำแสดงความคิดเห็นจากสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มมุมปากตอบกลับมา ใบหน้าที่เด็กกว่าอายุนั่นทำให้ต้นน้ำใจเต้นอย่างอธิบายไม่ได้อีกแล้ว เขาเลยหันมาตั้งใจจัดข้าวของเตรียมตัวไปเรียน

“วันนี้.... ไปซื้อของกับพี่นะ” อยู่ๆจินไห่ก็เอ่ยชวน

“หา?!?” ต้นน้ำที่ไม่ได้ตั้งใจฟังจึงหันมาหาเจ้าของเสียง เขาไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินถูกต้อง

“ก็จะไปเที่ยวทะเลแล้ว พี่ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย” จินไห่ตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“ก็จริง!” ต้นน้ำหันไปทางตู้เสื้อผ้าในห้องพร้อมพูดออกมา เพราะเท่าที่เขามาอาศัยอยู่กับผู้ชายสมถะคนนี้ เขาแทบไม่มีเสื้อผ้าสำหรับไปเที่ยวต่างถิ่นเลย แทบจะบอกได้เลยว่าเป็นคนที่ไม่พร้อมจะไปเที่ยวไหนไกลบ้านเลยมากกว่า

“งั้นต้นน้ำมาช่วยพี่หน่อยนะ!” จินไห่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“อ่า......” ในใจต้นน้ำอยากปฏิเสธมากแต่ก็ติดที่สีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย

..................

ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่และใหม่ที่สุด เป็นศูนย์รวมคนทุกเพศทุกวัยเพราะมีร้านค้ามากมายหลากหลายรองรับรสนิยมของคนทุกเพศทุกวัย จินไห่ที่เดินอย่างเงอะงะ ทำท่าทางไม่คุ้นชินกันสถานที่แห่งนี้จนต้นน้ำซึ่งเป็นคนแนะนำต้องถอนหายใจเสียงดัง

“พี่จินไห่ ถามจริง! พี่ไม่เคยมาจริงๆ น่ะ ห้างนี้มันเปิดเกือบปีแล้วนะ” ต้นน้ำถามไปใบหน้าคิ้วขมวด

“ก็เคยมาสองสามครั้ง ส่วนใหญ่ก็ตรงไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก็กลับ....” จินไห่ตอบแบบเขินๆ

“งั้นพี่อยากได้อะไรบ้าง จะได้แนะนำได้ถูก” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจอีกหน

“อืม... แล้วไปเที่ยวทะเล ที่นี่เขาเตรียมอะไรบ้าง?” จินไห่ผู้ไม่เคยเที่ยวที่ไหนเลยในไทย สมองจึงว่างเปล่าสำหรับโจทย์นี้ แม้แต่ที่ใต้หวันมันก็นานมากแล้วที่ได้ไปเที่ยวแบบนี้

“พี่จินไห่..... พี่นี่มัน.....” ต้นน้ำยกมือกุมขมับ ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือสงสารคนที่พามาด้วยดี

“งั้นเริ่มจาก เรียกชื่อพี่ใหม่ก็พอ เป็นแฟนกันเรียกชื่อสองพยางค์มันห่างเหิน เรียก ‘พี่ไห่’ ก็พอนะ” จินไห่เปลี่ยนบรรยากาศโดยการพูดไปอีกเรื่อง

“พี่จิน....เอ่อ.... พี่ไห่ มันใช่เวลามาคุยเรื่องนี้ไหมเนี่ย?” แม้ต้นน้ำจะพูดแบบนี้แต่ในใจเขาก็นึกย้อนไปว่าเคยได้ยินแฟนเก่าตัวแสบของคนตรงหน้าเรียกแบบนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอโทษเห็นน้องกำลังเครียดก็เลยเปลี่ยนเรื่อง ว่าแต่เราไปเริ่มที่ไหนก่อนดี?” จินไห่หัวเราะกลบเกลื่อน

“งั้นเราไปเริ่มที่กางเกงสำหรับเล่นน้ำก็แล้วกัน แล้วก็เสื้อผ้าสบายๆ สไตล์ริมหาดด้วย” ต้นน้ำเสนอ

“ต้นน้ำว่าเราควรใส่ชุดคู่ไหม จะได้เนียนหน่อย” จินไห่เสนอบ้างแต่ดูท่าทางจะเขินอายพอควร

“อืมมมม อันนี้พี่คิดเองจริงอ่ะ? มันก็น่าสนใจนะ แต่ผมรู้สึกอายๆ ยังไงไม่รู้ ไม่เอาดีกว่า” ต้นน้ำรู้สึกแปลกขึ้นมายังไงไม่รู้ เขาเหมือนจะรู้สึกว่าจินไห่กำลังจีบเขาอยู่จริงๆ

“ก็... ตามใจน้องครับ” จินไห่ตอบกลับเสียงเรียบ ดูมีความผิดหวังเจือปนอยู่เล็กน้อย และแล้วต้นน้ำก็เดินนำไปที่ร้านที่เขารู้จัก

สุดท้ายเขาก็ได้เสื้อคู่จนได้เพราะบังเอิญไปเจอไอซ์ที่มาพร้อมกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง (เดาว่าน่าจะเป็นคนที่มันจีบอยู่) หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จสรรพ ไอซ์ก็เจ้ากี้เจ้าการจนเผยให้พี่จินไห่รู้ว่า เพื่อนสนิทของเขาคนนี้รู้เรื่องที่เขาแกล้งเป็นแฟนไม่มากก็น้อย

“ต้นน้ำ พี่ขอคุยด้วย!” จินไห่พูดเสียงเข้ม

“อ่ะ .... เอ่อ.... เรื่องอะไรครับ” ต้นน้ำเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง บรรยากาศที่เปลี่ยนไปของผู้ใหญ่ตรงหน้ามันน่ากลัวยังไงไม่รู้

“เพื่อนต้นน้ำคนนี้รู้เรื่องของเราใช่ไหม?” จินไห่กระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่พ้นหูทิพย์ที่ดีผิดปกติของไอ้เพื่อนปากมากของเขา

“รู้สิครับ พี่คิดว่าไอ้จริตแบบนี้ ไอ้ต้นน้ำมันมีที่ไหน ถ้าไม่ผมช่วยติวให้” ไอซ์เดินมาใกล้พร้อมยื่นหน้าแทรกมาระหว่างกลาง

“เฮ้ย!! ไอ้คนเสียมารยาท!!” ต้นน้ำร้องเสียงหลง

“ก็ได้ยินพูดถึงกู กูก็เลยเดินมาเสนอหน้าเสียหน่อย! ว่าแต่พี่เก่งไม่เบานะเนี่ย รู้ได้ไงว่าผมรู้เรื่องของพวกพี่!” ไอซ์มีสีหน้าชื่นชมคนที่อายุมากกว่า

“จากคำพูดเวลาแนะนำการซื้อของของน้องนั่นแหละ ดูจะพยายามแนะนำให้พวกพี่แสดงออกผ่านการแต่งตัวว่าเป็นแฟนกันจนเด่นชัดเกินไป อีกอย่าง... ต้นน้ำไม่กล้าที่จะบอกกับใครว่าเป็นแฟนกับพี่ เขาควรจะปฏิเสธ แต่ก็เปล่า! พี่เลยเดา น้องไอซ์คงรู้เรื่องพวกเราหมดแล้ว” จินไห่อธิบายเป็นฉากๆ

“โห.... พี่เป็นญาติกับไอ้เด็กแว่นยอดนักสืบที่ไม่รู้จักโตหรือเปล่าวะเนี่ย!!” ไอซ์อยากจะปรบมือดังๆ แต่เกรงใจคนที่มาด้วยที่มีสีหน้าเกร็งๆ แล้ว

“พอเลย พอ!! กูจะไปที่อื่นต่อแล้ว มึงก็ไม่ต้องตามมาหรอก เชิญไปเดทของมึงต่อเลย!!” ต้นน้ำดันตัวเพื่อนสนิทให้ถอยห่างออกไป

“ไม่เป็นไร ไหนๆก็รู้แล้ว ไหนๆก็ช่วยกันมาขนาดนี้แล้ว งั้นมาช่วยพี่ต่ออีกหน่อยได้ไหม? ว่าแต่...... หากคนที่มาเดทด้วยไม่ว่าอะไรนะ” จินไห่มองไปที่ชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวภูมิฐานที่มาด้วย เขาแทบไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดการสนทนาแค่เดินตามเงียบๆ

“เอ่อ... พี่ครับ.... อันนี้รุ่นพี่ผมครับ อย่าหาเหาใส่หัวผมเลย แฟนมันดุจะตาย เดี๋ยวผมจะโดนฆ่าเอา!!” ไอซ์นำนิ้วชี้ขึ้นมาคาดปากพร้อมพูด

“นี่มึงกลัวอะไรกับเขาเป็นด้วยหรือวะ!?!” ต้นน้ำแปลกใจกับท่าทางของเพื่อน

“แฟนพี่ไม่ดุขนาดนั่นหรอกครับ แต่ก็อย่าไปแหย่รังแตนเลยก็แล้วกัน สงสารเจ้าไอซ์มันน่ะ” ชายที่นิ่งเงียบกลับพูดขึ้นมา พร้อมเสียงหัวเราะ ใบหน้าขาวใสน่ารักออกหวานแบบนั้นทำให้แม้แต่คนขายสินค้าประจำจุดยังเผลอยิ้มตาม เป็นคนมีเสน่ห์จริงๆ

“พี่...เอ่อ...” ทั้งๆที่เพิ่งแนะนำแต่ต้นน้ำกลับลืมชื่อไปเสียอย่างนั้น สมองของเขาไม่ถนัดจำชื่อผู้ชายจริงๆ

“กวีครับ พี่ชื่อกวี” เจ้าของใบหน้าสวยหวานตอบ ไอซ์มีอาการขวยเขินจนเก็บอาการแทบไม่อยู่เมื่อเจอกวียิ้มหวานใส่แบบนี้ ส่วนตัวต้นน้ำนั้นกลับรู้เสียเฉยๆ กับคนตรงหน้า รู้แต่ว่าน่าจะมีทั้งหญิงและชายมาติดพันเยอะแน่ๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วพี่กวีมาเดินอยู่กับไอ้เจ้าชู้นี่ได้ยังไงครับ?” ต้นน้ำถามต่อ จินไห่ได้ยิ้มตอบกลับไป เป็นคนพิการทางมนุษย์สัมพันธ์เหมือนเคย

“พี่มาฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์แถวนี้น่ะครับ แล้วบังเอิญไปเจอไอซ์เข้าก็เลยเดินคุยกันเรื่อยเปื่อย” กวีตอบเสียงใส

“แล้วทำไมพี่กลับมาฝึกงานที่นี่ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันบ้างเลยอ่ะครับ ตั้งแต่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพก็ไม่กลับมาทักทายบ้างเลยนะครับ!!” เสียงอ่อนเสียงหวานของไอ้ไอซ์ทำให้ต้นน้ำรู้สึกคลื่นไส้จนออกนอกหน้า แสดงสีหน้ารังเกียจเพื่อนตนเองที่ไม่เคยเห็นแสดงอาการแบบนี้กับใคร ต้นน้ำสงสัยว่าพี่กวีคนนี้คือรักแรกของมัน ที่ไอซ์เคยเล่าให้ฟังแน่นอน

จินไห่สังเกตุเห็นอาการของต้นน้ำที่ดูเสียมารยาทกับเพื่อนรุ่นพี่คนใหม่คนนี้ก็เลยกระแอมทัก จนกระทั่งต้นน้ำหยุดทำหน้าตาใส่เพื่อนสนิทของเขา

“ไอซ์ก็รู้ ชัยไม่ให้บอกน่ะสิ” กวียิ้มแห้งๆตาหยี

“เชอะ!” ไอซ์แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก

“อ๋อ... แฟนพี่น่ะ” กวีตอบต้นน้ำที่ทำสีหน้าสงสัย

“ใช่! คู่แข่งตลอดกาลของกู ทั้งเรื่องบาสฯ เรื่องหัวใจ!!” ไอซ์หันไปพูดกับต้นน้ำ

“หา!! งั้นก็....” ต้นน้ำ

“ต้นน้ำอย่าเสียมารยาท!” จินไห่พูดแทรกเตือนสติ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ไม่ได้ปกปิดอะไรครับ พ่อแม่ก็ทราบว่าคบกัน ความจริงก็รู้จักกันทั้งจังหวัดอยู่ช่วงหนึ่งด้วยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า” กวีตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

ต้นน้ำก็เคยได้ยินเหมือนกันเมื่อหลายปีก่อนเรื่องนักกีฬาสองโรงเรียนดังคบกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอตัวเป็นๆ แบบนี้

“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ผมอยากขอร้องพี่เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ?” ไอซ์พูดแทรกขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่

“ถ้ามันไม่รบกวนเรื่องฝึกงานก็ยินดีนะ” กวีตอบแบบลังเล

“ก็มีเรื่องให้ช่วยเรื่องสองคนนี้นิดหน่อยน่ะครับ!” ไอซ์ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์

“เกี่ยวอะไรกับกู!!??” ต้นน้ำสงสัย จินไห่ก็ทำหน้าสงสัยไม่แพ้กัน

“เออน่ะ รับรองช่วยมึงได้แน่นอน ศัตรูความรักของกูไม่ได้แค่ไอ้พี่ชัยที่เป็นแฟนของพี่กวีคนเดียวหรอก!!” กวีพูดอย่างร่าเริงแววตาฉายแววน่ากลัว

“หมายความว่าไง?” ต้นน้ำมีสีหน้าตกใจ

“เออน่า มึงยังไม่ต้องรู้หรอก!!” ไอซ์ตบหลังต้นน้ำเสียงดัง
ท่ามกลางความมึนงงของคนทั้งกลุ่ม

...............................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 11) 11 ม.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-01-2021 10:18:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 11) 11 ม.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-01-2021 20:37:26
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 12) 24 ม.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-01-2021 00:13:58
บทที่ 12

Sea sand sun and a bunch of chaos



 เฮ้อ.........

ต้นน้ำแอบผ่อนลมหายใจออกยาวที่ท้ายรถมินิคูเปอร์ของจินไห่ เขากำลังหยิบสัมภาระชิ้นสุดท้ายใส่ลงไปที่ท้ายรถคันใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นจินไห่ขับมันสักครั้ง พร้อมมองสิ่งของต่างๆ ของจินไห่ที่บรรจงใส่อย่างเป็นระเบียบที่มุมทางซ้าย ส่วนมุมทางขวาที่เขาบรรจงใส่นั้นแทบจะหาความเป็นระเบียบไม่ได้

สัมภาระของจินไห่มีความพร้อมระดับเกินร้อยจนดูไม่เหมือนโดนบังคับให้ไปทริปนี้ ข้าวของทุกอย่างล้วนซื้อใหม่พร้อมกับเขา จนทำให้เขาเริ่มกังวลและเวียนหัวขึ้นมาเสียแล้ว เพราะการที่จะต้องใส่เสื้อผ้าคู่เหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว เดินไปเดินมาด้วยกันมันคงจะอึดอัดกับสายตาทุกคนที่มองมาที่พวกเขาสองคน ปกติการเดินไปไหนมาไหนกับจินไห่ก็เป็นจุดเด่นมากพออยู่แล้วนับตั้งแต่ข่าวเรื่องนั้นมันแพร่กระจายออกไป อีกทั้งความเด่นเรื่องหน้าตาของจินไห่เองก็ดึงดูดสายตาทุกคนบวกเข้าไปอีก ต้นน้ำคิดว่าเขาคงจะอึดอัดมาก

ต้นน้ำคิดจบก็ปิดฝาท้ายรถลง ทำให้เขามองสภาพตัวเองในกระจก กางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาว เสื้อฮาวายลายต้นมะพร้าวบนพื้นสีเขียว รองเท้าแตะสีสดใส มันดูดีมากๆ จนเขาแอบภูมิใจในความเป็นเดือนมหาวิทยาลัยของเขา แต่หลังจากเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังสั่งงานต่างๆ ในช่วงที่ไม่อยู่กับผู้จัดการร้านของเขา ก็ทำให้ต้นน้ำมีอาการปวดหัวเล็กน้อย เพราะเสื้อผ้าที่จินไห่ใส่มันเหมือนกันแป๊ะ (ก็ซื้อมาพร้อมกัน เลือกและแนะนำโดยไอ้เพื่อนตัวแสบที่พูดทิ้งท้ายแปลกๆไว้เมื่อหลายวันก่อน บังคับให้มันเฉลยมันก็ใจแข็งเหลือเกิน)

“พร้อมหรือยัง? พี่โน่ส่งพิกัดมาให้ทางไลน์แล้วนะว่าให้ไปเจอกันที่ไหน จะได้ไปเริ่มเดินทางพร้อมกัน” จินไห่ที่ออกอาการตื่นเต้นทางใบหน้าเล็กน้อย ส่งยิ้มมาให้ต้นน้ำที่ยืนรออยู่ข้างรถอย่างเก้ๆกังๆ

รอยยิ้มภายใต้ใบหน้าที่ตื่นเต้นแบบเด็กน้อยที่เก็บอาการบวกกับเสื่อผ้าที่แปลกตา ทำให้ต้นน้ำมีอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนต้องหลบตาอีกฝ่าย

“เป็นอะไร โกรธที่พี่ทำให้อึดอัดหรือเปล่า?” จินไห่ถามเมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายแปลกไป

“ไม่ครับ รีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวสายแล้วมันจะร้อน” ต้นน้ำก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มันอธิบายไม่ถูก เวลาอยู่ใกล้จินไห่เขาจะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ จนตัวเขาเองก็เริ่มที่จะรู้สึกรำคาญแล้ว

ใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาถึงจุดหมายที่นีโน่นัดไว้เพื่อเริ่มออกเดินทางพร้อมกัน เป็นปั้มน้ำมันยี่ห้อดังที่อยู่ไม่ไกลตัวเมืองเท่าไหร่นัก เพียงแค่หักเลี้ยวเข้าไป พวกเขาก็พบคนที่นัดหมายพวกเขาทันที เพราะทั้งนี่โน่และเสี่ยวหยู๋นั้น แต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดไม่แพ้กัน แต่แนวทางในการแต่งกายช่างแตกต่างเหมือนไม่ได้นัดกันมา

“สวัสดีครับ ขอโทษครับที่มาช้า” จินไห่ยกไหว้อย่างสุภาพ นีโน่เองก็ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไร อีกทั้งยังเดินมายกมือเกาะไหล่อีกฝ่ายสนิทสนม

ด้วยความที่นีโน่มีส่วนสูงเพียง 168 เซ็นติเมตร ทำให้การยืนเกาะบ่าอีกฝ่ายที่สูงเกิน 180 เซ็นติเมตร จึงเป็นท่าทางที่ตลกในสายตาต้นน้ำไม่น้อย แต่ก็ทำได้เพียงหัวเราะในใจ

“ผมก็ว่ายังไม่ถึงเวลานัดหมายนะ ไม่เห็นจะต้องขอโทษขอโพยอะไร” ต้นน้ำพูดขึ้นมาลอยๆ ตามประสาเด็กแสบ แต่ก็ไม่รอดหูทิพย์ของนี่โน่ไปได้

“เขาเรียกว่ามารยาทน่ะ มารยาท การที่คนอาวุโสกว่าต้องมารอผู้น้อย การขอโทษก็ไม่เรื่องเสียหายอะไร!!” นี่โน่ที่เถรตรงเดินไปพูดต่อหน้าต้นน้ำด้วยแววตาเกรี้ยวกราด

ฝ่ายต้นน้ำที่เริ่มมีความอดทนต่ำกับสถานการณ์แบบนี้ จึงเผลอใส่รังสีอำมหิตลงในแววตาและจ้องกลับ จนจินไห่ต้องเดินมาชวนกินอาหารเช้าง่ายๆ อย่างแซนด์วิชที่เขาเตรียมมาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ นี่โน่จึงยอมถอยเพราะเห็นแก่จินไห่

หลังจากต้นน้ำเริ่มใจเย็นลงจึงคิดขอบคุณจินไห่ที่เข้ามาขวางทัพ เขาลืมไปว่า คนตัวเล็กคนนี้น่ากลัวแค่ไหน

หลังจากนั้นไม่นานนีโน่ก็ชี้พิกัดในแผนที่ให้จินไห่และต้นน้ำเดินทางไปตามที่จีพีเอสแนะนำ

การเดินทางหลายชั่วโมงสำหรับต้นน้ำเป็นเรื่องน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด การที่เขาต้องนั่งอยู่ในพื้นที่จำกัดเป็นเวลานานๆ แบบนี้มันน่าเบื่อมาก การที่แม้แต่เล่นเกมในโทรศัพท์ตนเอง หรืออ่านหนังสือการ์ตูนที่นำมาด้วยก็ไม่ได้ มันทำให้เขาได้แต่ผ่อนลมหายใจออกแรงๆ ให้คนขับรถที่นั่งข้างเขาได้ยิน เพราะคนขับคนนี้นี่แหละที่พยายามห้ามไม่ให้เขาทำอะไรสักอย่างนอกจากนั่งอยู่เฉยๆ โดยจินไห่มักจะบ่นใส่เขาว่า เสียสายตาบ้าง เดี๋ยวเวียนหัวบ้าง เดี๋ยวปวดหัว จนเขายอมวางทุกอย่างและนั่งมองทิวทัศน์ภายนอกที่วิ่งมาปะทะสายตาไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย วิทยุที่เปิดเพลงตามใจผู้จัดซึ่งไม่ใช่แนวของต้นน้ำ ยิ่งทำให้เขาเบื่อหน่ายมากกว่าเดิม เพลงที่ไม่เคยได้ยินบวกกับทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคยทำให้ดวงตาของต้นน้ำอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด ไม่นานเขาก็วูบเข้าสู่ความมืดมิด

............

“อ้าว! ต้นน้ำ” เสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นจนเจ้าของชื่อต้องหันไปมอง

ต้นน้ำที่รู้สึกตัวอีกทีก็มาเดินเรื่อยเปื่อยในสวนป่าหลังบ้านตนเองเสียแล้ว เขารู้สึกเบื่อๆเซ็งๆกับการคบกับแฟนคนใหม่ของเขาที่เจอกันช่วงโดนรับน้อง  เขาไม่คุ้นเคยกับการจีบคนอายุมากกว่า ที่คอยแต่เรียกร้องความสนใจจนต้องทะเลาะกันหลายครั้ง สุดท้ายเขาก็จบลงที่การมาเดินทอดน่องในพื้นที่ส่วนตัวผืนนี้ จนมาพบกับชายหน้าตี๋ข้างบ้านที่ย้ายมาอยู่ใหม่ได้สักพัก

“สวัสดีครับ..... พี่...... ผมควรจะเรียกชื่อไทยหรือชื่อจีนพี่ดีครับเนี่ย?” ต้นน้ำเกาหัวยิ้มกลับ

“แล้วแต่เรา.... แต่ชื่อไทยพี่ก็ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่” คนที่บรรจงพูดไทยให้ชัดถ้อยชัดคำตอบกลับมา

“งั้นชื่อจีนดีกว่า ผมรู้สึกว่ามันคูลกว่าเยอะเลย ชื่อไทยพี่มันธรรมดาจะตายไป!” ต้นน้ำตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

“แต่....ชื่อไทยคุณย่าพี่เป็นคนตั้งให้นะ” ชายคนนี้ทำให้ต้นน้ำรู้สึกผิดได้ทุกประโยคที่พูด

“เอ่อ...... ขอโทษครับ ผม.... ไม่ได้ตั้งใจ” รอยยิ้มร่าเมื่อสักครู่หายไปจากหน้าเขาจนหมด

“ไม่เป็นไรๆ เอาที่เราถนัดก็ได้ พี่โอเค” ชายหนุ่มเพื่อนบ้านตอบกลับมาด้วยท่าทีไม่ถือสา ทำให้ต้นน้ำใจชื้นขึ้นมา

“งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่จินไห่ ดีกว่า มันดูคูลกว่าอย่างที่บอก” พูดจบเขาก็ยกนิ้วโป้งชูขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นชัดเจน

“อืม..... ดูห่างเหินไปหน่อยนะ....” จินไห่พูดเสียงอ่อนและเดินอาดเข้ามาใกล้จนเกือบถึงตัวต้นน้ำ

“หา!! อะไร? ยังไง? พี่!! ก็เราไม่ได้สนิทขนาดนั้น!” ต้นน้ำเริ่มรู้สึกขนลุกกับแววตาที่อีกฝ่ายส่งมา มันดูเย็นวาบเหมือนเสือกำลังจะกินเหยื่อ

“เรียกพี่ว่า พี่ไห่ ก็พอ!” สองมือที่ลวดเร็วของคนผอมสูงตรงหน้าคว้าหมับเข้าที่เอวและกระชับทั้งสองคนเข้าใกล้จนเนื้อแนบเนื้อ ใบหน้าตี๋หล่อเกลี้ยงเกลาโน้มเข้ามาใกล้หลังจากพูดจบประโยค

“เฮ้ยๆๆๆๆ เดี๋ยวๆๆๆๆ เฮ้ย! พี่จินไห่!!” ต้นน้ำโวยวายสุดเสียง สองมือของเขาวาดซ้ายขวาไปทั่ว

“ต้นน้ำๆ ตื่นๆ!!” ฝ่ามืออุ่นจับที่ท่อนแขนนักกีฬาของเขาอย่างพอดีมือพร้อมเขย่าแรงๆ

ต้นน้ำลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองยังอยู่บนรถของจินไห่แต่ตอนนี้มันไม่ได้วิ่งอยู่บนทางหลวงแล้ว มันจอดนิ่งอยู่ที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง

“พี่จินไห่.....” ต้นน้ำมองคนที่จับท่อนแขนเขาแน่น แววตาเป็นห่วง

“เป็นอะไร ละเมอเหรอ? พี่ไม่เคยเห็นเราละเมอเลยนะ” จินไห่ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ไม่มีอะไร ฝันร้ายนิดหน่อย สงสัย..... เครียดเรื่องไปเที่ยวด้วยกันมากไปหน่อย” ต้นน้ำปรับท่านั่งตัวเองและตบหน้าตนเองเบาๆเพื่อให้ตื่น

“พี่....ขอโทษที่ทำให้เครียด.....” จินไห่สีหน้าหมองลงทันตา

“ไม่เป็นไรครับ เรารู้จักกันมานาน แค่นี้เอง อีกอย่างผมก็ได้เงินด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วงครับพี่จินไห่” ต้นน้ำฝืนยิ้มทั้งที่ยังรู้สึกมวนๆ ท้องอยู่เลย

“เคยบอกแล้วไง ให้เรียกพี่ไห่น่ะ!” จินไห่ใช้มือขยี้ศรีษะอีกฝ่ายแล้วยิ้มให้เมื่อเห็นต้นน้ำสีหน้าดีขึ้น

เชี้ย!! หลอนฉิบหาย!! ต้นน้ำคิดในใจ

“งั้นผมขอไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยนะครับ!!” พูดจบเขาก็วิ่งลงจากรถไป

.......


รถของจินไห่เข้ามาจอดที่ท่าเรือข้ามฝากโดยมีนีโน่และเสี่ยวหยู๋ยืนรออยู่ นีโน่เป็นผู้ชายตัวเล็กที่ดูมีความคูลแบบผู้ใหญ่ เขายิ้มรับทันที่ที่เห็นรถของจินไห่เข้าสู่คลองสายตา แต่หญิงสาวสวยเฉี่ยวอีกคนกลับทำสีหน้าตรงกันข้าม ใบหน้าเธอประดับด้วยรอยปากบูดบึ้งและไม่พอใจที่เห็นอีกฝ่ายเพิ่งมา

ไม่รู้ว่าอย่างนี้ที่เรียกว่า ‘ศรศิลป์ไม่กินกัน’ หรือเปล่า? (ประโยคที่ต้นน้ำจำได้จากบันทึกเล่มนั้น เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเห็นใบหน้าที่เอาแต่ใจของหญิงสาวอดีตแฟนของจินไห่ และยิ่งเห็นใบหน้าของจินไห่ที่ดูใส่ใจกับอาการหงุดหงิดของสาวเจ้า ต้นน้ำก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งเธอดู ไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเป็นสาวสวยคนอื่น ต้นน้ำคงกำลังคิดหาวิธีเอาอกเอาใจมากกว่าคิดหาวิธีแกล้งแบบนี้

สงสัยคงถูกไอ้ไอซ์มันเสี่ยมมากไปหน่อยเลยติดนิสัยคนอย่างมันมาด้วย

หลังจากลงมาจากรถหอบหิ้วสัมภาระลงมาเรียบร้อย ต้นน้ำก็เริ่มแผนที่คิดได้สดๆ ตอนนั้นทันที

เขาเริ่มจากการขยับสัมภาระไปมา แกล้งทำเป็นหอบหิ้วและเดินไม่สะดวก จนคนที่มีสัมภาระมากกว่าเขาหันมาช่วยเหลือ ต้นน้ำไม่ปฏิเสธและหันไปอมยิ้มใส่สาวอารมณ์เสียที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล หลังจากพอที่จะมีมือว่าง ต้นน้ำก็จัดการควงแขนอีกฝ่ายและกางร่มกันแดดให้ด้วยท่าทีเหมือนคนรักที่รักกันหวานชื่น ทั้งหมดทำไปเพื่อให้เสี่ยวหยู๋หงุดหงิดมากกว่าเดิม

ต้นน้ำไม่รู้หรอกว่าเสี่ยวหยู๋มีแผนอะไร แต่ตอนนี้เขาขอทำแต้มนำไปก่อน เผื่อว่าทางนั้นเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทวงจินไห่คืนจะได้รีบกลับไปก่อนกำหนด แต่ติดที่พี่นีโน่นี่แหละที่น่าจะกัดไม่ปล่อย แต่เอาไว้คิดทีหลัง

ต้นน้ำสังเกตสีหน้านีโน่ นอกจากที่นีโน่จะไม่สนใจแล้ว ยังส่ายหน้าเหมือนกำลังเวทนาเขาอีกต่างหาก ต้นน้ำได้เก็บอาการไว้ในใจและเล่นใหญ่ต่อไป ทั้งที่ตอนนี้เขากำลังตกเป็นเป้าสายตาให้คนทั้งบริเวณ อายนะแต่ก็คิดในใจว่า ไม่มีใครรู้จักเราแน่นอน

นีโน่จัดการเรื่องการข้ามฟากไปที่เกาะเป้าหมาย ฝากรถไว้ที่นี่และนั่งเรื่องข้ามฝากไป นี่โน่แจ้งว่าเดี๋ยวจะมีรถตู้จากรีสอร์ทมารับ

ในขณะที่เรือกำลังเล่นอยู่กลางทะเลอยู่นั้น นีโน่พยายามเดินมาชวนเพื่อแยกให้จินไห่ไปกับเขา แต่เหมือนจินไห่รู้ทันก็พยายามบ่ายเบี่ยงจนต้นน้ำรู้สึกรำคาญ เขาไม่กล้าขัดใจนีโน่เท่าไหร่ เพราะไม่อยากเพิ่มโจทย์อีกข้อหากับอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นกลับไปคราวนี้ เขาคงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก ดังนั้นเขาจึงได้บอกกับจินไห่ไปล่วงหน้าว่า
‘พี่จัดการพี่นีโน่เองนะ ผมถูกจ้างให้ดูแลแค่ฝั่งพี่หยู๋’ จินไห่พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินทาง

“เออ!! จริงสิ เมื่อครู่พี่เจอเพื่อนเก่าพี่ด้วย มันเป็นคนดูแลสะพานปลา มันอาจจะหาของดีของสดให้ร้านเราได้นะ ไปคุยกันไหม?” นีโน่เดินมาคุยอีกครั้ง คราวนี้น่าจะเตรียมตัวมาดี

ในที่สุดจินไห่ก็ทนการรบเร้าของนีโน่ไม่ได้จึงต้องยอมตามอีกฝ่ายไป ส่วนต้นน้ำทำได้แค่พยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ ในขณะที่ต้นน้ำเองก็จับตาดูเสี่ยวหยู๋ที่เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของทะเลยามบ่าย ท่ามกลางสายตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่หมายจะเข้าไปทักทายคนสวยที่โดดเด่นไม่แพ้ใครบนเรือข้ามฟาก ส่วนหนุ่มๆที่มีเจ้าของต่างก็ได้แต่เพียงแอบจ้องมองเท่านั้น

ร่างสูงของแฟนกำมะลอของต้นน้ำหายลับตาไปเพียงไม่นาน คลองสายตาของเขาก็ถูกบดบังด้วยมือปริศนา

“ไอ้ไอซ์กูไม่เล่น!!!” ต้นน้ำทักขึ้นเสียงเข้ม

“เชี้ย!! มึงรู้ได้ยังไงวะ?” เจ้าของเสียงที่มีท่าทางผิดหวังโวยเบาๆ พร้อมปลดมือที่ปิดบังทัศนะของอีกฝ่ายลง

“มือสากๆ ที่เล่นแบบนี้ มีมึงคนเดียว!!” ต้นน้ำตอบและมองตามอีกฝ่ายที่กำลังลงมานั่งข้างๆ เขา

“ที่นี่ไม่ใช่ที่มหาวิทยาลัยนะ มึงจะได้เดาง่ายขนาดนั้น!!” ไอซ์ที่ทำหน้าผิดหวังบุ้ยปากชัดเจน

“เดาไม่ยากไหมวะ? ก็มึงเล่นซักกูเสียละเอียด ว่ากูจะไปไหน เมื่อไหร่ แถมบอกทิ้งท้ายว่าคิดแผนแก้เผ็ดได้แล้ว เดาไม่ยากไหมวะว่ามึงจะตามกูมา” ต้นน้ำอธิบายยาวด้วยใบหน้าที่แสนภูมิใจที่เดาแผนเพื่อนได้ส่วนหนึ่ง

“ที่แท้มึงก็ไม่ได้โง่นี่หว่า!!”  ไอซ์สวนกลับมาด้วยรอยยิ้มคมคาย

“เอ้า!! แน่นอนดิวะ!!” ต้นน้ำกล่าวอย่างภูมิใจ

“แต่กับเรื่องพี่จินไห่นี่มึงนี่กลับไม่ฉลาดเลยนะ!!”  ไอซ์พูดเปรยเบาๆกับตนเอง

“เมื่อกี้มึงพูดว่ายังไงนะ?!?” ต้นน้ำหันควับ

“ไม่มีอะไรกูก็แค่… บอกว่า มึงจะรู้แผนกูแค่ไหนเชี่ยว?” ไอซ์ตอบอย่างอึกอัก

“เออ… นั่นสิ มึงมาด้วยแบบนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรวะ มีแต่จะเพิ่มภาระให้กู เพราะมึงเองก็ใช่ว่าพี่นีโน่เขาจะชอบ มึงเคยจีบคนๆเดียวกับเขานี่!!” ต้นน้ำคิดได้

“มึงดูถูกกูมากเกินไป!! ตามมานี่สิเดี๋ยวมึงจะรู้!!” ไอซ์ลุกขึ้นและพูดท้าทาย

เดินตามไอซ์ไปเพียงไม่กี่นาที เขาก็พบว่านี่โน่และจินไห่กำลังคุยอยู่กับคนที่เขาคุ้นหน้า ชายหนุ่มที่มีออร่าสว่างไสวที่สุดบนเรือข้ามฝาก ใบหน้าที่เรียวสวย ผิวพรรณที่สดใส ขาวสว่างอย่างสุขภาพดี รูปร่างดีสูงโปร่งและการแต่งกายที่ดูมีรสนิยม เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ขนาดที่ต้นน้ำเป็นคนที่มั่นใจในหน้าตามาก เขายังรู้สึกยอมแพ้ผู้ชายคนนี้

ที่สำคัญ ใบหน้าที่จริงจังของนี่โน่กลับดูอ่อนโยนลงอย่างน่าตกใจว่าผู้ชายคนนี้มีมุมแบบนี้ด้วยหรือ

“นี่มัน......” ต้นน้ำกำลังพยายามนึกชื่อผู้ชายที่มีออร่าท่วมท้นคนนั้น

“พี่กวี... ทายาทห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด คนที่กูแนะนำให้มึงรู้จักก่อนหน้านี้ไง!” ไอซ์เฉลย

“อย่าบอกนะว่านี่คือแผนของมึง เอาผู้ชายหน้าตาดีมาล่อให้พี่นี่โน่ออกห่างจากพี่ไห่?!? มันไม่ดูตื้นไปหน่อยเหรอวะ พี่โน่น่าคนที่เลือกคู่ควงคู่นอนหน้าตาดีแค่ไหนก็ได้ จะมาหลงกลของแค่นี้หรือวะ?!?” ต้นน้ำแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนนี้

“กูรู้ แต่คนนี้พิเศษ! ไม่เชื่อมึงก็ลองดูท่าทีของพี่นีโน่ดีๆสิ” ไอซ์อธิบายเพิ่มอย่างมั่นใจ

“อืม..... ท่าทีของไอ้นักเลงตัวเล็กนั่นมันก็แปลกไปจริงๆ .....หรือว่า!?!” ต้นน้ำเหมือนนึกอะไรออก

“เออ!!” ไอซ์แค่พยักหน้าเสริม

“ข่าวลือที่ว่ามึงเคยจีบคนๆเดียวกับพี่นีโน่ ก็คือคนนี้!! เฮ้ย! เรื่องจริงเหรอวะ? แต่ได้ข่าวว่ากินแห้วคู่เลยนิ!” ต้นน้ำระลึกได้จึงพูดออกมา

“เชี้ย!! ประโยคสุดท้ายไม่ต้องพูดก็ได้!! เป็นไงแผนกู!” ไอซ์ยกนิ้วโป้งขึ้นมาเสมออกและยิ้มกว้าง

“เออ กูยอมรับก็ได้ว่ามึงเทพ! แต่มึงทำยังไงให้พี่เขามาได้วะ ได้ข่าวว่า แฟนพี่เขาแม่งโคตรดุ!!” ต้นน้ำซุบซิบกลับ พร้อมเหลือบไปมองกวีที่เป็นเสมือนบุรุษที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา รูปหล่อ บ้านรวย เรียนเก่ง หากเขามีแฟนสมบูรณ์แบบขนาดนี้จะไม่ปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดียวแน่นอน

“กูแค่เล่าความจริงกับพี่เขา แค่นั้นเขาก็ยอมช่วยแล้ว พี่เขาน่ารักจะตาย” นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเรื่องจิตใจดีอีก สมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว ต้นน้ำคิดในใจขณะที่ฟังไอ้ไอซ์เพื่อนเขาบรรยายถึงคนมาช่วยเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงว่าไอ้ไอซ์ก็ยังดูมีหวังกับพี่กวีอยู่แน่นอน

“เล่าที่กูแกล้งเป็นแฟนพี่ไห่น่ะนะ สัด!! กูบอกแล้วไงว่าอย่า...” ต้นน้ำเริ่มโวยเพื่อน

“เชี้ย เดี๋ยวก่อน!! กูไม่ได้บอกแบบนั้น!!” ไอซ์รีบขัดขึ้นก่อนที่ต้นน้ำจะจบประโยค

“อ้าว!! แล้วมันมีความจริงแบบไหนอีกวะ!!” ต้นน้ำสวนทันควัน

“เออน่า!! สัด!! กูช่วยมึงอยู่นะอย่าเรื่องมากได้ไหม?” ไอซ์เริ่มรู้สึกรำคาญไอ้เพื่อนขี้โวยวายคนนี้จึงรีบตัดจบ

หลังจากจบประโยคของไอซ์ ต้นน้ำก็สังเกตุเห็นพี่กวีชี้มาทางจุดที่เขายืนอยู่ เขาสังเกตุเห็นแววตาอำมหิตจากพี่นีโน่วาบหนึ่งมาทางเขาก่อนที่จะกลับไปเป็นปกติเพื่อคุยกับพี่กวีต่อ

ขนลุกชูชัน ต้นน้ำรู้สึกแบบนั้น ท่าทางเขาจะใช้ชีวิตลำบากในภายภาคหน้าแน่นอน ผิดกับไอ้ไอซ์ เพื่อนสนิทคิดชั่วที่ยืนยิ้มอย่างมีความสุขข้างๆ

............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 12) 24 ม.ค. 21 ต่อ
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-01-2021 00:15:51
ในที่สุดทุกคนก็ได้เดินทางมาถึงรีสอร์ตเป้าหมาย บรรยากาศดีริมหาดทรายส่วนตัวขนาดไม่กว้างใหญ่มากแต่มีความเป็นส่วนตัวสูง ทุกคนรู้สึกคุ้มค่ากับการเดินทางไกลจากท่าเรือข้ามฝากผ่านถนนที่เกือบจะเรียกได้ว่าทุระกันดานกว่าจะมาถึงจุดหมายปลายทาง
แผ่นน้ำสีฟ้าอ่อนที่ส่องกระทบแสงแดดยามบ่ายไล่ยาวไปจนสุดสายตาจนไปจรดกับแผ่นฟ้า ที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยวางเรียงรายอย่างไร้ระเบียบ มันทำให้ทุกคนรู้สึกจิตใจสงบเผลอยืนมองจนลืมไปว่าทุกคนต้องไปจัดการเช็คอินเสียก่อน

โดยเฉพาะแววตาและรอยยิ้มที่สดใสของจินไห่ เขาเหม่อมองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างลืมตัว วงหน้าภายใต้ฟ้าครามและแสงที่สะท้อนผืนทรายขึ้นมาทำให้คนๆ นี้มีเสน่ห์อย่างอธิบายไม่ถูก แม้แต่ต้นน้ำยังรู้สึกว่าเพลิดเพลินกับรูปลักษณ์ตรงหน้า เขาคิดว่าหากมีดินสอกับกระดาษ เขาอยากจะวาดมันเก็บไว้ มันสวยมากๆ

ต้นน้ำคิดมาถึงตรงคำว่า ‘สวย’ เขาก็สะดุดและออกจากภวังค์ตรงหน้า เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมองว่ารูปลักษณ์ตรงหน้าว่า ‘สวย’

“สวยว่ะ คิดถูกติดตามมา!!” เสียงเพื่อนสนิทที่มาพร้อมกับการเดินมาเกาะไหล่เขาจนเขาหยุดคิดถึงความรู้สึกแปลกตรงหน้า

“สวยพ่อง!! ทำไมมึงถึงมาที่เดียวกับกูได้วะ ไหนว่าที่นี่มันเป็นรีสอร์ตที่พี่นีโน่เป็นหุ้นส่วน พวกมึงไม่น่าจองได้โดยที่ไอ้พี่นี่โน่ไม่รู้!?!” ต้นน้ำรีบถามเรื่องที่ตนสงสัยมาตั้งแต่ตอนนั่งรถมาที่นี่

“มึงคิดว่าหุ้นส่วนอีกคนน่ะใคร? ก็พ่อของพี่กวีไง!! บอกแค่นี้คงรู้นะ” ไอซ์ตอบอย่างเจ้าเล่ห์

“เชี้ย!! รวยเชี้ยๆ!!” คำเดียวที่ต้นน้ำนึกออก

“น้องๆ รีบไปเช็ดอินเถอะ จะได้ไปจัดของเข้าที่พักกัน” เสียงอ้อนหวานของหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มดังขึ้นไม่ไกล

“มึง! ทำไมไม่เหมือนที่มึงเล่าให้กูฟังเลยวะ!!” ไอซ์ซุบซิบใส่หูต้นน้ำ พร้อมตอบรับเสี่ยวหยู๋ไป

“กูก็งง เห็นเริ่มเป็นมิตรกับกูตั้งแต่เหยียบถึงพื้นดินของเกาะแล้ว!” ต้นน้ำซุบซิบกลับ พร้อมพยักหน้าตอบสาวสวยที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“วิวสวยใช่ไหม!” เสี่ยวหยู๋เดินมาใกล้และมองที่จุดเดียวกับที่ต้นน้ำเหม่อมองอยู่เมื่อครู่

ไอซ์เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ เขาก็เลยขอตัวไปดูแลพี่กวีที่เขาพามา ซึ่งขณะนี้กำลังพูดคุยสนุกปากกับพี่นีโน่ที่แทบจะไม่สนใจจินไห่เลยนับตั้งแต่นาทีที่นีโน่เจอกวี

“อ่าครับ” ต้นน้ำพยักหน้าตอบปนอาการอึดอัดวางตัวไม่ถูก

“ท้องทะเลสีทองตรงหน้า มันมีเสน่ห์มากเลยเนอะ จนอยากครอบครอง พูดถึงพี่ก็โง่นะที่ปล่อยให้หลุดมือไป” เสี่ยวหยู่เปรยขึ้นมาและยิ้มมาที่ต้นน้ำ ที่ทำสีหน้างงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก

“พี่ไห่คะ ไปที่พักกันก่อนไหมคะ ช่วงเย็นหายเหนื่อยแล้วค่อยมาทำบาร์บีคิวอาหารทะเลกัน” เสี่ยวหยู๋ตะโกนให้จินไห่ได้ยินเพื่อชักชวน แล้วทุกคนก็ไปเช็คอินเข้าที่พักและแยกย้ายไปตามห้องพักที่กำหนดไว้

............

หลังจากมาถึงที่พักสุดหรูหราซึ่งเป็นบ้านทรงสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสีขาวสลับน้ำเงินอ่อน ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่ายสไตล์บ้านริมหาดที่มีลายสัตว์น้ำตกแต่งอย่างพอดีและลงตัว ในตัวบ้านหลังนี้ประกอบด้วย 2 ห้องนอน มีห้องน้ำในตัวและมีหนึ่งห้องรับแขกที่เป็นพื้นที่สันทนาการตรงกลางและห้องครัวที่ยื่นออกไปนอกตัวบ้านทางด้านหลังแสนกว้างขวาง ที่ด้านข้างของบ้านมีสระว่ายน้ำและสระน้ำผุดขนาดย่อมสำหรับลงเล่นน้ำได้สี่ถึงห้าคนแบบสบายๆ ไม่อึดอัด

ต้นน้ำโยนกระเป๋าลงข้างเตียงขนาดควีนไซส์อย่างเหนื่อยหน่าย ใครจะไปคิดว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในที่พักหลังเดียวกันแบบนี้ ถึงห้องนอนจะอยู่คนละปีกและพื้นที่ส่วนใหญ่มันเป็นพื้นที่ส่วนรวมทั้งหมด ยกเว้นห้องนอนที่แค่เดินห้าก้าวจากอีกฟากก็ไปถึงอีกฟากหนึ่งไม่ยาก แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ตลอดเวลา ต้นน้ำต้องแสดงเป็นแฟนของจินไห่แบบเนียนๆเกือบ 24 ชั่วโมงต่อวัน

“เฮ้ออออออ” ต้นน้ำล้มตัวลงนอนพร้อมถอนหายใจ พลางรู้สึกได้เลยว่าเตียงนี้มันเล็กขนาดไหน ลำพังแต่ตัวเขาลงนอนก็เกินครึ่งเตียงแล้ว มันไม่น่าจะบรรจุผู้ชายร่างยักษ์สองคนได้ นอกจากจะนอนชิดติดกัน

“ถอนหายใจเสียงดังแบบนี้ พี่โน่ได้รู้สึกเสียใจหรอก เขาจะนึกว่าต้นน้ำไม่ชอบที่พี่เขาจองให้นะ!” จินไห่เดินเข้าพร้อมสัมภาระและรีบปิดประตูล็อกห้อง

“โทษครับ” ต้นน้ำเห็นอีกคนเข้าห้องมาก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที เขาขยับตัวไปอีกทางเล็กน้อยเผื่อที่สำหรับแฟนกำมะลอของเขาจะได้นั่งพัก

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน จะได้ออกมาจัดของ พี่โน่เขาเตรียมอาหารทะเลสดไว้รอปิ้งย่างแล้ว ให้เวลาเราจัดการเรื่องส่วนตัวแค่ชั่วโมงเดียวเองนะ” จินไห่เดินไปค้นผ้าเช็ดตัวออกจากกระเป๋า ซึ่งทำได้อย่างง่ายดาย หากเป็นเขาคงใช้เวลาตามหาหลายนาที

“มาเที่ยวนะครับไม่ใช่เข้าค่าย” ต้นน้ำฮึดฮัดมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ

“เอาน่า.... พี่แกก็แบบเนี่ยแหละ... มีระเบียบวินัยแบบสุดๆ ไปเลย ว่าแต่..... มาอาบน้ำด้วยกันไหม? จะได้มีเวลาพักมากขึ้น” จินไห่ชวนหน้าตาย

“เฮ้ย!! จะบ้าเรอะพี่!!” ต้นน้ำรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า ล้อเล่นน่า แต่ผู้ชายด้วยกันไม่น่าอายนะ” จินไห่พูดจบก็ถอดเสื้อให้เห็นผิวขาวภายใต้ร่มผ้าที่ตัดกับสีผิวส่วนที่พ้นร่มผ้าอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ผิวไวต่อแดดพอควร มันยิ่งเน้นให้เห็นว่าส่วนที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าที่เผยออกมานั้นมันขาวขนาดไหน ความละเอียดของผิวพี่ชายตรงหน้าทำให้ต้นน้ำเผลอมองอย่างละสายตาไม่ได้

“มันไม่จำเป็นต่างหาก!!” ต้นน้ำหลบหน้าคนที่หัวเราะกับอาการแปลกๆ ของเขา

ความจริงเขาไม่ควรจะมาเสียอาการกับผู้ชายแบบนี้นี่หว่า ต้นน้ำคิด

“เออๆ งั้นพี่อาบน้ำก่อนนะ” จินไห่ยิ้ม

“เชิญครับ!!” ต้นน้ำพูดเสียงดังแบบไม่มองอีกฝ่ายพร้อมล้มตัวลงนอนลงบนที่นอนที่แสนนุ่มสบาย

.............

“ต้นน้ำๆ ตื่น” เสียงดังจากความมืด เสียงของพี่จินไห่ดังขึ้นจากที่ไม่ไกล ต้นน้ำคงเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อย

“พี่โน่มาเรียกไปปาร์ตี้บาร์บีคิวแล้ว ตื่นได้แล้ว!” เสียงจินไห่ดังกังวาลไปทั่วโสตประสาท ต้นน้ำค่อยๆลืมตาขึ้นมาพบเงาร่างหนึ่งตรงหน้า หลังจากดวงตาปรับความชัดจนแน่ใจว่าเป็นจินไห่ที่นอนอยู่ขนาบข้างชนิดแนบเนื้อ ต้นน้ำจึงตกใจตัวลอยเด้งขึ้นมานั่งทันที

“พี่ทำอะไร?” ต้นน้ำมีท่าทีลนลาน ปาดเหงื่อ

“พี่แค่ปลุก” จินไห่ตอบด้วยอาการอมยิ้ม

“ปลุก? แล้วทำไมต้องมาอยู่ใกล้กันขนาดนี้ด้วย!!” ต้นน้ำชี้ไปที่ชายหนุ่มในเสื้อใส่สบายที่ตอนนี้นอนเอกเขนกบนที่นอนเดียวกับเขา

“อันนี้น่าจะเป็นคำถามพี่มากกว่านะ เพราะนอกจากต้นน้ำจะหลับสนิท ไม่ยอมไปอาบน้ำแล้ว พอพี่นอนตื่นมาก็เห็นน้องมานอนกอดพี่แน่นเลย” จินไห่พูดจบก็ลุกขึ้น เขามองไปที่ต้นน้ำด้วยรอยยิ้มแบบขบขัน

“ไม่จริงน่ะ ผมจะไปกอดพี่ทำไม?” ต้นน้ำพูดจบก็วิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำไป เหลือไว้แต่เสียงหัวเราะของจินไห่ที่ขบขันอาการแปลกของน้องชายหลังบ้าน

ต้นน้ำที่ปิดประตูยืนกุมขมับตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดได้ว่ามันคงจะจริงทีเดียว เพราะสัมผัสมือตอนตื่นมัมไม่ใช่หมอนแน่ๆ ทำไมเขาถึงได้ทำเรื่องน่าอายแบบนี้ และไอ้อาการสาวน้อยแบบนี้มันคืออะไร?!? เขาตบหน้าตัวเองเรียกสติและรีบเข้าไปอาบน้ำทันที

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ต้นน้ำก็เดินออกมาพร้อมกับจินไห่ เขาพบว่า นีโน่ได้เตรียมอุปกรณ์ในการปิ้งย่างเรียบร้อยแล้ว โดยสวมผ้ากันเปื้อนลายหวานแหววผิดกับลักษณะนิสัยของนีโน่โดยสิ้นเชิง จนจินไห่เองอดที่จะหัวเราะกับภาพที่เห็นไม่ได้

“ไม่ต้องมาหัวเราะ มาช่วยพี่เลย! หากน้องหยู๋ไม่เตรียมให้พี่ก็ไม่ไส่หรอกนะ!!” นีโน่โวย

“น่ารักดีนะคะ” เสี่ยวหยู๋พูดขึ้นพร้อมหัวเราะในคอ ต้นน้ำรู้สึกว่าวันนี้ผู้หญิงคนนี้เหมือนผีเข้า ลักษณะนิสัยต่างกับก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว ต้นน้ำทำหน้าเหวอจนจินไห่สังเกตได้

“จริงๆ เสี่ยวหยู๋ก็เป็นน่ารักประมาณนี้แหละ” จินไห่กระซิบ

‘ผู้หญิงน่ะมีหลายร่างน่ะสิ พี่ไห่นี่อ่อนต่อโลกผิดกับอายุเลย’ ต้นน้ำบ่นงึมงำ

“น้องต้นน้ำ มาช่วยพี่จัดโต๊ะดีกว่า พี่สั่งซื้ออาหารมาอีกเยอะเลย” เสี่ยวหยู๋เรียกด้วยเสียงอ่อนหวานจนต้นน้ำแอบขนลุก

“ไปเหอะ เดี๋ยวพี่ไปช่วยพี่โน่ก่อน” จินไห่พยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนออกเดิน

..............

หลังจากจัดแจงโต๊ะอาหารมื้อค่ำเรียบร้อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำจิ้มสำหรับปิ้งย่างหลายแบบ ทั้งแบบน้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มปอนซึแบบญี่ปุ่น น้ำจิ้มงา ไปจนถึงน้ำจิ้มแบบซีฟู้ด เสี่ยวหยู๋เอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจในการจัดเตรียมว่า เพื่อเพิ่มอรรถรสในการกินให้หลากหลาย และยังไม่รวมอาหารเรียกย่อยประเภททอดกรอบ และยำต่างๆ หลายจานที่วางดาษดาบนโต๊ะอาหารนอกอาคารขนาดใหญ่ เธอสามารถทำให้โต๊ะขนาด 200 x 50 เซ็นติเมตรดูแน่นขนัดได้ภายในเวลาไม่นาน ต้นน้ำไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไปหาซื้อของเหล่ามาจากไหนมากมายในเวลาเพียงเท่านี้

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้นน้ำช่วยจัดไปงงไปคือ จานอาหารที่มีมากกว่าจำนวนคนที่พักในบ้านหลังนี้

“สวัสดีทุกคน! ขอโทษนะครับที่มาช้าไปหน่อย บังเอิญว่าพี่กวีแนะนำส้มตำเจ้าเด็ดเลยแวะไปซื้อกินด้วยกัน” ยังไม่ทันจะได้คิดสงสัย ก็มีคนมาเฉลยเสียแล้ว เสียงไอซ์เพื่อนทุกข์เพื่อนยากของต้นน้ำดังมาแต่ไกล พร้อมกับพาผู้ชายท่าทางผู้ดีเรียบร้อยสูงส่งอย่างพี่กวีมาด้วย พี่กวีเป็นคนที่ดูดีสง่างามจนเหมือนสปอร์ตไลท์สาดส่องมาอยู่ตลอดเวลา ขนาดที่หนุ่มลูกครึ่งที่ขาวและสูงกว่าอย่างไอซ์ยังไม่สามารถบดบังรัศมีความเด่นของพี่กวีได้  น่าจะไปเอาดีทางนายแบบหรือนักแสดง

“ขอโทษนะครับ ไม่ได้มาช่วยเลย” พี่กวีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง รอยยิ้มนั้นทำให้ต้นน้ำเองยังรู้สึกอิจฉาเลยว่าทำยังไงจะยิ้มได้มีเสน่ห์ขนาดนั้น  แถมยังฟังดูเป็นคนดีเสียอีก ผิดกับไอ้เพื่อนเขาที่มาด้วย ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

“ไอ้ต้นน้ำ มึงจะยิ้มให้ใคนก็เกรงใจแฟนมึงบ้าง!!” ไอซ์เดินเอาของมาวางที่โต๊ะพร้อมกระทุ้งศอกใส่พุงต้นกล้าเบาๆ ไอซ์พยายามพูดด้วยเสียงกระซิบเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน

“แฟนพ่อง!! กูมี...ที่....หนายยย” เสียงของต้นน้ำค่อยๆหายไปที่ท้ายประโยคเมื่อปลายตาหันไปสบกับจินไห่ที่มองมาทางเขาอย่างเหม่อๆ

“มึงอย่ามองพี่กวีมากสิ กูก็บอกอยู่ว่าแฟนพี่เขาดุ เดี๋ยวมึงจะโดนไม่ใช่น้อย!! ไม่ใช่จากแฟนพี่กวีนะ แฟนมึงน่ะ!!” ไอซ์พูดจาเสียงดังกลบเกลื่อนคำพูดของต้นน้ำก่อนหน้านี้

เมื่อได้ยินเสียงดังจากเด็กผู้ชายสองคนที่หยอกล้อกัน จินไห่ก็ได้แต่พยายามไม่มองไปทางนั้น จนบางทีก็ทำให้ต้นน้ำทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร

“เดี๋ยวพี่ช่วยจัดลงจานนะ” พี่กวีเดินมาในระยะประชิด

“กวี! ไม่ต้องหรอก พวกเด็กจัดใกล้เสร็จแล้ว มาช่วยพี่ปิ้งอาหารทะเลดีกว่า!” พี่นีโน่ตะโกนมาแต่ไกล

“ได้ครับ” เป็นการตอบด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มได้น่ารักที่สุด ไอ้ไอซ์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนต้นน้ำเริ่มสงสัยว่าเขาเผลอยิ้มตามมันหรือเปล่า พี่กวีเป็นคนยิ้มสวยจริงๆ น้ำเสียงและท่าทางก็น่ารัก อิจฉาแฟนเขานิดหน่อยเหมือนกัน ต้นน้ำคิดได้ว่าตนเองเข้ามาอยู่ในวังวนนี้มากเกินไปจนเขารู้สึกว่าผู้ชายก็น่ารักไปแล้วหรือ หรือควรจะคิดว่าว่าพี่กวีนี่มีเสน่ห์กับทุกเพศดีกว่า

หลังจากพี่กวีเดินไปช่วยทางฝั่งแผนกปิ้งย่างซึ่งพี่นีโน่มีท่าทีพึงใจอยู่ไม่น้อย ต้นน้ำได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นจากผู้ชายตัวเล็กที่ดูน่าเกรงขามคนนี้จนไม่อยากเขื่อสายว่า พี่นีโน่จะอ่อนโยนได้ขนาดนี้

ในที่สุดจินไห่ก็สามารถปลีกตัวออกจากนีโน่ได้สำเร็จเพราะตอนนี้สมาธิของนีโน่พุ่งไปที่พี่กวีทั้งหมด ความเอาใจใส่ที่พี่นีโน่มีต่อพี่กวีทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความพิเศษได้ จินไห่ตัดสินใจเดินไปอยู่ข้างต้นน้ำเพื่อช่วยจัดแจงอาหารอิสานขึ้นชื่อในย่านนี้ ที่คนมาเป็นแขกอย่างกวีและไอซ์เป็นผู้นำมาด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก อาการของจินไห่แบบนี้กลับทำให้ต้นน้ำสะดุด และรู้สึกผิดแปลกเกิดขึ้นที่กลางอกวูบไปจนถึงท้องน้อย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอาการของคนตรงหน้านั้นเกิดมาจากตัวเองอย่างอธิบายเหตุผลไม่ได้ก็ไม่รู้

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?” ต้นน้ำเปิดบทสนทนาเพราะทนความเงียบและมึนตึงของจินไห่ไม่ไหว

“เปล่านี่” จินไห่ตอบเสียงเรียบ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ถ้าพี่เหนื่อย พี่ไปพักก่อนก็ได้นะ” ต้นน้ำแนะนำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะเริ่มเห็นเม็ดเหงื่อของอีกฝ่ายผุดพลายขึ้นตามใบหน้า

“พี่ทำร้านอาหารนะ แค่นี้สบายมาก!” จินไห่ตอบเสียงแข็ง

“เอาน่าๆ เดี๋ยวผมจัดการตรงนี้เอง เหลือเทลงจานอีกไม่กี่ถุงเอง พี่พักเถอะ ผมเห็นพี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมได้งีบมาแล้ว แรงยังเหลืออีกเยอะครับ” ต้นน้ำพูดพลางจับร่างอีกฝ่ายผลักดันอย่างบังคับให้ไปนั่งที่เก้าอี้ริมสระที่อยู่ไม่ไกล

การแสดงความเป็นห่วงและดูแลคนข้างเคียงแบบนี้เป็นนิสัย อีกด้านหนึ่งที่ทำให้ทุกคนหลงรักต้นน้ำ ที่เขามักไม่รู้ตัว เขามักเสนอตัวทำอะไรให้คนที่เขารู้จักอย่างไม่รู้ตัวเสมอ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่จินไห่กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เขายอมต้นน้ำพาตัวเองไปนั่งอย่างเรียบร้อย และที่สำคัญต้นน้ำเดินไปหยิบน้ำอัดลมสีเขียวที่จินไห่ชอบมาให้ถึงที่ และนั่นทำให้จินไห่ยอมนั่งอยู่เฉยๆ สักที สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จินไห่เอนหลังพักผ่อนอย่างสบายใจ

“กูว่าแล้ว!!” ไอซ์พูดขึ้นทันทีที่ต้นน้ำกลับมาเตรียมของต่อที่โต๊ะอาหาร (เพราะไอ้ไอซ์มันนั่งอยู่โต๊ะกระดิกเท้าไม่ทำอะไรเลย ต้นน้ำอยากเขกกระโหลกสักที หากไม่เพราะติดหนี้บุญคุณเรื่องนี้ ไม่งั้นได้ถีบมันลงน้ำไปแล้ว!!)

“อะไรของมึง!!” ต้นน้ำทำสีหน้าหงุดหงิดใส่เพื่อนสนิท

“ไม่มีอะไร!!” ไอซ์ส่ายหน้าตอบเสียงสูง ทำให้ต้นน้ำงงๆ กับสิ่งที่ไอซ์คิดอยู่ มันกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจเพราะปัญหา ณ ตรงนี้เยอะพอแล้ว

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเสี่ยวหยู๋ทั้งหมด จนทำให้เสี่ยวหยู๋ที่แม้จะชื่นชมผู้มาใหม่อย่างกวีแต่ก็อดที่จะรู้สึกหงุดหงิดที่อะไรต่อมิอะไรมันไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ความจริงแล้วเธอควรจะได้รับการดูแบบเป็นพิเศษจากนีโน่ถึงจะถูกต้อง แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เสี่ยวหยู๋ออกอาการทางสีหน้าชัดเจน ไอซ์ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ถึงกับอมยิ้มออกอย่างพอใจกับแผนการของตนเอง

ไม่นานนักเสี่ยวหยู๋ก็หมดความอดทนกับการที่ตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางของความสนใจแม้ว่าตนเองจะเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว ที่ผ่านมาเธอมักจะมั่นใจในความสวยเซ็กซี่ของเธอมาตลอด แต่มาเวลานี้ทุกอย่างที่เคยมีมามันกลับตาลปัตรไปหมด จนกระทั่งเธอตัดสินใจเดินออกจากบ้านพักและหายลับตาไปโดยที่คนส่วนใหญ่ที่นั้นไม่ทันสังเกต

เสี่ยวหยู๋เดินทอดน่องลัดเลาะริมหาดทรายยามเย็น ช่วงคาบต่อระหว่างกลางวันและกลางคืนแบบนี้ ทำให้แสงสีและบรรยากาศต่างไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนที่มาท่องเที่ยวและเล่นน้ำทะเลก็เริ่มบางตาลงมาก เธอหยุดยืนมองแสงสุดท้ายของดวงตะวันสีส้มกลมโตที่เหลืออยู่เพียงเสี้ยวของวงกลมอย่างเหม่อลอย

“ไปกินมื้อเย็นกัน ตอนนี้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว” เสียงคุ้นหูที่อ่อนโยนดังขึ้นทางด้านหลังไม่ไกล

เสี่ยวหยู๋รู้ได้ในทันทีว่าเสียงนั้นเป็นของผู้ใด เธอพยายามปาดน้ำตาลที่ปริ่มล้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว จากการปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอเมื่อสักครู่ และหันไปหาเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้ม แต่เธอไม่รู้เลยว่าดวงตาจองเธอมันบอบช้ำแค่ไหน แม้จะพยายามยิ้มกว้างแค่ไหน แต่ดวงตาเหล่านั้นมันช่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของเจ้าของเสียเหลือเกิน

“เป็นอะไร? เล่าให้พี่ชายคนนี้ฟังได้นะ” จินไห่พูดเป็นภาษาจีนสำเนียงใต้หวันใส่เสี่ยวหยู๋

หญิงสาวในชุดสวมใส่สบายพริ้วไหว ไม่ตอบอะไร ดวงตาที่บอบช้ำซื่อสัตว์กับความรู้สึกอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป น้ำในดวงตาต่างไหลพลั่งพลูออกมาอย่างกับเขื่อนแตก คำถามของจินไห่ในภาษาที่คุ้นเคยเหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขื่อนความรู้สึกของเสี่ยวหยู๋รับน้ำหนักไม่ไหว วงปากที่ฉีกยิ้มอย่างนางร้ายกลับแบะคว่ำจนผิดรูป เสี่ยวหยู๋วิ่งโผไปกอดคนตรงหน้าอย่างอ่อนแอ

“โอ๋ๆ ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยมาให้หมด พี่รู้นะว่าเราน่ะมีปัญหาอะไร เพราะเวลาที่น้องไม่สบายใจ น้องจะทำนิสัยร้ายๆ แบบนี้กับทุกคน” จินไห่รู้ว่าการที่ผู้หญิงคนนี้ทำแบบนี้เพราะมีสาเหตุเสมอจากการที่เคยอยู่ร่วมกันมานาน

เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีที่เสี่ยวหยู๋มุดศรีษะใส่แผงอกอีกฝ่ายด้วยโหยหาความอบอุ่น ในที่สุดเธอก็เข้มแข็งพอที่จะยืดศรีษะเงยหน้ามองหน้าชายตรงหน้าและมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มมืดลงจนเห็นดาวบางดวงแล้ว

หญิงสาวหยิบกระดาษทิชชูออกจากกระเป๋าเพื่อเช็ดคราบน้ำตาและน้ำมูกจนสะอาด และเธอก็เดินไปนั่งทรุดลงบนผืนทรายไม่ไกล เธอเหม่อมองออกไปที่ทะเลที่เห็นแสงจากเรือประมงจากที่ไกลๆ

จินไห่เดินตามมานั่งทันทีและหันไปยิ้มให้ เสี่ยวหยู๋รู้สึกอายทันที่ทำพฤติกรรมแปลกๆ แบบนั้นออกไป ความจริงหากเป็นเมื่อก่อนก็คงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะมีเขาเป็นที่ปลอดภัยเสมอแต่สถานะมันเปลี่ยนไปแล้ว เธอจึงอดที่จะเอียงอายไม่ได้

“เล่าให้พี่ไห่ฟังได้แล้ว!” จินไห่พูดเสียงอ่อนโยน

“เฮ้อ.....เบื่อตัวเองที่ไม่เคยปิดพี่ไห่ได้สักครั้ง” เสี่ยวหยู่เหม่อมองบนฟ้าและยิ้มเล็กๆที่มุมปากทั้งสองข้าง


.........................................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 12) 24 ม.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-01-2021 13:50:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

นางเสี่ยวหยู๋มีปมอะไรหว่า?
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 13 part 1) 8 ก.พ.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-02-2021 07:49:57
บทที่ 13

Sea sand sun and a bunch of chaos part 2



เสี่ยวหยู๋เหม่อมองไปที่สุดขอบฟ้ายามที่ราตรีได้เริ่มคลอบคลุมสีฟ้าจนกลายเป็นสีกรมท่าเข้มหม่น เส้นขอบฟ้ายังคงมีสีส้มเรืองรองอยู่เล็กน้อยแต่ก็ทำให้เหล่าดวงดาวฤกษ์ที่หลับไหลในยามทิวาได้ลืมตาขึ้นมาทักทายพื้นโลกยามนี้บ้างแล้ว ดวงตาของเสี่ยวหยู๋บวมช้ำและล่องลอย ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกจากปากที่ซีดบาง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ไห่ของเธอรับฟัง เหตุผลที่เธอทำทุกอย่างตอนนี้ เหตุผลที่เธอมาอยู่ตรงนี้

คู่หมั่นคู่หมายของเธอที่พ่อและแม่ของเธอสรรหามาให้ คนที่เธอตัดสินใจทอดทิ้งความสัมพันธ์สี่ปีระหว่างเธอและจินไห่มา เป็นคนที่ทำให้เธอดิ้นรนหลบหนีมาหาจินไห่ในวันนี้

เมื่อเธอพูดมาถึงตรงจุดนี้ ทั้งสองก็นิ่งเงียบและหวนนึกถึงอดีตที่เคยพยายามจะลืมมันไปแล้ว.....

แรกเริ่มเดิมทีนั้น เมื่อครั้งทั้งสองคนตัดสินใจกลับมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย เสี่ยวหยู๋ผู้ไม่เคยส่งข่าวเรื่องการมีแฟนแล้วให้กับที่บ้านของเธอทราบเลย ได้ทำให้พ่อและแม่ขอเธอประหลาดใจตั้งแต่วันแรกที่เธอเหยียบผืนแผ่นดินไทย และกล่าวแนะนำจินไห่ ในฐานะคนรัก

แม้จะประหลาดใจจนออกนอกหน้า แต่ครอบครัวของเสี่ยวหยู๋เธอก็ต้อนรับขับสู้จินไห่อย่างดี แต่นั้นก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ยิ่งเมื่อรู้ว่าพื้นเพจินไห่นั้นไม่ได้ร่ำรวยเป็นระดับมหาเศรษฐีอะไร แม้จะมีอันจะกินไม่ลำบาก แต่การอยู่กับศิลปินผลัดถิ่นไร้ผู้คนในท้องถิ่นรู้จักก็คงจะลืมตาอ้าปากได้ยาก พ่อแม่ของเสี่ยวหยู๋นั่นรู้จักลูกตัวเองดี บุพการีผู้รู้ว่าลูกสาวของตนคงจะทนกัดก้อนเกลือกินศิลปินไส้แห้งนี้ได้ไม่นานแน่ ทั้งสองคนจึงพยายามถ่วงเวลาไว้ ไม่ให้ทั้งสองที่แสดงเจตจำนงตั้งแต่สองเดือนแรกที่กลับมาถึงประเทศไทยว่าจะแต่งงานกัน

พ่อแม่ของเสี่ยวยู๋ได้ให้เงื่อนไขจินไห่ไปว่า หากสามารถตั้งตัวได้ภายในสามเดือนก็ให้ยกสินสอดมาสู่ขอได้เลย

จินไห่ที่ได้ฟังก็เขาใจความหมายเป็นนัยที่แฝงมาได้ เขาไม่ได้โง่พอที่จะรู้ว่าพ่อและแม่ของคนรักของตนนั่นได้ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ให้กับตนเรียบร้อยแล้ว

หนึ่ง การที่กลับมาอยู่ประเทศไทยโดยไร้ญาติและทุกอย่างกลับไปเป็นศูนย์นั้น การตั้งตัวได้มั่นคงภายในสามเดือนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะมีเงินในบัญชีไม่น้อย แต่การทำเรื่องมาอยู่ในไทยแบบถาวรนั่นมันก็ยากมากอยู่แล้ว

สอง การสู่ขอตามประเพณี สำหรับสิ่งนี้ยิ่งเป็นเรื่องยาก เขาแทบไม่รู้จักผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อของเขานอกจากคุณย่าที่เสียไป การหาผู้ใหญ่ที่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับได้ มันยิ่งยากขึ้นไปอีก

แต่จินไห่ผู้มั่นคงในรัก เขายอมตกลง ทั้งที่ในใจแทบจะไม่เชื่อว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในเงื่อนไขละครน้ำเน่าอย่างนี้

จินไห่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับ ทำงานเปิดโรงเรียนสอนดนตรี เล่นดนตรีตามงานต่างๆที่พอจะมีคนจ้างอยู่บ้าง แต่เพียงสามเดือนก็ล่วงเลยมาเป็นปี จินไห่สามารถผ่อนผันเรื่องเวลาออกไปได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขากับเสี่ยวหยู๋ก็ยิ่งห่างกันไกลเรื่อยๆ เพราะงานที่รัดตัวของเขา

ในระหว่างนี้เอง เสี่ยวหยู๋ก็ได้รู้จักกับ “ต้า” ชายหนุ่ม มายามเศรษฐีพันล้านที่ดูแลธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์จากยุโรป รูปหล่อคมเข้ม แม้จะมีความด้อยที่ส่วนสูงและผิวค่อนไปทางเข้ม แต่โดยรวมถึงว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก มีข่าวกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าทั้ง ไฮโซสาว ดารา นางแบบ

เสี่ยวหยู๋แม้จะมีจิตใจมั่นคงแค่ไหน แต่น้ำหยดลงหินทุกวันย่อมโดนกัดกร่อน ผสมกับแรงเชียร์จากญาติๆ ทั้งสองฝ่าย สุดท้ายคนที่มาบอกเลิกก่อนก็คือเสี่ยวหยู๋ ในวันที่เธอบอกเลิกเธอสวมแหวนหมั้นฝังเพชรเม็ดละหลายล้านมาเป็นหลักฐานด้วยว่าเธอคงจะไม่กลับมาหาจินไห่อีกแล้ว อยากให้จินไห่ตัดใจจากตนเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

เป็นอีกครั้งที่จินไห่รู้ว่าตัวเองไม่ต่างจากตัวละครในนิยายน้ำเน่าแต่มันคือเรื่องจริง ด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงานและหัวใจที่แตกสลาย เขาล้มเลิกทุกอย่างและหายไปจากชีวิตของเสี่ยวหยู๋ทันที

“หากหยู๋ไม่ไปเจอพี่ไห่ที่เฟซบุ๊คเพจ ‘ผัวทิพย์’ หยู๋ก็คงหาพี่ไม่เจอ....” เสี่ยวหยู๋พูดด้วยเสียงสั่นเครือและสีหน้าสำนึกผิด

จินไห่ไม่รู้ว่าการที่ให้แอดมินเพจนี้ถ่ายรูป ช่วงที่เขายังทำงานกับผับของนีโน่นั่นมีเป็นผลดีหรือผลเสียที่ทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างมันยุ่งเหยิงแบบนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามสำหรับจินไห่นั่นคือการได้มาสะสางสิ่งค้างคาในใจที่ต้นเหตุ การได้เปิดใจพูดคุยกับเสี่ยวหยู๋ในวันที่จิตใจเขามั่นคงและสงบลง ทำให้จินไห่รับรู้จิตใจตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้ว่าสำหรับเสี่ยวหยู๋คงเป็นได้แค่คนรู้จัก หรือเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันแต่คงไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว และจากเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเขาเองรู้ใจตัวเองมากขึ้นว่า หัวใจของเขาถูกคนๆหนึ่งเติมเต็มโดยไม่รู้ตัวมาตั้งนานแล้ว

“แล้วเกิดอะไรขึ้น หยู๋หนีอะไรมา?” จินไห่ถามอย่างรู้ทัน

เสี่ยวหยู๋ยิ้มอย่างอ่อนแรงแต่ในดวงตากลับเหมือนมีไฟลุกโชนด้วยความโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้

หลังจากที่เธอตัดสินใจเลือกทางที่ง่ายและถูกใจคนในครอบครัวเธอ ทุกอย่างก็เหมือนกับในนิยายแฟนตาซีซึ่งทำให้เธอมีชีวิตไม่ต่างจากเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ เธอถูกต้าดูแลอย่างดีและยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อเธอตกปากรับคำที่จะเข้าพิธีแต่งงานกับต้าหนุ่มเศรษฐีธุรกิจพันล้าน

ญาติทั้งสองฝั่งต่างยินดีที่จะรับทั้งคู่เข้ามาในครอบครัวของตัวเอง โดยเฉพาะพ่อแม่ของต้าที่ดูจะปลื้มกับว่าที่เจ้าสาวโปรไฟล์ดีคนนี้ เสี่ยวหยู๋แม้ตอนที่เรียนอยู่ที่ไต้หวั่นจะทำตัวติดดินธรรมดา แต่ความเป็นจริงที่จินไห่เพิ่งจะรู้หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยก็คือ เสี่ยวหยู๋มีโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ชาติตระกูลดี ญาติฝั่งแม่ที่เคยมีฐานันดรสูงส่ง ส่วนฝั่งทางพ่อเองก็เป็นเจ้าสั่วที่มีกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ เสี่ยวหยู๋เป็นคนเรียนดีการศึกษาสูง

เสี่ยวหยู๋เล่าต่อว่า ในขณะที่ความสัมพันธ์เติบโตไปได้ด้วยดี แต่การที่มีหน้ามีตาในสังคม การจะมีข่าวซุบซิบเกิดขึ้นบ้างก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะข่าวของการโดนนอกใจ อยู่ๆก็มีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ลับๆระหว่างนักธุรกิจหนุ่มนำเข้ารถยี่ห้อดังมีข่าวกับหุ้นส่วนสาวสุดสวยที่เป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับอัญมณีราคาแพง ที่เพิ่งจะมีข่าวเปิดตัวร้านเพชรในศูนย์แสดงรถที่ดังไปทั่วประเทศ หญิงสาวนักธุรกิจผู้เสนอการเป็นหุ้นส่วนทำเครื่องประดับยนต์ด้วยอัญมณีล้ำค้าต่างๆตามราศรี

ช่วงแรกๆ เสี่ยวหยูกับตาร์ก็สามารถทำความเข้าใจกันได้เพราะฝ่ายชายนั้นพาหุ้นส่วนสาวมาให้เสี่ยวหยู๋รู้จักด้วย จนกระทั่งสาวสวยทั้งสองสนิทกันเป็นเพื่อน แต่ข่าวคาวเรื่องทั้งสองก็ยังไม่มอดดับไป ยังมีข่าวแปลกๆมาเข้าหูบ่อยครั้ง แต่เพราะความสนิทกับหุ้นส่วนสาวทำให้สาวๆ ทั้งสองต้องแวะเวียนมาสะสางกันให้ลงตัวตลอด

จนกระทั่งมีภาพหลุดที่หุ้นส่วนทั้งสองเดินเข้าโรงแรมหรูที่ต่างจังหวัดด้วยกัน มีการตีไข่ใส่สีสารพัดเรื่องของการนอนห้องพักเดียวกัน การเดินควงไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆด้วยกันทั้งจังหวัดอย่างเปิดเผย

ในท้ายที่สุดเสี่ยวหยู๋และต้าร์ก็มีปากเสียงกันจนได้ ครั้งนี้เสี่ยวหยู๋ไม่ทนรับฟังคำแก้ตัวใดๆ เพราะคำพูดของฝ่ายชายไร้ซึ่งน้ำหนัก และหลักฐานต่างๆก็ไม่ตรงกับการให้การของแฟนหนุ่ม จนกระทั่งเสี่ยวหยู๋ทนรับกับการโดนโกหกซ้ำๆของอีกฝ่ายไม่ไหว จึงขอเดินจากมา และหนีออกจากบ้านมาพักอยู่กับจินไห่จนถึงปัจจุบันนี้

หลังจากเสี่ยวหยู๋เล่าจบ จินไห่ทำได้แค่รู้สึกสงสารอดีตแฟนสาวตรงหน้า เขายกมือขึ้นลูบหัวฝ่ายหญิงอย่างเคยชิน เสี่ยวหยู๋ทันทีที่ถูกสัมผัสอันอบอุ่นที่คุ้นเคย เธอก็โผโอบกอดอีกฝ่ายทันที แม้มันจะไม่อบอุ่นเหมือนเคยเพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในหัวใจของจินไห่แล้ว

“ร้องออกมาเถอะ ถ้าเจ็บก็ร้องออกมา” จินไห่ปลอบ

“พี่ไห่..... ยกโทษให้หยู๋ด้วยนะ” เสี่ยวหยู๋สะอื้นเสียงอู้ออี้

“พี่หายโกรธนานแล้วล่ะ ตอนนี้พี่มีความสุขดี” จินไห่ยิ้มบางไ ที่มุมปาก

“หยู๋ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย หยู๋แต่คิดจะกลับมาพักใจในที่ๆ หยู๋สบายใจที่สุด แต่กลับมาเจอพี่มีแฟนใหม่ มันทำใจยาก ก็เลยแสดงพฤติกรรมแบบนี้ไป หยู๋ขอโทษ!!” เสี่ยวหยู๋เงินหน้าขึ้นมาสารภาพทั้งที่น้ำตานองหน้า

“เรื่องพี่รู้อยู่แล้วล่ะ อยู่กันมาตั้งหลายปี นิสัยของหยู๋พี่รู้หมอแหละ” จินไห่ก้มลงมองอีกฝ่ายและยิ้มกว้าง

“เกลียดจริง พี่เนี่ยก็แอบนิสัยไม่ดีนะ!” เสี่ยวหยู๋ปาดน้ำตา

ปึก!!

เสียงสิ่งของบางอย่างหล่นลงมากระทบกับของแข็งอีกสิ่งอย่างจัง

โอ้ย!!

เสียงที่จินไห่คุ้นหูดังขึ้นจนคนที่กอดกันกลมต่างตกใจคลายมือออกและหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

สิ่งที่คนที่กำลังปลอบใจกันอย่างใกล้ชิดมองเห็นคือ ต้นน้ำที่ยืนกุมศรีษะและมีสีหน้าเจ็บปวดพายใต้ต้นมะพร้ามริมชายหาด

“ต้นน้ำ!! เป็นอะไรหรือเปล่า?” จินไห่ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นลูกมะพร้าวแห้งสีน้ำตาลกลิ้งลุนๆ มาทางชายหาดที่พวกเขานั่งปรับทุกข์กันอยู่

“ไม่เป็นไรครับ!! ขอโทษที่รบกวนครับ!!” สีหน้าของคนที่จินไห่ทักมีอาการลนลานและรีบพูดขอโทษ ก่อนจะรีบวิ่งจากไปทางที่พัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า  เอาจริงน่ะพี่! พี่ชอบแบบนี้จริงๆ เหรอ?” เสี่ยวหยู๋ที่มีคราบน้ำตาและรอยช้ำรอบดวงตา กลับหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นต้นน้ำวิ่งจากไปด้วยท่าทางเจ็บศรีษะ

“แรกๆ ก็ไม่มั่นใจ มันใหม่สำหรับพี่มาก แต่พอมาใกล้ชิด พี่ถึงได้รู้ใจตัวเองว่า พี่ชอบเด็กคนนี้มากกว่าที่คิด หรือจะเรียกว่า.... รักดี” จินไห่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ปะปนเสียงหัวเราะเล็กน้อย

“นั่นสินะคะ ทำไมเราต้องรักกับคนที่เรารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจ็บปวดด้วยเนอะ” เสี่ยวหยู๋ยืนขึ้นอย่างช้าๆ พลางปัดเม็ดทรายที่เกาะอยู่ตามกระโปรงพรีทบานที่พริ้วไปตามสายลม

“อืม...นั่นสิเนอะ แต่ถ้าเราไม่ลองรักดู จะเจ็บปวดมันก็ไม่เป็นไรนะ พี่ยอมมีความสุขสั้นๆ ดีกว่าทุกข์ใจเพราะแอบรักนะ” พูดก็ยิ้มให้ฝ่ายหญิงและวิ่งตามชายหนุ่มที่วิ่งไปก่อนหน้านี้ไป

ส่วนเสี่ยวหยู๋หลังจากไปได้ปลดปล่อยพันธะทางจิตใจกับอดีตแฟนหนุ่มแล้ว เธอก็ตัดสินใจเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะถึงที่พัก

...............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 13 part 1) 8 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2021 11:04:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่13 part 2) 13 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-02-2021 11:45:10
ปึงๆๆๆๆ

เสียงฝีเท้านักกีฬาวิ่งด้วยความเร็วไปทางห้องพักโดยไม่ได้สนใจคำทักทายของเพื่อนสนิทและเจ้ามือในทริปนี้เลย

ต้นน้ำวิ่งไปที่ห้องพร้อมด้วยคำถามมากมาย

ต้นน้ำถูกพี่นีโน่ใช้ให้ไปเรียกทั้งสองคนที่เดินหายไปที่ชายหาดได้พักใหญ่ ส่วนตัวในความคิดครั้งแรกก็คิดว่า ทั้งสองคนนั้นคงกำลังเคลียร์ใจกัน สะสางทุกเรื่องให้มันจบสิ้นเสียทีไม่ค้างคา การเป็นคนใจดีอย่างจินไห่ไม่ช่วยให้สถานการณ์แบบนี้ดีขึ้น เขาเคยบอกจินไห่หลายครั้งให้เด็ดขาดแต่อีกฝ่ายก็ไม่ทำเสียที เขาจะได้จบกับการเป็นแฟนกำมะลอแบบนี้เสียที เพราะยิ่งนานวันเข้า เขารู้ว่าชีวิตเขาสั้นลงเรื่อยๆ แต่ละเรื่องที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้ล้วนมีผลลัพธ์ไม่สวยเท่าไหร่

แต่อีกใจก็คิดว่าหากความใจอ่อนของอีกฝ่ายทำให้ผลทุกอย่างมันกลับตาลปัตรทั้งสองฝ่ายกลับมาคบกันเหมือนเดิม จินไห่สารภาพความจริงทุกอย่าง เขาคง..... จะดีไม่น้อย

ผลลัพธ์แบบไหนก็ดีกับเขาทั้งนั้น ต้นน้ำคิดในใจระหว่างเดินไปตามหาคนทั้งสอง แต่ทำไมพอคิดถึงผลลัพธ์แบบหลังแล้วเขาถึงรู้สึกวูบๆที่กลางอกไปหมด

จนกระทั่งมาเห็นภาพตรงหน้าที่ริมชายหาด ภาพที่ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ฝ่ายหญิงแม้จะท่าทางเศร้าสร้อยและดูทุกข์ใจ แต่มองจากจุดที่เขายืนมองอยู่ก็คล้ายเป็นคู่รักมานั่งปรับทุกข์กัน แสงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือแต่แสงไฟตามทางเดินริมหาดที่ค่อยๆ ส่องสว่าง เงาร่างทั้งสองที่ใกล้ชิดกันบรรยากาศแบบนี้อาจจะช่วยสานสัมพันธ์ของทั้งสองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้ ต้นน้ำคิดไปพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็พาตัวเองมาแอบอยู่หลังต้นมะพร้าวต้นเตี้ยใกล้ชายหาดเสียแล้ว แม้ไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกันแต่ก็มองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น

และแล้วก็มาถึงจุดไคลแมกซ์ที่ทั้งสองแอบอิงโอบกอดกันใต้แสงจันทร์ มันทำให้เขารู้สึกตัวว่า ทำไมเขาต้องมาหลบซ่อนแอบมองพวกเขาสองคนพรอดรักกันด้วย

ทำไมจิตใจเขาถึงได้ว้าวุ่นแบบนี้!!??

ในขณะที่เขาจะลุกหนีเนื่องจากความรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็นตรงหน้า สายลมเจ้ากรรมก็พัดมาทำให้ลูกมะพร้าวแก่ๆลูกหนึ่งหล่นใส่กลางศรีษะของเขาอย่างจัง

ด้วยความตกใจที่เห็นคนที่ตามหาอยู่ทั้งสองคนที่นั่งสนิทสนมอยู่ริมหาดทรายหันมามองเห็นเขาทั้งคู่ เขาจึงวิ่งหนีจากจุดนั้นสุดพลังฝีเท้า โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าเท้าที่วิ่งซอยถี่ด้วยความเร็วระดับนักกรีฑาทีมชาตินี้ ทำไปเพื่ออะไร เขาจะวิ่งหนีทำไม? กว่าจะรู้ตัวเขาก็วิ่งมาถึงห้องเสียแล้ว

ต้นน้ำทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กระจกแต่งตัวใกล้เตียงนอน เขาหอบหายใจถี่รัว เสื้อผ้าทุกส่วนของเขาต่างเปียกปอนเหงื่อจนชุ่มหนักลู่ติดผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่มีของเหลวอุ่นไหลลงมาเป็นทางพร้อมความรู้สึกปวดตึบบริเวณกลางศรีษะ  ลมหายใจที่กระชั้นถี่บอกกับร่างกายที่สั่นเทิ่มว่าควรพักให้หัวใจเต้นกลับสู่จังหวะเดิมก่อน ก่อนที่ร่างกายจะบอกว่าส่วนบนสุดของร่างกายเริ่มแสบร้อนอย่างเจ็บปวด ทำให้ประมวลร่างกายประมวลผลว่าเกิดขึ้นบ้างที่ผ่านมา

ในที่สุดเขาก็เพิ่งนึกออกว่ามีของแข็งบางอย่างที่น่าจะเป็นลูกมะพร้าวหล่นใส่ศรีษะของเขา เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงรีบลุกขึ้นไปส่องกระจกที่แขวนอยู่บนผนังไม่ไกล

“เฮ้ย!! เลือด!!” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของต้นน้ำ แต่เป็นของคนที่วิ่งตามเขามาด้วยความเป็นห่วง จินไห่รีบเดินมาดูอย่างเป็นกังวล

“..........” ด้วยอาการหน้ามืดเพราะเห็นเลือด ทำให้ต้นน้ำรู้สึกวิงเวียนศรีษะกว่าเดิม เขายอมให้จินให้เข้ามาดูแลโดยง่าย

“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว!!” จินไห่ที่วิ่งมาพยุงอีกฝ่ายที่ทำท่าจะล้มเอน รีบสอบถามอาการ ต้นน้ำไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้า เขาแค่ไม่ชอบเลือด แม้จะเจ็บศรีษะที่แตกเป็นแผลแต่ด้วยเลือดที่ไหลอาบแก้มแบบนี้ ทำให้เขาไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เขารู้สึกชาไปทั้งตัวและหมดแรงแทบจะทันที

“ผมแค่.....ไม่..... ชอบ..... เลือด!!” ต้นน้ำพูดอย่างอ่อนแรงภายในอ้อมแขนอีกฝ่าย

จินไห่ตัดสินใจพยุงอีกฝ่ายไปเอนกายที่หัวเตียงโดยใช้ผ้าเช็ดตัวที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ รองศรีษะต้นน้ำแล้วเขาก็วิ่งไปค้นกระเป๋าทันที หลังจากรื้อทุกอย่างออกมากองอย่างไร้ระเบียบ เขาก็เจอกล่องยาขนาดมาตรฐานและหยิบเดินมาที่ต้นน้ำ

“ตัวก็ใหญ่โตแต่กลับกลัวเลือด” จินไห่เดินอมยิ้มมาทางต้นน้ำที่มีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย

“คนเรามันก็มีเรื่องที่ไม่ชอบบ้างหรือเปล่าวะ!” ต้นน้ำเสียงแข็งขันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“แต่ก็วิ่งมาถึงนี้เลยนะ! และนี่มันก็เลือดเล็กน้อยแค่นี้เอง!” จินไห่ยิ้มออกมาได้บ้างเพราะอีกฝ่ายดูจะมีแรงเถียงแล้ว

“ก็........ผมเคย.......” หน้าของต้นน้ำซีดขึ้นมากจนเห็นได้ชัด จินไห่รู้ได้ทันทีว่าคงมีอะไรไปกระทบจิตใจอีกฝ่ายเรื่องนี้ก็เลยทำให้กลัว

“ไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าแล้ว!! ขอดูแผลหน่อย หากเป็นเยอะก็จะได้ตามหมอด้านนอกมาช่วยดูอาการให้!!” จินไห่พยายามแหวกผมดูอย่างแผ่วเบา

“นั่นมันหมอหมา!!” ต้นน้ำสวนทันที

“สัตว์แพทย์! เขาก็เรียนมาคล้ายๆ กัน อีกอย่าง อนาโตมี่ (anatomy ) ของหัวเราก็น่าจะคล้ายกับหมานะ” จินไห่แซวหลังจากค้นเจอแผลที่มีขนาดไม่น่ากังวลเท่าไหร่ แต่น่าจะบวมช้ำแน่นอนเพราะเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว

“จะด่าผมสมองหมาหรือไง!! เห็นอย่างนี้ก็น่าจะได้เกียรตินิยมระดับสองนะ!!” ต้นน้ำอารมณ์ขึ้น

“โอเครู้แล้ว แค่อยากทดสอบว่ายังมีสติแค่ไหน ดูแล้วไม่น่ากังวล เดี๋ยวพี่ทำแผลให้แล้วกัน!!” จินไห่ยิ้มพร้อมหัวเราะในลำคอ และเริ่มทำการล้างแผลให้โดยมีเสียงร้องโอดโอยมาเป็นระยะ

หลังจากที่จินไห่ออกไปเอาน้ำแข็งมาประคบก็มีคนติดสอยห้อยตามกลับมาด้วยอย่างกวี อนาคตสัตวแพทย์สุดหล่อ มาดูเกี่ยวกับอาการตอบสนองทางร่างกายให้ พร้อมบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก่อนกวีจะออกไป ยังโดนจินไห่แซวอีกครั้งว่า “อึดกว่าหมาจริงๆ ด้วย”

ต้นน้ำมีอาการฮึดฮัดบ้างแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากเพราะปวดแผลและมีน้ำแข็งประคบอยู่ จินไห่จัดแจงให้กินยาเรียบร้อย กวีขอตัวออกไปกินมื้อค่ำต่อทันทีที่ตรวจอาการเสร็จสิ้น

“ถอดเสื้อผ้าออก” จินไห่พูดหน้านิ่ง

“หา!!??” ต้นน้ำอุทานตกใจกับคำสั่งของอีกฝ่าย

“ก็เหงื่อออกขนาดนี้ให้พี่เช็ดตัวให้ก่อนไหม? จะได้นอนสบายๆ” จินไห่ชี้ไปที่อ่างน้ำที่มีผ้าสีขาวสะอาดวางพาดอยู่ ซึ่งวางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงเมื่อไหร่ไม่ทราบ

“เอ่อ..... ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้!” ต้นน้ำพูดขึ้นอย่างขัดเขิน

“เอาน่า ให้พี่ทำให้เถอะ!” จินไห่โน้มน้าว พร้อมทั้งใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดมาจ่อรอ

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ!” ต้นน้ำคว้าผ้าหมาดจากมืออีกฝ่ายแล้วพยายามเช็ดด้วยมือข้างเดียวอย่างยากลำบาก เพราะอีกมือหนึ่งกำลังประคบศรีษะตัวเองด้วยถุงน้ำแข็งถุงใหญ่

“มา!! พี่ทำให้!!” จินไห่แย่งผืนผ้ามาจากอีกฝ่ายที่กำลังล้วงเช็ดภายใต้เสื้อที่หมาดไปด้วยเหงื่อ ด้วยความไม่ถนัดต้นน้ำถูกแย่งผ้าหมาดไปอย่างง่ายดาย

“งั้นถอดเสื้อก่อน จะอายอะไร! ตอนอยู่ด้วยกันก็ถอดเสื้อเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจะบ่อย” จินไห่ยิ้มให้ด้วยอาการขบขันเด็กชายตรงหน้า

ต้นน้ำจนด้วยคำพูดใดๆ ก็เลยขยับตัวให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออกอย่างง่ายดาย

“กางเกงด้วย!!” จินไห่พูดจบหลังจากถอดเสื้อต้นน้ำไปกองที่พื้นห้อง

“ไม่ต้องก็ได้!!” ต้นน้ำปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้ ใส่มาเกือบทั้งวันแล้วจะใส่นอนได้ยังไง!! กางเกงในอยู่ไหน? เปลี่ยนด้วยจะได้สบายตัว!” จินไห่ออกคำสั่งชัดเจนเหมือนอีกฝ่ายไม่ต่างจากเด็กห้าขวบ

“เอ่อ.....” ต้นน้ำไม่สะดวกใจเท่าไหร่ เขารู้สึกแปลกเมื่อต้องแก้ผ้ากับคนตรงหน้าทั้งๆที่กับเพื่อนนักกีฬา เขาเดินแก้ผ้าโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไร เขาตื่นเต้นไปหมดจนอธิบายไม่ถูก ทำได้แค่พยายามจะปฏิเสธแต่คำพูดมันไม่ออกจากปาก

“ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไรวะ! หรือว่า...” จินไห่ทิ้งท้ายประโยคให้คิด

“กางเกงในอยู่ในกระเป๋าทางซ้ายครับ จะทำอะไรก็รับทำ!!” ต้นน้ำฝืนทำใจกล้า แต่ในใจนั้นปั่นป่วนไปหมด ทำไมเขาต้องรู้สึกแบบนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าจินไห่จะหล่อลากไส้มาจากไหน มันก็ไม่ควรที่ผู้ชายอย่างเขาจะอายกับเรื่องแบบนี่

จินไห่สั่งให้อีกฝ่ายถอดกางเกงจนล่อนจ้อน แต่ถึงอย่างนั้นต้นก็ยังใช้มือปิดส่วนสำคัญไว้อยู่ดี ปล่อยให้ผู้ใหญ่ใจดีเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดลูบไล้ไปทั้งตัว

ต้นน้ำรู้สึกขนลุกไปหมดเพราะเข้าใจว่าน้ำที่ชุบมานั้นเย็นระดับหนึ่งบวกกับห้องปรับอากาศด้วย แต่ไอ้สิ่งที่อยู่ในอุ้งมือนี่สิมันมีปฏิกิริยาจนเขาแทบจะควบคุมไม่อยู่

พึ่บ!

เสียงผ้าห่มถูกดึงมาคลุมท่อนล่างที่เปล่าเปลื่อยของต้นน้ำ

“เอ้า กางเกง กางเกงใน เดี๋ยวจะหนาวตายเสียก่อน!” จินไห่พูดขึ้นมาด้วยยิ้มที่มุมปาก ต้นน้ำรีบจัดหารสวมใส่สิ่งที่ลอยลงมาวางตรงหน้าอย่างรีบเร่ง

“เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงดีนะ” จินไห่เอ่ยขึ้นลอยๆด้วยรอยยิ้ม

‘เชี้ย!! อย่าบอกว่าเห็นหมดแล้ว เห็นตอนมันโตแล้ว!!’ ต้นน้ำคิดจนแทบน้ำตาจะไหลออกมา รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ควรมีปฏิกิริยาต่อหน้าคนแบบนี้เลย

หลังจากจินไห่เห็นว่าต้นน้ำได้ถูกเช็ดตัว เช็ดหน้าจนสะอาดสะอ้านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาจึงสั่งให้ต้นน้ำเอนนอนเพื่อพักผ่อนหลังจากตรวจสอบว่าเลือดที่ศรีษะหยุดไหลเรียบร้อยแล้ว

“อรรณพ!! มาเร็ว! อุ่นเครื่องรอจนร้อนไปหมดแล้ว! เสี่ยวหยู๋นำเราไปไกลแล้วนะขนาดเป็นผู้หญิง เราจะยอมแพ้ไม่ได้นะ” นี่โน่ที่ท่าทางเริงร่าเปิดประตูผ่างเข้ามา หลังจากที่จินไห่นั่งลงที่โต๊ะข้างเตียงได้เพียงพักเดียว แม้จะดูเหนื่อยล้าจากการดูแลต้นน้ำ แต่เขาก็ยิ้มรับไปที่ผู้ที่เข้ามาอย่างเต็มใจ

“เร็ว! ไอ้เด็กหัวแข็งนี่ไม่ตายหรอก!!” นีโน่เดินเข้ามาจูงมืออีกฝ่ายเพื่อชวนออกไปดวลเครื่องดื่มที่เตรียมมาด้านนอก

แม้จะมีท่าทีขัดขืนบ้างแต่หลังจากเห็นต้นน้ำพยักหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปได้ จินไห่ก็ค่อยๆ ถูกนีโน่ลากออกจากห้องไปอย่างช้าๆ แต่ไม่วางสายตาห่างจากคนที่นอนหัวแตกอยู่บนเตียง จนกระทั่งปิดประตูลับตาไป ทิ้งให้ต้นน้ำพักผ่อนแต่เพียงลำพัง

เสียงแห่งความเงียบงันมาเยือนอีกครั้ง ในห้องที่ตอนนี้ต้นน้ำนอนอยู่บนเตียงแต่เพียงลำพัง ความจริงเขาเป็นคนหัวแข็งมาก บาดเจ็บหนักกว่านี้จากการแข่งขันบาสเกตบอล เขาก็เคยมาแล้ว แถมยังไปเที่ยวกลางคืนต่อก็เคย ต้นน้ำเพียงแค่หน้ามืดจากการเห็นเลือดที่ตนเองไม่ชอบเท่านั้น ปัจจุบันเลือดก็ถูกเช็ดทำความสะอาดไปหมดแล้ว การปล่อยให้เขานอนอยู่ห้องเหงาๆเหมือนเจ็บหนักแบบนี้ มันเหมือนเป็นการดูถูกเขาชัดๆ

ต้นน้ำลุกขึ้นเหวี่ยงผ้าห่มที่คลุมร่างเขาอยู่จนถึงอกออก และลุกออกจากเตียง เดินที่ลูกบิดประตูด้วยความเร็วดุจกับสายลม แต่จิตสำนึกของเขาดันเตือนว่าการที่เขาออกไปสภาพนี้ จินไห่คงบ่นให้เขารำคาญจนเขาหมดสนุกแน่นอน และคงหาข้ออ้างมาดูแลเขา ซึ่งอาจจะทำให้อะไรดอัดกว่าเดิม เขาจึงหันหลังกลับไปนั่งลงที่เตียงอย่างหงุดหงิด

“เดี๋ยวนะ กูจะกลัวเชี้ยอะไรแค่นี้!!” ต้นน้ำบ่นพึมพำกับตนเอง เขาเดินไปที่ลูกบิดประตูอีกครั้ง มือจับไปที่ลูกบิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็พาตนเองเดินมานั่งที่เตียงเช่นเดิม

เขาทำแบบนี่อยู่ สามสี่รอบ จนกระทั่งตัดสินใจนอนต่อเพื่อตัดปัญหา อย่างน้อยอยู่ตรงนี้ก็สบายใจกว่า!

เขาเดินไปหาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เขาวางไว้ตอนที่เดินเข้ามาให้ห้องด้วยอารมณ์หุนหัน เขาจึงจำไม่ได้ชัดว่าเขาวางไว้ตรงไหน ในระหว่างที่ค้น เขาก็เจอมันตกอยู่ใกล้กับกระเป๋าของจินไห่ เขาเดินไปหยิบและไปสะดุดกับสมัดบันทึกเล่นหนึ่งที่แสนคุ้นเคย เขาหันซ้ายและขวา เขาไม่ลังเลที่จะอ่านเพื่อแก้เบื่อทันทีที่เห็นว่าปลอดภัย
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 13 part 2) 13 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-02-2021 11:46:45
‘ความเดียวดาย’

คำจำกัดความสั้นๆ ที่ย่อหน้าของบันทึก เจ้าของบันทึกได้เล่าถึงกิจวัตรประจำวันว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง เขาไม่เคยโดนแกล้งอีก มีเพื่อนที่กล้าที่จะเข้าหาเขามากขึ้น พวกกลุ่มหัวโจกของโรงเรียนก็พยายามหนีเขามากกว่าพยายามหลีกเลี่ยง อาจเป็นผลมาจากความดีที่เขาทำกับหัวหน้ากลุ่มหัวโจก

แต่หลายครั้งที่เจ้าของบันทึกพยายามพาตัวเองไปอยู่ในที่ๆเจอหัวหน้านักเลงคนนั้น เขากลับไม่เคยเจอเลย จนกระทั่งเขาไม่แน่ใจว่า พวกเขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน

วันเวลาผ่านไปจากสัปดาห์ไปเป็นเดือน ชีวิตของเจ้าของบันทึกดูจะลงตัวมากขึ้น เขามีเพื่อน เขามีอาหารไทยจานโปรดที่เขาโปรดปราน   เขาไม่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียว เขามีกลุ่มเพื่อนที่สนใจวาดรูปเหมือนกัน แม้เขาจะมีความสุขมากขึ้นเขาก็เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง

วันหยุดวันหนึ่งเขาตัดสินใจ ปีนต้นไม้ใหญ่ที่สวนข้างบ้าน เขาได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ว่าให้สามารถเข้ามาทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่พื้นที่สวนข้างเคียงบ้านของเขา

และแล้วภาพที่เห็นในคลองสายตาเบื้องล่างก็ปรากฏสิ่งที่เขารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ เขาเองก็บรรยายไม่ถูกว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร แต่เขาอยากเจอหน้าไอ้นักเลงหน้าดุคนนี้มาก หัวหน้ากลุ่มนักเรียนเกเรที่อาศัยอยู่ข้างบ้าน เดินมานั่งทิ้งตัวอย่างสบายๆ ภายใต้ต้นไม้ที่เจ้าของบันทึกอยู่ ด้วยอริยาบทท่วงท่าที่นั่งสบายๆ ปล่อยไปกับพื้นบวกกับการฮัมเพลงที่แม้เจ้าของบันทึกไม่รู้จักแต่ก็เพราะจับใจ

เจ้าของบันทึกพยายามทำตัวนิ่งเงียบโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบการแอบมองคนๆนี้ จนหลายนาทีผ่านไปเขาจึงหยิบดินสอขึ้นมาวาดภาพบนสมุดบันทึก ซึ่งการร่างลายเส้นนั้นมันช่างมีเสน่ห์มากๆ แม้มันจะหยาบแต่ก็ใส่อารมณ์ลงไปในแต่ละเส้นจนเห็นความสวยงาม ของภาพร่างดินสออย่างชัดเจน

ต้นน้ำคิดพลางส่องดูรอยกดที่น้ำหนักต่างกันบนกระดาษแผ่นเก่า ดูท่าทางไอ้หนุ่มที่เจ้าของบันทึกคนนี้แอบดูอยู่จะนั่งอยู่นานพอควร เพราะปล่อยให้เจ้าของบันทึกวาดได้ละเอียดแบบนี้ ในมุมสูงที่น่าจะสูงมากสามารถวาดได้ขนาดนี้ เจ้าของบันทึกน่าจะเป็นศิลปินระดับประเทศได้สบาย ต้นน้ำมองดูด้วยรอยยิ้ม มันเต็มไปด้วยอารมณ์โหยหาอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนคนกำลังแอบรักใครสักคน คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ต้นน้ำตื่นเต้นพร้อมที่จะพลิกอ่านต่อทันที

หลังจากพลิกหน้าถัดไป ลายเส้นของตัวอักษรก็มีการแปรเปลี่ยนไป ไร้เสน่ห์และลายเส้นที่บางเบา บ้างก็มีรอยกดจากปลายแหลมของปากกา แต่พออ่านจึงได้รู้เหตุการณ์ต่อไป และสาเหตุของลายมือที่เปลี่ยนไป

ไอ้หนุ่มหัวโจกนั้นไม่ได้เพียงแค่มานั่งเล่นเฉยๆ แต่เขามารอใครคนหนึ่ง บุคคลนั้นวิ่งกึ่งเดินมานั่งข้างๆ หัวโจกที่ใต้ต้นไม้ เธอทำท่าทางขอโทษขอโพยด้วยอากัปกิริยาที่น่ารักใคร่ สักพักก็ถูกอีกฝ่ายดึงมากอด และเริ่มเร้าโลมกันอย่างถึงพริกถึงขิง เจ้าของบันทึกไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ต่อหน้ามาก่อน เขาบรรยายถึงเสียงหัวใจที่ดังโครมครามและความว้าวุ่นใจอย่างอธิบายไม่ได้ จนกระทั่งเขาทำหนึ่งในดินสอที่พกมาร่วงหล่นไปใกล้คนทั้งสองคนที่กำลังเร้าโลมจนเสื้อผ้าท่อนบนหลุดหลุ่ยไปหมด

ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองโดยสัญชาติญาณ เธอเป็นคนสะสวยแม้จะทำสีหน้าตกใจสุดขีดเมื่อเห็นพยานรักของเขาทั้งสอง เธอรีบจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้

นักเลงหัวโจกเงยหน้ามองหาสาเหตุของปัญหา เขาเจอก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่ไม่ใช่บุคคลในบ้านของเขาเสียด้วยซ้ำ

หัวโจกถอนหายใจเฮือกใหญ่ กรามล่างและบนบดกันอย่างดัง เขาโวยวายเรียกให้เจ้าของบันทึกลงมา ก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปลากเจ้าของบันทึกที่เป็นต้นเหตุให้หัวโจกไม่ได้แอ้มซิงคุณหนูลูกผู้ว่าฯ ที่ถือว่าเป็นดาวในหมู่ดาวของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

หลังจากเจ้าของบันทึกปีนป่ายลงมาถึงพื้นด้วยอาการสั่นกลัว เขาก็เจอหัวโจกดันกระแทกต้นไม้อย่างจัง เขาบรรยายว่ามันทำให้เขามีแผลพกช้ำไปหลายจุดเลยทีเดียว หัวโจกบรรยายไปต่างๆ นานาว่าเขาใช้ทุกวิธีกว่าจะจีบให้เธอยอมมาพบเขาที่นี่ กว่าเธอจะยอมให้แตะเนื้อต้องตัว มันยากมาก และวันนี้เขาก็พร้อมจะเสียความบริสุทธิ พร้อมกับเธอที่นี่

เจ้าของบันทึกกล่าวตอบกลับไปที่หัวโจกว่าเรื่องที่ทำมันไม่เหมาะสมพวกเขายังเยาว์วัยนัก จะทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง

ต้นน้ำอ่านมาถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มออกมา เขาโชคดีที่เกิดสมัยนี้ ที่เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างปกติไปแล้ว เขารู้สึกสงสารหัวโจกคนนั้นเลยที่โดนขัดจังหวะแบบนี้ แต่เรื่องพวกนี้ยังไงคนเป็นพ่อแม่ไม่ว่าสมัยไหนก็รับไม่ได้หรอก เขาคิดต่อ พาลนึกไปถึงวันที่เขาแอบเอาแฟนคนแรกเข้าแล้วโดนแม่จับได้ เขาโดนสวดยับไปเป็นเดือน!

ต้นน้ำอ่านต่อด้วยความสนุก

หัวโจกหลังจากได้ยินเจ้าของบันทึกทักท้วง เขาก็หัวเราะลั่น พร้อมด่ากลับว่าเจ้าของบันทึกไม่ใช่บุพการีเขาจะมาสั่งสอนเขาเพื่ออะไร พร้อมง้างมือเตรียมที่จะสั่งสอนเจ้าบันทึกตรงหน้า

เจ้าของบันทึกหลับตาสนิทพร้อมเตรียมใจรับความเจ็บปวดที่กำลังจะพุ่งเข้า ภาพในหัวที่เขาเคยเห็นหัวโจกอัดอริของเขาเสียยับเยินแล่นเข้ามาในหัวแบบไม่ตั้งใจ ยิ่งทำให้เจ้าบันทึกหวาดกลัวไปอีกจับใจ

มาถึงตรงนี้ลายมือและลายเส้นของเจ้าของบันทึกแทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว

แต่หลับตาอยู่เนิ่นนาน หมัดที่เป็นเหมือนอาวุธทำลายล้างของหัวโจกก็ไม่มาถึงร่างกายเขาเสียที ค่อยๆลืมตามองคนที่ยืนคล่อมเขาอยู่

เจ้าของบันทึกต้องแปลกใจที่โดนอีกฝ่ายมองอย่างวินิจวิเคราะห์ มือที่เงื้อสูงสั่นเทา หมัดที่ยังกำแน่นไม่คลาย อาการเหล่านี้สร้างความสงสัยให้กับเจ้าของบันทึกมาก แต่เขาก็นิ่งเฉยไม่กล้าถาม

“มึงนี่… หน้าสวยมากเลยรู้ไหม? ไหนจะขนตาอีก นี่มึงเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอวะ กูสังเกตหลายครั้งแล้ว ผิวพรรณมึงนี่ไม่เหมือนผู้ชายเลย”. ประโยคของหัวโจกที่เจ้าของบันทึกเขียนออกมาพร้อมเครื่องหมายคำถามสักสิบตัวต่อท้าย

อ่านมาถึงขนาดนี้ ต้นน้ำรู้สึกว่ามันแปลกไปแล้ว นี่มันกลิ่นนิยายวายที่ไอ้ไอซ์เพื่อนเขาชอบอ่านชัดๆ (มันชอบมาเล่าให้ฟัง ที่เรียกว่าป้ายยา แต่ต้นน้ำไม่อินไง จะป้ายเท่าไหร่ก็ไม่สนใจ) แทนที่ต้นน้ำจะรู้สึกเสียเวลาที่อ่าน แต่เขากลับรู้สึกอยากรู้ว่ามันจะจบอย่างไร? เพราะนี่มันชีวิตจริง ต่อมเผือกของเขาร้อนช่า มันต้องอ่านต่อเท่านั้น จะวายหรือไม่วายจะได้รู้กัน!!

ต้นน้ำก้มหน้าอ่านต่อทันที

หัวโจกจับคางเจ้าของบันทึกหันไปมาอย่างไม่อ่อนโยนเลย เขารู้สึกเจ็บแต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ร้องให้อีกฝ่ายได้ใจ สักพักหัวโจกก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวบางของเจ้าของบันทึกลงจนหมดเผยให้เห็นผิวขาวเนียนน่าสัมผัส วินาทีนั้นเจ้าของบันทึกสาบานได้ว่าเห็นหัวโจกมีดวงตาแวววาวเป็นประกาย หัวโจกค่อยๆ โน้มศรีษะตนเองลงไปดอมดมอีกฝ่ายบริเวณซอกคอและระหว่างอกด้วยสีหน้าพึงใจ เจ้าของบันทึกทำอะไรไม่ได้เพียงแค่บันทึกถึงอัตราความเร็วของหัวใจมี่เต้นโครมครามดั่งมีพายุซัดอยู่ในอก

หัวโจกเงยหน้าประจันกับเจ้าของบันทึกพร้อมกล่าวว่า “หากกูไม่ได้ระบายกับหญิงใด! งั้นมึงก็ต้องมาแก้ขัดให้กู เอาหน้าสวยๆของมึงมาจัดการให้กูเสร็จเดี๋ยวนี้!!”

คำพูดที่ไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากหัวโจกสร้างความตกใจให้กับเจ้าของบันทึกมาก จนร้องโวยวายออกมา เขาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่าหัวโจกหมายถึงอะไร

หัวโจกปล่อยให้เจ้าของบันทึกล้มพับลงนั่งพร้อมจัดการปลดกางเกงตนเองลงมาจนเปลือยเปล่า ในบันทึกบรรยายเพียงแค่ว่าเจ้าของบันทึกเห็นงูตัวเขื่อง ดำคลับซ่อนอยู่ใต้กางเกง มันน่ากลัวจนเขาลนลานวิ่งหนีมุดรั่วเข้าไปพื้นที่ฝั่งตัวเอง อย่างที่ไม่กล้าหันไปมอง หากเขาต้อง ‘ช่วย’ ไอ้นั่นของหัวโจกจริง เขาคงแย่ แต่ที่แปลกคือความใจเต้นนี่แหละที่เจ้าของบันทึกไม่เข้าใจตนเอง

เจ้าของบันทึกวิ่งไปพร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังลั่น

ต้นน้ำอ่านจบบทแต่เขายังไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้มันมีเนื้อหาแปลกๆ มากน้อยแค่ไหน คงต้องอ่านเพิ่ม ในขณะที่กำลังจะพลิกอ่านต่อ ประตูห้องก็เปิดขึ้นอย่างเงียบเชียบในขณะที่ เขายังถือสมุดบันทึกเล่นนั้นอยู่

“อ้าว! ทำไมพี่กลับมาเร็วจัง!!” ต้นน้ำเอ่ยทักคนที่มองหาตนเองจนเจอว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแถมยังมีสมุดของตนอยู่บนมือด้วย

“ทำไม?.... ยังไม่นอนเด็กดื้อ!!” จินไห่มองตาปรือแก้มแดงดั่งผลมะเขือเทศใกล้สุก ต้นน้ำรู้ทันทีว่าคงโดนพี่นีโน่หลอกกรอกเหล้ามาเป็นแน่ แต่ไม่รู้ทำไม ถึงหนีออกจากวงเหล้าได้เร็วนัก

“เอ่อ.... นอนไม่หลับครับ” หลังจากเห็นอีกฝ่ายแทบไม่มีสติ ต้นน้ำเลยรีบเก็บสมุดบันทึกเล่มเก่าลงกระเป๋าจินไห่ในขณะที่จินไห่พยายามเดินอย่างมั่นคงมาที่เตียงนอน

เสียงจินไห่ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มดังพั่บ เขามีอาการเซเล็กน้อย ต้นน้ำจึงรีบโผไปพยุงทันที

“นี่คนป่วยต้องมาดูแลคนเมาหรือนี่!” ต้นน้ำบ่นพึมพำ

“ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี มาแอบอ่านไดอารี่ ของ.....” เสียงที่ปลายประโยคมันอ่อนเบาจนหายเข้าไปในลำคอ เหมือนความเข้มแข็งที่พยายามแสดงกำลังจะหมดลง

“อะไรนะพี่!” ต้นน้ำก้มหน้าลงไปใกล้ปากจินไห่พี่เริ่มพึมพำคล้ายกำลังจะหมดสติ

หมับ!!

มือหยาบใหญ่ของจินไห่คว้าที่ท้ายทอยต้นน้ำจนเขาทรงตัวไม่อยู่ถลาเข้าที่หน้าอีกฝ่าย

“ไอ้เด็กเวร นั่นมันบันทึกของพ่อพี่นะ ไม่ใช่ของที่มึงจะมาอ่านเล่น!!” จินไห่พูดจบ ต้นน้ำก็กระจ่างในความคิด แปลว่าเหตุการณ์ที่ว่ามันเกิดขึ้นที่บ้านนั้นจริงๆ แล้วคำถามมากมายก็ถาโถมเข้ามาในหัว ด้วยความใจลอย มือก็อ่อนแรงจนกระทั้งแก้มของเขาลดต่ำลงไปขนกับริมฝีปากของคนเบื้องล่างทันที

“เฮ้ย! ขอโท.....” ต้นน้ำหันไปขอโทษ และด้วยความที่มือของคนเบื้องล่างกดอยู่ที่ท้ายทอย และกดแน่นขึ้นเรื่อยๆ การหันไปขอโทษของต้นน้ำจึงเป็นความคิดที่ผิดถนัด

ริมฝีปากของต้นน้ำประสานกับริมฝีปากอีกฝ่าย ลมหายใจที่ร้อนผ่าวและกลิ่นเหล้าดีกรีสูงระเหยเข้าปากของต้นน้ำฉุนกึก ทำให้ต้นน้ำตกใจอย่างมาก แม้เขากับจินไห่จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ครั้งนี้มันมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ต้นน้ำรู้สึกตื่นเต้นและเร้าร้อนไปหมด ยิ่งโดนอีกฝ่ายใช้ลิ้นชอนไชสอดแทรกเข้ามาอย่างดุร้าย เขายิ่งรู้สึกบอบบางอ่อนแอ จนเผลอใช้ลิ้นต่อตอบไปอย่างเผ็ดร้อน

การโต้ตอบด้วยฝีปากใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จินไห่จะค่อยๆผ่อนแรงและพล่อยหลับไปอย่างเงียบเชียบ ยิ่งให้ต้นน้ำรู้สึกสับสนกับการเสียอาการของตนเอง ทำไมเขาถึงควบคุมตัวเองไม่ได้

“เชี้ย!”

เสียงจากทางด้านหลังดังขึ้นต้นน้ำตกใจรีบหันไปทันที เขาเจอเพื่อนสนิทของตนเองอย่างไอซ์ยืนอ้าปากค้างด้วยอาการไม่เชื่อสายตาตนเอง

...............................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 13 part 2) 13 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-02-2021 00:22:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 14 part 1) 22 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-02-2021 10:07:47
บทที่ 14

Deep down inside


ต้นน้ำตื่นขึ้นมาบนโซฟายาวในห้องซึ่งเป็นการนอนที่ไม่ได้สะดวกสบายสักเท่าไหร่ เพราะขาที่ยืดยาวของเขาพาดพ้นปลายทางอีกด้านหนึ่งไปเกือบช่วงเข่า

ดวงตารู้สึกได้ทันทีถึงอาการปูดโปนบวมช้ำ ทำให้เขายกมือขึ้นประคบดวงตาทั้งสองข้างด้วยฝ่ามืออย่างเผลอตัว

ต้นน้ำหันไปมองอีกคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงซึ่งมีท่าทางการนอนที่ไม่ได้สบายกว่ากันเสียเท่าไหร่ เพราะจากเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ชายคนนั้นอีก ไม่ใช่ว่าเขากลัวจะเจอแบบเดิมนะ แต่เขากลัวความรู้สึกที่แปลกไปของตนเองมากกว่า เพราะนอกจากเขาจะไม่รู้สึกรังเกียจแล้ว แต่เขากลับรู้สึกโหยหามันมากกว่าอีก

ต้นน้ำขยี้หัวตัวเองอย่างแรงเพื่อปัดป่ายความคิดและความต้องการแปลกๆ ของตนเองออกไป ทำให้พาลนึกไปถึงคำพูดของเพื่อนตนเองขึ้นมา คำพูดที่เพื่อนเดินเข้ามาเตือนสติตัวเขาเองกลังจากที่เห็นฉากแลกจูบอันดุเดือดระหว่างเขากับจินไห่

“กูถามจริง มึงคิดกับพี่เขายังไง เพราะคนที่เมาไม่ใช่มึงแต่เป็นพี่เขา สติมึงยังครบถ้วนดี” ไอซ์เดินเข้ามาจับบ่าต้นน้ำหลังที่เขาสะดุ้งจนก้าวกระโดดมานั่งที่โซฟายาวที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงมากนัก

“ก็พี่เขาเมา! แม่งมาขโมยจูบกูอีกแล้ว!!” ต้นน้ำโวยวายแก้เขิน

“อีกแล้ว?!?” ไอซ์ยิ้มมุมปากและเลิกคิ้วสูง

“เชี้ย! ก็แค่ครั้งนั้นแหละ ที่เคยเล่าให้ฟังไง ตอนเจอยัยแฟนโรคจิตนั้นวันแรกไง!!”ต้นน้ำคิดแก้ตัว

“เออ! กูรู้ แค่อยากแกล้งมึงเฉยๆ” ไอซ์ยิ้มแก้มแดง ท่าทางจะมีน้ำเมาอยู่ในกระแสเลือดไม่น้อย

“ครั้งนี้ก็เหมือนกัน!!” ต้นน้ำเสริม

“ไม่เหมือนว่ะ ครั้งนั้นมึงไม่ได้ตอบสนอง มึงบอกกู กูก็เชื่อมึง แต่ครั้งนี้กูเห็นกับตาว่ามึงสนอง!!”

“กู.....” ต้นน้ำมึนงงในความรู้สึก ไม่รู้ว่าไอ้ที่เขาทำไปเมื่อครู่มันคืออะไร พูดพลางเผลอยกมือขึ้นสัมผัสปากตนเอง

“เรื่องนี้กูจะไม่คาดคั้นก็แล้วกัน มึงเก็บไปคิดของมึงเอง ค้นเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจของมึงเองว่ามันคืออะไร?” ไอซ์ใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าเพื่อนของเขา

“.......” ต้นน้ำเงียบ ปกติเขาคงเถียงลั่นบ้าน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอธิบายไม่ออก

“กูไปกินเหล้าต่อแล้ว กูเห็นพี่เขาหายไปนานเลยเป็นห่วง เพราะเห็นว่าเมามากแล้ว ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นฉากเด็ด!” ไอซ์พูดจบก็เดินหายไป ทิ้งให้ต้นน้ำคิดอยู่เกือบค่อนคืนจนเผลอหลับไป

“ไอ้เชี่ยไอซ์ มาพูดให้กูคิดมากทั้งคืนเลย!!” ต้นน้ำบ่นงึมงำ

ขณะเดียวกันคนที่นอนอยู่บนเตียงก็เริ่มขยับตัวและลุกขึ้นมามองหน้าต้นน้ำอย่างสงสัย

“ทำไมไปนอนตรงนั่นล่ะ หรือว่า....” จินไห่พูดด้วยท่าทางงัวเงีย ดวงตาหรี่เล็ก

“อะไรพี่!!” ต้นน้ำรู้สึกถึงเลือดที่พุ่งขึ้นจากกลางอกสูบเข้าที่หน้าจนร้อนผ่าว

“ขอโทษทีวะ พี่คงไล่เราไปนอนตรงนั้นใช่ไหม? เวลาพี่เมาแล้วจำอะไรไม่ได้ทุกที มีแน่คนบอกว่าพี่นิสัยเปลี่ยนตอนเมา” จินไห่ลุกขึ้นนั่งและใช้มือกุมนวดขมับเบาๆ

“ถ้าแค่นั้นก็ดีสิ!” ต้นน้ำบ่นงึมงำ พลางคิดในใจว่าจินไห่จำไม่ได้หรืออยากจะแกล้งตนเอง

“อะไนะ?” จินไห่หันไปถามเพราะได้ยินไม่ถนัด

“ไม่มีอะไรครับ แล้วคืนนี้จะเมาอีกไหมเนี่ยครับ ผมจะได้ขอไปนอนห้องไอ้ไอซ์เลย” ต้นน้ำคิดอะไรไม่ออกนอกจากหนีไปตั้งหลักก่อน ไม่อยากให้ความรู้สึกแบบนั้นมาจู่โจมเขาได้อีก

“ไม่รู้ว่ะ! แต่จะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน ก็รู้ดีว่าพี่หนีพี่โน่ไม่ได้!” จินไห่ตอบเสียงเบาพร้อมทำท่าเหมือนกลัวแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ท่าทางจะไม่เคยเมาค้างมาก่อน

“งั้นผมไปขอนอนกับไอ้ไอซ์เลยดีกว่า” ต้นน้ำลุกขึ้นนั่งตอบเสียงแข็ง

“อ้าว!! คนเป็นแฟนกันก็ต้องดูแลกันไหม?” จินไห่สวน

“แฟนปลอมๆ ไหมครับ” ต้นน้ำตอบกลับทันที

“เมื่อวานพี่ยังดูแลเราอย่างดีเลย” จินไห่ออกอาการน้อยใจจนต้นน้ำรู้สึกได้

“เออๆ ก็ได้วะ!” ต้นน้ำคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาหัวแตกได้ก็เลยตอบไปอย่างเสียไม่ได้ พลางคิดไม่ตกว่าคืนนี้เขาจะนอนได้ไหม

.............

วันนี้สภาพร่างกายแต่ละคนนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จินไห่ที่ดูจะมีอาการหนักที่สุด คือดวงตาแดงก่ำ พยายามหลบแสงแดดที่ส่องเข้ามาตลอดเวลา ใช้มือข้างหนึ่งหยิบถุงน้ำแข็งที่เจอในช่องแข็งของตู้เย็นในบ้านมาประคบที่ศรีษะตัวเองขณะนอนพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรง

ไอ้ไอซ์สลบเหมือดอยู่ในห้อง เรียกตั้งนานกว่าจะรู้สึกตัว นอนแรกนึกว่ามันจะตายไปแล้วเพราะแทบไม่ขยับตัวเลย

พี่กวีนั้นขอตัวไปนอนแช่อยู่ในอ่างจากุชชี่ตรงหน้าบ้านพร้อมน้ำผ้าเช็ดไปปิดหน้า พร้อมด้วยเครื่องดื่มเสริมวิตามินเย็นๆ จำนวนมาก

เสี่ยวหยู๋ที่เมื่อวานไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไรมานัก ในช่วงสายถึงบ่ายเธอยังคงอยู่ในสภาพชุดนอนผ้าซาตินสีแดง นั่งดูโทรทัศน์อย่างใจเย็นเรื่อยเปื่อย พร้อมผ้าปิดรอบตาแบบเจลเย็น ผู็หญิงคนนี้ถือว่ามีสภาพดีกว่าผู้ชายสามคนแรกมาก

พี่นีโน่ที่ไม่ปรากฏตัวตั้งแต่ต้นน้ำออกจากห้อง ก็ได้กลับมาจากนอกบ้านพร้อม อาหารมื้อบ่าย และ วัตถุดิบสำหรับเตรียมมื้อค่ำ ที่เหมือนเมื่อวานแทบจะทุกอย่าง ที่มากกว่าเดิมน่าจะเป็นบรรดาขวดน้ำเมาหลากหลายประเภทที่วางเรียงอยู่เต็มเคาเตอร์บาร์ของบ้าน ผู้ชายตัวเล็กคนนี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก เพราะเขาดูสมบูรณ์และปกติที่สุดแล้ว คนแข็งแกร่งดุจเหล็กไหลของจริง

การเตรียมอาหารมื้อบ่ายทั้งหมดของวันนี้มีเพียงเสี่ยวหยู๋เท่านั้นที่เข้ามาจัดแจงดูแล จนต้นน้ำไม่เชื่อสายตาในทักษะแม่บ้านแม่เรือนของเธอ เพราะจากสภาพทุกคนดูไม่มีใครกระตือรือร้นกับอาหารมื้อนี้เลย ยกเว้นต้นน้ำเท่านั้นที่หิวจนแทบไส้ขาด เพราะเมื่อวานตอนค่ำก็แทบไม่ได้กินอะไรเลย

จากการสังเกตการณ์ของต้นน้ำ เสี่ยวหยู๋มีท่าทีสนิทกับนีโน่มาก ลักษณะเหมือนคนจีบกันจริงๆ จนต้นน้ำรู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ช่วงนี้ สองคนนี้เขามีแผนอะไรกันแน่ เพราะขนาดที่ว่าเมื่อคืน จินไห่แทบไม่มีสติ ทั้งสองคนตรงหน้าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไร หรือว่าจะเปลี่ยนแผน หรือว่าจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ขอให้เป็นอย่างหลัง เขาจะได้ออกจากวังวนประหลาดแบบนี้เสียที

แม้มื้อบ่ายจะเงียบเหงา แต่ช่วงเย็นในการเตรียมมื้อคำกลับคึกคัก ทุกคนกลับมาสดใสแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งช่วยกันเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งกระโดดเล่นน้ำอย่างคึกคักผิดกับช่วงบ่ายที่ผ่านมา และคนที่เป็นพระเอกของงานนี้คือจินไห่ ที่แสดงทักษะในการทำอาหารอย่างมืออาชีพ พร้อมกับในเวลาที่ว่างเว้นจากการเตรียมอาหารที่มีลูกมือคือ เสี่ยวหยู๋ ที่ดูจะเข้าขากันดี ก็แอบเอากีตาร์มาดีดบันเลงขับกล่อมให้บรรยากาศดูคึกคักมากขึ้นไปอีก

ไอซ์ที่ตามติดพี่กวีไม่ว่าจะไปที่ไหน พร้อมกับพี่นีโน่ก็เวะเวียนไปคุยด้วยไม่เคยขาด ต้นน้ำยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขบขัน แผนของไอซ์ถือว่าสัมฤทธิ์ผล แต่ตัวมันเองก็ต้องมาวุ่นวายเป็นไม้กันหมาเสียเอง ช่างน่าสงสาร แต่ก็ต้องขอบคุณเพื่อนแท้คนนี้ ที่ทำใหการมาเที่ยวครั้งนี้ ปวดหัวน้อยกว่าที่คิด (แต่กลับเจ็บตัวแทน)

ต้นน้ำที่มีแผลที่ศรีษะอยู่นั้นไม่สามารถไปว่ายน้ำเล่นได้ เพราะจินไห่ห้ามไว้อย่างหนักแน่น ต้นน้ำไม่อยากมีปัญหาก็เลยได้แต่นั่งเอนกายอย่างเบื่อหน่ายที่เตียงไม้ริมสระน้ำ นั่งมองการเตรียมอาหารและการร่วมกิจกรรมยามเย็นของทุกคนอย่างเงียบๆ ครั้นจะให้ไปช่วยหยิบจับอะไรในการเตรียมอาหารมันก็ไม่ใช่นิสัยของเขา ทำให้เขานึกถึง เพลย์สเตชันที่บ้านขึ้นมาจับใจ

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหายตัวไปนอนตากลมจากเครื่องปรับอากาศเย็นๆ ในห้องดีกว่า และเขามีเรื่องคาใจในบันทึกเล่มนั้นด้วย จึงเดินไปจากลานกิจกรรมริมสระว่ายน้ำอย่างเงียบเชียบ

หลังจากถึงห้องเขารีบตรงไปที่กระเป๋าของจินไห่ทันที สมุดเล่มนั่นยังอยู่ที่เดิมเหมือนรอให้เขามาอ่านเพื่อสานต่อเรื่องราวให้จบ ต้นน้ำไม่รอช้าที่จะพลิกเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 14 part 1) 22 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-02-2021 19:10:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 14 part 2) 28 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-02-2021 11:02:09
***

หลายวันผ่านไปที่เจ้าของบันทึกไม่กล้าแวะเวียนไปนั่งเล่นที่ต้นไม้ต้นเดิม เพราะยังคงนึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เจอในวันนั้น

แม้ว่าเขาจะเริ่มยอมรับบ้างแล้วว่า เขารู้สึกชื่นชมหัวโจกบ้านติดกัน อยากที่จะสานต่อความสัมพันธ์ฉันเพื่อน เพราะเวลาเห็นหัวโจกคนนั้นทีไรเขาก็รู้สึกผูกพันด้วยอย่างประหลาด แต่ด้วยความเกี้ยวกราดและลักษณะสังคมของหัวโจก ทำให้เส้นทางความสัมพันธ์ของทั้งคนสองคนไม่มีวันได้มาบรรจงกันเสียที

ในบันทึกถูกวาดประดับหนังสือเป็นภาพต้นไม้ใหญ่ภายใต้หมู่ดาวในคืนที่ไร้แสงจันทร์ ต้นไม้ที่ให้รู้สึกเหมือนสั่นไหวเมื่อต้องลมแรงนั้นทำให้รู้สึกถึงความสับสนและหวาดกลัวของเจ้าของบันทึกได้อย่างดี

เจ้าของบันทึกบรรยายความรู้สึกไว้อย่างสับสน เหมือนกำลังต่อสู้กับความรู้สึกชอบกับกลัว  เขารู้สึกว่าแม้หัวโจกนั่นจะแสดงความรุนแรงแต่จริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนไม่น้อยเลย มันออกมาทางดวงตา เจ้าของบันทึกสัมผัสได้

ต้นน้ำเปิดหน้าถัดไปเขาก็พบกับภาพวาดของคนสองคนเป็นแบบภาพร่างที่กำลังเผชิญหน้ากัน เขาจึงรีบอ่านตัวหนังสือในหน้าเดียวกันทันที

หน้านี้และหน้าถัดไปเอ่ยถึงในเย็นวันหนึ่งถัดจากเหตุการณ์นั้นไปอีกหลายวัน แม่ของเขาบอกว่ามีเพื่อนมาขอพบเขาทั้งๆ ที่เขาไม่เคยนัดใครมาที่บ้านมาก่อน หลังจากที่เขาพบกับคนที่มาหาเขาก็ต้องตกใจเพราะคนที่มาหาเขาคือ หัวโจกคนนั้น

หัวโจกที่แต่งกายเรียบร้อยกว่าปกติ นั่งสุภาพอยู่บริเวณห้องรับแขกของบ้านที่โล่งกว้าง เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้สักขัดและเคลือบเงา รวมถึงลวดลายเหล่านั้น ไม่ได้รู้สึกความนุ่มสบายสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มนั่งเกร็งอยู่ตรงนั้นดูขบขันในสายตาผู้บันทึกไม่น้อย

หัวโจกรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจึงหันมาทางทิศที่ผู้เขียนบันทึกอยู่ สายตาที่จ้องมองเขม็งมา แม้ไม่ได้มีแววตามาดร้ายแฝงอยู่แต่ก็ทำให้เจ้าของบันทึก ตกใจกลัว

หัวโจกยืนขึ้นและพูดว่า มีเรื่องจะคุยด้วยและต้องการไปคุยที่อื่น แม้เจ้าบันทึกจะงุนงงแต่ก็ตกลงเออออไปด้วย

หัวโจกเดินลัดเลาะไปที่สวนหลังบ้านของเจ้าของบันทึกอย่างชำนาญ จนกระทั่งถึงรั่วที่กั้นระหว่างพื้นที่สองฝั่ง หัวโจกปีนรั่วกันที่ทำจากอิฐก่อปูนแบบง่าย ตรงจุดที่เตี้ยที่สุดได้อย่างง่ายดาย ผิดกับเจ้าของบันทึกที่แม้จะข้ามไปบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายเลยสักรอบ

ทั้งสองพากันเดินขึ้นเนินเตี้ยๆ ที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งกางกิ่งก้านสาขาและมีใบดกรกครึ้มสวยงามตามธรรมชาติ ต้นไม้ที่เจ้าของบันทึกชอบหนีความวุ่นวายมาพักพิงจิตใจ

หัวโจกหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หันหลังให้เจ้าของบันทึกที่เดินตามมาอย่างช้า เจ้าของบันทึกหยุดฝีเท้าลงทันทีที่เห็นหัวโจกยืนนิ่งหันหน้าเข้าต้นไม้

เจ้าของบันทึกกำหมัดแน่น เขารู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ ยิ่งบรรยากาศที่วังเวงแบบนี้ยิ่งทำให้น่ากลัวขึ้นไปอีก ความจริงตัวเขาก็ไม่ได้อยากมา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเดินมาชวนถึงที่บ้านแบบนี้ เขาคงไม่อาจปฎิเสธได้ เพราะอาจจะกระทบกับเรื่องต่างๆต่อจากนี้ที่โรงเรียนของเขา เขาอาจจะไม่สงบสุขเหมือนทุกวันนี้

คำแรกที่หลุดออกจากปากของหัวโจกคือ ‘ขอโทษ’ ทำให้เจ้าของบันทึกอึ้งและงงจนทำอะไรไม่ถูก นอกจากรีบปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เอาไปฟ้องแม่ของเจ้าของบันทึกและไม่ได้บอกใคร

หัวโจกได้ยินอีกฝ่ายลนลานเลยหันมาตอบด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า ‘รู้แล้ว ก็เลยอยากขอโทษ’ หัวโจกบอกว่าเมื่อวันก่อนเขาค่อนข้างหัวเสีย และเลือดร้อนไปหน่อย เลยทำอะไรไปโดยไม่คิด เขาเลยอยากขอโทษ
 ฝ่ายเจ้าของบันทึกยิ้มรับและรู้สึกโล่งอกที่เหตุการณ์มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด คนๆ นี้มีจิตใจอ่อนโยนอย่างที่เจ้าของบันทึกคิด

หัวโจกหน้าแดงขึ้นมาจนเจ้าของบันทึกประหลาดใจและถามไถ่

หัวโจกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่เจ้าของบันทึกได้ทีเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้จึงลองพยายามหยอกโดยการเซ้าซี้ไปเรือยๆ จนในที่สุดที่เจ้าของบันทึกยื่นหน้าที่สดใสเปื้อนรอยยิ้มไปพยายามล้วงถามอย่างหยอกล้อ ทำให้หัวโจกหลุดปากพูดปรามอีกฝ่ายออกมาว่า

‘ช่วยหยุดยิ้มได้ไหม ใจกูเต้นไปหมดแล้ว!! ไม่รู้เป็นไง เห็นหน้ามึงยิ้มแล้วกูใจสั่นทุกที ช่วยไปอยู่ไกลๆ กูด้วย เห็นแล้วกูคันมือคันไม้’

หลังจากได้ยินดังนั้นเจ้าของบันทึกก็ถอยออกมาครึ่งก้าว เขางุนงงว่าหัวโจกพูดมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี

หัวโจกพูดลอยๆ ขึ้นมาว่า ‘อยากจะพิสูจน์’ และก็ก้าวเข้ามาหาเจ้าของบันทึกอย่างรวดเร็วไร้ทางหลบหนี หัวโจกกอดหมับที่เจ้าของบันทึกอย่างแรง จนเจ้าของบันทึกร้องด้วยความตกใจ เขาบรรยายว่าเหมือนโดนหมีตัวใหญ่เข้ามากอดรัดหมายถึงตาย แต่ชั่วเวลาหนึ่งหมีดุร้ายตัวนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายจนกลายเป็นนุ่มนวลและอบอุ่น จนกระทั่งเจ้าของบันทึกเผลอไผล่ไปกับความอบอุ่นนั่น และยอมผ่อนไปตามแรงอีกฝ่ายจนเผลอโอบรัดอีกฝ่ายเช่นกัน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่เขาสองคนอยู่ในท่านั้น แต่ทุกอย่างย่อมมีการเลิกลา หัวโจกผละออกจากเจ้าของบันทึกอย่างนิ่มนวลและกล่าวขอโทษอีกฝ่าย หากทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบ เจ้าของบันทึกรีบปฏิเสธทันที เขารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทั้งสองก็ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน นับว่าเป็นอีกมุมหนึ่งที่เจ้าของบันทึกได้เห็นจากไอ้หัวโจกคนนี้

หลังจากนั้นเขาก็แอบมาพบกันบ่อยครั้ง และมีการสัมผัสกันไม่แค่เพียงกอด แต่มีการจับมือ โอบไหล่ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันและกันฟัง แม้ว่าระหว่างที่อยู่โรงเรียนเขาแทบจะไม่คุยกันเลยก็ตามเพราะต่างก็มีกลุ่มของตนเอง แต่ยามใดที่ทั้งคู่อยู่บ้านก็จะแอบนัดแนะมาคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สวนหลังบ้านเป็นประจำ

เจ้าของบันทึกทิ้งท้ายบันทึกบทนั้นแค่เพียง มันคือความทรงจำที่ดีที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ และวาดภาพบรรยากาศอันสดใสยามเช้าของบ้านของเจ้าบันทึกในมุมมองจากต้นไม้ใหญ่ แม้ไม่ได้มีลายละเอียดอะไรมากแต่การให้แสงและเงาในภาพ ทำให้ต้นน้ำอดที่จะประทับใจไม่ได้

บันทึกบทนี้จบลงแล้ว ในความเงียบเหงาภายในห้องบวกกับความอยากรู้อยากเห็นว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อจึงตัดสินใจเปิดหน้าถัดไปและเปิดข้ามหน้าที่ว่างเปล่าสำหรับคั้นเนื้อหาในแต่ละบท ในขณะที่กำลังจะตั้งใจอ่านการเกริ่นนำในประโยคแรก เสียงผลักประตูเข้ามาอย่างรวดเร็วของเพื่อนสนิทของต้นน้ำก็เข้ามาขัดจังหวะ (ต้นน้ำปิดหนังสือและรีบซุกลงในกระเป๋าจินไห่แทบไม่ทัน
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 14 part 2) 28 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-02-2021 11:04:42
“อ้าว!! ดีเลย มึงยังไม่หลับ มาเอานี่ไปเลย!!” ไอซ์รีบถลันตัวเข้าเผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งถูกพยุงเข้ามาในห้องในสภาพอ่อนแรง เนื้อหนังที่ขาวออร่าตอนนี้เปลี่ยนจนเหมือนพระอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้า (แดงจนน่ากลัว เมามาแล้วแน่นอน!!)

“นอน เชี้ยอะไร! นี่เพิ่ง....” ต้นน้ำมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกล เขาพบว่ามันเกินสองทุ่มมานิดหน่อย

“เออ!! มันค่ำแล้ว กูเห็นมึงหายไปเป็นชั่วโมงๆ นึกว่าไม่ไหวแล้วหนีมานอนแล้วเสียอีก!! มาเอาแฟนมึงไปเลย!!” ไอซ์เดินมาถึงเตียงนอนที่ต้นน้ำเดินมารอรับอยู่แล้ว พร้อมกำลังจะพูดตอบโต้แต่ไอ้ไอซ์ดันทำหน้าห้ามปรามเสียก่อน

“ไหวไหม? เอาไปห้องพี่ให้พี่ช่วยดูแลไหม?” เสียงเข้มจากคนคุ้นเคยดังขึ้น นักเลงตัวเล็กพูดขึ้นตรงประตูด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ไม่เป็นไรครับ ผมดูแลเองได้ แฟนผมๆดูแลเองได้” ต้นน้ำได้คิดว่าในที่สุดหางงูมันก็โผล่ออกมา การพาพวกเขามาทะเลก็แค่หาวิธีรวบหัวรวบหางโดยชายหญิงนิสัยไม่ดีทั้งสองคน

“แน่ใจนะ ก็เห็นว่าป่วยอยู่ คนป่วยดูแลคนเมามันจะดีเหรอ?” นีโน่ถามย้ำอีกครั้ง

“ผมดูแลเองได้ครับ ไม่ต้องพี่งพี่หรอก ผมไม่ไว้ใจ!!” ต้นน้ำสวนทันที จนทำให้ไอซ์แอบยกนิ้วโป้งให้กับการด้นสดของต้นน้ำซึ่งเขาเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าไปเอาอินเนอร์แบบนี้จากไหน

“กูสิต้องบอกว่า ไม่! ไว้!ใจ! มึง! ที่จะดูแลน้องกูได้!!” นีโน่พูดเน้นเสียงทุกคำจนต้นน้ำแอบหวาดในใจ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือต่อ แต่ก่อนที่เขาจะโต้ตอบกลับไปอย่างร้อนแรงไปตามอารมณ์ที่กำลังพุ่งทะยานอย่างไม่ทราบสาเหตุ เสียงระฆังช่วยชีวิตของเขาก็ดังขี้นจากด้านหลังนี่โน่

“เอาน่าพี่โน่ ต้นน้ำเขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ เหล้าก็ไม่ได้กิน สภาพดีกว่าพวกเราเยอะ ไปดื่มกันต่อเถอะ” พี่กวีที่ไม่รู้มาจากที่ไหน เดินมาห้ามทัพได้ทัน และกอดคอเตี้ยๆของนีโน่เดินจากไปอย่างจำยอม ดูท่าทางพี่โน่จะเกรงใจอีกฝ่ายไม่น้อย นีโน่ไม่พูดสักคำตอนเดินจากไปได้แต่ทำตาเขียวใส่ต้นน้ำอย่างมาดร้าย

“เชี้ย! โชคดีที่มีพี่กวีอยู่ด้วยนะ กูเกือบเยี่ยวราดแล้วเนี่ย!!” ต้นน้ำทรุดตัวลงพร้อมกับคนที่เมาไม่ได้สติ

“เห็นความดีงามของการเป็นเพื่อนกูหรือยัง? งั้นกูไปแดกเหล้าฟรีต่อ ส่วนมึงดูแลผัวมึงให้ดีอย่างที่ปากพูดนะ!!” ไอซ์ทำหน้าล้อเลียนอีกฝ่ายจากการมีอินเนอร์เมื่อครู่

“ผัวพ่อง!!” ต้นน้ำรีบยกเท้าโดยกะจะวาดใส่ไอ้เพื่อนปากหมาตรงหน้าแต่ไอ้คนที่เริ่มเมาแล้วอย่างไอซ์กลับหลบได้อย่างหวุดหวิด และเดินออกจากห้องไปพร้อมปิดประตู

ต้นน้ำวางร่างจินไห่ที่ปวกเปียกลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลโดยให้อีกฝ่ายนอนพาดทางแนวขวางของเตียงอย่างไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก

ต้นน้ำทอดถอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาทำแบบนั้นขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน เขายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองรอบหนึ่งและผ่อนลมหายใจออกอีกรอบ

“แสดงเก่งเหมือนกันนะเรา พี่ยังนึกเลยว่าเราหวงพี่จริงๆ” เสียงของคนที่คิดว่าหมดสติไปแล้วดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ต้นน้ำตกใจจนตัวลอย

“อ้าว! เฮ้ย! ทำไม?!?” ต้นน้ำตกใจบวกกับอาการเขินอายที่อีกฝ่ายรู้เห็นการกระทำของเขา

“พี่ก็รู้จักเรียนรู้นะ ใครจะปล่อยให้ตัวเองโดนมอมเหล้าได้ซ้ำซาก พี่ก็เลยแอบตกลงกับเพื่อนเราให้ช่วยแบกพี่เขามาหน่อยหากพี่แสดงอาการเมาหนัก” หลังจากที่ต้นน้ำฟังจินไห่ที่พูดด้วยท่าทางภูมิใจใจจบก็ลอบด่าเพื่อนในใจ

“พีเองก็ไม่ธรรมดานะเนี่ย!” ต้นน้ำชมอีกฝ่ายพร้อมกับส่ายศีรษะเบาๆ

“แล้วเมื่อครู่ไปทำอะไรที่กระเป๋าพี่?” จินไห่ถามพลางลุกขึ้นยืนหมายจะเดินไปที่กระเป๋าเดินทางของตนเอง

“ไม่นี่ครับ ผมแค่เบื่อๆ ก็เลย....” ต้นน้ำพยายามคิดหาคำแก้ตัวแต่เมื่อจินไห่เดินผ่านแล้วกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนระเหยเข้าจมูกจนทำให้เขาอดที่จะอุทานไม่ได้

“โห....!! นี่ดื่มไปเท่าไหร่เนี่ย?” มองจากท่าทางการเดินแปลว่าจินไห่ก็ไม่ได้สภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์

จินไห่ไม่ได้ตอบแต่กลับเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางและเผยให้เห็นสมุดบันทึกที่ไม่ได้วางไว้เรียบร้อยเท่าไหร่ ทำให้จินไห่หยิบมันขึ้นมาและหันมาทางต้นน้ำอย่างหาเรื่อง

“หมายความว่าไง ต้นน้ำมาแอบอ่านสมุดบันทึกของพี่เหรอ?” จินไห่มองตาขวาง

“เอ่อ..... ผมเบื่อ.... เอ่อ ไม่ได้ตั้งใจ.... เอ่อ..... ผมขอโทษครับ” ต้นน้ำไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตัวเกรงใจคนตรงหน้าขนาดนี้ หากเป็นปกติเขาคงหาวิธีกะล่อนพาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงนี้ได้ไปแล้ว อย่างมากก็เดินหนีไปเลย แต่พอมาได้เจอสายตาพิฆาตจากคนตรงหน้าทำไมเขาถึงติดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษ

“อ่านถึงไหนแล้ว!!?” จินไห่เสียงแข็ง

“น่า.... น่าจะสัก....ครึ่งเล่ม...” ต้นน้ำก้มหน้าตอบ

จินไห่ผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่ สร้างความปั่นป่วนในลำไส้ที่ว่างเปล่าของต้นน้ำตอนนี้พอสมควร

จินไห่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงไม่ไกลจากจุดที่ต้นน้ำยืนอยู่ เขาวางสมุดบันทึกเล่มเก่าลงที่ข้างลำตัวอย่างทะนุถนอม

“อ่านถึงตอนที่คนเขียนจะกลับไปอยู่ต่างประเทศหรือยัง?” จินไห่ถามกลับด้วยเสียงเรียบและแผ่วเบา

“ยังครับ” ต้นน้ำตอบด้วยโทนเสียงเดียวกันและยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง ในใจกลับสบถด่าจินไห่ในใจที่เฉลยตอนจบของเรื่องเฉยเลย

“เฮ้อ... จะอ่านจะเปิดดู พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แค่ขอ! ไม่ใช่มาเปิดอ่านโดยพละการ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไร มันก็แค่สมุดบันทึกของพ่อพี่สมัยวัยรุ่น พ่อพี่เคยอยู่ที่ไทยมาก่อน” จินไห่ผ่อนลมหายใจ สีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาก

“ของ...พ่อพี่!” ต้นน้ำหันมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“อย่าบอกว่าอ่านมาขนาดนี้ ยังเดาไม่ได้ แต่ก็นะ อ่านไปก็คงมีคำถามในใจสินะ!!” จินไห่พูดพลางพยายามเดาความคิดอีกฝ่าย

“ก็....มัน.... คิดไม่ถึงนี่ครับ” ต้นน้ำพยายามคิดตามไปเรื่อย ถึงแง่มุมและเหตุการณ์ต่างๆ ในสมุดเล่มนั้น

“พี่เองก็อย่างรู้ว่า ไอ้หัวโจกที่ว่ามันเป็นใคร แล้วไอ้ความสัมพันธ์แบบนั้นมันคืออะไร  เพราะพ่อพี่ก็ไม่ได้เขียนอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เขาอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือเป็นมากกว่าเพื่อน รู้แต่ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่พ่อพี่มักจะพูดถึงมันบ่อยๆ เวลามาเยี่ยม ‘ไหนไน’* (ภาษาจีน “奶奶”)... เอ่อ... คุณย่าที่ประเทศไทย แต่ก็แปลกตรงที่พ่อพี่เองก็ไม่เคยไปเยี่ยมเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเลยสักครั้ง” จินไห่เหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับต้นน้ำ หน้าของจินไห่แดงกว่าเมื่อครู่มาก ดวงตาเหม่อลอยและเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่

“พี่คงสนิทกับพ่อมาก” ต้นน้ำพอจะรู้ว่าพ่อของจินไห่เสียแล้วก็เลยพอจะเดาอาการแบบนี้ออก

“อื้อ...” สิ้นเสียงน้ำตาที่กั้นไว้ก็ไหลบ่าเหมือนเขื่อนแตก จินไห่มีท่าทางอ่อนแอเปราะบางจนต้นน้ำไม่เชื่อสายตาตนเอง ต้นน้ำห้ามใจใจไม่ให้ตนเองโผเข้าไปกอดเพื่อให้กำลังใจ ทำได้เพียงขยับเข้าไปใกล้และใช้มือแตะที่หลังเท่านั้น

ทันทีที่จินไห่ได้สัมผัสของมือต้นน้ำบนแผ่นหลัง เขาก็โผเข้าหาอ้อมอกชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ทันที สร้างความประหลาดใจแก่ต้นน้ำอย่างมาก ต้นน้ำตกใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ  เขาเพียงขยับตัวให้อีกฝ่ายเข้าหาเขาได้สะดวกมากขึ้น

หลังจากเห็นผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาครึ่งรอบเป็นแบบนี้ เขากลับไม่รู้สึกรังเกียจใดๆ แต่กลายเป็นว่าความรู้สึกเศร้าสร้อยมากมายที่อีกฝ่ายแสดงออกมากลับแผ่ซึมมาถึงเขาด้วย จนกระทั่งเขาโอบกอดร่างที่สั่นเทาน้่นไว้แนบชิด

หากเป็นไอ้ไอซ์หรือคนอื่น หรือแม้แต่บรรดาแฟนเก่าของเขามาดราม่าใส่แบบนี้เขาคงหาทางบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงหนีหายไป แต่แปลกที่เขากลับรู้สึกถึงความเป็นหัวอกเดียวกัน เพราเขาเองก็เพิ่งสูญเสียพ่อไปเหมือนกันเมื่อประมาณสามปีก่อน

ฟี้......ฟี้.....

เสียงลมหายใจผ่านช่องปากของจินไห่ดังขึ้น ต้นน้ำเลยได้สติว่าเขากำลังมีน้ำตาเช่นกัน เขาเองก็คิดถึงพ่อของเขาไม่แพ้จินไห่ ต้นน้ำสนิทกับพ่อมากแต่พ่อก็ไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับอดีตของพ่อเท่าไหร่  ทุกอย่างที่เขารู้เรื่องของพ่อ ส่วนใหญ่จะมาจากแม่ทั้งสิ้น

ต้นน้ำพยายามใช้แขนพยุงจินไห่ให้ค่อยๆเอนตัวลงนอนอย่างหนุ่มนวล ใบหน้าของจินไห่ยังเต็มไแด้วยคราบน้ำตา แม้จะดูเศร้าหมองแต่ก็ยังดูดีมาก กลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งไปทั่วตัวทำให้ต้นน้ำเกิดเปลี่ยนใจกับภาพตรงหน้า แม้หน้าจะดูหล่อบาดใจ แต่กลิ่นเหล้าตบจมูกจนแทบเมาไปด้วยแบบนี้ก็ไม่ไหว

หลังจากตัดสินใจได้ว่าต้นน้ำจะไม่ทนนอนดมกลิ่นเหล้าแบบนี้ทั้งคืน เขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน คือการเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้ชายที่นอนไม่ได้สติบนเตียงคนนี้ (เพราะปกติเวลาไปดื่มกับเพื่อนๆ เขาเองก็เมาเป็นหมาไม่ต่างกัน)

ต้นน้ำรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาถอดเสื้อผ้าผู้ชายแบบนี้ ถอดเสื้อไม่ยากแต่ถอดกางเกงนี่ หนักหนาเอาการ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ไม่ให้มันดูติดเรทเหมือนคลิปโป๊ที่ไอ้ไอซ์เคยแกล้งเอาให้ดู ในที่สุดต้นน้ำก็ดันกางเกงผ้าขายาวลงไปกองอยู่ที่พื้นและตัดสินใจเหลือกางเกงในคาวินไคล์ สีขาวสะอาดไว้ที่เดิมของมัน ต้นน้ำสังเกตส่วนนูนโปนที่ร่มผ้าส่วนล่างของคนไม่ได้สติก็เผลอคิดไปว่า ‘สู้ได้เว้ย’ มันก็ไม่ใหญ่โตแบบที่สาวๆ แฟนคลับต่างมโนกันไว้

ต้นน้ำรีบสะบัดความคิดแบบนั้นในหัวและเริ่มภารกิจเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว ผิวขาวเนียนของจินไห่ที่เขาพยายามใช้ผ้าหมาดลูบไปมาอย่างลวกๆ มันสวยละเอียดยิ่งกว่าเขามากนัก จริงๆ ก็ไม่ต่างจากสาวๆ ที่เขาเคยสัมผัสมาเลย ติ่งเนื้อกลางหน้าอกก็ออกเรื่อชมพูจนเขาต้องหันมามองที่หน้าอกตัวเองที่สีมันออกน้ำตาลมากกว่าแม้ว่าผิวเขาจะขาว แต่ตรงจุดนี้ขอยอมแพ้ละกัน

ในที่สุดภารกิจติดเรทก็จบลง แม้จะรวดเร็วและหยาบไปบ้างแต่คนไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ใครก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว

ขั้นตอนถัดไปคือการใส่ชุดนอนให้จินไห่ ต้นน้ำพยายามนึกอยู่นานว่าจะเริ่มจากส่วนไหนก่อน เขาพยายามเล็งอยู่นาน คิดไปสารพัดว่าจะจัดการเคลื่อนย้ายเสื้อผ้าบนมือของเขาให้สวมใส่คนไม่ได้สติตรงหน้าโดยที่สัมผัสน้อยที่สุด ต้นน้ำไม่เคยรู้สึกว่าต้องระวังขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าความรู้สึกมันแปลกไป

ต้นน้ำไม่เคยต้องมากังวลอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับการถอดและสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายแบบนี้มาก่อน มันเกิดขึ้นมาได้สักพักแล้ว แต่เขาพยายามปฏิเสธความรู้สึกเหล่านั้นมาตลอด แต่หลังจากได้มีเวลาสัมผัสกับสิ่งที่เขากังวลมาตลอดเป็นระยะเวลานานขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกแล้วว่า มันไม่ปกติเสียแล้ว

ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งได้สัมผัสร่างกายอันนวลเนียนนั่น เขาก็รู้สึกหัวใจจะวาย และยิ่งมาได้มองภาพชายหน้าสวยคนนี้นอนหลับอย่างสบายอารมณ์ในสภาพเกือบเปลือย ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นลนลานจนมือสั่นไปหมด ต้นน้ำไม่เข้าใจตัวเองมากๆ และกลัวว่าจะคิดกับพี่ชายคนนี้มากกว่าที่ตนเองคิดไว้ จนเสียงหนึ่งของเพื่อนแว่บเข้ามาในหัว ‘รักมันไม่เกี่ยวกับเพศหรอกโว้ย’

“เชี้ย!!” ต้นน้ำสบถออกมาเบาๆ พร้อมกับมองภายสวยงามตรงหน้าไม่วางตา

‘นี่กูมีอารมณ์แบบนี้กับผู้ชายตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ด้วยหรือว่ะ’ เขาคิดในใจ

หลังจากเหม่อมองภาพตรงหน้าได้สักพัก เขาก็สะบัดศรีษะตนเองอีกครั้ง และตอนนี้เขาพร้อมที่จะสวมใส่เสื้อผ้าให้อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว

เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาทีกับความทุลักทุเลในการสวมใส่เสื้อผ้าให้จินไห่ เขายอมรับว่าการใส่เสื้อผ้าให้ผู้ชายที่ตัวใหญ่และหนักขนาดนี้มันยากกว่าใส่ให้แฟนเก่าๆ เขามากมายนัก ถึงมันจะนับครั้งได้เลย เพราะเขาชอบถอดให้มากกว่า

ต้นน้ำขยับให้อีกฝ่ายไปนอนชิดทางมุมซ้ายอย่างยากลำบากเพราะเขาเริ่มจะหมดแรงกับกิจกรรมก่อนหน้าแล้ว พอขยับไปได้ประมาณหนึ่ง พอที่จะเหลือที่ให้เขานอนได้ ต้นน้ำก็ล้มตัวนอนแผ่บนพื้นที่ที่ว่างอยู่ทันนี ต้นน้ำยกมือขึ้นมาสัมผัสแผ่นอกตัวเองที่หัวใจของเขายังคงทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง เขาคิดในใจว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงนอนไม่หลับแน่ เขาจึงคิดที่จะย้ายตนเองไปนอนด้านล่าง เอาผ้าห่มปูนอนบนพื้นแข็งไปดีกว่านอนใจสั่นอยู่บนนี้

แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวก็โดนมือหยาบใหญ่คว้าไว้เสียแล้วต้นน้ำโดนจินไห่ปฏิบัติไม่ต่างกับหมอนข้าง หันข้างมากอดแนบแน่นสนิทชิดตัว ต้นน้ำพยายามขยับตัวหนีแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ พยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถหลุดจากการกอดเหมือนหมีรัดเหยื่อแบบนี้ไม่ได้

‘ทำไมคนเมามันแรงเยอะจังวะ?’ เขาบ่นงึมงำ พร้อมรู้สึกยอมแพ้

ต้นน้ำปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายเผื่อว่าอาการรัดแน่นนี้จะผ่อนลงบ้างแต่กลับตรงกันข้าม แรงยังคงส่งมาเท่าเดิม และยังกระชับศรีษะเขาแนบอก ถึงจะไม่ได้รังเกียจอะไรแล้ว แต่เป็นแบบนี้ใครจะหลับลง

ถึงจะคิดได้แบบนั้น แต่ครั้นพอได้ฟังเสียงหัวใจของจินไห่ที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ แม้ดูจะเต้นเร็วมาก (อาจเพราะเมา) มันก็ทำให้เขาสงบอย่างประหลาด ฟังได้สักพักใหญ่ นิทราก็ได้มาเยือนสติของเขา เข้าครอบงำจนหลับไหลในที่สุด


…………………………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 14 part 2) 28 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2021 17:54:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 14 part 2) 28 ก.พ. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-03-2021 23:16:31
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 15 part 1) 14 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-03-2021 12:28:19
บทที่ 15

Definitely, definitely not!!



ต้นน้ำกำลังเดินหอบหิ้วถังน้ำ ถุงขยะ และอื่นๆ อีกมากมายพลุงพลัง บนทางเดินในสวยที่สร้างด้วยอิฐแแดงเก่าๆที่จมลงในดินดำหนืดจนแทบไม่เห็นรอยทางสีแดงที่ปูจากตัวบ้านไปจนถึงกำแพงลวดหนามที่สุดทางท้ายสวน สวนแห่งนี้นับจากพ่อของเขาเสียชีวิตก็ขาดคนดูแลเอาใจใส่ให้ดูเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ เพราะลำพังแม่เขาคนเดียวที่ดูแลกิจการที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ก็เต็มไม้เต็มมือจะแย่อยู่แล้ว

มันจึงเป็นหน้าที่ตกทอดมาถึงเขาในการดูแลต่อ ซี่งต้นน้ำเขาสามารถบอกได้เลยว่า ‘ไม่ใช่ทาง’ หากไม่ติดที่ว่ามันเป็นพื้นที่ๆแสนวิเศษของพ่อกับแม่ของเขา ไม่อย่างนั้นผมคงยุแม่ให้ขายไปนานแล้ว ไม่ว่าอย่างไร แม่ก็ไม่ยอมขาย เพราะพ่อสั่งเสียไว้

ต้นน้ำเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เขาต้องเข้ามาเป็นประจำ ที่ต้นไม้ใหญ่ท้ายสวน ที่ๆผู้คนต่างลักลอบเข้ามาสักการะบูชาเจ้าพ่อต้นแห่งความรัก เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาที่ต้องเข้ามาทำความสะอาดดูแลเป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ตัวต้นน้ำเองก็ยังไม่เคยจับคนที่ลักลอบเข้ามาได้เลยสักครั้ง

ต้นน้ำบ่นพึมพำไปด้วยความรำคาญ และความไม่เข้าใจในหน้าที่ที่ตกทอดมาถึงเขา เขาไม่ได้อยากได้สวนเหล่านี้เสียหน่อย ยิ่งต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้น หากตัดทำลายไปก็ไม่มีใครเช้ามาแล้ว!! มันเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเสียด้วยซ้ำ แต่พวกผู้ใหญ่กลับไม่ทำแค่เพราะความทรงจำเก่าๆ

ระหว่างเขากำลังบ่นพึมพำกับการหอบสัมภาระที่มากมายและหนักขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่ก้าวเดิน (เขาคิดในใจว่าอยากจะหอบขวานมาจามมากกว่า แต่ก็ได้แค่คิด)

เสียงดนตรีเครื่องสายแบบตะวันตกบรรเลงแว่วมาแต่ไกล ทำนองที่เกิดจากการดีดและเคาะผสมผสานทำให้เกิดท้วงทำนองที่ไพเราะตรึงใจ ต้นน้ำไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดนตรีแบบนี้แว่วมา แม้เป็นเพียงการบรรเลงด้วยเครื่องคนตรีเพียงชิ้นเดียวแต่ก็ไพเราะกว่าเสียงใดๆ ที่เขาเคยได้ยินมา

ต้นน้ำรู้ตัวอีกทีก็เร่งฝีเท้ามาถึงต้นเสียงเสียแล้ว เขาวางทุกอย่างลงอย่างเงียบเชียบและเฝ้ามองคนตรงหน้าบรรเลงดีดเส้นสายที่ขึงตึงกับโกร่งไม้เรียวยาวสีน้ำตาลลายเนื้อไม้อย่างเสนาะเพราะพริ้ง

วันนี้คนตรงหน้าเล่นกีตาร์จนเขาเผลอคิดไปว่า มีเครื่องดนตรีชนิดไหนที่ชายคนนี้เล่นไม่ได้บ้าง เพราะคนที่แสดงเดี่ยวคอนเสิร์ตคนนี้แทบจะนำเครื่องดนตรีมาไม่ซ้ำเลย (เครื่องเป่าจนไปถึงเครื่องสาย)

หลังจากเล่นจนจบชายคนนี้ถึงได้หันมาทักกับเขา
“อ้าว! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง!?”

“พี่จินไห่มัวแต่มีสมาธิกับการเล่นตรีมากกว่า ผมหอบของพะรุงพะรังขนาดนี้เลยนะ ไม่ได้ย่องมาเสียหน่อย” ต้นน้ำผายมือมือให้เห็นสิ่งที่กองอยู่ตรงพื้นบริเวณเท้าตนเอง

“ฮ่าฮ่า นั่นสิ” จินไห่ยิ้มแก้เขิน

“เอาอีกแล้วนะพี่ ผมก็บอกอยู่ว่าไม่ต้อง! เดี๋ยวแม่ผมรู้ก็ด่าผมพอดี” ต้นน้ำมองปราดไปที่บริเวณตีนต้นไม้ใหญ่ที่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร เห็นแล้วไม่สบายใจ แม่เราอุตส่าห์อนุญาตให้พี่เข้ามาเดินเล่นได้ทั้งที” จินไห่รวบเก็บกีตาร์แนบข้างลำตัวและเดินไปนั่งบนรากไม่ใหญ่ใกล้ๆ จึงทำให้ต้นน้ำเหลือบไปเห็นธูปหนึ่งดอกที่ปักไว้

“เอาอีกแล้วนะ พี่มักจะเหลือทิ้งไว้ตรงนี้เสมอเลยนะ ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไง” ต้นน้ำถอนหายใจก่อนจะเดินไปใกล้กับจินไห่มากขึ้น

“ก็พี่มีเรื่องที่ขอไว้ไง?” จินไห่พูดเสียงอ่อน

“อะ.....ไร....” ต้นน้ำหันไปทางคู่สนทนาก็พบว่าคู่สนทนาของตนขยับเข้ามาใกล้จนแทบบดเขากับลำต้นไม้ใหญ่ที่แสนขรุขระ

“เฮ้ย!! เดี๋ยวพี่! ทำอะไร?!?!” ต้นน้ำโวยในขณะที่มือและเท้าของเขาโดนรากต้นไม้ใหญ่ยกขึ้นมาโอบรัดจนขยับตัวไม่ได้

“พี่อยากจะรู้ว่าที่พี่ขอไว้มันจะเป็นจริงหรือเปล่า?” จินไห่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ต้นน้ำที่แทบขยับตัวไม่ได้จากการรัดพัวพันของรากไม้ที่เหมือนมีชีวิตที่รัดเหยื่อไม่ให้ดิ้นรนหลีกหนี

“เฮ้ยยยยยยย!!!!” ต้นน้ำร้องลั่นและลืมตาโพลง

สติค่อยๆกลับเยือนเขาทีละน้อยทันทีที่เขาเห็นแสงสว่างที่สาดส่องเพดานสีขาวสะอาดและกรอบไฟฟลูออเรสเซนซ์ลวดลายสวยงาม

‘ทำไมถึงได้ฝันถึงเรื่องอดีตไปปนกับเรื่องน่ากลัวแบบนั้นได้วะ!’ เขาคิดพลางถอนหายใจเสียงดัง

แต่เหมือนฝันร้ายที่ว่ายังไม่จบต้นน้ำค้นพบตัวเองจมอยู่ภายใต้กองผ้าห่ม ภายใต้ร่มผ้าห่มผืนหนาพบแขนและขาพัวพันหนักอึ้ง ส่วนเจ้าของแขนขาเหล่านั้นยังคงหลับลึกไม่ได้สติ ใบหน้าที่ยังรู้สึกถึงลมจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบ แต่ภายในร่มผ้านั้นเขามีเหงื่อฉโลมกาย คอที่แห้งผาดจนรู้สึกกระหายน้ำ แต่เจ้าน้องชายของเขาที่รู้สึกคึกคักตื่นตัวเต็มที่ที่เบื้องล่าง เพราะกระเพาะปัสสาวะเต็มเปี่ยมไปด้วยของเสียจากไตมาคั่งอยู่จนแทบล้น (ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ) แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำเพราะน้องชายของเขาที่ตื่นเต็มที่นั้นดันอยู่ภายใต้ขาของคนร่วมเตียงที่พาดอยู่

ต้นน้ำตัดสินใจหันไปหาคนที่ทำกับเขาเหมือนหมอนข้างทันที เพื่อจะได้ปลุกและจะได้เลิกคุกคามเขาแบบนี้เสียที ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่แบบนี้มันไม่ดีกับหัวใจของเขามากๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจเขาเต้นผิดปกติเมื่อต้องอยู่ใกล้กับคนๆนี้

สิ่งแรกที่เขาหันไปเจอคือโครงหน้าของคนที่หลับอย่างมีความสุข ใบหน้าที่สงบนิ่งราวกับดำดิ่งสู่ฝันดี ลมหายใจเข้าออกที่กระทบใบหน้าของเขาอย่างสม่ำเสมอ ริมฝีปากที่เผยอแคบๆ เผยให้เห็นส่วนเสี้ยวของฟันหน้าที่ขาวสะอาด คิ้วเข้มที่รับกับใบหน้ายามนิทรา วงหน้าเหล่านั้นทำให้ต้นน้ำลืมจุดประสงค์ที่หันมาชั่วขณะ

‘หอม’ ต้นน้ำแอบคิดเมื่อได้สูดกลิ่นที่ขจายออกมาอ่อนๆ จากตัวคนที่นอนด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาก็เช็ดตัวให้ด้วยน้ำเปล่าธรรมดาแต่ทำไมตัวของจินไห่ถึงไม่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจเลย

“ตื่นแล้วเหรอ?” คนที่หลับตาสนิทเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆยกแผงขนตานั่นขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มีความงัวเงียแฝงอยู่

“ครับ! เอ่อ... คือ.....” ต้นน้ำมองที่ร่างกายของเขาเป็นการขอความเห็นใจให้ช่วยปลดปล่อยตนเอง

“เฮ้ย!! พี่ขอโทษ!! พี่นึกว่าเราเป็นหมอนข้างอีกแล้ว!! ปวดฉี่ใช่ไหม?”  จินไห่พูดพลางพลิกตัว

“ทำไม....เอ่อ....” ต้นน้ำรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

“ผู้ชายด้วยกัน รู้หรอกน่า” จินไห่ยิ้มกริ่ม

‘เชี้ย!!’ ต้นน้ำสบถในใจและรีบรุดวิ่งไปห้องน้ำ

ต้นน้ำอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นานเขาทำทุกอย่างที่สามารถทำในห้องน้ำได้ ตั้งแต่ปลดทุกข์เบา ทุกข์หนัก แปรงฟันโกนหนวด รวมถึงยืนทำใจหน้ากระจกในขณะที่ตัวเองเปลือยเปล่า พยายามพินิจพิเคราะห์ร่างกายตัวเองว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับร่างกายผู้ชายแน่นอน มันคงเป็นแค่ปฏิกิริยาของชายวันรุ่นช่วงเช้าเท่านั้น

ต้นน้ำสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงและค่อยๆผ่อนออกเพื่อปลดปล่อยความคิดไร้สาระพรรณนั่นออกจากอก ทำหัวให้โล่งเขายังต้อนผจญภัยกับเสือสิงกระทิงแรดในทริปนี้อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ

ทันทีที่น้ำสาดออกจากฝักบัว สายน้ำที่เย็นจับใจก็ไหลชะโลมเขาตั้งแต่หัวจรดขา ความสดชื่นคืนสู่เขาอีกรอบ แม้จะมีอาการแสบๆ ของแผลที่ศรีษะอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะการอาบน้ำถือเป็นช่วงเวลาส่วนตัวหนึ่งเดียวในหลายวันที่ผ่านมา

ผั๊ว!!

เสียงผลักประตูเปิดออกเผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งยืนใส่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่หน้าห้องน้ำ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 15 part 1) 14 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-03-2021 20:55:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ ( บทที่ 15 part 2) 15 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-03-2021 08:44:33

“เฮ้ย!! พี่!! ได้ไง?!?” ต้นน้ำรีบนำมือปิดส่วนสำคัญของตนเองไว้

“ต้นน้ำนั่นแหละ! ทำอย่างนี้ได้ยังไง!?!” จินไห่สวนกลับด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด

“อะไร!? ผมไปทำอะไรพี่ แล้วทำไมพี่ถึงได้ผลักประตูเข้ามาตอนผมอาบน้ำด้วย!! ผมล็อกแล้วพี่เข้ามาได้ไงวะ!?!” ต้นน้ำโวยลั่น

“ประตูห้องน้ำที่นี่ทำไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่แล้ว กระชากแรงๆ ก็เปิดได้ แต่ที่พี่เข้ามาเนี่ยจะบอกว่า อย่าให้หัวโดนน้ำ เดี๋ยวแผลอักเสบ กวีกำชับพี่ไว้!!” จินไห่รีบเดินเข้ามาถึงบริเวณฝักบัว ตอนนี้มีเพียงกระจกใสกั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง

“เอ่อ..... ตะโกนบอกก็ได้มั้ง?”  ต้นน้ำใจเต้นตึกตักกับระยะห่างแค่นี้ ยิ่งเห็นอีกคนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวด้วยแล้วใจยิ่งสั่น

“ก็ส่งเสียงแล้วเห็นน้องไม่ตอบ พี่ก็นึกว่าเป็นลมหรือล้มไปแล้ว ก็เลย....” จินไห่เลิ่กลั่นหน้าแดงร้อนขึ้นมา

“โอเคๆ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ออกไปได้แล้ว!!” ขณะพูดต้นน้ำขยับตัวทำให้องศาของน้ำที่ไหลเป็นสายปะทะโดนแผลจนเขาร้องซี๊ดออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ

เมื่อจินไห่เห็นดังนั้น เขาก้าวไปหยิบบางอย่างบริเวณอ่างล้างหน้าและกระโจนเข้าไปในเขตฝักบัว เขาเลื่อนเปิดปิดบานกระจกอย่างรวดเร็วพร้อมปิดน้ำฝักบัวที่กำลังไหลปะทะศรีษะคนที่อยู่ก่อนแล้ว

“พี่ไม่ไหวแล้วนะ!!” จินไห่พูดพลางดึงผ้าที่พันรอบเอวออกเผยให้เห็นช้างแมมมอธที่ดูน่าเกรงขามมากกว่าที่เห็นนอกร่มผ้า

“เฮ้ย!! พี่ทำอะไร!?!” ต้นน้ำยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค เขาก็ถูกมือหยาบใหญ่บังคับให้หันหลัง

“อยู่นิ่งๆ!!” จินไห่เสียงเข้ม

“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวสิเว้ย!!” ต้นน้ำโวยพยายามขัดขืน เพียงเสี้ยววินาทีที่พูดจบประโยค เขาก็ถูกผ้าผืนใหญ่คลุมศรีษะ และถูกมือที่อ่อนโยนออกแรงกดซับหยดน้ำบนศรีษะอย่างช้าๆ

ในที่สุดต้นน้ำก็เงียบสงบลง เมื่ออะไรๆ ที่เขาคิดลึกไปเองมันกลับลงเอยตรงกันข้าม

“นึกว่าพี่จะทำอะไร?” จินไห่พูดขณะกลั้นขำกับอากัปกิริยาของต้นน้ำเมื่อครู่

“ก็ไม่บอกไม่กล่าว แก้ผ้าเดินเข้ามาแบบนี่จะให้คิดว่าอะไร? เดี๋ยวนะ!! พี่แก้ผ้าอยู่นี่หว่า!!” ต้นน้ำที่โดนปิดทัศนะเพิ่งคิดได้ แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างจากทางด้านหลังได้

“ก็พี่รออาบน้ำอยู่นี่หว่าจะให้แต่งตัวยังไงล่ะ?! ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม?” จินไห่ยังคงใช้ผ้าซับน้ำอยู่

“งั้นโอเคแล้ว พี่ออกไปได้แล้ว!!” ต้นน้ำดึงผ้าที่ศรีษะตนเองออกพร้อมหันกลับไปทำตาเข้มใส่คนด้านหลัง ทันทีที่ต้นน้ำเห็นคนตรงหน้ายังคงเปลื่อยเปล่าก็อดรู้สึกร้อนที่ใบหน้าไม่ได้ สงสัยเขาจะเริ่มไม่สบายเสียแล้ว

“หน้าแดงๆ เป็นอะไรหรือเปล่า?” จินไห่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นแต่ต้นน้ำกลับถอยหลังให้ห่างออกไป ในใจของเขารู้สึกคนตรงหน้าดูอันตรายมากกว่าที่เขาคิด

“ไม่เป็นไรก็ดี งั้นพี่จัดการนี่ให้ก่อน” จินไห่หยิบซองบางอย่างขึ้นมาแล้วฉีกออก

“เฮ้ยๆ นั่นอะไร!!??” ต้นน้ำตกใจกับการฉีกซองปริศนาตรงหน้า

“หมวกอาบน้ำไง จะสวมให้ หัวจะได้ไม่เปียก!!” จินไห่พูดเสียงเรียบพร้อมแสดงสิ่งที่ดึงออกจากซองพลาสติกขนาดเล็ก มันเป็นหมวกคลุมอาบน้ำพลาสติกใส ขนาดไม่ใหญ่มาก ต้นน้ำรู้สึกโล่งอกอย่างประหลาด

จินไห่เห็นอีกฝ่ายลดอาการตกใจและลดการ์ดลง เขาจึงเดินเข้าไปใกล้และใส่หมวกให้อีกฝ่าย ด้วยความสูงที่ใกล้เคียงกันจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ขณะนี้ดวงตาของทั้งสองแทบจะอยู่มุมขนาน ต้นน้ำไม่เคยคิดเลยว่าดวงตาของจินไห่จะสวยและน่ามองขนาดนี้ ผิวพรรณที่ชวนน่าสัมผัสที่มองใกล้ๆ ยิ่งน่าตื่นตา เขาไล่มองไปจนถึงจุดยุทธศาสตร์ก็พบว่ามันตื่นขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่แปลกเขากับไม่รู้สึกรังเกียจมันเท่าไหร่....

“ก้มหน้าหน่อย” เสียงคำสั่งที่น่าฟังดังขึ้น ต้นน้ำทำตามทันที ตอนนี้สายตาพวกเขามาบรรจบกันเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันอยู่แบบนั้นเหมือนต้องมนต์

ความรู้สึกที่เกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้มันเอ่อล้นออกมาด้วยการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ ร่างกายมันไม่ใช่ของสมองอีกต่อไป มันเป็นของหัวใจที่ร้อนและเต้นแรงระรัว ทั้งสองต่างโน้มเอียงเข้าหากันจนกระทั้งริมฝีปากทั้งสองปะทะกันอย่างแผ่วเบา และเริ่มเสียดสีและโลมเล้าอย่างช้าๆ

สัมผัสของชายหนุ่มทั้งสองที่แข็งแรงปะทะกันที่แผงอกและไล่ลงมาจนถึงหน้าขาช่วงบน ตอนนี้ต้นน้ำเปรียบดังเรือยนต์ที่ติดเครื่อง ใบพัดที่ท้ายเรือนั้นปั่นแรงจนไม่สามารถหยุดความต้องการจากภายในส่วนลึกได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงเดินหน้าและปล่อยคันบังคับไปตามแรงปรารถนา สัมผัสที่บดเบียดทางด้านหน้าของต้นน้ำ เหมือนไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป แม้มันจะเป็นสัมผัสที่แตกต่างเพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของอีกฝ่าย แต่เขาก็ถลำลึกกับรสจูบที่อ่อนโยนและดีเกินขาดจนยอมให้อีกฝ่ายใช้มือสัมผัสทุกอย่างทางด้านหลังของเขา ไล่ไปตั้งแต่สะบักลงไปถึงช่วงหลัง มันช่างอบอุ่น.....

รสจุมพิศอันแสนอบอุ่นและอ่อนโยน มันหวานล้นปริ่มใจอย่างอธิบายไม่ได้ ต้นน้ำตอบรับผู้ใหญ่ที่รุกรานเขาอย่างนุ่มนวลทุกการขยับริมฝีปาก ต้นน้ำผู้มีประสบการณ์ช่ำชองในเรื่องการรุกจูบเปิดฉากรัก ยังรู้สึกทึ่งกับการกระทำของอีกฝ่าย ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ดูไร้พิษภัยคนนี้จะมีทีเด็ดอยู่ที่การเปิดฉากรักด้วยริมฝีปาก

มือสากใหญ่ที่มีสัมผัสแสนอ่อนโยนกำลังไล่คลึงเค้นไปตามกล้ามเนื้อนักกีฬาของต้นน้ำจนทั่วหลังและเอว จินไห่ดันร่างต้นน้ำด้วยร่างตนเองจนร่นถอยไปติดกำแพงอีกฝั่ง ทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆ ระหว่างกันและกัน คราวนี้มือของจินไห่ไล่คลึงจากแขนไปไหล่ไล่จนไปถึงอกที่มีตุ่มเนื้อสีเข้มแข็งเป็นไต รอรับการสัมผัส นิ้วมือเรียวที่เย็นเยียบบรรจงสัมผัสวนไปจนทำให้ต้นน้ำเผลอร้องเสียงแปลกออกมาระหว่างที่ริมฝีปากยังคงโดนทำร้ายอย่างอ่อนโยน ทั้งขบทั้งเม้ม

มือของจินไห่หยุดนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกำลังเบื่อกับการวนรอบบริเวณซ้ำๆ เขาวาดมือลงไปอย่างแผ่วเบาให้ปลายนิ้วมือที่ไร้เล็บคมลากไปจาถึงสะดือและลากลู่ไปตามป่าหญ้าที่ขึ้นดกดำอยู่เบื้องล่างและอวัยวะจุดยุทธศาสตร์ที่พร้อมปฏิบัติการ เพียงเสี้ยวนาทีที่อาวุธของต้นน้ำถูกโอบล้อมด้วยแผงมืออันแข็งแกร่ง อะไรบางอย่างในตัวของต้นน้ำก็รู้สึกต่อต้าน

ต้นน้ำผละออกจากจินไห่อย่างตกใจ เขารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว เหมือนวิญญาณของเขาถูกจิตวิญญาณของอีกฝ่ายจู่โจมจนหมดแรง นัยตากลมสีน้ำตาลอ่อนในวงตาที่เรียวสวยแสนลึกล้ำเสียจนเขาอยากจะถลำตัวเองเข้าไปหา แต่ร่างกายตรงหน้ามันช่างห่างไกลกับอุดมคติของเขามาก

ต้นน้ำไล่ดวงตาลงมาเรื่อยก็เจอแต่กล้ามเนื้อลีนๆ ที่ถึงแม้ผิวพรรณเหล่านั่นมันแสนจะผุดผ่องแม้จะเริ่มเกรียมแดด แต่เบื้องล่างลงไปนั่น มันมีอวัยวะที่เขาไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร แม้ในจิตใจจะแสนต้องการไปต่อให้จบ ต้นน้ำเองก็อยากรู้ว่าปลายทางที่เขากำลังจะเดินทางไปจะจบแบบใด   แม้เขาจะเคยรู้มาบ้างจากประสบการณ์ของเพื่อนสนิทตนเอง แต่ครั้งจะลองเองใจก็ยังไม่กล้าพอ

แม้มันเหมือนจะเนิ่นนานสำหรับเขาในห้วงความคิด แต่สำหรับจินไห่ มันเป็นเพียงเสี้ยวนาที จินไห่เห็นอีกฝ่ายผละออกและนิ่งไป เขาจึงพยายามโถมตัวเองเข้าไปจู่โจมอีกครั้ง

“เดี๋ยวพี่! ..... คือ..... เอ่อ....” ต้นน้ำใช้มือดันอีกฝ่ายให้เว้นระยะไว้ แต่ก็มีกำลังเพียงน้อยนิด เพราะจิตใจที่สับสนและหัวใจที่สั่นรัว

ในขณะที่จินไห่กำลังจะเอ่ยปากพูดเพื่อโน้มน้าวอีกฝ่าย เพราะตอนนี้ความรู้สึกและอารมณ์ของเขากำลังทะยานทะลุเพดานไปแล้ว เสียงเคาะประตูห้องก็ดังลั่น เป็นเหตุให้ต้นน้ำขอตัวเพื่ออกไปตอบรับคนที่พยายามจะพังห้องของเขาเพราะไม่มีเสียงตอบรับ

“มีใครอยู่ไหมครับ?” เสียงจากอีกฝากของประตูพูดด้วยภาษาสุภาพแต่ต้นน้ำรู้ดีว่าไอ้คนที่พูดอยู่ค่อนข้างฝืนทีเดียว เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไอ้เพื่อนเขาคนนี้แทบไม่เคยพูดสุภาพกับใคร

“กูอาบน้ำอยู่ มึงเคาะห้องเสียงดังเพื่อ??” ต้นน้ำตะโกนกลับไปหาคนที่อยู่ฟากของประตู

“สัด!! กูก็นึกว่ามึงยังไม่ตื่น เห็นเมื่อวานยังดูเบลอๆอยู่เลย ว่าแต่มึงเห็นพี่จินไห่ไหมวะ!? พี่โน่แม่งหาไปทั่ว ปกติเห็นพี่แกตื่นเช้าไปเตรียมอาหารเช้าแล้ว กูเลยอาสามาหาที่ห้องมึงนี่แหละ เผื่อว่ามึงกับพี่เขา....กำลัง...แอบ..........ว่าจะได้ไม่มาขัดจังหวะให้เสียอารมณ์ไง!” ไอซ์พูดอย่างคึกคะนอง ต้นน้ำสามารถนึกถึงหน้าตาที่คิดอกุศลของเพื่อนได้โดยไม่ต้องเปิดประตู

“แล้วที่มึงทำอยู่ไม่เรียกว่า ขัดจังหวะ!” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจกับเพื่อนของเขาด้วยท่าทีขุ่นเคืองปนขอบใจ ไม่อย่างนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันจะลงเอยอย่างไร

“อ้าว! แปลว่ากูมาขัดจังหวะ!....” ไอซ์ตอบกลับมาทันที

“จังหวะพ่อง!! กูเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนพี่ไห่เพิ่งเดินเข้าไปอาบ” ต้นน้ำมีความลนลานปนในน้ำเสียง

“...........ถึงกูไม่เห็นหน้ามึง.....แต่กูรู้สึกว่ามึงโกหกว่ะ แต่ช่างเถอะ หากพี่จินไห่อยู่กับมึงกูก็สบายใจ จะได้ไปบอกพี่โน่ ส่วนมึงและพี่จินไห่ก็รีบออกมากินมื้อเช้าได้แล้ว เห็นว่าวันนี้พี่โน่จะพาไปขี่เจ็ตสกีเที่ยวรอบๆกัน รีบออกมานะกูไม่อยากให้พี่โน่อยู่กับพี่กวีแค่สองคนนานๆ” ไอซ์มีน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขารู้สึกคิดผิดที่ดันให้สองคนนั้นมาเจอกันอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าพี่นีโน่จะยังตัดใจจากพี่กวีไม่ได้อย่างแรง

“อ้าว! แล้วแฟนเก่าพี่ไห่ล่ะ?!?” ต้นน้ำสงสัย อยู่ๆก็เพิ่งนึกถึงตัวละครเสริมคนนี้ได้ นางร้ายในเรื่องนี้ที่ทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องทั้งหมดนี้

“เออ! เนี่ยแหละ! ก็เพราะต้องแยกกันตามหานี่แหละ กูเลยอาสามาหามึงกับพี่จินไห่! ส่วนสองคนนั้นก็ไปตามหาชะนีนางนั้นแหละ!!” ไอซ์พูดอย่างอารมณ์เสีย ถึงอยากจะกำจัดชะนีนางนี้ให้พ้นทาง แต่การหายตัวไปแบบนี้มันผิดแผน

“โอเค! เดี๋ยวกูรีบออกไปช่วยหา!!” ไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกผิดมันถึงได้ถาโถมมาที่ต้นน้ำ ทั้งๆที่เขาควรจะดีใจเพราะอะไรๆ มันไม่เป็นไปตามแผนของหญิงร้ายชายโหดคู่นั้น

ต้นน้ำตัดสินใจว่าจะขอยุติเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำเมื่อครู่ และไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น แต่คนที่รอเขาอยู่ในห้องน้ำนี่สิ เขาจะปฏิเสธอย่างไร หากจินไห่ยังคงต้องการสานต่อ

ต้นน้ำเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ เห็นจินไห่ในสภาพเปลือยเปล่ายืนอยู่หน้ากระจกพร้อมกับกำลังโกนหนวดอย่างพิถีพิถัน ภาพตรงหน้ามันทำให้ต้นน้ำใจสั่นไม่น้อย  ทำไมใจของเขาถึงได้รู้สึกอะไรแบบนี้กับภาพตรงหน้า เขายอมรับว่ามันสวยงามจนอย่างสัมผัสและโอบกอด แต่ก็ยังมีความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นในหัวอยู่ดี แต่ร่างกายของเขากลับคิดตรงกันข้ามส่วนที่อ่อนนุ่มไปแล้วกลับพยายามกลับมา คึกคักอีกรอบ

“รีบเข้าไปอาบน้ำสิ! พี่ได้ยินหมดแล้ว พี่ก็เป็นห่วงเสี่ยวหยู๋เหมือนกัน” จินไห่พูดขัดจังหวะความคิดของต้นน้ำ

“หึ!! ได้!” อยู่ๆ ความคิดล่องลอยเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์เมื่อครู่ก็กลายเป็นขุ่นมัวเหมือนตกนรกทะเลหมอก ต้นน้ำรู้สึกอารมณ์เสียแบบไม่รู้ตัว เขาเข้าไปอาบน้ำด้วยอาการไม่พอใจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร

...........
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 15 part 2) 15 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2021 11:38:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 15 part 2) 15 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-03-2021 13:28:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต้นน้ำ...หงุดหงิดเพราะอารมณ์ค้างคาไม่ถึงฝั่งฝัน  สินะ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 15 part 2) 15 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-03-2021 10:00:32
ตอนต่อไปขอแก้ไขคำผิดก่อนะฮะ
แล้วจะมาต่อให้จบตอน
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 15 part 3) 29 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-03-2021 14:22:38

หลังต้นน้ำออกจากห้องน้ำก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่ขอตัวออกจากห้องน้ำไปก่อนหน้าเขา เขาเข้ามาในส่วนห้องนอนที่ว่างเปล่าแล้ว ยิ่งทำให้อาการขุ่นมัวในอกยิ่งคุกรุ่นยิ่งกว่าเก่า คนที่ยังต้องการเขาอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้านี้หายไปไหน ทำไมถึงทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น จินไห่มีอาการเป็นห่วงเป็นใยเสี่ยวหยู๋เหมือนเคย หรือว่านี่คือพฤติกรรมที่เรียกว่าตัดกันไม่ขาด ต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกอย่างหงุดก่อนที่จะรีบแต่งตัวให้เสร็จแล้วไปหาอะไรรองท้องดีกว่า

แสงอาทิตย์ยามสายสาดส่องไปทั่วบริเวณภายนอกอาคาร ทำให้ภายในห้องนั่งเล่น ที่มีการจัดโต๊ะรับประทานอาหารที่มุมหนึ่งสว่างไสวไปหมดโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟสักดวง

ต้นน้ำเดินมาถึงห้องนั่งเล่นที่ร้างไร้ผู้คน เขาเดาว่าทุกคนคงออกไปตามหาหญิงสาวในกลุ่มที่หายไปกันหมด ต้นน้ำมองไปที่โต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า เขาสงสัยว่ามื้อเช้าที่ไม่เคยขาดของจินไห่หายไปไหนหมด อาจเพราะจินไห่ใช้เวลากับเขาในช่วงเช้าจนไม่มีเวลามาเตรียมบวกกับการรีบออกไปตามหาคนที่หายไปจึงไม่มีแก่ใจจะเตรียมอาหารให้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่อึดอัดแน่นหน้าอกแบบนี้มันคืออะไร เขารู้แต่ว่าเขาไม่ชอบเลย

ต้นน้ำนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะอาหาร เขานั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำเมื่อเช้า และเผลอขยี้ศรีษะตนเองจนไปโดนแผล ต้นน้ำร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

“อ้าว!! แล้วไปขยี้หัวตัวเองทำไมล่ะ?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล แต่เป็นเสียงที่สร้างความปิติให้ต้นน้ำไม่น้อย

“อ้าว!! พี่ไม่ได้ตามหาพี่เสี่ยวหยู๋เหรอครับ?” ต้นน้ำตอบกลับด้วยอาการประหม่า

“อืม.... ก็อยากจะไปเลยล่ะนะ แต่กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง พี่จะให้เราท้องว่างได้ไงล่ะ ยิ่งมื้อเช้าแบบนี้ด้วย” จินไห่ถือจานที่บรรจุอาหารเช้าแน่นจาน ทั้งแฮม ไส้กรอก ไข่ดาว และขนมปังปิ้งอีกหลายชิ้น และมีสิ่งที่เหมือนผักผัดคลุกเนยหอมกรุ่นอยู่ในนั่นด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้ท้องของต้นน้ำร้องโวยวายเหมือนลั่นกลองศึก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฟังจากเสียงท้องน่าจะหิวแล้วสิ! เดี๋ยวนะ ทำไมหัวชื้นๆ? ทำไมถึงปล่อยให้หัวเปียกน้ำอีกแล้ว!!” จินไห่วางจานใกล้กับต้นน้ำจึงทำให้สังเกตเห็นเห็นผมที่ชื้นเปียกของอีกฝ่าย

ต้นน้ำนึกไม่ออกถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดึงที่หมวกอาบน้ำออกต้นอาบน้ำ ด้วยอารมณ์ตอนนั้นเขาจึงแสดงพฤติกรรมแบบนั้น

“เอ่อ.....” ต้นน้ำไม่รู้ว่าจะตอบอะไร

“ไม่ต้องพูดแล้ว! เดี๋ยวพี่ทำแผลให้ก่อน!” จินไห่พูดจบก็ลุกออกไปหยิบกระเป๋ายาที่ห้อง

ต้นน้ำทำอะไรไม่ถูกนอกจากนั่งกินอาหารที่หอมกรุ่นตรงหน้าอย่างสงบ

จินไห่กลับมาพร้อมกระเป๋าที่ครบครันทั้งยาใช้ภายในและภายนอก เป็นที่เพรียบพร้อมไปเสียทุกอย่างจริงๆ แต่สิ่งที่ไม่คิดว่สจะได้เจอก็คือซองสีอลูมิเนียมสีเงินวาว ขนาดเล็กสี่เหลี่ยมจตุรัส เพียงแว่บเดียวเขาก็รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร ต้นน้ำไม่คิดว่าจินไห่จะเตรียมของพรรณนี้มา ‘ถุงยางอนามัยเนี่ยนะ’ ต้นน้ำแอบคิดและหันหน้าหนี

“หึงพี่เหรอ?” จินไห่ถามขณะทำแผลบนศรีษะให้ต้นน้ำ

“อะ....อะไรนะ!! พี่!!” ต้นน้ำตอบด้วยอาการลนลาน ต้นน้ำไม่เคยหึงใครในชีวิตมาก่อน เลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันคืออะไร

“ช่างมันเถอะ ถือว่าพี่ไม่ได้พูดอะไร” จินไห่เงียบและทำแผลให้อีกฝ่ายต่อ

ในระหว่างที่ต้นน้ำกำลังกินมื้อเช้าขณะที่จินไห่กำลังทำแผลให้ต้นน้ำอยู่นั่นมันช่างยาวนานและเงียบงันสำหรับต้นน้ำอย่างมาก แต่เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงมันผ่านไปเพียงนาทีเดียวเท่านั้นที่ต้นน้ำต้องทนกับความรู้สึกค้างๆคาๆแบบนี้

“พี่ก็รีบกินมื้อเช้าสิ จะได้รีบไปหาแฟนเก่าพี่!” คนที่หมดความอดทนก่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นในที่สุด

“อดีตกับปัจจุบัน พี่เลือกปัจจุบันนะ ถึงจะอดเป็นห่วงไม่ได้ก็เถอะ” จินไห่ที่บ่นพึมพำขณะเก็บยาทำแผลต่างๆ ลงกล่องยา

“พี่หมายความว่าไงเนี่ย?” ต้นน้ำพูดขึ้นด้วยความสงสัย เขารู้สึกทนไม่ไหวกับความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศตอนนี้

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายหนึ่งจะตอบคำถามของต้นน้ำ กลุ่มคนที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ก็กลับมาด้วยความเหนื่อยล้าและเหงื่อไหลไคลย้อย

“โหย.... สายๆ แบบนี้ร้อนเป็นบ้าเลยเนอะ” ลูกครึ่งตะวันตกอย่างไอ้ไอซ์กระพือเสื้อยืดคอวีที่เผยให้เห็นผิวที่ไหม้แดงตลอดนอกร่มผ้า

“ยิ่งบ่นก็ยิ่งร้อนนะ” กวีที่ผิวออกแดดแดงไม่แพ้กันพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะล้มตัวลงบนโซฟาไม่ไกล

“ว่าไงบ้างครับ? เจอไหมครับ?” จินไห่หันไปสนใจผู้มาใหม่ทันที

“ดีแล้วล่ะที่น้องไห่ไม่ไปด้วยน่ะ เสียเวลาฉิบหาย!” เสียงดุดันจากคนตัวเล็กดังขึ้นจากหน้าประตูที่เปิดค้างไว้

“หมายความว่า...?” จินไห่ตีหน้างงไม่แพ้กับต้นน้ำที่โต๊ะอาหาร

“อ่านโน้ตนี่แล้วจะเข้าใจ หากันตั้งหลายที่แต่ดันลืมไปถามที่รีเซฟชั่น เฮ้อ......” นีโน่เหมือนโมโหความโง่ของตนเองมากกว่า

จินไห่หยิบกระดาษขนาดเอสี่ที่พับอย่างเรียบร้อยและคลี่กางออกอ่าน เขาทำปากขมุบขมิบและคิ้วขมวดเป็นครั้งคราวอยู่หลายนาทีจนคนที่ลุ้นรอคนอ่านเฉลยเรื่องอ่านอย่างต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกยาวและแรง

“เอามานี่มา!” ต้นน้ำรู้ว่าอีกคนไม่ถนัดภาษาไทยมากนัก เลยอาสาอ่านให้ฟัง

หลังจากหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากที่จินไห่ยื่นให้ด้วยรอยยิ้มเฝื่อน เขาก็อ่านออกเสียงทันที ตัวหนังสือที่เขียนไม่ได้บรรจงมากนักบ่งบอกถึงความเร่งรีบ แต่ถึงอย่างนั้นลายมือก็อ่านง่ายกว่าลายมือของเขาที่ตั้งใจเขียนมาก

“สวัสดีคะพี่โน่

ขอบคุณในความกรุณาของพี่โน่นะคะที่เอ็นดูและช่วยเหลือเสี่ยวหยู๋ในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่คอยดูแลหยู๋ที่ผับ เรื่องที่รับฟังปัญหาโง่ ๆ ของน้อง ให้คำปรึกษาและยอมทำตามแผนที่เอาแต่ใจของหยู๋ แม้พี่จะบอกว่านิสัยของหยู๋เหมือนคนที่พี่โน่อยากดูแลไปตลอดชีวิต แต่หยู๋เองก็มานั่งคิดนะคะว่า หยู๋กับน้องกวีนิสัยต่างกันมากเลยนะ สงสัยหยู๋คงคิดไปเอง”

อ่านมาถึงตรงนี้พี่โน่ก็กระแอมเสียงดังและพูดด้วยเสียงอันดุดันว่าให้รีบข้ามไปอ่านตอนสำคัญเสียที!! ต้นน้ำลนลานแต่ก็หยุดอ่านเสียงดังและไล่สายตาไปที่อีกย่อหน้าหนึ่ง ซึ่งจินไห่แอบหัวเราะเขาอยู่แต่ต้นน้ำก็รับรู้ได้จากอาการตัวสั่นเทิ่มของจินไห่ ต้นน้ำเบ้หน้าใส่จินไห่จนอีกฝ่ายหยุดนิ่ง

“ฝากบอกพี่ไห่ด้วยนะคะว่า ‘ขอบคุณมาก’ ที่ยังเป็นพี่ชายที่ดีเสมอ หยู๋รู้อยู่แล้วคะว่า เรื่องของเราคงเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่หยู๋เจอแฟนของพี่แล้วล่ะคะ สายตาพี่มัน… ฟ้อง… ว่า… ไม่มีหยู๋อยู่ในสายตาแล้ว ให้… อภัยน้องสาวที่แสนดื้อดึงคนนี้ด้วยนะคะ”

อ่านมาถึงช่วงนี้ เสียงของต้นน้ำก็ค่อยๆ แผ่วลง หัวใจเต้นรัวจนมือสั่นไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าข้อความเหล่านี้มันแปลความหมายได้ตรงตัวกับสิ่งที่เขาคิดหรือเปล่า ต้นน้ำแอบมองไปที่จินไห่ที่มีอาการเขิยอายอย่างเห็นได้ชัด ต้นน้ำหลบตาอีกฝ่ายก่อนที่จินไห่จะมองตอบ และเริ่มอ่านต่อทันที

“หลังจากที่ได้คุยกับพี่ไห่ หยู๋ก็เลยคิดอะไรได้หลายอย่าง ว่าที่ผ่านมาหยู๋ทำไปเพราะแค่หวงที่พึงพาทางจิตใจของหยู๋ หยู๋ยังอยากให้พี่ไห่เห็นความสำคัญของหยู๋เหมือนเดิม จึงจะขอกลับไปตั้งหลักใหม่ที่บ้าน หยู๋จะกลับไปเผชิญกับความจริงที่หยู๋เลือก หากมันมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด หยู๋ก็พร้อมที่จะปรับความเข้าใจ หากมันพิสูจน์แล้วมันไม่ใช่ หยู๋ก็จะเข้มแข็งและเริ่มต้นใหม่ให้ได้ เรื่องของพี่ไห่ได้มอบความเข้มแข็งให้หยู๋คะ.....

แล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ พี่ต้าเขามาง้อหยู๋ถึงที่นี่ เป็นเวลาที่หยู๋พร้อมเผชิญหน้ากับเขาแล้ว ขอกลับไปกับพี่ต้าก่อนนะคะ หากมีเวลาจะแวะไปเอาเสื้อผ้าและของใช้ที่บ้านพี่ไห่นะคะ”

ต้นน้ำอ่านจบด้วยสีหน้ามึนงง ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับเหล้าที่หกบนทางลาด เดาทิศทางไม่ออกจริงๆ

“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ” ต้นน้ำบ่นพึมพำ เขาคบผู้หญิงมาเยอะ แต่ละคนก็มีนิสัยคล้ายๆกันคือเข้าใจยาก!

(ต่อมามารู้ทีหลังจากพี่ไห่ว่า หุ้นส่วนสาวคนนั้นแค่ช่วยทำเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานเท่านั้น และที่สำคัญเธอเป็นเลสเบี้ยน! เรื่องของเสียวหยู๋เลยจบแบบ happy ending)

“งั้นเดี๋ยวพักให้หายเหนื่อยอีกสัก15 นาทีแล้วไปบันเทิงกันต่อตามตารางนะ!!” นีโน่ผู้มีวินัยจัดพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

ทุกคนในที่นั้นตอบด้วยน้ำเสียงเกรงใจยกเว้นไอ้ไอซ์ผู้กระตือรือร้นกับกิจกรรมทางน้ำที่กำลังจะเกิดขึ้น (ที่สำคัญ ฟรี!! เพราะนีโน่จะใจดีต่อหน้าพี่กวีมาก ปกติก็ใจป๋าอยู่แล้ว แต่กับคนที่ไม่ชอบหน้าอย่างไอซ์ เขาไม่เคยถูกนีโน่ปฏิบัติดีๆด้วยเลย

“ไอ้เด็กเหลือขอ!” นีโน่กล่าวขึ้นต่อหน้าไอซ์ผู้ร่าเริง ผู้ไม่หวั่นกับทุกสถานการณ์หากเขาพอใจ

ถึงเวลาที่นัดหมายนี่โน่เดินมาตามทุกคนให้มาหน้าอาคารที่พัก แสงแดดยามเที่ยงมันทำให้ทะเลสวยขึ้นและร้อนมากด้วย แต่นั่นก็ลดอาการตื่นเต้นของไอซ์ไม่ได้ จริงๆแล้วต้นน้ำเองก็ไม่ต่างกันเพราะได้ฟังเรื่องกิจกรรมเด็ดนี้ตั้งแต่ก่อนนั่งเรือข้ามฟากมาแล้ว

นีโน่จัดทั้งกลุ่มให้เป็นคู่ๆ นีโน่คู่กับกวี ต้นน้ำคู่กับจินไห่ แต่เนื่องจากเสี่ยวหยู๋หนีกลับไปแล้วจึงทำให้ไอซ์ต้องอยู่คนเดียว แต่เขาก็ยินดีเพราะ โปรแกรมวันนี้คือการขับเจ็ตสกีไปที่เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นพี่นีโน่ได้เตรียมอาหารมื้อพิเศษให้ รวมถึงกิจกรรมผาดโผนในทะเลต่างๆ นานา ครบครัน สมเป็นเจ้าพ่อสายเปย์ที่แท้จริง




หลังจากการโต้เถียงครู่ใหญ่ระหว่างจินไห่และต้นน้ำ เรื่องสภาพร่างกายของต้นน้ำ จินไห่นั้นไม่ต้องการให้ต้นน้ำไปร่วมกิจกรรมทางน้ำเลย แต่เด็กดื้ออย่างต้นน้ำมีหรือจะยอมโดยดี ความสนุกมันอยู่ตรงหน้าจะให้เขายอมตัดใจกับแค่แผลเล็กน้อยที่ศรีษะแผลเดียว

นีโน่ที่รำคาญลูกตากับสภาพที่เห็นเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันของทั้งสองจึงได้เป็นฝ่ายเดินไปตัดสินให้ นีโน่วานให้กวีดูแผลที่ศรีษะต้นน้ำอีกครั้ง หากเกินสภาพมันแย่เกินไปต้นน้ำก็อด

“เมื่อวานรีบดูตอนมืดๆ ก็เลยดูไม่ละเอียด พอมาดูสว่างๆ แบบนี้ แผลมันเล็กน้อยกว่าที่คิดนะ แค่หัวโนบวมช้ำเล็กน้อย ร่างกายฟื้นฟูไวเหมือนกันนะ” กวีพูดขณะสำรวจแผลที่ศรีษะต้นน้ำ

“ไม่มีอาการติดเชื้อ แผลเล็กๆ แบบนี้คงไม่เป็นไรครับ!!”  กวีทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มและขยิบตาให้ต้นน้ำ เป็นทีให้ต้นน้ำรู้ว่ากวีแอบช่วยเหลืออยู่นิดหน่อย ถึงแผลจะยังปิดไม่สนิท แต่ดูอาการไม่น่าเป็นห่วง บวกกับอาการเสียดายของต้นน้ำเลยทำให้กวีใจอ่อน

ต้นน้ำที่ได้ยินดังนั้นจึงกระโดดตัวโยน โผเข้ากอดผู้ชายที่ยิ้มน่ารักตรงหน้า กลิ่นที่หอมเหมือนดอกไม้อ่อนๆ พุ่งเข้าสู่จมูกต้นน้ำทันที ร่างกายที่ได้สัดส่วนตรงหน้า ด้วยสัมผัสที่ทำให้รู้ว่าร่างที่เขากอดอยู่ไม่ได้มีกล้ามชัดเจนสมชาย ทั้งสองสิ่งบวกกันทำให้เขาเผลอกอดแน่นขึ้นและเผลอสูดลมหายใจสุดแรง

“หอมจัง” ต้นน้ำเผลอพูดออกมา กวีเป็นผู้ชายที่มีฟิโรโมนดึงดูดทุกคนจริงๆ ตอนนี่ต้นน้ำรู้ได้ชัดเจนจากการใกล้ชิดขนาดนี้

“เฮ้ย!!” นีโน่และจินไห่อุทานออกมาพร้อมกันประสานเสียง

นีโน่ขบฟันเสียงดังพร้อมนิ่วหน้า ส่วนจินไห่ก็มีอาการไม่พอใจชัดเจน

“กูว่ามึงเลิกเกาะแกะแฟนคนอื่นได้แล้ว!!”  เสียงสุดโหดที่ไม่ใช่เสียงนีโน่ดังลั่นจากที่ไกลๆ

ทุกคนหันไปทางต้นเสียงก็พบบุคคลปริศนาที่วิ่งห้อจากระยะยี่สิบเมตรมาถึงจุดหน้าบ้านพักที่พวกเขายืนอยู่อย่างรวดเร็วจนเหมือนเหาะมา

คนแปลกหน้าเดินมากระชากคอเสื้อต้นน้ำและเหวี่ยงลากออกมาให้ห่างกับกวี ต้นน้ำเซไปพักหนึ่งจนเกือบล้มโชคดีที่จินไห่เข้ามาคว้าไว้ได้ทัน

“มึงตาย!!” ชายแปลกหน้าที่ดุดันเตรียมราวีต้นกล้าต่อ

“เชี้ย! มึงสิเตรียมตัว!! มึงเป็นใครวะ!!” ต้นน้ำพอทรงตัวได้ก็เตรียมโต้กลับทันที ต้นน้ำโน้มตัวพร้อมเหวี่ยงหมัดไปทางด้านหลังเตรียมประจันบาน

“ชัย! หยุดเลย!!” กวีพูดเสียงเย็น

“ครับ เมีย” ชายแปลกหน้าเปลี่ยนท่าทีจนต้นน้ำแปลกใจเสียหลัก เขาใช้เท้ายันตัวเองไม่ให้โถมไปด้านหน้ามากไปกว่านี้

“พี่กวีรู้จัก?”ต้นน้ำแปลกใจ

“อืม.... แฟนพี่เอง! มันบ้าๆบอๆแบบนี้แหละครับ” กวีตอบด้วยท่าทีขอโทษ พร้อมบีบไหล่คนมาใหม่อย่างแรงจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นเขียวบนหลังมือที่ขาวใส

“โอ้ย.... ลองคุณเจอผมกับคนอื่นแบบนี้ คุณก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ!” ชัยหยีตาด้วยความเจ็บ ชายร่างสูงใหญ่กลับทำท่าอ่อนแอจนน่าขบขัน

“เหรอ...” กวีตอบเสียงเย็น

“เอ่อ.... ไม่ก็ได้จ๊ะเมียจ๋า...” ชัยแทบจะก้มกราบคนตรงหน้า

“หึงไม่เข้าเรื่องก็รู้ว่าเราไม่ชอบ มันเหมือนไม่ไว้ใจกัน ส่วนน้องคนนี้แฟนเขาก็ยืนอยู่ด้วยกัน ทีหลังก็หัดถามกันก่อนนะ!” กวีบ่นยาว ท่าทีที่สุขุมเรียบร้อยก่อนหน้านี้ละลายไปพร้อมกับการมาของชัย ทำให้เห็นว่ากวีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักนั้นดูผ่อนคลายและเปิดเผยเพียงใด

“ขอโทษนะน้อง ไม่บาดเจ็บใช่ไหม?” ชัยหันมาพูดกับต้นน้ำด้วยถ้อยคำสุภาพ

ต้นน้ำที่ตอนแรกคิดจะหาเรื่องต่อด้วยความโมโหแต่เมื่อเจอรังสีอำมหิตที่แผ่มาจากใบหน้าน่ารัก ๆ อย่างกวีทำให้ต้นน้ำรู้สึกขนลุกและยอมรับคำขอโทษแต่โดยดี ยิ่งพอหันหลับมาเจอสายตาเข้มของคนใกล้ตัวอย่างจินไห่มองมาเขายิ่งรู้สึกสลดอย่างหาคำพูดมาบรรยายไม่ได้ ทำไมเขาต้องกลัวสายตาที่ดุดันนั่นของพี่จินไห่ขนาดนี้ก็ไม่รู้

“ไอ้ตัวแสบมึงมาได้ยังไง?!?” นีโน่พูดแทรกขึ้นกลางจังหวะที่เริ่มผ่อนคลาย

“ผมฉลาดไง!! หากผมไม่รีบมา มีหวังพี่ได้หาเศษหาเลยคู่หมั้นผมอีก รู้ไว้ด้วยนะว่าผมจองแล้ว!!” ชัยหันมาหาต้นเสียงด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไป พร้อมแสดงแหวนทองคำขาวฝังเพชรเม็ดงามเป็นหลักฐาน

ต้นน้ำถึงขั้นมองไปที่มือข้างเดียวกันของกวี เขาก็พบว่ามีแหวนที่เหมือนกันสวมอยู่อย่างเด่นชัด ทำไมเขาถึงเพิ่งเห็นก็ไม่รู่

“หมั้นได้ก็ถอนได้เว้ย อย่าลืมนะว่ากูเจอกวีก่อน!” นีโน่เดินเข้ามาใกล้ด้วยบรรยาการเข้มขึง

“แต่พี่อย่าลืมนะว่า ผมเป็นคนที่กวีเลือก!!” ชัยส่งรังสีลุกไหม้ไปที่คนตัวเล็กและขยับเข้าไปใกล้จนแทบจะชนกันอยู่แล้ว

ต้นน้ำสาบานได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเองว่ามีประกายไฟพริบพรับอยู่ระหว่างคนทั้งสอง บรรยายริมทะเลที่สดใสแทบจะเปลี่ยนไปเป็นสนามรบกลางพายุฝนฟ้าคะนอง

“เมื่อไหร่ทั้งสองคนจะพอสักที! ไม่งั้นผมกลับนะ!” กวีพูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง

จากที่ทั้งคู่พร้อมที่รบพุ่งฆ่าฟันก็กลับแยกย้ายอยู่คนละทิศทันที นีโน่เดินมาด้วยรอยยิ้มแต่แฝงไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดไปทางฝั่งซ้ายของกวี ส่วนชัยเดินมาด้วยท่าทางหงอยไปยืนประจำจุดที่ฝั่งขวาของกวี

“เอาล่ะ! เห็นแก่น้องไอซ์ที่อยากเที่ยว ผมจะไปทำกิจกรรมตามตารางต่อ แต่ต้องทำตามแผนที่ผมพูด โอเคไหม?!?” กวีพูดเสียงเข้ม และทุกคนเห็นด้วยโดยไม่มีใครขัดแย้งแม้แต่ทางสีหน้า ขนาดนีโน่ยังต้องยอมถอยแต่โดยดี กวีถือเป็นไอดอลที่ทรงอิทธิพลของต้นน้ำเลยทีเดียว

หลังจากที่กวีสั่งให้แฟนตัวเองไปเก็บข้าวของในที่พัก (ซึ่งคาดว่าจะได้จัดห้องนอนกันใหม่) ทุกคนก็พร้อมสำหรับกิจกรรมวันนี้ กวีจัดแจงจับคู่ให้ใหม่ โดยให้ไอซ์ไปนั่งคันเดียวกับนีโน่ แม้ไอซ์จะมีสีหน้าไม่ดีนัก แต่ก็ยอมแต่โดยดี

กวีจับคู่กับชัยซึ่งนีโน่ก็ดูท่าจะยอมแต่โดยดี ส่วนต้นน้ำก็ยังได้จับคู่กับจินไห่เหมือนเดิม

ความจริงในเมื่อเสี่ยวหยู๋ตัวตนเหตุเรื่องทั้งหมดไม่อยู่แล้ว ทำไมเขายังค้องทำตัวเป็นแฟนกำมะลอแบบนี้อยู่ เขาอยากจะตะโกนบอกทุกคนว่า เรื่องที่เกิดขี้นมันเป็นแค่เรื่องแหกตาทุกคน แต่พอมาได้เห็นสีหน้าตื่นเต้นของจินไห่ ก็ไม่อยากขัดบรรยากาศสนุกๆแบบนี้ งั้นกลับถึงบ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน

พอคิดถึงเรื่องที่เขาจะต้องยุติบทบาทแฟนกำมะลอแบบนี้ ทำไมจิตใจเขาถึงดูกลวงโหวแบบนี้นะ..... ต้นน้ำสลัดความคิดตรงนั้นไปเพื่อไปสนุกกับวันนี้ดีกว่า ต้นน้ำยิ้มรับคำชวนของจิตไห่ทันทีที่จินไห่หันมาชวนไปเลือกเจ็ตสกีที่จอดเทียบที่ริมหาด

...............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 15 part 3) 29 มี.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-04-2021 01:49:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 16 part 1) 8 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-04-2021 08:53:09

บทที่ 16

Isn’t it romances



“หนึ่ง....สอง.....สาม!!!” เสียงกวีที่ถือเศษกิ่งไม้ในกำมือและยื่นให้กับทุกคนเพื่อหยิบขึ้นมาพร้อมกัน

“แต่ละไม้จะยาวไม่เท่ากันนะครับ คนที่ได้ไม้ที่ยาวกว่าตะได้เป็นคนขับ!!” กวีคิดเกมนี้ขึ้นหลังจากที่ทุกคนต่างเถียงแย่งกันขับเจ็ตสกี

จินไห่ยืนดูไม้ที่ตนเองถือทันทีที่หยิบพ้นมือของกวี มันไม่ได้ยาวไปกว่านิ้วก้อยเขาเลย เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาอยากลองอะไรใหม่ๆ หลังจากที่ตนเองพร้อมเปิดใจรับสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิต นึกมาถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่ต้นน้ำทันที ต้นน้ำคือคนที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปขนาดนี้

หลังจากที่ได้มองสีหน้าของต้นน้ำที่มองเหม่อเส้นไม้ในมือด้วยอาการผิดหวังก็ทำให้จินไห่อดหัวเราะไม่ได้ เขาไม่รู้จริงๆ ทำไมเขาถึงได้ยิ้มง่ายขนาดนี้เมื่ออยู่ใกล้เด็กหนุ่มคนนี้

ยิ่งพอจินไห่เดินนำไม้ตนเองไปเทียบกับไม้ของต้นน้ำทำให้รู้ว่าไม้ของต้นน้ำสั้นกว่าเขาไปข้อนิ้วหนึ่ง ยิ่งทำให้ต้นน้ำสีหน้าสลดยิ่งกว่าเดิม และบ่นอย่างที่เขาบ่นเป็นประจำ ‘ไม่มีดวงกับเรื่องแบบนี้เลย!’

จินไห่แอบขบขันในใจ ต้นน้ำคนนี้ไม่ต่างจากสมัยที่เขาเจอกันครั้งแรกเลย ที่ใต้ต้นไม่ใหญ่สวนหลังบ้าน ที่ๆ เขามักจะเจอเด็กหนุ่มคนนี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งทุกครั้งที่โดนแม่ใช้ให้มาทำความสะอาดที่นั่น  แม้ว่าเขาจะพยายามท้าทายแม่โดยการเล่นเสี่ยงดวงหลายแบบเพื่อให้ตนเองไม่ต้องมาทำงานตรงนี้แทนที่จะได้ไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนๆ แต่ต้นน้ำผู้ไม่มีโชค เขาไม่เคยชนะแม่เขาเลยสักครั้ง (น่าสงสาร)

แต่ถึงจะยุ่งยังไง เด็กคนนี้ก็ไม่เคยที่จะรำคาญเขา แถมยังสอนและแนะนำอะไรเขาหลายอย่าง เป็นคนใจดีเกินคาดมาก

จินไห่ที่พูดน้อยเข้ากับคนยาก จึงผูกพันกับต้นน้ำแบบไม่รู้ตัว แม้เขาจะมีจุดประสงค์ในการเข้าไปใต้ต้นไม้นั่นบ่อยๆ แต่ต้นน้ำเองก็ไม่ใช่คนคิดมากอะไร ไม่เคยถามเรื่องที่เขาไม่ลำบากใจที่จะเล่าเลยสักครั้ง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่กับต้นน้ำกลายเป็นที่พักทางใจของเขา

จนเมื่อในวันที่เขาและต้นน้ำได้มาอยู่ใต้หลังคาเดียว แล้วทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปอย่างที่เขาเองก็รู้สึกได้

เขายอมรับว่ามีเพื่อนน้อยถึงน้อยมาก แม้จะเคยทำงานในวงดนตรีของผับ แต่ก็ไม่ค่อยสนิทกับคนในวงเท่าไหร่นัก (อาจเพราะแนวดนตรี เขาชอบแนวคลาสสิคมากกว่า) คนเดียวที่เขาพอจะเปิดใจพูดคุยได้คือ นีโน่

ครั้งแรกที่เขาไปปรึกษานีโน่เรื่องหัวใจ นีโน่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่น จนจินไห่หูชาหน้าแดงเพราะความเขินอาย จินไห่เล่าเรื่องความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เริ่มเกิดขึ้น ณ ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น นอกจากที่นีโน่จะไม่โกรธเรื่องที่เคยถูกจินไห่สะบัดรักไปเมื่อหลายเดือนก่อน นีโน่ยังรับปากว่าจะช่วยให้มันชัดเจนขึ้นเอง

และนั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมจินไห่ถึงแนะนำให้เสี่ยวหยู๋ไปเที่ยวที่ผับของนีโน่ และทำให้นีโน่ได้พบกับเสี่ยวหยู๋ นีโน่ช่วยดูแลเสี่ยวหยู๋ในช่วงที่นีโน่ต้องการทำให้ความรู้สึกจินไห่กับต้นน้ำชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งในวันที่ได้ดูแลต้นน้ำที่บาดเจ็บ มันทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าเป็นห่วงเด็กนั่นมากแค่ไหน และพร้อมที่จะเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต

ช่วงแรกจินไห่กังวลอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเรื่องชอบผู้ชายด้วยกันเลย เขารู้ว่าการเริ่มต้นกับผู้หญิงมันง่ายกว่ามาก มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องฝืน และสามารถแสดงออกได้เต็มที่ แต่กับผู้ชายด้วยกันมันมีความเสี่ยงเต็มไปหมด ยิ่งกับเพลย์บอยอย่างต้นน้ำด้วยแล้ว

จนในวันหนึ่งนีโน่บอกให้จินไห่พาต้นน้ำไปเปิดตัวที่ผับเขาจะช่วยดูท่าทีให้ หลังจากวันนั้นนีโน่ก็บอกให้เดินหน้าลุยได้เลย แต่จินไห่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่เคยรู้เรื่องความรักเท่าไหร่ กับผู้หญิงเขาก็มีแฟนเป็นเสี่ยวหยู๋แค่คนเดียว (และเป็นคนมาจีบเขาก่อนด้วย) สำหรับผู้ชายแล้วเขาไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร

จนเป็นที่มาของทริปนี้........

แม้เรื่องราวจะผิดแผนไปมาก แต่ในที่สุดเขาก็จะได้พิสูจน์เสียทีว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า เขารุกและถอยตลอดเวลาด้วยความขลาดที่เขามี..... และวันนี้ก่อนจะกลับเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรเขาก็จะทำมัน!! เขาจะเผด็จศึกต้นน้ำให้ได้!! (แม้ในใจจะสงสัยว่าตัวเองจะอยู่ตำแหน่งไหนในความสัมพันธ์นี้ก็ตาม แต่เขาก็พร้อมที่ยอมรับทุกอย่าง!!)

แม้เหตุการณ์ในห้องน้ำจะเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรกจนเขาไปต่อไม่ติด ต้นนำ้ก็มีอาการกลัวเขาจนเห็นได้ชัด เป็นไปได้ว่าคืนนี้เขาคงจะเข้าถึงตัวอีกฝ่ายยากกว่าเดิม แต่..... เขาก็พร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง (นีโน่สอนมาแบบนี้!!)

ในการจับไม้สั้นไม้ยาว เขาได้ไม้ที่ยาวกว่าต้นน้ำจึงต้องเป็นคนขับ แม้เขาอยากจะเสียสละให้ แต่กติกาก็ต้องเป็นกติกา (เดี๋ยวขากลับค่อยว่ากันอีกที รอให้กวีหายหัวเสียก่อน เป็นคนหล่อที่น่ากลัวพิลึก)

จินไห่ขับไปด้วยท่าทางสนุกสนานแม้จะสอนกันในช่วงแรกกันเกือบชั่วโมง ในที่สุดเขาก็รู้สึกสนุกไปกับมัน โดยมีต้นน้ำนั่งกอดเอวเขาด้วยใบหน้าอิจฉาและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

คลื่นลมวันนี้ค่อนข้างแรง จินไห่จึงจับมือให้ต้นน้ำโอบเอวเขากระชับแรงขึ้น จินไห่รู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานไปในคราวเดียวกัน ยิ่งเจอคลื่นแรงๆ กระแทกใส่ ต้นน้ำก็ยิ่งกอดเขาแรงขึ้น จินไห่ยิ่งรู้สึกดีขึ้น จนต้นน้ำบ่นอุบว่าให้พยายามเลี่ยงหลบคลื่นหน่อย ก้นกบเขาจะไม่ไหวแล้ว!!

จินไห่ปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายทันที แม้จะเสียดายแต่เขาก็คงต้องตามใจคนที่เขาชอบก่อน

.........

“พี่ไห่ ตอนพี่ขับรถกับตอนพี่ขับเจ็ตสกี ทำไมมันต่างกันแบบนี้!! ผมนึกว่าอยู่บนรถไฟเหาะ!” ต้นน้ำบ่นอุบอิบเมื่อขึ้นมาถึงชายฝั่งของเกาะเป้าหมาย ต้นน้ำทรุดตัวลงนอนแผ่บนพื้นทราย โดยมีร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงมานอนแผ่ข้างๆ

“แฟนพวกเรานี่สุดยอดเลยเนอะ” ชัยพูดกับต้นน้ำด้วยท่าทางอิดโรย เพราะเวียนศรีษะกับการขับเจ็ตสกีแบบผาดโผนของกวี เป็นอีกมุมหนึ่งของทั้งกวีและจินไห่ที่ต้นน้ำเพิ่งค้นพบ

เวลาคนเหล่านี้สนุกก็จะเต็มที่สุดเหวี่ยง! ต้นน้ำคิดก็พยักหน้าตอบชัยที่ยิ้มตอบกลับมา

“ตอนแรกก็สงสัยว่าใช่แฟนกันจริงหรือเปล่า? แต่ก็ไม่ปฏิเสธเลยนี่!” ชัยล้ออีกฝ่าย

“........” ต้นน้ำไม่ตอบอะไร แต่รู้สึกว่าตัวเองสงบกับคำเรียกขานความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจินไห่เสียแล้ว

“คุยอะไรกันพี่!! พวกพี่ยังดี ผมมากับไอ้ตัวเล็กซาดิสม์นั่น ขับอย่างกับบินมา ผมมาถึงก่อนพวกพี่เกือบสิบนาที นี่ผมแอบไปอ้วกมาแล้วนะเนี่ย!!” ไอซ์ที่เดินมานั่งอีกข้างของต้นน้ำบ่นด้วยอาการหน้าซีดเผือด

“ดี!! สม!! กูยังไม่ได้คิดบัญชีกับมึงเลยนะ ที่แอบพาแฟนกูมาเที่ยวแบบนี้!!” ชัยชี้หน้าคนที่ตอนนี้เพิ่งนั่งและดูเหมือนจะน้่งไม่ติดพื้นเท่าไหร่ เพราะเตรียมตัวจะหนีเต็มที่ แต่พอมองอีกฝ่ายที่แทบจะไม่มีแรงก็เลยวางใจได้ระดับหนึ่งว่า หากอีกฝ่ายลุกขึ้นมาไล่เตะเขาจริงๆ เขาคงหนีทันแน่นอน

“ผมไม่ได้พามาเที่ยว แค่ขอร้องให้มาช่วยเพื่อนผมเอง” ไอซ์รีบแก้ตัว

“เหมือนกันนั่นแหละ!! มึงไม่ต้องมาแก้ตัว!!” ชัยพูดเสียงเข้ม

“ชัย! เลิกขู่น้องมันได้แล้ว!! ทีชัยยังช่วยเพื่อนออกบ่อยเลย ช่วยแบบสุดตัวเสียด้วย” กวีเดินยิ้มเย็นเยียบมาทางที่พวกเขานอน หลังจากจอดเทียบเจ็ตสกีกับชายฝั่งเรียบร้อย โดยมีนีโน่ตรวจตราความเรียบร้อยอยู่กับจินไห่ที่ทำท่าทางเก้ๆกังๆอยู่ข้างๆ

ชัยรู้สึกคำพูดมันจุกที่ลำคอ เถียงไม่ออก เพราะเขาก็นิสัยเดียวกันกับไอซ์เนี่ยแหละ และเพราะการช่วยเพื่อนแบบสุดตัวนี่แหละ เลยทำให้เขาได้พบรักกับกวีคนนี้

“ครั้งนี้ฝากไว้ก่อนเหอะ!!” ชัยชี้หน้าคาดโทษไอซ์ที่ตอนนี้หน้าระรื่นเพราะคิดว่าตนเองรอดจากสถานการณ์นี้แล้ว

“เมาคลื่นทะเล?” คำถามจากจินไห่ที่โน้มตัวลงมาจากทางด้านศรีษะ ตอนนี้ผิวเขาเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเข้มเพราะโดนแดดเผาแทบจะทั้งตัว แต่ท่าทางยังมีความกระตือรือร้นอยู่มาก

“อืม.... ไม่แน่ใจครับ...” ต้นน้ำหยีตาเล็กลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงแดดที่แรงกล้าหรือความสดใสของคนที่โน้มตัวมาหาเขา ทำให้เขาลืมเรื่องอาการเมาคลื่นไปชั่วขณะ

“นี่มึงคบกันนานหรือยัง? ทำไมยังเขินอายอะไรกันอยู่วะ!” ชัยที่มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็อดที่จะแซวไม่ได้

“..........” ทั้งจินไห่และต้นน้ำไม่ได้ตอบเพียงแค่หลบตาซึ่งกันและกันเท่านั้น

“แปลก...” ชัยมีท่าทีสงสัยและอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ชัยเหมือนจะนึกอะไรออก

“ชัย... อย่าไปวุ่นวายตรงนั้น มาช่วยเราจัดโต๊ะดีกว่า” กวีเสียงดังจากทางด้านหนึ่งของหาด ที่เหมือนจะปรากฏโต๊ะอาหารขนาดย่อมขึ้นมา โดยที่เมื่อครู่ยังไม่มี ไม่รู้ว่าเคยไปซ่อนอยู่ตรงไหน

“โหย... ที่รัก ที่รักก็รู้ว่าชัยทำอะไรพวกนี้เรียบร้อยเสียทีไหน ขออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน สาบานว่าจะไม่ป่วน!” ชัยตะโกนกลับ

“...........โอเค!!” กวีคิดอยู่ในใจพักหนึ่งก่อนจะตอบ

“ส่วนมึง! มานี่!!” เมื่อชัยเห็นว่าสุดที่รักของตนอนุมัติ เขาก็คว้าคอต้นน้ำลุกขึ้นเดินไปอีกทางทันที

ทิ้งให้เพื่อนสนิทอย่างไอซ์ และแฟนปลอมๆ อย่างจินไห่ทำสีหน้าประหลาดใจอยู่ที่เดิม

...........
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 16 part 1) 8 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-04-2021 08:54:51
สัปดาห์นี้พยายามจะตรวจคำผิดและลงให้จบตอนนี้นะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 16 part 2) 11 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-04-2021 13:28:10
“เดี๋ยวๆ พี่ลากผมมาทำไมเนี่ย?” ต้นน้ำเอ่ยทักหลังจากเดินมาได้หลายก้าวจนเห็นเพื่อนตนเองและจินไห่ตัวเล็กลงมาก

“ถามจริง! มึงสองคนยังไม่เคยกันใช่ไหม?” ชัยถามโผงผาง

“เฮ้ย..!! อะไรวะ ทำไมมาถามอะไรแบบนี้!” ต้นน้ำลนลานถอยห่างไปครึ่งก้าวแก้เขิน

“กูถามว่าเคยหรือไม่เคย!!” ชัยตัดบท

“....” ต้นน้ำเงียบเป็นคำตอบ พาลให้นึกถึงจูบที่ดูดดื่มในห้องน้ำ

“กูยืนยันได้เลยว่า พวกมึงยังไม่เคยได้เสียกัน!!” ชัยฟันธงด้วยสีหน้ามั่นใจ

“เฮ้ย ....ผมคบกันมาพักใหญ่แล้วนะ เรื่องแค่....นี่.... ผมกับพี่....” ต้นน้ำพยายามโกหก แต่พอเจอสีหน้ารู้ทันของอีกฝ่ายก็สารภาพหมดเปลือก

..........

“อย่างนี้นี่เอง....” ชัยพยักหน้าไปมา

“...........” ต้นน้ำที่เล่าเรื่องทุกอย่างหมดจรดตั้งแต่เริ่มแผนยันเรื่องปัจจุบัน มาถึงตรงนี้เขาก็เลยหยุดนิ่งเพื่อรอปฏิกิริยาของคนตรงหน้า แต่มวลอากาศที่หนักอึ้งในอกตอนนี้เหมือนสลายหายไปแล้ว

“แฟนหลอกๆ....... แต่สายตาที่มองกันแบบนั้นกูว่ามันผิดปกติ พวกมึงเคยทำอะไร เกินเลยเช่นกอดหรือจูบอะไรแบบนี้ด้วยความไม่ตั้งใจใช่ไหม?” ชัยกรอกตาไปมาในช่วงแรกก่อนจะถามย้ำ

“.......มันก็...ไม่เชิง.....ไม่ตั้งใจ....” ต้นน้ำได้แต่ตื่นเต้นหน้าแดง พลางคิดไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่าน

“แม่ง!! ตามสูตรเป๊ะๆ!!” ชัยตบหน้าขาฉาดใหญ่

“เป๊ะอะไร? ยังไง?” ต้นน้ำงงกับกับคำถามของรุ่นพี่ที่เพิ่งจะเคยเจอวันนี้

“สูตรอาการตกหลุมรักไง!” ชัยพูดอย่างมั่นใจ

“เฮ้ย!!” ต้นน้ำรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ชัยพูดออกมาเสียงดัง มันเป็นสิ่งที่เขาพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน

“ไม่ต้องตกใจ กูเคยผ่านมาก่อน กูดูอาการออก” ชัยตบบ่าอีกฝ่าย

“ไม่ใช่หรอก แต่ถึงแม้จะใช่ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะ...” ต้นน้ำลนลาน

“มึงจะบอกว่าเพราะเป็นผู้ชายด้วยกันงั้นเหรอ? มึงก็น่าจะรู้นะว่า.... ความรักน่ะมันไม่จำกัดเรื่องเพศหรอก!!” ชัยตกใจนิดหน่อยเพราะตอนท้ายประโยคของเขา ต้นน้ำได้พูดประโยคเดียวกันได้อย่างพร้อมเพียง

“อ้าว!! มึงก็รู้อยู่แล้ว มึงจะกังวลเชี้ยอะไรวะ!!” ชัยทำหน้าขบขันกับอาการของคนตรงหน้า

“ก็แบบ....” ดวงตาคนตอบอย่างต้นน้ำกลิ้งสั่นไปมาจนชัยรู้สึกรำคาญ

“แปลกมากเลยนะ ที่มึงลังเลแบบนี้ เพราะมึงมีเพื่อนแบบไอ้ไอซ์ โตมากับสังคมที่เปิดกว้างแบบสมัยนี้!!” ชัยกอดอกมองอีกฝ่ายอย่างมีน้ำเสียงโมโหนิดๆ

“ผมไม่ได้รังเกียจ หรือลังเลอะไร ผมรู้ว่าความรู้สึกระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่แปลก มันแปลกที่ความรู้แบบนี้ที่ผมไม่เคยรู้สึกกับใครเลย แต่กลับมารู้สึกกับพี่ไห่! มันเป็นไปได้ยังไง? ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง? ที่ผ่านมาผมคบกับใครเพราะความรู้สึกชอบและความต้องการเท่านั้น ผมไม่เคยเริ่มคบกับใครด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แล้วยิ่งเป็นผู้ชายแบบนี้ ผมแม่งโคตรสับสน!!” ต้นน้ำระเบิดสิ่งที่อัดอั้นมาตลอดทริปนี้ออกมา

“เอาล่ะ! อย่างน้อยกูก็รู้แล้วว่ามึงรู้ใจตัวเองแค่ไหน ขาดแค่การตัดสินใจเริ่มต้นเท่านั้นเอง!!” ชัยโอบไหล่อีกฝ่าย จนรู้สึกถึงความตึงเกร็งได้

“เฮ้อ......แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย!!” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจ

“งั้นทำตามพี่บอก รับรองแก้ปัญหามึงได้แน่นอน!!” ชัยตบอกตัวเองเบาๆ

“!?!?!”

................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 16 part 2) 11 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-04-2021 13:30:11
งามเลี้ยงริมหาดส่วนตัวที่เกาะขนาดเล็กไม่ไกลจากรีสอร์ตจบลงด้วยดี ทั้งกลุ่มต่างดื่มกินกันอย่างสนุกสนานและวันนี้เป็นวันแรกที่ไร้น้ำแอลกอฮอล์เพราะมีกิจกรรมทางน้ำให้เล่นด้วย กวีจึงสั่งห้ามน้ำเมาทุกชนิด ดื่มได้เพียงน้ำโซดา น้ำอัดลมและน้ำเปล่าเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้น ต้นน้ำก็ได้จัดทริปนี้เป็นสุดยอดทริปในฝันไปเรียบร้อยแล้ว

นีโน่ที่หลังจากเจอชัย แฟนหนุ่มสุดหล่อของกวีมากันท่าทุกทาง ก็เลยหันเป้ามาแกล้งไอ้ไอซ์ผู้น่าสงสารแทน พูดได้เลยว่าคนที่ไม่สนุกที่สุดในทริปนี้ก็ไอ้ไอซ์นี่แหละ!!

ต้นน้ำกับจินไห่แม้จะมีอาการเกร็งๆบ้างในช่วงแรกเพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่เมื่อมีกิจกรรมสนุกอย่างเจ็ตสกี และ เครื่องเล่นเป่าลมต่างๆที่ทางรีสอร์ตจัดมาให้ เครื่องเล่นทางน้ำมากมายที่พี่นีโน่บอกว่าจะทำในอนาคตแต่อยากให้ทุกคนมาทดลองกันก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนสนุกจนกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง

ทุกคนเล่นกันจนหิว หิวก็พักมากินมาดื่ม พอหายเหนื่อยก็กลับไปเล่นต่อ วนไปแบบนี้ตลอดทั้งวันจนพระอาทิตย์คล้อยต่ำ จนเกือบชนเส้นขอบฟ้า  เจ้าหน้าที่รีสอร์ตจึงมาแจ้งให้สิ้นสุดการเล่นแต่เพียงเท่านี้

แม้ทุกคนจะเสียดายแต่ก็ยินยอมพร้อมใจกันกลับที่พัก

ขากลับแม้จะต้องขับเจ็ตสกีกลับเช่นเดิน แต่เนื่องจากเหนื่อยกันมาก จึงมีอาการเกี่ยงกันขับกลับเกิดขึ้นผิดจากขามา

ชัยยอมกวีแต่โดยดี เพียงแค่มองปลายตาด้วยความเกรี้ยวกราด
นีโน่บังคับไอ้ไอซ์ให้ทำตามคำสั่งอย่างไม่ยากเย็น แม้มันจะบ่นเหนื่อนแทบตายแต่ก็ยอมขับกลับโดยดี

ผิดกับคู่ของต้นน้ำและจินไห่ จินไห่อาสาขับกลับให้โดยไม่ต้องรอต้นน้ำเอ่ยปาก ทำให้ต้นน้ำนั่งเกาะท้ายจินไห่ด้วยความอ่อนเพลียและอบอุ่นในใจ

‘การโอบเอวคนที่เราชอบมันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง’ ต้นน้ำคิดไปอมยิ้มไป ขณะโอบเอวบางที่มีกล้ามเนื้อสุขภาพดีอยู่ ระหว่างที่ต้นน้ำสัมผัสก็ดอที่จะนึกถึงเรื่องเมื่อสายไม่ได้ แต่เขาต้องข่มใจไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้ส่วนกลางลำตัวร้อนลุมขยายขึ้นมาเขาคงจะเดินกลับที่พักลำบาก

หลังจากแยกย้ายกัน ณ เวลาถึงที่พัก ทุกคนต่างกลับเข้าห้องใครห้องมัน ชัยที่มาใหม่รีบจัดการย้ายข้าวของไอซ์ไปโยนใส่ห้องนีโน่โดยไม่บอกกล่าวอะไร ชัยพูดแค่เพียง

‘มันก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็น!’ หลังจากนั้นก็โอบไหล่กวีเข้าห้องล็อคประตูเรียบร้อย ส่วนกวีได้แต่ทำหน้าขอโทษรุ่นน้องตนเองก่อนเดินเข้าห้องไป

ส่วนต้นน้ำนั้นหลังจากช่วงผ่อนคลายตลอดทั้งวันที่ผ่านมาจบลง หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าห้องเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน เพราะเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว (ไอซ์มีอาการงอแงนิดหน่อยเพราะไม่อยากนอนร่วมห้องกับนีโน่)

ต้นน้ำพยายามถ่วงเวลาตัวเองไม่ยอมเข้าห้องพัก โดยอ้างว่าอยู่เป็นเพื่อนไอซ์ที่ห้องนั่งเล่นก่อน เลยบอกให้จินไห่ไปพักผ่อนก่อน ส่วนตนเองจะขออยู่นั่งคุยเป็นเพื่อนไอซ์ก่อน พยายามกล่อมให้ไอซ์เข้าห้องเพราะไอซ์ทำท่าจะนอนตรงโซฟาท่าเดียว

เลยช่วงหัวค่ำไปแล้ว ในที่สุดไอซ์ก็ยอมกลับเข้าห้องที่พักร่วมกับพี่นีโน่โดยการหว่านล้อมของต้นน้ำ ที่ไม่อยากให้เพื่อนมานอนร้อนและเป็นอาหารยุงอยู่ที่ด้านนอกนี่

ต้นน้ำนั่งทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดสินใจเดินเข้าห้องพักตนเอง เขารู้ตัวดีว่าการเข้าไปอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ มันคงอึดอัดไม่น้อย การที่คนเราเวลามีใจให้ใครสักคนมันเป็นสิ่งที่ทำใจยากแบบนี้นี่เอง เพราะที่ผ่านมา เขามีแต่เป็นฝ่ายตั้งรับให้อีกฝ่ายมาสารภาพ แม้จะไปจีบอีกฝ่ายก่อนก็ไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งอะไร แตกต่างจากกรณีนี้โดยสิ้นเชิง

ต้นน้ำไม่รู้ว่าที่ผ่านมาการกระทำนะหว่างเขากับจินไห่มันคือแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือเมาไม่ได้สติ หรือตั้งใจ แต่การที่เขาคิดไปไกลแล้วแบบนี้ มันทำใจอยู่กับจินไห่แค่สองคนมันลำบากใจอย่างแปลกประหลาด

ต้นน้ำยืนทำใจอยู่หน้าห้องอยู่นานกว่าจกล้าบิดลูกบิดประตูเข้าไป

สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ จินไห่ที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำหลวมสวมทับชุดนอนผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อน นอนหลับตาในท่าเอนพิงหมอนหนุนจำนวนหนึ่ง มือข้างหนึ่งถือรีโมทโทรทัศน์อย่างหลวม คล้ายกับว่าจินไห่ดูทีวีไปไม่นานก็ผล่อยหลับด้วยความเพลีย

ต้นน้ำเดินไปหยิบรีโมทโทรทัศน์ออกจากมือที่กำอย่างหลวมๆ กลิ่นสบู่ที่หอมแบบดอกไม้นานาพันธุ์โชยอ่อนๆ ออกมาจากร่างของจินไห่ ลมหายใจที่หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและแผ่วเบา สีหน้าที่สงบและผ่อนคลายเหมือนทะเลที่ไร้คลื่นลมปั่นป่วนในยามเย็น มันเป็นสีหน้าที่ต้นน้ำเผลอมองอยู่นาน

เสื้อชุดนอนผ้าฝ้ายที่เป็นแบบไร้กระดุมแค่นำมาซ้อนทับและใช้เชือกผูกซึ่งทำให้ช่วงหน้าอกเผยออกเป็นรูปตัววี ต้นน้ำเห็นผิวอกขาวที่ตัดกับลำคอที่แดงจากโดนแดดเผา กระเพื่อมขึ้นลงจากการหายใจ  ภาพตรงหน้าทำให้ต้นน้ำตื่นเต้น แบบไม่รู้ตัว

ทำไมเขาถึงเห็นภาพตรงหน้ามีเสน่ห์มากขนาดนี้ เขาย้ำถามตนเองก่อนที่จะสะบัดหน้าหนีก่อนที่อะไรๆ ในตัวเขาจะถูกปลุกปั่นขึ้นมา

ต้นน้ำผละจากเตียงโดยพลัน และคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำทันที

ต้นน้ำเสร็จภาระกิจในการชำระเม็ดทรายออกจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว วันนี้เขาใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อบาสฯ ตัวเก่งนอนเหมือนที่เขาอยู่บ้าน เพราะตอนอยู่บ้านจินไห่ จินไห่จะบังคับให้ต้นน้ำใส่ชุดนอนเหมือนกับเขา แต่ต้นน้ำไม่ชอบเพราะมันไม่สบายตัวเอาเสียเลย แต่พอมาได้ใส่ชุดประจำของตนเองก็แอบรู้สึกโล่งๆ ไม่ชินขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ต้นน้ำสลัดความคิดเล็กน้อยเหล่านั้นออกไปเพื่อเตรียมตัวนอน แต่หลังจากมองไปที่เตียงขนาดควีนไซส์ตรงหน้า เขาก็ไม่อาจละเลยอิริยาบทของจินไห่ที่ยังคงนอนในท่าเดิมก่อนที่เขาจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำได้ มันดูไม่น่าจะสบายเลย ต้นน้ำคาดว่าตอนตื่นนอนจินไห่จะต้องบ่นปวดคอแน่นอน เขาจึงตัดสินไปจัดท่านอนให้ใหม่
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 16 part 2) 11 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-04-2021 13:31:58
น้ำหนักผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งนั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนท่า ช่างแตกต่างกับเรือนร่างที่โอดองบอบบางของหญิงสาว แต่สัมผัสที่รู้สึกกลับตื่นเต้นน่าจับต้อง จนต้นน้ำต้องเผลอลูบไล้เบาๆไปที่ท่อนแขนส่วนที่พ้นชายแขนเสื้อออกมา รอยเส้นเลือดที่ปูดโปนให้เห็นบ้าง สร้างให้เกิดรอยสีเขียวจางเป็นสายไปตามความยาวของแขน ต้นน้ำไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่กลับยิ่งหลงไหลในผิวที่เกลี้ยงเกลาและใสจนมองเห็นเส้นเลือดตามแขนขนาดนี้

เสียงจังหวะลมหายใจของจินไห่ที่เปลี่ยนไปทำให้ต้นน้ำได้สติ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ ต้นน้ำเผลอคิดอย่างกังวล เขาจึงพยายามทำภารกิจให้สำเร็จ จะได้นอนและเลิกฟุ้งซ่านเสียที

ต้นน้ำหันไปใช้มือสอดรอบคอจินไห่อย่างเบามือ และจัดแจงเอาหมอนที่ซ้อนกันเกินความจำเป็นออก แล้วจึงค่อยผ่อนแรงให้ศรีษะของจินไห่วางลงบนหมอนอย่างนุ่มนวล

ในเมื่อท่าทางมันเป็นแบบนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะไม่มองหน้าอีกฝ่ายที่หลับอย่างสงบ สันจมูกและสันกรามทีได้รูปตรงหน้ามันช่างดึงดูดสายตาของเขาเสียเหลือเกิน วงตาที่เรียวสวยขนตาที่ยาวได้รูป  ตอนนี้เขามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่มองกี่ครั้งก็สมบูรณ์แบบไปหมด ทำไมเขาถึงเพิ่งรู้ตัวนะว่า นี่คือสิ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา จนเขาอยากวาดรูปเก่งๆ เหมือนคนในบันทึกจะได้เก็บรายละเอียดเหล่านี้ด้วยนิ้วมือตัวเอง

ในขณะที่ต้นน้ำกำลังเหม่อลอยกับวงหน้าในระยะประชิด จินไห่ที่นอนนิ่งมาตลอดก็เปลี่ยนอิริยยาบถอย่างไม่ทันตั้งตัว มือจินไห่คว้าร่างต้นน้ำที่สูงว่า 180 เซ็นติเมตรข้ามร่างตนเองไปกอดบนเตียง สร้างความตกใจกับต้นน้ำจนร้องเสียงหลง

“จดๆจ้องๆอยู่นานแล้วนะ รู้ไหมพี่อึดอัด จะทำอะไรก็ทำเสียทีสิ!!” เสียงของคนที่น่าจะหลับไปแล้วดังขึ้น

ต้นน้ำหันไปทำหน้าเหวอใส่คนที่ลืมตาโพรงและแจกรอยยิ้มที่มากเสน่ห์กลับมา

‘ดวงตาสดใสเกินไปแล้วนะ’ ต้นน้ำเผลอคิดในใจ

ไม่ทันที่ต้นน้ำจะเอ่ยสิ่งใด เขาก็โดนอีกฝ่ายที่ดึงเขาให้นอนขนานกับตัวเองบรรจงจูบลงบนริมฝีปากของต้นน้ำอย่างรุนแรง จนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน

“โอ้ย!!” ต้นน้ำร้องและผละออกเล็กน้อย

“ขอโทษนะ พี่ตื่นเต้นไปหน่อย ขอโทษนะ คือ ... พี่.. คิดว่ามันน่าจะเป็นเวลานี้แหละ กลัวมันจะเลยช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ไป ขอโทษที ลืมๆ ไปเหอะนะ!!” จินไห่ขอโทษขอโพยและพร้อมจะผละออกไป

แต่ต้นน้ำกลับคว้าแขนจินไห่ไว้ดัง หมับ!!

“เวลานี้แหละ เหมาะแล้ว พี่เนี่ยนึกว่าจะจูบเก่งกว่านี้อีกนะเนี่ย” ต้นน้ำพูดจบก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามามอบจุมพิตให้อย่างนุ่มนวล จินไห่ที่ค่อยๆ ลดอาการตกใจลงก็ได้ตอบสนองอย่างนุ่มนวลเช่นกัน

ต้นน้ำค่อยๆ ใช้มือกดหลังอีกฝ่ายให้ลงมาแนบชิดกับพื้นผิวส่วนหน้าของร่างกายของตนเอง จินไห่ที่รับรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายก็คล้อยตามอย่างที่ต้นน้ำแทบไม่ต้องใช้แรง

ริมฝีปากของทั้งสองบดเบียดกันอย่างเผ็ดร้อน จินไห่ที่มีประสบการณ์ต่ำเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้รู้สึกแปลกใจกับการเล้าโลมจากคนที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบครึ่งรอบ กระบวนลิ้นและริมฝีปากที่ดึงและดูด สัมผัสอันลึกล้ำรสสัมผัสมันช่างสุดยอดไปหมด เรื่องจูบเล้าโลมที่ผ่านมา ในชีวิตของเขากลายเป็นเรื่องจืดชืดไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ขณะ

ชีวิตที่ผ่านมาของจินไห่ เขามักที่จะไม่ใช่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน คนที่เคยมีความสัมพันธ์ระดับแฟนของเขา ก็มีเพียงคนเดียว คือ เสี่ยวหยู๋ แม้ความสัมพันธ์กับเธอนั้นมันจะสุดยอด แต่ความแปลกใหม่ตรงหน้าก็เป็นประสบการณ์อีกระดับหนึ่งของเขา จินไห่ยินยอมพร้อมใจที่จะรับประสบการณ์ใหม่เต็มที่

ร่างกายที่บดเสียดสีกันอยู่เบื้องล่างนั้น ต้นน้ำรู้ดีว่ามีสิ่งแปลกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเผชิญมา ท่อนลำที่แข็งนูนภายใต้ร่มผ้าทางด้านบนมันช่างให้ความรู้สึกอีกแแบบ เขากลับไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการมันอย่างไร เขาจะทำให้คนตรงหน้ามีความสุขกับเรื่องบนเตียงแบบนี้ได้อย่างไร

สิ่งที่แว่บเข้ามาในห้วอย่างแรกที่เป็นคำตอบคือ

‘เรื่องระหว่างผู้ชายน่ะมันง่ายจะตาย มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก มึงต้องการอะไรมึงก็ให้เขาแบบนั้นแหละ แต่มันมีอยู่เรื่องหนึ่งที่มึงต้องตัดสินใจ ก็เรื่องตอนจบนั่นแหละ!’

คำพูดยาวเหยียดที่ไอ้ไอซ์เพื่อนยาก พูดกรอกหูอยู่ทุกวันในบทเรียนการเตรียมตัวมีแฟนเป็นผู้ชาย ซึ่งตอนนั้นต้นน้ำก็แค่ฟังผ่านๆ และยังด่ากลับไอ้เพื่อนเวรนั้นที่ทำให้ขนลุกขนพองโดยไม่จำเป็น

แต่ตอนนี้ต้นน้ำเข้าใจแล้ว เวลาเรื่องบนเตียงที่ทำไปด้วยความรักนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันและอิ่มฟูในใจยิ่งกว่าการมีมันเพียงเพราะต้องการตอบสนองราคะของร่างกาย

ต้นน้ำแค่ข้องใจเรื่อง ‘ตอนจบ’ ที่เพื่อนเขาพูดถึงต่างหาก

ระหว่างที่ร่างทั้งสองบดเบียดแนบแน่นอยู่บนเตียง จินไห่รู้สึกว่าน้องชายเขามันตื่นเต็มตัวแล้ว ความรู้สึกของเขาตอนนี้พุ่งทะยานทะลุม่านเมฆไปแล้ว การเสียดสีภายใต้ร่มผ้ามันไม่เพียงพอเสียแล้ว

จินไห่จึงตัดสินใจใช้มือที่ขณะนี้ทำหน้าที่ลูบไล้นวดคลึงไปทั่วเนื้อผ้าที่แนบติดร่างกายดึงชายเสื้อขึ้นอย่างช้าๆ และเหมือนต้นน้ำจะรู้จังหวะ เขาขยับให้จินไห่ปลดเปลื้อเสื้อเขาออกอย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน ต้นน้ำเองก็จัดการดึงเสื้อของจินไห่ออกเช่นกันแต่ในความเร็วที่เหนือกว่ามาก ผิดกับจินไห่ที่ค่อยๆ ทำอย่างนิ่มนวล แต่กับต้นน้ำ เขาสามารถถอดเสื้อผ้าคนตรงหน้าออกอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ไม่นานร่างกายของทั้งสองก็เปล่าเปลือย

จินไห่พินิจโครงร่างตรงหน้าที่มีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา ทุกส่วนลีนกำลังดีได้สัดส่วน เทียบกับจินไห่เองแล้ว เขากลับดูผอมเก้งก้างไปเลย จินไห่ใช้มือลูบไล่ไปตามกล้ามเนื้อที่ตอนนี้อุ่นและมีเหงื่อซึมชื้นๆอยู่เล็กน้อย ความรู้สึกที่ตามมาคือความตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดออกมาจากหน้าอกของเขา

จินไห่ใช้มือไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ภายใต้การมองดูของคนทางด้านล่าง เขาก็เจอกับตัวปัญหาที่แข็งแรงชูชันซึ่งมีขนาดที่มากกกว่าเขาเล็กน้อย เขาใช่นิ้วมือที่เรียงยาวสัมผัสมันและค่อยๆ กำมันอย่างช้าๆ จินไห่ได้ยินเสียงของต้นน้ำหายในหอบกระชั้นขึ้น เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว

จินไห่ใช้มือกระชับให้แน่นขึ้นและเครื่องจักรระบายอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่บรรพกาลก็เริ่มทำงาน เสียงกัดฟันและลมร้อนที่ลอดออกจากปากของชายหนุ่มทางด้านล่างบอกกับเขาว่าเขามาถูกทางแล้ว แม้จะเป็นครั้งแรกแต่ก็มีผู้รู้สอนมาว่า

‘ให้ทำตามสัญชาตญาณของผู้ชายไปเลย ร่างกายผู้ชายมันก็เหมือนกันหมด คิดว่าทำแล้วมันรู้สึกดีก็ทำไป พออยู่บนเตียงจริงๆ เดี๋ยวน้องก็รู้ แต่.... มันอยูที่ตอนสำคัญมากกว่า เพิ่งเคยทำครั้งแรกก็คงต้องเลือกนะ เลือกว่าจะเป็นฝ่ายไหน?’

พี่นีโน่ผู้ไม่เคยอ้อมค้อมได้บอกไว้ ความจริงมันละเอียดกว่านี้เยอะแต่เขาแค่ไม่อยากจะนึกถึง เขาแค่ทำตามที่หัวใจของเขาพาไปเท่านั้นพอ

“พี่ไห่... พอก่อนครับ!!” ต้นน้ำยื่นมือมารั้งมืออีกฝ่ายที่กำลังทำงานเป็นเครื่องจักรอยู่

“พี่ทำเราเจ็บเหรอ หรือว่า ไม่โอเค...​งั้น....” จินไห่เลิ่กลักพูดติดขัดแต่ก่อนที่ต้นน้ำจะพูดอะไร จินไห่ก็ทำบางอย่างที่ต้นน้ำคิดไม่ถึง

จินไห่ก้มลงไปและใช้ปากครอบสิ่งนั้นไว้อย่างไม่ถนัด แม้ต้นน้ำพยายามจะห้ามเพราะเขารู้สึกอายและเกรงใจที่จินไห่ที่เป็นผู้ชายแล้วมาทำกับเขาแบบนี้ แต่เพียงครู่เดียว ความรู้สึกประดักประเด่อก็หมดไปเหลือไว้แต่เพียงความรู้สึกหฤหรรษที่ยากจะบรรยาย การกระทำของจินไห่เหมือนจะรู้ถึงจุดอ่อนไหวต่างๆ ของเขา มันทำให้ต้นน้ำอ่อนระทวยจนแทบคลั่ง

หลังจากทำท่วงทางจากรสริมฝีปากอยู่นาน ต้นน้ำจึงตัดสินใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาในใจ เขาใช้สองมือรวบศรีษะคนเบื้องล่างขึ้นมาบดบี้ริมฝีปากและแลกลิ้นอย่างไม่รังเกียจว่าเมื่อครู่ปากเนียนนุ่มนี้ได้ไปอยู่ตรงส่วนใดของเขา

โรมรันกันพักใหญ่ต้นน้ำจึงตัดสินใจพลิกตัวอีกฝ่ายลงและเลื่อนหน้าของเขาลงไปจัดการกับอวัยวะสำคัญเบื้องล่างของจินไห่เช่นกัน จินไห่ยินยอมแต่โดยดีแม้แรกๆ จะขัดขืนเพราะความขวยเขินอยู่บ้าง

จินไห่ร้องครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แม้สิ่งนี้จะเป็นครั้งแรกของต้นน้ำแต่เขาทำได้ดีจนจิตใจของจินไห่อยากจะกรีดร้องออกมาเพราะความสุขที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาทำได้แค่กัดผ้าห่มและทำเสียงแปลกๆ ออกมาเท่านั้น

“พี่ไห่..... ผม ...... ผม.......” ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นและมองตาจินไห่ด้วยแรงปรารถนาอันท่วมท้น หลังจากปรนเปรอด้วยปากให้คนตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ

จินไห่พยักหน้าอย่างรู้ใจ เขารู้ว่าสุดท้ายอาจจะเป็นเขาที่เป็นฝ่ายยอม เพราะเขารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขได้เขาก็ทำ

ต้นน้ำไม่รอช้าจัดจินไห่พลิกคว่ำทันที เขาเดินไปหยิบกล่องยาตามที่จินไห่บอกหลังจากที่โดยจับพลิก ต้นน้ำเปิดดูด้านล่างสุดเขาพบถุงซิปที่ใส่อุปกรณ์สำหรับเรื่องนี้ครบชุด แม้จะประหลาดใจตั้งแต่เห็นครั้งแรกเมื่อวันที่เขาศรีษะแตก แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์สงสัยหรือถามไถ่

ต้นน้ำรีบใช้อุปกรณ์ที่เป็นเจลเย็นใสลงบนเป้าหมายทันที

จินไห่มีอาการสะดุ้งตกใจเล็กน้อย จินไห่มีอาการสั่นจนเห็นได้ชัดอาจเพราะอาการกลัวจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง เพราะจินไห่เองก็ไม่เคยเช่นกัน เขาศึกษามาพอสมควรหลังจากรู้ใจตัวเองว่าชอบชายหนุ่มคนนี้มากกว่าน้องคนรู้จัก เขารู้มาว่ามันเจ็บมาก จากการศึกษาผ่านตัวหนังสือ, สื่อภาพเคลื่อนไหว และคำบอกเล่าจากนีโน่ที่พยายามเสนอตัวเป็นครูให้ลองเป็นฝ่ายตั้งรับดู

ส่วนต้นน้ำที่มีทฤษฎีแน่นหัวเพราะเพื่อนสนิทผู้โชกโชนได้สอนสั่งอัดความรู้เชิงปฏิบัติการให้เต็มจนล้น ทั้งที่เขาไม่พยายามจะตั้งใจฟังเลย แต่มือและร่างกายของเขาก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ

หลังจากที่ชโลมเจลใสไร้กลิ่นลงไปที่เป้าหมายแล้ว ต้นน้ำพยายามพานิ้วมือของเขาลงไปตามช่องแคบ เขาลูบไล้มันอยู่นานจนได้ยินเสียงพึงใจดังจากในลำคอของผู้นอนอยู่เบื้องล่าง

จินไห่ที่คลายอาการตกใจจากประสบการณ์ที่มีสัมผัสจากมือที่ไม่ใช่ของตนลูบไล้ส่วนสำคัญที่ด่านล่าง ที่ซึ่งเขาทำความสะอาดอย่างดีทุกวันนับตั้งแต่มาค้างแรมที่นี่ ที่เขาคิดวางแผนกับนีโน่ในการสร้างบรรยากาศให้ตนเองแน่ใจและกล้าพอที่จะสารภาพความในใจ จินไห่เริ่มรู้สึกดีกับการโดนสัมผัสอย่างเชี่ยวชาญ มันวาบวามหัวใจและรู้สึกดีภายในเวลาเดียว ในขณะที่ทุกอย่างกำลังเหมือนอยู่ในฝัน เขาต้องสะดุ้งตกใจเพราะมีสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาที่ช่องน้อยๆ ของเขา

ต้นน้ำไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกตื่นเต้นกับการใช้มือเล้าโลมบั้นท้ายใครขนาดนี้ เขาไม่รู้สึกรังเกียจ มีความใคร่รู้ว่ามันจะรู้สึกยังไงหากเขาได้เสพสมกับคนที่เขารู้สึกเต็มตื้นตรงหน้า เขาตัดสินใจทำขั้นตอนถัดไปทันที เขาใช้นิ้วชี้ค่อนๆ ชอนลึกเข้าไปเรื่อยๆ ช้าๆ จนคนตรงหน้าเขาสะดุ้งเกร็งและตกใจ ต้นน้ำมองไปที่คนเบื้องหน้าเป็นเชิงถามว่า ‘ไหวไหม?’ อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าเป็นการอนุญาตให้ไปต่อได้ด้วสีหน้าแสดงความเจ็บปวด

เมื่อเห็นดังนั้นต้นน้ำจึงได้ใจ เขาจึงเพิ่มนิ้วเข้าไปอีกสองนิ้ว จินไห่เผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ต้นน้ำรับดึงมือออกทันที

“ผมว่าเราพอแค่นี้เถอะ พวกเรายังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้จริงๆ” ต้นน้ำขยับขึ้นไปโอบกอดอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร พี่ยังไหว...” จินไห่มีเสียงหอบถี่

“แต่ว่า....” ต้นน้ำพยายามจะพูดโน้มน้าวโดยการมองไปที่หน้าจินไห่ให้เข้าใจว่าเขาโอเคที่จะหยุดแต่เพียงเท่านี้ แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้ต้นน้ำตัดสินใจทำต่อ

“ได้ครับ...ผมจะพยายามอ่อนโยนนะครับ” ต้นน้ำตอบรับคนที่ทำหน้ากล้าๆ กลัวๆ ตรงหน้า แต่มือของจินไห่กลับกำแน่นที่ต้นแขนของต้นน้ำจนแดงกล่ำไปเป็นแถบ

ต้นน้ำหยิบซองถุงยางฉีกออกโดยใช้ปากดึงตรงรอยแยกอย่างชำนาญ จินไห่ที่เห็นทุกท่วงท่าตรงหน้าก็ยิ่งทำให้ใจสั่นระรัวเป็นกลองศึก เขายอมรับว่าภาพที่เห็นทำให้อารมณ์ยิ่งพุ่งสูงไปอีก แต่ในใจลึกๆ ก็กลัวสิ่งที่จะตามมาเป็นครั้งแรกอย่างมาก

จินไห่เตรียมใจมาอย่างดีแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งไหน เขาก็พร้อมเต็มใจเพราะว่าเขารักคนๆ นี้มากเหลือเกิน มันมากจนไม่มีเหตุผลเลยเสียด้วยซ้ำ

ต้นน้ำจัดท่าน้องขายของเขาหลังจากสวมปลอกสีขุ่น พื้นผิวส่วนยอดของน้องชายต้นน้ำจรดจ่ออยู่ที่ปากทางที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยของเหลวลื่นหนืด เขามองหน้าที่แดงกล่ำดุจผลแอปเปิ้ลสุกตรงหน้า แล้วจึงค่อยๆดันตัวเองไปด้านหน้าช้าๆ ให้ร่างกายส่วนนั้นค่อยๆ สัมผัสผิวที่บีบแน่นตึงจนเขาต้องร้องออกมา

ความทรมานที่โดนสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาทีละน้อยๆ พร้อมกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน จินไห่ถึงกับพยายามขยับร่างถอยออกจากส่วนทิ่มแทงเข้ามา แต่ไม่สำเร็จเพราะโดนมือหยาบใหญ่ของอีกฝ่ายตรึงไว้ จินไห่ทำได้เพียงใช้มือแต่ละข้างขยำหมอนและผ้าปูที่นอนจนยับยู่

ต้นน้ำกำลังผ่านขั้นตอนที่ยากที่สุด คือในช่วงการถลำเข้าไปถึงช่วงกลาง มันคับแน่นและขยับตัวเข้าได้ยาก ยิ่งได้เห็นคนเป็นพี่เกร็งบิดด้วยความเจ็บปวดตรงหน้า ต้นน้ำยิ่งรู้สึกทำใจเดินหน้าต่อได้ยาก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องเกรงใจคนตรงหน้ามากขนาดที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

แต่ด้วยอาการบีบรัดของส่วนนั้น ยิ่งอยู่นานยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งทยานจนไม่สามารถ ถอนตัวได้ แม้จะยอมรับว่าเกรงใจคนด้านล่างและไม่อยากจะทำร้ายคนๆนี้ไปมากกว่านี้ แต่ในอีกใจหนึ่งซึ่งตอนนี้ทรงพลังกว่ามาก กำลังโน้มน้าวให้เขาทำมากกว่านี้ ต้องการมากกว่านี้ และในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ให้กับความต้องการของตนเอง เขาดันตัวเองไปจนสุดทางอย่างรวดเร็ว

จินไห่อุดริมฝีกปากแทบไม่ทัน เขาร้องอู้อี้อยู่ในลำคนและสั่นไปหมดทั่วทั้งร่าง

ต้นน้ำแม้จะเห็นแบบนั้นแต่เขาหยุดตัวเองไม่อยู่แล้ว เขามองภาพตรงหน้าด้วยความวาบวาม ความเจ็บปวดของคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขารู้สึกว่าจินไห่ดูยั่วยวนเพียงใด เขาจึงมอบความรักให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่หยุดหย่อน ต้นน้ำไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเลย เขารับรู้แต่ว่าเขามีความสุขแค่ไหน จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงมืออันเย็นเยียบมาเกาะบริเวณเอวแกร่งของเขา เขาถึงได้รับรู้ว่าความรู้สึกของเขา ในที่สุดก็ส่งถึงอีกฝ่ายจนได้ เพราะรอยยิ้มและใบหน้าดูมีความสุขได้ส่งมาให้เขาอย่างต่อเนื่อง

ต้นน้ำกระหน่ำเพลงรักอีกหลายกระบวนท่าจนกระทั่งทั้งสองหมดแรงไป คืนนี้เป็นคืนที่อบอุ่นที่สุดของจินไห่ เพราะเขาไม่ได้นอนคนเดียวแล้ว และยังมีคนนอนกอดให้อุ่นตลอดทั้งคืน


.....................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 16 part 2) 11 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-04-2021 17:02:23
 :pig4: :pig4: :pig4:

กะแล้วเชียว  กลิ่นมันบอกมาเป็นนัยหลายตอนแล้วว่า  ตอนจบนั้น จินไห่ต้องเสียเอกราช
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทนำ - บทที่1 - 16 part 2) 11 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-04-2021 16:07:29
ลืมบอกไปว่าตอนนี้ 18+ น่าจะไม่ทัน... :-[  :jul1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 17 part 1) 20 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-04-2021 15:15:47
บทที่ 17

Changes


ต้นน้ำมองคนที่หลับอยู่ตรงเบาะหน้าข้างคนขับ ขณะขับรถเดินทางกลับบ้าน จินไห่ที่ดูอ่อนเพลียและมีไข้อ่อนๆ ตลอดช่วงเช้าคงหมดแรงที่ฝืนทนอาการเหล่านี้ได้อีกต่อไป หากไม่เพราะต้นน้ำอาสาเป็นคนขับรถกลับเองอย่างแข็งขัน ผู้ใหญ่ที่หลับเป็นเด็กห้าขวนคนนี้คงจะฝืนตัวเองอาสาขับรถกลับบ้านเป็นแน่

ต้นน้ำยื่นมือใหญ่ไปลูบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มด้านหน้าที่ตกลงมาปิดหน้าผากของจินไห่และลูบเสยไปทางด้านหลังอย่างเอ็นดู

‘ทำไมคนๆ นี้ถึงได้มีเสน่ห์กับเขาขนาดนี่นะ ไม่เคยนึกเลยว่าผู้ชายมันจะน่ารักขนาดนี้’ ต้นน้ำคิดขณะที่มือสัมกับเส้นผมสีอ่อนและนุ่นสลวย แม้ดวงตาจะมองถนนอย่างมั่นเหมาะเพราะไม่ชำนาญเส้นทาง แต่ใจเขาก็ยังมีความสุขอย่างอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ คล้ายเหมือนมีฝูงภมรีมาบินวูบไหวอยู่กลางลำตัวตลอดเวลา จนต้องเผลอนั่งยิ้มอยู่คนเดียว

“เป็นเอามากนะมึงเนี่ย!!” เสียงกวนๆ จากเบาะหลังดังขึ้น

ไอ้ไอซ์ที่ถูกอัปเปหิจากรถของพี่กวีเพราะแฟนของพี่กวีนั้นยืนยันหนักแน่นว่าจะขอขับกลับกันสองคนเท่านั้น โดยอ้างว่าตั้งแต่ฝึกงานก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเสียที กวีก็เลยต้องขอร้องให้ต้นน้ำพาไอ้เพื่อนปากเสียคนนี้มาด้วย

“หุบปากแล้วนอนซะ หรือมึงอยากแดกตีนกูก่อนนอน!!” ต้นน้ำโต้กลับทันควัน พร้อมยกมือกลับไปที่พวงมาลัยที่เดิมด้วยความตกใจ

“กูไม่ได้โง่นะ กูว่าคนอื่นๆ ในทริปนี้ก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ที่จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมึงสองคน!” ไอซ์ที่กำลังจะเคลิ้มหลับแต่ดันเห็นภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากทางเบาะด้านหน้า ต่อมเผือกก็เลยร้อนรนจนเก็บไม่อยู่

“พูดเชี้ยอะไรของมึง!” ต้นน้ำบ่ายเบี่ยง เขาคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ เลยตกลงกับจินไห่ว่าจะเก็บเป็นความลับไปก่อน ซึ่งจินไห่ก็เข้าใจและเห็นด้วย

“เมื่อเช้าพวกมึงมีอาการอ่อนเพลียแบบสุด แล้วพวกมึงก็มองตากันหวานเยิ้มมีความสุข พี่จินไห่อ่อนเพลียและเหมือนไม่สบาย เดินเหินก็ไม่กระฉับกระเฉง อีกอย่างที่ชัดสุดๆ คือ พวกมึงเสียงดังกันเกือบทั้งคืน มึงไม่รู้ใช่ไหมว่า ห้อง! มัน! ไม่! เก็บ! เสียง!” ไอซ์พูดไปอมยิ้มเจ้าเล่ห์ไป

ต้นน้ำได้แต่นิ่ง พูดไม่ออก เขาลืมไปว่าเพื่อนคนนี้ฉลาดขนาดไหน? และที่สำคัญประสบการณ์โชกโชนกว่าเขามาก การนิ่งเงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด

“โอเค! มึงไม่ต้องเล่าก็ได้ แค่พยักหน้าตอบคำถามกูก็พอ!!” ไอซ์ยื่นหน้ามาที่เบาะหน้าเล็กน้อย

ต้นน้ำพยักหน้าด้วยอาการจำยอม การปฏิเสธเพื่อนที่ช่วยเขาเยอะขนาดนี้ออกจะแล้งน้ำใจไปหน่อย อีกอย่างพวกเขาไม่เคยมีความลับต่อกันเลย

“พวกมึง....ป๊าบๆๆ กันแล้วใช่ไหม?” ไอซ์ถามไปทำมือทำไม้ไปด้วย

ต้นน้ำคิดอยู่พักใหญ่จึงพยักหน้า

“กูเดาว่า... พี่เขารับให้มึงใช่ไหม?” ไอซ์ฉีกยิ้มกว้างไปอีก

ต้นน้ำรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่จะตอบ แม้เขาจะเจ้าชู้ยังไง ก็ไม่เคยเล่าเรื่องบนเตียงให้ใครฟัง

“เดาจากอาการของมึงก็ได้คำตอบแล้ว! แล้วเมื่อวานจัดไปกี่ครั้ง?” ไอซ์ถามต่ออย่างไม่ลดละ

“เชี้ย! มันจะเกินไปหน่อยป่ะ พี่เขาก็ยังนั่งอยู่นี่นะ” ต้นน้ำเริ่มไม่สบายใจเลยโต้ตอบกลับไป ด้วยเสียงกระซิบเพราะกลัวคนที่นั่งหลับอยู่เบาะด้านหน้าจะตื่น

“กูรู้! และกูก็รู้ว่ามึงไม่ตอบหรอก กูก็แค่ยั่วมึงเฉยๆ สนุกดี” ไอซ์หัวเราะคิกคักมีความสุข

“สัด!! กลับไปนอนเลยมึง! กูจะขับรถ!!” ต้นน้ำสบถใส่เพื่อน

“โอเคๆ กูถามดีๆ แล้ว.... ตอนนี้ความรู้สึกมึงเป็นไงบ้าง?” ไอซ์เปลี่ยนโหมดกระทันหัน

“เชี้ย.... กู... ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย ขนาดพี่เขาเป็นผู้ชาย กูยังไม่รู้สึกรังเกียจอะไรพี่เขาเลย กูไม่เคยรู้สึกอยากกอดใครมากขนาดนี้มาก่อน แม่ง!! มัน.... อบอุ่นว่ะ  พี่เขา... น่ารักไปทุกส่วนเลย ไม่ว่าจะท่าทาง เสียงร้อง เขาเป็นส่วนเติมเต็มที่กูไม่เคยอิ่มเลยว่ะ” ต้นน้ำพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาจนหมด มันอัดอั้นในใจมาตั้งแต่เมื่อคืน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอเพื่อนถามเขาเลยเอามันออกจากอกทั้งหมด

ไอซ์นั่งทำหน้าทึ่งและอึ้งกับคำตอบและนิ่งไปหลายวินาที

“เชี้ย....มึง.... คลั่งรักโคตรๆ” ไอซ์พูดทำลายบรรยากาศที่เงียบ

“รัก.....?” ต้นน้ำเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“เออ!...กูเข้าใจ ที่ผ่านมามึงมีคู่ก็แค่สนองเซ็กส์กับหน้าตาชื่อเสียง มันก็แน่อยู่แล้วที่มึงจะรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก” ไอซ์ตบบ่าเพื่อนเบาๆ

“........” ต้นน้ำไม่คิดว่ารักแรกที่เกิดกับเขา มันดันเกิดขึ้นกับผู้ชาย เขาที่อยากจะรู้มาตลอดว่าความรักมันเป็นเช่นไร กลับมาพบเจอในที่ๆ คาดไม่ถึงแบบนี้

“ได้มาแล้วก็ว่ายาก แต่รักษาให้คงอยู่น่ะยากกว่านะมึง” ไอซ์พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนต้นน้ำถึงกับทำหน้าประหลาดใจ

“เชี้ย! กูไม่ได้มีแต่มุมเล่นๆ เสมอไปนะมึง! มึงก็เอาคำพูดกูไปคิดก็แล้วกัน ว่าสิ่งที่กูพูดน่ะโคตรจริง! กูง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ พ่อพลขับ” ไอซ์พูดจบก็เอนกายไปที่พนักพิงด้านหลังและหลับตาลงทันที

“นี่มึงไม่คิดจะมาผลัดกันขับบ้างหรือไง?” ต้นน้ำส่งเสียงไปที่เบาะหลังแต่สิ่งที่ตอบกลับมามีแต่เพียงความเงียบและเสียงลมหายใจแผ่วเบา

“สัด! มึงจะเก่งไปแล้ว” ต้นน้ำบ่นเพื่อนงึมงำ

ระหว่างขับรถเดินทางกลับบ้านข้ามจังหวัด เขาแอบมองคนที่นอนหลับอยู่ด้านข้างด้วยสายแห่งความห่วงใย เขาแอบมองบ่อยจนตนเองแปลกใจ และทุกครั้งที่มอง หัวใจเขากลับพองโต และตื่นเต้นกับทุกครั้งที่อีกฝ่ายส่งเสียงลมหายผ่านช่องปากเป็นเสียงลมหวีด

“ทำไม... น่ารักอย่างนี้วะ” เขาบ่นงึมงำแบบนี้ไปตลอดทาง และวางแผนว่ากลับไปเขาจัดการคนตรงนี้ยังไงดี และสักอีกกี่รอบดี


.........................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 17 part 1) 20 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-04-2021 14:17:33
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 17 part 2) 27 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-04-2021 16:59:54

‘ไม่ได้!! มึง อย่าเพิ่งเสี้ยนให้มันมากนัก ให้พี่เขาพักเครื่องก่อนมึง ครั้งแรกนะ!! สัด!!’ เสียงเพื่อนของต้นน้ำดังสะท้อนอยู่ในหัว เมื่อครั้งที่เขาเดินไปขอถุงยางอนามัยเพื่อนไอซ์ที่มักพกติดตัวเสมอ แต่กลับโดนปฏิเสธอย่างมีเหตุผลที่ทำให้เขายอมจำนน เพียงเพราะเป็นห่วงคนที่เขาเพิ่งยอมรับที่จะสานความสัมพันธ์ด้วย

“เป็นอะไรคอตกเชียว” จินไห่ถามไถ่ต้นน้ำด้วยอาการซีดเซียว

“ไม่มีอะไรครับ” ต้นน้ำยิ้มหวานใส่คนถามและรีบเดินไปแย่งสัมภาระออกจากมือคนพี่

“ไม่จริงน่ะ! ไปคุยอะไรกับไอซ์มาทำไมซึมๆ” ตั้งแต่ต้นน้ำขับรถไปส่งไอซ์ถึงที่บ้าน ต้นน้ำขอตัวลงไปคุยกับไอซ์เพียงครู่เดียวก็เดินคอตกกลับมาและก็ดูไม่สดชื่นจนถึงตัวบ้านของจินไห่

“คงเหนื่อยมั้งพี่ ขับรถมาเกือบทั้งวัน” ต้นน้ำตอบพร้อมขยับคอไปมาจนได้ยินเสียงกล้ามเนื้อตึงตีกันลั่นดังชัดเจน

จินไห่มองไปที่ท้องฟ้าที่มีความมืดคืบคลานจนเกือบมิดขอบฟ้าก็พยักหน้าเป็นการเข้าใจ

“หิวไหม? เดี๋ยวพี่โทรศัพท์บอกที่ร้านให้เอาอาหารมาส่ง” จินไห่แม้มีอาการอ่อนเพลียแต่ก็ยังมีความห่วงใยแฟนเด็กของตน

“ไม่หิวข้าว แต่หิวอย่างอื่น” ต้นน้ำบ่นอุบอิบ

“อะไรนะ?” จินไห่ถามทวนต้นน้ำเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองได้ยินอะไร

“ไม่มีอะไรครับ งั้นสั่งให้มาส่งแล้ววางไว้ที่โต๊ะอาหารก่อนก็ได้ครับ ขอไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ” ต้นน้ำพูดจบก็เดินนำหน้าขึ้นห้องไป ส่วนจินไห่ก็ต่อสายถึงผู้จัดการร้านให้ช่วยจัดเตรียมมื้อค่ำให้

จินไห่ที่มีอาการไข้ต่ำๆ เริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่สบายกายเท่าไหร่ เขาไม่ชอบอาการเจ็บปวดหลังเสร็จกิจนี้เลย เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นแบบนี้จะต้องทนรับอาการอะไรแบบนี้ทุกคนหรือทุกครั้งหรือเปล่า? มันน่าอายนิดหน่อยที่จะบอกอาการของตนให้กับคนอื่นฟัง โดยเฉพาะต้นน้ำ จินไห่ไม่อยากให้ต้นน้ำรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้

จินไห่พยายามฝืนมาตลอด เขายอมรับว่าเมื่อคืนมันเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษที่เขาทั้งสองคนได้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่แค่ไม่คิดว่าเรื่องราวหลังจากนั้นมันจะทรมานข้ามวันแบบนี้

จินไห่ลากสังขารวัยเกือบสามสิบขึ้นไปที่ห้องด้วยสภาพหมดแรงและเจ็บแปลบที่โคนขา หลังจากที่ผลักประตูห้องเข้าไป เขาก็ต้องตกใจที่เจอหนุ่มน้อยที่เขารักยืนรอกอดอกด้วยนุ่งผ้าเช็ดตัวเล็กๆ ผืนเดียว

“เฮ้ย!! อะไรน่ะ” จินไห่หัวใจเต้นตุบตับ

“จะตกใจอะไรวะพี่ เราสองคนยิ่งกว่าเห็นอะไรๆกันแล้วเสียอีก!” ต้นน้ำตอบด้วยรอยยิ้มขบขันอาการผู้ใหญ่ตรงหน้า

“มีอะไร? ทำไมไม่ไปอาบน้ำอีก!!” จินไห่เริ่มลนลาน

“รอพี่!!” ต้นน้ำตอบเสียงดังฟังชัด

“หา!!!” จินไห่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกขาสั่นขึ้นมา

“คิดอะไรของพี่เนี่ย! มานี่” ต้นน้ำเดินมาโอบอีกฝ่าย จัดแจงปลดเปลื้องเสื้อผ้าของจินไห่จนล่อนจ้อน ด้วยอาการอ่อนเพลียจินไห่ทำได้เพียงโวยวายแต่ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ขัดขืน

หลังจากนั้นต้นน้ำก็ผลักไหล่ให้จินไห่เอนลงนอนบนเตียงอย่างช้าๆ ในใจของจินไห่ร่ำร้องปฏิเสธดังลั่นแต่ริมฝีปากกลับไม่ได้ขยับและไม่เปล่งเสียงออกมา หัวใจสั่นระรัวเป็นกลองศึก แต่ก็ขัดขืนอีกฝ่ายไม่ได้

“อ้าขากว้างๆ” ต้นน้ำพูดอย่างอ่อนโยน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยว ยังไม่ทันไรก็จะเริ่มเลยเหรอ พี่ยังเจ็บไม่หายเลยนะ!!” ในที่สุดจินไห่ก็เหลืออดพูดออกมาดังลั่น

“นี่ไง! เจ็บก็ไม่พูดไม่บอก เนี่ย! ผมจะดูอาการให้ พี่กวีเขาแนะนำมาก่อนกลับ แล้วก็ให้ยาทามาด้วยนะ จะได้ไม่ติดเชื้อ ส่วนนี่ยากินอย่าลืมกินก่อนนอน!!” ต้นน้ำหยิบยาหลอดเล็กๆสีขาว และยาเม็ดที่อยู่ในถุงซิบสีน้ำตาลเข้มขึ้นแสดงให้อีกฝ่ายเห็น

ตอนนี้ต้นน้ำนั่งอยู่ระหว่างขาจินไห่ในสภาพเปล่าเปลือย ยิ่งพอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ยิ่งทำให้เขาอยากแทรกแผ่นดินหนีเพราะความอาย

“เดี๋ยวสิ! จะไปไหน ขอดูก่อน!!” ต้นน้ำใช้มือจับขาทั้งสองข้างขณะที่จินไห่ทำท่าจะหนีจากตัวเอง สุดท้ายจินไห่ก็ยอมนอนเฉยๆ ให้ต้นน้ำตรวจช่องน้อยที่เบื้องล่างของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์

“พอหรือยัง!?!” จินไห่ขึ้นเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายลูบคลำพินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่

“พี่นี่โคตรเซ็กซี่เลย เกือบอดใจไม่อยู่” ต้นน้ำยิ้มยิงฟันเห็นฟันขาวเรียงตัวสวยชัดเจน

“ต้นน้ำ!!”  แม้จินไห่จะแอบเคลิ้มกับภาพตรงหน้า แต่ก็อดที่จะอารมณ์เสียกับความไม่รู้กาละเทศะของเด็กหนุ่ม

“เอาน่าๆ อย่าโกรธสิ โชคดีนะที่ไม่ถึงขั้นเป็นแผลร้ายแรง แต่โชคร้ายสำหรับผมนะเนี่ย แล้วเมื่อไหร่จะใช้ได้อีกเนี่ย?” ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าทะเล้น

“ไอ้เด็กทะลึ่ง!!”  จินไห่ด่ากลับด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ

“ไปอาบน้ำกัน ทำความสะอาดเสร็จแล้วผมจะทำแผลให้” ต้นน้ำพูดจบ จินไห่ก็เดินไปห้องน้ำอย่างว่าง่าย ไร้คำพูด

...........


ต้นน้ำช่วยจินไห่อาบน้ำทำความสะอาดอย่างหมดจดด้วยความอ่อนโยน เขาแทบจะใช้ใยขัดผสมฟองสบู่ถูไถลูบไล้ไปจนทุกมุมทุกส่วนของจินไห่ โดนเฉพาะส่วนบาดเจ็บบอบช้ำทางด้านหลัง

จินไห่พยายามโวยวายเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายทำให้เพราะไม่ชิน แต่ก็โดนเด็กหนุ่มเซ้าซี้ ออดอ้อนจนต้องยอมแต่โดยดี

จบการอาบน้ำก็เป็นช่วงที่น่าอายที่สุดของจินไห่ที่ต้องนอนเปลือยให้อีกฝ่ายทายาให้ แต่ต้นน้ำก็ทำได้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนจนจินไห่รู้สึกอบอุ่นจนแทบจะหายได้ในทันที

“หิวไหมครับ?” ต้นน้ำถามจินไห่หลังจากที่ทั้งสองใส่ชุดนอนเรียบร้อย

“ไม่อยากกินอะไร เพลีย.....” จินไห่มีท่าทางอิดโรยแสดงออกมาชัดเจนยิ่งกว่าคำพูด เหมือนแบตเตอรี่ขีดสุดท้ายที่พยายามเค้นออกมาในช่วงหัวค่ำได้หมดลงแล้ว

“ไม่ได้นะครับ ไม่กินก็ไม่แข็งแรงนะครับ ต้องกินยาหลังอาหารอีก แล้วอาหารที่สั่งมามีอะไรบ้างครับ?” ต้นน้ำสวนกลับทันทีแต่จินไห่กลับมีท่าทีไม่ได้สนใจ เขาตัดสินใจปีนขึ้นเตียงไปนอนอย่างเชื่องช้าดูไปก็คล้ายตัวสลอธน่ารักน่าเอ็นดู

“ก็พวกของโปรดต้นน้ำน่ะแหละ” จินไห่นอนแผ่อย่างหมดแรง

“เฮ้อ.... ของพวกนั้นพี่กินได้ที่ไหนล่ะครับ นี่! แปลว่าตั้งใจจะไม่กินตั้งแต่แรกใช่ไหม?!” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจกับอาการทำตัวเป็นเด็กดื้อของอีกฝ่าย

“ต้นน้ำไปกินก่อนเถอะนะ พี่ขอนอนก่อน...” ตาจินไห่ปรือจนแทบจะหลับ

“เฮ้อออออ.....” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจอีกยาวพร้อมส่ายหน้า เขาตัดสินใจเดินไปนอนบนเตียงข้างๆ จินไห่

“เฮ้ย.!!! ขึ้นมาทำอะไร!?!” จินไห่ตกใจลืมตาโพลง

“มาจัดการเด็กดื้อ!!” ต้นน้ำพูดจบก็ดึงอีกฝ่ายเข้าโอบกอดในอ้อมอก ให้อีกฝ่ายได้นอนหนุนอกแน่นของเขาต่างหมอน

“เด็ก!?!” จินไห่อุทาน

“เอาน่า... ขอกอดให้พลังหน่อย แล้วเราลงไปกินข้าวด้วยกันนะ” เสียงอันอบอุ่นจากต้นน้ำทำให้จินไห่สงบลง และหนุนนอนบนอกอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย จินไห่ได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นระรัว แต่เป็นจังหวะที่น่าฟัง

“อืม...” จินไห่ตอบตกลงในลำคอแล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างอ่อนเพลียภายในอ้อมกอดอันอบอุ่นที่เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานหลายปีแล้ว

.....................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 17 part 2) 27 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-04-2021 18:42:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 17 part 2) 27 เม.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-05-2021 00:09:07
มาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 18 part 1) 05 พ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-05-2021 06:14:09
บทที่  18

A whole new world



ลำแสงแดดยามเช้าแทงทะลุม่านหนังตาที่ปิดสนิทของต้นน้ำ อุณหภูมิในห้องร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพบว่าจินไห่ยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของตน

ต้นน้ำยิ้มอย่างพอใจ และใช้มือลูบสางผมสีอ่อนยามต้องแสงที่แสนอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม

ต้นน้ำคิดย้อนกลับไปเมื่อคืนวาน ซึ่งเขาพยายามบังคับให้เด็กในร่างผู้ใหญ่ลงกินข้าวกินยาก่อนนอน เขารู้ว่าเด็กน่าจะหลอกง่ายกว่ามาก เพราะผู้ใหญ่ที่ดื้อรั้นและเป็นตัวของตัวเองสูงแบบนี้ กว่าจะยอมทำตามที่เขาแนะนำก็ใช้เวลามากจนแทบจะหมดความอยากอาหาร

เมื่อคืนจินไห่ยังมีไข้ขึ้นสูงอยู่ เขาจึงต้องดูแลผู้ใหญ่คนนี้จนแทบไม่ได้นอน และความงอแงที่จะให้เขานอนกอดถึงได้ตื่นมาในสภาพนี้ซึ่งต้นน้ำก็มองว่าน่ารักดี

ต้นน้ำพยายามแกะมือไม้อีกฝ่ายที่พันรอบตัวเขาอย่างกับปลาหมึก เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาร้อนจนเหงื่อแตกไปหมด แต่ที่ทำเพราะเขาปวดปัสสาวะมาก ผู้ชายทุกคนก็คงเข้าใจว่าเช้าๆแบบนี้ มันเป็นอย่างไร กางเกงมันตึงแน่นไปหมด

หลังจากที่แกะมือไปได้เพียงหนึ่ง เด็กในร่างผู้ใหญ่คนนี้ก็ตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย

จินไห่มองไปที่คนที่เขานอนกอดอยู่อย่างสงสัย และด้วยความที่ตำแหน่งท่าที่กอดนั่น จินไห่จะอยู่ต่ำกว่าต้นน้ำระดับหนึ่ง ทำให้เขามองเห็นการยืนตรงเคารพธงชาติยามสายของน้องชายต้นน้ำอย่างชัดเจน จนต้องขมวดคิ้ว

“เอ่อ.... ปวดฉี่น่ะครับ” ต้นน้ำยิ้มแห้งๆ

“อืม......” จินไห่พยักหน้าและลงไปนอนต่อที่เดิมพร้อมใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาสัมผัสรอบส่วนที่โก่งนูนออกมา

“เฮ้ย! พี่! ผม! ปวด.......โอยยยย”  ต้นน้ำแม้จะปวดฉี่และพยายามจะขัดขืนแต่พอโดนอีกฝ่ายลูบไล้ขึ้นลง ต้นน้ำก็แทบหมดแรง อารมณ์ที่กักเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแทบจะระเบิดออกมาทันที (เป็นสาเหตุหนึ่งที่เขานอนแทบไม่หลับตลอดทั้งคืน)

“ไม่สบายอยู่นะพี่!!” ต้นน้ำจับมือและจับศรีษะจินไห่เพื่อให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำดังกล่าว ต้นน้ำพบว่าอีกฝ่ายไข้ลดแล้ว

“พี่จะให้รางวัลคนน่ารักไม่ได้เลยหรือ?” จินไห่ยิ้มหวาน

“ม่ายยยย ด้ายยยยย”  ต้นน้ำพูดยานคางอย่างบังคับใจตนเอง เขาดันอีกฝ่ายให้นอนลงแล้วรีบลุกหนีเข้าห้องน้ำทันที

หลังจากเข้าห้องน้ำได้เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์อย่างมากเพราะในหัวตอนนี้ของเขามันมีแต่ภาพเย้ายวนของคนบนเตียงลอยวนเวียนอยู่เต็มไปหมดจนแทบไม่สามารถปัสสาวะได้ ต้นน้ำยืนอยู่หน้าโถส้วมอยู่นานพอควรจึงจะเสร็จสิ้นภาระกิจ

ต้นน้ำเดินออกจากห้องน้ำก็เห็นจินไห่ห่มผ้าคลุมถึงศรีษะอยู่บนเตียงนิ่ง เขารับรู้ได้ทันทีว่าคงโดนอีกฝ่ายงอนเข้าให้แล้ว ต้นน้ำไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ของเขาจะมาขั้นนี้ได้ แต่เขาก็อดที่จะยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้าหน้า ตอนนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาก็รู้สึกว่าน่ารักไปหมดนั่นแหละ

หลังจากเดินวนดูรอบเตียงอยู่นาน ต้นน้ำจึงตัดสินใจโยนตัวเองขึ้นเตียงเพื่อกอดปลอบใจอีกฝ่าย และจินไห่กลับนิ่งเฉย ต้นน้ำทนไม่ได้จึงได้เปิดผ้าห่มและดันตัวเองเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแวบแรก ต้นน้ำต้องตกใจกับสิ่งที่พบภายใต้ผ้าห่มคือ จินไห่ในสภาพเปลือยเปล่า เสื้อผ้าชุดนอนของจินไห่ถูกถอดกระจายภายใต้ร่มผ้า ต้นน้ำที่ตกใจกับภาพตรงหน้าถึงกับร่างกายแข็งทื่อ

“พี่เล่นอะไรเนี่ย!” ต้นน้ำพูดขึ้นมาขณะที่โดนอีกฝ่ายเริ่มรุกเข้ามากอดรัด

“ก็พี่อยากปลอบใจต้นน้ำไง!” จินไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่ผู้ชายด้วยกันย่อมรู้สึกถึงเจตนาแฝงได้

“พี่ไห่!! พี่เพิ่งหายป่วยนะ!!” ต้นน้ำพูดด้วยอาการเป็นห่วง และพยายามขัดขืน แต่สายตาเจ้ากรรมของเขาได้โลมเลียผิวเนียนนุ่มของคนตรงหน้าอย่างห้ามไม่ได้

“อืม... ก็ได้!” จินไห่พลิกตัวกลับไปนอนหงายทันที เขาเปิดผ้าห่มขึ้นมาพับไว้ เหลือผ้าปิดร่างกายไว้ตั้งแต่เอวลงไปเท่านั้น

เอือก!!!

เสียงคนที่โวยวายเมื่อครู่กลืนน้ำลายเสียงดัง ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งเขาก็รู้สึกว่าจินไห่เซ็กซี่เย้ายวนมาก

“พี่ไห่ อย่าโกรธผมสิ ผมเป็นห่วงพี่นะ ผมกลัวนะ” ต้นน้ำโผเข้าไปโอบร่างท่อนบนที่เปลือยอยู่

“กลัวอะไร?” จินไห่ถามเสียงเรียบแฝงอารมณ์โกรธ

“กลัวตัวเองอดใจไม่อยู่ กลัวทำพี่เจ็บอีก” ต้นน้ำพูดจบก็กดริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากอิ่มแดงของอีกฝ่าย

จินไห่ยิ้มรับกับคำตอบและการแสดงออกเมื่อต้นน้ำถอนปากออกและยิ้มลงมาที่เขา

จินไห่ เขาเองก็เป็นผู้ชาย เขามีความต้องการไม่น้อยไปกว่าต้นน้ำ และเขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขารู้สึกติดใจในรสสวาทที่อีกฝ่ายมอบให้เสียแล้ว

“งั้นพี่ขอแค่จูบ...” จินไห่ร้อนลุ่มทั่วใบหน้าขณะพูดและดึงใบหน้าต้นน้ำลงมา ทาบริมฝีปากตัวเองลงไป บดเบียดด้วยลีลาที่อีกฝ่ายสอนมาอย่างที่อาจารย์ซึ่งก็คือต้นน้ำเคลิบเคลิ้มจนลืมตัวตอบโต้ไปอย่างเผ็ดร้อน

มือที่ว่างอยู่ตอนนี้ของต้นน้ำลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกที่เกลี้ยงเกลา รอยแดดตามผิวหนัง ไม่ทำให้ความเย้ายวนของจินไห่ลดลงเลย ต้นน้ำใช้ลิ้นตวัดพัวพันภายในช่องปากอีกฝ่ายอย่างมีชั้นเชิง จินไห่ที่เริ่มแรกเป็นฝ่ายรุกไล่ก่อนตอนนี้กลับโดนต้อนให้คล้อยตามอย่างว่าง่าย

มือที่ลูบไล้ไปทั้วแผ่นอก เริ่มหาจุดโฟกัสที่ตุ่มเนื้อชมพูสวยเด่น ต้นน้ำใช้นิ้วดุนดันเคลียคลอจนแข็งตึง แล้วค่อยๆ เลื่อนลงไปตามความยาวลำตัวและสอดมือเข้าไปในร่มผ้าห่มผืนบาง เขาพบหน่วยหนึ่งที่แข็งตั้งลำ เข้าใช้มือกำและผ่อนแรงดึงขึ้นลงอย่างเนิบนาบ

จินไห่ร้องออกมาด้วยความสุขสันต์ จนเปล่งเสียงลอดซี่ฟันของต้นน้ำ ต้นน้ำจึงตัดสินใจเลื่อนปากลงต่ำ ใช้ลิ้นอั่นชุ่มชอนไชไปตามผิวสีแทนไหม้แดดอย่างหิวกระหาย ภายใต้เสียงร้องของคนที่ได้สัมผัสมันอย่างลืมตัว

ลิ้นเลื่อนลงต่ำไปจนถึงติ่งเนื้อกลางอก ต้นน้ำไม่รอดช้าที่จะใช้ลิ้นและริมฝีปากบรรเลงเพลงรักอย่างสุดฝีมือ จนเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขนลุกชูชันไปหมด

ยังไม่ทันให้จินไห่ได้พักหายใจ เขาตัดสินใจเลื่อนปากลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว เขาเปิดผ้าห่มที่คลุมจุดยุทธศาสตร์อีกฝ่ายอยู่และจุดนั้นก็ยังอยู่ในกำมือของต้นน้ำ

ต้นน้ำเห็นสิ่งนั่นเติบโตเต็มที่เต็มมือดี มันสวยงามตามธรรมชาติของมัน เขาจึงตัดสินใจใช้ริมฝีปากคลอบสิ่งนั้นไว้จนมิด ใช้ปากต่างมือรูดเร้นขึ้นลงจนจินไห่ร้องออกไม่เป็นภาษา

ต้นน้ำฟังเสียงร้องแปลกๆ จากอีกฝ่ายก็ยิ่งเครื่องร้อน มันแปลว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ปากกับจุดนี้ของผู้ชาย มันแปลกที่เขาไม่รู้สึกรังเกียจสิ่งที่อยู่ในปากเขาแม้แต่น้อย อาจเพราะมันเป็นของคนที่เขารัก เขาเค้นทุกลีลาที่เขาคิดว่าแม้แต่ตัวเขาต้องชอบ ทำมันอย่างนั้นอยู่นานจนกระทั้งจินไห่ตัวสั่นไปหมดพร้อมกลืนน้ำลายและเสียงประหลาดเหล่านั้นลงคอไป

จินไห่จับสันกรามอีกฝ่ายให้สูงขึ้น ให้คายสิ่งที่เป็นของตนออกจากวงปากที่เย้ายวน ไม่นานไออุ่นจากจินไห่ก็พุ่งขึ้นสูงจนเลอะเทอะไปหมด กลิ่นไออุ่นอบอวลห้องแอร์ไปหมด ทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ แต่ตัวจินไห่กลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและแดงไปทั้งตัว

“เซ็กซี่ฉิบหาย!!” ต้นน้ำเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ตาน้องแล้วนะ” จินไห่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยแววตาดุจสัตว์ร้ายที่พร้อมขย้ำเหยื่อ

............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 18 part 1) 05 พ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2021 10:44:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 18 part 2) 14 พ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-05-2021 13:53:56
หลายวันผ่านไปนับจากเรื่องวุ่นวายช่วงเที่ยวต่างจังหวัด ต้นน้ำก็ยังคงอยู่บ้านจินไห่แบบข้าวใหม่ปลามัน เขากลับบ้านน้อยลงจนแม่เขาทักเป็นห่วงทุกครั้งเรื่องงานที่รับจ้างจากจินไห่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ลำบากใจที่จะตอบกลับว่างานเยอะหรือยุ่ง เพราะชีวิตส่วนใหญ่หลังจากกลับจากเรียน ต้นน้ำก็คลุกอยู่กับเตียงกับจินไห่แทบจะตลอดเวลา

งานเขียนแบบที่เคยคิดจะทำให้จริงๆ จึงคงค้างอยู่ที่แบบร่างอยู่แบบนั้น กระดาษวาดแบบถูกม้วนสุมๆ อย่างไม่ใส่ใจบนโต๊ะทำงานในห้องนอนที่ตอนนี้เป็นห้องของพวกเขาทั้งสองคนโดยสมบูรณ์แล้ว

“ไอ้ต้นน้ำ ไอ้เชี้ยนี่มึงจะรีบกลับไปไหน บ้านมันไม่มีเดินหนีมึงหรอก!!” ไอซ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิททักขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนตัวเองเตรียมออกสตาร์ทจากห้องเรียนคาบสุดท้าย

“เชี้ยอะไร หากไม่มีธุระอะไรสำคัญก็เอาไว้ทีหลังกูรีบ!!” ต้นน้ำหันควับมาต่อว่าเพื่อนที่เรียกรั้งเขาไว้

“ธุระอะไรของมึงช่วงนี้!! มึงโดนซ้อมบาสฯ มาหลายวันติดกันแล้วนะ !!” เฟรมประธานทีมบาสเกตบอลเอ่ยสวนขึ้นก่อนที่ไอซ์จะกล่าวสวน ไอซ์หันไปนิ่วหน้าใส่พี่ชายฝาแฝดด้วยคำพูดไร้เสียงว่า ‘กูก่อน!’

เฟรมพยักหน้ายอมน้องชาย และเดินออกไปนอกห้อง เฟรมชี้หน้าใส่ต้นน้ำและพูดเสียงเรียบ

“กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกัน”

“เฮ้ย! ไปก่อนนะ ปล่อยให้ไอ้ไอซ์จัดการไป” ต้นกล้าเพื่อนสนิทอีกคนกระโจนกอดคอและพาแฝดพี่ออกจากห้องเรียนไป

“พวกมึงเป็นไรกันวะ!! กูมีความสุขดี พวกมึงจะอะไรกับกูหนักหนา คิดว่ากูอยู่ในช่วงฮันนีมูนอะไรแบบนี้สิ ปล่อยกูไปก่อนนะ” ต้นน้ำทำเสียงอ้อน เมื่ออยู่กันสองคนเขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ต้องใช้ไม้นี้แหละถึงจะรอดตัว

“เฮ้ออออ มึงเนี่ยนะ...” ไอซ์พ่นลมหายใจออกยาว

“ทำไมเหรอ มึงมีเรื่องอะไรจะพูดกับกู” ต้นน้ำเอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทีของเพื่อน

“พูดกับมึงไปก็เปล่าประโยชน์...” ไอซ์บ่นงึมงำ

“อะไรของมึง เรียกกูมาฟังมึงพูดคนเดียวหรือไง? กูรีบ!!” ต้นน้ำนิ่วหน้ามองนาฬิกาข้อมือตนเอง

“งั้นงี้! กูขอไปฝากท้องกับพี่จินไห่หน่อย ขอคุยธุระตอนกินข้าวก็แล้วกัน” ไอซ์ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ก่อนพูด

“เชี้ยอะไร!! ไม่เอา!!” ต้นน้ำรีบปฏิเสธ

“มึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธกู!!” ไอซ์เดินมากอดไหล่อีกฝ่ายแล้วลากไปตามทิศที่ต้องการ

.............

ณ ร้านอาหารของจินไห่ช่วงเย็นที่ยังคงเห็นแสงสุดท้ายของดวงตะวันที่ขอบฟ้าทิศตะวันตก เนื่องจากต้นน้ำได้โทรศัพท์บอกจินไห่ว่าจะมีเพื่อนอย่างไอซ์เข้ามาฝากท้องร่วมกินมื้อเย็นด้วย ทางด้านจินไห่จึงจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านอาหารให้กับมื้อเย็นดังกล่าว

“โห...พี่.... ต้องขนาดนี้เลย” ไอซ์เอ่ยทักหลังจากเดินมาจนถึงส่วนนอกชานกลางแจ้งริมสวนสวย ที่ถูกจัดโต๊ะสำหรับมื้อเย็นมื้อนี้ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอาหารนานาชนิด

“ลาภปาก!” ต้นน้ำอุทานเมื่อได้เห็นอาหารบนโต๊ะ เพราะปกติพวกเขาก็จะกินมื้อเย็นกันสองคนด้วยอาหารง่ายๆ ที่พอจะหาได้ในตู้เย็นที่ปรุงโดยจินไห่

“ก็พี่ไม่รู้ว่าจะมากี่คน ใครบ้าง ไม่รู้จะเตรียมอะไรให้ถูกปาก ก็เลยทำมาอย่างที่เห็น”
จินไห่ที่เดินออกจากส่วนครัวหลังร้านออกมายิ้มต้อนรับทั้งสองที่เดินเข้ามาพร้อมอุทานเสียงดัง

“โอย....กูจะบ้า ไอ้ต้นน้ำ!! นี่มึงบอกพี่เขายังไงวะ?!?” ไอซ์หันมาหาไอ้ตัวการ

“ก็บอกว่ามีเพื่อนมาด้วย”

“แค่เนี่ย!!!”

“เออ” ต้นน้ำที่ไม่ทุกข์ร้อนและยังดูมีความสุขกับอาหารเต็มโต๊ะตรงหน้าตอบสั้นๆและยิ้มให้แฟนหนุ่มตรงหน้า

ไอซ์รู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของต้นน้ำจนถึงขั้นกดขมับทั้งสองข้าง และตัดสินใจถูกแล้วที่ขอตามมาวันนี้

“จริงๆ ผมกินเหมือนที่พวกพี่กินทุกครั้งก็ได้ครับ นี่มันมากไป” ไอซ์กล่าวอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไร ถือว่าได้ลองเมนูใหม่ๆ ที่พี่อยากลองทำ เผื่อจะได้ช่วยพี่วิจารณ์ด้วยไง อันไหนดีพี่จะได้เอาลงเมนูหลักดู”  จินไห่ตอบแบบใจดี

“มึงก็จริงจังเกินไปป่ะวะ นี่กูนึกว่ามากับไอ้เฟรมเลยนะเนี่ย?!?” ไอซ์ยิ้มพลางพูดด้วยท่าทีทะเล้น

“โอเค งั้นกูจะเข้าเรื่องแล้ว” พูดกับเพื่อนจบก็มองหน้าจินไห่และกล่าวต่อ “ผมมีเรื่องจะขอร้องพี่หน่อย”

“อะไรของมึง?!?” สีหน้าต้นน้ำแปลกใจกับการที่เพื่อนสนิทเข้าโหมดจริงจังเร็วขนาดนี้ มื้อเย็นเลิศหรูอยู่ตรงหน้าจะรีบร้อนทำไมก็ไม่รู้

“เรื่องของมึงนั่นแหละ แต่ขอกินข้าวก่อนนะกูหิว แฟนมึงนี่เสน่ห์ปลายจวักดีเหลือเกิน หอมจนเรียกน้ำย่อยกูไปหมด แทบลืมหมดแล้วว่าจะพูดอะไร”  อยู่ๆ ไอซ์ก็กลับมาเป็นตัวเองเสียอย่างนั้น จะโทษเขาก็ไม่ได้เพราะอาหารตรงหน้ามันดูดีเสียเหลือเกิน

หลังจากจัดการอาหารตรงหน้าทุกจานเหมือนอดข้าวมาสามวัน ไอซ์ก็พร้อมพูดกับจินไห่และต้นน้ำ

“มีเรื่องอะไรจะไหว้วานพี่ล่ะ? ไม่ต้องวิจารณ์เรื่องอาหารแล้ว พี่เห็นพวกเรากินก็พอจะรู้แล้วว่ามันขายได้แน่นอน” จินไห่ทักขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตัดสินใจเริ่มพูด รู้ถึงความอารมณ์ดีมากับน้ำเสียงเมื่ออาหารถูกปากแขกที่มา

“มันอร่อยทุกอย่างเลยครับ ของคุณพี่มากๆครับ” เมื่อเห็นเพื่อนสนิทพูดประจบจนน่าหมั่นไส้ ต้นน้ำก็อดจะเบะปากไม่ได้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาไอซ์ เขามองตาขวางใส่ทันทีที่อีกฝ่ายกำลังทำกิริยานั่นอยู่ ต้นน้ำเปลี่ยนเป็นยิ้มให้แทบไม่ทัน

“เรื่องที่จะขอร้องก็คือ...... พี่ช่วยจัดการต้นน้ำที่เกเรเรื่องเรียนได้ไหมครับ! ทุกวันนี้มันคลุกอยู่กับพี่จนแทบไม่ขึ้นเรียน ไม่ส่งงาน ไม่สนใจเชี้ยอะไรเลยครับ คนหวังดีเตือนมัน มันก็จะแว้งกัด” ไอซ์ร่ายยาว

“กัดพ่อง กูไม่ใช่หมา กูไม่....” ยังไม่ทันที่ต้นน้ำจะโต้ตอบจบประโยคก็โดนไอซ์ขัดขึ้นมา

“นี่ไง!! มึงร้อนตัว!!”

“ร้อนตัวพ่อง....กูเข้าเรียนทุกวัน!!”

“แต่มึงไม่เคยส่งงานไง!! คะแนนเก็บมึงจะไม่ถึง มึงจะต้องเรียนซ้ำนะมึง!!”

“มึงเป็นอะไรกับกูถึงได้มาสั่งสอนกูจัง กูรู้ว่าอะไรควรทำเมื่อไหร่!”

“แต่มึงค้างส่งทุกวิชา!! ในฐานะที่เป็นประธานด้านวิชาการของชั้นปี กูยอมเห็นมึงเกรดตกไม่ได้ เพื่อนเป็นเพื่อนกูนะ!!”

“หยุด!!!”  เสียงจินไห่ตะโกนดังลั่นเพื่อหยุดเด็กตรงหน้าทะเลาะกัน

“ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง?” จินไห่ถามไอซ์ด้วยท่าทางอึดอัดเก็บกดอารมณ์โกรธไว้ภายในแต่เสียงยังคงเรียบเฉย

แต่ต้นน้ำรู้สึกขนหัวลุกไปหมด ไอซ์ทำเพียงพยักหน้าตอบผู้ใหญ่ตรงหน้าที่แผ่รังสีน่ากลัวออกมา

“ขอบคุณมาก ไอซ์กลับไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่คุยกับต้นน้ำให้” จินไห่ยิ้มส่งให้ไอซ์ ส่วนไอซ์ได้แต่ก้มศรีษะเพื่อขอตัวกลับไปก่อน ทิ้งให้บรรยากาศตรงนั้นมาคุน่ากลัวมาก

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเพื่อนเรา ต้นน้ำอยู่นี่แหละ” จินไห่พูดเสียงเรียบกับต้นน้ำและลุกขึ้นทันที ไอซ์รีบลุกตามไปทันที

หลังจากที่พูดคุยบางอย่างเป็นการส่วนตัวระหว่างจินไห่กับไอซ์ จินไห่ก็ส่งยิ้มส่งไอซ์ที่ขอตัวกลับไปก่อน เพียงแค่วูบเดียวแววตาของจินไห่ก็ปรับเปลี่ยนเป็นโหมดสัตว์ร้ายทันที เขาหันไปจ้องคนที่ไร้ความรับผิดชอบที่ตอนนี้ยังนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ที่โต๊ะ

“วันนี้ต้นน้ำกลับไปนอนบ้านนะ แล้วหากยังจัดการเรื่องตัวเองไม่เรียบร้อยก็ยังไม่ต้องกลับมา” ผู้ใหญ่กล่าวเสียงเรียบ

“ไม่เอาอ่ะพี่ ผมขอเคลียร์งานที่บ้านพี่ได้ไหม? ผมสัญญานะว่าจะไม่เกเรอีกแล้ว” ต้นน้ำหันกลับมาพูดด้วยสายตาอ้อนวอน

“ต้นน้ำได้ทำลายความไว้ใจของพี่หมดแล้ว ที่ผ่านมาคิดว่าพวกเรามีความสุขกันมาก แต่พี่ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นยาพิษ!” จินไห่หลับตาปี๋ไม่มองคนตรงหน้า เขาไม่อยากจ้องมองสายตาที่เขามักพ่ายแพ้ให้เสมอ

“พี่! น๊าาา ผมจะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานส่ง ผมจะไม่เกเร ขอผมอยู่กับพี่นะ” ต้นน้ำรุกคืบมาจับมืออีกฝ่ายเขย่าไปมาเหมือนเด็กเล็กงอแงจะเอาของเล่น ไม้ตายที่เขาใช้กับแฟนทุกคนที่ผ่านมา  ใช้แววตาใสๆ หน้าตาน่ารักๆ ของตัวเองอ้อนคนตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ

จินไห่ที่หลับตาอยู่ยิ่งไม่กล้าเปิดตามอง และยังคงปฏิเสธแข็งขัน พร้อมทั้งบอกอีกว่า เขาจะให้ไอซ์รายงานเรื่องนี้ผ่านไลน์แชททุกวัน หากไม่เรียบร้อยก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีก และลงท้ายด้วยว่า

“ที่พี่ทำเพราะหวังดีนะ”

แล้วจินไห่ก็หันหลังเดินเข้าบ้านทันที ต้นน้ำรับลุกขึ้นเดินตามเพื่อจะไปตื้อให้ได้อยู่ที่นี่ต่อ จะให้เขากลับไปนอนคิดถึงแฟนตัวเองที่บ้านแบบนี้ได้ยังไง ยิ่งบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ ที่ผ่านมาเขาต้องนอนกกกอดแฟนคนนี้ทุกคืน กิจกรรมร่วมกันก็มีทุกคืนทุกเช้า จนกลายเป็นเสพติดจินไห่ไปแล้ว

ต้นน้ำพยายามเข้าบ้านของจินไห่ทุกทางที่มีช่องให้เขาสามารถเข้าได้ทั้งประตูหน้า ประตูหลัง หน้าต่างทุกบานล้วนถูกผนึกปิดล็อกหมดสิ้น เขาตะโกนอ้อนวอนอีกฝ่ายก็ไม่ตอบ จนเกือบเที่ยงคืน ต้นน้ำจึงตัดใจเดินกลับบ้าน ท่ามกลางสายตาให้กำลังใจจากลูกจ้างในร้านทุกคน ซึ่งรู้กันดีว่าทั้งสองคนคบกันจริงจัง แต่ถูกจินไห่ขอร้องไม่ให้เม้าส์ต่อๆ ยังไม่อยากให้ที่บ้านของต้นน้ำรู้ เพราะอยากให้เรียนจบก่อน

ต้นน้ำเดินเข้าบ้านตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนคนขาดอากาศหายใจ ดูหม่นหมองและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำกับเขาขนาดนี้

ต้นน้ำรู้ตัวตนเองผิดที่ไม่ใส่ใจการเรียนเท่าที่ควร
 
“เรื่องพวกนี้ก็คุยกันได้ป่าววะ ไม่ใช่ว่าจะหมดเทอมอยู่วันสองวันเสียเมื่อไหร่!”  ต้นน้ำบ่นอุบอิบขณะเดินผ่านชั้นลอยซึ่งถูกออกแบบให้เป็นห้องนั่งเล่นของบ้าน

“อ้าวววว วันนี้กลับบ้านได้ด้วย ลูกชายฉันหายไปเลย ฉันนึกว่าแกได้เสียเป็นเมียน้องไห่แล้วนะเนี่ย กลับมาบ้านบ้างนะ ทำไมเหรอ? น้องไห่ตามใจแกมากสินะ นี่คงหนีเที่ยวทุกวันใช่ไหม? แม่โทรหาเขาทุกวันเลยนะ ให้ช่วยเป็นหูเป็นตา ให้งานเสร็จเร็วๆ ไม่ใช่ให้ปล่อยแกไปเที่ยวเล่นไม่สนใจการเรียน!!” แม่ต้นน้ำบ่นยาว

“งาน? อ้อ!!” ต้นน้ำหันมาบ่นลอยๆ พลางคิดอย่างหงุดหงิดว่าทำไมทุกคนคิดว่าเขาเป็นเมียกันทุกคนด้วย

“นี่แกไปทำงานจริงไหมเนี่ย? หรือพี่ไห่ของแกช่วยปิดเรื่องที่ไปติดหญิง!?!” แม่ขมวดคิ้วเข้าหากันส่งเสียงสูง

“โหย.... แม่ติดยงติดหญิงที่ไหน ไม่มีเสียหน่อย ไปอยู่นั่นก็เรื่องงานล้วนๆ!!” อันแรกเรื่องจริง อันนี้หลังนี่จริงครึ่งหนึ่ง แต่ช่วงหลังมานี่งานออกแบบไม่คืบหน้าเลย

“อย่าให้ฉันจับได้ก็แล้วกัน!! แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จงาน แบบนี้แม่ต้องได้ค่านายหน้านะ!!” แม่ต้นน้ำกล่าวต่อแบบไม่มีช่องไฟ

“ยังไม่ไปถึงไหนเลย.... ก็.... งานที่มหาวิทยาลัยมันเยอะ ที่กลับมาเนี่ยก็เพราะมีหลายงานที่ต้องมาหา reference ที่บ้านเนี่ย ข้อมูลอุปกรณ์ไม่พร้อม เดี๋ยวไม่ทันส่งเดดไลน์! ไปแล้วนะแม่ รีบๆ อยู่!” ต้นน้ำพูดจบก็สาวเท้าเดินจากมาทันที เดี๋ยวพูดมากกว่านี้จะโดนจับได้เสียป่าวๆ แม่เขาก็ไม่ธรรมดาอยู่ด้วย ต้นน้ำไม่เคยโกหกแม่เขาได้นานเกินเดือนเลยสักครั้ง

“ไปไม่ลา มาไม่ไหว้เหมือนเคย นี่แม่แกนะ!!” แม่เขาโวย

“คร้าบบบ สวัสดีครับแม่ ไปก่อนนะครับ ผมขอตัวไปทำงานส่งอาจารย์ก่อนนะ เดี๋ยวเรียนไม่จบ!!” ต้นน้ำพูดยานคางแสร้งทำตัวเรียบร้อยเกินเบอร์ จนแม่เขาคว่ำปากใส่ด้วยความเอ็นดู

ต้นน้ำเดินถึงห้องปิดประตู ใช้สองมือตบใบหน้าตนเองเบาๆ ตั้งสติและหยิบโทรศัพท์ เพื่อกดเบอร์เพื่อนสนิททันที

“มึง! กู...กูขอโทษ ช่วยส่งรายการงานทุกอย่างมึงรู้มาให้กูหน่อย!!” ต้นน้ำสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนพูด

“กูว่าแล้วต้องได้ผล!! ได้ๆ กูเตรียมไว้หมดแล้ว เดี๋ยวส่งอีเมลให้ มึงไปดูเอาล่ะกัน ส่งภายในสิ้นเดือนนะมึง!” ปลายสายตอบกับมา

ต้นน้ำเหลือบมองปฏิทินที่มุมห้อง สิ้นเดือนมี่ว่าคืออีกเกือบสองสัปดาห์

“นานไป กูทำเสร็จให้หมดภายใน สามวันเลย!!” ต้นน้ำตอบหลับฉับไว

“เชี้ย!! มึงดูไฟล์ที่กูส่งให้ก่อนไหมค่อยพูด!! แต่จะให้กูช่วยอะไรก็บอกแล้วกันนะ” เสียงเพื่อนสนิทแสดงอาการเป็นห่วง

.............
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 18 part 2) 14 พ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-05-2021 22:32:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 18 part 3) 24 พ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-05-2021 11:19:01
.............

สามวันแล้ว.......

สามวันที่ความมุมานะของต้นน้ำค่อยๆ ถดถอยลงตามเวลา งานที่ต้องส่งอาจารย์ทั้งงานกลุ่ม งานเดี่ยว ในช่วงเวลาการฮันนี่มูนของเขา มันเยอะมากเสียจนเขาอยากมีของวิเศษจากแมวหุ่นยนต์แห่งโลกอนาคตมาช่วยให้เขาทำงานให้เร็วขึ้น

สามวันที่ผ่านมาเขาใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียนและการทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้หมดโดยเร็ว แต่อนิจจา ช่วงปลายเทอมแบบนี้มันเหมือนเคราะห์กรรมของพวกเรียนสถาปัตย์ฯ ที่ต้องตกนรกกับงานจำนวนมหาศาลจากคณาจารย์ประจำคณะฯ  ไม่รวมกับที่ต้องเตรียมตัวสอบอีก ต้นน้ำอยากจะร้องไห้เป็นสายเลือด

ปกติเขาไม่เคยเกเรแบบนี้ เขาไม่คิดว่าการไม่ใส่ใจเรื่องเรียนไปเกือบเดือนของเขาจะมีพิษสงร้ายกาจขนาดนี้ จากที่คิดว่าสบายๆ ตอนนี้อยากจะหมดสติกลับเข้าสู่โหมดความฝัน หนีจากโลกแห่งความเป็นจริงที่แสนจะโหดร้ายเสียให้ได้

โชคดีที่มีเพื่อนดีๆ และเรียนเก่งอย่างไอ้ไอซ์ เพราะหลังจากที่ทำงานตนเองเสร็จ มันก็โดดมาช่วยผมแบบเต็มเวลา แต่สิ่งที่มันช่วยต้นน้ำไม่ได้คือ ..การเติมเต็มช่องว่างในจิตใจ....การคิดถึง...โหยหาคนที่อยู่บ้านใกล้กันแค่นี้ เห็นหลังคาบ้านแต่ไม่เห็นหน้า...

ต้นน้ำพอจะทราบว่าจินไห่แอบโทรศัพท์มาถามเรื่องของเขาบ่อยๆ จากไอซ์ ทำให้จินไห่รู้ความคืบหน้าโดยตลอดของต้นน้ำ

ต้นน้ำพยายามแชทไลน์ไปหาหลายครั้ง แต่จินไห่ตอบกลับมาเพียง
‘จัดการเรื่องเรียนให้เรียบร้อย!!’ เท่านั้น

เลขนาฬิกาเข็มสั้นชี้เลขสิบในช่วงที่ท้องฟ้ามืดมิดไร้ดาว มีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงคอยสาดส่องแสงนวลขาวไปทั่วสวนผลไม้เก่าที่ขาดการดูแลอย่างดี ต้นน้ำที่ยืนบิดขี้เกียจอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างเหนื่อยล้า จากการเร่งทำงานส่งตามภารกิจที่นักศึกษาปีสาม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ควรกระทำ

ในขณะที่เพื่อนสนิทอย่างไอซ์นอนพักสายตาจากการช่วยสร้างโมเดลจำลองอาคารทรงทันสมัย เพื่อนไอซ์หลับตาลงทั้งๆ ที่มือไม้เปรอะเปื้อนไปเศษกาวและเศษวัสดุที่ใช้ในการประดิษฐ์ ต้นน้ำได้โอกาสเฝ้ามองไปทางสวนหลังบ้าน ทิศทางที่มีบ้านที่เขาเคยไปอาศัยอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผ่านมา

ต้นน้ำรู้สึกเบาโหวงที่หน้าอกอย่าบอกไม่ถูก เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย การคิดถึงใครสักคนที่เราไม่สามารถเดินไปหาเขาได้ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้มันทรมานจนเขาไม่อยากจะเชื่อ แต่สัญญาต้องเป็นสัญญา หลังจากที่เขาอาศัยอยู่กับจินไห่มาพอสมควรทำให้รู้ว่าจินไห่เข้มงวดขนาดไหน ยิ่งได้รู้จากไอซ์ว่าจินไห่เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ถึงได้ขอร้องให้ไอซ์มาช่วย แต่ก็ไม่ยอมผ่อนปรนให้ตนเองหรือกับต้นน้ำเลย จินไห่ได้ลั่นวาจาไว้ว่าอย่างไร เขาก็จะทำแบบนั่นให้ได้

ดังนั้นหากงานไม่สำเร็จเรียบร้อยเขาคงไม่สามารถไปพบหน้าจินไห่เป็นแน่

ต้นน้ำหาวเสียงดังออกไปด้านนอกหน้า อยู่ๆ สายตาเขาก็ไปจับจ้องไปที่แสงไฟวูบวาบอยู่ในสวนใกล้ต้นไม้ไม้ใหญ่ต้นนั้น ต้นน้ำหันไปหาเพื่อนสนิทตนเองที่ตอนนี้ถูกส่งไปเฝ้าเทพนิทราเสียแล้ว เสียงหายใจวืดวีดแสดงถึงอาการหลับลึก ต้นน้ำรู้สึกสงสารปนนับถือเพื่อนคนนี้มาก ที่มาตรากตรำทำงานกับเขาแบบไม่มีบ่นสักคำ (หรือมาเฝ้าให้ทำงานก็ไม่รู้)

เมื่อเห็นอีกฝ่ายน่าจะไม่ตื่นง่ายๆ เขาจึงย่องเบาออกไปจากห้อง และออกไปที่สวนอย่างเร่งรีบทันที


ในสวนหลังบ้านของต้นน้ำ ตอนนี้มีเพียงแสงสลัวจากบ้านโดยรอบเพื่อให้เขาพอที่มองเห็นทางเดินบ้าง แม้สายตาจะปรับให้รับกับแสงเท่าที่มีอยู่ได้ แต่ก็เป็นการเดินทางที่ลำบากอยู่ไม่น้อย

ปกติแล้วต้นน้ำไม่เคยคิดที่จะออกเดินในสวนหลังบ้านของเขาในเวลาแบบนี้ เพราะมันทั้งมืดทั้งกว้าง และรกไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า แต่วันนี้เขามีจุดหมายปลายที่ไปเพราะความโหยหาคิดถึง ทำให้เขาไม่คิดกลัวสิ่งเหล่านั้นเลย

ต้นน้ำเห็นแสงเทียนที่ไหวตามลมอ่อนอยู่หลังเงาไม้น้อยใหญ่ทางด้านหน้า ทำให้เขาต้องชะลอฝีเท้าลง ต้นน้ำกลับเพิ่งคิดไปได้ว่าหากคนที่อยู่ ณ ปลายทางไม่ใช่คนที่เขาคิดถึงอยู่จะเป็นเช่นไร เพราะพื้นที่ตรงนี้ก็มักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาบูชาต้นไม้ต้นนั้นอยู่บ่อยครั้ง

ต้นน้ำตัดสินใจค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พยายามเดินไม่ให้เกิดเสียงใดๆ จนกระทั่งเห็นเงาคนปรากฏอยู่ในคลองสายตา เงาร่างที่เขารู้จักอย่างดี แม้จะมีแสงจากเทียนเพียงไม่กี่เล่ม เขาก็จำเงาร่างในแสงสลัวได้อย่างดี เงาร่างที่เขาเคยกกกอดในความมืดมาแล้วหลายวัน เงาร่างที่เขาถวิลหาทุกลมหายใจเข้าออก

เท้าของต้นน้ำต้องการจะสืบออกไปหาคนที่ยืนนิ่งเหม่อลอยใต้ต้นไม้ใหญ่แต่ในจิตใจของเขากลับห้ามเขาไว้ เพราะภารกิจของตนเองยังไม่เสร็จ ก้าวเท้าออกไปรังจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ หลังจากที่ร่างกายและจิตใจต่อสู้กันพักใหญ่ ต้นน้ำก็ตัดสินใจหยุดนิ่งแอบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจุดที่เงาร่างนั้นยืนอยู่

แต่ด้วยที่ในสวนแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตมาเยือนค่อนข้างน้อย ทำให้ยุงบริเวณนี้ดุกว่าปกติ พวกมันพยายามไต่ตอมคนที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้อย่างหิวกระหาย ต้นน้ำแอบสงสัยว่าเจ้าของเงาร่างนั้นทนได้อย่างไร

เพี๊ยะ!!

ต้นน้ำเผลอตบยุงที่บินเข้ามากัดเขาที่คออย่างไม่ตั้งใจ

“ใครนะ!!” เจ้าของเงาร่างตกใจและชูสิ่งเหมือนกับกระบองไม้ยาวประมาณหนึ่งขึ้นมาหมายว่าเป็นอาวุธป้องกันตัว

“เฮ้ย!! พี่ เดี๋ยวๆ ผมเอง!!” ต้นน้ำพุ่งออกจากเงาไม้และยกมือขึ้นเหนือศีรษะ

“อ้าว! ต้นน้ำ.... เดี๋ยวนะ มาอยู่นี่ได้ไง ไอซ์บอกพี่ว่าทำโมเดลกันอยู่นี่ ใกล้เดดไลน์แล้วไม่ใช่เหรอ?” แม้ไม่เห็นหน้า แต่ต้นน้ำก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเกรี้ยวกราดอยู่ไม่น้อย

“เอ่อ.... ผมเห็นแสงไฟ....” ต้นน้ำพยายามคิดหาคำอธิบายสวยๆ

“ไม่มีความรับผิดชอบ!! พี่โคตรเกลียดคนที่ไม่มีความรับผิดชอบเลย ยิ่งพี่เห็นเราเป็นแบบนี้ มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า ที่ต้นน้ำเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่!!” จินไห่โวยแทรกทั้งที่ต้นน้ำยังพูดไม่จบประโยค

“เดี๋ยวสิพี่ หากพี่เห็นแสงไฟในสวนบ้านพี่ พี่จะไม่ออกมาดูเหรอ?” ต้นน้ำคิดหาทางออกจนได้

“........” จินไห่ไม่พูดโต้ตอบ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเขาเห็นด้วย

“แล้วพี่มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ” ต้นน้ำขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เขาอยากเห็นหน้าคนๆนี้ชัดๆกว่านี้

“หยุด! เรายังไม่ควรคุยกัน” จินไห่ยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายไม่ให้เดินมา เขาเดินหันหลังกลับไปทางบ้านตนเองทันที

“พี่ไห่!!” ต้นน้ำร้องเรียกอีกฝ่าย แต่จินไห่กลับใจแข็งไม่หันกลับมาแม้แต่ปรายตามอง

“พี่ลืมของ!!” ต้นน้ำชูกระเป๋าสะพายที่บรรจุของเบาๆ อยู่ในนั้น สองสามชิ้น

“วางไว้ตรงนั้นแหละเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่มาเอา!” จินไห่ตะโกนกลับมาทั้งที่เดินไปด้านหน้าข้ามรั่วลวดหนามไปโดยไม่หันกลับมามอง

ต้นน้ำทำได้เพียงยืนมองอีกฝ่ายหายลับไปในความมืด หลังจากตั้งสติได้เขาก็มองพื้นที่โดยรอบที่เต็มไปด้วยเทียนหลายเล่ม เขารู้ว่าจินไห่เป็นที่มีอารมณ์ศิลปินสูง แต่ก็ไม่นึกว่าจะมากขนาดที่ว่าสามารถมายืนชมแสงจันทร์ยามค่ำคนเดียวแบบนี้

ครืด.....

เสียงโทรศัพท์ที่สั่นสะเทือนจนต้นน้ำแอบตกใจเพราะตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียวในภายใต้แสงเทียน

‘ใครวะ?’ เขาคิด มือของต้นน้ำล้วงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ เขาเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาด้วยรอยยิ้ม ต้นน้ำปลดล็อกทันทีโดยแทบไม่ได้อ่านข้อความที่แสดงอยู่ที่หน้าจอแจ้งเตือน

พี่ไห่
‘ดับเทียนให้ด้วย! ลืม!’

ขอความสั้นๆ ที่อีกฝ่ายส่งมา หลังจากขาดการติดต่อจากอีกฝ่ายมาหลายวัน แม้จะไม่ใช่ข้อความแบบที่คิดไว้ มันก็ทำให้เขายิ้มได้อย่างกับคนบ้า

Ocean’s lover
‘คิดถึง’

หลังจากพิมพ์ส่งไป ต้นน้ำได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากที่ไม่ไกล

พี่ไห่
‘ไอ้เด็กบ้า ไม่คุยโว้ย ดับเทียนให้ด้วยหากไม่อยากให้สวนวอดวาย’

Ocean’s lover
‘เทียนใต้ต้นไม้น่ะดับแน่ แต่ไฟคิดถึงในอกนี่สิต้องให้พี่มาช่วยดับ’
เสียงเตือนข้อความเข้ายังอยู่ไม่ไกลเช่นเดิม

พี่ไห่
‘ดับเทียนแล้วไปทำงานให้เสร็จอย่ามาไร้สาระ!’
พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธมาด้วย

Ocean’s lover
‘พี่จุดธูปทำไมน่ะ ไล่ยุง? ทำไมไม่ใช้ยากันยุงดีๆ บ้านผมมีเยอะนะมาขอได้’
ต้นน้ำกดแป้นพิมพ์ตอบไปพลางดับเทียนไปพลางทีละเล่ม

พี่ไห่
‘เออ! ดับให้ด้วย’

Ocean’s lover
‘อยากเจอ อยากกอด อยากฟัด’
ต้นน้ำมองไปทางต้นเสียงข้อความแจ้งเตือนที่ดังขึ้น จินไห่คงคิดว่ามันไม่ดังพอที่เขาจะได้ยินหริอเปล่านะ แต่เขาได้ยินชัดเจน ใจอยากจะวิ่งไปกอดคนที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้มืดๆ นั้นแต่ทำแบบนั้น น่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธหนักกว่าเดิม

พี่ไห่
‘กลับไปทำงานให้เสร็จ!!’ พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าโหดมาอีกสามอันติด ต้นน้ำได้แต่ถอดหายใจหันหลังกลับ

ครืดดดดด

ต้นน้ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามสัญชาตญาณ

พี่ไห่
‘คิดถึงเหมือนกัน รีบทำงานให้เสร็จเร็วๆ สิ!!’

ต้นน้ำยิ้มกว้างและเดินกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว

………………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 19 part 1) 1 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-06-2021 19:03:05


บทที่ 19

Lost and found




โย่ววว!!!!

ต้นน้ำยกมือขึ้นยืดตัวร้องเสียงท่ามกลางเพื่อนๆ ในคณะเดียวกัน จนทุกคนในบริเวณใต้ตึกคณะฯ มองกันเป็นตาเดียว

เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่สุมหัวทำงานของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ต่างจับจองกันทำงานส่งอาจารย์อย่างบ้าคลั่ง จนมีเหล่าศิษย์เก่าอุทิศเงินส่วนตัวสั่งซื้อโต๊ะ เก้าอี้อย่างดีมาให้รุ่นน้องไว้ใช้งานทั่วบริเวณ ดังนั้นปริมาณคนที่มองมาที่เขาย่อมเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ถึงกระนั้น ต้นน้ำก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะงานที่โหมตรากตรำทำมาร่วมสองสัปดาห์ก็เห็นผล ทุกงานที่ส่งผ่านฉลุย แบบไม่ติดคอมเม้นต์ใดๆ

ซึ่งต้องยกเครดิตให้ไอซ์เพื่อนรักซึ่งตอนนี้มีหน้าตาหมองคล้ำไม่ต่างจากต้นน้ำเลย เพราะนอกจากจะต้องทำงานของตัวเองเสร็จแล้วยังต้องไปช่วยไอ้คนที่มีท่าทีจะได้เรียนใหม่ทั้งหมดพร้อมรุ่นน้องแน่ๆหากไม่ส่งงานที่มีเป็นกองยังกับภูเขา แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจว่าปีสามทำไมต้องทำอะไรขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามกับอาจารย์เพราะโดนรุ่นพี่เตือนไว้แล้วตั้งแต่ปีหนึ่ง

ต้นน้ำกอดคอเพื่อนรักที่นอนซบแขนตัวเองอย่างหมดแรง

“เออๆ ดีใจด้วยเพื่อน” ไอซ์พูดด้วยท่าทีสลึมสลือ ยกหัวขึ้นมาพูดก่อนที่จะหย่อนศรีษะตัวเองลงไปพับกับแขนตัวเองอีกครั้ง

“เชี้ยๆๆๆ แม่งเสร็จกันหมดแล้ว เหลือกูสิเนี่ย!” ต้นกล้าหนึ่งในเพื่อนสนิทอีกคนโวยลั่น ขณะโขกคีย์บอร์ดของแลปท้อปเครื่องใหญ่ของมัน

“มึงเนี่ยมีดีทุกอย่างนะ บ้านก็รวย หน้าตาก็ดี มีรถขับ เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยอีกต่างหาก เสียอย่างเดียว โง่!! นี่มึงสอบเข้ามาได้ไงวะ!!” ต้นน้ำด่าเพื่อนด้วยอารมณ์ดี

“กูก็งงเหมือนกัน! อ้าว!! ไอ้สัด หลอกด่ากูนี่หว่า!!” ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่กำลังปั่นงานจนไม่มีแก่ใจจะสนใจคนที่เสร็จงานทุกชิ้นอย่างต้นน้ำ

“เออดิวะ!! มึงเนี่ยทำให้ไอ้ไอซ์ต้องลำบากอยู่เรื่อย!!” ต้นน้ำว่าต่อ

“มึงไม่มีสิทธิ์มาว่ากูไอ้น้ำ! ไม่ใช่เพราะมึงเหรอ? เพื่อนไอซ์กูเหมือนซอมบี้แบบนี้ มันช่วยงานมึงจนไม่ต่างจากศพ!! แม่งน่าจะให้มึงอยู่เรียนต่ออีกสักปีจริงๆ” ต้นกล้าบ่นงึมงำพร้อมบอกเพื่อนซอมบี้ของเขา

“ไอ้เฟรมเพื่อนเลิฟมึงล่ะ ปกติตัวติดกันอย่างกะผัวเมีย มึงไม่ให้มันช่วย!!” ต้นน้ำแซวต่อ

“ติดเมียอย่างกับอะไรดี พอเสร็จงานก็หายไปอยู่แต่กับเมีย วันนี้มึงเห็นมันไหมล่ะ ป่านนี้คงเตรียมลงเสาเข็มกันแล้วมั้ง กับยัยชะนีมักมากนั่นน่ะ” ต้นกล้า บ่นไปทำงานไป

“พูดอย่างกับหึง” ต้นน้ำหยอกต่อ เขามักจะมีสงครามปากกับไอ้ต้นกล้าประจำเพราะมันเป็นคนปากเสียแต่ไม่คิดมากก็เลยสนุก

“หึงพ่อง!!” ต้นกล้ามองมาทางต้นน้ำตาเขียว

“ช่วยหยุดทะเลาะแล้วให้มันทำงานได้ไหม มึงเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป อย่ามากวนมัน!! กูขอร้อง กูอยากนอนตายอยู่ที่บ้านจะแย่ ทุกวันนี้กูอยู่กับแต่พวกมึงจนแม่กูจำหน้าไม่ได้แล้วมั้ง!!” ไอซ์ยกศรีษะขึ้นกล่าวไล่ต้นน้ำ

“เออ! กูไปก็ได้!! อยากไปกอดเมียใจจะขาด!!” ต้นน้ำยิ้มอารมณ์ดี

“เมีย! แหม! เดี๋ยวนี้เต็มปากเต็มคำนะมึง ทีเมื่อก่อนปิดกูจะตาย ไม่อายแล้วเหรอ!” ต้นกล้าสวนขึ้นมาด้วยหน้าตาหมั่นไส้

“เรื่องของกู!!” ต้นน้ำทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อนและเดินจากไป

“มึงรีบทำได้แล้ว ทำไมไอ้เฟรมมันถึงส่งมึงมาให้กูด้วยนะ ไหนว่าจะแบ่งกันดูไง!!” ต้นน้ำได้ยินไอซ์บ่นเสียงดังขณะเดินออกจากที่นั่งประจำ

...........


ต้นน้ำเดินทางมาถึงบ้านของจินไห่อย่างเร่งรีบ เขาเดินหาจินไห่ไปทั่วร้านอาหารจนกระทั่งเจอคนที่เขาตามหาที่หน้าห้องครัว จินไห่ที่กำลังควบคุมพ่อครัวดูแลวัตถุดิบของร้านอาหารกึ่งตกใจและประหลาดใจที่ต้นน้ำเกินโผเข้ามากอดเขาโดยไม่สนใจสายตาของทุกคนทั้งบริเวณกำลังจับจ้องอยู่

“เฮ้ย!! มาได้ไง?” จินไห่ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู นี่มันเพิ่งบ่ายสาม!

“ผมทำงานเสร็จแล้ว ตอนนี่เหลือแค่สอบปลายภาคแค่นั้น!!” ต้นน้ำทำเสียงอู้อี้ใส่ไหล่กว้างของจินไห่

“เฮ้อ.... นึกว่าอะไร ดีใจด้วย งั้นน้องก็เป็นที่ต้อนรับของบ้านหลังนี้อีกครั้ง” การพูดขึ้นของจินไห่ทำให้ต้นน้ำระลึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ขึ้นมา ที่เขาไม่เป็นต้อนรับของพนักงานร้านนี้เสียเท่าไหร่ เพราะจินไห่สั่งไว้

“อืม....สุดยอดเลย” ต้นน้ำสูดอากาศภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นของจินไห่เข้าเต็มปอด

“พอได้แล้ว ไปพักรอที่บ้าน ไป๊!” จินไห่ผลักอีกฝ่ายให้ถอยครึ่งก้าวพร้อมยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“อืมมมม งั้น.... พี่ไปส่งผมหน่อย” ต้นน้ำทำหน้าอ้อนจนจินไห่เผลอยกยิ้มมุมปาก และหุบลงอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าอยู่ท่ามกลางลูกจ้างหลายคน

“โตแล้ว ไปเองเหอะ” จินไห่สั่นหน้า

“ไม่เอาอ่ะ!!” ต้นน้ำพูดจบก็ดึงแขนอีกฝากลากออกไปจากหน้าครัวทันที

จินไห่โวยวาย พยายามยื้อเล็กน้อยแต่พองาม แต่สุดท้ายก็เดินตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี

หลังจากต้นน้ำลากจินไห่มาจนถึงห้องนอนแล้ว เขาเหวี่ยงสัมภาระทุกอย่างที่ติดตัวมาลงกับพื้น ใช้มือปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกอย่างรวดเร็ว และโผเข้ากอดอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว

จินไห่ที่เสียหลักเล็กน้อยแต่ก็เหมือนเตรียมใจไว้อย่างดี เขากดริมฝีปากตนเองไปที่ริมฝีปากที่ฝ่ายที่เตรียมท่ารออยู่ก่อนแล้ว ลิ้นที่เปียกชุ่มของต้นน้ำถลำลึกไล่เลาะไปตามฟันที่เรียงตัวสวยที่ด้านหน้าก่อนที่จะเข้าไปหยอกล้อสัมผัสกับลิ้นของเจ้าบ้านอย่างเร่าร้อน
มือมี่มีแต่ไอร้อนของต้นน้ำ ระรานไปทั่วร่างของจินไห่ เขารู้ว่าอีกฝ่ายผายผอมลงไปมาก เขารู้สึกว่าเนื้ออีกฝ่ายดูบอบบางลงไปเยอะจนรู้สึกถึงกระดูที่แข็งโปนเป็นร่อง ดูท่าคนที่ทรมานจากการห่างไกลกันจะไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวเสียแล้ว

ต้นน้ำดันตัวเองให้จินไห่ถอยร่นลงไปจนชิดขอบเตียง และใช้ร่างผลักอีกฝ่ายให้เอนนอนหล่นลงไปปะทะกับที่นอนที่อ่อนนุ่ม ต้นน้ำเห็นจินไห่นอนรอด้วยท่าทางเย้ายวน เขาจึงรีบถลาลงไปประกบร่างที่นอนหงายอยู่อย่างเปิดเผย

จินไห่ตอบรับโดยการจุมพิตกลับอย่างดูดดื่มทันที่ที่อีกฝ่ายร่อนลงมาถึงร่างของเขา

ทั้งสองนอนบดเบียดกันจนเสื้อผ้าของจินไห่ถูกปลดออกทีละชิ้นจนเหลือกางเกงชั้นใน ต้นน้ำละจากริมฝีปากและใช้ลิ้นชอนไชไปทั่วผืนคอบวกกับการใช้ริมฝีปากขบกัดเบาๆ ทำให้จินไห่เผลอคลางออกมาอย่างน่าอาย จินไห่แก้อายโดยการกอดรัดอีกฝ่ายแน่นขึ้น ต้นน้ำจึงได้แต่ผ่อนแรงตนเองลงมากอดจินไห่ให้แน่นขึ้น ใช้จมูกของตนซุกซอกคออีกฝ่าย และสูดหายใจเอากลิ่นไอเข้าปอดอย่างที่เขาถวิลหา

เขาทำอย่างนี้อยู่ หลายสิบวินาทีก่อนที่เสียงลมหายใจกลายเป็นเสียงหายใจแผ่วเบาอย่างสม่ำเสมอ

จินไห่สงสัยจึงยกศรีษะขึ้นดูจึงรู้ว่าอีกฝ่ายนอนหมดสภาพอยู่บนร่างของเขาอย่างสนิทและสบายใจเรียบร้อย สภาพร่างกายที่พักผ่อนน้อยของต้นน้ำทำให้เขาเผลอหลับไป

...................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 19 part 1) 1 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-06-2021 11:55:46
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 19 part 2) 7 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-06-2021 16:27:41

เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง ต้นน้ำสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองซ้ายและขวาอย่างจงใจ ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟบริเวณโต๊ะทำงานที่อยู่ไม่ไกล เขามองสภาพโดยรอบในห้องที่ปิดม่านสนิท ต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกมาทั้งปอดอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าตัวเขาอยู่ที่ไหน มันเป็นสถานที่ๆ เขาอยากกลับมามากที่สุดที่หนึ่ง ห้องของจินไห่ ทำให้ได้รู้ว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ฝันไป เขาเสร็จสิ้นจากงานหฤโหดในช่วงปลายเทอมสุดท้ายของปีสาม

แกร๊ก!

เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น เจ้าของห้องเปิดประตูเดินเข้าห้องมาด้วยรอยยิ้ม

“ตื่นแล้วเหรอ? หลับจนคิดว่าตายคาอกพี่ไปแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยังไม่รู้ตัวเลย” จินไห่พูดพลางเดินเข้ามานั่งบนเตียง

“ตายแบบนี้ มันก็คุ้มนะ” คนเด็กกว่าทำหน้าทะเล้นหลังจากมองดูเสื้อผ้าที่ตนเองใส่ และใช้มือข้างหนึ่งรั้งไหล่อีกฝ่ายให้เอนลงมานอนบนที่นอน

“ไอ้เด็กปากเสีย!!” จินไห่ยิ้มรับใบหน้าทะเล้นของไอ้เด็กหน้าตาดีที่เขาหลงรัก

“แล้วรักไหม?” ต้นน้ำพูดใส่หน้าอีกฝ่าย

จินไห่ทำได้เพียงยิ้มอย่างเขินอาย ต้นน้ำคิดว่านาทีนี่แหละที่เขาโหยหา เขารีบกดศรีษะตัวเองลงไปหมายจะบดขยี้ริมฝีปากแดงอวบอิ่มทางด้านล่างที่เปิดรับท้าทายเขาอยู่

“เดี๋ยว!! พี่เตรียมมื้อเย็นแล้ว” จินไห่ยกมือขึ้นมาปิดปากคนที่จู่โจมลงมาและออกแรงดันกลับไปตำแหน่งเดิม

ต้นน้ำได้แต่ทำเสียงโอดโอย แต่หลังจากเจอสายตาพิฆาตจากอีกฝ่ายก็ยอมรามือแต่โดยดี โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องได้นอนที่นี่คืนนี้ ซึ่งจินไห่ก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ

“พี่ไห่เห็นกระเป๋าเป้ผมไหมครับ?” ต้นน้ำมองซ้ายขวาก่อนออกจากห้องนอน

“ก็วางไว้ที่เก้าอี้ไง ทำไม? ลืมอะไร?” จินไห่ที่กำลังเดินออกไปนอนห้องหันกลับมาชี้ทิศที่กระเป๋าวางอยู่

“ผมมีเรื่องจะถามพี่หลายเรื่องเลย แต่ตอนนี้หิวข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันก่อน” ต้นน้ำเดินมาคว้าคออีกฝ่ายเดินไปด้านหน้า

จินไห่เดินตามไปด้วยสีหน้าสงสัย แต่ต้นน้ำก็ทำแค่ยิ้มรับสีหน้าที่ส่งมาไม่พูดอะไร ไอ้สีหน้าทะเล้นแบบนี้แหละที่จินไห่รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ

...............
 

หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน อาหารที่จินไห่เตรียมให้จากฝีมือตัวเองล้วนๆ นั้น รสชาติต่างจากพ่อครัวของร้านอาหารให้พอควร ทั้งที่รูปลักษณ์ สีสันต์ และกลิ่นนั้นไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไหร่

ต้นน้ำไม่อยากเอาไปเปรียบเทียบกับรสมือแม่เพราะมันดูเหมือนจะเนรคุณบุพการี แต่ก็ต้องยอมรับว่าต้นน้ำจัดการทุกอย่างบนโต๊ะราบเรียบจนกระเพราะของเขาทำงานหนักมาก เหมือนจะจุกเสียดจนแทบยืนไม่ไหว ต้นน้ำนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารต่อจนกระทั่งจินไห่เก็บล้างจานชามอาหารเหล่านั้นเรียบร้อย ถึงได้ขอเดินขึ้นห้องไปพร้อมกับจินไห่

จินไห่ยิ้มดีใจกับผลงานของตนเอง และคิดว่าคืนนี้ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้คงไม่มีแรงจัดการเขาเป็นแน่ และนั้นก็เป็นไปตามแผนของจินไห่

“พี่ไห่....” ต้นน้ำทักขึ้นขณะที่เขานั่งผึ่งพุงอวบๆ ของเขาบนที่นอน จินไห่ที่กำลังเตรียมชุดนอนให้ตรงตู้เสื้อผ้าบานใหญ่ถึงกับสะดุ้งตกใจ เพราะเสียงที่ชวนให้คิดไปไกล

“อะไร!” จินไห่ทำเสียงยุ่ง

“เลิกทำตัวยุ่งแล้วมานั่งกับผมก่อนได้ไหม? ผอยากที่จะ...” ต้นน้ำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ไม่เอาอ่ะ วันนี้พี่ยังไม่พร้อม!! พรุ่งนี้ได้ไหม? พี่ก็ต้องการนะ แต่เครื่องในพี่จะพังเอานะ!!” จินไห่หันกลับมางอแงเป็นเด็กๆ

“เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้คาดคั้นพี่เรื่องนั้น แต่ถ้าพี่ต้องการพรุ่งนี้เข้าผมก็โอเค” ต้นน้ำยิ้มขำในลำคอกับอาการหน้าแดงของอีกฝ่าย
‘น่ารัก’ เขาคิดในใจได้แค่นี้

“อ้าวเหรอ? แล้วมีอะไรล่ะ?” จินไห่ยืนงงหยุดนิ่ง เขาคิดไม่ออกว่าเด็กชายตรงหน้าจะต้องการอะไรจากเขาอีก นอกจากเรื่องบนเตียง

ต้นน้ำอมยิ้มและลุกขึ้นไปหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าที่โต๊ะอ่านหนังสือ

“เรื่องนี้!” ต้นน้ำชูสมุดบันทึกเล่มเก่า ที่ใหญ่พอๆกับกระดาษเอสี่

“ขอบคุณนะที่เอามาคืน แต่....แล้วมันเรื่องอะไร?” จินไห่เดินไปจะไปหยิบสมุดที่ถูกชูขึ้นเหนืออกอีกฝ่าย แต่ก็ถูกต้นน้ำชักกลับ

“พี่เคยบอกว่าสมุดเล่มนี้...เป็นของพ่อพี่!!” ต้นน้ำจ้องหน้าจินไห่ด้วสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น

“พี่บอก?” จินไห่ทำหน้าสับสนกลับมา

“ใช่!”

“เฮ้ย!! ไม่จริง ไม่ใช่ของใครทั้งนั้นแหละ เอาคืนมา!!”

“ตอนเมาเมื่อวันก่อนไง!!”

“อืม.... จำไม่เห็นได้ เอาคืนมา!!”

“พี่ไห่! ผมถามจริงๆ!!”

“เออ! ใช่ แล้วไง เอาคืนมาได้แล้ว!”

“ผมขอโทษนะ แต่ผมจะบอกว่าผมแอบอ่านไปแล้ว”

“จนจบ?”

“อืม...”

“เฮ้อ..... ”
สุดท้ายจินไห่ก็ยอมจำนนโดยดี เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างยอมแพ้และมีอาการหน้าซีดเล็กน้อย

“พี่ไห่... ผม.....ข้องใจ ผมไม่คิดว่าคนที่เขียนเป็นพ่อพี่ พอมาคิดทบทวนดีๆ แล้ว....... มันทำให้ผมไม่อยากคิดต่อยิ่งได้อ่านบทสุดท้ายของบันทึกเล่มนี้...” ต้นน้ำมีแววตาสับสนมากขึ้นไปในแต่ละคำที่พูด

“.......” จินไห่นิ่งเงียบ ยิ่งเห็นแววตาอีกฝ่าย

“ความจริงผมก็แค่อยากยืนยันว่ามันอาจจะเป็นเพราะพี่เมาก็เลยพูดอะไรมั่วซั่ว แต่พอพี่ยอมรับแบบนี้ ทำให้ผมคิดต่อไปไม่ถูก”

“บทสุดท้ายที่เขียน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และการแยกจาก.....ใช่ไหม? ตอนพี่อ่านก็รู้สึกแบบเดียวกันนั่นแหละ” จินไห่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงและสีหน้าที่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้ แต่ตอนนี้บรรยากาศในห้องมันแสนที่จะหนักอึ้ง

ต้นน้ำหลังจากฟังอีกฝ่ายจนจบประโยค เขาก็ถือสมุดเล่มนั่นด้วยมือข้างหนึ่งและพลิกเปิดไปถึงหน้าท้ายๆของบันทึกและอ่านออกเสียง

“คืนสุดท้าย ก่อนจากลา ผมขอกลับไปอำลาเขาคนนั้นที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม เขากอดผมด้วยท่าทีอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ ไออุ่นจากอีกฝ่ายโอนถ่ายมาให้ผมจนผมรู้สึกดีไปหมด อากาศฤดูหนาวในยามทิวาย่างราตรีไม่ได้ทำให้ตัวผมรู้สึกตัวสั่นเลย แต่ที่ตัวสั่นใจเต้นแรงเพราะอ้อมกอดของคนตรงหน้ามากกว่า เขาเปลี่ยนท่าโดยใช้มือมาจับที่ใบหน้าผม ทำให้เห็นว่าดวงตาของคนฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยน้ำรื่นปริ่มขอบดวงตา และน้ำอุ่นๆ นั่นก็ไหลลงมาอาบแก้ม และหยดลงมาที่ร่างของผม มันทำให้ผมร่างกายอ่อนระทวยไปหมด ผมไม่เคยเห็นนักเลงหัวไม้อย่างเขาเปราะบางเหมือนแก้วร้าวๆแบบนี้มาก่อนเลย เขากดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีกปากของผมอย่างแผ่วเบา ผมตกใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เหมือนไฟแห่งความต้องการที่มันคุกรุ่นอยู่ยิ่งกระพือแรง ลิ้นที่ชอนไชกวาดต้อนรอบลิ้นของผม มันเหมือนลมที่ช่วยพัดเปลวไฟให้โหมแรงขึ้นอีก ผมรู้ตัวอีกทีผมก็มอบสิ่งที่ผมไม่เคยนึกว่าจะให้กับใครได้อีกให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว.............”

ต้นน้ำหยุดตรงนี้และมองหน้าที่นิ่งเงียบของอีกฝ่าย

“สัญญาที่ให้กันว่า เมื่อถึงเวลาเราจะกลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดขวางกัน เราจะกลับมาเจอกันอีกครั้งที่นี่ ที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม....”

ต้นน้ำอ่านต่อด้วยใบหน้าที่ค้นหาคำตอบจากอีกฝ่าย

“ความรักที่ผมมีให้เขามันเชื่อมพวกเราทั้งสอง มันมากมายและไม่มีวันหมด มันเอ่อล้นท่วมทั่วโลกา” จินไห่ท่องประโยคสุดท้ายในสมุดบันทึกเล่มนั่นได้อย่างแม่นยำ ต้นน้ำได้แต่พยักหน้าอละปิดสมุดเล่มนั่นดังพั่บ

ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบตึง ต้นน้ำและจินไห่ได้พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน

“กนธี แปลว่า มหาสมุทร”
“海洋 (ไห่หยาง) แปลว่า มหาสมุทร”

สีหน้าแปลกใจของทั้งสองคนผุดขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจแล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังหลังจากเห็นสีหน้าของแต่ละฝ่ายพักใหญ่

“ในที่สุด สิ่งที่ผมข้องใจตั้งแต่อ่านจบก็เฉลยเสียที” ต้นน้ำพูดด้วยน้ำเสียงยกภูเขาออกจากอก

“พี่นึกว่าเราจะโกรธหรือไม่ชอบเสียอีกที่รู้ว่าเรื่องที่อ่านมาทั้งหมดเป็นเรื่องของพ่อตนเอง” จินไห่ที่ยิ้มได้ไม่เต็มปากทำเป็นฝืนยิ้มเพราะไม่รู้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายใจจริงเป็นอย่างไร

“หากเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่พอนึกย้อนกลับมาดูตัวเองก็เลย เข้าใจ.......ถึงจะรู้สึกผิดแทนแม่ แต่ก็....เข้าใจ เหมือนเรามาสานต่อเรื่องที่ค้างคาของพ่อเลยนะ” ต้นน้ำเดินมาจับมือที่สั่นสะท้านของจินไห่

“อืม...” จินไห่ตอบสั่นๆ ด้วยสีหน้าหมองลงเล็กน้อย

“พี่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คำถามที่ยิงโดยแฟนเด็ก เป็นคำถามที่เขารู้อยู่แล้วว่าจะโดนถาม

“ก็ตั้งแต่เดินมาเห็นต้นไม้ต้นนั้น พี่เลย.... เดินไปทำความรู้จักกับบ้านเรา จึงได้รู้ว่า....” จินไห่ไม่กล้าพูดต่อเพราะรู้ว่าต้นน้ำผูกพันธ์กับพ่อเขาขนาดไหน

“พ่อผมเสียแล้ว..... แต่... พ่อพี่ก็.....” ต้นน้ำเติมคำให้จบประโยคและเผลอพูดคำที่เขารู้อยู่แล้วแต่พยายามเลี่ยงมาตลอด เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยผูกพันธ์กับพ่อตนเองเท่าไหร่ ยิ่งมาเจอเรื่องแบบนี้คงยิ่งทำใจลำบาก

“อืม.. ไม่เป็นไรหรอก คนตายไปแล้ว พี่อโหสิกรรมให้หมดแล้ว” จินไห่พูดพลางมองไปที่หิ้งหลังตู้ที่วางไว้เหมือนไม่จงใจให้ใครมาสังเกตุเห็น

ต้นน้ำมองตามสายตาที่เหม่อลอย

“อยากบอกนะว่า.......”

“ใช่! อัฐิพ่อพี่เอง!!”

“นี่พี่ให้ผมนอนอยู่กับพ่อพี่ตลอดเวลาเลยเหรอ แม้แต่เวลาที่เราที่......”

“คิดมากด้วยเหรอ?”

“แหม... มันก็....นะ นั่นพ่อพี่นะ....”

“คนตายไปแล้วจะไปรู้เห็นอะไร?”

“...........” ต้นน้ำยิ้มไม่ออก ไม่สามารถคิดมุกอะไรเลย ในหัวว่างเปล่าไปหมด วันนี้เจอแต่เรื่องประหลาดใจ

“ต้นน้ำ.... ถึงพี่จะไม่ได้สนิทกับพ่อพี่มากนัก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากทำให้พ่อของพี่.....” จินไห่เปลี่ยนเสียงพูดและหันมามองหน้าต้นน้ำด้วยแววตาขอร้อง

“พี่อยากให้ผมช่วยอะไร?” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจและถามกลับไป จินไห่คงรู้ว่า เขาแพ้สายตาแบบนี้ของจินไห่

“พี่อยากให้พ่อพี่ได้อยู่ในสถานที่ๆ เขาอยากกลับมามากที่สุด” ต้นน้ำที่ได้ยินประโยคนี้เขาก็เข้าใจทันที และพยักหน้าตอบไป

จินไห่เดินไปเอื้อมหยิบโถสีครามสวยขนาดพอดีมืออยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า และโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม

“ขอบใจนะ ที่ฟังคำขอเอาแต่ใจของพี่” จินไห่ส่งรอยยิ้มบางๆ ให้แกาแฟนเด็กกว่าของตน

“นี่... แปลว่า ที่พี่ชอบเข้าทำลับๆ ล่อๆ ที่สวนบ้านผมเพราะแบบนี้” ต้นน้ำทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ก่อนพูดออกมา

“อืม..... ก็.... จริงล่ะ แต่ต้นไม้ต้นนั้น มันฮิตมากเลยนะ ไม่เคยมีช่องว่างให้พี่ได้ปฏิบัติภารกิจเลย

“นั่นไง!! ก็เคยสงสัยอยู่ว่า ไอ้ต้นไม้ใหญ่ๆ น่ากลัวๆ แบบนั้นทำไมพี่ถึงได้ชอบไปอยู่นัก” ต้นน้ำเสียงดัง

“พอได้มาสนิทกับบ้านต้นน้ำ พี่ก็เลยคิดว่า พี่ควรจะขอก่อน แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที” จินไห่พูดพลางลูบโถอัฐิไปมาแก้เขิน

“ไม่ใช่ว่าเพราะผมต้องไปดูแลบ่อยหรอกเหรอ พี่กลัวผมสังเกตุว่ามีร่อยรอยการขุดมากกว่า เฮ้ย! ผมเคยจับได้ว่าพี่ถือจอบถือเสียมมาด้วยนี่หว่า!!”

“เกลียดนักคนรู้ทัน” จินไห่กรอกตาใส่ต้นน้ำรอบกว่า

“เกลียดจริงน่ะ?”ต้นน้ำถามหน้าทะเล้น

“ยังจะถามอีก! ไอ้เด็กบ้า!!” จินไห่อยากจะตีคนตรงหน้า แต่มือไม่ว่างจึงได้ทำท่าฟึดฟัดใส่

ต้นน้ำยิ้มตอบอย่างทะเล้นเล่นหน้า พร้อมคิดว่าคนๆนี้ ทำอะไรก็น่ารักไปหมด

……………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 19 part 3) 17 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-06-2021 16:00:02
ทั้งสองเดินถืออุปกรณ์ขุดดินทั้งจอบทั้งเสียม ทั้งโถอัฐิมายังจุดหมาย ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สวนหลังบ้านของต้นน้ำ พวกเขาเดินวนรอบโคนต้นไม้เพื่อหาจุดที่น่าจะฝังโถอัฐิของพ่อจินไห่ที่เหมาะสม หลังจากทบทวนพิจารณาอยู่นาน ทั้งสองคนก็ตกลงกันว่าจะขุดที่จุดซึ่งตรงกับภาพในสมุดบันทึกมากที่สุด

จุดที่ยืนอยู่แล้ว สามารถมองเห็นหลังคาบ้านของทั้งสองหลัง ที่ๆ เขาน่าจะมาพรอดรักกัน....

ทั้งสองคนลงมือขุดอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้แม่ของต้นน้ำสังเกตุเห็น

“ดินแถวนี้ร่วนดีจังนะ สงสัยว่าพวกชาวบ้านที่บูชาเจ้าพ่อต้นไม้น่าจะชอบมาขุดเอาดินไปบูชาหรือเปล่า?” จินไห่ขุดไปพูดไปด้วยท่าทางแปลกใจ

“ไม่นะพี่! ชาวบ้านพวกนั้นไม่น่าจะมีเวลาขุดนะ แค่เริ่มต้นจุดธูปบูชา แม่ผมก็ส่งผมมาเก็บแล้ว!” ต้นน้ำก็ทำแบบเดียวกัน

“แล้วอย่างนี้แม่เราไม่ว่าเหรอที่เรามาทำแบบนี้!!”

“คงไม่ แม่น่าจะจำผมได้ แก่แล้วสายตาน่าจะยาว ผมเคยจ้างเด็กในบ้านมาทำความสะอาดให้ แม่ยังรู้เลยว่าไม่ใช่ผม โดนดึงหูแทบขาด หากแม่รู้ว่าเป็นผมคงไม่เป็นไร แม่ชอบเสียด้วยซ้ำ!!” ต้นน้ำพูดอย่างภูมิใจในแม่ตนเอง จินไห่ได้แต่เบะปากหมั่นไส้

เก็งงงง!!!

เสียงเหล็กปะทะกันผ่านรอยดินที่โดนเสียมทิ่มแทงผ่านหน้าดินลงไป สร้างความประหลาดใจแก่คู่รักอย่างมาก พวกเขาสองคนมองหน้ากันประหลาดใจ

“อะไรน่ะ?” จินไห่ถามตาโต

“โห!! พี่ถามผม ผมจะไปถามใคร?”

“ก็นี่มันสวนบ้านต้นน้ำนะ!”

“ผมเคยมาแค่ทำความสะอาด ผมจะรู้ไหมว่ามีอะไรฝังอยู่!!”

“ไม่ใช่ใครมาแอบฝังศพใครที่นี่นะ!”

“พี่ก็พูดเสียน่ากลัว!!” ต้นน้ำพูดจบก็ถอยมาครึ่งก้าวด้วยแววตาหวาดหวั่น

“แล้วมันอะไรล่ะ!?!” จินไห่หน้าถอดสีและถอนเสียมที่เสียบทิ่มอยู่ออกจากหน้าดิน

“หรือเป็นสมบัติของบรรพบุรุษ!! รวยแล้วเรา!” ต้นน้ำพูดอย่างร่าเริง

“อันนั้นยิ่งไม่น่าเป็นไปได้!!” จินไห่เถียง

“ไม่งั้นแม่ผมไม่หวงให้ผมมาดูแลบ่อยๆ หรอก!!”

“.......อืม..... ก็น่าคิด....”

“ขุดต่อเหอะพี่!!”

“หรือเป็นสิ่งที่แม่หรือคนที่บ้านต้นน้ำไม่อยากให้ใครรู้!!”

“แต่ผมอยากรู้ ขุดต่อ!!” ต้นน้ำไม่ฟังเสียงทัดทานจากจินไห่ เขาตั้งหน้าตั้งตาขุดอย่างตั้งใจ

หลังจากขุดหน้าดินขึ้นมากองโดยรอบหลุมที่ขุดลึกไปกว่า 3 ฟุตโดยประมาณก็เผยให้เห็นกล่องอลูมิเนียมขนาดเท่ากับหนังสือเรียนเล่มหนาๆสักเล่มในห้องสมุด ตัวกล่องสีเงินกึ่งแวววาว จับวางอย่างมีระเบียบอยู่ที่ก้นหลุม ตัวกล่องเหมือนสั่งทำพิเศษเพราะไม่ทียี่ห้อหรือโลโก้ใดๆ บนตัวกล่อง

ต้นน้ำหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ตัวกล่องน้ำหนักเบากว่าที่คิด และผิวภายนอกยังคงแวววาวแม้จะมีคราบดินติดกรังอยู่มาก  มีเพียงแต่รอยที่เสียมและจอบที่ไปสัมผัสตอนทั้งสองขุดดิน

“พี่ว่า...... วางไว้ที่เดิมเหอะ เดี๋ยวไปใช้พื้นตรงอื่นก็ได้”  จินไห่เริ่มรู้สึกไม่ดีที่เข้ามาทำแบบนี้ในพื้นที่บ้านคนอื่น ถึงสภาพกล่องมันจะไม่ได้เก่ามากแต่การที่ถูกฝังอย่างบรรจงตั้งใจใกล้รากไม้ขนาดนี้ น่าจะมีเหตุผลหรือมีความหมายอะไรสักอย่าง หากกล่องนี้เป็นโถอัฐิของบิดาของเขา เขาก็คงจะโกรธมากหากมีคนมาทำแบบนี้

“แต่นี่มันก็บ้านผมนะ ผมมีสิทธิ์รู้ป่าววะ?” เมื่อได้ยินไอ้ตัวแสบพูดแบบนี้ จินไห่ถึงกับจะโผเข้าไปหยุดการกระทำต่อไป เพราะดูจากท่าทางแล้ว ต้นน้ำน่าจะกำลังเปิดกล่องดังกล่าวแน่นอน

ป้อก!!

ช้าไป จินไห่ที่อยู่อีกฝากของหลุม ไม่สามารถเข้ามาห้ามการกระทำที่ไม่เคารพต่อเจ้าของกล่องแบบนี้

“พี่ไห่......” ต้นน้ำหน้าซีดเผือดจนเกือบไร้เลือดหล่อเลี้ยง

“อะไร?” จินไห่รีบก้าวเท้าเข้าไปใกล้

สิ่งที่อยู่ในกล่องคือ โหลแก้วขนาดเล็กที่บรรจุผงละเอียดปนหยาบสีเทาอ่อน และกระดาษที่พับเป็นสี่ทบวางซ้อนกันอยู่หลายแผ่น กระดาษแต่ละแผ่นเป็นสีเหลืองอมส้มเปื่อยย่น แต่ละใบมีลายมือที่คุ้นตาอยู่ที่มุมกระดาษทุกใบ

จินไห่เห็นแบบนั่นไม่รอช้า เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่กางอย่างระมัดระวัง

กระดาษแผ่นบนสุดเป็นรูปวาดร่างด้วยดินสออย่างละเอียดละออ ด้วยลายเส้นแบบนี้ จินไห่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลายเส้นของใคร ภาพที่ร่างนั้นเป็นหน้าชายหนุ่มที่คุ้นตา หล่อเหลา และอ่อนโยน รอยยิ้มที่ถูกวาดลงไปในกระดาษวาดรูปแผ่นหนานี้มันชวนให้คิดถึงใครบางคนที่เขาแสนจะผูกพันธ์

“ป๊า.....” ต้นน้ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“ห๊ะ!!” จินไห่หันควับมายังใบหน้าที่ซีดเผือกอยู่

“ผมเคยเห็นรูปป๊าตอนสมัยเรียน..... นี่มันป๊าของผมไม่ผิดแน่!!” จินไห่หลังจากที่ได้ยินต้นน้ำกล่าวแบบนี้จบ เขาก็ไม่รอช้าที่จะหยิบกระดาษแผ่นถัดๆไป มาคลี่กางจนครบ แต่ละใบมีทั้งที่เป็นรูปบ้านสวน ภาพต้นไม้ และ บ้านคุณปู่ คุณย่าของเขาที่ใต้หวัน.....

“หรือว่า.......” จินไห่มองลงมาที่ขวดโหลขนาดเท่ากำมือเด็กซึ่งตอนนี้เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในกล่อง

“ผมเองตกใจนะ เพราะคิดอย่างที่พี่คิดนั่นแหละ แต่....ผมไปลอยอังคารกับแม่มาแล้วนะ ทำไม.......?” ต้นน้ำทำสีหน้าครุ่นคิด

“ทำอะไรกันน่ะ!!”

เสียงแหลมตะโกนแหวกอากาศมาถึงต้นน้ำและจินไห่ที่ยืนครุ่นคิดจนลืมระแวดระวังเจ้าของบ้านตัวจริง ที่ตอนนี้เดินดุ่มมาที่พวกเขาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

ด้วยความตกใจของต้นน้ำ เขาจึงทำได้เพียงปิดผนึกกล่องและวางลงที่เก่าอย่างลวกๆ ในระหว่างที่แม่ของเขาตรงดิ่งมาที่เขาเหมือนมิสไซต์วิ่งพุ่งชนเป้าหมาย

“ไม่มีอะไรแม่ ผมก็มาทำความสะอาดเหมือนปกติ!!” ต้นน้ำรีบตอบกลับไปเผื่อจะช่วยชะลอความเร็วของแม่ตนเองที่ตอนนี้มาอยู่ในระยะที่มองเห็นพวกเขาชัดแล้ว กองดินไม่เป็นระเบียบเหล่านี้คงปิดอะไรคุณแม่ที่แสนเฉลียวฉลาดของต้นน้ำไม่ได้

“พี่ออม… สวัสดีครับ ผม.....แค่พยายามช่วยจัดการพวกที่ทำไม่เป็นระเบียบน่ะครับ ไม่รู้ใครมาขุดหลุมอะไรเต็มไปหมด!” จินไห่รีบช่วยพูด

“อ้าว!! น้องไห่! ขอบใจนะ เมื่อครู่ว่าอะไรนะ ว้าย!!” ดูเหมือนจะสายไป แม่ของต้นน้ำได้เขามาอยู่ระยะที่มองเห็นความวอดวายที่พวกเขาได้ทำแล้ว เธอกรีดร้องด้วยความตกใจเสียงดังลั่น ต้นน้ำรีบยกมือขึ้นปิดหูอย่างรู้ทัน ผิดกับจินไห่ที่ตอนนี้ได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในรูหู จินไห่รู้สึกเสียวแปลบจนต้องยกมือขึ้นมาถูใบหูตนเองไปมาช้าๆ

“ใครมาทำอะไรแบบนี้!!” คนเป็นแม่ทำท่าเหมือนจะเป็นลม วิ่งมาสำรวจโดยรอบเหมือนโจรขึ้นบ้าน

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ดูสิกระถางธูปยังอยู่เลย” ต้นน้ำชี้ไปที่กระถางธูปเก่าๆ ที่ไม่รู้ใครเอามาวางไว้นานแล้ว คงเป็นพวกที่มีความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อต้นไม้ใหญ่พวกนั่น ที่ชอบมาบนเรื่องความรัก

“ใครจะไปห่วงของพรรณนั่น!! ลูกคนนี้!! ว้ายๆๆ”. คุณแม่แผดเสียงด้วยความตกใจไม่หยุด เพราะตอนนี้เธอเดินมาถึงจุดที่พวกเขาขุดหลุมไว้เสียเห็นชัด

คุณแม่รีบก้าวลงไปในหลุมด้วยความเร็วที่เกินกว่าที่ต้นน้ำและจินไห่จะคว้าเธอได้ทัน

“แม่อันตราย!!” ต้นน้ำร้องเสียงหลง

“เฮ้อ.... โชคดี ยังอยู่!!” แม่ต้นน้ำผ่อนลมหายใจและปาดเหงื่อที่ไหลผ่านหน้าผากจนมือที่เปื้อนดินโรยเปรอะไปทั่วหน้า เธอโอบกล่องสแตนเลสเปื้อนดินอย่างทะนุถนอม

“แค่กล่องเก่าๆ ไม่เห็นมีค่าอะไร” ต้นน้ำเปรยใส่แม่ แต่ดวงตากลับมีแสงวาบด้วยความเจ้าเลห์และแน่นอนที่จินไห่เห็นทันสายตาเหล่านั้น

“นี่มันของดูต่างหน้าพ่อแก มันจะไม่มีค่าได้ยังไง!!” แม่ตวาดกลับมา แต่ก็ต้องตกใจ เพราะเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

“อะไรนะ!!” บางสิ่งที่นึกไว้แล้วก็เฉลยออกมาต้นน้ำถึงกับอุทานออกมา

“อืมมมมม แกจะไม่รู้ก็ไม่แปลก ก็ตอนแม่ทำตามที่พ่อแกสั่งเสีย แกก็เอาแค่เก็บตัวอยู่ในห้องนี่นะ!!” สิ่งที่แม่เขาพูดกระตุ้นให้เซลสมองของเขาทำงานนึกภาพย้อนกลับไปเกือบสองปี ในช่วงวันที่พ่อเขาเสียให้กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง

ต้นน้ำสนิทกับพ่อมาก พ่อปกปิดอาการป่วยของตนเองกับต้นน้ำโดยตลอด จนกระทั้งวันที่ป่วยหนัก กว่าจะรู้ว่าพ่อตนเองป่วยเป็นอะไร มันก็เหลือเวลาอยู่กับพ่อน้อยเต็มที

พ่อเขาพูดแค่อยากให้ต้นน้ำใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ดีกว่าเอาเวลามาห่วงใยดูแลไม้ใกล้ฝั่งอย่างตนเอง ซึ่งเป็นคำพูดที่เขาโกรธมาก และโกรธที่สุดคือตัวเขาเอง เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปีหนี่งและปีสอง ช่วงที่วัยรุ่นวัยเรียนอย่างต้นน้ำมีกิจกรรมมหาวิทยาลัยมากมายพอๆ กับการบ้านและการเรียน เขาโกรธตัวเองที่ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพ่อตนเอง พ่อเขาอ่อนแอลง ป่วยบ่อย ไปโรงพยาบาลบ่อย ซูบผอม เขามันไม่ใส่ใจเอง เขาสูญเสียพ่อไปทั้งๆที่เขายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณของท่านเลย

ต้นน้ำกักเก็บน้ำตาที่เกือบล้นเขื่อนของตนเองไว้ ที่ครั้งนี้เขานึกถึงเรื่องนี้ มันเหมือนมีใครเอาไฟมาลนสะกิดแผลเก่าให้ต้องเจ็บปวด เขาฝืนเต็มที่เพราะตอนนี้เขามีหน้าที่พิเศษรือเป็นนักสืบให้กับแฟนตนเอง

“งั้น....” ต้นน้ำพูดเสียงสั่นหลังจากพยายามกลืนเสียงสะอื้นตนเองลงคออย่างยากลำบาก จินไห่ได้แต่สั่นหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งหยุดฝืนแล้วพอแค่นี้

“เฮ้อ...... พ่อแกก็ไม่รู้อะไร..... รักต้นไม้ต้นนี้อะไรหนักหนา สั่งเสียว่าหากตายให้เอาเถ้ากระดูกมาฝังใต้ต้นไม้ต้นนี้ พร้อมกับพวกข้าวของเก่าๆ ในกล่องเนี้ย!!”  แม่พูดไปมือก็ลูบกล่องเย็นเปื้อนดินที่ตนเองโอบกอดไว้ไป แววตาเหม่อลอยเหมือนจมไปกับความทรงจำอันขมขื่นในอดีต

“แม่.....” ต้นน้ำเรียกสติแม่ตนเองกลับมาด้วยเสียงอันสั่นรัว

“แม่รักพ่อขนาดนี้เลยถึงได้ยอมทำตามคำขอแปลกๆ ขนาดนี้” ต้นน้ำกลืนก้อนอากาศขมๆลงคอและกล่าวต่อ พร้อมมองดวงตาผู้เป็นมารดาที่เริ่มแดงฉ่ำ

“รักสิ! แม้ว่าเราจะแต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่ แต่พ่อแกเป็นสุภาพบุรุษมากนะ ดูแลแม่แกดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงได้มีแกออกมานี่ไง แล้วพ่อแกไม่รักแกหรือไง?” แม่ปาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มอย่างไม่ตั้งใจ เธอมองมายังจินไห่อย่างขอโทษและละอายที่ตนแสดงความอ่อนแอให้คนนอกจากจินไห่เห็นและดูอึดอัด

“รักสิ พ่อรักผมมาก ชื่อผมพ่อก็เป็นคนยืนกรานตั้งให้ ทั้งๆที่อาม่าอยากจะตั้งให้สอดคล้องกับชื่อตระกูล .....” ต้นน้ำตาโตเหมือนนึกอะไรออกเมื่อพูดมาถึงจุดนี้

“ชลธร....” ต้นน้ำพูดชื่อตนเองด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างในอกเหมือนปลดล็อกออกมา จนร่างกายรู้สึกเบาขึ้น เขาผ่อนลมหายใจและมองไปที่หน้าของจินไห่ที่ยิ้มบางๆ และพยักหน้าเบาๆ

“แปลว่า มหาสมุทร เหมือนพ่อแกไง” แม่พูดเสริมประโยคที่เหมือนจะขาดหายไปของต้นน้ำ

ต้นน้ำยิ้มรับ ในที่สุด เขาก็ปลดปมในใจตนเองออก อะไรที่ค้างคาอยู่แค่เขานึกไม่ออกมานานแสนนาน เหตุใดต้องตั้งชื่อเขาให้เหมือนกับตนเองขนาดนี้ มันควรจะมีส่วนผสมของพ่อและแม่สิ  เขาเคยถามแม่หลายครั้ง ว่าทำไม่ไม่เอาชื่อมาร่วมตั้งด้วย “พรนภา” พรจากฟ้า แต่พ่อเลือกที่จะตั้งให้ชื่อเป็น “มหาสมุทร” แต่.... ไม่ใช่เพื่อให้เหมือนตนเอง…

“พ่อแกยืนกรานว่าหากได้ลูกชายจะตั้งขื่อนี้ แม่ก็ถามว่าหากเป็นลูกสาวล่ะ? พ่อแกก็บอกว่าค่อยมาคิดกัน” แม่พูดเสริมอย่างปลงๆ ต้นน้ำรู้ว่าแม่คงเข้าใจว่าคนไทยเชื้อสายจีนต่างชอบลูกชายมากกว่าจึงใส่ใจกับชื่อลูกชายมากกว่า คนที่อยากมีลูกสาวอย่างแม่เลยชอบทำท่าเซ็งๆ เมื่อต้องรับมือกับลูกชายสุดเฮี้ยวอย่างต้นน้ำ

ต้นน้ำคิดขึ้นมาในใจ ‘พ่อไม่ได้ต้องการตั้งชื่อให้เหมือนตนเอง แต่ตั้งให้เหมือนรักแรกของพ่อมากกว่า...’ ต้นน้ำฝืนยิ้มให้แม่ ตอนนี้เขารู้สึกทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน

รู้สึกดีที่พ่อรักตนเองมากขนาดตั้งชื่อให้เหมือนกับรักแรก แต่ก็รู้สึกแย่กับแม่ของตนที่พ่อเลือกที่จะทำเช่นนี้

จินไห่ที่โอบกอดโถอัฐิบิดาของตนเองได้แต่นิ่งเงียบเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขารู้สึกแบบนี้เหมือนกันเมื่อเขาได้อ่านบันทึกนี้จนจบ พ่อเขาเป็นคนดี แต่งงานก็มีชีวิตครอบครัวที่ดี แม้ว่าพ่อเหมือนจะฝืนๆ ตลอดเวลาที่อยู่กันเป็นครอบครัว แม้ว่าจินไห่จะไม่ได้สนิทกับพ่อมากนัก แต่เขาก็รู้ว่า พ่อทำหน้าที่ของตนได้ดีและแอบสงสารผู้เป็นมารดาตนเองจับใจ เมื่อจินไห่สืบทราบว่า พ่อตนทำตามหน้าที่ที่ผู้ใหญ่มอบหมายมากกว่าความรักฉันท์ครอบครัว เหมือนครอบครัวอื่น จินไห่เข้าใจความรู้สึกของต้นน้ำตอนนี้ดี และเขาก็เข้าใจความรู้สึกของบิดาดี ความรักแบบนี้มันผิดมากมายนักหรือ? ทำไมถึงสมหวังไม่ได้

“แกเองก็ต้องมีครอบครัวสักวัน ทำให้ได้สักครึ่งของพ่อแกก็ยังดี ไม่ใช่เกเรแบบทุกวันนี้ ให้เกียรติผู้หญิงบ้างเถอะ เห็นสาวๆในสังกัดแกแล้วอดสงสารไม่ได้ ไปได้นิสัยแบบนี้มาจากใครนะ” แม่บ่นพึมพำพลางส่ายหน้าใส่ต้นน้ำ เพื่อลดบรรยากาศความเศร้าโศกลงบ้าง

แต่คำพูดแบบนี้กลับเหมือนมีดไปทิ่มแทงจิตใจของพวกเขาทั้งสองคนมากกว่า มันเจ็บจี๊ดที่กลางอกจนเผลอทำหน้าอึดอัดออกไป

“พอๆ กลบให้เรียบร้อยเหมือนเดิมที!!” แม่ของต้นน้ำวางกล่องสแตนเลสลงอย่างนิ่นนวลและหันหน้ามาสั่งต้นน้ำก่อนจะเดินจากไปด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า เพราะทิ้งงานที่โต๊ะทำงานมาพอสมควรแล้ว

“พี่ไห่.... ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ต้นน้ำเอ่ยขึ้นเมื่อแม่ของตนเองเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว เขาพบว่าแฟนป้ายแดงของตนเองมีใบหน้าที่หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เหมือนสิ่งที่ได้ยินได้รู้เมื่อครู่ได้ดูดทุกสรรพสีของใบหน้าจินไห่ไปจนหมดสิ้น

“อืม” จินไห่พยักหน้าและหันใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ แก่ต้นน้ำ ทำให้ต้นน้ำพอจะอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

“พี่ไห่...... ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร เรื่องของเราสองคนก็ไม่มีวันเปลี่ยนนะครับ ความรู้สึกของผมต่อพี่ยังคงเหมือนเดิม” ต้นน้ำเดินมาจับมืออีกฝ่าย มือที่เย็นเยียบบ่งบอกถึงสภาพจิตใจของจินไห่เป็นอย่างดี

“อดีตคือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว พี่ไม่กังวลอะไร เรื่องของพ่อเราสองคนก็ให้มันจบและรู้กันแค่เราสองคนเถอะ แต่ปัจจุบันต่างหากที่พี่กังวล” จินไห่เหมือนมีอากาศที่อัดตัวเป็นก้อนอยู่ในปอด จนอึดอัดหายใจไม่ออก

“ผมก็ไม่คิดจะบอกเรื่องของพ่อให้แม่ฟังอยู่แล้ว ให้แม่เขามีความทรงจำที่มีความสุขไปเถอะ ส่วนเรื่องของเรา.....” ต้นน้ำที่เคยมีความมั่นใจกลับไม่กล้าคิดต่อว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ที่ผ่านมาเขาคิดแต่การได้อยู่กับคนที่เขารักอย่างมีความสุข จนลืมไปว่าความเป็นจริงมันช่างโหดร้ายมาก สภาพครอบครัวที่เป็นลักษณะอนุรักษนิยมแบบจีนแท้ของครอบครัวของต้นน้ำ คงจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่พอควรที่ก้าวข้ามได้ยาก โดยเฉพาะแม่ของเขาเองที่แอบพูดความคาดหวังไปแล้วเมื่อครู่

“พี่น่ะ...ไม่มีญาติพี่น้องที่นี่แล้ว.... ไม่เท่าไหร่....แต่....” จินไห่พูดลอยๆ ขึ้นมาขณะที่ต้นน้ำยังคงคิดอะไรในหัวสมองพัลวันเหมือนเถาวัลย์ในป่าดงดิบ แต่เสียงและรอยยิ้มบางๆ ของคนตรงหน้าช่วยให้เขากลับมาสู่ปัจจุบันได้

“ช่างมันเถอะ พี่ไห่ เราอยู่กับปัจจุบันก่อนไหม?” ต้นน้ำหยิบจอบเตรียมขุดดินต่อ เขาสะบัดศรีษะอย่างแรงเพื่อไล่ความเชิงลบออกไป

จินไห่พยักหน้าเห็นด้วยและช่วยต้นน้ำจนเสร็จสิ้นภาระกิจ ตอนนี้โถอัฐิสีอำพันซีดลงไปอยู่คู่กับกล่องสแตนเลสสีเงินภายใต้ผืนดินใกล้ตีนต้นไม้แห่งความทรงจำเรียบร้อย ในที่สุดทั้งสองคนก็กลับมาพบกัน และอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งคำสัญญา

ต้นน้ำเดินไปโอบกอดจินไห่ที่เริ่มมีน้ำรื้นล้นขอบดวงตา จินไห่เอียงคอไปรับไหล่ที่แทรกตัวเข้ามาใกล้

ตอนนี้ทั้งสองคนต่างภาวนาขึ้นพร้อมกันว่าความสัมพันธ์ของเขาจะมีจุดที่ต่างกันกับพ่อของเขาทั้งสองคน


..........................
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 19 part 3) 17 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-06-2021 16:18:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 1) 22 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-06-2021 17:40:19
บทที่  20

Life is beautiful?



เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังสนั่นลั่นห้อง ต้นน้ำสะบัดพลิกตัวไปกดรับด้วยปฎิกิริยาอัตโนมัติ ทั้งที่ร่างยังคงหนักอึ้งจากการออกกำลังยามค่ำคืน ดวงตาที่สะลึมสะลือหนักอึ้งก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเสียงปลายสายดังขึ้นมาด้วยประโยคที่ไม่คุ้นเคย

“แม่เอง!! อยู่บ้านไหมเนี่ย แม่ทำอาหารมาให้ เห็นแกไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่ปิดเทอมเนี่ย เคยคิดถึงแม่บ้างไหม!!” 

‘เชี้ย!!’ ต้นน้ำสบถในใจ สภาพเขาตอนนี้ไม่พร้อมที่จะให้แม่เดินเข้าบ้านเลย

“เช้าแล้วเหรอ? โหย...เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ขาสั่นไปหมดแล้ว ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ” เสียงคนเปลือยกายภายใต้ผ้าห่มนอนอยู่เคียงข้าง โอดครวญงึมงำจนแทบไม่ได้ศัพท์ ทำให้ต้นน้ำตกใจรีบพูดเสียงดัง

“เมื่อคืนผมทำงานจนดึกก็เลยเพิ่งตื่นครับแม่!! แม่วางของไว้หน้าบ้านก็ได้ เดี๋ยวผมอาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วค่อยลงไปกินนะ”  เสียงที่ดังของต้นน้ำเรียกสติของจินไห่ให้กลับมา เขาไม่เพียงรีบลุกขึ้นมายืน แต่ยังใส่เสื้อผ้า ใช้มือสางผมอย่างลนลาน

“นี่แม่อุตส่าห์มาหา แกไม่คิดจะลงมาเจอกันหน่อยเหรอ ขนาดบ้านอยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว แกยังไม่มีแก่ใจเดินไปหาฉันเลย!!” แม่โวยเสียงดังจนได้ยินเสียงจากทางหน้าบ้านแทรกมา

“ครับๆ เดี๋ยวผมอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ” ต้นน้ำพูดพลางก้มลงดูสภาพตัวเองที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อและคราบน้ำแห้งเกรอะกรัง ที่ละเลงใส่กันเมื่อคืน และเหนื่อยจนเผลอหลับไป

ตั้งแต่วันนั้น วันที่ต้นน้ำและจินไห่ฝังเถ้ากระดูกของพ่อของพวกเขาไว้ด้วยกัน ความรู้สึกสับสนต่างๆ มันก็เข้ามาปนเปในหัวสมองเต็มไปหมด จนเขาซึมลงไปมาก หลายวันติดต่อกัน แต่จินไห่ก็มีวิธีที่จะทำให้ต้นน้ำมีชีวิตชีวาขึ้น แม้จะทำให้เขาเจ็บตัวแทบทุกวันก็ตาม จนกระทั่งกลายเป็นแผนของต้นน้ำไปเสียแล้วที่จะให้จินไห่ตามใจ จินไห่เองก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไร ยอมทำตามอย่างว่าง่ายทุกครั้ง

“ไม่ต้องอาบหรอก ปกติมื้อเช้าแกก็แค่แปรงฟันแล้วก็ลงมากินมื้อเช้าแล้ว จะสำอางค์ทำไมวันนี้!! เออ!! แล้วน้องไห่ล่ะ ไม่เห็นอยู่ที่ร้านเลย” เสียงดังรอดโทรศัพท์มาจนทำให้ต้นน้ำหันไปมองคนที่ผมเผ้ารุงรังไม่ต่างจากตน

“อ้อ... เห็นว่า...ป่วยน่ะครับ” ต้นน้ำเดาจากท่าทางการใบ้ของจินไห่

“ตายจริง!!! เป็นอะไรมากไหมเนี่ย? แล้วแกอยู่ด้วยกันแบบนี้จะไม่ติดพี่เขาเรอะ ช่วงนี้ไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักเลย! กลับไปอยู่บ้านเราก่อนไหม?” แม่ถามกลับมาเป็นชุด

“เอ่อ.....พี่ไห่...แกอยู่คนเดียวนะแม่น่าสงสารออก ผมอยู่ด้วยจะได้ช่วยดูแล” ต้นน้ำตอบกลับไปด้วยอาการอึกอัก จินไห่ทำได้แค่ระบายลมออกจากปาก

“อย่างแกจะไปดูแลใครเขาได้ เป็นภาระละมากกว่า แต่… เออๆ แล้วแต่แก!!” หลังจากประโยคของต้นน้ำ แม่ของเขาก็นิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบออกมาอย่างปลงๆ กับความดื้อรั้นของลูกชายตนเอง

“ขอบคุณครับ” จินไห่เผลอพูดออกไป ต้นน้ำหันไปหาคนพี่ด้วยอาการหน้าถอดสี

“อ้าว!! อยู่ด้วยกันเหรอ? ลุกไหวไหมมากินข้าวด้วยกันเลย!!”

“อย่าเลย แม่ ให้พี่เขานอนพักเหอะ!” ต้นน้ำรีบพูดแทรก

“แกชื่อจินไห่?!?” แม่สวนมาด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

“เอ่อ...” ต้นน้ำพูดอะไรไม่ออก เดาว่าแม่เริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว

“แล้วแกจะให้ฉันยืนอยู่หน้าบ้านนานแค่ไหน? ลงมาเปิดประตูเสียที!!” แม่โวยลั่นโทรศัพท์

“ครับๆ” แล้วทั้งสองคนก็รีบจัดการตัวเองและห้องให้เรียบร้อยก่อนจะลงไปรับแม่ของต้นน้ำที่หน้าบ้าน

............


“อาหารอร่อยไหมจ๊ะ” เสียงหวานๆ ที่แม่ใช้สำหรับจินไห่ดังขึ้นเมื่อจินไห่ตักโจ๊กคำโตเข้าปากด้วยความเกรงใจ

“พูดเหมือนทำเองเลยเนอะ” น้ำเสียงเชิงเสียดสีที่ต้นน้ำใช้กับแม่เพราะความสองมาตรฐาน แม่ไม่เคยถามเขาด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำแบบนี้มานานมาแล้ว จำได้ล่าสุดก็ตอน 12 ขวบ

“ทำไมล่ะ ฉันทำเองหรือจะซื้อ มันต่างกันตรงไหน?” เสียงที่หนึ่งของแม่สาดใส่หน้าต้นน้ำจนเขารู้สึกเบื่ออาหารตรงหน้าขึ้นมา เขาวางช้อนถอนหายใจ

“อร่อยครับ” จินไห่รีบตอบด้วยหน้าตาที่อ่อนเพลีย ด้วยหลายวันที่ผ่านมา เขาต้องบริการแฟนเด็กตัวเองเกือบทั้งคืนทุกคืน

“ตายจริง น่าสงสาร!! หน้ายังดูซีดอยู่เลย ทานเยอะๆ เลยนะ มียากินหรือยัง? ไปหาหมอไหมน้องไห่?” แม่ของต้นน้ำแสดงความเป็นห่วงออกนอกหน้า จนต้นน้ำที่เป็นลูกยังรู้สึกหมั่นไส้

เขาก็รู้นะว่าท่าทางตอนตื่นนอนใหม่ๆ ของชายที่นั่งข้างๆ เขามันน่าเอ็นดูน่าทะนุถนอมขนาดไหน เขาอยากจะเข้าไปโอบกอดไว้แน่นและใช้จมูกฟัดแรงๆ ที่แก้มหลายๆ รอบเลย ติดอยู่ที่คุณแม่ที่นั่งเป็นก้างชิ้นใหญ่ และทำท่าเหมือนอยากจะได้เสียเองแบบนี้ มันยิ่งทำให้ต้นน้ำหงุดหงิดเป็นที่สุด

“แม่…ผมไม่อยากได้พ่อเลี้ยงยังหนุ่มแบบนี้นะ!!” ต้นน้ำแซวแรง

“โอ้ย! ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว ไม่เอาแล้ว ผัวเผอเนี่ย แค่เตาะแบบนี้ฉันก็มีความสุขแล้ว!!” ต้นน้ำส่ายหน้ากับคำตอบที่ไม่เคยปิดบังอะไรของแม่ตนเอง

แม่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ โผงผางขวานผ่าซาก เสียงดังและตรงไปตรงมา แบบนี้ถึงได้คุมพวกคนงานผู้ชายได้อยู่หมัด

แต่คนที่ดูเสียอาการมากที่สุดก็คือ จินไห่ เขามักจะมีอาการเขินอายเมื่อเจอแม่รุกหนักแบบนี้เสมอ นั่นยิ่งเป็นเหตุให้แม่ของเขาชอบแซวหนักขึ้น และตอนนี้คนตรงนี้เป็นแม่ของแฟนตัวเอง จินไห่ยิ่งทำตัวไม่ถูกหนักขึ้นไปอีก

“ดูสิ ท่าทางเขินยังน่าเอ็นดู ไม่เหมือนแก!! ไม่ได้พ่อแกเลย ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งคิดถึงพ่อแกเนอะ” คนเป็นแม่ถอนหายใจและมีเหม่อลอยไปช่วงหนึ่งก่อนที่กลับมายิ้มหวานใส่หน้าคนที่ทำหน้าแปลกใจกับประโยคที่เพิ่งกล่าว

“หมายความว่าไงแม่?” ต้นน้ำเปลี่ยนโหมดทันทีที่แม่ของตนเองพูดถึงพ่อ

“เวลาพ่อแกอยู่กับแม่น่ะ อ่อนโยนและสุภาพมากนะ แม้เราจะโดนหมั่นหมายให้แต่งงานโดยที่แทบไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พ่อแกน่ะน่ารักมากเลยนะ เหมือนน้องไห่เลย” แม่คิดไปยิ้มไป

“เหรอ…” ต้นน้ำลากเสียง ในความทรงจำของเขา พ่อเป็นคนดีจริงๆ แต่ในมุมอ่อนโยนนี่ เขาแทบไม่เคยเห็นเลย เขาเคยเห็นแต่มุมของเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็นผู้นำที่เด็ดขาดน่านับถือ ทำงานเก่ง รอบรู้

“แกยังเด็กแกจะรู้อะไร!!” แม่เขาส่งสายตาขุ่นใส่ต้นน้ำ
“นี่นะ จะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือว่าพ่อของเจ้าต้นน้ำน่ะ….” แม่ของต้นน้ำหันไปทำสีหน้าที่ต้นน้ำรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องเม้ามอย และเริ่มต้นประโยค ‘พ่อของเจ้าต้นน้ำ’ นี่มัน…….น่ากลัว

“เฮ้ยๆๆๆๆ หยุดๆๆ ลาลาล่าล่าลาลา…” ต้นน้ำโวยวายเสียงดังให้แม่เขาหยุดเล่าเรื่องที่เขาไม่ชอบให้แม่เล่าให้บรรดาเพื่อนของเธอฟัง เรื่องความสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างแม่กับพ่อของเขาเวลาอยู่ด้วย ไอ้ความหวานหยดเวลาอยู่ด้วยกันมันควรพูดต่อหน้าลูกตัวเองไหม?

“เบื่อจริง! ชอบขัด!! ว่าแต่น้องไห่ ไม่สบายเป็นอะไรมากไหม?” แม่ของต้นน้ำทำตาขุ่นใส่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ก่อนหันไปคุยต่อกับจินไห่ที่ตอนนี้ได้ยิ้มแห้งๆ อยู่ในวงสนทนาแม่ลูกคู่นี้ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนดูละครเวที เสียงดังและเล่นใหญ่ทั้งคู่ เป็นบรรยากาศที่เขาไม่เคยเจอที่บ้านของเขา

พ่อและแม่ของเขาเป็นคนพูดน้อยทั้งคู่ เหมือนจินไห่ก็จะได้รับอิทธิพลเหล่านี้มาด้วย

“ไม่เป็นไรมากครับ แค่อ่อนเพลีย” ประหยัดคำพูดเหมือนเช่นเคย ยิ่งตอนนี้ยิ่งประหม่า สถานะของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปทำให้เขายิ่งทำตัวไม่ถูก

“น่าสงสาร ทำงานก็หนัก ยังต้องมาดูแลลูกพี่ด้วย ลูกพี่มันก็เป็นตัวภาระแบบนี้แหละ” แม่ต้นน้ำเอื้อมมือไปจับมือที่วางช้อนส้อมมามาดๆบนโต๊ะ

“แม่ก็พูดเกินไป ผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย” ต้นน้ำสวนตอบด้วนใบหน้าขมวดคิ้วกอดอก ดวงตาเพ่งไปที่มือของแม่ที่ไปวางแผ่วเบาบนมือของแฟนตนเอง รู้สึกหงุดหงิดแม้จะเป็นแม่ตัวเองก็เถอะ

“ฉันเป็นแม่แกนะ ฉันนี่รู้ดีที่สุดเลย ถามจริง ตั้งแต่แกตื่นนอนยัยนอนหลับ เคยทำอะไรบ้างนอกจากเล่นเกมส์และออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน ใครเป็นคนเช็ดล้างทำความสะอาดห้องให้แก ก็แม่แกนี่ไง” แม่ต้นน้ำเสียงดังยกนิ้วจิ้มไปที่กลางหัวของต้นน้ำหลายครั้ง

ด้วยความที่แม่ของต้นน้ำยังดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก เลยทำให้มีบรรยากาศเหมือนพี่สาวโวยใส่น้องชายมากกว่า และทุกคำพูดของแม่ต้นน้ำ ทำให้จินไห่นึกภาพตามได้เป็นฉาก อย่างกับดูภาพในแผ่นฟิลม์ ทำให้จินไห่อดที่จะหัวเราะออกมากับภาพตรงหน้าไม่ได้

“ดูสิน้องไห่ ยังเห็นด้วยเลย” แม่ของต้นน้ำหัวเราะตาม แต่ต้นน้ำกลับรู้สึกหงุดหงิดจนปากคว่ำใส่แฟนตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ งานที่วานน้องต้นน้ำไว้ก็ยังไม่เรียบร้อย ไม่ได้รบกวนอะไรครับ ยิ่งผมอยู่บ้านคนเดียวด้วยยิ่งไม่ได้รบกวนอะไร” จินไห่ตอบด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์เหมือนเช่นทุกครั้ง ซึ่งบอกตามตรงว่าแม่ของต้นน้ำค่อนข้างแพ้กับความน่ารักที่ยิงใส่อย่างไม่ยั้งแบบนี้
(ต้นน้ำยังอดรู้สึกใจเต้นไม่ได้ น่ารักจริงๆ)

“ไม่เอาหรอกพี่เกรงใจ ที่มาเนี่ยก็ว่าจะพามันกลับแล้ว อยู่กินอยู่ใช้ที่นี่แบบนี้มันจะไม่คุ้มค่าจ้างเอา มาอยู่ตั้งนานขนาดนี้น่าจะใกล้เสร็จแล้วมังใช่ไหม?” แม่พูดจบก็หันไปหาต้นน้ำทันที ต้นที่ยังอึ้งอยู่กับคำตอบของแม่ก็เลยคิดคำตอบไม่ทัน

“ไม่ลำบากหรอกครับ ยิ่งช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายด้วย น้องช่วยดูแลผมได้เยอะเลยครับ” จินไห่ตอบแก้ตัวแทนคนที่ยังนึกอะไรไม่ออก

“ไม่เอาหรอกพี่เกรงใจ พี่รู้จักลูกพี่ดี เป็นภาระเปล่าๆ” ต้นน้ำฟังแม่ตนเองพูดก็ต้องกรอกตาใส่แม่ตัวเอง

หลังนั้นก็เป็นบทสนทนาระหว่างจินไห่และแม่ของต้นน้ำที่มีความเห็นคนละแบบ ต้นน้ำที่อยู่ท่ามกลางสงครามแห่งความเกรงใจจนกระทั้งรู้สึกแปลกใจว่า จินไห่ก็เป็นคนดื้อดึงไม่น้อยหากเพื่อบรรลุสิ่งที่ตนเอง
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 4) 22 มิ.ย.. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-07-2021 06:09:04
ขออภัย สำหรับ บทที่ผ่านมา
มันมีย่อหย้าที่ซ้ำกันอยู่ ขออภัยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 2) 5 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-07-2021 15:18:02


ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ต้นน้ำและจินไห่มีเสียงริงโทนและเสียงโวยวายของแม่ต้นน้ำมาเป็นเสียงนาฬิกาปลุกยามเช้าตรู่แบบนี้ ต้นน้ำที่ได้แต่หงุดหงิดอารมณ์เสียทุกเช้าที่ตนเองต้องถูกปลุกตั้งแต่แสงอ่อนแสงแรกของยามเช้าแบบนี้ติดต่อกันแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่แล้ว

ปกติแม้ต้นน้ำจะอยู่ที่บ้าน แม่ของเขายังไม่เคยปลุกเขาทุกวันแบบนี้ยกเว้นแต่มีธุระที่ต้องใช้งาน มันแปลกเกินไปแล้ว

ต้นน้ำงัวเงียมองนาฬิกาที่หัวเตียงที่เข็มสั้นเบี่ยงออกจากเลขเจ็ดได้นิดหน่อยแล้ว แปลว่าวันนี้แม่เขามาสายกว่าทุกวันที่ผ่านมา

ต้นน้ำผ่อนหายใจยาวออกมาและเริ่มบิดร่างกายไห้ความง่วงออกจากร่างกาย เขาก้มลงมองคนที่เริ่มรู้สึกตัวที่นอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ เขา พลางคิดสงสารคนตรงหน้า ตัวเขาเองน่ะไม่เท่าไหร่เพราะตอนกลางวันยังสามารถนอนกลางวันได้ แต่จินไห่นั่นยังต้องไปทำงานบริหารร้านอาหารของตน และยังต้องกลับมาดูแลเขาทั้งนอกและในห้องนอนอีก

ต้นน้ำนั่งจ้องอีกฝ่ายที่กำลังเหยียดยืดร่างกายทำให้เขาสังเกตได้ว่าจินไห่ดูผ่ายผอมไปมากทีเดียว ซี่โครงก็ดูชัดเจนขึ้น หน้าตาก็ดูซีดเซียวจนรู้สึกใจหาย เขาทำกับคนที่เขารักขนาดนี้เลยหรือนี่ ต้นน้ำเฝ้าถามตนเองในใจ

“สรุปว่าจะปล่อยให้ดังแบบนั่น?” จินไห่ใช้นิ้วมือที่เรียวเล็กชี้ไปที่โทรศัพท์ของต้นน้ำที่ดังและสั่นเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจโวยวายที่จะให้รับให้ได้

“ครับๆ” ต้นน้ำดึงสติกลับมาจากร่างที่ซูบเซียวของคนรักตนเองและรีบหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ขึ้นมารับทันที

“แม่เอง รับช้าจริง! ยังไม่ตื่นอีกสายขนาดนี้แล้ว!” เสียงในสายแวดออกมาทำให้ต้นน้ำแยกหูออกจากโทรศัพท์ทันที

“สำหรับผมมันยังเช้าอยู่นะ แม่จะมาทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะ บ้านก็ไม่ใช่ของเราแม่จะมารบกวนแบบนี้ทุกวันได้ไง?” ต้นน้ำเริ่มหงุดหงิดการที่เจอแบบนี้ตลอดทั้งสัปดาห์

“ก็ไม่ใช่บ้านแกหมือนกัน! เจ้าของบ้านเขายังไม่ว่าอะไรเลย เออ! แล้วน้องไห่ล่ะ ทำไมเดี๋ยวนี้ลงมาดูแลร้านสายทุกวันเลย ไม่สบายยังไม่หายเหรอ?” ต้นน้ำเจอแม่สวนกลับเป็นชุด

“แล้ววันนี้อะไรอีกแม่?” ต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกมายาว และทึ้งหัวตัวเองกับนิสัยแบบนี้ของแม่ตนเอง

“ลงมากินข้าว!! แม่แวะไปตลาดซื้อของอร่อยมาเพียบ!!” ต้นน้ำนึกภาพแม่ตัวเองยืนถือของพะรุงพะรังอยู่หน้าประตูบ้านแล้วรู้สึกไมเกรนจะขึ้น

“แม่รู้ใช่ไหมว่า ที่นี่เป็นร้านอาหาร มันไม่ยากเลยที่จะมีมื้อเช้าแบบนี้ แม่จะลำบากทำไมครับ” ต้นน้ำใจเย็นโต้ตอบด้วยคำสุภาพ

“แม่เกรงใจนี่หว่า ของซื้อของขายมาให้แกกินฟรีๆ แบบนี้! พูดอยู่นั่นแหละลงมาเปิดประตูได้แล้ว!!” น้ำเสียงของคุณนายแม่เริ่มแสดงความหงุดหงิด

“เดี๋ยวผมล้างหน้าแปรงฟันก่อนแล้วลงไปรับนะ แปปเดียว 2 นาที!!”

“เออๆ รีบเลย!”

ต้นน้ำรีบวางหูและคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที แต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นจินไห่ในสภาพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เปลือยอก นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋ว หยดน้ำพรายเกาะเต็มตัว ผมที่ชื้นเปียก หน้าที่เรียวซูบแต่ก็ยังดูน่ารักรับกับดวงตาสีอ่อนแหลมเล็ก จนตัวเขาเองอดใจที่จะโถมตัวเข้าไปกอดไม่ไหว แต่ติดที่คุณนายแม่มารออยู่เขาจึงต้องอดใจไว้

“เดี๋ยวพี่ไปรับพี่ออมเอง” จินไห่ยิ้มให้อีกฝ่ายอาสาไปรับแม่ของต้นน้ำ จินไห่มักจะเรียกแม่ของต้นน้ำด้วยความสนิทสนมแบบนี้เสมอ

“เรียกแม่ได้แล้วมั้ง!” ต้นน้ำยักคิ้วให้ก่อนเข้าห้องน้ำ

“มันใช่เวลามาพูดเล่นไหม ไอ้เด็กคนนี้!!” ปากว่ากล่าวเด็กที่วิ่งเข้าห้องน้ำไป แต่ในใจกลับหวั่นไหวแปลกๆ ไอ้คำนั่นหากได้เรียกก็ดีเพราะมันหมายถึงว่าเขาได้รับการยอมรับแล้ว ครอบครัวเป็นอีกด่านที่น่ากลัวของความสัมพันธ์แบบนี้

“สวัสดีครับ พี่ออม” จินไห่ทักอีกฝ่ายที่กำลังนิ่วหน้าเพราะยืนรอนานกว่าทุกวัน แต่หลังจากหันมาเห็นต้นเสียงก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มสดใสทันที

“อ้าวน้องน้องไห่ ทำไมลงมาเปิดประตูเอง อย่าบอกนะว่าไอ้ตัวแสบมันไปเคาะห้องเรียกให้น้องไห่มารับพี่เอง ไอ้เด็กคนนี้ แทนที่ ‘อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย’ เฮ้อ!!” แม่ของต้นน้ำบ่นไปพลางเดินเข้ามาจัดโน่นนี่ที่โต๊ะอาหารไปพลาง แม่ต้นมีความคล่องแคล้วในการจัดเตรียมมากเพราะช่วงนี้เข้ามาทุกเช้า จึงจดจำได้หมดแล้วว่า จานชามช้อนอะไรอยู่ตรงไหนบ้างโดยที่จินไห่แทบไม่ต้องบอกอะไรแล้ว

“อ๋อ!  ไม่เข้าใจสำนวนโวหารของพี่สินะ คนแก่นี่ไม่ดีเลยเผลอพูดอะไรโบราณให้คนต่างถิ่นอย่างน้องไห่งง ประโยคเต็ม คือ ‘อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น!’ แปลง่ายๆ ว่า อาศัยบ้านคนอื่นอยู่ก็หัดทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างน่ะ ดูสิทำท่างงเสียพี่รู้สึกแก่ไปเลย” แม่ของต้นน้ำพูดไปยิ้มไป มือก็จัดการเทมื้อเช้าที่เตรียมมาเหมือนปกติลงจานชามที่เตรียมไว้อย่างเรียบร้อย

ที่จินไห่มีสีหน้ามึนงงไม่ใช่เพราะประโยคของแม่ต้นน้ำ เขาเรียนภาษาไทยมา เขาพอจะรู้จักสำนวนจำพวกนี้อยู่บ้าง แต่ที่มึนไปพักใหญ่เพราะเป็นสิ่งที่แม่ต้นน้ำพูดก่อนหน้านั้นต่างหาก เพราะจากประโยคของแม่ต้นน้ำแปลได้ว่าเธอเข้าใจว่าเขาและต้นน้ำนอนคนละห้อง การที่เขาออกมารับแม่ของต้นน้ำ มันเลยเป็นเรื่องที่แปลกพอควร

“แล้วไอ้ตัวดีอยู่ไหนล่ะ!?!” แม่ของต้นน้ำจัดเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็ถามขึ้นทันที

“นินทาอะไรผมอีก!! แม่เคยพูดถึงผมในด้านดีบ้างไหมล่ะเนี่ย” คนที่ถูกพูดถึงเดินลงมาจากชั้นบนได้ยินเสียงโหวกเหวกของแม่ตนเองพอดี

“แกมีดีอะไรให้ฉันชมล่ะ ที่แม่มาทุกวันก็เพราะกลัวแกก่อเรื่องนี่แหละ” แม่ต้นน้ำพูดจบก็ส่งยิ้มให้จินไห่นั่งลงกินมื้อเช้าที่เธอเตรียมมา

“ผมออกจะเด็กดี” ต้นน้ำเดินมานั่งประจำที่เหมือนกลายเป็นเหตุการณ์กิจวัตร

“เด็กดี!?!” แม่ของต้นน้ำทวนคำเสียงสูงจนจินไห่เริ่มรู้สึกไม่อยากอาหารทั้งๆ ที่กลิ่นอาหารตรงหน้ามันช่างยั่วยวนน่ารับประทาน เสียงแบบนี้เป็นที่รู้กันว่าพี่ออมใกล้จะหวีดแล้ว

“จานก็ไม่เคยล้าง หากินข้าวเองยังไม่ได้ นี่ยังไม่รวมห้องนอนแกนะ เคยทำความสะอาดมั้งไหม? ไม่ได้แม่แกทำ ป่านนี้แกคงนอนกับแมลงสาป!!” เสียงสูงที่ส่งคลื่นกระแทกทุกวัตถุบนโต๊ะอาหารให้สั่นสะเทือนได้ระดับหนึ่ง จินไห่อยากปิดหูแต่ก็เกรงใจคนที่นำมื้อเช้ามาให้กินทุกวัน

“แม่ก็เกินไป ถ้าเป็นห้องผมก็ทำอยู่นะ” ต้นน้ำพูดเสียงสั่น จินไห่รู้สึกถึงอาการหวาดหวั่นของวัยรุ่นชายคนนี้ได้ ปกติห้าวจะตายแต่พอแม่ตนเองขึ้นเสียงก็มีอาการกลัวอยู่เหมือนกัน

ใครจะปราบแฟนเขาได้ก็ต้องแม่ของแฟนนี่แหละ จินไฟ่ยิ้มเยาะจนต้นน้ำแอบเห็นและแอบกัดฟัน พร้อมสะกดในใจ ‘จำไว้นะ’

“ถ้าฉันไม่สั่งแกจะทำไหม? มีแต่ช่วงนี้แหละที่ห้องแกสะอาดและเป็นระเบียบที่สุด เพราะแกไม่อยู่ไง!!” แม่พูดสวนกลับแบบติดตลก ทำให้บรรยากาศดีขึ้น เพราะเธอเหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านก็เลยรู้สึกอายกับนิสัยแบบนี้ของเธอ

“……..” ต้นน้ำที่ยอมรับโดยดี จึงได้แต่นิ่งหลบตาและพยายามหยิบข้าวเหนียวร้อนๆ นุ่มๆ ตรงหน้าขยุ้มเข้าปากพร้อมไก่แดดเดียวทอดเจ้าอร่อยที่เขาชอบ ต้นน้ำจัดการอาหารตรงหน้าแบบเงียบเชียบเพราะขี้เกียจจะเถียงกับบุพการีแล้ว เถียงไปก็ไม่ชนะ และมันก็เป็นความจริงอยู่ด้วย

“พูดถึงตรงนี้ น้องไห่ เดี๋ยววันนี้พี่จะมาทำความสะอาดห้องรับรองแขกที่ให้ไอ้เจ้าต้นน้ำมันนอนนะ พี่ว่าป่านนี้กลายเป็นรังแมลงสาปแล้ว!!” แม่ของต้นน้ำเอ่ยกับเจ้าของบ้านด้วยความอาสา

“ไม่…. ไม่เป็นไรครับ ผมจะให้พี่ออมมาทำแบบนี้ได้ยังไง?” จินไห่ปฏิเสธเลิ่กลั่ก

“ไม่ต้องเกรงใจ แค่น้องไห่ดูแลร้านก็เหนื่อยแล้วจะต้องมาดูแลบ้านที่รกโดยฝีมือลูกชายพี่นี่ พี่เกรงใจนะ” แม่ของต้นน้ำหว่านล้อม

“ผมทำเองได้น่า เห็นแบบนี้ผมก็เกรงใจเป็นนะ ผมทำเองเป็นระจำน่า” ต้นน้ำพูดแก้ตัวแทรกขึ้นมา ส่วนจินไห่ได้แต่ทำหน้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่ายจนแทบเก็บสีหน้าตัวเองไม่อยู่

“ฉันไม่เชื่อ!! กินข้าวเสร็จแล้วขอขึ้นไปดูหน่อยนะ!!”
จบประโยคของแม่ต้นน้ำ จินไห่และต้นน้ำรู้สึกเย็นวูบขึ้นไปที่ใบหน้าอย่างพร้อมเพรียง ต้นน้ำเกือบจะสำลักข้าวเหนียวที่เพิ่งกลืนเข้าไปเลยทีเดียว

“งั้นเดี๋ยวผมไปขี้ก่อนนะ!!” พูดจบต้นน้ำก็วิ่งปราดหายไปข้างบนชั้นสองทันที

“ไอ้เด็กเปรตนี่ ไม่เห็นหรือไงว่าเขากินข้าวกันอยู่!! พี่สอนมันนะแต่ไม่จำ!!” แม่ของต้นน้ำยิ้มไปที่จินไห่แบบเกรงใจ

จินไห่ได้แต่พยายามกลืนข้าวในปากลงคออย่างยากเย็น บรรยากาศตอนนี้เหมือนเขากำลังกินหินกินหญ้าที่ไร้รสชาติและเคี้ยวยากจนกลืนแทบไม่ลงเสียแล้ว

“เดี๋ยวน้องไห่อิ่มแล้ว พาพี่ขึ้นไปดูห้องที่ให้ลูกพี่มันนอนหน่อยนะ จะไปดูหน่อยว่าจะสมกับที่คุยไว้ไหม หากไม่แม่จะตีสักทีแล้วลากกลับบ้านเลย โทษฐานมาทำความเดือดร้อนให้บ้านคนอื่น!”

จินไห่ฟังจบก็แทบจะหายจากความอยากอาหารทันที แต่ก็ได้แต่กินเพื่อถ่วงเวลาไว้เผื่อว่า ต้นน้ำที่รีบวิ่งขึ้นไปก่อนจะทำอะไรบางอย่างที่แค่มองตาก็วางแผนไว้เหมือนกันออก

……………..

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ ไม่คิดว่าเวลาแกอยู่บ้านคนอื่นจะเรียบร้อยแบบนี้!!” แม่ต้นน้ำที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เดินสำรวจห้องรับรองแขกของบ้านอย่างพินิจพิเคราะห์ยิ่งกว่าหน่วยพิสูจน์หลักฐานของตำรวจ

การเดินรอบๆ อาจจะไม่แปลกแต่การที่ใช้นิ้วกรีดไปตามขอบโต๊ะ ตู้ เตียงนี่มันออกจะเกินไปหน่อย

“ถ้าไม่นับพวกเสื้อผ้าที่มันวางระเกะระกะไปทั่วนี่ แม่จะนึกว่าเข้าห้องผิดนะเนี่ย” แม่ต้นน้ำพูดพลางใช้นิ้วจีบกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวซีดขึ้นมาอย่างรังเกียจ

คนที่มีสีหน้าประหลาดใจไม่มีเพียงแค่แม่ของต้นน้ำเท่านั้น แต่เป็นจินไห่เองด้วย เห็นจากสภาพห้องนี่รู้เลยว่า ต้นน้ำคงไปรื้ออะไรห้องเขาบ้าง

“นี่แกมีเสื้อผ้าแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็น?!?” แม่ของต้นน้ำเหลือบไปเห็นสิ่งที่แปลกต่างไปจากกองเสื้อผ้า ต้นน้ำลืมไปเลยว่าแม่เขาเก่งเล่นเกมจับผิดภาพ อยู่ในกองเสื้อผ้าที่วางสุมกันไว้ยังจะมองเห็นอีก นั่นมันคือชุดนอนที่เขามักยืมจินไห่ใส่ มันมีกลิ่นที่เหมือนจินไห่จนเขาคิดว่าไม่สามารถใส่เสื้อผ้าแบบอื่นนอนหลับได้แล้ว เขาเผลอหยิบออกจากตู้ด้วยความเคยชิน

“สงสัยผมหยิบมาให้ผิดครับ” จินไห่รีบแก้ตัวให้เมื่อเห็นคนกะล่อนเริ่มหมดมุกจะแก้ตัว เมื่ออยู่กับแม่ตัวเอง จิ้งจอกเจ้าเล่ห์มันก็ลูกหมาดีๆ นี่เอง

“ต้นน้ำ!!” แม่ต้นน้ำขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ครับแม่!!” ต้นน้ำตื่นตระหนกร้องรับคำเรียก ไม่ต่างอะไรกับจินไห่ที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน ‘หรือว่าโดนจับได้!!’  จินไห่เย็นวาบไปที่สันหลังเหมือนมีใครเอาน้ำแข็งมาลูบ

“แกนี่มันใช้ไม่ได้เลย!! แกให้พี่เขาซักผ้าให้เหรอ!!” แม่ของต้นน้ำตวาดดัง

“เอ่อ… แค่นี้เอง” ต้นน้ำมีสีหน้าผ่อนคลายเพราะเรื่องที่โดนต่อว่ามันเล็กน้อยมากสำหรับเขา ไม่ต่างอะไรกับจินไห่ที่แอบถอนหายใจ

“ไม่ได้!! เขาจ้างแกมาทำงาน!! แทนที่จะทำเอง ยังมาให้นายจ้างทำให้มันใช้ได้เหรอหะ!!” แม่ต้นน้ำเดินปราดมาหยิกหูลูกตนเองอย่างรวดเร็ว ต้นน้ำได้แต่ร้องโอดโอยเสียงดัง หลบไม่ทัน แม่เขาคงมีวิทยายุทธ์แน่นอน ที่ปราดเปรียวได้ขนาดนี้

“พี่ออมครับ ไม่เป็นไร ยังผมก็มีเสื้อผ้าน้อย จะซักคนเดียวมันก็เปลืองไฟฟ้า” จินไห่พยายามแก้ตัวให้แต่แม่ของจินไห่ยังคงยกมือสูงทำให้หูของแฟนตนเองแดงจนเหมือนผลมะเขือเทศสุก เห็นแล้วรู้สึกเจ็บไปด้วย

“ไม่ต้องไปเข้าข้างมันนะ” แม่ต้นน้ำเสียงดังเป็นคนตอบจนคนปรามต้องถอยร่นมาประจำที่ห่างไปสักหน่อย

“แม่ตัดสินใจแล้ว แกห้ามมาค้างบ้านนี้อีก มาเช้าเย็นกลับ มาอยู่ที่นี่แล้วแกเสียนิสัย!!” แม่ต้นน้ำเสริมต่อไปทางคนที่หูเหมือนกำลังจะขาด

“แม่!! ทำกะอยู่บ้าน ผมเคยทำ!!” ต้นน้ำเค้นเสียงที่มีเถียงกลับ

“แล้วนี่มันใช่บ้านแกไหม?” มือที่หยิกหูต้นน้ำขึ้นตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นตบกบาลเสียงดัง

“ทำไมแม่ต้องทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นด้วย!!” ต้นน้ำเริ่มหมดความอดทนกับนิสัยแม่ตนเอง

“ไม่ต้องพูดมาก วันนี้แกเก็บของกลับบ้านเลย!!” ดวงตาคนเป็นแม่เริ่มลุกเป็นไฟจ้องไปที่คนเป็นลูก

“ใจเย็นๆกันก่อนนะครับ ผมไม่รู้ลำบากอะไรเลยครับแค่นี้” จินไห่รีบเข้าไปห้ามทัพแม่แฟนและแฟนตัวเอง

“อย่าเลยคะ พี่เกรงใจแค่มันทำผ้าปูที่นอนเสียเรียบเหมือนใหม่ขนาดนี้ก็อัศจรรย์แล้ว!” พูดพลางชี้ไปที่เตียงที่มีเสื้อผ้าวางอยู่อย่างไร้ระเบียบ แต่ผ้าปูที่นอนตึงเรียบติดที่นอน ผ้าห่มก็พับอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่ปลายเตียง ส่วนผ้าคลุมเตียงกันฝุ่นกลับร่นยับยู่อยู่ที่พื้นปลายเตียง

จินไห่เห็นภาพที่ดูไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้แล้วถึงกับเถียงไม่ออก ยืนทำหน้านิ่งอยู่แบบนั้น

หลังจากนั้นไม่ว่าต้นน้ำจะพูดอย่างไร แม่ของเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็ง สุดท้ายจินไห่จึงต้องช่วยพูดกล่อมต้นน้ำอีกแรงให้ยอมแม่ไปก่อน และแล้วคืนนั้นก็เป็นคืนเริ่มต้นที่ต้นน้ำต้องกลับไปนอนที่บ้าน และถูกอนุญาตให้มาทำงานที่บ้านจินไห่แค่ช่วงเวลากลางวันเท่านั้น

หลายวันผ่านไปที่แม่ของต้นน้ำเซ้าซี้อยากให้ต้นน้ำแสดงแบบร่างให้ดูเป็นบุญตาเสียหน่อย เพราะใช้เวลาทำนานมากกว่าชิ้นไหนๆ แต่ต้นน้ำก็ทำได้แค่ถ่วงเวลาไปเรื่อง เพราะจำไม่ได้แล้วว่าล่าสุดเก็บแบบร่างที่ออกแบบบ้านจินไห่ไว้ตรงไหน เพราะที่ผ่านมาเขาสนใจเรือนร่างของเจ้าบ้านมากกว่าบ้านเสียอีก ต้นน้ำใช้เวลาอยู่สองวันกว่าจะค้นเจอแบบร่างของบ้านจินไห่ที่วางสุมๆ ไว้กับงานอื่นๆ สมัยที่มีงานค้างเยอะๆ

กลายเป็นว่าแบบร่างที่เขาทิ้งไว้นาน มันแทบไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย ดูรายละเอียดดีๆ แทบจะต้องแก้ไขเกือบทั้งหมดเพราะความไม่ใส่ใจของเขาในช่วงแรก (ช่วงหัวใจสับสน)  แบบที่ร่างมาสวยอยู่แล้วแต่สัดส่วนมันผิดเพี้ยนไปหมด ขาดองค์ประกอบสำคัญอยู่มาก

กลายเป็นว่า สามสี่วันนับแต่ค้นเจอแบบร่าง ต้นน้ำต้องใส่ใจในการร่างแบบและออกแบบอย่างจริงจัง จนกระทั่งจินไห่ประหลาดใจที่ต้นน้ำมีเวลาวอแวเขาน้อยลง แต่ก็ได้เห็นมุมจริงจังของอีกฝ่ายที่กลายมาเป็นเสน่ห์ที่หลงไหลเข้าไปอีก

เวลาต้นน้ำจริงจังคิ้วขมวดอยู่กับงานตรงหน้า ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แม้แต่จินไห่เองยังอดใจเต้นกับภาพตรงหน้าไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่งที่จินไห่ตั้งใจแวะเข้ามาอาบน้ำช่วงเย็นหลังจากดูแลร้านอาหารช่วงเย็นเรียบร้อยแล้ว จินไห่ถึงกับลงทุนคาดผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเข้ามาบริการน้ำอัดลมเย็นให้ถึงโต๊ะหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

ต้นน้ำที่ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย จึงมองไปที่ต้นตอของกลิ่นหอมนั่น เพียงแว่บแรกที่เขาได้เห็นเรือนร่างโปร่งที่มีหยดน้ำพรายเกาะอยู่ตามปลายผมและร่างกายท่อนบน เขาก็แทบลืมงานตรงหน้า ลืมน้ำอัดลมแสนหวานที่เขาชอบ เขากลับลุกขึ้นและจับอีกฝ่ายถอยร่นไปที่เตียงอย่างคนหลงทางกลางทะเลทรายที่กระหายน้ำแล้วเดินมาเจอโอเอซิสตรงหน้า และรีบจุ่มหน้าลงไปดื่มกินอย่างโหยหา

จินไห่ที่ตั้งใจไว้แล้วก็รีบทำตัวว่าง่ายยอมเป็นน้ำหลางทะเลทรายที่หวานชื่นเป็นประกายให้อีกฝ่ายดื่มด่ำจนลืมงานบนโต๊ะเสียสิ้น นับเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ของจินไห่

หลังจากนั้นก็กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าหลังจากที่สะสางงานที่ร้านอาหารช่วงเย็น จินไห่ก็จะมาเสิร์ฟสวาทจานร้อนให้กับต้นน้ำที่ทำงานเคร่งเครียดทั้งวัน

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 2) 5 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-07-2021 18:55:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 3) 16 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-07-2021 15:34:42

หลายวันผ่านไป แบบร่างที่เขาอุตส่าห์ออกแบบอย่างตั้งใจรวมถึงใส่หัวใจและความรักลงไปเต็มล้น เพราะเขาอยากให้คนที่เขารักอยู่บ้านหลังนี้ด้วยความรักเช่นกัน อยากให้สื่อว่าเขารักจินไห่มากแค่ไหน เขาศึกษากิจวัตรทุกอย่างของจินไห่จนกระทั้งได้แบบร่างบ้านทรงอีโค่และมินิมอลอย่างที่เขาพอใจ ตอนนี้เสร็จไปเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว หลังจากที่ลบๆ รื้อๆ อยู่หลายตลบ

เขาอยากจะเซอร์ไพรส์คนรักของเขา ต้นน้ำจึงระมัดระวังไม่ให้จินไห่เข้ามาแอบดูงานของเขา มันเลยยิ่งเป็นการยากและกินเวลามากกว่าที่เขาคิดไปพอสมควร (เขาใช้วิธีผลักอีกฝ่ายลงเตียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และได้ผลดีมาโดยตลอด พอสิ้นวันถึงเวลากลับบ้านเขาก็รวบทุกอย่างเอากลับไปบ้านด้วย)

ต้นน้ำตั้งใจว่าวันนี้จะทำให้เสร็จให้ได้ เพราะวันนี้ที่ร้านอาหาร จินไห่จะลงอาหารเมนูใหม่ ทำให้ต้องไปคุมการผลิตด้วยตนเอง เขาเลยคิดว่า มันคงทำให้เขามีเวลาทำงานมากขึ้น คิดได้ดังนั้น เขาก็รวบทุกอย่างและออกจากห้องเพื่อไปบ้านคนรักทันที

“แม่!! ไปก่อนนะ” ต้นน้ำตะโกนบอกแม่ที่ดูแลหน้าร้านวัสดุก่อสร้างกับคนงานกลุ่มหนึ่งอย่างวุ่นวาย เหมือนเช่นทุกครั้ง

“ทำไมวันนี้รีบร้อน ไม่กินข้าวกับแม่ก่อนเหรอ?” แม่ของต้นน้ำปลีกตัวจากหน้าร้านเดินมาตอบเสียงดัง

“ไม่ละ ดูท่าทางวันนี้ร้านน่าจะยุ่งแต่เช้า กว่าแม่จะว่างมากินด้วยคงเกือบเที่ยง” ต้นน้ำพูดจากประสบการณ์

“แหม! ร้านก็ยุ่งจะแย่ แกก็ใจดำไม่คิดจะช่วย!” แม่ค่อนคอด

“ผมก็ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แถมแม่ยังจะเอาค่านายหน้าด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ทำฟรีๆเสียหน่อย” แม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเวลาส่วนหนึ่ง เขาอุทิศให้กับอีกคนอยู่บนเตียงก็เถอะ

“เออๆ พอมีเงินค่าจ้างนี่ขยันเชียวนะ! งั้นกินอะไรรองท้องไปนิดสิ จะได้เป็นอาหารสมอง หากแม่หายยุ่งทันก็จะไปกินด้วย!” แม่ต้นน้ำพูดจบก็จ้องต้นน้ำพักใหญ่ก่อนจะโดนลูกน้องเรียกให้ไปช่วยแก้ปัญหาที่หน้าร้าน ก่อนเดินจากไปก็มองและขยับศรีษะเป็นเชิงขอร้อง

“อืมๆ ครับๆ ได้ๆ” หลังจากที่เห็นแม่ขอร้อง เขาก็เลยต้องรับปาก กองข้าวของไว้ตรงบันได ก่อนจะเดินไปกินมื้อเช้าที่แม่เขาเตรียมไว้ให้ที่ห้องกระจกที่เตรียมโต๊ะอาหารไว้ใกล้กับทางไปหน้าร้าน ระหว่างที่กินมื้อเช้าไปเขาก็มองแม่ของเขาทำงานสั่งลูกน้องเสียงดัง เขายอมรับว่าเขานับถือแม่ของตนเองมาก ผู้หญิงที่แกร่งที่สุดในชีวิตเขาทำงานได้เก่งกว่าใครๆจริง ผู้หญิงคนเดียวก็สามารถดูแลกิจการต่อจากพ่อได้ขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน จะหาใครแกร่งกว่าแม่ของเขาคงไม่มี ต้นน้ำกินมื้อเช้าไปก็เผลอยิ้มอย่างอบอุ่นใจไม่ได้

………

ต้นน้ำบิดตัวยืดเหยียดขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ภายในห้องของจินไห่ในช่วงบ่ายของวัน แสงแดดแผดส่องทะลุหน้าต่างกระจกที่ถูกปิดไว้เพราะปิดกั้นอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ให้รั่วไหลไปด้านนอก แสงแดดทำให้อุณหภูมิให้ห้องอุ่นขึ้น ทำให้เห็นละอองฝุ่นที่ปลิวคละคลุ้งในอากาศ ต้นน้ำพี่พักสายตาจากการร่างแบบทั้งวันได้เหม่อมองบรรยากาศรอบๆ ห้อง ด้วยความรู้สึกสงบในจิตใจ

เขาเปลี่ยนจุดจับจ้องไปที่กระดาษร่างแบบแผ่นใหญ่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาไตร่ตรองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพักใหญ่ ให้นิ้วมือสัมผัสไปตามเส้นสายต่างๆ เบาๆ เขาชอบความรู้สึกของการวาดลงบนกระดาษมากกว่าการร่างแบบในคอมพิวเตอร์ มันให้ความอิ่มเอมใจในความสำเร็จและความพึงใจแบบงานศิลป์มากกว่า นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนไม่รักการอ่านอย่างเขาอ่านบันทึกของพ่อจินไห่เล่มนั้นจนจบ

เขาตรวจไล่นิ้ววนจนมาถึงแบบของห้องนอน เขาตัดสินใจที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะมันมีความทรงจำตลอดปีที่ผ่านมาอัดแน่นอยู่ เขาจึงไม่คิดจะปรับเปลี่ยนอะไร

หลังจากตรวจทุกอย่างจนครบทุกแผ่น ต้นน้ำผ่อนลมหายใจออกยาวๆ เสียงดังลั่นห้อง
“เสร็จแล้วโว้ยยยยย” เขาพูดออกมาอย่างภูมิใจ งานที่เขาทุ่มเทสมองทั้งหมดทำขึ้นมาหลายวัน ในที่สุดมันก็เสร็จ ทั้งบ้านและร้านอาหารที่จะต่อเติม

“เกิดอะไรขึ้น เสียงดังลงไปถึงข้างล่าง” จินไห่ที่กลับมาจากการเตรียมร้านอาหารในช่วงบ่ายเป็นกิจวัตร เปิดประตูและเอ่ยถาม
“ทำไมวันนี้มาช้าจัง” ต้นน้ำดูนาฬิกาข้อมือและส่งสีหน้าไม่พอใจแบบเด็กไปให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้อง

“มาได้สักพักแล้ว แต่ลงไปเตรียมห้องครัว” จินไห่ยิ้มรับกับสีหน้าที่ดูหล่อเหล่าตรงหน้าแม้จะทำหน้าตาบูดบึ้งของแฟนเด็กของเขา

“ห้องครัว?” สีหน้าของต้นน้ำตอนนี้ยิ่งทำให้จินไห่อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ สีหน้าที่เปลี่ยนจากหงุดหงิดเป็นสงสัยอย่างกระทันหันแบบนี้มันน่ารักเกินไป

“อ้าว! พี่ออมไม่ได้บอกเหรอ? ว่าจะมาทำอาหารให้กินที่บ้านพี่ เห็นว่าได้กุ้งแม่น้ำตัวโตมา แล้วก็อาหารทะเลอีกเยอะเลย ก็เลยจะมาทำเป็นมื้อเย็นกินที่นี่” จินไห่อธิบายไปก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อออกทีละชิ้น

“ไม่นี่ครับ เมื่อเช้าก็คุยกัน ยังไม่เห็นพูดว่าอะไร” ต้นน้ำที่ลุกออกจากที่นั่งได้เดินไปทางคนที่เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก

“วันนี้พี่ขอนะ เหงื่อออกเยอะมากเลย เหนียวตัวไปหมด” จินไห่ที่เห็นแววตาสัตว์ป่าจากต้นน้ำเลยขอพูดดักทางไว้ก่อน

“งั้นผมให้พี่สองเลย” ต้นน้ำเดินเข้าโอบกอดจากทางด้านหลัง

“ไอ้เด็กทะลึ่ง พี่บอกว่า ม่ายยยยย………” จินไห่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายกดริมฝีปากไปที่ต้นคอ จุดอ่อนอีกหนึ่งจุดของเขา และใช้ปลายลิ้นไล่วนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณที่จูบ

“อะไรนะครับ?” ต้นน้ำถามเสียงสั่น

“ก็พอว่าวันนี้ไม่ อาววววว……” จินไห่ตอบเสียงยานคางที่ปลายประโยค เพราะโดนอีกฝ่ายใช้มือหนึ่งสะกิดที่ตุ่มไตบริเวณหน้าอก และอีกมือหนึ่งชอนไชเข้าไปใต้ร่มผ้าที่จุดยุทธศาสตร์เบื้องล่าง

“ฟังไม่รู้เรื่อง งั้นผมทำต่อ” พูดจบเขาก็ใช้นิ้วนวดคลึงด้วยทั้งสองมือตรงบริเวณที่พิกัดอยู่ ตอนนี้จินไห่ไม่เหลือความต้องการที่จะขัดขืนแล้ว ได้แต่ครางเบาๆ ในลำคอ

หลังจากที่ต้นน้ำเห็นว่าร่างกายของจินไห่ตอบสนองได้อย่างดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะขอค่าตอบแทนสำหรับงานวันนี้เหมือนเช่นทุกวันเสียที ยิ่งวันนี้งานเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วเขายิ่งมีความต้องการอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก

ต้นน้ำพลิกตัวจินไห่และไสจินไห่ไปนอนบนเตียงนอนอย่างเร่งรีบ

“ไม่เอาพี่สกปรกจะตาย” จินไห่ตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำตัดกับร่างกายที่ขาวสว่างออร่า

“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ถือสา เลอะเทอะน้ำผมจนเต็มตัวผมยังทำต่อได้เลย”  ต้นน้ำโต้ตอบด้วยรอยยิ้มที่ทำให้จินไห่รู้ว่า ท่าทางแบบนี้หยุดไม่อยู่แล้ว มีแฟนเป็นชายหนุ่มรุ่นนี้ก็คงต้องยอมรับกับความต้องการของคนวัยนี้ให้ได้

จินไห่ถอนหายใจและมีท่าทางผ่อนคลายลงทำให้อีกฝ่ายถาโถมเข้ามาเร้าโลมได้อย่างเต็มที่ จินไห่ยอมรับว่าต้นน้ำทำให้เขาเคลิ้บเคลิ้มได้เสมอจริงๆ

“ผมจะเข้าละนะ” ต้นน้ำพูดขึ้นหลังจากจบบทเร้าโลมจนร่างกายของอีกฝ่ายพร้อมแล้ว

จินไห่พยักหน้าและเอ็นดูอีกฝ่ายไปพร้อมกัน ต้นน้ำพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เขาจะทำ มันเป็นอะไรที่น่ารักมากสำหรับจินไห่ มันแสดงถึงการให้เกียรติคนที่คบกัน มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ในน้ำเสียง

จินไห่เคยแปลกใจและเคยถามต้นน้ำไปตรงๆ ว่าทำแบบนี้เป็นประจำเหรอ? ส่วนต้นน้ำก็บอกว่า ‘ไม่เคย ผมเป็นห่วงพี่นี่นา มันไม่เหมือนที่ผ่านมา ความรู้สึกมันต่างกัน อีกอย่าง ผมรู้ว่าพี่คงเจ็บมาก พี่เสียสละร่างกายมอบความสุขให้กับผม ผมควรจะให้เกียรติพี่ สรีระร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงมันต่างกัน’

แค่นึกถึงคำพูดเหล่านี้ในใจ จินไห่ก็แทบจะลืมความเจ็บปวดทั้งหมดแล้ว ทุกวันนี้เขามีความสุขที่ได้ให้ความสุขกับแฟนของเขามาก และจินไห่ยอมทุกครั้งที่โดนร้องขอ

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 3) 16 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-07-2021 18:52:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 4) 29 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-07-2021 09:35:17

อืมมมมมมม

เสียงจินไห่งึมงำเมื่อโดนต้นน้ำเขย่าไหล่อย่างแรง

“พี่ไห่ๆๆ” ต้นน้ำเรียกซ้ำ แม้ว่ามันจะเป็นคำที่จินไห่ได้ยินซ้ำเวลาที่เขามีบรรเลงเพลงรักกัน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลย แต่ครั้งนี้เขายอมรับเลยว่า ‘เพลีย’  วันนี้รู้สึกว่าต้นน้ำจะคึกคักเป็นพิเศษ

“ไม่เอาแล้วนะ วันนี้พอเถอะนะ เครื่องในพี่จะพังหมดแล้ว” จินไห่ปัดมืออีกฝ่ายออกและแสดงอาการปึงปังเหมือนเด็กสี่ขวบ

ได้ฟังคำพูดปึงปังของอีกฝ่ายต้นน้ำก็อดฉีกยิ้มกับความน่ารักของคนตรงหน้าไม่ได้

“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ ไหนว่าแม่ผมจะมาทำกับข้าวให้กิน พี่จะไม่ลุกขึ้นไปดูแล ‘แม่ผัว’ หน่อยเหรอ?”  ต้นน้ำใช้แรงพลิกอีกฝ่ายที่นอนคว่ำหน้าเปลือยเปล่าอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว

“ไอ้เด็กทะลึ่ง ฟังพูดจาเข้าสิ น่าขนลุกชะมัด มันใช่เรื่องมาล้อเล่นแบบนี้ไหม?”  จินไห่รีบตะครุบจับส่วนสำคัญไว้ด้วยอาการอาย

“ก็มันเรื่องจริง! อีกหน่อยพี่ก็ต้องเรียกแบบนี้! ว่าแต่จะอายอะไร ทีเมื่อก่อนทำทีว่าชอบโชว์เปลือยเรื่อยๆ” ต้นน้ำมองเรือนร่างที่ชุ่มเหงื่อของอีกฝ่ายอย่างหื่นกระหาย

“ก็เมื่อก่อน คนมันจะอ่อยไง ก็เลยต้องยอมเปลืองตัวกันบ้าง แล้วก็หยุดเลยนะสายตาแบบนั้น!! อีกสิบนาทีแม่น้องจะมาอยู่แล้ว พี่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ!!”  จินไห่พูดไปอมยิ้มไประหว่างที่ลุกหนีจากสายตาหื่นกระหายตรงหน้าเพื่อเข้าห้องน้ำ

“แบบนี้นี่เอง งั้นไปอ่อยผมในห้องน้ำหน่อยสิ” ต้นกระโดดลุกจากเตียงตามจินไห่ไปทันทีหลังจากพูดจบประโยค

“สองรอบแล้วนะ พอเถอะ” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็โดนอีกฝ่ายหนึ่งลากเข้าไปในห้องน้ำ และปิดประตูลงดังปัง

……………


จินไห่มีอาการเหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาที่ขมับและซอกคอเมื่อเขาเห็นภาพแรกเมื่อลงจากบันไดชั้นสอง

“พี่ออม!” แม่ต้นน้ำกำลังจัดแจงดึงของสดออกจากลังโฟมขนาดพอดีกับตัวคนที่พามันมาด้วย

จินไห่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ยอมบอกที่วางกุญแจสำรองกับแม่ของแฟนตัวเองแบบนี้ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะต้นน้ำไม่สร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองเลยทำให้แม่ของเขา ขอแอบมาเช็คความขยันลูกชายตนเองวันไหนก็ได้

“อ้าว!! พี่นึกว่าออกไปธุระข้างนอก เห็นเด็กในร้านบอกว่าไม่เห็นเจ้านายตัวเองพักใหญ่แล้ว” จินไห่ได้ยินคำตอบแบบนั้นก็รู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วลูกน้องตัวเองพูดว่าอย่างไรบ้าง รู้สึกหน้าตัวเองเย็นวาบขึ้นมา

“ผมเหม็นเหงื่อ เหม็นกลิ่นครัวน่ะครับ ก็เลยแวะมาอาบน้ำก่อน จะได้มาช่วยพี่ทำอาหาร”  จินไห่ตอบอย่างใจเย็นที่สุด ในขณะที่แม่ของต้นน้ำกำลังตั้งใจจัดเตรียมวัตถุดิบตรงหน้า โดยแทบไม่มองหน้าคู่สนทนา

“ไม่เอาสิ อย่างนั้น ก็ตัวเหม็นอีกรอบพอดี ไปนั่งพักรอตรงนั้นแหละ ให้พี่ได้ตอบแทนที่น้องดูแลลูกพี่บ้าง” คนเป็นแม่หันมายิ้มกว้าง

“เกรงใจน่ะครับ” ไม่พูดเปล่าขาของจินไห่ออกก้าวจนถึงโต๊ะเตรียมอาหารของบ้าน

“บ้านดูโทรมไปเยอะจริงๆ แต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่นะ” แม่ต้นน้ำสำรวจรอบห้องครัวก่อนจะพูดกับจินไห่

“ผมคิดว่าจะอยู่ถาวรแล้วน่ะครับ ก็เลยอยากปรับปรุงให้ดีหน่อย ไหนๆจะทำแล้วก็เลยอยากทำในแบบที่ชอบจริงๆน่ะครับ ผมเองก็งบจำกัดด้วย เห็นฝีมือน้องต้นน้ำดีก็เลยขอให้มาช่วยหน่อย ว่าแต่พี่ออมพูดเหมือนเคยเห็นสภาพก่อนหน้านี้?” จินไห่ช่วยหยิบจับทำมื้อเย็นอย่างเชี่ยวชาญภายใต้สายตาทึ่งและชื่นชมจากคุณนายเจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ร้างลาการทำครัวแบบจริงจังมานาน

“แหม…พูดเก่งขึ้นเยอะเลยนะ ติดไอ้ความช่างพูดมาจากเจ้าต้นน้ำมันรึ?” คุณแม่แฟนยกยิ้มมุมปากเป็นเชิงแซว

จินไห่ทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้งตอบกลับไปโดยลืมไปว่าเมื่อครู่ถามไปว่าอะไร

“หึ… พี่เคยคิดว่าที่ดินตรงนี้มันสวยดี และตั้งแต่คุณยายของน้องไห่เสียไปก็ไม่มีใครมาดูแล แถมติดป้ายขายไว้นานแล้วยังไม่มีใครซื้อ พี่ก็เลยเคยเข้ามาดูบ้านอยู่นะ กะจะซื้อเก็บไว้เป็นสินสอดเจ้าต้นน้ำมัน แต่เกเรแบบนี้ เจ้าชู้ก็เท่านั้น น่าจะหาเมียยากอยู่นะ”  แม่ของต้นน้ำบ่นไปเรื่อยขณะล้างพริกและผักสดเครื่องเคียงไปด้วย

“อ้อ…. แต่… หน้าตาแบบเขาไม่น่าจะหายากนะครับ” จินไห่พยายามเสริมหลังจากมีช่วงเวลานิ่งเงียบตั้งแต่จบประโยคของแม่จินไห่ไปสักพัก เป็นประโยคที่กระเทือนจิตใจเขาพอสมควร พยายามทำน้ำเสียงติดตลกที่ท้ายประโยค

“หึหึ… น้องว่างั้นเหรอ?” แม่ต้นน้ำพูดพลางหัวเราะในลำคอ

“นินทาอะไรอีกละแม่?!?” เสียงต้นน้ำดังมาแต่ไกล

“คุณชายลงมาได้เสียที” แม่ต้นน้ำสวนทันที

“ผมจะไปช่วยอะไรได้ ทำกับข้าวก็ไม่เป็น!”

“ก็ช่วยล้าง…ผัก ล้างของ…สด… พวกนี้…..ไง…อ้าว! น้องไห่ ทำเสร็จหมดแล้ว??” คนเป็นแม่หันไปเจอทุกอย่างที่เคยอยู่ในกล่องถูกลำเลียงออกมาในสถาพพร้อมทำอาหารเรียบร้อย ทั้งล้างทั้งหั่นทั้งจัดเรียงเป็นหมวดลำดับขั้นตอน

“เก่งนะเนี่ย จัดเรียงเหมือนจะรู้เลยว่าพี่จะทำอะไร นี่ต้นน้ำ จะหาแฟนทั้งนี้ ต้องเป็นผู้หญิงที่เพรียบพร้อมและเก่งกว่าแม่แบบนี้นะ!!”

“โอ้ย! หาไม่ยากหรอก!!” ต้นน้ำยกยิ้มมุมปากและขยิบตาให้จินไห่ ในขณะที่แม่ของเขากำลังควานหาอะไรบนโต๊ะที่สามารถโยนใส่ลูกตัวเองได้

“ไอ้เด็กเปรต แกล้อเลียนชั้นอีกแล้ว!!” แม่ของเขาโวยวายพร้อมเอาเศษผักโยนใส่กำมือหนึ่ง

“อุ้ย!! พี่ขอโทษ!! มันชินมือ” แม่ของต้นน้ำอุทานออกมาหลังเห็นเศษผักกระจายเต็มพื้น

“ไม่เป็นไรครับ” จินไห่ตอบกลับและแอบเขม่นตาดุใส่ไอ้วายร้ายตรงหน้า

ความวุ่นวายในห้องครัวขณะทำอาหารกว่าจะหมดไปก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ไม่ใช่เพราะความยุ่งยากในการทำอาหารแต่เป็นการที่สองแม่ลูกต่อล้อต่อเถียงกันจนห้องครัวเกือบจะวอดวาย

ต้นน้ำที่ปากไวเถียงแม่ไม่ตกฟากขณะเป็นลูกมือช่วยจินไห่หยิบจับโน่นนี่ ผสมกับคุณแม่มือไวที่จ้องแต่จะหาอะไรโยนใส่ลูกเมื่อเจอถ้อยคำจิกกัดจากลูกชายตนเอง

ภาระหนักทั้งหมดจึงเป็นของจินไห่ที่กลายมาเป็นหัวหน้าพ่อครัวในมื้อนี้คอยควบคุมการผลิตจากฝ่ายแม่และควบคุมการทำความสะอาดจากฝ่ายลูก

สุดท้ายกว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นบนโต๊ะได้ จินไห่เรียกได้ว่าหมดพลังงานและความอยากอาหารไปจนสิ้น

“ตายแล้ว น้องไห่สมกับที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร จัดจานเสียอลังการเชียว ใครได้ไปเป็นลูกเขยนี่น่าอิจฉาเลยนะ สมบูรณ์พร้อมทั้งหน้าตา นิสัย มีธุรกิจส่วนตัวก็ดี และทำอาหารเก่งอีก!!” แม่ของต้นน้ำเอ่ยชมหลังจากออกจากห้องครัวเป็นลำดับสุดท้ายเพราะอาสาเก็บของทำความสะอาด จากเหตุการณ์ก่อนหน้า

ต้นน้ำไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มดีใจจนหน้าบานออกนอกหน้า จินไห่ได้แต่ทำตาดุใส่ความทะเล้นของอีกฝ่าย

“แกจะยิ้มเพื่อ ฉันไม่ได้ชมแก แกแค่ยกออกมาวางบนโต๊ะอาหารจะฉีกยิ้มดีใจเพื่อ?” แม่ต้นน้ำแวดใส่ลูกชาย

“อ้าว! แม่!!ก็….” ต้นน้ำผ่อนหายใจแรงที่แม่ทำให้เขาหงุดหงิดเสมอ

“กินข้าวกันเถอะครับเดี๋ยวเย็นหมด” จินไห่รีบพูดสวนขึ้นมาก่อนที่แฟนตนเองจะหลุดพูดอะไรให้เสียบรรยากาศ

ต้นน้ำได้แต่จือปากและขมวดคิ้ว เมื่อโดนขัดแต่ก็ยอมนั่งลงเพื่อกินมื้อเย็นสงบปากแต่โดยดีเมื่อเห็นจินไห่ทำสีหน้าจริงจังใส่

“อร่อยมากเลยครับน้ำจิ้มนี่” จินไห่เอ่ยปากชมเมื่อเขาช้อนกุ้งเผาชุบน้ำจิ้มสีแดงปนเขียวเจ้าปาก มันเผ็ดร้อนกว่าที่คิดแต่ความเค็มความเปรี้ยวที่กลมกล่อมมากๆ

“แน่นอนสูตรลับของบ้านพี่เลยนะ ส่งมารุ่นต่อรุ่น!” คุณนายแม่เอ่ยยึดอกอย่างภูมิใจ

“และมันจะคงจะหยุดที่รุ่นนี้แหละ เพราะไม่เห็นเคยทำมานานแล้ว เมื่อกี้ก็แอบชิมแอบปรุงตั้งหลายรอบ” ต้นน้ำพูดสวนขึ้นมาด้วยอาการติดตลก

“เงียบไปเลย ชั้นมีเวลาทำไหมล่ะ!!” ต้นน้ำโดนแม่ใช้กุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่ชี้หน้า แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการเกรงกลัว จัดการของตรงหน้าพร้อมมองหน้าแม่ลอยไปลอยมาอย่างล้อเลียน

“สนิทกันดีนะครับ ทำให้ผมคิดถึงแม่เลย” จินไห่อมยิ้มกับภาพที่เห็น

“แม่พี่เป็นมนุษย์ป้าแบบนี้เหมือนกันเหรอ?” ต้นน้ำมองหน้าแม่และพูดติดตลก

“นี่ฉันเป็นแม่แกนะ!! น้องไห่จะบอกว่าเป็นแม่ที่น่ารักอ่อนโยนใช่ไหมจ๊ะ” แม่เขาทำหน้าดุใส่เขาแล้วหันไปยิ้มหวานให้จินไห่

“อ่ะครับ” จินไห่ตอบและยิ้มหัวเราะแห้งไปกับบรรยากาศอบอุ่น

“ว่าแต่ น้องไห่ช่วงนี้โสดใช่ไหม? พี่ว่าจะแนะนำสาวให้รู้จัก เป็นลูกสาวโรงสีข้าว ตอนนี้มาเปิดร้านขายข้าวสารที่ท้ายตลาด น่ารักนะ ขยันขันแข็ง หากได้กันจะได้ไม่ต้องซื้อข้าวไปตลอดชีวิต เลยนะ” แม่ต้นน้ำพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะหยิบกุ้งที่ปลอกเปลือกเรียบร้อยใส่ปากคำโต

“เอ่อ… ผม… ยังไม่พร้อมน่ะครับ” ตามความหมายองจินไห่ ไม่น่าจะใช่ว่าไม่พร้อมมีใคร แต่ยังพร้อมที่จะบอกกับคนตรงหน้ามากกว่าว่าแฟนของเขาก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่นี่แหละ จินไห่พูดพลางมองหน้าต้นน้ำเพื่อปรามไม่ให้แทรกบทสนทนาที่แสนอันตรายนี้ จินไห่สังเกตจากกล้ามเนื้อใบหน้าของต้นน้ำที่เริ่มแปลเปลี่ยน พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานจนพอจับทางได้

“ลองคุยดูก็ไม่เสียหายนะ พี่ว่า ด้วยอายุ หน้าที่การงานอย่างน้องไห่ บอกว่าไม่พร้อม ไอ้ต้นน้ำนี่ยิ่งโคตรจะไม่พร้อม มันยังมีสาวๆ แวะเวียนมาไม่ซ้ำ จนพี่คิดว่ากรรมคงจะสนองเข้าสักวัน ล่าสุดได้ข่าวเจอสาวน้อยนางหนึ่งปล่อยข่าวป่วนว่าลูกน้าเป็นแฟนกันน้องไห่พี่ยังขำท้องแข็งอยู่จนวันนี้เลย ไอ้คนที่วันๆ เอาแต่จีบสาวคนนี้คนนั่นไปทั่วอย่างนี้ก็สมควรโดนสักที” แม่ต้นน้ำพูดติดตลกและหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจที่ลูกตัวเองโดนดีเสียบ้าง

แตกต่างจากชายร่วมโต๊ะทั้งสองที่หัวเราะได้ไม่เต็มปากนักแต่ก็ฝืนหัวเราะตามไปด้วยอาการฝืนๆ จินไห่มองหน้าต้นน้ำด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แต่ในอกมันสั่นไหวไปหมด จินไห่มีอาการปลายนิ้วมือเย็นและอาการหลอดอาหารตีบจนแทบกลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ไม่ลง

“แม่รู้ได้ไง?” ต้นน้ำเอ่ยปากถามด้วยท่าทางหงุดหงิดซึ่งเขาพยายามทำตัวเป็นปกติที่แม่ชอบมากวนโมโหเขาแบบนี้

“แม่เล่นโซเชียลเป็นนะ ฉันไม่ใช่มนุษย์ป้าล้าหลังนะ ฉันเป็นมนุษย์ป้าไฮเทค แต่ก็ไม่เคยเกรียนคีย์บอร์ดนะยะ!” พูดจบก็ใช้นิ่วชี้ดันหน้าผากลูกชายตัวเองที่ถลันศรีษะเข้ามาใกล้เกินเหตุ

“แล้วพี่ออมไม่รู้สึกอะไรเหรอ?” จินไห่ที่รู้สึกเย็นวูบไปทั่วศรีษะตอนบนเหมือนใครเล่นของเอาศรีษะเขาไปเข้าในตู้เย็นได้เอ่ยถามต่อ

“พี่เล่นโซเชี่ยลมานาน รู้หรอกว่าอันไหนจริง ไม่จริง แล้วเด็กสาวคนที่โพสก็แฟนเก่าไอ้ต้นน้ำมัน แค่นี้ก็รู้แล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไร ขืนร้อนรนไปเสียทุกเรื่อง ไม่ต้องทำมาหากินอะไร” แม่ของต้นน้ำที่พูดไปด้วย หยิบจับอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย น่าจะเป็นคนเดียวในโต๊ะที่เจริญอาหารขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 4) 29 ก.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-07-2021 11:57:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 5) 10 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-08-2021 06:16:52
ต้นน้ำไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรเพราะตนก็อยากจะเปิดเผยอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อนที่มหาวิทยาลัยของเขารู้กันหมดแล้ว เพียงแต่ไม่พูดกันเท่านั้น เพราะอะไรที่มันจริงและเจ้าของข่าวอย่างต้นน้ำที่ไม่สนใจ ไม่อาย ข่าวที่เล่นไม่ได้แบบนี้ ไม่น่าสนใจ เลยกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคณะไปแล้ว ยิ่งปัจจุบันผู้ชายคบกันเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ อย่างไอ้ไอซ์เองยังควงผู้ชายแทบไม่ซ้ำหน้าอย่างเปิดเผย เลยกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว

“สมมติว่ามันจริงล่ะ?” ต้นน้ำเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางใบหน้าตกใจอย่างหนักแต่เก็บอาการไว้อย่างจินไห่

“อะไรจริง?” แม่ต้นน้ำคิ้วขมวดหันควับไปทางคนถาม

“ที่ผมกับพี่ไห่เป็นแฟนกัน” ต้นน้ำพูดหน้านิ่งและใช้นิ้วชี้ไปทางคนที่นั่งหน้าซีดและตาโตดุใส่เขา

“……..” แม่ต้นน้ำที่พยายามเก็บอาการจนขนหัวคิ้วกระตุกสั่นเงียบนิ่งไปชั่วครู่

“ต้นน้ำล้อเล่นแรงไปแล้ว!!” จินไห่พูดสวนขึ้นมา

“ไอ้เด็กบ้า เล่นบ้าอะไรเนี่ย” แม่ของเขาหัวเราะออกมา

“ผมแค่อยากรู้จริงๆ ว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรหากสมมติว่า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ต้นน้ำยังคงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จินไห่พอจะรู้จากน้ำเสียงว่า ต้นน้ำถามจริงจังแต่ใช้คำว่าสมมุติมาตั้งคำถาม

“แม่…ก็คง…อึ้ง…. และคงเสียใจมั้ง….. แม่อยากให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ที่ลูกไม่เคยมี แม่อยากอุ้มหลาน อยากตั้งชื่อหลานเหมือนเพื่อนๆแม่หลายๆคนบ้าง……… แกเนี่ยถามอะไรเครียดเชียว” แม่หัวเราะทิ้งท้ายประโยคที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้

“ว่าแต่ น้องไห่ ไม่สนใจจริงง่ะ น้องน่ารักนะ ยังไม่เคยมีแฟนด้วย เดี๋ยวพี่เป็นแม่สื่อให้!”

“ไม่ดีกว่าครับ”  จินไห่ตอบเสียงห้วนเพราะตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาเจอสถานการณ์แม่สื่อแม่ชักแบบนี้

“ไม่เป็นไร วันไหนไปตลาดก็แวะไปหาน้องสักหน่อย ไปซื้อข้าวไง บอกว่าพี่แนะนำ รับรองถูกกว่าที่อื่น” แม่ต้นน้ำยังคงขยั้นขยอพร้อมหยิบโทรศัพท์เพื่อค้นหารูปญาติห่างๆของตนให้จินไห่พิจารณากึ่งบังคับ

“อืม…. ครับ จะลองดู” จินไห่รีบรับคำแบบส่งๆ เพื่อจะได้จบการสนทนาเรื่องนี้เสียที

ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าที่แม่ของต้นน้ำมากินมื้อค่ำด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นหลัก และอีกเรื่องที่หนักใจไม่แพ้กันคือ ต้นน้ำที่นั่งหน้าเครียดเหมือนจะฆ่าเขาด้วยสายตาเสียให้ได้ หากได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองคน เขาคงจะแย่แน่ๆ

…………….


ต้นน้ำที่ถูกใช้ให้ทำความสะอาดจานชามและภาชนะต่างๆ ในครัวระหว่างที่แม่ของเขากำลังทำหน้าที่แม่สื่อให้กับแฟนของเขา บวกกับเมื่อแม่บังคับให้เขากลับบ้านมาพร้อมกับเธอแบบไม่เต็มใจแบบนี้ ทำให้ต้นน้ำยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นจนแผ่รังสีอำมหิตที่แม้แต่จินไห่ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกถัดออกไปยังรู้สึกได้

ปกติเขาจะขออยู่จนถึงสองทุ่มแล้วค่อยกลับเพราะอ้างว่าสมองช่วงเย็นกำลังแล่นดี เลยขออยู่สะสางงานให้จบในแต่ละวัน แต่วันนี้เขาโดนแม่ลากกลับมาตั้งแต่ยังไม่หนึ่งทุ่มเสียด้วยซ้ำ

“หน้าหงิกเป็นตูดเชียว เป็นอะไรของแก ไม่ดีหรือไง จะได้รีบกลับไปเล่นเกมเพลย์อะไรของแก เห็นอยู่กับมันมากกว่าฉันอีก! ช่วงนี้ขยันทำงานแปลกๆนะ” แม่เอ่ยทักเมื่อเห็นลูกชายท่าทางฉุนเฉียวจนเก็บอาการไม่อยู่

“แม่ทำไมต้องไปวุ่นวายกับพี่ไห่ด้วย เขายังไม่แก่ขนาดต้องรีบมีครอบครัวเสียหน่อย” ลูกชายที่ตอบไม่ตรงคำถามบวกกับสีหน้าบูดบึ้ง

“แม่แกแต่งกับพ่อแกตั้งแต่ 20 แล้วนะ คนจีนก็แบบนี้ทั้งนั้น ก็เห็นเขาเหมาะสมกันดี ฉันจะแนะนำใครให้ใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกมิทราบ”  แม่เขาสวนกลับทันที

“พี่หมวยเขาหาผัวเองได้เหรอแม่? สวยๆ แบบนั้น น่าจะมีแฟนมาหลายคนแล้วมั้ง” ต้นน้ำพูดถึงลูกพี่ลูกน้องห่างๆของตน

“ปากเรอะนั่น เขามีศักดิ์เป็นพี่สาวแกนะ หัดให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่บ้าง!!” แม่เขาหันตวาดใส่ลูกชายที่มีทัศนคติและนิสัยไม่ต่างจากตน จนต้องลอบลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ ให้ใจเย็นลงหน่อย

“ก็มันจริงนี่นา!!” ลูกชายตัวดียังไม่หยุด ตอนนี้ต้นน้ำเริ่มอดทนกับความจุ่นจ้านของแม่ตัวเองไม่ไหว

“ก็เห็นน้องไห่ เขาขยันทำมาหากิน จนไม่มีเวลาหาเมียเอง ครั้นจะหาเอาเองมันก็ไม่รู้จะได้เมื่อไหร่ กลัวจะไปคว้าคนที่สวยแต่รูป แม่เห็นชีวิตคนดีๆ พังมาเยอะแล้วเพราะเห็นแค่หน้าตากีก็จับมาทำเมียน่ะ สุดท้ายก็เลิกกัน เห็นผู้ชายดีๆ แบบนี้ก็ต้องแบ่งปันจริงไหมล่ะ….. หรือแก…….” แม่ของเขาพูดจบก็ชี้หน้าเขา

“อะไร!!” ต้นน้ำเริ่มหงุดหงิดกับอากัปกิริยาที่อ่อนกว่าวัยของแม่ตนเองเพิ่มขึ้น

“แกจะรู้ว่า น้องไห่แอบมีเมียแล้ว หรือว่าน้องสาวที่เคยมาอยู่ด้วยนั่นไม่ใช่น้องสาว แต่เป็นเมีย!!  ไม่นะ!! ฝันสลาย กับการมีน้องเขยเป็นคนต่างชาติ!!” แม่ของต้นน้ำที่น่าจะดูละครเยอะไปมีอากัปกิริยาที่มากกว่าคนปกติแสดงออก วาดมือมาลูบหน้าตัวเองเหมือนแม่พระเอกมี่โกรธเมื่อพระเอกไปคว้าเมียไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้าบ้าน

‘ไม่รู้ว่าไอ้นิสัยแบบนี้แม่เหมือนใคร ไม่เหมือนเราแน่ๆ’ ต้นน้ำตะโกนในใจเสียงดังลั่น

“นั่นน้องจริงๆ แม่รู้เยอะไปป่าวเนี่ย!!” ต้นน้ำรีบตอบออกไปตามจริง เพราะกลัวแม่ตนเองจะทำให้คนรอบข้างหันมามองกันหมด

“แม่รู้ทุกเรื่อง!! แปลว่าโสดสิ!! ทางสะดวกเลย!!”

“แม่!!” ต้นน้ำหยุดฝีเท้าลง

“อะไรของแกวะ ทำยังกับแกหวงก้างน้องไห่ สรุปแกเป็นเมียเขาหรือไง ถึงหวงจังเลย!!” แม่หันมาขึ้นเสียง

“ไม่ใช่เมีย ผัว!! ผมเป็นผัวพี่ไห่ พอใจยัง แล้วก็เลิกเป็นแม่สื่อเสียที รำคาญ!!” ต้นน้ำหลุดปากพูดเรื่องที่เก็บกดอยู่มานาน

“……..” แม่ของต้นน้ำนิ่งเงียบไป เธอมองตาลูกชายหัวแหวนของตนด้วยดวงตาเรื่อแดง เธอกำหมัดแน่น แต่มิได้คำพูดใดหลุดออกจากปากต่างจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว

ต้นน้ำที่รู้สึกเสียใจกับอาการหัวร้อนของตนทำให้แม่เขารู้ความจริงอย่างไม่เหมาะสมแบบนี้

เพียงครู่เดียวที่แม่ของเขานิ่งและหันหน้ากลับไปเดินต่อด้วยความเงียบจนผิดปกติ พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าบ้าน ระหว่างแม่ของเขากำลังไขกุญแจเข้าบ้าน ต้นน้ำจึงถือโอกาสนี้พูดเพื่อทำให้แม่หายโกรธ

“เฮ้ย…ผมขอโทษครับ ผมล้อเล่น ผมแค่อยากให้พี่เขาหาแฟนเองน่ะ พี่เขาเพิ่งอกหักมาน่ะครับ ให้พี่เขาพักใจก่อนก็เท่านั้น” ต้นน้ำเดินไปโอบแม่จากด้านหลัง พยายามพูดแก้ต่างไปเรื่อยเท่าที่คิดออก แต่เขาไม่เก่งเรื่องพวกนี้กับแม่ของเขาเสียเลย

“นานหรือยัง?” แม่เอ่ยเบาระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้านไปอย่างช้าๆ

“อะไร นานอะไร?” ต้นน้ำไม่เข้าใจคำถาม

“ฉันถามว่า… พวกแกทำแบบนี้กันนานหรือยัง?” แม่ต้นน้ำเสียงสั่น

“ผมไม่เข้าใจ คือ….” คราวนี่ต้นน้ำไม่เข้าใจคำถามของแม่ตนเองจริงๆ

“ฉันถามแกจริงๆ อย่าให้ฉันพูดคำบัดสีพวกนี้ ฉันถามแกว่าพวกแกทำเรื่องแบบนี้กันนานหรือยัง?!!” แม่ถามสวนประโยคคำตอบของต้นน้ำด้วยถ้อยคำที่สั่นเครือ

“ผม….งงนะแม่ คืออะไรน่ะ?” ต้นน้ำจับต้นชนปลายไม่ถูกยิ่งมาเห็นใบหน้าแม่ที่แดงก่ำเหมือนลูกเหล็กโดนความร้อนที่พร้อมจะระเบิดออกมาแบบนี่เขายิ่งทำอะไรไม่ถูก ในหัวขาวโพลนไปหมด ไม่สามารถคั้นคำพูดใดๆ ออกมาได้

“ก็เรื่องที่พวกแกทำกันก่อนลงมากินข้าวไง!!!” ตอนน้ีน้ำในตาข้างหนึ่งของแม่ของเขาปริ่มไหลลงมาอาบแก้ม

“แม่…ระ…..” คำพูดหลายคำติดจุกอยู่ที่ลำคอของต้นน้ำที่เห็นสีหน้าและน้ำตาของผู้เป็นมารดา

“เสียงมันดังลั่นบ้าน!! แค่ฉันเดินเข้าไปก็แทบจะจินตนาการได้แล้วว่าพวกแกทำอะไรกัน ยิ่งได้บังเอิญขึ้นไปเห็นภาพที่มันวิปลาสแบบนั่น ให้ฉันอดทนนั่งกินข้าวจนอิ่มก็เก่งแล้วไหม แล้วยังต้องสาธยายอะไรอีก!! บอกมาพวกแกทำแบบนี้กันนานหรือยัง!?!”
แม่โวยหลังจากปิดประตูบ้านตอนนี้พวกเขาอยู่พื้นที่หน้าร้านที่ปิดมิดชิดเรียบร้อย

ต้นน้ำไร้คำพูดใดๆ เขาไม่คิดว่าแม่ของเขาจะมารู้เรื่องนี้ในลักษณะแบบนี้ และต้องโทษตัวเองที่ไม่เคยล็อกประตู

“แม่…. คือว่า ผมรักพี่ไห่จริงๆนะครับ?” ต้นน้ำเดินเข้าไปหาแม่ของตนด้วยท่าทีระมัดระวัง เขาไม่เคยคิดเลยว่าแม่ของเขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นอาการแบบนี้เลย

“หยุด!! ไม่ตีองพูดแล้ว ป๊าแกฝากฝังฉันให้ดูแลแกอย่างดี ให้เติบโตและมีครอบครัวที่มีความสุข!! แล้วจะให้ชั้นไปบอกป๊าแกได้ยังไง” แม่ยังคงโวยวายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เขาร้าวหัวใจไปหมด ปกติเขาจะเถียงสู้ฟัดกับแม่ทุกเรื่อง แต่หลังจากมาเจอสีหน้าท่าทางแบบนี้ ต้นน้ำเหมือนอาหารที่กินไปเมื่อเย็นจะทยอยคืนกลับออกมาทางที่มันเข้ามา ทุกคำพูดที่อยากจะพูดมันจุกอยู่ที่คอ

“แม่ฟังผมหน่อยนะ ….” ต้นน้ำปรับน้ำเสียงเพื่อใก้แม่ฟังคำที่เขาพยายามอธิบาย แต่มันยังบรรยายออกมาไม่ถูกต้อง

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าญาติผู้ใหญ่เราจะว่ายังไง เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบทำไมถึง เป็นเกย์ ผิดเพศวิปริตแบบนี่!! น้องไห่ที่เห็นไม่มีแฟนก็เพราะชอบไม้ป่าเดียวกันใช่ไหม?!? ผู้ชายตั้งเยอะไม่เอา มายุ่งอะไรกับลูกชายฉันด้วย!!”  แม่ของต้นน้ำนอกจากจะไม่ฟังอะไรแล้ว ยังตวาดเต็มเสียงออกมา

ประโยคสุดท้ายคือเส้นบางๆ ที่ขาดไป ต่อว่าเขาเท่าไหร่ก็ได้ เพราะเรื่องนี้เขาผิดเองที่ไปหลงรักพี่ไห่ แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่ไห่เลย เพราะพี่แทบไม่เคยล้ำเส้นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเลย มีแต่เขานี่แหละที่ก้าวข้ามไปก่อน

“แม่!! นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว แม่ทำไมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้วะ ผมรักพี่ไห่ไม่ใช่ที่เพศแต่ที่รักเพราะ พี่ไห่ก็คือพี่ไห่” ต้นน้ำขึ้นเสียงกลับ

“นี่ฉันเป็นขนาดนี้แล้วแกยังจะไปเข้าข้างคนอื่นอีกเหรอ!! ไอ้ลูกไม่รักดี เลี้ยงเสียดายข้าวสุก!!” แม่ของเขาโวยกลับมาด้วยเสียงที่ดังและแรงกว่าเดิมมาก

หลังจากนั้นก็เหมือนบ้านสั่นสะเทือนไปหมดจากการโต้ตอบระหว่างต้นน้ำที่คลั่งรัก และแม่ของเขาที่แสนจะผิดหวังกับลูกชายตนเอง สุดท้ายในเมื่อต้นน้ำไม่สามารถทนใช้ถ้อยคำตนเองโต้ตอบถึงความรักอันมหาศาลของเขาให้แม่เข้าใจได้ เขาทำได้แต่เพียงก้าวเดินกว้างๆ ออกมาจากบ้านตนเองอย่างรวดเร็ว

หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 5) 10 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-08-2021 08:40:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 5) 10 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-08-2021 00:50:37
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็นะ   รู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานแม่ก็จะมา  เจ้าต้นน้ำยังหน้ามืดตามัวจะเล่นจ้ำจี้กับพี่ไห่ให้ได้   ทั้ง ๆ ที่พี่ไห่ก็ห้ามแล้ว  เป็นไงหล่ะ  ชิส์
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 20 part 6) 16 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-08-2021 13:19:53
ต้นน้ำวิ่งออกทางหลังบ้าน ผ่านสวนผลไม้ที่ทิ้งร้างจนรกรัง ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่เขาฝากธุลีของบุพการีของตนและจินไห่ไว้ในอ้อมกอดของรากไม้อายุหลายสิบปี ปีนผ่านรั้วลวดหนามผุพังที่กั้นระหว่างสองพื้นที่ วิ่งไปจนถึงบ้านที่เขาแสนจะผูกพันแม้จะเคยมาฝังตัวอยู่ไม่นาน

“ต้นน้ำ?” จินไห่ที่กำลังจะเดินไปร้านอาหารของตนเอ่ยทักคนที่วิ่งจากทางสวนหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตา รอบขอบดวงตาที่แดงก่ำจนเหมือนโดนกำปั้นใครทุบอย่างแรงหลายครั้ง ดวงตาที่สับสนทำให้จินไห่วิ่งเข้าไปโอบรั้งร่างที่สั่นเทิ้มไว้ในอกอุ่นทันที

ฮือ…..

เสียงสั่นเล็กๆนั้น ที่จินไห่ ไม่เคยได้ยิน ทำให้เขาสังหรใจไม่ดี เขาเคยคิดถึงเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้ง เขาเคยจำลองมันในความคิดหลายรอบ เรื่องที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร เรื่องที่พี่ออมไม่ควรจะทราบก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสม

เขาพยายามคิดหลายแบบว่าจะบอกแม่ของต้นน้ำอย่างไรถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและต้นน้ำแต่สุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วยคำว่าเสียใจแบบนี้

‘มันยังไม่ถึงเวลา’

เขาคิดย้ำในใจขณะที่ยืนลูบศรีษะคนตรงหน้า

“แม่……แม่เขา” ต้นน้ำที่กำลังสับสนว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังกล่าวขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เพียงเท่านี้จินไห่ก็ได้ข้อยืนยันชัดเจน

“แม่ต้นน้ำรู้เรื่องของเราแล้วใช่ไหม?” จินไห่พูดเสียงเรียบ

“ทำไมพี่รู้?!?” ต้นน้ำเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าประหลาดใจที่ทั้งใบหน้าแดงก่ำไปหมด

“ก็พอจะสังเกตได้ตั้งแต่พี่ลงมาเจอแม่ของต้นน้ำแล้วล่ะ พี่ออมมาก่อนเวลามาก แล้วก็…นิ่งเกินไป….มันสัมผัสได้น่ะ!”  ต้นน้ำกลับประหลาดใจที่ทำไมเขาไม่รู้สึกเลย

“ผมขออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?” ต้นน้ำเช็ดน้ำตาที่ไหลโดยไม่ตั้งใจและมองหน้าคนรักของเขาด้วยดวงตาแดงช้ำ

จินไห่มองสีหน้าคนตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด ความเจ็บนี้แล่นไปที่กลางอกเหมือนเข็มนับสิบทิ่มแทงหัวใจของเขา แต่ครั้งนี้เขาจะเอาเพียงอารมณ์อ่อนไหวตรงหน้ามาเคลือบแคลงการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ เขาจะต้องเคลื่อนไหวต่อเหตุการณ์นี้อย่างระมัดระวัง

“ไม่ได้ น้องจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง” จินไห่กัดฟันพูดตรงข้ามกับใจจริงที่อยากรั้งคนตรงหน้าไว้โดยที่ไม่สนใจคนเป็นแม่

“ทำไมล่ะครับ แม่เขาไม่เข้าใจ แม่ตั้งใจจะแยกเราจากกันนะครับ!!” ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ วัยรุ่นอย่างเขาต้องการเพียงความสุขตรงหน้าเท่านั้น

“อยากแก้ปัญหาตรงนี้ไปด้วยกันไหม?” จินไห่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาลูบผมต้นน้ำอย่างนุ่มนวล ต้นน้ำทำได้แค่พยักหน้า แต่ภายใจเต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่เข้าใจว่าการกลับไปอยู่บ้านกับแม่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รังแต่จะทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกจากกัน

“เชื่อพี่นะ กลับไปเป็นลูกที่ดีก่อน อย่าหนีปัญหา เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เราต้องคุยกันด้วยเหตุผล” จินไห่ยิ้มบางๆที่มุมปาก ปากก็พูดไปแต่ในสมองกลับว่างเปล่า เขารู้ดีว่าแม่ของต้นน้ำเป็นคนเด็ดเดี่ยวเช่นไร ด่านอุปสรรคนี้ มันยากเกินกว่าที่เขาจะใช้เวลาคิดอันสั้น

จินไห่พยายามอย่างหนักจนกระทั่งต้นน้ำตัดสินใจเดินกลับบ้านไปโดยดี โดยมีเงื่อนไขจากจินไห่ว่า ห้ามมีปากเสียงกับแม่ตนเองเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการกล่อมด้วยเหตุผล

หลังจากวันนั้น จินไห่ก็ไม่พบหน้าต้นน้ำอีกเลย ไม่แม้แต่จะสื่อสารถึงกันทางโทรศัพท์หรือข้อความ

…………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 5) 10 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-08-2021 13:21:57
:pig4: :pig4: :pig4:

ก็นะ   รู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานแม่ก็จะมา  เจ้าต้นน้ำยังหน้ามืดตามัวจะเล่นจ้ำจี้กับพี่ไห่ให้ได้   ทั้ง ๆ ที่พี่ไห่ก็ห้ามแล้ว  เป็นไงหล่ะ  ชิส์

วัยรุ่นก็อย่างนี้
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 20 part 6) 16 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-08-2021 19:56:34
 :pig4:
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 21 part 1) 26 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-08-2021 17:01:02
บทที่ 21

Over the rainbow




หนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากที่ต้นน้ำบุกมาถึงบ้านเพื่อบอกข่าวร้ายเรื่องความไม่พอใจของแม่ของเขากับความสัมพันธ์ของต้นน้ำและจินไห่

หนึ่งสัปดาห์ที่จินไห่กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดหาทางออกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องของพวกเขา

สามวันแล้วที่เขาเดินไปพบกับแม่ของต้นน้ำ แต่พี่ออมแทบจะไม่มองหน้าเขาเลย ทำตัวยุ่งตลอด ด้วยภาระงานของทั้งสองทำให้มีโอกาสพบกันน้อยมาก แม้จะไปยืนรอเพื่อขอพบ แต่จินไห่กลับไม่เป็นที่ต้อนรับเหมือนเคย

จินไห่คิดหาทางอื่นไม่ออกเลยว่าจะแก้ปมตรงนี้อย่างไร เรื่องครอบครัวเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดของเขา จินไห่เข้าใจวัฒนธรรมของคนเชื้อสายจีนเป็นอย่างดี มันไม่มีทางที่แค่คำพูดจะแก้ปัญหาได้ เพราะอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก

สิบวันผ่านไปที่จินไห่ไม่ได้พบต้นน้ำเลย แม้เขาจะแอบออกไปรอที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วก็ตาม มันเงียบสงบไม่มีแม้เสียงลมพัดโบกใบไม้

จินไห่ติดต่อไปหาไอซ์แต่เขาก็ไม่ทราบข่าวคราวของต้นน้ำเช่นกัน เพราะไอซ์ก็คิดว่าต้นน้ำน่าจะสิงอยู่ที่บ้านจินไห่ไม่ไปไหน ไอซ์ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ขะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของต้นน้ำที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันอย่างเปิดเผย แม้แม่ของต้นน้ำจะไม่ชอบใจที่รบกับไอซ์ แต่พอนานวันเข้าแม่ก็เข้าใจ ไอซ์จึงรับปากว่าจะช่วยสืบข่าวมาให้

วันนี้คือวันที่ครบสองสัปดาห์พอดี จินไห่เตรียมเคลียร์งานทั้งหมดและฝากฝังทุกอย่างไว้ที่ผู้จัดการร้านของเขา วันนี้เขาจะต้องคุยกับแม่ของต้นน้ำให้รู้เรื่อง โดยมีไอซ์เป็นผู้คิดแผนอันแยบยลให้

ไอซ์นัดแนะจินไห่ให้ไปที่ผับของนีโน่ เจ้าพ่อแหล่งเที่ยวยามราตรี ครั้งที่ฟังจินไห่ก็สงสัยว่าให้ไปทำอะไรที่นั่นกัน จนกระทั้งได้รับการแถลงไขจากจ้าวแผนการอย่างไอซ์ว่า…

พี่โน่ได้ช่วยเชิญแม่ของต้นน้ำออกมาเพื่อขอคุยเรื่องธุรกิจ ทำทีว่ามีแผนจะขยายร้านและอยากให้แม่ของต้นน้ำดูแลเรื่องวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมด ซึ่งหากฟังจากโครงการแล้ว หากสนทนาภาษาธุรกิจสำเร็จ ที่ร้านจะได้กำไรก้อนโตเลยทีเดียว การวางแผนทั้งหมดเป็นการร่วมมือระหว่างไอซ์และนีโน่ (ไม่รู้ว่าสองคู่ปรับนี่มาญาติดีกันได้ยังไง?)

จินไห่ไปถึงตรงกับเวลานัดหมาย ณ ส่วนหนึ่งของผับซึ่งนีโน่เป็นเจ้าของอยู่ ขณะนี้ผับยังคงเงียบเหงาและร้างผู้คนเนื่องจากยังเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ จินไห่พบว่าแม่ของต้นน้ำที่อยู่ในชุดเรียบร้อยเป็นทางการนั่งหันหลังให้กับเขาที่โต๊ะวีไอพีของร้าน ผมที่หวีเรียบและมัดไปทางด้านหลังแบบครึ่งศรีษะช่างรับกับใบหน้าที่สดใสของเธอ ต้นน้ำคงได้โครงสร้างหน้าที่แสนสดใสจากเธอคนนี้

เขาพบว่าตอนนี้ นี่โน่ผู้เป็นเจ้าของร้านกำลังนั่งสนทนาด้วยท่าทีสบายอยู่ฝั่งตรงข้าม และยกยิ้มมุมปากขึ้นทันทีที่เห็นจินไห่เดินเข้ามาในระยะสายตา

“สวัสดีครับ พี่ออม ในที่สุดเราก็ได้เจอกันนะครับ” จินไห่กล่าวอย่างสุภาพ

“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ” แม่ของต้นน้ำเอ่ยขึ้นขณะที่ยังคงหันหน้าให้กับคู่สนทนาก่อนหน้า

“หมดธุระของผมแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ แต่เรื่องที่ผมจะให้พี่มาช่วยผมเรื่องจัดหาวัสดุก่อสร้างเป็นเรื่องจริงนะ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องติดต่อไป” นีโน่พูดจบก็ยกมือไหว้อย่างสุภาพ ก่อนที่ยืนขึ้นติดกระดุมเสื้อสูทและเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ขอบคุณครับพี่โน่” จินไห่กล่าวอย่างสุภาพและก้มหัวให้

“ไม่นึกว่าน้องไห่สนิทชิดเชื้อกับผู้มีอิทธิพลอย่างนี่โน่” แม่ของต้นน้ำพูดเสียงดังเมื่อจินไห่นั่งลงแทนที่คู่สนทนาก่อนหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผมเคยทำงานกับพี่โน่ครับ แล้ววันนี้…. ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ครับ!!” จินไห่ก้มลงเกือบชิดกับพื้นโต๊ะตรงหน้าหลังพูดจบประโยค

หญิงสาววัยกลางคนเริ่มดึงหน้าตึง รูปปากที่เคยยกยิ้มเมื่อครู่กลับนิ่งและปิดสนิท บรรยากาศภายในผับยามบ่ายกลับเย็นเยียบและดูมืดลงเล็กน้อย เหมือนหญิงตรงหน้าจินไห่คนนี้สามารถปรับเปรียบบรรยากาศโดยรอบได้ดังใจ

จินไห่กลืนน้ำลายหนืดลงคอเฮือกใหญ่ ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ค่อยๆแผ่มาจากบรรยากาศจนถึงกับขนลุกขึ้นมา

“ผมอยากคบกับต้นน้ำจริงๆ ครับ ผมสาบานว่าจะดูแลเขาอย่างดี ผมรักต้นน้ำครับ” จินไห่กลั้นใจพูดด้วยความกล้าทั้งหมดที่มี แต่เสียงที่หลุดออกมากลับมีอาการสั่นอยู่ที่ท้ายประโยค

อีกฝ่ายยังรงดึงหน้านิ่ง ดวงตาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาเขาเหมือนจะพยายามเสาะหาความจริงใจจากสิางที่จินไห่พูด จินจึงทำได้เพียงจ้องมองกลับอย่างแน่วแน่ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของเขา

คนเป็นแม่กลับทำได้แค่ถอนหายใจหลังจากที่จ้องลึกเจ้าไปในดวงตาอีกฝ่ายแบบแทบจะไม่กระพริบตา

“พี่ออมครับ ผม….จริงใจนะครับ ผม…..หลงรักต้นน้ำมานานแล้วครับ ทีแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว แต่…..เมื่อน้องเขา….. ยอมรับหัวใจของผม…… ผมก็เลย…..” จินไห่ก้มหัวไปมาระหว่างพูดจนคู่สนทนาได้แต่กุมศรีษะ

“พอเถอะ…. พี่ว่า…..” คนเป็นแม่ตอบสั้นๆ และเบา

“ไม่ครับ!! ไม่ ผม……”

“พี่ว่า เราไม่ต้องพูดอะไรกันแล้วนะ พี่…..”

“พี่ออม ผมขอร้องครับ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมยอมทุกอย่างให้ผมได้คบกับต้นน้ำเถอะครับ!!” จินไห่ไม่ยอมแพ้

“พอเถอะ!” อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วผ่อนลมหายใจลงพื้นโต๊ะอย่างแผ่วบาง
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 21 part 1) 26 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-08-2021 19:38:33
 :pig4:
:hao5:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 21 part 2) 30 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-08-2021 16:49:29

“ไม่ครับ ผมไม่พอ ผมจะพูดกับพี่จนกว่าจะเข้าใจ!!”  จินไห่เงยหน้าขึ้นมาเสียงดังใส่คนตรงหน้าอย่างจริงจัง แน่นอนว่าสร้างความแปลกใจแก่ผู้หญิงวัยกลางคนๆนี้อย่างมาก มันแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน

“เออๆ รู้แล้ว พี่หมายถึง พี่คงพอเรื่องแกล้งน้องแล้วล่ะ!!” แม่ของต้นน้ำผ่อนลมหายใจอีกครั้งด้วยด้วยรูปปากอมยิ้มกับอาการหน้าเหวอของคนหน้าสวยตรงข้าม

“หา!!!” คือคำอุทานเพียงคำเดียวที่คนหน้าเหวอคิดออก

“ใจเย็นๆ แล้วก็ฟังพี่นะ พี่พนันกับไอ้เจ้าต้นน้ำไว้น่ะ” แม่ของต้นน้ำยกมือขึ้นเชยคางเท้าโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ในที่สุดเกมน่าเบื่อและเปลืองพลังงานแบบที่เธอคิดเองนั้นจะได้สิ้นสุดลงเสียที

“เอ๊ะ!” จินไห่ตามกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ทัน

“โอเค งงแบบนี้ก็แปลว่าลูกพี่มันไม่ได้บอกอะไรน้องไห่อย่างที่ตกลงกัน” แม่ของต้นน้ำมองคนตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ อากัปกิริยาของจินไห่เป็นไปตามที่เธอคาดเดาไว้

“ผมไม่เข้าใจ?” จินไห่ทรุดตัวนั่งลงหลังจากที่ลุกขึ้นโวยวายมาพักใหญ่

“แล้วเธออยากพูดอะไรกับพี่ล่ะ?” มีรอยยิ้มจางๆ จากคนเป็นแม่

“ผมอยากให้พี่เข้าใจในความรักของผมกับต้นน้ำ เรารักกัน อยากให้พี่รู้ว่าผมจะดูแลต้นน้ำอย่างดี ผมรักต้นน้ำด้วยใจจริง”

สีหน้าขึงขังของคนพูดทำให้คนเป็นแม่ใจบางลงไปมาก

“แต่เธอก็ปิดคนเป็นแม่อย่างพี่ได้ตั้งนาน ทั้งๆ ที่พี่เปิดโอกาสให้ตั้งหลายครั้งแล้ว”  ผู้เป็นแม่จ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย

จินไห่หน้าเย็นไปครึ่งซีกเหมือนเลือดไม่ไปเลี้ยงเพราะแววตาคนตรงหน้า
“พี่รู้เมื่อไหร่?”

“ประเด็นมันไม่ใช่ว่าพี่รู้เมื่อไหร่ ประเด็นคือ คิดว่าเมื่อไหร่จะบอกพี่ แบบนี้มันไม่จริงใจเลย เธอคิดว่าพี่เป็นมนุษย์ป้าโลว์เทค อย่างนั้นหรือ? คนเป็นแม่ยุคนี้ต้องหัดเล่นพวกโซเชียลเน็ตเวิร์คไว้นะ ไม่งั้นจะตามลูกไม่ทัน … ตอนแรกไม่เชื่อหรอกนะ แต่ลูกชายพี่มันก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องน้องเท่าไหร่นี่นะ”

ฟังแบบนี้แล้วจินไห่ถึงกับกำหมัดแน่น อยากโขกกระโหลกแฟนเด็กของเขาสักสองสามที ที่ทำอะไรไม่ระวังจนเรื่องบานปลาย

“แล้วพี่ออมยอมรับเรื่องพวกผมได้ไหมครับ?” จินไห่ถามต่อด้วยอาการใจเต้นตุบตับคับอก

“แล้วเธอคิดว่าไง?!?”

“มันอาจเป็นเรื่องรับได้ยากนะครับ สังคมก็ยังไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่….. รักลูกชายพี่จริงๆนะครับ รักมาก รักจนขาดไม่ได้”

“ภาษาไทยเธอดีขึ้นมากเลยนะ แต่คงดูละครไทยเยอะไปหน่อยนะ เลี่ยนเชียว ถามให้คิดอีกนิดนะ หากพี่ไม่โอเคพี่จะเล่นเกมส์พนันทั้งๆ ที่รู้ว่าจะแพ้ทำไม? รู้ไหมว่าพี่พนันกับลูกของพี่ไว้ว่าอย่างไร?”

จินไห่สั่นหน้าแต่ก็ยังไม่รู้สึกใจชื้นขึ้นสักเท่าไหร่

“หนึ่งเดือน ห้ามพบ ห้ามเจอ จนกว่าจินไห่จะเดินมาคุยกับพี่และทำให้พี่ยอมรับในความสัมพันธ์นี้ให้ได้! เห็นไหมง่ายจะตาย!” แม่ของต้นน้ำยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเลห์

“โห…แต่พี่เล่นไม่ยอมพบผมเลย หนีผมตลอด หากผมไม่ร่วมมือกับไอซ์ และพี่โน่ผมจะได้เจอพี่ไหมเนี่ย?”

“นั่นเป็นเรื่องของความจริงใจและความอดทน หากรักลูกพี่จริง น้องไห่ต้องทำให้ได้”

“ผมใช้เวลาตั้งเกือบสามสัปดาห์เลยนะกว่าจะได้คุยกับพี่!! แล้วแฟนผมล่ะ”

“อะแฮ่ม!! พี่ยังไม่อนุญาตเลย อย่าเพิ่งใจร้อน! พี่ส่งต้นน้ำไปอยู่บ้านญาติที่ต่างจังหวัดหนึ่งเดือน ยึดโทรศัพท์ไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเธอเล่นโกง!!”

“พี่ออม เข้าใจพวกผมจริงๆ ใช่ไหมครับ ทำไมถึงได้ขัดขวางพวกผมขนาดนี้!!”

“พี่เข้าใจสิ พี่ศึกษาจากพวกซีรีย์มาเยอะเลย จนพี่จะกลายเป็นสาววายอยู่แล้ว พี่ค้นพบว่าผู้ชายๆ ก็มีโมเม้นต์อะไรพวกนี้ด้วย แต่พี่อยากจะรู้ว่าพวกเธอรักกันจริงแค่ไหน สามารถทนต่อความยากลำบากกันได้มากน้อย แค่ไหน น้องก็บอกเองว่าสังคมยังไม่ได้ยอมรับเรื่องพวกนี้ได้สักเท่าไหร่ พี่มีลูกชายคนเดียวนะ พี่ไม่อยากให้เขาต้องทุกข์กับสิ่งที่เขาเลือกในวันนี้ แล้วไปพบว่าตัวเองเลือกเส้นทางผิดในภายหลัง น้องไห่เข้าใจพี่ใช่ไหม?”

หลังจากฟังคนเป็นแม่ร่ายยาว เขาพยักหน้าเข้าใจจากใจจริง เพราะเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองรับรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเรื่องจริง

จินไห่ลุกขึ้นยืนและคุกเข่าลงตรงหน้าผู้หญิงผู้เป็นแม่ที่เข้มแข็งคนนี้ เขาจ้องมองไปที่ดวงตาอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

“ผมจะดูแลลูกชายพี่อย่างดีครับผมสัญญา”
คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเอ็นดูได้

“จ้ะ พี่รู้ตั้งแต่ประโยคแรกที่น้องเอ่ยขึ้นมาแล้วล่ะ รู้ตั้งแต่พี่ได้คุยกับลูกชายอย่างเปิดอก มันยากนะที่จะยอมรับ แต่พี่ก็อยากให้ลูกมีความสุขในแบบที่เขาเลือกเอง แค่นั่นแหละความสุขของคนเป็นแม่” แม่ของต้นน้ำยกมือขึ้นลูบบ่าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

“ขอบคุณครับ” จินไห่เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นแม่อย่างซาบซึ้ง เขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้

“เฮ้อ…. มันยากนะ พี่บอกเลย การที่ดันมีผู้ชายมาเป็นแฟนลูกชายตัวเองแบบนี้ อะไรที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ พังครืนลงมาเลย พี่นะอุตส่าห์เก็บเงินเก็บทองไว้ให้มันเผื่อมันจะเอาไปเป็นสินสอด ไปขอเมียเข้ามาช่วยกันดูแลบ้าน มีหลานให้อุ้มสักสองคน นี่พี่นะถึงขั้นคิดเผื่อไว้ด้วยนะว่าควรจะมีห้องเพิ่มสักห้อง เผื่อมันไปทำเขาท้อง เป็นแม่วัยรุ่นสมัยนี้นี่มันปวดหัวจริงๆ!!” แม่ของต้นน้ำบ่นยาวพลางกุมขมับ

“ขอโทษนะครับ….” จินไห่หน้าซีดพูดเสียงอ่อย

“ตายจริง! พี่ขอโทษ! บ่นเยอะไปหน่อย เฮ้อ!! แต่พี่ก็เข้าใจนะ หลังจากศึกษามาเยอะ แล้วเราก็รู้จักกันมานาน พี่ว่าพวกงานบ้านงานเรือน น้องไห่นี่เก่งกว่าผู้หญิงหลายคนอีกนะ พี่โอเคกับจุดนี้มาก ดีกว่าไปคว้าผู้หญิงที่ดีแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ แบบนั้นไม่ได้… ว่าแต่ไม่เอายัยหมวยที่พี่แนะนำจริงๆเหรอ สวยน่ารักแถมขยันอีกต่างหาก!!” แม่ของต้นน้ำฉีกยิ้มที่ท้ายประโยค

“พี่ออม…..!!” จินไห่รู้ว่าอีกฝ่ายล้อเล่นหลังจากที่กล่าวชื่นชมตัวเองเลยตอบกลับอย่างเขินๆ

“ล้อเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้ อีกอย่าง…. เลิกเรียกพี่ออมได้แล้วนะ เรียกแม่เหมือนเจ้าต้นน้ำก็ได้”

“ครับ! พี่…… เอ่อ…… คุณแม่” จินไห่รีบเปลี่ยนคำเรียกทันทีที่เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“เออ!! ว่าแต่…. ใครเป็นเคะ ใครเป็นเมะล่ะ?!?”  แม่เขยหมาดๆ ก้มหน้าลงมาแซวข้างหู

“เอ่อ… พี่ออม เอ้ย!! คุณแม่ครับ เรื่องนี้มัน!!”  จินไห่เขินโวยหน้าแดง

“โอเค อายก็ไม่เป็นไร แค่พี่ก็พอดูออกแหละ! หมดธุระแล้วไปหาอะไรเย็นๆ กินก่อนกลับบ้านเถอะนะ”  ผู้เป็นแม่เหยียดยืดขึ้นเต็มความสูง

“โหย… ไม่เห็นมีอะไรดราม่าเลย อุตส่าห์ไลฟ์สดในเฟซบุ๊คขนาดนี้” เจ้าของร้านตัวเล็กที่ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมาโผล่พรวดออกมาจากเงามืด

จินไห่รีบหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเปิดดูจึงพบว่าไลฟ์นี้มีคนเข้ามากูมากกว่า สี่พันคน เขารีบหันไปหาผู้เป็นแม่ของแฟนที่เพิ่งจะยอมรับเขาทันที

ด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดที่แม้แต่เจ้าของร้านผู้ทรงอิทธิพลอย่างนีโน่ถึงกลับรีบปิดไลฟ์และเก็บมือถือทันที หลังจากนั้นก็โดนคุณแม่สุดห้าวอย่างคุณออมเจ้าของกิจการค้าวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด สวดยับถึงความไม่เป็นผู้ใหญ่ของนีโน่และผู้ร่วมขบวนการอย่างไอซ์ (เป็นอีกครั้งที่จินไห่งงว่าไปสนิทกันตอนไหน?)

หลังจากวันนั้นทุกคนถูกกำชับว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้คนที่อยู่ไกลไร้การสื่อสารอย่างต้นน้ำรู้อย่างเด็ดขาด จนกว่าจะครบกำหนด หนึ่งเดือน ส่วนจินไห่เองก็ต้องร่วมทดสอบความอดทนต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด ถึงแม้จะได้รับการยอมรับแล้วแต่ข้อตกลงก็คือข้อตกลง หากผ่านพ้นช่วงนี้ไปไม่ได้ แม่ของต้นน้ำก็ยังไม่สามารถไว้ใจให้คบหากันต่อไปได้

จินไห่จึงได้แต่อดทนรอต่ออีกสัปดาห์กว่าๆ มันเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าที่เขาคิดมาก แต่ก็เป็นการรออย่างสุขใจ

……………………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 21 part 2) 30 ส.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-08-2021 15:03:56
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 21 part 3) 10 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-09-2021 10:27:20


เวลากว่าหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้าดุจเต่าคลาน ความเปลี่ยวเหงาและคิดถึงใครสักคนมันช่างทรมานเหมือนโดนแช่อยู่ในน้ำเย็นท่ามกลางพายุหิมะที่ขั้วโลกใต้

ไม่เคยคิดเลยว่าจะทรมานขนาดนี้ ยิ่งระหว่างที่เดินทางกลับจากบ้านญาติที่เชียงราย เขาอยากให้รถที่นั่งอยู่ตอนนี้มันเหาะได้เสียเหลือเกิน ต้นน้ำเหม่อมองออกไปด้านนอกตัวรถ ผ่านความมืดมิดของทุ่งนาสุดสายตา แสงดาวที่แข่งกันขับแสงเพราะเป็นคืนข้างแรม ลมหนาวของเครื่องปรับอากาศของรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ยิ่งทำให้รู้สึกทรมาน เขาแทบนอนไม่หลับ ต้นน้ำคิดถึงหน้ามารดาของตนเองที่กล่าวท้าทายเขาไว้ตอนที่เขาเริ่มต่อต้านอำนาจแม่

ผลที่ได้คือ แม่ยังคงยืนกรานถึงความไม่เหมาะสมและไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ แล้วยังจะท้าทายเขากลับโดยพนันในสิ่งที่ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วมันช่างยากเย็นจนแทบจะเป็นไปไม่ได้

‘พนันกับแม่แกไหมล่ะ พรุ่งนี้เก็บกระเป๋าไปอยู่กับอากู๋แกที่เชียงราย หนึ่งเดือน หากระหว่างนี้ พี่ไห่ของแกกล้าที่จะมายื่นอกรับเรื่องความสัมพันธ์ของพวกแก และโน้วน้าวแม่แกให้เห็นด้วยได้ แม่จะยอมให้แกคบกัน!! แต่มีเงื่อนไข สองข้อ หนึ่งคือ ยึดโทรศัพท์ สองคือ ห้ามติดต่อกันเด็ดขาด หากแม่รู้ แม่จะปรับแกแพ้ทันที!!’

เสียงแม่ของเขายังจำได้ขึ้นใจ มันยังดังก้องอยู่ในฝันทุกคืน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตกลง หลังจากที่นิ่งไปหลายนาที การตัดสินใจครั้งนี้ของเขานับเป็นเรื่องที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยตัดสินใจมาทั้งชีวิต แม้จะนั่งนึกเสียใจตลอดทุกคืนในที่ทุระกันดารอย่างรีสอร์ตของอากู๋ของเขาที่เชียงราย

มันช่างเหมาะเจาะเกินไปที่แม่เขาท้าทายเขาด้วยวิธีนี้เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คนงานในรีสอร์ตขาดพอดี ต้นน้ำเลยต้องไปทำงานทั้งดูแลลูกค้ายันเป็นคนช่วยซ่อมแซมต่อเติมรีสอร์ตสไตล์รักษ์โลกที่ดินแดนที่เหมือนโลกที่สามอันห่างไกลอย่างรีสอร์ตแห่งนี้

อย่าว่าแต่สัญญาณโทรศัพท์เลย ไฟฟ้ายังต้องจำกัดการใช้งานเสียด้วยซ้ำ แบบนี้มันเหมือนส่งเขามาลงโทษมากกว่า

ไม่รวมถึงความกังวลเรื่องแฟนที่อยู่ห่างไกลของเขาอีก ต้นน้ำรู้จักนิสัยจินไห่ดี การไปเผชิญหน้ากับแม่ของเขาด้วยเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเขาอยู่ด้วยแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วอย่าไปคาดหวังว่าจะเถียงชนะแม่เขาเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะสู้เหตุผลกับแม่เรื่องนี้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ ต้นน้ำถึงกับผ่อนลมหายใจออกแทบจะหมดปอด

งานนี้มันขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ เลยทีเดียว แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่ลัดที่สุด ทรมาน 1 เดือนแลกกับความสุขของชีวิตที่เหลือ

ต้นน้ำรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องอนาคตเขาคงไม่อาจทราบได้ว่าความรักของเขาจะเป็นอย่างไรต่อ เขารู้แต่ว่าจินไห่มาช่วยเติมเต็มช่องว่างที่หายไปของเขา ความอบอุ่นจากผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยได้ความรู้แบบนี้จากใครเลย หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้เขาได้ไตร่ตรองนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งความรู้สึกที่เกิด ทำให้เขารู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องบนเตียงที่จินไห่มอบความสุขให้เขาได้อย่างล้นเหลือ ใบหน้าสวยๆ ที่มองได้ไม่เบื่อ การเอาใจใส่ดูแลที่เขาไม่เคยได้จากใครมาก่อน แต่ยังมีความสุขใจเพียงที่ได้อยู่ใกล้กัน มันก็ทำให้เขาไมาอยากจากไปไหน

ยิ่งคิดแบบนี้ได้ ยิ่งทำให้เขาทรมานมากขึ้นเมื่อมองไปที่รอบด้าน มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ คนที่ทำให้เขาสุขใจไม่ได้แนบชิดไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่ได้แม้ได้ยินเสียง ทำไมเรื่องเพียงแค่นี้ถึงทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้ แม้แต่ขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านอยู่ตอนนี้ เขายังเจ็บหน่วงที่หน้าอกทุกครั้งที่นึกถึง ต้นน้ำถึงกับขยำเสื้อที่หน้าอกตัวอย่างไม่รู้ตัว

แสงไฟที่ริมข้างทางวิ่งเข้ามาปะทะใบหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดหลายชั่วโมงสลับกับความมืดของชนบทอยู่หลายชั่วโมง ไม่ทำให้เขาอ่อนเพลียเลย มีเพียงความตื่นเต้นตกค้างอยู่ในร่างกายจำนวนมาก เขาอยากทราบว่าผลลัพธ์ของการเดิมพันครั้งนี้จะเป็นเช่นไร เขาถึงกับวิงวอนต่อวิญญาณของพ่อตนเองและพ่อของจินไห่ช่วยดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผล แม้ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ

เขานั่งภาวนาอยู่ซ้ำๆ จนกระทั้งความอ่อนเพลียต่อการเดินทางไกลและความอ่อนล้าจากการทำงานหนักตลอดทั้งเดือนได้พรากความกระตืนรือร้นและความตื่นเต้นเหล่านั้นไป จนกระทั้งเหลือแต่ความมืดมิด

แสงไฟสลัวจากนีออนบนรถขนส่งกึ่งเก่ากึ่งใหม่แยงเข้าผ่านเปลือกตาที่ปิดไปอย่างไม่ตั้งใจ รวมกับเสียงอื้ออึงจากผู้ร่วมเส้นทาง แม่จะมีคนเพียงบางเบาเพราะไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่ก็ดังพอให้ต้นน้ำรู้สึกตัว

สิ่งแรกที่ต้นน้ำทำหลังจากตื่นขึ้นมาคือการมองออกไปชมวิวที่นอกหน้าต่างรถบานใหญ่ ตอนนี้ความสว่างที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก กำลังคืบไล่ราตรีมากขึ้นเรื่อยๆ รูปร่างทิวทัศน์ต่างๆที่เคยถูกปกปิดโดยราตรีก็ค่อยๆ เผยให้เห็นสถานที่รอบข้างที่คุ้นตามากขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาหลับไปยาวนานเท่าไหร่ แต่ทิวทัศน์ที่คุ้นตาเหล่านี้ทำให้รู้ว่าเขาใกล้ถึงถิ่นที่เขาจากมาแล้ว

ในที่สุดต้นน้ำก็กลับมาถึงหน้าบ้านของจินไห่แทนที่จะกลับไปที่บ้านของตนเองก่อน เขามองวันที่ที่แสดงอยู่บนโทรศัพท์ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อทบทวนว่าช่วงเวลาของการเดิมพันได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้จะไม่ได้ไปฟังคำตัดสินจากมารดาตนเอง เขาก็มั่นใจในตัวจินไห่มากพอที่จะเดินทางมาพบคนที่เขารักและคิดถึงสุดหัวใจ เขาวาดภาพไว้ในใจแล้วว่าจะทำอะไรกับแฟนของเขาบ้างเมื่อได้เจอหน้ากัน แล้วค่อยถามถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ต้นน้ำไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเขาอยู่ๆก็หายไปโดยไม่ได้กล่าวลาหรือบอกเหตุผลที่หายไป เขาคิดว่าจินไห่ที่ให้อภัยเขาได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ต้นน้ำหอบเป้ใบใหญ่เดินเข้าร้านไปโดยที่คนงานในร้านไม่ได้ทันสังเกตุ กว่าพวกเขาจะรู้ตัวและพยายามขัดขวางคนหอบของพะรุงพะรังที่คุ้นเคยคนนี้ ต้นน้ำก็เดินไปถึงห้องครัวที่จินไห่มักจะใช้ช่วงเวลานี้อยู่ในครัวเสมอเพราะตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบและเครื่องครัวว่าพร้อมให้บริการหรือไม่

“สุดยอดเลยคะพี่ไห่ หมวยไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเอามาทำอะไรแบบนี้ได้!!” เสียงใสๆของหญิงสาวดังขึ้นจนเท้าของต้นน้ำสะดุดหยุดนิ่ง

“วัตถุดิบที่ดีเป็นเรื่องสำคัญครับ ที่เหลือก็แค่ปรุงให้ถูกต้อง” เสียงชายหนุ่มที่เขาถวิลหาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาดังขึ้นเป็นคู่สนทนา

“อันนี้อะไรน่ะคะ?” ต้นน้ำสาวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้นและเริ่มมั่นใจว่าเสียงหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นเสียงของลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง ‘ยัยหมวยร้านข้าวสาร’

“ลองชิมดูสิ” จินไห่ใช้ช้อนยาวตักอาหารบนจานเปลขนาดใหญ่และบรรจงป้อนไปที่ปากอันอวบอิ่มสดใสของสาวสวยวัยแรกแย้ม เธออ้าปากให้อาหารเข้าปากอย่างขวยเขิน พร้อมใช้มือจับมืออีกฝ่ายที่ด้ามช้อนเพื่อส่งให้ช้อนออกจากปากอย่างนุ่มนวล

“อร่อยมากเลยคะ ปกติหมวยไม่ชอบกินปลานึ่งเสียเท่าไหร่แต่นี่มันสุดยอดเลยคะ” สาวหมวยยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจพร้อมเคี้ยวช้าๆ อย่างมีมารยาท
ภาพทั้งหมดตรงหน้าถูกส่งเข้าสู่สมองของต้นน้ำอย่างรวดเร็ว แต่อาการเจ็บปวดกลับเกิดขึ้นกับหัวใจพร้อมๆ กัน ความเจ็บปวดที่แล่นทำร้ายหัวใจแบบนี้มันช่างหนักหน่วงและทรมาน

เขายืนนิ่งไปอีกพักใหญ่กับภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองชายหญิงสนิทกันขนาดนั้น การแตะต้องตัวกันอย่างไม่ระมัดระวังตัวในที่มิดชิดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน หรือที่ผ่านมาหนึ่งเดือนเกิดอะไรขึ้นที่เขาไม่รู้ หรือเพียงหนึ่งเดือนก็มีอะไรเกิดขึ้นกับความรักที่เขาคิดว่ามั่นคงหนักหนา หรือมันจะเป็นอย่างที่แม่เขาบอกในตอนเดิมพันว่าความรักของพวกเขาก็อาจะแค่ความใคร่ ของคนเหงาสองคน เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

ดวงตาที่ร้อนผ่าวกำลังพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำที่เขาไม่เคยคิดว่าจะหลั่งกับเรื่องพรรณนี้ เขาปาดมันไม่ให้ไหล เขาเป็นลูกผู้ชายเขาต้องเข้มแข็ง

“เฮียไห่ครับ ขอโทษนะครับ ผมพยายามห้ามแล้ว!!”
เสียงลูกน้องในร้านอาหารดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้คู่สนทนาประหนึ่งนกคู่รักรู้สึกตัวจากภวังค์ของทั้งสองหันมาเห็นต้นน้ำที่มีสีหน้าเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะสลายอยู่ตรงหน้า

“ต้น….น้ำ” จินไห่มีสีหน้าตกใจกับภาพที่เห็น

ต้นน้ำเดินถอยหลังไม่รู้ตัว และสาวเท้าวิ่งออกจากร้านแบบไร้เป้าหมาย

………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 21 part 3) 10 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-09-2021 11:09:17
 :pig4:
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 21 part 4) 20 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2021 14:54:31

………

ต้นน้ำรู้ตัวอีกทีตัวเองก็วิ่งมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่บ้านของตนเอง มันกลายเป็นเรื่องเคยชินเสียแล้วที่เขามักจะมายืนมองต้นไม้ต้นนี้เวลาที่เขารู้สึกเหงา หรือคิดอะไรไม่ออก

นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เขาต้องมาทำความสะอาดและอยู่ใต้ร่มไม้นี้เสมือนเป็นพื้นที่ในห้องของตนเอง ยิ่งได้รู้ความเป็นมาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับเงาครึ้มตระหง่านสง่างามต้นนี้

เหมือนเช่นทุกครั้งที่ส่วนหนึ่งของใต้ร่มไม้นี้มักจะมีเศษของเส้นไหว้ที่หลุดรอดจากการกัดแทะของสัตว์โลกขนาดเล็กที่อาศัยตามร่มไม้สวนภายในพื้นที่นี้แวะมากัดกินเหมือนเป็นบุพเฟ่ตามเวลา

ด้วยความไม่สบอารมณ์จากภาพบาดตาตรงหน้าเมื่อครู่ ตอนนี้ต้นน้ำเห็นอะไรก็ดูขัดตาไปหมด เขาจึงหยิบจานกระดาษที่มีเศษซากผลไม้ที่คาดว่าจะเป็นแอปเปิลเหวี่ยงไปอีกด้านหนึ่งของต้นไม้เผื่อว่าอารมณ์ผลุนพล่านจะได้หายไปบ้าง พร้อมตะโกนโวยวาย ยิ่งที่ได้รู้ว่าไม่มีใครคิดแม้จะตามมาปรับความเข้าใจกับเขา ต้นน้ำก็ยิ่งหงุดหงิด

“โอ้ย!!”

เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากทิศที่เขาโยนซากของเซ่นไหว้ไป

“ใครน่ะ?” ต้นน้ำรู้สึกตกใจที่เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“ถ้าจะมาไหว้ก็อย่างเหวี่ยงของเก่ามั่วทั่วสิ” ชายหนุ่มวัยประมาณมัธยมปลายเดินออกมาจากมุมอับพร้อมทั้งปัดเสื้อผ้าไปมา

“นี่มันสวนบ้านกู กูจะทำอะไรก็เรื่องของกู” ต้นน้ำพูดให้คนแปลกหน้าเข้าใจถึงสถานการณ์

“ฉิบหายแล้ว!!” ชายแปลกหน้าพูดจบก็เตรียมโกยอ้าว

“เดี๋ยว!! เอาของๆมึงกลับไปด้วย!!” ต้นน้ำคว้าจับคอเสื้อดีไซน์แปลกตาของอีกฝ่ายหนึ่งได้ทัน พร้อมชี้ไปทางของเซ่นไหว้จานใหญ่ใต้ต้นไม้ใกล้กับเด็กวัยรุ่น

“เฮ้ย!! ไม่ใช่ของผม!!” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธด้วยท่าทีกลัวเกรง แววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ส่งมาให้เขานั่น ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว เพราะมันช่างเหมือนกับคนที่ทำให้เขาเสียใจ

“ไม่ใช่ของมึง?!? มึงไม่ได้มาไหว้ขอความรักเฮงซวยเหมือนคนอื่นเหรอวะ?!? แล้วมึงเข้ามาในเขตบ้านกูทำไม? หรือเป็นขโมย!! กูจะได้แจ้งตำรวจ!!” ต้นน้ำเหวี่ยงชายร่างเล็กบอบบางคนนั่นไปที่ตีนต้นไม้ที่แข็งหยาบ ชายร่างเล็กร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ้ยยย พี่อารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาพาลผมดิวะ!” ฝ่ายที่ล้มลุกคลุกคลายจนเปรอะดินไปครึ่งตัวโวยกลับ

“กูไม่ได้พาลมึง แต่มึงเป็นขโมย!!” ต้นน้ำโดนจี้ใจดำ

“ผมไม่ใช่ขโมย ผมมา…..…ขอพร”

“ไอ้เด็กแก่แดด ริอาจมีความรัก นะมึง!! แล้วไอ้เรื่องขอพรนี่แม่งงมงายสัดๆ!!” ต้นน้ำชี้หน้าอีกฝ่าย

“พี่ก็แก่กว่าผมไม่เท่าไหร่มั้ง ก็ยังเด็กเหมือนกันล่ะวะ!” ต้นน้ำโดนอีกฝ่ายจี้ใจดำอีกรอบ

“สงสัยกูต้องสั่งสอนมารยาทมึงสักหน่อยแล้ว!!” ต้นน้ำคว้าคอเสื้อยวบๆ ของอีกฝ่ายรั้งลอยขึ้นมา ส่วนอีกมือก็ง้างรอเตรียมเหวี่ยงหมัดใส่ให้สาแก่ใจ อย่างน้อยก็ได้ระบายอารมณ์ที่มันคั่งค้างอยู่

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ พี่ผมขอโทษ ถ้าพี่อกหักมาก็ลองขอพรกับเจ้าพ่อไม้ใหญ่ดูสิ”

“เขาเรียกกันแบบนั่นเหรอวะ?!?” ต้นน้ำฟังแล้วก็รู้สึกขำขัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าคนภายนอกเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่าอะไร พูดจบเขาก็คลายมือตัวเองและมองขึ้นไปถึงยอด ต้นไม้นี้มีใบหนาครึ้มขึ้นมากจนแทบจะบดบังแสงแดดที่ส่องลงมาถึงพื้นดินใต้ต้นไม้จนหมด

“ดูก็รู้ว่าเพิ่งอกหักมา พี่ลองขอพรดูไหม?” เด็กมัธยมกล่าวเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“กูว่ากูไม่คุ้นหน้ามึงเท่าไหร่ บ้านมึงอยู่แถวนี้เหรอวะ?!?” หลังจากที่ใจเย็นลงบ้างเขาก็พินิจหน้าอีกฝ่ายก็พบว่าไอ้เด็กนี่ก็หน้าตาไม่ขี้ริ้ว แถมสำเนียงการพูดก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น

“ผมเพิ่งย้ายมาน่ะครับ”

“แล้วมึงรู้เรื่องต้นไม้นี้ได้ยังไง!”

“คนที่อยู่ก่อนเขาเล่าให้ฟัง”

“มีความรักน่ะสิเรา?” ต้นน้ำมองสีหน้าและแววตาคนตรงหน้าออก

“อือ..” เด็กหน้าขาวมันก็แต่พยักหน้า

“แล้วนี่มาขอ แล้วขอเสร็จยัง กูจะให้มึงกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย กูไม่มีอารมณ์จะมาดุคนอย่างพวกมึงแล้ว!!”

“ผมมาแก้บนต่างหาก ผมสมหวังแล้ว”

“เฮ้ยจริงดิ! เชี้ย!! ของจริงเหรอวะ?!?” สีหน้าเจ้าของบ้านแปลกใจออกนอกหน้า

“ลองขอพรสิ!” เด็กวัยรุ่นพยักหน้าเป็นเชิญชวนให้อีกฝ่ายลองดู

“……..” ต้นน้ำลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดก็ยอมคุกเข่า ก้มหน้า หลับตาขอพร ให้ทุกอย่างที่เขาเห็นในวันนี้เป็นเรื่องไม่จริง ขอให้แม่ยอมรับความรักของเขา

“แล้วมึงขอพรไปว่าอะไรวะ?!?” ต้นน้ำลืมตาขึ้นมาและหันไปหาคนที่เป็นเหมือนเพื่อนใหม่ของเขา

ว่างเปล่าและเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมและใบไม้เสียดสีกันท่ามกลางแดดยามสายเท่านั้น

“เฮ้ย!! กูไม่ขำ มึงหลบกูเพื่อ?!? กูไม่ทำอะไรมึงหรอก ออกมาเหอะ!?!”
ต้นน้ำหันซ้ายและขวา เขาก็เจอแต่ภาพทิวทัศน์เดิมๆ แต่ไร้วี่แววไอ้เด็กคลั่งรักนั่น

“เอ้ยไอ้…. เชี้ย!! ชื่ออะไรวะ แม่งไปไม่ลามาไม่ไหว้ อย่าให้กูเจออีกรอบนะ!!”ต้นน้ำพูดไปพลางค้นหาอีกฝ่ายไปด้วย

“พูดอยู่กับใครน่ะลูก?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง

ต้นน้ำที่ไม่คิดว่าจะเจอกับแม่ตัวเองเวลานี้ถึงกับสะดุ้งตัวโยนไปด้านหน้าเล็กน้อย

ความจริงเขาอยากทราบความคืบหน้าตลอดหนึ่งเดือนกับแฟนตัวเองมากกว่า แต่ในเมื่อเห็นภาพที่เป็นคำตอบแบบนั้น เขาก็คงไม่จำเป็นต้องไปถามแล้ว เวลาหนึ่งเดือนมันสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้ขนาดนี้เลยหรือนี่?
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 21 part 4) 20 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-09-2021 16:59:54
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 21 part 5) 28 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-09-2021 13:29:25

“ทำไมถึงแอบเข้ามาทางหลังบ้าน ทำตัวเหมือนพวกมาขอพรต้นไม้ แล้วเมื่อครู่ที่แม่เห็นคนคุกเข่าขอพรคือแกเอง?!?” แม่เขาชี้หน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ผมแค่ก้มไปเก็บของ!!” ต้นน้ำแก้ตัวไปด้วยใบหน้าที่ร้อนแดงเพราะไม่คิดว่าแม่เขาจะจับได้

“มาถึงก็เข้าบ้านสิ มานั่งตรงนี้เพื่ออะไร? แล้วทำหน้าให้มันดีหน่อย ยังกับคนอกหัก!!” แม่เขาทัก

“ใช่สิ!! แม่คงรู้เรื่องแล้วสิ!!” ดวงตาของต้นน้ำลดประกายแสงลงอย่างชัดเจน แม้แต่แม่ของเขายังรู้สึกได้

“เป็นอะไรของแกอีกเนี่ย อย่าบอกนะว่าแอบไปหาน้องไห่ก่อนมาเจอแม่!!” แม่เสียงดังขึ้น

“ใช่!! ผมไปมา แม่รู้เรื่องมานานหรือยัง?” ต้นน้ำหลบหน้าและพูดเสียงสั่น แม่ต้นน้ำที่เห็นดังนั้นก็แอบยิ้มมุมปาก

“รู้เองก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องบอก เดือนหน้าหาชุดดีสักชุดนะ จะได้ไปงานหมั้นของพี่หมวยมัน!!” แม่ย้ำชัด

“………..” ต้นน้ำไม่ตอบอะไร เขากำหมัดแน่น นึกเสียใจว่าเขาเสียเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไปเพื่ออะไร เพื่อให้เขาต้องสูญเสียคนที่เขารักอย่างนั้นหรือ? ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากกลางอก ได้ไหลเวียนไปตามกระแสเลือดแล่นไปทั่วทั้งร่าง อยู่ๆ  ขาเขาก็หมดแรง เขาล้มลงคุกเข่าที่พื้นดินตรงหน้า ดวงตาของเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแทบมองอะไรไม่เห็น มันพร่ามัวไปหมดจากหยาดน้ำที่ทยอยเอ่อล้นออกมา เขาอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ แต่มันไม่มีเสียง อากาศมันหนักอึ้งและอุดตันเส้นทางหายใจไปหมดจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก มันทรมานจนเขาอยากจะหยุดหายใจและหายไปจากตรงนี้

“พี่ออม เห็นต้นน้ำไหมครับ?!?” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางหน้าบ้านของเขา

ต้นน้ำพยายามเข้มแข็ง เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าและคายออกมาเพื่อให้กลับสู่สภาวะปกติในเร็วที่สุด แต่มันไม่ง่ายเลย ยิ่งคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้มาอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ เขาเพิ่งจะเคยเป็นแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเคย

“นั่นไง!! มันทำตัวแปลกๆ อยู่ตรงนั้นไง!!” เสียงแม่เขาสนทนากับผู้มาใหม่

“ต้นน้ำมาอยู่นี่เอง ไม่ฟังพี่อธิบายเลย วิ่งมาเร็วขนาดนี้ พี่วิ่งตามแทบไม่ทันเลย” จินไห่พูดผสมหอบจนหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า เขามีก้มลงสูดหายใจระหว่างประโยคด้วย ทำให้คำพูดดูทุลักทุเลมาก

“ไม่… ต้อง… แล้ว แม่ผม…. อธิบายหมดแล้ว…. ยินดีด้วยนะครับ” ต้นน้ำเองก็ไม่ต่างกัน เขาหันหลังพูดกับจินไห่ และแต่ละถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็ทำได้ลำบากไม่แพ้กัน

คนที่มีความสุขน่าจะมีเพียงคนเดียว ณ ที่นี้ คงเป็นแม่ต้นน้ำที่ยืนอมยิ้มจนหุบไม่อยู่

“พี่ออมบอกอะไรเขากันเนี่ย!?!” จินไห่หันมาหาต้นเหตุทันที เพราะดูจากท่าทางของทั้งคนแม่และคนลูกแล้วก็พอจะเดาได้

“อะไร?!? พี่ก็พูดความจริง ก็เรื่องงานหมั้นของยัยหมวยไง!?!”  คนเป็นแม่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ผสมอมยิ้มอย่างมีความสุข

“โอ้ย! พี่ออม….. ผมล่ะเชื่อพี่เลย…!!” จินไห่เกาหัวจนผมยุ่งไปครึ่งศรีษะ

“ผมยินดีกับพี่ด้วยนะ…. แต่ผมคงไม่ไปงานหมั้นของพี่ไห่กับพี่หมวยนะ” ต้นน้ำรวบรวมพลังและพูดออกมาจนจบประโยค จนน่าจะเผลอกัดปากตนเองเสียเลือดออกด้วย พูดจบเขาก็สาวเท้าออกเพื่อเตรียมวิ่งกลับไปเลียแผลใจที่ห้องตนเอง

“เดี๋ยว!!” จินไห่คว้าแขนอีกฝ่ายได้ทัน

“ใครหมั้นกับใคร นี่มันไปกันไปใหญ่แล้ว!! มันก็ใช่! จะมีงานหมั้นเกิดขึ้น….น้องหมวยถึงต้องเตรียมตัวไง”

“เตรียมกันมาเป็นคุณนายที่ร้านอาหารแล้วล่ะสิ!!” ต้นน้ำพยายามสะบัดมืออีกฝ่ายให้ปล่อยแต่จินไห่ใช้แรงทั้งหมดกำท่อนแขนอีกฝ่ายจนแน่น ท่อนแขนของต้นน้ำมีการการเลือดขังแดงก่ำรอบมือของจินไห่

“ฟังนะ!! น้องหมวยให้พี่สอนเรื่องเข้าครัวน่ะ เห็นว่าแม่ของอนาคตสามีเขาเข้มงวดเรื่องพวกนี้ พี่ออมก็เลยแนะนำพี่ให้มาสอนทำอาหารจีน!! แล้วที่ไม่ใครเข้ารบกวนเพราะน้องหมวยขอไว้น่ะ” จินไห่ตะโกนสุดเสียง

“เดี๋ยวนะ.?!?!?  แม่พี่เสียแล้วนี่?” ต้นน้ำหวนนึกและถามโพล่งออกไปด้วยสีหน้างุนงง

“ก็แปลว่า ไม่ใช่พี่ไง น้องหมวยเขามีคนรักอยู่แล้ว!!” จินไห่ค่อยๆ คลายมือเมื่อเห็นว่ารั้งอีกฝ่ายได้แล้ว

“อ้าว……เดี๋ยวนะ!!!! แม่!!!!” ต้นน้ำหันไปทางแม่ตนเองที่กำลังขำจนกุมท้องตนเองจนปวดเกร็งไปหมด

“ก็แกมันน่าแกล้งเองทำไม” แม่ของต้นน้ำหันมาเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะเรื่องขำขันตรงหน้า

“แม่!!!” ต้นน้ำรู้หัวร้อนขึ้นมาทันที

“จะไปโทษแม่ได้ยังไง!! ก็ตัวเองด่วนสรุปไปเอง!! แล้วทำแบบนี้จะให้พี่วางใจใช้ชีวิตคู่กับเราได้ยังไง?!?” จินไห่ยกมือขึ้นสัมผัสศรีษะของต้นน้ำ ความอบอุ่นของมือหยาบทำให้ต้นน้ำรู้สึกสงบลงมาก

“ก็คนมันคิดถึง มันทรมานนะที่ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งเดือน แต่ภาพแรกที่เจอดันไปเจอเมียตัวเองไปอยู่ใกล้ชิดกับคนอื่นต่อหน้าแบบนี้ใครมันจะโอเควะ” ต้นน้ำบ่นพึมพำ

“ไอ่เด็กหัวร้อนเอ้ย!” จินไห่ขยี้ศรีษะต้นน้ำอย่างแรง จนต้นน้ำร้องโอย

“แม่แล้วยังไง ผลล่ะ!!” พอเริ่มสบายต้นน้ำหันไปหาแม่ขี้แกล้งของเขาทันที

“น้องไห่พี่เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าลูกพี่มันจะพร้อม หายไปเดือนหนึ่ง ความคิดของมันยังไม่พัฒนาเลย!!!” แม่ของเขาหันไปพูดกับจินไห่พร้อมส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย

“นั่นสิครับ” จินไห่ตอบกลับพร้อมๆ กับที่ต้นน้ำหันซ้ายหันขวามองหน้าผู้ใหญ่สองคนคุยกันเรื่องที่เขาปะติดปะต่อไม่ได้

“ไอ้เด็กโง่!! พี่ไห่เขาก็บอกคำตอบกับเราตั้งแต่แรกแล้วยังจะโง่อีก และการที่แม่ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาหาแกแบบไม่ห้ามอะไรนี่ก็น่าจะบอกอะไรได้เยอะแล้วนะ!!” สีหน้าคนเป็นแม่ที่หมั่นเขี้ยวคนที่ทั้งโง่และบ้าอย่างลูกชายเธอ อยากจะเอาทั้งสองหมัดบีบขมับให้หายโง่

“แปลว่า….แม่โอเค!!” สีหน้าลิงโลดฉายเข้าสู่ใบหน้าที่ซูบผอมจากการทำงานหนักทันที

ไม่ทันที่จินไห่จะตั้งตัวต้นน้ำก็ทิ้งสัมภาระทุกอย่าง กระโดดกอดคอและกดริมฝีปากลงไปที่แก้มและริมฝีปากของคนรักตัวเองอย่างที่ไม่อายสายตาคนเป็นแม่ จินไห่ที่เหมือนเก็บกดจากความคิดถึงมานานก็เผลอตอบรับดูดดื่มจนแม่ของต้นน้ำโวยวายเสียงดัง

ไม่นานเสียงจวบจาบก็หยุดลงพร้อมเสียงหายใจหอบถี่ของชายหนุ่มสองวัย และใบหน้าที่ร้อนผ่าวของคนเป็นแม่

“แม่ขอนะ… ถึงจะศึกษามาเยอะ แต่ก็ไม่พร้อมกับการเจอต่อหน้านะ” แม่ของต้นน้ำบ่ายหน้าและยกมือขึ้นทำท่าห้าม

“ขอโทษครับ ผมจะระวัง” จินไห่ก้มหัวขอโทษ

“ว่าแต่….ตอนแม่เดินมา แม่เห็นเด็กวัยรุ่น ผมเกรียน หน้าขาวๆ วิ่งหนีไปไหมครับ?” ต้นน้ำหยิบสัมภาระขึ้นมาปัดเศษดิน

“แม่เห็นแกยืนทำท่าแปลกๆ อยู่คนเดียวนี่แหละ” แม่ของเขาตอบกลับมาด้วยท่าทีปกติ

“………..” ต้นน้ำไม่พูดอะไรนอกจากมองไปที่หน้าของจินไห่ส่งสายตาสงสัยมาทางเขา อยู่ๆ เขาก็ขนลุกไปทั้งตัว เพราะดวงตาที่จ้องมองมาทางเขามันช่างคล้ายกับเด็กคนนั้นเสียจริง

“ไม่ทันไรก็ถามหาคนอื่นแล้วเหรอ?” จินไห่นิ่วหน้า

“จะบ้าเหรอ…… ” ต้นน้ำนึกขึ้นได้แต่ก็ไม่กล้าพูดตอบกลับ เพียงแต่พยายามชวนให้ทุกคนกลับเข้าบ้าน ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งขนลุก

…………………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 21 part 5) 28 ก.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-09-2021 12:41:08
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 22 part 1) 6 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 06-10-2021 14:47:22
บทที่ 22

Now and forever



เสียงกริ่งบอกหมดเวลาคาบสุดท้าย ต้นน้ำที่เดินออกจากห้องประชุมประจำคณะ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปมากประกอบกับขอบตาที่ดำลึกและคล้ำอ่อนล้า ทำให้สภาพหนุ่มเพลย์บอยเมื่อสมัยปีสองปีสามหมดสภาพไปจนแทบจำไม่ได้

“เฮ้ย!! เป็นไงบ้าง งานพรีเซ่นต์จบของมึง คนสุดท้ายของปีเลยนะมึง” ไอ้ต้นกล้าที่นั่งคล่อมไอ้เฟรมอยู่ที่หน้าห้องประชุมเอ่ยทักเสียงดัง และยังมีเพื่อนๆ คนอื่น อย่างไอ้ไอซ์และวัยรุ่นในชุดนักศึกษาเต็มยศแบบที่ไม่คุ้นตานั่งอยู่กับพื้นไม่ห่างกันแอบฟังคำตอบด้วยใจระทึก เพราะตอนนี้ทุกคนผ่านงานพรีเซ็นต์ผลงานจบการศึกษาหมดแล้ว เหลือเขาเป็นคิวสุดท้ายที่ต้องโดนอาจารย์ประจำคณะเข้าห้องประชุมชำแหละไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน

“เชี้ย…. มึง…..” สีหน้าหมองๆ และถ้อยคำไร้นำหนักและสั่นเครือลอยออกจากปากจนทำให้เพื่อนหลายคนกลืนน้ำลายเสียงดัง เพื่อนผู้หญิงบางคนถึงขั้นน้ำตาไหลไปก่อนแล้ว

“กู……..กู…… ผ่านฉลุยว่ะ!!!” ต้นน้ำจบด้วยคำพูดเสียงดังและโยนตัวเองขึ้นเหนือพื้น และชูหมัดขึ้นเหนือศรีษะ

สิ่งที่เพื่อนตอบกลับมาคือ เสียงโห่ร้อง และ โยนอะไรก็ตามที่อยู่ใกล้มือมาที่ไอ้คนที่มันทำท่ากวนบาทาตรงหน้า

“โห่เชี้ยอะไร!! แบบนี้มันต้องฉลองดิวะ!!!” ทุกคนโห่ร้องกับคำพูดของต้นน้ำ เพราะเขานัดกับเพื่อนๆในชั้นปีไว้ว่า หากทุกอย่างจบแล้ว เขาจะปิดร้านอาหารฉลองโต้รุ่ง และแน่นอน ร้านที่เขาปิดก็คือร้านอาหารแฟนเขานั่นแหละ!

แสงสีเหลืองอมส้มส่องสว่างไปทั่วบริเวณร้านอาหารที่ปลูกท่ามกลางสวนผลไม้ที่มีการจัดการต้นไม้อย่างมีระเบียบ ปะปนกับทางเดินที่ยกจากพื้นทำด้วยไม้เนื้อแข็งสีธรรมชาติและจัดโต๊ะอาหารตามพื้นที่ข้างทางเดินไปตลอดทั้งสวนขนาดกลาง ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องการตกแต่งร้านได้สวยงามเป็นธรรมชาติเพราะแทนทีจะตัดต้นไม้เพื่อสร้างร้านอาหารกว้างๆ และเพิ่มโต๊ะเข้าไปให้ดูแออัด กลับสร้างทางเดินและจัดวางโต๊ะอาหารไปตามทางเดินเหล่านั้น แต่ละโต๊ะจะอยู่ภายใต้หลังคาใสอาคลิลิกแข็งทนทานขนาดย่อมคล้ายศาลาในสวนแบบอังกฤษ ประดับด้วยไฟในสวนสีวอร์มไวท์จำนวนมาก ทั้งหมดได้มาจากความคิดของสถาปนิกอนาคตไกลจบใหม่จากรั่วมหาวิทยาลัย จนได้รับการรีวิวจากหนังสือบ้านและสวนหลายสำนักพิมพ์

(หนุ่มน้อยเจ้าของการออกแบบให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้แรงบันดาลใจจากความรัก และภาพถ่ายที่ปรากฏในทุกหนังสือเป็นรูปเขายืนกุมมือเจ้าของร้านอาหารด้วยใบหน้ามีความสุข)


เพื่อนๆ ของต้นน้ำทยอยเดินทางมาถึงงานเลี้ยงซึ่งหลายคนมาก่อนเวลานัดหมาย ไม่ใช่ว่าต้องการมาให้ตรงเวลา แต่เพราะทุกคนได้เห็นภาพอัศจรรย์บนอินสตราแกรม ของหนุ่มฮอตอย่างไอซ์ที่ส่งภาพคลิปสั้นๆ ออกมา

ภาพที่คนที่เรียกว่าขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างต้นน้ำ ขยันขันแข็งช่วยเตรียมงานเลี้ยงกับเจ้าของร้านอาหารหน้าตาดี ซึ่งส่วนใหญ่ต้นน้ำจะถูกใช้งานให้ทำ แต่ด้วยใบหน้าที่เต็มใจและจริงจังของต้นน้ำ ทำให้ทุกคนแห่อยากมาดูด้วยตาตนเอง

“พวกมึงจะรีบมาเพื่อ!?!?”  เสียงหงุดหงิดของต้นน้ำดังแหวกอากาศมาทางเพื่อนๆ ที่ยืนรอนั่งรอ กองกันอยู่ตรงส่วนต้อนรับหน้าร้านอาหาร

“มาก่อนเวลาก็ว่าพวกกูอีก!!” ไอ้ต้นกล้าผู้มีฝีปากกล้าหนึ่งในเพื่อนสนิทโต้ขึ้นมา

“งั้นพวกมึงทำตัวให้เป็นประโยชน์เลย มาช่วยกูจัดจานเลย!!” ต้นน้ำคิ้วขมวดใส่ไอ้เพื่อนปากสุนัข

“ไม่ล่ะ ไปขัดแข้งขัดขามึงเปล่าๆ มึงดูคล่องกว่าพวกกูเยอะ!!” ต้นกล้าสวนกลับด้วยใบหน้าทะเล้น

“สัด!! แทนที่พวกมึงจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกู มึงมาช่วยกูทำงานดีกว่าไหม? จะแดกไหมอ่ะ เหล้าน่ะ!?!” ต้นน้ำเดินมาโวย

“เออๆ ช่วยก็ได้ ผัวเจ้าของร้านมาสั่งทั่งที่!!”

“สัด!!” ต้นน้ำเดินตรงรี่มาที่ต้นกล้าผู้ชอบแกว่งปากหาเท้าเป็นประจำ เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเชิดขึ้นจนยับยู่ พร้อมพูดอย่างจริงจัง
“คนที่มีสิทธ์พูดคำว่าผัวกับพี่ไห่มีกูคนเดียวโว้ย!!”
ต้นน้ำรู้ว่า ไม่ว่าจะผ่านมานายเท่าไหร่ แต่สถานะ ‘เมีย’ ของจินไห่นั้น ตัวจินไห่เองก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่สบายหูเท่าไหร่ หรือจะอาย หรือจะฟังแล้วแปลกหูเกินไป จินไห่จึงทำหน้ายิ้มยากทุกครั้งที่ได้ยิน

ต้นกล้าเห็นอีกฝ่ายจริงจังจึงยอมยกมือขี้นเป็นเชิงยอมแพ้

หมับ!!

เฟรมอดีตกัปตันทีมบาสเกตบอล ประจำมหาวิทยาลัย เดินมาจากทิศไหนก็ไม่รู้ ยกมือขึ้นคว้าข้อมืออีกฝ่ายและใช้แรงบังคับให้ต้นน้ำลดแขนตนเองลง

“มึงก็รู้ว่ามันชอบกวนตีนมึง ทำไมมันจะไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบให้ใครเอ่ยเปรียบพี่ไห่อละมึงแบบนั้น อย่าลืมสิว่าพวกกูอยู่ด้วยตลอดสองปีที่มึงคบกันนะ อย่าไปถือสามันเลย!” เฟรมพยายามไกล่เกลี่ย และทุกครั้งก็มักจะได้ผล

“มึงนี่ ช่วงหลังๆ มานี่มึงถือหางมันตลอดเลยนะ” ต้นน้ำปล่อยแขนเสื้อและลดมือลง พลางมองหน้าไอ้คนห้ามปรามกับไอ้คนปากสุนัขสลับกัน สองคนนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกย้ายไปจากตรงนั้น

ส่วนไอซ์ ไอ้แฝดนรกของเฟรมได้แค่อมยิ้มหัวเราะคืกคักอยู่อีกมุมหนึ่ง

“พวกมึงมีอะไรปิดบังกูแน่นอน เดี๋ยวค่อยมาคิดบัญชี ว่าแต่มึง! ไอ้ไอซ์ อย่ามาเนียนเลย มาช่วยกูเดี๋ยวนี้!!” ต้นน้ำชี้หน้าไอ้คนที่กำลังจะแหวกฝูงเพื่อนที่ทยอยมามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหนีงาน

“หยุดเลยเรา ไปใช้พวกนั้นได้ยังไง พวกนั้นเขาเป็นแขก เขาจ่ายเงินนะ มาช่วยทางนี้ให้เสร็จเลย” เสียงเจ้าของร้านดังมาจากที่ไม่ไกล ผมดูชี้ฟูเล็กน้อย แต่หน้าตาดูสดใสกว่าทุกที

“โหย…พี่ไห่!! ผมก็จ่ายเงินนะ ก็หารเท่าๆกันนั่นแหละ!!” ต้นน้ำหันมาโวย

“ต้นน้ำก็รู้นะว่าพี่ใช้เราในฐานะอะไร!?! หยุดบ่นแล้วมาช่วยทำเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น………” คำพูดทิ้งท้ายและสีหน้าจริงจังของพี่ไห่ที่ไม่มีใครเคยเห็น ทำให้ผู้หญิงในคณะฯ ถึงกับมีเสียวหวีดเล็กๆ ออกมา

ส่วนต้นน้ำทำได้เพียงก้มหน้าและเดินไปทำงานต่อเท่านั้น

………………….


งานฉลองตามสไตล์เด็กสถาปัตย์ฯ ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องความโลดโผนสุดเหวี่ยง อาหาร เครื่อมดื่ม ของมึนเมาจัดเต็มมีหมดทุกชนิด ตั้งแต่ของไทยจนถึงของนอก ทีเด็ดสุดในงานคือ เหล้าเหมาไถที่หายากจากประเทศจีน ที่จินไห่เก็บไว้อย่างดี แต่สุดท้ายก็ทนการรบเร้าจากแฟนเด็กสถาปัตย์ไม่ไหว จนต้องขนออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มรสความหอมหวนแต่แรงที่บ่มเพาะมาหลายสิบปี ความร้อนที่ไหลลงจากคอลงสู่กระเพาะมันช่างเป็นรสชาติที่ยากจะลืมของทุกคน เพราะขนาดที่คนไม่เคยดื่มเหล้ารสแรงยังต้องขอดื่ม สร้างความประทับใจและครื้นเครงให้กับทุกคนในงานได้อย่างดี

วันนี้ต้นน้ำขออนุญาตจินไห่เป็นพิเศษในการปล่อยตัวเองให้สุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้จบการศึกษาวันนี้ เพราะที่ผ่านมาต้นน้ำจะโดนปรามไม่ให้เกียร์ว่างกลับบ้านเด็ดขาด ต้องมีสติกลับบ้านทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับเพื่อน ด้วยเหตุนี้แม่ของต้นน้ำจึงค่อนข้างไว้ใจ ฝากให้จินไห่ดูแลต้นน้ำให้เพราะ คำมั่นที่ต้นกล้าให้ไว้กับจินไห่มันกลับศักดิ์สิทธ์กว่าผู้เป็นแม่น่ะสิ แม่ต้นน้ำมักจะบ่นเชิงน้อยใจตลอดว่า ‘ไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดแม่ แต่แค่จินไห่พูดเสียงเข้มคำเดียวกลับเชื่อฟังอย่างกับอะไรดี’

หลังจากจินไห่รับปากต้นน้ำไปเรื่องปาร์ตี้งานจบการศึกษา จึงยื่นเงื่อนไข สองข้อ หนึ่งคือ ต้องจัดงานที่ร้านของเขาเอง สองต้นน้ำจะต้องช่วยเตรียมงาน และแน่นอนว่าต้นน้ำรับปากทันทีพร้อมกระโดดเข้ากอดจินไห่จนแทบจะล้มทั้งยืน

“ไอ้น้ำ กูถามจริง กูรู้มาว่า เหล้าไหนี้พี่จินไห่หวงมาก มึงเอามาให้พวกกูได้ชิมได้ยังไงวะ?” ไอ้ไอซ์ที่เริ่มมีอาการเมาตั้งแต่หัวค่ำ เดินมาถามต้นน้ำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยสีเลือดฝาด

“ความลับ แต่กูบอกเลย….คุ้มทุกท่วงท่า แม่งอร่อยฉิบหาย” ต้นน้ำคนที่คอแข็งสุดในกลุ่ม ยกแก้วไปกระแทกกับแก้วของผู้ที่เดินมาทักอย่างไอซ์

“เชี้ย!! กูรู้แล้ว กูไม่น่าถามมึงเลย น่าจะรู้ว่ามึงมันหน้าไม่อาย!” ไอซ์กระดกแก้วที่มีน้ำสีอำพันเข้าปากจนหมด

“ไอ้ฝรั่ง! แล้วมึงมีอะไรปิดบังกูป่าวเนี่ย!?!” ต้นน้ำเรียกเพื่อนคนนี้แบบนี้เสมอเวลาฝากสติไว้กับสุรา

“เรื่อง?!?” ไอซ์ย้อนถามด้วยใบหน้างงๆ

“กูรู้นะว่าเหล้าวันนี้มันเยอะกว่างบที่พวกเราช่วยกันออก มึงมีสปอนเซอร์ใช่ไหม? มึงไปเอาของพวกนี้มาจากไหนเยอะแยะ!?!??” ต้นน้ำกอดคออีกฝ่ายไม่ให้หลบตา

“เชี้ย! รู้ดี!! แต่กูไม่บอก!!” ไอซ์มีอาการบ่ายเบี่ยง

“สัด!! ไม่ต้องปิดบัง กูเป็นคนช่วยเตรียมงาน กูรู้นะว่าเหล้า ไวน์ พวกนี้มาจากไหน!! มีไม่กี่คนในจังหวัดนี้ที่หาเหล้าดีๆ ได้มากขนาดนี้ กูเห็นมันขนมาให้ถึงที่ ไอ้พี่นี….” คนคอแข็งกว่าถูกไอซ์ใช้มือยกขึ้นปิดปาก

“รู้แล้วก็เงียบๆ ไอ้สัด!!” ไอซ์มีอาการลนลาน

“มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ต้นน้ำใช้แรงที่เยอะคว้ามืออีกคนออกจากปากตนเอง

“ถึงเวลามึงก็รู้เอง!” ไอซ์พูดจบก็เดินหนีไปสนุกสนานกับเพื่อนคนอื่นต่อ

จากคำพูดทิ้งท้ายของไอ้ไอซ์เพื่อนยากของเขาไม่เกินหนึ่งนาที สปอนเซอร์หลักอย่างไม่เป็นทางการ นักเลงตัวเล็ก นี่โน่ก็ปรากฏกายและตรงรี่ไปที่โต๊ะที่ไอ้ไอซ์สถิตอยู่ทันที จากภาพที่ต้นน้ำเห็นมันจึงเข้าใจได้ไม่ยากเพราะมีไอ้คนหวงก้างอย่างไม่ปิดบังอย่างพี่นีโน่ยืนแผ่รังสีอำมหิตอยู่ไม่ไกลขนาดนั้น ทำให้ต้นน้ำได้คำตอบได้อย่างไม่ยากเย็น

“โชคดีนะมึง!” ต้นน้ำยกแก้วไปทางไอซ์เสมือนดื่มไว้อาลัยกับอิสระทางความโสดของผู้ชายลั่นล้าอย่างไอซ์

ต้นน้ำแวะเวียนไปดูความเรียบร้อยของทุกโต๊ะว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่ พร้อมเดินชนแก้วกับเพื่อนทุกคน สนุกสนานให้เต็มที่ให้สมกับหกปีที่เรียนกันมาอย่างยากลำบาก เต็มที่ก่อนที่ทุกคนจะเข้าสู่สภาวะเตะฝุ่นหรือเดินไปตามความฝันของตนเองแต่ละคน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสามารถมาเจอกับครบๆ แบบนี้อีก

ในที่สุดก็แวะมาถึงโต๊ะที่อยู่ไกลที่สุด ที่ซึ่งมีเพื่อนสนิทอีกสองคนนั่งประจำอยู่เพื่อนอีกสองสามคนที่ต้องการความสงบหน่อย

“หลบมาอยู่ตรงนี้ไม่สมกับเป็นมึงเลยไอ้กล้า!!” ต้นน้ำยกแก้วขึ้นรอในขณะที่ต้นกล้าก็ยกแก้วที่มีเครื่องดื่มมีฟองสีอำพันใสขึ้นชนอย่างอัตโนมัติ เสียงแก้วปะทะกันดังจนไปเตือนสติอีกคนที่กึ่งใจลอยอย่างไอ้เฟรมยกแก้วขึ้นมาชนเป็นแก้วที่สามอย่างลนลาน

“กูมาอยู่เป็นเพื่อนไอ้เฟรมมัน” ต้นกล้าพูดก่อนกระดกแล้วทรงสูงเทน้ำเมาผสมฟองเข้าปากไปเกือบครึ่งแก้ว

“อย่าบอกนะว่ามาหลบเจ๊นิ่มน่ะ พวกมึงก็เลิกกันแล้ว มึงจะกลัวอะไรกันอีกวะ!?” ต้นน้ำนั่งลงข้างเฟรม

“มึงรู้จักเพจ ‘ดาวจะแฉ’ ไหม?” เฟรมพูดขึ้นหลังจากกระดกวิสกี้ออนเดอะร็อคจนหมดแก้ว

“เฮ้ยๆๆ มึงจะรีบเมาไปไหนวะ?” ต้นน้ำยกมือขึ้นกดแก้วขิงเฟรมให้ลดต่ำลง

“เออ!! รู้จักดิวะ ใครๆ ในมหาวิทยาลัยเราก็ติดตามทั้งนั้น ก็แม่งมีแต่ข่าวฉาวๆ มนุษย์เผือกเต็มมหาวิทยาลัยก็เลยเพลิดเพลินเลยมึง แต่มึงก็รู้จักเจ้าของเพจดีนี่หว่า เมียเก่ามึงไง!!” ต้นน้ำพูดไปรินเหล้าผสมน้ำเปล่าไปพลาง

“ก็กูกับเขาจบกันไม่ดี มันก็เลย….” เฟรมอ้ำอึ้ง

“มึงก็เลยร้อนตัว แม่งก็เรื่องเดิมๆ ป่าววะกูก็เคย มึงไม่ต้องไปแคร์ เดี๋ยวแม่งก็จบ เปิดตัวแฟนใหม่แม่งเลย กูอยากรู้ว่ามันจะทำอะไรได้?” ต้นน้ำชูแก้วขึ้นไปทางเพื่อนสนิททั้งสอง แต่ไม่มีใครชนตอบ

“มึงแม่งไม่เข้าใจ!!” เฟรมโอดพลางส่ายหน้า

“ไม่เข้าอะไร กูนี่โคตรเข้าใจ อีกอย่างที่กูโดนแฉเนี่ยตอนกูมีแฟนเป็นผู้ชายนะ หรือว่ามึงอยู่ในสถานการณ์เดียวกับกู!!” ต้นน้ำพูดจบก็จิบเหล้าให้หายคอแห้ง แต่เพื่อนทั้งสองของเขากลับหน้าซีดลงกว่าเดิม

“พวกมึงมีพิรุธ!!” ต้นน้ำชี้หน้าเพื่อนทั้งสองสลับไปมา
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22part 1) 6 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-10-2021 08:18:21
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 22 part 2) 14 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-10-2021 10:38:16

(ต่อ)

“ไอ้เชี้ยเฟรม แม่มึงมาสอดแนมอีกแล้ว เชี้ย!! อย่างกับปาปารัสซี่!!” ไอ้ไอซ์ที่วิ่งแทรกทุกคนเข้ามากลางวงสนทนาจนลืมไปว่าต้นน้ำอยู่ข้างๆเฟรมพี่ชายฝาแฝดของเขา

“พวกมึงมีอะไร ปิดบังกูอีกแล้วใช่ไหม!!??” ต้นน้ำชี้หน้าครบทุกคนโดยพร้อมเพียง

“ปล่าวว!!” ไอซ์ผู้มาใหม่ตอบเสียงสูง

“ชัวร์สัด เล่ามาให้หมด!!” ต้นน้ำตบโต๊ะเสียงดัง แต่โชคดีดีที่ทั้งปาร์ตี้ทุกคนต่างโหวกเหวกโวยวายกันทุกโต๊ะเลยไม่มีใครสนใจพวกเขา

“กูว่าอย่าปิดมันเลยดีกว่า” ไอซ์หันไปหาคนเห็นด้วยจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคน

เฟรมกับต้นกล้ามองหน้ากันด้วยท่าทีเหนื่อยใจ พวกเขาผ่อนลมหายใจออกพร้อมกันและพยักหน้าให้ไฟเขียวไอซ์เป็นคนเล่า

“ขอบใจว่ะ เชี้ย!! กูแม่งจะอกแตกตายมึงก็รู้ว่ากูเก็บความลับไม่เก่ง!!” ไอซ์ยิ้มอย่างโล่งอก

“แน่ใจ กูว่ามึงปิดเก่งอยู่นะ อย่างเรื่องของมึงกับไอ้พี่นีโน่นั่นไง!!” ต้นน้ำกล่าวขัดด้วยสีหน้ายียวน

“มึงจะให้กูเล่าให้ฟังไหม?” ไอซ์ตาเขียวใส่ไอ้เพื่อนช่างขัด

“นี่มึงยังไม่เล่าให้มันฟังอีกเหรอ?!?” ต้นกล้าแทรกขึ้นมา

“จะเล่าทำไมกูว่ามันรู้อยู่แล้ว แต่แกล้งแหย่ให้กูเฉลยอยู่นั่นแหละ อย่าลืมว่าพี่ไห่สนิทกับพี่โน่จะตาย และเรื่องของพวกมึงกูว่ามันก็น่าจะรู้อยู่แล้ว!” ไอซ์หันไปทางไอ้คนปากดีอย่างไอ้ต้นกล้า

“เออ! กูรู้อยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจเลย เลยอยากให้มึงเล่าให้ฟังเองน่ะ” ต้นน้ำพูดขึ้นพลางยกแก้วเครื่องดื่มสีใสปนเหลืองอ่อนกรอกเข้าปาก

“อ้าววว!!” เฟรมและต้นกล้าเหวอพร้อมกัน

“นั่นไง! กูว่าแล้วว่าไอ้น้ำมันรู้อยู่แล้วว่า มึงสองคนแอบคบกัน!” ไอซ์พูดยืนยันและยิ้มว่าสิ่งที่เขาเดาไว้ถูกต้อง

“ก็พวกมึงเปลี่ยนไปน่ะ เมื่อก่อนกูก็แค่สงสัยนะว่าทำไมไอ้ต้นกล้ามันถึงยอมมึงคนเดียวทั้งๆที่แม่งโคตรจะเอาแต่ใจ โค้ชด่ามันยังไม่กลัวเลย แต่พอแค่มึงค้อนใส่ แม่งกลัวเยี่ยวจะราด และยิ่งหลัง ๆ มึงแม่งหายไปด้วยกันบ่อย ๆ ไหนจะเพจ ‘ดาวจะแฉ’ นั่นอีก ถึงจะเป็นชื่อย่อ ถึงจะเบลอหน้ายังไงกูก็จำพวกมึงได้นะเพื่อน แต่กูแต่ไม่รู้ว่ามันยังไง เมื่อไหร่เท่านั่นแหละ”  ต้นน้ำเล่า

“เรื่อง….นั้น….เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ห่วงเรื่องยัยนั่นแหละ เพราะกูแค่รู้สึกไม่ใช่แล้วก็เลย…..ต้องรีบปล่อยมือ…” เฟรมพูดด้วยเสียงอันอ่อนเบา มีความรู้สึกผิดในน้ำเสียง

“มึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่า หากยัยพี่นิ่มยังมีนิสัยแบบนี้อยู่ สักวันพวกมึงจะไปกันไม่รอด… ก็ไม่น่าเชื่อนะที่มึงจะเป็นคนบอกเลิกก่อน กูนึกว่ายัยพี่นิ่มจะบอกเลิกก่อนเสียอีก ตามนิสัยของเธอล่ะนะ มึงที่อุตส่าห์จีบจนติดได้เนี่ย กูละยอมใจมึงเลย ผู้หญิงแบบนั้น” ต้นน้ำส่ายหน้าพอเล่ามาถึงจุดนี้

“เอาไงดี?” ต้นกล้าเอ่ยขึ้น

“กูรู้!” ต้นน้ำยืนขึ้น

“ยังไง?!?” เฟรมเงยหน้าขึ้นถาม

“นี่ไง”! ต้นน้ำชูแก้วขึ้นและหันไปทางเพื่อนทั้งลาน

“พวกมึง ไอ้เฟรมกับไอ้ต้นกล้า พวกมันแอบคบกัน!!” ต้นน้ำตะโกนลั่นร้าน

“ไอ้เชี่ยน้ำ!! มึงทำเชี้ยอะไร?!?” เฟรมลุกขึ้นดึงชายเสื้ออีกฝ่ายให้นั่งลงแต่ยังไม่ทันที่ต้นน้ำได้นั่งลงเสียงของคนทั้งลานก็ตะโกนกลับมาโดยพร้อมเพรียงกัน

“พวกกูรู้แล้ว!!”

“หา?!?!” เฟรมและต้นกล้ามีสีหน้าที่ตกใจปนแปลกใจ โดยมีสายตาเจ้าเล่ห์และแสบสันต์มองมาที่พวกเขาจากต้นกล้า

“พวกกูรู้กันหมดแหละ แต่แค่ไม่พูด!! ดังนั้นมึงไม่ต้องกังวลอะไร ทุกคนลงความเห็นว่า ไอ้เฟรม! มึงควรจะเลิกกับพี่นิ่มตั้งนานแล้วสัด!! ทั้งคณะไม่มีใครชอบเลย อยู่กับยัยพี่นิ่ม มึงมีแต่ความทุกข์ พวกกูเข้าใจและเป็นกำลังใจให้ดังนั้น …… เปิดตัวไปเลย ไม่ต้องสนใจ พวกกูโอเค!!” ต้นน้ำเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิททั้งสองคน ในขณะที่คนทั้งลานต่างชูแก้วขึ้นมาและยิ้มให้

เฟรมและต้นกล้าต่างมองตากันและสื่อสารกันโดยไร้คำพูด ทั้งสองต่างข่มตาลงพักใหญ่ก่อนที่จะหันมองกันอีกครั้ง เฟรมเอื้อมมือไปจับมือของต้นกล้าที่สั่นและเย็นเยียบ

“แต่พ่อกูฆ่ากูแน่!!” ต้นกล้าเอ่ยขึ้น ต้นน้ำได้ยินก็เพิ่งนึกได้ว่าพ่อมันเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุ และการเลี้ยงลูกด้วยลำแข้ง ถึงต้นกล้ามันจะปากหมาใจนักเลง แต่ก็ไม่เคยเห็นมันนอกลู่นอกทางเลยสักครั้งเพราะพ่อมันดุมาก

“กูจะอยู่ข้างๆ มึงเอง กูมั่นใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปได้ ดูอย่างไอ้น้ำสิ มันยังให้แม่และครอบครัวคนจีนยอมรับได้เลย!” เฟรมบีบมือต้นกล้าแน่น เขาส่งสายตาที่เหมือนส่งพลังให้อีกฝ่ายก่อนที่จะโน้มตัวไปใกล้หน้าอีกฝ่ายจนกระทั่งหน้าของเฟรมและต้นกล้าชนกันสนิท

ต้นกล้าเม้มปากแน่นและคิดทบทวนร้อยแปดพันเก้ารอบแต่สุดท้ายแล้วพอเห็นสายตาที่แน่วแน่จากคนรักของตนก็ผ่อนลมหายใจออกและยอมแพ้กับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน

“เออ” ถ้อยคำสั้นๆ พร้อมโน้มศรีษะตนเองไปรับริมฝีปากสีชมพูของหนุ่มลูกครึ่งที่รอรับอยู่

จูบที่ดูดดื่มของทั้งสองท่ามกลางงานปาร์ตี้จบการศึกษา ที่ ๆ ทุกสายตาในงานเพ็งมองมาด้วยแววตาโล่งอกและแสดงความยินดี

ต้นน้ำที่เห็นช่วงเวลาสำคัญตรงหน้าเป็นโอกาสเอาคืนรุ่นพี่อดีตดาวมหาวิทยาลัยอย่าง ‘นิ่ม’ ก็หยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพเป็นวิดีโอ และแชร์ใส่เพจ  ‘ดาวจะแฉ’ ทันที พร้อมแคปชั่น ‘ประกาสเปิดตัวคู่รักคู่ใหม่ที่หลายคนอิจฉา ไปติดตามความฟินต่อจากนี้ที่เฟสบุ๊คส่วนตัวของพวกเขานะครับ’

(เรื่องนี้ดังไปทั่วมหาวิทยาลัยข้ามปีเลยทีเดียว)

ต้นกล้าทันทีที่เห็นก็โวยวายและวิ่งไล่เตะต้นน้ำทั่วปาร์ตี้ โชคดีที่เฟรมและไอซ์ห้ามทัน

“พ่อมึงไม่เล่นโซเชี่ยลนะ จะกลัวทำไม” เฟรมทักขณะกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

“แต่ลงเพจดังขนาดนี้ มันต้องมีป้าข้างบ้านมาฟ้องชัวร์” ต้นกล้าเขย่าไหล่ตนเองและพยายามโวยวายเหมือนเด็ก

“ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีนะมึง จะได้เปิดตัวกับพ่อมึงเลย” ต้นน้ำพูดขึ้นในระยะที่มือเท้าต้นกล้าเอื้อมไม่ถึง เพราะตอนนี้ต้นกล้าวาดมือวาดเท้าไปทางต้นน้ำอย่างไม่ลดละ

“ใจเย็นๆ กูเห็นด้วยกับไอ้น้ำนะ เดี๋ยวถึงเวลาพวกกูจะช่วยเอง” ไอซ์ที่พยายามร่วมมือกับพี่ชายจับคนรักของเขาพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ใช่กูก็เห็นด้วย เราจะปิดพ่อมึงได้นานสักเท่าไหร่วะ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้นสักวัน วันนี้เราเรียนจบแล้ว เดี๋ยวก็มีงานทำดูแลตัวเองได้ พ่อมึงต้องเข้าใจสักวัน”

“แม่ง… พวกมึงก็พูดง่าย… มึงไม่ได้รู้จักพ่อกูดีสักคน… อีกอย่างกูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูเป็นเกย์หรือเปล่า กูนึกภาพกูจูบผู้ชายคนไหนไม่ได้เลยนอกจากไอ้เฟรม มันเป็นคนเดียวที่กูรู้สึกแบบนี้” ต้นกล้าบ่นพึมพำแต่ก็สงบลงบ้างแล้ว

“เรื่องนี้กูโคตรเข้าใจ กูก็เหมือนกัน หากไม่ใช่พี่ไห่กูก็ทำแบบนั้นกับใครไม่ได้ว่ะ กูแค่รู้สึกความรักมันไม่มีพรมแดนหรือนิยามอะไรนะ กูว่าสักวันพ่อมึงต้องเข้าใจ” ต้นน้ำเดินมาใกล้อีกฝ่ายและตบบ่าเพื่อนของเขาเบาๆ

“เออ! กูข้องใจมานานแล้ว ระหว่างมึงสองคนใครขึ้นใครวะ!!” ไอซ์พูดขึ้นหลังปลดล็อกความลับระหว่างสองคนนี้แล้วเรียบร้อย เรื่องที่เขาสงสัยจนแทบอกแตกในที่สุดก็จะได้รับการเฉลยเสียที

“เอ่อ… เรื่องนั้น… พวกกู… ยังไม่เคย…” เฟรมที่กำลังคิดว่าจะตอบคำถามน้องชายฝาแฝดตัวเองดีไหม พูดกระท่อนกระแท่นเสียงค่อย

“เชี้ย!!” คำอุทานของสองหนุ่มเพื่อนซี้ที่เหลืออย่างต้นน้ำและไอซ์อุทานขึ้นพร้อมกัน

“หื่นๆ อย่างไอ้กล้า ประสบการณ์เยอะอย่างไอ้เฟรมเนี่ยนะ ไม่ได้ฟังจากปากมึงนี่กูแทบไม่เชื่อเลยนะ” ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้หลังจากเสียงดังเมื่อครู่ทำให้เพื่อนๆโต๊ะข้างๆ ออกอาการอยากเผือก ต้นน้ำเลยจัดการโบกมือบอกเพื่อนว่าไม่มีอะไร เพื่อให้ทุกคนกลับไปฉลองที่โต๊ะของตัวเอง

“สัด! เห็นแบบนี้กูยังจิ้นนะมึง!! กูไม่รู้จริงว่ะว่ามันจะเริ่มจริงๆ ยังไง แล้วแบบไหนมันจะเหมาะ คือกูยังไม่กล้าจริงๆ!” ต้นกล้าผ่อนสมหายใจแสดงสีหน้ากังวล

“คือกูก็ไม่เคยกับผู้ชายเว้ย!! แม้มึงจะพยายามอธิบายแล้วก็เหอะ แต่ก็ต้องใช้เวลาว่ะ เรื่องแบบนี้!!” เฟรมมองหน้าน้องชายด้วยแววตาจริงจัง พลางยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักที่เพิ่งเปิดตัวหมาดอย่างอ่อนโยน

ต้นกล้าที่แสดงความอายออกทางสีหน้าพยายามใช้มือปิดสีเลือดบนใบหน้า เป็นอากัปกิริยาที่ต้นน้ำกับไอซ์ไม่เคยเห็นมาก่อนจนแอบคิดตรงกันว่า ‘อยากแกล้งฉิบหาย’ พวกเขารู้ความในใจที่สื่อออกจากสายตาอีกฝ่ายออกเนื่องจากเป็นเพื่อนกันมานาน

“หยุดเลยพวกมึง!!”  ดูเหมือนจะมีคนรู้ทันสายตาของพวกเขา เฟรมรีบขึ้นเสียงดุใส่

“เออๆ ไม่สนุกเลย!!” ต้นน้ำเห็นเฟรมออกโรงปกป้องอีกฝ่ายจนเขาหมดอารมณ์ที่จะแกล้ง ไอซ์ที่รู้จักนิสัยจริงจังของพี่ชายตนเองดี ก็เลยขอตัวไปสนุกกับเพื่อนโต๊ะอื่นต่อ

แต่จากท่าทางของทั้งเฟรมและต้นกล้า ทำให้ต้นน้ำเองก็พอจะรู้แล้วว่าใครจะเสร็จใครจึงได้แต่ยกเครื่องดื่มที่เหลือในแก้วเข้าปาก และมองคนหน้าด้านหน้าทนอย่างไอ้ต้นกล้า เสียอาการอยู่ตรงหน้าอย่างสุขใจพลางคิดหาทางแกล้งไอ้สองคนนี้วันหลัง

“มึงลองไปปรึกษาพ่อมึงสิ กูว่าในค่ายทหารก็ต้องมีแบบนี้บ้างล่ะ?” ต้นน้ำเหมือนจะห้ามปากตัวเองไม่อย

“หยุดเลยมึง!!” เฟรมชี้หน้าต้นน้ำ ส่วนต้นน้ำก็ทำท่ารูปซิปสมมติที่ริมฝีปาก

ไม่นานจากที่ภาพชุดนั้นโพสต์ลงเฟซบุ๊คและถูกแชร์ออกไปโดยบรรดาเพื่อนๆ ในคณะฯ จนกระทั่งยอดแชร์เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เสียงหวีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังมาจากหน้าร้านไกลๆ ต้นน้ำมองไปทางต้นเสียงและยกยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ และหันกลับไปมองคู่รักที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมยักคิ้วให้อีกหนึ่งครั้งทิ้งท้าย ก่อนที่ล่าถอยออกมาจากโต๊ะและให้เฟรมนั่งปลอบใจต้นกล้าที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างเขากับพ่อของเขา

……………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22 part 2) 14 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-10-2021 19:49:31
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22 part 2) 14 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-10-2021 11:12:46
ก็นะ พยายามเขียนปิดทุกปมที่ผูกไว้เยอะจนลืม 5555+
ใกล้จบเสียแล้ว แต่ก็เขียนเผื่อตอนพิเศษไว้ด้วยครับ ด้วยความคันมืออยากเขียนเรื่องของคนอื่นๆ ในแก๊งด้วย ก็เลยพยายามจะปิดปมของทุกคนให้หมดนะครับ
ขอบคุณสำหรับนักอ่านทุกท่าน
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 22 part 3) 20 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-10-2021 14:23:51

……………….

เสียงร่ำลาในยามเที่ยงคืนดังไปทั่วร้าน สภาพร่างกายหลายๆ คนกลายเป็นคนละคนกับช่วงหัวค่ำชัดเจน เด็กคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คือ ที่สุดของการจัดปาร์ตี้ คนที่เบาที่สุด คือคนที่พอจะประคองตนเองให้ยืนและเดินอยู่ได้ บางคนยืนกอดคอกับเพื่อนร้องห่มร้องไห้เสียจนใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำตา บางคนที่อาการหนักหน่อยก็สิ้นสติสลบฟุบหมอบคาโต๊ะที่เต็มไปด้วยคราบเหล้าและอาหารที่เหลืออยู่ บางคนถึงขั้นโอบกอดพูดคุยกับโถชักโครกอย่างหมดแรง และที่หนักที่สุดน่าจะเป็นคนที่โวยวายว่าตัวเองไม่เมาขออยู่กินดื่มต่อทั้งๆที่หมดเวลาตามที่ตกลงกับทางร้านไว้ คนแบบนี้แหละน่าจะเป็นพวกที่เมาที่สุด และหนึ่งในสามคนที่เป็นแบบนั้นคือ ต้นน้ำ ต้นกล้า และไอซ์ สามทหารเสือที่เป็นแบบนี้ทุกงาน ไม่สว่างไม่สงบ

เนื่องจากทางร้านต้องรีบเคลียร์ทำความสะอาดร้านเพื่อเปิดบริการในตอนเช้า จึงต้องปิดตรงเวลา จินไห่ที่ไม่ขอเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยถึงกับอดสงสารลูกน้องตัวเองไม่ได้ เพราะสภาพต่างจากพายุพัดผ่านนิดเดียว

“เฟรม แล้วเพื่อนกลับยังไงกัน?” จินไห่ที่เห็นสภาพเพื่อนของแฟนตัวเองก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ หากบ้านของเขากว้างใหญ่พอก็จะขอให้นอนพักมันเสียที่นี่ทั้งหมดนั่นแหละ

“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไอ้พวกนี้มันไปเช่าห้อง ที่โรงแรมแถวนี้แล้วครับ เผื่อจะไปต่อกันที่ห้อง ส่วนคนไม่ไหวก็จะได้ไม่ต้องเดินทาง พวกผมมีประสบการณ์รับมือเรื่องแบบนี้เป็นปกติครับ” เฟรมตอบด้วยน้ำเสียงปกติพลางพยายามดีงสติคนรักตัวเองให้สงบสติอารมณ์หน่อย ต้นกล้าแม้จะดูห้าวจนแทบไม่ฟังใคร แต่พอรู้ว่าใครกำลังใช่มือโอบรอบท้ายทอยตัวเองอยู่อย่างแรงก็แทบจะกลายเป็นเด็กห้าขวบที่เชื่อฟังบิดาตนเองก็ไม่ปาน ต้นกล้าหยุดโวยวายและยืนโอนเอนไปมาด้วยฤทธิ์น้ำเมาอย่างสงบ

“ไอ้เชี้ย…กล้า ไอ้อ่อน แค่นี้ก็กลัวผัว ดูพี่เป็นตัวอย่างไอ้น้อง พี่ไห่ ผมขอไปต่อกับเพื่อนนะ!” ต้นน้ำเดินโซเซมาตบบ่าต้นกล้าที่เงียบสงบ และหันไปหาจินไห่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“ก็ไปสิ แล้วก็ไม่ต้องกลับมานอนที่นี่สักสัปดาห์หนึ่ง โอเคไหม?” จินไห่พูดด้วยสีหน้าเครียดแต่ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคนรักวัยรุ่นผิวสีแดงอย่างกับผลมะเขือเทศไปทั้งตัว

“คราบบบบ” ต้นน้ำตอบลากเสียง

“ไอ้สัด!! ว่าแต่กู กลัวเมียนี่หว่า!!”  ต้นกล้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาสมเพช

“เขาห่วงกูโว้ย!!” ต้นน้ำตอบกลับด้วยใบหน้ายียวน

“พอๆ กลับกันได้แล้ว” เฟรมเหนื่อยกับไอ้พวกปากกล้าพวกนี้เลยขอยุติการต่อล้อต่อเถียง เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้มันโอ่ใส่กันเมื่อไหร่ก็ยาวเมื่อนั้น

“คร๊าบบบ” ต้นกล้าเลียนแบบเพื่อน

“ล้อเล่นกูเหรอ สาดดด” ต้นน้ำเหวี่ยงใส่

“ต้นน้ำ พอได้แล้ว ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่ต้องช่วยน้องๆ เก็บร้าน เกะกะ!!” จินไห่ดุใส่

“คร๊าบบบบบ” ต้นน้ำพูดเสียงเดิมอีกครั้งและยอมเดินกลับบ้านแต่โดยดี ก่อนจากได้แต่ชักสีหน้าใส่ไอ้ต้นกล้า ที่ดูเหมือนจะอ้อนเฟรมให้ไปต่อกับเพื่อนๆได้


…………….

จินไห่ที่เหน็ดเหนื่อยกับการทำความสะอาดใหญ่ในร้านอาหารที่เสมือนเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เศษอาหารที่กระจัดกระจายเต็มพื้นที่และจานชามที่ไปอยู่ในที่ไม่ควรจะอยู่นั้นมากมายจนเก็บแทบไม่หมดในหนึ่งชั่วโมง

จินไห่ได้แต่เอ่ยปากบ่นไประหว่างทำงานไปด้วย และขอโทษลูกน้องที่มาทำงานนอกเวลาให้กับเขาไปด้วย

ทีมงานในร้านของจินไห่นั้นนิสัยดีทุกคน ไม่มีใครบ่นหรือตำหนิลูกค้าเลย มีแต่ช่วยปรามเจ้านายให้ใจเย็นๆ มากกว่า

นาฬิกาที่แขวนที่ฝาบ้านบอกเวลาว่าเลยตีสองมาเกินครึ่งทางแล้ว วันนี้เป็นวันที่เขาทำงานดึกที่สุดเท่าที่เคยทำมา ร้านนี้ถูกเหมาร้านจัดแบบนี้ค่อนข้างบ่อย แต่ปาร์ตี้วันนี้ถือว่าหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เขาเคยจัดมาแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันช่วยเพิ่มสีสันในชีวิตให้กับเขาไม่น้อย พลางนึกถึงวีรกรรมห่ามๆ หลากหลายที่เกิดขึ้นวันนี้ ทำให้อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เด็กสมัยนี้จัดปาร์ตี้ได้สุดเหวี่ยงกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากโข

จินไห่พาร่างที่เหนื่อยล้าเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างช้าๆ พลางตรวจสอบความเรียบร้อยในบ้านไปด้วยเพราะต้นน้ำที่เทน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าร่างกายแบบเต็มที่ได้เข้ามาในบ้านก่อนเขา

สภาพภายในบ้านยังคงเรียบร้อยดี บ้านยังคงเป็นระเบียบเช่นเดิม เขามองรอบๆด้วยความชื่นชมเพราะหลังจากปรับปรุงบ้านล่าสุดจากฝีมือการออกแบบของต้นน้ำ ก็ทำให้บ้านน่าอยู่และดูดีขึ้นมาก เขาอดที่จะภูมิใจกับความเก่งของแฟนตัวเองไม่ได้

ความสุขและความอบอุ่นในใจบังเกิดขึ้นมาและเอ่อล้นมาทางใบหน้าที่ชื่นมื่นท่ามกลางแสงสลัวภายในบ้านที่ออกแบบมาในสไตล์ที่เขาเห็นชอบ

จินไห่เดินมาถึงหน้าห้องที่เงียบสงัด ไร้เสียงใดๆ แทรกผ่านประตูออกมา ความมืดสลัวได้แวดล้อมเขาไว้ ไม่มีแสงใดๆเล็ดลอดออกจากห้องนอนของเขา จินไห่บิดลูกบิดรูปตัวแอลอย่างช้าๆ และเงียบที่สุด

ภายในห้องที่ไร้แสงสว่างใดๆ จากเครื่องกำเนิดแสงไฟฟ้าทุกชนิด มีเพียงแสงสว่างจากเทียนอโรม่าขนาดใหญ่ กลิ่นวนิลาและไม้ธีกวู๊ดที่จินไห่ชื่นชอบ ห้องตอนนี้เลยอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมของเทียนแทนที่กลิ่นจากแอลกอฮอล์ ต่างจากที่จินไห่คิดไว้มาก

จินไห่มองไล่ไปที่เตียงนอนขนาดคิงไซส์ ที่ถูกออกแบบให้มีความสูงไม่เกินหนึ่งฟุต สายตาปรับกับแสงสว่างของห้องได้แล้วของเขา มองเห็นเงาร่างที่นอนเปลือยอกห่มผ้าไว้เพียงถึงเอว แสงเทียนที่พริ้วไหวไปตามแรงลมของเครื่องปรับอาการที่ถูกฝังไว้บนเพดานตามการออกแบบของคนที่นอนอยู่ ทำให้เห็นรูปร่างของลอนกล้ามเนื้อเนียนตั้งแต่เนินอกจนถึงท้องน้อย

จินไห่ยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนที่กวาดตามองไปรอบห้องที่เสื้อผ้าของชายที่นอนหลับสนิทตรงหน้าต่างกระจัดกระจายไปทั่วห้องอย่างไร้ระเบียบเหมือนเคย จินไห่ส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำออกมา

‘เกือบดีแล้วนะ แต่อย่างน้อยก็อาบน้ำเรียบร้อยล่ะนะ’

หลังจากเก็บห้องและอาบน้ำชะล้างความเหนื่อยล้าออกไปเรียบร้อย จินไห่มองนาฬิกาที่โต๊ะข้างเตียงที่บอกเวลาว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องลุกไปซื้อวัตถุดิบเสียแล้ว จินไห่รีบล้มตัวลงนอนทันที และตั้งใจว่าจะรีบนอนให้เร็วที่สุด จินไห่คิดในใจว่าช่างโชคดีที่ไอ้คนขี้หื่นข้างๆ หมดฤทธิ์ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงลุกไปตลาดเช้าไม่ไหวแน่ๆ

หมับ!!

ความคิดว่าโชคดียังไม่ทันจะสิ้นสุดดี มือใหญ่หยาบข้างหนึ่งโน้มลงมารวบรอบตัวเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว จินไห่ตกใจจนตัวโยนเกือบขยับออกจากที่นอน โชคดีที่มือนั่นยังรวบแน่นไว้ จึงไม่ขยับไปไหนไกล

“ผมรอตั้งนาน” เสียงงัวเงียดังขึ้นไม่ไกล

“เฮ้ย! ทำไมยังไม่นอน?” จินไห่พยายามขยับหนี

“ก็รอฉลองกับพี่!” ต้นน้ำรวบตัวอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม

“ฉลอง?!?” จินไห่จินตนาการถึงคำนี้ไม่ออกว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง และตั้งใจว่าจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น

เพียงแค่ชั่ววูบหลังจากประโยคในความคิดเรียบเรียงเสร็จ ปากของจินไห่ที่กำลังจะเอ่ยดุแฟนบัณฑิตจบใหม่ ที่มีอารมณ์อย่างว่าแบบไม่รู้จักเวลา ช่องปากของเขาก็ถูกอุดด้วยริมฝีปากอีกฝ่าย ต้นน้ำเล้าโลมด้วยลิ้นที่อ่อนชุ่มอุ่นและริมฝีปากที่ขบและคลอเคลียริมฝีปากของจินไห่อย่างร้อนแรง เสียงของจินไห่จึงออกมาเพียงอู้อี้เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นจินไห่ก็พยายามที่จะไม่ขัดขืน เขาพยายามฝืนไม่ให้ลิ้นและริมฝีปากของอีกฝ่ายมีโอกาสรุกล้ำเข้ามามากกว่านี้ พร้อมพยายามฝืนตัวแข็งขืนไม่ให้อีกฝ่ายรวบกอดเขาโดยง่าย แต่ถึงจะพยายามอย่างหนักแต่ก็สู้กระทิงหนุ่มผู้เร้าร้อนไปด้วยไฟราคะไม่ได้

ลมหายใจที่อุ่นอ้าวปะปนไปด้วยกลิ่นสุราหลากหลายแบบในปาร์ตี้ถูกป้อนอัดเข้าช่องปากและจมูกอย่างต่อเนื่อง กลิ่นมันรุนแรงจนเหมือนกับแต่สูดอากาศเข้าปอดก็สามารถทำให้เมามายได้ ไม่รู้ว่าไอ้กระทิงเปลี่ยวตรงหน้าทำไมถึงยังมีแรงมหาศาลได้ขนาดนี้

ยิ่งเล้าโลมนานไปเท่าไหร่ ต้นกล้าก็ยิ่งดุดันมากขึ้น สวนทางกับจินไห่ที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงทั้งความเหนื่อยล้า และแรงอารมณ์ใคร่ที่ถูกพัดโหมจนแทบจะไหม้ตายคาอกอีกฝ่าย

ไม่เกิน สิบนาที จินไห่ก็อ่อนแอ…..

จินไห่คล้อยตามการนำของต้นน้ำอย่างช้าๆ ค่อยๆ ปล่อยตัวเองไปตามจังหวะมือและริมฝีปากของอีกฝ่าย จนในที่สุดเสื้อผ้าของเขาก็หลุดร่อนออกจากร่างกายเหมือนผีเสื้อที่ค่อยกางปีกออกจากดักแด้อย่างช้าๆ รูปร่างที่ลีนเป็นลอนกล้ามตามธรรมชาติ ผิวที่ขาวเนียนท่ามกลางแสงเทียนสะท้อนจนเหมือนเรืองแสงออกมา ทำให้ต้นน้ำแทบจะหยุดหายใจกับความงามตรงหน้า เขาไม่เคยติดเลยว่าเขาจะปรารถนาผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ จนเขาไม่สามารถอดใจที่จะวาดมือตนเองไปตามเรือนร่างด้านล่างตนเองไม่ได้

จินไห่ที่ถูกลูบไล้ด้วยความอ่อนโยนด้วยมือที่หยาบใหญ่แต่กลับทำให้เขารู้สึกกระสันต์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกเพียงพอกับการแค่ได้สัมผัสจากอีกฝ่าย กลับกันยิ่งทำแบบนี้ เขายิ่งรู้สึกต้องการอีกฝ่ายมากขึ้นจนแทบอดกลั้นใจตนเองไม่ไหว หัวใจที่กลางอกมันเต้นแรงจนเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หน้าอกของเขาเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งได้มองคนด้านบนที่มองเขาด้วยสายตาเสือที่จ้องพร้อมขย้ำเหยื่อ มันแวววาวสั่นไหวตามแสงเทียนยิ่งทำให้เขาหมดสิ้นความอดกลั้น ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเริ่มก่อนเลยสักครั้ง เพราะจินไห่อายกับการแสดงออกกับเรื่องแบบนี้ แต่วันนี้มันเหมือนถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เขาพร้อมจะโยนตัวเองออกจากกรอบที่เขาล้อมไว้ เขาโยนมือข้างหนึ่งมาจับท้ายทอยคนด้านบนและบังคับให้อีกฝ่ายโนบตัวลงมาให้เขาใช้ลิ้นร้อนสัมผัสที่ใบหูพลางกระซิบ

“รีรออะไรอยู่ เอาเข้ามาเสียทีสิ พี่จะไม่ไหวแล้วนะ!!”

ต้นน้ำอมยิ้มและหัวเราะในคอคิดในใจได้เพียงคำว่า ‘น่ารัก’ สักล้านคำในเสี้ยววินาทีนั้น และเขาก็ไม่รอที่จะปฎิบัติการขั้นถัดไปทันที

ต้นน้ำล้วงบางอย่างที่ใต้หมอน ถุงยางและเจลหล่อลื่นอยู่บนมือเขาเหมือนต้นน้ำมีกระเป๋ามิติที่สี่ ของแมวแห่งโลกอนาคตอยู่ใกล้มือ ต้นน้ำจัดการแกะซองฟรอยสีเงินวาวขนาดพอดีมือจับแผ่นกลมที่มีกลิ่นหอมลงสวนจุดกระสันต์จนสุดความยาว จินไห่มองกี่ครั้งก็ทึ่งกับของชิ้นนี้ที่มีขนาดกระทันรัดแต่สามารถสวมลงชิ้นส่วนขนาดไม่ธรรมดาของเด็กนั่นได้อย่างพอดิบพอดี

อืม…

จินไห่เผลอครางในลำคอเพราะไม่ทันตั้งตัวที่ถูกของเหลวเย็นเยียบและลื่นข้นสัมผัสปราการด่านหลังของตนอย่างชำนาญ

ต้นน้ำไม่รอช้า เข้าค่อยๆ สอดนิ้วชี้ลงไปที่ช่องแคบนั่นอย่างช้าๆ ขยับมือเข้าออกพอให้จินไห้ส่งเสียงแปลกๆ ในลำคอออกมา พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็ค่อยเพิ่มจำนวนนิ้วเป็นสอง เป็นสาม จนจินไห่ร้องอย่างเจ็บปวด

“โอ้ย!! ทำไมวันนี้รีบจัง!!” จินไห่โวยด้วยเสียงอันแตกพร่า

“ผมจะทนไม่ไหวแล้ว ผมขอล่ะนะ”สิ้นประโยค ต้นน้ำจับอีกฝ่ายยกขาสูง ใช้บ่าของเขาเองวางขาขาวๆของคนเบื้องล่างอย่างเหมาะเจาะ ต้นน้ำใช้อาวุธประจำกายค่อยๆเบียดบดช่องแคบเบื้องล่างอย่างยากเย็น ขั้นตอนนี้ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เขาก็ไม่กล้าที่จะทะลวงเข้าไปเลยสักที อย่างไรเขาก็เป็นห่วงคนเบื้องล่างอย่างมาก เพราะหน้าตาของจินไห่ตอนนี้มันมันทำให้เขารู้สึกอยากจะหยุดทุกอย่างเสียตอนนี้ แต่อีกใจหนึ่งมันก็มีความต้องการค้ำคออยู่

“เอาเลย…พี่ไหว…” จินไห่พยักหน้าพูดเสียงสั่น

ช่วงที่พูดนั้น ส่วนยอดของต้นน้ำได้เข้าไปบ้างแล้ว ความอึดอัดและแน่นหน่วงทำให้ต้นน้ำตัดสินใจขยับสะโพกดันเข้าสุดแรง

ต้นน้ำสั่นไปด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นในขณะที่ที่จินไห่ กัดฟันที่จะไม่ร้อง ร่างสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวดแรกแปลบเข้าไปทั่วทั้งร่าง

ต้นน้ำที่เห็นดังนั้นจึงก้มลงโอบกอดอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“พี่โอเค….” จินไห่ตอบรับการพรมจูบของอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน

“เราค่อยๆไปพร้อมกันนะครับ” ต้นน้ำกระซิบกรอกหูจินไห่ด้วยเสียงที่แสดงถึงความรักและความต้องการอันท่วมท้น พลางขยับสะโพกอย่างช้าๆ จนกระทั่งคนเบื้องล่างเริ่มขยับตามจังหวะรักของต้นน้ำ และเริ่มออกเสียงที่บอกถึงความพึงใจออกและดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะที่เร่งขึ้นของต้นน้ำ

เมื่อต้นน้ำเห็นคนเบื้องล่างเริ่มหลุดไปสู่ความหฤหรรษ์ที่เขามอบให้แล้ว เขาจึงบรรเลงทุกกระบวนท่าที่เขาคิดอยากจะทำมานานแล้ว แต่ไม่กล้า เพราะหวั่นเกรงแฟนเขาคนนี้จะหวาดหวั่น แต่ด้วยอารมณ์ตอนนี้ของจินไห่ ต้นน้ำเดาว่าจะให้เขาทำอะไรตอนนี้น่าจะได้ทุกอย่าง เขาจึงไม่รอช้ารีบปฎิบัติกิจกามตามที่นึกไว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มย่องอย่างเจ้าเล่ห์และสุขใจ

……….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22 part 3) 20 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-10-2021 17:40:59
 :pig4:
 :hao6:
กลายร่างเป็นเสือหิวเสือโหยเชียว
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22 part 4) 28 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-10-2021 10:10:26

แสงแดดยามเช้าที่พยายามแทรกตัวเจ้ามาผ่านผ้าม่านสีทึบที่ถูกออกแบบมาให้คนตื่นสายอย่างต้นน้ำหลับสบาย แม้จะผ่านการทัดทานจากจินไห่หลายครั้งหลายหน แต่ต้นน้ำก็มีวิธีโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเห็นด้วยจนได้ และสิ่งที่ทำให้ผ่านการอนุมัติจากจินไห่ก็คือลวดลายต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะการทอที่บางกว่าส่วนอื่น ทำให้ผ้าม่านที่ถูกแขวนบริเวณหน้าต่างทิศตะวันออก มีลวดลายที่ขีดเขียนโดยแสงธรรมชาติสวยงาม แม้จินไห่จะไม่ชอบห้องที่มืดเกินไปแต่ก็คงต้องยอม

เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ต้นน้ำตื่นก่อนอีกฝ่าย เขาเอนกายมองคนที่นอนกึ่งเปลือยข้างๆ อย่างสมใจ มีเพียงไม่กี่ครั้งที่จินไห่จะยอมปล่อยให้ตัวเองนอนอย่างเปลือยเปล่าแบบนี้ เพราะไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ดึกดื่นเพียงใด ยามเสร็จกิจรัก จินไห่จะลุกไปทำความสะอาดและแต่งตัวชุดนอนเต็มชุดเพื่อเข้านอน และไม่วายที่จะเคี่ยวเข็ญให้ต้นน้ำทำเหมือนกัน แต่เมื่อวานจินไห่คงเหนื่อยมากจนไม่มีแก่ใจทำกิจวัตร

แสงสลัวยามสายที่สองผ่านผ้าม่านทำให้เห็นผิวพรรณที่แดงเป็นจ้ำไปทั่วร่างผิวเนียนขาว ต้นน้ำเผลอเอามือไปไล้ลูบและพลางเอ่ยคำขอโทษอีกฝ่ายที่รุนแรงไปหน่อยเมื่อคืน แต่มันก็เป็นคืนหนึ่งที่ดีที่สุดของเขา  ไม่รู้ว่าอะไรทำให้จินไห่ยอมเขาทุกอย่างขนาดนั้น

หลังจากชื่นชมผลงานของตน ต้นน้ำที่เห็นอาการขนลุกของอีกฝ่ายก็ดึงผ้าห่มจากที่พาดถึงช่วงท้องดึงมาจนถึงช่วงคอให้อบอุ่นขึ้น โดยไม่รู้ว่าจินไห่รู้สึกหนาวหรือรู้สึกถึงกลิ่นอายความหื่นกระหายจากเขากันแน่

ต้นน้ำที่เปลือยเปล่าลุกขึ้นยืดเหยียดกาย กิจกรรมเมื่อคืนทำให้เขาเองก็เคล็ดขัดยอกไม่น้อย มีอาการเหมื่อยล้ากล้ามเนื้อขาไม่เบาเหมือนกัน ระหว่างที่กำลังเดินเหยียดกายไปทั่วห้องอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่ต้องการรบกวนคนขี้เซาบนเตียง (สงสาร) ดวงตาของเขาก็บรรจบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีน้ำเงินเข้มบนโต๊ะทำงาน จำนวนสองกล่อง เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนมันวางอยู่ตรงหรือไม่  เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน  ด้วยความอยากรู้จึงเดินไปเปิดดู แล้วเขาก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นแหวนเกลี้ยงฝังเพชรแบบพอดีวงอยู่ในกล่อง กล่องละวง การออกแบบเหมือนกันทั้งสองวง ด้านในของแหวนมีภาษาจีนสลักอยู่ ซึ่งเขาก็อ่านมันไม่ออก ในหัวมันสับสนไปหมด ขนาดของทั้งสองวง มีอยู่วงหนึ่งมันเล็กเกินกว่าที่เขาจะใส่ได้ และ จินไห่เองก็ไม่น่าจะใส่ได้ มันเหมือนแหวนไซส์ผู้หญิง!!

“เชี้ย!!!” ต้นน้ำคิดอะไรไม่ออกนอกจากอุทานออกมาเสียงดัง
มันมีอะไรที่เขายังไม่รู้อยู่อีกหรือ จินไห่ปิดบังอะไรเขาอยู่ ต้นน้ำวางกล่องทั้งสองลงที่เดิมอย่างบรรจง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำอะไรน่ะ” เสียงของคนงัวเงียบนเตียงดังขึ้น

“ไม่! ไม่มี อะไร” ต้นน้ำตอบด้วยอาการลนลานตกใจ

“……” คนบนเตียงนอนนิ่งไม่ได้ตอบอะไร แต่ต้นน้ำรู้สึกถึงการถูกจ้องมองจากบนเตียงนั้นจนต้องรีบกลับไปมุดผ้าห่มบนเตียงต่อ

ในขณะที่ต้นน้ำกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวจนสับสนวุ่นวายไปหมด เขารู้สึกได้หัวเขาร้อนจนควันแทบพุ่งออกจากหู จินไห่ที่นอนนิ่งมาได้พักใหญ่ จู่ๆก็ลุกพรวดขึ้นมาทั้งที่เนื้อตัวล้อนจ้อน

“เห็นแล้วสินะ?” จินไห่พูดขึ้นลอยๆ หลังจากมองไปที่โต๊ะทำงานในห้อง

“หะ….เห็นอะไร?” ต้นน้ำตีมึนและยังคงมุดศรีษะอยู่ในผ้าห่มผืนหนา

“ไม่อยากให้มาเจออะไรแบบนี้ตอนนี้เลย…” จินไห่เดินออกจากเตียงไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมานั่งข้างๆ คนที่มุดผ่าห่มอย่างอึดอัด

“……..” ในหัวของต้นน้ำตอนนี้คิดอะไรไปไกลมาก หรือนี่คือเหตุผลที่จินไห่สุดเหวี่ยงกับเขาเมื่อคืน หรือมันคือการทำเพื่อการลาจาก จินไห่ของเขา กำลังถูกจับคลุมถุงชน หรือมีใครมาล่อลวงพี่เขาให้แต่งงานด้วย

“คือ… เรื่อง….ของ… บนโต๊ะ พี่ ขอ…โทษนะ” จินไห่มีน้ำเสียงสำนึกเสียใจเจือปนจนต้นน้ำรู้สึกได้

“พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พี่จะทิ้งผมไม่ได้นะ ถ้าพี่จะแต่งงานก็ต้องแต่งกับผมนี่แหละ!!” ต้นน้ำลุกพรวดขึ้นมาโวยวายด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่จินไห่เคยเห็น

“เด็กโง่……. ที่พี่ขอโทษน่ะคือเรื่องขนาดแหวนน่ะ พี่ว่าทางร้านคงเข้าใจอะไรผิดมันก็เลยเล็กขนาดนี้…” จินไห่พูดไปหัวเราะในลำคอไป ด้วยความเอ็นดูคู่รักตนเอง และจบท้ายด้วยลั่นก๊ากออกมาลั่นห้อง

“หา?!?! อะไรของพี่น่ะ?” ต้นน้ำรู้สึกอายเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรออกบ้างแล้ว

“พี่เห็นว่าเราเรียนจบแล้วก็เลยอยากจะหาของขวัญให้น่ะ พี่คิดว่าแหวนวงนี้มันสวยดี พี่ชอบนะ ไม่รู้ว่าน้องชอบหรือเปล่า?” จินไห่ปาดน้ำตาที่ไหลออกมา น้ำตาจากเสียงหัวเราะเมื่อครู่ก่อนที่จะตอบและยื่นแหวนหนึ่งในสองวงให้อีกฝ่ายดู

“พี่ให้อะไรมาผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมพี่ต้องซื้อมาตั้งสองวง?” ต้นน้ำส่งสายตางอแงใส่อีกฝ่ายก่อนตอบ

“ก็เขาไม่ขายวงเดียว…..” จินไห่ตอบเสียงเบา

“ทำไมล่ะ?”

“ก็มันเป็นแหวนแต่งงาน เขาออกแบบเพื่อคนที่จะเข้าพิธี….. เขาเลยไม่ขายวงเดียว….”

“ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนๆ กันเนี่ยนะ!” ต้นน้ำชูแหวนวงนั้นขึ้นมาส่องพินิจในระยะใกล้อีกครั้ง มันก็ไม่มีอะไรพิเศษ มันก็เหมือนกับอีกวงทุกอย่าง (เท่าที่เห็น)

แหวนวงเกลี้ยงที่มีรอยลวดลายที่ขอบรอบวงอย่างเรียบง่าย บนแหวนฝังเพชรเม็ดขนาดพอดีกับแหวนอย่างปราณีตจนเกือบเป็นเนื้อเดียวกับแหวน สังเกตดีๆ จะเห็นลวดลายสีแดงสดอยู่ด้านในวงที่มองไกลๆ จะคล้ายเส้นไหมพรมที่แดงที่บรรจงฝังอยู่ภายใน แต่จริงๆ มันคือไพลินสีแดงเม็ดเล็กที่ฝังไว้ในตัวเรือนอย่างวิจิตร

“ใช่มันเหมือนกัน แต่ดูนี่สิ” จินไห่ตอบเสียงนุ่มและหยิบแหวนอีกวงหนึ่งออกมา จินไห่แบมือขอแหวนอีกวงจากต้นน้ำ หลังจากได้รับมันมาไว้บนมือ จินไห่ใช้นิ้วที่เรียวยาวบรรจงทาบแหวนทั้งคู่ขนานกันและเริ่มหมุนแหวนสองวงนั้นเบียดกันอย่างช้าๆ ผ่านไปพักหนึ่ง แหวนทั้งสองก็ประสานกันอย่างพอดี

“ว้าว.. มันทำแบบนี้ได้ด้วย!!” ต้นน้ำตื่นเต้นเมื่อเห็นแหวงวงนั้นใหญ่ขึ้นและเพชรที่ฝังอยู่ทั้งสองวงหมุนมาบรรจบตรงกันพอดี บ่งบอกว่างานฝีมือปราณีตขนาดไหน

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ” จินไห่กล่าวจบก็พลิกแหวนให้ต้นน้ำดูลวดลายด้านในที่เหมือนเส้นด้ายสีแดงหมุนวนและผูกติดกันอย่างพอเหมาะพอดี

“ด้ายแดง…… สวยดีนะ แต่พี่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?” ต้นน้ำมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแซวๆ

“ก็ไม่เคยเชื่อ… จนกระทั้งมาเจอต้นน้ำ” เสียงเรียบๆ และมีความหมายลึกซึ้งจากจินไห่ทำให้หัวใจต้นน้ำพองโตจนแทบระเบิด

“พูดเหมือนจะขอแต่งงาน” ต้นน้ำได้แต่หน้าแดง

“แล้วขอได้ไหมล่ะ” จินไห่ยิ้มหวานใส่


“ขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ ไม่ต้องขอแล้ว!!” ต้นน้ำยื่นมือข้างซ้ายให้จินไห่

จินไห่ยิ้มแล้วก็จัดการแยกแหวนวงสวยออกเป็นสอง แล้วบรรจงสวมลงนิ้วนางอีกฝ่าย แต่ก็สวมลงไปได้แค่ครึ่งทางเพราะแหวนมันเล็กเกินไป

“ฮะฮะฮะ เดี๋ยวพี่ไปปรับให้ใหม่ก่อนดีกว่า” จินไห่หัวเราะลั่น พร้อมกับต้นน้ำ

“งั้นผมขอสวมให้พี่ก่อนก็แล้วกัน แล้ว….ก็…… เราก็มาเข้าหอกันต่อเลยนะ!” ต้นน้ำดวงตาวูบวาบส่องประกาย พลางคว้าแหวนอีกวงมาสวมอีกฝ่ายอย่างพอดีพอเหมาะ หลังจากนั่นจินไห่ก็โดนสวมกอดอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจากต้นน้ำกดลงบนริมฝีปากเขาอย่างทะนุถนอม แม้ต้นน้ำจะไม่ได้ใช้แรงอะไรกดดันอีกฝ่ายมากมายแต่ด้วยอารมณ์พาไปทำให้ทั้งคู่กำลังทำพิธีเข้าเรือนหอกันอีกรอบในช่วงสายของวัน

……….

จบ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - 22 part 4) 28 ต.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-10-2021 10:13:12
สัปดาหหน้า ขอเพิ่ม บทเสริม

Hot and cold

นะครับ คันมืออยากเขียนเพิ่ม

โปรดติดตาม กันด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 1) 4 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-11-2021 16:54:00
บทเสริม

น้ำแข็งกับไฟ
Hot and Cold


“เชี้ยๆๆๆๆ” ผมสบถซ้ำไปซ้ำมา เมื่อรู้ว่าแผนการที่ตัวเองวางไว้ มันมีแต่ตัวแปรน่าผิดหวังกับทริปเกาะช้าง เกาะสวรรค์

“บ่นอะไรของมึงงึมงำๆ ไม่พอใจก็ออกไปนอนนอกห้อง!!” นีโน่ที่นั่งอยู่โซฟามุมห้องโวยออกมา

ผมที่ยืนถือข้าวของที่ถูกโยนออกจากห้องพักตนเองกับพี่กวี โดยฝีมือแฟนตัวจริงเสียงจริงอย่างไอ้พี่ชัย ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตนเองแบบนี้ ยิ่งต้องโดนไล่มานอนกับไอ้เตี้ยจอมเผด็จการนี่ยิ่งทำให้ใจรู้สึกห่อเหี่ยว

“ให้กูเดา…… แผนล่มสินะ….” ไอ้พี่นีโน่ปากสุนัขจรลั่นออกมาเสียงดังพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเตี้ยๆ ของมัน ใครจะไปคิดว่า การได้ใกล้ชิดกับพี่กวีเป็นของแถมแบบนี้จะถูกขัดโดยไอ้ตี๋หน้าหล่ออย่างไอ้พี่ชัยแฟนของพี่กวีที่อยู่ๆก็โผล่มา

ส่วนผมที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ทำได้เพียงเก็บของต่างๆ เข้าที่และเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่กำลังที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นขวดวิสกี้ทรงเหลี่ยมพาดด้วยกระดาษสีฟ้าเข้ม และโลโก้รูปคนเดิน ‘เฮ้ย พ่อจอห์นนี่ นี่นา’ ผมคิดในใจด้วยความเปรี้ยวปาก วิสกี้ที่ได้แต่มองอยู่บนหิ้งของแม่ตัวเองที่บ้าน กลับมาอยู่ต่อหน้านี้แล้ว

“เอาหน่อยไหม?” คนที่นั่งจิบออนเดอะร๊อคเงียบๆ เอ่ยชวน

มีหรือว่าผมจะสนใจว่าใครจะเป็นคนชวน แม้จะเป็นอริกันมาแต่ปางก่อน แต่คนเรามันจะปรองดองกันได้ด้วยน้ำเมาที่เลิศรสนี่แหละ

หลังจากหาคำให้ตัวให้กับตนเองในหัว ผมก็รีบพาตัวเองไปนั่งใกล้ๆ และหยิบแก้วที่คว่ำอยู่ไม่ไกลขึ้นมาวางเตรียมพร้อม

“กูไม่นึกว่ามึงจะมาจริงๆ มารยาทน่ะรู้จักไหม มึงควรจะปฏิเสธนะ” ไอ้คุณพี่นีโน่ที่ตอบได้กวนเบื้องล่างจนอยากจะเอาทาบหน้าสักที กวนกันไม่หยุดแบบนี้ ถึงจะแก่กว่าก็ไม่สนใจ พร้อมจะวิวาทนะโว้ย

ผมทำนิ่วหน้าตอบไปทันที
“ขี้เหนียวว่ะ” ผมตอบกลับไปแบบทิ้งความเคารพทั้งหมดไว้ที่พื้น

“มึงควรจะขอผู้ใหญ่ดีๆ ไม่ใช่กวนตีน!!” ไอ้คนที่ตัวเล็กกว่าคิ้วขมวดและแผ่รังสีอันตรายออกมา

‘เออ กูลืมไปว่ามึงระดับมาเฟียประจำจังหวัด’ ผมคิดพลางส่งยิ้มแห้งให้กลับไปเป็นเชิงขอโทษ

“กูก็อุตส่าห์เก็บไว้ดื่มเวลา…….” เสียงของนักเลงเงียบไปขณะถือขวดเหลี่ยมทรงสูงราคาแพงไว้ในมือข้างหนึ่ง

“พี่ต้องตัดใจกับพี่กวีได้แล้วนะ ผมยังทำได้แล้วเลย” ผมพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าหมองลง

“เรื่องกวีกูปลงแล้วโว้ย กูว่ากูน่าจะพูดคำนั้นกับมึงมากกว่านะ ไอ้มดแฝงพวงมะม่วง!!” พูดจบเขาก็รินน้ำสีอำพันเข้มลงแก้วผม พร้อมส่ายหน้า

“ผมก็ทำใจได้แล้ว เพียงแต่….ได้ใกล้ชิดมันก็มีความสุขดี” ผมตอบจบก็กรอกน้ำในแก้วเข้าปากจนหมด

“มึงนี่ดื่มเสียดายของ ใครเข้ากรอกวิสกี้แบบนี้เข้าไปทีเดียว ไอ้เด็กปากดี!!!”  นีโน่ตวาด

“เหล้านะกินแบบไหนมันก็เมาเหมือนกันแหละ และผมก็ไม่ได้ปากดี เรามันก็เหมือนกันแหละ เป็นไอ้ขี้แพ้เหมือนกัน!! ถึงได้มาจบด้วยเหล้าแบบนี้ไง!!” เหมือนคำพูดของไอ้คนตรงหน้ามันจี้ใจดำยังไงไม่รู้ ผมเลยเผลอโวยใส่เข้าให้ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองหาเรื่องตายก็ตอนที่ไอ้เตี้ยตรงหน้ามันก้มหน้านิ่ง

“กูว่าเราดื่มกันเงียบๆ เหอะ จะกินอะไรก็เรื่องของมึง กูมีอีกหลายขวด!” พูดจบคนที่ส่งบรรยากาศน่ากลัวออกมาก็รินเหล้าให้อีกแก้ว

ผมซึ่งได้กลิ่นอายนั่นจนขนลุกก็ได้แค่รับแก้วที่มีวิสกี้ออนเดอะร็อค แล้วกรอกเข้าปากไปเงียบๆ

“กวีเขาทำให้กูนึกถึงคนๆหนึ่ง” คนรูปร่างเล็กกว่ามองน้ำแข็งทรงกลมที่กลิ้งไปมาในของเหลวสีอำพันระหว่างเอ่ยขึ้นมา

ส่วนผมก็ได้แต่คิดว่า ‘ก็ไหนเราจะดื่มกันเงียบๆไง!’  พอไอ้เตี้ยนั้นพูดขึ้นด้วยท่าทางแบบนั่น เลยยิ่งทำให้ผมสนใจขึ้นมา ผมหยุดดื่มและมองไปที่คนพูดแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามอะไร เพราะนั่นมันอันตรายเกินไป

ผ่านไปพักใหญ่ไอ้คนที่เอ่ยขึ้นมาให้สงสัยมันก็ไม่พูดอะไรต่อสักที ได้แต่มองแก้วเปล่าๆ กับน้ำแข็งก้อนกลมที่กลิ้งไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกและแรงเหวี่ยงของคนถือแก้ว

ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะระเบิดคำพูดออกมา ผมแก้ปัญหาโดยการคว้าขวดเหล้าที่พร่องไปเกินครึ่ง เทน้ำอำพันกลิ่นหอมลงไปในแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งแก้วนั่น

“แต่มันก็นานมาแล้ว กวีทำให้กูนึกถึงใครบางคนที่กูคิดว่ากูลืมเขาได้แล้ว ………” นักเลงวัยกลางคนกระดกแก้วที่เพิ่งถูกรินมาครึ่งค่อนแก้วเข้าปาก พริบตาเดียวแก้วนั่นก็เหลือแต่น้ำแข็งเช่นเดิม น้ำแข็งที่พร้องลงตามอุณหภูมิห้องและวิสกี้ทำให้เสียงของแข็งที่กระทบกันในแก้วดังขึ้น สุดท้ายผมจึงต้องทำการเทน้ำสีอำพันนั่นลงไปในปริมาณเดิม

สรุปผมกลายเป็นเด็กเทเหล้าไปเสียอย่างนั้น แต่ก็ไม่กล้าโวยวาย กลัวสลบไปไม่รู้เรื่องและตื่นมาพร้อมรอยช้ำ เคยได้ข่าวบ่อยๆว่าไอ้นักเลงตัวจ้อยนี่หมัดหนักยังกะช้างสาร ถึงกับเคยได้ฉายา ‘โน่เปรี้ยงเดียวจอด’

“กูว่ามึงก็มีอะไรคล้ายๆ กวีนะ แต่ไอ้ความกวนบาทาของมึงทำให้กูรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย ไอ้หน้าฝรั่งของมึงเนี่ย เห็นทีไรกูของขึ้นทุกที คันมือคันไม้อยากออกแรง” นีโน่ตาเขียวใส่และแผ่รังสีน่ากลัวออกทางผมเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวเองไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้ ได้แต่ยิ้มเจื่อนและหลบตาไอ้นักเลงโตตรงหน้า

“เอาเถอะ ที่ผ่านมามึงก็ไม่ได้เลวร้าย เรื่องเดียวที่ขัดใจกูก็แค่เสือกมาชอบคนเดียวกับกู!!” พูดขู่จบก็กระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งกรึ๊บ

“ผม…ก็ยอมถอยออกมาแล้วไง ผมกับพี่กวีก็แค่พี่น้องกันเท่านั้นแหละครับ” อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากพูดสุภาพกับคนตรงหน้าขึ้นมาเลย ปกติแทบจะไม่เคย

“และนั่นก็เป็นข้อดีของมึง กูเคยคิดว่าหากมึงยังไม่เลิกตามรังควานกวีอีก กูจะสั่งสอนให้ ถึงกูจะไม่ได้กวีเป็นแฟน แต่กูก็รักจริงนะเว้ย!!” พูดจบนีโน่ก็วางแก้วที่เหลือน้ำแข็งเพียงน้อยนิดกระแทกกับโต๊ะตรงหน้าดังปัง!!

“ถึง….. ผมจะบ้า แต่ก็ไม่โง่นะครับ ถึงจะดูไม่ออกว่าใครรักใครเรื่องแบบนี้มันฝืนกันไม่ได้นี่ครับ” ผมรีบจัดแจงเติมน้ำแข็งทรงกลมขนาดพอดีแก้ว ที่ตักได้จากกล่องเก็บอุณหภูมิไม่ไกล เติมลงไปพร้อมรินวิสกี้ไม่ให้ขาด

“ดี!! ดื่มให้กับความอกหักของเราสองคนที่ถูกไอ้ชัยแย่งไป!!” คนตรงหน้าที่ดูจะมีอาการเมามายยื่นแก้วมาตรงหน้าผม

เมื่อเห็นบรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย ผมก็เลยตามน้ำไปเลย ชนแก้วแล้วแก้วเล้า จากหนึ่งขวดเป็นสองขวด จากสองเป็นสาม จนผมเลิกที่จะนับมันแล้ว และสติผมก็โบยบินไปจากผม

………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 1) 4 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-11-2021 19:21:19
 :pig4:
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 2) 12 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 12-11-2021 16:08:58
………

แสงไฟที่แยงตาและอาการปวดศรีษะที่หนักอึ้ง ทำให้การลืมตาตื่นเป็นเรื่องที่ยาก อาการภาพตัดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเวลาดื่มจัดกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมไปแล้ว เพราะผมเป็นประเภทเรื่องเรียนที่ว่าหนัก เรื่องเล่นต้องหนักกว่า แต่อาการที่ตื่นมาพร้อมเสื้อผ้าของตัวเองถูกเหวี่ยงออกจากร่างไปอยู่ต่างมุมห้องนี่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นครั้งแรก

“เป็นไปไม่ได้” ผมบ่นพึมพำด้วยความตระหนก ยิ่งได้รู้ว่าตัวเองอยู่ร่วมห้องกับใครเมื่อคืน ยิ่งอยากจะตะโกนให้ลั่นห้อง ผมย้ำกับตัวเองเสมอว่า มีแต่เรื่องเซ็กส์เท่านั้น ที่จะไม่ยอมให้ขาดสติ เพราะ
1 กลัวเสียชื่อว่า ‘เด็ด’ เพราะขาดสติ
2 กลัวตัวเองไม่ป้องกันเพราะขาดสติ
3 กลัวจำไม่ได้ว่า มีเซ็กส์กับใคร และแบบไหน ของแบบนี้มันต้องจำเป็นประสบการณ์ชีวิต จะรุกจะรับ มันต้องจำให้ขึ้นใจ

ก่อนที่จะสติแตกไปกว่านี้ ผมเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ ห้องและพบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ แต่ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ผมเลยเดาว่าไอ้นักเลงไซส์เอส มันคงเข้าไปอาบน้ำอยู่

หลังจากนั้นผมจึงสำรวจร่างกายตนเองจนทั่วก็พบว่ามันไร้ริ้วรอยการสัมผัส ไม่รู้สึกถึงการรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้าม แม้จะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี

ผลั่ก!!

เสียงประตูห้องน้ำเปิดเข้าไปเผยให้เห็นชายวัยกลางคน ไซส์เอส เดินสวมคาดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่กว่าตัวเองไว้บริเวณต่ำกว่าเอวลงไป เผยให้เห็นเม็ดหยดน้ำพรายไปทั่วร่าง ร่างกายที่ผ่านการดูแลและออกกำลังเป็นอย่างดี ทำใหเห็นหุ่นที่ลีนสวย กล้ามเนื้อชัดเจน ผิวที่ขาวแบบคนเชื้อสายจีนนั่นมันก็เนียนสวยเกินกว่าคนที่ผ่านการวิวาทมานักต่อนัก แม้จะมีรอยแผลเป็นบ้างทั่วไป แต่ก็แทบกลืนไปผิวขาวนั่น กว่าผมจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนจ้องกลับมาเช่นกันก็แอบคิดว่าทำไมตัวเองไปเผลอจ้องคน ๆ นี้ มากขนาดนี้วะ

“กูรู้ว่ากูหล่อ หุ่นดี กูว่ากูชินกับการโดนจ้องแบบนี้แล้วนะ แต่กับมึงนี่กู…ไม่คุ้นว่ะ หากอยากดูมากกว่านี้ก็บอกนะ เดี๋ยวกูปลดผ้าให้ดู บอกให้รู้ไว้ก่อนว่ามันไม่เล็กเหมือนส่วนสูงกูนะ”

“ใครจะไปอยากมองฟะ!!” ผมสวนกลับไปด้วยอาการร้อนที่ใบหน้า

 เจ้าพ่อไซส์มินิได้แต่ยิ้มกวนๆ กลับมา ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าที่บรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายมันเปลี่ยนไป

“เดี๋ยวนะ!! เมื่อคืน… มึงทำอะไรกูหรือเปล่า?!?” ผมนึกขึ้นได้รีบโกยผ้าห่มโอบกระชับขึ้น

“เด็กน้อยเอ้ย!! มึงเมาโวยวายว่าร้อน และถอดเสื้อกระจัดกระจายเองนะ อย่ามาใส่ความกู!!” อีกฝ่ายตอบขณะสวมเสื้อผ้า

“อ้าว! เหรอ?” ผมตอบออกไปแบบเหวอ ๆ แม้ว่าผมจะไม่มีความทรงจำเหล่านั้นในหัวเลยตอนนี้

“ถามจริงนะ ร่างกายมึงผ่านอะไรมาเยอะขนาดที่ว่าโดนรุกแล้วจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ?!?” หนุ่มวัยกลางคนที่หัวยุ่งพันกันกึ่งเปียกหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้มยียวน

“กูไม่เคยโว้ย!!” แม้จะโดนคนวัยเลขสามสบประมาทแบบหยอกเย้า แต่ไอ้คนตรงหน้าที่มีสภาพร่างไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกเขินแปลกๆ เหมือนกัน มันรู้สึกเขิน ๆ ยังไงไม่รู้ ปากเคยบอกไม่คิดอะไร แต่แค่เจอมันเปลือยอกตรงหน้าทำไมใจกูต้องสั่นขนาดนี้ด้วยวะ อดยอมรับไม่ได้ว่า ข่าวลือที่มีคนมาอ่อยให้ถึงที่ทุกวันน่าจะจริง ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาอ่อนกว่าวัยน่ารัก แถวยังรวยอีกต่างหาก

“เฮ้ย!! เห็นมึงยิ้มลอยๆ แบบนี้แล้วกูสยองวะ!!” นีโน่ตวาดใส่ผมที่กำลังเหม่อมองคนเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา

‘เชี้ย!!’ ผมสบถในใจ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรวะ! ทั้งที่เมื่อก่อนเกลียดมันจะเป็นจะตาย แค่นั่งสนทนากันดีๆ คืนเดียวใครมันจะไปคิดว่าจะกระทบจิตใจขนาดนี้ แม้ว่าตอนนี้ไอ้คนตัวเล็กตรงหน้ามันจะกลับมากวนบาทาเหมือนเดิมก็เถอะ

“โอ้ยยย” สุดท้ายก็ตัดบทโวยวายวิ่งเข้าห้องน้ำไป ปลายตาก็แอบเห็นหน้าไอ้พี่นีโน่ที่ยิ้มเยาะผ่านช่องบานประตูห้องน้ำที่ค่อยๆ ปิดแคบลง

……………

ผ่านช่วงเวลาแสนสุข หยุดสุดสัปดาห์ที่รีสอร์ทหรูที่เกาะช้างผ่านไปได้หลายสัปดาห์ แต่ภาพจำของคนตัวเล็กผิวขาวในสภาพเปลือยอกผมยุ่งเหมือนเด็กๆนั้นก็ยังคงหลอกหลอนตัวผมอยู่จนแทบจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ความต้องการบางอย่างภายในสมองทำให้รู้สึกโหยหาสัมผัสบางอย่างตลอดเวลา

มันเป็นอย่างนั้นมาตลอดทุกช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว ช่วงนี้ผมก็เลยจะติดเพื่อนตลอดเวลา แต่เพื่อนสนิทที่สุดของผมอย่างไอ้ต้นน้ำก็ดันติดเมียวัยผู้ใหญ่ของมันเสียจนไม่เคยเห็นหน้ามันเลยนอกจากเวลาเรียน

ส่วนพี่ชายผมและเพื่อนสนิทของมัน(ต้นกล้า) ก็ดูจะมีโปรเจ็คลับบางอย่างตั้งแต่ผมหายไปเที่ยวสุดสัปดาห์กับไอ้ต้นน้ำ ซุบซิบกันอยู่สองคนและหายไปด้วยกันบ่อยๆ จนผมหมดความสนใจเพราะลำพังเรื่องความสับสนของตนเองก็กลุ้มใจมากพออยู่แล้ว

“เมื่อคืนกูถึงกับเก็บไปฝันเลยนะมึง!!” ผมพูดขึ้นขณะทำงานกลุ่มกับไอ้ต้นน้ำใต้ตึก หลังเลิกเรียน

“กับคนที่มึงบอกว่าเกือบได้กันตอนเมาอ่ะนะ?!?” ไอ้ต้นน้ำที่นั่งก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานกลุ่ม รีบร้อนจนผิดปกติ ตอบผมกลับมาแบบไม่ตั้งใจ

“เออดิ!! เชี้ย!! ในฝันแม่งเหมือนจริงฉิบหาย กูโน้มไปจูบกับมันแบบแลกลิ้นเลยนะเว้ย ซึ่งปกติ หากไม่ชอบจริงกูไม่ทำ!  อ้าว! ไอ้สัด นี่มึงฟังกูไหมเนี่ย?” ผมที่กำลังเล่าอาการแปลก ๆให้เพื่อนสนิทฟังหวังจะขอระบายออกบ้าง แต่กลับเห็นมันนั่งพิมพ์ตอบไลน์กับแฟนมันยาวเหยียด

“เออๆ กูได้ยิน แล้วไงต่อวะ!” ไอ้ต้นน้ำที่พูดไปพิมพ์ไป ตอบกลับมา สายตาของมันไม่มองแม้แต่ผมที่กรอกตาใส่มัน

“เออๆ ช่างแม่ง รีบทำเหอะ กูรำราญลูกตา เหม็นคนหลงเมีย” ผมกรอกตาแบบเล่นใหญ่และกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค กับโจทย์การออกแบบทรงไทยประยุกต์

ในขณะที่งานใกล้จะเสร็จ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังลั่น สั่นอยู่ในกางเกงจนผมสะดุ้ง ช่วงนี้สภาพจิตใจผมไม่ค่อยอยากคุยกับใครก็เลยตั้งบล็อกหนุ่มในสังกัดไปก่อนชั่วคราว ดังนั้นคนที่โทรศัพท์มาก็น่าจะเป็นเพื่อนสนิทและคนในครอบครัวเท่านั้น

หน้าจอที่ปรากฏหญิงผิวสีแทนหน้าตาสวยสดและชื่อที่ขึ้นมาคือ ‘แม่’ ทำให้ผมรีบเลื่อนมือไปกดรับทันที

“คร๊าบบบบ” ผมตอบลากเสียงไปจะได้รู้ยุ่งกับการทำงานอยู่ไม่ใช่เที่ยวเล่นถึงยังไม่กลับบ้าน

“พี่ชายเธออยู่ไหนเนี่ย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ” พอจบประโยคเสียงสดใสที่ปลายสาย ผมก็เงยหน้ากวาดตามองหาไอ้คนถูกคลอดออกมาก่อนไม่กี่นาทีทันที

“ไม่เห็นเหมือนกันครับ เมื่อกี้ยังนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันอยู่เลย!!” ผลที่ได้จากการมองภาพกว้างคือผู้คนบริเวณลานกว้างใต้อาคารเรียนเริ่มเบาบางลงแล้ว และพี่ชายฝาดแฝดของตัวเองก็หายสาปสูญไปกับสายลม ไม่ใช่สิ! ไปกับไอ้ต้นกล้าอีกแล้ว!!

“อย่าลืมนัดกับแม่นะ แม่เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้วนะ!!” และแล้วความทรงจำในสมองของผมก็ถูกรื้อค้นและจัดเรียงใหม่ จริงสิ!! แม่บอกจะพาคนที่แม่กำลังคบหา (หรืออนาคตพ่อเลี้ยง) มาแนะนำให้รู้จัก

“ไม่ลืมครับ” ปากว่าอย่างนั้น แต่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะใจลอยบ่อยๆ เลยลืมเรื่องที่แม่พูดย้ำบ่อยๆ เรื่องนี้เสียสนิท

แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวครับ หลังจาก แดดดี้ ที่เป็นคนต่างชาติเสียชีวิต แม่ผมก็ย้ายภูมิลำเนากลับมาที่บ้านเกิดตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย ชีวิตที่คุณแม่ยุ่งวุ่นวายกับการบริหารธุกิจส่วนตัวจากศูนย์จนกลายเป็นบริษัทโลจิสติกส์ขนาดย่อมที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ค้ามากมายในตัวจังหวัด และส่วนหนึ่งของความสำเร็จก็มาจาก ผู้ชายปริศนาคนนี้นี่เอง

แม่ผมไม่เคยเปิดเผยตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าคบหาดูใจอยู่กับใคร แม่พูดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วให้ฟังว่าเริ่มใจอ่อนแล้ว และคงจะยอมรับคนๆ นั้นเร็ว ๆ นี้

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เลยอยากจัดการให้รู้จักลูกๆ ของแม่เสียหน่อย โชคดีที่ตั้งแต่เขาคนนั้นเริ่มต้นจีบแม่ของผม เขาก็รู้ดีว่า แม่มีลูกติดเป็นฝาแฝด 2 คน แต่เขาก็ยังเดินหน้าจีบแม่ผมต่ออย่างไม่ลดละ จนสำเร็จ เพราะถือว่าเป็นรักแรกของเขาคนนั้น ผมโคตรนับถือคนที่มาจีบแม่ผมเลย ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าเพราะเป็นรุ่นน้อง แต่เขาก็ยอมรับในความเป็นแม่ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่แม่ผมแม้จะยังสวยอยู่แต่ก็ต่างจากเมื่อก่อนมาก ทั้งการแต่งกายและการพูด ( เคยได้ยินแม่บ่นให้ฟังบ่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม)

ผ่านไปหลายสิบนาทีหลังจากที่แม่โทรศัพท์มาตาม ผมกับไอ้ต้นน้ำรีบเค้นสมองออกแบบงานให้มันเสร็จๆ ไปก่อนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะอย่างไรเวลาขึ้นไปถึงมืออาจารย์ดอกเตอร์คนเก่งของคณะฯ ก็คงไม่แคล้วได้กลับมาแก้ยกหลังอยู่ดี
 
ผมรีบเก็บของอย่างลวกๆ ใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน พร้อมหันหน้าไปชวนไอ้ต้นน้ำมันกลับด้วย แต่สิ่งที่เห็นคือมันโบกมือลาและเผ่นหนีหายไปในชั่ววินาที

ผมสบถด่าใส่หลังของไอ้เพื่อนหลงเมียอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือไม่ เพียงอยากระบายอารมณ์ใส่อากาศและฝุ่นที่มันทิ้งไว้ก็เท่านั้น

‘ฉิบหาย!!’ ผมมองนาฬิกาพร้อมสบถเสียงดังลั่น เพราะมันถึงเวลานัดหมายของแม่แล้ว ผมไม่รอช้ารีบโกยแน่บออกจากอาคารเรียนเช่นกัน แสงไฟริมถนนในมหาวิทยาลัยเริ่มเรืองแสงแล้ว ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีเพื่อเข้าสู่ยามราตรี และผมที่พยายามไปให้ทันเวลานัดหมายด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ เพราะค่าขนมเดือนหน้ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากแม่ของผมไม่พอใจ มันอาจจะขาดหายได้รับไม่ครบได้

………………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 2) 12 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-11-2021 15:25:52
 :pig4:
 :sad4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 3) 22 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-11-2021 09:25:32

………………..

ไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายหรือโชคดีของผม ที่วิ่งออกจากอาคารเรียนได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจออย่าง ‘ไอ้คุณพี่นีโน่’

มันบอกว่าเห็นผมวิ่งหอบแฮ่ก มันก็เลยขับรถมาวิ่งขนาบถามอย่างสงสัยว่าผมจะรีบร้อนไปไหน?

ส่วนผมซึ่งไม่มีเวลาไปต่อล้อต่อความกับไอ้คนยียวนกวนประสาท ไม่คิดแม้แต่จะถามด้วยว่ามันมาทำอะไรแถวนี้

“จะรีบกลับบ้าน มีนัด!!” ผมตอบแบบขอไปที ส่วนสายตามองหารถรับจ้างแบบไหนก็ได้ที่เจอเร็วที่สุด

“บ้านอยู่แถวไหนล่ะ กูว่างเดี๋ยวขับไปส่งให้ ท่าทางมึงดูรีบ” อีกฝ่ายยิ้มกวนๆกลับมา ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดจนอยากวิ่งหนี แต่เจอข้อเสนอที่น่าสนใจเลยยังสับสนอยู่ในใจ

“ไม่เป็นไรเกรงใจ” ผมวิ่งต่อไปและเลิกสนใจคนที่ยิ้มอย่างกวนบาทาใส่หน้าผม

“ กูจะไปแถว XxxxX มึงจะไปกับกูไหมล่ะ ป่านนี้แล้วหารถยากนะ อย่างน้อยก็ไปต่อรถที่ไหนที่กูขับผ่านก็ได้” ไอ้รอยยิ้มกวนๆ นั่นมันยังประทับอยู่บนใบหน้าขาวๆ ของไอ้นักเลงไซส์เอส

“อืมมมมมม” ผมลังเล เพราะแถวนั้นมันบ้านผมเลยนี่หว่า สะดวกและรวดเร็วกว่าหารถเองแน่นอน ข้อเสนออันนี้ทำให้ต้องชั่งใจกับการนั่งรถไปกับอริพอควร

สุดท้ายผมก็ต้องยอมลดตัวมานั่งรถกับไอ้นักเลงน้าเด็กจนได้เพราะหลังจากวิ่งไปที่ป้ายรถก็พบว่ารถเที่ยวเวลานี้ได้ขับออกไปต่อหน้าต่อหน้า จะให้รออีก 20 นาทีน่าจะไม่ไหว ก่อนที่ไอ้พี่โน่มันจะเปลี่ยนใจผมเลยตัดสินใจยอมเรียกชื่อมันและขอเดินทางไปด้วย

ในขณะที่ผมเหงื่อไหล เสื้อผ้าเปียกปอนปานเดินฝ่าฝนที่ตกหนักมา ทั้งใบหน้า ทั้งเส้นผม ทั้งเสื้อต่างเปียกปอนไปด้วยเหงื่อที่ส่งกลิ่นวัยฮอร์โมนออกมาทั้งตัวรถคันหรูของผู้ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของจังหวัด รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้เบาะหนังสีแดงซับเหงื่อไปเต็มที่ และเบาะน่าจะเปียกไปหมด แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันดันเต็มใจให้ผมขึ้นมาเอง

สายตาอันเฉียบคมของคนขับมองเหล่มาทางผมหลายรอบ ริมฝีปากที่ขบกัดกันจนแสดงออกจากการนั่งมองอยู่ที่นั่งข้างคนขับรู้ได้ทันทีว่าไอ้พี่โน่น่าจะอึดอัดอยากจะต่อว่าผมแน่ๆ ที่มาทำเบาะรถราคาแพงของมันเปอะเหงื่อและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยคละคลุ้งในรถ

เฮ้ออออ

เสียงผ่อนลมหายใจของคนขับดังออกมาเป็นทางยาว เขาหยุดรถพลางยื่นมือมาทางผมส่วนผมที่ได้แต่ตระหนกจึงทำได้แค่ยกเข่าขึ้นและเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางหนึ่ง ลำตัวแนบกับประตูรถ

“ขวัญอ่อนนะมึง กูไม่ได้คิดต่ำๆ อย่างจะขืนใจมึงบนรถหรอกนะ” ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะท่าทางของผมพลางยื่นมือไปถึงลิ้นชักด้านหน้าผม และหยิบผ้าหนานุ่มผืนเล็กโยนให้ผม และยื่นมือไปปรับลมเครื่องปรับอากาศให้แรงขึ้น

“เอ๊ะ!!!” ผมอุทานสั้นๆและงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เช็ดเหงื่อซะ ถ้าขึ้นรถตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาเหนื่อยขนาดนี้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กก็หัดเชื่อฟังผู้ใหญ่บ้างเหอะว่ะ อายุขนาดกูนี่เป็นพ่อมึงได้เลยนะเว้ย!!”  อีกฝ่ายพูดขึ้นขณะเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวต่อไป

“ออ… ขอ…ขอบคุณ…ครับ” ผมไม่เคยเจอมันทำดีแบบนี้ใส่เลยก็เลยประหลาดใจจนเกือบช้อค

นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากเกาะช้าง นอกจากผมจะไม่เคยเห็นมันมาป้วนเปี้ยนแถว พี่จินไห่แฟนเพื่อนผมแล้ว มันก็เหมือนหายไปจากสารบบผมเลย แต่กลับกันผมกลับอยากให้มันมาป้วนเปี้ยนวุ่นวายเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันหลบหน้าผม หรือจริงๆ แล้วมันก็ปกติอยู่แล้วที่เราจะไม่เจอหน้ากัน เพราะเราสองคนต่างไม่ชอบหน้ากันเพราะความหลังในอดีต

ผมคิดอย่างใจลอยจนเผลอมองหน้าคนขับรถวัยกลางคนหน้าเด็ก และต้องรีบหลบตาเมื่อมันมองกลับมา ผมนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว อาการแบบนี้มันไม่ใช่ ใช่ไหม?

“หน้ากูเหมือนหน้าพ่อมึงรึไง?” นั่นไง มันปล่อยหมาใส่ผมอีกแล้ว

“…….” ผมมองค้อนมันกลับไปด้วยไร้คำพูดแต่ไม่อยากตอแยกับสารถี วันนี้ผมต้องพึ่งมัน คงต้องยอมลดลาวาศอกไปก่อน แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ผมเห็นมันยกมุมปากยิ้มกับท่าทางเกร็งๆ ของผม หลังจากนั้นผมก็พยายามแอบมองอีกครั้ง หน้ามันก็นิ่งและมีสมาธิกับการขับรถ สงสัยผมคงตาฝาด

หลังจากไอ้คนขับพยายามใจดีเอ่ยปากจะไปส่งผมถึงบ้าน และปฏิเสธคำปฏิเสธของผมนับไม่ถ้วน ผมรู้ว่าคนดื้อดึงิย่างมันคงไม่ยอมผมง่ายๆ สุดท้ายจึงต้องตกลงให้ไอ้นักเลงไปส่งผมจนได้ ผมจึงได้บอกทางคนขับรถที่ท่าทางจองหองอย่างละเอียด ไม่นานรถคันสปอร์ตคันหรูก็มาจอดที่หน้ารั่วบ้านผมอย่างทันเวลาฉิวเฉียด

“นี่…..บ้านมึง?” คนตัวเล็กเลื่อนกระจกรถเคลือบด้วยฟิล์มเซลามิกสีชาลงมาและพินิจบ้านเลขที่ตัวโตที่กำแพงรั่วสีขาวของบ้านผม

“ใช่! ทำไม? บ้านผมสวยละสิ?” ผมกวนประสาทกลับไปพร้อมยกมือขึ้นเพื่อปลดเปิดประตูรถ แต่มีเพียงเสียงที่ดังคลิก และประตูรถยังคงปิดสนิทอยู่

“………. เล็กกว่าที่คิด!”  คนตัวเล็กนิ่งไปพักใหญ่ก่อนตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่สมกับเป็นมันกลับมา

“ปลดล็อกประตูสิ!! แล้วผมจะลงยังไง ยิ่งรีบๆ อยู่!!” ผมคิ้วขมวดใส่กับอาการนิ่งๆ ของไอ้นักเลงไซส์เอส

ปิ๊ปๆๆๆ

นอกจากจะไม่ตอบแล้ว ไอ้คุณโน่มันยังกดไปที่พวงมาลัยรถ เสียงบีบแตรรถดังลั่น รถคันเล็กแต่มีเสียงที่ทรงพลังกว่าที่คิด

“เฮ้ย!! ทำอะไรน่ะ!!” ผมตกใจร้องเสียงหลง

ครืนนนนน

พักใหญ่เสียงประตูอัตโนมัติของบ้านผมก็เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ แล้วรถคันหรูก็ขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถบ้านผมอย่างเป็นระเบียบ

หลังจากลงมาจากรถได้ผมถึงขั้นโวยวายใส่มันว่าถือวิสาสะเข้ามาในบ้านคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไร  ถึงแม้จะแปลกใจว่าทำไมแม่ถึงเปิดประตูรีโมทให้มันเข้ามาแต่โดยดีก็ตาม

ไอ้นักเลงไซส์เอสนั่นมันไม่ตอบคำถามอะไรนอกจาก ยิ้มและจัดทรงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่ามันแต่งตัวดีกว่าปกติมาก

“เฮ้ย!! ถามก็ตอบสิวะ?” ผมเดินไปตรงหน้ามันด้วยความหงุดหงิดในใจจนล้นออกมาทางสีหน้า

“นี่มึงไม่คิดจะชวนแขกเข้าบ้าน?” มันตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“แขก!?!” ผมทวนคำอย่างประหลาดใจ

“Amazing!! ไม่นึกเลยว่าโน่จะมาตรงเวลานะเนี่ย?” เสียงของแม่ผมดังมาจากประตูหน้าบ้านทรงยุโรป

“ก็ วันนี้เป็นวันพิเศษนี่นะ” คนตัวเล็กตอบคำถามแม่ผมด้วยการมองข้ามศรีษะผมไป แล้วผมก็โดนเมินโดยสมบูรณ์แบบ และที่ช้อกไปกว่านั้นคือ แม่ผมดูสนิทสนมกับมันมาก

“แหม…..โน่ล่ะก็ ยังไม่ถึงเวลาจะมาดีใจอะไร ยังไงก็ต้องผ่านลูกก่อนนะ” แม่ผมยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
 ผมมองด้วยความรู้สึกสับสน

“อ้าวววว ไอซ์ มาแล้วก็ไม่ทักไม่ทายเลยนะ where’re your manner?!?”  แม่ที่เหมือนเพิ่งมองเห็นผมกล่าวทักพร้อมคิ้วขมวด ปฏิกิริยานี่มันต่างกันจังครับ ผมรีบกล่าวทักทายมารดาทันที

“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์ไปรับลูกชายให้” แม่ยิ้มไปทางคนตัวเล็กที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปใกล้

“อ้าว! ทำไมเหลือคนเดียวล่ะ ไอซ์! พี่ชายล่ะ?” หลังจากผมทราบว่าทำไมไอ้คุณพี่โน่ไปปรากฏกายที่มหาวิทยาลัยของผมได้อย่างไรแล้ว ผมก็ต้องอึ้งกับคำถามแม่อีก เพราะผมเองก็ไม่รู้ผมนึกว่ามันอยู่กับแม่เสียอีก ปกติมันเป็นคนที่ไม่เคยผิดนัดแม่เลยต่างจากผมมาก

“พอไปถึงก็เหลือไอ้เด็กดื้อนี่คนเดียวนะ” นีโน่ตอบกลับแม่ผม

“ตายจริง ไม่เป็นไร เดี๋ยวมนจัดการเอง ไหนๆ ก็ต้องรออยู่ดี”

“อยู่พร้อมหน้ากันดีกว่านะ จะได้คุยทีเดียว” นีโน่ยิ้มกว้างให้แม่ผม ส่วนแม่ผมก็มีอาการหน้าแดง

หรือว่า………. ผมละไว้ไม่กล้าคิดต่อ แต่มาถึงขึ้นนี้แล้วคงคิดได้อย่างเดียว……

ผมใช้โอกาสที่แม่กำลังกดโทรศัพท์เพื่อติดต่อพี่ชายฝาแฝดของผม รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องของตนเองเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อหมาดๆ และเริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ผมรีบทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 10 นาที ก่อนที่แม่จะเริ่มบ่นใส่อีกครั้งหลังจากวางหูแล้วไม่ผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอกินมื้อค่ำครั้งสำคัญด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 4) 29 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-11-2021 15:14:22

ผมเดินลงบันไดมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่สนทนากันอย่างสนุกสนาน ผมเดินมาถึงที่ห้องนั่งเล่นของตัวบ้านถึงได้เห็นความสนิทสนมกันอย่างมากทั้งสองฝ่าย ทั้งแม่และเพื่อนตัวเล็กของแม่นั่งใกล้กันจนจะเรียกได้ว่า ‘ซ้อน’ แม่เปิดเผยรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ผมไม่เคยเห็นมานานแล้วตั้งแต่ ‘แดดดี้’ ของผมยังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกวูบวาบเกิดขึ้นที่กลางอกไหลลงมาถึงช่วงท้อง จนกระทั้งผมต้องท่องไว้ว่านี่คือความสุขของแม่ ผมต้องเคารพการตัดสินใจของแม่

เสียงปีปแตรดังลั่นจากนอกรั่วของบ้าน ไม่ทันให้แม่เอ่ยปากขอ ผมจึงอาสาไปเปิดสวิตซ์ประตูอัตโนมัติให้เปิดออก ผมเดาจากท่าทางของแม่ออกว่าต้องการอะไร พลางสงสัยว่าแขกของแม่ไม่ได้มีคนเดียวหรือนี่?

รถคันหรูอีกหนึ่งคันถูกขับเข้ามาจอดในพื้นที่ๆ เหลืออยู่อย่างไม่ลังเล คนที่ลงมาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนผมยังกับส่องกระจก ยกเว้นไฝที่ติ่งหูของมัน

“มากับใครวะ?” ผมถามพลางสำรวจรถหรูป้ายแดง

“กูก็ไม่รู้ แม่บอกให้มากับเขาด้วย” พี่ชายฝาแฝดก็ทำหน้าประหลาดใจเช่นกันที่เห็นรถหรูอีกคันจอดอยู่ในรั่วบ้าน พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถาม ด้วยความเป็นพี่น้องกัน ผมจึงตอบกลับไปด้วยการส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจ และขยับหน้าสื่อว่าให้ไปดูข้างในเองก็จะเข้าใจ

“โอโห…. เห็นว่าฝาแฝดจะสื่อใจถึงกันได้น่าจะจริงนะ ทำท่าเหมือนพูดกันด้วยกระแสจิตเลย” ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมพูดด้วยใบหน้าร่าเริงและตื่นเต้น

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” พี่ชายผม เฟรมตอบอย่างสุภาพ

“อ้าวเหรอ!?! เออ… น้าลืมแนะนำตัวเลย น้าชื่อโต้งนะ เป็น…เอ่อ…. เพื่อนเก่าแม่พวกเธอเอง” คนที่เพิ่งแนะนำตัวยิ้มและยื่นมือมาทักทายแบบชาวตะวันตก

พี่น้องมองหน้ากันและไหว้ตอบกลับไปอย่างไทย อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะแห้งๆ และพูดแก้ตัวประมาณว่าเคยชิน เวลาหน้าแบบคนตะวันตกเหมือนพวกเขาทั้งสองก็จะเผลอตัวทักทายแบบนี้ไม่ได้

หลังจากแนะนำตัวแบบไม่เป็นทางการแล้วพวกผมพี่น้องพาแขกอีกคนเข้ามาในตัวบ้าน แม่ของผมที่มีสีหน้าสดใสกว่าทุกวันจัดการเชิญแขกทั้งสองไปที่โต๊ะอาหารที่จัดเตรียมมื้อเย็นแบบชาวตะวันตกซึ่งจัดตกแต่งอย่างปราณีต ผมซึ่งไม่เคยเห็นแม่เข้าครัวทำมื้อเย็นมานานถึงกับอ้าปากค้าง บรรยากาศเก่าๆ สมัยที่แดดดี้ยังมีชีวิตอยู่หวนกลับคืนมา

แขกทั้งสองของแม่ผมก็มีสีหน้าที่ทึ่งกับอาหารตรงหน้าไม่น้อยพลางส่งเสียงชื่นชมออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน

“ว้าว! ไม่นึกว่าสาวห้าวอย่างเธอจะเป็นแม่ศรีเรือนได้!?!” คนตัวเล็กกล่าวตัดหน้าคนตัวท้วม

“จริงด้วย ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าทำอาหารเป็น” คนตัวท้วมเสริม

“ความรักน่ะนะ มันทำให้คนเปลี่ยนได้ทุกอย่างแหละ อีกอย่างอยู่ต่างประเทศน่ะ ทำอาหารทานเองมันประหยัดกว่านี่นา แล้วนี่ก็อาหารทั่วๆไปเอง” คนเป็นแม่ที่พูดไปยิ้มไปเปี่ยมไปด้วยรังสีความสุขแผ่ออกมา

‘บ้ายอแหละรู้สึกได้ผมคิด’ ผมคิดจบก็พบว่าแม่ผมหัดมามองตาขวางเหมือนรู้ว่าผมแอบนินทาในใจ สงสัยผมกรอกตาชัดไปหน่อย

ผมเลยแก้ขัดโดยการมองไปทั่วโต๊ะอาหารและกล่าวชมแม่เสียงดังทันที จนกระทั้งแม่เลิกแผ่รังสีอำมหิตมาทางผม ผมจึงได้หายใจได้ทั่วท้อง

ในระหว่างมื้ออาหาร แขกทั้งสองคนต่างชื่นชมรสชาติฝีมืออาหารของคุณแม่ของผมอย่างไม่ขาดปาก จนถึงขั้นไอ้นักเลงโตไซส์เอสถึงขั้นขอสูตรไปเพื่อสร้างเมนูใหม่ที่ร้าน ซึ่งก็แน่นอนที่แม่ผมจะไม่ให้!

ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสาม กำลังสนุกสนานกับการกินมื้อค่ำฉันท์เพื่อนที่ระลึกถึงความหลัง เรื่องแล้วเรื่องเล่า จนทำให้ผมรู้ว่าทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย ก่อนที่แม่ผมจะได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่อเมริกา และไปตั้งรกรากมีครอบครัวที่นั่น ผมและพี่ชายต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าการที่แม่เอาพวกเรามานั่งร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ทั้งสองนี้คืออะไร แล้วคนไหนล่ะที่เป็นคู่หมั้นของแม่พวกเราตามที่แม่บอกไว้

“ทำไมตอนนั้น โน่ถึงไม่ขอเราเป็นแฟน หากมาขอกัน เราอาจจะไม่ไปก็ได้นะ” เสียงของแม่ผมดังขึ้น เป็นประโยคเดียวที่ผมดันตั้งใจฟังที่สุดในบทสนทนาฉันท์เพื่อน

“มันอนาคตเธอไหม อยู่กับเรามันจะไปมีอนาคตอะไร?” นีโน่ยกแก้วไวน์สีแดงก่ำขึ้นซดจนหมด

“ตอนนั้นเราก็หวังนะว่านายจะทำ” แม่ผมตอบด้วยสายตาแวววาวและจ้องไปที่คนตัวเล็กอย่างคาดคั้น

ในระหว่างที่คนตัวเล็กนิ่งเงียบไป ผมซึ่งเหมือนอยู่ในห้วงเวลาที่เดินหนืดช้าเหมือนเต่าเดินจมลงในปลัก กลับมีความรู้สึกเสียววูบวาบไปทั้งทรวงอก เหมือนกำลังคาดหวังกับคำตอบของคนตรงหน้า

“เธอพูดเล่นอะไรเนี่ย? ฉันรู้นะว่าคนที่เธอแอบชอบน่ะเป็นใคร ก็ไอ้โต้งนี่ไง ฉันรู้นะว่าที่เธอตัดสินใจหนีไปต่างประเทศจนแทบจะไม่ลาพวกเราเพราะไอ้โต้งมันมีแฟนเป็นสิบ แต่ไม่เคยสนใจเธอเลย!” คนตัวเล็กพูดอย่างรู้ทันและยกยิ้มมุมปากมองอย่างได้ชัยในเกมประลองฝีปากนี่

“เกลียดจริง รู้ทัน!!” แม่ของผมผ่อนหายใจก่อนจะตอบ
ส่วนคนที่ถูกพูดถึงได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่พูดอะไร นอกจากหน้าแดงก่ำไปด้วยพิษไวน์ร้อนแรงราคาเหยียบหมื่น

“เออ! ว่าแต่ ไม่คิดจะบอกอะไรลูกชายเธอหน่อยหรือ พวกนั้นนั่งงจนกินอะไรไม่ลงแล้ว!!” คนตัวเล็กมาทางจานของสองพี่น้องที่แทบไม่พร่องเลยเพราะยังสงสัยถึงจุดประสงค์ของการทานอาหารมื้อนี้ร่วมกัน

แม่ผมทำท่าทางเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เหมือนเธอลืมจุดประสงค์ของวันนี้ไปเสียเฉยๆ เมื่อไวน์ดีๆ เข้าปาก และการสนทนาดีๆ กับคนถูกคอ

“เด็ก ๆ ความจริงแม่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตอะไรลูก ๆ เลย แต่ในเมื่ออนาคตที่พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ราบรื่นมีความสุข การที่แม่จะบอกกับพวกเราก่อนก็เป็รเรื่องจำเป็น” แม่พูดจบก็หันไปยิ้มกับชายสองคนที่นั่งขนาบข้างของเธอ ยกมือทั้งสองขึ้นกุมมือข้างหนึ่งของแต่ละคนอย่างแผ่วเบา พลางขยำช้าๆ อย่างวุ่นวายใจ แม่ยังคงทิ้งให้อากาศแห่งความงุนงงสงสัยอบอวลเต็มห้องรับประทานอาหารสีเอิร์ธโทน

อาการที่แม่มองชายทั้งสองสลับไปมาด้วยความว้าวุ่นใจมันชวนให้คิดไปร้อยแปดประการ ความเป็นไปได้หลายหลายอย่างผุดขึ้นมาในใจผมจนผมแทบคลั่ง แต่ก็ต้องสะกดมันเอาไว้

หากเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ผมอาจจะได้พ่อเลี้ยงทีเดียวสองคน มันออกจะหลุดโลกไปหน่อย แต่สมัยนี้อะไรมันก็เป็นไปได้เหมือนในข่าวที่นำเสนอตามโซเชี่ยลมีเดีย ผมกำหมัดแน่น ในใจกลับรู้สึกเสียดร้าวรานไปหมดขณะมองหน้าไอ้คนตัวเล็กที่เริ่มใช้มืออีกหนึ่งฝั่งที่ว่างยกขึ้นมาเกาะกุมมือของแม่ผม

ผมว่าช่วงเวลานี้มันเหมือนจะสั้น แต่กับผมแล้วมันกลับยึดยาวออกไปจนมองภาพทุกอย่างเหมือนเคลื่อนไหวช้าลง ผมเกลียดไอ้ความรู้สึกแบบนี้จัง และรู้สึกความอดกลั้นผมจะหมดก่อนที่แม่จะเอ่ยปากพูดเล็กน้อย อาจเพราะผมไม่อยากได้ยินสิ่งที่ตรงกับสิ่งที่คิดไว้

“ไม่เอา!!”  ผมพูดเสียงดังอย่างเอาแต่ใจ

ทุกคนในห้องเงียบและมองผมเป็นตาเดียว

“ผมรับไม่ได้!!” ผมกวาดสายตาไปทางคนตัวเล็กที่มองผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท

“ก็คิดอยู่ว่ารสนิยมคุณน่ะมันแปลกๆ  แต่แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอวะ!” ผมรีบหันไปพูดกับคนตัวเล็กเพราะกลัวว่าแม่จะเอ่ยห้ามเสียก่อน

“หนึ่งหญิง สองชาย ถึงผมจะรักแม่ แต่แบบนี้มันเกินไปไหมครับ?!?” ผมมองแม่พร้อมน้ำในตาที่ไหลลงมาหนึ่งหยดแบบไม่ตั้งใจ ผมสับสนไปหมดไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นหน้าไอ้คนตัวเล็กที่ยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ผมยิ่งรู้สึกเหมือนมีข้อเหลวร้อนไหลปรี๊ดขึ้นทะลุก้านสมอง

“ใจเย็นก่อน แม่แค่….” แม่ลุกขึ้นยืนปรามผม ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

ผมไม่ฟังอะไรผมลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องรับประทานอาหารทันที

“เฮ้ย!! เดี๋ยว!! มึงควรจะฟังแม่มึงให้ดีๆ ก่อนนะ!!” นักเลงตัวเล็กแสดงพลังเสียที่ทรงอำนาจจนทำให้ผมชะงักฝีเท้าลงชั่วหนึ่ง

“ฉันไม่น่าใช้วิธีนี้เลย ลูกคงมองฉันไม่ดีแล้ว” ผมหันไปมองตามเสียงของมารดาตนเอง และเห็นแม่ฟุบลงไปอิงกับชายร่างท่วม ในขณะที่ที่มือยังจับมือของคนตัวเล็กอยู่

ผมไม่ต้องการเห็นอะไรอีกแล้ว ผมเดินสุดฝีเท้าก้าวออกไปนอกบ้านทันที

ทันทีที่ก้าวออกจากบ้าน ยังไม่ทันพ้นสวนหน้าบ้านตนเอง ในใจก็เริ่มสงบลงบ้าง พร้อมทบทวนสิ่งที่ตนเองทำ ลมเย็นแผ่วพัดกระทบใบหน้าและทิวทัศน์ของบ้านหลังใหญ่ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของผู้เป็นมารดา ฝีเท้าผมหยุดลงและได้คิด

ความงี่เง่าแบบนั้นที่ไม่เคยทำมาก่อนทำให้ผมตอนนี้หน้าชาไปหมด ผมทำให้แม่เสียใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเสียใจมากเช่นกัน ผมควรจะฟังแม่ให้จบ ผมควรจะเข้าใจแม่ที่สุด แม่ที่เสียสละทุกความสุขเพื่อเลี้ยงพวกเขามาอย่างดีที่สุดโดยลำพังแบบนี้

“เฮ้ย!! ไอ้ลูกเนรคุณ มึงควรจะสนับสนุนความสุขของแม่มึงเองนะ ไม่ใช่ทำนิสัยเชี้ยๆ แบบนี้!!” เสียงของผู้ใหญ่ตัวเล็ก ผู้ที่จะเป็นหนึ่งในคนรักของแม่ตามความเข้าใจของผมดังมาจากทิศทางหนึ่งด้านหลัง

ผมนิ่งและเดินออกห่างจากต้นเสียงที่รู้สึกว่าอยู่ไม่ไกลแม้จะไม่หันไปมองก็ตาม

“เฮ้ย! ผู้ใหญ่กำลังพูดด้วย อย่าทำนิสัยเชี้ยๆ แล้วเดินหนีสิวะ!!” คนตัวเล็กสามารถคว้าแขนผมให้หยุดฝีเท้าลงได้ทัน

“โถ่….โว้ย!! มึงจะไปเข้าใจอะไร!!” ใจที่เย็นสงบลงเมื่อครู่ของผมมันกลับโหมขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายโดนตัว

“ใจเย็นไอ้สัด!!” เสียงของไอ้เตี้ยนักเลงโตดังขึ้นพร้อมกับเสียงหมัดแหวกอากาศเข้าปะทะกับสันกรามของผม เสียงดังเปรี๊ยะ และวิ้ง… ดังไปทั่วโสตของผม ผมหวืดล้มลงด้วยเพราะพยายามจะหลบการปะทะต้านกับหมัดโดยการปล่อยตัวเองไปตามทิศทางเดียวกับหมัดที่พุ่งตรงมา แม้จะหลบไม่พ้น แต่หน้าผมก็คงไม่เจ็บช้ำมาก

แขนที่อีกฝ่ายยังดึงรั้งไว้ยังถูกอีกฝ่ายเกาะกุมอยู่ ทำให้ศรีษะผมไม่ได้กระแทกพื้นรุนแรงแต่ก็อยู่ในท่าที่ทำให้แขนบิดไปในทางที่ทำให้ผมร้องเสียงดังได้

เหมือนอีกฝ่ายจะตกใจมากจึงรีบปล่อยมือทำให้ร่างผมหล่นลงกระแทกพื้นดังพั่บ

“หุบปากแล้วฟังกู!!” ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากด่าไอ้ผู้ใหญ่ส่วนสูงเท่าหัวไหล่ ก็ถูกอีกฝ่ายตวาดเสียก่อน

ผมนิ่งไปพักใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดจนหน้ายู่ยี่ไปหมด ท่าทางก็เป็นคนที่ไม่ได้พูดบรรยายเก่งเหมือนกับแม่ผม

“มีอะไรคุณพ่อเลี้ยง!!” ผมเอ่ยขึ้นสั้นๆ แผ่วเบา ความรู้สึกภายในช่องท้องมันปั่นป่วนไปหมด เกลียดไอ้ความรู้สึกแบบนี้ฉิบหาย

“เฮ้อ….. กูกะแล้วว่ามึงต้องเข้าใจแบบนี้ ก็แม่ตัวดีของมึงก็ชอบแกล้งลูกเสียเหลือเกิน ไอ้นิสัยแบบนี้มันคงส่งต่อเป็นกรรมพันธุ์” คนที่ยืนค้ำเขาอยู่พูดพลางผ่อนลมหายใจ

“หมาย….หมายความว่าอย่างไร?” ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งและจ้องไปในแววตาอีกฝ่าย พลางลูบหน้าส่วนที่ชาและเริ่มรับความรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ

“เรื่องมันยาว” คนตัวเล็กทำสีหน้าลำบากใจ

“ก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน มีเวลา” ผมทำตัวดื้อใส่ และลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยิ่งทำให้เห็นว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าอย่างไรชัดขึ้น

“แม่ลูก เหมือนกันฉิบหาย…” นีโน่บ่นงึมงำ ทำให้เขามีอาการเหมือนเด็กวัยรุ่นที่โดนเพื่อนเซ้าซี้ให้เล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง

ในที่สุดตาลุงนีโน่ ก็ยอมเล่าให้ฟังแบบย่อๆ ใจความไม่มีอะไรมาก แม่ของผมบังเอิญได้กลับมาทำธุรกิจร่วมกับลุงโต้ง อดีตคนที่เคยแอบหลงรักเมื่ออดีต ยิ่งทำงานใกล้ชิดกัน ความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมา ยิ่งพอได้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งโสด ยิ่งร้อนใจ จนกระทั่งได้มาเจอกับตาลุงตัวเล็ก นีโน่โดยบังเอิญ ทำให้แก๊งสามคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

แน่นอนในช่วงแรกแม่ผมรู้ดีว่านีโน่เคยแอบรักตัวเองมาก่อนก็เลยพยายามเลี่ยงๆ การคบค้ามาตลอดเพราะใจมันฝืนกันไม่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแสนดีแค่ไหน ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

เพื่อความไม่อึดอัด แม่ผมเลยนัดคุยกับตาลุงตัวเล็กคนเล่าเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนคนเล่าก็เล่าไปหัวเราะไปเพราะความจริง นีโน่เองก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพียงแต่ติดนิสัยตามใจเพื่อนผู้หญิงคนนี้เท่านั้นเอง แม้จะยอมรับว่ามีหวั่นไหวบ้างแต่ก็ไม่อยากฝืนใจใคร (จ้า พ่อคนเลือกได้ ผมแอบคิดในใจ)

หลังจากได้เปิดใจกันระหว่างแม่ของผมกับตาลุงตัวเล็ก ก็ทำให้รู้ว่า ความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลุงโต้งยังคงเหมือนเดิม สุดท้ายเลยหลายเป็นว่า นีโน่เลยช่วยในแผนการแกล้งจีบของแม่ ทำให้ลุงโต้งฮึดขึ้นมา ยอมเปิดใจว่ารักชอบแม่เช่นกัน แต่เพื่อให้แน่ใจว่า ลุงโต้งจะเลิกเจ้าชู้ นีโน่จึงจัดแจงวางแผนดูเชิงโดยการให้มีการแข่งกันจีบแม่ของผมใหม่อีกครั้ง และวันนี้คือวันที่แม่ตัดสินใจ

ความจริงคือ คนเล่าเรื่องรู้ แม่ผมรู้ แต่แค่อยากจะแกล้งลุงโต้ง และลูกๆ อย่างพวกผมเท่านั้นเอง แม่ผมตัดสินใจเลือกลุงโต้งมาตั้งแต่เริ่มแล้วต่างหาก

“นี่ลุงก็แอบหวังลึกๆ อยู่เหมือนกันดิใช่ไหม?” ผมพูดแทรกขึ้นหลังจากอีกฝ่ายเล่าจบ จากการวิเคราะห์จากน้ำเสียงและสีหน้าการเล่า

“หึ! ก็ยอมรับนะว่ามีบ้าง รักแรก มันก็หวั่นไหวกันบ้าง กูบอกเลยว่าช่วงแผนการกูรุกจีบแบบจริงจังเลย แต่อย่างว่านะ….” คนตัวเล็กพูดเสียงเอื่อยและเสียงก็ได้หายที่ท้ายประโยคพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไป

ผมเองยอมรับเลยว่าสับสนกับภาพตรงหน้ามาก

การได้เห็นมุมอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบแปลกๆ เหมือนกัน หัวใจผมมันเต้นโครมคราม ความร้อนแฝงในร่างกายมันค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นจนใบหน้าร้อนไปหมด

“หายบ้าหรือยัง?” คนตัวเล็กหันมายิ้มในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ผมชะงักตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความประทับใจ

ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนผมหลงไหลศัตรูหัวใจคนแรกของตนเองอย่างนั้นหรือ?

“เออ!” ผมตอบห้วนๆ เพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง และหันหลังเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่มองคนที่เดินตามหลังเขามา

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 4) 29 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: กัณฐ์ตังค์ ที่ 01-12-2021 04:16:06
อะไรอ่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย จะจบเเล้ว เหมือนความสัมพันธ์ดำเนินมาเเค่10%เอง สมุทรเพิ่งเปิดใจเอง จะจบเเล้ว
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 4) 29 พ.ย. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-12-2021 13:07:13
อะไรอ่ะ ยังไม่รู้เรื่องเลย จะจบเเล้ว เหมือนความสัมพันธ์ดำเนินมาเเค่10%เอง สมุทรเพิ่งเปิดใจเอง จะจบเเล้ว

ผมเขียนสั้นไปเหรอครับ 5555
เดี๋ยวรออ่านต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 5) 8 ธ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-12-2021 10:25:06

ผมนั่งถอนหายใจอยู่หน้าห้องระหว่างรอเข้าคาบเรียนตอนเช้า จนทำให้เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“มึงยังคิดมากอยู่อีกเหรอ?” พี่ชายฝาแฝดของผมเอ่ยถาม

“อืม…..” ผมตอบกลับไปแบบผ่านๆ

“แม่ก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่มึงเสียมารยาทเมื่อวานไม่ใช่เรอะ? มึงจะคิดมากอะไร ดูท่าทางแม่จะบันเทิงอยู่ไม่น้อยนะ เพราะหลังจากที่พวกเราเดินขึ้นห้องนอน พวกแม่ก็หัวเราะเรื่องนี้กันดังลั่น!!” เฟรมพยายามปลอบผมในแบบของมัน ซึ่งเรื่องนั่นผมน่ะทำใจได้แล้วเรื่องที่โดนแกล้ง แต่ก็ต้องขอกลบเกลื่อนไปก่อน เพราะตอนนี้มันมีเรื่องที่ผมหนักใจกว่านั่นอยู่

เรื่องก็คือ…. ดันไปตกหลุมรักศัตรูเก่าของตนเอง เรื่องที่สมัยแย่งกันจีบพี่กวีสุดน่ารัก ก็ยังจำได้ดีว่าทำกับผมไว้แสบแค่ไหน  ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาระหว่างผมกับเขาคนนั้นก็ไม่เคยญาติดีด้วยสักครั้ง และที่สำคัญคนๆ นี้ เคยตกหลงรักแม่ของผมเองอีก ยิ่งคิดยิ่งซับซ้อน จนแทบจะคิดหาทางออกไม่ได้

ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรหากพี่โน่จะแก่คราวพ่อ (แต่หน้าตายังเด็กกว่าอายุมาก) แต่ดันเป็นเพื่อนสนิทแม่นี่สิ และยิ่งได้รู้ความรู้สึกที่เขามีต่อแม่ของผม ผมก็รู้สึกพ่ายแพ้และสับสน

ทั้งคาบเช้าจนถึงเที่ยง ผมแทบจะไม่ได้เรียนเอาอะไรเข้าหัวเลย มันมีแต่ความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งผมอธิบายไม่ถูก แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้ต้นน้ำและไอ้ต้นกล้า จะกวนบาทาผมอย่างหนักก็ยังทำให้ผลหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย

“เออ!! มึงเย็นที่แม่นัดไปวัดชุดน่ะ มึงไปกับอาโต้งก่อนนะ กูมีธุระเดี๋ยวกูตามไป” ไอ้เฟรมพูดขึ้นช่วงพักกินข้าวเที่ยง

“หะ…!! หา!?! อะไรนะ?” อยู่ๆ ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมสนใจสงสัยขึ้นมาจากปากพี่ชายฝาแฝด

“อ้าว! ไอ้สัด สมควรที่โดนแม่ด่าตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นอะไรไปวะ ช่วงนี้ หรือมึงจะไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่จริงๆดูมึงใจลอยๆ ตลอดเลย!!” ไอ้เฟรมนิ่วหน้าหันมามองหน้าผมอย่างหาเรื่อง

“ไม่!! ไม่ใช่อย่างนั้น กูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องแม่หรอก” ผมแก้ตัว ที่จริงก็มีส่วนจริงอยู่กึ่งหนึ่งล่ะ แต่ไม่เล่าให้ไอ้พี่ชายฟังดีกว่า มันคงไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่เรื่องของแม่ก็แล้วไป ! แล้วเอาไงเรื่องที่ไปลองชุดน่ะ มึงไปก่อนนะ!!”

“แล้วมึงจะไปไหน? ทำไมไม่ไปกับกู แล้วต้องตัดชุดอะไรวะ!?!”

“อ้าว! สัด! นั่นไง ชุดที่จะไปงานแต่งงานแม่มึงไง!!”

“ก็แม่มึงเหมือนกันไหม!! สัด!!”  พี่น้องที่พูดกันแบบนี้ประจำจนเพื่อนๆ ในคณะฯ เห็นจนชินตา


หลังจากเรียนครบจบทุกคาบ ผมก็มานั่งเบื่อๆ คนเดียวที่พื้นที่เอนกประสงค์ใต้อาคารเรียนรวม ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของกลุ่มผม แต่ตอนนี้จะเรียกว่ากลุ่มคงไม่ได้เพราะผมนั่งอยู่คนเดียว

ไอ้ต้นน้ำติดเมีย เลิกเรียนก็หายหัวไปเลย
ไอ้พี่ชายเฮงซวยก็หายศรีษะไปกับไอ้เพื่อนปากหมาอีกคนหนึ่ง ก็คือไอ้ต้นกล้า 

น่าสงสัยบอกได้คำเดียว ใกล้จะสอบปิดภาคเรียนแล้ว พวกมันทำไมทำตัวตามสบายขนาดนี้วะ เดี๋ยวพอใกล้สอบพวกมันก็จะมาขอร้องผมให้ช่วยติวให้เหมือนเดิม เป็นอย่างนี้มาเกือบสามปีแล้ว

ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจไปกับเรื่องเพื่อนๆ ในกลุ่มแต่ละคน การที่คนหน้าตาดีอย่างผมมาอยู่คนเดียวในสถานที่สิงสถิตเป็นประจำของกลุ่มผมแบบนี้ ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาไม่น้อย และแน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่ยังแยกผมกับไอ้เฟรมไม่ออก สาวๆ หนุ่มๆ เลยทำได้แต่เดินผ่านและยิ้มให้เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายผมดีไหม กลัวหน้าแหก

โดยเฉพาะสาวๆ เพราะผมมักจะบอกกับสาวๆ ที่มาวอแวกับผมเป็นประจำว่า ผมไม่สนใจผู้หญิงนะครับ ผู้ชายหน้าสวยๆ เท่านั้นที่เป็นสเปก ต่างจากพี่ชายผมที่สนิทกับผู้หญิงทุกคนแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะให้เบอร์หรือ ไลน์ไอดีกับใคร เพราะแฟนมันโคตรดุ สาวๆก็เลยดูมีความหวังกับไอ้เฟรมมากกว่า (รูปหล่อกัปตันทีมบาส)

ผมมองนาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะมันเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอนาคตพ่อเลี้ยงของตนเองจะมารับเสียที ปกติผมเป็นโรครออะไรนานๆ ไม่เป็น เลยยิ่งหงุดหงิดกับการอยู่เงียบๆ คนเดียวแบบนี้

หลังจากคิดคำด่าหยาบคายในหัวสักสิบประโยคกับอนาคตครอบครัวตัวเอง ผมจึงตัดสินใจจะกลับไปรอที่บ้าน เพื่อให้แม่ด่าไอ้คุณอาโต้งที่ผิดเวลาขนาดนี้ นี่หากเป็นผมผิดนัดกับแม่นะคงโดนดึงหูขาดไปแล้ว

“เฮ้ย!! ทำไมเหลือคนเดียว?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ

“พี่โน่ อ้าว!! มาทำอะไรแถวนี้!!” ผมเอ่ยทักคนรูปร่างเล็กที่มีเหงื่อพรายผุดขึ้นเต็มใบหน้าขาวๆ นั่น

“มึงอย่าเพิ่งถาม!! รีบตามกูมา!!” คนตัวเล็กเดินมาจับข้อมือผมให้ลุกขึ้น

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ! ไปไหน?” ผมยื้อแขนข้างนั้นและถามต่อ

“ก็มารับมึงไปวัดชุดงานแต่งแทนพ่อมึงไง!!” อีกฝ่ายยื้อแรงขึ้นจนผมต้องลุกก้าวตาม

“พ่อเลี้ยง!!” ผมสวนเพื่อให้อีกฝ่ายใช้คำให้ถูกต้อง

“จะพ่อเลี้ยงหรืออะไรก็ช่าง!! แต่กูต้องมารับมึงแทนมันเนี่ย!! ไอ้สัด จะแต่งงานกับแม่แต่กลับลืมลูกเขาเนี่ยนะ ก็ต้องเป็นกูสิเนี่ยต้องมาตามเก็บตามเช็ดให้ทุกครั้ง!!” พี่โน่เดินลากผมไปบ่นไป

ผมเห็นอีกฝ่ายดูเดือนดาลก็ปฎิบัติตามอย่างว่าง่าย เพราะใครๆ ก็รู้ว่า แม่ผมไม่ชอบการผิดแผน การที่อาโต้งลืมที่จะมารับผมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แม่ผมคงไม่ยอมจบง่ายๆ

แต่อาการกลัวเกรงแม่ผมของอาโต้งแบบนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าอาโต้งก็รักแม่ผมไม่น้อยเช่นกัน

พี่โน่ปล่อยมือผมตรงที่เขาจอดรถสปอร์ตคันงามราคาหลายล้าน พร้อมพยักหน้าเป็นเป็นคำสั่งให้ขึ้นรถ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นรถกันแต่สองคน แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นของผมก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบเก็บอาการไม่ค่อยจะอยู่

แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำแต่เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าอีกฝ่ายต่างก็ผุดออกมาไม่ขาด มันไหลลู่ลงตามรูปหน้าที่เล็กได้รูปจนกระทั้งผมทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ไหว จัดการหยิบกระดาษเช็ดหน้าบนรถซับหน้าให้ระหว่างที่อีกฝ่ายขับรถ

“ทำไมไม่เช็ดให้เรียบร้อย เดี๋ยวก็เข้าตากันพอดี!!” เหงื่อเค็มๆ เข้าตาน่าจะแสบ และมันก็ขับนถเร็วเสียเหลือเกิน

“เดี๋ยวเหงื่อเข้าตาก็แสบจนมองทางไม่ได้หรอก ผมยังไม่อยากตายนะ!!” ผมเสริมแก้เขินขณะค่อยๆ ใช้กระดาษเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาไปตามรูปหน้าและเหนือคิ้ว

“ก็รออยู่ ว่าเมื่อไหร่จะเช็ดให้” คนขับรถตอบเสียงเรียบ

“เช็ดเองก็ได้นี่เห็นขับรถมือเดียวออกจะบ่อย!!”

“ก็อยากให้เช็ดให้”

อยู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายรุกมากแบบนี้ทำให้ผมถึงกับทำตัวไม่ถูกรีบเก็บไม้เก็บมือนั่งนิ่งเรียบร้อยตลอดทาง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มองแต่ทำไมผมถึงรู้ว่า ไอ้เตี้ยนั่นมันอมยิ้มอยู่ก็ไม่รู้

ในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที ผมพึมพำในใจเมื่อเห็นอาคารร้าน เวดดิ้ง เพลเนอร์ชื่อดังในจังหวัด หลังจากรถจอดสนิท ผมกล่าวคำขอบคุณและก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มองคนที่ขับมาส่ง

ขณะที่กำลังรีบเร่งเข้าประตูร้านที่ตกแต่งด้วยกระจกสไตล์โบสถ์ยุคกลางของทางยุโรป ที่ปลายสายตาผมก็ไปกระทบกับชายร่างท่วมที่วิ่งมาจากลานจอดรถอีกฝั่งของอาคาร

“เซฟ!!” ชายร่างท้วมวิ่งกระหืดกระหอบมาแตะประตูร้านพร้อมพูดเหมือนกีฬาเบสบอล

“อ่า…..ครับ” ผมมองคนที่เหงื่อท่วมร่างจนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ใส่ลู่เปียกติดลำตัว พร้อมเอ่ยทักเป็นเชิงคำถาม

“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ…..เอ่อ… ไอซ์ใช่ไหม?” ลุงโต้งพูดไปหอบไป แต่ก็สร้างความประทับใจให้ผมได้ดีทีเดียว เพราะน้อยคนนะที่จะจำแนกพวกผมได้ หากไม่สนิทกัน

“ใช่ครับ! ผมเข้าใจครับ รีบเข้าไปกันเถอะครับ ป่านนี้แม่ผมคงนั่งเคาะนาฬิกาข้อมือจนกระจกพังแล้วครับ” ผมรีบชวนอีกฝ่ายทันทีที่ผมเหลืบไปมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง

“เห็นภาพเลย” อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ เห็นด้วย

เป็นไปตามคาด แม่ผมนั่งหน้านิ่วในชุดเดรสสีขาวเกาะอก ผ้าลายลูกไม้ที่ประดับไปด้วยลูกปัดนับไม่ถ้วนที่ส่องประกายระยิบระยับ ช่วยส่งเสริมให้คนที่สวมใส่เหมือนนางฟ้าที่ร่วงลงมาจากสวรรค์ แต่ใบหน้าที่แสดงอยู่ของนางฟ้ากลับทำให้รู้สึกว่านรกอยู่แค่เอื้อม

“ที่รัก ยางรถผมมันระเบิดน่ะ กว่าจะหาที่เปลี่ยนได้แทบแย่” ลุงโต้งที่มีไหวพริบดีรีบแก้ตัว ในขณะที่ผมนั่น ยอมรับบทลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสายแค่สิบนาทีแต่แม่ผมผู้รักษาเวลายิ่งกว่าผู้ใดนั้น มันเหมือนจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้

ผิดคาด …. แม่ผมกลับเปลี่ยนใบหน้าที่บึ้งบูด กลายเป็นรอยยิ้มพร้อมทั้งโผเข้ามากอดลุงตัวอวบได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อ 

หากเป็นผมที่เดินเข้ามาคนเดียวคงกลายเป็นศพกองอยู่หน้าร้านไปแล้ว เห็นสวยๆ แบบนี้ ความโหดไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ผมรู้ซึ่งดี เพราะการลงโทษของแม่ ไม่ได้มีแค่การลงมือหนัก แต่ยังบทลงโทษอื่นๆ ที่คิดว่าโดนไม้เรียวฟาดให้มันจบๆ น่าจะดีกว่า

“แม่ครับ ผมว่า…. มัน….” ลูกชายอีกคนที่เรียบร้อยกว่าผม เดินออกมาพร้อมกับการแต่งกายที่คนทั่วไปคงไม่ใส่

“หล่อมากเลยจ๊ะ” แม่ผมโผจากคนตัวท้วมไปพินิจพี่ชายผมในระยะประชิด พี่ชายผมที่อยู่ชุดทักซิโด แบบในสมัยก่อตั้งอาณานิคมยุโรป เสื้อตัวนอกมีชายเสื้อทางด้านหลังเป็นหางแหลมชี้ลงพื้นยาวจนเลยหัวเข่า หมวกทรงสูงสีดำเงาวาว ถูกชี้นิ้วสั่งให้หมุนตัวไปมา ผมมองไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่น อย่าบอกนะว่าต้องแต่งแบบนี้ นี่มันธีมอะไรวะ?!?

“เหมาะดีนะ” เสียงปนหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปก็พบพี่โน่เดินเข้ามายิ้มร่าเริงปนหัวเราะ

“ไม่ต้องหัวเราะ เธอก็ต้องแต่งตัวแบบนี้!!” แม่ผมหันมาทางผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มเพชรฆาต ทำให้คนมาใหม่ยิ้มสลายไปทันที

“เฮ้ย!! ไม่เห็นบอกกันก่อน!! นี่มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลง!!” คนตัวเล็กโวยวาย แต่ก็ถูกเพื่อนสนิทอย่างลุงโต้งเดินเข้ามาจับไหล่และส่ายหน้า

“เพราะมึงคือเพื่อนเจ้าบ่าวไงล่ะ! มึงก็รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะหรอก” ลุงโต้งพูดด้วยสีหน้าทำใจ

“ที่บอกว่าธีมแวมไพร์ยุคอาณานิคม กูนึกว่าพูดเล่น!!” ผมเห็นเส้นเลือดของคนตัวเล็กปูดโปนที่ขมับ

“เอาน่าๆ กูบอกไปแล้วว่างานแต่งก็แล้วแต่เขา” ลุงโต้งที่เห็นชุดของตนถูกเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอนำมาให้ตรงหน้าก็แอบกลืนน้ำลาย

“มึงตามใจยัยมลไปแล้วนะ!!” นักเลงตัวเล็กโวยวายไม่เลิก จนกระทั้งแม่ผมเอาชุดของเพื่อนเจ้าบ่าวมาส่งให้กับมือ นีโน่จึงได้แต่ทำใจยอมรับ เพราะสายตาของแม่ผมนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีใครต้านทานได้หรอก รังสีอำมหิตเหล่านั้นผมยังสามารถรับรู้ได้จากอีกฝากหนึ่งของห้อง หลังจากที่ผมมารับชุดของตนเองจากพนักงานของสตูดิโอ

“เจ้าบ่าวไปเปลี่ยนห้องทางนั่นนะคะ ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวและลูกชายไปเปลี่ยนที่ห้องนี้คะ เหลือห้องเดียวเปลี่ยนด้วยกันได้นะคะ?” พนักงานสาวสวยแจ้งพร้อมผายมือไปตามทางเดินที่จะไปแต่ละฟากของห้องตามกำหนด ภายใต้สายตาและรอยยิ้มเย็นเยียบของแม่ของผม
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 5) 8 ธ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-12-2021 14:58:13
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 6) 19 ธ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-12-2021 11:29:29
ผมเดินเข้ามาถึงห้องแต่งตัวด้านในของอีกฟากหนึ่งของห้องเจ้าบ่าว โดยมีคนตัวเล็กอย่างนีโน่เดินตามมาติดๆ

ในห้องมีขนาดประมาณ 3x3 เมตร ผนังเป็นกระจกรอบ นอกจากกระจกก็จะทาสีผนังด้วยสีขาว แสงสว่างของห้องที่มากกว่าด้านนอกทำให้ผมต้องป้องตาเพื่อให้ปรับแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ โดยมีนีโน่ปิดประตูลงกลอนตามหลังมา

“เฮ้ย!!” ผมแอบตกใจกับเสียงลงกลอนพร้อมกับหันมาเจออีกคนที่ตามหลังมาติดๆ

“ตกใจเชี้ยอะไร! น้องสาวคนนั้นก็บอกอยู่ว่าให้มาเปลี่ยนห้องเดียวกัน!” คนตัวเล็กพูดพลางแขวนเสื้อที่ถูกสวมถุงพลาสติกใสอย่างดีกับราวแขวนใกล้กับประตู

ผมฟังก็คิดได้ว่า ‘มันก็จริง’ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตามและหาที่แขวนเสื้อผ้าเช่นกัน ซึ่งมันอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู

หลังจากที่แขวนเสื้อผ้าแฟนซีเหล่านั้นเรียบร้อย ผมก็ต้องเก็บอาการกับภาพที่เห็นตรงหน้า คนตัวเล็กที่อายุคราวพ่อได้ถอดเสื้อและกางเกงออกอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงกางเกงในตัวจิ๋วที่ปกปิดบางอย่างที่ไม่จิ๋วสมกับตัวตนเจ้าของเอาไว้  มัดกล้ามที่ขึ้นเห็นเด่นชัดถายใต้แสงดาวน์ไลท์สีขาวอมส้ม ผิวขาวที่อยู่ภายใต้ร่มผ้าตัดกับผิวที่โผล่พ้นเสื้อโปโลแขนสั้นแบบชัดเจน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนทำงานหนักและอยู่กลางแจ้งพอสมควร ผิวภายในร่มผ้าที่ละเอียดขาวผิดกับวัยกลางคนมาก แปลว่าก็เป็นคนที่ดูแลตัวเองดีระดับหนึ่ง ลอนกล้ามอกไล่ไปจนถึงลอนกล้ามท้องที่ชัดเจนตามเส้นเงาที่แสงตกกระทบไม่ถึงเหล่านั้น ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โดยเฉพาะส่วนที่นูนเด่นเย้ายวนที่ช่วงล่างไล่จากกลางลำตัวลงไปมันทำให้ผมรู้สึกถึงความวูบช่วงท้องน้อย

“ที่มองนี่คือ อิจฉา! ใชไหม?” นักเลงตัวจ้อยยืนยึดตัวหันมาให้เห็นเด่นชัดทุกสัดส่วนแบบไม่ปิดบังด้วยรอยยิ้มเหมือนแกล้งหยอกให้ผมตื่นเต้นขึ้นไปอีก

“แค่นี้ผมก็มีไหมล่ะ” ผมไม่พูดเปล่า ผมจัดการถอดเสื้อและกางเกงออกอย่างลวกๆ พร้อมเผยให้เห็นสิ่งที่ผมมีและไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้คนขี้อวดตรงหน้า

ความจริงผมไม่ควรจะไปตื่นเต้นกับไอ้คนขี้อวดคนนี้เลยเพราะช่วงที่ไปเที่ยวทะเล มันก็ชอบแก้ผ้าอวดลำกล้ามลำโคนของมันให้พี่กวีเห็นบ่อยครั้ง ตอนนั้นรู้สึกหมั่นไส้จนอยากอ้วก!!

นึกคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดอาการร้อนวูบที่ช่วงท้องด้านบนและอารมณ์ขุ่นมัวแบบบรรยายไม่ถูกจนต้องทำเสียง ‘ชิชะ’ ในใจ

รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองมีอารมณ์แปรปรวน

“อืม… ขาวเนียนดี หุ่นก็สมเป็นนักกีฬา แต่ดูท่าจะยังไม่โตเต็มที่” นีโน่พูดด้วยอาการยกยิ้มมุมปาก

“หมายความว่าไง!!??!” ไอ้เรื่องขนาดนี่แหละที่ผมยอมไม่ได้ คู่นอนที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบ่นเรื่องขนาดเลย ใครก็ต่างเรียกผมว่า อนาคอนดาแห่งมหาวิทยาลัย!

“เข้าใจว่าอะไรอยู่ กูหมายถึงรูปร่างมึงน่ะดีนะ แต่ยังดูเด็กๆ อยู่เลย กล้ามแบบเด็กๆ รูปร่างแบบยังโตไม่เต็มที่ ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” นีโน่อธิบายพลางสำรวจทุกซอกมุมจนผมรู้สึกอึดอัด

“งั้นก็แล้วไป” ผมรู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้นรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า ตอนนี้อยู่กันสองคนด้วยแต่ละคนนุ่งเพียงกางเกงใน มันให้ความรู้สึกแปลกยังไงไม่รู้ ยิ่งได้มองสายตาคนตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกโดนคุกคาม และเอนเอียงไปในทางความใคร่มากขึ้น เดี๋ยวน้องชายตัวเล็กจะตื่นเสียก่อน รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จดีกว่า

“ส่วนเรื่องขนาดความเป็นชายก็อยากเห็นนะว่าจะสมคำร่ำลือหรือเปล่า?” เสียงพูดลอยๆ ดังขึ้นมาจนผมตัวเกร็งไปหมด รู้สึกหน้าร้อนขึ้นจนผมต้องจดจ่อกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่หันหลังไปโต้ตอบ เพราะกลัวสายตาของคนตรงนั้นมาก มันทำให้ใจสั่นจนตัวร้อนวูบวาบไปหมด

…………………

หลังจากวันลองเสื้อผ้าวันแรก เหตุการณ์ต่างๆ ที่บ้านผมก็วุ่นวายมากกว่าเดิมด้วยการเตรียมงานแต่งงานที่กระชั้นชิด ไม่ใช่เพราะว่าไปดูฤกษ์งามยามดีอะไรมาเพียงแต่แม่ของผมอยากจัดงานแต่งให้เรียบร้อยก่อนไปฮันนีมูน ที่จองทริปในฝันไปมัลดีฟได้ด้วยความโชคดีในอีก สองเดือนข้างหน้า

บวกกับทุกกำหนดการที่ประเดประดังเข้ามามันไปประจวบกับตารางสอบปลายภาคของผมและพี่ชาย มันเลยมีอะไรไม่ลงตัวหลายอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ทุกกำหนดการที่ผมต้องช่วยแม่จัดการเรื่องการเตรียมการต่างๆ ต้องมาเจอกับชายตัวเล็กที่ต้องเวรต้องกรรมมาช่วยงานนี้ให้ลุล่วงด้วยเช่นกัน ทำให้เขาและผมต้องมาเจอกันบ่อยครั้งจนเกิดเป็นความเคยชิน จนกระทั้งถึงวันงานแต่งงาน ที่จัดขึ้นหลังจากปิดภาคเรียนมาได้ 1 สัปดาห์

ในวันงานพิธีรอบเช้าที่ทุกอย่างถูกจัดขึ้นแบบพิธีการแบบไทยประยุกต์ โถงห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่จองไว้ ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นงานบุญระดับย่อม มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อทำบุญถวายเพลแบบเรียบง่ายตามอย่างไทยนิยม ผู้คนที่มาร่วมงานต่างใส่ชุดไทยตามประเพณีมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพียง  ดอกไม้แบบไทยๆ ถูกประดับตกแต่งไปทั่วบริเวณงาน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วบริเวณ

ผมที่ถูกจับให้แต่งตัวแบบไทยๆ ในชุดราชปะแตน สวมโจงกระเบนผ้าเงามันสีสด มันช่างขัดกับใบหน้าที่ออกเค้าไปทางชาติตะวันตกอย่างมาก แต่เพื่อแม่ ผมและพี่ชายก็เลยยอมแต่โดยดี แม้มันจะรู้สึกไม่มั่นใจและแปลกตา แต่บรรดาเพื่อนๆ ของแม่ผมก็ต่างมาจับจองขอถ่ายรูปกับฝาแฝดหน้าฝรั่งในชุดไทยจนต้องนัดแนะมีคิวเพื่อถ่ายรูปกัน

คนที่ถ่ายภาพให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือเพื่อนสนิทของพวกผมนี่แหละ ไอ้ต้นกล้าที่ใส่ชุดเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่คบกันมา แม้จะไม่ได้แต่งชุดไทย แต่มันก็เรียบร้อยแปลกตาเหมือนกัน มาดูดีๆ คนผิวสีแทนอย่างมันก็หล่อแบบวัวตายควายล้มเหมือนกันเวลาตั้งใจแต่งตัวแบบนี้  คล้ายดาราผิวเข้มช่องมากสีคนหนึ่งเหมือนกัน สังเกตได้จากเห็นลูกสาวของเพื่อนๆ แม่หลายคนแอบมองมาทางมันแล้วพลางอมยิ้มตลอด

ส่วนเพื่อนสนิทมากๆ อีกคนของผมน่ะหรือ ‘ไอ้ต้นน้ำ’ ติดต่อไม่ได้ครับ หายศรีษะไปเลย ตอนไปตามมันที่บ้านก็เจอแต่แม่มัน  แม่ต้นน้ำก็เพียงฝากขอโทษและฝากซองกลับมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นผมคงมีเพื่อนช่วยทำงาน หรือเพื่อนคุยแก้เขิน เพราะไอ้พี่ชายผมกับไอ้ต้นกล้า มันชอบซุบซิบกันสองคนจนผมรำคาญ อย่าบอกนะว่าพวกมันจะได้กันเอง  ผมคงทำใจยากสักหน่อย ไม่ได้ไม่ชอบไอ้ต้นกล้านะแค่รำคาญความพูดมากของมัน

ลิ่งหนึ่งในงานเช้าที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ไอ้พี่นีโน่ ที่เป็นคนจัดการพิธีรีตรองต่างๆ ได้อย่างมืออาชีพ จัดการให้พิธีต่างเสร็จตรงตามเวลาจนทำให้แม่และลุงโต้งเอ่ยปากชมไม่ขาดปาก เพราะทั้งสองแทบไม่ต้องเหนื่อยมาห่วงอะไรเลย ผมเอ่ยชมต่อหน้าผมและทุกคนหลังเสร็จงาน ผมเห็นคนที่พูดถ่อมตัวตรงหน้าแล้วอดที่จะคว่ำปากแสดงออกมาไม่ได้ แต่ปฏิกิริยาของผมดันไม่สามารถรอดพ้นจากไอ้คนตัวเล็กได้ มันจ้องผมเขม็ง ในขณะที่ส่งยิ้มให้กับทุกคนในบริเวณนั้น ส่วนผมน่ะหรือ ขอตัวหายไปจากตรงนั้นดีกว่า เพราะวันนี้ยังอีกยาวไกล ยังต้องเหนื่อยอีกเยอะ ขอตัวแอบไปพักก่อนดีกว่า คิดได้ดังนั้นผมก็ทะยานหายไปจากบริเวณนั่นทันที แม้จะรู้ ผมอาจจะต้องโดนแม่บ่นเรื่องนี่แน่ๆ ก็ตาม

……..

ช่วงงานเย็น….. ผมไม่อยากบอกว่ามันคืองานแต่งงานนะ มันเหมือนแม่ ลุงโต้งและบรรดาเพื่อนๆ ของทั้งสองคนนั้นหาเรื่องจัดปาร์ตี้แฟนซีเสียมากกว่า แทบจะไม่มีพิธีรีตองอะไรเลยนอกจากการแนะนำบ่าวสาวและกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน

และก็เหมือนๆ งานเช้านั้นแหละ พวกผมสองคนถูกปฏิบัติไม่ต่างจากมาสคอตของงานถูกตามล่าให้ไปถ่ายรูปร่วมเฟรมกับบรรดาลุงๆ น้าๆ เพื่อนแม่จนผมและไอ้เฟรมคิดว่า นี่มันงานอะไรกันวะ?!?

ระหว่างที่ผมปลีกตัวออกจากบรรดาน้าๆ เพื่อนแม่และบรรดาญาติๆ ได้ ผมก็ไปเจอไอ้คนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออยู่ตรงมุมห้องจัดเลี้ยงเพื่อสั่งการคนดูแลงานให้ทำงานอย่างเรียบร้อย ทำให้ผมได้เห็นมุมที่จริงจังของอีกฝ่ายอีกครั้งในระยะประชิด ที่ไม่ได้มีแต่มุมน่ากลัวหรือมุมเจ้าสำราญ ผมเผลอมองด้วยใจระทึกจนผมรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนออกมานอกอก และต้องหลบสายตาเมื่อพบว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นผมจ้องมองเขาอยู่ จนต้องเบี่ยงหน้าหลบสายตาอันคมกริบนั้น

“มีปัญหาอะไรในงานหรือเปล่า?” เสียงคนตัวเล็กดังขึ้นจากด้านหลังในระยะประชิด (นี่มันหายตัววาปมาหรือไง?)

“เอ่อ… เปล่า ไม่มีอะไรนี่” ผมพยายามทำให้ตัวเองมีพิรุธน้อยที่สุด บังคับเสียงให้เป็นปกติ สูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงหน้าตัวเองก่อนจะหันไป

“เฮ้ย!!” เป็นใครเจอคนที่เราแอบตื่นเต้นในระยะประชิดไม่ถึงคืบแบบนี้ก็คงตกใจเหมือนผม ชายวัยกลางคนหน้าเด็กตัวเล็กคนนี้ แต่งกายในชุดแบบเดียวกับผมและการแต่งหน้าให้ดูซีดกว่าปกติ แต่ปากที่แดงแบบธรรมชาติแบบนั้นมันเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ได้รู้สึกตัวว่าตัวเองรู้สึกแปลกๆ กับคนตรงนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่า นักเลงตัวเล็กคนนี้มันช่าง ‘น่ารัก’ เกินไปแล้ว

ผมถอยไปครึ่งก้าวด้วยความประหม่า แต่ด้วยที่มันกระทันหันเกินไป และรองเท้าทรงโบราณหัวแหลมไม่เป็นใจ ผมเลยเสียหลักถลาล่อนไปทางด้านหลังพร้อมร้องเสียงหลง ที่ปลายสายตาของผมเหลือบไปเห็นคนตัวเล็กรีบพุ่งตัวมาด้านข้างเพื่อประคองลำตัวคนที่กำลังจะล้มอย่างผม ไว้ได้อย่างทันท่วงที ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

โครม!!

ผมหงายล้มลงไปนอนทับคนตัวเล็กอย่างช่วยไม่ได้

“ไอ้เด็กควายซุ่มซ่ามเอ้ย!! ทำไมตัวหนักแบบนี้นะ!!” คนที่มีส่วนสูงไม่เกิน 165 เซ็นติเมตร โวยใส่เด็กวัยรุ่นที่สูงเกิน 180 เซ็นติเมตรลั่น จนกระทั่ง แม่ สามีใหม่ และผองเพื่อนมารุมล้อมและต่างช่วยกันฉุดผมและไอ้เตี้ยขี้โวยวายนั้นขึ้นมาปัดตามตัว เพื่อตรวจสอบความเสียหาย

โชคดีที่ไอ้เตี้ยนั้นกระดูกตัน ไม่เป็นอะไรมากมาย ผมเคยได้ยินข่าวว่ามันเคยมีอริขับรถมาชน ไอ้พี่นีโน่มันยังลุกขึ้นมาลากคนไอ้คนขับรถมาต่อยจนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวัน ส่วนผมนี่สิ เหมือนขาจะแพลงเลย รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้าขวาอย่างรุนแรงจนต้องขอเก้าอี้เพื่อนั่งพัก

ผมบอกแม่ว่าไม่เป็นไร ให้แม่ไปดูแลแขกในงาน ผมขอนั่งพักอยู่ตรงนี่ก็พอ (ได้เวลาอู้เสียที ผมขี้เกียจเดินไปช่วยดูแขกให้แม่ ไหนจะโดนขอถ่ายรูปร่วมเฟรมกับพี่ชายอีก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจำอวดที่ทุกคนต่างต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก)

หลังจากที่พี่ชายของผมที่ควรจะนั่งคอยดูแลผมที่ลุกไปไหนไม่ไหวตามคำสั่งของมารดาในชุดเจ้าสาวสีขาว ไอ้เฟรมเหมือนมันจะรู้ว่าผมแสร้งเจ็บหนัก เพราะแค่มองตาผมมันก็รู้แล้ว นี่เป็นแผนอู้ของผม มันก็เลยขอตัวและหายไปจากสายตาผมทันทีที่รู้ทัน ผมเองก็คิดว่าดีเหมือนกัน ขืนมานั่งทำหน้าตาเหมือนกันแบบนี้ก็ยิ่งเด่น ยิ่งดึงดูดสายตาให้คนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย คงไม่ได้พักจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็แอบสงสารมันเหมือนกัน เพราะไม่นานหลังจากที่ไอ้เฟรมลับตาไป ผมก็ได้ยินบรรดาน้าๆ ลุงๆ เพื่อนแม่กรี๊ดกร๊าด ผมเดาว่ามันคงถูกลากไปเป็นพร๊อบถ่ายรูปแน่นอน

ระหว่างที่ผมนั่งดื่มน้ำอัดลมพลางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่วันนี้พ้นจากหน้าที่รับแขกเร็วกว่ากำหนด ก็มีชายคนหนึ่งมาขอนั่งด้วยจากทางหางตา ผมผู้ซึ่งไม่ได้ใส่ใจจึงตอบรับไปโดยไม่ได้หันไปมอง

“พี่ว่าพี่แต่งเยอะแล้วนะ แต่มาเจอน้องนี่ พี่ยอมเลย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง

“พี่ไห่?!?” ผมทักคนที่แต่งตัวด้วยทักซิโดสีดำขลับ ประดับด้วยลายลูกไม้บางๆ ที่ปกเสื้อนอกและ หูกระต่ายประดับหมุดสีดำแวววาว ใบหน้าถูกแต่งให้ซีดกว่าปกติ และทำผมเรียบเหมือนดูเปียกน้ำ เป็นคนที่แต่งแบบไหนก็หล่อเหลือรับประทานจริงๆ

“ผมไม่รู้ว่าพี่ไห่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วย!?!” ผมถามด้วยอาการมืนงงกับภาพหล่อๆ ตรงหน้า

“อืม…. ก็ไม่เชิง พี่มาทำงานมากกว่า….. แต่ถูกบังคับให้แต่งตัวแบบนี้” จินไห่ตอบด้วยอาการขวนเขินกับชุดที่ไม่คุ้นเคย พลางก้มมองเสื้อผ้าที่ใส่

“ก็นึกว่าอาหารมันหน้าตา และรสชาติคุ้นๆ ที่แท้ก็มาจากร้านพี่นี่เอง ส่วนเสื้อผ้าพวกนี้ พี่โน่คงบังคับพี่ใส่น่ะสิ” ผมเดาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในงาน

“ตามนั้น” จินไห่ตอบพลางส่ายหน้าเบาๆ ผมได้ยิ้มตามอย่างเข้าใจสถานการณ์

“ขอบใจนะ ที่มาช่วยดูแลเรื่องอาหารให้ พักสักหน่อยก็ได้ แขกที่มาก็เริ่มอยู่ตัวกันแล้ว” คนที่กำลังถูกพูดถึงในบทสนทนาก็ปรากฏร่างจากทางด้านหลังเหมือนได้ยินเสียงเรียก เขาเดินมายืนข้างจินไห่และวางมือหยาบลงบนบ่าจินไห่ ที่ตอนนี้หันไปยิ้มให้ และนีโน่ยิ้มกลับอย่างพึงใจ

ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้เลือดในอกมันสูบฉีดขึ้นไปถึงหน้าและวิ่งไปทั่วร่างอย่างประหลาด ผมหายใจแรงและหันหน้าไปมองทางอื่นในงานเผื่อมันจะดีขึ้น ทำไมมันหงุดหงิดแบบนี้นะ ผมคิดทบทวน จนได้คำตอบว่า ผมคงโมโหแทนเพื่อนสนิทแน่นอน ก็แฟนมันโดนจีบทางอ้อมแบบนี้นี่หว่า!!

“เฮ้ย ไอ้เด็กเป๋จะไปไหน?!?” นีโน่ทักขึ้นเสียงแข็งเมื่อผมกำลังจะลุกหนี

“ไปให้ไกลจากตรงนี้ ผมไม่อยากอยู่เป็นก้าง พี่จะได้ทำอะไรสะดวกๆ !!” ผมพูดสวนกลับไปทั้งที่ไม่มอง

“นั่งอยู่นี่แหละ จะเอาอะไรก็บอก เดี๋ยวกูไปเอาให้!!” ไอ้นักเลงโตตะคอกกลับมา พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอของจินไห่

เฮ้ย! อะไรว่ะ ไอ้การตอบสนองที่ไม่คาดคิดแบบนี้ ผมอึ้งและย่อตัวลงนั่งที่เดิมช้าๆ

“เฮ้ย!! พี่เพิ่งรู้ว่าน้องขาเจ็บ! เดี๋ยวไปหาน้ำแข็งมาประคบให้ไหม?” จินไห่ยิ้มอย่างสุภาพและขอตัวเดินหายไปในฝูงชนของงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานที่ไร้ซึ่งแบบแผน มีแต่ความวุ่นวายตรงหน้า เหมือนแค่จะหาเรื่องจัดปาร์ตี้กันมากกว่า

“แล้วเมื่อกี้มึงจะไปเอาอะไร?” คนตัวเล็กถามพลางขมวดคิ้ว

“เปล่า…. ” แต่รำคาญ… เสียงในใจบอกแบบนั้น

“นี่มึงยังคิดอกุศลเรื่องกูกับน้องไห่อีกเหรอวะ?” อีกฝ่ายถามเข้าเรื่องพร้อมนั่งลงข้างๆ ผม

“ก็มึงเคยชอบเขานี่ แล้วยังทำตัวเจ้าชู้ใส่พี่ไห่เหมือนเดิมแบบนี้ใครจะไม่คิด!” ผมเริ่มกลับมาใช้คำเรียกเดิมระหว่างผมกับมันอีกครั้ง อะไรบางอย่างในอกมันสั่งมาแบบนั้น

“มึงนี่ก็คิดมาก ถึงกูจะดูเลวนะ แต่เรื่องความรักนี่กูไม่เคยฝืนใจใครนะ หากเขาบอกว่า ‘ไม่’ กูก็ ‘ไม่’ แค่นั้น ทุกวันนี้กูก็ห่วงกันเหมือนพี่น้อง ขนาดกับมลกูยังเป็นเพื่อนกันได้เลย!!” นีโน่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ประโยคเหล่านั้นมันทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะมันหมายถึงว่าคนๆ นี้เกือบจะมาเป็นแฟนแม่เขานี่หว่า

“ไม่เห็นต้องมาอธิบายอะไรก็ได้นี่หว่า?!?” ผมตอบกลับไปลอยๆ

“กูแค่อยากเคลียร์ตัวเอง!!”

“เพื่อ?!?”

“กูไม่อยากให้มึงเข้าใจผิด!”

“ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ะ”

“…….” นักเลงตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงจ้องหน้าผมเหมือนพยายามให้ผมอ่านใจมันให้ได้

แต่ไอ้ใจที่ไม่รักดี  มันกลับเต้นระงมระรัวจนแทบจะทำให้ผมหน้ามืด ในใจได้แต่คิดว่า พี่จินไห่ที่หายตัวไปเอาน้ำแข็งเมื่อไหร่จะกลับมาเสียที

“เป็นอะไรมากไหมเนี่ย หน้าเปลี่ยนสี?” คนตัวเล็กเบียดตัวเข้ามาใกล้ ชุดทักซิโดสีดำที่ให้ดูเก่าอย่างตั้งใจเข้ามาใกล้จนเกือบแนบกับเสื้อผ้าของผมส่งให้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของอีกฝ่ายลอยเข้ามาเตะจมูกผมอย่างจัง กลิ่นหอมอ่อนเหมือนไม้สมุนไพรที่รู้สึกเย็นชื่นใจทุกครั้งที่ได้กลิ่น ยิ่งเร่งจังหวะหัวใจผมให้ดังขึ้น

มือของนีโน่ที่แตะหน้าผากของผมจนอุ่นร้อน ยิ่งทำให้ผมสั่นไปทั้งร่าง ท่าทางผมคงเป็นโรคอะไรสักอย่าง เวลาอยู่ใกล้คนนี้ๆ ผมจะแสดงอาการแปลกๆ แบบนี้ หรือแพ้น้ำหอมวะ?!?

“ไม่สบายหรือเปล่า ตัวอุ่นเชียว” ลมหายใจของคนตรงหน้าผ่อนลงมาบดไล้มาตามใบหน้าผม ทำให้ผมรู้สึกขนลุก ผมผลุดลึกขึ้นทันที

“อ้าว! หายเจ็บแล้วเหรอ” คนตัวเล็กอมยิ้มถามผม

นี่มันเหมือนแกล้งกันชัดๆ คงรู้ว่าผมเจ็บไม่มาก จะมาเผยไต๋ว่าผมป่วยการเมืองแน่นอน เกลียดไอ้พวกคนรู้ทันแบบนี้ชะมัด ผมไม่พูดอะไรนอกจากผ่อนลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ บวกกับหมุนตัวเดินกะโผลกกะเผลกออกจากจุดเดิม ระหว่างทางก็เห็นพี่จินไห่เดินสวนทางไปที่โต๊ะ ในมือถือถุงน้ำแข็งถุงใหญ่มาด้วย แต่ผมไม่สนใจแล้ว หลบไปให้พ้นๆ ดีกว่า

……………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 7) 23 ธ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-12-2021 11:38:26

หลังจากที่ผมต้องเก็บตัวจากงาน after party ของงานแต่งงานแม่บังเกิดเกล้าของตนเองได้สำเร็จ ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปจนถึงวันรุ่งขึ้นในช่วงสายของวันต่อมา ที่บ้านผมก็เหมือนเกิดเหตุจราจลกลางเมือง

ลุงโต้งที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว วิ่งวุ่นไปมากับแม่ของผมและต่างโวยวายหาของกันวุ่นวาย ปกติแม่ผมก็ไม่ค่อยเป็นงานแม่บ้านแม่เรือนเท่าไหร่อยู่แล้ว นับตั้งแต่เปิดบริษัทของตนเอง  คราวนี้เพิ่มลุงโต้งที่มีนิสัยเหมือนกันเข้าไปอีก ทำให้บ้านวุ่นวายมากกว่าเดิมเท่าตัว นั่นทำให้แม่บ้านที่ดูแลบ้านต้องหนักใจมากขึ้นเป็นสองเท่า

“หาอะไรกัน?” ผมถามพี่ชายฝาแฝดตนเองที่เหมือนกำลังเมาค้างอยู่ที่โต๊ะอาหารของบ้าน พร้อมโอบแก้วกาแฟอย่างหวงแหนเหมือนแหวนครองพิภพ

“พาสปอร์ต” เฟรมพูดพร้อมใช้นิ้วชี้และโป้งบดนวดบริเวณขมับตัวเอง

“อ้าว!! ไหนว่าเตรียมไว้แล้วไง!! เห็นคุยกันมาสามวันแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว!!” ผมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจ

“ก็แล้วไง… แม่ก็คือแม่ พอบอกว่าจะเช็คครั้งสุดท้าย ก็เป็นอย่างที่เห็น คืนนี้จะบินอยู่แล้วเนี่ย!” เฟรมบ่นอุบ พร้อมทั้งยกกาแฟร้อนๆ ขึ้นซดเสียงดัง

“แม่น่ะ…..กูไม่แปลกใจ แต่ลุงโต้งนี่สิ!” ผมเห็นภาพตรงหน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียด

“กิ่งทองใบหยกไหมล่ะมึง!” เฟรมพูดจบ ผมกับมันก็หัวเราะกันอย่างเงียบสงบในลำคอพลางส่ายหน้า

“หาอะไรกัน?!?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ชายตัวเล็กในชุดสีเขียวอ่อนทั้งเสื้อโปโลและกางเกงขาสั้นนั่นมันช่างกระชากวัยพอสมควร ถ้าหน้าไม่เด็กอย่างไอ้คุณพี่นีโน่ อายุรุ่นนี้ใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้คงดูขบขันไม่น้อย

“พาสปอร์ตสิมึง!! ไม่รู้วางไว้ที่ไหน? จำได้ว่าจัดเตรียมใส่กระเป๋าเดินทางไว้แล้ว แต่พอมาหาอีกทีก็หายไปแล้ว เชี้ยเอ้ย!!” ลุงโต้งพูดจาภาษาเพื่อนกับผู้มาใหม่

“เฮ้ออออออ…” นีโน่ส่ายหน้าพลางผ่อนลมหายใจยาว

“จะมาถอนหายใจเพื่อ!?! มึงก็มาช่วยกันหาสิ เดี๋ยวไปขึ้นเครื่องฯ ไม่ทัน!!” ลุงโต้งขมวดคิ้วตึงเครียด

“มลอยู่ไหน?” นีโน่เอ่ยถาม

“ขึ้นไปหาที่ห้องนอนแล้ว” ลุงโต้งตอบพลางหันซ้ายหันขวาเหมือนพยายามระลึกเรื่องที่ผ่านมาในช่วงสองสามวันนี้

“ไปตามลงมา….. เอ้า!! ไม่ต้องงง ไปตามลงมา” นีโน่โบกมือเชิงไล่ให้ชายร่างท้วมที่กำลังงงกับคำสั่งของเพื่อนตัวเล็ก

 หลังจากที่ลุงโต้งไปตามแม่ของผมลงมาด้วยอาการหัวกระเซิงและหน้ามันเยิ้มจนหมดสวย ทั้งสองสามีภรรยาคู่ใหม่ก็มายืนประจันหน้ากับเพื่อนผู้ทรงอิทธิพลตัวจ้อย

“อะไร!! คนกำลังรีบ” แม่ผมทักด้วยอาการหงุดหงิด เห็นแบบนี้ผมเลยหามื้อเช้าที่แม่บ้านทำไว้ให้ในครัวมานั่งดูละครฉากนี้กับพี่ชายฝาแฝดที่กำลังทรมานจากอาการเมาค้างอยู่ข้างๆ

“ขนาดนี้ก็ยังนึกไม่ออกอีก…..เฮ้อ!!! เธอนี่มัน ขี้ลืมเหมือนเคย! จำวันก่อนพิธีได้ไหมว่าพูดอะไรกับเราไว้!?!” นี่โน่พยายามช่วยอีกฝ่ายพลางเกาศรีษะกับอาการหลงลืมของคู่สนทนา

ลุงโต้งหันไปมองแม่ผมด้วยความสงสัย ส่วนแม่ผมก็พยายามคิดจนคิ้วย่นขมวดเข้าหากัน ภาพที่เห็นทำให้ผมคิดว่าแม่คงต้องไปโบท็อกซ์อีกรอบแน่นอนหลังจากจบเรื่องนี้

“อืม…… ถ้าจำไม่ผิดก็เรื่อง………โรงแรม……. ที่ให้ลูกน้องจองให้…….. มลบ่นไม่ชอบก็เลยอยากเปลี่ยน……… อ้อ!! แล้วโน่ก็อาสาไปเปลี่ยนให้!!” แม่ผมเรียบเรียงเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก

“นึกออกยัง?” นีโน่ยิ้มอย่างโล่งอก

“แล้วมันเกี่ยวกับพาสปอร์ตที่หายยังไงล่ะ?” แม่ผมแสดงความสีหน้าว่าเสียเวลากับเรื่องนี้

“เออ…เอาเข้าไป…. เฉลย เราขอพาสปอร์ตพวกเธอไปเพื่อจองโรงแรมใหม่ให้ไง! เอานี่ เราเอามาคืน!! แล้วก็นี่!! เอกสารเกี่ยวกับโรงแรมใหม่ที่จองให้!! ได้ตามที่ขอเลย” คนตัวเล็กเฉลยพร้อมยื่นพาสปอร์ตของทั้งสองและซองเอกสารคืนให้โดยหยิบจากกระเป๋าพาดไหล่ใบเล็กที่เขาถือติดมาด้วย

“โถ่!! เอ้ย!!  จะลีลาทำไมเนี่ย คนยิ่งรีบๆ อยู่ ขอบใจนะ!!” แม่ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่วายแอบต่อว่าเพื่อนสนิทไปนิดหน่อยตามประสาคุณนายขี้บ่น

นีโน่ยิ้มอย่างพอใจเหมือนว่าได้แกล้งเพื่อนสนิททั้งสองแล้วสบายใจ เห็นเพื่อนทั้งสองกลับขึ้นไปเตรียมตัวเดินทางไปฮันนีมูน เขาก็เดินไปห้องครัว ไปหยิบมื้อเช้าจากเคาน์เตอร์ครัวที่แม่บ้านเตรียมไว้มานั่นกินร่วมโต๊ะกับผมเหมือนเป็นบ้านของตนเอง

“ผมว่าพี่จะทำตัวตามสบายไปนะ” ผมแซวคนที่มานั่งข้างๆ

“ก็ยังดีที่ยังเรียกพี่อยู่ ให้เรียกลุงเหมือนไอ้โต้งกูคงสะเทือนใจน่าดู” นีโน่ยิ้มกวนประสาทกลับมา

“จริงสิ รุ่นเดียวกัน ผมควรจะเรียก ‘ลุง’ แบบนั้นสินะ” ผมแซวกลับ

“เฮ้ย! อย่าเลยกูยังไม่อยากแก่ ว่าแต่มึงอยู่บ้านก็ดูสุภาพดีนะ”

“ก็อยู่ในบ้านนี้ พี่ก็คือเพื่อนแม่ จะให้ผมพูดกูมึงกับพี่เหมือนปกติ ผมได้หัวโนเพราะไม้เบสบอลแน่นอน” ผมแต่คิดก็ขนลุกแล้ว ไอ้ไม้สำหรับลงโทษของแม่น่ะ แอบรู้สึกสงสารลุงโต้งพอควร

“ก็ดี!! งั้นต่อไปนี่ก็พูดสุภาพกับกูให้ชินเสียล่ะ”

“หา?!?! เพื่อ?”  ผมหันไปถามพร้อมคิ้วขมวด แต่พี่ชายผมมันก็แค่หันมาทำหน้างงงวย (มึงควรไปนอนไอ้เฟรม)

“แม่มึงให้กูมาอยู่ดูแลมึงในช่วงที่พวกนั้นไปฮันนีมูน”

“!?!?” วันนี้มีแต่เรื่องน่าตกใจว่ะ ผมแสดงสีหน้าเกินบรรยายออกไป นี่แปลว่าพวกผมต้องอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับไอ้จอมเผด็จการอย่างไอ้เตี้ยนี่นะ!!

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 7) 23 ธ.ค. 21
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-12-2021 08:21:38
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 8) 4 ม.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-01-2022 17:12:06

เนื่องจากเป็นวันหยุดช่วงปิดเทอม ผมจึงว่างมากเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วในเวลาเปิดภาคเรียน ผมที่นอกจากต้องทำงานตัวเองแบบหามรุ่งหามค่ำแล้ว เสร็จงานตัวเองก็ยังต้องช่วยเหลือเพื่อนๆ ในกลุ่มให้ผ่านพ้นงานต่างๆ ไปด้วยกันให้ได้ ช่วงเปิดภาคเรียนสภาพของผมเสมือนผีดิบดีๆ นี่เอง

ช่วงเรียนปีสามที่ผ่านมา ทำให้ผมงดเว้นกิจกรรมบันเทิงต่างๆ โดยเฉพาะงานบริการหนุ่มรูปงามที่ต้องการค้นพบตนเองในอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต ซึ่งโดยปกติผมเล็งใครไว้ก็จะไม่เคยพลาด จุดด่างพร้อยของผมมีเพียงคนเดียวคือ พี่กวี เทพบุตรที่ใครๆ ต่างหมายปอง อดีตของยัยนิ่มแฟนคนปัจจุบันของไอ้แฝดพี่ของผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันไปคว้ามาได้ยังไง?

ช่วงปิดภาคเรียนแบบนี้ นอกจากจะได้พักร่างให้กลับมาผ่องใสเหมือนเดิม ยังได้ทำกิจกรรมที่ผมโหยหามานานด้วย งานล่าแต้มหนุ่มรูปงาม ยังไงล่ะ!!

หากอยากจะถามผมว่าผมชอบแบบไหนน่ะหรือ?  ผมไม่มีสเปกตายตัวหรอกนะ เพียงแค่เห็นว่ามีเสน่ห์ หน้าตาน่ารัก นิสัยไม่เรื่องมาก และที่สำคัญเปิดใจมาคุยกับหนุ่มลูกครึ่งรูปหล่อ ดีกรีนักกีฬามหาวิทยาลัยอย่างผม ก็แค่นั้นเอง

ในระหว่างที่ผมกำลังประทินผิวหน้าด้วยแผ่นมาร์กหน้าที่นำเข้าโดยแม่ตัวเอง อย่างอารมณ์ดี ผมพาดร่างตนเองนอนลงที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่น ชื่นชมกับสวนสวยหน้าบ้านยามเช้าที่สดใส ในชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนมพร้อมล่าเหยื่อ จากความเงียบของบ้านตอนนี้ผมเดาว่าไม่มีใครอยู่บ้านแน่นอน

“เฮ้ย!! พี่ชายมึงไปไหน?!?” เสียงคุ้นหูที่ไม่คุ้นชินเอ่ยขึ้นเหนือศรีษะ

ผมผุดลุกขึ้นมองต้นเสียงอย่างอารมณ์เสีย ผมลืมไปเสียสนิทที่มีไอ้เผด็จการนี้อยู่ที่นี่ด้วยตามคำสั่งของแม่

“ว่าไง! รู้ไม่รู้ก็บอก กูต้องทำหน้าที่ผู้ปกครองพวกมึงอยู่นะ ตลอดหนึ่งเดือนนี้เนี่ย!!” ชายรูปร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายพรางสีเขียวมิ้นท์และกางเกงขาสั้นสีขาวยืนกอดอกคิ้วขมวดมองมาทางเขา

“กูกับมันไม่ได้ตัวติดกันนี่ กูจะรู้ได้ยังไง!?!” ผมตอบกลับไปตามประสาผม

“พอแม่ไม่อยู่นี่ก็กลับมากวนบาทาเหมือนเคยนะ! แล้วนี่มลเลี้ยงลูกยังไงให้ไปไม่ลามาไม่ไหว้แบบนี้ว่ะ!” สุดท้ายมันก็คนแก่คนหนึ่ง บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย

ผมที่ได้ยินอีกฝ่ายขึ้นเสียงแบบนี้เหมือนโดนด่าว่า แม่ไม่สั่งสอนเลย

“แม่ผมเลี้ยงลูกด้วยการไว้ใจ ดูแลแบบผู้ใหญ่ และพวกผมก็ไม่เคยทำตัวให้แม่เป็นห่วงเลยสักครั้ง!!” ผมสวนกลับไป

“จริงน่ะ?” ผู้ปกครองมือใหม่ถามกลับทันควัน แต่เป็นคำถามที่ผมคิดทบทวนแล้วว่าตอบกลับยืนยันเป็นความจริงว่ายากเอาการ ผมเลยเลือกนิ่งเฉยและหันหลังกลับไปนอนพาดที่โซฟาที่เดิม

อย่าว่าแต่ไอ้คุณพี่นีโน่เลย ผมสิยังไม่รู้เลยว่าช่วงนี้พี่ชายผมมันหายไปไหนบ่อยๆ  ปกติมันก็จะบอกผมกับแม่ตลอดนะ หากเป็นผมก็ว่าไปอย่างที่ชอบทำตัวแบบนี้

“ดีจริงๆ เฮ้อ!……” คนตัวเล็กเอามือหยาบกุมศรีษะพลางสบถเบาๆ และเหมือนจะพึมพำว่า ‘คิดถูกแล้วที่ไม่มีลูก’

ผมปลีกตัวจากจุดเดิมที่เห็นผู้ปกครองจำเป็นกำลังเดินตรึกตรองบางอย่างด้วยอาการนิ่วหน้าใจลอย ผมจัดการดึงแผ่นมาร์กหน้าออกไปทิ้งที่ขยะในห้องครัวก่อนที่จะเดินเลยเข้าไปที่โต๊ะอาหารที่วางอาหารเช้าแบบไทยๆ ไว้เต็มโต๊ะ

ภาพที่เห็นไม่ค่อยชินตาเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่แม่ผมจะให้แม่บ้านอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้มกุ้ง หรือ ขนมปังปิ้งไข่ดาว วางไว้ให้อย่างง่ายๆ  ซึ่งผมก็มีนั่งกินบ้าง ไม่กินบ้างแล้วแต่ความรีบร้อนในแต่ละวัน แต่วันนี้มันต่างไป

บนโต๊ะมีทั้งข้าวสวยหอมกรุ่นอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ มีไข่ดาวทอดกึ่งสุกกึ่งดิบวางอยู่บนจานเปลเรียงตัวสวยมันวาว หมูแดดเดียวทอดที่หั่นเป็นเส้นยาวพอดีคำ และแกงจืดฟักเขียว หมูสับก้อน และเต้าหู้ไข่หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดี ส่งควันร้อนระเหยขึ้นมาเหมือนเพิ่งทำเสร็จ

“หิวก็ลงนั่งกิน!” ชายตัวเล็กที่เดินตามหลังมาเอ่ยทักพร้อมเดินผ่านผมมานั่งฝั่งตรงข้าม

พี่ฟางแม่บ้านจึงได้เตรียมจานช้อนส้อมให้ พร้อมทั้งเดินไปตักข้าวใส่จานไว้สองจาน ผมไม่นึกว่าจะต้องนั่งกินมื้อสายกับไอ้พี่นีโน่จึงยังคงยืนเกร็งอยู่

“คุณไอซ์จะรับประทานเลยใช่ไหมคะ? ขอโทษนะคะคุณนีโน่บอกว่าหากคุณไอซ์เข้ามาให้ตักข้าวได้เลย” แม่บ้านวัยกลางคนผิวเข้มหันมามองผมและพูดทักผมที่ยืนมองนิ่ง

“อ่อ… ครับ ผมจะกินเลยครับ ขอบคุณครับ” ผมเหมือนถูกคำถามนั้นกระทุ้งให้รีบตอบและรีบลงไปนั่งเก้าอี้ที่มีจานข้าวตักเตรียมไว้ทันที

ทุกการกระทำของผมอยู่ภายใต้สายตาของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มุมปากที่หยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งๆ นั่น ทำให้ผมเดาไม่ออกว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่

ผมทำเป็นไม่สนใจและรีบตักทุกอย่างตรงหน้าใส่จานข้าวของตนเอง และเริ่มลงมือกินเหมือนกินข้าวราดแกง ที่ทำแบบนี้เพื่อที่จะได้ปฎิสัมพันธ์กับคนร่วมโต๊ะอาหารให้น้อยที่สุด

แต่ทุกคำที่กินเข้าไป รสชาติอาหารเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ อาหารง่ายๆ แบบนี้ทำไมมันถึงได้รสดีแบบนี้

“อร่อยก็ชมพี่บ้างก็ได้” ชายร่างเล็กเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนมีชัย (ไม่ได้ไปแข่งอะไรกับมันเสียหน่อย!!)

“ทำเองจริงง่ะ?!?” ผมถามด้วยใบหน้ากวนบาทาสไตล์ผม

“อยากรู้เย็นนี้ก็มาดูกูทำกับข้าวด้วยก็ได้!!”

“เอาจริง พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยว่ะ”

“กูอยากทำ แล้วช่วยปรับปรุงวิธีพูดกับผู้ใหญ่หน่อยสิวะ!!”

“ตามใจ! เออ ลืมไปเลยว่ามึงก็เพื่อนแม่ ให้กู … เอ้ย! ผมเรียกลุงเหมือนลุงโต้งไหมล่ะครับ ลุงโน่”

“เรียกลุง หนึ่งครั้งกูต่อย หนึ่งหมัด”

เชี้ยแล้วไง ไอ้โหดของแท้ ผมควรจะเลิกกวนตีนมันดีกว่า ผมรู้ว่ามันเกรงใจแม่ผม แต่… ผมก็รู้ว่า เวลามันเลือดขึ้นหน้า มันทำได้ทุกอย่าง!!

ผมเลือกที่จะเงียบครับ และนั่งกินข้าวต่อไป

หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ผมก็เตรียมตัวออกไปท่องเที่ยวตามใจตัวหลังจากที่ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน นานๆทีจะได้อยู่คนเดียวเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนลากเข้าไปพัวพันกับปัญหาร้อยแปดพันเก้าของบรรดาเพื่อนๆ ในกลุ่ม ซึ่งไอ้นิสัยขี้เผือกอย่างผมมันก็อดไม่ได้เสียด้วย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โสดมาเป็นปีแล้ว

ของที่พ่อให้มาอย่างเต็มไม้เต็มมือแทบจะไม่ได้ใช้ ปิดเทอมนี้ พ่อจะใช้ให้หนำใจ ถึงผมจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมช่วงนี้ไอ้ต้นน้ำเพื่อนยากมันจะหายหน้าหายตาไปชนิดเหมือนมันติดอยู่ในถ้ำที่ถูกน้ำท่วมจนออกไม่ได้ก็เถอะ (ถ้ำที่ว่าน่าจะชื่อจินไห่) แต่แบบนี้ก็อาจจะดีกว่า

คิดได้ดังนั้น ผมก็รู้สึกอารมณ์ดีถึงกับฮัมเพลงออกมา ขณะลุกเดินออกจากโต๊ะอาหาร

“เฮ้ย!!” คนที่ยังนั่งอยู่เอ่ยทักเสียเข้ม

“อะไรของละ…..เอ่อ….พี่ อะไรของพี่อีกละครับ?” ผมรู้สึกเสียววูบวาบบริเวณใบหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำมือแน่น

“เก็บจานด้วย!” เสียงเข้มขึ้นไปอีก

“ก็ปกติ…” ผมพูดพลางมอง พี่ฟางแม่บ้านที่ยืนส่งยิ้มแห้งกลับมา

“กูไม่ใช่มล จะให้สปอยเด็กแบบนี้ ไม่ใช่ทางกู ฟางเขาเตรียมโต๊ะอาหารให้แล้ว มึงควรจะรับผิดชอบในการไปเก็บเองบ้าง!! กูไม่ให้ล้างด้วยก็บุญแล้ว!!” นีโน่พูดเสียงเข้ม ดวงตาจริงจัง

ผมรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมาเลย ถึงแม่ผมจะดุและ เข้มงวด แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมไม่เคยต้องทำเองเลย (รวมถึงเรื่องความสะอาดด้วย)

“…….” ผมรู้ดีว่าไม่ควรไปขัดอะไรมัน แม่ไว้ใจมันมาดูแลพวกเรา มันก็เลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ผมทำตามอย่างว่าง่าย เดินไปเก็บจานบนโต๊ะไปวางไว้ที่อ่างล้างจาน

“จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่หว่า”  ไอ้คนตัวเล็กเดินมาลูบศรีษะผมอย่างกับหมาเชื่อง หากเป็นปกติผมคงเลือดขึ้นหน้ากระชากคอเสื้อมันจนตัวลอยแล้ว แต่วันนี้…… ต่างออกไป ผมใจเต้นแรงและรู้สึกเขินอายที่ถูกทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ฟาง

“หมดธุระกับผมแล้วใช่ไหม? ผมไปล่ะนะ!” ผมรีบรุดหน้าเดินหนีคนตัวเล็กที่กำลังพยายามลูบศรีษะผมอย่างต่อเนื่อง แม้ท่าเขย่งเท้าของเขาจะดูตลก แต่ผมกลับไม่รู้สึกขำ เพราะอยากจะรีบไปให้พ้นๆ จากตรงนี้

“จะไปไหน?” อีกฝ่ายตะโกนถามมา

“จะต้องรู้ไปทำไมวะ? เรื่องส่วนตัวไหม?”

“ไม่มีอะไร อยากรู้ว่าที่ๆ ไปไม่น่าเป็นห่วง กูจะได้สบายใจ”

“เอ่อ….. ไปแค่คาเฟ่ ‘Like Bar Lies’ นัดกับเพื่อนไว้!!” เจออีกฝ่ายพูดประโยคแบบนี้มาทำให้ผมอดที่จะเขินไม่ได้อีกครั้ง เลยเฉลยว่าจะไปไหน ชื่อคาเฟ่แหล่งรวมวัยรุ่นของจังหวัด แต่เรื่องนัดกับเพื่อนไว้นี่ ผมโกหก แต่ก็ไม่เชิง เพราะกะว่าจะไปหาเพื่อนใหม่ที่นั่นไง!!

พูดจบผมก็คว้ากุญแจรถขับออกไปทันที

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 9) 13 ม.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-01-2022 13:46:16


คาเฟ่ ‘LikeBarLies’ (อ่านว่า ไลค์ บาร์ ลี่ส์ คนที่เคยอยู่ต่างประเทศอย่างผมก็งงกับคนตั้งขื่อ ว่าต้องการสื่ออะไร แต่ก็ช่างเถอะ เพราะมันฮิต) เป็นแหล่งรวมของวัยรุ่น จนถึงวัยเริ่มต้นทำงาน อายุเฉลี่ยของลูกค้าที่นี่ก็ประมาณ 18 - 25 ปี  เหตุที่มันกลายเป็นแหล่งนัดพบก็คือ เมนูเครื่องดื่มสไตล์มอคเทล อร่อยแบบไร้แอลกอฮอล์ แต่ได้บรรยากาศแบบบาร์และไนท์คลับในช่วงเวลากลางวัน มีโต๊ะเก้าอี้นั่งแบบสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวมากนักเพราะจัดโต๊ะได้เรียกว่าแน่นขนัด แต่บรรดาหนุ่มสาวที่ชอบปฏิสัมพันธ์กันมันจึงเป็นที่นิยมไม่น้อย นอกเหนือจากนี้ บรรดาพนักงานที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี ที่มีดีกรีไม่น้อยหน้านายแบบ นางแบบ ที่มาบริการลูกค้าภายในร้าน จึงกลายเป็นแหล่งดึงดูดหนุ่มสาวได้อย่างดี ที่สำคัญที่สุดคือ ขนมร้านนี้อร่อยมาก และเชฟขนมหวานที่นี่ก็ทำกันที่หลังร้านสดๆ เลย และที่สำคัญ เชฟขนมหวานก็มีหน้าตาที่น่าอร่อยไม่แพ้หน้าตาของขนมที่นี่เลย

ความจริงผมก็เล็งเชฟอยู่นี่แหละ แต่ไม่มีโอกาสได้เจอเลย ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่มีใครมีโอกาสได้เจอเลยมากกว่า เป็นคนเก็บตัวมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก เท่าที่สืบมาคือโสด! เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพมหานคร เป็นคนที่มีฐานะดีแน่นอน เพราะรถที่ขับแพงระดับซุปเปอร์คาร์ซึ่งแอบจอดอยู่หลังร้าน

วันนี้ผมขับรถยนต์คันโปรด BMW สีน้ำเงินสด มาจอดที่หน้าร้านเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนในร้าน เวลาเข้าหาคนจะได้ง่ายหน่อย แน่นอนว่าผู้หญิงน้อยใหญ่ในร้านมองมาทางผมที่เพิ่งลงจากรถตาเป็นประกาย แต่ผมต้องเสียใจด้วยที่ผมสนใจเฉพาะผู้ชายเท่านั้นครับ แต่ผมก็ยังคงเก็กเดินเข้าไปในร้านต่อไปและพยายามไม่สนใจเหล่าสาวสาวที่ทำตาเป็นประกายใส่ผม  ผมเองก็ไม่อยากเสียมารยาทบอกความจริงไป เพราะการที่มีคนหันมาสนใจ ยังไงมันก็ดีกว่าคนที่ไม่มีใครอยากแม้แต่ขายตามอง ถึงผมจะไม่ใช่เดือนมหาวิทยาลัยและกัปตันทีมบาสเกตบอลมหาวิทยาลัย เหมือนอย่างพี่ชายผม แต่ด้วยหน้าตาและผลการเรียนที่รอเกียรตินิยมแค่นี้ผมก็ฮอตมากแล้ว (ผมกับพี่ชายเป็นฝาแฝด พูดไปก็เท่านั้น หากมันฮอต ผมก็ฮอตเหมือนกันล่ะวะ)

คนมักจะเข้าใจผิดระหว่างผมกับพี่ชายฝาแฝดที่เป็นชายแท้ๆ บ่อยครั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมเริ่มภารกิจสแกนหาเหยื่อทันที

เหมือนเป็นโชคดีของผม วันนี้เชฟขนมหวานคนนั้นกำลังจัดเตรียมวางของหวานสำหรับขายที่ตู้โชว์กระจกไอเย็นหน้าเคาน์เตอร์พอดี  ผมรีบเดินไปจัดการเป้าหมายอย่างว่องไว

“วันนี้มีอะไรพิเศษไหมครับ?” ผมเดินหยุดตรงหน้าเขาพอดี พร้อมพูดทักทายในขณะที่คนอื่นๆในร้านทำได้แค่มอง  (ความมั่นหน้าเกินร้อย)

“เอ่อ…..คุณ….” ชายหนุ่มในชุดขาวและผ้ากันเปื้อนสีเดียวกันเงยหน้าขึ้นมามองผม ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นทำให้เลือดเสือในใจผมตื่นขึ้นจนสูบฉีดร้อนลุ่มไปหมด

“รู้จักผมด้วยหรือครับ ผมไอซ์ครับ” ด้วยความเป็นคนดังเสียจนเคยชิน ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนรู้จักบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ขึ้นทำเนียบหนุ่มหล่อประจำมหาวิทยาลัย ผมเติมคำพูดต่อด้วยความเป็นธรรมชาติ และแนะนำตัวด้วยร้อยยิ้มที่ ผู้ชายน้อยใหญ่ต่างก็เสร็จผมทุกราย

“อ้อ คุณไอซ์ ผมนึกว่าคุณเฟรม เขาชอบมากับแฟนบ่อยๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันนะครับว่า ทำไมวันนี้มาคนเดียว แถมมาทักผมด้วย! เลยแอบตกใจนิดหน่อยครับ” เสียงหวานที่พูดเนิบนาบทำให้ชายคนนี้มีเสน่ห์มากไปอีก เขาเป็นคนสุภาพมากกว่าที่คิด และเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าคนที่ทำงานแต่ในครัวทั่วไป (ใช่ครับ ผมอ้างอิงจากพี่จินไห่ คนนั้นนั่นล่ะ)

“อ้าวรู้จักพี่ชายผมด้วย!” ผมแสดงสีหน้าแปลกใจออกไป เพราะดูจากท่าทางของเชฟหนุ่มนี่สงสัยคงแอบชอบพี่ชายผมแน่นอน แต่เสียใจด้วยนะ คนนั้นมันชอบชะนีครับ นั่นแปลว่าอย่างผมก็มีลุ้น!

“ใครจะไม่รู้จักล่ะครับ ก็ลูกค้าประจำที่นี่ครับ ……..แล้วก็…. เคยคุยกัน……….บ้าง……  แล้วก็ที่สำคัญ!!” สีหน้าหนุ่มหน้าใสเหมือนคิดได้ว่าหลุดปากเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา แล้วก็เฉไฉไปเรื่องอื่น เขาก้มตัวลงไปค้นอะไรสักอย่างหลังจากพูดจบ

“อะไรครับ?” ผมเอ่ยทักพร้อมพยายามก้มมองว่สคนฝั่งตรงข้ามตู้กระจกนั้นทำอะไร

เพียงชั่วครู่เชฟหนุ่มก็เฉลย โดยการยกเสี้ยวเค้กสีสดใสใส่จานขนาดพอดีกับชิ้นเค้กยื่นให้

“อภินันทนาการจากทางร้านครับ” เชฟหนุ่มยิ้มหวาน

“เอ่อ……” ผมมองสีของเค้กก็ทำให้แสบคอเสียแล้ว น่าจะหวานมาก เค้กที่เคลือบไปด้วยน้ำเชื่อมสีสดมันวาวสะท้อนแสงสีส้มในร้านสวยงามกำลังสะท้อนอยู่เต็มสองดวงตาของผม ผมไม่ค่อยถูกกับของหวานแบบนี้ก็เลยยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

‘ไม่รับเขาจะเสียใจไหมวะ’ ผมคิด

“เค้กนี้เป็นของใหม่เลยนะครับ เอ่อ…. ทางร้านทดลองทำดู มีคนบอกผมว่าคุณเป็นเซียนขนมหวานเลย น่าจะวิจารณ์ได้ดี ถือว่าช่วยผมนะๆๆๆ” เชฟหนุ่มทำหน้าตาและส่งเสียงอ้อน ที่ใครเห็นก็ต้องตอบตกลงทั้งนั้น ส่วนผมเองก็เช่นกัน แค่เห็นอีกฝ่ายพูดคุยสนิทสนมด้วยแบบนี้ก็อยากจะแนบสนิทชิดเนื้อเสียแล้ว

แค่คิดว่า ใครว่ะ ที่พูด!! ถึงผมจะมาตามร้านคาเฟ่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ชอบกินขนมหวานนะ หนุ่มๆ ต่างหากที่ผมอยากกิน!

“ได้ครับ แต่มีข้อแม้ ผมอยากรู้ชื่อเล่นหน่อยน่ะครับ”
ผมยื่นมือไปรับด้วยร้อยยิ้ม เพราะข้อมูลนี้ไม่มีใครเคยรู้นอกจากเจ้าของร้าน!!

“นึกว่าอะไร? แค่นี่เอง ผมชื่อ กรณ์ ครับ” อีกฝ่ายฉีกยิ้มตาตี่

“อ้าว! ก็เหมือนชื่อจริงสิ อย่างนี้ผมก็เสียเปรียบสิ!!” ผมยื่นมือไปรับจานเค้กพร้อมแอบสัมผัสผิวมือที่หนุ่มกว่าที่คิด เชฟก็ไม่ได้มีปฎิกิริยาปฏิเสธ แถมยังยิ้มหวานกลับมาอีก ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปทำงานในครัวต่อ

ผมเดินหันหลังกลับไปหาที่นั่งอย่างอารมณ์ดีพร้อมเค้กในมือ พร้อมสั่งเครื่องดื่ม อเมริกาโนเย็น ไม่หวานมาทานคู่กับเค้ก โดยคาดหวังว่าความขมของกาแฟจะทำให้ความหวานลดลงบ้าง….

แต่ผมคิดผิด…..

แต่คงต้องพยายามกินให้หมดเพราะกรณ์ เชฟหนุ่มเดินมาแอบมองอยู่เป็นระยะๆ

“เป็นไง? สูตรนี้กูช่วยคิดเลยนะ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังพยายามขยับก้อนความหวานแสบคอลงผ่านลำคอไปด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความอร่อยเหลือล้น

“หา! ว่าไงนะ? แล้วนี่มาได้ยังไงเนี่ย!?!” หันไปเจอชายกลางคนตัวเล็กในชุดเครื่องแบบของร้าน ที่ขัดกับอายุพอควร

“ก็นี่มันร้านกู!! แล้วเป็นไงบ้าง ไอ้เค้กนั่นน่ะ อร่อยใช่ไหม?” พูดจบนีโน่ก็ยิ้มกว้าง

“……..” จริงๆ แล้วหูผมดับหลังจากที่ได้ยินประโยคแรกแล้ว ผมได้แต่คิดว่า มีที่ไหนที่ไม่ใช่กิจการของมันบ้างเนี่ย!

“เฮ้ย! ผู้ใหญ่ถามน่ะก็หัดตอบบ้าง” คนตัวเล็กไม่ถามเปล่าเขาก้าวมานั่งฝั่งตรงข้ามผมทันที

“เอ่อ……ก็…..อร่อย” ผมมี่พยายามพยามส่ายตาไปรอบร้าน เพื่อหาผู้ทำเค้กที่หวานแสบไส้นี่ หลังจากที่ไม่เจอในจอเรดาร์ ผมจึงตอบไอ้คนที่ขยั้นขยอจะเอาคำตอบจากผมอยู่ที่ด้านหน้า

“เฮ้ย! จริงดิ!” นีโน่พูดพร้อมคว้าช้อนจากมือผมไปตักเค้กหลากสีตรงหน้าเข้าปาก

“หืม!!!” คนตัวเล็กทำสีหน้าที่ทำให้ผมหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นไงล่ะ อร่อยไหม?” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายชูมือเพื่อให้ลูกน้องในร้านหาน้ำให้ดื่มด้วยหน้าตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เป็นไงครับ?” คนที่นำน้ำมาให้คือเชฟขาวหล่อคนนั้น กรณ์ถามพร้อมรอยยิ้มที่ขบขันอีกฝ่ายไม่แพ้ผม

“ทำไมไม่เตือนกันก่อนว่ารสชาติมันแย่แบบนี้!” ชายตัวเล็กที่ดูน่าแกงเพราะพยายามกลืนเค้กที่รสชาติเหมือนน้ำอ้อยทั้งสวนมาอยู่ในคำเดียว

“ผมเตือนแล้วพี่ฟังที่ไหน พี่จะชอบหวานก็ให้มีขอบเขตหน่อยนะครับ มันไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลและน้ำผึ้งในคราวละมากๆ ระดับนี้เลยนะ ไหนจะไอ้พวกสารให้ความหวานสารพัดสีนี่อีก!!” เชฟหนุ่มพูดไปหัวเราะไป เป็นคนที่สามารถทำให้ทั้งร้านยิ้มตามได้ทั้งบริเวณจริงๆ

“อย่าบอกนะว่า พี่จะแกล้งผม!” ผมหันไปหาคนที่กึ่งๆ จะหน้าแดงเพราะตอนนี้ตกเป็นเป้าสายตา ถึงมันจะดูขัดตากับภาพนักเลงของไอ้พี่โน่ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นภาพที่ไม่เลว

“ป่าวหรอกครับ สูตรนี้พี่เขาอยากทำให้ใครสักคนลองกินเย็นนี้ผมก็เลยลองเอามาให้กินเสียเลย” เชฟหนุ่มพูดพลางมองเจ้าของร้านตัวเล็กด้วยสายตาขี้แกล้ง

“อ้าวนี่!! คุณกรณ์แกล้งผมเหรอ แหม!! อย่างนี้ต้องชดเชยนะครับ” ผมรีบทำแต้มทันที ผมเองก็ไม่รู้ว่าบทสนทนาเมื่อครู่นี่มันคืออะไรนะ แต่ก็ต้องรีบทำแต้มไว้ก่อน

“ไม่มีอะไรทำรึไง!” นีโน่พูดสวนขึ้นมาเสียงเรียบ มองหน้ากรณ์ด้วยตาดุดัน

“มีครับ งั้นขอตัวนะครับ” กรณ์โบกมือและวิ่งเหยาะเข้าหลังร้านไปด้วยท่าทางน่ารัก ผมอดที่จะจ้องมองส่งเชฟหล่อไปจนลับตา

“อะไรเนี่ย กันซีนชะมัด!” ผมหันมาค้อนใส่ไอ้คนตัวเล็กที่จ้องเขม็งมาเหมือนหมาหวงก้าง และไร้คำพูด

“อย่ามาหวงไปหน่อย คิดจะจ้องกินเด็กในสังกัดอีกกี่คนกันวะ คราวพี่ไห่ก็คน คราวนี้ก็คุณกรณ์อีก แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ ยังไงผมก็จะเอาให้ได้!!” ผมพูดต่อโดยท้าทายต่อสายตาเข้มๆคู่นั่น

“มึงควรจะกลัว เพราะนั่น ลูกพี่ลูกน้องกู!!” ประโยคสั้นๆ แต่ทรงพลัง ทำให้เข้าใจความสนิทของทั้งสองคนแต่… ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจากสายตาคนตรงข้ามนี่คืออะไร และไอ้เค้กเลี่ยนๆนี่อีก

“……..งั้น….ขอไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมคิดแผนบางอย่างออกจึงรีบขอตัวชิ่งจากตรงนี้ดีกว่า ในเมื่อไอ้เตี้ยญาติผู้ใหญ่นั่งอยู่แบบนี้คงจะปฏิบัติการจีบตรงนี้ไม่ได้

ผมแสร้งว่าปลีกตัวมาห้องน้ำที่ต้องเดินออกไปอีกอาคารหนึ่งไม่ไกลโดยมีระเบียบงทางเดินแคบๆ เชื่อมอยู่ให้พอเดินไปมาได้เต็มที่ก็สองคน

ระหว่างเดินสายตาเหยี่ยวของผมก็จับจ้องสอดส่องไปทั่วบริเวณเพื่อหาช่องทางลัดเลาะเข้าท้ายครัว ในเมื่อทัพหน้ามีแม่ทัพใหญ่อย่างนีโน่ขวางทางอยู่ ผมก็คงต้องบุกเข้าท่งทวารหลังแล้วล่ะ คิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกวาบวามในใจจนคึกคักขึ้นมา

ทันใดนั้นสายตาที่ดีบวกดวงอภิชาตบุตรอย่างผม ทำให้เห็นคนที่ผมหมายตาเดินย่องออกมาทางหลังร้านที่มีรถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ ไม่รอช้าผมรีบหาทางลัดเลาะเพื่อไปให้ถึงจุดหมายโดยพลัน

ทันทีที่ไปถึงจุดที่เชพหนุ่มยืนอยู่ ผมก็ต้องเจอภาพที่ต้องตกตลึงจนอธิบายไม่ถูก เพราะเชพหนุ่มในตอนนี้กลายสภาพเป็นโรงงานยาสูบพ่นควันฉุยจนแทบจะหมดราศี

ผมไม่ชอบคนสูบบุหรี่ครับ มันเลยเป็นภาพที่ขัดตาเสียจนมองคนตรงหน้าถูกลดความหล่อไปกว่าครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า หนุ่มหน้าใสแบบนี้ และยิ่งเป็นเชพขนมหวานแบบนี้จะเป็นสิงห์อมควันแบบนี้

“อุ้ย!” เชพกรณ์ที่เหมือนเพิ่งจะเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมาเจอเขาในสภาพที่ไม่น่ามองแบบนี้จึงมีอาการขวัญเสียอย่างมากจนทำบุหรี่ที่คีบอยู่หลุดมือลงพื้น แต่ควันเหล่านั้นก็ยังคงพวยพุ่งอยู่จนผมมีอาการจะสำลักควันเลย

“ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายลนลานจนรีบใช้เท้าขยี้บุหรี่มวนที่ตกอยู่ที่พื้นจนควันจางหายไป

“น้อง…น้องไอซ์ อย่าบอกใครเลยนะ โดยเฉพาะ….พี่โน่น่ะ” เชฟกรณ์กล่าวลนลานพร้อมพยายามปัดเสื้อผ้าหมายจะให้กลิ่นมันบรรเทาลงไปจากเสื้อผ้าบ้าง (ซึ่งมันไม่จริงเลย)

“นี่เชฟติด….หรือครับ?” ผมถามด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าหนุ่มหน้าใสคนนี้จะขอบอะไรแบบนี้

“ก็พยายามเลิกอยู่นะ นี่ก็สูบน้อยลงแล้วนะ เหลือวันละมวน”

“เหลือแค่วันละมวนก็เลิกเถอะครับ” ผมสวนกลับไป รู้สึกมองคนตรงหน้าดีขึ้นมาหน่อย

“ก็พยายามอยู่นะ คือผมประหม่าเวลาเจอคนเยอะๆ น่ะ ก็เลือกมาเป็นเชพเพราะพอจะมีฝีมือทำขนมอยู่บ้าง”

“ไม่บ้างแล้วนะผมว่า คนติดใจมากินกันเยอะขนาดนี้”

“ก็นั่นน่ะสิ! ก็เลยต้องสูดให้หายเครียดเสียหน่อย”

“แล้วหายเครียดไหม?”

“………..” อีกฝ่ายทำท่าคิด คิ้วขมวดเหมือนจะผูกเป็นปมเข้าหากันได้

“แปลว่าไม่สินะครับ” ผมผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าแบบนั้น

“รู้สึกผิดมากกว่าน่ะ ว่าแต่อย่าไปบอกพี่โน่นะ ไม่งั้นผมโดนดุแย่เลย”  สีหน้าตอนพูดของเชฟกรณ์เหมือนเด็กที่แอบทำความผิดที่กลัวพ่อแม่จับได้

“เอ่อ….ขอถามหน่อยนะ คุณกรณ์เป็นอะไรกับพี่โน่น่ะ” ผมพยักหน้าก่อนจะเริ่มต้นคำถามต่อไป

“เฮ้ยๆๆ พูดด้วยน้ำเสียงหวาดเสียวแบบนั้นเดี๋ยวผมก็โดนฟ้าผ่าพอดี!! เขาเป็นลูกชายของป้าน่ะครับ ก็ลูกพี่ลูกน้องนั่นแหละ” โอเคข้อมูลตรงกัน ผมคิด ยิ่งเห็นท่าทางแหยงของอีกฝ่ายยิ่งยืนยันได้ชัดมากขึ้น

“แบบนี้ผมก็มีสิทธิ์สิเนอะ” ผมขยิบตาให้และส่งยิ้มเสน่ห์ไปให้

“โหยยย อย่าเลยครับ ผมยังไม่อยากตาย” เป็นอีกครั้งที่คนหล่อตรงหน้าแสดงสีหน้าแหยงใส่ผม แต่ก็ยังน่ารักอยู่

“หมายความไงครับ?” ผมเผยสีหน้างงงวยกับคำตอบของอีกฝ่าย

“ก็ผมเคยเล็งคนเดียวกับเฮียโน่ ผมโดนซ้อมเกือบตาย……อ่า…… ผมไม่ควรพูดสินะ” เชฟกรณ์พูดจบประโยคแรกจบก็ทำท่าทางตกใจ ตาเบิกโพลงยกมือขึ้นปิดปาก และจบด้วยพูดประโยคสุดท้ายเสียงอ่อน

“อะไรนะครับ ถ้าจะเล่นมุกแบบนี้ก็แรงไปนะครับ!!” คนที่ตกใจกว่าน่าจะเป็นผมนะ ถึงจะคิดว่าล้อเล่นแต่ก็ทำให้คลื่นหัวใจผมสั่นกระเพื่อมขึ้นมาอย่างรุนแรงมาจังหวะหนึ่ง

“อืม…… เอาวะ เห็นแล้วก็ไม่สมกับเป็นเฮียโน่เลย! น้องไม่สงสัยเหรอว่าเฮียโน่เขาจะมาทำเค้กกับผมทำไม? ไอ้คนเกลียดของหวานเข้าไส้แบบนั้น ก็เขาคิดว่าน้องชอบกินไง!!”  เชฟหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนเฉลย

“ใครบอกว่าผมชอบ มันคิดจะแกล้งผมล่ะมากกว่า ที่ผมชอบมาก็เพราะว่าที่นี่คนหน้าตาดีให้สอยเยอะต่างหาก” ใช่ครับที่ผมมาบ่อยเพราะคนครับไม่ใช่ขนม

“ถึงจะอย่างนั้น เฮียก็ตั้งใจทำเลยนะ มันมาให้ผมสอนทุกวันเลย ไอ้คนที่ไม่คิดแม้แต่จะชิมของหวานได้แต่คิดว่าทดลองใส่โน่นนี่แล้วมันจะอร่อยนี่ ผมล่ะหมดความอดทนเลย ไอ้คนไม่เคารพขนมหวานแบบนั้น!” เชฟกรณ์พูดประโยคจบท้ายด้วยความโมโห

“……..เอ่อ….. ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? ผมออกจะไม่ถูกกับมันขนาดนั่นเนี่ยนะ คนอย่างมันจะมาชอบผมได้ไง?”

“ไม่รู้ครับ ผมรู้สึกแบบนั่นจริงๆ ลองนึกดูเอาเองก็แล้วกันว่ามันมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ เฮียเขาเปลี่ยนไป จากร้ายเป็นรักน่ะ” ผมฟังเชฟหน้าใสพูดแล้วรู้สึกเวียนหัว ถึงจะมีบางส่วนในจิตใจรู้สึกลิงโลด แต่มันก็แฝงไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ไอ้พี่โน่มันแค่ต้องการกันซีนผมกับคุณเชฟนี่หรือเปล่า?

“ไม่รู้แหละครับ ช่วยไปบอกไอ้เฮียด้วยว่า เลิกมายุ่งกับครัวของผมเสียที!! บอกไปเลยว่า น้องไม่ขอบขนมหวาน!!”  เชพหนุ่มชี้กลับไปที่ร้านคาเฟ่ที่มีคนแน่นขนัด

ผมมองเข้าไปในร้านผ่านช่องกระจกที่ประตูห้องครัวที่สามารถมองทะลุไปที่ฝั่งหน้าร้าน ก็เห็นไอ้นักเลงไซส์เอส เดินไปมาในร้านเหมือนมองหาอะไรด้วยสีหน้าเป็นห่วง สีหน้าแบบนั้นทำให้ผมหวนกลับไปนึกถึงครั้งแรกที่สายตาของคนตรงนั้นแปรเปลี่ยนไป วันสุดท้ายที่รีสอร์ตเกาะช้าง!

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 10) 21 ม.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-01-2022 17:08:24

หลังจากขับรถยนต์คันหรูของบ้านเดินทางไปทั่วเมือง สุดท้ายผมก็หมดอารมณ์จะไปไหนทั้งสิ้น (เพราะจะไปไหนก็คงไม่พ้นหูพ้นตาของคนมีอิทธิพลอย่างมัน แต่ก็แปลกที่ผมเองก็ไม่เจอพี่ชายผมเลย) ที่หมายสุดท้ายคือ บ้าน

สิ่งแรกที่ผมเห็นในบ้านรถยนต์ยี่ห้อญี่ปุ่นคันเก่า ของไอ้ต้นกล้าจอดอยู่ที่บ้าน และเสียงโหวกเหวกจากทางสวนหลังบ้าน

หลังจากเดินไปถึงต้นเสียง สิ่งที่คาดไว้ตั้งแต่เห็นรถไอ้ต้นกล้าก็คือ ขวดเบียร์ กองพะเนินและคนขี้เมาสองคนที่คุ้นตา

ไอ้คนที่หน้าตาเหมือนผมยังกะแกะกับไอ้เพื่อนสนิทของมันต้นกล้า ที่น่าจะดื่มเบียร์ตรงหน้าไปเกินครึ่งลัง

“กูก็นึกว่าพวกมึงไปไหน?” ผมทักขึ้นทันทีที่ถึงโต๊ะริมสวนสวยของบ้านที่เปิดโล่งเป็นสนามหญ้าและแผ่นหินอ่อนที่ปูเรียบคล้ายตารางหมารุกบวกรวมกับการจัดสวนแบบอังกฤษ ที่แม่ผมชื่นชอบ ทุกอย่างสวยลงตัวหมดยกเว้นไอ้ขี้เมาสองตัวนี่

“……..” ไอ้เฟรมแฝดพี่ของผมมันจ้องหน้าผมเขม็งและตอบด้วยการชูแก้วมาทางผมและยกดื่มน้ำสีอำพันฟองฟู่เต็มแก้วลงคอจนหมดตามด้วยเสียงเรอดังลั่น

“ใครเอาเหล้าให้มันกินขนาดนี้วะ!! นี่พวกมึงแข่งกินเบียร์กันรึไง?” ผมนั่งลง หันไปถามไอ้เพื่อนสนิทมัน พร้อมหยิบแก้วว่างที่วางอยู่แถวนั้นมารินเบียร์ลงแก้วจนเต็มโดยไม่ต้องรอให้ใครชวน

“เดี๋ยวค่อยคุยได้ไหม? ช่วยกูห้ามมันก่อน ไม่ใช่ลงมานั่งกินด้วยแบบนี้!” ไอ้ต้นกล้าโยกแก้วของผมและพี่ชายออกห่างจากตัว

“หนึ่งนะ นี่มันบ้านพวกกู พวกกูจะเมาเหมือนหมาก็ไม่เป็นไร สอง มึงก็แดกเบียร์เหมือนกันไม่ใช่เรอะดังนั้นมึงไม่มีสิทธิ์มาห้ามพวกกู!!” ผมดึงแก้วเหล้ากลับบวกทำตาขวางใส่ พี่ชายผมก็ไม่ต่างกันเพียงแค่มีสายตาเชื่อมด้วยน้ำเมาที่กินเข้าไปมากกว่าทุกที

“เออ! เรื่องนั้นกูรู้ แต่มึงเคยเห็นมันเมาเป็นหมาแบบนี้ไหม? เด็กดีอย่างไอ้เฟรมน่ะ มันเคยทำแบบนี้ที่ไหน?!?! แม่ง!! มึงก็อีกคน พูดเหมือนกันหมด!” ไอ้ต้นกล้าดูเหมือนจะไม่กล้ายุ่งกับแก้วของพวกผมแล้ว ผมทำได้แต่ทำท่าทางหงุดหงิดใส่เหมือนยอมแพ้กับความดื้อดึงตรงหน้า

“พวกกูไม่รู้นะ ว่าพวกมึง ไปโดนอะไรตัวไหนมาถึงได้เป็นขนาดนี้ แต่ว่านะปล่อยมันไปเถอะ เขื่อกู พอวันพรุ่งนี้มันตื่นมา ด้วยสิ่งที่มันจะเจอรับรองมันไม่กล้ายุ่งกับเหล้าเบียร์ขนาดนี้อีกแน่นอน!” ผมพูดพร้อมรินเบียร์ใส่แก้วให้เต็มใหม่อีกครั้ง

“เฮ้อ!! แล้วแต่พวกมึงแล้ว!!” พูดจบไอ้ต้นหล้ามันก็กรอกเหล้าเข้าปากไปหลายอึก เหมือนจะประชดและจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมาไปพร้อมกันให้หมดเลย

“เดี๋ยวนะ!! แล้วที่มึงว่า ใครพูดเหมือนกันหมด!!!??” ผมเหมือนเพิ่งจะสะดุดกับประโยคจึงเอ่ยถามไอ้ต้นกล้า แต่ไม่นานก็ได้รับคำตอบ

ชายร่างเล็กถือถาดขนาดใหญ่กว่าความกว้างช่วงไหล่ของเขาเดินมาจากด้านในของบ้าน ตอนนี้พี่โน่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบลำลองแล้ว เสื้อยืดสีขาวแขนสั้นเนื้อผ้าบางแนบลำตัวจนเกือบจะเห็นตุ่มเนื้อสีน้ำตาลอ่อนนูนเด่น บวกกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าแบบนักกีฬา ทำให้คนที่ถือถาดพร้อมอาหารบนนั่นดูอายุเด็กลงไปอีกโข หากมองไกล ๆ ก็เหมือนจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่มากกกว่าผู้ปกครอง

“เอ้า!! แดกอะไรเสียบ้าง เดี๋ยวพวกมึงได้เมาตายห่า!!” ชายร่างเล็กพูดเสียงเข้มพร้อมวางอาหารบนโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมา อาหารที่เหมือนจะเพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ส่งกลิ่นและไอร้อนหอมไปทั่วบริเวณ

ผมอยากจะตะโกนสวนไปว่าไม่ทันแล้วพลางมองไอ้พี่ชายฝาแฝดที่มีในหน้าไม่ต่างอะไรกับผิวมะเขือเทศสุกสดใหม่

เหมือนผู้ปกครองตัวเล็กจะส่ายตามองไปตามสายตาของผม เขาถอนหายใจแสดงสีหน้าเห็นด้วยโดยไม้ต้องพูดออกมาก็เข้าใจกัน ผมดันไปสบตากับมันและผ่อนลมหายใจออกพร้อมกัน แล้วอาการกระอักกระอ่วนก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แต่โชคดีที่มีคนไม่อ่านกระแสอากาศบริเวณนั้นพูดแทรกขึ้นมา

“โอโห!! โคตรน่ากิน พี่โน่ทำเองหมดเลยเหรอ!!?” ไอ้ต้นกล้าแสดงความสนิทสนมที่เกินเบอร์ พวกมึงสองคนไปสนิทกันตอนไหนมิทราบ

แต่อย่างน้อยผมก็หายใจออกอย่างโล่งอกที่เป็นแบบนี้ ขืนต้องกระอักกระอ่วนอยู่กับไอ้พี่โน่สองคนนี่คงลำบากใจ เพราะดันไปรู้เรื่องแปลกๆ เข้า แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่เชฟกรณ์สุดหล่อเล่าอะไรให้พี่โน่ฟังบ้าง

“อืม ทำเองหมดแหละ ปกติก็ชอบทำอาหารอยู่แล้ว พวกมึงคิดว่าใครสอนน้องไห่ทำอาหารไทยล่ะ กูนี่ระดับอาจารย์!!” ได้ทีไอ้นักเลงโตรีบคุยโว

ผมได้แต่แอบเบะปากและตักเอาต้มยำไก่เข้าปากพร้อมน้ำซุปสีร้อนแรงเข้าปาก ภายใต้สายตายิ้มเยาะของไอ้คนทำอาหารทั้งหมด

“อร่อย!” ผมอุทานอย่างไม่ตั้งใจหลังจากที่เอาสิ่งนั่นเข้าปาก

นีโน่ยิ้มอย่างพอใจ พร้อมกับไอ้ต้นกล้าที่รีบเอาถ้วยแบ่งตักออกมาวางไว้ให้ไอ้พี่ชายขี้เมาของผมกินเผื่อว่าจะอาการดีขึ้น

แต่ไอ้เฟรมก็ทำได้แค่มองถ้วยแบ่งด้วยน้ำตาคลอและกรอกเบียร์เข้าปากอีกรอบ

“พี่ชายมึงเป็นอะไรเนี่ย?” ผู้ปกครองจำเป็นเอ่ยถามผม

“ไม่รู้… ปกติเดี๋ยวมันก็เล่าให้ผมฟังเองแหละ ผมก็เลยรอเวลานั้นดีกว่า หากมันไม่อยากเล่ามันก็จะไม่เล่าเด็ดขาด” ผมตอบพร้อมมองไปทางพี่ชายที่เหมือนเครื่องจักรสูบเบียร์ ได้แต่คิดสงสารมันตอนเช้า มันคงจะแฮ้งค์น่าดู

“แล้วมึงล่ะเป็นอะไร หนีกูเพื่ออะไร ตอนกลางวัน” และแล้วก็เจอคำถามเงินล้าน ผมอุตส่าห์เลี่ยงมาโดยตลอด ผมไม่คิดว่าทันจะถามตรงกลางวงเพื่อนผมแบบนี้

ไอ้เฟรมเมาหนักมากตัดไป ส่วนไอ้ต้นกล้าขี้เผือกหันมามองผมสลับกับพี่โน่ไปมา ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยตำถามอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเสียงพูดของไอ้ตี๋ตัวเตี้ยที่หันมามองผมตาเยิ้ม (ผมแน่ใจว่ามันไม่เมา ตั้งแต่รู้จักไอ้เตี้ยนี่มาผมไม่เคยเห็นมันเมาเลย)

ผมจ้องมันกลับและส่งความคิดในใจกลับไปที่มันว่า ‘อย่าเสือก!’  ไอ้ต้นกล้าเหมือนจะเข้าใจ มันหันไปหาพี่ชายผมทันทีและทำทีว่าห้ามปรามฝ่ายนั้นไม่ให้ดื่มเพิ่ม ซึ่งเหมือนจะไม่ได้ผล ทำได้เพียงดื่มตามมันไปเพราะปวดหัวกับภาพตรงหน้า

ส่วนผมนั้นนอกจากจะปวดหัวกับพี่ชายฝาแฝดที่ไม่รู้มันเป็นอะไร ยังต้องมาปวดหัวไอ้คนที่ดูห่วงผมจนผมไม่ชินแบบนี้ จะบอกว่าแม่ฝากมันไว้ แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะสนใจไอ้เฟรมเท่าไหร่

“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ” นีโน่ถามย้ำเหมือนต้องการคำตอบให้ได้

“ไม่มีอะไร” ผมตอบพร้อมยกแก้วเบียร์รินของเหลวสีอำพันเข้าปากจนก้นแก้วชี้ฟ้า

“ไม่มีอะไร? มึงออกจากร้านแล้วไม่คิดจะบอกกู!!” ผู้ปกครองจำเป็นเริ่มมีอาการเสียงแข็ง

“ฟังนะ ผมไม่ได้นัดกับ ‘มึง’ ไงครับ จะไปไหนก็เรื่องของผมไหม?” ผมพยายามสุภาพกับคนตรงหน้าที่สุดแล้วครับ เพื่อแม่ อย่างน้อยมันก็เพื่อนแม่

“……….” ไอ้คนเสียงกร้าวเมื่อครู่เหมือนจะมีสีหน้าแปรปรวนเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกระดกแก้วเบียร์ที่เต็มจนล้นปล่อยให้ของเหลวไหลเจ้าปากจนหมดอย่างรวดเร็วราวกลืนทั้งหมดนั้นในอึกเดียว

คนตัวเล็กกระแทกก้นแก้วลงบนโต๊ะสนามสีขาวดังลั่น ส่วนผมที่ทึ่งกับความรวดเร็วในการดื่มนั่นยังคงจับจ้องที่แก้วเปล่านั้นอยู่ ไม่นานของเหลวสีอำพันโป๊ะด้วยฟองนุ่มก็เติมลงในแก้วนั้นจนล้น โดยไอ้เพื่อนผู้ไม่เคยดูกาลเทศะใดๆ

เสียงปรบมือของไอ้ต้นกล้าดังลั่นสวน (มันน่าจะเริ่มเมาแล้ว)

“โหย… พี่!! สุดยอดไปเลย ผมว่าแน่แล้วนะ ผมยอมพี่เลยว่ะ!!” ไอ้ต้นน้ำทำท่าคาราวะแบบคนจีน โดยเอากำปั้นประทับลงกลางฝ่ามือที่กลางอก พร้อมนอบน้อมตัวโค้งลงต่ำ

“มึงน่ะอ่อนสุดไอ้กล้า” ผมรู้สึกขอบคุณมันอยู่เหมือนกันที่ช่วยผมหาทางเบี่ยงเบนประเด็นที่ทำให้ตัวเองสับสนหัวใจ

“สัด! หรือมึงจะลอง!!” ไอ้ต้นกล้าหันมาท้าทายทันที

“สองคนมันจะสนุกอะไร?” ผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนอกจากจะไม่ห้ามแล้ว ยังจะเสริมการท้าทายไปอีก

“กูไม่มีอารมณ์จะมาเมาค้างวันพรุ่งนี้หรอกนะ!!” วันนี้ผมยังไม่ได้ปลดปล่อยเลย พรุ่งผมต้องพร้อม!! ไม่ใช่เอาเวลามาปวดหัวเพราะอาการเมาค้าง! ผมคิดไว้อย่างนี้เลยรีบหาทางปฏิเสธ

“อ้าว!! ไอ้เชี้ย! ป๊อด เก่งแต่ปากนี่หว่า !!” ไอ้ต้นกล้าผู้คออ่อนที่สุดในกลุ่ม แต่มันคือผู้มั่นหน้าที่สุดในกลุ่มไม่เคยเปลี่ยน ไอ้เกรียนนี่มันรู้จุดอ่อนเพื่อนอย่างผมดี ผมไม่ชอบถูกท้าทาย โดยเฉพาะจากไอ้อ่อนอย่างมัน!

“มึงหาเรื่องเองนะ ไปเอาเบียร์มาเพิ่มเลย กูว่าลังนี่ไม่พอหรอก ใครเมาน็อคก่อนแพ้!!” ผมสั่งให้มันไปเอาเบียร์จากในบ้านมาเพิ่มเพื่อการแข่งขัน แต่สุดท้ายคุณลุงตัวเล็กก็อาสาไปเอา และกลับมาด้วยจำนวนที่มากกว่าที่คิด (ยกมาคนเดียวสองลังมันจะแข็งแรงไปหรือเปล่าวะ! แล้วบ้านเรามีเบียร์เยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?)

ผ่านไปเพียงสามแก้ว การท้าทายด้วยการดื่มรวดเดียวหมดแก้วก็จบลงด้วยไอ้ต้นกล้าที่ฟุบหน้าลงที่ท่อนแขนสีแทนของมัน พร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ‘กูขอพักเดี๋ยว’ ซึ่งก็ไม่ได้เดี๋ยวอย่างที่มันว่า เพราะมันเงียบหายไปเลย (นี่ขนาดผมต่อให้ตลอดการประลองโดยการดื่มเพิ่มไปล่วงหน้าก่อนการแข่งขันไปหนึ่งขวดใหญ่รวดเดียวนะ)

สุดท้ายผมกับพี่โน่ก็ต่างมองหน้ากันเป็นการเข้าใจว่าไอ้ต้นหล้ามันร่วงไปแล้ว

ในขณะเดียวกัน คู่ซี้ของมันก็หลับคาเก้าอี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมมองพี่ชายฝาแฝดตัวเองพร้อมส่ายหน้าอย่างระอาและสงสารในทีเดียวเพราะผมรู้ว่าพรุ่งนี้ ไอ้สองคนนี้มันได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่นอน

ส่วนตัวผมเองแม้จะยังครองสติได้อยู่ แต่ก็ดูเหมือนมันจะเลือนลางอยู่ไม่น้อย อาจเพราะห่างหายจากการดื่มหนักแบบนี้มานานในช่วงปลายภาคเรียนที่ผ่านมา

ในขณะที่ผมตัดใจว่าจะปล่อยให้ไอ้พวกไม่เจียมสองคนนี้นอนเป็นอาหารยุงอยู่ตรงสวนนี้ คนที่ดื่มไม่ต่างจากผมได้ลุกขึ้นและพาวัยรุ่นสองคนที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขาเข้าไปในตัวบ้านด้วยพละกำลังที่ผมยังทึ่งเพราะ เหมือนเขาจะยังคงมีสติและแรงสมบูรณ์อยู่
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 11) 28 ม.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-01-2022 13:35:20

“เมาแล้วสิมึง!” ขนาดแบกคนตัวโตกว่าตั้งสองรอบเข้าบ้านมันยังสามารถมาปากสุนัขใส่ผมได้นี่สุดยอด

ผมที่กำลังกินลมชมวิว และจิบเบียร์อย่างสุนทรียะ ในความเงียบกลับต้องมาอารมณ์เสียเพราะไอ้เตี้ยนี่ ผมนึกว่ามันไม่กลับมาแล้วเสียอีกหลังจากหายไปจากสายตาหลายนาที

“แค่นี้ยังสบายๆ อยู่เลย!” ผมตอบสวนกลับไปด้วยความหมั่นไส้ไอ้คนมันยืนยิ้มค้ำหัวผมอยู่

“งั้นต่อกันเลยไหม ยังไม่ได้ที่หนึ่งเลย!!” ไอ้คนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกกล่าวอย่างกระตือรือร้น

อย่างที่บอก! อย่ามาท้าทาย

“ก็มาดิครับ กลัวอะไร!!” ผมตอบไปทั้งๆ ที่รู้ว่า หากดื่มต่ออีกสองแก้วผมอาจจะน็อคได้ ผมรู้ข้อจำกัดของตัวเอง แต่พอมาเจอท้าทายแบบนี้ ด้วยสติที่เหลืออยู่น้อยเพราะจำนวนความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ทำให้คำพูดไม่ได้กลั่นกรองอย่างใจนึกคิดไว้

แล้วสติผมก็หายไปตั้งแต่เบียร์ในแก้วที่สองหมดลง

……….

นีโน่

แก้วที่เท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ ที่ผมนั่งชนแก้วกับไอ้เด็กขาดสัมมาคารวะคนนี้ เด็กวัยรุ่นผมสีน้ำตาลอ่อนทรงอันเดอร์คัทที่ยาวขึ้นจนเกือบจะไม่เป็นทรงอยู่แล้ว โครงหน้าออกไปทางชาวตะวันตก และจมูกที่โด่งทรงสวยนั้นค่อนข้างขัดใจผมพอสมควร มันเหมือนตอกย้ำเกี่ยวกับแผลเก่าที่ไม่สามารถรักคนที่เราคิดว่าเป็นรักแรก สุดท้ายก็ตกเป็นของคนชาติอื่น มันทำให้มองกี่รอบก็ของขึ้น

แต่ดวงตาและริมฝีปากที่ได้จากแม่ของเขานั้นมันทำให้ผมให้อภัยทั้งหมดทั้งมวลที่คิดถึงในตอนแรกได้เสียหมด ดวงตากลมโตได้รูปและเรียวริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูน่าสัมผัสเหล่านั้นมันทำให้ใจเต้นอย่างประหลาด

ผมนั่งมองไอ้เด็กที่ยกแก้วขึ้นดื่มอย่างฝืนๆ ตรงหน้าพลางขบขัน นึกถึงครั้งแรกที่เจอมันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ตั้งแต่ร่างกายยังผอมสูงดูเก้งก้าง ต่างจากปัจจุบันที่มีกล้ามเนื้อและโครงหน้าแบบผู้ใหญมากขึ้น ตอนนี้โดยรวมดูเหมือนคนไทยมากกว่าสมัยเด็กมาก (คงเพราะมาโตที่ไทย) ใบหน้าที่คล้ายกับมารดานั่นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยความเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ที่เจอกันเพราะเรื่องหัวใจ ผมกับมันก็เลยต้องอยู่ต่างขั้วกันไปโดยปริยาย

นับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมองเห็นหน้าของมลทาบติดอยู่บนใบหน้าของไอ้เด็กกวนบาทาคนนี้ ยิ่งตั้งแต่ได้รู้ว่าไอ้ฝาแฝดนี่เป็นลูกของอดีตรักแรก ทุกอย่างก็กระจ่างชัด เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ผมยอมลดราวาศอกกับมันได้ตลอด มิเช่นนั้นมันคงได้นอนจมกองเลือด หยอดน้ำข้าวต้มไปหลายครั้งแล้ว

จนกระทั้งเหตุการณ์ล่าสุดที่ทำให้ผมรู้สึกแปรเปลี่ยนไป ใบหน้าของมล แม่ของไอ้เด็กไอซ์นี่ค่อยจางหายไปจนกลายไปเป็นหน้าของเด็กคนนี้ที่คอยกวนใจผมมาโดยตลอด

วันสุดท้ายที่รีสอร์ต ระหว่างที่ผมกำลังดื่มเหล้าย้อมใจที่ในที่สุดผมก็ตัดใจจากมลได้เสียที เพราะคราวนี้มันชัดเจนยิ่งไปอีกว่า มลไม่ได้รักผมไปมากกว่าเพื่อนเลย และได้สมหวังกับรักแรกของเธอ ในคืนนั้นลูกของเธอก็ได้มาเติมเต็มผม

วันนั้นมันก็เมาเหมือนวันนี้แหละ ใบหน้าที่แดงก่ำและบุคลิกที่ต่างไปทำให้ผมรู้สึกไม่ชิน มันดูเปิดเผย เข้าถึงง่าย และเป็นคนอ่อนโยนกว่าที่เคย

ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องคืนนั้น ไอซ์คนที่ควรจะเว้นระยะห่างอย่างทุกครั้งก็ขยับเข้ามาใกล้

“พอดึกแล้วอากาศเย็นเนอะ?” ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้จนขาแนบกับขา

ลำดับเหตุการณ์แบบเดิมเลย ไอ้เด็กนี่เมาแล้วเลื้อย!!

คำว่า ‘เลื้อย’ ก็ตรงตามคำเลย ไอ้เด็กนี่มันจะตัวอ่อน กระดูกสันหลังจะไม่แข็งแรง โอนเอียงไปตามแรงโน้มถ่วง สุดท้ายก็จะหาหลักที่แข็งแรงมาพาดมาพิงและดื่มเหล้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไอ้หลักที่มาพึ่งพิงก็ผมนี่แหละ

มือไม้ที่อ่อนพวกเปียกยังคงรินน้ำสีอำพันฟองล้นใส่แก้วอย่างต่อเนื่อง กว่าที่เบียร์จะเข้าปากมันก็หกไปกว่าครึ่ง ผมมองด้วยความเสียดายและกลัวว่าเจ้าของบ้านตัวจริงจะมีสีหน้าไม่พอใจหากสวนหลังบ้านที่ตกแต่งแบบอังกฤษจะเต็มไปด้วยกลิ่นของเบียร์เยอรมัน

ที่สำคัญไอ้คนแบบนี้มันไม่ยอมแพ้ มันยังท้าชนกับผมไม่เลิก จนผมต่างหากที่เป็นคนที่ยอมแพ้และสั่งให้มันเลิกดื่มเสียที

“โธ่…อ่อน….. เห็นหรือยังว่ากูน่ะคอแข็งกว่า….มึงเยอะ!” ไอ้คนที่พูดไม่เป็นผู้เป็นคนใช้มือที่ถือแก้วเบียร์เปล่าๆ ชี้หน้า

ผมได้แต่ส่ายหน้าใส่ไอ้คนไม่เจียมตรงหน้า ท้าทายกันยังไม่ถึงครึ่งลัง ไอ้คนที่ผมท้าทายไปก็แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว

“เออๆ กูยอมแพ้ กูไม่ยังไม่อยากฆ่าคนด้วยแอลกอฮอล์!” ผมปัดมือที่ถือแก้วนั่นลงไปวางที่โต๊ะ แล้วจับมันนั่งลงดีๆ

ขณะที่มันกำลังมองผมเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดพื้นที่สวนอยู่นั้น ไอ้เด็กนั่นมันก็จ้องผมไม่วางตา หลังจากที่ผมเก็บขยะไปได้กว่าครึ่ง ผมก็เห็นมันทำท่าเหมือนจะกวักมือเรียกผมทั้งๆ ที่ทรงตัวแทบจะไม่อยู่

“อะไร!” ผมเดินไปตรงหน้ามันเพื่อจะได้ดูอาการใกล้ๆ ผมไม่เคยรู้เรื่องขีดจำกัดของไอ้เด็กนี่ เลยรู้สึกห่วงเล็กๆ

มันไม่ตอบอะไรนอกจากใช้มือที่เกือบไร้เรี่ยวแรงตบที่นั่งข้างๆ เบาๆ อยู่หลายครั้งจนผมยอมลงไปนั่งข้างๆ

ทันทีที่ก้นผมสัมผัสเก้าอี้สวนเย็นเยียบ ศรีษะของไอ้เด็กไอซ์ก็ลดลงมาสัมผัสที่บ่าของผมดังพลั่ก

“เฮ้ย!! เป็นอะไร?” ผมรีบหันไปจับหน้ามันตั้งขึ้นและยืนขึ้นมองมันจากที่สูงกว่า

“ห่วงอ่ะดิ?” หน้าแดงๆของมันยิ้มปริ่มทั้งที่ดวงตาลดเหลือครึ่งดวง

“กวนตีน ใครห่วงมึง!” แต่ในใจผมหลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้ากลับคิดอีกแบบ ‘น่ารัก’

คำๆนี้มันติดอยู่ในใจของผมตั้งแต่คืนนั้นที่รีสอร์ต วงหน้าของคนที่เมาไม่ได้สติ และเสื้อผ้าที่เปียกปอนไปด้วยเหล้า ทำให้ผมเวทนาช่วยถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าของไอ้เด็กนี้ ทำให้ได้สำรวจหลายๆ อย่างทั่วร่าวกายโดยเฉพาะใบหน้า วงหน้าที่ทำให้ผมใจเต้นได้ทุกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล ในคืนนั้นที่ผมนั่งมองวงหน้างามๆ นั้นอยู่นานจนเผลอหลับไปเหมือนกัน

มารู้ตัวทีหลังว่าใบหน้านั้นได้มาจากแม่ของเด็กไอซ์ซึ่งเป็นรักแรกของผม แน่นอนว่าผมเองก็สับสนไม่น้อย ถึงขั้นถอยออกมาเพื่อทบทวนใจตัวเอง แต่หลังจากเหตุการณ์ช่วยเพื่อนให้ได้กันมันก็ชัดเจนขึ้น ผมไม่ได้คิดกับมลเหมือนก่อนแล้ว

ทุกสิ่งที่เรามีให้กันก็แค่ความทรงจำอันแสนวิเศษ และไอ้ความรู้สึกที่ผมมีให้กับไอ้เด็กนี่มาตลอดนี่คืออะไร? ผมถึงได้ตัดสินกลับเข้ามาในชีวิตมันอีกครั้ง โดยไม่ได้ปรึกษาแม่ของเขาที่เป็นเพื่อนผมเลยสักคำ (รอให้แน่ใจก่อนก็ไม่สาย)

แต่แค่เพียงเจอครั้งแรกหลังจากที่หายไปนาน ผมก็แน่ใจได้ทันที ขณะที่คิดผมก็ยืนมองไอ้คนที่นิสัยเปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือด้วยความเอ็นดู ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องปกปิดสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกต่อไอ้เด็กตรงหน้า เพราะพรุ่งนี้เข้า เด็กคนนี้มันก็จำไม่ได้แล้ว

“เฮ้ย!!” ผมตกใจที่อยู่เด็กขี้เมาตรงหน้ายกมือสองข้างขึ้นคว้าเอวผมเข้าไปแนบกับใบหน้าตัวเอง

“ลุงนี่ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ ตัวเล็กๆ แบบนี้สเป็กเลย!!” เด็กขี้เมาหน้าแดงพูดด้วยการลากเสียงจนจบประโยค

หากเป็นปกติผมคงตบมันคว่ำ แต่วันนี้จะลองเปิดใจดูก็แล้วกัน

“ปล่อย” ผมพูดพลางแกะมือที่วนรอบเอวและเกาะติดอย่างกับหนวดปลาหมึก

“อืมมมม ลุงไม่ชอบหรือครับ?” ไอซ์พูดด้วยเสียงสองอย่างน่ารักพร้อมเงยหน้าขึ้นมองตาผม

ดวงตาสีน้ำอ่อนนั่นมันทำให้ผมยอมแพ้และปล่อยทิ้งมือลงข้างลำตัว

“ไม่ใช่ ไม่ชอบ….. แต่พี่ขอเก็บของให้เรียบร้อยก่อนได้ไหม แล้วจะมานั่งดื่มด้วยนะ” ผมพูดพลางทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างลูบศรีษะคนข้างหน้าอย่างแผ่วเบา

ความรู้สึกดีหลายๆ อย่างมันพรั่งพรู ฟูอิ่มเปี่ยมในใจ ยิ่งได้เห็นไอซ์พลิกหน้าแนบไปกับช่วงท้องของผม มันยิ่งทำให้ใจเต้นสั่นและวูบวาบไปทั่วท้อง

“อืมม” คนที่กอดผมอยู่เมื่อครู่ ปล่อยแขน พลิกหน้าและทิ้งตัวไปพิงพนักทางด้านหลังอย่างอ่อนแอ

ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า ไอ้เด็กคนนี้เวลามันเมาไม่ได้สตินี่มันก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ผิดกับยามปกติที่พยายามจะกวนบาทาผมตลอดเวลาที่เจอกัน

หลังจากพยายามจัดเก็บทุกอย่างให้กลับสู่สภาพเดิมอย่างเร็วที่สุดแล้ว ผมรีบเดินไปที่เก้าอี้ริมสวนสวยหลังบ้านทันทีเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขจากคนที่เมาแอ๋ตรงนั้นให้มากที่สุด

‘ก็ใครใช้ให้มันเมาแล้วน่ารักอย่างนี้ล่ะวะ’ ผมคิดแก้ตัวในใจ

หลังจากที่เดินไปถึง สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ภาพของเด็กไอซ์ที่กำลังหลับ พร้อมแก้วเบียร์คามือ ที่เอียงคล้อยลงมาจนของเหลวสีอำพันและฟองสีขาวนุ่มรินลงพื้นหญ้าอย่างช้าๆ

ผมส่ายหน้าและตัดสินใจพาเด็กดื้อคนนี้ไปนอนที่ห้องของมันทันที ด้วยร่างกายที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้การอุ้มคนที่สูงใหญ่กว่าผมเกือบฟุตจึงไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ แต่ปัญหาอยู่ที่ไอ้เด็กเวรนี่กันดิ้นเก่งเสียเหลือ ระหว่างอุ้มขึ้นบันไดไปถึงห้องของไอ้เด็กคนนี่ก็เกือบจะทำหลุดมือหลายหน กว่าจะจับมันโยนลงเตียงได้เล่นเอาเหงื่อแตกพล่านไปหมด
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 11) 28 ม.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-02-2022 07:16:10
 :pig4:
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 12) 7 ก.พ. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-02-2022 15:51:36
 :pighaun:
เนื้อหา 18+ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากอายุไม่ถึงแนะนำให้กดผ่านไปก่อนได้



“พี่โน่ๆ”

เสียงแผ่วจากปากเด็กโตตัวใหญ่พูดพร่ำไปมา ผมจึงรีบเดินไปหาใกล้ๆ พร้อมถุงขยะใบย่อม เผื่อว่ามันอยากคายของเก่าออกมาเพราะความเมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันมีของเก่าในท้องมากน้อยแค่ไหน เพราะตั้งแต่เห็นมันมานั่งก็ดื่มแต่เบียร์กรอกเข้ามาปากไม่หยุด ผมไม่อยากต้องมาทำความสะอาดตอนที่เกือบจะเที่ยงคืนแบบนี้

“……..” เสียงงึมงำอะไรสักอย่างจากปากของเด็กวัยรุ่นที่เมามายทำให้ผมต้องยกตัวของมันให้นั่งและเงี่ยหูเข้าไปฟัง

งับ!

ผมโดนไอ้ไอซ์มันใช้ริมฝีปากงับเข้าให้ ความร้อนจากร่างกายแผ่ขึ้นมาถึงทั่วศรีษะทันที

“เฮ้ย!!” ผมตกใจพงะถอยไปครึ่งก้าว ปล่อยให้ไอ้เด็กดื้อตรงหน้าหัวเราะเยาะอย่างพึงใจ

“มีคนบอกว่าพี่ มีจุดอ่อนตรงนี้ คงจะจริงว่ะ” ไอซ์พูดด้วยสำเนียงยานคาง ตัวสั่นเพราะความขันขณะที่นอนหงายลงไปแบบนั้น

ผมที่ได้ยินอย่างนั้นแทบจะนึกถึงใครไม่ออกนอกจาก จินไห่น้องสุดที่รัก นึกว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่นึกว่าจะเล่าเรื่องแบบนี่ให้ไอ้เด็กบ้านี่ฟังด้วย แม้แต่ตอนที่จ้องหน้าแดงๆ ของมันเขม็งด้วยความตกใจ หัวใจของผมก็สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากกว่าปกติ เหมือนมีกลองชุดตีรัวๆ อยู่ที่หน้าอก

“ไอ้สัด! ไม่นึกว่ามึงจะกล้านะเนี่ย!” ผมต้องทำเป็นโกรธเพื่อไม่ให้แสดงภาคที่อ่อนแอออกไป

“โหย….พี่โน่… เนี่ย! ไม่อ่อนโยนกับน้องเลย ผมก็แค่ล้อเล่นไหมครับ?” ไอ้เด็กนี่พยายามตะกายอากาศลุกขึ้นนั่ง ผมสิไม่นึกว่าจะเจอมันตอบกลับมาแบบนี้ ถึงกับไม่สามารถฝืนทำหน้าโหดใส่มันได้ต่อไป

ผมหลุดยิ้มและส่ายหน้ากับอาการน่าเอ็นดูของคนที่โดนน้ำเปลี่ยนนิสัยแผลงฤทธิ์ ซึ่งผมดันชอบ!

“เมาแล้วก็นอนไป” ผมรีบตัดบทก่อนที่ใจจะอดกลั้นความรู้สึกที่ถาโถมและเข้าไปจัดการคนตรงหน้าไม่ไหว ผมเดินเข้าไปใกล้และผลักให้ไอ้คนหูแดงล้มลงไปนอนอย่างช้าๆ

หมั่บ!!

มือข้างหนึ่งของไอซ์คว้าแขนของผมอย่างแน่นแรง

“อะไรอีก เมาขนาดนี้ นอนได้แล้ว”  ปากพูดแบบนั้นแต่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายมันกลับต้องการอีกแบบ

“ผมอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า……มันเปียก…..” พูดพลางใช้มืออีกข้างขยำเสื้อตัวเองไปทั่ว จากที่ผมพิจารณาด้วยสายตา เสื้อมันก็ชุ่มไปทั่ว นี่มันกินเบียร์เอาตัวไปจุ่มเบียร์วะ

“เออๆ” ผมพูดตัดบทแบบรำคาญ แต่ในใจก็เป็นห่วงอีกฝ่ายจะตื่นมาแล้วป่วยจึงเดินไปค้นตู้เสื้อผ้าจนได้ ชุดใส่นอนและผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

หันมาอีกทีมันก็นอนแผ่หมดสติไปแล้ว ผมจึงเริ่มปฏิบัติการทันที ผมใช้มือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นออก ซึ่งจริงๆก็ไม่กี่เม็ดเพราะไอ้เด็กนี้ไม่ชอบติดจนครบ มันเปิดเสื้อจนแทบจะเห็นสะดือของมันทุกครั้งเวลาใส่ชุดลำลองแบบนี้ ช่วงแรกก็ไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังมานี้อยากจะโดดไปกระชากเสื้อมาใส่กระดุมให้

ผิวเนื้อที่เนียนแดงถูกเผยให้เห็นหลังจากถอดเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ผมรู้สึกลังเลนิดหน่อยเมื่อต้องรู้ว่าลำดับถัดไปคือ การถอดกางเกงของอีกฝ่าย ซึ่งปกติผมไม่เคยรู้สึกลังเลแบบนี้ การถอดกางเกงคนอื่นมันเรื่องที่ชำนาญของผมมากๆ เรื่องใส่คืนต่างหากที่ผมไม่ถนัด

ระหว่างที่มือกำลังยื่นไปที่ชายขอบกางเกงยีนส์ทรงสวยที่เปียกเป็นย่อมๆ มือหนึ่งของคนที่นอนอยู่ก็ยกขี้นมาสัมผัสหน้าผมอย่างอ่อนโยน มือที่อ่อนแรงลูบไปตามวงหน้าและสันกรามลงไปถึงปลายคาง

“พี่ไม่น่าเป็นเพื่อนแม่เลย” เสียงแผ่วเบาจากคนที่นอนเปลือยอกแผ่อยู่เบื้องล่าง

“ทำไม?” ผมลืมตัวหันไปถามด้วยเสียงที่คล้ายคลึงกัน

“ไม่อย่างนั้น…..” คนที่นอนแผ่หลับตาลงหลังจากที่เมื่อครู่ลืมเพียงครึ่ง

“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?” ผมมองไปที่วงหน้าที่กึ่งมีสติ

“ผมคงจีบพี่….. และจับพี่ทำเมียไปแล้ว”

“นั่นมันคำพูดกูมากกว่านะ” ผมคิ้วขมวดแกมยิ้มเมื่อได้ยินนั้นออกจากปากสีชาดสด

พูดจบผมก็พลิกตัวไปนอนประจันหน้ากับเขาและกดหน้าลงไปใกล้ใช้ริมฝีปากบดริมฝีปากคนเบื้องล่างอย่างทะนุถนอม ส่วนไอซ์เองก็ตอบโต้กลับด้วยความต้องการที่แฝงลึกอยู่ในใจ

เราสองคนต่างเคล้าคลึงรูปปากพลิกไปวนมาอยู่นาน ลิ้มชิมความหวานปนฝาดจากรสแฝงของเบียร์ในปากของเราทั้งสองอย่างลืมเวลา

ร่างกายของผมที่บดเบียดร่างที่สูงใหญ่กว่าไปมาด้วยความปรารถนาที่แฝงอยู่มานาน ร่างกายเสียดสีกันจนเกิดไอร้อนแฝงอยู่ในเนื้อผ้าของผม

“ร้อน…..” เด็กไอซ์พูดเหมือนละเมอออกมาเมื่อผมถอนปากเพื่อหอบพักหายใจเพราะคล้ายโดนอีกฝ่ายดึงดูดอากาศออกไปในร่างตนเองจนหมด

ผมเข้าใจในความหมายทันที ผมผุดลุกนั่งคล่อมอีกฝ่ายพลางถอดเสื้อหนาๆ ที่โดนเสียดสีจนอุ่น แล้วโยนไปที่ปลายเตียงอย่างไม่ใยดี ภายใต้สายตาเร้าร้อนที่เฝ้ามองดูผมทุกอากัปกิริยา และไล่เรียงสายตาสำรวจเหมือนผมเป็นเหมือนอาหารจานโปรดที่พร้อมจะรับประทานเสียให้ได้

มือที่ว่างอยู่มั้งสองของคนที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่างต่างลูบไล้ไล่เรียงจากเนื้อผ้าบริเวณต้นขาวนไล่ขึ้นไปถึงลอนท้องที่ผมดูแลตัวเองอย่างดี จนถึงหน้าอกแน่นเกลี้ยงเกลา เพียงแค่สัมผัสเหล่านี้ก็แทบจะทำให้ผมใจเต้นทะลุออกนอกอก ความสุขจากคนที่แอบปรารถนามานานทำให้ไม่สามารถบรรยายสัมผัสเหล่านี้ได้ สิ่งที่อยู่ภายใต้ร่มผ้ามันเริ่มคะนองจนผมควบคุมไม่ได้เสียแล้ว

ผมจับข้อมือทั้งสองที่กำลังปรนเปรอผมด้วยสัมผัสรอบหน้าอกและลอนท้องลงไปพาดเหนือศรีษะขนาดกับที่นอนนุ่มสบาย ผมก้มลงใช้หน้าซุกไซร้ไปตามซอกคอและยอดอก ทำให้คนที่ผมมอบลีลาจากลิ้นอุ่นชื่นส่งเสียงพอใจออกมาเป็นระยะ ผมไล่ลิ้นชอนไชไปตามเนื้อหนุ่มสีขาวนวลกึ่งแดงไล่จากต้นคอ ไปยอดอก จากยอดอกไล่ลงลอนท้องและไหลลงสู่สะดือ จนถึงท้องน้อย เสียงแสดงความพึงใจไม่ขาดหายไปตลอดทุกสัมผัส (เรื่องนี้เป็นเรื่องผมมั่นใจว่าใครโดนก็ต้องร้อง)

ผมใช้มือที่ไหลลงมาพร้อมกับท่วงท่าเลื่อนลงมาปลดกางเกงที่เจ้าของยินยอมพร้อมใจให้ความสะดวกอย่างว่าง่าย กางเกงทั้งสองชั้น ปราการทั้งหมดหลุดลงไปที่ปลายเตียงหมดแล้วเผยให้เห็นวัยหนุ่มที่แข็งแรง และได้สัดส่วนสวยงาม สีสวยอ่อนน่าลิ้มลอง

เหมือนเด็กที่ชื่นชอบของหวาน เมื่อเห็นอมยิ้มสีสวยตรงหน้าย่อมต้องขอลิ้มลองไม่รอช้า ผมใช้ทุกวิชาในชีวิตในการจัดการของหวานตรงหน้า ปรนเปรอทุกท่วงท่าเพื่อมอบความหฤหรรษ์แก่คนที่ผมปรารถนา อยากลิ้มรสทุกซอกมุม

เสียงของเจ้าของอมยิ้มเร่งเร้าไปมาจนผมอดไม่ได้ที่จะมอบความสุขให้อีกหลายกระบวนท่า มือทั้งสองของเด็กวัยรุ่นบิดกำผ้าห่มผืนหนาที่ปูคลุมเตียงอยู่อย่างไม่สนใจว่ามันจะขาดหรือไม่

เสียงและอากัปกิริยาแบบนั่นทำให้อสูรที่อยู่ในร่มผ้าตื่นเต้นจนกางเกงผมจะรั้งไว้ไม่อยู่ รู้สึกถึงความอึดอัด เจ็บแน่นไปหมด จนผมยอมแพ้ ผมยืดตัวยืนขึ้นและจัดการปลดพันธนาการสัตว์ร้ายของผมให้ตื่นเต็มที่ ภายใต้ดวงตาเบิกกว้างของคนที่พบเห็นมันซึ่งนอนแผ่อยู่ด้านล่าง ทำให้เหมือนสติของอีกฝ่ายจะกระจ่างขึ้นเล็กน้อย

เหมือนไอซ์จะพูดอะไรออกมา แต่เมื่อผมปลดปล่อยอสูรของผมแล้วไม่มีอะไรสามารถมาขวางมันไม่ให้ขย้ำเหยื่อตรงหน้าได้ ผมยอมรับว่าตั้งแต่มีความรู้สึกแบบนี้กับไอซ์ ผมก็ไม่สามารถคิดทำอะไรแบบนี้กับใครได้อีก ความปรารถนาของผมตอนนี้มีเพียงบุคคลตรงหน้าเพียงคนเดียว!

ผมกระโจนใส่คนตรงหน้าอย่างหิวโหย สีหน้าที่เจือไปด้วยความหวาดหวั่นปนกระสันต์นั่นทำให้นิสัยดิบเถื่อนในกายพลั่งพลูออกมาท่วมท้นใส่คนตรงหน้า

ลีลาชิวหาพาสุข และลวดลายดัชนีทั้งสิบของผมทำให้คนตรงหน้าไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ ใบหน้าของผมซุกไซ้ไปทั่ว มือของผมสัมผัสทุกส่วนของร่างกายคนที่นอนครางเบาๆอยู่เบื้องล่างอย่างอ่อนแอ ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าอ่อนแอเท่าไหร่ ผมยิ่งคึกคักและใส่ทุกวิชาที่รู้มาไม่ยั้ง ผมพรมจูบและลิ้มรสกายหนุ่มที่นอนปะทะผมตั้งแต่ศรีษะไล่ลงมาถึงท้องน้อย ผมจับคนเบื้องล่างพลิกกลับ จนกระทั่งเจอจุดยุทธศาสตร์ที่มีความงามไม่น้อยกว่าหน้าเล็กๆ ของเขา

ผมไม่รอช้ารีบลิ้มลองทันทีเหมือนของหวานที่รอมานาน

“พี่ครับ…ยะ….อย่า…. มัน สก…กระ…” เสียงแหบหายไปพร้อมกับการเริ่มปฏิบัติการของผม ผมรู้ดีว่าไอ้คนรักสะอาดอย่างไอซ์จะพูดว่าอะไร แต่ผมก็ไม่สนใจปรนเปรอคนที่นอนครวญครางในลำคออย่างสุดฝีมือ

“พี่ครับ….คือ……” เสียงหายใจหอบถี่ดังขึ้นหลังจากที่ผมลิ้มรสวัยหนุ่มอยู่นานพอควร ผมปรายตามองสีหน้าก็รู้ว่าไอซ์จะสื่อถึงอะไร ผมหยุดให้บริการและเริ่มปฏิบัติการการขั้นถัดไป

“ไม่…ไม่…นะ….ครา…บ…..” เสียงปฏิเสธเกิดขึ้นทันทีที่ลิ้นชุ่มอุ่นของผมไล่วนไปในช่องทางด้านหลัง สิ่งที่ไอซ์แสนจะหวงแหนกำลังจะถูกพรากออกไป

จะว่าอย่างไร เอาไอ้คำว่าบริสุทธิ์ออกไปก่อน แต่การทำอะไรแบบนี้มันไม่ใช่ทางของคนอย่างไอซ์แน่นอนจากสิ่งที่ผมเคยได้ยินข่าวแซ่บๆ มา แต่ตอนนี้คนที่เคยเป็นแค่รุกไล่คนอื่นกลับถูกคนอื่นบุกรุกเสียเอง ไอซ์คงจะรู้สึกเสียงเชิงไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นสิ่งผมถนัดเท่านั้น

อีกฝ่ายแม้จะขัดขืนบ้าง แต่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านไม่สามารถขัดขวางการเล้าโลมระดับเทพชิวหาอย่างนีโน่ได้ ไม่นานสัตว์ร้ายของนีโน่ก็จออยู่หน้าปราการที่ชุ่มชื้น

“โอยยยยย”  มันเดินทางเข้าไปอย่างลำบาก อึดอัดและแน่นเบียดจนคนที่นอนแผ่อยู่ร้องโอยออกมา

“พี่….โน่…. ….คือ…” เสียงสั่นเทาทำให้คนที่คลั่งรักอย่างผมไม่อาจเดินทางต่อได้ ผมยอมตัดใจ ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของเราสองคนมันเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว

“มีเจลอยู่ที่ลิ้นชักใต้เตียง” คำพูดประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ผมมีความคึกคักขึ้นมาอีกโข และแน่นอนเรียกสติผมให้ใช้สิ่งป้องกันด้วย เพราะพอเดินไปเปิดลิ้นชักที่ว่า ก็พบอุปกรณ์ทุกอย่างที่ควรจะมี

ผมรีบจัดการกับอุปกรณ์ป้องกันให้ตัวเอง แต้มเจลหล่อลื่นให้กับปราการด่านหลังของไอซ์ ที่ทำให้เขาเหมือนส่างเมาขึ้นมาหน่อย เพราะสะดุ้งกับความเย็นของเจลที่ลูบไล้ไปทั่วบริเวณทั้งภายในภายนอก แต่….ถึงกระนั้นตัวของเด็กไอซ์ก็ยังสั่นไม่หยุด

ผมโอบกอดไอซ์จากด้านบน และพรมจูบปลอบประโลมไปทั่ว และค่อยๆ ดันตัวเองเข้าไปในกายอีกฝ่าย ไอซ์เหมือนจะพยายามอดทนและกลั้นเสียงแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่สัตว์ร้ายของผมเข้าไปจนสุดตัว เขาก็ร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ มือหยาบใหญ่ขยำกำผ้าห่มที่คลุมที่นอนไว้จนยับยู่

ไอซ์เผยปากเหมือนจะร้องออกมา ผมรีบกัมลงไปใช้ริมฝีปากอุดไว้อย่างเร้าร้อน แต่เพียงไม่นายผมก็ต้องรู้สึกตัว หลุดพ้นจากสัตว์ร้ายที่เข้าครองร่างอย่างหื่นกระหาย เมื่อหยดหยาดน้ำของคนเบื้องล่างกระเซ็นมาที่หน้า

น้ำใสๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคนที่ประชันหน้ากันในแนวนอนทำให้ผมหยุดและถอนกายออกมาจากไอซ์อย่างช้า ผมส่ายหน้าอมยิ้มกับภาพเบื้องล่างที่ดูน่าเอ็นดู และอ่อนต่อโลกกว่าที่คิด นี่แปลว่าผมเป็นคนเปิดโลกเบื้องหลังให้มันหรือนี่ ผมคิดพลางรู้สึกลิงโลดอยู่ในใจ เหมือนมีปูตัวเล็กๆ นับล้านคลานยุบยับในอก

ผมยกมือลูบผมสีอ่อนที่กระเซิงให้เป็นทรง พลางมองคนกึ่งหมดสติอย่างอารมณ์ดี

“น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย มีมุมแบบนี้ด้วย” ผมพึมพำกับตัวเอง

ผมรู้สึกตัดใจกับการกระทำศึกตรงหน้าและคิดว่าจะปล่อยไปก่อน ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นก็โดนมืออีกฝ่ายรั้งไว้อย่างแรงจนผมเด้งกลับไปอยู่ท่าเดิม ท่าที่ผมและมันประจันหน้ากันด้วยร่างเปลือยเปล่า แน่นอนน้องชายผมมันยังไม่สงบดังนั้นผมเลยแอบร้องโอดโอยบ้างเมื่อโดนกระทบกับเนื้อแน่นทางด้านล่าง

“พี่จะ….ปล่อย……ปล่อย… ให้ผมเหงาเหรอ?”   สีหน้าของคนเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยความต้องการ ปนเจ็บปวด

ผมรู้ดีว่าคงพูดด้วยอาการเมา ผมรู้ว่าไอ้เด็กนี่มันยังไม่พร้อมกับสัตว์ร้ายของผมหรอก แต่ผมรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ไอ้เด็กนี่หมดฤทธิ์ที่จะเรียกร้อง

ผมปรับท่าตัวเองและไอซ์เสียใหม่ ให้เขานอนสบายมากขึ้นบนเตียงนุ่มๆ ไอซ์นอนแผ่อย่างอ่อนแรงอยู่ด้วยท่าทางไม่ปกปิด ผิวที่แดงเป็นจ้ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็ยังดูเนียนน่าสัมผัส กล้ามเนื้อที่กำลังเติบโตอย่างดี เป็นลอนสวยตามอายุของเขา และจุดยุทธศาสตร์ที่ยังตื่นตัวตั้งตรง ผมรู้ว่าหากไม่ทำให้ไอ้สิ่งนี้สงบ วัยรุ่นแบบนี้ไม่รามือยอมหลับไปง่ายๆ แน่นอน ผมจึงใช้วิทยายุทธ์ลับในการปลดปล่อยสิ่งตรงหน้าให้ลุล่วง ผมลงมือรวบจับและจัดการสิ่งเหล่านั้นด้วยทักษะของนางทั้งสิบ และลิ้มรสวัยหนุ่มจนชุ่มชื้น จนในที่สุดเด็กคนนี้ก็สิ้นฤทธิ์

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 13) 24 ก.พ. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-02-2022 16:06:22

ไอซ์

ความจริงคือ ผมวูบไปแล้วล่ะ อาจเพราะตะเวนไปโน่นนี่ทั้งวันแต่มารู้สึกตัวตอนโดนอุ้มขึ้นสองแขนที่คิดแล้วว่าไม่น่าจะพาผมขึ้นไปถึงห้องได้อย่างรอดปลอดภัย แต่ก็ยอมรับว่า ‘มันแข็งแรงมากจริงๆ’

ผมยอมอยู่นิ่งๆ จนกระทั่งถึงที่หมาย แต่หัวใจที่เต้นตูมตามของผมหลังจากได้แนบชิดกล้ามอกแน่นมัดเหล่านั้น มันยังไม่หายไป กลิ่นน้ำหอมแบบไม้หอมเหล่านั้นมันยังติดจมูกจนแทบจะกลบกลิ่นแอลกอฮอล์ของตนเองไปเสียหมด มันเลยให้ความต้องการส่วนลึกที่เก็บไว้เริ่มล้นปรี่ออกมา

‘ผมไม่ได้เมาขนาดนั้นนะสาบาน’ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นตอนที่พยายามจะยั่วยวนอีกฝ่ายเพราะอยากลองใจ

ไม่ได้ลองใจไอ้พี่โน่นะครับ

ลองใจตัวเองนี่แหละ เพียงแค่จูบอย่างดูดดื่มก็รู้แล้วว่าใจเราอ่อนกับเขาจริงหรือไม่จริง

แต่ก็นั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่จูบผมจะปล่อยตัวไปขนาดที่ว่าโดนรุกล้ำอธิปไตยโดยไม่คาดคิด ผมไม่เคยปล่อยให้ใครทำแบบนี้เลยตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่! คนอย่างผมมันต้องรุกเท่านั้น!!

แต่ด้วยลีลากระชากอารมณ์ของไอ้พี่โน่ทำให้ผมรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ผมแอบคิดว่าคนที่โดนผมรุกใส่น่าจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ

มันทรมาน….. แต่ก็รู้สึกดีในคราเดียว รู้สึกถึงไออุ่นของเขาเข้ามาในกายมันดีมากมายจนแทบจะคลั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ไหวจริงๆ คือ อะไรมันจะใหญ่ขนาดนั้นวะ!! มันผิดกับขนาดตัวเลยนี่หว่า?!?!

ตอนที่ผมโดนเข้าไปถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จนเกือบจะคลายจากอาการมึนเมา โชคยังดีที่ไอ้พี่โน่มันใจดี มันหยุดและถอยออกก่อน ไม่งั้นผมต้องไปหาหมอในวันรุ่งขึ้นแน่ๆ (เคยมีประสบการณ์กับคนอื่น ไม่คิดอยากลองกับตัวเอง)

แต่นั้นก็ทำให้ผมประทับใจ…. และดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรได้สักอย่าง….. เกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองกับพี่โน่

และยิ่งรู้สึกดียิ่งไปอีกเมื่ออีกฝ่ายไม่พยายามยัดเยียดความต้องการของตนเองให้ผม ทั้งๆ ที่ผมในตอนนั้นก็อารมณ์พาไปจนจะยอมให้ทำแล้ว แต่ความใจดีของไอ้พี่โน่กลับทำอย่างอื่นเป็นการตอบแทน ซึ่งมันดี… ดีจริงๆ ดีมากๆ แล้วผมก็หลับไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่า… หากสลับกัน หากผมเป็นคนรุก ผมจะทนได้แบบพี่โน่ไหม?

……..

แสงยามสายบ่ายเข้ามาในห้องสีขาว แสงสีทองที่ส่องสะท้อนผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มกึ่งซาตินทำให้ห้องถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินอ่อนๆ สวยงาม ผมลืมตาตื่นด้วยอาการงัวเงีย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมก็ไม่ได้เมามายอะไรมาก แต่กลับตื่นมาด้วยอาหารปวดเมื่อยไปหมด ในจิตสำนึกต่างพยายามควานหาความทรงจำล่าสุดของตนเมื่อคืน และภาพสุดท้ายก็คือ ร่างตัวเองที่เปลือยเปล่า

ผมผลุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ พร้อมอาการปวดจี๊ดเล่นขึ้นสมองอย่างเฉียบพลัน ผมแปลกใจที่ค้นพบว่าตนเองอยู่ในชุดนอนเรียบร้อย เนื้อตัวก็สะอาดสะอ้านไม่ได้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการละเล่นเกินร้อยเมื่อคืน

“โอ้ยย  อูยยยย” ผมขยับตัวเพื่อพลิกตัวสำรวจตัวเองก็ต้องรู้สึกเจ็บปราดที่ปราการด้านหลังทันที ก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็ดันลืมตัวเสียได้

ผมเผลอใช้มือไปสัมผัสจุดที่ปวดก็พบกับอาการเปียกชื้นที่จุดนั้น

“เฮ้ย!!” ผมดึงมือขึ้นมาสำรวจก็พบว่าที่ปลายนิ้วมันมีรอยของเหลวสีแดงจางๆ

“เชี้ย!!” ผมสบถทันทีด้วยเสียงหงุดหงิด ไม่เคยนึกว่าอารมณ์ตัวเองจะพามาถึงจุดนี้!

“เฮ้ย!! อยู่นิ่งๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกผลักเปิดอ้าออกสุดแรง เหมือนอีกฝ่ายะจะรู้ตัวว่าผมตื่นมาพบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว

“เฮ้ย!! พี่!! นี่มัน!!!” มันมีคำพูดเป็นร้อยที่อยากจะพูดแต่มันไม่สามารถลำดับออกมาได้

“เออ!! โทษทีว่ะ กูไม่นึกว่ามึงจะ….. ซิงตรงนั้น!!” อีกฝ่ายที่ถือถาดอาหารและข้าวของจิปาถะวางเต็มพื้นที่ของถาดพูดขึ้นด้วยอาการขัดๆ

“……..” ผมที่พูดอะไรไม่ออก เพราะดันเป็นคนแส่หาเรื่องเอง เลยได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่หวังว่าพี่โน่จะไม่รู้ว่า ผมเองก็สมยอมส่วนหนึ่ง

ผมควรจะปล่อยให้มันเข้าใจว่ากระทำผิดต่อผมต่อไปแบบนี้คงดี ผมคิดแบบนี้ในใจ

“กูให้ลูกน้องซื้อยามาให้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวก็กินยา ทายาแล้วก็พักผ่อนนะ” พี่โน่วางทุกอย่างไว้โต๊ะอ่านหนังสือไม่ไกลแล้วก็จัดแจงทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะนั่นอย่างเป็นระเบียบไม่ต่างกับพ่อบ้าน

“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ ยาที่ว่า….” ผมถามพลางคิดภาพพลาง

“ไม่ต้องห่วงลูกน้องกูไว้ใจได้ ไม่เล่าให้ใครฟังหรอก เรื่องที่กูได้มึงแล้วน่ะ” พี่โน่ตอบด้วยท่าทางสบาย แต่ประโยคที่มันพูดไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเท่าไหร่ แต่….

“เรื่องนั้นก็หนึ่งแต่อีกหนึ่ง….. ก็คือ…” ผมพยายามทำใจทีละประเด็น ผมรู้ว่าตัวเองหน้าซีดลง

“ยาทา…. แปลว่าอะไร?” ผมไม่อยากนึกถึงแต่คงต้องถามให้เคลียร์!

“ก็มันฉีกขาดล่ะมั้ง หรือมีแผลสักแห่ง กูเห็นว่ามันมีเลือดซึม มันก็ต้องทายาฆ่าเชื้อนะ ปล่อยไว้ไม่ได้!!” พี่โน่ยังคงพูดหน้าตายอยู่

“รู้โว้ย!! เรื่องนี้ แค่พี่ทำกับผมจนเป็นแผลเลยนะโว้ย!! แล้วไหนจะให้คนอื่นไปซื้อยาแบบนี้อีก หมดกันชีวิตผม!!”  ผมโวยลั่น

“เสียงดังขนาดนี้ มึงอยากให้พี่ชายกับเพื่อนมึงที่ห้องข้างๆ รู้ด้วยใช่ปะ?” มันทำสีหน้ากวนบาทาใส่ผมไม่ยั้ง

ผมได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดในลำคอ และล้มตัวลงนอนด้วยความเจ็บปวดที่บั้นท้าย

ได้แต่ติดในใจว่าไม่น่ามีใจให้ไอ้คนพรรณนี้เลย!!

……………

ผ่านไปสองวันนับตั้งแต่วันที่ผมเสียท่าให้กับไอ้พี่นีโน่ (บางทีก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรียก ลุง น้า หรือพี่ดี) ผมก็ต้องอยู่แต่บ้านเพราะอาการแกล้งป่วยหนัก เพื่อปกปิดที่ว่าผมขยับตัวลำบาก แล้วยังต้องทั้งกิน ทั้งทายาที่ไอ้พี่โน่เตรียมไว้ให้อย่างดีตลอดสองวัน อย่างน้อยก็สามารถหลอกไอ้พี่ชายเซ่อๆ ของผมได้ล่ะ แต่กับไอ้เพื่อนเวรเพื่อนกรรมอย่างไอ้ต้นกล้า มันกลับทำสีหน้าสงสัยและสอดส่องทุกการกระทำระหว่างผมกับไอ้พี่โน่เกือบตลอดเวลาที่มันมาอยู่ที่บ้านผม สกิลเผือกมันค่อนข้างสูงผมเลยต้องระวังตัวมากขึ้น

“มื้อเช้า แล้วก็….ยา” คนที่นำมื้อเช้าเข้ามาให้ถึงห้องนอนทุกวันกล่าวอย่างแจ่มใส และลงท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่เคยไว้ใจเลย

“ขะ…ขอบคุณครับ” ผมพยายามทำตัวสุภาพเพราะจะให้ลุกไปหาอะไรกินเองมันก็ลำบาก เลยต้องยอมๆ มันไปก่อน (มันก็ควรจะต้องดูแลผมไหมล่ะ ก็มันคือตัวต้นเหตุ)

“จะกินอาหารก่อนหรือ….ทายาก่อน”  รู้สึกว่าการทายาในจุดซ่อนเร้นของผมจะกลายเป็น นาทีแสนสุขของมัน

อายก็อาย แต่ก็ต้องยอม เพราะทำเองมันไม่ถนัดจริง ถึงแม้ว่าไอ้พี่โน่มันจะดูสนุกมากกว่ารังเกียจ แต่ผมก็แอบรู้สึกว่า ควรจะรังเกียจเสียบ้างนะ เพราะ เห็นสีหน้ามันเวลาทายาให้แล้วมันรู้สึกขนลุกแปลก ของๆ ผมไม่ใช่ของเล่นที่สามารถเขี่ยเล่นเพลินๆ นะเว้ย!

“ขอกินข้าวก่อนแล้วกัน” ผมคิ้วขมวดชนกันพลางตอบออกไป

วันนี้มีอาหารบนถาดมากกว่าปกติ ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อยเพราะช่วงนี้ผมกินน้อยกว่าเดิมมาก อาจเพราะผมคิดว่า เอาเข้าน้อยก็ลำบากตอนออกน้อย แบบนี้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย

“โอเคงั้นเดี๋ยวพี่เตรียมให้” พูดจบพี่โน่ก็เดินเข้ามาจัดแจงกลุ่มอาหารเช้าบนถาดลงไปวางลงบนโต๊ะอ่านหนังสือที่เดิม ที่เพิ่มเติมคือมีจานเปล่าเล็กๆ สองจานวางอยู่คนละมุมของโต๊ะ

“หมายความว่าไง!” ผมถามทั้งยังไม่คลายหัวคิ้วที่ชนกัน

“พี่ก็จะกินด้วย จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงให้เสียเวลา” พี่โน่พูดจบก็หาก็ลากเก้าอี้เสริมในห้องมากางและนั่งลงทันที

“……..” ผมได้แต่คิดว่า แล้วกูจะกินลงไหมเนี่ย รู้สึกปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ทันเลย

แต่สุดท้ายผมก็ลงไปนั่งและลงมือกินมื้อเช้าที่ถูกเตรียมอย่างพิถีพิถันตรงหน้าโดยไม่รอคนที่นำมันขึ้นมาเลย แต่แทนที่ผมจะคิดว่าไอ้พี่โน่มันจะเลือดขึ้นหน้าที่ผมทำเสียมารยาท ตามแผนที่ผมคิดไว้ แต่ผมกลับเห็นมันอมยิ้มขณะที่สายตามองผมด้วยความเอ็นดู แล้วก็ลงมือกินมื้อเช้าตามผมไปอย่างเรียบร้อย

ผมไม่ชอบสายตาของมันเลย มันไม่เหมือนเดิม….. แต่ผมน่ะยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ดี

……………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 14) 23 ก.พ. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-02-2022 15:08:53

อือ……อืมมม…… โอย……ซี๊ดดด…

อย่าเข้าใจผิดกับเสียงนี้นะครับ นี่มันคือเสียงของผมเวลาโดนไอ้พี่โน่ทายาฆ่าเชื้อให้อย่างสุนทรี ไอ้โรคจิตอย่างไอ้พี่โน่นี่มันแกล้งผม หรือห่วงผมกันวะ

จังหวะที่มันใช้นิ้วหยาบป้ายยาเนื้อครีมและชะโลมไปตามรอยแยกเหล่านั้น การใช้สัมผัสที่อ่อนเบา สอดถูเข้าไปอย่างเป็นจังหวะ ผมรู้สึกว่ามันต้องการทรมานผมจากอาการทั้งเจ็บและทั้งรู้สึกดีแบบนี้แน่นอน!!

“เสร็จแล้ว! ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” ไอ้คนซาดิสม์มันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มผมรู้สึกได้ทั้งๆ ที่หันหลังให้มัน

“ดีขึ้นแล้ว อีกหน่อยคงไม่รบกวนแล้วล่ะ!” ผมตอบด้วยอาการหอบอย่างทุกครั้ง ทำไมต้องหอบกับการทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ผมก็งงกับตัวเอง

“หมดประโยชน์ก็จะถีบส่งสินะ” มีความน้อยใจแฝงมากับคำพูดของอีกฝ่าย

ผมใส่กางเกงให้เรียบร้อยแล้วหันไปมองหน้าของคนที่กำลังเก็บข้าวของอย่างใจลอย ผมเจอแบบนี้ถึงกับหาทางโต้ตอบไม่ถูกทั้งๆ ที่ปกติผมคงพูดจากวนบาทาจนถึงที่สุด ไม่ใช่แต่มันเปลี่ยนไป ตัวผมเองก็เปลี่ยนไปจนตัวเองรู้สึกได้เลย

“เอ่อ…. เฮ้ย! พี่โน่ เป็นอะไร? อย่าบอกนะว่าชอบก้นผมขนาดนั้นนะ!?!” ผมพยายามพูดติดตลกและเดินเข้าไปใกล้

แต่สิ่งที่ไอ้นักเลงตัวเล็กนั้นทำกลับทำให้ผมตกใจสุดขีด

“เฮ้ย!!” ผมร้องเสียหลงเมื่อเจออีกฝ่ายหันมาตะครุบไหล่กว้างของผม และบังคับให้ไปประจันหน้ากับเขา

“มึงควรจะรู้ไว้ว่ากูอดทนกับมึงมากขนาดไหนนะ!!” สีหน้าไอ้พี่โน่ดูเกรี้ยวกราดทำให้ผมเสียวสันหลังวูบ นี่มันจะต่อยผมกับแค่คำพูดล้อเล่นแค่นี้หรือวะเนี่ย?

“ใจเย็นๆ สิพี่…..” ผมพูดพยายามให้อีกฝ่ายใจเย็น ทั้งที่น้ำเสียงของพี่โน่ดุดัน แต่สายตากลับ…. ผมเองก็บรรยายไม่ถูก มันลังเล และร้อนแรง….

“กู…อดทน..มา สองวันแล้วนะ แล้วกูก็จะอดกลั้นไม่อยู่แล้วนะ” พี่โน่พูดจบก็ผลักผมล้มไปนอนลงที่เตียง ความเจ็บปราบแล่นขึ้นมาจากแผลที่เริ่มสมาน

พี่โนกระโจนขึ้นคล่อมตัวผมและกดริมฝีปากสีชาดอ่อนลงประทับที่ริมฝีปากผม กลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้นเย้ายวนอบอวนจนผมแทบคลั่ง สัมผัสชุ่มอุ่นที่ถูกชะโลมไปทั่วริมฝีปากและสอดลึกลงไปในช่องปากทำให้ผมขาดสติยั้งคิด จนกระทั้งผมปล่อยจากทำตัวแข็งขืน ผมปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์แรกที่ปะทุขึ้นมาแทรกผ่านตรรกะทั้งหลายที่ผมพยายามขวางกั้นไว้

ผมแลกจูบกับพี่โน่อย่างเผ็ดร้อนและลืมตัว พี่โน่เริ่มขยับร่างกายขึ้นมาทับเหนือตัวผมมากขึ้น เสื้อผ้าที่เริ่มเสียดสีกันมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอยากปลดออกให้หมด ผมโดนพี่โน่จัดท่าชันเข่าและใช้เข่าดันขาถ่างออกห่างจากกัน มือของพี่โน่อยู่ไม่นิ่ง ลูบไล้ทั่วอกขาวของผมจนแดงร้อน และเข่าข้างหนึ่งของพี่โนก็พยายามเลื่อนขึ้นแทรกมาตรงกลางระหว่างช่องขาที่แยกออกด้วย อารมณ์พาไป

โอ้ย!!

ผมร้องเพราะเข่าของคนที่คล่อมตัวอยู่เหนือผมกระแทกเข้าที่แผลที่เริ่มสมาน

ฝ่ายที่รีบถอนตัวออก และถอยห่างออกมายืนห่างจากผมครึ่งก้าวคือพี่โน่ ที่ตอนนี้มีการอาการสำนึกผิดอยู่เต็มใบหน้า

ผมยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ อย่างไม่เข้าใจในตัวเอง ทำไมถึงได้ใจอ่อนใจง่ายแบบนี้นะ ถึงจะเป็นวัยรุ่นที่มีความต้องการสูงแต่แบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น

“เป็นอะไรไหม?” อีกฝ่ายโถมตัวเองเข้ามาใกล้อีกครั้ง ทำให้ผมต้องยกมือขี้นยันหน้าอกอีกฝ่ายเป็นการเตือนให้เว้นระยะ

ปัง!!

เสียงประตูกระแทกกับที่หยุดประตูที่พื้นห้อง แล้วไอ้เฟรมโผล่พรวดเข้ามาในจังหวะที่ไม่ดีเท่าไหร่

“ทำอะไรกันน่ะ?” ไอ้เฟรมชะงักเท้าและถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจกับท่าทางของผมและไอ้พี่โน่ที่ดูเหมือนกำลังจะเริ่มกิจกรรมบนเตียง

“คือกูเผลอล้มน่ะ เลยดึงพี่เขาลงมาด้วย” ผมพูดแก้ตัวอย่างคล่องแคล้ว ผมรู้ว่าไอ้พี่ชายผมมันคงไม่ค่อยมีไหวพริบเรื่องแบบนี้เท่าไหร่

“งั้นพี่ไปเก็บจานก่อนนะ” ไอ้พี่โน่ยิ่งเนียนเลย ปรับตัวยืนตรงและเก็บข้าวของหนีออกจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสียงปิดประตูดังแกร๊ก พร้อมกับสีหน้าของไอ้พี่ชายของผมที่เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างหันมาทางผม

ผมที่ลุกขึ้นมานั่งแล้วถึงกับเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม

“กูไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่นะ แต่จะทำอะไรก็นึกถึงแม่บ้างนะ กูไม่เคยเตือนมึงเพราะเห็นว่ามึงรับผิดชอบตัวเองได้ แต่คราวนี้มึงล้ำเส้นอยู่นะ อีกอย่าง…กูนึกว่าพวกมึงไม่ถูกกันเสียอีก!”

“ไม่มีอะไรเสียหน่อย มีงก็คิดมาก” คำพูดที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ทั้งที่เกิดก่อนผมแค่สามนาที ทำให้หน้าแม่ลอยเข้ามาในนโนจิต แต่ก็ต้องทำตัวปกติต่อไป

“ตอนแรกกูก็นึกว่าจะต้องมานั่งเป็นคนคอยห้ามทัพพวกมึงตีกันเสียแล้ว แต่พอเห็นแบบนี้แล้วกูยิ่งกังวล” ไอ้เฟรมดูมันเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่ มันเห็นอะไรมากกว่านี้หรือเปล่าวะ ผมชักสงสัย แอบใจไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ที่กูทำแบบนี่เพราะต้องแกล้งทำดีกับมันไหม?  อย่างน้อยมันก็เพื่อนสนิทแม่นะมึง กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั่น”พูดไปพลางเหมือนมีเข็มหลายเล่มค่อยๆ แทงเข้าที่ใจที่ละเล่ม แต่ยังคงต้องรักษาอาการไว้ ทั้งที่ใจอยากจะจับที่อกข้างซ้ายที่แปลบปลาบจนขาสั่น

“เออ! คิดแบบนั้นก็ดี กูไม่อยากให้มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับกูอีกแล้ว” มันบ่นพึมพำเหมือนทุกครั้งที่ผมกับมันสนทนาเพื่อเคลียร์ใจกันตามประสาพี่น้อง

“อีกแล้ว?” ผมทวนท้ายประโยคเพราะไม่เข้าใจว่านอกจากเรื่องของแม่ที่แต่งงานกระทันหัน กับเรื่องของผมที่มันกังวล มันจะมีเรื่องอะไรอีก?

“ไม่มีอะไร กูไปนอนต่อแล้ว เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ไอ้เชี่ยต้นกล้าดันเหมือนไม่ค่อยสบาย กูเลยต้องดูแลมันอีก!!” ไอ้เฟรมที่พูดด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด แต่สีหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“มันนอนที่นี่อีกแล้ว?” ผมเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ไอ้ต้นกล้านับจากปิดเทอม มันจะมานอนค้างที่นี่บ่อยเกินไปแล้ว

“มันมาอยู่เป็นเพื่อนกูนะ ก็แค่อกหัก กูไม่ถึงขนาดอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้หรอก!!” ไอ้พี่ชายที่หน้าเหมือนผมกำลังทำสายตาล่อกแล่ก มันทำให้ผมตลกมากกว่าสงสาร อย่าว่าแต่กูแปลก พวกมึงก็ดูแปลกไม่ต่างกัน!!

ผมยิ้มเยาะใส่หน้าตลกของมัน และมันก็ฟึดฟัดเดินหายเข้าไปจากห้องทันที

………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 15) 9 มี.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-03-2022 06:34:51

ไม่มีไข้ - เช็ค
ไม่รู้สึกเจ็บเวลาขยับตัว - เช็ค
ยากินหมดแล้ว - เช็ค
สีหน้าดีขึ้นแล้ว - เช็ค
ขับถ่ายสะดวก - เช็ค

ผมนั่งทำเช็คลิสท์ขณะนั่งกินมื้อสายที่โต๊ะอาหารโดยไร้วี่แววผู้ปกครองจำเป็นอย่างพี่โน่ภายในบ้าน ด้วยความรู้สึกลิงโลด อยากออกจากบ้านใจจะขาด การนอนป่วยอยู่ที่บ้านมาตลอด 1 สัปดาห์ทำให้ผมรู้สึกเครียดและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

วันนี้ผมต้องหาทางระบายฮอร์โมนวัยหนุ่มที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในกายออกให้ได้!!

เพราะที่ผ่านตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้ชายที่ผมเจอ (นอกจากไอ้แฝดพี่) ก็มีแต่ผู้ใหญ่ตัวเตี้ยที่คอยดูแลผมอยู่ไม่ห่าง ฮอร์โมนในร่างมันก็พยายามที่จะผลักดันให้ผม ต้องการไอ้พี่โน่คนนี้จนผมร้อนรนไปหมด แต่ก็ดับได้ด้วยคำพูดของไอ้เฟรมที่สะท้อนอยู่ในใจตลอด ‘นึกถึงแม่หน่อย’ ดังก้องไปก้องมาจนผมห่อเหี่ยวและมองมันต่างไปได้ชั่วคราว แต่ก็ยังรู้สึกสับสนเมื่อต้องอยู่ด้วยกันใกล้ๆ

ไอ้พี่โน่เองก็ไม่พยายามปิดบังความรู้สึกตัวเองเลย มันแสดงออกทั้งสีหน้าและท่าทาง หรือว่าผมรู้สึกไปเอง เวลาเรามองใครเปลี่ยนไป มันจะมีตัวกรองบางๆ ทำให้ความรู้สึกของเราต่อการกระทำของคนๆ นั้นเปลี่ยนไปในทุกการกระทำของอีกฝ่ายเสมอ ความรู้สึกตอนนี้ของผมมันเหมือนกับสมัยที่เจอพี่กวีครั้งแรกเลย มันมีแต่ความต้องการอยู่เต็มไปหมด

วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจออกไปเที่ยวแบบไม่ต้องหลบใครก็มาถึง! ในเมื่อผู้ปกครองจำเป็นไม่อยู่ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครจะมาตามติดหรือจับผิดผมไปฟ้องแม่ที่ป่านนี้น่าจะมีความสุขกับสามีใหม่ของเธอ

ผมกินมื้อเช้าอย่างรีบร้อน และแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จับเสื้อกีฬายัดใส่กระเป๋าสะพายบ่าไนกี้สีดำตัวเก่ง ตอนนี้ผมรู้สึกร่างกายเคล็ดขัดยอกไปหมด นอนป่วยติดเตียงหลายวันมันไม่ใช่นิสัยของผมเลย ดังนั้นวันนี้เลยวางแผนที่จะไปล่าเหยื่อที่มหาวิทยาลัย เผื่อจะได้นักกีฬาหรือกองเชียร์แถวนั้นมาช่วยเอาความต้องการที่อัดอั้นมานานไประบายออกเสียบ้าง ผมว่าส่วนหนึ่งที่ผมงุ่นง่านกับไอ้พี่โน่อาจเพราะอัดอั้นก็ได้ คิดได้ดังนี้ ผมเลยหยิบเสื้อผ้าและกระเป๋าของใช้สำหรับค้างคืนออกมาเผื่อว่าวันนี้จะไม่ได้กลับบ้าน!

สนามบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยยังคงเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่ต้องการพักผ่อนและออกกำลังกายอย่างประหยัด ชายวัยรุ่นพลังงานสูงหลายคนใช้ที่นี่เป็นที่ระบายความเครียดและความเบื่อหน่ายจากการอยู่บ้าน

นักศึกษาหญิงชายส่วนหนึ่งที่เรียนภาคฤดูร้อนก็มีมานั่งพักผ่อนระหว่างรอคาบเรียนอยู่ตามม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่รอบสนาม ทำให้ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เหมาะกับการทำความรู้จักกันระหว่างเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน

หลังจากจอดรถไม่ไกลจากสนามบาสฯ ผมเร่งฝีเท้าเดินถึงโต๊ะที่นั่งประจำสำหรับนักกีฬาของมหาวิทยาลัยและก็พบกระเป๋าสะพายจำนวนหนี่งที่คุ้นตา ผมจึงรีบกวาดสายตาไปทางสนามบาสฯ ทั้งสี่สนามทันที

แล้วผมก็พบเป้าหมาย! ผมพุ่งไปหามันอย่างไม่รอช้า

“ไอ้เชี้ยเฟรม มึงหายหัวไปไหนเมื่อคืน ปล่อยกูอยู่กับไอ้นักเลงเตี้ยนั่น กูได้ยินเสียงแม่งบ่นให้ฟัง จนแทบไม่ได้นอน!!”
ผมบ่นใส่ไอ้คนที่เตรียมชู๊ตลูกบาสเกตบอล ลูกบอลจ่ออยู่เหนือจมูกเป็นสันของมัน

“โทษทีว่ะ….กูเมา กลับไม่ไหว เลย….. ให้ไอ้กล้าพากลับบ้าน ตื่นมาก็อยู่บ้านมันแล้ว” ไอ้พี่ชายมันลดมือที่ถือลูกบาสฯ ลงและพูดเหมือนแก้ตัว

“จะตื่นเต้นเชี้ยอะไร กูนะ ไม่ใช่แม่!” ผมสวนไปแบบรำคาญพร้อมยื่มมือคว้าแย่งลูกบาสจากมัน

“เฮ้ย!! โทษที กูเมาเองแหละเลยให้มันพาไปส่งบ้าน มันดึกแล้ว แม่กูเลยให้มันนอนด้วยเลย” ไอ้ต้นกล้าที่กระหืดกระหอบมาจากอีกฝากของสนามฯ มาแก้ตัวด้วยอีกคน

“สรุปว่าใครเมา? พวกมึงดูมีพิรุธนะ!!” ผมมองพวกมันสลับกัน

“ก็เมาทั้งคู่แหละ” มันมองกันเองพักหนึ่งก่อนที่ไอ้กล้าจะตอบกลับมา

“ว่าแต่ พี่โน่ไปบ่นในห้องมึงหรือไง ถึงได้ยิน?!” ไอ้เฟรมเบี่ยงประเด็นทันที

แต่ก็ทำได้ดี เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ใครใช้ให้มันเดินเข้ามาบ่นกับผมเป็นระยะๆ ล่ะ มันหาเรื่องเข้าห้องผมทุกๆ 20 นาที ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกผมโตกันแล้วดูแลตัวเองได้ เข้าใจในมุมมองของไอ้พี่โน่นะ แต่มันจะมาทำแบบนี้กับผมทุกๆ 20 นาทีแบบนี้ไม่ได้

ผมไม่คุยมันก็หาเรื่องคุย พยายามหาเรื่องมาคุยในห้องกับผมบ่อยไปแล้วนะ ผมคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ว้าวุ่นไปหมด ความรู้สึกแบบนี้มันแปลกชัดๆ

“ก็เสียงมันดัง ไอ้เตี้ยนั้นโวยวายน่าดูเลย!!” ผมแก้ตัวไปแบบนั้น

“เออ! กูเล่นด้วยสิ พูดจบผมก็วิ่งนำหน้าไปหาเพื่อนๆ ที่เหลือในสนามทันที ทิ้งให้ไอ้สองคนนั้นแอบถอนหายใจกัน เรื่องคราวนี้เอาไว้ก่อน เดี๋ยวหมดเรื่องของผมแล้วจะไปสืบเรื่องพวกมันให้รู้เรื่อง

สามเซ็ตติดต่อกันที่ทีมผมชนะเพื่อนร่วมสนามมาได้ การชู้ตและการรีบาวน์ของผมเรียกเสียงกรี๊ดให้กับกองเชียร์รอบสนามได้ไม่น้อย 

หลังจากจบเกมที่สาม ผมขอตัวเพื่อนๆ พาร่างที่ห่างการออกกำลังหายมานานไปนั่งพักเหนื่อยที่โต๊ะประจำที่ขอบสนาม

สิ่งแรกที่กระทบคลองสายตาของผมก็คือชายหนุ่มหน้าหวานยืนอยู่ใกล้โต๊ะประจำของพวกผมพร้อมน้ำดื่มหนึ่งขวดในมือ เขายิ้มให้ผมทันทีที่สบหน้า ผมจำรอยยิ้มนั่นได้ทันที นั่นคือ น้องอาร์ท คณะมนุษย์ศาสตร์ ตัวท้อปของปีหนึ่งที่กำลังจะขึ้นปีสอง ผมแลกยิ้มกลับไปอย่างไม่หวงแหน แม้จะอยู่ห่างกันเกือบสิบเก้าแต่ผมก็เห็นหน้าน้องอาร์ทแดงรื่อขึ้นมา (น่ารักโคตร)

“เหนื่อยไหมครับ….พี่ไอซ์…ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนไหมครับ?” น้องอาร์ทใช้มือเรียวยาวที่ขาวจนทำให้พื้นที่โดนรอบเรืองแสงไปด้วยยื่นส่งน้ำขวดหนึ่งมาให้ผมด้วยท่าทางกายสั่นเทา

“ขอบคุณครับ” ผมรีบโผไปรับน้ำขวดนั้นด้วยความกระหาย แต่ไม่ใช่ความกระหายน้ำแน่นอนผมมั่นใจ  มือผมไม่ได้จับเพียงแค่ขวดแต่ยังลูบไล้จับลู่ลงจากข้อมือจนสุดปลายนิ้วของน้องอาร์ท

น้องอาร์ทรีบดึงมือกลับอย่างเขินอาย ใบหน้าที่ขาวใสกระจ่างจนเรียกได้ว่าเรืองแสงได้นั่นยิ่งเห็นเป็นรื่อสีแดงชัดขึ้น

“นั่งเป็นเพื่อนพี่ก่อนไหม? พี่เพิ่งหายป่วยมา คงเล่นได้แค่นี้แหละ เพื่อนพี่มันคงอีกนานกว่าจะหมดแรงเล่นต่อ” มาเชิญชวนถึงที่ผมจะปล่อยไปมันก็เสียชาติเสือ

น้องอาร์ทพยักหน้าอย่างว่าง่าย ผมยิ้มกว้างรับคำตกลงนั่น และชวนคุยทันที วันนี้ผมคงไม่อ้างว้างแล้วแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่เล็งไว้จะมาให้จัดการถึงที่

น้องอาร์ทเป็นคนน่ารักคุยเก่ง รอยยิ้มที่สดใสของน้องทำให้ผมเป็นเสมือนเนยที่โดนไอแดดโลมเลียจนละลาย ฟันสีขาวที่เรียงสวยเหล่านั้นทำให้ผมมองได้ไม่เบื่อ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนธรรมชาติทำให้ผมคิดไปไกลว่าสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง

น้องอาร์ทหยิบขนมบิสกิตแบบแท่งขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ใบเล็กทันทีที่ผมบ่นหิว ผมบอกน้องอาร์ทอ้อมๆ ทันทีว่ามือเปื้อนเหงื่อไม่อยากหยิบกินเอง มันกลายเป็นนิสัยไปแล้วเวลาเจอคนน่ารักๆ ตรงหน้า น้องอาร์ทเองก็เป็นคนที่แพรวพราวไม่น้อยเช่นกัน น้องแกะห่อขนมบิสกิตแบบแท่งและยื่นมาทางปากผมทันที และแน่นอนว่าผมคว้ามือน้องไว้และขยับให้แท่งขนมเข้าปากอย่างช้าๆ ทันที ผมค่อยๆ กัดและเล็มรสเค็มอ่อนๆ ของขนมบิสกิตแบบแท่งรสเกลืออย่างช้าๆ จนหมด พร้อมใช้ลิ้นเล็มเศษรสชาติของขนมที่ปลายนิ้วของน้องอาร์ทอย่างช้าๆ

น้องอาร์ทรีบชักมือเก็บด้วยอาการเขินอาย หน้าที่ขาวใสก่อนหน้านี้กลายเป็นสีแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นน้องก็ยังหยิบขนมชิ้นใหม่ขึ้นมาป้อนแทบจะทันทีที่หายจากอาการเขินอาย

ระหว่างที่ผมกำลังสนทนาภาษารักกับน้องอาร์ทจนขนมเกือบหมดห่อ สายตาผมก็ดันไปจับกับสัมผัสของคนที่ผมเคยเล็งไว้อย่างหลงไหลในคลองสายตาด้านหลังน้องอาร์ทซึ่งเป็นภาพถนนในมหาวิทยาลัย

‘พี่กวี’
ผมเอ่ยในใจ

แม้จะอยู่ในสภาพชุดฝึกงานสัตวแพทย์ที่เป็นเครืองแบบที่ดูธรรมดา แต่ออร่าความน่ารักยังคงส่องสว่างแม้พี่กวีจะอยู่ห่างจากผมมากกว่าสิบเมตร

แม้น้องอาร์ทจะน่ารัก แต่รักแรกของผมมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ทำให้ผมละสายตาจากคนเบื้องหน้า ไปจดจ่ออยู่กับคนที่ยืนอยู่บนบาทวิถีที่ไกลออกไปแบบไม่ตั้งใจ

เพียงแค่ผมต้องจดจ่อกับขนมที่น้องอาร์ทยื่นให้เพียงครู่เดียว รถสปอร์ตคันหรูที่แสนคุ้นตาก็ขับมาจอดขนาบข้างบาทวิธีจุดที่พี่กวียืนอยู่

ผมเล็งทะเบียนอยู่พักใหญ่ก็ทำให้รู้ว่ารถคันนั้นมันคือรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถบ้านผมอยู่ทุกวันนั่นเอง

“รถไอ้พี่โน่!” ผมหลุดปากพูดออกมาทำให้ขนมบิสกิตแท่งที่คาปากอยู่หล่นลงบนพื้นโต๊ะจนหักครึ่ง

“พี่ดูไม่สนใจผมเลย ผมจะงอนแล้วนะ” อาร์ทเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าปั้นปึง แต่แม้จะดูโกรธยังไง น้องอาร์ทก็ยังน่ารักเปล่งประกายอยู่ดี

ผมยิ้มให้กับความน่ารักตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่เมื่อเห็นพี่กวีกัมตัวลงและริมฝีปากขยับเริ่มบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใจผมมันสั่นไหวแปลกๆ  และรู้สึกตัวอีกทีผมก็ลุกขึ้นยืนมองภาพตรงนั้นเสียแล้ว

“เอ่อ…พี่ขอโทษนะ พี่นึกได้ว่ามีธุระ เรื่องคอขาดบาดตาย!!” ผมส่งยิ้มให้รุ่นน้องตรงหน้า น้องอาร์ทตอบกลับด้วยสีหน้างุนงงไร้คำพูด

ผมเดินออกจากโต๊ะแทบจะทันที แต่ก่อนออกห่างผมก็ได้ก้มลงไปขโมยหอมแก้มรุ่นน้องหน้าใสอีกหนึ่งรอบทิ้งท้าย ซึ่งสร้างเสียงกรีดร้องจากเพื่อนๆ ของน้องอาร์มรอบสนามได้จนเหมือนเสียงเอคโค่ที่ดังกังวาลอยู่โดยรอบสนาม

ผมเห็นรอยยิ้มจากคนที่ผมโดนขโมยหอมแก้มแล้วรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่เท้าเจ้ากรรมยังคงเดินพาผมห่างออกไปจากรอยยิ้มนั่น ไปยังทิศทางของคู่สนทนาริมถนนนั้น

แต่ผมเหมือนจะช้าไปหลายก้าว หันมาตั้งตัวอีกที พี่กวีก็เปิดประตูขึ้นรถไปกับพี่กวีเสียแล้ว

ด้วยความร้อนใจผมใส่เกียร์ห้าที่เท้า ขยับตัวไปยังรถด้วยความเร็วที่ผมเองก็คิดไม่ถึง ทั้งที่เมื่อครู่แข้งขาเปลี้ยร้าวไปถึงกระดูก

ผมพยายามขับรถตามโดยรักษาระยะห่างเพราะไอ้พี่โน่มันตาดีและความจำที่แสนแม่นยำ หากขับเข้าไปใกล้มากเดี๋ยวมันจะรู้ตัว

รถสปอร์ตคันหรูถูกขับมายังเขตชานเมืองที่เป็นพื้นที่อโคจร พื้นที่บริเวณนี้ที่กินอาณาเขตกว่าสิบกิโลเมตรเป็นแหล่งสิ่งปลูกสร้างประเภทผับ บาร์ คาราโอเกะ และโรงแรม รีสอร์ตระดับตั้งแต่ ไม่มีดาวจนกระทั้งถึงระดับ 4 ดาว

ผมขับไปพลางมองสองข้างถนนที่แสนจะคุ้นตาและคุ้นชินกับชีวิตปีหนึ่งและปีสองที่สุดเหวี่ยง  ผมมองทอดออกไปด้านหน้ากระจกรถที่ยังคงเห็นรถหรูวิ่งนำหน้าห่างออกไปเกือบสองกิโลเมตร

ในที่สุดรถคันหน้าก็ตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูดที่มีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ป้ายชื่อโรงแรมเหมือนกำลังถูกปรับปรุงจึงค่อนข้างอ่านยากว่ามันชื่ออะไร บอกตามตรงแม้แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดพาใครเข้าที่พักลักษณะนี้ ต่อให้หิวโหยขนาดไหนก็เถอะ ผมให้เกียรติคู่นอนผมเสมอ (แม้แทบจะหมดตัวในแต่ละเดือนเลยก็ตาม)

ผมชะลอและหยุดรถลงข้างทางภาวนาให้คนทั้งสองที่ขับรถเข้าไปในสถานที่แบบนั้น เข้าไปเพื่อเป็นทางผ่าน ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเหยียบคันเร่งและมุ่งหน้าตามไปอย่างช้าๆ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 16) 17 มี.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-03-2022 18:04:53
ผมเลี้ยวเข้าไปอย่าเก้ๆ กัง ๆ เพราะความไม่คุ้นสถานที่ และไม่เคยคิดที่จะเข้ามา ผมขับวนโดยรอบสถานที่พักที่สามารถนำรถเข้าไปจอดในที่พักได้พร้อมรั่วเลื่อนที่เหมือนม่านปิดอยู่หลายช่อง แต่ไร้วี่แววคนที่เข้ามาก่อนหน้า พร้อมทั้งพยายามหาประตูหลัง หรือเส้นทางอื่นที่สามารถออกจากที่นี่ได้ จนกระทั่งมีพนักงานเดินเข้ามาทักด้วยความสุขภาพปนแปลกใจที่ผมขับรถเข้ามาคนเดียว

ได้ความว่า ที่นี่ทางเข้าออกมีทางเดียว และกำลังปิดปรับปรุงอยู่ครึ่งหนึ่ง แม้ผมจะถามว่าเห็นลูกค้าที่ขับรถคันหรูที่เข้ามาก่อนหน้านี้หรือไม่ น้องได้แต่ส่ายหน้า เพราะเขาเพิ่งเดินเข้ามาทำงานได้ ไม่ถึงห้านาทีเลย พร้อมทำหน้าสงสัยในการกระทำของผมพร้อมกับกำวิทยุในมือแน่น (น่าจะคิดเรียก รปภ.)

ผมรีบขับรถออกไปด้วยใจห่อเหี่ยว ผมขับรถกลับมาที่บ้านตนเองด้วยความคิดในสมองร้อยล้านแปด ผมรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็น พยายามหาข้อแก้ตัวให้พี่กวีเท่าที่จะทำได้ แต่ลงท้ายความคิดทั้งหมดเหล่านั้นก็ไล่ลงต่ำไปสู่ความคิดแย่ๆ ทุกความคิด

ขณะที่ที่ผมกำลังขยี้หัวตัวเองด้วยความเครียด สายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องหน้ารถ ความคิดวูบแรงที่ผุดขึ้นมามันช่างเลวร้ายแต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกจริง และเรื่องนี่ผมคงคิดหาทางออกคนเดียวไม่ได้ หลังจากตรึกตรองอยู่พักใหญ่ ผมก็คว้าเอาเมมโมรีการ์ดจากในตัวกล้องและรีบขึ้นไปทำภาระกิจที่ห้องตัวเองทันที

……………

“มึงส่งเชี้ยอะไรให้กู!!” ชายผู้ที่ได้ชื่อว่า หวงก้างที่สุเตั้งแต่ผมเกิดมากำลังเกรี้ยวกราดใส่โทรศัพท์ หลังจากได้รับคลิปวีดีโอที่ผมส่งให้ไปพักใหญ่

ผมพยายามสุภาพด้วยจนถึงที่สุดและพยายามเล่าเรื่องที่ตาเนื้อผมเห็นและถ่ายทอดทุกอย่างให้ไอ้พี่ชัยฟังอย่างไม่บวกลบอะไร และลงท้ายด้วยคำพูดว่า

“คือ….. ฟังนะ…. ผมก็ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็นหรอกนะ แต่คนที่อยู่ในรถของไอ้พี่โน่เนี่ย คือพี่กวี”

อีกฝ่ายนิ่งไปพักใหญ่…….และตอบกลับมา
“กู….ติดต่อกวีไม่ได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว กูก็เป็นห่วงอยู่” เสียงที่ตอบกลับมามันช่างไร้พลังจนผิดปกติ

“พี่ทะเลาะอะไรกับพี่กวีหรือเปล่า!!” ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเป็นห่วงไอ้คนที่ปลายสายด้วย เพราะความจริงผมกับมันก็ไม่ถูกกันเพราะเรื่องพี่กวี แต่ตอนนี้ความรู้สึกของผมมันต่างไป มันเหมือนผมเห็นอกเห็นใจมัน เหมือนผมกำลังตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ‘หึงหวงและโดนนอกใจ’

อยู่ๆ ไอ้ความคิดประหลาดแบบนั้นมันก็เข้ามาจู่โจมผมแบบนี้ โคตรจะไม่ชอบเลย

ผมคุยกับมันต่ออีกพักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างพยายามหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็วางสายด้วยอาการอยากเคลียร์กับคนของตนเอง

‘เอ๋!! ใครเป็นคนของผม บ้าน่า!!’ ผมใช้มือปัดความคิดในหัวที่ผุดขึ้นมา

ครู่ใหญ่หลังจากที่วางสาย ผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถขับเคลื่อนเข้ามาจอดในรั่วบ้าน ผมรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงและลงไปข้างล่างทันที

ภาพที่เห็นมันช่างบาดใจไม่น้อย พี่กวีที่เดินนำเข้ามาในตัวบ้านซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากไปฟัดกับฝูงหมาข้างถนนฝูงใหญ่ เนื้อตัวมอมแมมและมีรอยเปื้อนตามเนื้อผ้าเต็มไปหมด เพียงแค่เห็นภาพเหล่านั้น ในหัวก็เตลิดไปไกลลิบ

ไม่มีความคิดดีๆ เกิดขึ้นในหัวผมตอนนี้เลย

“ขอโทษนะ พี่ขอมาล้างตัวหน่อย” พี่กวียิ้มทักและขออนุญาตผมผู้เสมือนเป็นเจ้าของบ้านตอนนี้

“เอ่อ….. ครับ” ในใจมีคำถามล้านแปด แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป ผมตอบกลับพร้อมผายมือเป็นการเชิญชวน

“ไปใช้ห้องผมก็ได้ครับ อยู่ชั้นสองห้องแรกเลยครับ” ผมรีบรับแขกตามมารยาทที่เหมาะสม พร้อมกับเห็นพี่โน่ที่เดินตามหลังมาในสภาพไม่ต่างกันมากนัก

‘นี่ไปทำอะไรกันท่าไหนวะ? แล้วที่โรงแรมมันไม่มีน้ำให้อาบหรือไง?!?’ ผมคิดในใจพร้อมมองค้อนใส่ครู่ใหญ่ ไอ้พี่โน่ก็มองกลับอย่างไม่หลบสายตา

“โห… บ้านน้องไอซ์สวยมากเลย” พี่กวีมองสำรวจด้วยความชื่นชม

“ไม่สวยเท่าพี่หรอก ได้ข่าวว่ายังกะวัง! แต่บ้านนี้ต้องยกความดีความชอบให้แม่นะครับ แม่เขารสนิยมดี” ผมตอบและมองรอยยิ้มพี่กวีจนเดินหายขึ้นไปด้านบน

“ผู้ใหญ่เข้าบ้านไม่ทักไม่ทายเลยนะ”  พี่โน่ที่เดินไปจนถึงบาร์น้ำของบ้านเอ่ยทักพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ (นี่มันจะทำตัวเหมือนเป็นบ้านตัวเองไปไหมเนี่ย?)

“ผมว่าพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมครับ น่าจะเจอศึกหนักมาทั้งคู่!!” ผมรู้สึกว่าตัวเองกระแทกเสียงลงในทุกคำของประโยค

แปลกดีเหมือนกัน หากเป็นปกติผมคงเดินตามไปดูแลพี่กวีเรื่องอาบน้ำอาบท่าแล้ว แต่ตอนนี้ผมเหมือนอยากจะระบายอารมณ์ใส่ไอ้คนตรงหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก รู้ว่าอยากหาอะไรขว้างใส่หน้ามอมแมมของมัน

“โกรธอะไรกูวะ?” พี่โน่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น

“……..” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งตนเองคิดถูกหรือไม่ ไม่อยากคิดไปเอง ถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนเอาไม่เลือกแต่พี่กวีไม่ใช่คนแบบนั้น

“ยังนิสัยเป็นเด็กเหมือนเดิม! หรือว่าหึงที่กูกลับบ้านมากับน้องกวี!!” พี่โน่ยกมุมปากยิ้มขึ้นมาอย่างจงใจยั่วโมโหผม และปรากฏว่า มันได้ผล

“ไม่ใช่โว้ย!! พี่จะไปทำอะไรกับพี่กวี ไม่เกี่ยวกับผม ผมจะไปโกรธเรื่องนี้ทำไม คนที่ควรน่าจะโกรธ ควรเป็นแฟนพี่กวีนะ และก็พูดดีๆ ด้วยว่าใครหึงคนอย่างมึง!!” ส่วนลึกในใจผมกลับมีแต่คำว่า
 ‘เชี้ยแล้วไง หรือว่าจริงวะ ไอ้ความรู้สึกเชี้ยๆ เหล่านี้เนี่ยนะ!!’

ติ่งน่องๆๆๆๆๆๆ

กริ่งที่รั้วบ้านถูกกดอย่างรัวลั่นไปทั้งบ้าน จนผมคิดว่าปุ่มกดกริ่งหน้าบ้านน่าจะยุบลงไปเรียบร้อยแล้ว ผมมองหน้าพี่โน่ด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้ากลับมาด้วยอาการมึนงงไม่ต่างกัน

สุดท้ายมันจึงเป็นหน้าที่ของผมในการวิ่งไปหาต้นตอของเสียงกริ่งที่ดังระรัวต่อเนื่อง

“เฮ้ย!! มาได้ไง” ผมอุทานหลังจากเปิดช่องแอบมองที่รั้วบ้าน วงหน้าที่คุ้นเคยและวงหน้าที่แผ่รังสีอำมหิตจนผมรู้เสียวสันหลังไปหมด มันคือแฟนของคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องของผม

‘จังหวะนรกแล้วไง’ ผมคิดในใจพลางปาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลลงจากศรีษะ

“กวีอยู่ไหน?” เสียงแข็งกร้าว ข้ามกำแพงรั้วพุ่งเข้ามาหาผมอย่างมาดร้าย

“ใจเย็นๆ พี่! แล้วมึงมาได้ไงเนี่ย?!?” ผมพยายามผ่อนหนักเป็นเบา แต่ก็พูดอะไรออกมาตามใจปากจนได้ อย่างนี้มันก็ยิ่งเข้าใจผิดสิ!

“Find my phone! สรุปว่าที่มึงส่งคลิปมานี่คือกะจะอวดใช่ไหม?” เสียงของชัย แฟนของพี่กวีที่ขึ้นชื่อเรื่องหึงโหด (ถึงขั้นใช้แอปฯ สะกดรอยแฟนเลย สุดยอด!!

“พี่ชัย! มึงกำลังขาดสติ รถนั่นมึงก็รู้จัก!! มึงสะกดสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยเข้ามาคุยกัน” ผมพยายามสุดความสามารถ

“กูรู้สิ ก็มันจอดอยู่ข้างหลังมึงไง!!” คนพูดมันชี้ผ่านด้านหลังผมเข้าไป

ผมไม่ต้องหันไปมอง ก็คิดในใจคำเดียว ‘เชี้ยแล้วไง!!’

“กูรู้ว่า ไม่ใช่มึง  แต่กวีกับไอ้เจ้าของรถมันอยู่ข้างในใช่ไหม?” ท่าทางอารมณ์ของชัยจะยิ่งรุนแรงมากกว่าสงบลง

“ใจเย็นๆ ก่อน นี่บ้านผมนะ!” ผมยกมือขึ้นแผ่ออกขนานกับอกเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็น ผมไม่อยากเช็ดเลือดในบ้านตนเอง

แต่แทนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะเย็นลง กลับยิ่งดุร้ายขึ้นเหมือนเสือหิวที่ถูกขุมขัง ผมปิดช่องแอบมองแล้วเดินวนไปวนมาเพื่อคิดหาทางออก อย่างน้อยก็ประวิงเวลาให้อีกฝ่ายที่นอกประตูได้ใจเย็นลงบ้าง

ปึงๆๆๆ

ตอนนี้มันเลยทุบรั่วบ้านผมแล้ว ไอ้คนคลั่งรัก ขี้หึงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เคยได้ข่าวว่ามันเคยซัดกับพี่นีโน่อย่างสูสีเรื่องพี่กวีเห็นจะจริง!

“ปล่อยมันเข้ามา!!” พี่โน่ที่มาจากในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ มายืนอยู่หลังผมด้วยบรรยาเตรียมพร้อมรับมือ

“พี่อย่าเลยครับ ฟังจากเสียงทุบรั่วนี่ไม่น่าจะใช่มือนะครับ ไอ้พี่ชัยน่าจะมีอาวุธ” ผมยืนขวางทางไม่ให้อีกฝ่ายเดินไปเปิดประตูรั่ว

“หลีก! กูไม่กลัว!” พูดจบไอ้นักเลงบ้าเลือดเดินตัดผ่านผมไปอย่างง่ายดาย เขาเดินไปปลดล็อกประตูและเลื่อนเปิดกว้างออก

วูบ….ฟ้าว…. เพียงมีช่องทางเปิดออกเพียงพอให้ตนเองเข้ามาไอ้พี่ชัยมันก็รีบแทรกตัวผ่านและเริ่มจู่โจมพี่โน่ด้วยไม้เบสบอลทันที

ตัวไม้เหวี่ยงโดนลมดังและปะทะกับรั่วเหล็กทึบสีขาวดังสนั่น ตัวรั่วที่ทำจากเหล็กสั่นระรัวไม่หยุด จุดตรงที่ไม้ตกกระทบเป็นรอบบุบลงไปพอควร รั่วที่ทำจากเหล็กกล้าหน้าหลายเซ็นติเมตรยังขนาดนี่ ถ้าพี่โน่หลบไม่ทันมีหวัง…..จบชีวิต เข้าใจแล้วว่าหลายคนบอกผมบ่อยๆ ว่าอย่าไปยุ่งกับหมาบ้าเพราะแบบนี้นี่เอง

“มึง!! ล่อลวงกวีไปทำ……..” ขณะที่เจ้าของไม้เบสบอลกำลังถอนไม้ออกจากรอยบุบขนาดเท่าหัวเด็กทารก ก็มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าและร่างของไอ้พี่ชัยก็ลอยห่างออกไปครึ่งก้าว พร้อมกับปลายไม้เบสบอลที่ตอนนี้ถูกกำแน่นอยู่ที่มือนักเลงตัวเล็ก กล้ามที่โปนปูดขึ้นมาคับเต็มเสื้อโปโลคลุกฝุ่นมันช่างเป็นภาพที่หาชมได้ยาก

พี่โน่สมกับสมญานามว่า หมัดเดียวสลบจริงๆ

“ไอ้หมาบ้าตัวนี้พูดดีๆ ไม่เข้าใจหรอก เราต้องน้อคมันก่อน!!” นีโน่พูดขึ้นพร้อมปาไม้เบสบอลไปคนละทางกับร่างที่ลอยไปกองอยู่เบื้องหน้า (โคตรเท่และโคตรน่ากลัว)

“โอย….” ผมไม่รู้ว่าไอ้หมาบ้านี่โดนซัดตรงไหนแต่ความอึดของมันนี่สุดยอดไม่แพ้กัน ชัยพยายามขยับตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ

“สงสัยว่าประเมินมันต่ำไปเลยออมมือไปหน่อย” พี่โน่พูดจบก็กำมือชกฝ่ามือดังลั่นและเดินก้าวไปทางคนที่หมอบหมดแรงอยู่

“มึง!!” คนที่นอนหมอบอยู่ตาแดงก่ำมองมาทางพี่โน่อย่างเอาเรื่อง ไอ้พี่ชัยเวลามันเป็นแบบนี้มันโคตรน่ากลัวไม่น้อย แปลว่าที่ผ่านมามันไม่ได้เห็นผมในสายตาก็เลยปล่อยๆ ผม ตอดเล็กตอดน้อยพี่กวีอย่างไม่คิดมาก แต่กับพี่โน่คงเป็นคนละเรื่อง

“ผมว่าพี่หยุดเถอะครับ!” ผมรีบวิ่งไปขวางทางพี่โน่ไว้ แต่ผมก็ต้องสะดุดหยุดขาตัวเอง รู้สึกถึงเลือดไม่ไหลเวียนไปทีหน้า ของเหลวสีแดงข้นไหลนองลงมาที่ครึ่งหน้าพี่โน่ ด้วยสายตาที่ฉุนเฉียวที่ผมไม่เคยเห็นทำให้ผมกลัวจนไม่กล้าขยับตัว

แต่ทันทีพี่โน่มองเห็นอาการของผม เขาก็เหมือนรู้สึกตัว แววตาเปลี่ยนไปจนผมรู้สึกได้ และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ

“กูจะฆ่ามึง!!” แต่ไอ้หมาบ้าข้างหลังผมดูจะตรงกันข้าม ตอนนี้มันลุกขึ้นมาด้วยท่าทางหงิกงอด้วยความเจ็บปวดแต่แววตายังคงดุดันไม่เปลี่ยน

“ไอซ์ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” พักใหญ่ก็มีเสียงเย็นๆ มาจากทางตัวบ้าน พี่กวีในชุดไปรเวทของตนเอง  หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เหมือนมีออร่าแผ่ออกมา น่ารักฉิบหายหลังจากที่พี่กวีเดินเข้ามาในระยะประชิดบรรยากาศบริเวณนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“กวี…..” เสียงของไอ้หมาบ้าเมื่อครู่ตอนนี้เหมือนหมาที่กำลังจะโดนเชือด….โดยสัตวแพทย์สุดน่ารัก

“ไหวไหม?” เสียงของกวีที่แสนอ่อนโยนทำให้ชัยสีหน้าท่าทางอ่อนลงไปมาก พร้อมพยักหน้าอย่างน่าสงสาร

“งั้น……” เพียงแค่เริ่มต้นประโยค กวีก็ยกมือขึ้นคว้าผมดกดำจากคนเบื้องหน้า ขยำสุดแรงและเตะข้อพับขาของชัยให้หงายตัวล้มลงอย่างรวดเร็ว จนผมและพี่โน่ตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่

“นอนนิ่งๆ ไปก่อนนะ เจ็บก็นอนเฉยๆ เถอะ” กวีก้มหน้าลงพูดกับคนที่นอนแผ่อยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านด้วยเสียงเย็นยะเยือก แม้แต่ผมยังรู้สึกกลัวพี่กวีที่อยู่ตรงหน้า ใครจะไปคิดว่าคนน่ารักๆ แบบนี้เวลาโมโหจะน่ากลัวขนาดนี้

“ที่รัก ผมเจ็บนะครับ ทำไม….” ฝ่ายที่นอนแผ่อย่างเลือกไม่ได้ ได้แต่นอนดีดดิ้นโอดโอย

“ดีแล้วจะได้จำ ทีหลังจะได้ใจเย็นลงบ้าง!! ทำไมนายถึงไม่เคยเปลี่ยนเลย รู้ไหมว่าทำแบบนี้เท่ากับ ไม่ไว้ใจเรา คิดว่าใจง่าย หรือไม่ก็ดูแลตัวเองไม่ได้!!” กวีมองคนที่อยู่เบื้องต่ำที่มองกลับด้วยแววตาที่ปริ่มทุกข์

“เรา……ขอโทษ……เรา…….” ชัยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสำนึกผิดแต่ก็ยังไม่กล้าขยับตัว

“แล้วยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย!! ถ้าเป็นแบบนี้อีก……” น้ำตาของคนที่มีใบหน้าเทพประทานให้ถึงกับร่วงหล่นไหลอาบแก้ม

“ไม่ๆ ไม่นะ เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว! เราจะมีสติขึ้น เราจะคิดก่อนทำ อย่าเลิกกับเราเลยนะ เราอยู่ไม่ได้นะ หากไม่ได้รักกวีนะ” อีกฝ่ายพยายามพยุงร่างที่เกือบจะพังขึ้นมาทีละน้อย และเข้ามาทำมาใกล้กวีและอ้าแขนเพื่อเตรียมเข้ากอดอีกฝ่าย

“หยุดอยู่ตรงนั้น! วันนี้ทำโทษ นอนให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้แหละจนกว่าเราจะทำแผลให้พี่โนเสร็จเรียบร้อย” กวีใช้มือหยิกเนื้ออกอีกฝ่ายจนร้องโอย

ชัยแม้จะได้ยินประโยคของกวีเมื่อครู่ ก็ได้แต่ทำหน้าไม่พอใจและยืนถอยห่างออกไปตามสายตาที่ดุดันจากคนเป็นแฟน

ผมที่เห็นภาพตรงหน้าได้แต่ทึ่งกับการปราบม้าพยศของพี่กวีตรงหน้า  เรียกได้ทั้งอ้อนทั้งดุได้อย่างมีชั้นเชิงจนคนเป็นหมาบ้าอย่างไอ้พี่ชัยสยบอย่างราบคาบ แอบสงสารไอ้พี่ชัยมันเหมือนกัน แต่มันก็ทำตัวเองแหละ

(ผมไม่แปลกใจเลยเพราะพี่กวีก็ได้ชื่อว่าเป็นกัปตันทีมบาสเกตบอลที่โหดจนเป็นตำนาน โชคดีที่ไม่ได้อยู่คณะฯเดียวกัน)

“เดี๋ยวพี่ทำแผลเองดีกว่า น้องอยู่เคลียร์กับไอ้หมาบ้านี่เถอะ” นีโน่พูดกับกวีที่มีท่าทางห่วงแฟนตนเองไม่น้อย ถึงไอ้พี่ชัยจะบ้าๆ บอๆ แต่ก็โชคดีของมันที่พี่กวีรักมันเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรพี่” ขณะที่พี่กวีพูด ไอ้คนที่โดนทำโทษก็ยังเขม่นใส่พี่โน่ไม่เลิก รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจนอุณหภูมิแถวนี้เย็นขึ้นชัดเจน

“กูน่ะไว้ใจแฟนกู แต่มึงไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอวะ!!” ชัยพูดแหวกอากาศออกมา จนกระทั้งโดนสายตาพิฆาตจากพี่กวีถึงได้ก้มหน้าเงียบ

“กูพูดแล้วมึงจะเชื่อกู!!?” พี่โน่พูดข้ามศรีษะกวี

“ไม่เชื่อ!!” อีกฝ่ายตอบกลับสั้นๆ ตาขวาง

“แล้วมึงจะถามกูเพื่อ!!?” พี่โน่ก้าวเข้าไปใกล้อย่างดุดัน

“พอเลย!! เดี๋ยวผมเคลียร์เอง!! ไอซ์พี่ฝากได้ไหม!!” พี่กวีเสียงแข็งขึ้นมา คู่วิวาทตัวแข็งทื่อ ผมซึ่งอยู่นอกวงกลับโดนมอบหมายงานสำคัญเสียอย่างนั้น!!

“ดะ…ได้ครับ” ผมตอบตกลงอย่างอึกอัก เพราะไม่ทันตั้งตัว

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในความคิดเลยคือ ผมจะสามารถลากไอ้เตี้ยแรงช้างสารนี่หลับบ้านไหวไหม ผมรู้จักความดื้อและความอึดของมันดี อย่างผมเนี่ยมันจะไปบังคับอะไรมันได้ แต่พี่กวีพูดขนาดนี้แล้วก็น่าจะได้ล่ะ

ผมก้าวออกไปกุมแขนคนตัวเล็กที่ออกแรงต้านจนแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นสัมฤทธิ์ ผมพยายามออกแรงดึงก็แล้วมันก็แทบจะไม่ขยับตัว พี่โน่ยังกำหมัดจ้องมองคู่แฟนตรงหน้าที่พยายามปรับความเข้าใจกัน ผมรู้ว่าพี่โน่เป็นห่วงพี่กวีมากแต่จากที่ผมเห็นตรงนี้ คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นพี่ชัยมากกว่า

แมะ!

เสียงของเหลวข้นสีแดงหยดลงบนฝ่ามือผมโดยบังเอิญ ความรู้สึกผมที่เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีแผลฉกรรจ์บริเวณมุมหน้าผาก ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ ไม่ใช่ว่าผมกลัวเลือดกลัวบาดแผล แต่เป็นความรู้กลัวอีกแบบที่ผมไม่อยากยอมรับ

“พี่โน่ ผมขอร้อง ไปทำแผลกับผม” ผมปรับโทนเสียงตัวเองอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง

พี่โน่หันหน้ามองผมอย่างตั้งใจ สีหน้าที่เคร่งเครียดเมื่อครู่มลายหายไป เขาพยักหน้าเบาๆ และยอมอ่อนแรงที่ลำตัวและท่อนแขน

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่คิดว่าน่าจะยังสะอาดอยู่ออกจากกระเป๋ากางเกงและยกมันขึ้นเพื่อจะใช้มันซับเลือดที่เลอะอยู่ครึ่งหน้าพี่โน่

มือผมถูกคว้าด้วยความเร็ว และหยุดมือที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้นไว้

“เดี๋ยวเปื้อน เลือดมันซักไม่ออกนะ” ไอ้พี่โน่พูดขึ้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน

“ใช่เวลามาห่วงเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ไหม ไม่รีบห้ามเลือดเดี๋ยวได้ตายหรอก!!” ผมดุใส่อีกฝ่ายเบาๆ ด้วยอารมณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่า ‘เป็นห่วง’ มั้ง

พูดจบผมก็สะบัดมืออีกฝ่ายได้โดยง่าย และใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเทาที่พับบรรจบอย่างบรรจง ค่อยๆ เช็ดและซับของเหลวสีแดงออกจากใบหน้าอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

“ดีจัง” พี่โน่เอ่ยอะไรเบาๆ ออกมาให้ผมได้ยินอย่างจงใจและยกยิ้มมุมปากอย่างน่ารัก (โอ้ยยย หัวใจ)

“จับและกดไว้ แล้วก็ตามมา เดี๋ยวทำแผลให้!” ผมหยิบมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมผ้าเช็ดหน้าบริเวณเหนือคิ้วข้างซ้าย ที่ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของของเหลวสีแดงจำนวนมาก พูดจบผมก็หันหลังเดินนำเข้าบ้านมาทันที โดยไม่มองว่าอีกฝ่ายจะนามมาหรือไม่
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 17) 23 มี.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-03-2022 14:42:51

ระหว่างเดินไปถึงประตูบ้าน ผมพยายามใช้มือซ้ายกุมหน้าอกข้างซ้ายไว้ไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในเต้นตูมตามจนอีกฝ่ายจะได้ยิน

หลังผลักประตูหน้าบ้านจนเปิดเข้าจึงคิดได้ว่า ผมไม่ควรปล่อยมือจากไอ้พี่โน่ เพราะหากไม่ลากมันมาด้วย เดี๋ยวก็ไปยืนจ้องอริจนคู่รักคู่นั้นหงุดหงิดเสียเปล่าๆ

ทันทีที่หมุนตัวกลับไป สายตาก็ปะทะกับพี่โน่ในระยะประชิด คนที่ยืนเอามือกุมผ้าเช็ดหน้าไว้บริเวณแผลถึงกับถอยไปครึ่งก้าวอย่างแปลกใจ แต่โชคร้ายที่ก้าวที่พี่โน่ถอยกลับไปมันดันเป็นพื้นต่างระดับ พี่โน่จึงมีอาการเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย

จากสายตาของผม มันเหมือนคนตัวเล็กกำลังเสียหลักหงายหลังลงไป และห่างออกไปทุกที ด้วยปฏิกิริยานักกีฬา ผมพุ่งตัวออกไปคว้าอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด

ตอนนี้หากคนอื่นมาเห็นคงเหมือนเป็นอนุเสาวรีย์คู่รักที่เกาะนามิ ยืนกอดกันกลมอย่างใกล้ชิด

ผมพละออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวอีกฝ่ายจับจังหวะหัวใจของผมได้ เพราะมันกำลังเต้นเป็นจังหวะแรปอยู่อย่างรวดเร็ว รัวทำนองแปลกๆ ที่ผมไม่รู้จักออกมา

“ระวังหน่อยสิ!” ผมดุใส่อีกฝ่ายที่ยืนยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดนองคล้ายกับคนโรคจิต เจ็บขนาดนี้ยังจะสามารถยิ้มได้อีก

ผมเดินนำหน้าอีกฝ่ายมายังพื้นที่นั่งเล่นบริเวณสวนหย่อมข้างบ้าน เพราะมันทำความสะอาดง่าย หากเลือดหรือเบตาดีนหยดเลอะเทอะชุดเก้าอี้รับแขกหนังสีขาวอันหรูหราของแม่มีหวังผมจะเป็นคนหัวแตกเพิ่มขึ้นอีกคน

พี่โน่ว่าง่ายกว่าที่คิด มาถึงสวนหลังบ้านผมก็เจ้ากี้เจ้าการสั่งให้เขานั่งลงรออย่างสงบ เขาก็ปฏิบัติตามอย่างไร้เสียงโต้ตอบ จนกระทั่งผมเข้าไปหยิบกล่องยาสามัญประจำบ้านเขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่วงท่าเดิมแทบไม่ขยับเลย

ผมรู้สึกอายนิดหน่อยที่ต้องโดนคนที่เคยเป็นศัตรูกันมองทุกการกระทำของผมอย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะหยิบจับผ้าปิดแผล น้ำเกลือ เบตาดีน ออกจากกล่องและเริ่มจัดวางตามขั้นตอนล้วนอยู่ในสายของพี่โน่ตลอด

“ขอดูแผลหน่อย” ผมหันไปพูดกับอีกฝ่ายที่จ้องผมแบบแทบไม่กระพริบตา

แผลไม่ลึก และไม่ใหญ่มาก แปลว่า น่าจะแค่หลบไม่พ้นเท่านั้น เลยโดนแค่ถากๆ ผมรู้สึกทึ่งกับทักษะการวิวาทของพี่โน่อย่างมากระยะใกล้ขนาดนั่นยังสามารถหลบทัน หากเป็นผมโดนแบบนี้ คงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแน่นิ่ง
หลังจากสำรวจแผลจากทุกมุม ผมบรรจงทำการล้างแผลใส่ยาฆ่าเชื้ออย่างชำนาญ

“โห… นี่ถ้าไม่รู้ว่าเรียนสถาปัตย์ก็คิดว่าเรียนหมอนะเนี่ย” พี่โน่แซวขี้นมาขณะที่ผมกำลังเล็งตัดผ้าปิดแผลให้พอดีกับบาดแผลและรูปหน้าอีกฝ่าย

“เด็กๆ ผมกับไอ้เฟรมตีกันบ่อย จนแม่เลิกห้าม แล้วหันมาสอนให้ทำแผลด้วยตัวเองน่ะ แม่บอกว่าจะทะเลาะกันแม่ไม่ว่า แต่หากเลือดตกยางออกก็จัดการกันเอง แม่จะไม่ยุ่ง!!” ผมเผลอเล่าอะไรแบบนี้ออกไปจนตัวเองก็แปลกใจ

“สมเป็นมล” พี่โน่พูดจบก็หัวเราะในลำคอ

หลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ในอกของผมก็ไหววูบวาบทันที ผมระลึกได้ทันใดว่า คนตรงนี้คือ อดีตคนรักของแม่และปัจจุบันคือเพื่อนสนิทของแม่

ความรู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้านี้มันกลายเป็นความรู้สึกผิดจู่โจมเข้าที่กลางอกซ้ำ ๆๆ

ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบปลาบ ผมรีบจัดแจงปิดแผลอีกฝ่ายและเตรียมเก็บของเพื่อหนีออกจากตรงนี้ทันที


“เลือดน่าจะหยุดแล้ว พี่โน่อย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ แช่ผ้าไว้ก็ดีนะครับเดี๋ยวซักคราบเลือดไม่ออก ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมกล่าวเสียงเรียบและหันหลังกลับ


“เดี๋ยว!!” ผมโดนอีกฝ่ายดึงรั้งแขนเอาไว้

“อะไรอีก!!” ผมสะบัดแขนข้างที่โดนจับแต่กลับไม่สามารถทำให้มืออีกฝ่ายหลุดออกท่อนแขนผมได้ ผมโบกแขนไปมาในอากาศจนรู้สึกเจ็บบริเวณที่กดทับ สุดท้ายผมก็หยุดและหันมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตากร้าวร้าว

“มึงจะงอนเรื่องกูกับน้องกวีใช่ไหม? มันไม่เป็นอย่างที่มึงคิดนะ!!” คนที่จับแขนผมบีบจนเลือดแทบไม่เลี้ยงปลายนิ้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าอมยิ้ม

“พูดอะไร ผมไม่รู้เรื่อง!!” ผมผ่อนแขนตัวเองลงเผื่อว่าอีกฝ่ายจะลดแรงบีบลง แต่ก็ยังคงจับผมด้วยแรงเท่าเดิม

“แล้วไอ้ลิงกังตัวไหนมันขับรถตามกูมา แล้วขับรถวนรอบโรงแรมที่กูเป็นเจ้าของ!!” มันดึงผมเข้ามาใกล้มันอีกครึ่งก้าว พร้อมจ้องเข้าไปในดวงตาของผม

‘เชี้ย!! ตาดีไปแล้ว!!” ผมคิดพลางหลบสายตาอีกฝ่าย

“แปลว่ายอมรับสินะ!!”  อีกฝ่ายเสียงดังขึ้น

“เออ!! กูเอง! กูก็แค่อยากจะปกป้องพี่กวี กลัวมึงพาไปทำมิดีมิร้ายก็เท่านั้น แล้วไงสมใจหรือยัง ดูสิเสื้อผ้ายับเยินยังกะไปฟัดกับหมา!!” อารมณ์ที่พยายามสะกดไว้มันพรั่งพรูออกมาอย่างกับเขื่อนแตก ในใจมันยังมีอะไรอีกเยอะแต่อย่างน้อยมันก็ได้ระบายออกไปบ้าง ผมจ้องกลับเข้าไปในตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“ในสายตามึงเคยมองกูดีบ้างไหมเนี่ย?” อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ ผมรู้สึกแปลกใจที่มันไม่แก้ตัว หรือหาคำอธิบายแบบเสียดสีที่ทำให้ผมเจ็บใจที่เข้าใจมันผิด แต่นี่มันแปลกไป

“…….” ผมมองกลับวงใบหน้าประหลาดใจกับคำพูดของไอ้พี่โน่

“อืม….กูก็ไปฟัดกับหมาจริงๆ นั่นแหละ”  พี่โน่ตอบด้วยถ้อยคำเอื่อยเฉื่อย

“ห๊ะ!!” ผมได้แต่อุทานเพราะไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้อง

“คืองี้นะ หมาจรจัดที่กูบังเอิญเลี้ยงไว้ที่โรงแรมนั่น มันกำลังจะคลอดลูก แต่เห็นร้องไม่หยุด และไม่คลอดเสียที กูเลยขอยืมตัวกวีจากที่ฝึกงานไปช่วยหน่อย แต่มันก็ไม่คุ้นกับกวี กูกลัวมันกัดน้องกวีก็เลยต้องออกแรงกันหน่อย”  อีกฝ่ายอธิบายพร้อมปล่อยท่อนแขนผม ผมที่รู้สึกได้ถึงเลือดที่กลับมาเลี้ยงที่ปลายนิ้วอีกครั้ง ถึงกับยกมือขึ้นมาลูบแขนหลายครั้ง ภายใต้สายตาสำนึกผิดผิดจากไอ้คนจับ

“คือกูต้องเชื่อ!!” ผมสวนกลับไป

“มึงไม่ต้องเชื่อกูก็ได้ แต่มึงไปถามกวีได้ ป่านนี้คงเล่าให้ไอ้หมาบ้านั้นฟังอยู่” นีโน่พูดพลางใช้นิ้วเขี่ยรอบๆ ผ้าปิดแผล

“เออ! ตามนั้นก็ได้! แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป! อย่าเอามือไปโดนแผล ดีนะไม่ต้องเย็บ!!” ผมใช้มือตีมืออีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถอยห่างมาครึ่งก้าวแล้ว

“เออ….กูรู้…. แต่แผลขนาดนี้ให้กูอาบน้ำยังไงล่ะ!” ไอ้พี่โน่ยิ้มแปลกอีกแล้ว นอกจากผมจะไม่โดนต่อยกลับแล้ว ผมยังโดนสายตาแปลกๆ ของมันจู่โจมอีก

“เรื่องของมึง!” ผมพูดจบก็เตรียมเดินถอยฉากทันที

“เดี๋ยว!!” คำพูดนั้นมาพร้อมกับที่ผมถูกมืออีกฝ่ายดึงจนเซไปนั่งอยู่บนตักของไอ้คนตัวเล็ก

“กูไม่ไหวแล้ว กูไม่เคยเหนื่อยตื้อใครขนาดนี้เลยนะ” ผมตะคอกใส่หน้าผมด้วยน้ำเสียงที่ดังแต่ไร้อารมณ์ฉุนเฉียว

“หมาย….หมาย…ความว่าไง?” ผมรู้นะแต่ใจยังไม่ยอมรับหากมันไม่พูดออกมาตรงๆ

“นี่มึงไร้เดียงสาหรือไง?” นั่นไงปากหมาเหมือนเคย

“ก็…กูอยากแน่ใจ…” ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดเมื่อโดนอีกฝ่ายพูดกรอกหูแบบนี้

“กูจีบมึงอยู่ไง ไอ้โง่ กูทำตัวว่าชอบมึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกนะ ไอ้ลิงกังเอ้ย!!” แม้มันจะดูเหมือนคำด่าแต่ผมรู้สึกหมดแรงต้านยังไงบอกไม่ถูก ผมที่เคยพยายามดิ้นรนออกจากอกของพี่โน่ กลับนิ่งเฉยเมื่อเจอประโยคนี้กรอกเข้าหู

“จะแกล้งอะไรกูอีก!” ผมยังไม่เชื่อสนิทใจแม้จะเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย

“มึงมองตากูสิแล้วบอกหน่อยว่านี่คือการแกล้ง?” แววตาจริงจังของมันมีเงางงๆของผมสะท้อนอยู่

ผมมองตามันได้แค่พักเดียวก่อนที่จะหันหนี มันเป็นแววตาจริงใจที่ผมไม่เคยเห็นจากมัน

“เออ…เชื่อก็เชื่อ!!” ผมหลบหน้าไปทางอื่นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเห็นสีหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวไปหมด

“งั้นกูขออะไรหน่อยสิ?” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ลมหายใจของมันไหลกระทบหลัง

“อะไร?!?” ผมหันพลางถอยห่างไปครึ่งก้าว

“อาบน้ำให้หน่อย” น้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกตัวร้อนผ่าว

“?!?!!” ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยืนนิ่งกับอาการรุกคืบของอีกฝ่าย

พี่โน่เหมือนได้ใจที่ผมไม่โต้ตอบใดๆ เดินเข้ามากอดผมไว้อย่างอบอุ่น การที่โดนคนตัวเล็กกว่ารุกใส่แบบนี้มันทำให้รู้สึกแปลกแตกต่างไม่น้อย แต่ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายแผ่เข้ามาในร่างของผม ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“อ้าว! นึกว่าต้องมาเคลียร์อีกคน! แบบนี้คงเข้าใจกันแล้วใช่ไหม?” เสียงพี่กวีดังขึ้นจากทางด้านหลัง

ด้วยความตกใจกับภาพที่ทำให้รู้สึกตัว ผมพยายามดิ้นรนให้ตนเองออกจากอ้อมแขนล่ำๆ ของพี่โน่ แต่แรงนักกีฬาของผมอย่างผมกลับสู้แรงนักเลงตัวเล็กไม่ได้  จึงเป็นภาพที่ออกมาขบขันไม่น้อย สังเกตจากอาการอมยิ้มของพี่กวีได้

“พี่โน่! ปล่อย!!” ผมโวยเบาๆ กับพี่โน่ที่ยังคงเกร็งแขนโอบรัดผมจนแทบขยับตัวไม่ได้

“ไม่! รับปากพี่ก่อน” เสียงยียวนอีกฝ่ายยิ่งทำให้หงุดหงิดปนเขินคนที่จ้องมองมาอย่างกับกำลังดูละครของพี่กวี

“เฮ้ย! อย่ามาฉวยโอกาส” คำที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ของอีกฝ่ายวันนี้ทำให้ความรู้สึกแปลกไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายามดิ้นจนสุดแรง

“รับปากพี่สิจะได้ไม่เจ็บตัว” ไอ้พี่โน่ ทำเสียงอ่อนหวานแบบนี้ไม่ชินอย่างแรง

“โอ้ย” ผมร้องเมื่ออีกฝ่ายรัดแน่นขึ้น แต่เหมือนผมจะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนกระทั่งเผลอผ่อนแรงลง

และนั่นทำให้ผมสะบัดหลุดจากไอ้คนแรงยักษ์อย่างพี่โน่

“อ้าว!! ไม่เป็นไรนี่ ขี้โกงนี่นา” ไอ้คนตัวเล็กที่เริ่มทำนิสัยเหมือนเด็กโดยไม่สมกับอายุ ถึงจะดูน่ารัก แต่ผมก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

“แล้วทำแผลให้พี่โน่เสร็จแล้ว?” พี่กวีเอ่ยถามเมื่อผมเดินออกห่างจากไอ้หื่นนั้นได้สองสามก้าว

“เอ่อ…..ยัง….ครับ……. เอ่อ…. ตามมาสิ จะรอข้างบนนะ” ผมพูดจบก็รีบเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปที่ห้องทันที

รู้สึกถึงสีหน้าพึงใจของไอ้คนตัวเล็กได้แม้หันหลังให้

ได้แต่ยินเสียงพี่กวีพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะขึ้นบันไดว่า
“เบาได้เบานะพี่ น้องมันยังเด็ก”

นี่พี่กวีก็เป็นกับเขาด้วยหรือเนี่ย!! แต่อีกใจก็อยากจะหันไปบอกว่าผมไม่เด็กแล้วนะ!!

………………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ ( บทเสริม 18) 30 มี.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-03-2022 17:04:41

หลังจากที่ผมเดินมาถึงในห้องและปิดประตูสนิท ผมก็ยืนอยู่บริเวณประตูอยู่พักใหญ่ ลังเลว่าจะล๊อกห้องไปเลยไหม? แล้วปล่อยเรื่องเมื่อสักครู่ผ่านไป ไอ้พี่โน่มันคงแค่จะหยอกให้ผมบิดเขินด้วยความสนุกสนานแบบที่มันชอบทำ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะลองพิสูจน์ว่าเรื่องที่มันพูดข้างล่างมันพูดจริงหรือไม่!!

ระหว่างที่ยืนลังเลอยู่พักใหญ่ประตูก็ถูกผลักเปิดออกเผยให้เห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับเดินเข้าห้องนอนตัวเอง

หลังจากเข้ามาในห้องและเดินผ่านผมไปทางเตียงนอน เขาก็จัดแจงผลัดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังแผลที่ศรีษะตนเอง

“เดี๋ยวๆ กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะมาอาบที่ห้องกู ห้องมึงก็มีก็ไปอาบสิ!!” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจับชายขอบกางเกงในสีขาวเพื่อปลดลดลง

“ก็ไหน ไอซ์บอกให้พี่ตามมา ก็คิดว่าหมายถึงแบบนี้” คำพูดสุภาพแบบนี่ฟังกี่ทีก็ไม่คุ้นเคย

“เอ่อ…….ก็…. นั่นแหละ… ยังไม่ได้ตกลงเรื่องอาบน้ำเลย แล้วอาบน้ำที่ห้องพี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”  ผมหน้าร้อนผ่าวไปหมด ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็นมันเปลือยเสียหน่อย

“ไม่ล่ะอาบที่นี่แหละ ไหนๆ ก็ถอดแล้ว” มันพูดหน้าตาเฉยพร้อมปลดกางเกงในลง

“อาบห้องตัวเองน่าจะสะดวกนะ แบบมีพวกชุดที่จะเปลี่ยน และผ้าเช็ดตัวอะไรแบบเนี่ย”  ผมพยายามเลี่ยงที่จะมองคนที่เปลือยตรงหน้า

“วันนี้ไม่ได้เตรียมมา ขอยืมหน่อย!” ไอ้พี่โน่มันยื่นมือมาขอผมแบบง่ายๆ ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า หัดอายอะไรบ้างสิวะ อีกอย่างไม่ใช่ว่า นอนค้างที่บ้านนี้ทุกวัน มันควรจะมีเตรียมเก็บไว้เลย แบบนี้มันใช่เหรอวะ!!

“เฮ้ยๆๆ ไม่ต้องเดินเข้ามา เดี๋ยวจัดการให้!” ผมเดินเลี่ยงมันไปทางตู้เสื้อผ้า และหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวที่ใกล้มือที่สุดยื่นให้ โดยพยายามเลี่ยงที่จะมองจุดยุทธศาสตร์ของไอ้คนหน้าไม่อายที่พยายามจะยัดเยียดมันเข้าสายตาผม

“แปลกนะ ปกติไอซ์น่าจะเปลือยกับเพื่อนๆ หรือบรรดาคู่นอนเป็นปกตินี่ ทำตัวแบบนี้ ไร้เดียงสากว่าที่คิด” พี่โน่เลิกคิ้วก่อนที่พูดแซวออกมา

“ก็เพราะเป็นพี่นั่นแหละ!!” ผมโพล่งพูดออกไป

“อะไรนะ!?!” ไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นปรากฏบนหน้ามันอีกแล้ว!! อยากหาอะไรปาใส่ปากนั่นให้เลือดกลบปาก

“จะไปอาบน้ำก็ไปสิ” รู้ตัวอีกทีก็ร้อนผ่าวไปหมด ลมหายใจมันกระชั้นเหมือนขาดอากาศหายใจ

“ตามมานะ” พี่โน่หยิบผ้าเช็ดตัวที่ผมยื่นให้และเดินตัวเปล่าเข้าห้องน้ำไป แทนที่นำผ้าเช็ดตัวไปนุ่งห่มให้เรียบร้อย พี่โน่กลับเอาไปพาดบ่าเอาไว้

“อือๆ” ผมรับปากแบบขอไปที ตอนแรกคิดว่าให้มันเข้าไปรอในห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมันรอไม่ไหว มันก็คงอาบเองไปก่อน

แต่ที่ไหนได้ นอกจากจะไม่ปิดประตูห้องน้ำแล้ว ยังไปยืนรออยู่นิ่งๆ ในพื้นที่อาบน้ำ พร้อมจ้องหน้าผมผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้ว่าพี่โน่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้สึกถึงคำเรียกร้องของอีกฝ่ายผ่านทางสายตาได้

“เอาก็เอาวะ คิดว่าอาบน้ำให้ชิวาว่าก็แล้วกัน” ผมพูดกับตัวเองพร้อมถอดเสื้อและกางเกงออกเหลือเพียงการเกงบ๊อกเซอร์ตัวจิ๋วตัวเดียว

ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ระหว่างที่เดินและแขวนผ้าเช็ดตัว จนกระทั่งปิดประตูห้องน้ำลง ล้วนอยู่ในสายตาของพี่โน่ทั้งหมด ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า…..

ไม่ชิน ไม่ชินกับกับสายตาแบบนั้นเลย มันไม่ใช่สายตาหื่นกระหายแบบจ้องตระครุบเหยื่อแบบหมาป่า แต่มันเหมือนสายตาของหมาน้อยที่จ้องกระดูกชิ้นโตที่ถูกห้ามมิให้แตะต้อง ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงกับอาการของมัน แต่มันก็ทำให้ผมไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ เลย

“อ้าว ไม่ถอดให้หมด!”  พี่โน่ที่มองผมหัวจรดเท้าเอ่ยขึ้นมาเหมือนมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

“ผมยังไม่อาบนี่ อาบน้ำให้พี่เสร็จก่อน ถอดแค่นี้ก็พอ” ผมตอบไปพลางปรับอุณหภูมิที่เครื่องทำน้ำอุ่น

“อืม….แต่พี่ไม่เอาน้ำอุ่นนะ ไม่ชอบ” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นอีกนิด น้ำเสียงทุ้มแปลกกว่าปกติ

“แหม อาบน้ำเย็น เดี๋ยวหด…..หมด….เอ่อ… ช่างมันเถอะ” ผมพูดเล่นแก้ความอึดอัดของตนเอง แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปมองจุดกึ่งกลางลำตัวโดยบังเอิญ คิดเหมือนกันว่าหรือเราควรจะลองรดน้ำเย็นตรงนั้นดูเผื่อว่ามันจะหดเล็กลงจริง ผมสาบานได้ว่านั่นมันคือขนาดปกติครับ แต่มันช่างโอโหจริงๆ อุทานได้คำเดียว คนตัวเล็กแค่นี้สามารถรับน้ำหนักสิ่งนั่นได้อย่างไร?

โลกช่างออกแบบมันได้แปลกจริง ไม่ชินตาเสียที

ผมปรับน้ำให้เป็นอุณหภูมิธรรมชาติ ลดระดับแรงน้ำฝักบัวให้อ่อนลง ใช้มือรองแล้วรองอีกเพื่อให้เหมาะสมกับคนเจ็บผมไม่อยากให้แผลของพี่โน่โดนน้ำเพราะเดี๋ยวจะหายยากกว่าเดิม อีกอย่าง เดี๋ยวจะหาเรื่องคาดโทษผมเรื่องนี้ และกลายเป็นว่าต้องชดใช้ดูแลมันอีกยาวๆ รีบๆ ให้หาย รีบๆ ให้จบไปเสียดีกว่า

หลังจากทุกอย่างเข้าที่แล้ว ผมพยายามใช้น้ำจากฝักบัวรินรดร่างกายที่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้าทีละส่วน ภายใต้สายตาที่ผมรู้สึกอึดอัดและสงสัยกับความคิดในหัวของคนตัวเล็ก

กว่าจะทำความสะอาคคนตัวเล็กที่คิดว่าไม่น่าจะมีพื้นที่ให้ทำความสะอาดมาก แต่กลับอยู่กับพี่โน่ในห้องน้ำเสียนาน อาจเพราะผมอาจจะระวังที่จะสัมผัสกับผิวแน่นๆ ของมันมากจนเกินไป ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านั้นไม่น่าเชื่อว่าจะมีเสน่ห์กับผมไม่น้อย แอบยอมรับกับตัวเองเหมือนกันว่ามันเพลินมือเพลินตาไม่น้อยที่ได้เห็นและสัมผัสกับมือและตาระยะใกล้ แต่ผมก็พยายามเก็บอารมณ์และสีหน้าได้ดี หน้าและมือนิ่งจนผมยังแปลกใจกับตัวเองเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าพี่โน่ นอกจากมองอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว พี่โน่แทบจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลยผมแม้แต่น้อย

ผมยังแอบคิดเลยว่าหากมันเผลอใช้มือมาปลดกางเกงผมลง ผมอาจจะรั้งตัวเองไม่อยู่กระโจนเข้าใส่ไปแล้ว

“ช่วยนุ่งผ้าเช็ดตัวได้ไหม?” ผมเอ่ยทักเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเปลือยออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ผมอุตส่าห์แขวนผ้าเช็ดตัวตัวให้ที่ประตูห้องน้ำ หยาดน้ำพรายที่เกาะทั่งร่างมันส่องประกายกับดวงไฟแอลอีดีในห้อง ทำให้คนตรงหน้าดูมีเสน่ห์น่าหลงไหลไปอีก ผมรู้สึกถึงไอร้อนบริเวณใบหน้าจึงได้แต่ทำกระฟัดกระเฟียดไปหยิบผ้าเช็ดตัวมายื่นให้คนที่ยืนเปลือยเปล่าอยู่หน้าห้องน้ำ

“ถามจริง ขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะเช็ดให้หน่อยเรอะ?” พี่โน่คว้ามือที่มีผ้าเช็ดตัวของผมแล้วกำแน่นขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่มีโทนอ่อนโยนทำให้ผมรู้สึกไม่รู้จักคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

“พี่ใช่พี่โน่หรือเปล่าวะ ถามจริง? อะไรเข้าสิงวะ!” ผมกระขากมือกลับอย่างแรงจนเกือนหงายหลัง ดีที่พี่โน่คว้ามือของผมไว้ได้ทัน ผมไม่คิดว่ามันจะกำมือผมอ่อนขนาดนี้

“กูก็คือกู แค่…..กับคนที่กูชอบ…. มันก็จะเป็นแบบนี้ กูก็แค่เลือกแสแสร้ง…. ว่าแต่ให้กู….. เอ่อ…แทนว่าตัวเองว่าพี่ได้ไหม? พี่รู้สึกว่ามันค้านกับความรู้สึกแปลกๆ”  อีกฝ่ายส่งสายตามาที่ผมด้วยร่างกายแบบนั้น…. มัน…. รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด

“เออๆ เช็ดให้ก็ได้” ผมพูดแก้อาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า รู้สึกใจเต้นระรัวจนมือไม้สั่นไปหมด ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครเลยให้ตายเถอะ มันไม่ใช่ครั้งแรกของผมเสียหน่อย

ผมพยายามใช้มือที่คลุมผ้าเช็ดตัวลูบและซับน้ำจนทั่วร่างกายยกเว้นหนึ่งบริเวณที่ผมไม่กล้าสัมผัสเพราะกลัวไปปลุกสัตว์ร้ายให้ตื่น

“เสร็จแล้ว เอาผ้าไปนุ่งให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าก็วางให้บนเตียงแล้ว ส่วนแผลก็……” ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้ไอ้คนหน้าไม่อายทั้งที่ไม่มอง แล้วก็ต้องหยุดเมื่อมือของตนเองไปปะทะกับของนุ่มนิ่มของร่างกายอีกฝ่าย

“โอ้ย!!” คนที่โดนทำร้ายก้มโค้งตัวงอ จนผมรีบปรี่ไปพยุง

แต่ก็นั่นแหละ ผมโง่เองที่ไปห่วงหมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างมัน!! รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกผลัก และดันให้หงายหลังบนเตียงเสียแล้ว

ที่สำคัญมันคล่อมผมอยู่ พวกเรามีคนหนึ่งที่เปลือยเปล่า ส่วนอีกคนก็แทบไม่ใส่อะไรเลย กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวน้อยของผมที่ชื้นแฉะจนแทบจะปิดบังอะไรไม่ได้ แบบนี้มันเกินไป ยิ่งสายตาที่จ้องมองลงมาแบบนั้นผมยิ่งรู้สึกควบคุมอะไรบางอย่างในร่างกายไม่ได้ นี่ผมโดนยาหรือเปล่าวะ?

“อืม…… ก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม? ปากแข็งเหมือนแม่เลยนะ!” พี่โน่โน้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ ลมหายใจที่รดรินลงมาที่คางและลำคอทำเอาผมสั่นไปหมด

“หยุดเลย!! อย่าทำแบบนี้ ดูสิเตียงผมเปียกหมดแล้ว!!” ผมพยายามขัดขืนทั้งที่ตอนนี้เหลือแรงอยู่น้อยนิดจนผิดปกติ ผมต้องสู้ทั้งใจตัวเองและแรงกดดันของอีกฝ่าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้

“อ้อ…. งั้นก็ถอดออกสิ เห็นมันเกะกะมาตั้งนาน…” พูดจบไม่ทันไร กางเกงตัวจิ๋วของผมก็ปลิวลงไปอยู่ที่พื้นปลายเตียง

‘เชี้ย!!’  ผมอุทานในใจ พยายามทำตัวคูลๆ จะได้คุมสถานการณ์ได้ แต่จากรอยยิ้มอีกฝ่ายที่เห็นน้องชายผมที่พร้อมทำศึกแล้ว ท่าทางเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ

“ไอซ์เนี่ยก็มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยเนอะ” อีกฝ่ายเบื้องบนที่มองจ้องลงมาที่ผมอย่างสำรวจพร้อมรอยยิ้มพึงใจพูดขึ้น

“จะทำอะไรของมึงเนี่ยปล่อย!! มันหนักนะ” ต้องเกรี้ยวกราดผมคิดได้แบบนั้น ไอ้คนตัวเล็กเท่าเด็กมัธยมปลายเนี่ยไม่หนักขนาดนั้นหรอก แต่ต้องทำให้มันยอมลุกออกจากตัวผมก่อน

“ก็จะทำอะไรที่ผู้ใหญ่สองคนเขาทำกันเวลาที่มีอารมณ์อย่างว่าไง!” ดวงตาที่ไล่เรียงจ้องผมตั้งแต่เส้นผมที่ชื้นแฉะและท่อนบนที่เปลือยเปล่า แถมยังทำท่ากลืนน้ำลายอย่างเห็นได้ชัด (แบบนี้มันเกินไปจริงๆ)

“จะขืนใจผมเหรอไง?” ผมดิ้นอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่อาจพ้นจากแรงกดของคนที่พลังดุจช้างสารได้

“ปล่อย……อุบ!!” ผมเตรียมปล่อยโวยเสียงดังเป็นไม้ตาย แต่สุดท้ายก็เจอริมฝีปากบางจากด้านบนกดประทับลงบนริมฝีปากของผม

มันอบอุ่น นุ่มนวลแผ่วเบา ลิ้นที่ชุ่มอุ่นสอดแทรกเข้ามาอย่างได้จังหวะ จังหวะที่ผมเริ่มโอนอ่อนกับลีลาจุมพิตที่แสนเร้าร้อน ไม่นานผมก็เริ่มปล่อยใจไปกับความรู้สึกวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้

หลังจากที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมไม่ต่อต้านเขาก็จับมือของผมไปลูบไล้บริเวณช่วงอก ผมกลับปฏิบัติอย่างว่าง่ายเหมือนต้องมนต์ ผิวแน่นเป็นลอนคลื่นแข็งของช่วงอกนั่นมันทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ และรู้สึกอยากสัมผัสอย่างไม่มีจำกัด ผมเพลิดเพลินกับการลูบไล้อีกฝ่ายจนไล่ลงมาถึงช่วงท้อง
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 19) 8 เม.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-04-2022 15:12:46
ขณะที่มือของผมกำลังไหลไล่ลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากผู้ใหญ่ตัวเล็กก็ผละออกจากปากของผมและไล่เลียลงไปตามความยาวลำตัว เขาทำเหมือนกำลังซดสูดกลิ่นของผมไปทุกอณูขุมขน ลมหายใจหอบอุ่นที่ไหลลามไปตามทางที่จมูกเป็นสันพาดผ่านทำให้ขนบนร่างกายต่างชี้ชูชันอย่างไร้การควบคุม ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างสุดยอดจริงๆ

ขณะที่ใบหน้าของพี่โน่ที่กำลังซุกไซ้ไปตามลอนกล้ามเนื้อของผมลงต่ำไปเรื่อยๆ  และไปหยุดอยู่ตรงชายป่าดกครึ้มสีน้ำตาลเข้ม ลมหายใจหอบใหญ่พัดเข้าดงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ อยู่ๆ สติผมก็คืนมาพร้อมกับใช้มือรวบจับศรีษะคนเบื้องล่างให้หยุด และรีบถอยหนีไปจนสุดหัวเตียง

ภาพต่างๆ เมื่อวันก่อนช่วงเมาแทบไม่ได้สติมันวกกลับเข้ามาพร้อมเสียงของแม่เมื่อวันที่ทั้งหมดนั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกัน ความกลัวบางอย่างเข้ามาคลอบคลุมจิตใจของผม ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ว่ากำลังต้องการคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะ” พี่โน่ยืนยิ้มอยู่ที่ปลายเตียง มันทำกับผมเป็นเด็กเวอร์จิ้นที่เพิ่งจะเคยมีอะไรครั้งแรก มีสายตาเอ็นดูและขบขันอยู่ในที

ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากลัว มองจากตรงนี้ที่เห็นขนาดคนตรงหน้าใครไม่กลัวก็แปลก อีกอย่างผมไม่เคย….แบบนี้เลย แล้วคนๆนี้คือเพื่อนแม่อีก โอยยย คิดหัวจะแตก อีกใจก็อยากได้ใจจะขาด อีกใจก็….ปฏิเสธจนมีเสียงแปลกๆ เต็มหัวไปหมด

ผมได้แต่นิ่งมองเขา มองคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเสียแล้ว แต่คนอย่างมันคงไม่ปล่อยให้ผมรุกอยู่แล้ว…. ผมได้มองเขานิ่งๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก

“เอางี้วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว ขอนอนที่นี่เลยก็แล้วกันนะ” พูดจบมันก็เดินกระโดดขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มทั้งๆ ที่ร่างกายเปลือยเปล่าแบบนั้น

ไม่เกินสิบวินาที เสียงลมหายอันสงบและสม่ำเสมอก็ดังขึ้น

“เฮ้ย มันหลับจริงว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่ก็อมยิ้มจนผมเองก็รู้สึกงงกับตัวเองเช่นกัน

ด้วยความปรารถนาดีหรือด้วยกันอนาจารเพราะร่างกายที่นอนตะแคงเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มบนเตียงครึ่งตัว ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มสำรองในตู้เสื้อผ้าไปห่มคลุมเพิ่มให้คนตัวเล็กที่ท่าทางไร้สติ

แต่ด้วยความรวดเร็วที่เกินกว่าที่ผมจะทันรู้สึกตัว ผมก็ถูกลากเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้เสียแล้ว

หนุบหนับๆ พัลวันกันพักใหญ่ ในที่สุดผมก็ถูกผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมกอดจากทางด้านหลังเสียแล้ว ร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเราสัมผัสกันเกือบทุกส่วน ผมรู้สึกถึงผิวที่เย็นเยียบหลังการอาบน้ำได้ทั้งแผ่นหลัง แต่ส่วนที่เป็นแท่งแข็งที่แนบนอนขนานอยู่ที่ช่วงเอวของผมกลับอุ่นร้อน

“เฮ้ย! แกล้งหลับหรือวะ? ปล่อย” รู้สึกใจสั่นระรัวจนกลัวอีกฝ่ายรับรู้ถึงแรงสั่นทะเทือน ผมจึงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง

แต่อนิจจาแรงเราสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนหอบอยู่ในอ้อมกอดเขา ด้วยใจที่สั่นลั่นเป็นกลองศึก

“ก็นอนแล้วล่ะ แต่เวลามีใครเข้ามาใกล้มันก็อดจะรู้สึกตัวไม่ได้ พี่เห็นว่าเป็นน้องมันก็เลยอดใจไม่ไหว” ไอ้คนตัวเล็กที่พูดผ่านแผ่นหลังของผมภายใต้ผ้าห่มสำรอง ไอร้อนจากปาก มันทำให้ผมวาบหวามจนขนลุก

“งั้นปล่อยผมได้ไหม?” ผมหมดแรงจนต้องลองใช้ไม่อ่อนดู

“ทำขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักที” อีกฝ่ายบ่นพึมพำใส่แผ่นหลังผม เหมือนมันพูดกับตัวเองนะ แต่กล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อยของผมมันวูบวาบไปหมด

“จริงๆ ก็อ่อนมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“เฮ้ย!! จริงเหรอ!” อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทางเป็นลิงโลด ลุกขึ้นมาพลิกตัวผมให้นอนหงายและมีตัวมันคล่อมทับผมอยู่ (กลับมาท่านี้อีกแล้ว)

ผมไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้าและตอบในลำคอหนึ่งคำ

อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างและประทับริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากผมฟอดใหญ่ ในขณะที่กำลังจะโดนอีกระลอก ผมยกมือคว้าริมฝีปากอีกฝ่ายไว้ก่อนและสั่นหน้าเบา

“ผม….เอ่อ…. ผม” ผมอ้ำอึ้งกับเรื่องแบบนี่เป็นครั้งแรก แม้แต่การเสียหนุ่มครั้งแรกผมยังไม่เป็นแบบนี้เลย อะไรบางอย่างมันขวางกั้นผมไว้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้พี่ขอนอนกอดนะ!” พูดจบมันก็พลิกตัวมันและตัวผมให้กลับมาอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คิดว่ารอให้มันหลับแล้วผมค่อยแอบมาแต่งตัวและลงไปนอนข้างล่าง

แต่ร่างกายผมมันช่างทรยศ พยายามถ่างตาไว้แค่ 15 นาที ผมก็หลับเสียแล้ว

………..

ผมลืมตาโพลงตกใจด้วยเนื้อหาความฝันที่กระทบจิตใจ แสงสว่างจ้าในห้องจากแสงแดดยามสายส่องทะลุผ้าม่านบางๆ จนแสบตาไปหมด

ผมใช้มือปิดตาทั้งสองข้างลงเพื่อความบรรเทาความเจ็บแปลบที่กระบอกตา พลางพยายามระลึกความฝันที่ทำให้ตนตกใจ แม้จะดูเลือนลางแต่ผมก็พอที่จะนึกได้ว่า มันคือภาพที่แม่ของผมตบผมจนหน้าหันในขณะที่ร่างกายบนเปลือยเปล่ากับไอ้พี่โน่!!

คิดได้ถึงตรงนี้ผมผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมเช็คทั่วทั้งตัว ผมพบว่าผมอยู่สภาพสวมใส่ชุดนอนตามปกติ ทำให้ผ่อนลมหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรออย่าเสียงดังสิ!” เสียงปริศนาและร่างปริศนาเคลื่อนตัวจากด้านข้างเข้ามากอดฟุบที่เอวของผมพร้อมซุกหน้าที่บริเวณเอวของผมอย่างไม่เกรงใจ

ผมสะดุ้งตัวโยนและอุทานในใจ ‘เชี้ย! ไม่ใช่ความฝันเหรอวะ!’

ผมพยายามขยับตัวถอยห่างจากเตียง ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเช่นเดียวกับผม แล้วที่จำได้เมื่อคืนนี่มันอะไรกันวะ

“เอาจริงๆ นี่คือตื่นแล้วใช่ไหม? แล้วไอ้ท่าทางแบบนั่นมันอะไร!” พี่โน่ยันตัวขึ้นมาทักผม ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่าย สับสนกับลำดับเหตุการณ์ก่อนนอน

“เฮ้อ…. มึงนี่ก็ใสๆ เกินคาดนะ เอางี้กูเล่าให้ฟัง” พี่โน่ลุกขึ้นมากอดโดยใช้มือทั้งสองของเขาพาดมาบนต้นคอผมเบาๆ ตอนนี้ผมกับมันหันหน้าขนานกันอยู่เกือบจะระนาบเดียวกัน

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้!” ปากผมก็พูดปฏิเสธมันนะ แต่ในใจกลับคิดว่า ‘อบอุ่นใจดี’

“ก็อยากสาธิต เมื่อวานตอนน้องนอนนี่กอดพี่กลมเลยนะ” ผมรู้สึกขนลุกกับคำพูดที่ไม่คุ้นชินสักทีของมัน จนแสดงออกทางสีหน้า

พี่โน่ที่เหมือนเข้าใจก็ยกยิ้มกับอาการของผม แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอผม

“เมื่อคืนมึงสั่นเป็นเจ้าเข้า ทำเอากูแปลกใจเลยว่าฝรั่งแบบไหนว่ะที่กลัวความหนาวขนาดนี้กูก็เลย…หาเสื้อผ้ามาใส่ให้น่ะ แต่สุดท้ายก็มานอนเบียดกูแล้วก็กอดกูกลมไม่ห่าง”  พี่โน่บรรยายด้วยรอยยิ้ม

“พูดเกินจริงไปป่าวเนี่ย กูเนี่ยนะไปกอดมึง ขนลุก!” เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามต่อต้านตัวเองสุดกำลัง

ฟุบ!!

พี่โน่เหวี่ยงตัวผมลงนอนไปนอนราบกับที่นอนอย่างง่ายดาย ผมเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่อีกฝ่ายสามารถโยกย้ายที่วางได้ตามใจชอบ

“ทำอะไร เจ็บนะ” ผมโวยอย่างขัดเขิน ไม่รู้เป็นอย่างไรเวลาอยู่กับคนๆ นี้ช่วงนี้ ผมถึงได้ไม่มีแรงต้านทานเอาเสียเลย

“เมื่อคืน นึกว่ากูปราบพยศได้แล้วเสียอีก” พูดจบก็ก้มลงใกล้จนผมสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิลมหายใจของคนตรงหน้า

‘สงบไว้!’

ผมเอ่ยกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา หัวใจที่ทรยศมันกลับเต้นตูมตามจนดังไปทั่วบริเวณ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งใบหน้าและลำคอ ทำไมแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าเต็มชุดก็ตามแต่ทำไมผมถึงต้องการอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้นะ

‘พี่โน่ในชุดนอนของผมนี่มันก็น่ารักไปอีกแบบ’ ผมเผลอคิด

“ใจอ่อนให้พี่เสียที พี่ไม่เคยให้เกียรติใครแบบนี้มานานแล้วนะ” อีกฝ่ายก้มมากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่อ้อนวอน

“พี่กวีน่ะสิ!” พูดชื่อนี้แล้วทำไมตัวเองถึงโกรธก็ไม่รู้

“พูดไปก็ไม่รู้จักหรอก……. ส่วนกวี… จนถึงตอนนี้หากมีโอกาสกูก็อยากจะขย้ำให้สาแก่ใจเหมือนกันแต่…. น้องมันใจแข็งเกินไป….. กวีเคยบอกนะว่า สักวันพี่จะเข้าใจ สักวันหนึ่งพี่จะรอได้ ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว” พูดจบพี่โน่ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและมองลงมาในดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกของผมตอนนี้คือ วูบ เหมือนตกลงเหวลึกที่มีแต่เสียงธารน้ำไหลเย็น ไหลไปตามสายรุ้งที่อ่อนนุ่ม บ้าจริง!! ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน มันทำให้ผมคิดได้ว่า..

ผมไม่อยากเสียความรู้สึกแบบนี้ไป…..

ผมลืมทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ ปลดปล่อยทุกความคิดที่บดบังความรู้สึกนี้อยู่และปล่อยตัวเองให้กระทำเรื่องโง่ๆ นี้ลงไป

ผมใช้มือคล้องคออีกฝ่ายให้ลงมาประทับจูบที่ดูดดื่มจากผม มันอบอุ่นและเร้าร้อนในเวลาเดียวกัน  ในที่สุดกำแพงของผมก็พังทลายพร้อมให้อีกฝ่ายได้ฝ่าเข้ามา

……… ขณะที่มือของผมกำลังไหลไล่ลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากผู้ใหญ่ตัวเล็กก็ผละออกจากปากของผมและไล่เลียลงไปตามความยาวลำตัว เขาทำเหมือนกำลังซดสูดกลิ่นของผมไปทุกอณูขุมขน ลมหายใจหอบอุ่นที่ไหลลามไปตามทางที่จมูกเป็นสันพาดผ่านทำให้ขนบนร่างกายต่างชี้ชูชันอย่างไร้การควบคุม ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างสุดยอดจริงๆ

ขณะที่ใบหน้าของพี่โน่ที่กำลังซุกไซ้ไปตามลอนกล้ามเนื้อของผมลงต่ำไปเรื่อยๆ  และไปหยุดอยู่ตรงชายป่าดกครึ้มสีน้ำตาลเข้ม ลมหายใจหอบใหญ่พัดเข้าดงหญ้าและต้นไม้ใหญ่ อยู่ๆ สติผมก็คืนมาพร้อมกับใช้มือรวบจับศรีษะคนเบื้องล่างให้หยุด และรีบถอยหนีไปจนสุดหัวเตียง

ภาพต่างๆ เมื่อวันก่อนช่วงเมาแทบไม่ได้สติมันวกกลับเข้ามาพร้อมเสียงของแม่เมื่อวันที่ทั้งหมดนั่งอยู่ร่วมโต๊ะอาหารกัน ความกลัวบางอย่างเข้ามาคลอบคลุมจิตใจของผม ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ว่ากำลังต้องการคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรนะ” พี่โน่ยืนยิ้มอยู่ที่ปลายเตียง มันทำกับผมเป็นเด็กเวอร์จิ้นที่เพิ่งจะเคยมีอะไรครั้งแรก มีสายตาเอ็นดูและขบขันอยู่ในที

ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ากลัว มองจากตรงนี้ที่เห็นขนาดคนตรงหน้าใครไม่กลัวก็แปลก อีกอย่างผมไม่เคย….แบบนี้เลย แล้วคนๆนี้คือเพื่อนแม่อีก โอยยย คิดหัวจะแตก อีกใจก็อยากได้ใจจะขาด อีกใจก็….ปฏิเสธจนมีเสียงแปลกๆ เต็มหัวไปหมด

ผมได้แต่นิ่งมองเขา มองคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเสียแล้ว แต่คนอย่างมันคงไม่ปล่อยให้ผมรุกอยู่แล้ว…. ผมได้มองเขานิ่งๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก

“เอางี้วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว ขอนอนที่นี่เลยก็แล้วกันนะ” พูดจบมันก็เดินกระโดดขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มทั้งๆ ที่ร่างกายเปลือยเปล่าแบบนั้น

ไม่เกินสิบวินาที เสียงลมหายอันสงบและสม่ำเสมอก็ดังขึ้น

“เฮ้ย มันหลับจริงว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่ก็อมยิ้มจนผมเองก็รู้สึกงงกับตัวเองเช่นกัน

ด้วยความปรารถนาดีหรือด้วยกันอนาจารเพราะร่างกายที่นอนตะแคงเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มบนเตียงครึ่งตัว ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มสำรองในตู้เสื้อผ้าไปห่มคลุมเพิ่มให้คนตัวเล็กที่ท่าทางไร้สติ

แต่ด้วยความรวดเร็วที่เกินกว่าที่ผมจะทันรู้สึกตัว ผมก็ถูกลากเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้เสียแล้ว

หนุบหนับๆ พัลวันกันพักใหญ่ ในที่สุดผมก็ถูกผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมกอดจากทางด้านหลังเสียแล้ว ร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเราสัมผัสกันเกือบทุกส่วน ผมรู้สึกถึงผิวที่เย็นเยียบหลังการอาบน้ำได้ทั้งแผ่นหลัง แต่ส่วนที่เป็นแท่งแข็งที่แนบนอนขนานอยู่ที่ช่วงเอวของผมกลับอุ่นร้อน

“เฮ้ย! แกล้งหลับหรือวะ? ปล่อย” รู้สึกใจสั่นระรัวจนกลัวอีกฝ่ายรับรู้ถึงแรงสั่นทะเทือน ผมจึงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง

แต่อนิจจาแรงเราสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนหอบอยู่ในอ้อมกอดเขา ด้วยใจที่สั่นลั่นเป็นกลองศึก

“ก็นอนแล้วล่ะ แต่เวลามีใครเข้ามาใกล้มันก็อดจะรู้สึกตัวไม่ได้ พี่เห็นว่าเป็นน้องมันก็เลยอดใจไม่ไหว” ไอ้คนตัวเล็กที่พูดผ่านแผ่นหลังของผมภายใต้ผ้าห่มสำรอง ไอร้อนจากปาก มันทำให้ผมวาบหวามจนขนลุก

“งั้นปล่อยผมได้ไหม?” ผมหมดแรงจนต้องลองใช้ไม่อ่อนดู

“ทำขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะใจอ่อนสักที” อีกฝ่ายบ่นพึมพำใส่แผ่นหลังผม เหมือนมันพูดกับตัวเองนะ แต่กล้ามเนื้อบริเวณท้องน้อยของผมมันวูบวาบไปหมด

“จริงๆ ก็อ่อนมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะ” ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง

“เฮ้ย!! จริงเหรอ!” อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทางเป็นลิงโลด ลุกขึ้นมาพลิกตัวผมให้นอนหงายและมีตัวมันคล่อมทับผมอยู่ (กลับมาท่านี้อีกแล้ว)

ผมไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้าและตอบในลำคอหนึ่งคำ

อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างและประทับริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากผมฟอดใหญ่ ในขณะที่กำลังจะโดนอีกระลอก ผมยกมือคว้าริมฝีปากอีกฝ่ายไว้ก่อนและสั่นหน้าเบา

“ผม….เอ่อ…. ผม” ผมอ้ำอึ้งกับเรื่องแบบนี่เป็นครั้งแรก แม้แต่การเสียหนุ่มครั้งแรกผมยังไม่เป็นแบบนี้เลย อะไรบางอย่างมันขวางกั้นผมไว้

“ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้พี่ขอนอนกอดนะ!” พูดจบมันก็พลิกตัวมันและตัวผมให้กลับมาอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คิดว่ารอให้มันหลับแล้วผมค่อยแอบมาแต่งตัวและลงไปนอนข้างล่าง

แต่ร่างกายผมมันช่างทรยศ พยายามถ่างตาไว้แค่ 15 นาที ผมก็หลับเสียแล้ว

………..

ผมลืมตาโพลงตกใจด้วยเนื้อหาความฝันที่กระทบจิตใจ แสงสว่างจ้าในห้องจากแสงแดดยามสายส่องทะลุผ้าม่านบางๆ จนแสบตาไปหมด

ผมใช้มือปิดตาทั้งสองข้างลงเพื่อความบรรเทาความเจ็บแปลบที่กระบอกตา พลางพยายามระลึกความฝันที่ทำให้ตนตกใจ แม้จะดูเลือนลางแต่ผมก็พอที่จะนึกได้ว่า มันคือภาพที่แม่ของผมตบผมจนหน้าหันในขณะที่ร่างกายบนเปลือยเปล่ากับไอ้พี่โน่!!

คิดได้ถึงตรงนี้ผมผลุดลุกขึ้นนั่งพร้อมเช็คทั่วทั้งตัว ผมพบว่าผมอยู่สภาพสวมใส่ชุดนอนตามปกติ ทำให้ผ่อนลมหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรออย่าเสียงดังสิ!” เสียงปริศนาและร่างปริศนาเคลื่อนตัวจากด้านข้างเข้ามากอดฟุบที่เอวของผมพร้อมซุกหน้าที่บริเวณเอวของผมอย่างไม่เกรงใจ

ผมสะดุ้งตัวโยนและอุทานในใจ ‘เชี้ย! ไม่ใช่ความฝันเหรอวะ!’

ผมพยายามขยับตัวถอยห่างจากเตียง ผมสังเกตว่าอีกฝ่ายก็ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นเช่นเดียวกับผม แล้วที่จำได้เมื่อคืนนี่มันอะไรกันวะ

“เอาจริงๆ นี่คือตื่นแล้วใช่ไหม? แล้วไอ้ท่าทางแบบนั่นมันอะไร!” พี่โน่ยันตัวขึ้นมาทักผม ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่าย สับสนกับลำดับเหตุการณ์ก่อนนอน

“เฮ้อ…. มึงนี่ก็ใสๆ เกินคาดนะ เอางี้กูเล่าให้ฟัง” พี่โน่ลุกขึ้นมากอดโดยใช้มือทั้งสองของเขาพาดมาบนต้นคอผมเบาๆ ตอนนี้ผมกับมันหันหน้าขนานกันอยู่เกือบจะระนาบเดียวกัน

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้!” ปากผมก็พูดปฏิเสธมันนะ แต่ในใจกลับคิดว่า ‘อบอุ่นใจดี’

“ก็อยากสาธิต เมื่อวานตอนน้องนอนนี่กอดพี่กลมเลยนะ” ผมรู้สึกขนลุกกับคำพูดที่ไม่คุ้นชินสักทีของมัน จนแสดงออกทางสีหน้า

พี่โน่ที่เหมือนเข้าใจก็ยกยิ้มกับอาการของผม แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอผม

“เมื่อคืนมึงสั่นเป็นเจ้าเข้า ทำเอากูแปลกใจเลยว่าฝรั่งแบบไหนว่ะที่กลัวความหนาวขนาดนี้กูก็เลย…หาเสื้อผ้ามาใส่ให้น่ะ แต่สุดท้ายก็มานอนเบียดกูแล้วก็กอดกูกลมไม่ห่าง”  พี่โน่บรรยายด้วยรอยยิ้ม

“พูดเกินจริงไปป่าวเนี่ย กูเนี่ยนะไปกอดมึง ขนลุก!” เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามต่อต้านตัวเองสุดกำลัง

ฟุบ!!

พี่โน่เหวี่ยงตัวผมลงนอนไปนอนราบกับที่นอนอย่างง่ายดาย ผมเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่อีกฝ่ายสามารถโยกย้ายที่วางได้ตามใจชอบ

“ทำอะไร เจ็บนะ” ผมโวยอย่างขัดเขิน ไม่รู้เป็นอย่างไรเวลาอยู่กับคนๆ นี้ช่วงนี้ ผมถึงได้ไม่มีแรงต้านทานเอาเสียเลย

“เมื่อคืน นึกว่ากูปราบพยศได้แล้วเสียอีก” พูดจบก็ก้มลงใกล้จนผมสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิลมหายใจของคนตรงหน้า

‘สงบไว้!’

ผมเอ่ยกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา หัวใจที่ทรยศมันกลับเต้นตูมตามจนดังไปทั่วบริเวณ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งใบหน้าและลำคอ ทำไมแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าเต็มชุดก็ตามแต่ทำไมผมถึงต้องการอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้นะ

‘พี่โน่ในชุดนอนของผมนี่มันก็น่ารักไปอีกแบบ’ ผมเผลอคิด

“ใจอ่อนให้พี่เสียที พี่ไม่เคยให้เกียรติใครแบบนี้มานานแล้วนะ” อีกฝ่ายก้มมากระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่อ้อนวอน

“พี่กวีน่ะสิ!” พูดชื่อนี้แล้วทำไมตัวเองถึงโกรธก็ไม่รู้

“พูดไปก็ไม่รู้จักหรอก……. ส่วนกวี… จนถึงตอนนี้หากมีโอกาสกูก็อยากจะขย้ำให้สาแก่ใจเหมือนกันแต่…. น้องมันใจแข็งเกินไป….. กวีเคยบอกนะว่า สักวันพี่จะเข้าใจ สักวันหนึ่งพี่จะรอได้ ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว” พูดจบพี่โน่ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและมองลงมาในดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกของผมตอนนี้คือ วูบ เหมือนตกลงเหวลึกที่มีแต่เสียงธารน้ำไหลเย็น ไหลไปตามสายรุ้งที่อ่อนนุ่ม บ้าจริง!! ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกัน มันทำให้ผมคิดได้ว่า..

ผมไม่อยากเสียความรู้สึกแบบนี้ไป…..

ผมลืมทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ ปลดปล่อยทุกความคิดที่บดบังความรู้สึกนี้อยู่และปล่อยตัวเองให้กระทำเรื่องโง่ๆ นี้ลงไป

ผมใช้มือคล้องคออีกฝ่ายให้ลงมาประทับจูบที่ดูดดื่มจากผม มันอบอุ่นและเร้าร้อนในเวลาเดียวกัน  ในที่สุดกำแพงของผมก็พังทลายพร้อมให้อีกฝ่ายได้ฝ่าเข้ามา

………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 20) 15 เม.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-04-2022 16:26:37

………

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ตอนนี้ผมรู้สึกแต่ความอ่อนล้าและเสียงท้องที่ร้องโวยวายเพราะขาดอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายเกินครึ่งวัน

ผมพลิกตัวเองที่นอนในท่าคว่ำหน้าอย่างช้าๆ พร้อมความเจ็บปวดที่เสียดแทงทางด้านหลัง ผมร้องโอดโอยเบาๆ จนกระทั้งหลังสัมผัสที่นอนและท่อนแขนคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงเดียวกัน

ไอ้ความรู้สึกแปลกใหม่ก่อนหน้านี้ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมันก็ไม่เลวนะ แต่ไอ้ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี่มันก็ยากจะลืมเช่นกัน ผมไม่ได้นับว่าทำให้อีกฝ่ายเสร็จกิจไปกี่รอบ รู้แต่เพียงว่าตนเองไม่สามารถขัดขืนแรงรบเร้าของอีกฝ่ายได้เลย ทำได้เพียงร้องประสานเสียงตามจังหวะที่อีกฝ่ายเป็นผู้นำตลอดเวลา พี่โน่เป็นเสมือนมัคุเทศน์นำทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ผมไม่เคยนึกว่าจะได้เจอ ความรู้สึกเจ็บปวดที่แฝงไปด้วยความสุขล้ำเหล่านี้ เพียงแต่ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะไม่เข็ดหลาบจากครั้งที่ผ่านมา ป่านนี้ของมือหนึ่งตรงนั้นของผมคงยับเยินจนไม่อยากจะคิด

ทุกครั้งที่ขยับตัว ความเจ็บปวดจะแล่นไปทั่วส่วนล่าง เริ่มรู้สึกไม่เข้าใจคู่นอนตัวเองที่ผ่านมาเลยว่า ทำไมถึงยังอยากมาซ้ำกับผมอีกทั้งๆ ที่มันเจ็บขนาดนี้

“ตื่นแล้วเหรอเด็กดื้อ” คนตัวเล็กร่างแกร่งพลิกตัวหันมาหาผมในท่านอนตะแคงด้วยร่างที่เปลือยเปล่า ดวงตาที่เพิ่งลืมตื่น ทรงผมที่ไม่ได้จัดทรง รอยยิ้มที่ฝืนฉีกแบบคนยังไม่สร่างจากการนอนหลับสนิท มันทำให้ผมใจเต้นแรงอีกครั้ง มัดกล้ามเหล่านั้นมันเหมือนปูนปั้นจากโรมันมันสวยงามเหมือนสวรรค์สร้าง

“อืม” ผมพยักหน้าเล็กน้อยเพราะไม่อยากขยับตัวมาก

“น้องนี่มันน่ารักฉิบหายเลยรู้ไหม มองกี่ทีก็ทำพี่ตื่นเต้นได้ทุกครั้ง” ไม่พูดเปล่ามันลุกขึ้นมาคล่อมผมด้วยร่างแกร่งและส่วนกลางลำตัวที่ตื่นขึ้นอีกครั้ง (มันเกินไปไหม ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะลุง)

“พูดเหมือนปกติก็ได้ พูดสุภาพแบบนี้ไม่ชินเลย แบบเดิมมัน….. เร้าอารมณ์กว่านะ” บางผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่พูดอะไรไม่คิดแบบนี้ออกมา แต่ก็เหมือนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะพี่โน่ฉีกยิ้มหว่ากว่าเดิมมาก

“นั่นสินะ แบบนี้ยิ่งรักมากกว่าเดิม ไม่ไหวแล้ว” พูดจบมันก็กดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของผมทันที แม้ผมจะพยายามขัดขืนริมฝีปากสีชาดนั่น แต่ก็ทำได้ไม่นาน เมื่อเจอกลิ่นกายและลมหายใจอีกฝ่ายราดรดอย่างต่อเนื่อง ความต้องการขัดขืนของผมมันก็หายไปเหมือนน้ำที่ระเหยไปกลางทะเลทราย

ผมน้อมรับทุกการกระทำของอีกฝ่ายอีกครั้ง ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม คนเราถึงอยากจะเจ็บซ้ำๆ แบบนี้อีก

จนกระทั้งถึงจุดที่ผมถูกถ่างกางขาออก ในขณะที่พี่โน่กำลังจะเผด็จศึก เขาก็หยุดทุกการเคลื่อนไหว และลุกขึ้นมาอุ้มผมเข้าห้องน้ำทันที

“ไอ้เด็กบ้า ไม่ไหวทำไม่ไม่บอก ฝืนทำไม!?!” พี่โน่โวยวายขณะที่ที่อุ้มผมเข้าไปในพื้นที่ฝักบัว
ผมตกใจไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหันไปมองที่เตียงนอนที่ตอนนี้ผ้าปูที่นอนเปลี่ยนสีไปเป็นบางจุด แล้วทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นมาในหัว จากประสบการณ์แบบนี้มัน

เลือด!!

………….

ผมนอนถอนหายใจอยู่บนเตียง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย โดยมีพี่โน่คอยดูแลปรนนิบัติอาการเจ็บป่วยเหมือนเดิม ภาพจำเก่าๆ มันย้อนกลับมา ความเจ็บปวดต่างๆ ที่จุดเดิม แม้จะไม่ได้แย่เท่ารอบแรก แต่สีหน้าของพี่โน่นั้นก็ยังทำให้ผมช้อคจนถึงตอนนี้

อย่างน้อยความรู้สึกก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งก่อน ผมได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น พี่โน่ไม่ใช่คนที่เอาแต่ดึงหน้าใส่อีกต่อไป เขามักจะส่งสายตาห่วงใยมาที่ผมตลอดเวลาที่เขาจัดการเรื่องยาต่างๆ ให้ คอยถามไถ่จนผมเริ่มจะไม่ชินอีกแล้ว ความอ่อนโยนที่ผมได้รับมันอบอุ่นหัวใจมากๆ

และที่สะใจที่สุดคือ ผมสามารถใช้พี่โน่ทำโน่นนี่ได้ทุกอย่าง ตั้งแต่หาอาหารและงานทำความสะอาด เพราะจากกิจกรรมของเราเมื่อเช้า มันทำให้ต้องซักล้างอะไรหลายอย่าง โดยที่ไม่บ่นสักคำ มีแต่รอยยิ้มส่งให้ผมที่นอนเป็นผักเปื่อยอยู่บนเตียงทั้งวัน

“พี่ไปทำงานแปปนะ ถ้าต้องการอะไรโทรเรียกได้นะ อย่าฝืน” เสียงอ่อนโยนและถ้อยคำสุภาพที่ผมเริ่มทำใจให้คุ้นชิน ทำให้คิดไปไกลว่าทำไมป่านนี้คนๆนี่ถึงยังไม่มีแฟนวะ?

ผมพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มที่ยังฝืนๆ อยู่

“ยังไม่ชินจริงๆ เหรอ? หรือจะให้ขึ้นกูมึงเหมือนเดิมก็ได้นะ” อีกฝ่ายมองผมด้วยรอยยิ้ม เหมือนคนได้รับรางวัลชิ้นใหญ่และกำลังชื่นชมสิ่งนั่นอยู่

“แล้วแต่พี่โน่เลยครับ ผม…. ไม่ติด” รู้สึกร้อนใบหน้าไปหมด ก็โดนพูดด้วยประโยคแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว มันก็เริ่มจะทำใจได้แล้ว อีกอย่างผมก็รู้สึกชอบขึ้นมาแล้วด้วย

“น่ารัก” พี่โน่พูดพลางใช้มือขยี้หัวผมเบาๆ

รู้สึกถึงเสียงระเบิดในหัวดัง ‘ตูม’ อยู่ๆ ตัวเองก็เข้าสู่โหมดหนุ่มน้อยไร้เดียงสาขึ้นมา

“ไปสักที…..จะได้รีบกลับมา” ผมพูดพลางผลักที่อกอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ พี่โน่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและเดินห่างออกไป

“กลับมาจัดอีกสักรอบไหม? เห็นไอซ์เป็นแบบนี้แล้ว พี่จะทนไม่ไหวแล้ว” พี่โน่หันมาพูดก่อนเปิดประตูและจากไปด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ

“ไอ้….ไอ้….. จะบ้าเรอะ!! ดูสภาพผมด้วย!!” ผมโวยวายขณะที่ประตูห้องปิดลง

ผมเหมือนคนบ้านอนยิ้มอยู่บนเตียงคนเดียว

……….

“ไอ้ไอซ์!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล ผมตื่นจากสภาพง่วงหาวเพราะฤทธิ์ยาสารพัดที่กินไปก่อนหน้านั้น ผมฝืนลืมตาขึ้นมามองไปที่ต้นเสียงที่ปลายเตียง ผมเห็นเงาร่างที่คล้ายตนเองยืนอยู่ที่ปลายเตียง แม้โครงหน้าจะเหมือนกันจนหลายคนแยกไม่ออก แต่รังสีอารมณ์ที่แผ่ออกมาทำให้บรรยากาศระหว่างผมกับไอ้คนปลายเตียงห่างไกลกันลิบลับ

“อะไรของมึง มายืนอารมณ์บูดอะไรในห้องกู!!” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด ภาพแรกที่เห็นตอนตื่นนอนไม่ควรเป็นมันที่ดูอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้

“จะบ่ายแล้วมึง กูถามจริงมึงป่วยเป็นอะไร มึงมีเรื่องอะไรจะสารภาพกับกูไหม?” คนตรงๆ อย่างไอ้เฟรมไม่เคยอ้อมค้อม แต่มันก็ซื่อบื้อ ดังนั้นพูดอะไรไปมันก็คงเชื่อ

“ไข้หวัดมั้ง มึงก็รู้ว่าช่วงเปิดเทอม กูใช้ร่างตัวเองไปเปลืองแค่ไหน? แค่นี้นะ ทำไมกูไม่สบายแล้วกูต้องรายงานมึงด้วย!  มึงก็แปลก ออกไปก่อนไป กูจะนอน” ผมทำตัวปกติ ผมทำบ่อยๆ เวลามีความลับกับมัน มันไม่เคยทันผมเลยสักครั้ง

“พี่โน่เขาดูแลมึงดีไปไหมวะ กูก็ป่วยเมาค้างอยู่ห้องข้างๆ ไม่เห็นจะดูแลดีเท่ามึงเลย! มึงแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรที่กูควรจะรู้” คราวนี้มันแปลก ไอ้เฟรมปักหลักไม่เคลื่อนไหว สายตาแน่วแน่มองผมอย่างคาดคั้น มันไปโดนตัวไหนมาวะ?

“คิดไปเองมั้งมึง มันแค่อยากหาเรื่องแกล้งกูมากกว่า” ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเลย มันไปรู้อะไรมาวะ ผมยังไม่พร้อมเลยนะ

“มึง! แน่! ใจ! นะ!!” มันย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง แบบที่ผมไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น มันรู้สึกแปลกดีที่เห็นตัวเองมีกล้ามเนื้อแบบนั้นบนใบหน้า

“แน่ใจสิ!!” เอาสิกูโทการละคร มึงจะมาโปกเกอร์เฟซใส่กูไม่ได้หรอก!

“เชี้ย! มึงแม่ง!! เอาเป็นว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่ก็คิดดูดีๆ ก็แล้วกัน! อย่าลืมว่ามึงใช้ผนังห้องร่วมกับกู!! มึงไม่คิดว่ากูได้ยินทุกกิจกรรมของมึงหรือไง!!”  มันพูดจบก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไป

ผมได้แต่ลุกขึ้นมานั่งอึ้งบนที่นอน สบถคำหยาบคายภาษาไทยที่รู้จักทั้งหมดในใจ พร้อมหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนตัวเล็กที่ผมเผลอมีใจให้เสียแล้ว

…………………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 20) 20 เม.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-04-2022 10:21:37

บรรยากาศบริเวณโต๊ะอาหารของบ้านที่สว่างไสวด้วยโคมระย้าหลักหลายหมื่น กลับดูทมึนตึงขึ้นมาแบบผิดปกติ หากเป็นทุกวันผมจะชอบบรรยากาศที่สดใสและกลิ่นหอมๆ ของอาหารไทยที่ผมชื่นชอบลอยอวลอยู่ในอากาศ บรรยากาศที่ผิดปกติทั้งหมดที่เกิดจากไอ้คนที่หน้าเหมือนผมอย่างกับส่องกระจกซึ่งตอนนี่มันนั่งหน้านิ่งมองผมอย่างเอาเป็นเอาตายที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมนี่แหละ

แม้แต่พี่โน่นักเลงโตผู้จัดแจงทำอาหารอย่างเลิศหรูมื้อนี้ ผู้ที่ผมเคยคิดว่าไม่เคยหวั่นเกรงใครในโลกนี้ ก็กลับมานั่งหน้านิ่งกอดอกอยู่ข้างผม

“กูชวนมากินข้าวด้วยกัน ไม่ใช่มาชวนทะเลาะ!” ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบนิ่งเหมือนปลาตาย

นอกจากจะไม่ได้คำตอบจากไอ้เฟรมแล้ว มันยังแบะปากไม่รับแขกใส่ผมอีก แทบจะไม่ได้มองอาหารที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งตั้งใจทำให้เลย ต่างจากผมที่น้ำย่อยเริ่มทำงานแล้ว

“มีอะไรก็คุยกันดีๆ โตๆ กันแล้ว” พี่โน่ยึดอกช่วยผมพูดกับไอ้คนหน้าบึ้งฝั่งตรงข้าม

“พี่จะต่อยผมหลังจากนี้ก็ได้นะ!! แต่จะให้ผมเคารพคำพูดของคนที่ทำเรื่องไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้ผมว่ามันก็ยังไงๆ อยู่นะ!!” ไอ้เฟรมมันตาขวางใส่ผมทีหนึ่งแล้วค่อยหันไปพูดกับพี่โน่อย่างเป็นศัตรู

อาการมันเหมือนจะบอกผมว่า กูไม่กลัวคนของมึงหรอกนะ!!

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ เรื่องนี้…พี่จะขอคุยกับแม่ของพวกเธอเอง แต่จะให้พี่บอกตั้งแต่แรกเริ่มคบกันนี้มันก็เร็วไป เฟรมไม่คิดแบบนั้นรึ?” พี่โน่ใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ผมคิด

“ผมไม่ใช่ว่าผมไม่โอเคนะ เพียงแค่มัน….. มันไม่เหมาะสมหรือเปล่า? ในขณะที่เพื่อนของตัวเองฝากฝังลูกๆ ของตัวเองให้ดูแล แต่ผมว่ามันไม่ใช่การดูแลแบบนี้นะครับผมว่า!!” ไอ้เฟรมยังคงตั้งป้อมไม่รับคำตอบจากพี่โน่

มันมักจะพยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่เสมอ ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นห่วงผม แต่ทีกับมันผมยังไม่เคยไปยุ่งเลย ผมก็ทะเลาะกับมันเรื่องนี่หลายครั้งเหมือนกัน เรื่องการใช้ชีวิตของผม แต่ครั้งนี้ดูท่าทางจะเกรี้ยวกราดกว่าทุกครั้ง

“ผมยังไม่ได้ว่าจะคบกับพี่เลยป่ะ!” ผมพยายามทำบรรยายกาศให้ผ่อนคลาย แต่ดูท่าทางจะแย่กว่าเดิม

พี่โน่หันมาทำหน้ามาขยับปากประมาณว่า “อะไร? ขนาดนี้แล้วนะ!”

“โห!! แบบนี้ยิ่งแย่ไปอีก จะมาเอากันเล่นๆ แบบนี้ในบ้านของเพื่อนตัวเองแบบนี้ยิ่งดูเลวไปอีก” มันใช้คำแรงขึ้นเรื่อยๆ

“แบบนี้มันฝากกระดูกไว้กับหมาชัดๆ” ไอ้เฟรมทุบโต๊ะอย่างไม่พอใจ

“น่าจะเป็นแมวกับปลาย่างนะกูว่า” ผมอดไม่ได้ที่จะทำให้สำนวนถูกต้อง

“เออ! ก็เหมือนกันนั่นแหละ!!” ในแววตาของไอ้เฟรมมีความเขินอายเล็กน้อย แต่ก็รีบทำโมโหกลบเกลื่อน

“เรื่องนี้ผมจะรายงานแม่!!” ไอ้เฟรมลุกขึ้นและเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกล

แต่ด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม พี่โน่ที่ลุกขึ้นและวิ่งไปถึงตัวเฟรมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พี่โน่โผเข้าไปคว้าโทรศัพท์มือถือของไอ้เฟรมอย่างไม่ทันตั้งตัว

“พี่โน่! ผมเคารพพี่นะ พี่ก็รู้ส่ว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องยังไงแม่ก็ต้องรู้สักวัน!!  รีบบอกก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายเถอะ ผมขอร้อง!!” แม้ไอ้เฟรมจะรูปร่างสูงใหญ่กว่าแต่ก็ไม่สามารถแย่งโทรศัพท์ตนเองจากพี่โน่ได้ กลายเป็นภาพที่เหมือนเด็กวิ่งไล่แย่งของจากผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กกว่า ผมแอบขำกับภาพที่ดูจริงจังตรงหน้า

“พี่ขอร้องนะ รอให้พี่พร้อมก่อนได้ไหม? พี่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนได้ไหม? พี่อยากเป็นคนบอกกับมลเอง” พี่โน่ทำสีหน้าจริงจัง

“พิสูจน์สิ!!” ไอ้เฟรมก็จริงจังไม่แพ้กัน

“…….” พี่โน่นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่ยื่นโทรศัพท์มือถือคือไอ้เฟรม พร้อมกับย่อเข่าลงทั้งสองข้าง

เข่าที่กำลังจะลงต่ำสู่พื้นกลับถูกวัยรุ่นร่างใหญ่ทั้งสองรั้งพยุงไว้พร้อมร้องเสียงหลง

“เฮ้ย!! พี่จะทำอะไร?” ผมถามเสียงหลงขณะพยายามใช้แรงที่รั้งร่างเล็กๆ แต่ทรงพลังนั่นเอาไว้

“จะพิสูจน์ไง” เสียงเรียบตอบออกจากปากพร้อมดวงตาที่แน่วแน่ ชายที่ได้ชื่อว่าหัวเข่าไม่เคยแตะพื้นกำลังจะคุกเข่าขอร้องพี่ชายของผมให้ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

ไอ้เฟรมที่ทำหน้าอ่อนใจกับคนที่เขาพยายามใช้แรงทั้งหมดร่วมกับผมพยายามยื้อรั้งให้อีกฝ่ายยืนขึ้นอย่างยากลำบาก มันถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา

“โอเคๆ ผมยอมแล้ว!” พูดจบไอ้เฟรมก็ปล่อยมือเดินถอยไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว

ผมกับพี่โน่ถึงกับเซไปทางด้านของมันจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่โน่แข็งแรงพอที่จะยืดหยัดให้ตัวทรงตัวได้ทัน พร้อมกับดึงรั้งผมไว้ในอ้อมแขนไม่ให้เซล้ม

“กูน่ะ ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ปัญหาของกูเองก็เยอะ ไม่มีอารมณ์มายุ่งเรื่องของมึงหรอก กูก็แค่อยากจะพิสูจน์ว่า หากมึงกับพี่โน่จะเจอด่านมหาหินอย่างแม่ มึงกับพี่โน่จะรับมือไหว!” ไอ้เฟรมเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม

พูดมาถึงตรงนี้ผมกับพี่โน่ก็ได้แต่มองหน้ากัน ผมมองสีหน้าพี่โน่เองก็มีแววตากังวลใจไม่น้อยแฝงอยู่กับหน้าตาที่เข้มตึงจริงจังไปทางไอ้เฟรม

คำพูดของพี่ชายฝาแฝดทำให้ผมคิดภาพตามและถึงขั้นกลืนก้อนน้ำลายขมๆ ลงคอ

“กูชอบพี่โน่ ตอนนี้กูบอกได้แค่นี้ แต่ไอ้ความรู้สึกชอบนี้มันจะพัฒนาไปในทางไหน กูก็ไม่รู้ แต่กูเป็นคนอยู่กับปัจจุบัน กูไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คไหม? แม่จะรับได้ไหม? ที่กูจะมีเพื่อนแม่เป็นแฟน แต่กูบอกได้เลยว่า กูเลือกแล้ว” ผมตอบไปด้วยอาการใจเต้นตุบตับ มันออกมาจากใจเลย ผมแทบไม่กรอกความคิดตัวเองก่อนที่จะพูดเหมือนทุกครั้ง แค่คิดหวังว่ามันจะได้ผล หากได้พี่ชายฝาแฝดตนเองช่วยหนุนหลัง

ที่หางตาของผมแอบเห็นไอ้พี่โน่ที่ยิ้มจนตาปิด รอยตีนกาเพิ่มมากกว่าปกติ ดวงตาหวานเยิ้มจ้องมาทางผมจนผมขนลุก เริ่มรู้สึกคิดผิดที่พูดออกไป

“มึงรู้ไหม? สิ่งที่กูกลัวน่ะ ไม่ใช่พี่โน่ แต่เป็นมึง!! ใจของมึงน่ะกูบอกเลย มันไม่ได้มั่นคงขนาดนั่น!” ไอ้เฟรมพูดมาแบบนี้ผมก็เข้าใจและเถียงไม่ออก

“พี่ว่าพี่มองคนไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็จะทำให้เห็นว่าไอ้เด็กโย่งนี่ มันหลงพี่จนโงหัวไม่ขึ้นเลย” พี่โน่ยิ้มพลางขยี้ศรีษะผมจนยุ่ง

“มั่นใจจัง”  ผมมองมันตาขวาง

“เดี๋ยวก็รู้!” พี่โน่ยักคิ้วใส่ ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะตอนนี้ผมเห็นมันทำอะไรก็น่ารักไปหมดเสียแล้ว

“ช่วยไปจีบกันเวลาอื่นได้ไหม เดี๋ยวผมกินข้าวไม่ลง เฮ้อ!!” สีหน้าของไอ้เฟรมผ่อนคลายขึ้นมาก ผมรู้ใจมันดีว่าหมายถึงอะไร

หมายถึงว่ามันยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โน่แล้ว รวมถึงผมที่ยอมรับที่จะลองคบกับมันดูสักตั้ง

………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 21) 27 เม.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-04-2022 17:45:16

หลังจากเหตุการณ์ท้าพิสูจน์ของพี่ชายฝาแฝดผม ที่กล้าหาญท้าทายอำนาจมืดแบบไม่กลัวเกรง บอกตามตรงว่าผมเองก็เผื่อใจเรื่องที่มันจะสลบคาหมัดเสยคางของไอ้นักเลงตัวเล็กนั่น

แต่ผลลัพธ์มันเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ไม่คิดว่ามันจะยอมทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าที่มันไม่ลงไม้ลงมือเพราะมันเกรงใจแม่ผม (เพื่อนที่น่ายำเกรงของพี่โน่) หรือเกรงใจผมกันแน่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมสบายใจ และทำให้ไอ้คนติดแฟนอย่างไอ้เฟรมหายตัวไปตามตูดแฟนสาวแสนสวยของมันได้เหมือนทุกวัน

ผมรู้ว่ามันก็เป็นห่วงผมแหละ แม้ว่ามันจะทะเลาะกับผมแทบทุกวันก็ตาม

“วันนี้ไม่ไปไหน?” ไอ้คนตัวเล็กที่ตอนนี้มีอิทธิพลกับผมมากขึ้นเอ่ยถาม

“ที่ถามนี่คือจะกวนตีนใช่ไหม?” ผมก้มลงมองไอ้คนที่ขอมานอนตักผมหลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อย ก็ตามกันแจแบบนี้จะไปไหนได้วะ

“เปล่าเสียหน่อย มึงก็พูดไปเรื่อย คือ….. วันนี้มีวงดนตรีใหม่มาลองเล่นที่ผับพี่ จะไปด้วยกันไหม?” มันเงยหน้า ยิ้มตาปิดอย่างอารมณ์ดี ช่วงนี้ได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยขึ้นจนเกือบจะลืมพี่โน่ผู้เคร่งขรึมคนเก่าไปเสียแล้ว เห็นแล้วอยากหยิกแก้ม แต่ของแก๊กไว้ก่อน

“ไม่มีตังค่าเหล้าแล้ว แม่กลัวหนีเที่ยวเลยตัดค่าขนมเรียบร้อย” ผมถอนหายใจทำหน้าเซ็ง เพราะแม่รู้ทันพวกผมไปเสียทุกเรื่อง ว่าแต่ทำไมไอ้เฟรมมันถึงออกไปข้างนอกบ้านได้ทุกวันฟะ

“นี่มึงพูดกับใคร? มากับพี่จะต้องจ่ายเหรอ?” พี่โน่ลุกขึ้นยักคิ้ว  ตอนนี้เริ่มชินกับการพูดแบบนี้ของมันแล้ว เดี๋ยวมึงกู เดี๋ยวพี่เดี๋ยวน้อง นี่ผมผิดเองใช่ไหมที่ไม่ปล่อยตามใจมัน

“จะเลี้ยง?!?” ผมทวน

“เป็นเมียเจ้าของร้าน ทำไมต้องจ่าย” มันยกยิ้มมุมปากบวกกับแววตาวูบวาบนั่น รู้เลยว่ามันกำลังวางแผนอะไรอยู่

“ผมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นเลย ว่าแต่ก็ระวังหลังตัวเองให้ดีก็แล้วกัน!!”  ผมจ้องตาคนตรงหน้าด้วยสายตาพิฆาต

“กูมั่นใจว่าไม่มีวันนั้น” คนพูดยึดอกอย่างภูมิใจ

ผมถอนหายใจส่ายหน้ากับอาการภูมิใจของคนตรงหน้า

“หรือน้อง… เอ่อ… มึงจะลองกันก่อนไป” พี่โน่ขยับเข้ามาโอบไหล่ผมให้กระชับเข้ามาหาเขา กลิ่นอายจากตัวของเขามันกรุ่นอยู่ในจมูกผมจนแทบเคลิ้ม

ผมกำมือและเหยียดกายยืนถอยห่าง

“หยุดเลย เดี๋ยวเหนื่อยแล้วไปเที่ยวไม่สนุก ไม่อยากเจ็บตัวก่อนไปเที่ยว” ผมยื่นมือห้าม พี่โน่กลับอมยิ้มใส่ผม

“คนเป็นเมียเขามักจะพูดกันแบบนี้นะ” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มแบบมีเลศนัย

“เชี้ย!!” ผมสบถ แบบไม่ตั้งใจ ถูกของมันจิตใต้สำนึกของผมยอมเป็นเมียมันเรียบร้อย

“เออ!! แล้วไอ้การพูดสองระดับแบบนั้น ถ้าฝืนก็ไม่ต้อง พี่จะพูดอะไรก็เรื่องของพี่แล้ว ผมจะพยายามชินก็แล้วกัน” ความจริงผมก็ไม่รู้ว่าผมเริ่มพูดสุภาพกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะผมใจอ่อนกับมันมานานแล้วก็เป็นได้

ผมพูดจบ ไอ้พี่โน่ก็วิ่งเข้ามากอดผมอย่างแนบแน่น ผมต้องรีบโวยวายให้ปล่อยเพราะพี่ฟางที่ดูแลงานบ้านยังล้างจานอยู่ในห้องครัว

……………..

ผมถูกพามายังย่านบันเทิงของจังหวัด ถนนสายโลกีย์ที่เต็มไปด้วยผับบาร์นานาประเภท ตั้งแต่นั่งดื่มชิลๆ จนถึงระดับผับที่เต้นกันให้ยับเมากันให้เละ และสถานที่อโคจรจำนวนมากที่แฝงอยู่ตามตรอกซอกซอยยิบย่อย จนแทบจะนับไม่ไหวเพื่อรองรับบุคคลหรือลูกค้าหลากหลายประเภท

และเกินครึ่งมีพี่โน่เป็นเจ้าของ หรือไม่ก็เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ (ไม่ให้เรียกเจ้าพ่อจะให้เรียกอะไร)

รถสปอร์ตคันหรูสีสะดุดตาของพี่โน่พาผมเข้าไปในผับที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นสถานที่ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จนจะเรียกได้ว่าเป็นผับเกย์อยู่แล้ว แต่เจ้าของอย่างพี่โน่บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นแต่เพราะมีนักดนตรีเป็นผู้ชายล้วนบวกกับพนักงานทุกคนก็เป็นผู้ชายหน้าตาดีทุกคน ใครจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก (ที่แปลกน่าจะเป็นคนที่มาเที่ยวที่นี่ล้วนเป็นคนที่มีความลื่นไหลทางเพศทั้งสิ้น คือจีบได้หมดทั้งหญิงและชาย)
ความตั้งใจแรกอยากดึงดูดลูกค้าเพศหญิง แต่กลับมีเพศชายมามากว่าเสียอย่างนั้น หรือคนแบบนี้มันเยอะขึ้นวะ)

รถของพี่โน่หาที่จอดได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะมีคนคอยดูแลตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามาแล้ว ความจริงใครเห็นรถคันนี้บนถนนเส้นนี้ก็ต่างหลบให้หมด เพราะใครๆ ก็รู้ว่าใครเป็นคนขับ ทำให้คนที่นั่งมาด้วยอย่างผมถึงกลับเกร็งไปหมด

“ทำไมไม่ลง?” พี่โน่ที่เปิดประตูออกไปยืนข้างรถแล้วก้มลอดผ่านประตูรถอีกฝั่งเข้ามาถาม

“เดี๋ยวนะครับ” ผมมองไปที่ประตูด้านของผมซึ่งถูกเปิดออกทันทีที่รถจอดสนิท

ผมทั้งแปลกใจและสงสัยว่าคนที่ดูแลลานจอดรถ เขารู้ได้อย่างไรว่ามีคนนั่งมาด้วยทั้งๆ ที่กระจกของพี่โน่มันดำวาวเสียขนาดนั้น หรือว่า…..มันเป็นความเคยชิน

“คุณผู้ชายครับ” พนักงานดูแลลานจอดยื่นผายมือมาทางผมอย่างสุภาพ หลังจากที่พี่โน่พูด ‘เฮ้ย’ คำเดียว

“ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธพร้อมโบกมือให้พนักงานคนนั้นลดมือลง

หลังจากยืนยืดตรงทำให้ผมเห็นว่าพนักงานลานจอดก็งานดีไม่น้อยทีเดียว แม้ผิวจะเข้ม แต่หน้าตาคมขำจนต้องหันมองอีกครั้งหลังจากที่เขาพยายามเชิญผมเดินออกจากรถและจะปิดประตูรถให้

“อะแฮ่ม!!” พี่โน่กระแอมเสียงดัง ทำให้ผมหันไปสนใจเขา ในขณะเดียวกัน พนักงานคนนั้นก็รีบไหว้ลาและเดินดูแลบริเวณอื่นอย่างรวดเร็ว

“มีคนมาด้วยบ่อยล่ะสิ!!” ผมหันไปพูดแก้เขินแกมประชด

“ไม่บ่อย….แต่วันนี้พี่บอกว่าพี่จะมากับแฟน!” มันพูดนิ่งๆ และกวักมือเรียกผมอย่างน่ารัก ด้วยใบหน้าที่อมเลือดฝาด

‘เชี้ย……..’ ผมพูดในใจและก้าวเดินเข้าไปในร้านแบบไม่รอไอ้คนที่พูดจาเลี่ยนๆ แบบนี้ แต่ก็แอบเขินไม่น้อย

“เดินนำแบบนี้รู้เหรอว่าจะไปทางไหน?” พี่โน่เดินมาคว้าแขนผมไว้ ผมรู้สึกหูอื้อไปหมดพร้อมส่ายหน้า

“เดี๋ยวพี่พาไป” พูดจบพี่โน่ก็เดินนำพลางจับมือผมไปด้วยจนถึงที่นั่งวีไอพีไม่ไกลจากเวทีแสดงดนตรี

…………

ช่วงหัวค่ำแบบนี้ดนตรีที่เปิดจะยังเป็นสไตล์บรรเลงเบาๆ คลอไปกับเสียงพนักงานที่กำลังตระเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายก่อนที่ลูกค้าจะเริ่มแน่นเนืองในช่วงกลางดึก

ผมถูกจับให้นั่งจุดที่เรียกได้ว่าเงินไม่หนักจริง ไม่สามารถจองได้เพราะนอกจากชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ดูดีโดดเด่นกว่าทุกโต๊ะแล้ว ยังมีบริกรรูปหล่อในชุดสูทสีกรมท่าสุดเท่คอยดูแลอยู่ประจำโต๊ะ จากมุมที่ผมนั่งอยู่สามารถมองเห็นทุกคนในบริเวณได้ไม่ยาก ร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำและกระจกเคลือบสีเข้มจึงทำให้มีความรู้สึกหรูหราเมื่อเข้ามาอยู่ท่ามกลางบรรยกาศที่ประดับไฟแอลอีดีหลากสีโทนขาว ทอง และสีโรสโกลด์  ดวงไฟระย้าคริสตัล หลากหลายสไตล์ในแต่ละจุด ช่วยขับให้แต่ละจุดมีความรู้สึกแตกต่างกันไปไม่น้อย แต่ละพื้นที่อยู่ห่างกันพอควร ทางเดินกว้างขวางไม่แออัด ไม่แปลกใจที่ร้านนี้จะเป็นที่นิยมมานานหลานเดือนตั้งแต่เปิดทำการมา

โดยเฉพาะบริการและบาร์เทนเดอร์ที่คัดมาอย่างตั้งใจ ผมมองไปรอบๆ อย่างเพลิดเพลินจนทำให้คนที่พามาทำตาขวางใส่อย่างแสดงออก สังเกตได้จากบริกรคนอื่นที่แทบจะไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้โต๊ะวีไอพีที่ผมนั่งเลย ไม่รู้ว่าเป็นกฏหรืออะไร ทำไมผมถึงได้รู้สึกติดเกาะร้างแบบนี้

“เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วครับ” บริกรประจำโต๊ะสุดหล่อสไตล์ตี๋อินเตอร์หุ่นล่ำสันเดินมาพร้อมกับกับเครื่องดื่มคอกเทลสีสวยสี่แก้ว

ผมยิ้มตอบการบริการที่น่าประทับใจของบริกรหนุ่ม แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มตอบตามมารยาทเพียงสามวินาที ก่อนที่จะขอตัวเดินออกจากโต๊ะไป

ผมรู้ครับว่าบริกรหนุ่มคนนี้ไม่ได้เสียมารยาท อาจเพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนข้างๆ จนผมรู้สึกได้นั่นเอง

“สั่งมาทำไมเยอะแยะ?” ผมหันไปหาชายเจ้าของสถานที่ด้วยรอยยิ้มอย่างฝืนๆ

“เมนูใหม่ อยากให้ลอง” ตั้งแต่เข้ามาในร้าน ไอ้พี่โน่ก็ได้แต่แก๊กและพูดน้อยลงจนผมหงุดหงิด โดยเฉพาะไออำมหิตเหล่านั้น มันแผ่ออกมาไม่หยุดหย่อนเลย แม้ผมจะหันไปหาแล้วเจอไอ้คนที่พยายามฝืนยิ้มใส่ผมและลดรังสีอำมหิตลงครึ่งแล้วก็ตาม

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?” ผมถามอย่างไม่เกรงใจ พร้อมใช้มือชอนคางให้เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ชอบเหรอจ๊ะ?” ไอ้พี่โน่มันยิ้มอย่างลิงโลดหลังจากที่มือผมถูกคว้าไว้ทันทีที่สัมผัสกับคางของมัน

“เปล่า…. แค่รู้สึกเหมือนพี่ไม่สนุก” ผมสะบัดมือออกจากการจับกุมไว้ของพี่โน่

“ก็พี่มาทำงานนี่นา เดี๋ยวขอเสร็จธุระก่อนนะ คุณแฟน” อีกครั้งที่ผมถูกกระชากไหล่ให้ผุบลงไปนอนเอนกับพนักโซฟาตัวหนานุ่นและแนบเบียดกับอีกฝ่ายจนแทบจะแทรกซ้อนทับกับ

“ใครแฟนพี่? ยังไม่ได้ยอมรับสักคำ” แรงที่จับกุมไหล่ผมไว้ทำให้ผมดิ้นไม่หลุดและเลิกพยายาม มันก็อบอุ่นดี แม้จะกลัวใครมาเห็นผมแบบนี้ แต่ตรงนี้มันก็ดูส่วนตัวดี

“แต่ก็ไม่ปฏิเสธเนอะ” ไอ้พี่โน่พูดพลางหัวเราะชอบใจจนบริกรในร้านหันมามองเป็นตาเดียว แต่ก็ต้องหันกลับไปจดจ่อกับงานตนเองแทบจะทันทีที่สบตาพี่โน่

ทำให้ผมรู้สึกว่าการได้คบกับคนแบบนี้มันก็เร้าใจไม่น้อยเหมือนกัน

………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 21) 27 เม.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-05-2022 19:59:07
น้องไอซ์ปากตรงกับใจได้แล้ววววว
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 22) 7 พ.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-05-2022 07:23:57

หลังจากคอกเทลแสนอร่อยผ่านลำคอไปหลายแก้ว ฟังเพลงบรรเลงสด จากนักดนตรีวงใหม่ที่มาเล่นที่นี่เป็นครั้งแรกเพื่อทดสอบความนิยมและความไพเราะ ผมพบว่าตัวเองกำลังเริ่มมึนๆ กับระดับแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้นในกระแสเลือดอย่างรวดเร็วจนต้องขอวิจารณ์กับเจ้าของสถานที่เล็กน้อย


“ดนตรีดี! เสียงเพราะฟังเพลิน ดื่มเพลิน แต่ไอ้คอกเทลพวกนี้มัน…..แรงไปไหมครับพี่?” ผมหันไปหาไอ้คนที่จ้องเวทีตาไม่กระพริบ

“อืม….ก็นะ ก็ตั้งใจนี่นา เมนูใหม่พวกนี้อยู่ในเซ็ตน้อกเกอร์นี่นา สำหรับพวกคนที่ต้องการของแรงๆ เมาเร็วๆ” ไอ้พี่โน่เหลือบตามามองผมครู่หนึ่ง อมยิ้มและหันไปทางเวทีอีกครั้ง


มองจำนวนแก้วที่วางเรียงรายบนโต๊ะขณะที่บริกรหนุ่มกำลังเก็บแก้วที่เครื่องดื่มภายในหมดเกลี้ยง บรรจงวางลงบนถาดอย่างเป็นระบบ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเกิดเหตุการณ์นี้มารอบที่เท่าไหร่แล้ว รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ผมดื่มหมดแก้ว ก็จะมีแก้วใหม่มาเติมอยู่เรื่อย ๆ ด้วยรูปแบบและสีสันที่ต่างกันออกไป ผมยอมรับว่าแต่ะแก้วช่างสร้างสรรค์และรสเลิศ


“นักร้องก็หน้าตาดีนะ แต่ทำไมแต่งตัวไม่ได้เรื่องแบบนั้น” พี่โน่ เอ่ยถึงนักร้องนำบนเวทีที่เรียกความสนใจให้กับทุกคนในผับได้อย่างดี ใบหน้าขาวใสที่ส่องสว่างอยู่บนเวที แต่กลับถูกชุดเสื้อผ้ามอซอพวกนั่นดับรัศมีไปพอควร กางเกงยีนส์เก่าๆ ซีดๆ กับเสื้อยืดตัวใหญ่โคล่งสีขาวหม่น กับหมวกแก๊บสีแดงซีดๆ มันเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันเสียเลย


ขณะที่พี่โน่เอ่ยปากพูดกับผม แต่สายตาของเขากลับไม่ละจากนักร้องที่กำลังร้องเพลงช้าสไตล์อกหักนั่นเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอกของผม มันวูบวาบร้อนรนกับภาพที่เห็น มือของผมคว้ารวบไปที่คางของชายร่างเล็ก และบังคับให้หันมาสบตากับผมทันที

“พูดกับคนอื่นก็หัดมองหน้ากันบ้าง!!” ผมพูดเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ


บริกรบริเวณนั้นแทบจะหยุดหายใจ ผมสังเกตจากอาการของพวกเขาได้ ทุกคนหยุดชะงักการทำงานและหายใจเข้าเสียงดัง แม้แต่บริกรที่อยู่ประจำโต๊ะวีไอพีที่ผมนั่งยังต้องถอยห่างไปหนึ่งก้าว

แต่สุดท้ายทุกคนก็กลับไปทำงานปกติได้หลังจากที่พี่โน่เผยรอยยิ้มกวนประสาทใส่ผม

“พี่ดีใจนะ”

“ดีใจที่จะได้วงดนตรีใหม่ ดูท่าทางน่าจะเรียกแขกได้เยอะแหละ” ไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องใส่เสียงประชดประชันลงไปในประโยคเหล่านี้ด้วย ไม่เข้าใจเลย

“ไม่ พี่ดีใจไอซ์หึงพี่!” คราวนี้ไอ้ลุงร่างเด็กนี้ก็ฉีกยิ้มจนเห็นรอยตีนกาชัดเจน

“ใคร? อะไร? ไม่มีอ่ะ?” หรือว่ากูหึงจริงวะ หรือกูเมาแล้ว ไอ้พี่โน่มันแอบมอมเหล้าเราอีกแล้วเรอะ โอยๆๆๆ ผมโอยครวญในใจซ้ำไปมา

หลังจากฉีกยิ้มกว้าง มือหยาบของพี่โน่ก็อ้อมมาโอบไหล่ผมพร้อมกับกระชับให้ผมเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างแนบแน่น ผมแทบไม่มีโอกาสขัดขืน แต่ผมก็ไม่ได้ฝืน เพราะสุดท้ายผมก็เริ่มชอบไออุ่นบนอกผืนย่อของชายร่างเล็กคนนี้เสียแล้ว


………………


วงดนตรีประจำของผับนี้ขึ้นไปวาดลวดลายให้แขกภายในผับกรี๊ดลั่นแก้วเกือบแตก เมื่อนักร้องหน้าสวยอันโด่งดัง ที่มีเสียงดุจเสียงสวรรค์ร้องได้ทั้งเพลงเร็วและช้าติดต่อกันจนแทบไม่พัก ผมยอมรับว่าสนุกมาก ไม่เคยได้มีโอกาสได้ชมการแสดงสดที่ทรงพลังขนาดนี่ แต่จะสนุกกว่านี้หากไม่ต้องนั่งดูคนเดียว!

หลังจากวงแรกเล่นจบไปได้ไม่นาน พี่โน่ก็ถูกเรียกตัวโดยลูกน้องจำนวนหนึ่ง ที่ต่างกรูกันเข้ามาขอคิวเพื่ออัพเดทโน่นนั่นนี่ จนพี่โน่ยกมือขึ้นปรามทุกคนจนบริเวณนี้เงียบสนิท พี่โน่เหล่มองผมครู่หนึ่ง หลังจากเห็นผมพยักหน้าว่าไม่เป็นไร พี่โน่จึงตัดสินใจบอกทุกคนให้ตามไปที่ห้องทำงาน เพราะอย่างไรต้องไปประเมินและให้คำตอบวงคนตรีวงน้องใหม่ที่เพิ่งทำการแสดงไป


“นั่งคนเดียวไม่เหงาหรือครับ?” หนุ่มตี๋ตาขีดเดียวเดินมาทักทายถึงโต๊ะวีไอพีของผม

ผมเหลือบไปมองก็พบว่าคนที่มาทักผมนี่หน้าตาดีไม่น้อยทีเดียว วงหน้าที่เรียวยาว ผมรองทรงด้านหน้ายาวจนเกือบปิดตา หน้าขาวใส เจาะหูทั้งสองข้างด้วยห่วงที่ใหญ่พอประมาณ แต่ก็รับกับใบหน้าของเขาไม่เลว การแต่งตัวที่เนี๊ยบและทันสมัย จึงทำให้เขาดูน่ามองไม่น้อย ด้วยความไม่คุ้นหน้า ผมเลยยิ้มกลับไปเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาจดจ่อกับคอดเทลแก้วโปรดตรงหน้า (สั่งมาซ้ำสามแก้วแล้ว)

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า บริกรประจำโต๊ะนั่นพยายามห้ามปรามคนหน้าตี๋ที่มาทักทายผมไม่ให้ร่วมโต๊ะด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนจะทำไม่สำเร็จ

ในที่สุดบุคคลผู้มาใหม่ก็ลงนั่งข้างผมอย่างแนบชิด พร้อมถือวิสาสะนำแก้วของตนมาชนที่แก้วผมอย่างทุลักทุเลจนแก้วสีสวยของผมเกือบคว่ำ 

ผมที่มีอาการมึนเมาได้ที่แล้วจึงมองคนข้างๆ อย่างเฉื่อยชา และมองไปที่บริกรประจำโต๊ะที่น่ารัก ซึ่งตอนนี้ทำหน้าซีดอย่างน่ากลัวอยู่ สุดท้ายผมเลยมองที่เขาและโบกมือให้ประมาณว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง

“เด็กใหม่ของไอ้เตี…… เอ่อ….. พี่นีโน่เรอะ?” ไอ้ท่าทางยียวนแบบนี้ ทำให้คะแนนความหน้าตาดีของคนๆ นี่ลดลงไปเกินครึ่ง

“ไม่ใช่” ผมตอบห้วนๆ และแสดงออกว่าผมไม่สนใจ

“แต่เห็นว่าด้วยกัน ดูท่าทาง พี่นีโน่จะหลงคุณมากเลยนะ รายนั้นเขาไม่เคยพาใครมานั่งตรงนี้เลยนะ” มือไม้อีกฝ่ายโอบอ้อมข้ามไหล่มาวางอย่างถือดี

“เหรอครับ”  ผมสะบัดให้มือข้างนั้นไหลลงไปตามหลัง และตอบกลับด้วยถ้อยคำเย็นชา แต่ในใจกลับตรงกันข้าม รู้สึกถึงความพิเศษของตัวเอง

มือที่ควรจะถูกเก็บไป กลับเลื่อนลงไปจนถึงเอวและออกแรงให้กระชับแน่นไปหาเจ้าของมืออย่างรุนแรง

“มากับพี่ไหม? พี่ให้เยอะกว่ามากเลยนะ” คำพูดเบาที่ไหลผ่านหูพร้อมลมอุ่นๆ เมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ทำให้ผมของขึ้น

ด้วยแอลกอฮอล์ในเลือดหรืออะไรไม่ทราบ จากการที่ผมจะลุกขึ้นมาต่อยมันคว่ำ แต่กลับเป็นผมเสียเองที่เสียหลักลงไปนอนหงายที่โซฟา พร้อมที่อีกฝ่ายขึ้นคล่อมผมด้วยรอยยิ้มมีชัย

สายตาที่มากไปด้วยแรงปรารถนาบางอย่างมันท้วมท้นจนผมรู้สึกได้

มันเป็นคนมีฝีมือ!! ไม่ได้เก่งแต่ปากเสียแล้วคนๆ นี้ ผมคิดพลางเบือนหน้าหนีจากสายตาของเสือโหยที่พร้อมจะกินเหยื่อ

ผมบอกตามตรงว่า ผมสู้แรงไอ้หน้าตี๋ตาตี่นี่ไม่ได้จริงๆ
“ไม่เลว…. พี่โน่ไปคว้าของดีๆ มาได้อีกแล้ว แบบนี้ยิ่งอยากแย่งเข้าไปอีก” ไอ้ตาตี่มันไม่ใช่แค่เพียงพูดมือหยาบใหญ่ที่เย็นจากการถือแก้วเครื่องดื่มก็แทรกตัวเข้ามาในเสื้อผม


ผมพยายามขัดขืนดิ้นรน แต่กลับสู้แรงไอ้หมอนี่ไม่ได้เลย ผมคงจะเมาแล้วจริงๆ ผมพยายามมองหาคนรอบข้างเพื่อขอความช่วยเหลือ มีเพียงบริกรประจำโต๊ะวีไอพีเท่านั้นที่มีท่าทีจะเข้ามาช่วยแต่เพียงแค่การปลายตาของไอ้หน้าตี๋ บริกรคนนั้นก็กลับหยุดชะงักและทำสีหน้าหวาดกลัว

‘ไอ้หมอนี่ มันเป็นใครกันวะ’ ผมคิดพลางพยายามมองหน้ามันให้ชัดในพื้นที่แสงสลัวแบบนี้

มือเย็นที่พยายามรุกคืบจากเอวไล่มาจนถึงกล้ามเนื้อหน้าอก มือหนึ่งผมโดนรวบไปไว้เหนือศรีษะ มือหนึ่งผมกำท่อนแขนของไอ้คนด้านบนไว้แน่น พยายามยื้อสุดแรงไม่ให้มันสัมผัสไปถึงจุดปุ่มอ่อนไหวที่กลางอก

โครม!!

ไอ้คนหน้าตี๋อยู่ๆ ก็ลอยคว้างไปทางด้านหลังจนกระแทกกับแผงกั้นบันไดทางต่างระดับที่อยู่ไม่ไกล

“ที่ผ่านมากูให้อภัยได้ แต่กับคนนี้กูไม่ให้!!” พี่โน่ตาขวางยืนกำหมัดด้วยบรรยากาศตึงเครียด ที่ทำให้ทั้งร้านเพ่งจุดสนใจมาที่นี่

“อะไรวะ เฮีย! มีอะไรเราก็แบ่งกันหรือเปล่าวะ!” ไอ้หน้าตี๋ยืนขึ้นพร้อมทำท่าปัดฝุ่นตามร่างกาย มันเหมือนไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย

“กูไม่เคยจำได้ว่าเคยคิดแบ่งกับมึง” พี่โน่พูดเสียงแข็ง

“เด็กพวกนั้น มันก็ไม่เคยปฏิเสธผมนี่หว่า ก็นึกว่าทำได้ ไหนๆ ร้านนี้ และอีกหลายๆ ร้าน เราก็เป็นหุ้นส่วนกันนะ แค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหา” ไอ้หน้าตี๋นั่นมันพูดเรื่องเลวๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย

“ที่ผ่านมากูไม่เอาเรื่องเพราะกูเกรงใจพ่อมึง! แต่คราวนี้มึงล้ำเส้นเกินไป เพราะนี่แฟนกู!! กู ไม่ เคย คิด แบ่ง แฟน ให้ ใคร!!” คราวนี้พี่โน่เดินมาขวางหน้าผมไว้ เหมือนพยายามบังผมให้พ้นจากสายตาโลมเลียของอีกฝ่าย

“ผมไม่เห็นเฮียจริงจังกับใครขนาดนี้?”

“ครั้งนี้กูจริงจัง!!”

หลังจากจ้องหน้ากันสักพัก ไอ้หน้าตี้ก็ยักไหล่ คิ้วขมวด กัดฟันกรอดและเดินจากไป

หลังจากเหตุการณ์สงบ พี่โน่ก็เอนกายปะทะเบาะที่นั่งข้างผมเสียงดังพร้อมถอนหายใจยาว

“ใครกันครับ ไอ้หน้าตี๋นั่น!!” ผมถามพี่โน่แบบเกร็งๆ

“อย่าไปใส่ใจเลย” พี่โน่ตอบผมแบบผ่านๆ

ผมเอนลงกลับไปนั่งอย่างเซ็งๆ รู้สึกหมดสนุกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติที่ทุกคนในผับกำลังดื่มอย่างสนุกสนาน

พี่โน่ที่เห็นผมทำหน้านิ่งเฉยแปลกแยกไปจากบรรยากาศโดยรอบจึงยื่นมือหยาบมาลูบศรีษะผมไปมาด้วยความอ่อนโยน

“อยากรู้ขนาดนั้น!?!” พี่โน่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

“รู้ดี!!” ทำไมมันรู้ว่าผมคิดอะไรวะ ความเผือกของผมมันร้อนจนอกเริ่มไหม้

“จะอยากรู้ไปทำไม? ตัวมันเองก็บอกไปแล้วนี่ว่ามันเป็นหุ้นส่วนที่นี่” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้ จนผมเริ่มร้อน

“ผมมองออกนะว่า ไอ้ตี้นั่นมันชอบพี่”

“แต่พี่ชอบไอซ์นะ จะไปสนใจทำไม?” เป็นคำตอบที่ละเอียดอ่อนจนเหมือนไม่ใช่ตัวตนของพี่โน่ แต่นั่นก็ทำให้ผมพูดต่อไม่ได้สักระยะ นี่มันจะขี้แกล้งกันไปถึงไหน

“อยากรู้! เล่าเถอะ!” ผมรีบเซ้าซี้อีกครั้งก่อนที่พี่โน่จัเปลี่ยนประเด็น

“เออๆ จะได้เลิกหึงเนอะ” มันผ่อนลมหายใจอมยิ้ม มองผมอย่างได้ใจ ผมหลบตาทันที ทำไมก็ไม่รู้

ไอ้ตี๋นั่นชื่อ เก๋อ ลูกเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ที่พี่โน่กว้านซื้อเพื่อทำผับและโรงแรมบริเวณนี้ เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ของจังหวัด แม้พี่โน่จะกว้านซื้อมาเยอะแล้ว แต่ที่ดินโดยรอบย่านนี้ก็ยังเป็นของเสี่ยเฉิน พ่อของ ‘เก๋อ’ อยู่มาก

ลูกของเศรษฐีเชื้อสายจีนอันเก่าแก่ของจังหวัด ที่แสนจะไม่เอาอ่าวใดๆ นอกจากเที่ยวเล่นไปวันๆ โดนบังคับให้หาธุรกิจทำเป็นชิ้นเป็นอัน ไปๆ มาๆ พี่โน่ก็ถูกขอร้องให้รับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาเป็นหุ้นส่วนช่วยดูแลธุรกิจย่านนี้ แม้จะมีหุ้นส่วน 20% แต่เก๋อก็ยังทำตัวกร่างเหมือนเป็นเจ้าของมาโดยตลอด ที่ทุกคนไม่กล้าไปหือกับคนอย่างเก๋อก็เพราะพี่โน่ขอทุกคนไว้

“อย่างน้อยมันก็มาช่วยดูแลร้านเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน มันเป็นคนเก่งนะ แต่มันเป็นคนขี้เกียจ ไม่จริงจังเท่านั้นเอง แล้วก็….. อย่างที่เห็น….. มันติดเซ็กส์” พี่โน่กล่าวทิ้งท้ายพร้อมผ่อนลมหายใจออกมา

“ถามอีกอย่างได้ไหม?” ผมครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามแบบไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนที่เคยเป็น

“อะไร?” พี่โน่เลิกคิ้วแล้วหันมาถามด้วยหน้าตาสงสัย คงคิดว่าตนเองเล่าละเอียดแล้ว

“เคยได้กันกันยัง?” ผมจ้องตาอีกฝ่ายขณะรอคำตอบ

พี่โน่หัวเราะลั่นก่อนจะพูดว่า “นี่เราก็มีส่วนน่ารักเหมือนกันนะ”

“ถามก็ตอบ!!” ผมใส่อารมณ์เข้าไปเพราะไม่เข้าใจว่าไอ้การขี้สงสัยของผมมันจะน่ารักตรงไหน?

“พี่เห็นมันตั้งแต่ตัวเล็กกว่าพี่ จนตอนนี้มันสูงกว่าพี่ร่วมฟุต ไม่เคยคิดเกินกว่าน้องชายเลยจริงๆ” พี่โน่ตอบพลางพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองไปพลาง

“ก็แค่สงสัยไหมล่ะ แบบนี้มันนิสัยหวงก้างชัดๆ ประมาณว่ากูไม่ได้ ใครก็อย่าได้ไปชัดๆ!”  ผมแสดงความคิดแบบที่ใจคิดและรู้สึกได้ เพราะอาการของไอ้ตี๋นั่น มันแค่อยากปู้ยี่ปู้ยำคู่แข่งให้แหลกลาญมากกว่าทำไปเพราะหิว! ผมไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์จะได้ดูไม่ออก

“บางทีก็แปลกใจนะว่า ไปโตอยู่ที่ต่างประเทศจริงไหม? ไอ้สำบัดสำนวนแบบนี้ได้มาจากแม่เต็มๆ เลย” พี่โน่คือคนที่พร้อมจะออกนอกเรื่องได้อย่างอิสระ

บริกรที่อยู่รอบข้างถึงกับมีท่าทีสนใจโต๊ะเราสองคนเป็นพิเศษจนผมรู้สึกแปลกใจ ในขณะที่พี่โน่เรียกลูกน้องอีกคนให้มาทำการเก็บกวาดบริเวณให้เรียบร้อย ผมจึงสบโอกาสถามบริกรประจำโต๊ะวีไอพีไปว่า ทำไมทุกคนถึงได้ทำหน้าแปลกๆ แบบนั้น

น้องบริกรสุดหล่อจึงแอบกระซิบว่า
“พวกผมไม่เคยเห็นเฮียโน่ เป็นแบบนี้เลยน่ะสิ เขาไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะขนาดนี้ในช่วงเวลาทำงานในร้านเลยสักครั้ง”
พูดจบก็รีบถอนตัวออกห่างเพราะพี่โน่เหล่มองมาพอดี

ผมฟังจบก็รู้สึกอึ้งปนรู้สึกดี ไม่คิดเลยว่ากับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาตลอด ในเวลาแบบนี้จะทำให้พี่โน่มีความสุขจนล้นออกมาขนาดนี้ แต่พอมาลองทบทวนดี พี่โน่เป็นผู้ประสบความสำเร็จทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความรัก มันก็เลยพอจะเข้าใจได้บ้าง

ขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยในหัวสมองที่แสนจะยุ่งเหยิง พี่โน่ก็ขยับตัวเข้ามาโอบไหล่ มือหนึ่งก็ถือแก้ววิสกี้ออนเดอะร็อคที่ไม่รู้ว่าไปได้มาตอนไหน พี่โน่หันหน้าไปทางเวทีที่มีศิลปินประจำผับกำลังแสดงดนตรีสดสไตล์ป้อปร็อค ซึ่งดึงความสนใจคนทั้งผับไปที่จุดกึ่งกลางเวทีได้อย่างหมดจด นักร้องนำที่มีเสียงที่มีเสน่ห์และหน้าตาดี คืออาวุธหลักของผับแห่งนี่ สมคำร่ำลือจริงๆ

ผมหันไปมองใบหน้านิ่งที่แฝงไปด้วยความสุขวงนั้น ทำให้ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ การแสดงบนเวทีไม่สามารถทำให้ผมสนใจได้เลย นอกจากวงหน้าที่อมยิ้มเล็กที่มุมปากของคนข้างๆ นี้ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมหลงคนๆ จนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นขนาดนี้

พี่นี่โน่หันมามองผมและเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยกับสายตาที่ผมส่องวงหน้าเขาไม่หยุด ผมยอมรับว่าผมไม่รู้ว่าตนเองทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มและโน้มใบหน้าเข้ามาและเอาหน้าผากของตนเองมาสัมผัสกับหน้าผากของผมอย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อยๆ ผละอออกไป

ในวินาทีที่ใบหน้านั้นค่อยห่างออกไป ผมตัดสินใจโน้มศรีษะตนเองไปหาและขโมยจุมพิศปากสีชาดอ่อนนั่นอย่างเผลอไผล

แต่พี่โน่เองก็ไม่ละทิ้งโอกาสนี้ไป เขาใช้มือรวบด้านหลังศรีษะผมและออกแรงดันเข้าไปหาเขา ไม่ให้ผมมีโอกาสผละออก  ทำให้เราสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายได้ยาวนานขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นการแลกลิ้นพัวพันกันจนบริกรบริเวณต่างหันหลบกิจกรรมของเราสองคน

เวลาล่วงเลินเกินเที่ยงคืนมาเล็กน้อย ผมถูกลูกน้องคนหนึ่งของพี่โน่ขับมาส่งถึงที่บ้านเรียบร้อย ขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องน้ำ กำลังชำระล้างตนเองด้วยน้ำเย็นๆ ที่โปรยปรายมาจากฝักบัว พลางใช้นิ้วไล่เรียงสัมผัสริมฝีปากตนเองที่ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายของพี่โน่อยู่ในปาก

ความปรารถนาบางอย่างครุกรุ่น เผาผลาญอยู่ภายในกายจนแทบทำให้ร่างกายไม่ยอมสงบหลับนิ่ง ผมไม่แน่ใจว่าตนเองจะนอนหลับลงด้วยความรู้สึกค้างคาแบบนี้

สุดท้ายทำได้แค่ใช้น้ำเย็นราดรดทั้งตัวเพื่อลดความต้องการตัวเองลง ถามว่าทำไม่ผมถึงไม่จัดการกับความรู้สึกนี้ให้หมดไปด้วยมือตัวเอง คำตอบคือ แล้วเราจะมีแฟนทำไมล่ะครับ? ผมไม่ได้ต้องการแค่นั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ตามสำนวนที่แม่ชอบพูดบ่อย

แต่งตัว ปิดไฟ เข้านอน ด้วยอาการตื่นตัวอยู่นานพอควรกว่าทำใจให้สงบและหลับลงได้ แต่เมื่อยามใกล้รุ่งก็ต้องรู้สึกตัวในความมืดเพราะมีสิ่งที่ขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน

“พี่เอง….. พี่ว่าพี่จะรอ ….แต่พี่ไม่ไหวแล้ว” เสียงที่คุ้นหูกับรูปร่างแกร่งกระทัดรัดพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังเกร็งและขัดขืนเพราะเพิ่งรู้สึกตัว และตื่นจากอาการง่วงนอน

ไม่นานผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งเข้าคลุกวงในภายใต้ผ้าห่มสำเร็จ

…………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 22) 11 พ.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-05-2022 17:27:14

แสงยามสายพยายามแทรกตัวเข้ามาในห้องนอนสีเหลี่ยมจัตุรัสผ่านผ้าม่านป้องกันยูวีที่เปิดพริ้วแง้มออกเป็นบางเวลาเมื่อลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบ ร่างกายที่อ่อนเปรี๊ยของผมค่อย ๆ ฟื้นตัวจากอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลังในร่มผ้าติดต่อกันหลายชั่วโมง

ผมยกมือก่ายหน้าผากเย็นๆ ของตนเองพลางเหล่มองคนตัวเล็กหน้าเด็กที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย ความสงบของใบหน้าคนเคียงข้างตอนนี้ช่างต่างจากเมื่อไม่มีชั่วโมงก่อน

ตอนนี้มันเหมือนคลื่นลมที่สงบของชายหาดยามเย็น มันสวยงามและสงบสุข แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เป็นดั่งพายุโหมกระหน่ำ เหมือนคลื่นยักณ์ซึนามิที่พร้อมจะกวาดทุกอย่างลงสู่มหาสมุทร

ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราเล่นโต้คลื่นยักษ์กันไปกี่รอบ รู้แต่ว่ารอบสุดท้ายมันช่างสุดยอดจนผมแทบหมดแรงและเผลอหลับไปหลังจากเสร็จกิจ

คราวนี้แม้อีกฝ่ายจะเมามายไม่น้อย แต่ก็ยังกระทำกับผมเยี่ยงคนรัก ผมสำรวจตัวเองโดยการพลิกตัวเล็กน้อยไปมาก็พบว่ามีอาการเจ็บปวดเหลือเพียงเล็กน้อยเหลืออยู่

บางทีผมเองก็กลัวตัวเองจะติดใจจนกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้เสียแล้ว แต่พอนึกถึงลีลาที่ได้รับเมื่อรุ่งสาง มันก็ทำให้วัยหนุ่มของผมสดชื่นตื่นตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากพยายามคิดเรื่องอื่นไปหลายนาที เพื่อสงบสติอารมณ์ ก็พบว่ามันทำได้ยากเมื่อมีคนที่ผมปรารถนานอนแนบชิดอยู่แบบนี้ เสียงลมหายใจ และจังหวะขึ้นลงของกล้ามอกและลอนท้องตามการหายใจเข้าออก มันทำให้ผมฟุ้งซ่านไปหมด

สุดท้ายผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปห้องทั้งอย่างนั้นเพื่อใช้น้ำเย็นรดร่างให้หายฟุ้งซ่าน

มันได้ผล

ผมนึกขึ้นในใจที่เห็นน้องชายของตัวเองค่อย ๆ สงบ พร้อมสำรวจเรือนร่างตนเองว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด

อาการเจ็บเสียดก็มีบ้าง แต่ก็ดูจะคุ้มค้ากับสิ่งที่ได้มา รอยแดงที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้มันมีให้เห็นบางๆ ทั่วทั้งตัว โชคดีที่อีกฝ่าย ไม่ทำอะไรนอกร่มผ้าเลย สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์

แอ๊ดดดด

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเบาๆ

“ทำไมอาบน้ำไม่เรียก?” ชายร่างเล็กกับลอนกล้ามอันแข็งแกร่ง เปิดประตูห้องน้ำออกอย่างไม่ปกปิดเรือนร่างที่เปล่าเปลือย

มันสวยงามจนผมจับจ้องไม่วางตา อะไรที่กล่อมให้หลับไปแล้วพลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“สมเป็นวัยหนุ่ม” พี่โน่ยิ้มและแอบเลียรืมฝีปาก

(ไม่นะ)


พี่โน่ย่างท้าวอย่างไม่ลังเลที่จะก้าวเข้ามาในพื้นที่ฝักบัวและโอบกอดผมจากด้านหลัง อย่างไร้ทางป้องกัน แรงเสียดทานบางอย่างแข็งขืนอยู่ทางด้านหลัง อาวุธที่ติดตัวตั้งแต่เกิดของพี่โน่ซึ่งมีขนาดขัดกับรูปร่างกระทัดรัดนั่น กำลังถูไถส่วนหลังของผมที่พยายามย่อให้อย่างไม่รู้ตัว

ความต้องการจากส่วนลึกในใจมันทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ริมฝีปากที่ชะโลมผิวพื้นหลังผมอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนทั่ว ลมอุ่นๆ ที่ไหลผ่านจากจมูกอีกฝ่ายกำลังสัมผัสผิวที่เย็นเยียบเพราะน้ำจากฝักบัวที่ยังคงเปิดให้ไหลเอื่อยลงมาชะร่างเราสองอย่างอ่อนนุ่ม

แม้ส่วนสูงของเราสองคนจะแตกต่างกันมาก แต่ก็ไม่ทำให้พี่โน่มีความลำบากในการละเลงบทรักในแนวตั้งแบบนี้เลย เขาหยิบจับขยับร่างผมให้เหมาะสมจนอยู่ในท่าทางที่เขาจะสามารถนำเอาน้องชายของเขาเข้ามาเพลิดเพลินอยู่ในร่างของผมได้ไม่ยาก พี่โน่จัดการอยู่หลายกระบวนท่ากว่าจะได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ผมไม่รู้ว่าพี่โน่เป็นอย่างไรบ้าง ผมรู้แต่ว่า ผมเผลอร้องจนเกือบสุดเสียง พยายามห้ามมิให้เผยอปากร้องไปตามความสุขที่อีกฝ่ายมอบให้

เวลาผ่านไปพอควรจนผมร่างกายท่อนล่างล้าไปหมด ผมหันไปมองหน้าพี่โน่ที่กำลังตั้งใจกับเรือนร่างของผมอยู่เหมือนจิตรกรที่กำลังปั้นงานชิ้นเอก แต่ปฏิมากรรมของพี่อย่างผมมันถึงขีดจำกัดแล้ว ซึ่งเหมือนพี่โน่จะเข้าใจ เขาพยักหน้า และพยายามทำผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ไปให้สุดทาง ในที่สุดเขาก็ระเบิดเสียงออกมาและยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานชิ้นเอกของเขา

พี่โน่ถอนตัวออกห่างจากผมครึ่งก้าวด้วยอาการหอบถี่ กล้ามเนื้อที่ผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงสั่นไหวและเปลี่ยนสีเรื่อแดง ตอนนี้พี่โน่มีท่าทางเหมือนยักษ์แดงขนาดกระทัดรัดน่ารักซึ่งขณะที่ผมยืนยึดตัวและเอนทิ้งร่างดันกำแพงไว้อย่างไร้กำลัง ผมเองก็หอบถี่ไม่น้อยไปกว่าเขา

“เดี๋ยวพี่ช่วย” พี่โน่มองสิ่งที่ยังคงตื่นตัวตั้งตรงชี้หน้าพี่โน่อยู่

“ไม่ๆๆๆๆ” ผมทำท่าทางแข็งขืน แต่ก็รั้งอีกฝ่ายได้ไม่นาน

พี่โน่ก้มลงจัดการน้องชายที่ดื้อรั้นของผมจนสงบลงอย่างเอร็ดอร่อยและล้ำลึก

“เฮ้ย!!” พี่โน่โวยขึ้นหลังจากที่จัดการน้องชายผมจนร้องไห้เลอะไปทั่วร่างของพี่โน่เอง

“ขอโทษครับ” ผมพยายามคว้าฝักบัวมาทำความสะอาดให้อีกฝ่าย

“ไม่ใช่ๆ พี่ไม่ได้รังเกลียดหรอก”  อีกฝ่ายยืนขี้นจนสุดความสูง สีหน้าจริงจัง

“แล้วพี่ร้องทำไม ตกใจหมด!”

“เมื่อกี้พี่ คือของพี่ อยู่ในตัวน้องหมดเลย พี่ลืมไปว่าไม่ได้ใส่ถุงยาง!!”

“เชี้ย!! แล้วเอาออกยังไง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เดี๋ยวพี่สวนออกให้เอง”

“ไม่ตลก!!”

“พูดจริงเดี๋ยวพี่สอน”

แล้วพี่โน่ก็โผเข้ามากอดผมอย่างให้กำลังใจ

เป็นแบบนี้มันไม่ง่ายเลยว่ะ อย่าให้มีโอกาสจับพี่โน่กดบ้างก็แล้วกัน

*****************

เสร็จสิ้นกิจจากในห้องน้ำ ผมที่อ่อนแรงเหมือนไม่ได้หลับเต็มอิ่ม เหนื่อยล้ายิ่งกว่าการลงแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย แทนที่จะได้นอนผึ่งเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ห้อง กลับโดนลากออกมาจากบ้าน เพื่อไปหาอะไรกินเพราะแฟนตัวเล็กหิวโหยจนแทบจะแทะเนื้อผมกิน (ไม่รู้ทำไมว่าตอนมันกัดขบผม ผมถึงได้รู้สึกดีวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง)

ระหว่างที่เดินผ่านห้องรับแขกที่ไอ้เฟรมพี่ชายหน้าเหมือนของผม มันนั่งทำหน้านิ่วคิ้วผูกกันกับการที่ผมถูกพี่โน่จูงมือไล่ออกจากบ้าน ต่อด้วยสีหน้าที่ผมบรรยายไม่ถูกว่ามันหมายถึงอะไร เหมือนมันไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ของผมมาก่อน คนที่เคยเป็นสิงโตล่าเหยื่ออย่างผม วันนี้กลับกลายเป็นเหยื่อเสียเอง

“เป็นอะไร? ไม่สบาย?” พี่โน่ทักขึ้นขณะขับรถไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตามที่พี่โน่แนะนำว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน

“ปะ…..เปล่า…. แค่…..” ผมพยายามเค้นคำที่จะบอกความรู้สึกของตนเองออกมา

“ไม่ชิน?” อีกฝ่ายพูดขณะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศทางรถ

“ไม่…. อืม….ก็ใช่….แต่….” ผมยังคงนึกถึงใบหน้าของไอ้พี่ชายฝาแฝด

“พี่ถามคำถามหนึ่ง…แล้วมีความสุขไหน?” พูดจบก็เปลี่ยนมือข้างหนึ่งที่จับพวงมาลัยรถ ย้ายมาเกาะกุมที่มือของผมที่วางบนตักตนเองอย่างเกร็งๆ

ความอบอุ่นของพี่โน่ไหลแผ่ลงมา มือที่อ่อนโยนของพี่โน่ มันช่างให้ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้จากใคร มือหยาบที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วนกลับอ่อนโยนนุ่มนวลขนาดนี้

“มีสิ มีความสุขมาก” ผมใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาเกาะกุมบนมืออีกฝ่ายจนกลายเป็นเหมือนแซนด์วิชที่มีมือของพี่โน่สอดอยู่ตรงกลาง

“งั้นก็ไม่ต้องคิดมาก แค่ระลึกถึงช่วงเวลาแบบนี้ และความสุขที่ได้รับก็พอนะ” พี่โน่ยกยิ้มมุมปากฉีกกว้าง แม้ตาจะมองอยู่ที่ถนน แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

“อืม” ผมพยักหน้าตอบและลูบไล้มือเขาไปมา มันเป็นความรู้สึกที่ผม อยากมีกับใครสักคนมานาน แต่ไม่นึกว่าจะได้ค้นพบกับคนๆ นี้

เพียงพักใหญ่ รถคันหรูก็เดินทางมาจนถึงทิวทัศน์ที่คุ้นตา นี่มันแถวบ้านไอ้ต้นน้ำนี่นา!

“อย่าบอกนะว่ามากินร้านพี่จินไห่!” น้ำเสียงของผมมันออกอาการงอนจนผมเองยังตกใจ ที่ตัวเองพูดแบบนี้ออกไป

“เอาจริงๆก็ดีใจนะเนี่ยที่โดนหึงแบบเนี่ย!” ไอ้คนตัวเล็กที่ไม่ได้สำนึกผิดอะไร แถมยังยียวนกลับมาอีกด้วย

“พี่โน่!!” ผมทำเสียงแข็งใส่อีกฝ่าย อย่างที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน

“ล้อเล่นๆ พี่ก็บอกอยู่ว่า จินไห่น่ะคิดแบบพี่น้อง ก็ พี่น้องสิ เชื่อพี่!” อีกฝ่ายโต้ตอบกลับด้วยแววตาจริงจัง แล้วผมก็ดันเชื่อเสียด้วย รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย


“อืม” ผมพยักตอบแบบไว้เชิง ส่วนอีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มแบบกวนโมโห ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ ผมเดินลงจากรถทันที


“โมโหได้ขนาดนี้แปลว่า….หลังจากที่เรา…ทำกัน…. ก็ไม่ป่วยแล้วสิ แบบนี้ก็ชินจนทำได้ทุกวันแล้วใช่ไหม?” คนพูดเดินตามผมลงจากรถและวิ่งเข้ามากอดจากทางด้านหลัง

“ไปบ้ากามไกลๆ เลย” ผมผลักให้คนตัวเล็กถอยหลังไปครึ่งก้าว

“ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่โน่หัวเราะเดินเข้าร้านนำไป

ผมเดินตามไปด้วยอาการร้อนใบหน้าไปหมด


…………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 22) 11 พ.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 15-05-2022 13:12:05
น่ารัก
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 23) 18 พ.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-05-2022 16:28:47
หลังจากผ่านมื้อใหญ่ที่ผมล้มทับเจ้ามือได้สำเร็จ ไม่ว่าจะแนะนำอะไรมาผมก็สั่งมาวางไว้บนโต๊ะจนแทบจะต้องต่อโต๊ะเพิ่ม พี่โน่ถึงกับเอ่ยปากถามว่ากินหมดหรือเปล่าสั่งมาขนาดนี้

“อย่ามาดูถูก ผมเสียแรงเสียเหงื่อไปตั้งเยอะ สั่งอาหารแค่นี้ไม่พอกับสิ่งที่เสียไปด้วยซ้ำ!!” ผมยึดอกพูดแต่ในใจก็แอบหวั่นไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่สั่งไปเพราะจะแกล้งอีกฝ่าย แต่พี่โน่กลับไม่มีทีท่าที่จะห้ามปรามใดๆ ก็เลยแอบหมดสนุก

“เสียแรง เสียเหงื่อ เสียแค่นั้น?” พี่โน่ส่งสายตาล้อเลียนมาทางผม

“เออ!!” ผมตอบห้วนๆ และบังคับสายตาให้ไปจดจ่อกับอาหารบนโต๊ะที่วางเลยไปจนถึงโต๊ะเสริม ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่โน่ที่ปลดล็อกแล้วจะทำตัวได้น่ารักและยียวนขนาดนี้ หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่ไอ้พี่โน่มันทำท่าหื่นใส่แบบนี้

“จีบติดแล้วเหรอพี่?” คำถามตรงๆ ที่ออกจากปากเจ้าของร้านที่มาดูแลแขกโต๊ะนี้ด้วยตนเอง

“อืม” พี่โน่พยักหน้าและยักคิ้วยิ้มปากกว้าง มือข้างหนึ่งก็โอบไหล่กว้างของผมไว้แน่น

“นี่มันอะไรกัน นี่! พวกพี่คุยกันเรื่องผมเหรอ?” ผมยกมือขึ้นชี้ผู้ใหญ่สองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารจานเด่นของร้านอย่างเอร็ดอร่อย

“พี่โน่ก็มาปรึกษาบ้างนะ อย่าเรียกว่าปรึกษาเลยเรียกระบายมากกว่า” พี่จินไห่พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ พร้อมด้วยเชิญตัวเองลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“พี่เนี่ยนะให้คำปรึกษา?!? กว่าจะจีบไอ้ต้นน้ำติด ผมยังลุ้นแทบตาย” ผมผู้เป็นคนปากไวพูดไปโดยไม่คิด แต่เหมือนไปจี้จุดจี้ใจพี่จินไห่จนเขาหน้าสลดและความสดใสซีดจางลงจนเห็นได้ชัด

“เอ่อ….. ผมพูดอะไรไม่ดีไปผมขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษทันที ถึงจะปากหมาแต่ก็มีมารยาทนะครับ

“พี่ถามหน่อย เรารู้เรื่องเพื่อนเราไหม?” พี่โน่ยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่กลางศรีษะอย่างเอ็นดู

“ก็แม่มันบอกว่า ต้องไปช่วยงานญาติที่ต่างจังหวัด แค่เดือนเดียวเองนี่ครั้ง ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนเลิกกับมันแล้วเลย?” ผมตอบกลับไปด้วยความสงสัย

“เฮ้อ….. มันมีอะไรมากกว่านั้นน่ะสิ” พี่โน่พูดถึงตรงนี้ก็เล่ารายเอียดเรื่องระยะเวลาทดสอบใจที่วางเงื่อนไขโดยแม่ของไอ้ต้นน้ำให้ฟัง

“แต่เดือนเดียวเองพี่ คิดถึงก็โทรศัพท์หามันสิ” ผมพูดแบบไม่คิดมาก

“โทรศัพท์ต้นน้ำโดนยึดอยู่ที่แม่” พี่จินไห่พูดเสียงเรียบ

“เชี้ย… โคตรโหด เป็นผมคงอกแตกตาย ไม่ได้เจอ ไม่ได้ยินเสียง แถมยังต้องอยู่ห่างกันอีก มันเกินไปไหมแม่” ผมพูดขึ้นแบบไม่คิดอีกครั้ง ปากกับใจมันตรงกันเลยบังคับยาก แต่พี่จินไห่กลับไม่ตอบอะไร เขานั่งหน้านิ่งใจลอย

“อีกแค่สัปดาห์เดียวเอง สู้ๆนะครับ” ผมทำได้แค่พูดให้กำลังใจ


“พี่น่ะทนได้ แต่พี่ห่วงต้นน้ำมากกว่า มันเป็นคนความอดทนต่ำ พี่ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” พี่จินไห่มีสีหน้าวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวผมช่วยไหมครับ?” ผมยกมือขึ้นครึ่งทางเสนอตัวช่วย

“ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของเขา เอาเรื่องตัวเองให้รอด เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วนี่” พี่โน่ขยำเส้นผมของผมให้หันไปทางเขา

อยู่ๆก็โดนพี่โน่จี้ใจดำ จนผมรู้สึกเหมือนมีมีดมาปักกลางอก

“พูดดีไปแล้วพี่มีแผนแล้วเหรอ?” ผมสวนกลับไป

“ไม่มี…. กูก็แค่ต้องการโอกาสดีๆ บอกก็เท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” พี่โน่มีสีหน้ามั่นใจจนทำให้ผมมั่นใจไปด้วย

สุดท้ายอาหารมื้อนี้เหมือนมานั่งปรับทุกข์เรื่องความรักของกันและกันมากกว่ามาพูดคุยกันปกติ

พี่โน่กับผมเดินทางกลับบ้านด้วยอาหารแสนอร่อยเต็มท้อง วันนี้กินดื่มเต็มที่จนรู้สึกเมื่อยปาก ไม่อยากที่จะเคี้ยวอะไรอีกแล้ว

ผมเดินเข้าบ้านและล้มตัวลงนอนที่โซฟาหนังสีขาวตัวใหญ่ในห้องรับแขก ซึ่งเป็นที่ประจำที่ผมจะทำอะไรแบบนี้เมื่อมาถึงบ้านทุกครั้งเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน (แม่ผมหวงโซฟาชุดนี้ยิ่งกว่าลูกเสียอีก ขืนทำแบบนี้ตอนแม่อยู่มีหวัง ตายคาส้นสูงคุณแม่)

พั่บ!!

เสียงคนตัวเล็กปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วงลงมาที่ตัวผมเต็มๆ ผมที่ตั้งรับไม่ทันรู้สึกจุกร้าวจนแทบจะลำรอกอาหารที่เพิ่งยัดเข้าไปออกมา (เสียดาย)

“ทำอะไรของพี่วะ?” ผมโวยลั่นพร้อมทั้งผลักทั้งดันให้คนตัวเล็กออกไปจากตัวผม

“ก็นอนตรงนี้มันสบายดี” คนตัวเล็กตอบออกมาอย่างสบายๆ ในขณะที่ผมพยายามดันร่างกายกระทัดรัดนั่นออกไปอย่างยากลำบาก ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าพี่โน่เล่นของหรือเปล่า

“พี่โน่ผมอึดอัด ขอร้องนะครับ ขยับตัวที” ผมพยายามพูดอย่างสุภาพ

“อืม.. พูดดีก็เป็นนะ” พี่โน่พูดจบก็หันหลังมาประจันหน้ากับผม  ชันแขนดันเบาะโซฟาไว้เพื่อให้มีพื้นที่ระหว่างใบหน้าผมและเขา

“ทำอะไร? ผมอิ่มอยู่นะ” ผมคิ้วขมวดใส่อีกฝ่ายเพราะรู้ทัน

“เปล่า! คิดอะไรอยู่เนี่ย?” พี่โน่ยิ้มหยอก

“อย่ามาทำตัวน่ารัก ลุกออกไป ผมไม่ทำอะไรกับพี่ตรงนี้นะ” ผมเพียงมองนัยตาอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร

ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เพราะวัตถุทรงแท่งแข็งแรงที่ผมสัมผัสได้จากเบื้องล่างช่วยสนับสนุนทฤษฎีของผมด้วย

“ยังไม่ขอเลย รู้ได้ยังไง?” พี่โน่เริ่มก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ

“โห… ช่วยเก็บไอ้นั่นให้ห่างๆ ผมหน่อยสิ ผมจะได้ไม่ทราบ” คราวนี้ผมรำคาญอีกฝ่ายเลยใช้มือล้วงลงไปสัมผัสอวัยวะที่มันตื่นตัวดันกางเกงอยู่เบื้องล่างอย่างเต็มไม้เต็มมือ

แต่แทนที่พี่โน่มันจะหยุดและผละออกไป มันกลับขยับให้ผมจับได้ถนัดมือขึ้น พร้อมกดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากเบื้องล่างของผมอย่างเร่าร้อน

ถึงมันจะเป็นการจู่โจมอย่างกระทันหัน แต่ความเร้ราร้อนของพี่โน่ก็ทำให้ผมลืมไปหมดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอใครจูบเก่งขนาดนี้มาก่อน

ผมเผลอไผลไปกับรสหวานวาบของปากสีชาดซีดได้พักใหญ่ มือของผมที่เคล้าคลึงอยู่ภายนอกกางเกง กลับถูกมือหยาบจับไว้แล้วถูกจับให้ล้วงเข้าไปในกางเกงเอวยางยืดอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ผมสัมผัสกับเนื้อหนังที่แข็งโปนภายใต้ร่มผ้าก็เหมือนดึงสติผมกลับมา ผมผลักคนตัวเล็กที่ผ่อนแรงกดทับลงหมายให้หงายนั่งยึดตัวตรง ผมดึงมือตัวเองกลับมาจากภายใต้ร่มผ้าอีกฝ่ายและขยับลุกขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อย

“พี่โน่!!”  ผมหอบเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างต่อว่า

“อะไร ไม่มีใครอยู่สักหน่อย ก่อนเข้ามาก็เช็คแล้ว ไม่มีรถอยู่สักคัน!” พี่โน่สายตาเชื่อมและเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีสดใส

“ไอซ์เขาพูดถูกแล้วครับ” เสียงพี่ชายผมดังขึ้นจากด้านหลังไกลๆ

“กูเกือบได้ดูหนังสดแล้วเชียว” ไอ้ต้นกล้าเดินนำหน้าไอ้เฟรมเข้ามาในห้อง

“ห้องนี้มีกล้องวงจรปิด ซึ่งคนในบ้านดูจากที่ไหนก็ได้ผ่านมือถือ!!” ไอ้เฟรมเดินตามมายืนเทียบไอ้ต้นกล้า

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พี่โน่ถามแบบไม่อ้อมค้อม

“นานพอจะเห็นการกระทำแปลกๆ” ไอ้เฟรมพูดห้วน ผมรู้ว่ามันคงกำลังโกรธผมที่ไม่รู้จักระวัง

“งั้นเราขึ้นห้องกัน!” ไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้สำนึกลุกขึ้นยืนและหันมาทางผม

ผมหันไปมองสลับกันระหว่างพี่โน่ที่มีสีหน้ายิ้มเยาะกับพี่ชายฝาแฝดของผมที่จ้องพี่โน่อย่างขุ่นเคือง

“ผมขอร้องว่า… ที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่!” ไอ้พี่ชายผมพูดเสียงเย็นใส่ไอ้พี่โน่

คราวนี้พี่โน่ไม่ได้โต้ตอบ แต่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร และฝ่ายไอ้เฟรมเองก็ไม่ยอมลดราวาศอกด้วยเลย นี่มันหาที่ตายชัดๆ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นคนเคร่งเครียดแบบแปลกๆ แบบนี้ แต่ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง

คิดได้ดังนี้ผมก็ลุกขึ้นทันที พยายามเดินไปขวางทัพทั้งสอง

“จะให้อาช่วยให้ล่ะ เรื่องนั้นน่ะ” อยู่ๆ ไอ้พี่โน่มันก็พูดอะไรแปลกออกมา

“ก็แล้วแต่ ‘ลุง’ นะ!” ไอ้เฟรมมันพยายามยั่วโมโหอีกฝ่ายชัดๆ

“ก็ได้ลุงยอมแล้ว” อีกฝ่ายยื่นมือซ้ายออกไปหาพี่ชายผมเพื่อจับมือ

“คิดได้แบบนี้ก็จบแล้ว!!”  อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับประมาณว่า เป็นอันตกลง

“เดี๋ยวๆๆๆ นี่มันอะไรกัน?!”  ผมยื่นมือไปแยกทั้งสองคนออกห่างกัน

“ไม่มีอะไร พี่ชายไอซ์มันร้ายกว่าที่คิด”  พี่โน่ส่ายหน้าอย่างยอมแพ้

“ผมแค่รู้จุดอ่อนของลุงไงครับ” ไอ้เฟรมยิ้มร่า

“เฮ้ยๆๆ เล่ามาก่อน!” ผมมองหน้าไอ้คนที่หน้าเฟมือนผมอย่างหาเรื่อง

“มึงให้ลุง อืม….. แฟนมึงเล่าเหอะ” มันบอกผมพร้อมส่ายหน้าใส่ไอ้ต้นกล้าเพื่อเป็นสัญญาณให้ตามมันไป ไอ้ต้นกล้านี่มันก็แปลก ช่วงนี้เชื่อฟังกันเหลือเกิน

“ผมคงไม่ต้องบอกอะไรลุง ลุงก็รู้ว่าต้องทำอะไรนะ” ไอ้เฟรมเอียงคอพูดกับพี่โน่อย่างอวดดีถึงชัยชนะ แล้วก็เดินจากไป

พี่โน่ก็แค่พยักหน้า และทำสีหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง

“พี่โน่เล่ามาเลย!” ผมหันไปไอ้คนที่ล้มตัวลงนั่งก้วยท่าทางอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่

“คงรู้นะว่าทำยังไง พี่ถึงจะเล่า” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม

เรื่องนี้ยังไงผมก็เป็นเหยื่ออยู่ดีใช่ไหมเนี่ย ผมคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมายาวเกือบนาที

“ไม่ใช่ตรงนี้!!” ผมพูดจบก็จับมืออีกฝ่ายและลากขึ้นไปที่ห้องนอนตนเองทันที

……………

ผมนอนกางแขนกางขาเปลือยกายผึ่งลงที่เป่าจากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เหงื่อที่โทรมกายเพราะกิจกรรมที่พี่โน่เล้าโลมให้ผมร่วมด้วย มันยิ่งกว่าเล่นบาสเกตบอลครบทั้งสี่ควอเตอร์ผมเหนื่อยหอบแต่พี่โน่ที่นอนพิงหัวเตียงมองผมพร้อมยิ้มอย่างพอใจ ไอ้ความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่แบบนี้ จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชินเสียที

ความสุขที่เจือความเจ็บปวดบางๆ มันเป็นอะไรที่ผมเสพติดไปเสียแล้ว

“พี่ชายไอซ์มันมีเรื่องมาขอให้ช่วย!” พี่โน่ที่หอบเอาอากาศอึกใหญ่เข้าปอดก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว!

“หือ??” ผมทำได้แค่หันไปหาต้นเสียงด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ก็รู้ใช่ไหมว่าพี่กว้างขวาง การจะสืบหาความจริงอะไร มันก็ไม่ยาก” พี่โน่พูดต่อ ผมทำได้แค่พยักหน้าและขยับตัวเข้าไปใกล้

“มันให้พี่สืบเรื่องคนๆหนึ่ง แต่พี่ไม่อยากยุ่งก็เลยปฏิเสธไป จนมันมาท้าทายพี่ขึ้นมา….” พูดถึงตรงนี้ พี่โน่ก็ลังเลขึ้นมาที่จะพูดต่อ

“มันบอกว่า จะทำให้จุดอ่อนของพี่ไม่มีความสุข” พี่โน่นิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะมองหน้าผม

“แล้วมันก็ทำสำเร็จ” คราวนี้เป็นผมที่หลบสายตามัน

“หมายความว่ายังไง?” ผมโพล่งถามขึ้นทั้งๆ ที่เลี่ยงการมองหาคู่สนทนา

“มันก็พูดแค่นั้น ตอนแรกพี่ก็ไม่เข้าใจนะ เพิ่งมาเข้าจริงๆก็วันนี้” พี่โน่ขยับตัวเข้าโอบหัวไหล่ผมและกระชับให้ผมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ผมเห็นตัวเองในเงาสะท้อนสีดำคลับของตู้เสื้อผ้าที่ปลายเตียงแล้วรู้สึกขัดกับความรู้สึกตัวเองพอควร ผมไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่ผมรู้สึกเลย แต่แรงและวิธีการของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กลงมาก

“ยังไง?!?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัยแต่ดวงตายังคงมองเงาร่างตนเองและอีกคนอย่างไม่วางตา มันรู้สึกดีเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม

“สีหน้ากังวลเวลาที่พี่ชายไอซ์พูดถึงเรื่องแม่ ไอซ์จะมีสีหน้ากังวลจนพี่ไม่สบายใจไปด้วย” นีโน่รู้สึกตัวมาสักพักแล้ว แต่แค่ไม่อยากจะยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาหนักใจของไอซ์มากเรื่องหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เฟรมไปสุมไฟอะไรเรื่องนี้บ้าง แต่ดูจากอาการของไอซ์แล้วคงกังวลใจไม่น้อย

“เจอหน้ามันทีไรก็พูดแต่เรื่องนี้ พวกเรารู้ดีว่าแม่เป็นอย่างไร แม่ไม่ชอบใจแน่ๆ ก็พี่โน่น่ะ…..” ผมไม่อยากพูดต่อแล้ว รู้สึกว่ามีอากาศแน่นและหนักมาจุกอยู่กลางอก

แม่เป็นคนน่ากลัว แต่ก็เต็มไปด้วยหลักการและเหตุผลมากกว่าอารมณ์ หากแม่ไม่เห็นชอบ ไม่ว่าลมพายุจะแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถพัดหลักการและเหตุผลที่แม่เขื่อและยึดได้เด็ดขาด

และเรื่องระหว่างผมกับพี่โน่ ก็ถูกตราไว้แล้วว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“พูดต่อให้จบสิ จะบอกว่า เจ้าชู้?”

“นั่นก็ใช่”

“เป็นเหมือนมาเฟียน่ากลัว?”

“นี่ก็ใช่”

“เป็นเพื่อนแม่ เป็นคนที่เคยชอบแม่?”

“อืม นะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“แก่คราวพ่อ?”

“อันนี้ถูกต้องที่สุด”

“กวนตีน!!”

“ใช่! โคตรกวนตีน!”

“ไม่! กูหมายถึงมึงน่ะ” พี่โน่จ้องหน้าผมด้วยสายตาเคร่งเครียด

“อ้าว…ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

“แบบนี้ต้องลงโทษ!!” พูดจบประโยค ร่างของผมก็ถูกพลิกคว่ำ  มือของผมถูกจับไพล่หลังไว้อย่างง่ายดาย

“โอย!! ทำอะไรน่ะ?” ผมร้องเสียงหลง

“ทำโทษเด็กกวนตีน” เสียงตอนนี้ของพี่โน่ดูหื่นมากกว่าโกรธ

“ไม่นะ พอแล้ว วันนี้พอก่อน!!” ผมโวย

“เอาน่า จะได้ไม่คิดมาก เรื่องแบบนี้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตนะ” แล้วผมก็โดนพรมจูบทั่วแผ่นหลัง ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายยึดหัวหาด และโจมตีใส่อย่างไม่ยั้งฝีมือ

ผมยอมรับว่า มันก็รู้สึกดีจนลืมเรื่องที่กลุ้มใจเมื่อครู่ไปหมดสิ้น

……………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 23 ต่อ) 26 พ.ค 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-05-2022 08:32:02

……………..

เช้าวันใหม่กับลำแสงสว่างที่พยายามสอดแทรกผ้าม่านกันแสงผืนหน้าเข้ามาให้น้องที่สลัวและเย็นฉ่ำ ผมตื่นมาในสภาพอ่อนล้า และเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนบางตัวโปรดของผม

มือของคนที่ผมรักยังคงพัวพันอยู่รอบกายผมอย่างหลวมๆ ในสภาพร่างกายที่เปลื้องผ้าออกจนหมดไม่ต่างจากผม ช่วงนี้ผมตื่นมาเจอตัวเองในสภาพนี้บ่อยจนเริ่มชิน

คนที่มีชีวิตกลางคืนมากกว่ากลางวันอย่างพี่โน่ยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติ และยังโอบรัดผมไม่ให้ไปไหนจนกว่าเขาจะตื่นอีกเช่นเดิม

“ผมปวดฉี่ ขอตัวได้ไหม?” บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องขออนุญาตมันทุกครั้งที่ต้องลุกออกจากเตียงทำไม

พี่โน่พยักหน้าและผ่อนแรงแขนจนกระทั่งผมสามารถโยกท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามออกจากตัวผมได้

ทันทีที่ผมลุกออกจากที่นอนสำเร็จ แสงวูบวาบที่หน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายวาบจนห้องสว่างขึ้นมา ผมรีบวิ่งไปเลื่อนสัญลักษณ์รูปโทรศัพท์ที่หน้าจอเพื่อรับทันที และเตรียมคำที่จะด่าไอ้คนที่มากวนเวลานอนของผมกับพี่โน่ตอนนี้ ทันทีที่ผมเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอ (นี่ผมเกรงใจมันอีกแล้วใช่ไหม?)

“ไอ้เชี้ยเฟรม…มึง”

“เดี๋ยวไอ้สัด ไม่ใช่เวลา ฟังกูก่อน!” พี่ชายฝาแฝดของผมรีบสวนผมกลับมาอย่างร้อนรน

“อะไรของมึง!?!”  ผมคิ้วขมวดใส่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง

“แม่กับอาโต้งมา ไอ้สัด! พี่…เอ่อ…. แฟนมึงยังนอนอยู่กับมึงไหม?” เสียงของพี่ชายผมมันก้องๆ แปลกๆ คล้ายมีลักษณะแอบโทรศัพท์มาหาผม

“เชี้ยแล้วไง!?! นี่มันก่อนกำหนดตั้ง 2 วัน!” ผมโวยใส่โทรศัพท์ดังขึ้นจนกระทั้งพี่โน่เงยหน้าขึ้นมามอง

“เฟรม…. ลูก…. อาโน่ของลูกอยู่ไหนล่ะ เห็นรถยังจอดอยู่ โทรไปก็ไม่รับ…” เสียงแม่ของผมดังลอดออกจากลำโพงของผม ผ่านโทรศัพท์ไอ้พี่ชายฝาแฝดผม

“นั่นไง กูวางก่อนนะ” ผมกดวางสายทันทีที่จบประโยค

“พี่โน่!! แม่มา” ผมทำท่าโวยวายในขณะที่เสียงของผมกลับเป็นเพียงเสียงกระซิบ

อีกฝ่ายไม่ได้ร้อนรนอะไร แต่กลับลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าทุกอย่างใกล้ตัว และเดินออกจากประตูอย่างระมัดระวัง

“อย่าร้อนรนสิ ห้องรับรองแขกก็อยู่ชั้นบน พี่ก็แค่ย้ายห้อง เราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเหอะ” แล้วพี่โน่ก็หายไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา

ส่วนผมน่ะหรือ รีบเร่งวิ่งเข้าห้องอาบน้ำอย่างเร็วที่สุด

……

สิ่งแรกที่ผมเจอหลังจากที่เปิดประตูห้องน้ำมาคือ แม่ของผมที่นั่งอยู่บนเตียงที่ไร้ระเบียบของผม ถึงผมจะเป็นคนไม่ได้เรียบร้อยอะไรมากซึ่งต่างจากพี่ชายผม แต่การที่ทั้งหมอน หมอนข้าง และผ้าห่มวางอย่างผิดปกติและยับยู่ มันก็ดูแปลกไม่น้อยในสายตาผม ยิ่งเมื่อแม่ลงนั่งไปบนเตียงที่มีสภาพแบบนั้นผมก็ยิ่งหวั่นไหว

“แม่!! สวัสดีครับ แม่กลับมาเร็วกว่ากำหนดอีกนะเนี่ย นึกว่าจะอยู่ยาวกว่านี้!” ผมทำทีตกใจอย่างแนบเนียนและพยายามส่ายส่องไปทั่วบริเวณว่าไร้สิ่งผิดปกติในห้อง

“แม่เบื่อน่ะสิ….. มัลดีพนี่มันน่าเบื่อกว่าที่คิดเนอะ มีแค่ที่พักกับทะเล เฮ้อ……” ถึงจะบ่นอุบอิบ และอารมณ์บนใบหน้าและผิวสีแทนเข้มขึ้นของแม่ก็ขัดกับคำพูดอย่างเบื่อหน่ายของแม่

“ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงอยากไป ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมรับมุกอย่างหลบเกลื่อนท่าทีตื่นเต้นของตนเอง

แม่มองไปทั่วห้องอย่างสำรวจพลางเดาะลิ้นไปมายิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ แม่ไม่เคยเข้ามาวุ่นวายในห้องส่วนตัวมาก่อน เพราะแม่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว เพราะห้องของแม่ผมก็ไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไป

“ช่วงที่แม่ไม่อยู่แกเกเรบ้างไหม? เขื่อฟังอานีโน่ดีใช่ไหม?” แม่ถามขึ้นพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“อยู่ดีมีสุขครับ ยิ่งกับพี่…. เอ่ออาโน่ ใครจะไปกล้า” ผมนึกพลางตอบพลาง ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดว่าอะไร  เพราะรู้ว่าพูดไปแม่ก็ไม่เชื่อง่ายๆ

“เห็นว่าไม่สบาย เป็นอะไร? ไอ้เรื่องบนเตียงนี่เพลาๆบ้างนะ ถึงแม่จะไม่ว่า แต่ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองบ้างนะ!!” แมหันมามองผมทั้งตัว ผมซึ่งนุ่งคาดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ยิ่งรู้สึกหวั่นๆ ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นมันจะทำรอยไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า

“โหย…แม่ก็พูดเกินไป ผมไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ แค่ท้องเสีย แค่นั่นครับ” ผมมองหาเสื้อใกล้ตัวมาสวมก่อนทั้งที่ตัวยังไม่แห้งสนิท

“ถ้าไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ จนไม่สบายก็ดีไป แม่ไปพักผ่อนก่อนล่ะ เออ! แล้วเย็นนี่ไปหาอะไรกินข้างนอกกันนะ แม่อยากได้อะไรแซ่บๆ เข้าปาก” พูดจบแม่ก็หันหลังเดินไปทางประตู

แต่ดวงตาเจ้ากรรมของผมดันไปเจอกางเกงในทรงบรีฟสีขาวแขวนห้อยอยู่ที่มุมใกล้ขอบเตียง ซึ่งเป็นทิศทางที่แม่กำลังเดินไปพอดี

“แม่! แม่ๆ” ผมใช้เสียงดังดึงดูดความสนใจของแม่

“อะไรของแก?!?” แม่หันมาค้อนใส่ แต่ก็ทำให้ดวงตาหลุดจากโฟกัสที่ควรจะเป็น คนอย่างแม่ หากเห็นต้องถามแล้ว แต่ที่ไม่ถามเพราะยังไม่เห็น

“ของฝาก ของฝากไง!!” ผมโพล่งออกไปเสียงดัง นึกอะไรไม่ออกนอกจากคำนี้

“ก็อยู่ข้างล่าง!! ฉันเคยลืมหรือไง!! เรียกเสียตกอกตกใจ ถ้าจะถามแค่นี้ก็ไม่ต้องใช้เสียงดังขนาดนี้!!” แม่ฉุนเฉียวแล้วก็ปึงปังออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก พลางมองกางเกงในสีขาวสะอาดอย่างหงุดหงิด ทำไมสะเพร่าอย่างนี้นะพี่โน่ หวังว่าคงไม่ได้ตั้งใจทำแบบนี้นะ

…….

ผมจัดห้องให้เรียบร้อยพร้อมตรวจตราความสะอาดอย่างละเอียด ในตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งผมเห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวูบไปหมดคือ สิ่งของที่ทิ้งในถังขยะในห้องมันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ประกอบการทำกิจกรรมบนเตียง บรรจุภัณฑ์ฟลอยหลากสีที่เน้นทางสีเงินวาวมัน มันเติมอยู่เต็มก้นถังขยะ ผมไม่เคยนับเลยว่าเราสองคนผ่านกันไปกี่ศึก แต่แค่เดินผ่านก็สังเกตเห็นได้ว่ามันคืออะไร แบบนี่ก็ผิดปกติแล้ว

นี่ผมกลายเป็นพวกเสพติดเซ็กส์ไปแล้วหรือ? ไอ้พี่โน่นี่มันเป็นคนรุ่นแม่ผมจริงหรือเปล่า? ทำไมกำลังมันถึงยังได้ดีอะไรอย่างนี้

ระหว่างที่ทำความสะอาดก็นึกถึงลีลาท่วงท่าต่างๆ ที่พี่โน่มอบให้ผม ผมก็แอบที่จะสัมผัสบั้นท้ายและปราการด่านหลังของตนเองไม่ได้

มันยังเจ็บอยู่แต่ก็ไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อครั้งแรกแล้ว ผมคิดว่าท่าทางของผม แม่คงจับอะไรไม่ได้แน่นอน การรุกกับการโดนรุกนี่มันห่างไกลกันพอสมควรกับสิ่งที่ตกค้างอยู่บนร่างกาย

“นี่เธอตื่นสายแบบนี้ทุกวันเหรอ?” เสียงแม่ของผมดังทะลุกำแพงมาถึงบริเวณบันได ขณะที่ผมกำลังเดินลงไปตามหาของฝาก

ผมแอบแปลกใจที่แม่ยังไม่ไปนอนพักผ่อน

“ก็เมื่อคืนมัน….ทำงานหนักไปหน่อยนะ” เสียงพี่โน่ตอบกลับมาแบบพยายามแก้ตัว

“ให้มันเป็นงานจริงๆ นะ มลหวังว่าโน่คงไม่ได้พาใครมา…แบบ นอนที่นี่นะ!!” แม่ผมมีน้ำเสียงลังเลที่จะถาม แต่ตามนิสัยของแม่แล้ว คือแม่อยากรู้จริงๆ

“ตกลงกับเธอแล้วนี่ ไม่เอาใครคนอื่นมานอนเพื่อมาทำอย่างว่าในบ้านเธอหรอก!” พี่โน่ตอบเสียงใส

อันนี้จริง ไม่ได้โกหก ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย ก็คนในบ้านนี่แหละ บทสมทนามาถึงตรงนี้ ตรงที่ผมไม่อยากโผล่ออกไปเลย

“อ้าว เอ่ออออ ไอซ์ ลุงวางของฝากไว้บนโต๊ะนะ!!” ลุงโต้งที่เดินแยกตัวจากบทสนทนาดังกล่าวและเดินมาเจอผมที่กำลังลังเลที่จะเดินเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ผมคิดว่า หลีกเลี่ยงไว้ดีที่สุด

“ขะ..ขอบคุณครับ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวทักทายสามีใหม่ของแม่

ในเมื่อทุกคนรับรู้แล้วว่าผมลงมาถึงชั้นล่างแล้ว ผมจึงทำใจเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อไปรับของฝาก

“ผิดกับบางคนนะ ท่าทางจะได้สมใจไม่น้อย!!” แม่พูดแหนบผมทันทีที่เจอหน้าผม

ก็คิดไว้แล้วเชียวว่าแม่เห็น คงโดนแซวไปอีกหลายวัน ผมไม่อยากให้แม่รู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แม่ไม่ห้ามหากป้องกัน แต่แม่ผมจะพูดถึงมันจนผมอายไปตลอดสัปดาห์

แม่ทราบถึงรสนิยมทางเพศของผม แต่แม่ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม มันไม่ได้แปลกสำหรับสมัยนี้แล้ว เพียงแต่ไม่อยากให้หมกหมุ่น เลยใช้วิธีแซวให้อาย คงจะมีแม่คนเดียวที่แซวจนผมอายได้ และผมก็คิดว่าใครเจอแม่ตัวเองจับได้ว่ามีอะไรกับใครในบ้านก็คงอายไม่แพ้กันแน่นอน

“แม่ของฝาก?” ผมถามเรื่องอื่นกลบเกลื่อน

“อยู่บนเตาเตอร์ในครัว แกนี่ก็รสนิยมแปลกๆนะ” แม่ผมชี้ไปทางครัว

“ไม่เห็นแปลกเลย” ผมบ่นงึมงำและเดินออกจากบริเวณที่แม่อยู่

“แปลกยังไง?” ไอ้พี่โน่ถามขึ้น

“ใครเขาเก็บพวกขวนเหล้าขวดเบียร์กันล่ะ” แม่ผมตอบอย่างหน่ายใจ

ส่วนไอ้พี่โน่ยิ้มแปลกๆ พร้อมหันหน้ามามองผม

ผมทำได้แค่ใช้สายตาค้อนคืนไปและเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ

“แปลกยังไง Dad ก็สะสม”

“Your dad collected only exotic liquor’s bottles but you collect everything!” แม่ผมสวนกลับมาด้วยภาษาที่คุ้นเคย ซึ่งมักจะใช้เวลาอยู่กันแค่สองแม่ลูก

“It’s the same!!” ผมเถียงกลับแบบข้างๆ คูๆ เพราะรู้ว่ารสนิยมมันต่างจากพ่อที่เป็นคนต่างชาติพอควร

“Whatever!!” แม่ผมหน่ายที่จะเถียงเรื่องซ้ำซาก หรืออาจเพราะไม่อยากนึกถึงพ่อของผม

ส่วนผมเลือกที่จะหยิบของฝาก คือกระเป๋าที่บรรจุเหล้าต่างประเทศที่มีขายเฉพาะถิ่น เดินหนีออกจากพื้นที่ตรงนั้นทันที อาจเพราะเป็นเหตุผลเดียวกับแม่หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่นอน คือไม่อยากให้แม่คิดถึงพ่อที่เสียไป ไม่อยากให้แม่ต้องเสียน้ำตาอีก

ผมหันกลับไปมองก็เจอกับภาพที่แปลกไป เพราะลุงโต้งที่เดินสวนเข้ามาพอดี ได้มากอดและหอมแก้มแม่ของผมจนสีหน้าดีขึ้น ผมรู้สึกดีใจกับแม่ที่มีใครสักคนอยู่เคียงข้าง

ในขณะเดียวกันผมก็เห็นพี่โน่ก็พยายามเข้าไปชวนคุยเรื่องอื่นและพยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นกับทั้งสองคนเช่นกัน เขาคือเพื่อนแท้ของแม่คนหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ผมก็เจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้าย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่มีปัญญาไปแทรกความสัมพันธ์ของทั้งสามได้เลย ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผม มันจะทำให้แม่เสียเพื่อนดีๆ คนนี้ไปหรือไม่? คิดแบบนี้ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเสี่ยงเลย

………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม hot and cold 24) 8 มิ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-06-2022 17:18:39

ผมจัดเรียงขวดแอลกอฮอล์ที่มีลวดลายและการออกแบบแปลกตาอย่างเป็นระเบียบที่ห้องใต้ดินของบ้าน ที่แม่มักจะโยนของที่ไม่ใช้แล้วลงมาเก็บเบื้องล่าง พร้อมกับของสะสมเก่าๆ บางชิ้นของพ่อที่ไม่ได้ให้ญาติฝั่งพ่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมสนใจเก็บของสะสมเจริญตามรอยพ่อ

ผมขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเรียงของสะสมเหล่านี้จากแม่ ซึ่งแม่ก็ยินยอมเพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยจัดเรียงขยะที่ไม่กล้าทิ้งของแม่ที่ชั้นใต้ดิน

ผมยืนชื่นชมชั้นขวดที่ผมบรรจงจัดเรียงด้วยตนเอง เสียเงินส่วนตัวซื้อตู้กระจก ซื้อตู้ทำความเย็น เพื่อเก็บของสะสมของตนเอง ผมหมดเงินหลายหมื่นบาทไปกับมันอย่างไม่เสียดาย เวลาเครียดๆ เหงาๆ ก็ได้พวกมันนี่แหละปบอบประโลม

“ไม่นึกว่าจะมีงานอดิเรกแบบนี้” เสียงคุ้นหูดังขึ้น

“เฮ้ย! ตกใจหมด ตามมาถูกได้ยังไง?” ผมหันไปเจอชายตัวเล็กเดินหลบของที่
วางเป็นทางวงกตที่ชั้นใต้ดิน

“ก็เคยเข้ามา แต่ไม่นึกว่าจะมีของแบบนี้ที่มุมห้องตรงนี้ด้วย” พี่โน่มองขั้นวางและตู้ทำความเย็นที่แต่ละชั้นสูงเกินศรีษะของเขาทุกชิ้น

“ผมหมายถึงรู้ได้ยังไงว่าผมสะสมของพวกนี้ไว้ที่นี่ แล้วทำไมตามมาถูก” ผมคิ้วขมวดใส่ชายร่างเล็กตรงหน้า ด้วยแสงสลัวที่ชั้นใต้ดินทำให้เขาดูมีบรรยากาศแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย เหมือนกับว่าเวลาที่เขาอยู่กับแม่ของผม เขาจะดูเป็นผู้ใหญ่และเข้าถึงยาก

“เดาเอา เป็นที่เดียวที่พี่ไม่เคยเข้ามา” พูดจบเขาก็มองไปรอบอย่างสำรวจ

“ด้านในนี่เป็นระเบียบกว่าด้านนอกเสียอีก ดูสะอาดกว่าด้วย ท่าทางดูแลดีเป็นพิเศษ” เขาพูดต่อ

“ก็ของสะสม จะให้จมขี้ฝุ่นก็ไม่ดีต่อใจนี่ครับ ว่าแต่….” ผมยิ้มที่ปลายประโยค

“อะไร?” พี่โน่คิ้วขมวดใส่ผมเหมือนไม่ชอบรอยยิ้มที่ผมมอบให้ตอนนี้

“พี่กลัวความมืด?” ผมจ้องพี่โน่ด้วยสายตาหยอกล้อ

“กูเปิดผับไหม? หากกูไม่ขอบความมืด กูไปเปิดคาเฟ่ดีกว่าไหม?” พี่โน่มีน้ำเสียงแข็งขึ้น เหมือนปกปิดอะไร

“พี่กลัวที่แคบละสิ!!” ผมยังไม่คิดจะหยุด จนกว่าจะหาจุดอ่อนคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานคนนี้เจอ

“กูยืนอยู่กับมึงโดยขาไม่สั่นนะ มึงน่าจะรู้ โรงแรมแคปซูลกูก็เคยพักนะ แถมเปิดกิจการแล้วด้วย!!” พี่โน่ยังคงเสียงแข็งขึงขัง (และอวดรวยเบาๆ)

“พี่กลัวผีล่ะสิ!!” ผมกระโจนใส่พี่โน่แบบไม่ทันตั้งตัว

“ไม่กลัวโว้ย” พี่โน่มีอาการสั่นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเสียงอันไร้พลัง

“เชี้ย!! คนที่ล้มหมีล้มด้วยหมัดเดียวอย่างพี่เนี่ยนะ กลัวของไร้สาระแบบนั้น” ผมกลั้นขำที่เห็นมุมน่ารักของคนรักตนเองจนได้

“กูไม่กลัว”

“แล้วทำไมถึงเดินมาไม่ถึงด้านในสุด?”

“กุกู…เอ่อ…แพ้ฝุ่น” หน้าพี่โน่เต็มไปด้วยอารมณ์อึดอัด ที่ให้ผมรู้จุดอ่อนที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน

“พี่โน่….. ยอมรับมาเถอะ” ผมโผเข้าใช้แขนไปโอบรอบลำคอด้วยความสนิทสนม

“กูสู้ของที่ไม่ทีตัวตนไม่ได้นี่หว่า” พี่โน่บ่นพึมพำเบาๆ แต่ผมน่ะหูดี ได้ยินชัดเจน จนหัวเราะลั่น

“หุบปาก ไม่อย่างนั้น…” ผมถูกผลักและดันร่างติดกำแพงอีกฝั่งของชั้นวางขวด พี่โน่พูดด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตกใจที่โดนกระทำด้วยความกระทันหัน ยังไม่ทันสิ้นประโยคผมก็ถูกชายร่างเล็กแรงช้างขโมยริมฝีปากและคำพูดร้อยคำที่ผมคิดที่จะล้อเลียนเขากลืนหายไปริมฝีปากสีชาดอ่อนของเขา

ทักษะการใช้ลิ้นชุ่มอุ่นนั่นไม่ธรรมดา แม้ผมจะพยายามต่อต้านก็ทำได้เพียงชั่วคราว ความคิดขันขืนทั้งหมดละลายหายไปกับอารมณ์ที่ถูกชักนำโดนชายมากประสบการณ์ตรงหน้า

จากริมฝีปากของผมที่อ่อนปวกเปียกไปหมดลืมจุดประสงค์ก่อนหน้านี้ไปสิ้น ริมฝีปากสีชาดอ่อนของพี่โน่ก็ขบและสัมผัสบริเวณคางลากวนไปจนถึงลำคอ ผมทำได้เพียงกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้ร้องไปตามอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมา

สิ่งแปลกใจอีกสิ่งที่ตามมาคือกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของผมกลับถูกปลดออกไปครึ่งทางได้อย่างดาย ทั้งที่มือสองข้างของคนที่จู่โจมนั้นยังจับกุมมือผมทั้งสองข้างแน่นหนา

นี่มันออกจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!  ผมคิดขณะร่างกายไร้อิสระทางความคิด ได้แต่โอนอ่อนไปตาม ริมฝีปากและชิวหาพาเพลินของคนตัวเล็ก

“กอดคอพี่ไว้” เสียงกระซิบของปากสีชาดอ่อนที่เหมือนข้ามมิติมาพูดอย่างรวดเร็ว แม้จะตกใจแต่ผมก็ว่าง่ายทำตามไม่อิดออด เหมือนโดนมนต์สะกด

เมื่ออีกฝ่ายเป็นอิสระ พี่โน่ก็ใช้มือหยาบสอดเข้าในช่องว่างของซิปที่ถูกรูดลงไปอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้สึกตัว และใช้มือนั่นจับลูบไล้น้องชายของผมอย่างมีชั้นเชิง

ตอนนี้ผมเผลอร้องครางออกมาเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจเสียแล้ว

“ไอซ์! ไอซ์ ลูก!! อยู่ในนี้หรือเปล่า? พี่เฟรมอยู่กับไอซ์หรือเปล่าลูก!! นี่หายไปไหนไม่รู้เนี่ย จะให้ไปซื้อของทีไรเนี่ยหายไปทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ!!” เสียงแม่จากบริเวณประตูทางเข้าห้องใต้ดิน

เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ผมกับพี่โน่เหมือนถูกแรงอะไรบางอย่างผลักออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

ผมที่ตอนนี้เสื้อผ้าหลุดหลุ่ยผมเผ้ายุ่งเหยิงก็กำลังจัดทรงผมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมันไม่มีกระจออยู่แถวนี้ผมก็เลยได้แต่สะกิดให้ตัวต้นเหตุมาช่วยผมจัดแต่งเสื้อผ้าให้มันปกติที่สุด

เสื้อผ้าของพี่โน่ที่แทบจะไม่มีชิ้นไหนหลุดหลุ่ย เขาเลยสามารถมาช่วยผมได้เกือบจะทันที แต่สิ่งหนึ่งพี่โน่เก็บทรงไม่อยู่จริงๆ น่าจะเป็นของในกางเกงที่ผมจ้องมองอยู่ด้วยความสงสาร มันคงอึดอัดไม่ใช่เล่นเลย

พี่โน่ทำได้เพียงเดินทำสมาธิไปมาเพื่อลดขนาดลง เพราะจะให้เดินออกไปพร้อมกับความคับแน่นแบบนี้น่าจะไม่งามแน่นอน

แม่ผมตะโกนเรียกผมอีกหลายครั้ง  ผมจึงต้องตอบรับแม่ไปแบบลนลาน

“เรียกตั้งนาน ทำไมไม่ขาน!!” เสียงแม่ดังใกล้เข้ามา โชคดีที่ห้องบริเวณบันไดทางลงมา มีข้าวของกองสุมไว้รกพอควร และด้วยนิสัยของแม่จะไม่เคยเดินเข้ามาเรียกเขาเลย

แต่ป้องกันไว้ก่อน ผมรีบเดินออกไปเพื่อรั้งแม่ไว้ที่ต้นทาง ส่วนพี่โน่ที่แสนจะกล้าแกร่ง กลับนั่งลงที่มุมห้อง แอบเพื่อนตัวเองเสียอย่างนั้น

“แม่ไม่เข้าใจว่าแกจะอยู่ขื่นชมของสะสมของแกในห้องที่ทั้งรกทั้งสกปรกแบบนี้ได้ยังไงตั้งนานสองนาน!” แม่มองผมอย่างสำรวจ

“ก็มันเพลินน่ะแม่”

“เปียกเหงื่อไปหมดเลยแก แล้วทำไม่เสื้อผ้ามันยับเยินไปหมด!” แม่มองผมหัวจรดเท้าในแสงไฟจำกัดที่ห้องใต้ดิน

“ก็ต้องย้ายโน่นนี่นิดหน่อย” ผมพูดพลางสบถด่าแฟนคราวพ่อของตนเอง เวลาแบบนี้ยังจะหื่นได้อีก

“แล้วไหนล่ะจะซื้ออะไร?” ผมถามต่อ พร้อมแบบมือขอเงิน

“…….” แม่มองผมอย่างพิจารณา พลางผ่อนลมหายใจออกที่ช่วงท้ายก่อนจะบอกเอ่ยปากอย่างรำคาญ

“ไม่ต้องแล้ว ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน แล้วค่อยแวะซื้อก็ได้” แม่พูดจบก็กรอกตาและหันหลังเดินจากไป 

ผมได้ยินเสียงดังแว่วๆ มาจากที่ไกลๆ บ่นกับลุงโต้งเสียงดังเกี่ยวกับข้าวของที่ซื้อกลับมา และบ่นตามหาพี่โน่ว่าหายตัวไปไหน

ผมหันมองไปทางด้านที่มีคนซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน และพูดกับอากาศตรงหน้าว่า “รีบปรากฏตัวได้แล้ว แม่ตามหา”

หลังจากไร้เสียงตอบกลับ ผมได้แต่ส่ายหน้าและวิ่งขึ้นไปที่ห้องตัวเองเพื่ออาบน้ำตามคำสั่งแม่บังเกิดเกล้า

ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ อย่างสบายอารมณ์ ฟองแชมพูกลิ่นอ่อนผุดเต็มศรีษะ ขณะที่หลับตาชื่นชมกลิ่นอ่อนๆ ของแชมพูกลิ่นโปรดและฮัมเพลงอย่างสบายใจ

มือปริศนาสองมือก็คว้าพันรอบเอวของผม

ผมร้องอย่างตกใจ และก็เงียบเสียงลงเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พี่เอง”

ผมเปิดน้ำชะเอาฟองละมุนเหล่านั้นออก สิ่งแรกที่ลืมตาเข้ามาเจอคือ ร่างเปลื่อยเปล่าของพี่โน่ ที่เข้ามาได้ยังไงตอนไหนไม่ทราบ ยืนอ้าแขนรออยู่ด้านหน้าผม และคว้ารวบตัวผมทันทีผมลืมตา

“ถามจริง! มาได้ไงวะ?” ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนถามเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ฉีกยิ้มเหมือนคนบ้า

“พี่รู้โครงสร้างบ้านหลังนี้ดีหมดแล้ว” เขาพูดพลางเดินมากอดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เดี๋ยวนะ” ผมใช้มือผลักอีกฝ่ายที่อกเบาๆ ดันให้ห่างจากกันหน่อย

“ข้อ 1 ที่พูดแปลว่าอะไร?
ข้อ 2 แล้วมันใช่เวลามาทำอะไรแบบนี้ไหม?” ผมรู้สึกว่าคิ้วของผมคงผูกติดกันพันกันเป็นรังไหม จินตานาจากแรงตึงบนผิวหน้าได้อย่างดี

“ข้อ 1 ประตูห้องใต้ดินปกติจะทำไว้สองบาน โชคดีที่ไม่เคยล็อค ข้อ 2 เป็นแฟนกันแล้ว ทำไมต้องเลือกเวลา” พี่โน่ตอบพลางซุกหน้าแนบเนื้ออกที่ชุ่มน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวใหญ่ด้านบน

“โอ้ย! พอเลย แม่อยู่ข้างล่าง แล้วนี่หายขึ้นมาแบบนี้ แม่ไม่ตามหาแย่เลยหรือไง เมื่อกี้ก็ยังถามหาต่อหน้าผมอยู่เลย” ผมพยายามฝืนตัวเองไม่ให้โอนอ่อนไปตามการเล่าโลมของอีกฝ่าย

“หาไม่เจอเดี๋ยวก็เลิกหาไปเองนั่นแหละ” พี่โน่พูดมามันก็ถูกเพราะแม่ผมนะสมาธิค่อนข้างสั้นและใจร้อน หากหาคนไม่เจอก็โดดไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมข้องใจอยากถามมาก

“แล้วรถพี่ที่จอดที่หน้าบ้านล่ะ?”  ใช่ครับ มึงจอดรถไว้ที่ลานจอดหน้าบ้านกูครับพี่โน่ มึงหายไปทั้งคนแม่กูคงไม่สงสัยเลยครับ

พี่โน่เหมือนนึกอะไรออกและยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา

“พี่ควรออกไปก่อนครับ!!” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูห้องน้ำ

“อืมมม งั้น… ขอจูบทีหนึ่ง” พูดจาตามประสาลุงขี้อ้อนอีกแล้ว

“ไม่!!” ผมต้องเด็ดขาดไม่มองตา

“นะๆๆๆๆ” ผู้ใหญ่ที่ทำเสียงออดอ้อนแบบนี้ มันช่าง… น่ารัก เหมือนกัน ต้องแข็งใจไว้

หลังจากผ่านการออดอ้อนอยู่นานหลายนาที ผมจึงใจอ่อน…. ไม่ใช่สิ ตัดรำคาญโดยการเออๆ ออๆ ตัดสินใจทำให้มันจบๆ ไป

ริมฝีปากที่อบอุ่นสัมผัสโดนกันอย่างแนบแน่น ผมเคยคิดว่าพี่โน่คงทำได้แค่รสสัมผัสอันเร้าร้อน แต่คราวนี้นสชาติมันต่างไป มันนุ่นนวลอบอุ่น บอบเบาและไม่เร่งรีบ ลิ้นของพี่โน่ทะลวงผ่านม่านฟันของผมเข้ามาสัมผัสลิ้นอุ่นชุ่มของผมอย่างทะนุถนอม และยังเร้าโลมฟันหน้าเหมือนพยายามตั้งใจจะนับให้ครบทุกซี่

มือที่อบอุ่นไล้ลูบขึ้นจากด้านข้างลำตัวไปจนถึงหน้าอก ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ผมไม่สามารถผละตัวออกจากเขาได้ ร่ายกายที่ไม่ซื่อสัตย์กับสมองมันทรยศโดยการคล้อยตามทุกอย่างที่พี่โน่ชี้นำ เสียงฮึดฮัดขัดขืนที่ผมมีในช่วงแรกกลายเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความสุขสม

ผู้ชายคนนี้ซ่อนกลเม็ดเด็ดพลายไว้เยอะมาก สมกับเป็นผู้มสดประสบการณ์ มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมอยากลิ้มลอง

สุดท้ายผมก็ใช้เวลาร่วมกับพี่โน่ในห้องน้ำร่วมชั่วโมง

สุดท้ายผมได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของตนเองและพี่โน่

“พี่โน่…โถ่เว้ย!! รีบออกไปเลยไป” ผมพูดไล่พลางหอบไปพลาง รู้สึกเพลียไปหมดทั้งร่างกาย

“แหมเสร็จแล้วก็ไล่เลยนะ เฮ้ย!! แต่เดี๋ยวนะ” พี่โนยืนมือมาจับมือผมที่พยายามจะผลักให้เขาออกจากห้องอาบน้ำ

“ไม่ต้องมาเดี๋ยว ออกไปเลย” ผมไม่ไหวกับไอ้ลุงหื่นนี่แล้ว

“กูไม่ได้ใส่ถุง… แล้วกูปล่อยไปในตัวมึงหมดเลย!!” สีหน้าของพี่โน่ตกใจปนอมยิ้ม (หรือว่าตั้งใจวะ)

“เชี้ย!!” ผมสบถเสียงดัง และถูกมืออีกฝ่ายพาดมาปิดปากอย่างรวดเร็ว

“งั้นเดี๋ยวช่วย… เอ่อ…. เอาออกให้!!”

“ทำเป็นเหรอ?!?”

“………” ดูจากสีหน้าพี่โน่ก็ได้คำตอบ คนเป็นฝ่ายกระทำมาตลอดชีวิตคงไม่รู้ความลำบากเรื่องนี้

ผมเองก็ด้วย!

“ผมพอรู้มาบ้าง….. เดี๋ยวทำเอง!!” คิดว่าได้มั้ง รู้แต่ทฤษฎีงูๆ ปลาๆ จากคู่นอนเก่าๆ

“แน่ใจนะ!?” อีกฝ่ายอมยิ้มมองมาทางบั้นท้ายผม

“เออ ออกไป” ผมพูดเสียงห้วน พี่โน่จึงยอมออกไปแต่โดยดี

โคตรอายเลยโว้ยยยยยยย ผมสบถในใจวนไปมาขณะเริ่มกระบวนการทำความสะอาดตนเอง

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 24) 16 มิ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-06-2022 13:52:03

ความวุ่นวายในบ้านวันนี้จบลงด้วย ที่คำแก้ตัวที่ดูแล้วคงมีแต่เด็กเท่านั้นที่เชื่อ คำตอบที่พี่โน่ที่หายไปเป็นชั่วโมงคือ ปวดท้องเลยวิ่งไปเข้าห้องน้ำในห้องรับรองแขกที่ตัวเองมาอาศัยนอนช่วงนี้ (แถมอาบน้ำแล้วเสียด้วย)

ผมก็ยอมรับนะว่าพี่โน่มันหัวไว และด้วยที่ลุงโต้งกำลังวุ่นวายกับพวกของฝากลูกน้องที่ทำงานจึงทำให้แม่ของผมไม่มีเวลาถามอะไรมากความ นอกจากจะชวนไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกัน

ครอบครัวของผมตกลงมานั่งรับประทานมื้อเย็นที่ร้านซึ่งพี่โน่เป็นหุ้นส่วน ร้านอาหารบรรยากาศดีในสวนสวย ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเพื่อนสนิทของผม ร้านของพี่จินไห่นั่นเอง (อีกแล้ว)

แม่และลุงโต้งเองก็รู้จักจึงตกลงที่จะมาฝากท้องมื้อเย็นที่นี่ พี่โน่แยกตัวออกมาจากบ้านก่อนเพราะต้องไปทำธุระ ผมกับครอบครัวพร้อมหน้าจึงไปนั่งรอที่ร้านก่อน

วันนี่พี่จินไห่มาต้อนรับตามปกติด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและมีเสน่ห์เช่นเคย แต่ที่ต่างจากปกติคือ พี่จินไห่ขอตัวไปในครัวพร้อมกับหญิงสาวหน้าหมวยแต่สวยและไม่คุ้นตา

ใจผมร้อนรนทันทีที่เห็นแต่จนใจที่ไม่สามารถติดต่อไอ้ต้นน้ำเพื่อนสนิทตนเองได้ เพราะโดนแม่ของมันตัดขาดการติดต่อสื่อสาร มันกลับมาคงมีเรื่องต้องสะสางอีกแน่นอน แค่คิดก็แอบเหนื่อยใจ

ผมถอนหายใจยาว ส่ายศรีษะจนแม่ผมจ้องหน้าตำหนิ แม่ไม่ชอบให้ทำหน้าอารมณ์ไม่ดีที่โต๊ะอาหารเพราะที่โต๊ะอาหารไม่ควรเอาเรื่องอื่นมาคิด นอกจากการร่วมกินข้าวกับครอบครัว

ผมกระแอมในลำคอเบาๆ และรีบปรับสีหน้าทันทีพลางนึกถึงเรื่องของตนเองที่น่าจะมีปัญหาไม่ต่างจากเพื่อนของตนเอง

…………

ผ่านไปร่วมสัปดาห์แล้วนับจากวันที่แม่ของผมกลับมาจากการฮันนีมูนแบบฟ้าผ่า คือไปเร็วและมาเร็วกว่าที่คิด ทุกอย่างแทบจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนที่ผมกับพี่โน่ตกลงคบกันคือ เจอหน้ากันบ้างเป็นครั้งคราวที่พี่โน่มาเยี่ยมแม่ของผมหรือลุงโต้ง แต่ก็ทำได้แค่มองตาและแอบยิ้มให้กันบางๆ

เราสองคนเจอหน้ากันบ่อยกว่าที่คิดมาก เพราะพี่โน่อาศัยความเป็นเพื่อนของทั้งแม่และลุงโต้งในการมาเยี่ยมเยียนบ้านของผมเรื่อย ๆ

แต่สิ่งเดียวที่ผมต้องการและอดอยากมากๆ คือ เรื่องบนเตียง!!

ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทรมานขนาดนี้!

เห็นแต่ไม่ได้สัมผัส ทักทายแต่ไม่สามารถพูดคุยได้ ขนาดผมยังขนาดนี้ แล้วพี่โน่ที่มีความต้องการสูงกว่าผมมาก เขาจะทนได้ขนาดไหนนะ (หวังว่ามันคงไม่ไปหาเศษหาเลยแถวที่ทำงานมันนะ)

จนกระทั้งวันหนึ่งผมตัดสินใจชวนเพื่อนๆ ไปฉลองก่อนเปิดเทอม ซึ่งแม่ของผมไฟเขียวเรียบร้อย

ปกติผมจะไปไหนมาไหนแม่ก็ไม่ว่าหรอก หากรู้จักบริหารค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ให้ไป การที่จะให้ผมไปหามันถึงที่ทุกวันมันก็ไม่ดี เพราะผมจะทำอะไรก็ไม่เคยรอดพ้นสายตากว้างไกลของแม่ผมได้เลย การเป็นที่รู้จักของทุกคนในจังหวัดแบบนี่มันลำบากเหมือนกัน

ตึกตักๆ

เสียงหัวใจผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะ นานมากแล้วที่ประสบการณ์พรากเอาอารมณ์ส่วนนี้ของผมไป ความคุ้นเคยและความโชกโชนตั้งแต่วัยรุ่นมันก็มีข้อเสียของมันเหมือนกัน

ผมเฝ้ารอวันนี้พอๆ กับการเปิดเทอม ไม่ใช่ว่าผมชอบการเรียนอะไรหรอกนะครับ เพียงแต่พอขึ้นปีการศึกษาใหม่ เด็กใหม่ๆ ก็จะมีเข้ามาให้ผมเต๊าะมากขึ้น

ผมนัดเจอกันที่ผับประจำของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เป็นแหล่งรวมเด็กเกรียนที่พร้อมจะทำอะไรห่ามๆ กันแบบไม่แคร์สายตาใครเพราะเป็นคนกลุ่มใหญ่ของผับ เป็นแหล่งรวมพลกันมาหลายปีตั้งแต่พื้นที่ 20 โต๊ะ จนตอนนี้ขยายจนไม่รู้แล้วว่ามีกี่โต๊ะ ถือว่าเป็นผับเก่าแก่ของคนที่นี่ (จริงๆก็เปิดไม่ถึง 10 ปี เลย แต่ผมถูกพามาเปิดประสบการณ์ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็เลยคิดว่านาน ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็มาจากปากต่อปากของรุ่นพี่ทั้งนั้น) แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัย!)

ผมเฮฮากับทุกคนเป็นปกติ ทุกคนแสดงออกถึงความไม่ตื่นเต้นของการเปิดเทอมเลยสักคน

“แม่ง ตดยังไม่หายเหม็น แม่งก็เปิดเทอมแล้ว กูยังพักผ่อนไม่พอเลย” ไอ้ต้นกล้าผู้เลี้ยงฝูงสุนัขวัดอยู่ในปากโอดขึ้นหลังจากเจอกรอกวิสกี้รสร้อนราคาถูกเข้าปากอย่างต่อเนื่อง (ไอ้คนคออ่อน มึงไม่เจ๋งเหมือนปากว่าเลย)

“กูว่านะ…..มึงควรไปหาหมอนะ ถ้าจะเหม็นข้ามวันข้ามเดือนขนาดนี้!” สาวห้าวประจำคณะฯ สวนกลับเสียงดัง ทำให้ทุกคนทั้งบริเวณที่เราจองไว้หัวเราะเสียงดังลั่น

“เชี้ย! พวกมึง!! เบาๆ หน่อย ถูกคนดูแลผับมองแล้ว!!” ผมพูดทักขึ้น

“ไอ้ไอซ์ มึง!! เปลี่ยนไป อย่าคิดว่ามีผัวเป็นหุ่นส่วนใหญ่แล้ว….”  ไอ้ต้นกล้ามันชี้หน้าผมแล้วกร่นด่าเสียงดัง โชคดีที่ท้ายประโยคผมสามารถปิดปากหมาๆ ของมันได้ทัน  ไม่อย่างนั้นรู้กันหมดร้าน

ไอ้เชี้ยเฟรม มึงไม่ควรเล่าอะไรให้มันฟัง ไอ้ปากสุนัขเนี่ยรู้ทุกคนในโลกรู้หมด

“มึงหุบปากหากไม่อยากเจออย่างไอ้พี่ชัย!!” ผมกรรโชกใส่หูแดงๆ ของมัน

ไอ้ต้นกล้าน่าจะรู้เรื่องที่พี่ชัยโดนพี่โน่ซัดลอยไปหลายก้าวจนเกือบตาย มันถึงได้ทำหน้าตกใจสุดขีดแล้วเอามือข้างหนึ่งมาอุดปากตนเองพร้อมกับอีกมือหนึ่งทำนิ้วสัญญาณว่า โอเค!

ผมรีบปล่อยมันทันทีก่อนมีพิรุธ เพียงครู่ใหญ่มันก็หันมาหาผมทั้งที่ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้

“มึงๆ กูขอโทษ กูขอร้องว่าอย่าเล่าอะไรให้ผัวมึงฟังเลยนะ” มันกุมมือผมแน่น

“กูจะกระทืบตรงที่มึงเรียกมันว่าผัวกูนี่แหละ!!” แล้วผมก็มองเลยผ่านหน้าของไอ้ต้นกล้าไป ก็เจอกับต้นเหตุที่ให้ไอ้ขี้เมาปอดแหกคนนี้กลัว

พี่โน่ที่ยืนยิ้มมาทางผมอย่างใจดีจากทางบาร์เทนเดอร์ ทำให้ผมแก้เขินโดนการผลักให้ไอ้ต้นกล้าไปให้พ้นทาง

“จำไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ผมพูดกับไอ้ต้นกล้าแบบนั้น มันก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วไปเฮฮาต่อกับเพื่อนอีกโต๊ะหนึ่งอย่างกับเมื่อครู่ไม่เกิดอะไรขึ้น

ผมส่ายหน้าพลางคิดว่านี่ผมทนคบกับมันมาตั้งสามปีได้อย่างไรเนี่ย? (แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีแหละ)

หลังเที่ยงคืน บรรดาเพื่อนผมที่เริ่มมีอาการ ‘เลื้อย’ เต็มที่ หลายคนยืนเต้นแบบไร้ความสมดุล หลายคนแทบไม่มีแรงยืนแต่ก็ยังคงยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นชนขึ้นดื่มอย่างไม่กลัวตาย หลายคนนอนราบหลับคาเก้าอี้ยาวที่มีจัดไว้ให้ เหมือนกับคำขวัประจำคณะฯ ‘สถาปัตย์เมาโลกแตก’ คือเหมือนโลกจะแตกวันพรุ่งนี้ ไม่สนใจอะไรนอกจากเต็มที่กับวันนี้

ส่วนผมที่พยายามดื่มแบบเซฟๆ แสร้งเป็นเมามายไม่ได้สติ ก็เพื่อเวลานี้ เวลาที่สามารถหายไปจากสถานที่แห่งนี้เหมือนที่เคยทำมา เพื่อนผมรู้ดีว่าผมเน้นล่า ไม่เน้นเมา!

ก่อนจะทำตัวเป็นเงาและหายวับเข้าไปในความมืด สายตาของผมส่ายส่องไปทั่วเพื่อมองหาพี่ชายหน้าเหมือนและไอ้เพื่อนปากเสีย แต่ทั้งสองคนมันกลับหายตัวไปก่อนผมเสียอีก

หวังว่าพี่โน่คงไม่ลากมันไปจัดการที่ซอยเปลี่ยวนะ คิดพลางนึกภาพข่าวตามเวปไซต์ต่างๆ

ระหว่างที่ผมคิดไปพลางถอยหลังไปพลางก็ถูกสองมือที่ยืดยาวออกจากความมืดมาโอบรัดและดึงเข้าไปในมุมมืดของผับ

“เฮ้ย!” ผมโวยลั่นแต่อีกฝ่ายก็เรียกชื่อผมจนผมเบาเสียงตัวเองลงเหมือนเสียกระซิบ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขวัญอ่อนจริง” คนตัวเล็กที่เกาะกุมผมอยู่พูดขึ้น

“อย่าเล่นแบบนี้อีก!!” ผมหันหน้าไปดุอีกฝ่าย

“ครับๆ ได้ครับ เมีย” ยิ้มที่สว่างวาบในที่มืดแค่เห็นก็อยากหยิบแก้มให้เขียว

“ใครเมียพี่วะ” โชคดีที่มันมืด ผมไม่อยากให้มันเห็นหน้าผมตอนนี้เลยว่าตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้แสดงออกกับมันขนาดนี้

“จ้าๆ รู้ว่าไม่ชอบให้เรียก แต่พี่ชอบนะ”  พี่โน่ยิ้มจนเห็นตีนการขึ้น ผมที่ทำอะไรไม่ถูกทำได้เพียงใช้กำลังแกะมือที่โอบรัดผมไว้ เพราะอย่างไรพวกเราก็ยังอยู่ในร้าน ตั้งแต่แม่กลับมาผมก็ระแวงไปหมด

“ว่างไหม?” พี่โน่ถามพร้อมกับจับศรีษะผมขยี้เบาๆ

“จะถามทำไมในเมื่อผมเป็นคนชวนพี่ให้มาเจอที่นี่”

“ก็ที่พี่ถามเพราะจะชวนไปต่อ”

“ที่ไหน?”

“ไม่น่าถาม”

“แล้วมันที่ไหนล่ะ?” กวนบาทาจริงๆ ไอ้ลุงคนนี้

“บ้านพี่”

ผมอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย เพราะเท่าที่รู้ ไม่เคยมีใครไปบ้านพี่โน่เลย มีแม้กระทั่งข่าวลือว่าพี่โน่เวียนไปนอนตามโรงแรมต่างๆ ที่ตนเองเป็นเจ้าของ ไม่จำเป็นต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง

“บ้านพี่??” สีหน้าผมคงตลกมาก พี่โน่ถึงกับหัวเราะชอบใจ

“เออ พี่ก็มีบ้านนะ แต่พี่ไม่ชอบให้ใครคนอื่นไปน่ะ มันเสียความเป็นส่วนตัว” พี่โน่เดินมาโอบไหล่

“คนอื่น?” ผมสะบัดไหล่ให้มืออีกฝ่ายตกไป

“แต่ไอซ์ไม่ใช่คนอื่นไง”

เชี้ย….. กูหลงไอ้คนตรงหน้าอีกแล้ว ใจผมมันไม่เป็นของตัวเองเสียแล้ว สภาพของแข็งในอกด้านซ้ายมันไหลเหลวลงไปกองที่เท้าหมดแล้ว คำไม่กี่คำก็ทำให้ผมเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้คนๆ นี้มันร้ายกาจมาก

“อย่ามาพูดให้ดีใจ ผมไม่ใช่เด็กในสังกัดพี่นะ หยอดอยู่ได้”

“ก็ไม่ใช่ไง ก็แฟนไง!”

“โอเคๆ จะไปไหนก็ไป!!” ผมพูดตัดรำคาญและเดินนำหน้าไป อย่างไม่รู้ทิศทาง รู้แต่ว่าอยู่ตรงนั้นไม่ได้แล้ว

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 25) 11 พ.ย.. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-06-2022 15:22:50
รถ สปอร์ตคันหรูถูกขับเข้ามาจอดในรั่วของเคหะสถานไม่ไกลจากถนนสายโลกีย์ที่เพิ่งขับรถจากมา เพียงขับออกมาจากจุดเดิมไม่กี่ถนนถัดไป

ในระหว่างทางก่อนถึงจุดที่รถสปอร์ตคันหรูจอดอยู่ในปัจจุบัน ได้ขับผ่านคฤหาสน์หลังใหญ่พื้นที่กว้างขวางจำนวนมาจนมาถึงสุดถนนเส้นนี้

ครั้งแรกที่เห็นคือรั่วสูงที่ปลูกต้นไม้ไปตามแนวรั่ว ซึ่งต้นไม้ยกตัวขึ้นดกสูงกว่ารั้วรอบบริเวณแนวกั้นจนสุดสายตา ในที่มีแสงจำกัดแบบนี้ ผมมองไม่เห็นเลยว่าแนวรั้วต้นไม้แบบนี้มันไปสิ้นสุดที่ใด

หลังจากผ่านประตูรั้วที่เปิดเลื่อนออกอย่างอัตโนมัติ ก็พบกับถนนที่พาดยาวไปจนถึงสุดทางที่สว่างไสว ถนนที่กว้างขนาดแค่รถสองคันขับสวนกันอย่างพอดี เหมือนลากตัดผ่านอุทยานแห่งชาติ ความสมบูรณ์ของต้นไม้และพุ่มไม้ต่างๆ ที่จัดอย่างจงใจให้ดูเป็นธรรมชาติ

เสียงน้ำไหลและตกกระทบกันจากที่สูงจากที่ไกลๆ ทำให้ที่นี่มีความรู้สึกหลุดพ้นจากสภาพเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวายภายนอกรั่ว

เหมือนผมหลุดเข้ามาในป่าดิบชื้นที่ไหนสักแห่ง ด้วยอุณหภูมิยามนี่ที่ลดลงไปกว่าตอนกลางวันมาก ทำให้สภาพแวดล้อมตอนนี้เย็นลงจนผมรู้สึกตัวสั่น

ยิ่งระหว่างขับรถไปตามถนนไปถึงตัวบ้านพี่โน่ลดกระจกรถลงมาทำให้ความรู้สึกของผมมันเหมือนมาพักแรมที่ป่าเขาสักแห่ง

ผมหันไปหาเจ้าของบ้านพลางหลุดปาก “โอโห……”

พี่โน่ยิ้มอย่างภูมิใจ

ผมลงจากรถ ณ พื้นที่จอดรถหน้าบ้านที่ออกแบบเหมือนเต้นท์สีเขียวขนาดใหญ่ที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยที่ออกดอกเหมือนดอกไม้ไฟสีแดงสลับชมพู

ตัวบ้านที่อยู่ถัดไปสร้างด้วยไม้ทั้งหลังออกแบบสไตล์บริทิชคอตเทตร่วมสมัยและคลาสสิคในเวลาเดียวกัน

“ไม่คิดว่าจะมีรสนิยมแบบนี้” ผมเหล่มองภาพเจ้าของบ้านที่ยืมมองผมไม่ไกลอย่างอวดๆ ผมเคยคิดนะว่าบ้านของพี่โน่น่าจะออกแบบสไตล์ลอฟท์เท่ๆ คูลๆ  อย่างพวกเพลย์บอย เศรษฐีใหม่ทั่วไป ไม่คิดว่าจะออกแนวธรรมชาติแบบนี้

“ชอบไหมล่ะ?” พี่โน่ถามด้วยอาการอมยิ้ม

“ชอบสิ ชอบมากเลย บ้านในฝันเลยนะ!!” ผมแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง พลางวิ่งไปที่ตัวบ้านอย่างสนใจ

“บ้านขนาดกำลังพอดี ออกแบบได้เหมาะกับสวนภายในรั่วบ้าน หรือว่า สวนออกแบบให้เข้ากับสไตล์บ้าน ตัวบ้านทำจากไม้เนื้อแข็ง ทั้งลำแบบแทบไม่ตัดแต่งอะไร แถมยังเห็นลายเปลือกแบบธรรมชาติและจัดวางให้ลายไปในทางเดียวกัน ปราณีตสุดๆ แล้ว เคลือบด้วยสารบางอย่างให้คงทนไม่ลอกง่ายๆ แล้วยัง…….” ผมสำรวจภายนอกตัวบ้านไปได้สักระยะก็เริ่มพึมพำกับตัวเองอย่างออกรส จนกระทั้งสายตาไปหยุดที่พี่โน่ที่ยืนคอยอยู่ที่หน้าประตูบ้าน อมยิ้มอย่างเอ็นดู

“อะแฮ่ม! ใครออกแบบและสร้างให้พี่เนี่ย อยากไปเรียนด้วยเลย”  ผมกระแอมแก้เขิน

“ภรรยาเก่า” พี่โน่ตอบหน้านิ่ง

“เดี๋ยวนะ พี่เคยแต่งงาน?!?” ผมตกใจพอควร เพราะมันมีคำว่า ‘เก่า’ อยู่ในประโยคผมเลยนิ่งเฉยอยู่ได้

“สมัยเรียนจบใหม่ๆ…. คลุมถุงชนน่ะ แต่มันไม่เวิร์คเลยหย่าเสียเลย”  พี่โน่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายรู้สึกผิด

“ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ คนอย่างพี่เนี่ยนะ แต่งงาน เสเพลขนาดนี้เนี่ยนะ” ผมยิ้มฝืนพลางพยายามเล่นมุก แต่ดูเหมือนอีกฝ่าย ไม่เข้าใจมุกที่ผมเลย เลยเปลี่ยนเรื่องโดยการปลดล็อกประตูด้วยระบบลายนิ้วมือและเชิญผมเข้าไป

หลังจากที่ได้เข้าไปแค่ส่วนชั้นวางรองเท้า ไฟที่พื้นทางเดินก็สว่างวาบเป็นเส้นตลอดแนวทางเดินไปจนสุดตัวบ้านอย่างอัตโนมัติ

และทันทีที่พี่โน่คลิกเปิดระบบความสว่างของบ้าน ดวงไฟทั้งหลังก็ทยอยเปิดสว่างอย่างเป็นระบบ เผยให้เห็นว่าการตกแต่งภายในต่างจากภายนอกพอควร มันเป็นการตกแต่งอย่างผสมผสานทั้งแบบแนวโมเดิร์นและแนวมินิมอล มันดูเป็นระเบียบและปลอดโปร่ง

“พี่ทำให้ผมแปลกใจอีกแล้วนะ อย่าบอกว่านี่ก็เมียเก่าออกแบบให้” ผมหันไปยิ้มให้พี่โน่ที่ตอนนี้เดินเข้าไปในห้องรับแขกที่มีกระจกสีชากั้นอยู่โดยรอบอย่างสวยงาม

“เปล่า… พวกนี้….. พี่ออกแบบเอง” พี่โน่พูดพลางกระดกบรั่นดีที่เพิ่งดึงออกจากตู้เย็นขนาดเล็กแถวบาร์น้ำที่ห้องรับแขก หากจะดูรายละเอียดทั่วๆ ไป ห้องนี้มันก็เหมือนบาร์ขนาดย่อมเลย แต่สวยและหรูหรากว่าที่เคยเห็นมาก

“สุดยอด” ผมพูดพลางยื่นมือขอเครื่องดื่มจากเจ้าของบ้าน แต่อีกฝ่ายกลับยื่นน้ำอัดลมสีดำให้ผม 1 กระป๋อง แม้จะแอบขุ่นเคืองแต่ก็ยอมรับน้ำใจอีกฝ่ายอย่างดี และซดลงคออย่างชื่นใจ

“ชอบไหม?” พี่ถามพลางจิบของเหลวสีอำพันเข้มลงคอ

“ชอบสิ” ผมมองโดยรอบและตอบเสียงดัง

“งั้นเรียนจบมาแล้วอยู่ด้วยกันไหม?” พี่โน่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอแต่งงานป่าวเนี่ย” ผมหันไปหัวเราะเชิงเล่นหัว

“ขอได้ไหม?” น้ำเสียงไม่สั่นไหว

“เอ่อ….แล้วแม่….” ผมเห็นอีกฝ่ายที่จริงมากมายจนเริ่มกลับสู่โลกแห่งความจริง

“นั่นมันไม่เกี่ยว มันอยู่ที่เราสองคน พี่ถามว่า พี่ขอเราแต่ง ไอซ์จะแต่งไหม?”

ประโยคนี้ทำผมอึ้งไปหมด สมองผมรวนจนไม่สามารถประมวลผลใดๆได้

“หากพูดไม่ออกก็ให้จูบพี่แทนคำตอบ แต่หากปฏิเสธก็เดินออกจากห้องไปพี่จะไม่โกรธน้องเลย” พี่โน่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผม หัวใจของผมวูบไหวไปหมด

ผมโน้มตัวลงไปใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ เป็นคำตอบ ผมไม่รู้ว่าจะคิดอะไรให้มากมายปวดหัว ขอตามใจตัวเองก่อนก็แล้วกัน

“ไม่คิดว่า พี่จะจริงจังกับใครเขาเป็น?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ผมกับพี่โน่หันไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ

บุรุษร่างสูงโปร่งยืนอยู่บริเวณหน้าทางเข้าห้องรับแขก แต่งกายในชุดคลุมอาบน้ำที่เปิดเผยช่วงอกอย่างจงใจไม่ปิดบัง แม้จะไม่มีกล้ามเนื้อมากมายแต่ก็สมกับความเป็นชายช่วงวัย 20 ต้นๆ ที่กำลังรุ่งโรจน์ มันเย้ายวนไม้น้อยทีเดียว ช่วงขาที่โผล่พ้นเนื้อผ้าซาตินที่บางเบานั่นก็เปลือยสูงเกือบถึงเอว

ผมเป็นคนมีเหตุผลและไม่ใช่คนขี้หึงขนาดหน้ามืดตามัว ผมจึงได้เพียงแอบหยิกต้นแขนของพี่โน่และปรายตามองอย่างคาดคั้น ไร้เสียงใดๆ

พี่โน่ที่มีท่าทีตกใจจนสังเกตเห็นได้ชัด เอ่ยปากทักด้วยอาการสะกดกลั้นความเจ็บที่โดนผมหยิกเนื้อจนแดงไปหมด

“พี่เคยบอกแล้วนี่นาว่า พี่ไม่ casual sex กับลูกหลานคนรู้จัก!”  คำที่พูดออกจากปากพี่โน่ มันควรจะพูดทำนองว่า มาที่นี่ได้ยังไง ไม่ใช่ประโยคนี่หรือเปล่าวะ นี่มันเหมือน… ไม่ใช่ครั้งแรก!! แล้วไอ้คำพูดนั่นก็เชื่อถือไม่ได้เลย มันไม่ใช่คำที่จะแก้ตัวได้เพราะผมก็คือลูกของคนรู้จัก!!

ผมเน้นขยับบิดเนื้อมากขึ้นไปอีก จนกระทั้งพี่โน่ร้องซี๊ดออกมาที่มุมปาก แต่ก็ยังรักษาสีหน้าไว้ได้

“แต่เฮียให้กุญแจสำรองกับผมเอง แปลว่าผมมีโอกาส… ไม่ใข่เหรอครับเฮีย….. อีกอย่าง…..” พูดจบประโยคไอ้ตี๋หน้ามึนนั้นมันกลับปรายตามาทางผมและอมยิ้ม

ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ

“ถามจริง! พี่ให้ หรือน้องมาขโมยเอาตอนเมาครั้งนั้น” พี่โน่พูดจบก็หันมากระซิบแก้ตัวว่า “มันเมามากวันนั้น เลยลากมานอนที่นี่ กลัวมันออกจากประตูไม่ได้ก็เลยให้คีย์การ์ดสำรองให้มันไป

“ได้กันยัง?” ผมบิดจนเนื้อพี่โน่เริ่มเปลี่ยนสี ยิ้มเสแสร้งส่งไปที่สีหน้าของคนที่กำลังอดกลั้นอย่างสุดกำลัง

“จะบ้าเรอะ นั้นมันลูกผู้มีพระคุณ” พี่โน่กระซิบกลับด้วยใบหน้าบู้บี้

“จะไปรู้เรอะ หน้าตาก็ดีแถมมาอ่อยถึงที่!!” ผมบิดแรงขึ้นจนพี่โน่จับมือผมให้หยุดหยิกเขาเสียที

“พี่ก็เลือกนะ!” พี่โน่ส่งสายตาจริงจังปนเจ็บปวดกลับมาที่ผม

“โอเค!!” ผมยิ้มอย่างเสแสร้งใส่แล้วปล่อยมือที่หยิกจนอีกฝ่ายเนื้อแขนเปลี่ยนสี พี่โน่ได้แต่ลูบมือตัวเองไปมา

ผมเห็นท่าทางหงอๆ อีกฝ่ายก็อดตลกไม่ได้เพราะนึกภาพไม่ออกเลยว่าสมัยก่อนผมคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ ผมแทบจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าใกล้ในรัศมี 5 เมตรของพี่โน่แน่นอน แต่ตอนนี้ผมทำอีกฝ่ายเจ็บจนเนื้อช้ำ พี่โน่ทำได้แค่ลูบเนื้อตรงนั้นบรรเทาความเจ็บ

ผมแอบเห็นด้วยนะครับว่นถึงพี่โน่เป็นคนเจ้าชู้แค่ไหน แต่เขาก็มีสัจจะ เรื่องแบบนี้พี่โน่ไม่เคยโกหก เคยก็บอกเคย ไม่เคยก็บอกไม่เคย

“มึงช่วยออกไปแล้วก็วางคีย์การ์ดบ้านกูไว้ในบ้านก่อนมึงออกไปด้วย ผัวเมียเขาจะอยู่ด้วยกัน” พี่โน่ทำท่าทางไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ใยดี

“……” คนหน้าตี๋ทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

“กูบอกหลายทีแล้วว่า กูไม่เคยคิดกับมึงเกินเลย ได้เต็มที่ก็น้องชายมึงช่วยเข้าใจกูหน่อย หรือต้องให้กูไปคุยกับป๊ามึง มึงถึงจะยอม!!” พี่โน่พยายามอธิบายตรงๆ ตามสไตล์เขา แต่ฟังจากประโยคก็เดาว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

“ก็ได้ ครั้งนี้ผมยอมก็ได้” หลังจากจบประโยค ไอ้คนหน้าตี้ก็เดินออกไปนอกบ้านทั้งที่ใส่ชุดบางเฉียบแบบนั้นออกไป

พี่โน่รีบเดินไปส่งเพื่อทวงคีย์การ์ดคืน แต่ไม่นานพี่โน่เดินกลับมาพร้อมคีย์การ์ดในมือ

“ไอ้เด็กบ้า มันโยนทิ้งไว้ที่พื้นหน้าบ้าน” พี่โน่ส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน

“เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม? ปกติพี่ไม่เคยยอมใครขนาดนี้!” ผมนั่งลงที่เก้าอี้สูงบริเวณบาร์น้ำ

พี่โน่พยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้และเดินเข้าไปในบาร์น้ำ ทำตัวเป็นบาร์เทนเดอร์ชงเครื่องดื่มให้ผมดื่มอย่างชำนาญ พลางเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

ผมจับใจความได้ว่าไอ้เด็กหน้าตี๋นั้น เป็นลูกของเศรษฐีที่ดินในจังหวัด ที่ดินตรงที่พี่โน่ลงทุนทั้งหมด เกินครึ่งได้ความอนุเคราะห์ในการซื้อขายจากเศรษฐีท่านนี้  ท่านมีลูกชายคนเดียวที่แสนจะไม่ได้เรื่องได้ราว จึงฝากฝังให้พี่โน่สอนงานเรื่องธุรกิจของพี่โน่ให้ ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนฝากเลี้ยงมากกว่า  พี่โน่เหมือนมีลูกชายมากกว่าน้องชาย

ถึงแม้จะทำตัวดีขึ้นมาบ้างรู้จักทำงานให้เห็นบ้าง แต่ทั้งหมดอาจเพราะไอ้ตี๋นั่นมันหลงรักพี่โน่มากกว่า

พี่โน่เล่าว่า มันพยายามอ่อยและล่อลวงพี่โน่หลายครั้งแล้วแต่เสือร้ายอย่างพี่โน่มีหรือจะพลาดหลงกลจิ้งจอกวัยเยาว์

ฟังจบผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ คิดว่าทำใจเรื่องนี้ได้แล้วเสียอีกเพราะดันไปหลงรักไปคนมากอดีตชู้รักอย่างพี่โน่ แต่มาเจอกับตัวก็เกือบควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนกัน

ผมเดินมาล้มนอนแผ่ใส่โซฟาขนาดใหญ่ที่มองเผินๆ น่าจะเรียกว่าเตียงขนาดเล็กมากกว่าหากไม่มองพนักเก้าอี้ฝังคริสตัลระยิบระยับประปรายทั้งผืน ผมผ่อนลมหายใจยาวเหยียดจนลมหมดปอดแล้วสูดลมหายใจที่หอมกลิ่นอโรมาคล้ายสปาเข้าเต็มปอด

รู้สึกคลายกังวลไปได้นิดหน่อย บรรยากาศยามนี้ทำให้เรื่องที่ไม่สบายใจเมื่อครู่กลายเป็นเหมือนอดีตอันไกลโพ้นเลย ลมเย็นๆ ที่เริ่มพัดออกจากเครื่องปรับอากาศอากาศแบบฝังเพดานปะทะตัวยิ่งรู้สึกเหมือนจะเคลิ้มหลับเสียให้ได้

แต่อารมณ์สุนทรีที่เกิดขึ้นก็ดับวูบลงเมื่อพี่โน่กระโดลงคล่อมตัวผมอย่างไม่ตั้งตัว ร่ายเปลือยครึ่งบนที่ไม่รู้ว่าไปสลัดผ้าหลุดไว้เมื่อใดกำลังจะเคลื่อนตัวลงมาบดตัวผมที่อยู่เบื้องล่างด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายเพียงหนึ่งเดียว
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 25) 4 ก.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-07-2022 11:53:59
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งหื่นสิ!!” ผมยกมือผลักหน้าพี่โน่ไม่ให้เข้าใกล้มากไปกว่านี้

“ไม่สิ คิดว่าพี่แค่พามาดูบ้านหรือไง?” อีกฝ่ายจับมือผมเลื่อนลงไปที่กล้ามอกแน่น

“รู้หรอกนะ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น! แต่ขอปรับอารมณ์ก่อนได้ไหม?” ผมคิ้วขมวดใส่ไอ้ผู้ใหญ่ตัวร้อน จนเห็นเส้นเลือดตามกล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง

“เห็นขนาดนี้แล้ว อารมณ์ยังไม่เปลี่ยนอีกหรือ?” พี่โน่ก้มลงมองเบื้องล่างของตนเอง

ผมมองตามสายตาที่นำไปโดยสัญชาตญาณ กล้ามเนื้อที่นูนเด่นเน้นแข็ง เป็นลอนไปทุกสัดส่วน ทำให้รู้ว่า มีคนแอบสุ่มออกกำลังกายให้ผมประทับใจ (แค่นี้ก็หลงจะแย่)

“อืม…. ก็นะ” ผมเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าที่อุ่นร้อนรุมๆ

“พี่ต่อได้ใช่ไหม?” สายตาของพี่โน่บอกถึงความต้องการชัดเจนโดนเฉพาะส่วนหัวเข่าของผมที่รับรู้กล้ามเนื้อบางส่วนของเป้ากางเกงที่แข็งแรงขึ้นมาจนรู้สึกได้

“จะรออะไรล่ะ?” ผมจบประโยคด้วยจุมพิตที่ดูดดื่มโดยการดึงอีกฝ่ายลงมาสัมผัสกับริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อน

แม้จะรู้ว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่จะเป็นห้องรับแขกที่มีผนัง 2 ด้านเป็นกระจกใส่ที่มองทะลุออกเป็นสวนสวยด้านนอก แต่ผมก็ยอมให้อีกฝ่ายรับบทคนรักอย่างไม่ขัดข้องบนโซฟาอันหรูหราอันนี้

…………..

ผมหอบหายใจถี่จนแทบจะขาดใจ คางเกินอยู่ขอบอ่างจากุชชี่ที่นอกระเบียงริมสวนสไตล์ป่าดิบชื้นในยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

การถูกชวนมาแช่น้ำตรงนี้ผมว่าผมคิดผิด ไม่คิดว่าจะมีกิจกรรมแบบนี้ยามเช้าในอ่างจากุชชี่แบบนี้ด้วย อายุก็ไม่น้อยแล้วทำไมถึงพิศดารได้ขนาดนี้ (แต่ก็….แบบว่า….ชอบนะ)

แถมมันดูไม่เหนื่อยสักนิด!!

“ชดเชยที่ห่างกันไปนาน” พี่โน่พูดขึ้นขณะที่นอนหงายเงยหน้ามองฟ้ายามเช้าตรู่ อวัยวะหลายส่วนกว่าครึ่งจมอยู่ภายใต้ฟองพรายของอ่างสี่เหลี่ยมสีขาววาววับขนาดใหญ่

ผมหันหลังลงมานอนแผ่จมฟองผุดจากก้นบ่อ ฟองที่ละมุนเหล่านั้น ทุกครั้งที่สัมผัสร่างก็รู้สึกผ่อนคลาย ยกเว้นอยู่เพียงบริเวณเดียว คือ บั้นท้ายของผมที่ยังไม่ชินเสียที

“วันนี้อยู่ด้วยกันก่อนไหม? บ้านพี่ยังมีพื้นที่ๆ รอเราไปสำรวจอยู่นะ” พี่โน่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

คำพูดของวายร้ายที่ไร้ก้นบึ้งแห่งความต้องการทางเพศ เพียงแค่เอ่ยปากผมก็รู้ดีอย่างลึกซึ้ง

“พอเลย ผมอยู่ต่อได้นะ แต่ช่วยแนะนำแต่ตัวบ้านได้ไหมครับ? ไม่ต้องมาสำรงสำรวจอะไรทั้งนั้น!!” ผมทำตาเขียวใส่คนตรงข้ามอย่างมาดร้าย

“ว้า…..” พี่โน่อุทานด้วยอาการขบขัน พร้อมทั้งเท้าที่ดำผุดมาหยุดตรงจุดยุทธศาสตร์ผม และสัมผัสเคล้าคลึงเบาๆ

“พี่โน่ พอเถอะ เครื่องในผมพังผมแล้ว!!” ผมจับขาข้างนั้นเหวี่ยงกลับคืนอย่างไม่ใยดี แม้สัมผัสเหล่านั้นมันจะปลุกน้องชายผมตื่นขึ้นมาแล้วก็เถอะ

“โอเคๆ แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ได้ วันนี้พี่เคลียร์ทุกอย่างเพื่ออยู่กับไอซ์เลยนะ!!” พี่โน่ขยับเข้ามาใกล้โผเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน พร้อมใช้ริมฝีปากประทับรอยจูบลงบนแก้มแดงๆ ของผมอย่างทะนุถนอม (ทำแบบนี้ก็เป็นนะ)

“งั้นเริ่มจากห้องโฮมเธียร์เตอร์ก่อน!!” ผมพูดจบก็ประทับจูบคืนไปที่แก้มของพี่โน่คืนและเอนกายไปซบไหล่อีกฝ่ายท่ามกลางฟองพรายอ่อนนุ่ม

“ตาดีชะมัด” พี่โน่ลูบศรีษะผมพลางพูดด้วยอารมณ์ขัน

…………….


คงจะครบ 24 ชั่วโมงพอดีที่ผมออกจากบ้านตัวเอง การอยู่ร่วมกับคนที่เรารักมันทำให้เวลาไหลผ่านไปเร็วยิ่งกว่าสายน้ำตก

ถึงแม้ว่าตอนเช้าผมจะพูดอย่างแข็งขันว่าจบกิจกรรมสำรวจแต่เพียงเท่านี้ แต่สุดท้ายผมก็โดนไปอีกรวม 2 รอบก่อนจะกลับบ้าน เฮ้อ….. สุดท้ายก็โทษตัวเองแหละที่ต้องการอีกฝ่ายมากขนาดนี้

ผมเดินอย่างอิดโรยเข้าบ้าน พร้อมกับแปลกใจกับรถคันหรูป้ายแดงที่จอดอยู่หน้าบ้าน  ในใจก็แอบคิดว่าแม่อาจจะเซอร์ไพรส์ตนเองซื้อ super car ให้อย่างล้อเล่น (แต่หากเป็นจริงก็ดี)

หลังจากเท้าเหยียบถึงพื้นในบ้าน เสียงเฮฮาก็แทรกผ่านกำแพงห้องรับประทานอาหารมาถึงหูผม ด้วยความประหลาดใจจึงจงใจเดินไปทางต้นเสียงอย่างเปิดเผย เพราะคิดว่าแม่และลุงโต้งคงพาเพื่อนมาปาร์ตี้กันอย่างเคย คิดเผื่อไว้ว่าจะมีขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แปลกๆ ติดมือมาด้วยหรือไม่?

“กลับมาได้เสียทีนะไอ้ตัวดี! พอขอนุญาติให้เที่ยวนี่ก็หายศรีษะไปเลยนะ!”  แม่เสียงดังใส่ผมทันทีที่เจอหน้าผม

ผมหยุดฝีเท้าลงและยิ้มเฝื่อนๆ กลับไป แม้จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง แต่ลองมีเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปาก แม่ก็โผงผางกว่าเดิม 2 เท่า ถึงจะสะสวย แต่นิสัยแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมลุงโต้งถึงได้รักได้หลงถึงกับแต่งงานด้วยนะ

“ลูกชายคะ แหม… อายจัง ลูกพี่อายุน้อยกว่าน้องเก๋อนิดเดียวเองคะ พี่รู้สึกแก่ไปเลย” แม่พูดกับแขกที่ตอนนี้ยังนั่งหันหลังให้อยู่ แต่มองเผินๆ น่าจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มาติดต่อกับแม่หลังเวลาทำงาน

ผมส่ายสอดสายตามองไปทั่วห้องก็พบว่าลุงโต้งก็นั่งอยู่ด้วยอาการเหนื่อยหน่ายกับความรั่วของแม่ของผมหลังดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปหลายขวด สังเกตุจากขวดไวน์แดงที่แม่เก็บสะสมไว้ (น่าสนใจ)

ราคาขวดไวน์แต่ละขวดแสดงถึงความสำคัญของแขก ดูท่าทางจะได้งานใหญ่มาพอสมควร

ลุงโต้งโบกมือให้ผมประมาณว่า ‘เดี๋ยวลุงดูแลแม่ให้เอง’

ผมพนักหน้ากลับเป็นเชิงเข้าใจ และตกลง

“ผมมันเด็กเกเรน่ะครับ ขี้เกียจเลยรีบเรียนให้จบ แล้วมาเที่ยวเล่นให้หน่ำใจก่อนโดนป๊าบังคับให้ทำงานน่ะครับ” เสียงของแขกที่ตอบกลับแม่ของผมด้วยท่าทางถ่อมตัวและอารมณ์ดี

แต่มันมีบางอย่างที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอยู่ลึกๆ ในใจ

“แหม… ทายาทนักอสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ พูดถ่อมตัวจังนะคะ” แม่พูดพลางเชิดแก้วทรงสูงไปทางแขกผู้มาเยือนก่อนที่จะเกิดเสียงแก้วปะทะกันดังแกร็ง!

ผมรู้สึกขนลุกเสียวสันหลังวาบ อย่างไม่ทราบสาเหตุหลังแขกของบ้านลั่นวาจาจบประโยค

“ได้ข่าวว่าลูกชายพี่มล เรียนสถาปนิกใช่ไหมครับ? เห็นบอกว่าเรียนเก่งมากด้วย แบบนี้ผมต้องจองตัวไว้ก่อนไหมครับ ผมคิดว่ากำลังจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่พอดี”  แขกของคุณแม่เอ่ยขึ้น ซึ่งสร้างรอยยิ้มให้แม่ผมได้พอควร

“คนโตก็ไม่เท่าไหร่ น่าจะเอาดีทางนักกีฬามากกว่า แต่คนเล็กคนนี้ น่าจะได้เกียรตินิยมเลยคะ” เรื่องคุยนี่จขอให้บอกแม่ผมก็ไม่ต่างจากแม่คนอื่น อวดลูกได้ก็ต้องอวด

 “ไอซ์ ลูก มาหาแม่หน่อย” ผมที่กำลังจะหนีออกจากพื้นที่ ต้องกรอกตาสามรอบก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินไปหาแม่ตัวเองอย่างไม่เต็มใจ ก็เหมือนทุกครั้ง อวดอวยลูกเก่งเวลาเมา

“สวา……หวาดดี…….ครับ” ผมเตรียมท่าทางสุภาพเพื่อทักทายแขกของแม่เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ผมต้องรู้สึกตกใจจนเสียงสั่นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่ถือวิสาสะไปอยู่ในบ้านพี่โน่ที่ผมเจอเมื่อวาน ‘ไอ้เก๋อ’ ไอ้หน้าตี๋จอมราวี

“แหม… แม่ก็รู้ว่าพี่เก๋อเขาหล่อ ไม่เห็นต้องจ้องหน้าเขม็งเสียงสั่นขนาดนี้เลยลูก!” แม่ผมก็แซวลูกเหมือนทุกครั้ง

“หือ! นี่…ลูกชายพี่มล….. แต่… อืม ที่พี่มลพูดนี่มัน…..” ไอ้ตี๋ตีหน้าเซอร์ไม่รู้จักกันไม่พอ มันยังมีทีท่าตกใจได้น่าให้รางวัลนักแสดงประกอบดีเด่น

“น้องเก๋อ! สมัยนี้แล้วนะ ลูกคนนี้เขาบอกพี่ตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง คนเป็นแม่ก็ตกใจบ้างนะ แอบเสียดายแทนสาวๆ ก็ลูกแม่ออกจะหล่อขนาดนี้” คนอวดลูกก็มีวิธีการพูดตามแบบฉบับของแม่

“ดีจัง อยากให้พ่อผมเข้าใจแบบพี่จัง” แขกของบ้านตีหน้าเศร้าจนอยากเอาบาทาลูบพักตร์ รู้สึกไม่ถูกโฉลกกับคนแบบนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

“อ้าว…น้องเก๋อก็เป็นเกย์เหรอเนี่ย แอบเสียดายนะ แต่เอาเข้าจริงพี่ก็ไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นหรอกนะ แอบทำใจอยู่พักใหญ่ แต่ยังไงเขาก็ลูกเรา พอมาศึกษาเรื่องพวกนี้เยอะๆ ก็พบว่ามันก็เป็นเรื่องปกติมากๆ เลยนะ พี่เชื่อว่าสักวันป๊าของเก๋อต้องเข้าใจแบบพี่นี่แหละ! หากอยากให้พี่ไปพูดช่วยอธิบายก็บอกนะ พี่ศึกษาจนถ่ายทอดได้แล้วล่ะ” เรื่องพวกนี้แม่เล่าให้กับทุกคนฟังจนผมท่องได้แล้ว และทุกครั้งที่ฟังก็รู้สึกโชคดีมากที่แม่เข้าใจและกล้าบอกทุกคนอย่างภูมิใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณครับ ผมไม่ได้เป็นเกย์หรอกครับ เพียงแต่ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นเพศอะไร แค่คิดว่าสักวันหากเจอคนที่ใช่เป็นผู้ชายคงทำให้ป๊าลำบากใจก็เท่านั้นครับ” สีหน้าตอนเก๋อพูดประโยคนี้แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอหน้าที่ผมเดาว่าคน ๆ นี้พูดตรงกับความรู้สึกในใจ

“ลูกชายพี่ก็ยังโสดนะ” ประโยคที่ผมคิดว่าแม่เล่นมุกอยู่แน่ๆ แต่ผมไม่ขำ

“……..” เก๋อไม่ได้ตอบอะไร นอกจากทำท่าทางอ้ำอึ้ง

“อย่าบอกนะ พี่ก็คิดๆ อยู่นะว่าบรรยากาศระหว่างเราสองคนมันแปลกๆ เราสองคนเคย……กันใช่ไหม?” แม่ผมพูดตรงเสมอ

“แม่!!” ผมตะโกนตบมุกให้แม่ ไม่คิดว่าคราวนี้จะกล้าพูดขนาดนี้

“แรงไปนะครับ ใครจะไปกล้ายุ่งกับคนมีแฟนแล้ว” เก๋อพูดพลางส่ายหน้า

นั่นไง!! หางโผล่แล้ว ผมคิดไว้แล้วเชียวว่าไอ้หมอนี่มันจิตไม่ปกติ

“เป็นไปไม่ได้ ลูกชายพี่ยังโสดแน่นอน เพราะไอซ์ไม่เคยจริงจังกับใครเลย!!” แม่ตอบกลับด้วยเสียงอันหนักแน่น

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ผมตอบไปเรียกว่าคำตอบหรือคำตำหนิ แต่ก็แปลว่าแม่ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผมจริงๆ ยกเว้น….

“อ้าวเหรอครับ งั้นเรื่องที่ผมเห็นกับได้ยินมาก็เป็นแฝดอีกคนเหรอครับ?” ไอ้หน้าตี๋ทำตาใสใส่แม่ ผมได้แต่กัดฟันกรอดเงียบๆ

“แฝดอีกคนไม่น่าจะใช่เพราะมีแฟนแล้ว ดาวมหาวิทยาลัย สวยมากๆ เลยล่ะ แล้วไอซ์! มีอะไรที่แม่ไม่รู้หรือเปล่า?” แม่ผมหันมาถามผมด้วยแววตาสว่างวาบ

ไม่ใช่แนวโหด แต่เป็นแนวจับผิดมากกว่า แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดประมาณหนึ่งทำให้แม่มีอารมณ์ขันมากกว่าปกติ

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” ผมยืนยันเสียงสั่น แต่แม่ของผมยังคงจ้องมองหน้าผมอย่างไม่วางตา

“หนุ่มที่ไหนทำให้ลูกแม่จริงจังขนาดนี้” แม่ผมพูดกึ่งยิ้ม

“อ้าว! น้องไอซ์พี่ขอโทษนะ ยังไม่ได้บอกแม่หรอกเหรอ?” ไอ้หน้าตี๋ตีหน้าซื่อ แต่ผมมองออกว่ามันปลอม!!

“เล่าเลยๆ” แม่ผมดูจะบันเทิงกับเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจ เป็นอารมณ์ขี้เมาขี้แกล้ง

“ลูกยังไม่พร้อมก็อย่างไปเซ้าซี้เลย” ลุงโต้งที่นั่งเงียบอยู่นานจนผมเกือบลืมไปแล้วว่าเขายังนั่งอยู่

“แหม…คุณก็… คุณก็รู้ว่ามลน่ะชอบแกล้งลูกขำๆ” แม่ผมหันไปพูดกับสามีคนปัจจุบันด้วยน้ำเสียงหวานจนผมขนลุก

“แกก็น่าจะรู้ว่าแม่ไม่เคยว่าเรื่องจะคบอะไรกับใคร แค่รู้จักป้องกัน แล้วก็…….” แม่ชี้หน้าผมหลังจากพูดถึงประโยคนี้

“ครับ??…” ผมเอนถอยหลังให้ห่างจากนิ้วชี้นั่นมากขึ้นสักหนึ่งเซ็นติเมตรก็ยังดี

“อย่าพลากผู้เยาว์ แม่ขอร้อง…. แต่ละคนที่แกควงนี่ หวาดเสียวทุกคน!!” แม่ถอนหายใจและดื่มไวน์สีแดงสดที่ก้นแก้วลงคอจนหมด

“แม่…..” ผมลากเสียงยาวด้วยความเขินอาย ไม่เคยชินกับการที่แม่ตัวเองพูดเรื่องแบบนี้เสียที

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่น้องไอซ์น่ารักจังนะครับ ยอมรับลูกขนาดเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อได้เลย” เก๋อหัวเราะร่า อย่างเสแสร้ง

“มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันก็เรื่องธรรมชาติค่ะ จะไปคิดมากทำไม? สมัยนี้แล้ว” แม่ผมกรอกของเหลวสีแดงกลิ่นฉุนลงแก้วตัวเองอีกครั้ง

“งั้นก็โชคดีของพี่นีโน่นะครับ ใช่ไหมครับน้องไอซ์ที่ทางบ้านรับกันได้ขนาดนี้” เก๋อหัวเราะเฝื่อนๆ เมื่อแม่ของผมฟังประโยคนี้แล้วคิ้วขมวดแทบจะทันที

ส่วนลุงโต้งกลืนน้ำลายเสียงดังจนผมได้ยินทั้งที่อยู่กันคนละฟากฝั่งโต๊ะ

“หมายความว่าไง?!?” แม่ผมเค้นถามคนหน้าตี๋ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ผมรู้ว่านั่นเพราะเมาหรือโกรธ

“อ้าว!!” ไอ้คุณเก๋อเหล่มองผมวูบหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแห้งๆใส่แม่ผมซึ่งมองแขกคนพูดอย่างต้องการคำตอบ

“นี่ผม…… เอ่อ…พูดเล่นน่ะครับ”  เก๋อผู้แผนสูงยังเล่นละครต่อ

มึงตั้งใจไอ้หน้าตี๋!! ผมขบฟันกรอด

“ไหนๆ ก็พูดมาขนาดนี้แล้ว ก็พูดมาให้หมดเถอะ!” แม่ผมปรายตามาทางผมตอนจบประโยค

“พี่ขอโทษนะไอซ์ พี่ไม่รู้ว่าน้องยังไม่ได้บอกพี่มลน่ะ”  ขณะที่เก๋อกำลังเสแสร้งขอโทษผม แม่ผมก็กระแอมในลำคอเสียงดัง เก๋อจึงได้หันกลับไปเล่าเรื่องต่อ

“คือ.. มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปดูแลผับเปิดใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปเจอน้องไอซ์ก็เลยกะว่าจะเข้าไปทักทาย จะพูดว่าจีบเลยก็ได้ แต่ผมโดนพี่โน่เดินมาตำหนิแถมบอกว่าอย่ายุ่งกับแฟนของเขา ผมก็เลยรู้ว่าน้องไอซ์คบกับพี่โน่อยู่” เก๋อพูดจบก็แอบมองหน้าแม่ผมที่ตอนนี้ทำสีหน้าเรียบเฉย จนผมแอบประหลาดเพราะแม่ไม่โวยวายเหมือนปกติ

ผมยอมรับว่ามันพูดเรื่องจริงไม่ใส่สีตีไข่กว่าที่คิด แต่มันควรจะพูดไหมวะ!

“น้องเก๋อก็คิดมาก พี่ฝากโน่ดูแลลูกๆ พี่ ก็เลยพยายามปกป้องอยู่มั้ง” แม่ยิ้มพร้อมกับอธิบาย

“ไม่มั้ง ผมถึงกับโดนพี่โน่ลงไม้ลงมือเลยนะ” คนชื่อเก๋อยังพยายาม

“พี่ว่าก็ปกตินะ ใจร้อนเหมือนทุกครั้ง” แม่ผมตอบกลับแทบจะทันที

“แต่เมื่อวานผมเจอน้องไอซ์ไปค้างที่บ้านพี่โน่ด้วยนะครับ แถมยัง…….เอ่อ….. ผมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าพี่มลอาจจะไม่อยากฟัง ผมว่าผมไม่เล่าดีกว่า” เก๋อหลบสายตาแม่ของผม ทันทีที่จบประโยค

โอโห ตีบทแตก ไปเรียนที่ไหนมาวะ?
ผมไม่รู้ว่ามันเห็นอะไรบ้าง แต่….เล่ามาขนาดนี้ ใครมันจะไปคิดดีได้วะ

“แม่ครับ คือวันนั้นผมเมามาก….” ผมกำลังจะรีบแก้ตัวแต่แม่ของผมยกมือขึ้นปราม ทำให้ผมหยุดชะงักที่กลางประโยค

“พี่ว่าไม่มีอะไรหรอก เวลาลูกพี่เมามันเลื่อยจะตาย สงสารพี่โน่เขามากกว่าที่ต้องดูแลคนอย่างไอซ์” แม่ผมหัวเราะเสียงดัง

“หว้า…พี่เมาเสียแล้ว วันนี้คุยเรื่องงานแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยใหม่ ดึกมากแล้ว รบกวนเวลาเรามาเยอะแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ” แม่ผมลุกส่งแขก

อีกฝ่ายก็อึกอัก แต่ก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย

ผมสบโอกาสที่ทุกคนไปส่งแขกที่หน้าบ้านรีบหนีขึ้นห้องนอนเสียก่อน น่าจะดีที่สุด
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 26) 19 ก.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-07-2022 16:15:02

 ผมเดินวนไปมาหน้าตู้เสื้อผ้าอย่างกระสับกระส่ายร้อนรน ในใจภาวนาให้แม่เข้าใจแบบนั้นจริงๆ  ขอให้แม่เข้าใจว่าไอ้หน้าตี๋ ‘เก๋อ’ นั่นแค่พยายามจะฟ้องแม่ผม โกรธที่จีบผมไม่ได้เลยพยายามใส่ความ ผมภาวนาพลางคิดหาข้อแก้ตัวดีๆ สักเรื่อง

แต่หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง แม่ของผมกลับไม่ได้เรียกหาหรือเข้ามาถามไถ่เหมือนเช่นทุกครั้ง  ผมจึงรูสึกวางใจและพยายามเข้าสู่กิจวัตรตนเองตามปกติ

รู้สึกโล่งใจที่วันนี้ก็ผ่านไปด้วยดีอีกวัน

………..

อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว ในที่สุดผมก็ทราบข่าวจากไอ้ต้นน้ำว่าเรื่องระหว่างพี่จินไห่กับมันผ่านพ้นไปด้วยดี ถึงจะเล่าด้วยอาการน้อยอกน้อยใจ แต่ผมก็รู้สึกถึงรอยยิ้มของมันผ่านทางคำพูดของมันทางโทรศัพท์ได้เลย

“มึงไปซื้อพวกอุปกรณ์กัน พวกอุปกรณ์หากินกูพร่องไปเยอะ เดี๋ยวเปิดเทอม แม่งไม่มีเวลาไปหาซื้อ เดี๋ยวจะวุ่นวายอีก” ผมพูดไปพลางระลึกความหลังไปด้วย

“กูมีนัดแล้ววะ กูจะไปซื้อกับพี่ไห่” ไอ้ต้นน้ำทำเสียงสำนึกผิด


“กูว่าแล้วไอ้พวกติดเมีย!!” ผมโวยใส่หน้าจอโทรศัพท์


“มึงก็พาเด็กสักคนไปสิ มีเยอะไม่ใช่เรอะ?” เสียงจากปลายสายอีกฟากลอยเข้าหูมา แม้จะรู้สึกผิดที่ได้ยินแต่ก็ทำให้รู้ว่าพี่จินไห่รักษาสัจจะแค่ไหน

ผมขอร้องให้พี่จินไห่ ปิดเรื่องของผมกับพี่โน่ไว้ก่อน จนกว่าผมจะพร้อม ส่วนไอ้พี่ชายผมก็ไม่คิดจะบอกใครอยู่แล้ว ผมก็เลยแค่เอ่ยปากบอกมันแบบผ่าน ๆ

เพราะหากไอ้ต้นน้ำรู้ คนทั้งโลกรู้

ไอ้ต้นกล้าอีกคน แต่คนนี้มันกลัวไอ้เฟรมพอควรดังนั้นผมเลยฝากบอกไอ้เฟรมให้มันไปปิดปากไอ้ต้นกล้าก็น่าจะได้ผล

หลังจากวางสายจากไอ้คนติดเมีย ผมเลยตัดสินใจชวนแฟนตัวเองไปด้วยน่าจะดี ช่วงนี้รู้สึกไปเองหรือเปล่าไม่รู้ รู้สึกว่าไม่อยากอยู่คนเดียว

พี่โน่แทบจะไม่คิดทบทวนเลย เขาตอบตกลงแทบจะทันที ทั้งที่ผมพยายามถามแล้วว่าหากมีธุระต้องทำงานก็ไม่เป็นไร เพราะรู้ว่างานเขาเยอะ แต่พี่โน่ก็ดูยินดีและกระตือรือร้นดีมากจนผมยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้า (โอยยย ช่วยด้วย)

การที่มากับเฮียโน่สายเปย์มันดีแบบนี้นี่เอง เพิ่งรู้สึกถึงความใจดีของมันก็วันนี้ ตั้งแต่มารับไปศูนย์การค้า ช่วยซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนให้ทุกอย่างจนไปถึงการถือของให้ (ทั้งที่บอกว่าไม่ต้องแท้ๆ ผมไม่อยากเอาเปรียบเขาแบบนี้ เพราะผมเบิกค่าใช้จ่ายกับแม่มาแล้วด้วย)

ผมเลยอาสาเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อเป็นการทดแทน ซึ่งพี่โน่ก็ไม่ปฏิเสธแถมยังคิดให้อีกว่าจะพาไปกินที่ไหน ซึ่งเป็นร้านสเต็กสุดหรูในศูนย์การค้าเดียวกัน ถึงผมจะรู้สึกว่าแพงแต่หากเทียบกับสิ่งที่พี่โน่หอบหิ้วให้ผมอยู่ตอนนี้ก็ถือว่า ไม่ต่างกันมาก ผมจึงตอบตกลงทันที

หลังจากนั่งลงที่ร้านได้ไม่นาน พี่โน่ก็จัดการสั่งอาหารอย่างชำนาญ แม้กระทั่งสั่งให้ผมด้วยเสร็จสรรพ ด้วยคิดว่าผมต้องถูกใจ ซึ่งหลังจากอาหารลงมาที่โต๊ะอาหารตรงหน้า ผมก็เข้าใจทันทีว่าพี่โน่ไม่ได้โม้ เขาสั่งมาได้ถูกใจผมทุกอย่างจนอยากจะถามเลยว่ารู้ได้อย่างไร?

พี่โน่อมยิ้มทันทีที่เห็นหน้าผม พลางเอ่ยปากด้วยถ้อยคำที่ผมไม่คุ้นหู

“หากจะถามว่าพี่รู้ใจเราได้ยังไง ก็เพราะพี่อยู่ในใจเราไง”

“โหยยย พอเหอะพี่ เสี่ยวมาก โคตรจะไม่ชิน” ผมทำหน้าหยี๋ๆ ใส่คนตรงข้าม ซึ่งโดนหัวเราะกลับมาตาหยี

“พี่เห็นคนแถวนี้ชอบก็เลย ลองดูว่าน้องชอบไหม?”
พี่โน่พูดพลางมองไปอีกทางหนึ่งของร้านอาหาร

ผมมองตามทันที สิ่งที่ผมเห็นก็คือ แฟนสาวของพี่ชายผมกำลังนั่งดื่มไวน์แดงในแก้วทรงสูงกับชายวันกลางคนที่ดูดีมีฐานะคนหนึ่ง ด้วยท่าทางถึงเนื้อถึงตัว

“เอ๊ะ!! นั่น!!” ผมอุทานอย่างเบาที่สุด

“พอจะรู้ว่ามาที่นี่กันบ่อย แต่ไม่คิดว่าจะเจอจริงๆ” พี่โน่พูดพร้อมยกเครื่องดื่มสีแดงสดในแก้วทรงสูงขึ้นจิบเล็กน้อย

“เรื่องนี้นี่เองที่พี่ถูกไอ้เฟรมไหว้วาน”

“พี่ว่าไอซ์น่าจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ดีนะ”

“พี่เองก็ด้วยแหละ”

เราต่างคนต่างมองหน้ากันเป็นการเข้าใจโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะเราต่างเคยมีอดีตที่ไม่ดีกับผู้หญิงคนนี่เหมือนกัน และบุคคลที่เชื่อมโยงผม พี่โน่ และผู้หญิงคนนี้เข้าด้วยกันคือ พี่กวี เพราะก่อนที่จะคบกับพี่ชายผม เธอคือแฟนคนแรกของพี่กวี!

เรื่องมันยาวจนผมไม่อยากจะเล่า เพราะเธอทำตัวได้แสบสันต์จนอยากจะเนรเทศเธอออกจากวงโคจรของโลก ถ้าไม่เพราะตั้งแต่คบกับพี่ชายผมแล้วทำตัวดีขึ้นมาตลอดสองปี ผมคงหาทางทำแบบนั้นจริงๆ

“พี่น่ะไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรณนี้เท่าไหร่ เพราะสองคนนั้นอาจจะเป็นแค่เจ้านายลูกน้องก็ได้ พี่ชายไอซ์อาจจะแค่ขี้หึง แต่เพราะเสี่ยเพชรน่ะ มีอิทธิพลพอควรก็เลยให้พี่ช่วยสืบ สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!!”  พี่โน่พูดพลางใช้หางตามองสองคนที่ทำตัวเหมือนคู่รักในร้านบรรยากาศดีหรูหราแบบไม่อายใคร

“แต่ผมรู้นะว่าพี่ก็แอบอยากแก้เผ็ดยัยนิ่มอยู่” ผมพูดพลางเหล่มองไปในทิศเดียวกับพี่โน่

“รู้ดีนะ” พี่โน่หันมาอมยิ้มให้ผม หน้าเล็กๆ ที่แสนทะเล้นนั่น มันน่าหยิกแก้มให้เขียว

“ก่อนเป็นแฟน พี่กับผมก็คู่แข่งกันดีๆ นี่แหละ ทำไมผมจะไม่รู้นิสัยพี่”

“เราเป็นอะไรกันนะ!?!” สายตาคาดคั้นจากฝั่งตรงข้าม ผมไม่น่าพลาดเลย

“กินสเต็กเหอะ มาโน้นแล้ว!!” ผมบ่ายเบี่ยงโดยการชี้ไปที่บริการที่เดินถือถาดขนาดใหญ่เข้ามาใกล้

พี่โน่หัวเราะเบาๆ ในคออย่างมีชัย

“แล้วพี่ไม่ถ่ายรูปหรือคลิปเป็นหลักฐานเหรอ?” ผมกินไปพลางระวังตัวไปพลางเพราะเพิ่งคิดได้ว่า ยัยนิ่มอาจเห็นพวกเรา

“ลูกน้องพี่จัดการไปเรียบร้อย นี่แค่มาดูกับตาตัวเองก็เท่านั้น!”
 
“โห…แบบนี้แล้วเสี่ยเพชรอะไรนั่นเขาไม่โกรธพี่เหรอ มีลูกมีเมียหรือยังเนี่ย? หากมีก็น่าสงสารแย่เลย”

“ไอ้เพชรน่ะมันเพื่อนพี่ ลูกเมียก็… เยอะแยะ! มันบริหารดีไม่ตีกัน ส่วนเรื่องรูปก็ขอบอกมันแล้ว มันโอเค!!”

“โหย! พวกพี่นี่มันสุดยอดเลย!! เป็นผมนะ หากมีผัวแบบนี้มีเลือดตกยางออกกันมั้งล่ะ!!” ผมแอบค้อนไปทางพี่โน่

นอกจากมันจะไม่หลบตาแล้วมันยังยิ้มตาหยีใส่ผมอีก

“ดุแบบนี้ใครจะกล้า กว่าจะได้มาก็แทบแย่ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปเพราะเรื่องแบบนี้” พี่โน่พูดพลางขยำศรีษะผมเบาๆ อย่างเอ็นดู

ผมรีบปัดมือหยาบให้พ้นศรีษะตัวเองอย่างร้อนรน

“เกินไปแล้ว” ผมหลบตาพูดกับตัวเองเบาๆ ภายใต้เสียงขบขันของคนตัวเล็ก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางการสนทนาประสาคนรักของเราสองคน ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแต่กลับไม่ใช่เสียงเตือนของโทรศัพท์ของผม

พี่โน่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมแสงวูบวาบจากหน้าจอที่ส่องสว่างไปทั่ว ก่อนที่จะกดรับ พี่โน่แสดงรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอให้ผมเห็น

“มล”

แม่ผมนี่!! หลังจากเห็นผมก็หันรีหันขวาง วาดใบหน้าไปทั่วบริเวณ กลัวว่าแม่ผมจะเห็นว่าเรามานั่งหวานกันในร้านอาหารแบบนี่

แต่สุดท้ายผมก็คิดไปเอง

“ได้ๆ มล ไม่มีปัญหา ว่างอยู่พอดี ไม่ได้รบกวนอะไรเลย!” ประโยคที่ผมได้ยินจากพี่โน่หลังจากอาการกระวนกระวายเมื่อครู่

พี่โน่วางสายด้วยรอยยิ้ม

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันสับสนไปหมด หลังจากฟังการสนทนาฝั่งเดียวจากที่นั่งอีกฝากหนึ่ง คนตัวเล็กที่มีสถานะเป็นเพื่อนแม่ คนเคยสนิทของแม่ คนที่เคยรักแม่ของผมเกินเพื่อน การสนทนาที่ออกรสชาติอย่างสนิทสนม ที่มีบรรยากาศเหมือนคุยกับผม มันทำให้รู้สึก…หวง แต่ที่ปลายสายก็แม่ตัวเอง แถมแม่ก็มีสามีใหม่แล้วด้วย ยังไงสถานะสองคนนี้ก็แค่เพื่อนสนิท แต่เวลาได้ยินสองคนนั้นคุยกันแล้วทำไมใจเรามันว้าวุ่นแบบนี้นะ

“หึงกระทั่งแม่ตัวเองเนี่ยนะ?” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มอย่างรู้ดี

“ใครหึงวะ?”

“เหรอ?”

ไอ้ท่าทียียวนกวนบาทาเนี่ย ไม่เคยรู้สึกชินเลย เมื่อก่อนเห็นดึงหน้าตึงตลอด จนผมบ่ายหน้าหนีไอ้คนที่ยิ้มและมองผมอย่างรู้ทันความรู้สึกของผม

“แม่ว่าไง?” เปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย

“มลบอกว่ายังดูเรื่องโกดังที่แหลมฉบัง คงค้างแถวนั้น แต่นัดช่างซ่อมแอร์ไว้ตอนเย็น เลยฝากให้พี่ไปดูให้หน่อย เลื่อนนัดไม่ได้น่ะ แล้วก็ ……”

พี่โน่มองมาทางผมด้วยรอยยิ้มตาเส้นเดียว

“อะไร?” ผมค้อนกลับ เพราะไม่ชอบท่าทางยิ้ม ๆ แบบมีเลศนัยแบบนี้

“มลบอกว่า ช่วยตามให้ไอ้พวกลูกหมาหลงทางกลับมานอนบ้านด้วย!” พี่โน่จงใจมองมาทางผม

“แม่เนี่ย….. ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกับประโยคของแม่ตัวเองที่ออกจากปากของพี่โน่พร้อมด้วยท่าทางเรียนแบบการแสดงใบหน้าของแม่ผมจนผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้

“พี่ก็เลยคิดว่าจะช่วยล่ามโซ่ไว้ที่บ้านให้เลย!!” สายตาที่พี่โน่มองผมทันทีที่จบประโยคทำให้รู้ว่าพี่โน่พูดจริงจัง

“อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะ!!” ผมชี้หน้าไอ้ผู้ใหญ่สมองเด็กคนนี่ทันที

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 26) 4 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-08-2022 15:27:13


กว่าพวกผมจะกลับถึงบ้านก็ช่วงหัวค่ำ พี่โน่ทำตามที่สัญญาไว้กับแม่ผมอย่างดี ผมและไอ้เฟรมถูกตามให้มานั่งให้มันถ่ายรูปจากห้องรับแขกในบ้านเพื่อส่งไปรายงานแม่บังเกิดเกล้าของพวกผม

“เกินไปไหมครับเนี่ย พวกผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ!!” พี่ชายผมโวยหลังจากพี่โน่ส่งรูปถ่ายดังกล่าวไปให้แม่ผมผ่านไลน์กลุ่มของกลุ่มสามใบเถาของแม่

“เรื่องยัยนิ่มน่ะ ใจเย็นๆ แล้วค่อยหาวิธีไปคุยดีไหม? ไปตอนนี้ ใจร้อนแบบนี้ ยิ่งจะทำให้ทุกอย่างบานปลาย ไปทำให้สมองปลอดโปร่งก่อนไป แล้วคิดให้ได้ว่าจะรักต่อหรือจะเลิก!!” พี่โน่พูดกับไอ้เฟรมอย่างใจเย็น

“ใครจะไปใจเย็นลงได้ ใครจะไปนอนหลับ ผมจะไปเคลียร์กับนิ่มให้รู้เรื่อง!!” ไอ้เฟรมครั้นมันจะดื้อก็ไม่เคยฟังใคร

“เมื้อกี้กูพูดในฐานะผู้ปกครอง แต่หากดื้อรั้น พูดไม่ฟังกูจะคุยในฐานะคนรู้จักแล้วนะ!!” พี่โน่หักนิ้วมือดังกรอบ

ผมมองหน้าไอ้เฟรมและพยายามสื่อสารกับมันทางจิตบวกทางใบหน้าว่า หากมันพยายามนอนหลับเองไม่ได้ พี่โน่จะใช้วิธีไม้แข็งทำให้หลับไปแบบไม่รู้สึกตัวนะ แม่อนุมัติแล้วด้วย

เหมือนมันเข้าใจที่ผมสื่อ บวกกับมัดกล้ามและเส้นเลือดบริเวณแขนของพี่โน่ที่ปูดโปน สุดท้ายมันจึงยอมเดินขึ้นห้องนอนที่ชั้นสองอย่างไม่อิดออด

พี่ฟาง แม่บ้านที่ดูแลบ้านขอตัวกลับตามเวลาปกติ พี่โน่พยักหน้ารับทราบและกล่าวขอบคุณที่อยู่ล่วงเวลาเพื่อช่วยดูแลเรื่องช่างแอร์ให้

พี่โน่หันมาทางผมด้วยด้วยรอยยิ้ม

“เดี๋ยวพี่ขอไปดูช่างแอร์ก่อนนะ ขึ้นไปอาบน้ำให้เรียบร้อยไปเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”  เสียงสุภาพเกินเหตุแบบนี้รู้สึกได้เลยว่าพี่โน่กำลังคิดอะไรอยู่

“ครับคุณอา” ผมผ่อนลมหายใจออกและกล่าวตอบรับด้วยท่าทีล้อเลียน

“ดีๆ อย่าดื้อกับอาเดี๋ยวอาจับตีก้น” พี่โน่ยกยิ้มมุมปากมองมาที่ผมด้วยบรรยากาศขัดกับคำพูด ผมรู้ทันทีว่าพี่โน่วางแผนจะทำอะไรผมแน่นอนในวันที่แม่ไม่อยู่บ้านแบบนี้

แต่ผมกลับรู้สึกแบบเดียวกันนี่สิ!

คิดได้ดังนั้นผมก็เดินขึ้นห้องตัวเองอย่างไม่รอช้า

เครื่องปรับอากาศบ้านผมมีอยู่หลายเครื่อง จึงต้องนัดช่างมาดูแลอย่างเป็นกิจลักษณะ ดังนั้นช่างที่มีมากกว่า 1 คนจะเดินไปทั่วบ้านเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง

ปกติผมและไอ้เฟรมจะเป็นคนช่วยแม่อยู่ดูแลความเรียบร้อยของช่างในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ข้าวของในบ้านไม่เสียหาย แต่มีพี่โน่มาช่วยดูแลแบบนี้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

ผมขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว นอนรอกลิ้งไปมาบนที่นอนของผมร่วมชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาพี่โน่จะขึ้นมาตามที่นัดกันไว้

ความจริงผมก็ไม่ได้ต้องการเรื่องแบบนี้อะไรแบบนั้น แต่พูดแบบนั้นกันก่อนผมขึ้นห้องนอนมามันก็ต้องทำตามที่พูดไว้ไหม?

ผมเล่นโทรศัพท์ไปพลางหงุดหงิดไปพลาง จนรู้สึกเบื่อไปหมดและเริ่มง่วงนอนเสียแล้ว

ในระหว่างที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไป พี่โน่ก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมด้วยเหงื่อกาฬหลั่งโทรมหน้า ผมที่มองไปทางผู้เข้ามาในห้องจนต้องร้องทัก

“เฮ้ย!! พี่ทะเลาะกับช่างมาเรอะ?!?”

“ไปซื้ออะไหล่มาเพิ่มนิดหน่อย อะไรของมันก็ไม่รู้!?!” เสียงพี่โน่เจือความหงุดหงิด

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วหิ้วอะไรมา เอาของที่ซื้อติดตัวขึ้นมาทำไม?” ผมถามและชี้ไปที่ถุงพลาสติกหนาซ้อนกันหลายชั้น

พี่โน่เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวจึงเหวี่ยงของไปวางหน้าห้องและเดินเข้าไปอาบน้ำ


พี่โน่หายเข้าไปในห้องอาบน้ำนานพอควร ผมที่รู้สึกง่วงอยู่แล้วจึงหมดแรงที่จะบังคับหนังตาที่หนักอึ้งจนแทบจะรั้งไม่อยู่ สุดท้ายความมืดมิดก็กลืนกินสติของผมจนสิ้นทันทีที่ศรีษะสัมผัสกับหมอนนุ่มๆ หอมๆ บนเตียง

เสียงโลหะกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งในความฝัน มันทำให้ผมนึกถึงวัยเด็กที่พ่อของผมมักจะพาผมไปซ่อมรถเก่าๆ ในโรงรถขนาดใหญ่ในพื้นที่บ้านของผมที่ต่างประเทศ เสียงโซ่ที่ผูกห้อยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่หนักอึ้งลอยอยู่เหนือรถยนต์ทรงคลาสสิคคันใหญ่ ที่แม่มักจะเรียกมันว่าขยะเศษเหล็กมากกว่ายานพาหนะ แต่พ่อมักจะพูดกับผมเสมอว่า มันเป็นเรื่องของลูกผู้ชายที่ผู้หญิงไม่เข้าใจพร้อมขยิบตาให้ผมทุกครั้ง

เอาเข้าจริงๆ ผมเองในวัยนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ที่ชอบมาอยู่ตรงนี้เพราะชอบมาใช้เวลาร่วมกับพ่อที่มีเวลาให้พวกเราสัปดาห์ละเล็กน้อย บวกกับชั้นวางขวดสวยแวววาวที่ผมมักจะมองของเหล่านั้นได้ไม่เบื่อ เพราะแต่ละขวดพ่อจะมีเรื่องเล่าแถมมาด้วยทุกขวด

กลิ่นน้ำมัน เสียงโลหะเคาะกระทบกันตามกิจกรรมงานอดิเรกของพ่อของผม เสียงหัวเราะ และเสียงโวยวายหงุดหงิดที่อะไรไม่เป็นดั่งใจของเขาทำให้ผมรู้สึกสนุกและหัวเราะตลอดสามสี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน เราสามคนพ่อลูก มีโลกส่วนตัวเล็กๆ ในโรงรถที่แม่ขี้บ่นไม่เข้าใจ

โอ้ย!

ผมร้องเพราะรู้สึกถึงของแข็งเย็นๆ บีบรัดผิวหนังรอบตัว

“ขอโทษนะเจ็บเหรอ?” เสียงพี่โน่กระซิบที่หู

“ครับ ทำ…. อะไรน่ะ!!” ผมโวยวายขึ้นทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองขยับเขยื้อนอะไรได้ลำบาก

ผมลืมตาสำรวจรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและถูกมัดด้วยโซ่สีดำขนาดเล็ก มือและเท้าที่รวบตึงอยู่แนบกันทำให้เคลื่อนลำบากและแรงเสียดสีตอนขยับก็ทำให้เจ็บจี๊ดเล็กน้อย มันช่างน่ารำคาญ!!

“เจ็บเหรอ? ทำไมร้องไห้” พี่โน่โถมตัวเข้ามาลูบหัว

“ไม่เจ็บขนาดนั้น แค่…ฝันถึงพ่อ” ผมพูดตอบพร้อมมองสถานการณ์โดยรอบ

“โอเคๆ พี่ว่าโอกาสไม่เหมาะแล้ว งั้นวันหลังเราค่อยเล่นกันใหม่” พี่โน่มีอาการสลดลงเล็กน้อย

“เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าพี่เป็นพวก เอ่อ… มิสเตอร์เกรย์น่ะ” ผมตกใจจนอยากถอยหนี แต่ก็ทำไม่ได้

“มิสเตอร์เกรย์…..อ้อ ห้องแดง ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ พี่แค่….อยากหาประสบการณ์ตื่นเต้นให้น้องน่ะ กลัวน้องเบื่อ ก็พี่พูดถึงเรื่องโซ่ไป…..ก็เลย…..” พี่โน่พูดไปด้วยแววตาที่เต็มที่ด้วยความต้องการ เขาจ้องร่างกายผมด้วยท่าทางเหมือนเช่นทุกครั้งที่เราอยู่บนเตียงด้วยกัน

“ที่หายไปนานเพราะไปหาซื้อใช่ไหม?”

“จำได้ว่าที่ผับหนึ่งมันมีอะไรแบบนี้น่ะ ก็เลยไปขอยืม แต่พี่ฆ่าเชื้อให้แล้วนะครับ”

โห… ไอ้หื่น ผมอยากจะพูดแบบนั้นน่ะ แต่ในใจผมมันกลับตื่นเต้นแบบแปลกๆ มัน… ไม่ได้ปฏิเสธ….

“พี่ขอจูบทีได้ไหม?” พี่โน่ทำเสียงเล็กเสียงน้อยจนผมรู้สึกขนลุก

สายตาของผมคงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้ปฏิเสธอะไร พี่โน่จึงโน้มตัวเข้ามาผนวกริมฝีปากกับผมอย่างแผ่วเบา นุ่มนวลและต่อเนื่อง

ผมยอมเผยปากและตอบสนองกับลิ้นและริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างชำนาญ จากจุดหนึ่งก็ไปต่ออีกจุดหนึ่งอย่างไม่สิ้นสุด ผมเคลิบเคลิ้มกับรสลิ้นอีกฝ่ายจนแทบหยุดตัวเองไม่ได้

ร่างกายที่ขัดขืนค่อยๆ อ่อนยวบและไร้แรงต้าน พี่โน่เองก็ไม่พยายามห้ามความปรารถนาของตนเองเลย เขาซุกไซ้ลงมาที่คอผมไล่เรียงไปจนถึงเนินอกแน่น ที่มีฐานดอกไม้สีชมพูเบ่งบานอย่างแข็งแรงรออยู่ โดยที่โซ่เหล่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ

พี่โน่ไม่รอช้ารีบลิ้มชิมรสดอกไม้ดอกนั้นอย่างบรรจงทั้งสองข้าง ผมที่ถูกพันธนาการอยู่ทำได้เพียงขยับตัวลำบากและร้องคลางในลำคอจนแทบขาดใจ

พี่โน่พักมามองตาผมที่มีอาการหอบถี่ หน้าร้อนผ่าวไปหมด แต่แทนที่เขาจะหยุดการทรมานผมแบบนี้ เขากลับยกยิ้มมุมปากและไล่ลิ้นลงต่ำไปจนถึงจุดที่ถูกพันธนาการน้อยที่สุด เพราะต้องการให้มันได้อิสระ อย่างเต็มที่

พี่โน่เริ่มใช้ริมฝีปากทรมานผมอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งถึงตอนเผด็จศึกอย่างเร้าร้อน ผมถูกจับพลิกให้คว่ำหน้าทั้งที่ยังถูกพันธนาการอยู่ ทำให้ท่วงท่ามันดูแปลกประหลาดและไม่ได้สบายเท่าใดนัก แต่นั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับพี่โน่ที่จะพาผมไปสู่ปลายทางที่เขาและผมต้องการได้ไม่ยาก

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 26) 5 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-08-2022 10:09:27
…………

โซ่สีดำมันเลื่อมถูกปลดไปกองอยู่ที่ปลายเตียง ผมซึ่งนอนเปลือยกายอยู่ถูกห่อหุ้มด้วยอ้อมกอดของคนที่ตัวเล็กกว่าภายในผ้าห่มจนเหมือนก้อนผ้ากลมกองอยู่บนเตียง

ผมตื่นมาด้วยอาการปวดร้าวไปหมดทั้งร่าง พร้อมทั้งมองค้อนไอ้ตัวต้นเหตุอย่างบึ้งตึง แต่คนที่นอนกอดเขาอยู่กลับนอนหลับสนิทไม่ไหวติง

ป๊าบ!!!!

เสียงผ่ามือปะทะต้นแขนแกร่งกล้ามเนื้อล้วน เสียงดังลั่น

“เฮ้ย! อะไรน่ะ!?” พี่โน่ลืมตาหันมาหาผมแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น

“ลงโทษ!!” ผมพูดสั้นๆ ห้วนๆ

“ลงโทษพี่ทำไม?” อีกฝ่ายยังตอบได้ไม่เต็มเสียงพลางมุดตัวเข้ามาหาผมมากขึ้นทั้งร่างที่เปลือยเปล่า

“ดูสิ! เจ็บไปทั้งตัวเลย จะเป็นรอยโซ่ไหมเนี่ย? ไม่เอาแล้วนะเล่นอะไรบ้าบอแบบนี้!” ผมโวยเบาเบา

“จ้าๆ  แต่ก็ดูมีความสุขดีนี่!”  รู้สึกถึงรอยยิ้มจากน้ำเสียงโดยที่ผมไม่ต้องมองหน้ามันเลย

“แต่มันเจ็บ ไม่เอาแล้ว!!”  ผมโวยอีกรอบ

“จ้าๆ ไม่เอาแล้วก็ได้จ้า แต่ก็อยากลองแบบอื่นบ้างนะ” ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ้ย ผมได้แต่กรอกตาตอบกลับในใจ

“ถ้าไม่เจ็บตัวก็โอเค! ผมไม่ใช้พวกซาดิสม์นะ ผมมีแม่นะ จะให้เอาร่างกายมาทำแบบนี้ผมไม่โอเคเลย!!” ผมคิดพักใหญ่ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง

“จริง!! แล้วเมื่อไหร่จะบอกแม่ล่ะ เรื่องแบบนี้!!” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล แต่เป็นเสียงที่ทรงพลังมาก ผมและพี่โน่สะดุ้งตัวโยนและลุกขึ้นนั่งทั้งผ้าห่ม พลางมองหาต้นตอของเสียง

ในความมืดภายใต้ผ้าม่านป้องกันแสงยูวีนะดับพรีเมี่ยมในห้อง สายตาของผมที่ปรับให้เข้ากับห้องที่แสงน้อยเคลื่อนไปพบเงาร่างหนึ่งที่ประตูห้องจุดที่สัมผัสแสงในห้องน้อยที่สุด

“จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปคุยกันข้างล่าง” เสียงจากเงาร่างที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น ก่อนจะเปิดประตูห้อง แสงจากภายนอกสาดเข้ามา เผยให้เห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวจากผู้เป็นมารดา

เสียงประตูลั่นปิดดังกริ๊ก เพราะก้านปิดนิรภัยที่ประตูห้อง ไม่เช่นนั้นอาจเป็นเสียงประตูกระทบบานกบดังสนั่น

ผมสบถในใจเป็นพันรอบ พร้อมมองพี่โน่อย่างลนลาน ผมไม่อยากบอกแม่ถึงความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนแม่แบบนี้เลย

“ใจเย็นๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปสู้พร้อมกัน” พี่โน่ตอบกลับสีหน้าลนลานของผมอย่างใจเย็น

“เชิญพี่เย็นไปคนเดียวเหอะ!!” ผมโวยขณะลุกขึ้นยืนอย่างร้อนลน

“ฟังพี่!” พี่โน่คว้ามือผมด้วยความรวดเร็ว ฉุดรั้งให้ผมล้มลงนั่งอย่างทรงตัวไม่อยู่ และกดริมฝีปากอันอุ่นนุ่มลงไปที่ริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา

มันคงเป็นวิธีช่วยให้ผมใจเย็นลงตามแบบฉบับของพี่โน่ ซึ่ง…. มันได้ผล

ผมสงบลง และตอบสนองจุมพิตนั้นอย่างอ่อนโยน

“ทำไงดี?” ผมเอ่ยขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกห่าง

“ไม่รู้นะ พี่เองก็ไม่เคยนึกถึงเหตุการณ์แบบนี้ พี่เคยคิดว่าหลังจากที่ไอซ์เรียนจบแล้ว พี่จะขอคุยกับมล แม่ของไอซ์ อย่างเป็นกิจลักษณะ บอกตามตรง แม้แต่พี่เองก็ยังเกรงใจมล ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง” พี่โน่ผ่อนลมหายใจออกมายาว

“แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี้ พี่จะไม่หยุดคบกับไอซ์นะ ยังไงพี่ก็รักไอซ์นะ” พี่โน่มองตาผมขณะที่พูดประโยคเลี่ยนๆ แบบนี้ออกมา

แต่ผมกลับไม่ติดใจอะไร ผมดันยิ้มกลับถ้อยคำหวานเลี่ยนแบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้

…………

แม่ของผมนั่งนิ่งอยู่ที่ห้องรับแขกแสนรักของเธอ เหม่อมองออกไปที่สวนข้างบ้านอย่างไร้จุดหมาย

ลุงโต้งที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแห้งตอบกลับมาที่พวกผมกับพี่โน่ทันทีที่เห็นผมเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมกัน

ผมเดาว่าลุงโต้งน่าจะรู้เรื่องบ้างเพราะว่าสนิทกับพี่โน่มาก พี่โน่คงแอบปรึกษาไปบ้างแล้ว เพราะจากสีหน้าแล้ว ไม่มีอาการแปลกใจกับเหตุการณ์นี้เลย

“มล…คือ….” พี่โน่เปิดฉากสนทนาก่อน

“นั่งลงก่อนสิ!!” แม่ของผมปัดการเริ่มสนทนาของพี่โน่ตกไปอย่างหน้าตาเฉย แม่ของผมคือผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง

ผมและพี่โน่เดินไปนั่งข้างกัน ในจุดที่แม่ของผมชี้เชิญเป็นนัย หลังจากนั่งลงเรียบร้อย พี่โน่ก็คว้ามือผมไปจับเสียแน่น

แม่ผมคิ้วขมวดทันทีที่เห็น

“มลเคยคุยไปแล้วนี่ว่า อย่ามายุ่งกับลูกของมล จะไปเจ้าชู้ที่ไหนก็ไป จะพนักงานของมล ญาติพี่น้องมล มลไม่เคยยุ่ง!! แต่กับลูกมล มลขอนะ!!” เสียงแข็งกร้าวทรงพลังออกจากปากของแม่ ผมไม่เคยเห็นแม่ทำหน้าแบบนี้มาก่อน

ผมฟังประโยคแม่แล้วพลางคิดไปด้วย หากที่แม่พูดเป็นเรื่องจริง ที่ไล่เรียงมาทั้งหมดนี่มัน ไอ้พี่โน่จัดการไปหมดแล้วเหรอฟะ? ว่าแล้วผมก็จิ๊กเนื้อที่มือของไอ้คนที่กำมือผมแน่นอยู่ตอนนี้

พี่โน่แสดงสีหน้าเจ็บปวดพลางหันมากระซิบทำนองว่า “แค่เปรียบเปรยไหม?” ผมถึงหยุดหยิกไอ้คนตัวเล็กข้างๆ

แม่กระแอมเสียงดังทำให้ผมสะดุ้งและก้มหน้าไม่รู้ตัว ถึงผมจะเป็นเด็กดื้อแต่สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ การทำให้แม่เสียใจ ผมเห็นน้ำตาแม่มามากแล้ว และผมไม่ต้องการเห็นอีก ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พอถึงจุด ๆ หนึ่ง อาการผมจะเป็นแบบนี้โดยอัตโนมัติ

“มล…. แต่ครั้งนี้ผมจริงจังนะ ผมรักลูกชายของมลด้วยใจจริง” สีหน้าท่าทางของพี่โน่กลับไปเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าด้วยท่าทางหรือคำพูดที่หนักแน่นของพี่โน่ ที่ทำให้แม่ของผมหยุดนิ่งและครุ่นคิดอย่างหนักจนสังเกตได้ทางสีหน้า และมีความประหลาดใจปะปนออกมาทางสายตาที่ส่งมาทางผมเป็นระยะ

“พูดจริงใช่ไหมเนี่ย?” แม่ผมมีท่าทีอ่อนลง

“จริง!! ผมจริงใจ และผมมีแผนที่จะขออนุญาตมลอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้มลมาจับได้เองแบบนี้เลย ผมพยายามคิดหลายแบบแล้วว่าจะเริ่มต้นเรื่องนี้ยังไงให้มลโกรธน้อยที่สุด แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็จะใช้ความจริงใจของผมเข้าสู้แล้วนะ!!” โหมดคำพูดจริงจังของพี่โน่ ทำให้แม่ของผมคิดหนักอีกครั้ง

“จากประสบการณ์…. คำพูดของโน่แทบจะเชื่อถือไม่ได้เลย รู้ใช่ไหม?” แม่ผมผ่อนลมหายใจพลางตอบกลับมา

“รู้สิ.. ไม่ใช่ครั้งแรกนี่นะ ที่ผมมาขออะไรแบบนี้!!”

“เพราะแบบนี้เราเลยไม่สามารถลงเอยกันได้ เพราะมลรู้ว่า มลคบกับโน่ได้แค่เพื่อนนะดีที่สุดแล้ว!! ถึงแม้ในตอนนั้นจะผิดหวังกับโต้งมาก็ตาม” คำตอบของแม่ผม ทำให้ผมอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก

“เอาน่าๆ มล โต้งขอช่วยมันพูดได้ไหม? โต้งไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้กับใครมานานแล้ว มันจริงจังนะ!!” ลุงโต้งช่วยพูดเสริมขึ้น ผมแปลกใจนะที่ลุงโต้งยังนั่งอยู่ในห้อง เพราะแทบจะไม่รู้สึกตัวเลย ความโกรธของแม่ทำให้ผมความสนใจของผมพุ่งไปที่เดียว

“คุณก็เอากับเขาด้วย! อย่าบอกนะว่ารู้เรื่องนี้นานแล้วแต่ไม่ยอมบอกมลน่ะ!” แม่ผมมีท่าทีน้อยใจในน้ำเสียง

“ก็รู้ไงว่ามลเคยยื่นคำขาดกับมันไปแล้ว ผมเป็นกลางก็ลำบากใจนะ คนหนึ่งก็เพื่อน คนหนึ่งก็เมีย แต่ผมรู้จักเพื่อนผมดี  ครั้งนี้มันจริงจังนะ” ลุงโต้งเองก็พยายามหว่านล้อมให้แม่ใจเย็นๆ ลงหน่อย

แต่สุดท้ายแม่ก็ยังโวยวายลั่นบ้านไม่เลิก ผมผู้ไม่เคยกลัวใครยกเว้นแม่ได้แต่นั่งก้มหน้ารับผลที่จะเกิดขึ้นด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ผมรู้ว่าคนดื้อดึงอย่างแม่ไม่มีทางยอมรับเรื่องแบบนี่ได้แน่นอน ยิ่งเคยเอ่ยปากห้ามไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะดื้อดึงเพียงใด

จากห้านาที ณ จุดเริ่มต้น ยาวนานไปจนถึงเกือบจะหนึ่งชั่วโมง แต่สำหรับผมมันเหมือนเวลาถูกยืดยาวไปมากกว่านั่น ผมเหมือนอยู่ท่ามกลางสมรภูมิผู้ใหญ่ที่คนหนึ่งผิดหวังและโกรธเกรี้ยวที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจ ไม่ชอบการผิดคำพูด อีกคนก็พยายามแสดงความจริงใจและแสดงจุดยืนของตนเอง ส่วนอีกคนได้แต่พยายามกล่อมและหว่านล้อมให้ทุกคนหาจุดกึ่งกลางของความต้องการแต่ละฝ่ายได้

“มลต้องการให้ผมพิสูจน์อะไร ผมทำได้หมด เพียงแต่อย่าแยกพวกเราออกจากกันเลย ผมรอของผมมานานกว่าที่ลูกของมลจะยอมรับรักผม ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครเลย ผมคงรักใครไม่ได้นอกจากไอซ์!!”

ผมรู้สึกสะท้านเมื่อผมฟังจบประโยค ที่ผ่านมาผมคบกับทุกคนด้วยความต้องการทางเพศของผมเท่านั้น แต่การโดนใครสักคนรักผมมากมายขนาดนี้ ผมเพิ่งจะเคยรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก

“เพราะมลรู้จักโน่ดี เลยรู้ไงว่าความรักของโน่มันไม่มีอยู่จริง โน่ไม่เคยเชื่อใจใคร ไม่เคยไว้ใจใคร และไม่เคยมีใครที่จริงจังด้วยเลย!! มันทำให้มลไม่สามารเขื่อถือคำพูดของโน่ได้!!” คำพูดทำนองนี้ออกจากปากแม่ผมตลอด 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“มล….” ลุงโต้งเดินมาจับมือแม่ของผมที่กำลังสั่นเทา เป็นภาพที่เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ

“มล….. เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่า หากเป็นนีโน่คนเก่า เขาจะไม่ทนฟังมลแบบนี้ ป่านนี้คงลักพาตัวไอซ์ไปเสพสุขที่ไหนสักแห่ง ไม่กลับมาแล้ว แต่มลรู้ใช่ไหมว่าทำไมผมไม่ทำแบบนั้น!”  เป็นคำพูดของคนที่ผมรัก และทำให้ผมกลัวได้ในเวลาเดียวกัน

นี่มันเคยทำอะไรแบบนั้นจริงหรือวะ? ผมคิดพลางขนลุกไปพลาง

“งั้นพิสูจน์มาเรื่องหนึ่ง!” เหมือนแม่ผมคิดอะไรออก จึงตัดสินใจพูดออกมา

“ได้!! ผมรับปากได้ทุกเรื่องหากจะพิสูจน์ให้มลรู้ว่าผมจริงจังแค่ไหน?” พี่โน่ยึดอกมั่นใจ

“งั้นโอนที่ดินตรงศาลากลางจังหวัดให้ไอซ์!” แม่ผมพูดอะไรที่ทำให้ผมงงมาก ของแค่นี้มันจะไปพิสูจน์อะไรได้

แต่สีหน้าตกใจของพี่โน่ทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมา

“มล!! มลก็รู้ว่า กว่าที่ไอ้โน่มันซื้อที่ดินของเตี่ยมันคืนยากแค่ไหน! ทำไมถึงได้…..” ลุงโต้งที่ตกใจไม่ต่างจากเพื่อนของเขาโพล่งพูดขึ้นมา

“ตกลง!!” พี่โน่พูดตัดบทลุงโต้ง และเป็นลุงโต้งที่ตกใจมากกว่าแม่ผมเสียอีก

“เฮ้ยๆๆ ไหนมึงบอกว่าจะเก็บที่ดินนั้นไว้นะลึกถึงเตี่ยมึงไง! ที่ดินที่มึงเติบโตมา ที่ดินที่พ่อมึงขายส่งมึงเรียน!!” คำพูดของลุงโต้งถูกหยุดโดยผ่ามือที่ผายขึ้นมาของพี่โน่

“ไม่เป็นไร… ของๆ กูก็เหมือนของแฟนกู” พี่โน่พูดด้วยถ้อยคำมาดมั่นไม่ละสายตาจากแม่ของผม

“เอาไปคิดดูก่อนสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบ” แม่ผมพูดสวนกลับแทบจะทันที

“แม่ แบบนี้มันเกินไปไหมครับ?” ผมที่เงียบอยู่นานเริ่มทนไม่ไหวเลยเผลอแทรกบทสนทนาเข้าไป

แม่ผมจ้องกลับตาแทบจะลุกเป็นไฟ ผมก้มหน้าโดยอัตโนมัติ

“กลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้ แม่ขอกักบริเวณลูกจนกว่าจะเปิดเทอม ไปสำนึกผิดในห้อง ถ้าไม่เรียกไม่ต้องออกมา!!”  เสียงแม่ผมดังแหวกอากาศมาถึงผม

“Mom! Is doesn’t make any sense!!”  ผมโวยขึ้น

“Isack!!, don’t make me do the hard way, go now!!” แม่ผมสวนกลับด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรงดั่งไฟ

ผมผ่อนลมหายใจแรง และเดินกระทืบเท้าจากไป ด้วยน้ำตาที่คั่งค้างอยู่ในดวงตา

ก่อนขึ้นไปถึงชั้นสอง ผมได้ยินแม่พูดเสียงดังเป็นการเชิญแขกให้กลับไปได้แล้ว

“หมดเรื่องที่จะคุยแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน!!”

ไม่นานต่อจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับออกจากบ้านไป พร้อมอาการหน่วง ๆ ในทรวงอก ผมเผลอจับหน้าอกตัวเอง รู้สึกถึงความว่างเปล่าภายใน แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 26) 5 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-08-2022 15:24:46
Comment
เคยคิดว่าตัวเองเขียนฉาก NC เยอะไปไหม แต่มือมันพิมพ์ไปเพลินๆ ก็เลย เลยตามเลย
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 26) 16 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-08-2022 12:06:06

…………

สามวันผ่านไปที่ผมนั่งๆ นอนๆ กลิ้งไปมาบนห้องนอนของตนเอง ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเฟอร์นิเจอร์บิ้วด์อินสวยงามกลับกลายสภาพเป็นคุกย่อมๆ ไร้ซึ่งอิสระภาพ

“ถามจริง ใครเขาจะมาลงโทษอะไรกันแบบนี่อยู่วะ!” ผมบ่นงึมงำอยู่คนเดียว

สามวันที่แสนเงียบเหงา ผมลงจากห้องได้เพียง สามครั้งต่อวันคือแค่เวลากินอาหารสามมื้อ โทรศัพท์สมาร์ทโฟนก็โดนยึด ไวไฟก็โดนเปลี่ยนรหัสผ่าน นี่มันเหมือนคุกกลางเกาะร้างชัดๆ

ที่สำคัญที่สุด พี่โน่ก็หายไปเลย ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้เลยสักทางเลยไม่รู้ว่าเรื่องที่คุยค้างกันไว้มันไปถึงไหน?

ขนาดพี่ชายผมมันยังทำได้แค่แอบมาเยี่ยมผมในห้อง แม้แต่มันก็โดนยึดโทรศัพท์ให้ใช้ได้แค่ชั้นล่างเท่านั้น

“เสียใจว่ะ น้องชาย หากกูบอกรหัสผ่านไวไฟมึง กูคงโดนตัดหางไปด้วยแน่ๆ กูทำได้แค่มาเยี่ยมมึงและไปบอกกับพี่โน่ให้รู้ว่ามึงสบายดี!” พี่ชายผมบอกถึงความพยายาม

ผมเครียดจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว แบบนี้ทำให้ผมนึกถึงไอ้ต้นน้ำกับพี่จินไห่เลย การอยู่ห่างกันโดยติดต่อไม่ได้มันทรมานแบบนี้เอง

หรือว่าผมกำลังโดนทดสอบอยู่เหมือน แต่แม่ผมไม่ได้ใจดีเหมือนแม่ของไอ้ต้นน้ำมันแน่นอน

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่นอนหลับตาและปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไปเผื่อว่า ลืมตาขึ้นมาผมจะเจอกับข่าวดีก็ได้

……….

“พี่ขอโทษ…..” ประโยคสั้นๆ จากดวงตาเศร้าๆ ของพี่โน่ ดังก้องขึ้นในหัว

ภาพทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ภาพที่แม่ยิ้มเยาะและลั่นวาจาเลิกคบกับพี่โน่ ภาพที่พี่โน่เดินจากไปลับตา ภาพมือที่ผมไขว้คว้าอากาศแต่กลับไร้ซึ่งเสียงที่จะดึงรั้งอีกฝ่ายไว้

ภาพที่ขาถูกลากตรวนไว้กับที่ขยับไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงมองภาพความว่างเปล่าตรงหน้า

“ไอซ์!! ลูก!! เป็นอะไร?” เสียงแม่ผมดังก้องไปทั่วโสต

ผมลืมตาขึ้นมาในความสว่างของห้องซึ่งผ้าม่านถูกผูกมัดไว้ที่มุมห้องเผยให้เห็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ซึ่งแสงสว่างของช่วงสายของวันสาดส่องเข้ามาอย่างเต็มกำลัง

ผมลุกขึ้นนั่งมองสำรวจรอบห้อง พบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียงของตนเองพร้อมกับความเปียกชุ่มทั่วใบหน้า

นี่….ผม…. เป็นอะไรถึงขั้นนี้เลยเหรอเนี่ย?

ผมคิดพลางปาดเช็ดความเปียกชื้นด้วยแขนเสื้อของตนเองภายใต้สายตาของแม่ตนเอง

“แม่จะไม่ถามนะว่าฝันร้ายเรื่องอะไร แต่ช่วงนี้คงไม่ใช่เรื่องพ่อใช่ไหม?” ผมลุกขึ้นยืนพลางพูดเหมือนเห็นภาพในฝันพร้อมกับผม

ผมนิ่งไม่พูดอะไร

“ที่ดินผืนนั้น เป็นมรดกแห่งสุดท้ายที่พ่อของนีโน่ทิ้งไว้ให้ ก่อนตายพ่อของนีโน่บอกให้ขายเพื่อชดใช้หนี้สินของบ้านและเอาเงินที่เหลือไปตั้งตัว….. กว่าที่นีโน่จะตั้งตัวได้ก็หลายปี ที่ดินผืนนั่นเปลี่ยนเจ้าของไปมากมายจนกระทั้งไปตกอยู่กับ เจ้าสัวที่ดินของจังหวัด….”

พอแม่ผมพูดถึงตรงนี้ ทำให้ภาพในหัวนึกถึงใครบางคนเข้า ไอ้คนที่มันน่าต่อยปากฉีกสักหมัด

“กว่าจะได้มันกลับคืนมา นีโน่เสียอะไรมากมายแถมยังถูกขายในราคาแสนแพง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เสี่ยใจดีเลยช่วยให้สามารถซื้อได้ในอีกราคาหนึ่ง โดยมีข้อผูกมัดหลายเรื่อง จนตอนนี้ แม้แต่เสี่ยเองก็ยังเกรงใจนีโน่เพราะความเก่งกาจในการบริหารงาน”

“แม่รู้ขนาดนี้แล้วทำไมยังไปเอาของมีค่าทางจิตใจขนาดนั่นมาล่ะ!!” ผมรู้สึกของขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“แล้วคิดว่ามันแม่จะยอมเสียของที่แม่รักที่สุดไปให้คนที่แม่ไว้ใจเรื่องความรักน้อยที่สุดแบบนั้นล่ะ!!” คำตอบของแม่ทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออกเลย

“อาบน้ำแต่งตัวเถอะ วันนี้นีโน่นัดแม่มาคุยกันที่บ้าน”
พูดจบแม่ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมจมอยู่ข้อมูลที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

………….

การแต่งตัวของผมในวันนี้อยู่ในรูปแบบ unmix and not match ความคิดในหัวมันแตกซ่านไปหมด ผมหยิบอะไรมาใส่บ้างผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

ผมยืนยื้อยุดอยู่นานหน้าประตูภายในห้องก่อนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะผ่อนลมหายใจและคว้าลูกบิดประตูเปิดกว้าง

ภายในห้องรับแขกที่มีสมาชิกครอบครัวอยู่กันครบพร้อมหน้าและแขกคนสำคัญอีกหนึ่งคน คนที่ผมแทบไม่กล้ามองหน้า

บรรยากาศภายในห้องกลับเงียบงันสวนทางกับทุกครั้งที่แก๊งนี้อยู่ด้วยกัน มวลอากาศหนักอึ้งลอยวนไปมาอยู่ห้องที่ได้ยินแต่เพียงเสียงหายใจของคนภายในห้อง

ผมเดินมานั่งตามจุดของสายตาที่แม่ส่งมาให้ ซึ่งอยู่คนฟากห้องกับพี่โน่

พี่โน่ที่ได้แต่นั่งก้มหน้าไม่พูดจาพร้อมจับกองเอกสารบางอย่างบนโต๊ะอย่างแน่นหนา

เสียงหัวใจของผมมันร่ำร้องออกมาว่าอยากจะวิ่งไปกอดคนตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ผมไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหนักใจอะไรขนาดนี้มาก่อน

คนที่หนักแน่นและกล้าหาญเผชิญหน้ากับทุกสิ่งกลับกลายเป็นคนอ่อนแอและมีความกังวลหนักอึ้งเต็มบ่า ผมพยายามเลี่ยงที่จะมองเขาตรงๆ

“โอเค…โน่! เรื่องที่คุยกันเมื่อวาน นายจะยอมใช่ไหม? ยอมที่ขายที่ดินผืนนั้น!” แม่ผมผ่อนลมหายใจเสียงดังก่อนที่จะพูดออกมา

อยู่ๆ ก็มีข้อมูลใหม่โผล่ขึ้นมา ตอนแรกมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา การขายแปลว่าไม่ได้ยกให้ผม แปลว่าจะให้พี่โน่เสียสละที่ดินมรดกของตระกูลที่ได้กลับคืนมาอย่างยากบำบากเหรอ?

“อืม….เสี่ยเขายอมซื้อคืนในราคาเท่าเดิม…หึ.... แฟร์กว่าที่คิด” พี่โน่พึมพำตอบกลับมา

“เดี๋ยวก่อนครับ!!” ผมพูดสวนแม่ออกไป ทำให้สายตาทุกคนจดจ่อมาที่ผมทันที

“ผม…. ผม….. ผมยอมแล้วครับ ผมยอมที่จะเลิกติดต่อกับพี่โน่ก็ได้ครับ” เสียงสั่นๆ ของผมดังทั่วห้อง ประโยคนี้สร้างความประหลาดใจกับทุกคนยกเว้น………..แม่ของผม

“จะให้พี่โน่เสียสละอะไรขนาดนี้ผม…… ผมยอมเป็นคนเสียใจดีกว่าครับ แม่ผมยอมแล้ว ผมจะเลิกคบ เลิกติดต่อกับพี่โน่ก็ได้ครับ!!” ดวงตาที่ร้อนผ่าวของผมมองไปทางแม่บังเกิดเกล้าด้วยสายตายอมแพ้

“พี่โน่ ๆ ไม่ต้องขายแล้วนะครับ โทรไปยกเลิกเถอะครับ แล้วก็ขอโทษนะครับที่ผมไม่เข้มแข็งพอ…” ใช่ครับ ทำไมตัวเองอ่อนแอขนาดนี้วะ พูดไปน้ำในตามันก็ล้นออกมาด้วยความอึดอัด

ขาของผมก้าวเกินออกไปจากจุดเดิม ด้วยยอมแพ้ในความอ่อนด้อยของตนเอง ผมทำได้เพียงก้าวออกจากชีวิตของพี่โน่

อนิจจาน้ำในตามันเอ่อล้นจนผมแทบจะมองทางไม่เห็น ขาก็อ่อนแรงไม่สมกับเป็นนักกีฬาเลยกู ทำได้เพียงก้าวช้าๆ ออกจากห้องรับแขกอันอืมครึม

สุดท้ายผมก็ถูกมือหนึ่งดึงรั้งไว้ ผมหันกลับเจอสัมผัสที่คุ้นเคย ภาพที่คุ้นตา แต่มันคงไม่มีอีกแล้ว ผมยื้อสุดแรงที่จะให้อีกฝ่ายปล่อยให้ผมเป็นอิสระ แต่ก็อย่างที่รู้ผมไม่เคยสู้แรงคน ๆ นี้ได้เลย

“พอสักทีมล!! เธอได้คำตอบที่เธอต้องการหรือยัง!!” ประโยคที่ผมได้ยินจากปากคนที่ดึงผมมากอดไว้ในอ้อมแขนได้สำเร็จง่ายดาย น้ำมูกน้ำตาผมตอนนี้เปรอะเลอะเสื้อเขาไปหมดจากการถูกกดหน้าลงไปจมอยู่กับหน้าอกที่ต่ำกว่าคอของผม มันดูทุลักทุเลไปหน่อย แต่ผมก็รู้สึก…. อบอุ่น….

ห้องทั้งห้อง บ้านทั้งบ้านเงียบงันลงทันใด เสียงใบไม่แห้งที่ปลิวลอยเลี่ยพื้นดังเข้ามาถึงในห้องรับแขกได้อย่างง่ายดาย

แม่ของผมทำหน้านิ่งครุ่นคิดคำนวนต่างๆ ในใจ สังเกตได้จากการหัวคิ้วชนกันจนแทบจะกลายเป็นเส้นเดียวกัน

“มล” ลุงโต้งผู้ทำลายความเงียบนี้ลง มันเป็นช่วงสั้นๆ ที่แสนยาวนาน

“เฮ้อ….!! ไม่มีใครเข้าใจมลเลย มลไม่เคยคิดรังเกียจว่ากล่าวเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของลูก มลรู้ แต่มลแค่ไม่อยากให้ลูกคบกับคนแบบโน่!!” แม่พูดถึงตรงนี้ก็หยุดและทำสีหน้าสำนึกผิดที่หลุดปากบางอย่างที่รุนแรงกับเพื่อนของตนเองเกินไป

“เราเข้าใจ!!” เสียงอ่อนๆ ของพี่โน่ดังก้องในหูของผม

“จะให้มลฝากฝังแก้วตาดวงใจของมลให้กับคนอย่างโน่ มลทำใจไม่ได้ ขอโทษนะโน่ แต่เรารู้จักกันมานาน รู้จักกันดีเกินไป เกินกว่าที่ยอมเอาสิ่งที่สำคัญของตัวเองไปเดิมพันแบบนั้น!!” แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเสียใจ

“แม่….” ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ รับรู้ถึงความรักที่แม่มีให้อย่างท่วมท้น แต่ทำไม่ผมก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่แบบนี้

“มลเลยขอเดิมพันครั้งสุดท้าย…. มลไม่ได้อยากได้สมบัติอะไรจากโน่ เพียงแค่อยากให้ทั้งสองพิสูจน์ความมั่นคงในรักให้เห็น เพราะว่า…. โลกใบนี้มันไม่ง่ายกับคนแบบพวกเธอเลย แม้ว่าจะแข็งแกร่งกันแค่ไหน แต่ก็ยังอยากจะพิสูจน์ว่า รักครั้งนี้มันเข้มแข็งพอ…..”  แม่ปาดน้ำตาที่ท้ายประโยค

“ตอนนี้………. แม่รู้แล้ว” แม่เดินมาหาผม ดึงผมไปกอดอย่างอ่อนโยน ผมย่อตัวลงไปกอดแม่แบบหน้าเสมออกเช่นทุกครั้ง

“แม่เข้าใจแล้ว” แม่ลูบศรีษะผมอย่างอ่อนโยน

“ครั้งนี้ลูกจริงจังกว่าทุกครั้ง ลูกยอมเสียสละความสุขของตนให้กับคนที่รัก! สิ่งนี้มันยิ่งใหญ่มากนะ” แม่ประคองศรีษะผมให้เงยขึ้นและใช้สันจมูกสัมผัสหน้าผากผมและสูดดมด้วยความรัก

“ลูกแม่โตเสียแล้ว” จบประโยคน้ำตาจากคนเบื้องบนก็หยดลงบนใบหน้าของผม

ผมสวมกอดแม่แนบแน่นขึ้น แม่เองก็กอดผมแน่นขึ้น เราสองแม่ลูกกอดกันแนบแน่น และหัวเราะใส่กันในลำคอเบาๆ

“ดีจัง” พี่โน่ที่ยืนยิ้มอย่างพอใจ พูดจบก็เดินอ้าแขนโผเข้ามาใกล้ อ้าแขนกว้างเตรียมโอบสองแม่ลูกที่กอดกันกลมตรงหน้า

แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะโดนฝ่ามือผู้เป็นแม่ผายออกมาขวางไว้

“อะไรน่ะ!?!” พี่โน่โยกคิ้วสงสัย

“ฉันเคลียร์กับลูกแล้ว ฉันยอมรับเรื่องที่ลูกจะคบกับเธอแต่ฉันยังไม่ยอมรับเธอมาคบกับลูกของฉัน!!” แม่เงยหน้าและหันไปพูดกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ท่ามกลางความมึนงงของคนในห้องรับแขก

“แม่…..!!” ผมเรียกแม่เป็นเชิงตั้งคำถาม

“นั่นสิ อะไรวะ? งงแล้วนะ” พี่โนกอดอกคิ้วขมวด

ลุงโต้งที่เหมือนรู้ถึงสถานการณ์แบบนี้ได้เพียงพยักหน้ากับแม่ของผม เป็นเชิงรู้ใจกัน เข้าใจแล้วว่าทำไมสองคนนี้ถึงรักกันได้

“ฉันไว้ใจให้ลูกของฉันคบกับเธอแบบแฟนก็จริง แต่ฉันยังไม่ไว้ใจเธอนะ เพราะเวลาเธออยากได้อะไรเธอก็ทำแบบนี้ทุกครั้ง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่สุดท้ายพอได้มาเธอก็ไม่เห็นค่า!!” แม่ผมพูดใส่หน้าพี่โน่อย่างแรง

“เธอจะเอาความรักของเราไปเปรียบเทียบกับพวกของเล่นหรือธุรกิจแบบนั้นสิ มันไม่เหมือนกัน ไม่เชื่อถามไอ้โต้ง!!” พี่โน่ให้เหตุผลด้วยสีหน้าจริงจัง และโยนทุกอย่างใส่เพื่อนสนิทอีกคน

“เออ!! จริงของมัน!” ลุงโต้งเสริม

ส่วนแม่ของผมมองลุงโต้งคิ้วขมวดพลางทำปากเป็นคำพูดว่า ‘คุณ!!’

“นั่นแหละ! ยังไงก็ไม่ไว้ใจ” แม่ยังคงยืนกรานหนักแน่น

“แล้วจะให้เราทำอย่างไร เธอถึงจะเชื่อ!!” พี่โน่สวนกลับด้วนสีหน้าจริงจังกว่าเดิม

“1 ปี” คำพูดสั้นๆ จากปากแม่

“หา?!?” พี่โน่ยกคิ้วสงสัยอีกครั้ง

“1 ปีที่เธอต้องวางเขี้ยวเล็บ”

“ได้!!”

“ไม่ใช่แค่นั้น!”

“อะไรอีก?”

“ย้ายมาอยู่กับไอซ์ นอนห้องเดียวกันไปเลย!!”

“แค่นี้เองสบายมาก แต่ไม่รับประกันนะว่าลูกชายเธอจะปลอดภัย!!”

พี่โน่พูดจบประโยค ผมนี่แทบจะเอาหน้าซุกแผ่นดิน ต่อให้ผมกับแม่เปิดเผยกันแค่ไหน แต่เรื่องบนเตียงผมไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลยนะ แม้ว่าแม่จะรู้อยู่บ้างก็เถอะ

“ได้ คบกันแล้วจะให้ห้ามกันคงลำบาก แต่อย่าให้ดังเหมือนเมื่อคืนก็แล้วกัน ฉันนอนไม่หลับเลย!!” แม่พูดออกมาด้วยหน้าตาเฉยเมย แม้แต่ไอ้พี่โน่มันก็ยังหน้านิ่งเหมือนกัน

ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่

“แม่!!” ผมร้องพลางเขย่าแม่ให้พอเสียที

แม่ลากผมออกไปจากจุดเดิมสามก้าว และหันมากระซิบกับผม

“เอาน่า แม่จะวัดใจครั้งสุดท้าย อย่างโน่น่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เดี๋ยวจะไม่เห็นหางที่ซ่อนไว้แม่ก็ปล่อยให้มันมาทดลองอยู่กับลูกไปเลย ตั้งหนึ่งปี! แม่ว่าสามเดือนมันก็ทนการอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ไหวหรอก!!”

“แม่!!” ผมกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อว่าจะได้ยินจากแม่ตัวเอง

“เออน่า!! อยู่ห้องเดียวกันจะจัดทุกวันแม่ก็ไม่ว่า อยากรู้ว่ามันจะทนได้นานแค่ไหน!!”

ผมยกมือกุมขมับเมื่อได้ยินแผนการของแม่ตัวเอง รู้แล้วว่าทำไมสามคนนี้ถึงได้คบกันได้ เพราะศีลเสมอกันมากเลย

“ตกลงตามนี้ไหม?!?”แม่หันไปยิ้มใส่เพื่อนตนเองและยกมือเพื่อจับมือทำสัญญากับอีกฝ่าย

“ไม่เห็นยาก” พี่โน่ไม่รอช้ายกมือขึ้นจับมืออีกฝ่ายแน่นและขยับขึ้นลงเป็นอันเสร็จสิ้นสัญญา

1 ปีหากทำได้ จะให้คบต่อไป แต่หากทำไม่ได้ เหลวไหลแม้นิดเดียวก็เป็นอันจบกันไป โดยมีแม่ที่มีหูตาเป็นสัปรสค่อยสอดส่องดูแลอยู่

………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 27) 23 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-08-2022 17:11:28
สองวันนับแต่วันแห่งพันธสัญญาระหว่างแม่ผมกับพี่โน่ พี่โน่พาตัวเองมาอาศัยอยู่บ้านผมเป็นที่เรียบร้อย โดยพักอยู่ในห้องเดียวกับผมนี่แหละ

พี่โน่แทบจะไม่เอาอะไรมาอาศัยด้วยเลยนอกจากชุดนอนสองสามชุดและอุปกรณ์ปฎิบัติการยามราตรีอีกหนึ่งกล่องใหญ่ ทำให้ผมอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ว่าแค่นี้จะพอเหรอ?

พี่โน่ตอบกลับประมาณว่า เขาไม่ลำบากที่จะกลับบ้านเป็นระยะๆ เพื่อเตรียมเสื้อผ้าสะอาดมาเพราะมีร้านซักรีดในเครือบริษัทฯ ดูแลอยู่แล้ว

“รวมถึงกางเกงในด้วยเหรอ?” ผมถามอย่างอยากรู้

“อืม! พี่มีผู้ช่วยคอยซักให้ต่างหากน่ะ”  พี่โน่ตอบกลับหน้าตาเฉย

“ใครจะมาคอยซักกางเกงในให้กันบ้าง?!?!” ผมว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นทะแม่งๆ

“หึง?” พี่โน่เลิกคิ้วมองมาทางผม

“เปล่า!!”

“เหรอ?” ผมโดนอีกฝ่ายโผเข้ามากอด ดีนะมี่เราอยู่กันในห้อง เลยไม่ต้องกลัวสายตาใคร

“…… อะแฮ่ม!!…. จะให้ผมซักให้ก็ได้นะ” ผมพูดลอยๆ

“โอย! อย่าเลย ขนาดของตัวเองยังไม่มีเวลาซักให้ตัวเองเลยจะมีเวลามาซักให้พี่ได้ยังไง ปี4 แล้วนะ เรียนสถาปัตยกรรม งานมันเยอะไม่ใช่เรอะ เอางี้มารวมกับพี่ไหมเดี๋ยวพี่จ้างซักให้ เดี๋ยวจะบอกคนซักให้นะ ว่าของเมียพี่ช่วยดูแลดีๆ ด้วย”  พี่โน่พูดจบก็กอดผมแน่นและเขย่าไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวโดนวางยา!!” ผมรีบปฏิเสธ ผมรู้สึกว่าตั้งแต่พี่โน่เปิดตัวผม ผมรู้สึกมีศัตรูเยอะขึ้น

“ใครมันจะกล้า!! ก็ลองดูสิ พี่จะจัดการมันให้มันไม่กล้าแม้แต่จะคิดร้ายกับน้องเลย!!” พี่โน่หอมผมดังฟอดใหญ่  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัดอย่างเมามัน

“พี่นี่เอ๊ะอ่ะก็ใช้กำลัง” ผมสะบัดอีกฝ่ายออกด้วยสีหน้ารำคาญ แต่ปากมันดันทรยศ ยิ้มจนแก้มปริ

สักพักพี่โน่ก็โผมากอดอีกครั้ง ผมทำได้แต่ผลักและไล่อีกฝ่ายไปทำงานได้แล้ว ผมทำแบบนี้มาร่วมสองวันแล้ว และคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ การโดนอีกฝ่ายวอแวก่อนที่จะจากกันไปทำงาน

“อ้อ!! แล้วอย่าลืมที่คุยกันนะ อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องของเราจนกว่าจะครบ 1 ปีนะ” ผมชี้หน้าอีกฝ่าย

“มีใครยังไม่รู้อีกเหรอ อย่างน้อยลูกน้องพี่ก็รู้หมดแล้ว!!”

“ก็อย่าไปเล่าต่อเข้าใจนะ!!” ผมกำชับเสียงหนักแน่น

“จ้าเมีย ผัวจะสั่งให้มันปิดปากให้สนิท ไม่อย่างนั้นจะฝังปากกับตัวมันลงดินแทน!!”

“โหย! เกินไป แค่สั่งทุกคนก็กลัวแล้วไหม? อีกอย่างผมขนลุกอ่ะเวลาเรียกกันผัวเมียแบบนี้!!”

“จ้าๆ งั้นเรียกแฟนเหมือนเดิมได้ไหม?” พี่โน่ยิ้มตาปิด

“เออๆ จะไปไหนก็ไป!!” ผมโบกมือไล่อีกฝ่ายแกมผลัก

อีกฝ่ายได้แต่หัวเราะและเดินจากไป

……………

ในที่สุดก็เปิดเทอมเสียที ในที่สุดผมก็ขึ้นปีสี่อย่างเป็นทางการ ภาคเรียนแห่งการเรียนรู้และการทำงานเพื่อคะแนนอย่างหนักหน่วงตามที่รุ่นพี่ รุ่นต่อรุ่นเล่าให้ฟังต่อๆ กันมาก็มาถึง

แม้ว่าที่มหาวิทยาลัยผมต้องเรียนถึงห้าปีกว่าจะจบ แต่รุ่นพี่หลายๆคนต่างลือต่างเล่าอ้างกันว่าปีสี่นี่โหดสุด หากผ่านไปได้ ปีห้าก็ถือว่าไม่ยากเกินไป

ในขณะที่กำลังแต่งตัวพลางนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ไปพลาง ผมก็ถูกมือหนึ่งคว้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างหนักหน่วง

แม้ว่าระดับความสูงจากคนที่โอบจากด้านหลังจะต่างกัน แต่คนตัวเล็กทางด้านหลังก็ดูไม่เป็นอุปสรรคเพราะเขาดึงผมลงไปนั่งตักบนเตียงนอนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลในห้อง

“จะทำอะไรน่ะ เสื้อผมยับหมดแล้ว!” ผมดุคนที่ซ้อนอยู่ด้านล่าง

“คิดถึงแย่!!” พี่โน่ซุกหน้าลงบนหลังของผมและถูไปมาจนผมขนลุกไปหมด

“พอๆ ผมจะสายแล้ว! เมื่อคืนยังไม่พอใจหรือยังไง?”  ผมขืนตัวลุกขึ้น แต่ไม่เคยชนะแรงคนตัวเล็กได้เลย

“เมื่อวานอุตส่าห์ไม่ไปทำงานเพื่อที่จะได้อยู่กับไอซ์นานขึ้น คิดว่าพอ แต่มันไม่พอว่ะ” พี่โน่พูดทั้งๆ ที่ยังเอาใบหน้าซุกอยู่กลางหลัง

ปกติผมกับพี่โน่นอนจะนอนกกกันจนสาย เพื่อรอให้พี่โน่ที่ทำงานกลางคืนนอนเต็มตื่น แต่ช่วงที่ผมกังวลก็มาถึง วันที่ผมต้องไปเรียนช่วงเช้า

“เดี๋ยวผมรีบกลับนะ”

“วันนี้พี่ต้องไปดูสินค้าเข้าน่ะ คงออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงบ่าย”

ผมและพี่โน่นิ่งปล่อยทิ้งให้อากาศส่งเสียงวิ้งวี่ไปมาอยู่หลายวินาที ก่อนที่ผมจะขอตัวออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะสายแน่นอน แต่ก่อนออกจากห้อง แก้มผมก็ช้ำไปเป็นแถบเพราะเจอะเคราตอนเช้าพี่โน่ถูไถอยู่พักใหญ่

ผมขับรถไปถึงมหาวิทยาลัยเร็วกว่าที่คิดมาก จึงพอจะมีเวลาไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่ใต้ตึกของคณะฯ ก่อนเข้าห้องเรียน

ทุกคนทักทายกันอย่างสดใสยกเว้นบางคนที่ปาร์ตี้คิดต่อกันยันเปิดเทอมที่ยังมีอาการเมาค้างและอ่อนเพลียนอนฟุบหลับอยู่ตามมุมต่างของบริเวณใต้ตึกโดยไม่ได้สนใจเพื่อนๆ ที่ต่างทักทายและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วงปิดเทอมเพิ่มเติมอย่างสนุกสนาน

“พวกมึงจะคุยเชี้ยอะไรกันหนักหนาวะ!! วันนั้นยังคุยกันไม่พอเหรอไง!!” ไอ้ต้นน้ำที่ฟุบหลับอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมยืนเม้าส์มอยกับเพื่อนๆ เงยหน้าขึ้นมาโวยวาย

“มึงก็รู้ว่าทุกคนมันวูบกันไปตั้งแต่ชั่วโมงที่สอง คนจำพฤติกรรมวันนั้นของตัวเองได้หมดนี่กูว่าแปลก กรอกเหล้าใส่ปากยังกับอูฐขาดน้ำ!! มึงก็ด้วย!!” ผมหันไปสวนกับไอ้คนคออ่อนที่สุดในคณะฯ เพื่อนคนอื่นๆ ในบริเวณนั้นต่างเห็นด้วยโดยการหัวเราะและทำเสียงเออ ออ ในลำคอ

ไอ้ต้นน้ำทำได้แค่เบะปากใส่ทุกคนและหันมามองผมอย่างเคืองๆ

“อย่างน้อยนะ กูก็จำได้ว่า มึงหายหัวไปไหนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำวะ!!” ไอ้ต้นกล้าสวนกลับมากะว่าจะเอาคืน

ในระหว่างที่ผมลนลานเพราะเพื่อนๆ ต่างพยายามนึกถึงไล่เรียงเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ชายผมที่นอนฟุบอยู่ด้านหลังมันลุกขึ้นมาคว้าคอมันไปซุบซิบบางอย่างจนเห็นไอ้ต้นกล้าหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ไอ้คนผิวเข้มอย่างมันมันซีดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมเกิดความสงสัยว่าพวกมันสองคนคุยอะไรกัน

“พวกมึงท่าจะเมาจนไม่รู้เรื่อง ที่มันหายไปก็เพราะไปเคลียร์เรื่องที่พวกมึงเมาจนทำร้านเขาเละเทะนั่นแหละ!!” ไอ้เฟรมพูดเสียงเข้ม ในขณะที่ทุกคนเหมือนจะมีภาพบางอย่างเกิดขึ้นบนหัวและต่างคนต่างเบี่ยงเบนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น

สมเป็นพี่ชายผม ฉลาดมาก! ผมพอจะรู้ความเสียหายจากวันนั้นจากพี่โน่มาบ้าง โชคดีที่พี่โน่ไม่เอาความ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมทำหน้าเสียใส่วันนั้น พี่โน่ก็เลยยกหนี้เรื่องนี้ให้

พวกเพื่อนผมแค่รู้มาว่าเจ้าของร้านสนิทกับแม่ของพวกเราก็เลยไม่เอาความเท่านั้น

ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบใจพี่ชายที่มีสีหน้าซีดเซียวของตนเอง ผมจำได้ว่าเมื่อคืนมันไปนอนค้างบ้านไอ้ต้นกล้า เพราะจะไปวางแผนกันเรื่องทีมบาสฯ และการจัดงานชวนสมาชิกใหม่ปีนี้

แต่ทำไมพวกมันดูเพลียกันขนาดนี้นะ ไอ้นิสัยปาร์ตี้มันก็ไม่ใช่วิสัยพี่ชายผมเสียด้วย หลังจากเคลียร์เหตุการณ์นี้จบมันก็ฟุบหลับที่เดิมพร้อมกับไอ้ต้นกล้า

เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีสุนทรี พร้อมกับเดินโยกไปมาคล้ายจะเต้นประกอบกับเสียงที่สร้างขึ้นจากลำคอ ทำนองของเสียงที่เปล่งออกมาอย่างผิดจังหวะบวกกับการประสานท่าเดินโยกเยกไปมาคล้ายคนเมา แม้คนๆ จะหน้าตาดีแค่ไหนก็เหมือนคนบ้าอยู่ดี

“ปิดเทอมมานี่ทำมึงถึงกับเสียสติไปเลยรึไง!!” ผมทักไอ้คนไม่สมประกอบทางสติซึ่งกำลังเดินมาทางทิศที่ผมนั่งห่างออกไปไม่กี่ก้าว

“กู…..ช่างแม่ง กูอารมณ์ดี กูขี้เกียจฟังปากหมาๆ อย่างมึงตั้งแต่เช้า” ไอ้ต้นน้ำฮัมเพลงจบก็กระแทกก้นนั่งอยู่ข้างผม

“ไอ้เชี้ย ออร่าพวยพุ่งเชียวนะมึง ตั้งแต่กลับมาจากคุกมึงจัดกันไปกี่ดอกล่ะ?!” ผมทำเสียงอิจฉาแซะมันเหมือนปกติ

แต่ปกติจะมีไอ้ต้นกล้าเป็นลูกคู่แต่วันนี้มันหลับหมดฤทธิ์เสียอย่างนั้น รวมถึงพี่ชายผมที่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เพื่อซ้อมกีฬาตามปกติของกัปตันทีมบาสเกตบอล ซึ่งปีนี้มันควรต้องยกตำแหน่งให้รุ่นน้องปีสามได้แล้ว และมันก็ไม่ควรไปยุ่งกับการฝึกของน้องมากนัก เพราะเป็นธรรมเนียมของปีสี่ที่ห้ามลงทุกกิจกรรมเพื่อเพ่งสมาธิกับการทำงานโครงการจบส่งในเทอมและฝึกประสบการณ์ในเทอมสอง

ไอ้ต้นน้ำมี่อมยิ้มเหมือนรอให้พวกผมแซวให้จบจะได้ตอบทีเดียวเหมือนเช่นปกติ แม้จะแปลกใจที่วันนี้ผมเป็นคนเดียวที่แซวมัน แต่ก็ยอมตอบรับคำแซว (บวกอวด) ต่อทันที

“ถุงยางกล่องใหญ่ที่กูเก็บสะสมมาทั้งหมดกูใช้หมดในสัปดาห์เดียวมึงคิดดูสิ!!” ไอ้ต้นน้ำตอบด้วยรอยยิ้มตาปิด

“ถ้ากูเป็นพี่จินไห่แล้วมาได้ยินมึงพูดแบบนี้!! กูบอกเลยว่ามึงเตรียมตัวนอนในสวนได้เลย พูดเสียเสียงดัง มึงก็รู้ว่าเรื่องมึงดังไปทั้งโซเชียล!” ผมใช้มือสัมผัสกระโหลกหนาๆ ของมันดัง เพี๊ยะ

นอกจากมันจะไม่โต้ตอบแล้ว มันยังมีหน้าที่ลดสีสันลงเรื่อยๆ แสดงว่ามันก็กลัวพี่จินไห่ไม่น้อย

เห็นสภาพมันแล้ว ทำไมมันต่างจากเราจังวะ เพราะนอกจากพี่โน่จะไม่กลัวผมแล้ว ยังเจ้าเล่ห์กับผมตลอด

“ว่าแต่มึงล่ะ เก็บได้เยอะไหมปิดเทอมปีนี้ แต่ไม่ต้องเล่าให้กูฟังอีกแล้วนะ แต่ละเรื่องของมึงนี่….. บรือ….” ไอ้ต้นน้ำสั่นหน้าและทำท่าขนลุกจนผมอดที่จะขำมันไม่ได้

“มึงนี่ไม่ดูตัวเองเลยนะ ไอ้สัด!! เรื่องที่มึงเพิ่งพูดไปนี่ก็ไม่ต่างจากกูไหม?!?”

“เดี๋ยวๆ แต่กูก็มีคนเดียวนะ ไม่ใช่มึงที่ร่านไปทั่ว!”

“ไอ้สัด ว่ากูซะ เสียเลย!!” ผมยกมือเตรียมโบกศรีษะมันสักรอบแต่ก็ต้องสะดุด เมื่อลูกคู่ของผมมันดันฟื้นขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“ไม่นะ ปีนี้มันฟัดอยู่คนเดียวเหมือนมึงนั่นแหละ”

ผมหันควับไปมองมันตาขวาง ไอ้ต้นกล้าเหมือนจะรู้ตัวเลยชิงนอนหลับและทำเป็นละเมอไป

“มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ไอ้ต้นน้ำใช้นิ้วชี้ดันที่หว่างคิ้วผมอย่างจงใจและค่อยๆ ออกแรงดันไปเรื่อยๆ

“ปิดเทอมกูธรรมดา ไม่เหมือนมึง! ได้ข่าวผจญภัยน่าดูเลย” ผมพยายามเบี่ยงเบนประเด็น

“ก็เออดิวะ! นอกจากแม่กูจะท้าพิสูจน์อะไรกูตั้งเดือน แถมส่งกูไปลงนรกอย่างโดดเดี่ยวอีก! ที่พูดว่านรกนี่คือนรกจริงๆ รีสอร์ตเชี้ยอะไร ร้อนฉิบหาย สิ่งอำนวยความสะดวกก็น้อย เครื่องปรับอากาศยังไม่มีเลยมึง! แถมใช้กูยังกะลูกจ้าง กูเป็นหลานนะ มาทำงานให้ฟรีๆ นะจ๊ะ!! ดีอย่างเดียวคือกูมีห้องส่วนตัวแค่นั้น!!” ไอ้ต้นน้ำได้โอกาสบ่นยาว เหมือนเก็บกดที่ไม่สามารถระบายเรื่องนี้กับใครได้ที่บ้าน

“เออๆ แต่ก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนี่นา” ผมเสริม

“ใช่ โหย….กูบอกได้เลยว่ากูแม่งโคตรมีความสุข!! คุ้มค่ากับทุกอย่างที่ลงทุนทำไป เวลาไม่ต้องปิดบังใครนี่มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดไปเลย กูนี่แทบจะย้ายไปอยู่กับพี่ไห่เลย! ส่วนแม่กูก็เนียนมากินมื้อค่ำที่บ้านพี่ไห่แบบฟรีๆ ทุกมือ บางทีเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน กูนี่โดนรุมตำหนิเรื่องโน่นนี่จนกูแทบจะกินข้าวไม่ลง แต่ก็อย่างว่า แม้กูจะไปเอาคืนกับแม่ไม่ได้ แต่กับพี่ไห่กูนี่จัดหนักคืนให้ทุกคืน!” ไอ้ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าอวดๆ

“กูว่าแล้ววาามึงต้องอวด!!” ผมมองแรงใส่มัน

“มึงก็อวดกูกลับสิ แต่อย่างว่า มึงไม่มีแฟน!” น้ำเสียงเยาะเย้ยที่ผมรู้สึกเฉยๆ แบบจริงจัง จนไอ้ต้นน้ำรู้สึกถึงความผิดปกติ

“มึง!! ไอ้อากัปกิริยาแบบนี้มันผิดปกติ!! มึงมีอะไรปิดบังกู!!” ไอ้ต้นน้ำมีท่าทีคาดคั้น

บางทีผมก็รู้ว่าไอ้นี่มันฉลาดเป็นพักๆ

“พวกเธอ!! นี่มันกี่โมงแล้ว ทำไมยังไม่ขึ้นห้องเรียนอีก!!” อาจารย์แม่ประจำคณะฯ ตวาดกร้าวจากบริเวณทางเข้าอาคาร

ทำให้ทุกคนยกแขนที่สวมนาฬิกา หรือยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา และแล้วก็เกิดความเงียบพร้อมกับเสียงเก็บข้าวของอย่างโกลาหล

นี่คือเสียงระฆังช่วยชีวิต อย่างน้อยวันนี้ผมก็รอดจากการถูกไอ้ต้นน้ำเพื่อนสนิทผู้สอดรู้ไต่สวน

เพียงเวลาไม่ถึงห้านาที บริเวณใต้อาคารเรียนก็โล่งเหลือแต่เพียงชุดโต๊ะเก้าอี้เอนกประสงค์เท่านั้น

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 27) 29 ส.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-08-2022 10:57:01

ตลอดทั้งวันที่ไอ้ต้นน้ำพยายามระแคะระคายเรื่องของผมกับไอ้ต้นกล้าและไอ้เฟรม โชคดีที่ผมรู้ว่ามันเป็นไอ้โรคขี้อวด เลยปูทางให้มันอวดแฟนมันได้อย่างเต็มที่ เลยผ่านพ้นไปได้ทุกคาบเรียน

ในสุดก็มาถึงช่วงหมดเวลาเรียนที่คาบสุดท้าย ผมขอตัวออกจากห้องก่อนทุกคนเพื่อกลับมาบ้านเงียบๆ  เพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าถูกใจความเงียบสงบนี้

หลังจากล้มตัวลงนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนอันคุ้นเคยก็ตีจมูกหวนให้คิดถึงใครคนหนึ่งที่วันนี้บอกแล้วว่าจะกลับดึก

ผมแอบเอาจมูกซุกไซ้ที่นอนให้รู้ถึงความอบอุ่นหมุนวนในปอดซ้ายขวา

ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำนองจังหวะหนักแนวร็อคแอนด์โรล ทำให้รู้ว่าคนที่โทรมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนของตนเอง ผมคว้าโทรศัพท์ที่โยนไว้ไม่ไกลตัวก่อนล้มตัวลงนอนมามองหน้าจอที่ฉายชื่อของเพื่อนสนิทขึ้นมา

‘ต้นน้ำ’

ผมเบ้ปากเล็กน้อยก่อนที่จะเหวี่ยงแขนไปวางที่เดิมก่อนหน้านี้ ด้วยความอ่อนเพลียผมดันเผลอหลับบนที่นอนที่แสนสบายในช่วงยามเย็นอันสงบเงียบของบ้านหลังนี้

ติ้งน๊องงงง ติ้งน๊องงงง

เสียงกดออดเสียงดังลั่นต่อเนื่องอย่างไม่เกรงใจคนในบ้าน ผมลืมตาฟื้นคืนสติอย่างงงๆ ไม่รู้ตัวว่าตนเองหลับไปนานเท่าใด แต่ท้องฟ้าตอนนี้ก็มืดลงกว่าเดิมมาก

ผมงัวเงียเดินลงมาจากห้องชั้นสองอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าใครถึงได้กดกริ่งหน้าบ้านอย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้

ทันทีที่เดินมาถึงระยะที่มองเห็นได้ชัด ปากของผมก็สบถคำหยาบคายชุดใหญ่

“เฮ้ยๆๆ นี่กูเอง เพื่อนสนิทมึงไง” ไอ้ต้นน้ำที่ยืนหน้ามึนรอคำด่าทอจากผมแบบไม่สะทกสะท้าน

“มาทำไม กูกำลังนอนสบายเลย!!” ผมทำท่าทางไม่สนใจพร้อมที่จะเดินจากไปได้ทุกเมื่อ

“มึงๆๆๆๆๆ กูมีเรื่องปรึกษา” ไอ้ต้นน้ำยกมือไหว้หลอกๆ ตามประสาคนกะล่อน

“มันใช่เวลาไหมเนี่ย?” ผมยกนาฬิการุ่นสมาร์ทวอชท์ที่ข้อมือขึ้นมาดูตัวเลขพลางพูดกับเพื่อนสนิทอย่างไม่ใส่ใจ

“จริงๆ ให้กูเข้าหน่อย กูคันปากจะแย่!!”  ไอ้ต้นน้ำเคาะประตูรั่วเสียงสั่นระรัว

“ไปให้พี่ไห่ช่วยเกาไป” ผมไล่อีกรอบพลางนึกได้ว่าวันนี้พี่โน่น่จะกลับดึกเป็นปกติ คงไม่มาเจอมันเวลานี้ เพราะนี่เพิ่งหัวค่ำ

“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักพี่ไห่ คุยเรื่องแบบนี้พี่ไห่ก็นิ่งๆ ดีไม่ดีบอกให้กูเอาเวลาไปตั้งใจเรียน”  ไอ้ต้นน้ำกอดอก

“ก็ถูกของพี่เขา ถึงมึงจะหัวดีแต่มึงขี้เกียจ!! เอาเวลาไปตั้งใจทำงานไป!!” ผมหมดความอดทนกับไอ้เพื่อนเวรนี่

“ไอ้ไอซ์…..” มันเซ้าซี้ไม่เลิก

“มึงไปวอแวกับพี่ชายกูเถอะกูขอร้อง!!” ความรู้สึกตอนนี้คือต้องไล่มันไปให้เร็วที่สุด!! อยู่ที่มหาวิทยาลัยก็เหนื่อยกับการอวดเมียของมันทั้งวันแล้ว

“นั่นแหละๆ เรื่องที่กูจะคุยด้วย!!” หน้าตาของไอ้ต้นน้ำที่เหมือนถูกหวยทำให้ผมยิ่งสงสัยใคร่รู้

เผือกในอกในร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

……………..

“เชี้ย!!!!” ผมร้องอุทานด้วยเสียงอันดังหลังจากที่ผมได้ยินเรื่องที่ไอ้ต้นน้ำมันเล่า

“ใช่ไหม? ความรู้สึกเดียวกับกูตอนเจอมันออกจากห้องอาบน้ำที่สนามกีฬาด้วยกัน กูนี่แอบแทบไม่ทัน เสียอย่างเดียวกูไม่รู้ว่าแม่งคุยอะไรกัน แต่สิ่งที่กูสงสัยสุดๆ ก็ตรง ไอ้ต้นกล้าแม่ง บ่นประมาณว่าเจ็บตลอดการสนทนา แต่กูรูจักสีหน้านั่นดี พี่ไห่ทำให้เห็นประจำ มันแบบเจ็บปนสุขอะไรประมาณนั้น” สีหน้าตอนเม้าส์มอยของไอ้ต้นน้ำนี่มันสุดโต่งจริงๆ

“อืม….กูเข้าใจเลย แม่งไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าคนอย่างไอ้ต้นกล้ามันเป็นฝ่ายรับให้ไอ้เฟรม แล้วแมนๆ สองคนอย่างมันไปตกร่องปล่องชิ้นกันได้ยังไงวะ!!” ผมคิดถึงตัวเองขึ้นมา

“มึงพูดเหมือนมึงเคยเป็นแบบไอ้กล้าวะ?” ไอ้ต้นน้ำมองหน้าผมด้วยความสงสัย

“มึงพูดอะไรของมึง!!” ผมใช้มือไสหน้ามันไปมองทางอื่น

“กูพอจะระแคะระคายเรื่องไอ้ต้นกล้ามาบ้าง แต่ไม่นึกว่าไอ้เฟรมก็จะเล่นด้วย มันไม่เคยมีแฟนเป็นผูชายเลยนะ ไม่มีกลิ่นเลย ไอ้สองตัวนี้ไม่มีกลิ่นให้กูสงสัยเลย ถึงไอ่กล้ามันจะแคร์ไอ้เฟรมมาก แต่นี่มันก็เกินเพื่อนไปไหมวะ กูงงไปหมด!!” ในหัวของผมเต็มไปด้วยภาพย้อนหลังที่ผ่านมา

“ไอ้เฟรมมันเพิ่งโดนแฟนทิ้ง มันอาจจะแต่สับสนก็ได้!!”  ไอ้ต้นน้ำอยู่ๆ ก็พูดดูมีเหตุผล เหมือนไม่ใช่ตัวมัน เหมือนพี่ไห่สิงความคิดมันอยู่

ผมมองมันด้วยสายตาแปลกๆ อยู่พักใหญ่

“สับสนแบบนี้กูไม่โอเค ไอ้ต้นกล้า มันก็เพื่อนกูนะ พี่ชายกูไม่มีสิทธิ์มาทำกับเพื่อนกูแบบนี้ มาเล่นกับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้!!” ผมกำหมัดแน่น

“ใจเย็นก่อน มันอาจจะจริงจังก็ได้!! นี่แหละ! กูเลยมาคุยกับมึงเรื่องที่จะช่วยกันจับตามองพวกมันกัน” ไอ้ต้นน้ำจับรั้งมือผมไว้ ไม่ให้คิดไปไกลใจร้อน

“แต่แม่ง!” ผมกัดฟันกรอด ไม่รู้เอาความเดือดดาลเหล่านี้มาจากไหน

อาจจะโกรธที่พวกมันทำไม่มาปรึกษาผมเรื่องนี้  คิดไปไกลร้อยแปดเรื่องที่ไอ้พี่ชายหน้าเหมือนมันเลิกกับแฟนสาวดาวโซเชียลของมัน หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ไอ้ต้นน้ำรวบบ่าผมไว้ด้วยฝ่ามือหนาใหญ่ และใช้แรงกดลงจนกระทั้งผมขยับตัวไม่ได้

“ฟังกูนะ กูว่ามันมีเหตุผลของพวกมัน เราแค่เผือกอย่างมีสติโอเค!!” ไอ้ต้นน้ำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

เกือบดีแล้วครับมึง ไอ้คุณเพื่อน  ผมมองหน้ามันพลางคิดในใจแบบนั้น ตอนนี้ใจสงบลงแล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าตอบมันกลับไปแบบไหน เลยทำได้แค่ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ

“อะแฮ่ม!!” เสียงบุรุษปริศนาดังขึ้นไม่ไกล ผมกับไอ้ต้นน้ำหันไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เห็นคือชายร่างเล็กวัยกลางคน แม้จะมีใบหน้าที่ซีดกว่าปกติเล็กน้อยแต่แค่ดูก็รู้ว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเย็นขึ้นมาจนผมรู้สึกได้  ผมไม่รู้ว่าไอ้คนที่มาใหม่มันคิดอะไรอยู่แต่ แบบนี้มันอาการของคนกำลังเข้าใจผิดชัดๆ

ในสภาพที่ผมและไอ้ต้นน้ำกำลังใกล้ชิดกัน มือหนึ่งกุมมือกันแน่น มือหน่ึงจับไหล่อีกข้างแน่น เอาเข้าจริงมันเป็นสภาพปกติของเพื่อนสนิทสนทนากันอย่างจริงจัง แต่สำหรับมุมมองของคนขี้หึงอย่างคนตัวเล็กคนนี้ ผมว่ามันสามารถฆ่าไอ้ต้นน้ำให้ตายคาห้องรับแขกแห่งนี้ได้เลยนะ

ไอ้ต้นน้ำมันไปยุ่งกับน้องรักของพี่โน่คราหนึ่งแล้ว และตอนนี้มันยังจะมาวอแวแฟนของเขาอีก (แม้มันจะยังไม่รู้ก็เถอะ) จิตสังหารพวยพุ่งจนผมเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาเลย

“ทำอะไรกัน?” พี่โน่เค้นเสียงที่ดูธรรมดาที่สุดออกมา แม้ใบหน้าจะแสดงจิตอาฆาตมาทางไอ้ต้นน้ำ

แต่ไอ้ต้นน้ำดูมันจะไม่รู้ตัว โง่เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ มันคงเก่งแต่เรื่องเรียนจริงๆ

“ผมก็คุยกับเพื่อนผมตามปกตินี่ครับ” ฟังไอ้ต้นน้ำมันตอบด้วยท่าทีปกติ เออ! ดูก็รู้ว่ามันโง่!

แต่พี่โน่ดูท่าจะโดนม่านหมอกของอารมณ์บดบังความคิดจนมองไม่เห็นความซื่อบื้อของไอ้ต้นน้ำ สังเกตได้จากสายตาที่ส่งจิตคุกคามที่แม้แต่ผมยังรู้สึกอึดอัด

ไอ้ต้นน้ำมันก็ยังไม่ปล่อยมือผม

พี่โน่เดินอาด ๆ มาและจับผมกับไอ้ต้นน้ำแยกออกจากกัน ผมน่ะไม่เท่าไหร่ พี่โน่มันออมกำลังไว้ แต่ไอ้ต้นน้ำคือขยับถอยไปอีกสองก้าวได้

“เฮ้ย!! พี่โน่พี่เป็นอะไรวะ!?!” มีเสียงหงุดหงิดปนอยู่ในคำพูดของไอ้ต้นน้ำ แต่มันคงทำได้แค่นั้น เพราะมันรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ควรไปยุ่งด้วยโดยเด็ดขาด

“กูเกรงใจน้องไห่นะ ไม่งั้นมึงไปฟื้นที่โรงพยาบาลแล้ว ต่อปากต่อคำกับกูไม่เลิก!!” พี่โน่ใช้นิ้วแกร่งชี้ไปที่ไอ้ต้นน้ำที่ยังงงและจำต้นชนปลายไม่ถูก

“เดี๋ยวนะ พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย!?! ผมงงไปหมดแล้ว!! ผมจะคุยกับเพื่อนมันผิดตรงไหน?” ไอ้ต้นน้ำสวนกลับด้วยคำถามทันที สมเป็นคนปากเร็วกว่าสมอง

“มึงมายุ่งกับคนของ……” ไอ้พี่โน่พูดด้วยแววตาลุกเป็นไฟ แต่ผมซึ่งรู้ว่าประโยคถัดไปคืออะไร ผมจึงรับพูดแทรกทันที

“พี่โน่เห็นมึงมีพี่จินไห่อยู่แล้ว ไม่ควรไปยุ่งกับใครให้เข้าใจผิดไง!!” ผมมองค้อนใส่พี่โน่ที่เหมือนถูกเสียงผมแทรกเข้า คล้ายโดนไฟฟ้าช็อต เขานิ่งไปพักหนึ่ง

“เชี้ยอะไรเนี่ย? มึงเป็นเพื่อนกู พี่ไห่ก็รู้จักมึง! คิดมากไปป่าวว่ะ!?!” ไอ้ต้นน้ำโวยวายลั่น

ในมุมมองที่มันไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่โน่ มันจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก!!

“เออ!! กูไม่ชอบที่มึงทำน้องกูเสียใจ!” พี่โน่สีหน้าตอนกำลังแก้ต่างนี่มันช่างขบขันจนผมเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

อย่างที่รู้แม่ผมยังไม่อนุญาตให้ประกาศเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้ใครทราบ ดังนั้นจะรู้ก็เพียงคนในครอบครัวและพี่จินไห่เท่านั้น (ส่วนไอ้ต้นกล้าผมไม่แน่ใจ)

“พี่โน่!! มึงช่วยแยกแยะด้วยครับ ด้วยความเคารพ!! ผมไม่มั่วขนาดไปเอามันหรอก!!”

“ไอซ์ไม่ดีตรงไหน!!” พี่โน่เสียงเข้ม

เฮ้ยๆๆๆ พี่โน่ มึงจะขึ้นเพื่อ?!?

ผมคิดในใจพลางทำตาขวางใส่ไอ้ผู้ใหญ่หัวใจวัยรุ่น

ไอ้ต้นน้ำมันมองผมสลับกับพี่โน่ไปมาและทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรได้

“สองคนนี้มีพิรุธนะ” ไอ้ต้นน้ำจ้องเขม็งมาที่พวกผม

“มึงนี่กวนโมโหกูไม่เลิกนะ!! ไปพักผ่อนในโรงพยาบาลสักสองสามคืนไหม!!” พี่โน่พลางเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเป็นมัดๆ เส้นเลือดจำนวนหนึ่งปูดโปนจนแทบจะเห็นการเดินทางของเลือดภายในหลอดเลือด

“เฮ้ยๆ อะไร พี่นี่ชอบหาเรื่องผมจังเลยว่ะ โมโหอะไรของพี่วะ นี่มันไม่ใช่บ้านพี่นะเว้ย!! อยู่ๆ เข้ามาหาเรื่องในถิ่นคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย!” ไอ้ต้นน้ำโวยวายกลับแต่ในขณะเดียวกัน มันก็ค่อย ๆ ถอยห่างจากระยะหมัดของพี่โน่ทีละน้อย

“มึงนี่มันวอน!!” แม้จะชะงักไปชั่วขณะหนึ่งกับคำพูดของไอ้ปากมากอย่างไอ้ต้นน้ำ แต่ความรุนแรงคงเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ไอ้พี่โน่คิดได้ตอนนี้ เขาก้าวเดินออกตัวไปถึงไอ้ต้นน้ำอย่างรวดเร็วเพียงอึดใจ

“พี่โน่!! ไปรอที่สวน เดี๋ยวผมเคลียร์กับมันเอง!!” ผมรีบตวาดก่อนมีใครเจ็บตัว ข้าวของเสียหาย

ที่สำคัญ เรื่องมันอาจจะบานปลายกว่านี้

พอสิ้นเสียง ไอ้นักเลงกล้ามโตก็เหมือนตัวฟีบหดเล็กลง และเดินอย่างหงุดหงิดออกไปโดยไม่เถียงสักคำ

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ไอ้ต้นน้ำทำได้แค่อ้าปากค้าง

“เชี้ย!! มึงทำยังไงให้มันเชื่องขนาดนี้วะ!?!” ไอ้ต้นน้ำเดินเข้ามากอดคอเริงร่า

“ก็…….. มันเป็นเพื่อนแม่กูไง บวกอดีตคนเคยรักกันด้วย มันคงกลัวบารมีแม่กู!!”

“เออจริงด้วย!!” ไอ้ต้นน้ำเห็นด้วยแทบจะทันที

โชคดีที่ไอ้ต้นน้ำมันบื้อ เลยผ่านพ้นเหตุการณ์ไปได้ด้วยดี

สุดท้ายผมบอกให้มันกลับบ้านไปก่อน ส่วนเรื่องพี่ชายของผมคงค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไง หรือจะปล่อยให้มันตัดสินใจกันเองดี เพราะลำพังเรื่องของตัวเองก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ

หลังจากส่งไอ้เพื่อนขาเผือก ซึ่งไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่มันมาเพื่อมาเผือกเรื่องของผมหรือเรื่องของพี่ชายผมกันแน่ แต่ตอนนี้คงต้องไปเคลียร์กับคนของตนเองก่อน

ผมเดินไปที่สวนด้านข้างของบ้าน เห็นคนตัวเล็กกำลังเดินวนไปมาอย่างหงุดหงิดและร้อนใจ

หลังจากที่มันเห็นผมเดินมาในระยะสายตา มันรีบโผเข้ามากอดผมทันที
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 27) 8 ก.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-09-2022 11:02:08

“พี่ไว้ใจเรานะ แต่พี่ไม่ไว้ใจมัน!!” พี่โน่พูดใส่หูผม

“ผมไม่ดีใจเลยนะที่พี่พูดแบบนั้น ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมานาน ผมกับมันเนี่ย…..” พูดถึงตรงนี้ผมก็อดขนลุกตัวสั่นไม่ได้

“ไม่มีทางเสียล่ะ!!” ผมพูดต่อด้วยท่าทางแหยงๆ สั่นไปทั้งตัว

“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ” พี่โน่ผ่อนลมหายใจยาว

“แต่พี่ช่วยควบคุมอารมณ์หน่อยได้ไหม? นี่ยังไม่พ้นเดือนหนึ่งเลยนะ!!” ผมโวยใส่คนรัก

“อืมๆ เคยตัวน่ะ ยิ่งเป็นมันด้วย ยิ่งควบคุมความโกรธลำบาก!!” พี่โน่ยึดตัว จบประโยคด้วยการขบฟันจนเห็นเส้นเลือดบริเวณลำคอ

“ไหนว่าตัดใจจากพี่ไห่ได้แล้วไง” ผมตอบเสียงเย็น

“น้องไห่ก็เหมือนน้องแท้ๆ พี่ไม่ชอบขี้หน้ามันตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เพราะน้องไห่รักมันหรอกนะ ไม่งั้นมันโดนฝังลืมไปแล้วที่มาวอแวกับน้องของพี่!!”

“ผมไม่อยากจะหึงหรอกนะ แต่มันก็หึงไปแล้ว…… แล้วนี่จะยิ้มเพื่อ!!!??” ผมเดินหนีไปนั่งเก้าอี้ในสวนไม่ไกล

“ก็ดีใจไง มีคนบอกพี่ว่ายิ่งหึงแปลว่ายิ่งรัก!” พี่โน่เดินมาใช้แขนโอบรอบตัวผมไว้แน่น แม้จะอึดอัดแต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นมากกว่า

ผมสะบัดตัวให้หลุดจากพันธนาการเล็กๆ ของชายร่างเล็ก เพราะกลัวอีกฝ่ายได้ใจ

“แล้วไหนว่าจะกลับดึก!?!” ผมเหยียดแขนใช้มือดันอกอีกฝ่ายให้เว้นระยะห่าง

“คิดถึงไง เลยรีบเร่งทำงานให้เสร็จ” พี่โน่ปัดมือผมให้พ้นทางและก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสที่กลางศรีษะผมเบา ๆ

“ช่วงนี้เป็นช่วงโปรโมชั่นสินะ นี่ผมจะหมดโปรฯ เมื่อไหร่เนี่ย?!” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มลงมองผมอย่างเอ็นดู

“ตอบไม่ได้ ไม่รู้อนาคต รู้แต่ตอนนี้ ปัจจุบันนี้คือรักมาก รักมากๆ” พี่โน่พูดจบก็โน้มตัวเองลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากผมหลายครั้งซ้อน

“ทำอะไรเนี่ย?!?” ยอมรับครับว่าอาย พี่โน่มันเป็นคนที่โกหกเรื่องแบบนี้ไม่เก่งเลย มันเป็นคนตรงๆ จนผมกลัวเลยว่าความลับเรื่องของเราจะแตกเมื่อไหร่ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของพี่โน่ที่ผมชอบ

“ก็อยากทำแบบนั้น ตรงนี้เลย” พี่โน่พูดไปก็จัดท่าทางตัวเองไป เขาค่อยๆ หมุนตัวเองมาประชันหน้ากับผมตรงๆ ใช้ขาก้าวคล่อมตัวผมไว้ มือก็จัดใบหน้าผมให้เงยมองเขาไม่วางตา

“เดี๋ยวๆๆๆๆ ทำอะไรน่ะ?” ผมจับมือของเขาที่เกาะกุมใบหน้าผมไว้

“ก็ทำอย่างที่เราเคยทำไง!” พี่โน่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“นี่มันสวนข้างบ้านนะ จะบ้าเรอะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านพี่นะ!!” ผมยื้อตัวขืนอีกฝ่ายสุดแรง

“ไม่มีใครมาขัดจังหวะเราหรอก แม่ไอซ์กับไอ้โต้งก็อยู่ต่างจังหวัด ส่วนพี่ชายเรา พี่ก็จัดให้มันไปที่อื่นแล้ว!!” จบประโยคพี่โน่ก็เดินเครื่องเล้าโลมผมจนผมแทบหายใจไม่ออก

“เดี๋ยว…แฮ่ก…. นึกว่าล่ะ…. แฮ่ก….. ทำไม…. รีบกลับมา……เล็งเรื่องพิเรนทร์แบบนี้ไว้ใช่ไหม?” ผมแทบจะขัดขืนลีลาแพรวพราวของพี่โน่ไม่ได้ แรงช้างสารบวกกับประสบการณ์อันช่ำชอง ทำให้ผมแทบไม่สามารถขันขืนได้เลย ยิ่งได้รู้ว่า เป็นช่วงเวลาที่เราอยู่กันสองคนแบบนี้ ผมก็แทบจะถอดเสื้อผ้าออกตรงนี้แล้ว

สมกับเป็นมือถอดอันดับหนึ่ง เวลาเพียงไม่ถึงห้านาที ผิวขาวของผมก็รับกับลมเย็นของสวนสวยยามหัวค่ำจนแทบจะทุกรูขุมขนแล้ว

“พี่โน่ขี้โกง” ผมพูดด้วยใบหน้าที่แดงเลือดฝาดพร้อมกับขยำเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเนื้อดีอย่างแรง

ในขณะที่ผมถูกจับเปลื้องผ้าเปลือยจนหมดในอ้อมกอดของเขา ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปทั่วด้วยสัมผัสของคนตัวเล็ก แต่เจ้าของสัมผัสเหล่านั้นกลับมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวครบถ้วน

“ก็ไอซ์น่ารัก จนพี่ชิมเท่าไหร่ก็ไม่พอ กลืนได้คงกลืนไปแล้ว” พี่โน่พูดด้วยสีหน้าคล้ายจะทำแบบนั้นจริงๆ

ขนลุก!! บอกได้คำเดียว (หรือว่าหนาวก็ไม่รู้)

“พอเลย” ผมพูดพลางปิดสัดส่วนลับเฉพาะที่เติบโตเกินมือมามากโข เพราะอายสายตาที่จ้องมองมาแบบนั้น

“ที่พี่ไม่ถอดด้วย เพราะอะไรไอซ์ก็รู้ใช่ไหม?” มันยิ้มมุมปากทิ้งท้าย ทำให้ผมรู้คำตอบในทันที

เพราะมันจะกลายเป็นว่าผมจะต้องตกเป็นของไอ้พี่โน่ในที่กลางแจ้งแบบนี้

“แล้ว……พี่อยากทำหรือเปล่าล่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะการที่ผมถูกไอ้พี่โน่ทำแบบนี้ในที่แปลกๆ บ่อยครั้งหรือเปล่า ความต้านทานของผมถึงได้น้อยลงไปมาก ปล่อยไปตามอารมณ์จนพูดแบบนั้นออกมา

สุดท้ายตอนนี้ผมเลยจะรู้สึกเสียใจเสียแล้ว เพราะไอ้พี่โน่มันดันถอดเสื้อออกเสียแล้ว

แต่แทนที่ผมจะห้ามปราม ผมกลับมองสิ่งสวยงามตรงหน้านั่นอย่างเคลิบเคลิ้ม ผมน่าจะเป็นเอามาก… ในใจคิดต่อต้านและร่างกายกลับยอมทุกอย่าง

“ถอดให้พี่หน่อย” พี่โน่ขยับตัวยืนขึ้น บางอย่างภายในร่มผ้าขยับขยายจนทำให้ความต้องการในตัวผมพุ่งสูงขึ้น หัวใจฉีดปั๊มเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนในร่างกายเร็วขึ้น

ไม่ว่าจะกี่ครั้ง กับพี่โน่ ผมก็ยังตื่นเต้นแบบนี้อยู่เสมอ หรือเพราะสถานที่? แต่จะปัจจัยอะไรก็ช่างร้อยแปด ผมก็ตกเป็นของคนๆ นี่อย่างง่ายดาย

อุปกรณ์กระทำกิจกรรมถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะอย่างลวกๆ จะกี่ครั้งผมก็แปลกใจเสมอว่าทำไมคนๆ นี้ถึงได้พกอุปกรณ์พวกนี้ได้ทุกครั้งที่เรามีกิจกรรมกัน

หรือเขามีแผนแบบนี้เสมอ!

ผมถูกยกขึ้นไปนอนแผ่บนโต๊ะสนามที่ทำจากเหล็กกล้าแข็งแรง ผิวขาวเนียนของผมสัมผัสกับความเย็นของโลหะจนต้องเผลอตกใจร้องออกมาเบาๆ

“เจ็บหรือเปล่า? โดยบาดหรือเปล่า” พี่โน่ดันตัวเองเข้ามาระหว่างขาผมพร้อมกัมลงสอบถามผมด้วยความเป็นห่วง ด้วยความที่โต๊ะเหล็กสำหรับวางที่สนามนั้นมีลวดลายสวยงามสไตล์ช่อโรแรลของชาวโรมัน อีกคนจะเป็นห่วงก็ไม่แปลก

แต่ไอ้ท่าแบบนี้ถึงแม้ว่าน้องชายอันแข็งแกร่งของพี่โน่จะยังไม่ได้เข้ามาในตัวผม แต่การทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื้นเต็มจนเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง

เมื่อพี่โน่เห็นว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากก็เริ่มเล้าโลมเล่นหยอกกับส่วนหน้าของผมจนแทบจะสำลักความสุขหายใจไม่ออก

ไม่นานทุกอย่างก็พร้อม ม้าไม้พร้อมที่จะยกเข้ามาในเมืองทรอยแล้ว  ผมทำใจอยู่ไม่นานมัาไม้ขนาดใหญ่สีสวยก็มาจอดในเมืองสำเร็จ ผมกับพี่โน่เลื่อนม้าไม้เล่นอย่างลืมตัว ลืมเรื่องสถานที่และเวลา

เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมดังอยู่ท่ามกลางกองเสื้อผ้าที่ตกอยู่รอบโต๊ะที่ถูกปฎิบัติเสมือนเตียง กระเป๋ากางเกงเรืองแสงสว่างวูบวาบตามจังหวะเสียงริงโทน และนั้นทำให้รู้ว่าใครโทรมา

“แม่!!”

ผมเอ่ยขึ้น ด้วยอาการหอบหายในถี่ ในสภาพที่ไม่สามารถเอื้อมมือถึงจุดที่ต้องการ

สีหน้ากังวลของผมคงทำให้พี่โน่รู้ว่าผมกำลังไม่สบายใจกับเสียงริงโทนที่ดังอย่างต่อเนื่อง เขาตัดสินใจถอยม้าไม้ออกจากเมืองทรอยและก้าวถอยไปหยิบโทรศัพท์จากกองเสื้อผ้าให้

“นอนอยู่ตรงนั้นแหละ” พี่โน่ทำเสียงจริงจัง

หรือว่าผมทำให้เขาหงุดหงิดเสียแล้วที่โดนขัดจังหวะ!

“สวัสดีครับ” ผมรีบแย่งโทรศัพท์จากมือพี่โน่ทันทีที่เขายื่นให้ และเลื่อนเครื่องหมายบนหน้าจออย่างเร่งรีบเพื่อรับสาย

“ไอ้ตัวดีถึงบ้านหรือยัง?” เสียงมารดาจากปลายสายดังขึ้น

ในขณะที่ผมมองไอ้คนตัวเล็กอีกฝั่งกำลังจัดท่าทางการนอนของผมอยู่อย่างน่าสงสัย แม้แม่ของผมยังอยู่ที่ปลายสายอีกฝั่งก็ยังอดที่จะยกศรีษะขึ้นมามองตามการกระทำเหล่านั้นไม่ได้

“ถึงแล้วสิครับ ก็อยู่กับเพื่อนของแม่นั่นแหละ ไม่เชื่อก็ถามเขาเอง! ผมยื่นโทรศัพท์ให้คนที่กำลังวุ่นวายกับอวัยวะเบื้องล่างของผมอย่างกับกำลังแกล้งผมอยู่

ผมกัดฟันแทบตายเพื่อที่จะไม่ปล่อยเสียงแปลกๆ ระหว่างคุยกับแม่

“สวัสดีมล ไอซ์อยู่บ้านกับเรานี่แหละสบายใจได้” พี่โน่แทบที่จะรับโทรศัพท์จากมือผมไปเขากลับกดปุ่มลำโพงเพื่อพูดกับแม่ของผมในสภาพที่มือตนเองเป็นอิสระ

ต่างจากผมที่มือข้างหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ของตัวเอง อีกข้างต้องยกมาปิดปากตัวเองไว้

“แล้วอีกคนล่ะ โน่ฉันมีลูกสองคนนะ!!” เสียงแม่ผมดังขึ้นด้วยสำเนียงแซวๆ

“เออน่า! เดี๋ยวก็กลับ! ไม่เกินสี่ทุ่ม ยื่นคำขาดไปแล้ว!”

“ขอคุยกับไอซ์หน่อย!” ประโยคของแม่ทำให้ผมหันโทรศัพท์มาแนบหูตัวเอง ปิดโหมดลำโพงเรียบร้อย

“ครับ!” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่รักษาระดับ

“พวกแกไม่ได้โกหกแม่ใช่ไหม? เปิดเทอมแล้วเพลาๆ เรื่องเที่ยวบ้างก็ได้!”  แม่ทำเสียงจับผิด

“ไม่……ได้โกหก….. อยู่บ้าน….. จริงๆ” เสียงของผมขาดหายไปเพราะอาการสะกดกลั้นเสียงที่พี่โน่เริ่มทำศึกเมืองทรอยอีกครั้ง ตอนนี้ม้าไม้เคลื่อนตัวเข้ามาในเมืองทรอยเรียบร้อยแล้ว และทุกครั้งที่ผมหยุดกลืนเสียงแปลกๆ เหล่านั้นก็ตรงกับจังหวะเลื่อนม้าไม้ไปมาในเมืองทรอย ผมทำได้แค่นี้จริงๆ

แม่วางหูเถอะนะ!! ผมคิดในใจ

“ถามจริงแกกับพี่ชายแกมีปัญหาอะไรไหม? พวกแกเหมือนห่างๆ กัน แปลกๆ” แม่ถามต่อ

“มะ….ไม่นะ ผม…..ไม่……มี…. เรื่อง…กับ…. มัน….” ผมโคตรเหนื่อยเลยตอนนี้เหมือนจะขาดใจ อยากจะร้องดังๆ ใจจะขาด

“แกเป็นอะไรไหมเนี่ย?”  แม่ถามอย่างสงสัย

ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ผ่านลงคออย่างยากลำบาก มือข้างหนึ่งจับยึดขอบโต๊ะที่ทำจากเหล็กเย็นเยียบจิกแน่น ราวกับว่าจะบรรเทาการบุกโจมตีจากม้าไม้ได้

“ไม่ได้เป็นอะไรผมแค่วิ่งออกกำลังรอบบ้าน คุยโทรศัพท์ไปด้วยมันเลยหายใจไม่ทันครับ” ผมกัดฟันพูดเสียงปกติรวดเดียวจบ สายตาก็ดุดันใส่ไอ้คนที่ไม่รู้จักกาละเทศะ

มันใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้ไหมเนี่ย?

“ไอ้พี่โน่ของลูกมันอยู่แถวนั่นใช่ไหม? เปิดสปีกเกอร์!!” แม่ผมที่เงียบไปพักใหญ่ กล่าวออกมาเสียงดัง

ผมหันลำโพงไปทางเบื้องล่างของผมและกดเปิดสปีกเกอร์ทันที

“มลหวังว่าคงไม่ได้แอบทำอะไรทะลึ่ง ๆ กับลูกชายมลนะ!” เสียงดังลั่นสนาม

“เปล่า! เราออกกำลังกายกันในสวนจริงๆ ใช่ไหมน้อง?” ไอ้พี่โน่มึงไม่ควรมาถามกูเวลานี้

“ครับ พี่โน่…..ชวนผมออกกำลังกายกัน…ที่สนาม” ผมกลั้นใจตอบคำถามแม่ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด และมีหอบเล็กน้อยที่ปลายเสียง เพราะอีกฝ่ายยังคงโจมตีผมอย่างหนัก หวังว่าเสียงของม้าไม้กับประตูเมืองจะไม่ดังเข้าโทรศัพท์นะ

“มลไม่ถามแล้วดีกว่า ยิ่งฟังเสียงของพวกเธอแล้วคิดดีไม่ได้เลย ขนลุก! จะออกกำลังกายอะไรก็แล้วแต่นะ อยู่บ้านกันก็ดีแล้ว แล้วอย่าลืมตามพี่ชายเธอกลับมาด้วยนะไอซ์ แม่ไปแล้ว!!” แม่พูดจบก็วางสายทันที ต่อให้หัวสมัยใหม่แค่ไหน แต่มาเจอสภาพนี้จริงก็รับไม่ได้กันทั้งนั้น

“พี่โน่!! ทำอะไรของพี่วะ!!” ผมหัวเสียขึ้นมาเสียดื้อๆ อารมณ์ร่วมเมื่อครู่แทบจะมลายหายไปหมดด้วยความเขินอายมารดาตนเองถึงขีดสุด

แม่เป็นคนฉลาดยังไงแม่ต้องรู้แน่ๆ ว่าทำอะไรกัน

“เชี้ยๆๆๆๆ” ผมสบถออกมาเบาพร้อมกับดิ้นหนีอีกฝ่ายที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

แต่อนิจจา แรงผมมันช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับคนเบื้องล่าง ไม่นานผมก็ถูกจัดในท่าใหม่ที่ทำให้ผมหมดเรี่ยวแรงขัดขืน และยอมรับชะตากรรมจนม้าไม้โจมตีผมจนหน่ำใจ

ผมหอบหายใจด้วยการคว่ำหน้าลงบนโต๊ะประดับสวนที่ตอนนี้อุ่นไปด้วยไอร่างกายของผม ตัวผมไม่รู้ตัวเลยว่าถึงเส้นชัยไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เลอะเทอะคราบสงครามเต็มไปหมด สักพักพี่โน่ก็ล้มลงมาทับตัวผมทั้งที่ม้าไม้ยังอยู่ในเมืองทรอยของผม

“เหนื่อยจัง สุดยอดเลย”  พี่โน่หอบเอาลมหายใจอุ่นๆ รดหลังผมหอบใหญ่หลายหอบ

“ไอ้พี่โน่ขอร้องเลยนะ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ!!”
ผมโวยทั้งที่หมดแรงจะต่อเถียง

“ทำไมล่ะ ท่าทางน้องเองก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ” 

“ลุกออกไปจากตัวผมได้ได้แล้ว!”

“ขออยู่แบบนี้อีกเดี๋ยวนะ พี่ยังไม่หายเหนื่อยเลย”

“แก่แล้วสินะ!!”

“พูดแบบนี่ อีกสักรอบดีไหม?” ไม่แค่พูด ม้าไม้ที่ยังคงอยู่ในเมืองที่ตอนแรกมันกลายเป็นม้ายัดนุ่น ตอนนี้เริ่มกลับกลายมาเป็นม้าไม้ตัวเดิมแล้ว

“เฮ้ยๆ พอเลย พอเลย!” ผมพยายามดิ้นในท่านอนคว่ำทำให้ไม่สะดวกที่จะต่อกรอีกฝ่าย

“ทำไมล่ะ พี่จะช่วยพิสูจน์ไงว่าพี่ยังไม่แก่!!” พี่โน่จับผมกดลงติดกับโต๊ะเหล็ก ผมรู้สึกถึงลวดลายของโต๊ะแนบชิดติดเนื้อหนังผมได้ทุกลวดลาย

“ไม่นะ!” ผมร้องโวยขึ้น รู้สึกคิดผิดที่ไปพูดเรื่องอายุกับคนแบบนี้

“เอาน่า พี่กำลังมาเลยนะ” พี่โน่จัดท่าตัวเองตั้งตรงเตรียมเผด็จศึกอีกครั้ง

ผมทำได้แต่เสียใจที่พูดจาโง่ๆ แบบนั้นใส่อีกฝ่าย ต่อไปนี้จะจำเอาไว้ว่าอย่าท้าทายอำนาจของนักเลงวัยกลางคน

“อะแฮ่ม!!” เสียงกระแอมดังมาจากตัวบ้านไม่ไกล

ผมตกใจหันไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ด สิ่งที่เห็นคือเงาร่างสูงโปร่งยืนเฉียงไปทางมุมอื่นของบ้าน

“ผม….แค่จะบอกว่ากลับมาแล้ว!!” เสียงในเงามืดของบ้านพูดขึ้น

ผมจำได้ทันทีนี่มันไอ้เฟรม!!

แต่พี่โน่ก็ดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไรนอกจากหยุดภารกิจชั่วคราว มองไปทางคู่สนทนาในบ้านและพยักหน้ากลับไป

“เอ่อ..ผมไม่กวนแล้วครับ ผมขึ้นห้องก่อนนะ!!” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างประหม่า

ผมเข้าใจนะ เป็นผมมาเจออะไรแบบนี้โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอาการเขินอายกลับกิจกรรมที่ทำอยู่แบบนี้ ผมคงรีบเดินหนี

“เฮ้ยอะไรวะ!!” เสียงอีกคนดังขึ้นจากที่ไกลๆ ในบ้านและตกท้ายด้วย

“เชี้ย!!!!” คำสบถคำโตลั่นบ้าน

ภาพล่าสุดคือไอ้เจ้าของเสียงตกใจลั่นบ้านนั่นโดนพี่ชายฝาแฝดผมลากแบบปิดตาปิดปากหายเข้าไปในความมืดในตัวบ้าน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวนะ พี่ควรจะหยุดไหม?” ผมรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ไม่ใช่สิทั้งตัว

“หยุดทำไม? อายเหรอ?” พี่โน่ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแต่กลับรุกคืบเข้ามามากกว่าเดิมจนผมร้องเสียงหลง

“ก็เออสิ!!” ผมหาทางใช้มือตีเนื้อหนังไอ้คนหน้าด้านแต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนัก

“ดี!! ทีหลังจะได้ไม่ว่าพี่แก่อีก!!”

“เออ!! รู้ดีเลย” ผมพูดกระแทกเสียงใส่อีกฝ่าย

หลังจากนั้นผมก็ถูกโจมตีอย่างหนัก ม้าไม้ที่ผ่านการกรำศึกมารอบหนึ่งแล้วยังคงทำศึกได้ดียิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก

หลังจากวันนั้น ผมก็มีลวดลายติดอยู่กับผิวกายจำนวนมาก หลายวันเลยกว่าจะหาย และยังไม่วายที่จะโดนไอ้ต้นกล้าแอบล้อเลียนผมอยู่เป็นสัปดาห์ โชคดีที่ผมขู่มันว่าจะโดนพี่โน่จัดการมันเลยหุบปากสนิทไปเลย

ถือเป็นข้อดีของการเป็นเมียมาเฟีย

…………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 27) 15 ก.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-09-2022 10:17:11

…………….

11 เดือนผ่านไปรวดเร็วเหมือนฤดูหนาวในประเทศไทย พี่โน่ยังคงประพฤติตัวดีเหมือนเดิม แม้กระทั่งแม่ของผมยังเอ่ยปากชมด้วยความประหลาดใจ

ความจริงแล้วภายในระยะเวลาไม่นานพี่โน่ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปแล้วเรียบร้อย กระทั้งพี่ฟางที่เป็นแม่บ้านยังต้องเตรียมอาหารมื้อเย็นให้ทุกวันแม้ในวันที่พี่โน่จะติดงานก็ตาม และมีการเตรียมอาหารมื้อดึกให้เผื่อกลับมาดึกเผื่อหิวอีกด้วย

บางครั้งผมยังรู้สึกเลยว่า พี่ฟางจะดูแลพี่โน่ดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำ อาจเพราะพี่โน่มักจะใจดีซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากพี่ฟางเป็นประจำ รวมถึงบางวันที่พี่โน่ขอวาดลวดลายทำอาหารเองอีก พี่ฟางเลยชอบพี่โน่มากกว่าพวกผมที่ไม่เคยช่วยทำอะไรเลย

“อีกเดือนหนึ่งก็จะครบสัญญาแล้วนะ แบบนี้พี่ก็ย้ายออกได้แล้วสิ!!” ผมเอ่ยทักคนที่นั่งกินมื้อค่ำข้างๆ ผม

พี่ฟางยิ้มที่ได้ยินผมพูดขึ้นมาพร้อมๆ กับพี่โน่ที่กำลังเคี้ยวข้าวในปากอย่างเอร็ดอร่อย

“ใครบอก?!?” พี่โน่รีบพูดกลืนอาหารคำโตลงคอไปแล้วพูดติดตลก

“ไม่เห็นต้องมีใครบอก ผมนับวันเดือนปีแม่นยำนะ!” ผมเถียงกลับ

“พี่หมายถึงว่าใครที่จะย้ายออก?” พี่โน่ยื่นมือมาคว้าศรีษะของผมแน่น ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวเล็กกว่าผมมากจะสามารถจับยึดศรีษะผมได้แน่นขนาดนี้

“จะอยู่ที่นี่ต่อก็ขอเจ้าของบ้านด้วยนะ ไม่ใช่จะดื้อด้านอยู่ต่อ!” ผมปัดมือที่ยึดติดศรีษะผมแน่น แต่ต้องทำประมาณสองสามครั้งถึงจะยอมปล่อย (บวกกับการส่งสายตาพิฆาตไปที่คนตัวเล็กด้วยถึงจะยอมผ่อนแรงให้ผมปัดมือกำลังช้างสารนั่นตกไป

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ต่อ” พี่โน่หันไปจัดการกับข้าวบนโต๊ะต่อ

“อะไรของพี่วะ!?!” ผมล่ะหงุดหงิดกับไอ้คนที่ยียวนผมได้ทุกวัน

แต่ความผมก็ไม่ได้อยากให้เขาย้ายออกนะครับ เราอยู่ด้วยกันจนกระทั้งตอนนี้ผมนึกภาพว่าผมอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ แม้ว่าพวกเราส่วนใหญ่จะเข้านอนกันคนละเวลาเพราะภาระงานของพี่โน่ แต่พี่โน่ก็ไม่เคยที่จะหยุด good night kiss ก่อนที่เขาจะนอน และตื่นมาทักทายผมยามเช้าก่อนที่ผมจะออกจากบ้านไปเรียน

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาพี่โน่สม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง วันไหนเป็นวันหยุดของผม พี่โน่ก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาด้วยกันเสมอ ความที่พี่โน่ชอบการเดินป่า กางเต็นนอนกลางป่ามากๆ การที่ผมไปกับเขาบ่อยๆ ก็ทำให้ผมอดที่จะชื่นชอบไปด้วยไม่ได้ (โดยเฉพาะการรับบทเป็นทาร์ซานเจ้าป่าและจอห์น นักสำรวจหลงป่า ช่วงกลางคืนที่เปล่าเปลี่ยว จินตนาการเอาเองนะครับว่ามันจะสุดยอดแค่ไหน ทุกที่คือฉากโรแมนติก ดิบและเถื่อน….)

“พี่หมายความว่า จะให้เราออกไปอยู่กับพี่ต่างหาก พี่คิดว่าอีกไม่กี่วันงานปรับปรุงบ้านพี่น่าจะเสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่” พี่โน่เหล่มองผมด้วยรอยยิ้มกริ่ม

“อะ….อะไร….นะ… มันไม่เร็วไปเหรอ? แล้วขอแม่หรือยัง?” ผมเลิ่กลั่กพูดสับสนไปมา ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้

แบบนี้มันเหมือนโดนขอแต่งงานเลยนี่หว่า

“ใช่!! เร็วไป!!” เสียงดังลั่นมาจากทางหน้าบ้าน ไม่นานนักแม่ผมก็เดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านพร้อมเหวี่ยงกระเป๋าราคาแพงที่ลุงโต้งซื้อลงบนบาร์น้ำไม่ไกล

“แม่… มายังไง ไม่ได้ยินเสียงรถเลย” ผมถามอย่างสงสัย เพราะแทบไม่มีเสียงเครื่องยนต์หรือเสียงเปิดประตูรั่วเลย

“ลุงโต้งแก แวะมาส่งแม่ก่อนจะไปเที่ยวกับเพื่อนนักธุรกิจพันล้านอะไรของลุงก็ไม่รู้! เหนื่อยๆ แบบนี้ควรจะให้นอนหนุนตักให้หายเครียด!!” แม่บ่นงึมงำ

“แล้วมานั่งฟังแกบ่นให้หูแฉะน่ะเหรอ เป็นฉันๆ ก็ไป” พี่โน่แซว

“ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย ช่วยเงียบๆ ไปก่อนได้ไหม?”

พี่โน่ได้แต่หัวเราะกลับเกลื่อน

“ยังไม่ทันจะได้อนุญาตเรื่องย้ายออกเลย จะมาชวนกันแบบนี้เลย ไม่ได้!  ฉันก็ไม่ได้หวงลูกชายอะไรหรอกนะ แต่ก็ควรจะให้เรียนจบก่อนไหม??” แม่ผมเดินมาใกล้ผม ด้วยกลิ่นน้ำหอม channel no. 5 ที่แสนจะคุ้นเคยและอบอุ่นตีเข้าจมูก จนกระทั่งยื่นมือมาโอบรอบศรีษะผมเบาๆ

นานมาแล้วที่แม่ไม่ได้ทำแบบนี้กับผม ความอบอุ่นไหลเวียนมาที่ร่างผมช้าๆ

“ให้มันเรียนจบก่อน! เดี๋ยวค่อยย้ายออกก็ยังไม่สาย ดีใจนะที่เห็นเธอจริงจัง แต่นี่มันเร็วไป!! แล้วฉันก็ไม่ได้ไว้ใจเธอที่จะควบคุมดูแลลูกฉันได้!” ปากกับการกระทำแม่มีความสวนทางกันเล็กน้อย ถึงแม้เสียงจะดุดัน และสัมผัสที่แสดงออกมันช่างอบอุ่น

“งั้น….. ก็แล้วแต่คุณแม่ครับ!!” พี่โน่ก้มหัวรับคำแม่ของผม

“อย่า!! ขอร้อง อย่า!! เรียกฉันแบบนี้ รุ่นเดียวกันมาเรียกแบบนี้รู้สึกแก่!!! นี่ฉันยังนับเธอเป็นเพื่อนต่อก็บุญแล้วนะ ความจริงฉันโกรธมากๆ เลยนะ ฝากปลาย่างไว้กับแมวชัดๆ” แม่กระชับแขนแน่นขึ้นจนผมเงยเอียงไปทางแม่จนชิดกับสะโพกสวยๆ ของแม่

“แม่…” ผมเอื้อมมือไปจับมือแม่และบีบแน่น

“เออๆ รู้แล้วน่า!!” แม่มีอาการหัวเสียแต่ก็พยายามสะกดไว้

เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรักแม่มาก  หากเป็นเรื่องอื่นที่ผมไม่ได้ขอไว้แม่คงเอาเรื่องถึงที่สุด

“อะไรกัน เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ ไปหาหมอบำบัดไหม? ไหนบอกโอเคแล้วไง นี่ยังพิสูจน์ไม่พออีกเหรอ?”  พี่โน่ยิ่งพูดยิ่งเหมือนสุมไฟในอกแม่

ผมเพิ่งจะรู้ไม่นานนี่เองว่า พี่โน่กับแม่ของผมเขาคุยกันแบบนี้ตลอด คือพี่โน่จะยั่วโมโหแม่ตลอด พี่โน่บอกว่าเคยชิน เวลาแม่ผมโกรธมันน่ารักดี (แต่พอพูดมาถึงตรงนี้ก็เป็นผมเองที่โกรธ)

หลังจากที่พี่โน่พูดจบประโยคแม่ผมก็มองซ้ายมองขวา เพื่อหาของเขวี้ยงใส่หน้าคนทะเล้นตรงหน้าสักที ดีที่ผมรั้งมือไว้

“พี่โน่ ผมว่าพอเหอะ!! ผมคิดว่าสิ่งที่แม่พูดก็ถูกต้อง!!”  ผมตวาดกลับเบาๆ

พี่โน่ถึงกับชะงักไปวูบใหญ่ก่อนจะกลับไปกินข้าวตรงหน้าให้หมด

“สะใจ!! ดีมากลูกแม่ แม่ไม่เคยเห็นมันหงอกับใครแบบนี้มาก่อนเลย และแม่ขอสอนไว้อย่างนะว่า อย่าให้พวกผู้ชายมันได้ใจ กดให้อยู่หมัด” แม่หันมาคุยกับผมและลูบผมอย่างอ่อนโยน

ผมเหมือนจะได้ยินเสียง ‘เชอะ’ จากคนไม่ไกลตัว แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไรต่อเพราะผมมองห้ามไว้

ส่วนผมพูดได้แต่เพียงว่า “ผมก็ผู้ชายนะแม่”

“อืม…จ๊ะ” แม่ผมหัวเราะชอบใจและขอตัวขึ้นห้องไปก่อน

“พรุ่งนี้ว่างไหม?” พี่โน่หันมาหาผมแล้วกลับมาใช้เสียงทุ่มนุ่มเช่นเดิม

“ต้องอยู่แลปถึงค่ำเลย ต้องทำงานส่ง นัดกับกับไอ้พวกเดอะแก๊งแล้วด้วย ว่าจะช่วยทำกันให้เสร็จ” ผมผ่อนลมหายใจจนเกือบจะดึงวิญญาณออกมาด้วย

“อ้าว! ไหนบอกว่าปีนี้ไม่มีงานกลุ่มแล้วไง มีแต่งานเดี่ยว! แล้วทำไมต้องไปกองรวมกันทำงานด้วย!” หัวคิ้วของอีกฝ่ายเริ่มถูกดึงมาผูกรวมกัน

“สัญญาว่าจะช่วยทำกันให้เสร็จ พี่คงไม่อยากให้เพื่อนพี่จบไม่พร้อมกับคนอื่นใช่ไหม!” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงโน้มน้าว

“ใครโง่ก็ตกไป เรียนต่อไปยาวๆ สิ! โดยเฉพาะไอ้ต้นน้ำ!!” พี่โน่เริ่มการแช่งเกิดขึ้น

“ไอ้ต้นน้ำผมไม่ห่วงนะ มันเรียนภาคทฤษฎีไม่เก่งก็จริง แต่ภาคปฎิบัติ อาจารย์ไม่เคยหวงคะแนนมันเลยนะ ห่วงแต่ไอ้ต้นกล้านี่แหละ ไม่รู้ว่ามันสอบเข้ามาด้วยบุญกุศลที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนหรือยังไง? ทฤษฎีแย่ปฏิบัติก็ลำบาก” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“ก็ไหนว่างานนั้นใกลเสร็จแล้วไง กลายเป็นว่าพี่ก็อยู่เหงาๆ อีกสิ!!”

“เอาน่าๆ อีกคืนเดียวเอง รีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาเจอพี่เยอะๆ ไง ว่าแต่พรุ่งนี้มีอะไรเหรอ? ทำไมจู่ๆ ก็ถามว่าว่างหรือเปล่า?” ผมส่งสายตาสงสัยไปทางแฟนตัวเล็ก หวังว่าคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆ อีก

“พี่มีงานอยากให้น้องไปช่วยดู งานปรับปรุงร้านใหม่นะ อยากได้คนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม หุ้นส่วนพี่แต่ละคน แบบ…. ไม่ไหวเลย แทบไม่คิด!!”

“เงินพี่ก็เยอะ ใช้บ้างเถอะครับ จ้างคนเก่งๆ มาตรวจงานมันง่ายกว่านะ” ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมไปช่วยเขาทำอะไรแบบนี้

“พี่ก็อยากหาโอกาสอยู่กับแฟนให้มากขึ้น เขาเรียกว่าใช้เวลางานให้เป็นประโยชน์ต่างหากล่ะ” ไอ้คนตัวเล็กยิ้มแก้มแดงใส่

เฮ้อ……แพ้ว่ะ

“โอเค! สักทุ่มหนึ่งโอเคไหม? มารับด้วย!” ผมหลบสายตาใสๆ ของอีกฝ่าย เพราะกลัวตัวเองจะอ่อนแอกว่าเดิม

อย่างที่แม่ผมพูด อำนาจต่อรองต้องเป็นของเรา

“โอเคจ้าที่รัก อิ่มยัง? ขึ้นไปนอนกัน!!” พี่โน่โผเข้ามากอด

“หยุดคิดทะลึ่งสักวัน พรุ่งนี่ผมมีเทสย่อย ต้องรีบทวนอ่านก่อน เสร็จแล้วค่อยว่ากัน!!”

“พูดแบบนี้ทีไรก็อ่านเกือบสว่าง”

“ผมยังอยากได้เกียรตินิยมนี่ครับ”

“เป็นเมียพี่ทำไมต้องเกียรตินิยม!” คราวนี้มันสามารถคว้าเอวผมได้

“เก็บโต๊ะ เก็บจานไปล้างเลยไป ผมมีหนังสือที่ต้องอ่านให้จบ!” ผมใช่แรงทั้งหมดสะบัดมือเหนียวเป็นปลาหมึกให้หลุดและรีบวิ่งขึ้นห้องไปเลย

ทิ้งให้ผู้ใหญ่หน้าเด็กร้องโอดครวญอยู่ข้างล่าง


**************
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทเสริม 27) 20 ก.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2022 16:38:45

**************

“มึงๆๆๆๆ กูจะกลับแล้วนะ” ผมตะโกนลั่นห้องแลปฯ

ไอ้พวกเพื่อน ที่กำลังเครียดจนสมองเบลอไปแล้วถึงกับหันมาทางผมเพื่อโวยวายพร้อมกัน

“ก็พวกมึงช้า มีกูอยู่ด้วยพวกมึงก็หวังเพิ่งแต่กู!! กูไปดีกว่า กูมีธุระ!!” ผมเก็บของทันทีหลังจากจบประโยค

“ธุระ!?!?” ไอ้ต้นกล้าผู้รู้ดีไปเสียทุกเรื่องมองผมอย่างประเมินว่าธุระที่ว่าน่าจะเป็นธุระบนเตียง อ่านจากสีหน้ามันจนรู้ถึงความคิดเลย

ผมยกนิ้วกลางให้มันอย่างดุดัน

“เชี้ย…” มันสบถตอบเบา มันรู้ว่ามันโต้ตอบได้เพียงเท่านี้

แอบสงสารมันเหมือนกัน ตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา มันแทบจะอกแตกตายเพราะการเก็บความลับเรื่องของผมกับพี่โน่ ก็มันช่วยไม่ได้ ก็ดันมารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เองนี่หว่า

“มึงมีไอ้ต้นน้ำอยู่ไง มันอาสาจะอยู่ช่วยพวกมึงด้วยนี่ กูช่วยมันทำเสร็จแล้ว” ผมมองไปทางไอ้ต้นน้ำที่มีอาการทำไปเหม่อไป

“สัดครับ มึงดูมันสิ สติอยู่ไม่ครบตั้งแต่มันทำงานเสร็จ กูว่าเผลอๆ มันแอบหนีกลับไปกกเมียมันนั่นแหละ” ไอ้ต้นกล้าพูดแหนบ แต่ไอ้คนที่ถูกกล่าวถึงกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

“เออๆ เดี๋ยวกูเสร็จธุระแล้วจะมาดูพวกมึงอีกทีก็แล้วกัน เฮ้อ…. พวกมึงนี่เป็นได้แค่ตัวภาระจริงๆ” ผมผ่อนลมหายใจก่อนจะยกกระเป๋าสะพายขึ้นหลัง

“ถ้ามึงยังเหลือแรงมาถึงห้องแลปฯนะ” ไอ้ต้นน้ำปากหาเรื่อง

เพลี๊ย!!

เสียงปะทะระหว่างฝ่ามือกับหนังศรีษะไอ้ต้นกล้าดังลั่น

“มึงว่างมากเหรอถึงได้แซวคนโน่นคนนี่ไปเรื่อย! กลับมาทำงานก่อนได้ไหม?” เสียงพี่ชายผมตามมาด้วยความเกรี๊ยวกราดตามเคย

ไอ้ต้นกล้าได้แต่พยักหน้า และกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ผมหันไปหัวเราะแล้วเดินออกมา พลางคิดว่านับวันไอ้สองคนนี้ก็ยิ่งเหมือนผัวเมียกันจริงๆ เพียงแต่ผม ผมไม่รู้ว่าใครผัวใครเมียนี่สิ หรือสลับกัน? เพราะโมเม้นเวลามันอยู่กันสองคนตามลำพัง บรรยากาศมันจะเป็นอีกแบบเลย นึกถึงก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสองคนนี้มันเป็นมากกว่าเพื่อน (พี่โน่แอบเล่าเรื่องสองคนนี้ให้ฟัง)

ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันยังไม่ยอมรับกันเสียว่ารักกัน และคบกันอยู่ ทำให้เพื่อนๆ มันสงสัยกันอยู่ได้

…………..

ผมเดินทางไปเจอพี่โน่ที่ผับแห่งหนึ่งแห่งย่านเริงรมย์ที่ตอนนี้ปิดเพื่อปรับปรุงสถานที่อยู่

พลาสติกและผ้าคลุมอาคารไว้อย่างแน่นหนา เริ่มโรยรา ฉีกขาดไปตามกาลเวลา ลมที่พัดโชยอ่อนมากระทบอาคารเริ่มบังคับให้แผ่นพลาสติกและผ้าพลิ้วไหวไปตามทิศทางที่ลมพาดผ่าน

แสงไฟทั่วบริเวณที่ถูกเปิดไว้เพียงครึ่งเดียวบวกกับเสียงลมและสิ่งปลุกสร้างที่เหมือนเคลื่อนไหวได้ตามแรงลมก็สามารถสร้างบรรยาที่น่ากลัวไม่น้อยเมื่อต้องยืนอยู่หน้าอาคารเพียงลำพัง

“โทษที มานานหรือยัง?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมสัมผัสหนึ่งที่บ่าข้างซ้าย

ผมสะดุ้งตัวโยนพร้อมส่งเสียงตกใจลั่นบริเวณ

“ไม่นึกว่าจะกลัวอะไรแบบนี้” ผู้ใหญ่หน้าเด็กยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ

“ไม่ได้กลัวโว้ย แค่ตกใจ” ผมแก้ตัวไปพลางใช้มือขวาจับหน้าอกด้านซ้ายที่สัมผัสถึงการเต้นของหัวใจรัวถี่ยิบ

“จ้าๆ เขื่อแล้วจ้า!” อีกฝ่ายตอบอย่างยียวน ส่วนสายตาเหมือนคิดอะไรพิเรนทร์ๆ ได้

“หยุดความคิดนั่นเลยนะ จะให้เข้าไปดูอะไรก็ไปดูเร็วๆ วันนี้เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!!” ผมผ่อนหายใจออกมา และดุอีกฝ่ายทันที

“อ้าวๆ จะไปไหนน่ะ” พี่โน่กล่าวหยุดผมไว้ ในขณะที่ผมเคลื่อนเท้าไปทางอาคารที่ถูกห่อไว้เพราะปรับปรุง

“ก็…ไม่ได้มาดูที่นี่เรอะ? ก็นัดมาเจอที่นี่!”  ผมชี้ไปทางอาคารเป้าหมาย

“ไม่ใช่ ตึกนี้ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวพาไปอีกทีหนึ่ง” พี่โน่เดินมาโอบไหล่ และบังคับผมเดินไปที่รถสปอร์ตสุดหรูคันใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“เซอร์ไพรส์เหรอ?” หน้าผมตอนนี้คือ บานออกจนรู้สึกได้ ผมเดินเข้าไปสำรวจยานพาหนะใหม่อย่างใกล้ชิดทันที

“ไม่ใช่ๆ คันนี้รถพี่ เพิ่งถอยมาลองเครื่อง ขึ้นรถได้แล้วจะได้พาไปทำงาน!!”

“โหยยยยย อะไรน่ะ!!” ผมใส่ความรู้สึกผิดหวังลงในน้ำเสียง

แต่นอกจากพี่โน่จะไม่สนใจแล้วยังไล่ผมขึ้นรถอีกด้วย

“อยากได้ก็ทำงานหาเงินไปซื้อเอง!!” พี่โน่พูดขึ้นเสียงดังก่อนขึ้นรถ

ถึงแม้จะผิดหวังแต่ก็ตอบออกมาสมกับเป็นพี่โน่ที่เขารัก

ไม่นานรถก็ถูกขับเคลื่อนมาจอดในสถานที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นตา อาจจะเพราะผมไม่ได้ที่นี่มานานหลายเดือนแล้ว

“พาผมมาบ้านพี่ทำไมเนี่ย!!??” ผมถามทันทีที่ลงจากรถ

“ทำงานไง!” ความตอบหน้าตายของพี่โน่

“เอาดีๆ ผมไม่ทำงานบนเตียงนะวันนี้น่ะ เหนื่อยจะแย่!!” ผมรู้สึกว่าหัวคิ้วของผมชนกันจนเกือบจะบิดเป็นเกลียว

“เฮ้ย! เห็นพี่เป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

ผมไม่ตอบอะไร นอกจากพยักหน้า

“โอเคๆ ทำงานจริงจ้า เพียงแต่มันเป็นงานส่วนตัวน่ะ” อีกฝ่ายดูเสียความมั่นใจไปพอสมควรเมื่อรู้ว่าผมคิดอย่างนั้นจริงจัง

“อย่าบอกนะว่าจะรื้อบ้านทำใหม่ เสียดายของสวยๆ แบบนี้ฉิบ!”  ผมมองไปที่อาคารตรงหน้าอย่างเสียดาย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่ารูปทรงมันไม่คุ้นตา ที่แท้แอบปรับปรุงมาแล้วนี่เอง

“ไม่ต้องบ่นเลย เขามาดูนี่เลย พี่อยากให้ช่วยตรวจงานหน่อย!!” พี่โน่เดินนำทางไปที่ประตู

ผมเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะผมชอบบ้านหลังนี้มาก มันมีความลงตัวไปหมดทุกส่วน อนุรักษ์นิยมผสมกับแบบนำสมัยได้อย่างลงตัว ไม่เข้าใจว่าพี่โน่จะปรับเปลี่ยนไปเพื่ออะไร

และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจออะไรแบบนี้ ไอ้ความคิดพิศดารของพี่โน่เรื่องการออกแบบ ที่ผมไม่เข้าใจ หากไม่เพราะทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนแล้วธุรกิจมันรุ่ง ผมคงจะบ่นเขาหนักกว่านี้

ผมเดินก้าวเข้ามาด้านในบ้านด้วยสายตาแบบนักสืบ การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อย แต่ก็พอรู้ว่ามีส่วนต่อเติมเพิ่มขยายออกไปทางด้านข้าง

ห้องต่างๆ มีการขยับปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แปลกตรงที่มันไม่ได้รู้สึกขัดตาขัดใจเลย ส่วนที่เป็นห้องรับแขกสไตล์บาร์โฮส เปลี่ยนเป็นบาร์เครื่องดื่มที่ดูหรูหราและเรียบง่ายขึ้น  ห้องยังดูโล่งๆ เพราะเฟอร์นิเจอร์ถูกยกออกไปจนหมด ผมสำรวจจนทั่วแล้วรู้สึกว่าห้องนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เลยปล่อยผ่านไปจนถึงห้องที่ถูกปิดสร้างขึ้นมาใหม่

ผมมองด้วยความแปลกใจและหันกลับไปทางเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มแก้มปริ

ผมเปิดเข้าไปให้ห้องที่ถูกตกแต่งเหมือนห้องสตูดิโอสำหรับทำงาน ขนาดกว้างขวาง ภายในห้องตกแต่งจนเกือบเสร็จแล้ว มีชั้นหนังสือ มีโต๊ะกว้างสำหรับวางขอชิ้นใหญ่หรือจัดประชุมสัก 10 คนก็ยังสบาย ที่มุมห้องมีโต๊ะทำงานและเก้าอี้ท่าทางสบายวางอยู่ และ กล่องคอมพิวเตอร์ที่เพียงแค่ปาดตามองก็รู้ว่าสเปกสูงส่งอลังการมาก และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมสำรวจไม่ทันในระยะสั้นๆ

“นี่…มัน.อะไรกัน?” ผมหันไปถามเจ้าของบ้าน

“พี่ทำไว้เผื่อให้เป็นบ้านของเราไง ห้องนี้พี่สร้างให้เราทำงาน ทำงานให้พี่น่ะ พี่มีโปรเจ็คอีกเยอะที่อยากให้ไอซ์มาช่วย” พี่โน่เฉลยอย่างใจเย็น และภาคภูมิใจที่นำเสนอบ้านหลังนี้

“คือ…. ผม….พูดอะไรไม่ออกเลย… มันดีใจนะ แต่พี่ไม่คิดเหรอว่ามันเร็วเกินไป!”

“ไม่หรอก ช้าเกินไปด้วยซ้ำ อยากให้มาอยู่ด้วยกันเสียพรุ่งนี้เลย แต่ก็ต้องยอมแม่เรานะ ปล่อยให้เรียบจบก่อนก็ได้” จบประโยคด้วยอาการถอนหายใจ

“ไม่ใช่แค่นั่นหรอก…” ผมตอบไม่เต็มเสียง

“ทำไม อะไรอีกล่ะ” อาการเอาแต่ใจของเด็กในร่างผู้ใหญ่เริ่มแสดงออกมา

“ผมอยากมาช่วยพี่นะครับ เพียงแต่ผมอยากไปเก็บประสบการณ์ที่อื่นก่อน ที่บริษัทใหญ่ๆ สักปีหรือ สองปี พี่โอเคไหม?” ผมเล่าด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“นี่คิดจะบอกพี่วันไหนเนี่ย พี่อุตส่าห์เตรียมให้หมดแล้ว”

“ก็… เพิ่งคิดได้ไม่กี่วันนี้แหละ ผมอยากทำตามฝันก่อน” ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมพยายามจะบอกมาตลอดแต่ก็รอเวลามาเรื่อยๆ

“สรุปว่าพี่ต้องรอ จนกว่าเราจะพอใจ?” น้ำเสียงเริ่มมีความประชดแฝงอยู่

“ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลเสียหน่อย ที่นี่ก็มีบริษัทดังๆ ตั้งเยอะเปิดอยู่ ผมก็แค่ตั้งเป้าไว้ก่อน หากไม่ได้ก็กลับมาทำกับพี่แหละ” ผมรี่เข้าไปกอดชายร่างเล็ก

“เราเก่งขนาดนี้จะไม่ได้งานก็แปลกไปล่ะ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” คนตัวเล็กแสดงสีหน้างอนชัดเจน

“พี่โน่ครับ” ผมมองจ้องตาอย่างเคยเพื่ออ้อนวอน

“เฮ้อ….. ก็น่าจะรู้นะว่าพี่แพ้แบบนี้” พี่โน่ส่ายหน้าและจุ๊บแก้มผมหนึ่งที

“ขอบคุณครับที่เข้าใจ แต่อยากจะบอกว่า ผมรักบ้านนี้แบบสุดๆ ไปเลยครับ” ผมกอดคนตรงหน้าแน่นขึ้น

พี่โน่ยิ้มรับแบบเฟื่อนๆ

“ว่าแต่อยากเห็นห้องนอนแล้วสิ!” ผมมองอีกฝ่ายอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง

เป็นสายตาที่เรารู้กันสองคน

“ห้องนอนเสร็จเป็นที่แรกเลย ไปลอง เอ้ย!! ไปดูกันไป” ใบหน้าปรับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ผมกรอกตากับความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย และพยักหน้าตกลง

ผมถูกอุ้มขึ้นพาดสองแขนอย่างง่ายดายและถูกพาไปห้องนอนที่ปลูกไว้ถัดจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

อนาคตมันจะเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบชัด แต่ผมรู้แต่เพียงว่า ปัจจุบันนี้ผมโคตรจะมีความสุขเลย

…………….

จบภาคเสริม
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บทที่ 1 - บทเสริม 27) 20 ก.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-09-2022 16:41:32
สัปดาหหน้าขอเขียนอีกตอนนะครับ

ตอน  ภาพวาดของพ่อ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 1) 7 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-10-2022 15:16:49

ตอนพิเศษที่ 2 ภาพวาดของพ่อ

แสงสว่างยามบ่ายแทรกส่องมาตามช่องหน้าต่างและช่องแสงที่ถูกออกแบบอย่างลงตัวที่ห้องรับแขก

ต้นน้ำที่ปลีกตัวจากการทำงานออกแบบหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาด 32 นิ้ว ที่ซึ่งแสดงแส้นสายแนวตั้งและแนวนอนตัดกันไปมาจนเกิดภาพร่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ เขาเดินมาโยนร่างตัวเองลงบนโซฟานุ่นหนาขนาดใหญ่ที่ห้องรับแขกที่เขาออกแบบเองกับมือ

มือแกร่งที่ยกขึ้นมาใช้นิ้วชี้และโป้งบีบที่สันจมูกระหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ พลางเงี่ยหูฟังเสียงห้องครัวร้านอาหารของบ้านที่ดังจากที่ไกลๆ ซึ่งเลยสวนหน้าบ้านออกไป

ต้นน้ำยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพคนรักของตนกำลังอลเวงกับความวุ่นวายในครัว

หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก ความอ่อนล้าก็พอจะบรรเทาลงได้บ้าง ต้นน้ำลืมตาขึ้นมองผนังฝั่งตรงข้ามกับโซฟาใหญ่ หากเป็นบ้านทั่วไปคงจะมีโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่วางอยู่ แต่กับที่บ้านหลังนี้ มันคือภาพวาดขนาดใหญ่ (น่าจะเกิน 50 นิ้ว) แขวนลอยอยู่ติดผนัง

เป็นภาพสไตล์เพอร์ฟิวชั่นนิสต์ ระบายบรรยากาศของสวนสวยเขียวขจีภายใต้แสงแดดที่แทรกตัวผ่านช่องว่างของต้นไม้ใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพ การไล่สี แสงและเงา ถือได้ทำได้อย่างปราณีต บรรจง และสัดส่วนก็สมจริงจนแม้กระทั่งต้นน้ำเองรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มองภาพๆ นี้

เขาเคยคิดว่านี่คือต้นไม้ใหญ่หลังบ้านของเขาเองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมกันระหว่างพ่อของเขาและพ่อของคนรักของเขา

แต่ยิ่งเพ่งก็ยิ่งหาความคล้ายคลึงกันยากจนเขาถอดใจไปแล้วว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายครั้ง

ทำไมเขาถึงปักใจเชื่อแบบนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพนี้น่ะหรือ? เพราะมันเป็นภาพเดียวที่พ่อของคนรักของเขายกให้ไว้เป็นของต่างหน้า

เสียงงึมงำพึมพำจากนอกอาคารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูบ้าน ต้นน้ำหันไปหาต้นเสียงทันทีที่เจ้าของเสียงเคลื่อนผ่านธรณีประตูเข้ามาในบริเวณห้องรับแขก

เจ้าของเสียงกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสนิทสนม และที่สำคัญเหมือนจะไม่ใช่ภาษาไทย

เพียงแค่จินไห่เห็นภาพต้นน้ำมองมาทางเขา จินไห่ก็รีบหาทางจบบทสนทนาทันที

“ผมก็ไม่ใช่คนงี่เง่าอะไรหรอกนะ” จินไห่เกริ่นเมื่ออีกฝ่ายกำลังเก็บสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋า

“พวกขายประกันน่ะ” จินไห่ตอบกลับทั้งที่ไม่มองตาต้นน้ำเลย แน่นอนว่ามุกพูดภาษาไทยไม่ได้ใช้ได้ผลกับพวกบริษัทประกันแต่….. จินไห่ยังคงเหมือนเดิม ผู้ซึ่งโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย

“อืม…โอเค” แม้ว่าต้นน้ำจะไม่เชื่อ แต่ก็พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่จนถึงที่สุด แม้สีหน้ามันจะไม่ได้เป็นเหมือนปากว่าเลย

“โถ่…..เว้ย!” จินไห่เดินปึงปังมานั่งข้างเขา

“…….” ผมใช้ความเงียบสยบ ผู้ใหญ่ปากแข็ง

“มันเป็นสายจากเพื่อนเก่าสมัยอยู่ที่ใต้หวัน” จินไห่เริ่มเปิดปาก การเป็นคนดีเกินไปของเขาก็ทำให้ใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย

“ไม่เป็นไรครับพี่ หากพี่ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแทรกไปแบบนั่น

“พี่รู้นะว่าต้นน้ำไม่สบายใจที่พี่เป็นแบบนี้หลายครั้งแล้ว” จินไห่พยายามสนทนาอย่างทุลักทุเล

“เรื่องส่วนตัวของพี่ ผมไม่อยากยุ่งหรอกครับ ผมกำลังทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่ อย่างที่พี่อยากให้เป็น พี่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนบ้างก็ไม่แปลก” แต่ที่เขาคิดว่าแปลกคือ พูดภาษาที่เขาฟังไม่ออกนี่แหละ

“ฟังก่อนสิ ไอ้เพื่อนคนนี้ มันเป็นลูกชายของพ่อค้างานศิลป์ คือ พ่อของเรารู้จักกัน และมันก็จะพยายามมาขอซื้อภาพที่เหลืออยู่ของพ่อพี่ ภาพที่พ่อให้เป็นของดูต่างหน้า” พี่จินไห่มองภาพที่แขวนลอยอยู่ที่ผนังไม่ไกลทันที

“แค่นี่เอง พี่ก็ปฏิเสธไปสิ”  ต้นน้ำผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายเมื่อรู้ว่าคนข้างๆ เขาไม่ได้ปกปิดอะไรที่ดูน่ากลัว

“มันไม่ง่ายอย่างนั้น มันไม่เหมือนพี่เลย มันพูดเก่ง โน้มน้าวคนเก่ง ที่สำคัญมันเป็นเพื่อนไม่กี่คนของพี่! พี่ไม่อยากให้เรากลุ้มใจไปด้วยก็เลยเงียบไว้ก่อน”

“แล้วทำไมวันนี้ถึงเพิ่งมาเล่าให้ฟังล่ะ!?”

“ก็มันบอกว่า มันมาถึงประเทศไทยแล้วน่ะสิ!!”

………………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 1) 7 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-10-2022 15:05:24
งานเข้าจินไห่อีกแล้วสิ คริคริ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 2) 14 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-10-2022 09:26:38

ความกังวลก่อเกิดขึ้นบนใบหน้าของจินไห่ มาตลอดสามวันนับจากวันที่จินไห่ เล่าเรื่องเพื่อนเก่าให้ต้นน้ำฟัง

ส่วนต้นน้ำทำได้แค่เพียงปลอบอีกฝ่ายและให้กำลังใจเท่าที่จะทำได้ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่จินไห่ของเขาถึงได้กังวลมากมายขนาดนี้

ก็แค่เพื่อนเก่าคนหนึ่ง ปฏิเสธไปก็ได้แล้วนี่นา คนเป็นเพื่อนกันต้องเข้าใจสิ! ต้นน้ำคิดและไม่เข้าใจจินไห่เท่าไหร่

มันเหมือน…. มีอะไรมากกว่านั้นเลย แต่ในเมื่อเขาต้องทำตัวเป็นแฟนที่ดี ต้นน้ำจึงตัดเรื่องติดใจเล็กๆ น้อยๆ ออกไปและเป็นกำลังใจจินไห่ได้เพียงเท่านั้น

“สงสัยเพื่อนพี่แค่หลอกเล่นล่ะมั้ง” ผมพูดขึ้นขณะนั่งดื่มของเหลวสีอำพันฟองนุ่มอยู่ที่โต๊ะอาหารมุมหนึ่งของร้าน

“พี่ว่าไม่! มันไม่เคยหลอกเล่น มันเป็นคนพูดจริงทำจริง!” จินไห่พูดไปก็นั่งใช้นิ้วเลื่อนขึ้นลงไปมาในหน้าเฟซบุ๊คของตนเอง เหมือนจะให้เฟซบุ๊คมันขึ้นฟีดของเพื่อนตนเองขึ้นมาให้เห็นเหมือนโฆษณาสินค้าที่เฟซบุ๊คเหมือนจะอ่านใจเราได้ แต่ก็ไม่มีการอัพเดทอะไร

“เพื่อนพี่ใช่คนที่ ขาวๆ สูงๆ หน้าตาคมเกลี้ยงเกลา แล้วก็ยิ้มสวยๆ แล้วก็มีไฝที่มุมปากทางซ้ายด้วยใช่ไหม?” ผมบรรยายให้เห็นภาพ

“ใช่! เฮ้ย! ทำไมถึงรู้!!” จินไห่มีอาการตกใจตาเบิกโพลง

“ก็คนที่ว่ากำลังเดินยิ้มกว้างเดินมาทางนี่แล้วไง!” ต้นน้ำชี้ไปทางด้านหลังจินไห่

จินไห่หันหลังควับ และหันกลับมาทางต้นน้ำแทบจะทันที สีหน้าแสดงอาการช่วยด้วย และมีเค้าลำบากใจ

“ไม่เป็นไรนะพี่เดี๋ยวผมคุยเอง” ต้นน้ำยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายและบอกจินไห่ไปแบบนั้น

“ต้นน้ำพูดภาษาจีนได้?” จินไห่เลิกคิ้วถาม

ต้นน้ำยิ้มแห้งและสั่นหน้าเป็นคำตอบ

เพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เดินมาถึงโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ต้นน้ำไม่รู้ว่าคนๆ นั้นมาถึงตรงจุดที่พวกเขานั่งอยู่ได้อย่างไร (คงถามกับพนักงานในร้าน แต่พนักงานในร้านจะสื่อสารเข้าใจได้ยังไง?)

จินไห่หันไปทักทายและลุกขึ้นไปกอดกันอย่างสนิทสนม จินไห่ที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกับต้นน้ำยังรู้สึกว่าตัวเล็กลงไปเลยเวลาอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีส่วนสูงที่สูงกว่าแต่อาจเพราะอีกฝ่ายมึสัดส่วนเหมือนคนออกกำลังกายอย่างมีวินัยจนกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นหว่าคนปกติทั่วไป (ที่ว่าปกติคือจินไห่และต้นน้ำ เป็นคนมีกล้ามเนื้ออย่างสมสัดส่วน) คล้ายคนเพาะกาย

ทั้งสองมีการพูดคุยในภาษาต่างชาติที่ต้นน้ำฟังไม่ออกสักคำ แต่เดาจากอากัปกิริยาแล้วคิดว่าน่าจะกำลังสอบถามสาระความเป็นมาในช่วงที่ห่างหายกันไป

พักใหญ่เลยกว่าที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวว่าต้นน้ำมองจ้องอยู่กับทุกบทสนทนา

ฝ่ายที่เพิ่งเข้าใหม่หันมาพูดคุยด้วยภาษาจากถิ่นกำเนิดและยื่นมือออกมาทางต้นน้ำเพื่อแสดงการทักทาย

ต้นน้ำยื่นมือข้างเดียวกันออกไปจับด้วยท่าทางเขอะเขินและไม่เข้าใจ

อีกฝ่ายพูดทักทายต้นน้ำด้วยภาษาต่างประเทศเป็นชุด รัวจนแทบไม่ทิ้งช่องว่างให้ต้นน้ำอยากทักกลับไปว่า เขาฟังไม่ออก

เพื่อนของจินไห่ที่สังเกตเห็นอาการสับสนและทำตัวไม่ถูกของต้นน้ำจึงได้หัวเราะออกมาลั่นบริเวณนั้น

“เลิกแกล้งเขาสักทีเถอะ อาเฉิง” จินไห่กลั้นเสียงหัวเราะและแตะบ่าอีกฝ่ายให้หยุด


“ก็มันน่าแกล้งนี่นา ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงไทยดังฟังชัดหลุดออกมาจากปากเรียบสีชาดอ่อน

“อ้าว!! เฮ้ย! พูดไทยได้นี่หว่า!?!” ต้นน้ำเหวอ เสียงหลง

“ก็ไม่ได้บอกว่าพูดไม่ได้นี่นา” อาเฉิงพูดสวนกลับมาทั้งที่อีกมือหนึ่งยังกุมท้องตัวเองเพราะความขบขำ

“พี่ขอโทษที่พี่ไม่ได้บอก อาเฉิงก็ลูกครึ่งไทยเหมือนกัน พี่ก็เลยสนิทกับเขาไง เขาพูดไทยชัดกว่าพี่อีกนะ เพราะแม่ของเขาน่ะพูดกับเขาทุกวัน ไม่เหมือนพี่” จินไห่พูดไปก็นึกถึงความหลังของตัวเองไป พลางค่อยๆ ลดเสียงตัวเองลงเล็กน้อย

ต้นน้ำแปลกใจที่พี่จินไห่ของตนแสดงถึงความ อ่อนไหวขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้คงมีอิทธิพลกับจินไห่มาก

“สวัสดี พี่ชื่อ ไป่ เฉิง ตง (柏 嶒 冬 ) เพื่อนๆ เรียก เฉิง เฉยๆ ส่วนพี่กับไอ้ไห่ เรียกกันว่า ทะเล กับ ภูเขา” เฉิงพูดต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียไป

ต้นน้ำทำหน้าไม่เข้าใจไปทางคนต่างแดนทั้งสองคน

“อืม…. จริงสิ คือ ชื่อไห่ แปลว่าทะเลไง ส่วนชื่อพี่มีคำว่าภูเขาอยู่” เฉิงขยายความ

ต้นน้ำพยักหน้าอือ ออ แกมรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองคนแกมมองไปทางคนของตนเองที่ตอนนี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน

ต้นน้ำกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้งและเหล่มองไปทางจินไห่ เขาเองก็เหมือนสื่อใจถึงกัน จินไห่จึงเริ่มบทสนทนาต่อทันที

“เอ่อ…. คือ…. เรื่องรูปน่ะ ยังไงเราก็ไม่ขายนะ”

“เฮ้ย.. แปลกนะที่ตอบได้ทันทีทันใดแบบนี้เนี่ย สงสัยมีแบคอัพดีสินะ” เฉิงพูดจบก็เหล่มองมาทางต้นน้ำ ทำให้เขารู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดส่งมา

“มันเป็นของดูต่างหน้าของพ่อนะ เราจะขายได้ยังไง!” จินไห่ให้เหตุผลผลหนักแน่น

“ตอนโทรศัพท์ยังอึกอักใส่อยู่เลย มีคนคอยสนับสนุนใช่ไหมเนี่ย?” ต้นน้ำถูกเหล่มองอีกครั้ง

เท่าที่ต้นน้ำทราบ พี่จินไห่บอกว่า เพื่อนคนนี้ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ต้นน้ำกับจินไห่คบกันอยู่ ซึ่งเขาเองก็สอบถามหลายครั้งว่าทำไมถึงได้ปิดบังเพื่อนสนิทคนนี้ พี่จินไห่ก็พูดประมาณว่า ไม่อยากทำให้ต้นน้ำอึดอัด ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจกับเขามาจนถึงวันนี้

ท่าทางของเพื่อนของจินไห่ก็ดูเป็นมิตรดี แถมดูสนิทกันมากๆ ยิ่งมีเชื้อสายไทยด้วยกันน่าจะสนิทกันระดับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนรักเพื่อนตายได้เลย

ต้นน้ำนั่งมองคนเชื้อสายต่างชาติที่กลับมาคุยภาษาไทยอย่างกับเจ้าของภาษา ต้นน้ำก็ยังอดแปลกตาไม่ได้ รวมทั้งต้นน้ำยังไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่พี่จินไห่ของเขากลัวอะไร แม้ว่าเขาจะถูกมองแปลกๆ หลายครั้ง

“พูดอะไรของนายเนี่ย?!?” จินไห่

“ก็แฟนนายไง นั่งอยู่เป็นแบคอัพแบบนี้ นายถึงได้ตัดสินใจ แบบใจเข็งได้ขนาดนี้!!” เฉิงชี้มาทางต้นน้ำ

“นาย…นายรู้” จินไห่มีอาการแตกตื่น

“เดี๋ยวนี้โลกมันเล็กลงแล้วนะ” เฉิงพูดพลางยักคิ้วใส่จินไห่

ต้นน้ำนึกถึงบรรดาเพจต่างๆ ในเฟซบุ๊คที่ต่างติดตามข่าวคราวพวกเขาอยู่พักใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไห่ เพื่อนสนิทพี่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจนี่ครับ ที่พี่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย!” ต้นน้ำลุกขึ้นมายืนจับมือจินไห่ไว้แน่น ในขณะที่จินไห่นิ่งเงียบ

“รังเกียจ…ป่าวเลย ตรงกันข้าม พี่ดีใจเสียอีก ที่รู้ว่าพี่เองก็มีหวังกับเขาเสียที ถ้ามีคู่แข่งเป็นยัยเสี่ยวหยู๋ ยังคิดว่าไม่มีทาง แต่เป็นผู้ชายด้วยกัน เราว่าเราไม่แพ้แน่นอน!!” เฉิงยิ้มสวยมาทางพวกเขาทั้งสองคน ดวงตาที่เหมือนมีประกายวิบวับส่องประกายมาทางจินไห่

ต้นน้ำมึอาการเหวอกับคำพูดอีกฝ่ายเล็กน้อย และกำลังประมวลผลในสมองของเขาอย่างหนัก

“เรื่องรูปไม่ขายก็ไม่เป็นไร เพราะนั้นมันเรื่องรอง!!” เฉิงยิ้มอย่างมีแผน

“เรื่องรอง?!?” จินไห่เปิดปากอย่างตื่นตระหนก เรื่องที่เขาคิดไว้ในที่สุดก็ถูกต้อง เพราะรู้จักคนๆ นี้มานาน

“เรื่องหลักก็คือมาทวงคืนทะเลของเราไง!” เฉิงดึงจินไห่ออกห่างจากต้นน้ำไปกอดอย่างแนบแน่น

…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 2) 14 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-10-2022 11:40:31
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 3) 31 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 31-10-2022 16:36:07

“พี่ไม่น่าห้าม!!” ต้นน้ำกระฟัดกระเฟียดเดินจูงมือแฟนหนุ่มเข้ามาในตัวบ้าน หลังจากที่จินไห่ขอร้องให้เพื่อนกลับไปก่อน

“พี่หวังดีนะ” จินไห่ตอบเสียงเรียบ

“หวังดีอะไร! ถึงรูปร่างมันจะหนากว่า ผมก็ไม่กลัวมันหรอกนะ ผมมันเด็กสถาปัตย์ฯ นะ เรื่องชกต่อยผมไม่เป็นรองใครหรอก หรือพี่กลัวเพื่อนพี่จะเจ็บตัว!!” ต้นน้ำพูดพลางคิดว่าตัวเองนิสัยเหมือนไอ้ต้นกล้า เข้าไปทุกที เพราะช่วงนี้คุยกับมันบ่อยเกินไปละมั้ง

“อาเฉิงน่ะ…… คาราเต้สายดำ ยูโดสายดำ เทควอนโดก็เรียนมาบ้าง เขาเป็นนักกีฬาตั้งแต่สมัยเรียน เหรียญรางวัลเต็มห้อง น้องคิดว่าพี่หวังดีกับใคร?”  จินไห่ตอบด้วยประโยคบอกเล่าที่ทำให้ต้นน้ำคิดภาพตามพลางคิดในใจ

‘เกือบไปแล้ว’

หลังจากต้นน้ำมองหน้าจินไห่หลังจากจบประโยคของเขาพักใหญ่ ต้นน้ำก็ระเบิดเสียงโวยลั่น พร้อมกันขยี้หัวตัวเองและมองเงาตนเองในกระจกของห้องรับแขก แล้วถอนหายใจอย่างแรง

“คนอะไรมันจะสมบูรณ์แบบไปหมดวะ หล่อ รวย เก่ง ไปหมดรอบด้านแบบนี้!!” ระหว่างบ่นอุบอิบ ต้นน้ำก็เดินไปกระแทกนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ของห้องรับแขกเสียงดัง

จินไห่อมยิ้มให้กับความงอแงของอีกฝ่าย และเดินไปโอบกอดจากทางด้านหลัง

“มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะสมบูรณ์แบบขนาดไหน เรื่องความรักมันสำคัญที่ ใจเราต่างหาก และคนที่พี่เลือกก็คือ ต้นน้ำนะ” เสียงที่แสนอบอุ่นอ่อนโยน ลำเลียงป้อนใส่หูของต้นน้ำอย่างช้า

เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ต้นน้ำ หายจากอาการน้อยใจและโกรธเกรี้ยวเป็นปลิดทิ้ง เหมือนลมทะเลอ่อนๆ ที่พัดเอาความรุ่มร้อนให้หายไปจากร่างกาย

“พี่ไห่……”

“ครับ?”

“ทำไมพี่น่ารักขนาดนี้!”

“หยุดเลยนะ อุ๊บ!”

จินไห่ห้ามไม่ทันจบประโยค ก็โดนต้นน้ำหันหลังมาคว้าคอเขาไปเพื่อโน้มสัมผัสริมฝีปากกับเขาอย่างเผ็ดร้อน

จินไห่ที่อยู่กับแฟนเด็กมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่า น้ำเสียงแบบไหนที่อีกฝ่ายแสดงถึงความต้องการจากส่วนลึกของจิตใจ

ลิ้นอุ่นชุ่มถูกสอดใส่เข้ามาในช่องปากของจินไห่จนทำให้ไม่สามารถโต้ตอบด้วยวาจาได้

มือหนึ่งของต้นน้ำที่กระชับต้นคอแน่น และอีกมือหนึ่งก็แทรกช้อนระหว่างลำตัวกับแขนไปทางด้านหลัง ทำให้จินไห่ไร้ทางหนี

ความจริงแล้ว แม้จนถึงตอนนี้ จินไห่ไม่สามารถปฏิเสธแฟนเด็กของตนเองได้เลย เขาแทบจะตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายทันทีเมื่ออีกฝ่ายโน้มน้าวเขาด้วยภาษากาย

เขาไม่รู้ว่าคู่รักอื่นๆ เป็นแบบนี้ไหม? แต่กับเขาภาษากายแบบนี้มันได้ผลเสมอ

“พอก่อน! พี่ต้องไปทำงาน!” จินไห่พยายามขัดขืนด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นของเขาถูกปลดกระดุมออกจนหมดแล้ว (เป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่จินไห่แปลกใจเสมอ)

“นิดเดียว….นะครับ” ต้นน้ำทำเสียงออดอ้อน ใบหน้าน่ารักวงนั้นกำลังล่อลวงจินไห่ให้ไขว้เขว ใจเขาเต็นไม่เป็นจังหวะ มือที่ชุ่มเหงื่อกำแน่นเพื่อฝืนความต้องการของตนเอง

ต้นน้ำโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใช้ฟันขบลงบนริมฝีปากจินไห่เบาๆ และเริ่มขั้นตอนที่หนึ่งอีกครั้ง มือที่ไร้การพันธนาการจากจินไห่ เล่นหยอกกับผิวพรรณของจินไห่ไปทั่วจนกระทั่งไปหยุดลงที่ลูกพีชสีขาวอมชมพูที่ด้านหลัง (จินไห่ต่องแปลกใจอีกครั้งที่ต้นน้ำปลดกางเกงเขาลงได้ตอนไหนก็ไม่ทราบ?)

“เดี๋ยวนะ นี่มัน…ชั้น 1 นะ” จินไห่พยายามเตือนสติอีกฝ่าย

“แล้วไง! พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมผมถึงออกแบบให้ปลูกต้นไม้พุ่มสูงล้อมบ้านเป็นชั้นๆ แบบเขาวงกตย่อมๆ ไว้ เพราะว่าเวลาเราทำอะไรกันตรงส่วนไหนของบ้านก็ไม่มีใครเห็นไง!!” ต้นน้ำยิ้มอย่างภูมิใจ และเริ่มทำการละเล่นกับผิวใสๆ ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน

“ไอ้คนเจ้าเลห์!! แต่เดี๋ยวมีคนจากที่ร้านมาตามพี่นะ!!” จินไห่ยังคงฝืน ไม่ทิ้งความพยายาม

“ผมว่าน้องๆ ในร้านพี่น่าจะรู้หมดแล้วไหมครับ ว่าหากพี่หายไปกับผมนานๆ แบบนี้ มันก็มีแค่เหตุผลเดียวนั้นแหละ!!” ต้นน้ำพูดตัดทางหนีของอีกฝ่ายได้อีกครั้ง

“ไอ้..ไอ้….” จินไห่ตอนนี้ สติของเขาเลือนลางไปกับความสุขที่อีกฝ่ายกำลังปรนเปรอให้ทางริมฝีปากและลิ้นอันสากชุ่ม

เขาหมดแรงพยายามและปล่อยตัวเองให้เอนลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ ถูกเรือนร่างที่ค่อยๆ เปลือยเปล่าบดขยี้อย่างสุขสันต์

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะห้ามอีกฝ่ายให้เลิกคลั่งรักเขาได้แบบนี้ ไม่เลยสักครั้ง

…………..

วันรุ่งขึ้น ไอ้หน้าตี๋นักกล้ามปรากฎตัวอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มฟันขาวเรียงสวยน่าหมั่นไส้

“อรุณสวัสดิ์” เฉิงโบกมือทักทายจินไห่โดยมองข้ามต้นน้ำที่ยืนอยู่ข้างๆ

แม้ว่าต้นน้ำจะพยายามเพ่งมองแผ่รังสีอำมหิตส่งไปหาแขกผู้มาเยือน เฉิงก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ซ้ำยังเมินต้นน้ำอย่างไม่ใยดี

“มาทำไมแต่เช้าเนี่ย” จินไห่มองนาฬิกาแกมทักอีกฝ่ายตามมารยาท

“ก็…..ว่าจะมาดูสภาพของภาพวาดหน่อย” อีกฝ่ายักไหล่ตอบและมองสอดส่องไปในตัวบ้าน

“ไหนว่าไม่สนใจแล้วใจ” ต้นน้ำตอบแทนจินไห่เสียงแข็ง พลางเดินมาขวางทางเฉิงที่กำลังถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน

“ก็นะ… แบบ… ลูกค้าน่ะสิ เขาดื้อนะ ไม่ยอมฟังอะไรเลย ยังไงก็จะขอซื้อให้ได้ เฮ้อ……” เฉิงผ่อนหายใจยาวหลังจบประโยค

ต้นน้ำดูจากสีหน้าแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่ได้โกหก

“ยังไงผมก็มืออาชีพ ขอไปประเมินภาพหน่อยได้ไหม?” พูดยังไม่ทันจบประโยค เฉิงก็เดินแทรกตัวคู่รักเจ้าของบ้านเพื่อที่จะเข้าไปในตัวบ้านทันที

“แล้วไม่คิดจะขอเจ้าของก่อนหรือไง!!?” ต้นน้ำทำตัวแข็งขืนไม่ให้อีกฝ่ายผ่านตนไปได้

“อ่ะ!! ขอโทษทีลืมตัวทุกทีเลย บังเอิญว่าเราสนิทกันมากน่ะ เรื่องแค่นี้จินไห่ ไม่ว่าอะไรหรอก!!”  เฉิงยิ้มและมองไปทางต้นน้ำสลับกับจินไห่

จินไห่ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเป็นคำตอบ

“พี่ไห่!!” ต้นน้ำเรียนจินไห่อย่างเสียศูนย์

แขกผู้ไม่ได้รับเชิญของต้นน้ำเดินแทรกเข้าบ้านอย่างไร้กังวล

“เอาน่า อย่างไรมันก็เพื่อนพี่นะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” พูดจบจินไห่ก็เดินไปจัดการงานที่ร้านอาหารของตนทันที

ทิ้งให้ต้นน้ำยืนหน้านิ่วและร้องตะโกนอย่างไม่พอใจลั่นในสมอง

เวลาผ่านไปนานพอควร ต้นกล้ารู้สึกกังวลใจจนไม่สามารถกินมื้อเช้าได้อย่างเอร็ดอร่อยเหมือนเคย และที่ยิ่งน่าหงุดหงิดไปอีกก็คือ บนโต๊ะมีการจัดจานเพิ่มอีกหนึ่งจาน

“ทำเอาหิวเลยรู้อย่างนี่เดินมากินข้าวก่อนก็ดี” เสียงที่ไม่พึงประสงค์เอ่ยลอยมาเข้าโสตต้นน้ำ ทำให้เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ไปประเมินภาพวาดหรือไปแอบขโมยของล่ะเนี่ย? นานเชียว” ต้นน้ำอดไม่ได้ที่จะจัดการสักประโยค

“มืออาชีพอย่างผมตรวจไม่นานหรอก แต่เพลินไปจนสำรวจบ้านเสียนานนี่สิ ห้องนอนของอาไห่ ยังเรียบร้อยเรียบง่ายเหมือนเดิมนะ แต่ก็แอบตกใจนะเนี่ยที่มีกล่องถุงยางอนามัยเป็นแถววางอยู่ในห้องแบบนั้น รู้สึกสึกเสียใจเป็นบ้าที่เราไม่ได้เป็นคนเปิดบริสุทธิ์นายนะ” เฉิงพูดพลางส่ายหน้า

ต้นน้ำที่นั่งกำมือแน่น ข่มตาหลับอย่างฝืนๆ จนจินไห่รู้สึกถึงไอบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก

“แต่ห้องนอนมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวนะ ยังไงก็ไม่ควรเดินเข้าไปโดยไม่ขออนุญาต” จินไห่ตอบเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้สำนึกอะไร

“แหมๆๆๆ ทำไมทำตัวเหินห่าง เมื่อก่อนเรานอนด้วยกันบ่อยๆ อะไรๆ เราก็เห็นกันจนชินตาแล้ว ไม่น่าจะทำตัวห่างเหินกันแบบนี้นะ!!” เฉิงที่ยังยิ้มร่าตอบอย่างสบายใจ

“มึงนี่มัน!!” ต้นน้ำกัดฟันกรอดพูดออกมา เส้นความอดทนของต้นน้ำขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิง

หมับ!!

มือของต้นน้ำถูกคว้าจับไว้และบีบอย่างแรง ทำให้เขาหันไปมองหน้าจินไห่ที่ยังคงสงบนิ่ง แต่ต้นน้ำรู้สึกถึงพายุที่โหมพัดภายในได้

“แต่ตอนนี้เราอยู่กับต้นน้ำ เราเป็นแฟนกัน ห้องๆ นั้นไม่ใช่ห้องของเราคนเดียวแล้ว จะทำอะไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง!!” เสียงเรียบๆ เย็นๆ ของจินไห่ ทำให้เฉิงหุบรอยยิ้มเกินๆ เหล่านั้นได้ และผ่อนลมหายใจออกมา

“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราขอโทษนะที่ล้ำเส้นไปหน่อย….. แต่เราไม่ยอมแพ้หรอกนะ!!” เฉิงมีสีหน้าอ่อนลงและทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามต้นน้ำและจินไห่อย่างหมดมุก

“กินมื้อเช้าไป!” จินไห่ไสจานที่ถูกเติมเต็มไปด้วยไข่คนและไส้กรอกที่บรรจงบั้งเป็นรายตารางสวยงามราดด้วยซอสเกรวี่สูตรลับของทางร้าน

“โอโห! เหมือนที่นายเคยทำให้กินเลยอ่ะ นี่มันเมนูซิกเนเจอร์ที่พวกเราคิดตอนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ นี่เนอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะจำได้!” เฉิงเลื่อนจานมาใกล้ตนเองมากขึ้น

ต้นน้ำฟังประโยคนั้นแล้วรู้สึกอยากคายของที่กินไปตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกใส่หน้าไอ้เจ้าของประโยคที่น่ารังเกียจนั่นเสีย

“ไม่เหมือนหรอก สูตรนี้เราคิดให้ต้นน้ำโดยเฉพาะ ต้นน้ำเขาอยากให้ทำขายก็เลยมีขายในร้าน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีให้นายกินแบบนี้” ต้นน้ำยอมใจพี่จินไห่จริง ที่ตอบได้ขาดทุกประโยค แบบไม่ให่เห็นเยื่อใย ชัดเจนแบบสุด

“อืม… ไม่เหมือนเดิมจริงๆ ยังไงสูตรที่เราทำด้วยกันก็อร่อยกว่า” เฉิงเคี้ยวคำแรกเสร็จก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าหมั่นไส้

“แต่ตอนนี้เราชอบแบบนี้แล้ว และตอนนี้ก็จำได้แต่สูตรนี้” จินไห่ตอบกลับแทบจะทันที

ทุกครั้งที่จินไห่ตอบ ต้นน้ำก็ยิ่งรักคนๆ มากขึ้นไปอีก จนตอนนี้แทบอยากจะลากพาขึ้นไปจัดความรักให้สักสองสามยก

“เรายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ทั้งเรื่องภาพ และเรื่องนาย!!” เฉิงวางช้อนและเดินจากไป

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 3) 31 ต.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-11-2022 11:08:40
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 3) 11 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-11-2022 12:08:26

เสียงลมหายใจหอบถี่ที่สอดประสานกันในห้องนอนชั้นสองของช่วงสายของวัน ต้นน้ำและจินไห่ต่างนอนแผ่หายใจเข้าออกหอบใหญ่จนหน้าอกของทั้งสองสั่นเพื่อมพ้องกัน

ต้นน้ำทำอย่างที่ใจเขาคิดจริงๆ ความมั่นคงเด็ดขาดในรักของจินไห่ปลุกเร้าความต้องการส่วนลึกในจิตใจของต้นน้ำได้อย่างท่วมท้นจนไม่อาจจะสะกดกลั้นได้

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่พวกเขาทั้งสองคนก็รักกันอย่างสดใหม่อยู่เสมอ ต้นน้ำยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เขาเห็นเรือนร่างของจินไห่ ผิวขาวเกลี้ยงเกลา กล้ามเนื้อลีนๆ พอดีตัวน่าสัมผัสไปหมดทั้งร่าง ความรู้สึกที่ไม่เคยถูกเติมเต็มเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ต้นน้ำคิดพลางลูบไล้แผ่นอกที่เต็มไปด้วยเหงื่อผุดพลายไปทั่ว

“พอแล้วนะ พี่ขอพักก่อน”จินไห่พูดอย่างหมดแรง ต้นน้ำยกยิ้มกับความน่ารักน่าหยิกตรงหน้า

“ครับๆ ผมทราบแล้ว พี่เคยบอกผมว่า ช่วงกลางวันครั้งเดียวก็พอ แต่…….” ต้นน้ำลากเสียงยาวที่ปลายประโยค

“กลางคืนพี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ หากรวมกับตอนเช้าด้วย ก็ปาเข้าไปสองรอบแล้วนะ” จินไห่หันมาค้อนใส่คนรักที่นอนอยู่เคียงกัน

“ก็…. ลองถามดู” สายตาเจ้าเล่ห์ของต้นน้ำเปล่งประกาย พร้อมยกตัวขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นช่วงลำตัวที่ผ่านการดูแลเป็นอย่างดี

ร่างตรงหน้ามันดีต่อใจจนกระทั่งต้นน้ำโดนห้ามไม่ให้ถ่ายรูปถอดเสื้อลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์คอีกโดยจินไห่

กล้ามเนื้อแน่นและชัดได้สัดส่วน ผิวที่มีรอยต่างสีจากการโดนแดดเผาเพราะออกกำลังกายกลางแจ้ง ทำให้ผิวของต้นน้ำมีเสน่ห์มากขึ้น สัดส่วนทั้งร่างมันเหมือนกันศิลปินชั้นครูบรรจงแกะสลักด้วยหินอ่อนบริสุทธิ์

หน้าตาที่พิสุทธิ์สะอาดและดวงตากลมโตเหล่านั้นทำให้จินไห่มองกี่ครั้งๆ ก็ยอมแพ้ทันทีที่ได้เห็น ดังนั้นเพียงแต่ความออดอ้อน เล้าโลมของอีกฝ่ายก็ทำให้จินไห่แทบจะยอมทำทุกอย่างให้ต้นน้ำไปแล้ว

“พี่ขอร้อง พี่ไม่ได้ช่วยน้องๆ ปิดร้านบ่อยแล้วนะ” คนพี่งอแง

“ผมว่าน้องๆ พี่เขาเข้าใจล่ะ”

“นายนี่มัน!!!!”

“มา!! เดี๋ยวผมพาไปอาบน้ำ!”

“แค่อาบน้ำนะ!!”

“เออน่า!!” พูดจบต้นน้ำก็อุ้มจินไห่ในท่าเจ้าสาวพาเข้าห้องไปอาบน้ำให้ทันที

……….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 14 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-11-2022 11:05:10

……….

เพื่อนเก่าของพ่อ

หลายวันผ่านไปนับจากวันที่เพื่อนสนิทของจินไห่มาทักทายล่าสุด เฉิงหายไปเหมือนกับยอมแพ้แล้วโดยสิ้นเชิง ต้นน้ำที่เริ่มมีท่าทีสบายใจขึ้นมากนับจากวันนั้น ก็รู้ว่าเขาน่าจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว ระหว่างที่เขานั่งกินมื้อเที่ยงกับจินไห่ภายในตัวบ้านเช่นเดียวกับกิจวัตรทั่วไปทุกวัน

เสียงริงโทนของโทรศัพท์จินไห่ที่ต้นน้ำแทบจะไม่เคยได้ยินเลยนั้นดังลั่นบ้าน ต้นน้ำมีอาการตกใจเล็กน้อยกับสีหน้าของจินไห่ที่มองไปทางแสงสว่างวาบของหน้าจอ

จินไห่ยกหน้าจอแสดงให้ต้นน้ำดูด้วยสีหน้าหน่ายๆ

ชื่อที่ปรากฏเป็นภาษาจีนที่ต้นน้ำอ่านไม่ออก แต่รูปโปรไฟล์ของเจ้าของชื่อนั่น ตาใสยิ้มสวยมองมาทางเขา ทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นอย่างประหลาด

“นึกว่าเพื่อนพี่ยอมแพ้กลับไปแล้วนะ!!” ต้นน้ำพูดใส่หน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้น

“พี่ก็เข้าใจอย่างนั้น” จินไห่ตอบพลางถอนหายใจ ทำให้ต้นน้ำรู้ว่า จินไห่ก็ลำบากใจไม่น้อยเหมือนกัน

“รับๆ ไปเถอะพี่ ดีกว่าให้มันมาโผล่ที่บ้านเรา” ต้นน้ำรู้สึกเบื่ออาหารตรงหน้าขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่มีแต่อาหารโปรดกองอยู่ตรงหน้า

หลังจากจบประโยคของต้นน้ำ จินไห่ก็รับสายทันทีซึ่งทุกประโยคเป็นภาษาจีน แน่นอนว่าต้นน้ำฟังไม่ออกเลย

แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ จินไห่มีท่าทีสุภาพมากกว่าปกติมาก

จนกระทั่งจินไห่วางหูโทรศัพท์ ต้นน้ำจึงรีบชิงถามคำถามก่อนที่จินไห่จะผ่อนลมหายใจออกมา

“มีอะไรครับ ทำไมท่าทางพี่แปลกๆ?”

“ก็พี่ไม่นึกว่าจะเจอไม้นี้!!”

“ไม้นี้?”

“นั่นพ่อของอาเฉิง!”

“?!?!?” ผมประมวลผลไม่ถูกเลยครับว่ามันมีตัวแปรพ่อของอาเฉิงมาได้ยังไง



………..

จินไห่เคยเล่าเรื่องสมัยตอนอยู่ที่ใต้หวันให้ฟังบ้าง จำได้ว่าชีวิตวัยเด็กของจินไห่ก็ไม่ได้อบอุ่นเท่าไหร่นัก เพราะคุณพ่อของจินไห่เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ทำให้มีโลกส่วนตัวสูงพอควร แม้จะให้เวลากับครอบครัวเต็มที่ แต่เวลาที่ปลีกตัวไปทำงานนั้นกลับมีมากกว่า ทำให้มีความห่างเหินกับแม่และจินไห่ระดับหนึ่ง

ด้วยความที่เคยมาอยู่ประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่งทำให้จินไห่มีเพื่อนที่นั่นน้อยและปรับตัวค่อนข้างยากกับเด็กวัยเดียวกัน

โชคดีที่ได้รู้จักอาเฉิง ที่เป็นลูกครึ่งไทย ทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว รวมถึงที่อาชีพของพ่อของทั้งสองคนก็ทำให้สองคนนี้สนิทสนมกันเร็วขึ้น

พ่อของอาเฉิงเป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือ อาร์ตแกลลอรี่

หลังจากนึกมาถึงตรงนี้มันก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น เพราะพ่อของทั้งสองคนเสมือนทำธุรกิจร่วมกัน และพ่อของอาเฉิงก็มีภรรยาเป็นคนไทย ทำให้รู้สึกมีความใกล้ชิดกันระหว่างสองบ้าน (เข้าใจแล้วว่าทำไมจินไห่ถึงได้เรียนรู้ภาษาไทยได้เร็ว)

“แล้วพ่อของเพื่อนพี่ โทรศัพท์มาทำไม?” ผมถามหลังจากลำดับเหตุการณ์ในหัว

“ก็คนที่อยากได้ภาพนี้ก็พ่อเขานั่นแหละ!!” จินไห่ตอบพลางผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่

“อันนี้พีคจริง! แล้วพี่ทำไงล่ะ?” ผมถามจ่อแทบจะทันที แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันทำให้เขาลำบากใจ

“ไม่รู้เลย มรดกเพียงไม่กี่ชิ้นที่พ่อให้มา ราคาสูงแค่ไหนพี่ก็ไม่ขายหรอก ต้นน้ำเข้าใจพี่ใช่ไหม?” จินไห่แสดงออกทางสายตาว่าสับสน

“ผมรู้” เพราะมันมีค่าทางจิตใจมากกว่า เหมือนกับบ้านหลังนี้

สำหรับต้นน้ำ ก็ต้นไม้หลังบ้านเขานี่แหละ เป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็จะไม่ขายที่ดินผืนนั้น เพราะมีพ่อของต้นน้ำและจินไห่นอนพักร่วมกันอย่างสงบใต้ร่มไม้ผืนนั้น

เวลาไม่นานนักคนที่เคยอยู่ ณ ปลายสายของโทรศัพท์เพื่อนสนิทของจินไห่ก็มาถึงร้านอาหารและบ้านของเขา

คนที่เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของจินไห่เดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมและถามไถ่เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ห่างหายจากกันไปนาน

บรรยากาศระหว่างจินไห่และพ่อลูกสองคนนั้นทำให้ต้นน้ำถูกแปลกแยกออกไปแม้จะยืนอยู่ข้างๆ จินไห่ก็ตาม เพราะพ่อของผู้มาใหม่แทบจะไม่เห็นต้นน้ำอยูในสายตาเลย

อาจเพราะพวกเขาพูดภาษาอื่นที่ต้นน้ำไม่สามารถเข้าใจได้ จึงยิ่งลำบากที่จะเข้าร่วม

จินไห่เหมือนจะสังเกตเห็นว่าต้นน้ำมีสีหน้าเปลี่ยนไปจึงได้เปลี่ยนเรื่องที่คุยมาเป็นแนะนำต้นน้ำแทน

ต้นน้ำรีบแนะนำตัวเป็นภาษาจีนตามที่เคยถูกสอนมา แต่หลังจากเจอประโยคสวนกลับของผู้อาวุโส เขาถึงกลับยิ้มอย่างสับสนและมองไปทางล่ามส่วนตัวของเขา

“คุณอาครับ อย่าไปแกล้งเด็กสิครับ!!” จินไห่กลับพูดภาษาไทยใส่ผู้เป็นเสมือนบิดาอีกคนของเขา

“อ้าว! เห็นแนะนำตัวเป็นภาษาจีน อาก็นึกว่าพูดภาษาพวกเราได้” คุณอาของจินไห่พูดติดตลกและขำออกมาในตอนท้าย

ขี้แกล้งเหมือนลูกชายเลยนะ!!
ถึงจะไม่ได้พูดชัดเป๊ะ แต่ก็ถือว่าพูดได้ล่ะนะ

“ทำไมดูงงๆ เอ้า นี่จินไห่ไม่เคยเล่าให้ฟังหรือว่า ลุงเคยทำงานที่ไทยแล้วก็มีภรรยาเป็นคนไทย” คุณอายิ้มกว้างอารมณ์ดี

ต้นน้ำทราบแต่ว่าอาเฉิงน่ะเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน แต่ไม่คิดว่าคุณพ่อของไอ้คุณเฉิงจะเคยทำงานที่ไทยแถมพูดได้ได้ชัดขนาดนี้

“พูดไปก็คิดถึงแม่เนอะอาเฉิง!” คุณอาหันไปพูดกับลูกตัวเองแล้วก็อมยิ้มอ่อนๆ ไว้

“แต่ภาษาไทยอาน่าจะขึ้นสนิทแล้วล่ะ นอกจากแม่ของอาเฉิงก็มี ‘เก๋อหลง’ นี่แหละ ที่ได้ใช้เป็นที่ฝึกฝน แต่ก็จากกันไปทั้งคู่ ทีละคนๆ” พูดมาถึงตรงนี้ คุณอาก็มีนำ้ในตารื่นเคลือบดวงตา

“อาปา…. เปลี่ยนเรื่องเถอะ” อาเฉิงพูดกับพ่อเสียงสั่น

พ่อลูกสองนนี้นิสัยเหมือนกันมาก ไบโพล่าหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้! ต้นน้ำมองด้วยสีหน้าหวั่นๆ ว่าจะสองคนนี้ต้องการมาทำอะไรตอนนี้

“กินอะไรกันมาหรือยังครับ?” จินไห่ได้โอกาสเปลี่ยนบทสนทนาเพราะเขาเองก็จะพาลคิดถึงคนที่จากไปแล้วด้วย

“เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่ภาพวาดอยู่ที่ไหนล่ะ?” คุณอาสั่นหน้าและจ้องไปที่ตาของจินไห่

รวบรัดตรงประเด็นทั้งพ่อทั้งลูก

“เอ่อ…อยู่ในบ้านน่ะครับ” จินไห่ตอบด้วยความรู้สึกลังเลแต่ก็ไม่อาจทัดทานผู้ใหญ่ท่านนี้ได้

“บ้าน? หลังด้านในนี้ใช่ไหม?” คุณอาชี้เข้าไปในส่วนลึกของร้านอาหาร แม้จะมีต้นไม้สูงใหญ่ปลูกปกคลุมรายล้อมตัวบ้านไปพอสมควร แต่คนสายตาดีอย่างคุณอาจะสังเกตเห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ลูกชายของคุณอาพยักหน้าเป็นคนคำตอบก่อนที่เจ้าของบ้านจะตอบเสียอีก

“อาขอเข้าไปดูได้ไหม? ทั้งบ้านและภาพวาดของเก๋อหลง” คุณอาแสดงสีหน้าขอร้องกึ่งบังคับ

“ครับ…ได้ครับ” แม้ใจจะไม่ค่อยพอใจกับคำขอร้องแต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพคนหนึ่งจึงต้องจำใจอนุญาตให้ไปเข้าไป

หลังจากตกปากรับคำขอจากผู้ใหญ่แดนไกล จินไห่ก็เดินนำทางคุณอาและเพื่อนตัวเองเข้าไปในบ้านมี่ผมออกแบบตกแต่งใหม่ทั้งหลัง แต่ยังคงสภาพเดิมให้มากที่สุด

หลังจากไปถึงบริเวณบ้าน คุณอาก็พยายามให้จินไห่พาเดินไปชมบ้านโดยรอบ พร้อมเสียงชื่นชมความลงตัวของการออกแบบไม่ขาดปาก แต่ที่แปลกก็คือไม่ถามสักคำว่าใครเป็นคนออกแบบทั้งแลนด์สเคปและอินทีเรีย

แม้จะหงุดหงิดใจอยู่บ้างแต่ในฐานะของเจ้าบ้านคนหนึ่งก็ต้องแสดงสีหน้าให้ออกมาต้อนรับแขกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้พวกเขาพ่อลูกจะปฏิบัติกับต้นน้ำเหมือนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านและสวนก็ตาม

ในที่สุดก็เดินมาถึงห้องรับแขกที่ซึ่งมีภาพเขียนของจิตรกรชื่อดัง พ่อของจินไห่แขวนลอยติดผนังอย่างลงตัว สีของห้องถูกจัดให้เป็นโทนเดียวกับภาพวาดทำให้การมีอยู่ของภาพวาดไม่ต่างกับวอลเปเปอร์สวยๆ ประดับอยู่

ทันทีที่คุณอาเห็นภาพวาดผืนนี้ ดั่งเหมือนโดนเวทมนตร์สะกดให้หยุดนิ่ง สติและจิตใจเหมือนลอยออกจากร่างไปสถิต ณ สถานที่ในภาพวาด  หลายนาทีผ่านไปคุณอาจึงจะผ่อนลมหายใจออกมายาว และอาการหอบที่ปลายลมหายใจที่ผ่อนออกมา เหมือนกับว่าระหว่างที่คุณอาเพ่งพินิจภาพวาดนี้ เขาจะลืมหายใจไปชั่วขณะ

“คิดถึงจัง” คุณอาพูดขึ้นลอยๆ พร้อมน้ำในตาล้นออกมาหนึ่งหยด

ภาพที่ต้นน้ำเห็นตรงหน้าสร้างความสับสนในใจพอสมควร ความรู้สึกที่คุ้นเคยมันก่อตัวขึ้นจนเขาไม่สามารถเก็บไว้ได้ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจ จับมือจินไห่ลากไปทางหลังบ้านทันที

“ลากพี่มาทำไม?” จินไห่ถามอย่างสงสัย ใบหน้าที่กึ่งหงุดหงิดกึ่งเศร้ามองมาทางต้นน้ำ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนอกจากคำถามที่เกิดขึ้นในใจ

“พ่อพี่กับพ่อเพื่อนพี่นี่คบกันแบบไหน?” ความรู้สึกสงสัยปนหงุดหงิดนี่มันก่อเกิดขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบ เขารู้แต่ว่า ต้องได้คำตอบเดี๋ยวนี้
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 14 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-11-2022 16:16:09
ทั้งพ่อทั้งลูกน่ารำคาญพอกันเลย
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 21 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-11-2022 10:34:43
“อืมมมม ก็เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่พี่เด็กๆ แล้วนะ ด้วยความที่แม่ของอาเฉิงเสียไปตั้งแต่อาเฉิงเด็กๆ พี่ก็เลยต้องไปอยู่กับอาเฉิงบ่อยๆ พ่อของพี่ทั้งสองคนก็เลยเป็นเพื่อนสนิทในเชิงธุรกิจน่ะ เพราะภาพวาดของพ่อ ทำกำไรให้คุณอาแบบมหาศาลเลยล่ะ ที่ผ่านมาก็จะเจอคุณอาเทียวไปเทียวมาที่บ้านบ่อยๆ หลังๆ ถึงขั้นสร้างสตูดิโอให้พ่อพี่ ทำงานใกล้กับแกลลอรี่เลยล่ะ เพราะภาพวาดจะได้ สดใหม่ ไม่เสียหาย บางทีพ่อไม่กลับบ้านเป็นเดือน” จินไห่เล่าไปก็ทำหน้าพยายามนึกทวนย้อนหลังไป จนกระทั่งท้ายประโยคถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองเล่ายาวเกินไป

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ต้นน้ำทวีคูณปมในใจมากขึ้นไปอีก

สักพักจินไห่ก็ถูกเรียกหาให้เข้าไปหาคุณอาที่ห้องรับแขก ภาพแรกที่เห็นคือพ่อลูกผู้เป็นแขกนั่งลงบนชุดโซฟาของบ้านอยู่คนละมุมเสมือนเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนจินไห่และต้นน้ำกลายเป็นแขกที่เดินเข้ามาพบเจ้าของบ้าน

คุณอาผายมือเป็นการเชิญให้เจ้าของบ้านทั้งสองนั่งลงบนที่ว่างซึ่งเหลือเพียงที่เดียว ต้นน้ำจึงส่งสายตาไปที่จินไห่เพื่อบอกให้เขานั่งลงตรงที่ว่างนั้นซึ่งปกติก็ควรจะเป็นที่นั่งของแขก

ต้นน้ำทำใจเย็นอย่างถึงที่สุด เพราะอย่างน้อยคนที่มาก็เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของจินไห่ที่ให้ความเคารพไม่ต่างจากพ่อ

“อาตัดสินใจแล้ว เท่าไหร่บอกมา!” เบาะที่จินไห่นั่งลงยังไม่ทันที่จะยุบตัว แขกผู้ใหญ่ที่มาเยือนก็เสนอราคาเสียแล้ว

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ขาย ภาพวาดเพียงชิ้นเดียวที่พ่อเหลือไว้ให้!!” จินไห่ก็แทบจะตอบกลับไปในทันที แต่ก็รักษาน้ำเสียงที่สุภาพไว้ได้

ต้นน้ำค้นพบว่า น้ำเสียงเวลาพี่จินไห่ของเขาเวลาพูดภาษาจีนนี่มันช่างห้าวหาญ

“เราก็มีบ้านหลังนี้แล้วไง ไม่ดีเหรอ เรียกราคาได้เลยนะ เอาให้แบบไม่ต้องลำบากทำงานไปทั้งชาติเลยก็ได้!” ครั้งนี้คุณอาจงใจพูดภาษาไทยและมีการเหล่มองมาทางต้นน้ำอย่างจงใจ

“ผมไม่ได้ทำงานเพราะหวังรวย ผมทำงานเพราะผมชอบทำร้านอาหาร” จินไห่ก็โต้ตอบกลับอย่างรอบคอบเช่นกัน

“อะไรกัน! ร้านอาหารเล็กๆ แบบเนี่ยน่ะหรือ ก็ยอมรับนะว่าอร่อย แต่มาเปิดในซอยแบบนี้ ใครมันจะมากิน!!” เสียงของลูกชายขาเผือกดังขึ้น

“แต่ร้านเรามีคะแนนรีวิวดีนะครับและโต๊ะก็เต็มทุกวันด้วย” ต้นน้ำเสริม

ในขณะที่อาเฉิงกำลังจะเปิดปากจะพูดอะไร ก็โดนฝ่ายพ่อยกมือขึ้นปรามไว้เสียก่อน ทำให้อาเฉิงได้แต่ทำหน้าเจ็บใจอยู่วูบหนึ่งก่อนที่จะถอยกายอิงพนักไป

“แต่ร้อยล้านนี่ ใช่ว่าใครจะยอมจ่ายให้กับภาพที่มันบาลานซ์มันไม่ดีแบบนี้!!” คุณอาผายมือไปทางภาพวาด

“มันมีคุณค่าทางจิตใจครับ” คำพูดที่แสนหนักแน่นออกจากปากจินไห่ที่แสนสุภาพ

“มันมีคุณค่ากับอาเหมือนกัน” คุณอาเปรยขึ้นมาลอยๆ

“มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันหมายถึง…” ต้นน้ำสุดจะทนจึงถลำตัวและพูดแทรกออกมา

แต่จินไห่จับแขนต้นน้ำไว้ทำให้เขาชะงัก เพราะเรื่องนี้มีแค่พวกเขาที่รู้กันสองคนเท่านั้น

“เอางี้นะ เผื่อสองคนไม่รู้อะไร…. อาน่ะ….” คุณอานิ่งไปพักหนึ่งกับประโยคที่ขาดหาย

“เคยลองกลับภาพนี้ดูหรือยัง?” คุณอาพูดขึ้นหลังจากสูดลมหายใจเข้าปอด หอบใหญ่

“กลับด้าน…..?!?” จินไห่งุนงงกับคำพูดของคุณอา

“งั้นอาขอไฟฉายหน่อย! แล้วอาเฉิง..กับ..ไอ้หนุ่มนั้น ช่วยเอาภาพนั้นลงมาหน่อย!”คุณอามองหน้าแล้วออกคำสั่งกับทุกคน

หลังจากคำสั่งแรกที่หลุดออกมาเป็นภาษาต้นกำเนิดของชายสูงวัยร่างใหญ่ ต้นน้ำที่ฟังไม่ออกได้แต่ทำสีหน้ามึนงง และหันไปมองจินไห่ที่เดินไปเดินหาไฟฉายอย่างงงๆ ส่วนลูกชายหัวแหวนของชายสูงวัยได้แต่ทำท่าทางลังเลที่จะทำ

“ไปเอามันลงมา!” คราวนี่เป็นภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำ และแสดงถึงอำนาจของผู้เป็นใหญ่ ต้นน้ำเข้าใจรังสีที่แผ่ออกมาอย่างดี เพราะมีลักษณะคล้ายกับพี่นีโน่เจ้าพ่อตัวเล็กของที่นี่

ต้นน้ำและอาเฉิงมองหน้ากันด้วยอาการสงสัยแต่ก็ยังไม่กล้าขยับออกจากจุดที่ตนยืน คงเพราะภาพวาดภาพนี้ จินไห่หวงแหนเป็นอย่างมาก การกระทำที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับภาพวาดสร้างแรงต้านทานต่อคำสั่งของคุณอาดุดันคนด้านหน้าได้

ในที่สุดจินไห่ก็เดินมาพร้อมกับไฟฉายขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเครื่องสำรองไฟที่ติดหลอดไฟสปอร์ตไลท์มามากกว่า เขาเดินมาหยุดที่ด้านหน้าภาพวาดที่รักของเขาพลางมองไปทางเพื่อนและคนรักของคนตนพลางพยักหน้าเล็กน้อย

การกระทำเชิงว่าอนุญาตปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้ทั้งสองก้าวเดินออกไปที่ผนังด้านหน้าและจัดแจงปลดภาพวาดที่บรรจงแขวนอยู่ที่ผนังนำลงมาอย่างถนุถนอม

คุณอาได้ชี้นิ้วจัดแจงให้วางตั้งฉากกับพื้นในสภาพหันหน้าเข้าผนังที่มีร่องรอยของการแขวนจากการที่สีของพนังไม่เท่ากัน มือทั้งสองของผู้ที่ยกมันลงมายังจับที่กรอบสวยลวดลายหรูอย่างกระชับและมั่นคง

คุณอาจัดแจงยิงไฟอ่อนๆ ไปที่ด้านหน้าของภาพวาด การกระทำทั้งหมดยังสร้างความไม่พอใจและไม่เข้าใจแก่จินไห่ ถึงจะมีความใคร่รู้ว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ที่นับถือือคนหนึ่งกระทำมันจะดูไร้เหตุผลแต่ก็อยากรู้ว่าทำไมคนๆ นี้ถึงได้ทำอะไรแบบนี้ลงไป

“อาไห่….ไปดูที่ด้านหลังภาพสิ” เสียงที่อ่อนโยนกว่าเมื่อสักครู่ดังขึ้น

จินไห่เดินตามคำสั่งโดยไม่ได้คิดอะไร และเขาก็มาหยุดประจันหน้ากับด้านหลังของภาพที่มีแสงไฟจากอีกฝั่งส่องผ่านออกมา

“นี่มัน….” จินไห่ไร้คำพูดใดๆ ออกมา

“ใช่ไหม? สิ่งนี้แหละที่อาต้องการ ภาพแห่งความลับที่พ่อของหลานได้บอกกับอาเพียงผู้เดียว” คุณอายิ้มกว้างแต่ดวงตา ไม่สัมพันธ์กับปากที่ยกยิ้มแบบฝืนๆ

จินไห่เพ่งมองไปที่ภาพ ภาพที่ใช้สีต่างการฉลุไม้ให้แสงลอดผ่าน บังเกิดลายเส้นที่แสนสุดยอดและสวยงาม เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภาพผืนนี้จะมีวีธีการชื่นชมเช่นนี้

จินไห่ไล่มองไปตามเส้นสายที่บางกว่าเฉดอื่น ผ้าใบที่บางกว่าปกตินั่นทำให้ได้ภาพที่เหลือเชื่อผืนนี้ ภาพนั้นแสดงถึงชายวัยรุ่นสองคนจับมือกันภายใต้พฤกษายิ่งใหญ่ แสงที่ลอดออกมาเหมือนแสงแดดที่ส่องทะลุผ่านกิ่งก้านและใบไม้หลายร้อยพันใบ ความงามนี้มันช่างมหัสจรรย์ และรู้สึกคุ้นเคย

ต้นน้ำที่เห็นอากัปกิริยาของคนรักถึงกับปล่อยมือของตนและไหว้วานอาเฉิงรับน้ำหนักเหล่านั้นไว้เองลำพัง และสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตรงหน้า อากัปกิริยาก็ไม่ต่างจากจินไห่

ลายเส้นเหล่านั้นคุ้นเคย ลวดลายต้นไม้เหล่านั้นมันไม่ต่างจากสมุดบันทึกที่เขาตรึงใจมาจนทุกวันนี้ 

ไม่ผิดแน่นอน ต้นน้ำคิดในใจ สิ่งที่พ่อของจินไห่วาดไว้ให้เป็นมรดกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนถึงถิ่นที่เคยอาศัย สู่ผืนดินที่แรกแรกของคุณพ่อของพวกเขาทั้งสองฝังเมล็ดแห่งรักแรกให้เบิกบานเติบโต แม้ว่าจะไม่ได้ครองคู่กันในที่สุด แต่สุดท้ายก็ได้อยู่ด้วยกันในบั้นปลาย สายใยวิญญาณที่ผูกพันธ์พลันย้อนมาสานต่อกันอีกครั้ง

เพราะรักแรกที่ไม่อาจจะลืมนั้นทำให้บรรจงจรดพู่กันรังสรรค์ภาพวาดที่สวยและแสนพิศดารผืนนี้

น้ำตาของต้นน้ำและจินไห่เอ่อล้นมาพร้อมกันอย่างไร้ที่มาในสายตาคนนอกแต่ทั้งสองรู้ดีว่าภาพวาดผืนนี่ยิ่งมีค่ามากมายมหาศาลมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“สวยจนน้ำตาไหลเลยใช่ไหม?” คุณอาพูดขึ้น ทำให้อาเฉิงระงับความอยากรู้ไว้แทบจะไม่ได้แต่ด้วยที่ตนกำลังจับภาพวาดมูลค่าเหลือคณานับ จึงทำได้แค่สะกดกั้นไว้ เพราะจากมุมของเขา มันแทบจะมองความสวยงามที่ทุกคนพร่ำพรรณาไม่ออก

 “ช่วงนั้น พวกเราสองคนสนิทกันมาก พ่อหม้ายสองคน ที่มีลูกติดเหมือนกัน พื้นฐานครอบครัวเราคล้ายกัน ครอบครัวที่เกิดจากการจับคลุมถุงชนของผู้ใหญ่” คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเล่าออกมาโดยไม่สนใจว่าจะมีใครรับฟังมันหรือไม่

“แต่พ่อก็พอใจนะ พ่อรักแม่นะ แม่ทำหน้าที่แม่ของลูกและเมียของพ่อได้สมบูรณ์แบบมาก พ่อก็ยังเสียดายนะที่แม่ของลูกจากเราเร็วเกินไป” เมื่อเห็นสีหน้าลูกชายหัวแหวน คุณอาจึงต้องแวะขยายความ

หลังจากสีหน้าลูกชายดีขึ้น เขาจึงเริ่มเล่าต่อทันที

“พ่อเรากับอาสนิทกันมาก… มากจนอาคิดว่าเราคิดกันเกินเลยมากกว่านั้น แต่อากับพ่อของหลานไม่ได้มีอะไรเกินเลยนะนอกจากความสัมพันธ์อันดี อาไม่รู้นะว่าพ่อของหลานคิดเหมือนอาไหม อาก็ให้การกระทำมันบอกก็เท่านั้น เราอยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลา นอกจากเวลางานอากับพ่อของหลานก็จะมาอยู่ด้วยกันในสตูดิโอของพ่อหลานตลอด” ระหว่างที่คุณอาเล่าเรื่องอย่างเลื่อนลอย จินไห่ก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ เพราะเท่าที่จำความได้ มันก็เป็นแบบนั้นตามที่เล่า

จินไห่ไม่ปฏิเสธ แต่ก็มีบางอย่างไม่เห็นด้วยในใจ

ภาพนี้เป็นภาพที่พ่อของหลานวาดตอนที่อาสร้างสตูดิโอให้ใกล้กับแกลลอรี่ของอา อาได้เห็นทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์สิ่งที่สุดยอดนี้ ภาพนี้วาดอยู่นานมาก นับว่าเป็นภาพรุ่นสุดท้ายของชีวิตศิลปินของพ่อหลาน ในวันที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ พ่อของหลายเฉลยความลับของภาพชิ้นนี้ให้อา….” คุณอานิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนที่จะพูดต่อ

“แรกเห็น อาคิดทันทีว่า เป็นภาพของเราสองคน….อาเดาไปเรื่อยเพราะ อาก็ไม่เคยถามว่าสองคนในภาพคือใคร แต่… ในช่วงเวลานั้น มันก็น่าจะคือเราสองคน! มันเป็นภาพที่สื่อถึงการตอบรับของพ่อของหลาน…” ผู้ใหญ่ในกลุ่มพูดจบก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้และโป้ง บีบหัวคิ้วตัวเองเหมือนพยายามนสกัดอารมณ์อะไรบางอย่างไม่ให้ไหลทะลักออกมา

ต้นน้ำที่อดทนฟังมาตลอด เขาทำได้เพียงสะกัดกั้นถ้อยคำนับร้อยที่จะโต้แย้งระหว่างทาง ด้วยความที่เขาเห็นต่างจากผู้เล่าอย่างมาก

เขากลับคิดว่า นี่มันคือคำปฏิเสธ เพราะการที่พ่อของจินไห่ ร่างภาพถึงรักแรกให้เห็นเพราะ ต้องการสื่อว่า ยังจำรักแรกไม่เลือนและจะยังตราตรึงในใจตลอดไป

ต้นน้ำไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่สมัยนั้นทำไม่ถึงทำอะไรไม่ตรงไปตรงมาเอาเสียเลย แต่ก็นะ มันคงเป็นอารมณ์ของศิลปิน

จินไห่มองมาทางต้นน้ำเหมือนอ่านความคิดซึ่งกันและกันออก และพร้อมใจกันพยักหน้าเป็นการเข้าใจความหมายของการจ้องมองกันและกัน

จินไห่เดินมาจับมือต้นน้ำกระชับมั่นและกระซิบบางอย่างอันบางเบา

“คงต้องเล่นเป็นตัวร้ายเสียแล้ว”

ต้นน้ำเข้าใจในทันที เขาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ห้องเพื่อไปหยิบของสิ่งหนึ่ง ของที่จะเรียกสติของชายคนหนึ่ง ต้นน้ำเข้าใจดีว่าการสูญเสียเป็นอย่างไร มันเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ คงพยายามคว้าทุกสิ่งที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งให้ขึ้นมาหายใจได้อีกครั้ง ถึงแม้บางครั้งมันจะเป็นแค่ไม้กระดานแผ่นบางๆ ที่ไม่สามารถพยุงน้ำหนักเราได้ แต่ก็ยังจับมั่นไว้แน่นและสุดท้ายก็จมไปพร้อมกับมัน

ต้นน้ำรู้ว่าสิ่งที่จินไห่จะทำ คือการดึงคนๆ หนึ่งให้พ้นจากน้ำลึก  เรียกสติให้กลับมายืนด้วยลำแข้งตนเองได้

ต้นน้ำที่เดินลงมาถึงด้านล่าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้มาก มันเหมือนมีมวลของหนักที่มองไม่เห็นแขวนอยู่ทั่วทั้งบริเวณ ทันทีที่ต้นน้ำเดินมายืนเคียงข้างคนรักของเขา สมุดบันทึกเล่มเก่าที่ต้นน้ำไปค้นหามาก็ถูกดึงออกจากมือของต้นน้ำ

“คุณเข้าใจความหมายของภาพนี่จริงๆ ไหมครับ?” จินไห่พูดขึ้นเสียงเรียบ

“ทำไมถึงถามคำถามกับอาซ้ำๆ แบบนี้!! อาเข้าใจสิ” คุณอาคิ้วขมวด

“แต่อาอธิบายภาพต้นไม้ด้านหลังนั่นไม่ได้!” ต้นน้ำย้ำอีกครั้ง น่าจะใช่ เพราะสีหน้าของคุณเริ่มมีรอยหยักที่หัวริ้วมากขึ้น

“มันเป็นองค์ประกอบภาพวาดเพื่อให้แสดงถึงความยั่งยืน เติบโต และแข็งแรง มันคือความรักของอาและพ่อของหลาน” คุณอาเน้นเสียงทุกคำเพื่อแสดงออกว่าเขามั่นใจและเข้าใจ

“และต้นไม้นั่นต้นอะไร?” จินไห่ตั้งคำถามต่อทันทีแบบไม่เว้นวรรค

“จะต้นอะไร มันสำคัญตรงไหน?” คุณอาเริ่มมีน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

“สำคัญสิ สำคัญมาก!!” จินไห่ก็เน้นคำทุกคำเช่นกัน

“ไหนอธิบายสิ!!” คุณอากอดอก ยึดตัวตรง

“มันคือต้นไม้ต้นนี้” จินไห่เปิดภาพๆ หนึ่งในสมุดบันทึกเล่มเก่าในมือ

มันเป็นภาพร่างดินสอที่เลือนลางไปตามกาลเวลา แต่โครงร่าง ลายเส้น และรูปร่างเหล่านั้นคล้ายคลึงกับภาพที่สะท้อนจากแสงสว่างบนภาพวาดบนกำแพงนั่นเสีย 9/10 ส่วน

“นี่มัน…” คุณอาพินิจรูปวาดในสมุดบันทึกเล่มเก่าเล่มนั่นไม่วางตาสลับกับการมองภาพวาดผืนใหญ่ซึ่งอยู่อีกทางหนึ่ง

“ใช่ครับ!!นี่คือภาพวาดของพ่อผม แต่นี่มันเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วนะ” จินไห่อธิบาย

“แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?” คุณอายังไม่เข้าใจว่าภาพวาดเก่าๆ ด้วยดินสอนี่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เถียงกันอย่างไร

จินไห่เปิดไปอีก 2-3 แผ่นเพื่อแสดงภาพอีกหนึ่งแผ่น”

ภาพเด็กชายวัยรุ่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับคนหนึ่งในภาพวาดผืนผ้าใบทุกประการ

“มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย!! ศิลปินส่วนใหญ่ก็มักจะมีภาพโครงร่างในจินตนาการที่คล้ายคลึงกัน การจะวาดภาพคล้ายๆ กัน หรือเหมือนกันมันก็เป็นไปได้ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!!” คุณอาโวยลั่น เหมือนจะเถียงกับตัวเองมากกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม

“ใช่ครับ ผมยอมรับ แม้แต่ผมเองที่เป็นนักดนตรีก็ยอมรับครับว่า นักแต่งเพลงก็มักจะมีทำนองที่เป็นซิกเนเจอร์ของตนเอง มีโอกาสซ้ำกันได้ แต่กับพ่อของผม ผมรู้ดีครับ และตัวอาเองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่นิสัยพ่อของพ่อ” จินไห่จ้องมองกับเข้าไปในดวงตาของคุณอาที่เคารพ

“ผลงานที่ซ้ำซาก ไม่ใช่ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ งานที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นขึงจะได้ชื่อว่าเอกอุ” คุณอากล่าวขึ้นอย่างเลื่อนลอย

จินไห่พยักหน้าเพราะนี่นคือถ้อยคำของพ่อเขาไม่ผิดแม้แต่คำเดียว

ต้นน้ำที่ฟังภาษาจีนไม่ออกได้แต่ตามน้ำไป
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 21 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-11-2022 13:39:39
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 28 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-11-2022 17:06:42

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจ ที่พ่อพยายามแฝงอยู่ในภาพวาด” จินไห่เอ่ยตามเพื่อแก้บรรยากาศที่เริ่มเงียบสงบ

“คนในภาพคือใคร?” คุณอามองภาพวาดและเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำที่บางเบา

“พ่อของต้นน้ำ” จินไห่ตอบสั้นๆ ด้วยถ้อยคำภาษาต่างถิ่น แต่ต้นน้ำกลับจับใจความได้เลยทันที อาจเพราะมีชื่อตนในประโยค แต่เขาแน่ใจว่าไม่ได้กล่าวถึงตนเองแน่นอน

“อา….อายังไม่ค่อยเข้าใจ เล่าให้อาฟังหน่อยว่าทำไม ภาพวาดนั่นถึงเป็นพ่อของต้นน้ำได้?” คุณอาถอยหลังจนไปถึงเก้านวมยาวของบ้านและทิ้งตัวเองลงที่เบาะเบาก่อนจะถามด้วยสายตาที่สับสน พลางมองหน้าชายคนรักของจินไห่ ที่มีเค้าลางคล้ายกับภาพวาดระดับหนึ่ง

ชายรุ่นพ่อผู้ที่เคยเข้าใจความรู้สึกอันถ่องแท้ของตนต่อพ่อของจินไห่ แม้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกาย แต่การที่ได้คบหาและช่วงเวลาที่ได้มีเขาคนนั้นอยู่ในชีวิตมันช่างเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปมาตลอด

ช่องว่างที่ไม่มีใครสามารถมาเติมให้ได้มาตลอด เกือบห้าสิบปี ในวันที่ทราบข่าวว่าพ่อของจินไห่เสียชีวิตลง ตัวของเขาเองก็แทบจะสิ้นกำลังใจที่จะอยู่ต่อ เหมือนทุกอย่างในชีวิตช่างไร้ค่า รู้สึกได้ทันทีว่า คนๆนี้มีค่ามากมายแค่ไหน เขาถึงกับล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายวันจากอาการช้อคที่สูญคนที่เป็นเสมือนที่พึ่งทางใจในชีวิตของเขาไป



เขาเคยเข้าใจมาตลอดว่า พวกเขาทั้งสองมีใจที่ตรงกัน แต่ด้วยบริบททางสังคมทำให้ไม่สามารถเดินก้าวข้ามเส้นเพื่อนได้

เขาจึงตัดสินใจหาสิ่งยึดเหนี่ยจิตใจ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงความรักของพวกเขาทั้งสอง ไม่ต่างกับโซ่ทองคล้องใจทั้งสองดวง

แต่ความจริงที่เจอช่างโหดร้าย……


ต้นน้ำไม่รอช้าในขณะที่สถาณการณ์เริ่มสงบ ทุกคนเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของแต่ละคน ต้นน้ำรีบเล่าเรื่องพ่อของตนเองกับพ่อของจินไห่เท่าที่ตนเองรู้จากบันทึกมา มันเป็นเพียงภาพย่อๆ ของเรื่องราวทั้งหมด แต่ด้วยภาษาของต้นน้ำที่ไม่คิดจะอ้อมค้อม มันจึงเป็นเปรียบเหมือนมีด เหมือนหอกคอยตอกย้ำชายวัยเกือบห้าสิบ ให้เจ็บปวด เมื่อคิดว่าสิ่งที่คิดมันไม่ใช่สิ่งที่เป็น แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น เขาก็พยายามเข้าข้างตนเองจนถึงที่สุดในใจ

(ฝ่ายอาเฉิงที่ดูเหมือนจะมีอาการสับสนมากที่สุด เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพ่อตนเองกับพ่อของจินไห่เลยว่ามันจะเฉลยออกมาในภาพแบบนี้ เขาเคยคิดมาตลอดว่าพ่อของจินไห่เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งของพ่อ…

“หากคุณอารู้ทุกอย่างก็ยิ่งต้องรู้ว่า ผมไม่มีทางขายภาพวาดชิ้นนี้ของพ่อเด็ดขาด เพราะมันได้มาอยู่ในที่ของมันแล้ว!” จินไห่ยื่นคำขาด

ชายสูงวัยได้แต่ทำท่าทางจะเอื้อนเอ่ย แต่ด้วยอากาศที่หนักอึ้งขวางกลั้นเส้นเสียง คำพูดที่หนักอึ้งราวกับเรือผูกติดกับสมอที่ถูกทิ้งลงน้ำลึก เขาไม่สามารถกล่าวใดๆ ต่อได้ ทำได้แค่เพียงยืนกำมือแน่นและกัดฟันยอมรับความเป็นจริง

“พ่อ….” อาเฉิงเรียกหาด้วยเสียงอันเบาบาง เขารู้ดีว่าเขาคงทำได้เพียงปลอบ และเสียงของเขาคงไม่สามารถเข้าถึงจิตใจผู้เป็นบิดาได้

“อาขอตัวไปเดินเล่นหน่อยนะ อาเฉิงช่วยเอาภาพกลับไปแขวนที่ของมันด้วย” คำพูดเรียบๆ ที่พูดออกมาของชายที่อาวุโสที่สุด มันบ่งบอกเป็นนัยทุกอย่างแล้ว

ต้นน้ำมองหน้าคนรักของเขา เอื้อมมือไปบีบมือของอีกฝ่ายแน่น ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก พร้อมทั้งไปช่วยเพื่อนคนสนิทของคนรักนำภาพที่มีค่าทางจิตใจอย่างมหาศาลชิ้นนี้ขี้นแขวนที่ผนังของบ้าน….. ที่เดิม

จินไห่มองภาพชิ้นนี้เปลี่ยนไป เขาจ้องมองมันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะโผเข้าไปกอดคนรักของตนด้วยความคิดถึงบุคคลบังเกิดเกล้าคนนี้ คนที่มั่นคงในรักแรกจนเขาอดที่จะชื่นชมอย่างลึกซึ้งจนมันล้นออกจากดวงตาไม่ได้

เขาเคยคิดว่าหากพ่อของเขาทำตามใจตนเอง ไม่สนใจผู้เป็นแม่และครอบครัวฝั่งนั่น กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของต้นน้ำที่นี่ พวกเขาสองคนคงไม่ได้เกิดมา และไม่ได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้

แม้ว่าหลายๆ อย่างของพ่อของจินไห่นั่นจะทำไปตามความต้องการของตนเอง แต่ก็เพราะสิ่งที่พ่อลิขิตเหล่านี้มันทำให้เขาได้พบต้นน้ำ และมีความสุขมากมายขนาดนี้

จินไห่ก็อดที่จะกล่าวคำ ‘ขอบคุณ’ ให้กับพ่อของตนเองในใจไม่ได้


“谢谢爸爸”


………….
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 4) 28 พ.ย. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-11-2022 15:26:14
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 9 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-12-2022 13:13:49

ชายสูงวัยในชุดภูมิฐานเดินเรื่อยเปื่อยด้วยอาการใจลอยไปเรื่อยเปื่อย ในอกเหมือนมีแมลงไต่ตอมวนเวียนน่ารำคาญ ความคิดในหัวมันเหมือนอยู่ในเมฆหมอกยามใกล้รุ่งสาง เท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามดันอากาศเข้าไปเลี้ยงปอดและร่างกาย และผ่อนออกมาพร้อมเสียงอย่างอ่อนแรง

เท้าของเขาพาร่างกำยำไปจนถึงสวนหย่อมหลังบ้านที่จัดได้สวยงามและเป็นกันเอง ร่มรื่นและเย็นสบายตา เป็นเอกลักษณ์ มันทำให้เขาหลงลืมความเจ็บปวดบางส่วนไปได้ประมาณหนึ่ง

มองผ่านสวนสวยไปเขาก็เจอต้นไม้ใหญ่ที่กางกิ่งก้านสาขาแผ่ปกคลุมพื้นผินส่วนนั่นอย่างกว้างขวาง ชายสูงวัยก้าวเดินจากจุดเดิมไปหาร่มไม้นั่นดุจมีมนต์สะกด

ไม่นานเขาก็เห็นกลุ่มควันบางๆ พวยพุ่งออกมา ณ จุดโคนต้นไม้ใหญ่ เขาไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุทันที

ด้วยสัญชาตญาณกลัวเพลิงไหม้ ที่ประเทศไทยเขาไม่รู้ว่าจริงจังกับเรื่องเหตุการณ์แบบนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่ประเทศของเขามันเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ระหว่างวิ่งเขาก็มองซ้ายมองขวา คิดในใจเพียงแต่หาอะไรสักอย่างที่สามารถใช้บรรเทาเพลิงไหม้ไม่ให้ลุกลามได้

แต่หลังจากมองเห็นที่โคนต้นไม้ใหญ่นั่นในระยะสายตา เขาก็ต้องชะลอฝีเท้าลง และเดินเข้าไปหาต้นกำเนิดกลุ่มควันนั้นอย่างเชื่องช้า

สิ่งอยู่ตรงหน้าไม่ต่างกับศาลเจ้าขนาดย่อม ที่มีโต๊ะสำหรับวางของไหว้ กระถางธูป และเชิงเทียน สวยงาม สะอาดตาและเป็นระเบียบ กลุ่มควันกลุ่มใหญ่เหล่านั้นเกิดจากธูปที่ปักอยู่ในกระถางธูปจำนวนพอสมควร สิ่งที่เห็นทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูขลังและมีพลังงานบางอย่างจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้

คุณอาของจินไห่ เดินอย่างช้าๆ จนมาถึงภายใต้ต้นไม้ใหญ่  และสะดุดหยุดเท้าตนเองลง ณ มุมโต๊ะเซ่นไหว้

เขามองเห็นเด็กหนุ่มผิวเหลืองกลำแดดจนเกือบแดง กำลังนั่งอย่างสบายใจภายใต้ต้นไม่ต้นนั้น

“หนุ่มน้อย มาทำอะไรในนี่ สวนนี้มันสวนหลังบ้านของบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือ?” ชายที่อายุมากกว่าเอ่ยถามชายวัยรุ่นที่นั่งริมต้นไม้อย่างผ่อนคลาย หลังจากจบประโยคของคุณอา หนุ่มวัยรุ่นก็มองมาทางต้นเสียง แต่กลับไม่ตอบในทันที

“ลุง…. ตรงนี้เขาเปิดให้ใครๆ เข้ามาได้นะ มีเจ้าพ่อต้นไม้ใหญ่อยู่ เดี๋ยวนี้เจ้าของที่นี่เขาเปิดให้คนที่ศรัทธาเข้ามาไหว้ได้น่ะ…อีกอย่างนะลุง! พื้นที่ตรงนี้น่ะ มันของบ้านหลังนี้!!” ชายวัยรุ่นตอบกลับด้วยลีลายียวนกวนบาทา และชี้ไปทางบ้านอีกหลังที่ไกลออกไปเล็กน้อย

“ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ควรจะมานั่งเล่นนะไอ้หนุ่ม!” ชายวัยผู้ใหญ่เปิดโหมดสั่งสอน

“ผมจะนั่งตรงไหนก็ได้ในเมื่อพื้นที่ตรงนี้มันบ้านผม!” ไอ้หนุ่มนั่นเถียงกลับ พลางชี้ไปที่ตนเอง

“อ้าวเหรอ! แปลก ทำไมไม่กั้นรั้วล่ะเนี่ย” ชายหนุ่มที่สูงวัยกว่าบ่นพลางมองไปรอบๆ เขาพบแต่การจัดสวนที่คล้ายคลึงกันไปหมดทั้งบริเวณ

“อย่าบอกนะว่าแก่ป่านนี้แล้วยังจะมาบนเรื่องความรักอีกน่ะ” ชายวันรุ่นหันหลับมาปากเสีย

“เดี๋ยวนะ สิ่งนี้สามารถบนบานเรื่องความรักได้หรือ?”

“อ้าว ลุง! นึกว่าที่เดินมาเนี่ย ลุงจะรู้อยู่แล้ว!!”

“ไอ้เด็กคนนี้ เรียกได้แต่ลุง ฉันก็มีชื่อนะ!”

“งั้นลุงชื่ออะไร”

“……. งั้นเรียกลุงต่อไปเถอะ!” หลังจากคิดทบทวนแล้วเขาก็รู้สึกปล่อยวางได้ เจอกันแค่นี้ไม่จำเป็นต้องบอกชื่อหรอก

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่เขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ และก็พลางติดไปว่า เรื่องแบบนี้ทำไปตอนนี้มันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา คนที่ตนรักก็ตายจากไปแล้ว อายุรุ่นนี้ก็คงไปหมกหมุ่นเรื่องความรักมันจะได้อะไรขึ้นมา

“คุณลุงไม่ลองอธิษฐานดูหน่อย ท่าทางลุงเหมือนคนอกหักเลย ต้นไม้นี่ศักดิ์สิทธิ์นะ!”

“ไอ้เด็กแก่แดดนี่ทำเป็นรู้ดี อย่างเอ็งจะไปรู้เรื่องความรักได้อย่างไร?” คุณอามีท่าทีโมโหกับคำพูดอวดภูมิของคนที่ดูอายุน้อยกว่าเขาไม่ถึงครึ่ง

“เห็นอย่างนี้ ผมก็เห็นคนมาอธิษฐานเยอะนะ จนสังเกตได้แล้วว่าแต่ละคนไปโดนตัวไหนมา!” ไอ้หนุ่มตอบอย่างมั่นใจ

“……..” ฝ่ายสูงวัยกว่าได้แต่กำหมัดแน่นกับไอ้ท่าทางโอ้อวดน่าโมโหของคนวัยหนุ่มตรงหน้า

“ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เอาเป็นว่า แค่ลองยกมือไหว้ แล้วก็อธิษฐานอะไรสักอย่าง ถ้าดวงดีก็ได้ ดวงไม่ดีก็ไม่ได้เท่านั้นเอง!!” ไอ้หนุ่มยังทำหน้าทะเล้นใส่ไม่เลิก

“ทำไมถึงได้งมงายขนาดนี้คนแถวนี้!” คนวัยผู้ใหญ่ผ่อนลมหายใจและพูดลอยๆ

“อะไรลุง!! เอางี้! แม้แต่คนอย่างผมก็ยังสมหวังเลยนะ!!” พูดจบวัยรุ่นก็ชี้ไปที่โคนต้นไม้ใหญ่มี่เหมือนจะสลักอะไรบางอย่างไว้จางๆ จนแทบไม่เป็นตัวหนังสือ

“ผมได้เจอกับแฟนที่พลัดพลากจากกันไกลอีกครั้งและก็สุดท้ายก็ได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง!!”

“เกินจริงมากเถอะนะ แล้วก็พูดจาเหมือนคนแก่นะเราน่ะ”

“ลุงพูดไทยยังไม่ชัดไม่ควรมาตัดสินใครนะ!”

ไอ้เด็กนี่เถียงคำไม่ตกฟาก อยากคุยกับพ่อแม่มันเหลือเกิน!! คนสูงวัยกว่าคิดด้วยอาการเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน

“เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว!” คุณอาถอนหายใจและคุกเข่ายกมือพนมไว้กลางอกแบบเก้ๆ กังๆ ราวกับไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกสักครั้ง!!” คุณอาพูดขึ้นลอยๆ ด้วยใจจริง

“มันต้องเป็นจริงได้แหละ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ยังเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว”

“แล้วเรื่องของเธอมันพิศดารจากฉันยังไง?!?”  คุณอารู้สึกเอือมกับไอ้วัยรุ่นไม่มีสัมมา

“ผมไม่เคยคิดจะมีแฟนเป็นผู้ชาย มีคนเดียวที่ผมอยากได้ แต่ในที่สุดเราก็ใจตรงกัน!!” ชายวัยรุ่นยืดอก

ชายที่เลยวัยกลางคนมีความรู้สึกตะลึงที่อีกฝ่ายเปิดอกขนาดนี้ ระหว่างที่คิดว่าจะถามอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ทักขึ้นมากลางวงสนทนา

“เลิกโม้แล้วกลับกันได้แล้วไหม?” เสียงชายหนุ่มที่อ่อนโยนกว่าดังขึ้นจากอีกฝั่งของต้นไม้ 

เป็นเสียงที่ชวนให้คุ้นเคย

วงหน้าขาวใส ดวงตาไม่ใหญ่โตเหมือนกับอีกคนแต่ก็มีแววตาที่สดใส ผมสั้นเกรียนกว่าอีกคนและแต่งกายสุภาพกว่ามาก เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวนั้น ทำให้ชุดนั่นดูไม่ธรรมดาไปเลย ของแบบนี้มันอยู่ที่ไม้แขวนจริงๆ

“มานี่เลยกลับ!!” เสียงเข้มขึ้นและก็วาดมือมาคว้าหูอีกฝ่าย ดึงอย่างแรงจนอีกคนเกือบหน้าคะมำไปที่พื้น

“คนนี้แฟนใช่ไหม?”

“เมียครับ!  โอ้ย!!” ชายหน้าสวยกระตุกหูอีกฝ่ายอย่างแรง

“ขอโทษที่แฟนผมรบกวนนะครับ” ชายหน้าใสยิ้มหวาน ทำเอาคุณอาใจเต้นไปหมด ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ก็ไม่ทราบ

“ไม่…. ไม่เป็นไรครับ” คุณอาตอบเสียงสั่น

“ไปก่อนนะครับ” ชายหน้าใสหันมายิ้มทักอีกครั้ง

“ยินดีที่ได้เจอกันอีกนะครับ” ชายหน้าใสพูดก่อนจะหันหน้าไปอีกทางและเดินจากเจ้าไปในพื้นที่ในสวนอีกฝั่งหนึ่ง

คุณอาได้แต่แปลกใจกับคำพูดนั้นแต่ก็ทักท้วงอะไรไม่ทันเสียแล้ว

ตอนนี้คุณอายืนอยู่คนเดียวภายใต้ร่มเงาอันเย็นสงบของต้มไม้ใหญ่อายุหลายสิบปี ลมโชยอ่อนทำให้ใบไม้สั่นไหวไปมา บ้างก็ปลิดปลิวล่องมาตามแรงลมหล่นไปไม่ไกลต้น บ้างก็ลอยออกไปไกลกว่านั้น แสงบ่ายคล้อยไปทางเย็น ทำให้บริเวณที่เขายืนอยู่มืดมากกว่าพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไป

ความสงบใจมาเยือนอย่างประหลาดเหมือนเรื่องที่อธิษฐานในใจไปเมื่อครู่ได้รับการตอบรับ

ชายสูงวัยส่ายหน้ากับตนเองเบาๆ พร้อมยิ้มเยาะในความงมงายของตนเอง

“พ่อ!! อยู่นี่เอง!!” อาเฉิงที่เดินอาบเหงื่อต่างน้ำเดินมาเจอบิดาตนเองทำท่าสบายใจอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา

ชายผู้เป็นพ่อได้แต่หันไปทางต้นเสียง และพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าที่ต่างจากเมื่อตอนที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านอาไห่มาก

“โอเคนะพ่อ?” อาเฉิงถามเมื่อเดินมาถึง พลางตะโกนเรียกคนที่เหลือซึ่งช่วยเดินตามหาให้มาทางทิศที่เขายืนพักเหนื่อย

“โอเคแล้ว….. พ่อแกก็อายุไม่น้อยนะ ผ่านโลกมาก็เยอะ เรื่องแค่นี้เอง พ่อสบายมาก!” ปากและคำพูดดูยิ้มแย้มแต่ดวงตายังคงแฝงความเศร้าและผิดหวังอยู่ไม่น้อย

“คุณอา!! เป็นห่วงแทบแย่ ผมหากันสักพักแล้วนะ คุณอาไปไหนมาเนี่ยครับ?” อาไห่ถามพลางหอบ เขายกมือทาบซี่โครงที่ขยับขึ้นลงจนเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มที่หน้าคล้ายกับไอ้เด็กวัยรุ่นวัย(กวน)ทีน เมื่อครู่มาก ก็เลยคิดว่า ตระกูลนี้มันเป็นคนยังไงกัน ทำไมอาไห่ถึงไปตกหลุมรักคนพันธุ์นี้ได้นะ

“ฝากขอบใจน้องชายนายด้วยนะ” คุณอาด่วนสรุปเรื่องความสัมพันธ์ของคนที่มาสุดท้ายอย่างหอบๆ

“น้อง… น้องชาย?!?” ต้นน้ำทำท่าทางมึนงงกับคำถามพลางมองไปทางด้านหลัง เมื่อไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคุยกับตนเอง

“คุณอาครับ ต้นน้ำเขาเป็นลูกคนเดียวครับ ไม่มีพี่น้อง” จินไห่ตอบแทน

“อ้าว ก็เห็นหน้าคล้ายกัน ไอ้หนุ่มที่มันยียวนกวนประสาทนั้นมันบอกให้อาไหว้ศาลอะไรเนี่ย หลังจากไหว้และพูดคุยกับมัน อาก็รู้สึกดีขึ้นน่ะ ก็เห็นบอกว่าเนี่ยบ้านมัน ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันเหรอไง!?” คุณอาตอบเชิงถามและชี้ไปทางบ้านที่อยู่อีกฝากของสวน

บ้านของต้นน้ำ

“ไม่….ไม่น่าจะใช่นะครับ….. ช่วงนี้แม่ผมอยู่กับแค่คนงานในร้าน มีแต่แก่ๆ ทั้งนั้น ผมไม่มีญาติมาเยี่ยมนะช่วงนี้” ต้นน้ำตอบพลางมองไปทางจินไห่

ทั้งสองสอดประสานสายตากันจนเหมือนจะเข้าใจอะไรกันเอง ช่วงนี้เขามักจะรู้ใจกันโดยไม่ต้องพูดออกมาบ่อยครั้งและเรื่องนี้ มันคงจะต้องใช่แล้วล่ะ เพราะว่าเขาเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว

“แล้วก็แฟนเขาน่ะ…… ดูดีมากเลยนะ นี่คนแถวนี้มีแฟนเป็นผู้ชายหมดเลยเหรอ ก่อนไปก็พูดแปลกๆ กับอาด้วย! แล้วก็หากฟังไม่ผิด เขาพูดภาษาจีนด้วย!!” คุณอาอธิบายต่อ

ประโยคนี้ทำให้จินไห่แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“อ้าวอาไห่เป็นไร!!”คุณอาทักด้วยนำเสียงตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของคนที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคนหลั่งอย่างเงียบเชียบ

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่รู้สึกดีใจ…..กับคุณอาที่ทำใจเรื่องพวกนี้ได้น่ะครับ” จินไห่ซับน้ำตาตนเองอย่างลวกๆ

ต้นน้ำหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้จินไห่พร้อมกับอาเฉิงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

โดยไม่ทันได้คิดอะไร จินไห่คว้าหยิบผ้าเช็ดหน้าจากคนรักตัวเองไปซับหน้าตนเองอีกครั้งโดยที่มองไปทางอาเฉิงด้วยสายตาขอโทษทันทีที่จัดการกับหน้าตนเองเรียบร้อย

ต้นน้ำที่มีอาการตื้นตันกับเรื่องที่ถูกเล่ามาแม้จะเป็นข้อสันนิฐานระหว่างเขากับจินไห่ แต่ก็รู้สึกความสุขมันล้นออกมาจากอก แม้ว่ามันจะพยายามล้นออกตาแต่พอมาได้เห็นคนรักของตนเองหลั่งน้ำตาเสียก่อน เขาก็สะกดข่มมันเอาไว้ และพยายามทำตัวเข้มแข็งให้อีกฝ่ายพึงพาทางความรู้สึก แต่เขาก็รู้ว่าจินเองก็รู้ว่าต้นน้ำเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“อืม…แปลกดีนะ สงสัยต้นไม้ต้นนี้จะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” คุณอายิ้มบางๆ และพูดขึ้นลอยๆ กับตนเอง

สุดท้ายการบังคับซื้อขายภาพวาดหนึ่งเดียวของพ่อของจินไห่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ คุณอายอมกลับไปเสียโดยดี แต่ก็จากไปด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากตอนขามา

“คุณอาของพี่เนี่ย เขาจะโอเคจริงๆ ใช่ไหม?” ต้นน้ำถามเมื่อส่งสายตาไปทางที่คุณอาเดินจากไปด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

“คิดว่าน่าจะไม่เป็นไรนะ เขาเป็นคนเข้มแข็งนะ จริงๆแล้ว” จินไห่ยิ้มบางและมองมาทางคนรักของตน

“แต่มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง” ต้นน้ำหน้านิ่วทันทีที่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้

จินไห่ทำท่าทางไม่เข้าใจ ต้นน้ำจึงบ่ายสายตาตนเองไปทางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ที่ซุ่มวางอยู่ที่มุมห้อง

“เห็นอาเฉิงบอกว่า อยากอยู่เที่ยวต่อน่ะ ไหนๆ ก็ได้มาไกลถึงบ้านของพ่อพี่ทั้งที”

“โรงแรมก็มี!!” ต้นน้ำขึ้นเสียง แม้ว่าสีหน้าจินไห่จะแสดงออกถึงความไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายเริ่มงี่เง่า

“แบบนี้มันประหยัดกว่าไง มีห้องว่างไม่ใช่เหรอ? จะไม่ใจดำไปหน่อยหรือไง!!” ไอ้ตัวปัญหาที่เดินกลับมาจากการที่ไปส่งพ่อตนเอง อาเฉิงเอ่ยเสียงใส

“เอาน่าแค่อีกสัปดาห์เดียวเอง สมัยเด็กๆ พี่เองก็ไปรบกวนบ้านคุณอาบ่อยๆ” จินไห่กล่าวกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“พี่ไห่! ผมไม่ไว้ใจมัน!!” ต้นน้ำลากคนรักของตนไปคุยที่มุมห้องอีกฝั่งโดยไม่สนใจว่า อาเฉิงจะยืนมองดูด้วยรอยยิ้มมุมปาก

“ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก” จินไห่ยิ้มกับอาการหวงของต้นน้ำ

“จะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร วันแรกที่มันมาก็ดึงพี่ไปกอดเสียแน่น ในเมื่อมันไม่น่าไว้ใจแบบนี้ จะให้มันมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันได้ไง!!” ต้นน้ำโวยด้วยเสียงกระซิบเป็นชุด

“พูดแบบนี้มันก็เหมือนไม่ไว้ใจพี่ด้วยนะ!!” จินไห่เสียงแข็ง

“…..” ต้นน้ำรู้สึกน้ำท่วมปาก  ทำได้แค่ฟึดฟัดใส่คนรักที่ดูเยือกเย็นใจดีไปเสียทุกสถานการณ์แบบนี้

แต่มันก็จริง….

“ห้องรับรองแขก อยู่ชั้นสอง ห้องเล็กทางขวา!! ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม จัดการเองนะ!!” ต้นน้ำหันไปพูดกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของคนรักตนเองด้วยสายตามุ่งร้าย

“ต้นน้ำ..เฮ้ออออ มา เดี๋ยวเราช่วย!” จินไห่เดินคว้ากระเป๋าใบหนึ่งในจำนวนนั่นขึ้นมาเพื่อข่วยเหลืออีกฝ่าย

ฝ่ายเพื่อนสนิทคิดไม่ซื้อก็ยกกระเป๋าเดินทางที่เหลือทันทีโดยแทบไม่สนใจเจ้าของบ้านอีกคนที่มองทุกอย่างแบบเดือดดาล

หลังจากที่จินไห่เดินนำอีกฝ่ายไปชั้นสอง ต้นน้ำทำได้แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงและเดินไปทางร้านอาหารด้านหน้า เผื่อว่าเบียร์เย็นๆ สักแก้วจะช่วยให้เขาหัวเย็นขึ้นมาได้บ้าง

………..
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 9 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-12-2022 12:06:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 14 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-12-2022 09:33:31

ต้นน้ำนั่งรอคนรักของตนเองตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนถึงกลางดึกที่ห้องรับแขก เขาเผลอหลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเนื่องจากการปั่นงานออกแบบที่ถูกจ้างวานอย่างเร่งด่วนโดยไอ้เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่างไอ้ไอซ์ ผู้ซึ่งเป็นถึงลูกจ้างระดับหัวกะทิของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด

ฟรีแลนซ์ชื่อดังอย่างต้นน้ำ ถึงจะเป็นคนอารมณ์ศิลปินแต่พอเจอกับค่าตอบแทน เอ้ย…ไม่ใช่สิ การไหว้วานจากเพื่อนรักก็ต้องรับงานนี้อย่างเสียไม่ได้ (งานด่วนแต่เงินดี มันชินเสียแล้ว)

หลังจากทุ่มทำงานใช้สายตาอย่างหนักหน่วง จนในที่สุดก็อดทนต่อความเพลียไม่ไหว เลยเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงสนทนาอย่างถูกคออารมณ์ดีทำให้ต้นน้ำตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าสายตาของเขาจะปรับให้เข้ากับแสงสว่างจากโคมไฟสไตล์วินเทจของบ้านก็สักพักใหญ่

สิ่งแรกที่เห็นก็สร้างปมขมวดที่หัวคิ้วอย่างไม่ตั้งใจ คนรักของตนกับไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเดินกอดคอเฮฮาลั่นบ้าน มาพร้อมกลิ่นละมุดฉุนคอ

ต้นน้ำไม่เคยเห็นพี่จินไห่ของเขาบันเทิงขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะไม่เคยมีเพื่อนสนิทในวัยเดียวกันเลยตั้งแต่ที่ไทย (ไม่แก่กว่าแบบพี่โน่ ไม่ก็เด็กกว่ามากอย่างผมและผองเพื่อน) 

ต้นน้ำก็เลยไม่คุ้นตากับภาพตรงหน้าอย่างมาก เขาทำได้เพียงเบิกตาโพลงและจ้องอย่างประหลาดใจ พร้อมส่งปมคิ้วขมวดและสายตามาดร้ายใส่คนที่เดินตัวติดคนรักเขาเข้ามาในบ้าน

“โอกาสอะไรครับเนี่ย?” ต้นน้ำยิ้มใจดีสู้เสือ

“คนที่นั่นเจอกันก็กินกันแบบนี้แหละ แปลกนะ ที่น้องไม่เคยเห็น” ไอ้หน้าแป๊ะยิ้ม ส่งคำพูดออกจากปากและแก้มแดงๆ ของมัน เห็นแล้วอยากเจิมสีม่วงๆ ช้ำๆ ที่มุมปากมันมาก

ต้นน้ำไม่พูดอะไรนอกจากเดินไปแทรกเพื่อนรักทั้งสองคนและพยุงตนรักของตนห่างออกมา

“เออ! ลืมไปว่ามีผัวแล้ว เกือบลืมตัวพาขึ้นห้องเหมือนเคยแล้ว” ไอ้คุณเฉิงมันพูดออกมาเหมือนพยายามจะหาเรื่องเจ็บตัว

“คนของผม ผมดูแลได้!!”

“พี่ไห่ ขึ้นห้องครับ!!” ต้นน้ำพูดใส่อีกคนตาเขียวและพูดกับคนรักของตนเองอย่างห่วงใยด้วยสายตาคนละแบบ

หลังจากถึงห้องนอนแล้ว ต้นน้ำจัดแจงล็อกห้อง และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนรักเพื่อพร้อมอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย

“พี่ไห่ อาบน้ำไหวไหม?” ต้นน้ำเขย่าตัวอีกฝ่าย เพราะหลังจากที่เข้ามาถึงห้อง จินไห่ทิ้งตัวเองลงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

“ไหว….” คำพูดสั้นๆ ที่ออกจากปากที่ยกยิ้มเล็กที่มุมปาก

ต้นน้ำยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด

“ยิ้มอะไรหนักหนา? ผมไม่เคยเห็นพี่เมาขนาดนี้มาก่อนเลย ดีใจที่ได้เจอมันมากขนาดนี้เหรอ!?!” ต้นน้ำพูดห้วนอย่างไม่ตั้งใจ

“ดีใจสิ”

“หมายความว่าไง!?!?!” ต้นน้ำกระโจนคล่อมตัวบนตัวอีกฝ่ายทันที

จินไห่มองวงหน้าต้นหน้าและยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร พร้อมยกมือขึ้นมาลูบแก้มต้นน้ำไปมาเหมือนหยอกเล่นกับแมวน้อยน่ารัก

“ผมจะให้พี่ลืมมันให้หมด!!” ต้นน้ำเค้นเสียงดังลั่นพร้อมกดริมฝีปากลงไปที่คนที่นอนไร้แรงอยู่ข้างล่าง

ต้นน้ำเค้นวิทยายุทธ์ทุกกระบวนในการมอบความสุขแก่อีกฝ่าย แม้ว่าหลังจากที่เขาเริ่มงานเป็นฟรีแลนซ์ที่หนักหนาเสียจนเวลาทำการบ้านกับคนรักน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าเขาเองจะไร้ซึ่งความต้องการ

ผิดกับจินไห่ที่ยังทำตัวเช่นปกติ แม้จะยังดูแลเขาได้ดีเท่าเดิม แต่ต้นน้ำก็รู้สึกลึกๆ ว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ยิ่งมาหลังๆ เขายิ่งเห็นจินไห่มีโลกส่วนตัวกับโทรศัพท์บ่อยครั้ง เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความห่างเหินและความลับ

ต้นน้ำเอาความรู้สึกเหล่านั้นผลักดันให้การบรรเลงบทรักครั้งนี้พยายามเพื่อทำให้ช่องว่างเหล่านั้นหดแคบลง และเขาคาดหวังว่ามันจะจบลงด้วยผลลัพธ์เช่นนั้น

“ผมจะทำให้พี่ร้องขอชีวิตเลย!!” ต้นน้ำพึมพำขณะบรรจงละเลงเพลงริมฝีปากเป็นจังหวะร็อคแอนด์โรล รุนแรงและเร้าใจ

จินไห่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืน แต่ก็พร้อมที่จะโอนอ่อนไปตามจังหวะที่ต้นน้ำนำไป เขาทำได้เพียงครวญครางตามจังหวะที่เขาสามารถทำได้ เพราะริมฝีปากเขาแทบจะไม่ว่างเว้นจากอีกฝ่ายเลย

มือต้นน้ำที่เล้าโลมวุ่นวายเหล่านั้นจัดแจงผลัดถอดเสื้อผ้าของตัวเองลงไปกองกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นปาร์เก้จากไม้สีเข้ม ลวดลายสวยงามเหล่านั้นถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้าหลายขิ้นของทั้งสอง

ร่างอันเปลือยเปล่าของคนรักทั้งสองแนบชิดจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผิวกายสีขาวนวลของคนเบื้องล่างกลายเป็นสีเรื่อแดงไปทั่ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการขยำยู่ยำของต้นน้ำหรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปจำนวนไม่น้อย

แต่สภาพเหล่านั้นไม่ได้หยุดยั้งให้ต้นน้ำพอเพียงที่จะทำกิจที่เขามุ่งหมายไว้

ต้นน้ำยกตัวท่อนบนขึ้นเล็กน้อยและใช้ท่อนกายส่วนล่างบดบี้เรือนร่างคนด้านล่างที่ตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าตื่นเต็มที่แล้ว

เสียงคราง อือ..อา…ของคนเบื้องล่างยิ่งเร้าอารมณ์ให้คนเบื้องบนยิ่งอยากบดขยี้คนเบื้องล่างให้แหลกลาญภายใต้ร่างกายของตน

ต้นน้ำไม่หยุดให้อีกฝ่ายพักผ่อนลมหายใจ เขาเริ่มใช้เทคนิคลับในการช่วยให้อีกฝ่ายพร้อมกับกระบวนรบถัดไป

นิ้วมือที่ฉ่ำของเหลวเย็นเยียบละโลมไปทั่วร่างเบื้องล่าง จินไห่เลิกแปลกใจ ไปแล้วกับเวทมนต์นี้ มันรวดเร็วจนเขาแทบจะอดคิดไม่ได้ว่าอุปกรณ์พวกนั้นมันอยู่ส่วนไหนของบ้านบ้าง ทำไมคนทำความสะอาดบ้านอย่างเขาถึงไม่เคยเห็น!

มือที่เย็นฉ่ำเคลือบไปด้วยของเหลวหนืดปรับเปรียบรูปร่างไปตามอารมณ์ของเจ้าของมือ สัมผัสที่ถูกอีกฝ่าบลูบไล้อย่างตั้งใจฝ่าลึกเข้าไปในร่างจินไห่อย่างช้าๆ อวัยวะส่วนหลังของเขาไม่มีส่วนใดที่มือของต้นน้ำไปไม่ถึง จินไห่ยอมรับอย่างเต็มใจว่า สัมผัสเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย

ในเมื่อประตูเมืองพร้อมแล้ว ต้นน้ำก็จัดท่าอีกฝ่ายให้พร้อมรับกับรถศึกขนาดใหญ่เข้ากรีฑาทัพเผด็จศึก

ท่อนขาของจินไห่ถูกจัดให้วางอย่างบรรจงที่ไหล่ทั้งสองข้างของต้นน้ำ เพียงชั่วครู่ทัพใหญ่ของต้นน้ำก็บุกรุกเข้าตีเมืองอย่างต่อเนื่อง

จินไห่ทำได้เพียงตั้งรับอย่างปราณีตเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องขาดตอน เขาผ่านเรื่องนี้กับแฟนเด็กคนนี้มานานจนกระทั้งเขารู้จักจังหวะของอีกฝ่ายได้ทุกกระบวนท่า

ใบหน้าที่ตั้งใจของคนรักของเขาและความรู้สึกที่อีกฝ่ายรู้สึกเสมือนว่ามันได้ถ่ายทอดมาถึงเขาด้วย มันเป็นความรู้สึกดีที่จินไห่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ มันเป็นการเขื่อมต่อกันทางวิญญาณที่มีแต่ความผูกพันธ์อันลึกล้ำ ยิ่งเขาสานสัมพันธ์กันเท่าใด เขาก็รู้สึกลึกล้ำกับคนรักของเขาคนนี้ขึ้นทุกวัน

หลังจากผลัดเปลี่ยนกันหลายกระบวนยุทธ์ ในที่สุดความรักของต้นน้ำก็ถูกส่งผ่านมาถึงตัวจินไห่ ต้นน้ำเองก็ยังไม่หยุด เขาให้สัมผัสที่ลึกล้ำแก่อีกฝ่ายด้วยฝ่ามือหยาบใหญ่ทั้งสองมือ

จินไห่ไม่รู้ว่ามือเหล่านั้นสัมผัสส่วนใดไปบ้างแต่ในที่สุดเขาเองก็มอบความรักอันมากมายแก่ต้นนำ้ไม่น้อยไปกว่ากัน

ต้นน้ำยิ้มและก้มลงกดริมฝีปากอันร้อนฉ่าแก่จินไห่ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อและอุ่นอุหวานล้ำดุจแยมสตรอเบอรี่กวนสดใหม่จากเตา ทำให้เขาแทบอยากจะลิ้มรสหวานนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากถอนริมฝีปากจากไปได้

มืออันอุ่นร้อนจากจินไห่ผลักอีกฝ่ายให้ห่างจากตนด้วยอาการหืดหอบ เขาเหมือนพยายามกอบเอาอากาศบริเวณนั้นเข้าปอดให้ได้มากที่สึดเหมือนคนใกล้จะจมน้ำแต่ว่ายขึ้นฝั่งได้ทัน

“จะฆ่ากันหรือไง!!” จินไห่ค้อนอีกฝ่ายด้วยอาการหอบหืด

ต้นน้ำยิ้มตอบเพราะความน่ารักของคนตรงหน้ามันโดนใจ ร่างเปลื่อยเปล่าที่แดงปลั่งดุจเด็กทารกแรกเกิด ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แบบนี้ทำให้เขาอยากเผด็จศึกอีกสักรอบ

“พอเลย!! รู้นะคิดอะไรอยู่!!” จินไห่ที่เห็นรอยยิ้มอันแสนหล่อเหลาตรงหน้าก็เกิดอาการใจเต้นแรงกว่าเดิม ไม่รู้ว่าทำไม อยู่กันมานานขนาดนี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยหลุดออกจากวังวนเสน่ห์ของเด็กคนนี้ได้เสียที รอยยิ้มที่สดใสและกล้ามมัดของร่างที่เปลือยเปล่าเหล่านั้น เขายอมรับได้คำเดียวว่าแพ้ แพ้ทางอะไรแบบนี้

“ผมข้องใจนะ……” ต้นน้ำกดหน้าตนเองลงไปใกล้กับจินไห่ เขาประสานตาที่เต็มไปด้วยความน้อยใจปนสงสัยเพ่งไปที่คนเบื้องล่าง

“อะไร…เจ้าเด็กขี้น้อยใจ” จินไห่ยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมเบาๆ

“พี่ยังมีใจให้ไอ้ยักษ์นั้นใช่ไหม บอกตรงๆ ผมรับได้ แต่ปัจจุบันพี่เป็นของผมแล้วนะพี่เข้าใจใช่ไหม?” ต้นน้ำลดศรีษะตนเองลงมาจนหน้าผากทั้งสองกระทบกัน

“พี่จะดีใจเวลาอยู่กับคนอื่นนอกจากผมไม่ได้!!” ต้นน้ำพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นจากประโยคแรกพอควร

จินไห่ยิ้มให้กับความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่ามันจะแสดงออกเหมือนเด็กๆ แต่เขาก็ชอบนิสัยแบบนี้ของคนรักของเขาไปแล้ว

“เด็กโง่! พี่ดีใจที่เราน่ะยังหวงพี่ขนาดนี้ต่างหาก พี่น่ะไม่เคยคิดอะไรกับอาเฉิงมาตั้งนานแล้ว!! เขาเหมือนน้องชายพี่มากกว่านะ” จินไห่ใช้ริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปากคนด้านบน

“พี่ไห่…” คำสั้นๆ และสายตาที่ต้นน้ำส่งมาให้คนเบื้องล่าง มันแทนคำพูดนับล้านไปเรียบร้อยแล้ว มันแทนความรักที่ต้นน้ำมีให้อย่างเพิ่มทวีคูณ

“ไม่ต้องมาเนียนเลย ลุกออกไปจากตัวพี่ได้แล้ว น้องชายเธอมันคึกคักอีกแล้วนะ!!” จินไห่ผลักอีกฝ่ายให้ถอยลุกไปยืนข้างเตียง

“พี่ไห่… เราไม่ได้ทำสถิติแบบนี้กันนานแล้วนะ…” เสียงออดอ้อนของเด็กโข่งตัวเขื่อง

“พี่รู้สึกสกปรก เหนอะหนะไปหมด ไม่ไหวแล้ว!!” พูดจบจินไห่ก็ลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมไปอาบน้ำ

“งั้นไปต่อกันในห้องน้ำนะ” ต้นน้ำเดินร่าเริงตามมาติดๆ

“โอย… แล้วแต่เลย!!” จินไห่ทำท่าทางโมโหใส่ แต่ก็อดอมยิ้มกับไอ้ท่าทีทะเล้นของแฟนเด็กไม่ได้ ยอมใจเลย

และแล้วทั้งสองก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำกันไปพร้อมกัน


…………
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 14 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-12-2022 12:58:53
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 21 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-12-2022 18:40:42

เสียงนกยามเช้ามืดกระซิบกระซาบแทรกเข้ามาผ่านผนังไม้กึ่งสังเคราะห์โดยรอบ เสียงที่น้อยครั้งมากที่ต้นน้ำจะตื่นมาทันรับฟังเสียงธรรมชาติเหล่านี้ ท้องฟ้าภายนอกยังคงปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีมืดมิดของราตรีเสียเกือบทั้งฟ้า มีเพียงแสงเรืองๆ อยู่ที่ขอบฟ้าที่พอจะบอกเวลา ณ ปัจจุบันได้ สิ่งที่ทำให้ต้นน้ำตื่นขึ้นมาเวลานี้ก็เพราะเสียงโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องกึ่งเก่าของจินไห่ดังโวยวายไม่หยุด

แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจไม่ใช่เสียงโทรศัพท์แต่เป็นพี่จินไห่ของเขาที่ยังคงนอนจมอยู่กับกองผ้าห่มบนเตียงนอนข้างๆ เขา

ก่อนที่จะไปรับโทรศัพท์ที่แสนน่ารำคาญนั่น ต้นน้ำรีบเร่งรุดไปตรวจสอบจินไห่เสียก่อน เพราะมันผิดปกติเหลือเกินคนรักของเขายังนอนอยู่ติดเตียงในเวลานี้ คนที่รักการไปเดินตลาดสดยามเช้าอย่างจินไห่ที่ คนที่ชอบการเลือกวัตถุดิบเองจนเป็นกิจวัตร มันแปลกเกินไป

สิ่งที่เขาคิดได้มีเพียงอย่างเดียวคือ จินไห่คงไม่สบาย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ต้นน้ำสัมผัสศรีษะของคนรักตนเองอย่างทะนุถนอม เรื่องที่เขากลัวมันเป็นความจริง

อุณหภูมิของจินไห่ขึ้นสูง และแทบจะไม่รู้สึกตัวเลย  ต้นน้ำได้แต่โทษตนเองในใจมี่ปล่อยให้อารมณ์ความต้องการของเขาเข้าครอบงำอีกครั้ง เมื่อวานเขาได้ใจที่เห็นอีกฝ่ายไม่อิดออด เลยเข้าคลุกวงในอย่างต่อเนื่องจนตีสอง

ก่อนที่จะไปดูแลคนรักของตน ต้นน้ำจัดการรับโทรศัพท์และฝากฝังให้หัวหน้าห้องครัวจัดการเรื่องซื้อวัตถุดิบกันเองวันนี้

ทางปลายสายพอรู้ว่าคนที่รับสายเป็นต้นน้ำและมีการฝากฝังให้ทำงานแทนเจ้านายของตนก็พอจะอนุมานเหตุการณ์ได้จึงรีบขอตัววางสายไปทำงานต่อทันที

“จริงๆ เลย บอกหลายแล้วว่าอย่าฝืนๆ” ต้นน้ำส่ายเมื่อมองสภาพคนรักของตนนอนไม่ได้สติตรงหน้า ก่อนที่จะจัดการดูแลคนรักจองตนอย่างดีอย่างที่เคยทำอย่างชำนาญ

………..

จินไห่ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการตกใจอย่างมาก เขาสะดุ้งตัวโยนเล็กน้อยเมื่อมองเห็นความสว่างของห้อง หลังจากที่เรียกสติกลับมาได้ เขาก็สำรวจตัวเองและรอบๆ ตัวทันที

จินไห่พบว่าตนเองมีอาการหนักอึ้งไปทั้งตัว โดยเฉพาะส่วนล่าง รู้สึกอ่อนเพลียและมีไข้ขึ้นเล็กน้อย เขามองไปที่สิ่งแวดล้อมก็พบว่ามันมีอะไรแปลกไปจริงๆ

“อ้าวตื่นแล้วหรือครับ ผมไปเอาโจ๊กมาให้กินเป็นมื้อ….อือออ มื้อสายน่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องร้านช่วงเช้านะ พี่ๆ ในร้านนะมืออาชีพกันทุกคน เรื่องการเตรียมข้าวของ การค้าขายน่ะ เรียบร้อยดี” ต้นน้ำที่เปิดประตูมาเจอจินไห่ในสภาพนั่งงงบนเตียงนอน

“ต้นน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผ้าปูที่นอน?” จินไห่ถามคำถามอีกฝ่ายเป็นคำตอบ

“ครับ ผมไม่อยากให้ตื่นมาตกใจเพราะตัวเองนอนบนกางเกงและผ้าปูเปื้อนเลือดตัวเอง”  ต้นน้ำวางมื้อเช้าลงบนโต๊ะอ่านหนังสือไม่ไกล และเดินไปสัมผัสหน้าผากอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง

“อีกแล้วเหรอ? พี่ขอโทษนะ ที่พี่มันอ่อนแอไปหน่อย”  จินไห่ยื่นมืออันอ่อนแรงมาจับมือของอีกฝ่ายไว้

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ จะว่าพี่ได้ยังไง ใครเจออย่างที่พี่เจอก็ต้องป่วยทั้งนั้นแหละ!”

“อันนี้ประโยคขอโทษหรือจะอวด!” สิ้นคำพูดของจินไห่ก็ทำให้ทั้งสองหัวเราะใส่หน้ากัน

แปลว่าจินไห่เริ่มอาการดีขึ้นแล้ว มันทำให้ต้นน้ำยิ้มได้สุดริมฝีปากมากขึ้น

“จะกินมื้อเช้าก่อน หรือจะทายาก่อน?” ต้นน้ำถามขณะพยุงอีกฝ่ายให้นั่งบนเตียงให้เรียบร้อย

“ทายา?” ผู้ใหญ่บนเตียงทำหน้านิ่วสงสัย

“เมื่อเช้ามืดผมจัดการทาไปรอบหนึ่งแล้ว อย่างไรผมขอเช็คอีกรอบหนึ่งนะ” ต้นน้ำพูดขณะยื่นหน้าไปขนานกับอีกฝ่าย รอยยิ้มอย่างห่วงใยของคนอายุน้อยกว่ามันสดในจนจินไห่รู้สึกแสบตา

จินไห่หลบตาอีกฝ่ายพร้อมกับทำสีหน้าสับสน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกอีกฝ่ายดูแลแบบนี่ แต่การหันหลังและแสดงบั้นท้ายของตนให้อีกฝ่ายหนึ่งดูพร้อมสัมผัส อย่างไรมันก็รู้สึกไม่คุ้นเสียที

“ทายาก่อนก็ได้ เสร็จแล้วน้องจะได้ไปทำงานตัวเอง เดี๋ยวพี่กินข้าวเอง” จินไห่ใคร่ครวญก่อนตอบอย่างเหนียมอาย ใบหน้าที่ซีดผาดกลับแต้มไปด้วยเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย

ต้นน้ำรู้สึกว่าคนตรงหน้าน่ารักแบบไม่มีเหตุผล ทำไมถึงชอบเห็นอะไรแบบนี้จากคนรักรุ่นพี่ขนาดนี้

หลังจากที่จินไห่ขยับพลิกตัวเพื่อให้ต้นน้ำได้สำรวจผลที่เกิดจากความคะนองของตนเอง ต้นน้ำจึงรีบเข้าไปช่วยทันที ความคล่องแคล้วประหนึ่งพยาบาลมืออาชีพ

“ดีขึ้นแล้วสินะครับ สงสัยน่าจะปรับสภาพปรับขนาดให้รับของผมได้แล้วนะ ยังเจ็บอยู่ไหม?” ต้นน้ำพูดจบหลังจากสำรวจผลงานของตนเอง พลางสัมผัสช่องทางด้านหลังที่มีสีช้ำเบาๆ

“เจ็บตรงประโยคที่น้องพูดนี่แหละ!! หลังจากนี้พี่ขอพักสัก 3 ปีนะ!!” จินไห่ใช้แรงที่เหลือตวาดกลับคนที่อยู่ด้านหลัง

“ไม่เอาสิ สามวันผมก็ทนไม่ไหวแล้ว สามปีนี่ไม่มีทาง!!” ต้นน้ำทำหน้าเบ้ใส่คนรัก

“ยังไงก็ต้องรอพี่หายก่อนไหม?” จินไห่ก็พูดเล่นๆ ไปแบบนั้นแหละ เพราะเอาเข้าจริง ตัวเขาเองนั่นแหละที่ทนอีกฝ่ายเล้าโลมไม่ไหว

“แปลว่าหายแล้วก็จัดได้เลยใช่ไหม?” ไอ้คนหน้าทะเล้นมันยังไม่หยุด

“รีบทายาได้แล้วไหม จะเปิดบั้นท้ายพี่อีกนานแค่ไหน?!?!” จินไห่ปิดบังความเขินอายด้วยอาการโกรธเกรี้ยวที่ต้นน้ำคุ้นเคยดี

ต้นน้ำหัวเราะในลำคอ สั่นหน้าและบรรจงทายาอย่างทะนุถนอม

“เย็นหน่อยนะ”

“โอ้ย…. ไม่ชินสักที!!” จินไห่บ่นงึมงำ


ปึ้ง!!!!

เสียงประตูถูกผลักเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมบุคคลมี่ต้นน้ำไม่ยินดีต้อนรับก็โผล่มา

“อาไห่!! ได้ข่าว… ว่า….. ไม่…สบายเหรอ??” เสียงของแขกไม่ได้รับเชิญเบาจางลงไปตามท้ายประโยคจากภาพที่เห็นตรงหน้า

“เฮ้ย!! ไอ้สัด มึงจะไม่มีมารยาทก็ให้มีขอบเขตบ้าง!!” ต้นน้ำตวาดลั่นและผลักไอ้คนไม่ได้รับเชิญอย่างอาเฉิง กระเด็นไปนอกห้องและปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 21 ธ.ค. 22
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-12-2022 13:55:24
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-01-2023 16:05:24

ต้นน้ำบ่นงึมงำโทษตัวเองที่ไม่ล็อกห้อง เพราะความเคยชิน บ้านนี้มีกันเพียงสองคนที่สามารถเข้ามาได้ เขาลืมไปว่ามีคนหน้าด้านที่เข้าออกพื้นที่บ้านเขาบ่อยๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต

หลังจากการจัดการภารกิจหวาดเสียวของจินไห่เรียบร้อย ต้นน้ำก็ขอตัวไปจัดการกับไอ้คนไร้มารยาทซึ่งคาดว่าจะยังเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง

จินไห่จึงปรามให้ต้นน้ำใจเย็นลงและให้เรียกคู่กรณีเข้ามาในห้อง

“เจอแบบนี้พี่ยังจะต้อนรับมันอีก!!”

“ใจเย็นๆ ก็อย่างที่อาเฉิงเคยพูดนั่นล่ะ พี่กับเขาเรื่องที่ลแบบร่างกายเห็นกันหมดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาเฉิงมันกลัวผีมาก พี่ก็เลยได้อาบน้ำด้วยกันบ่อยๆ”

“ยิ่งได้ฟังจากปากพี่แล้วยิ่งหงุดหงิดนะ!!”

“เอาน่าๆ ผู้ชายที่นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดานะ”

“ก็ที่นี่ไม่ใช่ที่นั่น!!”

จินไห่เห็นว่าต้นน้ำคงไม่ยอมสงบง่ายๆ จึงเอ่ยเรียกขานชื่อของต้นน้ำด้วยโทนที่ต้นน้ำรู้ว่า เขาควรหยุดได้แล้ว

ต้นน้ำที่มองสีหน้าจินไห่ที่แสนจะจริงจังจึงสงบปากและทำตามที่อีกฝ่ายต่องการทันที

ทำให้คำๆหนึ่งของไอ้ไอซ์ดังขึ้นมาในหัวทันที

“กลัวเมียนี่หว่า”

ต้นน้ำด่าสวนกลับในใจ

“มาทำไมอีก นึกว่าเมื่อวานเราจะพูดกันเคลียร์แล้ว!” จินไห่เสียงเรียบใส่คนที่เดินเข้ามาในห้องอย่างระแวดระวัง

“อืม….. เมื่อวานน่ะ เราคิดว่า เราน่าจะพอสู้ได้” อาเฉิงเหล่มองชายคนรักของจินไห่ที่ดึงคิ้วมาชนกันจนแทบจะเป็นเส้นเดียว ทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกปะทะเมื่อครู่มันก็ตึงไปหมด

ไม่น่าเชื่อว่าร่างบางๆ แบบนั้นจะแรงเยอะขนาดนี้

“แต่หลังจากมาเห็น น้องต้นน้ำ เราว่าเราเข้าใจแล้วว่าทำไม อาไห่ถึงรักคนๆ นี้มากขนาดนี้!” อาเฉิงมองตาอีกฝ่ายเพื่อสื่อให้รู้ว่าเขาพูดจริงจัง

“ถ้าให้พูดกันตรงๆ เรายังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้แฟน หรือคู่นอนคนไหนเลยนะ”

“ของมึงคงเท่านี้สินะ!! ไม่เจ็บไม่คันหรอกมั้ง!!” ต้นน้ำพูดแทรกขึ้นมาพร้อมยกนิ้วก้อยแสดงต่อหน้าอาเฉิง

เรื่องแบบนี้ชายคนไหนคงยอมให้หยามกันไม่ได้ แม้จะยังขยาดจากแรงอีกฝ่าย แต่เลือดขึ้นหน้าขนาดนี้ อาเฉิงจึงลุกขึ้นหมายจะให้หมัดของตนปะทะหน้าไอ้คนพูดจาไม่เข้าหูซึ่งยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลทันที

จินไห่รู้ตัวตวาดเสียงเข้มและดุทั้งสองให้สงบลง  ไม่นานทั้งสองก็กลับไปอยู่สถานะอารมณ์และจุดที่ตนเองอยู่เดิม

จินไห่ผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายใจกับการต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กทั้งสองคน

“จะพูดอะไรก็พูดให้จบ!” จินไห่หันไปหาอาเฉิงที่อ้ำอึ้งเหมือนต้องการจะกล่าวอะไร

“เอ่อ…. แค่จะบอกว่า… เราเข้าใจแล้ว เราเห็นแล้วว่าไอ้เด็กนี้รักอาไห่มากแค่ไหน? ดังนั้น….. มันพูดยากจัง คือ….” อาเฉิงตอบกลับเสียงเบา

“จะยอมแพ้แล้วใช่ไหม?” จินไห่ต่อประโยคให้

“อืม…. ขอบใจนะ ตอนแรกก็คิดว่า อยากจะพิสูจน์ว่า เด็กนี่รักนายจริงแค่ไหน? แต่ที่ผ่านมาหลายวัน เราก็รู้แล้วว่า อาไห่มีความสุขแค่ไหน? ความสุขที่เรามอบให้นายไม่ได้… แม้ว่าลึกๆ จะมีความหวังก็เถอะว่า นายจะกลับมารักเรา…”

อาเฉิงพูดถึงจุดนี้ก็ทำให้ต้นน้ำมีเส้นเลือดปูดที่ขมับเด่นชัด

“เอาใหม่นะ ต้องพูดว่าเราไม่เคยรักนายแบบนั้นเลยมากกว่า ยังไงก็พี่น้องกันอยู่ดี”

“โหยยย เจ็บกว่าต้องมาเห็นภาพบาดใจเมื่อครู่ก็ตรงคำตอบนี้แหละ!!” อาเฉิงยิ้มแห้งกลับมา

“ชัดเจนพอไหม?” ต้นน้ำหันไปทางแขกไม่ได้รับเชิญ

“ชัด! ชัดมาก แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ” อาเฉิงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วหันมาทางต้นน้ำ

“ฝากดูแลพี่ชายคนนี้ด้วยนะ วันไหนนายทำอาไห่เสียใจเราจะมาเอาคืน!!” อาเฉิงเดินไปยื่นมือขวาหมายให้อีกฝ่ายจับเป็นสัญลักษณ์แห่งสัญญา

“ไม่มีวันนั้นหรอกเว้ย!” ต้นน้ำเดินไปคว้ามืออีกฝ่ายกำแน่น

“พอๆ จะไปไหนก็ไปกันได้แล้ว คนไม่สบายจะพักผ่อน” จินไห่ผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้าทั้งสองทำตัวเป็นเด็กวัยรุ่น ยืนท้าทายกำลังบีบมือกันแน่น

“ครับ…” ทั้งสองรีบคลายมือและขานรับพร้อมกัน

อาเฉิงรีบลนลานเดินออกไป ในขณะที่ต้นน้ำที่กำลังจะก้าวเท้าตามไปไม่ทันเกินสองก้าว จินไห่ก็ทักให้อยู่ดูแลเขาต่อเป็นการไถ่โทษ

“ไม่ไปส่งนะ!” ต้นน้ำตะโกนตามหลังชายคนแรกไป ทำให้อาเฉิงมีอาการอิจฉากับความรักของพวกเขาทั้งสอง แต่ก็ต้องเก็บใจร้าวๆ ของตนทำใจและเดินก้าวเท้าออกจากบ้านไปด้วยด้วยใบหน้าที่อุ่นร้อนคราบน้ำตา

“ไอ้ตัวดี มานี่สิ!!” จินไห่เรียกต้นน้ำให้เข้าไปใกล้

“ครับ” ต้นน้ำเดินลากเสียงและเดินรี่เข้าไปซบอกคนที่อยู่บนที่นอน

จินไห่บีบและหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ต้นน้ำร้องโอยเสียงดังลั่น บวกกับอาการตกใจเสียงร้องจึงดังกว่าที่เขาคิด

“หยิกผมทำไม” ต้นน้ำโอดครวญใส่คนรัก

“คนไม่สบายอยู่ไม่คิดจะดูแลหรือไง? แล้วจะตามอาเฉิงไป ไม่คิดว่าพี่หึงบ้างหรือไง!?!” จินไห่สวนกลับไปด้วยอาการบ่นอุบอิบ

“พี่ครับรู้อะไรไหม?”

“รู้อะไร”

“พี่ก็รู้ว่าผมรักพี่หมดใจ ไม่เหลือให้ใคร หวงพี่ยิ่งกว่าใคร ผมจะไปไหนจากพี่พ้น ก็ใจผมอยู่ที่พี่คนเดียว”

“ท่องเป็นเพลงเชียวไอ้ปลาไหล” แม้มันจะเป็นคำที่ดูกะล่อน แต่ถ้อยคำแบบนี้ก็ทำให้จินไห่ยิ้มได้ทุกครั้ง

หลังจากเห็นรอยยิ้มของจินไห่ ต้นน้ำก็ปรี่เข้าไปกดริมฝีปากอีกฝ่ายทันที พวกเขาแลกจูบอันดูดดื่มยาวนาน จนกระทั้งจินไห่ ผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย ภายใต้อ้อมแขนของต้นน้ำ รอยโอบกอดนี้ที่เขาไม่คิดจะเสียไปให้ใคร และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

…………….

จบ
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-01-2023 16:11:28
จบไปแล้วนะครับ
 :mew2:

เสียดายจัง ก็ไม่อยากให้จบเลย แต่ก็นึกไม่ออกแล้วครับว่าจะเขียนอะไรอีก

เพราะในหัวตอนนี้มีแต่เรื่องใหม่ๆ อยู่เต็มไปหมด
 :katai4:

เรื่องใหม่ก็ร่างๆ ไว้แล้วครับ คงได้มาลงให้นักอ่านที่นี่อ่านกันอีก
หวังว่าจะยังเลือกอ่านกระทู้ของผมอยู่นะฮะ

ร่างไว้หลายเรื่องแต่ขอเจียนเรื่องแปลกๆ ดูบ้างน่ะครับ

แล้วเจอกันนะครับ

ขออภัยเกี่ยวกับภาษาและประสบการณ์นีกเขียนอันน้อยนิดของผมด้วยนะครับ

ครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้น จะพัฒนาไปอีกครับ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน

หวังว่าคงได้เจอกันกับเรื่องใหม่เร็วๆ นี้
หัวข้อ: Re: Underneath the tree มหาสมุทรใต้ต้นไม้ (บท ภาพวาดของพ่อ 5) 5 ม.ค. 23
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-01-2023 14:34:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: o13 o13 o13 o13 o13